Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ct3-ผสาน

ct3-ผสาน

Published by pim, 2019-11-02 01:05:59

Description: ct3-ผสาน

Search

Read the Text Version

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๗ กถาวัตถุ 1095 ๒๑๙. เร่อื งสงิ่ ทไ่ี มส่ ำ� เร็จรปู (อปรนิ ิปผันนกถา) อ ิภธัมม ิปฎก ถาม : รปู เป็น อปรนิ ิปผันนะ (ส่งิ ทีไ่ ม่ส�ำเรจ็ รปู ) ใช่หรือไม่ ตอบ : ใช่ ถาม : รูปมิใช่ของไม่เท่ียง มิใช่ส่ิงท่ีปัจจัยปรุงแต่ง มิใช่ส่ิงท่ีอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เปน็ ตน้ ใช่หรือไม่ ตอบ : ไม่พงึ กลา่ วอยา่ งน้ัน (นกิ ายอุตตราปถกะบางส่วน และ เหตวุ าทะ มีความเห็นผิดข้อนี้) หมายเหตุ : ค�ำถามค�ำตอบที่น�ำมาแสดงไว้ท้ัง ๒๑๙ ข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่างย่อ ๆ ของค�ำถามค�ำตอบมากหลาย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า น�ำมาแสดงเพียง ๑ ใน ๑๐๐ แม้เช่นน้ัน ก็ยังนับว่าพิศดาร นอกจากน้ันบางข้อพอเห็นเค้าอยู่บ้าง จึงมิได้อธิบายความประกอบ เร่ืองนี้ มีประโยชน์อยู่บ้างท่ีได้พิจารณาข้อคิดเห็นของนิกายต่าง ๆ ซึ่งมีความเห็นผิดไปจากมติของ เถรวาท และนิกายเหล่านั้นในปัจจุบันก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว จะนับว่าเหลืออยู่โดยอ้อมก็คือ มหายาน ซ่ึงจะถือว่ามีต้นก�ำเนิดไปจาก นิกายมหาสังฆิกะ ก็ได้ ความเห็นผิดท้ัง ๒๑๙ ข้อน้ัน บางคร้ังก็เป็นเร่ืองของการขัดแย้งกันทางส�ำนวนโวหาร บางครั้งก็ทางหลักอภิธรรม บางคร้ังก็ ทางหลักพระสูตร บางเร่ืองก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไป จนไม่น่าจะมีปัญหา อน่ึงในหน้า ๑๐๘๒ - ๑๐๘๓ ข้อท่ี ๑๗๐ - ๑๗๔ ในเล่มนี้ ค�ำว่า นิกายเวตุลลกะ มหาสุญญตาวาทะ นั้น ในอรรถกถาฉบับไทยเป็น เวตุลลกะ มหาปุญญวาทะ ซ่ึงท�ำให้น่าฉงนว่า นิกายที่มีความเห็น ดงั่ กล่าวนนั้ ควรจะเรยี ก มหาปญุ ญวาทะได้อยา่ งไร แตเ่ ม่อื สอบดตู ้นฉบบั ตา่ งประเทศแลว้ เหน็ วา่ คำ� วา่ มหาสญุ ญตาวาทะ ถกู ตอ้ งกว่า จงึ ใช้ตามทเี่ หน็ วา่ ถกู ต้อง ตอ่ ไปนจี้ ะแสดงวา่ นกิ ายไหน มีความเห็นผดิ ในข้อไหน เป็นการสรปู อกี คร้ังหนึ่ง นกิ ายไหนมีความเห็นผิดในข้อไหน ๑. มหาสังฆิกะ มีความเห็นผิดในข้อ ๙๘ - ๑๐๙ ๑๑๒ ๑๑๖ - ๑๑๙ ๑๓๕ ๑๔๔ - ๑๔๗ ๑๔๙ ๑๕๕ ๑๕๖ ๑๘๔ ๒๐๑ ๒๐๔ ๒. วัชชปี ตุ ตกะ มีความเห็นผิดในขอ้ ๑ ๒ ๓. มหสิ าสกะ มคี วามเหน็ ผดิ ในขอ้ ๒๑ ๕๕ ๕๙ ๘๒ ๙๘ ๑๖๑ ๑๘๑ ๑๙๒ ๑๙๗ ๔. โคกุลิกะ มคี วามเหน็ ผิดในข้อ ๑๘ ๕. สัพพตั ถกิ วาทะ มคี วามเห็นผิดในขอ้ ๒ ๖ ๗ ๑๙ ๑๑๓ ๖. สมิติยะ มีความเห็นผิดในข้อ ๑ - ๕ ๑๙ ๒๖ ๒๘ ๒๙ ๖๘ ๗๕ ๘๐ ๘๒ - ๘๔ ๙๘ ๑๐๖ ๑๔๑ ๑๕๔ ๑๖๑ ๑๖๗ ๑๘๒ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1095 5/4/18 2:26 PM

1096 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๗. ภทั รยานกิ ะ มีความเห็นผดิ ในขอ้ ๑๙ ๘. กัสสปกิ ะ มีความเหน็ ผดิ ในขอ้ ๘ ๙. เหตวุ าทะ มีความเหน็ ผดิ ในขอ้ ๑๔๘ ๑๕๐ ๑๕๑ ๑๕๓ ๑๕๗ ๑๖๘ ๑๖๙ ๑๙๒ ๑๙๔ ๒๑๙ ๑๐. อตุ ตราปถกะ มคี วามเหน็ ผิดในข้อ ๓๔ - ๔๐ ๔๕ ๔๗ ๕๘ ๕๙ ๗๔ ๘๗ ๘๘ ๙๐ - ๙๒ ๑๑๓ ๑๒๐ ๑๒๑ ๑๒๓ ๑๒๔ ๑๒๖ ๑๒๗ ๑๒๙ ๑๓๐ ๑๓๒ ๑๓๗ ๑๓๘ ๑๔๒ ๑๕๙ ๑๖๐ ๑๗๕ ๑๗๘ - ๑๘๐ ๑๘๕ ๑๙๑ ๑๙๓ ๑๙๙ ๒๐๐ ๒๐๕ ๒๐๖ ๒๐๙ - ๒๑๓ ๒๑๖ ๒๑๙ ๑๑. อนั ธกะ มคี วามเห็นผดิ ในขอ้ ๙ ๑๐ ๑๗ ๑๙ - ๓๓ ๔๑ - ๔๔ ๔๖ ๔๘ - ๕๔ ๕๘ ๖๓ ๗๐ - ๗๔ ๗๘ - ๘๑ ๘๕ ๘๘ ๘๙ ๙๖ ๙๗ ๑๑๑ ๑๑๔ ๑๑๕ ๑๓๑ ๑๓๙ - ๑๔๒ ๑๕๔ ๑๖๓ - ๑๖๕ ๑๗๙ ๑๘๑ ๑๘๒ ๑๘๖ ๑๙๐ ๑๙๕ ๑๙๖ ๒๐๒ ๒๐๓ ๒๐๕ - ๒๐๘ ๒๑๕ ๒๑๗ ๒๑๘ ๑๒. ปุพพเสลิยะ มคี วามเหน็ ผดิ ในขอ้ ๑๑ - ๑๖ ๕๕ - ๕๗ ๗๕ - ๗๗ ๘๓ ๘๔ ๘๖ ๙๓ - ๙๕ ๑๑๐ ๑๒๒ ๑๒๘ ๑๓๓ ๑๓๔ ๑๓๖ ๑๔๓ ๑๔๔ ๑๕๘ ๑๘๓ ๑๘๗ ๑๘๘ ๑๙๘ ๒๑๔ ๑๓. อปรเสลิยะ มีความเหน็ ผดิ ในข้อ ๑๑ ๑๒๘ ๑๓๖ ๑๙๘ ๒๑๔ ๑๔. ราชคริ กิ ะ มีความเหน็ ผิดในขอ้ ๖๔ - ๖๙ ๑๒๕ ๑๕๒ ๑๖๖ ๑๖๗ ๑๕. สทิ ธัตถกิ ะ มีความเหน็ ผิดในขอ้ ๖๔ - ๖๙ ๑๖๖ ๑๖. เวตลุ ลกะ มีความเหน็ ผดิ ในข้อ ๑๗๖ ๑๗๗ ๑๗. เวตุลลกะ มหาสุญญตาวาทะ มคี วามเหน็ ผิดในขอ้ ๑๗๐ - ๑๗๔๑ จบความย่อแห่งพระไตรปฎิ ก เล่ม ๓๗ ๑ การนับข้อของหนังสือ Guide Through The Abhidhamma-Pitaka ไม่ตรงกับหนังสือนี้ สงสัยว่าจะนับตาม อรรถกถาซึ่งขาดหายไปบางขอ้ หนงั สือนน้ี ับตามอภิธัมมปิฎก ครบทกุ ขอ้ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1096 5/4/18 2:26 PM

เล่ม ๓๘ ยมก ภาค ๑ คำ� อธิบายเรือ่ งคัมภีร์ยมก (คัมภีร์ยมก เป็นคัมภีร์ท่ี ๖ แห่งอภิธัมมปิฎก แบ่งออกเป็น ๒ เล่ม หรือ ๒ ภาค คอื ภาคแรก เล่ม ๓๘ วา่ ด้วย ธรรมท่เี ป็นคู่ ๗ หวั ข้อ คอื ๑. มลู ยมก ธรรมเป็นคู่อนั เปน็ มูล ๒. ขันธยมก ธรรมเป็นคู่คือขันธ์ ๓. อายตนยมก ธรรมเปน็ คู่คืออายตนะ ๔. ธาตุยมก ธรรมเป็นคู่คือธาตุ ๕. สจั จยมก ธรรมเปน็ คู่คอื สจั จะ ๖. สังขารยมก ธรรมเป็นคู่คือสงั ขาร ๗. อนสุ ยยมก ธรรมเป็นคู่คืออนสุ ยั (กเิ ลสอนั นอนเนื่องในสันดาน) ภาคทสี่ อง เล่ม ๓๙ ว่า ธรรมท่เี ปน็ คู่ ๓ หวั ข้อ คอื ๑. จิตตยมก ธรรมเปน็ คคู่ ือจิต ๒. ธมั มยมก ธรรมเปน็ คู่คอื ธรรม และ ๓. อินทรียยมก ธรรมเปน็ คคู่ อื อินทรีย์ (สภาพท่ีเป็นใหญใ่ นหน้าที่ของตน) ขยายความ (ต่อไปนี้จะขยายความอย่างย่อ ๆ พอให้เห็นว่า หัวข้อธรรมที่เป็นคู่ท้ังเจ็ด ในคัมภีร์ ยมก ภาค ๑ หรือในเลม่ ๓๘ นัน้ มขี ้อความอยา่ งไรตอ่ ไป) ๑. มลู ยมก (ธรรมเป็นคอู่ ันเป็นมลู ) ในหมวดน้ีมี ๒ ส่วน คือเป็นบทต้ัง เรียก อุทเทส อย่างหนึ่ง เป็นบทอธิบาย เรียก นิทเทส อกี อยา่ งหน่ึง บทตั้ง กล่าวถึง กุศลธรรม (ธรรมอันเป็นฝ่ายดี) อกุศลธรรม (ธรรมอันเป็นฝ่ายช่ัว) อัพยากตธรรม (ธรรมที่ไม่ดีไม่ช่ัว) และ นามธรรม (ธรรมที่เก่ียวกับจิตใจ) แล้วแจกไปตาม หลัก ๑๐ ประการ คือ ๑. มลู (รากเหงา้ ) ๒. เหตุ ๓. นทิ าน (ต้นเหตุ) ๔. สมภพ (การเกิด) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1097 5/4/18 2:26 PM

1098 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๕. ปภพ (แดนเกดิ ) ๖. สมุฏฐาน (ท่ตี ั้ง) ๗. อาหาร ๘. อามรมณ์ ๙. ปัจจัย (เคร่อื งสนับสนนุ ) ๑๐. สมุทยั (เหตใุ หเ้ กดิ ) บทอธิบาย ขอยกตัวอยา่ งค�ำอธบิ ายเรือ่ งกุศลธรรมดงั ต่อไปน้ี ธรรมเหลา่ ใดเหล่าหนง่ึ ทเ่ี ปน็ กศุ ล ธรรมเหล่านนั้ ทง้ั ปวง ชื่อว่ากุศลมูลใชห่ รอื ไม่ กุศลมลู มี ๓ ธรรมท่ีเหลือมใิ ชก่ ุศลมูล ธรรมเหล่าใดมกี ุศลเป็นมลู ธรรมเหลา่ นัน้ ทั้งหมด ช่ือว่ากศุ ลใชห่ รอื ไม ่ ใช่ ธรรมเหล่าใดที่เป็นกุศล ธรรมเหล่านั้นท้ังหมด ช่ือว่ามีมูลอันเดียวกับกุศลมูล ใชห่ รือไม่ ใช่ ธรรมเหล่าใดมีมูลอันเดียวกับกุศลมูล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด ช่ือว่ากุศลใช่หรือไม่ รูปท่ีมีกุศลเป็นสมุฏฐาน ช่ือว่ามีมูลอันเดียวกับกุศลมูล แต่ไม่ชื่อว่ากุศล กุศลช่ือว่ามีมูล อนั เดียวกับกศุ ลมลู ด้วย เป็นกศุ ลดว้ ย ฯ ล ฯ (หมายเหตุ : เมื่อพิจารณาดูค�ำอธิบายแล้ว จะเห็นได้ว่า เป็นเร่ืองต้องใช้ตรรกวิทยา ในการเข้าใจความหมาย เช่น ค�ำว่า รูป เรากล่าวว่า รูปเป็นกุศลไม่ได้ แต่กล่าวว่า รูปมีมูล อันเดียวกับกุศลมูลได้ ถ้ารูปนั้น มีกุศลเป็นสมุฏฐาน แต่ค�ำว่า กุศลเป็นไปได้ท้ังสองอย่าง คอื เปน็ กุศลด้วย เปน็ ธรรมทมี่ ีมลู อันเดยี วกบั กุศลมลู ดว้ ย มีขอ้ ท่คี วรทราบ คอื กศุ ลมูล ๓ ได้แก่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ อกศุ ลมูล ๓ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ อัพยากตมลู (มูลหรอื รากของธรรมทีไ่ มด่ ไี ม่ชัว่ ) ไดแ้ ก่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ นามมูล (มูลหรอื รากของนาม) มี ๙ อยา่ ง ไดแ้ ก่ กุศลมลู ๓ อกศุ ลมลู ๓ และ อัพยากตมลู ๓ รวมกนั ข้อสังเกตเรื่องธรรมอันเป็นคู่ หัวเร่ืองของพระไตรปิฎกเล่มน้ี คือ ยมก ได้แก่ธรรม ท่ีเป็นคู่ ท�ำให้น่าค้นหาว่า เป็นคู่อย่างไร อยู่ท่ีไหน ก็จะเห็นได้ว่า ในบทตั้งก็ตาม ในบทอธิบาย ก็ตาม จะกล่าวว่า ธรรมท่ีเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างน้ัน หรือธรรมที่เป็นอย่างนั้น ช่ือว่าเป็น อยา่ งนีด้ ว้ ย มลี ักษณะเขา้ คูเ่ สมอ) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1098 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๘ ยมก ภาค ๑ 1099 ๒. ขนั ธยมก (ธรรมเป็นคคู่ ือขันธ)์ อ ิภธัมม ิปฎก ในหมวดนี้เปล่ียนวิธีก�ำหนดหัวข้อใหม่ ๓ วาร คือ (๑) ปัณณัตติวาร วาระว่าด้วย บัญญตั ิ (๒) ปวตั ติวาร วาระวา่ ด้วยความเป็นไป (๓) ปริญญาวาร วาระว่าด้วยการก�ำหนดรู้ (๑) ปัณณัตติวาร วาระว่าด้วยบัญญัติ คือข้อนัดหมายกันรู้ คือขันธ์ (ส่วนหรือกอง) มี ๕ ได้แก่ ขันธ์ คือรูป (ธาตทุ ง้ั สี่ประชมุ กนั เปน็ กาย รวมทงั้ อาการทีเ่ น่อื งด้วยธาตุท้งั ส่)ี เวทนา (ความรสู้ กึ สุข ทกุ ข์ ไมท่ กุ ขไ์ ม่สขุ ) สญั ญา (ความจ�ำไดห้ มายร)ู้ สงั ขาร (ความคดิ หรอื เจตนา) วิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณท์ างตา หู เป็นต้น) ในปัณณัตติวารนี้ แบง่ เป็นวาระย่อยอีก ๒ คือ ก. อทุ เทสวาร วาระวา่ ด้วยบทตงั้ โดยกลา่ วถงึ ขันธ์ ๕ ไปทลี ะข้อ เช่น กลา่ วว่า รปู เป็นรปู ขนั ธ์ รปู ขันธ์ เป็นรปู ข. นทิ เทสวาร วาระวา่ ดว้ ยบทอธบิ าย เชน่ อธบิ ายวา่ คำ� วา่ รปู เปน็ รปู ขนั ธ์ อธบิ ายวา่ ปยิ รูป (รูปอันเป็นท่ีรกั ) สาตรูป (รปู อันเปน็ ท่ีพอใจ) จัดวา่ เปน็ รปู แตไ่ มใ่ ช่เปน็ รปู ขนั ธ์ แตร่ ูปขันธเ์ ปน็ รูปด้วย (ค�ำวา่ รปู มีความหมายกว้าง รปู บางอย่างเป็นรูปขนั ธ์ บางอย่างมใิ ช่รปู ขันธ์ แต่ ค�ำว่า รูปขนั ธ์ มคี วามหมายแคบ คอื รูปขนั ธจ์ ดั เขา้ ในประเภทของรปู ด้วย เป็นรูปขันธ์ ด้วย - ผเู้ ขียน) (๒) ปวตั ตวิ าร วาระวา่ ดว้ ยความเปน็ ไป แบง่ ออกเปน็ ๓ สว่ นยอ่ ย คอื (๑) อปุ ปาทวาร วาระว่าด้วยความเกดิ ขึน้ (๒) นโิ รธวาร วาระว่าด้วยความดบั (๓) อุปปาทนโิ รธวาร วาระวา่ ดว้ ย ความเกดิ ความดบั ก. อุปปาทวาร รปู ขันธ์เกิดข้นึ แก่ผใู้ ด เวทนาขันธย์ ่อมเกิดแก่ผนู้ น้ั ด้วย ใชห่ รือไม่ ผู้เกิดเป็น อสัญญสัตว์ เกิดเฉพาะรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ไม่เกิด (เพราะ อสญั ญสัตว์มีขันธเ์ ดียว) สว่ นผทู้ เ่ี กดิ มขี ันธ์ ๕ ย่อมมีทง้ั รปู ขนั ธ์ ท้ังเวทนาขั้นธเ์ กิดข้นึ (เชน่ มนุษย์) อน่งึ เวทนาขันธเ์ กิดแก่ผใู้ ด รปู ขันธ์ย่อมเกิดแกผ่ ู้นั้นด้วย ใช่หรอื ไม่ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1099 5/4/18 2:26 PM

1100 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ผู้เกิดใน อรูปภพ ย่อมมีเวทนาขันธ์เกิดข้ึน แต่ไม่มีรูปขันธ์เกิดข้ึน (เช่น อรปู พรหม) ส่วนผทู้ ่เี กดิ มขี ันธ์ ๕ ย่อมมีท้ังเวทนาขนั ธ์ ทงั้ รูปขันธเ์ กดิ ขึน้ ฯ ล ฯ ข. นิโรธวาร รูปขนั ธข์ องผ้ใู ดดับ เวทนาขันธข์ องผูน้ ้ันย่อมดบั ด้วย ใช่หรอื ไม่ ผู้ก�ำลงั เคล่ือนจาก อสญั ญสัตว์ รูปขนั ธย์ ่อมดบั แตเ่ วทนาขนั ธ์ไม่ดับ สว่ นผู้กำ� ลงั เคล่อื นจากขนั ธ์ ๕ รปู ขันธ์กด็ บั เวทนาขนั ธก์ ด็ ับ อนึ่ง เวทนาขนั ธ์ของผู้ใดดับ รูปขันธข์ องผนู้ นั้ ย่อมดบั ใชห่ รอื ไม่ ผกู้ ำ� ลังเคล่อื นจาก อรปู เวทนาขันธ์ย่อมดับ แต่รูปขันธ์ไมด่ บั ส่วนผู้กำ� ลงั เคล่อื นจากขนั ธ์ ๕ เวทนาขันธ์ยอ่ มดับ รูปขนั ธย์ อ่ มดับ ฯ ล ฯ ค. อุปปาทนิโรธวาร รูปขันธ์ของผใู้ ดเกดิ ข้ึน เวทนาขันธ์ของผ้นู น้ั ย่อมดบั ใชห่ รือไม ่ ไม่ใช่ อนง่ึ เวทนาขันธข์ องผู้ใดดบั รปู ขนั ธ์ของผูน้ น้ั ยอ่ มเกดิ ใชห่ รอื ไม ่ ไมใ่ ช่ ฯ ล ฯ (๓) ปรญิ ญาวาร วาระวา่ ด้วยการก�ำหนดรู้ ผ้ใู ดก�ำหนดรรู้ ปู ขันธ์ ผนู้ นั้ ย่อมกำ� หนดรูเ้ วทนาขันธ์ ใช่หรือไม่ ใช่ อนง่ึ ผู้ใดกำ� หนดรู้เวทนาขันธ์ ผูน้ ั้นยอ่ มกำ� หนดรูร้ ูปขันธ์ ใช่หรือไม ่ ใช่ ผู้ใดไม่กำ� หนดรรู้ ูปขนั ธ์ ผู้นน้ั ย่อมไมก่ �ำหนดร้เู วทนาขนั ธ์ ใช่หรือไม ่ ใช่ อน่ึง ผใู้ ดไม่กำ� หนดรูเ้ วทนาขนั ธ์ ผนู้ น้ั ยอ่ มไมก่ �ำหนดรู้รปู ขนั ธ์ ใชห่ รือไม ่ ใช่ ๓. อายตนยมก (ธรรมเป็นคู่คอื อายตนะ) ในหมวดน้ี มีหัวขอ้ เชน่ เดยี วกับขนั ธยมก คือ (๑) ปณั ณัตตวิ าร วาระว่าดว้ ยบัญญัต ิ (๒) ปวตั ตวิ าร วาระวา่ ดว้ ยความเปน็ ไป (๓) ปริญญาวาร วาระวา่ ดว้ ยการก�ำหนดรู้ (๑) ปัณณัตติวาร วาระว่าด้วยการบญั ญตั ิ คือขอ้ นดั หมายกันรู้ คือ อายตนะ (ทตี่ ่อ) มี ๑๒ ไดแ้ ก่ อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย รูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ ใจ ธรรม ในปัณณตั ติวารน้ี แบ่งออกเป็นวารยอ่ ยอกี ๒ คอื ก. อทุ เทสวาร วาระวา่ ด้วยบทตง้ั โดยกลา่ วถงึ อายตนะ ๑๒ ไปทลี ะข้อ เชน่ ตา เป็นอายตนะคือตา อายตนะคอื ตา เป็นตา ฯ ล ฯ ข. นิทเทสวาร วาระว่าด้วยบทอธิบาย เช่น อธิบายว่าตาเป็นอายตนะคือตา ใช่หรือไม่ ตาท่ีเป็น ตาทิพย์ ตาปัญญา ไม่ใช่อายตนะคือตา ส่วนอายตนะคือตาเป็นตาด้วย เปน็ อายตนะคือตาดว้ ย อายตนะคือตาเปน็ ตาใชห่ รือไม ่ ใช่ ฯ ล ฯ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1100 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๘ ยมก ภาค ๑ 1101 (๒) ปวัตติวาร วาระว่าด้วยความเป็นไป แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนย่อย เช่นเดียวกับใน อ ิภธัมม ิปฎก ขันธยมกดังต่อไปน้ี ก. อปุ ปาทวาร วาระว่าดว้ ยความเกิดขน้ึ คำ� วา่ อายตนะคอื ตาเกดิ ขน้ึ แกผ่ ใู้ ด อายตนะคอื หยู อ่ มเกดิ แกผ่ นู้ น้ั ใชห่ รอื ไม่ ผเู้ กิดเปน็ สัตวท์ มี่ ตี า แตไ่ ม่มีหู มีอายตนะคอื ตาเกดิ ขน้ึ แตไ่ มม่ ีอายตนะคือหู เกดิ ขึน้ ผเู้ กิดเปน็ สัตวท์ ่ีมีทงั้ ตาทงั้ หู อายตนะคือตา และอายตนะคือหู ย่อมเกดิ ขึ้น อน่ึง อายตนะคือหูเกิดข้ึนแก่ผู้ใด อายตนะคือตาย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้นั้น ใช่หรอื ไม่ ผู้เกิดเป็นสัตว์ท่ีมีหู แต่ไม่มีตา มีอายตนะคือหูเกิดขึ้น แต่ไม่มีอายตนคือตา เกดิ ข้ึน ผู้ใดเกิดเป็นสัตว์ที่มีอายตนะคือหู และอายตนะคือตา ย่อมมีทั้งอายตนะ คอื หู ท้ังอายตนะคอื ตา เกดิ ขน้ึ ฯ ล ฯ ข. นิโรธวาร วาระว่าด้วยความดับ ค�ำว่า อายตนะคือตาของผู้ใดดับ อายตนะคือหูของผู้นั้นย่อมดับด้วย ใช่หรือไม่ ผู้ท่ีก�ำลังเคลื่อนจากความเป็นสัตว์ท่ีมีตา แต่ไม่มีหู อายตนะคือตาย่อมดับ แตอ่ ายตนะคอื หยู อ่ มไม่ดับ สว่ นผทู้ ก่ี ำ� ลงั เคลอื่ นจากความปน็ สตั วท์ มี่ ที ง้ั ตาทงั้ หู อายตนะคอื ตาและอายตนะ คอื หยู ่อมดับ อนง่ึ อายตนะคอื หขู องผใู้ ดยอ่ มดบั อายตนะคอื ตาของผนู้ นั้ ยอ่ มดบั ใชห่ รอื ไม่ ผู้ที่ก�ำลังเคลื่อนจากความเป็นสัตว์ที่มีหูแต่ไม่มีตา อายตนะคือหูย่อมดับ แตอ่ ายตนะคอื ตาย่อมไม่ดับ ส่วนผู้ม่ีก�ำลังจะเคลื่อนจากความเป็นสัตว์ที่มีทั้งหูทั้งตา อายตนะคือหูและ อายตนะคอื ตายอ่ มดับ ฯ ล ฯ ค. อุปปาทนโิ รธวาร วาระวา่ ด้วยความเกดิ ความดบั อายตนะคอื ตาเกดิ ขน้ึ แกผ่ ใู้ ด อายตนะคอื หขู องผนู้ น้ั ยอ่ มดบั ใชห่ รอื ไม ่ ไมใ่ ช่ อนงึ่ อายตนะคอื หขู องผใู้ ดดบั อายตนะคอื ตาของผนู้ นั้ ยอ่ มเกดิ ขนึ้ ใชห่ รอื ไม่ ไมใ่ ช่ ฯ ล ฯ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1101 5/4/18 2:26 PM

1102 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๓) ปริญญาวาร วาระว่าด้วยการก�ำหนดรู้ ผ้ใู ดก�ำหนดรู้อายตนะคือตา ผู้น้นั ชื่อวา่ ก�ำหนดรู้อายตนะคอื หู ใชห่ รือไม่ ใช่ อนึ่ง ผู้ใดก�ำหนดรู้อายตนะคือหู ผู้น้ันช่ือว่าก�ำหนดรู้อายตนะคือตาใช่หรือไม่ ใช่ ฯ ล ฯ ๔. ธาตุยมก (ธรรมเปน็ คูค่ ือธาต)ุ ธาตุยมกน้ี ก็อย่างเดียวกับอายตนยมก มีวิธีแบ่งเป็น ๓ หมวด หรือ ๓ วารใหญ่ และมีวิธีการอธิบายเป็นอย่างเดียวกัน ความต่างกับอยู่ท่ีจ�ำนวน คืออายตนะมี ๑๒ เป็น อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ สว่ นธาตุมี ๑๘ ไดแ้ ก่ ธาตุ คือ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธาตุ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ (ธาตุร้ทู างตา หู จมูก ลนิ้ กาย) มโนธาตุ (ธาตคุ อื ใจ) มโนวญิ ญาณธาตุ (ธาตรุ ทู้ างใจ) ธมั มธาตุ (ธาตคุ อื สง่ิ ทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยใจ) ๕. สัจจยมก (ธรรมเป็นคู่คอื ความจรงิ ) (๑) ปัณณัตตวิ าร วาระวา่ ด้วยบัญญตั ิ อริยสัจจ์มี ๔ คือ ทกุ ขสัจจ์ ความจรงิ คอื ทุกข์ สมทุ ยสัจจ์ ความจริงคือเหตุใหท้ ุกข์เกิด นโิ รธสจั จ์ ความจรงิ คือความดับทุกข์ มคั คสัจจ์ ความจริงคอื หนทางให้ถึงความดับทกุ ข์ ก. อุทเทสวาร วาระว่าด้วยบทตั้ง ทกุ ข์ เป็นทุกขสจั จ์ ทกุ ขสจั จ์ เปน็ ทุกข์ ฯ ล ฯ ข. นทิ เทสวาร วาระว่าด้วยค�ำอธิบาย ทุกข์ เป็นทกุ ขสจั จใ์ ชห่ รอื ไม ่ ใช่ ทุกขสัจจ์ เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ ทุกขสัจจ์ท่ีเหลือ เว้นแต่ทุกข์ท่ีเป็นไปทางกาย ทุกข์ที่เป็นไปทางจิต เป็นทุกขสัจจ์ มิใช่ทุกข์ ทุกข์ท่ีเป็นไปทางกาย ทุกข์ท่ี เป็นไปทางจิต เปน็ ทกุ ข์ดว้ ย เปน็ ทุกขสจั จ์ดว้ ย ฯ ล ฯ (๒) ปวตั ตวิ าร วาระว่าดว้ ยความเปน็ ไป ก. อุปปาทวาร วาระวา่ ดว้ ยความเกดิ ขน้ึ ทกุ ขสัจจเ์ กดิ ข้นึ แก่ผใู้ ด สมุทยสจั จ์ยอ่ มเกิดขน้ึ แก่ผนู้ ั้นใช่หรอื ไม่ เม่อื เกดิ เปน็ สัตวท์ กุ ชนิด ทุกขสจั จ์ยอ่ มเกิดขนึ้ ในขณะแหง่ ความเกดิ ขึ้นของ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1102 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๘ ยมก ภาค ๑ 1103 จติ ทมี่ ไิ ด้ประกอบดว้ ยตณั หา แตส่ มุทยสัจจไ์ มเ่ กิดข้ึน อ ิภธัมม ิปฎก แต่ในขณะที่ตัณหาเกิดข้ึน ทุกขสัจจ์ย่อมเกิดข้ึนด้วย ทุกขสมุทยสัจจ์ย่อม เกิดข้ึนดว้ ย อนึ่ง สมุทยสัจจ์เกิดข้ึนแก่ผู้ใด ทุกขสัจจ์ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้นั้น ใช่หรือไม่ ใช่ ฯ ล ฯ ข. นิโรธวาร วาระว่าด้วยความดบั ทุกขสจั จ์ของผู้ใดดบั สมุทยสัจจ์ของผนู้ นั้ ยอ่ มดบั ใชห่ รอื ไม่ เมอ่ื เคล่อื น (จตุ ิ) จากความเป็นสตั ว์ทกุ ชนิด ในขณะแห่งความดับของจิตที่ไม่ ประกอบด้วยตณั หา ทกุ ขสัจจ์ย่อมดบั แต่สมทุ ยสัจจไ์ มด่ ับ แต่ในขณะทีต่ ณั หาดบั ทุกขสัจจ์ยอ่ มดบั ดว้ ย สมทุ ยสจั จย์ อ่ มดับด้วย อนง่ึ สมทุ ยสัจจข์ องผใู้ ดดับ ทุกขสจั จข์ องผู้นั้นยอ่ มดับ ใช่หรอื ไม่ ใช่ ฯ ล ฯ ค. อุปปาทนิโรธวาร วาระวา่ ดว้ ยความเกดิ และความดับ ทกุ ขสจั จข์ องผู้ใดเกิดขนึ้ สมุทยสัจจ์ของผนู้ ้ันย่อมดับ ใชห่ รือไม่ ไมใ่ ช่ อนึ่ง สมุทยสัจจ์ของผู้ใดดับ ทุกขสัจจ์ของผู้นั้นย่อมเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ ไมใ่ ช่ ฯ ล ฯ (๓) ปรญิ ญาวาร วาระวา่ ด้วยการกำ� หนดรู้ ผใู้ ดก�ำหนดรูท้ กุ ขสจั จ์ ผู้นัน้ ย่อมละสมทุ ยสัจจ์ ใช่หรอื ไม่ ใช่ อนง่ึ ผใู้ ดละสมุทยสัจจไ์ ด้ ผนู้ ั้นยอ่ มก�ำหนดรูท้ กุ ขสัจจ์ ใชห่ รือไม่ ใช่ ฯ ล ฯ ๖. สงั ขารยมก (ธรรมเป็นค่คู อื สังขาร หรอื เคร่ืองปรุง) (๑) ปัณณตั ตวิ าร วาระว่าด้วยบญั ญัติ สังขารมี ๓ คอื กายสังขาร เคร่อื งปรุงกาย วจีสังขาร เครื่องปรงุ วาจา จติ ตสังขาร เครือ่ งปรงุ จติ ลมหายใจเข้าออก ชือ่ ว่าเครื่องปรงุ กาย วิตก ความตรกึ วจิ าร ความตรอง ชอื่ วา่ เคร่อื งปรงุ วาจา PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1103 5/4/18 2:26 PM

1104 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สญั ญา ความจ�ำได้หมายรู้ และ เวทนา ความรู้สึกสขุ ทกุ ข์หรอื ไมท่ กุ ข์ไมส่ ขุ ชอื่ วา่ เคร่ืองปรงุ จติ ธรรมทั้งปวงทสี่ มั ปยตุ กับจติ เว้นวิตกวจิ าร ช่อื วา่ เครอื่ งปรงุ จิต๑ (๒) ปวตั ตวิ าร และ (๓) ปรญิ ญาวารมที �ำนองเดยี วกับทเี่ คยกลา่ วมาแล้ว ๗. อนสุ ยยมก (ธรรมเปน็ คูค่ อื อนุสยั ) (ในหมวดนี้ ลีลาในการอธบิ ายเปลีย่ นไป โดยไดแ้ บง่ หวั ขอ้ เปน็ ๗ วาระ คอื ๑. อนุสยวาร วาระวา่ ด้วยกิเลสท่นี อนเนื่องในสันดาน ๒. สานสุ ยวาร วาระวา่ ด้วยบคุ คลผ้มู ีอนุสัย ๓. ปชหนวาร วาระวา่ ด้วยการละ ๔. ปริญญาวาร วาระว่าด้วยการก�ำหนดรู้ ๕. ปหนี วาร วาระวา่ ดว้ ยอนสุ ยั ทีบ่ คุ คลละได้แลว้ ๖. อุปปชั ชนวาร วาระว่าดว้ ยการเกดิ ข้ึน ๗. ธาตวุ าร วาระว่าดว้ ยธาตุ คือผเู้ กดิ ในธาตุไหน คือ กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ จะมีอนุสัยอะไรบ้าง ต่อไปน้ีจะยกวาระทั้งเจ็ดข้ึนมากล่าวเป็นล�ำดับ แต่ก่อนจะถึง วาระทงั้ เจด็ น้ัน มบี ทตงั้ ทีอ่ ธบิ ายเรื่องอนสุ ัยไว้ อนั นับเป็นหลกั วชิ าที่น่าสนใจ) อนุสยั (กิเลสทน่ี อนเน่อื งในสันดานหรือทีแ่ ฝงตวั ) ๗ ได้แก่อนุสัย คือ กามราคะ (คือความก�ำหนัดในกาม) ปฏิฆะ (ความขัดใจ) มานะ (ความถอื ตัว) ทฏิ ฐิ (ความเห็น) วจิ กิ จิ ฉา (ความลังเลสงสยั ) ภวราคะ (ความยินดใี นภพ คือความมีความเปน็ ) อวิชชา (ความหลงไม่รจู้ รงิ ) อนุสัยคือกามราคะ ย่อมแฝงตวั ตามในทไ่ี หน ในเวทนาทั้งสอง (คือสขุ เวทนาและอุเบกขาเวทนา) ในกามธาตุ อนุสยั คอื ปฏิฆะ ยอ่ มแฝงตวั ตามในทไี่ หน ในทกุ ขเวทนา ๑ ตรงที่เรียงตัวพิเศษไว้นี้ เป็นหลักวิชาพิเศษ ท่ีอธิบายถึงจิตตสังขารอย่างน่าสนใจ จึงได้ท�ำเครื่องหมายให้สังเกต โดยง่าย ค�ำว่า สัมปยุต คือเกิดพร้อมกัน ดับพรอ้ มกนั มีอารมณ์ มวี ตั ถุเปน็ อันเดยี วกัน PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1104 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๘ ยมก ภาค ๑ 1105 อนุสัยคอื มานะ ย่อมแฝงตัวตามในทไี่ หน อ ิภธัมม ิปฎก ในเวทนา ๒ (คือสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนา) ในกามธาตุ๑ ในรปู ธาตุ ในอรูปธาตุ อนุสัยคอื ทฏิ ฐ ิ ยอ่ มแฝงตวั ตามในที่ไหน ในธรรมทเ่ี นอื่ งดว้ ยสักกายะ (กายของตน) ท้งั ปวง อนุสยั คอื วจิ ิกิจฉา ย่อมแฝงตวั ตามในท่ีไหน ในธรรมทเ่ี นื่องดว้ ยสกั กายะ (กายของตน) ทงั้ ปวง อนุสยั คอื ภวราคะ ยอ่ มแฝงตัวตามในทไ่ี หน ในรปู ธาตุและในอรปู ธาตุ อนสุ ยั คอื อวชิ ชา ยอ่ มแฝงตวั ตามในทีไ่ หน ในธรรมทเ่ี นือ่ งด้วยสักกายะ (กายของตน) ทัง้ ปวง (๑) อนสุ ยวาร วาระว่าดว้ ยกเิ ลสท่ีนอนเนอื่ งในสันดาน หรอื ที่แฝงตัวตาม อนุสยั คอื กามราคะของผูใ้ ดย่อมแฝงตวั ตาม อนุสัยปฏฆิ ะของผูน้ ้ันยอ่ มแฝงตัวตาม ใชห่ รอื ไม ่ ใช่ อนึ่ง อนสุ ยั คอื ปฏิฆะของผู้ใดย่อมแฝงตวั ตาม อนสุ ัยคอื กามราคะของผนู้ ้ันย่อมแฝงตวั ตาม ใช่หรือไม ่ ใช่ ฯ ล ฯ (๒) สานุสยวาร วาระว่าดว้ ยบคุ คลผู้มอี นสุ ยั ผใู้ ดมอี นุสยั เป็นกามราคานสุ ยั ผนู้ น้ั ยอ่ มมีอนสุ ัยเป็นปฏิฆานสุ ยั ใชห่ รือไม ่ ใช่ อนง่ึ ผู้ใดมอี นสุ ัยเป็นปฏิฆานุสยั ผ้นู น้ั ยอ่ มมีอนุสยั เปน็ กามราคานุสยั ใช่หรอื ไม่ ใช่ ฯ ล ฯ (๓) ปชหนวาร วาระว่าด้วยการละ ผู้ใดละกามราคานสุ ัยได้ ผูน้ ้ันย่อมละปฏฆิ านุสัยได้ ใช่หรอื ไม่ ใช่ อนงึ่ ผู้ใดละปฏิฆานุสยั ได้ ผ้นู ้ันยอ่ มละกามราคานุสัยได้ ใช่หรอื ไม่ ใช่ ฯ ล ฯ (๔) ปริญญาวาร วาระว่าดว้ ยการก�ำหนดรู้ ผใู้ ดก�ำหนดร้กู ามราคานสุ ัย ผนู้ น้ั ยอ่ มก�ำหนดรูป้ ฏฆิ านสุ ัย ใช่หรือไม ่ ใช่ ผู้ใดกำ� หนดรปู้ ฏิฆานสุ ัย ผนู้ ั้นยอ่ มก�ำหนดรู้กามราคานสุ ยั ใช่หรือไม่ ใช่ ฯ ล ฯ ๑ คำ� ว่า กามธาตุ มีความหมายประกอบในเวทนา ๒ ส่วนคำ� ว่า รปู ธาตุ และอรูปธาตุ ไม่เก่ยี วกบั เวทนาทง้ั ๒ น้ันเลย PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1105 5/4/18 2:26 PM

1106 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๕) ปหนี วาร วาระว่าด้วยอนสุ ัยท่ีละได้แลว้ กามราคานสุ ยั อันผใู้ ดละได้แลว้ ปฏฆิ านสุ ัยอันผู้น้ันละได้แลว้ ใชห่ รอื ไม่ ใช่ ปฏฆิ านุสัยอนั ผ้ใู ดละได้แล้ว กามราคานุสยั อนั ผนู้ ั้นละได้แลว้ ใช่หรือไม ่ ใช่ ฯ ล ฯ (๖) อุปปัชชนวาร วาระว่าด้วยการเกดิ ขึ้น กามราคานุสยั เกดิ ขึน้ แก่ผใู้ ด ปฏฆิ านสุ ยั ย่อมเกิดแก่ผนู้ น้ั ใช่หรอื ไม ่ ใช่ ปฏิฆานุสยั เกิดแกผ่ ใู้ ด กามราคานุสัยย่อมเกิดแกผ่ ู้นัน้ ใชห่ รือไม่ ใช่ ฯ ล ฯ (๗) ธาตวุ าร วาระว่าดว้ ยธาตุ บคุ คลเคลื่อนแล้วจากกามธาตุ กำ� ลังเขา้ ถงึ กามธาตุ มอี นสุ ัยกอี่ ย่างแฝงตวั ตาม มีอนุสัยกอ่ี ยา่ งดบั ไป บคุ คลเคลื่อนแล้วจากกามธาตุ กำ� ลังเข้าถงึ รูปธาตุ มีอนสุ ยั กี่อยา่ งแฝงตวั ตาม มอี นุสัยกอ่ี ยา่ งดบั ไป บุคคลเคลอื่ นแล้วจากกามธาตุ กำ� ลังเขา้ ถึงอรปู ธาตุ มอี นุสัยกอี่ ยา่ งแฝงตวั ตาม มอี นุสยั กอ่ี ย่างดบั ไป ฯ ล ฯ (เป็นคำ� ถามนบั จ�ำนวนรอ้ ยขอ้ ต่อไปนีเ้ ปน็ ค�ำตอบพอเป็นตัวอย่าง) บุคคลเคลื่อนแล้วจากกามธาตุ ก�ำลังเข้าถึงกามธาตุ บางคนก็มีอนุสัย ๗ อย่าง บางคน กม็ อี นุสัย ๕ อยา่ งแฝงตัวตาม อนุสัยทดี่ บั ไม่มี บคุ คลเคลอ่ื นแลว้ จากกามธาตุ กำ� ลงั เขา้ ถงึ รปู ธาตุ บางคนมอี นสุ ยั ๗ อยา่ ง บางคนมอี นสุ ยั ๕ อย่าง บางคนมอี นุสยั ๓ อย่างแฝงตัวตาม อนสุ ยั ที่ดบั ไม่มี ฯ ล ฯ (หมายเหตุ : เม่ือกล่าวถึง บุถุชน คือผู้ยังหนาไปด้วยกิเลส ก็กล่าวถึงว่า อนุสัย ๗ แฝงตัวตาม ส่วนบุคคล ผู้มีอนุสัยเพียง ๕ ได้แก่พระโสดาบันและพระสกทาคามี เพราะ ท่านเหลา่ น้ลี ะอนุสยั ได้ ๒ คือ ทิฏฐิ (ความเหน็ ผดิ ) วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสยั ) ยงั เหลอื อกี ๕ คือ กามราคะ (ความก�ำหนัดในกาม) ปฏิฆะ (ความขัดใจ) มานะ (ความถือตัว) ภวราคะ (ความยนิ ดใี นความมคี วามเปน็ คอื ในรปู ฌาน อรูปฌาน) อวชิ ชา (ความไม่รู้) ค�ำว่า ความไม่รู้ส�ำหรับพระอริยบุคคล หมายถึงความไม่รู้ช้ันสูงท่ีท�ำให้ยังมิได้เป็น พระอรหันต์ ผู้มีอนุสัย ๓ ได้แก่พระอนาคามี คือท่านละกามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉาได้ แต่ยงั ละมานะ ภวราคะ และอวชิ ชาไมไ่ ด)้ จบความย่อแห่งพระไตรปิฎก เล่ม ๓๘ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1106 5/4/18 2:26 PM

เล่ม ๓๙ ยมก ภาค ๒ (ได้กล่าวแล้วว่า ในเล่ม ๓๙ นี้ มีหัวข้อแห่งยมกเพียง ๓ คือ ๑. จิตตยมก (ธรรม ท่ีเป็นคู่คือจิต) ๒. ธัมมยมก (ธรรมท่ีเป็นคู่คือธรรม) ๓. อินทริยยมก (ธรรมที่เป็นคู่คือ อินทรีย์ คือธรรมท่ีเป็นใหญ่ในหน้าท่ีของตน) วิธีอธิบายท้ังสามหัวข้อไม่เหมือนกัน ดังจะ กล่าวตอ่ ไปเมือ่ ถงึ หัวข้อนนั้ ๆ) ขยายความ ๑. จิตตยมก (ธรรมเปน็ ค่คู ือจติ ) หัวข้อใหญ่ของจิตตยมก คือ อุทเทส หรือบทต้ัง กับ นิทเทส หรือบทอธิบาย แล้วมี หวั ข้อย่อยท่ีบทต้ัง และคำ� อธบิ ายเก่ยี วขอ้ งด้วย ๔ วาระ คอื (๑) ปุคคลวาร วาระว่าดว้ ยบคุ คล (๒) ธมั มวาร วาระว่าดว้ ยธรรม (๓) ปุคคลธัมมวาร วาระว่าดว้ ยบคุ คลและธรรม (๔) มิสสกวาร วาระว่าด้วยจิตทผี่ สมด้วยกิเลส ก. อุทเทสหรือบทต้งั ๑. ปุคคลวาร วาระว่าด้วยบุคคล จิตของบุคคลใดย่อมเกิดขึ้น ยังไม่ดับ จิตของ บุคคลน้ันจักดับ จักไม่เกิดขึ้น อน่ึง จิตของบุคคลใดจักดับ จักไม่เกิดขึ้น จิตของบุคคลนั้น ย่อมเกิดข้นึ ยงั ไม่ดบั ฯ ล ฯ ๒. ธัมมวาร วาระว่าด้วยธรรม จิตย่อมเกิดข้ึนยังไม่ดับ จิตน้ันจักดับ จักไม่เกิดขึ้น อน่ึง จิตใด จักดับ จักไม่เกิดข้นึ จติ นนั้ ย่อมเกดิ ขนึ้ ยังไม่ดับ๑ ฯ ล ฯ ๓. ปุคคลธัมมวาร วาระว่าด้วยบุคคลและธรรม จิตใดของบุคคลใดย่อมเกิดข้ึน ยังไม่ดับ จิตนั้นของบุคคลนั้นจักดับ จักไม่เกิดขึ้น อนึ่ง จิตใดของบุคคลใดจักดับ จักไม่ เกิดขึ้น จิตนนั้ ของบุคคลนนั้ ย่อมเกิด ยังไมด่ บั ฯ ล ฯ ๔. มิสสกวาร วาระว่าด้วยจิตท่ีผสมด้วยกิเลส จิตอันมีราคะของผู้ใดย่อมเกิดขึ้น จิตปราศจากราคะของผู้ใดย่อมเกิดขึ้น ฯ ล ฯ จิตน้ัน ๆ ของผู้นั้นจักดับ จักไม่เกิดข้ึน อน่ึง จติ น้นั ๆ ของผูใ้ ดจักดับ จักไมเ่ กดิ ขนึ้ จติ นั้น ๆ ของผู้นน้ั ย่อมเกดิ ขึน้ ยงั ไมด่ บั ฯ ล ฯ ๑ พึงสังเกตวา่ คำ� ว่า บคุ คล กับค�ำวา่ ธรรม ในวาระทง้ั สองนต้ี า่ งกันอยา่ งไร PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1107 5/4/18 2:26 PM

1108 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ข. นทิ เทสหรือบทอธบิ าย ๑. บทน�ำต้ังในปุคคลวารมาตั้งค�ำถามว่า เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่ แล้วตอบว่า ในขณะ เกิดขึ้นแห่งจิตสุดท้าย จิตของผู้น้ันย่อมเกิดข้ึน ยังไม่ดับ (แต่) จักดับ จักไม่เกิดขึ้น ในขณะ เกิดขึ้นแห่งจิตของบุคคลนอกน้ี จิตของเขาย่อมเกิดข้ึน ยังไม่ดับ (แต่) จักดับด้วย จักเกิดข้ึน ด้วย ฯ ล ฯ ๒. บทน�ำตั้งในธัมมวารมาตั้งเป็นค�ำถามว่า เป็นเช่นน้ันใช่หรือไม่ แล้วตอบว่า ใช่ แต่ในกรณีท่ีว่าจิตใดย่อมไม่เกิดข้ึน ย่อมดับ จิตนั้นจักไม่ดับ จักเกิดข้ึน ดังน้ี ตอบว่า ไม่ใช่ อย่างน้ัน และในกรณีที่ว่าจิตใด จักไม่ดับ จักเกิดขึ้น จิตนั้นย่อมไม่เกิด (แต่) ย่อมดับ ดังน้ี ตอบว่า ไม่มี ๓. น�ำบทตง้ั ในปุคคลธัมมวารมาตง้ั เป็นค�ำถามแล้วตอบเชน่ เดยี วกบั ในธมั มวาร ๔. บทอธิบายในมิสสกวาร มิได้ตั้งเป็นค�ำถามค�ำตอบ แต่กล่าวว่า เม่ืออธิบายถึงจิต ของบุคคลใดโดยภาวะของตน เม่ืออธิบายถึงจิตใดและจิตของบุคคลใดโดยอรรถอันเดียวกัน (กล่าวยอ้ นไปถงึ วารท้ังสามขา้ งตน้ ) บุคคลใดมจี ติ ประกอบดว้ ยราคะ ฯ ล ฯ มธี รรมอันมขี า้ ศกึ มีธรรมอันไม่มีข้าศึก ธรรมที่เป็นคู่ (ยมก) ๓ ประการ คือ มูลยมก (ธรรมที่เป็นคู่อันเป็นมูล) จติ ตยมก (ธรรมท่เี ปน็ คู่คอื จติ ) ธัมมยมก (ธรรมทีเ่ ป็นคู่คือธรรม) ยอ่ มเป็นไป จนถึงธรรมทีม่ ี ข้าศึกและไม่มีขา้ ศกึ (คือเม่ือกลา่ วถึงจติ ของบุคคลมรี าคะ จนถงึ ไม่มขี ้าศึก ยอ่ มเขา้ ในลกั ษณะ ยมก ๓ ประการ) ๒. ธมั มยมก (ธรรมทเ่ี ปน็ คคู่ ือธรรม) (๑) ปัณณัตตวิ าร วาระว่าด้วยบญั ญัติ ก. อุทเทสหรอื บทต้ัง กุศล เป็นกุศลธรรม กศุ ลธรรม เปน็ กศุ ล อกศุ ล เป็นอกุศลธรรม อกศุ ลธรรม เปน็ อกุศล อัพยากฤต เป็นอัพยากตธรรม อพั ยากตธรรม เปน็ อัพยากฤต ฯ ล ฯ ข. นทิ เทสหรือบทอธิบาย กศุ ล เป็นกุศลธรรมใชห่ รือไม ่ ใช่ กศุ ลธรรม เปน็ กศุ ลใชห่ รือไม ่ ใช่ อกศุ ล เปน็ อกศุ ลธรรมใชห่ รือไม ่ ใช่ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1108 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๙ ยมก ภาค ๒ 1109 อกศุ ลธรรม เปน็ อกุศลใช่หรอื ไม ่ ใช่ อ ิภธัมม ิปฎก อัพยากฤต เปน็ อัพยากตธรรมใช่หรือไม่ ใช่ อพั ยากตธรรม เป็นอพั ยากฤตใช่หรอื ไม่ ใช่ ฯ ล ฯ (๒) ปวัตตวิ าร วาระวา่ ดว้ ยความเปน็ ไป ก. อปุ ปาทวาร วาระวา่ ดว้ ยความเกิดขึ้น กุศลธรรมเกิดข้ึนแก่ผู้ใด อกุศลธรรมย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้นั้นใช่หรือไม่ ไม่ใช่ อนึง่ อกศุ ลธรรมเกดิ ขนึ้ แกผ่ ู้ใด กศุ ลธรรมย่อมเกิดขนึ้ แกผ่ ้นู ้นั ใช่หรือไม่ ไมใ่ ช่ กุศลธรรมเกดิ ข้ึนแก่ผู้ใด อัพยากตธรรมย่อมเกดิ ขึ้นแกผ่ นู้ ้ันใช่หรอื ไม่ ในขณะเกิดข้ึนแห่งกุศลท้ังหลายในอรูป (ซึ่งมีขันธ์ ๔) กุศลธรรมเกิดขึ้นแก่ผู้น้ัน อัพยากตธรรมย่อมไม่เกิดข้ึน ในขณะเกิดขึ้นแห่งกุศลทั้งหลายในขันธ์ ๕ ทั้งกุศลธรรม และ อพั ยากตธรรมย่อมเกิดแกผ่ ู้นนั้ อนงึ่ อพั ยากตธรรมเกิดข้ึนแกผ่ ูใ้ ด กศุ ลธรรมย่อมเกิดแก่ผนู้ ้นั ใช่หรอื ไม่ ในขณะท่ีเกิดขึ้นแห่งจิตที่ไม่ประกอบด้วยกุศลอันเป็นไปแก่สัตว์ท้ังปวงผู้ก�ำลังเกิด อัพยากตธรรมย่อมเกิดแก่สัตว์เหล่าน้ัน กุศลธรรมย่อมไม่เกิด แต่ในขณะท่ีเกิดข้ึนแห่งกุศล ทัง้ หลายในขันธ์ ๕ ทงั้ อพั ยากตธรรมและกศุ ลธรรม ยอ่ มเกดิ ขึน้ แกส่ ัตว์เหล่านั้น อกศุ ลเกิดขึ้นแกผ่ ู้ใด อัพยากตธรรมยอ่ มเกิดข้นึ แกผ่ ู้นัน้ ใช่หรือไม่ ในขณะเกิดข้ึนแห่งอกุศลทั้งหลายในอรูป (ซึ่งมีขันธ์ ๔) อกุศลธรรมย่อมเกิดขึ้น แก่ผู้นั้น อัพยากตธรรมย่อมไม่เกิดข้ึน ในขณะเกิดข้ึนแห่งอกุศลทั้งหลายในขันธ์ ๕ ท้งั กุศลธรรมและอัพยากตธรรมย่อมเกิดข้นึ แกผ่ ู้นน้ั อนึ่ง อพั ยากตธรรมเกิดขึ้นแกผ่ ใู้ ด อกุศลธรรมยอ่ มเกดิ ขน้ึ แก่ผ้นู ้นั ใชห่ รือไม่ ในขณะเกิดขึ้นแห่งจิตที่ไม่ประกอบด้วยอกุศล อันเป็นไปแก่สัตว์ท้ังปวงผู้ก�ำลังเกิด อัพยากตธรรมย่อมเกิดข้ึนแก่สัตว์เหล่าน้ัน อกุศลธรรมย่อมไม่เกิดขึ้น แต่ในขณะท่ีเกิดขึ้น แหง่ อกศุ ลทง้ั หลายในขนั ธ์ ๕ ทงั้ อพั ยากตธรรมทงั้ อกศุ ลธรรม ยอ่ มเกดิ ขนึ้ แกส่ ตั วเ์ หลา่ นนั้ ฯ ล ฯ ข. นิโรธวาร วาระวา่ ด้วยความดบั กศุ ลธรรมของผใู้ ดดบั อกศุ ลธรรมของผนู้ น้ั ยอ่ มดบั ใชห่ รอื ไม่ ไมใ่ ช่ อนง่ึ อกศุ ลธรรม ของผู้ใดดบั กศุ ลธรรมของผนู้ ั้นยอ่ มดับใช่หรือไม่ ไม่ใช่ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1109 5/4/18 2:26 PM

1110 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ กุศลธรรมของผู้ใดดับ อัพยากตธรรมของผู้นน้ั ย่อมดบั ใชห่ รือไม่ ในขณะดับแห่งกุศลทั้งหลายในอรูป กุศลธรรมของผู้น้ันย่อมดับ อัพยากตธรรม ยอ่ มไม่ดบั ในขณะดับแห่งกุศลทง้ั หลายในขนั ธ์ ๕ ทง้ั กุศลธรรมทั้งอพั ยากตธรรมยอ่ มดบั อน่ึง อพั ยากตธรรมของผู้ใดดบั กุศลธรรมของผูน้ ้ันยอ่ มดบั ใชห่ รอื ไม่ ในขณะดบั แหง่ จติ อนั ไมป่ ระกอบดว้ ยกศุ ลทเี่ ปน็ ไปแกส่ ตั วท์ ง้ั ปวง ผกู้ ำ� ลงั เคลอื่ น (จตุ )ิ อพั ยากตธรรมของสัตว์เหลา่ นนั้ ย่อมดับ กศุ ลธรรมยอ่ มไมด่ บั แตใ่ นขณะดับแหง่ กศุ ลทั้งหลาย ในขันธ์ ๕ ท้งั อัพยากตธรรมทัง้ กศุ ลธรรมของสัตวเ์ หลา่ น้นั ยอ่ มดับ อกศุ ลธรรมของผใู้ ดดบั อพั ยากตธรรมของผูน้ ้ันย่อมดบั ใช่หรอื ไม่ ในขณะดับแห่งอกุศลทั้งหลายในอรูป อกุศลธรรมของผู้น้ันย่อมดับ อัพยากตธรรม ย่อมไม่ดับ ในขณะดบั แหง่ อกุศลท้งั หลายในขนั ธ์ ๕ ทง้ั อกุศลธรรมทั้งอพั ยากตธรรมของผู้นั้น ยอ่ มดับ อนึง่ อัพยากตธรรมของผูใ้ ดดับ อกุศลธรรมของผู้น้นั ย่อมดับใชห่ รอื ไม่ ในขณะดบั แหง่ จติ อนั ไมป่ ระกอบดว้ ยอกศุ ลทเ่ี ปน็ ไปแกส่ ตั วท์ งั้ ปวง ผกู้ ำ� ลงั เคลอ่ื น (จตุ )ิ อพั ยากตธรรมของสตั วเ์ หลา่ นนั้ ยอ่ มดบั อกศุ ลธรรมยอ่ มไมด่ บั แตใ่ นขณะดบั แหง่ อกศุ ลทง้ั หลาย ในขนั ธ์ ๕ ท้งั อพั ยากตธรรมทัง้ อกุศลธรรมของสตั ว์น้นั ย่อมดับ ฯ ล ฯ ค. อปุ ปาทนโิ รธวาร วาระว่าดว้ ยความเกดิ ข้ึนและความดบั กุศลธรรมเกิดขึ้นแก่ผู้ใด อกุศลธรรมของผู้น้ันย่อมดับใช่หรือไม่ ไม่ใช่ อนึ่ง อัพยากตธรรมของผู้ใดดบั กุศลธรรมย่อมเกิดข้นึ แกผ่ นู้ ั้นใช่หรอื ไม่ ไม่ใช่ กุศลธรรมเกิดข้ึนแก่ผู้ใด อัพยากตธรรมของผู้นั้นย่อมดับใช่หรือไม่ ไม่ใช่ อน่ึง อัพยากตธรรมของผู้ใดดบั กุศลธรรมยอ่ มเกดิ ข้นึ แกผ่ นู้ ้ันใช่หรอื ไม่ ไม่ใช่ อกุศลธรรมเกิดขึ้นแก่ผู้ใด อัพยากตธรรมของผู้นั้นย่อมดับใช่หรือไม่ ไม่ใช่ อน่ึง อัพยากตธรรมของผู้ใดดบั อกศุ ลธรรมยอ่ มเกดิ ขนึ้ แก่ผูน้ ้ันใชห่ รอื ไม่ ไม่ใช่ (๓) ภาวนาวาร วาระว่าด้วยการทำ� ใหเ้ กดิ ผู้ใดท�ำกุศลธรรมให้เกิดขึ้น ผู้น้ันย่อมละอกุศลธรรมได้ใช่หรือไม่ ใช่ อน่ึง ผู้ใดละอกุศลธรรมได้ ผู้นัน้ ยอ่ มทำ� กศุ ลธรรมใหเ้ กดิ ใชห่ รือไม่ ใช่ ผู้ใดไม่ท�ำกุศลธรรมให้เกิด ผู้น้ันย่อมละอกุศลธรรมไม่ได้ใช่หรือไม่ ใช่ อนึ่ง ผู้ใดละอกศุ ลธรรมไมไ่ ด้ ผ้นู ัน้ ย่อมท�ำกุศลธรรมให้เกดิ ไมไ่ ด้ใชห่ รือไม่ ใช่ ฯ ล ฯ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1110 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๙ ยมก ภาค ๒ 1111 ๓. อินทรยิ ยมก อ ิภธัมม ิปฎก (ธรรมเป็นค่คู ืออินทรยี ์ ได้แกธ่ รรมทีเ่ ปน็ ใหญใ่ นหนา้ ท่ีของตน) (๑) ปัณณตั ตวิ าร วาระว่าดว้ ยบัญญตั ิ อินทรีย์มี ๒๒ มีอินทรีย์คือตา เป็นต้น มีอินทรีย์ของพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้สัจจธรรม เปน็ ทีส่ ุด (ดรู ายละเอยี ดในหน้า ๑๐๐๗) ก. อทุ เทสหรอื บทต้งั ตา เป็นอินทรียค์ อื ตา อินทรยี ค์ ือตา เปน็ ตา หู เป็นอินทรีย์คอื หู อินทรีย์คือหู เปน็ หู จมกู เป็นอิทรยี ค์ อื จมูก อนิ ทรยี ์คอื จมูก เป็นจมกู ฯ ล ฯ ข. นิทเทสหรอื บทอธบิ าย ตา เป็นอินทรีย์คือตาใช่หรือไม่ ตา คือตาทิพย์ ตาปัญญา มิใช่อินทรีย์คือตา สว่ นอินทรยี ค์ อื ตา เป็นตาด้วย เป็นอนิ ทรยี ์คอื ตาดว้ ย อินทรีย์คือตา เป็นตาใช่หรอื ไม ่ ใช่ หู เป็นอินทรีย์คือหูใช่หรือไม่ หูที่เป็นหูทิพย์ ท่ีเป็น ตัณหาโสตะ (กระแสคือตัณหา๑) ไม่ใช่อินทรีย์คือหู ส่วนอินทรีย์คือหู เป็นหูด้วย เป็นอินทรีย์คือหูด้วย อินทรีย์คือหู เป็นหู ใช่หรอื ไม ่ ใช่ จมกู เปน็ อนิ ทรยี ์คือจมกู ใชห่ รือไม่ ใช่ อินทรีย์คอื จมกู เปน็ จมกู ใชห่ รือไม่ ใช่ ฯ ล ฯ (๒) ปวตั ตวิ าร วาระว่าดว้ ยความเปน็ ไป อินทรยี ์คือ ตา เกดิ ขน้ึ แก่ผู้ใด อินทรยี ค์ อื หู ยอ่ มเกิดขึน้ แก่ผู้นั้นใช่หรือไม่ ผู้ก�ำลังเกิดเป็นสัตว์ที่มีตา แต่ไม่มีหู อินทรีย์คือตาย่อมเกิดข้ึน แต่อินทรีย์คือหูย่อม ไมเ่ กิดขนึ้ ผ้กู ำ� ลังเกดิ เป็นสตั ว์ทมี่ ที ั้งตาทง้ั หู ทง้ั อินทรยี ์คือตาทัง้ อนิ ทรยี ์คอื หู ยอ่ มเกิดข้ึน อนง่ึ อนิ ทรีย์ คือ หู เกิดขึ้นแกผ่ ใู้ ด อินทรียค์ ือ ตา ย่อมเกดิ ขนึ้ แกผ่ ูน้ น้ั ใชห่ รือไม่ ผู้ก�ำลังเกิดเป็นสัตว์ที่มีหู แต่ไม่มีตา อินทรีย์คือหูย่อมเกิดขึ้น แต่อินทรีย์คือตาย่อม ไม่เกิดข้ึน ผกู้ �ำลังเกดิ เปน็ สตั วท์ มี่ ีทงั้ หทู ง้ั ตา ท้งั อนิ ทรยี ์คือหูทั้งอนิ ทรยี ์คอื ตา ย่อมเกดิ ข้ึน ฯ ล ฯ ๑ ตรงน้ีเป็นการเลน่ คำ� เพราะโสตะ แปลวา่ หู ก็ได้ แปลว่า กระแส ก็ได้ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1111 5/4/18 2:26 PM

1112 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๓) ปรญิ ญาวาร วาระว่าด้วยการก�ำหนดรู้ ผู้ใดก�ำหนดรู้อินทรีย์คือ ตา ผู้นั้นย่อมก�ำหนดรู้อินทรีย์คือ หู ใช่หรือไม่ ใช่ อน่ึง ผู้ใดก�ำหนดรู้อินทรีย์คอื หู ผู้นัน้ ย่อมก�ำหนดรู้อินทรยี ์คอื ตา ใช่หรือไม่ ใช่ ผู้ใดก�ำหนดรู้อินทรีย์คือ ตา ผู้น้ันย่อมละได้ซ่ึงอินทรีย์คือ โทมนัส (ความเสียใจ) ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ อน่ึง ผู้ใดละได้ซึ่งอินทรีย์คือ โทมนัส ผู้น้ันย่อมก�ำหนดรู้อินทรีย์คือ ตา ใช่หรอื ไม่ ไม่ใช่ ฯ ล ฯ จบความยอ่ แห่งพระไตรปิฎก เล่ม ๓๙ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1112 5/4/18 2:26 PM

เลม่ ๔๐ ปฏั ฐาน ภาค ๑ คำ� อธิบายเรื่องคัมภีรป์ ฏั ฐาน (ค�ำว่า ปัฏฐาน เป็นช่ือของคัมภีร์ท่ี ๗ แห่งอภิธัมมปิฎก โปรดย้อนไปดูค�ำอธิบาย หน้า ๙๗๑ อีกครั้งหนง่ึ ) คมั ภีรป์ ฏั ฐานท่ีพิมพใ์ นฉบบั ไทยมี ๖ เลม่ ตงั้ แตเ่ ล่ม ๔๐ ถงึ เลม่ ๔๕ คอื เล่ม ๔๐ ว่าด้วยอนุโลมติกปัฏฐาน ได้แก่ปัจจัยอันเก่ียวกับธรรม ๓ อย่าง คือ กุศลธรรม ๓ อย่าง เวทนา ๓ อย่าง วิบาก ๓ อย่าง อุปาทินนะ ๓ อย่าง สังกิลิฏฐะ ๓ อย่าง (คอื พดู ถงึ ปัจจยั แหง่ ธรรมใน คมั ภีร์ธัมมสงั คณี (ดขู ้อความในหน้า ๙๗๓ ขอ้ (๑) ถงึ ข้อ (๕)) เลม่ ๔๑ เปน็ ตอนท่ี ๒ วา่ ดว้ ยอนโุ ลมตกิ ปฏั ฐาน ตอ่ มาจากเลม่ ๔๐ คอื อธบิ ายถงึ ปจั จยั แห่งหัวข้อธรรม ๓ อย่างในคัมภีร์ธมั มสังคณี ตง้ั แต่ข้อ ๖ ถงึ ขอ้ ๒๒ (ดูขอ้ ความในหน้า ๙๗๓ - ๙๗๔ ข้อ (๖) ถึง ข้อ (๒๒)) เล่ม ๔๒ เป็นตอนท่ี ๓ ว่าด้วยอนุโลมทุกปัฏฐานตอนต้น อธิบายถึงปัจจัยแห่ง หวั ขอ้ ธรรม ๒ อยา่ งในคมั ภรี ธ์ มั มสงั คณี ตงั้ แตแ่ มบ่ ทที่ ๒ เหตโุ คจฉกะ ถงึ แมบ่ ทที่ ๑๐ ปรามาส โคจฉกะ (ดขู อ้ ความในหน้า ๙๗๕) เล่ม ๔๓ เป็นตอนท่ี ๔ ว่าด้วยอนุโลมทุกปัฏฐานตอนปลาย อธิบายถึงปัจจัย แหง่ หวั ข้อธรรม ๒ อยา่ งในคมั ภีร์ธมั มสงั คณี ต้ังแตแ่ ม่บทที่ ๑๑ มหนั ตรทุกะ ถึงแม่บทท่ี ๑๔ ปฏิ ฐิทุกะ (ดขู อ้ ความในหนา้ ๙๗๖) เล่ม ๔๔ เป็นตอนท่ี ๕ ว่าด้วยธรรมหมวด ๒ หมวด ๓ ผสมกัน ธรรมหมวด ๓ หมวด ๒ ผสมกัน ธรรมหมวด ๓ หมวด ๓ ผสมกัน ธรรมหมวด ๒ หมวด ๒ ผสมกัน แต่ก็คงใช้ข้อธรรมในคัมภีร์ธัมมสังคณีเปน็ บทตงั้ เชน่ เดิม เล่ม ๔๕ เปน็ ตอนท่ี ๖ วา่ ด้วยหวั ข้อส�ำคัญ ๓ ประการ คอื ๑. ปัจจนยี ปฏั ฐาน วา่ ด้วยธรรมที่เป็นปัจจยั โดยปฏิเสธขอ้ ธรรมในคมั ภรี ธ์ มั มสังคณี คือนำ� ขอ้ ธรรมในคมั ภีร์ธัมมสังคณมี าตัง้ แล้วปฏเิ สธว่า อาศัยธรรมที่มิใชข่ ้อนนั้ ๆ ธรรมที่มใิ ช่ข้อน้นั ๆ กเ็ กดิ ขึน้ ๒. อนุโลมปัจจนียปัฏฐาน ว่าด้วยธรรมที่เป็นปัจจัยโดยอาศัยข้อธรรมในคัมภีร์ ธัมมสังคณี แต่ธรรมท่ีเกิดข้ึน เป็นธรรมมิใช่ข้อธรรมในคัมภีร์ธัมมสังคณี เช่น อาศยั กศุ ลธรรมเกิดธรรมที่มใิ ช่กศุ ล PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1113 5/4/18 2:26 PM

1114 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓. ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน ว่าด้วยธรรมท่ีเป็นปัจจัย โดยอาศัยธรรมท่ีมิใช่ข้อธรรม ในคมั ภรี ธ์ มั มสงั คณี แตเ่ กดิ ธรรมในคมั ภรี ธ์ มั มสงั คณี เชน่ อาศยั ธรรมอนั มใิ ชก่ ศุ ล เกิดอกศุ ลธรรม อาศยั ธรรมอนั มใิ ช่กุศล เกดิ อัพยากตธรรม ขอ้ สังเกตงา่ ย ๆ คือ ปจั จนียปัฏฐาน ปฏเิ สธทั้งฝ่ายที่ถูกอาศัย ท้งั ฝา่ ยที่เกิดข้ึน อนุโลมปัจจนียปัฏฐาน ปฏเิ สธเฉพาะธรรมทเี่ กดิ ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน ปฏเิ สธเฉพาะธรรมทีถ่ กู อาศัย เม่ือพิจารณาดูโดยสังเขปเช่นน้ีแล้ว ก็พอเข้าใจได้ว่า คัมภีร์ปัฏฐาน แสดงถึงปัจจัย ๒๔ ชนิดตามเนื้อหาว่าเป็นปัจจัยในลักษณะไหน คร้ันแล้วจึงน�ำข้อธรรมหมวด ๓ หมวด ๒ ในคัมภีร์ธัมมสังคณีมาเป็นบทตั้ง เอาปัจจัย ๒๔ มากล่าวถึงว่าเก่ียวข้องกันอย่างไร หลายแง่ หลายมุม ถ้าจะเทียบด้วยการทอผ้า ข้อธรรมใน คัมภีร์ธัมมสังคณี เท่ากับเป็นเส้นด้ายยืน สว่ นปจั จยั ๒๔ เหมอื นด้ายในกระสวยท่ีพงุ่ ไปมาระหวา่ งดา้ ยยนื ให้สำ� เรจ็ เปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ) บดั นี้จะเร่มิ ต้นด้วยข้อธรรมในเลม่ ๔๐ ต่อไป ขยายความ มาติกานิกเขปวาร (วาระแหง่ การตงั้ แมบ่ ท) ๑. เหตุปจั จยั (ปจั จัย หรอื เครอ่ื งสนบั สนุน ทีเ่ ป็นเหตุ) ๒. อารมั มณปัจจยั (ปัจจยั ท่ีเปน็ อารมณ์) ๓. อธิปตปิ ัจจัย (ปัจจัยทเ่ี ปน็ ใหญ)่ ๔. อนันตรปัจจัย (ปัจจัยที่เปน็ ของไมม่ อี ะไรคนั่ ในระหว่าง) ๕. สมนนั ตรปจั จยั (ปัจจยั ที่เป็นของกระช้นั ชดิ ) ๖. สหชาตปจั จัย (ปัจจัยทีเ่ ปน็ ของเกดิ พร้อมกนั ) ๗. อัญญมัญญปจั จยั (ปัจจยั ทเี่ ปน็ ขององิ อาศยั กนั และกัน) ๘. นสิ สยปจั จัย (ปจั จัยทเ่ี ป็นทีอ่ าศัยโดยตรง) ๙. อปุ นสิ สยปจั จยั (ปัจจยั ทเี่ ปน็ ทอ่ี าศัยโดยสบื ตอ่ กนั มา) ๑๐. ปุเรชาตปจั จยั (ปัจจยั ที่เป็นของเกิดก่อน) ๑๑. ปัจฉาชาตปัจจัย (ปัจจยั ท่ีเป็นของเกดิ ทหี ลงั ) ๑๒. อาเสวนปัจจัย (ปัจจัยโดยการส้องเสพ) ๑๓. กมั มปัจจัย (ปจั จัยท่เี ปน็ กรรม คอื การกระท�ำ) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1114 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๐ ปัฏฐาน ภาค ๑ 1115 ๑๔. วิปากปัจจยั (ปจั จยั ทเ่ี ปน็ ผลของกรรม) อ ิภธัมม ิปฎก ๑๕. อาหารปจั จยั (ปจั จยั ทเี่ ปน็ อาหาร) ๑๖. อนิ ทรยิ ปจั จัย (ปจั จยั ทเี่ ปน็ อินทรยี )์ ๑๗. ฌานปัจจัย (ปจั จยั ทีเ่ ป็นฌาน คอื สมาธิทแี่ น่วแน)่ ๑๘. มคั คปัจจัย (ปจั จยั ทเ่ี ปน็ มรรค คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั กเิ ลสและดบั ทกุ ข)์ ๑๙. สัมปยุตตปจั จัย (ปจั จัยทีเ่ ปน็ ของประกอบกนั คอื เกดิ พร้อมกนั ดับพร้อมกัน) ๒๐. วิปปยตุ ตปจั จยั (ปจั จยั ทเี่ ป็นของไมป่ ระกอบกนั ) ๒๑. อัตถปิ จั จัย (ปัจจยั ท่ีเปน็ ของมีอย)ู่ ๒๒. นตั ถิปจั จยั (ปจั จัยท่เี ปน็ ของไม่ม)ี ๒๓. วิคตปจั จยั (ปจั จยั ทเ่ี ป็นของไปปราศ คอื พ้นไป หมดไป) ๒๔. อวิคตปจั จยั (ปัจจยั ท่เี ป็นของไมป่ ราศ คือไมพ่ ้นไป ไมห่ มดไป) ปจั จยวิภงั ควาร (วาระว่าดว้ ยการแจก คอื อธบิ ายปัจจยั ทีละขอ้ ) ๑. เหตุปัจจัย คือเหตุท่ีเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่ประกอบกับเหตุ และแห่งรูปที่มีธรรม อนั ประกอบกบั เหตุนั้นเปน็ สมฏุ ฐาน โดยฐานะเป็นเหตปุ ัจจัย คอื เป็นเคร่ืองสนับสนนุ ทเ่ี ปน็ เหตุ (เหตุเทียบด้วยรากไม้ต้นไม้จะมีผลเจริญงอกงามก็เพราะได้อาศัยรากดูดน�้ำ และโอชะอื่น ๆ มาหล่อเลีย้ ง) ๒. อารัมมณปัจจัย อายตนะหรืออารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ส่ิงท่ี ถูกต้องได้ด้วยกาย) ธัมมะ (สิ่งที่รู้ด้วยใจ) เป็นปัจจัยแห่งวิญญาณธาตุ คือความรู้แจ้งอารมณ์ ทาง ตา หู เป็นต้น และแห่งธรรมที่ประกอบกับวิญญาณธาตุนั้น ๆ โดยฐานะเป็นอารัมณปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นอารมณ์ (อารมณ์คือสิ่งที่จิตเจตสิกยึดถือเหมือนยึดเกาะท่อนไม้) ๓. อธิปติปัจจัย ธรรมท่ีเป็นใหญ่ คือ ฉันทะ (ความพอใจ) วิริยะ (ความเพียร) จิตตะ (ความเอาใจฝักใฝ่) วิมังสา (ความพิจารณาสอบสวน) เป็นปัจจัยแห่งธรรมท่ีประกอบ กับฉันทะ เป็นต้นแต่ละข้อ และแห่งรูปที่มีธรรมท่ีประกอบกับฉันทะ เป็นต้น เป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นอธปิ ตปิ จั จัย คอื เปน็ เครอื่ งสนบั สนุนทเ่ี ป็นใหญ่ ๔. อนันตรปัจจัย จักขุวิญญาณธาตุ และธรรมท่ีประกอบกับจักขุวิญญาณธาตุน้ัน เป็นปัจจัย แห่งมโนธาตุและแห่งธรรมท่ีประกอบกับมโนวิญญาณธาตุน้ัน โดยฐานะเป็น PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1115 5/4/18 2:26 PM

1116 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อนันตรปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนท่ีไม่มีระหว่างค่ัน โดยนัยน้ี โสตวิญญาณธาตุ จนถึง มโนวิญญาณธาตุ และธรรมที่ประกอบกับโสตวิญญาณธาตุ เป็นต้น เป็นปัจจัยแห่งมโนธาตุ และแหง่ ธรรมทป่ี ระกอบกบั มโนธาตนุ น้ั โดยฐานะเปน็ ปจั จยั คอื เครอื่ งสนบั สนนุ ทไ่ี มม่ รี ะหวา่ งคนั่ ธรรมทเ่ี ปน็ กศุ ลกอ่ น ๆ ยอ่ มเปน็ ปจั จยั แหง่ ธรรมทเ่ี ปน็ กศุ ลหลงั ๆ โดยฐานะเปน็ ปจั จยั คือเคร่ืองสนบั สนุนท่ไี มม่ ีระหวา่ งคน่ั ธรรมท่ีเป็นกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมท่ีเป็นอัพยากฤตหลัง ๆ โดยฐานะ เปน็ อนนั ตรปัจจัย คือเป็นเคร่อื งสนบั สนุนท่ีไมม่ ีระหวา่ งคั่น ธรรมท่ีเป็นอกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมท่ีเป็นอกุศลหลัง ๆ โดยฐานะ เปน็ อนนั ตรปจั จัย คอื เปน็ เครอื่ งสนบั สนนุ ทไ่ี ม่มีระหวา่ งคัน่ ธรรมทเ่ี ป็นอกุศลกอ่ น ๆ ยอ่ มเป็นปัจจยั แห่งธรรมที่เปน็ อัพยากฤตหลัง ๆ โดยฐานะ เป็นอนันตรปจั จัย คอื เปน็ เครือ่ งสนบั สนนุ ทีไ่ มม่ รี ะหวา่ งคั่น ธรรมที่เป็นอัพยากฤตก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมท่ีเป็นอัพยากฤตหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอนนั ตรปจั จยั คอื เป็นเคร่ืองสนบั สนนุ ทไ่ี มม่ ีระหว่างค่นั ธรรมท่ีเป็นอัพยากฤตก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นกุศลหลัง ๆ โดยฐานะ เป็นอนนั ตรปจั จยั คอื เป็นเครือ่ งสนับสนนุ ท่ไี ม่มรี ะหวา่ งคนั่ ธรรมทีเ่ ปน็ อัพยากฤตก่อน ๆ ยอ่ มเปน็ ปัจจยั แหง่ ธรรมท่ีเปน็ อกศุ ลหลงั ๆ โดยฐานะ เปน็ อนนั ตรปจั จยั คอื เปน็ เครอ่ื งสนบั สนนุ ทีไ่ ม่มีระหวา่ งคั่น ๕. สมนันตรปัจจัย มีอธิบายอย่างเดียวกับข้อ ๔ คืออนันตรปัจจัย ต่างแต่สิ่งท่ีเป็น ปัจจัยในข้อน้ี เป็นปัจจัยโดยฐานะเป็นสมนันตรปัจจัย คือเป็นเคร่ืองสนับสนุนอย่างกระชั้นชิด (มติของอาจารย์ในชั้นหลังมีอยู่ต่าง ๆ กัน บางท่านว่า อนันตรปัจจัย (ปัจจัยโดยความเป็น ของไม่มีอะไรคั่นในระหว่าง) กับ สมนันตรปัจจัย (ปัจจัยโดยความเป็นของกระช้ันชิด) ต่างกัน โดยพยัญชนะ แต่เนื้อความเป็นอันเดียวกัน บางอาจารย์กล่าวว่าต่างกัน คือ อนันตรปัจจัย เป็นของไม่มีอรรถะ คือเนื้อความอย่างอื่นค่ัน ส่วน สมนันตรปัจจัย เป็นของไม่มีกาละคั่น - ดู อภธิ ัมมตั ถภาวินี หนา้ ๒๔๑) ๖. สหชาตปจั จยั ธรรม ๔ อยา่ งทไ่ี มม่ รี ปู (คอื เปน็ เวทนา สญั ญา สงั ขาร และ วญิ ญาณ) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน มหาภูตรูป ๔ (ดิน น�้ำ ไฟ ลม) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็น เคร่ืองสนับสนนุ ทเี่ กดิ พรอ้ มกัน ในขณะที่กา้ วลง (สู่ครรภม์ ารดา คือขณะปฏิสนธ)ิ นามและรูป เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนท่ีเกิดพร้อมกัน ธรรมท่ีเป็น จิต และ เจตสิก เป็นปัจจัยแห่งรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็น PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1116 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๐ ปัฏฐาน ภาค ๑ 1117 สหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนบั สนนุ ที่เกิดพรอ้ มกนั มหาภตู รูป (รปู ใหญ่คือ ดนิ น�้ำ ไฟ ลม) อ ิภธัมม ิปฎก เป็นปจั จยั แหง่ อุปาทารูป (รูปอาศยั คือรูปทปี่ รากฏเพราะอาศัยมหาภตู รูป เชน่ ความเป็นหญงิ ความเป็นชาย) โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เกิดพร้อมกัน ธรรมท่ี มีรูปเป็นปัจจัยของธรรมท่ีไม่มีรูปในกาลบางคร้ัง โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คือเป็น เคร่ืองสนับสนุนท่ีเกิดพร้อมกัน แต่ในกาลบางครั้งก็เป็นปัจจัย มิใช่โดยฐานะเป็นสหชาตปัจจัย คอื มใิ ช่เป็นเครอื่ งสนับสนุนท่ีเกิดพร้อมกัน ๗. อญั ญมญั ญปจั จัย ขนั ธ์ ๔ ทไ่ี ม่มรี ูป (ไดแ้ ก่ เวทนา สญั ญา สังขาร และ วญิ ญาณ) เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอัญญมัญญปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่อิงอาศัยกันและกัน มหาภูตรูป ๔ (ดิน น�้ำ ไฟ ลม) เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอัญญมัญญปัจจัย คือเป็นเคร่ือง สนับสนุนที่องิ อาศยั กนั และกนั ในขณะกา้ วลง (ขณะปฏสิ นธิ) นามและรปู เป็นปัจจยั โดยฐานะ เป็นอัญญมัญญปัจจยั คือเป็นเครื่องสนบั สนนุ ท่อี ิงอาศยั กันและกัน ๘. นิสสยปัจจัย ขันธ์ ๔ ที่ไม่มีรูป (ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนเป็นท่ีอาศัย มหาภูตรูป ๔ (ดิน น้�ำ ไฟ ลม) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นนิสสยปัจจัย คือเป็น เครื่องสนับสนุนท่ีเป็นท่ีอาศัย ในขณะท่ีก้าวลง (ขณะปฏิสนธิ) นามและรูปเป็นปัจจัยของกัน และกัน โดยฐานะเป็นนิสสยปัจจัย คือเป็นเคร่ืองสนับสนุนท่ีเป็นท่ีอาศัย ธรรมคือจิตและ เจตสิกเป็นปัจจัยของรปู ท่มี จี ติ เป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเปน็ นิสสยปัจจัย คือเป็นเครอ่ื งสนบั สนนุ ที่เป็นท่ีอาศัย อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นปัจจัยแห่ง ธาตุ คือ ความรู้แจ้ง (วญิ ญาณธาต)ุ ทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย และธรรมทป่ี ระกอบวญิ ญาณธาตุชนดิ นัน้ ๆ มโนธาตุ (ธาตุคือใจ) มโนวิญญาณธาตุ (ธาตุคือความรู้แจ้งทางใจ) อาศัยรูปใดเป็นไป รูปนั้นเป็น ปจั จยั แหง่ มโนธาตุ และมโนวญิ ญาณธาตแุ ละแหง่ ธรรมทปี่ ระกอบกบั มโนธาตแุ ละมโนวญิ ญาณ ธาตนุ ้นั โดยฐานะเปน็ นสิ สยปจั จยั คือเป็นเครอ่ื งสนับสนนุ ทเ่ี ปน็ ท่ีอาศยั ๙. อุปนิสสยปัจจัย ธรรมท่ีเป็นกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นกุศล หลัง ๆ โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัยโดยสืบต่อกันมา ต่อจากนี้มีข้อความคล้ายกับข้อ ๔ ต่างแต่เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย แม้บุคคล ก็เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเคร่ืองสนับสนุนท่ีเป็นท่ีอาศัยสืบต่อกันมา แม้เสนาสนะก็เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัย สบื ตอ่ กันมา (ค�ำว่า นิสสยปจั จัย กับ อปุ นสิ สยปัจจัย มคี �ำใกลก้ นั นิสสยะ แปลว่า เป็นทีอ่ าศยั อุปนิสสยะ แปลว่า ใกล้จะเป็นที่อาศัย แต่แปลหักตามเนื้อหาว่า เป็นที่อาศัยสืบต่อกันมา คือ อาศัยพอเปน็ เค้า เป็นเชื้อ มคี วามหนักแน่นนอ้ ยกวา่ นิสสยะ) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1117 5/4/18 2:26 PM

1118 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑๐. ปเุ รชาตปจั จยั อายตนะคอื ตา หู จมกู ลนิ้ กาย เปน็ ปจั จยั แหง่ วญิ ญาณธาตทุ างตา หู จมกู ลนิ้ กาย ตามประภทของตน และแหง่ ธรรมทปี่ ระกอบดว้ ยวญิ ญาณธาตนุ นั้ ๆ โดยฐานะ เป็นปุเรชาตปัจจัย คือเป็นเคร่ืองสนับสนุนที่เกิดก่อน อายตนะคือ รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัยแห่งวิญญาณธาตุนั้น โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือเป็นเครื่อง สนับสนุนท่ีเกิดก่อน อายตนะคือ รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัยแห่งมโนธาตุ และธรรมะที่ประกอบด้วยมโนธาตุ โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือเครื่องสนับสนุนเกิดก่อน มโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุอาศัยรูปใดเป็นไป รูปน้ันเป็นปัจจัยแห่งมโนธาตุและแห่งธรรมที่ ประกอบด้วยมโนธาตุ โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนท่ีเกิดก่อน รูปน้ัน เป็นปัจจัยแห่งมโนวิญญาณธาตุในกาลบางคร้ัง โดยฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือเป็นเครื่อง สนับสนุนท่ีเกิดก่อน ในกาลบางครั้งก็เป็นปัจจัย โดยมิใช่ฐานะเป็นปุเรชาตปัจจัย คือมิใช่ เป็นเครื่องสนับสนนุ ท่เี กดิ กอ่ น ๑๑. ปัจฉาชาตปัจจัย ธรรมที่เป็นจิตและเจตสิก ย่อมเป็นปัจจัยแห่งกายนี้ซึ่งเกิดก่อน โดยฐานะเป็นปจั ฉาชาตปจั จยั คอื เปน็ เครอื่ งสนบั สนนุ ทีเ่ กิดภายหลงั ๑๒. อาเสวนปัจจัย ธรรมท่ีเป็นกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมท่ีเป็นกุศล หลัง ๆ โดยฐานะเป็นอาเสวนปัจจัย คือเป็นเคร่ืองสนับสนุนโดยการส้องเสพ ธรรมที่เป็น อกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมท่ีเป็นอกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอาเสวนปัจจัย คอื เปน็ เครอ่ื งสนบั สนนุ โดยการสอ้ งเสพ ธรรมทเ่ี ปน็ อพั ยากฤตฝา่ ยกริ ยิ ากอ่ น ๆ ยอ่ มเปน็ ปจั จยั แหง่ ธรรมทเี่ ปน็ อพั ยากฤตฝา่ ยกริ ยิ าหลงั ๆ โดยฐานะเปน็ อาเสวนปจั จยั คอื เปน็ เครอ่ื งสนบั สนนุ โดยการส้องเสพ (ธรรมประเภทเดียวกันเมื่อส้องเสพหรือประพฤติบ่อย ๆ ก็เป็นปัจจัยให้เกิด ธรรมประเภทเดยี วกนั นน้ั ตอ่ ไปอีก) ๑๓. กัมมปัจจัย กรรมที่เป็นกุศลและอกุศลย่อมเป็นปัจจัยแห่งขันธ์ท่ีเป็นวิบาก และแหง่ กฏตั ตารปู (รปู ทเ่ี กดิ เพราะทำ� กรรมไว้ เรยี กวา่ กมั มชรปู กไ็ ด)้ โดยฐานะเปน็ กมั มปจั จยั คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นกรรมคือการกระท�ำ กรรมที่เป็นกุศลและอกุศลน้ัน ย่อมเป็น ปัจจัยแห่งธรรมท่ีประกอบด้วยเจตนา และแห่งรูปท่ีมีธรรมอันประกอบด้วยเจตนาน้ัน เปน็ สมฏุ ฐาน โดยฐานะเปน็ กมั มปจั จัย คือเป็นเคร่ืองสนบั สนนุ ทีเ่ ปน็ กรรมคือการกระทำ� ๑๔. วิปากปัจจัย ขันธ์ ๔ ที่ไม่มีรูปซึ่งเป็นผลของกรรมย่อมเป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเปน็ วปิ ากปจั จยั คือเป็นเครอ่ื งสนับสนนุ ท่ีเป็นผลของกรรม ๑๕. อาหารปัจจัย อาหารเป็นค�ำ ๆ (อาหารที่กลืนกิน) เป็นปัจจัยของกายน้ี โดย ฐานะเป็นอาหารปัจจัย คือเป็นเคร่ืองสนับสนุนที่เป็นอาหาร อาหารท่ีไม่มีรูป เป็นปัจจัยแห่ง PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1118 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๐ ปัฏฐาน ภาค ๑ 1119 ธรรมที่ประกอบกัน (สัมปยุตตธรรม๑) และแห่งรูปที่มีสัมปยุตตธรรมนั้นเป็นสมุฏฐาน โดย อ ิภธัมม ิปฎก ฐานะเป็นอาหารปัจจยั คือเป็นเคร่ืองสนบั สนุนท่ีเปน็ อาหาร ๑๖. อินทริยปัจจัย อินทรีย์คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย เป็นปัจจัยแห่ง วิญญาณธาตุ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และธรรมท่ีสัมปยุตด้วยวิญญาณธาตุชนิดนั้น ๆ โดยฐานะเป็น อนิ ทรยิ ปจั จยั คอื เปน็ เครอ่ื งสนบั สนนุ ทเี่ ปน็ อนิ ทรยี ์ (คอื ธรรมทเ่ี ปน็ ใหญใ่ นหนา้ ทข่ี องตน) อนิ ทรยี ์ คือรูปชีวิต เป็นปัจจยั แหง่ กฏัตตารูป รูปซงึ่ เกดิ แตก่ รรม) โดยฐานะเป็นอนิ ทริยปัจจัย คือเปน็ เครื่องสนับสนุนท่ีเป็นอินทรีย์ อินทรีย์ท่ีไม่มีรูป เป็นปัจจัยแห่งสัมปยุตตธรรม และรูปท่ีมี สมั ปยตุ ตธรรมนนั้ เปน็ สมฏุ ฐาน โดยฐานะเปน็ อนิ ทรยิ ปจั จยั คอื เปน็ เครอ่ื งสนบั สนนุ ทเ่ี ปน็ อนิ ทรยี ์ ๑๗. ฌานปจั จยั องคแ์ หง่ ฌานยอ่ มเปน็ ปจั จยั แหง่ ธรรมทสี่ มั ปยตุ (ประกอบ) ดว้ ยฌาน และรูปที่มีธรรมท่ีสัมปยุตด้วยฌานน้ันเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นฌานปัจจัย คือเป็น เครอ่ื งสนบั สนนุ ทเ่ี ปน็ ฌาน ๑๘. มัคคปัจจัย องค์แห่งมรรคย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่สัมปยุตด้วยมรรค และ แห่งรูปที่มีธรรมอันสัมปยุตด้วยมรรคน้ันเป็นสมุฏฐาน โดยฐานะเป็นมัคคปัจจัย คือเป็น เคร่อื งสนับสนนุ ท่ีเปน็ มรรค ๑๙. สัมปยุตตปจั จยั ขนั ธ์ ๔ ทไี่ มม่ รี ปู (ไดแ้ ก่ เวทนา สัญญา สังขาร และ วญิ ญาณ) เป็นปัจจัยของกันและกัน โดยฐานะเป็นสัมปยุตตปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนท่ีเป็นของ ประกอบกนั (คือเกดิ พร้อมกนั ดับพร้อมกัน) ๒๐. วิปปยุตตปัจจัย ธรรมที่เป็นรูปย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมท่ีไม่มีรูป ธรรมท่ีไม่มี รูปย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมท่ีมีรูป โดยฐานะเป็นวิปปยุตตปัจจัย คือเป็นเคร่ืองสนับสนุน ท่ีไม่ประกอบกนั (ไมเ่ กิดพร้อมกนั ไมด่ ับพรอ้ มกัน) ๒๑. อัตถิปัจจัย ขันธ์ ๔ ท่ีไม่มีรูป เป็นปัจจัยของกันและกัน มหาภูตรูป ๔ (ดิน น�้ำ ไฟ ลม) เป็นปัจจัยของกันและกัน ธรรมท่ีเป็น จิต และ เจตสิก เป็นปัจจัยแห่งรูปท่ีมีจิต เป็นสมุฏฐาน อายตนะคอื ตา หู จมูก ลิ้น กาย เปน็ ปัจจัยแหง่ จักขุวิญญาณธาตุ เปน็ ตน้ และ แห่งธรรมที่สัมปยุตด้วย จักขุวิญญาณธาตุ เป็นต้นน้ัน ๆ อายตนะคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัยแห่งจักขุวิญญาณธาตุ เป็นต้น และแห่งธรรมที่สัมปยุตด้วย จักขุ วิญญาณธาตุ น้ัน ๆ โดยความเป็นอัตถิปัจจัย คือความเป็นเคร่ืองสนับสนุนท่ีมีอยู่ มโนธาตุ และ มโนวิญญาณธาตุ อาศัยรูปใดเป็นไป รูปน้ันย่อมเป็นปัจจัยแห่ง มโนธาตุ แห่ง มโน ๑ สัมปยตุ ตธรรม คอื ธรรมท่ีเกิดพรอ้ มกัน ดับพร้อมกัน มอี ารมณ์ และมีวัตถุอันเดยี วกัน PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1119 5/4/18 2:26 PM

1120 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ วิญญาณธาตุ และแห่งธรรมท่ีสัมปยุตด้วย มโนธาตุ และ มโนวิญญาณธาตุ นั้น โดยฐานะ เป็นอัตถปิ จั จยั คอื เป็นเครอ่ื งสนบั สนนุ ทีม่ ีอยู่ ๒๒. นัตถิปัจจัย ธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกท่ีดับไปในขณะกระชั้นชิด ย่อมเป็นปัจจัย แห่งธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกท่ีเกิดขึ้นเฉพาะหน้า โดยฐานะเป็นนัตถิปัจจัย คือเป็นเครื่อง สนับสนุนทไ่ี มม่ ี ๒๓. วิคตปัจจัย ธรรมท่ีเป็น จิต และ เจตสิก ท่ีไปปราศ คือพ้นไป หมดไปในขณะ กระช้ันชิด ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกที่เกิดข้ึนเฉพาะหน้า โดยฐานะเป็น วคิ ตปจั จยั คือเป็นเครือ่ งสนับสนุนทเี่ ป็นไปปราศ คอื พน้ ไป หมดไป ๒๔. อวิคตปจั จยั มีคำ� อธบิ ายเหมือน อัตถิปจั จยั (หมายเหตุ : ปัจจัยข้อที่ ๒ ๓ ๔ ๕ มีข้อความตอนท้ายพ้องกันมิได้กล่าวไว้ ขอถือ โอกาสน�ำมากล่าวรวมไว้ในหมายเหตุน้ี คือกล่าวถึงธรรมท่ีเป็นจิตและเจตสิกท่ีเกิดข้ึน เพราะปรารภธรรมใด ๆ หรือเกี่ยวเน่ืองกับธรรมใด ๆ ธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกน้ัน ๆ ย่อม เป็นปัจจัยแห่งธรรมนั้น ๆ โดยฐานะเป็นอารัมมณปัจจัยบ้าง อธิปติปัจจัยบ้าง อนันตรปัจจัยบ้าง สมนนั ตรปจั จยั บา้ ง) อนุโลมตกิ ปฏั ฐาน (ปจั จัยแหง่ ธรรมะหมวด๑ ๓ กล่าวไปตามลำ� ดับ) กสุ ลตกิ ะ หมวด ๓ แห่งกศุ ล ๑. ปฏิจจวาร วาระว่าด้วยการอาศยั ก. อุทเทส บทต้งั เพราะอาศัยกุศลธรรม กศุ ลธรรมพงึ เกิดขึ้น เพราะเคร่ืองสนับสนนุ ที่เปน็ เหตุกม็ ี เพราะอาศยั กุศลธรรม อกศุ ลธรรมพงึ เกดิ ขึน้ เพราะเคร่ืองสนบั สนุ นท่ีเปน็ เหตุกม็ ี เพราะอาศัยกุศลธรรม อัพยากตธรรมพงึ เกิดขน้ึ เพราะเคร่ืองสนบั สนนุ ทเ่ี ปน็ เหตุกม็ ี เพราะอาศยั กศุ ลธรรม ทงั้ กศุ ลธรรมและอพั ยากตธรรมพงึ เกดิ ขนึ้ เพราะเครอื่ งสนบั สนนุ ทเ่ี ปน็ เหตกุ ม็ ี ฯ ล ฯ ข. นทิ เทส บทอธิบาย เพราะอาศัยกุศลธรรม กุศลธรรมย่อมเกิดขึ้น เพราะเครื่องสนับสนุนท่ีเป็นเหตุ ๑ ค�ำวา่ หมวด ๓ หมายถงึ ธรรมะ ๒๒ หมวด หมวดละ ๓ รวม ๖๖ โปรดดใู นหน้า ๙๗๓ - ๙๗๔ และตอ่ ไปนจ้ี ะ กลา่ วเฉพาะหมวด ๓ แรก ท่ีเรียกว่า กุสสลตกิ ะ กอ่ น PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1120 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๐ ปัฏฐาน ภาค ๑ 1121 คือ เพราะอาศัยขันธ์ ๑ ท่ีเป็นกุศล ขันธ์ ๓ ย่อมเกิดขึ้น (คือในขันธ์หรือส่วนท่ีเป็นนาม อ ิภธัมม ิปฎก อนั ไดแ้ ก่ เวทนา สญั ญา สังขาร และ วิญญาณ ถ้าอาศยั ขนั ธ์ใดขันธ์หนงึ่ ใน ๔ ขันธ์นี้ อีก ๓ ข้อ ทเ่ี หลอื กเ็ กดิ ข้ึน) เพราะอาศยั ขนั ธ์ ๓ ขนั ธ์ ๑ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ (โดยทำ� นองเดยี วกนั ถา้ อาศยั ขนั ธ์ ๓ ขอ้ ใด ๆ ก็ตาม ขันธอ์ กี ข้อหน่ึงใน ๔ ขอ้ ทีไ่ มพ่ ้องกับขนั ธ์ ๓ ยอ่ มเกดิ ข้ึน) เพราะอาศยั ขนั ธ์ ๒ ขนั ธ์ ๒ ยอ่ มเกดิ ขนึ้ (อาศยั ขนั ธ์ ๒ ขอ้ ใน ๔ ขอ้ อกี ๒ ขอ้ ทไ่ี มพ่ อ้ ง กันย่อมเกดิ ข้ึน) เพราะอาศัยกุศลธรรม อัพยากตธรรมย่อมเกิดข้ึน เพราะเคร่ืองสนับสนุนท่ีเป็นเหตุ คือเพราะอาศัยขนั ธ์ทงั้ หลายทีเ่ ปน็ กศุ ล รูปท่ีมจี ิตเปน็ สมุฏฐานยอ่ มเกิดขนึ้ . เพราะอาศัยกุศลธรรม ทั้งกุศลธรรมและอัพยากตธรรมย่อมเกิดข้ึน เพราะเคร่ือง สนับสนุนที่เป็นเหตุ คือเพราะอาศัยขันธ์ ๑ ท่ีเป็นกุศล ขันธ์ ๓ และรูปท่ีมีจิตเป็นสมุฏฐาน ยอ่ มเกิดขึน้ เพราะอาศยั ขันธ์ ๓ คอื ขนั ธ์ ๑ และรูปท่ีมีจิตเปน็ สมฏุ ฐานยอ่ มเกิดขน้ึ เพราะอาศัยขนั ธ์ ๒ ขันธ์ ๒ และรปู ท่ีมจี ติ เป็นสมฏุ ฐานย่อมเกดิ ขึน้ (หมายเหตุ : ท้ังบทต้ังและบทอธิบายได้น�ำมาแสดงพอเป็นตัวอย่าง ในอุทเทสหรือ บทต้ังนั้น ถอดไว้อย่างข้างบนน้ีก็ได้ อย่างเป็นค�ำถามก็ได้ เช่น ถามว่า เพราะอาศัย....ก็มี ใช่หรือไม่ คร้ันถึงนิทเทสหรือบทอธิบาย ก็เท่ากับเป็นค�ำตอบไปในตัว แต่จะสังเกตว่า ได้มี การไมต่ อบอยู่ข้อหน่ึง คอื ขอ้ ท่ีว่า อาศัยกุศลธรรม เกิดอกศุ ลธรรมกม็ ีนั้น คอื เกิดอย่างไร เมอื่ ไม่มีค�ำตอบมี จึงท�ำให้บางท่านสันนิษฐานว่า สภาพเช่นนั้นไม่มี แต่ก็น่าจะไม่มี โดยฐานะเป็น เหตุปจั จัย คงมอี ยใู่ นฐานะเป็นปัจจัยอยา่ งอ่ืน เชน่ อุปนสิ สยปัจจยั เพราะในอปุ นสิ สยปจั จัยนัน้ มีค�ำอธิบายไว้บางตอนว่า ”กุศลธรรมก่อน ๆ เป็นปัจจัยแห่งอกุศลธรรมหลัง ๆ บางชนิด โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย„ ซ่ึงอรรถกถายกตัวอย่างว่า อาศัยความดี เช่น ทาน ศีล สุตะ ปัญญา แล้วเกิด มานะ ความถือตัว และ ทิฏฐิ ความเห็นผิด หรือเกิด ราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้นได้ บางตอนมีค�ำอธิบายอุปนิสสยปัจจัยไว้ว่า ”อกุศลธรรมก่อน ๆ เป็นปัจจัยแห่งกุศล ธรรมหลัง ๆ บางชนิด โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย„ ซ่ึงอรรถกถายกตัวอย่างว่า อาศัยราคะ ก็มีการ ให้ทาน รักษาศีล รักษาอุโบสถ ท�ำฌาน ท�ำวิปัสสนา ท�ำมรรค ท�ำอภิญญา ท�ำสมาบัติ ให้เกิดข้ึน ตกลงว่า ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ และ ปัตถนา (ความปรารถนา) เป็นปัจจัย โดยฐานะอุปนิสสยปัจจัยแห่งศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาก็มี หรือบางคนฆ่าสัตว์แล้ว พยายามให้ทานแก้ตัวก็มี แต่ค�ำอธิบายและตัวอย่างดังกล่าวมานี้ พบเฉพาะในอุปนิสสยปัจจัย เทา่ นั้น) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1121 5/4/18 2:26 PM

1122 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒. สหชาตวาร วาระว่าดว้ ยธรรมทเี่ กิดรว่ มกนั เพราะอาศัยกุศลธรรม กุศลธรรมท่ีเกิดร่วมกันย่อมเกิดขึ้น เพราะเคร่ืองสนับสนุน ทเี่ ปน็ เหตุ (คำ� อธบิ ายเรอ่ื งอาศัยขันธ์ ๑ เกิดขึน้ ๓ เป็นต้น เหมือนปฏจิ จวารข้างตน้ ) ๓. ปจั จยวาร วาระว่าดว้ ยปัจจยั คอื เคร่อื งสนับสนุน เพราะกุศลธรรมเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเกิดขึ้น เพราะเครื่องสนับสนุนที่เป็นเหตุ (ค�ำอธิบายเรือ่ งอาศัยขันธ์ ๑ เกดิ ขันธ์ ๓ เป็นต้น เหมอื นปฏจิ จวารข้างต้น) ๔. นสิ สยวาร วาระว่าดว้ ยธรรมเปน็ ท่อี าศัย เพราะอาศัยกุศลธรรม กุศลธรรมย่อมเกิดข้ึน เพราะเครื่องสนับสนุนที่เป็นเหตุ (ค�ำอธบิ ายเหมอื นข้างตน้ ) ๕. สงั สัฏฐวาร วาระว่าดว้ ยธรรมทีร่ ะคนกนั เพราะอาศัยกุศลธรรม กุศลธรรมที่ระคนกันย่อมเกิดขึ้น เพราะเครื่องสนับสนุน ท่เี ป็นเหตุ (ค�ำอธบิ ายเหมือนขา้ งตน้ ) ๖. สมั ปยุตตวาร วาระวา่ ด้วยธรรมท่ปี ระกอบกนั เพราะอาศัยกุศลธรรม กุศลธรรมท่ีประกอบกัน (เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มี อารมณ์และวัตถุอันเดียวกัน) ย่อมเกิดข้ึน เพราะเคร่ืองสนับสนุนท่ีเป็นเหตุ (ค�ำอธิบายเหมือน ข้างตน้ ) ๗. ปัญหาวาร วาระวา่ ด้วยคำ� ถาม หัวข้อวาระน้ีน่าจะใช้ค�ำว่า วาระว่าด้วยการตอบปัญหา กล่าวคือไม่มีค�ำถามปรากฏ มีแตค่ ำ� ตอบ อรรถกถาอธบิ ายวา่ คำ� ตอบบง่ ถงึ ค�ำถามอย่แู ล้ว) กุศลธรรมเป็นปัจจัยแห่งกุศลธรรม โดยฐานะเหตุปัจจัย คือเครื่องสนับสนุนท่ี เป็นเหตุ คือเหตุท่ีเป็นกุศล เป็นปัจจัยแห่งขันธ์ท่ีประกอบกัน (สัมปยุตตขันธ์ ขันธ์ที่เกิด พรอ้ มกัน ดบั พรอ้ มกนั ) โดยฐานะเป็นเหตุปัจจยั กุศลธรรมเป็นปัจจัยแห่งอัพยากตธรรม โดยฐานะเป็นเหตุปัจจัย คือเหตุที่เป็นกุศล เปน็ ปัจจัยแหง่ รปู ท่มี ีจิตเป็นสมฏุ ฐาน โดยฐานะเปน็ เหตุปจั จยั PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1122 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๐ ปัฏฐาน ภาค ๑ 1123 กุศลธรรมเป็นปัจจัยทั้งของกุศลธรรมและอัพยากตธรรม โดยฐานะเป็นเหตุปัจจัย อ ิภธัมม ิปฎก คือเหตุที่เป็นกุศล เป็นปัจจัยแห่งสัมปยุตตขันธ์ และแห่งรูปอันมีจิตเป็นสมุฏฐานในฐานะ เป็นเหตุปัจจัย ฯ ล ฯ เวทนาติกะ หมวด ๓ แห่งเวทนา๑ ๑. ปฏจิ จวาร วาระว่าด้วยการอาศัย อาศัยธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา เกิดธรรมท่ีสัมปยุตด้วยสุขเวทนา เพราะ เหตปุ จั จัย คือเพราะเครอ่ื งสนับสนนุ ท่ีเปน็ เหตุ อาศยั ขนั ธ์ ๑ ที่สมั ปยุตดว้ ยสุขเวทนา เกิดขันธ์ ๒ อาศยั ขันธ์ ๒ เกิดขนั ธ์ ๑ ในขณะแห่งปฏิสนธิอาศยั ขันธ์ ๑ ท่สี ัมปยุตด้วยสขุ เวทนา เกดิ ขันธ์ ๒ อาศัยขนั ธ์ ๒ เกิดขนั ธ์ ๑ (ข้อน้ีอรรถกถามิได้อธิบายไว้ ผู้เขียนขออธิบายตามความเห็นส่วนตัว คือในเรื่องน้ี เมื่อกันเวทนาออกมา ในฐานะที่ถูกสัมปยุต จึงเหลือขันธ์๒ อยู่เพียง ๓ คือ สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ค�ำว่าอาศัยขันธ์ ๑ ที่สัมปยุตด้วยเวทนา เช่น อาศัยวิญญาณขันธ์ เกิดขันธ์ ๒ คือเกิดสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ ค�ำว่า อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขันธ์ ๑ เช่น อาศัยสัญญาขันธ์และ สังขารขนั ธ์ เกดิ วญิ ญาณขันธ)์ ๒. สัมปยุตตวาร วาระวา่ ด้วยธรรมทป่ี ระกอบกัน (ความจริงแบ่งวาระได้เช่นเดียวกับ กุสลติกะ คือ ๗ วาระ แต่ลีลาในการอธิบาย คล้าย ๆ กัน ทา่ นจงึ รวบรดั ดว้ ยเคร่ืองหมายเปยยาล หรอื ฯ เป ฯ อนั เท่ากับ ฯ ล ฯ แล้วกลา่ วถงึ สมั ปยุตตวารอยา่ งย่อ ๆ) อาศยั ธรรมทสี่ มั ปยตุ (เกดิ พรอ้ มกนั ดบั พรอ้ มกนั ) ดว้ ยสขุ เวทนา เกดิ สมั ปยตุ ตธรรม คือสัมปยุตด้วยสุขเวทนา เพราะเหตุปัจจัย คือเพราะอาศัยขันธ์ ๑ ท่ีสัมปยุตด้วยสุขเวทนา เกิดขนั ธ์ ๒ ที่สมั ปยตุ อาศัยขนั ธ์ ๒ เกดิ ขันธ์ ๑ ทส่ี มั ปยุต ๓. ปญั หาวาร วาระว่าดว้ ยคำ� ถาม ธรรมท่ีสัมปยุตด้วยสุขเวทนา ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา โดยฐานะเป็นเหตุปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนท่ีเป็นเหตุ คือเหตุท่ีสัมปยุตด้วยสุขเวทนา ๑ หมายถงึ ธรรมะหมวด ๓ ลำ� ดับที่ ๒ โปรดดูในเลม่ นี้ หนา้ ๙๗๓ (๒) รูปขันธ์ไม่เกี่ยว เพราะมิใช่นาม ๒ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1123 5/4/18 2:26 PM

1124 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เป็นปัจจัยแห่งสัมปยุตตขันธ์โดยฐานะเป็นเหตุปัจจัย ในขณะแห่งปฏิสนธิ เหตุที่สัมปยุต ดว้ ยสุขเวทนา ย่อมเป็นปจั จัยแหง่ สมั ปยตุ ตขนั ธโ์ ดยฐานะเปน็ เหตุปัจจัย ฯ ล ฯ วปิ ากตกิ ะ หมวด ๓ แห่งวิบาก๑ ๑. ปฏิจจวาร วาระว่าดว้ ยการอาศยั อาศัยธรรมท่ีเป็นวิบาก ธรรมที่เป็นวิบากย่อมเกิดข้ึน เพราะอาศัยเหตุปัจจัย คือ เพราะเครือ่ งสนบั สนุนเป็นเหตุ (ต่อจากนั้นพูดถึงเรือ่ งขันธ์ ๑ ขันธ์ ๓ ท�ำนองเดยี วกบั กสุ ลตกิ ะ) วาระอ่ืน ๆ เช่น สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร เป็นต้น ก็แบบเดียวกับ กุสลติกะ ทก่ี ลา่ วมาแล้ว) อุปาทนิ นติกะ หมวด ๓ แหง่ ธรรมที่ถกู ยึดถอื ๒ ๑. ปฏิจจวาร วาระว่าดว้ ยการอาศัย อาศัยธรรมท่ีถูกยึดถือ และเป็นท่ีต้ังแห่งความยึดถือ เกิดธรรมที่ถูกยึดถือ และ ธรรมเป็นท่ีต้ังแห่งความยึดถือ เพราะเหตุปัจจัย คือเพราะเครื่องสนับสนุนเป็นเหตุ (ต่อจากน้ัน พดู ถึงเรอ่ื งขันธ์ ๑ ขนั ธ์ ๓ ทำ� นองเดียวกบั กุสลติกะ) (วาระอ่นื ๆ ก็ทำ� นองเดยี วกับที่กล่าวแลว้ ) สังกิลิฏฐตกิ ะ หมวด ๓ แห่งธรรมท่ีเศรา้ หมอง๓ ๑. ปฏิจจวาร วาระว่าด้วยการอาศยั อาศัยธรรมท่ีเศร้าหมอง และเป็นท่ีตั้งแห่งความเศร้าหมอง เกิดธรรมที่เศร้าหมอง และธรรมเป็นท่ีตั้งแห่งความเศร้าหมอง เพราะเหตุปัจจัย คือเพราะเคร่ืองสนับสนุนเป็นเหตุ (ตอ่ จากนน้ั พูดถึงเร่อื งขนั ธ์ ๑ ขนั ธ์ ๓ ทำ� นองเดียวกบั กสุ ลติกะ) (วาระอืน่ ๆ กท็ �ำนองเดยี วกบั ที่กล่าวแล้ว) จบความย่อแห่งพระไตรปฏิ ก เล่ม ๔๐ ๑ หมายถงึ ธรรมะหมวด ๓ ล�ำดบั ที่ ๓ โปรดดูในหน้า ๙๗๓ (๓) หมายถึงธรรมะหมวด ๓ ล�ำดบั ที่ ๔ โปรดดูในหนา้ ๙๗๓ (๔) ๒๓ ดหู นา้ ๙๗๓ (๕) เชน่ เดยี วกนั PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1124 5/4/18 2:26 PM

เลม่ ๔๑ ปฏั ฐาน ภาค ๒ (ข้อความในเล่ม ๔๑ น้ี ก็ท�ำนองเดียวกับเล่ม ๔๐ คืออธิบายธรรมะหมวด ๓ ซึ่งค้างมาจากเล่ม ๔๐ จนจบ ในเล่ม ๔๐ อธิบายไว้เพียง ๕ หมวด ในเล่ม ๔๑ อธิบายต่ออีก ๑๗ หมวด เมื่อรวมท้ังหมด จึงเป็น ๒๒ หมวด เป็นอันจบธรรมะหมวดที่ ๓ รวม ๒ เล่มน้ี เรียกว่า อนุโลมติกปัฏฐาน คือแสดงถึงปัจจัย ๒๔ แห่งธรรมหมวด ๓ รวม ๒๒ หมวด อันกลา่ วไปโดยล�ำดับ ผู้ใครท่ ราบเนื้อความวา่ ธรรมหมวด ๓ ทเ่ี หลอื อกี ๑๗ หมวดที่กล่าวถงึ ในเล่ม ๔๑ นี้ มีอะไรบา้ ง โปรดดขู ้อความในหนา้ ๙๗๓ - ๙๗๔) จบความยอ่ แหง่ พระไตรปฏิ ก เลม่ ๔๑ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1125 5/4/18 2:26 PM

เลม่ ๔๒ ปฏั ฐาน ภาค ๓ อนโุ ลมทุกปฏั ฐาน (ปัจจยั แหง่ ธรรมะหมวด ๒ กล่าวไปตามล�ำดับ) ตอนตน้ (พระไตรปฎิ กเลม่ นี้ คกู่ บั เลม่ ๔๓ กลา่ วคอื เล่ม ๔๐ กับเลม่ ๔๑ คูก่ ันในการอธบิ ายธรรมะ หมวด ๓ จบ ๒๒ หมวด แตเ่ ล่ม ๔๒ กับเลม่ ๔๓ คกู่ ันในการอธิบายธรรมะ หมวด ๒ รวม ๑๔ หมวด โดยเลม่ ๔๒ อธิบายได้ ๑๐ หมวด เลม่ ๔๓ อธิบายตอ่ อีก ๔ หมวด อันเปน็ ตอนจบ ของธรรมะหมวด ๒ การตั้งวาระในแต่ละหัวข้อ คงตั้งได้ ๗ วาระ เช่นที่ผ่านมาแล้วใน พระไตรปิฎก เลม่ ๔๐) ๑. เหตทุ ุกะ หมวด ๒ แหง่ เหตุ๑ (๑) ปฏจิ จวาร วาระวา่ ด้วยการอาศยั อาศัยธรรมท่ีเป็นเหตุ ธรรมที่เป็นเหตุย่อมเกิดข้ึน เพราะเหตุเป็นปัจจัย คือ อาศัย ความไม่โลภ เกิดความไม่คิดประทุษร้าย ความไม่หลง อาศัยความไม่คิดประทุษร้าย เกิดความไม่โลภ ความไม่หลง อาศัยความไม่หลง เกิดความไม่โลภ ไม่คิดประทุษร้าย อาศัยความโลภ เกิดความหลง อาศัยความหลง เกิดความโลภ อาศัยความคิดประทุษร้าย เกิดความหลง อาศยั ความหลง เกดิ ความคดิ ประทุษรา้ ย ฯ ล ฯ วาระในระหวา่ งน้ี ตง้ั แต่ (๒) ถงึ (๖) เป็นเชน่ เดียวกับทกี่ ลา่ วมาแลว้ (๗) ปัญหาวาร วาระวา่ ด้วยค�ำถาม ธรรมเป็นเหตุ เป็นปัจจัยของธรรมท่ีเป็นเหตุ โดยฐานะเป็นปัจจัยคือเหตุ ได้แก่ ความไม่โลภ เป็นปัจจัยของความไม่คิดประทุษร้าย ของความไม่หลง โดยฐานะเป็นปัจจัย คอื เหตุ ฯ ล ฯ ๒. สเหตทุ กุ ะ หมวด ๒ แหง่ ธรรมท่ีมเี หตุ (๑) ปฏิจจวาร วาระว่าด้วยการอาศัย อาศัยธรรมที่มีเหตุ ธรรมที่มีเหตุย่อมเกิดขึ้น เพราะเหตุเป็นปัจจัย คืออาศัยขันธ์ ๑ ท่ีมเี หตุ เกดิ ขนั ธ์ ๓ อาศยั ขันธ์ ๒ เกิดขันธ์ ๒ ฯ ล ฯ วาระอ่นื ๆ อนโุ ลมตามท่กี ลา่ วมาแล้ว ๑ โปรดดู เหตุโคจฉกะ ในหน้า ๙๗๕ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1126 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๒ ปัฏฐาน ภาค ๓ 1127 ๓. เหตุสมั ปยตุ ตทุกะ หมวด ๒ แหง่ ธรรมท่สี มั ปยตุ ดว้ ยเหตุ อ ิภธัมม ิปฎก (๑) ปฏจิ จวาร วาระวา่ ดว้ ยการอาศยั อาศัยธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ (เกิดดับพร้อมกับเหตุ) ธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุย่อม เกิดข้ึน เพราะเหตุเป็นปัจจัย ฯ ล ฯ วาระอ่ืน ๆ อนุโลมตามทีก่ ลา่ วมาแล้ว ๔. เหตสุ เหตุกทุกะ หมวด ๒ แห่งเหตแุ ละธรรมที่มีเหตุ (๑) ปฏจิ จวาร วาระวา่ ด้วยการอาศยั อาศัยเหตุและธรรมท่ีมีเหตุ เหตุและธรรมท่ีมีเหตุย่อมเกิดขึ้น เพราะเหตุเป็นปัจจัย คอื อาศยั ความไมโ่ ลภ เกดิ ความไม่คิดประทุษรา้ ย ความไมห่ ลง ฯ ล ฯ วาระอ่ืน ๆ อนุโลมตามที่กล่าวมาแลว้ ๕. เหตเุ หตสุ มั ปยุตตทุกะ หมวด ๒ แหง่ เหตุและธรรมท่สี มั ปยตุ ดว้ ยเหตุ (๑) ปฏจิ จวาร วาระวา่ ด้วยการอาศยั อาศัยเหตุและธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ เหตุและธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุย่อมเกิดข้ึน เพราะเหตุเปน็ ปจั จัย คืออาศยั ความไมโ่ ลภ เกดิ ความไมค่ ดิ ประทษุ รา้ ย ความไม่หลง ฯ ล ฯ วาระอน่ื ๆ อนุโลมตามทกี่ ล่าวมาแล้ว ๖. น เหตสุ เหตุกทกุ ะ หมวด ๒ แห่งธรรมทม่ี ิใช่เหตุ แตม่ เี หตุ (๑) ปฏิจจวาร วาระว่าดว้ ยการอาศัย อาศัยธรรมที่มิใช่เหตุแต่มีเหตุ ธรรมท่ีมิใช่เหตุแต่มีเหตุย่อมเกิดข้ึน เพราะเหตุ เปน็ ปจั จยั ฯ ล ฯ วาระอน่ื ๆ อนโุ ลมตามท่ีกลา่ วมาแลว้ (หมายเหตุ : ถา้ ทา่ นผู้อา่ นย้อนไปอ่านข้อความในหนา้ ๙๗๕ ขอ้ ๒. แม่บทหรอื บทต้ัง ว่าด้วยกลุ่มเหตุ (เหตุโคจฉกะ) แล้ว จะรู้สึกว่าพระไตรปิฎก เล่ม ๔๒ นี้ น�ำกลุ่มเหตุ ซ่ึงแยก ออกเป็น ๖ หัวข้อนั้น มาตั้งเป็นบทยืน แล้วน�ำข้อความเรื่องปัจจัย มาเป็นบทสอดผสมให้ กลมกลืนกนั ต่อจากน้นั กไ็ ด้น�ำกลมุ่ ธรรมะอน่ื ๆ ทถี่ ัดกันไป มาเปน็ บทยืนอีกจนจบชุด ต่อไป จะแสดงเฉพาะหวั ขอ้ ใหเ้ หน็ จะไมต่ ง้ั วาระอกี พงึ ทราบวา่ วธิ จี ดั วาระเชน่ เดยี วกนั กบั ทแ่ี ลว้ ๆ มา) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1127 5/4/18 2:26 PM

1128 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ รายการบทต้งั จัดเปน็ หมวด (โปรดดูขอ้ ความตั้งแต่หนา้ ๙๗๕ ข้อ ๒ ถึง ขอ้ ๑๐ ประกอบดว้ ย และเพ่อื ใหเ้ ห็นงา่ ย จะเริ่มย้อนกล่าวกลุ่มเหตุท่ีกล่าวมาแล้วด้วย จะถือว่าข้อความต่อไปนี้เป็นการช่วยขยาย รายละเอยี ดในหน้า ๙๗๕ - ๙๗๖ กไ็ ด้๑) ธรรมหมวด ๒ ๑. กลุม่ เหตุ หรอื เหตุโคจฉกะมี ๖ คู่ (๑) หมวด ๒ แหง่ เหตุ คอื ธรรมท่เี ปน็ เหตุคกู่ บั ธรรมท่มี ิใช่เหตุ (น เหตุ) (๒) หมวด ๒ แห่งธรรมทมี่ เี หตุ คอื ธรรมที่มเี หตุ (สเหตกุ ะ) ค่กู บั ธรรมท่ไี มม่ เี หตุ (อเหตุกะ) (๓) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทส่ี ัมปยตุ ดว้ ยเหตุ คอื ธรรมท่ีสมั ปยุตด้วยเหตุ (เหตุสัมปยตุ ) คกู่ ับ ธรรมทไ่ี มส่ ัมปยุตดว้ ยเหตุ (เหตวุ ิปปยุต) (๔) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเี่ ป็นเหตุและมีเหตุ คอื ธรรมทีเ่ ป็นเหตุและมเี หตุ ค่กู บั ธรรมที่มเี หตุ แตม่ ิใชเ่ หตุ (๕) หมวด ๒ แหง่ ธรรมท่เี ป็นเหตุและสมั ปยตุ ดว้ ยเหตุ คือ ธรรมทีเ่ ปน็ เหตแุ ละสมั ปยตุ ด้วยเหตุ คู่กบั ธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ แต่มิใช่เหตุ (๖) หมวด ๒ แห่งธรรมทมี่ ิใชเ่ หตุ แตม่ เี หตุ คือ ธรรมท่มี ิใชเ่ หตุ แตม่ เี หตุ คกู่ บั ธรรมที่มใิ ช่เหตุ และไมม่ ีเหตุ ๑ ความจริงในที่น้ันก็มีข้อความพิสดารอยู่เหมือนกัน แต่ได้ย่อกล่าวไว้เพียงบางบท แต่ถือโอกาสน�ำหัวข้อท่ีมิได้ กลา่ วไวใ้ นท่ีนัน้ มากลา่ วใหเ้ ตม็ อกี ครง้ั หน่งึ ในที่นี้ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1128 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๒ ปัฏฐาน ภาค ๓ 1129 ๒. กลุ่มธรรม ๒ ข้อท่ีไมส่ มั พนั ธ์กนั คูน่ ้อย หรือจูฬนั ตรทกุ ะมี ๗ คู่ (๑) หมวด ๒ แห่งธรรมท่ีมีปัจจัย คอื ธรรมทีม่ ีปจั จยั (สปั ปจั จยะ) คูก่ ับ ธรรมทไี่ มม่ ปี จั จยั (อัปปจั จยะ) (๒) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง คอื ธรรมท่ปี ัจจยั ปรุงแต่ง (สังขตะ) คู่กับ ธรรมทีไ่ มม่ ีปจั จัยปรุงแต่ง (อสังขตะ) (๓) หมวด ๒ แหง่ ธรรมท่เี ห็นได้ คือ ธรรมทเ่ี หน็ ได้ (สนทิ ัสสนะ) คกู่ ับ ธรรมที่เหน็ ไมไ่ ด้ (อนิทัสสนะ) (๔) หมวด ๒ แห่งธรรมทถ่ี กู ตอ้ งได้ คอื ธรรมทถ่ี กู ตอ้ งได้ (สัปปฏฆิ ะ) คู่กบั ธรรมที่ถูกตอ้ งไมไ่ ด้ (อปั ปฏิฆะ) (๕) หมวด ๒ แห่งธรรมที่มีรูป คือ ธรรมท่มี รี ูป (รูป)ี ค่กู บั ธรรมท่ีไม่มี รปู (อรูป)ี (๖) หมวด ๒ แห่งธรรมทเี่ ปน็ โลกิยะ คือ ธรรมทีเ่ ป็นโลกยิ ะ คู่กับ ธรรมท่ี เปน็ โลกตุ ตระ (๗) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทีบ่ างคนพงึ รู้ได้ คือ ธรรมทบ่ี างคนพงึ ร้ไู ด้ (เกนจิ วญิ เญยยะ) คกู่ ับ ธรรมทบี่ างคนไมพ่ งึ รไู้ ด้ (เกนจิ น วิญเญยยะ) ๓. กล่มุ อาสวะ คอื กิเลสท่ดี องสันดาน หรอื อาสวโคจฉกะมี ๖ คู่ (๑) หมวด ๒ แหง่ อาสวะ คอื อ ิภธัมม ิปฎก ธรรมท่เี ป็นอาสวะ คู่กับ ธรรมทีม่ ใิ ชอ่ าสวะ (๒) หมวด ๒ แห่งธรรมทีม่ ีอาสวะ คอื ธรรมทมี่ อี าสวะ (สาสวะ) คู่กบั ธรรมท่ไี มม่ อี าสวะ (อนาสวะ) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1129 5/4/18 2:26 PM

1130 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๓) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทสี่ ัมปยตุ ด้วยอาสวะ คอื ธรรมทสี่ มั ปยตุ ด้วยอาสวะ (อาสวสมั ปยตุ ) คู่กบั ธรรมที่ไม่สัมปยุตดว้ ยอาสวะ (อาสววิปปยตุ ) (๔) หมวด ๒ แห่งธรรมทีเ่ ป็นอาสวะ แต่ไม่มอี าสวะ คอื ธรรมทีเ่ ป็นอาสวะ แตไ่ มม่ ีอาสวะ คู่กบั ธรรมที่มีอาสวะ แตไ่ มเ่ ป็นอาสวะ (๕) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเ่ี ปน็ อาสวะและสมั ปยุตด้วยอาสวะ คือ ธรรมทเี่ ปน็ อาสวะและสมั ปยตุ ดว้ ยอาสวะ ค่กู ับ ธรรมทไี่ ม่สมั ปยุตด้วยอาสวะ และไมม่ ีอาสวะ (๖) หมวด ๒ แห่งธรรมท่ีไม่สัมปยตุ ด้วยอาสวะ แตม่ ีอาสวะ คือ ธรรมทไี่ ม่สัมปยุตดว้ ยอาสวะ แตม่ อี าสวะ ค่กู บั ธรรมท่ีไมส่ มั ปยุตดว้ ยอาสวะ และไม่มอี าสวะ ๔. กลมุ่ สัญโญชน์ คอื กเิ ลสที่ผกู มัด หรือสัญโญชนโคจฉกะมี ๖ คู่ (๑) หมวด ๒ แห่งสัญโญชน์ คือ ธรรมที่เปน็ สัญโญชน์ คูก่ ับ ธรรมทม่ี ใิ ช่สญั โญชน์ (๒) หมวด ๒ แห่งธรรมเปน็ ที่ตั้งแห่งสญั โญชน์ คอื ธรรมเปน็ ท่ตี งั้ แห่งสญั โญชน์ (สัญโญชนยี ะ) คกู่ บั ธรรมไมเ่ ปน็ ที่ต้ังแหง่ สัญโญชน์ (อสัญโญชนียะ) (๓) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่สมั ปยตุ ดว้ ยสญั โญชน์ คือ ธรรมทส่ี ัมปยตุ ด้วยสญั โญชน์ (สญั โญชนสมั ปยุต) คู่กับ ธรรมท่ีไมส่ มั ปยุตดว้ ยสญั โญชน์ (สญั โญชนวิปปยุต) (๔) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่เป็นสญั โญชน์ และเปน็ ทตี่ งั้ แห่งสัญโญชน์ คอื ธรรมที่เป็นสัญโญชน์และเป็นทต่ี งั้ แห่งสัญโญชน์ คกู่ บั ธรรมท่ีเป็นท่ีตั้งแห่งสญั โญชน์ แต่มิใชส่ ัญโญชน์ (๕) หมวด ๒ แห่งธรรมทีเ่ ป็นสัญโญชน์ และสมั ปยุตดว้ ยสัญโญชน์ คอื ธรรมที่เป็นสญั โญชน์ และสมั ปยุตด้วยสญั โญชน์ คู่กับ ธรรมทสี่ มั ปยุตด้วยสญั โญชน์ แต่มใิ ชส่ ัญโญชน์ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1130 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๒ ปัฏฐาน ภาค ๓ 1131 (๖) หมวด ๒ แห่งธรรมทไี่ มส่ ัมปยตุ ดว้ ยสัญโญชน์ แต่เปน็ ท่ตี ้งั แห่งสญั โญชน์ คือ ธรรมที่ไม่สมั ปยตุ ดว้ ยสญั โญชน์ แตเ่ ป็นทตี่ ั้งแหง่ สญั โญชน์ คกู่ บั ธรรมท่ไี ม่สัมปยุตด้วยสญั โญชน์ และไม่เป็นท่ีตงั้ แห่งสญั โญชน์ ๕. กลมุ่ คันถะ คอื กิเลสทรี่ อ้ ยรดั หรอื คนั ถโคจฉกะมี ๖ คู่ มวี ธิ จี ดั ประเภทอย่างเดียวกนั กับข้อ ๔ กลุ่มสัญโญชน์ ต่างแตเ่ ปลย่ี นค�ำวา่ สัญโญชน์ เปน็ คนั ถะ เทา่ นน้ั ๖. กล่มุ โอฆะ คอื กิเลสท่ที �ำสัตวใ์ ห้จมลงในวัฏฏะ คอื ความเวยี นวา่ ยตายเกดิ หรอื โอฆโคจฉกะ มี ๖ คู่ มวี ธิ จี ดั ประเภทอยา่ งเดียวกบั สัญโญชน์ ๗. กลมุ่ โยคะ คอื กเิ ลสเครื่องประกอบหรือผกู สตั วไ์ ว้ในวฏั ฏะ หรอื โยคโคจฉกะ มี ๖ คู่ มวี ิธจี ดั ประเภทอยา่ งเดียวกบั กลุ่มสัญโญชน์ ๘. กลมุ่ นวี รณ์ คือกเิ ลสอันก้ันจิต หรือนีวรณโคจฉกะ มี ๖ คู่ มวี ธิ จี ดั ประเภทอย่างเดยี วกับสญั โญชน์ ๙. กลุ่มปรามาส คอื กิเลสเครอ่ื งจับต้องในทางท่ผี ิดความจริง มี ๕ คู่ (๑) หมวด ๒ แห่งปรามาส คอื ธรรมที่เป็นปรามาส คกู่ บั ธรรมทมี่ ิใช่ ปรามาส (๒) หมวด ๒ แห่งธรรมท่ถี ูกจับต้อง คือ ธรรมทีถ่ กู จบั ตอ้ ง (ปรามฏั ฐะ) คู่กับ อ ิภธัมม ิปฎก ธรรมทไ่ี ม่ถกู จับตอ้ ง (อปรามฏั ฐะ) (๓) หมวด ๒ แห่งธรรมท่สี ัมปยตุ ด้วยปรามาส คอื ธรรมทีส่ มั ปยตุ ด้วยปรามาส (ปรามาสสมั ปยุต) ค่กู ับ ธรรมที่ไมส่ ัมปยุตดว้ ยปรามาส (ปรามาสวิปปยุต) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1131 5/4/18 2:26 PM

1132 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๔) หมวด ๒ แห่งธรรมท่ีเป็นปรามาสและถกู จับต้อง คอื ธรรมทเ่ี ปน็ ปรามาสและถูกจับตอ้ ง คกู่ ับ ธรรมทถ่ี ูกจบั ตอ้ ง แต่ไมเ่ ปน็ ปรามาส (๕) หมวด ๒ แห่งธรรมที่ไม่สัมปยุตด้วยปรามาส แตถ่ กู จบั ต้อง คือ ธรรมทีไ่ มส่ มั ปยตุ ด้วยปรามาส แต่ถกู จบั ตอ้ ง คกู่ ับ ธรรมทไ่ี มส่ มั ปยุตดว้ ยปรามาส และไม่ถูกจับต้อง จบความยอ่ แหง่ พระไตรปิฎก เลม่ ๔๒ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1132 5/4/18 2:26 PM

เลม่ ๔๓ ปฏั ฐาน ภาค ๔ อนุโลมทกุ ปฏั ฐาน (ปจั จัยแหง่ ธรรมหมวด ๒ กลา่ วไปตามล�ำดับ) ตอนปลาย เล่มน้ียังว่าด้วยปัจจัยแห่งธรรมะหมวด ๒ ตามล�ำดับ (อนุโลมทุกปัฏฐาน) ต่อมา จากเล่ม ๔๒ เป็นแต่ได้น�ำข้อธรรมในหมวด ๒ ตอนต่อไปมาต้ังเป็นบทยืน อธิบายให้ ผสมกลมกลนื กับเรื่องปจั จัย ฉะนัน้ ในที่น้จี ะแสดงหวั ขอ้ ตอ่ มาจากเลม่ ๔๒ ธรรมหมวด ๒ (ต่อ) ๑๐. กลมุ่ ธรรม ๒ ขอ้ ทไี่ ม่สมั พนั ธ์กัน คใู่ หญ่ หรอื มหนั ตรทุกะ ๑๔ คู่ (๑) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่มีอารมณ์ คือ ธรรมท่มี อี ารมณ์ (สารัมมณะ) คกู่ บั ธรรมท่ไี มม่ อี ารมณ์ (อนารัมมณะ) (๒) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเี่ ป็นจิต คอื ธรรมท่เี ปน็ จิต คกู่ ับ ธรรมทมี่ ใิ ชจ่ ิต (โน จติ ตะ) (๓) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเ่ี ปน็ เจตสกิ คือ ธรรมทีเ่ ปน็ เจตสกิ ค่กู ับ ธรรมท่ีมใิ ช่เจตสกิ (๔) หมวด ๒ แห่งธรรมท่สี ัมปยตุ ด้วยจติ คือ ธรรมทส่ี มั ปยตุ ดว้ ยจติ (จติ ตสัมปยตุ ) ค่กู บั ธรรมที่ไมส่ ัมปยตุ ด้วยจติ (จิตตวิปปยุต) (๕) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทร่ี ะคนด้วยจติ คอื ธรรมทรี่ ะคนดว้ ยจิต (จติ ตสงั สฏั ฐะ) คกู่ บั ธรรมท่ไี มร่ ะคนด้วยจิต (จติ ตวสิ งั สฏั ฐะ) (๖) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทีม่ จี ิตเปน็ สมุฏฐาน คอื ธรรมที่มจี ิตเปน็ สมุฏฐาน ค่กู บั ธรรมทไ่ี ม่มีจติ เป็นสมฏุ ฐาน (โน จิตตสมฏุ ฐานะ) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1133 5/4/18 2:26 PM

1134 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๗) หมวด ๒ แห่งธรรมทเี่ กิดพร้อมกับจติ คือ ธรรมทเ่ี กดิ พร้อมกับจิต (จติ ตสหภู) คกู่ ับ ธรรมท่ีไมเ่ กิดพร้อมกับจติ (๘) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทีห่ มนุ ไปตามจติ คือ ธรรมท่หี มุนไปตามจิต (จิตตานปุ ริวตั ต)ี ค่กู ับ ธรรมทีไ่ มห่ มนุ ไปตามจติ (๙) หมวด ๒ แหง่ ธรรมท่มี ธี รรมอันระคนด้วยจิตเป็นสมฏุ ฐาน คือ ธรรมทมี่ ธี รรมอนั ระคนดว้ ยจติ เปน็ สมฏุ ฐาน (จติ ตสงั สฏั ฐสมฏุ ฐานะ) คกู่ ับ ธรรมที่ไมม่ ธี รรมอนั ระคนด้วยจิตเปน็ สมฏุ ฐาน (๑๐) หมวด ๒ แห่งธรรมท่ีเกิดพร้อมกัน มีธรรมท่ีระคนด้วยจิตเป็นสมุฏฐาน คือ ธรรมที่เกิดพร้อมกันมีธรรมท่ีระคนด้วยจิตเป็นสมุฏฐาน (จิตต สงั สัฏฐสมฏุ ฐานสหภ)ู คกู่ บั ธรรมทไ่ี มเ่ ปน็ เช่นนัน้ (๑๑) หมวด ๒ แห่งธรรมที่หมนุ ไปตาม มธี รรมทรี่ ะคนด้วยจติ เปน็ สมุฏฐาน คือ ธรรมท่ีหมุนไปตาม มีธรรมท่ีระคนด้วยจิตเป็นสมุฏฐาน (จิตต สงั สฏั ฐสมฏุ ฐานานุปริวตั ตี) คู่กบั ธรรมทไ่ี ม่เปน็ เชน่ นั้น (๑๒) หมวด ๒ แห่งธรรมที่เป็นภายใน คอื ธรรมทเี่ ป็นภายใน (อัชฌตั ตกิ ะ) คกู่ ับ ธรรมท่เี ป็นภายนอก (พาหิระ) (๑๓) หมวด ๒ แห่งธรรมคอื ความยดึ ถือ คือ ธรรมคอื ความยดึ ถือ (อุปาทา) คู่กับ ธรรมคอื ความไม่ยึดถอื (อนุปาทา) (๑๔) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่ถกู ยดึ ถอื คือ ธรรมท่ีถูกยึดถือ (อปุ าทนิ นะ) คกู่ ับ ธรรมทไี่ มถ่ กู ยึดถอื (อนปุ าทินนะ) ๑๑. กลมุ่ อปุ าทาน หรืออปุ าทานโคจฉกะ มี ๖ คู่ กลุ่มนี้ว่าด้วยอุปาทาน คือกิเลสเป็นเหตุยึดถือ แบ่งออกเป็น ๖ คู่ มีวิธีจัดประเภท เหมอื นกล่มุ สัญโญชน์ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1134 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๓ ปัฏฐาน ภาค ๔ 1135 ๑๒. กลุม่ กเิ ลส หรอื กเิ ลสโคจฉกะ มี ๘ คู่ อ ิภธัมม ิปฎก (๑) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่เปน็ กเิ ลส คอื ธรรมทเ่ี ปน็ กเิ ลส คู่กับ ธรรมที่ไมเ่ ป็นกเิ ลส (๒) หมวด ๒ แห่งธรรมอนั เปน็ ท่ตี งั้ แห่งความเศร้าหมอง คอื ธรรมอนั เป็นทีต่ งั้ แหง่ ความเศรา้ หมอง (สงั กิเลสกิ ะ) คูก่ บั ธรรมอันไมเ่ ปน็ ท่ีต้งั แห่งความเศรา้ หมอง (อสงั กิเลสิกะ) (๓) หมวด ๒ แห่งธรรมทเ่ี ศรา้ หมอง คือ ธรรมทเ่ี ศร้าหมอง (สังกิลฏิ ฐะ) คู่กบั ธรรมที่ไม่เศร้าหมอง (อสังกิลิฏฐะ) (๔) หมวด ๒ แหง่ ธรรมอันสมั ปยุตด้วยกิเลส คือ ธรรมที่สัมปยุตดว้ ยกิเลส (กิเลสสมั ปยตุ ) คู่กบั ธรรมทไ่ี มส่ ัมปยุตด้วยกิเลส (กิเลสวปิ ปยุต) (๕) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเ่ี ป็นกิเลสและเป็นท่ีตั้งแห่งความเศรา้ หมอง คือ ธรรมที่เป็นกเิ ลสและเปน็ ทีต่ ั้งแห่งความเศร้าหมอง คกู่ ับ ธรรมทเ่ี ปน็ ท่ีตัง้ แหง่ ความเศร้าหมอง แต่มใิ ชก่ เิ ลส (๖) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเ่ี ป็นกเิ ลสและที่เศรา้ หมอง คอื ธรรมท่เี ป็นกเิ ลสและทเี่ ศรา้ หมอง คกู่ ับ ธรรมท่เี ศร้าหมอง แต่มิใชก่ ิเลส (๗) หมวด ๒ แห่งธรรมท่ีเปน็ กเิ ลสและสัมปยตุ ดว้ ยกิเลส คอื ธรรมที่ป็นกเิ ลสและสมั ปยตุ ดว้ ยกเิ ลส คูก่ ับ ธรรมทส่ี มั ปยุตดว้ ยกเิ ลส แต่มใิ ช่กเิ ลส (๘) หมวด ๒ แห่งธรรมท่ีไมส่ มั ปยตุ ดว้ ยกเิ ลส แต่เป็นท่ตี ั้งแหง่ ความเศร้าหมอง คอื ธรรมทไ่ี ม่สัมปยุตด้วยกิเลส แตเ่ ปน็ ที่ต้ังแห่งความเศร้าหมอง คกู่ ับ ธรรมที่ไม่สัมปยุตด้วยกิเลส และไม่เป็นทต่ี ้งั แหง่ ความเศรา้ หมอง ๑๓. กลุ่มธรรม ๒ ข้อรัง้ ท้าย หรือปิฏฐทิ ุกะ มี ๑๘ คู่ (๑) หมวด ๒ แห่งทสั สนะ คอื ธรรมทพี่ ึงละด้วยทัสสนะ (ความเห็น) คกู่ ับ ธรรมที่ไม่พึงละดว้ ยทัสสนะ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1135 5/4/18 2:26 PM

1136 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๒) หมวด ๒ แหง่ ภาวนา คือ ธรรมท่ีพงึ ละด้วยภาวนา (การเจริญ) คกู่ ับ ธรรมทไ่ี ม่พึงละด้วยภาวนา (๓) หมวด ๒ แห่งธรรมทีม่ ีเหตุอนั พงึ ละด้วยทสั สนะ คอื ธรรมทีม่ ีเหตอุ นั พงึ ละดว้ ยทัสสนะ (ความเห็น) คกู่ ับ ธรรมทีไ่ ม่เปน็ เช่นนั้น (๔) หมวด ๒ แห่งธรรมทม่ี เี หตอุ ันพงึ ละด้วยภาวนา คือ ธรรมที่มเี หตุอันพึงละด้วยภาวนา (การเจรญิ ) คกู่ ับ ธรรมที่ไมเ่ ป็นเช่นน้ัน (๕) หมวด ๒ แห่งธรรมที่มีวติ ก คอื ธรรมทม่ี ีวติ ก (ความตรึก) คูก่ บั ธรรมท่ีไม่มีวติ ก (๖) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่มีวจิ าร คอื ธรรมทมี่ ีวิจาร (ความตรอง) คูก่ ับ ธรรมทไ่ี มม่ วี จิ าร (๗) หมวด ๒ แห่งธรรมท่มี ีปีติ คือ ธรรมที่มีปตี ิ (ความอ่ิมใจ) คกู่ บั ธรรมท่ไี มม่ ปี ตี ิ (อัปปีติกะ) (๘) หมวด ๒ แห่งธรรมทไ่ี ปกับปีติ คอื ธรรมทไี่ ปกบั ปีติ (ปตี ิสหคตะ) ค่กู ับ ธรรมทไ่ี ม่ไปกบั ปีติ (น ปตี ิสหคตะ) (๙) หมวด ๒ แห่งธรรมท่ไี ปกบั ความสขุ คอื ธรรมท่ีไปกับความสุข (สขุ สหคตะ) คู่กบั ธรรมทไ่ี มไ่ ปกับความสุข (น สขุ สหคตะ) (๑๐) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่ไปกบั อเุ บกขา คอื ธรรมทไ่ี ปกบั อเุ บกขา (ความวางเฉย) ค่กู ับ ธรรมทไ่ี ม่ไปกบั อเุ บกขา (น อุเปกขาสหคตะ) (๑๑) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเ่ี ป็นกามาวจร คือ ธรรมทเ่ี ปน็ กามาวจร (ท่องเท่ยี วไปในกาม) คู่กบั ธรรมท่ไี ม่เป็นกามาวจร PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1136 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๓ ปัฏฐาน ภาค ๔ 1137 (๑๒) หมวด ๒ แหง่ ธรรมที่เป็นรูปาวจร คือ ธรรมทเ่ี ปน็ รูปาวจร (ทอ่ งเทีย่ วไปในรูป) คกู่ บั ธรรมทไ่ี ม่เปน็ รปู าวจร (๑๓) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเี่ ปน็ อรปู าวจร คือ ธรรมทเี่ ป็นอรปู าวจร (ทอ่ งเท่ียวไปในอรูป) คกู่ บั ธรรมท่ีไม่เปน็ อรปู าวจร (๑๔) หมวด ๒ แห่งธรรมที่เป็นปริยาปันนะ๑ คอื ธรรมที่เปน็ ปรยิ าปันนะ (โลกิยะ) คูก่ บั ธรรมที่เป็นอปริยาปันนะ (โลกตุ ตระ) (๑๕) หมวด ๒ แหง่ ธรรมท่ีเป็นนยิ ยานกิ ะ คือ ธรรมท่ีเป็นนยิ ยานกิ ะ (นำ� ออกจากทกุ ข)์ คู่กับ ธรรมที่เปน็ อนยิ ยานิกะ (ไม่นำ� ออกจากทุกข)์ (๑๖) หมวด ๒ แห่งธรรมทเ่ี ปน็ นยิ ตะ คอื ธรรมทเี่ ป็นนยิ ตะ (แน่นอน) คกู่ บั ธรรมทเี่ ปน็ อนยิ ตะ (ไมแ่ น่นอน) (๑๗) หมวด ๒ แห่งธรรมท่เี ป็นสอตุ ตระ คอื ธรรมที่เปน็ สอตุ ตระ (มธี รรมอ่ืนยิ่งกวา่ ) คกู่ ับ ธรรมที่เปน็ อนตุ ตระ (ไมม่ ธี รรมอ่ืนยง่ิ กว่า) (๑๘) หมวด ๒ แหง่ ธรรมทเ่ี ปน็ สรณะ คอื ธรรมท่ีเป็นสรณะ (มีขา้ ศึก) คกู่ บั ธรรมท่เี ปน็ อรณะ (ไม่มขี า้ ศกึ ) เพี่อความเข้าใจย่ิงข้ึน เฉพาะบางค�ำ โปรดย้อนไปดูข้อความในหน้า ๑๒๗ - ๑๒๙ หมายเลข ๘๖ - ๙๔ ประกอบดว้ ย) จบความยอ่ แห่งพระไตรปิฎก เล่ม ๔๓ อ ิภธัมม ิปฎก ๑ มีค�ำอธิบายว่า กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ อัพยากฤตฝ่ายกิริยาในภูมิ ๓ และรูปท้ังปวงเป็น ธรรมฝ่าย โลกิยะ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน เป็นธรรมฝ่ายโลกุตตระ ค�ำว่า ภูมิ ๓ หมายถึง กามาวจร รปู าวจร และอรปู าวจร PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1137 5/4/18 2:26 PM

เล่ม ๔๔ ปัฏฐาน ภาค ๕ (ได้กล่าวไวแ้ ลว้ ในหนา้ ๑๑๑๓ วา่ พระไตรปฎิ ก เลม่ ๔๔ ว่าด้วยธรรมหมวด ๒ กบั หมวด ๓ ผสมกัน ธรรมหมวด ๓ กับหมวด ๒ ผสมกัน ธรรมหมวด ๓ กบั หมวด ๓ ผสมกัน ธรรมหมวด ๒ กับหมวด ๒ ผสมกัน โดยใช้ธรรมะในคัมภีร์ธัมมสังคณีเป็นบทตั้งเช่นเดิม ในที่น้จี ะแสดงตัวอย่างให้เหน็ หมวด ๒ ข้อ ดังต่อไปน)ี้ ๑. ธรรมหมวด ๒ กับหมวด ๓ ผสมกนั (อนโุ ลมทกุ ติกปัฏฐาน) เพราะอาศัยธรรมอันเป็นเหตุ อันเป็นกุศล จึงเกิดธรรมอันเป็นเหตุ อันเป็นกุศล เพราะเหตุเป็นปัจจัย ฯ ล ฯ (พึงสังเกตว่า ธรรมอันเป็นเหตุ เป็นธรรมในหมวด ๒ ธรรมอันเป็นกุศล เป็นธรรม ในหมวด ๓ ในท่ีน้ีกล่าวถึงธรรมท่ีเป็นท้ังเหตุ เป็นท้ังกุศลผสมกัน เช่น อาศัย อโลภะ ซึ่ง เปน็ ทั้งเหตทุ ้งั กศุ ล เกดิ อโทสะ หรือ อโมหะ ซงึ่ เป็นทง้ั เหตทุ ้ังกศุ ล) ๒. ธรรมหมวด ๓ กบั หมวด ๒ ผสมกนั (อนุโลมตกิ ทกุ ปฏั ฐาน) เพราะอาศัยธรรมอันเป็นกุศล อันเป็นเหตุ จึงเกิดธรรมอันเป็นกุศล อันเป็นเหตุ เพราะเหตเุ ป็นปจั จยั ฯ ล ฯ (พึงสังเกตว่า ธรรมอันเป็นกุศล เป็นธรรมในหมวด ๓ ธรรมอันเป็นเหตุ เป็นธรรม ในหมวด ๒ เป็นแต่ในท่ีนี้น�ำธรรมในหมวด ๓ มาเรียงไว้ก่อน เน้ือหาก็คงเป็นเช่นเดียวกับ ขอ้ ๑) ๓. ธรรมหมวด ๓ กับหมวด ๓ ผสมกนั (อนโุ ลมตกิ ติกปัฏฐาน) เพราะอาศัยธรรมอันเป็นกุศล อันสัมปยุตด้วยสุขเวทนา จึงเกิดธรรมอันเป็นกุศล อนั สัมปยตุ ดว้ ยสุขเวทนา เพราะเหตเุ ปน็ ปจั จยั ฯ ล ฯ (พึงสังเกตว่า ธรรมอันเป็นกุศล เป็นธรรมในหมวด ๓ ธรรมอันสัมปยุตด้วย สุขเวทนา กเ็ ปน็ ธรรมในหมวด ๓) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1138 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๔๔ ปัฏฐาน ภาค ๕ 1139 ๔. ธรรมหมวด ๒ กับหมวด ๒ ผสมกนั (อนุโลมทกุ ทกุ ปัฏฐาน) เพราะอาศัยธรรมอันเป็นเหตุ อันมีเหตุ จึงเกิดธรรมอันเป็นเหตุ อันมีเหตุ เพราะ เหตเุ ป็นปัจจัย ฯ ล ฯ (พึงสังเกตว่า ธรรมอันเป็นเหตุ เป็นธรรมในหมวด ๒ ธรรมอันมีเหตุ ก็เป็นธรรม ในหมวด ๒) จบความย่อแหง่ พระไตรปิฎก เล่ม ๔๔ อ ิภธัมม ิปฎก PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1139 5/4/18 2:26 PM

เลม่ ๔๕ ปัฏฐาน ภาค ๖ (ได้กล่าวไว้แล้วในหน้า ๑๑๑๓ เช่นกันว่า ในเล่ม ๔๕ นี้ แบ่งออกเป็น ๓ หัวข้อ คือ (๑) ปัจจนียปัฏฐาน ปฏิเสธท้ังฝ่ายที่ถูกอาศัยและฝ่ายท่ีเกิดข้ึน (๒) อนุโลมปัจจนีย ปัฏฐาน ปฏิเสธเฉพาะธรรมท่ีเกิด (๓) ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน ปฏิเสธเฉพาะธรรมท่ีถูกอาศัย ดังจะแสดงตวั อยา่ งให้เหน็ ดังตอ่ ไปนี)้ ๑. ปัจจนยี ปฏั ฐาน (ปฏิเสธท้ังฝา่ ยทีถ่ ูกอาศัยทงั้ ฝ่ายท่เี กดิ ขึ้น) เพราะอาศัยธรรมท่ีมิใช่กุศล (น กุสลํ ธมฺมํ) จึงเกิดธรรมที่มิใช่กุศล เพราะเหตุเป็น ปัจจัย ฯ ล ฯ ๒. อนโุ ลมปจั จนยี ปฏั ฐาน (ปฏิเสธเฉพาะธรรมที่เกดิ ) เพราะอาศัยธรรมที่เป็นกุศล จึงเกิดธรรมที่มิใช่กุศล (น กุสโล ธมฺโม) เพราะเหตุ เป็นปัจจยั (พึงสังเกตว่า ค�ำว่า ธรรมท่ีมิใช่กุศล มิใช่หมายความว่า ธรรมที่เป็นอกุศล เท่านั้น เพราะธรรมท่ีมิใช่กุศล อาจหมายถึงธรรมอื่น ๆ อะไรก็ได้ท่ีมิใช่กุศลก็แล้วกัน เช่น อัพยากต ธรรม ขอยกตัวอย่างประกอบเช่น มิใช่สีขาว ไม่จ�ำเป็นต้องหมายความว่า สีด�ำ เท่าน้ัน จะเป็น สีแดง สเี หลอื ง กอ็ ยใู่ นประเภท มิใช่สีขาว ดว้ ย) ๓. ปัจจนยี านุโลมปฏั ฐาน (ปฏิเสธเฉพาะธรรมที่ถูกอาศยั ) เพราะอาศัยธรรมท่ีมใิ ช่กศุ ล จึงเกดิ ธรรมทเ่ี ป็นกศุ ล เพราะเหตเุ ป็นปจั จัย ฯ ล ฯ จบความย่อแหง่ พระไตรปิฎก เล่ม ๔๕ จบพระอภิธมั มปฎิ ก จบ พระไตรปฎิ กฉบับส�ำหรบั ประชาชน PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1140 5/4/18 2:26 PM

. PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1141 5/4/18 2:26 PM

. PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1142 5/4/18 2:26 PM

ขอผู้มีทกุ ข์ จงพน้ ทกุ ข์ ขอผู้มภี ยั จงพ้นภัย ขอผเู้ ศรา้ โศก จงหายเศร้าโศก ขอจงมคี วามสงบสุข โดยทวั่ กนั เทอญ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1143 5/4/18 2:26 PM

. PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 1144 5/4/18 2:26 PM


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook