85 มีความสาคัญไม่แพ้กัน ผู้สอนหรือผู้พัฒนาเว็บจึงจาเป็นต้องเข้าใจในหลักการออกแบบโครงสร้างเว็บ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการด้านเน้ือหาและการเรียนการสอนโดยนักเทคโนโลยีการศึกษาหลายท่าน ได้เสนอแนะการแบ่งโครงสร้างเว็บไซต์ออกเป็น 4 ลักษณะ Lynch and Horton. (1999) ได้แก่ ลักษณะเรียงลาดับ (Sequences) ลักษณะกริด (Grid) ลักษณะลาดับชั้นสูง/ต่า (Hierarchies) และ ลักษณะเว็บ (Web) และการแบ่งโครงสร้างเว็บไซต์ออกเป็น 3 ลักษณะของ (Graham et al.2001) ซึ่งได้แก่ลักษณะเชิงเส้น (Linear) ลักษณะเปิด (Open) และลักษณะผสมผสาน (Modular) ซ่ึงหลัก ในการออกแบบโครงสร้างเว็บประกอบดว้ ย (ถนอมพร (ตนั พพิ ัฒน์) เลาหจรสั แสง.2545: 127-131). 1. โครงสร้างลกั ษณะเรยี งลาดบั (Sequences) วิธีการท่ีธรรมดาที่สุดในการจัดระบบเนื้อหา คือ การวางเนื้อหาในลักษณะเรียงลาดับ การเรียงลาดับอาจเรียงตามเวลาหรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น จากท่ัว ๆ ไปถึงเจาะจง เรียงลาดับตาม ตัวอักษร เรียงตามประเภทของหัวข้อเน้ือหา ฯลฯ การเรียงลาดับในลักษณะเปิดไปเร่ือย ๆ น้ีเหมาะ กับเว็บไซต์การสอนท่ีมีเนื้อหาไม่มากนัก เพื่อบังคับให้ผู้เรียนเปิดหน้าเพื่อศึกษาเน้ือหาไปตามลาดับ ทีต่ ายตัว ภาพที่ 4.2 แสดงโครงสร้างลักษณะเรยี งลาดบั 1.1 โครงสรา้ งลกั ษณะกรดิ (Grid) การออกแบบลักษณะกริดเป็นวิธีการท่ีเหมาะสมสาหรับเนื้อหาในลักษณะท่ีส ามารถ ออกแบบใหค้ ู่ขนานกันไป ยกตัวอย่างเช่น การสอนเน้ือหาวิชาประวัติศาสตร์ซงึ่ เน้ือหาอาจแบ่งได้ตาม เวลา หรือยุค เช่น ยุคสุโขทัย ยุคกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น นอกจากนี้ยังแบ่งเนื้อหาได้ตามหัวข้อ ทางประวัติศาสตร์ที่เก่ียวข้อง เช่น ด้านวัฒนธรรม ด้านการปกครอง ด้านสังคม หรืออีกตัวอย่าง เกี่ยวกับเน้ือหาทางด้านไอทีซึ่งอาจแบ่งได้ตามนวัตกรรมใหม่ท่ีเกิดขึ้น เช่น อินเทอร์เน็ต e-Learning Virtual Reality ฯลฯ นอกจากนี้เนื้อหาเดียวกันอาจแบ่งออกตามหัวข้อที่เก่ียวข้อง เช่น ความหมาย ประวัตคิ วามเป็นมา ประโยชน์ ซึ่งเนือ้ หาท่เี หมาะสมกับการออกแบบโครงสร้างในลักษณะกรดิ จะต้อง มีโครงสร้างของหัวข้อย่อยร่วมกันผู้เรียนสามารถเลือกที่จะเข้าถึงเน้ือหาในมุมใดก็ได้ไม่ว่าจะบน ลา่ ง หรอื ซ้าย ขวา
86 ภาพที่ 4.3 แสดงโครงสร้างลักษณะกริด อย่างไรก็ดีผู้เรียนอาจสับสนกับการเข้าถึงเน้ือหาในลักษณะโครงสร้างแบบกริดได้หาก ผู้เรียนไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ในโครงสร้างหัวข้อย่อยท่ีใช้ร่วมกันอยู่ ดังน้ันโครงสร้างแบบกริด จะเหมาะกับผู้เรียนท่ีมีประสบการณ์ในหัวข้อน้ัน ๆ พอสมควรหรือการใช้โครงสร้างแบบกริ ดน้ี อาจต้องออกแบบใหม้ ีแผนทไี่ ซต์เพื่อให้ภาพของโครงสร้างเวบ็ ไซต์ท่ีชดั เจนแก่ผู้เรียน 1.2 โครงสร้างลกั ษณะลาดบั ช้นั (Hierarchies) การออกแบบโครงสร้างในลักษณะลาดบั ช้นั เป็นวิธีการทีเ่ หมาะสมท่ีสุดสาหรับเน้ือหาท่ี สลับซับซ้อน เพราะการออกแบบลักษณะน้ีทาให้การเข้าถึงเนื้อหาที่มีโครงสร้างซับซ้อนเป็นไปด้วย ความง่ายและรวดเร็วยิ่งข้ึนเพราะโครงสร้างลักษณะลาดับช้ันจะมีการแบ่งหมวดหมู่เน้ือหาท่ีชัดเจน ผู้ใช้เว็บส่วนใหญ่ก็มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับโครงสร้างเว็บไซต์ในลักษณะลาดับช้ันอยู่แล้ว เพราะ ทุกเว็บก็จะมีหน้าโฮมเพจก่อนเสมอแล้วจึงแบ่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ ต่อไปจากบนลงล่าง โครงสร้าง ลกั ษณะลาดับชน้ั นี้จะทาให้ผเู้ รียนมคี วามสะดวกในการเข้าถึงเน้ือหาที่ต้องการ ภาพที่ 4.4 แสดงโครงสรา้ งลักษณะลาดบั ช้ัน
87 อยา่ งไรก็ดีควรหลกี เลีย่ งการออกแบบโครงสร้างใน 2 ลักษณะ ได้แก่ โครงสร้างท่ตี ืน้ เกินไป ซึ่งหมายถึงโครงสร้างที่ประกอบไปด้วยการลิงค์จากหน้าหลักไปยังเน้ือหาที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน จานวนมาก ภาพที่ 4.5 แสดงโครงสรา้ งที่ตืน้ เกนิ ไป และโครงสร้างท่ีลึกจนเกินไปซ่ึงหมายถึงโครงสร้างซ่ึงทาให้ผู้เรียนจาเป็นต้องคลิกผ่านเมนู ย่อยทีซ่ อ่ นอย่หู ลายตอ่ หลายครัง้ จนกว่าจะพบเนอื้ หาทต่ี อ้ งการ ภาพที่ 4.6 แสดงโครงสรา้ งท่ีลึกเกนิ ไป จรงิ อยู่วา่ เนอื้ หาที่มคี วามสลับซับซ้อนต้องการโครงสรา้ งทม่ี ีความลกึ มากเปน็ ธรรมดา อย่างไรก็ดีผ้อู อกแบบไม่ควรบังคับใหผ้ เู้ รยี นต้องคลกิ ผา่ นหนา้ แลว้ หน้าเล่าเพื่อจะเขา้ สูเ่ น้ือหาท่ี ตอ้ งการ 1.3 โครงสรา้ งในลักษณะเวบ็ (Web) การออกแบบโครงสร้างในลักษณะเวบ็ เปน็ การออกแบบท่แี ทบจะไมไ่ ด้มีกฎเกณฑใ์ ด ๆ ในด้านของรูปแบบโครงสร้างเลยในโครงสร้างแบบเว็บจะเท่ากับการจาลองความคิดของคนที่มักจะมี ความต่อเน่ืองกันไปเร่ือย ๆ ซึ่งเหมือนกับการอนุญาตให้ผู้ใช้เลือกเน้ือหาที่ต้องการเช่ือมโยงตาม
88 ความถนัด ความต้องการความสนใจของตนเอง โครงสร้างในลักษณะเว็บจะเต็มไปดว้ ยลิงค์ท่ีมากมาย ทั้งกับเน้ือหาในเว็บไซต์เดียวกันหรือเว็บไซต์ภายนอกก็ตาม แม้ว่าเป้าหมายของการจัดระบบ โครงสร้างในเว็บก็เพ่ือการใช้ประโยชน์จากศักยภาพการเชื่อมโยงของเว็บ โครงสร้างในลักษณะนี้ อาจส่งผลให้เกิดความสับสนต่อผู้เรียนได้มากที่สุด นอกจากน้ียังเป็นวิธีที่ยากที่สุดในการนามาใช้จริง เพราะการเชื่อมโยงทีม่ ากจะทาให้ผูเ้ รยี นสบั สนและหลงทางไดง้ า่ ย โครงสรา้ งในลกั ษณะนี้จะเหมาะสม ท่ีสุดสาหรับเว็บไซต์เล็ก ๆ ซ่ึงเต็มไปด้วยลิงค์และเหมาะสาหรับผู้เรียนท่ีมีประสบการณ์ในเน้ือหา มาแล้วและต้องการเพิ่มเติมความรู้ในหัวข้อน้ัน ๆ ไม่ใช่เพ่ือการทาความเข้าใจพ้ืนฐานของเน้ือหาใด เน้ือหาหน่งึ ภาพที่ 4.7 แสดงโครงสร้างในลกั ษณะเวบ็ ในการออกแบบโครงสรา้ งเว็บไซตเ์ ราสามารถใช้โครงสร้างการนาเสนอเน้ือหามากกวา่ หนึ่ง โครงสร้างได้อย่างไรกด็ ีพบว่าผู้เรียนสว่ นใหญม่ ักจะเข้าถึงเนอ้ื หาในลักษณะไม่เปน็ เชิงเส้นตรง (non- linear) ดงั น้นั ผู้ออกแบบเว็บไซต์อาจไม่จาเปน็ ต้องจัดระบบการเรยี งลาดับเวบ็ เพจใหต้ ายตัวเสมอไป นอกจากนย้ี ังได้มีความพยายามในการแบง่ โครงสร้างเว็บไซตอ์ อกเปน็ 3 ลักษณะ ไดแ้ ก่ โครงสร้างเชิงเส้นตรง โครงสร้างเปิดและโครงสร้างลักษณะผสม Graham et al. (2001) อ้างอิงจาก ถนอมพร (ตันพิพฒั น์) เลาหจรสั แสง. (2545: 136-139). 1. โครงสร้างเชงิ เส้นตรง ผู้เรียนศึกษาเน้ือหาบทเรียนทีละหน้าไปเรื่อย ๆ ในลักษณะเส้นตรงแต่ในบางคร้ัง ผู้ออกแบบอาจจัดให้มีลิงค์ (การเชื่อมโยง) ไปยังหน้าอ่ืน ๆ ทั้งน้ีเพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนข้ามหน้าได้ โครงสร้างเชงิ เส้นตรงเหมาะสาหรับเว็บไซต์เล็ก ๆ ซึง่ มวี ตั ถุประสงค์ท่ตี ายตัวและชัดเจน เชน่ เวบ็ ไซต์ ซึ่งมีเน้ือหาในการสอนการใช้เว็บซึ่งออกแบบสาหรับการเรียนประมาณ 1–2 ช่ัวโมงและสาหรับ การศึกษาด้วยตนเองเพื่อการทบทวนภายหลัง การออกแบบในลักษณะเชิงเส้นตรงจะมีประโยชน์
89 สาหรับผู้เรียนซึ่งอาจไม่มีประสบการณ์ในการท่องเว็บเร่ิมต้นกับการใช้เว็บหรือผู้เรีย นซ่ึงขาดความ ม่ันใจในการตัดสินใจเลือกทางเดินในการเข้าถึงเน้ือหาเพื่อการเรียนรู้ของตน โครงสร้างในลักษณะ ตายตัวเช่นนี้จะทาหน้าท่ีนาทางผู้เรียนและทาให้ผู้เรียนรู้สึกพอใจท่ีได้เรียนทุกเนื้อหาได้ครบถ้วน สมบูรณ์โดยไม่ต้องเกรงว่าจะข้ามเนื้อหาใดไปหรือไม่อย่างไร โครงสร้างในลักษณะน้ีเหมาะสาหรับ ผู้เรียนท่ชี อบรูปแบบการเรียนในลักษณะมีผู้ชน้ี า (Directed Learning) มากกวา่ ผู้เรียนทช่ี อบรูปแบบ การเรียนในลักษณะการเลือกเรียนด้วยตนเอง (Autonomous Learning) อย่างไรก็ตามข้อพึงระวัง จากการใช้โครงสร้างในเว็บไซต์ในลักษณะน้ีก็คือ ผู้เรียนท่ีมีประสบการณ์และมีความม่ันใจตนเอง จะรูส้ ึกอึดอัดและถ้าใชม้ ากเกินไปจะทาให้จากัดการเรยี นในลกั ษณะผเู้ รียนเปน็ ศนู ย์กลาง ภาพที่ 4.8 แสดงโครงสรา้ งเชิงเสน้ ตรง 2. โครงสรา้ งลกั ษณะเปดิ โครงสรา้ งเวบ็ ไซตใ์ นลกั ษณะเปิดจดั หาทางเลือกหลายทางซึ่งไมต่ ายตัวแก่ผู้เรยี นในการเข้า สู่เนื้อหา หมายความว่าเว็บเพจจานวนมากในโครงสร้างแบบเปิดจะมีลิงค์ให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึง ได้อย่างอิสระไม่มีทางเข้าสู่เน้ือหาท่ีแน่นอน ซ่ึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเลือกเข้าสู่เน้ือหา ทีต่ ้องการได้ตามความสนใจ และเป็นผ้คู วบคมุ การเรยี นของตนเอง โครงสร้างลักษณะน้ีเหมาะสาหรับ ผู้เรียนที่มีประสบการณ์และมีความม่ันใจท่ีจะควบคุมการเรียนของตน รวมท้ังมีทักษะในการใช้เว็บ เพื่อการเรียนรู้ดว้ ยตนเองอยา่ งไรก็ตามข้อพึงระวังจากการใช้โครงสร้างเว็บไซต์ในลกั ษณะนี้คือผู้เรยี น อาจเกิดความสับสนและท้อแท้กับการเรียนได้ นอกจากนี้โครงสร้างในลักษณะเปิดจะไม่เหมาะกับ ผ้เู รียนทช่ี อบเรียนเนือ้ หาใหค้ รบถว้ นสมบูรณ์
90 ภาพท่ี 4.9 แสดงโครงสร้างลักษณะเปดิ 3. โครงสรา้ งในลักษณะผสมผสาน โครงสร้างในลกั ษณะผสมผสาน จะผสมคณุ ลักษณะของทง้ั ลักษณะเชงิ เสน้ ตรงและลักษณะ เปิดเข้าด้วยกันโดยโครงสร้างลักษณะผสมผสานจะจัดหาทางเลือกซ่ึงในลักษณะเชิงเส้นตรงไม่มี รวมท้ังเพ่ิมความชัดเจนของโครงสร้างซ่ึงเป็นคุณสมบัติท่ีขาดหายไปจากโครงสร้างในลักษณะเปิด ผู้เรียนจะได้รับทางเลือกในการทากิจกรรมการเรียนหรือการเลือกเนื้อหาท่ีต้องการจะศึกษาแต่ จะเรียนรเู้ นื้อหาแตล่ ะสว่ นในลักษณะเสน้ ตรง ภาพท่ี 4.10 แสดงโครงสร้างลกั ษณะผสมผสาน
91 โครงสร้างลักษณะผสมผสานเหมาะสาหรับผู้เรียนซึ่งคละระดับของประสบการณ์ในการใช้ เว็บและประสบการณ์ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้หว้างขวางท่ีสุด อย่างไรก็ตามข้อพึงระวังจากการใช้ในลักษณะน้ีก็คือ ความไม่สม่าเสมอของโครงสร้างอาจทาให้เกิด ความเบื่อหนา่ ยจากผู้เรียนและทาใหผ้ ู้เรียนขาดความกระตือรอื ร้นในการเรยี นรู้ได้ จากหลักการออกแบบโครงสร้างเว็บการเรียนการสอนที่กล่าวมานั้นทาให้เห็นว่าลักษณะ โครงสร้างของเว็บการเรียนการสอนแต่ละโครงสร้างมีความสอดคล้องเหมาะสมกับรูปแบบการจัด การเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ซ่ึงผู้ออกแบบจะต้องให้ความสาคัญกับองค์ประกอบของโครงสร้าง ในการทางานเป็นอยา่ งดี การออกแบบและพัฒนาการเรยี นการสอนผ่านเวบ็ การออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นปัจจัยสาคัญท่ีจะทาให้ผู้เรียน สามารถเขา้ ถึงเน้ือหาการเรียนได้อย่างถูกต้องและสามารถเรียนรู้ได้อย่างตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ ในการ ออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอนผ่านเว็บน้ัน มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ข้อเสนอแนะ เพ่ือเปน็ แนวทางในการออกแบบและพฒั นา ดงั น้ี ดลิ ลอน (Dillon.1991 อา้ งอิงจาก อโนชา อุทมุ สกลุ รัตน์, 2549: 27) ได้ให้แนวคดิ เก่ียวกับ ข้ันตอนในการสร้างบทเรียนท่ีมีลักษณะเป็นส่ือหลายมิติ (Hypermedia) ซึ่งหลักการน้ีสามารถนาไป ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการออกแบบและพฒั นาเวบ็ เพือ่ การเรยี นการสอน แนวคิดดงั กลา่ วมขี น้ั ตอน ดังนี้ 1. ศึกษาเกี่ยวกบั ผเู้ รียนและเน้อื หาที่จะนามาพัฒนาเพ่ือกาหนดวัตถปุ ระสงค์และหา แนวทางในการจดั กจิ กรรมการเรยี น 2. วางแผนเกย่ี วกบั การจดั รปู แบบโครงสรา้ งของเน้ือหา ศึกษาคุณลกั ษณะของเนือ้ หาท่จี ะ นามาใช้เป็นบทเรยี นวา่ ควรจะนาเสนอในลกั ษณะใด 3. ออกแบบโครงสรา้ งเพ่อื การเข้าถงึ ข้อมูลอย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยผูอ้ อกแบบควรศึกษา ทาความเข้าใจกับโครงสร้างของบทเรียนแบบต่าง ๆ โดยพิจารณาจากลักษณะผู้เรียนและเน้ือหา วา่ โครงสร้างลกั ษณะใดจะเอื้ออานวยตอ่ การเข้าถึงข้อมูลของผูเ้ รยี นได้ดีที่สุด 4. ทดสอบรูปแบบเพือ่ หาขอ้ ผิดพลาด จากน้ันทาการปรับปรงุ แก้ไขและทดสอบซา้ อีกครง้ั จนแนใ่ จว่าเปน็ บทเรยี นท่มี ปี ระสิทธภิ าพกอ่ นท่ีจะนาไปใชง้ าน ปทปี เมธาคณุ วุฒิ, (2540) กลา่ วถงึ ข้ันตอนการออกแบบการเรียนการสอนผา่ นเว็บไว้ ดังนี้ 1. กาหนดวัตถุประสงคข์ องการเรยี นการสอน 2. วเิ คราะห์ผเู้ รยี น 3. ออกแบบเนื้อหารายวชิ าซ่ึงในการออกแบบเนื้อหารายวชิ าน้นั จาเป็นต้องมเี น้ือหาตาม
92 หลกั สตู รและสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผู้เรียน จดั ลาดบั เนื้อหา จาแนกหวั ข้อตามหลกั การเรยี นรู้ และลักษณะเฉพาะในแต่ละหัวข้อพร้อมทั้งกาหนดระยะเวลาและตารางการศึกษา ในแต่ละหัวข้อ รวมถึงวธิ ีการศึกษาการใชส้ ื่อประกอบการสอน การประเมินผล 4. กาหนดกจิ กรรมการเรยี นการสอน 5. เตรียมความพรอ้ มโดยจัดสภาพแวดลอ้ มการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ สารวจแหล่ง ทรัพยากรสนับสนุนการเรียนการสอนท่ีผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงได้กาหนดสถานท่ีและอุปกรณ์ท่ี ให้บริการและที่ต้องใช้ สร้างแฟ้มข้อมูลเนื้อหาวิชาเสริมการเรียนการสอนสาหรับการถ่ายโอน แฟม้ ข้อมูล 6. ปฐมนิเทศผู้เรียน โดยมีข้นั ตอนการปฐมนเิ ทศประกอบด้วย 6.1 แจ้งวัตถุประสงค์ เนื้อหา และวิธกี ารเรยี นการสอน 6.2 สารวจความพรอ้ มของผ้เู รยี นและเตรียมความพร้อมของผเู้ รียน ในข้นั ตอนนผี้ ้สู อน อาจจะต้องมีการทดสอบหรือสร้างเว็บเพจเพ่ิมข้ึนเพ่ือให้ผู้เรียนที่มีความรู้พ้ืนฐานไม่เพียงพอได้ศึกษา เพิม่ เตมิ ในเว็บเพจเรยี นเสริมหรอื ใหผ้ เู้ รยี นถ่ายโอนข้อมูลจากแหลง่ ต่าง ๆ ไปศึกษาเพม่ิ เติมด้วยตนเอง 7. จัดการเรียนการสอนตามแบบที่กาหนดไว้โดยในเวบ็ เพจจะมีเทคนิคและกิจกรรมตา่ ง ๆ ที่สามารถสร้างขึ้น ได้แก่ 7.1 การใชข้ ้อความเรา้ ความสนใจทอ่ี าจเป็นภาพกราฟิก ภาพการเคลอ่ื นไหว 7.2 แจง้ วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมของรายวชิ า หรอื หัวขอ้ ในแตล่ ะสัปดาห์ 7.3 สรุปทบทวนความรเู้ ดิมหรือโยงไปหวั ข้อทศี่ ึกษาแลว้ 7.4 เสนอสาระของหวั ข้อต่อไป 7.5 เสนอแนะแนวทางการเรียนรู้ เช่น กิจกรรมสนทนาระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนและ ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนกิจกรรม การอภิปรายกลุ่ม กิจกรรมการค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม กิจกรรม การตอบ คาถาม กจิ กรรมการประเมินตนเอง และกจิ กรรมการถา่ ยโอนขอ้ มลู 7.6 เสนอกิจกรรมดังกล่าวมาแล้ว แบบฝึกหัด หนังสือหรือบทความ การบ้าน การทา รายงานเดย่ี ว รายงานกลมุ่ ในแตล่ ะสปั ดาห์ และแนวทางในการประเมินผลในรายวชิ านี้ 7.7 ผู้เรียนทากิจกรรม ศึกษา ทาแบบฝึกหัด และการบ้านส่งผู้สอนทั้งทางเอกสารทาง เว็บเพจผลงานของผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนคนอ่ืน ๆ ได้รับทราบด้วยและผู้เรียนส่งผ่านทางไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ ผู้สอนตรวจผลงานของผู้เรียน ส่งคะแนนและข้อมูลย้อนกลับเข้าสู่เว็บเพจประวัติของ ผ้เู รยี น รวมทัง้ การให้ความคดิ เห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ไปสเู่ ว็บเพจผลงานของผ้เู รียนดว้ ย การออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอนผ่านเวบ็ ควรประกอบดว้ ย (ศูนยเ์ ทคโนโลยี อิเล็กทรอนกิ สแ์ ละคอมพวิ เตอรแ์ หง่ ชาติ, 2545)
93 1. บทนาเร่อื ง (Title) เปน็ สว่ นแรกของบทเรยี น ชว่ ยกระตนุ้ เร้าความสนใจใหผ้ เู้ รียน อยากติดตามเนื้อหาต่อไป 2. คาชแี้ จงบทเรียน (Instruction) เปน็ การอธบิ ายถึงลกั ษณะการใช้บทเรยี นกระบวนการ ทางานของเนื้อหาบทเรยี น 3. วัตถปุ ระสงคก์ ารเรียน (Objective) เปน็ ส่วนท่ตี อ้ งให้คาแนะนาและอธิบายความ คาดหวังของเน้อื หาที่ผ้เู รยี นจะต้องเรียน 4. เมนูหลัก (Main Menu) เป็นรายการแสดงหัวขอ้ ย่อยของเนื้อหาบทเรยี นท่จี ะใหผ้ ูเ้ รยี น ได้ศกึ ษา 5. แบบทดสอบกอ่ นเรียน (Pretest) เป็นการประเมินความรขู้ น้ั ตน้ ของผเู้ รยี นเพอ่ื วดั ระดบั ความรพู้ ืน้ ฐานของผู้เรยี น 6. เนอื้ หาบทเรยี น (Information) ถอื วา่ เป็นส่วนสาคญั ท่ีสุดของบทเรยี นโดยเปน็ การ นาเสนอเนือ้ หาทใ่ี ห้ผู้เรียนได้ทาการเรียนการสอน 7. แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น (Posttest) เปน็ สว่ นที่วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของผเู้ รยี น หลังจากผ่านการเรยี นการสอนมาแล้ว 8. บทสรุปและการนาไปใช้งาน (Summary-Application) เป็นสว่ นของการสรปุ ประเดน็ ตา่ ง ๆ ทจี่ าเปน็ ขอ้ ดี ข้อจากดั ของการเรยี นการสอนผ่านเว็บ กดิ านันท์ มลทิ อง (2543: 350-351) ไดก้ ล่าวถึงขอ้ ดีของการเรยี นการสอนผา่ นเว็บมหี ลาย ประการประกอบด้วย ข้อดีของการเรียนการสอนผ่านเว็บ 1. ขยายขอบเขตของการเรยี นรู้ของผ้เู รียนในทุกหนแหง่ จากหอ้ งเรียนปกตไิ ปยงั บา้ นและ ทที่ างานทาให้ไม่เสียเวลาในการเดนิ ทาง 2. ขยายโอกาสทางการศึกษาให้ผเู้ รยี นรอบโลกในสถานศกึ ษาตา่ ง ๆ ท่ีรว่ มมอื กนั ไดม้ ี โอกาสไดเ้ รียนรูพ้ รอ้ มกนั 3. ผเู้ รียนควบคมุ การเรียนตามความตอ้ งการและความสามารถของตน 4. การส่ือสารโดยใชอ้ เี มล กระดานขา่ ว การพูดคุยสดฯลฯ ทาให้การเรยี นร้มู ชี ีวติ ชวี าขน้ึ กว่าเดิม ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีสว่ นชว่ ยเหลอื กนั ในการเรียน 5. กระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นรจู้ ักการสอ่ื สารในสงั คม และก่อให้เกิดการเรียนแบบรว่ มมือ ซ่งึ ท่จี ริง แล้วการเรียนแบบร่วมมือสามารถขยายขอบเขตจากห้องเรียนหนึ่งไปยังห้องเรียนอื่น ๆ ได้โดย การเชือ่ มตอ่ ทางอนิ เทอรเ์ นต็
94 6. การเรียนดว้ ยสือ่ หลายมิติทาใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถเลือกเรียนเน้ือหาไดต้ ามความสะดวก โดยไม่ต้องเรยี งลาดับกนั 7. การสอนบนเวบ็ เป็นวิธีการทดี่ ีเยีย่ มในการใหผ้ ู้เรยี นได้ประสบการณข์ องสถานการณ์ จาลอง ทั้งนี้เพราะสามารถใช้กราฟิก ภาพนิ่ง ภาพเคล่ือนไหว ภาพสามมิติ ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับ ชวี ิตจรงิ ได้ 8. ขอ้ มลู ของหลกั สูตรและเนอ้ื หารายวิชาสามารถหาไดโ้ ดยง่าย 9. การเรียนการสอนมีใหเ้ ลือกท้ังแบบประสานเวลา คือ เรยี นและพบกับครผู สู้ อนเพอ่ื ปรึกษาหรือถามปัญหาได้ในเวลาเดียวกัน และแบบไม่ประสานเวลา คือ เรียนจากเนื้อหาในเว็บเพจ และติดตอ่ ผูส้ อนทางอเี มล์ ข้อจากัดของการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ 1. ในการศึกษาทางไกล ผ้สู อนและผเู้ รียนอาจไม่ได้พบหน้ากัน รวมทงั้ การพบกนั ระหว่าง ผเู้ รยี นคนอ่ืนดว้ ย วธิ ีการนอ้ี าจทาใหผ้ ้เู รียนบางคนร้สู ึกอึดอัดและไม่สะดวกในการเรยี น 2. เพ่ือให้ได้ประโยชนใ์ นการสอนมากที่สุด ผูส้ อนจาเป็นต้องใช้เวลามากในการเตรยี มการ สอนทั้งในด้านเนื้อหา การใชโ้ ปรแกรมและคอมพิวเตอรแ์ ละในส่วนของผู้เรยี นกจ็ าเป็นต้องเรียนรกู้ าร ใช้โปรแกรมและคอมพวิ เตอร์เช่นกนั 3. การถามและตอบปญั หาบางครง้ั ไม่เกดิ ขนึ้ ทันที อาจทาใหเ้ กิดความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ 4.ผูส้ อนไมส่ ามารถควบคุมการเรยี นไดเ้ หมือนชั้นเรยี นปกติ 5. ผเู้ รียนตอ้ งรู้จักควบคุมตนเองในการเรียนไดอ้ ยา่ งดี จึงจะประสบความสาเรจ็ ในการเรียน สรปุ การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ เป็นการนาสื่อหลายมิติเข้ามาประกอบกับกระบวนการ และเทคนิคการสอนโดยใช้เว็บเพจ (Webpage) ในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้บนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต โดยปราศจากข้อจากัดด้านเวลา ระยะทาง และ สถานท่ี รวมถึงยังช่วยให้ผู้เรียนได้เกิด กระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยสามารถแบ่งประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บ ได้ 3 ลักษณะได้แก่ การเรียนการสอนผ่านเว็บแบบรายวิชาเดียว การเรียนการสอนผ่านเว็บ แบบสนับสนุนรายวิชาและการเรียนการสอนผ่านเว็บแบบศูนย์การศึกษา โดยมีการออกแบบ โครงสร้างเว็บเพ่ือใช้ในการจัดการเรียนการสอนหลากหลายรูปแบบ อาทิ ลักษณะเรียงลาดับ ลักษณะกริด ลักษณะลาดับข้ันและลักษณะเว็บ ซ่ึงแต่ละลักษณะมีการนาไปใช้ในการออกแบบ เว็บการเรยี นการสอนทีแ่ ตกต่างกันออกไป
95 แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 1. ให้นกั ศึกษาอธิบายความหมายของการจัดการเรียนการสอนผ่านเวบ็ 2. ใหน้ กั ศกึ ษาอธิบายประเภทของการจัดการเรียนการสอนผ่านเวบ็ พรอ้ มยกตัวอย่าง ประกอบ 3. ให้นกั ศกึ ษาอธิบายหลักการออกแบบโครงสร้างเว็บลกั ษณะเรยี งลาดับ 4. ใหน้ ักศกึ ษาอธิบายหลักการออกแบบโครงสรา้ งเว็บลกั ษณะกริด 5. ให้นักศกึ ษาอธิบายหลักการออกแบบโครงสร้างเวบ็ ลักษณะลาดบั ช้นั 6. ให้นกั ศึกษาอธิบายหลักการออกแบบโครงสรา้ งเชงิ เส้นตรง 7. ให้นักศึกษาอธิบายหลักการออกแบบโครงสร้างลักษณะเปิด 8. ให้นักศกึ ษาอธิบายขนั้ ตอนการออกแบบการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ 9. ใหน้ กั ศึกษาอธบิ ายขอ้ ดีของการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ 10. ให้นกั ศึกษาอธบิ ายข้อจากัดของการเรยี นการสอนผ่านเว็บ
96 เอกสารอ้างอิง กดิ านันท์ มลทิ อง. (2543). เทคโนโลยกี ารศึกษาและนวตั กรรม. พิมพ์ครง้ั ท่ี 2 กรุงเทพฯ: ภาควชิ าโสตทัศนศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . . (2548). เทคโนโลยกี ารศึกษาและนวัตกรรม. กรงุ เทพฯ: อรุณการพมิ พ์ ใจทิพย์ ณ สงขลา. (2542). การสอนผ่านเครอื ข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ. วารสารครุศาสตร์. ปที ่ี 27 ฉบบั ที่ 3 (มีนาคม 2542) : 18-28. ถนอมพร (ตันพิพฒั น)์ เลาหจรัสแสง. (2545). Designing e-Learning : หลักการออกแบบและ การสร้างเวบ็ เพ่ือการเรยี นการสอน. เชียงใหม่: มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ปทีป เมธาคุณวุฒิ. (2540). ข้อเสนอแนะในการจัดการเรียนการสอนทางไกลโดยการใช้การเรยี นการ สอนแบบเว็บเบสต์: เอกสารประกอบการสอนวชิ า 2710643 หลักสตู รและการเรียนการ สอนทางการอดุ มศกึ ษา. กรุงเทพฯ: ภาควชิ าอุดมศกึ ษาจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ปารณีย์ คุณเศษ และคณะ. (2556) การพฒั นารูปแบบการเขา้ ถงึ การเรียนรู้ผ่านเว็บแบบบูรณา การสาหรบั นกั ศึกษาพกิ ารในมหาวิทยาลยั . กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการวจิ ัย แห่งชาติ มนตช์ ยั เทยี นทอง. (2548). การออกแบบและพัฒนาคอรส์ แวร์สาหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ Courseware Design and Development for Computer Instruction. พิมพ์คร้ัง ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: ศนู ยผ์ ลิตตาราเรียนสถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื . ศนู ยเ์ ทคโนโลยอี ิเล็กทรอนิกสแ์ ละคอมพวิ เตอร์แหง่ ชาต.ิ (2545). กรอบนโยบายเทคโนโลยี สารสนเทศระยะ 2544 – 2553 ของประเทศไทย.กรงุ เทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยี อเิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ ละคอมพวิ เตอร์แหง่ ชาต.ิ สรรรัชต์ ห่อไพศาล. (2545). นวตั กรรมและการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีเพือ่ การศกึ ษาในสหัสวรรษ ใหม่กรณีการจดั การเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ (Web-Based Instruction : WBI). (ออนไลน)์ , เขา้ ถึงไดจ้ าก http//ftp.spu.ac.th/hum111_files/body_files/wbi.htm (2559, 5 กนั ยายน) อจั จมิ า บารงุ นา. (2557). การพฒั นาการสอนผผา่ นเว็บดว้ ยการเรยี นรูแ้ บบนาตนเอง วิชา คอมพิวเตอร์สาหรับนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญา ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีและสือ่ สารการศึกษา คณะครุศาสตร์ อตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ ี Hannum, W. (19100). Web based instruction lessons. (ออนไลน์), เข้าถึงได้จาก http://www.soe.unc.edu/edci111/8-100/index_wbi2.htm (2559, 15 สิงหาคม)
97 Khan, Badrul H. (1997). Web-Based Instruction. Englewood Cliffs, New Jersey : Educational Technology Publications,. Parson, R. (1997). An Investigation into Instruction Available on the World Wide Web. (ออนไลน์), เขา้ ถึงได้จาก http://www.osie.on.ca/~rparson/outId.html (2559, 15 สงิ หาคม)
98 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 5 การประเมินและหาประสทิ ธภิ าพสอื่ การสอน เนื้อหา 1. การความหมายของการประเมินสื่อการสอน 2. ความสาคัญของการประเมินผลนวัตกรรม 3. วธิ ีการประเมนิ ผลนวตั กรรม 4. ประเภทและลักษณะการประเมนิ ผลส่อื การเรยี นรู้ 5. ขัน้ ตอนการประเมินผลสื่อการเรยี นการสอน 6. ความหมายของการทดสอบประสทิ ธภิ าพ 7. ความจาเป็นทต่ี ้องหาประสิทธภิ าพ 8. การกาหนดเกณฑ์ประสิทธภิ าพ 9.การคานวณหาประสิทธิภาพ 10. การตคี วามหมายผลการคานวณ 11. การทดสอบประสิทธภิ าพ 12. สรปุ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม เม่อื ศึกษาบทเรียนนแ้ี ลว้ นกั ศึกษาสามารถ 1. บอกความหมายของการประเมินส่อื การสอนได้ 2. อธบิ ายความสาคัญของการประเมินผลนวัตกรรม 3. อธิบายขัน้ ตอนการประเมนิ ผลสอื่ การเรยี นการสอน 4. บอกความหมายของการทดสอบประสทิ ธภิ าพ 5. อธบิ ายการกาหนดเกณฑ์ประสทิ ธิภาพได้ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1.นกั ศกึ ษาศึกษาเอกสารประกอบการสอนเร่อื ง การประเมินและหาประสทิ ธภิ าพส่ือ การสอน 2.อาจารย์ใชเ้ ทคนิคการสอนแบบบรรยายเนื้อหาประกอบการปฏบิ ัตกิ าร
99 3.นกั ศกึ ษาร่วมอภิปรายและซักถาม 4.นักศกึ ษาทาแบบฝกึ หัดท้ายบท สอื่ การเรียนการสอน 1.เอกสารประกอบการสอนวชิ านวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษาบทท่ี 5 เรอื่ ง การประเมนิ และหาประสิทธภิ าพสอ่ื การสอน 2. เวบ็ ไซต์ทเี่ ก่ยี วข้องกับการประเมนิ และหาประสิทธภิ าพส่อื การสอน 3. PowerPoint ประกอบการบรรยายเรือ่ ง การประเมินและหาประสทิ ธิภาพสื่อการสอน การวัดผลและประเมินผล 1. สังเกตการมสี ว่ นรว่ มของผ้เู รยี น การอภิปราย และการตอบคาถาม 2. ตรวจสอบความถกู ต้องของแบบฝึกหดั ท้ายบท 3. การเขา้ ชน้ั เรยี น
100 บทที่ 5 การประเมินและหาประสิทธภิ าพสือ่ การสอน ปจั จุบนั สือ่ การเรยี นการสอนมบี ทบาทสาคัญอย่างมากในกระบวนการจัดการเรยี นการสอน การที่ผู้สอนนาส่ือการสอนมาใช้ในชั้นเรียนได้น้ันต้องม่ันใจว่าสื่อการสอนน้ัน ๆ มีคุณภาพและ ประสิทธิภาพมากพอที่จะนามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ การเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี การประเมินสื่อการสอนจึงมีความสาคัญไม่แพ้การนาส่ือการสอนไปใช้ ซึ่งกระบวนการในการประเมินสื่อการสอนและหาประสิทธิภาพของส่ือการสอนน้ัน จะได้กล่าวถึง ในรายละเอยี ดตอ่ ไป การประเมนิ สอื่ การสอน 1. ความหมายของการประเมินส่อื การสอน วชิราพร อัจฉริยโกศล. (2536: 13) ได้ให้ความหมายของการประเมินผลส่ือการสอนไว้ว่า การประเมินผลส่ือการเรียนการสอน หมายถึง การนาเอาผลการวัดและประเมินส่อื การเรยี นการสอน มาตีความหมาย (Interpretation) และตัดสินคุณค่า (Value Judgment) เพื่อจะรู้ว่าสื่อน้ันทาหน้าที่ ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ได้แค่ไหน มีคุณภาพดีหรือไม่เพียงใด มีลักษณะถูกต้องตามที่ต้องการ หรอื ไม่ประการใด สุรศักดิ์ ปาเฮ. (2553). การประเมินผลส่ือการสอน หมายถึง กระบวนการวัดส่ือ ทางการศึกษาที่ใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการสอนของผู้สอน เพ่ือให้ได้ข้อมูลนามาพัฒนาตัดสินใจ โดยเปรยี บเทยี บกับเกณฑท์ ่กี าหนด จากความหมายเบื้อต้นจะพบว่าการประเมินผลส่ือการสอน หมายถึง การวัดผล ประเมนิ ผลสื่อการเรียนการสอนของผสู้ อนเพ่ือให้ส่ือนัน้ ๆ มคี ุณภาพเหมาะสมกับการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน มีความทันสมัยในการนามาใช้เป็นส่ือการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุ ตามวตั ถปุ ระสงค์ของการจัดการเรียนการสอนได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 2. ความสาคัญของการประเมนิ ผลนวตั กรรม วีณัฐ สกุลหอม. (2557: 155-156) ได้กล่าวถึงความสาคัญของการประเมินผลนวัตกรรม หรือสือ่ การเรียนการสอน ดงั ต่อไปน้ี 1. ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนและคุณภาพของนวัตกรรม ในการประเมินผล นวัตกรรมจะมีการตรวจสอบการเรียนร้ขู องผู้เรียนซ่ึงเป็นสิ่งที่สาคัญมาก การใช้นวัตกรรมหรือสื่อการ
101 เรียนรู้เป็นการอานวยความสะดวกและกาหนดเส้นทางให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ท่ีกาหนดไว้ การประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นกระบวนการสาคัญท่ีจะทาให้ไดข้ ้อมูลเพื่อยืนยัน ว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์หรือไม่อย่างไรเพียงใด หากไม่ทาการประเมินผลนวัตกรรม ส่ือการเรียนรู้ก็ไม่สามารถทราบผลของการจัดการเรียนรู้และไม่สามารถบอกได้ว่าการเรียนการสอน น้ันประสบผลสาเร็จหรือไม่ อย่างไร ข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลส่ือการเรียนรู้ในแง่มุมเหล่าน้ี จะบง่ บอกประสิทธภิ าพการเรยี นการสอนได้ 2. ได้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณภาพของนวัตกรรมหรือสื่อการเรียนการสอน การประเมินผลจะทาให้ได้ข้อมูลว่านวัตกรรมหรือส่ือการเรียนการสอนได้รับการสร้างและพัฒนา ได้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ในกระบวนการของการผลิตทาให้ได้นวัตกรรมตรงตามลักษณะ หรือ รูปแบบที่ต้องการหรือไม่และเมื่อนานวัตกรรมน้ันไปใช้สามารถใช้ได้จริงตามท่ีออกแบบหรือตามท่ี คาดหวังไว้หรือไม่ ข้อมูลเหล่าน้ีจะบ่งบอกคุณลักษณะและคุณภาพของนวัตกรรมหรือส่ือการเรีย น การสอนว่ามคี วามเหมาะสมถกู ตอ้ งหรือเหมาะสมที่จะนาไปใชใ้ นการเรยี นการสอนได้หรือไม่ 3. เกิดการพัฒนานวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพมากย่ิงขึ้น การประเมินผล สื่อการเรียนรู้ในแต่ละบริบทโดยเฉพาะอย่างย่ิงการทาวิจัยหรือการพัฒนา จะทาให้ได้ข้อมูล ซ่ึงในบางคร้ังเป็นองค์ความรู้ใหม่ในการใช้นวัตกรรมหรือส่ือการเรียนการสอนทาให้ได้ข้อมูลที่จะเป็น แนวทางเป็นวิธีการหรือเป็นรูปแบบใหม่ของการผลิตหรือการใช้ส่ือการเรียนรู้ซ่ึงจะทาให้การจัดการ เรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และส่งผลดีต่อผู้เรียนช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างสะดวก รวดเรว็ ถกู ต้อง และมคี ณุ ภาพมากยิ่งข้นึ 4. สร้างความมั่นใจและอานวยความสะดวกในการเลือกใช้นวัตกรรม เพราะนวัตกรรม ท่ีได้รับการประเมินผลแล้วจะมีข้อมูลเก่ียวกับคุณลักษณะ คุณภาพของนวัตกรรมรวมท้ังมีข้อมูล ท่ีช่วยในการกาหนดสถานการณ์ทเ่ี หมาะสมต่อการนานวตั กรรมหรือส่ือการเรียนการสอนนน้ั ไปใช้งาน ข้อมูลเหล่าน้ีจะช่วยสร้างความม่ันใจให้กับผู้นาสื่อการเรียนรู้ไปใช้ รวมทั้งช่วยอานวยความสะดวก ให้กับผู้ใช้สามารถเลือกและใช้สื่อการเรียนรู้นั้นได้อย่างสะดวกเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการ เรียนการสอนได้ กิดานนั ท์ มลทิ อง (2531) กล่าวถงึ ความสาคัญของการประเมินวัตกรรม ดงั น้ี 1. การประเมนิ การวางแผนการใชส้ ่อื การสอน เพือ่ ดวู า่ สิง่ ต่าง ๆ ทวี่ างไว้นน้ั ดาเนินการไป ตามแผนหรือไม่ หรือเป็นไปเพียงตามหลักการ ทฤษฎีแต่ไม่สามารถปฏิบัติจริงได้จึงต้องเก็บรวบรวม ข้อมูลไว้เพือ่ แกไ้ ขปรับปรุงการวางแผนคร้งั ตอ่ ไป 2. การประเมนิ กระบวนการใชส้ ือ่ การสอน เพ่อื ดวู า่ กระบวนการใชส้ ือ่ แต่ละขัน้ ตอนน้นั มี ปญั หาหรอื อปุ สรรคอย่างไรบา้ ง มสี าเหตจุ ากอะไรและมกี ารเตรยี มการป้องกันไว้หรือไม่
102 3. การประเมินผลท่ีไดจ้ าการใช้สื่อการสอน เปน็ ผลที่เกิดขึน้ จากผู้เรยี นโดยตรงว่าเมอ่ื เรียน แล้วผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้ังไว้หรือไม่และผลที่ได้นั้นเป็นไปตามเกณฑ์ หรือตา่ กว่าเกณฑ์ 3. วิธีการประเมนิ ผลนวัตกรรม วธิ กี ารประเมนิ ผลสอ่ื การเรยี นรอู้ าจจาแนกออกไดเ้ ป็น 3 วิธคี ือ การประเมนิ ผลโดย ผู้เช่ียวชาญหรือครู การประเมินผลโดยผู้เรียนและการประเมินผลโดยการตรวจสอบผลท่ีเกิดขึ้นกับ ผู้เรียน แตล่ ะวธิ ตี า่ งก็มีลักษณะเฉพาะมจี ดุ เด่นจุดด้อยต่างกัน ดังนี้ (วีณัฐ สกลุ หอม. 2557: 156-157) 1. การประเมินผลโดยผูเ้ ชีย่ วชาญ ครู อาจารย์ผู้สอน เป็นผู้ท่ีได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์เรียนรู้เก่ียวกับการใช้ นวตั กรรมสอื่ การเรยี นการสอนชนดิ ต่าง ๆ จึงเปน็ บคุ คลทีส่ ามารถพจิ ารณาถึงคุณภาพ และคุณค่าของ สื่อการเรียนรู้อย่างสมเหตุสมผล การประเมินผลส่ือการเรียนรู้โดยผู้เช่ียวชาญหรือครูจะใช้แบบ ประเมินซึ่งจะให้ผู้เช่ียวชาญหรือครูพิจารณาท้ังด้านคุณภาพเนื้อหาสาระและเทคนิคการจัดทาส่ือ ประเภทนั้นหลกั ในการประเมินผลสอ่ื การเรียนรูโ้ ดยผ้เู ชีย่ วชาญหรอื ครู มีดงั นี้ 1.1. ควรเลือกผู้เช่ียวชาญหรือครูท่ีมีความเช่ียวชาญ รอบรู้ มีประสบการณ์เก่ียวกับ นวัตกรรมส่ือการเรียนการสอนสื่อนน้ั ๆ รวมทงั้ เกย่ี วกบั เน้อื หาสาระทเ่ี สนอหรอื ถา่ ยทอด 1.2. การให้ผู้เช่ียวชาญหรือครูหลายคนประเมินผลส่ือการเรียนรู้ ย่อมได้ผลที่น่าเช่ือถือ มากกวา่ ประเมนิ ผลเพียงคนเดียว 1.3. ในการประเมินผลนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนแต่ละประเภท ควรใช้แบบ ประเมนิ ผลเฉพาะของสื่อการเรยี นร้ปู ระเภทนัน้ ๆ ซงึ่ อาจมีความแตกต่างจากสอ่ื ประเภทอ่นื ๆ 1.4. สาหรับส่ือการเรียนรู้ท่ีมีท้ัง Hardware และ Software น้ันจะประเมินผล Software เปน็ สาคัญแต่ถ้าตอ้ งการประเมนิ Hardware ก็จะมีเกณฑ์เฉพาะด้าน 2. การประเมินผลโดยผู้เรียน ผู้เรียน เปน็ เป้าหมายหลักสาคญั ของการใช้นวตั กรรมสือ่ การเรยี นการสอน เนื่องจากผเู้ รยี น เป็นผู้ใช้ส่ือและได้เรียนรู้โดยตรงได้ใช้ประสาทสัมผัสกับนวัตกรรม ส่ือการเรียนการสอนอาจจะเป็น นวัตกรรมในรูปแบบใดรูปแบบหนง่ึ หรือหลายรูปแบบ ดังนั้นผู้เรียนจึงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรงและ เป็นผู้ท่ีมีการรับรู้สามารถพิจารณาถึงคุณลักษณะ คุณภาพและคุณค่าของส่ือการเรียนรู้ได้อย่าง สมเหตุสมผล การประเมนิ ผลนวัตกรรม โดยผเู้ รียนเป็นสาคัญมีหลักการดงั นี้ 1. ต้องประเมินผลทันทีหลังจากการใช้นวัตกรรมชิ้นน้ันเสร็จแล้ว ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะจะทาให้ประสบการณ์จากการสัมผัสนวตั กรรม สื่อการเรยี นการสอนนัน้ เลอื นหายไปได้
103 2. ให้ผู้เรียนพิจารณาประเมินเฉพาะนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอน โดยแยกสิ่งที่ไม่ เก่ยี วข้องออก เช่น แยกความสามารถในการสอนของผู้สอนออกเพ่ือความชดั เจนในการประเมนิ 3. ใชแ้ บบประเมินผลเฉพาะด้านของนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนชนดิ น้นั ๆ เนอื่ งจาก นวัตกรรมแตล่ ะประเภทมีคุณลกั ษณะเฉพาะในตัวสอ่ื เอง 4. ช้แี จงให้ผู้เรยี นเข้าใจอย่างถกู ตอ้ งว่าการประเมินผลนวัตกรรมส่อื การเรยี นการสอนน้ัน เพ่อื มุ่งให้ได้ข้อเทจ็ จรงิ เกีย่ วกบั การวัดประเมินเพ่อื หาคุณภาพของนวตั กรรมชน้ิ นนั้ 5. การประเมนิ ผลโดยตรวจสอบผลท่เี กิดขึน้ กับผ้เู รยี น 3. การประเมินผลนวัตกรรมสือ่ การเรียนการสอน โดยตรวจสอบผลท่เี กดิ ขน้ึ กบั ผู้เรียน การประเมินผลนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอน โดยตรวจสอบผลท่ีเกิดข้ึนกับผู้เรียนเป็น การหาประสิทธิภาพของส่ือการเรียนการสอนเพื่อหาความเที่ยงตรงและนับว่าเปน็ การพิสูจน์คุณภาพ และคุณค่าของส่ือการเรียนรู้น้ัน การประเมินผลโดยวิธีน้ีจะต้องมีการวัดว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ อะไรบ้าง โดยวัดเฉพาะผลท่ีเป็นจุดประสงค์ของการสอนท่ีเกิดจากการใช้สื่อการเรียนรู้นั้น ๆ การประเมนิ ผลลกั ษณะดังกล่าวนอ้ี าจจาแนกออกเปน็ 2 วิธใี หญ่ ๆ คอื 3.1. กาหนดเกณฑ์หรือมาตรฐานขั้นต่าสุดไว้ เช่น ผู้เรียนต้องสอบได้ 80% หรือ 90% ของคะแนนเต็มจึงจะถือว่าส่ือนั้นมีประสิทธิภาพ ส่ือบางประเภทจะกาหนดเกณฑ์ไว้มากกวา่ 1 เกณฑ์ เช่น การประเมินเพ่ือหาประสิทธิภาพบทเรียนแบบโปรแกรม หรือ ชุดการสอน จากสูตร E1/E2 โดยกาหนดเกณฑ์มาตรฐานการประเมนิ ไว้เช่น 80/80 Standard หรอื 90/90 Standard เปน็ ตน้ 3.2. ไม่ได้กาหนดเกณฑ์มาตรฐานไว้ล่วงหน้าแต่จะพิจารณาประสิทธิภาพจาก การเปรียบเทียบ กล่าวคือเปรียบเทียบผลการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ หรือไม่ หรือเปรียบเทียบว่าผลสัมฤทธิ์จากการเรียนด้วยสื่อการเรียนรู้นั้นสูงกว่า (หรือเท่ากันกับ) สื่อหรือเทคนิคการสอนอย่างอ่ืน เช่น การเปรียบเทียบผลการทดสอบหลังเรียนกับก่อนเรียนจากการ ใชแ้ บบทดสอบชุดเดยี วกัน 2 คร้ัง (Pre-test และ Post-test) โดยใชส้ ถิตทิ ดสอบชนดิ T-dependent จากการคานวณเปรยี บเทียบคา่ วกิ ฤตจากสตู ร t-test , Z-test เป็นต้น 4. ประเภทและลักษณะการประเมนิ ผลสื่อการเรยี นรู้ วีณัฐ สกุลหอม. (2557: 158-160) การประเมินผลสื่อการเรียนรู้อาจจาแนกประเภทหรือ ลักษณะของการประเมนิ ออกเป็น 2 ประเภทใหญๆ่ ดังน้ี ประเภทท่ี 1 การประเมินในกรณีเป็นผู้ผลิต สร้างหรือพัฒนานวัตกรรม ส่ือการเรียน การสอนมี 10 ขั้นตอน ประกอบดว้ ย
104 1. การศกึ ษาเอกสาร งานวจิ ยั และแหลง่ ความรู้ที่เกี่ยวข้องหลังจากตัดสินใจวา่ จะผลิตสื่อ การเรียนรู้ใดแล้วเพ่ือสร้างความม่ันใจควรจะมีการศึกษากรอบทฤษฎี ผลการวิจัยและแหล่งความรู้ จากบุคคลอย่างเพียงพอเพ่ือเป็นแนวทางการผลติ หรือพฒั นานวัตกรรมสื่อการสอน 2. การวางแผนผลิต สร้าง หรือพัฒนาสื่อการเรียนรู้ โดยกาหนดวัตถุประสงค์ของการ สร้างและพัฒนาสอ่ื ในรูปแบบวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม กาหนดวิธีการตลอดจนทรัพยากรท่ีต้องการ ทกุ ดา้ น 3. การทาส่ือต้นแบบ เป็นการเตรียมวัสดุที่ใช้ในการเรียนการสอน คู่มือการใช้และ แบบประเมินเตรียมพร้อมเพื่อนาสื่อไปทดลองใช้ ในขั้นน้ีอาจใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและเนื้อหา หลักสูตรได้ประเมินเบื้องต้นผลการประเมินอาจมีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงในประเด็นต่าง ๆ ก่อนจะ ทดลองใชใ้ นกล่มุ เล็กตามข้ันตอนตอ่ ไป 4. การทดลองใช้กับกลุ่มเล็ก เป็นการทดลองเบ้ืองต้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมผล ประเมินเชิงคุณภาพเบ้ืองต้นของสื่อการเรียนรู้นิยมใช้สื่อในสถานศึกษากับผู้เรียน 6-12 คน เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลโดยการสังเกต สมั ภาษณแ์ ละสอบถาม 5. การปรับปรุงสื่อต้นแบบ ในข้ันนเี้ ป็นขัน้ ทบทวน ปรับปรุงผลจากการทดลองใช้กบั กลุ่ม เล็กเพ่อื เตรียมความพร้อมไปใช้กับกลุ่มใหญต่ ่อไป 6. การทดลองใช้กับกลุ่มใหญ่ เป็นการทดลองใช้กับสถานศึกษา 5-15 แห่งกับผู้เรียน 30-100 คน โดยมีการทดลองก่อนและหลังการใช้ส่ือ ผลท่ีได้นามาเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์หรือ กลุ่มควบคุมที่เหมาะสม ในข้ันตอนน้ีเป็นการทดสอบว่าส่ือที่สร้างหรือพัฒนาข้ึนเป็นไปตาม วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีเขยี นไวห้ รอื ไม่ 7. การปรบั ปรงุ เปน็ การปรับปรุงจากผลการทดลองใช้กบั กลมุ่ ใหญ่ 8. การทดลองความพร้อมก่อนนาไปใช้ หลังจากปรับปรงุ จนมีความมั่นใจในด้านคุณภาพ จึงนาส่ือไปทดลองใช้เพ่ือตรวจสอบคุณภาพความพร้อมสู่การปฏิบัติ โดยนาไปใช้กับสถานศึกษา หลายแห่งผู้เรียน 40-200 คน เป็นข้ันตอนเพ่ือทดสอบว่าสื่อการเรียนรู้ท่ีสร้างหรือพัฒนาขึ้นนั้นมี ความพร้อมที่จะนาไปใช้จริงไดห้ รือไมเ่ พยี งไร 9. การปรับปรุงเก่ียวกับองค์ประกอบต่าง ๆ ส่ือการเรียนรู้ท่ีผลิตหรือพัฒนาส่วนใหญ่ จะมีวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือประกอบการจัดการเรียนการสอนซ่ึงต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติมผล การทดลองใชว้ า่ มคี วามชัดเจนสมบรู ณม์ ากนอ้ ยเพยี งใด 10. การนาสอื่ การเรยี นร้ไู ปใช้และจัดระบบเผยแพรส่ ่ือเปน็ ขน้ั ตอนสดุ ท้ายหลังจากผ่าน ขั้นตอนต่าง ๆ จนเป็นท่ีน่าพอใจก็จะนาสื่อไปใช้จริงในสถานการณ์การเรียนการสอน พร้อมทั้ง เผยแพร่ต่อไป
105 ประเภทท่ี 2 การประเมนิ ในกรณเี ป็นผใู้ ชส้ อื่ การเรยี นรู้ (Users) แนวคดิ นี้จะมขี ้นั ตอนหรือ กระบวนการประเมิน 2 ข้ันตอนสาคญั ประกอบด้วย 1. การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural Basis) แบ่งออกเป็นการตรวจสอบใน ประเดน็ ต่อไปน้ี 1.1. ลักษณะสื่อการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย 1.1.1 ลักษณะเฉพาะตามประเภทสื่อการเรียนรู้ 1.1.2 มาตรฐานการออกแบบ (Design Standards) 1.1.3 มาตรฐานด้านเทคนิควิธี (Technical Standards) 1.1.4 มาตรฐานดา้ นความมีสุนทรียภาพของสื่อ (Aesthetic Standards) 1.2. เนือ้ หาสาระ โดยอาศัยผูเ้ ช่ียวชาญอยา่ งน้อย 3 คนเปน็ ผตู้ รวจสอบเน้อื หาสาระที่ ปรากฏในส่ือการเรียนรู้ โดยแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่ควรปรับปรุงหรือให้ความ เหน็ ชอบใหด้ าเนนิ การตอ่ ไป 2. การตรวจสอบคุณภาพส่ือ (Qualitative Basis) โดยปกติการดาเนินการทดลองใช้สื่อ กับตัวแทนกล่มุ เปา้ หมายในสถานการณจ์ รงิ แบง่ ออกเปน็ 3 ขัน้ ตอน คอื การทดลองแบบเดยี่ ว 1:1 การทดลองกลุม่ เล็ก 1:10 การทดลองกลุม่ ใหญ่ 1:100 ผลการทดลองใช้ส่ือจะนามาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน กล่าวคือสื่อการเรียนรู้ที่ ประเมินมีคุณภาพมาตรฐานในระดับ 80/80 ซึ่ง 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนรวมเฉลี่ยของกลุ่ม คิดเป็นร้อยละ สาหรับ 80 ตัวหลัง หมายถึงร้อยละ 80 ของผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์แต่ละด้าน ของนวตั กรรมสอ่ื การเรยี นการสอน 5. ขน้ั ตอนการประเมินผลส่ือการเรียนการสอน พิสณุ ฟองศรี (2549) อา้ งอิงจาก สุรศักด์ิ ปาเฮ (2553) ได้เสนอแนะแนวทางการประเมิน ผลส่อื การเรยี นการสอนไว้ 9 ข้ันตอน ประกอบดว้ ย 1. การศกึ ษาวิเคราะห์สื่อการเรียนการสอน ในกรณีการใช้สื่อผู้ประเมินหรือผู้สอนจาเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์สื่อท่ีนามาใช้จาก รายละเอียดที่ผูผ้ ลติ สือ่ ไดเ้ ตรยี มไว้ แตถ่ า้ เป็นการผลติ สร้างหรอื พฒั นาขน้ึ ใช้เองน้ันผู้ประเมนิ จะเข้าใจ ส่อื เป็นอยา่ งดจี งึ ไม่มปี ญั หาในการศกึ ษาวเิ คราะห์
106 2. ศึกษาแนวทางการประเมิน แนวทางการประเมินผลสื่อการสอนท่ีนาเสนอไว้ในเบ้ืองต้นนั้นสามารถนามาปรับประเมิน ได้ 3. กาหนดวัตถปุ ระสงค์หรอื ประเด็นการประเมิน ประเด็นการประเมินที่สาคัญสามารถนามากาหนดเป็นแนวทางการประเมินมาใช้ได้บ้าง โดยสรุปอาจไดจ้ ากแหลง่ ตอ่ ไปนี้ 3.1 วัตถปุ ระสงค์ของส่ือการสอน 3.2 แนวทางการประเมนิ ส่ือ เช่น ดา้ นเน้อื หา ด้านเทคนิคอื่น ๆ ท่ีเก่ยี วขอ้ ง 3.3 จากประสบการณข์ องผูป้ ระเมนิ 3.4 จากความต้องการของผใู้ ช้ผลการประเมิน 3.5 จากการกาหนดร่วมกนั ของผ้เู กีย่ วข้อง 4. การกาหนดขอบเขตการประเมิน ขอบเขตการประเมินสื่อการสอนต้องพิจารณาว่าประเมินในกรณีเป็นผู้ผลิต สร้างและ พัฒนา หรอื ประเมนิ ในกรณเี ป็นผูใ้ ช้ เพราะรายละเอียดการประเมนิ จะแตกต่างกัน ถา้ เปน็ ผูผ้ ลติ สรา้ ง พัฒนาส่ือการสอนการประเมนิ จะมีกระบวนการมากกว่าย่งุ ยากกว่าการประเมนิ ในฐานะผูใ้ ช้ ในกรณี ของผู้ใช้สว่ นมากเป็นครผู สู้ อนขั้นตอนตา่ ง ๆ ก็จะลดลงอยใู่ นวิสัยทจี่ ะประเมนิ ได้สะดวก 5. การพัฒนาตัวชีว้ ัด กาหนดเกณฑแ์ ละคา่ นา้ หนกั การพัฒนาตัวชี้วัดในการประเมินสื่อการเรียนการสอน สามารถพัฒนาได้จากประเด็น การประเมินในข้ันตอนท่ี 3 โดยนาประเดน็ การประเมินมาแตกเป็นองคป์ ระกอบย่อยและตวั ชีว้ ัด หรอื ถ้าประเด็นไม่ใหญ่นักก็อาจใช้องค์ประกอบย่อยเป็นตัวช้ีวัดได้เลยโดยอาจมีการปรับหรือเพิ่มเติม ไดต้ ามความเหมาะสม 6. การออกแบบหรือการกาหนดกรอบแนวคดิ การประเมิน นาผลการดาเนินงานในขั้นตอนท่ี 1-5 มาสรุปเป็นกรอบแนวคิดการประเมินเพื่อเป็น แนวทางการเกบ็ ขอ้ มลู ภาคสนามในการประเมินต่อไป 7. การสรา้ งและพฒั นาเครื่องมือการประเมินสื่อการสอน เนอื่ งจากการประเมินส่ือการสอนกรณีเป็นผ้ใู ชส้ ื่อจะมีขอบข่ายไมก่ ว้าง ดังนนั้ เครื่องมอื ท่ีใช้ จึงมีไม่มากเพราะประเด็นการประเมินและกลุ่มผู้ใช้มีจานวนน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นครูผู้สอนซ่ึงถือว่า เป็นกลมุ่ สาคญั รองลงมาคือผู้เรียน เครือ่ งมอื ท่ีใช้จะเป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ หรือแบบสงั เกต แต่ถ้าเป็นกรณีการสร้างหรือพัฒนาส่ือต้องเพ่ิมเคร่ืองมือและกลุ่มผู้ให้ข้อมูมากข้ึน เช่น แบบทดสอบ กอ่ นเรยี น แบบทดสอบหลังเรียน หรอื แบบวัดเจตคติ เป็นต้น
107 8.สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการประเมินผลสื่อการเรียนการสอนในกรณีเป็นผู้ใช้ส่ือ ถ้าเป็นเชิงปริมาณจะใช้สถิติพ้ืนฐาน เช่น ค่าความถ่ี (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage, %) ค่าเฉลย่ี (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation, S.D.) ในกรณที ่เี ปน็ ข้อมลู เชิงคุณภาพ จะใช้การวิเคราะห์เนื้อหา สาหรับกรณีท่ีเป็นผู้ผลิต สร้างและพัฒนาส่ือการสอนต้องใช้สถิติเพิ่มเติม ดว้ ย เชน่ การทดสอบคา่ t-test หรือการหาค่าประสทิ ธภิ าพของสื่อการสอนจากสตู ร E1/E2 เปน็ ต้น 9.การเขยี นรายงานการประเมนิ ผลการใชส้ ่ือ รายงานการประเมินผลสอื่ การสอนในกรณีทเี่ ป็นผ้ใู ช้ สามารถเขยี นสรุปรายงานสั้น ๆ ได้ ยกเว้นมีความประสงคจ์ ะเผยแพรห่ รือต้องการรวบรวมผลการประเมินหลาย ๆ เร่อื งหรอื รวบรวมใน ลักษณะการสรปุ ของหน่วยงาน สถานศึกษาตา่ ง ๆ สาหรับกรณีทเี่ ป็นผ้ผู ลิต สรา้ งและพัฒนาสอ่ื การ สอนก็ต้องรายงานการประเมินผลส่ือที่สมบูรณ์เช่นเดยี วกบั บรายงานวิจัยท่วั ไป การหาประสิทธิภาพสอ่ื การเรยี นการสอน ชัยยงค์ พรหมวงษ์. (2556: 7-12) ในการผลิตส่ือการสอน เม่ือผู้สอนได้ทาการผลิตส่ือเป็น ทเี่ รยี บร้อยกระบวนการตอ่ ไปก่อนทจี่ ะมกี ารนาสื่อไปใช้ในการจดั การเรยี นการสอนตามสภาพจริงต้อง มีการนาส่ือนั้น ๆ ไปทดสอบประสิทธิภาพเพ่ือดูว่าส่ือการสอนทาให้ผู้เรียนมีความรู้เพ่ิมข้ึนหรือไม่ มีประสิทธิภาพในการช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์หรือไม่และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนจากส่ือหรือชุดการสอน ในระดับใด ดังนั้นผู้ผลิตส่ือการสอนจาเป็นจะต้องนาส่ือหรือชุดการสอนไปหาคุณภาพเรียกว่า การทดสอบประสทิ ธิภาพ ดังนี้ 1. ความหมายของการทดสอบประสิทธภิ าพ ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง สภาวะหรือคุณภาพของสมรรถนะในการดาเนินงาน เพือ่ ใหง้ านมีความสาเร็จโดยใช้เวลา ความพยายาม และค่าใช้จ่ายคุ้มค่าที่สุดตามจดุ มุ่งหมายท่ีกาหนด เพือ่ ใหไ้ ดผ้ ลลัพธโ์ ดยกาหนดเปน็ อัตราส่วน หรือรอ้ ยละระหว่างปัจจยั นาเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์ (Ratio between input, process and output) ประสิทธิภาพเน้นการดาเนินการท่ีถูกต้องหรือ กระทาสิง่ ใด ๆ อย่างถกู วิธี (Doing the thing right) คาวา่ ประสิทธิภาพมกั สับสนกับคาวา่ ประสทิ ธิผล (Effectiveness) ซึ่งเป็นคาท่ีคลุมเครือไม่เน้นปริมาณและมุ่งให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเน้นการทาส่ิง ท่ีถกู ทคี่ วร (Doing the right thing) ดังนน้ั สองคานี้จงึ มักใช้คูก่ นั คือประสิทธภิ าพและประสิทธิผล
108 2. ความหมายของการทดสอบประสทิ ธิภาพ การทดสอบประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอน หมายถึง การหาคุณภาพของสื่อหรือ ชุดการสอนโดยพิจารณาตามข้ันตอนของการพัฒนาสื่อหรือชดุ การสอนแต่ละข้ันตรงกับภาษาอังกฤษ ว่า Developmental Testing คือ การทดสอบคุณภาพตามพัฒนาการของการผลิตสื่อหรือชุดการ สอนตามลาดบั ขัน้ เพอ่ื ตรวจสอบคณุ ภาพของแตล่ ะองค์ประกอบของต้นแบบชน้ิ งานให้ดาเนนิ ไปอย่าง มปี ระสทิ ธภิ าพ สาหรับการผลิตส่ือและชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพ หมายถึง การนาสื่อหรือ ชุดการสอนไปทดสอบด้วยกระบวนการสองข้ันตอนคือ การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบ้ืองต้น (Try Out) และทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง (Trial Run) เพ่ือหาคุณภาพของสื่อตามข้ันตอน ทกี่ าหนดใน 3 ประเดน็ คอื การทาใหผ้ ู้เรียนมีความรเู้ พิ่มข้นึ การชว่ ยใหผ้ ู้เรียนผ่านกระบวนการเรียน และทาแบบประเมินสุดท้ายได้ดี และการทาให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจนาผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไข กอ่ นทจ่ี ะผลิตออกมาเผยแพร่เป็นจานวนมาก 2.1. การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบ้ืองต้น เป็นการนาสื่อหรือชุดการสอนท่ีผลิตขึ้น เป็นต้นแบบ (Prototype) แล้วไปทดลอบประสิทธิภาพใช้ตามขั้นตอนที่กาหนดไว้ในแต่ละระบบ เพอ่ื ปรบั ปรงุ ประสทิ ธิภาพของสอ่ื หรือชดุ การสอนใหเ้ ทา่ เกณฑ์ทีก่ าหนดไวแ้ ละปรบั ปรงุ จนถงึ เกณฑ์ 2.2. การทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง หมายถึง การนาสื่อหรือชุดการสอนท่ีได้ทดสอบ ประสิทธิภาพใช้และปรบั ปรุงจนได้คุณภาพถึงเกณฑ์แล้วนาแตล่ ะหนว่ ย ทกุ หนว่ ยในแต่ละวิชาไปสอน จริงในชั้นเรียนหรือในสถานการณ์การเรียนที่แท้จริงในช่วงเวลาหน่ึง อาทิ หน่ึงภาคการศึกษาเป็น อย่างน้อยเพื่อตรวจสอบคุณภาพเป็นคร้ังสุดท้ายก่อนนาไปเผยแพร่และผลิตออกมาเป็นจานวนมาก การทดสอบประสิทธิภาพท้ังสองขั้นตอนจะต้องผ่านการวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนา (Research and Development-R&D) โดยต้องดาเนินการวิจัยในขั้นทดสอบประสิทธิภาพเบ้ืองต้น และอาจทดสอบ ประสิทธิภาพซ้าในขั้นทดสอบประสิทธิภาพใช้จริงด้วยก็ได้เพ่ือประกันคุณภาพของสถาบันการศึกษา ทางไกลนานาชาติ 3 ความจาเป็นทตี่ ้องหาประสทิ ธภิ าพ การทดสอบประสทิ ธภิ าพของสื่อหรือชดุ การสอนมีความจาเป็นด้วยเหตผุ ล 3 ประการ คอื 3.1. สาหรับหน่วยงานผลิตส่ือหรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพช่วยประกัน คุณภาพของสื่อหรือชดุ การสอนว่าอยู่ในขัน้ สูงเหมาะสมท่ีจะลงทุนผลิตออกมาเปน็ จานวนมาก หากไม่ มีการทดสอบประสิทธิภาพเสียก่อนแล้วเมื่อผลิตออกมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ดีก็จะต้องผลิตหรือทาข้ึน ใหม่เปน็ การสิ้นเปลืองทง้ั เวลา แรงงานและเงนิ ทอง
109 3.2. สาหรับผู้ใช้สื่อหรือชุดการสอน สื่อหรือชุดการสอนที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ จะทาหน้าที่เป็นเครื่องมือชว่ ยสอนได้ดีในการสร้างสภาพการเรียนให้ผเู้ รียนได้เปล่ียนแปลงพฤติกรรม ตามท่ีมุ่งหวัง บางครั้งชุดการสอนต้องช่วยครูสอน บางครั้งต้องสอนแทนครู (อาทิ ในโรงเรียนครูคน เดียว) ดังนั้นก่อนนาส่ือหรือชุดการสอนไปใช้ครูจึงควรม่ันใจว่าชุดการสอนน้ันมีประสิทธิภาพในการ ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนจริง การทดสอบประสิทธิภาพตามลาดับขั้นจะช่วยให้เราได้สื่อหรือ ชุดการสอนทม่ี ีคุณค่าทางการสอนจริงตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ 3.3. สาหรับผู้ผลิตสื่อหรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพจะทาให้ผู้ผลิตมั่นใจได้ว่า เนื้อหาสาระท่ีบรรจุลงในส่ือหรือชุดการสอนมีความเหมาะสม ง่ายต่อการเข้าใจอันจะช่วยให้ผู้ผลิต มีความชานาญสงู ขนึ้ เป็นการประหยดั แรงสมอง แรงงาน เวลาและเงนิ ทองในการเตรียมตน้ แบบ 4. การกาหนดเกณฑป์ ระสิทธิภาพ 4.1. ความหมายของเกณฑ์ (Criterion) เกณฑ์เป็นขีดกาหนดท่ีจะยอมรับว่าสิ่งใดหรือพฤติกรรมใดมีคุณภาพและหรือปริมาณ ทจี่ ะรับได้ การตั้งเกณฑ์ต้องตั้งไว้ครั้งแรกคร้ังเดียวเพ่ือจะปรับปรุงคุณภาพให้ถงึ เกณฑ์ข้ันต่าท่ีต้ังไว้จะ ต้ังเกณฑ์การทดสอบประสิทธิภาพไว้ต่างกันไม่ได้ เช่น เม่ือมีการทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว ตั้งเกณฑ์ไว้ 60/60 แบบกลุ่ม ตั้งไว้ 70/70 ส่วนแบบสนามต้ังไว้ 80/80 ถือว่าเป็นการตั้งเกณฑ์ ท่ีไม่ถูกต้อง เน่ืองจากเกณฑ์ที่ต้ังไว้เป็นเกณฑ์ต่าสุดดังน้ันหากการทดสอบคุณภาพของสิ่งใดหรือ พฤติกรรมใดได้ผลสูงกว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้อย่างมนี ัยสาคัญท่รี ะดับ .05 หรืออนุโลมใหม้ คี วามคลาดเคลื่อน ต่าหรือสูงกว่าค่าประสิทธิภาพที่ตั้งไว้เกิน 2.5 ก็ให้ปรับเกณฑ์ข้ึนไปอีกหน่ึงขั้น แต่หากได้ค่าต่ากว่า ค่าประสิทธิภาพท่ีตงั้ ไว้ต้องปรับปรงุ และนาไปทดสอบประสิทธิภาพใช้หลายครั้งในภาคสนามจนไดค้ ่า ถึงเกณฑท์ ก่ี าหนด 4.2. ความหมายของเกณฑป์ ระสิทธิภาพ เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนท่ีจะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเป็นระดับท่ีผลิตสื่อหรือชุดการสอนจะพึงพอใจว่าหากส่ือหรือ ชุดการสอนมีประสิทธิภาพถึงระดับนั้นแล้วสื่อหรือชุดการสอนนั้นก็มีคุณค่าที่จะนาไปสอนนักเรียน และคุ้มแก่การลงทุนผลิตออกมาเป็นจานวนมาก การกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทาได้โดยการ ประเมินผลพฤติกรรมของผูเ้ รียน 2 ประเภท คอื พฤตกิ รรมต่อเนือ่ ง (กระบวนการ) กาหนด ค่า ประสิทธิภาพเป็น E1 = Efficiency of Process (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) และพฤติกรรม สุดท้าย (ผลลัพธ์) กาหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E2 = Efficiency of Product (ประสิทธิภาพของ ผลลพั ธ์)
110 4.2.1 ประเมินพฤติกรรมต่อเน่ือง (Transitional Behavior) คือ ประเมินผลต่อเน่ือง ซ่ึงประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยของผู้เรียนเรียกว่ากระบวนการ (Process) ที่เกิดจากการประกอบ กิจกรรมกลุ่ม ได้แก่ การทาโครงการหรือทารายงานเป็นกลุ่มและรายงานบุคคล ได้แก่ งานท่ีมอบ หมายและกิจกรรมอืน่ ใดที่ผู้สอนกาหนดไว้ 4.2.2 ประเมินพฤตกิ รรมสดุ ท้าย (Terminal Behavior) คอื ประเมนิ ผลลพั ธ์ (Product) ของผเู้ รยี นโดยพิจารณาจากการสอบหลงั เรยี นและการสอบไล่ ประสิทธิภาพของส่ือหรือชุดการสอนจะกาหนดเป็นเกณฑ์ท่ีผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะ เปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกาหนดให้ผลเฉลี่ยของคะแนนการทางานและการประกอบ กิจกรรมของผู้เรยี นทงั้ หมดตอ่ รอ้ ยละของผลการประเมนิ หลงั เรียนท้ังหมด นัน่ คือ E1/ E2 = ประสิทธิภาพของกระบวนการต่อประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์ ตัวอย่าง 80/80 หมายความว่า เม่ือเรียนจากสื่อหรือชุดการสอนแล้วผู้เรียนจะสามารถทา แบบฝึกปฏิบัติหรืองานได้ผลเฉล่ีย 80% และประเมนิ หลังเรยี นและงานสดุ ท้ายไดผ้ ลเฉล่ยี 80% การที่ จะกาหนดเกณฑ์ E1/E2 ใหม้ คี า่ เท่าใดน้ันใหผ้ ้สู อนเปน็ ผู้พิจารณาตามความพอใจโดยพจิ ารณาพสิ ัยการ เรียนที่จาแนกเป็นวิทยพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และทักษะพิสัย (Skill Domain) ในขอบข่ายวิทยพิสัย(เดิมเรยี กวา่ พุทธิพิสัย) เน้ือหาท่ีเป็นความรู้ความจามกั จะตั้งไว้ สงู สุดแล้วลดลงมา คอื 90/90 85/85 80/80 ส่วนเนื้อหาสาระท่ีเป็นจิตพิสัยจะต้องใช้เวลาไปฝึกฝนและพัฒนาไม่สามารถทาให้ถึงเกณฑ์ ระดับสูงได้ในห้องเรียนหรือในขณะท่ีเรียนจึงอนุโลมให้ต้ังไว้ต่าลงน่ันคือ 80/80 75/75 แต่ไม่ต่ากว่า 75/75 เพราะเป็นระดับความพอใจต่าสุดจึงไม่ควรต้ังเกณฑ์ไว้ต่ากว่านี้หากต้ังเกณฑ์ไว้เท่าใดก็มัก ได้ผลเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากระบบการสอนของไทยปัจจุบันได้กาหนดเกณฑ์โดยไม่เขียนเป็นลาย ลักษณ์อักษรไว้ 0/50 นนั่ คอื ใหป้ ระสิทธิภาพกระบวนการมคี ่า 0 เพราะครมู กั ไม่มเี กณฑ์เวลาในการให้ งานหรอื แบบฝกึ ปฏิบตั ิแกน่ ักเรยี น สว่ นคะแนนผลลพั ธ์ที่ให้ผ่านคือ 50 % ผลจึงปรากฏวา่ คะแนนวิชา ต่าง ๆ ของนักเรียนต่าในทุกวิชา เช่น คะแนนภาษาไทยนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยเฉลี่ยแต่ ละปเี พยี ง 51% เท่านนั้ 5. วธิ กี ารคานวนหาประสทิ ธิภาพ วธิ กี ารคานวณหาประสิทธิภาพ กระทาได้ 2 วิธีคอื โดยใช้สตู รและโดยการคานวณธรรมดา
111 5.1. โดยใชส้ ตู ร สูตรท่ี 1 X1 E1 = N 100 A เมอื่ E1 คือ ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ X1 คอื คะแนนรวมของแบบฝึกปฏิบัตกิ ิจกรรมหรืองานท่ีทาระหวา่ ง เรยี นท้ังท่ีเป็นกจิ กรรมในหอ้ งเรียน กิจกรรมนอกหอ้ งเรยี น A คอื คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทกุ ชน้ิ รวมกัน N คอื จานวนผูเ้ รียน สูตรท่ี 2 X2 E2 = N 100 B เม่อื E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ X2 คอื คะแนนรวมของผลลพั ธ์ของการประเมินหลังเรยี น B คอื คะแนนเต็มของการประเมนิ สุดทา้ ยของแต่ละหนว่ ย ประกอบด้วยผลการสอบหลังเรยี นและคะแนนจาก การประเมนิ งานสุดทา้ ย N คอื จานวนผู้เรียน การคานวณหาประสทิ ธิภาพโดยใช้สตู รดงั กลา่ วข้างตน้ กระทาได้โดยการนาคะแนนรวม แบบฝกึ ปฏิบตั หิ รือผลงานในขณะประกอบกจิ กรรมกลุ่ม/เดี่ยว และคะแนนสอบหลังเรยี นมาเขา้ ตาราง แลว้ จงึ คานวณหาคา่ E1 / E2 5.2. โดยใชว้ ิธกี ารคานวณโดยไมใ่ ช้สูตร หากจาสูตรไม่ได้หรือไม่อยากใช้สูตร ผู้ผลิตส่ือหรือชุดการสอนก็สามารถใช้วิธีการ คานวณธรรมดาหาค่า E1 และ E2 ได้ด้วยวิธีการคานวณธรรมดาสาหรับ E1 คือ ค่าประสิทธิภาพของ งานและแบบฝึกปฏิบัติกระทาได้โดยการนาคะแนนงานทุกช้ินของนักเรียนในแต่ละกิจกรรมแต่ละคน มารวมกันแล้วหาค่าเฉล่ียและเทียบส่วนโดยเป็นร้อยละ สาหรับค่า E2 คือ ประสิทธิภาพผลลัพธ์ของ การประเมินหลังเรียนของแต่ละส่ือหรือชุดการสอนกระทาได้โดยการเอาคะแนนจากการสอบหลัง เรียนและคะแนนจากงานสุดท้ายของนักเรียนท้ังหมดรวมกันหาค่าเฉล่ียแล้วเทียบส่วนร้อยเพ่ือหาค่า ร้อยละ
112 6. การตีความหมายผลการคานวนการหาประสิทธภิ าพ หลงั จากคานวณหาคา่ E1 และ E2 ได้แลว้ ผหู้ าประสทิ ธภิ าพตอ้ งตีความหมายของผลลัพธ์ โดยยึดหลกั การและแนวทางดังนี้ ความคลาดเคล่ือนของผลลพั ธ์ให้มีความคลาดเคล่อื นหรือความแปรปรวนของผลลพั ธ์ได้ ไม่เกิน .05 (ร้อยละ 5) จากช่วงต่าไปสูง = ±2.5 นั่นให้ผลลัพธ์ของค่า E1 หรือ E2 ท่ีถือว่าเป็นไปตาม เกณฑ์มีค่าต่ากว่าเกณฑ์ไม่เกิน 2.5% และสูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ไม่เกิน 2.5% หากคะแนน E1 หรือ E2 ห่างกันเกิน 5% แสดงว่ากิจกรรมที่ให้นักเรียนทากับการสอบหลังเรียนไม่สมดุลกัน เช่น ค่า E1 มากกว่า E2 แสดงว่างานที่มอบหมายอาจจะง่ายกว่าการสอบหรือหากค่า E2 มากกว่าค่า E1 แสดงว่า การสอบงา่ ยกวา่ หรือไมส่ มดลุ กับงานที่มอบหมายให้ทาจาเป็นท่ีจะต้องปรบั แก้ หากส่ือหรือชุดการสอนได้รับการออกแบบและพัฒนาอย่างดีมีคุณภาพค่า E1 หรือ E2 ที่คานวณได้จากการทดสอบประสิทธิภาพจะต้องใกล้เคียงกันและห่างกันไม่เกิน 5% ซึ่งเป็นตัวช้ีที่จะ ยืนยันได้ว่านักเรียนได้มีการเปล่ียนพฤติกรรมต่อเน่ืองตามลาดับข้ันหรือไม่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยน พฤติกรรมข้ันสุดท้ายหรืออีกนัยหน่ึงต้องประกันได้ว่านักเรียนมีความรู้จริงไม่ ใช่ทากิจกรรมหรือทา สอบได้เพราะการเดาการประเมินในอนาคตจะเสนอผลการประเมินเป็นเลขสองตัว คือ E1 คู่ E2 เพราะจะทาให้ผู้อ่านผลการประเมินทราบลักษณะนิสัยของผู้เรียนระหว่างนิสัยในการทางานอย่าง ต่อเน่ืองคงเส้นคงวาหรือไม่ (ดูจากค่า E1) กับการทางานสุดท้ายว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด (ดูจาก ค่า E2) เพ่ือประโยชน์ของการกลั่นกรองบุคลากรเข้าทางาน ตัวอย่าง นักเรียนสองคนคือเกษมกับ ปรีชา เกษมได้ผลลัพธ์ E1 / E2 = 78.50 / 82.50 ส่วนปรีชาได้ผลลัพธ์ 82.50 / 78.50 แสดงว่า นกั เรียนคนแรก คอื เกษมทางานและแบบฝึกปฏิบัติท้ังปีได้ 78% และ สอบไล่ได้ 83% จะเหน็ วา่ จะ มีลักษณะนิสัยท่ีเป็นกระบวนการสู้นักเรียนคนท่ีสองคือ ปรีชาท่ีได้ผลลัพธ์ E1 / E2 = 82.50 / 78.50 ไม่ได้ 7. ขนั้ ตอนการทดสอบประสิทธภิ าพ เมื่อผลติ สอื่ หรือชุดการสอนข้ึนเป็นตน้ แบบแลว้ ตอ้ งนาส่ือหรือชุดการสอนไปหา ประสทิ ธภิ าพตามขัน้ ตอนต่อไปนี้ 7.1. การทดสอบประสิทธิภาพแบบเด่ียว (1:1) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คน ทดสอบประสิทธิภาพ ส่ือหรือชุดการสอนกับผู้เรียน 1-3 คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และ เด็กเก่งระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ว่าหงุดหงิด ทาหน้าฉงนหรือทาท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือ กิจกรรมหรือภารกิจและงานท่ีมอบให้ทาและทดสอบหลังเรียนนาคะแนนมาคานวณ หาประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระกิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบ
113 หลังเรียนให้ดีขึ้น โดยปกติคะแนนที่ได้จากการทดสอบประสิทธิภาพแบบเด่ียวนี้จะได้คะแนนต่ากว่า เกณฑม์ าก แต่ไมต่ อ้ งวติ กกังวลเมื่อปรบั ปรุงแล้วจะสงู ข้ึนมาก ก่อนนาไปทดสอบประสิทธภิ าพแบบสุ่ม นนั้ E1 / E2 ที่ได้จะมีคา่ ประมาณ 60 / 60 7.2. การทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่ม (1:10) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพท่ีผู้สอน 1 คนทดสอบประสทิ ธิภาพสอื่ หรอื ชดุ การสอนกับผู้เรียน 6 -10 คน (คละผ้เู รยี นทเี่ ก่ง ปานกลาง อ่อน) ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรมสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ว่าหงุดหงิด ทาหน้าฉงน หรือทาท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ หลังจากทดสอบประสิทธิภาพให้ประเมินการ เรียนจากกระบวนการ คือ กิจกรรมหรือภารกิจและงานที่มอบให้ทาและประเมินผลลัพธ์ คือ การทดสอบหลังเรียนและงานสุดท้ายท่ีมอบให้นักเรียนทาส่งก่อนสอบประจาหน่วยให้นาคะแนน มาคานวณหาประสิทธิภาพหากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเน้ือหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น คานวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงในคราวนี้คะแนนของผู้เรยี น จะเพ่มิ ขนึ้ เรื่อย ๆ อีกเกือบเทา่ เกณฑโ์ ดยเฉลยี่ จะหา่ งจากเกณฑป์ ระมาณ 10% น่นั คือ E1 / E2 ทีไ่ ดจ้ ะ มีคา่ ประมาณ 70 / 70 7.3. การทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม (1:100) เป็นการทดสอบประสิทธภิ าพท่ผี สู้ อน 1 คน ทดสอบประสิทธิภาพส่ือหรือชุดการสอนกับนักเรียนทั้งชั้น (ปกติให้ใช้กับผู้เรียน 30 คน แต่ในโรงเรียนขนาดเล็กอนุโลมให้ใช้กับนักเรียน 15 คน ขึ้นไป) ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพ ให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรมสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ทาหน้าฉงน หรือทาท่า ทางไม่เข้าใจหรือไม่หลังจากทดสอบประสทิ ธภิ าพภาคสนามแลว้ ใหป้ ระเมินการเรียนจากกระบวนการ คื อ กิ จ ก ร ร ม ห รื อ ภ า ร กิ จ แ ล ะ ง า น ที่ ม อ บ ใ ห้ ท า แ ล ะ ท ด ส อ บ ห ลั ง เ รี ย น น า ค ะ แ น น ม า ค า น ว ณ หาประสิทธิภาพหากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบ หลังเรียนให้ดีข้ึนแล้วนาไปทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามซ้ากับนักเรียนต่างกลุ่มอาจทดสอบ ประสิทธิภาพ 2-3 ครั้งจนได้ค่าประสิทธิภาพถึงเกณฑ์ข้ันต่า ปรกติไม่น่าจะทดสอบประสิทธิภาพ เกณฑ์สามครั้งด้วยเหตุนี้ข้ันทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามแทนด้วย 1:100 ผลลัพธ์ท่ีได้จากการ ทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม ควรใกล้เคียงกันเกณฑ์ท่ีต้ังไว้หากต่างจากเกณฑ์ไม่เกิน 2.5% ก็ให้ ยอมรับว่าส่ือหรือชุดการสอนมีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ หากค่าท่ีได้ต่ากว่าเกณฑ์มากกว่า -2.5 ให้ปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามซ้าจนกว่าจะถึงเกณฑ์จะหยุดปรับปรุงแล้วสรุปว่า ชุดการสอนไม่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ีตั้งไว้หรือจะลดเกณฑ์ลงเพราะถอดใจหรือยอมแพ้ไม่ได้ หากสงู กวา่ เกณฑไ์ มเ่ กิน +2.5 ก็ยอมรบั สื่อหรอื ชุดการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ตี ้ังไว้ หากคา่ ได้สงู กว่าเกณฑ์เกนิ +2.5 ใหป้ รบั เกณฑ์ขน้ึ ไปอีกขนั้ หนงึ่ เชน่ ตัง้ ไว้ 80/80 ก็ให้ ปรบั ขึ้นเปน็ 85/85 หรือ 90/90 ตามคา่ ประสทิ ธภิ าพได้
114 8. ขั้นตอนการเลอื กนักเรยี นมาทดสอบประสทิ ธิภาพ นักเรียนทีผ่ สู้ อนจะเลอื กมาทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนควรเปน็ ตวั แทนของ นกั เรียนทเ่ี ราจะนาสื่อหรือชดุ การสอนนั้นไปใช้ ดงั นนั้ จงึ ควรพจิ ารณาประเดน็ ต่อไปน้ี 8.1. สาหรับการทดสอบประสิทธิภาพ แบบเด่ียว (1:1) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ ครู 1 คน ต่อเด็ก 1-3 คน ให้ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กอ่อนเสียก่อนทาการปรับปรุงแล้วนาไป ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กปานกลางและนาไปทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กเก่งอย่างไรก็ตามหาก เวลาไม่อานวยและสภาพการณ์ไม่เหมาะสมก็ให้ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กอ่อนหรื อเด็กปานกลาง โดยไม่ต้องทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กเก่งก็ได้ แต่การทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กท้ังสามระดับ จะเป็นการสะท้อนธรรมชาติการเรียนที่แท้จรงิ ท่ีเด็กเก่ง กลาง อ่อนจะได้ช่วยเหลือกันเพราะเด็กอ่อน บางคนอาจจะเกง่ ในเรื่องทเี่ ด็กเก่งทาไม่ได้ 8.2. สาหรับการทดสอบประสิทธิภาพ แบบกลุ่ม (1:10) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ ที่ครู 1 คนทดสอบประสิทธิภาพกับเด็ก 6-10 คน โดยให้มีผู้เรียนคละกันท้ังเด็กเก่ง ปานกลาง เด็กออ่ น หา้ มทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กอ่อนลว้ นหรือเดก็ เกง่ ลว้ น ขณะทาการทดสอบประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องจับเวลาด้วยว่ากิจกรรมแต่ละกลุ่มใช้เวลาเท่าไรท้ังน้ีเพ่ือให้ทุกกลุ่มกิจกรรมใช้เวลา ใกล้เคยี งกันโดยเฉพาะการสอนแบบศูนย์การเรียนท่ีกาหนดให้ใช้เวลาเทา่ กัน คอื 10-15 นาที สาหรับ ระดับประถมศกึ ษาและ 15-20 นาที สาหรับระดับมัธยมศึกษา 8.3. สาหรับการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม (1:100) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ ที่ใช้ครู 1 คน กับนักเรียนท้ังช้ันกับนักเรียน 30-40 คน (หรือ 100 คน สาหรับส่ือหรือชุดการสอน รายบุคคล) ชั้นเรียนท่ีเลือกมาทดสอบประสิทธิภาพจะต้องมีนักเรียนคละกันท้ังเก่งและอ่อนไม่ควร เลือกห้องเรียนที่มีเด็กเก่งหรือเด็กอ่อนล้วน สัดส่วนที่ถูกต้องในการกาหนดจานวนผู้เรียนท่ีมีระดับ ความสามารถแตกต่างกันควรยึดจานวนจากการแจกแจงปกติท่ีจาแนกนักเรียนเป็น 5 กลุ่ม คือ นักเรียนเก่งมาก (เหรียญเพชร) ร้อยละ 1.37 (1 คน) นักเรียนเก่ง (เหรียญเงิน) ร้อยละ 14.63 (15 คน) นักเรยี นปานกลาง (เหรยี ญเงิน) ร้อยละ 68 (68 คน) นักเรียนออ่ น (เหรยี ญทองแดง) ร้อยละ 14.63 (15 คน) และนักเรยี นออ่ นมาก (เหรยี ญตะกวั่ ) รอ้ ยละ 1.37 (1 คน) โดยสรุปแล้วจะเหน็ ได้วา่ การหาประสิทธิภาพสื่อการสอนมีกระบวนการและขัน้ ตอนที่ ซบั ซอ้ นแต่ถงึ กระนนั้ ผสู้ อนเองจาเป็นต้องหาประสทิ ธิภาพของสือ่ การสอนก่อนทจี่ ะนาไปใชใ้ นการ สอนจริงเพื่อใหเ้ กิดประโยชน์กบั ผู้เรียนมากทส่ี ดุ
115 สรุป การประเมินผลส่ือการสอนและการหาประสิทธิภาพของส่ือการสอนมีความสาคัญมากใน กระบวนการผลติ และพัฒนาส่อื การเรยี นการสอน ผูส้ อนเองตอ้ งใหค้ วามสาคญั กับกระบวนการท้ังสอง อย่างจริงจังเพ่ือให้สื่อการสอนท่ีผลิตขึ้นน้ันมีประสิทธิภาพในการนาไปใช้งานได้อย่างเต็มขีด ความสามารถ แบบฝึกหดั ท้ายบท 1. การประเมนิ ส่ือผลการสอนหมายถงึ อะไร จงอธิบาย 2. การประเมินผลนวตั กรรมมคี วามสาคัญอยา่ งไร จงอธิบาย 3. วิธีในการประเมนิ ผลนวตั กรรมสามารถจาแนกได้กวี่ ธิ ี อะไรบ้าง 4. การประเมินผลส่ือการเรียนรู้จาแนกประเภทหรือลกั ษณะได้เปน็ กี่แบบ อะไรบา้ ง 5. ข้นั ตอนการประเมินผลสอื่ การเรยี นการสอนแบ่งได้ออกเป็นก่ีขนั้ ตอน อะไรบา้ ง 6. การทดสอบประสทิ ธิภาพ (Efficiency) หมายถงึ อะไร จงอธบิ าย 7. การทดสอบประสทิ ธิภาพของสอ่ื หรอื ชุดการสอน หมายถึงอะไร จงอธิบาย 8. จงอธิบายเกณฑ์การหาประสิทธภิ าพ E1/E2 9. หลักเกณฑ์ในการกาหนดค่า E1/E2 ใหม้ คี ่าเทา่ ใดน้นั มเี กณฑใ์ นการกาหนดค่าอยา่ งไร 10. จงอธบิ ายขัน้ ตอนในการทดสอบประสิทธิภาพ โดยละเอยี ด
116 เอกสารอา้ งองิ กดิ านนั ท์ มลิทอง. (2531). เทคโนโลยรี ว่ มสมัย. กรุงเทพฯ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั วีณัฐ สกลุ หอม. (2557) เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ านวตั กรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศทางการศกึ ษา. หลักสูตรศึกษาศาสตรบณั ฑิต คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย ราชภัฏสวนดสุ ติ ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ (2556). การทดสอบประสทิ ธภิ าพส่ือหรอื ชุดการสอน วารสารศลิ ปากร ศกึ ษาศาสตร์วจิ ัย ปีท่ี 5(1) มกราคม-มถิ ุนายน 2556 สรุ ศักด์ิ ปาเฮ. (2553). ส่อื และเทคโนโลยีเพือ่ การศึกษา. แพร: หจก.แพรไทยอุตสาหการพิมพ. วชริ าพร อจั ฉริยโกศล. (2536). การประเมินผลสอ่ื การเรียนการสอน. วารสารครศุ าสตร์. 21(3), 13-31. บญุ ชม ศรีสะอาด. (2533). การประเมินผลสือ่ การสอน วารสารโครงการพัฒนาคณุ ภาพ การศึกษา สปช. ฉบบั ท่ี 4 ปีพุทธศกั ราช 2533 หนา้ 23 – 29
117 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 6 เร่อื ง การประยกุ ต์เทคโนโลยกี ับการจัดการเรียนการสอน เนอื้ หา 1. เทคโนโลยคี วามเปน็ จรงิ เสรมิ (Augmented Reality) 2. ห้องเรียนอจั ฉริยะ (Smart Classroom) 3. สรปุ วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม เมอื่ ศึกษาบทเรียนนี้แลว้ นักศึกษาสามารถ 1. อธิบายความหมายของเทคโนโลยีความเป็นจรงิ เสรมิ ได้ 2. อธบิ ายหลักการของเทคโนโลยคี วามเปน็ จรงิ เสรมิ ได้ 3. อธบิ ายขอ้ ดี ข้อจากัดของเทคโนโลยคี วามเปน็ จริงเสริมกับการเรยี นการสอนได้ 4. อธบิ ายความหมายของห้องเรยี นอจั ฉริยะได้ 5. อธิบายองค์ประกอบของของห้องเรยี นอัจฉรยิ ะได้ 6. อธิบายรปู แบบของห้องเรยี นอจั ฉรยิ ะได้ วิธีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1.นักศกึ ษาศึกษาเอกสารประกอบการสอนการประยุกต์เทคโนโลยกี บั การจดั การเรียน การสอน 2.อาจารย์ใชเ้ ทคนิคการสอนแบบบรรยายเนอื้ หาประกอบการปฏบิ ัติการ 3.นกั ศึกษาร่วมอภิปรายและซักถาม 4.นกั ศกึ ษาทาแบบฝกึ หัดท้ายบท สือ่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาบทท่ี 6 เรือ่ ง การประยุกต์เทคโนโลยกี ับการจัดการเรยี นการสอน 2. เวบ็ ไซตท์ ีเ่ กี่ยวข้องกับเทคโนโลยีกับการจดั การเรียนการสอน 3. PowerPoint ประกอบการบรรยายเร่อื ง การประยุกตเ์ ทคโนโลยีกับการจัดการเรยี น การสอน
118 การวัดผลและประเมินผล 1. สังเกตการมีสว่ นร่วมของผเู้ รยี น การอภิปราย และการตอบคาถาม 2. ตรวจสอบความถูกต้องของแบบฝกึ หดั ท้ายบท 3. การเขา้ ช้ันเรียน
119 บทที่ 6 การประยกุ ต์เทคโนโลยีกับการจัดการเรียนการสอน กระบวนการจัดการเรียนการสอนถือเปน็ เร่อื งหลกั และมีความสาคัญมากสาหรบั ครูผู้สอนท่ี ได้จัดกิจกรรมการสอนต่าง ๆ ขึ้นมาเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถบรรลุการเรียนได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ในปัจจุบันมีการกล่าวถึงเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การจัดการสอนมีความง่ายและสะดวกมากข้ึน อีกท้ังยังมีความสะดวก การใช้งานไม่ซับซ้อนจึงทาให้ผู้สอนหลากหลายท่านเริ่มมีการปรับเปลี่ยน การสอนโดยการนาเทคโนโลยีรูปแบบต่าง ๆ เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์มากย่ิงขึ้น เพ่ือให้การจัดการ เรียนการสอนมีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ลมากทส่ี ดุ เทคโนโลยคี วามเปน็ จริงเสรมิ (Augmented Reality) 1. ประวตั ิความเปน็ มา เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) ได้ถูกค้นพบเม่ือปี 1950 โดย มอร์ตนั ในขณะท่ีถา่ ยทาภาพยนตร์ โดยเขามีความคิดท่ีจะให้ผู้ชมไดม้ ีความรสู้ ึกถงึ ความมีสว่ นร่วมโดย เพิ่มศักยภาพของภาพยนตร์เข้าไปต่อมาในปี ค.ศ.1962, ได้สร้างภาพต้นแบบท่ีแสดงถึงวิสัยทัศน์ ขึ้นมาจนกระทั่งปี ค.ศ.1955 ได้อธิบายไว้ในภาพยนตร์ของอนาคตช่ือ Sensorama ต่อมาในปี 1966 Ivan Sutherland ได้คดิ คน้ เคร่ืองสวมหัวข้ึน ภาพท่ี 6.1 เคร่ืองสวมหัวที่ประดิษฐโ์ ดย Ivan Sutherland ทม่ี า: Lertad Supadhiloke (2560) ปี 1997 เร่ิมมีการนาแนวคิดของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมาใช้ในภาพยนตร์เรื่อง Star War ภาคแรก โดยในเร่ืองมีการออกแบบหมวกของนักบินให้สามารถติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม
120 เพ่ือเชื่อมโยงข้อมูลกล้องดิจิทัล เช่น ตาแหน่งของเครื่องบินฝ่ังตรงข้ามและข้อมูลวิเคราะห์อ่ืน ๆ มาแสดงบนอุปกรณ์ในระดบั สายตาเพือ่ ใช้เปน็ ข้อมูลในการตัดสินใจแบบทนั ที 2. ความหมายของเทคโนโลยคี วามเปน็ จรงิ เสรมิ เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) หรือจะเรียกว่า AR ได้มีนักการ ศึกษาหลายทา่ นไดใ้ ห้ความหมายไว้ อาทิ รักษพล ธนานวุ งศ.์ (2523) กลา่ วว่า เทคโนโลยคี วามเปน็ จริงเสริม (Augmented Reality :AR) เป็นเทคโนโลยีท่ีผสมโลกของความจริง (Real World) เข้ากับโลกเสมือน (Virtual World) โดยใช้วิธีซ้อนภาพสามมิติท่ีอยู่ในโลกเสมือนไปอยู่บนภาพที่เห็นจริง ๆ ในโลกของความเป็นจริง ผ่านกล้องดิจิทัลของแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อ่ืน ๆ และให้ผลการแสดงภาพ ณ เวลาจริง (Real Time) ซึ่งในอนาคตอันใกล้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมกาลังจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในชีวิตประจาวันของสังคมท่ีจะเต็มไปด้วยสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี สารสนเทศ เชน่ Google Glass พนิดา ตันสิริ. (2553) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) เป็นประเภทหนึ่งของเทคโนโลยีความจริงเสมือนท่ีมีการนาระบบความจริงเสมือนมาผนวกกับ เทคโนโลยภี าพเพ่ือสร้างสิ่งที่เสมือนจริงให้กับผู้ใช้แบบเฟรมต่อเฟรมดว้ ยเทคนิคทางด้านคอมพิวเตอร์ กราฟกิ Softengthai. (2014.) เทคโนโลยีความเปน็ จริงเสรมิ (Augmented Reality: AR) เป็นเทคโนโลยีใหม่ท่ีผสานเอาโลกแห่งความเป็นจริง (Real) เข้ากับโลกเสมือน (Virtual) ซ่ึงจะทาให้ ภาพที่เห็นในจอภาพกลายเป็นวัตถุ 3 มติ ิลอยอย่เู หนือพน้ื ผิวจริง Ronald Azuma. (1997) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) เป็นการรวมเอาความจริงและความเสมือนเข้าด้วยกัน (Real+Virtual) มีการปฏิสัมพันธ์ในเวลาจริง (Real Time) และเปน็ การทางานด้วยระบบ 3D Paul Milgram and others. (1994) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) เป็นความต่อเนอื่ งของการขยายสภาพความจริงไปส่สู ภาพเสมือนหรือเป็นความสัมพนั ธ์ อย่างใกล้ชิดระหว่างสภาพแวดลอมที่เป็นจริงและสภาพแวดลอมท่ีเสมือนอย่างไรก็ตามความหมาย ของเทคโนโลยีความเปน็ จรงิ เสริมยงั ไมม่ ีการนิยามทีแ่ จมชัดแมว้ ่าเปน็ ท่ีสนใจกนั อยา่ งกว้างขวางก็ตาม โดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) หมายถึง การผสมผสานระหว่างโลกเสมือนจริง (Virtual World) เข้ากับโลกของความจริง (Real World) โดยผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อประเภทต่าง ๆ อาทิ กล้องกล้องดิจิทัลของแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนหรือ อุปกรณอ์ ่นื ๆ เพื่อให้ผู้ดูเห็นภาพเสมือนอยูใ่ นสถานการณน์ ัน้ จรงิ ๆ
121 3. แนวคิดหลักของเทคโนโลยีความเปน็ จริงเสริม แนวคิดหลักของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม คือ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ผสานเอา โลกแห่งความเป็นจริงและความเสมือนจริงเข้าด้วยกันผา่ นซอฟต์แวรแ์ ละอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ เชน่ เว็บแคม คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นท่ีเก่ียวข้องซึ่งภาพเสมือนจริงน้ันจะแสดงผลผ่านหน้าจอ คอมพิวเตอร์ หนา้ จอโทรศัพท์มือถือ บนเคร่อื งฉายภาพหรอื บนอุปกรณ์แสดงผลอน่ื ๆ โดยภาพเสมือน จริงท่ีปรากฏขึ้นจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ได้ทันทีทั้งในลักษณะที่เป็นภาพนิ่งสามมิติ ภาพเคล่ือนไหว หรืออาจจะเป็นส่ือที่มีเสียงประกอบขึ้นกับการออกแบบสื่อแต่ละรูปแบบว่าให้ออกม าแบบใด โดยกระบวนการภายในของเทคโนโลยเี สมอื นจรงิ ประกอบดว้ ย 3 กระบวนการ ไดแ้ ก่ 3.1 การวิเคราะห์ภาพ (Image Analysis) เป็นขั้นตอนการคน้ หา Marker จากภาพที่ได้ จากกล้องแล้วสืบค้นจากฐานข้อมูล (Marker Database) ท่ีมีการเก็บข้อมูลขนาดและรูปแบบของ Marker เพอ่ื นามาวเิ คราะหร์ ูปแบบของ Marker 3.2 การคานวณคา่ ตาแหนง่ เชิง 3 มติ ิ (Pose Estimation) ของ Marker เทียบกบั กลอ้ ง 3.3 กระบวนการสรา้ งภาพสองมิติจากโมเดลสามมติ ิ (3D Rendering) เป็นการเพิ่ม ข้อมูลเข้าไปในภาพ โดยใช้คา่ ตาแหนง่ เชิง 3 มิตทิ คี่ านวณได้จนได้ภาพเสมอื นจรงิ ดงั แสดงในภาพ ฐานขอ้ มลู Maker วเิ คราะห์ภาพ (Marker Database) (Image Analysis) คานวณตาแหนง่ เชงิ สามมิติ ฐานขอ้ มลู สามมิติ (Pose Estimation) (3D Model สร้างภาพจากโมเดลสามมติ ิ Database) (3D Rendering) ภาพท่ี 6.2 แสดงกระบวนการทางานของเทคโนโลยีความเป็นจรงิ เสริม (Augmented Reality: AR) 4. ฮารด์ แวร์ทใี่ ชใ้ นการทางาน ฮาร์ดแวรท์ สี่ าคัญสาหรบั การสรา้ งงานเทคโนโลยีความเปน็ จรงิ เสรมิ ได้แก่ 4.1 สวนแสดงผล (display) สวนแสดงผลท่ใี ชสาหรบั การทางานของเทคโนโลยีความเป็นจรงิ เสรมิ ได้แก่
122 4.1.1 ชดุ สวมศรี ษะ (HMD: Head Mounted Display) ภาพที่ 6.3 แสดงกระบวนการทางานของชดุ สวมศรี ษะ (HMD: Head Mounted Display) ท่มี า: Chantapol Sathrenyanont: (2560): 4.1.2 การแสดงบนมอื ถือหรืออปุ กรณ์พกพา (HD : Handheld Display) ภาพท่ี 6.4 แสดงกระบวนการทางานของมือถือหรอื อุปกรณพ์ กพา (HD : Handheld Display) ท่มี า: Lebin Baru (2560) 4.2 การแสดงบนจอดจิ ิทลั (SAR: Spatial Augmented Reality) ภาพท่ี 6.5 การแสดงภาพบนจอดิจทิ ลั (SAR: Spatial Augmented Reality) ทม่ี า: Claudia Endler (2560) 4.3 กลองถ่าย (Tracking) ในการทางานของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมใชกลองดจิ ิทลั และ/หรือตัวจบั ภาพจีพีเอส (GPS) หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เชน อุปกรณ์ไรสาย ท้ังนี้เทคโนโลยีแต่ละอย่าง ทาหน้าทใ่ี นระดบั ทเ่ี หมาะสมเพือ่ เสรมิ AR ใหมปี ระสิทธภิ าพย่งิ ข้นึ
123 4.4 อปุ กรณ์ปอ้ นเขา้ (Input Devices) ใช้ 3D ในการจัดภาพ 4.5 คอมพิวเตอร์ (Computer) 4.6 แผนทนี่ าทางจีพเี อสและเขม็ ทศิ 5 เทคโนโลยีความจรงิ เสริมกับการจดั การเรียนการสอน 5.1 เทคโนโลยีความจริงเสรมิ มีการนาเน้ือหาท่ีหลากหลายเข้ามาใชใ้ นการเรียนการสอน ดังนั้นผู้เรียนจะเกิดองค์ความรู้ที่หลากหลายในการเรียนรู้ โดยที่ทั้งผู้สอนและผู้เรียนสามารถเรียนรู้ รว่ มกนั ไดอ้ ีกจานวนมาก 5.2 ผเู้ รยี นสามารถควบคุมการเรียนได้ การทผ่ี สู้ อนนาสื่อการเรียนร้เู ทคโนโลยีความจริง เสริมมาใช้ในการเรียนการสอนจะทาให้ผู้เรียนสามารถควบคุมเน้ือหาการเรียนได้ตามศักยภาพของ ตนเองซ่งึ เปน็ การเรียนรู้ตามความแตกตา่ งของผู้เรยี น (Individual Difference) 5.3 มีรปู แบบการเรียนรู้ทีห่ ลากหลายทาใหผ้ ูเ้ รียนเกิดความกระตอื รือรน้ ในการเรยี น 5.4 ในสภาวะการของการทดลองบางครั้งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้เรียนได้ การนา เทคโนโลยคี วามเป็นจริงเสริมเขา้ มาใช้จะทาใหก้ ารทดลองในบางกจิ กรรมมีความปลอดภัยมากขน้ึ 5.5 ขยายโอกาสให้ผู้เรียนสารวจสถานท่ีท่ีไม่สามารถท่องไปได้ในความเป็นจริง เช่น อวกาศหรือภายในภเู ขาไฟทกี่ าลงั ระเบิด 5.6 เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นทาการทดลองในสงิ่ แวดลอ้ มท่ีเป็นสถานการณ์จาลอง 6 ข้อดี-ขอ้ จากดั ของเทคโนโลยีความเปน็ จริงเสริมกับการจัดการเรียนการสอน 6.1 ข้อดขี องการใชเ้ ทคโนโลยคี วามเปน็ จริงเสริมกบั การเรียนการสอน 6.1.1 กระตุน้ ใหผ้ ้เู รยี นมีความกระตือรือรน้ ในการเรยี น 6.1.2 สามารถจุดประกายการเรียนรูแ้ ละต่อยอดการเรียนรู้ของผ้เู รยี นได้เปน็ อย่างดี 6.1.3 สามารถแสดงเนอ้ื หาท่เี ปน็ นามธรรมให้เปน็ รปู ธรรมได้อยา่ งงา่ ยดาย 6.1.4 ผูส้ อนสามารถสร้างนวัตกรรมการเรยี นทีต่ อบสนองผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นได้ หลากหลาย 6.2 ข้อจากัดของการใช้เทคโนโลยีความเป็นจรงิ เสรมิ กับการเรยี นการสอน 6.2.1 ผู้สอนอาจรูส้ ึกยงุ่ ยากในการเรยี นรูก้ ระบวนการสร้างนวัตกรรม 6.2.2 ความพร้อมของเครอื่ งมอื อาจมีไม่เพียงพอต่อจานวนผูเ้ รยี น 6.2.3 อาจจาเป็นต้องอาศยั สญั ญาณเครือขา่ ยในการทางาน
124 หอ้ งเรียนอัจฉรยิ ะ (Smart Classroom) ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom) แหล่งการเรียนรู้ท่ีจัดทาขึ้นในลักษณะพิเศษ เฉพาะท่ีแตกต่างจากห้องเรียนโดยทั่วไปเพ่ือใช้สาหรับการเสริมสร้างประสบการณ์ทางการเรียน การสอน การฝึกอบรม รวมทั้งการฝึกทักษะความรู้ในด้านต่าง ๆ โดยมีจุดเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ ทางการเรียนร่วมกันจากเทคโนโลยีท่ีหลากหลายทั้งส่ือในระบบภาพและเสียงก่อให้เกิดการเรียนท้ัง ในระบบชนั้ เรยี นปกตแิ ละนอกชั้นเรยี นในการเรียนแบบทางไกลทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ 1 ความหมายของห้องเรียนอจั ฉรยิ ะ (Smart Classroom) O’Driscoll. 2009 (อ้างถึงใน สุวิทย์ บึงบัว. มปป.) กล่าวว่า ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart Classroom) เป็นห้องจาลองทางปัญญาในการปรับประยุกต์รูปแบบการใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกบั สภาพการณ์และแหล่งทรัพยากรทางการเรียนที่จะนาไปสู่การปรับใช้กับกลุ่มผู้เรียนตามจุดมุ่งหมาย ท่กี าหนดทง้ั กับการเรยี นและการสอน Samsung Smart Classroom (2013 อ้างถึงใน สุวิทย์ บึงบัว. มปป.) บริษัท Samsung ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการอุตสาหกรรมทางเคร่ืองมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และการส่ือสาร แห่งเกาหลีใตไ้ ด้จัดทาโครงการห้องเรยี นอจั ฉริยะขนึ้ โดยกาหนดนิยามความหมายไว้ใน 2 ลักษณะ คือ 1. เป็นห้องเรียนเชิงปฏิสัมพันธ์ทางการเรียนการสอน (Interactive Teaching) จะช่วย เสริมสรา้ งปฏสิ ัมพนั ธ์ในห้องเรยี นจากการใชส้ อื่ อุปกรณ์ประเภทจอปฏิสัมพนั ธ์ (Interactive Screen) เพ่อื การแลกเปลยี่ นประสบการณท์ างการเรียนร่วมกัน นเิ ทศตดิ ตามการจัดกิจกรรมกลมุ่ การสอบถาม หรอื การจดั ทาประชามติ เปน็ ต้น 2. เป็นแหล่งบริหารจัดการทางการเรียน (Learning Management) ห้องดังกล่าวจะเป็น ศูนยส์ อ่ื อปุ กรณ์ประกอบหลักสตู รการเรยี น การบริหารจดั การและการวางแผนการเรียน เป็นตน้ นอกจากนยี้ ังได้มกี ารนิยามความหมายของรูปแบบการจัดทาห้องเรียนในเชิงอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Classrooms) หรือหอ้ งเรียนอจั ฉริยะท่สี าคญั และมคี วามหมายทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกนั ใน หลากหลายชอ่ื ดงั ต่อไปน้ี 2.1 Presentation Classroom เป็นห้องท่ีถูกจัดเตรียมสื่อไว้เฉพาะเพื่อการนาเสนอ ข้อมูลซึ่งจะประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) แบบต้ังโต๊ะ (Laptop Connection) เคร่ืองดีวีดีหรือกล้องถ่ายภาพ (Camera) เป็นห้องสาหรับการนาเสนอของผู้สอน เท่าน้นั จะไมม่ คี อมพิวเตอรส์ าหรับผู้เรียนหรอื ผใู้ ช้ท่ัวไป 2.2 Collaborative Classroom ลักษณะคล้ายกับห้องเรียนแบบ Presentation Classroom เพียงว่าในห้องจะมีเคร่ืองคอมพิวเตอร์สาหรับผู้เรียนทุกคนที่เข้ามาใช้อาจมีเง่ือนไข การใช้ท่ีแตกต่างกันไป เช่น มีคอมพิวเตอร์แบบ 1:1 หรือ 4:1 ขึ้นอยู่กับสภาพห้องและขนาด ของหอ้ งเรียน
125 2.3 Laptop and Laptop / Seminar Classroom เป็นห้องที่มีส่ือเทคโนโลยีอุปกรณ์ ส่ือสารครบถ้วนเหมือนแบบ Presentation Classroom และ Collaborative Classroom มีสื่อ คอมพิวเตอร์แบบต้ังโต๊ะสาหรับผู้ใช้หรือผู้เรียนครบทุกคนซ่ึงจะถูกเชื่อมโยงโปรแกรมการใช้งานไปสู่ ผเู้ รียนรายบคุ คลในการจัดกจิ กรรมการเรียนหรอื การจดั อบรมสัมมนา 2.4 Special Configuration เปน็ ลกั ษณะของหอ้ งเรยี นเฉพาะกิจที่มคี วามแตกต่าง หรือ มีคุณลักษณะเฉพาะสาหรับการใช้งานซ่ึงนอกเหนือจากจะมีส่ืออุปกรณ์เทค โนโลยีการส่ือสารท่ีครบ พรอ้ มแลว้ อาจจดั เตรียมสอ่ื ประกอบอื่น ๆ เขา้ มาใช้ใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพสงู สดุ ของการใชง้ าน จากท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า Smart Classroom หมายถึง ห้องเรียนหรือแหล่งการเรียนรู้ ที่จัดทาขึ้นในลักษณะพิเศษเฉพาะที่แตกต่างจากห้องเรียนโดยทั่วไป เพื่อใช้สาหรับการเสริมสร้าง ประสบการณ์ทางการเรียนการสอน การฝึกอบรมรวมทั้งการฝึกทักษะ ความรู้ ในด้านต่าง ๆ โดย มีจุดเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางการเรียนร่วมกันจากเทคโนโลยีที่หลากหลายท้ังสื่อในระบบภาพ และเสียงก่อให้เกิดการเรียนทั้งในระบบชั้นเรียนปกติและนอกชั้นเรียนในการเรียนแบบทางไกล ท่ีมปี ระสิทธภิ าพ 2 องค์ประกอบของห้องเรยี นอจั ฉรยิ ะ ห้องเรียนอัจฉริยะถือว่าเป็นรูปแบบห้องเรียนท่ีตอบสนองการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ให้กับท้ังผู้สอนและผู้เรียนโดยภายในห้องเรียนประกอบด้วยอุปกรณ์อานวยความสะดวกในการ จัดการเรียนการสอนต่าง ๆ ซึ่งสามารถแยกองค์ประกอบของห้องเรียนอัจฉริยะได้เป็นในส่วนของ อปุ กรณฮ์ าร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟต์แวร์ (Software) พเี พิลแวร์ (People ware) และ Networking ภาพท่ี 6.6 บรรยากาศหอ้ งเรียนในศตวรรษที่ 21 ท่มี า: Caity Doyle (2560)
126 1. อปุ กรณ์ฮารด์ แวร์ (Hardware) อปุ กรณ์ฮารด์ แวร์ (Hardware) จัดว่าเป็นอุปกรณท์ ่ใี ชใ้ นการอานวยความสะดวกในการ จดั การเรียนการสอนท่ใี ชใ้ นห้องเรยี นอัจฉริยะ ได้แก่ 1.1 คอมพวิ เตอร์ตั้งโตะ๊ (Personal Computer) ภาพท่ี 6.7 คอมพิวเตอรต์ ้ังโต๊ะ (Personal Computer) ที่มา : นพิ นธ์ บริเวธานันท์ 1.2 คอมพวิ เตอร์แบบพกพา (Notebook) ภาพท่ี 6.8 คอมพิวเตอรแ์ บบพกพา (Notebook) ทมี่ า : นพิ นธ์ บริเวธานนั ท์ 1.3 เครื่องฉายภาพโปรเจคเตอร์ (LCD Projector) ภาพท่ี 6.9 เครื่องฉายภาพโปรเจคเตอร์ (LCD Projector) ที่มา: NEC (2560)
127 1.4 กระดานอัจฉริยะ (Interactive Board) ภาพท่ี 6.10 กระดานอจั ฉรยิ ะ (Interactive Board) ท่มี า: Shining Bangladesh Incorporated: (2560) 1.5 แทบ็ เล็ต (Tablet) ภาพท่ี 6.11 แท็บเล็ต (Tablet) ทีม่ า: TechAdvisor (2560)
128 1.6 สมารท์ โฟน (Smartphone) ภาพท่ี 6.12 สมาร์ทโฟน (Smartphone) ที่มา: ANDROIDPIT: (2560) 1.7 เคร่ืองขยายเสียง (Stereo) ภาพท่ี 6.13 เครอ่ื งขยายเสียง (Stereo) ทม่ี า: Projectorthailand co.,ltd: (2560) 1.8 อปุ กรณ์เช่ือมต่อระบบอนิ เทอรเ์ น็ต ภาพท่ี 6.14 อุปกรณเ์ ชื่อมตอ่ ระบบอนิ เทอรเ์ นต็ ทม่ี า : นิพนธ์ บรเิ วธานันท์
129 นอกเหนือจากอุปกรณ์ดงั กลา่ วแล้วยงั มีอกี มากมายทใี่ ชใ้ นการบริหารจดั การในสว่ นของ ฮารด์ แวร์ซ่งึ จะชว่ ยให้การบริหารจัดการห้องเรียนมีความสะดวกมากย่งิ ขึ้น 2. ซอฟต์แวร์ (Software) ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรมหรือชุดคาส่ังที่ถูกเขียนขึ้นเพ่ือสั่งให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ทางานซ่ึงเปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟตแ์ วร์สาหรบั เคร่ืองคอมพวิ เตอร์สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2.1. Operating Software เป็นระบบปฏบิ ัติการเพอ่ื ใหส้ ามารถเช่อื มตอ่ โปรแกรมต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานร่วมกันได้ ในโรงเรียนสงั กัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนิยมใช้มาก ท่สี ดุ 4 ระบบ ไดแ้ ก่ Microsoft windows, Android, Linux และ iOS 2.2. Utility Software เป็นโปรแกรมสาเร็จรูปสาหรับใช้งานตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ แต่ละโปรแกรมจะมีความสามารถเฉพาะมีท้ังแบบท่ีสามารถใช้งานร่วมกันได้และแบบทางานเฉพาะ ตัวเอง เช่น โปรแกรมท่ีติดต้ังมาพร้อมกับ Interactive Board มีหน้าท่ีควบคุมส่ังการฟังก์ชันต่าง ๆ ใหผ้ ้ใู ชส้ ามารถทางานกับกระดานได้แบบมปี ฏิสัมพันธ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์พีซีหรือโน้ตบุ๊คทาหน้าที่ ส่ังการให้คอมพิวเตอร์ทางานตามความต้องการ และเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ ภายในห้องเรียนอัจฉริยะทางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีโปรแกรมควบคุมชั้นเรียน (LMS) ทหี่ ลากหลายใหโ้ รงเรยี นเลือกใช้ตามความเหมาะสมกบั บริบทของตนเอง 2.3. Specifically Software เป็นโปรแกรมที่พัฒนาข้ึนมาเฉพาะด้านอาจสร้างข้ึนจาก ภาษาเขียนคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมสาเร็จรูปก็ได้ เช่น ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่าง ๆ เพื่อใช้ใน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แอปพลิเคชันที่พัฒนาข้ึนเพ่ือใช้งานกับแท็บเล็ตเพ่ือการเรียนรู้ สารสนเทศเพื่อการเรยี นการสอนสาหรับสมารท์ โฟนหรอื โปรแกรมพิเศษแบบต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ กบั หอ้ งเรียนอัจฉรยิ ะ 3. People ware People ware หมายถงึ บุคคลต่าง ๆ ที่มีสว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั ห้องเรยี นอัจฉริยะจาแนกตาม หนา้ ท่ี ดังนี้ 3.1. แอดมิน (Admin) หรือผู้ดูแลระบบนับเป็นบุคคลแรกท่ีเกี่ยวข้องกับห้องเรียน อจั ฉรยิ ะเพราะแอดมินเปน็ ผู้จดั ระบบทง้ั หมดในการใช้งานหลงั จากการติดตั้งอุปกรณ์ฮาร์ทแวร์ทั้งหมด การติดต้ังนี้จะเกี่ยวข้องกับการติดต้ังโปรแกรมต่าง ๆ ให้ใช้งานได้รวมทั้งติดตั้งระบบเน็ตเวิร์คให้ สัมพันธ์กับโปรแกรม โดยปกติแล้วโปรแกรมจะมีทั้งระบบเดี่ยว (Stand Alone) และระบบก้อนเมฆ (Could Computing) เม่ือแอดมินจัดการระบบต่าง ๆ เรยี บร้อยแล้วหอ้ งเรียนอจั ฉริยะก็พร้อมสาหรับ
130 การใช้งานแต่หน้าท่ีของแอดมินยังคงต้องเป็นผู้ตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นระยะเพ่ือให้ห้องเรียน อจั ฉรยิ ะสามารถใชง้ านได้ตามปกติ 3.2. ครูผู้สอนเป็นคนสาคัญท่ีจะนาพาองค์ความรู้ต่าง ๆ ส่งไปถึงนักเรียนเพื่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันพึงประสงค์ ดังนั้นครูผู้สอนจาเป็นต้องมีความสามารถพื้นฐานในการใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องเรียนอัจฉริยะและมีความสามรถในการประยุกต์ใช้ฮาร์ทแวร์และซอฟแวร์ ร่วมกับวิธีสอนปกติ การปรับวิธีการเรียนเปล่ียนการสอนดังกล่าวจาเป็นต้องใช้เวลาพอสมควรตาม ความสามารถด้านไอซีทีของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามด้วยวิทยาการก้าวหน้าไปมากอุปกรณ์ต่าง ๆ ของฮาร์ทแวร์และซอฟแวร์สามารถใช้งานได้ง่ายสาหรับครูผู้สอนหากครูผู้สอนมีความเข้าใจและ มีความรู้ถึงข้อจากัด ข้อเด่นของอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้วจะสามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับวิธีการสอนแบบ ตา่ ง ๆ ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 3.3. นักออกแบบการสอน (Instructor Design) มีหน้าที่สนับสนุนการสอนของครูโดย วางแผนการสอนรว่ มกันทั้งนี้ในแตล่ ะวิชาสามารถออกแบบการสอนไดห้ ลากหลายวธิ ีใช้สื่อการสอนได้ หลายรูปแบบโดยต้องร่วมกันวิเคราะห์ถึงข้อจากัดต่าง ๆ ในโรงเรียนหรือการออกแบบที่เหมาะสม เช่น ปริมาณและจานวนของสิง่ ต่าง ๆ ท่ีมีอยู่หากจะจัดหาหรือพัฒนาเพิ่มเติมต้องใช้เวลางบประมาณ เท่าใด โรงเรียนสนับสนุนเพ่ิมเติมได้หรือไม่หากมีเพียงพอสามารถสืบค้นจากอินเทอร์เน็ตมาใช้ฟรี ได้หรือไม่ นอกจากน้ีนักออกแบบการสอนยังต้องมีหน้าท่ีให้คาปรึกษากับครูผู้สอนเก่ียวกับการนา ห้องเรียนอัจฉริยะไปใช้ในการสอนเพราะว่าครูผู้สอนส่วนมากมีความรู้ในศาสตร์ของตนเองเท่านั้น เชน่ ครูสอนวิชาฟิสกิ ส์อาจจะมาปรึกษานกั ออกแบบเกี่ยวกับการสอนอยา่ งไรจึงจะทาใหน้ ักเรียนสนใจ และเข้าใจเนื้อหาท่ีเป็นนามธรรมได้ นักออกแบบการสอนต้องแนะนาโปรแกรมที่เหมาะสมสาหรับ ครูผู้สอนรวมทั้งเตรียมเนื้อหาที่เป็นส่ือดิจิทัลท่ีมีอยู่ในโรงเรียน หากไม่มีต้องสืบหาแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ มาจัดเตรียมให้ บางคร้ังต้องลงมือผลิตเองหากมีขายในท้องตลาดต้องหาวิธีจัดซื้อมาให้รวมท้ังหา ตัวอย่างวิธีการสอนของโรงเรียนอ่ืน ๆ มาเป็นตัวอย่างให้กับครูผู้สอนขณะทาการสอนในระยะแรก ช่วยเป็นพี่เลี้ยงประเมินการใช้ของครูผู้สอนเพื่อพัฒนาจนครูผู้สอนสามารถประยุกต์ใช้ในห้องเรียน อจั ฉริยะจนเปน็ ทกั ษะทช่ี านาญ หนา้ ทีส่ าคญั อีกประการหนง่ึ ของผูอ้ อกแบบการสอนต้องชว่ ยครูผู้สอน ในการที่จะแก้ปัญหาด้านการเรียนเพราะการใช้ห้องเรียนอัจฉริยะไม่ใช่จะมีผลดีทั้งหมด อาจเกิด ปัญหากับนักเรียนบางคนที่เรียนแล้วไม่เข้าใจผลสัมฤทธิ์ต่ากว่าเดิมหรืออาจเกิดปัญหานักเรียน ติดสังคมออนไลน์ซ่ึงเป็นเครื่องมือหน่ึงในกิจกรรมการเรียนการสอน ส่งผลให้นักเรียนหมกมุ่น และเกิดปัญหาสุขภาพทางร่างกาย เช่น ปวดตา น้ิวล็อคหรือปัญหาอ่ืน ๆ นักออกแบบการสอนอาจ นาวิธกี ารวจิ ัยในชั้นเรยี นมาใชจ้ งึ จะสามารถแกป้ ญั หารว่ มกบั ครูผูส้ อนได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 3.4. ผู้อานวยการโรงเรียนเป็นผู้อานวยความสะดวก บริหาร ช่วยเหลือ สนับสนุน ครูผู้สอนให้ดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต้องมีความรู้ ความเข้าใจ
131 เก่ียวกับฮาร์ทแวร์และซอฟแวร์ของห้องเรียนอัจฉริยะในระดับเบื้องต้นรวมทั้งให้ขวัญและกาลังใจ ในการทางานและช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น สิ่งท่ีหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยของห้องเรียนอัจฉริยะ คือ ค่าใชจ้ า่ ยทตี่ ามมา เชน่ ค่าไฟฟา้ ที่เกดิ จากอปุ กรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครือ่ งปรบั อากาศ คา่ ความเสีย่ งของ อุปกรณ์ การเปลี่ยนอะไหล่ตามอายุการใช้งาน การจัดหา พัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซ่ึงจาเป็นต้องใช้งบประมาณจานวนมาก ผู้บริหารโรงเรียนจึงต้องมีความสามารถจัดแหล่งเงินทุนมา รองรับงบประมาณท่ีเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังต้องเตรียมบุคลากรด้านแอดมินและนักออกแบบการสอน ให้พร้อมหากมีการโยกย้ายหรือเปล่ียนแปลงบุคลากรซ่ึงเป็นสาคัญที่จะสอดรับการเรียนการสอน ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ 3.5. เจ้าหน้าประจาห้อง มีหน้าที่จัดตารางการใช้ห้องเรียนอัจฉริยะตามรายวิชาต่าง ๆ ท่ีครูผู้สอนได้นัดหมายการใช้ห้องเรียนอัจฉริยะไม่จาเป็นต้องใช้ในการเรียนทุกวิชา ทุกช่ัวโมง แต่ทุก วิชาสามารถประยุกต์ใช้ห้องเรียนอัจฉริยะในการเรียนการสอนได้ การที่โรงเรียนใดจะมีห้องเรียน อัจฉริยะหลายห้องจะต้องคานึงถึงงบประมาณ บุคลากร อาคาร สถานท่ี เหมาะสมกับบริ บท ของโรงเรียนตนเอง ดังน้ันจึงไม่มีทางเป็นไปได้ว่าทุกช้ันเรียนทุกวิชาจะต้องใช้ห้องเรียนอัจฉริยะ ตลอดเวลา เจ้าหน้าท่ีประจาห้องจึงมีหน้าที่ตรวจสอบความพร้อมของห้องให้สมบูรณ์ตลอดเวลา หากมีปัญหาด้าน ฮาร์ทแวร์และซอฟแวร์ต้องแจ้งผู้ดูแลให้มาแก้ไขตรวจสอบความพร้อมในภาพรวม หากมีความผดิ ปกตใิ ด ๆ ตอ้ งแจง้ ผูอ้ านวยการโรงเรยี นใหท้ ราบทันที 3.6. ผู้ดูแลความสะอาดห้องเรียนอัจฉริยะจาเป็นต้องได้รับการดูแลมากกว่าห้องเรียน ปกติเพราะภายในห้องมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลากหลายหากไม่ทาความสะอาดสม่าเสมอจะทาให้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและหมดอายุการใช้งานเร็วกว่าปกติ ผู้ดูแลและทาความ สะอาดห้องจึงต้องทาความสะอาดห้องทุกวันและถูกวิธีหากเป็นห้องเรียนปกติการปัดกวาดเช็ดถู นับว่าเป็นเร่ืองปกติแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องมีวิธีทาความสะอาดที่แตกต่างออกไป เช่น ต้องใช้ ผ้าแห้งสะอาดหรือใช้น้ายาเฉพาะอุปกรณ์ ผู้ทาความสะอาดต้องมีความรู้ ความเข้าใจ จึงจะสามารถ ทาความสะอาดได้อย่างถกู วิธี 4. ระบบเครือขา่ ย (Networking) ระบบเครือข่าย (Networking) ท่ีจัดเตรียมไว้เพ่ือใช้งานร่วมกับห้องเรียนอัจฉริยะใน ชั้นเรียนทั่วไปจะมี 2 แบบ คือ ระบบอินทราเน็ต และระบบอินเทอร์เน็ตหรือในบางโรงเรียนอาจ จะไม่ต้องใช้ระบบเครือข่ายก็ได้ข้ึนอยู่กับความพร้อมของครูผู้สอนและบุคลากรที่เก่ียวข้องว่ามีปัจจัย สนับสนุนเพียงพอหรือไม่ หากจะใช้งานห้องเรียนอัจฉริยะให้เกิดประโยชน์สูงสุดจาเป็นต้องมี การเชื่อมต่อผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเพราะมีแหล่งเรียนรู้มากมายในโลกไซเบอร์ที่ไม่ได้จากัด ใน ห้องเรียน การเรียนการสอนตามหลักการทุกท่ีทุกเวลา (Anytime Anywhere) หรือการเรียนแบบ ออนดีมาน (On demand) การควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ จาเป็นต้องใช้ระบบเครือข่าย
132 ทั้งส้ิน ระบบอินทราเน็ตมีความแตกต่างจากอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว คือ สามารถใช้งานเฉพาะ กลุ่มภายในโรงเรียนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ภายนอกได้ ดังนั้นเมื่อนักเรียนกลับบ้านก็ไม่ สามารถเข้ามาใช้งานจากแหล่งข้อมูลในโรงเรียนได้ ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ประเภทเคร่ืองมือที่ดีเพียงใด ก็ตามเพราะถูกจากัดด้วยระบบปิด ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในโรงเรียนสังกัดสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มี 3 รูปแบบ คือ แบบ Lead line, Adsl, และ Satellite ท้ัง 3 รูปแบบนี้มีความสามารถในการใช้งานต่างกัน กล่าวคือ แบบ Lead line สามารถใช้งานได้ดีท่ีสุด เพราะใช้สายไฟเบอร์ออฟติค แต่มีข้อจากัดที่ค่าใช้จ่ายราคาแพง และจาเป็นต้องมีคู่สายเข้าถึง โรงเรียน โดยการเดินสายนี้จะเช่ือมโยงสายไปถึงเฉพาะบางแห่งอิงตามการเข้าถึงของเสาไฟฟ้า ส่วนแบบ Adsl สามารถใช้งานได้ดีรองลงมาแต่สัญญาณอินเทอร์เน็ตจะมีความเร็วต่ากว่า มีข้อดีกว่า Lead line สามารถเชื่อมโยงได้ไกลกว่าเพราะใช้การเช่ือมโยงจากสายโทรศัพท์จึงมีระยะการเข้าถึง ได้ไกลกว่า และในแบบ Satellite จะมีความเร็วของสัญญาณต่าท่ีสุดสามารถเข้าถึงได้ทุกแห่งเพราะ ใช้สัญญาณดาวเทียมด้วยข้อจากัดของสัญญาณอินเทอร์เน็ตต่าจึงทาให้การเรียนการสอนห้องเรียน อัจฉริยะในสถานการณ์จริงไม่สามารถใช้งานได้การออกแบบห้องจึงต้องแตกต่างกันออกไป วัตถปุ ระสงค์การใชง้ านแตล่ ะโรงเรียนจึงตา่ งกันไปดว้ ย 3. รปู แบบของห้องเรียนอจั ฉรยิ ะ 3.1. Single Classroom Architectures เป็นการออกแบบท่ีมีลักษณะทางกายภาพท่ี จะเอื้อต่อการสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้ช่วยยกระดับคุณภาพทางการเรียน รวมทั้งช่วยสร้างบรรยากาศทางการเรียนการสอนให้เกิดความสนุกสนานทั้งผู้เรียนกับผู้สอน เทคโนโลยีที่ใช้เป็นประเภทส่ือมัลตมิ ีเดียระบบเรียนรู้ด้วยตนเอง เครื่องฉายและจอวีดิโอคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ รวมท้ังคอมพวิ เตอรท์ ใี่ ชใ้ นการเรียนการสอนหรอื การบรรยายของครูผสู้ อน Teacher Physical boundary Student 1 Student 2 Student 3 ภาพที่ 6.15 Single Classroom Architectures ที่มา: สรุ ศกั ดิ์ ปาเฮ (2560)
133 3.2. Scattered Classroom Architectures เป็นรูปแบบการกระจายความรู้ท่ียึดตาม สภาพทางพนื้ ท่ภี ูมิศาสตร์หรือท่ีอยอู่ าศัยของผู้เรียนรายบุคคลทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ ประการสาคัญ ผูเ้ รยี น สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์แบบพกพาท่ีนักเรียนมีอยู่ ครูและนักเรียน สามารถเช่ือมโยงประสบการณ์ทางการเรียนผา่ นเครอื ข่ายอินเทอร์เน็ตและเรยี นผ่านหอ้ งเรียนเสมอื น ด้วยระบบภาพและเสียง การเรียนรูปแบบนี้ผู้เรียนสามารถท่ีจะเรียนรู้ได้ทุกแห่งโดยการเช่ือมโยง อุปกรณ์ในชั้นเรียนอัจฉริยะด้วยระบบบังคับสัญญาณทางไกล (Remote Distance) เพ่ือที่จะเรียน ในสิ่งทีต่ อ้ งการโดยไมจ่ าเป็นต้องเรยี นในชั้นเรียนเปน็ การเรยี นแบบ Cyber University ภาพท่ี 6.16 Scattered Classroom Architectures ที่มา: สรุ ศกั ด์ิ ปาเฮ (2560) 3.3. Point-to-Point, Two – classes Architectures เป็นรูปแบบท่ีสร้างข้ึนเพื่อการ เช่อื มโยงการเรียนระหว่างห้องเรยี นหลัก (Local Classroom) ท่คี รูและนักเรยี นจัดกิจกรรมการเรียน การสอนในห้องเรียนอัจฉริยะร่วมกันและในขณะเดียวกันก็ส่งผ่านหรือถ่ายทอดประสบการณ์ทาง การเรียนผ่านไปยังห้องเรียนทางไกลอีกแห่งหนึ่ง (Remote Classroom) ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ประสบการณ์เดียวกนั และเรยี นร่วมกนั เป็นรูปแบบห้องเรียนทางไกลท่ีนิยมกันในปัจจุบนั
134 Local Classroom Physical Classroom ภาพที่ 6.17 Point-to-Point , Two – classes Architectures ทีม่ า: สุรศักดิ์ ปาเฮ (2560) 3.4. Multiple Classroom Architecture เป็นรูปแบบห้องเรียนอัจฉริยะที่สร้างขึ้น เพ่ือสนองต่อการแสวงหาแหล่งข้อมูลทางการเรียนท่ีมีอยู่มากมายในยุคปัจจุบัน เป็นลักษณะของ ห้องเรียนท่ีผสมผสานการนาเสนอจากห้องเรียนหลักไปสู่แหล่งต่าง ๆ ที่หลากหลายแห่งจากระบบ เครือข่ายความเร็วสูงทางเว็บไซต์หรืออินเทอร์เน็ต กล่าวได้ว่าเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ท่ีเปิดกว้าง ในองค์ความร้แู พรก่ ระจายไปสู่ทั่วทกุ มุมโลก Local Remote Classroom Classroom 3 Remote Remote Classroom 1 Classroom 2 ภาพที่ 6.18 Multiple Classroom Architecture ท่มี า: สรุ ศักด์ิ ปาเฮ (2560) 4. ความสาคัญและความจาเป็นทมี่ ีต่อการใชห้ ้องเรียนอัจฉริยะ นักการศึกษาได้กล่าวถึงความจาเป็นในการนาเอารูปแบบวิธีการของห้องเรียนอัจฉริยะมา ใช้ในการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนยุคปัจจุบัน ดังนี้ (O’Driscoll, 2009 อ้างอิงจาก สุรศักด์ิ ปานเฮ)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187