100 พระกมุ ารชาลี พระกมุ ารกี ณั หาไดส้ �ำเรจ็ (ท�ำเพอื่ สนบั สนนุ ไมใ่ ชเ่ พอ่ื แกลง้ ) ซง่ึ ในการท�ำงานใหญจ่ ะตอ้ งมผี สู้ นบั สนนุ อยเู่ บอื้ งหลงั เสมอ ตวั อยา่ งในเรอื่ ง ของพระเวสสันดร ก็คอื ทา้ วสักกเทวราช เม่ืองานส�ำเรจ็ แลว้ จึงจะได้รับผล พระพุทธเจ้าทรงสั่งสมบารมีอย่างยิ่งยวดจึงท�ำให้มีลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ ภาษาเรา หมายถงึ โหงวเฮง้ ดเี ยย่ี ม ถา้ อยคู่ รองเรอื นจะไดเ้ ปน็ พระเจา้ จกั รพรรดผิ ทู้ รงธรรม ถา้ ออกบวชจะไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระอรหนั ตสมั มา- สมั พทุ ธเจา้ ทรงมที รพั ย์ ขา้ ทาส บรวิ ารพรอ้ ม มปี ญั ญา มกี �ำลงั ใจพรอ้ ม แต่ กม็ ไิ ดต้ ดิ ในความเลศิ เลอเพอรเ์ ฟคนน้ั แตน่ �ำสงิ่ ทมี่ มี าเปน็ ประโยชนเ์ กอื้ กลู ผ้อู ่นื ในทางพ้นทกุ ข์ ยง่ิ ให้ด้วยปัญญา จึงยงิ่ ได้แล้วน�ำมาตอ่ ยอดจนถึงทส่ี ดุ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราต้องส่ังสมการสร้างเหตุ สร้าง บารมีถึง ๔ อสงไขยกบั อีกแสนมหากปั ไม่ได้มกี �ำลงั ใจเชน่ น้ีตั้งแตว่ ันแรก ทา่ นตอ้ งใชก้ �ำลงั สรา้ งเหตยุ ากอยา่ งยง่ิ ยวดเพราะปรารถนาท�ำงานใหญ่ คอื ขนสตั วอ์ อกจากวฏั สงสาร ระยะเวลา และความยากงา่ ยในการสงั่ สมบารมี ขน้ึ อยู่กบั เปา้ หมายทีต่ ้ัง งานใหญ่ยากตอ้ งมกี �ำลงั ใจ ความสามารถ ปัญญา ทสี่ งู ตามจงึ ตอ้ งใชเ้ วลาในการบม่ และเรยี นรู้ แตแ่ มห้ วงั ผลเลก็ นอ้ ยกวา่ คอื หวงั เพยี งแคเ่ ปน็ ระดบั พระสาวกเจรญิ รอยตามพระพทุ ธเจา้ ในการพน้ ทกุ ข์ เทา่ นั้น กต็ อ้ งสงั่ สมบารมเี ช่นกัน บารมเี ต็มแล้วจงึ จะจบงาน บารมมี าช่วย ใหง้ านเราจบ บารมี ๑๐ ทจ่ี �ำเปน็ ตอ้ งมใี นการเจริญเพื่อพน้ ทกุ ข์ ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงบ�ำเพ็ญ ประกอบด้วย ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขนั ติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และ อุเบกขา ทานบารมี ทาน หมายถึง การให้ สละของทร่ี ้สู กึ วา่ เปน็ ของตน มกี ริยาทาง ใจ คอื สละ สอดคล้องกับกริยาทางกายยื่นให้ ยกให้ เร่มิ ต้ังแตก่ ารสละ
101 ส่ิงท่หี วงแหนเลก็ นอ้ ย เช่น ท�ำทานช่วยหมาแมว คนไรท้ พ่ี ึ่ง แบง่ ปนั ให้กบั ผูค้ นใกล้ตัว ท�ำบญุ กบั พระพุทธศาสนาเนือ่ งจากเหน็ ประโยชน์แก่ผูร้ ับ ไป จนถงึ ส่ิงท่ีสละได้ยาก เชน่ พระโพธิสตั ว์สละบตุ ร ภรรยา สละราชสมบัติ เพ่ือออกผนวชเนื่องจากเห็นประโยชน์ของการสละนั้นว่าจะช่วยส่วนรวม ได้มาก ผลของการสละ คือ ช่วยให้ความยึดม่ันเบาบางลง ไม่ทุกข์จาก ความโลภ ตระหน่ี มีใจท่ีกว้าง เปิด พร้อมจะเกิดปัญญา นอกจากนี้โดย ผลภายนอก ทานท่ีสละจะย้อนมาเป็นเหตุปัจจัยช่วยเราในภายหลัง เช่น พระทบ่ี �ำเพ็ญภาวนาในป่า ก็ยงั มีคนมาใส่บาตร หรือจะท�ำสง่ิ ใดกจ็ ะมคี น มาใหก้ ารชว่ ยเหลอื ถา้ เขา้ ใจจุดม่งุ หมายสูงสดุ ของพุทธศาสนาวา่ คอื ปัญญา คือ การ สละ ละ วาง จาง คลาย ความยดึ มนั่ อปุ าทาน เราจะเขา้ ใจวา่ ขอ้ ธรรมตา่ งๆ ทที่ า่ นใหไ้ วน้ นั้ ใหเ้ พอื่ สอนอะไร ชาวพทุ ธสว่ นใหญย่ งั รจู้ กั ศาสนาแคเ่ รอื่ งการ ท�ำบญุ แตย่ งั ไมเ่ ขา้ ใจภาพรวมทง้ั หมด กอ็ าจท�ำใหน้ �ำไปใชผ้ ดิ การท�ำบญุ น้ี เราท�ำเพอ่ื สละของๆ ตน เพือ่ ประโยชน์แด่ผ้อู ่ืน ประโยชนต์ อ่ ตวั คือ สละ ความยึด โลภ ตระหน่ี เพื่อความหลุดพ้น เป็นอสิ ระจากความความหมาย มัน่ ผกู พันซ่ึงเป็นเหตแุ หง่ ทกุ ข์ (ยดึ อะไรก็ทุกขเ์ พราะส่งิ นน้ั ) คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าความสุข คือ “การมี” การท�ำบุญจึง คลาดเคล่ือนเป็น ท�ำบุญเพ่ือมีความสุข แต่ความสุขแบบพุทธเป็นคน ละแบบ เป็นการถอนทุกข์ท่ีเหตุ ไม่ใชก่ ารสร้าง ดงั นัน้ การทำ� บญุ จึงเน้น ท่ีสละ เม่อื เหตุแห่งทุกข์หมด มันคือความสขุ การท�ำบุญร่วมกับคนรักจึงควรเน้นความต้ังใจให้ถูก คือ ท�ำบุญ รว่ มกนั เพือ่ ใหเ้ กิดปัญญายิ่ง ๆ ข้นึ หากท�ำบญุ เพ่ือใหไ้ ด้อยรู่ ว่ มกนั อาจจะ ได้อยู่ดว้ ยกันจรงิ แต่จะมคี วามร้สู กึ ผกู อยู่ดว้ ย แลว้ ความยึด ความพอใจใน ความสขุ จะเป็นทมี่ าของความทกุ ขอ์ ะไรไดอ้ กี หลายอยา่ ง เชน่ การกลบั มา เกิดใหต้ อ้ งล�ำบาก เจ็บ ป่วย พลดั พรากจากเปน็ จากตายอกี หลายรอบ (แต่
102 ก็ไมไ่ ด้แปลวา่ ไมไ่ ด้ตั้งใจท�ำบญุ ให้อยูร่ ว่ มกัน แล้วจะไม่ได้อย่ดู ว้ ยกนั นะ ถ้า เหตุดี ผลก็ดเี อง) ดงั นัน้ ถา้ รักใคร รกั ตวั เอง ควรส่งเสริมไปในทางทที่ �ำให้ เกิดความเห็นถูก เดินเคยี งร่วมสนับสนนุ กันไปในทางทจ่ี ะพน้ ทกุ ข์เพือ่ พบ สุขทีแ่ ท้จรงิ ยิง่ ๆ ขนึ้ อ่านเพิม่ เตมิ พระชาตทิ ่ีบำ� เพญ็ ทานบารมีอยา่ งยิง่ “พระเวสสนั ดร” http://bit.ly/10-tan (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=10) ศีลบารมี ศีล หมายถึง การรักษากายและวาจาให้เรยี บร้อย ข้อปฏบิ ตั ิใน การฝกึ หดั กายวาจาให้ดีย่ิงข้ึน (ทม่ี าจาก พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต)) โดยการสละความ อยากได้ของท่ีมิใช่ของตน ด้วยการระงับกาย วาจา ให้อยู่ในสภาวะ “ปกติ” ศีลตามบญั ญตั ิ ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ มีไว้เพือ่ เปน็ กรอบและปกป้องผรู้ กั ษาไมใ่ หไ้ ดร้ บั ความทกุ ขจ์ ากกิเลส ซงึ่ เม่ือตามกเิ ลส แลว้ จะน�ำทกุ ขม์ าใหใ้ นภายหลงั เมอื่ รกั ษาศลี ดว้ ยการระงบั ทางกาย วาจา ให้อย่ใู นสภาวะปกตแิ ลว้ ก็จะสง่ ผลให้ใจสงบระงบั เกดิ ปัญญา นอกจากนี้ ผลภายนอก คอื ไมม่ ผี ใู้ ดสามารถท�ำอนั ตรายได้ ดงั ตวั อยา่ งของพระพทุ ธเจา้ ที่ไม่มีใครสามารถประสงค์ท�ำร้ายให้ถึงชีวิตได้ แม้พระเทวทัตจะพยายาม อยู่หลายครงั้ อย่างมากทส่ี ุดก็ท�ำร้ายได้เพียงท�ำใหพ้ ระบาทห้อพระโลหติ อา่ นเพิ่มเติม พระชาตทิ ี่บำ� เพญ็ ศลี บารมอี ย่างย่งิ “พญานาคภูรทิ ตั ” http://bit.ly/10-sil (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=6)
103 เนกขัมมบารมี เนกขัมมะ คือ ความต้ังใจออกจากกาม ความเพลิดเพลิน ซ่ึง เปน็ เครอ่ื งเหนยี่ วรง้ั ไมใ่ หอ้ อกจากทกุ ข์ เพราะยดึ ตดิ กบั รปู รส กลน่ิ เสยี ง สมั ผสั เนอื่ งจากเขา้ ใจวา่ เปน็ ความสขุ แตเ่ ปน็ สขุ ชวั่ คราวทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ทกุ ข์ ด้นิ รนเมือ่ สญู เสยี จึงตอ้ งแสวงหาไปเร่ือยๆ ไม่สน้ิ สดุ และความตงั้ ใจออก จากอปุ สรรคเคร่อื งขวางในการท�ำความดี เชน่ สละการติดหนัง ตดิ ละคร ติดเพลง ตดิ แฟน ตดิ อาหารอร่อยๆ ที่ได้กินจนเปรมเต็มท่ี ตดิ สถานที่ทีม่ ี สง่ิ อ�ำนวยความสะดวกสบาย การเจรญิ เนกขมั มะ คอื การทดลองเปลยี่ นไป ใชช้ วี ติ ในเสน้ ทางทต่ี า่ งไปจากเดมิ หรอื ทต่ี นคนุ้ เคย คอื ไปอยวู่ ดั หรอื สถานที่ วเิ วก สปั ปายะ ตอ่ ความเจรญิ กายใจ สะดวกแตไ่ มส่ บายจนเกนิ ไป มสี ถานท่ี ทเ่ี หมาะสม และมกี จิ กรรมในทางกศุ ลทเ่ี ออื้ ใหเ้ กดิ ปญั ญาทางดา้ นจติ ใจ เชน่ ท�ำวัตรสวดมนต์ เดนิ จงกรม นั่งสมาธิ ฟงั ธรรม สนทนาธรรม พระพุทธเจา้ ทรงส่ังสมบารมใี นทางเนกขัมมะ คอื บางชาติกบ็ วช แมบ้ างชาตไิ มไ่ ด้บวช กท็ รงตัง้ จิตนอ้ มไปในทางสละกิเลสเครือ่ งท�ำใหจ้ ิตเศร้าหมอง อา่ นเพม่ิ เติม พระชาติท่ีบ�ำเพ็ญเนกขัมมบารมอี ยา่ งยงิ่ “พระเตมีย์ใบ้” http://bit.ly/10-nekkumma (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=1) ปัญญาบารมี ปัญญา คือ ความรู้ชัด รู้รอบ จนสามารถเช่ือมโยงได้ว่า ผล (ความทกุ ข)์ มาจากเหตุ (สมทุ ยั ) อะไร อยา่ งไร เขา้ ใจสงิ่ ตา่ งๆ ตามความ เป็นจรงิ เข้าใจวา่ ถ้ามีผลก็ตอ้ งมีเหตมุ าก่อน หมน่ั ฝกึ ฝนพัฒนาปญั ญาด้วย การหม่ันไตร่ตรองถึงทุกข์และเหตแุ หง่ ทุกขจ์ นช�ำนาญ จนเกิดความเข้าใจ สามารถละทกุ ข์ด้วยการวางเหตุแห่งทุกข์ หรือต้องการจะท�ำอะไร หากเกิดอุปสรรค แทนท่ีจะโทษคนอ่ืน
104 ปลอ่ ยวางแบบไมเ่ ขา้ ใจ คอื ไมท่ �ำอะไร ปลอ่ ยใหต้ ดิ กบั ดกั ซง่ึ เปน็ เหตทุ �ำให้ ไม่ถึงเป้าหมาย ไม่ก้าวหน้า ก็มาส�ำรวจตรวจสอบ วิเคราะห์รายละเอียด แยกองค์ประกอบว่าทต่ี ิดนน้ั ตดิ อะไรอยู่ ภาษาครบู าอาจารย์ เชน่ ในการ ภาวนา จะมคี �ำวา่ มา้ ง ค�ำวา่ มา้ ง นหี่ มายถงึ การแยกองคป์ ระกอบ ชน้ิ สว่ น ออกมาพิจารณา พอเหน็ องคป์ ระกอบกช็ ่วยให้เหน็ เหตตุ า่ งๆ ได้ เพราะถา้ เราเหน็ อะไรเปน็ กอ้ น เหน็ ตวั สรปุ แลว้ เราจะไมแ่ ยบคายวา่ เราตดิ อะไร เชน่ ชอบเพลง กเ็ ปดิ ฟัง แต่ไม่ไดฟ้ ังแบบเพลดิ เพลนิ ดืม่ ดำ่� มงุ่ เสพ ให้อิม่ ใจ แต่ เปิดแลว้ “ดู” ไปในใจในขณะนนั้ ใหเ้ ห็น ว่ามันไปติดอะไรในเพลง จึงท�ำให้ รู้สึกด่มื ด�่ำ หรอื ตัวอยา่ งส�ำหรับคนภาวนา บางคนอาจจะเคยไดย้ นิ ค�ำวา่ มา้ ง กาย ครบู าอาจารย์มักจะสอนใหล้ กู ศษิ ย์มา้ งกาย ใหเ้ ห็นว่า กายท่เี รารูส้ กึ ว่าเปน็ เรานี้ มนั แยกส่วนออกมา คอื กอ้ นธาตุ ดิน นำ้� ลม ไฟ ให้ไปหาดวู า่ ตวั เราอยตู่ รงไหน เพอ่ื คลายความเหน็ ผดิ ทห่ี ลงเขา้ ไปยดึ มนั โดยไมไ่ ตรต่ รอง หลายๆ คนรวู้ า่ ภาวนานน้ั ดี แตถ่ า้ ไมเ่ ขา้ ขา้ งตวั เอง เราจะเหน็ วา่ เรา ตัง้ ใจกบั สง่ิ ส�ำคญั น้ีนอ้ ยกว่าการใหค้ วามส�ำคญั อย่างอ่ืนมาก เพราะ “เรา” ยัง “ติด” กบั สงิ่ ภายนอก ติดกบั อะไรสักอย่าง คือ ความรสู้ กึ ทคี่ ดิ ไป(เอง) หากเราพอจะเอะใจว่าก�ำลงั ติด และเห็นเหตุว่า อะไรทเี่ ป็นตวั ดงึ ท�ำให้เรา ไมส่ ามารถจะเจรญิ กา้ วหนา้ ทางจติ ใจ หรอื ภาวนาได้ กห็ าวถิ ที างแกไ้ ข เชน่ อาจจะเจรญิ ธรรมในขั้วฝา่ ยตรงข้ามกบั กิเลสนั้นๆ เพื่อปรบั สมดุลในเบอ้ื ง ต้น เช่น เป็นคนขี้โกรธ กห็ ม่นั เจรญิ เมตตา แตก่ ร็ ะมัดระวังไม่ไปติดธรรม อีกฝา่ ย เช่น เจรญิ เมตตามากๆ กเ็ กดิ เป็นกิเลสราคะหากไม่เจริญอุเบกขา หรอื ใชว้ ธิ มี า้ ง สงิ่ ทเี่ ราตดิ ถา้ รวู้ า่ ยงั ตดิ ใหเ้ หน็ วา่ เราตดิ กบั อะไร เพอื่ สง่ เสรมิ ใหก้ ลบั เขา้ มาสกู่ ารภาวนาเพอื่ ใหเ้ หน็ ความจรงิ เชน่ หากหลงในเพศ ตรงขา้ ม ก็ม้างเพศตรงขา้ มท่ีใจมนั ไปติด พจิ ารณาอสภุ กรรมฐาน อาจท�ำ โดยการเปดิ หนงั สอื เกยี่ วกบั อสภุ ะ เหน็ สภาพความไมส่ วยงาม วา่ ใตเ้ ปลอื ก
105 ทส่ี วยงามนน้ั ขา้ งในเปน็ อยา่ งไร เพอื่ จะไดเ้ หน็ ตามจรงิ วา่ แทจ้ รงิ กายนม้ี แี ต่ เนื้อหนังหมุ้ เลือด เนื้อ กระดกู คนเราทุกคนไม่อาบน�ำ้ หรอื หยุดหายใจวนั กวา่ ๆ กม็ กี ลน่ิ เหมน็ ทเ่ี ขา้ ใจผดิ วา่ ดดู ี กเ็ พราะอาศยั นำ้� หอมราคาแพงปกปดิ กลนิ่ ใสเ่ สอื้ ผา้ สวยๆ ปกปดิ รา่ งกาย ใชเ้ ครอื่ งส�ำอางปกปดิ รว้ิ รอยบนใบหนา้ หรือหากยังมัวเมาอยู่กับความสุขทางโลกจนข้ีเกียจ ก็ให้หม่ันพิจารณาถึง ความตาย ถึงอายุสงั ขารรา่ งกายทเี่ สอื่ มลงทกุ วัน เพอ่ื ความไมป่ ระมาท ถ้าเราเห็นภาพรวมทั้งหมด มีเป้าหมายชัด ตั้งใจเรียนรู้ เราจะไม่ ตดิ กบั ดัก เมื่อเกิดความเข้าใจและเหน็ ประโยชนแ์ ล้วก็น�ำปญั ญาเหล่านีไ้ ป บอกต่อ เช่น น�ำไปบอกตอ่ กบั ผู้ท่ยี งั อย่ใู นความทกุ ข์ ไม่ว่าจะบอกต่อเมอื่ มีโอกาสที่เหมาะสมจะช่วยผู้อ่ืน หรือบอกผ่านทางการเขียนในเว็บบอร์ด เฟซบุ๊ก หรือร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะที่เราเห็นและได้ประโยชน์แล้ว ด้วย เจตนาจะให้ผู้อ่านหนังสือเกิดปัญญา สามารถพาตนเองออกจากทุกข์ได้ กค็ อื การสรา้ งปญั ญาบารมที ต่ี รงเปา้ หมายอยา่ งยงิ่ อกี ทางหนงึ่ และปญั ญา บารมีทสี่ รา้ งไวน้ ี้เอง ท่ีจะไปรวมกันส่งผลเมื่อเราตอ้ งการได้ คอื ระหว่างท่ี ก�ำลังเผชิญความทุกข์ก็จะท�ำให้สามารถระลึกถึงธรรมเนื่องจากธรรมทาน ท่ไี ด้สร้างเหตุไว้ อา่ นเพม่ิ เตมิ พระชาตทิ ่ีบ�ำเพ็ญปัญญาบารมีอยา่ งย่ิง “มโหสถบณั ฑิต” http://bit.ly/10-panya (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=5) วริ ิยะบารมี วริ ยิ ะ คอื ความพากเพยี รสัง่ สมเหตใุ นทางนั้นตอ่ เน่อื งไม่ยอ่ ทอ้ ละทงิ้ หากขาดวริ ยิ ะบารมกี จ็ ะทำ� ใหบ้ ารมไี มเ่ ตม็ เพราะลม้ เลกิ เสยี กอ่ นท่ี จะสำ� เร็จ ต้งั เปา้ หมายไว้แต่ไม่หมั่นพากเพยี รท�ำเหตกุ ไ็ ปไมถ่ ึง ดังเรื่องของ พระมหาชนกทเ่ี กดิ เหตเุ รอื แตกระหวา่ งเดนิ ทาง ผอู้ น่ื ยอมแพ้ ยอมตายเปน็
106 อาหารสัตว์ในทะเล แตท่ ่านยังเพียรว่ายน้�ำในมหาสมทุ รแมไ้ มเ่ หน็ ฝ่ัง เมอ่ื นางมณเี มขลาพบเขา้ จึงสอบถาม ทา่ นตรัสตอบว่า “ท่านจงดูคนทั้งหลายที่มาในส�ำเภาลำ� เดยี วกับเราเถดิ คนพวก นน้ั พากนั ยอ่ ทอ้ ตอ่ อนั ตราย ไมพ่ ยายามวา่ ยนำ้� จนสดุ ความสามารถกอ่ น จงึ พากนั จมนำ้� ตายในมหาสมทุ รทงั้ สนิ้ เหลอื แตเ่ ราผเู้ ดยี วทส่ี ทู้ นวา่ ยนำ�้ ขา้ มมหาสมุทรอยถู่ งึ ๗ วันเข้าแลว้ บัดนี้ เราได้เห็นผลของความเพียรนั้นแล้ว คือ เราได้เห็นท่าน ซ่ึงเป็นเทวดาท่ีเรายังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ท่านจะมาบอกว่าความ พยายามของเราสูญเปล่าได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น เราจักพยายาม ว่ายน้ำ� อกี ต่อไปจนกว่าจะถึงฝั่งแห่งมหาสมุทรให้จงได้” “บุรุษผู้เป็นบัณฑิต ควรพยายามร�่ำไป ไม่ควรเบ่ือหน่ายใน กิจของตน จงดูเราซ่ึงได้ข้ึนสู่บกและได้ครองราชสมบัติเป็นตัวอย่าง คนเป็นอันมากเมื่อก�ำลังประสบทุกข์ จะไม่ต้ังใจท�ำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เม่ือได้รับความสุข จึงตั้งใจท�ำส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ ส่วนบุคคลผู้มี ปญั ญา ถึงแม้กำ� ลงั ประสบทุกข์ ก็ไมส่ ิน้ หวงั ว่าจะไมไ่ ด้ประสบสุข เพยี ร สทู้ นทำ� หนา้ ทข่ี องตนอยา่ งสดุ ความสามารถ ยอ่ มจะประสบความส�ำเรจ็ แน่นอน เพราะวา่ ส่งิ ทม่ี ิไดค้ ดิ ไวล้ ่วงหนา้ อาจเกดิ ขนึ้ ก็ได้ ส่ิงท่คี ิดไว้ ลว่ งหน้า อาจไม่เกดิ ข้นึ ก็ได้ ทรพั ย์สมบัติท้ังหลายของบุรุษหรือสตรี ไม่ อาจส�ำเร็จได้เพียงแค่ความคิด (แต่ส�ำเร็จลงได้ด้วยการลงมือกระท�ำ เทา่ น้ัน)” (ที่มาจาก หนงั สือพระราชนพิ นธ์เรอื่ ง “พระมหาชนก” ฉบับการต์ นู ) อ่านเพม่ิ เตมิ พระชาตทิ บ่ี ำ� เพ็ญวิริยะบารมีอย่างยง่ิ “พระมหาชนก” http://bit.ly/10-viriya (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=2)
107 ขันตบิ ารมี ขนั ติ คอื ความอดทน มปี ญั ญาทจ่ี ะสอนใจใหอ้ ยเู่ หนืออารมณ์ จนทำ� สง่ิ ทตี่ งั้ ใจไวจ้ นสำ� เรจ็ รวมทงั้ อดทนตอ่ ความยากลำ� บาก ตอ่ ปญั หา ท้ังหลาย ต่อความไม่สะดวกสบายท่ีเกิดระหว่างการสร้างเหตุให้บรรลุ เป้าหมาย เม่ือใดท่ีบ�ำเพ็ญมามากพอ จะเร่ิมไม่เห็นอุปสรรคเป็นความ ล�ำบาก แต่จะเห็นเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ เป็นเรื่องปกติของการเดินไปให้ถึง เป้าหมาย เช่นเดียวกับการภาวนา ที่ถ้าอดทนดูความทุกข์ท่ีเกิดระหว่าง การปฏิบตั ิ ไมว่ ่าจะปวดขา ปวดตวั ปวดเข่าจนสามารถผ่านมนั ไปได้ กจ็ ะ เขา้ ใจขันตบิ ารมไี ด้ อา่ นเพ่ิมเตมิ พระชาติท่บี �ำเพญ็ ขนั ติบารมีอยา่ งย่งิ “พระจันทกุมาร” http://bit.ly/10-kanti ( http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=7 ) สจั จะบารมี สัจจะ คอื ความจรงิ ใจ ต้งั ใจจริง พดู จรงิ ทำ� จริง เมอ่ื ส่ังสมทจี่ ะ ท�ำสิ่งต่างๆ ตง้ั แต่เรื่องเลก็ ๆ น้อยๆ ให้ส�ำเรจ็ ก็จะท�ำให้เกิดความเชอ่ื มัน่ ว่าเมื่อตงั้ ใจกท็ �ำได้ (ท่ที �ำไมไ่ ด้เพราะไมไ่ ด้ตงั้ ใจ) เม่อื เจรญิ สจั จะท่จี ะตั้งใจ ท�ำจริงยง่ิ ๆ ขึ้นกจ็ ะยงั ผลให้เกิดความส�ำเรจ็ ในการท�ำเร่ืองยาก เรือ่ งใหญ่ แม้ส่ิงที่คนอ่ืนดูว่าเป็นไปไม่ได้ เหลือเช่ือท่ีจะท�ำ แต่ผู้มีบารมีเต็มสามารถ ท�ำสงิ่ เหลา่ นนั้ ใหเ้ ปน็ จรงิ ผลของสจั จะบารมี สง่ ผลใหเ้ กดิ ความอศั จรรยม์ า ยอ้ นชว่ ยเราได้ ดงั ตวั อยา่ งของเรอ่ื งพระโพธสิ ตั วเ์ มอ่ื ครง้ั เปน็ นกคมุ้ ขณะยงั เล็ก ยังบนิ ไมไ่ ด้ เกิดไฟไหมป้ ่า ท่านจึงกล่าวว่า “คุณของศลี มอี ยู่ คุณของ ธรรมมีอยู่ คณุ ของสจั จะวาจาน้ีก็มอี ยจู่ ริง ปกี ทง้ั สองข้างเรามีอยู่ แตย่ งั บนิ ไมไ่ ด้ เทา้ เราทง้ั สองขา้ งมอี ยู่ แตย่ งั เดนิ ไมไ่ ด้ บดิ ามารดาทง้ั สองเรามอี ยู่ แต่
108 บดั นม้ี ไิ ดอ้ ย่กู บั เรา นเี้ ปน็ สจั จะวาจาของเรา ไฟป่าที่ไม่มีชีวิตเอ๋ย ดว้ ยเดช แห่งสจั จะวาจาน้ี ขอไฟปา่ จงดบั ไป” เม่ือจบการอ้างถงึ สัจจะอธิษฐานของ ท่าน ไฟป่านน้ั กด็ บั ลง อา่ นเพิ่มเติม พระชาตทิ ่บี ำ� เพ็ญสัจจะบารมีอยา่ งย่ิง “วทิ รู บณั ฑิต” http://bit.ly/10-sujja (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=9) อธษิ ฐานบารมี อธิษฐาน คือ การก�ำหนดความตั้งใจ เป้าหมาย แล้วตั้งมั่น “หม่นั ทำ� ตามความตัง้ ใจนน้ั อย่างเตม็ ที”่ เพือ่ ด�ำเนนิ ไปให้ถึง ตวั อย่าง เช่น ก่อนพระพุทธเจ้าจะส�ำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จุดเร่ิมต้น คอื ในชาตแิ รกนน้ั เรือทา่ นอบั ปางอย่กู ลางมหาสมทุ ร ท่านพยายามช่วย มารดาด้วยการให้มารดาขี่คอโดยตัวท่านพยายามว่ายน�้ำพาไป ในเวลา นั้นท่านได้อธิษฐานอย่างใหญ่มากเพื่อขอให้มีก�ำลังพามารดาว่ายให้ถึงฝั่ง ทา่ นอธษิ ฐานขอวา่ หากส�ำเรจ็ จะขอพาสรรพสตั วอ์ อกจากหว้ งทกุ ขท์ งั้ ปวง ซ่ึงท่านก็ส�ำเร็จตามความประสงค์ และหลังจากน้ัน ท่านก็คิดอยู่ตลอด เวลา (เจตนา) วา่ จะเปน็ พระพุทธเจา้ ใหไ้ ด้ ๘ อสงไขยปี (๘ มศี นู ย์ตามหลัง ๑๔๐ ตวั ) แลว้ พดู บ่อยๆ ว่าจะเป็นพระพทุ ธเจา้ ให้ไดอ้ ีก ๗ อสงไขยปี จาก น้ันจึงได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าในคร้ังท่ีท่านเป็นสุเมธ ดาบส ว่าจะส�ำเร็จเป็นพระพทุ ธเจา้ ในกาลขา้ งหน้า ซงึ่ ท่านกบ็ �ำเพ็ญบารมี ต่ออีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป จึงส�ำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า คุณค่าของ การอธิษฐานมีผลกับก�ำลังของทั้งกายและใจในการฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ให้ส�ำเร็จ ซึ่งเม่ือท�ำเป็นประจ�ำ จะเข้าใจ เห็นคุณค่าของการอธิษฐานว่า เปน็ ปจั จัยแห่งความส�ำเรจ็ อย่างไร
109 คนจ�ำนวนมากท่ีเมื่ออธิษฐานแล้วไม่เกิดความเปล่ียนแปลง เน่อื งจากเขา้ ใจความหมายของค�ำว่า อธษิ ฐาน ผิด เข้าใจไปว่าเปน็ การขอ ที่จริง อธิษฐาน คือ การก�ำหนด ต้ังเป้าไว้ คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความ ส�ำเรจ็ เพราะไมม่ ีเปา้ หมาย ไมม่ ที ศิ ทางเดนิ เลยต้องเดนิ วนไปวนมา รสู้ ึก ชวี ติ เควง้ ควา้ ง หลง เพราะขาดเปา้ แตส่ ว่ นทม่ี เี ปา้ หมายแลว้ กต็ อ้ งสรา้ งเหตุ ดว้ ย ทไ่ี ปไมถ่ งึ เพราะเหตยุ งั ไมพ่ อ ทไี่ มไ่ ดด้ งั อธษิ ฐาน เนอ่ื งจากตง้ั ใจแลว้ แต่ ไมไ่ ดห้ มน่ั สรา้ งเหตใุ หเ้ ปน็ ไปตามทต่ี ง้ั ใจนน้ั กลบั ไปสรา้ งเหตแุ บบอน่ื จงึ ไม่ ไดร้ ับผลตามทีป่ รารถนา เชน่ อธษิ ฐานจะไปเชียงใหม่ แต่เมอ่ื เดินทีไรก็จะ เดินลงทางใต้ ผลก็คือ จะไปถึงสงขลา แตไ่ ปไม่ถงึ เชียงใหม่ การเลอื กสรา้ งเหตใุ หส้ ง่ิ ทต่ี งั้ ใจไวแ้ ลว้ ส�ำเรจ็ จงึ เปน็ สง่ิ ส�ำคญั ในการ สรา้ งอธษิ ฐานบารมี หากปากอธิษฐานไปทางซ้าย เช่น จะไปพระนิพพาน ต้องการพ้นทุกข์ แต่การกระท�ำจริงกลับสร้างเหตุไปทางขวา คือ มุ่งเอา ทางโลก เชน่ หาคู่ หาต�ำแหน่ง หาเงิน ก็จะท�ำให้ใจร้สู ึกเคว้งคว้างสับสน ในตนเอง ดังน้ันให้รู้จักเป้าหมายของเราให้ชัดเจน แล้วส�ำรวจเส้นทางว่า ทางไหนพาใหไ้ ปถึงเปา้ หมายยงิ่ ขน้ึ ทางไหนท�ำใหห้ า่ งเป้าหมายยง่ิ ข้นึ คอื ท�ำอะไรแล้วท�ำให้ใกล้เป้าหมายย่ิงข้ึน ท�ำอะไรแล้วท�ำให้ห่างเป้าหมาย ยิ่งข้ึน หากต้ังใจจะพ้นทุกข์ แต่ยังหมกมุ่นกับความสุขทางโลกโดยไม่ ไตร่ตรอง ในช่วงระยะเวลาส้ัน ๆ น้ันก็คล้ายจะมีความสุขเพราะสมใจ ไดต้ �ำแหนง่ ไดเ้ งนิ เดอื นมาก ไดห้ นา้ แตค่ วามสขุ เหลา่ นก้ี เ็ อามาใชล้ ดความ ทกุ ข์ไมไ่ ด้ และจะท�ำให้ทุกขม์ ากข้ึนเรอ่ื ย ๆ เพราะเปน็ ส่งิ ท่ีท�ำใหย้ ่ิงยดึ กับ โลก มากกวา่ ท�ำใหป้ ลอ่ ยวาง หลงพอใจกลบั มาเกดิ อกี ใหต้ อ้ งไดร้ บั ทกุ ขต์ อ่ ไปอกี ดงั น้ัน ผูป้ รารถนาจะประสบความส�ำเรจ็ ดงั ทอี่ ธิษฐาน จงึ จะต้องมี ความเขา้ ใจตนเอง เขา้ ใจเหตุของผลตา่ ง ๆ สอดสอ่ งดตู วั เองบอ่ ย ๆ แลว้ ก็ ท�ำเหตุไปทางน้นั หมนั่ ท�ำเหตุใหต้ รงกบั ทางที่ตอ้ งการจะไป ในเรอ่ื งความรัก เร่อื งคู่ ถา้ ยงั เหงาเกนิ กว่าจะวางเร่อื งคไู่ ด้ ก็ตง้ั จติ
110 อธิษฐานขอให้ได้คู่ที่พากันเจริญเติบโตในทางธรรมไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งแม้ จะมีคบมีเลิก แต่อย่างน้อยทุกคนท่ีผ่านเข้ามาในชีวิตก็จะน�ำพาให้เจริญ ก้าวหน้าในทางธรรมไปจนหมดเวรในเร่ืองน้ัน ๆ หรือถ้าสร้างเหตุได้มาก พอ กจ็ ะไดพ้ บคทู่ ่ชี ว่ ยพฒั นากนั และกนั ในทางธรรมจนถงึ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ อ่านเพ่ิมเตมิ พระชาติที่บ�ำเพญ็ อธษิ ฐานบารมอี ยา่ งยิ่ง “พระเนมิราช” http://bit.ly/10-atitan (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=4) เมตตาบารมี เมตตา คอื ความปรารถนาใหผ้ อู้ ื่นเป็นสขุ การหมั่นใชช้ วี ติ เพ่อื ความสุขของผู้คนรอบ ๆ ตัว เป็นการสร้างเมตตาบารมี และเป็นสิ่งท่ีจะ เกอื้ หนนุ การเขา้ ถงึ ความพน้ ทกุ ข์ เพราะผมู้ คี วามเมตตาจะมคี วามเสยี สละ สูง จงึ เปน็ เหตุให้เป็นผพู้ รอ้ มจะสละละวางตัวตนและส่ิงต่าง ๆ ของตนได้ งา่ ย และมปี ัจจยั สนบั สนนุ อน่ื ๆ จากที่เคยท�ำเพ่อื ความสขุ ของคนอืน่ ๆ ไว้ เป็นจ�ำนวนมาก เมื่อถึงคราวท่ีผู้มีเมตตาบารมีจะท�ำกิจเพ่ือความพ้นทุกข์ ของตนเอง ก็จะได้รบั ความเมตตาสนับสนุนจากปัจจัยรอบดา้ นตามเหตทุ ี่ เคยสรา้ งไว้ อ่านเพ่ิมเตมิ พระชาตทิ ี่บ�ำเพญ็ เมตตาบารมอี ยา่ งย่ิง “สุวรรณสามกุมาร” http://bit.ly/10-metta (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=3) อเุ บกขาบารมี อุเบกขา หมายถึง ความเป็นกลางต่อส่ิงต่าง ๆ ที่สัมผัสรับรู้ ปราศจากอคติ ความยึดมั่น แต่ไม่ใช่การวางเฉยแบบใส่เกียร์ว่าง ผู้มี
111 อเุ บกขาท�ำเหตใุ นเร่ืองต่างๆ อยา่ งเต็มที่ด้วยเมตตา (เพอ่ื ใหเ้ ปน็ สขุ ) และ กรุณา (เพื่อให้พ้นทุกข์) แต่ไม่ยึดกับผล เม่ือผลไม่เป็นไปตามท่ีหวัง ก็ไม่ ทกุ ขร์ ้อน เพราะมีปัญญาระลกึ ความจรงิ ไดว้ า่ ทกุ คนมกี รรมเปน็ ของๆ ตน ท�ำใหร้ สู้ กึ เปน็ กลางตอ่ ผลนน้ั ซง่ึ อเุ บกขาเกดิ ขน้ึ ไดจ้ ากการฝกึ ฝน พจิ ารณา อยา่ งแยบคายกบั เหตกุ ารณห์ รอื สง่ิ ทเี่ กดิ ขน้ึ เมอื่ ไดเ้ ผชญิ เหตกุ ารณท์ แี่ มจ้ ะ ไดส้ รา้ งเหตปุ จั จยั อยา่ งเตม็ ทแ่ี ลว้ แตผ่ ลยงั ไมเ่ ปน็ ไปตามทตี่ อ้ งการหลายๆ ครั้งเข้า ก็จะเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นเร่ือย ๆ ว่า การมีกรรมเป็นของ ๆ ตนนั้น เป็นอย่างไร จงึ เกดิ การปล่อยวางผล ตวั อย่างเชน่ กรณขี องผปู้ ว่ ย บางคน สามารถรักษาหายได้ บางคนแม้แพทย์จะพยายามสุดความสามารถก็ไม่ สามารถรักษาให้หายได้ เนื่องจากผลของการรักษาย่อมเป็นไปตามกรรม หรือเหตทุ ่ผี ูป้ ่วยสรา้ งไว้ หรือในเรือ่ งความรัก แม้เราจะพยายามท�ำดที ส่ี ุด แล้ว ก็ไมจ่ �ำเป็นวา่ อกี ฝา่ ยจะต้องท�ำดีกลับ เราอาจจะไม่ได้รบั ผลดกี ลับใน ทันที ที่ยังทุกข์เพราะเหตุของกรรมเก่าท่ีสร้างไว้นานแล้ว แม้เราจะท�ำดี ผลดีก็จะส่งผล แต่อาจจะเป็นในวาระอื่น คู่กรณีท่ีเราเผชิญอยู่ไม่ใช่คู่บุญ แต่เป็นคูใ่ ห้ใชบ้ าป อนง่ึ ในเบอ้ื งตน้ การเขา้ ถงึ อเุ บกขา สามารถทดลองฝกึ ฝนใหเ้ จรญิ ข้ึนได้ทุกคน ดว้ ยการพยายามชว่ ยคนทีเ่ ปน็ ทกุ ข์ เมอื่ ท�ำมากถึงระดับหนึ่ง ไดร้ ว่ มรบั รรู้ ายละเอยี ดตา่ งๆ ในเหตกุ ารณข์ องผปู้ ระสบปญั หาตง้ั แตต่ น้ จน จบ แล้วเข้าใจรายละเอยี ดตา่ งๆ เปน็ อย่างดี ร้วู า่ ไดท้ ่มุ เท พยายามช่วยไป มากน้อยเพยี งใดอยา่ งไรแล้ว แตผ่ ลกลับกลายเปน็ อีกอยา่ งหน่ึงจนไดท้ ั้งๆ ท่ไี ม่มใี ครเลยทีต่ อ้ งการใหเ้ ป็นแบบน้นั ก็จะท�ำใหเ้ ขา้ ใจถึงพลงั ของกรรมที่ มีมาแต่กอ่ น ซงึ่ ใครกไ็ มส่ ามารถเปลี่ยนผลได้ หากกรรมยงั ไมห่ มด หรือเจ้า ตวั ผรู้ บั เหตยุ งั ไมเ่ กดิ ความตงั้ ใจทจ่ี ะละเวน้ เหตุ คอื การกระท�ำทกี่ อ่ ทกุ ขใ์ ห้ ผอู้ น่ื (ศีล) แบบเดมิ ๆ อยา่ งสน้ิ เชงิ ปญั ญาท่จี ะน�ำไปสู่อเุ บกขา มาจากการเข้าใจว่าทุกๆ ผลจะต้องมี
112 เหตเุ สมอ และถา้ เหตนุ น้ั อยทู่ ใี่ ด ผลกจ็ ะเกดิ ทนี่ น่ั เชน่ ถา้ ในใจเราเกดิ ความ ทุกข์จากเหตกุ ารณ์ทแ่ี มจ้ ะดเู หมอื นว่าเกิดจากคนอืน่ เปน็ ตน้ เหตุ แตจ่ ริงๆ แลว้ หากไดส้ �ำรวจเขา้ ไปในใจ กจ็ ะเหน็ วา่ เหตตุ อ้ งอยใู่ นจติ เรานเ่ี อง คนเรา ไม่รู้ หรือมกั จะลมื ค�ำนงึ ไปว่า ทุกขเ์ กิดจากกรรมเกา่ ของเรา และทุกขเ์ กดิ จากตณั หาของเรา การมองยอ้ นมาดูท่ีเหตคุ ือตัวเรา จะน�ำไปสกู่ ารแก้ไขได้ แทนทจี่ ะโทษอกี ฝา่ ยหนงึ่ กก็ ลบั มาแกไ้ ขทเี่ หตุ เชน่ เมอื่ ระลกึ ไดว้ า่ เคยท�ำให้ ผ้อู น่ื ทกุ ขเ์ ช่นนมี้ าเหมอื นกนั ก็ส�ำนกึ การกระท�ำในอดีตของเรา ยอมรบั ผิด และตงั้ ใจจะไมส่ รา้ งเหตเุ ชน่ นอ้ี กี รวมทง้ั กลบั ไปขอโทษ ขออภยั พรอ้ มและ ยินดีชดใช้ใหก้ ับคนทเ่ี ราเคยท�ำไม่ดกี ับเขาไว้ บอกเขาวา่ เราได้รบั ทุกข์ที่เรา กอ่ ไว้เอง เหมือนกับทเี่ ราเคยท�ำกบั เขาไว้ วันน้ีส�ำนึกผิดแล้ว เข้าใจแล้ววา่ กรรมสนองเปน็ อย่างไร และจะไม่ไปท�ำอยา่ งนก้ี บั ใครอกี เปน็ ต้น ผลทไ่ี ด้ กค็ อื การหยดุ วงจรกรรม วงจรทกุ ขใ์ นเร่ืองเดมิ ๆ ในเบ้ืองลึกที่สูงขึ้น อุเบกขาสามารถเข้าถึงได้ด้วยการภาวนา คือ การตามรู้ตามดูให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามจริง จนเข้าใจท่ีมาของเหตุแห่งทุกข์ จิตยอมจ�ำนนต่อความจริงว่าไม่สามารถเปล่ียนแปลงผลที่เกิดข้ึนได้ หาก สร้างเหตุไว้เช่นน้ีก็จะได้รับผลเช่นน้ี หากไม่ได้สร้างเหตุไว้เช่นน้ีก็จะไม่ได้ รับผล เชน่ เดินจงกรมมาก ๆ ขากต็ ้องปวด จะบังคบั ให้ขาไม่ปวดก็ไมไ่ ด้ ความทุกข์เกิดจากการดิ้นรนตามความอยาก ไม่อยาก ฝืนต่อความจริง ที่อยูต่ รงหนา้ เมอื่ เห็นจนช�ำนาญจติ กจ็ ะเริ่มเกดิ ปัญญา คอื มีอุเบกขา เป็น กลาง ขาจะปวดกส็ ว่ นขา แตจ่ ติ เปน็ กลางไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปจมอยใู่ นทกุ ขน์ นั้ การ ภาวนาชว่ ยใหจ้ ิตเปน็ กลาง มอี ุเบกขา ในขันธ์ ๕ (รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) มากย่ิงขึ้นว่า ไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ตัวฉัน ถ้ามีความโกรธ ความ ทกุ ข์ กเ็ ปน็ เร่ืองของขันธ์ ของความเคยชนิ เดมิ ๆ ท่เี ราฝกึ กระท�ำมาบอ่ ยๆ แต่เม่ือมีสติ ระลึกรู้ทัน ไม่ได้หลงเข้าไปยึดถือความโกรธ เห็นตามจริงว่า สงั่ ขนั ธ์ไมไ่ ดบ้ ่อย ๆ จะเปน็ การพฒั นาปัญญา (ความรู้ชัด) เหน็ และเขา้ ใจ
113 ไตรลักษณ์ (ความไม่เท่ยี ง ความเปน็ ทกุ ข์ ความสัง่ บังคบั ไม่ได)้ ในขันธ์และ จติ จนสามารถเหน็ ขนั ธก์ บั จติ วา่ เปน็ คนละตวั กนั ไมม่ ใี ครเปน็ ของใคร กจ็ ะ ท�ำใหป้ ล่อยวาง น�ำไปสู่การพ้นทกุ ข์ถาวร อา่ นเพิ่มเติม พระชาตทิ บ่ี �ำเพ็ญอุเบกขาบารมีอย่างยิ่ง “นารทพรหม” http://bit.ly/10-ubekka (http://84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=8) การจะเขา้ ใจธรรมะอยา่ งถอ่ งแท้ ตอ้ งมีพืน้ ฐานมาจากความเข้าใจ ในนิยามหรอื ความหมายของศพั ท์ธรรมะทถ่ี กู ตอ้ ง เชน่ การท�ำทาน รักษา ศีล ไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นวิธีการเพ่ือท�ำให้ไปถึงเป้าหมาย เพราะช่วย ขดั เกลากเิ ลส ไมเ่ อาไปใชผ้ ดิ วธิ ี เชน่ ท�ำทานเพอ่ื เอาหนา้ หรอื หวงั รวยเพราะ โลภ ท�ำใหย้ ึดติด ไม่รกั ษาศลี จนยึดแล้วยกตนขม่ ผู้อื่น ร้สู ึกว่าตนเองเหนอื กว่าผู้อื่น เม่ือเข้าใจความหมายของธรรม จุดมุ่งหมายของธรรมว่าเรียนรู้ ฝึกฝนเพื่อความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง ก็จะเจริญธรรมเพื่อการช�ำระกิเลส ความไม่รู้ เม่ือกิเลสเบาบาง กจ็ ะชว่ ยใหเ้ กิดปญั ญาสามารถเชอ่ื มโยงความ รู้ทางธรรมเข้ากับกระบวนการเกิดขึ้นของทุกข์ เห็นกระบวนการเกิดขึ้น ของทุกข์ได้ตลอดสาย ตั้งแต่เหตุจนถึงผล จนสามารถรู้ทันและยับยั้งการ เกิดขึ้นของทกุ ขใ์ นจิตได้ ตอ่ ไป การสง่ั สมบารมนี นั้ เปน็ การฝกึ พฒั นาคณุ สมบตั ทิ ง้ั ๑๐ ทจ่ี ำ� เปน็ ในการเอาชนะกเิ ลส ทานบารมี เปน็ การฝกึ ความสามารถและความยนิ ดี ในการสละของๆ ฉนั ศลี บารมี คอื ความสามารถในการตา้ นทานเวลา จิตจะทะยานออกไปอยากก่อกรรมกับผู้อ่ืน คือ ต้านกับตัณหาท่ีเป็น กเิ ลสหยาบ ส่วนเนกขมั มบารมี คือ ความสามารถในการต้านทานกิเลส ละเอียดภายในที่จะหน่วงให้ไม่เดินหน้าปฏิบัติ ปัญญาบารมีฝึกความ สามารถในการรู้ทันกลลวงของกิเลส วิริยะบารมีฝึกความเพียรให้ต่อ
114 เน่ือง ขันติบารมีต้องถูกใช้เม่ือรู้สึกว่าถูกต่อต้าน ถึงทางตันไปต่อไม่ได้ ก็ยงั ไม่ยอมแพ้ ยงั หาทางท�ำตอ่ ไป สจั จะบารมจี ะถกู ใช้เมือ่ ขันติสไู้ มไ่ หว กย็ งั มคี วามพยายามเพื่อรกั ษาสจั จะ และเม่อื สัจจะตา้ นไว้ไมอ่ ยู่ ก็ยงั มี อธิษฐานบารมีมาให้ผลเป็นปัจจัยสนับสนุน ส่วนเมตตาบารมีบ�ำเพ็ญ เพ่ือให้เมตตาต่อทุกส่ิงรวมทั้งตนเอง เพื่อลดอาการต่อต้านตนเองและ ผู้อนื่ และสุดทา้ ย คือ อุเบกขาบารมี เปน็ ส่ิงท่สี �ำคญั ทีส่ ดุ ที่จะสนบั สนุน ผปู้ รารถนาจะพน้ ทกุ ขต์ ลอดการเดนิ ทางตงั้ แตเ่ รม่ิ ตง้ั ความปรารถนาจน บรรลุเป้าหมาย เพ่ือให้เห็นทุกส่งิ ไดต้ ามจริง ไมใ่ ช่เหน็ จากมมุ มองของ กิเลส คือ เห็นและฉุกคิดได้ว่าก�ำลังถูกขันธ์ ถูกความคิดปรุงแต่งโดย ความไม่รู้ ถูกกิเลสหลอก หรือก�ำลังหลอกตนเองไปติดกับสิ่งลวง สิ่ง สมมตุ ิ การส่งั สมบารมที ้งั ๑๐ ขอ้ จึงเปน็ กุญแจสำ� คัญของการพน้ ทุกข์ บารมีทุกข้อเป็นสิ่งท่ีต้องสร้าง ระหว่างทางท่ีสร้างอาจจะเกิดผล ขา้ งเคียงทเ่ี ป็นกบั ดกั เช่น ในระยะทอ่ี ุเบกขาบารมยี งั นอ้ ย ผู้ทีท่ �ำทานและ เมตตาบารมมี ามากอาจหลงบารมตี นเอง ลืมเป้าหมายใหญ่ทีเ่ คยต้ังไว้ หัน ไปหาผลขา้ งเคียงของบารมี เช่น อ�ำนาจ ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง หรือแรงดงึ ดดู ทางเพศ หันไปเสพและเหน็ สิง่ เหล่าน้ีเปน็ เป้าหมาย รวมถงึ ใชบ้ ารมีท่ตี น บ�ำเพ็ญมา เช่น ใช้เปลือกที่สวยงาม ทรัพย์สินหรืออ�ำนาจ ไปแลกมาซึ่ง อ�ำนาจ ทรพั ยส์ นิ ต�ำแหน่ง หรือกาม มากยงิ่ ๆ ขนึ้ ก็จะกลับกลายเป็นวา่ น�ำบญุ มาใชใ้ หเ้ ปน็ ภยั แกต่ น การละเลยไมต่ ระหนกั เรอ่ื งผลของกรรมดี หรอื บารมที ตี่ นเองได้รับผลดีมาแลว้ หรือคิดปลอบใจตนเองว่าไมต่ ้องไปรบั ผล รา้ ย โดยบางคนปักใจว่าชาติหน้าไมม่ ี ท�ำอะไรก็ไดไ้ มต่ อ้ งไปรบั ผล ขอโกย ขอเสพทกุ อยา่ งให้มากที่สดุ ท�ำใหจ้ ะต้องไปทุกขท์ รมานในภายหลังตามที่ เคยละเมดิ ผอู้ ่ืนเอาไว้ จนกว่าจะเกดิ การเรียนรูก้ ฏแหง่ กรรมว่าทุกการกระ ท�ำมผี ลเสมอและหลกี เลี่ยงไมไ่ ด้ ดังนน้ั การสร้างบารมีทุกข้อ จึงเป็นส่ิงท่ี ตอ้ งใชส้ นับสนนุ เกือ้ กูลกนั โดยอาศยั ปัญญา
115 แต่ถ้ามเี ป้าหมายในการเดินทางทแี่ น่ชดั ก็จะไมต่ ดิ กับผลท่ีเกิดขึน้ ในระหวา่ งการสรา้ งเหตนุ น้ั และยงั สามารถใชผ้ ลเหลา่ นน้ั มาเปน็ เหตปุ จั จยั ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายทต่ี ง้ั ใจไวใ้ หเ้ รว็ ขน้ึ เชน่ ท�ำทานบารมแี ลว้ สง่ ผลใหม้ ที รพั ย์ มาก ผ้ทู ี่ไมห่ ลงไปกับผลข้างเคียงระหว่างการสง่ั สมบารมี ย่อมเขา้ ใจได้วา่ ความมัวเมาในโลกธรรมจะเป็นเหตุให้วนอยู่กับโลกไม่มีวันจบและท�ำให้ ไปไม่ถึงเป้า คือ การพ้นทุกข์ถาวร แม้ว่าในแง่หน่ึงการน�ำทรัพย์ไปช่วย ผทู้ ล่ี �ำบากขดั สนเปน็ ขน้ั ตอนหนงึ่ ในการชว่ ยบรรเทาทกุ ขแ์ กผ่ อู้ น่ื แตก่ ไ็ มใ่ ช่ ปจั จัยเดียวทีจ่ ะสง่ ให้ถงึ ความพน้ ทุกข์ เม่อื เขา้ ใจอยา่ งน้ี กจ็ ะไม่ติดในการ ท�ำทาน แต่อาศัยทานเพอื่ ละความยดึ มน่ั สละความโลภเพอื่ ผู้อ่ืนนม้ี าเป็น ก�ำลงั ใจใหก้ ลา้ หาญทจ่ี ะเสยี สละสงิ่ ทล่ี ะเอยี ดกวา่ นน้ั เพอื่ ไปถงึ จดุ หมาย เชน่ จากเดมิ สละทรพั ยล์ ดความตระหน่ี ตอ่ มาสละความโกรธ แลว้ มาสละความ พอใจในกาม การติดในรปู รส กลิ่น เสยี ง คือ สละกเิ ลสทล่ี ะเอียดข้นึ ๆ ด้วยบารมธี รรมข้ออน่ื ๆ ทต่ี ้องบ�ำเพ็ญควบค่ไู ป การท�ำความรู้จักตนเองด้วยการสังเกตใจตนเองโดยถี่ถ้วนว่าการ กระท�ำแบบนี้ ๆ ของเราเปน็ ไปเพือ่ อะไร ต้องการอะไร แล้วสรุปจากส่ิงท่ี สงั เกตไดว้ า่ ใจเราก�ำลงั จะไปทางไหน มุ่งเพยี งเสพสขุ ชว่ั คราวไปวันๆ เพ่ือ หนีความทุกข์แบบครั้งต่อคร้ัง มุ่งไปก่อทุกข์ (ท�ำร้าย-ละเมิดใจผู้อ่ืน) มุ่ง ไปรบั ทกุ ข์ (เข้าไปยดึ กับผู้ทจี่ ะก่อทกุ ข์ให้เรา) หรือมงุ่ ไปเพอื่ พน้ ทกุ ข์ (ช่วย คนอื่นให้พ้นทุกข์ และสร้างเหตุให้เราได้พ้นจากโลก ได้ไปปฏิบัติภาวนา) เราก็จะสามารถลิขิต ก�ำหนดเป้าหมายในชีวิตตนเองได้ด้วยความเข้าใจ เหล่าน้ี ว่าการสร้างเหตุด้วยเจตนาต่าง ๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นไปเพื่อความ พ้นทุกข์ จะส่งผลให้มีเหตุการณ์ภายนอกท่ีมาช่วยสนับสนุนให้เจริญ กา้ วหนา้ ได้ นอกจากน้ี บารมีอืน่ ๆ เช่น วิรยิ ะและสัจจะในการตงั้ ใจท�ำงาน บญุ ใหส้ �ำเร็จอย่างดี ก็น�ำมาใช้เปน็ ตัวตง้ั ขอให้ก�ำลงั บญุ (ก�ำลงั ใจ) ทีท่ �ำน้นั มาเปน็ ตวั เสรมิ ให้มีความก้าวหนา้ ในการภาวนาได้
116 ดังเช่น ประสบการณ์ตรงของทมี งานเองคือ เม่ือได้ท�ำทาน ได้ให้ ธรรมทานมากมายกม็ เี หตปุ จั จยั ใหพ้ บค�ำตอบหรอื ธรรมะทม่ี าชว่ ยสนบั สนนุ การบ�ำเพญ็ บารมใี หเ้ ปน็ ไปโดยงา่ ย เพราะทกุ ครง้ั ทที่ �ำบญุ หรอื ท�ำธรรมทาน มเี ป้าหมายชดั เจน คือ มเี จตนาช่วยเพ่อื ให้ผอู้ ื่นพ้นทุกข์และเพ่อื เปน็ ปจั จยั ใหผ้ บู้ �ำเพญ็ ไปถงึ ความพน้ ทกุ ข์ เจตนากค็ อื กรรมทใ่ี หผ้ ลแรงทส่ี ดุ แตล่ ะคน ท�ำบญุ ด้วยกริ ิยาเดยี วกันจะได้รับผลตา่ งกนั ตามเจตนา เชน่ ท�ำด้วยความ โลภก็ไดร้ บั ผลอยา่ งหนงึ่ ท�ำเพอ่ื อทุ ศิ ให้บรรพบุรุษกไ็ ดร้ ับผลอีกอยา่ งหนึ่ง ท�ำเพอ่ื ชว่ ยผอู้ นื่ และเปน็ ก�ำลงั ใหเ้ ราไปสเู่ ปา้ หมายกส็ ง่ ผลอกี อยา่ งหนง่ึ ดงั ที่ พระเวสสนั ดรบรจิ าคมหาทาน คือ บตุ รและภรรยา แล้วกรวดน้ำ� อุทิศให้ บญุ นเี้ ปน็ ปัจจัยสพู่ ระอนุตรสมั มาสัมโพธญิ าณ เปน็ ต้น อ้างอิงเร่ืองตามพระไตรปิฎก ขณะท่ีพระพุทธเจ้าทรงประทับบน โพธิบัลลังก์แล้วต้ังสัจจะอธิษฐาน จะไม่ลุกข้ึนหากไม่บรรลุทางแห่งการ ดับทุกข์ เมื่อมีกองทัพมารอาวุธครบมาโจมตีทุกรูปแบบ ตัวท่านเพียง ล�ำพังสามารถต่อส้กู ับมารได้ทง้ั กองทพั ดว้ ยอ�ำนาจบารมที ที่ รงสงั่ สมมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป บารมีท้งั หมดรวมลงมาชว่ ยในวินาทีทจ่ี ะท�ำสงคราม แตกหักกับมารเพื่อหลุดพ้นจากพันธนาการที่มีมานานแสนนาน โดยท่าน ทรงด�ำริว่า “ชนน้ีมีประมาณเท่านี้ มุ่งหมายเราผู้เดียวกระท�ำความ พากเพยี รพยายามอย่างใหญห่ ลวง ในทีน่ ้ีไม่มบี ิดามารดา บุตร ธิดา พี่ น้องชาย หรือญาติไรๆ อนื่ มแี ตบ่ ารมี ๑๐ นเี้ ท่านัน้ จะเปน็ เช่นกบั บุตร แลบรวิ ารชนของเราไปตลอดกาลนาน เพราะฉะนน้ั เราจะกระทำ� บารมี ให้เปน็ โล่ แล้วประหารดว้ ยศัสตรา คอื บารมนี น่ั แหละ ก�ำจัดหมพู่ ลน้ี เสียจงึ จะควร จงึ ทรงนัง่ ระลึกถึงบารมีทั้ง ๑๐ อย”ู่ เม่ือมารหมายจะประหัตประหารท่านให้ลุกจากบัลลังก์ พระองค์ ได้ตรัสวา่ “ดูก่อนมาร ทา่ นไม่ได้บำ� เพญ็ บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และ ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัง้ ไมไ่ ดบ้ ริจาคมหาบรจิ าค ๕ ไมไ่ ด้บ�ำเพญ็ ญาตัตถ-
117 จริยา โลกตั ถจรยิ าและพทุ ธตั ถจริยา บัลลงั กน์ ้ีจงึ ไมถ่ ึงแก่ท่าน บัลลังก์ นี้ได้ถึงแก่เรา” (อ่านเพิ่มเติม http://www.84000.org/tipitaka/ atita100/jataka.php?i=270000&p=7) สรุปว่า การส่ังสมบารมีจะเอ้ือผลให้เกิดปัจจัยท้ังภายในและ ภายนอกมาสนบั สนุน ซ่งึ เกดิ จากบารมีทบี่ �ำเพ็ญมาในระยะยาว โดยเขา้ ใจ คุณประโยชน์ของธรรมเหล่าน้ัน น้อมน�ำมาปฏิบัติเร่ือย ๆ บารมีเหล่าน้ัน ก็จะย้อนกลบั มาสนับสนนุ ให้เสน้ ทางเดินเรยี บข้นึ ง่ายข้นึ เหนอื่ ยน้อยลง เมอ่ื บารมหี รอื ก�ำลงั ใจเตม็ เหมอื นนำ�้ หยดสดุ ทา้ ยเตม็ สระ มกี �ำลงั บารมมี าก พอแลว้ จงึ จะพรอ้ มบรรลุเปา้ หมายได้ ดงั เช่นตัวอย่างเรือ่ งการสั่งสมบารมี ของพระพทุ ธเจา้ ดังนน้ั บารมีจงึ เป็นสิ่งที่ต้องเพยี รบ�ำเพญ็ ใหค้ รบทุกดา้ น ไม่ใช่เพียงบางด้าน หากมีความปรารถนาจะไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุด คือ ความพน้ ทกุ ข์ถาวร
118 สงิ่ ทเ่ี ราไดเ้ รยี นรจู้ าก รกั แทข้ องพระพทุ ธเจา้ และคบู่ ารมี คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ก็เกิดตายหลาย ภพชาติแบบไม่มีทิศทาง ทุกคนปรารถนาที่จะเกิดมาแล้วมีแต่ความสุข แต่ความจริงแล้วส่ิงท่ีพ่วงมากับการเกิดทุกคร้ังคือ ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ความพลดั พรากจากสง่ิ ท่รี ัก การประสบกับส่งิ ทไ่ี ม่รัก และตาย การเกิดทุกคร้ังต้องพบเจอกับส่ิงเหล่าน้ี แต่บางคนก็พอใจในการเกิดแต่ กลัวการตาย บางคนก็พอใจในการพบแต่กลัวการพลัดพราก ต้องการใน สง่ิ ทข่ี ดั แย้งกบั ความจรงิ จงึ ต้องทกุ ข์เป็นวงจรอยา่ งไมส่ ้นิ สุด ไม่เขา้ ใจว่า ความสุขทต่ี ้องการเป็นเหตแุ ห่งทกุ ข์เสมอ คนส่วนใหญ่เกิดมาด้วยความไม่รู้ แต่การเกิดอย่างพุทธนั้นสอน ใหต้ ่ืนรู้ และมเี ป้าหมาย วิถีพทุ ธ คอื การดำ� เนนิ ชีวิตแบบทีส่ อดคลอ้ งไป กับเป้าหมาย ชาวพทุ ธท่แี ท้จะศกึ ษาจนร้วู ่าเกดิ มาเพือ่ อะไร และหากจะ มีความรักก็รู้ว่าจะรักเพ่ืออะไร ไม่ใช่รักอย่างผู้หลงหาทางออกจากทุกข์ ไมเ่ จอ ไมร่ วู้ ่าปลายทางของความรกั จะจบแบบใด รกั อยา่ งพทุ ธสามารถ ออกแบบอนาคตได้ ความรักเป็นส่ิงหน่ึงท่ีคนบนโลกต้องการและปรารถนามากท่ีสุด และความรักทีด่ ูเหมอื นจะเป็ความสุขที่คนบนโลกแสวงหานี้เอง ที่ก่อวงจร ทุกข์ไม่รู้จบ ทั้งนี้เป็นเพราะเราไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเรามีความรักไป เพอื่ อะไรกนั แน่ เราตอ้ งการเพยี งสขุ ชวั่ คราว ใหม้ คี วามสขุ ทไี่ ดค้ รอบครอง แลว้ ยดึ ความสขุ นน้ั แลว้ กลบั ตาลปตั รเปน็ ทกุ ขเ์ มอ่ื สญู เสยี หรอื ตอ้ งการ มรี กั เพอ่ื ความสขุ แบบทพ่ี าใหพ้ น้ ทกุ ขต์ ลอดไป การจะมคี วามรกั แบบหลงั ได้ เราตอ้ งเขา้ ใจเหตแุ ละผล วา่ เหตอุ ยา่ งไรนำ� ไปสผู่ ลอะไร และเหตแุ หง่
119 ทกุ ขอ์ ยทู่ ไ่ี หน เมอ่ื ยามทกุ ขเ์ พราะรกั หลายคนอยากจะลมื แตค่ วามจรงิ แลว้ เรา ไม่ได้เจ็บเพราะจ�ำได้ แต่เจ็บเพราะเราไม่เข้าใจสาเหตุแห่งทุกข์มากกว่า เมอื่ ไมเ่ ขา้ ใจสาเหตุ มรี กั กคี่ รง้ั เรากต็ อ้ งทกุ ขเ์ รอ่ื งเดมิ ๆ ไปจนกวา่ จะเรยี น รู้ ลองวิเคราะหก์ นั ดีๆ วา่ เราก�ำลงั หลงรักอะไร ตวั คนรกั จริงๆ อยทู่ ไ่ี หน? ตัวตนท่ีจับต้องได้เป็นตัว ๆ ของทั้งคนและสัตว์แท้จริงเป็นก้อน ธาตุ ก�ำเนิดจากการมารวมกนั ของสเปิร์มของพ่อและไข่ของแม่ (ถ้าพอ่ ไม่ กนิ ขา้ วก็ไมม่ ีสเปิร์ม ถ้าแมไ่ ม่กนิ ข้าวกไ็ มม่ ีไข)่ เติบโตมาได้เพราะหมู เหด็ เปด็ ไก่ ผัก ปลา (ซึ่งก็มาจากแรธ่ าตตุ า่ งๆ บนโลกมาผสมรวมตวั กัน) นำ�้ และอากาศ มองเขา้ มาทรี่ ่างกายตามจริง เราจะไม่เห็นวา่ มีอะไรทเี่ ราสรา้ ง มาเองเลย จิ้มไปตรงส่วนไหนของร่างกายก็มีแต่อาหาร มีแต่เอาแร่ธาตุ สง่ิ ต่าง ๆ บนโลกมารวมประกอบกันเป็นรา่ งกาย เป็นก้อน มีตับ ไต มา้ ม ปอด เนื้อ หนัง ผม ขน ไส้ กระเพาะ เหมือนกัน ต่างกันแค่หนังนอกที่ หุ้มอยู่ และโครงร่างเล็กใหญ่ เว้าโคง้ ลอกหนังออกก็ดูไม่ไดเ้ หมอื นกันหมด ไม่ลอกหนังออกนานไปก็เปื่อย เห่ียว ตายเน่าเหมือนกัน ที่มีช่ือว่า หญิง กิ๊บ เก๋ ปอ๋ ง และอน่ื ๆ กเ็ กดิ จากการสมมติทค่ี นอืน่ ต้ังช่อื ให้ จะเปลี่ยนชอื่ ใหมไ่ ปเปน็ อะไรกไ็ ด้ แลว้ แตจ่ ะสมมติ แมม้ องยอ้ นดแู ลว้ กอ้ นกายนจี้ ะไมไ่ ด้ มีอะไรเป็นของเราเลย แตก่ อ้ นกายของเรา ของคนอ่นื น้ีดูจะให้สุขทกุ ข์กบั เราไดม้ ากมาย ซง่ึ ทจ่ี รงิ ความสขุ ทกุ ขไ์ มไ่ ดม้ าจากกอ้ นกายหรอก แตม่ าจาก ความคดิ ทเี่ ราแตล่ ะคนใหค้ า่ ความคดิ ทจี่ บั ตอ้ งไมไ่ ดข้ องเราตา่ งหาก แมแ้ ต่ ดาราท่หี นา้ ตาดที ส่ี ดุ กไ็ ม่ไดท้ �ำให้ทกุ คนหลงรักได้ แตล่ ะคนหลงยึดรกั คน แตกตา่ งกนั ไปตามความคดิ แต่ความคิดกไ็ มใ่ ชข่ องจริง เพราะถา้ เป็นของ จริง ความคดิ นั้นตอ้ งไม่แปรเปลย่ี น ทง้ั ๆ ท่เี รากร็ ้วู ่าเรารูส้ กึ รกั ไปเองอยา่ งไมม่ ีเหตผุ ล เชน่ เจ็บกย็ งั รกั
120 เชอ่ื วา่ เรารกั คนนี้ และจะตอ้ งอยกู่ บั คนน้ี มนั อาจจะเหมอื นหนงั ทสี่ วยหรดู ดู ี วา่ รกั จรงิ แตก่ ารเชอื่ ทง้ั ทไ่ี มร่ ทู้ มี่ า กเ็ หมอื นการยอมทจ่ี ะรกั อยา่ งคนตาบอด แลว้ ความจรงิ คอื อะไร รกั อย่างไม่มืดบอดเปน็ อย่างไร? ความจริงของชีวิตในสังสารวัฏกค็ อื เราทกุ คนเวยี นเกดิ เวยี นตาย ในสังสารวัฏมาแล้วไม่รู้ก่ีชาติ ทุกคนเหมือนนักเดินทางที่แวะมาเจอกัน ชวั่ คราวตามวาระ แลว้ แตล่ ะคนกต็ อ้ งแยกไปตามทศิ ทางกรรมของตนเอง ทางทม่ี จี ดุ หมาย คือ ทางท่ีมีวนั จบ ทางทไ่ี มม่ ีจุดหมาย ไมม่ คี วามเขา้ ใจ จะต้องเดินไปอย่างไมม่ ีวันจบ วันนห้ี ัวเราะ พร่งุ นอี้ าจร้องไห้ แตล่ ะคน มีหน้าท่ีที่จะต้องเลือกเอง ต้องเรียนรู้เอง เข้าใจเอง โตเอง เดินเอง ใน การเดินทางอาจจะมีครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตรช่วยแนะน�ำบ้าง แต่ก็ ไมม่ ใี ครเกิดมาเพอ่ื ใครได้ สขุ หรือทุกข์แทนใครได้ ตราบเท่าทีเ่ รายงั ตอ้ ง กนิ ข้าวเองให้อิม่ เอง ยงั ต้องหายใจเอง รกั อยา่ งไมม่ ดื บอด คอื รกั อยา่ งเขา้ ใจทมี่ าจงึ รทู้ างทจี่ ะไป สาเหตทุ ่ี เรายดึ (ทเี่ ราใชค้ ำ� วา่ รกั ) มที มี่ าจากกรรมทเ่ี ราทำ� ไว้ (กรรม หมายถงึ การ กระท�ำทปี่ ระกอบดว้ ยเจตนา) ท�ำกรรมไมด่ มี ากส็ ง่ ใหใ้ จไปผูกยดึ กบั คนท่ี จะทำ� ใหเ้ ราเสยี ใจ ทำ� กรรมดมี ากจ็ ะสง่ ใหใ้ จไปผกู ยดึ กบั คนทจี่ ะทำ� ใหเ้ รามี ความสขุ ทำ� กรรมแบบไหนใจกจ็ ะถกู กรรมกำ� กบั ใหต้ อ้ งไปผกู ใจไวก้ บั คน แบบน้ัน หรืออาจจะเป็นกรรมทีเ่ ราตงั้ ใจผูกยึดดว้ ยการอธษิ ฐานก็ได้ ซึ่งก็ เรยี กวา่ เปน็ กรรมอกี อยา่ งหนง่ึ เชน่ กนั (อธษิ ฐานคอื มโนกรรม) ในเรอื่ งของ กรรมมนั เปน็ เรอ่ื งของความ “ตดิ ใจ” คอื ถา้ ตดิ ใจแลว้ อาจจะรสู้ กึ วา่ คนนน้ั เปน็ คนทใี่ ชห่ รอื ไมใ่ ชก่ ต็ ามแต่ แมจ้ ะทกุ ข์ กจ็ ะรสู้ กึ วา่ ไมใ่ ชท่ กุ ข์ และมคี วาม เชื่อว่าจะต้องท�ำให้ได้มาตามน้ัน กลัวจะเสียไป หรือคนนอกเห็นว่าคนนี้ เป็นอย่างน้ี คบไปแลว้ จะมปี ญั หาแน่นอน แต่เจ้าตวั อย่ใู นภาวะมคี วามสุข อยู่ กจ็ ะท�ำใหไ้ ม่เห็นตามจรงิ ซ่งึ อันทีจ่ ริงก็เพราะกรรมหลอกใหล้ งหลมุ ไป ใชก้ รรม กรรมหลอกว่าลงหลุมไปแลว้ จะดี จึงยินดีโดดลงหลมุ ไปรบั กรรม
121 ปญั หาทั้งหมดจงึ อย่ทู ี่กรรม เจตนา ความยึด และรากของกรรม คอื ใจ ถา้ ตอ้ งการจะถอนเหตุแห่งทุกขจ์ ึงตอ้ งถอนที่ใจ แกท้ ่ตี น้ เหตุ คอื ใจ ในเรื่องของกรรม ยิ่งเราเช่ือและท�ำส่ิงต่าง ๆ ไม่ว่าดีหรือร้ายด้วย อัตตา ยิ่งท�ำ ตวั ตนเราในเรอื่ งน้ัน ๆ จะย่ิงชัดเจนใหญโ่ ตขึน้ ขอบเขตของ ชวี ิตมนุษยถ์ ูกจ�ำกดั ไว้ เทา่ ทีก่ รรมสง่ มาให้เห็น ดงั น้ันจงึ เป็นการยากเหลือ เกนิ ทคี่ นๆ หนงึ่ จะหลดุ จากเสน้ ทางเดมิ ๆ เพราะยดึ มน่ั ความเชอ่ื ของตวั เอง น่ีแหละ กว่าคน ๆ หน่ึงจะหลุดจากทกุ ขไ์ ด้ ไมใ่ ช่วา่ จะเห็นทางออกงา่ ย ๆ เลย เพราะกรรมมันบีบไว้ให้เห็นทางแค่น้ัน การท�ำเพื่อความหลุดพ้นน้ัน เปน็ อกี วถิ ที างทเ่ี ราไมค่ นุ้ เคย เพราะเปน็ การท�ำเพอ่ื สละความยดึ มน่ั ความ อยากมี อยากได้ อยากเป็น เมื่อไม่มีการเกดิ ความพอใจในการเกดิ การได้ กไ็ มม่ คี วามสญู เสยี หากเราศกึ ษาพทุ ธประวตั อิ ยา่ งดี เราจะรวู้ า่ การบำ� เพญ็ สง่ั สมบารมขี องทา่ นในทกุ ชาติ ไมไ่ ดเ้ ปน็ การทำ� เพอ่ื เสรมิ อตั ตา แตเ่ ปน็ การ ทำ� เพอ่ื ให้ เพอ่ื สละ อยา่ งแทจ้ รงิ เมอื่ ไมไ่ ดท้ ำ� เพอ่ื อตั ตา พระทยั ของทา่ นจงึ กวา้ งใหญ่และมพี ระปญั ญาทเ่ี หน็ กวา้ งแตกตา่ งจากคนทวั่ ไปทที่ ำ� สง่ิ ตา่ งๆ ตามความเชอ่ื ของอตั ตาตน เพอ่ื เพมิ่ อตั ตาของตนจงึ เหน็ อะไรไดค้ บั แคบ อยา่ งทบ่ี อกวา่ เราเจอคนๆ หนง่ึ เพราะกรรม กรรมมาจากเหตุ และ เหตกุ ม็ วี นั หมดเราไมจ่ ากเคา้ วนั น้ียงั ไงเรากต็ อ้ งตายจากกนั ดงั นน้ั สงิ่ ทส่ี ำ� คญั จงึ ไมใ่ ชก่ ารไดอ้ ยรู่ ว่ มกนั แตค่ อื การไดเ้ รยี นรู้ วา่ เรากบั เคา้ เขา้ มาเจอกนั เพอ่ื อะไร เคา้ เขา้ มาเปน็ ตวั แสดงสง่ิ ทเ่ี ราเคยกระท�ำ (กรรม) เอาไว้ ถา้ เราเรยี นรู้ สาเหตทุ ผ่ี กู มาเรากจ็ ะคลายมนั ออกได้ ความหลงยดึ กจ็ ะหายไป (แนะน�ำอา่ น หนงั สอื เหตเุ กดิ จากความรกั http://www.sangtean.com/love/reading ซง่ึ จะเขยี นอธบิ ายเรอ่ื งวงจรของกรรมไว้ เขยี นเรอื่ งความเขา้ ใจทถี่ กู ตอ้ งใน เร่อื งความรัก รวมถงึ วธิ ีฝึกหดั จิตใจให้คลายจากความทุกข์ไดย้ ิง่ ๆ ข้นึ จน ไม่ตอ้ งทุกขซ์ ้�ำแบบเดมิ ๆ อีก) คนที่ไม่เข้าใจเรื่องกรรม จึงไมส่ ามารถแก้
122 ปญั หาทตี่ น้ เหตุ สว่ นใหญ่เป็นการแกท้ ี่ผล อาจพยายามเปลย่ี นด้วยการ พยายามบบี บังคบั ทำ� ขอ้ ตกลง ตั้งกฏ ห้ามผลไมใ่ หเ้ กดิ โดยไม่แก้ทีเ่ หตุ จงึ ทำ� ใหท้ กุ ขบ์ านปลาย พยายามเปลยี่ นผลโดยทไี่ มเ่ ขา้ ใจวา่ เหตอุ ยา่ งไร ทำ� ให้เกดิ ผลเชน่ น้ี ถา้ อยากไดส้ งิ่ ทดี่ ี ต้องสร้างเหตุทดี่ ีท่ีควรกนั ถ้าเราเขา้ ใจความรักแลว้ รู้วา่ เรารกั เพ่ืออะไร ต่อไปเราจะใช้ความ รักได้อย่างมีคณุ ค่า ทกุ ครัง้ ที่มคี วามรัก มันคือการพัฒนาตนเองไปสู่ความ พน้ ทกุ ขย์ ง่ิ ๆ ขน้ึ ซ่งึ พน้ ทกุ ข์ก็คอื มสี ุขมากขน้ึ นั่นเอง หากเราต้องการมีความสุขย่ิงขึ้น ก็ต้องปรารถนาความก้าวหน้า เราไม่ได้รักเพ่ือจะยึดอยู่กับท่ี แบบที่ทุกข์แล้วทุกข์เลยไม่ยอมไปไหน ยึด เม่ือไหร่ทุกข์เมื่อน้ัน เรายึดใครเราก็ทุกข์ ใครยึดเราเราก็ทุกข์ ถ้าคนหนึ่ง เข้าใจเหตแุ ห่งทุกข์ รูว้ า่ ยึดแล้วทกุ ข์ (จากใจ) จึงสามารถปลอ่ ยวาง รักเพอ่ื ให้อย่างแท้จริง แต่อีกคนหนึ่งไม่เข้าใจว่าทุกข์เพราะยึด แล้วก็รักแบบยึด ปรารถนารักเพ่อื จะได้รบั การตอบแทน ครอบครอง ความทกุ ขย์ อ่ มเกิดข้ึน เพราะไมม่ อี ะไรบนโลกทย่ี ดึ ไดจ้ รงิ ตวั กายนสี้ กั วนั หนง่ึ กต็ อ้ งเสอื่ มและตาย ไป อารมณ์กไ็ ม่คงท่ี หากเราเอาใจไปยึด พึง่ กับสิง่ ที่ไมแ่ น่นอนกต็ อ้ งทกุ ข์ ลา้ นเปอร์เซ็นตอ์ ย่างไมม่ ีเง่ือนไข ดงั น้ันสาระของความรกั ไมใ่ ช่การมคี วาม สขุ ชว่ั คราว หรอื มสี ขุ แลว้ ทกุ ข์ สาระของความรกั จงึ ไมใ่ ชก่ ารยดึ ทต่ี วั บคุ คล แต่เล็งไปที่การเจริญเติบโตทางด้านจิตใจ ดังนั้นคนรักจะเป็นอย่างไรก็ได้ คนรกั จะเป็นใครก็ได้ หากเป็นคนทอ่ี ย่ดู ้วยกนั แล้วท�ำให้ทุกข์ ไมก่ ้าวหน้าก็ ไมย่ ดึ ตดิ หากเปน็ คนทอี่ ยดู่ ว้ ยกนั แลว้ ท�ำใหก้ า้ วหนา้ จติ ใจพฒั นา มปี ญั ญา ยิ่งข้นึ ก็เก้ือกูลสง่ เสริมกันไปจนถงึ ท่สี ดุ เปา้ หมายของศาสนาพทุ ธ คอื ถอดถอนความเหน็ ผดิ ของใจ เพอ่ื ปลอ่ ยวางความยดึ เพราะเหน็ ตามจรงิ วา่ ทกุ อยา่ งเปน็ ไตรลกั ษณ์ จะตอ้ ง
123 เปลยี่ นแปลง คงอยใู่ นสภาพเดมิ ไมไ่ ด้ เปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั ไมใ่ ชเ่ ปน็ ของ เราทเ่ี ราจะสงั่ ได้ ถอนความเหน็ ผดิ กถ็ อนความยดึ ได้ ถอนความยดึ ได้ เรา ก็จะรู้จักรักอยา่ งมีอสิ ระ เปน็ รกั ที่มคี วามสุขทง้ั ผใู้ หแ้ ละผรู้ ับ เม่อื เปลย่ี น ที่ใจเรา ถอนความเห็นผิดแล้ว ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไป การจะรักคนท่ีดี เหน็ ความดีของใครได้ ใจเราต้องรู้จกั ความดกี อ่ น แลว้ ก็รจู้ ักรักก่อนจงึ จะ หาความรักท่ีดี ๆ เจอ หากปรารถนาท่ีจะมีคู่บุญ เราก็ต้องมีบุญพอ หาก ปรารถนาจะมคี นรกั ทมี่ ปี ญั ญาเกอ้ื กลู เรากต็ อ้ งมปี ญั ญาพอทจี่ ะเหน็ คณุ คา่ และความดีของอีกฝ่าย และมีปัญญาเพียงพอที่จะสนับสนุนอีกฝ่าย เพ่ือ สนับสนุนกันและกันได้ด้วย ถ้าบุญไม่พอหรือท�ำบาปมาก็จะเห็นแต่โทษ ต่อให้คนที่ดีท่ีสุดพร้อมจะให้สิ่งที่ดีท่ีสุด ความรักท่ีดีที่สุด ความรู้ท่ีดีที่สุด มาอยู่ตรงหน้า กรรมท่ีท�ำมาก็จะปิดก้ันและก�ำกับให้คิดแต่ในด้านท่ีเป็น โทษ มองเป็นโทษไปแทน คอื ใจไมพ่ รอ้ มจะรับปจั จยั ท่ีจะน�ำไปสู่ความสุข การศึกษาเร่ืองราวความรักแท้และคู่บารมีของพระพุทธเจ้าจะ ท�ำใหเ้ ราเห็นว่า ความรักของพระองคท์ ่านทง้ั สองเปน็ ความตง้ั ใจทจี่ ะรกั อยา่ งมจี ดุ หมาย และรกั แลว้ เจรญิ กา้ วหนา้ ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไปจนถงึ จดุ หมายนน้ั จดุ มงุ่ หมายของพระองคท์ งั้ สอง คอื การจบ หยดุ ความหลงใหต้ อ้ งมาเกดิ วนเวยี นทกุ ขซ์ ำ้� ๆ จดุ มงุ่ หมายของพระองคท์ า่ นทง้ั สอง คอื การชว่ ยเหลอื ให้ผู้อื่นพ้นทุกข์เช่นน้ันด้วย ความรักแบบนี้เป็นความรักที่มีคุณค่ากว่า ความรักด้วยกาม ด้วยการครองครอง เทียบกับความสุขจากการที่ต้อง ผูกมดั วา่ ต้องอยรู่ ว่ มกนั ได้กนิ ขา้ ว ดูหนังฟงั เพลงดว้ ยกนั กอด จบู และ อน่ื ๆ รว่ มกนั อยา่ งไร รกั แบบไหนทท่ี ำ� ใหย้ ดึ แลว้ ตอ้ งทกุ ขไ์ มเ่ ลกิ รกั แบบ ไหนทพี่ าใหต้ นและผอู้ น่ื พน้ ทกุ ข์ เลอื กรกั แบบไหนแลว้ กพ็ ฒั นาใจตนเอง ใหเ้ ป็นแบบนนั้ กจ็ ะไดส้ ่งิ น้นั ด้วยเห็นประโยชน์อย่างมากจากการศึกษาพุทธประวัติ จึงได้ รวบรวมมุมมองที่เห็นจากเนื้อหาเพื่อถ่ายทอดให้กับเพื่อนชาวพุทธให้ได้
124 ประโยชนเ์ ช่นเดยี วกนั คือ คนภายนอกรักกันด้วยความไม่รู้ ไม่มีเป้าหมาย แต่ความรักของ พระโพธสิ ัตวแ์ ละคูบ่ ารมรี กั กันเพราะรูว้ า่ ต้งั ใจรกั ไปเพ่ืออะไร มเี ปา้ หมาย คนภายนอกรกั กนั ทเ่ี ปลอื กนอก แตค่ วามรกั ของพระโพธสิ ตั วแ์ ละ คบู่ ารมี เกดิ จากใจ คอื รกั ทใ่ี จ เปน็ รกั ทเ่ี กดิ จากศรทั ธาจากหวั ใจ เมอ่ื ปฐม เหตุของความรกั เกิดจากใจ ความรกั นั้นจึงเป็นรกั แท้ เรม่ิ ตงั้ แตป่ ฐมเหตแุ หง่ รกั ชาตแิ รก นางสมุ ติ ตาพราหมณี ประทบั ใจ ในความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของสุเมธดาบสพระโพธิสัตว์ เข้าใจในเป้าหมาย ของพระองค์ และพร้อมยอมจะท�ำทกุ อยา่ งเพอ่ื เดินร่วมกนั ไปถงึ เป้าหมาย น้ัน ตั้งใจเป็นคู่บุญที่อยู่เบื้องหลังและสนับสนุนการบ�ำเพ็ญบารมีท่ีย่ิง ใหญข่ องพระโพธสิ ัตวเ์ สมอ เช่น ชาตใิ ดพระโพธสิ ตั ว์ปรารถนาจะบ�ำเพ็ญ เนกขัมมบารมีออกบวช พระนางก็จะเต็มใจออกไปรับใช้ ดูแล เกื้อกูล ให้สามารถบ�ำเพ็ญเพียรได้อย่างไม่ล�ำบาก และร่วมบ�ำเพ็ญภาวนารักษา ศีลตามไปด้วย ชาติใดพระองค์ทรงเจริญทานบารมี พระนางก็เป็น ผู้สนับสนุน ถึงขนาดยอมให้ลูก และให้ตนเองเป็นทานตามพระประสงค์ โดยไมเ่ สยี ดายหรอื โกรธ ทกุ ภพชาตพิ ระนางทง้ั เตม็ ใจเกอื้ กลู และไดพ้ ฒั นา จิตใจและบารมีตามอยา่ งพระองคเ์ สมอ ความรักของพระองค์ท่านทั้งสอง ไม่ได้มุ่งเพ่ือความสุขเฉพาะตน ไม่ได้มุ่งหมายท่ีราคะ เพ่ือให้เกิดความผูกพัน แต่มุ่งเพ่ือเสียสละความยึด ช�ำระใจให้บริสุทธ์ิยิ่ง ๆ ข้ึน ไม่เป็นเหตุก่อให้เกิดทุกข์ยืดยาว ต่างจาก ความรกั ของคนทวั่ ไปทคี่ วามรกั ของทา่ นทงั้ สองเปน็ ไปเพอื่ ความหมดทกุ ข์ หมดโศกยิ่งๆ ขึน้ และไมไ่ ด้เปน็ ไปเพือ่ เหตแุ หง่ ทกุ ข์ ความรักของพระองค์ท่านท้ังสองไม่ได้มุ่งยึดที่ตัวบุคคลอย่างไร้
125 แก่นสาร แต่เป็นรักที่เกิดจากหัวใจศรัทธาในเป้าหมายเดียวกัน ท้ังสอง พระองคม์ คี วามสัมพนั ธ์ทย่ี ืนยาวได้ ดว้ ยความมีใจเสมอกนั ในทางทีด่ ี หาก ความรักของพระองค์ท่านทั้งสองไม่ได้มีพื้นฐานมาจากการมีใจแน่วแน่ ในเป้าหมายเดยี วกัน การใชป้ ัญญาว่า รักและเก้ือกลู กันไปเพือ่ อะไรแล้ว จะไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคที่ร่วมกันเผชิญมากมายได้เลย อุปสรรค เปน็ เรอ่ื งภายนอก มนั ไมไ่ ด้ท�ำให้ใครไมร่ กั กัน แต่มันท�ำใหค้ นทีไ่ มร่ กั กันได้ เข้าใจความจริง และท�ำใหค้ นท่ีรักกนั อยูแ่ ลว้ รักกันมากข้ึน การรว่ มกันสรา้ งบารมี คอื การร่วมกันพฒั นาก�ำลังใจ ทจ่ี ะทำ� ให้ เกดิ ความศรทั ธาในกนั และกนั พรอ้ ม ๆ ไปกบั การเขา้ ถงึ ความพน้ ทกุ ข์ ได้ มสี ขุ ยง่ิ ๆ ขน้ึ แมต้ วั จะอยหู่ า่ งกนั ไกลหรอื ใกลก้ ไ็ มส่ �ำคญั เพราะคนทเี่ ขา้ ใจ ความรกั มงุ่ ไปสเู่ ปา้ หมายคอื ความพน้ ทกุ ขย์ งิ่ ๆ ขนึ้ เขา้ ใจกฏความจรงิ ของ ธรรมชาติ กจ็ ะไมย่ ดึ สงิ่ ภายนอกทแี่ ปรปรวน กจ็ ะรกั ตนเองเปน็ และพรอ้ มท่ี จะพฒั นาตนเองเสมอ เมอื่ ไดพ้ บคทู่ เี่ หมาะสมกพ็ รอ้ มทจี่ ะสง่ เสรมิ กนั จรงิ ๆ ไม่ใช่เพ่อื ดึงกนั และกนั ให้ไม่ก้าวหนา้ ความกา้ วหนา้ ของพระพทุ ธเจา้ หรอื การท�ำความดขี องพระพทุ ธเจา้ ท่านทรงท�ำเพ่ือให้ผู้อ่ืนอย่างแท้จริง ดังตัวอย่างในพระชาติพระเวสสันดร ทง้ั ทท่ี า่ นตงั้ ใจท�ำเพอื่ ผอู้ น่ื เสมอ ยงั โดนชาวเมอื งขบั ออกจากเมอื ง ถา้ เปน็ เรา คงทอ้ ไปแลว้ แตพ่ ระองคไ์ มท่ รงทอ้ พระทยั หนกั แนน่ ในเปา้ หมาย เราจงึ ได้ มีโอกาสพง่ึ พระเมตตาบารมี ปัญญาบารมี ของทา่ นมาตราบจนถงึ ปัจจุบนั ตอนทา่ นทรงบริจาคพระกัณหา พระชาลี ไมใ่ ชว่ ่าทา่ นไม่ทุกข์ น้�ำ พระเนตรไหลแทบเปน็ สายเลอื ดเมอื่ เหน็ ชชู กตพี ระกมุ ารกมุ ารที งั้ สองอยา่ ง ไม่ปรานี เป็นอีกครั้งที่แสดงว่าท่านไม่ได้ท�ำเพื่ออัตตา ไม่ได้ท�ำเพื่อพ่อฉัน แมฉ่ ัน ลกู ฉนั เมยี ฉนั ทรงยอมทุกข์เพ่ือประโยชนท์ ี่ใหญก่ ว่า คือการสละ ส่วนน้อยเพื่อคนส่วนมากได้ข้ามสังสารวัฏหยุดทุกข์ส้ินเชิง (และเม่ือท่าน
126 ได้ทรงบรรลุเจตจ�ำนงแล้วก็ทรงกลับมาช่วยโปรดผู้ร่วมบุญของท่านภาย หลัง) ท่านเอาทุกข์มาท�ำให้เกิดปัญญา หาสาเหตุแห่งทุกข์ว่าเกิดจาก อะไร เมอ่ื ทา่ นพบว่าเกดิ เพราะกเิ ลสเสน่หาความยึดมน่ั ท่านก็วางเหตุ พระนางมัทรีมีพระมหากรุณาเสมอกันกับพระเวสสันดร ยอม ล�ำบากออกจากวังมาอย่ตู ามปา่ เพ่ือคอยดูแลอ�ำนวยความสะดวกแด่พระ เวสสันดรในการบ�ำเพ็ญภาวนา และแม้ทั้งสองพระองค์จะปรารถนาสร้าง บารมรี ว่ มกันแตก่ ็ไม่ได้ยึดตดิ เพราะเปา้ หมาย คือ เพื่อส่วนรวม เพอ่ื สละ ออกอย่างแท้จริง พระเวสสันดรไม่ได้ค�ำนึงว่าไม่มีพระนางมัทรีแล้วท่าน จะล�ำบาก พระนางมัทรีก็ไม่ได้ยึดติดว่าต้องอยู่ดูแลพระองค์เท่านั้นจึงจะ เป็นการชว่ ยท่าน เม่อื พระเวสสันดรปรารถนาจะบริจาคพระนางเป็นมหา ทาน พระนางกย็ ินดีเพือ่ จบพระชาตสิ ดุ ทา้ ยแหง่ การบ�ำเพ็ญบารมที ี่พรอ้ ม บริบูรณ์ก่อนจะได้ตรัสรู้ในพระชาติต่อไป ตั้งแต่ชาติแรกท่ีท่านอธิษฐาน บ�ำเพญ็ บารมรี ว่ มกนั ทา่ นชดั เจนในเปา้ หมาย เมอ่ื ศกึ ษาจะเหน็ จรงิ วา่ ทา่ น ปรารถนาท�ำเพอ่ื ผอู้ ่นื อยา่ งแท้จรงิ “ดกู อ่ นพอ่ ชาลพี ระลกู รกั พอ่ จงมา จงเพมิ่ พนู บารมขี องพอ่ ใหเ้ ตม็ จงช่วยโสรจสรงหทัยของพอ่ ให้เยน็ ฉ�่ำ จงท�ำตามค�ำของพ่อ ขอเจา้ ท้ังสอง จงเปน็ ดังยานนาวาของพ่อ ไมห่ วน่ั ไหวตอ่ สาคร คือภพ พ่อจักข้ามฝงั่ คอื ชาติ จกั ยังมนุษยท์ ้งั เทวดาใหข้ ้ามดว้ ย ดูก่อนแม่กัณหาธิดารัก แม่จงมาจงเพิ่มพูนทานบารมีที่รักของพ่อ จงช่วยโสรจสรงหทัยของพอ่ ใหเ้ ยน็ ฉ่�ำ จงทำ� ตามค�ำของพอ่ ขอเจ้าทง้ั สอง จงเป็นดงั ยานนาวาของพอ่ ไม่หว่นั ไหวต่อสาคร คือภพ พอ่ จกั ขา้ มฝ่ัง คอื ชาติ จกั ยกขึน้ ซงึ่ มนุษยท์ ัง้ เทวดาดว้ ย ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณย่อมเป็นท่ีรักย่ิงกว่า บตุ รและบตุ รีผู้เป็นทรี่ กั กวา่ รอ้ ยเท่าพนั เท่าแสนเท่า
127 เราตถาคต เมอื่ สละชาลโี อรส กณั หาชนิ าธดิ า และมทั รเี ทวผี เู้ คารพ ต่อภสั ดา มไิ ดค้ ดิ เสียดายเลย เพราะเหตแุ ห่งพระโพธญิ าณเทา่ นัน้ ลกู ทัง้ สองเป็นทีเ่ กลียดชังของเรา กห็ ามไิ ด้ มัทรีเทวไี มเ่ ปน็ ทร่ี กั ของเรา ก็หามิได้ พระสพั พญั ญุตญาณเปน็ ท่รี ักของเรายง่ิ กว่า เพราะฉะน้นั เราจึงได้ใหบ้ ุตร ธดิ าและเทวีผู้เปน็ ท่ีรกั เสีย” อดีตชาติของพระนางพิมพาน้ัน ทรงช่วยเสริมบารมีให้แก่พระ- โพธสิ ัตวม์ าตลอด เท่าทีอ่ ่านชาดก ชาตไิ หนท่กี ล่าวถงึ พระนางพิมพา ชาติ นน้ั พระนางก็มกั ได้รบั ความทุกข์ทุกชาตไิ ป แต่พระนางกไ็ ม่เคยทอ้ ถอยตอ่ การเปน็ คบู่ ารมี ทรงจงรักภักดตี อ่ พระโพธสิ ตั วอ์ ยา่ งมั่นคง
128 พระสตู รวา่ ดว้ ยความรกั และการอยรู่ ว่ มกนั จากพระไตรปฎิ ก
129 ทำ�อย่างไรจึงจะอยดู่ ้วยกนั ทง้ั ในชาติน้ี และชาตหิ น้าอย่างมคี วามสขุ สมชีวสิ ูตร สมยั หนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ เภสกฬามฤคทายวนั ใกล้ บา้ นสุงสุมารคีระ แคว้นภัคคะ ครัง้ นัน้ แล เวลาเชา้ พระผมู้ ีพระภาคทรง นงุ่ แลว้ ทรงถือบาตรและจวี รเสด็จเขา้ ไปยังนิเวศนข์ องนกลุ บิดาคฤหบดี แล้วประทับน่ังบนอาสนะท่ีปูลาดไว้ คร้ังนั้นแล คฤหบดีผู้นกุลบิดาและ คฤหปตานี ผนู้ กลุ มารดา เขา้ เฝา้ พระผมู้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ถวายบงั คม แล้ว น่งั ณ ทีค่ วรสว่ นขา้ งหนง่ึ ครั้นแล้ว คฤหบดผี ู้นกุลบิดาไดก้ ราบทลู กบั พระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ นบั แต่เวลาทีต่ ระกูลนำ�คฤหปตานผี ้นู กลุ มารดาซง่ึ ยงั เปน็ สาวมา เพอ่ื ขา้ พระองคผ์ ยู้ งั เปน็ หนมุ่ ขา้ พระองคม์ ไิ ดร้ สู้ กึ จะประพฤตินอกใจคฤหปตานีผู้นกุลมารดาแม้ด้วยใจเลย ท่ีไหนจะ ประพฤตนิ อกใจดว้ ยกายเลา่ ข้าพระองค์ทัง้ สองปรารถนาพบกนั และกัน ท้ังในปจั จุบัน ท้ังในสมั ปรายภพ” แมค้ ฤหปตานีผ้นู กลุ มารดา กไ็ ด้กราบทลู พระผ้มู ีพระภาควา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ นบั แตเ่ วลาทตี่ ระกลู นำ�หมอ่ มฉนั ซงึ่ ยงั เปน็ สาวมา เพ่ือคฤหบดีผู้นกุลบิดาซ่ึงยังเป็นหนุ่ม หม่อมฉันมิได้รู้สึกจะ ประพฤตนิ อกใจคฤหบดผี นู้ กลุ บดิ าแมด้ ว้ ยใจเลย ทไ่ี หนจะประพฤตนิ อกใจ ด้วยกายเล่า หม่อมฉันทั้งสองปรารถนาพบกันและกันทั้งในปัจจุบัน ท้ัง ในสัมปรายภพ”
130 พระผมู้ พี ระภาคตรสั ว่า “ดกู รคฤหบดแี ละคฤหปตานี ถา้ ภรรยาและสามที ง้ั สอง หวงั จะ พบกนั และกนั ทงั้ ในปจั จบุ นั ทง้ั ในสมั ปรายภพไซร้ ทง้ั สองเทยี วพงึ เปน็ ผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีท้ังสองน้ัน ย่อมได้พบกันและกันท้ังในปัจจุบัน ทั้งใน สมั ปรายภพ ภรรยาและสามที งั้ สองเปน็ ผมู้ ศี รทั ธา รคู้ วามประสงคข์ องผขู้ อ มีความสำ�รวม เปน็ อยโู่ ดยธรรม เจรจาคำ�ท่ีน่ารักแกก่ นั และกนั ยอ่ มมี ความเจรญิ ร่งุ เรอื งมาก มคี วามผาสกุ ทง้ั สองฝ่ายมศี ีลเสมอกัน รักใคร่ กันมาก ไมม่ ใี จร้ายต่อกนั ประพฤตธิ รรมในโลกนแ้ี ล้ว ทงั้ สองเปน็ ผมู้ ี ศลี และวัตรเสมอกนั ย่อมเป็นผูเ้ สวยกามารมณ์ เพลิดเพลินบนั เทิงใจ อยูใ่ นเทวโลก” ทมี่ า: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสตุ ตันตปฎิ ก เลม่ ท่ี ๑๓ อังคุตตรนกิ าย จตกุ กนิบาต (อ่านเพมิ่ เติมเนอ้ื หาหน้า ๑๔๙)
131 หนา้ ท่ขี องสามภี รรยา สิงคาลกสตู ร ดูกรคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังอันสามีพึงบำ�รุง ด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา ๑ ด้วยไม่ดูหมิ่น ๑ ดว้ ยไมป่ ระพฤตินอกใจ ๑ ดว้ ยมอบความเปน็ ใหญใ่ ห้ ๑ ด้วยให้เคร่อื ง แตง่ ตวั ๑ ฯ ดกู รคฤหบดีบุตร ภรรยาผ้เู ปน็ ทิศเบื้องหลงั อนั สามบี ำ�รงุ ด้วย สถาน ๕ เหล่าน้ีแล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือ จัดการ งานดี ๑ สงเคราะหค์ นขา้ งเคียงของผัวดี ๑ ไม่ประพฤตินอกใจผวั ๑ รักษาทรัพยท์ ีผ่ ัวหามาได้ ๑ ขยนั ไมเ่ กียจครา้ นในกจิ การทั้งปวง ๑ ฯ ดูกรคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบ้ืองหลังอันสามีบำ�รุงด้วย สถาน ๕ เหล่าน้ีแล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ เหล่าน้ี ทิศเบ้ืองหลังน้ัน ชื่อว่าอันสามีปกปิดให้เกษมสำ�ราญ ให้ไม่มีภัยด้วย ประการฉะน้ี ฯ ท่ีมา: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตนั ตปฎิ ก เลม่ ที่ ๓ ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค
132 การอยู่ร่วมกนั ของชายหญิง ๔ แบบ สงั วาสสูตร สมยั หนงึ่ พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ ด�ำ เนนิ หนทางไกลในระหวา่ งเมอื ง มธุราและเมืองเวรัญชาต่อกัน คหบดีและคหปตานีมากด้วยกันก็เป็น ผู้ดำ�เนินหนทางไกล ในระหว่างเมืองมธุราและเมืองเวรัญชาต่อกัน คร้ังนั้นแลพระผู้มีพระภาคเสด็จแวะออกจากทาง ประทับนั่งที่โคนไม้ แห่งหนงึ่ คหบดแี ละคหปตานีเหล่านั้นไดเ้ หน็ พระผมู้ พี ระภาคประทบั น่งั ที่โคนไม้แห่งหน่ึง จึงได้พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย อภวิ าทแล้ว นงั่ ณ ทคี่ วรสว่ นข้างหนง่ึ ครนั้ แล้ว พระผู้มพี ระภาคไดต้ รสั พระพทุ ธพจน์นกี้ ะคหบดีและคหปตานเี หลา่ นั้นวา่ “ดูกรคหบดีและคหปตานที ้ังหลาย การอยรู่ ว่ ม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเปน็ ไฉนคอื ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ชายเทวดาอยรู่ ่วมกบั หญิงผี ๑ ชายเทวดาอยูร่ ่วมกบั หญิงเทวดา ๑ ดูกรคหบดีและคหปตานีท้ังหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี อยา่ งไร สามีในโลกน้ีเป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พดู เท็จ ดื่มน้�ำเมาคอื สรุ าและเมรัยอนั เป็นที่ตัง้ แห่งความประมาทเปน็ คนทุศีล มีบาปธรรม มีใจอันมลทินคือความตระหน่ีครอบง�ำ ด่าและ บริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้มัก ฆ่าสตั ว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤติผดิ ในกาม พูดเทจ็ ด่ืมน�ำ้ เมาคือสรุ าและ เมรยั อนั เป็นทต่ี ้งั แห่งความประมาท เป็นคนทศุ ีล มีบาปธรรม มีใจอัน
133 มลทนิ คอื ความตระหนคี่ รอบงำ� ดา่ และบรภิ าษสมณพราหมณ์ อยคู่ รอง เรือน ดูกรคหบดีและคหปตานีท้ังหลาย ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่าง น้ีแล ฯ ดกู รคหบดแี ละคหปตานที ง้ั หลาย กช็ ายผอี ยรู่ ว่ มกบั หญงิ เทวดา อย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ ด่าและบริภาษสมณ- พราหมณ์ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้งดเว้นจากการ ฆเท่า็จสตั จวา์ กจกาากรกดา่ืรมลนกั ำ้ �ทเมรพัาคยือ์ จสาุรกากเมารรัยปอรัะนพเปฤ็นตทิ ผี่ตดิ ้ังใแนหก่งาคมวาจมาปกกระามรพาทดู มีศีล มีกัลยาณธรรม มีใจปราศจากมลทินคือความตระหน่ี ไม่ด่าไม่ บรภิ าษสมณพราหมณ์ อยคู่ รองเรอื น ดกู รคหบดแี ละคหปตานที ง้ั หลาย ชายผีอยรู่ ่วมกบั หญงิ เทวดาอยา่ งนแ้ี ล ฯ ดกู รคหบดแี ละคหปตานที งั้ หลาย กช็ ายเทวดาอยรู่ ว่ มกบั หญงิ ผอี ย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน สว่ นภรรยาของเขาเปน็ ผมู้ กั ฆา่ สตั ว์ ฯลฯ ดา่ และบรภิ าษสมณพราหมณ์ อยคู่ รองเรอื น ดกู รคหบดี และคหปตานที ง้ั หลาย ชายเทวดาอยรู่ ว่ มกบั หญิงผอี ยา่ งน้ีแล ฯ ดกู รคหบดแี ละคหปตานที ง้ั หลาย กช็ ายเทวดาอยรู่ ว่ มกบั หญงิ เทวดาอยา่ งไร สามใี นโลกนเ้ี ปน็ ผงู้ ดเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ ฯลฯ ไมด่ า่ ไมบ่ รภิ าษ สมณพราหมณ์ อยคู่ รองเรอื น แมภ้ รรยาของเขากเ็ ปน็ ผงู้ ดเวน้ จากการ ฆา่ สตั ว์ ฯลฯ ไมด่ ่าไมบ่ รภิ าษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน ดูกรคหบดี
134 และคหปตานที ้ังหลาย ชายเทวดาอยรู่ ่วมกบั หญิงเทวดาอย่างน้แี ล ดูกรคหบดีและคหปตานีท้ังหลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการ น้แี ล ฯ ภรรยาและสามที ง้ั สองเปน็ ผทู้ ศุ ลี เปน็ คนตระหนี่ มกั ดา่ วา่ สมณ พราหมณ์ ช่ือว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน สามีเป็นผู้ทุศีล มีความตระหนี่ มักด่าว่าสมณพราหมณ์ ส่วนภรรยาเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของ ผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ภรรยาน้ันชือ่ ว่าเทวดาอยรู่ ว่ มกบั สามผี ี สามีเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความ ตระหนี่ สว่ นภรรยาเปน็ ผทู้ ศุ ลี มคี วามตระหนี่ มกั ดา่ วา่ สมณพราหมณ์ ชอ่ื วา่ หญงิ ผีอยรู่ ่วมกับสามีเทวดา ทง้ั สองเปน็ ผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ มีความสำ�รวม เป็นอยู่โดยธรรม ภรรยาและสามีทั้งสองน้ัน เจรจาถ้อยคำ�ที่น่ารักแก่ กนั และกัน ย่อมมคี วามเจรญิ ร่งุ เรืองมาก มคี วามผาสุก ท้ังสองฝา่ ยมี ศลี เสมอกนั รกั ใครก่ นั มาก ไมม่ ใี จรา้ ยตอ่ กนั ครน้ั ประพฤตธิ รรมในโลก นี้แล้ว เป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลินบันเทงิ ใจอยใู่ นเทวโลก ฯ” ทม่ี า: พระไตรปิฎก เล่มท่ี ๒๑ พระสตุ ตนั ตปิฎก เล่มท่ี ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตกุ กนบิ าต
135 เราเปน็ ภรรยาแบบไหน ภรยิ าสูตร ครั้งน้ัน เม่ือเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร และจวี ร เสดจ็ เขา้ ไปยงั นเิ วศนข์ องทา่ นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี ประทบั นงั่ บน อาสนะที่ปูลาดแล้ว ก็สมัยน้ันมนุษย์ทั้งหลายในนิเวศน์ของท่านอนาถ- บิณฑิกเศรษฐีส่งเสียงอื้ออึง ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคถงึ ทปี่ ระทบั ถวายบงั คมแลว้ นงั่ ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหนง่ึ ครนั้ แลว้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า “ดกู รคฤหบดี เหตไุ รหนอ มนษุ ยท์ งั้ หลายในนเิ วศนข์ องทา่ นจงึ สง่ เสียงออื้ องึ เหมอื นชาวประมงแย่งปลากนั ” อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐีกราบทลู วา่ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสุชาดาคนน้ีข้าพระองค์นำ�มาจาก ตระกูลม่ังคั่งมาเป็นสะใภใ้ นเรือน นางไม่เชอ่ื ถอื แม่ผัว พ่อผวั สามี แมแ้ ต่ พระผู้มีพระภาคนางกไ็ มส่ ักการะเคารพนับถอื บูชา ” ล�ำ ดบั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคตรสั เรยี กนางสชุ าดาหญงิ สะใภใ้ นเรอื น ว่า “มานีแ่ น่ะนางสชุ าดา” นางสุชาดาหญิงสะใภ้ในเรือนทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไป เฝา้ พระผมู้ พี ระภาคถงึ ทปี่ ระทบั ถวายบงั คมแลว้ นง่ั ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหนงึ่ ครั้นแล้ว พระผ้มู ีพระภาคตรัสถามว่า “ดูกร นางสุชาดา ภริยาของบรุ ุษ ๗ จำ�พวกน้ี ๗ จำ�พวกเปน็ ไฉน คือ ภริยาเสมอด้วยเพชฌฆาต ๑ เสมอดว้ ยโจร ๑ เสมอดว้ ยนาย ๑
136 เสมอดว้ ยแม่ ๑ เสมอด้วยพสี่ าวนอ้ งสาว ๑ เสมอดว้ ยเพ่อื น ๑ เสมอดว้ ย ทาสี ๑ ดูกร นางสุชาดา ภรยิ าของบุรุษ ๗ จำ�พวกนแ้ี ล เธอเป็นจำ�พวก ไหนใน ๗ จำ�พวกนนั้ ” นางสชุ าดากราบทูลว่า ข้าแต่พระองคผ์ ู้เจรญิ “หมอ่ มฉนั ยงั ไมร่ ทู้ ว่ั ถงึ ความแหง่ พระดำ�รสั ทพี่ ระผมู้ พี ระภาคตรสั แลว้ โดยยอ่ นไ้ี ดโ้ ดยพสิ ดาร ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผมู้ ีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแกห่ มอ่ มฉนั โดยที่หม่อมฉนั จะ พึงรู้ท่ัวถึงเนื้อความแห่งพระดำ�รัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อน้ี โดย พิสดารเถิด ฯ” “ดูกร นางสุชาดา ถา้ อยา่ งนน้ั เธอจงฟงั จงใสใ่ จให้ดี เราจักกล่าว นางสชุ าดาหญงิ สะใภใ้ นเรอื นทลู รบั พระผมู้ พี ระภาคแลว้ พระผมู้ พี ระภาค ตรสั พระพทุ ธพจน์นี้ว่า ภริยาผู้มีจิตประทุษร้าย ไม่อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ยินดใี นชายอื่น ดูหมน่ิ สามี เป็นผู้อนั เขาซอื้ มาดว้ ยทรัพย์ พยายามจะ ฆ่าผัว ภริยาของบุรุษเห็นปานน้ีเรียกว่า วธกาภริยา ภริยาเสมอด้วย เพชฌฆาต สามีของหญิงประกอบด้วยศิลปกรรม พาณิชยกรรม และ กสิกรรม ไดท้ รพั ย์ใดมา ภริยาปรารถนาจะยักยอกทรพั ย์ แมม้ อี ยนู่ อ้ ย นนั้ เสยี ภรยิ าของบรุ ษุ เหน็ ปานนเี้ รยี กวา่ โจรภรยิ า ภรยิ าเสมอดว้ ยโจร ภริยาท่ีไม่สนใจการงาน เกียจคร้าน กนิ มาก ปากรา้ ย ปากกล้า รา้ ยกาจ กลา่ วคำ�หยาบ ขม่ ขผี่ วั ผขู้ ยนั ขนั แขง็ ภรยิ าของบรุ ษุ เหน็ ปานน้ี เรียกวา่ อัยยาภรยิ า ภรยิ าเสมอด้วยนาย ภรยิ าใดอนเุ คราะหด์ ว้ ยประโยชนเ์ กอื้ กลู ทกุ เมอื่ ตามรกั ษาสามี เหมือนมารดารกั ษาบุตร รกั ษาทรพั ยท์ ีส่ ามหี ามาไดไ้ ว้ ภริยาของบุรษุ
137 เหน็ ปานนีเ้ รียกวา่ มาตาภรยิ า ภริยาเสมอด้วยมารดา ภรยิ าทเี่ ปน็ เหมอื นพสี่ าวนอ้ งสาว มคี วามเคารพในสามขี องตน เป็นคนละอายบาป เปน็ ไปตามอำ�นาจสามี ภรยิ าของบรุ ษุ เหน็ ปานน้ี เรียกวา่ ภคนิ ภี รยิ า ภริยาเสมอดว้ ยพี่สาว น้องสาว ภรยิ าใดในโลกนเี้ หน็ สามแี ลว้ ชน่ื ชมยนิ ดี เหมอื นเพอ่ื นผจู้ ากไป นานแลว้ กลบั มา เปน็ หญิงมตี ระกูล มีศลี มีวัตรปฏิบัตสิ ามี ภรยิ าของ บุรุษเหน็ ปานนเี้ รียกวา่ สขีภรยิ า ภริยาเสมอด้วยเพอ่ื น ภริยาใดสามีเฆ่ียนตี ขู่ตะคอกก็ไม่โกรธ ไม่คิดพิโรธโกรธตอบ สามี อดทนได้ เปน็ ไปตามอำ�นาจสามี ภรยิ าของบุรุษเหน็ ปานนเี้ รยี ก วา่ ทาสีภรยิ า ภริยาเสมอด้วยทาสี ภริยาทเี่ รียกว่า วธกาภรยิ า ๑ โจรี ภรยิ า ๑ อัยยาภรยิ า ๑ ภรยิ าท้ัง ๓ จำ�พวกน้ัน ลว้ นแต่เป็นคนทศุ ีล หยาบชา้ ไม่เออ้ื เฟื้อ เมื่อตายไป ยอ่ มเข้าถึงนรก สว่ นภริยาทเ่ี รียกวา่ มาตาภริยา ๑ ภคนิ ภี รยิ า ๑ สขภี รยิ า ๑ ทาสีภริยา ๑ ภรยิ าทง้ั ๔ จำ�พวกนน้ั เพราะต้ังอย่ใู นศีล ถนอมรกั ไว้ ยง่ั ยืน เม่อื ตายไป ยอ่ มเขา้ ถึงสุคติ ดูกร นางสชุ าดา ภริยาของบุรุษ ๗ จำ�พวกนี้แล เธอเปน็ ภริยา จำ�พวกไหน ใน ๗ จำ�พวกนนั้ ฯ” “ข้าแต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ ต้งั แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระผู้มีพระภาค โปรดทรงจำ�หมอ่ มฉันว่า เป็นภรยิ าของสามีผู้เสมอดว้ ยทาสี ฯ” ทม่ี า: พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี ๒๓ พระสตุ ตนั ตปิฎก เล่มท่ี ๑๕ อังคุตตรนกิ าย สัตตก-อฏั ฐก-นวกนบิ าต
138 ธรรมะเกอ้ื กลู ความรกั ใหม้ คี วามสขุ อยา่ งไร ความจริงจุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนาท่ีพระพุทธเจ้าทรงชี้ บอกไว้ ไม่ใช่เรื่องความรัก แต่เป็นเร่ืองการออกจากวงจรทุกข์ท่ีวนเป็น วฏั สงสาร (ความท่องเทีย่ วไปในอาการทเ่ี ปน็ วัฏฏะ การหมนุ วนอยใู่ นการ เวียนว่ายตายเกิด) แต่ใครจะปฏิเสธได้ว่า ความรัก (ไม่เป็น) นี่แหละที่ ก่อทกุ ขไ์ ด้ไม่ส้ินสดุ คนเราเจอกันก็เพียงชั่วคราว แม้เช่ือว่าจะได้พบกันอีกในชาติใหม่ แต่ความทุกข์จากการพลัดพราก และการแก่ เจ็บ ตาย ประสบกับส่ิงที่ ไมเ่ ปน็ ทีร่ ัก ท่พี อใจ ก็ยังมี คณุ คา่ สูงสุดของรักแท้ จงึ ไม่ใช่การพบกนั เพอ่ื มี ความสุขชั่วคราวและพบทุกข์ในเบ้ืองปลายจากการพลัดพราก จากเป็น จากตาย หากมคี วามรักเพ่อื หวังเป็นหลกั พกั ใจอยา่ งไรก็ตอ้ งทุกข์ รักแบบ นี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เพราะรักด้วยความยึด ความรักของคน สองคนสามารถใหค้ ณุ คา่ ไดม้ ากกวา่ นนั้ โดยมคี วามสามารถในการใชค้ วาม รกั ทม่ี ตี อ่ กนั เปน็ พลงั ในการเตบิ โต เพอื่ ตน อกี ฝา่ ย และสว่ นรวมใหไ้ ดเ้ จรญิ ขน้ึ มคี วามสุขดว้ ยการเรยี นร้ทู จี่ ะพน้ ทกุ ขต์ ลอดไป ให้ไดม้ ากท่สี ุด ในฐานะของชาวพุทธ ขอให้ดูความรักของพระพุทธเจ้าและ นางแก้วเป็นตัวอย่าง จะไดร้ ู้วา่ เราสามารถสร้างความรกั ใหม้ คี ณุ ค่าไดม้ าก ขนาดไหน คุณค่าของรักแท้ไม่ตายตามคนทั้งสองคนไป ความรักของ พระองค์ท่านทัง้ สองยังสอ่ งทางถึงคนจ�ำ นวนมากมากวา่ ๒๕๐๐ ปี _/\\_ ตอนน้ีเป็นอย่างไรไม่สำ�คัญเท่าเราวางแผนให้อนาคตเราเป็น อย่างไร และไปให้ถึง มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ ถ้าจะมีความรัก ก็ขอให้มี ความรกั แบบทีจ่ ะพัฒนาตนเอง และคู่ของเราใหเ้ จรญิ เติบโตก้าวหนา้ ทาง จิตวญิ ญาณยิ่งๆ ข้ึน
139 ความหมายของคำ�วา่ เตบิ โต คอื อะไร? ถา้ จะเลง็ กันทีเ่ ปา้ หมาย การใชช้ วี ติ อยู่ของเรา ทอ่ี ยากได้ อยากมี (เสื้อผ้า เคร่ืองเสียง รถ บ้าน ซ่อมบ้าน ตำ�แหน่งหน้าท่ีการงานที่สูง ยิ่ง ๆ ขึ้น แฟน กิ๊ก สามี ภรรยา ลูก อยากเก่ง อยากดี ต้องการให้คน ยกย่อง ใหค้ วามส�ำ คัญ) อยากต่าง ๆ “เราทำ�เพอื่ เป้าหมายให้ชวี ติ มีความ สุขขึ้นใช่ไหม?” ถ้าไม่ได้ก็ต้องพยายามดิ้นรน ถ้าสูญเสียก็เป็นทุกข์ เหี่ยวเฉา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เคยได้ไตร่ตรองพิจารณาดีแล้วหรือยัง วา่ ส่ิงเหล่าน้ันจะน�ำ สขุ มาให้จรงิ หรือเปลา่ ถ้ายงั ตอบไม่ได้ แปลว่ายงั ตอ้ ง เรยี นรู้ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจวา่ “ความสขุ ทแี่ ทจ้ รงิ คอื อะไร?” ทเ่ี คยเขา้ ใจ วา่ คือความสุขนน้ั มนั สขุ จริงไหม หรอื ไดม้ าแล้วรอ้ น กลายเป็นภาระ เช่น ซอ้ื บา้ นใหม่ รถใหม่ หรอื ซอื้ เรอื สกั ล�ำ ใครๆ กอ็ ยากได้ แตส่ กั กค่ี นทจ่ี ะเหน็ ว่ามันมีภาระมหาศาลมากับของพวกนั้นในการดูแลบำ�รุงรักษา ถ้ามีบ้าน ๕ หลัง ภรรยา ๕ กก๊ิ ๕ กบั เรอื ๒ ล�ำ เครื่องบนิ ๒ ล�ำ จะตอ้ งมคี นและคา่ ใช้จ่ายในการดูแลรักษามากขนาดไหน การมีภรรยา หรือมีสามี หรือก๊ิก เพิ่ม มันมีภาระเพิ่มมาคุ้มกับความสุขที่จะได้มาหรือไม่ ต้องไปแต่งเร่ือง โกหกใครอีกมากมายเท่าไหร่ ถ้าต้องโกหก แย่งผลงานคนอ่ืนมาเป็นของ เราเพอ่ื ใหไ้ ดต้ �ำ แหนง่ ทสี่ งู ขน้ึ โจมตี อาละวาด กลน่ั แกลง้ หงดุ หงดิ ไมพ่ อใจ คนท่ีอยู่สูงกว่า หรือคนท่ีเป็นคู่แข่งเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นมากขึ้นจนถูก โปรโมทขึ้นไป มันกอ่ กรรมเพิม่ ยงั ไง ต้องไปรบั ทุกข์ทีหลงั อย่างไรบา้ ง การเจริญเติบโตทางจิตใจก็คือ การพัฒนาจิตใจข้างในอย่างไร เพื่อก้าวไปสู่ความสุข พ้นทุกข์มากข้ึนเร่ือย ๆ ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ มภี าระรุงรังตามหลงั ไม่ตอ้ งไปรบั กรรมในภายหน้า ไม่ต้องกังวลว่าคน ทไ่ี ปทำ�รา้ ยเขาไวจ้ ะกลบั มาแกแ้ คน้ เอาคืนเม่อื ไหร่ และทำ�อย่างไรจติ ใจ จงึ เขม้ แขง็ ขน้ึ พงึ่ พาตนเองไดม้ ากขนึ้ สงบขนึ้ งดงามขน้ึ สงู ขน้ึ มปี ญั ญา
140 มากขนึ้ เหน็ ความจรงิ (เรอื่ งกรรม คอื ทำ�อะไรไวก้ ต็ อ้ งไดร้ บั ผลอยา่ งนนั้ ) มันคือ การมีสุขเป็นเบื้องปลายโดยไม่ต้องสร้างเหตุที่จะต้องไปทุกข์ใน เบือ้ งปลายเพราะสุขเลก็ นอ้ ยในปจั จุบนั คณุ ดังตฤณเคยเขยี นไว้วา่ “คู่แทต้ อ้ งเป็นคู่ที่พรอ้ มจะทำ�อะไรดี ๆ รว่ มกนั กบั เรา” และนอกจากท�ำ อะไรดีๆ รว่ มกนั กบั เราไดแ้ ลว้ ยงั ตอ้ งพรอ้ ม จะเผชญิ ทกุ ข์ร่วมกันกับเราดว้ ย คือ เวลามปี ญั หามา กช็ ว่ ยกนั คิด ชว่ ยกัน หาทางแก้ไข ทาน ศีล ภาวนา การพฒั นาจติ ใจตามทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงประทานวธิ ไี ว้ กไ็ ดแ้ ก่ การทำ�ทาน รกั ษาศีล และเจรญิ ภาวนา และการมีค่ทู ่สี ามารถทำ�บุญทำ� ทาน รกั ษาศีล เจริญภาวนา รว่ มกันได้ ก็เปน็ ตัววัดท่ีเอาไวด้ ูไดว้ า่ จะพา กันเจริญได้ไหม ทั้งนี้เราต้องเข้าใจในรายละเอียดมากข้ึนด้วยว่า จุดมุ่ง หมายของการทำ�ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา คืออะไร การทำ�ทาน รกั ษาศีล และเจริญภาวนา ช่วยพฒั นาขัดเกลาจติ ใจเรา และมีประโยชน์ ต่อการอย่รู ว่ มกันอย่างไร การทำ�ทานนน้ั สำ�หรบั ประโยชนต์ น คอื เราทำ�เพอื่ หดั สละความ ยึดมั่นถือมั่น สละอัตตา สละกิเลสความโลภ ความหลง ความโกรธ (อภัยทาน) ประโยชนแ์ กผ่ อู้ ่ืนคือ ไม่ใชม่ ีแต่กิรยิ ายกให้ แตม่ ีใจนอ้ มสละ สว่ นของเราเพอ่ื ใหผ้ รู้ บั มคี วามสขุ ทดลองใหแ้ บบไมต่ อ้ งการผลตอบแทน ใด ๆ จากผู้รับ เพ่ือเป็นการทดลองให้เราได้เข้าใจจากการเห็นผลจริง ๆ ว่าการให้เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนหรืออัตตาเป็นสุขอย่างไร เม่ือ เทยี บกบั การมงุ่ กอบโกยเอาทกุ อยา่ งเขา้ หาตวั หรอื เพอื่ เพมิ่ อตั ตา ฝกึ สงั เกต ความต่างจะเข้าใจคำ�ว่า สละ และ ปล่อยวาง มากขึ้น คำ�ว่า สละ และ ปลอ่ ยวาง นส้ี ว่ นใหญเ่ ราพดู กนั แตท่ �ำ ไมไ่ ด้ เพราะไมไ่ ดฝ้ กึ ใหเ้ หน็ ความตา่ ง
141 ของใจขณะคดิ สละให้ กบั คดิ อยากได้ จรงิ ๆ วา่ ใหส้ ขุ แตกตา่ งกนั ขนาดไหน ฝกึ ดใู จตรงนีบ้ อ่ ยๆ จะท�ำ ให้ใจเข้าใจ สว่ นของศลี คอื ความปกติ คอื การไม่ทำ�ตามความอยาก เพ่อื ให้ ไดเ้ กินจากเหตุที่ตนไดส้ รา้ งไว้ ด้วยการเบยี ดเบียนผู้อื่น (ความผดิ ปกต)ิ ทดลองพิจารณาให้เห็นผลว่าระหว่างการกระทำ�ท่ีมีการละเมิด เทียบกับ การกระท�ำ แบบไมล่ ะเมดิ ใจคน มคี วามรสู้ กึ ในใจตา่ งกันอยา่ งไร การอยาก ได้สิ่งที่ไม่ใช่ของ ๆ เรา คือต้องไปละเมิดใจใครสักคนหรือหลายคนเพ่ือให้ ไดส้ ง่ิ ทเี่ ราอยากไดน้ นั้ มา เกนิ กวา่ เหตทุ เ่ี ราสรา้ งไว้ คอื ไมไ่ ดส้ รา้ งเหตทุ ดี่ มี า ก็ไมไ่ ด้ (อยากไดก้ ็ตอ้ งสรา้ งกรรมดสี รา้ งเหตุท่ีดี แลว้ ผลจะมาเอง) ไมใ่ ช่ไป คดิ หาทางเอาของผอู้ ่นื มาเปน็ ของเรา ไปเบียดเบยี นไปเอาจากผ้อู ่นื ท�ำ ให้ เกดิ เวร เกดิ ทกุ ขแ์ ก่ผู้อ่นื และยอ้ นกลับมาเปน็ กรรมส่งผลใหต้ วั เองตอ้ งรบั ทกุ ขใ์ นวาระตอ่ ไป การทดลองจนเหน็ ขอ้ ดขี องการตงั้ อยใู่ นศลี วา่ ชว่ ยใหใ้ จ สงบ และเห็นผลร้ายทีเ่ กิดกบั จติ จากการคิดวา่ จะละเมิดคนหรือไดล้ ะเมิด ไปแลว้ วา่ ท�ำ ใหใ้ จรอ้ นรนแสส่ า่ ย จะเปน็ ภมู คิ มุ้ กนั ความสงบสขุ ใหจ้ ติ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี การไม่ทำ�ตาม “ความอยากอนั เกิดจากกิเลส โลภ โกรธ หลง” ที่ เกินขอบเขต จะช่วยอบรมใจให้ระงบั ความเรา่ รอ้ น เพราะยิ่งตามความ อยากกย็ ง่ิ เปน็ การเพิ่มอัตตา ตัวตน นสิ ยั น้นั ๆ จะยง่ิ หา้ มยากขนึ้ รสู้ กึ ทรมานข้นึ ในครงั้ ต่อไปเม่อื ไม่ได้อย่างท่ีกเิ ลสบอก ในเร่ืองการเจริญภาวนา คือ กระบวนการอบรมจิตให้เจริญขึ้น ภาวนา แปลว่า ทำ�ให้เจริญ อบรม ทำ�ใหม้ ใี หเ้ ปน็ ข้ึน โดยนยั หมายถึง การทำ�ปญั ญาใหเ้ กดิ ขน้ึ ความสขุ ความทกุ ขอ์ ยทู่ ใี่ จ ดงั นน้ั การฝกึ ภาวนา จึงเป็นเร่ืองสำ�คัญเพราะเป็นการฝึกย้อนกลับมาดูท่ีใจอันเป็นเหตุ การ ภาวนาชว่ ยฝกึ ใจใหฉ้ ลาดขนึ้ จากการเหน็ ความจรงิ วา่ สงิ่ ตา่ งๆ ลว้ นแสดง ไตรลักษณ์ คือ มีความไม่เท่ียง คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน “ฉัน” หลง (เข้าใจผิด) เขา้ ไปยดึ ถอื เมอื่ ไหร่ก็ต้องเปน็ ทกุ ขแ์ น่นอน เพราะไม่ว่าอยา่ งไร
142 ทกุ สิง่ กต็ อ้ งแปรเปลย่ี น ไมใ่ ชข่ องเราจรงิ ๆ สั่งบงั คับใหเ้ ป็นอยา่ งใจเสมอ ทุกครง้ั ไม่ได้ ทุกสิ่งลว้ นมาจากเหตุ ถ้าเหตุสร้างไว้ไมด่ ีก็ไดร้ บั สิ่งไมด่ ี เช่น เมอื่ ไหรท่ เ่ี ชอ่ื วา่ คนนค้ี อื ทสี่ ดุ ส�ำ หรบั เรา ไมม่ ใี ครอกี แลว้ หรอื เมอื่ ไหรท่ ม่ี น่ั ใจ ว่าเขาไม่มวี ันเปลีย่ นใจไปจากฉนั นก่ี ต็ อ้ งทกุ ข์แนน่ อน เพราะทกุ สงิ่ ทัง้ รปู ร่างกาย ความรู้สกึ ความรัก แม้แตค่ วามคิดของทกุ คนล้วนแล้วต้องดับไป ตามกฏของไตรลักษณ์ ขน้ั ตอนในการภาวนา แยกออกเปน็ ๒ ขน้ั ตอนหลกั คอื สมถะและ วิปัสสนา ขอยกตัวอย่างจากคำ�สอนของคุณดังตฤณมาอธิบายดังนี้คือ สมถะ หมายถึง การอาศัยวิธีอันเป็นธรรมใด ๆ ทำ�ให้ใจสงบจาก กเิ ลส เพอื่ ใหพ้ รอ้ มรเู้ ปน็ วปิ สั สนา พดู สนั้ ๆ คอื “ทำ�จติ ใหส้ งบลงพรอ้ มตน่ื ร้ตู ามจริง” ปจั จบุ นั คนมกั พดู ถงึ การทำ� สมถะวา่ คอื การนง่ั สมาธแิ ละเดนิ จงกรม หรอื หนกั กวา่ นนั้ คอื สมถะเปน็ เครอื่ งถว่ งไมใ่ หส้ นใจวปิ สั สนา ตดิ สมถะแลว้ คอื ไดไ้ ปเป็นพรหมหมดสิทธ์เิ ข้าถงึ มรรคผลนิพพาน สมถะเลยถกู มองเปน็ ผู้ร้าย และเห็นวิปัสสนาเป็นพระเอก ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีใครเป็นผู้ร้าย ไม่มีใครเป็นพระเอก มีแต่ขาสองข้างที่พาเราเดินไปถึงฝั่ง ขาดข้างใดข้าง หนึ่งก็เรียกว่าขาเป๋เดินล�ำบาก ไปถึงปลายทางได้ยาก หรือย่ิงถ้าขาข้างที่ เหลอื ปอ้ แปป้ วกเปียก ก็อาจออกจากจดุ เริม่ ตน้ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ� คำ�ว่า “วิปัสสนา” น้ัน รากของนิยามมาจากท่ีพระพุทธเจ้าท่าน ตรัสในวิธีเจริญสติ ใจความ คือ ให้ “ดูกายใจน้ีตามจริงเท่าท่ีปรากฏอยู่ เปน็ ปกต”ิ และทเ่ี ปน็ ปกตเิ ลยกค็ อื ทวั่ ทง้ั กายใจนก้ี ำ�ลงั แสดงความไมเ่ ทยี่ ง ใหเ้ ราเหน็ อยตู่ ลอดเวลา นบั ตง้ั แตล่ มหายใจเขา้ ออกไปจนกระทง่ั ความรสู้ กึ นกึ คิด ใครจะทำ�หรือไม่ทำ�วิปัสสนา กายใจก็แสดงความจรงิ อยู่อยา่ งน้ัน ผูท้ ำ�วปิ สั สนาเพียงแต่เข้าไปดู เขา้ ไปรู้อย่างยอมรบั เท่านน้ั เอง ฟงั
143 ดูเหมือนง่าย แต่ลงมือทำ�จริงจะยาก น่ันก็เพราะจิตกระเพ่ือมด้วยพลัง กระตุน้ ของกิเลสอยู่เรอื่ ย เชน่ แคไ่ ม่อยากยอมรับวา่ เราเปน็ ฝ่ายผิด จติ จะ บิดเบี้ยว กิเลสจะกระตุ้นให้หาเหตุผลสารพัด มาพูดให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก คนเราสง่ั สมนสิ ยั เชน่ นกี้ นั โดยมาก คนสว่ นใหญจ่ งึ มจี ติ ทย่ี อมรบั ตามจรงิ ได้ ยาก หรืออย่างตอนฟุ้งซ่านหาทางแก้ตัวอยู่ ตอนฟุ้งซ่านหาทางมีความ สมั พนั ธท์ างเพศ ตอนฟงุ้ ซา่ นหาทางแกเ้ ผด็ คนทท่ี ำ�ใหเ้ ราเจบ็ ใจ จะไมม่ สี ทิ ธ์ิ เห็นความฟุ้งซ่าน และความฟุ้งซ่านย่อมบดบังทุกส่ิงไม่ว่าจะเป็นโลก ภายนอกทปี่ รากฏตรงหนา้ หรอื จะเปน็ โลกภายในทางกายทางใจใดๆ การ ทำ�สมถะจึงมีบทบาทสำ�คัญ ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำ�หรบั ผทู้ ใ่ี จยงั กระเพอื่ มไหวอยมู่ าก หากอาศยั สมถะมาชว่ ย กจ็ ะเหน็ อะไร ชัดกระจ่างแตกตา่ งไป สรุปว่าสมถะ คือ การลดระดับความกระเพื่อมไหว หรือสมถะ คือการรักษาจิตไว้ไม่ให้กระเพื่อมไหวก็ได้ ประเด็นคือ เม่ือจิตลดความ กระเพ่อื มไหวแล้วจึงค่อยมคี วามสามารถเหน็ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตอ่ หน้าต่อตา ชดั ๆ ไม่ใช่เหน็ แบบโคลงเคลง ไมใ่ ช่เหน็ แบบโยกไปไหวมา หากใครสนใจการภาวนา ขอแนะนำ�ให้อ่านจากคู่มือการภาวนา เช่น วิปัสสนานุบาล ของคุณดังตฤณ ซ่ึงสามารถโหลดอ่านได้ฟรีจากเว็บ http://dungtrin.com/vipassana/ หรอื ถา้ ตอ้ งการรายละเอียดทงั้ หมด สามารถหาอา่ นไดจ้ ากหนงั สอื มหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ซงึ่ สามารถโหลดไดจ้ าก http://dungtrin.com/sati การภาวนามงุ่ ศกึ ษาอบรมใจ จะท�ำ ใหใ้ จเหน็ ความจรงิ เหน็ เหตเุ ดมิ แทข้ องความทกุ ขท์ ัง้ มวล ทำ�ให้เหน็ วา่ ทุกอยา่ งเป็นไปตามเหตปุ ัจจยั หาก ไมม่ เี หตุ ผลกไ็ มเ่ กดิ หากเหตหุ มด ผลกด็ บั หากทำ�ตามกเิ ลสผลจะเปน็ ทกุ ข์ หากท�ำ ตามความอยากและอตั ตาจะกอ่ ใหเ้ กดิ ตวั ตนผรู้ บั ผลวงจรความทกุ ข์ เกดิ ตายไมส่ นิ้ สดุ การศกึ ษาความจรงิ จะท�ำ ใหใ้ จถอดถอนจากความเหน็ ผดิ
144 การเข้าไปยึดหมายม่ันผิด ๆ ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ การเห็นตามจริงเช่นนี้ จะชว่ ยยกระดบั ใจให้พัฒนาสงู ข้ึน การเจรญิ เตบิ โตจงึ มงุ่ ไปทคี่ วามเขา้ ใจถกู ตอ้ งในเรอ่ื งเหลา่ นี้ เพอ่ื ยก ระดับจิตใจให้ห่างไกลทุกข์ ดังนั้นคู่ที่จะเจริญเติบโตไปพร้อม ๆ กัน จึง ควรส่งเสรมิ จติ ใจใหต้ นเองและค่ขู องตนไปสู่ความพน้ ทกุ ขย์ ิง่ ๆ ขึ้น คือ พากัน สนับสนุนกนั ชักชวนกันเดินไปในทางท่ีมุ่งไปเพ่ือยกระดบั จติ ใจ ถอดถอนใจออกจากความยดึ มนั่ อันกอ่ ใหเ้ กดิ ทุกข์ ไมม่ ุง่ ทอี่ ัตตา แต่มงุ่ ทคี่ วามก้าวหนา้ เป็นหลกั เช่น ชวนกันท�ำ ทาน รักษาศลี ภาวนาเจรญิ สติ ตกั เตอื นกนั เมอื่ ฝา่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ ออกนอกทาง โดยมปี จั จยั ส�ำ คญั คอื ทงั้ สอง ฝ่ายไม่มีความถือตัวต่อกัน คือ ยินยอมจากใจให้อีกฝ่ายตักเตือนได้ตลอด เวลา เม่ือฝา่ ยใดฝา่ ยหนึง่ ท�ำ ผิดในเร่อื งใด เมอื่ ไดร้ บั การชีใ้ หเ้ ห็น ก็นอ้ มใจ ขอโทษ ขออภัย ขอบคณุ ในค�ำ เตือนและการชใ้ี หเ้ ห็น และนำ�ค�ำ เตอื นที่ได้ รบั มาพจิ ารณาเสมอๆ เวลามปี ญั หา ไมเ่ อาแตค่ อยปกปอ้ งความถกู ผดิ ของ ตนเอง แต่พยายามสอดส่องหาทางท่ีตนจะพัฒนาขึ้นเพื่อตนเอง อีกฝ่าย และคนอ่นื ๆ ส�ำ รวจใจ ความคิด การกระทำ�และแก้ไขนิสัยน้นั ๆ เพื่อยก ระดับจิตใจอยา่ งจรงิ จัง ตรงกบั คำ�วา่ การภาวนา ซงึ่ แปลวา่ “ท�ำ ใหเ้ จริญ” นัน่ เอง ซ่ึงทง้ั สองฝา่ ยจะต้องมใี จรักทีจ่ ะพฒั นาตนเองเสมอกนั จึงจะท�ำ ให้ การครองคู่ของคนท้ังสองนั้นก้าวเดินไปพร้อมกันได้ จึงได้ช่ือว่าเป็น กัลยาณมิตรตอ่ กัน เก้ือกลู กนั ฆราวาสธรรม ๔ ทง้ั นที้ ง้ั นน้ั ในเชงิ ของเหตทุ จี่ ะท�ำ ใหม้ โี อกาสพบคทู่ จี่ ะเจรญิ เตบิ โต กา้ วหนา้ ไปพรอ้ มๆ กนั ได้ ควรกนั กบั การไดพ้ บคทู่ ใ่ี ชช้ วี ติ รว่ มกนั แลว้ เปน็ สขุ สงบเยน็ เบอื้ งตน้ ทส่ี ดุ ดงั ทกี่ ลา่ วไวค้ อื เราจะตอ้ งมใี จรกั ทจี่ ะพฒั นาตนเอง ปรบั ปรงุ ตนเอง เพอ่ื จะเตบิ โต ถา้ ยงั ไมพ่ รอ้ มจะรบั ผดิ ปดั ความผดิ โทษ
145 ผูอ้ ืน่ เวลาทกุ ข์หรือมีปญั หา แสดงวา่ ผนู้ ้นั ยงั ไมพ่ รอ้ มจะแกไ้ ข ไมพ่ รอ้ ม จะเปล่ยี นแปลงตนเอง กจ็ ะยงั ไม่เจริญเติบโต จะจมกบั ปัญหาเดมิ อยู่ กบั ปญั หาอยา่ งเดมิ ไป นอกจากการพฒั นาตนเอง ยกระดบั จติ ใจดว้ ยทาน ศีล และภาวนาแลว้ พระพทุ ธองคไ์ ด้ทรงแสดงถึง หลกั ธรรมท่คี วรมขี องผู้ ครองเรือน เรยี กวา่ ฆราวาสธรรม ๔ (ฆราวาสธรรม แปลวา่ คุณสมบตั ขิ อง ผปู้ ระสบความส�ำ เร็จในการด�ำ เนนิ ชวี ติ ทางโลก) พระพทุ ธองคถ์ ึงกบั ทา้ ให้ ไปถามผ้รู ู้ทา่ นอ่ืนๆ ว่า มีสงิ่ ใดในโลกน้ที สี่ รา้ งเกียรติยศ และความเคารพจากผอู้ ืน่ ให้คน เราไดเ้ ท่ากบั การมี “สจั จะ” หรอื ไม่ มสี ง่ิ ใดในโลกนที้ สี่ รา้ งปญั ญาใหค้ นเราไดเ้ ทา่ กบั การมี “ทมะ” หรอื ไม่ มสี งิ่ ใดในโลกนท้ี ส่ี รา้ งทรพั ยส์ มบตั ใิ หค้ นเราไดเ้ ทา่ กบั การมี “ขนั ต”ิ หรอื ไม่ มีส่ิงใดในโลกนี้ที่สร้างหมู่มิตรให้คนเราได้เท่ากับการมี “จาคะ” หรอื ไม่ สัจจะ คือ มีความจริงใจ ความซ่ือตรง ตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้ไข ปัญหาให้สำ�เร็จ สัจจะคือฐาน คือความหนักแน่นมั่นคง ถ้าขาดความ ต้ังใจจริงทจี่ ะท�ำ ใหส้ ำ�เรจ็ แล้ว เป็นอันว่าทกุ อยา่ งทจ่ี ะตามมาก็เปน็ อันต้อง ล้มไปดว้ ย ทมะ คอื การฝกึ หัดตน เฝ้าดู พิจารณา การกระทำ� คำ�พดู ความ คิดของเราเอง เพ่ือเก็บข้อมลู แลว้ นำ�ไปเชอื่ มโยงกบั ปัญหา (ผล) เหลา่ นั้น ว่ามาจากเหตุอะไร ซ่ึงเหตุของปัญหาภายนอกก็ส่วนหน่ึง เหตุแห่ง ปัญหาภายในใจก็ส่วนหน่ึง เหตุภายนอกนั้นบางทีก็แก้ไขได้ยากเน่ืองจาก เชื่อมโยงกับผูอ้ น่ื กเิ ลสของผู้อื่น ดนิ ฟ้าอากาศ กรรมเก่า แตเ่ หตภุ ายในเรา
146 สามารถแก้ไขได้ดว้ ยตนเอง เมื่อเหน็ เหตใุ นใจเราชัดเจนแลว้ ก็ลงมือแกไ้ ข ไม่ต้องแก้ไขภายนอกกายใจ ไม่ต้องไปพยายามเปลี่ยนแปลงใคร แค่ เปล่ียนแปลงการกระทำ� คำ�พูด ความคิด มุมมองของเราท่ีเกี่ยวข้องกับ ปัญหา ก็จะช่วยลดหรือหยุดการกระทำ�ท่ีจะทำ�ให้ปัญหาลุกลามขึ้น หรือ เพอ่ื ไม่ให้เกิดปญั หาเดิมๆ ขึน้ มาอกี ยกตัวอย่างเช่น เดมิ แกป้ ญั หาดว้ ยการ หกั เอาอยา่ งรนุ แรง กล็ ดความรนุ แรงลงหรอื ไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง ไมเ่ รง่ วา่ ตอ้ ง แกป้ ญั หาให้ไดด้ ั่งใจในทนั ที ท่เี คยเถียงอย่างรุนแรง ก็เปลี่ยนวิธี เลกิ เถียง คอ่ ยๆ อธบิ ายชา้ ๆ ทเ่ี คยขมวดค้วิ ท�ำ หนา้ บดู ก็เปลีย่ นเปน็ ยิม้ แย้ม ค่อยๆ อธบิ ายอยา่ งใจเยน็ การพยายามฝกึ ตน เปน็ การส�ำรวจ ทดลอง พยายามหาวธิ ี เปล่ยี น ตนเอง เปล่ียนวิธีท่ีตนคิดและแสดงออกให้ต่างไปเพื่อจะไปสู่เป้าหมาย หรือการแก้ปัญหานัน้ เมอื่ เปลย่ี นแปลงแนวทางการกระท�ำ ค�ำพูด ความ คิดจากในใจแล้ว ก็คอยสังเกตผล ว่าเปล่ียนแปลงไปอย่างไร สัมพันธ์กับ การเปล่ียนแปลงการกระท�ำ ค�ำพูด ความคิดของเราหรือไม่ ถ้ามีการ เปลย่ี นแปลง แสดงว่าการแกไ้ ขด�ำเนินมาถูกทางแล้ว ก็เปล่ียนแปลงต่อไป ใหด้ ียง่ิ ๆ ขึ้นไปอกี เมอ่ื เหตเุ ปลยี่ น ผลกค็ วรจะตอ้ งเปล่ยี นตามไป ในขณะ ท่ี ถา้ เหตุเหมอื นเดมิ ผลกย็ อ่ มจะเหมอื นเดมิ ตามทไ่ี อน์สไตนเ์ คยกล่าวไว้ วา่ “มแี ตค่ นโงเ่ ทา่ นน้ั ทจ่ี ะเชอื่ วา่ ทำ� เหตเุ หมอื นเดมิ ทกุ ประการซำ้� ๆ แลว้ จะได้ผลทตี่ ่างไปจากเดมิ ” ขนั ติคอื ความอดทน ซงึ่ ในการแกไ้ ขปญั หา ฝกึ หดั พฒั นาตนนน้ั แนน่ อนวา่ จะตอ้ งมอี ปุ สรรคมากบา้ งนอ้ ยบา้ ง และในหลายครงั้ กอ็ าจตอ้ ง ลองผดิ ลองถูก หรอื ตอ้ งท�ำ ไปเรือ่ ย ๆ และรอผลนาน แตผ่ ทู้ ีป่ รารถนาจะ กา้ วหนา้ จะตอ้ งมคี วามอดทนตอ่ การถกู กระทบ ตอ่ ความกดดนั ทางอารมณ์ ต่ออุปสรรค เหมือนดังเร่ืองของพระมหาชนก หากไม่มีความอดทนและ ความเพียร ท้อไปเสียก่อน ก็จะต้องจมและจนปัญญาอยู่กับปัญหา
147 เดมิ ๆ ไมส่ ามารถกา้ วหนา้ จาคะ คือ ความสามารถสละอัตตา ความยึดม่ันถือม่ันว่าเราถูก แล้ว ไม่มีวันผิด เลิกโทษปัจจัยภายนอก ยอมรับว่าตนเองก็ผิดพลาดได้ โดยพจิ ารณาวา่ หากเราเจอปญั หาหรอื ผอู้ น่ื กระท�ำ กบั ตนแบบนกี้ เ็ ปน็ ไปได้ ว่าเป็นผลมาจากกรรมท่ีเราทำ�มา เห็นเหตุแห่งนิสัยท่ีจะก่อให้เกิดปัญญา หรือแม้บางคร้ังตนเองจะถูก คนรักหรือผู้อ่ืนจะผิด ก็สามารถปรับตัวเพ่ือ แก้ไขสถานการณ์หรือปญั หา โดยไมย่ ดึ ถอื อตั ตาของฉนั วา่ ฉนั ถูกจึงไม่ตอ้ ง แก้ไขอะไร เพราะเราเปล่ียนเพ่ือหาทางแก้ปัญหา เพ่ือความหลุดพ้นจาก ปญั หา เพอื่ ความกา้ วหนา้ และเพราะเมตตาปรารถนาใหผ้ อู้ นื่ มสี ขุ เปน็ การ เพมิ่ พูนปัญญา เปน็ ประโยชนต์ ่อตนและผอู้ นื่ จากการรจู้ กั สละ รู้จักใหน้ น้ั พรหมวิหารธรรม การขดั เกลาจติ ใจตนเอง (และทงั้ สองฝา่ ย) ดว้ ยทาน ศลี ภาวนา และพัฒนาตอ่ เน่อื งด้วยความตง้ั ใจ ใสใ่ จ จะชว่ ยใหใ้ จรู้จักรกั มากย่ิงขึ้น ใจจะเร่ิมเกิดการเชื่อมโยงได้ว่า ทำ�อย่างไร ให้อย่างไรใจเป็นสุข ทำ� อยา่ งไร ใหอ้ ย่างไรใจเป็นทกุ ข์ เมอื่ ใจพฒั นาแลว้ กม็ คี ำ�พดู และการกระ ทำ�เป็นเคร่ืองมือในการแสดงออกของใจที่ถูกตรงน้ัน เม่ือขัดเกลาย่ิง ๆ ข้ึนแลว้ เราจะเขา้ ใจความหมายของรักแท้ ทไี่ ม่ก่อใหเ้ กดิ ทุกข์ รู้วา่ จะ รักอย่างไรไม่ให้ทกุ ข์ รักอย่างไรท่มี ุ่งไปสู่ความหลุดพน้ และเป็นประโยชน์ ต่อผู้รับและผู้ให้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับความรักของพรหม หรือพรหม วิหารธรรม อันไดแ้ ก่ เมตตา ปรารถนาใหผ้ อู้ นื่ เปน็ สขุ มคี วามสขุ จากใจตนแลว้ รแู้ ลว้ วา่ สง่ิ ใดเปน็ เหตแุ หง่ สขุ กม็ เี มตตา เมอื่ อยรู่ ว่ มกนั กบั ใคร ปรารถนาอยเู่ สมอๆ จากใจใหอ้ กี ฝา่ ยเป็นสขุ การสื่อสารระหวา่ งกันท้ังหน้าตา ทา่ ทาง น�ำ้ เสียง ท้ังหมดก็จะเป็นไปเพื่อให้อีกฝ่ายเป็นสุข หน้าตาย้ิมแย้มแจ่มใสไม่หงิกงอ
148 บดู เบย้ี ว กริ ยิ าและน้ำ� เสยี งอ่อนโยนเออ้ื เฟ้อื ไม่กระโชกโฮกฮาก กรุณา ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เมื่อเข้าใจความทุกข์จากใจ ตนเอง สามารถแกไ้ ข รูว้ ิธีการจัดการความทกุ ข์ได้บ้างแลว้ เมื่อใดทเี่ หน็ คู่ ชวี ติ หรอื ผอู้ นื่ มคี วามทกุ ข์ ดว้ ยความกรณุ าทมี่ ี กจ็ ะหาทางด�ำ เนนิ การอยา่ ง หนงึ่ อยา่ งใดเพอ่ื ใหค้ ชู่ วี ติ คลายจากทกุ ขน์ นั้ ๆ ซงึ่ เปน็ เหตอุ ยา่ งยงิ่ ของความ ปรารถนาดีต่อกันยิ่ง ๆ ขึ้นไป เป็นการพัฒนาความเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ ตอ่ กัน ไมร่ ว่ มเพยี งสขุ แต่ร่วมทุกขท์ ัง้ หมด แตก่ ็ไมห่ ลงทกุ ข์ มุทิตา พลอยยินดีเม่ือเห็นผู้อ่ืนเป็นสุข การท่ีทั้งสองคนพลอย ยินดีซึ่งกันและกันจากใจ จะแสดงออกทั้งทางหน้าตา น�้ำเสียง ค�ำพูด และกิริยาท่าทาง เป็นเหตุแห่งความปรารถนาดีและความกลมเกลียว ระหว่างกัน รวมถึงเป็นเหตุให้เกิดความนับถือจากใจระหว่างกันที่เห็นอีก ฝ่ายมีความยินดีเมื่อได้เห็น หรือได้ทราบว่ามีใครได้ดี อันเป็นคุณสมบัติ สากลของผู้มใี จสูง หรอื พรหม และยิ่งกว่าน้นั มุทติ า ยงั เปน็ เครอื่ งผลติ บญุ โดยไมต่ อ้ งลงทนุ คอื เมอ่ื เหน็ ใครไดด้ ี กย็ นิ ดกี บั เขา ชน้ั แรกกจ็ ะไดค้ วามสขุ จากนั้นกเ็ ทา่ กบั ไดอ้ นโุ มทนาในบุญของเขาเหล่าน้ัน อุเบกขา การวางใจเป็นกลาง คือ การสร้างเหตุเพื่อคนรัก และ ผ้อู นื่ เต็มความสามารถโดยเปน็ กลางกับผล คือ ตั้งใจทำ�เพื่อใหผ้ อู้ น่ื เปน็ สุข หรือพ้นทุกข์เต็มความสามารถโดยไม่เป็นทุกข์แม้ผลจะไม่เป็นไปตามเป้า ท่ตี ัง้ ไว้ ดว้ ยธรรมน้ี ผู้ท่ีมอี ุเบกขาจะไม่เปน็ ทุกขร์ ้อนเม่อื ผลไม่เปน็ ไปตามที่ ตั้งไว้ การไม่ยึดกับเป้ามากจนก่อทุกข์ จะเป็นเหตุให้ผู้มีอุเบกขาธรรม สามารถมองเหน็ และเชอื่ มโยงไดว้ า่ คนทกุ คนมกี รรมเปน็ ของๆ ตนอยา่ งไร แม้จะสร้างเหตเุ ตม็ ทีแ่ ล้ว แต่ถา้ ยงั ไม่ถงึ วาระทีส่ ่งิ นัน้ ๆ จะเกิดขน้ึ ก็จะมี เหตใุ หส้ ง่ิ ตา่ งๆ ตอ้ งเปน็ ไปตามเหตทุ ส่ี รา้ งไวอ้ ยา่ งนน้ั ผมู้ อี เุ บกขาธรรม จงึ จะสามารถเหน็ สงิ่ ทผี่ ไู้ มม่ อี เุ บกขาธรรมมองไมเ่ หน็ และกา้ วหนา้ ไดม้ ากกวา่ ครบู าอาจารยก์ ลา่ ววา่ ถา้ ไมม่ อี เุ บกขา กไ็ มใ่ ชเ่ มตตา คอื เมอ่ื ขาดการมอง
149 ปัญหาอยา่ งเป็นกลาง ทำ�ไปตามอคตแิ ละความหลง ก็จะท�ำ ให้ไม่สามารถ เข้าใจเหตุแห่งทุกข์ท่ีแท้จริงของตนและผู้อ่ืน เมื่อเห็นเหตุไม่ตรง ตีโจทย์ ปัญหาไมถ่ กู ก็แก้ปญั หาผิด ก็หมดทางออกหรอื อาจจะเปน็ การเพิ่มปัญหา ดงั น้ัน ความเมตตา กรุณา มทุ ติ าในพรหมวิหารธรรมจะมอี ุเบกขาปรากฏ อยู่พรอ้ มกนั เสมอ ความสามารถในการรักอย่างถูกต้อง และเกื้อกูลกันและกันจะส่ง ผลใหเ้ กดิ ความสขุ เมอ่ื พาตน คนรกั และผอู้ นื่ กา้ วหนา้ ไปยง่ิ ๆ ขน้ึ กจ็ ะเปน็ เหตใุ หร้ ะลกึ ถงึ กันและกนั เคารพนบั ถอื ในกันและกนั ศรทั ธา ศีล จาคะ และปญั ญา ทั้งน้ีเมื่อรู้จักเกณฑ์การพัฒนาตนเองในด้านจิตใจและรู้จักรักแล้ว พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงไวใ้ นสมชวี สิ ตู รวา่ “คทู่ จี่ ะอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมคี วาม สุขในชาติปัจจุบันและชาติต่อไป จะต้องมี ความสมกัน ๔ ข้อ คือ มี ศรทั ธา ศลี จาคะ และปัญญาเสมอกนั ” เพราะ ๔ ขอ้ น้ีเป็น “เหตุ” เปน็ ตวั ขับเคลื่อนให้คนทงั้ สองเดนิ ไปดว้ ยกันได้ ศรัทธา คือ ความเช่ือวา่ สิง่ ใดจะน�ำไปสู่ความดงี าม นำ� ชีวิตไปสู่ ความสุข เปรียบเหมือนเป้าหมายหลักที่แต่ละคนควรจะรู้ และเป็นสิ่ง ที่คู่ชีวิต หรือผู้ร่วมเดินทางท่ีปรารถนาจะเดินไปด้วยกันควรจะมีตรง กัน เพราะมนั หมายถงึ ทศิ ทางในการเดิน หากแตกตา่ ง ก็เหมือนใจมุ่งไป คนละทาง ร่วมเดินทางกันไม่ได้ ต้องแยกจากกันไปในวันใดวันหนึ่ง เช่น ถา้ คนหนึง่ เช่ือ (คือยงั ไมท่ นั ไดพ้ ิสจู น์) ว่าอ�ำนาจและความรำ่� รวยจะน�ำไป สู่ความสุข จึงท�ำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งเงินทองและอ�ำนาจ แต่อีกคนเห็นว่า โลกนม้ี แี ตท่ กุ ขแ์ ละไมม่ อี ะไรยงั่ ยนื ทกุ อยา่ งไดม้ ากแ็ คช่ ว่ั คราว จงึ มงุ่ ปฏบิ ตั ิ ท�ำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ไปวัดทีม่ ีพระปฏิบัติดีปฏิบตั ิชอบ โดยเชอื่ หรือเห็นแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นน�ำไปสู่ความสุข เม่อื เปา้ หมายต่างกนั รูปแบบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192