Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รักแท้และคู่บารมีของพระพุทธเจ้า

รักแท้และคู่บารมีของพระพุทธเจ้า

Published by Thalanglibrary, 2020-12-20 03:13:46

Description: คนจำนวนมากฝันถึงรักแท้ คนจำนวนมากพูดถึงรักแท้ อ้างอิงว่าฉันมีรักแท้ แต่ถ้าให้คนเหล่านั้นมานิยามรักแท้ว่าคืออะไร คงไม่มีนิยามไหนเหมือนกันเลย
ลองมาดูนิยามรักแท้จากพระไตรปิฎกที่เขียนถึงตำนานรักที่ยาวนานที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสามารถเข้าถึงและรับรู้ได้ และศึกษาว่ารักแท้ของเราแต่ละคน กับรักแท้แบบพระพุทธเจ้าและคู่บารมีของท่านเหมือนหรือต่างกันตรงไหน อย่างไร เราอาจพบว่า ความรักมีค่ามากกว่าที่เราเคยคิดได้อีกหลายเท่า

เรียบเรียงและเขียน: ณัฎฐ์ณัณญา จิณณนันท์ธัมมา, พัฒน์ สดาวงศ์วิวัฒน์
อำนวยการผลิตและออกแบบ: กวิน ฉัตรานนท์
พิสูจน์อักษร: บุณฑริกา สุวรรณวิบูลย์,ดุจฤดี อภิวงศ์

Search

Read the Text Version

50 พระเจา้ สตุ โสมตรัสเรียก เจา้ ชายโสมทัต อนชุ ามามอบราชสมบัติ ให้ “ดูกร โสมทัต พ่กี ระสันจักออกบวช เหมือนไกป่ า่ ถกู ขังกระสันจะออก จากในกรง ความไมย่ นิ ดใี นฆราวาสครอบงำ� พ่ี พจี่ ะบวชในวนั น้ี เธอจงครอบ ครองราชสมบัตนิ เ้ี ถิด” เจ้าชายโสมทัตเห็นพระเจ้าสุตโสมจะออกบวชแน่ จึงขอออกบวช ดว้ ย แตพ่ ระเจา้ สตุ โสมตรสั หา้ มไว้ เกรงวา่ ประชาราษฎรจ์ ะขาดทพี่ ง่ึ เสนา อ�ำมาตย์และประชาราษฎร์ เห็นว่าไม่อาจทัดทานพระราชาของตนได้ ต่างพากันร้องไห้เสียใจ พระเจ้าสุตโสมจึงแสดงธรรมว่า “ท่านท้ังหลาย อย่าเศร้าโศกไปเลย ถึงเราจะอยู่กับพวกท่านต่อไป แต่ในไม่ช้าก็ต้อง พลดั พรากจากทา่ นทงั้ หลายในทสี่ ดุ อยดู่ ี เพราะสงั ขารทงั้ หลายจะไดช้ อ่ื วา่ เท่ียงน้นั ไมม่ ี บัดน้ี ความชรามาถึงเราแล้ว ชวี ติ ทเ่ี หลอื เป็นของนอ้ ย ดุจนำ�้ ในโคลนทก่ี ำ� ลงั จะแหง้ บัณฑติ จงึ ไม่ควรประมาทในชวี ติ สว่ นคน พาลผปู้ ระมาทเพราะถกู ตณั หาผกู ไว้ ยอ่ มไปบงั เกดิ ในนรก สตั วด์ ริ จั ฉาน เปรต และอสุรกาย” พระเจ้าสุตโสมทรงสละราชสมบัตินีแ้ ลว้ เสด็จออกทรงผนวช ทรง ผ้ากาสาวพสั ตร์ เทยี่ วไปพระองค์เดียวเหมอื นช้างตัวประเสริฐ ต่อมาชาว เมืองท้ังหลายต่างพากันสละสมบัติในเรือนของตน พาบุตรธิดาออกไปยัง ส�ำนกั ของพระโพธิสัตว์ พระราชมารดา พระราชบดิ า พระชายา พระโอรส พระธดิ ากับหญงิ ฟอ้ น ๑๖,๐๐๐ ก็ทรงปฏิบัติเช่นนน้ั เหมอื นกัน พระนคร ดเู หมอื นวา่ งเปล่า ฝ่ายชาวชนบทก็ไดต้ ามไปเบ้อื งหลงั แหง่ ชนเหลา่ นนั้ พระโพธิสัตว์ทรงพาเหล่าผู้ติดตามมุ่งตรงไปยังป่าหิมพานต์ ท้าว สกั กเทวราชทรงอ�ำนวยสาธกุ ารจดั เครอ่ื งอฐั บรขิ าร เสนาสนะ อาศรมถวาย ผู้ใดยงั อาลยั ใครใ่ นกาม ความสขุ ทางโลก พระโพธสิ ัตว์ทรงทราบ ก็จะแสดงธรรมโปรด

51 “ท่านทั้งหลายอย่าระลึกถึงความยินดี การเล่นและการร่าเริง ในกาลกอ่ นเลย กามท้งั หลายอย่าท�ำลายทา่ นทัง้ หลายไดเ้ ลย จงเจรญิ เมตตาจิตอนั หาประมาณมิได้ ทัง้ กลางวันและกลางคนื เถดิ เม่อื เป็นเชน่ น้ี ทา่ นทัง้ หลายจะได้ไปสสู่ วรรค์ อันเป็นที่อยู่ของท่านผมู้ บี ุญ” จนั ทกนิ นรและจันทกนิ รี รกั แทไ้ ม่ตายตามตวั จาก จันทกนิ นรชาดก http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1883 ในอดีตกาลชาติหนึ่ง พระโพธิสัตว์และพระนางยโสธราเกิดเป็น จันทกินนรและจันทกินรี อาศัยอยู่ที่ยอดเขาจันทบรรพตในป่าหิมพานต์ กนิ นรและกินรนี ้นั เปน็ สตั ว์สวรรค์ ปกปิดร่างกายดว้ ยสาหรา่ ยดอกไม้หอม มพี วงมาลยั ดอกไมส้ วมศรี ษะ กนิ เกสรดอกไมแ้ ละชอบดมกลน่ิ หอมเหมอื น หม่ภู มร มเี สียงหวานไพเราะ พดู จาเสนาะเป็นบทเพลงเหมือนสกณุ า มรี ูป ร่างงดงามอรชร ชอบร�ำฟ้อนเหมือนนางอปั สรคนธรรพ์ หากเปรยี บความ งามของกินรีกับสาวมนุษย์ กินรีย่อมสวยกว่าและน่ารักกว่าสาวชาวเมือง มนษุ ย์มากมายนัก จนั ทกนิ นรและจนั ทกนิ รผี กู สมคั รรกั ใครเ่ ปน็ สามภี รรยากนั ทงั้ สอง มคี วามสขุ กับการคลอเคลา้ ท่องเทย่ี วไปในไพรกว้าง เถ่อื นถ้�ำ และภูผา ที่ ใดมไี มใ้ บเขียวขจี หรอื มกี ล่นิ ดอกไม้หอมขจร ที่น้นั ยอ่ มไดเ้ หน็ จันทกนิ นร และจนั ทกนิ รีอยูเ่ สมอ สมัยหน่ึง พระเจ้ากรุงพาราณสีอยากเสด็จประพาสป่าตามล�ำพัง พระองคท์ รงมอบหมายใหเ้ สนาอ�ำมาตย์รบั ผิดชอบราชการงานเมอื ง แล้ว พระองค์กเ็ สด็จออกไปล่าสัตว์ในป่าหิมพานตต์ ามล�ำพงั พระองคเ์ ดยี ว โดย

52 เสดจ็ ไปตามล�ำนำ้� สายหนง่ึ ขน้ึ ไปตามล�ำดบั จากปลายนำ้� จนกระทง่ั ถงึ ตน้ นำ้� เชิงเขาจนั ทบรรพตใกล้ที่อย่ขู องเหลา่ กินนรและกนิ รี สมัยนน้ั เป็นฤดูแล้ง จนั ทกินนรและจนั ทกนิ รีสองสามีภริยานงุ่ ห่ม สาหรา่ ยดอกไม้ลงมาจากยอดบรรพต เทยี่ วเก็บเลม็ ของหอมและกินเกสร ดอกไม้ เหนี่ยวเถาชิงช้าพร้อมส่งส�ำเนียงขับร้องจะเจ้ือยแจ้วเสนาะไพร ระเรอ่ื ยมาตามล�ำดบั จนมาถงึ ล�ำนำ้� สายนอ้ ยทเ่ี ชงิ เขา ทงั้ สองหยดุ รา่ ยร�ำตรง คุ้งน�ำ้ โปรยปรายดอกไมล้ งในธารนำ้� ใส และลงเล่นน้ำ� ส�ำราญใจ เมื่อขึ้นจากน�้ำแล้วก็เก็บดอกไม้มาโปรยเหนือหาดทรายใช้เป็น ทน่ี อน จนั ทกนิ นรเปา่ ขลยุ่ และขบั รอ้ งเพลงดว้ ยเสยี งหวานฉำ่� สว่ นจนั ทกนิ รี ฟอ้ นร�ำรอ้ งเพลงคลอเคลยี อยเู่ คียงใกล้สามี พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับเสียงของกินนรกินรี จึงค่อยย่างค่อย ย่องเข้าไปใกล้ ยืนแอบในท่ีก�ำบัง เม่ือทอดพระเนตรเห็นนางกินรีผู้มีรูป โฉมงดงามเกินหญงิ ใดในโลกก็มีจติ ปฏิพัทธ์ ด�ำริวา่ จะต้องยิงกินนรน้ันเสยี เพ่อื ชิงกนิ รีน้ีมา ด�ำริแล้วจึงเล็งธนูยิงถูกจันทกินนรล้มลง จันทกินรีเห็นสามีล้มลง คิดว่าเป็นท่วงทีการร่ายร�ำจึงร้องเพลงร่ายร�ำต่อไปอย่างสนุกสนาน แต่ คร้ันเห็นมีเลือดแดงฉานไหลออกมาจึงรู้ว่าสามีถูกยิง รีบเข้าไปประคอง กอดด้วยความตกใจ จนั ทกินนรพยายามอดทนต่อความเจบ็ ปวด บอกจนั ทกนิ รีว่า “ดูก่อนจันทา ลมปราณพ่ลี า้ ใกลจ้ ะดับ ชีวพี ่ใี กลจ้ ะลาลับ เหมอื นรากไมถ้ ูกสับใกลม้ ว้ ยมรณ์ ดูกอ่ นนอ้ งพี่ เจบ็ น้ีเจียนตายแล้วสมร พยี่ งั ไม่อยากจะมว้ ยมรณ์ ไม่อยากลาจรจากนอ้ งไป ดกู อ่ นนอ้ งรัก เจบ็ แผลแมห้ นกั พีท่ นได้ แตท่ กุ ข์เพราะเห็นนอ้ งโศก พีโ่ ศกช้�ำระก�ำใจไม่อาจทน”

53 จนั ทกนิ นรนำ้� ตาไหลพราก รอ้ งครวญครางดว้ ยความเจบ็ ปวดกอ่ น จะทนพษิ บาดแผลไมไ่ หวสลบแนน่ ง่ิ ไป จนั ทกนิ รไี มอ่ าจสะกดกลน้ั ความโศก อาลัยท่มี ตี ่อสามอี ันเปน็ ท่รี กั ไว้ได้ จึงร�่ำไห้ดว้ ยเสียงดัง พระเจา้ พาราณสเี หน็ จนั ทกนิ นรแนน่ ง่ิ ไป ด�ำรวิ า่ กนิ นรสนิ้ ชวี ติ แลว้ จึงปรากฏพระองค์จากท่ีซ่อนออกมาหานางกินรี จันทกินรีมองดูรู้ว่า พระราชาโจรผู้น้ีเองท่ียิงสามีเรา นางจึงหนีไปอยู่บนยอดเขา กล่าวค�ำ บรภิ าษพระราชาวา่ “ดกู อ่ นพระราชา ทา่ นยิงสามขี า้ ผไู้ ร้ผดิ สามที ีข่ า้ รกั สดุ ชีวิต ท่านอ�ำมหิตเลวเหลอื ใจไร้เมตตา ดูก่อนผู้ทรงยศ เราก�ำสรดดว้ ยทา่ นพรากสามขี ้า เราขอสาปแชง่ ใหแ้ มแ่ ละชายา ของท่านจงโศกาย่ิงกวา่ เรา ดกู ่อนผู้ทรงฤทธิ์ ท้งั ชวี ิตของแมแ่ ละเมียเจา้ จงถูกพรากสามเี หมือนเช่นเรา จงเงยี บเหงาอ้างวา้ งไมต่ ่างกนั ” พระเจา้ พาราณสตี รสั ปลอบนางกนิ รวี า่ “ดกู อ่ นกนิ รผี มู้ นี ยั นต์ าเบกิ บานดงั ดอกไม้ เธออย่าร้องไหเ้ สยี ใจไปเลย เราเป็นพระราชาพาราณสี จะ รบั เธอไปอยู่ในวงั และใหเ้ ธอเปน็ อคั รมเหสีของเรา เธอจะได้รบั การยกย่อง บชู า ไดเ้ ป็นใหญเ่ หนอื หญงิ ทงั้ หมดในนเิ วศนข์ องเรา ไมต่ ้องทนอา้ งวา้ งอยู่ ลำ� พงั ทา่ มกลางพงไพรแหง่ น้ีอีก” จันทกินรฟี ังค�ำพระเจา้ พาราณสดี งั นั้น จึงบรภิ าษว่า “ดหู รอื พระราชา ช่างดา้ นหน้าเอย่ วาจาออกมาได้ เลวทรามฆ่าผัวมืดมัวใจ ยงั บา้ ใบ้ขอเมยี เขาเอาไปครอง ตวั เราแมเ้ ปน็ เพียงกนิ รี ไม่เคยคิดอยากจะมสี ามสี อง ถงึ เปน็ หมา้ ยไมอ่ อกนอกครรลอง ยงั มนั่ คงรกั คคู่ รองไมเ่ ปลย่ี นแปลง”

54 พระเจา้ พาราณสฟี งั ค�ำดา่ วา่ ของนางกนิ รหี นกั เขา้ กพ็ โิ รธ หมดความ หลงท่ีมีในตวั นาง ตรสั ว่า “นแี่ นะ่ นางชาตกิ นิ รีโงเ่ งา่ ไม่รกั ดี เมอ่ื ชวนเจ้าไป อยสู่ ขุ สบายในวงั ไมส่ นใจ เจา้ กจ็ งอยใู่ นปา่ ในเขาอยา่ งนต้ี อ่ ไปเถดิ อยา่ งเจา้ นนั้ เหมาะแลว้ ทจ่ี ะอยกู่ บั ฝงู เนอ้ื ฝงู ววั เกบ็ กนิ ใบไมใ้ บหญา้ อยอู่ ยา่ งนแี้ หละ นางโง่ไมร่ ักด”ี ตรสั แลว้ พระเจ้าพาราณสกี ็เสดจ็ จากไปอย่างหมดเย่ือใย เม่ือแน่ใจว่าพระเจ้าพาราณสีไม่กลับมาแล้ว จันทกินรีจึงลงมาอุ้ม ร่างสามี ขน้ึ สู่ยอดเขา ยกศีรษะวางไว้บนตกั กอดสามีพลางร�ำ่ ไหร้ �ำพันว่า “จนั ทาสามีสดุ ทร่ี กั ข้าโศกสดุ จะหกั หา้ มใจได้ เราสองเคยสนุกสขุ เกินใคร ซอกเขาล�ำเนาไพรเคยมกี ัน ตอ่ ไปนีม้ แี ตข่ ้าท่ซี อกเขา ไมม่ แี ลว้ สองเราท่ีไหนน่ัน เถอื่ นถำ้� เคยพะนอคลอเคลียกัน คงเหลือขา้ ร�ำพนั อยผู่ ู้เดยี ว สามีที่รกั ของขา้ ต่อไปนแ้ี ผ่นผาพนั ธุไ์ มเ้ ขยี ว และแผน่ ผาไม้ดอกคงซดี เซยี ว คงอ้างว้างเปลา่ เปลี่ยวไมร่ ่ืนรมย์ เพราะขา้ ไร้ท่านพลนั อาดูร ความรกั พลันสูญไมส่ ขุ สม ถิ่นนส้ี องเราเคยอภิรมย์ ฉับพลนั สวรรค์ลม่ ลงพงั ภินท”์ จนั ทกนิ รรี ำ�่ ไหค้ รำ�่ ครวญถงึ จนั ทกนิ นรผสู้ ามดี ว้ ยความอาลยั รกั สนิ้ หวังวา่ ต่อไปนน้ี างจะอย่อู ยา่ งเดียวดายได้อยา่ งไร พลางกอดลูบไร้ร่างสามี ด้วยความรัก เมื่อนางวางมือลงตรงอกรู้สึกว่ายังมีไออุ่นอยู่ รู้ว่าสามียังไม่ ตาย นางกินรจี ึงอ้อนวอนขอให้เทพยดาช่วยเหลือ “ปวงเทพศักดิ์สิทธเิ จ้าขา เจา้ เขาเจา้ ป่าช่วยดว้ ย สามขี องข้าใกล้ม้วย ไดโ้ ปรดชว่ ยสามขี ้าอย่าใหต้ าย คนเลวอุบาทว์ชาติชวั่ มวั เมาคิดฆา่ ทำ� ร้าย เขายงิ สามีขา้ ปางตาย โปรดชว่ ยบรรเทาร้ายใหเ้ ขาที เราสองครองคอู่ ยู่ดว้ ยรกั หากต้องพรากจากกันคราวนี้

55 ข้าขอตายตดิ ตามสามี ไม่ขอมชี ีวีอยู่ล�ำพงั ปวงเทพศกั ดส์ิ ทิ ธิเจ้าขา กนิ รวี ันทาผองท่าน ไดโ้ ปรดชว่ ยชุบชีวนั สามที ี่รกั น้ันใหก้ ลับคืน” ความรัก ความอาลัย และค�ำอ้อนวอนของจันทกินรีน้ันท�ำให้แม้ เทพยดาก็หว่ันไหว พิภพของท้าวสักกเทวราชเกิดอาการร้อน ท้าวสักก- เทวราชทรงตรวจดูเหตุเห็นจันทกินนรีร้องไห้คร่�ำครวญอยู่ใกล้ร่างสามี จึงจ�ำแลงองค์เป็นพราหมณ์เข้าไปหา ทรงถือกุณฑีน�้ำหลั่งรดลงบนร่าง จันทกินนร ทันใดน้ันบาดแผลและพิษศรที่เกิดกับจันทกินนรก็มลายหาย ไปสน้ิ จนั ทกนิ นรไดส้ ตลิ กุ ขนึ้ คนื ชวี ติ จนั ทกนิ รสี วมกอดสามดี ว้ ยความดใี จ ทา้ วสกั กเทวราชทรงประทานโอวาททงั้ สองวา่ ตอ่ ไปใหพ้ วกเจา้ อยู่ แต่บนยอดเขา อย่าลงมาเท่ียวเล่นใกล้ถ่ินมนุษย์อีก เมืองมนุษย์มีท้ังคนดี และคนชว่ั พวกเจา้ ไมท่ นั เลห่ ม์ นษุ ยห์ รอก หากเจอคนชว่ั อกี พวกเจา้ จะเดอื ด รอ้ น ประทานโอวาทจบแล้วท้าวสักกเทวราชกเ็ สดจ็ กลับเทวโลก พระเวสสนั ดรและพระนางมทั รี รกั แทผ้ ยู้ อมเสียสละทกุ สง่ิ จาก มหาเวสสนั ดรชาดก http://www.84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=10 พระเจ้าสญชัย ทรงครองราชสมบัติเมืองสีพี มีพระมเหสีทรง พระนามว่า พระนางผุสดี พระนางผุสดีน้ีในพระชาติก่อน ๆ ทรงเคย ถวายแก่นจนั ทน์หอม เป็นพทุ ธบูชาและอธิษฐานขอใหไ้ ดเ้ ปน็ พุทธมารดา พระพุทธเจ้าในกาลอนาคต ครั้นเมื่อพระนางสิ้นชีวิตก็ได้ไปบังเกิดใน เทวโลก เมอ่ื ถงึ วาระทจี่ ะตอ้ งจตุ มิ าเกดิ ในโลกมนษุ ย์ พระอนิ ทรไ์ ดป้ ระทาน พรสบิ ประการแกพ่ ระนางตามทขี่ อ พรประการหนงึ่ คอื พงึ ไดพ้ ระราชโอรส

56 ผใู้ หส้ ิง่ อันเลิศ ประกอบความเกอื้ กูลแก่ยาจก ไม่ตระหน่ี อนั พระราชาทุก ประเทศบชู า มเี กยี รติ มียศ ตลอดทศมาสท่ีพระโพธิสัตว์ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์น้ัน พระนางผุสดี ไม่ทรงมีอาการแพ้เลย อีกท้ังพระครรภ์ก็ไม่นูนขึ้น ราบเรียบเหมือนหญิง ปกติ เมื่อเสด็จประทักษิณพระนครโดยไม่ทรงทราบว่าใกล้เวลาประสูติ กาล พระนางจึงประสูติพระโอรสท่ีกลางตรอกของพ่อค้า ด้วยเหตุน้ีพระ โอรสจึงไดน้ ามว่า เวสสนั ดร เมื่อแรกประสูติ พระเวสสันดรได้แบพระหัตถ์ถามพระนางผุสดี ราชมารดาวา่ “พระแมเ่ จา้ มที รพั ยอ์ ะไรบา้ ง หมอ่ มฉนั จะใหท้ าน” พระนาง ผุสดีทรงประทานกหาปณะพันหนึ่งให้ตรัสว่า ลูกใช้ทรัพย์น้ีบริจาคตาม อธั ยาศัยเถิด พระเวสสันดรจึงไดใ้ ช้ทรัพยน์ ัน้ ใหท้ านเปน็ วาระแรก เมื่อทรงพระชนมายไุ ด้ ๘ พรรษา ก็คดิ เพอ่ื จะบรจิ าคมหาทานว่า จะพงึ ใหห้ ัวใจ ดวงตา เนื้อ เลือด และรา่ งกาย ถ้าใครขอเรา ให้เราไดย้ ิน เรากพ็ ึงให้ เมือ่ เราคดิ ถงึ การบรจิ าคทาน อนั เปน็ ความจริง หฤทัยก็ไมห่ วั่น ไหว ตงั้ มั่นอย่ใู นกาลนั้น ฝ่ายพระนางยโสธราเกิดเป็นพระนางมัทรี ราชธิดาผู้เลอโฉมแห่ง มทั ทราชสกุล เมอื่ เจรญิ วัยได้ ๑๖ พรรษา ได้อภเิ ษกสมรสกับพระโพธสิ ัตว์ ทเี่ กดิ เปน็ พระเวสสนั ดร โอรสของพระเจา้ สญชยั และพระนางเจา้ ผสุ ดี แหง่ สีพีนคร แคว้นกาสี หลงั จากพระเวสสันดรอภเิ ษกสมรสกบั พระนางมทั รแี ล้ว พระเจ้า สญชัยก็มอบราชสมบัติให้ พระเวสสันดรกับพระนางมัทรีครองราชสมบัติ สบื ต่อมาจนมีพระราชโอรสองค์หน่ึงนามวา่ ชาลี มรี าชธิดานามว่า กณั หา สองกษตั รยิ ท์ รงมีพระทัยเสมอกนั ในการให้ทาน ทรงสร้างโรงทาน ๖ แห่ง บรจิ าคทานคิดเป็นทรัพยว์ นั ละ ๖ แสน และเอาพระทัยใส่เสดจ็ ไปตรวจดู โรงทานดว้ ยพระองค์เองเดอื นละ ๖ ครงั้

57 ครง้ั นน้ั นครใหญซ่ ง่ึ อยไู่ มไ่ กล คอื นครกาลงิ ครฐั เกดิ ภยั พบิ ตั ิ ฝนแลง้ ขา้ วยากหมากแพง เกดิ โจรภยั ประชาชนเดอื ดรอ้ นไปทงั้ นครพากนั เขา้ ไป ถวายฎกี า โหราจารยก์ ราบทลู แนะน�ำใหพ้ ระเจา้ กาลงิ คราชสมาทานศลี และ รกั ษาอโุ บสถศลี ๗ วนั แลว้ ท�ำพธิ ขี อฝน แตฝ่ นกไ็ มต่ ก ชาวเมอื งจงึ กราบทลู วา่ สพี นี ครเปน็ นครทร่ี งุ่ เรอื ง อดุ มสมบรู ณ์ ฝนตกตอ้ งตามฤดกู าล เพราะใน วันท่ีพระเวสสันดรประสูติน้ันมีนางพญาช้างฉัททันต์จากป่าหิมพานต์พา ชา้ งเผอื กเชอื กหนง่ึ มาสง่ ใหถ้ งึ โรงชา้ ง ชา้ งเผอื กเชอื กนเ้ี ปน็ ชา้ งมงคลคบู่ า้ น คเู่ มอื งสพี ี ออกศกึ ครง้ั ใดมแี ตช่ ยั ชนะ และเมอื่ พระเวสสนั ดรเสดจ็ ประทบั ชา้ งมงคลไปแหง่ หนต�ำบลใดกต็ าม จะมฝี นตกไปทกุ แหง่ ทเ่ี สดจ็ ท�ำใหแ้ ผน่ ดนิ สพี อี ดุ มสมบรู ณ์ ราษฎรอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ กนั ถว้ นหนา้ ชา้ งมงคลเชอื กนชี้ อื่ วา่ ปจั จยั นาค ขอใหพ้ ระราชาสง่ ราชทตู ไปขอจากพระเวสสนั ดร พระเจา้ กาลงิ คราชสดบั แลว้ จงึ รบั สง่ั ใหพ้ ราหมณ์ ๘ คน ไปขอชา้ ง มงคลจากพระเวสสันดร ทัง้ ๘ พราหมณ์เดนิ ทางไปถึงนครสีพี คิดหาทาง ท�ำให้พระเวสสันดรสงสารจึงใช้ฝุ่นโรยตัวให้สกปรกมอมแมมเหมือนคน ยากจน แล้วเข้าไปดักรอพระเวสสันดรอยู่ที่โรงทาน เม่ือพระเวสสันดร เสดจ็ มาโรงทาน พราหมณ์ทัง้ ๘ จงึ เขา้ ไปเฝา้ กราบทูลว่า พวกตนและชาว กาลิงครัฐก�ำลังอดอยากเพราะแผ่นดินแห้งแล้ง ปลูกพืชผลไม่ได้ พวกตน จึงต้องเร่ร่อนมาขอทาน หากพระองค์เมตตาพระราชทานช้างมงคลให้ก็ จะสามารถช่วยชาวกาลิงครัฐทัง้ มวลได้ พระเวสสันดรสดับความทกุ ขย์ าก ของชาวกาลงิ ครฐั จงึ พระราชทานชา้ งมงคลให้ พรอ้ มคนเลยี้ งชา้ งและควาญ ชา้ งให้อีก ๕๐๐ สกุล พราหมณ์ท้งั ๘ พาช้างกลบั กาลิงครฐั เม่อื ช้างมงคลไปถงึ ฝนก็ ตกทัว่ กาลิงครัฐ ท�ำใหพ้ ืชพนั ธุ์กลบั เขยี วขจีอุดมสมบรู ณพ์ ้นจากทุพพิกภยั ขณะท่ีชาวเมืองสีพีบางส่วนกลับโกรธแค้นพระเวสสันดรที่บริจาคช้างคู่ บา้ นคู่เมอื งไป จึงมาชมุ นุมกันทพี่ ระลานหลวงถวายฎีกาให้พระเจา้ สญชัย เนรเทศพระเวสสนั ดร พระเจา้ สญชยั ไมอ่ าจทดั ทานความตอ้ งการของชาว

58 เมืองได้ ต้องจ�ำใจเนรเทศพระเวสสันดรตามมตขิ องชาวเมือง พระเวสสันดรทรงตรัสลาพระนางมัทรีว่า “เธอจงบริจาคทานใน ท่านผู้มีศีลทั้งหลายตามควร เพราะที่พ่ึงของสัตว์ทั้งปวงอย่างอ่ืน ยิ่งกว่า ทานการบรจิ าค ยอ่ มไมม่ ี และขอไม่ใหท้ นลำ� บาก หากจะมพี ระสวามใี หม่ กย็ ินด”ี พระนางมัทรีทรงมีพระทัยเสมอกัน มีความจงรักภักดีต่อพระ เวสสันดรย่งิ ขอตามไปอย่เู ปน็ ผรู้ บั ใชด้ ูแล ด้วยเหตนุ ี้ พระเวสสันดร พระ นางมัทรี ชาลีราชกุมาร และกัณหาชินาราชกุมารี จึงได้เสด็จไปอยู่ในป่า เขาวงกต ด้วยกัน โดยถอื ขอ้ วตั ร บวชเป็นบรรพชติ ถือพรหมจรรย์ เจริญ ภาวนาอย่างมโี สมนัสยิง่ นบั แตน่ นั้ มาพระเวสสนั ดรกถ็ อื เพศเปน็ ดาบสบ�ำเพญ็ พรตในอาศรม พระนางมัทรีท�ำหน้าท่ีออกหาผลหมากรากไม้ในป่ามาปฏิบัติบ�ำรุงพระ สวามี พระโอรส และพระธดิ า ทรงประทบั อย่คู นละอาศรม ปฏิบัติตนเป็น บรรพชติ เชน่ น้ีอยู่ ๗ เดือน ในครง้ั นน้ั ในกาลงิ ครฐั นครมพี ราหมณแ์ กข่ อทานคนหนงึ่ ชอื่ ชชู ก มี ภรรยาสาวสวยชอื่ วา่ อมติ ดา ทพี่ อ่ แมย่ กใหเ้ พราะเอาเงนิ ชชู กไปใชแ้ ลว้ ไมม่ ี ปัญญาใช้คืน ภรรยาของพราหมณ์ชูชกมักถูกเพื่อนบ้านเยาะเย้ยถากถาง ว่าท�ำบุญมาน้อยจึงได้ผัวแก่ แถมต้องล�ำบากหาบน�้ำไปให้ผัวอาบทุกวัน ไม่เหมอื นพวกตนทีส่ ุขสบายได้แต่งตัวสวยๆ วนั ๆ ไมต่ ้องท�ำการงานอะไร นางอมติ ดาอายเพอ่ื นบา้ นจงึ บอกใหช้ ชู กไปทลู ขอพระชาลแี ละพระกณั หา จากพระเวสสนั ดรมาเปน็ ทาสรบั ใช้ ชูชกเดินทางไปเมืองสีพี ได้ยินชาวเมืองบอกว่าพระเวสสันดรพา พระนางมทั รแี ละพระโอรสพระธดิ าเสดจ็ ไปเขาวงกตแลว้ จงึ เดนิ ทางตดิ ตาม ไป ระหวา่ งทางแวะสอบถามทางไปเขาวงกตจากชาวบ้าน แต่ชาวบา้ นปา่ นน้ั รกั พระเวสสนั ดร รวู้ า่ พราหมณเ์ ฒา่ จะไปขอพระนางมทั รี หรอื พระชาลี

59 หรอื พระกณั หาเปน็ แน่ จงึ ทบุ ตขี บั ไลจ่ นชชู กตอ้ งวงิ่ หนหี วั ซกุ หวั ซนุ เดนิ ทาง หลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดทาง เมอ่ื เขา้ สเู่ ขตแดนเขาวงกต ชชู กกถ็ กู สนุ ขั ของพรานเจตบตุ รรมุ ลอ้ ม ไลต่ อ้ น จนตอ้ งปนี หนขี นึ้ ไปอยบู่ นคบไมร้ อ้ งไหเ้ อะอะเสยี งดงั พรานเจตบตุ ร ไดย้ นิ เสยี งออกมาดเู หน็ ชชู กอยบู่ นคบไม้ เดาวา่ ชชู กคงจะมาทลู ขอพระนาง มทั รี หรอื พระชาลี หรอื พระกณั หา จึงยกหน้าไมข้ ึน้ จะยงิ ชูชกเสยี ใหต้ าย แต่ชชู กใช้ลีลาขอทานพดู จาอ่อนหวาน หลอกพรานเจตบุตรวา่ ตนเองเปน็ ราชฑูตที่พระเจ้าสญชัยส่งมารับพระชาลีและพระกัณหากลับพระนคร พรานเจตบุตรหลงเช่ือจึงช่วยชูชกลงจากต้นไม้ น�ำอาหารมาเล้ียงดู จาก น้นั กบ็ อกทางไปอาศรมของพระเวสสันดร ชูชกเดินทางต่อไป ได้พบพระอัจจุตฤๅษี ชูชกลวงว่าตนเองเป็น ราชฑตู มารบั พระชาลีพระกัณหาเหมอื นทีล่ วงพรานเจตบตุ ร พระฤๅษีหลง เช่ือจึงบอกทางให้อีก ชูชกเดินทางต่อจนถึงสระโบกขรณีใกล้อาศรมของ พระเวสสนั ดร ชูชกคิดว่าพระนางมัทรีนั้นเป็นหญิง คงท�ำพระทัยไม่ได้หากต้อง สละเลือดในอกให้เป็นทาน และคงจะขัดขวางเป็นแน่ จึงนอนพักรอวัน ใหมใ่ ห้พระนางมทั รอี อกจากอาศรมไปกอ่ นจงึ ค่อยไปทูลขอพระเวสสันดร ใกล้รุ่งคืนนั้น พระนางมัทรีทรงพระสุบินว่า มีชายผิวด�ำกักขฬะ คนหน่ึงมาควักเอาพระเนตรทั้งคู่ ตัดพระพาหาทั้งสอง และยังแหวกควัก เอาพระหทัยของพระนางไปด้วย พระนางตกพระทัยตื่นบรรทมรีบไปเฝ้า พระเวสสนั ดรกราบทลู ฝนั รา้ ยให้ฟัง พระเวสสันดรสดับแล้วรู้ว่าฝันนี้เป็นนิมิตว่าจะมียาจกมาขอ พระโอรสและธิดาไปเป็นทาน พระองค์จึงปลอบประโลมพระนางมัทรีให้ คลายกังวลใจแล้วให้พระนางกลับไป ฟ้าสว่างแล้ว พระนางมัทรีท�ำกิจที่ ควรท�ำเสร็จ แต่ใจยังไม่คลายกังวลถึงความฝัน จึงเรียกพระชาลีและพระ

60 กณั หามาสวมกอด แลว้ พาทง้ั สองไปฝากพระเวสสนั ดร ก�ำชบั พระเวสสนั ดร ใหด้ ูแลสองพระองคใ์ หด้ ี แล้วพระนางกเ็ ข้าปา่ หาผลาผลตามปกติ ชูชกเมื่อเห็นพระนางมัทรีเสด็จไปป่าแล้วจึงออกจากท่ีซ่อน เข้า ไปเฝ้าพระเวสสันดร ขอพระโอรสชาลีและพระธิดากัณหาความว่า “ห้วงน�้ำซ่ึงเต็มเปี่ยมตลอดเวลา ย่อมไม่เหือดแห้ง ฉันใด พระองค์มี พระหฤทยั เตม็ เปย่ี มดว้ ยศรทั ธา ฉนั นนั้ ขา้ พระองคม์ าเพอ่ื ทลู ขอพระโอรส พระธดิ ากบั พระองค์ ขอพระองค์โปรดพระราชทานพระโอรสพระธิดา แก่ ขา้ พระองคผ์ ู้ทูลขอเถิด” พระเวสสนั ดรเมอ่ื ไดท้ รงสดบั ค�ำขอของชชู กแลว้ กเ็ กดิ ปติ ยิ นิ ดี ตรสั ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ เรายกให้ ไม่หว่ันไหว ท่านจงเป็นใหญ่ในเด็กน้อย ทั้งสอง นำ� ไปเถิด” ฝ่ายพระชาลีและพระกัณหาเห็นชูชกมีลักษณะอัปลักษณ์ กิริยา หยาบจึงหวาดกลัว หนีไปหลบยังสระบัว พระเวสสันดรเห็นรอยเท้าของ โอรสและธิดาจึงเดินตามรอยไป ทรงกล่าวแก่พระชาลีว่า“ดูก่อนพ่อชาลี พระลกู รกั พอ่ จงมา จงเพมิ่ พนู บารมขี องพอ่ ใหเ้ ตม็ จงชว่ ยโสรจสรงหทยั ของพอ่ ใหเ้ ยน็ ฉำ่� จงทำ� ตามคำ� ของพอ่ ขอเจา้ ทงั้ สองจงเปน็ ดงั ยานนาวา ของพ่อ ไม่หวั่นไหวต่อสาคร คอื ภพ พ่อจกั ข้ามฝ่ัง คือ ชาติ จกั ยงั มนุษย์ ท้ังเทวดาให้ขา้ มดว้ ย” พระชาลีได้ทรงสดับพระด�ำรัสของพระราชบิดา จึงทรงคิดว่า ตา พราหมณ์จงท�ำเราตามใจชอบเถิด เราจักไม่ด้ือดึงต่อพระราชบิดาจึงโผล่ พระเศยี รแหวกใบบวั ออกเสดจ็ ขน้ึ จากนำ้� หมอบแทบพระบาทเบอ้ื งขวา ทรง กนั แสง พระเวสสนั ดรตรสั เรยี กพระกณั หาบา้ งวา่ “ดกู อ่ นแมก่ ณั หาธดิ ารกั แมจ่ งมา จงเพม่ิ พนู ทานบารมที รี่ กั ของพอ่ จงชว่ ยโสรจสรงหทยั ของพอ่ ใหเ้ ยน็ ฉำ�่ จงทำ� ตามคำ� ของพอ่ ขอเจา้ ทงั้ สองจงเปน็ ดงั ยานนาวาของพอ่

61 ไม่หว่ันไหวตอ่ สาคร คือภพ พอ่ จักข้ามฝงั่ คอื ชาติ จักยกขน้ึ ซง่ึ มนุษย์ ทง้ั เทวดาดว้ ย” พระกัณหาได้ทรงสดับพระด�ำรัสของพระราชบิดา จึงทรงคิดว่า เราจักไม่ด้ือดึงต่อพระราชบิดา จึงเสด็จขึ้นจากน้�ำเหมือนกัน หมอบแทบ พระบาทเบ้อื งซา้ ย กอดข้อพระบาทไว้มน่ั ทรงกนั แสง พระเวสสนั ดรตรสั บอกตาพราหมณเ์ ฒา่ วา่ หากมใี ครตอ้ งการไถต่ วั สองกมุ าร พระองคต์ งั้ คา่ ตวั พระโอรสชาลเี ปน็ ทองค�ำพนั ๑,๐๐๐ ต�ำลงึ สว่ น พระกัณหามคี า่ ตวั เปน็ ทองค�ำ ๑๐๐ ต�ำลึง พร้อมทาสา ทาสี ชา้ ง มา้ และ โค อย่างละ ๑๐๐ ตรัสแลว้ พระเวสสันดรก็จูงหัตถ์สองกมุ ารพามามอบให้ ชูชก ทรงหล่งั สิโนทกกรวดนำ�้ ตรัสวา่ “โอรสและธิดาทง้ั สอง เราจะไมร่ กั กห็ ามไิ ด้ แตพ่ ระสพั พญั ญตุ ญาณยอ่ มเปน็ ทร่ี กั ยง่ิ กวา่ โอรสและธดิ ากวา่ รอ้ ยเท่าพันเทา่ แสนเท่า เราจึงตัดใจใหเ้ ปน็ มหาทาน” ตรสั แล้วปฐพกี ส็ นั่ ไหวไปถงึ พรหมโลก ชูชกผู้มีใจทราม รับสองกุมารแล้วก็หาเถาวัลย์มามัดมือพระชาลี และพระกณั หา ใชไ้ มใ้ หญโ่ บยตอี ยา่ งโหดรา้ ยหมายก�ำราบบงั คบั สองกมุ าร ใหเ้ ดนิ ไป พระชาลแี ละพระกณั หาถกู ชชู กตจี นผวิ กายแตกเลอื ดไหล รอ้ งไห้ ครำ่� ครวญนา่ สงสาร กราบทลู พระเวสสนั ดรขอใหส้ งสารอยา่ ประทานลกู ให้ ชชู กเฒา่ ผนู้ เี้ ลย พลางตดั พอ้ นอ้ ยใจวา่ “ผใู้ ดไมม่ มี ารดาของตน ผนู้ น้ั เหมอื น ไมม่ ีทงั้ บดิ ามารดา แนะ่ นอ้ งกณั หา มาเถดิ เราจกั ตายดว้ ยกนั อยไู่ ปก็ไมม่ ี ประโยชน์ พระบดิ าไดป้ ระทานเราทง้ั สองแกพ่ ราหมณผ์ แู้ สวงหาทรพั ย์ แก รา้ ยกาจเหลือเกนิ แกตเี ราท้ังสองเหมอื นนายโคบาลตีฝูงโค” กาลนั้น พระเวสสันดรทรงมคี วามเศร้าโศกเป็นก�ำลงั พระทยั ทกุ ข์ ดว้ ยความเรา่ รอ้ นโกรธแคน้ ความอาลยั หว่ งใยกป็ ระดงั เตม็ ก�ำลงั ไมส่ ามารถ จะกลนั้ ความสงสารพระโอรสและพระธดิ าได้ นำ้� พระเนตรนองหนา้ จงึ ตอ้ ง หลีกปลีกตัวเขา้ อาศรมร้องไห้กรรแสงคร�่ำครวญต่ออยา่ งนา่ สงสาร

62 พระองค์ทรงช�ำเลืองแลดูพระโอรสพระธิดาเป็นพัก ๆ ทรงเจ็บ แค้นตาพราหมณ์เฒ่าชูชกว่าใยต้องท�ำร้ายเด็กน้อยผู้ไม่มีพิษภัยหรือแม้ จะตอบโต้ท�ำอันตรายใด ๆ ใจหน่ึงคิดแค้นอยากตามไปชิงพระโอรสพระ ธิดากลับคืนแล้วฆ่าพราหมณ์นั้นเสีย แต่สุดท้ายก็ทรงชนะความโกรธด้วย ปัญญา เหน็ เหตแุ หง่ ทุกขท์ ง้ั มวลวา่ ทุกขเ์ หน็ ปานนีเ้ กดิ เพราะ โทษแหง่ ความเสน่หา หาใชเ่ พราะเหตุการณ์อนื่ ไม่ เพราะฉะนน้ั ควรเราเปน็ ผ้มู ี จิตมธั ยสั ถว์ างอารมณเ์ ปน็ กลาง อย่าทำ� ความเสน่หา ทรงดำ� ริฉะนแี้ ลว้ ทรงบรรเทาความโศกเหน็ ปานนน้ั เสยี ดว้ ยกำ� ลงั พระญาณของพระองค์ ประทับนงั่ กลบั คนื พระอาการเป็นปกติ ฝ่ายพระนางมัทรีท่ีไปหาผลาผลอยู่ในป่า นอกจากกลางคืนจะ ฝันร้ายแล้วกลางวันยังได้พบลางร้ายต่าง ๆ นานา ทรงเขม่นพระเนตร ตลอดท้งั วันท�ำให้ร้อนพระทยั เปน็ ห่วงโอรสและธดิ าท้ังสอง เมอื่ เกบ็ ผลไม้ ไดพ้ อแลว้ จงึ รบี รอ้ นเดนิ กลบั อาศรม แตท่ า้ วสกั กเทวราชใชใ้ หเ้ ทวดามาขดั ขวางมใิ หพ้ ระนางกลบั อาศรมดว้ ยเกรงพระนางจะกลบั มาขดั ขวางมหาทาน ใหญ่ จึงทรงให้เทวดาจ�ำแลงกายเป็นสตั วร์ า้ ยสามตัว คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลอื ง มาขวางทางไว้ จนเย็นค่�ำจงึ เปดิ ทางให้ พระนางมัทรีกลับไปถึงอาศรม ไม่เห็นโอรสและธิดาออกมารับ เหมือนทุกวันก็รู้ว่าคงจะมีอันตรายแก่โอรสและธิดาท้ังสองเป็นแน่ จึงรีบ เข้าไปทูลถามพระเวสสันดร แตพ่ ระเวสสันดรทรงน่งิ เงยี บไม่ตรสั อะไรเลย พระนางมทั รที รงกรรแสง เทยี่ วตามหาพระชาลแี ละพระกณั หาไป ทุกแห่งที่ท้ังสองพระองค์เคยไปเที่ยวเล่นแต่ไม่พบ ทรงร่�ำไห้กลับมาถาม พระเวสสนั ดรอีก แต่พระเวสสนั ดรก็ทรงนิง่ เงยี บอยูเ่ หมอื นเดิม พระนางมัทรีกราบทูลว่า “การที่พระองค์ไม่ตรัสกะหม่อมฉันน้ี เป็นทุกข์ยิ่ง การท่ีวันน้ีหม่อมฉันไม่เห็นชาลี และกัณหาชินาลูกรักท้ังสอง น้นั เหมอื นแผลที่ถกู แทงด้วยลกู ศร การไมเ่ หน็ ลกู ทั้งสอง และพระองค์ไม่ ตรสั กะหมอ่ มฉนั นเ้ี ปน็ ทกุ ขซ์ �้ำสอง เหมอื นลกู ศรแทงหทัยของหมอ่ มฉัน

63 ขา้ แตพ่ ระราชบตุ ร วนั น้ี ถา้ พระองคไ์ มต่ รสั กะหมอ่ มฉนั ตลอดราตรี นี้ พรุ่งนี้เช้า ชะรอยพระองค์จะได้ทอดพระเนตรเห็นหม่อมฉันปราศจาก ชีวิตตายเสยี แล้ว” พระนางมทั รสี ะอนื้ ไหท้ ลู ถามพระสวามแี ตก่ ไ็ มไ่ ดร้ บั ค�ำตอบเพราะ ตงั้ ใจรอคอยจงั หวะบอกทเี่ หมาะสม ฝา่ ยพระนางมทั รเี มอื่ ไมร่ จู้ ะท�ำอยา่ งไร กเ็ ทย่ี วตามหาพระโอรสและพระธดิ าไปทว่ั ตลอดทงั้ ราตรี จนรงุ่ เชา้ แสงทอง ทาบขอบฟา้ แลว้ กย็ งั หาไมพ่ บจงึ กลบั มาหาพระเวสสนั ดร พระนางกรรแสง ไหจ้ นสิน้ สตไิ ปด้วยความเหนอื่ ยและเสียพระทยั ทแี่ ทบบาทพระสวามี พระเวสสันดรเห็นดังนี้ก็ตกพระทัยตัวส่ันคิดว่าพระนางมัทรี สิ้นพระชนม์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก แต่ต่อมาก็ตั้งสติจับ พระกายพระนางดูว่ายังอุ่นจึงรู้ว่ายังมีพระชนม์อยู่ แม้มิได้ทรงถูกต้อง พระกายตลอด ๗ เดอื น แตไ่ มอ่ าจจะทรงก�ำหนดความเป็นบรรพชิตอยู่ ได้ เพราะความโศกมกี ำ� ลงั มพี ระนยั นาเตม็ ไปดว้ ยพระอสั สชุ ล ชอ้ นพระ เศยี รของพระนางเจา้ ขนึ้ วางไวบ้ นพระเพลา พรมดว้ ยนำ้� ลบู พระพกั ตร์ และทต่ี รงพระหทยั เม่ือพระนางมัทรีฟื้นสติ ทรงยับยั้งสติไว้ได้บ้างแล้วจึงทูลถามว่า “พระโอรสและพระธิดาของหม่อมฉันไปไหน” พระเวสสันดรพิจารณาว่า พระชายามีพระทัยสงบลงพอจะรับฟังความจริงได้ จึงตรัสตอบว่า “เม่ือ วานนี้ระหว่างทเ่ี ธอไปหาผลาผล มพี ราหมณเ์ ฒา่ มาขอโอรสธิดาของเราไป เปน็ ทาส เราจึงให้สองกุมารนน้ั เปน็ ทานไปแล้ว” พระนางมัทรีใจหาย ทรงตัดพ้อพระเวสสันดรว่า “พระองค์ทรงรู้ อยวู่ า่ โอรสและธดิ าหมอ่ มฉนั ไปไหน แตพ่ ระองคก์ ลบั ไมย่ อมบอก ปลอ่ ยให้ หมอ่ มฉนั หวั ใจแทบสลายเปน็ หว่ งลกู หมอ่ มฉนั รำ�่ ไหต้ ามหาลกู ตลอดราตรี จนเลอื ดในกายกลน่ั เป็นน้ำ� ตาแทบจะหมดกาย”

64 พระเวสสันดรตรัสว่า“ดูกรมัทรี เราเองเป็นชายให้ลูกเป็นทานยัง กล้ันน�้ำตาไว้ไม่ได้ หัวใจเราแทบแหลกสลายเมื่อเห็นลูกเดินจากไป ส่วน เธอเปน็ หญงิ มใี จละเอยี ดออ่ น หากบอกเธอเสยี ตง้ั แตแ่ รกเธอคงไมอ่ าจกลน้ั ความโศกไว้ได้ ดวงหทัยเธออาจจะแตกสลาย เราจึงจ�ำอดกลั้นไว้ไม่ยอม บอกตลอดราตรี บดั นเี้ ราเห็นเธอพอสร่างโศกแลว้ จึงไดบ้ อก ดกู รมัทรี เราท้ังสองจะไม่รกั โอรสธิดากห็ าไม่ เมื่อเราบรจิ าคโอรส และธดิ าเปน็ ทานไปแลว้ ก็ขออยา่ ได้หว่ งกังวลไปอีกเลย ดกู อ่ นมทั รี เธอจงอนโุ มทนาปยิ บตุ รทาน อนั เปน็ อดุ มทานของฉนั ” พระนางมัทรีทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันขออนุโมทนา ปิยบุตรทานอันอุดมของพระองค์ พระองค์ทรงบริจาคทานแล้ว จงยัง พระหฤทยั ให้เล่อื มใส ขอจงทรงบ�ำเพ็ญทานให้ย่ิงๆ ข้นึ ไปเถิด” ฝ่ายท้าวสักกเทวราชเห็นพระเวสสันดรบริจาคบุตรเป็นมหาทาน แลว้ ด�ำรวิ า่ วานนม้ี คี นชว่ั ชา้ มาขอโอรสและธดิ าไปเปน็ ทาส วนั ตอ่ ไปกอ็ าจ จะมีใครมาขอพระนางมัทรีไปอีก แล้วพระองค์จะต้องอยู่ป่าผู้เดียวล�ำพัง ขาดคนดูแล ด�ำริดังนั้นแล้ว ท้าวสักกเทวราชจึงจ�ำแลงกายเป็นพราหมณ์ ไปขอพระนางมัทรีจากพระเวสสันดร ฝ่ายพระเวสสนั ดรมไิ ด้ตรสั วา่ เม่อื วานนี้ อาตมาได้ใหบ้ ตุ รบุตรแี ก่ พราหมณไ์ ปแลว้ อาตมาจะตอ้ งอยใู่ นปา่ รปู เดยี วเทา่ นน้ั จกั ใหม้ ทั รแี กท่ า่ น ได้อย่างไร กลับยังทรงมีพระทัยม่ันคงในการให้และสละ ตรัสว่า “ดูก่อน พราหมณ์ อาตมาให้สงิ่ ท่ที า่ นขอต่ออาตมา อาตมาไม่หว่นั หวาด ไม่มีสง่ิ ใด แฝงเร้นอยู่ในใจ อาตมายินดีในทานยง่ิ ” ตรสั แลว้ ทรงจบั พระกรพระนางมทั รมี ารว่ มหลงั่ สโิ นทกกรวดนำ�้ ลง ในมือพราหมณ์พระราชทานพระนางมัทรีให้ ทรงทอดพระเนตรดูพระ- นางมัทรีดว้ ยความรกั ตรสั ว่า “เราให้เธอเป็นทานเพราะเกลียดชังเธอก็ หาไม่ เธอน้ันเป็นที่รักยิ่งของเรา นารีใดในโลกน้ีท่ีเรารักแม้เพียงส่วน

65 เสี้ยวของเธอนั้นไม่มีเลย แต่พระโพธิญาณน้ันเป็นท่ีรักของเรายิ่งกว่า และเป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั่วท้ังหล้า เราจึงยอมสละเธออันเป็น ท่ีรักให้เปน็ ทาน” ล�ำดับนนั้ มหาปฐพีก็สนั่ ไหวไปถงึ พรหมโลกดงั กาลก่อน ในกาลนั้น พระนางมัทรีผู้มีดวงหฤทัยอันประเสริฐ มิได้ทรงท�ำ พระพักตร์กร้ิวพระภัสดา ไม่ทรงกรรแสง ทรงทอดพระเนตรดูพระสวามี ทรงเข้าพระทัยพระสวามีว่าพระองค์นั้นทรงกระท�ำส่ิงประเสริฐ พระนาง กราบทูลว่า “หม่อมฉันเป็นเทวีของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นใหญ่ใน หมอ่ มฉนั หากพระองค์ต้องการทรัพยก์ ็พึงขายหมอ่ มฉัน หากต้องการ เนื้อก็พึงฆ่าหม่อมฉัน หากพระองค์ปรารถนาจะประทานหม่อมฉันแก่ ผู้ใดก็พึงประทานแก่ผู้นั้น พระองค์จงกระท�ำสิ่งท่ีทรงชอบพระทัยเถิด หมอ่ มฉนั ไม่โกรธพระองค์เลย” ท้าวสกั กเทวราชทรงทราบอธั ยาศยั อนั ประณตี ของกษัตรยิ ์ทง้ั สอง จึงทรงอนุโมทนาและชมเชยสองกษัตริย์ว่า“ข้าศึกทั้งปวง ทั้งท่ีเป็นของ ทิพย์และของมนุษย์ พระองคท์ ง้ั สองทรงชนะแลว้ ปฐพบี นั ลอื ลนั่ เสยี งสาธกุ ารกอ้ งไปถงึ สวรรคช์ นั้ ไตรทพิ ย์ สายฟา้ ก็แวบวาบไปโดยรอบ เสียงโกลาหลน้ันปรากฏ ดังหนึ่งเสียงภูเขาถล่ม ทลาย เทพนกิ ายทงั้ สอง คอื นารทะและปพั พตะเหลา่ นน้ั ยอ่ มอนโุ มทนา แกส่ องกษัตรยิ ์นั้น พระอนิ ทร์ พระพรหม พระปชาบดี พระโสม พระยม และพระเวสสุวัณมหาราช เทพเจา้ ท้งั หมดย่อมอนโุ มทนาวา่ พระองค์ทรงท�ำกิจท่ีท�ำได้ยากแท้ เพราะความท่ีเหล่าผู้ให้ทาน ให้ดว้ ยยาก เพราะความทเี่ หลา่ ผู้ท�ำบญุ กรรมท�ำดว้ ยยาก อสตั บุรุษทง้ั หลายท�ำตามไม่ได้ ธรรมของสัตบุรุษท้ังหลาย อันอสัตบุรุษทั้งหลาย น�ำไปยาก เหตดุ ังน้ัน คติภมู ิท่ไี ปจากโลกนขี้ องสตั บุรุษและอสตั บรุ ษุ ท้ัง หลายต่างกัน อสตั บุรษุ ทง้ั หลายย่อมไปสนู่ รก สัตบุรษุ ท้ังหลายมสี วรรค์

66 เปน็ ที่ไปในเบือ้ งหนา้ ข้อที่พระองค์ เม่ือเสด็จประทับแรมอยู่ในป่า ได้พระราชทาน กุมารกุมารีและพระมเหสีน้ี นับว่าเป็นพรหมยานอันสัมฤทธิ์แล้วแด่ พระองค์ เพราะจะมติ อ้ งเสดจ็ ไปในอบายภมู ิ ขอพระกศุ ลทานอนั นนั้ จง อ�ำนวยวบิ ากสมบัติแดพ่ ระองค์ในสวรรคเ์ ถิด” ท้าวสักกเทวราชทรงอนุโมทนาแด่พระเวสสันดรอย่างนี้แล้ว ทรง ด�ำรวิ า่ บดั น้ี ควรทีเ่ ราจะไม่ชกั ชา้ ในที่น้ี ควรถวายคืนพระนางมทั รีแด่พระ เวสสันดร แล้วกลับไป ทรงด�ำรฉิ ะน้ี แล้วตรสั ว่า “ขา้ พระองคข์ อถวายพระนางมทั รพี ระมเหสผี งู้ ามทว่ั สรรพางค์ คืนแด่พระองค์ผู้เจริญ เพราะพระองค์มีพระฉันทะอัธยาศัย เสมอด้วย พระนางมัทรี และพระนางมัทรีก็ทรงมีพระฉันทะอัธยาศัย เสมอด้วย พระองคผ์ ู้พระสวามี น้�ำนมและสงั ข์มสี เี สมอเหมือนกัน ฉนั ใด พระองค์ และพระนางมทั รี ก็มพี ระมนัสเจตนาเสมอเหมอื นกัน ฉนั นน้ั พระองค์ทง้ั สองเป็นขัตติยชาติ สมบูรณด์ ว้ ยพระวงศ์ เกิดดแี ลว้ แต่ถูกพระมารดาพระบิดา เนรเทศให้เสด็จมารอนแรมอยู่ ณ อาศรม ในราวไพรน้ี ขอพระองค์ เมอ่ื ทรงบำ� เพ็ญทานต่อๆ ไป พึงบ�ำเพญ็ บญุ กศุ ล ตามสมควรเถดิ หมอ่ มฉันคอื ทา้ วสกั กะจอมเทพมาสูส่ �ำนักของพระองค์ หม่อมฉนั ขอถวายพระพร ๘ ประการ ขอให้พระองค์ทรงเลือกเอาพรตามอธั ยาศัย เถิด” พระเวสสนั ดรจงึ ตรสั ขอพร ๘ ประการ คือ ๑. ขอใหไ้ ด้กลบั คนื พระนคร และไดค้ รองกรุงสีพี ๒. เมือ่ ขึน้ ครองกรงุ สีพแี ลว้ ขอใหไ้ ดช้ ่วยใหน้ ักโทษพน้ จากการถกู ประหาร

67 ๓. ขอใหไ้ ด้เปน็ ท่พี ่ึงของพลเมอื งในการเลี้ยงชีพ ๔. ขอใหไ้ มต่ กอยใู่ นอ�ำนาจของสตรี ขอใหร้ น่ื รมยอ์ ยแู่ ตม่ เหสขี องตน ๕. ขอใหบ้ ตุ รมีอายยุ นื และไดค้ รองแผ่นดนิ โดยธรรม ๖. ขอใหท้ ิพยอ์ าหารปรากฏมีในนคร ๗. ขอใหไ้ ดบ้ รจิ าคทาน โดยทรัพย์สมบตั ไิ ม่หมดสิน้ ไป ๘. เมือ่ พน้ จากอตั ภาพนีแ้ ลว้ ขอให้ได้ไปสสู่ วรรค์ชั้นดุสิต เม่อื จุติ จากช้นั ดสุ ติ นั้นมาเป็นมนษุ ย์แล้ว ขอใหไ้ ดบ้ รรลุพระโพธญิ าณ ท้าวสกั กเทวราชทรงประทานพรแด่พระเวสสนั ดร แล้วเสดจ็ กลับ เทวโลก ฝ่ายชูชกพาพระชาลีและพระกัณหาเดินทางกลับกาลิงครัฐ ยาม กลางคืนตาเฒ่าใจทรามหนีสัตว์ร้ายขึ้นไปนอนบนคาคบไม้ ปล่อยให้ กมุ ารและกุมารีนอนอย่โู คนตน้ เทวดานางฟา้ สงสารจงึ แปลงกายเปน็ พระ เวสสันดรและพระนางมทั รมี าคอยดแู ล ครนั้ ยามเช้าก็หายไป เมื่อเดินทางมาถึงทางแยก เทวดาได้ดลใจให้ชูชกเดินหลงไปทาง กรงุ สีพี เม่ือถงึ กรุงสพี ี พระเจ้าสญชัยทอดพระเนตรเหน็ พระชาลีและพระ กณั หาแต่ไกล จงึ ให้อ�ำมาตยม์ าพาไปเข้าเฝา้ เพ่อื ตรสั ซกั ถามเร่อื งราว พระเจา้ สญชยั เรยี กพระชาลแี ละพระกณั หาใหเ้ ขา้ ไปหา แตท่ งั้ สอง กราบทูลว่าบัดน้ีหม่อมฉันเป็นทาสพราหมณ์เฒ่าแล้ว ไม่ใช่พระราชนัดดา ของพระองค์ จงึ ไมอ่ าจเข้าไปหาพระองคไ์ ด้ พระเจ้าสญชยั จึงไดไ้ ถต่ ัวพระ ราชนัดดาท้งั สองตามราคาทีพ่ ระเวสสันดรทรงต้งั ไว้ ชูชกได้รับพระราชทานค่าไถ่ก็กลายเป็นเศรษฐีในพริบตา มี ปราสาท ๗ ช้นั มขี ้าทาสบรวิ าร มีอาหารเลิศรส ตาเฒา่ ไม่เคยลิ้มรสอาหาร เชน่ นมี้ ากอ่ นจึงเพลนิ กนิ ไปมากจนท้องแตกตาย ฝ่ายพระเจ้าสญชัยและชาวพระนครคิดได้ว่า พระเวสสันดรถูก

68 เนรเทศไปอยปู่ า่ โดยไมม่ คี วามผดิ พระเวสสนั ดรนน้ั ทรงมพี ระทยั ในการให้ ทานเปน็ อยา่ งยง่ิ แมโ้ อรสและธดิ าทงั้ สองยงั ยอมสละเปน็ ทานได้ บดั นค้ี วร รบั พระเวสสันดรกลบั นครไดแ้ ลว้ พระองคจ์ งึ รับสง่ั ใหจ้ ัดขบวนทพั ใหญ่โต ให้พระชาลีน�ำทางไปรับพระเวสสนั ดรท่เี ขาวงกต เมื่อ ๖ กษัตริย์ คือ พระเจ้าสญชยั พระนางผสุ ดี พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา มาพบหน้ากันทเ่ี ขาวงกต ทัง้ หมด ดใี จจนถงึ วสิ ญั ญภี าพไปหมด ทา้ วสกั กเทวราชจงึ บนั ดาลใหฝ้ นโบกขรพรรษ ตกลงมา ฝนนั้นใครอยากให้เปียกก็เปียก ใครไม่อยากให้เปียกก็ไม่เปียก กษตั ริยท์ งั้ ๖ พระองค์จึงกลบั ฟนื้ คนื สตขิ ้นึ มา พระเวสสันดรเสด็จกลับสีพีพร้อมพระญาติ กลับข้ึนบัลลังก์เป็น กษัตริย์สพี ีอีกคร้ัง พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ท่ีทรงทศพิธราชธรรม ทรงให้ ทานตลอดชีวติ และยึดม่นั ในพระนางมัทรแี ต่เพียงผเู้ ดียวตามที่ขอพรท้าว สกั กเทวราชไว้ เมอื่ สน้ิ พระชนมแ์ ลว้ ทง้ั สองพระองคก์ ไ็ ปอบุ ตั ใิ นดสุ ติ สวรรค์ เจา้ ชายสิทธตั ถะและพระนางยโสธรา นางแกว้ คู่บารมี จาก พทุ ธประวัติ http://84000.org/tipitaka/picture/f00.html จ�ำเนียรกาลผ่านมาไกลแสนไกล นับตั้งแต่วันที่สุมิตตาพราหมณี อธษิ ฐานชว่ ยสุเมธดาบสสร้างสมบารมี ทั้งสองก็เวียนเกดิ เวยี นตายไมอ่ าจ นับชาตไิ ด้ มพี บ มีพลดั พราก มสี มหวัง มผี ดิ หวัง มีลาภ เส่อื มลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข แลมีทุกข์ ยากท่ีใครจะไม่เบื่อหน่าย แต่ยง่ิ นานทงั้ สองก็ย่ิงมศี ีลเสมอกัน มีปญั ญาเสมอกนั ยงิ่ มน่ั คง ไม่หวน่ั ไหว รว่ มฝา่ ฟนั สรา้ งสมบารมดี ว้ ยกนั อยา่ งไมย่ อ่ ทอ้ ไมเ่ บอื่ หนา่ ย นบั เปน็ เวลาถงึ ๔ อสงไขยกบั เศษแสนมหากัป

69 ในชาติอันเป็นท่ีสุด เทวดาอาราธนาพระโพธิสัตว์จากดุสิตสวรรค์ โดยมีพระนางยโสธราติดตามมาอุบัติพร้อมกัน พระนางยโสธรามาเกิด เป็นเจ้าหญิงราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะแห่งกรุงเทวทหะกับพระนาง อมิตาเทวี เป็นขัตติยนารีในโกลิยวงศ์ ส่วนพระโพธิสัตว์เกิดเป็นเจ้าชาย สิทธัตถะ โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางมายาเทวีแห่งกรุง กบิลพัสดุ์ อยู่ในศากยวงศ์ซึ่งอยู่อีกฟากฝั่งของแม่น�้ำโรหิณี มีพระนาง โคตมีมาตุจฉาเป็นพระมารดาเล้ียงเพราะพระมารดามายาด่วนทิวงคตไป ตั้งแตพ่ ระองคม์ ีพระชนมายุเพียง ๗ วัน เจ้าหญิงยโสธราเป็นราชธิดาท่ีงามเลิศในแผ่นดิน มีพระฉวีวรรณ เปลง่ ปลง่ั เรืองรองดังทองค�ำเปลว บางทจี งึ เรยี กว่า พิมพา ยโสธราพมิ พา ภัททา และภัททากัจจานา เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้า สุปปพุทธะและพระนางอมิตาเทวีจะจัดพิธีให้พระธิดาเลือกคู่ แต่ด้วย อ�ำนาจบุพเพสันนิวาสเจ้าหญิงยโสธรากราบทูลว่าไม่จ�ำเป็นต้องจัดพิธี เลือกคู่ เธอจะอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ ด�ำรงราช ประเพณที ส่ี องตระกลู คอื ศากยะและโกลยิ ะเคยอภเิ ษกสมรสกนั มาหลาย ชั่วอายุคน ตัวอย่างเช่น พระนางอมิตานั้นทรงเป็นศากยวงศ์ขนิษฐาของ พระเจา้ สทุ โธทนะ แตม่ าอภเิ ษกสมรสกบั พระเจา้ สปุ ปพทุ ธะแหง่ โกลยิ วงศ์ ขณะทพ่ี ระนางมายากบั พระนางโคตมซี ง่ึ เปน็ โกลยิ วงศข์ นษิ ฐาของพระเจา้ สุปปพุทธะก็ไปอภิเษกสมรสกับพระเจ้าสุทโธทนะแห่งศากยวงศ์ เป็นต้น เจ้าหญิงยโสธรากราบทูลพระมารดาว่า “หม่อมฉันได้ยินเสียงเล่าลือว่า เจ้าชายสิทธัตถะเมื่ออยู่ในสภา กษัตริย์แห่งศากยวงศ์ พระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์หนุ่มที่ทรงพระปรีชา สามารถมากท่ีสุดในสภา ความรู้ความสามารถของพระองค์เปรียบได้ดัง อาจารย์ผู้เฒ่า อีกท้ังทรงเป็นผู้น�ำและมีน�้ำพระทัยโอบอ้อมอารีอาณา ประชาราษฎร์ บุรษุ เชน่ น้ยี ่อมเป็นทพี่ ง่ึ แก่หม่อมฉนั อาณาประชาราษฎร์ และทรงเปน็ นายกของโลกได้”

70 ราชวงศ์ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการตัดสินใจของเจ้าหญิงยโสธรา แต่ด้วยเหตุท่ีเจ้าหญิงยโสธรามีสิริโฉมงดงามมาก เช้ือพระวงศ์หนุ่มล้วน หมายปองอยากได้เป็นชายา อีกท้ังยังเป็นราชธิดากษัตริย์ที่บรรดาเชื้อ พระวงศ์ช้ันผู้ใหญ่ปรารถนาอยากได้เป็นสุณิสาเพื่อยกฐานะราชวงศ์ของ ตนใหส้ งู ขนึ้ เผอื่ วนั หนา้ โอรสของตนจะไดม้ โี อกาสขนึ้ ครองบลั ลงั กก์ ษตั รยิ ์ กบิลพัสดุ์ต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ บรรดาพระประยูรญาติช้ันผู้ใหญ่ท่ีมี โอรสจึงคัดค้าน อ้างว่าเจ้าชายสิทธัตถะไม่เคยเรียนศิลปะวิทยาอะไรเลย ควรให้เจ้าชายสิทธัตถะแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เพ่ือหาโอกาสให้โอรส ของตนไดร้ ว่ มประลองดว้ ย พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาและพระนางโคตมีพระมาตุจฉา ทั้งสองพระองค์ทรงหนักพระทัยว่าเจ้าชายสิทธัตถะไม่เคยร่�ำเรียนศิลปะ วิชาจรงิ แต่เจ้าชายสทิ ธตั ถะกราบทูลวา่ “ข้าพระองค์ไมม่ กี ิจในการศึกษา ศิลปะ ข้าพระองค์เจนจบสรรพวิชาในโลกนี้แล้วท้ังหมดด้วยตัวเอง ไม่มี ครูคนไหนมีความรู้เท่าข้าพระองค์อีกแล้ว ขอให้พระบิดาตีกลองประกาศ ให้พระญาติและชาวพระนครมาดูการแสดงศิลปะของข้าพระองคใ์ นอีก ๗ วนั ขา้ งหน้าเถิด” พระเจ้าสุทโธทนะทรงเชื่อม่ันในพระโอรส เพราะเมื่อวันเฉลิม พระนามน้ันโหราจารย์ ๘ คนได้เคยท�ำนายไวแ้ ล้วว่าหากเจ้าชายสิทธัตถะ ข้ึนครองแผ่นดินเมื่อไรจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์จึงรับสั่งให้ ราชบุรษุ ไปป่าวประกาศการแสดงศิลปะวทิ ยาในอีก ๗ วนั ข้างหนา้ การแสดงศิลปะวิทยาของเจ้าชายสิทธัตถะจัดขึ้นที่พระลานหลวง มีหมู่พระประยูรญาติและมหาชนจ�ำนวนมากมารอดูจนเต็มพระลาน เจ้า ชายสิทธัตถะได้ประลองฝีมือเชิงธนูกับนายขมังธนู ทรงเอาชนะนายขมัง ธนูได้หมดทั้งเรื่องการแข่งขันยิงเร็วดังสายฟ้า แข่งยิงเป้าเล็กเท่าปลายขน หางสัตว์ แข่งยิงลูกศรปะทะกัน แข่งยิงเป้าโดยฟังจากเสียง และแข่งยิง ตามลูกศร อกี ทัง้ ทรงแสดงพละก�ำลังดว้ ยการยิงศรทะลแุ ผน่ ไม้สะแกหนา

71 ๘ นว้ิ แผ่นไมป้ ระดู่ ๔ นว้ิ แผน่ ทองแดง ๒ น้วิ แผน่ เหล็ก ๑ นวิ้ ทรงแสดง ความเท่ยี งตรงด้วยการยิงแผน่ กระดาน ๑๐๐ ครง้ั ใหศ้ รปกั ตอ่ เนอ่ื งกันจน เห็นเป็นเส้น เป็นต้น ครั้นแสดงศิลปะเหล่านี้แล้วก็เชิญชวนเช้ือพระวงศ์ อน่ื ให้มารว่ มประลองกนั แตไ่ มม่ ใี ครกลา้ ประลองด้วย เจ้าชายสิทธัตถะจงึ แสดงศลิ ปะอยา่ งอน่ื ทไี่ มม่ ใี ครท�ำไดอ้ กี แมแ้ ตร่ ะดบั อาจารย์ ไดแ้ ก่ ศลิ ปะชอ่ื จักกวิทธ สรลัฏฐิ สรรัชชุ สรเวณิ สรปาสาทะ สรมัณฑปะ สรโสปาณะ สรมณั ฑละ สรปาการะ สรวนะ สรโปกขรณี สรปทุมะ สรปุปผะ สรวัสสะ เป็นตน้ จบการแสดงศิลปะโดยไม่มีผู้ใดติดใจสงสัย รวมทั้งบรรดาพระ ประยูรญาติก็หมดข้ออ้าง เจ้าชายสิทธัตถะจึงได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง ยโสธรา ขณะที่ศากยวงศ์อ่ืน ๆ เช่ือว่าวันหน้าเจ้าชายสิทธัตถะจะได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิแน่ จึงน�ำธิดามาถวายเป็นชายา ๑๘,๐๐๐ พร้อมสตรี บาทบรจิ ารกิ าอกี ๔๐,๐๐๐ โดยมีพระนางยโสธราเป็นเทวีใหญเ่ หนือสตรี ทั้งมวล เจ้าชายสิทธัตถะและพระนางยโสธราเกษมส�ำราญอยู่ในปราสาท ๓ ฤดู ทพี่ ระเจา้ สทุ โธทนะทรงสรา้ งใหเ้ พอ่ื ผกู ใจเจา้ ชายสทิ ธตั ถะไวใ้ หค้ รอง เรือน ทรงหวังวา่ เจ้าชายสทิ ธัตถะจะไดเ้ ปน็ พระเจา้ จักรพรรดิ ไมป่ ระสงค์ จะใหเ้ จ้าชายออกบวช เพราะแม้ ๘ พราหมณ์ส่วนใหญจ่ ะท�ำนายเปน็ สอง สถานวา่ หากเจ้าชายสิทธัตถะครองราชสมบตั จิ ะได้เป็นพระเจา้ จักรพรรดิ ปกครองทวีปใหญ่ท้ังสี่ และหากออกบวชจะเป็นมหาศาสดาของโลก แต่ โหราจารย์อาวุโสน้อยนามว่าโกณฑัญญะผู้เจนจบในวิชาลักษณมนต์มาก ที่สุดกลับท�ำนายเพียงสถานเดียวว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะทิ้งเรือนออกบวช เป็นมหาศาสดาของโลกเท่านัน้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิบัติหน้าที่ในศากยสภา และเสด็จออก เยย่ี มเยยี นอาณาประชาราษฎรอยา่ งสมำ�่ เสมอ เมอื่ ทรงเหนด็ เหนอื่ ยกลบั มา

72 ปราสาท ๓ ฤดู พระนางยโสธราก็จะน�ำหมู่นารมี าปรนนบิ ตั ิพระภัสดา จดั หมู่นารีมาฟ้อนร�ำและขับกล่อมบรรเลงให้เกษมส�ำราญคลายความเครียด จากการงาน เปน็ เวลาถึง ๑๔ ปีพระนางยโสธราจงึ ทรงพระครรภ์ ในขณะน้ันเกิดเหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เพราะท้ังสองนครท�ำเกษตรกรรม ต่างฝ่ายต่างทดน้�ำจากแม่น�้ำโรหิณีข้ึน มาให้นาข้าว แต่ปีน้ันน�้ำน้อยไม่พอใช้ กบิลพัสดุ์จึงขอให้เทวทหะหยุดท�ำ นา ฝา่ ยเทวทหะกข็ อรอ้ งใหก้ บลิ พสั ดห์ุ ยดุ ท�ำนาเหมอื นกนั ทงั้ สองฝา่ ยตา่ ง ไมย่ อมถอยให้กัน ศากยสภาพิจารณาว่าเรื่องน้ำ� เปน็ ปัญหาเรอ้ื รังมาหลาย สมัย ปีไหนน�้ำมากเร่ืองก็สงบ แต่ปีไหนน้�ำน้อยจะมีเรื่องกระทบกระท่ัง กันเสมอ เพ่ือแก้ปัญหาน้ีแบบถาวรสภาจึงมีความเห็นว่าต้องท�ำศึกปราบ โกลิยะด้วยก�ำลัง แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรงคัดค้านว่าการใช้ก�ำลังประหัต ประหารกันท�ำใหป้ ระชาชนเดอื ดร้อน ควรใชส้ ันติวธิ ีแก้ไขปญั หามากกว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงกังวลพระทัยท่ีมีเสียงเดียวคัดค้านในศากย- สภา พระนางยโสธราทรงเห็นว่าพระภัสดาคร่�ำเครียดกับราชกิจมากเกิน ไป จึงกราบทูลให้เสด็จประพาสอุทยานเพื่อพักผ่อน เจ้าชายสิทธัตถะจึง ใหน้ ายสารถีขบั ยานพาเสดจ็ ไปประพาสอุทยาน ระหว่างทางเสด็จประพาสอุทยาน เทวดาได้แสดงนิมิตเป็น เทวทูตทงั้ ส่ี คอื คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ให้เจ้าชายสิทธัตถะ ทอดพระเนตรเหน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะแมเ้ คยเหน็ คนแก่ คนเจบ็ และคนตาย มาแลว้ ว่าเปน็ ปกติโลก แตใ่ นยามทีพ่ ระองค์ทรงทกุ ข์พระทยั ดว้ ยความ เปน็ หว่ งราษฎร เมอ่ื ไดเ้ หน็ คนแก่ คนเจบ็ และคนตายในครง้ั นพี้ ระองคย์ งิ่ เปน็ ทกุ ขโ์ ทมนัส ทรงร้สู ึกวา่ ไมว่ ่าพระองค์จะทมุ่ เทสตปิ ัญญาช่วยเหลอื อาณาประชาราษฎรมากเพียงใด แต่ในที่สุดแล้วอาณาประชาราษฎร์ ของพระองคก์ ็ไม่มีใครพ้นจากทกุ ขเ์ พราะความไมเ่ ที่ยงเหลา่ น้ีเลย ทรง สลดสงั เวชวา่ สรรพสตั วท์ ง้ั หลายทเี่ วยี นวา่ ยอยใู่ นสงั สารวฏั นี้ ทกุ รปู ทกุ

73 นาม ล้วนตอ้ งประสบกับความทุกขจ์ ากความแก่ ความเจบ็ และความ ตาย ต้องพบกับโสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั อุปายาส ต้องมีนำ้� ตานอง หน้าอยู่ร�่ำไป พระองค์ทรงเบ่ือหน่ายระอาอย่างหนักไม่อยากติดอยู่ใน บ่วงทุกข์นี้อีกแล้ว ทรงอยากจะค้นหาหนทางดับทุกข์เพื่อพระองค์เอง และมวลสรรพสัตว์ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะสรงสนานกลางวนั แลว้ ประทบั นงั่ ประทบั นอนบน แผ่นศิลาในราชอุทยาน ทรงใคร่ครวญถึงนักบวชว่าเป็นเพศท่ีสงบ ละทิ้ง ความทกุ ขจ์ ากการครองเรอื น หรือนกั บวชน้จี ะเปน็ เพศทสี่ ามารถก้าวข้าม กองทกุ ขไ์ ด้ ทรงพจิ ารณาทบทวนและใคร่ครวญไปมาจากเชา้ จรดเยน็ ใน ทส่ี ุดพระองค์กม็ พี ระทัยนอ้ มน�ำไปทางบรรพชา เย็นวันน้ัน พระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งราชบุรุษให้มากราบทูลว่า พระนางยโสธราประสตู ิพระโอรสแล้ว เจา้ ชายสิทธตั ถะทมี่ พี ระทัยน้อมน�ำ ไปทางบรรพชาแล้วทรงร�ำพึงวา่ “ราหุล คือ บ่วงใหญ่เกิดข้ึนแล้ว เพราะบุตรย่อมเป็นที่รักดัง แก้วตาดวงใจของบิดามารดา ท�ำให้บิดามารดาต้องถนอมเลี้ยงดู ต้อง ดน้ิ รนหาทรัพยม์ าให้ เป็นเหมอื นบว่ งใหญ่ทผ่ี กู บดิ ามารดาไว้ใหห้ ลงตดิ อยู่ในทะเลทกุ ข์” เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จกลับปราสาท ๓ ฤดูยามพลบค่�ำ ทรงทอด พระเนตรดูการขับฟ้อนและสดับเสียงเพลงขับขานของเหล่านารี แต่ พระองค์ไม่มีความสุขหรือหลงใหลในรูปและเสียงเหล่านั้นเหมือนเช่นคืน วันที่ผ่านมาเลย พระองค์ยังเฝ้าค�ำนึงถึงการออกบวชอยู่ไม่คลายจนเผลอ บรรทมหลบั ไป ราตรีนั้นพระองค์ทรงตื่นบรรทมข้ึนกลางดึก ทอดพระเนตรเห็น เหล่าสนมนางในนอนหลับกล้ิงเกลือกอยู่โดยรอบ ด้วยพระหทัยท่ีเบื่อ

74 หน่ายระอาอย่างหนักท�ำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนางในเป็นซากศพ เหลยี วดพู ระราชนเิ วศนท์ เ่ี คยงดงามกว็ งั เวงคลา้ ยปา่ ชา้ พระองคจ์ งึ ลกุ จาก พระแท่นเสด็จไปทอดพระเนตรดูพระนางยโสธรากับพระโอรสองค์น้อย เพราะมภี พจงึ มชี าติ พระองคจ์ ะตอ้ งหาวธิ ตี ดั ภพตดั ชาตแิ ละตดั กองทกุ ขน์ ี้ ใหจ้ งได้ ทรงตดั สนิ พระทยั เดด็ ขาดวา่ จะตอ้ งเสดจ็ หนไี ปบรรพชาในคนื นเี้ ลย เจา้ ชายสทิ ธตั ถะปลกุ นายฉนั นะใหเ้ ตรยี มมา้ และพาพระองคเ์ สดจ็ หนีไปจากกบิลพสั ดใ์ุ นยามดกึ เม่ือเสด็จออกนอกประตูพระนคร พระองค์ ทรงเหลยี วพระพักตรก์ ลบั มาทอดพระเนตรมหาราชวงั ตัง้ ใจวา่ วันหน้าจะ น�ำอมตธรรมมาใหพ้ ระเทวี พระโอรส และพระประยูรญาติทุกพระองค์ วนั รงุ่ ขน้ึ นายฉนั นะน�ำฉลองพระองคข์ องเจา้ ชายสทิ ธตั ถะมาถวาย กราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่าเจ้าชายเสด็จออกจากนครไปบรรพชาแล้ว พระองคเ์ สดจ็ ออกจากแควน้ ศากยะผา่ นแควน้ โกศลเขา้ สแู่ ควน้ มลั ละ แลว้ ปลงผมเปน็ บรรพชติ ท่รี มิ แม่นำ�้ อโนมานที พอสดับข่าวร้ายว่าพระสวามีเสด็จหนีไปบรรพชาแล้ว พระนาง ยโสธรากก็ รรแสงปร่มิ ว่าจะขาดใจ ทั้งเปน็ ห่วงโอรสองค์น้อยทเ่ี พงิ่ ประสตู ิ และทรงเป็นห่วงพระสวามี ปรารถนาจะเสด็จติดตามไปในบัดดล แต่ พระเจา้ สทุ โธทนะทรงหา้ มไว้ ตรสั วา่ “ยโสธรา เธออยา่ เพงิ่ ตดิ ตามสทิ ธตั ถะ ไปเลย หลานเราเพ่ิงจะประสูติ เธอตอ้ งอยูบ่ �ำรุงหลานเราใหโ้ ตกอ่ น โอรส ของเราเสด็จหนีไปกลางดึก เร่งรีบเดินทางตลอดคืนไปแสนไกลแล้ว ออกบวช คงมุ่งมั่นจะค้นหาสัจธรรมให้พบ ไม่ประสงค์ให้พวกเราติดตาม เมอื่ เปน็ เชน่ นี้พวกเราก็อยา่ ตามเลย โอรสของเราเม่ือแรกประสูติ พราหมณ์โหราจารย์ท�ำนายว่าหาก โอรสของเราครองบัลลังก์จะได้เปน็ พระเจ้าจักรพรรดิ แตห่ ากออกบวชจะ เป็นมหาศาสดา บดิ าอย่างเราอยากใหโ้ อรสเปน็ พระเจา้ จกั รพรรดจิ ึงสรา้ ง

75 ปราสาท ๓ ฤดใู ห้ จดั สนมนางในให้ ความสขุ ใดๆ ท่เี ปน็ เลิศเราลว้ นจัดให้ แตโ่ อรสของเรากลบั ทง้ิ ลาภยศสรรเสรญิ โกนหวั ออกบวช ยอมเปน็ คนโลน้ ใหเ้ ขาดแู คลน ชะรอยโอรสของเราจะได้เปน็ พระพทุ ธเจา้ โดยแท้” ตรัสแล้วพระเจ้าสุทโธทนะก็รับส่ังห้ามไม่ให้ผู้ใดตามเจ้าชาย สิทธัตถะกลับ แต่ทรงส่งราชบุรุษคอยสดับข่าวมารายงานเท่านั้นว่าพระ โอรสเสดจ็ ไปทใ่ี ด พรอ้ มทัง้ พระราชทานนามให้พระราชนัดดาองคใ์ หม่วา่ ราหลุ ตามค�ำอุทานของเจา้ ชายสทิ ธตั ถะเม่ือวันวาน ราชบุรุษติดตามน�ำข่าวมากราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะเป็นระยะ ว่า เจ้าชายสิทธัตถะนุ่งห่มผ้าย้อมฝาด เสด็จเข้าไปในนครราชคฤห์แล้ว ทรงด�ำเนินด้วยพระบาทเปล่า เสวยอาหารจากการขอ บรรทมบนแผ่น กระดาน พระนางยโสธราเทวีสดับดังนั้นจึงหันมาใช้ผ้าย้อมฝาด ไม่สวม ฉลองพระบาท และบรรทมบนพ้ืนด้วย เมื่อสดับข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ไปบ�ำเพ็ญฌานสมาบัติกับสองดาบส พระนางยโสธราก็บ�ำเพ็ญฌานด้วย จนเมื่อมีข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปอุรุเวลาเสนานิคมแล้ว ทรงอด พระกระยาหารทรมานกาย พระนางยโสธราก็ทรงอดพระกระยาหารดว้ ย จนพระวรกายซบู ผอม พระเจ้าสุทโธทนะตรัสปลอบพระสุณิสาว่าอย่าเสียใจไปเลย เธอ ยงั สาวยังสวยอยู่ ควรบ�ำรุงตนให้ผ่องใส มีความสขุ แลว้ เลอื กเช้ือพระวงศ์ สักองค์หน่ึงเป็นคู่ครอง แต่พระนางยโสธรากราบทูลว่า “หม่อมฉันเป็น ชายา พระสวามเี ปน็ ทพ่ี ง่ึ ของหมอ่ มฉนั เมอื่ พระสวามขี องหมอ่ มฉนั ตง้ั ใจ จะเปน็ ทพ่ี ง่ึ ใหแ้ กโ่ ลกดว้ ยหมอ่ มฉนั ยอ่ มยนิ ดี ขณะนหี้ ากหมอ่ มฉนั ไดอ้ ยู่ ร่วมกบั พระสวามหี มอ่ มฉนั ก็ปฏิบตั ิเชน่ นเ้ี หมอื นกนั หมอ่ มฉนั ไม่ปรารถนาชายใดอกี ชายผู้เปีย่ มด้วยคณุ ความดีดงั พระสวามีของหม่อมฉนั ไม่มอี ีกแลว้ ”

76 เจ้าชายสิทธัตถะบ�ำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างอุกฤษฎ์ ทรงอดอาหาร กลน้ั ลมหายใจ พระวรกายซบู ผอมเหลอื เพยี งหนงั หมุ้ กระดกู ไรเ้ รย่ี วแรงจน หมดสติแทบสน้ิ พระชนมห์ ลายครง้ั แตก่ ไ็ ม่พบโมกขธรรม ทรงพจิ ารณาวา่ หนทางนตี้ บี ตนั จงึ เลกิ แลว้ หนั มาบ�ำเพญ็ อรยิ มรรคอนั เปน็ ทางสายกลาง ใน ทส่ี ดุ หลังจากบรรพชาแล้ว ๖ ปี พระองคก์ ็บรรลุพระโพธิญาณ ตรสั รูอ้ มต- ธรรมเปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มโนรถทพี่ ระองคต์ งั้ ความปรารถนาไวแ้ ทบ บาทมลู พระทปี งั กรทศพลเมอื่ ๔ อสงไขยกบั เศษแสนมหากปั ถงึ ทห่ี มายแลว้ หลังตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์เสด็จไปแสดงปฐมเทศนาแก่ ปัญจวัคคีย์ท่ีป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี แล้วเสด็จไป ประกาศพระศาสนาทก่ี รงุ ราชคฤห์ แควน้ มคธ ทรงจ�ำพรรษาทส่ี องทเี่ วฬวุ นั วหิ าร ในครง้ั นน้ั มผี ปู้ ระกาศตนเปน็ พทุ ธมามกะเรอื นแสน มผี อู้ อกบวชเปน็ ภกิ ษเุ รอื นหมนื่ และมพี ระอรหนั ตเ์ รอื นพนั อมตรสแหง่ ธรรมของพระพทุ ธ- องคเ์ รอื งรองอยกู่ ลางใจของสรรพสตั ว์ พระเกยี รตคิ ณุ ขจรไกล พระเจา้ สทุ โธทนะสดบั วา่ เจ้าชายสทิ ธัตถะตรสั รธู้ รรมแลว้ ขณะน้ี ประทับอยู่ท่ีเวฬุวันวิหารในนครราชคฤห์ มีพระประสงค์จะฟังธรรมจาก พระพุทธองค์ จึงส่งอ�ำมาตย์พร้อมบริวารพันคนไปทูลเชิญพระพุทธองค์ ใหเ้ สดจ็ นวิ ตั กิ บลิ พสั ด์ุ แตอ่ �ำมาตยเ์ หลา่ นนั้ ไปเขา้ เฝา้ ฟงั ธรรมจบแลว้ ส�ำเรจ็ เปน็ พระอรหนั ตท์ งั้ หมด จงึ พากนั ออกบวชไมม่ ใี ครนมิ นตพ์ ระพทุ ธองคเ์ สดจ็ นวิ ตั ิพระนครเลย เป็นอย่างน้ีถึง ๙ คณะ จนถึงคณะที่ ๑๐ พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้ กาฬุทายีอ�ำมาตย์ ผู้ซึ่งเป็นสหชาติและเป็นพระสหายของเจ้าชายสิทธัตถะเม่ือคร้ังทรง พระเยาวเ์ ปน็ หวั หนา้ คณะ ตรสั ก�ำชบั วา่ ถงึ อยา่ งไรกต็ อ้ งเชญิ เสดจ็ พระพทุ ธ- องค์นิวัติพระนครให้จงได้ กาฬุทายีอ�ำมาตย์กราบทูลว่าถ้าหากพระองค์ อนญุ าตใหบ้ วช เขากจ็ ะพยายามสดุ ความสามารถทจ่ี ะทลู เชญิ พระพทุ ธเจา้

77 ให้เสด็จนิวัติกบิลพัสดุ์นครให้จงได้ ซึ่งพระเจ้าสุทโธทนะก็ทรงประทาน อนญุ าต กาฬุทายีอ�ำมาตย์พาคณะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจาก พระพุทธองค์แล้วส�ำเร็จเป็นพระอรหันต์และออกบวชเป็นภิกษุเหมือน อ�ำมาตยค์ ณะกอ่ นๆ แตไ่ มล่ มื ภารกจิ ทไี่ ดร้ บั มอบหมายมา วนั หนงึ่ หลงั ฤดฝู น พระกาฬุทายีเถระจึงกราบทูลพระพุทธองค์ว่า พุทธบิดาขออาราธนาให้ เสด็จนิวัติกบิลพัสดุ์นคร ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับอาราธนา และน�ำพระ อรหันตข์ ณี าสพสองหมน่ื รปู เสดจ็ ไปโปรดพระประยรู ญาตทิ นี่ ครกบิลพสั ด์ุ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ถงึ กรงุ กบลิ พสั ดพ์ุ รอ้ มพระสาวก เสดจ็ ไปประทบั ท่ีนิโครธาราม มีหมู่พระประยูรญาติจ�ำนวนมากไปฟังธรรม แต่พระญาติ ผใู้ หญย่ งั มมี านะไมถ่ วายความเคารพดว้ ยคดิ วา่ พระพทุ ธองคเ์ ปน็ พระญาติ ท่ีมีวัยน้อยกว่า พระพุทธองค์จึงทรงแสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศ ท�ำลายมานะหมู่พระประยูรญาติจนยอมรับนบั ถอื สนิทใจถวายบังคม ทรง ท�ำใหฝ้ นโบกขรพรรษตกลงมาแลว้ แสดงธรรม แตท่ า่ มกลางหมพู่ ระประยรู ญาติทงั้ หมดนน้ั กลับไม่ปรากฏกายของพระนางยโสธรา พระนางยโสธราท่ีเฝ้าติดตามข่าวและเฝ้ารอพระสวามีอยู่ทุกวัน ตลอดเวลา ๗ ปีวันนี้กลับไม่กล้ามาเฝ้า พระนางเก็บองค์สดับข่าวคราว อยใู่ นต�ำหนกั กบั สนมนารดี ว้ ยดวงหฤทยั สบั สนวนุ่ วาย อยากพบแตก่ ท็ �ำตวั ไมถ่ กู เพราะบดั นเี้ จา้ ชายสทิ ธตั ถะมฐี านะเปน็ พระพทุ ธเจา้ เอกบรุ ษุ ของโลก ทรงเกรงไปวา่ หากไดพ้ บหนา้ แลว้ พระพทุ ธองคไ์ มส่ นพระทยั จะท�ำอยา่ งไร ด�ำรแิ ล้วก็กรรแสงด้วยความน้อยพระทัย วันรุ่งข้ึน พระนางยโสธราประทับในต�ำหนักช้ันบน เปิดพระแกล แอบแลดวู ่าเมือ่ ไหรพ่ ระพทุ ธองคจ์ ะเสด็จมา แลว้ พระนางก็เห็นพระพทุ ธ- องค์ด�ำเนินด้วยพระบาทเปล่าน�ำหน้าภิกษุสาวกเท่ียวบิณฑบาตอยู่ตาม ตรอก พระนางรบี ออกไปกราบทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ พระเจ้า

78 สุทโธทนะตกพระทัยระลึกได้ว่าพระองค์ไม่ได้นิมนต์พระศาสดาและพระ สาวกให้มาฉันในพระราชนิเวศน์ เพราะด�ำริว่าพระพุทธองค์คงจะเสด็จ มาเองด้วยความคุ้นเคย พระองค์รีบออกไปนิมนต์พระพุทธองค์เข้ามาใน พระราชวัง วันต่อมา พระพุทธองค์เสด็จมาท�ำภัตกิจในพระราชวังอีก ทรง แสดงธรรมโปรดพุทธบิดาและพระประยูรญาติท่ีพร้อมใจกันมาเฝ้าฟัง ธรรม แต่วันน้ีก็ยังไม่มีพระนางยโสธราและเหล่านางสนมกัญญาที่ยังเก็บ ตัวอย่ใู นต�ำหนัก พระเจา้ สทุ โธทนะตรสั วา่ “สามวนั แลว้ ทยี่ โสธราไมอ่ อกมาฟงั ธรรม เธอเฝ้ารอพระพุทธองค์ทุกวันตลอด ๗ ปีเต็ม เธอแอบแลมองจากช่อง พระแกลแต่ไม่กล้าออกมา ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตาเสด็จไปโปรดยโส ธราดว้ ยเถดิ ” พระพทุ ธองคท์ รงทราบอธั ยาศยั ของพระนางยโสธราคบู่ ารมี พระองค์จึงเสด็จไปโปรดพระนางถึงในต�ำหนัก เมื่อพระนางยโสธราเห็น พระพุทธองคเ์ สด็จมาหากด็ พี ระทยั เขา้ มากอดพระบาทรำ�่ ไห้ดงั คนไร้สติ พระเจ้าสุทโธทนะตรัสว่า “ยโสธราคอยสดับข่าวพระสวามีอยู่ เสมอมิได้ขาด เธอได้ยินว่าพระสวามีปฏิบัติองค์เช่นไรเธอก็ปฏิบัติเช่น นน้ั เธอครองผ้าย้อมฝาด เดนิ พระบาทเปล่า นอนบนพน้ื กระดาน และ อดอาหารทรมานกาย โลกนี้จะหานารีใดรักและเทิดทูนพระพุทธองค์ เทา่ ยโสธราคงไม่มีอกี ” พระศาสดาตรัสชื่นชมพระนางยโสธราว่า “ยโสธราเป็นผู้มีใจ มั่นคงยากจะมีนารีใดเหมือน แม้ในอดีตชาติเธอก็เป็นเช่นน้ี คราวใดท่ี ตถาคตใหท้ านเธอกใ็ หท้ าน คราวใดตถาคตรกั ษาศลี เธอกร็ กั ษาศลี คราว ใดตถาคตออกบวชบ�ำเพญ็ ภาวนาเธอก็ออกบวชบ�ำเพญ็ ภาวนา ตถาคตเกิดเปน็ เศรษฐสี ละทรัพยแ์ ล้วออกบวช เธอก็สละทรพั ย์

79 ออกบวช เราบ�ำเพ็ญฌานด้วยกัน ฉันแต่น้อย เป็นอยู่อย่างล�ำบาก สดุ ท้ายเธอนอนตายรมิ ทางน่าสงสาร ตถาคตเกิดเป็นจันทกินนร ยโสธราเป็นจันทกินรี เราเที่ยวเล่น สุขส�ำราญอยู่ที่จันทบรรพต เมื่อจันทกินนรถูกยิงปางตายเธอก็ไม่ยอม ทิ้ง เธออุ้มร่างสามีขึ้นไปยอดบรรพตกล่าวอ้อนวอนเทวดาจนจันทกิน นรฟื้นคืนชวี ิตขึน้ มาได้ ตถาคตเกิดเป็นพระเวสสันดร ยโสธราเป็นมัทรี ตถาคตให้เธอ เป็นทานแก่ยาจกเธอก็ยังยินดีอนุโมทนา ผู้มีใจมั่นคงเหมือนยโสธรา ไมม่ อี ีกแลว้ ” พระพุทธองค์ทรงเมตตาตรัสถึงคุณความดีนานัปการ พระนาง ยโสธราพอสดับว่าพระพุทธองค์ทรงชื่นชมก็มีปีติ ด�ำรงสติไว้ได้ ทรงหยุด กรรแสงและน้อมใจฟงั ธรรม ฟังธรรมจบแลว้ กส็ �ำเร็จเปน็ พระโสดาบนั หลังจากวันน้ัน พระนางยโสธราก็พาหมู่สนมนารีออกมาฟังธรรม พระพุทธองค์ทุกวัน ถึงวันที่ ๗ พระโอรสราหุลในวัย ๗ ชันษาเข้ามา คลอเคลียพระมารดา พระนางยโสธราตรสั วา่ “ลูกดพู ระมหาสมณะรูปน้ัน พระองคเ์ ป็นพระบดิ าของลกู ” พระโอรสราหลุ ดีใจเขา้ ไปกราบทลู ใกลช้ ดิ พทุ ธบดิ า เมอ่ื ท�ำภตั กจิ เสรจ็ แลว้ พระพทุ ธองคก์ เ็ สดจ็ กลบั พระนางยโสธรา จึงตรสั กับพระราหลุ วา่ “ราชสมบตั ิน้เี ป็นของพระบิดา หากลูกปรารถนา ราชสมบัติก็ใหต้ ามไปเฝา้ พระบดิ าทีอ่ าราม ทูลขอราชสมบัติ” ราหุลก็ตาม เสดจ็ ไปทลู ขอแบบไรเ้ ดยี งสา พระพทุ ธองคท์ รงพบราหลุ ด�ำรวิ า่ ราชสมบตั ิ เป็นแค่โลกียสมบตั ไิ มย่ ั่งยนื เปน็ ไปเพ่ือการเวียนวา่ ยตายเกิด ท�ำให้เกดิ ความทกุ ขไ์ มส่ นิ้ สดุ เราจะใหโ้ ลกตุ รสมบตั แิ กโ่ อรส ด�ำรแิ ลว้ จงึ ใหบ้ รรพชา ราหลุ เปน็ สามเณร นอกจากจะเสียพระสวามีแลว้ คราวนพ้ี ระนางยโสธรายงั เสยี พระ

80 โอรสไปอีกองค์ เพราะพระพุทธองค์ประทับอยู่ท่ีนครกบิลพัสดุ์เพียงคร่ึง เดอื นกเ็ สดจ็ กลบั นครราชคฤห์ พาสามเณรราหลุ ไปดว้ ย อกี ทงั้ ยงั มรี าชสกลุ อีกหลายองคต์ ามเสด็จไปบวชจนศากยวงศ์เงยี บเหงาไปไมเ่ หมอื นเก่า พระนางยโสธราประทับอยู่ในต�ำหนักอย่างเงียบเหงาต่อมาอีก ๓ ปี พระเจา้ สุทโธทนะก็สวรรคต หลงั จดั งานพระบรมศพแลว้ พระนางโคตมี ก็พามาตุคาม ๕๐๐ เสด็จตามพระศาสดาไปจนไดพ้ ทุ ธานุญาตใหบ้ รรพชา เปน็ ภกิ ษณุ ี พระราชนเิ วศนท์ เี่ งยี บเหงาอยแู่ ลว้ บดั นจ้ี งึ เงยี บเหงาหนกั ยงิ่ ขนึ้ พระนางยโสธราด�ำริว่าพระสวามีเราบวชเป็นพระพทุ ธเจ้า โอรสเราก็บวช พระมาตุจฉาก็บวช นางสนมกัญญา ๕๐๐ ของพระเจ้าสุทโธทนะก็บวช ในพระราชวังแห่งนี้มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้อาลัยอีก พระนางจึง ชวนนางสนมกญั ญา ๑,๑๐๐ คน ออกบรรพชาเปน็ ภกิ ษณุ ใี นส�ำนกั ของพระ โคตมีเถรี บวชแลว้ ได้ชอ่ื ว่า ภทั ทากจั จานา พระภทั ทากจั จานาภกิ ษณุ เี ขา้ ไปเฝา้ รบั กรรมฐานจากพระพทุ ธองค์ แลว้ ปลีกองค์บ�ำเพ็ญภาวนา ด้วยบญุ บารมีทสี่ รา้ งสมมายาวนานเมอื่ เจรญิ วปิ ัสสนาได้ไม่ทันถงึ ๑๕ วัน ก็บรรลอุ รหตั ผลส�ำเร็จเป็นพระอรหันตพ์ ร้อม ด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เป็นผู้ช�่ำชองในอภิญญาสมาบัติเหนือพระอรหันต์ องค์อน่ื ๆ ขณะท่พี ระอรหนั ต์อน่ื ใช้ก�ำลงั ฌานสมาบตั ิเต็มทีย่ ังระลกึ ชาตไิ ด้ เพยี งแสนมหากปั แตพ่ ระกจั จานาเถรนี น้ั เพยี งแคช่ วั่ ขณะทยี่ กเทา้ ขดั สมาธิ ก็สามารถระลึกชาติได้ถึงอสงไขยแสนกัป พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องให้ เปน็ เอตทคั คะ เปน็ ยอดของภกิ ษณุ ผี ทู้ รงอภญิ ญาใหญ่ สว่ นสากยิ านภี กิ ษณุ ี รูปอื่นๆ กท็ ะยอยส�ำเรจ็ เปน็ พระอรหันตไ์ ปตามล�ำดบั หลังจากส�ำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระภัททากัจจานาเถรีและ พระสากยิ านเี ถรี ๑,๑๐๐ รูป ก็พ�ำนกั หลกี เรน้ อยใู่ นเชตวันวหิ าร มีความ สุขอยใู่ นวเิ วกและฌานสมาบตั ิ น้อยคร้งั นักทีจ่ ะออกมาพบมหาชน

81 “การจากลาครง้ั สดุ ท้ายตลอดกาล”

82 นับจากได้รับพุทธพยากรณ์ล่วงกาลบารมีเต็มพร้อมบรรลุสมดัง ประสงค์ใน ๔ อสงไขยแสนมหากัป พระนางพิมพานางแก้วไม่ได้เป็นแค่ คู่รักคู่ครอง แต่เป็นคู่บุญ คู่สร้างบารมี ความรักของพระองค์ท่านทั้งสอง มิได้เป็นรกั ท่ไี ร้จุดหมาย แตเ่ ป็นรกั ทมี่ เี ปา้ หมายส�ำคญั ย่ิงใหญ่ชดั เจน เปน็ ตัวอย่างแก่ผู้ที่ปรารถนาจะมีรักแท้ว่า รักแท้ต้องมีจุดหมาย และมีวันจบ เพราะหากไม่จบกต็ ้องวนเวียนกลับมาทกุ ข์ไม่เลิก รักแทม้ จี ดุ จบที่สวยงาม หาใชร่ กั แบบเจบ็ เพราะความพลดั พรากซำ�้ ๆ ไมจ่ บ ทง้ั สองพระองคค์ รองรกั กนั มใิ ชเ่ พอ่ื ขยายสงั สารวฏั ใหย้ ดื ยาว หากแตเ่ พอื่ ความสนิ้ สดุ ของสงั สารวฏั หากรกั ใดไมม่ จี ดุ หมาย ไมม่ สี มั มาทฏิ ฐคิ ลอ้ งใจ พาใจไปในเสน้ ทางเชน่ นแี้ ลว้ รักนนั้ กเ็ ป็นรักเพ่อื ความทุกข์ไมเ่ ลิก หาใช่รักอย่างพทุ ธผูม้ ุง่ ตื่นรู้ พระโคตมพทุ ธเจา้ และพระภัททากจั จานา ปดิ ตำ�นานรักแท้ท่ีสมบรู ณท์ ีส่ ดุ จาก ยโสธราเถริยาปทาน http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=33&A=5882 เชตวันมหาวิหารของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาเศรษฐีแห่ง กรงุ สาวตั ถี บา่ ยวนั นค้ี ลาคลำ�่ ไปดว้ ยพทุ ธบรษิ ทั ๔ เหมอื นเชน่ ทกุ วนั ทกุ คน น่ังอย่างสงบในที่อันควร รอฟังธรรมบรรยายจากองค์พระบรมศาสดาซึ่ง ประทบั นง่ั แลว้ บนบลั ลงั กท์ องกลางมหาวหิ าร ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ นี อ้ ยใหญน่ ง่ั เรยี งรายเปน็ แถวมรี ะเบยี บอยทู่ างดา้ นซา้ ยและดา้ นขวาดจุ มหาอ�ำมาตยน์ งั่ เฝ้าพระเจา้ จกั รพรรดิ อบุ าสกและอุบาสกิ าอยู่เบ้ืองพระพกั ตร์ มีพระสาร-ี บตุ รธรรมเสนาบดีอัครสาวกอยเู่ บอื้ งขวา พระมหาโมคคลั ลานะอคั รสาวก ทส่ี องอยเู่ บอื้ งซา้ ย พระอานนทพ์ ทุ ธอปุ ฏั ฐากนง่ั อยใู่ กลช้ ดิ พระบรมศาสดา

83 ได้เวลาท่ีหากเป็นวันอื่นพระบรมศาสดาคงจะทรงเร่ิมแสดงธรรม แลว้ แตว่ นั นพี้ ระพทุ ธองคย์ งั คงประทบั สงบนง่ิ ยงั ไมเ่ รม่ิ แสดงธรรมเหมอื น กบั จะทรงรออะไรอยู่ ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี สามเณร สามเณรี และมหาชนสว่ นใหญ่ จงึ นั่งสงบนิ่งหลบั ตารอเวลา มีสติจดจอ่ อยูก่ ับกาย เวทนา จิต และธรรม ตามแนวทางสติปัฏฐานส่ีที่พระบรมศาสดาทรงสอนไว้ มหาชนบางกลุ่ม เปน็ ผมู้ าไกล นานๆ จงึ จะได้มโี อกาสฟังธรรมจากพระบรมศาสดาเสยี ครัง้ หนงึ่ เมอื่ มโี อกาสเชน่ นจี้ งึ นง่ั ชมพระพกั ตรพ์ ระบรมศาสดาทสี่ งา่ งาม มพี ทุ ธ รศั มสี วา่ ง เหมอื นพยายามประทบั ภาพนน้ั เกบ็ ไวใ้ นความทรงจ�ำ เมอื่ ทกุ คน ตา่ งอยใู่ นอาการสงบ มหาวหิ ารกวา้ งใหญ่ทแ่ี ม้บรรจุผคู้ นไวม้ ากมาย ยาม นี้จึงกลับเงียบสงบคล้ายดังไพรลึกท่ีสงบเย็นไร้สรรพส�ำเนียง มีเพียงเสียง กรงุ๋ กรง๋ิ เบาๆ จากกงั สดาล และเสยี งขบั ขานของสกณุ าจากยอดไพรพฤกษ์ รายรอบวหิ ารทดี่ งั แว่วมาตามสายลมเย็น พระบรมศาสดาผินพระพักตร์ไปรับส่ังถ้อยค�ำบางประการกับ พระอานนท์ผู้ซึ่งก้มเศียรรับฟังด้วยอาการสงบ ครู่หนึ่งพระอานนท์จึง ประกาศต่อสาธชุ นวา่ “ขอใหท้ า่ นทั้งหลายทนี่ ั่งอยูด่ ้านหน้า ช่วยเปดิ ทาง ให้พระมหาเถรีผู้ทรงอภิญญาใหญ่ พร้อมหมู่พระเถรี ๑,๑๐๐ เข้ามาเฝ้า พระศาสดาโดยสะดวกดว้ ยเถดิ ” ส้ินเสียงประกาศของพระอานนท์ พุทธบริษัททั้งหลายต่างมีปีติ ที่จะได้ชมบารมีของพระมหาเถรีพร้อมทั้งหมู่พระเถรีอ่ืนอีก ๑,๑๐๐ แม้ พุทธบริษัทบางส่วนซึ่งมาไกลจากนอกแคว้นโกศลจะไม่รู้ว่าพระเถรีผู้ทรง อภิญญาใหญ่คือผู้ใด เพราะปกติท่านและคณะของท่านมักเร้นกายวิเวก น้อยคร้ังนักที่พุทธบริษัทจะได้เห็นหรือได้ปฏิสันถารด้วย พุทธบริษัทส่วน มากจึงรู้จักพระเถรีเพียงพระอุบลวัณณาและพระเขมาผู้เป็นอัครสาวิกา ซ้ายขวาเทา่ นนั้ มหาชนผนู้ ่ังอยเู่ บ้อื งพระพักตรท์ ยอยกนั ลุกขึ้น ขยับไปนั่ง

84 อยใู่ นทอี่ นั ควรดา้ นขา้ ง เปดิ พน้ื ทวี่ า่ งดา้ นหนา้ องคพ์ ระบรมศาสดาจนเพยี ง พอส�ำหรบั พระเถรที ้งั ๑,๑๐๐ รปู ดูคลา้ ยอัฒจนั ทร์ทล่ี ้อมรอบลานแสดง ขณะนั้น ที่ด้านนอกวิหารก็ปรากฏหมู่พระเถรีเดินเรียงรายเป็น ระเบียบเรียบร้อยเป็นแถวยาว ค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาสู่วิหาร ผู้น�ำขบวน หัวหน้าหมู่หัวหน้าคณะเป็นพระเถรีผู้มีวัย ๗๘ ปี มีเค้าว่าในวัยสาวท่าน ต้องเป็นสตรีผู้มีความงามเป็นเลิศ แต่บัดน้ีสูงวัยแล้วผิวกายของท่านจึง เห่ียวย่นไปตามกาล มีหลังค้อมงอลงเล็กน้อย เดินน�ำหน้ามาช้า ๆ ด้วย อาการสงบ ส�ำรวม น่าเลื่อมใส มหาชนบางส่วนอดไมไ่ ด้ แอบกระซบิ บอก ผู้ไมร่ วู้ ่า ท่านผู้น้ีไง พระภัททากจั จานาเถรี เอตทคั คะผูท้ รงอภญิ ญาใหญ่ ดา้ นหลังทเ่ี ดินตามหลังพระภทั ทากัจจานาเถรมี านั้น เปน็ พระเถรี ที่มีวัยสูงไล่เลี่ยกัน ทุกท่านทยอยเดินเข้าสู่มหาวิหาร พระภัททากัจจานา เถรตี รงไปนง่ั เปน็ ประธานอยเู่ บอื้ งพระพกั ตรพ์ ระบรมศาสดา สว่ นพระเถรี ท่ีเหลือเดินแยกเป็นร้ิวซ้ายขวาดังคณะอุปรากรออกสู่หน้าเวที แล้วน่ังอยู่ ดา้ นหลังเปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ยดังผเู้ คยได้รบั การฝกึ ฝนมาแลว้ เปน็ อย่างดี คร้ันแล้ว พระภัททากัจจานาเถรีก็ยกมือข้ึนประนมอัญชลี และ กราบบังคมลงแทบเบ้ืองบาทพระบรมศาสดาผู้เป็นนายกของโลก ขณะท่ี พระเถรีด้านหลังก็น้อมกายถวายบังคมพระบรมศาสดาอย่างพร้อมเพรียง กัน แล้วพระเถรีท้ังหมดก็นั่งสงบนิ่ง ทอดสายตาแลดูพระศาสดาบรมครู ด้วยความเคารพอยา่ งสงู สุด พระศาสดาทอดพระเนตรดูพระเถรีเหล่านั้น ตรัสว่า “ดูกร ภัททากัจจานา เธอมีสิ่งใดจงประกาศให้พุทธบริษัทเหล่านี้ได้รับรู้พร้อม กันเถดิ ” พระภัททากัจจานาเถรียกมือข้ึนอัญชลีประดุจถือดอกบัวตูมบูชา

85 องค์พระบรมศาสดา กราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันช่ือ ยโสธรา เปน็ ปชาบดีของพระองค์” ที่แท้ พระภทั ทากจั จานา พระเถรผี ู้ทรงอภญิ ญาใหญ่ผนู้ ีส้ มยั กอ่ น มาบวชกค็ อื พระนางยโสธรา พระเทวขี องเจา้ ชายสทิ ธตั ถะนนั่ เอง พระนาง เป็นราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะแห่งโกลิยนคร เล่าลือกันถึงบัดนี้ว่า พระนางยโสธรานน้ั เปน็ ยอดแหง่ หญงิ งาม เปน็ ผมู้ คี วามงามเปน็ เลศิ ยากจะ หาผู้ใดเสมอเหมือน เปน็ ผูม้ ีปญั ญา และเพียบพรอ้ มด้วยโภคสมบตั ิเพราะ เกดิ ในราชสกลุ ใหญ่ เมือ่ พระนางทิ้งเพศขัตติยนารีมาบวชเปน็ ภกิ ษณุ ีแลว้ ตลอด ๔๓ ปีท่ีผ่านมายังไม่มีนารีใดเลยท่ีได้ช่ือว่าเป็นผู้มีความงามเทียบ เท่าพระเทวผี นู้ ี้ “ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า เม่ือยังครองอาคารวิสัย หม่อมฉันเกิดใน ศากยสกุล มีชาติตระกูลประเสริฐสุดในหญิง ๑๙๖,๐๐๐ นาง เม่ืออยู่ใน พระราชวงั เปน็ เทวขี องพระองค์ พระองคท์ รงใหห้ มอ่ มฉนั เปน็ มหาเทวี เปน็ ประธานใหญ่กว่านารีท้ังปวง เป็นประมุขของขัตติยะสากิยานี ๑๘,๐๐๐ นาง สมบูรณด์ ว้ ยรูปสมบตั ิ และอาจารสมบัติ นารที ง้ั มวลเคารพหมอ่ มฉัน เหมือนมนุษย์เคารพเทวดา เม่ือบวชแล้วหม่อมฉันเป็นประธานสากิยาณี เถรี ๑,๑๐๐ รปู ข้าแต่พระมหามุนี เพียงเส้ียวเวลาหม่อมฉันท่ียกเท้าขึ้นขัดสมาธิ ก็สามารถใช้อภิญญาระลึกถึงอดีตชาติท่ีผ่านมาได้นับอสงไขยแสนกัป เห็นบุญกรรมที่ท�ำไว้ตลอดกาลนานดังเห็นหนทางท่ามกลางแสงสุริยฉาย ในเวลากลางวัน หม่อมฉันติดตามพระองค์มาดังนาวาทองล�ำน้อยที่ลอย ตามนาวาทองลำ� ใหญ่ ไดท้ ำ� อธกิ ารจำ� นวนมาก อธกิ ารของหมอ่ มฉนั ตลอด กาลนานเหล่านั้น หม่อมฉันท�ำไปเพื่อประโยชน์แก่โพธิญาณของพระองค์ ขอพระองค์ทรงระลกึ ถงึ กุศลกรรมเก่าของหมอ่ มฉนั เถิด

86 ขา้ แตพ่ ระมหาวรี เจา้ ขอพระองคท์ รงระลกึ ถงึ บญุ กรรมของหมอ่ ม ฉนั ทที่ ำ� ร่วมกับพระองค์มาต้ังแตค่ ร้ัง ๔ อสงไขยแสนกปั ก่อนด้วยเถิด” พระภทั ทากจั จานาเถรกี ราบทลู แลว้ กน็ ง่ั สงบนงิ่ แลดอู งคพ์ ระบรม ศาสดาบนบัลลังก์ทองดุจจะระลึกถึงความหลังครั้งยาวไกล ด้วยสายตา ท่ีเคารพและเทิดทูนองค์มหาบุรุษผู้เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมาไม่อาจนับ จ�ำนวนชาตไิ ด้ องคพ์ ระศาสดากท็ อดพระเนตรดพู ระเถรดี ว้ ยสายพระเนตร เปย่ี มเมตตา ทรงระลกึ ถงึ อดตี ชาตยิ าวไกลในสาครสงสารทพี่ ระเถรเี คยรว่ ม สขุ ร่วมทกุ ข์ รว่ มฝา่ ฟนั สร้างสมบารมมี าดว้ ยกนั กับพระองค์ สายลมเยน็ ทโ่ี ชยพดั อยภู่ ายนอกมหาวหิ ารบัดนพี้ ลันสงบนงิ่ ใบไม้ พลนั หยดุ ไหว กงั สดาลรอบวหิ ารหยดุ กระทบกนั แมแ้ ตเ่ สยี งสกณุ านอ้ ยทส่ี ง่ ส�ำเนยี งเจอ้ื ยแจว้ กพ็ ลนั สงบไป คลา้ ยกบั วา่ ทกุ สรรพชวี ติ ก�ำลงั สงบนง่ิ และ จดจอ่ รอสดบั ความวา่ พระเถรมี าเฝา้ พระพทุ ธองคว์ นั นดี้ ว้ ยวตั ถปุ ระสงคใ์ ด และแม้ว่าสายลมภายนอกจะสงบนิ่ง แต่ภายในมหาวิหารกลับเย็นสบาย คล้ายมีไอเย็นปกแผ่ไปท่ัว เป็นกระแสเย็นท่ีแผ่มาจากคู่รักคู่บารมีท้ังสอง ที่เคยสร้างสมบุญบารมีข้ามโอฆภัยด้วยกันมาตลอด ๔ อสงไขยแสนกัปที่ บัดนี้ได้กลับมาพบกันเฉพาะหน้า ความรักในโลกียวิสัยนั้นบางทีก็เย็น บางทีก็ร้อน แต่ความรกั ของครู่ กั คู่บารมนี ีก้ ลับมีแต่ความสงบเยอื กเยน็ จนมหาชนท้ังหลายรูส้ ึกได้ ขณะนั้น มหาชนในวหิ ารยงั ไมม่ ใี ครรู้ว่าพระภัททากัจจานาเถรีพา พระเถรี ๑,๑๐๐ รูป มาเฝ้าพระบรมศาสดาดว้ ยเหตุอะไร จงึ สงบน่ิงรอดู รอฟังอย่างต้ังใจ พระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากมานานถึง ๒๓ ปีก็เช่น กนั ท่านพิจารณาพระเถรที ่ีอยู่เบือ้ งหน้า ทบทวนวา่ มเี หตอุ นั ใดหนอท�ำให้ พระเถรผี มู้ ปี กตปิ ลกี วเิ วกคณะนพ้ี รอ้ มใจกนั มาเฝา้ พระบรมศาสดา เพยี งชว่ั ขณะเดยี วพระอานนทก์ ก็ ม้ หนา้ ทา่ นพอจะรแู้ ลว้ วา่ พระเถรเี หลา่ นมี้ กี จิ อนั

87 ใด ความเปน็ เสขบุคคลของทา่ นท�ำให้ท่านหวั่นไหว ดวงหทยั แกวง่ ไกวดจุ ฟองน้�ำบนยอดคล่ืน ท่านก้มหน้าแอบซ่อนน้�ำตาที่เริ่มเอ่อล้นออกมาจาก ดวงตาทั้งสองไวไ้ มใ่ หใ้ ครเหน็ พระเถรกี ราบทลู แลว้ หยดุ ไปชว่ั ขณะ ดงั จะร�ำลกึ เพอ่ื ประมวลความ ก่อนที่จะกราบทูลต่อไปว่า “ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า ขอพระองค์พึงทรง ระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของหม่อมฉันเถิด ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉัน สงั่ สมบุญไว้เพือ่ ประโยชน์แกพ่ ระองค์ ขา้ แตพ่ ระมหาวรี เจา้ หมอ่ มฉนั งดเวน้ อนาจารในสถานทไี่ มค่ วร แม้ ชีวติ ก็ยอมสละเพือ่ ประโยชนแ์ กพ่ ระองคไ์ ด้ ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพ่ือให้เป็นภรรยา ผอู้ นื่ หลายพนั โกฏิกปั กเ็ พ่ือประโยชนแ์ กพ่ ระองค์ หม่อมฉันมิไดเ้ สยี ใจใน เรอื่ งนัน้ เลย ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่ออุปการะหลาย พันโกฏกิ ัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉนั มิได้เสียใจในเรื่องน้นั เลย ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพ่ือประโยชน์เป็น อาหารหลายพันโกฏิกัป หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องน้ันเลย หม่อมฉัน บริจาคชีวิตหลายพันโกฏิกัป ประชุมชนจักท�ำการพ้นจากภัย ก็ยอมสละ ชีวิตของหม่อมฉนั ให้ ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันย่อมไม่เคยหวงเคร่ืองประดับและผ้า นานาชนิดซึง่ อยทู่ ี่ตวั และภัณฑะคือตวั หญิง เพ่อื ประโยชน์แกพ่ ระองค์ ขา้ แตพ่ ระมหามนุ มิ หาวรี เจา้ ทรพั ย์ ขา้ วเปลอื กปจั จยั เครอื่ งบรจิ าค บ้าน นคิ ม ไรน่ า บุตร ธิดา ช้าง ม้า โค ทาสี ภรรยา มากมายนับไม่ถ้วน พระองคท์ รงบริจาคแล้วเพ่อื ประโยชน์แก่พระองค์

88 พระองค์ตรัสบอกหม่อมฉันว่า เราย่อมให้ทานกะพวกยาจก เมื่อ เราให้ทานอนั อุดม เรายอ่ มไม่เหน็ หม่อมฉันเสียใจ ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันยอมรับทุกข์มากมายหลายอย่างจน นับไม่ถ้วนในสงสารเป็นอเนกเพอื่ ประโยชนแ์ กพ่ ระองค์ ขา้ แตพ่ ระมหามนุ ี หมอ่ มฉนั ไดร้ บั สขุ ยอ่ มอนโุ มทนา และในคราวท่ี ได้รบั ทกุ ขก์ ็ไมเ่ สยี ใจ เป็นผยู้ ินดีแล้วในท่ีทุกแห่งเพอื่ ประโยชน์แกพ่ ระองค์ ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์ทรงสดับอธิการเป็นอันมากของ หม่อมฉัน หม่อมฉนั ยังมหาทานให้เปน็ ไป แกพ่ ระพุทธเจ้ารอ้ ยสบิ เอ็ดโกฏิ ซง่ึ เปน็ นายกผู้เลิศของโลก ขา้ แตพ่ ระมหาราช หมอ่ มฉนั ยงั มหาทานใหเ้ ปน็ ไปแกพ่ ระพทุ ธเจา้ ร้อยย่ีสิบโกฏิ และแก่พระพุทธเจ้าร้อยสามสิบโกฏิ หม่อมฉันยังมหาทาน ให้เปน็ ไปแกพ่ ระพทุ ธเจา้ รอ้ ยส่สี ิบโกฏิและแกพ่ ระพุทธเจา้ รอ้ ยหา้ สบิ โกฏิ หมอ่ มฉนั ยงั มหาทานใหเ้ ปน็ ไปแกพ่ ระพทุ ธเจา้ รอ้ ยหกสบิ โกฏิ และ แกพ่ ระพุทธเจา้ ร้อยเจ็ดสบิ โกฏิ หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไปแก่พระพุทธเจ้าร้อยแปดสิบโกฏิ และแกพ่ ระพุทธเจ้าร้อยเกา้ สิบโกฏิ หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไปแก่พระพุทธเจ้าแสนโกฏิ ซึ่งเป็น นายกผปู้ ระเสริฐของโลก หมอ่ มฉนั ยงั มหาทานใหเ้ ปน็ ไปแกพ่ ระพทุ ธเจา้ เกา้ พนั โกฏิ และแก่ พระพุทธเจ้าอนื่ อีกซงึ่ เป็นนายกของโลก หม่อมฉันยังมหาทานให้เป็นไปแก่พระพุทธเจ้าแสนโกฏิ และ แก่พระพุทธเจ้าแปดสิบห้าโกฏิแก่พระพุทธเจ้าร้อยแปดสิบห้าโกฏิ แก่ พระพทุ ธเจ้ายสี่ ิบเจด็ โกฏิ

89 หมอ่ มฉันยังมหาทานให้เป็นไป แก่พระปจั เจกพทุ ธเจ้าผู้ปราศจาก ราคะ มีแปดโกฏเิ ปน็ ที่สดุ ขา้ แตพ่ ระมหาราช หมอ่ มฉนั ยงั มหาทานใหเ้ ปน็ ไปแกพ่ ระขณี าสพ ผู้ปราศจากมลทิน เป็นพระพุทธสาวกมาก นบั ไมถ่ ้วน ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์จงทรงฟังอธิการเป็นอันมากของ หมอ่ มฉนั หมอ่ มฉนั ยงั มหาทานใหเ้ ปน็ ไปแลว้ แกพ่ ระพทุ ธเจา้ ผทู้ รงประพฤติ ธรรมท้ังหลาย และพระอริยสงฆ์ผู้ประพฤติในสัทธรรม ในกาลท้ังปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ควรประพฤติธรรมให้เป็นสุจริต ไม่ควรประพฤติธรรมให้ เป็นทุจริต เพราะบุคคลผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกน้ีและ โลกหนา้ หม่อมฉันเบื่อหน่ายในสงสาร จึงออกบวช พร้อมด้วยบริวารชน ๑,๑๐๐ ครนั้ บวชแล้วก็หมดกังวล ละอาคารสถานแล้วออกบวช ยังไม่ทนั ถงึ ครง่ึ เดอื นกไ็ ดบ้ รรลจุ ตรุ ารยิ สจั คนเปน็ อนั มากนำ� จวี รบณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสัชปัจจัยเข้ามาถวาย เหมือนลูกคลื่นในทะเล ดิฉันเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ดิฉันได้ท�ำเสร็จแล้ว หม่อมฉันได้รับทุกขวิบัติมากอย่าง และสุขสมบัติมากอย่างเช่นนี้ ถึงพร้อมแล้วซ่ึงความเป็นผู้บริสุทธ์ิสมบูรณ์ ด้วยคุณทั้งปวง บุคคลผู้ถวายตนของตนแก่พระพุทธเจ้าผู้แสวงหา คุณอันยิ่งใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่บุญ ก็ย่อมพรั่งพร้อมไปด้วยสหาย ลุถึง นิพพานบทอันเป็นอสังขตะ กรรมท้ังปวงส่วนอดีต ปัจจุบันและอนาคต ของหมอ่ มฉันหมดส้ินไปแลว้ ” พุทธบริษัทในเชตวันมหาวิหารเริ่มกระซิบร�ำพึง บางคนยกมือ ขึ้นทาบอก บางคนน้�ำตาซึม เพราะฟังจากพระวาจาย่อมรู้ความหมาย ว่าท่ีแท้วันน้ีพระเถรีมาเฝ้าก็เพ่ือกราบทูลลาปรินิพพาน น่ีเองเป็นเหตุให้ พระอานนท์กม้ หนา้ ไม่สบตาผใู้ ด

90 พระศาสดาตรสั วา่ “ดกู อ่ นภทั ทากจั จานา มหาชนสว่ นมากเลอื่ มใส เธอ อยากเห็นคณุ ของเธอ และมหาชนอีกมากยังสงสยั เธอ อยากเห็นคุณ ของเธอ เธอจงแสดงคณุ ของเธอใหพ้ ทุ ธบรษิ ทั ทงั้ หลายไดป้ ระจกั ษแ์ ละหาย แคลงใจก่อนเถิด วนั หน้าพวกเขาจะได้ไม่เสยี ใจว่าเหน็ เธออยตู่ รงหนา้ แล้ว ไมไ่ ดช้ มคุณของเธอ” พระเถรีกราบถวายบังคมรับพุทธบัญชาแล้วเหาะขึ้นสู่นภากาศ หลังคามหาวิหารบัดนี้คล้ายเปิดโล่งให้มหาชนแลเห็นสวรรค์ช้ันฟ้า เห็น เขาสิเนรุมาศตั้งตระหง่าน แลตลอดไปจนถึงขอบเขาจักรวาล แล้วพระ กจั จานาเถรกี แ็ สดงฤทธติ์ า่ งๆ มากมาย อาทิเชน่ แสดงกายใหญเ่ ทา่ ภเู ขาจกั รวาล มศี รี ษะดงั อตุ รกรุ ทุ วปี มแี ขนซา้ ย ดงั บพุ วเิ ทหทวปี มแี ขนขวาดงั อมรโคยานทวปี มสี รรี ะดงั ตน้ หวา้ ประจ�ำทวปี มีดวงเนตรเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ เขาสุเมรุเป็นกระหม่อม ภูเขา จักรวาลเปน็ หน้า ถวายบงั คมพระบรมศาสดา แลว้ แสดงกายเป็นช้าง เปน็ มา้ ภเู ขา ทะเล ดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ เขาเมรมุ าศ และแสดงเปน็ ทา้ วสักกเทวราช แล้วพระเถรีก็แสดงฤทธ์ิถอื ดอกไม้ปดิ โลกธาตุทั้งพนั เอาไว้ เนรมติ กายเปน็ ทา้ วมหาพรหม กราบทลู พระบรมศาสดาวา่ “ขา้ แตพ่ ระมหาวรี เจา้ หมอ่ มฉนั ยโสธราขอถวายบงั คมพระยคุ ลบาท หมอ่ มฉนั เปน็ ผชู้ ำ� นาญใน อิทธฤิ ทธิ์ ชำ� นาญในทิพโสตธาตุ ช�ำนาญในเจโตปรยิ ญาณ ช�ำนาญใน ปุพเพนิวาสญาณ และช�ำนาญในทิพจกั ษุญาณอนั หมดจด หม่อมฉันละอาสวะท้ังปวงหมดสิ้นแล้ว หม่อมฉันเผาท�ำลาย กิเลสหมดจดแล้ว บรรลุอาสวักขยญาณ ถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์ บัดน้ี ภพใหม่ไม่มอี กี ”

91 พระภัททากัจจานาเถรีแสดงฤทธิ์เป็นอันมากแล้วก็กลับลงมา หมอบกราบแทบบาทพระบรมศาสดา การร่วมทางเป็นคู่รักคู่บารมีใน สังสารวัฏอันยาวนานบัดนี้สิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุดของ ๔ อสงไขยกับเศษ แสนมหากปั กจ็ บลงดว้ ยค�ำกราบทลู ลาวา่ “หมอ่ มฉันมอี ายุ ๗๘ ปี ล่วงเข้า ปจั ฉิมวัยแลว้ ถงึ ความเป็นผู้มีกายเงื้อมลงแลว้ ขอกราบทูลลาพระมหามุนี หมอ่ มฉนั มวี ยั แก่ มชี วี ติ เหลอื นอ้ ย จกั ละพระองคไ์ ป มที พ่ี งึ่ ของตน แลว้ มมี รณะใกล้เข้ามา ขา้ แตพ่ ระมหาวรี เจา้ หมอ่ มฉนั จกั ถงึ ความดบั ในคนื วนั น้ี มไิ ดม้ ชี าติ ชรา พยาธิและมรณะ จกั ไปสู่นิพพานทไ่ี ม่มปี จั จยั ปรุงแตง่ เปน็ บุรีอนั ไมม่ ี ความแก่ ความตายและไม่มภี ยั เขา้ เฝา้ พระองคเ์ พอื่ ขอประทานโทษ ณ ทเี่ ฉพาะพระพกั ตรพ์ ระองค์ เม่ือหม่อมฉันทอ่ งเท่ยี วไปในสงสาร หากมีความพลงั้ พลาดในพระองค์ ขอ พระองคท์ รงโปรดประทานโทษแก่หมอ่ มฉนั เถดิ ขา้ แตพ่ ระองค์ ผมู้ พี ระจกั ษุ หมอ่ มฉนั ขอถวายบงั คมพระยคุ ลบาท หม่อมฉันกราบทลู ลา” พระบรมศาสดาสดับแล้วมีพระด�ำรัสเป็นค�ำสุดท้ายแก่พระเถรี ว่า “ภัททากจั จานาและสากยิ านีเถรี พวกเธอทง้ั หลายจงพิจารณากาลอนั ควรเถดิ ” บดั นนั้ พระภทั ทากจั จานาเถรพี รอ้ มหมพู่ ระสากยิ านเี ถรตี า่ งกถ็ วาย บงั คมลาพระศาสดาอยา่ งพรอ้ มเพรยี งกนั แลว้ คอ่ ยๆ ลกุ เดนิ ออกจากวหิ าร ไปอยา่ งสงบ ขณะทพี่ ทุ ธบรษิ ทั พรอ้ มใจกนั ยกมอื ขนึ้ อญั ชลดี ว้ ยความเคารพ จนหมพู่ ระเถรีพ้นไปจากสายตา

92 กาลล่วงเลยนานแสนนานผ่านการส่ังสมบารมีกว่า ๔ อสงไขย แสนมหากปั แลว้ หากจะน�ำกองกระดกู ของกายทเ่ี วยี นเกดิ ตายในสงั สารวฏั อันนับภพนับชาติไม่ได้ก็คงมีประมาณเท่าภูเขา หากน�ำน้�ำตาท่ีเคยไหล รนิ เพราะความทกุ ขโ์ ศกนานบั มารวมกนั กค็ งประมาณไดเ้ ทา่ มหาสมทุ ร หลงั จากพระพทุ ธเจ้าพระพทุ ธสมณโคดมได้ทรงตรัสรู้พระอนตุ รสัมมาสัมโพธิ- ญาณตามเจตนาตงั้ พระทยั ทรงพทุ ธกจิ ในแตล่ ะวนั ของพระองคเ์ ปน็ ไปเพอื่ การโปรดสตั วเ์ พอื่ หยดุ ทกุ ขส์ งสารโดยมาก นบั แตเ่ ชา้ จรดคำ�่ จะทรงใชเ้ วลา แสดงธรรมเทศนา และตอบปัญหา เหลา่ มนษุ ย์ บรรดาอุบาสก อบุ าสกิ า ภิกษุ ภิกษุณี ยามเท่ียงคืนจะทรงแสดงธรรมและตอบปัญหาโปรดเหล่า เทวดา พักอิริยาบถแต่น้อย แล้วตอนใกล้รุ่งจะทรงตรวจดูสัตว์โลกที่อาจ จะรู้ธรรมซึ่งพระองค์ทรงแสดงในวันนั้น เพื่อจะได้เสด็จโปรดตามวาสนา บารมี นับลว่ งไปเป็นเวลา ๔๕ ปตี ราบจนถึงวนั ปรินพิ พาน พระองคท์ รง ใชเ้ วลาทเ่ี หลอื อยา่ งมคี ณุ คา่ ในการปฏบิ ตั เิ ชน่ นี้ ธรรมทท่ี รงแสดงนนั้ งามใน เบอ้ื งตน้ งามในทา่ มกลาง และงามในเบอ้ื งปลาย เปน็ ไปเพอื่ ช�ำระความหลง มดื บอดออกจากกมลสนั ดานของสตั วท์ งั้ หลายเพอื่ ถงึ ทส่ี ดุ จดุ หมายเดยี วกนั คือ ความพน้ ทุกข์โดนส้ินเชิงตลอดไป แม้ในวันสุดท้ายที่จวนใกล้เวลาที่พระองค์จะทรงดับขันธ์ ธาตุ ร่างกายอ่อนโรยแรงลงราวเกวียนเก่าท่ีตร�ำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหน่ือย เพ่ือประโยชน์แก่มหาชนคนท้ังหลายใกล้จะสึกและพังลง ร�ำลึกถึงปฐม เหตุชาติแรกที่ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หน่ึงเพ่ือ โปรดสัตว์ พาเหล่าสัตว์ข้ามพ้นจากห้วงวังวนแห่งทุกข์สงสารต่อหน้าองค์ พระพทุ ธเจา้ ทปี งั กร ทรงตงั้ จติ เปน็ กศุ ลอทุ ศิ ตนใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ทปี งั กรและ เหลา่ สาวกยำ่� กายเหยยี บพระองคเ์ ปน็ ทางขา้ มไป จรยิ วตั รทดี่ �ำเนนิ มาตลอด ๔ อสงไขยแสนมหากัป จนถงึ ณ บดั น้ี ยังคงเป็นไปเชน่ เดิม ก�ำลงั พระทัย ยงั คงเปน็ ไปเพ่อื ผู้อน่ื อย่างหนักแน่น

93 ในทป่ี ระชุม สงฆ์สาวกมารวมกนั ใกลถ้ ึงวาระสดุ ท้ายทีเ่ หลา่ สาวก จะไมท่ รงเหน็ พระองคอ์ กี ตลอดนริ นั ดร์ พระองคท์ รงประกาศใหผ้ ทู้ ย่ี งั มขี อ้ สงสัยในธรรมสามารถถามพระองค์ได้โดยไม่ต้องกังวลลังเลถึงพระวรกาย ท่านว่าจะท�ำให้เหน่ือยเกินไป น้�ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีแก่สัตว์โลก เปน็ ความรกั ที่บริสทุ ธ์ิปราศจากเง่อื นไข ไม่เลือกหน้า ไม่จ�ำกัดกาล ทรง ประทานอริยทรพั ย์ คือ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแลว้ ใหเ้ หล่ากลุ บุตร ได้รับทรพั ยอ์ นั ประเสรฐิ นี้ต่อไป ทรงประกาศว่า ธรรมทั้งหลายนี้จะเป็น ศาสดา น�ำเราทง้ั หลายพน้ ทุกข์ สบื ไป แต่ตถาคตเปน็ เพยี งผูช้ ้บี อกทาง เทา่ นน้ั เราทกุ คนทงั้ หลายจะตอ้ งเพยี รเดนิ ไปจนถงึ จดุ หมายดว้ ยตนเอง และทรงประทานปัจฉิมโอวาทเปน็ พระพทุ ธด�ำรสั สดุ ท้ายวา่ “ภิกษุท้ังหลาย! บัดนี้เราขอเตือนพวกท่านให้รู้ว่า ส่ิงท้ังหลาย ที่เกิดมาในโลกมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา ท่านท้ังหลายจงท�ำ หน้าที่อันเป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่นให้ส�ำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ ประมาทเถดิ ” ความรักของพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณ มหาศาลอย่างหาใดเปรียบ เป็นไปเพ่ือประโยชน์นิรันดรแก่สัตว์โลก ตราบจนถึงปัจจุบัน ความรักของคู่บารมีก็ทรงหมายรักด้วยจุดหมาย เชน่ น้เี อง

94 ธรรมเทศนาพระธรรมวสิ ทุ ธิมงคล (หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน) กลา่ วถงึ ความรกั ของพระพทุ ธเจา้ การสร้างพระบารมีของพระพุทธเจา้ มีมากน้อยตา่ งกัน บางองค์ ๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย อยา่ งน้อย ๔ อสงไขย นบั ไม่ได้ ๔ หน นับไม่ได้ ๑๖ หน นบั ไม่ได้ ๘ หน เรียกว่าอสงไขย ๆ แล้วก็ แสนมหากัปๆ เศษดว้ ยกนั ทั้งนนั้ น่กี วา่ จะ เตม็ สมบรู ณ์ความเปน็ พระพทุ ธเจา้ ถา้ นำ้� กวา่ จะเตม็ ตมุ่ เตม็ ถงั นี้ก็ ๑๖ อสงไขย กว่าจะเตม็ ตุม่ ต่มุ ใหญ่ ตุม่ แหง่ ความเป็นพระพุทธเจ้า บรรจุอรรถธรรมไว้อยู่นั้นหมด พุทธวิสัยความ สามารถของพระพุทธเจ้าอยู่นั้นหมด ไม่มีใครมีความสามารถเหมือน พระพุทธเจ้า เพราะเวลาสร้างก็สร้างเอาหนักเอาหนา ฟังซิว่า ๔ อสงไขยนับไม่ได้ถึง ๔ หน ถ้าเราเทียบอย่างทุกวันนี้ก็เรียกว่า ๔ ล้าน แล้วอีกแสนมหากัป ค�ำว่ากัปหนึ่งนี้นานแสนนานนะ จึงเรียกว่าหน่ึงกัป อกี ดว้ ยนะ แสนมหากปั อกี ดว้ ย นนั่ มากไหม ๔ อสงไขยแลว้ ยงั แสนมหากปั อกี มากขนาดไหน กปั หนงึ่ นนี้ านแสนนานกวา่ จะนบั เปน็ กปั หนงึ่ ได้ กปั หนง่ึ กลั ป์หน่ึง นี่ละพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ทรงพยายามอุตส่าห์ทุกส่ิง ทุกอย่าง คอก็ตดั ขาดไปไดเ้ ลยเพอ่ื สร้างพระบารมี ทุกส่ิงทกุ อยา่ งไมม่ ี ความเสียดาย คิดดูอย่างพระพุทธเจ้าของเราชาติสุดท้ายที่จะมาเป็น พระพุทธเจ้านกี้ ็ทานกัณหา - ชาลี ใครล่ะทานได้ ทานแล้วพราหมณ์เอา ไปเฆ่ียนตีต่อหน้าต่อตาอยู่นั่น ถ้าธรรมดาแล้วพราหมณ์น้ันคอขาดเลย

95 ตีลูกให้เห็นต่อหน้าต่อตาของเจ้าของทานจะทนได้ยังไง คนเรามีกิเลส ฉวยไดด้ าบก็ตดั คอพราหมณ์ ไมไ่ ดก้ ณั หา - ชาลีไปเลยละ กัณหา - ชาลีก็ ตอ้ งกลบั คนื มา เพราะพราหมณน์ นั้ คอขาดแลว้ เนอื่ งจากมาเฆยี่ นตอ่ หนา้ ตีต่อหน้าต่อตาของเจ้าของทาน อับดับที่สองอีกก็ทานพระนางมัทรี พระนางมัทรี คือ พระชายาคพู่ ึง่ เปน็ พ่ึงตายเหมอื นเงาเทยี มตวั ชายา ๆ แปลว่าผู้เกิดพร้อมกัน พระนางมัทรีนี้เกิดพร้อมกันกับ พระพุทธเจา้ น่ีละคู่พึ่งเปน็ พง่ึ ตาย พระองค์กส็ ละให้ทานได้ ทีนีใ้ นชาติ พระเวสสนั ดร การใหท้ านก็ไม่มีใครเปน็ คูแ่ ข่งทา่ น จนกระท่ังชาวบา้ นชาว เมอื งเขาไมพ่ ออกพอใจ ขบั ไลไ่ สสง่ พระองคห์ นจี ากเมอื ง ขบั ออกจากความ เปน็ พระเจ้าแผน่ ดิน เข้าอยูใ่ นป่าเขาวงกต พระองค์กย็ อมไป เขาให้ไปกไ็ ป เรอื่ งของชาวบา้ นชาวเมอื งเขาไมพ่ อใจเพราะการใหท้ าน เอาชา้ งมงคลนนั่ แหละ ทานแล้วเขาไม่พอใจ จึงขับไล่พระองค์ไปอยู่เขาคิรีวงกตโน่น พระองคก์ ็ยอมไป แตเ่ รื่องนิสัยของพระโพธิสตั ว์จะสรา้ งบารมีน้นั ไม่ยอม ถอย ไปในป่าไมม่ ีอะไรทาน กย็ กกณั หา – ชาลีทาน ยกพระนางมทั รีทาน น่นั ฟังซิ นี่ละวสิ ยั ของพระโพธสิ ัตว์ไม่มีค�ำ วา่ ถอย โลกเขาไม่ยนิ ดเี ขาขับไป ไหนกไ็ ป แตเ่ รอ่ื งพระอธั ยาศยั หรอื นสิ ยั ของพระโพธสิ ตั วน์ น้ั ไมย่ อมปลอ่ ย วางเลย เพราะนักทาน ค�ำ ว่า โพธิสตั ว์ คอื ผทู้ จ่ี ะตรัสรู้ขา้ งหนา้ แปลออก แลว้ เป็นอย่างนน้ั เปน็ ผู้ทม่ี ีความเมตตาสงสารมากมาโดยล�ำ ดบั ลำ�ดา ไป อยใู่ นฝงู สตั วก์ ใ็ หอ้ ภยั แกส่ ตั ว์ เจา้ ของยอมตายแทนสตั วไ์ ด้ เปน็ หวั หนา้ สตั ว์ เจา้ ของยอมตายทเี ดยี ว ๆ อยูก่ ับสตั ว์ เอา้ สตั วอ์ ดใหพ้ ระองค์อดเสยี ก่อน ให้สตั วอ์ ิม่ พวกบริษัทบรวิ ารอ่ิมทอ้ ง พระโพธสิ ัตวถ์ งึ จะอิ่มทหี ลงั ทม่ี า: หลวงตามหาบวั เทศนอ์ บรมคณะนกั เรยี นโรงเรยี นประจกั ษศ์ ลิ ปาคาร จ.อดุ รธานี เมอื่ วันท่ี ๑๔ กนั ยายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๒

96 ธรรมเทศนาพระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตามา้ ) วัดพทุ ธพรหมปญั โญ (วดั ถ�ำ้ เมอื งนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ กลา่ วถงึ คกู่ รรมและคู่บารมี คู่บารมีไม่ได้หมายถึงคู่มาอยู่ผัว เมียกันนะ คู่บารมี หมายถึง คู่ทีช่ ว่ ยเหลอื เกื้อกูลกันสร้างบารมี ก็เป็นอสีติของผู้ที่ เก่ียวข้องกับพระโพธิสัตว์ทุก ๆ พระองค์ ตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์นั้นคือคู่บารมีท่าน ชาวเมืองสีพีท้ังหมดคือคู่บารมีท่าน ช่วย เหลอื เกื้อกูลกนั ถ้าเป็นคู่กันจริง ๆ ท่ีมีลูกกันจริง ๆ เขาอธิษฐานเป็นเนื้อคู่กันเน่ีย ตอ้ งบารมีเต็มนน่ั ถึงจะอธษิ ฐาน ตอนทที่ า่ นเป็นสเุ มธดาบสไง ถา้ ใครอ่าน พระไตรปิฎกจะเข้าใจนะ ตอนพระพุทธเจ้าท�ำนายท่าน มันก็มีผู้หญิงคน นงึ อยนู่ นั่ ด้วย ก็อธษิ ฐานเป็นคู่เลย อยา่ งน้นั เรียกคบู่ ารมี ช่วยเหลอื เกื้อกูล กนั เกดิ เมอื่ ไหร่กเ็ จอกันหน้าเก่าๆ คูช่ ว่ ยเหลือเกื้อกูลนน่ั นะ่ แต่ถ้าคู่แล้วเค้าแยกจากเราไปน่ันไม่ใช่ ไม่ใช่คู่บารมี เป็นคู่กรรม เป็นคู่กรรมระหวา่ งกามภพ กามภมู ิ มาเวยี นว่ายตายเกิด คู่เสพคู่สมอยา่ ง ทหี่ นงั สอื เคา้ เขยี นไวน้ น่ั นะ่ อยา่ งนน้ั นะ่ เขา้ ใจมย้ั เพราะฉะนน้ั อยา่ ไปสนใจ เลย เคา้ ไปแล้วก็ไปเหอะ หากมีเงนิ ก็แบง่ เค้าไปด้วยละกัน ถา้ พอมกี ็แบง่ เค้าไป ใหเ้ ค้าไปหมดได้ยงิ่ ดี แลว้ ก็มาบวช กห็ มดเรอ่ื งกันไง แลว้ กห็ าเร่อื ง อกี ขา้ งหนา้ นนู่ เกดิ ใหมก่ ห็ าเรอื่ งอกี ไง ไมอ่ ยากหาเรอ่ื งกไ็ มต่ อ้ งเกดิ เพราะ ฉะน้ันอยา่ ไปท�ำเลยสะหนง่ เสนห่ ์ หลวงปูด่ ่ทู ่านว่าสวดมนต์ ไหว้พระ แผ่

97 เมตตาบ่อยๆ นั่นคอื เสน่ห์ล่ะ ใครเหน็ กก็ งิ๊ เลย ชอบ ยม้ิ แยม้ แจม่ ใส พูดจา เพราะ รบั รอง อารมณ์ดี รบั รอง ใครอยู่ใกลก้ ช็ อบ หลอ่ กับดจี ะเอาอะไร สวยกบั นา่ รักจะเอาอะไร ถามหนอ่ ย ถ้าเปน็ ผู้ชายก็ ผ้หู ญงิ นา่ รักกบั ผ้หู ญงิ สวยจะเอาอะไร ถา้ ผหู้ ญงิ เหน็ ผ้ชู ายก็ หลอ่ กบั ดีจะเอาอะไร มคี นถาม: เลยอยากจะถามหลวงตา แผบ่ ญุ ให้เคา้ ใหช้ าติหนา้ จะ ได้ไม่เกิดมาท�ำกรรมดว้ ยกัน หรอื ชาติหนา้ จะไดไ้ ม่ตอ้ งเกดิ มาทุกข์ มาเจอ กันดว้ ยดี หลวงตาตอบ: ไมเ่ จอหรอก ไมเ่ จอ ถา้ เราท�ำกรรมฐานตอนนไ้ี มเ่ จอ อย่าไปแผ่ให้เค้า แผ่ให้เทพพรหมท่เี กี่ยวข้องกบั เค้า ไปบอกเค้าอกี ที อยา่ ไปท�ำกรรมทไี่ มด่ ี ใหฝ้ ากเทวดาทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เคา้ ในอดตี ตอนเนยี้ ทเ่ี ปน็ เทพ พรหมท่ีอยู่ตรงนั้นน่ะแผ่ไปตรงน้ัน แล้วไปบอกเค้าอีกทีว่าอย่าไปท�ำอะไร เลย มนั เปน็ กรรม มนั จะตดิ ตวั ไปตลอดภพ ตลอดชาติ ตลอดกปั ตลอดกลั ป์ ศกึ ษาธรรมะไปเรอื่ ยๆ รกั ษาศลี ภาวนา พจิ ารณาไปเรอื่ ยๆ ตลอด ชวี ติ เรา สะสมพลงั งานความดี บนั ทกึ ไว้ในใจ กาลขา้ งหน้าพลังงานมนั กห็ าความดดี ว้ ยกัน มันไม่ไปหาในสิ่งทไ่ี มด่ ีหรอก ถงึ มกี รรมต่อกนั มันก็ ไมไ่ ปเพราะความดมี นั มาก พลงั งานแตล่ ะอยา่ งมนั กด็ ดู เขา้ หากนั อยแู่ ลว้ ตามธรรมชาติ ใหศ้ กึ ษาเรอื่ งพลงั งาน หลวงปทู่ า่ นเวลาฟงั ใคร เวลาอา่ น หนังสืออะไร ท่านก็ให้พิจารณาใคร่ครวญ ไตร่ตรองให้ดี ให้พิจารณา ตามสภาพของความเปน็ จรงิ ไมใ่ ชไ่ ปตดิ มาก ไมใ่ ชผ่ วั หนี เมยี หนแี ลว้ ฆา่ ตวั ตายนะ ไมใ่ ช่ อย่าขนาดน้นั มีคนถาม: จะอธิษฐานอย่างไรดีให้หมดกรรมเรื่องการมีคู่ครอง ปฏบิ ัติไปๆ มาๆ ได้สามสี่ปแี ลว้ หนไี ปทางไหนกเ็ จอ หลวงตาตอบ: ไมต่ อ้ งอธษิ ฐาน กามภพ กามภูมิ ไม่มคี ู่ครอง มีแตค่ ู่ เสพ มนษุ ยไ์ ม่มีคูค่ รอง มนุษย์ คอื การสืบพันธุ์ กามภพ คอื กามภมู ิ มนุษย์

98 มธี าตขุ นั ธ์ มจี ติ กนิ อาหารเขา้ ไปในรา่ งกายมนั กเ็ รอ่ื งของการสบื พนั ธ์ุ เรอ่ื ง ของอาชพี ไม่มอี ะไร เพราะฉะน้นั ถามอยา่ งนีแ้ ปลวา่ ไม่เข้าใจ ว่าเรอื่ งเนือ้ คู่นีไ้ ม่มี เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในชาตินงึ บางคนมีเป็นสิบละ ชาตินึงมีคนเดยี ว แลว้ แต่จงั หวะทต่ี ัวเองเกดิ ถา้ เสพแลว้ ติดนะ เสพคนเดียวไมพ่ อหรอก รบั ประกนั ทัง้ ผู้หญิงผู้ชายยคุ นี้ เหมอื นกันหมด เพราะฉะนัน้ ไม่มคี หู่ รอก มี อยา่ งเดียว คือ คบู่ ารมี คบู่ ารมไี มใ่ ชค่ เู่ สพกนั นะ คทู่ ชี่ ว่ ยเหลอื ในการเกอื้ กลู กนั สรา้ งกศุ ล น่ันถงึ เรียกว่าคบู่ ารมี ฉะนั้นคณุ ตดั ได้เลย อย่าไปคดิ ถงึ คู่ มีกไ็ ด้ ไม่มกี ็ได้ จบ ถา้ พลาดกไ็ มเ่ สยี ใจ เพราะรจู้ กั ไง รจู้ กั กามภพ กามภมู ิ วา่ เราเกดิ ในแดน กาม มีกามเปน็ แดนเกดิ มนษุ ย์ สัตว์ เทวดาเหมือนกนั หมดขา้ งลา่ ง ยกเวน้ พรหม พรหมไม่มีเพศ ตอ้ งเขา้ ใจเรือ่ งภพทงั้ สามด้วย ถึงจะเขา้ ใจ เพราะฉะน้ันคุณท�ำจิตใหเ้ ป็นพรหม เร่ืองพวกน้นั เดก็ ๆ เลย ทา่ น บอก เมอื่ จติ คณุ ละเอยี ดนะ่ เดก็ ๆ คณุ อยากเสพกไ็ ด้ ไมเ่ สพกไ็ ด้ ถา้ หากคณุ เสพแลว้ มที ุกข์ คณุ อยากท�ำไหม คณุ ไม่ท�ำ เพราะมนั เปน็ ทุกขไ์ ง ไม่ท�ำ ถา้ เราเขา้ ใจจะไมท่ �ำ คอื ท�ำกไ็ ด้ ไมท่ �ำกไ็ ดน้ ะ ถา้ ไมเ่ ปน็ ทกุ ข์ มปี ระโยชน์ ไมใ่ ช่ หยุดนะ คุณจะหยุดได้เม่ือจิตคุณพัฒนาถึงพรหม ถ้าคุณยังอยู่ในกามภพ ยังไงคุณจะหลกี ไม่ได้ สภาพมนษุ ย์ ลองคุณสวยๆสิ คณุ เกดิ มาสวย คุณไม่ เอา แตโ่ ดนบงั คับแน่ๆ อย่างนอ้ ยๆคุณเกดิ ในแวดวงแถวนัน้ เคา้ เป็นใหญ่ กวา่ คณุ เคา้ กด็ งึ คุณไป ไมง่ น้ั เคา้ จะมีการฆา่ กนั เหรอ เขา้ ใจมยั้ คนถาม ทหี ลงั ไมต่ อ้ งถามนะเรอื่ งเนอื้ คู่ มนั ไมม่ นี ะ ใครจะ ไปรักเราเท่าตวั เราเอง รบั ประกนั ไมม่ ี ในพระไตรปฎิ กทา่ นกเ็ ขียนอยู่แล้ว นางมลั ลกิ า มเหสที า้ วโกศลถาม มใี ครรกั เราจรงิ ไหม ไมม่ หี รอก พระพทุ ธเจา้ บอก ตวั เราเองน่ะรักตัวเราเอง เลิกเสยี ใจเหอะ ถ้าเลกิ ไดล้ ่ะก็สาธุ ถา้ มันมี กม็ ี ถ้าไมม่ ีก็แล้วไป ที่ผดิ หวังก็อย่าไปทกุ ข์ อยา่ ไปถงึ กับกินไม่ได้ นอนไม่ หลบั ปวดหวั เลย กนิ ไมล่ ง นอนกไ็ ม่หลับอกี ฆา่ ตัวตายผ่อนส่งอกี

99 การสงั่ สมบารมี ๑๐ คนท่ัวไปเมือ่ พดู ถึงค�ำวา่ บารมี หรือกลา่ ววา่ บารมีไมพ่ อ กม็ ักจะ หมายถงึ ไมม่ บี ญุ วาสนาพอ แทท้ จ่ี รงิ แลว้ ค�ำวา่ บารมี หมายถงึ คณุ ความดี ทบ่ี ำ� เพญ็ อยา่ งยงิ่ ยวด เพอื่ บรรลจุ ดุ หมายอนั สงู ยงิ่ (ทมี่ าจาก พจนานกุ รม พุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)) ดงั นั้น ค�ำวา่ บารมี จึงหมายถึง “การสรา้ งเหต”ุ เพือ่ ใหเ้ กดิ บุญ บารมี คือ มีก�ำลังใจเต็ม ท�ำให้มีก�ำลังใจเต็มในการสร้างสมคุณสมบัติต่าง ๆ เพ่ือที่จะท�ำงานใหญ่ได้ส�ำเร็จ อย่างที่คนท่ัวไปท�ำได้ยาก ดังเช่นการ สง่ั สมบารมขี องพระพทุ ธเจา้ เพอ่ื ตรสั รพู้ ระอนตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณพบทาง พ้นทุกข์ออกจากสังสารวัฏและน�ำมาโปรดสรรพสัตว์ จะต้องส่ังสมบารมี ๓๐ ทศั มี บารมี ๑๐ อปุ บารมี ๑๐ ปรมตั ถบารมี ๑๐ กลา่ วโดยยอ่ คอื สง่ั สม บารมี ๑๐ แต่บ�ำเพ็ญอยา่ งยากยงิ่ ยวดกว่าคอื ท�ำบารมี ๑๐ ในระดบั ท่ีเขม้ ข้นยิ่งขึ้นถึงข้ันจวนสูงสุดเป็นระดับอุปบารมี และท�ำบารมี ๑๐ ในระดับ ท่เี ข้มข้นสูงสดุ เปน็ ระดบั ปรมตั ถะ ในระดับสาวกบ�ำเพ็ญถงึ ระดับ ๑๐ แต่ ในระดับหมายจะบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจะต้องบ�ำเพ็ญก�ำลัง ทัง้ ๑๐ ใหย้ ิ่งใหญส่ ูงสดุ การสรา้ งบารมไี มไ่ ดเ้ ปน็ เรอ่ื งของการสรา้ งอตั ตาเพอ่ื ใหย้ ง่ิ ใหญ่ แต่ เปน็ การส่งั สมก�ำลังใจให้ใหญ่ เมอื่ ใจย่งิ เปิดกวา้ ง มปี ญั ญา ก็ยิง่ เป็นก�ำลัง เป็นปัจจัยสนับสนุนให้สามารถสร้างเหตุแห่งความเจริญก้าวหน้าย่ิง ๆ ขน้ึ การสรา้ งบารมตี อ้ งมกี ารท�ำความดอี ยา่ งยง่ิ ดว้ ย เหตนุ จ้ี งึ เหนย่ี วน�ำหรอื มผี ลขา้ งเคียงใหม้ ีปัจจัยภายนอก เช่น ท�ำใหม้ ีทรพั ย์ อ�ำนาจ บรวิ ารมาก มีผู้สนับสนุน เก้ือกูล ช่วยเหลือ ดังเช่นตัวอย่างในเร่ืองพระเวสสันดรที่มี เหลา่ เทวดาจ�ำแลงแปลงเปน็ สตั วป์ า่ เพอื่ ขวางไมใ่ หพ้ ระนางมทั รกี ลบั อาศรม กอ่ นเวลา เพราะอาจเปน็ เหตทุ �ำใหพ้ ระเวสสนั ดรไมไ่ ดบ้ รจิ าคมหาทาน คอื


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook