คู่มือเครอื่ งชีว้ ัดทางโภชนาการและโรคที่เกี่ยวขอ้ ง บรรณาธิการ ลัดดา เหมาะสวุ รรณ, อุไรพร จิตตแ์ จ้ง พมิ พค์ รัง้ แรก กันยายน 2555 จำ�นวน 1,000 เลม่ สนบั สนุนโดย ส�ำ นักงานคณะกรรมการอาหารและยา ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี พิมพท์ ี่ โรงพมิ พ์ องคก์ ารสงเคราะหท์ หารผ่านศกึ ในพระบรมราชูปถัมภ์
คำ�น�ำ อาหารและโภชนาการเป็นรากฐานสำ�คญั ของสุขภาพ การไดร้ ับ อาหารที่ไม่เหมาะสมและภาวะโภชนาการท่ีไม่ดี มีผลให้การเติบโต ชะงกั งนั พฒั นาการของสมองและสตปิ ญั ญาล่าช้า และลดสมรรถภาพ การทำ�งาน ในขณะทภี่ าวะโภชนาการเกนิ ทำ�ใหเ้ กิดโรคไม่ติดตอ่ เรื้อรงั ท่ีบั่นทอนปีสุขภาวะของประชาชนไทย ทั้งหมดน้ีต้องได้รับการแก้ไข อยา่ งเร่งด่วน เพื่อลดผลกระทบตอ่ สขุ ภาพและศักยภาพด้านสตปิ ัญญา ของทรพั ยากรมนษุ ย์ของประเทศ อาหารศกึ ษา หนงึ่ ในแผนยทุ ธศาสตรก์ ารจดั การดา้ นอาหารของ ประเทศไทย ได้กำ�หนดให้มีการศึกษามาตรฐานและเคร่ืองชี้วัดทาง โภชนาการและของโรคทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพ่ือน�ำ ไปใช้ขบั เคลือ่ นแผนงานและ กิจกรรมทเ่ี ช่อื มโยงอาหารและโภชนาการสู่คุณภาพชีวติ ทด่ี ี คณะผู้จัดทำ�หนังสือเล่มน้ีได้ศึกษาทบทวน รวบรวมองค์ความรู้ และจัดทำ�ข้อเสนอเคร่ืองชี้วัดทางโภชนาการและของโรคที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นเครื่องชี้วัดอย่างง่าย เพ่ือใช้ประโยชน์ในการประเมินภาวะ โภชนาการของตนเองระดับบคุ คล ดฉิ นั ขอขอบพระคณุ ศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ นายแพทยไ์ กรสทิ ธ์ิ ตนั ตศิ ริ นิ ทร์ และผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ไ่ี มส่ ามารถเอย่ นามไดท้ ง้ั หมด ทไี่ ดช้ ว่ ย ชแ้ี นะและให้ความเหน็ อนั เป็นประโยชน์ และขอขอบคณุ คณะกรรมการ อาหารแหง่ ชาติทสี่ นบั สนนุ ใหจ้ ัดทำ�หนงั สือเล่มน้ี ดิฉันหวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ตาม วตั ถุประสงค์ทต่ี ั้งไว้ ลัดดา เหมาะสุวรรณ คมู่ ือเครอื่ งชวี้ ดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ กี่ยวข้อง ก
ข ค่มู อื เครอ่ื งช้วี ดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
สารบญั ความส�ำ คัญของเคร่อื งช้วี ัดทางโภชนาการ หนา้ ลดั ดา เหมาะสวุ รรณ 1 สถานการณ์ภาวะโภชนาการและโรคท่ีเกีย่ วขอ้ งในเด็กไทย 7 ลดั ดา เหมาะสวุ รรณ 23 สถานการณภ์ าวะโภชนาการและโรคท่ีเกย่ี วขอ้ งในผู้ใหญไ่ ทย 47 วชิ ยั เอกพลากร 69 เคร่ืองชีว้ ัดภาวะโภชนาการและโรคท่ีเกยี่ วข้องในเด็ก 87 ศริ ินชุ ชมโท เครื่องช้วี ดั ภาวะโภชนาการและโรคทเี่ กยี่ วขอ้ งในผใู้ หญ่ วชิ ยั เอกพลากร วิธใี ชเ้ คร่อื งมือประเมนิ ภาวะโภชนาการ ณัฐวรรณ เชาวน์ลลิ ติ กุล คมู่ ือเครือ่ งช้ีวัดทางโภชนาการและโรคทเ่ี กยี่ วข้อง ค
ง ค่มู อื เครอ่ื งช้วี ดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
ความสำ�คัญของเครอ่ื งชวี้ ดั ทางโภชนาการ ลัดดา เหมาะสวุ รรณ1 อาหารและโภชนาการมีความสำ�คัญต่อสุขภาพ โรคที่เป็น ภาระสุขภาพลำ�ดับต้นท่ีสำ�คัญของประเทศไทย ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลอื ดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด และมะเร็ง ล้วนเก่ียวข้องกบั อาหารและโภชนาการ ในผู้หญิง ภาวะโลหิตจางยังเป็นภาระสุขภาพ ส�ำ คญั การไดร้ บั อาหารทไี่ มเ่ หมาะสมและภาวะโภชนาการทไี่ มด่ บี น่ั ทอน ปสี ขุ ภาวะของประชาชนไทยลงรอ้ ยละ 28 ภาวะทพุ โภชนาการยงั ท�ำ ให้ เจ็บป่วยบ่อย ส่งผลลดสมรรถภาพ สำ�คัญ การทำ�งาน และอาจมี ผลกระทบตอ่ ผลผลติ มวลรวมประชาชาติได้ถงึ รอ้ ยละ 2-3 ภาวะทุพโภชนาการขาดสารอาหารเป็นสาเหตุสำ�คัญของการ ตายมากกว่าคร่ึงหน่ึงของเด็กในประเทศกำ�ลังพัฒนาท่ัวโลก จากการ ประชุมสุดยอดของสหประชาชาติ (UN Millennium Summit) ใน ปี ค.ศ. 2000 ประเทศสมาชิกได้รับรองเป้าหมายการพัฒนาแห่ง สหัสวรรษ (Millennium Development Goals, MDGs) ที่เป้าหมาย หลักคือขจัดความยากจนข้นแค้นและความหิวโหย ความยากจนจะถูก กำ�จัดให้ส้ินซากได้ต้องแก้ปัญหาทุพโภชนาการและส่งเสริมสุขภาพใน เด็ก โภชนาการจึงเป็นรากฐานสำ�คัญในการบรรลุเป้าหมายแรกของ MDGs เชน่ เดยี วกบั ใน Copenhagen Consensus 2012 ที่กล่มุ นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกเห็นพ้องกันว่าปัญหาทุพโภชนาการเป็น ปัญหาสำ�คัญลำ�ดับแรกท่ีควรแก้ไข โภชนาการที่ดีจะได้เด็กท่ีฉลาด ได้รับการศึกษาดี มีอาชีพท่มี ีรายได้สูง และหลุดจากวงจรของความ ยากจนได้ 1รองศาสตราจารย์ ภาควชิ ากมุ ารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ คูม่ อื เคร่ืองชี้วดั ทางโภชนาการและโรคทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 1
ภาวะทพุ โภชนาการ การขาดสารไอโอดนี โลหติ จางจากการขาด ธาตเุ หล็ก และการขาดการเลี้ยงดูและให้การศกึ ษาทก่ี ระต้นุ พัฒนาการ อยา่ งเหมาะสม เปน็ ปจั จยั ส�ำ คญั 4 ประการทท่ี �ำ ใหเ้ ดก็ ในประเทศก�ำ ลงั พัฒนามีพฒั นาการด้านสตปิ ญั ญาลา่ ชา้ ในขณะท่กี ารไดร้ บั นมมารดา และระดับการศึกษาของมารดาปกป้องเดก็ จากภาวะดงั กลา่ ว โภชนาการมีผลตอ่ การพฒั นาของสมอง การขาดสารอาหารจึง มผี ลเสยี ตอ่ พฒั นาการดา้ นสตปิ ญั ญาขดั ขวางการเรยี นรขู้ องเดก็ สง่ ผล ให้เด็กไม่สามารถพัฒนาระดับสติปัญญาได้เต็มศักยภาพ เด็กท่ีมีภาวะ ทพุ โภชนาการรนุ แรงจนเตยี้ แคระแกรน็ ในชว่ ง 2 ขวบแรกมคี ะแนนไอควิ ทอี่ ายุ 8-10 ปตี าํ่ กวา่ เดก็ ทไ่ี มเ่ คยเตยี้ แคระแกรน็ ถงึ 3-10 จดุ สง่ ผลเสยี ต่อผลสัมฤทธิ์การเรียน ความสามารถในการหารายได้และระดับ ไอคิวเม่ือเป็นผู้ใหญ่ การขาดสารไอโอดีนเป็นสาเหตุส�ำ คัญของความ บกพร่องทางสติปัญญาทปี่ ้องกันได้ การขาดสารไอโอดนี นานๆ ท�ำ ให้ ระดับไอคิวโดยเฉล่ยี ตา่ํ กวา่ กลมุ่ ท่ีไม่ขาดถึง 13.5 จุด สว่ นการขาด ธาตเุ หลก็ ทำ�ให้เดก็ เติบโตช้าโลหติ จาง อ่อนเพลยี เฉอื่ ยชา มสี มาธสิ ั้น ความสามารถในการเรียนรู้และสติปัญญาตํ่าลง การขาดสารอาหาร เหลา่ น้ี นอกจากมีผลให้การเตบิ โตชะงักงัน พฒั นาการของสมองและ สติปัญญาล่าช้าแล้ว ยังทำ�ให้ภูมิคุ้มกันโรคบกพร่องและติดเช้ือได้ง่าย ซา้ํ เตมิ ภาวะโภชนาการทต่ี า่ํ อยแู่ ลว้ ใหเ้ ลวรา้ ยลงเปน็ วฏั จกั รของการขาด สารอาหาร ในขณะเดียวกัน ประเทศใหญ่น้อยทั่วโลกกำ�ลังเผชิญกับปัญหา ทุพโภชนาการแบบใหม่ ท่ีผู้ใหญ่และเด็กท่ัวโลกมีภาวะโภชนาการเกิน เพมิ่ ทวคี ณู อยา่ งตอ่ เนอื่ ง ทำ�ใหพ้ บผใู้ หญแ่ ละเดก็ ปว่ ยดว้ ยโรคเบาหวาน ชนดิ ท่ี 2 ทางเดินหายใจอุดกน้ั จนหยดุ หายใจ (obstructive sleep apnea) ความผดิ ปกตขิ องระดบั ไขมนั ในเลอื ด และความดนั เลอื ดสงู เพมิ่ ขนึ้ ท�ำ ใหโ้ รคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั เปน็ สาเหตกุ ารตายอนั ดบั ตน้ ของประชากรไทย 2 คมู่ อื เครอ่ื งช้ีวดั ทางโภชนาการและโรคท่ีเกย่ี วขอ้ ง
ท้ังชายและหญิง ยิ่งกว่านั้น ยังมีหลักฐานว่าโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 โรคความดันเลอื ดสูง โรคหวั ใจและหลอดเลือด ลว้ นเปน็ ผลของภาวะ ทุพโภชนาการในช่วงตน้ ของชีวติ ปัญหาโภชนาการขาดและเกนิ ท่กี ล่าวมาท้งั หมด ลว้ นเป็นปัญหา เร่งด่วนท่ีต้องรีบแก้ไข เพ่ือลดผลกระทบต่อสุขภาพและศักยภาพด้าน สติปัญญาของทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ หนึ่งในมาตรการป้องกัน คือการเฝ้าระวังการเติบโตของเด็กและภาวะโภชนาการของประชาชน ทุกกลุ่มอายุ เพ่ือให้มีภาวะโภชนาการดีและเพื่อค้นหาผู้ท่ีมีภาวะเส่ียง แตเ่ นิน่ ๆ ในการด�ำ เนนิ งานดา้ นโภชนาการ จ�ำ เปน็ ตอ้ งมขี อ้ มลู สถานการณ์ ภาวะโภชนาการและปัจจัยเสี่ยงเพื่อใช้ค้นหาสาเหตุและจัดลำ�ดับความ ส�ำ คญั ใชค้ ดั เลอื กมาตรการทเี่ ปน็ ไปได้ และสดุ ทา้ ยเพอื่ ตดิ ตามประเมนิ ผลมาตรการต่างๆ และผลกระทบของมาตรการเหล่าน้ัน เครื่องมือ สำ�คัญท่ีจะใช้ในกระบวนการเหล่าน้ีคือเครื่องชี้วัดทางโภชนาการ ซ่ึง อาจไดจ้ ากการตรวจวดั การสงั เกต หรอื จากแบบสอบถามสำ�รวจตา่ งๆ เครอื่ งชวี้ ดั ทด่ี ตี อ้ งเขา้ ใจงา่ ยและสามารถแปลผลไดโ้ ดยผใู้ ชท้ กุ ภาคสว่ น หรอื ทุกกลมุ่ การเลอื กเครอ่ื งช้ีวดั ขึน้ อยู่กบั บรบิ ทและสภาพปัญหาของ ชุมชนและข้ึนอยู่กับความต้องการของผใู้ ช้ เครื่องชี้วัดท่ีดีควรมีความจำ�เพาะคือวัดส่ิงที่ต้องการวัด ทำ�การ วดั ไดง้ ่าย ไมต่ อ้ งใชเ้ ครือ่ งมือท่ีแพงเกินไป มคี ่าใชจ้ า่ ยในกรอบทรี่ ับได้ สามารถทำ�การวัดได้เป็นระยะเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ มคี วามแม่นย�ำ และไวต่อการเปลยี่ นแปลง เน่ืองจากโภชนาการสัมพันธ์ กบั โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั ทเี่ ปน็ สาเหตกุ ารตายล�ำ ดบั ตน้ ๆ ของประเทศไทย จงึ ควรมเี ครื่องช้วี ัดเพอ่ื คัดกรองโรคกลุ่มนีด้ ้วย การประเมินภาวะโภชนาการระดับบุคคลอย่างง่ายมักใช้ การชั่งน้ําหนัก วัดส่วนสูง วัดรอบเอวหรือวัดสัดส่วนของร่างกาย ค่มู ือเครือ่ งช้ีวดั ทางโภชนาการและโรคทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 3
(anthropometry) การเจาะเลอื ดตรวจภาวะโลหติ จาง การตรวจปสั สาวะ วัดระดบั ไอโอดีน แลว้ ใชจ้ ุดตัด (cut-off value) หรือเกณฑม์ าตรฐาน เพ่ือแบ่งเป็นกลุ่มที่โภชนาการปกติและกลุ่มทุพโภชนาการ การใช้และ การแปลผลเครื่องช้ีวัดเหล่านี้ต้องสามารถแบ่งกลุ่มได้ เป็นกลุ่มเสี่ยง กลุ่มขาดที่มีผลใหร้ า่ งกายทำ�งานบกพร่อง (functional deficit) หรอื แบ่งได้ว่าเพิ่งเป็นหรือเป็นมานานแล้ว เป็นแบบฉับพลันหรือเป็นแบบ เร้ือรัง เปน็ ต้น ในระดบั ชมุ ชน เครอ่ื งชว้ี ดั ควรประเมนิ ความเสย่ี งในภาพรวม เชน่ อัตราการเล้ียงลูกด้วยนมแม่พฤติกรรมบริโภคผัก ผลไม้ หรืออาหาร ท�ำ ลายสุขภาพ เปน็ ตน้ หรอื ประเมนิ ความมนั่ คงด้านอาหาร เช่นการ พงึ่ พาอาหารจากภายนอก สดั สว่ นของประชากรทมี่ อี าหารรบั ประทาน ครบ 3 มื้อ เป็นตน้ ข้อมูลประเมินภาวะโภชนาการระดับบุคคลมีประโยชน์สำ�หรับ การเฝ้าระวงั สุขภาพของตนเองและบคุ คลในครอบครัว โดยเฉพาะเดก็ ข้อมูลระดับชุมชนมีประโยชน์สำ�หรับบุคลากรสาธารณสุข ผู้นำ�ชุมชน ผู้บริหารท้องถ่ินใช้ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีสุขภาวะพร้อม รับการพัฒนาให้เต็มศักยภาพ เพ่ือเป็นพลังขับเคลื่อนสร้างขับเคลื่อน เศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ และลดการสูญเสียจากความเจ็บป่วย ที่ปอ้ งกันได้ เอกสารอา่ นเพมิ่ เตมิ 1. นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์. แนวทางการบูรณาการขับเคล่ือน ยทุ ธศาสตรส์ ุขภาพดีวิถีชีวติ ไทย. การประชมุ เชงิ ปฏิบัติการ “รวม พลังบูรณาการการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย ลดภยั โรคไมต่ ดิ ตอ่ ” วนั จนั ทรท์ ่ี 29 สงิ หาคม 2554 เวลา 9.00 - 9.45 น. ณ โรงแรมมารวย การ์เด้น บางเขนกรุงเทพมหานคร 4 คู่มือเครือ่ งชวี้ ัดทางโภชนาการและโรคท่เี กี่ยวขอ้ ง
2. Appleton J. Food and nutrition indicators. 2008 http:// www.unscn.org/files/Task_Forces/Assessment_Monitoring_ and_Evaluation/repository_food_and_nutrition_indicators.pdf 3. Chhabra R, Rokx C. The nutrition MDG indicator. 2004. http://siteresources.worldbank.org/HEALTHNUTRITIONAND- POPULATION/Resources/281627-1095698140167/ Chhabra-TheNutritionMDG-whole.pdf 4. Victora CG, Adair L, Fall C, Hallal PC, Martorell R, Richter L, Sachdev HS, for the Maternal and Child Undernutrition Study Group. Maternal and child undernutrition: conse- quences for adult health and human capital. Lancet 2008; 371: 340-57. 5. Jolly R. Early childhood development: the global challenge. Lancet 2007;269: 8-9. คูม่ ือเครื่องชวี้ ดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ ก่ยี วข้อง 5
6 ค่มู อื เครอ่ื งช้วี ดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
สถานการณ์ภาวะโภชนาการ และโรคทเ่ี กี่ยวข้องในเด็กไทย ลดั ดา เหมาะสุวรรณ1 ภาวะโภชนาการเปน็ ดัชนีบง่ ชภี้ าวะสขุ ภาพโดยรวมของเดก็ และ เปน็ ตน้ ทนุ ส�ำ คญั ส�ำ หรบั การพฒั นาเดก็ ใหเ้ ตบิ โตเตม็ ศกั ยภาพ มสี ขุ ภาพ ดแี ละมเี ชาวนป์ ญั ญาทพ่ี รอ้ มจะเรยี นรู้ ฝกึ ฝนทกั ษะ สะสมประสบการณ์ เพอ่ื เตบิ โตเปน็ ผใู้ หญ่ที่มคี ุณภาพ ประเทศไทยได้รับการยกย่องในเวทีโลกให้เป็นตัวอย่างของ ประเทศทป่ี ระสบความส�ำ เรจ็ อยา่ งยงิ่ ในการขจดั ปญั หาขาดสารอาหาร ภาวะโภชนาการพร่องลดนอ้ ยลง ภาวะขาดสารอาหารรุนแรงระดับ 3 เหลือน้อยมาก อย่างไรก็ตามยังพบเด็กน้ําหนักน้อยและเต้ียได้ในกลุ่ม เดก็ ยากจนดอ้ ยโอกาส ในขณะเดยี วกนั กพ็ บเดก็ ไทยมภี าวะโภชนาการ เกินและเป็นโรคอ้วนรุนแรงขึ้น ส่งผลให้พบปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพม่ิ ขน้ึ ทง้ั ในเดก็ และผใู้ หญ่ ทงั้ หมดนลี้ ว้ นบน่ั ทอนคณุ ภาพของทรพั ยากร มนษุ ย์ของประเทศชาตใิ นอนาคต หลกั ฐานจากการวจิ ยั ในชว่ ง 2 ทศวรรษทผี่ า่ นมาบง่ ชวี้ า่ อาหาร และโภชนาการในช่วงต้นของชีวิตมีบทบาทส�ำ คัญยิ่งต่อสุขภาพในระยะ ยาว ผลการวิจัยต่างๆ ในปัจจบุ นั ชว้ี ่าภาวะทุพโภชนาการโดยเฉพาะใน ขวบปีแรกของชีวิตเป็นปัจจัยสำ�คัญที่ขัดขวางพัฒนาการและสติปัญญา ของเดก็ สง่ ผลใหเ้ รียนรชู้ า้ เฉื่อยชา สติปัญญาตํ่า ภมู ิตา้ นทานโรค 1รองศาสตราจารย์ ภาควชิ ากมุ ารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ คู่มอื เคร่ืองช้วี ัดทางโภชนาการและโรคทีเ่ กยี่ วข้อง 7
บกพร่องทำ�ใหเ้ จบ็ ปว่ ยบ่อย เปน็ นาน และรนุ แรง และยงั มผี ลเสยี เมอื่ โตเป็นผใู้ หญ่ มคี วามเสี่ยงสูงกว่าคนท่ัวไปทจ่ี ะเกิดภาวะโภชนาการเกิน และโรคไม่ติดตอ่ เรอื้ รังต่างๆ มากขน้ึ ทัง้ โรคเบาหวาน โรคความดัน โลหิตสงู และโรคหวั ใจและหลอดเลอื ด โรคปอดเรอื้ รงั และโรคมะเร็ง ภาวะโภชนาการของเดก็ ไทย ผลการสำ�รวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการสัมภาษณ์และตรวจ รา่ งกายครงั้ ล่าสดุ คอื ครัง้ ที่ 4 เมอื่ พ.ศ. 2551-2552 พบว่าเดก็ ไทย มกี ารเตบิ โตทางกายและภาวะโภชนาการดขี น้ึ ทงั้ เดก็ ชายและเดก็ หญงิ มีสว่ นสงู เพม่ิ ขนึ้ ประมาณ 4 เซนตเิ มตรในช่วง 8 ปีท่ผี ่านมา อยา่ งไร ก็ตาม เด็กไทยยังเผชิญท้ังภาวะโภชนาการพร่องและภาวะโภชนาการ เกนิ เด็กไทยอายุ 1-14 ปี 520,000 คนหรอื รอ้ ยละ 4.4 มีภาวะ เตี้ยและ 480,000 คนหรือร้อยละ 4.1 มีน้าํ หนกั น้อยกว่าเกณฑ์ เด็ก เหลา่ นเี้ สย่ี งตอ่ สขุ ภาพไมแ่ ขง็ แรง นอกจากนย้ี งั พบวา่ เดก็ ไทยอายตุ าํ่ กวา่ 2 ปีร้อยละ 2.4 หรือ 18,000 คนทเ่ี ตี้ยแคระแกรน็ รนุ แรง (ตา่ํ กวา่ 3 เท่าของคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน) ซึ่งการศึกษาตา่ งๆ ชีต้ รงกันวา่ มีผล ลบตอ่ ระดบั เชาวนป์ ญั ญาและเสย่ี งตอ่ ระดบั เชาวนป์ ญั ญาตาํ่ ในวยั ผใู้ หญ่ โรคอ้วนก�ำ ลังเปน็ ภัยคกุ คามเด็กไทย ความชุกของภาวะน้ําหนกั เกินและโรคอ้วนเพิ่มข้ึนอย่างต่อเน่ือง และเด็กในเขตชนบทเริ่มพบ ปัญหานี้เพ่ิมขึ้น ในพ.ศ. 2551-2552 เด็กไทยอายุ 1-14 ปี 540,000 คนหรือร้อยละ 4.7 มีนา้ํ หนักเกนิ และอีก 540,000 คน หรือรอ้ ยละ 4.6 อยใู่ นภาวะอว้ น ในจ�ำ นวนนี้ 135,000 คนเสีย่ งเปน็ เบาหวานชนดิ ท่ี 2 ปญั หาอว้ นในเดก็ นจี้ ะสง่ ผลใหพ้ บปญั หาโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั เพม่ิ ขนึ้ ในผใู้ หญ่ สอดคลอ้ งกบั ภาวะโภชนาการของผใู้ หญไ่ ทยอายุ 18-59 ปที คี่ วามชกุ ภาวะอว้ น (ดชั นมี วลกาย > 25 กก/ม2) เพมิ่ สงู ขน้ึ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ในการสำ�รวจครั้งท่ี 4 พ.ศ. 2551-2552 น้ี ภาวะ 8 คมู่ อื เครอื่ งชี้วดั ทางโภชนาการและโรคทเี่ ก่ียวขอ้ ง
อว้ นในผชู้ ายร้อยละ 30.8 ในผ้หู ญิงรอ้ ยละ 43.5 โดยผู้หญงิ มภี าวะ อ้วนลงพุงซง่ึ สัมพนั ธก์ ับกลุม่ โรคเมตาบอลกิ (Metabolic syndrome) มากกว่าผชู้ ายเกินสองเท่า ภาวะโภชนาการของเดก็ ปฐมวัยไทย ผลการส�ำ รวจสขุ ภาพประชาชนไทยครง้ั ที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 พบวา่ เดก็ อายุ 1-5 ปี ร้อยละ 6.3 เต้ียกวา่ เกณฑ์ ร้อยละ 4.8 มีนาํ้ หนกั นอ้ ยกวา่ เกณฑ์ รอ้ ยละ 2.7 ผอม ทงั้ เดก็ ทเี่ ต้ียหรอื นา้ํ หนัก น้อยนี้มีความเส่ียงต่อภาวะเชาวน์ปัญญาต่ํา ในขณะท่ีร้อยละ 8.5 มนี ํา้ หนักเกนิ และอว้ น เม่ือเปรียบเทียบระหวา่ งเพศ เด็กชายอายุ 1-5 ปีเตยี้ กวา่ เกณฑ์ และมีน้ําหนักเกินและอ้วนสูงกว่าเด็กหญิงแต่มีเด็กนํ้าหนักน้อยต่ํากว่า เดก็ หญิงเล็กน้อย เมอ่ื พิจารณาความแตกตา่ งระหว่างเขตการปกครอง เดก็ ในเขตเทศบาลมคี วามชกุ ของปญั หานํ้าหนกั เกนิ และอ้วนสูงกวา่ เด็ก นอกเขตเทศบาล ในขณะที่เด็กนอกเขตเทศบาลมีความชุกของปัญหา นํา้ หนกั น้อย ผอม และเต้ียกว่าเกณฑส์ งู กว่าเด็กในเขต (รปู ที่ 1) คู่มอื เครื่องช้วี ัดทางโภชนาการและโรคท่ีเก่ยี วข้อง 9
รปู ที่ 1 เปรยี บเทยี บความชกุ ของภาวะนา้ํ หนกั เกนิ และอว้ น เตยี้ และ นา้ํ หนักน้อยของเดก็ อายุ 1-5 ปี จ�ำ แนกตามเพศและเขต การปกครอง เมื่อเปรียบเทียบแยกตามภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังเป็น ภาคทมี่ คี วามชกุ ของเดก็ โภชนาการพรอ่ ง คอื ผอม เตย้ี และนา้ํ หนกั นอ้ ย สงู สดุ ภาคใตม้ คี วามชกุ ของเด็กเต้ียและอว้ นสงู พอกนั โดยมีความชุก ของเด็กอ้วนสูงพอๆ กบั ภาคกลางและกทมฯ ความชุกของเดก็ เริ่มอว้ น สูงถึงร้อยละ 8.7 ในเด็กกทมฯ (รปู ที่ 2) 10 ค่มู ือเคร่อื งชวี้ ัดทางโภชนาการและโรคทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
รูปท่ี 2 เปรียบเทียบความชุกของภาวะน้ําหนักเกิน อ้วน เต้ีย นํ้าหนักนอ้ ย และผอม ของเดก็ กลุ่มอายุ 1-5 ปี จำ�แนก ตามภาค ภาวะโภชนาการของเดก็ ไทยอายุ 6-11 ปี ในการส�ำ รวจสขุ ภาพประชาชนไทยครัง้ ท่ี 4 พ.ศ. 2551-2552 เดก็ อายุ 6-11 ปี เต้ยี กวา่ เกณฑ์ร้อยละ 3.5 น้าํ หนักนอ้ ยกวา่ เกณฑ์ ร้อยละ 4.1 ผอมรอ้ ยละ 4.0 สว่ นนา้ํ หนกั เกินและอ้วนมีรอ้ ยละ 8.7 เมอ่ื เปรยี บเทยี บระหวา่ งเพศ เดก็ ชายอายุ 6-11 ปเี ตย้ี กวา่ เกณฑ์ ผอม และมีนา้ํ หนักเกนิ และอ้วนสงู กวา่ เดก็ หญิง โดยมีเด็กนา้ํ หนกั น้อย เทา่ กนั เมอื่ พจิ ารณาความแตกตา่ งระหวา่ งเขตการปกครอง เดก็ ในเขต เทศบาลมีความชุกของปัญหาน้ําหนักเกินและอ้วนสูงกว่าเด็กนอกเขต เทศบาล ในขณะที่เด็กนอกเขตเทศบาลมีความชุกของปัญหานํ้าหนัก นอ้ ย ผอม และเตี้ยกวา่ เกณฑ์สงู กว่าเด็กในเขต (รปู ท่ี 3) ค่มู ือเครอ่ื งช้วี ดั ทางโภชนาการและโรคทเี่ กยี่ วข้อง 11
รปู ท่ี 3 เปรยี บเทยี บความชกุ ของภาวะนา้ํ หนกั เกนิ และอว้ น เตยี้ และ น้าํ หนกั นอ้ ยของเด็กอายุ 6-11 ปี จำ�แนกตามเพศและเขต การปกครอง เมือ่ เปรยี บเทียบแยกตามภาค เดก็ อายุ 6-11 ปี กทมฯ มคี วาม ชกุ เดก็ เรมิ่ อว้ นและอว้ นสงู สดุ เชน่ เดยี วกบั กลมุ่ อายุ 1-5 ปี รองลงมาคอื ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ตามลำ�ดบั สำ�หรับภาวะโภชนาการพร่องในส่วนของภาวะเต้ียกว่าเกณฑ์ ภาคใต้ มีความชกุ ของเดก็ เตี้ยสงู สุด รองลงมาคือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคกลางและกทมฯ ความชุกของภาวะน้ําหนักน้อยกว่า เกณฑส์ งู สดุ ทภ่ี าคใตแ้ ละภาคเหนอื พอๆ กนั รองลงมาคอื ภาคตะวนั ออก เฉียงเหนือ โดยกทมฯ และภาคกลางมีความชุกเด็กน้ําหนักน้อยกว่า เกณฑ์พอๆ กัน สำ�หรับภาวะผอม ความชุกสูงสุดที่ภาคตะวันออก เฉียงเหนอื รองลงมา คือ ภาคกลาง ภาคใต้ กทมฯและภาคเหนือตาม ล�ำ ดบั (รปู ท่ี 4) 12 ค่มู อื เครื่องชี้วดั ทางโภชนาการและโรคทเี่ กย่ี วขอ้ ง
รูปท่ี 4 เปรียบเทียบความชุกของภาวะนํ้าหนักเกิน อ้วน เต้ีย นํ้าหนักน้อย และผอมของเด็กกลุ่มอายุ 6-11 ปีจำ�แนก ตามภาค ภาวะโภชนาการของเด็กไทยอายุ 12-14 ปี ในการสำ�รวจสุขภาพประชาชนไทยคร้ังท่ี 4 พ.ศ. 2551-2552 เด็กอายุ 12-14 ปีเต้ยี กวา่ เกณฑร์ อ้ ยละ 2.7 น้ําหนักน้อยกวา่ เกณฑ์ ร้อยละ 3.0 ผอมรอ้ ยละ 3.9 ส่วนนํา้ หนักเกนิ และอ้วนมรี ้อยละ 11.9 ซ่ึงสงู สดุ เมอื่ เปรยี บเทยี บระหว่างกลุ่มวัย เม่อื เปรยี บเทียบระหวา่ งเพศ เดก็ ชายอายุ 12-14 ปี มนี ํ้าหนัก เกนิ และอว้ นและนํา้ หนกั น้อยกว่าเกณฑ์ สูงกว่าเด็กหญงิ แต่มีเด็กเตีย้ และผอมตา่ํ กวา่ เดก็ หญงิ เมอ่ื เปรยี บเทยี บระหวา่ งเขตการปกครอง เดก็ ในเขตเทศบาลมคี วามชกุ ของปญั หานาํ้ หนกั เกนิ และอว้ นและนาํ้ หนกั นอ้ ย สงู กวา่ เดก็ นอกเขตเทศบาล ในขณะทเี่ ดก็ นอกเขตเทศบาลมคี วามชกุ ของ ปญั หาผอม และเตยี้ กวา่ เกณฑ์สูงกวา่ เดก็ ในเขต (รูปที่ 5) คู่มือเคร่อื งชี้วดั ทางโภชนาการและโรคท่เี กย่ี วข้อง 13
รูปท่ี 5 เปรยี บเทยี บความชกุ ของภาวะนาํ้ หนกั เกนิ และอว้ น เตยี้ และ นาํ้ หนกั นอ้ ยของเดก็ อายุ 12-14 ปี จ�ำ แนกตามเพศและเขต การปกครอง เมือ่ เปรียบเทยี บระหว่างภาค ในกลุ่มเดก็ อายุ 12-14 ปี กทมฯ มคี วามชกุ เด็กอ้วนสงู มากถงึ รอ้ ยละ 10.2 และน้าํ หนักเกนิ รอ้ ยละ 3.9 รวมแล้วสูงสดุ ในประเทศ รองลงมาคอื ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวัน ออกเฉยี งเหนอื และภาคเหนอื ตามลำ�ดบั ส�ำ หรบั ภาวะโภชนาการพรอ่ ง ภาคใต้และภาคกลางมีความชุกของเด็กเต้ียกว่าเกณฑ์สูงพอๆ กัน รองลงมาคอื กทมฯ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคเหนอื ภาคใตม้ ี ความชุกของภาวะนา้ํ หนักน้อยกว่าเกณฑ์สูงสุดใกล้เคียงกบั กทมฯ สว่ น ภาคอนื่ ทเี่ หลอื มคี วามชกุ เทา่ กนั ในขณะทภ่ี าวะผอมของเดก็ อายุ 12-14 ปี มีมากสุดที่ภาคกลาง รองลงมาคอื กทมฯ ภาคเหนอื ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และภาคใต้ (รปู ที่ 6) 14 ค่มู ือเครื่องชวี้ ดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
รปู ที่ 6 เปรียบเทียบความชุกของภาวะน้ําหนักเกิน อ้วน เต้ีย นํ้าหนักนอ้ ย และผอมของเดก็ กลุม่ อายุ 12-14 ปีจำ�แนก ตามภาค แนวโน้มการเปลย่ี นแปลงภาวะโภชนาการของเดก็ ไทย ในกลมุ่ เดก็ ปฐมวยั อายุ 1-5 ปี มขี อ้ มลู ทใี่ ชเ้ กณฑอ์ า้ งองิ เดยี วกนั ให้เปรยี บเทยี บยอ้ นหลงั ได้ 12 ปี แมอ้ าจมขี อ้ จ�ำ กัดที่กรอบการสมุ่ ไม่ เหมือนกันบ้าง แต่ก็พอเปรียบเทียบได้ว่า ความชุกของภาวะน้ําหนัก นอ้ ยกวา่ เกณฑล์ ดไดม้ ากกวา่ ภาวะเตย้ี จากปี พ.ศ. 2538 ถงึ 2544 ความชกุ ลดลงได้ครึ่งหน่งึ ในการส�ำ รวจลา่ สดุ ครง้ั นี้ นํา้ หนักนอ้ ยกว่า เกณฑล์ ดลงไดถ้ ึงสองในสามของเมอ่ื 12 ปที แ่ี ล้ว เหลือเพยี งรอ้ ยละ 4.8 ความชุกของภาวะเตี้ยเปล่ียนแปลงไม่มากในช่วง พ.ศ. 2538- 2546 แตล่ ดลงอยา่ งชดั เจนในชว่ งหลงั เหลอื เพยี งรอ้ ยละ 6.3 ในการ ส�ำ รวจลา่ สุดครั้งนี้เท่ากบั ลดลงไดห้ นึง่ ในสาม ในขณะท่ปี ัญหาขาดสาร อาหารลดลง ปญั หาน้าํ หนักเกนิ และอ้วนกลับพบเพ่มิ ขึน้ อย่างตอ่ เนอ่ื ง จากร้อยละ 5.8 ในปี พ.ศ. 2539 - 2540 เปน็ รอ้ ยละ 8.5 ในปี พ.ศ. 2551-2552 เท่ากบั เพิ่มข้นึ 1.5 เท่าหรือรอ้ ยละ 150 ในรอบ 12 ปี (รปู ท่ี 7) ค่มู อื เครอื่ งช้ีวดั ทางโภชนาการและโรคทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 15
รูปท่ี 7 แนวโน้มภาวะโภชนาการของเด็กปฐมวัยไทย ภาวะโภชนาการของเดก็ อายุ 6-14 ปมี แี นวโนม้ เชน่ เดยี วกบั กลมุ่ เด็กปฐมวัย ความชุกของปัญหาเด็กเต้ียกว่าเกณฑ์ลดลงอย่างต่อเน่ือง เหลือประมาณคร่ึงหนง่ึ ของเมื่อ 12 ปที ีแ่ ลว้ ในขณะทคี่ วามชกุ ของน้ํา หนกั น้อยกว่าเกณฑล์ ดลงได้ร้อยละ 60 ความชกุ ภาวะนํ้าหนกั เกินและ อว้ นเพม่ิ ขึ้น 1.7 เท่า (รปู ที่ 8) 16 คู่มือเคร่ืองชี้วดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ ก่ียวข้อง
รปู ท่ี 8 แนวโนม้ ภาวะโภชนาการของเด็กวัยเรียนไทย ปญั หาสขุ ภาพท่สี มั พนั ธ์กบั อาหาร จากการวิเคราะห์ข้อมูลเด็กในโครงการวิจัยระยะยาวในเด็กไทย ที่ อ.เทพา จ.สงขลา ซง่ึ ตดิ ตามตรวจเลอื ดเดก็ ทอ่ี ายุ 8½ ปไี ด้ 886 คน จากเด็กทเ่ี กดิ ทงั้ หมด 1,076 คน อ.เทพา ในปี พ.ศ. 2543-2544 พบวา่ รอ้ ยละ 18.2 มภี าวะโลหติ จางจากคา่ ฮโี มโกลบนิ <115 กรมั /ลติ ร ร้อยละ 15.5 มีภาวะโลหติ จางจากค่าฮมี าโตครติ <34% เมือ่ ใช้ค่าที่ ประมาณการว่าร้อยละ 15 ของภาวะโลหิตจางมสี าเหตุจากการขาด ธาตุเหล็ก จะได้ว่าเด็กในโครงการวิจัยระยะยาวน้ีร้อยละ 2.3-2.7 โลหติ จางจากการขาดธาตเุ หลก็ ซง่ึ ท�ำ ใหเ้ ดก็ เตบิ โตชา้ ภมู ติ า้ นทานพรอ่ ง เฉ่ือยชา มีสมาธิสั้น ความสามารถในการเรียนรู้และสติปัญญาต่ํา มีการศึกษาว่าทารกและเด็กปฐมวัยที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุ เหล็กอาจมรี ะดบั เชาวนป์ ญั ญาพรอ่ งไดถ้ งึ 5-10 จดุ คู่มือเครื่องชีว้ ดั ทางโภชนาการและโรคที่เกย่ี วขอ้ ง 17
ผลการตรวจระดบั ไขมันในเลือด พบรอ้ ยละ 27.6 ของเด็กอายุ 8½ ปใี นโครงการวิจัยระยะยาวนีม้ รี ะดับคอเลสเตอรอลรวม > 200 มลิ ลิกรมั /เดซลิ ิตร เด็กร้อยละ 25 มีระดบั แอลดีแอล-คอเลสเตอรอล > 130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เด็กร้อยละ 7.4 มีระดับ เอชดีแอล- คอเลสเตอรอล < 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร มหี ลกั ฐานงานวจิ ยั พบรอย โรคของหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) เริ่มได้ในวัยเด็กเล็ก และพบสะสมมากข้ึนเม่ือเข้าสู่วัยรุ่นและแสดงอาการของโรคหัวใจและ หลอดเลือดในผ้ใู หญ่ ปริมาณพลงั งานและสารอาหารท่ไี ดร้ บั จากการบรโิ ภคอาหารใน 1 วนั ปริมาณพลงั งานทไี่ ดร้ ับจากการบริโภคอาหารใน 1 วัน ใน การส�ำ รวจสขุ ภาพประชาชนไทยฯ ครงั้ ที่ 4 พ.ศ. 2551-2552 มเี พยี ง เดก็ ชายอายุ 1-3 ปที คี่ า่ มธั ยฐานของพลงั งานทไี่ ดร้ บั เปน็ ไปตามปรมิ าณ พลงั งานอา้ งองิ ทคี่ วรไดร้ บั ประจ�ำ วนั ส�ำ หรบั คนไทย เดก็ หญงิ อายุ 1-3 ปี เด็กอายุ 4-12 ปีทั้งชายและหญิงไดร้ บั ปริมาณพลังงานต่ํากวา่ รอ้ ยละ 100 แต่ยังเกนิ ร้อยละ 70 เดก็ อายุ 1-15 ปี ได้รบั พลงั งานจาก ไขมนั เกินร้อยละ 30 (รอ้ ยละ 31-34) ของพลงั งานรวมเล็กนอ้ ย ปริมาณสารอาหารที่ได้รับจากการบริโภคอาหารใน 1 วัน ผลการสำ�รวจสุขภาพประชาชนไทยฯ ครั้งที่4 พ.ศ. 2551-2552 กลุ่มตัวอย่างเด็กทุกกลุ่มอายุบริโภคโปรตีนเพียงพอ โดยได้รับโปรตีน จากสัตว์มากกว่าโปรตนี จากพชื สองเท่า ปริมาณธาตุเหล็กที่บริโภคต่ํากว่าปริมาณท่ีควรได้รับประจำ�วัน เฉพาะเดก็ กลมุ่ อายุ 1-3 ปเี ทา่ นน้ั ทไ่ี ดร้ บั ธาตเุ หลก็ สงู กวา่ ปรมิ าณอา้ งองิ เดก็ หญงิ วยั อนื่ ไดร้ บั ธาตเุ หลก็ เพยี งหนงึ่ ในสถี่ งึ หนงึ่ ในสามของปรมิ าณที่ ควรไดร้ บั ประจ�ำ วนั กลมุ่ ตวั อยา่ งเดก็ ชายวยั อน่ื ไดร้ บั ธาตเุ หลก็ ประมาณ ครึง่ หนึ่งของปริมาณทคี่ วรได้รับ ทำ�ใหเ้ สีย่ งต่อภาวะโลหิตจาง 18 คมู่ ือเครอ่ื งชว้ี ดั ทางโภชนาการและโรคท่เี กยี่ วข้อง
ส�ำ หรบั โซเดยี ม กลมุ่ ตวั อยา่ งเดก็ ทกุ กลมุ่ อายไุ ดร้ บั สงู กวา่ ปรมิ าณ โซเดียมท่ีควรได้รับประจำ�วัน 2-3 เท่า ทำ�ให้เส่ียงต่อโรคความดัน โลหติ สงู พฤตกิ รรมบรโิ ภคอาหารของประชากรไทย ภาวะโภชนาการทด่ี เี ปน็ ตน้ ทนุ ส�ำ คญั ทสี่ ง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ เตบิ โตไดเ้ ตม็ ศักยภาพ หากเด็กไดร้ บั สารอาหารท่ไี ม่ครบสว่ น และนสิ ยั บริโภคที่ไม่ ถกู ตอ้ ง นอกจากจะกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาขาดสารอาหารหรอื โรคอว้ นแลว้ อาจ มีผลเสยี ในระยะยาว ทำ�ให้มีนิสัยบรโิ ภคไมเ่ หมาะสมติดตวั นำ�ไปสู่โรค หวั ใจและหลอดเลือด มะเร็ง และโรคกระดูกพรนุ ในวัยผู้ใหญ่ นมแม่และอายุท่ีเริ่มอาหารตามวัย จากการสำ�รวจสุขภาพ ประชาชนไทย พ.ศ. 2551-2552 ทารกไทยรอ้ ยละ 31.1 ได้รับนม แมอ่ ย่างเดียว 3 เดอื น มีเพียงรอ้ ยละ 7.1 ทีไ่ ด้รับนมแมอ่ ยา่ งเดียว จนถงึ อายุ 6 เดอื น สงู สดุ ที่ กทม.ฯ รอ้ ยละ 13.8 รองลงมาคอื ภาคใต้ รอ้ ยละ 8.7 ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ร้อยละ 7.7 ภาคเหนอื ร้อยละ 6.6 และภาคกลาง ร้อยละ 3.5 ส่วนอายุที่เร่ิมอาหารตามวัย (ค่ามัธยฐาน) คือ 4 เดือน เรว็ ที่สุด 1 เดือน ช้าสดุ 6 เดือน ผกั และผลไม้ เดก็ ควรไดก้ นิ ผกั และผลไมอ้ ยา่ งเพยี งพอ แตจ่ ากการ สำ�รวจสุขภาพประชาชนไทย พ.ศ. 2551-2552 พบเด็กอายุ 2-14 ปี มกี ารกนิ ผักและผลไมโ้ ดยเฉลีย่ เปน็ มธั ยฐานวนั ละ 1.4 สว่ นต่อวัน โดย เด็กอายุ 2-5 ปรี อ้ ยละ 81 กินผักน้อยกว่า 1 ส่วนต่อวนั และร้อยละ 61 กนิ ผลไมน้ อ้ ยกวา่ 1 สว่ นตอ่ วนั ในขณะทเ่ี ดก็ อายุ 6-14 ปรี อ้ ยละ 68 กนิ ผกั น้อยกว่า 1 สว่ นต่อวนั และรอ้ ยละ 55 กินผลไม้นอ้ ยกว่า 1 สว่ นตอ่ วนั เดก็ ทงั้ สองกลมุ่ นไี้ มถ่ งึ รอ้ ยละ 20 ทกี่ นิ ผกั หรอื ผลไมว้ นั ละ 2 ส่วนตอ่ วนั พฤตกิ รรมบริโภคเช่นนเ้ี สี่ยงตอ่ โรคอว้ น โรคไมต่ ดิ ต่อ เรอื้ รัง และมะเร็ง คมู่ อื เครื่องช้วี ัดทางโภชนาการและโรคท่เี ก่ียวขอ้ ง 19
ขนมท่มี ไี ขมันสงู และเครอื่ งดื่มรสหวาน ร้อยละ 28 ของเด็ก อายุ 2-14 ปี กินขนมกรบุ กรอบที่มีไขมนั สูง เชน่ มันฝรงั่ แผ่นทอด ข้าวเกรียบก้งุ เปน็ ต้น ทกุ วันหรอื บอ่ ยกว่า รอ้ ยละ 19 กิน 4-6 คร้ัง/ สปั ดาห์ รอ้ ยละ 22.8 กนิ 1-3 ครงั้ /สปั ดาห์ รอ้ ยละ 14.9 กิน 1-3 ครง้ั /เดอื น และมเี พยี งรอ้ ยละ 15 ทก่ี นิ ขนมกรบุ กรอบ 0-<1 ครง้ั /เดอื น รอ้ ยละ 15.3 ของเดก็ อายุ 2-14 ปีด่ืมนา้ํ อัดลมหรอื นํ้าหวาน 1->1 ครงั้ /วัน ร้อยละ 15.5 ด่ืม 4-6 ครั้ง/สัปดาห์ รอ้ ยละ 26.1 ดม่ื 1-3 ครงั้ /สัปดาห์ ร้อยละ 21.5 ดืม่ 1-3 ครัง้ /เดอื น และรอ้ ยละ 21.6 ด่มื 0-<1 ครง้ั /เดือน ผลการทบทวนงานวิจยั แบบอภิมาณพบ ความเช่ือมโยงระหว่างการบริโภคเครื่องด่ืมรสหวานท่ีผสมน้ําตาลมาก เกินไปกับน้ําหนักและโรคอ้วนท้ังในเด็กและผู้ใหญ่ การบริโภคเคร่ือง ดื่มเหล่านยี้ ังแทนทกี่ ารด่มื นม ทำ�ให้ไดร้ บั แคลเซยี มและสารอาหารอ่ืน ลดลง รายงานวิจัยในประเทศไทยพบเด็กนักเรียนได้รับพลังงานจาก อาหารว่างประเภทขนมและเครื่องด่ืมเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสามของ พลังงานท่ีควรได้รับในแต่ละวัน เด็กก่อนวัยเรียนได้รับโซเดียมร้อยละ 34 ของปรมิ าณทีค่ วรไดร้ บั ในแตล่ ะวนั จากขนมเหลา่ น้ี การกนิ อาหารครบ 3 มอื้ หนงึ่ ในหา้ ของเดก็ อายุ 6-14 ปี กนิ อาหารไมค่ รบ 3 ม้อื โดยมอ้ื เช้าเป็นมอ้ื ที่มีการงดมากทส่ี ุด คือร้อยละ 60 ท�ำ ใหเ้ สี่ยงตอ่ ภาวะขาดสารอาหารหรอื น้าํ หนกั เกนิ และอ้วน ข้ึนอยู่ กับคุณภาพของอาหารในม้ือที่เหลือ การงดอาหารเช้ามีผลกระทบต่อ ความจำ�และประสทิ ธิภาพในการเรียนรู้ดว้ ย 20 คมู่ ือเครอ่ื งชวี้ ดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
บทสรุป ประเทศไทยเผชญิ กับปัญหาโภชนาการในเดก็ ทั้ง 2 ดา้ น แม้ว่า ปัญหาขาดสารอาหารจะมีแนวโน้มลดลงแตเ่ ด็กจำ�นวนหนง่ึ ยงั ขาดสาร อาหารรนุ แรง สง่ ผลกระทบตอ่ พฒั นาการของสมองและจำ�กดั ศกั ยภาพ การเรยี นรู้ในระยะยาว ในขณะทเ่ี ดก็ อกี กลมุ่ หนึง่ ท้ังในเมอื งและชนบท ประสบกบั ปญั หานา้ํ หนกั เกนิ และอว้ นเชน่ เดยี วกบั ผใู้ หญน่ อกจากนี้ ยงั พบ ปัจจัย พฤติกรรมเสี่ยงทางโภชนาการสูงในประชากรไทยโดยเฉพาะ ในเด็ก ทั้งหมดนี้ล้วนนำ�ไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั้งหลายที่ขนาด ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นภาระโรคอันดับต้นของประเทศ และ สร้างภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพท่ีอาจกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพ ประชากรของประเทศอย่างรุนแรงในอนาคต จึงเป็นความเร่งด่วน ท่ีต้องปรับพฤติกรรมและปัจจัยแวดล้อมให้ประชากรไทยทุกกลุ่มอายุ มีโภชนาการดีไม่ขาดไม่เกิน ทั้งน้ีจะสำ�เร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือ ของทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายรัฐ ฝ่ายวิชาการ วิชาชีพ องค์กรเอกชน อาสาสมัคร ประชาสังคม และฝ่ายอุตสาหกรรมเป็นภาคีเครือข่าย ในการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอ้ือและ ส่งเสริมให้บุคคลครอบครัวและชุมชนสามารถตัดสินใจเลือกบริโภค อาหารสุขภาพและมกี จิ กรรมทางกายอยา่ งเหมาะสม เอกสารอา้ งองิ 1. Victora CG, Adair L, Fall C, Hallal PC, Martorell R, Richter L, Sachdev HS, for the Maternal and Child Undernutrition Study Group. Maternal and child undernutrition: conse- quences for adult health and human capital. Lancet 2008; 371: 340-57. คมู่ อื เครอื่ งชว้ี ดั ทางโภชนาการและโรคทเี่ กย่ี วขอ้ ง 21
2. ลดั ดา เหมาะสวุ รรณ. ภาวะโภชนาการของเดก็ . ใน: วชิ ยั เอกพลากร, บรรณาธิการ. รายงานสำ�รวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจ รา่ งกายคร้งั ที่ 4 พ.ศ. 2551-2: สขุ ภาพเดก็ . ส�ำ นกั งานสำ�รวจ สขุ ภาพประชาชนไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสขุ .นนทบุร:ี บริษัท เดอะกราฟิโก ซิสเต็มส์ จำ�กดั , 2554. หนา้ 105-26. 3. วชิ ยั เอกพลากร. รายงานส�ำ รวจสขุ ภาพประชาชนไทยโดยการตรวจ ร่างกายคร้ังที่ 4 พ.ศ. 2551-2: สขุ ภาพเดก็ . ส�ำ นักงานส�ำ รวจ สขุ ภาพประชาชนไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสขุ .นนทบุร:ี บริษทั เดอะกราฟโิ ก ซสิ เต็มส์ จ�ำ กัด, 2554. หน้า 127-94. 4. วราภรณ์ เสถียรนพเกา้ , รชั ดา เกษมทรพั ย.์ ผลการส�ำ รวจอาหาร บรโิ ภคโดยการสมั ภาษณอ์ าหารบรโิ ภคทบทวนความจ�ำ ยอ้ นหลงั 24 ชว่ั โมง. ใน: วชิ ยั เอกพลากร, บรรณาธกิ าร. รายงานการสำ�รวจการ บรโิ ภคอาหารของประชาชนไทย. สำ�นกั งานส�ำ รวจสขุ ภาพประชาชน ไทย สถาบันวจิ ยั ระบบสาธารณสุข. นนทบรุ ี: บริษัทเดอะกราฟิโก ซิสเต็มส์ จ�ำ กัด; 2554. หน้า 31-79. 5. ลดั ดา เหมาะสวุ รรณ, วชิ ยั เอกพลากร, วราภรณ์ เสถยี รนพเก้า, ภาสุรี แสงศุภวานิช, จิราลักษณ์ นนทารักษ์. วิเคราะห์เจาะลึก สถานะลา่ สดุ ดา้ นโภชนาการและสขุ ภาพของคนไทย. น�ำ เสนอในการ ประชุมวชิ าการโภชนาการแห่งชาตคิ รง้ั ที่ 4 พ.ศ. 2553. 22 ค่มู อื เครือ่ งชว้ี ดั ทางโภชนาการและโรคท่ีเกยี่ วขอ้ ง
สถานการณ์ภาวะโภชนาการ และโรคท่ีเกี่ยวขอ้ งในผู้ใหญไ่ ทย วชิ ยั เอกพลากร1 โรคเกี่ยวกับภาวะโภชนาการอาจแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ 3 กลุ่ม คือ โรคจากการขาดอาหาร โรคจากกินอาหารมากเกินไป และโรค จากอาหารเปน็ พษิ ในทีน่ ้ีจะกล่าวถึงกลุ่มที่ 2 คอื โรคที่เกิดจากภาวะ โภชนาการเกนิ ซงึ่ ก�ำ ลงั เปน็ ปญั หาของโลกนน่ั คอื ภาวะอว้ น และโรคทาง เมตาบอลกิ ไดแ้ ก่ เบาหวาน ความดนั โลหติ สูง ระดับไขมนั ในเลอื ด ผดิ ปกติ และเมตาบอลกิ ซนิ โดรม (metabolic syndrome) ซง่ึ กลมุ่ โรคนี้ มคี วามเสยี่ งตอ่ การเกดิ โรคทางระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด สถานการณ์ ภาวะโภชนาการในประชากรผ้ใู หญไ่ ทยในปัจจุบันมีลักษณะดงั น้ี ภาวะโภชนาการตามระดบั ดชั นีมวลกายและความชุกภาวะอ้วน เมื่อพิจารณาดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) ของ ประชากรไทยทีม่ ีอายุ 15 ปขี ้ึนไป พบวา่ ผูช้ ายร้อยละ 9.4 และผู้หญงิ รอ้ ยละ 7 จดั อยกู่ ลมุ่ ทม่ี นี า้ํ หนกั นอ้ ยกวา่ เกณฑ์ (BMI <18.5 กก./ตรม.) และผชู้ ายรอ้ ยละ 62.2 และผหู้ ญงิ รอ้ ยละ 51.7 มนี า้ํ หนกั ระหวา่ ง (BMI 18-25 กก./ตรม.) ในขณะทป่ี ระชากรรอ้ ยละ 28 ในเพศชาย และรอ้ ยละ 40 ในเพศหญงิ มภี าวะนาํ้ หนกั เกนิ และอว้ น จะเหน็ วา่ ขณะนป้ี ญั หาดา้ น โภชนาการเกินมีสัดสว่ นที่สูงกว่าภาวะขาดโภชนาการ (ตารางท่ี 1) 1ศาสตราจารย์ ภาควิชาเวชศาสตรช์ มุ ชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี คูม่ อื เครอื่ งช้ีวัดทางโภชนาการและโรคที่เกยี่ วขอ้ ง 23
ตารางที่ 1 ร้อยละของประชากรไทยอายุ 15 ปีข้ึนไป ตามระดับ ดัชนมี วลกาย เพศ และกล่มุ อายุ ชาย อายุ (ป)ี (n=9,683) 15-29 30-44 45-59 60-69 70-79 80+ รวม BMI n=1,346 n=1,871 n=1,998 n=2,487 n=1,549 n=432 (kg/m2) <18.5 17.0 4.6 6.6 11.2 18.9 30.9 9.4 18.5 -<25 64.5 63.3 59.7 62.4 62.6 57.8 62.2 25-<30 12.0 25.7 27.4 22.1 16.1 10.0 22.3 ≥30 6.5 6.5 6.3 4.3 2.4 1.3 6.0 หญงิ n=1,306 n=2,230 n=2,460 n=2,539 n=1,620 n=452 (n=10,607) BMI 17.2 3.4 3.4 10.1 16.8 27.6 7.6 (kg/m2) 62.2 52.4 46.0 46.9 52.0 58.5 51.7 <18.5 13.6 31.6 36.0 31.9 25.4 9.8 29.1 18.5 -<25 7.0 12.6 14.7 11.1 5.9 4.1 11.6 25-<30 ≥30 24 ค่มู อื เครือ่ งช้วี ัดทางโภชนาการและโรคท่ีเก่ยี วข้อง
โรคอ้วน หมายถึงภาวะท่ีร่างกายมีไขมันท่ีมากเกินไป ภาวะ น้ําหนักเกินและอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเร้ือรังหลายโรค ได้แก่ เบาหวาน ความดนั โลหติ สงู โรคหลอดเลอื ดหวั ใจและหลอดเลอื ดสมอง และเพ่ิมความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง องค์การอนามัยรายงานว่า ขณะน้ีโรคอ้วนกำ�ลังระบาดไปทั่วโลก ประมาณว่าประชากรโลก 1 พันลา้ นคน มีภาวะนา้ํ หนกั เกิน (BMI ≥ 25 กก./ตรม.) และอว้ น (BMI ≥ 30 กก./ตรม.) ประมาณ 300 ล้านคน ดงั น้นั ภาวะน้าํ หนักเกินและ โรคอ้วนจงึ กำ�ลังเปน็ ปัญหาสำ�คญั ทางสาธารณสุข ท�ำ ให้เป็นภาระด้าน สขุ ภาพของประเทศตา่ งๆ ทว่ั โลก แม้ว่าสถติ คิ วามชุกโรคอ้วนในประชากรไทยยังไมส่ งู เทียบเท่ากบั ของประชากรในแถบตะวนั ออกกลาง ยุโรป และอเมรกิ า แต่แนวโน้ม ความชุกของโรคอ้วนมีเพิ่มข้ึนตามลำ�ดับ และความชุกไม่น้อยไป กว่าบางประเทศในเอเชีย เช่นประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และ สิงคโปร์ สำ�หรับคำ�จำ�กัดความของโรคอ้วนโดยใช้ BMI สำ�หรับ คนเอเชยี ใชจ้ ุดตัดต่าํ กว่าของคนตะวันตก เนือ่ งจากมงี านวจิ ยั หลายช้ิน พบว่า เม่ือพิจารณาสัดส่วนของไขมันในร่างกายในคนเอเชียและ คนผิวขาวท่ีมี BMI เท่ากันนั้น พบว่าโดยเฉลี่ยคนเอเชียมีสัดส่วน ของไขมันมากกว่าและมีส่วนที่เป็นโครงสร้างกล้ามเน้ือและกระดูก น้อยกว่า ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาหลายชิ้นที่พบว่าคนเอเชีย ระดับ BMI ท่ีสัมพันธ์กับการป่วยด้วยโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด นน้ั เกิดขึ้นในระดบั BMI ทีต่ ํ่ากว่าในคนตะวันตกรายงานทางวิชาการ โดยผู้เชี่ยวชาญท่ีปรึกษาองค์การอนามัยโลกได้กำ�หนดเกณฑ์ภาวะ นํ้าหนักเกินสำ�หรับคนเอเชีย โดยเสนอให้กำ�หนดภาวะนํ้าหนักเกิน คนเอเชยี หมายถงึ BMI ≥ 23 - 24.99 กก./ตรม. และอว้ น หมายถงึ การมี BMI ≥ 25 กก./ตรม. ดังน้นั ความชุกของภาวะอว้ นท่จี ะกล่าว ต่อไปนี้จะใช้ BMI ตดั ที่ระดับ BMI ≥ 25 กก./ตรม. ค่มู อื เครอ่ื งชี้วดั ทางโภชนาการและโรคทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 25
แนวโนม้ ของความชกุ ของภาวะอว้ น (BMI≥ ≥ 25 กก./ตรม.) ในประชากรไทย แนวโนม้ ความชกุ ของภาวะนา้ํ หนกั เกนิ และอว้ นตามผลการสำ�รวจ สุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายคร้ัง 1-4 เมอื่ พิจารณาท่ี BMI ≥ 25 และ BMI ≥ 30 ความชกุ ของโรคอ้วน ท่ี BMI ≥ 25 ใน ประชากร อายุ 18 ปีขึ้นไป เพ่ิมจากรอ้ ยละ 18.2 ในปี พ.ศ. 2534 เป็นร้อยละ 24.1 ในปี 2540 และเพ่ิมเปน็ รอ้ ยละ 28.1 และรอ้ ยละ 36.5 ในปี พศ. 2547 และ 2552 ตามลำ�ดบั ส�ำ หรบั ความชุกของ โรคอว้ นมาก ท่ี BMI ≥ 30 เพิม่ จาก ร้อยละ 3.5 ในปี พศ. 2534 เปน็ รอ้ ยละ 5.8, รอ้ ยละ 6.9 และรอ้ ยละ 9.0 ตามล�ำ ดบั ในชว่ งปดี งั กลา่ ว โดยความชุกของโรคอ้วนในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย นอกจากน้ี ความชุกเพิ่มข้ึนตามอายุท่ีเพ่ิมขึ้น จนมีความชุกสูงสุดในกลุ่มอายุ 45-54 ปี ความชุกของโรคอ้วน ในปพี ศ. 2552 การส�ำ รวจสุขภาพประชาชนไทยคร้ังที่ 4 พ.ศ. 2552 ความชุก ของภาวะอว้ นในประชากรไทยอายุ 15 ปขี นึ้ ไป พบวา่ เพศชาย รอ้ ยละ 28.3 และเพศหญงิ รอ้ ยละ 40.7 มภี าวะอว้ น (BMI ≥ 25 กก./ตรม.) โดย ความชกุ สงู สดุ ในกลมุ่ อายุ 45-59 ปี ความชกุ ลดลงในกลมุ่ ผสู้ งู อายแุ ละ ตาํ่ สดุ ในกลมุ่ อายุ 80 ปขี นึ้ ไป (รปู ท่ี 9) ความชกุ ตามเขตปกครอง พบวา่ ในเขตเทศบาลมคี วามชกุ ของประชากรทม่ี ี BMI ≥ 25 กก./ตรม. (รอ้ ยละ 40.7) มากกว่าคนนอกเขตเทศบาล (รอ้ ยละ 32.1) เมือ่ พจิ ารณาตาม ภาคพบว่า คนในกรุงเทพฯทั้งชายและหญิง มีสัดส่วนของคนที่อ้วน (BMI ≥ 25 กก./ตรม.) มากทส่ี ดุ (รอ้ ยละ 38.8 และ 49.4 ตาม ล�ำ ดับ) ส�ำ หรับผชู้ ายตามมาด้วยภาคกลาง (รอ้ ยละ 33.3) ภาคเหนอื (ร้อยละ 27.5) ภาคใต้ (รอ้ ยละ 27.4) และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ (ร้อยละ 22.5) ส่วนในผู้หญิงรองลงมาจาก กทม. คือภาคกลาง (รอ้ ยละ 42.5) ภาคใต้ (รอ้ ยละ 40.7) ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (รอ้ ยละ 39.1) และภาคเหนือ (รอ้ ยละ 36.3) 26 คมู่ ือเคร่ืองชี้วดั ทางโภชนาการและโรคทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
รูปท่ี 9 ความชกุ ของภาวะอว้ น (BMI ≥25 กก./ตรม.) ในประชากรไทย อายุ 15 ปีข้ึนไป จำ�แนกตามเพศและอายุ ภาวะอ้วนลงพงุ ความชกุ ของภาวะอว้ นลงพงุ (abdominal obesity) หมายถงึ การ มเี ส้นรอบวงเอว ขนาด ≥ 90 ซม. ในผ้ชู ายและ ≥ 80 ซม. ในผ้หู ญิง พบว่ามีร้อยละ 32 ในประชากรไทยอายุ 15 ปีขึน้ ไป (ในผ้ชู ายมี ร้อยละ 18.6 ส่วนในหญิงมีร้อยละ 45.0) ความชุกของภาวะอ้วน ลงพุงเพม่ิ ขึ้นตามอายุท่เี พิม่ ขึน้ จนสูงสดุ ในกลุม่ อายุ 45-69 ปี ซึ่งพบ วา่ ร้อยละ 50 ชองผหู้ ญิงมภี าวะอว้ นลงพุงในขณะท่ีพบเกอื บหนึง่ ในส่ี ของชายไทย (รปู ที่ 10) คูม่ อื เครอื่ งช้วี ดั ทางโภชนาการและโรคที่เกีย่ วข้อง 27
รูปที่ 10 ความชกุ ของภาวะอว้ นลงพงุ ในประชากรไทยอายุ 15 ปขี นึ้ ไป จำ�แนกตามกลมุ่ อายุ ความชุกของภาวะอ้วนลงพุงของผู้ท่ีอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล (รอ้ ยละ 39.1) มสี งู กวา่ ผทู้ อ่ี าศยั นอกเขตเทศบาล (รอ้ ยละ 29.0) และ เมอื่ พจิ ารณาตามภาคพบวา่ มกี ารกระจายคลา้ ยภาวะนาํ้ หนกั เกนิ นนั่ คอื ใน กทม. มคี วามชุกสงู ที่สุดทง้ั ในชายและหญงิ (รอ้ ยละ 33.0 และ 55.7 ตามล�ำ ดบั ) ในผหู้ ญงิ รองลงมาคอื ภาคกลาง (รอ้ ยละ 49.6) ภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื (ร้อยละ 45.7) ภาคเหนือ (ร้อยละ 37.7) และ ภาคใต้ (รอ้ ยละ 35.9) สว่ นในผชู้ ายรองลงมาจาก กทม. คอื ภาคกลาง (รอ้ ยละ 26.4) ภาคใต้ (รอ้ ยละ 15.5) ภาคเหนือ (ร้อยละ 15.2) และภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ (ร้อยละ11.6) ตามลำ�ดบั ส่วนในผ้ชู าย รองลงมาจาก กทม. คือภาคกลาง (ร้อยละ 26.4) ภาคใต้ (รอ้ ยละ 15.5) ภาคเหนอื (รอ้ ยละ 15.2) และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (รอ้ ยละ 11.6) ตามล�ำ ดบั 28 คูม่ อื เครือ่ งช้วี ัดทางโภชนาการและโรคทีเ่ กีย่ วขอ้ ง
ความชกุ ของโรคเบาหวาน ความดนั โลหติ สงู และภาวะไขมนั ผดิ ปกติ ในผทู้ ่มี โี รคอ้วน งานวจิ ัยในประเทศตา่ งๆพบวา่ ในคนทีม่ ภี าวะนาํ้ หนกั เกิน และ อ้วนมีโอกาสเส่ียงต่อการเจ็บป่วยเพิ่มข้ึนด้วยโรคหลายโรค ได้แก่ ความดนั โลหติ สูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดหวั ใจขาดเลอื ด โรคหลอด เลอื ดสมอง โรคของถงุ นา้ํ ดี โรคขอ้ เสอ่ื ม ภาวะหยดุ หายใจขณะหลบั (sleep apnea) โรคมะเรง็ บางชนดิ เชน่ มะเรง็ เยอื่ บมุ ดลกู เตา้ นม ตอ่ มลกู หมาก และลำ�ไส้ใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ภาวะอ้วนยังทำ�ให้เสี่ยงต่อปัญหา ประจำ�เดอื นผดิ ปกติ ภาวะแทรกซ้อนในหญงิ ต้งั ครรภ์ เปน็ ต้น จากข้อมูลการส�ำ รวจสขุ ภาพประชาชนไทยครง้ั ที่ 4 ปี 2552 พบว่า เม่ือเทยี บกับคนทไี่ มอ่ ้วน (BMI <25 กก./ตรม.) ในคนอ้วน (BMI ≥ 25 กก./ตรม.) มีความชุกโรคเบาหวาน เป็น 2.4 เท่า โรคความดนั โลหติ สงู 2 เทา่ โรคข้อเขา่ เสื่อม 1.9 เทา่ และไขมนั ไตรกลีเซอไรดส์ ูง (≥150 มก./ดล.) 1.7 เท่า เปน็ ตน้ โรคเบาหวาน เบาหวานเปน็ โรคเรอื้ รงั ทพ่ี บบอ่ ย ท�ำ ใหผ้ ปู้ ว่ ยมคี ณุ ภาพชวี ติ ลดลง เนอ่ื งจากมอี าการแทรกซอ้ นของอวยั วะตา่ ง เชน่ โรคปลายประสาทเสอ่ื ม จอประสาทตาเสอื่ ม โรคระบบหวั ใจและหลอดเลือด โรคไต แผลทีเ่ ทา้ เป็นต้น จากข้อมูลภาระโรค โดยสำ�นักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสขุ และส�ำ นกั พฒั นานโยบายสขุ ภาพระหวา่ งประเทศ ในประเทศไทย ปี 2547 โรคเบาหวานเป็นภาระโรคล�ำ ดับท่ี 8 ใน ผู้ชาย ท�ำ ให้สญู เสียปีสขุ ภาวะ (DALYs loss) 169000 ปี (ร้อยละ 3.2 ของ DALYs loss) สว่ นในผหู้ ญงิ ทำ�ใหส้ ูญเสีย 268000 ปี สุขภาวะ (รอ้ ยละ 6.9 ของ DALYs loss) คู่มือเครื่องชีว้ ดั ทางโภชนาการและโรคท่ีเก่ยี วข้อง 29
ระดบั น้าํ ตาลของประชากรไทยอายุ 15 ปีขนึ้ ไป ระดบั นา้ํ ตาลในเลอื ดหลงั อดอาหารของประชากรไทยอายุ 15 ปี ขน้ึ ไป คา่ เฉลยี่ 89.1 มก./ดล. ระดบั นา้ํ ตาลเฉลยี่ ของชาย (89.4 มก./ดล.) สงู กวา่ หญิง (88.9 มก./ดล.) เลก็ นอ้ ย ระดับนาํ้ ตาลสูงข้ึนตามอายุท่ี เพิ่มขึน้ และสูงสุดในกลุ่มอายุ 60-69 ปี หลังจากนัน้ ระดบั น้ําตาลมี แนวโนม้ ลดลงเลก็ น้อย คนในเขตเทศบาล (91.4 มก./ดล.) มรี ะดบั น้าํ ตาลเฉลีย่ สูงกวา่ นอกเขตฯ (88.2 มก./ดล.) การสำ�รวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ใช้คำ� จ�ำ กดั ความของโรคเบาหวานหมายถงึ การตรวจเลอื ดหลงั อดอาหารนาน 12 ชว่ั โมง (fasting plasma glucose, FPG) พบระดับนา้ํ ตาลใน เลือด ≥126 มก./ดล. หรอื เปน็ ผ้ปู ่วยเบาหวานทเี่ คยได้รบั การวินจิ ฉยั มาก่อนและขณะนี้กำ�ลังได้รับการรักษาด้วยยากินหรือยาฉีดลดน้ําตาล ในเลอื ด พบวา่ ความชุกของโรคเบาหวานในประชากรไทยอายุ 15 ปี ขน้ึ ไป มรี ้อยละ 6.9 ผหู้ ญิงมคี วามชุกสูงกวา่ ในผชู้ าย (ร้อยละ 7.7 และ 6 ตามลำ�ดับ) และความชกุ เพ่ิมขึน้ ตามอายุ จากรอ้ ยละ 0.6 ใน กลมุ่ อายุ 15-29 ปี ความชกุ เพม่ิ ขนึ้ สงู สดุ ในกลมุ่ ผชู้ ายอายุ 70-79 ปี (รอ้ ยละ 19.2) และ ผูห้ ญงิ อายุ 60-69 ปี (ร้อยละ16.7) ดังแสดง ใน รูปที่ 11 30 ค่มู ือเครื่องช้ีวัดทางโภชนาการและโรคทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
รูปท่ี 11 ความชุกโรคเบาหวานในประชากรไทยอายุ 15 ปีข้ึนไป จ�ำ แนกตามเพศ และกล่มุ อายุ ปี 2551-2 ความชุกของเบาหวานในประชากรอายุ 15 ปี ข้ึนไป ในปี 2551-2 นใี้ กลเ้ คยี งกบั ความชกุ ในปี 2547 คอื รอ้ ยละ 6.9 ความชกุ ของเบาหวานในเขตเทศบาลสูงกว่านอกเขตเทศบาล ทั้งในเพศชาย (รอ้ ยละ 8.3 และ 5.0 ตามล�ำ ดบั ) และหญงิ (รอ้ ยละ 9.4 และ 7.0 ตามลำ�ดับ) การกระจายของความชกุ เบาหวานตามภาค พบว่ามคี วาม แตกตา่ งระหวา่ งเพศ โดยในผหู้ ญงิ ความชกุ สงู สดุ ในกรงุ เทพฯ (รอ้ ยละ 9.9) รองลงมาคือภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (ร้อยละ 9.1) ตามด้วย ภาคกลาง (รอ้ ยละ 7.5) ภาคใต้ (รอ้ ยละ 6.0) และภาคเหนือ (ร้อยละ 5.9) ตามล�ำ ดับ ส่วนในเพศชาย พบว่าสูงสุดในกรุงเทพฯ (ร้อยละ 8.5) รองลงมาคือภาคกลาง (รอ้ ยละ 7.7) ภาคเหนอื (ร้อยละ 5.6) ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ร้อยละ 4.9) และภาคใต้ (รอ้ ยละ 4.1) ตามลำ�ดับ คู่มือเคร่ืองชว้ี ัดทางโภชนาการและโรคทเ่ี ก่ยี วข้อง 31
ความครอบคลมุ ของการวนิ ิจฉยั รักษา และควบคมุ เบาหวาน เมือ่ แบ่งผทู้ ีเ่ ปน็ เบาหวานจากการสำ�รวจเป็น 4 กลุ่มดังน้ี (1) กลมุ่ ไมไ่ ดร้ บั การวนิ จิ ฉยั หมายถงึ ผทู้ ก่ี ารสำ�รวจตรวจพบ FPG ≥ 126 มก./ดล. แตไ่ มไ่ ดเ้ คยไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั จากแพทยม์ ากอ่ น (2) กลมุ่ ไดร้ บั วินิจฉยั จากแพทยแ์ ตไ่ ม่ไดร้ กั ษา หมายถงึ ผู้ท่ีเคยได้รับการวนิ จิ ฉยั จาก แพทย์วา่ เป็นเบาหวานแต่ยงั ไม่เคยได้รบั การรกั ษาเบาหวาน (3) กลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั การรกั ษาแตค่ วบคมุ ไมไ่ ด้ หมายถงึ กลมุ่ ทไี่ ดร้ บั ยากนิ หรอื ยาฉดี รกั ษาเบาหวาน แตจ่ ากการตรวจเลอื ดยงั พบ FPG ≥ 126 มก./ ดล. และ (4) กลมุ่ ท่รี กั ษาและควบคมุ ได้ หมายถงึ กลุ่มที่ได้รบั ยากินหรอื ยา ฉดี รักษาเบาหวานและตรวจพบ FPG ≤126 มก./ดล. พบวา่ หนงึ่ ใน สามของผทู้ เี่ ปน็ เบาหวานไมเ่ คยไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั วา่ เปน็ เบาหวานมากอ่ น ส่วนผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ว่าเป็นเบาหวานแต่ไม่ได้รับการ รกั ษา มีร้อยละ 3.3 ของผูเ้ ปน็ เบาหวานท้ังหมด สว่ นทเี่ หลอื ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ท่ีเปน็ เบาหวานไดร้ บั การรกั ษาอยู่ และรอ้ ยละ 28.5 ของผู้ท่ีเป็นเบาหวานทั้งหมดมีระดับนํ้าตาลอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ต่ํา กวา่ < 126 มก./ดล. ท้งั น้ีผูห้ ญงิ มีสดั ส่วนของการไดร้ ับการวินิจฉยั การรกั ษาและการควบคมุ นา้ํ ตาลไดต้ ามเกณฑ์ ไดด้ กี วา่ ในผชู้ ายเลก็ นอ้ ย เมอื่ พจิ ารณาตามกลุ่มอายุ พบว่ากล่มุ ท่ไี ม่ได้รับการวินจิ ฉัยมาก ทีส่ ุดคือกลุม่ อายุ 15-29 ปี สดั สว่ นของผูท้ ไี่ มไ่ ด้รบั การวนิ ิจฉยั ลดลง ตามอายทุ เี่ พิ่มขึน้ จนตาํ่ สดุ ในช่วงอายุ 60- 79 ปี และเพิม่ ขน้ึ เลก็ น้อย ในกลมุ่ อายุ 80 ปี สงั เกตไดว้ า่ ผชู้ ายทกุ กลมุ่ อายมุ สี ดั สว่ นของการไมเ่ คย ได้รับการวินิจฉัยมาก่อนสูงกว่าในผู้หญิงในกลุ่มอายุเดียวกันและ มสี ดั สว่ นของผทู้ รี่ กั ษาและควบคมุ นาํ้ ตาลในเลอื ดไดต้ ามเกณฑน์ อ้ ยกวา่ เพศหญงิ เกือบทกุ กลุ่มอายุ (ยกเว้นกลุ่มอายุ 30-44 ปี ซง่ึ มีสดั สว่ น ใกลเ้ คียงกัน) 32 คมู่ ือเครือ่ งช้ีวัดทางโภชนาการและโรคท่ีเกี่ยวขอ้ ง
ความครอบคลมุ ในการบรกิ ารมกี ารเปลยี่ นแปลงในทางดขี นึ้ นนั่ คอื เม่อื เทยี บกับผลการส�ำ รวจในปี 2547 สัดสว่ นของผเู้ ป็นเบาหวาน ไม่ทราบว่าตนเองลดลงจากรอ้ ยละ 56.6 เป็น รอ้ ยละ 31.2 คิดเป็น ลดจากเดมิ รอ้ ยละ 44.9 และในสว่ นของการรกั ษาและสามารถควบคมุ นาํ้ ตาลในเลอื ดไดต้ ามเกณฑ์ (FPG<126 มก./ดล.) เพมิ่ ขนึ้ จากร้อยละ 12.2 เป็นร้อยละ 28.5 การตรวจคัดกรองเบาหวาน เมื่อพิจารณาการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน ในประชากรไทย อายุ 35 ปขี น้ึ ไปทใี่ นกลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ เบาหวานและไมเ่ คยไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั รอ้ ยละ 44.4 เคยไดร้ บั การตรวจนาํ้ ตาลในเลอื ด ใน 12 เดอื นทผ่ี า่ นมา รอ้ ยละ 15.3 เคยไดร้ ับการตรวจใน 1-5 ปีทีผ่ ่านมา และ รอ้ ยละ 1.4 เคยได้รบั การตรวจเกนิ กวา่ 5 ปี และร้อยละ 38.9 ยังไม่เคย ได้รับการตรวจมาก่อน ประชากรหญิงมีสัดส่วนของการได้รับตรวจ คดั กรองสูงกวา่ ชาย โรคความดนั โลหิตสูง ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของภาระโรคอันดับท่ี 3 ของชายไทย และอนั ดับ 2 ของหญิงไทย โดยท�ำ ให้เสยี ชวี ิตประมาณ ปลี ะ 7 หมน่ื ราย (รอ้ ยละ 18) สญู เสยี ปสี ขุ ภาวะจากการตายและพกิ าร ปลี ะ 6 แสนปี (รอ้ ยละ 6) คำ�จำ�กัดความของความดันโลหิตสูง หมายถึง ผู้ที่มีความดัน ซสิ โตลกิ เฉลยี่ ตงั้ แต่ 140 มม. ปรอทขนึ้ ไปหรอื ความดนั ไดแอสโตลกิ เฉลย่ี ตัง้ แต่ 90 มม. ปรอทขนี้ ไป หรอื ก�ำ ลังได้รับการรักษาดว้ ยการ กินยาลดความดนั โลหติ สงู ค่มู ือเครอื่ งชี้วดั ทางโภชนาการและโรคทเี่ กี่ยวข้อง 33
ระดับความดันโลหติ ความดันโลหิตซิสโตลิกและ ไดแอสโตลกิ เฉล่ยี ของประชากรไทย อายุ 15 ปีขนึ้ ไป เทา่ กบั 122.0 และ 75.2 มม. ปรอท ตามล�ำ ดับ ผู้ชายมีระดบั ความดันโลหิตสูงกว่าผหู้ ญงิ (ซิสโตลิก: 124 และ 120 มม. ปรอท, ไดแอสโตลิก: 76.7 และ 73.8 มม. ปรอท ตามล�ำ ดบั ) ความดนั โลหติ มีคา่ สงู ขึน้ ตามอายุ จนสูงสดุ ในผูส้ งู อายุ 80 ปขี น้ึ ไป ส่วน ไดแอสโตลิก เพิ่มขน้ึ ตามอายุจนถงึ วัย 45-59 ปี หลงั จากน้ัน ความดนั โลหติ ไดแอสโตลกิ ลดลงเมอ่ื อายเุ พมิ่ ขน้ึ เมอ่ื พจิ ารณาตามเขต ทีอ่ ยูอ่ าศยั พบวา่ คนในเขตเทศบาลมีความดนั โลหติ (ทง้ั ซสิ โตลกิ และ ไดแอสโตลิก) โดยเฉลยี่ สูงกวา่ นอกเขตฯ เล็กนอ้ ย ท้งั เพศชายและหญิง เมอื่ พจิ ารณาตามภาคทอ่ี ยพู่ บวา่ ทกุ ภาคมรี ะดบั ความดนั โลหติ เฉลย่ี ใกล้ เคียงกนั แต่สงั เกตว่า กรุงเทพฯ มคี ่าเฉลี่ยซสิ โตลิกและไดแอสโตลกิ สูงกว่าภาคอ่ืน ในขณะท่ีภูมิภาคอ่ืนมีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกัน โดย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีค่าเฉลี่ยซิสโตลิกท้ังชายและหญิง และ ไดแอสโตลกิ ในผชู้ ายตาํ่ กวา่ ภมู ภิ าคอน่ื เลก็ นอ้ ย แตไ่ ดแอสโตลกิ ในผหู้ ญงิ ของทุกภมู ภิ าคมคี า่ เฉล่ยี ใกลเ้ คียงกนั ความชุกของโรคความดันโลหิตสูง การวิเคราะห์ขอ้ มูลพบว่า ความชกุ ของโรคความดันโลหติ สงู ใน ประชากรไทยอายุ 15 ปี ขนึ้ ไปมรี อ้ ยละ 21.4 ผชู้ ายและผหู้ ญงิ มคี วาม ชุกใกล้เคยี งกัน ความชุกของโรคต่าํ สุดในกลมุ่ อายุ 15-29 ปี (ร้อยละ 4.6 ในชาย และ 0.9 ในหญงิ ) จากนน้ั เพิ่มขน้ึ ตามอายุและสงู สดุ ใน กลุ่มอายุ 80 ปขี ึน้ ไป (รปู ท่ี 12) ความชกุ ของโรคความดนั โลหติ สงู ในปี 2551-52 น้ี เทา่ กบั รอ้ ยละ 21.4 (ชายรอ้ ยละ 21.5 และหญิงรอ้ ยละ 21.3) ใกลเ้ คยี งกับทเ่ี คย สำ�รวจสุขภาพฯ ครัง้ ท่ี 3 เมื่อ พศ. 2547 ซ่งึ พบความชกุ รอ้ ยละ 22.0 (ชายร้อยละ 23.3 และหญงิ ร้อยละ 20.9) 34 คู่มอื เครือ่ งช้วี ัดทางโภชนาการและโรคท่เี ก่ยี วข้อง
รูปที่ 12 ความชุกโรคความดันโลหิตสงู ในประชากรไทยอายุ 15 ปี ข้ึนไป จ�ำ แนกตามเพศและกลุ่มอายุ ปี 2551-2 ความชุกของความดันโลหิตสูงของผู้อาศัยในเขตเทศบาลสูงกว่า นอกเขตเทศบาล (รอ้ ยละ 26.8 และ 19.0) การกระจายตามภาคพบวา่ กรุงเทพฯ มีความชุกสูงท่ีสุดท้ังในชาย (ร้อยละ 32.7) และหญิง (ร้อยละ 26.9) ผู้ชายในภาคกลาง (ร้อยละ 25.0) และภาคเหนือ (รอ้ ยละ 25.1) มีความชกุ ใกลเ้ คยี งกนั รองลงมาคอื ภาคใต้ (ร้อยละ 21.4) สว่ นภาคตะวันออกเฉยี งเหนือมีความชุกตํา่ ทส่ี ดุ (รอ้ ยละ 13.5) สำ�หรับผูห้ ญิง ความชุกในภาคกลาง (ร้อยละ 24.0) สูงกวา่ ภาคเหนอื (รอ้ ยละ 21.9) และภาคใต้ (รอ้ ยละ 21.8) และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มีความชกุ ต่ําท่สี ดุ (รอ้ ยละ 16.9) เช่นเดียวกับเพศชาย ความครอบคลมุ ของการวนิ จิ ฉยั การรกั ษาและควบคมุ ความดนั โลหติ การเข้าถึงบริการของประชาชนไทยเก่ียวกับการได้รับวินิจฉัย ไดร้ บั รกั ษาและการควบคมุ ความดนั โลหติ ไดต้ ามเกณฑ์ การส�ำ รวจครง้ั นี้ สามารถแบง่ คนทเี่ ปน็ โรคความดนั โลหติ สงู เปน็ 4 กลมุ่ คอื (1) กลมุ่ ไม่ ไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั หมายถงึ ผทู้ กี่ ารส�ำ รวจตรวจพบวา่ มี ความดนั โลหติ สงู เข้าเกณฑ์ ≥ 140/90 มม. ปรอท แตไ่ มเ่ คยได้รบั การวินจิ ฉัยจาก คมู่ อื เครอื่ งช้ีวดั ทางโภชนาการและโรคท่เี กี่ยวข้อง 35
แพทยม์ ากอ่ น (2) กลมุ่ ไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั แตไ่ มไ่ ดร้ บั การรกั ษา หมายถงึ กลุ่มที่เคยได้รับการวินิจฉัยจากบุคลากรสาธารณสุข/แพทย์ ว่าเป็น ความดันโลหิตสูง แต่ไม่เคยรับการรักษา (3) กลุ่มได้รับการรักษา แต่ควบคุมไม่ได้ หมายถึงผู้ท่ีได้รับการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิต จากแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั แต่จากการตรวจความดนั โลหิตขณะส�ำ รวจพบ ความดนั ซสิ โตลกิ ≥ 140 มม.ปรอท หรอื ความดนั ไดแอสโตลกิ ซสิ โตลกิ ≥ 90 มม.ปรอท (4) กลมุ่ ไดร้ ับการรักษาและควบคุมได้ หมายถึง ผู้ท่ีได้รับการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิต และการสำ�รวจตรวจพบ ความดนั ซสิ โตลกิ < 140 มม.ปรอท และความดนั ไดแอสโตลกิ ซสิ โตลกิ < 90 มม.ปรอท เม่ือพจิ ารณาความครอบคลุมในการตรวจคดั กรอง การวินิจฉยั โดยแพทย์ และการได้รับการดูแลรักษาพบว่า ในจำ�นวนผู้ที่เป็น ความดันโลหติ สงู รอ้ ยละ 60 ในชาย และ 40 ในหญงิ ไมเ่ คยไดร้ บั การวนิ ิจฉัยมาก่อนร้อยละ 8 - 9 ได้รบั การวินจิ ฉยั แตไ่ มไ่ ดร้ ับการ รักษา ประมาณนอ้ ยกว่า 1 ใน 4 ของผปู้ ่วยทงั้ หมดได้รบั การรักษา แต่ควบคมุ ความดันโลหติ ไม่ได้ตามเกณฑ์ และอีกประมาณ 1 ใน 4 ได้รับการรักษาและความคุมความดันโลหิตได้ ผู้ชายมีสัดส่วนของผู้ท่ี ไดร้ ับการวนิ ิจฉยั รักษา และการควบคุมความดนั โลหติ ไดน้ ้อยกว่าใน ผ้หู ญิง เมอ่ื เปรยี บเทยี บการเขา้ ถงึ ระบบบรกิ ารดา้ นการวนิ จิ ฉยั โรคความ ดนั โลหติ สงู มแี นวโนม้ ดขี น้ึ โดยสดั สว่ นกลมุ่ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั การวนิ จิ ฉยั วา่ เปน็ ความดันโลหิตสูงลดลงจากร้อยละ 71.4 เหลอื รอ้ ยละ 50.3 สัดส่วน ทีไ่ ดร้ บั การรักษามีเพม่ิ ขึน้ จากร้อยละ 23.6 เปน็ 41.0 และนอกนี้ สดั สว่ นของกลมุ่ ไดร้ บั การรกั ษาและควบคมุ ไดส้ งู ขนี้ กวา่ เดมิ จาก รอ้ ยละ 8.6 เป็น 20.9 ตามลำ�ดบั 36 คูม่ ือเครอ่ื งช้วี ัดทางโภชนาการและโรคทเ่ี ก่ียวข้อง
สดั ส่วนของคนทเ่ี คยได้รบั การตรวจคดั กรองความดันโลหิต รอ้ ยละ 68.0 ของประชากรไทยอายุ 20 ปขี นึ้ ไป (ทไี่ มเ่ ปน็ ความ ดนั โลหิตสูงและที่ไม่เคยได้รบั การวินจิ ฉัย) เคยไดร้ บั การตรวจวดั ความ ดนั โลหติ ในช่วง 12 เดอื นท่ผี ่านมา รอ้ ยละ 15.3 เคยไดร้ ับการตรวจ ในชว่ ง 1-5 ปที ่ีผ่านมา ร้อยละ 2.3 ได้รบั การตรวจเกินกว่า 5 ปี มาก่อน และมเี พียงรอ้ ยละ 14.3 ไม่เคยไดร้ บั การวดั ความดันโลหติ มา กอ่ น โดยเพศหญงิ มีการเขา้ ถึงการตรวจคดั กรองได้ดกี วา่ ชาย ภาวะไขมันในเลอื ดผิดปกติ สถานการณภ์ าวะไขมนั ในเลอื ดของประชากรไทยอายุ 15 ปขี นึ้ ไป ส�ำ รวจโดยบคุ คลตวั อยา่ งอดอาหารกอ่ นไดร้ บั การเจาะเลอื ด 12 ชว่ั โมง ในท่นี ีจ้ ะกลา่ วถึงไขมันคอเลสเตอรอลรวม (total cholesterol, TC), เอชดแี อล-คอเลสเตอรอล (high density lipoprotein, HDL-C), และ ไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride, TG) ภาวะระดับคอเลสเตอรอลรวมในเลอื ดผดิ ปกติ เม่อื เปรียบเทยี บการสำ�รวจสุขภาพประชาชนไทย ครัง้ ท่ี 3 และ 4 ภาวะไขมันคอเลสเตอรอลรวมของประชากรไทยอายุ 15 ข้ีนไป เปลย่ี นแปลงในทศิ ทางทเี่ พมิ่ ขนึ้ ในผหู้ ญงิ เพม่ิ จาก 197.5 เปน็ 208.6 มก./ดล. ในประชากรชายเพ่ิมจาก 188.9 เป็น 199.2 มก./ดล. ความชุกของ TC ≥ 240 มก./ดล. เพิม่ ขนึ้ จากร้อยละ 17.1 เปน็ 21.4 ในผู้หญงิ และเพมิ่ จาก ร้อยละ 13.7 เป็น 16.7 ในผชู้ าย ระดับเฉล่ยี TC ของประชากรไทยที่มอี ายุ 15 ปี เท่ากับ 204 มก./ดล. คา่ เฉล่ยี ในผ้หู ญิงสูงกวา่ ชาย (208.6 และ 199.2 มก./ดล.) ระดับไขมันโดยเฉล่ียเพิ่มขึ้นตามอายุ และสูงสุดในกลุ่มผู้ชายอายุ 45-59 ปีและในกลุ่มผู้หญิงอายุ 60-69 ปี จากน้ันระดับไขมัน คอเลสเตอรอลรวมลดลงเมื่ออายมุ ากขึ้น คูม่ อื เครอ่ื งชวี้ ดั ทางโภชนาการและโรคทเ่ี ก่ยี วข้อง 37
ประชากรในเขตเทศบาลมี TC สงู กวา่ ประชากรนอกเขตฯ (211.8 และ 200.8 มก./ดล.) ทงั้ ในชายและหญงิ เมอื่ พจิ ารณาตามภาค พบวา่ ผชู้ าย ในกรงุ เทพฯ มรี ะดบั คอเลสเตอรอลรวมเฉลย่ี สงู ทส่ี ดุ (214.7 มก./ดล.) รองลงมาคือ ภาคใต้ (209.1 มก./ดล.) ภาคกลาง (208.4 มก./ดล.) ภาคเหนือ (191.8 มก./ดล.) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(189.6 มก./ดล.) ตามล�ำ ดบั เป็นที่น่าสงั เกตว่าในผหู้ ญงิ น้ันภาคกลางมรี ะดับ คอเลสเตอรอลรวมสงู ท่สี ุด (217.6 มก./ดล.) รองลงมาคือ ภาคใต้ (215.0 มก./ดล.) และกรุงเทพฯ (214.7 มก./ดล.) สว่ นภาคเหนอื (201.4 มก./ดล.) และภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ (202.2 มก./ดล.) มรี ะดับคอเลสเตอรอลรวมต่ํากว่าภาคอ่นื ๆ ความชกุ ของภาวะคอเลสเตอรอลสงู ส�ำ หรบั ความชกุ ของภาวะไขมนั คอเลสเตอรอลรวม ≥ 240 มก./ดล. ในประชากรไทยอายุ 15 ปีข้ึนไป มีร้อยละ 19.4 ความชุกใน ผู้หญิงสงู กว่าในผู้ชาย (รอ้ ยละ 21.4 และ 16.7) ความชุกสูงขึ้นตาม อายทุ ่ีเพมิ่ ขน้ึ โดยพบสงู สดุ ในกลุ่มอายุ 45 - 69 ปี และลดต่ําลง มอี ายุ ≥ 70 ปี ความชกุ ในเขตเทศบาลสงู กวา่ นอกเขตเทศบาล (รอ้ ยละ 24.1 และ 17.0) ดงั รปู ท่ี 13 เมื่อพิจารณาความชุกตามภาค พบว่า กรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคใต้ มคี วามชกุ ค่อนขา้ งใกล้เคยี งกัน คอื ร้อยละ 25.5, 25.1 และ 24.5 ตามลำ�ดับ ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความชุกที่ต่ํากว่าอีก 3 ภาค โดยพบร้อยละ 14.7 และ 13.8 ตามล�ำ ดบั ความชกุ ของภาวะไขมนั คอเลสเตอรอลรวมสงู (≥240 มก./ดล.) พบในเขตเทศบาลสูงกวา่ นอกเขตฯ ทงั้ ในชายและหญิง ความชุกสงู ใน กรงุ เทพฯ ภาคกลาง และภาคใต้ 38 ค่มู ือเคร่อื งช้ีวดั ทางโภชนาการและโรคที่เก่ยี วข้อง
รูปที่ 13 ความชุกของภาวะไขมันคอเลสเตอรอลรวมสูง (TC≥240 มก./ดล.) ในประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป จ�ำ แนกตาม เพศและอายุ ปี 2551-2 ระดบั ไขมนั เอชดแี อล-คอเลสเตอรอล (HDL-C) ไขมนั HDL-C เปน็ ไขมนั ดี ถา้ ระดบั HDL-C ลดลงจะมคี วามเสย่ี ง ตอ่ โรคหวั ใจและหลอดเลือดมากข้นึ ระดับ HDL-C เฉลีย่ ในประชากร ไทยอายุ 15 ปีข้ึนไป เท่ากับ 47.1 มก./ดล. โดยระดับเฉลี่ยใน ผู้หญงิ สงู กว่าของผู้ชาย (48.9 และ 45.3 มก./ดล. ตามล�ำ ดับ) ระดับ HDL-C ลดลงเล็กน้อยเมื่อมีอายุมากขึ้นในทั้งสองเพศ และระดับ ค่าเฉลี่ยของในเขตเทศบาลสูงกว่าของนอกเขตเทศบาล เมื่อพิจารณา ตามภาค พบว่าประชากรในกรุงเทพฯ มีระดับ HDL-C สูงที่สุด (50.0 มก./ดล.) รองลงมาคือภาคกลาง (48.4 มก./ดล.) ภาคใต้ (47.9 มก./ดล.) ภาคเหนอื (46.9 มก./ดล.) และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (45.0 มก./ดล.) คู่มอื เคร่อื งชว้ี ัดทางโภชนาการและโรคทเี่ ก่ียวข้อง 39
ความชกุ ของภาวะไขมัน HDL-C ต่ํา เมื่อพิจารณาแบ่งระดับ HDL-C ตามเกณฑ์วินิจฉัย เมตาบอลิกซินโดรม (metabolic syndrome) คือ ภาวะ HDL-C ตา่ํ หมายถึง ระดับ HDL-C <40 มก./ดล. ในผู้ชายและ <50 มก./ดล. ในผหู้ ญงิ พบวา่ โดยรวมความชกุ ของภาวะ HDL-C ตาํ่ มรี อ้ ยละ 46.6 (ผู้ชายร้อยละ 34.9 และผู้หญิงร้อยละ 57.9) ความชุกของภาวะ HDL-C ตา่ํ เพมิ่ ขนึ้ ตามอายทุ เี่ พม่ิ ขนึ้ สงั เกตวา่ ผหู้ ญงิ ในแตล่ ะกลมุ่ อายุ มากกวา่ ครึ่งมี HDL-C ต่าํ กวา่ 50 mg/dL ดัง รปู ที่ 14 เมอื่ จ�ำ แนกตามเขตปกครอง พบวา่ นอกเขตเทศบาล มคี วามชกุ ของภาวะ HDL-C ผิดปกติ สูงกวา่ ในเขตเทศบาล (รอ้ ยละ 49.3 และ 40.5 ตามล�ำ ดับ) เมอื่ พจิ ารณาตามภาค พบวา่ ภาคตะวันออกเฉียง เหนอื มคี วามชกุ สูงทส่ี ดุ ทงั้ ในชาย (ร้อยละ 65.7) และหญงิ (ร้อยละ 41.5) สว่ นภาคทมี่ ีความชุกต่ําสุดคือ กรุงเทพฯ (รอ้ ยละ 26.3 ใน ผชู้ าย และ 46.8 ในผหู้ ญิง) ส่วนภาคเหนอื (ร้อยละ 35.5 ในผ้ชู าย และ 59.5 ในผหู้ ญงิ ) ภาคใต้ (รอ้ ยละ 28.6 ในผูช้ าย และ 57.9 ใน ผู้หญงิ ) และภาคกลาง (ร้อยละ 32.3 ในผชู้ าย และ 49.6 ในผหู้ ญงิ ) รปู ที่ 14 ความชกุ ไขมัน HDL-C ตํา่ (HDL-C<40 มก./ดล. ในชาย และ <50 มก./ดล.ในหญงิ ) ในประชากรไทยอายุ 15 ปี ข้ึนไป จำ�แนกตามเพศ อายุ ปี 2551-2 40 คู่มือเคร่ืองชีว้ ัดทางโภชนาการและโรคที่เกี่ยวข้อง
ระดบั ไขมันไตรกลเี ซอรไ์ รด์ ไตรกลีเซอร์ไรด์เป็นไขมันท่ีเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคทาง เมตาบอลิกและระบบหัวใจและหลอดเลือดเพ่ิมขึ้นเช่นกัน ระดับ ไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดของประชากรไทยอายุ 15 ปี ขึ้นไป มคี า่ เฉลยี่ เทา่ กบั 151.8 มก./ดล. ระดบั เฉลย่ี ในผชู้ ายสงู (167.0 มก./ดล.) กว่าในผู้หญิง (137.5 มก./ดล.) ในผู้ชายสูงสุดในช่วงอายุ 30- 59 ปี (182.4 มก./ดล.) จากน้ันระดับลดลง สว่ นในผ้หู ญิงสูงสดุ ในช่วงอายุ 70-79 ปี (168.2 มก./ดล.) ระดับไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดของของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 151.8 มก./ดล. ระดบั เฉลย่ี ในผชู้ าย (167.0 มก./ดล.) สงู กวา่ ในผหู้ ญงิ (137.5 มก./ดล.) ในผชู้ ายสงู สดุ ในกลมุ่ อายุ 30-59 ปี (182.4 มก./ดล.) จากน้ันระดับลดลง ส่วนในผู้หญิงสูงสุดในช่วงอายุ 70-79 ปี (168.2 มก./ดล.) ระดับไตรกลีเซอไรด์ของคนที่อาศัยนอกเขต เทศบาล (153.8 มก./ดล.) สงู กว่าคนในเขตฯ (143.7) ท้งั ในผ้หู ญิง และผู้ชายเม่ือพิจารณาตามภาค พบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (168.4 มก./ดล.) มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงกว่าคนภาคอื่น (กลาง 148.0 มก./ดล. เหนือ144.0 มก./ดล.) ในขณะท่ีคน ในกรุงเทพฯ (134.3 มก./ดล.) และใต้ (132.2 มก./ดล.) มีระดับ ไตรกลเี ซอรไรดต์ ่ํากว่าภาคอืน่ ความชกุ ของภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง ความชุกของภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง (≥150 มก./ดล.) ใน ประชากรไทยอายุ 15 ปีข้ึนไป เท่ากบั ร้อยละ 36.5 ความชกุ ใน ชายสูงกวา่ ในหญงิ (ร้อยละ 41.7 และ 31.6) ดังแสดงในรูปที่ 15 ความชุกของภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงของคนนอกเขตเทศบาลสูงกว่าคน ในเขตฯ (ร้อยละ 37.9 และ 33.1 ตามล�ำ ดบั ) เม่ือพจิ ารณาตามภาค ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีความชุกสงู ที่สุด (รอ้ ยละ 44.9) รองลงมา ค่มู ือเคร่อื งช้ีวัดทางโภชนาการและโรคทเ่ี กี่ยวข้อง 41
คอื ภาคเหนือและภาคกลาง (รอ้ ยละ 33.8 เทา่ กัน) สว่ นภาคใตแ้ ละ กทม. มคี วามชุกใกลเ้ คยี งกัน (รอ้ ยละ 28.5 และ 29.3 ตามล�ำ ดับ) รูปที่ 15 ความชุกภาวะไขมันไตรกลเี ซอไรด์สงู (TG≥150 มก./ดล.) ในประชากรไทยอายุ 15 ปขี น้ึ ไปจำ�แนกตาม เพศ และอายุ ปี 2551-2 ภาวะเมตาบอลิกซนิ โดรม (Metabolic syndrome) ภาวะเมตาบอลิกซินโดรมเป็นภาวะท่ีร่างกายมีปัจจัยเสี่ยงทาง เมตาลอลกิ ทส่ี มั พนั ธก์ บั ภาวะดอื้ อนิ ซลู นิ ไดแ้ กอ่ ว้ นลงพงุ ไขมนั ผดิ ปกติ ความดันโลหิตสูงข้ึน หรือนํ้าตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งผู้ท่ีมีกลุ่มปัจจัย เส่ียงเหล่านี้มีความเส่ียงต่อการเป็นเบาหวาน และโรคระบบหัวใจและ หลอดเลือด โดยท่ัวไปในทางระบาดวิทยาและทางคลินิกให้คำ�จำ�กัด ความของ ภาวะเมตาบอลกิ ซินโดรม หมายถงึ ภาวะทม่ี สี ามในห้าของ องคป์ ระกอบตอ่ ไปน:ี้ (1) อว้ นลงพงุ (รอบเอว ≥ 90 ซม.ในผชู้ าย และ ≥ 80 ซม.ในผู้หญิง) หรือ BMI >30 กก./ตรม. (2) ความดนั โลหติ ≥130/85 มม.ปรอท หรอื เปน็ โรคความดันโลหิตสงู (3) Impaired fasting glucose (FPG ≥ 100 มก./ดล.) หรอื เป็นเบาหวาน (4) Triglyceride ≥150 มก./ดล.หรอื กนิ ยาลดไขมนั (5) HDL-C < 40 มก./ดล.ในชาย และ < 50 มก./ดล. ในหญงิ 42 คมู่ อื เคร่อื งชว้ี ัดทางโภชนาการและโรคท่เี ก่ียวขอ้ ง
ความชุกของเมตาบอลิกซินโดรม ความชกุ ของเมตาบอลกิ ซนิ โดรมในประชากรไทยอายุ 20 ปขี นึ้ ไป มรี อ้ ยละ 23.2 ผหู้ ญงิ มคี วามชกุ ของภาวะเมตาบอลกิ ซนิ โดรมนมี้ ากกวา่ ผูช้ าย (ร้อยละ 26.8 และ 19.5) ความชุกเพ่มิ ขน้ึ ตามอายทุ เี่ พม่ิ ขนึ้ และสูงสุดในช่วงอายุ 70-79 ปี ในผู้ชาย ความชุกของภาวะนใี้ นเขต เทศบาลสงู กวา่ นอกเขตฯ (ร้อยละ 23.1 และ 17.9 ตามลำ�ดบั ) แต่ ในผ้หู ญิง ความชุกของนอกเขตฯสูงกวา่ ในเขต (รอ้ ยละ 27.9 และ 24.5 ตามล�ำ ดบั ) เมอื่ พจิ ารณาตามภาคพบวา่ ภาคกลางและกรงุ เทพฯ มคี วามชกุ ใกลเ้ คยี งกนั และสงู สดุ ทง้ั ชายและหญงิ ในผชู้ าย ภาคตะวนั ออก เฉียงเหนือและภาคใตม้ คี วามชกุ ตํ่าใกลเ้ คยี งกนั ส่วนในผู้หญิงภาคอนื่ ๆ มคี วามชกุ ใกล้เคยี งกนั สรปุ แนวโน้มของภาวะนํ้าหนักเกินและโรคอ้วนในประชากรไทยใน ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนต่อไป สะทอ้ นถงึ ปัญหาของภาวะโภชนาการท่ีไมส่ มดลุ หากปจั จยั ทีเ่ กี่ยวข้อง กับภาวะอว้ นน้ียงั ไมไ่ ดร้ ับการแกไ้ ขอย่างเพยี งพอ สาเหตทุ ่มี ีผลต่อการ เพิ่มขึ้นของสถานการณ์ของอ้วนและโรคทางเมตาบอลิกนี้เกี่ยวข้องกับ ความเจรญิ ทางเศรษฐกจิ สงั คมและทางเทคโนโลยี มกี ารกนิ อาหารอดุ ม สมบรู ณม์ ากขน้ึ โดยเฉพาะอาหารประเภททใ่ี หพ้ ลงั งานสงู แตม่ กี จิ กรรม ทางกายลดลง ทำ�ให้มีไขมันสะสมเกินจำ�เป็นและเส่ียงต่อโรคทาง เมตาบอลิกเพิ่มขึ้น ประเทศไทยมีความชุกของปัญหานํ้าหนักเกินและ อว้ นไมน่ อ้ ยกวา่ ประเทศอนื่ ๆ ในเอเชยี เชน่ ญป่ี นุ่ เกาหลแี ละประเทศจนี เป็นต้น สถานการณ์ภาวะอ้วนน้ีจะส่งผลให้ประชาชนมีความเส่ียง ต่อโรคเร้ือรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรค ระบบหัวใจและหลอดเลือดเพ่ิมขึ้น ดังน้ันการสร้างเสริมสุขภาพ คูม่ ือเคร่อื งช้วี ดั ทางโภชนาการและโรคทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง 43
ระดับมหภาค เช่น ด้านนโยบาย และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ในระดบั ประชากร (population-based approach) รวมทงั้ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพระดับปจั เจก (individual approach) ได้แก่ การปรับเปลีย่ น พฤตกิ รรมของประชาชนในเรอื่ งการกนิ อาหารทเี่ หมาะสม และสง่ เสรมิ ให้มีกิจกรรมทางกายท่ีเพียงพอจึงเป็นส่ิงท่ีต้องดำ�เนินการให้ ความเข้มงวดมากขึ้นตอ่ ไป เอกสารอ้างอิง 1. http://iotf.org/database/documents/GlobalPrevalenceofAdul- tObesity20thJanuary2010.pdf 2. Global data base on Body Mass Index. http://apps.who. int/bmi/index.jsp?introPage=intro_5.html 3. WHO/IASO/IOTF. The Asia-Pacific perspective: redefining obesity and its treatment. Health Communications Australia: Melbourne. 4. Aekplakorn W, Mo-Suwan L. Prevalence of obesity in Thailand. Obes Rev. 2009;10(6):589-92. 5. Aekplakorn W, Hogan MC, Chongsuvivatwong V, Tat- sanavivat P, Chariyalertsak S, Boonthum A, Tiptaradol S, Lim SS. Trends in obesity and associations with educa- tion and urban or rural residence in Thailand. Obesity 2007;15:3113-21. 6. วิชัย เอกพลากร (บรรณาธิการ). รายงานการสำ�รวจสุขภาพ ประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครง้ั ท่ี 4 พ.ศ. 2551-2552. นนทบรุ :ี ส�ำ นกั งานส�ำ รวจสขุ ภาพประชาชนไทย/สถาบนั วจิ ยั ระบบ สาธารณสขุ ; 2553. 44 คมู่ อื เคร่ืองช้วี ัดทางโภชนาการและโรคท่เี กีย่ วขอ้ ง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128