6 สคร�ำ า้ถงาทมกั ษะชวี ติ : ประสบการณส์ ำ�หรับครู ทกุ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ 1
ISBN 978-974-296-772-7 ช่อื หนงั สอื 6 คำ�ถามสรา้ งทกั ษะชีวติ : ประสบการณส์ ำ�หรบั ครูทกุ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ จัดทำ�โดย แผนงานสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพจิต 70/ 7 อาคารเอ.ไอ.นนท์ (ห้อง 303) ถนนติวานนท์ ตำ�บลตลาดขวัญ อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั นนทบุรี 11000 โทรศัพท ์ 0-2580-0918 โทรสาร 0-2580-0919 www.jitdee.com ตรวจสอบเนื้อหาวิชาการ อาจารย์จงกล ทรพั ยส์ มบรู ณ์ บรรณาธิการและเรยี บเรียง ธีร์ ทิพกฤต คณะผจู้ ดั ท�ำ นายแพทยป์ ระเวช ตันตพิ วิ ฒั นสกุล อาจารยอ์ บุ ลวรรณ แสนมหายกั ษ์ อาจารยป์ ระคอง กลิน่ จนั ทร์ อาจารยม์ าลี มะโนหาญ อาจารย์จันทนา หนอ่ สุวรรณ อาจารยด์ รรชนี จนั ทร์คำ� อาจารย์กาญจณีย์ ธรี ะเดช อาจารย์จ�ำ เรยี ง ประดับเวทย์ ดร.มยรุ ี ด้วงศรี ออกแบบรูปเลม่ [email protected] พสิ จู น์อกั ษร นางสาวภณดิ า ชนวิทยาสทิ ธกิ ุล ผู้ผลติ นายเป่ียมพฒั น์ วงเปี่ยมธรรม พมิ พ์คร้งั ที่ 1 พฤษภาคม 2555 จ�ำ นวนพมิ พ์ 2,000 เล่ม สถานท่พี มิ พ ์ หา้ งหนุ้ ส่วนจ�ำ กัด จนู ลาย มอรน์ ิ่ง สนบั สนุนโดย กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน (สพฐ.) กระทรวงศกึ ษาธิการ ส�ำ นักงานกองทุนสนบั สนุนการสร้างเสริมสขุ ภาพ (สสส.) I
ค�ำนยิ ม นับเป็นอีกวาระหน่ึงท่ีเพ่ือนครูได้รับความอนุเคราะห์จากแผนงาน สร้างเสริมสุขภาพจิต ภายใต้การสนับสนุนของส�ำนักงานกองทุนสนับสนุน การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ(สสส.) และกรมสขุ ภาพจติ ในการสง่ เสรมิ การพฒั นา ทักษะชีวิตในโรงเรียนด้วยการจัดท�ำคู่มือในช่ือ “6 ค�ำถามสร้างทักษะชีวิต: ประสบการณ์ส�ำหรบั ครทู ุกกลุม่ สาระการเรยี นร”ู้ คู่มือเล่มน้ีจะเป็นเพ่ือนคู่คิดให้แก่ครูได้เป็นอย่างดี เพราะยกร่างโดย ครปู ระถมศกึ ษาทม่ี คี วามเชยี่ วชาญดา้ นทกั ษะชวี ติ ภายใตก้ ารดแู ลชแี้ นะจาก นายแพทย์ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต และผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต (สสส.) ผู้ประสบความส�ำเร็จใน การเช่ือมองค์ความรู้ด้านสุขภาพจิตสู่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาอย่าง โดดเด่นมากวา่ ย่สี บิ ปี ด้วยองค์ประกอบท่ีลงตัวของคณะผู้จัดท�ำ คู่มือเล่มน้ีจึงสามารถ ตอบโจทย์ท่ีอยู่ในใจครูทุกคนได้อย่างตรงประเด็น ตั้งแต่การขยาย ความองคป์ ระกอบของทกั ษะชวี ติ ตามขอ้ ก�ำหนดของส�ำนกั งานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐานให้เป็นพฤติกรรมที่มุ่งหวังจะให้เกิดข้ึนในตัวเด็ก การท�ำความเขา้ ใจในเรอ่ื งของกระบวนการพฒั นาทกั ษะชวี ติ พรอ้ มเสนอแนะ กจิ กรรมทเี่ หมาะสมกับพฒั นาการของเด็กวยั ประถมศึกษา พิเศษสุดในเล่มน้ี คงจะเป็นแนวทางต้ังค�ำถามเพื่อสร้างทักษะชีวิตที่ จะชว่ ยกระตุ้นให้ครไู ดจ้ �ำแนกประเภทของค�ำถาม และชี้แนะการเลอื กใช้ ว่า II
กิจกรรมที่ด�ำเนินการจะส่งผลต่อพัฒนาการของทักษะชีวิตได้เพียงใด ท้ายเล่ม ยังมอบตัวอย่างของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเช่ือมโยง ทกั ษะชวี ิตสู่กลมุ่ สาระทุกกล่มุ แม้คู่มือเล่มนี้จะมุ่งหวังให้ครูประถมศึกษาได้รับประโยชน์เป็นล�ำดับ แรก แต่เมอื่ อ่านแล้วพบวา่ ผทู้ ี่ใกล้ชดิ และท�ำงานกับเดก็ และเยาวชน ไมว่ า่ จะ เป็นครูในระดับช้ันอื่น ผู้ปกครอง ผู้จัดกิจกรรมเยาวชนต่างจะได้แง่คิดที่มี คุณคา่ ด้วยกันท้ังสิ้น ในฐานะทเ่ี ปน็ นกั การศกึ ษาคนหนงึ่ ทเี่ ชอ่ื มนั่ ในคณุ คา่ ของทกั ษะชวี ติ และ ตระหนกั ดถี งึ ความยากล�ำบากในการน�ำสกู่ ารปฏบิ ตั ิ จงึ ขอขอบคณุ กรมสขุ ภาพจติ ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ(สสส.) แผนงานสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพจติ และคณะผจู้ ดั ท�ำทกุ ทา่ นท่ีไดม้ อบคมู่ อื “6 ค�ำถามสรา้ งทกั ษะชวี ติ : ประสบการณส์ �ำหรบั ครทู กุ กลม่ สาระการเรยี นร”ู้ ใหแ้ กเ่ พอื่ นครไู ทย นบั เปน็ คมู่ อื เพอื่ ครโู ดยครเู ลม่ หนงึ่ ทจ่ี ดั ท�ำขนึ้ ดว้ ยความตงั้ ใจ รอคอยเพยี งการน�ำไปศกึ ษา ประยุกตใ์ ช้และขยายผลของผ้ทู ห่ี ว่ งใยในอนาคตของเยาวชนไทย คณุ หญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน (กพฐ.) III
ค�ำน�ำ ในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ทุกวงการท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษา ต่างยอมรับกันมานานแล้วว่า จ�ำเป็นจะต้องมีมิติการพัฒนาทักษะ ความสามารถในการด�ำเนินชีวิต ซ่ึงไม่มีการเรียนการสอนในรายวิชาเฉพาะ ความพยายามที่จะพัฒนาทักษะในการด�ำเนินชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลก ภายใตช้ อื่ เรยี กทแ่ี ตกตา่ งกนั ตามยคุ สมยั แตก่ ล็ ว้ นมสี าระส�ำคญั ใกลเ้ คยี งกนั ประเทศไทยก็ไดร้ บั เอากระแสดงั กลา่ วนเ้ี ขา้ มาในหลายรปู แบบเชน่ กนั เร่ิมจาก “ทักษะชีวิต” (Life Skills) ซ่ึงเข้ามาในครั้งแรกด้วยความหมาย ของ ทักษะการคิด ตดั สนิ ใจ แกป้ ญั หา จัดการอารมณ์ การสื่อสาร (เชน่ ฟงั พูดบอกความรสู้ ึก ปฏิเสธ) เพื่อป้องกันปญั หาเอชไอวี/เอดส์และสารเสพติด และเพ่อื เนน้ กระบวนการเรียนรู้แบบมีสว่ นร่วม แม้แต่ “ความฉลาดทางอารมณ์” (Emotional Intelligence) ซ่ึง มงุ่ เน้นการพฒั นาทักษะทางอารมณแ์ ละสังคม สว่ นส�ำคญั ทคี่ นในยคุ ปัจจุบนั ขาดไป หรือค�ำอื่นๆ ที่คนในวงการศึกษาคุ้นเคยดี เช่น “ดี เก่ง สุข” หรือ “ความเข้มแข็งทางใจ” (Resilience) ท่ีหน่วยงานต่างๆ ในระดับนานาชาติ น�ำมาใช้แพร่หลายมากขึ้น อันเป็นผลจากงานวิจัยท่ีสนใจด้านบวกหรือ ศักยภาพของมนุษย์ ทั้งหมดนี้ล้วนมีท่ีมาจากความพยายามที่จะพัฒนาและ สร้างทักษะในการใชช้ วี ิตใหแ้ กเ่ ดก็ และเยาวชน IV
เมื่อถึงช่วงเปล่ียนเข้าสู่ศตวรรษที่ย่ีสิบเอ็ด วงการการศึกษาท่ัวโลก ขตา่้องเตสน่ืนตอวั ทกักบั ษกะารคเวตารมยี สมาผมเู้ รายี รนถใทห่ีจพ้ �รำเอ้ ปม็นกสบั �ชำหวี ติรใับนศโตลกวยรครุ ษใหทม่ีย่ จี่สงึิบมเกีอา็ดรพ(ฒั21นsาt Century Skills) ซ่ึงโดยมากจะประกอบด้วยทักษะการเรียนรู้ ทักษะการใช้ ขอ้ มลู สารสนเทศ ทกั ษะชวี ติ และการงาน ความสามารถในการบรหิ ารตนเอง การจัดการความสัมพันธ์และอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลายและ แตกต่างทางวัฒนธรรม แนวคิด “ทักษะชีวิต” จึงได้น�ำกลับมาปรับ องค์ประกอบใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมทักษะต่างๆ ที่จ�ำเป็นส�ำหรับการด�ำเนิน ชวี ติ ในศตวรรษใหม่น้ี หากพิจารณาให้ดี ไม่ว่าจะใช้ค�ำเรียกใดก็ตาม ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้อง ตอ้ งกนั วา่ เราจ�ำเปน็ ตอ้ งพฒั นาเยาวชนใหม้ ที กั ษะความสามารถในการด�ำเนนิ ชวี ติ มากกวา่ วิชาการที่มีในแต่ละรายวิชา ชื่อเรียกอาจเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ความจริงก็คือ เราจ�ำเป็นต้องเร่งปรับปรุงระบบการเรียนให้เด็กไทยได ้ เรยี นรชู้ วี ติ มากกว่าการเน้นผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเป็นรายวิชา การเรียนการสอนในชั้นประถมศึกษามีจุดเด่นส�ำคัญ คือ โอกาส ในการบรู ณาการการเรียนร้สู าระตา่ งๆ เข้าหากนั เน่ืองจากครผู ู้สอนหนึง่ คน มักรับผิดชอบหลายวิชา และปริมาณเนื้อหาท่ีถูกก�ำหนดยังพอมีพ้ืนท่ีส�ำหรับ การเช่ือมโยง ท่ีส�ำคัญ ครูช้ันประถมศึกษามักมีโอกาสรู้จักเด็กผู้เรียนได้ มากกวา่ ในชั้นมธั ยมศึกษา V
จากการประชุมหารือกับครูท่ีมีประสบการณ์ด้านการเรียนการสอน ทกั ษะชวี ติ พบวา่ หวั ใจส�ำคญั ของการเรยี นรทู้ จี่ ะชว่ ยกระตนุ้ ใหเ้ ดก็ คดิ เปน็ คอื การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ม่ี กี ารตง้ั ค�ำถามทดี่ ี และนค่ี อื ทมี่ าของหนงั สอื 6 ค�ำถามสร้างทักษะชีวิต: ประสบการณ์ส�ำหรับครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เล่มนี้ คณะผู้จัดท�ำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แนวทางและรูปธรรมที่น�ำเสนอ ในหนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้ครูที่สนใจพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กผู้เรียน เติมคุณภาพในการตั้งค�ำถาม และเติมคุณภาพในปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน ซึ่งจะเป็นส่วนส�ำคัญของการพฒั นาทกั ษะชวี ิตใหก้ ับเดก็ ผเู้ รยี นอยา่ งแทจ้ ริง นพ.ประเวช ตันติพวิ ัฒนสกุล นายแพทยท์ รงคณุ วุฒิกรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ และ ผู้จดั การแผนงานสร้างเสรมิ สุขภาพจิต VI
สารบัญ ค�ำนิยม หนา้ ค�ำน�ำ II ภาคที่หนงึ่ เข้าใจทกั ษะชีวิต IV กา้ วแรก ทกั ษะชวี ติ และการพฒั นาทกั ษะชวี ติ 1 ทักษะชีวติ คืออะไร เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร และสร้างขึน้ ได้อย่างไรด้วยกจิ กรรมการเรยี นรู้ 2 กา้ วทส่ี อง การพัฒนาทักษะชีวิตในระดับประถมศึกษา 9 พัฒนาการเด็กวัยประถม ทกั ษะชวี ิตในชั้นประถมศกึ ษา 25 และแนวทางการสร้างพฒั นาทักษะชีวติ ใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาคทสี่ อง ตง้ั ค�ำถามเพ่อื สร้างทกั ษะชวี ิต อำ� นาจของคำ� ถามและเทคนิคการตั้งค�ำถาม การใช้ 4 คำ� ถาม เพ่อื การเรยี นรู้ และ 6 คำ� ถาม เพอื่ เชอื่ มโยงวธิ คี ิด ตวั อยา่ ง การต้งั 6 ค�ำถามในกจิ กรรมการเรยี นรู้ VII
ภาคที่สาม การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ หนา้ ทเี่ ชอื่ มโยงสู่ “ทักษะชีวติ ” เทคนคิ การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ 45 ท่เี ชอื่ มโยงสู่ทักษะชวี ติ 46 พัฒนาทักษะการคดิ วิเคราะห์และการส่อื สาร รากฐานของการพัฒนาทักษะชีวิต 69 70 ตวั อย่างการออกแบบการเรยี นรู้ทเ่ี ช่อื มโยง 78 83 ทักษะชวี ิต (กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย 90 98 วิทยาศาสตร์ และศิลปะ) 105 ตวั อย่าง : การตง้ั ค�ำถามเพอ่ื เสรมิ สร้างทักษะชวี ติ 114 กับแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ กุ กลุ่มสาระ 121 • สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย • สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ • สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร ์ • สาระการเรยี นรสู้ ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา • สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม • สาระการเรียนร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลย ี • สาระการเรยี นรู้ศิลปะ • สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ VIII
10
ภาคท่หี นึ่ง เข้าใจทักษะชวี ิต กา้ วแรก ในการนำ� ทกั ษะชีวิตไปใช้ จะตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจให้ถอ่ งแทว้ ่า ทักษะชวี ิต คอื อะไร ส�ำคญั อย่างไร เกิดข้ึนได้อย่างไร และสรา้ งข้ึนไดอ้ ย่างไร ดว้ ยกระบวนการจดั การเรียนรู้ กา้ วท่ีสอง ส�ำรวจแนวทาง ในการสร้างและพัฒนาทักษะชีวิตให้เกิดข้ึน ในเด็กนักเรยี นในระดบั ประถมศกึ ษา 1
ก้าวแรก ทักษะชีวิตและการพัฒนาทกั ษะชวี ิต ความรวดเร็วและล้�ำสมัยของเทคโนโลยีการส่ือสาร ความหลากหลาย ทางเชอื้ ชาติ วฒั นธรรม ทง้ั ความคดิ และความเชอ่ื ของกลมุ่ คนในสภาพสงั คม ปัจจุบัน ล้วนส่งผลกระทบต่อเด็กๆ ท้ังในด้านวิถีชีวิต การปรับตัว อารมณ์ และจิตใจ การจะช่วยให้เด็กมีทักษะในการแยกแยะสิ่งย่ัวยุและตัวแบบท ี่ ไมเ่ หมาะสม ตลอดจนสามารถจดั การกบั ตวั เองและสงิ่ ทเ่ี ผชญิ อยไู่ ดน้ นั้ จ�ำเปน็ ต้องสอนให้เด็กรู้จักและเข้าใจตนเองและผู้อื่น รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ท่ีไดร้ บั และฝกึ ตัดสนิ ใจใหไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมและสร้างสรรค์ รจู้ กั และเท่าทัน อารมณ์ของตนเอง จัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ เข้าใจความรู้สึกและ มุมมองของผู้อ่ืน เพ่ือช่วยให้ผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ ทักษะท้ังหมดน้ี หากเร่ิมปลูกฝังต้ังแตว่ ยั เยาว์ในระบบการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน กจ็ ะสามารถเปน็ รากฐานส�ำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก เมื่อต้องออกไปเผชิญโลก ภายนอก แต่ก่อนทจี่ ะท�ำเชน่ นั้นได้ ผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การพฒั นา “เดก็ ” จะตอ้ ง เข้าใจ ตระหนัก และรูว้ ธิ ีการเสริมสรา้ งและพฒั นา “ทกั ษะชวี ติ ” อยา่ งยัง่ ยืน และมปี ระสิทธภิ าพเสียกอ่ น ที่ส�ำคญั กวา่ นั้น คอื ต้องรู้วธิ ีการพัฒนา “เด็ก” ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมในระบบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน นี่คอื จดุ มุ่งหมายหลกั ของก้าวแรกน้ี 2 ภาคทีห่ นง่ึ เข้าใจทกั ษะชวี ิต
ทกั ษะชวี ติ คืออะไร ทักษะชีวิต คือ ความสามารถของบุคคลท่ีจะจัดการกับปัญหาต่างๆ รอบตัว ในสภาพสังคมปัจจุบัน ท้ังยังหมายรวมถึงการเตรียมตัวให้พร้อม ส�ำหรับการปรับตัวในอนาคตดว้ ย ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ก�ำหนดองค์ประกอบ “ทักษะชีวิต” ส�ำหรับใช้สร้างและพัฒนาภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชน ในสภาพสงั คมปจั จบุ นั และเตรยี มพรอ้ มพวกเขาส�ำหรบั อนาคต องคป์ ระกอบ ดงั กลา่ วมี 4 ข้อ ดังนี้ องคป์ ระกอบท่ี 1 การตระหนกั ร้แู ละเห็นคุณคา่ ในตนเองและผูอ้ ่ืน การตระหนกั รแู้ ละเหน็ คณุ คา่ ในตนเองและผอู้ น่ื หมายถงึ การรคู้ วามถนดั ความสามารถ จดุ เด่นและจุดด้อยของตนเอง พร้อมกบั เข้าใจความแตกตา่ ง ของแตล่ ะบคุ คล การร้จู ัก ยอมรับ เห็นคณุ ค่า และภาคภูมใิ จในตนเองและ ผ้อู ่ืน ท้ังยงั รวมถงึ การมีเปา้ หมายในชวี ิตและมีความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม องคป์ ระกอบที่ 2 การคดิ วเิ คราะห์ ตดั สนิ ใจ และแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ การวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะขอ้ มลู ขา่ วสาร ปญั หา และสถานการณร์ อบตวั ทงั้ ยงั สามารถวพิ ากษว์ จิ ารณแ์ ละประเมนิ สถานการณร์ อบตวั ดว้ ยหลกั เหตผุ ล และข้อมูลที่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังรวมถึงความสามารถในการรับรู้ปัญหา รู้สาเหตุของปัญหา และสามารถหาทางเลือกและตัดสินใจแก้ปัญหาใน สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ ภาคที่หนง่ึ เข้าใจทักษะชวี ติ 3
องค์ประกอบท่ี 3 การจดั การกับอารมณ์และเครียด การจัดการกับอารมณ์และความเครียด หมายถึง ความสามารถ ในการท�ำความเข้าใจและรู้เท่าทันภาวะอารมณ์ของตนเองและบุคคลอื่น รู้สาเหตุของความเครียด รู้วิธีการควบคุมอารมณ์และความเครียด รู้วิธ ี ผอ่ นคลายและหลีกเลยี่ ง และรู้จักหาทางปรับเปลีย่ นพฤติกรรม ท่กี อ่ ให้เกดิ อารมณอ์ ันไมพ่ งึ ประสงค์ ให้เป็นไปในทางทดี่ ี องค์ประกอบท่ี 4 การสรา้ งสัมพันธภาพที่ดกี ับผอู้ น่ื การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น หมายถึง การเข้าใจมุมมอง อารมณ์ ความรู้สึกของผู้อ่ืน สามารถใช้ภาษาพูดและภาษากายเพ่ือส่ือสารความรู้สึก นกึ คดิ ของตนเอง สามารถรบั รคู้ วามรสู้ กึ และความตอ้ งการของผอู้ นื่ สามารถ วางตัวได้ถูกต้องเหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงความสามารถใน การส่ือสารเพ่ือสร้างสัมพันธภาพที่ดี สร้างความร่วมมือ และท�ำงานร่วมกับ ผอู้ ืน่ ไดอ้ ย่างมีความสขุ 4 ภาคท่หี นง่ึ เขา้ ใจทักษะชวี ิต
ทักษะชวี ติ เกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไร ทักษะชวี ิตสามารถเกดิ และพัฒนาข้ึนในเด็กนักเรยี นได้ 2 วธิ ี คือ จากการเรยี นรู้เองตามธรรมชาติ ดว้ ยการเรียนรจู้ ากประสบการณ์หรอื / และมแี บบอย่างที่ดี เด็กก็สามารถพฒั นาทกั ษะชวี ติ ข้ึนได้ แต่การเรียนรูเ้ อง ตามธรรมชาติไม่มีทิศทางและเวลาท่ีแน่นอน บางครั้งกว่าเด็กจะเรียนรู้ได้ อย่างถกู ต้องเหมาะสม กอ็ าจช้าเกนิ ไป จากการสรา้ งและพฒั นาดว้ ยกระบวนการจดั การเรยี นรู้ เมอ่ื นกั เรยี นไดเ้ รยี นร้ ู รว่ มกนั ผา่ นกจิ กรรมรปู แบบตา่ งๆ ผา่ นการลงมอื ปฏบิ ตั ิ ผา่ นการรว่ มคดิ อภปิ ราย แสดงความคิดเหน็ และได้แลกเปล่ยี นความคดิ และประสบการณร์ ะหว่างกนั เดก็ กจ็ ะมโี อกาสไดส้ ะทอ้ นความรสู้ กึ นกึ คดิ และฝกึ การคดิ เชงิ วจิ ารณไ์ ปพรอ้ มกนั และเชื่อมโยงส่ิงท่ีได้เรียนรู้เข้ากับชีวิตของตนเอง ท�ำให้เด็กสามารถสร้าง องคค์ วามรใู้ หม่ของตวั เองข้ึน เพื่อน�ำมาปรบั ใช้ใหเ้ ข้ากับชีวติ ของตนเอง กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่สี ร้างและพัฒนาทักษะชีวติ ครูผู้สอนสามารถสร้างและพัฒนาทักษะชีวิตให้แก่เด็กนักเรียนได้ ด้วย 5 การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กนักเรียนและแทรกการสอน ทักษะชีวิตไปพร้อมกัน โดยค�ำนึงถึงประโยชน์สูงสุดท่ีนักเรียนจะได้รับจาก การเรยี นรู้ วธิ ที น่ี ยิ มใชก้ นั มากทสี่ ดุ ในตอนนี้ คอื กระบวนการการเรยี นรู้ ซงึ่ ให้ ความส�ำคัญแกน่ กั เรยี น หรอื ทเี่ รยี กกนั ในวงการการศกึ ษาวา่ “กระบวนการ การเรยี นรทู้ เ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ ส�ำคญั ” การปรบั ใหก้ ระบวนการเรยี นรทู้ อี่ อกแบบขนึ้ เออ้ื ตอ่ การสอนและพฒั นา “ทกั ษะชวี ติ ” ครผู สู้ อนจ�ำเปน็ ตอ้ งค�ำนงึ ถงึ ลกั ษณะ ส�ำคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี ภาคท่ีหน่ึง เข้าใจทักษะชีวติ
เปน็ กจิ กรรมทน่ี กั เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการคน้ หาความรหู้ รอื สรา้ งความรรู้ ว่ มกนั เพอ่ื ชว่ ยใหน้ กั เรยี นพฒั นาทกั ษะชวี ติ ในดา้ นการคดิ วเิ คราะห์ การคดิ ตดั สนิ ใจ และแก้ไขปญั หาอย่างสร้างสรรค์ ตวั อยา่ งไดแ้ ก่ กจิ กรรมท่นี กั เรยี นไดม้ ีสว่ น ร่วมแสดงความคิดเห็น ได้วิพากษ์วิจารณ์ ได้สืบค้นหรือศึกษาค้นคว้า ได้ สงั เคราะหค์ วามรจู้ ากสอ่ื และแหลง่ เรยี นรตู้ า่ งๆ ทเ่ี ชอื่ มโยงกบั การใชช้ วี ติ จรงิ และการด�ำเนนิ ชวี ติ ในอนาคต ทงั้ ภายในและภายนอกโรงเรยี น เปน็ กจิ กรรมทน่ี กั เรยี นไดท้ �ำรว่ มกนั ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิ ไดป้ ระยกุ ต์ใชค้ วามร ู้ ที่เรียนมา เช่น กิจกรรมค่าย กิจกรรมชมรม/ ชุมนุม กิจกรรมโครงงาน/ โครงการ กจิ กรรมจติ อาสา ฯลฯ กจิ กรรมเหลา่ นชี้ ว่ ยกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การพฒั นา ทักษะชวี ติ ได้ เนื่องจาก ...นกั เรยี นไดใ้ ชท้ กั ษะการสอ่ื สารและเสรมิ สรา้ งสมั พนั ธภาพระหวา่ งกลมุ่ เพอ่ื น ได้ฝึกการจดั การกับอารมณแ์ ละความเครียดของตนเอง ...นักเรียนได้รับรู้ความคิดเห็นของผู้อ่ืน ท�ำให้เข้าใจผู้อื่น และน�ำไปสู ่ การยอมรบั ความคดิ เหน็ ของผอู้ นื่ พรอ้ มกนั นนั้ ผเู้ รยี นกย็ งั ไดฝ้ กึ ไตรต่ รอง ท�ำความเขา้ ใจ และตรวจสอบตนเองไปดว้ ย ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจตนเองและเหน็ ใจ ผูอ้ ่ืนยิง่ ขึ้น ...นักเรียนจะได้รับการยอมรับจากกลุ่ม เพราะได้แสดงความคิดเห็น ได้แสดงออกด้วยการพูดและการท�ำงานร่วมกันจนส�ำเร็จ ท�ำให้ได้รับ ค�ำชมและการยอมรับจากเพื่อน ครูและผู้เก่ียวข้อง นักเรียนจึงเกิด ความภาคภมู ิใจและเหน็ คณุ ค่าตนเอง 6 ภาคท่หี นงึ่ เข้าใจทักษะชีวิต
รปู แบบการจดั การเรยี นรแู้ บบเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ ส�ำคญั ทส่ี ามารถเสรมิ สรา้ ง ทกั ษะชวี ติ ได้ มอี ย่ดู ้วยกนั หลายแบบ แตล่ ะแบบใช้เทคนิคและวธิ กี ารจดั การ เรยี นรตู้ ่างกนั ออกไป ตวั อย่างท่ีได้รบั ความนิยม เช่น กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) คือ การเรียนการสอนท่ีเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน การสอนใหม้ ากขึ้น โดยกระตนุ้ ให้เดก็ ไดแ้ สดงความคดิ เหน็ และคดิ แก้ปญั หา กระบวนการเรียนร้แู บบร่วมมือ (Cooperative Learning) คอื การจดั การเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อย เพ่ือ เปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มท่ีมีความถนัดแตกต่างกันได้ร่วมแบ่งปันและ ร่วมเสริมสร้างสมรรถนะความสามารถของสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม ด้วย การเรยี นรู้รว่ มกัน นอกจากนคี้ รผู สู้ อนยงั ใชว้ ธิ กี ารจดั การเรยี นรแู้ บบอนื่ ๆ เชน่ กระบวนการ เรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Learning) กระบวนการเรียนรู้ แบบแก้ปัญหา (Problem Solving) กระบวนการเรียนรู้แบบโครงการ (Project Learning) กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะความรู้เป็นกลุ่ม (Group Investigation) กระบวนการเรียนรู้ด้วยค�ำถาม (Question- Answer) ฯลฯ ตามแต่ความเหมาะสมของผู้เรียน สภาพแวดล้อมของ โรงเรยี น และเน้ือหาของวชิ า ภาคที่หนงึ่ เขา้ ใจทักษะชีวติ 7
ตัวอย่างกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดท่ียกมาน้ี ต่างมุ่งเน้นให้นักเรียนได้ เป็นผูร้ ่วมสรา้ งความรู้ รว่ มปฏบิ ัติกิจกรรม ร่วมคิด ร่วมตดั สนิ ใจ รว่ มแกไ้ ข ปัญหากับกลุ่มเพ่ือน เพ่ือสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อแสดงออกทางความคิด โดยมุ่งหวังให้นักเรียนได้ฝึกวิพากษ์วิจารณ์ สังเคราะห์ความคิด เชื่อมโยง ประสบการณ์ ความคิด และความเช่ือของตนเองกับกลุ่มเพ่ือน การท�ำ เช่นนี้จะช่วยให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น ซึ่งเป็น องค์ประกอบหน่ึงของทักษะชีวิต และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาไปสู ่ การเรยี นร้ทู กั ษะชวี ติ ในด้านอนื่ ๆ ตอ่ ไป ครูที่สนใจและต้องการค้นคว้าข้อมูลเพ่ิมเติมในเรื่อง กระบวนการ การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญกับการเสริมสร้างทักษะชีวิต สามารถ สืบหาไดจ้ าก 1. เอกสารประกอบหลกั สตู รการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2544 2. การจดั สาระการเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรู้ (8 กลมุ่ สาระการเรยี นร)ู้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2546 3. แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาการคิดตามหลักสูตร การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (8 กลุ่มสาระการเรียนรู้) ส�ำนกั งานการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร 2553 4. การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสุข 2540 8 ภาคท่ีหน่ึง เขา้ ใจทักษะชวี ติ
กา้ วที่สอง การพัฒนาทกั ษะชีวติ ในระดับประถมศึกษา เดก็ นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษา(ประมาณ6-12 ป)ี อยู่ในชว่ งทม่ี พี ฒั นาการ ทางร่างกาย สังคม และความคิด เปลี่ยนแปลงมากท่ีสุด ช่วงเวลาหกป ี ของช้ันประถมศึกษาคาบเกี่ยวระยะพัฒนาการจากเด็กก่อนวัยเรียนสู่วัยรุ่น ตอนต้น การจัดการเรียนการสอนในช่วงวัยน้ีจึงควรค�ำนึงพัฒนาการ ในแตล่ ะชว่ งท่ตี า่ งกันไวด้ ว้ ย เชน่ เดยี วกัน ทกั ษะชวี ิตทีป่ ลูกฝงั ให้กบั เดก็ วัยนี้ ก็ควรค�ำนึงถึงพ้นื ฐานพฒั นาการ ภาคทห่ี นึง่ เข้าใจทกั ษะชีวติ 9
เข้าใจพฒั นาการเดก็ วัยประถม ฉบบั กะทัดรดั ป(6ร-ะถ8มปตน้ี) ป(ร9ะ-ถ1ม2ปลปา)ี ย รา่ งกาย รา่ งกาย • การเตบิ โตช้าลง สัดส่วนของร่างกายคล้าย • นำ้� หนกั และสว่ นสูงเพมิ่ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ ผใู้ หญม่ ากข้ึน • รา่ งกายเรม่ิ เขา้ สชู่ ว่ งวยั รนุ่ เรมิ่ แสดงลกั ษณะ • ชอบการเลน่ ที่ใช้ร่างกาย และฝกึ ทักษะทาง ทางเพศของตน รา่ งกาย • มพี ลงั แขง็ แรง และเหน่อื ยยาก สตปิ ัญญา • มีความคิดเปน็ ตัวเองและเปน็ อสิ ระ สติปญั ญา • เรม่ิ ตดั สินใจเองได้มากขนึ้ • สนใจการอ่านมากขึ้น แตย่ ังมีปัญหา • สนใจการเรยี นมากกวา่ การเลน่ และเร่ิม เรื่องการสะกดค�ำ สนใจเร่ืองอาชีพในอนาคต • อยากรอู้ ยากเห็นสิ่งตา่ งๆ รอบตัวและ • มองหาขอ้ มูลจากส่อื ต่างๆ และกลุ่มเพ่ือน อยากรเู้ รอื่ งราวต่างๆ ในโลก • พัฒนาการคดิ แบบนามธรรมและมีจติ ส�ำนกึ • เรยี นรทู้ ักษะทางคณติ ศาสตร์และ ตอ่ สงั คมมากขน้ึ ทงั้ สามารถเขา้ ใจความคดิ ที่ การค�ำนวณแบบงา่ ยได้ ซับซ้อนได้ • เข้าใจล�ำดับความเป็นไปของเหตุการณ์และ • รู้จักรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และ เข้าใจเรือ่ งราวทีซ่ บั ซ้อนข้ึน คนรอบขา้ ง • เข้าใจและเรียนรู้ธรรมเนียมและแบบแผน รวมทั้งความหมายในบทสนทนาตา่ งๆ สังคมและอารมณ์ • ท�ำตวั กลมกลนื และตอ้ งการเขา้ กบั กลมุ่ เพอื่ น สงั คมและอารมณ์ ให้ได้ ต้องการเป็นส่วนหนงึ่ ของกลมุ่ • เรมิ่ เปรียบเทียบตัวเองกับเพ่ือน • กังวลเก่ียวกับรปู ร่างหนา้ ตา และภาพลักษณ์ • สนใจมิตรภาพกับเพ่ือนเพศเดยี วกนั • สบั สนกับพฒั นาการและอารมณท์ างเพศ • เรม่ิ มเี พ่ือนสนทิ สนใจเพศตรงขา้ มมากขึ้น • สนใจเกมทีม่ กี ฎข้อบังคบั • เรม่ิ ต้องการเวลาส่วนตวั และมโี ลกส่วนตวั 10 ภาคที่หน่งึ เข้าใจทักษะชีวิต
พัฒนาการของเด็กชั้นประถมศึกษาส่วนใหญ่เป็นเร่ืองของการพัฒนา พื้นฐานทางสติปัญญา ได้แก่ การพัฒนาความเข้าใจแนวคิดนามธรรม ท่ีซับซ้อนขึ้น เก็บรวบรวมข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวและโลกกว้าง ส่วนพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ เด็กช่วงวัยน้ีมักให้ความส�ำคัญกับ การคบหาเพ่ือนและมีส่วนร่วมในกลุ่ม ความสัมพันธ์กับเพื่อนเพศเดียวกัน และต่างเพศ การพัฒนาพื้นฐานด้านอัตลักษณ์ เด็กวัยน้ีจึงต้องการเวลา ของตัวเอง มีความคิดอ่านของตัวเอง และตัดสินใจด้วยตัวเองมากข้ึน ร่างกายของเดก็ วยั น้กี ็พฒั นาขึ้นจากช่วงปฐมวัยมาก การสอดแทรกเนื้อหาทักษะชวี ติ แตล่ ะองคป์ ระกอบ เขา้ ในกระบวนการ การเรียนรู้ จึงควรปรับให้กลมกลืนเข้ากับพัฒนาการดังกล่าว ดังนั้นเนื้อหา ในบทนี้ จึงมุ่งขยายความเข้าใจองค์ประกอบแต่ละด้านของ “ทักษะชีวิต” และเสนอตัวอย่างแนวทาง ท่ีจะน�ำไปใช้เพ่ือให้สอดคล้องกับพัฒนาการ ของเด็กนกั เรียนประถม ภาคที่หนึ่ง เข้าใจทักษะชีวิต 11
ทกั ษะชีวติ ในระดับประถมศึกษา ก่อนจะน�ำองคป์ ระกอบทักษะชีวิต ท้งั 4 ดา้ น ไปใช้ ครผู สู้ อนควรเข้าใจ และสามารถจ�ำแนกนัยส�ำคัญขององค์ประกอบแต่ละด้านให้ได้อย่างถ่องแท้ และลึกซ้ึง เพื่อให้มองเหน็ กลไกที่จะก่อใหเ้ กิดคณุ ลักษณะดงั กล่าวขน้ึ แมว้ า่ โดยทวั่ ไปเรามกั พดู ถงึ ทกั ษะชวี ติ แตล่ ะดา้ น ราวกบั เปน็ องคป์ ระกอบ ทแ่ี ยกจากกนั แตท่ จี่ รงิ แลว้ การพฒั นาทกั ษะชวี ติ เปน็ กระบวนการทเ่ี ชอื่ มโยง กันท้ังหมด เมื่อองค์ประกอบหนึ่งเกิดขึ้นและเติบโตอย่างเข้มแข็ง ก็ย่อม เอ้ือและส่งเสริมองค์ประกอบอ่ืนให้งอกงามไปพร้อมกันด้วย ดังนั้น ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แม้เป้าหมายหลักในการเรียนรู้จะอยู่ท ี่ องคป์ ระกอบใดองคป์ ระกอบหนง่ึ แตร่ ะหวา่ งกระบวนการนน้ั ครกู ย็ งั สามารถ กระตุน้ ให้เดก็ เรยี นรู้และพัฒนาองค์ประกอบอ่นื ๆ ไปพร้อมกันไดด้ ้วย องค์ประกอบท่ี 1 การตระหนกั รูแ้ ละเห็นคุณคา่ ในตนเองและผูอ้ ืน่ การตระหนักรู้ในตนเอง หมายถึง การตระหนักและรู้ทันในอาการ ทางกาย อารมณ์และความนึกคดิ ของตนเอง ท่เี กิดข้ึนในสถานการณ์ตา่ งๆ การเหน็ คุณคา่ ในตนเอง เกดิ ขน้ึ เมอื่ ไดร้ ับความรัก การยอมรบั ค�ำช่ืนชม จากบุคคลรอบขา้ ง เมอ่ื ไมถ่ ูกต�ำหนิ ต่อวา่ ท�ำรา้ ย คกุ คาม หรอื ถูกคาดหวัง เกินความเป็นจริง การเหน็ คณุ คา่ ในตนเองท�ำให้เกิดความรสู้ ึกมัน่ คงในจิตใจ และรู้สึกวา่ ตนมีคุณค่า การเห็นคุณค่าในตนเองยังเกิดขึ้นได้จากประสบการณ์ความส�ำเร็จ จากการได้ทดลองท�ำสิง่ ตา่ งๆ และประสบความส�ำเรจ็ จากการรู้จุดแข็งและ ความถนัดของตน จากการรู้และยอมรับข้อจ�ำกัดหรือจุดอ่อนของตน จนน�ำ ไปสกู่ ารหมน่ั ฝกึ ฝนเพอ่ื ชดเชยจดุ ออ่ นนน้ั รวมทง้ั จากการไดร้ บั ก�ำลงั ใจในเวลา 12 ภาคที่หนึ่ง เขา้ ใจทกั ษะชวี ิต
ที่ล้มเหลวหรือผิดพลาด และได้รับการฝึกให้มองความผดิ พลาดเปน็ บทเรยี น เพ่ือใหก้ า้ วเดนิ ได้อย่างมน่ั คงยิ่งขนึ้ ต่อไป การเห็นคุณค่าผู้อ่ืน เกิดข้ึนเม่ือมองเห็นความเหมือนกันระหว่างเพื่อน มนุษย์ ยอมรับความแตกต่างระหว่างกัน เคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น ชืน่ ชมและมองเหน็ ดา้ นดีของผู้อ่นื ไมต่ ดั สนิ คณุ ค่าของคนจากส่งิ ภายนอก ครูสามารถสร้างความตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตัวเองและผู้อื่นให้กับ เด็กๆ ได้ ด้วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีช่วยให้เด็กๆ ได้พูดคุย แลกเปลีย่ นและแสดงความคิดเหน็ กบั ครแู ละเพื่อนๆ ในห้องเรียน กจิ กรรมที่ ช่วยให้เด็กได้รับความรัก การยอมรับ ท้ังจากครูและเพื่อนๆ นอกจากน ้ี ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองท�ำส่ิงต่างๆ ในสภาพแวดล้อมท่ีให้ความรู้สึก ปลอดภัย นั่นคือ สภาพแวดล้อมที่เด็กไดร้ ับการยอมรบั และสนับสนนุ ไมว่ า่ จะ ส�ำเร็จหรือล้มเหลว เม่ือเด็กท�ำส�ำเร็จ ก็ให้ค�ำช่ืนชม แต่หากล้มเหลว ก็ให้ ก�ำลังใจ และสอนให้เดก็ ฝึกแปลงความผิดพลาดเป็นบทเรยี น ครูยังควรสอน ให้เด็กๆ รูจ้ ักชืน่ ชม ใหเ้ กียรติ และเห็นคณุ คา่ ในความส�ำเร็จของเพ่อื นๆ และ พร้อมเป็นก�ำลังใจเม่ือผู้อ่ืนล้มเหลว โดยชี้ให้เห็นว่า ความล้มเหลวเองก็เป็น กระบวนการเรยี นรทู้ ส่ี �ำคญั เชน่ กนั ข้อควรจ�ำ การเรียนการสอนท่ีดีต้องเร่ิมจากครูผู้สอนในฐานะตัวแบบก่อนเป็นส�ำคัญ ครูจึงต้องมีความเช่ือมั่นในคุณค่าของนักเรียนทุกคน และต้องยอมรับความคิดเห็นของ นักเรียนอย่างไม่มีเง่ือนไข เพ่ือสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยส�ำหรับการพัฒนา การตระหนักรู้และการเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น ภาคทห่ี นง่ึ เข้าใจทกั ษะชวี ิต 13
องคป์ ระกอบที่ 2 การคดิ วเิ คราะห์ ตัดสินใจ และแกป้ ัญหาอยา่ ง สรา้ งสรรค์ การคิดวิเคราะห์ คือ การคิดแยกแยะ อย่างเป็นระบบ เป็นข้ันตอน ด้วยเหตุและผล รู้จักมองหาข้อดีข้อเสีย มองเห็นทางเลือกท่ีมีและสามารถ พจิ ารณาถึงผลที่ตามมาของแต่ละทางเลือกได้ สามารถคิดจากแง่มุมต่างๆ และเปรียบเทียบ เพื่อช่วยให้เข้าใจปัญหาหรือเร่ืองราวนั้นๆ ได้อย่าง ชดั เจน ลึกซงึ้ การตัดสินใจ เม่ือคิดวิเคราะห์ได้ดี ก็จะเห็นแง่มุมต่างๆ ได้รอบด้าน มองเห็นทางเลือกที่มีได้ชัดเจนข้ึน และประเมินคร่าวๆ ได้ว่าทางเลือกใด น�ำไปสู่ผลลัพธ์แบบใด เมื่อนั้นก็ตัดสินใจเลือกทางที่เหมาะสมได้ และ ทงั้ หมดน้ี ก็คอื กระบวนการคดิ ทน่ี �ำไปสกู่ ารตัดสินใจ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เมื่อสามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างถี่ถ้วน จนมองเหน็ ความเปน็ ไปไดแ้ ละทางเลอื กตา่ งๆ และตดั สนิ ใจได้ กย็ อ่ มสามารถ แก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์จากทางเลือกที่มี การคิดวิเคราะห์และ การตัดสินใจจึงเป็นพ้ืนฐานส�ำคัญของการแก้ปัญหา ยิ่งหากสามารถเข้าใจ สถานการณ์และทางเลือกได้จากหลายมุมมองเท่าไหร่ ก็จะสามารถเลือก ทางออกท่เี หมาะสมและสรา้ งสรรค์ได้มากขึ้นเท่านั้น 14 ภาคทห่ี น่ึง เข้าใจทกั ษะชวี ิต
การแก้ปัญหา ไม่ว่าจะในด้านเทคนิค วิชาการ หรือท่ีเก่ียวข้องกับคน ก็ ต้องอาศัยกระบวนการคิดวิเคราะห์ท่ีเหมือนกัน แต่ที่แตกต่างกัน คือ รายละเอียด การแก้ปัญหาทางเทคนิคและวิชาการ ต้องอาศัยเน้ือหา ความรู้ และหลักการเฉพาะของเร่ืองน้ัน ซึ่งเป็นองค์ความรู้ท่ีเด็กนักเรียนจะได้เรียนรู้ จากรายวิชาต่างๆ ดังนั้นครูผู้สอนแต่ละวิชาจึงต้องสอนทั้งความรู้ตามเนื้อหา วิชาและการคิดวิเคราะห์ ตดั สนิ ใจและแก้ปญั หาดว้ ย แตก่ ารแกป้ ญั หาทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั คน จ�ำเปน็ ตอ้ งใส่ใจเรอื่ งของความแตกตา่ ง ระหว่างบุคคลและอารมณ์อีกทงั้ ความรสู้ ึกของผเู้ ก่ยี วขอ้ ง ซึ่งในสว่ นนี้ ต้องน�ำ องค์ประกอบแรกของทักษะชีวิต คือ การตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเอง และผู้อ่ืน เข้ามาใช้ร่วมด้วย ครจู ะชว่ ยพฒั นาการคดิ วเิ คราะหใ์ หก้ บั เดก็ ได้ โดยออกแบบกจิ กรรมการเรยี น ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการลงมือแก้ปัญหา หรือแสดงตัวเป็น แบบอย่างให้นักเรียนเห็นการแก้ปัญหาท่ีรู้จักคิดแยกแยะ คิดแบบมีทางเลือก และพจิ ารณาผลตามมา อยูเ่ ปน็ ประจ�ำ นอกจากนี้ เด็กๆ จะภมู ิใจหากครหู มน่ั สอบถามความคิดเห็นในการแก้ปัญหา เปิดใจรับฟัง และพูดบอกถึงวิธีคิด ท่ีผู้ใหญ่รอบตัวใช้กันอยู่ ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทดลองคิดและ เสนอความคดิ เหน็ ของตนในชนั้ เรยี น แลว้ แสดงความชนื่ ชมในสง่ิ ทเี่ ดก็ คดิ และ ดึงส่วนดีมาอธิบายให้นักเรียนทั้งห้องเห็นว่า ดีอย่างไร นอกจากน้ียังอาจ น�ำข้อคิดที่สร้างสรรค์ของเด็กๆ ไปปฏิบัติร่วมกัน เพ่ือช่วยให้เด็กเห็นผลลัพธ์ ในเชิงประจักษแ์ ละพัฒนาความเชอื่ ม่ันของเดก็ ใหม้ ากยิง่ ข้ึน ขอ้ ควรจำ� โดยทวั่ ไป เดก็ จะเรยี นรกู้ ระบวนการคดิ วเิ คราะห์ ตดั สนิ ใจ และแกป้ ญั หาจากการสงั เกต ผู้ใหญ่รอบตัวและจากประสบการณ์ในชีวิตจริง มากกว่าจะน�ำขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ท่ีเรียน ไปใช้ในชีวิตตนเอง เว้นเสียแต่ครูหรือผู้ใหญ่รอบตัวในชีวิตจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ท่ีจะเชื่อมโยง หลักคิดมาใช้ในชีวิตประจ�ำวัน ครูจึงควรหมั่นฝึกให้เด็กคิดเช่ือมโยงส่ิงที่เรียนกับชีวิตจริง และ แสดงการคิดเช่ือมโยงเป็นตัวอย่างให้เด็กนักเรียนได้เห็นบ่อยๆ ภาคทหี่ นงึ่ เขา้ ใจทกั ษะชีวิต 15
องค์ประกอบที่ 3 การจดั การกบั อารมณแ์ ละความเครยี ด การจัดการกับอารมณ์ เราจะจัดการอารมณ์และความเครียดได้ดี เม่ือสามารถตระหนักรู้ในอารมณ์ตนเองได้ หากมีส่ิงใดที่เกิดข้ึนในใจเรา แตเ่ ราไมต่ ระหนัก ก็ยอ่ มเป็นเรอื่ งยากท่ีจะจดั การ เพราะเราไม่ร้ตู วั การฝกึ ความตระหนักและรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง (องค์ประกอบที่ 1) จึงเปน็ หัวใจส�ำคญั ของการพัฒนาทักษะชวี ิตองคป์ ระกอบนี้ด้วย เราตระหนกั รใู้ นอารมณต์ นเอง เมอ่ื เรายอมรบั และเปดิ ใจรบั อารมณน์ นั้ ๆ ในกรณีของอารมณ์ท่ีพ่อแม่และสังคมยอมรับ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นอารมณ์ ดา้ นบวก เชน่ ดีใจ เป็นสุข เด็กๆ มกั จะตระหนักรไู้ ดง้ ่าย แต่ส�ำหรับอารมณ์ ดา้ นลบทพ่ี อ่ แมแ่ ละสงั คมมกั ไมย่ อมรบั เดก็ กม็ กั จะไมค่ อ่ ยตระหนกั ถงึ ท�ำให้ ไม่ได้เรียนรู้ท่ีจะจัดการอารมณ์น้ันอย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ไม่ชอบ และไม่ยอมรับอารมณ์โกรธ เวลาเด็กๆ แสดงความโกรธออกมา ก็จะห้าม หรอื ท�ำโทษ ไมย่ อมรบั อารมณ์นั้น เด็กจะเกบ็ กดไวแ้ ละไม่ยอมรบั ในอารมณ์ ตนเองเช่นกนั เมอ่ื เกิดอารมณ์โกรธข้ึนในคร้ังต่อไป กจ็ ะไม่ยอมรบั ไมร่ ู้ทนั ท�ำใหไ้ ม่รู้วธิ จี ัดการอารมณโ์ กรธอย่างเหมาะสม การจัดการกับความเครียด อารมณ์ของคนเราแสดงออกผ่านอาการ ทางกาย โดยเฉพาะอารมณด์ า้ นลบทีร่ ุนแรง เชน่ เวลาเครียด เราจะปวดตึง ศีรษะ ปวดท้อง ใจส่ันรัว เวลาเศร้าใจ เรารู้สึกโหวงเหวง ว่างเปล่า คนที่ จัดการอารมณ์ไดด้ ี จงึ ตอ้ งตระหนกั รใู้ นอาการทางกายของตนด้วย อารมณ์ของคนเราสัมพันธ์กับความคิดอย่างใกล้ชิด หากคิดมองโลก แง่ร้าย หรือมีวิธีคิดท่ีท�ำให้เครียด ก็จะเครียดง่าย แต่หากรู้จักคิดมองโลก แงด่ ี หรอื มีวธิ ีคิดทีท่ �ำให้ไม่เครียด กจ็ ะมีอารมณ์ดี มคี วามสขุ ได้ง่ายเช่นกนั 16 ภาคที่หน่ึง เข้าใจทักษะชีวติ
การจะพัฒนาความสามารถในการจัดการอารมณ์ของตนเองให้กับเด็ก นักเรียนได้นั้น ผู้ใหญ่ใกล้ตัวต้องเป็นตัวอย่างแสดงให้เด็กเห็นถึงการยอมรับ อารมณ์ของตนเองให้ได้เสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์บวกหรืออารมณ์ลบ ดังน้ันในสถาบันศึกษา ครูผู้สอนจึงควรเป็นตัวอย่างในเรื่องน้ีแก่นักเรียน โดยครูต้องแสดงใหเ้ ดก็ เหน็ วา่ ยอมรบั อารมณต์ ่างๆ ทเี่ กิดข้นึ ได้ โดยไม่ปดิ กั้น แตก่ ็ไม่ใชว่ า่ จะแสดงอารมณท์ กุ อยา่ งโดยไมค่ ดิ และยอมรบั แมแ้ ตก่ ารกระท�ำท่ี ไมเ่ หมาะสม ครตู ้องแสดงใหน้ กั เรยี นเหน็ ว่า ครรู ู้เท่าทนั อารมณ์ของตน รู้ทัน อาการทางกายที่สัมพันธ์กับอารมณ์ รู้วิธีคิดที่จะปรับเปล่ียนอารมณ์ไปในทาง สร้างสรรค์และเลือกแสดงออกในทางท่ีไม่เป็นโทษกับตัวเองและผู้อ่ืน ครูยัง ควรบม่ เพาะวธิ กี ารคดิ ทช่ี ว่ ยใหไ้ มเ่ ครยี ด มคี วามสขุ และมองโลกในแงด่ ี ใหแ้ ก่ เดก็ นกั เรียน ในเดก็ เลก็ ครคู วรฝกึ ใหเ้ ดก็ รจู้ กั เรยี กชอ่ื อารมณต์ า่ งๆ ของตนใหไ้ ดถ้ กู ตอ้ ง นค่ี อื วิธหี นง่ึ ท่ีจะชว่ ยให้เดก็ รู้ทันอารมณต์ นเอง เมอื่ มีอายมุ ากยงิ่ ข้นึ ในเดก็ โต ครคู วรชว่ ยใหเ้ ดก็ รทู้ นั สงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ ภายในใจ แลว้ เชอ่ื มโยงวธิ กี าร จดั การกบั อารมณเ์ ขา้ กบั การแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ภาคทหี่ นง่ึ เขา้ ใจทักษะชวี ิต 17
องค์ประกอบท่ี 4 การสรา้ งสมั พนั ธภาพท่ีดีกบั ผูอ้ น่ื โดยทว่ั ไป คนเราเลอื กคบหากบั คนทเ่ี หมอื นกบั เรา เพราะรสู้ กึ สนทิ ไดง้ า่ ย และมกั ใช้เวลากบั คนที่คิดและท�ำอะไรคล้ายกนั แต่ในชีวิตจริง ทกุ คนจะตอ้ ง พบกับผู้คนหลากหลาย ดังนั้น ทักษะในการสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อื่นจะ เกิดข้ึนได้ เม่ือเรียนรู้ที่จะยอมรับในความแตกต่าง เห็นคุณค่าในสิ่งที่ต่างไป จากตัวเรา ไม่ดูถูก เหยียดหยาม ล้อเลียน คนท่ีมีความแตกต่างออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ดูถูกหรือแสดงท่าทีรังเกียจคนท่ีอาจอยู่ในสถานะที ่ ดอ้ ยกว่า การพฒั นาทกั ษะในการสรา้ งสมั พนั ธภาพ เรมิ่ ตน้ จากการบม่ เพาะทศั นคติ ในการมองเหน็ คณุ คา่ ของผอู้ น่ื มองวา่ ทกุ คนตา่ งมคี ณุ คา่ และศกั ดศ์ิ รีในตนเอง ปฏิบัติต่อกันด้วยการให้เกียรติ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ในสถานะทางสังคมเช่นไร หญิงหรอื ชาย เดก็ หรือผูใ้ หญ่ ทง้ั ตอ้ งฝกึ ให้รู้จักรับฟงั ดว้ ยความใส่ใจ เพ่ือท่ีจะ เข้าใจมุมมองของผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีจุดยืนเป็นของตนเองด้วย ไม่ใช่แกว่งไปตามคนรอบข้างโดยไม่คดิ สรุปแล้ว การสร้างสมั พนั ธภาพทดี่ กี ับ ผูอ้ นื่ ตอ้ งอาศัยทักษะในการฟัง การพดู สอื่ สาร และการวางตัวท่เี หมาะสม ครสู ามารถชว่ ยใหเ้ ดก็ นกั เรยี นพฒั นาทกั ษะในการสรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี ีได้ ด้วยการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างในการให้เกียรติกับทุกคนรอบตัว สอนเด็กให้ เข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล เคารพและรู้จักช่ืนชมในความแตกต่างน้ัน พยายามเข้าใจผู้อนื่ ไม่ตดั สินคนจากภายนอก ขณะเดียวกนั ก็ควรฝกึ ให้เดก็ คดิ พิจารณาส่ิงที่ได้ฟัง ไม่เชื่อข่าวลือง่ายๆ และไม่เผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับคน ในชุมชน ควรฝกึ ทกั ษะการฟัง การถาม การพูด การวางตัวทเี่ หมาะสม 18 ภาคที่หนึ่ง เข้าใจทกั ษะชวี ติ
การสร้างและพฒั นาทกั ษะชวี ติ ใน 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ครูผ้สู อนสามารถสร้างและพฒั นาทักษะชีวติ ให้แกเ่ ด็กนักเรียน ผ่านทาง กระบวนการจัดการเรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ซึ่งอิงมาตรฐานและ ตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ครูอาจ จับเนอ้ื หาของกระบวนการเรียนรู้ใน 8 กลุ่มสาระ มาให้เข้ากบั องคป์ ระกอบ ของทักษะชีวิตแต่ละด้านและแทรกให้เด็กได้เรียนรู้เน้ือหาของทักษะชีวิต แตล่ ะองค์ประกอบ ทเี่ ขา้ กับเน้อื หาแตล่ ะวิชาในบทเรียนนัน้ ๆ (หรอื ที่เรยี กว่า “จดุ เน้นทักษะชีวติ ”) ดงั น้ี ตารางแสดงความสอดคลอ้ ง ความสมั พนั ธ์ ของจดุ เนน้ ทกั ษะชวี ติ และ ทกั ษะการเรยี นรู้ จำ� แนกตามกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ หลกั สตู รแกนกลาง การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุม่ สาระการเรยี นร ู้ ทกั ษะการเรยี นรทู้ ่สี �ำคญั จดุ เน้นทักษะชวี ิต 1. ภาษาไทย • ก า รใ ช ้ ภ า ษ าไ ท ย เ พ่ื อ องค์ประกอบที่ 1 : การสอื่ สารและสรา้ งสมั พนั ธภาพ การตระหนักรู้และ • การรับสารและส่งข้อมูล เห็นคุณค่าในตนเอง ข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ และผู้อนื่ (การอ่าน การเขียน การฟัง องค์ประกอบที่ 4 : การดู การพดู ใหเ้ หมาะสมกบั การสรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี ี กาลเทศะและวฒั นธรรมไทย) กบั ผอู้ ่ืน ภาคทหี่ นึ่ง เขา้ ใจทกั ษะชีวิต 19
กลุม่ สาระการเรียนรู ้ ทกั ษะการเรียนรทู้ สี่ �ำคญั จดุ เนน้ ทักษะชีวติ 2. คณติ ศาสตร์ • ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ องค์ประกอบท่ี 2 : และมีเหตุมีผล (คิดเป็นขั้นตอน การคดิ วเิ คราะห์ ตดั สนิ ใจ คิ ด ค�ำ น ว ณ คิ ด ค า ด ค ะ เ น และแก้ปัญหาอย่าง คิดแก้ปัญหา วิเคราะห์ผลท ่ี สร้างสรรค์ ตามมา ประเมินทางเลือกและ ตดั สินใจดว้ ยความรอบคอบ) 3. วทิ ยาศาสตร์ • ทักษะการสืบเสาะหาความรู้ องคป์ ระกอบท่ี 2 : สร้างองค์ความรู้ และทักษะ การคดิ วเิ คราะห์ ตดั สนิ ใจ การแก้ปญั หา แ ล ะ แ ก ้ ป ั ญ ห า อ ย ่ า ง • ทกั ษะการสงั เกต ตงั้ สมมตฐิ าน สรา้ งสรรค์ สบื เสาะคน้ ควา้ พสิ จู น์ หาความจรงิ มจี ดุ หมาย • ทักษะการแสดงความคิดเห็น ของตนเองและรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผู้อื่น • ทกั ษะการตดั สนิ ใจโดยใชข้ อ้ มลู ท่หี ลากหลาย มปี ระจักษพ์ ยาน 4. สงั คมศกึ ษา ศาสนา • ทกั ษะในการปรบั ตวั การเขา้ ใจ องคป์ ระกอบที่ 1 : และวฒั นธรรม ตนเองและผู้อื่น การยอมรับ ก า ร ต ร ะ ห นั ก รู ้ แ ล ะ ความแตกต่าง เข้าใจการด�ำรง เห็นคุณค่าในตนเอง ชีวิตของมนุษย์ ท้ังแบบปัจเจก และผ้อู นื่ บคุ คลและการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม องคป์ ระกอบที่ 4 : • ทกั ษะการจดั การชวี ติ ใหส้ มดลุ การสร้างสัมพันธภาพที่ดี กับสิ่งแวดล้อม (การเห็นคุณค่า กับผ้อู ่นื ของทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม) 20 ภาคทห่ี นงึ่ เข้าใจทกั ษะชวี ิต
กลุ่มสาระการเรยี นรู ้ ทกั ษะการเรียนรทู้ ่ีส�ำคัญ จุดเนน้ ทกั ษะชีวติ 5. สุขศึกษาและ • การด�ำเนนิ ชวี ติ และครอบครวั องค์ประกอบท่ี 3 : พลศกึ ษา • การเคลื่อนไหวและกิจกรรม การจัดการอารมณ์และ ความเครียด ทางกาย • การเลน่ เกมและกฬี า • ก า ร ส ร ้ า ง เ ส ริ ม สุ ข ภ า พ การด�ำรงสขุ ภาพ การปอ้ งกนั โรค และการสร้างเสริมสมรรถภาพ เพือ่ สุขภาพ 6. ศิลปะ • การใช้ความคิดสร้างสรรค์ องคป์ ระกอบที่ 1 : จนิ ตนาการทางศลิ ปะ การชน่ื ชม ก า ร ต ร ะ ห นั ก รู ้ แ ล ะ ความงาม การเห็นคุณค่าใน เห็นคุณค่าในตนเองและ ตนเองและสรรพสงิ่ แวดล้อม ผ้อู น่ื • ก า ร ใ ช ้ ป ร ะ ส า ท สั ม ผั ส การเคล่ือนไหว การตระหนักรู้ การมสี ติ 7. การงานอาชพี และ • การรเู้ ทา่ ทนั การเปลยี่ นแปลง องค์ประกอบที่ 1 : เทคโนโลยี ในสังคม ก า ร ต ร ะ ห นั ก รู ้ แ ล ะ • การท�ำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เห็นคุณค่าในตนเองและ อยา่ งสรา้ งสรรค์ ผูอ้ ่นื • การน�ำความรู้และเทคโนโลยี องค์ประกอบที่ 4 : มาประยกุ ต์ใชใ้ นการท�ำงาน การสร้างสัมพันธภาพท่ีดี • การอยใู่ นสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ กับผูอ้ ่นื ภาคท่ีหน่ึง เขา้ ใจทกั ษะชีวติ 21
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ทกั ษะการเรียนรทู้ ส่ี �ำคญั จุดเน้นทกั ษะชวี ิต 8. ภาษาตา่ งประเทศ • การใชภ้ าษาเพอ่ื การสอ่ื สาร องค์ประกอบท่ี 1: (ภาษาองั กฤษ) สร้างสัมพันธภาพ แสวงหา การตระหนักรู้และ ความรู้ สรา้ งความเขา้ ใจ เห็นคุณค่าในตนเอง • การตระหนกั ในความหลาก และผู้อ่นื หลายทางวัฒนธรรม และ องคป์ ระกอบที่ 4 : การสรา้ งสมั พนั ธภาพทดี่ ี มมุ มองของสงั คมโลก • การเข้าใจตนเองและผ้อู นื่ กบั ผอู้ ่นื • การมวี สิ ยั ทศั นใ์ นการด�ำเนนิ ชวี ิต จากตวั อยา่ งทน่ี �ำเสนอ จะเหน็ ไดว้ า่ ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรใู้ นแตล่ ะ สาระการเรียนรู้เพื่อให้เด็กนักเรียนได้พัฒนา “ทักษะชีวิต” ไปพร้อมกัน ครูจะต้องเชื่อมโยงกระบวนการการเรียนรู้และสาระเนื้อหาวิชานั้นๆ เข้ากับ ตัวเด็กนักเรียนและประสบการณ์ของเด็ก เพื่อน้อมน�ำนักเรียนให้สะท้อน ความคิด คิดวิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็น จนกระทั่งนักเรียนสามารถ รู้จักและเข้าใจตนเอง รู้ข้อดีและข้อด้อยของตนเอง รวมท้ังเพื่อนๆ และ ผู้คนรอบตัว และยอมรับความแตกต่างนั้น ครูยังควรสอนให้นักเรียน มีการแสดงออกที่เหมาะสม รู้จักช่ืนชมตนเองและผู้อ่ืนอย่างเหมาะสม ไปพร้อมกันดว้ ย 22 ภาคที่หน่งึ เขา้ ใจทักษะชีวิต
สง่ ทา้ ยภาค ทงั้ หมดล้วนเป็นเน้อื เดียวกนั หากสงั เกตใหด้ จี ะเหน็ วา่ องคป์ ระกอบทง้ั สขี่ องทกั ษะชวี ติ ลว้ นเชอ่ื มโยงกนั เม่ือเกิดองค์ประกอบที่ 1 การตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น กย็ อ่ มท�ำใหเ้ ดก็ สรา้ งสมั พนั ธภาพทดี่ กี บั บคุ คลรอบขา้ งได้ เพราะเดก็ เขา้ ใจตนเอง และผูอ้ ืน่ เหน็ คุณค่าและยอมรับความแตกตา่ งระหว่างบุคคล การอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นสามารถเป็นไปด้วยความเข้าใจและเปิดกว้าง ในขณะทีอ่ งคป์ ระกอบท่ี 3 การจดั การกบั อารมณแ์ ละความเครยี ด กต็ อ้ งเรม่ิ ดว้ ยการตระหนกั รแู้ ละเขา้ ใจ ตนเอง ทงั้ ในดา้ นอารมณแ์ ละความคดิ จากนนั้ กอ็ าศยั ทกั ษะในองคป์ ระกอบที่ 2 คือ การคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้าง ความเขา้ ใจในตนเอง ผอู้ น่ื และสถานการณ์ คดิ ชงั่ ทางเลอื กแตล่ ะทาง เพอ่ื หาทาง จัดการกับอารมณ์ของตนเองและสถานการณ์ทต่ี ึงเครยี ดไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ไมว่ า่ เนอื้ หาการเรยี นรจู้ ะเกยี่ วกบั อะไรกต็ าม ครกู ส็ ามารถแทรกการสอน ทักษะชีวิตทุกองค์ประกอบให้แก่เด็กได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากครูเข้าใจ แนวคดิ และจดุ มงุ่ หมายของทกั ษะชวี ติ อยา่ งกระจา่ งชดั ซงึ่ ไม่ใชเ่ รอ่ื งทซี่ บั ซอ้ น เลย ท้ังเด็กนักเรียนในวัยประถมเอง ก็อยู่ในช่วงพฒั นาการท่ีพร้อมจะส�ำรวจ ตนเอง ผู้คนรอบตัว และโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ เม่ือบวกเข้ากับพัฒนาการ ทางความคดิ และสงั คมทกี่ �ำลงั กอ่ รา่ งขน้ึ และพรอ้ มซมึ ซบั สงิ่ ตา่ งๆ รอบตวั วยั น้ี จงึ เปน็ ชว่ งวยั ทมี่ ศี กั ยภาพสงู ในการเรยี นรทู้ กั ษะชวี ติ และเปน็ ชว่ งวยั ทพ่ี ฤตกิ รรม และทัศนคติที่ก่อตัวขึ้นจะฝังรากลึกและคงตัว การสอนทักษะชีวิตแก่เด็ก วัยนี้ จึงเปรยี บเหมอื นการฉดี วคั ซนี เพือ่ สรา้ งภมู ิคุ้มกันอย่างถาวรให้แก่เด็ก ภาคทห่ี นึง่ เขา้ ใจทักษะชีวติ 23
24
ภาคท่ีสอง ต้ังค�ำถามเพอ่ื สรา้ ง “ทกั ษะชีวิต” การต้งั ค�ำถามเปน็ จุดเริม่ ตน้ ของ การคดิ การคน้ ควา้ การวิเคราะห์ เป็นชอ่ งทางให้ความคิดไดแ้ ตกแขนง เป็นกระจกสะท้อนความคิดและอารมณ์ 25
ตงั้ ค�ำถาม เพอื่ สรา้ ง “ทกั ษะชวี ติ ” เครื่องมือในการเรียนรู้ตามธรรมชาติอย่างหน่ึงที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ ที่สุด แต่มักถูกมองข้ามและละเลยไป เพราะเห็นเป็นเรื่องสามัญธรรมดา คอื การตงั้ ค�ำถาม นบั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั นกั คดิ นกั ปรชั ญา นกั วทิ ยาศาสตร์ นักส�ำรวจ ไม่เว้นแม้แต่นักวิชาการในสาขาต่างๆ ล้วนเริ่มการเสาะแสวงหา ทางความคิด ด้วยการตั้งค�ำถาม จากค�ำถามน�ำไปสู่การสืบค้นเพื่อตอบ จากค�ำตอบหนง่ึ น�ำไปสคู่ �ำถามตอ่ ไป และตอ่ ไป เปน็ เชน่ นี้ไปเรอ่ื ยๆ จนชน้ิ สว่ น ขององคค์ วามร้คู ่อยๆ เพม่ิ ขน้ึ และเรยี งเขา้ ด้วยกัน จนเป็นรูปเป็นร่าง แตน่ า่ เสยี ดายทนี่ กั การศกึ ษาและครผู สู้ อนสว่ นใหญม่ กั มองเหน็ ประโยชน์ ของค�ำถาม แค่ในฐานะของเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้เท่าน้ัน ค�ำถาม ถูกคิดขึ้นสารพัดแบบเพื่อวัดว่านักเรียนหรือผู้เรียนในหัวข้อ ประเด็น หรือ วชิ าน้นั ๆ เข้าใจสิ่งทเี่ รยี นมามากนอ้ ยเพยี งใด ตอบไดต้ รงกับสง่ิ ทตี่ อ้ งการวัด ตามจุดประสงค์หรือไม่ ค�ำถามในเชิงน้ี จึงเป็นแค่กรอบและเกณฑ์ที่ใช้ วดั ความรู้ เทา่ ท่ีจุดประสงคต์ ้งั ไว้เท่านนั้ ...แตแ่ ท้จรงิ แลว้ ค�ำถาม ไม่ไดม้ ีไวเ้ พ่ือ “ตีกรอบ” แตม่ ีไวเ้ พือ่ “น�ำทาง” “สร้าง” “ขยาย” และ “แทงทะลุ” ทางความคดิ การตงั้ ค�ำถามจึงสามารถใช้ เป็นเครือ่ งมือการเรยี นรไู้ ดอ้ ย่างดี 26 ภาคท่ีสอง ตงั้ คำ� ถามเพอ่ื สร้างทักษะชวี ติ
อ�ำนาจของค�ำถาม คำ� ถาม ชว่ ยก�ำหนดประเด็นและทิศทางในการพูดคุยและเรยี นรู้ คำ� ถาม ช่วยสะทอ้ นใหเ้ ห็นขอ้ มูลที่ขาดหายไป ช่องวา่ ง สิ่งท่ยี งั ไม่รู้ และกระตุ้นใหไ้ ปสบื หาขอ้ มูลเพิ่มเตมิ ค�ำถาม ชว่ ยให้คดิ ใครค่ รวญ ทบทวน และกระตุ้นใหเ้ กิดแรงบันดาลใจ ตอ่ ไป คำ� ถาม ช่วยกระตุ้นความคิด ท�ำให้คิดแตกขยาย และน�ำไปสู่ทิศทาง ใหม่ๆ ท่ีไมเ่ คยรู้หรอื ส�ำรวจมากอ่ น ค�ำถาม ชว่ ยใหจ้ ดจอ่ ขบคดิ กบั เรอื่ งราวทอี่ ยู่ในความสนใจนน้ั จงึ ชว่ ยให้ จดจ�ำและเขา้ ใจเร่ืองราวนั้นไดล้ กึ ซึ้งและแม่นย�ำขึน้ คำ� ถาม ยังช่วยดึงให้สมาชิกที่เกี่ยวข้อง หรือผู้คนรอบตัว ให้เข้ามามี สว่ นร่วมในการส�ำรวจ สบื คน้ และเสาะแสวงหา ครูสามารถใช้ค�ำถาม เพื่อน�ำทางและก�ำหนดทิศทางให้นักเรียนได้เรียนรู้ หัวข้อหรือเนื้อหาที่ต้องการ และให้ชวนให้นักเรียนสะท้อนความคิดและ ใคร่ครวญเรื่องน้ันให้ลึกซึ้งขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้ค�ำถามเพื่อดึงนักเรียนให้เข้า มามสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นรู้ และใชค้ �ำถามเพอ่ื แตกความคดิ ใหก้ วา้ งและ เช่ือมโยงไปสู่ประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆ ค�ำถามยังกระตุ้นให้นักเรียน ไปสืบค้นและทดลองเพ่ิมเติมและสรา้ งแรงบันดาลใจต่อไป ภาคที่สอง ต้งั ค�ำถามเพือ่ สรา้ งทักษะชวี ติ 27
เทคนิคการตัง้ ค�ำถาม การต้ังค�ำถามดูจะเป็นเรื่องธรรมดาท่ีใครๆ ก็ท�ำได้ แต่การตั้งค�ำถาม ให้เป็นและให้ฉลาดจะสามารถช่วยให้เข้าใจเร่ืองราวต่างๆ ได้อย่างละเอียด และลึกซ้ึง ครูสามารถน�ำเทคนิคง่ายๆ นี้ไปใช้ เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพ ในการตั้งค�ำถามแก่นักเรียน ไปพร้อมกับแสดงให้นักเรียนเห็นวิธี การตง้ั ค�ำถามที่มปี ระสทิ ธิภาพ เริ่มต้ังค�ำถามง่ายๆ พื้นๆ ในประเด็นกว้างๆ ก่อนจะเจาะเข้าสู่ประเด็น เฉพาะ การท�ำเช่นน้ีจะเป็นการเกร่ินและเตรียมตัวผู้ตอบ/ ผู้ฟังให้เข้าใจ วา่ ผถู้ ามตอ้ งการอะไร และยงั เปน็ การอนุ่ เครอ่ื งไปพรอ้ มกบั เพม่ิ ความคนุ้ เคย และความมั่นใจ กอ่ นทจี่ ะลงส่ปู ระเดน็ ทเี่ ฉพาะ เจาะจง หรือยากขึ้น เช่น ถามถงึ ความรู้สกึ ทว่ั ๆ ไปทมี่ ตี ่อการเรียนวชิ านัน้ กอ่ นจะเจาะจงลงไปวา่ ชอบหรอื ไมช่ อบ เพราะอะไร “ค�ำถามปลายเปิด” เป็นค�ำถามท่ีดี เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ตอบ ตอบได้ กว้าง จึงท�ำให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีข้ึน และได้ข้อมูลน�ำทางส�ำหรับถามให้ เจาะจงขนึ้ ต่อไป เช่น นักเรียนคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร/ ปัญหาน้ีเกิดจากอะไรได้บ้าง (สาเหตุของปัญหาคืออะไร)/ เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร/ อะไรท�ำให้เขา รสู้ ึกเชน่ นี้/ (ในสถานการณ์เชน่ น้ี) เรามีทางเลอื กอะไรบ้าง 28 ภาคที่สอง ตงั้ คำ� ถามเพอื่ สรา้ งทกั ษะชวี ติ
“คำ� ถามปลายปดิ ” ชว่ ยใหไ้ ดข้ อ้ มลู จ�ำเพาะเจาะจงและเตมิ สว่ นของขอ้ มลู ที่ยังขาด เม่ือถามกว้างๆ และถามปลายเปิดจนได้ค�ำตอบมาระดับหนึ่ง เกดิ ขอ้ คดิ และค�ำถามเพมิ่ เตมิ แลว้ ก็ใชค้ �ำถามปลายปดิ ถามเพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่ี ขาดและเกิดความเขา้ ใจประเดน็ น้ันๆ ได้ดขี ึน้ ค�ำถามปดิ เป็นค�ำถามทผี่ ้ตู อบ มตี ัวเลอื กในการตอบ เช่น ใช่ หรือ ไม่ใช่ เชน่ เรอื่ งนเ้ี กดิ ขน้ึ เมอ่ื ไร / เขาโกรธหรอื เปลา่ / คดิ วา่ วธิ กี ารนจ้ี ะแกป้ ญั หาน้ ี ไดห้ รือไม่ ข้อควรจ�ำ ครูควรระวัง ไม่ต้ังค�ำถามที่กดดัน หรือเร่งรัด จนดูเป็นการรุกล้�ำมากเกินไป ครูควรถามด้วยท่าทีที่เป็นมิตร มีเมตตา ใจเย็นอยู่เสมอ หมายเหต:ุ ค�ำถามทสี่ รา้ งในรปู ของประโยคบอกเลา่ แลว้ เวน้ ค�ำใหน้ กั เรยี นเตมิ เชน่ “เมอ่ื นักเรยี นพบเหน็ ผ้ใู หญท่ ่ีร้จู ัก นกั เรียนควร......” หรือ “เมอื่ จมุ่ มอื ลง ในน�้ำร้อน เราจะรู้สึก......” ค�ำถามลักษณะนี้ควรน�ำมาใช้อย่างระวังและ จ�ำกัด เน่ืองจากให้ความรู้สึกบังคับและยังจ�ำกัดค�ำตอบ ท้ังแสดงนัยถึง ความคาดหวังของครู นักเรียนจึงพยายามตอบแต่ส่ิงที่คิดว่าครูต้องการ เทา่ ทจ่ี �ำเปน็ การใชค้ �ำถามเชน่ นบี้ อ่ ยๆ จะท�ำใหน้ กั เรยี นไมก่ ลา้ แสดงความคดิ หรือความรู้สึกท่ีแท้จริง ยิ่งหากส่ิงน้ันต่างจากท่ีครูคาดหวัง นักเรียนจะลด การตอบสนองและมีส่วนร่วม ดังนั้นแม้ว่าค�ำถามแบบน้ีจะเหมาะส�ำหรับ การทวนย�้ำเน้ือหาหรือก�ำหนดทิศทางในการสอนตามจุดประสงค์ได้ แต่ม ี ข้อเสียที่ส�ำคัญย่ิง คือ จ�ำกัดจินตนาการ การแตกแขนงและเช่ือมโยง และ การกลา้ แสดงออกทางความคิดความรู้สึกของนกั เรยี นอยา่ งเสรี ภาคทส่ี อง ต้ังค�ำถามเพอ่ื สรา้ งทักษะชีวติ 29
4 ค�ำถามเพ่ือการเรยี นรู้ ค�ำถามท่ีใช้เพื่อการเรียนรู้โดยท่ัวไป เป็นค�ำถามที่ก�ำหนดขึ้นเพ่ือ จุดประสงค์เฉพาะ นั่นคือ เพ่ือน�ำนักเรียนไปสู่จุดมุ่งหมายของการสอน ค�ำถามเพือ่ การเรยี นร้โู ดยทว่ั ไปมี 4 ลักษณะ ท่เี รยี กว่า O E P C ไดแ้ ก่ ค�ำถามข้ันสังเกต (Observations Question) เปน็ ค�ำถามที่ให้ผตู้ อบใชป้ ระสาทสมั ผัสทง้ั ห้าในการสังเกต มักถามด้วยค�ำว่า อะไร อยา่ งไร เท่าไร ค�ำถามข้ันการอธบิ าย (Explanation Question) เป็นค�ำถามที่ตอ้ งการให้ผู้ตอบใชเ้ หตผุ ลประกอบกบั ขอ้ มูลตา่ งๆ มกั ถามด้วยค�ำว่า ท�ำไม เหตใุ ด ค�ำถามขน้ั การท�ำนาย (Prediction Question) เปน็ ค�ำถามทต่ี ้องการให้ผู้ตอบคาดการณ์หรอื เดา มกั ใชค้ �ำวา่ ถา้ คาดวา่ ถา้ หากวา่ หากเปน็ ในประโยคค�ำถาม ค�ำถามข้นั ควบคมุ และสร้างสรรค์ (Control and Creativity Question) เป็นค�ำถามท่ีต้องการให้ผู้ตอบน�ำกฎเกณฑ์และความรู้ต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ หรอื คดิ สรา้ งสรรคส์ ง่ิ แปลกใหม่ มกั ถามวา่ จะนำ� ความรไู้ ปปรบั ปรงุ อะไรไดบ้ า้ ง และอยา่ งไร หรือ ในโอกาสตอ่ ไป เราจะทำ� อย่างไรจึงจะได้ผลดี 30 ภาคท่ีสอง ตัง้ คำ� ถามเพอ่ื สร้างทกั ษะชวี ติ
6 ค�ำถาม เพ่อื เชือ่ มโยงวธิ คี ดิ การตง้ั ค�ำถามเพอ่ื ชว่ ยใหน้ กั เรยี นเชอ่ื มโยงทกั ษะและเนอ้ื หาการเรยี นรทู้ ่ีได ้ ไปสกู่ ารปรบั ใชก้ บั สถานการณใ์ นชวี ติ ประจ�ำวนั ควรใหค้ รอบคลมุ พฤตกิ รรม การเรยี นรทู้ งั้ หมด ไดแ้ ก่ เนอื้ หาความรู้ ทศั นคติ ความสามารถ พฤตกิ รรมทเ่ี ปน็ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ และสมรรถนะของผเู้ รยี น ลกั ษณะค�ำถามทค่ี รจู ะตง้ั ใหน้ กั เรยี นตอบเพอ่ื ฝกึ ใหค้ ดิ เชอื่ มโยง สามารถจ�ำแนกไดเ้ ปน็ 6 ลกั ษณะ ดงั นี้ 1. ถามเพื่อสรุปความคดิ ความรู้ ความเข้าใจ เน้ือหาในบทเรยี น ตวั อยา่ งค�ำถาม เช่น • วันน้ีนกั เรียนไดค้ วามรู้อะไรเพ่มิ ขึน้ บา้ ง • จากการฟังเรอื่ งท่เี พอ่ื นๆ เลา่ (พูด) นักเรียนเข้าใจวา่ อยา่ งไร • นกั เรยี นชว่ ยกนั สรปุ วา่ เขา้ ใจอะไรบา้ งจากเรอ่ื งทเี่ ราเรยี นมาในชว่ั โมงน้ ี • นักเรยี นคดิ ว่า ขอ้ ความนต้ี ้องการบอกอะไรแก่ผอู้ ่าน ฯลฯ 2. ถามเพื่อให้นักเรยี นบอกความรู้สกึ ความชอบ และสงิ่ ท่ีเกิดข้ึน ในใจของผเู้ รยี น ตวั อย่างค�ำถาม เช่น • นกั เรยี นอา่ นขา่ วน้ีแลว้ รสู้ ึกอยา่ งไร • นักเรยี นรสู้ กึ อยา่ งไรบ้าง เมอ่ื ท�ำงานส�ำเร็จ • นักเรยี นมคี วามภาคภมู ิใจในตนเองเรอ่ื งอะไรบ้าง • นกั เรยี นรสู้ กึ อยา่ งไร ทเ่ี พอ่ื นๆ สง่ เสยี งดงั รบกวนขณะเราก�ำลงั ท�ำงาน ฯลฯ ภาคทสี่ อง ต้ังคำ� ถามเพอื่ สร้างทกั ษะชีวติ 31
3. ถามเพือ่ ใหน้ ักเรียนไดส้ ะท้อนมมุ มอง ความคดิ ความเชือ่ และวิธีคดิ ของตนเอง ตวั อย่างค�ำถาม เช่น • นกั เรียนคดิ อยา่ งไรท่ีเพ่อื นท�ำแบบน้ี • ถา้ เปน็ นักเรยี น นกั เรยี นจะท�ำอยา่ งไร • นักเรียนคิดว่า “ขา่ ว” นีน้ ่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะอะไร • นักเรียนคดิ แตกต่างจากครู (เพ่อื นๆ หรือพ่อแม่) อยา่ งไร ฯลฯ 4. ถามเพ่ือกระตุ้นจินตนาการทางความคิด และต่อยอดความคิดและ มุมมอง เพ่ือให้พร้อมน�ำไปปฏิบัติในสถานการณ์จริง ท่ีนักเรียนอาจ ประสบในอนาคต ตวั อยา่ งค�ำถาม เชน่ • ถา้ นกั เรียนเลอื กได้ อยากใหเ้ ร่ืองนจ้ี บลงอยา่ งไร • เรอื่ งราวตอ่ จากนี้น่าจะเป็นอยา่ งไร • ข่าวเรื่อง… (เช่น น้�ำท่วม) ดูสับสน ถ้านักเรียนเป็นผู้ส่ือข่าว จะ น�ำเสนอขา่ วน้อี ยา่ งไร จึงจะนา่ เชอ่ื ถอื • ถ้านักเรียนเป็นคนเขียนบทละคร นักเรียนจะเขียนให้นางเอกเป็น คนอย่างไรจงึ จะถกู ใจผชู้ ม ฯลฯ 32 ภาคทส่ี อง ตงั้ ค�ำถามเพื่อสร้างทักษะชีวิต
5. ถามเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนท�ำความเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและ พฤตกิ รรมของคนอ่ืน ท่ีแตกตา่ งไปจากตนเอง หรอื คล้ายกบั ตนเอง ตัวอยา่ งค�ำถาม เชน่ • นักเรียนคดิ ว่า เพ่ือนรู้สกึ อยา่ งไรตอนที่...... • อะไรท�ำให้เพอื่ นท�ำอย่างน้นั • นักเรียนคิดว่า “ใคร” เป็นบุคคลท่ีน่าเห็นใจท่ีสุดในสถานการณ์… (เชน่ น้ำ� ทว่ ม) เพราะเหตุใด • ถา้ เปน็ นกั เรยี นจะรสู้ กึ อยา่ งไร และจะแสดงความรสู้ กึ นน้ั ออกมาอยา่ งไร ฯลฯ 6. ถามเพอ่ื เพมิ่ ศกั ยภาพการในการคดิ เชอื่ มโยงประสบการณข์ องตนเอง เขา้ กบั เหตกุ ารณห์ รอื สถานการณใ์ นชวี ติ ประจ�ำวนั หรอื เขา้ กบั สง่ิ ทคี่ าดคะเนวา่ จะ ประสบในชวี ิตและสภาพแวดลอ้ มรอบตวั ทงั้ ในปัจจุบนั และอนาคต ตัวอย่างค�ำถาม เชน่ • นักเรียนจะน�ำเรอ่ื งท่เี รยี นมาไปใชใ้ นชีวติ ประจ�ำวนั อย่างไร • ที่ผ่านมานักเรียนเคยมีปัญหาเช่นครั้งนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด คร้ังนนั้ จงึ ไมเ่ กิดปญั หาบานปลายเหมือนครัง้ นี้ • ในโอกาสต่อไปหากเกิดเหตกุ ารณ์เช่นนอ้ี กี นักเรยี นจะท�ำอยา่ งไร • นักเรียนเคยได้ข่าวเรื่องการถูกหลอกทางอินเทอร์เน็ตไหม ถ้าสถานการณน์ นั้ เกดิ ขึน้ กบั นกั เรียน นักเรยี นจะท�ำอย่างไร จงึ จะ ไมต่ กเป็นเหย่อื การถกู หลอก ฯลฯ ข้อควรจ�ำ ค�ำถามมีประโยชน์มากต่อการพัฒนานักเรียน ครูเป็นผู้ฝึกฝนและพัฒนาศักยภาพของ นักเรียน หากครูต้ังค�ำถามอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ “ครู” ก็จะควบคุมทิศทางการเรียน การสอนและการเรียนรู้ของนักเรียนได้ตามที่คาดหวัง ภาคท่สี อง ต้ังค�ำถามเพ่ือสร้างทักษะชีวิต 33
ตวั อยา่ งเทคนคิ การตง้ั ค�ำถามทเี่ ชอ่ื มโยงสทู่ กั ษะชวี ติ ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ตามปกติในชัน้ เรยี น ทส่ี อดแทรกกจิ กรรมการเรียนรรู้ ายช่วั โมง ตัวอย่างท่ี 1 สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย สาระท่ี 3 การฟัง การดแู ละการพดู มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟงั และดอู ยา่ งมวี จิ ารณญาณ สามารถพดู แสดง ความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมี วจิ ารณญาณและสร้างสรรค์ ตัวชวี้ ัด ป. 5/1 พูดแสดงความคดิ เหน็ และความรู้สึกจากเร่ืองทีฟ่ งั และดู สอ่ื การเรียนร ู้ : เรือ่ งเล่า “ฉนั ร้จู กั ผหู้ ญิงคนหนง่ึ ” “ฉนั รจู้ กั ผหู้ ญงิ คนหนง่ึ ” เปน็ เรอื่ งเลา่ เกยี่ วกบั ความรกั ของเดก็ หญงิ คนหนง่ึ ทมี่ ตี อ่ หญงิ สงู อายคุ นหนง่ึ ทม่ี จี ติ ใจดี มเี มตตาตอ่ เดก็ ๆ ทอ่ี าศยั อยใู่ กลบ้ า้ นของเธอ (ดู 6 ค�ำถามเพ่อื เชอ่ื มโยงวธิ คี ดิ หนา้ 31 เทยี บกับตวั อยา่ งการตง้ั คำ� ถาม) กิจกรรม 1. ครูเลา่ เรอ่ื ง “ฉันร้จู กั ผู้หญงิ คนหน่ึง” 2. ครสู นทนาทบทวนความเขา้ ใจเรอื่ งราวหรอื เนอ้ื เรอื่ ง “ฉนั รจู้ กั ผหู้ ญงิ คนหนง่ึ ” • ครถู ามใหน้ ักเรยี นสรปุ ความคิดและเนอื้ หาของเรอ่ื งท่ีได้ฟงั 3. ครยู กตวั อยา่ งประโยคจากเรอ่ื งทเ่ี ลา่ ใหน้ กั เรยี นฟงั มาทลี ะประโยค แลว้ ตง้ั ค�ำถามส�ำหรบั พูดคยุ ซกั ถามนกั เรยี น 34 ภาคทส่ี อง ตง้ั ค�ำถามเพือ่ สรา้ งทักษะชีวติ
ตวั อยา่ งการตัง้ ค�ำถาม ประโยคที่ 1 : ผ้หู ญิงคนท่ีฉันรู้จกั อาศัยอยคู่ นเดยี ว ครตู ัง้ คำ� ถาม • นกั เรยี นคดิ วา่ การอาศยั อยคู่ นเดยี วล�ำบากหรอื ไม่ (2. ถามความรสู้ กึ ) • นกั เรยี นคิดว่าทกุ คนสามารถอาศัยอยคู่ นเดยี วได้หรอื ไม่ (3. ถามเพื่อ สะทอ้ นความคดิ มุมมอง ความเชือ่ ของตน) • นักเรียนเคยอยู่บ้านคนเดียวหรือไม่ ในความคิดของนักเรียน การอยู่ บา้ นคนเดียวสบายหรอื ล�ำบาก (6. ถามเพื่อเช่อื มโยงกบั ชวี ิตจริง) • นกั เรยี นคดิ วา่ การอยคู่ นเดยี วดหี รอื ไม่ เพราะอะไร(3. ถามเพอื่ สะทอ้ น ความคิด มุมมอง ความเชื่อของตน) • นกั เรยี นคดิ วา่ “การอยคู่ นเดยี ว” เหมอื นกนั หรอื ไมก่ บั “การอยอู่ ยา่ งวา้ เหว”่ แสดงเหตผุ ลประกอบ(4. ถามเพอ่ื กระตนุ้ จนิ ตนาการ ตอ่ ยอดความคดิ ) • นักเรียนคิดว่าผู้หญิงคนน้ันว้าเหว่หรือไม่ เพราะอะไร (5. ถามเพ่ือ ท�ำความเข้าใจผอู้ ่นื ) • นกั เรยี นจะรสู้ กึ อยา่ งไรถา้ ถกู ปลอ่ ยใหอ้ ยคู่ นเดยี ว (3. ถามเพอ่ื สะทอ้ น ความคิด มุมมอง ความเช่อื ของตน) • หากเราไม่อยากอยู่โดดเดี่ยว เราจะต้องท�ำอย่างไร หรือเตรียมตัว อย่างไร (6. ถามเพ่อื เช่ือมโยงกับชีวิตจริง) • ถ้านักเรียนต้องอยู่คนเดียว คิดว่าจะท�ำอย่างไรให้อยู่อย่างเป็น ประโยชน์กับผ้อู นื่ (4. ถามเพือ่ กระตุ้นจินตนาการ ต่อยอดความคิด) ฯลฯ ภาคทสี่ อง ตงั้ คำ� ถามเพอื่ สร้างทักษะชวี ติ 35
ประโยคท่ี 2 : ผหู้ ญงิ ทฉี่ นั รจู้ กั ใหด้ อกทานตะวนั ดอกกหุ ลาบและดอกมะลิ แก่บรรดาเพ่อื นบ้านของเธอ ครตู ง้ั คำ� ถาม • ท�ำไมคนเราตอ้ งใหข้ องขวญั ซง่ึ กนั และกนั จงบอกเหตผุ ล (5. ถามเพอ่ื ท�ำความเข้าใจผู้อน่ื ) • นักเรียนคิดว่า ผู้ท่ีได้รับของขวัญจะรู้สึกอย่างไร (5. ถามเพ่ือท�ำ ความเขา้ ใจผอู้ ่นื ) • นักเรียนคิดว่าการให้ของขวัญในโอกาสต่างๆ เป็นส่ิงจ�ำเป็นหรือไม่ เพราะเหตใุ ด จงบอกเหตผุ ล (4. ถามเพื่อกระต้นุ จนิ ตนาการ ตอ่ ยอด ความคิด) • นักเรียนคิดว่า การให้ของขวัญกันมีประโยชน์หรือไม่ อะไรบ้าง (3. ถามเพ่ือสะท้อนความคิด มุมมอง ความเช่ือของตน) • นักเรียนเคยใหข้ องขวญั แก่ใครไหม และถา้ ให้จะให้แก่ใคร ในโอกาส ใดบ้าง เพราะเหตุใด (6. ถามเพื่อเชื่อมโยงกับชีวิตจริง) ฯลฯ ประโยคท่ี 3 : ทุกๆ วัน ผู้หญิงที่ฉันรู้จัก โบกมือทักทายเพื่อนบ้านเด็กๆ ตอนท่ีเดก็ ๆ ไปโรงเรียนและกลบั จากโรงเรยี น ครูต้งั คำ� ถาม • ท�ำไมคนเราตอ้ งเปน็ มติ รกนั ในบางครง้ั มคี วามจ�ำเปน็ หรอื ไม่(3. ถาม เพ่อื สะทอ้ นความคิด มมุ มอง ความเช่อื ของตน) • การเปน็ มติ รกนั เหมอื นกบั การใหข้ องขวญั หรอื ไม่ แบบใด และอยา่ งไร (4. ถามเพื่อกระต้นุ จินตนาการ ต่อยอดความคิด) 36 ภาคท่สี อง ตัง้ ค�ำถามเพอื่ สรา้ งทกั ษะชีวติ
• จ�ำเปน็ หรอื ไมท่ น่ี กั เรยี นจะตอ้ งเปน็ มติ รกบั เพอื่ นๆ ทกุ คน เพราะอะไร (3. ถามเพอ่ื สะท้อนความคิด มุมมอง ความเช่ือของตน) • ผเู้ รยี นคดิ วา่ สตั วป์ า่ นานาชนดิ ทอ่ี าศยั อยู่ในปา่ ตอ้ งท�ำอะไรหรอื ไม่ เพอื่ สร้างความเป็นมติ รกบั สตั วอ์ ื่นๆ จงอธบิ ายพรอ้ มยกตัวอยา่ งประกอบ (4. ถามเพ่ือกระตนุ้ จนิ ตนาการ ตอ่ ยอดความคิด) ฯลฯ ประโยคที่ 4 : ผู้หญงิ ท่ฉี นั รจู้ กั เชญิ เพอ่ื นบา้ นเด็กของหล่อนร่วมฉลอง วันเกิดและวันขึน้ ปีใหม่ ครตู ้ังคำ� ถาม • ท�ำไมเราตอ้ งฉลองวันส�ำคัญๆ เช่น วนั เกิด หรอื วันข้ึนปีใหม่ (3. ถาม เพอื่ สะท้อนความคิด มมุ มอง ความเชอ่ื ของตน) • ครอบครวั ของนกั เรยี นฉลองวนั ส�ำคญั ๆ อะไรบา้ ง มกี ารฉลองวนั ส�ำคญั เฉพาะของครอบครัวหรือไม่ วันอะไร และท�ำอะไร (6. ถามเพ่ือ เช่ือมโยงกบั ชวี ติ จรงิ ) • นักเรียนรู้สึกอย่างไรบ้างเม่ือถึงวันเกิดของตน และที่บ้านจัดงาน ฉลองวันเกิดให้ แล้วถ้าทุกคนลืมวันเกิดของนักเรียนล่ะ (2. ถาม ความรสู้ ึก) • ในการฉลองวันส�ำคัญๆ เราจ�ำเป็นต้องรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี หรอื ไม่ จงอธบิ าย (4. ถามเพอ่ื กระตนุ้ จนิ ตนาการ ต่อยอดความคิด) ฯลฯ ภาคที่สอง ต้งั ค�ำถามเพอ่ื สรา้ งทกั ษะชีวิต 37
ประโยคที่ 5 : ผหู้ ญงิ คนทฉ่ี นั รจู้ กั ชอ่ื คำ� แกว้ และฉนั รจู้ กั ชอื่ สนุ ขั ของเธอดว้ ย ครูต้งั ค�ำถาม • การรจู้ กั ชอ่ื ของคนทเี่ รารจู้ กั เปน็ เรอ่ื งส�ำคญั หรอื ไม่ จงใหเ้ หตผุ ล3 ขอ้ (3. ถามเพือ่ สะทอ้ นความคิด มุมมอง ความเชื่อของตน) • นักเรียนคิดว่า นักเรียนสามารถเป็นเพ่ือนบ้านกับคนที่นักเรียน ไม่รู้จกั ช่อื ไดห้ รอื ไม่ จงอธบิ าย (3. ถามเพอ่ื สะท้อนความคิด มุมมอง ความเชอ่ื ของตน) • นักเรียนรู้จักช่ือแมวหรือสุนัขของเพื่อนบ้านหรือไม่ คิดว่าจ�ำเป็น หรือไม่ทีต่ ้องรู้จกั เพราะอะไร (6. ถามเพอื่ เชื่อมโยงกบั ชีวติ จริง) • นกั เรยี นตง้ั ชอื่ สง่ิ ของหรอื ไม่ และคดิ วา่ ท�ำไมคนจงึ ตง้ั ชอื่ สตั วเ์ ลย้ี งของ ตนเอง ส่งิ ของและสถานที่ตา่ งๆ (6. ถามเพอ่ื เช่ือมโยงกบั ชีวติ จริง) ฯลฯ ตวั อยา่ งที่ 2 สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย สาระท่ี 3 การฟัง การดแู ละการพูด มาตรฐาน ท.3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ สามารถพูด แสดงความรู้ ความคดิ และความรสู้ กึ ในโอกาสตา่ งๆ อยา่ งมี วจิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์ ตัวชว้ี ัด ป.3/5 พูดส่อื สารไดช้ ัดเจนตรงตามวตั ถุประสงค์ เน้ือหา พดู สอื่ สารในชวี ติ ประจ�ำวนั (ประสบการณใ์ นชวี ติ ประจ�ำวนั ประสบการณ์ในครอบครัว) 38 ภาคที่สอง ต้ังคำ� ถามเพอ่ื สรา้ งทักษะชวี ิต
(ดู 6 คำ� ถามเพอื่ เชื่อมโยงวธิ ีคดิ หน้า 31 เทยี บกบั ตัวอย่างการตั้งค�ำถาม) ค�ำถามใน “ครอบครวั ” (ถามน�ำ และถามขอ้ มลู เร่ืองทว่ั ๆ ไป ง่ายๆ) • ในครอบครวั ของเดก็ ๆ มีใครบา้ ง อย่กู ันก่คี น • เด็กๆ ชว่ ยคุณพอ่ คณุ แม่ท�ำงานบา้ นอะไรบ้าง • บ้านของหนูใกลก้ ับสถานทสี่ �ำคัญอะไรบ้าง (1. ถามสรปุ ความคิดและเน้อื หา) • คณุ พอ่ / คณุ แม่ สอนใหห้ นูท�ำอยา่ งไรบ้างเมอ่ื พบผู้ใหญ่ • จากที่เรียนมา ค�ำพูดไพเราะที่เด็กๆ ควรใช้กับผู้ใหญ่ได้แก่ค�ำใดบ้าง และใช้เมอ่ื ใด (2. ถามความรูส้ กึ ) • คณุ พ่อ/ คุณแม่ เคยท�ำส่ิงใดท่ีนกั เรียนรู้สึกประทบั ใจบา้ ง • ถ้าเดก็ ๆ ต้องอยูค่ นเดยี ว จะรูส้ กึ อยา่ งไร • เด็กๆ รู้สกึ อยา่ งไรบ้าง เมอ่ื พ่ีน้องหรอื คนในครอบครัวทะเลาะกนั • ถ้าคณุ พ่อ/ คณุ แม่ไม่อย่บู า้ น หนรู ู้สึกอย่างไร (3. ถามเพื่อสะทอ้ นความคดิ มมุ มอง ความเชื่อของตน) • งานบ้านทเ่ี ดก็ ๆ ชอบท�ำมากทีส่ ดุ คืองานอะไรบา้ ง เพราะเหตใุ ด • เพราะเหตใุ ด สมาชิกในครอบครัวจึงควรเอือ้ เฟอ้ื ช่วยเหลอื กนั (4. ถามเพอื่ กระต้นุ จนิ ตนาการ ตอ่ ยอดความคิด) • เด็กๆ จะตอบแทนพระคณุ คณุ พอ่ และคุณแม่ได้อยา่ งไร • หนจู ะอยูร่ ว่ มกนั กับพีน่ ้องอยา่ งไรโดยไม่ทะเลาะกันใหพ้ ่อแม่เสียใจ ภาคทีส่ อง ตงั้ ค�ำถามเพื่อสร้างทกั ษะชวี ิต 39
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141