Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 0010101 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

0010101 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Published by General Education PNRU, 2020-07-13 03:26:34

Description: 0010101 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Search

Read the Text Version

95 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ใหก้ ารสอื่ สารมปี ระสทิ ธิภาพมากขน้ึ ในการใช้ภาษาเพ่ือส่ือความหมายนั้น การใช้ทักษะทางภาษาให้สอดคล้องกันเป็นสิ่งท่ีจาเป็นมาก เพราะช่วยให้การส่ือสารของมนุษย์มีประสิทธิภาพมากข้ึนซึ่งจะช่วยให้การดาเนินชีวิตป ระจาวันเป็นไปตาม วัตถุประสงค์ทตี่ ้องการ อย่างไรก็ตามทักษะในการใช้ภาษานั้นเป็นเรื่องต้องฝึกฝน โดยอาจจะเริ่มจากฝึกในจานวนน้อย และค่อย ๆ เพิ่มขนึ้ ตามความสามารถ ควรฝึกอย่างเป็นขน้ั เป็นตอนจากง่ายไปหายาก และควรฝกึ ทักษะในการ รบั สารกับทักษะในการสง่ สารไปพร้อม ๆ กนั

96 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร บทท่ี 5 การพฒั นาทักษะการฟัง การฟังเปน็ ทักษะการสอ่ื สารของมนุษย์ทม่ี นุษย์ใชม้ ากกว่าทักษะอ่ืนในชีวติ ประจาวนั เปน็ ทกั ษะภาษา ทักษะแรกที่มนุษย์สามารถปฏิบัติได้ อีกทั้งเป็นเครื่องมือที่สาคัญในการดารงชีวิตเพราะ การฟังเป็นเคร่ืองมือ ในการเรียนรูส้ ่ิงต่าง ๆ รอบตวั สั่งสมเป็นความรสู้ บื ต่อมาตัง้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จุบนั การที่ผู้ฟังจะสามารถรบั รู้เร่ืองราวตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและสัมฤทธผิ ลตามจุดมุ่งหมายท่ีต้งั ไว้ ผู้ฟังควรมีความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับทักษะการฟัง เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองให้บรรลุวัตถุประสงค์ ทีต่ ้งั ไวเ้ ปน็ อย่างดี ความหมายของการฟงั และการฟังเพือ่ สมั ฤทธผิ ล พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 858) ได้ให้ความหมายของการฟัง ไว้ว่า ตงั้ ใจสดับ, คอยรับเสียงด้วยห,ู ไดย้ นิ , เช่ือ, ทาตามถอ้ ยคา เชน่ ให้ฟังคาส่ังผบู้ งั คับบญั ชา ชลธิชา กลัดอยู่ และคนอ่นื ๆ (2517: 372) ได้ให้ความหมายของการฟังไว้ว่า การฟังต้องมีความต้ังใจ เพื่อรับรู้ ส่วนการได้ยินเน้นเพียงประสาทหูทางานรับเสียงเข้ามา ไม่มีขบวนการต่อไปในสมอง นอกจากความ เข้าใจ การฟังยังเก่ยี วโยงไปถึงความคดิ จึงจะเป็นการฟังที่สมบูรณ์ ฉัตรา บนุ นาค และคณะ (2526: 260) ได้ใหค้ วามหมายของการฟังไวว้ ่า การฟังเปน็ พฤติกรรมท่ีมีส่วน เก่ียวข้องกับการรับรู้ ความเข้าใจ ความต้ังใจ นอกจากนี้การฟังยังเป็นพฤติกรรมท่ีจะต้องฝึกจนเกดิ การเรียนรู้ เชน่ เดียวกับการพดู ฉะน้ันคนท่จี ะเปน็ ผฟู้ ังทด่ี ีนั้นจะต้องอาศัยการฝึกฝน และควรปรบั ปรุงทักษะในการฟังของ ตนด้วย นพดล จันทร์เพ็ญ (2534: 36) ได้ให้ความหมายของการฟังไว้ว่า การฟัง หมายถึง การท่ีมนุษย์ได้ยิน เร่ืองราวโดยผ่านประสาทสัมผัสทางหู อาจจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ได้ ถ้าเร่ืองราวที่ฟังเป็นเรื่องสมบูรณ์ และ ในทางตรงกันข้าม หากการฟังนี้มีลักษณะสับสนวกวนขาดความหมายจากการส่อื ท่ีส่งมาให้ ก็ไม่นับว่าเป็นการ ฟังอย่างสมบรู ณ์ ซง่ึ อาจเรียกว่าเป็นการไดย้ นิ จากความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การฟัง หมายถึง การรับรู้เร่ืองราวตา่ ง ๆ จากแหล่งของเสียง ซ่ึง อาจจะรับรู้ผ่านผู้พูดโดยตรง หรือรับรู้ผ่านอุปกรณ์บันทึกเสียงแบบต่าง ๆ โดยแหล่งเสียงจะส่งผ่านประสาท สัมผัสทางหูเข้ามา แล้วผู้ฟังเกิดการรับรู้ความหมายของเสียงท่ีได้ยิน จากนั้นนาความหมายท่ีได้รับรู้ไป พิจารณาทาความเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้พูด ประเมินค่าสารที่ได้ฟัง และสามารถนาสารท่ีได้จากการฟังไป ปฏิบตั ิใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวันของตนได้ ข้นั ตอนและกระบวนการการฟงั เพื่อรับสารมีดังนี้

97 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ไดย้ ิน รับฟงั ทาความเข้าใจ นาไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ (รบั สาร) ขน้ั ตอนและกระบวนการของการฟัง จากความหมายของการฟัง เราสามารถนามาเขยี นเปน็ กระบวนการฟังได้ 6 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 1. ขน้ั ได้ยินเสียง กระบวนการฟงั จะเร่ิมต้นตั้งแต่การได้ยินเสียงจากแหลง่ ของเสียงซ่ึงแพรค่ ลนื่ เสียง ทีม่ ีลักษณะเป็นคลื่นไฟฟ้าผ่านอากาศเข้ามา ประสาทสัมผสั ทางหูหรือโสตประสาทจะรบั เสยี งเหลา่ น้ันผ่านเข้า ไปยงั สมอง 2. ข้ันรับรู้ เม่ือเสียงผ่านเข้าไปยังสมองแล้ว สมองจะจาแนกเสียงพยางค์ไปตามลักษณะโครงสร้าง ทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา หากเป็นเสียงในภาษาที่ผู้ฟังรู้จักและเข้าใจจะเกิดการรับรู้ แต่หากผู้ฟังไม่รู้จัก เสยี งที่ผ่านเข้ามาก็จะไม่เกิดความหมายใด 3. ขั้นตคี วาม เปน็ ขัน้ ท่ผี ฟู้ งั แปลความหมาย หรอื ตีความหมายของประโยคหรือสงิ่ ที่ได้ยิน ไดฟ้ งั 4. ข้ันเข้าใจ เป็นขั้นการฟังซึ่งผู้ฟังสามารถเข้าใจความหมายของใจความสาคัญของผู้พูดได้อย่าง ถกู ต้อง 5. ข้ันพิจารณาหรือขั้นเชื่อ เป็นขั้นที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ฟังท่ีจะตัดสินว่าเร่ืองท่ีได้ยินมา นั้น เปน็ ความจริงเพียงใด น่าเชื่อถอื ไดห้ รอื ไม่ ยอมรบั ไดห้ รือไม่ และเป็นประโยชน์ตอ่ ตนเองหรอื ไม่ 6. ขน้ั การนาไปใช้ เมอื่ พิจารณาสารเรียบร้อยแล้ว ผูฟ้ งั จะนาความรู้ความเข้าใจทไี่ ด้จากการฟังไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ตนเองและสังคมต่อไป ความสาคญั ของการฟัง การฟังเป็นกระบวนการสื่อสารที่มนุษย์ใช้ก่อนทักษะอื่น ดังนั้นทักษะการฟังจึงมีความสาคัญมาก ในการตดิ ต่อสอื่ สาร ซงึ่ สามารถจาแนกความสาคญั เปน็ ประเดน็ ๆ ดังนี้ 1. การฟังเป็นกระบวนการรับสารที่เราใช้มากท่ีสุดในชีวิตประจาวัน เช่น การติดต่อส่ือสารใน ชีวิตประจาวันของมนุษย์ มนุษย์สามารถติดต่อส่ือสารการฟังโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ จากสถิติการวิจัยของวิลเลียม เอฟ แมคคี เขียนไว้ในหนังสือ “Language Teaching Analysis” ว่า วันหนึ่ง ๆ ของคนเราจะมีการฟัง 48% การพูด 23% การอ่าน 16% และการเขียน 13% (อ้าง ถงึ ใน มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนดสุ ติ . 2539: 6) 2. การฟังเป็นเครื่องมือที่สาคัญในการแสวงหาความรู้ทุกสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางด้าน การเรียนทกุ ระดับ ทกุ วิชาชพี ซงึ่ เป็นความร้ทู ีม่ นษุ ยต์ ้องการมากที่สุด

98 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 3. การฟังเป็นทักษะส่งเสริมความคิดและความฉลาดรอบรู้ เป็นพหูสูต (ผู้สดับตรับฟังมาก) ทาให้ ประสบความสาเรจ็ และก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 4. การฟังช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ส่ิงท่ีแปลกใหม่โดยการวิเคราะห์ ตีความ นามาประยุกต์ ปรบั เปลีย่ นไดอ้ ย่างเหมาะสม เกิดความงอกงามทางความรู้ ความคิด และสติปัญญา 5. การฟงั เป็นทักษะทก่ี ่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลนิ เช่น การฟงั เพลง นิทาน วรรณคดี เปน็ ตน้ 6. การฟังชว่ ยใหผ้ ้รู บั สารเป็นผพู้ ดู และผู้เขยี นที่มปี ระสทิ ธภิ าพ และประสิทธิผล เพราะการฟงั ช่วยให้ ผู้ฟังได้รับความรู้ ประสบการณ์ด้านเนื้อหาสาระ ภาษาถ้อยคาท้ังร้อยแก้วและร้อยกรอง เพื่อเป็นข้อมูลในการ พดู และการเขยี นตอ่ ไป จุดมุ่งหมายของการฟงั การฟังเป็นการรับรู้ความหมายของเสียงที่ได้ยิน ผู้ฟังจะต้องต้ังใจฟังเพ่ือให้เกิดความเข้าใจ เกิด ความคิด จึงจะถือว่าเป็นการฟังที่สมบูรณ์ ผู้ท่ีฟังมากจะเกิดความรู้กว้างขวางจะได้ช่ือว่าเป็นพหูสูตในสังคม ปัจจุบันนอกจากเราจะฟังผู้พูดพูดเพ่ือการติดต่อสื่อสารหรือเพ่ือกิจธุระในชีวิตประจาวันแล้ว เราควรฟังเพ่ือ จุดมงุ่ หมายอื่น ๆ ดังน้ี 1. เพ่ือส่ือสารในชีวิตประจาวัน การฟังประเภทนี้ทาให้มนุษย์คงความสัมพันธ์ที่ดีตลอดไปซึ่งเป็น พฤติกรรมปรกตขิ องมนษุ ย์ 2. เพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการฟังเพ่ือผ่อนคลายความตึงเครียด จัดเป็นส่วนหน่ึงของกิจกรรม นนั ทนาการ การฟงั ประเภทน้ขี ึ้นอยู่กบั รสนยิ มของผฟู้ ัง 3. เพื่อรับความรู้ เป็นการฟังเรื่องราว ข่าวสาร วิชาการ ข้อเสนอแนะ ผู้ฟังต้องจดจาสาระและใช้ ความคดิ วิเคราะห์ ตคี วาม สังเคราะห์ และประเมินค่าตามลาดบั 4. เพื่อได้คตชิ ีวิตและความจรรโลงใจ คือ การยกระดับจิตใจให้สูงข้ึนการฟังเพื่อได้คติชีวิตและความ จรรโลงใจ มีผลทาให้ผู้ฟังเกิดวิจารณญาณ เกิดสติปัญญามีความสุขุม ผู้ฟังจึงต้องตั้งใจฟัง และการฟังประเภท น้ีมีความสาคัญต่อการดารงชีวิต เพราะจะช่วยให้ผู้ฟังมีแนวทางในการดาเนินชีวิตที่ดีงาม และไปในทางท่ี สร้างสรรค์ เลือกเชื่อในสิง่ ที่ควรเชื่อ รู้จักปฏิเสธในส่ิงที่ตนพิจารณาแล้วว่าไม่ชอบด้วยเหตุผลหรือขัดต่อสภาพ ความเป็นจรงิ การฟงั ท่ีไดผ้ ลดีตอ้ งอาศยั การฝึกอยูเ่ สมอ เม่อื ฟงั แลว้ ต้องคิดไปพรอ้ ม ๆ กนั การฟังมากจะทาใหเ้ ปน็ ผู้ ที่มีความรู้กว้างขวาง ส่ิงสาคัญที่สุดของการฟังก็คือ ผู้ฟังต้องฟังด้วยความต้ังใจ สนใจ และเข้าใจเร่ืองท่ีฟังตรง กับจดุ ประสงคข์ องผู้พดู

99 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ปัจจยั ท่ใี ห้การฟงั เกดิ สัมฤทธผิ ล ผู้ฟังจะสามารถใช้ทักษะการฟังเพ่ือรับสารได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เป็นอย่างดีน้ัน ผู้ฟังควรสร้าง ปัจจัยต่อไปน้ีให้เกิดข้ึนในตัวผู้ฟัง ซ่ึงช่วยให้ผู้ฟังมีศักยภาพในการรับสารได้ ปัจจัยท่ีทาให้การฟังสัมฤทธิผลมี ดังน้ี ฟังให้สัมฤทธิผล หมายถึง ฟังให้ได้รับความสาเร็จ การฟังให้สัมฤทธิผลจะมีระดับสูงหรือต่ามากน้อย ขึน้ อยู่กบั ปจั จัยสาคัญคือ โอกาสของการฟัง และระดบั ขน้ั ของการฟัง ดงั นัน้ ข้ันแรกผูฟ้ ังจึงควรวเิ คราะหโ์ อกาสที่ฟัง โอกาสของการฟัง 1. การฟังระหว่างบุคคล เป็นการฟังที่ไม่เป็นทางการ เช่น ฟังการสนทนา การสอบถาม การให้ คาแนะนา เป็นตน้ 2. การฟังในกลุ่มขนาดเล็ก เป็นการฟังแบบก่ึงทางการ เช่น การปรึกษาหารือร่วมกัน วางแนวทาง ปฏิบตั ริ ่วมกัน เป็นตน้ 3. การฟังในที่ประชุม เป็นการฟังท่ีเป็นทางการ ผู้ฟังต้องรักษากิริยามารยาท เช่น การฟังบรรยาย การฟงั สัมมนา เปน็ ตน้ 4. การฟังจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นการฟังท่ีไม่เป็นทางการ เช่น การฟังเพลงจากวิทยุ การฟัง รายการโทรทัศน์ เปน็ ต้น ระดับขัน้ ของการฟังให้สมั ฤทธิผล 1. ทราบว่าจดุ ประสงคไ์ ด้แก่อะไร 2. ทราบวา่ เนอื้ ความครบถว้ นแลว้ หรอื ไม่//อยา่ งไร 3. พิจารณาไดว้ ่าน่าเชอ่ื ถอื หรือไม่ //เพราะอะไร 4. เห็นว่าสารน้ันมีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร ใช้ดุลยพินิจแล้วผู้ฟังยังสามารถบอกได้อีกว่าสารท่ีส่งมามี คุณค่าเพียงใด ในแง่ใดบ้าง ถ้าสามารถตอบคาถามข้างต้นได้ถือว่าผู้ฟังสามารถฟังได้สัมฤทธิผลสูงมากเป็น พเิ ศษ คาว่า \"ดุลยพินิจ\" หมายถึง การใช้ปัญญาพิจารณาด้วยความไม่เอนเอียง ปราศจากอคติ เป็น ความสามารถที่ค่อย ๆ เจริญข้ึนในตัวบุคคลเม่ือมีโอกาสได้รับการฝึกฝนอย่างสม่าเสมอจากบิดา มารดา ครู อาจารย์ สภาพแวดล้อม การฝกึ ฟงั ให้สัมฤทธิผล 1. ฟังเรื่องท่ีไม่ยากและไม่ยาวจนเกินไป เช่น ฟังข่าววิทยุ และโทรทัศน์แล้วสามารถจับสาระของ เร่อื งมาเล่าใหผ้ ูอ้ ่นื ฟงั ได้ 2. หาโอกาสฟังส่ิงท่ีมีสารประโยชน์อยู่เป็นนิจ เช่น ฟังรายการสารคดีทางวิทยุและโทรทัศน์ แล้ว นามาวิเคราะห์วิจารณ์กับผู้ที่ได้ฟังรายการด้วยกัน จะช่วยพัฒนาความสามารถในการฟังของเราให้สัมฤทธิผล สงู ขึ้น

100 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 3. หม่นั ฟงั การบรรยายหรือการอภปิ รายในโอกาสตา่ ง ๆ เชน่ วนั สปั ดาหห์ นงั สือแหง่ ชาติ 4. บันทึกเรื่องท่ีได้ยินได้ฟังไว้เสมอ เพื่อสามารถท่ีจะเก็บข้อมูล หลักฐานต่าง ๆ ที่จะนามาใช้ ตรวจสอบภายหลัง แนวทางการฟังสารเพ่ือสมั ฤทธผิ ล ผู้ฟังสามารถรับสารได้สาเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ทุกประการ ผู้ฟังควรมีแนวทางปฏิบัติในการฟัง ดงั นี้ 1. ผฟู้ ังควรมคี วามสามารถในการไดย้ นิ โดยฝกึ ประสาทหใู หส้ ามารถจับเสยี งได้รวดเร็วและถูกตอ้ ง 2. ผู้ฟังควรมคี วามตงั้ ใจและสมาธิในการฟังทุกครง้ั 3. ผู้ฟังสามารถจับประเด็นสาคัญของเร่ืองท่ีฟังได้ โดยการจดบันทึกข้อความสาคัญและศัพท์ท่ีไม่ เขา้ ใจความหมาย รวมทัง้ ขอ้ สงสยั เพ่อื ซักถามผู้พูดต่อไป 4. ผู้ฟังสามารถจับใจความสาคัญของเรื่องที่ฟังได้ และสามารถนาข้อมูลท่ีฟังไปถ่ายทอดได้อย่าง ถูกต้อง รวมทงั้ นาไปใช้ประโยชนต์ ่อไปได้ 5. ผู้ฟังสามารถวิเคราะห์ประเมินค่าเร่ืองราวที่ฟังได้ ผู้ฟังสามารถพิจารณาข้อความท้ังท่ีเป็น ขอ้ เท็จจริง ความคิดเห็น อารมณ์ความร้สู ึก รวมทั้งพิจารณาข้อดี ข้อบกพรอ่ ง จุดเด่น รวมทั้งคุณค่าทางภาษา และคณุ คา่ ตอ่ สังคม 6. ผู้ฟังควรใช้เวลาว่างในการฟังเรื่องราวต่าง ๆ ท่ีมีสาระ หรือความบันเทิง เพื่อผู้ฟังจะได้รับ ประโยชน์ดา้ นสติปัญญา ความรอบรู้ รวมทงั้ สขุ ภาพรา่ งกายและด้านจิตใจ นอกจากนี้ ผู้ฟังสามารถยึดหลักแนวทางบันไดไปสู่การฟังให้สาเร็จ 6 ข้ัน (LADDER) สารวม วารายานนท์ (2544: 28-29) 6.1 มองคนพูด หมายถึง มองคนท่ีกาลังพูดกับคุณและมองคนท่ีคุณกาลังพูดด้วย การมองตรง ไปยังคนท่ีกาลังพูดเป็นการแสดงความสนใจอย่างมีพลัง อกี ท้ังยังเป็นการดูการแสดงออกทางสีหน้า และกิริยา ทา่ ทางของผพู้ ดู ด้วย การมองคนพูดเปน็ ส่งิ สาคัญ เพราะจะทาใหผ้ ฟู้ งั มจี ติ ใจจดจ่ออยกู่ ับการฟงั เป็นอันดับแรก 6.2 ถามคาถาม เป็นการฝึกถามคาถามชนิดต่าง ๆ ลักษณะของคาถามท่ีช่วยให้ได้รับข่าวสาร ชนิดใดชนิดหน่ึงเรียกว่า “คาถามแบบปิดปลาย” เช่น “คุณชื่ออะไร” “คุณอายุเท่าไร” และคาถามช่วยให้ได้ คาตอบเกี่ยวกับความคิดเห็นหรอื ความร้สู กึ เรียกว่า “คาถามเปิดปลาย” การฝึกถามคาถามท้ังสองชนิดบ่อย ๆ จะชว่ ยพฒั นาทักษะการฟังให้เป็นนกั ฟงั ทดี่ ขี ึน้ 6.3 อย่าสอดแทรก หมายถึง การฝึกความอดทนในการฟังผู้พูดให้จบประโยค หรือจบใจความ ก่อนจึงจะพูดตอบ การพดู สอดแทรกเป็นการเสียมารยาท ดังคากล่าวเปรียบเทียบว่า “การเหยียบความคิดคน อืน่ หยาบคายพอ ๆ กบั การเหยียบเทา้ คนอ่นื ” 6.4 อย่าเปลี่ยนเร่อื ง หมายถึง ในขณะสนทนาอยู่กับคู่สนทนาในเร่ืองใดเรื่องหนึง่ อยแู่ ล้วเปลี่ยน เรือ่ งไปเป็นเร่ืองอืน่ ไปในทนั ทีทันใด ซึ่งนับวา่ เป็นการเสียมารยาทในการพดู ย่งิ กว่าการสอดแทรกเสยี อีก

101 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 6.5 แสดงอารมณ์ด้วยการควบคุม หมายถึง การพยายามควบคมุ อารมณ์ของตนเองใหเ้ ป็นปกติ ในขณะทีเ่ ปน็ ผู้ฟัง หากเป็นการสนทนาท่มี ีขอ้ โตแ้ ย้งกัน ก็ตอ้ งพยายามควบคุมอารมณแ์ ละฟงั อย่างมสี ติ 6.6 ฟงั อย่างมีการตอบสนอง หมายถึง การแสดงการตอบสนองด้วยสีหน้า กิรยิ าท่าทาง ซ่งึ เป็น การแสดงออกถึงความสนใจไดย้ ินและเขา้ ใจเรอ่ื งที่พดู มารยาทในการฟัง 1. มองหน้าคนพูด มารยาทในการฟังท่ีดีคือ ต้องมองหน้าคนท่ีกาลังพูดด้วยและมองตรงในลักษณะ ที่แสดงความสนใจ ไม่ใช่การจ้อง การฟังไม่ควรมองพื้นหรือเพดาน หรือมองออกไปนอกหน้าต่างและอย่าหัน หนา้ ไปมองสงิ่ ทห่ี นั เหความสนใจทเี่ กดิ รอบตัว การฟังไม่ควรทางานอย่างอ่ืน 2. การตั้งคาถาม การตั้งคาถามหรือการซักถามที่จะทาให้เรารู้ข้อเท็จจริงในส่ิงที่เราไม่รู้ การตั้ง คาถามควรขออนญุ าตและไม่สอดแทรกข้นึ มากลางคัน การตง้ั คาถามต้องคานึงถึงประโยชน์และความสุจริตใจ 3. ไม่ขัดจังหวะ มารยาทในการฟัง คอื ต้องไม่ขัดจังหวะขณะที่ผูพ้ ูดกาลงั พูดอยู่ หมายความว่า ควร ให้เขาได้พูดจบประโยค หรือจบความคิดเสียก่อน ถ้าต้องการพูดควรรอจังหวะและโอกาสที่เราจะพูด แม้แต่ งานประชุมระดับชาติบางครั้ง ประธานในท่ีประชุมต้องยุติการประชุมชั่วคราว เน่ืองจากไม่มีผู้ใดเป็นผู้ฟังแต่ แย้งกนั พูด 4. ไม่ควรเปล่ยี นเรอ่ื ง ไม่ควรเปล่ียนเรื่อง คือ สอดแทรกหรอื ขัดจังหวะแล้วเปลีย่ นเรอื่ งที่พูดทันทีซ่ึง เป็นการตัดบทและเท่ากับการตดั ไมตรีหรือความเป็นเพ่ือนออกไป ควรให้เรือ่ งท่กี าลงั พูดจบมีข้อยตุ กิ ่อนแลว้ จึง เปลย่ี นเร่ือง 5. คณุ สมบตั บิ างประการของผู้ฟงั 5.1 ควรเป็นผู้มีความสนใจใฝ่รู้ในสิ่งต่าง ๆ ผู้ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้มักจะมีความสามารถในการ ติดตามเรอื่ งราวตา่ ง ๆ 5.2 ควรมีสมาธใิ นการฟัง 5.3 ควรมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ในบางคร้ังการฟังเป็นการประชุมทางวิชาการหรือการ อภปิ รายในเรือ่ งพเิ ศษด้านใดด้านหนึง่ โดยเฉพาะ 5.4 สืบเน่ืองจากการอ่านหรือเตรียมตัวล่วงหน้า คือ ในการเข้าร่วมประชุม สัมมนาหรืออภิปราย ใด ๆ ก็ตามควรตรงตอ่ เวลา ไมค่ วรเขา้ ประชมุ สายจนเกินไป 6. การควบคุมการแสดงอารมณ์ การควบคุมการแสดงออกของอารมณ์จึงเป็นมารยาทท่ีพึงระวัง อย่างยิ่งเพราะถ้าเกิดการถกเถียงและปะทะกันแม้คาพูดหรือท่าทาง นอกจากจะเสียเวลาแล้วยังเท่ากับการ ทาลายสัมพนั ธภาพของกันและกันดว้ ย 7. สมาธิ สมาธเิ ปน็ สงิ่ จาเป็นมากในการฟงั โดยเฉพาะพูดในทช่ี ุมชน

102 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 8. การปรบมือ มารยาทในการปรบมือ เป็นส่ิงที่พึงกระทาซึ่งอาจมีการเรียนรู้มาก่อนแบบค่อยเป็น ค่อยไป ลักษณะการฟังท่พี ึงหลีกเล่ยี ง 1. ฟังแบบฟงั บา้ งไม่ฟงั บา้ ง 2. ฟงั แบบสนใจในตัวผพู้ ูดมากกวา่ เน้ือหา 3. ฟงั แบบคอยจ้องจบั ข้อเท็จจรงิ 4. ฟังแบบธงแดง การฟังชนิดนี้ หมายความว่า เมื่อฟังอยู่แล้วมีข้อความ หรือคาพูดคาใดที่ตน ไม่พอใจ ทาใหเ้ ลิกสนใจ ไมอ่ ยากฟังต่อ 5. ฟงั แบบปิดใจไม่รบั 6. ฟงั แบบจดจ้องดว้ ยตาใสแปว๋ แต่จริง ๆ แลว้ คานึงถงึ เร่ืองอ่นื 7. สูงเกนิ กว่าจะรบั ฟัง คือ ฟังไม่รู้เร่อื ง เร่อื งที่พูดซับซ้อนสบั สน 8. จบั จุดแย้ง ถ้าหากไดย้ ินใครพูดอะไรท่ีค้านกบั สงิ่ ท่ตี นเชือ่ ม่ันก็มักจะไม่ยอมฟงั 9. ฟังแบบเวียนสมอง หมายถงึ ขณะทฟ่ี ังมเี สียงมารบกวนความสนใจทาใหฟ้ ังไมร่ ู้เรื่อง 10. จดอย่ตู ลอดเวลา การฟังน้นั อาจมีการจดคาพดู บางอย่างทส่ี าคัญ แตไ่ ม่ใชจ่ ดทกุ อย่าง 11. รบกวนสมาธขิ องผ้อู น่ื 12. ไม่นาอาหารหรอื เครอ่ื งดม่ื เขา้ ไปรับประทานระหวา่ งฟงั 13. แสดงพฤติกรรมท่ีแสดงความรู้สึก พฤตกิ รรมหลายอย่างท่ีทาให้ผูพ้ ดู สะดดุ และเกิดหงุดหงิด ประเภทของสารท่ฟี ัง 1. การฟังสารประเภทให้ความรู้ สารประเภทให้ความรู้ ได้แก่ ข้อความหรือเร่ืองราวท่ีมีเน้ือหา เกี่ยวกับความรทู้ ั่วไปในการดาเนนิ ชีวติ ประจาวัน ข้อความหรอื เรือ่ งราวเก่ียวกับขา่ วสารเหตุการณ์ความเป็นไป สงั คมตั้งแต่สังคมขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ซึง่ จะมีท้ังสารข้อเท็จจริง สารขอ้ คิดเห็นและสารแสดง อารมณ์ความรู้สึก นอกจากน้ียังรวมถึงข้อความรู้ทางวิชาการสาขาต่างต่าง ๆ การฟังสารประเภทนี้ มีข้อควร ปฏิบัตดิ งั นี้ 1.1 ผู้ฟังควรฟงั สารให้ความรู้นน้ั โดยตลอดตง้ั แต่ต้นจนจบเรือ่ ง กรณใี ห้ความรู้ทั่วไปหรือความรู้ ทางวิชาการควรเข้าใจและจับสาระสาคัญให้ได้ว่า สารน้ันให้ความรู้ก่ีประเด็น เร่ืองเก่ียวกับอะไร มีเนื้อหา อะไรบ้าง รวมทั้งแยกแยะข้อความท่ีเป็นข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็น หรือข้อความแสดงอารมณ์ความรู้สึกของ ผู้เขียน หากเป็นเรื่องของเหตุผลควรแยกได้ว่าส่วนใดเป็นเหตุ ส่วนใดเป็นผล กรณีเป็นเรื่องราวข่าวสาร เหตุการณ์บ้านเมือง ควรเข้าใจและจับสาระสาคัญให้ได้ว่าเกิดเหตุการณ์หรือเรื่องราวอะไร ใคร ทาอะไรที่ ไหน อย่างไร เม่ือใด ทาไม เรื่องนั้นมีสาเหตุจากอะไร มีผลกระทบอะไรบ้าง ต่อใคร รวมท้ังแยกแยะได้ว่าส่วน ใดเป็นขอ้ เท็จจรงิ ส่วนใดเปน็ ความคิดเห็น

103 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 1.2 ผู้ฟังควรใช้สติปัญญาไตร่ตรอง เรื่องราวน้ันมีข้อมูลสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะเหตุใดมี คณุ คา่ เพียงใด นา่ เชื่อถอื หรือไม่ และหากจะนาข้อมลู เหลา่ นัน้ ไปประยุกตใ์ ช้จะทาได้อยา่ งไร 1.3 ผฟู้ งั ควรบันทกึ สาระสาคญั ของเรือ่ งราวเหล่านั้นเพอ่ื เตอื นความจา และใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป 2. การฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ สารโน้มน้าวใจ ได้แก่ ข้อความหรือเรื่องราวท่ีมีเน้ือหาชักจูงใจ ให้ผู้ฟังยอมรับความคิดเห็น คล้อยตาม เช่ือถือ จนถึงปฏิบัติตามที่ผู้ส่งสารตอ้ งการ การฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ มีข้อควรปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 2.1 ผู้ฟังตัง้ ใจทาความเข้าใจเรื่องและจับประเด็นสาคัญของสารนนั้ 2.2 ผฟู้ ังวิเคราะห์สารวา่ เน้ือหาส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นข้อคิดเหน็ เป็นข้อเหตผุ ลของ การโนม้ นา้ วใจ ส่วนใดเป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิ ผูส้ ง่ สารมีจุดมุ่งหมายหรือเจตนาอย่างไร 2.3 ผู้ฟังพิจารณาให้ได้ว่าเน้ือหาข้อเท็จจริงและเหตุผลท่ีผู้ส่งสารแสดงไว้เพ่ือโน้มน้าวใจ สมเหตสุ มผลนา่ เชื่อถือหรอื ไม่ 2.4 ผู้ฟงั ไตร่ตรองใหถ้ ่ีถว้ นว่าข้อปฏิบัติที่ผสู้ ่งสารแนะนาให้ปฏิบตั ิทผี่ ู้สง่ สารแนะนาให้ปฏบิ ัตนิ ้ัน ถูกต้องเหมาะสมหรือไมส่ มควรจะนาไปปฏิบัตหิ รือไม่ อยา่ งไร มากนอ้ ยเพยี งใด 2.5 ผู้ฟังพิจารณาว่าผู้ส่งสารใช้วิธีใดในการโน้มน้าวใจ ให้เกิดความน่าเช่ือถือ ตลอดจนการใช้ ภาษาเปน็ อย่างไร โนม้ นา้ วใจผรู้ ับสารให้คล้อยตามได้มากน้อยเพียงใด 2.6 ผู้ฟังใช้วิจารณญาณตัดสินว่าสอดคล้องกับความคิด ความเชื่อของผู้ฟังมากน้อยเพียงใด หากปฏิบตั ิจะทาใหเ้ กิดประโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง 3. การฟังสารประเภทจรรโลงใจ สารประเภทจรรโลงใจ ได้แก่ ข้อความหรอื เรื่องราวที่มีเนื้อหาให้ ข้อคิดคติชีวิตแก่ผู้ฟัง มีสติ เกิดปัญญา ยกระดับจิตใจ ความประพฤติให้ดาเนินไปในทางที่ดีงาม ทาให้ชีวิตมี ความสุข สารเหลา่ นี้ เชน่ ปาฐกถาธรรม เทศนา พระบรมราโชวาท สนุ ทรพจน์ เรื่องขาขัน เรือ่ งส้ัน นวนยิ าย เปน็ ตน้ การฟงั สารประเภทน้มี ขี อ้ ควรปฏบิ ัติ ดังนี้ 3.1 ผู้ฟังตั้งใจสารโดยตลอดจนจบเร่ืองด้วยจิตใจท่ีปลอดโปร่งปราศจากความวิตกกังวล ปราศจากอคติใด ๆ 3.2 ขณะท่ีฟังสาร เช่น ปาฐกถา โอวาท นิทาน ชาดก สุภาษิต เป็นต้น นอกจากฟังด้วยจิตใจ ปลอดโปรง่ แจ่มใสแล้ว ควรสร้างสมาธิขณะฟงั จติ ใจจดจ่อกบั เรื่องทีฟ่ งั แล้วคิดตามพิจารณาวา่ ผู้ส่งสารมีเจตนา มีวัตถุประสงค์อย่างไร ให้ข้อคิดแนวปฏบิ ัตอิ ะไรบา้ ง ถ้าไม่ปฏบิ ัติจะเกิดผลเสยี อยา่ งไร 3.3 ขณะที่ฟังสาร เช่น เพลง บทร้อยกรอง เร่ืองสั้น นวนิยาย บทละคร เป็นต้น ผู้ฟังควรสร้าง จนิ ตนาการตามถ้อยคา เรื่องราว ดนตรี ที่ฟงั จะทาให้ผ้ฟู งั ได้ อรรถรสจาการฟังมากข้ึนและควรตีความเนอ้ื หาท่ี ฟังด้วยว่าให้ข้อคิดอะไร มีเหตุผลน่าเช่ือถือหรือไม่ควรนาไปปฏิบัติหรือไปประยุกต์ใช้อย่างไรให้เหมาะแก่ตน สถานการณแ์ ละกาลเทศะต่อไป 3.4 การฟังสารประเภทจรรโลงใจ ข้อสาคัญคือ ผู้ฟังต้องใช้วิจารณญาณไตร่ตรองสารท่ีฟังให้ ถี่ถ้วนกอ่ นนาไปปฏิบัตหิ รอื นาไปประยกุ ต์ใช้ จึงจะได้ประโยชนส์ งู สุดจากการฟังสาร

104 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ระดบั ความเข้าใจในการรับสาร ความเข้าใจในการรับสาร คือ การท่ีผู้ฟังสามารถรับรู้เรื่องราวหรือข้อความที่รับสารอย่างครบถ้วน การรบั สารนั้นมรี ะดบั ความเขา้ ใจ 4 ระดับ ดงั นี้ 1. ระดับความเขา้ ใจความหมายตามเนื้อหา หรือระดบั การจบั ใจความ ความเข้าใจระดับน้ี คือ การค้นหาความคิดสาคัญของข้อความหรือเรื่องท่ีฟังเป็นข้อความท่ีคลุม ข้อความอ่ืน ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ได้ท้ังหมด ดังกวีนิพนธ์กล่าวไว้ดังนี้ “ฟังใดได้รู้เรื่อง ก็ปราดเปร่ือง ปรีชาชาญ เปรียบลิ้มชิมน้าตาล รู้รสหวานซาบซ่านใจ ฟังใดไม่รู้ความ วิชาความจะงามไฉน เปรียบจวักตักใดใด ไป่รู้รส หมดทง้ั มวล” (ชิต บรุ ทตั ) ซงึ่ มีหลักการจับใจความ ดังนี้ 1.1 ต้ังใจฟังในแต่ละข้อความ แล้วพิจารณาใจความสาคัญของแต่ละข้อความควรใช้การจด บนั ทึกของข้อความไวเ้ พอ่ื ช่วยใหจ้ ดจาได้ในภายหลงั 1.2 เม่ือฟังจบแล้ว ผู้ฟังควรบันทึกเนื้อหาที่ฟังโดยตอบคาถามท่ีว่า เร่ืองท่ีฟังเป็นเร่ืองของใคร ทาอะไร ทไี่ หน เม่อื ไหร่ ทาไม อย่างไร ถา้ ผฟู้ ังไม่เข้าใจเน้อื หาตอนใดก็ควรถามผู้พูดในโอกาสทเ่ี ปดิ ใหซ้ ักถาม 1.3 นาข้อมูลที่เป็นคาตอบมาเรียบเรียงก็จะได้ใจความสาคัญของเร่ืองที่ฟัง ทาให้ผู้ฟังเข้าใจ เร่ืองราวท่ฟี ังได้อย่างชัดเจน และไดร้ ับความรนู้ าไปใช้ประโยชน์ต่อไป 2. ระดบั ความเขา้ ใจขัน้ ตคี วาม การตคี วาม หมายถงึ การทาความเข้าใจเนื้อหาสาระที่ผู้พูดไมไ่ ด้ส่อื สารโดยตรง ผ้ฟู ังต้องพยายาม หาส่ิงท่ีซ่อนเร้นและจุดมุ่งหมายของผู้พูด โดยอาศัยความรู้เรื่อง ภาษา ประสบการณ์ ความเชื่อ ความรู้สาขาวิชา ต่าง ๆ เพ่ือชว่ ยให้สามารถเข้าใจเจตนาและทรรศนะของผู้สง่ สาร หลกั ในการตคี วามมีดงั น้ี 2.1 ทาความเขา้ ใจเนื้อหาทลี ะยอ่ หนา้ 2.2 พิจารณาความหมายของคาศัพท์หรือถ้อยคา ผู้รับสารควรพิจารณาความหมายซ่อนเร้น ของคาศัพท์หรือถ้อยคาท่ีไม่ได้สื่อสารโดยตรง ประกอบกับบริบท ความรู้ด้านภาษา ประสบการณ์ ศาสตร์ สาขาวิชาตา่ ง ๆ ยุคสมัย และสภาพสงั คมวัฒนธรรม 2.3 สรุปประเด็นสาคัญและสรุปความคิด สรุปเน้ือหาของแต่ละย่อหน้า แล้วนามาเรียบเรียง เพ่ือใหท้ ราบความท้งั หมด 2.4 พิจารณาตีความน้าเสียง หรือท่าทีของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารมีอารมณ์ความรสู้ ึกอย่างไร ในการ นาเสนอสาร เช่น หว่ งใย เศรา้ โกรธแค้น ประชดประชัน เปน็ ต้น 2.5 พิจารณาเจตนาหรือจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสารได้ ผู้รับสารสามารถอธิบายความ ขยายความ ให้ผู้อืน่ เข้าใจสารอยา่ งครบถว้ น และตรงตามสารเดมิ ทง้ั ดา้ นเน้อื หาและน้าเสยี ง 2.6 ต้องระวงั การตีความไมใ่ ชก่ ารวิจารณ์ ฉะน้ันจงึ ไมม่ ีข้อคิดเหน็ ว่าดีหรือไมด่ ี ชอบหรอื ไม่ชอบ ควรพิจารณาวา่ ขอ้ ความนน้ั บอกประเดน็ สาคญั อยา่ งไร

105 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 2.7 ต้องคานึงถึงว่าการตีความต่างจากการถอดคาประพันธ์ การถอดคาประพันธ์ หมายถึง การ เรียบเรียงจากถ้อยคาของบทประพันธ์เดิมมาเป็นร้อยแก้ว โดยครบท้ังคา ครบทั้งความ และครบทั้งสรรพนาม แต่การตคี วามน้ันจะจบั เอาแตใ่ จความสาคญั หรอื ความคิดของผสู้ ่งสารที่บง่ ไว้ในขอ้ ความหรือสารนั้น ๆ ตัวอย่าง การตีความรอ้ ยแก้ว “รักยาวให้บน่ั รักสนั้ ให้ตอ่ ” ตีความตามตัวเน้ือหา คิดจะมีไมตรีต่อกันตอ้ งไม่สนใจส่ิงทจี่ ะมาทาลายมิตรภาพระหวา่ งกัน ถ้าไม่ คดิ จะคบกนั ไปนาน ๆ ก็หาเหตวุ ิวาทบาดหมางได้เสมอ ตีความน้าเสยี ง การไม่บาดหมางกันจะทาใหค้ วามรักยนื ยาวม่ันคงตลอดไป “ท่านมีจติ ใจดจุ ด่งั แมน่ า้ ” ตคี วามไดว้ ่า ทา่ นเปน็ คนมจี ิตใจกว้างขวาง ช่วยเหลือ เอ้อื เฟอ้ื ตอ่ บคุ คลอนื่ ๆ “รัฐบาลจะทาให้อสี านเปน็ สเี ขียว” ตีความได้ว่า รัฐบาลจะทาให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความอุดมสมบูรณ์หรือมีการปลูกต้นไม้ อย่างมากมาย “เขาจดั งานบวชลูกอย่างใหญโ่ ตเขา้ ตาราท่ีวา่ ตาน้าพริกละลายแมน่ ้าแท้ ๆ” ตีความไดว้ า่ เขาใช้จ่ายในการจัดงานเกินความจาเปน็ อย่างมาก ทาให้เสียเงินเสยี ของโดยไมจ่ าเป็น 3. ระดับความเข้าใจขน้ั ใช้วิจารณญาณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 1117) ได้ให้ความหมายคาว่า วิจารณญาณ หมายถึง ปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลท่ีถูกต้องได้ ดังน้ันการรับสารอย่างมีวิจารณญาณ คือ การพินิจพิจารณาวิเคราะห์ข้อความส่ิงใดเป็นใจความสาคัญ ส่ิงใดเป็นใจความประกอบ สามารถแยก ข้อเท็จจริงจากข้อคิดเห็นได้ ตลอดจนประเมินค่าว่าข้อความนั้นควรเชื่อถือหรือไม่ มีแง่คิดท่ีดีหรือไม่ เพราะ อะไร และนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดเ้ พยี งไร การฟังระดับการใช้วิจารณญาณ จะใช้ในการรับสารประเภทโน้มน้าวชักจูงใจและสารประเภท จรรโลงใจ หลักการรับสารอย่างใชว้ ิจารณญาณ มีหลกั การดังนี้ 3.1 การรับสารเชิงวิเคราะห์ คาว่า วิเคราะห์ หมายถึง ใคร่ครวญแยกออกเป็นส่วน ๆ การรับ สารเชิงวิเคราะห์ หมายถึง การฟังการอ่านด้วยความเอาใจใส่พิจารณาไตร่ตรองแยกแยะสารเป็นส่วน ๆ อย่างถ่ีถ้วน เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจเรื่องหลายแงห่ ลายมุม 3.1.1 จุดประสงค์ของการส่งสาร เพื่อวิเคราะห์ว่าผู้พูดหรือผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการ เสนอสารแก่ผู้ฟังหรือผู้อ่านอย่างไร เชน่ เพือ่ ให้ข้อเท็จจริง เพ่ือให้ความรู้ เพ่อื ให้ความบนั เทงิ เพ่ือใหแ้ ง่คดิ หรือ แสดงทรรศนะ เพอ่ื กระตนุ้ ใหค้ ดิ ตาม เพ่ือจูงใจใหค้ ล้อยตาม หรอื เพอ่ื เสยี ดสีสังคม เป็นต้น 3.1.2 รูปแบบในการนาเสนอสาร เพ่ือพิจารณาว่าแต่งเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ใช้ รปู แบบการเขียนชนิดใด

106 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 3.1.3 ทรรศนะในการแต่ง เป็นการวิเคราะห์ความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้ส่งสารเสนอ ออกมา 3.1.4 วิธีเสนอข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น พิจารณาแยกแยะว่าสารตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ตอนใดเป็นข้อคิดเห็นของผู้เขียน 3.1.5 อารมณ์และความรู้สึกของผู้ส่งสาร ผู้พูดและผู้เขียนมีการนาเสนอสารด้วย ความรู้สกึ อยา่ งไร เชน่ ห่วงใย ตกั เตือน โศกเศร้า สงสาร ประชดประชนั โกรธ อิจฉา เป็นต้น 3.1.6 กลวิธีในการแต่ง ผู้ส่งสารมีวิธีเสนอสารแบบใด เช่น เสนอแบบอธิบายตรง ๆ เสนอแบบวธิ อี ุปนัย แบบวธิ นี ิรนัย หรือเสนอแบบแกป้ ัญหาด้วยวธิ ีการวทิ ยาศาสตร์ เป็นตน้ 3.1.7 การใชถ้ อ้ ยคา ภาษา และสานวนโวหารต่าง ๆ 3.1.8 คณุ ค่าที่ไดร้ บั จากเร่ือง 3.2 การประเมินค่าสารทฟ่ี ัง คาว่า ประเมิน หมายถึง กะประมาณค่าหรือราคาเท่าที่ควรจะเป็น ดงั น้ันในการประเมินค่าเรื่องท่ีฟัง คือ การพิจารณาว่าเรือ่ งที่ฟังมีความเป็นจริง น่าเชื่อถือได้หรือไม่ มีหลักการ ประเมนิ เรอ่ื งที่ฟัง ดงั นี้ 3.2.1 การแยกข้อเทจ็ จรงิ ความคดิ เหน็ 3.2.2 การพจิ ารณาวา่ ผู้พูดมอี ารมณ์ ความรูส้ กึ เป็นกลาง หรือมีอคติในการเสนอขอ้ มูล 3.2.3 การพิจารณาข้อมลู ด้วยสตปิ ัญญาว่าควรเช่อื ถือหรือไมอ่ ย่างเหตุผล 3.2.4 การพจิ ารณาเลือกคณุ ค่าประโยชนท์ ไ่ี ด้ไปใช้ประโยชนต์ ่อตนเอง และสงั คมต่อไป 4. ระดับสรา้ งสรรค์ ระดับสร้างสรรค์ คือ การฟังเพื่อใช้ความคิดนาไปประมวลความเข้าใจ แล้วนามาเทียบเคียง ตรวจสอบกับความรู้สึก ความเข้าใจ และความคิดท่ีผู้ฟังส่ังสมมาก่อน จนเกิดปัญญาหยั่งรู้ในความจริงใหม่ หรือการเลือกสรรความคิดที่เป็นประโยชน์นาไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้หรือเป็นการฟั งเพ่ือใช้ ความคิดของผู้พูดและผู้ฟังร่วมกันแก้ไขปัญหา การฟังระดับสร้างสรรค์เป็นทักษะการฟังที่มีความสาคัญท่ีสุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ปญั หาและอปุ สรรคในการฟงั ในการฟังสารครงั้ หนงึ่ ๆ อาจจะไมส่ ัมฤทธผิ ลเทา่ ท่ีควร ทั้งนเ้ี นอ่ื งจากเกิดอุปสรรคในการฟงั ข้ึนมาจาก สาเหตุหลายประการ ได้แก่ 1. อปุ สรรคทเี่ กดิ จากผฟู้ ัง 1.1 ขาดสมาธิ หรอื มชี ่วงความสนใจสัน้ เกนิ ไป 1.2 ขาดพน้ื ความรู้ทีจ่ าเป็นตอ่ การฟงั สารคร้งั นั้น 1.3 ขาดความเปน็ กลางหรือเกดิ อคติข้นึ ในใจ 1.4 ขาดความอดทน อดกล้นั และการควบคุมอารมณ์

107 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 1.5 ขาดความพร้อมท้ังทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ และสติปญั ญา 1.6 ขาดการไดร้ บั แรงจูงใจ หรือเสรมิ แรงจากการฟงั 1.7 ขาดการใฝร่ ู้ ทาใหไ้ ม่สนใจ หรอื เสริมแรงจากการฟงั 2. อุปสรรคที่เกิดจากตัวผู้พูด หรือสารที่ฟัง พบว่าบางคร้ังผู้พูดหรือตัวของสารน้ันเป็นสาเหตุที่ทา ให้ผฟู้ ังเกดิ ปญั หาในการฟัง ไดแ้ ก่ 2.1 ขาดความรคู้ วามเขา้ ใจอยา่ งแท้จริงทีจ่ ะสร้างความชดั เจนให้แก่ผู้ฟัง 2.2 ขาดกลวธิ ีที่เหมาะสมในการสร้างความสนใจ และแรงจูงใจให้เกดิ ขน้ึ กบั ผูฟ้ ัง 2.3 ขาดความแม่นยาในเน้อื หา และการลาดับเนื้อหาอยา่ งเป็นข้ันตอน 2.4 พดู เสยี งค่อย พูดชา้ หรอื เรว็ เกินไป 2.5 มีบุคลิกภาพไม่นา่ ดู ไมเ่ หมาะสม ไม่ดึงดูดความสนใจ ไม่มีมนุษยสมั พันธต์ อ่ ผู้ฟัง 2.6 ไม่วิเคราะห์ผู้ฟังก่อนการพูด การวิเคราะห์ผู้ฟังจะช่วยให้ผู้พูดเตรียมความพร้อมได้ สอดคล้องกับลักษณะของผู้ฟัง ช่วยให้ผู้ฟังสนใจ และได้รับความรู้เต็มที่ เช่น การวิเคราะห์เกี่ยวกบั เพศ อาชีพ การศกึ ษา ศาสนา จานวน ทศั นคติ เปน็ ต้น 2.7 ขาดการใชส้ อื่ โสตทัศนูปกรณ์ประกอบการพดู เพอื่ ใหผ้ ู้ฟงั เข้าใจไดร้ วดเร็วชัดเจนมากขึ้น 2.8 สารทฟี่ งั มเี นอ้ื หายากเกนิ ไป หรอื มีความซับซ้อนวกวนไปมาจนกอ่ ให้เกดิ ความเบื่อหนา่ ย 2.9 สารไมเ่ หมาะสมกบั วัย เพศ ความสนใจ หรือเจตนารมณข์ องผ้ฟู งั เทา่ ที่ควร 2.10 สารไม่เหมาะสมกบั เวลา สถานการณ์ 3. อุปสรรคที่เกิดจากสภาพแวดล้อม ในบางครั้งอาจพบว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวผู้พูดและผู้ฟังมีส่วน สาคัญท่ีทาให้การฟังไม่ราบรืน่ หรือไดผ้ ลเท่าท่ีควร เน่อื งจาก 3.1 สถานท่ีฟังมีบรรยากาศไม่เหมาะสม เช่น อากาศร้อนอบอ้าวเกินไป มีเสียงดังรบกวน หรือ หอ้ งแคบเกนิ ไป และมีกลิน่ ไม่ดี เป็นตน้ 3.2 แสงสว่างในหอ้ งท่พี ดู ไมเ่ พียงพอ 3.3 อากาศถา่ ยเทไม่สะดวก ทาใหผ้ ูฟ้ ัง และผู้พดู อดึ อดั หายใจไมส่ ะดวกในการรับรู้ 3.4 เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ เกิดขัดข้อง หรือขาดประสิทธิภาพ เช่น ไมโครโฟน ปล๊ักไฟ เครอ่ื งฉายภาพข้ามศีรษะ เครอ่ื งวิทยุโทรทศั น์ เครอื่ งฉายภาพวีดทิ ศั น์ เปน็ ตน้ แนวทางการแก้ปัญหาในการฟงั กอ่ นจะแก้ไขขอ้ บกพรอ่ งที่เป็นปญั หาอุปสรรคในการฟัง ควรจะได้มกี ารสารวจเสียก่อนว่าข้อบกพร่อง หรอื อปุ สรรคนั้น ๆ เกดิ จากสาเหตุใด แลว้ แก้ไขตามสาเหตุนน้ั ๆ ดังตัวอยา่ งแนวทางแก้ไขด้านตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. การแก้ไขข้อบกพร่องเกิดจากตัวผู้ฟัง ควรปรับปรุงผู้ฟัง โดยการฝึกทักษะการฟังให้เป็นผู้รู้จัก การฟงั เป็นการฟงั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ได้แก่

108 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 1.1 ถ้าป่วยก็ไม่ควรเขา้ ฟัง 1.2 ถ้าไม่มีพน้ื ความรู้เกย่ี วกับเรื่องท่ีฟัง กค็ วรหาหนงั สอื เกย่ี วกับเรื่องท่ีฟังเพมิ่ เตมิ หรือไตถ่ ามผรู้ ู้ 1.3 ใชอ้ ุปกรณช์ ว่ ยในการฟงั เชน่ สมดุ ปากกา แถบบันทึกเสียง เครอื่ งบันทกึ เสียง 1.4 ถ้าฟงั แล้วจบั ใจความไมไ่ ด้ ต้องแกไ้ ขดว้ ยการหัดฟงั ให้มากขนึ้ 1.5 ต้องฝึกตนเองให้มคี วามอดทน อดกลั้น ในการฟังใหไ้ ด้ 2. การแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดจากขาดมารยาท ควรฝึกมารยาทการฟัง เร่ิมต้ังแต่ในสังคมเล็ก ๆ คือ ครอบครัว เพ่ือน การเร่ิมต้นฝึกมารยาทการฟังทีละเล็กทีละน้อย ก็ช่วยให้เป็นนักฟังท่ีดี มีมารยาทที่ดีอย่าง แนน่ อน 3. การแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งเกิดจากตวั ผู้พูด ได้แก่ 3.1 ในกรณีเลือกผู้พูด ผู้บรรยายได้ก็ควรพิจารณาเลือกผู้พูด ผู้บรรยายท่ีมีประสิทธิภาพ ประสทิ ธิผล โดยการหาข้อมูลจากแหลง่ ต่าง ๆ 3.2 ผู้พูดต้องประเมินผลการพูดของตัวเองเสมอ เพ่ือจะได้ปรับปรุงพัฒนาการพูดได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ประสทิ ธิผล กอ่ ให้เกิดประโยชน์ต่อผ้ฟู งั อยา่ งแทจ้ รงิ และเป็นแบบอยา่ งท่ดี ขี องผ้ฟู ังไดด้ ้วย 4. ควรเลอื กเรือ่ งใหเ้ หมาะสมกับผู้ฟัง มีจดุ มุ่งหมายของเรื่องท่ีตรงตามความต้องการของผู้ฟัง 5. จดั สภาพแวดล้อม บรรยากาศในการฟังให้ดี เหมาะสม เช่น ใช้หอ้ งที่มีขนาดเหมาะสมกับจานวน ผฟู้ ัง มแี สงสวา่ งเพยี งพอ อากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก อากาศเย็นสบาย กาจัดสิง่ รบกวนใหม้ นี ้อยทส่ี ุด เปน็ ตน้ 6. จัดเตรียมเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนการพูดควรตรวจสอบ เครื่องมือว่าสามารถใชง้ านได้หรอื ไม่ ควรปรบั ปรุงซ่อมแซมให้พร้อมในการพูดทุกคร้ัง

109 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร บทท่ี 6 การพัฒนาทักษะการอา่ น การอ่านเป็นปัจจัยสาคัญที่ใช้แสวงหาความรู้และความบันเทิง การอ่านทาให้รู้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางท่ัวโลก โลกของข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันทาให้ผู้อ่านมีจินตนาการกว้างไกล ทันสมัย ทันต่อ เหตุการณ์ การอ่านเป็นทักษะที่จาเป็นอย่างย่ิงนามาซ่ึงประโยชน์เพ่ือพัฒนาตนเอง พัฒนาการศึกษา พัฒนา อาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ผู้ทีม่ ีนิสัยรกั การอ่านและมีทกั ษะการอ่านดีจะสามารถแสวงหาความรแู้ ละศึกษาเล่า เรียนได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ สามารถนาความรทู้ ี่ได้จากการอ่านไปใช้ในการพูดและการเขียนได้ โดยเฉพาะผู้ท่ี อยใู่ นวยั ศกึ ษาเล่าเรียนการอา่ นนบั วา่ เคร่ืองมือสาคัญในการแสวงหาความรู้ ความหมายของการอ่าน การอ่านเป็นกระบวนการรับสารจากลายลักษณ์อักษรมาแปลเป็นความรู้ความเข้าใจโดยผ่านการคิด ประสบการณ์ ความเชื่อ เพื่อพัฒนาตนเองด้านสติปัญญา อารมณ์ และทางสังคม สิ่งสาคัญคือความเข้าใจใน การอ่าน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2554 (2556: 1405) ให้ความหมายของคาว่า “อ่าน” ไว้ว่า “ว่าตามตัวหนังสือ ถ้าออกเสียงด้วยเรียกว่าอ่านออกเสียง ถ้าไม่ออกเสียงเรียกว่า อ่านในใจ, สังเกตหรอื พจิ ารณาดูเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจ เช่น อ่านสหี น้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ” ศิริพร ลิมตระการ (2543: 5) ได้กล่าวว่าการอ่านคือ กระบวนการแห่งความคิดในการรับสาร ขณะท่ี อ่านสมองของผู้อ่านจะต้องคิดตามผู้เขียนหรือตีความข้อความท่ีอ่านไปด้วยตลอดเวลา ผู้อ่านท่ีดีนั้นจะต้อง เข้าใจข้อความท่ตี นอ่านไดอ้ ยา่ งรวดเร็วและถกู ต้อง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช (2541: 5) กล่าวถึงความหมายของการอ่านไว้ว่า “การอ่านต้องใช้ สมองมากที่สดุ และรองลงมาคือ ประสบการณ์ตา่ ง ๆ ท่ีสะสมมาท้ังประสบการณ์ทางภาษา ประสบการณ์ชวี ิต และประสบการณด์ า้ นการอา่ นโดยตรง ดว้ ยเหตุน้ี คนตาบอดจึงอ่านหนงั สอื ไดด้ ว้ ยการสัมผัส” จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า การอ่าน คือ กระบวนการทางความคิดในการรบั สาร อาศัยการแปล เพ่ือให้เข้าใจความหมายของตัวอักษร สัญลักษณ์ คาศัพท์ สานวน ประโยค และถ้อยคาน้ัน แล้วนาไปใช้ ประโยชนเ์ พอ่ื พฒั นาตนเอง ทั้งด้านสตปิ ญั ญา สงั คมและอารมณ์ ทักษะของการอ่านโดยท่ัวไปแบ่งได้ 2 ระดับ คือ อ่านได้ กับ อ่านเป็น “อ่านได้” คือ รับรู้สารท่ีผ่าน ตัวอักษร อ่านออก สะกดคาได้ ออกเสียงได้ ส่วน “อ่านเป็น” คือ เข้าใจเรื่อง จับใจความหรอื แนวคดิ ของเรื่อง ได้ แสดงความคิดเห็นและประเมินเรื่องท่ีอ่านได้ เราควรพัฒนาระดับของการอ่านเริ่มตั้งแต่อ่านได้จนกระท่ัง อ่านเปน็ ทั้งน้ีเพอ่ื ประโยชนท์ ่ีไดร้ บั จากการอา่ น

110 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร จุดมุ่งหมายของการอา่ น การอ่านหนังสือแต่ละครั้งจะมีจุดประสงค์ท่ีเกิดขึน้ ตามความต้องการของผู้อ่าน ซึ่งอาจต้องการศึกษา คน้ ควา้ ขอ้ มูล หรืออ่านเพ่อื การพักผ่อนหย่อนใจ การอา่ นของแต่ละคนมีจุดมุง่ หมายแตกต่างกันออกไป ซงึ่ แบ่ง ไดด้ ังน้ี 1. อ่านเพื่อหาความรู้ การอ่านตามจุดมุ่งหมายนี้มีความจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับนักศึกษา ได้แก่ การ อ่านตาราวชิ าการ บทความ สารคดี การวิจัยประเภทต่าง ๆ เพ่ีอเก็บสะสมความรู้ไว้ใชใ้ นการเล่าเรียน การเขียน รายงาน การแสดงความคิดเหน็ แลกเปล่ียนความรู้ โดยจดบันทึกประเดน็ สาคัญที่ได้จากการอา่ นลงในบตั รบันทึก ข้อมูล ควรอ่านอย่างหลากหลาย เพราะความรู้ในวิชาหน่ึง อาจนาไปช่วยเสริมในอีกวิชาหน่ึงได้นอกจากน้ียัง รวมถงึ การอา่ นเพื่อรูข้ ่าวสาร เช่น การอา่ นหนังสอื พมิ พ์ วารสาร ฯลฯ 2. อ่านเพ่อื หาคาตอบ เป็นการอ่านทต่ี ้องการคาตอบ เมื่อเราเกิดความสงสัยและตอ้ งการหาคาตอบ ในเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง การอ่านหนังสือจะเป็นหนทางหน่ึงให้เราพบคาตอบเหล่านั้น การอ่านในลักษณะนี้มักอ่าน โดยใช้เวลาส้ัน ๆ เพื่อสรุปใจความสาคัญที่เด่นเท่านั้น เช่น อ่านข่าว อ่านประกาศ อ่านคาแนะนา หรือใน สถานการณ์ต่าง ๆ เช่น หากเราต้องการจะไปเท่ียวเชียงใหม่ เราต้องการทราบข้อมูลว่ามีสถานที่สาคัญที่ใดบ้าง ที่เราควรไป เข้าพักทไ่ี หนเสียค่าใช้จา่ ยเทา่ ใด จะเดนิ ทางอย่างไร ควรใช้เวลาทอ่ งเที่ยวกี่วัน ขอ้ มลู จากการอ่าน นี้จะชว่ ยในการคิดการตัดสนิ ใจของเรา 3. อ่านเพื่อพัฒนาอาชีพ การอ่านเพื่อแสวงหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ สามารถนาความรู้ เหล่าน้ันไปประยุกต์ใช้ในงานอาชีพ พัฒนาปรับปรุงอาชีพของเราให้ดีขึ้นได้ เช่น เราอ่านคู่มือหรือหนังสือเย็บ ปักถักร้อยเพ่ือศึกษาแบบสินค้าท่ีแปลกแตกต่างไปจากเดิม แล้วนามาต่อยอดผลิตภัณฑ์สาหรับการตัดเส้ือผ้า อาจไดแ้ นวทางใหม่ที่ไดร้ บั ความนยิ มจากลกู ค้ามากขน้ึ สรา้ งผลกาไรและรายได้มากขึน้ 4. อ่านเพ่ือพัฒนาจิตใจ เป็นการอ่านเพ่ือข้อคิดอันเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิต ทาให้จิตใจสว่าง สบาย และสงบมากข้ึน ได้แก่ หลักปรัชญา การอ่านหนังสือธรรมะ ในสมัยก่อนเราต้องไปฟังเทศน์ ฟังธรรมที่ วดั แต่ในปัจจุบนั เราอย่ทู ไี่ หนเราก็สามารถศกึ ษาธรรมะไดจ้ ากการอา่ น และสามารถปฏบิ ัติธรรมตามคาแนะนา ท่ีพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านเขียนแนะนาไว้ เราจึงสามารถศึกษาพระธรรมและปฏิบัติธรรมได้ทุกท่ี ดังท่ี พระอริยสงฆ์รูปหน่งึ ทา่ นกล่าววา่ “ทากายเปน็ วัด ทาใจให้เปน็ พระ” 5. อ่านเพ่ือความบันเทิง เป็นการอ่านที่ได้รับความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ผ่อนคลายจาก ความเครียดหรือความเหน่ือยล้า เป็นการหาความสุข ความเพลิดเพลินท่ีทาได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ได้แก่ การอ่านหนังสอื ประเภทบันเทิงคดี มีนวนิยาย เร่ืองสัน้ นิทาน วรรณคดี บทกวี เป็นการอ่านในยามว่างเพ่ือ ผอ่ นคลาย

111 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ความสาคัญของการอ่าน การอ่านมีความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์ต้ังแต่เกิดจนโต และจนกระท่ังถึงวัยชรา การอ่านช่วยเปิดโลก ทัศน์ของผู้อ่านให้กว้างขวางยิ่งข้ึนได้รับรู้ส่ิงใหม่ ๆ ที่อยู่ห่างไกล ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย ช่วยให้ผู้อ่าน เป็นคนที่ทันโลกทันเหตุการณ์ได้พัฒนาสติปัญญา สะสมประสบการณ์ และสามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเรว็ การอ่านจึงมคี วามสาคญั ดังน้ี 1. เป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ ผู้ท่ีอยู่ในวัยศึกษาจาเป็นต้องใช้การอ่านเป็นเคร่ืองมือในการ แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองเปน็ ส่วนใหญ่ การอา่ นเปน็ เครอื่ งมอื ในการหาความรู้ท่ีมคี ุณคา่ ดงั นี้ 1.1 ประหยัดเงิน การอ่านเป็นการหาความรู้ท่ีเสียค่าใช้จ่ายน้อย ผู้อ่านอาจยืมหนังสือจาก ห้องสมุดอ่านได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย หรือถ้าจะซ้ือหนังสืออ่าน หนังสือเล่มหนึ่ง ๆ ก็มักมีราคาตั้งแต่ หลักสิบถึงหลักรอ้ ย แต่กม็ ักไม่ถึงหลักพนั แต่ผู้อ่านจะได้ความรู้เกินราคาของหนังสือ ผู้เขียนหนังสือนั้นกว่าจะ เขียนหนังสือดี ๆ ได้สักเล่มหน่ึง ต้องหาความรู้มากมาย และหาความรู้เป็นระยะเวลายาวนาน เสียเงินทองไป นับไม่ถ้วนกว่าจะมีความรู้มากพอท่ีจะเขียนหนังสือได้สักเล่ม การลงทุนซ้ือหนังสือดี ๆ อ่านด้วยเงินหลักสิบถึง หลกั รอ้ ยจึงเป็นการหาความรทู้ ี่ประหยดั เงิน 1.2 ประหยัดเวลา หนังสือเล่มหน่ึง ๆ ถ้าเราตั้งใจอ่านอาจจะอ่านจบในเวลา 1 คืน หรืออย่าง มาก 1 สัปดาห์ เราจึงได้รับความรู้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ผู้เขียนหนังสือต้องสะสมความรู้และประสบการณ์ เป็นระยะเวลาอันยาวนาน กว่าจะมีความรู้มากพอที่จะเขียนเป็นหนังสือดี ๆ ให้เราอ่านได้ การอ่านจึงนับว่า เป็นการเรียนรทู้ ปี่ ระหยดั เวลาเปน็ การเรยี นรทู้ างลดั 1.3 สะดวก ไม่ว่าผู้อ่านจะอยู่ที่ใด จะอยู่ในที่ที่มีความเจริญ ท่ีห่างไกลทุรกันดารหรืออยู่ในป่า ถา้ มหี นงั สอื ผู้อา่ นกส็ ามารถหาความรู้จากการอ่านได้ และไม่วา่ จะเป็นเวลาใด ขอใหม้ ีแสงสวา่ งมากพอทจ่ี ะเห็น ตัวอักษร ผู้อ่านก็สามารถหาความรู้จากการอ่านได้เช่นกัน ซึ่งต่างจากการหาความรู้ด้วยการฟัง ถ้าไม่มีผู้รู้มา พูดใหเ้ ราฟงั เรากไ็ มม่ ีโอกาสไดร้ บั ฟงั ความรนู้ ัน้ 2. เป็นเครื่องมือพัฒนาความคดิ สง่ิ ท่ีมีคุณค่ามากทีผ่ ู้อา่ นจะได้รบั จากการอ่าน นอกจากความรู้แล้ว ส่งิ น้ันคอื ความคิดและวิธคี ดิ ผ้เู ขียนแตล่ ะคนจะมคี วามคดิ และวิธคี ิดท่ีแตกต่างกัน ถ้าเราอ่านมากก็ยิ่งได้เห็นวิธี คิดที่หลากหลาย ซึ่งเราสามารถนามาพฒั นาความคิดและวิธีคิดของเรานาไปใช้ในการคดิ การตดั สินใจได้อย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ 3. เป็นเครอ่ื งมอื พัฒนาบคุ ลกิ ภาพ การอ่านทาให้ผู้อ่านเกิดความรอบรู้ กล้าคิดกล้าตัดสินใจ และ มีความเช่ือม่ันในตนเอง ผู้ท่ีเช่ือมั่นในตนเองจะมีบุคลิกภาพท่ีดี การอ่านจึงมีส่วนช่วยในการปรับปรุง บคุ ลิกภาพ 4. เป็นเครื่องมือพัฒนาอาชีพ ทุกอาชีพต้องอาศัยการอ่านเพ่ือปรับปรุงงานของตนให้ดีขึ้น แม้แต่ อาชพี เกษตรกรถา้ ขยันอ่านก็จะพบความร้ใู หม่ ๆ ทนี่ ามาช่วยใหผ้ ลผลิตมคี ณุ ภาพมากข้ึน เพมิ่ พูนรายไดม้ ากขึ้น

112 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 5. เป็นเคร่ืองมือพัฒนาจิตใจ การอ่านหนังสือธรรมะจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจของผู้อ่านให้อ่อนโยน สงบเยน็ ขน้ึ เป็นการยกระดบั จิตใจให้สงู ข้นึ 6. ทาให้เกิดความเข้าใจอันดีทางสังคม ผู้ที่รักการอ่านย่อมมีความรอบรู้เร่ืองราวที่เกิดขึ้นในสังคม และเรียนรู้ผู้คนต่างอาชีพวัฒนธรรมต่างความเช่ือ จึงทาให้เกิดความเข้าใจโลกเข้าใจผู้คน ไม่ว่าจะพบปะ สมาคมกับคนประเภทใดกส็ ามารถเขา้ ใจและสร้างความสมั พันธ์อันดตี ่อกันได้ กระบวนการอา่ น การอา่ นเปน็ กระบวนการรับสาร ซง่ึ มขี ้นั ตอนการเกิดขึ้นอยา่ งตอ่ เนื่องและประสานสัมพันธ์กนั ดงั นี้ 1. สายตามองเห็นตัวอักษร หรือคนตาบอดสัมผัสตัวอักษรเบรล ผู้อ่านจะต้องรู้จักตัวอักษรหรือ สญั ลกั ษณ์ต่าง ๆ ทีป่ รากฏบนหนงั สอื นั้นกอ่ น แลว้ จงึ เริ่มสะกดคา ประสมอกั ษร ขนั้ นเี้ รยี กวา่ อา่ นออก 2. เข้าใจคา สานวน ประโยค การอ่านออกยังไม่เพียงพอ ผู้อ่านต้องเข้าใจความหมายของคา สานวน ประโยค ตรงตามท่ีผู้เขียนต้องการส่อื ผู้อ่านทม่ี ีประมวลคาศพั ท์กว้างขวาง จะเปน็ พืน้ ฐานที่ดีในการทา ความเข้าใจเร่อื งท่อี ่าน 3. เข้าใจความหมายของสาร ผู้เขียนใช้ภาษาในการถา่ ยทอดความคิด ขั้นตอนน้ีจงึ เป็นข้ันตอนการ ทาความเข้าใจความคิดของผู้เขียน ซึ่งผู้อ่านต้องอาศัยประสบการณ์ทางภาษา ประสบการณ์ชีวิต ภูมิหลัง เกี่ยวกับงานเขียน และความรทู้ ี่สะสมไว้ นามาใช้ทาความเข้าใจความหมายของสาร โดยผ่านกระบวนการทาง สมอง 4. มีการตอบสนอง ในขณะทอ่ี ่านถ้าผู้อา่ นเห็นดว้ ยก็จะร้สู ึกคล้อยตาม แต่ถา้ ผ้อู ่านไม่เห็นด้วยก็จะมี ความคิดโต้แย้ง แต่ถ้าเนื้อหาไม่ตรงกับความสนใจและรสนิยมของผู้อ่าน เนื้อหายากหรือง่ายเกินไปผู้อ่านก็จะ เบอื่ หนา่ ย ไม่อยากอา่ นไมอ่ ยากตดิ ตามเร่ืองราว 5. มีการนาไปใช้ เม่ืออ่านจบผู้อ่านจะได้ความรู้และความคิดเพิ่มข้ึน บางคนอาจนาไปประสม ประสานกับความรู้และความคดิ เดิม บางคนอาจปรบั เปลี่ยนแนวความคดิ เดิมสแู่ นวความคดิ ใหม่ท่ไี ดร้ ับ เพอื่ ไป ใช้ในการคดิ การตดั สนิ ใจในโอกาสต่อไป องค์ประกอบทมี่ ผี ลต่อการอ่าน ความสามารถในการอา่ นมอี งคป์ ระกอบหลายประการเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังน้ี 1. สุขภาพร่างกาย ผู้ทีม่ สี ขุ ภาพดีพรอ้ มสมบูรณ์ เช่น สายตาดี สุขภาพแข็งแรง ย่อมมีความพรอ้ มที่ จะอา่ น สว่ นผูท้ ม่ี ปี ญั หาทางสายตา ร่างกายเจ็บป่วย ยอ่ มมผี ลกระทบกับประสิทธิภาพในการอ่าน ทาให้อ่านได้ ดว้ ยความยากลาบาก และอา่ นได้ในระยะเวลาสน้ั ๆ 2. ระดับสติปัญญา การอ่านต้องใช้ความสามารถทางสมองในการเข้าใจคา สานวน ประโยค ข้อความ ความสามารถในการสังเกต วิเคราะห์ จดจา การเช่ือมโยงความคิดความเข้าใจในสิ่งท่ีเป็นนามธรรม ความสามารถในการตคี วาม การมีวจิ ารณญาณ ผู้มีระดับสติปัญญาดีจงึ มคี วามสามารถในการอ่านท่ีดี

113 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 3. ประสบการณ์ทางภาษา ผู้อ่านท่ีมีประมวลศัพท์อยู่ในสมองมาก จะเข้าใจถ้อยคาท่ีผู้เขียน ตอ้ งการส่ือสารได้ดี เพราะบางข้อความมีทง้ั ความหมายตรงและความหมายแฝง ท่ีตอ้ งอาศัยประสบการณ์ทาง ภาษาในการตีความ 4. ประสบการณ์ชีวิต คนท่ีพบเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากย่อมเข้าใจชีวิต เข้าใจผู้คนในสังคม จึงเป็น พื้นฐานใหเ้ ขา้ ใจและตคี วามสารทอ่ี ่านได้งา่ ยขึ้น 5. การมีสมาธิ คนที่มีสมาธิต่อเนื่องทาให้อ่านหนังสือได้ยาวนาน และจดจ่อกับสิ่งที่อ่าน เป็นผลทา ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจเรื่องได้อยา่ งต่อเน่ือง จดจาเรอื่ งไดด้ ี อา่ นแลว้ ไม่ตอ้ งกลับมาอา่ นทวนซ้า 6. การรจู้ ักรูปแบบของงานเขยี น ผูแ้ ต่งจะเลือกใช้รปู แบบของงานเขียนให้สอดคล้องกับเนอ้ื หาที่จะ นาเสนอ และการอ่านงานเขียนที่มีรูปแบบต่างกัน ก็มีวิธีอ่านที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น การอ่านนิราศ ผู้อ่านก็ ต้องรู้จกั การราพนั ทานองนิราศจึงจะอ่านได้อยา่ งเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนและได้รสของความไพเราะ อยา่ งเต็มที่ 7. การรู้จักวิธีอ่าน การอ่านหนังสือแต่ละประเภทมีวิธีอ่านท่ีแตกต่างกัน เช่น อ่านหนังสือพิมพ์อาจ ใช้วิธีอ่านอย่างผ่าน ๆ การอ่านบทความต้องอ่านอย่างวิเคราะห์ การอ่านวรรณคดีต้องใช้จินตนาการและ บางคร้งั ต้องอ่านออกเสียงเพ่ือใหไ้ ด้รสไพเราะของรสคาทม่ี ีเสียงสมั ผสั คล้องจองกัน ประเภทของสาร การอ่านผู้อ่านควรรู้จักประเภทของสาร เพื่อเป็นแนวทางในการอ่าน ทาให้เข้าใจสารได้ง่ายข้ึน การ แบ่งสารตามรูปแบบงานประพันธแ์ บง่ เป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 1. เร่ืองแต่ง (Fiction) คือ เรอ่ื งท่ีแต่งข้ึนตามจนิ ตนาการเป็นเรื่องสมมุติ แม้บางเรอ่ื งจะนาเค้าโครง จากเรื่องจริงมาแต่ง ก็จะต่อเติมเสริมแต่งให้เรื่องสนุกสนานมีรสชาติชวนอ่าน โดยมุ่งความเพลิดเพลินของ ผอู้ า่ นเป็นสาคญั ตาราบางเล่มเรียก “บนั เทิงคด”ี ได้แก่ นวนยิ าย เรื่องสัน้ นิยาย นทิ าน นวนิยาย (Novel) บันเทิงคดีร้อยแก้วแนวใหม่รับอิทธิพลมาจากตะวันตก นวนิยายเป็นบท ประพันธ์ร้อยแก้วขนาดยาวที่แต่งข้ึนเพื่อความบันเทิง โดยสมมติตัวละคร เหตุการณ์ โครงเร่ือง และสถานท่ี เพื่อให้เกิดความสมจริง มีเน้ือหาและพฤติกรรมของตัวละคร (characters) มีบทสนทนา และบรรยาย เหตุการณอ์ ยา่ งปถุ ุชนท่ัวไป เรื่องส้ัน (Short story) มีลักษณะคล้ายนวนิยาย แต่มีขนาดส้ัน มีตัวละครน้อย ฉากน้อย ดาเนิน เร่ืองรวดเร็ว มักจบแบบพลิกความคาดหมายหรอื แบบทิง้ ไว้ให้คดิ นยิ าย นิทาน เป็นเรือ่ งเล่าสืบต่อกนั มามีมาแต่โบราณ ตัวละครสาคัญมกั เป็นบุคคลสูงศักด์ิ มีฤทธิ์ อภินิหาร สมมติข้นึ เพ่ือความบันเทิง ไม่จากัดวธิ ีนาเสนอจะเป็นร้อยแก้วอย่างนิทานชาดกหรือนิทานพ้ืนบ้านก็ ได้ เน้ือหาและเหตุการณ์ในเร่ืองมกั มลี ักษณะเกนิ จริง 2. เร่ืองจริง (Non-fiction) เป็นเรื่องที่เรียบเรียงเขียนขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริง ประสบการณ์ หรือ เป็นข้อมูลท่ีศึกษาค้นคว้าทดลอง มีเอกสารหรือหลักฐานอ้างอิง และอาจมีความคิดเห็นของผู้เขียนประกอบ

114 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร เป็นสารท่ีมุ่งให้ความรู้ ความคิด มีจุดประสงค์เพื่อมุ่งให้สาระความรู้แก่ผู้อ่านเป็นสาคัญ ได้แก่ บทความ บท วจิ ารณ์ สารคดี บทสมั ภาษณ์ ตารา ปาฐกถา บทอภิปราย พงศาวดาร ปกณิ กะ ฯลฯ 3. บทละคร (Drama) บทประพันธ์ท่ีเขียนขึ้นเพ่ือนาเสนอเร่ืองราวความคิดของผู้ประพันธ์ต่อผู้ชม ในรูปแบบของการแสดง ไดแ้ ก่ บทละครรอ้ ง บทละครรา บทละครพูด บทละครวทิ ยุ บทละครโทรทศั น์ ฯลฯ 4. บทร้อยกรอง (Poetry) เป็นงานประพันธ์ที่มีลักษณะการแต่งเป็นพิเศษไปจากร้อยแก้ว มีการ กาหนดจานวนคาในวรรค บท และบาท สมั ผสั เอกโท ขอ้ กาหนดเหล่านี้ เรยี กว่า “ฉันทลักษณ์” ร้อยกรองอาจ แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ลักษณะ คอื ร้อยกรองยคุ เกา่ และร้อยกรองยุคใหม่ รอ้ ยกรองยุคเก่า แต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ลิลิต กาพย์ห่อโคลง เน้ือหามีขนาดยาว เลือกสรรคาท่ีไพเราะใช้ในการประพันธ์ และเคร่งครัดในฉันทลักษณ์ ยึดธรรมเนียมนิยมใน การแต่ง เช่น เมื่อเปิดเรื่องจะเร่ิมด้วยบทไหว้ครู สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย สดุดีพระมหากษัตริย์ ชมบ้านชม เมือง ร้อยกรองยุคเก่า ได้แก่ ลิลิตพระลอ ทวาทศมาส นิราศหริภุญชัย ขุนช้างขุนแผน กาสรวลศรีปราชญ์ สามกรุง ฯลฯ รอ้ ยกรองยุคใหม่ นิยมแต่งด้วยคาประพันธ์ที่แต่งง่าย เช่น กาพย์ กลอน บทประพันธ์มีขนาดส้ัน อา่ นจบในเวลาอนั รวดเรว็ ไม่เครง่ ครัดฉนั ทลกั ษณ์ ม่งุ เน้นสือ่ ความคดิ ของผ้เู ขียนเป็นสาคญั ประเภทของการอา่ น การอ่านแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การอ่านในใจ เป็นทกั ษะท่ใี ช้มากในชวี ิตประจาวันเพื่อทาความเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่าน และสามารถ เก็บใจความจากเร่ืองท่ีอ่านได้ เปน็ การแสวงหาความรู้ความบันเทิงให้แก่ตนเอง ผู้อ่านควรฝึกฝนการอา่ นอย่าง สม่าเสมอเพื่อประสทิ ธภิ าพในการอ่าน มสี มาธิ รบั รคู้ วามหมายถอ้ ยคาจนเกดิ ความเขา้ ใจเน้ือเรือ่ งได้ตลอด 2. การอ่านออกเสียง การเปล่งเสียงตัวอกั ษรให้ถูกต้อง กระบวนการถ่ายทอดความเข้าใจของเรื่องท่ี อ่านออกมาเป็นเสียงให้ผู้อ่ืนฟัง การอ่านออกเสียงธรรมดาผู้อ่านจะต้องระวังควบคุมการออกเสียง ตัวสะกด ตัวควบกล้า ลีลา จังหวะ วรรคตอนให้ถูกต้อง การอ่านออกเสียงแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ อ่านออกเสียงปกติ และอา่ นทานองเสนาะ 2.1 การอ่านออกเสียงปกติ อา่ นได้ทัง้ ร้อยแก้วและร้อยกรอง ควรปฏบิ ัติดงั น้ี 2.1.1 อ่านออกเสียงให้ถูกต้อง อ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธี คาบางคาอ่านตามความนิยม ผูอ้ ่านจะต้องทราบหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในการอ่านคาต้องหม่ันสังเกตการอ่านของผู้อ่นื คาใดควรอ่านอย่างไร ถ้า ไมแ่ นใ่ จควรใช้พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานชว่ ยตัดสนิ การอ่าน เชน่ การอา่ นอักษรควบ – อกั ษรนา อกั ษรควบ มี 2 ชนิด คือ อกั ษรควบแท้และอักษรควบไม่แท้ อักษรควบแท้ อ่านออกเสียงพยัญชนะทั้ง 2 ตัวควบกันไป เช่น กรอง กราบ กราน กลม เกลา

115 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร อักษรควบไมแ่ ท้ อา่ นได้ 2 แบบ คือ 1. อ่านออกเสยี งพยญั ชนะตัวหน้าตวั เดียว เช่น จรงิ สรา้ ง เสรมิ แสร้ง ไซร้ 2. อา่ นออกเสียง ทร เปลีย่ นเปน็ ซ เช่น ทราบ ทราม ทราย ทรุดโทรม ทรพั ย์ อักษรนา อ่านได้ 2 แบบ คอื 1. อ่านออกเสียงเป็น 2 พยางค์ พยางค์หน้าอ่านออกเสียงเหมือนมี สระอะ พยางค์ หลังอ่านออกเสียงตามสระท่ีประสมอยู่ และถ้าพยัญชนะตัวหลังเป็นอักษรเด่ียวต้องออกเสียงวรรณยุกต์ตามตัว หน้า เช่น ตลาด อ่านว่า ตะ - หลาด ถ้าพยญั ชนะตัวนาเป็นอกั ษรต่าหรือพยัญชนะตัวหลังไม่ใช่อักษรเด่ียวจะอ่าน ออกเสียงตามสระที่ประสมอยู่และจะไม่เปลีย่ นแปลงเสียงวรรณยกุ ตต์ ามตวั หน้า เชน่ ผกา อา่ นวา่ ผะ - กา 2. อ่านออกเสียงเป็นพยางค์เดียว ไม่ต้องออกเสียงเป็นพยัญชนะตัวนา ถ้า ห นา อักษรเดย่ี ว หรอื อ นา ย เชน่ หญ้า ไหน อย่า อยู่ อย่าง อยาก การอ่านคาสมาส คาสมาส คือ คาบาลีสันสกฤตตั้งแต่ 2 คาขึ้นไปมาประสมให้เป็นคาเดียวกัน ถ้า ท้าย คาแรกมีสระอะ เม่ือประสมคาแล้ว ให้ตัดสระท้ิงไป แต่ถ้าเป็นสระอื่นให้คงสระน้ันไว้ เช่น พละ + ศกึ ษา เป็น พลศึกษา ประวัติ + ศาสตร์ เป็น ประวัติศาสตร์ การอ่านออกเสียงคาสมาส ถ้ากลางคามีสระให้อ่าน ออกเสยี งสระน้ันด้วย เช่น เกยี รติคุณ อ่านว่า เกียด – ติ – คุน แต่ถ้ากลางคาไม่มีสระให้อ่านออกเสียงเหมือน มสี ระอะ เช่น เกษตรศาสตร์ อา่ นวา่ กะ – เสด – ตระ – สาด ตัวอย่างการอา่ นคาสมาส แพทยศาสตร์ อ่านว่า แพด – ทะ – ยะ – สาด เกยี รติภูมิ อ่านว่า เกยี ด – ติ – พูม ราชธดิ า อ่านวา่ ราด – ชะ – ทิ – ดา กรณยี กิจ อ่านวา่ กะ – ระ – นี – ยะ – กิด สงั คมวทิ ยา อา่ นว่า สัง – คม – มะ – วดิ – ทะ – ยา สถานภาพ อา่ นวา่ สะ – ถา – นะ – พาบ ศีลธรรม อ่านวา่ สนี – ละ – ทา ยมบาล อา่ นว่า ยม – มะ – บาน มาตรฐาน อ่านวา่ มาด – ตระ – ถาน พืชมงคล อา่ นวา่ พืด – ชะ – มง – คน ปฐมเหตุ อา่ นว่า ปะ – ถม – มะ –เหด ปจั ฉมิ วยั อ่านว่า ปัด - ฉิม – มะ – ไว กศุ ลกรรม อา่ นว่า กุ – สน – ละ – กา อดีตกาล อา่ นว่า อะ – ดดี – ตะ – กาน ทัณฑสถาน อา่ นว่า ทนั – ทะ สะ – ถาน

116 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร การอา่ นเรียงพยางค์ การอ่านเรียงพยางค์ คือ การอ่านตามอักขรวิธีของบาลีสันสกฤต หมายถึง การ อ่านออกเสยี งสระ อะ ในพยางคท์ ไี่ ม่มีสระ อะ กากบั และพยางค์น้นั ไม่ใชต่ วั สะกดหรอื ตัวควบกลา้ เชน่ อรหันต์ อา่ นวา่ อะ – ระ – หนั สมาทาน อา่ นวา่ สะ – มา – ทาน สมาคม อ่านวา่ สะ – มา – คม สมานฉันท์ อ่านวา่ สะ – มา – นะ – ฉนั การอ่านคาพอ้ งรูป คาพ้องรูป คือ คาที่สะกดเหมือนกัน อ่านออกเสียงต่างกันและความหมายต่างกัน เชน่ สระ อา่ นวา่ สะ หมายถึง บ่อนา้ ถ้าอา่ นวา่ สะ – หระ หมายถึง ตวั อักษร ตัวอยา่ งคาพอ้ งรูป ปรัก อา่ นว่า ปรฺ กั (เงิน) ปะ – หรกั (หักพงั ) กรี อา่ นว่า กรฺ ี (กระดูกท่ีหัวกงุ้ ) กะ – รี (ช้าง) เพลา อา่ นวา่ เพฺลา (ตัก) เพ – ลา (เวลา) พลี อา่ นว่า พลฺ ี (ขอแบ่งเอามา) พะ – ลี (การบวงสรวง) แหน อ่านว่า แหนฺ (หวง) แหฺน (พชื ) เสลา อา่ นวา่ สะ – เหลา (งาม) เส – ลา (ภูเขา, หิน) แขม อ่านวา่ ขะ – แม (คนเขมร) แขม (พรรณไม้ชนิดหน่งึ ) พยาธิ อ่านว่า พะ – ยาด (สัตว)์ พะ – ยา – ทิ (ความเจ็บไข)้ ปรามาส อา่ นวา่ ปรา – มาด (ดูถูก) ปะ – รา – มาด (การจับตอ้ ง) ตนุ อ่านว่า ตะ – หนุ (ชื่อเตา่ ทะเล) ตะ – นุ (ตน, ตัว)

117 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร การอา่ นตัว ฤ ตัว ฤ ออกเสียงเปน็ 3 อยา่ ง คือ เป็นเสยี ง ริ รึ เรอ มีหลกั ดงั นี้ 1. อ่านเปน็ เสียง ริ ถา้ ประสมกับ ก ต ท ป ศ ส เช่น กฤษฎกี า อังกฤษ ตฤณ ทฤษฏี 2. อ่านเป็นเสียง รึ ถ้าประสมกบั อกั ษรตัวอื่น เช่น มฤตยู นฤมล พฤษภ พฤศจิกายน พฤฒา 3. อา่ นเป็นเสยี ง เรอ เชน่ ฤกษ์ การอ่านเครอื่ งหมาย เชน่ โปรดเกล้าฯ อ่านวา่ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม กระโปรงสดี าดาแดงแดง กระโปรงสดี า ๆ แดง ๆ อา่ นว่า การอ่านตัวเลขบอกเวลา เช่น 9.30 น. อ่านวา่ เกา้ นาฬกิ าสามสบิ นาที การอา่ นคาย่อ เช่น อา่ นว่า จลุ ศกั ราช จ.ศ. อา่ นว่า คณะกรรมการข้าราชการพลเรอื น ก.พ. อา่ นว่า การศกึ ษานอกโรงเรยี น กศน. การอา่ นตวั ฤ ออกเสยี งได้ 3 เสียง คอื ริ รึ เรอ เช่น ตฤณ อ่านว่า ตรนิ ฤคเวท อ่านว่า รึก – คะ – เวด ฤกษ์ อ่านว่า เริก การอา่ นตัว “ฉ” อ่านได้ 3 แบบ ดงั นี้ ฉอ – กะ – สัด ออกสยี ง ฉอ เชน่ ฉกษตั รยิ ์ อา่ นวา่ ฉ้อ – ทาน ออกเสียง ฉ้อ เชน่ โรงฉทาน อ่านว่า ฉะ – กา –มา – วะ – จอน ออกเสียง ฉะ เชน่ ฉกามาวจร อ่านว่า การอา่ นตวั “ฑ” อา่ นได้ 2 แบบ ดงั นี้ แบบท่ี 1 ออกเสยี งเปน็ ด เมอ่ื เปน็ คาตาย เช่น บณุ ฑรกิ อ่านว่า บุน – ดะ – รกิ มณฑป อา่ นวา่ มน – ดบ บัณเฑาะว์ อา่ นว่า บัน – เดาะ แบบที่ 2 ออกเสียงเปน็ ท มที ง้ั คาตายและคาเป็น เชน่

118 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร กุณฑล อ่านวา่ กนุ - ทน ขณั ฑสีมา อ่านวา่ ขนั – ทะ – สี – มา จณั ฑาล อา่ นวา่ จัน – ทาน ทัณฑฆาต อา่ นว่า ทัน – ทะ – คาด 2.1.2 อ่านให้ชัดเจน ได้แก่ อ่านออกเสียง พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ อย่างถูกต้อง ออกเสยี งใหช้ ัดถอ้ ยชัดคา เชน่ การอ่านออกเสียง ร – ล หรอื คาควบกล้าชัดเจน 2.1.3 อ่านให้คล่องแคล่วน่าฟัง คือ อ่านให้ชัดเจน ราบร่ืน ไม่ติดขัด ไม่ตะกุกตะกัก ผู้อ่านต้องลองซ้อมอ่านโดยอ่านในใจครั้งหน่ึงก่อน เพื่อให้รู้เร่ืองราวท่ีอ่าน สามารถเข้าใจบทอ่านอย่างถูกต้อง เพื่อจะได้ถ่ายทอดเร่ืองราวที่อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจความหมายของคา ถ้อยคาสานวน ความคิด สาคัญของเร่ืองที่อ่านเข้าใจ จึงจะสามารถเว้นวรรคตอนการอ่านให้ถูกต้องตามเรื่องราว สามารถใช้น้าเสียงได้ นา่ ฟงั มกี ารเนน้ ถ้อยคาอย่างถกู ตอ้ งสัมพันธ์กับเนือ้ เรอ่ื ง 2.1.4 การอา่ นเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง การเว้นวรรคตอนช่วยให้มีจังหวะที่น่าฟงั เป็นส่ิง สาคญั ในการอา่ น ถ้าอา่ นเว้นวรรคผดิ ความหมายก็ผดิ ไปดว้ ย เช่น \"สาวตากลมนอนตากลมอยู่ริมทะเล\" ถ้าเว้นวรรคตอนการอ่านผิดเป็นดังนี้ “สาว ตาก / ลมมานอนตา / กลมอยู่รมิ ทะเล” ความหมายจะเปลย่ี นไป \"โรงพยาบาลน้ีไม่รับผิดชอบของมีค่าของผู้ป่วย\" ถ้าเว้นวรรคตอนการอ่านผิดเป็น ดังนี้ “โรงพยาบาลนไ้ี มร่ บั ผดิ / ชอบของมคี า่ ของผ้ปู ว่ ย” ความหมายจะเปลยี่ นไป การฝึกทักษะการอ่านออกเสียง คาท่มี พี ยัญชนะ ร และ ล รกร้าง รกราก รงรอง รอ่ งรอย รวนเร ล่วงลับ ไล่เลีย่ ล้อเลียน ลนลาน ลดหลั่น แรกรเิ รม่ิ รอยรกั รา้ ว เรง่ รอนแรม ลมื เลห่ ์เหลี่ยม ลัดเลด็ ลอด เลนิ เล่อลม้ รักโรงเรียน รา่ งร่วงโรย ปราดเปร่อื ง ละลาบละลว้ ง ลา้ เลิศล่วิ ปลอดโปร่ง คาที่มีเสียงควบกลา้ กราดเกร้ยี ว ขรขุ ระ โครกคราก ตรวจตรา พริ้งพราย พลั้งเผลอ กร่งิ เกรง ขวักไขว่ ฝกึ ทักษะการอ่านออกเสียงควบกล้าแบบร้อยแก้ว นายเกรียงไกรคนเจ้าชู้มากชั้นเชิงชอบทาท่ากรุ้มกริ่ม นายเกรียงไกรเป็นเพื่อนกับนาย โกรง่ นักตะกร้อจากกรุงเทพฯ ท้ังสองคนชอบใช้มดี คมกริบทาท่ากรดี กรายฉวดั เฉวียนแถวบ่อกุ้งก้ามกราม เม่ือ ถึงเวลาเหมาะเหม็งตอนมืดมันควงมีดมาหาคุณกรองทองเจ้ามือขายหวยซึ่งชอบสวมกระโปรงยาวกรอมเท้า

119 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร เดินกรุยกราย กรรโชกทรัพย์สินเสียจนสิ้น คุณกรองทองฮึกเหิมคว้ากระบองขว้างไปถูกที่กระบาลเป็นแผลลึก ไปหลายกระเบียด 2.2 การอ่านทานองเสนาะ คือ การอ่านคาประพันธ์ที่เป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ท่ีมีฉันท ลกั ษณ์ หรอื แบบแผนในการแตง่ เฉพาะแบบ เป็นการอ่านออกเสียงกวนี ิพนธ์ โดยใส่ท่วงทานองตามรูปแบบบท กวีนิพนธ์นั้น ๆ มุ่งให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อยตามทานองเสียงนั้น ได้รับรสไพเราะของถ้อยคาที่เรียบเรียงอย่าง มีศิลปะ 1. อ่านออกเสียงปกติ คือ การอ่านเหมือนเสียงพูดธรรมดา ชัดเจน ถูกต้อง คล่องแคล่ว กลอนแปด แบง่ จงั หวะดงั นี้ พอแดดพร้ิม ยมิ้ พราย กับชายฟา้ โลกกจ็ ้า แจ่มหวงั ด้วยรังสี หยาดอรุณ อนุ่ หลา้ เหมอื นอารี แพรรพี ห่มภพ อบหนาวคลาย (จนิ ตนา ป่นิ เฉลียว: รงุ่ อรุณแหง่ หวั ใจ) กาพย์ยานี 11 แบง่ จงั หวะดงั นี้ นกบินเฉียง ไปทัง้ หมู่ เรือ่ ยเรอ่ื ย มาเรียงเรยี ง เหมือนพอี่ ยู่ ผูเ้ ดียวดาย ตวั เดียว มาพลัดคู่ (กาพยเ์ หเ่ รือ) กาพย์ฉบงั 16 แบง่ จงั หวะดงั นี้ ฟังเสียง เพียงเพลง กลางไพร ไก่ขนั บรรเลง ซอเจง้ จาเรียง เวียงวัง (กาพย์พระไชยสุริยา) โคลงสสี่ ุภาพ แบ่งจงั หวะดังน้ี เสยี งลือ เสียงเล่าอา้ ง อนั ใด พี่เอย เสยี งย่อม ยอยศใคร ทัว่ หล้า สองเขือ พี่หลบั ใหล ลืมตืน่ ฤๅพ่ี สองพ่ี คดิ เองอ้า อย่าได้ ถามเผือ (ลิลติ พระลอ) โคลงสองสุภาพ แบง่ จงั หวะดงั นี้ รอยรูปอนิ ทร์ หยาดฟ้า มาอา่ องค์ ในหลา้ แหลง่ ให้ คนชม แลฤๅ (ลลิ ิตพระลอ)

120 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ 11 แบง่ จงั หวะดังนี้ บงเนื้อ กเ็ นอ้ื เต้น พิศะเส้น สรีร์รัว ทว่ั รา่ ง และทงั้ ตวั ก็ระรกิ ระริวไหว แลหลัง กห็ ลง่ั โล หิตโอ้ เลอะหลง่ั ไป เพ่งผาด อนาถใจ ระกะรอ่ ย เพราะรอยหวาย (สามคั คเี ภทคาฉันท์) 2. อ่านเน้นเสียงสัมผัส การอ่านบทร้อยกรองจะต้องอ่านเน้นคาตรงที่สัมผัสกันคา ประพันธ์นน้ั จึงจะไพเราะ เชน่ ลาเจยี กเอ๋ยเคยช่นื ระรื่นรส ตอ้ งจาอดออมระอาด้วยหนาหนามถงึ คลองเตย เตยแตกใบแฉกงาม คิดถึงยามปลกู รกั มกั เป็นเตย (นริ าศเมืองเพชร) การอ่านจึงตอ้ งเนน้ เสยี งสมั ผสั รส งาม หนาม งาม ยาม มากขนึ้ เชน่ 3. อา่ นเอ้ือสัมผัส บทรอ้ ยกรองประเภทกลอนกวีนิยมเพ่ิมสัมผัสใน เพ่ือเพม่ิ ความไพเราะ คิดถงึ บาทบพิตรอดิศร อ่านวา่ อะ-ดดิ -สอน เพอ่ื ให้สมั ผสั กับคาวา่ “บพติ ร” 4. การอ่านรวบคา ในพยางค์ที่เกิน การแต่งคาประพันธ์มีการอนุโลมให้คาที่มีพยางค์ หลายพยางคน์ ับเป็น 1 คา เช่น กระไดเอาอาตมแกว้ พรีเพา ไซแ้ ม่ เจยี รจากบางคลครวญ ใชน่ อ้ ย กระไดเง่อื นเงาเดือน โดยยา่ ง นอนนัง่ นางพรอ้ มถอ้ ย ดจุ เดยี ว (กาสรวลศรีปราชญ)์ คา “อาตม” ต้องอา่ นวา่ “อาด” เพราะโคลงสสี่ ุภาพวรรคท่ี 1 ของบาทแรก มีเพียง 5 คา

121 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ระดับของการอ่าน การอ่านน้ันมีขั้นตอนจากง่ายไปหายากข้ึนอยู่กับประสบการณ์การอ่านของแต่ละคน ดังนั้นจึงควร เลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ความต้องการของผู้อา่ น หรอื เนอ้ื หาสาระที่อ่าน การอ่านแบ่งออกเปน็ 4 ระดบั ดังน้ี 1. การอ่านจับใจความ เปน็ การอ่านเพื่อคน้ หาสาระของเรื่องทเี่ ปน็ ส่วนใจความสาคัญท่ผี ู้เขียนเสนอ มายังผู้อ่าน และส่วนขยายใจความสาคัญของเรื่อง ใจความสาคัญ หมายถึง ข้อความที่มีสาระคลุมข้อความ อ่ืน ๆ ในย่อหน้าหรือเร่ืองนั้นทั้งหมด โดยมีข้อความอื่น ๆ เป็นเพียงส่วนขยายใจความสาคัญเท่านั้นข้อความ หน่ึงหรือตอนหน่ึงจะมีใจความสาคัญท่ีสุดเพียงหน่ึงเดียวนอกน้ันเป็นใจความรอง พลความ หรือส่วนขยาย ใจความ หมายถึง ประโยคท่ีช่วยขยายเน้ือความของใจความสาคัญเพ่ือสนับสนุนหรือแสดงตัวอย่าง เพ่ือให้ ผู้อ่านเกิดความเข้าใจมากข้ึน ซ่ึงในแตล่ ะย่อหน้าอาจมพี ลความอยู่หลาย ๆ ประโยคได้ ประโยคใจความสาคัญอย่ตู ้นยอ่ หน้า เราโชคดีท่ีมีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างย่ิงท่ีจะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะใน ด้านรักษาภาษาน้ีก็มีหลายประการ อย่างหน่ึงต้องรักษาให้บริสุทธ์ิในทางการออกเสียง คือ ให้ออกเสียงให้ ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหน่ึงต้องรักษาให้บริสุทธ์ิในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คามาประกอบเป็นประโยค นับเป็นปัญหาท่ีสาม ปัญหาท่ีสาม คือ ความร่ารวยในคาของภาษาไทย ซ่ึงพวกเรานึกว่าไม่ร่ารวยพอ จึงต้องมี การบัญญัติศัพทใ์ หมม่ าใช้ (พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั พระราชทานเนอ่ื งใน วันภาษาไทยแหง่ ชาติ วันที่ 29 กรกฎาคม 2543) ประโยคใจความสาคญั อยู่กลางยอ่ หนา้ การท่ีจะเป็นผู้ฟังท่ีดีได้น้ันจะต้องมีการฝึกฝนจนเรียนรู้ ฉะนั้นครูจึงเป็นผู้ที่มีโอกาสดีกว่าคนอื่น ๆ ในการฝกึ นิสัยการฟงั ทดี่ ีให้แกเ่ ยาวชนทีจ่ ะเป็นผ้นู าของชาตใิ นอนาคตครูไม่ควรมองขา้ มความสาคัญของการฟัง ไป ควรระลึกไว้เสมอว่า การฟังมคี วามสาคญั เท่าๆ กับการพดู การอ่านและการเขยี น ถ้าผู้ฟังรจู้ กั ฟงั แลว้ การ ฟังก็จะมีประโยชน์มาก แต่ถ้าผฟู้ ังไม่รู้จกั การฟัง ผู้ฟังก็จะไม่ได้รับผลอะไรเลย แต่ในทางตรงกันข้ามบางครั้งก็ อาจจะมโี ทษอันรา้ ยแรงเกิดขึ้นอกี ดว้ ย ประโยคใจความสาคัญอยทู่ ้ายยอ่ หนา้ ผู้พูดที่ดีในการพูดต่อที่ประชุมชน ต้องทาอย่างใดอย่างหนึ่งให้ผู้ฟังแต่ละคนรู้สึกว่า ผู้พูดท่ีกาลัง พูดกบั ตนเปน็ การส่วนตัว คอื พดู อะไรกต็ ามแตล่ ะคนจะรู้สึกวา่ ผพู้ ูดกับผฟู้ งั คนน้นั เท่านนั้ ทาใหเ้ กิดเป็นกนั เอง และใกล้ชิด…….การพูดนาน ๆ ไม่ได้หมายความว่าพูดเกง่ คนท่ีพูดโดยใช้เวลาพอสมควรกับเร่ืองท่ีจะพูดและ สามารถทาให้ผฟู้ ังจับใจความได้หรือเขา้ ใจเรอื่ งท่พี ูดโดยตลอดน่ันแหละ ควรกล่าวไดว้ ่า ผู้พดู นัน้ พดู เก่ง (วาทนิเทศและวาทศลิ ป์: ม.ร.ว. คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช)

122 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 2. การอ่านเชิงวิเคราะห์ เป็นการอ่านเพ่ือพิจารณาแยกแยะเน้ือหาออกเป็นส่วน ๆ ท้ังข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น หรือความรู้สึกของผู้เขียน และการใช้ภาษา โดยใช้เหตุผลประกอบการพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ การอา่ นเชิงวเิ คราะหม์ ีแนวทางดงั น้ี 1. พิจารณารูปแบบ เป็นการพิจารณาลักษณะงานเขียนว่าเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง และ พจิ ารณาประเภทของงานเขียนว่าเปน็ สารคดีหรอื บันเทงิ คดี 2. พจิ ารณาเนอื้ หา เปน็ การพิจารณาและแยกแยะเนือ้ หาของสาร ข้อความใดเปน็ ใจความสาคัญ สว่ นขยาย ข้อความใดเปน็ ข้อเทจ็ จรงิ ข้อคดิ เห็น หรอื เนอ้ื หาในสว่ นท่ีแสดงอารมณ์ความรูส้ กึ ของผู้เขยี น 3. พิจารณาการใช้ภาษา เป็นการพิจารณาระดับภาษาการใช้คา ประโยค สานวนโวหารและ ความเปรียบเพอื่ ส่ือความหมายที่ผู้เขียนต้องการ ตวั อย่างการวเิ คราะห์บทรอ้ ยกรอง ฉันเปน็ หนี้ดอกจาปาของตาพลอย ต้งั แต่น้อยยงั นึกราลกึ ได้ ขอเลา่ สคู่ ณุ ครผู ู้รว่ มใจ วา่ ดอกไม้มีอานาจดลบนั ดาล คณุ ยายฉันท่านพาไปฟังเทศน์ ธรรมวิเศษแสนสุดพทุ ธบรรหาร ฉันไมร่ รู้ สธรรมล้าโอฬาร ที่พระทา่ นเทศนาวา่ อย่างไร เพราะตวั ฉันยงั เด็กยงั เล็กนกั จะรู้จักรสพระธรรมได้ไฉน ทีฉ่ ันไปฟงั เทศนท์ กุ คราวไป เพราะฉันอยากไดด้ อกจาปาของตาพลอย ตาพลอยดีมจี าปาบชู าพระ เด็กเด็กจะแยง่ กนั ลาอยบู่ อ่ ยบ่อย ดอกไมอ้ ่ืนดืน่ ไปมไี ม่นอ้ ย แต่ไมค่ อ่ ยถูกใจใชจ่ าปา เด็กร่นุ ฉนั พากนั ไปฟงั เทศน์ ก็เพราะเหตุอยา่ งเดยี วจะเทียวหา ดอกไม้ของตาพลอยเพ่ือคอยลา ตา่ งต้ังทา่ แยง่ กันทกุ วันไป ดอกจาปาล่อใจใหเ้ ปน็ เหตุ คงไปฟงั เทศนห์ าหยุดไม่ ย่งิ นานวนั พลันค่อยเจริญวัย ยงิ่ เข้าใจธรรมซึ้งขน้ึ ทุกที พทุ ธประวตั ชิ าดกทา่ นยกมาอ้าง ความคดิ กว้างเห็นงามตามวิถี รสพระธรรมนาใจใหใ้ ฝ่ดี ฉันเป็นหน้ีดอกจาปาของตาพลอย (เร่ือง “ดอกจาปาของตาพลอย” ของเจือ สตะเวทิน) ผลการวิเคราะหพ์ บว่า กลอนดงั กลา่ วข้างต้นเต็มไปดว้ ยคุณคา่ ด้านเนื้อหาสาระ แนวความคิด และกลวธิ นี าเสนอ ลกั ษณะคาประพันธเ์ ป็นกลอนสภุ าพ 7 บท มีเน้ือหาเป็นเรื่องราวในวัยเดก็ ของผู้เขยี นเล่าถึง การตามคุณยายไปฟังเทศน์ เพราะอยากได้ดอกไม้ คือ ดอกจาปา คร้ันไปฟังเทศน์บ่อยเข้าทาให้เข้าใจคาสอน ต่าง ๆ จึงเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี นับได้ว่า ดอกจาปาเป็นดอกไม้ท่ีมีคุณค่าต่อชีวิต ด้านเนื้อหาพบว่า กล่าวถงึ ความดีของรสพระธรรมคาสอน และให้ข้อเตอื นใจแก่ผู้อ่านคือไม่ให้มองขา้ มสิง่ เลก็ ๆ น้อย ๆ ท่ชี ว่ ยให้

123 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร เราได้รับ ผลตอบแทนในทางที่ดีงาม ความคิดและเนื้อหาสาระของเร่ืองเตือนใจจึงนับว่ามีคุณค่าต่อผู้อ่านเป็น อยา่ งมาก ตวั อย่างการวเิ คราะหง์ านเขียนประเภทบทความ การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง มีรากฐานมาจากหลักการเร่ืองทางสายกลางและหลัก ความไม่ประมาท หลักเศรษฐกิจพอเพียงประกอบด้วย 4 คุณลักษณะ คือ 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืน เช่น การผลิตและการบริโภคท่ี อยู่ในระดับพอประมาณ 2. ความมีเหตุผล หมายถึง การกระทาในเร่ืองหลักการ ความพอเพียงนั้นจะต้อง เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดข้ึนจากการ กระทานั้น ๆ อย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการ เปล่ียนแปลงด้านต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนโดยคานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นใน อนาคตท้ังใกล้และไกล 3. หลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นนาไปสู่กระบวนการตัดสินใจ และดาเนินการให้อยู่ใน ระดับพอเพียงนั้นกระบวนการดังกล่าวต้องประกอบด้วยพื้นฐาน 2 ประการ ใช้ความรู้ประกอบด้วยความรู้ รอบตัวเกี่ยวกับวชิ าการต่าง ๆ ที่เก่ียวขอ้ งอย่างรอบด้าน ความรอบคอบท่ีจะนาความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้ เชื่อมโยงกันเพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในข้ันปฏิบัติ 4. การมีคุณธรรมท่ีจะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซ่ือสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความ เพียรใช้สติปัญญา ในการดาเนินชีวิตการตัดสินใจ ซ่ึงกระบวนการตัดสินใจและดาเนินการดังกล่าวจึงนาไปสู่การพัฒนาท่ีสมดุล และยง่ั ยนื ทงั้ ในด้านเศรษฐกจิ สังคม สิง่ แวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี (คณะอนุกรรมการขับเคลือ่ นเศรษฐกิจพอเพียง สานกั คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ) จากบทความดังกล่าวข้างต้นพบว่า มีเน้ือหาสาระอันเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิตมีข้อคิด คติสอนใจเร่ืองความพอเพียง ความพออยู่ พอกิน ตามหลักของพระพุทธศาสนา คือ การปฏิบัติในทางสาย กลาง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยทุก หมู่เหล่า และกาลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เม่ือรู้จักพอแล้วจิตใจก็เป็นสุข ถ้าใจเป็นสุขก็จะไม่ เบียดเบียนตนและคนอ่ืน จุดมุ่งหมายและน้าเสียงของผู้เขียนมุ่งแนะนา ส่ังสอน ต้องการให้ผู้คนรับรู้ และ ตระหนักถึงความพอดี พอเพียง คณุ ค่าจากบทความดังกล่าวก่อให้เกิดความจรรโลงใจแก่ผอู้ ่าน ร้สู ึกตระหนักรู้ และควรคา่ ในการนาไปปฏบิ ตั ิไดเ้ ป็นอย่างดี 3. การอ่านตีความ การอ่านตีความ หมายถึง การอ่านที่ใช้สติปัญญาพิจารณาความหมายของ คา ข้อความ ท่ีมีความหมายโดยนัย หรือความหมายแฝงท่ีผู้เขียนต้องการส่ือความหมาย ความคิดสาคัญของ เรื่อง ความรู้สึก และอารมณ์สะเทือนใจจากบทประพันธ์ ซ่ึงอาจเข้าใจได้มากน้อยลึกซึ้งเพียงใด ตรงกันกับ ผู้ประพนั ธ์หรอื ไม่ หรือผ้อู ่านคนอื่น ๆ หรือไม่ ขึน้ อยู่กับความสามารถและประสบการณ์เดิมและความรู้สึกของ ผู้อ่านแต่ละคน การตีความของทุกคนอาจไม่ตรงกันเสมอไปโดยในกระบวนการอ่านเพ่ือตีความนั้นผู้อ่าน

124 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร จะต้องใช้ความรู้ ความสามารถในการแปลความ จับใจความสาคัญ การสรุปความ รวมทั้งการเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ของข้อความซึ่งอาจเป็นวัตถุประสงค์ หรือเจตนาที่แท้จริง การอ่านตีความบางครั้งต้องอาศัย ความร้หู รือประสบการณป์ ัจจุบนั เป็นเครื่องช่วยตัดสิน พิทยา ล้ิมมณี (2537: 16) ได้เสนอสงิ่ ทคี่ วรพิจารณาในการตคี วามดงั น้ี 1. จุดประสงคห์ รือเจตนาของผเู้ ขียน ผู้เขียนมักต้ังจุดประสงค์ของตนไว้ว่าจะเขียนเพื่ออะไร ทาไมจึงต้องเขียน หากงานเขียนเรื่องใด ท่ีผเู้ ขียนได้บอกจุดประสงค์ตั้งแต่แรกก็อาจจะไม่ต้องตีความแต่อย่างใด แต่หากผู้เขียนมิได้บอกไว้ ย่อมทาให้ ผู้อ่านค้นหากันตอ่ ไป 2. สาร การค้นหาสารสาคัญในงานเขียน ผู้อ่านจาเป็นต้องอ่านทบทวนอย่างรอบคอบ เพราะ นกั เขียนบางคนซ่อนเจตนาสารไว้ หากผู้อา่ นไมท่ บทวนใหร้ อบคอบอาจทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจไขว้เขวได้ 3. นา้ เสยี ง การค้นหาน้าเสียงของผู้เขียนเป็นการค้นหาความรู้สึกของผู้เขียนในการเขียนเร่ืองนั้น ๆ ซ่ึง เป็นความหมายระหว่างบรรทัดที่ผู้เขียนได้แทรกไว้ ผู้เขียนสามารถสังเกตได้จากการใช้ถ้อยคา สานวน ท่วงทานองการเขยี น ซึง่ จะทาให้ผู้อ่านได้รู้จกั วา่ ผเู้ ขียนเป็นคนเช่นไร และร้สู กึ อย่างไรต่อเรื่องทตี่ นเองเขยี น นอกจากจุดประสงค์หรือเจตนาของผู้เขียน สาร และน้าเสียงแล้ว สิ่งท่ีควรพิจารณาในการอ่าน ตีความอีกประการหนึง่ คอื การสรา้ งจินตภาพ ซ่ึงจินตภาพเกดิ จากการใช้ภาษาในลักษณะต่าง ๆ ในการอ่านตีความมักปรากฏจินตภาพที่เกิดจากการใช้ภาพพจน์ เช่น อุปมา อุปลักษณ์ อติพจน์ บุคลาธิษฐาน สัทพจน์ ปฏิภาคพจน์ และสัญลักษณ์ ปรีชา ช้างขวัญยืน (2525: 215) ได้กล่าวถึงภาพพจน์ว่า เป็นวิธีใช้ภาษาซึ่งคาหรือสานวนท่ีใช้มีความหมายไม่ตรงตามตัวหนังสือ การใช้ถ้อยคาลักษณะดังกล่าวทาให้ ผูฟ้ ังเกิดจนิ ตภาพหรืออารมณ์บางอย่าง ซง่ึ ยากแก่การบรรยายด้วยการใชภ้ าษาอย่างตรงไปตรงมา 1. อุปมา (Simile) คือ การเปรียบของสิ่งหน่ึงให้เหมือนหรือคล้ายกับอีกส่ิงหนึ่ง โดยใช้คาเปรียบ ต่าง ๆ เปน็ คาเชื่อม เช่น กล ดัง ดุจ ประดจุ ประหน่ึง เลห่ ์ เพยี ง แม้น เหมอื น เฉก เช่น ราว ราวกับ เปน็ ต้น ตวั อย่าง “สุวรรณหงส์ทรงภ่หู ้อย งอนชดชอ้ ยลอยหลังสนิ ธุ์ เพยี งหงสท์ รงพรหมมนิ ทร์ ลินลาศเล่อื นเตือนตาชม” (บทเห่เรอื : เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศ)

125 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 2. อุปลักษณ์ (Metaphor) เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหน่ึงเป็นอีกส่ิงหน่ึง เป็นการเปรียบโดยตรง เน้นความหมายรุนแรงกวา่ อุปมา ในอปุ ลักษณจ์ ะมีคาวา่ เปน็ คอื เช่น ครูคอื เรอื จา้ ง ทหารเปน็ รว้ั ของชาติ เปน็ ตน้ ตวั อยา่ ง “โฉมเครือฟา้ อ้มุ พาพอ่ หนูน้อย ย้มิ ชม้อยเมียงพฤกษาเข้ามาใกล้ ช่างน่าเล่นหน้าเทล้นเป็นมะไฟ พอ่ รับลกู ไปจูบกอดพลอดลอ้ ” (สาวเครือฟ้า: กรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ)์ จากบทร้องบทนี้เป็นการเปรียบเทียบหน้าตาของเด็กท่ีแดงกับลูกมะไฟท่ีมีสีแดงโดยใช้คาว่า “เป็น” เปน็ ต้น 3. อติพจน์ หรืออธิพจน์ (Hyperbole) หมายถึง การกล่าวเกินจริง ภาพพจน์ชนิดนี้เกิดจาก ความคิดของกวีท่ีต้องการย้าความรู้สึกท่ีมีต่อความหมายนั้นให้เห็นเป็นเรื่องสาคัญหรือยิ่งใหญ่ กวีมักใช้ พรรณนาอารมณ์ เช่น รัก โศก ให้ผู้ฟังผู้อ่านซาบซ้ึงประทับใจด้วยการใช้ถ้อยคาเกินจริง เช่น ร้อนตับแตก, คอแห้งเป็นผง, รักคณุ เท่าฟ้า เปน็ ตน้ ตวั อย่าง เสยี เจา้ ราวร้าวมณีรงุ้ มุง่ ปรารถนาอะไรในหลา้ มิหวงั กระทัง่ ฟากฟา้ ซบหนา้ ตดิ ดนิ กินทราย (เสยี เจา้ : อังคาร กัลยาณพงศ)์ 4. บุคลาธิษฐาน (Personification) เกิดจากการสร้างให้สิ่งไม่มีชีวิตแสดงอากัปกิริยาต่าง ๆ มีความรู้สึกนกึ คดิ เหมือนกับคน มีชวี ิต มจี ิตใจเหมือนคน ตัวอย่าง “…ความหมน่ มัวมดื หม่นบนฟากฟ้า นิมิตว่าเมฆหมองดาวร้องไห้ นา้ ตาเดอื นรนิ หยดรดหวั ใจ แกล้งคนใกลผ้ ดิ หวงั ล้มท้ังยนื …” (ความจรงิ จังต่อชวี ิตในหวั ใจของผ้แู พ้: ไชยยันต์ รชั ชกลู ) 5. สทั พจน์ (Onomatopoeia) การใช้คาทถี่ ่ายทอดเสยี งหรอื เลียนเสียงท่ีเกิดจากธรรมชาติ เช่น เสียงสัตว์นานาชนดิ ร้อง เสียงฟา้ รอ้ ง เสียงฝนตก เปน็ ต้น ทาให้ผอู้ า่ นเกดิ จินตนาการตามทผ่ี ูเ้ ขยี นต้องการ ตวั อยา่ ง น้าพพุ ุ่งซ่า ไหลมาฉ่าฉาน เหน็ ตระการ มนั ไหลจ๊อกโครม จ๊อกโครม มันกด็ งั จอ๊ ก จอ๊ ก จ๊อก โครม โครม

126 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 6. ปฏิภาคพจน์ (Paradox) การกล่าวถ้อยคาแสดงความหมายท่ีคล้ายจะขัดแย้งกัน ไม่ สอดคล้องกัน ไมน่ ่าจะเปน็ ไปได้ แต่เม่ือพิจารณาให้ดีจะเป็นคากล่าวที่มคี วามหมายลีกซ้ึงและกลมกลนื กัน เช่น ชัยชนะของ ผู้แพ้, แพเ้ ป็นพระชนะเปน็ มาร, เสียงกระซบิ แหง่ ความเงยี บ, ปา่ คอนกรีต เป็นตน้ ตัวอย่าง “จาเพือ่ ลืม ดมื่ เพอ่ื เมา เหลา้ เพื่อโลก สขุ เพอื่ โศก หนาวเพ่อื ร้อน นอนเพือ่ ฝัน ชีวติ นี้ มีค่านกั ควรรกั กนั ความฝนั กบั ความจรงิ เปน็ สิ่งเดยี ว” (รไุ บยาต: โอมาร์ คัยยาม) 7. สัญลักษณ์ (Symbol) เป็นการเรียกช่ือส่ิง ๆ หน่ึงโดยใช้คาอื่นมาแทน ไม่เรียกตรง ๆ ส่วน ใหญ่คาท่ีนามาแทนจะเป็นคาที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความซ่ึงใชก้ ันมานานจนเป็นท่ีเข้าใจและรู้จักกัน โดยทวั่ ไป เชน่ สีดา แทน ความตาย ความชว่ั รา้ ย สขี าว แทน ความบรสิ ทุ ธิ์ กหุ ลาบแดง แทน ความรัก หงส์ แทน คนช้นั สูง กา แทน คนต่าตอ้ ย ดอกไม้ แทน ผู้หญงิ แสงสวา่ ง แทน สตปิ ญั ญา เพชร แทน ความแข็งแกรง่ ความเปน็ เลศิ แกว้ แทน ความดงี าม ของมีค่า สุนขั จงิ้ จอก แทน คนเจา้ เลห่ ์ ตัวอย่าง ตา่ ตระกลู ดงั่ กามาแกมหงส์ “หนง่ึ คนธรรพ์เปน็ ทาสบาทมูล กร็ ักวงศ์เหมราชไมแ่ กมกา ถงึ ข้าพลัดภสั ดามาเอองค์ (กากีกลอนสุภาพ: เจา้ พระยาพระคลงั (หน))

127 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร จากบทกลอนข้างต้นเป็นบทท่ีนางกากีกล่าวตอ่ ว่าพระยาครฑุ ซึ่งได้กลา่ วคาว่า หงส์หรอื เหมราช ซงึ่ แทนกบั วงศ์ตระกูลอันสงู ศกั ดิ์ของตนและคาว่า กา แทนวงศต์ ระกลู อันตา่ ช้ัน เปน็ ตน้ ตัวอยา่ งการอา่ นตคี วาม จะหามณีรตั น์ รจุ เิ ลิศกอ็ าจหา เพราะมวี ณชิ ค้า และก็คนกม็ ัง่ มี กแ็ ตจ่ ะหาซึ่ง ภรยิ าและมติ รดี ผทิ รัพยะมากมี ก็มไิ ด้ประดุจใจ (มัทนะพาธา) ตคี วามดา้ นเนอื้ หา: จะหาอะไรก็หาได้ถ้ามเี งนิ แต่เงินมิสามารถจะซ้ือมิตรกับภรยิ าทด่ี ีได้ ตคี วามด้านน้าเสยี ง: เงินมใิ ชข่ องมีค่าจะซอื้ ทุกอย่างไดเ้ สมอไป 4. การอ่านประเมินคุณค่า เป็นการอ่านเพื่อตัดสินว่าเรื่องที่อ่านมีความถูกต้องหรือน่าเช่ือถือมาก น้อยเพียงไร มีคุณค่าหรือไม่อย่างไร โดยพิจารณาเน้ือหา วิธีการนาเสนอและการใช้ภาษา การประเมินจึงต้อง ไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ มคี วามรูด้ ้านข้อมลู หลักเกณฑ์ และเหตุผล การอา่ นเพอ่ื ประเมนิ คณุ ค่าสามารถพจิ ารณาตามประเภทของงานเขียนได้ดงั น้ี 4.1 การอ่านเพื่อประเมินคุณค่าของงานเขียนประเภทสารคดี สารคดี คือ งานเขียนที่มุ่งให้ ความรู้เป็นหลักและให้ความเพลิดเพลินเป็นรอง ประเภทของสารคดี เช่น บทความในหนังสื อพิมพ์ วารสารวิชาการ สารคดีท่องเที่ยว สารคดีชีวประวัติ และจดหมายเหตุ เป็นต้น หากผู้อ่านต้องการอ่านเพื่อ ประเมินคุณค่าบทความควรอ่านอย่างน้อย 2 ครั้ง เพ่ือจับใจความ และวิเคราะห์ความมุ่งหมายของผู้เขียนท่ี ต้องการส่ือมายังผู้อ่าน แล้วจึงพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ประเภทของบทความ จุดมุ่งหมายของผู้เขียน รูปแบบของบทความ เน้นการพิจารณาในเน้ือหาว่า ผู้แต่งเสนอความรู้เรื่องใดมายังผู้อ่าน สารให้ความรู้มาก หรือน้อยเพียงใด ผู้เขียนสามารถแยกแยะประเมินต่าง ๆ ของเรื่องให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงข้อเด่น ข้อด้อย ของ เร่ืองได้ชัดเจนมากน้อยอย่างไรรวมทั้ง ข้อมูลมีความถูกต้องน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นเร่ืองทันต่อเหตุการณ์หรือไม่ อย่างไร 4.2 การอ่านเพื่อประเมินคุณค่าของเร่ืองบันเทิงคดี คือ การอ่านท่ีผู้อ่านพิจารณาหาคุณค่าของ วรรณกรรมโดยใช้ความรู้ ความคิด อารมณ์ความรู้สึกของตนเองเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินประเมิน คุณค่าของเร่ืองบันเทิงคดี โดยผ่านกระบวนการอ่านเชิงวิเคราะห์ตีความองค์ประกอบเรื่อง การวิเคราะห์จาก แนวคิดของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการส่ือมายังผู้อ่าน วิเคราะห์เน้ือเรื่อง ประกอบด้วย โครงเร่ือง ตัวละคร ฉาก บรรยากาศ บทสนทนา วิเคราะห์กลวิธีการแตง่ กลวิธีการตั้งช่อื เร่ือง กลวิธีการเล่าเรื่อง กลวิธกี ารดาเนินเร่ือง กลวิธีการสร้างตัวละคร กลวิธีการสร้างและนาเสนอฉาก ตลอดจนท่วงทานองในการแต่ง การเลือกใช้สานวน โวหาร และวิธีการสร้างจินตภาพเมื่อผู้อ่านผ่านการอ่านเชิงวิเคราะห์ ตีความส่วนต่าง ๆ ดังท่ีกล่าวมาข้างต้น แล้ว ก็ตัดสินประเมินคุณค่าเรื่องบันเทิงคดีน้ันด้วยใจบริสุทธิ์ยุติธรรมว่า หลังจากที่อ่านบันเทิงคดีเร่ืองน้ัน

128 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลิน สนุกสนานมากน้อยเพียงใด และได้รับความรู้ด้านต่าง ๆ หรือไม่อย่างไร เรื่องท่ี อ่านให้ข้อคิดคติเตือนใจ หรอื แนวทางการปฏบิ ัตติ นในการดาเนินชีวิตหรือไมม่ ากน้อยอย่างไร หลกั การอา่ นอย่างมีประสทิ ธภิ าพ การอ่านหนังสือย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านเสมอไม่ทางใดก็ทางหน่ึง การอ่านที่ดีจะก่อให้เกิด คุณค่าหรือประโยชน์สูงสุดได้น้ันสิ่งสาคัญก็คือผู้อ่านต้องมีความต้องในการการอ่านให้เ กิดขึ้นในใจตนเองก่อน โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ซ่ึงต้องใช้การอ่านเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจาวัน จึงจาเป็นต้องมีหลักการอ่าน และทักษะการอ่าน นอกจากน้ี ยังจาเป็นต้องมีความรักในการอ่าน เพราะถ้ารักการอ่านแล้ว จะทาให้เป็นผู้ที่ รอบรู้ ในการอ่านนั้นผู้อ่านต้องจับสาระสาคัญและความคิดของผู้เขียนให้ได้ ควรอ่านอย่างละเอียด อ่านช้า ๆ ติดตามเรอ่ื งราวและความคิดของผเู้ ขยี นใหต้ ลอด การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพจะก่อให้เกิดประโยชน์หากผู้อ่านรู้จักเลือกหนังสืออย่างมีคุณค่า สร้างสรรค์ มีสมาธิในการอ่าน และรู้จักจดบันทึกใจความสาคัญ ท้ังนี้มีหลักข้ันตอนการอ่านและฝึกปฏิบัติท่ี ผู้อา่ นควรทราบถึง ดงั นี้ ขัน้ ตอนการอ่าน ขวัญดี อัตวาวุฒิชัย และคณะ (2543: 34 -56) กล่าวว่า การอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ันควรมี ข้นั ตอนการอ่าน ดงั น้ี 1. ก่อนอา่ น 1) สารวจเน้อื หา เช่น เนื้อหาของส่งิ ที่จะอ่านอาจจะเป็นเร่ืองสารคดี บันเทงิ คดี หรอื วชิ าการ เป็นตน้ 2) สารวจสว่ นประกอบ เชน่ ขอ้ มูลบรรณานกุ รม สารบญั ตัวบท 3) เลือกใช้วิธีการอ่านที่เหมาะสม เช่น การอ่านแบบคร่าว ๆ (Skimming) เพ่ือสารวจเนื้อหา อย่างกว้าง ๆ การอ่านแบบค้นเรื่อง (Scanning) เพื่อค้นหาเฉพาะเร่ืองที่ผู้อ่านต้องการในขณะน้ัน การอ่าน อยา่ งละเอียด (Intensive reading) เพอ่ื ต้องการข้อมูลหรอื ทาความเขา้ ใจกับเร่ืองท่ีอ่านท้ังหมด 4) เตรียมอปุ กรณ์การอา่ น เช่น โคมไฟ ปากกา สมดุ บนั ทึก เปน็ ต้น 2. ขณะอา่ น 1) ขณะอ่านหนังสือควรน่ังให้เต็มเก้าอี้ ตัวตรง เท้าแตะพื้นได้พอดี หากมีความจาเป็นอาจใช้ หมอนหนนุ หลงั เพ่อื ปรบั ทา่ น่งั ใหเ้ หมาะสม 2) ขณะท่ีอ่านหนังสือต้องมีสมาธิ ควบคุมความคิดและจิตใจ ให้จดจ่อเฉพาะเรื่องที่กาลังอ่าน เท่านนั้ 3) ขณะที่อ่านต้องทาความเข้าใจ และจับใจความสาคัญเรือ่ งที่อา่ นได้ ซ่ึงถ้าข้อความตอนใดเป็น สาระสาคัญควรทาเครอื่ งหมาย ขดี เส้นใตไ้ ว้หรอื บันทกึ ขอ้ ความสาคญั เหลา่ นน้ั ไว้

129 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 3. หลงั อ่าน 1) สรุปใจความสาคญั ของเรื่องทีอ่ า่ นท้ังหมดว่าเปน็ เรื่องเก่ยี วกับอะไร มปี ระเด็นอะไรบา้ ง 2) วเิ คราะห์เรอ่ื งที่อ่านว่า เนื้อหาสว่ นไหนคือขอ้ เทจ็ จรงิ ข้อคดิ เห็น หรอื ความรูส้ ึกของผ้เู ขยี น 3) วิจารณ์และประเมินค่าเรื่องที่อ่านว่า เร่ืองน้ันดีหรือไม่ ดีอย่างไร มีคุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้เขียน ใช้กลวธิ ใี นการเขยี นอยา่ งไร กลา่ วคอื เปน็ การแสดงความคดิ เหน็ ของตนทม่ี ีต่อเรื่องท่ีอา่ น นอกจากหลักการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพข้างต้นแล้ว วิธี การอ่านหนังสือที่ดีมีขั้นตอน ดังน้ี (ฉวลี กั ษณ์ บณุ ยะกาญจน. 2547: 112-113) 1. อา่ นทัง้ ยอ่ หน้า การฝกึ อา่ นท้ังยอ่ หนา้ ควรปฏบิ ตั ิ ดังนี้ 1.1 พยายามจบั จุดสาคัญของเนื้อหาในย่อหนา้ นน้ั 1.2 พยายามถามตวั เองวา่ สามารถต้ังชือ่ เรอ่ื งแต่ละย่อหน้าได้หรอื ไม่ 1.3 ดูรายละเอียดนั้นว่ามีอะไรบ้างที่สัมพันธ์กับจุดสาคัญ มีอะไรบ้างท่ีไม่เก่ียวข้อง และ อะไรบ้างท่เี กี่ยวข้อง เก่ยี วข้องกนั อยา่ งไร 1.4 แตล่ ะเร่อื งตดิ ตอ่ กันหรือไม่ และทราบได้อยา่ งไรว่าติดตอ่ กัน 1.5 วิธีการเขยี นของผเู้ ขยี นมอี ะไรบา้ งทเ่ี สรมิ จุดสาคัญเขา้ กับจดุ ย่อย 2. สารวจตารา หรือหนังสือนั้น ๆ กอ่ นท่จี ะทาการอา่ นจรงิ ดังน้ี 2.1 ดสู ารบญั คานา เพื่อทราบว่าในเลม่ นัน้ ๆ มเี นอ้ื หาอะไรบ้าง 2.2 ตรวจดูบทท่ีจะอา่ นว่ามีหวั ข้ออะไรบ้าง 2.3 อ่านคานาของหนงั สอื และบทนาในแตล่ ะบทด้วย 2.4 พยายามตง้ั คาถามแลว้ คน้ หาคาตอบอย่างครา่ ว ๆ 3. อา่ นเป็นบท ๆ หลังจากได้ทาการสารวจหนังสือแล้ว ผู้อ่านจะได้ความรู้เกี่ยวกับผู้แต่ง ภูมิหลัง ตลอดจนความ มุง่ หมายในการแต่งหนังสือ แล้วจงึ เรมิ่ อ่านหนงั สือเป็นบท ๆ โดยปฏบิ ตั ิ ดังน้ี 3.1 อ่านทีละบทโดยไม่หยุดจนจบบท อาจจะหยุดเพื่อจดบันทึกใจความสาคัญบา้ ง ในบางครง้ั ก็ได้ 3.2 อ่านบทเดิมอีกคร้ัง เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อและประโยคแรกของแต่ละย่อหน้า ถ้าอ่านแล้ว ยังไม่เข้าใจ ก็อ่านข้อความในแต่ละย่อหน้าใหม่ ถ้าอา่ นประโยคแรกแล้วจาได้ว่า เนื้อความอะไรบ้างที่ผา่ นไป ยังยอ่ หนา้ อน่ื ได้ 3.3 จดบนั ทกึ เพ่ือตอบคาถามที่ตัง้ ไวต้ อนแรก 4. การอ่านแบบขา้ มหรอื อา่ นแบบครา่ ว ๆ การอ่านแบบขา้ มหรอื อ่านแบบคร่าว ๆ มิไดใ้ ห้ความเข้าใจอะไรมากนักจะใช้ไดด้ ีต่อเมื่อ 4.1 ต้องการทราบข้อความบางอยา่ งเท่าน้นั เช่น หมายเลขโทรศพั ท์ ความหมายของคาใดคาหนึ่ง 4.2 ต้องการทราบว่าควรอ่านท้ังหมดหรื อไม่ ช่วยให้ทราบคร่าว ๆ ว่าในแต่ละบท เปน็ อยา่ งไร เพราะเป็นการอ่านเฉพาะหวั ขอ้ หรือข้อสรุปเท่านั้น

130 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 5. สะสมประสบการณ์และคาศพั ทใ์ ห้มากที่สุด การท่ีผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ดีน้ันจาเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เดิม และความรู้เก่ียวกับ คาศัพท์ท่ีสะสมไว้ เม่ืออ่านเรื่องใหม่จึงสามารถนาเอาความรู้เดิมมาถ่ายโยงสัมพันธ์กับความรู้ ใหม่ เพ่ือเพ่ิม ความเข้าใจในเรื่องท่ีอ่านได้ดียิ่งขึ้น การสะสมประสบการณ์ความรู้และคาศัพท์น้ันสามารถทาได้โดยการอ่าน ปทานุกรม พจนานุกรม เพ่ือรู้ศัพท์ต่าง ๆ และอ่านให้มาก ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์และเพ่ิมพูนความรู้อยู่ ตลอดเวลา ปญั หาในการอ่านและแนวทางแก้ไข การอา่ นหนังสอื โดยเฉพาะหนังสือประเภทตารา นักศึกษาประสบปญั หาในการอ่านพอประมาณได้ดังน้ี 1. พนื้ ฐานความร้ไู ม่เพยี งพอ การมีพ้ืนความรเู้ กี่ยวกับหนังสือทีอ่ ่านไม่เพยี งพอ ทาให้ผู้อ่านไม่เขา้ ใจ เร่อื งท่อี ่าน และหมดความอดทนที่จะอ่านต่อไป แนวทางแก้ไข อ่านหาความรู้เกี่ยวกับหนังสือน้ันก่อน เลือกอ่านหนังสือที่เป็นความรู้พื้นฐานของ หนังสือท่ีเราจะอ่าน ต้องอ่านให้มาก ความรู้จะเป็นพ้ืนฐานในการอ่านหนังสือเล่มต่อไป ทาให้อ่านหนังสือได้ เร็วขนึ้ เข้าใจเรือ่ งที่อ่านได้ดีข้นึ 2. หนังสือมีคาศัพท์ยาก เม่ือผู้อ่านอ่านได้เพียงเล็กน้อยก็พบศัพท์ยากจึงต้องเปิดอภิธานศัพท์ดูบ้าง เปิดพจนานกุ รมบ้าง ทาให้เข้าในเร่ืองได้ช้า และต้องใชค้ วามพยายามในการอ่านอย่างมาก บางคนทอ้ แท้เสยี ก่อน แนวทางแก้ไข ถ้าหนังสือน้ันมีคาศัพท์มาก ให้ศึกษาคาศัพท์ไว้ล่วงหน้าท้ังหมดก่อนแล้วจึงอ่าน แต่ถ้าหนังสือน้ันมีคาศัพท์ยากไม่มากนัก ให้สังเกตข้อความใกล้เคียง (บริบท) ข้อความใกล้เคียงจะช่วยให้เรา ทาความเข้าใจ ความหมายของคาศัพท์นั้นได้ 3. การไม่มสี มาธิ สมาธใิ นการอา่ นทาให้ผู้อา่ นจดจ่อกับเรื่องทอี่ ่านได้มาก และทาให้ตดิ ตามเรื่องราว ทีอ่ ่านได้ การขาดสมาธิกท็ าใหเ้ ข้าใจเร่อื งไมต่ อ่ เน่ืองตดิ ตามเรือ่ งราวทอ่ี ่านไม่ได้อ่านแล้วจับใจความไมไ่ ด้ แนวทางแก้ไข ให้ฝึกอ่านหนังสือทุกวันเร่ิมจากเลือกอ่านหนังสือที่สนใจเป็นเร่ืองส้ัน ๆ สามารถ อ่านจบภายใน 5 -10 นาที หลังจากนั้นหน่ึงสัปดาห์ให้เลือกอ่านเรื่องที่มีขนาดความยาวเพิ่มขึ้น และเพิ่มเวลา มากขึ้น คอ่ ย ๆ เพิ่มเวลาอา่ นจนสามารถอา่ นไดต้ ่อเนอ่ื ง 30 – 60 นาที 4. การไม่รู้วิธีการอ่าน การอ่านหนังสือแต่ละประเภทมีวิธีการอ่านที่แตกต่างกัน เช่น การอ่าน หนังสือพิมพ์จะอ่านผ่าน ๆ สว่ นการอ่านตาราเรียนต้องอ่านอยา่ งละเอียดอ่านช้า ๆ ให้เข้าใจ และทาบันทึกย่อ เพ่ือทบทวนและช่วยในการจดจา การรูว้ ธิ ีอ่านจงึ ทาใหป้ ระสบความสาเร็จในการอ่าน และไม่เสียเวลา แนวทางแก้ไข ศึกษาวิธีการอ่านแล้วเลือกวิธีการอ่านให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายในการอ่านแต่ ละประเภทของหนังสือ 5. สุขภาพจิตไม่ดี คนทว่ี ิตกกังวลมีความเครยี ดสูง เสียใจ ผิดหวงั ท้อแท้ เปน็ ผลให้ขาดสมาธใิ นการ อ่านกจ็ ะทาใหอ้ า่ นหนังสอื ไดไ้ ม่ต่อเนื่อง จบั ใจความของเรื่องทีอ่ า่ นไดก้ ระท่อนกระแทน่

131 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร แนวทางแก้ไข พยายามทาใจให้สบาย หยุดความคิดให้ได้ โดยดูลมหายใจเข้า ดูลมหายใจออก ใหร้ ู้อยู่ทลี่ มหายใจ ความคิดท่ีเข้ามารบกวนก็หยุดความคดิ ดูท่ีลมหายใจเข้าออกทาเช่นนี้สกั ระยะจะรู้สึกจิตใจ สงบขึน้ สบายขน้ึ จึงเรม่ิ อ่านหนงั สือ 6. สุขภาพรา่ งกายไม่แข็งแรง คนที่มีปัญหาทางสายตา รา่ งกายเจบ็ ป่วย เหนื่อยมาก ออ่ นเพลีย จะ ทาให้อ่านหนงั สอื ไดไ้ ม่นาน และเป็นผลใหส้ มาธไิ ม่ต่อเน่ืองเช่นกัน แนวทางแก้ไข ถ้ามีปัญหาทางสายตาก็ตรวจวัดสายตา หาแว่นตาที่เหมาะสมกับสายตาใส่ รา่ งกายท่เี จบ็ ป่วยก็ตอ้ งรกั ษา เหนือ่ ย ออ่ นเพลยี ก็ตอ้ งพักผ่อนใหร้ ่างกายร้สู ึกสดชน่ื ก่อนจึงเร่มิ อ่านหนงั สอื 7. การฝึกฝนอ่านในใจน้อย บางคนคุ้นเคยกับการอ่านออกเสียง อ่านไปโดยไม่รู้เร่ืองที่อ่าน เพราะ มวั พะวงกบั การอ่านออกเสียง จงึ จบั ใจความของเรอ่ื งที่อา่ นไม่ได้ แนวทางแกไ้ ข ฝกึ อ่านในใจอยา่ งสม่าเสมอ และเพ่มิ ความยาวของเร่ืองท่ีอ่านให้มากขึ้นตามลาดบั 8. สติปัญญาด้อย การอ่านเป็นกระบวนการทางสมอง เม่ือมปี ัญหาทางสตปิ ัญญาสมรรถภาพในการ อา่ นก็จะด้อยลงด้วย แนวทางแก้ไข เลือกหนังสือท่ีมีความยากง่ายเหมาะสมกับระดับสติปัญญาของผู้อ่านและฝึกอ่าน อย่างสม่าเสมอ เพือ่ พฒั นาความสามารถในการอ่าน 9. การไม่กาหนดจุดมงุ่ หมายในการอ่าน จุดมุ่งหมายเป็นตัวกาหนดวิธีการอ่าน หนังสือเล่มเดียวกันถ้ากาหนดจุดมุ่งหมายในการอ่าน แตกต่างกัน ก็จะใช้วิธีการอ่านที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น นวนิยายเล่มหน่ึง ถ้าอ่านเพ่ือความเพลิดเพลินก็จะ อ่านข้ามบางตอนที่ไม่ชอบ เลือกอ่านเฉพาะตอนท่ีชอบได้ แต่นวนิยายเล่มเดียวกันน้ีถ้าจะอ่านเพื่อวิเคราะห์ องค์ประกอบของนวนิยาย ผู้อ่านก็ต้องแยกแยะจุดมุ่งหมายในการเสนอแนวคิดของผู้แต่ง (theme) โครงเรื่อง (plot) ตัวละคร (character) ฉาก (setting) บทสนทนา (dialogue) กลวิธีในการแต่ง (technique) บรรยากาศ (atmosphere) แนวทางแก้ไข กาหนดจุดมุ่งหมายก่อนอ่านเพื่อเลือกวิธีอ่านให้เหมาะสม และการอ่านอย่างมี ประสทิ ธิภาพ ผอู้ ่านตอ้ งฝกึ ฝนอย่างสมา่ เสมอจนมีนิสัยรกั การอ่าน 10. สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น แสงสว่างไม่พอ มีเสียงดังรบกวน อากาศร้อนเกินไป หนาว เกนิ ไป โตะ๊ และม้าน่ังไม่เหมาะสม มีคนพลุกพลา่ นรบกวนสมาธิ แนวทางแก้ไข เลือกอ่านในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ อากาศถ่ายเทได้ดี เป็นที่สงบ ไม่มีคน พลุกพล่าน เลือกโต๊ะเก้าอ้ีให้เหมาสมกับร่างกายและส่วนสูงของตน ถ้าไม่มีทางเลือกก็ต้องต้ังสมาธิในการอ่าน ให้แนว่ แน่ตดั ความกังวลรอบขา้ งใหไ้ ด้ การอ่านเป็นทักษะการรับสารที่มีความจาเป็นในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ท่ามกลางโลกแห่ง เทคโนโลยีท่กี า้ วหน้าอยา่ งรวดเร็ว และการอ่านอยา่ งมีประสทิ ธิภาพนั้น ผู้อ่านต้องฝึกฝนอยา่ งสม่าเสมอจนเป็น นิสัย รู้จักเลือกหนังสือ รู้จักวิธีอ่าน ขยันจดบันทึกข้อมูลที่อ่านและนาความรู้ความคิดที่ได้จากการอ่านไปใช้ ประโยชน์

132 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร บทท่ี 7 การพัฒนาทกั ษะการพูด ความหมายของการพูด พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 843) ได้ให้ความหมายของคาว่า “พูด” คือ “การเปลง่ เสยี งออกเป็นถอ้ ยคา, พูดจา” สวนิต ยมาภยั (2540: 1) ใหค้ วามหมายของการพดู ไว้วา่ “การใช้ถ้อยคา น้าเสียง รวมทั้งกริยาอาการ ถา่ ยทอดความคดิ ความรู้ และความตอ้ งการของผ้พู ูดให้ผ้ฟู ังรบั ร้แู ละเกดิ การตอบสนอง” ดงั น้ันจึงกล่าวได้วา่ การพูด คือ การถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึก และความต้องการโดยอาศัย ถ้อยคา น้าเสียง รวมทั้งกิริยาท่าทางอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการพูดนั้นจะมีผลทาให้ผฟู้ ังเข้าใจจุดหมายของผู้ พดู และแสดงปฏกิ ิรยิ าตอบสนองใหส้ ัมฤทธิต์ ามจดุ มุง่ หมายที่ตง้ั ไว้ จดุ มุ่งหมายของการพูด ในการติดต่อสื่อสารด้วยการพูด ผู้พูดควรตั้งจุดมุ่งหมายไว้ให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถนาเสนอเนื้อหา และใช้ถ้อยคาท่ีส่ืออารมณ์ความรู้สึกต่อผู้ฟัง ให้ได้รับทราบเจตนาของผู้พูดได้เป็นอย่างดี การพูดโดยท่ัวไปมี จุดมุ่งหมายดงั น้ี 1. เพ่ือถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความต้องการให้ผู้อ่ืนได้ทราบ เป็นการสื่อสารด้วยการพูดใน ชีวิตประจาวันที่ผู้พูดต้องสามารถใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจได้ตรงตาม ความตอ้ งการของผู้พดู 2. เพ่ือถ่ายทอดความรู้และข้อเท็จจริง เป็นการพูดที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังเกิดความรู้ เช่น การ บรรยายทางวชิ าการ การปาฐกถา การอภปิ รายตา่ ง ๆ 3. เพ่ือโน้มน้าวใจ เป็นการพูดเพื่อชักจูงให้ผู้ฟังมีความคิดคล้อยตาม เช่น การโฆษณา การเชิญชวน รณรงค์ใหร้ ่วมกันทากิจกรรมตา่ ง ๆ 4. เพื่อจรรโลงใจ เป็นการพูดที่มีจุดมุง่ หมายเพื่อบอกเลา่ สง่ิ ท่เี ปน็ นามธรรมใหผ้ ฟู้ ังมีความรู้สึกทสี่ ูงส่ง ดีงาม และให้ได้รับคุณค่าทางด้านจิตใจ หรือเป็นการพูดช้ีแจงให้เห็นความน่าชื่นชมของความคิด การกระทา หรอื เรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยชี้ให้เห็นถึงอุดมคติ แนวทางการดาเนินชีวิตที่ดี เพื่อความอยู่ดีมีสุขของคน ในสังคม โดยเลือกสภุ าษิตของคิด หรือคาคมตา่ ง ๆ มาใชเ้ พ่ือเพม่ิ น้าหนักใหแ้ ก่ข้อคิดและให้ผฟู้ ังประจักษ์ชดั ใน ส่งิ ท่พี ดู อย่างชัดเจน 5. เพ่ือให้ผู้ฟังเกิดความสุข สนุกสนาน มักเป็นการเล่าเรื่องเบาสมอง ตลกขบขันหรือหยอกล้อกัน อยา่ งสรา้ งสรรค์ 6. เพ่ือใช้ในโอกาสที่อยู่ในสังคมเพ่ือแสดงความมารยาทอันดี และสร้างทัศนคติที่ดีต่อกัน เช่น การ กล่าวอวยพรเนื่องในโอกาสตา่ ง ๆ การกลา่ วคาปราศรบั คาสดดุ ี ไวอ้ าลยั การกล่าวต้อนรับ เป็นตน้

133 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ความสาคัญของการพูด มีสานวน สุภาษิต คาพังเพย ทีก่ ล่าวถึงความสาคัญของการพดู ไวม้ ากมาย เช่น “พดู ดีเป็นศรแี ก่ตวั พดู ช่ัวอปั ราชยั ” “ปลาหมอตายเพราะปาก” “ปากเป็นเอกเลขเปน็ โท” แสดงให้เห็นว่า การพูดมีความสาคัญในชีวิตประจาวันของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง คนท่ีรู้พูดจะสามารถใช้ การพูดเป็นประโยชน์แก่ตัวเองและหม่คู ณะ การพูดจึงมคี วามสาคญั ดังน้ี 1. การพูดเป็นปัจจัยในการประกอบอาชีพทุกอาชีพ การพูดท่ีดีจะช่วยให้ประสบความสาเร็จในงาน วิชาชีพ เช่น ครูอาจารย์ นักปกครอง นักกฎหมาย นักการเมือง นักวิชาการ ผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิง ผู้ประกอบการค้าขาย เปน็ ต้น 2. การพดู ช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์ท่ดี ใี นองคก์ รและในสงั คม การพูดจะช่วยสรา้ งความเข้าใจอันดีของ คนในสงั คม เพื่อเป็นเครอื่ งมือของการสมาคม คาพดู แสดงใหเ้ ห็นถงึ มารยาทอนั ดี ตลอดจนความมีไมตรตี อ่ กนั 3. การพูดมีความสาคญั ในการเจรจาเร่ืองต่าง ๆ ตลอดจนการคล่ีคลายสถานการณ์ตึงเครยี ด อนั เกิด จากความไม่เขา้ ใจ ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการพูดเป็นทักษะการสื่อสารท่ีมีความสาคัญอย่างยิ่งของพฤติกรรมมนุษย์ ดังคา กลา่ วของสุนทรภู่ กวีเอกของโลก ซง่ึ กลา่ วถึงความสาคญั ของการพูดไว้ดังน้ี ถึงบางพดู พดู ดีเปน็ ศรศี กั ด์ิ มคี นรักรสถ้อยอรอ่ ยจิต แมน้ พดู ชั่วตัวตายทาลายมติ ร จะชอบผิดในมนษุ ย์เพราะพูดจา (นิราศภเู ขาทอง) กระบวนการในการพูด การพูดจะประสบความสาเร็จหรือล้มเหลวนั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตนเองของผู้พูดต้องฝึกพูดอย่างมี ความหมาย และฝึกพูดในทุกโอกาสท่ีจะทาได้ (เอกฉัท จารุเมธีชน. 2541: 39) ผู้พูดจึงควรเตรียมการพูด กระบวนการพูดไว้ดงั นี้ 1. การเตรียมตัวของผู้พูด ผู้พูดต้องมีการเตรียมตัวพอสมควร เร่ิมจากต้องรู้จุดมุ่งหมายของการพูด การเลือกเร่ืองท่ีจะพูดให้ตรงกับจุดมุ่งหมาย วิเคราะห์ผู้ฟังเพ่ือให้สามารถเลือกใช้ภาษาเพ่ือสื่อความเข้าใจได้ อยา่ งเหมาะสม 2. การเตรียมข้อมูล คือ การรวบรวมเนื้อหา ด้วยการศึกษาค้นคว้าจากการอ่าน การฟัง การ สัมภาษณ์ การสอบถาม ตลอดจนการศึกษา ณ สถานท่ีที่เก่ียวข้อง เพื่อให้ไดข้ ้อมลู ท่ีกว้างขวางเพียงพอแก่การ นาเสนอ ซึ่งผู้พูดต้องนามาเรียบเรียง จัดลาดับความในการพูด เตรียมการกล่าวนา ดาเนินเรื่องให้ต่อเนื่อง

134 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร กลมกลืนกันให้มีสัดส่วนเหมาะสมกับเรื่องในข้ันตอนน้ีอาจมีการเตรียมการใช้ส่ือประกอบ เพ่ือช่วยให้การ ถา่ ยทอดประสบความสาเร็จได้รวดเร็วขึ้น 3. การฝึกพูด เป็นขั้นซักซ้อมเพ่ือความม่ันใจและความคล่องตัว เมื่อถึงสถานการณ์จริง การ ดาเนินการพูด คือ การนาเสนอข้อมูลตามท่ีได้เตรียมการไว้ ในข้ันตอนนี้ผู้พูดควรนึกถึงการใช้ภาษาที่ดี เหมาะสมกับกาลเทศะ เหมาะสมกบั เรอ่ื งท่ีพดู ตลอดจนการออกเสียงใหช้ ัดเจนถกู ต้องด้วย 4. การประเมินผลเพ่ือการปรบั ปรงุ การพัฒนาการพูดในโอกาสต่อไป การประเมินผลน้ันสามารถทา ได้หลายทาง คือ ผู้พูดประเมินตนเอง หรือให้ผู้ฟังเป็นผู้ประเมิน แล้วนาผลท่ีได้รับมาแก้ไขปรับปรุงเพ่ือพัฒนา สมรรถภาพการพูดให้ดขี ้ึนตอ่ ไป ประเภทของการพูด ประเภทของการพูด แบ่งตามลักษณะของการเตรียมเนื้อหาและวิธีแสดงการพูดได้เป็น 4 ประเภท ดงั นี้ 1. การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ ได้แก่ การพูดท่ีเป็นพิธีการ เช่น การกล่าวคาปราศรัย สุนทรพจน์ แถลงการณ์ คากล่าวรายงาน การให้โอวาทในงานทีเ่ ป็นพิธกี าร ซ่งึ ผู้พูดตอ้ งฝึกอ่านจนคล่องเหมอื นเสียงพูด จึง จะนา่ ฟังและประสบความสาเร็จ 2. การพูดโดยท่องจาจากต้นฉบับที่ร่างไว้ ผู้พูดต้องท่องจาจนแม่นยาเหมือนดังต้นฉบับ วิธีน้ีเหมาะ สาหรับผ้เู ร่ิมฝกึ พูด 3. การพูดโดยมีบันทึก เป็นการพูดที่ผู้พูดต้องเขียนต้นฉบับแล้วฝึกการพูดจนคล่อง เม่ือพูดจรงิ จะนา ต้นฉบับที่ทาเคร่ืองหมายเฉพาะหัวข้อสาคัญ หรือจดเฉพาะหัวข้อสาคัญลงในกระดาษบันทึก เวลาพูดจึงขยาย ความเพ่ิมเติมตามความเหมาะสม 4. การพูดโดยกะทนั หัน หรือเรียกไดอ้ ีกอย่างหนึ่งวา่ การพูดแบบ “ปฏิภาณวาที” เป็นการพูดที่ผู้พูด ไม่ทราบล่วงหน้า และไม่มีเวลาเตรียมตัวก่อนข้ึนพูด ผู้พูดต้องเตรียมตัวอย่างดีจึงจะพูดได้น่าฟังและประสบ ความสาเร็จ การพดู ในทีส่ าธารณะ การพูดในที่สาธารณะเป็นการพูดในท่ีสาธารณะหรือการพูดในที่ชุมชน สวนิต ยมาภัย (2540: 105) กล่าวไว้ว่า การพูดต่อหน้าท่ีประชุมหรือการพูดในท่ีสาธารณะ ผู้พูดจะเป็นฝ่ายที่พูดกับบรรดาผู้ฟัง ซึ่งประชุม กันอยู่อยา่ งจานวนหลาย ๆ คน ในสถานท่ีแหง่ ใดแห่งหน่ึง เช่น ภายในหอ้ งเรยี น ห้องประชุม กลางสนาม การ พูดหรืออ่านจากต้นฉบับที่ได้เขียนไว้พูดตามท่ีท่องจามา พูดอย่างฉับพลันโดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า และพูด จากความเข้าใจตามท่ีได้เตรียมไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาส สถานการณ์ ความจาเป็น รวมท้ังความสามารถเฉพาะ ของแตล่ ะบคุ คล

135 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร การพูดในที่สาธารณะจึงเป็นการพูดในที่ชุมชนที่มีผู้ฟังเป็นจานวนมาก ผู้พูดต้องสนใจปฏิกิริยา ตอบสนองของผู้ฟังท้ังด้านวัจนภาษาและอวัจนภาษา และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถ เฉพาะตัวของผพู้ ูดดว้ ย การพูดในที่สาธารณะ ผู้พูดต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อม เพ่ือให้เกิดความเชื่อม่ัน และ ความสามารถนาเสนอเรื่องราวทเ่ี ตรียมมาได้อย่างราบรนื่ ประสบความสาเร็จโดยมหี ลักดงั นี้ 1. กาหนดจุดมุ่งหมายในการพดู วา่ จะต้องพูดเพื่อให้ความรู้หรอื ข้อเท็จจริง ให้ความบันเทงิ ใจ โน้มน้าวใจ หรอื เพอ่ื แนะนาในเรื่องต่าง ๆ เพอื่ การเตรยี มตวั ได้ถูกต้อง 2. วิเคราะห์กลุ่มผู้ฟังถึงองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น จากความรู้และประสบการณ์ จากการอ่านและ คน้ คว้า จากหนงั สือและส่ือตา่ ง ๆ 3. กาหนดขอบเขตของเร่อื งที่จะพูด เพื่อใหเ้ หมาะสมกับโอกาส และเวลาที่กาหนดเพื่อให้สามารถหา ขอ้ มลู และเตรียมการได้อยา่ งเหมาะสม 4. ค้นคว้าและรวบรวมเน้ือหาจากวิธีการและแหล่งต่าง ๆ เช่น จากความรู้และประสบการณ์ จาก การอ่านและการค้นควา้ จากหนงั สอื และสอ่ื ต่าง ๆ 5. จัดทาโครงเร่อื งให้พอเหมาะกับเวลา และให้ชัดเจนเป็นลาดับว่าจะกล่าวเปิดเรื่องอย่างไร ดาเนิน เรื่องสรุปอย่างไร โดยเร่ืองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ คานาหรืออารัมภบทประมาณ 5-10% เนื้อเรื่องประมาณ 80-90% และการสรปุ จบประมาณ 5-10% 6. เลือกใชภ้ าษาและถอ้ ยคาในการพดู ให้กะทัดรดั ชัดเจน ตรงประเด็น เหมาะแก่กาลเทศะและบคุ คล การสร้างความมัน่ ใจการพูดในท่สี าธารณะ การพูดในท่ีสาธารณะเป็นการพูดที่มีผู้พูดอาจมีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้ามาก่อน มีโอกาสได้ฝึกซ้อม การพูด ฝึกซ้อมการออกเสียง ลีลา จังหวะ มีผู้ฟังช่วยติชมการพูด หรือมีเครื่องบันทึกเสียง เพ่ือทบทวนการ ฝึกซ้อม แต่ถ้าเป็นกรณีที่เป็นการพูดแบบฉับพลัน ผู้พูดไม่รู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนหรือรู่ล่วงหน้าเพียงระยะเวลา สั้น ๆ เช่น การกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส การกล่าวแสดงความยินดี การกล่าวแสดงความคิดเห็นในนาม ของแขกผู้มเี กียรติ ผู้พูดทีม่ ีประสบการณ์จะสามารถสร้างบรรยากาศไดด้ ี แต่ผพู้ ูดจานวนมากยงั มีปญั หาในการ พดู ทีไ่ มส่ ามารถคิดหาคาพูดได้ในเวลากะทันหนั จึงควรสร้างความม่นั ใจให้แก่ตวั เอง (www.prlabschool.com) ดังนี้ 1. รักษาอารมณ์ให้ปกติ อย่าตกใจเม่ือได้รับคาเชิญให้พูด จงภูมิใจท่ีได้รับเกียรติลุกข้ึนเดินไปอย่าง สง่าผา่ เผยพร้อมสังเกตรอบขา้ งและคดิ ลาดบั เนอื้ หาให้เหมาะสมกับที่ประชุม เร่มิ ตน้ ประโยคแรกให้ดงึ ดูดความ สนใจของผู้ฟังใหไ้ ด้มากทีส่ ดุ 2. พูดเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัวที่สุด ลาดับเรื่องท่ีจะพูดก่อนหลัง เช่ือมโยงแนวคิดอย่างกระชับและ ตอ่ เนือ่ ง พูดบทสรปุ ตอนจบอยา่ งประทับใจ

136 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 3. ควรกล่าวทักทายหรือทาตามข้ันตอนอย่างสั้น ๆ แล้วทบทวนคาถามก่อนตอบ โดยลาดับเรื่องให้ ตรงประเดน็ ขยายความให้ชัดเจน 4. พยายามใช้ปฏิภาณไหวพริบและอารมณ์ขัน เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างฉับไว เหมาะสมกบั เรื่องและสถานการณ์ คิดเร็ว เพอื่ ให้สามารถลาดบั เรือ่ งได้ทันที 5. พยายามรักษาเวลาในการพูดท่ีมีกาหนดเวลา หรือใช้เวลาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยหา คาพูดทจี่ บลงได้อยา่ งประทบั ใจ มิฉะนนั้ จะเกิดความประหมา่ พดู วกวนจนลงเวทไี มไ่ ด้ ระดับการพดู ในท่ีสาธารณะตามโอกาสต่าง ๆ การพดู ในท่ีสาธารณะตามโอกาสต่าง ๆ จาแนกเป็น 3 ประเภท ดงั นี้ 1. การพูดอย่างเป็นทางการ เป็นการพูดในพิธีต่าง ๆ มีการวางแผนแนวการปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน เช่น การปราศรยั ของนายกรัฐมนตรี การให้โอวาทของบคุ คลต่าง ๆ การกลา่ วสุนทรพจนเ์ นือ่ งในโอกาสต่าง ๆ 2. การพูดกึ่งทางการ เป็นการพูดที่ลดความเป็นแบบแผนลง เช่น การกล่าวต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม การกลา่ วขอบคุณผชู้ ่วยเหลือในกจิ กรรมต่าง ๆ การกล่าวบรรยายสรุปแก่ผเู้ ขา้ ชมสถานท่ี 3. การพูดอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการพูดท่ีให้บรรยากาศเป็นกันเอง เช่น การกล่าวอวยพรในงาน เล้ียงสรา้ งสรรคท์ เี่ ป็นกันเอง การกล่าวแสดงความรู้สกึ ในหมู่ของเพอ่ื นสนิท ทัง้ นใี้ นการพูดในท่ีสาธารณะหรือในที่ชุมชนแต่ละครง้ั ผู้พูดต้องวิเคราะห์โอกาสและสถานการณ์ แล้ว เตรียมศิลปะการใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสน้ัน เพื่อจะพูดได้ถูกต้องสร้างบรรยากาศได้ดี และมี ความประทับใจ การพูดในท่ีสาธารณะผู้พูดจึงต้องศึกษาและฝึกฝนโดยวิเคราะห์ถึงโอกาสและรูปแบบของการพูด ประเภทตา่ ง ๆ ดังนี้ 1. การพูดในโอกาสพิเศษ การพูดในโอกาสพิเศษเป็นการพูดทจ่ี ัดขึ้นเปน็ พเิ ศษ เนื่องในโอกาสสาคัญ ๆ ส่วนใหญ่มักเป็นการ พดู อย่างทางการ เชน่ 1.1 การกล่าวสุนทรพจน์ สุนทรพจน์ แปลว่า คาพูดท่ีดี หมายถึง การพูดด้วยถ้อยคาท่ีไพเราะ คมคาย หลักแหลม กินใจ มีสานวนโวหารน่าฟัง เหมาะสมกับโอกาส ส่วนใหญ่มักเป็นการพูดอยา่ งเป็นทางการ สาหรบั ผูม้ ชี ่ือเสยี ง หรือมหี นา้ ทกี่ ารงานสาคัญในสังคม การกล่าวสุนทรพจน์เป็นการพูดที่ถือว่าเป็นเกียรติแก่ผู้พูด เพราะมักใช้ในการโอกาสพิเศษ ในการจัดงาน หรอื ใชอ้ ยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง และมีผเู้ ชิญให้พดู เพราะการพูดสุนทรพจนต์ ้องมีการเตรยี มตัวลว่ งหน้า ต้องระมดั ระวังในเรื่องถอ้ ยคา เนอื้ หา ท่วงทานองการพูดและผ้พู ูดตอ้ งทาตัวให้มบี คุ ลิกภาพทส่ี งา่ งามด้วย 1.1.1 จุดมุ่งหมายของการกลา่ วสนุ ทรพจน์ 1) เพื่อแสดงความร้สู ึกนึกคดิ บางประการเนื่องในโอกาสสาคัญ ๆ 2) เพ่อื ใหผ้ ู้ฟังเข้าใจและเห็นความสาคัญของโอกาสนน้ั ย่ิงขึ้น

137 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 3) เพือ่ ให้ขอ้ คิดหรอื เสนอแนวทางให้ผฟู้ งั นาไปปฏบิ ัติ 1.1.2 หลกั การกลา่ วสุนทรพจน์ 1) กล่าวถึงโอกาสสาคญั ในการพูด 2) กล่าวถึงความรู้สึกท่ีมีต่อเร่ืองที่พูด หรือแสดงทรรศนะให้ผู้ฟัง เข้าใจ และเกิด ความภมู ใิ จ 3) ใหข้ ้อคิดหรือแนวทางท่จี ะนาไปปฏบิ ตั ิ 4) ใช้ถ้อยคาไพเราะ สละสลวย ลกึ ซ้ึง น่าสนใจ 5) สร้างบรรยากาศให้เกิดความน่าเส่ือมใส ศรทั ธา 6) จบด้วยการสรุปทิ้งท้ายให้นาไปคิด หรือฝากไว้ในความทรงจาตลอดไป และ กล่าวอวยพร 1.2 การกล่าวคาปราศรัย เป็นการพูดเฉพาะเร่ือง เพ่ือให้ผู้ฟังทราบข้อเท็จจริงหรือแนวทาง ปฏิบัติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีลักษณะคล้ายสถานการณ์ในเนื้อหา ภาษา และทัศนคติของผู้กล่าว การกล่าว คาปราศรัยเป็นการพูดท่ีเป็นพิธีการ จึงต้องมีการตระเตรียมมาล่วงหน้าอย่างดี เช่น คาปราศรัยของ นายกรัฐมนตรีเน่ืองในวันเด็ก คาปราศรัยบุคคลสาคัญเน่ืองในโอกาสวันสาคัญต่าง ๆ คาปราศรัยของประธาน ในพธิ ีเน่อื งในการเปดิ งาน เปน็ ตน้ 1.2.1 จดุ มุ่งหมายในการกล่าวคาปราศรยั 1) เพอื่ แสดงความรสู้ กึ นกึ คิดบางประการให้ผู้ฟังเขา้ ใจ 2) เพ่อื ใหผ้ ู้ฟงั เหน็ ความสาคญั ของงานหรอื ในโอกาสที่พดู 3) เพื่อให้ผ้ฟู งั เห็นดี เหน็ ชอบ มีอารมณค์ ลอ้ ยตามเหตุผลและขอ้ เทจ็ จรงิ 1.2.2 หลกั การเก่ียวคาปราศรัย 1) กล่าวถงึ ความสาคัญของโอกาสทีจ่ ะพูด 2) กลา่ วเนน้ ถงึ ความสาคัญของสง่ิ น้ัน ๆ ผลงานหรือความสาเรจ็ ในรอบปี 3) นาเหตุการณ์สาคัญ ๆ หรอื บุคคลที่มีบทบาทต่าง ๆ มากล่าว เพ่ือประโยชน์แก่ สว่ นรวม 4) พดู ถงึ อดตี ปัจจบุ ัน และความหวังทด่ี ีงามในอนาคต 5) จบด้วยการกล่าวใหข้ ้อคิด และคากล่าวอวยพร 1.3 การให้โอวาท โอวาท คือ คาแนะนาตักเตือน การพูดให้โอวาท จึงเป็นการพูดที่ผู้อาวุโส ผู้มีเกียรติ หรือผู้ตาแหน่งหน้าท่ีสูงกว่า พูดเพื่อแนะนา ส่ังสอนหรืออบรมให้ผู้ฟังเป็นคนดีมีศีลธรรม เรือ่ งท่ีพูด มักเก่ียวกับการศึกษา ความประพฤติ ความสามัคคี หรือเรื่องการแต่งงาน ฯลฯ มักพูดในโอกาสต่าง ๆ เช่น โอกาสท่มี ผี ู้ประสบความสาเรจ็ การศกึ ษา การมอบวุฒิบัตรหรือการเริ่มปฏิบัติงานในโครงการตา่ ง ๆ เปน็ ต้น

138 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 1.3.1 จดุ มุ่งหมายของการใหโ้ อวาท 1) เพื่อให้ขอ้ คดิ แก่ผู้ฟัง 2) เพื่อตักเตอื นแลว้ ชีแ้ นวทางปฏบิ ัติ 3) เพือ่ ให้เกดิ ความสงบสขุ ของการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คม 1.3.2 หลักการพดู ให้โอวาท 1) กลา่ วถึงความสาคญั ของโอกาสทใี่ หโ้ อวาท 2) เนน้ หลักสาคัญที่ให้ผูฟ้ งั นาไปปฏิบัติ 3) กล่าวถงึ ความรับผดิ ชอบของผ้รู บั โอวาท 4) กล่าวถึงอปุ สรรคปัญหาที่อาจจะเกดิ ขนึ้ และเสนอแนะวิธกี ารเอาชนะอปุ สรรคนั้น 5) ตักเตอื นใหป้ ระพฤติตนในทางที่ถูกต้อง 6) ทิ้งท้ายด้วยการแสดงความหวังและให้กาลังใจในการนาไปปฏิบัติ และจบด้วย การอวยพร 1.4 การแสดงปาฐกถา ปาฐกถา หมายถงึ ถ้อยคาหรอื เรอ่ื งราวทางวิชาการท่ีกลา่ วหรอื บรรยาย ในท่ีชุมชน เป็นการพูดหรือการบรรยายท่ีแสดงความรู้ ในโอกาสท่ีหน่วยงาน สถาบัน สมาคม สโมสร เชิญ ผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความรู้ทางวิชาการ เป็นการพูดที่ผู้พูดไม่หวังว่าผู้ฟังจะเช่ือหรือคล้อยตาม แต่เป็นการเสนอ ข้อเทจ็ จรงิ และข้อคิดเห็น เรียกผู้พดู ว่า องคป์ าฐก 1.4.1 จุดม่งุ หมายของการแสดงปาฐกถา 1) เพอ่ื ถา่ ยทอดความรแู้ ละความคดิ เหน็ ของผู้พดู ไปสผู่ ู้ฟงั 2) เพ่อื ให้ผฟู้ ังเกดิ ความรู้และเพม่ิ พูนสติปัญญา 3) เพื่อให้ผู้ฟังนาความรู้ความเข้าใจไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์ แกผ่ อู้ น่ื ต่อไป 1.4.2 หลกั การแสดงปาฐกถา 1) กล่าวคาปฏสิ นั ถารทเ่ี หมาะสมและน่าฟงั 2) กล่าวอารัมภบทอย่างน่าสนใจ 3) พดู ตรงประเดน็ 4) กลา่ วถึงเนือ้ หาสาระทเ่ี ป็นความรู้ชดั เจน มเี หตผุ ล 5) พูดแบบสร้างสรรค์ ไม่เครียดเกินไป เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาและการมองโลก ในแง่ดี 6) ใช้เวลาเหมาะสม 7) สรุปให้ผฟู้ ังเขา้ ใจแจ่มแจง้ และประทบั ใจ

139 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 1.5 การกล่าวรายงานในงานพิธี เป็นการกล่าวรายงานของผู้เป็นประธาน การดาเนินงาน จะต้องกล่าวรายงานต่อประธานในพิธี เพ่ือให้ทราบถึงความเป็นมา ความสาคัญ และรายละเอียดต่าง ๆ เก่ยี วกบั การจัดงานก่อนที่จะทาพธิ เี ปิดงาน 1.5.1 จดุ มุง่ หมายของการกลา่ วรายงานในงานพิธี 1) เพ่อื ให้ประธานในพธิ ีไดท้ ราบความเปน็ มาของการจดั งาน 2) เพ่ือให้ประธานในพิธีได้ทราบรายละเอียดต่าง ๆ เช่น วัตถุประสงค์ เป้าหมาย วธิ ดี าเนนิ งาน และผลท่คี าดว่าจะไดร้ บั เปน็ ตน้ 1.5.2 หลกั การกล่าวรายงานในพธิ ี 1) กล่าวขอบคุณท่ปี ระธานใหเ้ กยี รตมิ าเปน็ ประธาน 2) รายงานความเปน็ มา วตั ถุประสงค์ เป้าหมาย วิธีดาเนินงาน ตลอดจนผลท่ีคาด วา่ จะได้รบั 3) กล่าวถงึ ความอนเุ คราะห์ หรือความรว่ มมือจากหนว่ ยงานต่าง ๆ 4) เชญิ ให้ประธานกล่าวคาปราศรัย และเปดิ งาน 2. การพูดในโอกาสต่าง ๆ เพ่ือมารยาทในสงั คม ในการสมาคม บุคคลอาจมีโอกาสได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวอวยพร กล่าวแสดงความรู้สึก กล่าว ต้อนรับ ตามประเพณีนิยมของสังคม ซ่ึงเป็นกิจกรรมซ่ึงผู้พูดที่มีประสบการณ์มาก มีความรู้และปฏิภาณดีก็ ย่อมกล่าวได้ดี ส่วนผู้ที่มีประสบการณ์น้อย ก็จาเป็นต้องฝึกฝน และอาศัยการร่างคากล่าวไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ สามารถกล่าวได้ด้วยความม่ันใจ แต่การพูดในโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ อาจมีท้ังกรณีท่ีสามารถเตรียมตัวไว้ ลว่ งหนา้ และการพูดโดยกะทันหัน ข้อแนะนาในการพูดเพอ่ื มารยาทในสังคมนนั้ ควรกล่าวเพียงสัน้ ๆ โดยกล่าวถงึ จดุ มุง่ หมายท่ีจะพูด และดาเนินเรื่องสู่เป้าหมายเลยทีเดียว ผ้พู ูดต้องวิเคราะห์โอกาสว่าเป็นพธิ ีการมากนอ้ ยเพียงใดและใช้นา้ เสียงท่ี แสดงความจริงใจทจี่ ะกอ่ ให้เกิดความเป็นมิตร ความสขุ และความพอใจ หลักในการพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ เพื่อมารยาทในสงั คม มีดงั น้ี 2.1 การแนะนา เป็นการพูดเพ่ือแนะนาให้เป็นท่ีรู้จัก ถือเป็นมารยาทสังคมแบบหนึ่ง ซ่ึงทาได้ หลายโอกาสดังนี้ 2.1.1 การแนะนาตัวให้ผู้อื่นรู้จัก มีสงิ่ ท่คี วรแนะนาดังน้ี 1) แนะนาชือ่ และนามสกุล 2) ท่ีอยูป่ จั จบุ นั 3) ตาแหน่งหนา้ ทกี่ ารงาน 4) เพ่ือให้รู้จักกันดีขึ้นอาจเพิ่มเติมเร่ืองภูมิลาเนาเดิม ความถนัด ความสนใจ และ ความสามารถพิเศษ

140 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 2.1.2 การแนะนาให้บุคคลรู้จักกัน เป็นมารยาททางสังคมอย่างหนึ่งซึ่งจะทาให้ผู้มาใหม่มี โอกาสได้สนทนากับกลมุ่ เป็นการเริ่มไมตรที ่ดี ตี ่อกัน ซึ่งหลักในการแนะนาดงั นี้ 1) แนะนาผู้น้อยให้รู้จักกับผู้ใหญ่ โดยให้เกียรติผู้ใหญ่ก่อนด้วยการกล่าวถึงผู้ใหญ่ แล้วตามด้วยผู้นอ้ ย เช่น “คุณตาครบั นี้วบิ ูลย์เพอื่ นผม วิบูลย์นค้ี ุณตาของผมเอง” 2) แนะนาผู้ชายให้รู้จักกับผู้หญิง ในกรณีที่มีความอาวุโสเท่าเทียมกัน เช่น “คุณปรารถนาครับนี่คืออาจารย์ณัฐพล อาจารย์ใหญ่ครับและอาจารย์ณัฐพลน่ีอาจารย์ปรารถนา ประธาน หลักสตู รครับ” 2.1.3 การแนะนาวิทยากร มีจุดมุ่งหมายเพ่ือแนะนาให้ผู้ฟังรู้จักผู้พูดท่ีได้รับเชิญมา บรรยายใหค้ วามรูด้ ้วยการปาฐกถาหรือเป็นวทิ ยากร ซึง่ ผแู้ นะนาควรตดิ ต่อขอรายละเอียดไว้ล่วงหน้า มหี ลักใน การแนะนาดงั นี้ 1) แนะนาชอื่ และนามสกุล 2) บอกคุณวุฒิ 3) กลา่ วถึงหนา้ ที่การงานในปจั จุบนั 4) กลา่ วถงึ เกียรตคิ ณุ ท่ีเคยได้รบั เพ่อื เปน็ เกยี รติและสรา้ งศรทั ธาของผู้ฟัง 5) ความรูแ้ ละประสบการณเ์ กย่ี วข้องกับเรือ่ งทพ่ี ูด 2.2 การกล่าวต้อนรับ โอกาสที่จะพูดได้แก่ เมื่อมีแขกคนสาคัญมาเยี่ยม และเมื่อมีผู้ร่วมงาน ใหม่ เพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรีอันดี สร้างความรู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกท่ีดีงามต่อกันและเป็นเกียรติแก่ผู้มาเย่ียม หรอื ผู้มาใหม่ดว้ ย หรือในโอกาสการกลา่ วตอ้ นรับผู้มาประชุม 2.2.1 กล่าวถึงความรู้สึกยนิ ดี หรอื เป็นเกียรตเิ จ้าของสถานท่ี 2.2.2 พูดเรื่องท่ีเกี่ยวกับส่วนดีของผู้มาใหม่ให้ผู้ฟังรู้จักเพื่อเป็นการให้เกียรติ ถ้าเป็นการ มาประชุมกก็ ลา่ วถึงความสาคัญของการประชุม วัตถุประสงค์ ความเปน็ มา ประโยชน์ที่จะไดร้ ับ และต้อนรับผู้ มาประชมุ ใหร้ ้สู กึ ผอ่ นคลาย เกิดความเปน็ กนั เอง 2.2.3 พดู เรื่องความปรารถนาดีของเจา้ ของสถานที่ และแสดงความยนิ ดีทีจ่ ะชว่ ยเหลือ 2.2.4 กล่าวสรุปว่า ผู้มาเยือนนั้นจะมีความสุข สบายใจ ประสบความสาเร็จ ถ้าเป็นผู้มา เยือนกห็ วงั ว่า คงกลับมาเย่ียมเยอื นอกี 2.3 การกลา่ วตอบการต้อนรบั 2.3.1 กล่าวขอบคุณที่ไดร้ บั การต้อนรบั เปน็ อยา่ งดี 2.3.2 แสดงความซาบซึ้งในความเอาใจใส่ ดว้ ยน้าเสียงทแ่ี สดงความจริงใจ 2.3.3 จบลงด้วยความหวงั ว่าจะมีโอกาสกลบั มาอีกครัง้ 2.4 การกล่าวมอบรางวัลหรือของขวัญ ในการที่มีพิธีมอบของรางวัล หรือการมอบของขวัญ มักจะมีการกล่าวกอ่ นทีจ่ ะมอบ มหี ลกั ในการพูด ดงั นี้ 2.4.1 กลา่ วถงึ โอกาสวา่ มอบรางวลั หรอื ของขวญั นี้ในโอกาสใด

141 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 2.4.2 กล่าวถึงหน่วยงานหรือในนามของผู้ใด ซ่ึงผู้พูดต้องจดจาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้ แมน่ ยา เช่น หนว่ ยงาน ชื่อของบคุ คล โดยเฉพาะชือ่ บคุ คลทีไ่ ด้รับเกียรติให้รับของขวัญหรือรางวัล 2.4.3 กล่าวถึงเหตุผลที่สมควรได้รับรางวัลว่า ผู้ได้รับของขวัญหรือรางวัลมีคุณสมบัติ สมควรได้รบั เกยี รตนิ ้ีอย่างไร 2.4.4 กล่าวถึงของขวัญหรือของรางวัลว่า เป็นเพียงสิ่งที่ตอบแทนความดี หรือเป็นของท่ี ระลึกแทนความดีน้ัน 2.4.5 อาจกลา่ วถึงผู้ฟัง และการกระตุ้นใหผ้ ู้ฟงั เกิดกาลงั ใจ ทจี่ ะเป็นผู้มโี อกาสได้รับรางวัล เพ่ือตอบแทนความดี และมคี วามสามารถเช่นนี้บา้ ง 2.4.6 เมื่อกล่าวจบ จงึ มอบของขวัญและอาจสมั ผสั มือเพ่ือแสดงความยินดแี บบสากลนิยม ด้วยก็ได้ 2.5 การกล่าวตอบการรับมอบรางวัลและของขวัญ การกล่าวตอบต้องระวังอย่างให้สั้นเกินไป จนอาจกลายเป็นไม่สุภาพ ควรเป็นการกล่าวเพือ่ แสดงว่า 2.5.1 ผรู้ ับมีความรสู้ ึกยินดีเพียงใด 2.5.2 แสดงความรู้สึกขอบคุณผู้มาร่วมงานหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท่ีช่วยให้ประสบ ความสาเร็จ (ถ้าม)ี 2.5.3 กล่าวถงึ ของขวญั วา่ มีความหมายสาหรับผู้รบั อย่างไร 2.5.4 แสดงความตงั้ ใจว่าจะรักษาเกียรตนิ ้ันไว้นานเท่านาน 2.6 การกล่าวแสดงความอาลัย เปน็ การกลา่ วเพ่ือแสดงความรกั และความอาลัยตอ่ บคุ คลที่ตอ้ ง จากไปหรอื การกล่าวเพือ่ ไว้อาลัยผู้ล่วงลับ มหี ลกั ในการกล่าวดังน้ี 2.6.1 การกล่าวคาอาลัย เมื่อมีผู้ย้ายไปปฏิบัติงานในหน้าที่ใหม่ ลาออกจากงาน หรือ พ้นตาแหน่งหน้าที่ จะมีการจัดเล้ียงส่งหรืออาลา ในโอกาสนี้มักจะเป็นการเชิญบุคคลต่าง ๆ ข้ึนกล่าวแสดง ความร้สู กึ ซึ่งมีหลกั เกณฑด์ ังนี้ 1) กลา่ วอย่างจรงิ ใจ 2) ยกย่องชมเชย คณุ งามความดี หรอื กล่าวถงึ ผลงานทเี่ คยปฏบิ ัตมิ าแล้ว 3) กล่าวถึงความรกั และอาลยั ของเพื่อนรว่ มงาน 4) แสดงความหวังว่า ความสาเร็จท่ีได้กระทามาแล้ว จะเป็นแนวทางให้ผู้อื่นนาไป ปฏบิ ัติเพอื่ ความสาเรจ็ ต่อไป 5) กล่าวอวยพรให้ประสบความสาเร็จในหน้าที่การงานใหม่ ถ้าต้องเดินทางก็ขอให้ เดนิ ทางโดยสวัสดภิ าพ 6) มอบของท่ีระลกึ

142 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 2.6.2 การกล่าวแสดงความอาลัยแก่ผู้ล่วงลับ เป็นการกล่าวอาลัยในงานศพเพื่อเป็นการ ใหเ้ กยี รตแิ กผ่ ู้เสยี ชีวติ และมักจะค่อนขา้ งเปน็ พธิ ีการ มหี ลกั การกล่าวดังนี้ 1) กลา่ วถึงชีวประวัตขิ องผ้ลู ่วงลบั โดยสงั เขป 2) กล่าวถงึ ผลงานและคุณความดี 3) กล่าวถงึ สาเหตทุ ่ีตอ้ งเสยี ชีวติ 4) แสดงความอาลัยของผทู้ ย่ี งั อยู่ 5) ขอให้ดวงวิญญาณไปสทู่ ่ีสุขคติ 2.7 การกล่าวอาลา ในวงการธุรกิจหรือราชการ เม่ือมีผู้ออกจากงาน โยกย้ายตาแหน่งหน้าท่ี มักจะมีการจัดเล้ียงส่งเพื่ออาลา ผู้กล่าวคาอาลาควรระมัดระวงั การใช้ถ้อยคา ใช้คาพูดที่มีความจริงใจ โดยยึด หลักดังนี้ 2.7.1 พูดถึงสาเหตุที่ต้องจากไป ถ้าผู้ฟังทราบมาก่อนแล้ว ก็ควรกล่าวเร่ิมต้นกล่าวถึง ความอาลัยในการจาก 2.7.2 กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน การช่วยเหลือเก้ือกูล ความ ซาบซึง้ ในน้าใจ และความประทับใจ ขณะทไี่ ด้รับเมอื่ อยทู่ ่ที ท่ี างานเดมิ 2.7.3 พูดถงึ ตาแหน่งใหม่ งานใหม่ หรอื สถานที่ใหม่ แต่ต้องไมใ่ ห้ผู้ฟังรู้สึกดีใจทจ่ี ะจากไป 2.7.4 กล่าวเชิญชวนให้เพ่อื นร่วมงานไปเยี่ยมเยอื น ณ ท่ที างานใหม่ 2.7.5 แสดงความหวังว่าจะไดก้ ลับมาอกี 2.7.6 ขอบคุณในไมตรจี ติ ของผูร้ ว่ มงาน และผเู้ กย่ี วขอ้ งในการจดั งานเลี้ยงอาลาน้ี 2.8 การกล่าวแสดงความยินดี เป็นการกล่าวแสดงความชื่นชมในความสาเร็จของบุคคลหรือ หน่วยงาน เพื่อเป็นการให้เกียรติและเพื่อการประสานความร่วมมือกันต่อไป เช่นการกล่าวแสดงความยินดีใน โอกาสที่บุคคลนั้นได้รับตาแหน่งใหม่ ได้รับการยกย่องประกาศเกียรติคุณ หน่วยงานได้รับยกย่องหรือได้รับ รางวัล มหี ลกั ในการกลา่ วดังน้ี 2.8.1 บอกใหท้ ราบว่ากล่าวในนามของใคร 2.8.2 แสดงความยินดอี ย่างจรงิ ใจ 2.8.3 กลา่ วยกย่องในความวิรยิ ะอตุ สาหะ คณุ ความดที ่ีบคุ คลหรือหน่วยงานนน้ั กระทาจน ประสบความสาเร็จ 2.8.4 กลา่ วอวยพรและมอบดอกไมห้ รือของที่ระลกึ เพ่ือแสดงความยนิ ดี 2.9 การกล่าวตอบแสดงความยินดี ผู้กล่าวตอบควรแสดงความภูมิใจในความสาเร็จของตนเอง ถ้าเป็นผู้นาต้องแสดงความเข้มแข็งจริงจัง เพื่อแสดงให้เห็นความสามารถในการเป็นผู้นา แต่มีข้อระวังคืออย่า แสดงความอวดตวั คอื อยา่ แสดงความไมม่ นั่ ใจ มหี ลกั ในการกล่าว ดังน้ี 2.9.1 แสดงความรู้สกึ ยินท่ที ี่ได้มาทางานร่วมกัน 2.9.2 ยกย่องสถาบัน หรือหน่วยงานที่ทางานอยู่

143 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 2.9.3 กล่าวถึงหลกั การหรืออดุ มคตใิ นการทางานของตนเอง 2.9.4 แสดงให้เห็นว่าผู้ร่วมงานทุกคนมีความรับผิดชอบ และมีความสาคัญต่อหน่วยงาน และขอใหท้ กุ คนรว่ มมอื กันทางาน 2.10 การกล่าวมอบตาแหน่ง ในการทางานย่อมมีโอกาสโยกย้ายเปลี่ยนแปลงตาแหน่งใหม่ การสับเปล่ียนดังกล่าวต้องมีการมอบงาน มอบตาแหน่ง เพื่อเป็นเกียรติและให้กาลังใจแก่ผู้มารับตาแหน่งใหม่ มีหลกั ในการกลา่ ว ดงั นี้ 2.10.1 กล่าวถึงความสาคญั ของตาแหน่ง เพอื่ ใหผ้ รู้ บั ตาแหน่งเกิดความภูมใิ จ 2.10.2 กลา่ วยกย่องในความสามารถและคุณสมบตั ิพเิ ศษของผ้มู ารบั ตาแหนง่ 2.10.3 ฝากความหวงั ว่ากิจการงานทงั้ หลายจะดาเนินไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 2.10.4 อวยพรใหป้ ระสบความสาเรจ็ ในการทางานตาแหนง่ ใหม่ 2.11 การกล่าวตอบรับมอบตาแหน่ง เพื่อแสดงความจริงใจและความตั้งใจในการท่ีจะทางานใน ตาแหนง่ ทจ่ี ะไดร้ ับมอบ มหี ลักในการกลา่ ว ดงั น้ี 2.11.1 แสดงความขอบคุณที่ได้รับเกียรติจากผู้มอบตาแหน่ง และการต้อนรับจาก ผู้รว่ มงาน 2.11.2 แสดงความเชื่อม่ันวา่ จะไดร้ บั ความรว่ มมอื รว่ มใจจากผรู้ ่วมงานทุกคน 2.11.3 กลา่ วแสดงความม่งุ ม่ันทจี่ ะทางานใหป้ ระสบความสาเรจ็ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 2.12 การกล่าวมอบถาวรวัตถุและส่ิงก่อสร้าง การกล่าวมอบถาวรวัตถุไว้เป็นสาธารณประโยชน์ นยิ มทากนั ทัว่ ไปในสงั คม เชน่ หอ้ งสมดุ ถนน อาคาร ครภุ ัณฑ์ ศาลาที่พกั คนเดนิ ทาง มหี ลกั ในการกล่าว ดังนี้ 2.12.1 แสดงเจตนารมณ์ของผู้มอบ เช่น เพื่อเป็นสาธารณกุศล เพื่อเป็นการศึกษา เพอื่ เป็น ทรี่ ะลึกหรอื เพอ่ื อุทิศแก่ผู้ล่วงลบั 2.12.2 กลา่ วถงึ ประโยชนท์ จี่ ะได้รับ 2.12.3 ฝากความหวังว่าถาวรวัตถนุ จี้ ะเปน็ ประโยชนต์ ามเจตนารมณ์ของผ้มู อบ 2.13 การกล่าวรบั มอบถาวรวัตถุและส่ิงก่อสรา้ ง 2.13.1 แสดงความขอบคุณแกผ่ ้มู อบ 2.13.2 แสดงความตง้ั ใจทีจ่ ะใชส้ ่ิงที่รับมอบให้สมเจตนารมณ์ของผมู้ อบ 2.13.3 กล่าวคาอวยพร โดยขออานาจบุญกุศลดลบันดาลให้ผู้มอบมีความสุข ความเจริญ ตลอดไป 2.14 การกล่าวอวยพร ในการอยู่ร่วมกันในสงั คม มีโอกาสท่ีคนในสังคมจะกล่าวอวยพรแก่กันใน โอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงความรักความเออื้ อาทรให้กาลังใจ และเกิดความเปน็ สิริมงคลแก่ผู้รบั ถือเป็นประเพณี นิยมและมารยาทอันดีงามในสังคม โอกาสและหลกั ในการกลา่ วอวยพรมดี งั น้ี 2.14.1 การอวยพรเนอื่ งในวันคล้ายวันเกดิ มีหลกั ในการกลา่ ว ดงั นี้ 1) กล่าวแสดงความรสู้ ึกเปน็ เกยี รตทิ ่ีไดม้ ากล่าวอวยพร

144 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 2) กลา่ วถงึ ความสาคัญวันนี้ 3) กล่าวถงึ ความสมั พันธ์หรอื ความคนุ้ เคยของผพู้ ดู ที่มีต่อเจา้ ภาพ 4) กล่าวถงึ คณุ ความดีของเจา้ ของวนั เกดิ 5) กลา่ วถึงความสามารถและความกา้ วหนา้ ในอนาคต 6) อวยพรใหม้ ีอายยุ นื ยาว มีความสุข ความเจรญิ 2.14.2 การกล่าวอวยพรในงานขน้ึ บา้ นใหม่ มีหลกั ในการกลา่ ว ดงั น้ี 1) แสดงความรู้สกึ เป็นเกยี รติท่ไี ดม้ ารว่ มงาน 2) กล่าวถงึ ความสวยงาม ความสะดวกสบายของบ้านใหม่ 3) กลา่ วถงึ ความสาเรจ็ ของครอบครัวทีม่ บี า้ นเรือนเปน็ รากฐาน 4) กล่าวถงึ ความสามารถของเจ้าของบ้านทม่ี ีความขยนั หม่นั เพียรในการก่อร่างสร้างบ้าน 5) แสดงความยินดใี นความสาเร็จ 6) อวยพรให้สมาชิกทุกคนในบ้านประสบแตค่ วามสุข และความเจรญิ รุ่งเรอื ง 2.14.3 การกลา่ วอวยพรเนอื่ งในวันขน้ึ ปีใหม่ 1) แสดงความยินดีท่ีได้รับเกียรติให้มากล่าวอวยพร หากเป็นผู้แทนให้กล่าวว่า กลา่ วในนามใคร 2) กล่าวถงึ ความสาคัญของวนั ปใี หม่ 3) อวยพรให้ทกุ คนมีชวี ติ ท่ีดแี ละมีความสุขในวนั ขึน้ ปีใหม่ 2.14.4 การกลา่ วอวยพรเนอ่ื งในงานมงคลสมรส ในงานมงคลสมรสผ้ไู ดร้ ับเชิญมากล่าวอวย พรนั้น ส่วนใหญ่จะเชิญบุคคลท่ีมีเกียรติ เป็นท่ีเคารพนับถือของเจา้ ภาพ และคู่สมรสมีประวัติครองเรือนที่ดี มี หลกั ปฏิบตั ใิ นการกลา่ ว ดังน้ี 1) กลา่ วแสดงความรสู้ กึ ยนิ ดแี ละเป็นเกียรติทไ่ี ดร้ ับเชญิ มากล่าวอวยพรแกค่ ู่สมรส 2) กล่าวถึงว่าท่านกล่าวในฐานะใด เช่น เป็นประธาน เป็นผู้แทน เจ้าภาพฝ่าย เจา้ สาว ฝ่ายเจ้าบา่ ว หรือผูบ้ ังคับบญั ชา 3) กลา่ วถงึ ความสัมพันธ์ของผ้พู ดู กับคบู่ า่ วสาว หรอื ครอบครัวของคบู่ า่ วสาว 4) แสดงความยินดใี ห้เกยี รตยิ กย่องคู่บา่ วสาวว่า มีความเหมาะสมกนั ในการครองชวี ิตคู่ 5) ใหข้ ้อคิดเกี่ยวกบั ชีวิตการครองเรือน 6) แสดงความขอบคุณผมู้ าร่วมงาน 7) กล่าวอวยพรและเชิญชวนผมู้ เี กยี รติร่วมกนั ด่มื อวยพร ในการกล่าวอวยพรเน่ืองในวันมงคลสมรส หากเป็นการสมรสซ่ึงคู่สมรสได้รับพระ มหากรุณาธิคณุ สมรสพระราชทาน ผูม้ ีเกียรติทไ่ี ด้รับเชิญมากล่าวอวยพรจะไมต่ ้องกล่าวอวยพร แต่จะเชญิ ชวน ผู้มเี กียรตทิ ่มี าร่วมงานร่วมดื่มถวายพระพร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook