145 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คากลา่ วอวยพรในวนั ขนึ้ ปีใหม่* ท่านผู้มีเกยี รติทัง้ หลาย ย่อมเป็นท่ีน่ายินดีปรีดาในการที่ท่านทั้งหลายได้ผ่านชีวิตการต่อสู้ในรอบปี…. มาด้วยดี ไม่ว่าในการ ประกอบอาชพี ใด ๆ หรอื การกระทากิจการใด ๆ ย่อมมีอุปสรรคขัดขวางบา้ งไมม่ ากก็นอ้ ย การทีไ่ ด้พ้นอปุ สรรค หรือฝา่ พน้ อุปสรรคมาได้ จึงเป็นสง่ิ ที่ควรภูมใิ จและนบั ว่าเป็นโชคลาภท่ีควรพึงพอใจ นอกจากนั้นการดารงชวี ิต อยู่ได้มาครบรอบปีโดยปราศจากโรคาพยาธินั้น นับเป็นลาภอันประเสริฐสมดังคากล่าวในพุทธภาษิต “อโรค ยาปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสรฐิ ” เพ่ือให้พวกเราทั้งหลายได้ดาเนินต่อไปในอนาคตในปีใหม่น้ี ด้วยความราบรื่นปราศจากทุกข์โรคภัย และไข้เจ็บท้ังหลาย จึงขอได้โปรดต้ังปณิธานและต้ังจิตยึดม่ันในคติธรรมทางศาสนา กล่าวคือ ละเว้นจากความ ช่ัวท้ังมวล ประกอบแต่คุณความดี และทาให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสถ้าจะมีส่ิงใดเป็นเหตุให้เกิดความเศร้าหมอง ในรอบปีท่ีหรือจะมีสิ่งใดบกพร่องผิดพลาดในปีเก่า ก็ขอให้พวกเราได้เริ่มต้นชีวิตด้วยการทิ้งส่ิงท่ีเศร้าหมอง และความไมด่ ไี ม่งามสุดสนิ้ ไปตามปีเกา่ มาเรมิ่ ตน้ สงิ่ ทีส่ ดใสบริสุทธ์ิผดุ ผ่องในปีใหม่ คอื พ.ศ. ……นี้ ในโอกาสอันเป็นศุภมงคลแห่งวนั ข้ึนปีใหม่น้ี ข้าพเจ้าของชวนท่านท้ังหลายตั้งจิตอธิษฐานราลึกถึงคุณ พระศรีรัตนตรัย และส่ิงศักดิ์สิทธ์ิทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือ ได้ดลบันดาลให้พวกเราท้ังหลายและครอบครัว จงเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอันดีงาม และถึงพร้อมด้วยจตุรพิธพร คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดจนมี ทรัพย์สมบตั ิ มกี าลังกายและกาลังใจในอนั ท่จี ะประกอบอาชีพ เพือ่ ความสมบูรณ์ท้ังกายและใจเทอญ * คดั มากจากฉัตรวรุณ ตนั นะรตั น์ (2534: 122)
146 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คากล่าวอวยพรเน่ืองในงานพิธมี งคลสมรส* สวัสดที า่ นผมู้ เี กียรติทงั้ หลาย ดฉิ ันรู้สกึ ยินดีและเปน็ เกียรติอย่างย่ิงท่ีไดม้ ากล่าวให้โอวาท เน่ืองในงานพิธีมงคลสมรสของคุณดวงแข กับคุณมนัส เน่ืองในงานพิธีมงคลสมรส ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสาคัญในการท่ีแต่ละฝ่ายจะได้ใช้ชีวิตและ ไดผ้ จญชีวิตร่วมทกุ ข์รว่ มสขุ กนั ซึ่งเป็นเคร่อื งเตอื นใจให้คบู่ ่าวสาวซงึ่ จะต้องไปสร้างฐานะของตนเอง ซึ่งคุณดวง แขและคุณมนัสเปรียบเหมือนกับลูกของดิฉันเองและดิฉันก็สามารถว่ากล่าวตักเตอื นได้คนท้ัง 2 ได้ เพราะการ ไปใช้ชีวิตคู่ก็ย่อมจะมีการกระทบกระเทียบกันบ้าง เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า ลิ้นกับฟันยังกระทบกัน ก็เป็น ธรรมดาของสามีภรรยาก็ย่อมจะมีปากเสียงกันบ้าง ร้อนและเย็นเป็นของคู่กัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคน อารมณ์ร้อนอีกฝ่ายก็ควรจะเย็นเอาไว้ และท้ังสองควรจะหันมาปรึกษาหารือเม่ือมีปัญหาเกิดขึ้นภายใน ครอบครัว อีกประการหนึ่งคู่สมรสทั้ง 2 คน จะต้องคิดถึงปัญหาที่จะอบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีต่อไปใน อนาคต จะต้องรับทราบปัญหาเกอื บทุกด้านคือ 1. ปัญหาเกี่ยวกับค่าครองชีพ คือ สามีและภรรยาจะต้องมีความซ่ือสัตย์ต่อกันและกันในเรื่อง ทรัพยส์ ินเงินทอง ฝ่ายหญิงจะต้องเป็นแมบ่ ้านท่ดี ขี องสามีและลกู ๆ ตอ่ ไปในวันข้างหน้า 2. สามีและภรรยาจะต้องมีความเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ตอ่ กัน เช่น มีการใหข้ องขวญั เนื่องในวนั เกิดของสามี และภรรยา ซึง่ แสดงถงึ ความมีน้าใจต่อกัน 3. เป็นท่ีปรึกษาปัญหาแก่ลูก ๆ ต่อไปในวันข้างหน้า ซ่ึงสามีและภรรยานั้นอาจจะกล่าวได้ว่า เหมอื นกับเงาตดิ ตามกัน ซึ่งจากการให้คตเิ ตือนใจแก่คบู่ ่าวสาวทงั้ 2 คนนี้ ซึ่งดฉิ ันเองไดป้ ระสบกับการใช้ชีวติ คู่ มาแล้วซ่ึงจะต้องใช้ความอดทนทั้งกาลังกาย กาลังใจ และกาลังความคิด จะทาอะไรต้องปรึกษาร่วมกัน ใน กิจการทุกด้านและตัดสินใจให้รอบคอบ ฉะน้ัน ดิฉันคิดว่าการที่มีโอกาสข้ึนมากล่าวคาอวยพรและได้ให้คติ เตือนใจแก่คู่บ่าวสาวท้ัง 2 พอแล้ว และต่อไปดิฉันก็จะขอด่ืมและกล่าวคาอวยพรแด่คู่บ่าวสาวท้ัง 2 คือ ขอให้ สงิ่ ศักดิ์สิทธ์ิท้ังหลายจงคุ้มครองคุณดวงแขกับคุณมนัสให้ครองรักครองเรือนไปจนแก่เฒ่า เหมือนดังคาโบราณ กล่าวไว้ว่า ขอให้ครองรักกันเหมือนกับถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีลูกหลานที่เป็นเด็กว่านอนสอน งา่ ย อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ เป็นท่ีรักของพ่อแม่ เป็นกาลังใจของทุก ๆ คน ขอให้คู่สมรสท้ัง 2 ก้าวดาเนินชีวิต ไปได้อย่างราบรื่น มีสุขภาพจิตสุขภาพกายดี แข็งแรงเหมือนกับนก ซ่ึงพร้อมที่จะบินไปในโลกกว้าง ขณะนี้ได้ เวลาอันเป็นฤกษ์มงคล ดิฉันขอเชิญชวนแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายที่มางานนี้ดื่มอวยพรให้เป็นเกียรติแด่คู่สมรส ทั้ง 2 พร้อมกัน และอกี ท้ังโอวาทพร้อมท้ังให้คติเตือนใจแก่คูบ่ ่าวสาวซึ่งคิดว่าคงจะเป็นประโยชนแ์ ก่คู่บ่าวสาว ทั้ง 2 ได้ยืดถือและปฏิบัติร่วมกัน สวสั ดีคะ่ * คดั มากจากฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์ (2534: 88-89)
147 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร การพูดเป็นพธิ ีกรและโฆษก พิธีกร หมายถึง ผู้ทาหน้าที่ดาเนินรายการในกิจการน้ัน ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย ประสาน ประโยชนใ์ ห้เกดิ แก่ผฟู้ ังและผู้รว่ มรายการ หรือสร้างความเข้าใจอนั ดีระหว่างผู้แสดงในรายการนน้ั กับผูฟ้ ัง ผู้ชม โฆษก หมายถึง ผู้ท่ีทาหน้าที่ประกาศเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อส่ือความหมายแก่ผ้ฟู ัง แต่พิธีกรนั้นเป็นผู้ที่มี หน้าที่ในงานซ่ึงผู้รับเชิญมาพูดมากกว่าหน่ึงคนข้ึนไป เช่น งานสัมมนาทางวิชาการ งานมงคลสมรส งานร่นื เริง ในโอกาสต่าง ๆ ส่วนโฆษกน้ันมักทาหน้าที่ในหน้าที่มีผู้รับเชิญมาพูดคนเดียว หรือในงานท่ีจะต้องมีผู้เป็น ตวั กลางในการสอื่ ความหมายกับผฟู้ งั เพอ่ื ให้การจดั งานนนั้ ดาเนินไปได้อยา่ งเรยี บร้อย 1. จดุ มุ่งหมายของการพูดในฐานะพิธกี รหรอื โฆษก 1.1 เพ่ือแจง้ ข้อมูลหรือกจิ กรรมต่าง ๆ ให้ผฟู้ งั หรอื ผรู้ ่วมงานทราบ 1.2 เพอ่ื ดาเนนิ รายการให้ราบร่นื มีบรรยากาศเหมาะสมกับโอกาสของงาน 2. ความรู้พืน้ ฐานของพธิ กี รหรอื โฆษก 2.1 รู้ลาดบั รายการ 2.2 รู้จุดม่งุ หมายของรายการ 2.3 รู้รายละเอยี ดของแต่ละรายการ 2.4 รู้จกั ผู้เกย่ี วขอ้ งในแต่ละรายการ 2.5 รูก้ าลเทศะ 3. หลกั การพดู ในฐานะพธิ กี รหรือโฆษก 3.1 เร่มิ รายการตามแผนท่ีได้วางไว้ล่วงหน้า 3.2 ใชภ้ าษาให้เหมาะสมกับโอกาสของงาน 3.3. พดู ส้นั กระชบั มีชีวิตชวี า 3.4 พดู เสียงดงั กระชบั มจี ังหวะพอเหมาะ 3.5 แนะนาผู้พูดด้วยการเอย่ ชื่อ นามสกุล ตาแหน่งใหถ้ กู ต้อง 3.6 ก่อนเชิญคนต่อไปพูด ควรมีการคั่นจังหวะด้วยคาพูดสั้น ๆ ที่น่าสนใจและเช่ือมโยง เพื่อ ผ่อนอารมณผ์ ูฟ้ งั 3.7 ใช้คาพูดนมุ่ นวล หลีกเลี่ยงการพดู หรือการแสดงทีทา่ โอ้อวด หรือดถู กู ผูฟ้ ัง 4. เทคนคิ การเปน็ พิธีกรหรอื โฆษก 4.1 ต้องมคี วามพรอ้ มทั้งรา่ งกายและจิตใจ 4.2 มาถงึ งานกอ่ นเวลา 4.3 สารวจความพรอ้ มของเวลา แสง สี และเสียง 4.4 เปดิ รายการดว้ ยความสดช่นื กระปรีก้ ระเปร่า 4.5 ดึงดูดความสนใจมาสเู่ วทีไดต้ ลอดเวลา 4.6 แกป้ ัญหาหรือควบคมุ สถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างดี
148 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 4.7 ดาเนินรายการไดจ้ นจบ บรรลุตามจดุ ประสงค์ท่ีวางไว้ ปัญหาและอุปสรรคในการพูด 1. ขาดการเตรียมตัวทีด่ ี 2. ไม่ไดศ้ ึกษาเรอื่ งที่พดู อย่างลึกซงึ้ 3. จงั หวะลีลาและเสียงพูดไมน่ า่ สนใจ 4. ขาดมารยาทในการพูด 5. ขาดการวเิ คราะห์ผ้ฟู งั 6. ใช้ภาษาไมถ่ กู ตอ้ ง 7. ไมส่ ามารถรักษาอารมณไ์ ด้ 8. ลาดับเร่อื งไมด่ ี 9. ไมร่ ักษาเวลา 10. สรปุ จบไม่ลง แนวทางแกไ้ ขปัญหาในการพดู ผพู้ ูดควรฝึกฝนตนเองด้วยการศึกษาจากตัวอย่าง รู้จักสังเกต จดจาและนาไปใชใ้ ห้เหมาะแก่กาลเทศะ แนวทางการแกป้ ัญหาในการพูดมีดงั นี้ 1. ประเมินตนเองว่ามีข้อบกพร่องในการพูดอย่างไร และพยายามปรับปรุงแก้ไขด้วยการหมั่นฝึกฝน ด้วยตนเอง 2. รับฟังการประเมินการพูดจากผู้ฟัง ผู้พูดที่ดีควรใส่ใจ รับฟังข้อติชม ข้อเสนอแนะของผู้รบั ฟังและ รบั มาปรบั ปรุงแกไ้ ข 3. หม่ันศึกษาหาตัวอย่างจากนักพูดที่มีช่ือเสียง ด้วยการสังเกตเทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่จะทาให้การ พดู นา่ สนใจ 4. ฝกึ ฝนทักษะการใชภ้ าษา ทั้งในดา้ นเสยี งพูด จังหวะลีลา การออกเสียง การพูดประโยคให้กระชับ สามารถสือ่ ความหมายไดร้ วดเรว็ ตรงตามจดุ ประสงค์ 5. ปรบั ปรุงบุคลกิ ภาพ ด้านการแตง่ กาย อากปั กริ ยิ าทา่ ทาง ฝกึ ฝนปรบั บคุ ลิกภาพให้เข้ากับการพูด 6. ฝึกฝนมารยาทในการพูด เช่น มีความสุภาพ มีกิริยามารยาทสง่างามนุ่มนวล พูดจาไพเราะให้ เกียรติผูฟ้ งั รูจ้ กั พูดในโอกาสทพี่ อเหมาะและมีความจริงใจกับผู้ฟัง 7. รู้จักควบคุมอารมณ์ การเตรียมตัวให้พร้อมจะทาให้เกิดความเช่ือม่ันในตนเอง ไม่เกิดความ ประหม่าเขินอาย ตื่นเตน้ หรือการรูจ้ ักควบคมุ อารมณ์ใหม้ ีความหนักแนน่ สารวมไม่แสดงท่าทีโกรธ หรือแสดง กิรยิ าท่าทางไม่เหมาะสม
149 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 8. ฝึกฝนความมีปฏิภาณไหวพริบ สามารถแก้ไขปัญหาได้ฉับไว ด้วยการฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต ตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ไดร้ วดเรว็ คดิ เร็วแต่ตอ้ งอยู่บนพ้นื ฐานของความสมเหตสุ มผล 9. หมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เพ่ือให้เกิดความรอบรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ในการพูดเพ่ือสร้าง ศรทั ธาจากผู้ฟงั ได้ 10. มีอารมณร์ ่นื เรงิ สามารถสรา้ งบรรยากาศในการพดู ไดด้ ี แตต่ ้องพอเหมาะแก่กาลเทศะ จากแนวทางในการพัฒนาทักษะการพูดดังท่ีกล่าวมาแล้ว จะทาให้ผู้เรียนสามารถฝึกฝนใช้ทักษะการ พูดให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน ซึ่งทุกคนต้องอยู่ร่วมกันในสังคม ทักษะการสื่อสารที่จาเป็นคือ การพูด ฉะนั้นการพูดจึงก่อให้เกิดการประสานใจ ประสานความคิดแก่คนในสังคมได้ ถ้าผู้พูดรู้จักพูดเพื่อสร้างสรรค์ รู้จักใหเ้ กยี รตแิ ละมมี ารยาทอนั ดงี าม ย่อมทาใหม้ นษุ ยม์ คี วามรสู้ กึ ทดี่ ตี อ่ กนั โลกยอ่ มสวยงามและสงบสขุ
150 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร บทที่ 8 การพัฒนาทกั ษะการเขียน การเขียนเป็นทักษะท่ีสาคัญยิ่งในการส่ือสารของมนุษย์ เพราะนอกจากจะใช้ถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ไปยังผู้อ่านแล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือสาหรบั จดบันทึกเรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ไว้เพ่ือ ป้องกันการสูญหาย เป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังจะได้ศึกษาเพ่ือสืบทอดและพัฒนาศิลปวิทยาการต่าง ๆ ได้ อย่างตอ่ เน่ือง การเขียนนบั เป็นสอ่ื ท่คี งทนถาวรและมพี ัฒนาการท่ลี า้ หนา้ กว่าทักษะอื่น ๆ ทัง้ สิน้ ความหมายของการเขยี น มผี ใู้ ห้ความหมายของการเขยี นไว้มากมาย ดังน้ี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 212) ได้กล่าวว่า เขียน หมายถึง ขีดให้เป็น ตวั หนงั สอื หรือเลข, ขดี ใหเ้ ป็นเสน้ หรือรปู ตา่ ง ๆ, วาด, แตง่ หนังสอื เสาวณีย์ สิกขาบัณฑิต (2533: 7) ได้กล่าวถึงความหมายของการเขียนเป็นการส่ือสารความรู้ ขอ้ เทจ็ จริง ความเข้าใจ จนิ ตนาการ อารมณ์ และความคดิ เห็นระหว่างผู้ส่งสารและผู้รบั สาร เป็นวิธกี ารสื่อสาร ทไ่ี ดผ้ ลดีและสะดวกรวดเรว็ สามารถสง่ ไปได้ไกลทัว่ โลก ธนู ทดแทนคุณ และกานต์รวี แพทย์พิทักษ์ (2552: 117) กล่าวว่า การเขียน หมายถึง การเรียบเรียง ความคิดในสิ่งท่ีจะสื่อสารเป็นตัวหนังสืออย่างมีจุดมุ่งหมายเพ่ือถ่ายทอดความรู้สึก ความนึกคิด ความต้องการ และข้อมลู ต่าง ๆ ไปยังผู้อา่ น จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อ่ิมสาราญ (2550: 181) ได้กล่าวถึง การเขียนเป็นการส่ือสารด้วย ตวั อักษรเพ่ือถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ ข่าวสาร และจินตนาการจากผู้เขียน ไปส่ผู อู้ า่ น จากความหมายของการเขยี นทง้ั หมดสรุปไดว้ ่า การเขียนเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรสู้ ึก ประสบการณ์ จินตนาการ และอารมณ์ต่าง ๆ ผ่านส่ือที่เป็นตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถสื่อ ความหมายใหผ้ อู้ ื่นไดท้ ราบและเข้าใจ ความสาคญั ของการเขียน การเขยี นมคี วามสาคญั ต่อมนุษย์หลายประการ สรุปไดด้ ังนี้ 1. การเขียนเป็นเคร่ืองมือสื่อสารอย่างหน่ึงของมนุษย์ที่มนุษย์ใช้ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ประสบการณ์ ตลอดจนการส่อื สารอารมณ์ ความรสู้ ึกตา่ ง ๆ 2. การเขียนเป็นการแสดงออกถึงบุคลิกภาพและภูมิปัญญาของผู้เขียน ท้ังในด้านความรู้ ความคิด อารมณ์ และความรู้สกึ
151 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 3. การเขียนเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการพัฒนาบุคคลในด้านต่าง ๆ ท้ังด้านสติปัญญา ด้านความคิด สรา้ งสรรค์ ดา้ นความสามารถ และดา้ นบุคลกิ ภาพ 4. การเขยี นเปน็ อาชีพทีส่ ามารถสรา้ งรายไดแ้ ละเกียรติยศใหก้ ับบุคคลได้ 5. การเขียนเป็นเครื่องมือสาคัญในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกทางด้านสติปัญญา ของมนุษยจ์ ากสมยั หนงึ่ ไปสูอ่ กี สมัยหนึง่ 6. การเขียนเปน็ เครื่องหมายแสดงความเป็นชาติ ก่อใหเ้ กดิ ความรักและความภาคภมู ใิ จในความเป็นชาติ จดุ มุ่งหมายของการเขียน การเขียนจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์หรือไม่นั้น ส่ิงสาคัญท่ีผู้เขียนจะต้องคานึงถึงคือ จุดมุ่งหมายใน การเขยี น ซ่ึงสามารถจาแนกไดด้ ังนี้ (จไุ รรตั น์ ลกั ษณะศริ ิ และบาหยัน อมิ่ สาราญ. 2550: 181-182) 1. การเขียนเพอ่ื เล่าเร่ือง การเขียนเพ่ือเล่าเร่ือง คือ การนาเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เป็นลาดับอยู่แล้วมาถ่ายทอดเป็นข้อเขียน อาจเป็นเรื่องราวท่ีผู้เขียนประสบเอง หรือเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหน่ึง หรือเกิดข้ึนในสังคม โดยท่ัวไปการเขยี นเพื่อเล่าเรื่องส่วนใหญ่เป็นการเขียนเล่าประวัติ เล่าเหตกุ ารณ์ หรือประสบการณ์ต่าง ๆ โดย อาจนามาเขยี นในรปู แบบการเขียนประเภทต่าง ๆ เช่น การเขียนสารคดแี ละการเขียนข่าว เปน็ ตน้ สิ่งสาคัญสาหรับการเขียนเล่าเร่ือง คือ จะต้องคานึงถึงความถูกต้องตามความเป็นจริง และต้องเล่า เรื่องไปตามลาดับเหตุการณท์ ่ีเกดิ ข้ึน 2. การเขยี นเพื่ออธิบาย การเขียนเพ่ืออธิบาย คือ การเขียนเพ่ือช้ีแจง อธิบาย โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจและ ปฏิบัติตามได้ เช่น อธิบายวิธีใช้ วิธีทา ข้ันตอนการทา อธิบายวิธีใช้เครื่องมือ ข้ันตอนการปรุงอาหาร เป็นต้น การเขียนเพ่ืออธิบายต้องระมัดระวังเร่ืองการใช้ภาษา ต้องใช้ภาษาท่ีสั้น กระชับ เข้าใจง่าย และเป็นไป ตามลาดับขนั้ ตอน 3. การเขยี นเพื่อแสดงความคดิ เห็น การเขียนเพ่ือแสดงความคิดเห็นเป็นการเขียนเพื่อวิเคราะห์ วิจารณ์ แนะนา หรือแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจเป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างเดียว หรืออาจมีข้อเสนอแนะประกอบด้วย โดยต้องคานึงถึงพ้นื ฐานของขอ้ เท็จจริง อกี ทั้งต้องมีหลกั เกณฑ์และมเี หตุผล เช่น การเขยี นบทความ การเขียน บทวิจารณ์ และการเขยี นบทบรรณาธิการหนงั สือพมิ พ์ เปน็ ต้น 4. การเขียนเพ่อื สรา้ งจินตนาการ การเขียนเพ่ือสร้างจินตนาการเป็นการเขียนท่ีผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้อ่านมีอารมณ์คล้อยตาม และเกิดจินตนาการเห็นภาพตามที่ผู้เขียนต้องการ การใช้ถ้อยคาภาษาในงานเขียนลักษณะน้ี ต้องใช้ถ้อยคา ภาษาท่ีประณีต งดงาม สามารถส่ืออารมณ์ และความรู้สึกให้เกิดแก่ผู้อ่านได้ ซึ่งในบางคร้ังก็ต้องใช้ถ้อยคาท่ีมี
152 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ความหมายแฝง มคี วามหมายเชิงสัญลักษณ์ หรอื มคี วามหมายเชิงเปรียบเทียบ เพ่อื ชว่ ยสร้างจินตนาการใหเ้ กิด แกผ่ อู้ ่าน การเขยี นตามจุดมุง่ หมายนี้จะปรากฏในการเขยี นประเภทบันเทิงคดเี ป็นส่วนใหญ่ 5. การเขยี นเพื่อโนม้ น้าวใจ การเขียนเพ่ือโน้มน้าวใจเป็นการเขียนที่ผู้เขียนมีจุดประสงค์ท่ีจะชักจูง โน้มน้าวใจให้ผู้อ่านยอมรับใน สิ่งที่ผู้เขียนเสนอ เช่น การเขียนโฆษณา การเขียนคาขวัญ การใช้ภาษาในงานเขียนประเภทน้ีต้องใช้ภาษาท่ีส้ัน กระชับรัดกุม สะดุดใจผู้อ่าน อาจเล่นคา สานวน เพ่ือให้เกิดความคล้องจองทาให้ผู้อ่านจดจาได้ในเวลา อันรวดเร็ว 6. การเขียนเพอื่ ลอ้ เลียนเสยี ดสี การเขียนเพ่ือล้อเลียนเสียดสีเป็นการเขียนที่ผู้เขียนมีจุดประสงค์ท่ีจะตาหนิสิ่งใดส่ิงหน่ึง อาจเป็น บุคคล เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ แต่เป็นการตาหนิอย่างนุ่มนวล การเขียนลักษณะน้ีต้องไม่มีลักษณะการ กล่าวร้ายหรอื ม่งุ ทาลาย การใชภ้ าษาในงานเขียนประเภทน้ตี ้องสุภาพ นมุ่ นวล อาจแทรกอารมณ์ขนั ทานองยั่ว ลอ้ ด้วยถ้อยคา หรือด้วยเรือ่ งราว 7. การเขยี นเพ่ือกจิ ธุระ การเขียนเพื่อกิจธุระ คือ การเขียนท่ีผู้เขียนมีจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง การเขียนชนิดนี้จะมี รูปแบบการเขียน และลักษณะการใช้ภาษาท่ีแตกต่างกันไปตามประเภทของงานเขียน เช่น การเขียนหนังสือ ราชการ การเขียนจดหมายธรุ กิจ การเขยี นโทรเลข และการเขียนประกาศแจ้งความ เปน็ ตน้ การเขียนให้บรรลุวัตถุประสงค์น้ัน นอกจากผู้เขียนจะต้องกาหนดจุดมุ่งหมายในการเขียนที่แน่นอน และเลอื กรปู แบบการเขยี นท่ีเหมาะสมแลว้ ผู้เขียนยงั ต้องคานึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการทจ่ี ะช่วยใหง้ าน เขียนเปน็ งานเขียนทด่ี ีมคี ณุ ภาพ เชน่ การเลอื กใช้ถอ้ ยคา การใชโ้ วหาร สานวนภาษา และระดบั ภาษา เป็นตน้ ประเภทของการเขยี น การแบ่งประเภทของการเขียน ถ้ายึดตามจุดมุ่งหมายของการเขียนเป็นหลักจะแบ่งการเขียนได้ 2 ประเภทคือ (ธนู ทดแทนคณุ และกานต์รวี แพทย์พทิ ักษ์. 2552: 127-128) 1. บันเทิงคดี (Fiction) เป็นงานเขียนที่มุ่งให้ความบันเทิงเป็นหลัก เป็นเร่ืองท่ีเขียนขึ้นโดยการ สมมุติจากจินตนาการของผู้เขียน แต่เขียนให้สมจริงมากท่ีสุด ประเภทของบันเทิงคดี ได้แก่ นวนิยาย เร่ืองส้ัน บทละคร หสั คดี หรอื ปกิณกคดอี ื่น ๆ 2. สารคดี (Non-Fiction) เป็นงานเขยี นที่มุง่ ให้ความรู้หรือเน้ือหาสาระเชิงวิชาการเป็นหลัก และให้ ความบันเทิงเป็นรอง สารคดีน้ันมีหลายประเภท เช่น สารคดีเชิงท่องเที่ยว สารคดีเชิงชีวประวัติ สารคดี อัตชวี ประวัติ บทความ และบทวจิ ารณต์ ่าง ๆ
153 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ถา้ ยึดตามรปู แบบหรอื ลกั ษณะการเขียนเป็นหลกั จะแบง่ การเขียนได้ 2 ประเภท คือ 1. งานเขียนที่เป็นร้อยแก้ว (Prose) เป็นงานเขียนท่ีไม่มีข้อกาหนดในการบังคับจานวนคา จานวน วรรค ไม่มีข้อกาหนดในเรื่องการใช้คาสัมผัส ไม่ต้องนาถ้อยคามาเรียงร้อยให้คล้องจองกัน เช่น บันทึก รายงาน เรยี งความ บทความ จดหมาย โครงการ ตารา สารคดี บทละคร เรอ่ื งสนั้ นวนยิ าย ฯลฯ งานเขียนที่เป็นร้อยแก้วนี้ มีจุดเด่นอยู่ท่ีการคัดเลือกถ้อยคาท่ีถูกต้องเหมาะสมมาเรียบเรียงเป็น ประโยค เปน็ ย่อหนา้ และเป็นเร่ืองเป็นราวได้อยา่ งสละสลวย 2. งานเขียนท่ีเป็นร้อยกรอง (Poetry) เปน็ งานเขียนที่มีการบังคับลักษณะคาประพันธ์ เช่น บังคับ จานวนคา บังคบั คาสมั ผสั บังคับคาครุ-ลหุ คาเอก คาโท เป็นตน้ ได้แก่ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน ร่าย ลลิ ติ งานเขียนท่ีเป็นร้อยกรองนี้ มีจุดเด่นอยู่ท่ีการคัดเลือกถ้อยคาท่ีหลากหลาย มีความสละสลวยมา เรยี งรอ้ ยต่อกนั จนมลี ักษณะคลอ้ งจองเป็นเรื่องเปน็ ราว ถอื เปน็ ความงดงามของภาษาอย่างแท้จริง โวหารในการเขียน โวหาร หมายถึง ท่วงทานองในการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจหรือเกิดความรู้สึกตรงตามความต้องการ ของผเู้ ขยี นดว้ ยลีลาของการใช้ภาษาอย่างมชี ้ันเชงิ และมีศลิ ปะเหมาะกับเนอ้ื ความท่ีจะเขยี น โวหารในการเขียนโดยท่ัวไปแบ่งเป็น 5 ประเภท คือ บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร อุปมาโวหาร และสาธกโวหาร ลักษณะของโวหารต่าง ๆ มีดังน้ี (คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั . 2551: 190-192) 1. บรรยายโวหาร บรรยายโวหารเป็นโวหารที่ใช้เขียนเพื่อบอกเลา่ เรื่อง หรืออธิบายเร่ืองราวต่าง ๆ ตามลาดับเหตุการณ์ งานเขียนทค่ี วรใช้บรรยายโวหาร ได้แก่ งานเขียนประเภทให้ความรู้ เช่น บทความ ตารา รายงาน วิทยานพิ นธ์ เลา่ เร่ือง ตานาน บันทึก จดหมายเหตุ หลกั การเขยี นบรรยายโวหารทด่ี ี มดี ังน้ี 1. เรื่องทเี่ ขยี นเปน็ ความจริง ผเู้ ขยี นควรมคี วามรู้เร่อื งท่ีเขียนเป็นอยา่ งดี 2. เลือกเขียนเฉพาะสาระสาคัญเท่านั้น ไมเ่ นน้ รายละเอยี ด และต้องเขยี นอย่างตรงไปตรงมา 3. ใชภ้ าษาใหเ้ ข้าใจง่าย อาจใช้อปุ มาโวหาร และสาธกโวหารเขา้ ช่วย เพื่อช่วยใหไ้ ด้ความชัดเจน แต่ตอ้ งไมม่ ากจนเกนิ ไป 4. เรียบเรียงความคดิ ใหต้ อ่ เนื่องสัมพนั ธ์กนั ตง้ั แต่ตน้ จนจบ 2. พรรณนาโวหาร พรรณนาโวหารเป็นโวหารที่ใช้เล่าเร่ืองโดยการสอดแทรกอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียน นิยมเล่นคา เล่นเสยี งเพอื่ โนม้ น้าวใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ภาพพจน์ และให้เกิดอารมณค์ ล้อยตาม
154 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร หลกั การเขียนพรรณนาโวหาร สรุปได้ดงั น้ี 1. ต้องใช้คาดี หมายถึง การเลือกสรรถ้อยคา เพื่อให้สื่อความหมาย ส่ือภาพ ส่ืออารมณ์ เหมาะสมกบั เนอื้ เร่ืองทต่ี ้องการบรรยาย ควรเลือกคาที่ใหค้ วามหมายชดั เจน ท้งั อาจจะตอ้ งเลือกให้เสยี งของคา สัมผสั กันเพ่อื เกดิ เสยี งเสนาะอย่างสัมผัสสระ สัมผสั อักษรในงานรอ้ ยกรองด้วย 2. ต้องมีใจความดี ใจความของเรื่องต้องมุ่งให้เกิดภาพ และอารมณ์ความรู้สึกท่ีสอดคล้องกับ เน้อื หาท่ีกาลงั พรรณนา 3. อาจต้องใช้อุปมาโวหาร คือ การเปรียบเทียบเพื่อให้ได้ภาพชัดเจน และมักใช้ศิลปะการใช้คา ที่เรียกวา่ พจน์ประเภทต่าง ๆ ท้ังนี้เป็นวิธีการท่ีจะทาให้พรรณนาโวหารเด่นชัด ท้ังการใช้คาและการให้ภาพที่ เดน่ ชัด อ่านแล้วเกดิ จนิ ตนาการและความรูส้ กึ คล้อยตาม 4. ในบางกรณีอาจตอ้ งใช้สาธกโวหารประกอบดว้ ย คือ การยกตัวอย่างเพ่ือให้เกดิ ความแจม่ แจ้ง โดยยกตวั อย่างสิ่งท่ีละม้ายคล้ายคลึงกัน เพื่อใหเ้ กิดภาพอารมณท์ ีเ่ ดน่ ชดั 3. เทศนาโวหาร เทศนาโวหารเป็นโวหารที่ผู้เขียนมุ่งอธิบายชี้แจงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยเหตุผล ชี้ให้เห็น คุณประโยชน์หรือโทษของสิ่งท่ีกล่าวถึง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อโน้มน้าวชักจูงผู้อ่านให้เห็นดีเห็นงามและคล้อย ตามความคิดของตน โวหารชนิดนี้เหมาะกับการเขียนเร่ืองท่ีเป็นคาสอน โอวาท การอภิปราย ชักชวนหรือ โต้แย้ง หลักการเขียนเทศนาโวหารท่ีดี ควรคานงึ ถงึ เรือ่ งต่าง ๆ ดังนี้ 1. มีความรู้ ความเข้าใจเร่อื งท่ีจะเขียนเปน็ อยา่ งดี 2. ควรรู้จักคัดสรรโวหารชนิดบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร อุปมาโวหาร และสาธกโวหารมา ใช้อย่างเหมาะสม เพ่อื ใหผ้ ้อู า่ นเกิดความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซ้ึงอย่างชดั เจน 3. ควรรจู้ กั ใช้เหตุผลและหลักฐานอา้ งองิ เข้ามาสนบั สนนุ ความคิดเห็นของตนไดอ้ ย่างเหมาะสม 4. จดั ลาดับเน้อื ความใหส้ มั พันธก์ ันอย่างมีเหตุผล 4. สาธกโวหาร สาธกโวหารเป็นโวหารเสริมโวหารอื่น ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือยกอุทาหรณ์หรือตัวอย่างประกอบ เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง และมีน้าหนักน่าเชื่อถือย่ิงขึ้น การเลือกอุทาหรณ์หรือตัวอย่าง ผเู้ ขยี นควรมีหลกั คอื ควรเลือกตัวอยา่ งใหเ้ ข้ากับเนื้อความที่กาลงั กล่าวถึง อาจเป็นบุคคล สถานท่ี หรอื นิทานก็ได้ 5. อุปมาโวหาร อุปมาโวหาร เป็นโวหารเสริมโวหารชนิดอ่ืน ๆ อกี ชนดิ หนง่ึ เปน็ โวหารแสดงความเปรียบเทียบ โดยนา สง่ิ ท่คี ล้ายคลึงกันมาเปรียบเพื่อให้เกดิ ความเขา้ ใจและความชดั เจนในเร่อื งไดด้ ยี ิ่งขีน้
155 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ข้นั ตอนในการเขียน เมื่อผู้เขียนต้องการจะเขียนงานประเภทใด ผู้เขียนจะต้องดาเนินการตามขั้นตอนในการเขียน ดังน้ี (จุไรรตั น์ ลกั ษณะศริ ิ และบาหยัน อม่ิ สาราญ. 2550: 182-191) 1. การเลอื กเร่อื ง การเลือกเรื่องเป็นข้ันตอนแรกของการเขียน ผู้เขียนควรจะคานึงถึงวิธีการเลือกเร่ืองในการเขียน ดังต่อไปน้ี 1.1 ควรเลอื กเร่อื งทต่ี นมคี วามร้หู รอื มีประสบการณ์อยบู่ า้ งแล้ว 1.2 ควรเลือกเรื่องที่ผู้เขียนสนใจ ควรเลือกเขียนเรื่องที่ตนสนใจและถนัดที่สุด เพราะจะทาให้ การเขียนสาเรจ็ ดว้ ยดี 1.3 ควรเลือกเร่ืองที่ยังไม่มีผู้ใดเขียนกันอย่างแพร่หลาย ควรเลือกเรื่องท่ีแปลกและใหม่ หรือ เรื่องท่ีมีรสชาติ เพราะจะทาให้เร่ืองน่าสนใจน่าติดตาม แต่ผู้เขียนควรคานึงด้วยว่าเร่ืองที่แปลกใหม่น้ีมีแหล่ง อ้างอิงทงั้ ประเภทหนังสอื และบคุ คลเพียงพอหรือไม่ด้วย 1.4 ควรเลือกเรื่องให้เหมาะแก่กาลเวลา เช่น การเขียนบทความต้องพิจารณาเขียนเร่ืองที่ ทันสมัยกาลังเป็นท่ีสนใจของผู้คนในสังคม ส่วนการเขียนเรียงความเนื้อหาท่ีนามาเขียนไม่จาเป็นต้องเลือก เขียนเรือ่ งทมี่ ีผคู้ นกาลงั สนใจในขณะน้ันกไ็ ด้ 1.5 ควรเลือกเขียนเรื่องให้เหมาะสมแก่ผู้อ่าน ผู้เขียนจะต้องศึกษารายละเอียดของผู้อ่าน เก่ียวกับเพศ วัย ความรู้ ความสนใจ เพือ่ จะไดเ้ ลือกเขยี นเรอ่ื งให้เหมาะสม 2. การกาหนดขอบเขตของเรอื่ งและจดุ มงุ่ หมายในการเขียน เม่อื ผเู้ ขียนเลือกเรอ่ื งทีจ่ ะเขยี น และมขี ้อมลู พอที่จะเขียนได้แล้ว ยงั ไม่ควรลงมอื เขียนทนั ที ผู้เขียนควร จากัดขอบเขตเนื้อหาท่ีจะเขียนให้เหมาะสมแก่เวลา จานวนหนา้ ผูอ้ ่าน และข้อมลู หากมีเวลาเขียนน้อยหรือ มี จานวนหน้าจากดั ก็ควรกาหนดขอบเขตของเรอื่ งให้แคบ นอกจากนอ้ี าจต้องจากดั ขอบเขตของเร่ืองตามปริมาณ ข้อมูลท่ีมีด้วย คือ ถ้าเป็นเรื่องแปลกใหม่ ยังไม่ค่อยมีการศึกษาค้นคว้า หรือยังไม่มีการเผยแพร่ทั่วไปก็ควรลด ขอบเขตของเรอ่ื งให้แคบเขา้ เม่อื กาหนดขอบเขตของเรือ่ งแลว้ ก็ต้องกาหนดวตั ถุประสงค์ในการเขยี นให้ชดั เจนว่า มจี ุดมุ่งหมายใน การเขียนอย่างไร เม่ือกาหนดจุดมุ่งหมายได้แล้วก็เร่ิมข้ันตอนการเขียน ถ้าผู้เขียนกาหนดขอบเขตของเร่ืองได้ เหมาะสม ก็จะทาให้เนอื้ หามนี า้ หนกั และเรอื่ งท่เี ขียนกด็ ูมีคณุ ค่านา่ อ่านดว้ ย 3. การเขียนโครงเรื่อง การเขียนโครงเร่ืองเป็นข้ันตอนการเขยี นท่ีสาคัญข้ันตอนหน่งึ เป็นข้นั ตอนทผ่ี ู้เขยี นงานทุกประเภทจะ ละเลยไม่ได้ การเขียนโครงเรื่อง หมายถึง การวางและการจัดลาดับเค้าโครงอันเป็นความคิดสาคัญของเร่ืองที่ จะเขยี น การเขยี นโครงเรอ่ื งไว้อย่างดจี ะเป็นแนวทางในการเขยี น ทาให้งานเขียนสมบรู ณ์ และมคี ณุ ภาพ
156 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 4. การแสวงหาความรู้ และการรวบรวมขอ้ มูล การเขียนเรื่องต่าง ๆ ผู้เขียนควรมีความรู้ และความคิดท่ีกว้างขวาง เมื่อผู้เขียนเขียนโครงเรื่อง เรยี บร้อยแล้ว ก็ควรเริ่มต้นค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม เพ่ือจะได้เขียนเร่ืองได้สมบูรณ์และทันสมัย การค้นควา้ หา ขอ้ เท็จจริงหลักฐาน และรายละเอยี ดต่าง ๆ ผ้เู ขยี นสามารถหาได้จากแหล่งความรู้ตา่ ง ๆ ดังน้ี 4.1 การค้นคว้าจากหนังสือ วิทยานิพนธ์ หนังสืออ้างอิง เอกสารต่าง ๆ ผู้เขียนสามารถค้นคว้า ได้จากหอสมดุ แห่งชาติ ห้องสมุดสถาบันตา่ ง ๆ และหนว่ ยงานท่เี กี่ยวขอ้ ง 4.2 การค้นคว้าจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร และจุลสาร สิ่งตีพิมพ์เหล่านี้จะให้ข้อมูลท่ี ทันสมยั และทนั โลกกว่าหนังสอื เพราะผลิตสตู่ ลาดเปน็ ประจาทกุ วัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดอื น 4.3 การสัมภาษณ์ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์นับเป็นวิธีท่ีรวดเร็ว และได้ ขอ้ มูลทท่ี ันสมยั ทสี่ ุด นับเป็นวธิ ีหาข้อมลู ท่นี ิยมใชก้ ันมากในยคุ แหง่ โลกสื่อสารปัจจบุ นั 4.4 การสนทนากับบุคคลท่ัวไปเพื่อแลกเปล่ียนความรู้และความคิดเห็น วิธีนี้จะทาให้ผู้เขียนมี ความคิดทีก่ วา้ งไกล และชว่ ยพัฒนาความคดิ และระบบความคิดของผูเ้ ขียนด้วย 4.5 การบันทึกเหตุการณ์และเร่ืองราวต่าง ๆ ที่พบเห็น วิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้เขียนสร้างแหล่งข้อมูล ขนึ้ มาเอง 4.6 การเก็บข้อมูลจากสถานท่ีจริง การได้รายละเอียดจากแหล่งข้อมูลจริงจะทาให้ได้เนื้อหา และหลกั ฐานท่ีเป็นจรงิ และเชื่อถอื ได้ นบั เป็นแหล่งข้อมูลทมี่ คี ่า 4.7 ข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ ที่มีความก้าวหน้า ทันสมัยและรวดเร็ว เช่น อินเทอร์เน็ต วทิ ยกุ ระจายเสยี ง วทิ ยุ โทรทัศน์ วีดิทศั น์ ภาพยนตร์ ฯลฯ 5. การเรียบเรียงเรือ่ ง เม่ือได้โครงเรื่องท่ีแน่นอน และค้นคว้าหาข้อมูล รวมทั้งรายละเอียดได้พอเพียงแล้ว ผู้เขียนก็ลงมือ เรียบเรียงเน้ือหาตามโครงเรื่องท่ีได้วางไว้ ถ้าเขียนโครงเร่ืองได้สมบูรณ์ดี เร่อื งราวที่เรียบเรียงก็จะเป็นอันหนึ่ง อนั เดียวกนั มสี าระครบถว้ น การเขียนเรื่องต่าง ๆ ผู้เขียนจะต้องพิจารณาด้วยว่าจะใช้โวหารประเภทใดในการเขียน ผู้เขียนต้อง เลือกใช้ให้เหมาะสมแก่เนื้อเรื่องด้วย เน้ือหาของเรื่องจะประกอบด้วยข้อมูลความรู้ท่ีเป็นข้อเท็จจริง ข้อคิด ความคิดเห็น ความรู้สึก หลักฐาน อ้างอิง สถิติตัวเลข ตัวอย่าง อุทาหรณ์ และอาจแทรกสานวนไทย สุภาษิต คาพังเพย เพื่อให้เร่ืองน่าสนใจและทาให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้เร็วขึ้น ในการเรียบเรียงเรื่องนั้น ผู้เขียนยังต้อง คานึงถึงระดับภาษาที่ใช้ในการเขียนด้วยว่าเร่ืองประเภทใด ควรจะใช้ภาษาระดับใด เพ่ือจะได้ส่งสารไปยัง ผู้อา่ นได้อย่างมีประสิทธภิ าพ นอกจากนผี้ ู้เขียนยังต้องคานึงถึงเร่ืองของการใช้คา การสร้างประโยค และการใช้ โวหารดว้ ย
157 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 6. การตรวจทานแกไ้ ข ขน้ั ตอนนี้เปน็ ขั้นตอนสุดท้ายที่ผ้เู ขยี นตอ้ งปฏิบตั ิ ตอ้ งทบทวนว่าเรื่องที่เขียนทงั้ เร่ืองสมบูรณ์ กลมกลืน ต่อเน่ืองกันดีหรือไม่ นับต้ังแต่ชื่อเร่ือง การพิจารณาองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนของงานเขียนว่าแต่ละส่วนได้ทา หนา้ ทส่ี ่อื สารความคดิ ของผูเ้ ขยี นไดค้ รบถว้ นตามต้องการหรือไม่ รวมทั้งพจิ ารณาตรวจทานการใช้ถ้อยคาภาษา ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมาะสมกับประเภทงานเขียน หากพบข้อบกพร่องก็ควรแก้ไขเปล่ียนแปลง การตรวจทาน แกไ้ ขมสี ว่ นทาใหง้ านเขียนสมบูรณ์ หลกั การเขียน การเขียนเป็นส่ิงจาเป็นท่ีจะต้องมีการกลั่นกรองเนื้อหาสาระ โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ของ ผู้เขียน เพ่ือให้การสื่อสารบรรลุผล และนาผู้เขียนไปสู่เป้าประสงค์ท่ีกาหนดไว้ด้วยความชัดเจนและสมบูรณ์ (ดวงใจ ไทยอบุ ญุ , 2550: 15-18) หลกั การเขียนมีดังน้ี คอื 1. มีความชัดเจน ผู้เขียนจะต้องใช้คาท่ีมีความหมายชัดเจน ใช้ประโยคไม่คลุมเครือหรือกากวม ผู้เขียนต้องคานึง เสมอว่าการที่จะทาให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องตรงกับผู้เขียนนั้น ข้ึนอยู่ท่ีการใช้คา การใช้ประโยค และการใช้ถ้อยคา สานวน 2. มคี วามถูกตอ้ ง ผ้เู ขยี นตอ้ งคานึงถึงระเบียบของการใช้ภาษาและเขียนใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมตามกาลเทศะ 3. มคี วามกระชบั ผู้เขียนต้องรู้จักเลือกสรรถ้อยคามาใช้ รู้จักใช้สานวนโวหาร ภาพพจน์ รู้จักการรวมประโยคให้ ขอ้ ความชัดเจนและมนี ้าหนักเพื่อให้ประโยคมีความกระชบั 4. มีความเรยี บงา่ ยในการใช้ภาษา ผู้เขียนต้องรู้จักใช้คาธรรมดาท่ีเข้าใจง่าย ไม่ใช้คาฟุ่มเฟือย ไม่ใช้คาปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ เพราะสิ่ง เหล่าน้จี ะทาให้ผอู้ ่านเกิดความเบื่อหน่าย 5. มคี วามรบั ผิดชอบในความถูกตอ้ งของเน้ือหา ผเู้ ขียนต้องแสดงความคิดเหน็ อย่างมเี หตุมีผล พนิ จิ พิจารณาปญั หาด้วยความละเอียดถ่ีถว้ น ลึกซึ้ง มุง่ จะใหเ้ กิดความรูแ้ ละทศั นคติท่ีดอี นั เป็นประโยชนแ์ กผ่ ู้อ่าน 6. มคี วามประทับใจ การใช้ถ้อยคาสานวนที่มีความหมายลึกซ้ึงกินใจทาให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ ซ่ึงเป็นผลอันเกิด จากการใช้คาที่ไพเราะ การเรียงลาดับคาในประโยค การใช้คาท่ีทาให้เกิดภาพพจน์ เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ ประทบั ใจ และชวนใหต้ ิดตามอ่าน
158 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 7. มีความไพเราะในการใช้ภาษา ผู้เขียนควรใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตในการใช้ภาษา ตลอดจนมีความประณีตในการเสนอ เนอื้ หา อ่านแลว้ ไม่สะดดุ หรอื ขดั หู หลักการพฒั นาทกั ษะการเขยี น การเขียนเป็นทักษะที่ต้องเอาใจใส่และฝึกฝนอย่างสม่าเสมอจริงจัง เพ่ือให้เกิดความรู้ ความชานาญ และสามารถพัฒนาความสามารถในการเขียนให้ดีย่ิงข้ึนเป็นลาดับไป ดวงใจ ไทยอุบุญ (2543: 17-18) ได้ กลา่ วถึงหลักในการพัฒนาทกั ษะการเขียนไว้ ดงั น้ี 1. ทกั ษะการเขียนเกิดจากการฝกึ ฝนและจะต้องทาอยา่ งมีระบบ คือ 1.1 ต้องฝึกฝนอย่างสมา่ เสมอ 1.2 ต้องใช้เวลาฝกึ ฝนนานจงึ จะเกิดความชานาญ 1.3 ตอ้ งฝกึ ใหถ้ กู วิธแี ละถูกหลกั เกณฑ์ 1.3.1 ต้องสะกดคาให้ถูก เรียบเรียงถ้อยคาให้สื่อความหมายได้ชัดเจนและรู้จักการแบ่ง วรรคตอนใหถ้ กู ต้อง 1.3.2 ต้องรู้จักเทคนิคเฉพาะในการเขียนเรื่องประเภทต่าง ๆ เช่น การเขียนเรียงความ บทความ ทงั้ ในแง่วัตถปุ ระสงคแ์ ละเทคนคิ การเขียน 2. รู้จักแสดงออกโดยเขียนเรียบเรียงความรู้และความรู้สึกนึกคิดออกมาอย่างเป็นระเบียบ เพ่ือให้ ผอู้ า่ นเขา้ ใจตรงตามที่ต้องการ 3. การเขียนเป็นการใช้ภาษา ซ่ึงต้องอาศัยการสั่งสมความรู้ ความคิดจากการอ่านและการฟัง ถ้าฟัง มากอ่านมากจะทาให้ผู้เขียนมีความรู้ เกิดความคิดกว้างไกล สามารถนาไปใช้ในการเขียนให้มีคุณภาพมาก ยิ่งขนึ้ 4. การเขียนเป็นหลักฐานท่ีผู้อื่นสามารถอ่านและนาไปอ้างอิงได้ ดังนั้นจึงควรเขียนด้วยความ ระมดั ระวงั และตอ้ งรจู้ ักการสรรหาถ้อยคามาใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม 5. งานเขียนจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเม่ือ ทาให้ผู้อ่านพัฒนาความรู้ความคิดและอารมณ์ งานเขียนที่มี คณุ คา่ ประกอบดว้ ย 5.1 ให้ความรแู้ ก่ผอู้ ่าน 5.2 ใหค้ วามคิดสรา้ งสรรค์ทด่ี ีงามแกผ่ ู้อ่านอยา่ งมีเหตุมผี ล 5.3 ใหผ้ ้อู ่านมพี ัฒนาการทางอารมณ์และความรสู้ ึกไปในทางท่ดี ี 6. งานเขียนจะต้องคานึงถึงระดับความรู้ ความคิด และสติปัญญาของผู้อ่าน จึงควรระมัดระวังเร่ือง การใช้ถอ้ ยคาภาษา การเสนอความรแู้ ละความคิดทผ่ี อู้ า่ นอาจไม่มีพื้นฐานในเรือ่ งนน้ั ๆ
159 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ปัญหาในการเขียน ขอ้ ผดิ พลาดหรือขอ้ บกพร่องของการใชภ้ าษาเขียนมีปัญหาทส่ี าคญั 5 ประการ คือ 1. การใชค้ าผิด การใช้คาผิด มีหลายลักษณะที่สาคัญคือ การใช้คาผิดความหมาย ใช้คาผิดหน้าที่ ใช้ภาษาผิดระดับ ใช้ภาษากากวม ใช้คาฟุ่มเฟือย ใช้คาผิดกาลเทศะ ใช้คาลักษณนามผิด ใช้คาที่มาจากสานวนภาษาอังกฤษ ใช้สานวนเปรียบเทียบผดิ ดังตวั อยา่ ง ตารวจกาลงั สืบสวนคนร้ายทีป่ ล้นรา้ นทอง (ควรใชส้ อบสวน) ภายในห้องยงั คละคล้งุ ด้วยกลนิ่ น้าหอมท่ีเธอชอบใช้ (ควรใชอ้ บอวล) เขาสนใจในหนังสอื เล่มน้มี าก (ควรตดั คาว่า ใน ออก) พอพลบค่าถนนกจ็ ้าดว้ ยแสงไฟ (ควรใช้ สวา่ งจ้า) โบราณสถานทสี่ าคัญในประเทศทุกช้ินควรไดร้ ับการดูแล (ควรใชแ้ หง่ ) ลูกเปน็ แก้วตาดวงใจของบิดามารดา (ควรใช้ บุตร) อุบัติเหตุคร้ังนี้ทุกคนตายหมดไม่มีใครรอดกลับมาเลย (ควรตัดข้อความท่ีขีดเส้นใต้ออก เพราะ ฟุ่มเฟอื ย) เขาถูกเชิญให้ไปเปน็ ประธานในการเปดิ ตัวโครงการใหม่ (ควรใช้ ได้รบั เชิญ) วันน้ีภกิ ษุรูปนนั้ ป่วยไมม่ าบณิ ฑบาต (ควรใช้ อาพาธ) เธอทาให้ฉนั เสยี อกี (ควรใช้ เธอทาใหฉ้ นั เสยี ใจอกี ) มีของดีอยู่ใกลต้ ัวแล้วยงั ไม่รูจ้ ักใช้เหมอื นทองไม่ร้รู อ้ น (ควรใช้ ใกล้เกลือกินดา่ ง) 2. การใช้ประโยคผดิ การใช้ประโยคผิด ได้แก่ การเขียนประโยคไม่สมบูรณ์ การเรียงลาดับคาผิด ใช้รูปประโยคแบบ ต่างประเทศ ดังตัวอย่าง - ในดนิ แดนทแี่ วดล้อมด้วยธรรมชาติ ท่ามกลางเทอื กเขาสลบั ซบั ซ้อนและผ้คู นทีน่ า่ รัก ควรเตมิ ประโยคต่อทา้ ยข้อความ เช่น ข้าพเจ้าสร้างบ้านหลงั เลก็ ๆ ขน้ึ ท่นี ่ี - มีผู้บริจาคทนุ การศกึ ษาชว่ ยเหลือนักศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั ที่ยากจน ควรใช้ มผี ู้บรจิ าคทนุ การศึกษาช่วยเหลอื นกั ศกึ ษาทย่ี ากจนในมหาวิทยาลยั - เพอื่ นของข้าพเจ้าเปน็ ผชู้ ายส่วนใหญ่ ควรใช้ เพอื่ นของขา้ พเจา้ สว่ นใหญเ่ ป็นผูช้ าย - มนั เป็นวนั ท่อี ากาศหนาวเย็น ควรใช้ วันน้ีอากาศหนาวเยน็ - เธอมาในชุดสชี มพู ควรใช้ เธอสวมชุดสีชมพู
160 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 3. การสะกดคาผดิ การใช้ตัวการนั ตผ์ ิด การสะกดคาผิด การใช้ตัวการันต์ผิด ได้แก่ การเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ผิด และใช้ตัวการันต์ ผดิ ดงั ตัวอยา่ ง แท๊กซ,่ี แท้กซ่ี ควรเขยี น แทก็ ซี่ นะคะ๊ , นะคะ่ ควรเขยี น นะคะ อาไหล่, อะหลั่ย ควรเขียน อะไหล่ บณิ ฑบาตร ควรเขียน บณิ ฑบาต ศรีษะ ควรเขียน ศรี ษะ เบญจเพศ ควรเขียน เบญจเพส ตา่ ง ๆ นา ๆ ควรเขยี น ตา่ ง ๆ นานา โบว์ , โล่ ควรเขยี น โบ สายศลิ , สายศลี ควรเขียน สายสญิ จน์ พรรณา ควรเขยี น พรรณนา อิเล็กทรอนิคส์ ควรเขียน อิเล็กทรอนกิ ส์ 4. การใช้เครือ่ งหมายวรรคตอน การใช้เครื่องหมายวรรคตอนผิดเพราะไม่ทราบแน่ชัดว่า เครื่องหมายวรรคตอนนั้นใช้อย่างไร รวมท้ัง เวน้ วรรคหรอื ไม่เวน้ วรรคใหถ้ กู ตอ้ งดว้ ย ดงั ตัวอยา่ ง - มหาชาตคิ าหลวง รัชกาลสมเด็จสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ - ลลิ ติ ยวนพ่าย “ ” (ควรลบ เครอ่ื งหมายสัญประกาศ ออก) - ทา่ นจะไดช้ มละครนอกเรือ่ ง สังข์ทอง (ควรเขียน ทา่ นจะได้ชมละครนอก เรือ่ งสังข์ทอง) - นกั ศึกษาไหวพ้ ่อ และแม่ กอ่ นไปมหาวทิ ยาลัย (ควรเขยี น นกั ศึกษาไหว้พ่อและแม่ กอ่ นไปมหาวิทยาลัย) 5. การใชอ้ ักษรย่อผดิ การใชอ้ กั ษรย่อผิด เช่น การใช้อักษรย่อในทไ่ี ม่ควรใช้ และการใชอ้ ักษรยอ่ ผดิ จากท่ีนิยมใช้ เชน่ - สดุ สปั ดาหน์ ีเ้ รามกี าหนดการจะไปเท่ยี ว ต.จ.ว. (ควรเขียนคาเต็มวา่ ต่างจังหวดั ) - โครงการใหม่ท่ีจะเริ่มดาเนินงานต้นเดือนน้ีจะต้องราบรื่นและประสบความสาเร็จ ขอให้เธอ ย.ห.ส.บ.ม. (ควรเขียนคาเต็มวา่ อย่าหว่ งสบายมาก)
161 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร - การจะใหน้ กั ศึกษาลง ณ. สถานีใด ใหอ้ ยใู่ นดุลยพนิ จิ ของอาจารยผ์ ู้ควบคุม (ณ. ควรเขียน ณ) หลักเกณฑ์ทางภาษาเกี่ยวกับการเขยี นทค่ี วรทราบ การเว้นวรรค การเวน้ วรรค คือ การแยกข้อความออกเป็นส่วนย่อยเพ่ือให้ดูงามตา น่าอ่าน ทสี่ าคญั คือ ใหอ้ ่านเขา้ ใจ ง่าย และให้เข้าใจตรงกับความประสงค์ของผู้เขียน ในการเขียนผู้เขียนควรระมัดระวังในเร่ืองการเว้นวรรค เพราะถา้ เว้นวรรคผดิ อาจทาใหค้ วามหมายของข้อความน้ันเปล่ียนไป ทาให้เกิดความเขา้ ใจผิดได้ การเว้นวรรคในการเขียนหนังสือไทยมี 2 ประเภท คือ เว้นวรรคเล็ก มีขนาดเท่ากับ 1 ช่วงตัวอักษร และการเวน้ วรรคใหญ่ มขี นาดเท่ากับ 2 ชว่ งตวั อกั ษร หลักเกณฑ์ในการเว้นวรรคท่ีควรทราบ ไดแ้ ก่ กรณีท่ีตอ้ งเว้นวรรคเสมอและกรณีที่ไม่ตอ้ งเว้นวรรค ซ่ึง ราชบณั ฑติ ยสถาน (2533: 58-67) ไดป้ ระมวลหลกั เกณฑ์ไว้ ดังน้ี 1. เว้นวรรคใหญ่ เมื่อจบประโยคสมบูรณ์ และเว้นวรรคเล็กระหว่างอนุประโยค เช่น วรรณคดีเป็น ศิลปกรรมหรือส่ิงสุนทร นักประพันธ์เป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์ภาพที่สวยงามข้ึนด้วยหนังสือ จูงใจให้ผู้อ่านเห็น ความสวยงามตามไปด้วย หนังสือที่เป็นวรรณคดีมุ่งท่ีจะแสดงความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่งออกมา แต่หนังสือท่ี ถือเพยี งว่าเป็นหนงั สอื ทีม่ ีลักษณะวรรณกรรมยังไม่ใช่วรรณคดี (ประภาศรี สีหอาไพ. 2531: 48) 2. เว้นวรรคเล็กในประโยคความรวมหรือในอเนกรรถประโยคท่ีมีสันธานคาว่า “และ หรือ แต่ เพราะ” ฯลฯ เชอ่ื มประโยค โดยให้เว้นวรรคเลก็ หนา้ ประโยคท่ีขึน้ ต้นดว้ ยคาสันธาน เช่น เขาต้งั ใจเรียนวิชาน้ีอย่างย่ิง เพราะเคยสอบตกมาครัง้ หน่ึงแล้ว เธออยากไดเ้ กรดดี แต่เธอไม่สนใจเรยี น 3. เวน้ วรรคเล็กระหว่างชอ่ื กบั นามสกุล ระหว่างชอื่ บคุ คลกับตาแหน่ง และระหว่างยศกบั ชอ่ื เช่น นางสาวย่ิงลักษณ์ ชนิ วตั ร พลเอก เปรม ตณิ สูลานนท์ ประธานองคมนตรี พนั ตารวจโท ทกั ษิณ ชินวัตร 4. เวน้ วรรคเล็กระหวา่ งตัวหนงั สือกบั ตวั เลข และระหวา่ งตัวหนงั สอื ไทยกับตวั หนังสือภาษาอื่น เชน่ ขั้นตอนท่ี 1 คือช่วงอายุ 1 ขวบ ทารกเรียนรู้ที่จะพัฒนาความไว้วางใจในส่ิงแวดล้อม เรียกว่า Trust ขั้นตอนท่ี 2 คือช่วงอายุ 2 ขวบ เด็กวัยเตาะแตะเรียนรู้ท่ีจะพัฒนาความไว้เนื้อเช่ือใจตนเอง เรยี กว่า Autonomy (ประเสรฐิ ผลิตผลการพมิ พ์. 2549: 94) 5. เว้นวรรคเล็กระหว่างรายการต่าง ๆ เพ่ือแยกให้เห็นแต่ละรายการ เว้นวรรคเล็กระหว่างวัน เวลา ชอ่ื สถานทต่ี า่ ง ๆ เชน่
162 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร อริยสัจเป็นชื่อธรรมะสาคัญหมวดหน่ึงในพระพุทธศาสนามี 4 ข้อ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค วนั ที่ 1 มถิ นุ ายน 2561 เวลา 12:00 น. มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนคร ถนนแจ้งวัฒ นะ แข วงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรงุ เทพมหานคร 6. เวน้ วรรคเล็กระหวา่ งกลุม่ อกั ษรยอ่ เชน่ นายเสริม วินจิ ฉัยกลุ ป.จ. ม.ป.ช. ม.ว.ม. ศ.นพ. อรรถสทิ ธ์ิ เวชชาชีวะ 7. เวน้ วรรคเล็กระหวา่ งจานวนและกลมุ่ ตัวเลข ปริตตารมณ์ ได้แก่ จิตที่ข้ึนสู่วิถีรับรู้อารมณ์ท่ีมีกาลังอ่อน มีจิตเกิดดับ 6 ลักษณะ คือ 14 13 12 11 10 และ 9 ขณะ (ราชบัณฑติ ยสถาน. 2533: 60) 8. เว้นวรรคเล็กหลังเคร่ืองหมายวรรคตอน ตลอดจนเครื่องหมายอื่น ๆ เฉพาะท่ีเป็นข้อความ ได้แก่ เครอ่ื งหมายมหัพภาค จลุ ภาค อฒั ภาค ทวิภาค ปรศั นี อัศเจรีย์ เชน่ ในโลกน้ี บุรุษผู้หวังความเจริญ พึงหลีกห่างโทษ 6 ประการ คือ ง่วงเหงา, หาวนอน, เงื่อง งมึ ไม่วอ่ งไว, ขลาดกลัว, โทษะ, เกียจครา้ น, และผดั เพี้ยนเวลา (ราชบัณฑติ ยสถาน. 2533: 62) 9. เว้นวรรคทั้งข้างหน้าและข้างหลังเครอ่ื งหมายไปยาลใหญ่ ไมย้ มก เสมอภาคหรือเทา่ กบั เชน่ เขาเจริญพทุ ธคณุ ว่า อติ ิปิ โส ฯลฯ ภควาติ วิธีกระจายคา คือ วิธีแยกเนื้อความออกเป็นคา ๆ แล้วบอกชนิด บอกระเบียบต่าง ๆ เช่น บุรษุ ลงิ ค์ พจน์ ฯลฯ 10. เว้นวรรคเล็กเฉพาะข้างหลังเคร่ืองหมายไปยาลน้อย ในกรณีท่ีส่วนท่ีละไว้เป็นข้อความท่ีเขียน ติดต่อกบั ข้อความข้างหน้า เชน่ สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ โปรดเกล้าฯ แต่ถ้าส่วนที่ละไว้เป็นข้อความท่ีต้องเขียนเว้นวรรคหลังข้อความข้างหน้าให้เว้นวรรคเล็ก ท้ัง ขา้ งหนา้ และข้างหลังเคร่อื งหมายไปยาลนอ้ ย เชน่ สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกุฎราชกมุ าร 11. เวน้ วรรคเลก็ หลังขอ้ ความท่เี ป็นหัวข้อ เช่น โปรด หมายถึง กรณที ี่เป็นการบอกกลา่ ว ขอรอ้ ง วิงวอน ซ่งึ เปน็ ประโยชนห์ รอื ผลดีแกค่ นฟัง กรุณา หมายถึง กรณีท่ีบอกกล่าวขอร้องหรือวิงวอน ซ่ึงเป็นประโยชน์หรือผลดีแก่ผู้พูด (ดวงใจ ไทยอุบุญ. 2543: 58) 12. เว้นวรรคเล็กหลงั วลบี อกเวลาท่เี ปน็ กลุม่ คายาว ๆ เช่น เมือ่ เดือนทีแ่ ล้ว ข้าพเจ้าเดินทางไปต่างประเทศนาน 2 สปั ดาห์
163 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 13. เว้นวรรคเล็กระหว่างคานาหน้านามแต่ละชนิด ระหว่างพระนามกับฐานันดรศักด์ิและเว้นวรรค เล็กหลังคานาหนา้ พระนามพระบรมวงศานวุ งศ์ เชน่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์อรรถสทิ ธ์ิ เวชชาชีวะ 14. เวน้ วรรคเล็กระหวา่ งช่อื บรษิ ทั ธนาคาร ฯลฯ กบั คาว่า “จากดั ” ทีอ่ ยทู่ ้ายช่ือ เช่น ธนาคารกรงุ เทพ จากัด บริษทั ไพบลู ย์ออ๊ ฟเซต จากัด 15. เวน้ วรรคเล็กระหวา่ งคา “หา้ งหนุ้ ส่วนจากดั ” และ “หา้ งหุน้ ส่วนสามัญนติ บิ ุคคล” กับชอ่ื เชน่ ห้างหนุ้ ส่วนจากดั วิริยะพัฒนาโรงพมิ พ์ หา้ งหนุ้ สว่ นสามัญนิติบคุ คล พัฒนกจิ 16. เวน้ วรรคเลก็ ทง้ั ขา้ งหน้าและขา้ งหลงั คาว่า “ณ ธ” เช่น ผลพระคณุ ธ รกั ษา ปวงประชาเปน็ สุขศานต์ ขอเชิญทุกท่านมารว่ มประชุมโดยพร้อมเพรยี งกัน ในวันท่ี 9 มถิ ุนายน 2561 เวลา 10:00 น. ณ ห้องประชุมเฉลิมพระบารมี 17. เว้นวรรคเล็กทั้งข้างหน้าและข้างหลังคาว่า ได้แก่ (ที่ตามด้วยรายการ) เช่น (ในความหมายว่า ยกตัวอย่าง) เชน่ พรหมวิหารธรรม ได้แก่ เมตตา กรณุ า มุทติ า และอุเบกขา ร้านน้ขี ายของสารพัดชนิด เช่น พรกิ กะปิ หอม กระเทยี ม ผงซักฟอก ยาแกป้ วด ฯลฯ 18. เว้นวรรคเล็กหน้าคาสันธาน “และ” “หรือ” ในรายการที่มีมากกว่า 2 รายการขึ้นไป หากมี เพียง 2 รายการไม่ต้องเว้นวรรค เช่น คุณช่วยซอื้ พริก มะนาว กระเทียม และนา้ ตาลทรายให้ดว้ ย เธอตอ้ งการจะไปเท่ยี วอยธุ ยา ราชบุรี หรอื ชลบรุ ี 19. เว้นวรรคเล็กหน้าคาวา่ “เป็นตน้ ” ทอ่ี ยู่หลงั รายการ เชน่ เขาเพาะเล้ยี งสตั ว์น้าหลายชนิด เช่น ปลา ปู ก้งุ และหอย เปน็ ตน้ 20. เว้นวรรคเล็กหลังคาวา่ “ว่า” ในกรณที ขี่ อ้ ความตอ่ ไปเป็นประโยค เชน่ นายกรัฐมนตรใี ห้สมั ภาษณ์ว่า รฐั บาลจะแก้ปัญหาความยากจนและการฉ้อราษฎร์บังหลวง อย่างจรงิ จัง 21. ไม่เว้นวรรคระหว่างคานาหนา้ ชือ่ นาย นาง นางสาว เด็กชาย เดก็ หญงิ ทา่ นผู้หญงิ คุณ กับชอ่ื เชน่ นางสาวย่งิ ลักษณ์ ชินวัตร คณุ รัญจวน อนิ ทรกาแหง 22. ไมเ่ ว้นวรรคระหว่างบรรดาศักดิ์ สมณศกั ดิ์ ฐานันดรศักด์ิ กับนามหรือราชทนิ นาม เชน่ หลวงวจิ ิตรวาทการ สมเดจ็ พระญาณสังวร
164 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร หม่อมเจา้ ชาตรเี ฉลิม ยคุ ล 23. ไมเ่ ว้นวรรคระหว่างคานาหน้าช่อื ท่เี ปน็ ตาแหน่งหรอื อาชีพ กับชือ่ เช่น ศาสตราจารย์ชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช นายแพทยด์ ารง เพ็ชรพลาย 24. ไม่เว้นวรรคระหวา่ งคานาหนา้ ช่ือที่แสดงฐานะของนติ ิบุคคล หน่วยงาน หรอื กลุม่ บคุ คลกับชื่อ เชน่ สมาคมขา้ ราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย มูลนธิ สิ ายใจไทย สานกั พิมพ์ดวงกมล บริษัทเงนิ ทุนหลกั ทรัพย์สนิ ถาวร จากดั การเขียนคายอ่ ก า ร ใ ช้ ค า ย่ อ มี ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ ก า ร เขี ย น ใ น ด้ า น ป ร ะ ห ยั ด เน้ื อ ที่ ใ น ก า ร เขี ย น ห รื อ ก า ร พิ ม พ์ ราชบณั ฑติ ยสถาน (2533: 68-70) ได้กาหนดหลักเกณฑ์ในการเขียนคายอ่ ไว้ดังนี้ 1. ใช้พยัญชนะตน้ พยางค์แรกของคาเป็นตวั ย่อ 1.1 ถา้ เปน็ คาคาเดยี วให้ใชต้ วั ย่อตวั เดียว แม้ว่าคานั้นจะมหี ลายพยางค์กต็ าม เชน่ วา = ว. จงั หวดั = จ. 3.00 นาฬิกา = 3.00 น. ศาสตราจารย์ = ศ. 1.2 ถ้าใช้ตัวอักษรย่อเพียงตัวเดียวแล้วทาให้เกิดความสับสน อาจใช้พยัญชนะต้นของคาถัดไป เป็นตัวยอ่ ดว้ ยก็ได้ เช่น ตารวจ = ตร. อัยการ = อก. 2. ถา้ เป็นคาสมาสใหถ้ ือเปน็ คาเดยี ว และใช้พยัญชนะต้นของพยางคแ์ รกเพยี งตัวเดียว เชน่ มหาวทิ ยาลยั = ม. วิทยาลยั = ว. 3. ถ้าเปน็ คาประสม ใชพ้ ยญั ชนะตน้ ของแตล่ ะคา เชน่ ช่วั โมง = ชม. โรงเรียน = รร. 4. ถ้าคาประสมประกอบด้วยคาหลายคา มีความยาวมาก อาจเลือกเฉพาะพยัญชนะต้นของคาท่ีเป็น ใจความสาคญั ทงั้ นีไ้ มค่ วรเกิน 4 ตวั เชน่ คณะกรรมการประสานงานโครงการอนั เนือ่ งมาจากพระราชดาริ = กปร. สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ = สปช. 5. ถ้าใช้พยัญชนะต้นของแต่ละคาแล้วทาให้เกิดความสับสน ให้ใช้พยัญชนะต้นของพยางค์ถัดไป แทน เช่น พระราชกาหนด = พ.ร.ก. พระราชกฤษฎีกา = พ.ร.ฎ.
165 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 6. ถ้าพยางค์ที่จะนาพยัญชนะต้นมาใช้เป็นตัวย่อมี ห เป็นอักษรนา ให้ใช้พยัญชนะต้นนั้นเป็นตัว ย่อ เช่น สารวัตรใหญ่ = สวญ. ทางหลวง = ทล. 7. คาที่พยัญชนะต้นเปน็ อักษรควบกล้าหรอื อักษรนา ใหใ้ ชอ้ ักษรตวั หนา้ ตวั เดียว เชน่ ประกาศนียบตั ร = ป. ถนน = ถ. 8. ตัวอกั ษรยอ่ ไมค่ วรใชส้ ระ ยกเว้นคาทีเ่ คยใชม้ ากอ่ นแลว้ เชน่ เมษายน = เม.ย. มถิ ุนายน = ม.ิ ย. 9. ตวั ย่อตอ้ งมีจดุ กากับเสมอ ตัวย่อต้ังแต่ 2 ตวั ขน้ึ ไป ใหจ้ ุดท่ีตวั สุดท้ายเพยี งจุดเดียว ยกเว้น ตัวทใี่ ช้ กนั มากอ่ นแล้ว เชน่ ตาบล = ต. ทบวงมหาวทิ ยาลัย = ทม. 10. ใหเ้ วน้ วรรคหนา้ ตัวย่อทุกแบบ และเวน้ วรรคระหว่างกลมุ่ อักษรยอ่ เชน่ ประวตั ิของ อ. พระนครศรอี ยุธยา มีข่าวจาก กทม. วา่ รศ. นพ. ดารง เพช็ รพลาย 11. การอ่านคาย่อต้องอ่านเต็ม ยกเว้นในกรณีท่ีคาเต็มนั้นยาวมาก และคาย่อน้ันเป็นที่เข้าใจและ ยอมรับกัน โดยท่ัวไปแล้วอาจอา่ นตัวยอ่ เรยี งตวั ไปก็ได้ เชน่ 6.00 น. อ่านว่า หกนาฬกิ า อ. บางเขน อ่านว่า อาเภอบางเขน ก.พ. อ่านว่า กอ-พอ หลักเกณฑ์ท่ีกล่าวมานี้เป็นหลักเกณฑ์ที่ราชบัณฑิตยสถานได้กาหนดข้ึนไว้ แต่เน่ืองจากในปัจจุบัน มี สาขาอาชีพต่าง ๆ กาหนดคาย่อข้ึนใช้กันอย่างหลากหลาย แต่ก็เป็นที่รู้จักและเข้าใจกัน หรรษา ผลาผล (2542: 37) ได้เสนอแนะแนวทางในการใช้คาย่อไวว้ ่า การย่อคาในปัจจุบันนิยมใช้กันมากและมีความหลากหลาย แต่ละวงการพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ ซา้ ซ้อนกัน การย่อคาจึงผันแปรไปจากหลักเกณฑ์ท่ีผู้รู้และท่ีราชบัณฑิตยสถานได้วางหลักเกณฑ์ไว้ บางคร้ังจึง ยากทจ่ี ะเข้าใจได้ว่าคาเต็มคือคาใด ดังนั้นผู้ใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารทุกรูปแบบ ควรบอกความหมายไว้ตั้งแต่ การใช้คาย่อนั้น ๆ เปน็ ครง้ั แรก สรปุ ก็คอื การใชค้ ายอ่ นั้น ควรคานงึ ถึงผู้รับสารและกาลเทศะของการสื่อสาร
166 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร การเขยี นภาคปฏิบัติ การเขียนสารในรูปแบบต่าง ๆ ที่ใช้มาก และเป็นประโยชน์ในชีวิตประจาวันมีหลากหลายประเภท โดยในทีน่ จ้ี ะขอกลา่ วถึงงานเขยี นท่สี าคญั และสามารถพบเจอในชวี ติ ประจาวันได้ มีดงั นี้ การเขียนเรยี งความ ความหมายของเรยี งความ เรียงความเป็นรูปแบบงานเขียนประเภทร้อยแก้วท่ีเกิดจากการท่ีผู้เขียนได้นาความรู้ ความคิด เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวโดยอาศัยข้อเท็จจริง รวมถึงศิลปะในการใช้ภาษาท่ีถูกต้อง สละสลวย และเรียบง่าย เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจได้ชัดเจน เรียงความถือเป็นงานเขียนท่ีเป็นพื้นฐานสาหรับงาน เขยี นประเภทอ่นื ๆ (ศิวาพร วฒั นรตั นแ์ ละคณะ. 2552: 135) องค์ประกอบของเรียงความ เรียงความมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ คานา เนื้อเร่ือง และสรุป งานเขียนทุกประเภทจะต้อง ประกอบด้วยองคป์ ระกอบสามส่วนนี้ คือ (จไุ รรัตน์ ลกั ษณะศิริ และบาหยัน อิม่ สาราญ. 2550: 209-215) คานา เน้อื เรอื่ ง สรุป
167 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 1. คานา คานาเป็นส่วนของเรยี งความส่วนแรกทม่ี หี น้าท่ีเปดิ ประเดน็ เขา้ สู่เร่ือง เป็นการบอกให้ผู้อา่ นทราบ ว่าผู้เขียนจะเขียนเรื่องอะไร เพ่ือชักนาให้คนสนใจอ่านเร่ืองราวท่ีเขียน คานาเป็นส่วนที่สาคัญส่วนหน่ึงของ เรยี งความ เพราะเป็นส่วนชว่ ยดงึ ดูดใหผ้ ้อู ่านหนั มาสนใจเร่ืองราวทีเ่ ขยี น ผู้เขียนจะต้องเลือกวิธีการเขียนคานาให้เหมาะแก่ประเภทของงานเขียน เนื้อหาที่เขียนรวมทั้ง ผู้รับสารด้วย ปญั หาในการเขียนคานา คานามีความสาคัญต่องานเขียนทุกประเภท ดังนั้นผู้เขียนควรหลีกเล่ียงการเขียนคานาที่ไม่ นา่ สนใจ ดังน้ี 1. การเขียนคานาไม่ตรงกับเรอ่ื ง 2. การเขียนคานาท่ีอ้อมค้อม มีเน้ือหาไกลจากเร่ืองท่ีเขียนเกินไป ทาให้ผู้อ่านไม่ทราบ จุดประสงค์ชัดเจนวา่ จะเขยี นเรอื่ งอะไร ควรเขียนใหผ้ ู้อา่ นรู้ความคิดท่ีจะเขียนอยา่ งรวดเร็ว 3. การเขียนคานายาวเกนิ ไป ไม่ได้สดั ส่วนกบั เนอ้ื เรื่อง 4. การเขียนคานาด้วยเรื่องไม่น่าสนใจ ใชค้ าท่ไี มม่ ีความหมาย 5. การเขียนคานาด้วยการออกตัว เช่น ออกตัวว่าไม่พร้อมหรือไม่เช่ียวชาญในเรื่องท่ีเขียน ทาให้ผู้อ่านไมม่ ่ันใจในความสามารถของผเู้ ขยี น อาจมีผลทาใหผ้ อู้ า่ นไมส่ นใจอ่านเนื้อหาใด ๆ 2. เนอื้ เรื่อง เน้ือเรื่องเป็นส่วนสาคัญและยาวท่ีสุดของเรียงความ ประกอบด้วยความรู้ ความคิด และข้อมูลท่ี ผ้เู ขียนค้นคว้า และเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ ระเบยี บ การเขยี นเนื้อเร่ืองเปน็ การขยายความในประเด็นต่าง ๆ ตามโครงเร่ืองท่ีวางไว้ล่วงหน้าแล้ว ในการเขียนอาจมีการยกตัวอย่าง การอธิบาย การพรรณนา หรือยกโวหาร ตา่ ง ๆ มาประกอบด้วย โดยอาจจะมยี อ่ หนา้ หลายยอ่ หน้ากไ็ ด้ การเขยี นเนอื้ เร่ือง ควรยึดแนวทางตอ่ ไปน้ี 1. ความถูกต้อง แจ่มแจ้งสมบูรณ์ ผู้อา่ นสามารถเขา้ ใจเจตนารมณ์ของผ้เู ขียนได้เป็นอย่างดี ซง่ึ เรยี กว่า มสี ารัตถภาพ 2. ใจความสาคัญแต่ละย่อหน้าจะต้องมีเพียงใจความเดียว ไม่ออกนอกเร่ือง สับสนวกวน ซง่ึ เรยี กว่า มีเอกภาพ 3. เน้ือหาในแต่ละย่อหน้าจะต้องมีความสัมพันธ์เก่ียวเน่ืองกันโดยตลอด ย่อหน้าที่มาหลัง จะตอ้ งเกย่ี วเน่ืองสมั พนั ธก์ ับยอ่ หนา้ ที่มาก่อน ซึง่ เรียกวา่ มีสัมพันธภาพ 3. สรุป สรุปเป็นส่วนสุดท้ายหรือย่อหน้าสุดท้ายในเรียงความแต่ละเร่ือง ผู้เขียนจะทิ้งท้ายให้ผู้อ่านเกิด ความประทับใจ สอดคล้องกบั เรอื่ งทเี่ ขียน กระชบั รัดกุม ซึ่งการเขียนสรุปมีหลายวิธี เช่น ฝากข้อคิดและความ
168 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ประทับใจให้ผู้อ่านย้าความคิดสาคัญของเรื่อง ชักชวนให้ปฏิบัติตาม ให้กาลังใจแก่ผู้อ่าน ต้ังคาถามท่ีชวนให้ ผู้อ่านคิดหาคาตอบ และยกคาพูด คาคม สุภาษิต หรือบทกวีที่น่าประทับใจ เป็นต้น การสรุปนับว่ามีส่วน สาคัญเทา่ กบั คานา เพราะเป็นสว่ นช่วยเสรมิ ใหเ้ รยี งความมีคุณคา่ ขึ้น การเขียนสรปุ ความควรยดึ แนวทางตอ่ ไปน้ี 1. เขยี นสน้ั ๆ ไม่เยิ่นเยอ้ (ความยาวควรจะเท่า ๆ กบั คานา) 2. อาจสรปุ โดยการออ้ นวอน เชิญชวนหรอื แสดงความคดิ เห็น 3. ควรหลีกเลี่ยงคาขออภัย หรือคาออกตัวว่าผู้เขียนไม่มีความรู้ ไม่ควรเสนอประเด็นใหม่ เขา้ มา การสรุปควรมีเน้ือหาสอดคล้องกับคานาและประเด็นของเรื่อง ย่อหน้าสรุปไม่ควรยาว แต่ให้มี ใจความกระชับ ประทับใจผู้อา่ น กระบวนการเขียนเรยี งความ กระบวนการเขียนเรียงความมีข้นั ตอนดงั นี้ (มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. 2544: 572) 1. เลือกเรื่องที่เขียน ควรเลือกเรอ่ื งที่ตนเองมีความรู้ ความสนใจ และคาดว่าผอู้ ่านจะสนใจด้วย แลว้ ตั้งช่ือเรือ่ ง ต่อจากนั้นจึงหาขอ้ มูล 2. กาหนดจุดประสงค์และประเด็นหลักของเรื่องให้ชัดเจน และรัดกุมเพื่อยึดเป็นหลักในการ เขียนเรียงความเรอ่ื งนน้ั 3. วางโครงเรื่องโดยนาข้อมูลความคิดท่ีเลือกสรรไว้แล้วมาจัดเรียงลาดับให้ต่อเนื่องอย่าง เหมาะสม การวางโครงเร่อื งอาจจดั ทาเปน็ แบบหวั ข้อ หรอื แบบประโยคกไ็ ด้ 4. ลงมือเขียนให้จบเรื่อง การเขียนย่อหน้าในเรื่องควรนาหลักการเขียนย่อหน้ามาใช้ ควรเขียน สาระต่าง ๆ ไปตามโครงเร่อื งท่ีวางไว้ และควรระมดั ระวงั ในการใช้สานวนภาษาให้ประณตี เปน็ พเิ ศษ 5. อ่านทบทวนเรื่องที่เขียนไปแลว้ โดยพิจารณาทั้งในด้านความคิดและภาษา ถ้าพบว่ามีส่วนใด บกพร่องควรปรบั ปรุงแกไ้ ขจนกว่าจะพอใจ 6. เขยี นหรอื พิมพ์ตน้ ฉบบั ลกั ษณะของเรียงความทดี่ ี เรียงความที่ดีต้องมีลักษณะ 3 ประการ คือ ต้องมีเอกภาพ สัมพันธภาพ และสารัตถภาพ ดงั รายละเอียดดังน้ี (จุไรรัตน์ ลกั ษณะศิริ และบาหยัน อมิ่ สาราญ. 2550: 218) 1. มีเอกภาพ หมายความว่า เนื้อเรื่องจะต้องมีเนอ้ื หาเป็นอันหนงึ่ อันเดียวกัน ไม่กล่าวนอกเร่ือง เรียงความจะมีเอกภาพหรอื ไม่ข้ึนอยู่กับการวางโครงเรอ่ื ง 2. มีสัมพันธภาพ หมายความว่า เน้ือหาจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอดท้ังเรื่อง ความสัมพันธ์ต่อเน่ืองของเนื้อหาเกิดจากการจัดลาดับความคิด และการวางวางโครงเรื่องท่ีดี และเกิดจากการ เรียบเรยี งย่อหน้า
169 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 3. มีสารัตถภาพ หมายความว่า เรียงความแต่ละเร่ืองจะต้องมีสาระที่สมบูรณ์ตลอดท้ังเร่ือง ความสมบูรณ์ของเนื้อหาเกิดจากการวางโครงเรื่องท่ีดี เรียงความจะมีเนื้อหาสมบูรณ์ได้ก็ต้องประกอบด้วย ย่อหน้าที่สมบูรณ์ คอื ต้องประกอบด้วยย่อหน้าท่ีมีประโยคใจความสาคัญเด่นชัด มปี ระโยคขยายที่เน้นเน้ือหา สาคัญของเร่ืองชัดเจน และมากกวา่ ความคดิ อื่น ตัวอยา่ งเรียงความ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ไทยรกั ไทย ไทยเจรญิ หวนระลึกย้อนกลับไปเกือบ 800 ปี อันเป็นระยะเวลาก่อนกรุงสุโขทัย พระมหานครแห่งแรกของเรา จะเจรญิ รงุ่ เรอื ง ในเวลานั้นประเทศไทยหรือประเทศสยามน้ียังไม่บังเกิด ชนเผ่าไทยปกครองกันเป็นแคว้นเล็ก แคว้นน้อย ต่างก็เป็นอิสระแก่กันอยู่ใต้อิทธิพลของขอม พ่อขุนบางกลางท่าว เจ้าเมืองบางยาง กับพ่อขุนผา เมืองเจ้าเมืองราด ได้พร้อมใจกันกู้อิสรภาพเป็นผลสาเร็จ พ่อขุนบางกลางท่าวได้ขึ้นครองราชต์เป็ น พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์แห่งกรุงสุโขทัย ในระยะนี้เป็นระยะท่ี ชาติไทยมีความรุ่งเรืองท่ีสุดระยะหนึ่ง ท้ังทางศาสนา ศิลปกรรม และเศรษฐกิจ การปกครอง พระมหากษัตริย์ ทรงรักราษฎรประดุจบิดารักบุตรของตน พระราชอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลข้ึนช่ือลือกระเดื่องไปทั่วทุก ทิศานุทศิ คร้ันต่อมาอาณาจักสุโขทัยเสื่อมอานาจลง กรุงศรีอยุธยาเรืองอานาจเป็นราชธานีอยู่ถึง 417 ปี ฉะน้ัน เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ระยะนี้จึงควรแก่การทรงจายิ่งนัก บรรพชนชาวอยุธยาได้สร้างสรรค์ความเจริญ นานัปการแก่ชาติ ท่านเหล่านั้นได้สละแล้วซ่ึงเลือดในกายจนกระท่ังชีวิตและรักษาความเป็นไทยที่ท่านรักไม่มี ผูใ้ ดจะคัดค้านได้ ถ้าข้าพเจ้าจะกล่าวว่าชาวไทยเป็นคนกล้าหาญ เป็นเช้ือชาติเผ่าพันธุ์นักรบ แต่เหตุไฉนไทยเรา จึงปราชัยย่อยยับ ต้องตกเป็นเมอื งประเทศราชของพมา่ ขา้ ศึกท้ังสองคร้ังสองคราเลา่ เมื่อพิจารณาถงึ เหตุผลแล้ว ก็พอจะสรุปได้ว่าเราขาดความรัก ความสามัคคีในระดับหมู่คณะชาวไทยด้วยกัน เรารักความเป็นใหญ่ส่วนตัว เร่ืองทะเลาะเบาะแว้งส่วนตัวเหนือความปลอดภัยของชาติ ความผิดใจกันระหว่างสมเด็จพระมหินทราธิราชกับ สมเด็จพระมหาธรรมราชา ทาให้สมเด็จพระมหาธรรมราชายืมมือต่างประเทศ คือ พม่าเข้ามาเป็นการชักน้าเข้า ลึกชักศึกเขา้ บา้ น ท้ังพระยาจักรียังเข้ามายแุ หย่ให้แตกความสามัคคีกันอีก แล้วชาติไทยจะอยู่ได้อย่างไร การเสีย กรงุ ครัง้ ที่ 2 ก็เป็นไปในทานองเดียวกันนี้ กลา่ วคือ เปน็ การอิจฉารษิ ยากนั เองภายในผนู้ าฝ่ายไทยด้วยกัน ในปัจจุบันน้ี ประเทศไทยอันเป็นท่ีรักย่ิงของเรากาลังอยู่ในหัวเล้ียวหัวต่อ ประเทศมหาอานาจต่าง ๆ หรือพวกฝ่ายตรงขา้ มกาลังแผอ่ ทิ ธิพลเข้าสปู่ ระเทศไทยเราอย่างเหน็ ไดช้ ัด จากการโฆษณาชวนเชื่อ และการนา ทหารผ่านไปรบประเทศอ่ืน ซึ่งเราจาต้องยอม อย่างหน้าชื่นอกตรม แผ่นดินรอบ ๆ บ้านเราร้อนเป็นไฟไปท่ัว
170 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ทุกหย่อมหญ้า เราก็ได้เห็นตัวอย่างจากประวัติศาสตร์มาแล้ว เมื่อใดเรามีความรักความสามัคคีซึ่งกันและกัน เมอ่ื นน้ั ชาติจะเจริญรงุ่ เรอื ง เม่ือใดเราขาดความสามัคคี เม่อื นน้ั เราจะเสียเอกราชความเปน็ ไท ชาตใิ ดไร้รกั สมัครสมาน จะทาการสงิ่ ใดก็ไรผ้ ล แมช้ าตยิ ่อยยับอบั จน บุคคลจะสขุ ไดอ้ ยา่ งไร ถ้าเราจะมุ่งผนึกกาลังท้ังกายและใจด้วยกัน โดยถือพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวว่า สมานสามัคคีให้ดีอยู่ จะสู้ศึกศัตรูท้ังหลายได้ พลังของชาวไทยกว่า 35 ล้านคน จะไม่สามารถ ต่อต้านข้าศึกศัตรูท้ังหลายท้ังปวงเชียวหรือ เปรียบประดุจด่ังก่ิงไม้ ลาพังแต่ก่ิงเดียวแม้แต่เด็กก็หักได้โดยง่าย แตถ่ ้ามัดรวมกนั เป็นกาใหญ่ก็ยากท่จี ะทาลาย ควรนึกอยเู่ สมอวา่ ศัตรทู ี่เขาจะมารกุ รานเราเขาจะยุแหย่ให้แตก ความสามัคคีกันก่อน เพราะเมื่อเขาบุกเข้ามาเราไม่รวมกาลังกัน มัวแต่เก่ียงกัน ทะเลาะชิงดีชิงเด่นระหว่าง กนั เอง เข้าก็จะได้ชยั ชนะโดยงา่ ย เพราะฉะนั้นชาวไทยจงร่วมรักร่วมสมัครสามัคคีกันไวถ้ ้าเผอื่ มีข้าศึกมาย่ายีบีฑาก็จะสู้ได้เต็มแรง ก้อน หินน้อยใหญ่หลาย ๆ ก้อนก็สามารถรวมกันเป็นภูผาหลวงได้ฉันใด คนไทยแต่ละคนรวมกาลังเข้าด้วยกันก็ สามารถสร้างชาติไทยให้เจริญถาวรได้ฉันน้ัน ข้อสาคัญท่ีสุดคือ ไทยเราอย่าทาลายกันเอง ดังท่ีได้กล่าวมาแล้ว ให้ช่วยกนั บารงุ รกั ษาประเทศชาติ ศาสนา และวฒั นธรรมใหร้ ุ่งเรอื งถาวรอยู่คู่ฟ้าดนิ เหตทุ ่ีชาติไทยเจรญิ อยู่ได้ เป็นเพราะชาวไทยรักชาวไทยด้วยกนั ต่างก็มน่ั อย่ใู นความสามคั คีธรรม โดย ถงึ แม้ตนเองเปน็ เชือ้ ชาติใดนับถือศาสนาใดก็ตาม ต่างกเ็ ป็นข้าแผ่นดินเดียวกันท้ังน้ัน เมื่อถือได้เช่นนี้จิตใจของ คนไทยก็ย่อมรวมเป็นอนั หน่งึ อันเดยี วกนั เมือ่ ไทยรกั ไทย ไทยต้องเจริญถาวรอย่างไมต่ อ้ งสงสยั การเขยี นหนงั สอื ราชการ ความหมายของหนงั สอื ราชการ หนังสือราชการ คือ เอกสารท่ีเป็นหลักฐานในราชการ ได้แก่ (ธนู ทดแทนคุณ และกานต์รวี แพทย์พิทักษ์, 2552: 159) 1. หนงั สือทม่ี ีไปมาระหวา่ งส่วนราชการ 2. หนงั สอื ท่ีสว่ นราชการมไี ปถึงหน่วยงานอืน่ ใด ซ่ึงมิใชส่ ว่ นราชการหรอื มีไปถึงบุคคลภายนอก 3. หนังสือท่ีหนว่ ยงานอ่นื ใดซง่ึ มิใชส่ ว่ นราชการ หรอื ท่ีบุคคลภายนอกมมี าถึงสว่ นราชการ 4. เอกสารทท่ี างราชการจดั ทาข้นึ เพ่อื เปน็ หลักฐานในราชการ 5. เอกสารทีท่ างราชการจดั ทาข้ึนตามกฎหมาย ระเบยี บ หรอื ขอ้ บงั คบั ผู้ท่ีต้องยึดตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยสารบรรณ พ.ศ. 2526 เป็นหลักในการจัดทา หนังสือราชการ ได้แก่ ส่วนราชการท้ังหมดซึ่งหมายถึง กระทรวง ทบวง กรม สานักงาน หรือหน่วยงานอื่นใด
171 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ของรัฐทั้งในราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค ราชการบริหารส่วนท้องถ่ิน หรือใน ตา่ งประเทศ หนังสือราชการ หรือจดหมายราชการจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พุทธศักราช 2526 ซ่ึงใช้ข้อบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2526 เป็นต้นมา เพื่อใช้เป็น มาตรฐานเดียวกนั ท้งั ประเทศ ชนิดของหนงั สอื ราชการ (ปรยี า หริ ัญประดิษฐ์. 2552: 160-162) หนงั สอื ราชการมี 6 ชนิด คือ 1. หนังสือราชการภายนอก 2. หนังสอื ราชการภายใน 3. หนังสือประทบั ตรา 4. หนังสอื ส่ังการ (คาสั่ง ระเบียบ และขอ้ บงั คบั ) 5. หนงั สือประชาสัมพนั ธ์ (ประกาศ แถลงการณ์ และข่าว) 6. หนงั สอื ทเ่ี จา้ หนา้ ทจี่ ัดทาขึน้ หรอื รบั ไวเ้ ปน็ หลักฐานในราชการ (หนังสอื รับรอง รายงานการประชุม บนั ทกึ หนังสืออ่นื เชน่ โฉนด แผนที่ แบบสญั ญา แผนผัง หลักฐานการสืบสวนสอบสวน และคารอ้ ง ฯลฯ) หลกั ท่วั ไปในการเขียนหนงั สือราชการ (ปรียา หิรญั ประดิษฐ์. 2552: 163-165) ข้อความในหนังสือราชการโดยท่ัวไปจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนท่ีเป็นเน้ือเร่ือง และส่วน ความประสงค์ 3.1 ส่วนเน้ือเร่ือง เป็นส่วนที่กล่าวถึงสาเหตุท่ีมีหนังสือราชการไปถึงผู้รับ และให้รายละเอียด เก่ยี วกับผลต่อเนื่อง ความตอ้ งการ ข้อตกลงต่าง ๆ ในส่วนน้ีจะเปน็ เน้ือความหลักของหนังสือฉบบั น้นั ซ่ึงอาจมี เพยี งย่อหน้าเดยี ว หรือมีความยาวหลายยอ่ หน้ากไ็ ด้ ในย่อหน้าแรกหรือวรรคแรกท่ีเร่ิมต้นใจความของหนังสือ ผู้เขียนจะต้องระบุถึงสาเหตุท่ีมี หนังสือราชการไปถงึ ผู้รบั นัน้ คาขนึ้ ตน้ ทีม่ กั ใช้ในหนงั สือราชการมี 2 กรณี คือ 1) ในกรณีท่ีเร่ิมต้นแจ้งสาเหตุท่ีมีหนังสือมักจะขึ้นต้นด้วยคาวา่ “ด้วย” “เน่ืองจาก” และ ไม่ตอ้ งมีคาวา่ “น้ัน” อย่ทู ้ายวรรคหรือทา้ ยยอ่ หน้า 2) ในกรณีท่อี า้ งเร่ืองเดมิ ท่ีเคยติดตอ่ กันมาก่อน หรอื เป็นเรอ่ื งทท่ี ราบกันอย่กู ่อนแล้วมักจะ ขึ้นต้นดว้ ยคาว่า “ตามท”่ี “ตาม” หรอื “อนสุ นธิ” ในยอ่ หนา้ นต้ี ้องลงท้ายคาวา่ “นัน้ ” ทา้ ยวรรค 3.2 ส่วนความประสงค์ เป็นส่วนที่ระบุความต้องการหรือสรุปความต้องการเพ่ือย้ากับผู้รับอีก ครั้งหน่ึงว่าจะให้ผู้รับทาอะไร หรือทาอย่างไร ส่วนการสรุปความต้องการนิยมเขียนอีกย่อหน้าหนึ่ง โดยขึ้นต้น ด้วยคาว่า “จึง” เชน่ จึงเรียนมาเพือ่ โปรดทราบ จึงเรียนมาเพอ่ื โปรดนาเสนอ …ตอ่ ไป
172 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร จึงเรียนมาเพือ่ โปรดพิจารณา จงึ เรยี นมาเพอื่ โปรดทราบและถอื เปน็ หลกั ปฏิบตั ิ หนงั สือราชการภายนอก หนังสือราชการภายนอก คือ หนังสือติดต่อราชการท่ีเป็นแบบพิธีโดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือติดต่อระหวา่ งส่วนราชการที่อยู่ต่างกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่มีถึงหน่วยราชการอ่ืน ใดซึ่งมใิ ช่สว่ นราชการ หรือที่มถี งึ บุคคลภายนอก (ปรยี า หิรัญประดิษฐ์. 2552: 177-195) ต่อไปนี้เปน็ รปู แบบและตวั อย่างหนังสอื ราชการภายนอก
173 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร
174 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร จากรูปแบบและตัวอย่างหนังสือราชการภายนอกที่ยกมาแสดงน้ัน มีรายละเอียดในการ เขียน ดงั น้ี 1) ที่ ให้ลงรหัสพยัญชนะ และเลขประจาของเจ้าของเร่ือง ทับเลขทะเบียนหนังสือส่ง สาหรบั หนังสือของคณะกรรมการใหก้ าหนดรหัสดว้ ยตัวพยญั ชนะเพ่มิ ข้ึนได้ตามความจาเป็น 2) ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ ให้ลงชื่อส่วนราชการ สถานที่ราชการ หรือ คณะกรรมการท่ีเป็นเจ้าของหนังสือน้ัน โดยปกติให้ลงท่ีตั้งไว้ด้วย การลงช่ือส่วนราชการให้ลงด้านขวาสุด บรรทัดเดยี วกับ “ท่ี” การลงสถานท่ีราชการน้ันควรลงให้ชัดเจนและควรลงรหสั ไปรษณีย์ดว้ ยเพื่อจะไดส้ ะดวก ในการติดตอ่ 3) วัน เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันท่ี ช่ือเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชท่ี ออกหนังสือ โดยไม่ต้องเขียนคาว่า วันที่ เดือน และ พ.ศ. ตาแหน่งของตัวเลขควรให้อยู่กึ่งกลางของ หนา้ กระดาษ 4) เร่ือง ให้ลงเรื่องย่อท่ีเป็นใจความสั้นที่สุดของหนังสือฉบับน้ัน ในกรณีท่ีเป็นหนังสือ ตอ่ เนอ่ื งโดยทั่วไปให้ลงเรอ่ื งของหนงั สอื ฉบบั เดิม การกาหนดชื่อเรื่อง ผู้เขียนหนังสือจะต้องเข้าใจสาระเร่ืองราว ตลอดจนความเป็นมา ของหนงั สือนนั้ เปน็ อยา่ งดี จึงจะสามารถกาหนดชื่อเร่อื งทีส่ ้ัน กะทดั รัด ครอบคลุมสาระท่ียืดยาวได้ 5) คาขึ้นต้น ให้ใช้คาข้ึนต้นตามฐานะของผู้รับหนังสือ ตามที่กาหนดไว้ในระเบียบสานัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ แล้วลงชื่อตาแหนง่ ของผู้ท่ีหนงั สือนน้ั มีถงึ หรอื ชอื่ บคุ คลในกรณีทีม่ ีหนังสือ ถงึ ตวั บุคคลโดยไม่เกี่ยวกบั ตาแหน่งหน้าท่ี 6) อ้างถึง (ถ้ามี) ให้อ้างถึงหนังสือท่ีเคยมีติดต่อกัน เฉพาะหนังสือท่ีส่วนราชการผู้รับ หนังสือได้รับมาก่อนแล้ว จะจากส่วนราชการใดก็ตาม โดยให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของหนังสือ และเลขที่ หนังสอื วนั ท่ี เดือน ปีพทุ ธศกั ราชของหนงั สอื นั้น การอ้างถึง ให้อ้างถึงหนังสือฉบับสุดท้ายที่ติดต่อกันเพียงฉบับเดียว เว้นแต่มีเรื่องอื่นที่ เป็นสาระสาคญั จะต้องนามาพิจารณาจงึ อ้างถึงหนงั สือฉบับอ่นื ๆ ทเี่ กีย่ วกบั เรอ่ื งนัน้ โดยเฉพาะให้ทราบด้วย 7) สิ่งท่ีส่งมาด้วย (ถ้ามี) ให้ลงช่ือสิ่งของเอกสาร หรือบรรณสารที่ส่งไปพร้อมกับหนังสือ น้นั ในกรณที ีไ่ ม่สามารถสง่ ไปในซองเดยี วกันได้ ให้แจง้ ดว้ ยวา่ ส่งไปโดยทางใด เชน่ ส่ิงที่ส่งมาด้วย เอกสารการสอนชุดวิชาพัฒนาการวรรณคดีไทย 1 ชุด (ส่งทางพัสดุ ไปรษณยี )์ 8) ข้อความ ข้อความในหนังสือราชการให้บอกแต่สาระสาคัญของเรื่องให้ชัดเจน เข้าใจ งา่ ย หากมีความประสงคห์ ลายประการให้แยกเปน็ ข้อ ๆ แต่จะตอ้ งประกอบด้วยหลกั 2 ประการ คอื 8.1 ข้อความในส่วนที่กล่าวถึงสาเหตุท่ีมีหนังสือไป ให้เขียนแจ้งเหตุที่มีหนังสือไปยัง ผ้รู บั อาจเป็นขอ้ ความตอนเดียว หรอื 2 ตอน หรอื 3 ตอนกไ็ ด้ เขยี นให้ชดั เจน และเข้าใจง่าย
175 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 8.2 ขอ้ ความในส่วนที่เป็นความประสงค์ เป็นสว่ นที่ระบุตามความตอ้ งการว่าจะให้ผ้รู ับ ทาอะไร หรือทาอย่างไร ใหเ้ ขียนในอีกยอ่ หน้าหน่งึ โดยขึ้นตน้ ด้วยคาว่า “จึง” เชน่ จงึ เรียนมาเพ่ือทราบ จงึ เรียนมาเพอื่ โปรดนาเสนอ…ต่อไป จึงเรยี นมาเพื่อโปรดทราบและถือเปน็ หลักปฏบิ ัติ จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดพจิ ารณา 9) คาลงท้าย ให้ใช้คาลงท้ายตามฐานะของผู้รับหนังสือตามท่ีกาหนดไว้ในระเบียบสานัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ สาหรับคาลงท้ายบุคคลธรรมดาใช้คาว่า “ขอแสดงความนับถือ” เท่าน้ัน ยกเว้นตาแหน่งท่ีระบุไว้เฉพาะ คือ ประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานสภา ผ้แู ทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานศาลรฐั ธรรมนูญ ฯลฯ ให้ใช้คาวา่ “ขอแสดงความนับถืออย่างย่ิง” 10) ลงช่ือ ให้ลงลายมือช่ือเจ้าของหนังสือและให้พิมพ์ช่ือเต็มของเจ้าของลายมือชื่อไว้ใต้ ลายมือช่ือ 11) ตาแหน่ง ให้ลงตาแหน่งของเจ้าของหนังสือ โดยปกติจะเป็นหัวหน้าส่วนราชการ หรือ ผทู้ ี่ไดร้ ับมอบหมาย 12) ส่วนราชการเจ้าของเร่ือง ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเร่ือง หรือหน่วยงานที่ออก หนังสือ ถ้าส่วนราชการท่ีออกหนังสืออยู่ในระดับกระทรวงหรือทบวง ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเร่ือง ท้ัง ระดับกรม และกอง ถ้าส่วนราชการท่ีออกหนังสืออยู่ในระดับกรมลงมา ให้ลงช่ือส่วนราชการเจา้ ของเรื่องเพียง ระดบั กอง หรอื หนว่ ยงานทีร่ ับผดิ ชอบ 13) โทร. ให้ลงหมายเลขโทรศัพท์ของส่วนราชการเจ้าของเรื่อง หรือหน่วยงานท่ีออก หนงั สือ การลงนามเลขโทรศัพทน์ ้ีจะเป็นประโยชน์ในกรณีที่ผรู้ ับหนังสอื มีข้อสงสัยหรอื ต้องการจะประสานงาน อยา่ งรวดเรว็ และใกลช้ ดิ กจ็ ะไดต้ ิดตอ่ ได้ นอกจากนใ้ี ห้ใสห่ มายเลขโทรสารไวด้ ว้ ย 14) สาเนาส่ง (ถ้ามี) ในกรณีที่ผู้ส่งจัดทาสาเนาส่งไปให้ส่วนราชการ หรือบุคคลอื่นทราบ และประสงค์จะให้ผู้รับทราบว่าได้สาเนาส่งไปให้ผู้ใดแล้ว ให้พิมพ์ช่ือเต็มหรือช่ือย่อของส่วนราชการ หรือชื่อ บุคคลที่ส่งสาเนาไปให้ เพื่อให้เป็นที่เข้าใจระหว่างผู้ส่งและผู้รับ ถ้าหากมีรายชื่อท่ีส่งมากให้พิมพ์ว่าส่งไปตาม รายช่อื ทีแ่ นบ และแนบรายช่อื ไปดว้ ย หนงั สือราชการภายใน หนังสือราชการภายใน คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีน้อยกว่าหนังสือภายนอก เป็นหนังสือติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกัน หรือติดต่อบุคคลอื่นให้ทราบ พร้อมทั้ง กาหนดให้ใช้เฉพาะกระดาษบนั ทึกข้อความเพือ่ ให้เห็นขอ้ แตกต่างจากหนังสือภายนอก กับได้กาหนดหัวข้อการ เขยี นใหร้ ัดกุม เพอื่ สะดวกแก่ผปู้ ฏบิ ตั ิ และใหเ้ ปน็ มาตรฐานเดยี วกัน (ปรียา หิรัญประดษิ ฐ์. 2552: 200-202)
176 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร การเขียนบันทึกข้อความ การเขียนบันทึกข้อความเป็นแบบงานเขียนทางราชการอีกประเภทหน่ึงซึ่งเขียน ข้อความท่ีเป็นเรื่องภายในของหน่วยราชการ กระทรวง ทบวง กรมเดียวกัน อาจเป็นเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชา ในหนว่ ยน้นั ๆ หรือผบู้ ังคบั บัญชาบันทึกลงมา การเขียนบนั ทกึ ข้อความโดยทวั่ ไปนิยมบนั ทึกในลกั ษณะต่อไปน้ี คือ บันทึกย่อเรื่อง บันทึกรายงาน บันทึกความเห็น บันทึกติดต่อและส่ังการ และบันทึกเพ่ือขออนุมัติในเร่ือง ต่าง ๆ ต่อไปนีเ้ ปน็ รปู แบบและตัวอยา่ งบนั ทึกขอ้ ความ จากรูปแบบบันทกึ ขอ้ ความทีย่ กมาน้นั มีรายละเอยี ดในการเขยี น ดงั นี้
177 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 1. ส่วนราชการ ให้ลงช่ือหนว่ ยราชการเจ้าของเรื่อง หรือหน่วยงานท่ีออกหนงั สือ ปกติ ถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับกรมข้ึนไป ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเร่ืองท้ังระดับ กรม และกอง ถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับต่ากว่ากรมลงมา ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเร่ืองเพียงระดับกอง หรอื สว่ นราชการเจา้ ของเร่ืองพรอ้ มทง้ั หมายเลขโทรศัพท์ เชน่ กองวเิ ทศสมั พนั ธ์ สถาบนั วิจยั และพัฒนา เลขภายในโทร. ๒๑๓๓ ๒๑๓๔ 2. ที่ วันที่ เร่อื ง คาขึ้นต้น ใหล้ งรายการโดยใชแ้ นวปฏบิ ตั ิเดียวกบั หนังสือภายนอก 3. ข้อความ ให้ลงสาระสาคัญของเรื่องให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย หากมีความประสงค์ หลายประการให้แยกเป็นข้อ ๆ ถ้ามีการอ้างถึงหนังสือท่ีเคยมีติดต่อกันหรือมีส่ิงที่ส่งมาด้วยให้ระบุไว้ใน ขอ้ ความ โดยจะไม่แยกหัวข้ออ้างถึงและสิ่งที่ส่งมาด้วยต่างหาก ลักษณะเด่นชัดเจนอีกอย่างหนึ่ง คือ การเขียน บันทกึ ขอ้ ความจะไม่มีคาลงทา้ ยว่า “ขอแสดงความนับถอื ” 4. ลงช่ือและตาแหน่ง ใช้แนวปฏิบัติเดียวกับหนังสือภายนอกแต่อนุโลมให้ใช้ตัวย่อใน การเขยี นตาแหน่งได้ 5. ในการเขียนบันทึกนี้ ถ้าหน่วยงานใดประสงค์จะกาหนดแบบการเขียนโดยเฉพาะ เพือ่ ใชต้ ามความเหมาะสมก็ให้ทาได้ หลักการเขียนหนังสือราชการ การเขียนหนงั สอื ราชการทดี่ นี ั้น มหี ลักการเขียนดังนี้ 1. เขียนใหเ้ ข้าใจความหมาย คือ การเขียนใหช้ ัดเจน กระจา่ ง ใหผ้ รู้ บั เข้าใจได้งา่ ย ถ้า เขยี นไม่ชัดเจนผูร้ บั ไมส่ ามารถปฏิบตั ิตามวัตถปุ ระสงค์ได้ 2. เขียนให้บรรลุจุดประสงค์ คือ การเขียนที่ให้ผู้รับจดหมายเข้าใจชัดเจนว่ามี จดหมายไป ต้องการอะไร จะใหผ้ ู้รับจดหมายปฏิบตั ิอยา่ งไร เชน่ 2.1 ถ้าต้องการเพียงให้ผู้รับทราบ ให้ลงท้ายให้ชัดเจนว่า “จึงเรียนมาเพ่ือทราบ” หรือ “จงึ เรียนมาเพอ่ื โปรดทราบ” 2.2 ถ้าต้องการให้ผู้รับเข้าใจก็ต้องเขียนชี้แจงให้ชัดเจนสมเหตุสมผล แล้วลงท้าย ให้ชดั เจนวา่ เป็นการช้แี จง เช่น ลงท้ายว่า “จงึ เรยี นช้ีแจงมาเพ่ือขอได้โปรดเข้าใจตามน้ีดว้ ย” หรอื “จึงเรียนมา เพื่อถอื เปน็ หลกั ปฏิบัตติ อ่ ไป” 2.3 ถ้าต้องการให้ผู้รับอนุมัติ ให้เขียนชี้แจงเหตุผลความจาเป็นที่จะโน้มน้าวให้ ผพู้ จิ ารณาอนุมตั ิ และเขียนตอนทา้ ยบอกจุดประสงคใ์ หช้ ดั เจนว่าขออนมุ ัติอะไร 2.4 ถ้าต้องการให้ผู้รับพิจารณา ให้เขียนในตอนท้ายบอกจุดประสงค์ให้ชัดเจนว่า ขอให้พิจารณาอะไร ในประเด็นไหน หากมปี ระเด็นที่ขอให้พิจารณาหลายประเด็น ควรแยกประเด็นให้เห็นชัด เป็นข้อ ๆ
178 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 2.5 ถ้าต้องการให้ผู้รับช่วยเหลือ ให้เขียนอย่างนอบน้อมยกย่อง ขอความกรุณา จากผรู้ ับและขอบคณุ เขาลว่ งหนา้ ด้วย 3. เขียนให้เป็นผลดี หนังสือราชการนั้นแม้จะมีลีลาการเขียนในลักษณะกะทัดรัด หนักแน่น รัดกุม ไม่ใช้ถ้อยคาฟุ่มเฟือย แต่ก็ควรจะให้อ่านแล้วมีความรู้สึกท่ี “รื่นหู” ไม่ให้ผูร้ ับมีความรูส้ ึกที่ไม่ ดีได้ 4. ถูกหลักในการเขียนจดหมายที่ดี การเขียนหนังสือราชการนั้นต้องให้ถูกต้องท้ัง ไวยากรณ์ ตัวสะกดการันต์ และถูกต้องตามความนิยม คือ ต้องใช้ภาษาราชการ ไม่ใช้ภาษาพูด หรือ ภาษานกั ประพนั ธ์
179 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร บรรณานกุ รม กิดานันท์ มลิทอง. (2548). เทคโนโลยีและการสื่อสารเพ่ือการศกึ ษา. กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. กิตตชิ ยั พนิ โน, อมรชัย คหกิจโกศล (บรรณาธิการ). (2554). ภาษากบั การส่ือสาร. (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรงุ เทพฯ: ภาควิชาภาษาตะวนั ออก คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. กสุ มุ า รกั ษมณี. (2547). เสน้ ลลี าวรรณกรรม. กรงุ เทพฯ: แมค่ าผาง. กุหลาบ มัลลิกะมาส. (2522). วรรณคดวี ิจารณ์. (พิมพ์ครัง้ ท่ี 7). กรงุ เทพฯ: ภาควิชาภาษาไทยและตะวนั ออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. กุหลาบ สายประดษิ ฐ์. (2543). ขอ้ คดิ จากใจ. (พมิ พ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: แมค่ าผาง. กาชยั ทองหล่อ. (2555). หลักภาษาไทย. (พมิ พค์ ร้ังที่ 53). กรุงเทพฯ: รวมสาสน์ . ขวัญดี อัตวาวุฒชิ ยั และคณะ. (2543). การใชภ้ าษาไทย 1. (พิมพ์ครง้ั ที่ 4). กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ไขสริ ิ ปราโมช ณ อยุธยา. (2526). การเปลยี่ นแปลงถ้อยคาและความหมายของสานวนไทย. กรงุ เทพฯ: โครงการเผยแพร่งานวิจยั จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. คณาจารย์มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2551). ภาษากบั การสอื่ สาร. กรุงเทพฯ: โครงการผลติ และพฒั นาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการเรยี นรู้พระพทุ ธศาสนา กองวิชาการ และสานกั หอสมดุ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ. คาผา เพลงพิณ. (นามแฝง). (2532). เสียงสง่ั จากอสี าน. มหาสารคาม: อภชิ าตการพิมพ์. เจตนา นาควชั ระ. (2542). ทฤษฎเี บอื้ งต้นแห่งวรรณคดี. (พิมพค์ รั้งท่ี 2). กรุงเทพฯ: ศยาม. จไุ รรตั น์ ลกั ษณะศิริ และบาหยัน อม่ิ สาราญ. (2550). ภาษากบั การส่ือสาร. (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ: โครงการตาราและหนังสอื คณะอักษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน. (2547). จิตวทิ ยาการอ่าน. กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนาพานชิ . ฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์. (2534). วาทนพิ นธ์. (พิมพ์ครงั้ ท่ี 4). กรงุ เทพฯ: สานักพิมพม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง. ชานาญ รอดเหตภุ ัย. (2519). สัมมนาการใชภ้ าษาไทยปัจจุบัน. กรงุ เทพฯ: กรงุ สยามการพมิ พ์. ดวงใจ ไทยอุบุญ. (2550). ทักษะการเขียนภาษาไทย. (พิมพ์คร้ังท่ี 4). กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพจ์ ุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ทศั นาวดี. (นามแฝง). (2545). ในโลกแคบ. กรุงเทพฯ: นา้ หวาน. ธนู ทดแทนคณุ และกานตร์ วี แพทย์พิทักษ์. (2552). ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. ธเนศ เวศร์ภาดา. (2549). หอมโลกวรรณศลิ ป์. กรงุ เทพฯ: ปาเจรา. นพดล จันทรเ์ พ็ญ. (2535). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: ตน้ ออ้ .
180 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร นภาลยั สวุ รรณธาดา, สุมาลี สงั ขศ์ รี, ธีรยทุ ธ์ เสนวี งศ์ ณ อยุธยา และธิดา โมสกิ รตั น.์ (2548). การเขยี น ผลงานวิชาการและบทความ. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. นรนิ ทรธเิ บศ (อิน). (2516). โคลงนิราศนรินทร์. กรงุ เทพฯ: คุรสุ ภา. นติ ยา กาญจนะวรรณ. (2535, กรกฎาคม). ภาษาพาจร. สตรีสาร. 45(47). . (2547). ปญั หาการใชภ้ าษาไทย. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง. บญุ เหลอื เทพยสวุ รรณ, ม.ล. (2539). แวน่ วรรณกรรม. (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2). กรุงเทพฯ: อมรินทร์. . (2543). วิเคราะห์รสวรรณคดไี ทย. (พิมพ์คร้งั ท่ี 3). กรุงเทพฯ: ศยาม. ปราณี กลุ ละวณิชย์. (2537). ภาษาทศั นา. (พมิ พค์ รั้งที่ 3). กรงุ เทพฯ: โครงการตาราคณะอักษรศาสตร์. จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ปรชี า ชา้ งขวญั ยนื . (2525). ศิลปะการเขียน. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พว์ ชิ าการ. . (2525). ศิลปะการฟงั การอา่ น. กรุงเทพฯ: วิชาการ. ปรีชา ช้างขวญั ยนื และคนอืน่ ๆ. (2539). เทคนคิ การเขยี นและผลิตตารา. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ปรียา หิรัญประดิษฐ์. (2552). การใชภ้ าษาไทยในวงราชการ. (พิมพ์คร้งั ที่ 3). กรงุ เทพฯ: ธรรกมลการพิมพ์. พทิ ยา ลม้ิ มณี. (2537). การอ่านตคี วาม. กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พร้ินติ้ง.เฮ้าส์. ไพรวรินทร์ ขาวงาม. (2538). มา้ ก้านกลว้ ย. กรุงเทพฯ: แพรวสานกั พิมพ.์ ไพรถ เลิศพิรยิ กมล. (2543). การยอ่ ความ. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์ . ภาษาไทย, ภาควชิ า คณะอักษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. (2533). ภาษากับการสอ่ื สาร. (พมิ พ์คร้ังที่ 3). กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. ภาคภูมิ หรรนภา. (2554). การเขยี นเพื่อการสอ่ื สาร. กรุงเทพฯ: อนิ ทนลิ . ราชบณั ฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรงุ เทพฯ: นานมบี ุ๊คส์. . (2533). หลักเกณฑ์การใช้เครือ่ งหมายวรรคตอนและเครื่องหมายอนื่ ๆ หลักเกณฑก์ ารเวน้ วรรค หลักเกณฑ์การเขียนคาย่อ. (พิมพ์ครงั้ ท่ี 5). กรงุ เทพฯ: เพอ่ื นพิมพ์. ราชภฏั พระนคร, มหาวิทยาลัย. (2549). คู่มือการเขยี นผลงานทางวชิ าการ. กรงุ เทพฯ: ดอกเบย้ี . ราชภัฏพระนคร, มหาวิทยาลยั . (2550). ภาษาไทยเพื่อการส่อื สาร. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์สานกั งาน พระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ. . (2553). ภาษาไทยเพ่อื การสื่อสาร Thai for Communication รหัสวิชา 1500105. กรงุ เทพฯ: สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ลอ้ ม เพ็งแก้ว. (2548, ตลุ าคม). ทอ้ งถิน่ ของเรา. ศลิ ปวัฒนธรรม. 26(12), 74 วาสนา เกตุภาค. (ม.ป.ป.). การเขยี น. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ วทิ ย์ ศิวะศริยานนท์. (2518). วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์. (พมิ พ์คร้ังที่ 5). กรงุ เทพฯ: แพรพ่ ิทยา. วภิ า กงกะนนั ทน์. (2520). วรรณคดศี กึ ษา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.
181 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ววิ ัฒน์ เลศิ วิวัฒนว์ งศา. (2556). ยโู ทเปียชารุด. กรุงเทพฯ: เมน่ วรรณกรรม. ศริ ิพร ลมิ ตระการ. (2543). อ่านอยา่ งเร็วเข้าใจงา่ ย. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์. สนิท ต้ังทวี. (2528). ความรแู้ ละทักษะทางภาษา. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์. สมเด็จพระญาณสงั วร. (2530). แสงส่องใจ. กรุงเทพฯ: มหามกฎุ ราชวิทยาลัย. สวนติ ยมาภัย. (2526). การส่อื สารของมนุษย์. กรุงเทพฯ: ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อการแสดง คณะนเิ ทศ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สวนิต ยมาภัย และถิรนนั ท์ อนวัชศิรวิ งศ์. (2540). หลักการพูดขนั้ พืน้ ฐาน. (พิมพ์ครัง้ ที่ 9). กรุงเทพฯ: ขา้ วฟ่าง. สวนติ ยมาภยั และวีระวรรณ ประกอบผล. (2537). แบบจาลองการสอื่ สาร สาหรับศึกษาการ สื่อสารมวลชน. แปลจาก Mcqual, Dannis, Windahl, Sven. Communication Models. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, มหาวิทยาลยั . (2529). เอกสารการสอนชุดวิชาการใช้ภาษาไทย 1 หนว่ ยที่ 1-8. นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. สุโขทัยธรรมมาธิราช, มหาวทิ ยาลัย. (2541). เอกสารการสอนชดุ วชิ าการใช้ภาษาไทย. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 4). กรงุ เทพฯ: ผเู้ ขียน. สุโขทัยธรรมาธิราช,มหาวิทยาลัย. (2544). เอกสารการสอนชุดวชิ า การใชภ้ าษาไทย. (พิมพ์คร้ังท่ี 9). นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. เสาวณีย์ สิกขาบัณฑิต. (2533). การเขยี นสาหรับสอ่ื การส่ือสาร. กรุงเทพฯ: ดวงกมล. สารวม วารายานนท.์ (2554). “การฟงั สารเพอ่ื การรับสาร” ใน ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสารและการสืบคน้ . ลพบรุ ี: มหาวิทยาลยั ราชภฏั เทพสตรี. วิไลวรรณ ขนิษฐานันท.์ (2521). ภาษาและภาษาศาสตร.์ กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. องั คาร กลั ยาณพงศ์. (2533). กวีนิพนธ์. กรงุ เทพฯ: ศยาม. อุปกิตศิลปสาร, พระยา. (2544). หลักภาษาไทย. (พมิ พ์คร้งั ที่ 10). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพาณิชย์. โอรส์ แก้วจาปา. (2556). เทคนคิ การเขยี น. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187