คำนำ เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู เป็นเอกสารที่จัดทาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้สาหรับนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลยั สวนดุสติ ที่สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานความรูท้ างวิชาชีพท่ีครุ ุสภากาหนด สาระความรใู้ นเอกสารเล่มน้ี แบ่งออกเป็น 6 บท คือ บทท่ี 1 คุณธรรม จริยธรรม บทที่ 2 หลักธรรมสาหรับครู บทที่ 3 หลักธรรมาภิบาล บทที่ 4 ความซื่อสัตย์สุจริตและการปลูกฝังความซ่ือสัตย์สุจริต บทที่ 5 จรรยาบรรณของวิชาชีพที่คุรุสภา กาหนด และบทท่ี 6 การพัฒนาตนเองของครูวิชาชีพ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารเล่มน้ีจะเป็นแนวทาง ในการเรียนรู้แก่นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต คณาจารย์ ผู้ประกอบวิชาชีพครูและผู้สนใจที่ต้องการ นาสาระความรู้ไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม หรือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพและ เกิดประสทิ ธผิ ลไดต้ อ่ ไปในอนาคต ผู้เขียนขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ได้รวบรวมองค์ความรู้ท่ีเป็นประโยชน์ให้ผู้เขียนสามารถ นาแนวคิด ทฤษฏี องค์ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ของท่านมาใช้ในการอ้างอิงและรวบรวมจัดทา เป็นเอกสารเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณคณะผู้บริหาร คณาจารย์และเจ้าหน้าท่ี มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิตทกุ ทา่ นท่ชี ่วยใหก้ ารจดั ทาเอกสารเลม่ น้ีสาเรจ็ ลลุ ่วงไปได้ด้วยดี คณะผู้จดั ทา 9 กุมภาพนั ธ์ 2559
สารบัญ หนา้ (ก) คานา (ข) สารบญั (ง) สารบญั ภาพ (จ) สารบญั ตาราง 1 บทท่ี 1 คุณธรรม จริยธรรม 1 3 1.1 ความหมายของคณุ ธรรม จรยิ ธรรม 7 1.2 ความสาคญั ของคุณธรรม จริยธรรม 10 1.3 ประเภทของคุณธรรม จริยธรรม 13 1.4 องค์ประกอบของคุณธรรม จริยธรรม 1.5 แนวคิด ทฤษฎที ่ีเก่ียวข้องกับคุณธรรม จรยิ ธรรม 23 23 บทท่ี 2 หลักธรรมสาหรบั ครู 26 2.1 ความสาคญั ของศาสนาและหลกั ธรรมคาสอนของศาสนา 33 2.2 หลักธรรมคาสอนตามหลักศาสนาตา่ ง ๆ 2.3 การปฏิบัติตนตามหลักธรรมคาสอนของศาสนาต่าง ๆ 35 2.4 หลักคาสอนและพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวฯ 39 เกีย่ วกับการปฏบิ ตั งิ านครู และการน้อมนาไปสกู่ ารปฏบิ ัติ 43 2.5 หลักธรรมสาหรับครทู ค่ี วรนาไปยดึ ถือและปฏิบัติ 2.6 สง่ิ ท่ีครูควรหลกี เลี่ยง งดเวน้ และไม่ควรนาไปปฏิบัติ 47 48 บทท่ี 3 หลักธรรมาภิบาล 49 3.1 ความหมายของธรรมาภิบาล 50 3.2 จดุ มงุ่ หมายและหลักการของธรรมาภบิ าล 52 3.3 องค์ประกอบของธรรมาภบิ าล 3.4 ความสาคญั ของธรรมาภิบาลและการนาไปใช้ 55 55 บทที่ 4 ความซ่ือสตั ย์สุจริตและการปลูกฝงั ความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต 56 4.1 ความหมายของความซ่ือสัตย์ 57 4.2 คณุ ค่าและความสาคัญของความซอื่ สัตย์ 4.3 ประโยชนข์ องความซื่อสัตย์
(ค) สารบัญ (ต่อ) หน้า 57 บทท่ี 4 4.4 คณุ ธรรมพน้ื ฐานเร่ืองความซื่อสัตย์ ความสาคญั และความเป็นมา 58 4.5 การปลูกฝังความซื่อสัตยส์ จุ ริต 60 4.6 ค่านยิ มและการปลกู ฝงั คา่ นิยมความซื่อสัตย์ บทที่ 5 จรรยาบรรณของวชิ าชพี ทีค่ ุรสุ ภากาหนด 69 5.1 ความหมายของจรรยาบรรณ (Ethics Codes) 69 5.2 ความสาคัญของจรรยาบรรณ 70 5.3 หลักการสาคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพ 72 5.4 จรรยาบรรณของวิชาชพี ท่ีครุ ุสภากาหนด 73 5.5 มาตรฐานวชิ าชีพทางการศึกษาและมาตรฐานวิชาชีพครู 86 บทท่ี 6 การพัฒนาตนเองของครูวิชาชีพ 97 6.1 การพัฒนาตนเองของครู 98 6.2 แนวทางในการพฒั นาตนเองของครู 104 6.3 การปลูกฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชีพสาหรบั ครู 106 6.4 แนวทางการสง่ เสริม ปลกู ฝัง คุณธรรมจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวิชาชพี สาหรับครู 107
(ง) สารบัญภาพ ภาพท่ี 1.1 ทฤษฎีตน้ ไม้จริยธรรมระบุจติ ลักษณะ 8 ประการที่เปน็ สาเหตขุ องพฤติกรรมของคนไทย หนา้ ภาพท่ี 3.1 Characteristics of good governance 20 ภาพที่ 5.1 มาตรฐานวิชาชีพครู 51 ภาพที่ 6.1 กระบวนการพฒั นาบุคลกิ ภาพ 87 103
(จ) หนา้ 63 สารบญั ตาราง 87 88 ตารางท่ี 4.1 อิทธพิ ลของคา่ นิยมทมี่ ีต่อพฤตกิ รรมของบคุ คล 101 ตารางที่ 5.1 มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วชิ าชพี ครู 104 ตารางที่ 5.2 สาระความร้แู ละสมรรถนะของครตู ามมาตรฐานความรู้ 108 ตารางท่ี 6.1 แสดงบุคลิกภาพภายนอกและบุคลกิ ภาพภายในท่ีดีของครู ตารางท่ี 6.2 ตวั อยา่ ง กิจกรรมการพัฒนาตนเอง ตารางที่ 6.3 ข้นั ตอนการดาเนินกิจกรรม
บทท่ี 1 คณุ ธรรม จรยิ ธรรม อาจารยศ์ ักดช์ิ ยั ไชยรักษ์ คุณธรรม จริยธรรมเป็นส่ิงท่ีทุกสังคมมุ่งหวังให้เกิดข้ึนกับทุกคน ทุกสาขาวิชาชีพ เป็นสิ่งที่จะช่วย สร้างให้เกิดประโยชน์และความสงบสุขในสังคม หากสังคมใดเต็มไปด้วยคนท่ีขาดคุณธรรม จริยธรรมย่อม ก่อให้เกิดปัญหาและเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายต่าง ๆ ตามมาได้อีกมายมาย ท้ังความเห็นแก่ตัว การทุจริต คดโกง เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน และรุนแรงถึงขั้นทาร้ายร่างกายหรือเข่นฆ่าทารุณกันอย่างโหดเห้ียม ดังนั้น คุณธรรม จริยธรรมจึงเป็นส่ิงสาคัญท่ีจะช่วยเชิดชูและดารงไว้ซึ่งคุณงามความดีของแต่ละบุคคล และ สง่ ผลใหเ้ กิดความสงบสุขข้นึ ภายในสังคมและประเทศชาติ 1.1 ความหมายของคุณธรรม จรยิ ธรรม เมื่อพูดถึง “คุณธรรม จริยธรรม” เรามักจะได้ยินคาสองคานี้มาพร้อมกันเสมอจนกลายเป็นความคุ้นชิน และรู้สึกว่าเป็นคาท่ีมีความหมายเดยี วกนั แต่แทจ้ ริงแลว้ คาสองคาน้ี มคี วามหมายที่แตกตา่ งกนั ดังน้ี พจนานกุ รมไทย ฉบบั ทนั สมัย (2543) ให้ความหมายดังน้ี - คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดี - จริยธรรม หมายถึง ธรรมท่เี ป็นขอ้ ประพฤติ ปฏบิ ตั ิ ศลี ธรรม กฎศลี ธรรม พระวจิ ิตรธรรมาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ใหค้ วามหมายดังนี้ - คุณธรรม คือ ความดีงามที่ถูกปลูกฝังข้ึนในจิตใจ มีความกตัญญู ขยัน ประหยัด ซ่ือสัตย์ สามัคคี มีวินัย มีน้าใจ และ เป็นสุภาพชน เป็นต้น จนเกิดจิตสานึกที่ดี รู้สึกรับผิดชอบ ช่ัว ดี เกรงกลัวต่อการ กระทาความชั่ว โดยประการต่าง ๆ เม่ือจติ เกิดคุณธรรมขนึ้ แลว้ จะทาให้เป็นผ้มู ีจิตใจดี และคิดแต่สิ่งที่ดี จึงได้ ชือ่ ว่า “เป็นผมู้ ีคณุ ธรรม” - จรยิ ธรรม คือ การประพฤติปฏิบัติ การกระทาดีตามคุณธรรมท่ีมอี ยู่ในจิตใจ ปรากฏเป็นความดี งามท้ังทางกาย ทางวาจา และทางใจ เม่ือความดีงาม มีความกตัญญู ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ สามัคคี มีวินัย มี นา้ ใจ และเป็นสภุ าพชน เป็นต้น ถกู แสดงออกทางจรรยา มารยาท การประพฤติปฏบิ ตั ิ และการกระทาทดี่ ีตาม คุณธรรมทีม่ ีในจิตใจน้ัน จึงไดช้ ่อื ว่า “เปน็ ผ้มู จี ริยธรรม” ทิศนา แขมณี (2546) ใหค้ วามหมายดังน้ี - คุณธรรม หมายถึง คุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ท่ีเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงาม - จรยิ ธรรม หมายถึง การแสดงออกในทางปฏบิ ตั ิ ซงึ่ สะทอ้ นคณุ ธรรมภายในใหเ้ ปน็ รปู ธรรม
2 : วชิ าคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปราชญา กล้าผจัญ (2549) ใหค้ วามหมายดังนี้ - คุณธรรม หมายถึง คุณงามความดีที่มีอยู่ประจาใจคน คนท่ีมีคุณธรรม คือ คนที่มีใจ โอบอ้อมอารี มีใจเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ จึงไม่เบียนเบียนใคร ไม่ทาร้ายใคร คนที่มีคุณธรรมจะรักความยุติธรรมและมี ความเมตตาต่อผู้อืน่ เสมอ - จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติอันพึงปฏิบัติต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม เพ่ือให้เกิดความ เจรญิ รงุ่ เรือง เกษมสขุ ขนึ้ ในสังคมและสมาชิกของสงั คม ประภาศรี สีหอาไพ (2550) ใหค้ วามหมายดงั น้ี - คุณธรรม คือ หลักธรรมจริยาท่ีสรา้ งความรู้สกึ ผิดชอบช่ัวดีในทางศีลธรรม มีคณุ งามความดี ภายในจิตใจอยู่ในขั้นสมบูรณ์จนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขความยินดี การกระทาที่ดีย่อมมีผลิตผลของความดี คอื ความชื่นชมยกย่อง ในขณะท่ีการกระทาชัว่ ย่อมนาความเจบ็ ปวดมาให้ การเปน็ ผู้มีคุณธรรม คือ การปฏิบัติ ตนอยู่ในกรอบที่ดีงาม ความเข้าใจเร่ืองการกระทาดีมีคุณธรรมเปน็ กฎเกณฑ์สากลทีต่ รงกัน เช่น การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียน ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น สภาพการณ์ของการกระทาความดี คือ ความเหมาะ ความควรต่อเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมด้วยหลักจริยธรรมท่ีสามารถ จาแนกความถูกผิด สามารถส่ังสอนอบรมให้ปฏิบัติตามมาตรฐานของพฤติกรรมท่ีถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะ รบั ผดิ ชอบช่วั ดี ตามทานองคลองธรรม มจี ติ ใจลกั ษณะนสิ ัยและความต้งั ใจหรอื เจตนาทด่ี ีงาม - จริยธรรม คือ หลักความประพฤติที่อบรมกิริยาและปลูกฝังลักษณะนิสัยให้อยู่ในครรลอง ของคุณธรรมหรือศีลธรรม คุณค่าทางจริยธรรมช้ีให้เห็นความเจริญงอกงามในการดารงชีวิตอย่างมีระเบียบ แบบแผน ตามวัฒนธรรมของบุคคลท่ีมีลักษณะทางจิตใจท่ีดีงาม อยู่ในสภาพแวดล้อมที่โน้มนาให้บุคคลมุ่ง กระทาความดี ละเว้นความชั่ว มีแนวทางความประพฤติอยู่ในเร่ืองของความดี ความถูกต้อง เหมาะสมในการ ปฏิบัติตนเพ่ืออยู่ในสังคมได้อย่างสงบเรียบร้อยและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น มีคุณธรรมและมโนธรรมที่จะสร้าง ความสมั พันธอ์ นั ดี โดยมสี านกึ ทจ่ี ะใช้สทิ ธิและหนา้ ทขี่ องตนตามคา่ นิยมทพ่ี ึงประสงค์ สรุ สทิ ธิ์ นาคสมั ฤทธิ์ (2555) ให้ความหมายดังน้ี - คุณธรรม หมายถึง คุณงามความดีท่ีส่ังสมอยู่ในจิตใจมนุษย์ โดยผ่านประสบการณ์จาก การปฏบิ ัติ การได้สัมผัส ซ่ึงจะแสดงออกมาโดยการกระทาทางกาย วาจา และจติ ใจของแต่ละบุคคล เปน็ สงิ่ ท่ีมี ประโยชนต์ ่อตนเอง ผู้อน่ื และกอ่ ใหเ้ กิดสนั ติสุขในสงั คม - จริยธรรม หมายถึง แนวทางการประพฤติ ปฏิบัติให้เป็นคนดีที่แสดงออกมาด้วยเจตนา อันบริสุทธ์ิ ปราศจากเง่ือนไข ซ่ึงที่ได้จากหลักทางศีลธรรม หลักปรัชญา วัฒนธรรม กฎหมายหรือจารีต ประเพณี ก่อประโยชน์สขุ แก่ตนเองและสังคม ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 กาหนดความหมาย ของคณุ ธรรม จริยธรรมดงั น้ี - คุณธรรม หมายถึง สิ่งที่มีคุณค่า มีประโยชน์ เป็นความดีงาม เป็นมโนธรรม เป็นเครื่อง ประคบั ประคองใจให้เกลียดความช่ัว กลัวบาป ใฝค่ วามดี เป็นเคร่ืองกระตุ้นผลักดันใหเ้ กิดความร้สู ึกรบั ผิดชอบ เกิดจิตสานึกท่ีดี มีความสงบเย็นภายใน เป็นสิ่งท่ีต้องปลูกฝังโดยเฉพาะเพ่ือให้เกิดข้ึนและเหมาะสมกับ ความต้องการในสงั คมไทย
วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู : 3 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - จริยธรรม หมายถึง กรอบหรือแนวทางอันดีงามท่ีพึงปฏิบัติ ซ่ึงกาหนดไว้สาหรับสังคม เพ่ือให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยงดงาม ความสงบร่มเย็นเป็นสุขความรักสามัคคี ความอบอุ่น มั่งคงและ ปลอดภัยในการดารงชวี ติ สรุปได้วา่ “คุณธรรม” หมายถึง สภาพแห่งคณุ งามความดที ี่มีอยภู่ ายในจิตใจหรือความรู้สึกนึกคิดของ แต่ละบุคคล เป็นมโนคติที่ไม่สามารถช้ีชัดได้ว่าบุคคลใดเป็นผู้มีคุณธรรมมากน้อยเพียงใด เช่น ความรู้สึก ผิด ชอบ ชั่ว ดี ความกตัญญูรู้คุณ ความซื่อสัตย์สุจริต ส่วน “จริยธรรม” หมายถึง สภาพแห่งคุณงามความดี ที่แต่ละบุคคลได้แสดงออกมา เป็นรปู ธรรมที่บุคคลอ่ืนสามารถมองเห็น หรือรับรู้ได้ด้วยพฤติกรรมแห่งคุณงาม ความดีตา่ ง ๆ ซ่ึงเป็นที่ยอมรับหรอื เป็นท่ีคาดหวังของแต่ละสังคม เช่น สังคมโดยท่ัวไปยอมรับว่า ความกตัญญู รู้คุณต่อบิดามารดา ครูอาจารย์ หรือญาติผู้ใหญ่เป็นเรื่องของผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ถ้าบุคคลใดท่ีมีความรู้สึก นึกคิดและได้แสดงออกมาให้บุคคลอื่นหรือสังคมเห็นและรับรู้ได้ว่าเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา บุคคลนนั้ กจ็ ะได้รบั การยอมรบั ว่าเปน็ ผมู้ คี ณุ ธรรมในจิตใจ และได้แสดงออกถึงการมีจริยธรรมเกิดข้ึนด้วย เพราะฉะนั้น การท่ีบคุ คลมีความร้สู ึกนึกคิดหรือมีจิตใจที่จะทาในส่ิงท่ีเป็นสภาพแห่งความดีงามตา่ ง ๆ เรียกได้ว่าเป็นผู้มี “คุณธรรม” ส่วนการที่บุคคลแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมหรือการกระทาท่ีเป็นสภาพแห่ง คุณงามความดีต่าง ๆ จึงจะเรียกว่าเป็นผู้มี “จริยธรรม” ดังนั้น บุคคลท่ีมีจิตใจ คิดหรือมีความรู้สึกในทางที่ ดีงามต่าง ๆ อาจจะเป็นเพียงผู้ท่ีมีคุณธรรมเท่านั้น แต่ถ้าได้แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมหรือการกระทาซ่ึงเป็น สิ่งท่ีดีงามต่าง ๆ จึงจะเป็นผู้ท่ีมีจริยธรรมด้วย ในทางตรงกันข้าม บุคคลอาจจะแสดงออกหรือมีพฤติกรรม เพ่ือให้บุคคลอื่น หรือสังคมรับรู้ว่าตนเองเป็นคนดี แต่ภายในจิตใจหรือภายในความรู้สึกนึกคิดของบุคคลน้ัน อาจจะไม่ได้เต็มใจท่ีจะกระทา เพียงแต่ต้องทาดีตามที่สังคมคาดหวัง ลักษณะเช่นน้ีอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้มี จริยธรรม แต่ขาดคุณธรรม เพราะฉะนั้น สงั คมจึงม่งุ เน้นสร้างและส่งเสริมใหท้ ุกคนในสังคมเปน็ คนดมี คี ุณธรรม เพือ่ จะไดป้ ระพฤตปิ ฏิบัติและแสดงออกตามแบบอย่างหรือกรอบของจรยิ ธรรมทสี่ ังคมคาดหวังหรือต้องการ 1.2 ความสาคญั ของคุณธรรม จริยธรรม คุณธรรม จรยิ ธรรมเปน็ เรื่องทส่ี าคัญตอ่ การดารงชีวิตของมนุษย์ในทกุ สงั คม และเป็นสิ่งทจี่ ะช่วยทาให้ เกิดคุณภาพชีวิตท่ีดีของคนในแต่ละสังคม เพราะสังคมท่ีมีคุณธรรม จริยธรรมจะเต็มไปด้วยคนท่ีมี ความเอือ้ เฟ้ือเผ่ือแผ่ พงึ่ พาอาศัย ช่วยเหลือเก้ือกูล ไม่เอารัดเอาเปรยี บ ไม่เห็นแก่ตัว เคารพกฎกติกา มารยาท ต่าง ๆ ทางสังคมร่วมกันเป็นอย่างดี สุดท้ายสังคมน้ันก็จะเต็มไปด้วยความสงบสุข ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ดังที่ ธานินทร์ กรัยวิเชียร (2548) นาเสนอวกิ ฤติการณ์ของสังคมไทยและบทเรียนจากต่างประเทศไว้ว่า ในปัจจุบัน สังคมเราประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย การฉ้อราษฎร์บังหลวงน้ันเป็นท่ีแจ้งประจักษ์ทุกระดับ มีการซื้อสิทธิ ขายเสยี งในการเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและในระดับทอ้ งถิ่น มีการประมูลซื้อขายตาแหน่งหน้าท่ีราชการ มีการ สมยอมคบคิดกันในการประกวดราคาก่อสร้างและการจัดซื้อพัสดุของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ มีการวิ่งเต้นท่ี จะให้ได้มาซึ่งตาแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้นกว่าผู้ร่วมงาน มีการยักยอกเงินราชการ และมีการหลบเลี่ยงการเสียภาษี ท่ีควรจะตอ้ งชาระตามกฎหมาย เป็นต้น นอกจากน้ันแล้ว ธานินทร์ กรัยวิเชยี ร ยงั ได้นาเสนอให้เห็นถึงความสาคัญของคุณธรรม จริยธรรมของ ประเทศต่าง ๆ ท่ีพัฒนาแล้วดังนี้
4 : วชิ าคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ชาวอังกฤษให้ความสาคัญกับการปลูกฝงั คติธรรมให้กบั ลูกหลานต้งั แตว่ ยั เยาว์ โดยเริ่มต้ังแต่การอบรม สั่งสอนลูกหลานตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งเป็นเหตุให้ชาวอังกฤษสามารถรักษามาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม ได้เป็นอย่างดี คติธรรมท่ีชาวอังกฤษปลูกฝังให้กับลูกหลานตั้งแต่วัยเยาว์ได้แก่ สัจจะ พูดความจริง (Truth) ความซ่ือสัตย์สุจริต (Honesty) ความระลึกในหน้าท่ี (Sense of Duty) ความอดกล้ัน (Patience) ความเป็นธรรม (Fair Play) ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Consideration for Others) และเมตตาธรรม (Kindness) ชาวอังกฤษ ทกุ คนได้รับการปลูกฝังคติธรรมทง้ั 7 ประการมาต้ังแต่เด็กจนกระท่ังเป็นอุปนิสัยประจาชาติ และเม่อื บุคคลใด มีคตธิ รรมทั้ง 7 ประการครบถ้วนก็ถอื ได้วา่ เปน็ คนที่มีคุณธรรมประจาตัวครบถ้วนสมบูรณ์ (Integrity) หรอื เป็น ผูท้ ่ีมกี ารยึดม่ันในความถูกตอ้ งชอบธรรม ส่วนในประเทศจีนโบราณ ระบบคุณธรรมและจริยธรรมมีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบบ คุณธรรมตามลัทธิของขงจ๊ือ เพราะสิ่งที่ฝังใจขงจ๊ือมาต้ังแต่วัยเยาว์คือ ความไม่เที่ยงธรรมและความไม่สงบสุข ในบ้านเมือง ซ่ึงขงจื๊อพยายามหาทางที่จะแก้ไขให้ได้ ขงจ๊ือต้องการปฏิรูประบบสังคมจีนให้มีแต่สันติสุข มีแต่ ความเท่ียงธรรม ปราศจากการฉอ้ ราษฎรบ์ ังหลวง ในทรรศนะของขงจ๊ือเหน็ วา่ สังคมจะเป็นเชน่ นน้ั ไดก้ ็ต่อเมื่อ ผู้ครองเมืองเป็นคนดีมีคุณธรรม ประพฤติดีประพฤติชอบเท่านั้น ผู้ที่สมควรจะเป็นผู้ครองเมืองจึงไม่ควรจะ เลือกสรรโดยถือเอาชาติกาเนิดท่ีสูงส่งเป็นสาคัญ หากแต่ควรเลือกสรรมาจากผู้ท่ีประพฤติดีประพฤติชอบ ผู้ครองเมืองท่ีดีจะต้องเป็นคนเหนือคน เพื่อให้ขุนนางชั้นรองลงมาและราษฎรถือปฏิบัติตามเป็นอย่างเดียวกัน เปรียบเสมือนเป็นไข้หวัดแห่งคุณธรรมท่ีระบาดไปทั่ว ขงจ๊ือให้ลักษณะของคนเหนือคน (A Superior Man) โดยเปรยี บเทยี บกับ คนตา่ ตอ้ ย (A Small Man) ไว้ดงั นี้ คนเหนอื คนนัน้ คิดถึงแตเ่ ร่ืองทีถ่ กู ต้องชอบธรรม คนต่าต้อยคดิ ถึงแตเ่ ร่ืองผลประโยชน์ส่วนตน คนเหนือคนเรยี กรอ้ งเอากับตนเอง คนตา่ ตอ้ ยเรยี กรอ้ งเอากบั ผอู้ ่ืน คนเหนือคนน้นั ยอมรับชะตากรรมของตนอย่างสงบ คนตา่ ตอ้ ยน้ันร้องทกุ ข์ไม่ร้จู บ ขงจ๊ือเห็นว่าใครก็สามารถเป็นคนเหนือคนได้ สาคัญที่ว่าคนนั้นต้ังใจจะเป็นหรือไม่ ขงจ๊ือกาหนด เง่ือนไขสาคัญสาหรับผู้ท่ีจะมาเป็นสานุศิษย์คือต้องเป็นคนซ่ือตรงเต็มร้อย สามารถควบคุมตนเองได้อย่าง เด็ดขาด และตอ้ งเป็นผู้มีคุณธรรมอย่างเด็ดเดี่ยว มีการประมาณการกันว่าขงจื๊อมีสานุศิษย์ท้ังหมดสามพันกว่า คน แต่มีเพียง 72 คนเท่านั้นท่ีจงรักภักดีปฏิบัติตนตามคาสอนอย่างเคร่งครัด แม้ขงจ๊ือจะไม่สามารถทาให้ ปณิธานของตนลุล่วงได้ในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่คาสอนของขงจ๊ือกลับเป็นคาสอนที่มีอิทธิพลสูงสุด ในวิถีชีวิตของชาวจีนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ในปี 2546 ประเทศจีนมีการสอบสวนคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงและ รับสินบนถึง 130,000 คดี มีเจ้าหน้าท่ีของรัฐถูกลงโทษหลายหม่ืนคน มูลค่าการทุจริตรวมประมาณได้กว่า ร้อยละ 16.8 ของรายได้รวมประชาชาติ (GDP) สาเหตุที่มีการทุจริตมากมายเช่นน้ันเป็นผลมาจากช่องว่าง ในการบริหารราชการแผ่นดินและระบบกฎหมายและการขาดศีลธรรมและจริยธรรมของชาวจีนท่ีลืมคาสอน ของขงจื๊อไปจนหมดส้ินแล้ว เมื่อสถานการณ์ทุจริตในประเทศจีนรุนแรงมากข้ึน รัฐบาลจีนจึงได้ดาเนินการ โครงการต่าง ๆ เพ่ือป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวงในหลายรูปแบบ ทั้งในแง่ของ การส่งเสริมจริยธรรมภาครัฐและภาคเอกชน ใช้มาตรการในการจับกุมและลงโทษตามกฎหมาย โดยในการ
วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพครู : 5 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ส่งเสริมจริยธรรมน้ัน รัฐบาลจีนได้จัดการอบรมบรรดานักการเมืองและข้าราชการระดับสูงให้มีความสานึก ในเร่ืองความถูกต้องและชอบธรรมในการปฏิบัติงานอย่างต่อเน่ือง เพื่อสร้างเสริมวินัยและทัศนคติท่ีถูกต้อง ให้กับข้าราชการในการปฏิบัติงานรับใช้ประชาชน จัดทาประมวลจริยธรรมภายในหน่วยงานราชการต่าง ๆ และเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบโดยท่ัวไป เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการตรวจสอบการปฏิบัติ หน้าที่ของราชการ และนโยบายท่ีน่าสนใจของรัฐบาลจีนในช่วงนั้นคือ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพ่ืออบรม จริยธรรมแก่คู่สมรสของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง เพ่ือให้สถาบันครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมและมี บทบาทในการแก้ปัญหาการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ทาให้หลังบ้านกับหน้าบ้านมีโอกาสได้ปรึกษาหารือกัน และล้มเลิกความคดิ กอ่ นจะมกี ารแสวงหาตาแหนง่ หน้าทแี่ ละความม่งั คัง่ ร่ารวยโดยมชิ อบ ในประเทศไทยได้ให้ความสาคัญกับเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรมมาทุกยุคทุกสมัย แต่ท่ีปรากฏ เห็นได้ชัดเจนที่สุดเป็นลายลักษณ์อักษรคือในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 77 บัญญัติว่า รัฐต้องจัดให้มีแผนพัฒนาการเมือง จัดทามาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ดารงตาแหน่ง ทางการเมือง ข้าราชการ และพนักงาน หรือลูกจ้างอ่ืนของรัฐ เพ่ือป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ เสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ ดังน้ัน หน่วยงานต่าง ๆ จึงต้องจัดทามาตรฐานทางคุณธรรมและ จริยธรรมตามท่ีรัฐธรรมนูญกาหนด เพ่ือป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ และเสริมสร้างประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติหน้าที่และในการปฏิรูประบบราชการ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนการปรับเปล่ี ยน วัฒนธรรมและค่านิยมในการบริหารภาครัฐ ซึ่งกาหนดให้หน่วยงานภาครัฐจัดทาค่านิยมสร้างสรรค์และ จรรยาบรรณวิชาชีพของเจ้าหน้าท่ีภาครัฐ เพื่อสร้างวัฒนธรรมการทางานใหม่ ทั้งยังมีมติเห็นชอบกับแผน ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2546–2550) ซึ่งกาหนดมาตรการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรมและค่านิยมของข้าราชการให้เอ้ือต่อการพัฒนาระบบราชการโดยให้แต่ละส่วนราชการจัดทา คาแถลงค่านิยมสร้างสรรค์ และให้ประกาศมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม เพ่ือลดปัญหาการทุจริต ประพฤติมิชอบ รวมถึงรณรงค์และวัดผลระดับของการยอมรับและปฏิบัติตามค่านิยม และมาตรฐานทาง คุณธรรมและจริยธรรมอย่างจริงจัง การท่ีมีบทบัญญัติให้ภาครัฐต้องจัดทาและเสริมสร้างให้เกิดมาตรฐานทาง คุณธรรมและจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและ รัฐบาลอย่างชัดเจนว่าประสงค์จะใหเ้ กิดจรยิ ธรรมหรือมาตรฐานความประพฤติเฉพาะแต่ละวิชาชพี ขึน้ ในระบบ ราชการอยา่ งกว้างขวางและทั่วถงึ (ศูนย์สง่ เสริมจรยิ ธรรม สานักงาน ก.พ.) ส่วนในนานาประเทศ มาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมสาหรับผู้ประกอบวิชาชีพในแต่ละสาขา จะมีความแตกต่างกัน องค์กรที่ควบคุมแต่ละวิชาชีพจะเป็นผู้กาหนดและเป็นผู้วินิจฉัยเม่ือมีการละเมิด จริยธรรมเหล่านั้น โดยมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมอาจปรากฏในรูปแบบของการจัดทาเป็น ลายลกั ษณ์อกั ษรหรือเปน็ จารตี ประเพณีท่ถี ือปฏบิ ัติกันในแต่ละสาขาวชิ าชีพ แม้แตก่ ารเขา้ สู่การเป็นประชาคม อาเซียนในปี 2558 ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศท่ีจะรวมตัวกันเป็นประชาคม อาเซียน เพ่ือร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม เพื่อรกั ษาสันติภาพ และความม่ันคงในภูมิภาค โดยไม่ใช่ความเจริญด้านวัตถุเท่าน้ันท่ีจะแข่งขันในประเทศอาเซียน หากแต่เป็น ความเจริญด้านวัฒนธรรม จิตใจ จิตวิญญาณที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมด้วย ทุกสังคมที่อยู่ร่วมกันต้องมี มาตรฐานด้านคุณธรรมจริยธรรมและมาตรฐานของความถูกต้อง การสร้างสังคมอาเซียนท่ีมีสานึก “One vision,
6 : วชิ าคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… One identity, One community” จึงหมายถึงการรักษาเอกลักษณ์ คุณธรรม จุดแข็งของสังคมและ วัฒนธรรมของประเทศของตนให้มั่นคง แข็งแรง ชัดเจนมากขึ้น อันเป็นเอกลักษณ์ของอาเซียน ซ่ึงแต่ละ ประเทศจะต้องรักษาอัตลักษณ์ท่ีดีงามของตนไว้ให้ได้ โดยเฉพาะในเร่ืองของคุณธรรม ความซื่อตรง อันเป็น กลไกสร้างความสมดุล ตลอดจนการยึดมั่นในหลักการ การเคารพเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ความยุติธรรมทางสังคม การยอมรับในความแตกต่างและหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และศาสนา หลักธรรมาภิบาล การสร้าง ความซ่อื สัตย์ ซื่อตรง โปรง่ ใส รวมไปถึงความขยนั ทมุ่ เท ความรับผดิ ชอบต่อตนเอง สังคม และส่ิงแวดล้อม ซ่ึง เป็นฐานในการพัฒนาชวี ิตความเป็นอยู่ของสภาพสังคม ท่ีมีคุณค่าต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อก้าวสู่ ประชาคมอาเซียนอย่างมนั่ คง และสามารถแข่งขนั ได้ในเวทโี ลก (ศนู ย์คุณธรรม องค์การมหาชน, 2557) กระทรวงศึกษาธิการ (2550) เน้นนโยบายคุณธรรมนาความรู้ เพื่อสร้างเสริมสังคมคุณธรรมให้เกิด สันติสุข รู้จักสามัคคี วิถีประชาธิปไตย โดยกาหนดไว้ในหลักสูตรทุกระดับการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสาคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน กระบวนการจัดการศึกษาที่สมบูรณ์จะต้องจัดการเรียน การสอนและจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาแต่ละช่วงชั้น เพ่ือสร้างองค์ความรู้กระบวนการ คดิ วิเคราะห์ เพ่ือให้ผเู้ รยี นมคี วามรู้ ความสามารถและประสบการณ์ มีทักษะการดารงชีวติ ที่เกิดจากการฝึกหัด สามารถใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาตนเองและประกอบอาชีพ ควบคู่กับการบ่มเพาะ กล่อมเกลา ปลูกฝังและปลูกจิตสานึก เพ่ือให้ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคม ชุมชนและ สงิ่ แวดลอ้ ม เกดิ ตระหนกั ในบทบาทหน้าที่ขึ้นในจิตใจ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถดารงตนอยู่ในสังคมร่วมกบั ผ้อู ื่นได้ อย่างมีความสุข โดยจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นภารกิจ 3 ด้าน (3D) ได้แก่ ด้านประชาธิปไตย (Democracy) ด้าน คณุ ธรรมจริยธรรมและความเป็นไทย (Decency) และดา้ นภมู คิ ุ้มกันภัยจากยาเสพติด (Drug-Free) พิภพ วชงั เงิน (2545) ใหค้ ุณคา่ และความสาคัญของคณุ ธรรม จรยิ ธรรมไว้ดงั นี้ 1. ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มนุษย์มีชีวิตท่ีดี มีสุขภาพดีทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย และมีชีวิต ท่ีสมบรู ณ์ 2. ช่วยให้มนุษย์รู้จักตนเอง มีความสานึกในหน้าท่ี มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อครอบครัว สังคม และประเทศชาติ 3. เป็นวถิ ที างแห่งปัญญา ทาให้มนุษยม์ ีเหตุผล รจู้ ักใชส้ ติแก้ปญั หาชีวติ โดยนาหลักคุณธรรมจรยิ ธรรม มาเปน็ เคร่ืองมือแก้ปัญหาชีวติ มคี วามเชือ่ วา่ การกระทาความดเี ป็นสง่ิ ท่ดี ี ไมห่ ลงงมงายในสิ่งที่ปราศจากเหตุผล 4. ชว่ ยสร้างสนั ติภาพในสังคมและสร้างสันติภาพโลก 5. ช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีระเบียบ เป็นระบบ รู้สึกมีความอบอุ่นปลอดภัยในชีวิต ทรพั ย์สิน และอยรู่ ่วมกันอย่างสงบสุข มสี นั ตภิ าพ 6. ช่วยให้มนุษย์ปรับตัวเข้าได้กับบุคคลอ่ืน ๆ และสังคมอย่างมีระบบ เป็นระเบียบ สามารถครองตน ครองคน ครองงาน และครองเรอื นได้ 7. ช่วยให้มนุษย์มีเคร่ืองยึดเหนี่ยวและเป็นหลักปฏิบัติเพ่ือป้องกันการเบียดเบียน การเอารัดเอาเปรียบ ในทางสว่ นตัวและสงั คม 8. ช่วยให้มนุษย์เป็นคนหนักแน่น อดทน ขยัน ต่อสู้เพ่ือเอาชนะปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ด้วยตนเอง และเป็นที่พง่ึ ของตนเองโดยไม่รอโชคชะตา
วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพครู : 7 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. ชว่ ยใหม้ นุษย์สามารถแก้ปัญหาชวี ติ และสามารถทาใหค้ วามทกุ ขห์ มดไปได้ สรุปได้ว่า คุณธรรมและจริยธรรมมีความสาคัญทั้งต่อบุคคลและต่อสังคมโดยส่วนร่วม เพราะ การดาเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขนั้นต้องเร่ิมต้นท่ีตัวบุคคล คุณธรรมเป็นเครื่องมือสร้างความสงบสุข และความเจริญ ผู้ท่ีต้องการความสงบสุขและความเจริญจงึ ต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีคุณธรรม เม่ือบุคคลท่ีมี คุณธรรมมาอยู่ร่วมกันในสังคม สังคมนั้นก็จะเป็นสังคมแห่งความสงบสุข เป็นสังคมท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองและ มีความมัน่ คงทางจรยิ ธรรมเกิดขนึ้ ตามมา 1.3 ประเภทของคุณธรรม จริยธรรม รัตนวดี โชติกพนิช รวบรวมขอ้ มูลเกีย่ วกับประเภทของคุณธรรมจรยิ ธรรมไว้วา่ การประพฤติของคนนั้น มีได้หลายระดับแยกตามสภาพจิตใจและจะได้รับผลมากน้อยน้ัน ข้ึนอยู่กับระดับสติปัญญาของบุคคลผู้นั้น บางคนอาจปฏิบัติได้ระดับสูงสุด แต่บางคนก็ปฏิบัติได้ตามระดับมาตรฐานข้ันต่าที่มนุษย์ควรปฏิบัติเท่านั้น และยงั ไดน้ าเสนอขอ้ มูลท่ี ดวงเดอื น พนั ธมุ นาวนิ และเพ็ญแข ประจนปจั จนกึ (2520) แบ่งจริยธรรมออกเปน็ 4 ประเภท ดงั น้ี 1. ความรู้เชิงจริยธรรม หมายถึง ลักษณะของความรู้ท่ีบุคคลต่าง ๆ สามารถบอกได้ว่า ควรทาหรือ บอกได้ว่า พฤติกรรมใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เช่น การท่ีเรารู้ว่ามารยาทท่ีดีน้ันเป็นอย่างไร หรือรู้ว่าเรา ต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างไร ความรู้เชิงจริยธรรมนี้จะข้ึนอยู่กับอายุ ระดับการศึกษาและพัฒนาการ ทางสตปิ ัญญาของแต่ละคนดว้ ย 2. ทัศนคติเชิงจริยธรรม หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่เก่ียวข้องกับความชอบหรือไม่ชอบ ทาดี เป็นลักษณะทาถูกต้อง ทาชอบเป็นลักษณะทาถูกใจ การตัดสินความดีความชอบโดยยึดถือเอาเกณฑ์ของ ความถูกต้อง และความถูกใจของบุคคลมาประเมินค่าจริยธรรม จึงเป็นทัศนคติเชิงจริยธรรม เช่น การที่เรา ไม่พอใจเมือ่ เหน็ คนแกล้งหลบั ทาเปน็ มองไมเ่ ห็นไม่ยอมใหค้ นแก่น่งั บนรถเมล์ หรือคนท่ีไมย่ อมช่วยเหลือคนอื่น ทถ่ี อื ของพะรงุ พะรัง 3. เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง การตัดสินใจที่จะกระทาพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งของบุคคล จะต้องประกอบด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซ่ึงเกิดขึ้นเฉพาะหน้าน้ัน และเหตุผลเชิงจริยธรรมของบุคคล เกดิ จากประสบการณแ์ ละสตปิ ญั ญาของบคุ คลนน้ั ๆ 4. พฤติกรรมเชิงจริยธรรม หมายถึง การท่ีคนแสดงถึงพฤติกรรมที่สังคมชื่นชอบหรืองดการกระทา ท่ีฝ่าฝืนกฎระเบียบและค่านิยมในสังคมนั้น พฤติกรรมเชิงจริยธรรมซึ่งเป็นการกระทาท่ีสังคมเห็นชอบและ สนับสนนุ มหี ลายประการ เช่น การชว่ ยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกขไ์ ดย้ าก เปน็ ต้น กระทรวงศึกษาธิการประกาศนโยบายเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาโดยยึดคุณธรรมนาความรู้ สร้าง ความตระหนักให้สานึกในคุณค่าของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความสมานฉันท์ วิถีประชาธิปไตย พัฒนา คนไทยโดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ที่เช่ือมโยงความร่วมมือกับสถาบันครอบครั ว สถาบันการศึกษา ชุมชน และสื่อมวลชน เพื่อพัฒนาเยาวชนคนไทยให้เป็นคนดี มีความรู้และอยู่ดีมีสุข ซ่ึง ประกอบด้วยคณุ ธรรมพนื้ ฐาน 8 ประการ ไดแ้ ก่
8 : วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1. ความขยัน คือ ผู้มีความต้ังใจเพียรพยายามทาหน้าท่ีการงานอย่างจริงจังและต่อเนื่องในเร่ืองท่ีถูก ทค่ี วร ส้งู าน มีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รกั งานท่ที า ตงั้ ใจทาหนา้ ท่อี ยา่ งจริงจงั 2. ประหยัด คือ ผู้ท่ีดาเนินชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย รู้จักฐานการเงินของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซ้ือ เกบ็ ออม ถนอมใช้ทรพั ย์สินสิง่ ของอยา่ งคมุ้ ค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ รจู้ ักทาบัญชีรายรับรายจ่ายของ ตนเองอยเู่ สมอ 3. ซื่อสัตย์ คือ ผู้ทมี่ ีความประพฤติตรงทั้งต่อเวลา ตอ่ หน้าท่ี และต่อวชิ าชีพ มีความจริงใจ ปราศจาก ความรู้สึกลาเอียงหรืออคติ ไม่ใช้เล่ห์กลโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าท่ีของตนเองและปฏิบัติอย่าง เตม็ ทแ่ี ละถกู ตอ้ ง 4. มีวินัย คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน องค์กร สังคมและ ประเทศ โดยท่ีตนเองยินดีปฏิบัติอย่างเต็มใจและต้ังใจ ยึดม่ันในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติ รวมถงึ การมีวินัยท้ังต่อตนเองและสังคม 5. สุภาพ คือ ผู้ท่ีมีความอ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพและกาลเทศะ มีสัมมาคารวะ เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าวรุนแรงหรือวางอานาจข่มขู่ผู้อื่นทั้งโดยวาจาและท่าทาง เป็นผู้ท่ีมีมารยาทดีงาม วางตนเหมาะสม ตามวฒั นธรรมไทย 6. สะอาด คือ ผู้ที่รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝน จิตใจไม่ให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ ปราศจากความมัวหมองท้ังร่างกาย จิตใจ และสภาพแวดล้อม มีความผ่องใสเป็นที่เจรญิ ตา ทาให้เกดิ ความสบายใจแกผ่ ูท้ ี่พบเหน็ 7. สามัคคี คือ ผู้ที่เปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้บทบาทของตนทั้งในฐานะผู้นาและ ผู้ตามท่ีดี มีความมุ่งม่ันต่อการรวมพลังและช่วยเหลือเก้ือกูลกัน เพื่อให้การงานสาเร็จลุล่วง สามารถแก้ปัญหา และขจัดความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตุผล ยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิด ความเช่ือ พรอ้ มทจ่ี ะปรบั ตวั เพอ่ื อยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสันตแิ ละสมานฉันท์ 8. มนี ้าใจ คือ ผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลอื สังคม ร้จู ักแบ่งปันเสียสละความสุขส่วนตน เพ่ือทาประโยชน์ ให้แก่ผู้อ่ืน เห็นอกเห็นใจและเห็นคุณค่าในเพ่ือนมนุษย์และผู้ท่ีมีความเดือดร้อน มีความเอื้ออาทรเอาใจใส่ อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกายและสติปัญญา และลงมือปฏิบัติเพื่อบรรเทาปัญหาหรือร่วมสร้างส่ิงท่ีดีงาม ใหเ้ กิดข้ึนในชมุ ชน (สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน, 2550) ศนู ย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ได้นาเสนอผลการพิจารณาและคัดเลือกค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม ในบริบทของสังคมไทย และกาหนดเป็นคณุ ลักษณะเด่นด้านคุณธรรม จริยธรรมของไทยในการเขา้ สูป่ ระชาคม อาเซียน จานวน 6 หมวด (32 ขอ้ ) ดังตอ่ ไปนี้ หมวดท่ี 1 คณุ ธรรมที่เก่ียวขอ้ งกบั สถาบนั ทางสังคม 1.1 มคี วามจงรักภกั ดตี อ่ ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ 1.2 ยดึ มั่นในคาสอนอันดีของศาสนา หมวดที่ 2 คุณธรรมท่ีเกย่ี วข้องกบั ความเปน็ ชาติ 2.1 เหน็ คุณคา่ เอกลกั ษณ์ความเปน็ ไทย 2.2 ประพฤติตนตามจารีต ประเพณี และวฒั นธรรมอนั ดีงาม
วิชาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพครู : 9 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… หมวดท่ี 3 คณุ ธรรมทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับการเปน็ พลเมอื งดี 3.1 มีความเปน็ ประชาธปิ ไตย 3.2 มีความสามคั คี ปรองดอง รกั สนั ติภาพ 3.3 มจี ิตสานึกเพอ่ื ผอู้ ื่น มีจติ สาธารณะ 3.4 เหน็ แก่ประโยชน์สว่ นรวม 3.5 มีความรบั ผิดชอบต่อตนเองและผู้อ่ืน 3.6 รบั ฟังความคดิ เหน็ ของผ้อู ่ืน 3.7 มคี วามรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดลอ้ ม 3.8 เปิดใจกว้าง สนับสนนุ การมีสว่ นร่วม หมวดที่ 4 คุณธรรมทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ความซ่ือสัตยส์ จุ ริต 4.1 มคี วามซ่อื สตั ย์ สจุ รติ มีความโปรง่ ใส 4.2 ยดึ หลักธรรมาภิบาล 4.3 ยึดมนั่ ในสิง่ ท่ถี ูกตอ้ ง 4.4 มคี วามยตุ ิธรรม หมวดท่ี 5 คุณธรรมท่เี กย่ี วขอ้ งกบั สิทธมิ นษุ ยชน 5.1 เคารพในคุณคา่ ความเปน็ คน ใหเ้ กยี รตเิ พื่อนมนุษย์ 5.2 เคารพเสรภี าพขั้นพนื้ ฐาน 5.3 เคารพความเท่าเทยี มทางเพศ 5.4 เห็นคุณค่าและยอมรับความแตกต่าง หลากหลายด้านวฒั นธรรม ภาษา และศาสนา 5.5 เคารพสทิ ธิมนุษยชน หมวดท่ี 6 คุณธรรมทีเ่ กย่ี วข้องกบั พฤติกรรมส่วนบคุ คล 6.1 มีความขยนั ทมุ่ เททางาน ใส่ใจในรายละเอียด 6.2 อ่อนน้อมถอ่ มตน 6.3 มีความอดทนอดกล้ัน 6.4 ประหยัดอดออม 6.5 มีความพอเพยี ง 6.6 มีระเบียบวินัย 6.7 ตรงตอ่ เวลา 6.8 ทาแต่ความดี ละอายต่อการทาความชั่ว 6.9 มคี วามเสียสละ เออ้ื อาทรและแบ่งปนั 6.10 รักการเรยี น ใฝ่หาความรู้ 6.11 กตัญญู รู้คุณ
10 : วชิ าคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.4 องคป์ ระกอบของคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คุณธรรมและจริยธรรมเป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม การประพฤติปฏิบัติหรือการแสดงออกถึง คณุ งามและความดตี ่าง ๆ ของมนุษย์ ดังน้ัน คณุ ธรรมและจริยธรรมจึงเกิดจากพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของมนุษย์ ดงั ที่ เบนจามนิ เอส. บลูม (Benjamin S. Bloom, 1956) นักการศึกษาชาวอเมริกัน อา้ งถึงใน ณัฐพงษ์ พลาลพ ที่นาเสนอทฤษฎีของบลูม (Bloom’s Taxonomy) ซ่ึงกล่าวถึง การจาแนกพฤติกรรมการเรียนรู้ตามทฤษฎี ของบลูม 3 ดา้ น คือ 1. ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย โดยในแต่ละด้านจะมีการจาแนกร ะดับ ความสามารถจากต่าสุดไปถึงสงู สุด เช่น ด้านพุทธิพสิ ัย เรม่ิ จากความรู้ ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมิน นอกจากน้ียังนาเสนอระดับความสามารถที่มีการปรับปรุงใหม่ตามแนวคิดของ Anderson and Krathwohl (2001) จากเดิมเป็น การจา (Remembering) การเข้าใจ (Understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมินผล (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating) 2. ด้านจิตพิสัย จาแนกเป็นการรับรู้ การตอบสนอง การสร้างค่านิยม การจัดระบบ และการสร้าง คุณลกั ษณะจากค่านิยม 3. ด้านทักษะพสิ ัย จาแนกเป็น ทกั ษะการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทักษะการเคลื่อนไหวอวัยวะสองส่วน หรอื มากกว่าพร้อม ๆ กัน ทักษะการส่ือสารโดยใชท้ า่ ทาง และทักษะการแสดงพฤติกรรมทางการพูด การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง กระบวนการของประสบการณ์ท่ีทาให้เกิดการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร ซ่ึงการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะหรือ สญั ชาตญาณ (Klein, 1991) การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท่ีค่อนข้างถาวร โดยเป็นผลจากการฝึกฝนเม่ือได้รับ การเสรมิ แรง ไมใ่ ชเ่ ปน็ ผลจากการตอบสนองตามธรรมชาตทิ ี่เรยี กว่า ปฏิกิริยาสะท้อน (Kimble and Garmezy) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทาให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเป็นผลจากการฝึกฝนและ ประสบการณ์ แตไ่ ม่ใชผ่ ลจากการตอบสนองทเี่ กดิ ข้ึนตามธรรมชาติ (Hilgard and Bower) การเรียนรเู้ ป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมท่มี ีการเปลยี่ นแปลง อนั เป็นผลเน่อื งมาจากประสบการณ์ ที่แต่ละคนได้ประสบมา (Cronbach) การเรียนรู้เป็นกระบวนการท่ีบุคคลได้พยายามปรับพฤติกรรมของตน เพ่ือเข้ากับสภาพแวดล้อมตาม สถานการณ์ต่าง ๆ จนสามารถบรรลุถึงเป้าหมายตามท่ีแต่ละบุคคลได้ตั้งไว้ (Pressey, Robinson and Horrock, 1959) ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) นาเสนอปัจจัยท่ีมีผลต่อการส่งเสริมพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของ ประเทศในกลุ่มอาเซยี นไว้ดังตอ่ ไปน้ี 1. ประวัติศาสตร์ เหตุการณ์สาคญั ในประวัติศาสตร์ เช่น การตกเปน็ อาณานิคมของประเทศตะวันตก การเปลี่ยนลัทธิการปกครอง สงครามการเมือง ล้วนมีผลต่อการกาหนดค่านิยม และคุณธรรม จริยธรรมของ ชาติ เช่น ประเทศฟิลิปปินส์เคยถูกปกครองโดยประเทศอาณานิคมหลายคร้ัง ได้แก่ สเปนและอเมริกา ทาให้ หลังจากได้รับอสิ รภาพ การระดมสร้างคา่ นยิ มความเป็นฟิลิปปินส์ขึ้นมาจึงไดร้ ับความสาคญั ประเทศมาเลเซีย
วชิ าคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู : 11 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เคยเผชิญกับเหตุการณ์สงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนเชื้อชาติจีนและมาเลย์ จึงทาให้เห็นความสาคัญ ของการสรา้ งเอกภาพและความเปน็ ชาติ 2. อุดมการณ์ทางการเมอื ง ค่านิยมและคณุ ธรรม จริยธรรมประจาชาติหลายประการ มีต้นกาเนิดจาก ระบบการเมืองการปกครองเช่น การให้คุณค่าของการใช้แรงงานในประเทศเวียดนาม มีท่ีมาจากการปกครอง แบบสังคมนิยม คา่ นิยมเรือ่ งประชาธิปไตย เป็นต้น 3. หลักคาสอนทางศาสนา ในทุกประเทศหลักคาสอนในศาสนามีความสาคัญในการกาหนดคุณธรรม จริยธรรมหลักของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอิสลาม พุทธ และคริสต์หลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน มีการกาหนดวิชาศาสนศึกษาไว้ในหลกั สูตรการศึกษา 4. ผู้นาประเทศ ผู้นาประเทศไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ สุลต่าน ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ฯลฯ ล้วนมี บทบาทในการกาหนดค่านิยมและคุณธรรม จริยธรรมให้แก่ประชาชนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่ แนวคิดผา่ นการพูด การเขยี น สอดแทรกเขา้ ไปในยุทธศาสตร์การส่งเสริมพัฒนาคุณธรรม จรยิ ธรรมในชาตหิ รือ การประพฤตติ นเป็นแบบอยา่ ง 5. สื่อมวลชน เป็นสถาบันหลักที่ปลูกฝังค่านิยม รวมท้ังคุณธรรม จริยธรรมท้ังที่พึงประสงค์และ ไม่พึงประสงค์แก่เด็กและเยาวชน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ปัจจุบันสื่อมวลชนยังรวมถึงสื่ออินเทอร์เน็ต Social Media ที่เขา้ ถงึ ผรู้ ับได้อย่างกวา้ งขวางและไร้พรมแดน ดังนั้นสรุปได้ว่า องค์ประกอบของคุณธรรม จริยธรรม ประกอบด้วย คุณงามความดีที่มีอยู่ภายในตน และพฤติกรรมการแสดงออกภายนอกในทางท่ดี ีงามของแตล่ ะบุคคล ซง่ึ เกดิ จากองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ตวั บคุ คลและพฤตกิ รรมการเรยี นรูข้ องแต่ละบุคคล 3 ดา้ น ได้แก่ 1.1 พฤติกรรมการเรียนรู้ทางสมอง เป็นพฤติกรรมทางด้านสติปัญญา ความรู้ ความจา และ ความเข้าใจในส่ิงต่าง ๆ ท่ีมนุษย์เรียนรู้เกี่ยวกับเร่ืองของคุณงาม ความดี ความถูกต้อง และหลักคุณธรรม จรยิ ธรรม 1.2 พฤติกรรมการเรียนรู้ทางจิตใจ เป็นพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ความเชอื่ และคา่ นยิ มทีม่ นุษยจ์ ะเรียนรไู้ ปส่คู วามรสู้ ึกนึกคิดท่จี ะเป็นคนดีมีคุณธรรม 1.3 พฤติกรรมการเรียนรู้ทางทักษะร่างกาย เป็นพฤติกรรมทางด้านการกระทาและการ แสดงออกตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนุษยท์ จ่ี ะตอบสนองหรือประพฤตปิ ฏบิ ตั ิและแสดงออกถงึ การเปน็ ผู้มจี ริยธรรม 2. ครอบครัว มีบทบาทต่อพฤติกรรมและการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมของแต่ละบุคคล เพราะ ครอบครัวมีหน้าที่ในการอบรบเลี้ยงดู ปูพ้ืนฐาน บ่มเพาะและปลูกฝังให้บุคคลเติบโตมาเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมได้มากท่ีสุด โดยการหล่อหลอมบุคคลให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมน้ัน สามารถทาได้ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 6 ขวบ ซึง่ ถือเป็นรากฐานของชีวิตและแนวทางในการกาหนดพฤติกรรมของบุคคลในอนาคต บุคคล ที่เกิดและเติบโตในครอบครัวท่ีอบอุ่น พ่อแม่มีเหตุผลเลี้ยงดูด้วยการดูแลเอาใจใส่ ย่อมเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมท่ีดีมากกวา่ บุคคลที่เกิดและเตบิ โตมาจากครอบครัวท่ีแตกแยก พอ่ แม่ใช้ความรนุ แรง 3. กลุ่มเพื่อน มีบทบาทต่อพฤติกรรมของบุคคลในช่วงที่เป็นวัยรุ่นมากที่สุด เพราะการลอกเลียนแบบ การแสดงออกทางความคิด ค่านิยมและพฤติกรรมการกระทาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการยอมรับจากกลุ่มเพ่ือน กลุ่มเพ่อื นท่ีมคี ณุ ธรรมจริยธรรมย่อมนาพาบคุ คลให้เปน็ ผูม้ คี ุณธรรมจริยธรรมตามไปดว้ ย แต่ในทางตรงกันข้าม
12 : วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… กลุ่มเพ่ือนท่ีขาดคุณธรรมจริยธรรมก็จะนาพาให้บุคคลในกลุ่มน้ันเป็นผู้ขาดคุณธรรมจริยธรรมตามไปด้วย ได้เชน่ กัน ดังคากล่าวท่วี า่ “คนคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบณั ฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” 4. สถาบันการศึกษา มีบทบาทในการอบรมสั่งสอน ให้การศึกษา ถ่ายทอดวิชาความรู้และ จัดประสบการณ์ให้บคุ คลเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ เกดิ การฝึกฝน และฝึกปฏิบัตทิ ักษะในสง่ิ ที่ถูกตอ้ งดีงามต่าง ๆ เพื่อให้บุคคลสามารถออกไปประกอบอาชีพท่ีสุจริต ประพฤติปฏิบัติตนเป็นประโยชน์เป็นแบบอย่างท่ีดีของ สงั คมและประเทศชาติ ดงั คากลา่ วท่ีว่า “รากฐานของตึกคอื อิฐ รากฐานของชวี ติ คือการศกึ ษา” 5. สังคมและส่ิงแวดล้อม มีบทบาทต่อการหล่อหลอมและเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของบุคคลท่ีอยู่ใน สังคมที่แตกต่างกัน เช่น สังคมชนบทท่ีอุดมไปด้วยสภาพสิ่งแวดล้อมและความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ บุคคลที่ อาศัยอยูใ่ นสงั คมและสิ่งแวดล้อมเช่นน้ัน ย่อมเป็นผมู้ ีความเรยี บง่าย เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ แบ่งปัน และโอบอ้อมอารี แต่ในสังคมเมืองและสิ่งแวดล้อมท่ีเต็มไปด้วยมลพิษ ความแออัดของประชากร การจราจรติดขัด ย่อมส่งผลให้ บคุ คลที่อาศยั อยู่ในสงั คมและสงิ่ แวดล้อมเช่นนั้น เร่งรีบ แข่งขันกันสงู สภาพแวดล้อมท่แี ออดั ทาให้อากาศร้อน หงุดหงิดได้ง่าย ขาดความเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ และเห็นแก่ตัวได้มากขึ้น หรือแม้แตส่ ังคมท่ียึดถอื การประกอบอาชีพ ที่ทุจริต ผิดกฎหมาย เล่นการพนัน บุคคลที่อาศัยอยู่ในสังคมน้ันก็ย่อมมีโอกาสหรือแนวโน้มท่ีจะปฏิบัติตาม ดังคากล่าวท่วี า่ “เขา้ เมืองตาหล่วิ ต้องหลวิ่ ตาตาม” 6. ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณี มีบทบาทสาคัญท่ีสามารถใช้เป็นตัวช้ีวัดคุณธรรมจริยธรรม ความเสื่อมโทรมหรือความเจริญรุ่งเรืองในแต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศชาติได้ดีท่ีสุด เพราะสังคมหรือ ประเทศที่มีขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีท่ีดีงามสืบทอดต่อ ๆ กันมาทุกยุคทุกสมัย บุคคลในสังคมหรือ ประเทศน้ัน ๆ ก็จะยึดถือและปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามต่าง ๆ เหล่าน้ัน ดังเช่น วฒั นธรรมของคนในกลุ่มประเทศทางตะวันออก เช่น คนไทย คนจีน คนญี่ปุ่น คนเกาหลีใต้ท่ีเน้นความกตัญญู กตเวทตี ่อบรรพบุรุษ การแสดงความเคารพต่อบุคคลที่มีความอาวุโสมากกว่า และเน้นการรักษาสัมพันธภาพที่ ดีงามตา่ ง ๆ ร่วมกนั ในสังคม 7. ศาสนาและคาสอนของศาสนา มีบทบาทในการอบรมส่ังสอน หล่อหลอมและปลูกฝังความเช่ือ ค่านิยมในทางที่ดีให้กับแต่ละบุคคลที่นับถือศาสนา เพราะศาสนาเป็นพ้ืนฐานและเป็นต้นกาเนิดของคุณธรรม จรยิ ธรรม และทกุ ศาสนามหี ลักธรรมและคาสอนทีม่ ่งุ เน้นให้ทกุ คนเป็นคนดี 8. สอื่ มวลชน มีบทบาทในการนาเสนอข้อมูลขา่ วสาร เหตุการณ์หรือโฆษณาชวนเชือ่ ในรูปแบบตา่ ง ๆ ท่ีส่งผลใหบ้ คุ คลยอมรับแล้วนาไปเป็นค่านิยมและนาไปสูก่ ารปฏิบัติ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ สือ่ ประเภทอนิ เทอร์เน็ต และโทรทศั นใ์ นรปู แบบดจิ ิตอลทบ่ี ุคคลสามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ท่วั ถึงท่วั โลก 9. สถาบันทางการเมืองการปกครอง มีบทบาทสาคัญในการกาหนดระเบียบกฎเกณฑ์ ข้อบังคับและ กฎหมายของชาติบา้ นเมืองเพ่ือใหบ้ ุคคลยึดถือและปฏบิ ัตติ าม หากผใู้ ดฝ่าฝนื ละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามกจ็ ะตอ้ ง ไดร้ ับบทลงโทษ ดงั นั้น กฎหมายและระเบียบกฎเกณฑ์ ข้อบงั คับตา่ ง ๆ จึงสามารถใช้ควบคุมไมใ่ ห้คนประพฤติ ผิดจริยธรรมหรือประพฤตผิ ิดหลักของความดีงามตา่ ง ๆ ทส่ี ังคมและประเทศชาตคิ าดหวงั
วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู : 13 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.5 แนวคดิ ทฤษฎที ีเ่ ก่ียวขอ้ งกับคุณธรรม จรยิ ธรรม 1.5.1 แนวคิดเก่ียวกบั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ดวงเดอื น พันธุมนาวิน (2543) กล่าวถงึ ความสัมพันธ์ของคุณธรรมและจริยธรรมว่า คุณธรรม และค่านิยมของบุคคลน้ัน คือการยอมรับว่าส่ิงใดดี ส่ิงใดช่ัว ซึ่งจะต้องมีการปลูกฝังกันต้ังแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ บุคคลอาจจะเห็นผิดเป็นชอบ หรือที่เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวหรือตรงข้ามก็ได้ น่ันย่อมข้ึนอยู่กั บ การเรยี นรู้ในอดตี และปัจจุบันของแต่ละบุคคล นอกจากน้ันแลว้ การท่ีบุคคลจะมองเหน็ ว่าสิ่งใดสาคัญมากหรือ น้อยก็อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์และยุคสมัยด้วย เช่นในปัจจุบันและอนาคต เร่ืองการอนุรักษ์ ธรรมชาติน้ันเป็นคุณธรรมและค่านิยมของคนในสังคม แต่ไม่ใช่ในอดีต ซ่ึงแต่เดิมน้ันมักมีผู้เข้าใจว่า ถ้าบุคคล มีคุณธรรมและค่านิยมท่ีเหมาะสมแล้วจะเป็นผู้มีพฤติกรรมทางจริยธรรมอย่างเหมาะสมด้วย แต่จาก การศึกษาวิจัยทางจิตวิทยา พบว่า การท่ีบุคคลรู้ว่าอะไรดี อะไรเหมาะสมและสาคัญนั้นไม่เพียงพอท่ีจะทาให้ เขามีพฤติกรรมตามน้ันได้ คนที่ทาผิดกฎหมาย เช่นการท่ีคนไปลักขโมยหรือทาร้ายผู้อื่นนั้น เขาไม่ได้ทาไป เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เขาทาผิดท้ัง ๆ ที่รู้ว่าเป็นความผิด ซ่ึงเห็นได้จากการท่ีเขาต้องปกปิดและ หลบซ่อน เพราะกลัวจะถูกจับไปลงโทษ ฉะน้ัน การปลูกฝังคุณธรรมและค่านิยมให้แก่เยาวชนจึงไม่เพียงพอ ท่จี ะทาใหเ้ กดิ การทาความดี ละเว้นชว่ั ไดอ้ ย่างจรงิ จงั ศนู ย์ส่งเสรมิ จรยิ ธรรม สานักงาน ก.พ. (2554) นาเสนอข้อมูลเกีย่ วกบั แนวคดิ ทางจริยธรรมว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับปัจจุบัน ได้กาหนดแนวทางพัฒนาระบบราชการ และข้าราชการ ให้ยึดหลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติราชการ โดยปรับทัศนคติข้าราชการให้เห็นความสาคัญของการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข วัฒนธรรม สันติวิธี และธรรมาภิบาล เน้นประเด็น การส่งเสริมให้ข้าราชการยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม แยกเร่ืองส่วนตัวออกจากส่วนรวม ทางานแบบมืออาชีพ มีจิตสานกึ สาธารณะ คานึงถึงประโยชน์ของสาธารณะ พร้อมรับผิดชอบต่อสว่ นรวมและพรอ้ มรบั การตรวจสอบ ก่อนท่ีจะส่งเสริมพัฒนาจริยธรรมการทางานให้กับใคร ข้อตกลงเบื้องต้นคือ ความเข้าใจที่ตรงกันและ การยอมรับในแนวคิด ทฤษฎี หลักและวิธีการพัฒนาที่เป็นสากลและมีหลักฐานว่าใช้ได้ผลจริง การท่ีคนเราจะ ทาความดีหรือไม่ มากน้อยเพียงใดนั้น ขน้ึ อยู่กับสาเหตทุ ้ังภายในและภายนอก สาเหตุภายใน คือ ลักษณะทาง จติ ใจตา่ ง ๆ เช่น การไม่เหน็ แก่ตัวแต่เหน็ แกส่ ่วนรวมการมุ่งอนาคตและความสามารถควบคุมตนเอง ความเชื่อ ว่าทาความดีจะนาไปสู่ผลดีและการทาช่ัวจะต้องโดนลงโทษ นอกจากนั้นยังเกี่ยวข้องกับลักษณะทางจิตใจ ทางด้านอื่น ๆ คือ ความพอใจและเห็นด้วยกับความดีต่าง ๆ และเห็นความสาคัญของความดีเหล่านั้น เช่น ความซ่ือสัตย์ การเคารพกฎระเบียบและกฎหมาย ความสามัคคี เป็นต้น ส่วนสาเหตุภายนอก คือ การท่ีบุคคลนั้น จะทาความดีหรือละเว้นการกระทาที่ไม่น่าปรารถนามากน้อยเพียงใดนั้น สาเหตุสาคัญคือคนรอบข้าง กฎระเบียบ สังคม วัฒนธรรม และสถานการณ์ในขณะนั้นท่ีบุคคลประสบอยู่ นอกจากน้ันระเบียบข้อบังคับ ในหน่วยงาน สภาพแวดล้อมในการทางาน การมีหรือขาดแคลนส่ิงเอื้ออานวย ในการทางาน ตลอดจน บรรยากาศทางสังคมในที่ทางาน กลุ่มเพื่อนและวัฒนธรรมขององค์กร จะมีผลต่อพฤติกรรมการทางานและ สุขภาพจิต ตลอดจนความสุข ความพอใจในการทางาน ในสภาพแวดล้อมท่ีบุคคลคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิด อะไรข้ึน และจะก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียต่อบุคคล ตัวอย่างเช่น ผู้บังคับบัญชามีอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดี เดีย๋ วโมโห หรือสถานการณ์คลุมเครอื ลูกน้องไม่ทราบว่าทาตอ้ งทาอยา่ งไรจึงจะถกู ต้องเหมาะสมและจะไม่โดน
14 : วชิ าคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ตาหนิหรือบ่นว่า สถานการณ์เหล่าน้จี ะมีผลตอ่ จิตใจและพฤตกิ รรมของลกู น้องท้ังสน้ิ สว่ นการควบคุมผลดีและ ผลเสียที่จะเกิดกับตน กข็ ้ึนอยู่กับระบบ กฎเกณฑ์ และสภาพงานแบบราชการ (Bureaucracy) ของหน่วยงาน ตา่ ง ๆ ดว้ ย ดังนัน้ สาเหตุภายนอกทส่ี ่งผลต่อจติ ใจและพฤตกิ รรมของบุคคลในสภาพการทางานราชการจึงมที ้ัง สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ และลกั ษณะทางสงั คมในหน่วยงานน้นั ๆ 1.5.2 ทฤษฎเี กย่ี วกับคุณธรรม จริยธรรม ทฤษฎีทเ่ี กี่ยวกับต้นกาเนิดและพฒั นาการทางจรยิ ธรรมของบุคคลนั้น ดวงเดอื น พนั ธมุ นาวิน แยกเป็น 3 ประเภท อา้ งถงึ ใน สุรสทิ ธ์ิ นาคสัมฤทธ์ิ (2555) ดงั นี้ 1. ทฤษฎีอิทธิพลของสังคมต่อพัฒนาการทางจริยธรรม นักสังคมวิทยาเชื่อว่า สังคมมีส่วน ในการทาให้มนุษย์มีลักษณะแตกต่างกัน ตามแต่ว่ามนุษย์น้ันจะอยู่ในกลุ่มใดในสังคม และนักทฤษฎี จิตวิเคราะห์ก็เล็งเห็นความสาคัญของสังคมในการก่อต้ังลักษณะทางจริยธรรมให้แก่สมาชิกในสังคมน้ัน โดยท่ี ทฤษฎีนรี้ ะบวุ ่า เด็กเลก็ ๆ จะเรยี นรูอ้ ะไรดีอะไรช่วั จากผูท้ ี่อย่ใู กล้ชิด ซงึ่ เป็นตัวแทนของสังคมด้วยกระบวนการ เทียบเคียง (identification) เด็กจะใช้ชีวิตการเลียนแบบจากผู้ที่มีอานาจและผู้ท่ีตนรัก จนในที่สุดเด็กจะ ยอมรบั กฎเกณฑ์ของสังคมมาเป็นหลักปฏิบัติของตนโดยอตั โนมตั ิ นักทฤษฎีส่วนมากยอมรับวา่ จรยิ ธรรมจะถูก ปลูกฝังตั้งแต่บุคคลยังอยู่ในวัยทารกและวัยเด็กเล็ก เป็นวัยแห่งการเตรียมตัวเพ่ือเข้าเป็นสมาชิกในสังคมใหม่ ในช่วงแรกของชีวิตนี้ เด็กจะได้รับการปลูกฝังทางจริยธรรมมากกว่าในช่วงอ่ืน ๆ ของชีวิต กลุ่มบุคคลท่ี รับผิดชอบในการปลูกฝังจริยธรรมให้เด็กมากท่ีสุด คือ สมาชิกในครอบครัวของเด็กเอง รองลงมาคือ โรงเรียน อนุบาลและประถมศึกษา นอกจากนี้ในยุคปัจจุบันยังมีสื่อมวลชนต่าง ๆ ท่ีเด็กจะลอกเลียนแบบพฤติกรรมได้ เชน่ อินเทอร์เนต็ วทิ ยุ โทรทศั น์ หนังสือพมิ พ์ และวารสารตา่ ง ๆ 2. ทฤษฎพี ัฒนาการลักษณะทส่ี ่งเสริมจรยิ ธรรม นักทฤษฎที ่ีเชือ่ วา่ การพัฒนาทางสตปิ ัญญา และอารมณ์เป็นรากฐานของการพัฒนาทางจริยธรรม คือ เพียเจท์ (Piaget) และโคลเบิร์ก (Kohlberg) นักทฤษฎีทั้งสองเช่ือว่าจริยธรรมของเด็กจะเจริญขึ้นตามความเจริญของความสามารถทางการเรียนรู้ (Cognitive Ability) สติปัญญาและอารมณ์ของเด็กในบุคคลปกติท่ีสติปัญญาไม่เจริญถึงขีดสุดจะมีจริยธรรม ในขั้นสูงสุดไม่ได้เช่นกัน โคลเบิร์กได้พบความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรมกับลักษณะอื่น ๆ ของมนุษย์ ในการศึกษาผลงานของนักวิจัยต่าง ๆ ท่ีสาคัญ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรมกับระดับสติปัญญาท่ัวไป และความสัมพันธข์ องจริยธรรมกับความสามารถท่ีจะรอผลได้ที่ดีกว่าในอนาคต นอกจากนั้น ผู้ท่ีมีจริยธรรมสูง ยังเป็นผู้ท่ีมีสมาธิดี มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนและมีความภาคภูมิใจในตนเองสูงกว่าผู้ท่ีมี จริยธรรมต่า โคลเบิร์กจึงสรุปว่า ความเป็นผู้มีจริยธรรมสูงเกิดจากความสามารถในการควบคุมตนเองในด้าน ตา่ ง ๆ โดยท่ัวไปดว้ ย 3. ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม คือ ทฤษฎีท่ีอธิบายวิธีการและกระบวนการที่บุคคลได้รับ อิทธิพลจากสังคม ท่ีทาให้เกิดการยอมรับลักษณะทางกฎเกณฑ์ของสังคมมาเป็นลักษณะของตน ทฤษฎี ประเภทนี้ได้นาเอาหลักการเสริมแรง (Principle of Reinforcement) และหลักการเช่ือมโยง (Principle of Association) มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ในการอธิบายต้นกาเนิดและการเปล่ียนแปลงจริยธรรม ทฤษฎกี ารเรียนรู้ได้เน้นการเรียนรู้โดยบงั เอิญและการเลียนแบบเป็นสาคัญ ซง่ึ ทาให้บคุ คลมพี ฤตกิ รรมทแี่ ปลกใหม่
วชิ าคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู : 15 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… หรือแตกต่างไปจากเดิมได้โดยง่าย โดยทฤษฎีนี้ให้ความสาคัญแก่ลักษณะของสถานการณ์ ซึ่งจะเป็น เคร่ืองกระตุ้นให้บุคคลกระทาพฤติกรรมซ้า ๆ จนกลายเป็นลักษณะนิสัยของบุคคลน้ันไปในที่สุด สิ่งที่กระตุ้น ให้บุคคลกระทาพฤติกรรมต่าง ๆ ได้คือการคาดหวังและความพึงพอใจ และการหลบหลีกความทุกข์ การเลียนแบบลักษณะและการกระทาของบุคคลอ่ืนเป็นบ่อเกิดของการยอมรับลักษณะทั้งท่ีดีและไม่ดีจาก บุคคลได้อย่างง่ายดาย และเกดิ ได้กวา้ งขวางในสถานการณ์ท่ัวไป ตง้ั แตเ่ ดก็ เลียนแบบบิดามารดา เพ่ือน วัยรุ่น เลยี นแบบดาราทีต่ นเองช่ืนชอบ เดก็ เลียนแบบพ่อแม่ และผู้อบรบเลี้ยงดูที่ตนเองรกั ใคร่ จะทาให้เด็กเกดิ ความ พึงพอใจเสมือนว่าตนได้อยู่ใกล้ชิดผู้ที่เลี้ยงดูในขณะนั้น วันรุ่นเลียนแบบเพ่ือนในวัยเดียวกันเพื่อขจัดความ ขัดแย้งในใจท่ีตนเองมีลักษณะแตกต่างไปจากกลุ่ม การเลียนแบบคนแปลกหน้าน้ันจะเกิดข้ึนน้อยมาก แต่ก็ อาจจะเกิดข้ึนไดถ้ ้าสังเกตเหน็ วา่ คนแปลกหน้าหรอื ตัวแบบมีพฤติกรรมแล้วได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพึงพอใจ ผูส้ งั เกตเหน็ กอ็ ยากได้รบั ความพึงพอใจเช่นน้นั ดว้ ยจงึ ยอมเลียนแบบพฤติกรรมแบบนัน้ บ้าง ทฤษฎีแหล่งกาเนิดของจริยธรรมท้ัง 3 ดังกล่าวมาข้างต้น มีลักษณะท่ีไม่ขัดแย้งกันมากนัก แต่เป็นทฤษฎีที่ช่วยสรา้ งภาพการวิเคราะห์จริยธรรมให้ชัดเจนและสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น กลา่ วคือ ทฤษฎีอิทธิพล ของสังคมต่อพัฒนาการทางจริยธรรมน้ัน กล่าวถึงบทบาทของสภาพแวดล้อมทางสังคมของบุคคลท่ีมีต่อการ ปรงุ แตง่ ลกั ษณะจริยธรรมของบคุ คล ทฤษฎีพฒั นาการลักษณะทสี่ ่งเสรมิ จรยิ ธรรมให้ความสาคัญกับพันธกุ รรม ในการมีสว่ นสง่ เสรมิ หรือขดั ขวางพัฒนาการทางจรยิ ธรรมของบคุ คล แต่ทฤษฎที ั้งสองก็ยังเน้นความสาคญั ของ สภาพแวดล้อมของบุคคลเช่นกัน สาหรับทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมช่วยอธิบายกระบวนการยอมรับกฎเกณฑ์ ทางสงั คมเขา้ มาเปน็ สว่ นหนึ่งของลักษณะบุคคล สภานิติบัญญัติแห่งชาติ นาเสนอหลักการและทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับจริยธรรมไว้ว่า จากความหมายของคาว่า “จริยธรรม” เห็นได้ว่าเป็นข้อประพฤติปฏิบัติท่ีเป็นแบบอย่างอันดีเป็นที่ยอมรับของ สากลนิยม โดยมีพื้นฐานมาจากศาสนา วัฒนธรรม ระบอบการปกครอง ฯลฯ ในส่วนท่ัว ๆ ไปมีหลักการและ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมท้ังภายในประเทศและต่างประเทศ จริยธรรมทางศาสนามากมายหลากหลาย ทฤษฎีทแี่ สดงให้เห็นจุดมงุ่ หมายของจริยธรรมและกระบวนการอนั เปน็ ท่ีมาของจรยิ ธรรม คือ หลักจริยธรรมสากล ประเด็นที่ควรทาความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของจริยธรรม คือ จริยธรรมเป็นส่วนหนึ่งของคาส่ังสอนทางศาสนา ซ่ึงทุกศาสนามุ่งหวังให้ผู้ท่ีนับถือศาสนานั้น ๆ ประพฤติดี ประพฤติชอบ และมีชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข หรือกล่าวโดยสรุป ศาสนาสอนให้เป็นคนดี มีศีลธรรม ซ่ึงถือว่าเป็นบ่อเกิดของคุณธรรมและจริยธรรมของท่ีนับถือศาสนานั้น ๆ หรือว่าจริยธรรมเป็น ลักษณะเฉพาะนอกเหนือจากคาสั่งสอนทางศาสนา แต่เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับชุมชนน้ัน ซ่ึงยึดถือและ ปฏิบัติสืบต่อเน่ืองกันมา โดยจริยธรรมมีรากฐานมาจากวัฒนธรรม และไม่มีหลักจริยธรรมสากลท่ีใช้สาหรับ ทกุ สงั คม ทุกกลมุ่ คนในสงั คมหรอื ทุกอาชีพ แตม่ ีหลักการเบอ้ื งต้นท่เี ปน็ ท่ยี อมรบั 6 ขอ้ ดงั นี้ 1) สังคมที่แตกตา่ งกนั จะมีหลกั จริยธรรมแตกต่างกนั 2) ไม่มีเกณฑแ์ บบภววิสัยท่ีสามารถตัดสินไดว้ ่า หลกั จริยธรรมของสังคมแห่งหน่ึงเหนือกว่า หรือด้วยกว่าของอีกสงั คมหนึ่ง 3) หลักจริยธรรมของสังคมใดสังคมหน่ึง ไม่ได้มีสถานภาพพิเศษกว่าของสังคมอื่น ๆ ท้ังนี้ เพราะหลักจรยิ ธรรมเปน็ เพยี งจริยธรรมระบบหน่ึงในจริยธรรมหลาย ๆ ระบบ
16 : วชิ าคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4) ในจริยศาสตร์ไม่มี “สัจจสากล” ซ่ึงหมายความว่า ไม่มีอริยสัจที่คนทุกคนยึดถือและ ยอมรับรว่ มกนั ตลอดเวลาทุกยุคทุกสมัย 5) หลักจริยธรรมในสังคมหน่งึ จะเปน็ ตัวกาหนดส่งิ ท่ีถูกและผดิ ของสงั คมนน้ั ๆ 6) ความพยายามใด ๆ ในการตัดสินการกระทาของคนในวัฒนธรรมอื่น ถือเป็นความ เย่อหยงิ่ ดังนนั้ เราควรจะมคี วามอดกลั้นต่อการปฏิบตั ิตามความเช่อื ของคนท่ีมวี ัฒนธรรมตา่ งจากของเรา ศูนยส์ ง่ เสริมจริยธรรม สานกั งาน ก.พ. (2554) นาเสนอทฤษฎที างจรยิ ธรรมไว้ดงั นี้ 1. ทฤษฎพี ัฒนาการการใชเ้ หตผุ ลเชงิ จริยธรรมของโคลเบริ ์ก ทฤษฎีพัฒนาการการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม เป็นแนวทางความคิดที่มีต้นกาเนิดมาจาก เพียเจท์ (Piaget, 1896) และผู้ที่นาเอาแนวความคิดน้ีมาพัฒนาอย่างกว้างขวางเป็นท่ียอมรบั กันอย่างมาก คือ โคลเบิร์ก (Kohlberg, 1964) ซ่ึงได้ทาการศึกษาบุคคลต่างเช้ือชาติและวัฒนธรรมท้ังในทวีปยุโรป เอเชียและ อเมริกา ผลการศึกษามนุษยชาติทาให้สามารถแบ่งระดับการพัฒนาการทางจิตใจและการใชเ้ หตุผลออกเป็น 3 ระดบั (6 ขนั้ ) โดยแต่ละระดับแบง่ ออกเปน็ 2 ขัน้ (Kasey, 1975 Cite Kohlberg, 1985) ดงั น้ี 1.1 ระดับก่อนกฎเกณฑ์ (Reconvention) เป็นระดับท่ีบุคคลยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ในการตัดสินการกระทา การจะทาส่ิงใดมักคานึงถึงผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับเป็นใหญ่ โดยไม่ได้คานึงถึงว่า การกระทาน้นั จะส่งผลตอ่ ผูอ้ ืน่ อย่างไร ระดับน้แี บ่งออกไดเ้ ป็น 2 ขั้น คือ ขัน้ ท่ี 1 หลักการเช่ือฟังคาสั่งและหลบหลีกการถูกลงโทษ บุคคลท่ีมีการตัดสินใจอย่ใู นข้ันนี้ จะตัดสินการกระทาว่าดี-เลว ถูก-ไม่ถูก โดยพิจารณาท่ีผลการกระทาว่าจะส่งผลต่อตนเองอย่างไร หลบหลีก การถูกลงโทษทางกายเพราะกลัวได้รับความเจ็บปวด ยอมทาตามคาส่ังผู้มีอานาจทางกายเหนือตน ผู้ที่ใช้ หลักการตัดสินใจขั้นนีม้ ักเป็นเด็กอายุ 2-7 ปี ขัน้ ท่ี 2 หลกั การแสวงหารางวลั บุคคลทมี่ ีการตดั สินใจอย่ใู นข้นั นี้ เป็นผ้ทู ถ่ี ือวา่ การกระทา ท่ีถูกต้องคือ การกระทาที่สนองความต้องการของตนและทาให้คนเกิดความพอใจ การสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นไป ในลักษณะแลกเปล่ียนซึ่งกันและกัน การกระทาแบบดีมาดตี อบ รา้ ยมาร้ายตอบ เข้าทานอง“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ผู้ใช้หลักการตัดสินใจขั้นนี้มักเป็นเด็กอายุ 7-10 ปี ผู้ใหญ่ท่ีมีเหตุผลเชิงจริยธรรมชะงักข้ันนี้จะมีเหตุผลในการ ทาหรือไมท่ าอะไร เช่น ทาแล้วไม่คมุ้ ทาหน้าทกี่ ต็ อ้ งขอสิ่งตอบแทน มิฉะน้นั จะไมท่ า 1.2 ระดับตามกฎเกณฑ์ (Convention) เป็นระดับที่บุคคลเรียนรู้ที่จะกระทาตาม กฎเกณฑ์ของกลุ่มย่อยของตน กระทาตามกฎหมายหรือกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของศาสนา รู้จักที่จะเอาใจเขา มาใส่ใจเรา มีความสามารถที่จะแสดงบทบาทของตนได้อย่างเหมาะสมเม่ืออยู่ในสังคม ระดับน้ีแบ่งออกได้เป็น 2 ข้ัน คือ ข้ันที่ 3 หลักการทาตามท่ีผู้อื่นเห็นชอบ พฤติกรรมที่ดีตามทัศนะของผู้ใช้หลักการตัดสิน ข้ันนี้ก็คือ การทาให้ผู้อื่นพอใจและยอมรับ ลักษณะที่เด่นก็คือ การคล้อยตามและส่วนผู้ใหญ่ท่ีจริยธรรม หยุดชะงักในข้ันน้ีจะเป็นผู้กระทาการใด ๆ โดยเห็นแก่พวกพ้อง เครือญาติ และเพ่ือนฝูงมากกว่าจะตัดสินใจ กระทาส่ิงใดเพ่ือส่วนรวม พยายามทาตนให้ผ้อู ่ืนรกั หรือมองเห็นว่าน่ารักผู้ใชห้ ลักข้ันนี้มักเปน็ เด็กอายุประมาณ 10-13 ปี
วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู : 17 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้ันที่ 4 หลักการทาตามหน้าที่ทางสังคม ตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ของสังคม บุคคลจะเริ่ม มองเห็นความสาคัญของกฎเกณฑ์ระเบียบต่าง ๆ เห็นความสาคัญของการทาตามหน้าที่ตน แสดงการยอมรับ เคารพในอานาจและมุ่งรักษาไวซ้ ่ึงกฎเกณฑ์ทางสงั คม ผู้มีหลักการ ตัดสินใจขั้นน้ี มักเปน็ เด็กชว่ งอายุ 13-16 ปี และผูใ้ หญ่โดยทั่วไป หากจริยธรรมหยดุ ชะงกั ในขั้นน้ี บุคคลจะกระทาการใด ๆ โดยอ้างกฎระเบียบ เป็นสาคัญ โดยไมส่ นใจประโยชน์สว่ นรวม 1.3 ระดับเหนือกฎเกณฑ์ (Post-Convention) ในระดับนี้ การตัดสินพฤติกรรมใด ๆ เปน็ ไปตามความคดิ และเหตุผลของตนเอง แล้วตัดสนิ ใจไปตามท่ตี นคิดว่าเหมาะสม ระดับนี้แบ่งออกเปน็ 2 ขั้น เชน่ กนั คือ ขั้นท่ี 5 หลักการทาตามคาม่ันสัญญา ข้ันนี้ยึดประโยชน์และความถูกต้องเพ่ือประโยชน์ ส่วนรวมเป็นหลัก เป็นการกระทาที่เป็นไปตามข้อตกลงและยอมรับกันของผู้ท่ีมีจิตใจสูง โดยจะต้องนาเอา กฎเกณฑ์ของสังคม กฎหมาย ศาสนาและความคิดเห็นของบุคคลรอบด้านมาร่วมในการพิจารณาความเหมาะสม ด้วยใจเป็นกลาง เข้าใจในสิทธิของตนและเคารพในสิทธิของผู้อ่ืน สามารถควบคุมตนเองได้มีความภาคภูมิใจ เม่ือทาดแี ละละอายใจตนเองเมื่อทาชว่ั ผู้มกี ารตดั สินใจโดยใชห้ ลกั นีม้ ักเป็นผู้ท่มี ีอายมุ ากกว่า 16 ปีขึ้นไป ข้ันท่ี 6 หลักการยึดอุดมคติสากล มีลักษณะแสดงถึงความเป็นสากลนอกเหนือจาก กฎเกณฑ์ในสังคมของตน มีความยืดหยุ่นทางจริยธรรมเพ่ือจุดมุ่งหมายบั้นปลายอันเป็นอุดมคติที่ยิ่งใหญ่ มีหลักธรรมประจาใจของตนเอง มีความเกลียดกลัวความช่ัว เลื่อมใสศรัทธาในความดีงาม ยึดประโยชน์ ส่วนรวมเป็นหลัก ผู้มีหลกั การตดั สนิ ใจขั้นนสี้ ่วนมาเปน็ วัยผ้ใู หญ่ตอนกลาง หลักการตัดสินใจท้ัง 6 ขั้นนี้ ครอบคลุมพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดจนกระท่ัง พัฒนาการถึงขีดสูงสุดและมีลักษณะเป็นสากล คือบุคคลไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด เช้ือชาติใดวัฒนธรรมใดก็มี แนวโน้มว่าเจริญโดยผ่านกระบวนการเหล่านี้ตามลาดบั ขั้น จากข้ันต่าไปหาขนั้ สูง โดยไม่ข้ามข้นั ตอนใด เว้นแต่ บุคคลอาจพัฒนาในอัตราท่ีเร็ว-ช้าแตกต่างกัน โคลเบิร์ก (Kohlberg) ได้เขียนบทความนาเสนอเหตุผล เชิงจริยธรรมท่ีสูงกว่าขั้นท่ี 6 ไว้หลายบทความเกี่ยวกับเหตุผลเชิงจริยธรรม ข้ันที่ 7 โดยเรียกว่า “Ultimate Faith” เป็นการท่ีบุคคลจะกระทาหรือไม่กระทาส่ิงใดโดยความเช่ือถือศรัทธา โคลเบิร์กได้ทาการศึกษาวิจัย อย่างต่อเนื่อง และพบว่าบุคคลจะสามารถพัฒนาการทางจริยธรรมถึงข้ันท่ี 6 เมื่อการพัฒนาความคิด สติปัญญาสมบูรณ์ ซึ่งอย่างเร็วท่ีสุดคือ อายุ 13 ปี และมีเพียงร้อยละ 25 ของมนุษย์ในโลกเท่านั้นท่ีสามารถ พัฒนาเกินขน้ั ที่ 4 (Kohlberg and Ryncaz, 1990) จากท่ีกล่าวมาพบข้อสรุปที่น่าเชื่อได้ว่า สติปัญญาของบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์กับ พัฒนาการทางจริยธรรมอย่างมาก เป็นส่วนสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิงต่อพัฒนาการทางจริยธรรมอีกด้วย แต่ ความคิดตามทฤษฎีนี้แท้จริงสติปญั ญาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงที่จะทาให้จรยิ ธรรมของบุคคลพัฒนาไปไดด้ ้วยดี จะต้องมสี ิ่งกระตุ้นหรือสภาวะจากภายนอกร่วมด้วย ซึ่งท้ังเพียเจท์ (Piaget, 1932) และโคลเบิร์ก (Kohlberg, 1964) ต่างก็มองพัฒนาการทางจริยธรรมว่าเป็นผลิตผลของอิทธิพลร่วมระหว่างพัฒนาการของสติปัญญา (Cognitive development) กับประสบการณ์ทางสังคม (Social experience) จึงกล่าวได้ว่า ความคิดและ หลักของทฤษฎีน้ี ทั้งเพียเจท์และโคลเบิร์กได้เน้นความสาคัญขององค์ประกอบสองประการ คือ 1) พัฒนาการ ทางสติปัญญา และ 2) ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือประสบการณ์ทางสังคม ซึ่งอิทธิพลและความสาคัญของ
18 : วิชาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สติปัญญาน้ันได้กล่าวมาแล้ว ส่วนด้านประสบการณ์ทางสังคมน้ัน โคลเบิร์ก (Kohlberg, 1976) กล่าวว่า การได้เก่ียวข้องสมั พันธ์กับคนอ่ืนในสังคมมาก ๆ ทาให้บุคคลมีโอกาสสวมบทบาทบ่อย ๆ จึงเกิดความสามารถ ในการสวมบทบาททางสังคม (Social role taking) หรือความสามารถในการหยั่งลึกทางสังคม (social perspective taking) 2. ทฤษฎคี วามเฉลยี วฉลาดเชงิ จริยธรรม (Moral Intelligence: MI) เน่ืองจากร้อยกว่าปีท่ีผ่านมา มีการศึกษามากมายที่ทาให้สรุปได้ว่า มนุษย์ในโลกน้ีรู้ว่า ส่ิงใดถูกส่ิงใดผิด แต่ยังมีการกระทาที่ไม่ถูกต้องของมนุษย์โดยเฉพาะ ผู้นาทาให้เกิดวิกฤตของโลกหลายคร้ัง หลายคราว ซ่ึงสาเหตุมาจากการขาดจรยิ ธรรมของผู้นา โดยเฉพาะคณุ ลักษณะดา้ นคณุ ธรรม ความกล้ายืนหยัด ในสิ่งท่ีถูกต้อง แม้มนุษย์จะมีค่านิยมท่ีตนยึดถือนาทางชีวิต ค่านิยมเป็นเคร่ืองสะท้อนให้มนุษย์รับรู้และ ตีความหมายส่ิงต่าง ๆ และเหตุการณ์รอบตัวของเรา แต่จากงานวิจัยต่าง ๆ ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาพบว่า คา่ นิยมมคี วามสัมพันธ์กบั พฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออกภายนอกในระดับน้อย ปรชั ญาท้ัง 3 สาขาคอื สาขา ประจักษ์นิยม (pragmatic) สาขาปัญญานิยม (intellectual) และสาขามนุษยนิยม (humanistic) ได้อธิบาย การกระทา การคิด ความรู้สึกของมนุษย์ในวิถีทางท่ีแตกต่างกัน ในขณะที่ปรัชญาสาขาประจักษ์นิยมเชื่อใน เรือ่ งอตั ถประโยชน์ ค่านิยม และความเชอ่ื ของมนษุ ย์วา่ ขึ้นกับความรบั ผิดชอบของบุคคลต่อเหตุการณ์ที่เขา้ มา ในชีวิต เป็นเรื่องการจัดการตนเอง (self-management) และปรัชญาสาขามนุษยนิยม เน้นสัมพันธภาพ ระหว่างบุคคล ให้ความสาคัญกับค่านิยม สัมพันธภาพระหว่างคนใกล้ชิด เช่น ครอบครัว เพื่อนสนิทมากกว่า สมั พันธภาพอื่น ๆ ส่วนในสภาพการทางาน ค่านิยมความจงรักภักดีต่อหน่วยงานจะมคี ุณค่ามาก ในการทางาน สมรรถนะทางมนษุ ยสมั พันธ์จะสาคญั ท่ีสดุ Lennick และ Fred Kiel ได้ทาการวเิ คราะห์ Moral Intelligence (MI) ท่ีบคุ คลโดยเฉพาะ ผู้นาต้องมี เพื่อนาพาองค์กรและสังคมไปสู่ความสาเร็จและเป็นสุข ซึ่ง MI น้ีจะเปรียบเสมือนเป็นเข็มทิศท่ีจะ นาพาบุคคลให้กระทาตามอุดมการณ์ ค่านิยม และความเชื่อของตนเอง โดยข้อค้นพบของเขาได้จากการศึกษา ผู้นาองค์กรของธุรกิจช้ันนาของโลกท่ีประสบความสาเร็จว่า จะต้องมแี ละยดึ มั่นในหลักการ อุดมการณ์ ซ่ึงเป็น สากลท่วั โลกไมว่ า่ จะเป็นชนชาติใด ซ่งึ ไดแ้ ก่ 2.1 ความกลา้ ยนื หยัดในส่งิ ทีถ่ กู ต้อง ยึดมน่ั ในคณุ ธรรมชน้ั สงู 2.2 ความรบั ผิดชอบ 2.3 ความเอ้อื อาทร 2.4 การใหอ้ ภยั 3. ทฤษฎตี ้นไมจ้ รยิ ธรรม ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมเป็นทฤษฎีท่ีเสนอจิตลักษณะ 8 ประการ ท่ีอาจเป็นสาเหตุของ พฤตกิ รรมของคนดี เกง่ และมีสุขของคนไทย (ดวงเดือน พันธุมนาวิน, 2536) ทฤษฎนี ้ีมีพ้นื ฐานจากผลการวิจัย 12 เรื่อง และทฤษฎีน้ีได้รับการตรวจสอบและมีผลการวิจัยที่สนับสนุนมาตลอดจนกระท่ังปัจจุบัน ทฤษฎีน้ี
วิชาคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู : 19 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ถูกนาเสนออยู่ในรูปของต้นไม้ท่ีประกอบด้วย 3 ส่วน (ดวงเดือน พันธุมนาวิน, 2544) ได้แก่ ส่วนที่เป็นราก ส่วนทเ่ี ปน็ ลาต้น และส่วนที่เป็นดอกและผลของผลไม้ ส่วนแรก คือ ราก ประกอบด้วยรากหลัก 3 ราก ซึ่งแทนจิตลักษณะพื้นฐานสาคัญ 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1) สุขภาพจิต หมายถึง ความวิตกกังวล ต่ืนเต้น ไม่สบายใจของบุคคลอย่างเหมาะสมกับ เหตกุ ารณ์ 2) ความเฉลียวฉลาด หรือสติปญั ญา หมายถึง การรู้การคิดในขั้นรูปธรรมหลายด้าน และ การคิดในข้นั นามธรรม ซึ่งมีพนื้ ฐานมาจากทฤษฎพี ฒั นาการทางการรู้การคดิ ของ Piaget (1966) 3) ประสบการณ์ทางสังคม หมายถึง การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราความเออ้ื อาทร เห็นอก เห็นใจ และสามารถคาดการณ์หรือทานายความรู้สึกของบุคคลอ่ืน จิตลักษณะท้ัง 3 ประการน้ีจะเป็นจิต ลักษณะพ้ืนฐานของจิตลักษณะ 5 ตัวบนลาต้น และเป็นจิตลักษณะพื้นฐานของพฤติกรรมของบุคคลในส่วนที่ เป็นดอกและผลด้วย ดังนั้น บุคคลจะต้องมีจิตลักษณะทั้ง 3 ประการน้ีในปริมาณสูงเหมะสมตามวัย จึงจะทา ให้จติ ลกั ษณะอีก 5 ตัวบนลาต้นพัฒนาไดอ้ ย่างดี และมีพฤตกิ รรมทน่ี า่ ปรารถนามากด้วย ส่วนที่สอง คือ ลาต้น อันเป็นผลจากจิตลักษณะพ้ืนฐานท่ีราก 3 ประการ ประกอบด้วย จิตลักษณะ 5 ประการ ได้แก่ 1) ทัศนคติ ค่านิยม และคุณธรรม ทัศนคติ หมายถึงการเห็นประโยชน์–โทษของส่ิงใด ส่ิงหน่ึง ความพอใจ ไม่พอใจต่อสิ่งนั้น และความพร้อมที่จะมีพฤติกรรมต่อส่ิงน้ัน ซ่ึงสอดคล้องกับทัศนคติ ในทฤษฏีของ Ajzen และ Fishbein (1980) ส่วนคุณธรรม หมายถึง ส่ิงทีส่วนรวมเห็นว่าดีงาม ส่วนใหญ่แล้ว มักเกี่ยวข้องกับหลักทางศาสนา เช่น ความกตัญญู ความเสียสละ ความซื่อสัตย์ เป็นต้น และค่านิยม หมายถึง ส่ิงทีค่ นส่วนใหญเ่ ห็นว่าสาคัญ เช่น คา่ นิยมที่จะศึกษาต่อในระดับสูง ค่านยิ มในการใชส้ ินค้าไทย ค่านิยมในด้าน การรักษาสขุ ภาพ เป็นตน้ 2) เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง เจตนาของการกระทาท่ีทาเพ่ือส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หรอื พวกพอ้ ง ซงึ่ มีพืน้ ฐานมาจากทฤษฎพี ัฒนาการทางเหตุผลเชงิ จริยธรรมของ Kohlberg 3) ลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตน หมายถึง ความสามารถในการคาดการณ์ไกลว่า ส่ิงที่ กระทาลงไปในปจั จุบนั จะสง่ ผลอย่างไร ในปริมาณเท่าใด ตอ่ ใคร ตลอดจนความสามารถในการอดได้ สามารถ อดเปรี้ยวไว้กนิ หวานได้ 4) ความเชื่ออานาจในตน หมายถงึ ความเชื่อวา่ ผลท่ีตนกาลังได้รับอยู่ เกดิ จากการกระทา ของตนเอง มิใช่เกิดจากโชคเคราะห์ความบังเอิญหรือการควบคุมของคนอ่ืน เป็นความรู้สึกในการทานายได้ ควบคมุ ไดข้ องบคุ คล ซงึ่ มพี ้นื ฐานมากจากทฤษฎี Locus of Control ของ Rotter (1966) 5) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ หมายถึง ความมานะพยายามฝ่าฟันอุปสรรคในการทาส่ิงใด สงิ่ หน่งึ โดยไม่ยอ่ ท้อ ซง่ึ มพี ื้นฐานมาจากทฤษฎแี รงจงู ใจของ McClelland (1963) จิตลักษณะท้ัง 5 ประการน้ี เป็นสาเหตุของพฤติกรรมท่ีน่าปรารถนาที่เปรียบเสมือนดอก และผลบนต้นไม้ นอกจากน้ี ดวงเดือน พันธุมนาวิน ยังเสนอว่า ควรใช้จิตลักษณะทั้ง 5 ประการบนลาต้น ร่วมกับจิตลักษณะพ้ืนฐานท่ีราก 3 ประการในการอธิบาย ทานายและพัฒนาพฤติกรรมของบุคคล ดังนั้น
20 : วิชาคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… จึงอาจกล่าวได้ว่า จะต้องใช้จิตลักษณะเพียงตัวเดียวหรือน้อยตัว จะไม่ช่วยให้นักวิจัยและนักพัฒนาเข้าใจการ กระทาของบคุ คลไดอ้ ย่างนา่ มนั่ ใจ ส่วนท่ีสาม คือ ดอกและผล เป็นส่วนของพฤติกรรมของคนดีและคนเก่ง ซ่ึงแสดง พฤติกรรมการทาความดี ละเว้นความช่ัว ซ่ึงเป็นพฤติกรรมของคนดี และพฤติกรรมการทางานอย่างขยัน ขันแข็งเพื่อส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นพฤติกรรมของคนเก่ง พฤติกรรมของคนดีและเก่ง สามารถ แบง่ เป็น 2 ส่วนดว้ ยกัน (ดวงเดือน พนั ธุมนาวิน, 2548) คือ ข้อหนงึ่ พฤตกิ รรมของคนดี ประกอบดว้ ย 2 พฤติกรรมหลกั ได้แก่ 1) พฤติกรรมไม่เบียดเบียนตนเอง เป็นพฤติกรรมของบุคคลท่ีไม่เป็นการทาร้ายหรือ ทาลายตนเอง เช่น พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง พฤติกรรมการบริโภคส่ิงท่ีมีประโยชน์ ไม่ด่ืมเหล้า ไม่สบู บหุ รี่ ไม่ติดยาเสพตดิ พฤตกิ รรมไมเ่ ลน่ การพนัน เป็นตน้ 2) พฤติกรรมไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน เป็นพฤติกรรมของบุคคลท่ีไม่ทาร้าย ทาลาย หรือทาให้ ผู้อ่ืนเดือดร้อน เช่น พฤติกรรมสุภาพบุรุษ ไม่ก้าวร้าว พฤติกรรมการขับขี่อย่างมีมารยาท พฤติกรรมซ่ือสัตย์ เป็นตน้ ข้อสอง พฤตกิ รรมของคนดแี ละเกง่ ประกอบดว้ ย 2 พฤตกิ รรมหลัก ไดแ้ ก่ 1) พฤติกรรมรับผิดชอบเช่น พฤติกรรมการเรียนการทางาน พฤติกรรมอบรมเลี้ยงดูเด็ก พฤติกรรมการปกครองของหวั หนา้ พฤตกิ รรมรับผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ี และพฤตกิ รรมเคารพกฎหมาย เป็นตน้ 2) พฤติกรรมพัฒนา เช่น พฤติกรรมพัฒนาตนเอง (เช่น พฤติกรรมใฝ่รู้ พฤติกรรม รักการอ่าน เป็นต้น) พฤติกรรมพัฒนาผู้อื่น (เช่น พฤติกรรมการสนับสนุนให้ผู้อื่นปลอดภัยในการทางาน พฤติกรรมการเป็นกัลยาณมิตร พฤติกรรมเพื่อนช่วยเพ่ือนป้องกันโรคเอดส์ เป็นต้น) และพฤติกรรมพัฒนา สังคม (เชน่ พฤตกิ รรมอาสา เปน็ ตน้ ) ภาพที่ 1.1 ทฤษฎีต้นไม้จรยิ ธรรมระบจุ ิตลกั ษณะ 8 ประการทเี่ ปน็ สาเหตุของพฤตกิ รรมของคนไทย (ดวงเดือน พนั ธุมนาวนิ , 2526; 2544)
วชิ าคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู : 21 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เอกสารอา้ งองิ กิตติยา โสภณโภไคย (online). คณุ ธรรม จริยธรรมและการดารงอยกู่ ับสังคมประชาธิปไตย. สบื ค้นจาก http://www.ombudsman.go.th/10/ethical/ethical0.pdf เมื่อวันท่ี 5 มกราคม 2558 ซเี อ็ดยูเคชน่ั . (2543). พจนานกุ รมไทย ฉบับทนั สมัย. กรุงเทพฯ: เอ็ม เอ เอช พรนิ้ ตงิ้ . ดวงเดอื น พันธุมนาวนิ . (2543). ทฤษฎีตน้ ไม้จรยิ ธรรม: การวจิ ัยและการพัฒนาบุคคล (พิมพค์ รง้ั ท่ี 3). กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ณฐั พงษ์ พลาลพ (online). การเรยี นรู้ตามทฤษฎขี องบลูม. สืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/391886 เม่ือวนั ท่ี 25 มกราคม 2558 ทศิ นา แขมมณ.ี (2546). การพัฒนาคุณธรรมจรธิ รรม และค่านิยม: จากทฤษฎีส่กู ารปฏบิ ัติ. กรงุ เทพฯ: เมธีทปิ ส์. ธานินทร์ กรยั วิเชยี ร. (2548). คณุ ธรรมและจริธรรมของผู้บรหิ าร. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. ปราชญา กล้าผจญภัย. (2549). คุณธรรม จริยธรรมผนู้ ารฐั . กรงุ เทพฯ: ข้าวฟา่ ง. ประภาศรี ศรีหอาไพ. (2550). พื้นฐานการศึกษาทางศาสนาและจริยธรรม (พิมพ์คร้ังที่ 4). กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภกิ ขุ, 2545). จรยิ ธรรมของบณั ฑติ . กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ โต, 2542). การศึกษาเพอ่ื สรา้ งบัณฑิตหรือการศกึ ษาเพ่ือเพิม่ ผลผลิต. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. พระเทพวสิ ุทธิเมธี (ปญั ญานนั ทภิกขุ, 2549). หนา้ ทีข่ องคน ฉบบั สมบูรณ์. กรงุ เทพฯ: ธรรมสภา. พระวจิ ิตรธรรมาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร, online). คณุ ธรรม จริยธรรม. สบื ค้นจาก http://www.jariyatam.com/th/moral-01- เมอื่ วนั ท่ี 5 มกราคม 2558 พภิ พ วชังเงนิ . (2545). จรยิ ธรรมวิชาชีพ Professional Ethics. กรุงเทพฯ: รวมสาส์น (1997). ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น์. (2542). ความรู้คคู่ ณุ ธรรม รวมบทความเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรมและการศกึ ษา (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรุงเทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณ์ราชวิทยาลยั . รตั นวดี โชตกิ พนิช. (online). จริยธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชีพครู. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั รามคาแหง. สืบค้นจาก http://goo.gl/IYT7zZ เมอื่ วนั ที่ 5 มกราคม 2558 ศูนยค์ ุณธรรม (องค์การมหาชน). (2557). เอกสารชดุ ความรู้ การส่งเสริมพัฒนาคณุ ธรรมจริยธรรมของ ประเทศในกลุ่มอาเซยี น ASEAN Morality. กรุงเทพฯ: อินฟินิท โกลบอลเทรด. ___________ (online). วารสารวชิ าการ คุณธรรมความดี ปีท่ี 2 ฉบับท่ี 1 กันยายน 2556. สบื คน้ จาก http://www.moralcenter.or.th/ewt_dl_link.php?nid=1200 เมือ่ วนั ที่ 15 มกราคม 2558 ศูนย์ส่งเสริมจริยธรรม สานักงาน ก.พ. (2554). คู่มือการจัดทามาตรฐานทางคณุ ธรรม จรยิ ธรรมข้าราชการ พลเรือน สาหรับคณะกรรมการจริยธรรม (พิมพค์ ร้งั ท่ี 2). นนทบรุ ี: สานักงานเลขาธิการ ก.พ.
22 : วิชาคณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สภานติ บิ ญั ญัตแิ หง่ ชาติ (online). คณุ ธรรมและจริยธรรม. สบื คน้ จาก http://www.senate.go.th/committee2551/committee/files/committee31/part3.pdf เมอ่ื วันที่ 15 มกราคม 2558 สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน. (2545). ค่มู อื การประเมนิ นกั เรยี นเพ่อื รับรางวัลพระราชทาน ระดบั การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน. กรุงเทพฯ: ชมุ ชนสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย. สุทธิพร บุญส่ง. (2550). คณุ ธรรมจริยธรรมกับการพัฒนาคุณภาพชีวติ (พมิ พค์ รงั้ ที่ 2). กรงุ เทพฯ: ทรปิ เพ้ิล กรุป๊ . สรุ สทิ ธ์ิ นาคสมั ฤทธ์ิ. (2555). การพฒั นาหลกั สูตรเสริมเพ่อื การพฒั นาคุณธรรมและจริยธรรมโดยใช้วิธกี าร ลกู เสือ สาหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดุสติ . ดุษฎนี ิพนธ์ หลักสูตรการศึกษาปรชั ญาดุษฎี บณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา: มหาวิทยาลัยบรู พา.
บทที่ 2 หลักธรรมสำหรับครู อาจารยศ์ ักดช์ิ ัย ไชยรกั ษ์ “การศึกษาเป็นเร่ืองใหญ่และสาคัญยง่ิ ของมนุษย์ คนเราเม่ือเกิดมาก็ได้รับการส่งั สอนจากบิดามารดา อันเป็นความรู้เบื้องต้น เมื่อเจริญเติบโตข้ึนก็เป็นหน้าที่ของครูและอาจารย์สั่งสอนให้ได้รับวิชาความรู้สูง และ อบรมจติ ใจให้ถึงพร้อมดว้ ยคุณธรรมเพื่อจะได้เปน็ พลเมืองดีของชาตสิ บื ต่อไป งานของครูจงึ เป็นงานทส่ี าคัญยิ่ง” (พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตและนักศึกษา วิทยาลัยวิชาการศึกษา เมอ่ื วันที่ 13 ธันวาคม 2505) ในทุกวิชาชีพนั้น ผู้ประกอบอาชีพจาเป็นต้องมีคุณธรรมท้ังส้ิน แต่ส่วนใหญ่จะเน้นและมีการพูดถึง ผู้มวี ิชาชพี ครมู ากเป็นพิเศษกวา่ อาชพี อนื่ เนือ่ งจากครูเป็นบุคคลท่ีมบี ทบาทสาคัญในการอบรมสงั่ สอนคุณธรรม จริยธรรมและเป็นแบบอย่างท่ีดีให้กับเยาวชน ผู้ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติในอนาคต (อุไรวรรณ ธนสถิตย์, 2555) บทบาทของการทาหน้าที่เป็นครูท่ีดีน้ัน จาเป็นอย่างย่ิงที่ครูอาจารย์ต้องมีหลัก คุณธรรมยึดเหน่ียวอยใู่ นจิตใจ เพ่อื พฒั นากาย วาจาและจิตใจใหเ้ ป็นผมู้ ั่นคงตอ่ การเป็นครูทด่ี ีได้ อกี ประการหน่ึง ถือว่าครูสามารถเป็นแบบอย่างแก่ลูกศิษย์ของตนอยู่เสมอ ดังน้ัน ครูจึงต้องปฏิบัติตามหลักธรรมเพ่ือให้เกิด คุณธรรมอยู่ในจิตใจและได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติดาเนินชีวิต เพ่ือก่อให้เกิดความเป็นครูที่ดีได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม คุณธรรมน้ันเป็นธรรมที่มนุษย์ทุกคนต้องมีและจาเป็นต่อการดารงชีวิต โดยเฉพาะสังคมยุคใหม่ ทท่ี นั สมัยดว้ ยเทคโนโลยีสมควรมคี ณุ ธรรมนาชีวิตให้ร้ถู กู รู้ผดิ ร้ชู อบ ชวั่ ดี เพ่ือใหเ้ กดิ จริยธรรมต่อการประพฤติ ปฏิบัติโดยอัตโนมัติ คือ คิดดี พูดดีและทาดี ความประพฤติดี ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปจะเกิดขึ้น ในจิตสานึก การท่ีจะกระทาสิ่งใดไม่ดีก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะจิตในสะอาด ในวิชาชีพครูก็เช่นเดียวกัน ย่อมมี จรยิ ธรรมเพอ่ื เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติ (พระศักดิด์ า ฉนทฺ โก: สวุ รรณทา, 2557) 2.1 ควำมสำคัญของศำสนำและหลักธรรมคำสอนของศำสนำ ศาสนา หมายถึง คาสอน คาสั่งสอน กาหนดเป็นลัทธิความเชื่อท่ีมีหลักคาสอนและพิธีกรรม เป็น กิจกรรมของหมู่ชนผนู้ ับถือแนวทางปฏิบตั ิรว่ มกันน้ัน ผู้อบรมส่ังสอน เรียกว่า ศาสดา ศาสนาจึงเป็นขอบเขตท่ี ชอบธรรม กาหนดไม่เบียดเบียนกัน กล่อมเกลายกระดับจิตใจให้จาแนกมนุษย์จากสัตว์ด้วยระเบียบในการ ดาเนินชีวิตที่เรียกว่า วัฒนธรรม มนุษย์กับศาสนามีความสัมพันธ์กัน โดยมนุษย์ส่วนมากยึดศาสนาเป็นหลัก ในการดารงชีวิต ศาสนาทาให้มนุษย์รู้จักใช้สติปัญญายกระดับจิตใจของตนให้สูงกว่าสัตว์ ซึ่งใช้สัญชาตญาณ เป็นส่วนใหญ่ มวลมนุษย์จึงเป็นสตั วท์ ี่รู้จักคดิ เหตุผลหรือสตั ว์ท่ีมีใจสูง มีสติรักษาตน (พระราชวรมุนี: ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต, 2527)
24 : วชิ าคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ประภาศรี ศรีหอาไพ (2550) กล่าวว่า ศาสนาเก่ียวข้องกับการดารงชีวิตสร้างความเข้าใจในสภาพ ปัญหาตามธรรมชาติต้ังแต่เกิดจนตาย ศาสนาเป็นหนทางการต่อสู้ปัญหาชีวิต ขจัดความทุกข์ อบรมจิตใจและ ควบคุมอารมณ์ ทาให้เกิดลักษณะนิสัยที่ดงี ามตามหลักธรรมท่ีเป็นกฎกาหนดวิถีชวี ิตในสังคม คาสอนในศาสนา แสดงสัจธรรมและมีการปฏิบัติเพื่อบรรลุผลตามสัจธรรมน้ัน หน้าท่ีของศาสนา คือ การดารงคุณธรรมและ วัฒนธรรมให้ผสมกลมกลืนกัน เพื่อหล่อหลอมขัดเกลามนุษย์ให้มีคุณภาพ นาไปสู่การพัฒนาสังคมจนถึงระดับ ความรู้ท่ีเป็นประโยชน์ทางด้านจิตวิญญาณ ศาสนาเป็นอาณาจักรอย่างหน่ึง เรียกว่า ศาสนจักร มีรูปแบบ สถาบันท่ีสร้างวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม เน้นจริยธรรมตามปรัชญาและความเช่ือ พื้นฐานจริยธรรม ในศาสนาเป็นค่านิยมที่ผูกพันด้วยการปฏิบัติตามศรัทธาทางเทวศาสตร์ ซ่ึงเน้นความเชื่อในพระเจ้า จริยธรรม ในศาสนาบางศาสนาปฏิเสธเร่ืองพระเจ้า พื้นฐานจริยธรรมจึงเป็นลักษณะของนักธรรมชาติวิทยา เน้นการ ดารงชีวิตในสงั คมและสิง่ แวดลอ้ ม องค์ประกอบของศาสนามีอย่างน้อย 4 ประการ คือ 1) ศรทั ธาตอ่ พระเจา้ หรอื ศาสดา 2) การปฏิบตั ิและอุทศิ ตนของศาสนิกชนซงึ่ เปน็ สมาชิกในศาสนจักร 3) การประกอบพิธีกรรมบูชาและแนวการปฏบิ ตั ิธรรม 4) มหี ลกั ธรรมและสาวกทาหนา้ ทีเ่ ผยแพรศ่ าสนาสืบทอดกันมา สังคมมนุษย์ย่อมมีหลักการประพฤติปฏิบัติเป็นส่ิงกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีสานึกด้ังเดิม ทางด้านศาสนาจากธรรมชาติแวดล้อมและประสบการณ์ของชีวิตที่เป็นอยู่ร่วมกัน ความไม่เท่ียงแท้แน่นอน ก่อให้เกิดความหวั่นไหวในอารมณ์ ศาสนาจึงเป็นหลักให้เกาะยึดด้วยความมั่นใจและอุ่นใจ เกิดความหวังที่จะ ได้รับความสาเร็จและปลอดภัยจากภยันตรายท้ังมวล หลักธรรมของศาสนาช่วยบังคับความประพฤติท่ีสังคม ปฏิบัติต่อกัน เกิดปรัชญาชีวิตในแนวค่านยิ มเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ความสนใจในเร่ืองการเกิด ความเป็นความตาย อนั ถอื เป็นความสาคญั สูงสุด โดยจติ สานกึ อันเป็นชาตญาณ สัตว์ยอ่ มรักษาชวี ติ ตน เกลียดความทกุ ข์ กลวั ความ ตาย ดิ้นรนแสวงหาความสุข ศาสนาพัฒนาคนให้มีจิตใจสูง มีความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ได้ด้วยวิธีการฝึกหัด อบรมเรยี นรูแ้ ละให้สามารถปฏบิ ัตไิ ด้ดว้ ยตนเอง ฟ้ืน ดอกบัว (2555) กล่าวว่า ศาสนาที่แปลว่าคาสั่งสอนนั้น หมายถึงว่าจะต้องมีทั้งคาส่ังและคาสอน กลา่ วคือ คาสอนบางประเภทเป็นคาสั่ง เป็นเรอื่ งบังคบั จะต้องทาตาม ใครฝา่ ฝนื ตอ้ งมโี ทษ เช่น วนิ ยั สาหรบั พระ ในพระพุทธศาสนา หรือมหาพรตสาหรับนักบวชเป็นศาสนาเชน ประเภทน้ีเป็นส่วนศีล และบางประเภทเป็น คาสอน เพ่ือชักชวนให้ทาตาม ใครทาได้ก็จะเป็นผลดีต่อผู้นั้นเอง เช่น ควรมีเมตตากรุณาต่อกัน ประเภทน้ีเป็น ส่วนธรรม เพราะฉะน้ันศาสนาก็คือศีลธรรมนั่นเอง ศีลธรรมท่ีคอยควบคุมกาย วาจาและใจของคนไว้ทาให้เป็น คนดี คนจะดีได้ก็ต้องมีทั้งศีลทั้งธรรม จะมีเพียงศีลยังไม่เพียงพอ จะต้องมีธรรมด้วย มิเช่นน้ันจะเป็นคน แล้งน้าใจ เช่น ไม่ทาร้ายใคร แต่ก็ไม่ช่วยเหลือใคร อย่างน้ีก็ไม่เป็นคนดีแท้ ศาสนาท่ีแปลว่าคาสั่งสอนน้ัน ไม่ได้ หมายความว่า คาสั่งสอนของใคร ๆ ก็เป็นศาสนาได้ คาสั่งสอนที่จัดเป็นศาสนาจะต้องประกอบด้วยลักษณะ ต่อไปนี้
วิชาคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู : 25 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1. ลักษณะคาสอนของศาสนา ประกอบดว้ ย 1.1 คาสอนถึงจริยธรรม ศีลธรรมท่ัวไป คือ คาสอนท่ีให้ละความช่ัว ทาความดีหรือคาสอนท่ี เป็นไปเพ่ือความสงบสุขของสังคม 1.2 คาสอนถึงอานาจเหนือประสาทสัมผัส เช่น อานาจของพระเจ้าตามคติของศาสนา ประเภทเทวนยิ ม อานาจกรรมตามศาสนาอเทวนยิ ม 1.3 คาสอนถึงจุดหมายสูงสุดของชีวิต เช่น นิพพานในศาสนาพุทธ โมกษะในศาสนาเชน การไปเกิดอยกู่ บั พระเจ้าช่ัวนิรันดร์ของศาสนาอิสลาม 1.4 คาสอนถึงศาสนกิจ คือ กิจท่ีศาสนิกของศาสนาน้ัน ๆ จะต้องปฏิบัติ เช่น การอุปสมบท ในพระพุทธศาสนา การสารภาพบาปในศาสนาคริสต์ การทานมาซ (ละหมาด) วันละ 5 เวลาในศาสนาอิสลาม 2. องคป์ ระกอบของศาสนา ประกอบดว้ ย 2.1 มีศาสดา ผู้ให้คาสอน หรือผู้ต้ังศาสนา เช่น พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของศาสนาพุทธ นบมี ฮุ ามดั เป็นศาสดาของศาสนาอสิ ลาม 2.2 มีคัมภีร์ทางศาสนาของตนโดยเฉพาะ เช่น คัมภีร์ไตรปิฎกของศาสนาพุทธ คัมภีร์ไบเบิล ของศาสนาครสิ ต์ คัมภรี อ์ ลั กรุ อานของศาสนาอสิ ลาม 2.3 มีนักบวชหรือผู้สืบต่อศาสนา เช่น พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา บาทหลวงในศาสนา ครสิ ต์ 2.4 มีสถานที่อยู่เป็นเอกเทศสาหรบั ผูส้ ืบต่อศาสนา หรือมีสถานที่โดยเฉพาะสาหรับประกอบ กจิ ทางศาสนา เช่น วัด เปน็ สถานทอี่ ยู่ของพระในพทุ ธศาสนา สเุ หรา่ หรือมสั ยิดสาหรับประกอบกิจทางศาสนา อสิ ลาม 2.5 มปี ูชนียวัตถหุ รือปูชนียสถานทางศาสนา เช่น พระพุทธรูปและสังเวชนียสถาน 4 ในพุทธ ศาสนา กางเขนและวหิ ารเมอื งเยรูซาเลมในศาสนาครสิ ต์ เปน็ ตน้ ศาสนาเป็นศาสตร์แห่งการครองชีวิตและการแก้ปัญหาชีวิต ศาสนาเป็นประทีปในการดาเนินชีวิต ศาสนาช่วยทาให้โลกน่าอยู่น่ารน่ื รมย์อบอวลด้วยมิตรภาพ ศาสนาทาให้มนุษย์ก้าวออกจากคนป่าเถ่ือนมาเป็น คนเจริญ ศาสนาเป็นมุมสงบหลบความวุ่นวาย เป็นศาสตร์ที่พักผ่อนจิตใจได้อย่างดีเย่ียม เหตุน้ีศาสนาจึงมีมา คู่กบั มนุษยชาตนิ านแสนนาน เยาวลักษณ์ แสนดวงดี นาเสนอข้อมูลเก่ียวกับหลักการศาสนาว่า ในการดาเนินชีวิตประจาวันมนุษย์ มคี วามจาเป็นต้องมีเกณฑ์ตดั สินท่ีจะวัด หรือจาแนกแยกแยะว่าอะไรดี อะไรชวั่ อะไรถูก อะไรผดิ อะไรควร อะไร ไม่ควร เช่นเดียวกับการที่มนุษย์จาเป็นต้องมีมาตราช่ังตวงวัดในการดาเนินชีวิต ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวนี้จะถูก กาหนดข้ึนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเป็นมาตรฐานสากลที่ถูกยอมรับกันโดยทั่วไป ในเร่ืองของคุณธรรม ความดี ความชั่วก็เช่นกนั มนษุ ยต์ ้องมีมาตรฐานสากลท่ีทุกคนสามารถยอมรับได้และมาตรฐานทจ่ี ะใช้เป็นเกณฑ์ ตัดสนิ คณุ ธรรมหรือจาแนกความดี ความชั่วนั้นกไ็ ม่มีอะไรดีไปกว่ามาตรฐานของศาสนา ศาสนามีความสาคัญต่อ การดาเนินชีวิตของบุคคลในสังคม เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ทาความดีละเว้นความช่ัว
26 : วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อคนในสังคม โดยสรุปหลักการหลักปฏิบัติของแต่ละศาสนาเพ่ือให้เข้าใจง่ายข้ึนและปฏบิ ัติ ได้อย่างถูกต้องมากย่งิ ข้ึน ดังตอ่ ไปน้ี 1. องค์ประกอบของศาสนา 1.1 ศาสดา คือ ผกู้ อ่ ต้ัง ศาสนา 1.2 คมั ภรี ์ คือ หลกั คาสอนเกีย่ วกับศลี ธรรมจรรยา 1.3 นักบวช คือ ผ้สู บื ทอดคาสอน 1.4 พธิ กี รรม คอื การปฏบิ ัติในการทาพธิ ีทางศาสนา 1.5 ศาสนสถาน คือ สถานที่ควรเคารพบูชาและใช้ประกอบพธิ ที างศาสนา 2. ความสาคัญของศาสนา 2.1 เปน็ พน้ื ฐานของกฎศลี ธรรมของสังคม 2.2 เปน็ แหลง่ กาเนดิ จรยิ ธรรม 2.3 เป็นแหลง่ ทีท่ าใหเ้ กิดศิลปวัฒนธรรม และประเพณี 2.4 เปน็ กลไกของรัฐในการควบคุมสงั คม 2.5 เป็นบรรทัดฐานของสงั คมท่ีใช้ในการปฏบิ ตั ิเพ่อื ให้เป็นไปในแนวเดยี วกนั 3. ประโยชนข์ องศาสนา 3.1 ชว่ ยให้สมาชิกของสงั คมสงบสุข 3.2 ทาให้ผนู้ ับถือเป็นคนดี มศี ีลธรรม 3.3 เป็นบอ่ เกดิ ของศลิ ปวัฒนธรรม 3.4 เป็นที่พ่งึ ทางจิตใจของสมาชกิ ในสงั คม 3.5 เป็นแนวทางในการดาเนินชีวติ เพือ่ ให้เกิดความสุข 2.2 หลกั ธรรมคำสอนตำมหลักศำสนำตำ่ ง ๆ ศาสนามีความสาคัญต่อคุณภาพชีวิตของบุคคล สังคมต่าง ๆ มักจะมีศาสนาเป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยว เพื่อให้สมาชิกในสังคมปฏิบัติตนไปในทางท่ีดี โดยท่ัวไป ศาสนาทุกศาสนาย่อมมีจุดหมายเดียวกัน คือ มุ่งให้ บุคคลกระทาความดีละเว้นความชั่ว ประเทศไทยมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติ แต่ในขณะเดียวกันก็ เปิดโอกาสให้พลเมืองนับถือศาสนาอื่น ๆ ได้อย่างเสรี จะเห็นได้ว่าศาสนากับมนุษย์มีความสัมพันธ์กันอย่าง ใกลช้ ดิ เนอ่ื งจากศาสนามีกาเนิดจากมนุษยแ์ ละดารงอยู่ได้กเ็ พราะมนุษย์เป็นผู้จรรโลง ในขณะเดียวกันศาสนา จะเป็นเครื่องอบรมบ่มนิสัยของมนุษย์ให้มีความดีงาม ซ่ึงจะเป็นแรงผลักดันให้สังคมพัฒนาไปได้อย่างรุ่งเรือง (สทุ ธพิ ร บุญสง่ , 2550) ศาสนาท่ีสาคัญในสงั คมไทยน้ัน ไดแ้ ก่ ศาสนาพทุ ธทม่ี ีคนไทยนับถอื มากท่ีสุด รองลงมา คือศาสนาอสิ ลาม ศาสนาคริสต์ และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตามลาดับ ดงั ท่ี เยาวลักษณ์ แสนดวงดี สรุปข้อมูล หลักธรรมคาสอนตามหลกั ศาสนาต่าง ๆ ไว้ดงั น้ี
วิชาคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู : 27 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.2.1 ศำสนำพทุ ธ ศาสนาพุทธ มีถิ่นกาเนดิ ในประเทศอนิ เดีย เปน็ ศาสนาประเภท อเทวนิยม (ไมน่ ับถือพระเจ้า) 1. ศาสดา คือ พระพทุ ธเจ้า 2. คัมภีร์ คือ พระไตรปิฎก หมายถึง ตาราที่บันทึกคาสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็น 3 คัมภรี ์ คือ 1) พระวนิ ัยปิฎก ว่าดว้ ยศีลหรอื วนิ ยั ของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อบุ าสกิ า 2) พระสตุ ตนั ตปิฎก (พระสูตร) วา่ ดว้ ยคาสอนของพระพทุ ธเจา้ รวมท้งั ชาดกต่าง ๆ 3) พระอภธิ รรมปฎิ ก วา่ ด้วยหลกั ธรรมลว้ น ๆ 3. นิกายสาคญั ของศาสนาพทุ ธ ได้แก่ 1) นิกายเถรวาท หรอื หนี ยาน ปฏบิ ัติตามคาสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด ไมม่ ีการ เปลีย่ นแปลงพระธรรมวินยั ประเทศที่นบั ถอื ได้แก่ ไทย พมา่ ศรีลงั กา ลาว กมั พชู า 2) นิกายอาจริยวาท หรือมหายาน ดัดแปลงพระธรรมวินัยได้ ประเทศท่ีนับถือ ได้แก่ จนี ทิเบต ญี่ปุน่ เวียดนาม เกาหลี 4. หลักคาสอนของศาสนาพทุ ธ 1) อริยสจั 4 คือ ความจรงิ อันประเสรฐิ 4 ประการ ได้แก่ - ทกุ ข์ คือ ความไมส่ บายกายไม่สบายใจ - สมุทยั คือ เหตขุ องความเป็นทุกข์ ได้แก่ ตัณหา หรือความอยากในรปู แบบต่าง ๆ - นิโรธ คอื ความดับทกุ ข์ หรือนพิ พาน - มรรค คอื ข้อปฏิบตั ิเพ่ือนาไปสู่ความดบั ทุกข์ หมายถึง อริยมรรค 8 ประกอบดว้ ย 1. สัมมาทฐิ ิ คือ ความเห็นชอบ 2. สมั มาสังกปั ปะ คอื ความดาริชอบ 3. สมั มาวาจา คอื การเจรจาชอบ 4. สัมมากมั มันตะ คือ การกระทาชอบ 5. สัมมาอาชีวะ คือ การเลย้ี งชพี ชอบ 6. สมั มาวายามะ คือ ความพยายามชอบ 7. สมั มาสติ คอื การตัง้ สตชิ อบ 8. สมั มาสมาธิ คือ การตง้ั ใจชอบ อรยิ มรรค 8 เม่ือสรปุ รวมแลว้ เรยี กว่า ไตรสิกขา ซง่ึ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปญั ญา 2) ขันธ์ 5 หรือเบญจขันธ์ หมายถึง องค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ คือ ส่วนท่ีเป็นร่างกาย และสว่ นทีเ่ ป็นจติ ใจ ไดแ้ ก่ 1. รปู ขันธ์ คอื รา่ งกายและพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ยธาตุ 4 คือ ดิน นา้ ลม ไฟ 2. วญิ ญาณขันธ์ คือ ความรู้อารมณ์ท่ีผา่ นมาทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ 3. เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึก ซึ่งเป็นผลมาจากสุขเวทนา ความสุขทางกายและใจ ทกุ ขเวทนา คือ ทุกขท์ างกายและใจ อุเบกขาเวทนา คอื ความไม่ทกุ ขไ์ ม่สุขทางกายและใจ
28 : วิชาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. สญั ญาขันธ์ คือ การกาหนดได้ 6 อย่างจากวิญญาณและเวทนา คือ รปู รส กล่ิน เสียง 5. สังขารขนั ธ์ คือ ความคดิ แรงจูงใจ สภาพท่ีปรงุ แตง่ จิตใจใหค้ ิดดี คิดช่วั เปน็ ผลมาจาก วญิ ญาณและเวทนา 3) ไตรลักษณ์ หมายถงึ ลักษณะท่ัวไปของสิง่ ท้งั หลายทง้ั ปวงในโลก ได้แก่ 1. อนจิ จตา คอื ความไม่เทยี่ ง 2. ทุกขตา คือ ความเป็นทกุ ข์ 3. อนัตตา คือ ความไม่ใชต่ วั ตน หลักคาสอนของศาสนาพุทธ เปน็ หลกั คาสอนประเภทสจั นิยม คอื นิยมความจรงิ หรอื ยึดหลัก ความจริงเป็นสาคัญ หลักคาสอนที่เป็นปรัชญาสาคัญ 3 ข้อ คือ ละเว้นจากความชั่ว ทาความดี และทาจิตให้ บริสทุ ธิ์สะอาด รวมท้งั สอนเนน้ หนักในเรื่องกรรมใครทาใครก็ได้รับผล จะดีจะชั่วอยูก่ บั การกระทาของผนู้ ้ันเอง ผู้อื่นจะทาให้ใครได้รับผลย่อมไม่ได้ เหมือนรับประทานอาหาร ผู้รับประทานจะอิ่มเอง พระรัตนตรัยจัดเป็น ท่ีพ่งึ หรือสรณะสงู สดุ (สทุ ธิพร บญุ ส่ง, 2550) 2.2.2 ศำสนำอสิ ลำม ศาสนาอิสลามกาเนิดที่นครเมกกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นศาสนาประเภท เอกเทวนิยม นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ พระอัลเลาะห์ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งกฎหมายเพราะมีคัมภีร์อัลกรุอาน ที่ชัดเจนในตวั นาไปถือปฏิบัตไิ ดท้ ันที ผ้ทู น่ี ับถอื ศาสนาอิสลามเรยี กตนเองว่า มุสลมิ 1. ศาสดา คือ พระนบมี ุฮมั หมดั 2. คมั ภีร์ คือ คัมภรี ์อลั กรุ อาน เป็นคัมภรี ์ทพ่ี ระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ 3. นิกายทีส่ าคัญของศาสนาอิสลาม ไดแ้ ก่ 1) นกิ ายซุนนี จะปฏิบัติเคร่งครดั ในคมั ภีร์อลั กุรอานและคาสอนของศาสดาทสี่ ุด ใช้หมวก สขี าวเปน็ เครือ่ งหมาย 2) นิกายชีอะห์ ยกยอ่ งอาลี ใช้หมวกสแี ดงเป็นเครือ่ งหมาย 3) นิกายวาฮะบีห์ นับถือพระอัลเลาะห์เพียงองค์เดียว ไม่มีพิธีกรรมใด ๆ นอกเหนือจาก พระคมั ภีร์ 4. หลักคาสอนของศาสนาอิสลาม 1) หลกั ศรัทธา 6 ประการ 1. ศรทั ธาในพระอลั เลาะหเ์ พยี งองคเ์ ดียว ไมม่ ีแบบอย่างใด ๆ ทจ่ี ะยกข้นึ มาเทียบเคียง พระองค์ได้ 2. ศรัทธาในบรรดามลาอีกะห์ คือ เทวทูต หรือศรัทธาในศาสดาองค์ก่อน ๆ และมี ศรัทธาเช่ือม่ันว่าพระมะหะมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้าย ชาวมุสลิมจะต้องเชื่อในบรรดามะลาอีกะห์ (ทูตสวรรค์) ซึ่งมีจานวนมากและมหี น้าที่ตา่ ง ๆ กนั ทุกองคจ์ ะประกอบแตค่ วามดี ละเวน้ ความชว่ั 3. ศรัทธาในพระคัมภีร์อัลกุรอาน โดยเชื่อวา่ พระอัลเลาะหไ์ ด้ประทานมาใหเ้ ป็นคัมภีร์ สุดทา้ ยและสมบูรณท์ ่ีสุด
วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู : 29 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต ศาสนาฑูตเป็นบุคคลท่ีพระเจ้าเลือกข้ึนมาเพื่อนาคาส่ัง สอนของพระองค์ไปสู่มนุษย์ซง่ึ มีหลายคน มสุ ลมิ ทุกคนตอ้ งศรัทธาในศาสดาทุกองคท์ ่ีกลา่ วในคัมภีร์ 5. ศรัทธาในวันพิพากษาโลก ซึ่งเป็นวันท่ีมนุษย์ทุกคนจะพบกับการเปล่ียนแปลงแล้ว กลับฟืน้ ข้นึ มาใหม่ เพอื่ รบั ผลกรรมจากการกระทาทีไ่ ดท้ าไว้ ผูท้ าดีก็ไดร้ บั ผลดี ผทู้ าชั่วกจ็ ะได้รับผลรา้ ย เปน็ ตน้ 6. ศรัทธาในกฎกาหนดสภาวการณ์ของพระเจ้า คือการเช่ือว่าสภาวะของโลกและชีวิต เปน็ ไปตามอานาจของ พระอัลเลาะห์ ท่ตี งั้ ขึน้ 2) หลักปฏิบตั ิ 5 ประการ 1. การปฏิญาณตน ว่าจะศรัทธาเชื่อมั่นในและยอมรับว่าพระอัลเลาะห์เป็นพระเจ้า องค์เดียวและมีมะหะมัดเป็นศาสนาทูตของพระอัลเลาะห์ โดยต้องปฏิญาณออกมาจากจิตใจด้วยความศรัทธา อย่างแท้จรงิ แลว้ ทาอย่างสมา่ เสมอ 2. การละหมาด หรือ นมาซ คือ การแสดงความเคารพต่อพระเจ้า วันละ 5 ครั้ง คือ ย่ารุ่ง กลางวัน เย็น พลบค่า และกลางคืน โดยหันหน้าไปทางนครเมกกะฮ์ ก่อนละหมาดต้องทากายและใจ ใหส้ ะอาด สงบ การละหมาดจะชว่ ยขดั เกลาจิตใจให้บริสุทธหิ์ นกั แนน่ มน่ั คงและอดทนในการทาความดี 3. การถือศีลอด หรือ อัศศิยาม หมายถึง การละหรืองดเว้นบริโภคอาหาร ชาวมุสลิม ต้องถือศีลอดเป็นเวลา 1 เดือน เรียกว่าเดือนรอมฏอน ด้วยการงดเว้นจากการรับประทานอาหาร การด่ืม การรว่ มประเวณี การทาความช่วั ท้ังปวงตง้ั แต่พระอาทติ ยข์ ้ึนจนพระอาทิตย์ตก ซ่ึงนอกจากจะฝึกความอดทนแล้ว ยังสร้างความเทา่ เทยี มกนั หรอื ความเสมอภาคใหก้ บั มสุ ลมิ ทกุ คนดว้ ย 4. การบริจาคซะกาต หมายถึง การบริจาคทานหรือบริจาคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความ สุจริตแก่ผู้ท่ีควรรับซะกาต คือ การท่ีชาวมุสลิมจะต้องบริจาคทรัพย์สินร้อยละ 2.5 ของรายได้ต่อปี เพ่ือเอาไว้ ช่วยเหลือผู้ยากจน เป็นการทาให้สังคมของชาวมุสลิม มีสภาพดีข้ึนและยังเป็นการลดความตระหนี่และ ความเห็นแก่ตวั ของบคุ คลได้ 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ คือการไปแสวงบุญ ณ วิหารกะบะห์ ที่เมืองเมกกะ ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย ด้วยในคัมภีร์กรุอาน ได้กล่าวไว้ว่าเป็นความประสงค์ของพระอัลเลาะห์ที่ให้มุสลิมซ่ึงบรรลุ นิติภาวะ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีกาลังทรัพย์ไปบาเพ็ญพิธีฮัจญ์ เพื่อเป็นการแสดงถึงความเสมอภาคและ ความสามคั คขี องชาวมุสลิมทัว่ โลก นอกจากศรัทธา 6 ประการและหลักปฏิบัติ 5 ประการซ่ึงเป็นการปฏิบัติศาสนากิจโดยตรง ในคัมภีร์อัลกรุอานแล้ว ยังมีบัญญัติเง่ือนไขต่าง ๆ ในการดารงชีวิตท่ีชาวมุสลิมต้องปฏิบัติ เช่น การเกิด การสมรส การตาย การปฏิบัติในวันศุกร์และวันสาคัญทางศาสนา ฯลฯ อีกท้ังยังมีข้อห้ามอีกหลายประการท่ี ชาวมสุ ลมิ พงึ งดเว้น 2.2.3 ศำสนำคริสต์ ศาสนาคริสต์กาเนิดในดินแดนปาเลสไตน์หรืออิสราเอลในปัจจุบัน เป็นศาสนาประเภท เอกเทวนยิ ม นับถอื พระเจา้ องคเ์ ดียว เป็นศาสนาทม่ี ีวิวัฒนาการมาจากศาสนายูดาย จงึ มพี ระเจ้าหรือท่ีเรียกว่า พระยะโฮวาห์
30 : วชิ าคณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1. ศาสดา คือ พระเยซู ซ่งึ เป็นบุตรของโยเซพและมาเรีย 2. คมั ภรี ์ คอื คมั ภีร์ไบเบลิ ซ่งึ แบง่ ออกเป็น 2 สว่ น คือ 1) พระคัมภรี เ์ ก่า มสี าระเกย่ี วกับพระเจ้าสร้างโลก ซง่ึ ประกอบดว้ ย บทเพลง บทสวดและ สุภาษติ 2) พระคัมภีร์ใหม่ เป็นคัมภีร์ที่มีสาระเก่ียวกับประวัติและคาสอนของพระเยซู การเผยแผ่ ศาสนาของสาวก จดหมายเหตุและวิวรณ์ บน้ั ปลายชวี ิตของมนุษยชาติ 3. นกิ ายท่สี าคญั ของศาสนาคริสต์ ไดแ้ ก่ 1) นิกายโรมันคาทอลิก เป็นนิกายท่ีนับถือและปฏิบัติตามคาสอนของพระเยซู มีพิธีกรรม ท่เี คร่งครัด มสี ันตะปาปาเป็นผนู้ าศาสนาสูงสดุ ประเทศทีน่ บั ถอื ไดแ้ ก่ ฝรงั่ เศส อิตาลี เยอรมนี สเปน โปรตุเกส ฟลิ ิปปนิ ส์ ผทู้ ีน่ บั ถือเรียกตนเองว่า ครสิ ตัง 2) นิกายออร์โธดอกซ์ เป็นนิกายท่ีแยกจากนิกายโรมันคาทอลิก ด้วยเหตุผลทางการเมือง และวัฒนธรรม ประเทศที่นับถือ ได้แก่ กรีซ โรมาเนีย บัลแกเรีย สหภาพโซเวียต และประเทศในยุโรป ตะวนั ออกบางประเทศ 3) นิกายโปรแตสแตนต์ เป็นนิกายท่ีแยกมาจากนิกายโรมันคาทอลิก ผู้ก่อต้ังคือ มาติน ลเู ธอร์ พธิ กี รรมทส่ี าคัญคือ ศลี ลา้ งบาป และศลี มหาสนิท ผ้ทู นี่ ับถอื นกิ ายนีเ้ รียกว่า ครสิ เตยี น 4. หลกั คาสอนของศาสนาคริสต์ 1) หลกั คาสอน เร่อื งตรีเอกานภุ าพ คือ การนบั ถือพระเจา้ องคเ์ ดียว แบง่ เป็น 3 ภาค คือ - พระบดิ า หมายถึง พระเจ้า - พระบุตร หมายถึง พระเยซู - พระจิต หมายถึง วิญญาณบริสุทธิ์ในจติ ใจของชาวครสิ ต์ท่ีมศี รทั ธา 2) หลักคาสอนเรื่องความรัก ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งความรัก สอนให้รกั พระเจ้า รักเพอื่ นมนุษย์เหมอื นรกั ตวั เอง 3) คาสอนเรอ่ื งบัญญัติ 10 ประการ ได้แก่ 1. จงนับถอื พระเจ้าองค์เดยี ว คือ พระยะโฮวาห์ 2. อยา่ ออกนามพระเจา้ โดยไม่สมเหตุ 3. ถอื วันพระเจ้าเป็นวันศักดิ์สิทธ์ิ 4. จงนับถือบิดามารดา 5. อย่าฆา่ คน 6. อย่าผิดประเวณี 7. อย่าลักทรัพย์ 8. อย่าใส่ความนินทาว่าร้ายผอู้ นื่ 9. อยา่ คดิ มิชอบ 10. อย่าโลภในสงิ่ ของผู้อืน่
วชิ าคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู : 31 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4) อาณาจักรพระเจ้า หมายถงึ อาณาจักรแห่งจติ ใจท่มี ีพระเจา้ เป็นเปา้ หมาย 5) บาปกาหนด (Original Sin) เมื่อพระเจ้าสร้างโลกได้สร้างชายหญิง คือ อาดัมและอีฟ ให้อยู่กินกันอย่างมีความสุข ต่อมาท้ังคู่ได้ทาผิดโดยแอบไปกินผลไม้ต้องห้าม พระเจ้าจึงลงโทษโดยให้ท้ังคู่ ทามาหากินลาบากแล้วใหค้ วามผดิ นั้นตกทอดมาถึงมนุษย์ทุกคน บาปนี้จึงเรียกว่าบาปกาหนด (พณิดา กันทะเขยี ว) 5. พิธีกรรมที่สาคัญของคริสต์ศาสนา 1) พิธีศีลจุ่ม กระทาแก่ทารกเม่ือเร่ิมเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน โดยใช้น้าศักด์ิสิทธิ์เทลงบน ศรี ษะเพ่ือลา้ งบาป 2) พิธีศีลลา้ งบาป เปน็ การยืนยันวา่ ตนยอมรับนบั ถอื ศาสนาคริสตจ์ รงิ 3) พิธีศีลมหาสนิท เป็นการรับประทานขนมปังและดื่มเหล้าองุ่นเพื่อระลึกถึงเพราะเจ้า ท่ีทรงสละพระวรกายเพ่อื มนุษยจ์ ะไดห้ ลุดพน้ จากบาป 4) พิธศี ีลสมรส กระทาแกค่ ู่บา่ วสาวกอ่ นการจดทะเบียนสมรส 5) พธิ ีสารภาพบาป ต้องไปกระทาตอ่ หน้าบาทหลวงเพ่ือสารภาพบาป 6) พิธเี จมิ คร้ังสดุ ท้าย กระทาแกผ่ ูป้ ่วย 7) พิธเี ขา้ บวช เปน็ การบวชบุคคลเปน็ บาทหลวงในครสิ ตศ์ าสนา 2.2.4 ศำสนำพรำหมณ์ - ฮินดู ศำสนำพรำหมณ์ แหล่งกาเนิดในประเทศอินเดีย เป็นศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่าอารยัน เป็น ศาสนาประเภท พหุเทวนิยม มีความเชื่อเร่ืองพระเจ้าหลายองค์ โดยเฉพาะตรีมูรติ (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ) ตอ่ มาวิวัฒนาการเปน็ ศาสนาฮินดู 1. ศาสดา คือ เทพเจา้ ของศาสนาพราหมณ์ 2. เทพเจา้ สูงสุด คอื พระปรมาตมัน 3. ความเชือ่ เกย่ี วกบั ตรีมรู ติ คอื พระพรหม คือ ผสู้ รา้ ง พระวษิ ณุ (พระนารายณ์) คอื ผคู้ ้มุ ครอง และพระอิศวร (พระศิวะ) คือ ผ้ทู าลาย 4. คัมภีร์ คือ คัมภีร์พระเวท มีอยู่ 3 คัมภีร์ ถือว่าเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ท่ีสุดในโลก ต่อมาเพิ่ม อาถรรพเวทเขา้ ไป คือ 1) ฤคเวท (บทสวดสรรเสรญิ เทพเจา้ ) 2) ยชุรเวท (ค่มู ือพราหมณใ์ นการทาพิธบี ูชายัญ) 3) สามเวท (ใช้สวดขับกล่อมเทพเจ้า) 4) อาถรรพเวท (เป็นมนตค์ าถาทางไสยศาสตร์) ศำสนำฮินดู ความเชื่อของศาสนาฮินดูที่แตกต่างไปจากศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ เช่ือเร่ือง วิญญาณเป็นอนันตะ คือ เวียนว่ายตายเกิดไม่ส้ินสุดจนกว่าจะหลุดพ้นโมกษะ ให้คนที่เกิดในตระกูลพราหมณ์ กษัตริย์ ไวศยะ ปฏิบัติตามหลักอาศรม 4 อย่างเคร่งครัด และสันติสุขจะเกิดขึ้นได้ต้องมีพราหมณ์ คัมภีร์ พระเวท วรรณะ 4 ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษตั ริย์ วรรณไวศยะ (แพทย)์ และวรรณะศทู ร
32 : วชิ าคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. นกิ ายในศาสนาฮนิ ดู ได้แก่ 1) นกิ ายพรหม นบั ถือพระพรหมเปน็ เทพเจ้าสงู สดุ 2) นกิ ายไวษณพ (ลทั ธิอวตาร) นับถอื พระวิษณุ 3) นิกายไศวะ นบั ถอื พระศิวะ มีศวิ ลึงคเ์ ปน็ สัญลักษณ์ 4) นกิ ายศากติ นับถือเทพเจา้ ทเ่ี ปน็ สตรี 6. หลกั ธรรมคาสอนของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู 1) หลกั ธรรม 10 ประการ ได้แก่ 1. ธฤติ คอื ความพอใจ 2. กษมา คือ ความอดทน 3. ทมะ คือ ความขม่ ใจ 4. อัสเตยะ คือ การไม่กระทาเย่ยี งโจร 5. เศาจะ คือ ความบริสุทธิ์ 6. อินทรยี นคิ รหะ คอื การสารวมอินทรีย์ (ร่างกาย) 7. ธี คือ ความรู้ (ปัญญา) 8. วทิ ยา คอื ความรู้ (ปรชั ญา) 9. สตั ยะ คอื ความซ่ือสัตย์ 10. อโกธะ คือ ความไมโ่ กรธ 2) หลกั อาศรม 4 ได้แก่ 1. พรหมจารี คือ วยั ศึกษาเล่าเรียน 2. คฤหสั ถ์ คือ วยั ครองเรือน 3. วานปรัสถ์ คือ วยั ออกไปอยปู่ า่ 4. สันยาสี คอื วัยสดุ ทา้ ยของชีวิต ออกบวชเป็นสนั ยาสี บาเพญ็ เพียรเพอื่ ความหลุดพ้น 3) หลกั ปรมาตมนั และโมกษะ ไดแ้ ก่ 1. หลักปรมาตมัน มีความเชื่อว่า ปรมาตมัน หมายถึง พลังธรรมชาติเป็นอมตะไม่มี เบ้ืองต้นและสน้ิ สดุ สว่ นวญิ ญาณย่อยเรียกว่า อาตมนั สามารถไปรวมกบั ปรมาตมนั ได้เมื่อบรรลโุ มกษะ 2. หลักโมกษะ เป็นหลักปฏิบัติเพ่ือหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งชีวิต ด้วยการนาอาตมัน ของตนเขา้ สปู่ รมาตมนั 4) หลักปรชั ญาภควัทคตี า ได้แก่ 1. กรรมโยคะ การทาความดีโดยไมห่ วังผลตอบแทน 2. ชยานโยคะ การปฏบิ ตั เิ พ่ือให้เกิดปัญหา ความรูแ้ จ้ง 3. ภักตโิ ยคะ ความรัก ความภกั ดีอุทิศตนตอ่ พระเจ้าเพื่อนาไปสู่การหลดุ พ้น 5) หลักทรรศนะหก ได้แก่ 1. สางขยะ ทรรศนะเก่ยี วกบั ชีวิต 2. โยคะ ทรรศนะเก่ียวกบั การปฏิบัตโิ ดยสารวมอินทรยี ์ ทาจติ ใจใหบ้ ริสทุ ธิ์
วชิ าคณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู : 33 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. นยายะ ทรรศนะเกยี่ วกับความรู้ 4. ไวเศษิกะ ทรรศนะเกย่ี วกับสิง่ ท่ีมีอยจู่ ริงชัว่ นิรันดร 9 อยา่ งคือ ดิน น้า ลม ไฟ อากาศ กาลเทศะ อาตมัน มนะ 5. มางสา ทรรศนะเกย่ี วกับปรัชญาน่าเช่อื ถอื 6. เวทานตะ ทรรศนะเกี่ยวกบั อุปนษิ ทั (อุปนิษทั คอื คัมภีรใ์ นสว่ นสดุ ทา้ ยของพระเวท เปน็ คัมภรี ท์ ี่เปน็ หลกั ปรชั ญาลกึ ซึ้ง) 7. พิธกี รรมที่สาคัญของศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ประกอบด้วย 1) พธิ ศี ราทธ์ คือ พธิ ที าบญุ ให้แกญ่ าตผิ ูล้ ่วงลบั ไปแล้ว 2) พธิ ปี ระจาบ้าน ได้แก่ - พธิ ีอุปนยนั คอื พธิ เี รม่ิ การศึกษา ถ้าเป็นหญิงยกเวน้ - พิธวี วิ าหะ คือ พธิ ีแตง่ งาน 8. ข้อปฏิบัติเก่ียวกับวรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทศย์ ศูทร แต่ละวรรณะมีการดาเนิน ชีวติ ทต่ี า่ งกันจงึ ตอ้ งปฏบิ ตั ิตามวรรณะของตน เชน่ การแต่งงาน การแต่งกาย เปน็ ตน้ 9. พิธีบูชาเทพเจ้า แต่ละวรรณะจะมีการปฏิบัติต่างกันในเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานศิวะราตรี (พธิ ีลอยบาป) งานบูชาเจ้าแม่ลกั ษมี (เทวีแหง่ สมบตั แิ ละความงาม) เป็นตน้ 2.3 กำรปฏบิ ตั ิตนตำมหลักธรรมคำสอนของศำสนำตำ่ ง ๆ ทกุ ศาสนามหี ลักธรรมคาสอนทม่ี ุ่งเน้นให้ศาสนิกชนของตนเป็นผู้ปฏบิ ัติดี ดังน้ัน ไมว่ า่ จะนับถือศาสนาใด จึงไม่ใช่ประเด็นที่สาคัญ ขอเพียงแค่ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนดี ไม่คิดร้ายกับผู้อื่นก็ถือว่าปฏิบัติตามหลัก ศาสนาได้แล้ว ศาสนาทุกศาสนามีบทบาทสาคัญต่อชวี ติ ของมนษุ ย์เปน็ อยา่ งมาก เพราะศาสนามีสว่ นสาคัญต่อ การกาหนดความคดิ ความเช่อื ขนบธรรมเนยี มประเพณี และบรรทดั ฐานต่าง ๆ ทางสงั คม ศาสนาเป็นสถาบัน ที่มีบทบาทต่อมนุษย์และอยู่คู่กันมากับมนุษย์มาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ศาสนาเป็นเร่ืองของความเชื่อ ความ ศรัทธา สามารถจูงใจและผูกใจคนไว้ได้อย่างดี มนุษย์จะนาศาสนาท่ีตนนับถือติดตัวไปปฏิบัติหรือเผยแพร่ ในสถานทแ่ี ห่งใหม่ ศาสนาไมใ่ ชข่ องท่ีอยูก่ ับทแี่ ตจ่ ะอยู่ตรงทหี่ น่ึงที่ใดกต็ ่อเมื่อมนุษย์ยังไม่อพยพไปไหน บุคคลท่ี เกิดมาในศาสนาใดก็จะนับถือศาสนาน้ัน และมีความประพฤติคล้ายกับบุคคลท่ีนับถือศาสนานั้น ๆ เช่น เด็กฝรั่งหรือเด็กชาวต่างประเทศที่ถูกเล้ียงดูแบบไทยและให้นับถือศาสนาพุทธ ก็จะมีพฤติกรรมและความคิด ในแบบไทยพุทธ ศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของคนในสังคม โดยเฉพาะหลักธรรมท่ีเป็นพื้นฐานสาคญั ของการดาเนินชวี ติ ซง่ึ ทกุ ศาสนามีความสอดคล้องกนั โดยการยึดมน่ั ในการทาความดี ความสอดคล้องกันของ หลักธรรมของแต่ละศาสนาทาให้บุคคลเข้าใจกัน อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข หลักธรรมที่สามารถ นามาใช้ไดใ้ นชวี ิตประจาวัน สรุปไดด้ ังน้ี (พณดิ า กันทะเขียว) 1. การทาความดี ละเว้นความชว่ั แนวทางการปฏิบตั ิของแตล่ ะศาสนาแตกตา่ งกันแต่ทุกศาสนาก็สอน ให้ทาความดีและละเว้นความช่ัวทั้งน้ัน เช่น ศีล 5 ของศาสนาพุทธ หลักศรัทธา 6 ประการกับหลักปฏิบัติ 5 ประการของศาสนาอสิ ลาม และบญั ญตั ิ 10 ประการของศาสนาครสิ ต์ เปน็ ตน้
34 : วิชาคณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การพัฒนาตนเองและการพึ่งตนเอง ศาสนาต่าง ๆ สอนให้คนพึ่งตนเองและพัฒนาตนเองเพ่ือให้ อยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข โดยเฉพาะศาสนาพุทธท่ีมีพุทธศาสนาสุภาษิตว่า “อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ” หมายถึง ตนเป็นท่ีพ่ึงแห่งตน ศาสนาพราหมณ์มีหลักอาศรม 4 ในข้อพรหมจารี ที่ให้นักศึกษาเล่าเรียนและ ในข้อคฤหัสถท์ ่ใี ห้ปฏิบตั ติ ามหนา้ ทข่ี องตนเอง ศาสนาอิสลามสอนใหค้ นใฝ่หาความร้ตู ้ังแตเ่ กดิ จนตาย เปน็ ต้น 3. ความยตุ ิธรรม ความเสมอภาพและเสรีภาพ คาสอนของศาสนาจะเนน้ ในเร่ืองเหลา่ น้ีเพราะทุกเร่ือง จะทาให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่าสันติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชาติตระกูลไม่ได้เป็นเคร่ืองกาหนดความแตกต่างของ บุคคล คนท่ีเกิดมาเท่าเทียมกันทั้งนั้นและสอนให้ทุกคนอยู่ภายใต้อคติ 4 คือ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติและ ภยาคติ ศาสนาอิสลามก็สอนให้ดารงความยุติธรรมอย่าถือตามอารมณ์ใคร่ในการรักษาความยุติธรรม ถึงแม้ บางคร้ังจะกระเทือนต่อตนเอง บิดามารดาหรอื ญาตบิ า้ งกต็ าม 4. การเสียสละหรือการสังคมสงเคราะห์ศาสนาต่าง ๆ สอนให้มีความเสียสละเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่และ สงเคราะหซ์ ่ึงกนั และกันด้วยความเมตตากรุณาไมใ่ ชห่ วังผลตอบแทน เชน่ พทุ ธศาสนามหี ลกั ธรรมสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยาและสมานัตตตา ศาสนาอิสลามมีการบริจาคซากาตแก่ผู้ขัดสน ศาสนาคริสต์ ก็จะเนน้ ให้มนุษยเ์ สยี สละใหอ้ ภยั เอ้ือเฟื้อเผือ่ แผ่ เปน็ ต้น 5. ความอุตสาหะและความพยายาม ทุกศาสนาสอนให้คนมีความอุตสาหะ มีความเพียร ความอดทน และมีความพยายามอันจะช่วยให้บุคคลประสบความสาเร็จพร้อมท้ังพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ศาสนาพุทธมีคติ เตอื นใจวา่ ความพยายามอยทู่ ไี่ หน ความสาเรจ็ อยทู่ น่ี ัน่ หรอื หลักคาสอนอทิ ธิบาท 4 ไดแ้ ก่ ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จิตตะ วมิ ังสา ศาสนาอิสลามมีการละหมาดวนั ละ 5 คร้ังจึงถือว่าเป็นความพยายามทจ่ี ะขัดเกลาจติ ใจให้บริสุทธิ์ 6. ความรักความเมตตา คาสอนทุกศาสนาจะเน้นเรื่องความรักความเมตตา เพราะการที่คนเราจะอยู่ ร่วมกันได้อย่างสันติสุขน้ัน ความรักความเมตตาเป็นสิ่งสาคัญอีกทั้งยังเป็นจริยธรรมของศาสนาคริสต์ ส่วนใน พทุ ธศาสนากม็ พี ทุ ธศาสนสุภาษติ ทว่ี ่า เมตตาธรรมเป็นเครือ่ งคา้ จุนโลก 7. ความมคี ณุ ธรรม อดทน อดกล้ัน เกือบทกุ ศาสนามีบทบัญญตั แิ ละขอ้ ปฏิบตั ิในเรอื่ งนี้เหมอื นกัน เชน่ ศลี ของศาสนาพุทธ บญั ญัติ 10 ประการของศาสนาคริสต์ การถอื ศลี อดของศาสนาอสิ ลาม ทกุ ข้อปฏบิ ัตคิ ือการ ใหค้ นมีคุณธรรม มีความอดทนและอดกลัน้ นนั่ เอง 8. การยกย่องเคารพบิดามารดาถือเป็นหลักสาคัญของศาสนาต่าง ๆ ว่าบุพการีเป็นสิ่งควรยกย่อง ในศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่าบิดา มารดาเป็นพระพรหมของลูก ศาสนาคริสต์กาหนดไว้ในบัญญัติ 10 ประการว่า จงนับถอื บดิ า มารดา เปน็ ตน้ 9. การไม่แบ่งช้ันวรรณะ ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาเนิดชาติตระกูลไม่ได้ทาให้บุคคลเป็น พราหมณ์ เป็นกษัตริย์ เป็นพ่อค้า ความประพฤติของบุคคลเป็นเครื่องกาหนดบุคคล ทุกคนเท่าเทียมกัน ศาสนาอิสลามถือเป็นหลักสาคัญว่า หลักศรัทธาและหลักบัญญัติต้องอยู่ในเงื่อนไขการไม่แบ่งช้ันวรรณะ อยา่ งชดั เจน 10. ไม่ด่ืมสุรา ไม่เสพยาเสพติด ไม่เล่นการพนัน ไม่พูดจาขยายความอันเป็นเท็จ หรือก่อให้เกิด ความแตกแยก เปน็ พ้ืนฐานคาสอนของทกุ ศาสนาที่บัญญัติไวอ้ ยา่ งชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่ไมค่ วรทา เชน่ ศีลในศาสนา พทุ ธ บัญญตั ิ 10 ประการในศาสนาครสิ ต์ หลกั บัญญัตแิ ละข้อห้ามตา่ ง ๆ ในศาสนาอิสลาม เป็นตน้
วิชาคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู : 35 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.4 หลักคำสอนและพระบรมรำโชวำทของพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวฯ เกี่ยวกับ กำรปฏบิ ตั ิงำนครแู ละกำรนอ้ มนำไปสู่กำรปฏบิ ตั ิ ไพรัช มณีโชติ (2554) รวบรวมแนวพระราชดาริด้านการจัดการศึกษาของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เพื่อสานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อวงการศึกษา และให้ครูผู้ทาหน้าที่อบรมส่ังสอนเด็ก ควรได้ศึกษาและน้อมนาพระบรมราโชวาทและพระราชดารัสไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานและการดาเนนิ ชวี ิตใหเ้ กดิ ประโยชน์กบั ตนเองและนกั เรียนตอ่ ไป โดยมรี ายละเอียดที่สาคญั ดงั นี้ 1. ปรัชญำในกำรจัดกำรศึกษำของประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีแนวพระราชดาริ เกี่ยวกับการศึกษาโดยสรุปว่า การศึกษาเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์ทั้งใน ด้านความรู้ ความคิด จิตใจ เพ่ือให้สามารถดารงชีพอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข แล้วสามารถสร้างสรรค์สังคม สู่ความสงบได้ ดังพระบรมราโชวาทในพิธพี ระราชทานปรญิ ญาบัตรของวิทยาลัยวิชาการศึกษาในหลายแหง่ ว่า “...การให้การศึกษานั้น กล่าวโดยวัตถุประสงค์ท่ีแท้จริง คือการสร้างสรรค์ความรู้ ความคิด พร้อมท้ัง คุณสมบัติและจิตใจท่ีสมบูรณ์ ให้เกิดข้ึนในตัวบุคคล เพ่ือช่วยให้เขาสามารถดารงชีวิตอยู่ได้อย่างม่ันคงและ ราบรนื่ ท้งั สามารถบาเพญ็ ประโยชนส์ ขุ เพื่อตนเพือ่ ส่วนรวมได้ตามควรแก่อตั ภาพ...” “...การให้การศึกษา คือการแนะนาและส่งเสริมบุคคลให้มีความเจริญงอกงามในการเรียนรู้ คิดอ่าน และการกระทาตามอัตภาพของแต่ละคน โดยจุดประสงค์ในที่สดุ ให้บุคคลสามารถนาเอาความสามารถต่าง ๆ ท่ีมีในตัว ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์เก้ือกูลตน เก้ือกูลผู้อื่นอย่างสอดคล้อง ไม่ขัดแย้งเบียดเบียนแก่งแย่งกัน เพ่อื สามารถอย่รู ว่ มกนั เป็นสงั คม เป็นประเทศได้...” จะเหน็ ไดว้ ่าพระองค์ทา่ นทรงเน้นทีจ่ ะใหก้ ารศึกษาเป็นเครอ่ื งมือในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่องกันโดยเร่ิมจากตัวบุคคลให้มีความพร้อม มีความเห็นท่ีถูกต้อง รู้ความเป็นจริงและเม่ือความเป็น ปจั เจกชนมีความสมบรู ณ์แลว้ ก็ให้หยบิ ย่นื ส่ิงที่ดงี ามในตนออกมาสูส่ งั คมสว่ นรวม หากทุกอณูยอ่ ย ๆ ทสี่ มบรู ณ์ ของสังคมนี้สามารถเชื่อมสานส่ิงดังกล่าวเข้าด้วยกัน ช่องว่างหรือรอยต่อก็จะไม่เปิดให้กับส่ิงชั่วร้ายเกิดขึ้น ในสังคม ดงั นนั้ สังคมสว่ นรวมอนั หมายถงึ ประเทศชาตกิ ็จะอุดมด้วยสันติ 2. แนวทำงในกำรพัฒนำผู้เรียน การท่ีจะให้ผู้รับการศึกษามีความเจริญสมบูรณ์ดังกล่าวน้ัน พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดาริว่าลาพังจะสอนใหม้ ีความรู้ในด้านเดยี วนน้ั ไม่พอสาหรับความเจริญ ในทุกด้านของมนุษย์จะต้องให้การอบรมให้เป็นคนดี มีความรอบรู้ รู้จักเลือก รู้จักแยกแยะ มีเหตุผล สามารถ ช้ีได้ว่าส่ิงใดควรและส่ิงใดไม่ควร และประยุกต์ใช้องค์ความรู้ไปในทางท่ีถูกต้องเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง กล่าวคือ ต้องสอนให้มีความรู้เป็นเครื่องมือการทางาน และมีคุณธรรมเป็นเครื่องมือกากับการทางาน อีกชนั้ หนึง่ ดงั ในพระบรมราโชวาทในพธิ ีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นสิ ิตและนักศึกษาวิทยาลัยวชิ าการศึกษา ณ วิทยาลยั วชิ าการศกึ ษา มหาสารคาม เมอ่ื วันจนั ทรท์ ี่ 26 พฤศจกิ ายน 2516 ความตอนหนึง่ ว่า “...การท่ีจะอบรมสนับสนุนอนุชนให้ได้ผลตามความมุ่งหมายของการศึกษาน้ัน ข้าพเจ้าเห็นว่า การฝึกฝนและปลูกฝังความรู้จกั เหตุผล ความรู้จักผิดชอบชั่วดี เป็นส่ิงจาเป็นไม่น้อยกว่าการใชว้ ิชาการ เพราะ การรู้จักพิจารณาให้เห็นเหตุเห็นผล ให้รู้จักจาแนกสิ่งผิดชอบช่ัวดีได้โดยกระจ่างแจ้ง ย่อมทาให้มองบุคคล
36 : วชิ าคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… มองสิง่ ต่าง ๆ ได้ลกึ ลงไป จนเห็นความจริงในบุคคลและในส่ิงนั้น ๆ เมอ่ื ได้มองเห็นความจริงแล้ว กจ็ ะสามารถ ใช้ความรู้และวิชาการ ปฏบิ ัตงิ านทุกอยา่ งไดด้ แี ละถกู ตอ้ งยิง่ ขนึ้ เปน็ ประโยชนแ์ ก่ตนแกผ่ ู้อ่ืนไดม้ ากข้ึน...” และในพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สาเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ณ สวนอมั พร วันศุกร์ท่ี 22 มถิ นุ ายน 2522 ความตอนหน่ึงวา่ “...คนเราจะแสวงหาแต่วิชาการฝ่ายเดียวไม่ได้ ผู้มีวิชาการจาเป็นจะต้องมีคุณสมบัติในตัวเอง นอกจากวิชาความรู้ด้วย จึงจะนาตนนาชาติให้รอดและเจริญได้ คุณสมบัติพ้ืนฐานท่ีจาเป็นสาหรับทุกคนนั้น ทีส่ าคัญ ได้แก่ ความรจู้ กั ผิดชอบชว่ั ดี ความละอายชว่ั กลวั บาป ความซ่อื สัตยส์ จุ รติ ทั้งในความคิดและการกระทา ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ความไม่มักง่าย หยาบคาย กับอีกอย่างหน่ึงที่สาคัญเป็นพิเศษ คือ ความขยนั หมั่นเพียร พยายามฝกึ หัดประกอบการงานทุกอย่างด้วยตนเอง ด้วยความต้ังใจ ไม่ละเลย ไม่ทอดทิ้ง คณุ สมบตั ิเหลา่ น้ีเป็นองคป์ ระกอบทสี่ าคญั ทจ่ี ะทาให้การศกึ ษาสมบูรณเ์ ป็นประโยชน์จริง...” และทีส่ าคญั ที่สุดคือ เม่ือมคี วามรู้มีวิชาการมากพอแลว้ จะสามารถใชค้ วามร้ทู ่ีได้เรียนมาอยา่ งไรให้เกิด ประโยชน์แห่งศาสตร์น้ัน คือต้องฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชานาญ ดังในพระบรมราโชวาทในงานพระราชทาน ปรญิ ญาบัตรแกน่ ิสติ และนักศึกษาวิทยาลยั วิชาการศึกษา ณ วิทยาลัยวชิ าการศึกษา ประสานมิตร วนั พฤหัสบดี ท่ี 15 ธนั วาคม 2509 ความตอนหน่งึ ว่า “...การสอนให้นักเรียนมีความรู้ดี เป็นส่ิงสาคัญมาก แต่มีสิ่งที่สาคัญย่ิงกว่าน้ันอีก คือจะต้องฝึกหัด ให้นักเรียนรู้จักคิดพิจารณานาวิชาความรู้น้ันไปใช้ในทางท่ีถูกต้องเหมาะสมแก่งานได้ด้วย การศึกษาท่ีให้ท้ัง วชิ าการและวิธใี ช้วิชาโดยถูกต้องเช่นนี้ จงึ จะเปน็ การศึกษาที่ดีทที่ าใหบ้ ุคคลและการงานของเขาเจริญกา้ วหน้า ได้อยา่ งแทจ้ รงิ ...” ซ่ึงในการท่ีจะทาให้ผู้เรียนมีความพร้อม มีความสมบูรณ์ได้นั้น ผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้อง ดาเนินการให้มีการจัดการเรียนรู้ครบทุกด้านอย่างสมดุล ทั้งในด้านร่างกาย ด้านสังคม ด้านความรู้และด้าน ความสามารถ ดังในพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สาเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประจาปีการศึกษา 2520-2521 ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา วันจนั ทร์ท่ี 25 กนั ยายน 2521 ความตอนหน่ึงวา่ “...หน้าที่ของผู้จัดและผู้ให้การศึกษานั้น กล่าวอย่างสั้นที่สุดก็คือการ “ให้คนได้เรียนดี” เพื่อท่ีจะ สามารถทาการงานสร้างตัวและดารงตัวใหเ้ ปน็ หลักเป็นประโยชน์แกส่ ่วนรวมได้ การให้เรยี นดีนน้ั จะทาอย่างไร ข้อแรกจะต้องสอนให้มีวิชาการท่ีดีท่ีถูกต้องแน่นแฟ้น ให้มีความสามารถและมีหลักการในการปฏิบัติ ข้อสอง ต้องฝึกหัดอบรมในจิตใจและความประพฤติปฏบิ ัติ ให้รู้เหตุรู้ผลและความผดิ ชอบชัว่ ดี เพื่อมิให้นาความรู้ไปใช้ ในทางเบียดเบียนกันและกัน ข้อที่สามต้องให้มีกาลังและสุขภาพสมบูรณ์ทั้งทางกายทางใจ ผู้ท่ีได้รับการศึกษา ครบถ้วนเหมาะส่วนกันทุกด้านดังน้ี เชื่อได้ว่าจะเป็นผู้เข้มแข็งสามารถเต็มท่ีในการปฏิบัติ ท้ังทางกายและทาง ความคิดจิตใจจะกระทาหน้าท่ีการงานใดก็จะมุ่งหวังผลหวังประโยชน์ท่ีแท้จริงของหน้าที่การงานนั้นเป็นใหญ่ ไม่หลงทาง ทงั้ จะสามารถปฏบิ ตั บิ ริหารอย่างมปี ระสิทธภิ าพให้บรรลผุ ลอันสมบรู ณ์ได้ดว้ ย...” 3. คุณลักษณะของครู ผู้ที่จะทาให้กระบวนการพัฒนาดังกล่าวประสบความสาเร็จได้คือครู ซ่ึงถือ ได้ว่าเป็นปัจจัยท่ีสาคัญท่ีสุดที่จะทาให้การจัดการศึกษาเจริญรุดหน้าไปสู่เป้าหมาย พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างท่ีครูท้ังแผ่นดินต้องศึกษาและนาไปประพฤติปฏิบัติท่ีเห็นได้อย่างชัดเจน คือ
วิชาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพครู : 37 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ทรงเป็นแบบอย่างทางด้านการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากของจริง เรียนจากแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน ได้ลงมือปฏิบัติจริง ดังความตอนหน่ึงในบทความเรื่อง “โรงเรียนของในหลวง ครูแห่งแผ่นดิน” ในวารสาร ทิศไท วารสารเพื่อเยาวชนของมูลนิธิเสรมิ สรา้ งเอกลักษณ์ของชาติ ปีท่ี 1 ฉบับที่ 1 เดือนกรกฎาคม–กันยายน 2553 ทเ่ี ขยี นโดย บวั บชู า ไดบ้ อกเล่าเรื่องราวของพระองคท์ า่ นท่ีทรงมพี ระมหากรณุ าธิคณุ พระราชทานความรู้ แก่นักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวล เม่ือครั้งเสด็จพระราชดาเนินไปทรงสอนในรายการศึกษาทัศน์เป็นคร้ังแรก เมื่อวันท่ี 6 ตุลาคม 2544 ณ โรงเรียนเทศบาลบ้านเขาเต่า ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เม่ือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดาเนินไปยังฐานขุดดิน เพ่ือทรงรับการกราบบังคมทูลรายงานจาก เจ้าหน้าท่ีกรมพัฒนาท่ีดินว่า ดินชั้นนี้เป็นช้ันอะไรบ้าง มีความหนาแน่นและความลึกเท่าไร พระองค์มี พระราชดารัสถามผู้ที่ขุดดินถวาย และทรงเรียกแผนท่ีจากเจ้าหน้าท่ีเพื่อทรงตรวจสอบความถูกต้อง พระองค์ ทรงกางแผนท่ีให้ดู ทรงชี้ให้ดูว่าขุดไปที่ตรงนี้กี่เมตรจะเจอดินช้ันอะไร แสดงถึงพระปรีชาในวิชาฟิสิกส์ พระองค์ทรงอธิบายกับนักเรียนว่าดินช้ันน้ีขุดไปเป็นดินเลน ดินทราย การปลูกพืชจะไม่ดี จะต้องแก้ไขโดยใช้ ปูนขาว เพอ่ื ปรบั ความเค็มของดนิ หลงั จากนั้นเสด็จฯ มาทอ่ี ่างเก็บน้าเขาเตา่ อ.หวั หิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ เสด็จฯ ไปท่ีประตูระบายน้าเพื่อทรงสอนเร่ืองน้า มีการต้ังตู้น้า 3 ตู้ แยกเป็นตู้น้าเค็ม ตู้น้ากร่อย และตู้น้าจืด ทรงอธบิ ายเร่อื งการทดสอบความเคม็ ของน้าและคุณภาพน้าดว้ ย สคุ นธ์ทิพย์ สุกสี ศษิ ย์เก่าโรงเรยี นวังไกลกังวล เคยเป็นหน่งึ ในคณะลูกศิษยโ์ ดยตรงของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เล่าวา่ พระองค์ท่านทรงสอนวชิ าท่จี ะต้องลงมือปฏิบตั งิ านจริง เชน่ ถา้ ทานาก็ตอ้ งลงมอื ทาอย่าง จริงจัง อีกพระราชกรณียกิจหน่ึงที่เป็นแบบอย่างของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คือ พระองค์มีพระราชดาริ ให้จัดต้ังศูนย์การศึกษาเพื่อพัฒนาทั้ง 6 ศูนย์ท่ัวประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ครบทุกด้าน เป็น พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต นอกจากน้ันยังมีโครงการตามแนวพระราชดาริ โครงการส่วนพระองค์ทั้งหลายท้ังมวลน้ี พระองค์ท่านใช้วิธีศึกษาข้อมูลจากพ้ืนที่จริงแต่ละพ้ืนท่ีแต่ละแห่งอย่างละเอียดวา่ พื้นที่ใดควรใช้วธิ กี ารใด เพื่อ จะได้แก้ไขใหต้ รงกับปัญหาและความต้องการอยา่ งแทจ้ รงิ แลว้ จะทาใหด้ ูหรือสาธิตใหด้ ู ใหป้ ระชาชนนาไปเป็น ตัวอย่างเพ่ือการดารงชีพต่อไป สรุปได้ว่า ภารกิจหลักของครู คือ การให้ความรู้ทางด้านวิชาการและที่สาคัญ ยิ่งกว่า คือ การอบรมกล่อมเกลาความประพฤติปฏิบัติของนักเรียน ดังนั้น ครูจะต้องทาความเข้าใจธรรมชาติ การเรียนรู้ของนักเรียนอย่างลึกซ้ึง จึงจะพัฒนานักเรียนของตนให้เป็นบุคคลท่ีพึงประสงค์ได้ และที่จะขาด เสียมิได้เลยคือ ครูต้องประพฤติให้เป็นแบบอย่างที่ดีเพราะมิฉะนั้นจะไปสอนผู้อื่นได้อย่างไร ดังพระบรม ราโชวาทในพธิ พี ระราชทานปริญญาบัตรแกผ่ ู้สาเรจ็ การศกึ ษาจากมหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ณ สวนอมั พร วันพฤหัสบดีท่ี 21 มถิ ุนายน 2522 ทกี่ ล่าวถงึ คณุ ลกั ษณะของครูความตอนหน่ึงวา่ “...งานของครู นอกจากสอนให้รู้วชิ าการแล้ว ยังต้องฝึกฝนอบรมความประพฤติปฏบิ ัติใหแ้ ก่ศิษย์ดว้ ย งานประการหลังน้ี รู้สึกกันในเวลาน้ีว่าทาได้ลาบากยากย่ิง เลยเป็นเหตุให้หลายคนพากันละวางความสนใจ ไปเสียเฉย ๆ ผู้ท่ีรู้อุบายอันแยบคาย จะไม่มองข้ามการอบรมความประพฤติของเด็กเป็นอันขาดและย่อมจะ พยายามทางานด้านน้ี มิให้ย่อหย่อนไปกว่าการสอนวิชา เพราะเขาสามารถทาได้ คือผู้ฉลาดย่อมรู้ธรรมชาติ ของเด็กว่าเด็กวัยใด ลักษณะใด ชอบการฝึกหัดอบรมแบบใด เขาย่อมสังเกตทราบว่า เด็กวัยหน่ึงต้องหัด ต้อง ประคับประคองให้ทา จึงจะได้ผล อีกวัยหนึ่งต้องเค่ียวเข็ญ ต้องบังคับ ต้องกวดขันให้ทาจงึ จะได้ผล อีกวัยหนง่ึ ต้องแสดงเหตุผลผิดชอบชั่วดีให้เห็นก่อน เพ่ือชักนาให้ทาจึงจะได้ผล แต่ไม่ว่าจะสอนเด็กวัยใด ลักษณะใด
38 : วชิ าคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผู้สอนจะต้องลงมือประพฤติเป็นตัวอย่างด้วยตนเอง ให้ได้เห็นได้ดูอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ละเลยความประพฤติ ปฏบิ ัติทีต่ อ้ งการจะใหเ้ กิดมีในตัวเด็กเป็นอันขาด...” นอกจากน้ีแล้ว ครูยงั ตอ้ งฝึกให้นักเรียนไดร้ ู้จักคิดต่อยอดองค์ความรู้ท่ีตนได้รับการถ่ายทอดมาจากครู เพ่ือท่ีจะให้นักเรียนได้มีทักษะแสวงหาความรู้ รู้จักที่จะพัฒนาความรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นการพัฒนาความคิด ในระดับสูงของนักเรียนด้วย ดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สาเร็จการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประจาปีการศึกษา 2517-2518 ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน วนั พุธท่ี 30 มถิ ุนายน 2519 ความตอนหนง่ึ ว่า “...การเรียนวิทยาการก็เช่นกัน บุคคลจาจะต้องค่อยๆ เรียนรู้ให้เพิ่มพูนข้ึนมาตามลาดับ ให้ความรู้ ที่เพ่ิมพูนข้ึนน้ันเกิดเป็นรากฐานรองรับความรู้ที่สูงขึ้น ลึกซ้ึงกว้างขวางข้ึนต่อ ๆ ไป วิธีแสวงหาและเพ่ิมเติม ความรู้ไม่มีวิธีใดที่จะสะดวกรวดเร็วไปกว่าเรียนจากผู้ท่ีเขารู้มาก่อน เขาได้คิดพิจารณามาก่อน เพราะฉะน้ัน จึงจาเป็นต้องมีครูและครูจึงต้องสอน อนุชนผู้เป็นศิษย์จึงจะเรียนและสะสมเพิ่มพูนความรู้ต่าง ๆ ไว้ได้ เม่ือไร ศษิ ยม์ คี วามร้เู ปน็ รากฐานพอเพยี งแล้วก็จะสามารถนามาขบคดิ พิจารณาต่อไป ใหเ้ ป็นความรู้ของตนทค่ี ้นคิดขึ้น ด้วยตนเองได้ ความคิดรเิ ริ่มจะเกิดขนึ้ เองโดยไมอ่ าศัยรากฐานความรู้เดิมไม่ไดเ้ ป็นอันขาด...” ในการท่ีจะทาหน้าท่ีให้ความรู้ทางด้านวิชาการและอบรมนักเรียนให้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพได้นั้น พระองค์มีแนวพระราชดาริว่า ครูจะต้องเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ก้าวทันต่อความรุดหน้าทางวิชาการ อยู่ตลอดเวลา และต้องเป็นผู้ท่ีต้ังมั่นอยู่ในศีลธรรม มีความรัก เมตตาต่อผู้อื่น ต้องเป็นผู้ท่ีสร้างศรัทธาให้เกิด จนเป็นท่ีไว้วางใจของผู้ปกครอง ดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตและนักศึกษา วิทยาลยั วชิ าการศึกษา วนั พฤหัสบดี ที่ 13 ธันวาคม 2505 ความตอนหน่งึ วา่ “...ครู จะต้องต้ังมั่นอยู่ในหลักศีลธรรม และพยายามถ่ายทอดวิชาความรู้แก่เด็กให้ดีท่ีสุดท่ีจะทาได้ นอกจากน้ี จงวางตนให้สมกับที่เป็นครูให้นักเรียนมีความเคารพนับถือ และเป็นท่ีเลื่อมใสไว้วางใจของ ผู้ปกครองนกั เรียนดว้ ย...” ที่สาคัญพระองค์ทรงมีพระราชดารัสให้เห็นถึงคุณค่าของครู ซ่ึงครูทั้งแผ่นดินต้องระลึกและน้อมนา ไปปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา ดังพระราชดารัสพระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทาน เคร่ืองหมายเชิดชูเกียรติและเงินช่วยเหลือของมูลนิธิช่วยครูอาวุโส ในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ พระตาหนัก จิตรลดารโหฐาน วันเสารท์ ี่ 21 ตลุ าคม 2521 ความตอนหน่ึงวา่ “...ถ้าครูไมห่ ่วงประโยชนท์ ่ีควรจะหว่ งหนั ไปห่วงอานาจ หว่ งตาแหน่ง หว่ งสิทธิ และหว่ งรายไดก้ นั มาก เข้า ๆ แล้ว จะเอาจิตเอาใจที่ไหนมาห่วงความรู้ ความดี ความเจริญของเด็ก ความห่วงในสิ่งเหล่าน้ันก็จะค่อย ๆ บั่นทอนทาลายความเป็นครูไปจนหมดส้ิน จะไม่มีอะไรดีเหลือไว้พอที่ตัวเองจะภาคภูมิใจหรือผูกใจ ใครไวไ้ ด้ ความเปน็ ครูก็จะไมม่ ีคา่ เหลืออยู่ให้เปน็ ท่เี คารพบูชาอีกต่อไป...” และพระราชดารสั ในโอกาสท่ปี ระธานกรรมการประสานงานสว่ นภมู ิภาค ภาค 2 สภาสังคมสงเคราะห์ แห่งประเทศไทยนาคณะผู้แทนครูจีน เฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงินเพ่ือโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศยั ณ พระตาหนกั จิตรลดารโหฐาน วนั พธุ ที่ 8 กรกฎาคม 2524 ความตอนหนง่ึ วา่
วชิ าคณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู : 39 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… “...คาว่าครูนั้นเป็นคาที่สูงยิ่ง เพราะถือว่าเป็นผู้ท่ีได้รับการเคารพบูชาได้ ฉะน้ันได้ชื่อหรือเรียกตัวว่า เป็นครูก็จะต้องบาเพ็ญตนให้ดี บาเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ บาเพ็ญตนให้เป็นที่นับถือได้ เพราะว่าผู้ใดเป็นครู แล้วไม่บาเพญ็ ตนให้เป็นทน่ี ับถือได้ ก็เทา่ กบั บกพรอ่ ง...” โดยสรุปแล้ว คุณลักษณะเด่นของครู คือ ต้องเป็นผู้ท่ีมีความรู้ดี สอนดี และเป็นแบบอย่างที่ดี ดังท่ี กล่าวว่า ครูเป็นผู้มีปัญญาดุจดังนักปราชญ์และประพฤติปฏิบัติดุจดังผู้ทรงศีล นับได้ว่าเป็นความโชคดีของ ครไู ทยทงั้ แผน่ ดินท่ีมีต้นแบบท่ีมคี วามย่งิ ใหญ่ มีคณุ ูปการกวา่ ตาราเรยี นเลม่ ใดในโลก ที่ใหเ้ รยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งไมร่ ู้จบ เรียนรู้ได้ทุกแขนงวิชา ทุกทฤษฎี ท่ีคนทั่วโลกให้การยอมรับ ดังน้ัน ผู้ท่ีรับผิดชอบด้านการศึกษา โดยเฉพาะ อย่างยิ่งบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้เรียนมากท่ีสุดคือ ครู ควรได้น้อมนาไปศึกษาและปฏิบัติตาม ดังพระราชดารัสที่ พระองค์ทรงพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ประจาปี 2553 วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ความตอนหนึ่งว่า “...จะคดิ จะทาส่ิงใดต้องคดิ หนา้ คิดหลังให้ดีใหร้ อบคอบ ทาใหด้ ใี หถ้ ูกต้อง ข้อสาคัญจะต้องระลึกรู้โดย ตระหนักว่า ประโยชน์ส่วนรวมนั้นเป็นประโยชนท์ ี่แต่ละคนพึงยึดถือเป็นเป้าหมายหลักในการประพฤติตัวและ ปฏิบัติงาน เพราะเป็นประโยชนท์ ี่ย่ังยืนแท้จริง ซ่ึงทุกคนมีส่วนได้รับทั่วถึงกัน ความสุข…ความสวสั ดี จักได้เกิด มขี นึ้ ท้ังแกบ่ คุ คล ท้งั แก่ชาติบา้ นเมอื ง ดังทที่ ุกคนทกุ ฝ่ายตัง้ ใจปรารถนา...” “…ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างย่ิงที่จะเห็นคนไทยมีความสุขถ้วนหน้ากัน ด้วยการให้ คือ ให้ความรัก ความเมตตากัน ใหน้ ้าใจไมตรีกัน ให้อภัยกนั ใหก้ ารสงเคราะหอ์ นุเคราะห์กัน โดยม่งุ ดี มงุ่ เจริญตอ่ กัน ด้วยความ บริสุทธิ์และจริงใจ ทุกคนทุกฝ่ายจะได้สามารถร่วมมือ ร่วมความคิดอ่านกันสร้างสรรค์ความสุข ความเจริญ มั่นคงให้แก่ตน…แก่ประเทศชาติ…” (พระราชดารัสฯ พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยในโอกาสวันข้ึนปีใหม่ ประจาปี 2554 วันที่ 31 ธนั วาคม 2553) 2.5 หลักธรรมสำหรับครูทคี่ วรนำไปยึดถือและปฏิบตั ิ รัตนวดี โชติกพนิช รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับหลักธรรมสาหรับครูไว้ในหนังสือเรียนวิชาจริยธรรมและ จรรยาบรรณในวชิ าชพี ครูของมหาวทิ ยาลัยรามคาแหง โดยมีรายละเอียดที่สาคัญดังนี้ ครูอาจารย์มีบทบาทสาคัญอย่างมากในการให้การศึกษาแก่เยาวชน การที่จะเป็นครูอาจารย์ที่ดีน้ัน ควรมีสิ่งสาคัญ 3 ประการ คือ มีความรู้ในเน้ือหาวิชา มีเทคนิคการสอนท่ีดี แม่นยาในวิธีการสอน และมี คณุ ธรรมและความประพฤตดิ ี ดังนน้ั ครทู ี่ดจี ึงไมใ่ ช่มคี วามรู้อยา่ งเดียว แตจ่ ะตอ้ งมคี ุณธรรมควบคู่ไปดว้ ย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระราชทานหลักคุณธรรมสาหรับคนไทย ไว้ 4 ประการ ซึ่งคนเป็นครูควรจะถือเป็นหลักในการดาเนินชีวิตด้วย คือ “คุณธรรมท่ีทุกคนควรจะศึกษาและ น้อมนามาปฏบิ ตั ิ คอื ประการแรก คือ การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ และเปน็ ธรรม ประการทส่ี อง คอื การรู้จกั ขม่ ใจตวั เอง ฝึกใจตนเองให้ประพฤตปิ ฏิบตั อิ ยู่ในความสัตย์ ความดี ประการท่ีสาม คือ การอดทน อดกล้ัน และอดออมที่จะไม่ประพฤติล่วงทุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุ ประการใด
40 : วชิ าคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ประการท่ีส่ี คือ การรู้จักละวางความช่ัว ความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพ่ือ ประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมอื ง คุณธรรมทั้ง 4 ประการนี้ ถ้าแต่ละคนปลูกฝังและบารุงให้มีความเจริญงอกงามข้ึนโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุขความร่มเย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนาให้ม่ันคง ก้าวหน้าต่อไป ไดด้ ังประสงค์ คณุ ธรรมสาหรับครูตามแนวพระพทุ ธศาสนา ท่านพทุ ธทาสภกิ ขุ ได้มที ศั นะเกี่ยวกบั คุณธรรมครูว่า ครู ควรจะต้องมคี ุณธรรม 4 ประการ ตามพระพทุ ธองค์ ดงั น้ี 1. พระวิสุทธิคุณ คือ ครูจะต้องมีจิตใจบริสุทธิป์ ราศจากกิเลส ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ไม่อาฆาต พยาบาท รู้จกั การให้อภัย และมีมุทิตาจติ ต่อศิษย์ 2. พระปญั ญาคุณ คือ ครจู ะต้องมปี ญั ญาทเี่ ฉียบแหลม สามารถช่วยแก้ปัญหาให้ศษิ ย์ได้ 3. พระกรุณาธิคุณ คือ ครูจะต้องมีความเมตตากรุณาต่อศิษย์ 4. ขันติ คือ ครูจะต้องมคี วามอดทนต่อความเหน็ดเหนือ่ ยทั้งร่างกายและจิตใจ พระวรธัมโม ภกิ ขุ ได้กลา่ วว่า คณุ ธรรมท่ที าให้คนเปน็ ครูที่สมบรู ณ์ได้ มดี ังนี้ 1. ครตู ้องเป็นผู้ท่ีม่ันใจในเร่ืองทางวิญญาณ เพราะครูมีหน้าที่เป็นผู้นาทางวิญญาณและมีหน้าท่ียกระดับ จิตใจของเยาวชนให้สงู ขนึ้ โดยครูจะต้องถือว่าเป็นความรับผดิ ชอบของครโู ดยตรง 2. ครูต้องมีธรรมะ คือ ต้องใช้ธรรมะหล่อเล้ียงชีวิตให้ชุ่มช่ืนให้มีความอ่ิมใจ มีปิติปราโมทย์ มิฉะน้ัน ชีวิตครจู ะนา่ เบื่อหน่าย ไม่รื่นรมย์ 3. ครูต้องเป็นเสมือนพระโพธิสัตว์ คือ บุคคลผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้อ่ืน มีคติประจาใจที่ว่า ยอมลาบากเพือ่ ให้คนอ่ืนสุขสบาย เพราะครูควรยึดถอื คุณธรรมของพระโพธิสตั ว์เปน็ หลักปฏิบตั ิ คอื 1) สุทธิ คือ มีความบริสุทธิ์อยู่ในดวงจิต ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ไม่พยาบาทอาฆาตมาดร้าย มีแต่ ให้อภัยและมมี ุทิตาจิตในลกู ศิษย์ 2) ปัญญา คือ การรู้ เข้าใจ สว่างไสว รู้เหตุแห่งความเส่ือม ความเจริญของชีวิต ครูควรใช้ปัญญา เพอื่ ปรบั ปรุงและสง่ เสริมให้ลกู ศิษยด์ ้วยความเสยี สละ 3) เมตตา คอื มีความรกั ปรารถนาท่ีไมม่ ที ี่ส้ินสุด ครูจะต้องใหค้ วามเมตตาตอ่ ลูกศิษย์ แมก้ ารอบรม สง่ั สอน ตักเตือนและการลงโทษ กค็ วรใชค้ วามเมตตาเปน็ หลกั 4) ขันติ คือ การยอมอดทนตอ่ ความเหนอ่ื ยยากทัง้ กาย วาจา เพ่อื ส่งั สอนลกู ศิษย์ สาหรับคุณธรรมหรือหลักธรรมที่ครูควรยึดถือและปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างท่ีดีแก่ลูกศิษย์ โดยอาศัย หลักธรรมทเ่ี ปน็ คาสอนของพระพทุ ธเจา้ เลอื กธรรมะทีเ่ หมาะแกห่ น้าที่การงานของครู เช่น ขนั ติ (ความอดทน) สัมปชัญญะ (ความรู้สึกตัว) พรหมวิหาร 4 (ธรรมประจาใจของผู้ประเสริฐ) อิทธิบาท 4 (คุณธรรมที่นาไปสู่ ความสาเรจ็ ) อคติ 4 (ความไมเ่ ทยี่ งตรง ความลาเอยี ง) เป็นต้น เนื่องจาก คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจาชาติ ดังนั้น ผู้เป็นครู จึงควรศึกษาและนาหลักคาสอนทางพุทธศาสนามาปฏิบัติ ซึ่งมีธรรมะท่ีครูควรยึดถือและนาไปปฏิบัติ ดังตอ่ ไปนี้
วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู : 41 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1. พรหมวิหำร 4 หรือธรรมประจาใจของผู้ประเสริฐ หรือผู้มีจิตใจย่ิงใหญ่ คือ คุณธรรมท่ีควรใช้ ปกครองลกู ศิษย์ มี 4 ประการ ได้แก่ 1) เมตตา คือ มีความรัก ความปรารถนาดี มีไมตรีและต้องการช่วยให้ทุกคนได้ประโยชน์และมี ความสุข 2) กรุณา คือ ความสงสารอยากช่วยผู้อ่ืนให้พ้นทุกข์ ใส่ใจที่จะปลดเปล้ืองบาบัดความทุกข์ยาก ความเดอื ดรอ้ นของคนและสตั วท์ ั้งหลาย 3) มทุ ิตา คอื ความยินดเี มื่อผอู้ ่ืนได้ดี มีจิตใจผ่องใส แช่มช่ืนเบิกบานอยเู่ สมอและยินดีเมอ่ื ผู้อ่นื ได้ดี และเจรญิ กา้ วหน้า 4) อุเบกขา คือ ความมีใจเป็นกลาง มีจิตเท่ียงธรรม ไม่เอนเอียงด้วยความรัก ความชัง ปฏิบัติตน ตามหลักการและเหตุผล 2. อิทธิบำท 4 คือ คุณธรรมท่ีนาไปสู่ความสาเร็จ หมายถึง การทางานที่บรรลุตามวัตถุประสงค์ ซึ่ง อาจเปน็ เรอ่ื งหนา้ ท่ี การศกึ ษา รวมทัง้ ชวี ติ สว่ นตวั มีอยู่ 4 อย่าง คอื 1) ฉันทะ - ความพอใจในสงิ่ นั้น คือ พอใจรกั ทีจ่ ะเปน็ ครู ทางานด้านการสอนด้วยความชอบ ต้ังใจ ในการสอน มีการเตรียมการสอนท่ีเหมาะสมกับวัยและความแตกต่างของเด็ก มีการสอนที่ทาให้เด็กได้ทั้ง ความรู้และคุณธรรม มีเมตตากรณุ าตอ่ เดก็ ไมล่ งโทษเดก็ โดยไม่มเี หตุผล เช่น ตีเดก็ จนเกินขอบเขต ไมป่ ล่อยปละ ละเลยเม่อื เด็กทาความผิด 2) วิริยะ - เพียรประกอบสิ่งน้ัน คือ ความพยายามประกอบอาชีพครูด้วยความขยันหม่ันเพียร พยายามหาความรเู้ พม่ิ เตมิ มกี ารพฒั นาความรู้และตนเองตลอดเวลา 3) จิตตะ - เอาใจฝักใฝ่ไมท่ อดท้ิงธรุ ะ คือ เอาใจฝกั ใฝใ่ นความเป็นครู คดิ ตลอดเวลาว่า ครเู ปน็ อาชีพ ที่สาคัญในการจะพัฒนาเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ท่ีมีคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ มีความต้ังใจที่จะ ทาหน้าทค่ี รูใหด้ ีทีส่ ดุ 4) วิมังสา - การหมั่นตรึกตรองพิจารณาเหตุผลส่ิงนั้น คือ พิจารณาเหตุผลในอาชีพครูว่า ทาได้ดี มปี ระสิทธภิ าพแลว้ หรือไม่ สอนดีเพยี งใดและควรหาแนวทางใดมาปรบั ปรุงวิธกี ารสอนให้ดยี ิง่ ขึน้ 3. อคติ 4 คือ ความไมเ่ ท่ยี งตรง ความลาเอียง ผู้เปน็ ครู อาจารย์ควรละเวน้ จากอคติ 4 อยา่ ง ดงั นี้ 1) ฉันทาคติ - ลาเอียงเพราะความรัก หรือเพราะความพึงพอใจ คือ การช่วยเหลือเข้าข้างคนที่ เรารกั หรือคนท่ีสามารถให้คณุ ใหป้ ระโยชน์แก่เราได้ 2) โทสาคติ - ลาเอียงเพราะความโกรธ ความเกลียด คือ การกลั่นแกล้งให้โทษคนท่ีเราโกรธ คนท่ี เราเกลยี ดชัง ไม่ชอบ ไม่พอใจ 3) โมหาคติ - ลาเอียงเพราะความหลง ความโง่เขลา คือ การไม่พิจารณาไตร่ตรองให้ถ่องแท้ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรหรืออะไรไม่ควร หรอื ตัดสนิ โดยที่รู้ไมเ่ ทา่ ทันเหตกุ ารณ์ทีแ่ ท้จรงิ 4) ภยาคติ - ลาเอียงเพราะความกลัวหรือเพราะความเกรงใจ คือ การกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพือ่ ชว่ ยเหลือคนทีม่ ีอานาจ มีอิทธพิ ลอยู่เหนอื เรา หรือเข้าข้างเพราะความเกรงใจ
42 : วิชาคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. หลักทศพิธรำชธรรม ทศพิธราชธรรม คือ จริยวัตร 10 ประการท่ีพระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็น หลักธรรมประจาพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจาตนของผู้ปกครองบ้านเมืองให้มีความเป็นไปโดยธรรม และ ยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน จนเกิดความชื่นชมยินดี ซ่ึงความจริงแล้วไม่ได้จาเพาะเจาะจงสาหรับพระ เจ้าแผ่นดินหรือผู้ปกครองแผ่นดินเท่าน้ัน บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์กรก็พึงใช้หลักธรรม เหล่านี้ ทศพิธราชธรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ราชธรรม 10” น้ี ปรากฏอยู่ในพระสูตรขุททกนิกายชาดก ทศพิธราชธรรมทง้ั 10 ขอ้ มดี งั น้ี (สานกั งานกจิ การยตุ ิธรรม) 1. ทาน (ทาน) หมายถึง การให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์ส่ิงของแล้ว ยังหมายถึงการให้ น้าใจแกผ่ ้อู ื่นด้วย 2. ศลี (ศีล) หมายถึง ความประพฤติที่ดีงาม ทง้ั กาย วาจา และใจ ใหป้ ราศจากโทษท้ังในการปกครอง อันไดแ้ ก่ กฎหมายและนติ ริ าชประเพณี และในทางศาสนา 3. บรจิ าค (ปรจิ าค) หมายถงึ การเสยี สละความสขุ สว่ นตน เพื่อความสุขส่วนรวม 4. ความซ่ือตรง (อาชชว) หมายถึง ความซ่ือตรงในฐานะท่เี ป็นผูป้ กครอง ดารงอยู่ในสตั ยส์ ุจริต 5. ความอ่อนโยน (มัททว) หมายถึง การมีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร มีสัมมาคารวะต่อ ผ้อู าวุโส และอ่อนโยนต่อบคุ คลท่เี สมอกันและต่ากวา่ 6. ความเพยี ร (ตปํ) หมายถึง มคี วามอุตสาหะในการปฏิบัตงิ าน โดยปราศจากความเกยี จคร้าน 7. ความไม่โกรธ (อกฺโกธ) หมายถึง ความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่น แม้จะลงโทษ ผูท้ าผดิ กท็ าตามเหตุผล 8. ความไมเ่ บียดเบยี น (อวิหิงสา) หมายถงึ การไมเ่ บียดเบยี นหรือบีบค้นั ไมก่ ่อทุกขห์ รอื เบียดเบยี นผู้อืน่ 9. ความอดทน (ขันติ) หมายถึง การมีความอดทนตอ่ สิ่งท้ังปวง รักษาอาการกาย วาจา ใจ ใหเ้ รยี บร้อย 10. ความยุติธรรม (อวโิ รธน) หมายถงึ ความหนกั แน่น ถือความถกู ต้อง เทีย่ งธรรมเป็นหลกั ไม่เอนเอียง หวั่นไหวด้วยคาพูด อารมณ์ หรอื ลาภสกั การะใด ๆ ดังนน้ั หลกั ทศพธิ ราชธรรม จึงเป็นหลักธรรมสาคัญท่ีครสู ามารถนาไปยึดถือและนาไปประพฤติปฏิบัติ ให้เกดิ ประโยชน์สุขทัง้ ต่อตนเอง สงั คมและประเทศชาติได้เป็นอยา่ งดี หลักธรรมคาสอนในพระพุทธศาสนาน้นั ถือเป็นธรรมะขั้นพื้นฐานท่ีผู้เป็นครูควรจะได้นาไปยึดถือและ ปฏิบัติ เพื่อจะได้ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างท่ีดีแก่ลูกศิษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักธรรมที่สามารถนาไป ประพฤตปิ ฏบิ ตั ริ ว่ มกนั ไดท้ ุกศาสนา เชน่ ความไมเ่ หน็ แก่ตวั ขันติ โสรัจจะ และหิรโิ อตัปปะ กล่าวคือ 1. ผทู้ ่เี ป็นครูต้องมีขันติ คือ มคี วามอดทนอย่างมากในการทจ่ี ะเป็นครทู ีด่ ี 2. ผทู้ ่เี ปน็ ครูตอ้ งมีโสรัจจะ คอื ความสงบเส่ียม สารวมกาย วาจา ใจ เพอ่ื ทาหน้าท่ีและเปน็ แบบอย่าง ของครูทดี่ ี 3. ผู้ท่ีเป็นครูต้องมีหิริโอตตัปปะ คือ มีความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป กลัวท่ีจะทาความชั่ว ทุกรูปแบบ เพราะท้ังหมดนี้ ครูจะต้องทาตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ท้ังในฐานะท่ีเป็นต้นแบบและบุคคลผู้ซึ่ง สมควรแกก่ ารได้รบั ยกย่องว่าเปน็ แมพ่ ิมพ์ของชาติ
วิชาคณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู : 43 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.6 สิ่งท่คี รูควรงดเว้น หลีกเลย่ี งและไม่ควรนำไปปฏิบัติ อัศนี อาษาสิงห์ กล่าวว่า นอกจากหลักธรรมและคุณธรรมต่าง ๆ ท่ีครูควรยึดถือและปฏิบัติแล้วนั้น ยังมสี งิ่ ท่ีคนเป็นครูควรงดเว้น หลกี เล่ยี ง และไมน่ าไปปฏิบตั ิเป็นอยา่ งย่ิง ได้แก่ 1. ไร้มารยาท คือ ผู้จะทาหน้าท่ีครูน้ัน จะต้องเป็นผู้มีมารยาทอันดีงาม เป็นผู้รู้จักทานองคลองธรรม เป็นอยา่ งดี ไมเ่ ป็นคนไร้มารยาท ควรเป็นผู้มีมารยาทงามทง้ั ทเี่ ข้าสงั คมและเฉพาะสว่ นตวั 2. ขาดการเตรียมตัว ครูจะต้องตระหนักให้ดีว่าเราเป็นครู หน้าที่ของครูเบ้ืองต้นก็คือการเตรียม การสอน การเขียนแผนการสอน การกาหนดเกณฑ์หรือวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะทาการเรียนการสอนอย่างไร การเรยี นรู้ของนกั เรยี นจึงจะเป็นไปด้วยความเรยี บรอ้ ยและมปี ระสิทธิภาพ 3. มั่วในหนา้ ท่ี ครพู ึงสงั วร ระมัดระวงั ถงึ หน้าทแ่ี ละบทบาทของตนเองใหด้ ี อย่าไดแ้ สดงบทบาท หรอื หนา้ ทีท่ ีไ่ ม่ใช่ของตนเอง พูดง่าย ๆ กค็ อื การรู้จกั รกั ในหน้าที่ของตนเอง 4. มีจิตหา่ งธรรม ส่ิงท่คี รูทุกคนควรจะต้องมีในจิตใจก็คือคณุ ธรรม หากครขู าดคุณธรรมประจาใจแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ย่อมจะไม่ได้ผลหรือผลเสียต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย การทาหน้าที่ท่ีถูกต้องก็คือ การปฏบิ ัติอย่างหนึ่งเชน่ กัน หรอื การทีเ่ ราทาหนา้ ทขี่ องเราไม่ขาดก็คือการมีธรรมประจาใจได้แลว้ เช่นเดยี วกนั 5. ชอบถลาล่วงวินัย การที่จะเป็นครูท่ีดีได้จะต้องเป็นคนที่มีวินัยต่อตนเอง รู้จักรักษากฎ กติกาหรือ กฎระเบียบต่าง ๆ โดยเร่ิมต้นจากการตรงต่อเวลา มาปฏิบัติงานตามเวลาท่ีสถานศึกษากาหนด เข้าสอนตาม ตารางเวลาท่ีกาหนด ไม่ออกก่อนเวลา ไม่ทอดท้ิงหรือละท้ิงหน้าท่ีของตนเอง จะออกจากโรงเรียนก่อนเวลา ท่ีกาหนดต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่คิดจะไปไหนก็ไปตามอาเภอใจ ต้องปฏิบัติตนตามระเบียบของ ทางราชการอยา่ งเครง่ ครดั 6. มีใจเรรวน แม่พิมพ์ของชาติจะต้องเป็นผู้มีใจหนักแน่นแน่นอนในการให้ความรู้ ไม่มีจิตใจเรรวน เปล่ียนไปเปลี่ยนมา ข้อน้ีหมายถึงครูจะต้องเป็นผู้มีเหตุผลในการตัดสินปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ เหตุการณท์ ่เี กดิ ขนึ้ หรือสิ่งท่ีเกยี่ วขอ้ งกับงานวิชาการตา่ ง ๆ 7. ไม่ชวนสร้างสรรค์ คือ ครูจะต้องเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักปรับตัวเข้ากับสังคม เทคโนโลยี หรือคนอื่น รู้จักการพัฒนาให้มีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งในกระบวนการเรียนการสอน การทางานเป็นทีมร่วมกับ ครูคนอืน่ รวมไปถึงการพัฒนาโรงเรยี นในดา้ นตา่ ง ๆ 8. ขยันแซวศิษย์ การทาหน้าท่ีของครูท่ีดีน้ัน ข้อสาคัญอีกประการหน่ึงคือ อย่าได้ทาตัวเป็นหนุ่มโสด สาวโสด เพ่ือหวังอะไรบางอย่างกับลูกศิษย์ คนเป็นครูต้องคิดเสมอว่าเราจะให้ความรู้แก่ลูกศิษย์เสมอกันหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ผหู้ ญงิ หรือผู้ชาย นนั่ คือต้องไมม่ อี คติกบั ลกู ศษิ ย์คนใด ไมว่ ่าลกู ศิษย์คนนน้ั จะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ชวี ิตคือการตอ่ สู้ เราจะต้องพยายามประกอบคณุ งามความดี ไม่วา่ เราจะอยใู่ นอาชีพใด จะต้องพยายามรักษาความดีเอาไว้ รักศักด์ิศรีของตนเอง การเป็นครูน้ัน ใช่ว่าจะเป็นงานไม่หนัก แต่หากเรา ทาเป็นประจาอยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นความเคยชิน ไม่มีความหนักหนาอะไร การประกอบอาชีพอะไรสักอย่าง หากทาด้วยความรักและศรัทธาในอาชีพของตนแล้ว ผลที่ออกมาย่อมเป็นท่ีประทับใจ และน่าภาคภูมิใจ เปน็ อย่างย่ิง ขอให้คนท่ีเปน็ ครูนาเอาคุณธรรมท่ีกล่าวมาน้ีไปประพฤติปฏิบตั ิตาม เพ่อื ความสมบูรณ์แห่งหน้าที่ เพ่ือความเป็นครูที่ดี เมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราควรลดความเห็นแก่ตัวลงบ้าง ควรเฉล่ียประโยชน์ แกส่ ว่ นรวมบ้าง ดว้ ยการคิดให้แก่คนอืน่ ควรเปน็ ผยู้ นิ ดใี นการให้ เพราะผใู้ หย้ อ่ มเป็นที่รกั ของผ้รู ับ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118