Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ilovepdf_merged

ilovepdf_merged

Published by Nantiya Klingnonsong, 2022-05-29 12:30:42

Description: ilovepdf_merged

Search

Read the Text Version

หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เอกสารประกอบหลกั สตู รสถานศกึ ษา โรงเรียนบา้ นบึงทับช้าง พทุ ธศักราช 2565 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) สำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 1 สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

ก คำนำ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับนี้ เป็นเอกสารประกอบหลักสูตร สถานศึกษา โรงเรียนบ้านบึงทับช้าง พุทธศักราช ๒๕๖๕ จัดทำเพื่อเป็นกรอบและทิศทางในการจัดการเรียนการ สอนในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้ตรงตามมาตรฐานตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยพิจารณาตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับ ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)มอี งคป์ ระกอบ ดังต่อไปน้ี - วิสัยทัศน พันธกิจ และเปาประสงค - สมรรถนะสำคัญของผูเรียน และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค - สาระและมาตรฐานการเรยี นรู - ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร - คณุ ภาพผูเรยี น - ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรูแกนกลาง - โครงสรางหลักสูตรกลุมสาระการเรียนรูกลุมสาระการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตร - คำอธิบายรายวชิ า - โครงสรางรายวชิ า - ส่ือ/แหลงเรียนรู - การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ คณะผูจัดทําขอขอบคุณผูที่มสี วนรวมในการพัฒนาและจัดทำหลักสูตรกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ฉบบั น้ี จนสำเร็จลลุ วงเปนอยางดี และหวงั เปนอยางยิ่งวาจะเกิดประโยชนตอการจดั การเรยี นรูใหกบั ผูเรยี นตอไป กลมุ สาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี คณะผูจดั ทำ

สารบัญ ข เรอ่ื ง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สาระสำคญั 1 วสิ ัยทศั น์ พันธกจิ และเป้าประสงค์ 2 สมรรถนะของผู้เรยี น และคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 4 สาระและมาตรฐานการเรยี นรูวิทยาศาสตร์ 5 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 6 คุณภาพผูเรียน 8 โครงสร้างหลกั สตู รสถานศกึ ษา 10 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 11 คำอธบิ ายรายวชิ าและโครงสร้างรายวิชา 43 สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้ 91 เกณฑ์จบการศึกษา 92 เอกสารอา้ งอิง 104 อภิธานคำศพั ท์ 106

1 สาระสำคัญ หลักสูตรกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านบึงทับช้าง พุทธศักราช ๒๕๖5 จัดทำขึ้นโดยยึดมาตรฐาน ตัวชี้วัด กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) มุ่งหวังใหผูเรียนไดเรียนรูวิทยาศาสตรที่ เน้นการเชือ่ มโยงความรูกับกระบวนการ มีทักษะสำคญั ในการคนควาและสรางองคความรู โดยใชกระบวนการใน การสบื เสาะหาความรูและแกปญหาที่หลากหลาย ใหผเู รียนมีสวนรวมในการเรียนรู ทุกขัน้ ตอน มีการทำกิจกรรม ด้วยการลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ อยางหลากหลาย เหมาะสมกับระดบั ช้ัน โดยกำหนดสาระสำคัญ ดงั น้ี ๑. วิทยาศาสตรชีวภาพ เรียนรูเกีย่ วกับ ชีวิตในสิ่งแวดลอม องคประกอบของสิ่งมีชีวิตการดำรงชีวิตของ มนษุ ยและสัตวการดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และววิ ัฒนาการของสิ่งมีชวี ติ ๒. วิทยาศาสตรกายภาพ เรียนรูเกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารการเคลื่อนที่ พลงั งาน และคล่ืน ๓. วิทยาศาสตรโลกและอวกาศ เรียนรูเกี่ยวกับ องคประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ ภายในระบบสรุ ิยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณวี ทิ ยา กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลมฟาอากาศ และผลต่อ สงิ่ มชี ีวิตและส่งิ แวดลอม ๔. เทคโนโลยี ๔.๑ การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรูเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวิต ในสงั คมท่ีมีการเปล่ียนแปลง อยางรวดเรว็ ใชความรูและทกั ษะทางดานวิทยาศาสตร คณิตศาสตร และศาสตรอื่นๆ เพื่อแกปญหาหรือพัฒนา งานอยางมีความคิดสรางสรรคดวยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรมเลือกใชเทคโนโลยีอยางเหมาะสมโดย คำนงึ ถงึ ผลกระทบตอชวี ติ สงั คม และสิ่งแวดลอม ๔.๒ วิทยาการคำนวณ เรยี นรูเก่ียวกบั การคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะหแกปญหาเปนขนั้ ตอนและ เปนระบบ ประยกุ ตใชความรูดานวทิ ยาการคอมพิวเตอรและเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร ในการแกปญหา ท่พี บในชวี ติ จรงิ ไดอยางมปี ระสิทธิภาพ

2 วสิ ยั ทัศน์ พนั ธกิจ และเป้าประสงค์ วสิ ัยทัศน์ โรงเรียนบ้านบึงทับช้างเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ นักเรียนมีสุขภาพดี มีคุณธรรมและคุณภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน โดยครูมอื อาชีพและชุมชนมสี ่วนรว่ ม ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง พนั ธกิจ ๑. ยกระดบั คณุ ภาพการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ๒. จัดการศึกษามุงเนนการพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแกปญหาทาง วิทยาศาสตร การจัดการ ทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจโดยใชเทคโนโลยี ตลอดจนสราง ทัศนคตทิ ่ดี ีดานการเรยี นรูทกั ษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร ๓. พฒั นาศักยภาพของครแู ละนกั เรียนตามแนวทางของการปฏิรปู การศึกษาใหทันกบั โลกปจจบุ ัน เป้าประสงค์ ๑. ยกระดับผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร ๒. ผูเรียนความสามารถพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ มีความสามารถในการแกปญหา การ จัดการทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจเพือ่ นำความรูความเขาใจในเรื่องวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยไี ปใชใหเกิดประโยชนตอสงั คม และการดำรงชวี ิต ๓. ครูผูสอนมีความรูความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อใหผูเรียนเกิดทักษะที่สำคัญ เพื่อ เตรยี มความพรอมเดก็ ในศตวรรษที่ ๒๑ สมรรถนะสำคญั ของผเู รยี น และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผูเรยี น ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เปนความสามารถในการรับและสงสาร มีวัฒนธรรมในการใชภาษา ถา่ ยทอดความคดิ ความรูความเขาใจ ความรูสกึ และทศั นะของตนเองเพ่อื แลกเปล่ียนขอมลู ขาวสารและประสบ การณอันจะเปนประโยชนตอการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาตอรองเพื่อขจัดและลดปญหาความ ขัดแยงตาง ๆ การเลือกรับหรือไมรบั ขอมูลขาวสารดวยหลกั เหตุผลและความถูกตอง ตลอดจนการเลอื กใชวธิ กี าร สอ่ื สาร ที่มปี ระสิทธิภาพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบท่ีมีตอตนเองและสังคม ๒. ความสามารถในการคิด เปนความสามารถในการคิดวิเคราะห การคิดสังเคราะหการคิด อยางสราง สรรค การคิดอยางมีวิจารณญาณ และการคิดเปนระบบ เพื่อนำไปสูการสรางองคความรูหรือสารสนเทศเพ่ือการ ตดั สินใจเกี่ยวกบั ตนเองและสังคมไดอยางเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแกปญหา เปนความสามารถในการแกปญหาและอุปสรรคตาง ๆที่เผชิญไดอยาง ถูกตองเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและขอมูลสารสนเทศ เขาใจความสัมพันธและการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณตาง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู ประยุกตความรูมาใชในการปองกันและแกไขปญหา และมีการตัดสนิ ใจทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบทเ่ี กิดข้ึนตอตนเอง สงั คมและสง่ิ แวดลอม

3 ๔. ความสามารถในการใชทักษะชีวิต เปนความสามารถในการนำกระบวนการตาง ๆ ไปใชในการดำเนิน ชีวติ ประจำวัน การเรียนรูดวยตนเอง การเรยี นรูอยางตอเนื่อง การทำงาน และการอยูรวมกนั ในสงั คมดวยการสราง เสริมความสัมพันธอันดีระหวางบุคคล การจัดการปญหาและความขัดแยงตาง ๆ อยางเหมาะสม การมีเหตุผล กตัญญูกตเวที การปรับตัวใหทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดลอม และการรูจักหลีกเลี่ยง พฤติกรรมไมพงึ ประสงคทีส่ งผลกระทบตอตนเองและผอู นื่ การรกั และภูมใิ จในความเปนไทยและรักษทองถิ่น ๕. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี เปนความสามารถในการเลือก และใช เทคโนโลยีดานตาง ๆ และมี ทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในดานการเรียนรู การสื่อสาร การทำงาน การ แกปญหาอยางสรางสรรค ถกู ตอง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน มุ่งพัฒนาผูเ้ รียนให้มคี ณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์เพื่อให้สามารถอยู่ ร่วมกบั ผูอ้ น่ื ในสงั คมได้อย่างมคี วามสุขในฐานะเปน็ พลเมอื งไทยและพลโลก ดังนี้ ๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ ๒. ซ่อื สตั ยส์ จุ รติ ๓. มีวินัย ๔. ใฝเ่ รียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. ม่งุ ม่นั ในการทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มจี ติ สาธารณะ

4 สาระและมาตรฐานการเรยี นรูกลมุ สาระการเรียนรวู ิทยาศาสตร แผนภาพสาระและมาตรฐานการเรียนรกู ลุมสาระการเรยี นรูวิทยาศาสตร์ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2/1-ว 2/2 สาระท่ี 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และ วิทยาศาสตร์โลกและ ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1/1-ว 1/3 เทคโนโลยี อวกาศ มาตรฐาน ว 3/1-ว 3/3 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4/1-ว 4/2 วิทยาศาสตรเพ่ิมเติม - สาระชวี วิทยา - สาระเคมี - สาระฟสิกส - สาระโลก ดาราศาสตร และอวกาศ วิทยาศาสตรเพม่ิ เติม สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟสิกส และสาระโลก ดาราศาสตร และอวกาศ จัดทำข้นึ สำหรบั ผูเรยี นใน ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย แผนการเรยี นวิทยาศาสตรท่ีจำเปนตองเรยี น เพื่อเปนพ้นื ฐานสำคัญ และเพียงพอสำหรบั การศึกษาตอ และการประกอบอาชพี ดานวทิ ยาศาสตร์

5 สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มชี ีวิตกับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธร์ ะหวา่ งสิง่ มีชวี ิตกับส่งิ มีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ยี นแปลงแทนที่ ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบทม่ี ตี อ่ ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม แนวทาง ในการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปัญหาส่งิ แวดลอ้ ม รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชวี ิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชวี ิต การลำเลยี งสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนษุ ยท์ ีท่ ำงานสัมพนั ธ์กนั ความสมั พันธ์ ของโครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพชื ท่ีทำงานสมั พันธก์ นั รวมทงั้ นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สงิ่ มชี วี ิต รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบัตขิ องสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลื่อนทแี่ บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพนั ธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ารวมทงั้ นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทงั้ ปฏสิ มั พันธ์ภายในระบบสุรยิ ะท่ีสง่ ผลตอ่ สิ่งมีชวี ติ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายใน โลกและบนผวิ โลก ธรณพี บิ ตั ิภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อส่ิงมีชีวิต และสง่ิ แวดล้อม สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพ่อื การดำรงชวี ติ ในสังคมทมี่ ีการเปล่ียนแปลงอยา่ ง รวดเร็ว ใช้ความร้แู ละทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์อนื่ ๆ เพ่อื แก้ปญั หาหรือพัฒนางาน อย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถึง ผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสง่ิ แวดล้อม

6 มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปญั หาท่ีพบในชวี ิตจริงอยา่ งเป็นข้ันตอนและ เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทนั และมีจริยธรรม ทกั ษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การศึกษาทางวิทยาศาสตรคือ การศึกษาเกยี่ วกับทุก ๆ สิง่ ทีอ่ ยูรอบตวั อยางมีระเบยี บแบบแผน เพื่อใหได ขอสรุปและสามารถนำความรูทไ่ี ดมาอธบิ ายปญหาตาง ๆ ซึ่งการจะตอบหรอื อธบิ ายปญหาทส่ี งสัยไดนนั้ จำเปนตอง มที ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร (science process skill) หมายถึง ความสามารถและความชำนาญ ในการคิด เพื่อคนหาความรู และการแกไขปญหา โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร อาทิ การสังเกต การวัด การคำนวณ การจำแนก การหาความสัมพันธระหวางสเปสกับเวลา การจัดกระทำ และส่ือความหมายขอมูล การ ลงความคิดเห็น การพยากรณการตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยาม การกำหนดตัวแปร การทดลอง การวิเคราะห และแปรผลขอมูลการสรุปผลขอมูลไดอยางรวดเรว็ ถกู ตอง และแมนยำ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ๑๓ ทักษะแบงเปน ๒ ระดบั คือ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข้ันพ้นื ฐาน ๘ ทกั ษะ และทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรขน้ั บรู ณาการ ๕ ทกั ษะ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรขนั้ พนื้ ฐาน ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขัน้ พน้ื ฐาน เปนทักษะเพ่อื การแสวงหาความรูทัว่ ไป ประกอบดวย ๘ ทักษะ ทักษะที่ ๑ การสังเกต (Observing) หมายถึง การใชประสาทสัมผัสของรางกายอยางใดอยางหน่งึ หรอื หลายอยาง ไดแก หู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส เขาสัมผัสกับวัตถุหรือเหตุการณเพื่อใหทราบ และรับรูขอมูล รายละเอียดของสิ่งเหลานัน้ โดยปราศจากความคิดเห็นสวนตน ขอมูลเหลาน้ีจะประกอบดวย ขอมูลเชิงคุณภาพ เชงิ ปรมิ าณ และรายละเอยี ดการเปล่ยี นแปลงท่ีเกดิ ขึ้นจากการสังเกต ทกั ษะท่ี ๒ การวดั (Measuring) หมายถึง การใชเครอ่ื งมือสำหรับการวัดขอมูลในเชิงปรมิ าณของสง่ิ ตาง ๆ เพื่อใหไดขอมูลเปนตวั เลขในหนวยการวัดที่ถูกตอง แมนยำได ทั้งน้ี การใชเคร่ืองมอื จำเปนตองเลือกใชให เหมาะสมกับสิง่ ทีต่ องการวดั รวมถึงเขาใจวธิ กี ารวดั และแสดงขัน้ ตอนการวดั ไดอยางถกู ตอง ทักษะที่ ๓ การคำนวณ (Using numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุ และการนำตัวเลขที่ได จากนบั และตวั เลขจากการวัดมาคำนวณดวยสูตรคณิตศาสตร เชน การบวก การลบการคณู การหาร เปนตน โดย การเกิดทักษะการคำนวณจะแสดงออกจากการนับที่ถูกตองสวนการคำนวณจะแสดงออกจากการเลือกสูตรคณติ ศาสตร การแสดงวิธีคำนวณ และการคำนวณท่ถี กู ตอง แมนยำ ทักษะที่ ๔ การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การเรียงลำดับ และการแบงกลุมวัตถุหรือ รายละเอียดขอมูลดวยเกณฑความแตกตางหรอื ความสัมพนั ธ์ใดๆ อยางใดอยางหน่งึ ทักษะที่ ๕ การหาความสัมพันธระหวางสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Usingspace/Time relationships) สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่วางทีว่ ตั ถุนัน้ ครองอยู ซึ่งอาจมีรูปรางเหมือนกันหรือแตกตางกับวตั ถุ นัน้ โดยท่ัวไปแบงเปน ๓ มติ ิ คอื ความกวาง ความยาว และความสงู ความสัมพันธระหวางสเปสกบั สเปสของวัตถุ ไดแก ความสัมพันธระหวาง ๓ มิติ กับ ๒ มิติความสัมพันธระหวางตำแหนงที่อยูของวตั ถุหนึ่งกับวตั ถุหนึ่ง ความ

7 สัมพนั ธระหวางสเปสของวัตถุกับเวลา ไดแก ความสัมพนั ธของการเปลยี่ นแปลงตำแหนงของวัตถุกับชวงเวลา หรือ ความสัมพนั ธของสเปสของวัตถุที่เปลยี่ นไปกับชวงเวลา ทักษะที่ ๖ การจัดกระทำ และสื่อความหมายขอมูล (Communication) หมายถึงการนำขอมูลที่ได จากการสังเกต และการวัด มาจัดกระทำใหมีความหมาย โดยการหาความถี่ การเรียงลำดับ การจัดกลุม การ คำนวณคา เพื่อใหผูอื่นเขาใจความหมายไดดีขึ้น ผานการเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ วงจร เขียนหรือ บรรยาย เปนตน ทกั ษะท่ี ๗ การลงความเหน็ จากขอมลู (Inferring) หมายถงึ การเพิ่มความคิดเหน็ ของตนตอขอมูลท่ีได จากการสงั เกตอยางมีเหตุผลจากพ้ืนฐานความรูหรือประสบการณที่มี ทักษะท่ี ๘ การพยากรณ (Predicting) หมายถึง การทำนายหรอื การคาดคะเนคำตอบโดยอาศัยขอมูลที่ ไดจากการสังเกตหรือการทำซ้ำ ผานกระบวนการแปรความหายของขอมูลจากสัมพันธภายใตความรูทาง วิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรขน้ั บรู ณาการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรขั้นบรู ณาการ เปนทักษะกระบวนการขัน้ สูงท่ีมีความซับซอนมากขนึ้ เพอื่ แสวงหาความรู โดยใชทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรขนั้ พนื้ ฐานเปนพ้ืนฐานในการพฒั นา ประกอบดวย ๕ ทกั ษะ ทกั ษะท่ี ๙ การตั้งสมมติฐาน (Formulating hypotheses) หมายถึง การตง้ั คำถามหรือคิดคำตอบลวง หนากอนการทดลองเพื่ออธิบายหาความสัมพันธระหวางตัวแปรตาง ๆ วามีความสัมพันธอยางไร โดยสมมติฐาน สร้างขนึ้ จะอาศยั การสงั เกต ความรู และประสบการณภายใตหลักการ กฎ หรือทฤษฎีท่ีสามารถอธิบายคำตอบได้ ทักษะที่ ๑๐ การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining operationally) หมายถึงการกำหนดและ อธิบายความหมาย และขอบเขตของคำตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับการศึกษา หรือการทดลองเพื่อใหเกิดความเขาใจ ตรงกันระหวางบุคคล ทักษะที่ ๑๑ การกำหนด และควบคุมตัวแปร (Identifying and controllingvariables) หมายถึง การบงช้ี และกำหนดลักษณะตัวแปรใด ๆใหเปนเปนตวั แปรอิสระหรอื ตวั แปรตน และตวั แปรใด ๆ ใหเปนตัวแปร ตาม และตัวแปรใด ๆ ใหเปนตัวแปรควบคมุ ทักษะที่ ๑๒ การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบตั ิ และทำซ้ำในขั้นตอนเพือ่ หา คำตอบจากสมมตฐิ าน แบงเปน ๓ ขัน้ ตอน คือ ๑. การออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองกอนการทดลองจริง ๆ เพื่อกำหนดวิธีการ และขั้นตอนการทดลองที่สามารถดำเนินการไดจริง รวมถึงวิธีการแกไขปญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นขณะทำการ ทดลองเพื่อใหการทดลองสามารถดำเนินการใหสำเรจ็ ลลุ วงดวยดี ๒. การปฏิบตั ิการทดลอง หมายถึง การปฏบิ ตั กิ ารทดลองจริง ๓. การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกขอมูลที่ไดจากการทดลองซึ่งอาจเปนผลจากการ สังเกต การวัดและอืน่ ๆ ทักษะที่ ๑๓ การตีความหมายขอมูล และการลงขอมูล (Interpreting data andconclusion) หมายถึง การแปรความหมายหรือการบรรยายลักษณะและสมบัติของขอมูลที่มีอยูการตีความหมายขอมูลใน บางคร้งั อาจตองใชทักษะอืน่ ๆ เชน ทักษะการสงั เกต ทักษะการคำนวณ

8 คณุ ภาพผ้เู รียน จบชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๓ ✧ เขา้ ใจลกั ษณะทัว่ ไปของสงิ่ มชี ีวติ และการดำรงชวี ติ ของสงิ่ มีชีวติ ที่หลากหลายในสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น ✧ เขา้ ใจลักษณะท่ีปรากฏและการเปล่ยี นแปลงของวสั ดุรอบตัว แรงในธรรมชาติ รูปของพลังงาน ✧ เข้าใจสมบัตทิ างกายภาพของดิน หนิ นำ้ อากาศ ดวงอาทิตย์ และดวงดาว ✧ ตง้ั คำถามเกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ วัสดุและสงิ่ ของ และปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ รอบตวั สงั เกต สำรวจตรวจสอบ โดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย และสอื่ สารสิ่งท่เี รียนรดู้ ว้ ยการเล่าเรือ่ ง เขยี น หรอื วาดภาพ ✧ ใช้ความรแู้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ในการดำรงชวี ิต การศกึ ษาหาความรเู้ พม่ิ เติม ทำโครงงาน หรอื ชนิ้ งานตามท่ีกำหนดให้ หรอื ตามความสนใจ ✧ แสดงความกระตือรือรน้ สนใจที่จะเรยี นรู้ และแสดงความซาบซ้งึ ต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว แสดงถงึ ความ มเี มตตา ความระมัดระวงั ตอ่ ส่ิงมีชวี ิตอนื่ ✧ ทำงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนเป็นผลสำเร็จ และทำงาน รว่ มกับผอู้ ่นื อยา่ งมีความสุข จบชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ ๖ ✧ เข้าใจโครงสร้างและการทำงานของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตท่ี หลากหลายในส่งิ แวดลอ้ มท่แี ตกตา่ งกนั ✧ เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะของสาร สมบัติของสารและการทำให้สารเกิดการ เปลย่ี นแปลง สารในชีวติ ประจำวัน การแยกสารอยา่ งง่าย ✧ เขา้ ใจผลท่เี กดิ จากการออกแรงกระทำกับวตั ถุ ความดัน หลกั การเบื้องต้นของแรงลอยตัว สมบัติและ ปรากฏการณเ์ บือ้ งตน้ ของแสง เสยี ง และวงจรไฟฟา้ ✧ เข้าใจลักษณะ องค์ประกอบ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ ความสัมพันธ์ของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจนั ทร์ท่มี ีผลตอ่ การเกดิ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ ✧ ตง้ั คำถามเก่ยี วกับส่ิงท่จี ะเรียนรู้ คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้ เครื่องมือ อุปกรณ์ วิเคราะหข์ ้อมลู และส่อื สารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบ ✧ ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต และการศึกษาความรู้เพิ่มเติม ทำ โครงงานหรือชิ้นงานตามทีก่ ำหนดใหห้ รือตามความสนใจ ✧ แสดงถงึ ความสนใจ มงุ่ มน่ั รบั ผิดชอบ รอบคอบและซ่ือสตั ยใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ ✧ ตระหนกั ในคุณคา่ ของความรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิ ในผลงานของผู้คิดค้น

9 ✧ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อมอยา่ งรคู้ ุณคา่ ✧ ทำงานรว่ มกบั ผู้อน่ื อย่างสรา้ งสรรค์ แสดงความคดิ เหน็ ของตนเองและยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผอู้ น่ื

10 โครงสรา้ งหลักสูตรสถานศึกษา ด้วยโรงเรียนโรงเรียนบ้านบึงทับช้างเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เปิดเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลปีที่ ๑ ถึง ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๖ ในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พุทธศักราช ๒๕๖5 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง 2560) นั้นโรงเรียนได้ ดำเนนิ การจดั ทำหลกั สตู รสถานศึกษาข้ันพ้นื ฐาน โดยไดก้ ำหนดรายละเอียดของโครงสรา้ งเวลาเรยี นหลักสูตรของ โรงเรียนบา้ นบึงทบั ชา้ งไว้ดงั นี้ ๑. โครงสร้างเวลาเรียนหลักสูตรโรงเรียนบ้านบงึ ทับช้าง ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง 2560) กำหนดโครงสรา้ งเวลาเรียน ดงั นี้ เวลาเรยี น(ชัว่ โมง/ปี) กลมุ่ สาระการเรยี นร้/ู กจิ กรรม ระดบั ประถมศกึ ษา ป.๑ ป.๒ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖  กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ คณติ ศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ประวตั ศิ าสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ สุขศึกษาและพลศึกษา ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ 4๐ 4๐ ศิลปะ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ การงานอาชีพ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ภาษาตา่ งประเทศ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ 120 12๐ 12๐ รวมเวลาเรยี น (พน้ื ฐาน) ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐  รายวชิ าเพิ่มเตมิ การปอ้ งกนั การทุจรติ 40 40 40 40 40 40 ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอ่ื สาร - - - 80 80 80 รวมเวลาเรยี น (เพิ่มเติม) 40 40 40 120 120 120  กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ กิจกรรมนกั เรยี น - กจิ กรรมลูกเสอื /เนตรนารี ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ - ชมุ นุม ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ กิจกรรมเพอื่ สังคมและสาธารณประโยชน์ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ รวมเวลาเรียนทง้ั หมด 1,000 ชวั่ โมง/ปี 1,080 ชว่ั โมง/ปี

11 สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งไมม่ ีชีวติ กบั สิง่ มีชวี ิต และความสัมพันธ์ระหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ กับสงิ่ มีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอด พลงั งาน การเปลย่ี นแปลงแทนท่ใี นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ ผลกระทบท่ีมีต่อทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ กั ษ์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการแก้ไขปญั หาสิง่ แวดล้อม รวมทงั้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ชนั้ ตัวชี้วัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.๑ ๑. ระบุช่ือพืชและสตั วท์ ี่อาศยั อยบู่ ริเวณต่าง • บริเวณต่าง ๆ ในทอ้ งถน่ิ เชน่ สนามหญา้ ใต้ ๆ จากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ ต้นไม้ สวนหยอ่ ม แหลง่ น้ำ อาจพบพชื และสตั ว์ ๒. บอกสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมกบั การ หลายชนิดอาศยั อยู่ ดำรงชีวิตของสัตว์ในบริเวณที่อาศยั อยู่ • บริเวณท่ีแตกตา่ งกนั อาจพบพืชและสัตว์แตกต่าง กนั เพราะสภาพแวดล้อมของแต่ละบริเวณจะมี ความเหมาะสมตอ่ การดำรงชีวติ ของพืชและสัตว์ ทีอ่ าศยั อยใู่ นแต่ละบริเวณ เชน่ สระนำ้ มนี ้ำเป็นที่ อย่อู าศยั ของหอย ปลา สาหร่าย เป็นทห่ี ลบภยั และมีแหล่งอาหารของหอยและปลา บริเวณตน้ มะมว่ งมตี น้ มะมว่ งเป็นแหลง่ ท่ีอยู่ และมอี าหาร สำหรบั กระรอกและมด • ถ้าสภาพแวดลอ้ มในบรเิ วณท่ีพชื และสตั วอ์ าศัย อยู่มีการเปลย่ี นแปลง จะมีผลต่อการดำรงชีวิตของ พืชและสตั ว์ ป.๒ - - ป.๓ - - ป.๔ - - ป.๕ ๑. บรรยายโครงสรา้ งและลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ิต • สงิ่ มีชีวติ ท้งั พชื และสตั ว์มโี ครงสร้างและลกั ษณะ ท่ี ทีเ่ หมาะสมกับการดำรงชวี ติ ซึง่ เป็นผลมา เหมาะสมในแต่ละแหลง่ ท่ีอยู่ ซึง่ เป็นผลมาจาก จากการปรับตวั ของส่งิ มชี ีวติ ในแต่ละแหล่งท่ี การปรับตัวของสงิ่ มีชีวิต เพ่ือใหด้ ำรงชวี ิตและอยู่ อยู่ รอดไดใ้ นแตล่ ะแหล่งท่อี ยู่ เชน่ ผกั ตบชวามชี ่อง อากาศในกา้ นใบ ช่วยให้ลอยนำ้ ได้ ต้นโกงกางท่ี

12 ชั้น ตัวช้วี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ขึน้ อยใู่ นปา่ ชายเลนมีรากคำ้ จุนทำให้ลำตน้ ไมล่ ้ม ปลามีครบี ช่วยในการเคล่อื นท่ีในนำ้ ๒. อธิบายความสมั พันธ์ระหวา่ งสง่ิ มชี วี ิตกับ • ในแหลง่ ท่ีอยหู่ นึ่ง ๆ สงิ่ มีชวี ิตจะมีความสมั พันธ์ สิง่ มีชวี ิต และความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มีชวี ิต ซง่ึ กันและกนั และสัมพันธ์กบั สง่ิ ไมม่ ชี ีวติ เพื่อ กับส่งิ ไม่มชี วี ิต เพ่ือประโยชนต์ ่อการ ประโยชนต์ ่อการดำรงชวี ิต เช่น ความสมั พันธ์กนั ดำรงชวี ติ ดา้ นการกินกันเป็นอาหาร เป็นแหล่งทีอ่ ยู่อาศยั ๓. เขยี นโซ่อาหารและระบุบทบาทหน้าท่ี หลบภยั และเลีย้ งดลู ูกอ่อน ใชอ้ ากาศในการหายใจ ของสง่ิ มีชวี ติ ทเ่ี ป็นผู้ผลิตและผบู้ ริโภคในโซ่ • ส่ิงมชี ีวติ มกี ารกนิ กนั เปน็ อาหาร โดยกนิ ต่อกัน อาหาร เปน็ ทอด ๆ ในรูปแบบของโซ่อาหาร ทำให้ ๔. ตระหนกั ในคณุ ค่าของส่งิ แวดลอ้ มที่มตี ่อการ สามารถระบุบทบาทหน้าทขี่ องสง่ิ มชี ีวติ เป็นผู้ผลิต ดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยมีส่วนรว่ มในการ และผ้บู รโิ ภค ดูแลรกั ษาสิง่ แวดล้อม ป.๖ - - สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวติ หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบตา่ ง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสมั พันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมท้งั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.1 ๑. ระบุชือ่ บรรยายลกั ษณะและบอกหนา้ ทขี่ อง • มนษุ ย์มีสว่ นต่าง ๆ ท่มี ลี ักษณะและหน้าท่ีแตกต่างกัน สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สัตว์ และพืช เพอื่ ใหเ้ หมาะสมในการดำรงชวี ติ เช่น ตามีหนา้ ท่ไี ว้มองดู รวมทัง้ บรรยายการทำหนา้ ท่รี ่วมกนั ของสว่ นต่าง ๆ โดยมีหนงั ตาและขนตา เพอ่ื ป้องกนั อันตรายให้กับตา หมู ี ของร่างกายมนุษย์ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ จาก หนา้ ที่รับฟงั เสยี ง โดยมีใบหูและรหู ู เพอ่ื เปน็ ทางผา่ นของ ข้อมลู ที่รวบรวมได้ เสียง ปากมหี นา้ ท่ีพูด กินอาหาร มชี ่องปากและมรี มิ ๒. ตระหนกั ถึงความสำคัญของส่วนตา่ ง ๆ ของ ฝีปากบนลา่ ง แขนและมือมีหนา้ ทยี่ ก หยิบ จบั มที อ่ น รา่ งกายตนเอง โดยการดแู ลสว่ นตา่ ง ๆ อย่าง แขนและน้วิ มอื ที่ขยับได้ สมองมหี น้าทค่ี วบคมุ การทำงาน ถกู ต้อง ให้ปลอดภัย และรักษาความสะอาดอยู่ ของส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย อยู่ในกะโหลกศรี ษะ โดย เสมอ สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายจะทำหนา้ ทีร่ ่วมกันในการทำ กจิ กรรม ในชีวติ ประจำวัน

13 ชั้น ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง • สตั ว์มหี ลายชนดิ แตล่ ะชนดิ มสี ว่ นตา่ ง ๆ ท่มี ีลกั ษณะ และหน้าที่แตกตา่ งกนั เพ่ือให้เหมาะสม ในการดำรงชีวิต เชน่ ปลามคี รบี เป็นแผน่ ส่วนกบ เต่า แมว มีขา ๔ ขา และมเี ท้าสำหรบั ใช้ในการเคลื่อนท่ี • พชื มสี ่วนต่าง ๆ ท่มี ลี กั ษณะและหน้าท่ีแตกต่างกนั เพอื่ ให้เหมาะสมในการดำรงชวี ิต โดยทัว่ ไป รากมลี ักษณะ เรยี วยาว และแตกแขนงเป็นรากเลก็ ๆ ทำหน้าทด่ี ูดนำ้ ลำตน้ มลี ักษณะเปน็ ทรงกระบอกตัง้ ตรงและมกี ง่ิ กา้ น ทำ หน้าทชี่ กู ิ่งก้าน ใบ และดอก ใบมีลกั ษณะเปน็ แผ่นแบน ทำหน้าทสี่ รา้ งอาหาร นอกจากน้ีพืชหลายชนิด อาจมดี อก ทม่ี สี ี รูปรา่ งตา่ ง ๆ ทำหนา้ ท่ีสืบพนั ธ์ุ รวมท้งั มผี ลทมี่ ี เปลือก มีเน้ือห่อหุ้มเมลด็ และมเี มล็ดซึง่ สามารถงอกเปน็ ตน้ ใหมไ่ ด้• มนษุ ยใ์ ช้ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายในการ ทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ เพ่อื การดำรงชวี ิต มนุษยจ์ ึงควร ใช้ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายอย่างถกู ต้อง ปลอดภัย และรกั ษาความสะอาดอยเู่ สมอ เช่น ใช้ตามอง ตวั หนงั สอื ในที่ท่ีมีแสงสวา่ งเพยี งพอ ดูแลตาให้ ปลอดภยั จากอันตราย และรกั ษาความสะอาดตา อยูเ่ สมอ ป.๒ ๑. ระบุว่าพชื ต้องการแสงและนำ้ เพอ่ื การ • พืชตอ้ งการน้ำ แสง เพอ่ื การเจริญเตบิ โต เจรญิ เตบิ โต โดยใช้ขอ้ มูลจากหลกั ฐานเชิง ประจักษ์ ๒. ตระหนักถงึ ความจำเป็นทีพ่ ืชตอ้ งไดร้ บั นำ้ และแสงเพ่ือการเจริญเติบโต โดยดูแลพืช ให้ไดร้ ับสง่ิ ดงั กล่าวอยา่ งเหมาะสม ๓. สร้างแบบจำลองทบี่ รรยายวัฏจักรชีวติ • พืชดอกเม่อื เจรญิ เตบิ โตและมีดอก ดอกจะมกี าร ของพืชดอก สบื พนั ธุ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นผล ภายในผลมีเมล็ด เมอื่ เมล็ดงอก ต้นอ่อนที่อยู่ภายในเมล็ดจะ เจรญิ เติบโตเปน็ พืชต้นใหม่ พชื ตน้ ใหม่จะ เจรญิ เติบโต ออกดอกเพอื่ สืบพันธมุ์ ีผลต่อไปได้อีก หมุนเวยี นต่อเนื่องเป็นวัฏจกั รชวี ติ ของพชื ดอก

14 ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๓ ๑. บรรยายสิ่งทจี่ ำเป็นตอ่ การดำรงชีวติ และ • มนุษยแ์ ละสตั ว์ตอ้ งการอาหาร นำ้ และอากาศ การเจรญิ เตบิ โตของมนุษยแ์ ละสัตว์ โดยใช้ เพอ่ื การดำรงชีวติ และการเจรญิ เติบโต ขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ • อาหารชว่ ยให้รา่ งกายแขง็ แรงและเจริญเตบิ โต ๒. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องอาหาร น้ำ นำ้ ช่วยใหร้ ่างกายทำงานได้อย่างปกติ อากาศใช้ และอากาศ โดยการดูแลตนเองและสัตวใ์ ห้ ในการหายใจ ไดร้ ับส่งิ เหล่าน้ีอยา่ งเหมาะสม ๓. สร้างแบบจำลองที่บรรยายวัฏจกั รชีวิต • สัตวเ์ ม่อื เปน็ ตัวเต็มวัยจะสบื พนั ธ์มุ ลี กู เมือ่ ลูก ของสัตว์ และเปรียบเทียบวัฏจกั รชวี ิตของ เจรญิ เติบโตเปน็ ตัวเตม็ วยั ก็สบื พนั ธมุ์ ีลกู ตอ่ ไปได้ สตั วบ์ างชนดิ อกี หมนุ เวยี นตอ่ เนอื่ งเป็นวฏั จักรชวี ติ ของสตั ว์ ซ่งึ ๔. ตระหนกั ถึงคุณค่าของชวี ิตสัตว์ โดยไมท่ ำ สตั วแ์ ตล่ ะชนดิ เชน่ ผีเสือ้ กบ ไก่ มนษุ ย์จะมีวฏั ให้วฏั จักรชวี ิตของสตั ว์เปลย่ี นแปลง จักรชีวิตที่เฉพาะและแตกตา่ งกนั ป.๔ ๑. บรรยายหนา้ ท่ขี องราก ลำตน้ ใบ และ • สว่ นต่าง ๆ ของพชื ดอกทำหนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกัน ดอกของพชื ดอก โดยใช้ข้อมูลท่รี วบรวมได้ - รากทำหน้าท่ดี ูดน้ำและธาตอุ าหารขึ้นไปยงั ลำ ต้น - ลำตน้ ทำหน้าท่ีลำเลียงน้ำต่อไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของพชื - ใบทำหนา้ ที่สรา้ งอาหาร อาหารที่พชื สรา้ งขึ้น คือ นำ้ ตาลซึ่งจะเปลย่ี นเปน็ แป้ง - ดอกทำหนา้ ที่สืบพนั ธุ์ ประกอบดว้ ย สว่ นประกอบต่าง ๆ ได้แก่ กลีบเล้ยี ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ซ่งึ ส่วนประกอบแต่ ละส่วนของดอกทำหน้าทแ่ี ตกต่างกัน ป.๕ - - ป.๖ ๑. ระบุสารอาหารและบอกประโยชนข์ อง • สารอาหารทอ่ี ยู่ในอาหารมี ๖ ประเภท ไดแ้ ก่ สารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมนั เกลือแร่ วิตามนิ และ ตนเองรบั ประทาน น้ำ ๒. บอกแนวทางในการเลอื กรบั ประทาน • อาหารแตล่ ะชนดิ ประกอบด้วยสารอาหารที่ อาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วน ในสดั สว่ นท่ี แตกตา่ งกนั อาหารบางอยา่ งประกอบดว้ ย

15 ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง เหมาะสมกับเพศและวยั รวมทั้งความ สารอาหารประเภทเดยี ว อาหารบางอย่าง ปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ ประกอบด้วยสารอาหารมากกวา่ หนึง่ ประเภท ๓. ตระหนักถึงความสำคญั ของสารอาหาร • สารอาหารแต่ละประเภทมปี ระโยชนต์ อ่ ร่างกาย โดยการเลือกรบั ประทานอาหารท่ีมี แตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมนั สารอาหารครบถว้ นในสดั สว่ นท่เี หมาะสมกบั เปน็ สารอาหารท่ีให้พลังงานแกร่ า่ งกาย สว่ นเกลือ เพศและวยั รวมทั้งปลอดภยั ตอ่ สขุ ภาพ แร่ วติ ามิน และน้ำ เป็นสารอาหารทีไ่ มใ่ ห้พลงั งาน ๔. สรา้ งแบบจำลองระบบย่อยอาหาร และ แกร่ า่ งกาย แตช่ ว่ ยให้รา่ งกายทำงานไดเ้ ป็นปกติ บรรยายหนา้ ทข่ี องอวยั วะในระบบยอ่ ย • การรบั ประทานอาหาร เพือ่ ใหร้ า่ งกายเจริญเติบโต อาหาร รวมท้งั อธิบายการยอ่ ยอาหารและ มีการเปลีย่ นแปลงของรา่ งกายตามเพศและวยั และ การดดู ซึมสารอาหาร มสี ขุ ภาพดี จำเปน็ ต้องรบั ประทานใหไ้ ดพ้ ลงั งาน ๕. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของระบบยอ่ ย เพยี งพอกับความตอ้ งการของร่างกาย และให้ได้ อาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแล สารอาหารครบถ้วน ในสดั สว่ นท่เี หมาะสมกับเพศ รักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารใหท้ ำงาน และวัย รวมทง้ั ตอ้ งคำนงึ ถงึ ชนดิ และปริมาณของ เป็นปกติ วตั ถเุ จอื ปนในอาหารเพ่อื ความปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพ • ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะตา่ ง ๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนกั ตับ และตบั ออ่ น ซ่งึ ทำ หน้าท่ีรว่ มกันในการยอ่ ยและดูดซมึ สารอาหาร - ปากมฟี ันช่วยบดเคย้ี วอาหารให้มีขนาดเล็กลง และมลี นิ้ ชว่ ยคลุกเคล้าอาหารกบั น้ำลาย ใน น้ำลายมีเอนไซม์ย่อยแป้งใหเ้ ป็นนำ้ ตาล - หลอดอาหารทำหน้าทลี่ ำเลยี งอาหารจากปากไป ยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหาร มกี าร ย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ท่สี รา้ งจาก กระเพาะอาหาร - ลำไส้เลก็ มีเอนไซม์ท่ีสรา้ งจากผนังลำไส้เลก็ เอง และจากตบั อ่อนที่ช่วยยอ่ ยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยโปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมันที่ ผ่านการยอ่ ยจนเป็นสารอาหารขนาดเลก็ พอท่ีจะ

16 ช้ัน ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ดดู ซึมได้ รวมถงึ น้ำ เกลือแร่ และวิตามนิ จะถูกดูด ซึมท่ีผนงั ลำไส้เลก็ เขา้ สกู่ ระแสเลือด เพ่อื ลำเลียง ไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ซง่ึ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั จะถกู นำไปใชเ้ ปน็ แหลง่ พลังงานสำหรับใช้ในกจิ กรรมต่าง ๆ สว่ นน้ำ เกลือ แร่ และวิตามนิ จะช่วยใหร้ า่ งกายทำงานไดเ้ ปน็ ปกติ - ตับสร้างน้ำดีแล้วส่งมายงั ลำไส้เลก็ ชว่ ยให้ไขมนั แตกตัว - ลำไส้ใหญท่ ำหนา้ ท่ีดูดนำ้ และเกลอื แร่ เปน็ บรเิ วณทีม่ ีอาหารท่ยี ่อยไม่ได้หรือยอ่ ยไมห่ มด เป็น กากอาหาร ซึง่ จะถกู กำจดั ออกทางทวารหนัก • อวัยวะต่าง ๆ ในระบบยอ่ ยอาหารมีความสำคัญ จงึ ควรปฏิบัตติ น ดูแลรักษาอวยั วะใหท้ ำงานเป็นปกติ สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทาง ชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมชี วี ติ รวมทัง้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๑ - - ป.๒ ๑. เปรียบเทียบลักษณะของส่งิ มีชวี ติ และ • ส่งิ ท่อี ยู่รอบตัวเรามีท้งั ทีเ่ ป็นส่ิงมีชวี ติ และ สง่ิ ไมม่ ชี วี ติ จากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ สงิ่ ไม่มีชีวติ สงิ่ มีชีวิตตอ้ งการอาหาร มีการหายใจ เจรญิ เตบิ โต ขับถ่าย เคลื่อนไหว ตอบสนองตอ่ สิ่ง เร้า และสืบพันธไุ์ ด้ลกู ที่มีลกั ษณะคล้ายคลึงกับพ่อ แมส่ ่วนสิ่งไมม่ ชี วี ิตจะไม่มลี กั ษณะดงั กล่าว ป.๓ - -

17 ชนั้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๔ ๑. จำแนกสง่ิ มีชีวิตโดยใชค้ วามเหมือน และ • สง่ิ มชี วี ติ มีหลายชนิด สามารถจดั กลมุ่ ได้ โดยใช้ ความแตกต่างของลกั ษณะของสงิ่ มีชวี ิต ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะต่าง ๆ ออกเปน็ กลุม่ พืช กลุม่ สตั ว์ และกลุม่ ท่ีไม่ใช่ เชน่ กล่มุ พชื สรา้ งอาหารเองได้ และเคลอ่ื นที่ดว้ ย พชื และสัตว์ ตนเองไมไ่ ด้ กลุ่มสตั ว์กนิ สง่ิ มชี วี ติ อน่ื เปน็ อาหาร และเคลื่อนที่ได้ กลุม่ ท่ไี มใ่ ช่พืชและสัตว์ เช่น เห็ด รา จลุ นิ ทรยี ์ ๒. จำแนกพชื ออกเป็นพืชดอกและพืชไมม่ ี • การจำแนกพืช สามารถใช้การมดี อกเปน็ เกณฑ์ ดอก โดยใช้การมดี อกเปน็ เกณฑ์ โดยใช้ ในการจำแนก ไดเ้ ปน็ พืชดอกและพชื ไม่มีดอก ขอ้ มูล ทร่ี วบรวมได้ ๓. จำแนกสัตว์ออกเปน็ สัตวม์ กี ระดกู สนั หลัง • การจำแนกสัตว์ สามารถใชก้ ารมีกระดกู สันหลงั และสตั ว์ไมม่ กี ระดูกสันหลัง โดยใช้การมี เป็นเกณฑ์ในการจำแนก ได้เปน็ สัตว์มีกระดูกสัน กระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มลู ที่ หลังและสตั ว์ไมม่ กี ระดกู สนั หลัง รวบรวมได้ • สตั วม์ ีกระดกู สันหลังมหี ลายกลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มปลา ๔. บรรยายลักษณะเฉพาะท่สี ังเกตไดข้ อง กลุม่ สตั ว์สะเทนิ น้ำสะเทนิ บก กล่มุ สตั ว์เลือ้ ยคลาน สตั ว์มีกระดกู สันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสตั ว์ กลุ่มนก และกลมุ่ สัตวเ์ ลี้ยงลกู ด้วยนำ้ นม ซ่ึงแตล่ ะ สะเทนิ น้ำสะเทินบก กลุม่ สัตวเ์ ลอื้ ยคลาน กลมุ่ จะมีลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ กลุ่มนก และกลุม่ สัตว์เลยี้ งลกู ด้วยน้ำนม และยกตัวอย่างสง่ิ มชี ีวิตในแตล่ ะกล่มุ ป.๕ ๑. อธบิ ายลักษณะทางพนั ธกุ รรมท่ีมีการ • สิ่งมชี ีวติ ท้ังพชื สตั ว์ และมนษุ ย์ เมอ่ื โตเตม็ ทจ่ี ะ ถา่ ยทอดจากพ่อแม่สู่ลูกของพืช สตั ว์ และ มีการสบื พนั ธุเ์ พอื่ เพิม่ จำนวนและดำรงพันธุ์ โดย มนุษย์ ลกู ทเ่ี กดิ มาจะได้รับการถา่ ยทอดลกั ษณะทาง ๒. แสดงความอยากร้อู ยากเห็น โดยการถาม พันธกุ รรมจากพอ่ แม่ทำให้มลี ักษณะทาง คำถามเก่ียวกับลักษณะท่ีคล้ายคลึงกนั ของ พนั ธกุ รรมทเ่ี ฉพาะแตกตา่ งจากสงิ่ มีชวี ติ ชนิดอ่นื ตนเองกบั พ่อแม่ • พืชมกี ารถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม เช่น ลกั ษณะของใบ สีดอก • สัตวม์ กี ารถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม เชน่ สขี น ลักษณะของขน ลักษณะของหู

18 ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง • มนษุ ย์มกี ารถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม เชน่ เชงิ ผมท่หี นา้ ผาก ลักยิม้ ลักษณะหนังตา การห่อ ลิ้น ลกั ษณะของตงิ่ หู ป.๖ - - สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสรา้ งและแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะ ของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ชั้น ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. อธบิ ายสมบัติที่สังเกตไดข้ องวสั ดุทใ่ี ช้ทำ • วสั ดุที่ใช้ทำวัตถุท่เี ป็นของเล่น ของใช้ มีหลาย วตั ถซุ ง่ึ ทำจากวสั ดุชนิดเดียวหรือหลายชนิด ชนดิ เช่น ผ้า แก้ว พลาสติก ยาง ไม้ อิฐ หนิ ประกอบกันโดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ กระดาษ โลหะ วสั ดแุ ต่ละชนดิ มีสมบัติท่ีสังเกตได้ ๒. ระบชุ นดิ ของวสั ดแุ ละจดั กลมุ่ วัสดุตาม ต่าง ๆ เช่น สี น่มุ แขง็ ขรขุ ระ เรยี บ ใส ขนุ่ ยดื สมบัติที่สงั เกตได้ หดได้ บดิ งอได้ • สมบัติที่สงั เกตไดข้ องวสั ดุแต่ละชนิดอาจ เหมือนกัน ซ่ึงสามารถนำมาใชเ้ ป็นเกณฑใ์ นการจัด กลุม่ วสั ดไุ ด้ • วสั ดบุ างอย่างสามารถนำมาประกอบกัน เพือ่ ทำ เป็นวตั ถุต่าง ๆ เชน่ ผา้ และกระดมุ ใช้ทำเสอ้ื ไม้ และโลหะ ใช้ทำกระทะ ป.๒ ๑. เปรยี บเทียบสมบัติการดดู ซบั น้ำของวัสดุ • วสั ดุแต่ละชนดิ มีสมบัติการดดู ซับน้ำแตกต่างกัน โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ และระบกุ ารนำ จึงนำไปทำวตั ถเุ พอื่ ใชป้ ระโยชนไ์ ด้แตกต่างกัน สมบัตกิ ารดูดซบั น้ำของวัสดุไปประยกุ ตใ์ ชใ้ น เชน่ ใช้ผ้าที่ดูดซับน้ำไดม้ ากทำผา้ เช็ดตวั ใช้ การทำวตั ถใุ นชีวติ ประจำวัน พลาสตกิ ซ่ึงไม่ดดู ซับนำ้ ทำร่ม ๒. อธิบายสมบตั ิท่สี ังเกตไดข้ องวสั ดุทเ่ี กดิ • วัสดุบางอยา่ งสามารถนำมาผสมกันซ่ึงทำใหไ้ ด้ จากการนำวัสดุมาผสมกันโดยใช้หลกั ฐานเชิง สมบตั ทิ ่ีเหมาะสม เพื่อนำไปใชป้ ระโยชน์ตาม ประจักษ์ ตอ้ งการ เชน่ แป้งผสมน้ำตาลและกะทิ ใช้ทำขนม

19 ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ไทย ปนู ปลาสเตอรผ์ สมเยือ่ กระดาษใช้ทำกระปุก ออมสิน ปนู ผสมหิน ทราย และนำ้ ใช้ทำคอนกรีต ๓. เปรียบเทยี บสมบัตทิ ีส่ งั เกตไดข้ องวสั ดุ • การนำวัสดมุ าทำเปน็ วตั ถุในการใช้งานตาม เพื่อนำมาทำเป็นวตั ถุในการใชง้ านตาม วัตถปุ ระสงคข์ ้ึนอยูก่ บั สมบตั ขิ องวัสดุ วสั ดุท่ใี ช้ วัตถุประสงค์ และอธบิ ายการนำวัสดุที่ใช้ แล้วอาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เชน่ กระดาษใชแ้ ล้ว แล้วกลบั มาใช้ใหม่โดยใช้หลักฐานเชงิ อาจนำมาทำเปน็ จรวดกระดาษ ดอกไม้ประดิษฐ์ ประจักษ์ ถงุ ใสข่ อง ๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของการนำวสั ดทุ ใ่ี ช้ แล้วกลบั มาใชใ้ หม่ โดยการนำวัสดุท่ีใช้แลว้ กลับมาใชใ้ หม่ ป.๓ ๑. อธิบายว่าวตั ถปุ ระกอบขน้ึ จากช้นิ • วัตถอุ าจทำจากชิ้นส่วนย่อย ๆ ซึ่งแตล่ ะช้ินมี ส่วนย่อย ๆ ซึ่งสามารถแยกออกจากกนั ได้ ลักษณะเหมอื นกนั มาประกอบเขา้ ดว้ ยกัน เมือ่ และประกอบกันเป็นวัตถชุ ้นิ ใหมไ่ ด้ โดยใช้ แยกช้นิ สว่ นยอ่ ย ๆ แตล่ ะชิน้ ของวัตถุออกจากกัน หลักฐานเชงิ ประจักษ์ สามารถนำชิน้ ส่วนเหล่านั้นมาประกอบเปน็ วัตถุ ช้ินใหม่ได้ เชน่ กำแพงบ้านมีก้อนอฐิ หลาย ๆ ก้อน ประกอบเข้าด้วยกนั และสามารถนำกอ้ นอฐิ จาก กำแพงบ้านมาประกอบเปน็ พืน้ ทางเดินได้ ๒. อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงของวสั ดุเมื่อทำ • เมอ่ื ให้ความร้อนหรอื ทำใหว้ สั ดรุ อ้ นขน้ึ และเมื่อ ใหร้ ้อนข้นึ หรือทำใหเ้ ย็นลง โดยใชห้ ลกั ฐาน ลดความร้อนหรือทำให้วัสดุเย็นลงวสั ดุจะเกิด การ เชงิ ประจกั ษ์ เปลย่ี นแปลงได้ เช่น สีเปลี่ยน รปู รา่ งเปล่ยี น ป.๔ ๑. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้าน • วสั ดแุ ต่ละชนิดมีสมบตั ิทางกายภาพแตกต่างกัน ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนำความรอ้ น วัสดุท่ีมีความแข็งจะทนต่อแรงขูดขีด วัสดุท่มี ี และการนำไฟฟา้ ของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชงิ สภาพยืดหยุ่นจะเปล่ียนแปลงรปู ร่างเม่ือมแี รงมา ประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำ กระทำและกลับสภาพเดมิ ได้ วัสดุท่ีนำความร้อน สมบัติเรอื่ งความแขง็ สภาพยืดหย่นุ การนำ จะร้อนไดเ้ รว็ เมื่อได้รบั ความร้อน และวัสดุท่ีนำ ความรอ้ น และการนำไฟฟ้าของวัสดไุ ปใช้ใน ไฟฟ้าได้ จะใหก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ นได้ ดงั นน้ั จงึ อาจ ชีวิตประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบ นำสมบัติต่าง ๆ มาพิจารณาเพื่อใช้ในกระบวนการ ชิ้นงาน ออกแบบช้ินงานเพอื่ ใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวัน

20 ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๒. แลกเปลยี่ นความคดิ กับผูอ้ ่ืนโดยการ อภปิ รายเก่ียวกับสมบตั ิทางกายภาพของ วสั ดุอย่างมีเหตผุ ลจากการทดลอง ๓. เปรียบเทียบสมบัติของสสารท้ัง ๓ • วสั ดเุ ปน็ สสารเพราะมมี วลและตอ้ งการทอ่ี ยู่ สถานะ จากข้อมูลทไ่ี ด้จากการสังเกตมวล สสารมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรอื แกส๊ การตอ้ งการท่ีอยู่ รูปร่างและปรมิ าตรของ ของแข็ง มีปริมาตรและรูปร่างคงท่ี ของเหลวมี สสาร ปริมาตรคงท่ี แต่มีรปู ร่างเปล่ยี นไปตามภาชนะ ๔. ใชเ้ ครอื่ งมือเพอ่ื วดั มวล และปริมาตรของ เฉพาะสว่ นท่บี รรจุของเหลว สว่ นแก๊สมปี ริมาตร สสารท้งั ๓ สถานะ และรปู รา่ งเปลยี่ นไปตามภาชนะที่บรรจุ ป.๕ ๑. อธิบายการเปลยี่ นสถานะของสสาร เมื่อ • การเปลี่ยนสถานะของสสารเปน็ การ ทำให้สสารรอ้ นขึน้ หรือเยน็ ลง โดยใช้ เปลย่ี นแปลงทางกายภาพ เมื่อเพ่มิ ความร้อน หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ให้กับสสารถงึ ระดับหนงึ่ จะทำใหส้ สารที่เปน็ ของแขง็ เปลยี่ นสถานะเป็นของเหลว เรยี กว่า การ หลอมเหลว และเมือ่ เพมิ่ ความร้อนต่อไปจนถงึ อกี ระดับหน่ึงของเหลวจะเปลย่ี นเป็นแก๊ส เรียกวา่ การกลายเปน็ ไอ แต่เมอื่ ลดความรอ้ นลงถงึ ระดบั หนึ่ง แกส๊ จะเปลีย่ นสถานะเปน็ ของเหลว เรยี กวา่ การควบแน่น และถ้าลดความร้อนต่อไปอีกจนถึง ระดับหน่งึ ของเหลวจะเปลีย่ นสถานะเป็นของแข็ง เรยี กวา่ การแข็งตัว สสารบางชนดิ สามารถเปลย่ี น สถานะจากของแข็งเป็นแก๊สโดยไมผ่ า่ นการเป็น ของเหลว เรยี กว่า การระเหดิ ส่วนแก๊สบางชนดิ สามารถเปลยี่ นสถานะเปน็ ของแข็งโดยไม่ผ่านการ เป็นของเหลว เรยี กวา่ การระเหดิ กลับ ๒. อธิบายการละลายของสารในนำ้ โดยใช้ • เม่ือใสส่ ารลงในนำ้ แลว้ สารน้นั รวมเป็นเนอื้ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เดียวกันกับนำ้ ทัว่ ทกุ สว่ น แสดงวา่ สารเกดิ การ ละลาย เรียกสารผสมท่ีไดว้ า่ สารละลาย

21 ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๓. วเิ คราะห์การเปลยี่ นแปลงของสารเม่ือ • เมอ่ื ผสมสาร ๒ ชนดิ ขนึ้ ไปแล้วมีสารใหม่เกิดขึน้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยใช้ ซ่งึ มีสมบัตติ ่างจากสารเดมิ หรอื เมือ่ สารชนิดเดยี ว หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เกิดการเปลยี่ นแปลงแลว้ มสี ารใหมเ่ กดิ ข้ึน การ เปลย่ี นแปลงนี้เรยี กวา่ การเปล่ียนแปลงทางเคมี ซง่ึ สงั เกตได้จากมีสหี รอื กล่นิ ตา่ งจากสารเดมิ หรือ มีฟองแก๊ส หรอื มีตะกอนเกิดข้ึน หรอื มีการเพ่มิ ข้นึ หรอื ลดลงของอุณหภูมิ ๔. วิเคราะหแ์ ละระบกุ ารเปล่ียนแปลงทีผ่ ัน • เมือ่ สารเกิดการเปลย่ี นแปลงแล้ว สารสามารถ กลับไดแ้ ละการเปล่ียนแปลงทีผ่ ันกลับไมไ่ ด้ เปลยี่ นกลบั เป็นสารเดมิ ได้ เป็นการเปลย่ี นแปลงที่ ผันกลับได้ เช่น การหลอมเหลว การกลายเปน็ ไอ การละลาย แต่สารบางอยา่ งเกดิ การเปลี่ยนแปลง แล้วไม่สามารถเปลี่ยนกลับเปน็ สารเดมิ ได้ เป็นการ เปล่ียนแปลงที่ผันกลบั ไม่ได้ เชน่ การเผาไหม้ การ เกิดสนิม ป.๖ ๑. อธิบายและเปรยี บเทียบการแยกสาร • สารผสมประกอบด้วยสารตงั้ แต่ ๒ ชนิดขึน้ ไป ผสม โดยการหยบิ ออก การร่อน การใช้ ผสมกนั เช่น นำ้ มนั ผสมนำ้ ข้าวสารปนกรวดทราย แมเ่ หล็กดึงดูด การรินออก การกรอง และ วธิ ีการทเี่ หมาะสมในการแยกสารผสมข้ึนอยู่กับ การตกตะกอน โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ลกั ษณะและสมบัติของสารที่ผสมกนั ถา้ รวมท้ังระบุวิธีแกป้ ญั หาในชีวติ ประจำวนั องคป์ ระกอบของสารผสมเป็นของแข็งกบั ของแข็ง เกยี่ วกับการแยกสาร ท่ีมขี นาดแตกต่างกันอยา่ งชัดเจน อาจใช้วธิ ีการ หยิบออกหรอื การรอ่ นผา่ นวสั ดุท่มี ีรู ถา้ มีสารใด สารหน่ึงเป็นสารแมเ่ หล็กอาจใช้วิธกี ารใชแ้ มเ่ หล็ก ดึงดูด ถ้าองค์ประกอบเปน็ ของแขง็ ที่ไม่ละลายใน ของเหลว อาจใชว้ ิธกี ารรนิ ออก การกรอง หรือ การตกตะกอน ซ่ึงวธิ ีการแยกสารสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวนั ได

22 สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชวี ติ ประจำวนั ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการเคลอ่ื นท่ี แบบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทัง้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๑ - - ป.๒ - - ป.๓ ๑. ระบุผลของแรงที่มีต่อการเปล่ียนแปลง • การดงึ หรือการผลกั เป็นการออกแรงกระทำตอ่ การเคลื่อนที่ของวัตถจุ ากหลักฐานเชงิ วัตถุ แรงมผี ลต่อการเคลอื่ นท่ีของวตั ถุ แรงอาจทำ ประจกั ษ์ ใหว้ ตั ถเุ กดิ การเคลอื่ นท่ีโดยเปลีย่ นตำแหน่งจากท่ี หนึง่ ไปยังอกี ท่หี นึ่ง • การเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนทขี่ องวตั ถุ ไดแ้ ก่ วัตถทุ ่ีอยนู่ ่ิงเปลย่ี นเป็นเคลอ่ื นท่ี วตั ถุท่ีกำลัง เคลื่อนทีเ่ ปลยี่ นเปน็ เคลอื่ นทีเ่ ร็วขน้ึ หรือชา้ ลงหรือ หยดุ น่งิ หรอื เปลย่ี นทศิ ทางการเคล่อื นที่ ๒. เปรียบเทยี บและยกตวั อยา่ งแรงสัมผสั • การดึงหรือการผลกั เปน็ การออกแรงทเ่ี กดิ จาก และแรงไมส่ มั ผัสท่ีมีผลต่อการเคลอ่ื นทขี่ อง วัตถหุ น่ึงกระทำกับอกี วัตถุหนงึ่ โดยวตั ถุทัง้ สอง วัตถุ โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ อาจสัมผัสหรือไม่ต้องสมั ผัสกัน เชน่ การออกแรง โดยใช้มือดึงหรอื การผลกั โตะ๊ ใหเ้ คลือ่ นทเี่ ป็นการ ออกแรงที่วัตถุต้องสมั ผสั กนั แรงนี้จงึ เปน็ แรง สมั ผสั สว่ นการท่ีแมเ่ หล็กดึงดูดหรอื ผลกั ระหว่าง แม่เหล็กเป็นแรงที่เกิดข้ึนโดยแม่เหล็กไม่ จำเป็นตอ้ งสัมผัสกัน แรงแม่เหล็กนีจ้ ึงเป็นแรงไม่ สัมผสั ๓. จำแนกวัตถุโดยใชก้ ารดึงดดู กบั แม่เหล็ก • แม่เหลก็ สามารถดึงดดู สารแมเ่ หลก็ ได้ เป็นเกณฑ์จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ • แรงแมเ่ หลก็ เป็นแรงทีเ่ กดิ ขน้ึ ระหว่างแม่เหล็ก ๔. ระบขุ ัว้ แมเ่ หล็กและพยากรณ์ผลที่เกดิ ข้นึ กับสารแมเ่ หลก็ หรือแมเ่ หลก็ กับแมเ่ หลก็ ระหว่างขวั้ แมเ่ หลก็ เมอ่ื นำมาเข้าใกลก้ นั จาก แม่เหล็ก มี ๒ ข้ัว คอื ขว้ั เหนือและขว้ั ใต้ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ข้ัวแม่เหลก็ ชนดิ เดยี วกันจะผลกั กนั ต่างชนดิ กันจะ ดึงดูดกัน

23 ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 ๑. ระบผุ ลของแรงโนมถวงทมี่ ตี อวตั ถุ • แรงโนมถวงของโลกเปนแรงดงึ ดดู ท่โี ลก จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ กระทำตอวัตถุมที ศิ ทางเขาสูศนู ยกลางโลก ๒. ใชเคร่อื งช่ังสปรงิ ในการวัดน้ำหนกั และเปนแรงไมสัมผัส แรงดึงดูดทโ่ี ลกกระทำ ของวัตถ กบั วัตถหุ นึง่ ๆ ทำใหวัตถตุ กลงสูพน้ื โลกและ ทำใหวัตถมุ ีนำ้ หนัก วัดน้ำหนกั ของวัตถไุ ดจาก เครื่องช่ังสปริง น้ำหนักของวัตถขุ ้นึ กบั มวล ของวัตถุโดยวตั ถทุ มี่ มี วลมากจะมีนำ้ หนกั มาก วัตถุท่มี ีมวลนอยจะมีน้ำหนกั นอย ๓. บรรยายมวลของวัตถุทม่ี ผี ลตอการ • มวล คอื ปรมิ าณเน้อื ของสสารทง้ั หมดท่ี เปล่ียนแปลงการเคล่อื นทขี่ องวตั ถุจาก ประกอบกันเปนวตั ถุซงึ่ มีผลตอความยากงาย หลกั ฐานเชงิ ประจักษ ในการเปลี่ยนแปลงการเคล่อื นท่ขี องวตั ถุ วตั ถุที่มมี วลมากจะเปลย่ี นแปลงการเคลอ่ื นที่ ไดยากกวาวัตถุที่มมี วลนอย ดงั น้ันมวลของ วัตถุ นอกจากจะหมายถึงเน้ือทงั้ หมดของวตั ถุ นัน้ แลว ยังหมายถึงการตานการเปลย่ี นแปลง การเคลอื่ นท่ขี องวัตถนุ ้นั ดวย ป.๕ ๑. อธิบายวธิ กี ารหาแรงลัพธ์ของแรงหลาย • แรงลัพธเ์ ป็นผลรวมของแรงทีก่ ระทำตอ่ วตั ถุ โดย แรงในแนวเดียวกันที่กระทำต่อวตั ถุในกรณีท่ี แรงลัพธข์ องแรง ๒ แรงท่ีกระทำต่อวตั ถเุ ดียวกันจะ วัตถอุ ยนู่ ่ิงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ มีขนาดเท่ากับผลรวมของแรงทง้ั สองเมอ่ื แรงทง้ั สอง ๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงทีก่ ระทำตอ่ วตั ถุ อยใู่ นแนวเดยี วกันและมีทศิ ทางเดียวกัน แต่จะมี ท่อี ยใู่ นแนวเดียวกนั และแรงลพั ธ์ทีก่ ระทำต่อ ขนาดเทา่ กับผลตา่ งของแรงทง้ั สอง เมอื่ แรงทงั้ สอง วตั ถุ อยูใ่ นแนวเดยี วกันแต่มีทิศทางตรงข้ามกนั สำหรบั ๓. ใชเ้ คร่อื งชง่ั สปรงิ ในการวดั แรงที่กระทำ วตั ถทุ อ่ี ยนู่ ิ่งแรงลพั ธท์ ่กี ระทำตอ่ วตั ถุมีคา่ เป็นศนู ย์ ตอ่ วตั ถุ • การเขยี นแผนภาพของแรงทีก่ ระทำต่อวัตถุ สามารถเขยี นไดโ้ ดยใชล้ ูกศร โดยหัวลกู ศรแสดง ทิศทางของแรง และความยาวของลูกศรแสดง ขนาดของแรงทกี่ ระทำต่อวตั ถุ ๔. ระบุผลของแรงเสยี ดทานทมี่ ตี ่อการ • แรงเสยี ดทานเป็นแรงที่เกิดขึ้นระหว่างผวิ สัมผัส เปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นทข่ี องวัตถจุ าก ของวตั ถุ เพ่อื ตา้ นการเคล่ือนที่ของวตั ถุนน้ั โดยถ้า หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ออกแรงกระทำตอ่ วตั ถทุ อ่ี ย่นู ่ิงบนพน้ื ผิวหนึ่งให้ เคลอื่ นที่ แรงเสียดทานจากพืน้ ผิวนนั้ ก็จะต้านการ

24 ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและ เคลือ่ นที่ของวตั ถุ แตถ่ า้ วตั ถุกำลังเคลอื่ นที่ แรง แรง ทีอ่ ยใู่ นแนวเดยี วกันทก่ี ระทำตอ่ วัตถุ เสยี ดทานกจ็ ะทำใหว้ ัตถุนน้ั เคลือ่ นท่ีช้าลงหรือหยุด นิ่ง ป.๖ ๑. อธบิ ายการเกิดและผลของแรงไฟฟา้ ซึง่ • วตั ถุ ๒ ชนิดท่ีผ่านการขดั ถแู ล้ว เมอื่ นำเข้าใกลก้ ัน เกดิ จากวัตถุทีผ่ า่ นการขดั ถู โดยใช้หลักฐาน อาจดงึ ดดู หรือผลักกนั แรงที่เกดิ ขึน้ น้เี ป็นแรงไฟฟา้ เชิงประจกั ษ์ ซ่งึ เปน็ แรงไม่สัมผสั เกดิ ขึน้ ระหวา่ งวัตถุที่มปี ระจุ ไฟฟา้ ซง่ึ ประจไุ ฟฟา้ มี ๒ ชนดิ คอื ประจไุ ฟฟา้ บวก และประจุไฟฟ้าลบ วัตถทุ ีม่ ีประจุ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสมั พันธ์ระหว่าง สสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ติ ประจำวนั ธรรมชาติของคลืน่ ปรากฏการณท์ ่ีเก่ียวข้องกับ เสยี ง แสง และคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมท้งั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. บรรยายการเกิดเสียงและทิศทางการ • เสยี งเกดิ จากการส่นั ของวตั ถุ วัตถุทที่ ำใหเ้ กิดเสียง เคล่อื นทขี่ องเสยี งจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ เปน็ แหล่งกำเนิดเสียง ซงึ่ มที งั้ แหล่งกำเนดิ เสยี งตาม ธรรมชาติและแหล่งกำเนดิ เสยี งท่ีมนษุ ย์สรา้ งข้นึ เสยี งเคล่อื นทอ่ี อกจากแหลง่ กำเนดิ เสยี งทกุ ทิศทาง ป.๒ ๑. บรรยายแนวการเคล่ือนที่ของแสงจาก • แสงเคล่อื นทจี่ ากแหลง่ กำเนิดแสงทุกทศิ ทางเปน็ แหล่งกำเนดิ แสง และอธบิ ายการมองเห็น แนวตรง เมอ่ื มีแสงจากวัตถุมาเข้าตาจะทำให้ วัตถจุ ากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ มองเห็นวตั ถุนัน้ การมองเหน็ วัตถทุ เี่ ป็น ๒. ตระหนักในคุณคา่ ของความรขู้ องการ แหลง่ กำเนดิ แสง แสงจากวัตถุนน้ั จะเข้าสู่ตา มองเหน็ โดยเสนอแนะแนวทางการป้องกนั โดยตรง สว่ นการมองเห็นวตั ถทุ ี่ไม่ใชแ่ หลง่ กำเนิด อันตราย จากการมองวัตถทุ ่ีอยใู่ นบริเวณทม่ี ี แสง ตอ้ งมีแสงจากแหลง่ กำเนิดแสงไปกระทบวตั ถุ แสงสว่างไมเ่ หมาะสม แล้วสะทอ้ นเขา้ ตา ถ้ามีแสงท่ีสว่างมาก ๆ เข้าส่ตู า อาจเกิดอนั ตรายต่อตาได้ จงึ ตอ้ งหลกี เล่ียงการมอง หรือใช้แผน่ กรองแสงท่ีมีคุณภาพเม่อื จำเป็น และ ตอ้ งจดั ความสว่างใหเ้ หมาะสมกับการทำกจิ กรรม ต่าง ๆ เชน่ การอ่านหนังสอื การดูจอโทรทัศน์ การ ใชโ้ ทรศัพท์เคลอ่ื นท่แี ละแท็บเล็ต

25 ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.๓ ๑. ยกตัวอยา่ งการเปลี่ยนพลังงาน • พลงั งานเปน็ ปรมิ าณทแ่ี สดงถงึ ความสามารถ ใน หนึง่ ไปเปน็ อกี พลังงานหนง่ึ จากหลกั ฐานเชิง การทำงาน พลงั งานมีหลายแบบ เชน่ พลงั งานกล ประจกั ษ์ พลังงานไฟฟา้ พลงั งานแสง พลังงานเสยี ง และ พลังงานความรอ้ น โดยพลงั งานสามารถเปลย่ี นจาก พลงั งานหนง่ึ ไป เปน็ อกี พลงั งานหน่ึงได้ เช่น การถูมอื จนร้สู กึ รอ้ น เปน็ การเปลีย่ นพลงั งานกลเปน็ พลังงาน ความร้อน แผงเซลล์สุริยะเปล่ียนพลงั งานแสงเป็น พลังงานไฟฟ้า หรอื เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ เปลยี่ นพลงั งาน ไฟฟ้าเป็นพลงั งานอนื่ ๒. บรรยายการทำงานของเครอื่ งกำเนดิ • ไฟฟาผลติ จากเครือ่ งกำเนิดไฟฟาซึ่งใช พลังงาน ไฟฟาและระบุแหลงพลงั งานในการผลติ จากแหลงพลงั งานธรรมชาติหลายแหลง เชน ไฟฟาจากขอมูลทีร่ วบรวมได พลงั งานจากลม พลังงาน จากนำ้ พลงั งานจาก ๓. ตระหนกั ในประโยชนและโทษ แกสธรรมชาติ ของไฟฟา โดยนําเสนอวิธกี ารใชไฟฟา • พลงั งานไฟฟามีความสำคัญตอ ชวี ติ ประจำวัน อยางประหยดั และปลอดภัย การใชไฟฟานอกจากตองใช อยางถูกวิธปี ระหยดั และคุมคาแลว ยังตอง คำนึงถึงความปลอดภยั ดวย ป.๔ ๑. จําแนกวตั ถเุ ปนตัวกลางโปรงใส • เม่อื มองสิง่ ตาง ๆ โดยมวี ัตถุตางชนิดกันมากัน้ แสง ตวั กลางโปรงแสง และวตั ถุทบึ แสง จะทำใหลกั ษณะการมองเหน็ สิ่งน้ัน ๆ ชดั เจนตาง จากลกั ษณะการมองเหน็ สิ่งตาง ๆ กัน จงึ จาํ แนกวัตถุทมี่ ากน้ั ออกเปนตวั กลางโปรงใส ผานวัตถนุ น้ั เปนเกณฑ โดยใชหลกั ฐาน ซึ่งทำใหมองเหน็ สงิ่ ตาง ๆ ไดชดั เจน ตัวกลาง เชิงประจักษ์ โปรงแสงทำใหมองเห็นส่ิงตาง ๆ ไดไมชดั เจน และวัตถทุ ึบแสงทำใหมองไมเห็นสง่ิ ตาง ๆ ป.๕ ๑. อธิบายการไดย้ นิ เสยี งผา่ นตวั กลางจาก • การไดย้ ินเสยี งต้องอาศยั ตวั กลาง โดยอาจเปน็ หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสยี งจะสง่ ผา่ น ตวั กลางมายงั หู ๒. ระบตุ วั แปร ทดลอง และอธิบายลักษณะ • เสยี งท่ีได้ยินมรี ะดับสงู ตำ่ ของเสยี งต่างกันขึ้นกับ และการเกดิ เสียงสูง เสียงต่ำ ความถ่ีของการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียง โดยเม่ือ ๓. ออกแบบการทดลองและอธบิ ายลักษณะ แหลง่ กำเนดิ เสียงส่ันดว้ ยความถตี่ ำ่ จะเกิดเสยี งตำ่ และการเกดิ เสียงดงั เสียงคอ่ ย แต่ถ้าสน่ั ด้วยความถ่ีสงู จะเกิดเสยี งสูง ส่วนเสียงดัง ๔. วดั ระดบั เสียงโดยใช้เครื่องมอื วัดระดับ ค่อยท่ไี ดย้ ินขนึ้ กับพลังงานการสั่นของแหล่งกำเนดิ เสยี ง เสยี ง โดยเมอื่ แหล่งกำเนดิ เสียงสน่ั ด้วยพลงั งาน ๕. ตระหนกั ในคุณค่าของความร้เู รื่องระดับ มากจะเกิดเสยี งดงั แตถ่ ้าแหล่งกำเนดิ เสียงส่นั ดว้ ย เสยี งโดยเสนอแนะแนวทางในการหลกี เล่ยี ง พลังงานน้อยจะเกิดเสียงค่อย และลดมลพษิ ทางเสียง

26 ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • เสียงดังมาก ๆ เปน็ อนั ตรายต่อการไดย้ นิ และ เสยี งทก่ี ่อใหเ้ กดิ ความรำคาญเป็นมลพษิ ทางเสยี ง เดซเิ บลเปน็ หน่วยที่บอกถงึ ความดงั ของเสยี ง ป.6 ๑. ระบสุ ่วนประกอบและบรรยายหนา้ ทขี่ อง • วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ยประกอบดว้ ย แหลง่ กำเนดิ แต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย ไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าหรอื อปุ กรณ์ จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ไฟฟา้ แหล่งกำเนิดไฟฟา้ เชน่ ถา่ นไฟฉาย หรือ ๒. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟา้ อยา่ ง แบตเตอร่ี ทำหนา้ ที่ใหพ้ ลงั งานไฟฟ้า สายไฟฟ้า ง่าย เปน็ ตวั นำไฟฟ้า ทำหนา้ ทเี่ ชือ่ มต่อระหว่าง แหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ และเคร่ืองใช้ไฟฟา้ เข้าดว้ ยกนั เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้ามีหนา้ ท่ีเปลีย่ นพลังงานไฟฟา้ เปน็ พลังงานอนื่ ๓. ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธี • เม่ือนำเซลลไ์ ฟฟา้ หลายเซลลม์ าตอ่ เรยี งกัน โดย ที่เหมาะสมในการอธิบายวธิ ีการและผลของ ใหข้ ั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หน่ึงตอ่ กับข้วั ลบ การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม ของอีกเซลลห์ นงึ่ เป็นการตอ่ แบบอนกุ รม ทำใหม้ ี ๔. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องความรู้ของการ พลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกบั เครอื่ งใช้ไฟฟ้า ซ่งึ การ ต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรมโดยบอก ต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรมสามารถนำไปใช้ ประโยชนแ์ ละการประยุกต์ใชใ้ น ประโยชน์ในชวี ิตประจำวนั เช่น การตอ่ เซลล์ไฟฟ้า ชวี ติ ประจำวนั ในไฟฉาย ๕. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ี • การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมเมอ่ื ถอดหลอด ทเ่ี หมาะสมในการอธบิ ายการต่อหลอดไฟฟา้ ไฟฟ้าดวงใดดวงหนง่ึ ออกทำให้หลอดไฟฟา้ ท่ีเหลอื แบบอนุกรมและแบบขนาน ดบั ทง้ั หมด สว่ นการต่อหลอดไฟฟา้ แบบขนาน ๖. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรูข้ องการ เมื่อถอดหลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหนง่ึ ออก หลอด ตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน ไฟฟา้ ทเี่ หลือกย็ ังสวา่ งได้ การตอ่ หลอดไฟฟา้ แตล่ ะ โดยบอกประโยชน์ ขอ้ จำกดั และการ แบบสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น การตอ่ ประยกุ ต์ใช้ ในชีวิตประจำวนั หลอดไฟฟา้ หลายดวงในบ้านจงึ ต้องต่อหลอด ไฟฟา้ แบบขนาน เพ่อื เลือกใช้หลอดไฟฟา้ ดวงใด ดวงหนึ่งได้ตามต้องการ ๗. อธบิ ายการเกิดเงามืดเงามวั จากหลักฐาน • เม่ือนำวัตถทุ ึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉาก เชงิ ประจักษ์ รับแสงท่อี ยดู่ ้านหลงั วัตถุ โดยเงามีรปู ร่างคลา้ ย ๘. เขียนแผนภาพรงั สีของแสงแสดงการเกดิ วตั ถทุ ท่ี ำใหเ้ กดิ เงา เงามัวเป็นบริเวณท่ีมีแสง เงามดื เงามวั บางส่วนตกลงบนฉาก สว่ นเงามืดเปน็ บรเิ วณท่ไี ม่มี แสงตกลงบนฉากเลย

27 สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เขา้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมทงั้ ปฏสิ ัมพนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะทส่ี ่งผลตอ่ ส่งิ มชี ีวิต และการประยุกตใ์ ช้ เทคโนโลยีอวกาศ ชนั้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๑ ๑. ระบุดาวท่ีปรากฏบนท้องฟา้ ในเวลา • บนท้องฟา้ มดี วงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ซึง่ กลางวัน และกลางคนื จากขอ้ มลู ท่รี วบรวม ในเวลากลางวันจะมองเหน็ ดวงอาทติ ย์และอาจ ได้ มองเหน็ ดวงจันทรบ์ างเวลาในบางวัน แตไ่ ม่ ๒. อธิบายสาเหตุที่มองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่ สามารถมองเห็นดาว ในเวลากลางวนั จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ • ในเวลากลางวนั มองไมเ่ หน็ ดาวส่วนใหญ่ เน่ืองจาก แสงอาทติ ย์สว่างกว่าจึงกลบแสงของดาว ส่วนใน เวลากลางคนื จะมองเหน็ ดาวและมองเห็นดวงจันทร์ เกือบทกุ คนื ป.๒ - - ป.๓ ๑. อธบิ ายแบบรปู เสน้ ทางการขึน้ และตก • คนบนโลกมองเหน็ ดวงอาทติ ย์ปรากฏขึ้น ของดวงอาทิตย์โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ทางด้านหน่งึ และตกทางอกี ดา้ นหนง่ึ ทุกวัน ๒. อธิบายสาเหตกุ ารเกดิ ปรากฏการณ์การ หมุนเวียนเปน็ แบบรูปซำ้ ๆ ขนึ้ และตกของดวงอาทติ ย์ การเกิดกลางวนั • โลกกลมและหมุนรอบตวั เองขณะโคจรรอบดวง กลางคนื และการกำหนดทิศ โดยใช้ อาทติ ย์ ทำให้บรเิ วณของโลกได้รบั แสงอาทิตย์ไม่ แบบจำลอง พรอ้ มกนั โลกดา้ นท่ไี ด้รับแสงจากดวงอาทติ ย์จะ ๓. ตระหนักถงึ ความสำคัญของดวงอาทติ ย์ เป็นกลางวนั ส่วนดา้ นตรงข้ามที่ไม่ได้รับแสงจะเป็น โดยบรรยายประโยชน์ของดวงอาทติ ยต์ อ่ กลางคนื นอกจากนีค้ นบนโลกจะมองเหน็ ดวง ส่ิงมชี ีวติ อาทิตยป์ รากฏข้ึนทางด้านหน่ึง ซ่ึงกำหนดให้เปน็ ทิศตะวันออก และมองเห็นดวงอาทติ ยต์ กทางอีก ดา้ นหน่ึง ซึ่งกำหนดใหเ้ ป็นทศิ ตะวนั ตก และเม่อื ให้ดา้ นขวามืออยูท่ างทศิ ตะวันออกดา้ นซา้ ยมอื อยู่ ทางทศิ ตะวันตก ด้านหน้าจะเป็นทิศเหนือ และ ด้านหลงั จะเป็นทศิ ใต้ • ในเวลากลางวันโลกจะไดร้ ับพลังงานแสงและ พลังงานความร้อนจากดวงอาทติ ย์ ทำให้ส่งิ มชี วี ิต ดำรงชวี ติ อยไู่ ด้ ป.4 ๑. อธบิ ายแบบรูปเส้นทางการขน้ึ และตก • ดวงจนั ทรเ์ ป็นบริวารของโลก โดยดวงจันทร์ ของดวงจนั ทร์ โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ หมนุ รอบตัวเองขณะโคจรรอบโลก ขณะที่โลกก็ หมุนรอบตัวเองดว้ ยเช่นกนั การหมุนรอบตัวเอง ของโลกจากทศิ ตะวนั ตกไปทศิ ตะวนั ออกใน

28 ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ทศิ ทางทวนเข็มนาฬิกาเมือ่ มองจากข้วั โลกเหนือ ทำใหม้ องเห็นดวงจันทรป์ รากฏข้ึนทางดา้ นทิศ ตะวันออกและตกทางดา้ นทิศตะวนั ตกหมนุ เวยี น เป็นแบบรูปซำ้ ๆ ๒. สร้างแบบจำลองทอ่ี ธิบายแบบรูป การ • ดวงจนั ทรเ์ ปน็ วตั ถุท่ีเป็นทรงกลม แตร่ ปู รา่ งของ เปลย่ี นแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจนั ทร์ ดวงจนั ทรท์ ่มี องเห็นหรอื รูปร่างปรากฏของดวง และพยากรณ์รูปรา่ งปรากฏของดวงจนั ทร์ จันทรบ์ นทอ้ งฟ้าแตกตา่ งกนั ไปในแต่ละวนั โดยใน แตล่ ะวันดวงจนั ทร์จะมรี ปู รา่ งปรากฏเปน็ เสยี้ วทีม่ ี ขนาดเพม่ิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เน่ืองจนเตม็ ดวง จากนนั้ รปู ร่างปรากฏของดวงจนั ทรจ์ ะแหว่งและมขี นาด ลดลงอย่างต่อเนอื่ งจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ จากนัน้ รูปรา่ งปรากฏของดวงจันทร์จะเป็นเสย้ี ว ใหญ่ขึ้นจนเต็มดวงอีกคร้งั การเปลีย่ นแปลงเชน่ นี้ เปน็ แบบรูปซ้ำกันทุกเดือน ๓. สรา้ งแบบจำลองแสดงองค์ประกอบของ • ระบบสรุ ยิ ะเปน็ ระบบทม่ี ีดวงอาทิตย์เป็น ระบบสรุ ิยะ และอธบิ ายเปรยี บเทยี บคาบ ศูนย์กลางและมบี ริวารประกอบด้วย ดาวเคราะห์ การโคจรของดาวเคราะห์ต่าง ๆ จาก แปดดวง และบริวาร ซ่งึ ดาวเคราะหแ์ ต่ละดวงมี แบบจำลอง ขนาดและระยะห่างจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน และยังประกอบด้วย ดาวเคราะหแ์ คระ ดาว เคราะหน์ ้อย ดาวหาง และวตั ถขุ นาดเล็กอ่นื ๆ โคจรอยู่รอบดวงอาทติ ย์ วตั ถขุ นาดเล็กอ่ืน ๆ เมือ่ เข้ามาในชนั้ บรรยากาศเนอื่ งจากแรงโน้มถ่วงของ โลก ทำให้เกดิ เป็นดาวตกหรือผีพุ่งไตแ้ ละ อุกกาบาต ป.5 ๑. เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของดาว • ดาวทม่ี องเห็นบนท้องฟา้ อยใู่ นอวกาศซงึ่ เป็น เคราะหแ์ ละดาวฤกษ์จากแบบจำลอง บริเวณทอ่ี ยนู่ อกบรรยากาศของโลก มีทงั้ ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์เป็นแหลง่ กำเนดิ แสงจึง สามารถมองเหน็ ได้ สว่ นดาวเคราะห์ไม่ใช่ แหล่งกำเนิดแสง แต่สามารถมองเหน็ ไดเ้ นอื่ งจาก แสงจากดวงอาทติ ยต์ กกระทบดาวเคราะหแ์ ล้ว สะท้อนเขา้ สู่ตา ๒. ใชแ้ ผนท่ดี าวระบตุ ำแหนง่ และเสน้ ทาง • การมองเห็นกลมุ่ ดาวฤกษ์มีรปู ร่างตา่ ง ๆ เกิด การข้นึ และตกของกล่มุ ดาวฤกษ์บนทอ้ งฟ้า จากจนิ ตนาการของผูส้ งั เกต กลมุ่ ดาวฤกษ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในทอ้ งฟา้ แต่ละกลมุ่ มีดาวฤกษแ์ ต่ละดวง

29 ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง และอธบิ ายแบบรปู เสน้ ทางการขน้ึ และตก เรยี งกันทตี่ ำแหนง่ คงที่ และมเี สน้ ทางการขึ้นและ ของกลุ่มดาวฤกษ์บนทอ้ งฟ้าในรอบปี ตกตามเสน้ ทางเดิมทกุ คนื ซง่ึ จะปรากฏตำแหน่ง เดิม การสังเกตตำแหน่งและการขึ้นและตกของ ดาวฤกษ์ และกลมุ่ ดาวฤกษ์ สามารถทำไดโ้ ดยใช้ แผนท่ีดาว ซงึ่ ระบุมมุ ทิศและมุมเงยทก่ี ล่มุ ดาวน้ัน ปรากฏ ผสู้ งั เกตสามารถใช้มอื ในการประมาณค่า ของมมุ เงยเม่ือสงั เกตดาวในท้องฟา้ ป.6 ๑. สร้างแบบจำลองทอี่ ธิบายการเกดิ และ • เม่อื โลกและดวงจนั ทร์ โคจรมาอยใู่ นแนว เปรยี บเทียบปรากฏการณ์สรุ ยิ ุปราคา และ เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตยใ์ นระยะทางที่ จันทรุปราคา เหมาะสม ทำใหด้ วงจนั ทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของ ดวงจันทรท์ อดมายังโลก ผู้สงั เกตทอ่ี ยู่บริเวณเงา จะมองเห็น ดวงอาทติ ยม์ ดื ไป เกดิ ปรากฏการณ์ สุริยุปราคา ซง่ึ มีท้ังสุรยิ ปุ ราคาเต็มดวง สุริยปุ ราคา บางส่วน และสรุ ิยปุ ราคาวงแหวน • หากดวงจันทรแ์ ละโลกโคจรมาอยใู่ นแนว เส้นตรงเดียวกนั กบั ดวงอาทติ ย์ แลว้ ดวงจันทร์ เคลอ่ื นที่ผ่านเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืด ไป เกิดปรากฏการณ์จนั ทรุปราคา ซงึ่ มที ้งั จันทรุปราคาเต็มดวง และจันทรปุ ราคาบางสว่ น ๒. อธิบายพฒั นาการของเทคโนโลยอี วกาศ • เทคโนโลยีอวกาศเร่มิ จากความต้องการของ และยกตัวอยา่ งการนำเทคโนโลยอี วกาศมา มนษุ ย์ในการสำรวจวัตถทุ ้องฟา้ โดยใช้ตาเปล่า ใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจำวนั จากข้อมูลท่ี กล้องโทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสกู่ ารขนส่งเพ่ือ รวบรวมได้ สำรวจอวกาศดว้ ยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนอ่ื ง ปัจจบุ ันมกี ารนำ เทคโนโลยอี วกาศบางประเภทมาประยุกต์ใช้ใน ชีวติ ประจำวนั เช่น การใชด้ าวเทียมเพื่อการ ส่ือสาร การพยากรณ์อากาศ หรือการสำรวจ ทรัพยากรธรรมชาติ การใชอ้ ุปกรณว์ ดั ชีพจรและ การเต้นของหวั ใจ หมวกนริ ภัย ชดุ กีฬา

30 สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและ บนผวิ โลก ธรณีพบิ ตั ิภยั กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศและภูมอิ ากาศโลก รวมทงั้ ผล ต่อสิง่ มชี วี ิตและสง่ิ แวดลอ้ ม ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.1 ๑. อธบิ ายลกั ษณะภายนอกของหิน จาก • หินที่อย่ใู นธรรมชาติมลี กั ษณะภายนอก ลกั ษณะเฉพาะตัวทีส่ งั เกตได้ เฉพาะตวั ที่สังเกตได้ เชน่ สี ลวดลาย น้ำหนกั ความแข็ง และเน้ือหนิ ป.๒ ๑. ระบสุ ว่ นประกอบของดนิ และจำแนก • ดนิ ประกอบด้วยเศษหนิ ซากพชื ซากสตั ว์ผสม ชนิดของดินโดยใชล้ ักษณะเนือ้ ดินและการ อยู่ในเน้อื ดนิ มีอากาศและน้ำแทรกอยตู่ าม จบั ตวั เปน็ เกณฑ์ ช่องว่างในเนื้อดิน ดินจำแนกเป็น ดนิ รว่ น ดนิ ๒. อธิบายการใช้ประโยชนจ์ ากดิน จาก เหนยี ว และดินทราย ตามลกั ษณะเน้ือดนิ และการ ข้อมูล ทรี่ วบรวมได้ จับตวั ของดนิ ซึ่งมผี ลตอ่ การอุ้มน้ำทแ่ี ตกต่างกัน • ดนิ แต่ละชนดิ นำไปใช้ประโยชน์ไดแ้ ตกต่างกัน ตามลกั ษณะและสมบตั ขิ องดิน ป.3 ๑. ระบุสว่ นประกอบของอากาศ บรรยาย • อากาศโดยทั่วไปไม่มีสี ไม่มกี ลิน่ ประกอบด้วย ความสำคญั ของอากาศ และผลกระทบของ แกส๊ ไนโตรเจน แกส๊ ออกซเิ จน แกส๊ มลพิษทางอากาศตอ่ สิ่งมีชวี ติ จากขอ้ มูลที่ คารบ์ อนไดออกไซด์ แก๊สอื่น ๆ รวมทัง้ ไอน้ำ และ รวบรวมได้ ฝุ่นละออง อากาศมคี วามสำคญั ต่อส่ิงมีชวี ติ หาก ๒. ตระหนักถงึ ความสำคัญของอากาศ โดย ส่วนประกอบของอากาศไมเ่ หมาะสม เน่ืองจากมี นำเสนอแนวทางการปฏบิ ัติตนในการลดการ แก๊สบางชนดิ หรือฝนุ่ ละอองในปริมาณมาก อาจ เกิดมลพษิ ทางอากาศ เป็นอันตรายต่อสง่ิ มีชีวิตชนดิ ต่าง ๆ จดั เปน็ มลพษิ ทางอากาศ • แนวทางการปฏบิ ัติตนเพอื่ ลดการปลอ่ ยมลพษิ ทางอากาศ เช่น ใช้พาหนะรว่ มกัน หรอื เลือกใช้ เทคโนโลยที ี่ลดมลพิษทางอากาศ ๓. อธบิ ายการเกดิ ลมจากหลักฐานเชงิ • ลม คือ อากาศทเ่ี คลอื่ นท่ี เกิดจากความแตกตา่ ง ประจกั ษ์ กนั ของอณุ หภูมอิ ากาศบรเิ วณท่อี ยู่ใกลก้ นั โดย อากาศบริเวณทม่ี อี ณุ หภมู ิสูงจะลอยตวั สูงข้ึน และ อากาศบริเวณที่มอี ุณหภูมิต่ำกวา่ จะเคลื่อนเข้าไป แทนที่

31 ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๔. บรรยายประโยชน์และโทษของลม จาก • ลมสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนใน ข้อมูลทีร่ วบรวมได้ การผลิตไฟฟา้ และนำไปใช้ประโยชนใ์ นการทำ กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ หากลมเคลอ่ื นทด่ี ้วย ความเรว็ สูงอาจทำให้เกิดอันตรายและความ เสียหายตอ่ ชีวติ และทรัพย์สนิ ได้ ป.๔ - - ป.5 ๑. เปรียบเทียบปรมิ าณนำ้ ในแต่ละแหล่ง • โลกมีทั้งน้ำจดื และน้ำเคม็ ซงึ่ อยู่ในแหลง่ นำ้ ต่าง ๆ และระบปุ ริมาณน้ำท่ีมนุษย์สามารถนำมาใช้ ท่มี ีท้งั แหล่งนำ้ ผวิ ดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บงึ ประโยชนไ์ ด้ จากขอ้ มูลที่รวบรวมได้ แมน่ ำ้ และแหลง่ น้ำใต้ดนิ เชน่ น้ำในดนิ และนำ้ บาดาล น้ำทั้งหมดของโลกแบ่งเปน็ น้ำเคม็ ประมาณรอ้ ยละ ๙๗.๕ ซ่งึ อยู่ในมหาสมุทรและ แหล่งนำ้ อ่ืน ๆ และท่เี หลอื อกี ประมาณร้อยละ ๒.๕ เปน็ นำ้ จืด ถ้าเรยี งลำดับปริมาณน้ำจืดจาก มากไปนอ้ ยจะอยทู่ ี่ ธารนำ้ แขง็ และพืดน้ำแขง็ นำ้ ใต้ดิน ช้ันดินเยือกแข็งคงตวั และนำ้ แขง็ ใต้ดนิ ทะเลสาบ ความชืน้ ในดนิ ความช้นื ในบรรยากาศ บงึ แม่นำ้ และนำ้ ในสิ่งมีชีวติ ๒. ตระหนักถึงคุณค่าของน้ำโดยนำเสนอ • น้ำจืดทีม่ นุษยน์ ำมาใชไ้ ดม้ ีปรมิ าณน้อยมาก จงึ แนวทางการใช้นำ้ อยา่ งประหยดั และการ ควรใช้นำ้ อยา่ งประหยดั และร่วมกนั อนรุ กั ษน์ ้ำ อนรุ กั ษ์น้ำ ๓. สร้างแบบจำลองท่ีอธิบายการหมุนเวยี น • วฏั จักรนำ้ เปน็ การหมุนเวียนของน้ำทีม่ แี บบรูป ของน้ำในวัฏจกั รนำ้ ซ้ำเดิม และตอ่ เนือ่ งระหวา่ งน้ำในบรรยากาศ น้ำ ผวิ ดิน และน้ำใต้ดนิ โดยพฤตกิ รรมการดำรงชีวิต ของพชื และสตั วส์ ่งผลตอ่ วัฏจกั รนำ้ ๔. เปรยี บเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก • ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองนำ้ เลก็ ๆ นำ้ ค้าง และนำ้ คา้ งแข็ง จากแบบจำลอง โดยมลี ะอองลอย เชน่ เกลือ ฝนุ่ ละออง ละออง เรณูของดอกไม้ เปน็ อนุภาคแกนกลาง เม่อื ละออง นำ้ จำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกนั ลอยอยู่สงู จาก พื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้ำทเ่ี กาะกลมุ่

32 ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง รวมกนั อยู่ใกล้พน้ื ดิน เรยี กว่า หมอกสว่ นไอน้ำที่ ควบแนน่ เป็นละอองนำ้ เกาะอย่บู นพน้ื ผิววตั ถุใกล้ พืน้ ดนิ เรยี กวา่ นำ้ ค้าง ถา้ อณุ หภูมิใกล้พนื้ ดนิ ต่ำ กว่าจุดเยือกแขง็ นำ้ คา้ งก็จะกลายเป็นนำ้ คา้ งแขง็ ๕. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิดฝน หมิ ะ • ฝน หมิ ะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้ำฟ้าซงึ่ เป็นนำ้ ที่มี และลกู เห็บ จากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ สถานะต่าง ๆ ที่ตกจากฟา้ ถึงพนื้ ดิน ฝนเกดิ จาก ละอองน้ำในเมฆทร่ี วมตัวกนั จนอากาศไมส่ ามารถ พยงุ ไวไ้ ด้จงึ ตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้ำในอากาศ ระเหดิ กลบั เป็นผลกึ น้ำแข็ง รวมตวั กันจนมนี ้ำหนกั มากข้ึนจนเกนิ กว่าอากาศจะพยงุ ไว้จึงตกลงมา ลกู เหบ็ เกิดจากหยดนำ้ ท่เี ปลยี่ นสถานะเปน็ น้ำแขง็ แลว้ ถกู พายพุ ดั วนซ้ำไปซำ้ มาในเมฆฝนฟา้ คะนอง ทีม่ ีขนาดใหญแ่ ละอยใู่ นระดับสูงจนเป็นก้อน นำ้ แข็งขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตกลงมา ป.๖ ๑. เปรียบเทยี บกระบวนการเกิดหนิ อคั นี หนิ • หนิ เป็นวสั ดแุ ขง็ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตะกอน และหินแปร และอธบิ ายวัฏจักรหนิ ประกอบดว้ ยแร่ต้งั แต่หนึ่งชนดิ ขึน้ ไป สามารถ จากแบบจำลอง จำแนกหินตามกระบวนการเกิดไดเ้ ปน็ ๓ประเภท ได้แก่หินอัคนี หินตะกอนและหนิ แปร • หินอคั นเี กิดจากการเย็นตวั ของแมกมา เนอ้ื หิน มลี กั ษณะเป็นผลกึ ท้ังผลกึ ขนาดใหญแ่ ละขนาด เลก็ บางชนดิ อาจเปน็ เน้อื แก้วหรือมรี ูพรุน • หนิ ตะกอน เกิดจากการทบั ถมของตะกอนเม่ือ ถกู แรงกดทับและมีสารเชื่อมประสานจึงเกิดเป็น หิน เนอ้ื หินกลมุ่ น้ีส่วนใหญ่มลี กั ษณะเป็นเมด็ ตะกอนมที ้งั เนือ้ หยาบและเนื้อละเอยี ด บางชนดิ เปน็ เนื้อผลึกทยี่ ึดเกาะกันเกิดจากการตกผลกึ หรือ ตกตะกอนจากนำ้ โดยเฉพาะน้ำทะเล บางชนิดมี ลักษณะเปน็ ช้ัน ๆ จึงเรียกอกี ชื่อว่า หนิ ชนั้

33 ช้ัน ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง • หนิ แปร เกดิ จากการแปรสภาพของหนิ เดิม ซึง่ อาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหนิ แปร โดยการ กระทำของความร้อน ความดนั และปฏกิ ิริยาเคมี เนือ้ หินของหนิ แปรบางชนิดผลึกของแร่เรียงตัว ขนานกนั เปน็ แถบ บางชนิดแซะออกเปน็ แผน่ ได้ บางชนดิ เป็นเนอ้ื ผลึกท่ีมีความแข็งมาก • หินในธรรมชาตทิ ง้ั ๓ ประเภท มีการเปล่ียนแปลง จากประเภทหนงึ่ ไปเปน็ อกี ประเภทหนึ่ง หรอื ประเภทเดมิ ได้ โดยมแี บบรปู การเปลีย่ นแปลงคงท่ี และตอ่ เนื่องเป็น วัฏจักร ๒. บรรยายและยกตวั อยา่ งการใช้ประโยชน์ • หินและแรแ่ ต่ละชนิดมีลกั ษณะและสมบัติ ของหินและแรใ่ นชีวิตประจำวนั จากขอ้ มูลท่ี แตกต่างกัน มนษุ ย์ใช้ประโยชน์จากแร่ใน รวบรวมได้ ชีวิตประจำวนั ในลกั ษณะตา่ ง ๆ เชน่ นำแร่มาทำ เคร่อื งสำอาง ยาสีฟนั เครื่องประดับ อุปกรณท์ าง การแพทย์ และนำหินมาใช้ในงานกอ่ สร้างตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๓. สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการเกดิ ซากดกึ • ซากดึกดำบรรพเ์ กดิ จากการทบั ถมหรอื การ ดำบรรพแ์ ละคาดคะเนสภาพแวดล้อมใน ประทับรอยของสิง่ มชี ีวติ ในอดีต จนเกดิ เป็น อดีตของซากดกึ ดำบรรพ์ โครงสรา้ งของซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวติ ท่ี ปรากฏอยูใ่ นหิน ในประเทศไทยพบซากดึกดำ บรรพท์ ี่หลากหลาย เช่น พชื ปะการัง หอย ปลา เตา่ ไดโนเสาร์ และรอยตนี สตั ว์ • ซากดึกดำบรรพ์สามารถใช้เป็นหลกั ฐานหน่งึ ท่ี ช่วยอธบิ ายสภาพแวดล้อมของพ้ืนทใี่ นอดีตขณะ เกดิ สิง่ มชี วี ิตน้นั เชน่ หากพบซากดกึ ดำบรรพ์ ของ หอยน้ำจืด สภาพแวดลอ้ มบริเวณนัน้ อาจเคยเป็น แหลง่ น้ำจดื มาก่อน และหากพบซากดกึ ดำบรรพ์

34 ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ของพชื สภาพแวดล้อมบริเวณน้ันอาจเคยเป็นป่า มากอ่ น นอกจากน้ีซากดึกดำบรรพ์ ยงั สามารถใช้ ระบอุ ายขุ องหิน และเปน็ ขอ้ มลู ในการศึกษา วิวฒั นาการของสงิ่ มชี ีวิต ๔. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และ • ลมบก ลมทะเล และมรสมุ เกดิ จากพืน้ ดินและ มรสมุ รวมท้งั อธิบายผลทมี่ ตี ่อสิ่งมีชวี ติ และ พื้นน้ำ รอ้ นและเย็นไมเ่ ทา่ กันทำให้อณุ หภมู ิอากาศ สงิ่ แวดลอ้ ม จากแบบจำลอง เหนือพนื้ ดนิ และพื้นนำ้ แตกต่างกัน จงึ เกดิ การ เคล่อื นทข่ี องอากาศจากบริเวณทม่ี ีอณุ หภูมติ ่ำ ไป ยงั บรเิ วณที่มอี ณุ หภมู ิสงู • ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำถ่นิ ทีพ่ บ บริเวณชายฝ่งั โดยลมบกเกดิ ในเวลากลางคืน ทำ ให้มลี มพดั จากชายฝง่ั ไปส่ทู ะเล ส่วนลมทะเลเกดิ ในเวลากลางวัน ทำให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่ ชายฝง่ั ๕. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของ • มรสุมเป็นลมประจำฤดูเกิดบรเิ วณเขตร้อนของ ประเทศไทย จากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ โลก ซึ่งเปน็ บรเิ วณกวา้ งระดับภูมภิ าค ประเทศ ไทยไดร้ บั ผลจากมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือในชว่ ง ประมาณกลางเดอื นตุลาคมจนถงึ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ ทำให้เกิดฤดูหนาว และไดร้ บั ผลจากมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้ในชว่ งประมาณกลางเดอื น พฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตลุ าคมทำให้เกดิ ฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธจ์ นถึง กลางเดอื นพฤษภาคมเป็นชว่ งเปลี่ยนมรสมุ และ ประเทศไทยอยใู่ กลเ้ สน้ ศนู ยส์ ตู ร แสงอาทิตย์เกือบ ต้ังตรงและตัง้ ตรงประเทศไทยในเวลาเท่ยี งวนั ทำ ให้ไดร้ ับความร้อนจากดวงอาทิตย์อย่างเตม็ ที่ อากาศจึงรอ้ นอบอา้ วทำให้เกดิ ฤดูรอ้ น

35 ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๖.บรรยายลักษณะและผลกระทบ • นำ้ ท่วม การกัดเซาะชายฝงั่ ดินถลม่ แผน่ ดินไหว ของน้ำทว่ ม การกดั เซาะชายฝ่งั ดินถล่ม และสนึ ามิ มีผลกระทบตอ่ ชวี ิตและสิง่ แวดล้อม แผน่ ดนิ ไหว สนึ ามิ แตกต่างกนั ๗. ตระหนกั ถึงผลกระทบของภยั ธรรมชาติ • มนุษย์ควรเรยี นรู้วธิ ีปฏบิ ัติตนให้ปลอดภัย เชน่ และธรณีพิบัติภัย โดยนำเสนอแนวทางใน ตดิ ตามข่าวสารอยา่ งสมำ่ เสมอ เตรยี มถงุ ยังชพี ให้ การเฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจาก พรอ้ มใชต้ ลอดเวลา และปฏิบัติตามคำสัง่ ของ ภัยธรรมชาตแิ ละธรณพี บิ ตั ภิ ยั ทอี่ าจเกดิ ใน ผปู้ กครองและเจ้าหน้าที่อย่างเครง่ ครดั เมอ่ื เกิดภัย ทอ้ งถนิ่ ธรรมชาติและธรณีพบิ ตั ภิ ัย ๘. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิด • ปรากฏการณเ์ รือนกระจกเกิดจากแก๊สเรอื น ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก และผลของ กระจกในช้ันบรรยากาศของโลกกักเก็บความรอ้ น ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกต่อสง่ิ มีชีวติ แล้ว คายความร้อนบางส่วนกลบั สู่ผิวโลก ทำให้ ๙. ตระหนักถงึ ผลกระทบของปรากฏการณ์ อากาศ บนโลกมีอุณหภมู ิเหมาะสมตอ่ การ เรอื นกระจก โดยนำเสนอแนวทางการปฏิบตั ิ ดำรงชวี ติ ตนเพื่อลดกจิ กรรมทก่ี อ่ ให้เกิดแกส๊ เรอื น • หากปรากฏการณ์เรอื นกระจกรนุ แรงมากขนึ้ จะ กระจก มีผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศโลก มนษุ ย์จึง ควรร่วมกันลดกจิ กรรมท่ีก่อใหเ้ กิดแก๊สเรือน กระจก สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชวี ิตในสังคมท่ีมกี ารเปล่ยี นแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตรอ์ ืน่ ๆ เพอื่ แกป้ ญั หาหรือ พฒั นางานอยา่ งมีความคดิ สรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ิต สงั คม และส่งิ แวดล้อม ชนั้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ - - ป.๒ - - ป.๓ - - ป.๔ - - ป.๕ - - ป.๖ - -

36 สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอนและเป็น ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรียนรู้ การทำงาน และ การแก้ปัญหาได้ อย่างมีประสิทธภิ าพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. แก้ปัญหาอย่างงา่ ยโดยใช้การลองผิดลอง • การแกป้ ญั หาใหป้ ระสบความสำเรจ็ ทำได้โดยใช้ ถกู การเปรียบเทียบ ข้ันตอนการแก้ปญั หา • ปัญหาอยา่ งงา่ ย เชน่ เกมเขาวงกต เกมหาจดุ แตกตา่ งของภาพ การจัดหนงั สอื ใสก่ ระเปา๋ ๒. แสดงลำดับขน้ั ตอนการทำงานหรอื การ • การแสดงขัน้ ตอนการแกป้ ัญหา ทำไดโ้ ดยการ แกป้ ัญหาอย่างง่ายโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ เขยี น บอกเลา่ วาดภาพ หรอื ใช้สญั ลกั ษณ์ หรือขอ้ ความ • ปัญหาอย่างงา่ ย เชน่ เกมเขาวงกต เกมหาจุด แตกต่างของภาพ การจัดหนังสอื ใสก่ ระเป๋า ๓. เขียนโปรแกรมอย่างงา่ ย โดยใช้ • การเขยี นโปรแกรมเปน็ การสร้างลำดับของคำสง่ั ซอฟต์แวร์หรือส่อื ใหค้ อมพวิ เตอรท์ ำงาน • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขยี นโปรแกรมสงั่ ให้ ตวั ละครยา้ ยตำแหน่ง ยอ่ ขยายขนาด เปล่ยี นรูปรา่ ง • ซอฟต์แวรห์ รอื ส่ือทใ่ี ช้ในการเขยี นโปรแกรม เชน่ ใชบ้ ตั รคำสัง่ แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org ๔. ใช้เทคโนโลยใี นการสร้าง จัดเกบ็ เรยี กใช้ • การใชง้ านอปุ กรณ์เทคโนโลยีเบ้อื งตน้ เชน่ การ ขอ้ มูลตามวตั ถปุ ระสงค์ ใชเ้ มาส์ คีย์บอร์ด จอสัมผัส การเปิด-ปิด อปุ กรณ์ เทคโนโลยี • การใชง้ านซอฟตแ์ วร์เบือ้ งต้น เชน่ การเข้าและ ออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจัดเกบ็ การ เรยี กใช้ไฟล์ ทำได้ในโปรแกรม เชน่ โปรแกรม ประมวลคำ โปรแกรมกราฟิก โปรแกรมนำเสนอ • การสรา้ งและจดั เกบ็ ไฟลอ์ ย่างเป็นระบบจะทำให้ เรียกใช้ ค้นหาข้อมลู ได้ง่ายและรวดเร็ว ๕. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั เช่น ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลงในการใช้คอมพวิ เตอร์ รจู้ ักขอ้ มูลส่วนตวั อันตรายจากการเผยแพรข่ ้อมูล รว่ มกัน ดแู ลรกั ษาอุปกรณ์เบือ้ งต้น ใชง้ าน สว่ นตัว และไมบ่ อกข้อมลู ส่วนตัวกับบคุ คลอ่ืน อย่างเหมาะสม ยกเวน้ ผูป้ กครองหรือครู แจ้งผูเ้ กี่ยวขอ้ งเมอ่ื ต้องการความช่วยเหลอื เกย่ี วกบั การใช้งาน

37 ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • ขอ้ ปฏิบัตใิ นการใช้งานและการดูแลรักษา อุปกรณ์ เชน่ ไม่ขดี เขยี นบนอปุ กรณ์ ทำความ สะอาด ใช้อุปกรณอ์ ย่างถูกวธิ ี • การใช้งานอย่างเหมาะสม เชน่ จัดท่านง่ั ให้ ถกู ต้อง การพักสายตาเมื่อใช้อุปกรณ์เป็นเวลานาน ระมดั ระวงั อุบตั เิ หตจุ ากการใชง้ าน ป.๒ ๑. แสดงลำดบั ขนั้ ตอนการทำงานหรือการ • การแสดงขนั้ ตอนการแก้ปัญหา ทำไดโ้ ดยการ แกป้ ญั หาอยา่ งงา่ ยโดยใช้ภาพ สญั ลกั ษณ์ เขยี น บอกเล่า วาดภาพ หรอื ใช้สัญลกั ษณ์ หรอื ขอ้ ความ • ปัญหาอย่างงา่ ย เช่น เกมตวั ต่อ ๖-๑๒ ชนิ้ การ แตง่ ตัวมาโรงเรยี น ๒. เขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย โดยใช้ • ตวั อยา่ งโปรแกรม เช่น เขยี นโปรแกรมสงั่ ให้ ตวั ซอฟต์แวรห์ รอื สื่อ และตรวจหาข้อผดิ พลาด ละครทำงานตามท่ีตอ้ งการ และตรวจสอบ ของโปรแกรม ข้อผดิ พลาด ปรบั แก้ไขใหไ้ ดผ้ ลลัพธต์ ามท่ีกำหนด • การตรวจหาข้อผดิ พลาด ทำไดโ้ ดยตรวจสอบ คำสัง่ ท่ีแจ้งข้อผดิ พลาด หรอื หากผลลัพธไ์ มเ่ ปน็ ไป ตามท่ีต้องการให้ตรวจสอบการทำงานทีละคำส่ัง • ซอฟตแ์ วรห์ รอื สอ่ื ทใี่ ช้ในการเขียนโปรแกรม เชน่ ใช้บตั รคำสั่งแสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org ๓. ใชเ้ ทคโนโลยใี นการสรา้ ง จัดหมวดหมู่ • การใชง้ านซอฟต์แวรเ์ บอ้ื งต้น เชน่ การเข้าและ ค้นหา จดั เกบ็ เรียกใช้ขอ้ มลู ตาม ออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจัดเกบ็ การ วัตถุประสงค์ เรยี กใชไ้ ฟล์ การแกไ้ ขตกแตง่ เอกสาร ทำได้ ใน โปรแกรม เชน่ โปรแกรมประมวลคำ โปรแกรม กราฟกิ โปรแกรมนำเสนอ • การสรา้ ง คัดลอก ยา้ ย ลบ เปล่ียนช่อื จดั หมวดหม่ไู ฟล์ และโฟลเดอรอ์ ยา่ งเป็นระบบจะทำ ให้เรยี กใช้ ค้นหาขอ้ มูลไดง้ ่ายและรวดเรว็ ๔. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั • การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เชน่ ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลงในการใช้คอมพวิ เตอร์ รูจ้ ักข้อมูลสว่ นตัว อนั ตรายจากการเผยแพร่ขอ้ มูล ร่วมกนั ดแู ลรักษาอุปกรณ์เบ้อื งตน้ ใชง้ าน ส่วนตวั และไมบ่ อกข้อมูลส่วนตัวกบั บุคคลอ่นื อยา่ งเหมาะสม ยกเว้นผู้ปกครองหรือครู แจง้ ผูเ้ ก่ียวขอ้ งเมื่อ ต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการใช้งาน • ขอ้ ปฏบิ ัติในการใชง้ านและการดูแลรกั ษา อุปกรณ์ เช่น ไมข่ ีดเขียนบนอุปกรณ์ ทำความ สะอาด ใชอ้ ุปกรณ์อยา่ งถกู วธิ ี

38 ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง • การใช้งานอย่างเหมาะสม เช่น จัดทา่ นั่งให้ ถกู ต้อง การพักสายตาเมือ่ ใชอ้ ุปกรณ์เป็นเวลานาน ระมดั ระวงั อุบตั ิเหตุจากการใชง้ าน ป.3 ๑. แสดงอลั กอรทิ ึมในการทำงานหรอื การ • อัลกอรทิ มึ เป็นขัน้ ตอนที่ใชใ้ นการแก้ปัญหา แก้ปญั หาอยา่ งงา่ ยโดยใช้ภาพ สญั ลกั ษณ์ • การแสดงอัลกอริทมึ ทำได้โดยการเขยี น บอก หรอื ข้อความ เลา่ วาดภาพ หรือใชส้ ัญลักษณ์ • ตัวอยา่ งปญั หา เชน่ เกมเศรษฐี เกมบนั ไดงู เกม Tetris เกม OX การเดินไปโรงอาหาร การทำ ความสะอาดหอ้ งเรยี น ๒. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ • การเขยี นโปรแกรมเป็นการสร้างลำดับของคำสั่ง ซอฟต์แวรห์ รือส่ือ และตรวจหาข้อผดิ พลาด ใหค้ อมพวิ เตอรท์ ำงาน ของโปรแกรม • ตวั อยา่ งโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมท่ีสง่ั ให้ ตัวละครทำงานซำ้ ไมส่ ้นิ สุด • การตรวจหาข้อผดิ พลาด ทำไดโ้ ดยตรวจสอบ คำสั่งที่แจง้ ข้อผดิ พลาด หรือหากผลลพั ธไ์ ม่เป็นไป ตามท่ตี อ้ งการให้ตรวจสอบการทำงานทีละคำสัง่ • ซอฟต์แวร์หรอื สือ่ ทีใ่ ช้ในการเขยี นโปรแกรม เชน่ ใช้บตั รคำส่งั แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org ๓. ใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตค้นหาความรู้ • อินเทอร์เนต็ เปน็ เครอื ข่ายขนาดใหญ่ชว่ ยให้ การ ตดิ ตอ่ ส่อื สารทำได้สะดวกและรวดเรว็ และเป็น แหลง่ ขอ้ มลู ความร้ทู ช่ี ว่ ยในการเรยี น และการ ดำเนนิ ชีวิต • เว็บเบราวเ์ ซอรเ์ ปน็ โปรแกรมสำหรับอา่ นเอกสาร บนเว็บเพจ • การสบื คน้ ขอ้ มูลบนอนิ เทอรเ์ น็ต ทำไดโ้ ดยใช้ เวบ็ ไซตส์ ำหรับสบื ค้น และต้องกำหนดคำคน้ ที่ เหมาะสมจึงจะไดข้ ้อมลู ตามตอ้ งการ • ขอ้ มลู ความรู้ เชน่ วิธีทำอาหาร วิธีพบั กระดาษ เป็นรปู ตา่ ง ๆ ขอ้ มูลประวัตศิ าสตร์ชาติไทย (อาจ เป็นความรูใ้ นวชิ าอ่นื ๆ หรอื เรอ่ื งทีเ่ ป็นประเด็นที่ สนใจในช่วงเวลานัน้ ) • การใช้อินเทอรเ์ นต็ อย่างปลอดภยั ควรอยใู่ นการ ดูแลของครู หรอื ผู้ปกครอง

39 ชั้น ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๔. รวบรวม ประมวลผล และนำเสนอข้อมูล • การรวบรวมขอ้ มลู ทำได้โดยกำหนดหวั ขอ้ ท่ี โดยใช้ซอฟตแ์ วร์ตามวตั ถุประสงค์ ตอ้ งการ เตรียมอุปกรณใ์ นการจดบนั ทกึ • การประมวลผลอย่างงา่ ย เช่น เปรยี บเทยี บ จดั กลมุ่ เรียงลำดบั • การนำเสนอข้อมลู ทำไดห้ ลายลักษณะตามความ เหมาะสม เช่น การบอกเล่า การทำ เอกสารรายงาน การจดั ทำป้ายประกาศ • การใชซ้ อฟตแ์ วร์ทำงานตามวตั ถปุ ระสงค์ เช่น ใช้ซอฟต์แวรน์ ำเสนอ หรอื ซอฟต์แวรก์ ราฟิก สร้าง แผนภูมิรูปภาพ ใช้ซอฟตแ์ วรป์ ระมวลคำ ทำปา้ ย ประกาศหรือเอกสารรายงาน ใชซ้ อฟตแ์ วร์ตาราง ทำงานในการประมวลผลขอ้ มลู ๕. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั เช่น ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลงในการใชอ้ นิ เทอร์เนต็ ปกปอ้ งข้อมูลสว่ นตวั • ขอความช่วยเหลือจากครูหรือผู้ปกครอง เมอื่ เกดิ ปญั หาจากการใชง้ าน เมอื่ พบข้อมูลหรอื บคุ คล ท่ที ำให้ไม่สบายใจ • การปฏิบตั ิตามข้อตกลงในการใช้อินเทอรเ์ น็ต จะทำให้ไม่เกดิ ความเสียหายตอ่ ตนเองและผู้อนื่ เช่น ไมใ่ ชค้ ำหยาบ ลอ้ เลียน ด่าทอ ทำให้ผอู้ ื่น เสยี หายหรือเสยี ใจ • ข้อดแี ละขอ้ เสยี ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอื่ สาร ป.5 ๑. ใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปญั หา การ • การใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์ อธิบายการทำงาน การคาดการณ์ผลลพั ธ์ หรอื เง่ือนไขที่ครอบคลุมทกุ กรณีมาใช้พิจารณาใน จากปัญหาอยา่ งงา่ ย การแกป้ ัญหา การอธิบายการทำงาน หรือการ คาดการณ์ ผลลัพธ์ • สถานะเริม่ ตน้ ของการทำงานท่ีแตกตา่ งกนั จะให้ ผลลัพธ์ท่ีแตกตา่ งกัน • ตัวอย่างปญั หา เช่น เกม Sudoku โปรแกรม ทำนายตัวเลข โปรแกรมสร้างรปู เรขาคณิตตามค่า ขอ้ มลู เขา้ การจดั ลำดับการทำงานบา้ นในชว่ ง วนั หยุด จดั วางของในครวั

40 ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๒. ออกแบบ และเขยี นโปรแกรมทีม่ ีการใช้ • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำไดโ้ ดยเขยี น เหตผุ ลเชงิ ตรรกะอยา่ งงา่ ย ตรวจหา เป็นขอ้ ความหรือผังงาน ข้อผดิ พลาดและแกไ้ ข • การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการ ตรวจสอบเงื่อนไขทคี่ รอบคลุมทุกกรณเี พื่อใหไ้ ด้ ผลลพั ธท์ ี่ถูกต้องตรงตามความตอ้ งการ • หากมีขอ้ ผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำงาน ทลี ะ คำสัง่ เมอ่ื พบจดุ ท่ีทำให้ผลลพั ธไ์ มถ่ กู ตอ้ ง ใหท้ ำ การแก้ไขจนกว่าจะไดผ้ ลลัพธท์ ีถ่ ูกต้อง • การฝึกตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดจากโปรแกรมของ ผู้อ่ืน จะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปญั หา ได้ดีย่ิงขนึ้ • ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ โปรแกรมตรวจสอบเลขคู่ เลขคี่ โปรแกรมรับขอ้ มลู น้ำหนักหรือส่วนสูงแลว้ แสดงผลความสมสว่ นของร่างกาย โปรแกรมสงั่ ให้ ตวั ละครทำตามเง่อื นไขทก่ี ำหนด • ซอฟตแ์ วร์ที่ใช้ในการเขยี นโปรแกรม เช่น Scratch, logo ๓. ใช้อนิ เทอร์เน็ตคน้ หาขอ้ มลู ติดตอ่ สอ่ื สาร • การคน้ หาขอ้ มูลในอนิ เทอร์เน็ต และการ และทำงานร่วมกนั ประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถอื พิจารณาผลการค้นหา ของขอ้ มูล • การติดต่อส่ือสารผ่านอินเทอรเ์ น็ต เช่น อีเมล บลอ็ ก โปรแกรมสนทนา • การเขียนจดหมาย (บรู ณาการกบั วิชาภาษาไทย) • การใช้อินเทอร์เน็ตในการตดิ ตอ่ สื่อสารและ ทำงานรว่ มกนั เช่น ใช้นัดหมายในการประชมุ กลุ่ม ประชาสัมพนั ธก์ จิ กรรมในหอ้ งเรยี น การ แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นในการเรยี น ภายใต้การดูแลของครู • การประเมนิ ความนา่ เช่อื ถอื ของขอ้ มูล เช่น เปรียบเทียบความสอดคลอ้ ง สมบรู ณ์ของขอ้ มูล จากหลายแหล่ง แหลง่ ตน้ ตอของข้อมลู ผู้เขยี น วนั ทีเ่ ผยแพรข่ ้อมลู • ขอ้ มลู ท่ีดีตอ้ งมีรายละเอยี ดครบทุกด้าน เช่น ข้อดีและขอ้ เสยี ประโยชน์และโทษ

41 ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๔. รวบรวม ประเมิน นำเสนอขอ้ มูลและ • การรวบรวมข้อมลู ประมวลผล สร้างทางเลือก สารสนเทศ ตามวัตถปุ ระสงค์โดยใช้ ประเมินผล จะทำใหไ้ ด้สารสนเทศเพือ่ ใช้ในการ ซอฟต์แวร์หรือบรกิ ารบนอินเทอร์เน็ตที่ แกป้ ญั หาหรือการตัดสนิ ใจไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ หลากหลาย เพ่ือแกป้ ญั หาในชีวติ ประจำวัน • การใช้ซอฟต์แวร์หรือบรกิ ารบนอนิ เทอรเ์ น็ต ท่ี หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ ง ทางเลือก ประเมนิ ผล นำเสนอ จะชว่ ยให้ การ แก้ปัญหาทำไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ถูกต้อง และแมน่ ยำ • ตัวอยา่ งปญั หา เชน่ ถ่ายภาพ และสำรวจแผนที่ ในท้องถ่ินเพื่อนำเสนอแนวทางในการจดั การพน้ื ท่ี ว่างใหเ้ กดิ ประโยชน์ ทำแบบสำรวจความคิดเห็น ออนไลน์ และวเิ คราะห์ข้อมูล นำเสนอขอ้ มูลโดย การใช้ blog หรอื web page ๕. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั มี • อนั ตรายจากการใชง้ านและอาชญากรรม ทาง มารยาท เข้าใจสทิ ธแิ ละหนา้ ท่ีของตน อินเทอร์เนต็ เคารพในสิทธิของผู้อ่ืน แจ้งผู้เกีย่ วข้องเมื่อ • มารยาทในการตดิ ตอ่ สื่อสารผ่านอนิ เทอร์เนต็ พบข้อมูลหรือบคุ คลท่ีไมเ่ หมาะสม (บรู ณาการกับวิชาทีเ่ กี่ยวข้อง) ป.6 ๑. ใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะในการอธิบายและ • การแก้ปญั หาอย่างเปน็ ข้ันตอนจะชว่ ยให้ ออกแบบวธิ กี ารแก้ปญั หาท่พี บใน แก้ปัญหาได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ชีวิตประจำวนั • การใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะเปน็ การนำกฎเกณฑ์ หรอื เง่อื นไขทค่ี รอบคลุมทุกกรณมี าใช้พิจารณาใน การแก้ปญั หา • แนวคดิ ของการทำงานแบบวนซำ้ และเง่ือนไข • การพจิ ารณากระบวนการทำงานที่มกี ารทำงาน แบบวนซ้ำหรอื เง่อื นไขเปน็ วธิ ีการทจี่ ะชว่ ยใหก้ าร ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหาเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ • ตวั อย่างปญั หา เช่น การคน้ หาเลขหนา้ ท่ี ตอ้ งการใหเ้ รว็ ทสี่ ดุ การทายเลข ๑-๑,๐๐๐,๐๐๐ โดยตอบให้ถูกภายใน ๒๐ คำถาม การคำนวณ เวลาในการเดินทาง โดยคำนงึ ถงึ ระยะทาง เวลา จุดหยุดพกั ๒. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอยา่ งง่าย • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำไดโ้ ดยเขยี น เพอ่ื แก้ปญั หาในชีวติ ประจำวนั ตรวจหา เป็นขอ้ ความหรือผังงาน ข้อผิดพลาดของโปรแกรมและแกไ้ ข

42 ช้ัน ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • การออกแบบและเขียนโปรแกรมท่มี ีการใช้ตัว แปร การวนซ้ำ การตรวจสอบเงอ่ื นไข • หากมขี ้อผดิ พลาดให้ตรวจสอบการทำงานทลี ะ คำสงั่ เม่ือพบจุดที่ทำให้ผลลัพธ์ไมถ่ กู ต้อง ให้ทำ การแก้ไขจนกวา่ จะได้ผลลัพธท์ ถ่ี ูกตอ้ ง • การฝกึ ตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดจากโปรแกรมของ ผู้อน่ื จะช่วยพัฒนาทกั ษะการหาสาเหตขุ องปัญหา ได้ดีย่ิงข้ึน • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรม หาค่า ค.ร.น. เกมฝึกพิมพ์ • ซอฟตแ์ วรท์ ใี่ ช้ในการเขียนโปรแกรม เชน่ Scratch, logo ๓. ใช้อนิ เทอร์เน็ตในการคน้ หาขอ้ มูลอย่างมี • การค้นหาอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ เป็นการค้นหา ประสทิ ธภิ าพ ขอ้ มลู ท่ีไดต้ รงตามความต้องการในเวลาท่รี วดเรว็ จากแหล่งข้อมูลทนี่ ่าเชื่อถือหลายแหลง่ และข้อมูล มีความสอดคล้องกนั • การใชเ้ ทคนคิ การคน้ หาข้ันสงู เช่น การใช้ตวั ดำเนินการ การระบรุ ปู แบบของข้อมลู หรือชนิด ของไฟล์ • การจดั ลำดบั ผลลัพธ์จากการค้นหาของโปรแกรม ค้นหา • การเรียบเรียง สรปุ สาระสำคญั (บรู ณาการกบั วชิ าภาษาไทย) ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำงานร่วมกนั • อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม ทาง อยา่ งปลอดภยั เข้าใจสิทธแิ ละหน้าท่ขี องตน อินเทอรเ์ นต็ แนวทางในการปอ้ งกัน เคารพในสทิ ธิของผอู้ น่ื แจง้ ผู้เกย่ี วขอ้ งเม่ือ • วิธีกำหนดรหสั ผ่าน พบข้อมูลหรอื บคุ คลที่ไม่เหมาะสม • การกำหนดสิทธ์ิการใชง้ าน (สิทธิ์ในการเข้าถงึ ) • แนวทางการตรวจสอบและปอ้ งกนั มัลแวร์ • อันตรายจากการติดตัง้ ซอฟตแ์ วร์ทีอ่ ยู่บน อนิ เทอรเ์ น็ต

43 คำอธิบายรายวชิ าและโครงสร้างรายวชิ า กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การวิเคราะห์เพอื่ จัดทำคำอธิบายรายวิชา กล่มุ สาระการเ ตัวชีว้ ัด สาระสำคญั - มคี วาม ว.๑.๑ ป.๑/๑ สตั ว์ โคร ๑. ระบุช่อื พืชและสตั ว์ทอ่ี าศยั อยู่ - ชอ่ื พืชและสัตวท์ ่ีอาศัยอยบู่ รเิ วณต่าง ๆ ของส่ิงมชี บริเวณตา่ ง ๆ จากขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ -มีความร ว.๑.๑ ป.๑/๑ อาศยั หล ๒. บอกสภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสม - สภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสม สิ่งมีชวี ิต กบั การดำรงชีวติ ของสตั ว์ในบริเวณที่ - การดำรงชีวติ ของสัตว์ในบริเวณท่อี าศัยอยู่ อาศยั อยู่ ว.๑.๒ ป.๑/๑ - มคี วาม ๑. ระบุชอื่ บรรยายลักษณะและบอก - ชื่อของส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายมนษุ ย์ พืช การท หนา้ ทขี่ องสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย - สตั ว์ ของร่างก มนษุ ย์ สัตว์ และพืช รวมท้ังบรรยาย - พืช การทำหน้าทร่ี ่วมกันของส่วนตา่ ง ๆ - การทำหน้าที่ร่วมกันของสว่ นตา่ ง ๆ ของ - มีความ ของรา่ งกายมนษุ ยใ์ นการทำกิจกรรม ร่างกายมนษุ ย์ ๆ ของรา่ ตา่ ง ๆ จากขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ - การรกั ษ ว.๑.๒ ป.๑/๒ - การรักษ ๒. ตระหนักถึงความสำคัญของสว่ น - ความสำคัญของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตา่ ง ๆ ของร่างกายตนเอง โดยการ - การดูแลส่วนตา่ ง ๆ ดูแลส่วนตา่ ง ๆ อยา่ งถกู ต้อง ให้ - ความปลอดภยั ปลอดภัย และรกั ษาความสะอาดอยู่ - รกั ษาความสะอาด เสมอ ว.๒.๑ ป.๑/๑ - สมบัติของวัสดุชนิดเดยี ว - หลายชนดิ ประกอบกัน

เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ 44 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง/ทอ้ งถ่นิ ความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ / บูรณาการศาสตร์พระราชา มรู้เกี่ยวกบั ส่ิงมีชวี ติ ทัง้ พืชและ - มีการสังเกต - ใฝ่เรยี นรู้ รงสร้างลกั ษณะ การปรบั ตัว - มีการสบื คน้ ข้อมลู - มงุ่ มั่นในการทำงาน ชีวิต รอบตัวเอง - มกี ารตีความหมายข้อมลู - การศกึ ษาข้อมลู ใหเ้ ป็นระบบ รูเ้ กยี่ วกับการดำรงชีวติ อยู่ - มีการทดลอง - ระเบดิ จากภายใน ลบภัยและเลี้ยงดลู กู ออ่ นของ - มีการส่ือความหมาย - ทำตามลำดับขั้นตอน ต - มกี ารพยากรณ์ - พึง่ ตนเอง - มกี ารจำแนก - หาความรู้จากการใช้ชีวิตประจำวนั มร้ดู ้านรา่ งกายมนุษย์ สัตว์ และ - มีการสงั เกต - ใฝเ่ รยี นรู้ ทำหนา้ ท่ีร่วมกันของส่วนต่าง ๆ - มกี ารสืบค้นข้อมูล - มุ่งมัน่ ในการทำงาน กาย - มกี ารตีความหมายข้อมูล - การศกึ ษาขอ้ มูลใหเ้ ปน็ ระบบ - มีทักษะการจดั ทำขอ้ มลู - ระเบิดจากภายใน มรคู้ วามเขา้ ใจเก่ียวกบั ส่วนต่าง - มกี ารสื่อความหมาย - ทำตามลำดบั ขั้นตอน างกายตนเอง - มกี ารลงความคดิ เห็น - พึ่งตนเอง ษาความปลอดภยั - มกี ารพยากรณ์ - หาความรูจ้ ากการใชช้ ีวิตประจำวัน ษาความสะอาด - มีการสงั เกต - ใฝ่เรียนรู้ - มีการสืบค้นขอ้ มูล - มงุ่ ม่นั ในการทำงาน

ตัวชวี้ ัด สาระสำคญั ๑. อธิบายสมบตั ทิ ่ีสังเกตได้ของวัสดุ - ชนดิ ของวัสดุ - มคี วาม ท่ีใชท้ ำวตั ถุซ่ึงทำจากวัสดุชนิดเดยี ว - การจัดกลุ่มวสั ดตุ ามสมบตั ิ สมบตั ิท่ีส หรอื หลายชนดิ ประกอบกนั โดยใช้ ขรุขระ เร - การเกิดเสยี ง หลักฐานเชงิ ประจักษ์ - ทศิ ทางการเคลื่อนทีข่ องเสียง - มีความ ว.๒.๑ ป.๑/๒ ๒. ระบุชนิดของวัสดุและจดั กลมุ่ - มคี วาม วสั ดุตามสมบัตทิ ่ีสงั เกตได้ เคลอื่ นท ว.๒.๓ ป.๑/๑ - มีความ บนทอ้ งฟ ๑. บรรยายการเกดิ เสียงและทิศ ทางการเคล่อื นทข่ี องเสยี งจาก - มคี วาม หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ของดาวเ ว.๓.๑ ป.๑/๑ - มคี วาม เฉพาะตัว ๑. ระบดุ าวที่ปรากฏบนท้องฟา้ ใน - ดาวทปี่ รากฏบนทอ้ งฟ้า เวลากลางวัน และกลางคืนจากขอ้ มูล - กลางวนั ทร่ี วบรวมได้ - กลางคืน ว.๓.๑ ป.๑/๒ ๒. อธบิ ายสาเหตทุ ม่ี องไม่เหน็ ดาว - สาเหตทุ มี่ องไมเ่ ห็นดาวสว่ นใหญ่ ในเวลา ส่วนใหญ่ ในเวลากลางวันจาก กลางวัน หลักฐานเชิงประจกั ษ์ ว.๓.๒ ป.๑/๑ ๑. อธบิ ายลกั ษณะภายนอกของหนิ - ลกั ษณะภายนอกของหนิ จากลักษณะเฉพาะตวั ที่สงั เกตได้ - ลักษณะเฉพาะตวั ของหนิ ว.๔.๒ ป.๑/๑ - การแกป้ ญั หาจากการเปรียบเทียบ - มีความ ๑. แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใชก้ ารลอง ผดิ ลองถกู การเปรยี บเทยี บ ว.๔.๒ ป.๑/๒


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook