ภาษาไทยพืน� ฐาน 5 ท33101 ช�ันมธั ยมศึกษาปี ท�ี 6
สามัคคเี ภทคาฉันท์ เป็ นนิทานสุภาษติ คาฉันท์ขนาดส้ันไม่ก่ี สิบหนา้ กระดาษเท่าน้นั แต่ไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ แต่งดี มีความงดงาม ทางวรรณศิลป์ ท้งั ยงั ไดร้ ับการคดั เลือกเป็นหนงั สือประกอบการเรียน การสอนในวชิ าภาษาไทยดว้ ย
นายชิต บุรทตั มีชีวติ อยู่ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๕๕ – ๒๔๘๕ ไดร้ ับการศึกษาท่ีโรงเรียนวดั ราช บพติ ร และโรงเรียนวดั สุทศั น์ เม่ืออายไุ ด้ ๑๑ ปี บวชเป็นสามเณรที่ วดั ราชบพติ รและท่ีวดั บวรนิเวศ เป็น ศิษยข์ องสมเดจ็ พระยาวชิรญาณวโรรส นายชิตเป็ นผู้ชานาญในการแต่งฉันท์ มาก ใช้นามปากกาว่า เอกชน เจ้าเงาะ และแมวคราว นายชิตถึงแก่กรรมเม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๕
สามคั คีเภทคาฉนั ท์ สามคั คี+เภท = สมาส การแบ่ง, การแยก, การแตกออก ในสมยั รัชกาลท่ี ๖ เกิดวกิ ฤตการณ์ กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ และสงครามโลกคร้ังท่ี ๑ ส่งผลกระทบต่อความมนั่ คงของบา้ นเมือง ทาใหเ้ กิดวรรณคดีปลุกใจใหร้ ักชาติข้ึนเป็น จานวนมาก นายชิต บุรทตั จงึ แต่งเรื่องนีข้ นึ้ ใน พ.ศ. ๒๔๕๗ มุ่งชี้ความสาคญั ของการ รวมเป็ นหมู่คณะ เป็ นนา้ หน่ึงใจเดยี วกนั รักษาบ้านเมืองให้มีความมน่ั คง เดิมเป็นนิทานสุภาษติ ที่แปลมาจากภาษาบาลีในอรรถกถาสุมงั คลวลิ าสินี ทีฆนิกาย มหาวรรค ผแู้ ต่งมีจุดประสงคเ์ พื่อจะทลู เกลา้ ฯ ถวายรัชกาลที่ ๖ และหวงั จะ ไดท้ รงพระอนุเคราะห์ตรวจแกไ้ ข แต่พระองคเ์ สดจ็ สวรรคตเสียก่อน ต่อมาสมเดจ็ กรม พระยาดารงฯ ไดข้ อเร่ืองน้ีมาพมิ พแ์ จก และเจา้ พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี ในฐานะที่เป็น เสนาบดีวา่ การกระทรวงธรรมการไดน้ ามาเป็นบทเรียนในช้นั เรียน
เพอ่ื มุ่งชี้ความสาคญั ของการรวมเป็ นหมู่คณะ เป็ นนา้ หน่ึงใจเดยี วกนั เพอ่ื ป้ องกนั รักษาบ้านเมืองให้มคี วามเป็ นปึ กแผ่น สามคั คีเภทคาฉนั ท์ เป็ นกวนี ิทาน สุภาษิต ว่าด้วย “โทษแห่งการแตกสามัคคี” ภายหลงั ไดร้ ับการยกยอ่ งเป็นตารา เรียนวรรณกรรมไทยที่สาคญั เล่มหน่ึงท้งั ในอดีตและปัจจุบนั
แต่งเป็นบทร้อยกรอง โดยนาฉนั ทช์ นิดต่าง ๆ มาใชส้ ลบั กนั อยา่ งเหมาะสมกบั เน้ือหาแต่ละตอน ประกอบด้วยฉันท์ ๑๘ ชนิด ไดแ้ ก่ ๑. กมลฉนั ท์ ๒. จิตรปทาฉนั ท์ ๓โตฏกฉนั ท์ ๔. ภุชงคประยาตฉนั ท์ ๕. มาณวกฉนั ท์ ๖. มาลินีฉนั ท์ ๗. วสันตดิลกฉนั ท์ ๘. วงั สัฏฐฉนั ท์ ๙. วชิ ชุมมาลาฉนั ท์ ๑๐. สัททุลวกิ กีฬิตฉนั ท์ ๑๑. สทั ธราฉนั ท์ ๑๒. สาลินีฉนั ท์ ๑๓. อินทรวิเชียรฉนั ท์ ๑๔. อินทรวงศฉ์ นั ท์ ๑๕. อีทิสงั ฉนั ท์ ๑๖. อุปชาติฉนั ท์ ๑๗. อุปัฏฐิตาฉนั ท์ ๑๘. อุเปนทรวเิ ชียรฉนั ท์ และ กาพย์ ๒ ชนิด คือ กาพย์ฉบงั ๑๖ และ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
คาฉนั ท์ เป็นคาประพนั ธ์ที่ไดแ้ บบอยา่ งมาจากอินเดีย เดิมแต่ง เป็นภาษาบาลี และสนั สกฤต ไทยนาเปลี่ยนแปลงลกั ษณะ บางอยา่ งเพื่อใหส้ อดคลอ้ งกบั ความนิยมในคาประพนั ธไ์ ทย ตาราฉนั ทท์ ่ีเป็นแบบฉบบั ของฉนั ทไ์ ทย คือ คมั ภีร์วุตโตทยั กาหนดครุ ลหุ และสัมผสั เป็ นมาตรฐาน
คาครุ ุั เป็ นคาที่ออกเสียงหนัก มีตัวสะกด ุุสระเสียงยาว และ อา ไอ ใอ เอา คาลหุ เป็ นคาท่ีออกเสียงเบา ไม่มีตัวสะกด สระเสียงส้ัน ยกเว้น ก็ บ
ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ ชื่อฉันท์แปลว่า งูหรือนาคเลอื้ ย ฉันท์นีม้ ลี ลี าประดุจลลี าศของ พญานาค ทานองฉันท์มีความไพเราะสละสลวย นิยมใช้แต่งเกย่ี วกบั กบั บทชมความงาม ความรัก ความโศก บางคร้ังกใ็ ช้ในบทสดุดหี รือบทถวาย พระพรหรือดาเนินเร่ืองให้รวดเร็ว เช่น ทิชงค์ชาตฉิ ลาดยล คะเนกลคะนึงการ กษัตริย์ลจิ ฉววี าร ระวงั เหือดระแวงหาย เหมาะแก่การณ์จะเสกสรร ปวตั น์วญั จโนบาย มล้างเหตุพเิ ฉทสาย สมคั รสนธ์ิสโมสร
มาณวกฉันท์ ๘ ชื่อฉันท์แปลว่า เดก็ หนุ่ม เป็ นฉันท์ทมี่ ีลลี าเร่งเร้า ผาดโผน คกึ คกั ประดุจเด็กหนุ่ม นิยมใช้กบั เร่ืองทตี่ นื่ เต้นและรื่นเริง เช่น ล่วงลุประมาณ กาลอนุกรม หน่ึงณนิยม ท่านทวชิ งค์ เม่อื จะประสิทธ์ิ วทิ ยะยง เชิญวรองค์ เอกกมุ าร พราหมณไป เธอจรตาม ห้องรหุฐาน โดยเฉพาะใน ความพสิ ดาร จ่ึงพฤฒิถาม โทษะและไข ขอธประทาน
บรรยายการดาเนินเรื่อง การเจรจาท่ีตอ้ งการดาเนินเร่ือง
อุเปนทรวเิ ชียรฉันท์ ๑๑ ช่ือฉันท์แปลว่า อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์น้อย มีลกั ษณะคล้ายกบั อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ ท่วงทานองของฉันท์เรียบ ๆ เยน็ ๆ ไม่กระแทกกระท้นั มกั ใช้บรรยายเนือ้ ความเป็ นการดาเนินเร่ือง เช่น ทิชงค์เจาะจงเจตน์ กลห์เหตุยุยงเสริม กระหน่าและซ้าเติม นฤพทั ธก่อการณ์ ละคร้ังระหว่างครา ทินวารนานนาน เหมาะท่าทชิ าจารย์ ธกเ็ ชิญเสด็จไป
สทั ธราฉนั ท์ ๒๑ พรรณนาความงาม ความโศกอย่างลึกซ้ึง หรือบรรยายความ
สัทธราฉันท์ ๒๑ ชื่อฉันท์มีความหมายว่า ฉันท์ทมี่ ีลลี าวจิ ติ รงดงามประดุจสตรีเพศ ผู้ประดบั ด้วยพวงมาลยั มักใช้เป็ นฉันท์พรรณนาความงามหรือความโศก อย่างลกึ ซึ้งหรือบรรยายความกไ็ ด้ เช่น คร้ันล่วงสามปี ประมาณมา สหกรณประดา ลจิ ฉวีรา ชท้งั หลาย สามัคคธี รรมทาลาย มิตรภิทนะกระจาย สรรพเส่ือมหายน์ กเ็ ป็ นไป
สาลนิ ีฉันท์ ๑๑ ชื่อฉันท์มีความหมายว่า ฉันท์ทมี่ ากไปด้วยครุซ่ึงเปรียบเสมือน แก่นหรือหลกั เป็ นฉันท์ทมี่ ีเสียงครุมาก มกั ใช้บรรยายความในการดาเนิน เรื่อง เช่น วชั ชีภูมีผอง สดบั กลองกระหึมขา ทุกไท้ไป่ เอาภาร ณกจิ เพอ่ื เสด็จไป ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย เ เราใช่เป็ นใหญ่ใจ กข็ ลาดกลวั บ่กล้าหาญ
อปุ ัฎฐิตาฉนั ท์ ๑๑ ความรสู้ ึกอ่อนไหว เศรา้ หมอง ครา่ ครวญ พรรณนาแสดงความอาลยั รกั
อุปัฎฐิตาฉันท์ ๑๑ ชื่อฉันท์หมายความว่า ฉันท์ท่ีกล่าวสาเนียงอนั ดังก้องให้ปรากฏ กวีนิยมใช้บรรยายความทว่ั ไป เช่น เห็นเชิงพเิ คราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม พราหมณ์เวทอดุ ม ธกล็ อบแถลงการณ์ ให้วลั ลภชน คมดลประเทศฐาน กราบทูลนฤบาล อภเิ ผ้ามคธไกร
วชิ ชุมมาลาฉันท์ ๘ ช่ือของฉันท์แปลว่า ระเบยี บแห่งสายฟ้ า เป็ นฉันท์ทม่ี เี สียงหนัก หรือคาครุล้วน เสียงอ่านจงึ ส้ัน กระชับ รวดเร็ว ใช้บรรยายความท่ี แสดงความรู้สึกในทางวุ่นวายใจ เช่น ข่าวเศิกเอกิ องึ ทราบถงึ บัดดล ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี แทบทุกถิน่ หมด ชนบทบูรี อกส่ันขวญั หนี หวาดกลวั ท่วั ไป หมดเลอื ดสั่นกาย ตนื่ ตาหน้าเผอื ด วุ่นหวนั่ พร่ันใจ หลบลหี้ นีตาย ซ่อนตวั แตกภัย ซุกครอกซอกครัว ทงิ้ ย่านบ้านตน เข้าดงพงไพร
อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ ๑๑ ช่ือฉันท์นีแ้ ปลว่า เพชรของพระอนิ ทร์ ซึ่งมลี กั ษณะแสง ระยิบระยบั เป็ นฉันท์ท่ีมลี ลี าเสนาะ จงั หวะสละสลวยอกี แบบหน่ึง กวี นิยมใช้พรรณนาสิ่งทสี่ วยงาม พรรณนาความน่าเอน็ ดู ความน่าสงสาร บางคร้ังกใ็ ช้บรรยายความเพอ่ื แสดงความรู้สึกทอี่ ่อนไหว เศร้าหมอง เยือกเยน็ เช่น พรรณนาให้เห็นความเสียสละของวสั สการพราหมณ์ว่า โดยเตม็ กตญั ญู กตเวทติ าครัน ใหญ่ยงิ่ และยากอนั นรอนื่ จะอาจทน หยงั่ ชอบนิยมเช่ือ สละเนือ้ และเลอื ดตน ยอมรับทุเรศผล ขรการณ์พะพานกาย ไป่ เห็นกะเจบ็ แสบ ชิวแทบจะทาลาย มอบสัตย์สมรรถหมาย มนมนั่ มิหว่นั ไหว
ความรสู้ ึกคึกคะนอง ตื่นเตน้ สบั สนอลหม่าน
จติ รปทาฉันท์ ๘ เป็ นฉันท์ทม่ี ีทานองเสียงกระชับคล้ายมาณวกฉันท์ เพราะมีเสียงลหุ ใกล้ชิดกนั จงึ ให้ความรู้สึกคกึ คะนอง ตน่ื เต้น จงึ ใช้ในลลี าแห่งความตนื่ เต้น ความสับสนอลหม่าน เช่น นาครธา นิวสิ าลี เห็นริปมุ ี พลมากมาย ข้ามตริ ชล กล็ ุพ้นหมาย มุ่งจะทลาย พระนครตน ต่างกต็ ระหนก มนอกเต้น ตื่นบมิเว้น ตะละผู้คน ทวั่ บุรคา มจลาจล เ สียงอลวน อลเวงไป
สทั ทลุ วิกีฬิต ฉนั ท๑์ ๙ สทั ทลุ วิกกีฬิตฉนั ท์ ๑๙ (สดั - ทุน-ละ-วิก-กี-ลิ-ตะ-ฉนั ) ฉนั ทท์ ่ีมีลีลาประดจุ เสือคะนอง
สัททุลวกิ กฬี ิตฉันท์ ๑๙ ช่ือของฉันท์แปลว่า เสือผยอง เพราะมลี ลี าประดุจกริ ิยาแห่ง เสือโคร่ง มีลลี าท่วงทานองเคร่งขรึม เอาจริงเอาจงั ให้ความรู้สึกว่า ศักด์สิ ิทธ์ิ มสี ง่า จึงนิยมใช้แต่งบทประณามพจน์เป็ นการไหว้ครู หรือ กล่าวยอ พระเกยี รติหรือสรรเสริญพระมหากษตั ริย์ หรือสิ่งศักด์สิ ิทธ์ิ ต่าง ๆ เช่น ไหว้คุณองค์พระสุคตอนาวรณญาณ มุนี ยอดศาสดาจารย์ ปิ ฎก อกี คุณสุนทรธรรมคมั ภริ วิธี พุทธพจน์ประชุมตรี
ใชแ้ สดงอารมณโ์ กรธ
อที ิสังฉันท์ ๒๐ ฉันท์นีม้ ีทานองสะบดั สะบงิ้ กระโชกกระช้ัน เพราะใช้เสียงครุ และเสียงลหุสลบั กนั ทาให้เสียงกระแทกกระท้นั เหมาะสาหรับใช้ พรรณนาความรู้สึกทร่ี ุนแรง เช่น พรรณนาความโกรธ ความรัก ความ ต่นื เต้นทแี่ สดงออกถึงอารมณ์ เช่น เออเุ หม่นะมึงชิช่างกระไร ทุทาสสถุลฉะนีไ้ ฉน กม็ าเป็ น ศึกบ่ถึงและมงึ กย็ งั มเิ ห็น จะน้อยจะมากจะยากจะเยน็ ประการใด อวดฉลาดเพราะคาดแถลงเพราะใจ ขยาดขย้นั มทิ ันอะไร กห็ ม่ินกู
เป็ นฉนั ทท์ ี่ไดร้ บั การยกย่องว่าไพเราะมากที่สดุ
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ชื่อฉันท์แปลว่า ความงามในฤดูฝน เป็ นฉันท์ทมี่ ีลลี างดงามอ่อนช้อย ประดุจความงามของหยาดนา้ ฝนท้งั เลก็ และใหญ่สลบั กนั ในฤดูฝน มคี วาม ไพเราะมากฉันท์หนึ่ง ใช้สาหรับพรรณนาส่ิงทส่ี วยงาม เช่น ชมบ้านเมือง ชมธรรมชาติ ชมความงามของสตรี เป็ นต้น ทาให้ผู้ฟังรู้สึกไพเราะและ ซาบซึ้งกบั ความงามน้ัน ๆ เช่น สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลบั พรรณ ช่อฟ้ าตระการกละจะหยนั จะเยาะยวั่ ทฆิ มั พ ดุจกวกั นภาลยั หางหงส์ผจงพจิ ิตรงอน รอบด้านตระหง่านจตุรมุข พศิ สุกอร่ามใส กาญจน์แกมมณีกนกไพ- ฑุรย์พร่างพะแพรวพราย
โตฏกฉันท์ ๑๒ ช่ือฉันท์แปลว่า ปฏักแทงโค เป็ นฉันท์ทมี่ ลี ลี ากระช้ันคกึ คกั ประดุจนายโคบาลแทงโคด้วยปฏัก กวนี ิยมใช้กบั เนือ้ เรื่องทแ่ี สดงความ โกรธเคอื ง ร้อนรน หรือคกึ คะนอง สนุกสนาน เช่น ประลุฤกษมุหุต ทนิ อุตตมไกร รณรงควชิ ัย- ยะดิถีศุภยาม หิตโกวทิ พราหมณ์ ทชิ พฤตปิ ุโร- นิติไสยพธิ ี กป็ ระกอบกจิ ตาม
กมลฉันท์ ๑๒ ชื่อฉันท์แปลว่า ดอกบวั ลลี าของฉันท์มีเสียงครุลหุสลบั กนั จงึ เป็ นเสียงเร่งเร้า กระฉับกระเฉง ใช้แต่งพรรณนาเหตุการณ์ทคี่ ลค่ี ลาย อย่างรวดเร็ว เช่น ผวิ กาลมชั ฌัน ตกิ อนั รวสี า หสร้อนและอ่อนกา ยสกนธ์พหลหาญ กม็ ริ ีบมิรัดเออื้ ธุระเพอ่ื สบายบาน พลปรีดิสาราญ สุขพอกต็ ่อไป
อนิ ทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ ชื่อฉันท์แปลว่า เหล่ากอพระอนิ ทร์ มีลกั ษณะคล้ายอนิ ทรวเิ ชียร แต่วรรคหลงั เพมิ่ ลหุขนึ้ ก่อนคาท้ายอกี ๑ คา ทาให้ลลี าสะบดั สะบงิ้ ตอน ลงจบคล้ายท่วงทานองขลุ่ยหรือปี่ จงึ มีผู้แปลช่ือฉันท์ชนิดนีว้ ่าขล่ยุ หรือป่ี ของพระอนิ ทร์อกี ชื่อหนึ่ง นิยมใช้ในการพรรณนาความรู้สึกอนั ไม่ ราบร่ืนของตวั ละครหรือบรรยายความ เช่น หลากเหลอื จะเชื่อจิต ผวิ คดิ ประหวน่ั พะ เมตตาและเตม็ ปลง มนจักประคบั ประคอง หนักข้างระคางอยู่ บมริ ู้จะรับจะรอง ภายหลงั กต็ ้ังตรอง ตริฤเว้นระวังระแวง
มาลนิ ีฉันท์ ๑๕ ช่ือฉันท์แปลว่า ดอกไม้ เป็ นฉันท์ทีแ่ ต่งยากแต่ทว่ามคี วามงาม ประดุจดอกไม้ ทานองฉันท์ส้ันกระชับในตอนต้น แล้วราบรื่นในตอน ปลาย เป็ นฉันท์ทม่ี ีท่วงทานองเคร่งขรึมน่ายาเกรง กวมี กั ใช้แต่งเพอื่ อวด ความสามารถในการใช้ศัพท์และเป็ นเชิงกลบท เช่น กษณะทวชิ ะรับฐา นันดร์และทวี่ าจกาจารย์ นิรอลสะประกอบภาร พรี ิโยฬารและเตม็ ใจ
อุปชาตฉิ ันท์ ๑๑ ชื่อฉันท์มีความหมายว่า ฉันท์ทแ่ี ต่งด้วยอนิ ทรวเิ ชียรฉันท์และ อุเปนทรวชิ ียรฉันท์ปนกนั นิยมแต่งเพอื่ บรรยายความในการดาเนินเร่ือง หรือบทเจรจาของตวั ละคร เช่น สดับประกาศิต ระบุกจิ วโรงการ จึ่งราชสมภาร พจนาถประภาษไป เราคิดจะใคร่ยก พยุห์พลสกลไกร ประชุมประชิดชัย รณรัฐวชั ชี
วงั สัฎฐฉันท์ ๑๒ ช่ือฉันท์มคี วามหมายว่า เป็ นฉันท์ทมี่ ีสาเนียงไพเราะประดุจเสียงป่ี มีลกั ษณะคล้ายอนิ ทรวงศ์ฉันท์ ใช้บรรยายความเช่นเดียวกบั อนิ ทรวงศ์ฉันท์ เช่น ประชุมกษัตริย์รา ชสภาสดับคะนึง คะเนณทุกข์รึง อรุ ะอดั ประหวดั ประวงิ ประกอบระกาพา หิรกายน่าจะจริง มใิ ช่จะแอบองิ กลอากระทาอุบาย
สามคั คีเภทคาฉนั ทด์ าเนินเรื่องโดยอิงประวตั ิศาสตร์คร้ังพทุ ธกาล ว่าด้วยการใช้เล่ห์อบุ ายทาลายความสามคั คขี องเหล่ากษตั ริย์ลจิ ฉวี กรุงเวสาลี แห่งแคว้นวชั ชี เน้ือความน้ีมีปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรแห่ง พระไตรปิ ฎก และอรรถกถาสุมงั คลวสิ าสินี โดยเล่าถึงกษตั ริยใ์ นสมยั โบราณ ทรงพระนามวา่ พระเจ้าอชาตศัตรู แห่งแคว้นมคธ ทรงมีอามาตย์ คนสนิทชื่อ วสั สการพราหมณ์ ทรงมีดาริจะปราบแคว้นวชั ชี ซ่ึงมีกษตั ริย์ ลจิ ฉวคี รอบครอง แต่แคว้นวชั ชีมคี วามเป็ นปึ กแผ่นและปกครองกนั ด้วย ความสามคั คี
พระเจา้ อชาตศตั รูปรึกษากบั วสั สการพราหมณ์เพือ่ หาอุบาย ทาลายความสามคั คีของเหล่ากษตั ริยล์ ิจฉวี โดยการเนรเทศวัสสการ พราหมณ์ออกจากแคว้นมคธ เดนิ ทางไปยงั เมอื งเวสาลี แล้วทาอบุ าย จนได้เข้าเฝ้ ากษัตริย์ลจิ ฉวี และในทส่ี ุดได้เป็ นครูสอนศิลปวทิ ยาแก่ ราชกมุ ารท้งั หลาย คร้ันได้โอกาส กท็ าอุบายให้ศิษย์แตกร้าวกนั จนเกดิ การววิ าท และเป็ นเหตุให้ความสามคั คใี นหมู่กษตั ริย์ลจิ ฉวถี ูกทาลายลง โดยใช้เวลาถงึ ๓ ปี เมื่อน้นั พระเจา้ อชาตศตั รูจึงไดก้ รีธาทพั สู่เมืองเว สาลี สามารถปราบแควน้ วชั ชีลงไดอ้ ยา่ งง่ายดาย
กษตั ริยล์ ิจฉวีทุกองคล์ ว้ นต้งั มน่ั อยใู่ นธรรมที่เรียกวา่ \"อปริหานิยธรรม\" คือ ธรรมอนั เป็นไปเพ่อื เหตุแห่งความเจริญฝ่ ายเดียว ผปู้ ฏิบตั ิจกั ไม่เป็นไปในทางเส่ือม อนั ไดแ้ ก่ ๑. เม่ือมีกิจใดเกิดข้ึน กป็ ระชุมกนั ปรึกษาในกิจน้นั ๒. เม่ือประชุมกพ็ ร้อมเพรียงกนั ประชุม เมื่อเลิกกพ็ ร้อมเพรียง กนั เลิก และพร้อมเพรียงกนั กระทากิจอนั ควรทา ๓. ถือมนั่ ตามขนบธรรมเนียมหรือประเพณีอนั ดีอนั ชอบที่มีอยู่ ไม่เพิกถอน หรือดดั แปลงเสียใหม่
๔. มีความเคารพยาเกรงผทู้ ่ีอยใู่ นฐานะเป็นผใู้ หญ่ ท้งั เช่ือถือ กระทาตามถอ้ ยคาบญั ชาและคาแนะนาสงั่ สอนของผเู้ ป็นใหญ่น้นั ๕. ไม่ประทุษร้ายขม่ เหงบุตรและภริยาของกนั และกนั ดว้ ย ประการใดๆ ๖. ไม่ลบหล่ดู ูหมิ่นต่อเจดียสถาน หรือสถานท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ และ การกระทาพลีกรรมบวงสรวงกก็ ระทาตามควร ๗. อานวยความคุม้ ครองป้ องกนั แก่พระอรหนั ต์ บรรดาท่ีมีอยู่ ในแวน่ แควน้ วชั ชีใหเ้ ป็นสุขและปราศจากภยั
พระเจ้าอชาตศัตรู ๑. เป็นกษตั รยท์ ่ีมีพระปรีชาสามารถในการปกครองบา้ นเมือง ๒. ทรงต้งั มนั่ อยใู่ นทศพิธราชธรรม ๓. ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิรของพระองค์ ๔. ทรงมีพระทยั ทานุบารุงบา้ นเมืองใหเ้ จริญรุ่งเรือง ๕. ทรงมีพระทยั ที่จะแผพ่ ระบรมเดชานุภาพ
วสั สการพราหมณ์ ๑. มีความรักชาติบา้ นเมือง ยอมเสียสละเพ่ือประเทศชาติ ๒. มีความจงรักภกั ดีตอ่ พระเจา้ อชาตศตั รู ๓. มีความกลา้ หาญ เดด็ เด่ียว เชื่อมนั่ ในความคิดของตน ๔. มีความรอบคอบและความเพยี ร
บรรดากษตั ริย์ลจิ ฉวี ๑. ในข้นั ตน้ ต่างมีความพร้อมเพรียงอยา่ งมนั่ คง โดยต้งั มน่ั อยใู่ นอปริหานิยธรรม ๒. ทรงมีพระเมตตาอยา่ งยง่ิ ๓. ขาดวิจารณญาณ ทรงเช่ือพระโอรสที่ทูลเร่ืองราวซ่ึงวสั สการ พราหมณ์ยแุ หย่
โอรสกษตั ริย์ลจิ ฉวี บรรดาโอรสท้งั หลายลว้ นอยใู่ นวยั เดก็ และเพิ่งจะรุ่นหนุ่ม ยงั อ่อนต่อความคิด เม่ือวสั สการพราหมณ์คอยยแุ หยใ่ หก้ ินแหนงแคลงใจ กนั กข็ าดสติย้งั คิดไตร่ตรอง จึงทาใหเ้ กิดความบาดหมางใจกนั และเป็น เหตุใหผ้ ใู้ หญ่เกิดความแตกแยกและถึงความพินาศในที่สุด
คุณค่าทางด้านสังคม ๑. ด้านวฒั นธรรมประเพณี ๑.๑ การปกครองแบบมีสภาของกษตั ริยล์ ิจฉวี มีระบบระเบียบใน การปกครองท่ีเขม้ แขง็ เป็นปึ กแผน่ จนขา้ ศึกยกท่ีจะเอาชนะได้ ๑.๒ วฒั นธรรมดา้ นการศึกษา ที่โอรสของกษตั ริยม์ าเรียนร่วมกนั โดยมีพราหมณ์ผมู้ ีความรู้เป็นครูผสู้ อน
คุณค่าทางด้านสังคม ๒. ด้านข้อคดิ และคติสอนใจ ๒.๑ ความสามคั คีเป็นส่ิงสาคญั ท่ีสุดทาใหห้ ม่คู ณะยนื หยดั ยไู่ ดอ้ ยา่ งสงบสุข ๒.๒ การเชื่อคนโดยไม่พจิ ารณาไตร่ตรอง ทาใหเ้ กิดผลเสียหาย ๒.๓ การกระทาทุกส่ิงทุกอยา่ งตอ้ งวางแผนอยา่ งรอบคอบ จึงประสบ ผลสาเร็จ
คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ ๑. แต่งเป็นคาประพนั ธป์ ระเภทฉนั ท์ โดยใชฉ้ นั ทช์ นิดต่าง ๆ ถึง ๑๘ ชนิด โดยลีลาของฉนั ทแ์ ต่ละชนิดที่นามาแต่งน้นั ลว้ นแลว้ แต่ เหมาะสมกบั เน้ือหาเป็นอยา่ งยงิ่ ๒. การเล่นเสียงสมั ผสั ท้งั สมั ผสั พยญั ชนะ และสมั ผสั สระ ทาใหฉ้ นั ท์ มีความไพเราะงดงาม ฟังแลว้ ร่ืนหู เช่น พระราชบุตรลิจ ฉวมิ ิตรจิตเมิน ณกนั และกนั เหิน คณะห่างกต็ ่างถือ ทะนงชนกตน พลลน้ เถลิงลือ กห็ าญกระเหิมฮือ มนฮึกบนึกขาม
คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ ๓. การพรรณนาที่สมจริง โดยใชถ้ อ้ ยคาท่ีเรียบง่าย ฟังแลว้ เขา้ ใจไดท้ นั ที ทาใหผ้ อู้ ่านเกิดจินตภาพ เช่น ต่างกต็ ระหนก มนอกเตน้ ตื่นบ่มิเวน้ ตละผคู้ น ทว่ั บุรคา มจลาจล เสียงอลวน อลเวงไป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117