101 2) ขนาดตราครุฑ 2.1 ตราครุฑสงู 1.5 เซนติ เมตร 2.2 การวางตราครุฑ ให้วางห่างจากขอบกระดาษบนประมาณ 2.5เซนติเมตร( ชดิ ขอบบนด้านซ้าย ) 3) การพิมพ์ 3.1 ใช้รูปแบบตวั พมิ พ์ไทยสารบรรณ(ฟอนต์TH Sarabun PSK) ขนาด 16 พอยท์ 3.2 การพมิ พ์สว่ นหวั ของแบบบนั ทกึ ข้อความ 3.2.1 คาว่า “บันทึกข้อความ” พิมพ์ด้วยอักษรตัวหนาขนาด 29 พอยท์และปรับคา่ ระยะบรรทดั จาก 1 เทา่ เป็นคา่ แนน่ อน (Exactly) 35 พอยท์ 3.2.2 คาว่า “ ส่วนราชการ วันท่ี เร่ือง ”พิมพ์ด้วยอักษรตัวหนาขนาด20 พอยท์ 3.2.3 การพิมพ์คาว่า “ วันท่ี” ให้พิมพ์ตรงกับตวั อกั ษร “ ข” และให้พิมพ์ตัวอักษรตัวแรกของชื่อเดือนตรงกับแนวหลังของตัวอักษร “ ม” ของคาว่า “ บันทึกข้อความ”( ดแู บบฟอร์มประกอบ ) 3.2.4 ใช้จดุ ไข่ปลาแสดงเส้นบรรทัดที่เป็ นช่องว่างหลังคา ส่วนราชการท่ีวันท่ี และ เร่ือง 3.3 การพิมพ์คาขึน้ ต้น ให้มีระยะบรรทดั ห่างจากเร่ืองเท่ากับระยะบรรทัดปกติและเพ่ิมคา่ ก่อนหน้าอีก 6 พอยท์ (1 Enter + Before 6 pt) 3.4 การย่อหน้าข้อความให้มีระยะย่อหน้าตามค่าไม้บรรทดั ระยะการพิมพ์ เท่ากับ2.5 เซนตเิ มตร 3.5 การพิมพ์ยศของผ้ลู งช่ือ ให้พิมพ์อกั ษรตวั แรกอยใู่ นแนวกงึ่ กลางกระดาษและให้เว้นระยะบรรทดั การพิมพ์ 2 บรรทดั ปกติ (2 Enter) จากบรรทดั สดุ ท้ายของข้อความ 3.6 การพิมพ์ช่ือเตม็ ในวงเล็บ ( ช่ือ สกลุ ) และการพิมพ์ตาแหน่ง ให้พิมพ์อยกู่ ึง่ กลางซงึ่ กนั และกนั ในกรณีท่ีต้องพมิ พ์ตาแหนง่ 2 บรรทดั ระหวา่ งบรรทดั ให้ใช้ระยะ 1 Enterเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
102 รูปท่ี 5.2ตวั อยา่ งการจดั หน้าเอกสารหนงั สอื ราชการภายใน ท่มี า www.finearts.go.th/node/8711เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
1035.3 การใช้โปรแกรมประยุกต์ประเภทโปรแกรมคานวณสาหรับครู โปรแกรมทางด้านการคานวณ(Spreadsheet)มีลกั ษณะเป็นตารางใช้ในการคานวณโดยมีสตู รการคานวณไว้ให้ซ่ึงผู้ท่ีจะเป็ นครูจะสามารถนาโปรแกรมนีม้ าใช้ในการจัดการในงานบริหารของโรงเรียน และการชว่ ยในการประมวลสารสนเทศในชนั้ เรียนได้เป็ นอย่างดี ดงั นนั้ ในบทนีจ้ ึงขอนาเสนอเนือ้ หาเก่ียวกับวิธีการในการใช้โปรแกรมไมโครซอท์ฟเอ็กเซล (MS Excel) ซ่ึงเป็ นโปรแกรมด้านการคานวณ ที่ได้รับความนยิ มในปัจจบุ นั มาใช้ในการประมวลผลคะแนนของผ้เู รียน โดยมีรายละเอียดดงั นี ้ 5.3.1 สว่ นประกอบของ Microsoft Office Excel เม่ือเปิ ดโปรแกรม Microsoft Office Excell จะปรากฏ สมุดงาน (Workbook)โดยสมุดงาน ประกอบด้วย แผน่ งาน (Worksheet) จานวน 255 แผน่ งาน เช่นSheet1 Sheet 2 Sheet3… ซงึ่ แต่ละแผน่ งานประกอบด้วยสว่ นสาคญั ตา่ งๆ ดงั นี ้ 1) แถบช่ือเร่ือง (Title Bar) เป็ นส่วนบนสุดของหน้าต่าง แสดงให้ทราบว่ากาลังเปิ ดโปรแกรม Excel และใช้เอกสารชื่ออะไรอยู่ 2) แถบคาสงั่ (Menu Bar) เป็นสว่ นท่ีรวบรวมคาสง่ั การทางานของโปรแกรม Excel 3) แถบเคร่ืองมือ (Tool Bar) เป็ นส่วนท่ีรวบรวมคาสงั่ พืน้ ฐานท่ีใช้บ่อย มาสร้างเป็ นป่ มุเพื่อให้สะดวกต่อการเรียกใช้งาน ซึ่งมีคาส่ังพืน้ ฐานที่จาเป็ นสาหรับการใช้งานเหมือนกับโปรแกรมMicrosoft Office Word เชน่ เปิด บนั ทกึ สร้างเอกสาร พิมพ์ ตดั คดั ลอก หรือวาง 4) ฟอร์มลู า่ บาร์ (Formula Bar) มี 2 สว่ น ได้แก่ 4.1) กลอ่ งชื่อ เป็นสว่ นท่ีแสดงตาแหนง่ เซลล์ ที่กาลงั ใช้งาน 4.2) แถบสตู ร เป็นสว่ นที่ใช้สาหรับสร้างสตู รคานวณ 5) คอลัมน์ (Colume) เป็ นช่องข้อมูลท่ีเรียงกันในแนวตงั้ สาหรับ Excel 2003 มี 256คอลมั น์และExcel 2007 มี ถึง 16,000 คอลมั น์ตอ่ แผน่ งาน 6) แถว (Row) เป็นชอ่ งข้อมลู ที่เรียงกนั ในแนวนอน สาหรับ Excel 2003 มี 65,536 แถวปัจจบุ นั Excel 2007 มี ถงึ 1 ล้านแถวตอ่ แผน่ งาน 7) เซลล์ (Cell) เป็ นช่องสาหรับกรอกข้อมูล ตวั อกั ษร ตวั เลข หรือสูตรการคานวณการเรียกชื่อเซลล์จะปรับเปลี่ยนไปตามตาแหน่งการใช้งานของคอลมั น์และแถว โดยช่ือเซลล์ท่ีกาลงั ใช้งานจะปรากฏขนึ ้ ท่ี กลอ่ งชื่อ เชน่ A1 8) ป้ ายชื่อ (Sheet Tab) เป็นสว่ นท่ีแสดงช่ือของแผน่ งานที่กาลงั ใช้งาน 9) แถบสถานะ (Status Bar) เป็นสว่ นที่แสดงสถานะการทางาน 10) แถบเล่ือน (Scroll Bar) เป็ นส่วนที่ใช้เลื่อนพืน้ ท่ีการทางานในแผ่นงาน เลื่อนได้ทงั้แนวตงั้ และแนวนอนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
104 รูปท่ี 5.3สว่ นประกอบในโปรแกรม Excel ท่มี า เพชรรัตน์ บริสทุ ธ์ิ. (2556) สบื ค้นจาก http://human.tru.ac.th/km/k_m_paper.html 5.3.2 การกรอกข้อมลู รายวชิ า ข้อมูลและคะแนนของแตล่ ะรายวิชาท่ีนามากรอกในแผ่นงาน ขึน้ อย่กู ับความต้องการเช่น รหัส ช่ือ นามสกุลของนกั ศึกษา คะแนน แบบฝึ กหัด คะแนนการเข้าชนั้ เรียน คะแนนสอบกลางภาค คะแนนสอบปลายภาคการกรอกข้อมลู ทาได้โดยนาเมาส์ไปวางยงั เซลล์ท่ีต้องการแล้วพมิ พ์ข้อมลูตา่ งๆ ลงไปซงึ่ สามารถเพ่มิ เตมิ แก้ไข หรือลบเซลล์ตา่ งๆ ได้ตลอดเวลา รูปท่ี 5.3ตวั อยา่ งการกรอกคะแนนในโปรแกรม Excel ท่มี าเพชรรตั น์ บริสทุ ธ์ิ. (2556) สบื ค้นจาก http://human.tru.ac.th/km/k_m_paper.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
105 สาหรับรหสั นกั ศกึ ษาซงึ่ เป็นตวั เลขที่เรียงลาดบั กนั อยแู่ ล้ว สามารถใช้วิธีลดั ดงั นี ้ 1) กรอกรหสั นกั ศกึ ษาคนที่ 1 และคนที่ 2 เชน่ เซลล์ A2 กรอกรหสั 49101370เซลล์ A3 กรอกรหสั 49101371 2) คลิกเมาส์ครอบท่ีรหสั นกั ศกึ ษาคนท่ี 1 และคนท่ี 2 (เซลล์A2 และA3) 3) คลกิ ที่มมุ ลา่ งขวาของเซลล์ A3 ให้เป็นรูป + ค้างไว้ จากนนั้ ลากลงมาตามจานวนนกั ศกึ ษาท่ีต้องการ ปลอ่ ยเมาส์แล้วจะปรากฏรหสั นกั ศกึ ษาเรียงตามลาดบั รูปท่ี 5.4การใช้วิธีลดั ในการลาดบั เลขในโปรแกรม ท่มี า เพชรรัตน์ บริสทุ ธ์ิ. (2556) สบื ค้นจาก http://human.tru.ac.th/km/k_m_paper.html 5.3.3 การคานวณคะแนน 1) กรอกคะแนนลงในคอลมั น์ E2 ถึง คอลมั น์ I2 ซงึ่ เป็นคะแนนระหวา่ งภาค 70 คะแนน 2) รวมคะแนนระหว่างภาค โดยคลิกที่เซลล์ E2 แล้วกดค้างไว้ จากนัน้ ลากไปจนถึงเซลล์ J2 3) คลิกท่ีเครื่องหมาย∑ (ผลรวมอตั โนมตั ิ) ซึง่ อยบู่ นแถบเคร่ืองมือ จากนนั้ เซลล์ J2 จะปรากฏผลรวมของคะแนนระหวา่ งภาค รูปท่ี 5.5การรวมผลคะแนนในโปรแกรม ท่มี า เพชรรัตน์ บริสทุ ธิ์. (2556) สบื ค้นจาก http://human.tru.ac.th/km/k_m_paper.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
106 5.3.4 การตดั เกรด เป็ นการแทนค่าด้วยสูตรของโปรแกรมเพ่ือกาหนดระดบั คะแนนตามเกณฑ์ท่ีผ้สู อนต้องการโดยมีตวั อยา่ งการดาเนนิ การดงั นี ้ 1)คลิกท่ีเซลล์ M2 ซงึ่ เป็ นเซลล์ที่ต้องการให้นาเสนอเกรดหรือผลการเรียนตามคะแนนท่ีคานวณไว้ 2)คลิกท่ีแถบสตู รเพ่ือพมิ พ์สตู รการตดั เกรดดงั นี ้=IF(L2>=80,\"A\",IF(L2>=75,\"B+\",IF(L2>=70,\"B\",IF(L2>=65,\"C+\",IF(L2>=60,\"C\",IF(L2>=55,\"D+\",IF(L2>=50,\"D\",\"E\"))))))) คา่ สูตรดงั กล่าวต้องพิมพ์ติดกันและมีตวั แปรตามคา่ ท่ีกาหนดไว้ทงั้ สิน้ ไม่เช่นนนั้ จะไม่สามารถนาเสนอผลการเรียนได้ รูปท่ี 5.6การใสค่ า่ สตู รเพอ่ื นาเสนอผลเกณฑ์จากคะแนน ท่มี า เพชรรัตน์ บริสทุ ธ์ิ. (2556) สบื ค้นจาก http://human.tru.ac.th/km/k_m_paper.html 5.3.5 การคดั ลอกสตู รการคานวณคะแนน และการตดั เกรดข้างต้น จะเร่ิมทาให้กบั นกั ศกึ ษาคนแรกก่อนสาหรับนกั ศึกษาที่เหลือทงั้ หมดสามารถคดั ลอกสูตรเพื่อคานวณคะแนน และตดั เกรดได้อยา่ งรวดเร็วโดยมีวธิ ีดงั นี ้ 1) คลกิ ท่ีมมุ ลา่ งขวาของเซลล์ A3 ให้เป็นรูป + ค้างไว้ จากนนั้ ลากลงมาตามจานวนแถวท่ีต้องการ ปลอ่ ยเมาส์ จะปรากฏผลคะแนนระหวา่ งภาคของนกั ศกึ ษาแตล่ ะคน 2)คลิกที่มมุ ลา่ งขวาของเซลล์ L3 ให้เป็นรูป + ค้างไว้ จากนนั้ ลากลงมาตามจานวนแถวที่ต้องการ ปลอ่ ยเมาส์ จะปรากฏผลคะแนนทงั้ หมดของนกั ศกึ ษาแตล่ ะคน 3)คลิกท่ีมมุ ลา่ งขวาของเซลล์ M3 ให้เป็นรูป + ค้างไว้ จากนนั้ ลากลงมาตามจานวนแถวที่ต้องการ ปลอ่ ยเมาส์ จะปรากฏเกรดของนกั ศกึ ษาแตล่ ะคนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
107 รูปท่ี 5.7การคดั ลอกคา่ สตู รเพ่ือนาเสนอผลเกณฑ์จากคะแนนอยา่ งรวดเร็ว ท่มี าเพชรรัตน์ บริสทุ ธิ์. (2556) สบื ค้นจาก http://human.tru.ac.th/km/k_m_paper.html การใช้โปรแกรม MS Excel จะช่วยให้ผู้สอนสารมารถที่คานวณผลการเรียนของผู้เรียนได้สะดวกและรวดเร็วขนึ ้ ดงั นนั้ หากครูผ้สู อนมีการเตรียมรูปแบบการคานวณไว้ในครัง้ แรกท่ีทาการสอนจะสมารถนาไปใช้ได้ตลอด5.4 การใช้โปรแกรมประยุกต์ประเภทโปรแกรมนาเสนอสาหรับครู ปัจจบุ นั ไม่ว่าจะเป็ นการทางาน การทาธุรกิจหรือว่าการศกึ ษาก็แล้วแตน่ นั้ จะเห็นได้ว่าเกือบทุกกิจกรรมของมนุษย์นัน้ จาเป็ นที่จะต้องมีการส่ือสารอธิบายให้ผู้อื่นได้ทราบ ฉะนัน้ ก็เลยมีความจาเป็ นในเรื่องของการนาเสนอข้อมลู ตา่ ง ๆ ซึ่งปัจจุบนั นีใ้ นวงการต่างๆ หรือว่าในสถาบนั การศึกษาการนาเสนอข้อมลู เพื่อให้ผ้ทู ี่เราต้องการจะอธิบายให้ฟังได้เข้าใจและรับทราบโดยรวดเร็ว โปรแกรมประยุกต์ประเภทนาเสนอจึงเป็ นอีกโปรแกรมหน่ึงท่ีครูผ้สู อนทุกท่านจะต้องใช้ให้เป็ นและถูกต้องเพราะจะช่วยส่งเสริมการสอนของครูให้น่าสนใจได้มากและเป็ นการใช้สื่อการสอนที่เป็ นที่นิยมอยา่ งมากในปัจจบุ นั เพราะนอกจากจะช่วยให้ผ้เู รียนสนใจแล้ว ยงั ช่วยขยายความเข้าใจในการเรียนของผ้เู รียนเนื่องจากเป็ นส่ือท่ีมีลกั ษณะมลั ติมีเดีย และการใช้ โปรแกรมนาเสนอยงั เป็ นการชว่ ยสงเสริมให้ผ้สู อนได้เตรียมตวั ก่อนที่จะสอนด้วย โปรแกรมประเภทนาเสนอที่นิยมใช้ในปัจจุบนั นีไ้ ด้แก่โปรแกรม MSPower Point ด้วยการนาเสนอในเอกสารฉบับนีจ้ ึงนาเสนอในภาพรวมของโปรแกรมประยุกต์ประเภทนาเสนอโดยใช้โปรแกรม MS Power Point ซงึ่ มีรายละเอียดดงั นี ้ 5.4.1 ลกั ษณะเดน่ ของ Power Point โปรแกรม Power Point มีลกั ษณะเดน่ และความสามารถท่ีพฒั นาขึน้ เพ่ือช่วยในการผลิตสื่อเพื่อการนาเสนอท่ีดีขนึ ้ ดงั นี ้ 1) สามารถนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบข้อความ รูปภาพ เสียง วีดทิ ศั น์ 2) รองรับภาพเคลื่อนไหว เชน่ Flash, Gif Animation เป็นต้นเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
108 3) มีคณุ ลกั ษณะพเิ ศษในการตกแตง่ วตั ถใุ นชิน้ งานท่ีมากขนึ ้ 4) มี Theme หรือรูปแบบการนาเสนอให้เลือกมากขนึ ้ 5) มีนามสกลุ ของไฟล์ท่ีสร้างขนึ ้ จาก Power Point ตงั้ แตเ่ วอร์ชนั่ 2007เป็นต้นไป จะเป็ นนามสกลุ .PPTX แตใ่ นเวอร์ชน่ั เก่าจะเป็นนามสกลุ .PPT 5.4.2 การสร้าง Power Point ประกอบการเรียนการสอน ในการใช้โปรแกรม Power Point ประกอบการเรียนการสอนแล้วนอกจากที่ผ้ผู ลิตจะต้องมีความสามารถในการใช้เคร่ืองมือตา่ งๆ ของโปรแกรมแล้วส่ิงที่สาคญั อย่างหนึ่งก็คือการออกแบบการนาเสนอให้สอดคลองกบั การจดั การเรียนการสอนเพื่อจะได้สร้างPower Point ดงั กล่าวมาสนบั สนนุ ให้เกิดการจดั การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพมากขนึ ้ ในสว่ นนีจ้ ะเป็ นตวั อยา่ งการออกแบบรูปแบบการนาเสนอของ Power Point เพื่อท่ีจะให้เหมาะสมกบั การนาไปใช้โดยจะมีโครงสร้างดงั นี ้ รูปท่ี 5.8 ตวั อยา่ งการออกแบบโครงสร้างการนาเสนอ ของการสร้าง Power Point ประกอบการเรียนการสอน การออกแบบสไลดต์ ามโครงสร้างดงั กลา่ วมีวธิ ีการดงั นี ้ การสร้างสไลด์ชื่อเร่ือง เป็ นส่วนที่ต้องน่าสนใจที่สุด ควรออกแบบให้สวยที่สุดเพ่ือกระตุ้นความสนใจผ้เู รียนและบอกถงึ ช่ือเรื่องที่จะสอน ผ้จู ดั ทา 1) เริ่มสร้างชนิ ้ งานใหม่ โดยการเลือกท่ีoffice button และ เลือก newเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
109 2) เลือกรูปแบบลักษณะของ Power Point ที่จะสร้าง โดยเลือกที่ แถบ Design และทาการเลือกรูปแบบ ในตวั อยา่ งนีโ้ ดยเลือกแบบหน้าวา่ งเปล่า รูปท่ี 5.9 การเลอื กหน้าชิน้ งานใหมแ่ ละสร้างชิน้ งานเปลา่ 3) สร้างช่ือเร่ืองด้วยการใส่กล่องข้อความหรือ text box โดยการเลือก insert แล้วเลือกtext boxจากนัน้ นาเมาส์ไปวางในพืน้ การทางานแล้วพิมพ์ข้อความและทาการเลือกตกแต่งกล่องข้อความ ข้อดีของการใสข่ ้อความทีละกล้องข้อความเพ่ือสะดวกในการออกแบบหน้าจอ รูปท่ี 5.10 การแทรกกลอ่ งข้อความและการตกแตง่ กลอ่ งข้อความ 4) นาเข้ารูปภาพเพื่อตกแต่งโดยเลือกที่ insert และเลือก picture จากนัน้ โปรแกรมปรากฎหน้าตา่ งให้ราเลือกรูปภาพท่ีมีอยใู่ นเครื่องเรามาใสเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
110 รูปท่ี 5.11 การแทรกรูปภาพ เม่ือรูปภาพเข้ามาในชิน้ งานแล้ว ต้องการตกแต่งรูปภาพเม่ือคลิกท่ีรูปภาพจะปรากฏ แถบformat ที่ใช้ในการตกแตง่ รูปภาพขนึ ้ มา สามารถตกแตง่ ได้ตามความต้องการและทาการจดั หน้าจอให้สวยงาม รูปท่ี 5.12 เครื่องมอื ในการตกแตง่ ภาพและการจดั วางหน้าจอ 5) การใช้ shapes (รูปร่าง) ในการตกแต่ง ทาโดยเลือก แถบ insert แล้วเลือก shapesและเลือกรูปร่างรูปทรงท่ีต้องการเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
111 รูปท่ี 5.13 เคร่ืองมือในการแทรกรูปร่าง (Shape) ใช้เครื่องมือในการแทรกรูปร่างตกแตง่ สไลดท์ ่ีจะนาเสนอ รูปท่ี 5.14 การตกแตง่ หน้าจอด้วยเครื่องมือรูปร่าง (Shape)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
112 6) หลงั จากได้หน้าแรกแล้วจะมีการใช้เครื่องมือตา่ งๆในการสร้าง หน้าวตั ถปุ ระสงค์ ซึ่งเป็นการแจ้งเป้ าหมายของการเรียนในแตล่ ะครัง้ ให้ผ้เู รียนทราบ รูปท่ี 5.15 ตวั อยา่ งหน้าวตั ถปุ ระสงค์การเรียนใน Power Point 7) การใส่การเคลื่อนไหวในการนาเสนอ ในการนาเสนอนัน้ จะต้องเลือกมุมมองแบบslideshow ซง่ึ หากเราไมใ่ สก่ ารเคล่ือนไหว สไลด์ก็จะโชว์ข้อมลู ทงั้ หมดในทีเดียว แตเ่ ราสามารถที่จะให้Power Pointนาเสนอในแตล่ ะประเดน็ ได้ เชน่ ในตวั อยา่ ง เราต้องการให้มีการนาเสนอวตั ถปุ ระสงค์ทีละข้อทาได้ดงั นี ้ รูปท่ี 5.16 ตวั อยา่ งการแทรกการเคลอื่ นไหวให้กบั ข้อความเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
113 เมื่อเลือกการเครื่องมือภาพเคล่ือนไหวกาหนดเองแล้ว โปรแกรมจะปรากฏหน้าตา่ งด้านขวามือ ให้เลือกที่ Add effect ให้เลือก เพิม่ ลกั ษณะพิเศษเพื่อใสก่ ารเคล่ือนไหวตามท่ีต้องการ รูปท่ี 5.17 ตวั อยา่ งการแทรกการเคลอื่ นไหวให้กบั ข้อความ ในสว่ นหน้าตา่ งการเคลอื่ นไหวแบบกาหนดเอง 8) การสร้างสไลด์ขอบข่ายเนือ้ หา ในการจดั การเรียนการสอนนนั้ ควรมีการบอกประเดน็ที่จะนาเสนอกบั ผ้เู รียนก่อนเพื่อให้ผ้เู รียนรับทราบ นอกจากนนั้ ยงั เป็ นการช่วยให้ผ้สู อนง่ายในการสรุปประเด็นที่จะสอนได้ชัดเจนขึน้ วิธีการสร้ างสไลด์ขอบข่ายเนือ้ หาทาเช่นเดียวกับการสร้ างสไลด์วตั ถุประสงค์ คือสร้ างสไลด์ใหม่ขึน้ มาและใช้กล่องข้อความ รูปภาพ และรูปร่างรูปทรงในการจัดหน้าจอ และการออกแบบเคลื่อนไหวการนาเสนอ ซง่ึ ในหน้านีค้ วรมีการเชื่อมโยงไปสเู่ นือ้ หาภายในได้ รูปท่ี 5.18 ตวั อยา่ งหน้าขอบขา่ ยเนอื ้ หาเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
114 9) สไลด์เนือ้ หา เป็ นการใสข่ ้อมลู เนือ้ ตามที่เราเตรียมไว้ ข้อสาคญั คือในแต่ละหน้าท่ีใส่เนือ้ หาลงไปไมค่ วรมีเนอื ้ หาท่ีมากเกิน ตวั อกั ษรทเี่ ลก็ เกิน ควรมรี ูปภาพเพอ่ื ขยายความเข้าใจ และมีการจดั องค์ประกอบที่เหมาะสม โดยใช้เคร่ืองมอื ท่ไี ด้ศกึ ษามา ตวั อยา่ งการจดั หน้าจอเชน่ รูปท่ี 5.18 ตวั อยา่ งหน้าจอนาเสนอเนอื ้ หาของโปรแกรม Power Point 10) สไลด์แบบฝึ กหดั หลงั จากที่ทาการนาเสนอเนือ้ หาครบแล้วสไลด์ท่ีควรมีคือสไลด์ในลกั ษณะท่ีเป็ นแบบฝึ กหัด หรือคาถามเพื่อสอบถามความเข้าใจของเด็กหลงั จากที่ผ่านการเรียนแล้วเป็นการกระต้นุ ให้ผ้เู รียนมีสว่ นร่วมในการเรียนการสอน อีกทงั้ ยงั เป็นการประเมินผ้เู รียนได้อีกด้วย การสร้างสไลด์แบบฝึ กหดั อย่างงา่ ยๆสามารถใช้เคร่ืองมือกล่องข้อความ รูปภาพ หรือรูปร่างรูปทรงในการออกแบบได้เหมือนเดมิ และอาจใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวมาช่วยในการนาเสนอของการเฉลยได้ รูปท่ี 5.18 ตวั อยา่ งหน้าจอแบบฝึกหดั ที่ทาด้วยโปรแกรม Power Pointเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
115 5.4.2 แนวทางการใช้โปรแกรม Power Point สาหรับครู การนาเสนอด้วยโปรแกรม Power Point จาเป็ นต้องศึกษาเร่ืองของการรับรู้ของมนุษย์เป็ นหลกั ว่ามีลกั ษณะอย่างไรและออกแบบการนาเสนอให้สอดคล้องกบั ธรรมชาติการรับรู้ของมนษุ ย์ โดยสรุปได้ ดงั นี ้ 1) ควรมีการเขียนหวั ข้อของเรื่องการนาเสนอไว้ทกุ ครัง้ คือเป็ นหวั ข้อที่อธิบายหลกั การสาคญั คอื แกน่ ของเรื่องท่ีจะนาเสนอในโปรแกรม Power Point แผน่ นนั้ ไว้ เนื่องจากวา่ ต้องการจะเรียนรู้ได้ง่ายขึน้ ถ้าส่ิงที่นาเสนอมีการจัดรูปแบบหรือว่ามีหัวข้อท่ีชัดเจน เลย เพ่ือเป็ นการกาหนดกรอบประเดน็ ที่จะนาเสนอในสไลดน์ นั้ ๆ 2) ไมค่ วรใสร่ ูปแบบส่ือที่มีปริมาณมาก ลงไปในสไลด์แผน่ เดียว เช่นสื่อภาพเคล่ือนไหวสื่อภาพนิ่งเพราะ จะทาให้รบกวนการรับรู้ของผ้รู ับข้อมลู 3) ไม่ควรมีเนือ้ หาที่เป็ นข้อความในแต่ละสไลด์มากเกินไป เนื่องจากธรรมชาติของมนษุ ย์นนั้ รับรู้ข้อมลู ท่ีเป็นรูปภาพได้ดีกวา่ ข้อความ 4) ถ้าหากมีความจาเป็ นท่ีจะต้องมีข้อความที่เป็ นลกั ษณะของข้อความในปริมาณมากอาจแก้ไขด้วยการตดั ข้อความบางสว่ น ให้เป็นลกั ษณะการสรุปความ และหารูปภาพท่ีมีความเก่ียวข้องกบั เนือ้ หามาใช้ประกอบในสไลด์ เพื่อเป็นการกระต้นุ และเร้าความสนใจผ้รู ับชมการนาเสนอ 5) ควรทาการศึกษาและวิเคราะห์กลุ่มคนฟัง หรือนักเรียน เพราะกลุ่มผู้ฟังมีความแตกตา่ งในเรื่องวยั หรือระดบั การศกึ ษาหรือวิชาชีพอาจสง่ ผลตอ่ ระดบั ของการรับรู้ข้อมลู และความชอบในรายละเอียดลกั ษณะในรูปแบบของของการนาเสนอ ดงั นนั้ การออกแบบท่ีดีจึงเน้นความเรียบง่ายที่สดุ เพื่อให้เหมาะสมกบั ผ้ฟู ังหรือผ้รู ับชมการนาเสนอได้ในทกุ วยั 7) เน้นการมีปฏิสมั พนั ธ์ ในการนาเสนอด้วยโปรแกรมนาเสนอนนั้ ควรมีการออกแบบสไลด์ที่มีลกั ษณะการตงั้ คาถามหรือกระต้นุ ให้ผ้เู รียนมีส่วนร่วมในการนาเสนอหรือการเรียนการสอนเพื่อสง่ เสริมให้เกิดรูปแบบการส่ือสารสองทางในการเรียนการสอน อีกทงั้ ยงั เป็ นการประเมินผล เพ่ือวดัความเข้าใจของผ้เู รียนในระหวา่ งการเรียนการสอน โปรแกรมประยกุ ต์ประเภทนาเสนอเป็ นโปรแกรมที่ครูผ้สู อนจะนามาใช้ประกอบการสอนอยู่เสมอ การศึกษาในเรื่องโครงสร้างในการออกแบบ การใช้เคร่ืองมือของโปรแกรม มาประยุกต์กบั การออกแบบส่ือเพื่อการเรียนการสอนจะทาให้ครูมีทกั ษะในการผลิตและการใช้เทคโนโลยีประกอบการนาเสนอหรือการสอนได้อยา่ งดีและมีประสทิ ธิภาพเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
1165.4 สรุป โปรแกรมประยกุ ต์เป็นโปรแกรมเบือ้ งต้นท่ีครูจะใช้ในการทางาน ซ่ึงโปรแกรมที่สาคญั ท่ีใช้ในปัจจบุ นั ได้แก่ โปรแกรมประมวลผลคา โปรแกรมการคานวณ โปรแกรมการนาเสนอ ซึง่ ครูผ้สู อนจะนาโปรแกรมพืน้ ฐานนีม้ าใช้ได้ทงั้ ในเร่ืองการทาเอกสารในการทางาน การทาหนงั สือราชการ การคานวณผลคะแนนนกั เรียน และการผลติ ส่ือเพื่อประกอบการสอน นอกจากนนั้ แล้วครูผ้สู อนยงั ต้องมีบทบาทหน้าที่ในการท่ีจะสนบั สนนุ ส่งเสริมให้ผ้เู รียนได้มีการฝึ กทักษะการใช้โปรแกรมพืน้ ฐานต่างๆ นีด้ ้วยเช่น เพื่อเป็ นการเตรียมคนตามคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ของผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21 ด้วยเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
117คาถามท้ายบท 1. จงบอกโปรแกรมประยกุ ต์พืน้ ฐานที่ครูสามารถนามาใช้ในการทางานมา 5 ประเภท พร้อมทงั้ อธิบายมาพอสงั เขป 2. จงหาข้อมลู โปรแกรมระบบประเภทประมวลผลคา1 โปรแกรม นอกเหนือจากโปรแกรมMS Word พร้อมทงั้ อธิบายลกั ษณะข้อดีของโปรแกรมนนั้ มาโดยละเอียด 3. จงหาข้อมูลโปรแกรมระบบประเภทคานวณ 1 โปรแกรม นอกเหนือจากโปรแกรม MSExcel พร้อมทงั้ อธิบายลกั ษณะข้อดขี องโปรแกรมนนั้ มาโดยละเอียด 4. จงหาข้อมูลโปรแกรมระบบประเภทการนาเสนออื่นๆ มา 1 โปรแกรม นอกเหนือจากโปรแกรม MS Power Point พร้อมทงั้ อธิบายลกั ษณะข้อดขี องโปรแกรมนนั้ มาโดยละเอียด 5. ให้นกั ศกึ ษาใช้โปรแกรม MS PowerPoint ในการผลิตสื่อประกอบการนาเสนอในเนือ้ หาที่นกั ศกึ ษาสนใจมา 1เร่ืองเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
118เอกสารอ้างองิกลมุ่ อานวยการและประสานงานราชการ กรมศลิ ปากร.(กนั ยายาน 2556). ตวั อย่างหนงั สือราชการ. http://www.finearts.go.th/node/8711คณะเกษตรศาสตร์มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน. (กันยายาน 2556).ประเภท หนงั สือราชการ.http://agri.kps.ku.ac.th/soffice/office02/procedure_1.htmlเพชรรัตน์ บริสุทธ์ิ.(กันยายาน 2556). ใช้ Excel ตัดเกรด ง่ายนิ ดเดียวhttp://human.tru.ac.th /km/k_m_paper.htmlวงเดือน สุขรื่น.(กันยายาน 2556).การจัดทาสไลด์เพื่อการนาเสนอ.http://www.si.mahidol.ac.th /metc/admin/article_images/16_27_1_f.pdfวชั รพงษ์ สุนัติ.(กันยายาน 2556). มาใช้สูตร IF ช่วยตดั เกรดกันเถอะ. http://www.gotoknow.org / posts/196779ประพันธ์ ภักดีกุล. (2549). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต. กรุงเทพฯ: คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั จนั ทรเกษม.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย.(กันยายาน 2556).โปรแกรมประมวลผลคา.http://www.rajsima.ac.th /media/patchara/work41101-2/Webpage6/Word1.htmสรุ ิยา นิ่มตระกูล.(กันยายาน 2556).โปรแกรมคอมพิวเตอร์. http://www.chakkham.ac.th/krusuriya/ index.php?option=com_content&view=article&id=94&Itemid=113หนงั สือราชการภายนอก.(กนั ยายน 2556) จาก http://www.gotoknow.org/posts/308646เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
119 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 6การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนหวั ข้อเนือ้ หา 1. ความหมายของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 2. ประเภทของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 3. ประโยชน์ของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน 4. รูปแบบการนาเสนอของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 5. องคป์ ระกอบของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 6. ขนั้ ตอนการพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 7. การประเมนิ บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนวัตถุประสงค์ 1. อธิบายความหมาย ประโยชน์ ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการจัดการเรียนการสอน 2. วิเคราะห์ประเภท รูปแบบ องค์ประกอบของบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน 3. อธิบายขนั้ ตอนการพฒั นา และการประเมนิ บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนได้ 4. มีทกั ษะในการใช้โปรแกรมในการพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนวธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 สอนแบบบรรยาย และอภิปราย 1.2 สอนแบบสาธิตและฝึ กปฏิบตั ิ 1.3 สอนแบบ Collaborative learning 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 ผู้สอนอธิบายความสาคญั ประเภท ประโยชน์ ขนั้ ตอนการพฒั นาและการประเมินบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน 2.2 ผ้สู อนแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนศึกษารูปแบบการนาเสนอ และองค์ประกอบของบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน 2.3 ผ้สู อนและผ้เู รียนช่วยกนั วิเคราะห์สรุปและอภิปรายเก่ียวกบั รูปแบบการนาเสนอและองคป์ ระกอบของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
120 2.4 ผู้สอนสาธิตการใช้โปรแกรมประยุกต์ในการพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและผ้เู รียนฝึกปฏิบตั ติ าม 2.5 ผ้เู รียนฝึกปฏิบตั กิ ารพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน 2.6 ผ้เู รียนนาเสนอผลงานและร่วมกนั ประเมนิ และอภิปรายผลการปฏิบตั ิ 3. ส่ือการเรียนการสอน 3.1 เอกสารประกอบการสอน 3.2 เอกสารประกอบการบรรยาย โดยใช้โปรแกรม Power point 3.3 โปรแกรมประยกุ ตส์ าหรับพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนการวัดผลและการประเมิน 1. สงั เกตความสนใจของผ้เู รียนในการศกึ ษา 2. ความร่วมมือในการทางานภายในกลมุ่ 3. ผลงานสื่อคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน 4. คาถามท้ายบทเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
121 บทท่ี 6การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน 6.1 บทนา 6.2 ความหมายของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 6.3 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน 6.4 ประโยชน์ของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 6.5 รูปแบบการนาเสนอของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน 6.6 องคป์ ระกอบของบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน 6.7 ขนั้ ตอนการพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 6.8 การประเมนิ บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน 6.9 สรุป 6.10 คาถามท้ายบท 6.11 เอกสารอ้างองิ6.1 บทนา การนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนจาเป็ นจะต้องมีการพฒั นาส่ือการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมควบคไู่ ปด้วย ส่ือท่ีน่าสนใจประเภทหนึ่งสาหรับการจดั การเรียนการสอนในปัจจุบันได้แก่ สื่อประเภทบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ ซีเอไอ (CAI : Computer AssistedInstruction)ซงึ่ เป็ นสื่อท่ีนอกจากจะชว่ ยเพิ่มความน่าสนใจในการจดั การเรียนการสอนในห้องเรียนแล้วยงั เป็ นส่ือท่ีเสริมให้ผ้เู รียนรู้จกั ค้นคว้าด้วยตนเองได้ สามารถเรียนได้ตามความถนดั และความสนใจดงั นนั้ การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนในการเรียนการสอนในปัจจบุ นั จึงเป็ นที่นิยมอยา่ งมาก ครูหรือบุคลากรทางการศึกษาจึงควรเรียนรู้หลักการเกี่ยวกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อทาการผลิตและใช้ในการจดั การเรียนการสอนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
1226.2ความหมายของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนเป็ นการนาเอาเทคโนโลยีรวมกบั การออกแบบโปรแกรมการสอนมาใช้ช่วยสอน ซ่ึงเรียกกันโดยทั่วไปว่าบทเรียน ซีเอไอ ย่อมาจากคาในภาษาอังกฤษว่า Computer-Assisted Instruction หรือเรียกยอ่ ๆ วา่ ซีเอไอ (CAI) การจดั โปรแกรมการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนในปัจจุบนั มกั อยู่ในรูปของส่ือประสม (Multimedia) หมายถึงนาเสนอได้ทงั้ ภาพ ข้อความ เสียงภาพเคล่ือนไหวฯลฯ โปรแกรมช่วยสอนนีเ้ หมาะกับการศึกษาด้วยตนเอง และเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับบทเรียนได้ตลอด จนมีผลป้ อนกลับเพ่ือให้ผู้เรียนรู้ บทเรียนได้อย่างถูกต้อง และเข้าใจในเนือ้ หาวชิ าของบทเรียนนนั้ ๆ6.3ประเภทของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนท่ีนามาใช้ในปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายรูปแบบ นักวิชาการและนกั การศกึ ษา ทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศได้จดั แบง่ ประเภทตามลกั ษณะการใช้ดงั นี ้ 6.3.1 ประเภททบทวนการสอน (Tutorial) เป็นโปรแกรมท่ีสร้างในลกั ษณะ บทเรียนโปรแกรมการเรียนการสอนจะมีบทนา (Introduction) คาอธิบาย (Explanation) ซ่ึงประกอบด้วย ตัวทฤษฎีกฎเกณฑ์ คอมพิวเตอร์ทาหน้าท่ีสอนเป็ นการสอนสิ่งใหม่ท่ีผ้เู รียนไม่เคยค้นุ มาก่อน โดยคอมพิวเตอร์จะเสนอเนือ้ หาวิชาเป็นระบบเรียงกนั ไป จากเนือ้ หางา่ ยไปส่เู นือ้ หาที่ยากขนึ ้ จะมีการตงั้ คาถามเก่ียวกบัเนือ้ หาท่ีเพ่ิงเสนอไป เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนมีการแสดงผลย้อนกลับ (Feedback)ตลอดจนการเสริมแรง (Reinforcement) และสามารถให้ผู้เรียนย้อนกลับไปบทเรียนเดิม หรือข้ามบทเรียนท่ีรู้แล้วไปก็ได้ 6.3.2 ประเภทใช้ฝึ กและปฏิบตั ิ (Drill and Practice) โปรแกรมประเภทนี ้ส่วนใหญ่ครูผ้สู อนจะใช้เสริมเม่ือได้สอนบทเรียนบางอย่างไปแล้ว มุ่งท่ีจะพฒั นาความรู้สึก ความเข้าใจ ในเร่ืองหน่ึงเรื่องใดโดยเฉพาะ เพ่ือวดั ระดบั ความสามารถ หรือให้ผ้เู รียนมาฝึ กจนถึงระดบั ความสามารถ หรือให้ผ้เู รียนมาฝึ กจนถึงระดบั ความสามารถท่ียอมรับได้ เป็ นการทบทวนส่ิงท่ีนกั เรียนเคยเรียนมาแล้ว เพื่อชว่ ยในการจาเนือ้ หา หรือเป็ นการฝึ กทกั ษะในสิ่งท่ีนกั เรียนเรียนในห้องเรียน โปรแกรมประกอบไปด้วยคาถาม คาตอบที่จะให้นกั เรียนฝึ กและปฏิบตั ิ มีการเสริมแรงหรือข้อมูลป้ อนกลับกลบั แก่ผู้เรียนโดยทนั ที มีการใช้หลกั จิตวิทยาการเรียนรู้ เพื่อกระต้นุ ให้นกั เรียนอยากทาแบบฝึ กหัดและตื่นเต้น ซึ่งอาจแทรกรูปภาพเคลื่อนไหว เสียงคาพดู โต้ตอบ เป็นต้น 6.3.3 ประเภทเพ่ือการแก้ปัญหา (Problem Solving) โปรแกรมนีเ้ ป็ นการเสนอปัญหาให้แก่ผ้เู รียน และผ้เู รียนจะต้องพยายามแก้ปัญหานนั้ ๆ เน้นให้ผ้เู รียนฝึ กการคิด การตดั สินใจ โดยมีการกาหนดกฎเกณฑ์ให้ และผู้เรียนพิจารณาไปตามกฎเกณฑ์ มีการให้ คะแนนในแต่ละข้ อ เช่นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ผ้เู รียนจาเป็ นอย่างย่ิงท่ีจะต้องเข้าใจและมีความสามารถในการแก้ปัญหาเช่น รู้จกั เลือกสตู รมาใช้ให้ตรงกับปัญหา ผ้สู อนอาจจะไม่ได้ต้องการเพียงคาตอบเพียงอย่างเดียว แต่เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
123จะต้องการขนั้ ตอนที่ผ้เู รียนอีกด้วย เชน่ ถ้าเลือกข้อ ข. แปลว่าใช้สตู รผิด เลือกข้อ ค. แปลวา่ คานวณผิด เลือกข้อ ง. แปลวา่ ไม่เข้าใจเลย ลกั ษณะโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบนีจ้ ะคล้ายๆ กบั โปรแกรมการเรียนแบบจาลองสถานการณ์ แตโ่ ปรแกรมการเรียนแบบแก้ปัญหา จะเน้นกระบวนการคิดในระดบั ที่สงูกวา่ ในเรื่องของกระบวนการใช้เหตผุ ล 6.3.4 ประเภทสร้ างสถานการณ์ จาลอง (Simulation) เป็ นการจาลองสถานการณ์ ให้ใกล้เคียงกบั สถานการณ์จริง โดยมีเหตกุ ารณ์สมมติ หรือสภาพการณ์ตา่ งๆ อยใู่ นโปรแกรมให้ผ้เู รียนได้มีโอกาสเปล่ียนแปลง วเิ คราะห์ ตดั สินใจ และโต้ตอบ มีตวั แปรหรือตวั เลือกให้หลายๆ ทาง จากข้อมลู ท่ีกาหนดให้ หรือจดั กระทา (Manipulate) โดยใช้ความคิดหรือเหตผุ ลของผ้เู รียนเองและใช้การฝึ กปฏิบตั ิในสิ่งที่ไม่อาจให้ผ้เู รียนฝึ กด้วยความจริงได้เพราะค่าใช้จ่ายสูงหรืออันตรายเกินไป เช่น การเคล่ือนท่ีของลกู ปื นใหญ่ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าหรือปรากฏการณ์ทางเคมี เช่น การแยกสารเคมี หรือรังสีรวมทงั้ชีววิทยาที่ต้องใช้เวลานานหลายวัน จึงจะปรากฏผลโปรแกรมการจาลองสถานการณ์ มีลักษณะคอ่ นข้างซบั ซ้อนและมีน้อยมาก 6.3.5 ประเภทโปรแกรมการศึกษา (Instructional Game) เกมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเรียนการสอนนนั้ เป็นโปรแกรมท่ีใช้เพ่ือเร้าใจผ้เู รียน เนือ้ หาวชิ าในรูปแบบของเกมนนั้ ฝึกให้ผ้เู รียน เรียนรู้จากการเล่นเกมซ่ึงอาจจะเป็ นประเภทให้แข่งขนั หรืออาจเป็ นประเภทเกมความร่วมมือ คือ ให้ร่วมมือกันเป็ นทีมเพ่ือฝึกการทางานเป็ นทีม นอกจากนีจ้ ะใช้เกมคิดคานวณ เป็ นต้น เกมการศกึ ษาจะออกแบบเพื่อให้ทงั้ ความรู้ และความบนั เทงิ แก่ผ้เู รียน จงึ ดงึ ดดู ความสนใจของผ้เู รียนได้เป็นอยา่ งดี 6.3.6 ประเภทเรียนแบบสนทนา (Dialogue) เป็ นโปรแกรมท่ีพยายามให้เป็ นการพูดคุยระหว่างผู้สอนและผู้เรียน โดยเลียนแบบการสอนในห้องเรียน เพียงแต่แทนที่จะเป็ นเสียงก็จะเป็ นอกั ขระบนจอภาพ การสอนจะเป็ นการตงั้ ปัญหาถาม ลกั ษณะในการใช้แบบสอบถาม เช่น บทเรียนวิชา เคมีอาจถามหาสารเคมีบางชนิด ผู้เรียนอาจตอบโต้โดยการใส่ช่ือสารเคมีให้เป็ นคาตอบ หรือบทเรียนสาหรับนกั เรียนแพทย์ อาจเป็นการตงั้ สมมตสิ ภาพคนไข้แล้วให้ผ้เู รียนกาหนดวธิ ีการรักษาก็ได้ 6.3.7 ประเภทการสาธิต (Demonstration) จะมีลกั ษณะการสาธิตของครู แต่การสาธิตของคอมพวิ เตอร์นา่ สนใจกวา่ เน่ืองจากคอมพิวเตอร์ สามารถแสดงด้วยกราฟิกท่ีสวยงามตลอด ทงั้ สี และแสงด้วยคอมพิวเตอร์สาธิตแนวคิด หรือแนวปฏิบตั ิให้นกั เรียนดูเป็ นแบบอย่างเพื่อจะได้นาไปปฏิบตั ิตอ่ ไป ส่วนใหญ่เป็ นการแสดงขนั้ ตอนหรือวิธีการ เช่น การโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสรุ ิยะจกั รวาลโครงสร้างอะตอม การหมนุ เวียนโลหติ การยอ่ ยอาหาร เป็นต้น 6.3.8 ประเภทใช้ในการทดสอบ (Testing Application) เป็ นโปรแกรมท่ีใช้ในการทดสอบนกั เรียนโดยตรง หลงั จากท่ีนกั เรียนได้เรียนเนือ้ หา หรือ ฝึ กปฏิบตั ิแล้ว โดยสร้างข้อสอบท่ีต้องการสอบไว้ล่วงหน้าในแผน่ โปรแกรม เมื่อถึงเวลาสอบ ก็แจกแผ่นโปรแกรมที่บรรจขุ ้อสอบให้นกั เรียนทาข้อสอบโดยป้ อนคาตอบลงทางแป้ นพิมพ์ ชว่ ยให้ผ้สู อบมีความรู้สึกเป็ นอิสระจากการถกู ผกู มดั ด้านกฎเกณฑ์เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
124ตา่ งๆ เกี่ยวกบั การสอบ เน่ืองจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สามารถช่วยเปล่ียนแปลงการทดสอบ จากแผนเก่าๆ ของปรนยั หรือคาถามจากบทเรียน มาเป็นการทดสอบแบบปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งคอมพิวเตอร์กบั ผ้เู รียน คอมพิวเตอร์จะรับคาตอบ และการบนั ทึกผล ประมวลผล ตรวจให้คะแนน และแสดงให้ผ้เู รียนทราบทนั ทีที่ทาการทดสอบเสร็จ 6.3.9 ประเภทการสอบสวนหรือไต่ถาม (Inquiry) คอมพิวเตอร์มลั ติมีเดียสามารถใช้ในการหาข้อเท็จจริง มโนทศั น์ หรือขา่ วสารที่เป็ นประโยชน์ คอมพิวเตอร์มลั ติมีเดียจะมีแหลง่ เก็บข้อมลู ท่ีเป็ นประโยชน์ซึ่งสามารถได้แสดงได้ทนั ที เมื่อผ้เู รียนต้องการเรียนด้วยระบบง่ายๆ ผ้เู รียนก็สามารถทาได้เพียงกดหมายเลข หรือใสร่ หสั หรืออกั ษรย่อของแหล่งข้อมลู นนั้ ๆ การใส่รหสั หรือตวั เลขของผ้เู รียนนนั้จะทาให้คอมพิวเตอร์มลั ตมิ ีเดียแสดงข้อมลู ซงึ่ จะตอบคาถามผ้เู รียนตามต้องการ 6.3.10 แบบเรียนรวมวิธีการต่างๆ เข้าด้วยกัน (Combination) คอมพิวเตอร์สามารถสร้างวิธีการสอนหลายแบบรวมกัน ได้ตามธรรมชาติของการเรียนการสอน ซ่ึงมีความต้องการวิธีการสอนหลายๆ แบบ ตามต้องการนีจ้ ะมาจากการกาหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนการสอน ผู้เรียนหรือองคป์ ระกอบในภารกิจตา่ งๆ โปรแกรมคอมพิวเตอร์มลั ตมิ ีเดียหนงึ่ ๆ อาจจะมีทงั้ ลกั ษณะท่ีเป็นการสอนทบทวน เกม การไตถ่ าม รวมทงั้ การแก้ปัญหา และการฝึกปฏิบตั ิ ในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์มลั ติมีเดีย จะเลือกสร้างแบบใดนนั้ ขนึ ้ อย่กู บั วตั ถปุ ระสงค์ของการสร้างว่า จะเน้นให้เป็ นบทเรียนประเภทใด ซึ่งต้องดคู วามเหมาะสมทางด้านเนือ้ หา กิจกรรมการเรียนการสอน วยั ของเดก็ และองค์ประกอบในด้านอื่น6.4 ประโยชน์ของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทต่อการเรียนการสอนมาก โดยเฉพาะประเทศท่ีพัฒนาแล้วเพราะสามารถนามาใช้เป็ นสื่อในการสอน หรือจะใช้เป็ นสื่อช่วยในการสอนได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ดงั นี ้ 6.4.1 ผ้เู รียนเรียนได้ตามความช้าเร็วของตนเอง ทาให้สามารถควบคมุ อตั ราเร่งของการเรียน 6.4.2การตอบสนองที่รวดเร็วของคอมพวิ เตอร์ ทาให้ผ้เู รียนได้รับการเสริมแรงท่ีรวดเร็ว 6.4.3สามารถเอาเสียงดนตรี สีสนั กราฟิก และภาพเคล่ือนไหว ซง่ึ ทาให้ดเู หมือนของจริงและนา่ เร้าใจในการทาการฝึกปฏิบตั หิ รือสถานการณ์จาลองได้เป็นอยา่ งดี 6.4.4 ครูผ้สู อนสามารถควบคมุ การเรียนของผ้เู รียนได้ เพราะคอมพิวเตอร์จะบนั ทกึ การเรียนของผ้เู รียนแตล่ ะบคุ คลไว้ 6.4.5 ความใหมแ่ ปลกของคอมพวิ เตอร์จะเพ่ิมความสนใจความตงั้ ใจของผ้เู รียนมากขนึ ้ 6..4.6บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยให้การเรียนมีประสิทธิภาพ คือ ในแง่ที่ลดเวลา ท่นุ แรงผ้สู อนและประสทิ ธิผลในแงท่ ่ีทาให้ผ้เู รียนบรรลจุ ดุ มงุ่ หมายเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
125 6.4.7 ด้านความรู้สึก ผ้เู รียนมีความรู้สกึ วา่ ตนเองกาลงั เรียนหรือกาลงั พดู คยุ กบั ใครคนหนง่ึ ท่ีมีความรู้สึก มีอารมณ์ขนั มีความชอบไม่ชอบใจ ส่ิงเหล่านีท้ าให้ผู้เรียนเกิดความอยากจะเรียนอยากทราบวา่ เฟรมตอ่ ไปจะเป็นอะไรถามวา่ อย่างไรจะชมหรือตอิ ยา่ งไร 6.4.8 บทเรียนคอมพิวเตอร์ดกี วา่ สื่ออ่ืนในด้านความสามารถปฏิสมั พนั ธ์กบั ผ้เู รียน 6.4.9 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในลกั ษณะการเรียนรู้รายบุคคลได้ดี สนองความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล เพราะผ้เู รียนสามารถเรียนได้ตามความต้องการของตนเอง 6.4.10 ความประหยดั ในการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ซง่ึ มีการลงทนุ เพียงครัง้ เดียว สามารถใช้งานได้หลายครัง้ เป็นเวลายาวนานและถกู มากในการทาสาเนาบทเรียน 6.4.11 สามารถเก็บบนั ทกึ ผลการเรียนของผ้เู รียนได้ง่าย 6.4.12 ให้โอกาสในการสร้างสรรค์และพฒั นาวตั กรรมสาหรับหลกั สูตร และวสั ดกุ ารศกึ ษา 6.4.13 เพมิ่ วชิ าสอนตามความต้องการของนกั เรียน 6.4.14 ชว่ ยให้มีเวลาสาหรับตรวจสอบและพฒั นาหลกั สตู ร ตามหลกั สตู รวิชาการ 6.4.15 ชว่ ยเพ่มิ วตั ถปุ ระสงค์ของการสอนได้เทา่ ที่จะเป็นไปได้ เชน่ การฝึกฟังดนตรี ฯลฯ 6.4.16 เร้ าความสนใจของผู้เรียน เพราะนาเสนอได้ทัง้ ภาพและเสียง ตลอดจน มีการเสริมแรงให้ผลย้อนกลบั ในทนั ที เม่ือผ้เู รียนตอบคาถาม 6.4.17 ชว่ ยแบง่ เบาภาระของครูผ้สู อน6.5 รูปแบบการนาเสนอเนือ้ หาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน การนาเสนอเนือ้ หาในบทเรียน ถือเป็ นปัจจยั หนึ่งท่ีผ้อู อกแบบจะต้องคานึงถึง เน่ืองจาการนาเสนอเนือ้ หานนั้ จะมีความยากงา่ ยในการสร้างท่ีตา่ งกนั อีกทงั้ ยงั มีความเหมาะสมกบั ผ้เู รียนในวยั ท่ีตา่ งกนั หรือในสถานการณ์ที่ตา่ งกนั การนาเสนอเนือ้ หาในบทเรียนมีหลายรูปแบบ ดงั นี ้ 6.5.1รูปแบบเชงิ เส้น (Liner) เป็นรูปแบบในการนาเสนอเนือ้ หาให้เป็นไปตามลาดบั ชดั เจนดงั รูปท่ี 6.1 รูปท่ี 6.1แผนภมู กิ ารนาเสนอแบบเชิงเส้นเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
126 การนาเสนอเนือ้ หาแบบเชิงเส้น จะเป็ นว่าเนือ้ หาทัง้ หมดถูกแบบออกเป็ นหน้าหรือเฟรม(frame) จานวนเฟรมจะมีเท่าไรก็ได้ขนึ ้ อย่กู บั จานวนเนือ้ หาของแต่ละหวั ข้อ ในการนาเสนอเนือ้ หาจะเสนอตามลาดบั ติดต่อกันไปตงั้ แต่เฟรมแรกถึงเฟรมสุดท้าย ทงั้ นีจ้ ะไม่มีการข้ามเฟรม การนาเสนอเนือ้ หาเป็ นลาดบั แบบเชิงเส้นนนั้ สร้างได้ง่ายกว่าแบบอ่ืนๆ และเหมาะสมกบั บทเรียนที่ใช้กับผ้เู รียนเป็ นเดก็ 6.5.2รูปแบบสาขา (branching) การนาเสนอของรูปแบบสาขาเป็ นรูปแบบท่ีให้ ผู้เรียนสามารถเลือกทางเดินของลาดับการนาเสนอเนือ้ หาในแต่ละชุดหรือแต่ละเฟรม ณ เวลานัน้ ๆ ได้มากกวา่ 1 ทาง โดยท่ีเนือ้ หาท่ีนาเสนอนนั้ จะมีความสมั พนั ธ์กนั รูปท่ี 6.2แผนภมู ิการนาเสนอแบบlสาขา จะเห็นวา่ จากเฟรม F1 ผ้เู รียนสามารถเลือกทางเดินไปทางเฟรม F2 หรือ F3 หรือ F4 ได้ แต่ละทางท่ีเลือกจะมีเฟรมที่ตอ่ เน่ืองกนั ไปที่ไมเ่ หมือนกนั นอกจากนีเ้ม่ือถึงจดุ ๆหนง่ึ เชน่ เฟรม F6 อาจจะมีทางเลือกไปที่เฟรม F8 หรือจากเฟรม F10 อาจจะย้อยกลบั ไปยงั เฟรม F3 หรือ F4 ก็ได้ รูปแบบการนาเสนอแบบนีส้ ามารถตอบสนองความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลได้ แตว่ ธิ ีการสร้างจะยากกวา่ แบบเชิงเส้น การนาเสนอเนือ้ หาแบบนีเ้หมาะสาหรับการเสนอเนือ้ หาท่ีสมั พนั ธ์กนั ซบั ซ้อนและยากตอ่ การเข้าใจ การนาเสนอเนือ้ หาแตล่ ะเฟรมจะเชื่อมโยงกนั เป็ นสาขา สามารถใช้หลกั การของส่ือหลายมิตหิ รือข้อความหลายมิตไิ ด้ 6.5.3รูปแบบการนาเสนอแบบลาดบั ชนั้ (hierarchical) เป็ นรูปแบบการนาเสนอเนือ้ หาให้ผู้เรียนตามลาดบั โดยมีทางเลือกให้ผู้เรียนได้เลือกหลายทางจากจุดๆหนึ่ง หรือ ณ เฟรมหนึ่ง ทัง้ นี ้เนือ้ หาท่ีนาเสนอเป็นเนือ้ หาท่ีไมส่ มั พนั ธ์กนัเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
127 รูปท่ี 6.3แผนภมู ิการนาเสนอแบบlลาดบั ชนั้ จากภาพ พบวา่ จากเฟรม F1 ผ้เู รียนสามารถเลือกทางเดินไปได้หลายทาง ได้แก่ F2 หรือ F3หรือ F4 และในแตล่ ะเฟรมสามารถท่ีจะเลือกทางเดินไปเป็ นลาดบั ได้ รูปแบบการนาเสนอแบบลาดบัชนั้ เหมาะสาหรับนาเสนอเนือ้ หาที่ไม่สมั พันธ์กัน ผู้เรียนสามรถเลือกเรียนเนือ้ หาได้ตามความสนใจดงั นนั้ บทเรียนจะไมร่ ะบกุ ลมุ่ ผ้เู รียนที่แนน่ อน สาหรับเนือ้ หาที่นาเสนอมกั จะเป็นเนือ้ หาทวั่ ๆไป 6.5.4รูปแบบผสม หมายถึง การนาคุณลักษณะของรูปแบบการนาเสนอต่างๆท่ีกล่าวมานามาผสมผสานกนั ในบทเรียน ดงั แสดงในแผนภมู ทิ ่ี 4 รูปท่ี 6.4แผนภมู กิ ารนาเสนอแบบผสมเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
128 จะเห็นว่า จากเฟรม F1 จะเป็ นแบบสาขา เนื่องจากมีทางให้เลือกไปยงั เฟรม F2 และ F3 ถ้าเลือกเฟรม F3 จะเป็ นการนาเสนอแบบลาดบั ชนั้ ส่วนทางเดินของเฟรม F2 จะเป็ นการนาเสนอแบบลาดบั ชนั้ จนกระทง่ั เฟรม F12, F13, F14 จะเป็นการนาเสนอแบบสาขา การนาเสนอในรูปแบบผสม ไมจ่ าเป็ นจะต้องผสมผสานทงั้ 3 รูปแบบเข้าด้วยกนั อาจจะผสมเพียง 2 รูปแบบ เช่น แบบสาขาและแบบลาดบั ชนั้ ทงั้ นีข้ นึ ้ อย่กู ับกล่มุ เป้ าหมายหรือวตั ถปุ ระสงค์ของบทเรียน หรือลกั ษณะของเนือ้ หาที่จะนาเสนอ ดงั นนั้ ผ้อู อกแบบควรออกแบบให้มีความเหมาะสมกบัประเดน็ ตา่ งๆท่ีกลา่ วมา6.6 องค์ประกอบของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน การจดั การเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์เป็นหลกั แทนการจดั การเรียนในห้องเรียนแบบปกติ ในการออกแบบบทเรียนจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สาคญั ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ 6.6.1 บทนาเร่ือง (title) เป็ นองค์ประกอบแรกของบทเรียนที่จะสร้างความสนใจให้แก่ผ้เู รียน ช่วยกระต้นุ ให้ผู้เรียนได้เกิดความต้องการในการเรียนรู้ ดงั นนั้ บทนาเรื่องควรจะนาเสนอเป็ นแบบสื่อประสมท่ีมีทงั้ ข้อความ ภาพเคลื่อนไหวหรือเสียง แตไ่ มค่ วรใช้เวลาในการแสดงบทนาเร่ืองนานจนเกินไป 6.6.2 คาชีแ้ นะการใช้งานบทเรียน (introduction) เป็ นการแนะนาผู้เรียนในการปฏิบัติเม่ือเข้าเรียน เช่น วิธีการใช้บทเรียน วิธีการควบคมุ บทเรียนเป็ นต้น ส่วนนีจ้ ะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความมนั่ ใจในการเรียนมากขนึ ้ สามารถแก้ไขปัญหาในการใช้งานบทเรียนด้วยตนเองได้ 6.6.3 การแจ้งวัตถุประสงค์การเรียน (objective) เป็ นส่วนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบถึงความต้องการหรือความคาดหวังในพฤติกรรมของผู้เรียนหลังเรียนผ่านบทเรียนแล้ ว ถือเป็ นองคป์ ระกอบที่สาคญัท่ีจะทาให้ผู้เรียนได้ทราบถึงเง่ือนไขและข้อกาหนดของบทเรียนก่อนเรียน ทัง้ นีเ้ พ่ือให้บรรลุตามวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีตงั้ ไว้ 6.6.4 แบบทดสอบก่อนเรียน (pretest) เป็ นองค์ประกอบที่มีเพื่อทดสอบความรู้ของผ้เู รียนก่อนท่ีจะเรียนเนือ้ หาของบทเรียน ข้อสอบท่ีนามาใช้ในบทเรียนจะต้องเป็ นข้อสอบที่ผา่ นการหาประสิทธิภาพ ภายใต้คา่ สถิติต่างๆ เช่น ค่าความง่าย ค่าอานาจจาแนก และคา่ ความเช่ือมน่ั เป็ นต้นและต้องเป็ นข้อสอบท่ีวัดตามวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม นอกจากนีข้ ้อสอบยังจะต้องสอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ท่ีตงั้ ไว้ ข้อสอบที่นิยมใช้ในบทเรียนคอมพิวเตอร์จะเป็ นแบบเลือกคาตอบ แบบถกู ผิด หรือแบบจบั คู่เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
129 6.6.5 เนือ้ หา (information) เป็ นองค์ประกอบท่ีสาคญั ของบทเรียน เนือ้ หาทัง้ หมดในบทเรียนสามารถจัดแบ่งออกเป็ นบทหรือหัวข้อย่อย แต่ละหัวข้อจะมีเนือ้ หาพร้ อมกิจกรรมเพื่อเปิ ดโอกาสให้ผ้เู รียนได้มีการโต้ตอบหรือปฏิสมั พนั ธ์กบั บทเรียน การแสดงรายการหวั ข้อเนือ้ หาอาจจะเลือกหัวข้อเนือ้ หาจากรายการหรือเมนู (menu) ทัง้ นีเ้ พื่อให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนตามความสามารถของตนเอง นอกจากนีก้ ารแสดงรายการหัวข้ออาจจะนาข้อมูลจากการทดสอบก่อนเรียนมาพิจารณาประกอบด้วย องค์ประกอบเนือ้ หาบทเรียนนี ้ เป็ นองค์ประกอบที่ผู้เรียนใช้ เวลามาก เนื่องจากประกอบด้วยเนือ้ หาใหม่และกิจกรรมในการนาเสนอเนือ้ หา จะมีการจัดกิจกรรมให้ ผู้เรียนได้ปฏิสมั พันธ์ มีการเสริมแรง และการสรุปเนือ้ หาให้ทราบ การแสดงเนือ้ หาแต่ละหน้าควรจะให้อยู่ในรูปแบบสื่อประสม เน่ืองจากจะชว่ ยให้ผ้เู รียนได้เห็นภาพและสร้างความเข้าใจได้ดีย่งิ ขนึ ้ 6.6.6 แบบทดสอบหลงั เรียน (posttest) เป็นองค์ประกอบเพื่อใช้ทดสอบผ้เู รียนหลงั เรียนผ่านบทเรียนแล้ ว โดยแบบทดสอบอาจจะเป็ นชุดเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน แล้ วนามาเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิท่ีเกิดขนึ ้ เพ่ือทดสอบวา่ ผ้เู รียนมีพฒั นาการหรือไม่ อยา่ งไร6.7 ขัน้ ตอนการพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน การออกแบบและพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนมีขนั้ ตอนดงั นี ้ รูปท่ี 6.5 กระบวนการพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
130 รายละเอียดของแตล่ ะขนั้ ตอนในการพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนมีดงั ตอ่ ไปนี ้ 6.7.1การวิเคราะห์หลกั สตู รและเนือ้ หา การวิเคราะห์หลกั สตู รและเนือ้ หาเป็ นขนั้ ตอนแรกในการสร้างบทเรียน มีความสาคญั ย่างย่ิงเนื่องจากผลที่ได้รับจากขนั้ ตอนนีจ้ ะสง่ ผลถึงขนั้ ตอนตอ่ ไป ซง่ึ จะมีกิจกรรมที่ต้องกระทาดงั นี ้ 6.7.1.1 การวิเคราะห์หลักสูตรและเนือ้ หา เนือ้ หาบทเรียนได้มาจากการศึกษาและวเิ คราะห์รายวิชา และเนือ้ หาของหลกั สตู รรวมถึงแผนการเรียนการสอนและคาอธิบายรายละเอียดของเนือ้ หามาแล้ว ให้กระทาดงั นี ้ (1) นามากาหนดวตั ถปุ ระสงค์ทว่ั ไป (2) จดั ลาดบั เนือ้ หาให้มีความสมั พนั ธ์ตอ่ เนื่องกนั (3) เขียนหวั เร่ืองตามลาดบั เนือ้ หา (4) เลือกหวั เร่ืองและเขียนหวั ข้อยอ่ ย (5) เลือกหวั เร่ืองที่จะนามาสร้างบทเรียน (6) นาเร่ืองที่เลือกมาแยกเป็ นหัวข้ อย่อย แล้ วจัดลาดับความต่อเนื่องและความสมั พนั ธ์ในหวั ข้อยอ่ ยของเนือ้ หา 6.7.1.2 การกาหนดวัตถุประสงค์ของบทเรียน วัตถุประสงค์ของบทเรียนจะเป็ นตวั กาหนดแนวทางที่บทเรียนคาดหวงั ไว้เมื่อจบบทเรียนแล้วผู้เรียน จะต้องสัมฤทธิ์ผลอย่างไร โดยกาหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมดงั นี ้ (1) เขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมตามหัวข้อเรื่องท่ีคดั เลือกโดยพิจารณาจากเนือ้ หา (2) จดั กลมุ่ วตั ถปุ ระสงค์ตามลกั ษณะของเนือ้ หาและหวั เร่ืองยอ่ ย (3) จดั ลาดบั ความสาคญั และความต่อเนื่องของวตั ถุประสงค์ตามเนือ้ หาของเรื่องเรื่อยอ่ ย โดยยดึ จากสิง่ ท่ีง่ายไงยาก และสิ่งที่รับรู้แล้วไปยงั ไมร่ ู้ 6.7.1.3 การวิเคราะห์กิจกรรมการเรียนและสื่อการสอน จะยึดตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กาหนดไว้เป็ นหลัก ทาการพิจารณาตามวัตถุประสงค์ทีละข้อๆ ตามหัวเรื่องโดยมีรายละเอียดดงั นี ้ (1) เขียนเนือ้ หาให้สอดคล้องตามสิ่งท่ีคาดหวงั ตามวตั ถปุ ระสงค์แตล่ ะข้อ (2) กาหนดกิจกรรมการเรียนท่ีสนบั สนนุ เนือ้ หาแตล่ ะวตั ถปุ ระสงค์ (3) กาหนดสื่อการเรียนท่ีใช้ในแตล่ ะกิจกรรมตามวตั ถปุ ระสงค์ในหวั เรื่อง (4) พจิ ารณาการใช้คาถาม การตรวจปรับและเนือ้ หาและการสรุปเนือ้ หา (5) พิจารณาความตอ่ เนื่องของเนือ้ หา กิจกรรมและส่ือการเรียนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
131 6.7.1.4 การวิเคราะห์แนวทางการประเมินผลการเรียน ในชัน้ นีจ้ ะได้แบบร่างของบทเรียนท่ีจะพฒั นาเป็ นบทเรียน ประกอบด้วยหวั เร่ืองท่ีจะแบง่ เป็ นเรื่องย่อยๆ ในแตล่ ะหวั เร่ืองยอ่ ยจะมีวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมซงึ่ มีแบบร่างเนือ้ หา กิจกรรมการเรียนและสื่อการเรียนท่ีมีความสมั พนั ธ์กนัซงึ่ ขนั้ สรุปได้ดงั นี ้ (1) กาหนดแนวทางการประเมินผลการเรียนในแต่ละวัตถุประสงค์ โดยพิจารณาภารกิจของวตั ถปุ ระสงค์และร่างเป็นรายการคานาม (List of Question) ทีละประเดน็ (2) กาหนดวธิ ีการประเมนิ ผลตามท่ีกาหนดไว้แล้ว (3) จดั ลาดบั ความตอ่ เน่ืองและความสมั พนั ธ์ของคาถาม 6..7.1.5 การวิเคราะห์วิธีการนาเสนอบทเรียน ขัน้ ตอนนีเ้ ป็ นการสรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์หลกั สูตร เนือ้ หาและความต้องการเพื่อกาหนดเป็ นวิธีการนาเสนอบทเรียนตามหวั เร่ือง โดยจะต้องพิจารณาถึงความเป็ นไปได้ในการนาเสนอบทเรียนในลกั ษณะการเรียนรายบคุ คล (IndividualLearning) นาเสนอเนือ้ หาเป็ นเฟรมในเวลาสนั้ ๆ ประกอบกบั การใช้คาถาม การตรวจปรับเนือ้ หา การเสริมเนือ้ หา การเสริมแรงการสรุปเนือ้ หา โดยอาจจะพิจารณาถึงความเป็ นไปได้ในการใช้ส่ืออ่ืนๆผสมผสาน เชน่ ภาพนง่ิ ภาพเคล่ือนไหว เสียง หรือการนาเสนอบทเรียนด้วยวธิ ีการอย่างอ่ืน 6.7.2 การออกแบบบทเรียน เป็ นขนั้ ตอนหลงั จากการวิเคราะห์หลกั สตู ร เนือ้ หาและความต้องการ โดยจะเป็ นการนาผลที่ได้มาออกแบบบทเรียนเพื่อใช้เป็นเนือ้ หาที่จะสร้างบทเรียน โดยแบง่ ออกเป็น 2 สว่ น ดงั นี ้ 6.7.2.1 การออกแบบแผนผงั การดาเนินงาน (Flowchart) ผงั งาน หมายถึง แผนภูมิท่ีแสดงความสมั พนั ธ์ของบทดาเนินเรื่อง ซง่ึ เป็ นการจดั ลาดบัความสมั พนั ธ์ของเนือ้ หาแตล่ ะเฟรม แตล่ ะสว่ น การเขียนบทดาเนนิ เร่ืองและผงั งานต้องทาควบคกู่ นั ไปขนึ ้ อยกู่ บั ผ้อู อกแบบบทเรียนวา่ จะพิจารณาสิง่ ใดก่อน อาจจะเขียนไปพร้อมๆกนั ก็ได้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
132 รูปท่ี 6.6ตวั อยา่ งแผนผงั การดาเนินงานของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน 6.7.2.2 การออกแบบบทเรื่อง (Story Board) การออกแบบบทเร่ืองของบทเรียน หมายถึง เรื่องราวของบทเรียนประกอบด้วยเนือ้ หาที่แบ่งเฟรม ส่ือ รูปแบบการนาเสนอและส่วนประกอบอ่ืนๆ ที่ได้ร่างไว้ตามวตั ถุประสงค์ของแต่ละข้อนอกจากนัน้ ยังระบุถึงลักษณะของแต่ละเฟรม พร้ อมเง่ือนไงต่างๆ โดยร่างเป็ นเฟรมย่อยๆ เรียงตามลาดบั ตงั้ แตเ่ ฟรมที่ 1 จนถึงเฟรมสุดท้ายของบทเรียน โดยมีลกั ษณะเช่นเดียวกับบทสคริปต์ของการถ่ายทาสไลด์หรือภาพยนตร์ การเขียนบทดาเนินเรื่องจะยึดหลกั ของข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์เนือ้ หาที่ผา่ นมาเป็นหลกั รูปท่ี 6.7 ตวั อยา่ งการออกแบบบทเร่ือง(Story Board) ของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ท่มี า อรพรรณ สขุ เรือง(2556) สืบค้นจาก http://orrora.wordpress.com/cai-storyboard/เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
133 6.7.3 การสร้างบทเรียน การสร้างบทเรียนในขนั้ นีจ้ ะดาเนินการตามขนั้ ตอนท่ีแล้วมาทงั้ หมด เพ่ือสร้างบทเรียนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทาได้ 2 ลกั ษณะ คือ การใช้โปรแกรมสาเร็จรูปเพื่อสร้างบทเรียน โดยเฉพาะในลักษณะของระบบนิพนธ์บทเรียน ซ่ึงโปรแกรมประเภทนีเ้ หมาะสาหรับผู้สอนโดยท่ัวๆ ไป ไม่จาเป็ นต้ องมีทักษะทางการเขียนโปรแกรมมาก่อน ส่วนอีกลักษณะหนึ่งคือการใช้ โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ โดยผ้สู ร้างจะต้องอาศยั ความชานาญและประสบการณ์ในด้านการเขียนโปรแกรมตา่ งๆ มาแล้วเป็นอยา่ งดี การสร้างบทเรียนประกอบด้วยขนั้ ตอนดงั นี ้ 6.7.3.1 การเตรียมการ ได้แก่ (1) การเตรียมภาพ เชน่ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพกราฟิก (2) การเตรียมเสียง (3) การเตรียมสง่ิ อ่ืนๆ ประกอบการสร้างบทเรียน 6.7.3.2 การใสเ่ นือ้ หาและกิจกรรม ได้แก่ (1) ป้ อนข้อมลู ที่จะแสดงบนจอภาพ (2) สง่ิ ท่ีคาดหวงั และการตอบสนอง (3) ข้อมลู สาหรับการควบคมุ การตอบสนอง 6.7.4การทดลองใช้ หลงั จากสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์เสร็จแล้ว ขนั้ ตอ่ ไปเป็ นการทดลองใช้บทเรียน ก่อนที่จะนาบทเรียนไปใช้ในการเรียนการสอน ควรปฏิบตั ดิ งั นี ้ 6.7.4.1 การตรวจสอบ จะต้องกระทาตลอดเวลา ซ่ึงรวมถึงการตรวจสอบในแต่ละขนั้ ตอนของการออกแบบและพฒั นาบทเรียน 6.7.4.2 การทดลองใช้บทเรียน จาเป็ นต้องมีการทดลองใช้งานก่อนจะมีการนาไปใช้จริงโดยกระทากบั กลมุ่ เป้ าหมายและผ้เู ชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถกู ต้องและสมบรู ณ์ของบทเรียน 6.7.5 การประเมินผลบทเรียนการประเมินผลบทเรียนคอมพิวเตอร์ คล้ายกับการประเมินบทเรียนท่วั ไป มีวตั ถปุ ระสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อการประเมินผลตวั บทเรียน และประเมินผลสมั ฤทธ์ิของผ้เู รียนที่เรียนกบั บทเรียนคอมพิวเตอร์ โดยใช้สถิติมาเป็ นเกณฑ์การประเมินผลด้านประสิทธิภาพของบทเรียน ซงึ่ รายละเอียดในการประเมนิ สื่อนนั้ จะกลา่ วในหวั ข้อตอ่ ไป ขนั้ ตอนที่สาคญั มากก่อนการสร้ างและพัฒนางานมัลติมีเดียเพ่ือการนาไปใช้นัน้ คือขนั้ ตอนของการสารวจอปุ กรณ์ที่ต้องนาไปใช้ และองค์ประกอบอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เชน่ งบประมาณ เวลาและอีกขนั้ ตอนหนึ่งคือ การวางแผนการออกแบบโครงสร้างบทเรียนวา่ ต้องการรูปแบบงานลกั ษณะใดเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
134ให้เหมาะสมกับการนาไปใช้ ซ่ึงขนั้ ตอนเหล่านีผ้ ู้สร้างควรมีการศึกษารายละเอียดให้ชดั เจนก่อนการสร้ าง สรุปได้ว่าขนั้ ตอนการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียจะต้องมีการวางแผนอยา่ งเป็ นระบบ เร่ิมตงั้ แตก่ ารวิเคราะห์หลกั สตู ร เนือ้ หา การออกแบบ การสร้างบทเรียน การทดลองใช้และขนั้ ตอนสดุ ท้าย คือการประเมินผล เพื่อที่จะได้บทเรียนที่มีประสิทธิภาพสามารถท่ีจะตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขในทกุ ขนั้ ตอน6.8 การประเมินบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ในการประเมินคณุ ภาพ ตวั สื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนนนั้ ต้องกาหนดตวั บง่ ชี ้เกณฑ์และมาตรฐานที่เหมาะสมกับสื่อมัลติมีเดีย และการกาหนดประเด็น องค์ประกอบ หรือหัวข้อการประเมิน จะต้องพิจารณาจากส่วนสาคญั 3 ได้แก่ คณุ ภาพด้านการออกแบบการสอน การออกแบบหน้าจอ และการใช้งาน 6.8.1การออกแบบการสอน การออกแบบบทเรียนที่ดีจะจงู ใจผ้เู รียน หรือให้ความรู้แก่ผ้เู รียนตามวตั ถปุ ระสงค์ของการเรียน ซงึ่ จะต้องประกอบไปด้วยสว่ นสาคญั ดงั ตอ่ ไปนี ้ 6.8.1.1วตั ถุประสงค์การเรียน บทเรียนที่ดีจะต้องแสดงวตั ถุประสงค์การเรียนรู้อย่างชดั เจน วัตถุประสงค์จะเป็ นตวั บอกให้ทราบว่าเม่ือผู้เรียนศึกษาบทเรียนจนจบ ผู้เรียนจะได้ความรู้อะไรบ้าง นอกจากนีย้ งั ช่วยให้ผู้สร้ างบทเรียน ออกแบบกิจกรรม และเลือกหัวข้อที่เหมาะสม เลื อกวิธีการนาเสนอ และยงั ชว่ ยให้ผ้สู อนตดั สนิ ใจ ได้วา่ บทเรียนใดเหมาะสมกบั ผ้เู รียน 6.8.1.2 เนือ้ หา สื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนเพ่ือการศกึ ษาจะต้องมีเนือ้ หาที่ถกู ต้องตามหลกั วิชา และหลกั การใช้ภาษา 6.8.1.3 ความเหมาะสมกบั ความรู้ความสามารถของผ้เู รียน ผ้สู อนจะต้องพิจารณา สื่อมลั ติมีเดียเพ่ือการศกึ ษาว่ามีความเหมาะสมกบั ระดบั ความรู้ อายุ ทกั ษะความสามารถของผ้เู รียน มีความเหมาะสมในด้านภาษา และช่วงเวลาที่ใช้ในการศกึ ษาหรือไม่ ในกรณีบทเรียนแบบสอนเนือ้ หา(Tutorial) ความยาวในแต่ละบทเรียน CAI ควรมีความเหมาะสมกบั อายุ ความสามารถและลกั ษณะของผ้เู รียนด้วย 6.8.1.4 ปฏิสัมพันธ์ ส่ือบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนท่ีดีจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ ท่ีเหมาะสมเช่น ยอมให้ผู้เรียนแก้ไขความผิดพลาด ที่มาจากการพิมพ์ผิดได้ ให้ผ้เู รียนได้ตอบ และรับข้อมูล ป้ อนกลบั ได้ มีการเสริมแรงท่ีเหมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนอย่างมีความสุข ผ้เู รียนสามารถแข่งขันกับคะแนนของตนเอง หรือกับคะแนนของเพื่อนได้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ท่ีเป็ นโปรแกรมฝึ กหัดท่ีดี จะช่วยให้ ผู้เรียนได้ ใช้บทเรียนนัน้ หลายๆครัง้ จนเกิดเป็ นทักษะ มีผลสรุปความสามารถของผู้เรียน ในรูปแบบคะแนน ร้ อยละ ตาราง หรืออัตราส่วนปฏิสัมพันธ์ ลักษณะเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
135ดงั กล่าวนีเ้ป็ นแรงจงู ใจแก่ผ้เู รียน ให้ผลป้ อนกลบั มีประสิทธิภาพ ทงั้ คาตอบที่ถูกต้องและคาตอบที่ไม่ถกู ต้อง มีการให้แรงจงู ใจทางบวก ตลอดจนมีการประเมินการเรียนรู้ ของผ้เู รียนให้เหน็ 6.8.1.5 ปรับใช้ตามความต้องการของผู้เรียน บทเรียนบางบทเรียนจะให้ผู้เรียนเลือกระดบั ความยากงา่ ยของบทเรียนได้ตามความต้องการ มีสว่ นสอน และอาจมีสว่ นท่ีผ้สู ร้างบทเรียนสร้างให้มีการเก็บบนั ทกึ และเก็บข้อคดิ เหน็ ของผ้เู รียน เมื่อเรียนซอ่ มเสริมนนั้ เสร็จแล้ว 6.8.1.6 การนาเสนอเนือ้ หาที่น่าสนใจ จะช่วยให้ผู้เรียนไม่เกิดความเบ่ือหน่าย การจัดวางตาแหน่งของข้อความ ขนาดตวั อกั ษร ความกะทดั รัด มีเสียง มีภาพประกอบเหมาะสม จะชว่ ยให้บทเรียนนา่ สนใจตลอดเวลา 6.8.1.7 การประเมินความสามารถของผ้เู รียน การใช้คาถามที่เหมาะสมจะชว่ ยให้มีการประเมินที่เหมาะสม ลักษณะคาถามท่ีมีในบทเรียนควรเป็ นคาถามท่ีสอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ท่ีจะประเมิน ไมว่ กวน ไมก่ ากวม ประเมนิ คาตอบได้ทกุ แบบ 6.8.2 การออกแบบหน้าจอ การประเมินคณุ ภาพการออกแบบหน้าจอจะประเมินองค์ประกอบด้านข้อความ ภาพและกราฟิก เสียง และการควบคมุ หน้าจอ ซง่ึ มีรายละเอียดดงั นี ้ 6.8.2.1 การประเมินข้อความ เป็นส่วนสาคญั ของการออกแบบสื่อคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนให้ดูน่าสนใจ ส่ิงสาคญั สาหรับการประเมินองค์ประกอบด้านข้อความคือ รูปแบบที่อ่านง่าย ขนาดตวั อกั ษรเหมาะกับระดับผู้เรียน ความหนาแน่นของตวั อักษร สีของพืน้ หลังและสีของข้อความต้องเหมาะสม 6.8.2.2 การประเมินภาพ และกราฟิ ก ภ าพ ท่ีใช้ ประกอบมีตัง้ แต่ภ าพ น่ิงและภาพเคลื่อนไหว จึงต้องมีการประเมินว่า ภาพท่ีใช้มีความชัดเจน ดูง่าย และน่าสนใจหรือไม่ มีความหมายและมีขนาดพอเหมาะกบั หน้าจอ สอดคล้องกบั จดุ มงุ่ หมาย เนือ้ หา และวยั ของผ้เู รียน การนาเสนอภาพต้องเป็นระเบียบ เป็นลาดบั ขนั้ และดงู ่าย ภาพหนงึ่ ภาพควรนาเสนอแนวคดิ เดียว 6.8.2.3 การประเมินเสียง สียงท่ีใช้ประกอบบทเรียนทวั่ ไปจะเป็ นเสียงพดู ท่ีบรรยายและเสียงประกอบซึง่ รวมกบั เสียงดนตรีด้วย กลกั เกณฑ์การพิจารณาการใช้เสียงที่เหมาะสมควรพิจารณาจากคณุ ภาพเสียงและการออกแบบ ซงึ่ ได้แก่ (1) คุณภาพเสียง เสียงท่ีใช้ประกอบไม่ว่าจะเป็ นเสียงพูดหรือเสียงบรรยายต้องชดั เจนและถกู ต้อง (2) การออกแบบเสียงประกอบท่ีเหมาะสม จะประเมินเนือ้ เร่ืองและระดบั ผู้เรียนความเหมาะสมกบั เวลาและโอกาส ความยาวของเสียงสอดคล้อง กบั ฟังระยะการแสดงภาพ การเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเลือกที่จะฟังหรือไม่ฟัง และปรับระดับความดังของเสียงได้ การใช้เสียงประกอบหรือเสียงดนตรี มีความสม่าเสมอ ไมม่ ากเกินไปเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
136 6.8.2.4 การประเมินการควบคมุ หน้าจอ เกี่ยวข้องกบั การประเมินในส่วนท่ีเป็ นเมนู หรือตวั นาทางในแตล่ ะหน้าของบทเรียนโดยพิจารณาดงั นี ้ (1) ผ้เู รียนมีความสะดวกในการใช้เมนู คีย์บอร์ด หรือส่วนประกอบอื่นๆ หรือมีคาสง่ัให้ผ้เู รียนข้ามขนั้ ตอน หากผ้เู รียนเข้าใจเนือ้ หานนั้ ๆแล้ว (2) ผู้เรียนสามารถควบคุมอัตราการแสดงผลทางหน้าจอ จัดลาดบั ของบทเรียนเลือกบทเรียนท่ีต้องการเรียน เลือกที่จะย้อนไปดหู น้าที่ผา่ นมา เลือกแบบการแสดงผลได้ (3) การออกแบบเส้นทางของบทเรียน และป่ มุ ควบคมุ หน้าจอ มีความสอดคล้องกบักิจกรรมการเรียน และหลกั การออกแบบสื่อการสอนท่ีทาให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (4) เคร่ืองมือท่ีใช้ประเมินคณุ ภาพการออกแบบหน้าจอ เช่น แบบสังเกต ทงั้ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราสว่ นแบประมาณคา่ แบบสอบถามความคดิ เหน็ ความพงึ พอใจ (5) มีการกาหนดเส้นทางการดาเนินของบทเรียนทีง่าย ใช้งานสะดวก ไม่สร้างความยงุ่ ยากและสบั สนให้ผ้เู รียน 6.8.3 การประเมนิ การใช้งานการประเมินการใช้งานเป็นการพิจารณาวา่ ส่ือมลั ตมิ ีเดยี มีลกั ษณะท่ีสาคญั ดงั ตอ่ ไปนีห้ รือไม่ 6.8.3.1 การนาไปใช้งาน (1) บทเรียนงา่ ยและสะดวกตอ่ การนาไปใช้ (2) บทเรียนไมม่ ีข้อผิดพลาด (bug) และสามารถทางานได้โดยไมส่ ะดดุ หรือหยดุ (3) ในการทางานต้องไมม่ ีการหยดุ เป็นระยะๆ เน่ืองจากการทางานของเคร่ือง (4) คาสง่ั หรือรายละเอียดตา่ งๆ ในโปรแกรม ผ้ใู ช้สามารถอา่ นหรือทาความเข้าใจได้ง่ายและมีความเหมาะสม (5) บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนที่เหมาะสม ผ้เู รียนไมจ่ าเป็ นต้องมีความรู้เก่ียวกบัคอมพวิ เตอร์มากนกั (6) ผ้เู รียนไมจ่ าเป็นต้องใช้คมู่ ืออยตู่ ลอดเวลา (7) ไมม่ ีการแยกเพส เชือ้ ชาตใิ นการใช้ (8) ไมต่ ้องให้ผ้สู อนชว่ ยเหลือตลอดเวลาการใช้บทเรียน 6.8.3.2 คมู่ ือครู (1) มีคมู่ ือครู และมีเครื่องมือที่จาเป็นหรืออปุ กรณ์ประกอบ (2) มีคาแนะนาการทาแผนการสอน (3) มีการแนะนาและจดั เครื่องมือทางการศกึ ษาอื่นๆ (4) มีการแนะนาการจกั กลมุ่ ผ้เู รียนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
137 (5) ในกรณีบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบสร้างสถานการณ์ คมู่ ือครูอาจจะมีระบไุ ว้ด้วยว่าผู้เรียนจะต้องมีทกั ษะใดๆมาก่อนเพ่ือให้ผ้สู อนได้เตรียมทกั ษะที่จาเป็ นนนั้ ให้แก่ผ้เู รียนกอ่ นการใช้บทเรียน 6.8.3.3 เอกสารประกอบการใช้งาน (1) มีเอกสารให้อา่ นประกอบการเขียนไว้อยา่ งชดั เจนเก่ียวกบั การใช้งาน (2) มีการสรุปการใช้บทเรียนไว้อย่างชัดเจนและเป็ นประโยชน์ต่อผู้ใช้ประเมินคณุ ภาพการใช้งาน เชน่ แบบสอบถามความคดิ เหน็ แบบสงั เกต แบบสมั ภาษณ์6.9 สรุป ส่ือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจดั การเรียนการสอนแก่ผ้เู รียนมีหลายประเภทด้วยกัน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ถือเป็ นบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการพฒั นากนั มาตงั้ แต่อดีตจนถึงปัจจบุ นัสามารถแบ่งได้เป็ น 10 ประเภท ได้แก่ รูปแบบบทเรียนเพ่ือการสอนหรือทบทวน (Tutorial) รูปแบบบทเรียนแบบฝึ ก (Drill and Practice) รูปแบบบทเรียนแบบทดสอบ (Test) รูปแบบบทเรียนจาลองสถานการณ์ (Simulation) ประเภทโปรแกรมการศึกษา (Instructional Game) และรูปแบบบทเรียนแบบค้นพบ (Discovery)แบบเรียนรวมวิธีการตา่ งๆ เข้าด้วยกัน (Combination)ประเภทการสอบสวนหรือไตถ่ าม (Inquiry)ประเภทการสาธิต (Demonstration) และ ประเภทเรียนแบบสนทนา (Dialogue) การออกแบบและพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอนคือ การวิเคราะห์ การออกแบบ การพฒั นา การนาไปใช้ และการประเมินผล โดยการประเมินบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนนั้ มีประเดน็ ท่ีใช้ในการประเมนิ ในด้านการออกแบบการสอนของบทเรียนคอมพิวเตอร์ การออกแบบหน้าจอ และการประเมนิ การใช้งานเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
138คาถามท้ายบท 1.ให้นกั ศกึ ษาอธิบายความสาคญั ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในสงั คมสารสนเทศมาพอเข้าใจ 2.บทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนมีกี่ประเภท จงอธิบายพร้อมรายละเอียด 3.ขนั้ ตอนในการพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน มีอยา่ งไรบ้างจงอธิบาย 4.เกณฑ์ในการประเมินบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีอะไรบ้างจงอธิบายพร้ อมให้รายละเอียด 5.จงศึกษาข้ อมูลเก่ียวกับ โปรแกรม ท่ีใช้ ในการพัฒ นาบทเรี ยนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนในปัจจบุ นั มา 2 โปรแกรม พร้อมทงั้ อธิบายพอสงั เขปเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
139เอกสารอ้างองิทวีวัฒน์ วัฒ นกุลเจริญ .(2553).สื่ออิ เล็กทรอนิ กส์และโทรคมนาคมเพื่อการศึกษา. นนทบุรี: บณั ฑติ ศกึ ษา สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช.บปุ ผชาติ ทฬั หิกรณ์ และคณะ.(2545). ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกบั สื่อมลั ติมีเดียเพือ่ การศึกษา.กรุงเทพฯ: ศนู ย์พฒั นาหนงั สือ กรมวชิ าการประยงค์ อินทา . (2552).การพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอร์มลั ติมีเดีย เรื่องการเมืองการปกครองกลุ่ม สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษา ปี่ที่ 4. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม.(เทคโนโลยีการศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒฤทธิชัย อ่อนมิ่ง. (2547). การออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย.กรุงเทพฯ : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.สถาพร สาธุการ. (2540). การพฒั นาและประยกุ ต์ใช้คอมพิวเตอร์.กรุงเทพฯ: อกั ษรสมยัอรพ รรณ สุขเรือง.(กันยายน 2556). CAI Story Board. http://orrora.wordpress.com/cai-story board /เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
140 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 7การเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตหวั ข้อเนือ้ หา 1. ความหมายของการเรียนการสอนบนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ 2. ลกั ษณะการเรียนการสอนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต 3. ลกั ษณะสาคญั ของการออกแบบบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 4. รูปแบบการเรียนการสอนบนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ 5. องคป์ ระกอบของ การจดั การเรียนการสอนผา่ นเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต 6. บทบาทของผ้เู รียนและผ้สู อนในการเรียนการสอนผา่ นระบบอินเทอร์เน็ต 7. ทศิ ทางการจดั การเรียนการสอนโดยใช้ระบบเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตในปัจจบุ นัวัตถุประสงค์ 1. สามารถอธิบายความหมาย ลกั ษณะการเรียนการสอน ลกั ษณะการออกแบบบทเรียนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ 2. วิเคราะห์รูปแบบและองค์ประกอบของบทเรียนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต 3. อธิบายบทบาทของผ้เู รียนและผ้สู อนในการจดั การเรียนการสอนผา่ นอนิ เทอร์เน็ต 4. วิเคราะห์แนวโน้มการจดั การเรียนการสอนโดยใช้ระบบเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตวิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 สอนแบบบรรยาย และอภิปราย 1.2 สอนแบบ Collaborative learning 1.3 ฝึกปฏิบตั เิ รียนผา่ นเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 ผ้สู อนอธิบายความหมาย ลกั ษณะการเรียนการสอน ลกั ษณะการออกแบบบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และบทบาทของผู้เรียนและผู้สอนในการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต 2.2 ผู้สอนแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนศึกษารูปแบบ และองค์ประกอบของบทเรียนการจัดการเรียนการสอนผา่ นเครือขา่ ย 2.3 ผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอการศกึ ษาข้อมลูเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
141 2.4 ผ้สู อนและผ้เู รียนร่วมกนั สรุปรูปแบบ และองค์ประกอบของบทเรียนการจดั การเรียนการสอนผา่ นเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตในปัจจบุ นั 2.5 ผ้สู อนมอบหมายให้ผ้เู รียนทดลองเรียนผา่ นระบบเครือข่าย 2.6 ผ้เู รียนและผ้สู อนร่วมกนั สรุปผลจากการทดลองเรียนผ่านระบบเครือข่าย วิเคราะห์และอภิปรายแนวโน้มการเรียนการสอนผา่ นเครือขา่ ยในอนาคต 3. ส่ือการเรียนการสอน 3.1 เอกสารประกอบการสอน 3.2 เอกสารประกอบการบรรยาย โดยใช้โปรแกรม Power point 3.3 บทเรียนผา่ นเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตการวัดผลและการประเมิน 1. สงั เกตความสนใจของผ้เู รียนในการศกึ ษา 2. ความร่วมมือในการทางานภายในกลมุ่ 3. การนาเสนอผลการศกึ ษาข้อมลู 4. แบบรายงานผลการเรียนผา่ นระบบเครือขา่ ย 5. คาถามท้ายบทเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
142 บทท่ี 7การเรียนการสอนผ่ านเครือข่ ายอินเทอร์ เน็ต 7.1 ความหมายของการเรียนการสอนบนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต 7.2 ลกั ษณะการเรียนการสอนบนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ 7.3 ลกั ษณะสาคญั ของการออกแบบบทเรียนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต 7.4 รูปแบบการเรียนการสอนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต 7.5 องคป์ ระกอบของ การจดั การเรียนการสอนผา่ นเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต 7.6 บทบาทของผ้เู รียนและผ้สู อนในการเรียนการสอนผา่ นระบบอนิ เทอร์เนต็ 7.7 ทิศทางการจดั การเรียนการสอนโดยใช้ระบบเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตในปัจจบุ นั 7.8 สรุป 7.9 คาถามท้ายบท 7.10 เอกสารอ้างองิ7.1 ความหมายของการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การเรียนการสอนผ่านเครือข่ายเป็ นการใช้เทคโนโลยีเว็บในการเรียนการสอนโดยอาจใช้เว็บเพ่ือนาเสนอข้อมลู บางอย่างเพื่อประกอบการสอนรวมทงั้ ใช้ประโยชน์จากคณุ ลกั ษณะตา่ งๆของการสื่อสารที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ตเป็ นการเรียนโต้ตอบกับทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์และการพูดคุยสดด้ วยข้ อความและเสียงมาใช้ ประกอบด้ วยเพ่ือให้ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สอนบางส่วนหรื อทงั้ หมดผา่ นเวิลด์ไวด์เวบ็ เป็นสื่อกลางใน การส่ือความรู้ให้กบั ผ้เู รียน7.2 ลักษณะการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การเรียนการสอนบนเว็บมีลกั ษณะการจดั สภาพการเรียนการสอนท่ีแตกตา่ ง จากการเรียนการสอนในชนั้ เรียนปกติ ผ้เู รียนจะเรียนผ่านจอคอมพิวเตอร์ที่เช่ือมโยงกบั เครือขา่ ยโดยผ้เู รียนแต่ละคนที่เป็ นสมาชิกเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าส่รู ะบบเครือข่ายเพื่อศกึ ษาเนือ้ หาบทเรียนจากที่ใดก็ได้ในเวลาใดก็ได้และผู้เรียนแต่ละคนยังสามารถติดต่อส่ือสารกับผู้สอนหรือผู้เรียนคนอื่นๆ ได้ทนั ทีทนั ใดเหมือนกบั ได้เผชิญหน้ากนั จริงจดั เป็ นการเรียนรู้ที่มีลกั ษณะเป็ นเครือขา่ ยซึ่งมีลกั ษณะดงั นี ้(Chute, Sayers and Gardner, 1997)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
143 ภาพท่ี 7.1การเรียนรู้ท่มี ลี กั ษณะเป็ นเครือขา่ ย ท่มี า Chute, Sayers and Gardner, 1997 อาจกลา่ วได้วา่ การเรียนการสอนบนเว็บ เป็ นการเรียนรู้แบบระบบเครือขา่ ยมีลกั ษณะการเรียนการสอน ดงั นี ้ 7.2.1 ตอบสนองความต้องการการเรียนรู้ อยา่ งต่อเนื่อง (the needs for continuouslearning) จากสภาพการเรียนรู้ในปัจจุบนั ได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามกระแสของโลกาภิวฒั น์ มีการเรียนรู้จากสื่ออเิ ล็กโทรนิคกนั มากขนึ ้ ทงั้ ในและนอกระบบโรงเรียน 7.2.2. มีลักษณะการเชื่อมโยงเครือข่ายการเรียนรู้ในเวิลด์ ไวด์ เว็บ (distancelearning networks) 1) เครือขา่ ยประเภทเสียง (audio network) ได้แก่ การถามตอบ 2) เครือข่ายประเภทวีดีโอ (video network) ได้แก่ ISDN, MCUC,ประกอบด้วยบทเรียนท่ีประกอบด้วย รูปภาพ สไลด์ วดิ โี อเทป ข้อมลู ตา่ งๆ ท่ีหลากหลาย 7.2.3 การเรียนการสอนบนเครือขา่ ย 1) มีการปฏิสมั พนั ธ์ในและนอกเครือขา่ ย 2) มีการถามตอบ 3) มีสว่ นของการระดมสมอง 4) มีการอภิปราย case (case study) 5) มีบทบาทสมมตุ ิ (role playing)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
144 7.2.4 บทบาทของการบริการสนบั สนนุ การเรียนการสอน ได้แก่ 1)ผู้เรียนได้รับการบริการด้านการลงทะเบียนเรียนการค้นหาข้อมูล การประเมินผลการเรียน ข้อมลู การเรียนการสอนในโปรแกรมการเรียน และวิธีการเรียนผ่านเว็บและในห้องเรียน การปรึกษาผ้สู อน ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ และการติดตอ่ สื่อสารระหวา่ งผ้สู อน ผ้เู ช่ียวชาญ และผ้เู รียนด้วยกนั 2) มีผ้เู ช่ียวชาญ และผ้ใู ห้การปรึกษาสาหรับผ้เู รียนเม่ือมีปัญหา 7.2.5 บริการบนอินเทอร์เนต็ 1) ไปรษณีย์อเิ ล็กโทรนิกส์ (e-mail) 2) ข้อมลู และสื่ออ้างองิ 3) เครื่องมือในอนิ เทอร์เน็ต เชน่ มลั ตมิ ีเดยี รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ 4) เนือ้ หาในโฮส ได้แก่ วทิ ยุ วีดโี อ รูปภาพ อีเมล์ มลั ตมิ ีเดยี 5) การทดสอบ ได้แก่ ลกั ษณะของการตอบ เชน่ ถกู ผิด, คาตอบสนั้ ๆ 7.2.6 ห้องสมุดเสมือนจริงเป็ นห้องสมดุ ท่ีรวมห้องสมุดทว่ั โลกไว้ให้ผ้เู รียนได้สามารถค้นหาข้อมูลได้ เหมือนอยู่ในห้องสมุดนนั้ จริงๆ โดยใช้อินเทอร์เน็ต การบริการสงั่ จองหนงั สือ และส่ือการเรียนตา่ งๆ เป็นต้น 7.2.7 ส่ิงแวดล้ อมการเรียนรู้ที่เหมือนจริง การเรียนรู้ท่ีผู้เรียนสามารถเรียนได้4 ทางคอื 1) เวลาเดยี วกนั และสถานที่เดยี วกนั แบบ face to face 2) เวลาเดยี วกนั แตค่ นละสถานที่ ได้แก่ teleconference 3) เวลาตา่ งกนั แตส่ ถานที่เดยี วกนั ได้แก่ การเรียนแบบกลมุ่ 4) เวลาตา่ งกนั และสถานที่ตา่ งกนั7.3 ลักษณะสาคัญของการออกแบบบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 7.3.1 Anywhere, Anytime and Anybody คือ ผู้เรียนจะเป็ นใครก็ได้ มาจากท่ีใดก็ได้ และเรียนเวลาใดก็ได้ตามความต้องการของผู้เรียน เพราะหน่วยงานได้เปิ ดเว็บไซต์ให้บริการตลอด 24ชวั่ โมง รวมทงั้ บริการจดั ทาเป็ นชดุ ซีดีเพื่อใช้ในลกั ษณะออฟไลน์ให้กบั โรงเรียนหรือสถานศกึ ษาที่สนใจแตย่ งั ไมพ่ ร้อมในระบบอนิ เทอร์เน็ต 7.3.2 ส่ือประสม(Multimedia) ส่ือที่นาเสนอในเว็บ ประกอบด้ วยข้ อความ ภ าพ นิ่งภาพเคล่ือนไหวและเสียง ตลอดจนวีดทิ ศั น์ อนั จะชว่ ยกระต้นุ การเรียนรู้ของผ้เู รียนได้เป็ นอยา่ งดี 7.3.3 Non-Linear ผ้เู รียนสามารถเลือกเรียนเนือ้ หาท่ีนาเสนอได้ตามความต้องการเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
145 7.3.4 Interactive ด้วยความสามารถของเอกสารเว็บท่ีมีจุดเชื่อม (Links) ย่อมทาให้เนือ้ หามีลกั ษณะโต้ตอบกับผ้ใู ช้โดยอตั โนมตั ิอย่แู ล้ว และผ้เู รียนยงั เพ่ิมส่วนติดต่อกับวิทยากรผ่านระบบเมล์ICQ Microsoft Messenger และสมดุ เยี่ยม สามารถตดิ ตอ่ กนั ได้อยา่ งรวดเร็ว7.4 รูปแบบการเรียนการสอนบนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต เป็ นการเรียนการสอนโดยใช้ระบบอินเทอร์เน็ตมาใช้ จึงเป็ นการจดั การเรียนการสอนทางไกล(distance education) ประเภทหนึ่ง เพราะมีระบบเครือข่ายเช่ือมโยงติดต่อกันโดยผู้เรียนอยู่ต่างสถานที่และหา่ งไกลกนั การเรียนรู ลกั ษณะนีม้ ีทงั้ ภาพ เสียง และข้อมลู ให้แกผ่ ้เู รียนซง่ึ สามารถเรียนรู้ได้ ทัง้ ในเวลาจริง (real time) และไม่ใช่เวลาจริง (non-real-time) นอกจากนัน้ แล้ วยังมีการติดตอ่ สื่อสารกันแบบสองทาง (two-way communication) หรือทางเดียวก็ได จะติดต่อกันแบบพบหน้ ากันแบบเผชิญหน้ า (face to face) ย่อมสามารถทาได้ เนื่องจากมีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทาให้ผู้ใ ช้สามารถรับส่งข่าวสารข้อมูลรูปแบบต่างๆ ถึงกันได้ ด้วยความสะดวกและรวดเร็ว ดงั นนั้ การนาอินเทอร์เน็ตมาใช้ประโยชน กับการศึกษาจะมีส่วนสาคญั ในการพฒั นาการเรียนการสอนได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถนาข้อมลู การศกึ ษาจากแหลง่ ข้อมลู ตา่ งๆ ทว่ั โลกมาใช้ประโยชนได้อย่างรวดเร็ว เน่ืองจากการรับสง่ ข้อมูลข่าวสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถทาได้ 2 ลกั ษณะใหญ่ๆ ด้วยกนั คือ การติดต่อในเวลาเดียวกันและการติดตอ่ ต่างเวลากัน ทาให้รูปแบบการเรียนการสอนบนเว็บสามารถแบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ คอื 7.4.1 Synchonous Learning คือ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีมีกิจกรรมการเรียนการสอนในเวลาเดียวกัน ผู้เรียนต้องมาเรียนพร้ อมๆ กัน โดยใช้การรับส่งข่าวสาร ข้อมูลที่ผู้ส่งและผู้รับสารติดต่อกันได้ในเวลาเดียวกันหรือพร้ อมกัน เช่น บริการพูดคุยสนทนา (chat) บริการรับส่งข้อความเสียงและภาพ และภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น 7.4.2 Asynchronous Learning คือ รูปแบบการเรียนการสอนบนเว็บ ท่ีผ้เู รียนและผ้สู อนไม่จาเป็ นต้องมีกิจกรรมการเรียนการสอนในเวลาเดียวกนั เพราะเป็นรูปแบบการรับส่งข้อมลู ขา่ วสารท่ีผ้รู ับและผู้ส่งไม่จาเป็ นต้องทางานพร้ อมกัน เช่น บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) กลุ่มสนทนา(newsgroup) รวมทงั้ บริการเวิลด์ ไวด์ เว็บ เป็ นต้น ท่ีเป็ นเครือข่ายข้อมลู ความรู้โดยผู้เรียนจะเข้ามาเรียนรู้เมื่อใด ท่ีไหน ยอ่ มสามารถทาได้โดยปราศจากข้อจากดั ใดๆ ทงั้ สนิ ้7.5 องค์ประกอบของ การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต การจดั การเรียนการสอนผา่ นเครือขา่ ย มีองค์ประกอบด้วย 4 สว่ นหลกั ดงั นี ้ 7.5.1 Learning Management System (LMS) หมายถึง ระบบการจัดการด้ านการเรียนรู้ซ่ึงเป็ นส่วนสาคญั ของ e-Learning จะต้องนาพาผ้เู รียนไปยังเป้ าหมายที่ต้องการจะทาหน้าท่ีเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
146ตงั้ แตผ่ ้เู รียนเข้ามาเรียนโดยจดั เตรียมหลกั สตู ร บทเรียนทงั้ หมดเอาไว้ให้พร้อมที่จะให้ผ้เู รียนได้เข้ามาเรี ยนเม่ือผ้ ูเรี ยนได้ เร่ิ มต้ นบทเรี ยนแล้ วระบบเริ่ มทางานโดยส่งบทเรี ยนตามคาขอของผ้ ูเรี ยนด้ านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปแสดงท่ี Web Browser ของผู้เรียนจากนัน้ ระบบก็จะติดตามและบันทึกความก้าวหน้ารวมทัง้ สร้างรายงานกิจกรรมและผลการเรียนของผู้เรียนในทุกหน่วยการเรียนอย่างละเอียดจนกระทง่ั จบหลกั สตู ร 7.5.2 Content Management System (CMS) หมายถึง ระบบการจดั การด้านเนือ้ หาซงึ่ เป็ นสว่ นบริการสาหรับผ้อู อกแบบหรือผ้พู ฒั นาบทเรียนในการสร้างสรรคแ์ ละนาเสนอเนือ้ หาบทเรียนเริ่มตงั้ แตเ่ นือ้ หาสว่ นของกรลงทะเบียนการรวบรวมการจดั เนือ้ หาและการนาส่งเนือ้ หา(Delivery) ไปยงัเว็บไซต์ของ e-Learning หรือการพิมพ์เป็ นเอกสารหรือการบนั ทึกลงซีดีรอมเนือ้ หาบทเรียนซงึ่ เป็ นองค์ความรู้สาหรับผ้เู รียนเหล่านีจ้ ะถูกจดั การนาเสนอโดยระบบ CMS โดยสามารถปรับปรุงแก้ไขเพื่อนากลบั มาใช้ใหมก่ ็ได้ในกรณีท่ีเห็นวา่ มีข้อผิดพลาดเกิดขนึ ้ 7.5.3 Delivery Management System (DMS) หมายถึง ระบบการจดั การด้านการนาส่งซง่ึ เป็ นการนาสง่ บทเรียนไปยงั ผ้เู รียนได้ศกึ ษาตามวตั ถปุ ระสงค์การนาสง่ บทเรียนจงึ รวมถึงการจดั การบนเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ อินเทอร์เน็ตอนิ ทราเน็ตหรือเอ็กซ์ทราเน็ต การพิมพ์เป็นเอกสารสาหรับผ้เู รียนการบนั ทึกลงสื่ออิเล็กทรอนิกส์และการนาส่งบทเรียนในรูปแบบอ่ืนๆไปยงั ผ้เู รียนให้ได้ศึกษาบทเรียนตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ต้องการเชน่ สง่ ผา่ นโทรทศั น์ตามสายเป็นต้น 7.5.4 Test Management System (TMS) หมายถึง ระบบการจัดการด้านการทดสอบเป็ นส่วนของการจัดการและการนาส่งรวมทัง้ การดาเนินการสอนให้กับผู้เรียนเพ่ือทาการประเมินผลความก้าวหน้าของผ้เู รียนในระบบ e-Learning โดยที่ข้อมลู เก่ียวกบั ข้อทดสอบทงั้ หมดจะถกู เก็บไว้ในฐานข้ อมูลส่วนกลางสาหรับ ให้ ผ้ ูเรี ยนต่อเช่ือมเข้ าไปทาการ ทดสอบตามเง่ือนไขท่ีระบุไว้ ในส่วนของLMS และCMS ระบบ TMS จงึ ประกอบด้วย 2 สว่ นได้แก่ สว่ นของผ้อู อกแบบและผ้พู ฒั นาบทเรียนสาหรับการออกแบบแก้ไขนากลบั มาใช้ใหมพ่ ิมพ์และจัดการเก่ียวกับข้ อทดสอบและส่วนของผู้เรียนสาหรับการทาข้อทดสอบรวมทัง้ การบันทึกผลความก้าวหน้าการประเมินผลและการรายงานผลในรูปแบบตา่ งๆ7.6 บทบาทของผู้เรียนและผู้สอนในการเรียนการสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต บทบาทของผ้สู อนใน การจดั การเรียนการสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนไปเป็ นผ้ใู ห้คาแนะนา (Guide) เป็ นผู้ฝึ ก (Coach) เป็ นผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) และเป็ นพ่ีเลีย้ ง(Mentor) ตอ่ กระบวนการเรียนรู้ของผ้เู รียน บทบาทของผู้เรียนจะเปล่ียนแปลงจากการเป็ นผ้รู ับมาเป็ นผ้สู ารวจสารสนเทศผ้คู ิดผ้ลู งมือปฏิบตั ใิ นลกั ษณะเรียนรู้ร่วมกนั กบั ผ้เู รียนคนอ่ืนอย่างมีปฏิสมั พนั ธ์ตอ่ กนั จากเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
1477.7 ทศิ ทางการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน การเติบโตของเทคโนโลยีเพ่ือการสื่อสารในช่วงระยะสิบปี ท่ีผ่านมาเป็ นพืน้ ฐานสาคญั ที่สง่ เสริมให้ผ้เู รียนสามารถเข้าถึงแหลง่ ข้อมลู ขา่ วสาร และสาระความรู้ได้อยา่ งไร้ขอบเขต นน่ั คอื ทกุ คนสามารถติดต่อสื่อสารกัน และเข้าถึงข้อมลู ได้จากทุกหนแห่ง และตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างย่ิงจากการใช้อินเทอร์เน็ต และคลื่นลกู ใหม่ท่ีกาลงั จะก้าวเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากตอ่ การสื่อสารของผ้คู นก็คือ เครือข่ายไร้ สาย หรือ การติดต่อผ่านทางอุปกรณ์พกพาต่างๆ เช่น เคร่ืองโทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาอ่ืนๆ ท่ีมีความสามารถคล้ายกันการจดั การเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ การปรับเปล่ียนรูปแบบและมีคาจากดั ความที่เกิดขนึ ้ ใหม่ ซ่ึงผ้ทู ่ีเป็ นครูควรรู้จกั และทาความเข้าใจกบั แนวทางการใช้เทคโนโลยีอนิ เทอร์เน็ตมาใช้ในการจดั การเรียนการสอนดงั นี ้ 7.7.1 โมบาย เลิร์นนิ่ง (Mobile Learning) หรือ เอ็มเลิร์นน่ิง (mLearning) หมายถึง การเรียนรู้โดยใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาท่ีเชื่อมต่อกับข้อมูลแบบไร้สาย ซ่ึงคอมพิวเตอร์แบบพกพานีใ้ นปัจจุบันมีอยู่มากมาย และมีหลายบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ออกมาใหม่ๆ อย่างต่อเน่ือง ซ่ึงสามารถจดั เป็นประเภทของอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาได้ 3 กลมุ่ ใหญ่ หรือจะเรียกวา่ 3Ps ได้แก่ 1) PDAs (Personal Digital Assistant) คือคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กหรือขนาดประมาณฝ่ ามือท่ีรู้จกั กันทั่วไปได้แก่ Pocket PC กับ Palm เคร่ืองมือส่ือสารในกลุ่มนีย้ งั รวมถึงPDA Phone ซ่ึงเป็ นเคร่ือง PDA ที่มีโทรศพั ท์ในตวั สามารถใช้งานการควบคมุ ด้วย Stylus เหมือนกบัPDA ทุกประการ นอกจากนีย้ ังหมายรวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอื่นๆ เช่น lap top, Notebook และ Tablet PC อีกด้วย 2) Smart Phones คือโทรศพั ท์มือถือ ที่บรรจเุ อาหน้าที่ของ PDA เข้าไปด้วยเพียงแต่ไม่มี Stylus แต่สามารถลงโปรแกรมเพ่ิมเติมเหมือนกับ PDA และ PDA phone ได้ข้อดีของอุปกรณ์กล่มุ นีค้ ือมีขนาดเล็กพกพาสะดวกประหยดั ไฟและราคาไม่แพงมากนกั คาว่าโทรศพั ท์มือถือ ตรงกับภาษาองั กฤษ วา่ hand phone ซง่ึ ใช้คานีแ้ พร่หลายใน Asia Pacific สว่ นในอเมริกา นิยมเรียกว่า CellPhone ซงึ่ ยอ่ มาจาก Cellular telephone สว่ นประเทศอื่นๆ นิยมเรียกวา่ Mobile Phone 3) iPod, เคร่ืองเลน่ MP3 จากคา่ ยอ่ืนๆ และเคร่ืองที่มีลกั ษณะการทางานท่ีคล้ายกนัคอื เคร่ืองเสียงแบบพกพก iPod คือชื่อรุ่นของสนิ ค้าหมวดหนง่ึ ของบริษัท Apple Computer, Inc ผ้ผู ลิตเคร่ืองคอมพิวเตอร์แมคอินทอช iPod และเครื่องเล่น MP3 นบั เป็ นเครื่องเสียงแบบพกพาที่สามารถรับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ด้วยการต่อสาย USB หรือ รับด้วยสัญญาณ Blue tooth สาหรับรุ่นใหม่ๆ มีฮาร์ดดสิ ก์จไุ ด้ถงึ 60 GB. และมีชอ่ ง Video out และมีเกมส์ให้เลือกเลน่ ได้อีกด้วยเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
148 ข้อดีของเอ็มเลิร์นนงิ่ - มีความเป็นสว่ นตวั และอสิ ระท่ีจะเลือกเรียนรู้ และรับรู้ - ไมม่ ีข้อจากดั ด้านเวลา สถานท่ี เพิ่มความเป็นไปได้ในการเรียนรู้ - มีแรงจงู ใจตอ่ การเรียนรู้มากขนึ ้ - สง่ เสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้จริง - ด้วยเทคโนโลยีของเอ็มเลิร์นน่ิง ทาให้เปลี่ยนสภาพการเรียนจากท่ียึดผู้สอนเป็ นศนู ย์กลาง ไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับผู้เรียน จึงเป็ นการส่งเสริมให้มีการส่ือสารกับเพ่ือนและผ้สู อนมากขนึ ้ - สามารถรับข้อมลู ท่ีไมม่ ีการระบชุ ื่อได้ ซง่ึ ทาให้ผ้เู รียนที่ไมม่ น่ั ใจกล้าแสดงออกมากขนึ ้ - สามารถส่งข้อมูลไปยงั ผ้สู อนได้ อีกทงั้ กระจายซอฟต์แวร์ไปยงั ผ้เู รียนทุกคนได้ ทาให้ผ้เู รียนทกุ คนมีซอฟต์แวร์รุ่นเดียวกนั เร็วกวา่ การโทรศพั ท์ หรืออีเมล - เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา เคร่ือง PDA หรือโทรศพั ท์มือถือที่ใช้สาหรับเอ็มเลิร์นนิ่งนนั้ ชว่ ยลดความแตกตา่ งทางดจิ ิทลั เนื่องจากราคาเคร่ืองถกู กวา่ คอมพวิ เตอร์ - สะดวกสบายและมีประสทิ ธิภาพทงั้ ในสภาพแวดล้อมทางการเรียนและการทางาน - เคร่ืองประเภทพกพาตา่ งๆ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นทางการเรียนและมีความรับผดิ ชอบตอ่ การเรียนด้วยตนเอง ข้อจากดั ของเอ็มเลริ ์นนงิ่ - ขนาดของความจุ Memory และขนาดหน้าจอที่จากัดอาจจะเป็ นอุปสรรคสาหรับการอ่านข้อมลู แป้ นกดตวั อกั ษรไมส่ ะดวกรวดเร็วเท่ากบั คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์แบบตงั้ โต๊ะ อีกทงั้ เครื่องยงั ขาดมาตรฐาน ที่ต้องคานงึ ถงึ เม่ือออกแบบส่ือ เชน่ ขนาดหน้าจอ แบบของหน้าจอ ที่บางรุ่นเป็ นแนวตงั้ บางรุ่นเป็ นแนวนอน - การเช่ือมตอ่ กบั เครือขา่ ย ยงั มีราคาท่ีคอ่ นข้างแพง และคณุ ภาพอาจจะยงั ไมน่ า่ พอใจนกั - ราคาเคร่ืองใหมร่ ุ่นที่ดี ยงั แพงอยู่ อีกทงั้ อาจจะถกู ขโมยได้ง่าย - ความแขง็ แรงของเคร่ืองยงั เทียบไมไ่ ด้กบั คอมพวิ เตอร์ตงั้ โต๊ะ - อพั เกรดยาก และเคร่ืองบางรุ่นก็มีศกั ยภาพจากดั - การพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ขาดมาตรฐานของการผลิตสื่อเพ่ือเอ็มเลริ ์นนิง่ - ตลาดของเครื่องโทรศพั ท์มือถือมีการเปล่ียนแปลงรวดเร็ว พอพอกบั เคร่ืองท่ีสามารถตกรุ่นอยา่ งรวดเร็ว - เม่ือมีผ้ใู ช้เครือขา่ ยไร้สายมากขนึ ้ ทาให้การรับสง่ สญั ญาณช้าลง - ยงั ไมม่ ีมาตรฐานความปลอดภยั ของข้อมลูเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
149 เอ็มเลิร์นนิ่งกาลงั ก้าวเข้ามาเป็ นการเรียนรู้คกู่ บั สงั คมอย่างแท้จริง เนื่องจากความเป็ นอิสระของเครือขา่ ยไร้สาย ที่สามารถเข้าถึงได้ทกุ ที่ ทกุ เวลา อีกทงั้ จานวนเคร่ืองคอมพิวเตอร์ แบบพกพาที่ใช้เป็ นเครื่องมือนนั้ มีจานวนเพ่ิมขึน้ เร่ือยๆ อย่างไรก็ดีส่ิงที่สาคญั ย่ิงของเอ็มเลิร์นน่ิงนนั้ อยู่ที่การเรียนรู้และการมงุ่ พฒั นาเพื่อให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ท่ีมีประสทิ ธิภาพได้อยา่ งแท้จริง 7.7.2 ยูบิ ค วิตัส เลิ ร์ น นิ่ ง (Ubiquitous Learning)Ubiquitous เป็ น ภ าษ าล าติ น มีความหมายว่า อยู่ในทุกแห่ง หรือ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง Mark Weiser (มาร์ค ไวเซอร์) แห่งศูนย์วิจัยPalo Alto ของบริษั ท Xerox ป ระเทศสหรัฐอเมริกา ได้ ให้ คานิยาม Ubiquitous Computing(ยูบิควิตัสคอมพิวติง)ไว้ว่าหมายถึงกระบวนการบูรณาการ (integrating) คอมพิวเตอร์เข้ ากับPhysical World อย่างไร้ ขอบเขต (seamlessly) การพัฒนาส่ิงเหล่านีท้ าให้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกบั การดาเนินชีวิตประจาวนั Ubiquitous Computing รวมถึงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ประเภทmicroprocessors โทรศพั ท์เคล่ือนที่ (mobile phones) กล้องดิจิตอล และอุปกรณ์อื่นๆ หมายความว่าเราสามารถเข้ าถึงข้ อมูลสารสนเทศได้ ทุกหนทุกแห่งสภาพแวดล้ อมท่ีสามารถใช้ คอมพิวเตอร์เชื่อมตอ่ กบั เครือขา่ ยไมว่ า่ จะอยใู่ นที่แหง่ ใด ยูบิควิตัส เลิร์นน่ิง(Ubiquitous Learning) คือ การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสาเร็จรูป (Instruction Package) ที่นาเสนอเนือ้ หาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีเครือขา่ ยทงั้ แบบใช้สายและไร้สาย รวมไปถึงพวกอปุ กรณ์ตา่ งๆ ท่ีใช้ในการประมวลผลแบบไร้ขอบเขตผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา ท่ีจริงแล้ว น่าจะมาจากคาว่า Ubiquitous e-learning แต่e ได้ถูกตดั หายไป เนื่องจากเป็ นการเรียนรู้ท่ีเป็ นส่วนหนึ่งของการดาเนินชีวิต ซ่ึงเกี่ยวพนั ธ์กับวิธีการเรียนหลากหลายแบบรวมกนั ทงั้ แบบดงั เดมิ และการใช้เทคโนโลยีด้านสารสนเทศด้วย นับตัง้ แต่การคิดค้นอินเตอร์เน็ตและเว็บไซต์ กระบวนการเรียน (Education Process)พัฒนาการในวงการการศึกษาได้พัฒนาควบค่ไู ปกับวิวฒั นาการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซ่ึงส่งผลให้เกิดการเรียนรู้แบบไร้ขอบเขต (Ubiquitous Learning) ในลกั ษณะทุกที่ ทุกเวลา การเรียนเกิดขึน้ รอบตวั ผู้เรียน เพราะข้อมูลสารสนเทศได้รวมไว้ในอุปกรณ์ต่างๆ ขอเพียงผู้เรียนพร้ อมท่ีจะเรียน โดยเรียกความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ว่า เป็ นแบบ Many to onerelationship (Weiser, 1993) ซ่ึงเป็ นความสัมพันธ์แบ บสามัญ และเกี่ยวพันธ์กับ UbiquitousComputing ข้อดีของ Ubiquitous Learning - Adaptive learning เป็ นการเรียนรู้ท่ีปรับวิธีการให้ตรงกบั รูปแบบการเรียนรู้ของผ้เู รียนการสอนท่ีปรับให้เข้ากับผ้เู รียนทาให้เกิดการเรียนรู้ได้รวดเร็ว ประสิทธิภาพสูงและเข้าใจได้มากกว่าเช่น การติดตามกิจกรรมการเรียนของผ้เู รียน การแปรผล และใช้ข้อมลู ใหม่ๆ เสริมกระบวนการเรียน(Paramythis and Loidl-Reisinger, 2004)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
150 - Ubiquitous Learning Environment (ULE) เป็ น ส ถ า น ก า รณ์ ก า รเรี ย น รู้ แ บ บpervasive (omnipresent education or learning) การเรียนเกิดขนึ ้ รอบตวั นกั เรียนโดยนกั เรียนอาจไม่รู้ตวั ข้อมลู ได้รวมไว้ในอุปกรณ์ต่างๆ ขอเพียงนกั เรียนพร้อมที่จะเรียน ท่ีจริงแล้ว น่าจะมาจากคาว่าUbiquitous e-learning แต่ e- ได้ถูกตดั หายไป เนื่องจากเป็ นการเรียนรู้ที่เป็ นส่วนหน่ึงของการดาเนินชีวิต ซ่ึงเก่ียวพันธ์กับวิธีการเรียนหลากหลายแบบรวมกัน ทงั้ แบบดงั เดิมและการใช้เทคโนโลยีด้านสารสนเทศด้วย - การเชื่อมตอ่ กบั เครือขา่ ยไมว่ า่ ผ้ใู ช้งานจะเคล่ือนย้ายไปยงั สถานที่ตา่ งๆ - การให้บริการท่ีสามารถเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทัง้ สถานที่ อุปกรณ์ ปัจจัยทางกายภาพอ่ืนๆ - การบูรณาการ U-learning นัน้ ทาให้เกิดประโยชน์ต่อประสบการณ์การเรียนแบบกลางแจ้ง (outdoor) และการเรียนในร่ม (indoor) ตวั อย่างการเรียนกลางแจ้งได้แก่ ในสวน ศนู ย์กลางของเมือง ในป่ า สว่ นการเรียนในร่ม ได้แก่ ในพิพิธภณั ฑ์ ศนู ย์การเรียนรู้ ห้องปฏิบตั กิ าร หรือท่ีบ้าน ข้อจากดั ของ Ubiquitous Learning - ระบบเชื่อมโยงเครือขา่ ยเพื่อให้ครอบคลมุ ถงึ ขนาด Ubiquitous ต้องใช้การลงทนุ สงู มาก -จานวนผ้ใู ช้บริการ และผ้ทู ่ีมีความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีดงั กลา่ ว ยงั น้อย ไมค่ ้มุ คา่การลงทนุ7.8 สรุป การเรียนการสอนผ่านเครือข่ายเป็ นการจดั การเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีเว็บในการเรียนการสอนโดยใช้ประโยชน์จากเคร่ืองมือต่างๆ ในระบบเครือข่ายทัง้ แบบประสานเวลา และไม่ประสานเวลา เพื่อให้เกิดการจดั การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพมากท่ีสดุ ลกั ษณะของการจดั การเรียนการอสนผ่านเครือข่ายนนั้ ต้องมีลกั ษณะที่ให้ผ้เู รียนจะเป็ นใครก็ได้ มาจากท่ีใดก็ได้ และเรียนเวลาใดก็ได้ตามความต้องการของผ้เู รียน มีความเป็ นส่ือประสม มีการนาเสนอท่ีมีลกั ษณะไม่เป็ นเส้นตรง (Non-Linear)ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเนือ้ หาท่ีนาเสนอได้ตามความต้องการและสามารถโต้ตอบกบั ผ้เู รียนได้ ทิศทางการจดั การเรียนการสใอนผา่ นเครือข่ายจะมีลกั ษณะในแบบโมบาย เลิร์นน่ิง (MobileLearning) ซึ่งเป็ นการเรียนผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา ยูบิควิตัส เลิร์นนิ่ง (UbiquitousLearning) เป็ นการเรียนทกุ หนทกุ แห่งภายใต้รูปแบบสังคมที่มีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเคร่ืองมือพืน้ ฐานท่ีสาคญัเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190