513.6รูปแบบของการส่งสัญญาณข้อมูล การสื่อสารข้อมลู ระหวา่ งเคร่ืองสง่ และเครื่องรับสามารถแบง่ ได้เป็น 3 รูปแบบ 3.6.1 การส่ือสารข้อมูลทิศทางเดียว (Simplex Transmission) เป็ นการตดิ ตอ่ ส่ือสารเพียงทิศทางเดียว คือเคร่ืองส่งจะส่งข้อมูลเพียงฝั่งเดียวและโดยฝั่งเคร่ืองรับไม่มีการตอบกลับ เช่น การกระจายเสียงของสถานีวทิ ยุ การสง่ e-mail เป็นต้น การสง่ ข้อมลู ทศิ ทางเดยี ว ( Message)เครื่องสง่ (Sender) เคร่ืองรับ (Receiver) รูปท่ี 3.3การส่อื สารข้อมลู แบบทิศทางเดียว (Simplex Transmission) 3.6.2 การส่ือสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน (Half Duplex Transmission)สามารถส่งข้อมูลในเวลาใดเวลาหน่ึง ไปในทิศทางเดียวเท่านัน้ ทัง้ ฝ่ ายส่งและฝ่ ายรับ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเคร่ืองสง่ สามารถส่งข้อมลู ไปให้แก่เคร่ืองรับ สว่ นเคร่ืองรับก็สามารถโต้ตอบกลบั ได้ แตจ่ ะไมส่ ามารถส่งสวนทางกนั ได้ในเวลาเดียวกนั เชน่ การสง่ วทิ ยขุ องตารวจการสง่ ข้อมลู สองทศิ ทาง แตไ่ มส่ ามารถสง่ สวนทางเวลาเดยี วกนัเคร่ืองสง่ (Sender) เคร่ืองรับ (Receiver)รูปท่ี 3.4การส่อื สารข้อมลู สองทิศทางสลับกนั (Half Duplex Transmission)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
52 3.6.3 การส่ือสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน (Full Duplex Transmission)สามารถส่งข้อมูลในเวลาใดเวลาหน่ึง ได้ทงั้ 2ทิศทาง ทงั้ เคร่ืองสง่ และเคร่ืองรับ โดยผ้สู ง่ และผ้รู ับ สามารถโต้ตอบสวนทางกนั ได้ในเวลาเดียวกนั เชน่ การสง่ สญั ญาณโทรศพั ท์ การสนทนาผา่ นบนระบบเครือขา่ ย การสง่ ข้อมลู โต้ตอบกนั ได้ในเวลาเดยี วกนัเครื่องสง่ (Sender) เคร่ืองรับ (Receiver)รูปท่ี 3.5 การส่อื สารข้อมลู สองทศิ ทางพร้อมกนั (Full Duplex Transmission) 3.6.4การส่ือสารข้อมูลแบบสะท้อนสัญญาณ (Echo-Plex) เป็นการสง่ สญั ญาณท่ีรวมทงั้Half-Duplex และ Full-Duplex ไว้รวมกัน เช่น ความสมั พนั ธ์ระหว่างคีย์บอร์ด และจอภาพของเครื่องTerminal ของ Main Frame หรือ Host คอมพิวเตอร์ ในระหว่างการคีย์ข้อความผ่านคีย์บอร์ดเพื่อให้Host คอมพิวเตอร์รับข้อความหรือทาตามคาสงั่ ข้อความหรือคาสง่ั จะปรากฏบนจอภาพคอมพิวเตอร์ของ เคร่ือง Terminal ด้วยเช่นกนั เน่ืองจากขณะท่ีสญั ญาณตวั อกั ขระท่ีถกู ส่งจากคีย์บอร์ดไปยงั Hostซงึ่ เป็นแบบ Full-Duplex จะสะท้อนกลบั มาปรากฏท่ีจอภาพเคร่ือง Terminal ด้วย3.7รูปแบบของสัญญาณในการส่ือสารข้อมูล รูปแบบของสัญญาณในการสื่อสารข้อมูลในปัจจบุ นั ไม่ว่าจะเป็ นตวั กลางแบบมีสาย หรือตวั กลางแบบไร้สาย สามารถแบง่ ได้เป็น 2 รูปแบบคือ 3.6.1 รูปแบบสญั ญาณแบบแอนะล็อก(Analog Signal) เป็ นสญั ญาณคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ าที่มีความตอ่ เนื่องของสญั ญาณ โดยไมเ่ ปลี่ยนแปลงแบบทนั ที่ทนั ใดมีลกั ษณะเป็ นคลื่นไซน์ (Sine Wave)โดยแตล่ ะคลื่นอาจจะมีความถ่ีและความเข้มของสญั ญาณแตกตา่ งกนั เมื่อนาสญั ญาณเหลา่ นีม้ าผา่ นอปุ กรณ์รับสญั ญาณและแปลงสญั ญาณก็จะได้ข้อมลู ท่ีต้องการ หากสญั ญาณแอนะล็อกเดนิ ทางไกลจะทาให้สญั ญาณออ่ นลง หน่วยในการวัดสัญญาณแอนะล็อก เรียกว่า เฮิร์ตซ์ (Hertz) เป็ นหน่วยวัดความถ่ีของสญั ญาณ วิธีวดั ความถี่จะนบั จานวนรอบของสญั ญาณท่ีเกิดขนึ ้ ใน 1 วินาที โดยนบั จากสญั ญาณขึน้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
53และลงเป็ น 1 รอบ เช่นสัญญาณข้ อมูลความถี่ 60 Hz หมายถึงใน 1 วินาที สัญ ญาณมีการเปล่ียนแปลงระดบั สญั ญาณ 60 รอบ 1 รอบ คลื่น รูปท่ี 3.6สญั ญาณแอนะลอ็ ก (Analog Signal) 3.7.2 รูปแบบสญั ญาณแบบดิจิทลั (Digital Signal)เป็ นสญั ญาณท่ีถูกแบง่ เป็ นช่วงๆ อย่างไม่ตอ่ เน่ือง โดยลกั ษณะของสญั ญาณจะแบง่ ออกเป็ นสองระดบั เพ่ือแทนสถานะสองสถานะ คือ สถานะของบิต 0 และสถานะของบติ 1 โดยแตล่ ะสถานะคือ การให้แรงดนั ทางไฟฟ้ าที่แตกตา่ งกนั การทางานในคอมพิวเตอร์ใช้ สัญญาณดิจิทัลหากสัญญาณดิจิตอลเดินทางไกลจะทาให้ สัญญาณมีการเปลี่ยนแปลง จงึ ต้องใช้อปุ กรณ์ในการทวนสญั ญาณเรียกวา่ รีพีตเตอร์ (Repeater) หน่วยในการวดั การส่งสญั ญาณดิจิทลั เรียกว่า “บิทเรท” (Bit Rate) วิธีวดั ความเร็วจะนับจานวนบิตข้อมูลที่ส่งได้ในช่วงระยะเวลาใน 1 วินาที 14,400 bps หมายถึงมีความเร็วการส่งข้อมูลจานวน 14,400 บติ ใน 1 วินาที 1 บิต 1 0 10 1 รูปท่ี 3.7สญั ญาณดจิ ิทลั (Digital Signal)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
543.8ประเภทของตวั กลางในการส่ือสารของคอมพวิ เตอร์ตวั กลางท่ีใช้ในการสื่อสารข้อมลู ด้วยคอมพิวเตอร์นนั่ สามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท คอื 3.8.1 ตัวกลางท่ีเป็ นสายสัญญาณ (Wire)เป็ นการใช้สายสญั ญาณในลักษณะรูปแบบตา่ งๆ ชว่ ยในการนาสญั ญาณ ซึ่งอาจเป็ นสายทองแดงหรือใช้แสงเป็ นตวั ในการนาสญั ญาณ ตวั กลางในการนาสญั ญาณแบบสายสญั ญาณที่ควรรู้จกั มีดงั นี ้ 3.8.1.1 สายเกลียวคู่ (Twisted pair Cable) สายเกลียวคู่เป็ นสายที่มีราคาถูกที่สุดประกอบด้วย สายลวดทองแดง 2 เส้น แต่ละเส้นมีฉนวนห้มุ พนั กนั เป็ นเกลียว สามารถลดการรบกวนจากสนามแมเ่ หล็กไฟฟ้ า แตไ่ มส่ ามารถป้ องกนั การสญู เสียพลงั งานจากการแผร่ ังสีความร้อน ในขณะท่ีมีสญั ญาณสง่ ผา่ นสาย สายเกลียวคู่ 1 คจู่ ะแทนการส่ือสารได้หน่งึ ช่องทางส่ือสาร(Channel) ในการใช้งานจริง เช่นสายโทรศพั ท์จะเป็ นสายรวม ที่ประประกอบด้วยสายเกลียวค่อู ย่ภู ายในเป็ นร้อยๆคู่ สายเกลียวคู่ 1 คู่ จะมีขนาดประมาณ 0.016 -0.036 นิว้ โดยสายคบู่ ดิ เกลียวนนั้ สามารถแบง่ ได้เป็ น 2 ชนิดคอื (1) สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair: STP) สายสัญญาณSTP มีการนาสายคพู่ นั เกลียวมารวมอยแู่ ละมีการเพิ่มฉนวนป้ องกนั สญั ญาณรบกวนซึ่งจะมีคณุ สมบตั ิเป็ นเกราะในการป้ องกันสญั ญาณรบกวนจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ าต่างๆและสามารถนาสญั ญาณได้ด้วยความเร็วสงู กวา่ แบบไมม่ ีฉนวน แตจ่ ะมีข้อจากดั ในเร่ืองขนาด และความสามารถในการหกั หรือพบังอของสายสญั ญาณ รูปท่ี 3.8สายคบู่ ดิ เกลียวชนิดห้มุ ฉนวน (STP) ท่มี า www.kmitl.ac.th/~kpteeraw/data_com/datacom_52/html/utp.htmเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
55 (2) สายค่บู ิดเกลียวชนิดไม่ห้มุ ฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP)สาย UTPมีลักษณะท่ีมีสายบิดเกลียวเกลียวภายในจานวน4 คู่และค่สู ายในสายค่ตู ีเกลียวไม่หุ้มฉนวนคล้ายสายโทรศพั ท์มีหลายเส้นซ่ึงแตล่ ะเส้นก็จะมีสีแตกตา่ งกนั และตลอดทงั้ สายนนั้ จะถกู ห้มุ ด้วยพลาสติก(Plastic Cover) สายประเภทนีจ้ ะมีความยาวของสายในการเช่ือมตอ่ ได้ไม่เกิน 100 เมตรเป็ นที่นิยมใช้ในปัจจุบันเน่ืองจากราคาถูกและติดตัง้ ได้ง่าย แต่ข้อจากัดไม่สามารถเชื่อมต่อระยะไกลมากได้เน่ืองจากระดบั ของสญั ญาณในสายจะถกู ลดทอนลง รูปท่ี 3.8สายคบู่ ดิ เกลียวชนิดไมห่ ้มุ ฉนวน (UTP) ท่มี า www.kmitl.ac.th/~kpteeraw/data_com/datacom_52/html/utp.htm 3.8.1.2สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable)สายเคเบิลแบบโคแอกเชียล หรือเรียกสัน้ ๆว่า“สายโคแอก” จะเป็ นสายส่ือสารท่ีมีคณุ ภาพดีกว่า และราคาแพงกว่า สายเกลียวคู่ คาว่า โคแอ็ก มีความหมายวา่ \"มีแกนร่วมกนั \" รูปท่ี 3.9สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) ท่มี าhttp://w3lnw.com/blog-2-2.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
56 โครงสร้างของสายประกอบด้วยสายทองแดงเป็ นแกนกลางแล้วห่อห้มุ ด้วยวสั ดทุ ่ีเป็ นฉนวนชนั้ ตอ่ มาจะเป็ นตวั นาไฟฟ้ าอีกชนั้ หน่ึงซึ่งจะเป็ นแผ่น โลหะบางๆ หรืออาจจะเป็ นใยโลหะที่ถกั เปี ยป้ มุอีกชนั้ หนง่ึ สดุ ท้ายก็ห้มุ ด้วยฉนวนและวสั ดปุ ้ องกนั เปลือกฉนวนหนาทาให้ สายโคแอกมีความคงทนสามารถฝั งเดินสายใต้ พืน้ ดินได้นอกจากนัน้ สายโคแอกยงั ช่วยป้ องกัน”การสะท้อนกลับ” (Echo) ของเสียงได้อีกด้วย และลดการรบกวนจากภายนอกได้ดีเช่นกัน ตวั อย่างกาใช้สายโคแอกในการส่งสญั ญาณ ข้อมูลท่ีใช้กันมากในปัจจุบนั คือ สายเคเบิลทีวี และสายโทรศพั ท์ทางไกล (แอนะล็อก) สายส่งข้อมลู ในระบบเครือข่ายในท้องถิ่น หรือ LAN (ดจิ ทิ ลั ) หรือใช้ในการเชื่อมโยงสนั้ ๆ ระหวา่ งอปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ สายสัญญาณมี 2 แบบคือ สายโคแอ็กเชียลแบบบาง (Thin Coaxial Cable) และ สายโคแอ็กเชียลแบบหนา (Thick Coaxial Cable) (1) สายโคแอ็กเชียลแบบบาง (Thin Coaxial Cable) เป็ นสายที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.64 cm เน่ืองจากสายประเภทนีม้ ีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูงจึงสามารถใช้ได้กบั การตดิ ตงั้ เครือขา่ ยเกือบทกุ ประเภทสายประเภทนีส้ ามารถนาสญั ญาณได้ไกลถงึ 185เมตรซงึ่ สายประเภทนีจ้ ะมีความต้านทาน (Impedance) ท่ี 50 โอห์ม (2) สายโคแอ็กเชียลแบบหนา (Thicknet Cable) เป็ นสายโคแอ็กเชียลท่ีค่อนข้างแข็งและขนาดใหญ่กว่าสายโคแอ็กเชียลแบบบาง โดยมีเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 1.27 cm สายโคแอ็กแบบหนานีเ้ ป็ นสายสญั ญาณประเภทแรกท่ีใช้กบั เครือข่ายอินเทอร์เน็ต สายโคแอ็กเชียลแบบหนานีจ้ งึ สามารถนา สญั ญาณ ได้ไกลกวา่ แบบบางโดยสามารถนาสญั ญาณได้ไกลถึง 500 เมตร หัวเช่ือมต่อสัญญาณของสายแบบ โคแอ็กเชียล เรียกว่าหัว BNC ซึ่งใช้ในการเช่ือมต่อระหว่างสายสญั ญาณและเน็ตเวิร์คการ์ด โดยมีทงั้ ในลกั ษณะหวั ต่อสญั ญาณแบบ BNC Barrel และBNC แบบ T-connector BNC Barrel รูปท่ี 3.10ตวั อยา่ งหวั สญั ญาณแบบ BNC Barrel และ BNC T -Connector ท่มี า www.ronmar.netfirms.com/ppc/network/chapter3.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
57 3.8.1.3 เส้นใยแก้วนาแสงหรือ ไฟเบอร์ออพตกิ ส์(Fiber Optic Cable) ใยแก้วนาแสงเป็ นตวั นาสญั ญาณเพ่ือการสื่อสารและโทรคมนาคมจากจดุ หน่งึ ไปยงั อีกจดุ หนง่ึ โดยมีการสญู เสียสญั ญาณน้อยมาก หลักการท่ัวไปของการสื่อสารในสายใยแก้วนาแสง คือการเปล่ียนสญั ญาณ (ข้อมูล)ไฟฟ้ าให้เป็ นคล่ืนแสงก่อน จากนนั้ จงึ สง่ ออกไปเป็ นพลั ส์ของแสงผา่ นสายใยแก้วนาแสง สายใยแก้วนาแสงนนั้ ทาจากแก้วหรือพลาสติก สามารถส่งลาแสง ผ่านสายได้ ทีละหลายๆลาแสงด้วยมมุ ท่ีต่างกนัลาแสงท่ีสง่ ออกไป เป็นพลั ส์นนั้ จะสะท้อนกลบั ไป มาท่ีผวิ ของสายชนั้ ใน จนถึงปลายทาง (1) เส้นใยแก้วนาแสงชนิดโหมดเดี่ยว (Single mode Optical Fibers, SM) เป็ นการใช้ตวั นาแสงที่บีบลาแสงให้พ่งุ ตรงไปตามทอ่ แก้วโดยมีการกระจายแสงออกทางด้านข้างน้อยที่สุดโหมดเด่ียวจงึ เป็ นเส้นใยแก้วนาแสงที่มีกาลงั สญู เสียทางแสงน้อยที่สดุ เหมาะสาหรับในการใช้กบั ระยะทางไกล ๆ การเดนิ สายใยแก้วนาแสงกบั ระยะทางไกลมากเช่น เดินทางระหวา่ งประเทศ ระหวา่ งเมืองมกั ใช้แบบโหมดเด่ียวยงิ แสงได้เพียงหนง่ึ ความถ่ีเดียว (2) เส้นใยแก้วนาแสงชนิดหลายโหมด (Multimode Optical Fibers, MM) เป็ นเส้นใยแก้วนาแสงท่ีมีลกั ษณะการกระจายแสงออกด้านข้างได้ดงั นนั้ จงึ ต้องสร้างให้มีดชั นีหกั เหของแสงกบั อุปกรณ์ฉาบผิวที่สมั ผสั กับแคล็ดดิง ให้สะท้อนกลบั หมด หากการให้ดชั นีหกั เหของแสงมีลกั ษณะทาให้แสงเลีย้ วเบนทีละน้อยเราเรียกวา่ แบบเกรดอินเด็กซ์หากใช้แสงสะท้อนโดยไม่ปรับคณุ สมบตั ขิ องแทง่ แก้วให้แสงคอ่ ยเลีย้ วเบนก็เรียกวา่ แบบ สเตป็ อนิ เดก็ ซ์ ยิงแสงได้ แคห่ ลาย ความถ่ี รูปท่ี 3.11สายสญั ญาณใยแก้วนาแสงและรูปแบบการสง่ สญั ญาณในสายใยแก้วนาแสง ท่มี า http://lis3353.wikispaces.com/Fiberopticsเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
58 3.8.2ตัวกลางท่เี ป็ นอากาศหรือแบบไร้สาย (Wireless) ตวั กลางในการนาสญั ญาณแบบไร้สายอาศยั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ าในหลายย่านความถี่เพื่อทาการส่ือสารข้อมลู จากจุดหน่ึงไปยงั อีกจดุ หน่ึง ซึ่งอย่ไู กลออกไปโดยไม่ต้องอาศยั สายสื่อนาสญั ญาณมาตรฐานที่ใช้ในการส่ือสารแบบไร้สายนนั้ จะประกอบด้วย 3.8.2.1 อินฟาเรด (Infrared, IR) เป็ นมาตรฐานการสื่อสารแบบเครือข่ายส่วนบุคคล(WPAN) ซ่ึงมกั พบในโทรศพั ท์เคลื่อนท่ีและอปุ กรณ์พีดีเอ (PDA – Personal Digital Assistant) มกั ทาการรับ-ส่งข้อมลู กนั ภายในรัศมีหรือระยะทางท่ีไม่ไกลมากนกั อปุ กรณ์ที่สามารถใช้การส่ือสารแบบอินฟาเรดได้จะอย่ใู นมาตรฐานของสมาคมข้อมลู อินฟาเรด Data Infrared Assistants) โดยสงั เกตได้จากสญั ลกั ษณ์ IrDA อปุ กรณ์ประเภทรีโมทคอนโทรลส์ (Remote Controls) ของโทรทศั น์หรือวิทยกุ ็เป็ นอปุ กรณ์ที่ใช้การส่ือสารในลกั ษณะของคล่ืนอินฟาเรดด้วยเชน่ กนั 3.8.2.2 บลูทธู (Bluetooth) เป็ นเทคโนโลยีเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ส่วนบคุ คลแบบไร้สายโดยใช้ความถี่ของวิทยคุ ลื่นสนั้ ท่ีเป็ นช่วงความถี่เดียวกบั เทคโนโลยีวาย-ฟาย (Wi-Fi) แตจ่ ะรับสง่ ข้อมลูโดยใช้พลงั งานท่ีน้อยกวา่ ดงั นนั้ อปุ กรณ์ประเภทโทรศพั ท์เคล่ือนท่ีจงึ นิยมตดิ ตงั้ อปุ กรณ์บลทู ธู ไว้ 3.8.2.3 การส่ือสารข้ อมูลโดยการส่งสัญญาณวิทยุ (radio wave) และเทคโนโลยีวาย-ฟาย (Wi-Fi) ที่มีความถ่ีตา่ งๆกนั สามารถสง่ ไปได้ในระยะทางไกลๆ หรือในสถานท่ีที่ไมส่ ามารถใช้สายส่งได้ แต่เน่ืองจากใช้อากาศเป็ นตวั กลางในการสื่อสาร ดงั นนั้ เม่ือสภาพอากาศไม่ดี จึงมีผลต่อสัญญาณวิทยุที่ทาการส่งออกไป สัญญาณวิทยุมีหลายความถ่ี ซึ่งใช้ประโยชน์แตกต่างกัน เช่นสัญ ญ าณ ท่ีความถี่ 300 กิโลเฮิรตซ์ (KHz) -3 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ใช้ ส่งสัญ ญ าณ โทรทัศน์ชอ่ ง 3,5,7,9 วทิ ยสุ ายการบนิ เป็นต้น ในช่วงความถี่ของคลื่นวิทยุนัน้ บางช่วงความถ่ีไม่มีการเปิ ดให้ใช้โดยเสรีแต่ในย่านความถี่ ที่เรียกว่าไอเอสเอ็ม (ISM–Industrial Scientific and Medical Band)ซ่ึงประกอบด้วย คลื่นความถ่ี 3 ช่วงคือ 900 เมกะเฮิรตซ์ 2.4 กิกะเฮิรตซ์ และ 5กิกะเฮิรตซ์ เป็ นย่านความถ่ีที่ไม่ต้องขออนญุ าต ดงั นนั้ สถาบนั วิศวกรรมไฟฟ้ าและวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์นานาชาติ Institute of Electricaland Electronic Engineers หรือ IEEE จึงได้จัดทาระบบมาตรฐาน เพื่อระบบเครือข่ายไร้ สายขึน้ภายใต้รหสั ตวั เลข 802.11โดยตอ่ มาถกู เรียกวา่ วายฟาย (Wi-Fi) ซึง่ ในความเป็ นจริงทางวิชาการคาวา่วายฟายนนั้ ไมไ่ ด้รวมถึงมาตรฐาน 802.11ทงั้ หมด มาตรฐาน 802.11 จะสามารถเลือกใช้คลื่นความถ่ีวิทยุได้ 2ระดบั คือ 2.4 กิกะเฮิรตซ์และ 5 กิกะเฮิรตซ์ โดยมาตรฐาน 802.11 จะมีมาตรฐาน ยอ่ ยอยู่ 4 แบบที่ควรรู้จกั คือ - มาตรฐาน 802.11a มีการรับส่งข้อมูลท่ีระดบั คลื่นความถี่ 5 กิกะเฮิรตซ์ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสงู ถึง 54 เมกะบติ ตอ่ วินาที แตอ่ ปุ กรณ์ราคาคอ่ นข้างสงูเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
59 - มาตรฐาน 802.11b มีการรับสง่ ข้อมลู ที่ระดบั คลื่นความถ่ี 2.4 กิกะเฮิรตซ์ส่งข้อมลูด้วยความเร็วสงู ถึง 11 เมกะบติ ตอ่ วนิ าที - มาตรฐาน 802.11gมีการรับส่งข้อมลู ท่ีระดบั คลื่นความถ่ี 2.4 กิกะเฮิรตซ์สง่ ข้อมลูด้วยความเร็วสงู ถึง 54 เมกะบติ ตอ่ วินาที - มาตรฐาน 802.11n มีการรับสง่ ข้อมูลที่ระดบั คล่ืนความถ่ี 2.4 กิกะเฮิรตซ์จะมีการนาเทคโนโลยีเสาอากาศหลายเสา หรือมิมโม (MIMO, Multi-input Multi output) ทาให้ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสงู ถงึ 100-600 เมกะบติ ตอ่ วินาที รัศมีในการส่งสญั ญาณการของคลื่นวิทยใุ นเทคโนโลยีวาย-ฟาย จะอยทู่ ี่ประมาณ 100 เมตรทงั้ นีข้ นึ ้ อยกู่ บั ปัจจยั สภาพอากาศใน 3.8.2.3 ระบบไมโครเวฟ (microwave) เป็ นการสื่อสารไร้สายโดยการส่งสญั ญาณป็ นคล่ืนไมโครเวฟจากเสาไมโครเวฟต้นหนึ่งไปยงั เสาไมโครเวฟท่ีตงั้ อย่ใู นระยะทางท่ีไกลออกไป เน่ืองจากทิศทางการส่งข้อมูลระหวา่ งเสาไมโครเวฟ 2 ต้น ส่งในทิศทางท่ีเป็ นเส้นตรง หรือเรียกว่าระยะเส้นสายตา(line of sight) ดงั นนั้ ถ้าระหวา่ งเส้นทางการสง่ ข้อมลู มีสงิ่ กีดขวางก็จะไมส่ ามารถส่งสญั ญาณได้ ดงั นนั้จงึ ต้องมีการตดิ ตงั้ จานรับสง่ เป็นสถานีทวนสญั ญาณ (repeater station) เพื่อเป็นจดุ สง่ สญั ญาณตอ่ ไปยงั เสาไมโครเวฟต้นตอ่ ไป ซ่ึงเป็ นลกั ษณะการสื่อสารแบบส่งสญั ญาณต่อเนื่องเป็ นช่วงๆไป โดยปกติคลื่นไมโครเวฟจะถกู ส่งได้ไกลจะถูกรบกวนได้จากสภาพอากาศที่ไม่ดี เช่น ฝนตก ฟ้ าร้อง ฟ้ าผ่า เป็ นต้น คล่ืนไมโครเวฟมีความถี่สงู ถึง 2 ล้านรอบ (MHz) ถึง 40 พนั ล้านรอบตอ่ วนิ าที (GHz) สามารถสง่ ข้อมลู ได้ในปริมาณมากถึง 1 ล้านบติ ตอ่ วนิ าที (Mbps) ถึง 10 พนั ล้านบติ ตอ่ วินาที (Gbps) ข้อดีของการส่ือสารด้วยระบบไมโครเวฟ คือ สามารถทาการส่ือสารระยะทางไกลๆได้โดยไม่ต้องเดนิ สายให้ย่งุ ยาก และสามารถสง่ ข้อมลู ได้ในปริมารมาก แต่ข้อเสียคือ คล่ืนไมโครเวฟถกู รบกวนได้ง่ายจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และมีคา่ ตดิ ตงั้ เสาและจานรับและสง่ ท่ีมีราคาแพง รูปท่ี 3.12การสง่ สญั ญาณไร้สายด้วยระบบไมโครเวฟ ท่มี าhttp://www.cnt.obec.go.th/huaikrot/network/lession2/sign3.htmเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
60 3.8.2.4 การสื่อสารผ่านดาวเทียม (satellite communication) การสื่อสารดาวเทียม เป็ นการส่ือสารจากพืน้ โลกไปสดู่ าวเทียม โดยบนพืน้ โลกจะมีสถานีสง่ สญั ญาณข้อมลู ไปยงั ดาวเทียมที่โคจรอยู่นอกโลก ซ่ึงจะทาหน้าที่ทวนสญั ญาณและกระจายสญั ญาณสง่ กลบั มายงั สถานีรับบนพืน้ โลก โดยจะทาการส่งดาวเทียมขึน้ ไปอยู่ห่างจากพืน้ โลกประมาณ 23.300 กิโลเมตร ด้วยระยะทางการส่งข้อมูลระหว่างโลกและดาวเทียมท่ีอยู่ไกลกันมากทาการส่งข้อมูลมีความล่าช้า (delay) การสื่อสารผ่านดาวเทียมเหมาะสมกบั การสื่อสารระยะไกลมากๆ เชน่ การส่ือสารระหวา่ งประเทศ ท่ีจริงดาวเทียมก็คือสถานีไมโครเวฟลอยฟ้ านนั้ เอง ซ่ึงทาหน้าที่ขยายและทบทวนสญั ญาณข้อมูล รับและส่งข้อมูลกับสถานีดาวเทียมท่ีอย่บู นพืน้ โลก สถานีดาวเทียมภาคพืน้ จะส่งสญั ญาณข้อมูล ไปยงั ดาวเทียมซ่ึงจะหมนุ ไปตามการหมนุ ของโลกซึ่งมีตาแหน่งคงท่ีเม่ือเทียบกับตาแหน่งบนพืน้ โลก ดาวเทียมจะถกู ส่งขนึ ้ ไปให้ลอยอยจู่ ากพืน้ โลกประมาณ 23,300 กม. เคร่ืองทบทวนสญั ญาณของดาวเทียม (Transponder) จะรับสญั ญาณข้อมูลจากสถานีภาคพืน้ ท่ีมีกาลงั อ่อนลงมาแล้วมาขยาย จากนนั้ จะทาการทบทวนสัญญาณ และตรวจสอบตาแหน่งของสถานีปลายทาง แล้วจึงส่งสญั ญาณข้อมูลไปด้วยความถี่ไปอีกความถี่หน่ึงลงไปยงั สถานีปลายทาง การส่งสัญญาณขึน้ ไปยังดาวเทียมเรียกว่า “สญั ญาณอพั ลิงก์’’(UP-link) และการสง่ สญั ญาณข้อมลู กลบั มายงั พืน้ โลก เรียกว่า“ สญั ญาณ ดาวน์ – ลิงก์’’ (Down - link) ลักษณะของการรับส่งสัญญาณออกเป็ นแบบจุดต่อจุด (Point –to-Point)หรือแบบแพร่สญั ญาณ (Broadcast) สถานีดาวเทียม 1 ดวง สามารถมีเครื่องทบทวนสญั ญาณได้ถงึ 25 เคร่ือง และสามารถครอบคลมุ พืน้ ที่การส่งสญั ญาณได้ถึง 1 ใน 3 ของพืน้ ผิวโลก ดงั นนั้ ถ้าจะสง่ สญั ญาณข้อมลู ให้ได้รอบโลกสามมารถทาได้ โดยการสง่ สญั ญาณผา่ นสถานีดาวเทียมเพียง 3 ดวงเทา่ นนั้ 23,300 กิโลเมตร รูปท่ี 3.12การสง่ สญั ญาณไร้สายด้วยการสื่อสารผา่ นดาวเทียม ท่มี าhttp://www.cnt.obec.go.th/huaikrot/network/lession2/sign3.htmเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
61 3.9อุปกรณ์ท่สี าคัญในการส่ือสารของคอมพวิ เตอร์ อุปกรณ์ที่สาคัญในการเช่ือต่อเพื่อการสื่อสารของคอมพิวเตอร์นัน้ แบ่งตามลักษณะของตวั กลางในการส่ือสารได้ดงั นี ้ 3.9.1 อุปกรณ์สาหรับการสื่อสารคอมพิวเตอร์ของตวั กลางในการนาสญั ญาณแบบมีสาย ประกอบด้วย 3.9.1.1โม เด็ม (Modem)โม เด็ม เป็ น ฮาร์ ด แวร์ ท่ี ท าห น้ าท่ี แป ลงสั ญ ญ าณแอนะล็อกให้เป็ นสญั ญาณดิจิทลั เม่ือข้อมลู ถกู สง่ มายงั ผ้รู ับจะแปลงสญั ญาณดิจิทลั ให้เป็ นแอนะล็อกเมื่อต้องการส่งข้อมลู ไปบนชอ่ งส่ือสาร กระบวนการที่โมเด็มแปลงสญั ญาณดิจิทลั ให้เป็ นสญั ญาณแอนะล็อก เรียกว่ามอดูเลชัน (Modulation) โมเด็มทาหน้าที่มอดูเลเตอร์ (Modulator) กระบวนการท่ีโมเด็มแปลงสัญญาณแอนะล็อกให้ เป็ นสัญญาณแอนะล็อกให้ เป็ นสัญญาณดิจิทัลเรียกว่าดีมอดูเลชัน (Demodulation) โมเด็มหน้ าท่ีดีมอดูเลเตอร์ (Demodulator)โมเด็มท่ีใช้ กันอย่างแพร่หลายในปัจจบุ นั มี 2 ประเภทโมเด็มในปัจจบุ นั ทางานเป็ นทงั้ โมเดม็ และ เคร่ืองโทรสารเราเรียกว่าFaxmodem รูปท่ี 3.13การแปลงสญั ญาณดจิ ทิ ลั เป็นแอนะล๊อกของโมเดม็ ท่มี าhttp://thidarat123.blogspot.com/2012/01/rfid.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
62 3.9.1.2 การ์ดเครือข่าย (Network Adapter) หรือ การ์ด LANเป็ นอุปกรณ์ทาหน้าท่ีสื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จาเป็ นต้องเป็ นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกันแต่หากซือ้ พร้ อมๆกันก็แนะนาให้ซือ้ รุ่นและยีห้อเดียวกันจะดีกวา่ และควรเป็ น การ์ดแบบ PCI เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ ISAและเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆมกั จะไม่มี Slot ISA ควรเป็ นการ์ดที่มีความเร็วเป็ น 100 Mbpsซึง่ จะมีราคามากกว่าการ์ดแบบ 10 Mbps ไม่มากนกั แตส่ ่งขอมูลได้เร็วกวา่ นอกจากนีข้ วั้ ต่อหรือคอนเน็กเตอร์ของการ์ดด้วยโดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์ ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบเช่น BNC , RJ-45เป็นต้นซงึ่ คอนเน็กเตอร์แตล่ ะแบบก็จะใช้สายท่ีแตกตา่ งกนั รูปท่ี 3.14การ์ดเครือขา่ ย (Network Adapter) ท่มี า http://wiki.ggc.edu/wiki/Group2_46 3.9.1.3 เราท์เตอร์ (Router) เราท์เตอร์เป็ นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายที่ทาหน้าที่เป็ นตวั เช่ือมโยงให้เครือขา่ ยท่ีมีขนาดหรือมาตรฐานในการส่งข้อมูลตา่ งกันสามารถติดตอ่ แลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกันได้ เราเตอร์จะทางานอยู่ชัน้ Network หน้าที่ของเราท์เตอร์ก็คือปรับโปรโตคอล(Protocol) (โปรโตคอลเป็ นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์) ท่ีต่างกันให้สามารถสื่อสารกนั ได้ รูปท่ี 3.14เราท์เตอร์ (Router) ท่มี า www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech04/24/n2.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
63 3.9.1.4 ฮบั (HUB) เป็ นอปุ กรณ์ช่วยกระจายสญั ญาณไปยงั เครื่องตา่ งๆที่อย่ใู นระบบหากเป็ นระบบเครือข่ายท่ีมี 2 เคร่ืองก็ไม่จาเป็ นต้องใช้ฮบั สามารถใช้สายสญั ญาณเชื่อมต่อ ถึงกนั ได้โดยตรง แตห่ ากเป็ นระบบท่ีมีมากกว่า 2 เคร่ืองจาเป็ นต้องมีฮบั เพ่ือทาหน้าที่เป็ นตวั กลางในการเลือกซือ้ ฮับควรเลือกฮับท่ีมีความเร็วเท่ากับความเร็วของการ์ด เช่น การ์ดมีความเร็ว 100 Mbps ก็ควรเลือกใช้ฮบั ท่ีมีความเร็วเป็ น 100 Mbps ด้วย ควรเป็ นฮบั ท่ีมีจานวนช่องต่อสัญญาณสาหรับต่อสายที่เพียงพอกบั เครื่องใช้ในระบบ หากจานวนพอร์ตตอ่ สายไมเ่ พียงพอก็สามารถตอ่ พว่ งได้ รูปท่ี 3.15 ฮบั (HUB) ท่มี า www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech04/24/n2.html 3.9.2 อปุ กรณ์ที่สาคญั ในการส่ือสารและเช่ือมตอ่ คอมพวิ เตอร์แบบไร้สายสญั ญาณมีดงั นี ้ 3.9.2.1 แลนการ์ดไร้สาย (Wireless LAN Card)ทาหน้าที่ในการ แปลงข้อมลู ดจิ ิทลั ที่ได้จากการประมวลผลของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ให้เป็ นคล่ืนวิทยุแล้วส่งผ่านสายอากาศให้กระจายออกไปและทาหน้ าท่ีในการรับเอาคล่ืนวิทยุที่แพร่กระจายแปลงเป็ น ข้อมูลดิจิทัลส่งให้ เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผล Wireless LAN ท่ีผลิตออกมาจาหน่ายมีหลายรูปแบบแบง่ ตามลกั ษณะช่องเชื่อมตอ่ คอมพวิ เตอร์ เชน่ แลน, แลนการ์ดแบบ PCMCIA, แลนการ์ดแบบ USBการ์ดแบบ PCI การ์ดแบบ PCMCAI การ์ดแบบ USB รูปท่ี 3.16ตวั อยา่ ง แลนการ์ดไร้สาย ท่มี า http://muangchum.blogspot.com/2010_08_01_archive.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
64 3.9.2.2 อุปกรณ์เข้าใช้งานเครือข่าย (Wireless Access Point) ทาหน้าที่เสมือน ฮบัเช่ือมเครื่องคอมพวิ เตอร์ไร้สายและอปุ กรณ์เชื่อมตอ่ ไร้สายแบบตา่ งๆ เข้าด้วยกนั 3.9.2.3 อุปกรณ์ไวเลสบอร์ดแบรนด์เราท์เตอร์ (Wireless Broadband Router) ทาหน้าที่ในการตอ่ เข้ากบั ระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสงู ผา่ นคสู่ ายโทรศพั ท์ (ADSL) หรือ เคเบลิ ทีวี ด้วยเทคโนโลยี Broadband Router ซึ่งมีฟังชนั การทางานเป็ นตวั ค้นหาเส้นทาง, NAT (Network AddressTranslation), Firewall, VPN มาผสมผสานเข้ากับ Access Point ทาให้ผ้ใู ช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ไร้สายสามารถส่ือสารข้อมลู ไปยงั ระบบอินเทอร์เน็ตได้ รูปท่ี 3.17ไวเลสบอร์ดแบรนด์เราท์เตอร์(WirelessBroadband Router) ท่มี าhttp://computer.thepbodint.ac.th/topmenu.php?c=listknowledge&q_id=7253.10ประเภทของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ หากแยกประเภทตามรูปแบบตวั กลางการสง่ สญั ญาณ อาจแบง่ได้ดงั นี ้ 3.10.1 ประเภทของเครือขา่ ยแบบใช้สายสญั ญาณ 3.10.1.1ระบบเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอปุ กรณ์ตา่ ง ๆในระยะใกล้ภายในสานกั งาน หรืออาคารเดียวกนั หรืออาคารที่อย่ใู กล้กันโดยใช้ สายสญั ญาณ ได้แก่ สายโทรศพั ท์สายโคแอกเชียล หรือ สายใยแก้วนาแสงตวั อย่างเช่นเครือข่ายภายในมหาวิทยาลยั ภายในอาคารหรือบริษัทเดียวกนั ระบบเครือข่ายท้องถ่ิน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานในด้านการใช้ทรัพยากร ของระบบร่วมกันหรือสามารถเช่ือมต่อกับเครือขา่ ยอ่ืนได้ 3.10.1.2 ระ บ บ เค รื อ ข่ า ย ระ ดับ เมื อ ง (Metropolitan Area Network : MAN)หมายถึงการเช่ือมตอ่ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีระยะทางการเช่ือมตอ่ ไกลกว่าระบบเครือข่ายท้องถ่ินเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
65(LAN) แต่ระยะทางยงั คงใกล้กว่าระบบ WAN (Wide Area Network) ได้แก่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมตอ่ กนั ภายในเมืองเดียวกนั หรือจงั หวดั เดียวกนั ในเขตเดียวกนั เป็นต้น 3.10.1.3 ระบบเครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network : WAN) หมายถึง การเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ ระยะไกล เช่นระหว่างประเทศ การเชื่อมต่อเครือข่ายท่ัวโลกเนื่องจากเป็ นการติดต่อส่ือสารระยะไกลอตั ราการรับส่งข้อมูลจึงต่า และมีโอกาสผิดพลาดได้สูงการส่ือสารระยะไกลจาเป็ นต้องมีอุปกรณ์แปลงสัญญาณ คือ โมเด็มช่วยในการติดต่อส่ือสาร และสามารถนาเครือข่ายLAN มาเชื่อมต่อกันเป็ นเครือข่ายระยะไกลได้ ตัวอย่างของเครือข่ายระยะไกล เช่นอินเทอร์เน็ตเครือขา่ ยระบบงานธนาคารทว่ั โลกเครือขา่ ยของสายการบนิ เป็นต้น รูปท่ี 3.17การเชื่อมโยงของเครือขา่ ยระดบั LAN MAN และ WAN ท่มี า http://pamornpol.wordpress.com/author/pamornpol/ 3.10.2ประเภทของเครือขา่ ยแบบไร้สายสญั ญาณ 3.10.2.1 WPAN(Wireless Personal Area Network)เป็ นระบบเครือข่ายไร้ สายส่วนบุคคลปัจจุบนั มีอยู่สองระบบที่รองรับการทางานส่วนบุคคล คือ IR(Infra-Red) และ Bluetoothการทางานจะครอบคลมุ บริเวณการส่ือสารที่คอ่ นข้างจากดั เชน่ อินฟาเรด ระยะประมาณไมเ่ กิน 3 เมตรและบลทู ธู ระยะไมเ่ กิน 10 เมตร 3.10.2.2 WLAN(Wireless Local Area Network) เป็ นระบบเครือข่ายท้องถ่ินที่ใช้งานในพืน้ ท่ีใดพืน้ ที่หน่ึงในระยะใกล้ภายในหน่วยงานหรืออาคารเดียวกนั เช่น สานกั งาน บริษัทหรือสถานท่ีจดั นทิ รรศการเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
66 3.10.2.3 WMAN(Wireless Metropolitan Area Network) เป็ น ระ บ บ เค รื อ ข่ายสาหรับเมืองใหญ่ๆ มีระบบเครือขา่ ยที่หลากหลายมกั ใช้เชื่อมตอ่ ส่ือสารกนั ระหวา่ งอาคารตา่ งๆภายในเมือง 3.10.2.4 WWAN (Wireless Wide Area Network) เป็ นระบบเครือขายไร้สายขนาดใหญ่สาหรับเมืองหรือประเทศซง่ึ มกั มีการใช้งานผา่ นดาวเทียมข้ามประเทศ รูปท่ี 3.18 การเชื่อมโยงของเครือขา่ ยไร้สายระดบั WPAN,WLAN, WMAN และ WWAN ท่มี า http://amigonerd.net/exatas/informatica/redes-wireless3.11การออกแบบโครงสร้างเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ (Network Topology) โครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology) จะอธิบายถึงแผนผงั การเชื่อมตอ่ คอมพิวเตอร์ตามลกั ษณะทางกายภาพ (Physical Topology) หรือทางตรรกะ (Logical Topology) ซึ่งจะแสดงถึงตาแหนง่ ของคอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์เครือขา่ ยอ่ืน ๆและเส้นทางการเชื่อมตอ่ ของอปุ กรณ์ ตวั อยา่ งการออกแบบโครงสร้างทางกายภาพของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีดงั ตอ่ ไปนี ้ 3.11.1 โครงสร้ างแบบบสั (Bus Topology)เป็ นรูปแบบท่ี เคร่ืองคอมพิวเตอร์จะถูกเช่ือมตอ่ กนั โดยผา่ ยสายสญั ญาณแกนหลกั ที่เรียกวา่ BUS หรือ แบ็คโบน (Backbone) คือ สายรับส่งสญั ญาณข้อมลู หลกั ใช้เป็ นทางเดินข้อมลู ของทกุ เครื่องภายในระบบเครือข่าย และจะมีสายแยกย่อยออกไปในแตล่ ะจดุ เพื่อเช่ือมตอ่ เข้ากบั คอมพวิ เตอร์เคร่ืองอื่น ๆ ซงึ่ เรียกวา่ โหนด (Node) ข้อดีของโครงสร้างแบบบสั คือไม่ต้องเสียคา่ ใช้จ่ายในการวางสายสญั ญาณมากนักสามารถขยายระบบได้ง่าย เสียคา่ ใช้จา่ ยน้อย ซง่ึ ถือว่าระบบบสั นีเ้ป็ นแบบโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
67ใช้กนั มากที่สดุ มา ตงั้ แตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ นั เหตผุ ลอยา่ งหนึง่ ก็คือสามารถตดิ ตงั้ ระบบ ดแู ลรักษา และตดิ ตงั้ อปุ กรณ์เพิ่มเตมิ ได้ง่าย ไมต่ ้องใช้เทคนิคท่ียงุ่ ยากซบั ซ้อนมากนกั ส่วนข้อจากัดคืออาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย เนื่องจากทุกเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ต่อยู่บนสายสญั ญาณเพียงเส้นเดียว ดงั นนั้ หากมี สญั ญาณขาดที่ตาแหน่งใดตาแหน่งหน่ึง ก็จะทาให้เคร่ืองบางเคร่ือง หรือทงั้ หมดในระบบไม่สามารถใช้งานได้ตามไปด้วย นอกจากนนั้ แล้วการตรวจหาโหนดเสีย ทาได้ยาก เนื่องจากขณะใดขณะหนึ่ง จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเคร่ืองเดียวเท่านัน้ ที่สามารถส่งข้อความ ออกมาบนสายสญั ญาณ ดงั นนั้ ถ้ามีเคร่ืองคอมพิวเตอร์จานวนมากๆ อาจทาให้เกิดการคบั คง่ัของเนต็ เวิร์ค ซง่ึ จะทาให้ระบบช้าลงได้ รูปท่ี 3.19 เครือขา่ ยแบบบสั (Bus Topology) ท่มี า www.certiguide.com/aplush/diagrams/figure106.png 3.11.2 โทโปโลยีแบบวงแหวน (RING Topology) เป็ นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองในระบบเครือข่าย ทงั้ เครื่องที่เป็ นผ้ใู ห้บริการ( Server) และ เคร่ืองที่เป็ นผ้ขู อใช้บริการ(Client)ทุกเคร่ืองถูกเชื่อมต่อกันเป็ นวงกลม ข้อมูลข่าวสารท่ีส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีจุดปลายหรือเทอร์มิเนเตอร์เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือแต่ละเคร่ืองจะมีรีพีตเตอร์ (Repeater) ประจาแต่ละเครื่อง 1 ตวั ซึ่งจะทาหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลท่ีจาเป็ นต่อการติดต่อส่ือสารเข้าในส่วนหัวของแพ็กเกจท่ีส่ง และตรวจสอบข้อมูลจากส่วนหัวของPacket ท่ีส่งมาถึง ว่าเป็ นข้อมูลของตนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนัน้ ไปยงั Repeater ของเครื่องถดั ไป ข้อดีของโทโปโลยีแบบวงแหวนคือ ผ้สู ่งสามารถส่งข้อมูลไปยงั ผ้รู ับได้หลายๆ เคร่ืองพร้อม ๆ กนั โดยกาหนดตาแหนง่ ปลายทางเหล่านนั้ ลงในส่วนหวั ของแพ็กเกจข้อมลู Repeaterของแต่ละเคร่ืองจะทาการตรวจสอบเองว่า ข้อมูลที่ส่งมาให้นนั้ เป็ นตนเองหรือไม่ และการส่งผ่านข้อมูลในเครือข่ายแบบ RING จะเป็ นไปในทิศทางเดียวจากเคร่ืองสู่เครื่อง จึงไม่มีการชนกันของสัญญาณเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
68ข้อมลู ที่สง่ ออกไป นอกจากนนั้ ในโทโปโลบีแบบวงแหวนคอมพวิ เตอร์ทกุ เครื่องในเครือขา่ ยมีโอกาสท่ีจะสง่ ข้อมลู ได้อยา่ งทดั เทียมกนั ในส่วนของข้อจากัดคือถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังเคร่ืองต่อ ๆ ไปได้ และจะทาให้เครือข่ายทงั้ เครือข่ายไม่สามารถเช่ือมต่อไปได้และขณะท่ีข้อมลู ถกู ส่งผ่านแต่ละเครื่อง เวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกบั การที่ทุก ๆ Repeater จะต้องทาการตรวจสอบตาแหนง่ ปลายทางของข้อมลู นนั้ ๆ ทกุ ข้อมลู ที่สง่ ผา่ นมาถงึ รูปท่ี 3.20 เครือขา่ ยแบบวงแหวน (RingTopology) ท่มี า www.certiguide.com/aplush/diagrams/figure106.png 3.11.3 เครอื ขา่ ยแบบดาว (STAR TOPOLOGY) เป็ นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทกุ เครื่องที่เช่ือมตอ่ เข้าด้วยกนั ในเครือขา่ ย จะต้องเช่ือมตอ่ กบั อปุ กรณ์ตวั กลางตวั หนง่ึ ท่ีเรียกวา่ ฮบั (HUB) หรือเคร่ือง ๆ หน่ึง ซ่ึงทาหน้าที่เป็ นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาณที่มาจากเครื่องต่าง ๆ ในเครือข่าย และควบคมุ เส้นทางการส่ือสาร ทงั้ หมด เมื่อมีเคร่ืองที่ต้องการสง่ ข้อมูลไปยงั เครื่องอื่น ๆ ที่ต้องการในเครือข่าย เครื่องนนั้ ก็จะต้องส่งข้อมลู มายงั HUB หรือเคร่ืองศนู ย์กลางก่อน แล้ว HUB ก็จะทาหน้าที่กระจายข้อมลู นนั้ ไปในเครือขา่ ยตอ่ ไป ข้อดีของเครือข่ายแบบนีค้ ือการติดตัง้ เครือข่ายและการดูแลรักษาทา ได้ง่าย หากมีเคร่ืองใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศนู ย์ กลางสามารถตดั เครื่องที่เสียหายนนั้ออกจากการสื่อสาร ในเครือขา่ ยได้เลย โดยไมม่ ีผลกระทบกบั ระบบเครือขา่ ย ส่วนข้อจากัดคือเสียค่าใช้จ่ายมาก ทัง้ ในด้านของเครื่องที่จะใช้เป็ น เครื่องศูนย์กลางหรือตวั HUB เอง และค่าใช้จ่ายในการติดตงั้ สายเคเบิลในเครื่องอ่ืน ๆ ทุกเครื่อง การขยายระบบให้ใหญ่ขนึ ้ ทาได้ยาก เพราะการขยายแตล่ ะครัง้ จะต้องเกี่ยวเนื่องกบั เครื่องอ่ืนๆ ทงั้ ระบบเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
69 รูปท่ี 3.21 เครือขา่ ยแบบดาว (Star Topology) ท่มี า www.certiguide.com/aplush/diagrams/figure106.png 3.11.4 โทโปโลยีแบบเมช (Mesh Topology) เป็ นรูปแบบท่ีถือว่า สามารถป้ องกันการผิดพลาดท่ีอาจจะเกิดขึน้ กบั ระบบได้ดีที่สดุ เป็ นรูปแบบท่ีใช้วิธีการเดินสายของแตเ่ ครื่อง ไปเชื่อมการติดตอ่ กบั ทกุ เครื่องในระบบเครือข่าย คือเคร่ืองทกุ เคร่ืองในระบบเครือข่ายนี ้ต้องมีสายไปเช่ือมกบั ทกุเครื่อง ระบบนีย้ ากตอ่ การเดนิ สายและมีราคาแพง จงึ มีคอ่ ยมีผ้นู ยิ มมากนกั รูปท่ี 3.22 เครือขา่ ยแบบเมช (Mesh Topology) ท่มี าhttp://network-communications.blogspot.comเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
70 3.11.5 โทโปโลยีแบบผสม (Hybrid Topology) เป็ นรูปแบบใหม่ ท่ีเกิดจากการผสมผสานกนั ของโทโปโลยีแบบ STAR , BUS , RING เข้าด้วยกนั เพ่ือเป็ นการลดข้อเสียของรูปแบบที่กล่าวมา และเพ่ิมข้อดี ขึน้ มา มักจะนามาใช้กับระบบ WAN (Wide Area Network) มาก ซ่ึงการเช่ือมตอ่ กนั ของแตล่ ะรูปแบบนนั้ ต้องใช้ตวั เช่ือมสญั ญาณเข้ามาเป็ นตวั เช่ือม ตวั นนั้ ก็คือ Router เป็ นตวั เชื่อมการตดิ ตอ่ กนั รูปท่ี 3.23 เครือขา่ ยแบบผสม (Hybrid Topology) ท่มี า http://network22acharaphansakun.blogspot.com/2013/07/topology.htmlสรุป เทคโนโลยีโทรคมนาเป็ นการสื่อสารทางโทรคมนาคมเพื่อถ่ายทอดความรู้สผู่ ้รู ับฟัง รับชมทงั้โดยหากนามาใช้เพื่อการศกึ ษา สามารถแบง่ ได้สองประเภท คือ แบง่ ตามลกั ษณะการใช้งาน และแบง่ตามช่องทางการส่งสญั ญาณหรือตวั กลางในการนาสญั ญาณ โดยองค์ประกอบของการสื่อสารกนั ในเทคโนโลยีโทรคมนาคมจะประกอบด้วย เครื่องสง่ สญั ญาณ เครื่องรับสญั ญาณ และตวั นาสญั ญาณ เทคโนโลยีท่ีการสื่อสารที่สาคญั อีกรูปแบบหน่ึงที่นามาใช้มากทางการศกึ ษาได้แกเ่ ทคโนโลยีการสื่อสารของคอมพิวเตอร์ ซ่ึงจะมีองค์ประกอบของการสื่อสารได้แก่ เครื่องส่ง เคร่ืองรับ สารหรือข้อมูล ตวั นาสญั ญาณ และโปรโตคอล ซึ่งส่ิงท่ีเกี่ยวข้องกบั ครูและนกั การศกึ ษาท่ีสาคญั ประการหน่ึงคืออปุ กรณ์ตา่ งที่จาเป็ นในการส่ือสาร โดยแยกเป็ นสองสว่ นใหญ่ๆ ได้แก่ อปุ กรณ์ในการส่ือสารในของตวั นาสญั ญาณแบบมีสาย เชน่ สายคบู่ ดิ เกลียว สายโคแอ๊กเชียล สายใยแก้วนาแสง สาหรับอปุ กรณ์ที่สาคัญของเครือข่ายแบบไร้ สายได้ แก่ การ์ดเช่ือมต่อสัญญาณประเภทต่างๆ เช่น PCI การ์ดPCMCIA การ์ด เป็นต้นเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
71 ระดบั ของการเช่ือต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็ นความรู้พืน้ ฐานของการใช้ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์เบือ้ งต้นโดยหากเป็ นการเช่ือมตอ่ แบบมีสายสญั ญาณ จะแบง่ เป็น 3ระดบั ได้แก่ เครือขา่ ยระดับ LAN ซ่ึงเป็ นการเช่ือมต่อเครือข่ายภายในองค์กร เครือข่ายระดับ MAN เป็ นการเช่ือมต่อเครือข่ายระหว่างองค์กร หรือภูมิภาค และเครือข่ายระดบั กว้างสดุ คือเครือขา่ ยระดบั WAN ครอบคลุมในเครือขา่ ยที่กว้างมากอาจเป็ นระดบั ประเทศหรือระดบั โลก นน่ั หมายถึงการเชื่อมตอ่ อินเทอร์เน็ตนนั้จะเป็ นระดบั ของเครือข่ายระดบั WAN ในส่วนของระดบั ของเครือข่ายแบบไร้สาย จะประกอบด้วย 4ร ะ ดั บ คื อ WPAN เป็ น เค รื อ ข่ า ย ไ ร้ ส า ย ร ะ ดั บ บุ ค ค ล เช่ น เท ค โน โล ยี บ ลู ทู ธ ห รื ออินฟาเรท เครือข่ายระดบั WLAN เป็ นเครือข่ายไร้สายในองค์กร WMAN เป็ นเครือข่ายไร้สายระดบัภมู ิภาค และ WWAN เป็นเครือขา่ ยไร้สายระดบั กว้าง การออกแบบทางกายภาพของระบบเครือขา่ ยหรือ Network Topology มีรูปแบบท่ีนา่ สนใจคือ รูปแบบเครือข่ายแบบบสั รูปแบบเครือข่ายแบบดาว รูปแบบเครือข่ายแบบวงแหวน รูปแบบครือขา่ ยแบบเมช และรูปแบบเครือขา่ ยแบบผสม ซ่งึ การนาไปใช้นนั้ จะขนึ ้ อยกู่ บั ลกั ษณะทางกายภาพของสถานท่ีแต่ละแห่งท่ีจะติดตงั้ ระบบเครือข่าย รวมถึงข้อจากัดในด้านอ่ืนๆด้วย เนื่องจากรูปแบบของเครือขา่ ยแตล่ ะแบบนนั้ มีข้อดีและข้อจากดั ตา่ งกนัเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
72คาถามท้ายบท 1. ให้นกั ศกึ ษาอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกบั ประเภทของเทคโนโลยีโทรคมนาคมเพื่อการศกึ ษา 2. จงอธิบายลกั ษณะของสญั ญาณดจิ ิทลั และหนว่ ยวดั ในการสง่ สญั ญาณดจิ ทิ ลั มาพอสงั เขป 3. ให้นกั ศกึ ษาอธิบายลกั ษณะของสายนาสญั ญาณ ข้อมลู มา 3 ประเภท 4. อุปกรณ์ที่สาคัญในการส่ือสารของคอมพิวเตอร์แบบไร้ สายมีอะไรบ้าง จงอธิบายอย่างละเอียด 5. ให้นกั ศกึ ษาหาข้อมลู เพ่ิมเตมิ เกี่ยวกบั เทคโนโลยีที่ใช้สาหรับการสื่อสารแบบไร้สายในระดบัWPAN ในปัจจบุ นั มา 3 รูปแบบ 6. ให้นักศกึ ษาอธิบายว่าออกแบบเครือข่ายทางกายภาพ(Network Topology)ท่ีท่านรู้จกั มีกี่ประเภท แตล่ ะประเภทมีลกั ษณะอยา่ งไรเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
73เอกสารอ้างอิงกิดานนั ท์ มลิทอง. (2540). เทคโนโลยีการศกึ ษาและนวตั กรรม.สานกั พิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั กรุงเทพฯจิ รา ภ รณ์ ไท ย น ก เท ศ .(กั น ย า ย น 2556). ก า รสื่ อ ส า รข้ อ มู ล เค รื อ ข่ า ย ค อ ม พิ ว เต อ ร์ . http://koonkrujiraporn.blogspot.com/2011/07/2_20.htmlชยั ยงค์ พรหมวงศ์.(2541).รายงานการวิจัยประกอบร่างพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542. การใช้ทรัพยากรสื่อสารของชาติ ด้านโทรคมนาคมเพื่อการศึกษา. สานักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาแหง่ ชาติ สานกั นายกรัฐมนตรีธีรวฒั น์ ประกอบผล. (กนั ยายน 2556).การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ .http://www.kmitl. ac.th/~kpteeraw/data_com/data_com.htmผดุง บุญ ชม.(กันยายน 2556).อุปกรณ์ ที่ใช้ ในระบบเครือข่าย.www.thaigoodview.com/library /contest2552/type2/tech04/24/n2.htmlโรงเรี ยนยุพราชวิทยาลัย.(กันยายน 2556).รูปแบบการเช่ือมโยงเครือข่ายหรื อโทโปโลยี. www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htmวาสนา ทวีกุลทรัพย์. (2553).การสื่อสารโทรคมนาคมกับการศึกษา ประมวลสาระชุดวิชาสื่อ อิ เล็กทรอนิ กส์และโทรคมนาคมเพื่อการศึกษาหน่วยที่ 1-8.นนทบุรี : บัณ ฑิตศึกษา สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช.สุกัญญา พลวิก.(กันยายน 2556).ระบบเครื อข่ายเบื้องต้น.http://www.nkatc.ac.th/web/ pictures/ e-learning/E-Learning3/unit1.htmlเศรษฐพงษ์ มะลิสวุ รรณ.(กนั ยายน 2556).เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย. http://muangchum.blogspot. com /2010_08_01_archive.htmlNetwork and Communication.(2013). Mobile Wireless Communications.http://network communications.blogspot.com/2011/06/network-topology-star-bus-mesh-ring.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
74 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 4เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในโรงเรียนหวั ข้อเนือ้ หา 1. บทบาทของเทคโนโลยีสารสานเทศและการส่ือสารกบั หนว่ ยงานการศกึ ษา 2. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกบั การจดั การเรียนการสอน 3. กระบวนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอน 4. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกบั การบริหารจดั การวัตถุประสงค์ 1. อธิบายบทบาทของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารท่ีมีตอ่ หนว่ ยงานการศกึ ษา 2. อธิบายกระบวนการใช้เทคโนโลยีสารสเทศและการส่ือสารในการจดั การเรียนการสอนและการบริหารจดั การของหนว่ ยงานการศกึ ษาได้ 3. วิเคราะห์และเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้เหมาะสมกับการทางานในหน่วยงานการศกึ ษาได้วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 สอนแบบบรรยาย 1.2 สอนแบบอภิปราย 1.3 สอนแบบ Collaborative learning 1.4 ศกึ ษาดงู าน 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 ผ้สู อนบรรยาย บทบาทความสาคญั ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในหนว่ ยงานการศกึ ษา 2.2 ผ้สู อนและผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์และอภิปรายการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารของโรงเรียนในการดาเนนิ งานด้านตา่ งๆ 2.3 ผ้สู อนแบง่ กล่มุ ผ้เู รียน เพื่อให้ผ้เู รียนศึกษาเพ่ือศกึ ษาดงู านในสถานที่จริง ตามประเด็นท่ีได้ทาการวิเคราะห์ไว้ 2.4 ผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ สรุปผลการศกึ ษาดงู านและนาเสนอ 2.5 ผู้สอนและผู้เรียนอภิปราย วิเคราะห์การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในโรงเรียนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
75 3. ส่ือการเรียนการสอน 3.1 เอกสารประกอบการสอน 3.2 เอกสารประกอบการบรรยาย โดยใช้โปรแกรม Power point 3.3 หนว่ ยงานการศกึ ษาการวัดผลและการประเมิน 1. สังเกตความสนใจของผู้เรียนในการศึกษาและร่วมกันอภิปรายแสดงความรู้และความคดิ เห็น 2. สงั เกตจากการร่วมมือและการมีสว่ นร่วมในการทางาน 3. การนาเสนองาน 4. รายงานสรุปผลการศกึ ษาดงู าน 5. คาถามท้ายบทเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
76 บทท่ี 4 เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในโรงเรียน 4.1 บทนา 4.2 บทบาทของเทคโนโลยีสารสานเทศและการส่ือสารกบั หนว่ ยงานการศกึ ษา 4.3 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกบั การจดั การเรียนการสอน 4.4 กระบวนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอน 4.5 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกบั การบริหารจดั การ 4.6 สรุป 4.7 คาถามท้ายบท 4.8 เอกสารอ้างอิง4.1 บทนา การประยกุ ต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจบุ นั ได้มีการนามาใช้ในหลายสาขาวิชาชีพ ทงั้ในด้านการศกึ ษาด้านธุรกิจอตุ สาหกรรม ด้านการแพทย์ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพ่ืออานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การทางาน การศกึ ษาหาความรู้ทาให้คณุ ภาพชีวิตของคนในสงั คมปัจจบุ นั ดีขนึ ้ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่ อสารถูกนามาใช้ ในการทางานของหน่วยงานการศึกษาได้หลากหลาย ทงั้ ในด้านการนามาใช้ในการเรียนการสอนซ่ึงเป็ นการใช้เทคโนโลยีสมยั ใหม่หลายอย่างสอนด้วยส่ืออุปกรณ์ท่ีทันสมัยห้องเรียนสมัยใหม่ มีอุปกรณ์วิดีโอโปรเจคเตอร์ (Video Projector) มีเครื่องคอมพิวเตอร์ มีระบบการอ่านข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แบบตา่ งๆ รูปแบบของส่ือท่ีนามาใช้ในด้านการเรียนการสอนก็มีหลากหลายขนึ ้ อย่กู บั ความเหมาะสมในการนามาใช้ เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนอิเล็กทรอนิกส์บุ๊ค วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ ระบบวิดีโอออนดีมานด์การสืบค้นข้อมูลในคอมพิวเตอร์และระบบอินเทอร์เน็ต เป็ นต้น รวมไปถึงการนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปใช้ในด้านการสนบั สนนุ การเรียนการสอน และการบริหารจดั การงานของหนว่ ยงานการศกึ ษาด้วยเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
774.2 บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อหน่วยงานการศกึ ษา เท คโน โลยีสารสน เท ศได้ เข้ าม ามี บ ทบ าทต่อ ห น่วยงาน การศึกษ า โด ยเฉพ าะเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์และการส่ือสารโทรคมนาคมมีบทบาทที่สาคญั ตอ่ การพฒั นาการศกึ ษาดงั นี ้ 4.2.1 เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนช่วยเรื่องการเรียนรู้ ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้หลายด้ านมีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ระบบสนับสนุนการรับรู้ขา่ วสาร เชน่ การค้นหาข้อมลู ขา่ วสารเพ่ือการเรียนรู้ใน World Wide Web เป็นต้น 4.2.2 เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนงานด้านการบริหารจัดการของหน่วยงานการศกึ ษา โดยเฉพาะการจดั การศกึ ษาสมยั ใหมจ่ าเป็ นต้องอาศยั ข้อมลู ข่าวสารเพื่อการวางแผน การดาเนินการ การติดตามและประเมินผลซ่ึงอาศยั คอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามามีบทบาทที่สาคญั 4.2.3 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการส่ือสารระหว่างบุคคล ในเกือบทุกวงการทัง้ ทางด้ านการศึกษาจาเป็ นต้ องอาศัยส่ือสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล เช่น การสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน โดยใช้ องค์ประกอบที่สาคัญช่วยสนับสนุนให้ เกิดประสิทธิภาพในการดาเนินงาน เช่นการใช้โทรศพั ท์ โทรสาร ไปรษณีย์อิเล็กทรอนกิ ส์ การประชมุ ทางไกล เป็นต้น 4.2.4 พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน โดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่ กระตุ้นความสนใจแก่ผ้เู รียน โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็ นสื่อในการสอน (Computer-Assisted Instruction : CAI)และการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ (Computer-Assisted Learning : CAL) ทาให้ผ้เู รียนมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนมากยิง่ ขนึ ้ ไมซ่ า้ ซากจาเจผ้เู รียนสามารถเรียนรู้ส่ิงตา่ งๆ ได้ด้วยระบบที่เป็ นมลั ตมิ ีเดียนอกจากนนั้ ยงั มีบทบาทตอ่ การนามาใช้ในการสอนทางไกล (Distance Learning) เพื่อผู้ด้อยโอกาสทางการศกึ ษาในชนบทท่ีหา่ งไกลเทคโนโลยีกบั การเรียนการสอน4.3 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกับการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนนีต้ ้องอาศัยนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารของโรงเรียนเพราะการนาเทคโนโลยีมาเพ่ือการเรียนการสอนนนั ้ต้องใช้งบประมาณคอ่ นข้างสงู โดยโรงเรียนต้องดาเนินการให้มีวสั ดอุ ปุ กรณ์ให้เพียงพอตอ่ การใช้งานในอตั ราส่วนที่เหมาะสมและสะดวกในการใช้งานกระจายส่หู ้องเรียน มากกวา่ รวมอยู่ ณ ท่ีใดท่ีหนึ่งและเน้นการใช้สื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ทงั้ ส่ือส่ิงพิมพ์และสื่ออีเล็กทรอนิกส์ รวมทงั้ การพฒั นาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจและทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีแนวทางใน การดาเนนิ การ ดงั นี ้ 4.3.1 ด้ านอุปกรณ์ (Hardware) โรงเรี ยนจาเป็ นต้ องจัดหาวัสดุอุปกรณ์ โดยเฉพ าะคอมพิวเตอร์ให้พอเพียงตอ่ การใช้งานและกระจายลงส่หู ้องเรียน มากกวา่ กระจกุ อยใู่ นห้องใดห้องหนง่ึเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
78ซึ่งจะเอือ้ ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสใช้ อุปกรณ์เพื่อนาเสนอผลงานและศกึ ษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ได้สะดวกและรวดเร็วทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ อปุ กรณ์คอมพิวเตอร์ที่ควรจดั ให้มีในห้องปฏิบตั ิการต่างๆ ห้องปฏิบตั ิการวิทยาศาสตร์ (เคมี ชีววิทยาฟิ สิกส์)ห้องปฏิบตั ิการคณิตศาสตร์ห้องปฏิบัติการทางภาษา (ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ)ห้องปฏิบตั ิการศนู ย์การเรียนรู้ห้องสมุดสาหรับสืบค้นข้อมลู และใช้สื่อประเภทต่างๆห้องเรียนอื่นๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละโรงเรียน ตวั อยา่ งของอปุ กรณ์ที่นามาใช้ในการจดั การเรียนการสอนในปัจจบุ นั ได้แก่ 1) กล้องโทรทัศน์หรือกล้องวีดิทัศน์ เป็ นอุปกรณ์ที่รับภาพและเสียงแล้วแปลงเป็ นสญั ญาณไฟฟ้ า เม่ือฉายออกทางจอมอนิเตอร์จะแปลงเป็ นสญั ญาณไฟฟ้ าและเป็นสญั ญาณภาพอีก รูปท่ี 4.1กล้องวีดิทศั น์ ท่มี า www.rakklong.com/camcorder/vtopicdetail/48 2) เคร่ืองวิชวลไลเซอร์ (visaulizer)เป็ นอปุ กรณ์ในการรับภาพ หรือวสั ดุ 2 มิติ และ 3มิติ โดยแปลงเป็ นสญั ญาณไฟฟ้ า แล้วแปลงเป็ นสญั ญาณภาพเม่ือฉายออกทางจอมอนิเตอร์ หรือต่อกบั วดิ ีโอโพรเจกเตอร์เพ่ือฉายขนึ ้ จอภาพ รูปท่ี 4.2เคร่ืองวชิ วลไลเซอร์ (visaulizer) ท่มี า http://pratima-ishop.tarad.com/product.detail_75028_en_2270019เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
79 3) เคร่ืองวิดีโอโพรเจกเตอร์ (VDO Projector) เป็ นอุปกรณ์ท่ีรับสัญญาณภาพจากอปุ กรณ์อ่ืน เช่นคอมพิวเตอร์ เคร่ืองวิชวลไลเซอร์ เพ่ือถ่ายทอดสญั ญาณภาพฉายออกบนจอภาพแทนจอมอนิเตอร์ รูปท่ี 4.3เคร่ืองวดิ ีโอโพรเจกเตอร์(VDO Projector) ท่มี า www.xn--12cgiaf3c0a4bqd1eret5a8gzfsq.com 4) เคร่ืองเลน่ ดีวีดี (DVD Player) เป็ นอปุ กรณ์อ่านข้อมลู ดิจิทลั จากวสั ดเุ ช่นแผน่ ดีวีดีหรือ วีซีดี แล้วแปลงสญั ญาณไฟฟ้ าเป็นสญั ญาณภาพและเสียงออกทางมอนเิ ตอร์ หรือจอโทรทศั น์ รูปท่ี 4.4 เครื่องเลน่ ดวี ดี (ี DVD Player) ท่มี า www.turkgoogle.com/what-is-a-double-zone-auto-dvd-player/ 5) กระดานอจั ฉริยะ หรือ แอคทีฟบอร์ด (Activboard) เป็ นนวตั กรรมของไวท์บอร์ดในห้องเรียน คณุ สมบตั ิของแอคทีฟบอร์ดคือการควบคมุ การทางานของคอมพิวเตอร์ผ่านบอร์ด การใช้งานจะเป็ นการนาเอาแอคทีฟบอร์ดและเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ต่อเช่ือมเข้าด้วยกัน ทาให้ภาพจากคอมพิวเตอร์ปรากฏขนึ ้ บนบอร์ด แตส่ ิ่งท่ีแตกตา่ งจากบอร์ดทวั่ ๆ ไป คือ เราสามารถควบคมุ การเรียนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
80การสอนผา่ นบอร์ดได้ โดยอาศยั Activpen หรือปากกาที่ออกแบบสาหรับ Activboard โดยเฉพาะ เป็ นปากกาท่ีใช้งานได้เหมือนเมาส์ทกุ ประการ โดยสามารถใช้คลิกเลือกคาสงั่ คลิกลาก หรือคลิกขวาบนปากกา เพื่อทางานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท่ีปรากฏบนแอคทีฟบอร์ดได้ หรือใช้เขียนได้อย่างอิสระจากการขีดเขียนปากกาลงบนพืน้ ผิวของแอคทีฟบอร์ดได้โดยตรง รูปท่ี 4.5กระดานอจั ฉริยะ (Activboard) ท่มี า http://krubotun.wordpress.com/2012/07/01/active-board 6) โทรทัศน์อัจฉริยะ (Smart TV)หมายถึงโทรทัศน์ที่สามารถใช้ในการเช่ือมต่อกับระบบเครือขา่ ยได้โดยมีโปรแกรมประยกุ ตอ์ ยใู่ นเครื่องโทรทศั น์ด้วยจึงเป็นเทคโนโลยีท่ีนามาใช้ดงึ ข้อมลูจากเครือข่ายเพื่อนาเสนอให้กับผ้เู รียนได้ง่ายขนึ ้ โดยการเชื่อมตอ่ กบั ระบบเครือขา่ ยนนั้ สามารถทาได้ทงั้ แบบมีสายและแบบไร้สาย รูปท่ี 4.6โทรทศั น์อจั ฉริยะ (Smart TV) ท่มี า http://chip.in.th 4.3.2 ด้านส่ือการเรียนการสอน (Software) โรงเรียนจาเป็ นต้องจดั หาสื่อการเรียนการสอนที่มีคณุ ภาพและสนบั สนุนให้ครูใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกบั เนือ้ หาบทเรียนท่ีสอนโดยจดั เป็ นศนู ย์บริการสื่อการเรียนการสอนซึ่งสื่อด้านอีเล็กทรอนิกส์ในปัจจบุ นั มีหลากหลายรูปแบบเชน่ ส่ือประเภทคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน สื่อประเภทสารคดี ส่ือประเภทสถานการณ์จาลองส่ือประเภทฝึ กทกั ษะตา่ งๆเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
81 วสั ดแุ ละส่ือการสอนท่ีถกู นามาใช้ในการจดั การศกึ ษาในปัจจบุ นั ได้แก่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็ นการนาเอาเทคโนโลยีรวมกับการออกแบบโปรแกรมการสอนมาใช้ช่วยสอน ซ่ึงเรียกกันโดยท่ัวไปว่าบทเรียน CAI ( Computer -Assisted Instruction ) การจัดโปรแกรมการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนในปัจจุบนั มักอย่ใู นรูปของส่ือประสม (Multimedia)ซึ่งหมายถึงนาเสนอได้ทัง้ ภาพ ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหวฯลฯโปรแกรมช่วยสอนนีเ้ หมาะกับการศึกษาด้วยตนเองและเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับบทเรียนได้ตลอดจนมีผลป้ อนกลบั เพ่ือให้ผ้เู รียนรู้บทเรียนได้อย่างถกู ต้องและเข้าใจในเนือ้ หาวิชาของบทเรียนนนั้ ๆ รูปท่ี 4.7ตวั อยา่ งหน้าจอของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI) ท่มี า www.kpc.ac.th/2007/index.php?option=com_content&task=view&id=121&Itemid=1 2) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ e book หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์เป็นรูปแบบของหนงั สือที่อยใู่ นรูปของชดุ ข้อมลู อิเล็กทรอนิกส์โดยการปรับปรุงหรือเปล่ียนแปลงข้อมลู เหล่านนั้ ให้อย่ใู นรูปแบบการนาเสนอที่เป็ นตัวอักษรภาพน่ิงภาพเคลื่อนไหวเสียงการมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) และการเช่ือมโยงข้อมลู ท่ีสามารถที่จะทาในลกั ษณะของการนาเสนอผ่านระบบเครือขา่ ย และสามารถนามาอา่ นกบั อปุ กรณ์ท่ีสร้างมาเพื่อการอ่านหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบตา่ งๆ ได้ ทงั้ คอมพิวเตอร์แบบพกพาและคอมพิวเตอร์แบบตงั้ โต๊ะ รูปท่ี 4.7ตวั อยา่ งหน้าจอของหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
82 3) การจดั การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction) เป็ นการจดั การเรียนที่มีสภาพการเรียนตา่ งไปจากรูปแบบเดิม การเรียนการสอนแบบนีอ้ าศยั ศกั ยภาพและความสามารถของเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็ นการนาเอาส่ือการเรียนการสอน ท่ีเป็ นเทคโนโลยีมาช่วยสนบั สนนุ การเรียนการสอน ให้เกิดการเรียนรู้ การสืบค้นข้อมลู และเช่ือมโยงเครือข่าย ทาให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทกุ สถานท่ีและทกุ เวลาการจดั การเรียนการสอนลกั ษณะนี ้มีชื่อเรียกหลายช่ือ ได้แก่การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-based Instruction) การฝึ กอบรมผ่านเว็บ (Web-Based Training) การเรียนการสอนผา่ นเวิล์ไวด์เวบ็ (www-based Instruction) การสอนผา่ นส่ือทางอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e-learning) เป็นต้น รูปท่ี 4.7ตวั อยา่ งรูปแบบการจดั การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ (Web-Based Instruction) ท่มี า http://stks.or.th/wiki/doku.php?id=e-learning:wbi 4) การใช้ โปรแกรมประยุกต์บนอุปกรณ์ แบบพกพา (Application Software onMobile Device)เป็ นโปรแกรมประยุกต์ที่เกิดขึน้ มาในปัจจุบันที่จะออกแบบมาในลักษณะท่ีใช้กับระบบปฏิบตั ิการบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา เช่น แท็บเล็ต (Tablet PC) หรือ สมาร์ทโฟน(Smart Phone) เพ่ือให้ผู้เรียนามารถใช้โปรแกรมเพ่ือการเรียนในอุปกรณ์ลักษณะดงั กล่าวได้ ทงั้ ในระบบปฏิบตั กิ ารแอนดรอย (Andriod OS) และระบบปฏิบตั กิ ารไอโอเอส (ios)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
83 รูปท่ี 4.7 ตวั อยา่ งโปรแกรมประยกุ ต์บนอปุ กรณ์แบบพกพา (Application Software on Mobile Device)ท่มี า www.freetech4teachers.com/2011/10/bloomin-android-android-apps-to-match.html#.UnTa73CGpjk 2.3 ส่งเสริมสนับสนนุ ให้บุคลากรได้มีโอกาสพัฒนาตนเองในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศการเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมการผลิตส่ือการเรียนการสอนด้วยตนเอง ส่งเสริมให้มีการวิจยั วิเคราะห์การใช้ส่ือประเภทตา่ งๆ แนวคดิ ในการพฒั นาเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนนีจ้ ะเป็ นประโยชน์แก่โรงเรียนขนึ ้ อยกู่ บั การปรับใช้ให้เหมาะสมกบั สภาพของแตล่ ะโรงเรียน4.4 กระบวนการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนการสอน กระบวนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนนนั้ ประกอบด้วยกระบวนการใน 3ขนั้ ตอน ได้แก่ การเตรียมการสอน การสอน และการประเมิน ในการจัดการเรียนการสอนนัน้ จัดเป็ นกระบวนการสื่อสารรูปแบบหนึ่งโดยเริ่มต้นจากครูผ้สู อนทาหน้าท่ีรวบรวมแนวความคดิ หรือข้อมลู จากแหลง่ ข้อมลู ตา่ งๆ และเมื่อต้องการส่งขา่ วสารไปยังผู้รับข่าวสารจะแปลงแนวความคิดหรือข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องออกมาเป็ นตวั อักษร นา้ เสียง หรือการเคล่ือนไหว ซง่ึ เรียกวา่ สาร หรือเป็ นเนือ้ หาท่ีใช้ในการสอนโดยจะได้รับการเข้ารหสั แล้วส่งไปยงั ผ้รู ับสารผา่ นสื่อกลางในช่องทางการส่ือสารตา่ งๆ ผ้รู ับสารเม่ือได้รับข้อความแล้วจะทาการถอดรหสั ตามความเข้าใจโดยอาศยั ประสบการณ์เดมิ และมีปฏิกิริยาตอบสนอง ในกระบวนการสื่อสารดงั กล่าวนัน้ ผู้รับสารอาจได้สารท่ีผิดไปจากวัตถุประสงค์หรือจากความต้องการของผ้สู ่งได้ เนื่องจากอาจมีปัจจัยอ่ืนเข้ามาแทรกแซง โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อมีการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจดั การเรียนการสอน อาจมีปัจจยั แทรกซ้อนท่ีเข้ามากระทบมากกว่าการเรียนการสอนแบบปกตดิ งั นนั้ กระบวนการในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารมาใช้ควรพจิ ารณาใน 3 ขนั้ ตอนในตอ่ ไปนี ้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
84 ขนั้ เตรียมการสอน ขนั้ การสอน ขนั้ การประเมินการเรียน- การกาหนดกิจกรรมท่ี - การเลือกวธิ ีการสอนท่ี - การประเมินการเรียนรู้สง่ เสริมให้ผ้เู รียนเกิดการ เหมาะสม ของผ้เู รียนเรียนรู้ผา่ นเคร่ืองมือ - การสร้างบรรยากาศใน - การประเมนิ กิจกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ การแลกเปล่ียนการ ระหวา่ งเรียนและการสื่อสาร เรียนรู้ผา่ นเทคโนโลยี- การกาหนดเครื่องมือ สารสนเทศและเครือขา่ ยสื่อสารอเิ ลก็ ทรอนิกส์- การกาหนดบทบาทของบคุ ลากรท่ีเก่ียวข้อง รูปท่ี 4.7แบบจาลองกระบวนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอน ท่มี า ทวีวฒั น์ วฒั นกลุ เจริญ. 2553 4.4.1 การเตรียมการสอน การใช้เคร่ืองมือเทคโนโลยีสารสนเทศในการศกึ ษานนั้ ผ้สู อนต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ก่อนเรียน เพื่อให้บรรลุเป้ าหมายของหลกั สูตร ส่ิงท่ีผ้สู อนพิจารณาความพร้อมนอกเหนือจากการกาหนดแผนการสอน วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม เนือ้ หา กิจกรรมและวิธีการประเมินผล ประกอบด้วย 3 ประการ คือ 1) การกาหนดกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสื่อสารผ่านอุปกรณ์เครื่องมือเทคโนโลยีสาสนเทศและการส่ือสาร 2) การกาหนดเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3) การกาหนดบทบาทของบคุ ลากรที่เก่ียวข้อง 4.4.1.1 การกาหนดกิจกรรมที่ส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ผ่านเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คือการกาหนดกิจกรรมและช่วงเวลาที่ผู้สอนจะมอบหมายให้ผู้เรียนทากิจกรรมผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เช่น การอภิปราย การแลกเปลี่ยนความคดิ เห็น หรือการสง่ งานตามท่ีกาหนด โดยจดั ทาเป็นตารางการทากิจกรรมให้กบั ผ้เู รียนได้ทราบอยา่ งชดั เจน เป็นต้น 4.4.1.2 การกาหนดเคร่ืองมือส่ือสารอิเล็กทรอนิกส์ คือการเตรียมความพร้ อมด้านเครื่องมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารทงั้ แบบประสานเวลา และแบบไม่ประสานเวลา ที่จะใช้ในการจดั กิจกรรมให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชน่ การเตรียมกระดานสนทนา การเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
85ตรวจสอบระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์สาหรับห้องสนทนา การให้รหสั ผา่ นกบั ผ้เู รียน การเขียนวธิ ีการใช้งานเป็ นต้น 4.4.1.3 การกาหนดบทบาทของบุคลากรที่เก่ียวข้อง คือบทบาทของผู้สอน ผ้ชู ่วยสอนผู้เรียน ผู้เช่ียวชาญและนักเทคโนโลยีการศึกษา เนื่องจากการเรียนการสอนที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารทาให้ผ้สู อนมีภาระงานท่ีเพ่ิมขึน้ จากการสอนในชนั้ เรียน โดยเฉพาะภาระงานเก่ียวกับการตอบคาถาม การชีแ้ นวทางและการกระตุ้นให้ผู้เรียนทากิจกรรมผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดงั นนั้ ในกรณีการเรียนการสอนที่มีผ้เู รียนจานวนมากจึงควรเตรียมบคุ ลากรสนบั สนุนเพ่ือแบง่ เบาภาระงานของผ้สู อน 4.4.2 ขัน้ การสอนในขัน้ นีผ้ ู้สอนมีบทบาทอย่างยิ่งในการเลือกวิธีการสอน และการสร้ างบรรยากาศการเรียนผา่ นเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย 2 แนวทาง คือ 4.4.2.1 การเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสม โดยเน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการส่ือสารเพ่ือการเรียนการสอนมากที่สุด เช่นการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นหลกั การจดั ทาโครงงาน การเรียนตามสถานการณ์ ซง่ึ ทกุ รูปแบบควรมีการผสมผสานกบั การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยหลกั การที่สาคญั ประกอบด้วย การกระต้นุ ให้ผ้เู รียนมีสว่ นร่วมในกิจกรรม การสง่ เสริมกระบวนการคดิ วเิ คราะห์ ปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมให้กล้าแสดงออก และมีความเช่ือมน่ั ในตนเอง 4.4.2.2 การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ผา่ นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารคือ ครูผู้สอนต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีผู้สอนได้กาหนดไว้โดยส่ิงที่ผู้สอนต้องพิจารณ าเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริ ม ให้ ผ้ ูเรี ยนเกิดการเรี ยนร้ ูจากการส่ือสารผ่านเครื่ องมื อเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรับการเรียนการสอนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ คือเทคโนโลยีสารสนเทศมีลกั ษณะเป็ นพลวตั รท่ีสามารถเปล่ียนแปลงได้ตลอดเวลา คอื เมื่อองค์ประกอบองคป์ ระกอบหนงึ่ เปลี่ยนแปลงไป ยอ่ มจะสง่ ผลกระทบตอ่ องค์ประกอบอ่ืนๆด้วย เชน่ การเรียนการสอนในชนั้ เรียนปกติผ้สู อนเป็ นผ้สู ่งสารไปถึงผ้เู รียนโดยใช้สื่อการสอนเป็ นการส่งสารไปยงั กล่มุ ผ้เู รียน แต่เมื่อการเรียนการสอนเปลี่ยนไปเป็ นการเรียนการสอนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Facilitator) ผู้ท่ีให้คาแนะนา (Mentor)เป็ นผู้นากลุ่มหรือทีม(Team Leader)และเป็ นผู้สร้างแรงจูงใจ(Motivator)ให้กับผ้เู รียนที่ต้องเรียนรู้จากส่ือบทเรียนเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมในการส่ือสารด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีผ้สู อนจดั ขนึ ้ 4.4.3ขนั้ การประเมิน การประเมินการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องมือส่ือสารเทคโนโลยีสารสนเทศ ผ้สู อนสามารถนาข้อมลู ท่ีได้จากการสื่อสาร การสนทนา และอภิปรายของผ้เู รียนมาใช้ประกอบการประเมินการเรียนซ่ึงแบง่ ออกได้เป็ น 2 แนวทางคือ (1) การประเมินการเรียนรู้ของผ้เู รียน และ (2) การประเมินกิจกรรมระหวา่ งเรียนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
86 4.4.1 การประเมินการเรียนรู้ของผ้เู รียนเมื่อผ้สู อนจดั กิจกรรมโดยใช้เคร่ืองมือเทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้สอนต้องนาผลจากการทากิจกรรมของผู้เรียนเข้ามาเป็ นส่วนหน่ึงของการประเมินการเรียนรู้ คือการพิจารณาระดบั การเรียนรู้ของผ้เู รียนตามทกั ษะการเรียนรู้ของเบนจามิน บลมู BenjaminS. Bloom: 1956 ท่ีได้เสนอแนวคิด Taxonomy of Educational Objectives (Domain) ไว้จานวน 3ด้าน คือ (1) ด้านพุทธิพิสยั พิจารณาจากความรู้ และข้อคิดเห็นท่ีผ้เู รียนาเสนอผ่านกระดารสนทนาและผลงานตามท่ีได้มอบหมายผา่ น E-mail (2)ด้านจิตพิสยั พิจารณาจากความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีจัดขนึ ้ ประเดน็ ที่นามาพจิ ารณา คือ การตรงตอ่ เวลา และความรับผดิ ชอบตอ่ งานท่ีมอบหมาย (3) ด้านทักษะพิสัย พิจารณาจากความสามารถในการใช้เคร่ืองมือสื่อสาร และความสามารถในการโต้ตอบผา่ นเครื่องมือส่ือสารเทคโนโลยีสารสนเทศ ทงั้ นี ้การนาผลการทากิจกรรมของผู้เรียนจากเครื่องมือสื่อสารเทคโนโลยีสารสนเทศเป็ นส่วนหน่ึงของการพิจารณาให้คะแนนกับผ้เู รียนนนั้ ผ้สู อนต้องประกาศให้ผ้เู รียนทราบล่วงหน้า และมีการณ์กาหนดเกณฑ์ การประเมินการเรียนอย่างชดั เจน เพ่ือใช้เป็ นเกณฑ์ในการตดั สินคณุ คา่ ของการทากิจกรรมของผ้เู รียนได้ถกู ต้อง 4.4.2 การประเมินกิจกรรมระหวา่ งเรียนการนาเครื่องมือส่ือวารเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจดั การศกึ ษา ผ้สู อนสามารถนาข้อมลู ท่ีได้จากการสนทนากบั ผ้เู รียน หรือการสนทนาระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนมาใช้ในการประเมินผลการสอน ปรับปรุงการสอนให้เหมาะสม สอดคล้องกับการเรียนรู้ และความต้องการในการเรียนรู้ของผ้เู รียน คือ ผ้สู อนสามารถตงั้ กระท้บู นกระดานสนทนาเพื่อให้ผ้เู รียนแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะเนือ้ หาท่ีตนเองสนใจ โดยผ้สู อนรวบรวมและนามาพิจารณาวา่มีความเหมาะสม และสอดคล้ องกับเนือ้ หาการเรียนรู้ตามหลักสูตรอย่างไร รวมถึงการจัดทาแบบสอบถามและแบบประเมนิ ออนไลน์เพ่ือให้ผ้เู รียนแสดงความคดิ เหน็4.5 การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารกับการบริหารจัดการโรงเรียน การพฒั นาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารจดั การสถานศกึ ษาหรือโรงเรียนควรมีแนวทางในการดาเนินการให้ได้มาซ่ึงสารสนเทศในอนั ที่จะก่อให้เกิดการตดั สินใจแก้ปัญหาในทางที่ถกู ต้องสามารถกาหนดเป็ นแผนปฏิบตั ิการท่ีมีข้อมลู สารสนเทศสนบั สนนุ มากกว่าการคาดเดาข้อมูลสารสนเทศดงั กลา่ วจะเกิดขนึ ้ ได้ก็ตอ่ เม่ือมีการพฒั นาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสองสว่ นด้วยกนั คือ 4.5.1 ด้านอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย (Hardware and Network) ส่วนนี ้ถือว่าเป็ นพืน้ ฐานของพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนการเช่ือมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็ นระบบเครือข่ายจะสามารถทาให้การจดั การข้อมลู ในแต่ละส่วนของโรงเรียนเป็ นไปอย่างมีเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
87ประสทิ ธิภาพเครื่องคอมพิวเตอร์ทกุ เครื่องในระบบต้องสามารถถ่ายโอนข้อมลู เข้าสคู่ อมพิวเตอร์แมข่ า่ ยได้การเชื่อมโยงเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนนนั้ จดั ทาได้หลายรูปแบบขนึ ้ อยกู่ บั สภาพความพร้อมและงบประมาณดงั นนั้ โรงเรียนควรมีเจ้าหน้าที่ผ้เู ช่ียวชาญในเรื่องระบบเครือขา่ ยเพ่ือให้คาปรึกษาหรือจดั วางระบบให้ได้มาตรฐานและรองรับการขยายตวั ของระบบเครือขา่ ยในอนาคต แตเ่ ดิมนนั้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเป็ นการมงุ่ เน้นการจดั สภาพแวดล้อมในโรงเรียนและเชื่อมโยงเข้าเป็ นเครือข่ายของอุปกรณ์ตา่ งๆ ภายในโรงเรียนเพื่ออานวยความสะดวกในการบริหารจดั การการดาเนนิ งานของโรงเรียน ตวั อย่างของอุปกรณ์ที่สาคญั ในการใช้ช่วยในการบริหารจดั การภายในโรงเรียน เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทตา่ งๆ เครื่องสาเนาเอกสาร เครื่องโทรสาร เคร่ืองบันทึกข้อมูลการเข้างานตลอดจนการใช้กล้องวงจรปิ ดผ่านเครือข่าย (Network Camera) เพื่อการดูแลความปลอดภัย ซึ่งในโรงเรียนระดบั การศกึ ษาปฐมวยั มีการนากล้องวงจรปิ ดผา่ นเครือขา่ ยนีใ้ นการดแู ลการสอนของอาจารย์ซงึ่ ผ้ปู กครองก็สามารถที่จะเข้ามาชมผา่ นระบบเครือขา่ ยได้ รูปท่ี 4.8 กล้องวงจรปิ ดผา่ นเครือขา่ ยละผงั รูปแบบการใช้ประโยชน์ขงอกล้องวงจรปิ ดผา่ นเครือขา่ ย ท่มี า http://hirmondo.ostelsat.hu/dipol_weekly_review_-_sat_tv_cctv_wlan_inf_dipo_2007_32.htm ในปัจจบุ นั ความสาคญั ของอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายของโรงเรียนยิ่งเพ่ิมมากขึน้ จากผลของการเกิดขึน้ ของสงั คมสารสนเทศ เน่ืองจากกลายเป็ นโครงสร้างพืน้ ฐานอนั จาเป็ นให้กบั ครูและผ้เู รียนในการแสวงหาความรู้ และเป็ นเคร่ืองที่สาคญั สาหรับครูในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากการสร้างเครือขา่ ยทางคอมพิวเตอร์สง่ ผลให้เกิดการรวมตวั กนั ของเครือขา่ ยโรงเรียนแตล่ ะโรงเรียนในชมุ ชน ทาให้เกิดชมุ ชนการเรียนรู้แบบใหมเ่ กิดขนึ ้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
88 ชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ที่สร้างขนึ ้ ภายใต้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็ นปัจจยั ที่เกือ้ ให้ครูเกิด “ชุมชนการเรียนรู้เพื่อศิษย์” หรือProfessional Learning Communities (PLC) ซึ่งทาให้ การจัดการเรียนรู้นัน้ ก้าวข้ามขอบเขตของคาว่าโรงเรียน แต่จะกลายไปชุมชุนในสังคมสารสนเทศท่ีมีเป้ าประสงคท์ ี่จะร่วมกนั พฒั นาการสอนและพฒั นาการเรียนของผ้เู รียนอยา่ งแท้จริง 4.5.2 ด้านซอฟท์แวร์ (Software) สาหรับบริหารจัดการข้อมูลส่วนนีเ้ ป็ นส่วนท่ีสาคัญมากสาหรับระบบเพราะถึงแม้ ว่าเราจะมีคอมพิวเตอร์ และระบบเครื อข่ายท่ีดีแต่ถ้ าไม่มีซอฟท์แวร์สาหรับบริหารจดั การข้อมลู ท่ีมีประสิทธิภาพก็จะทาให้ระบบสารสนเทศในโรงเรียนไมเ่ ป็ นไปตามความคาดหวังจะไม่มีข้ อมูลที่มี ประสิทธิภา พในการตัดสินใจแก้ ปั ญ หาที่ถูกต้ องซอฟท์ แวร์ สาหรับการบริหารงานที่ดคี วรมีองคป์ ระกอบดงั นี ้ 1)ควรเป็ นโปรแกรมที่มีระบบการจดั เก็บข้อมลู ที่เป็นหนง่ึ เดียวกนั ในทกุ ฝ่ ายงานผา่ นระบบเครือขา่ ย 2)ควรเป็นโปรแกรมที่สามารถประมวลผลข้อมลู ใหมไ่ ด้ทนั ทีท่ีต้องการ 3)ควรเป็ นโปรแกรมที่สามารถนาข้อมูลของแต่ละฝ่ ายงานมาประมวลผลเป็ นสารสนเทศท่ีเอือ้ อานวยตอ่ การบริหารงานในโรงเรียน 4)ควรเป็ นโปรแกรมท่ีมีระบบรักษาความปลอดภยั ของข้อมลู และกาหนดสิทธิในการเข้าถงึ ข้อมลู ตามลาดบั ชนั้ ของผ้รู ับผิดชอบ ฐานข้อมูลท่ีโรงเรียนควรต้องดาเนินการจัดเก็บเป็ นข้อมูลกลางท่ีฝ่ ายต่างๆ สามารถเรียกใช้ผ่านระบบเครือข่าย ควรมีข้อมูลในด้าน ข้อมูลนักเรียน, ข้อมูลบุคลากร, ข้อมูลแผนงาน/โครงการ ปัจจบุ นั การนาโปรแกรมที่ใช้ในการบริหารจดั การของหน่วยงานการศกึ ษาบางหนว่ ยงานมีการพฒั นาขนึ ้ มาเองและมีโปแกรมที่สร้างไว้โดยภาคเอกชน ซง่ึ โปรแกรมที่ใช้ในการบริหารจดั การของโรงเรียนท่ีควรรู้จกั ได้แก่ School ICT เป็ นโปรแกรมที่พัฒนาโดยบริษัทเอกชน สาหรับนาไปใช้เป็ นระบบการจดั การบริหารงานในโรงเรียน โดยจดั เป็ นระบบฐานข้อมูลเพ่ือจดั เก็บข้อมูลของหน่วยงานต่างๆอย่างเป็ นระบบ และนามาจดั ทาระบบข้อมูลสารสนเทศในโรงเรียนโดยผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต และอินทราเน็ต เป็ นการลดความซา้ ซ้อนในการทางานด้านจดั เก็บข้อมูล ซ่ึงจะมีระบบค้นหาตรวจสอบข้อมลู ที่เพ่ิมความสะดวกและรวดเร็วในการทางานแก่บคุ ลากร ระบบการจดั การของโปรแกรม School ICTจะมีการแบ่งกลุ่มงานเป็ นด้านๆเพื่อให้ง่ายตอ่ การจดั การเช่น ข้อมูลสาหรับกลมุ่ งานนโยบายและแผนงาน ข้อมลู ด้านงานวิชาการ ข้อมลู ด้านการบริหารงบประมาณ เป็นต้นเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
89 รูปท่ี 4.9 ระบบงานของโปรแกรม School ICT ท่มี า www.intellisys.co.th/ School for Web เป็ นหน่วยงานภาคเอกชนที่ทาการพัฒนาระบบบริหารจัดการด้ วยเทคโนโลยีสารสนเทศอีกหน่วยงานท่ีน่าสนใจ โดยมีการออกแบบลกั ษณะของระบบการบริหารจดั การโดยใช้ ICT ซ่งึ มีการออกแบบระบบการใช้งานให้มีลกั ษณะเฉพาะของหนว่ ยงานการศกึ ษานนั้ ๆ อีกทงั้ยงั เป็นระบบที่ทางานผา่ นเครือขา่ ยได้โดยไมต่ ้องใช้เคร่ืองแมข่ า่ ยของตนเอง 4.5.3 ด้านบุคลากร (Peopleware) ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการโรงเรียนนนั้ บคุ ลการเป็ นปัจจยั ท่ีสาคญั ท่ีจะทาให้เกิดการบริหารละการจดั การท่ีดี เช่นเดียวกบั การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจดั การเรียนการสอน ซึ่งบคุ ลากรทกุ ระดบั ในหน่วยงานการศึกษาควรมีการได้รับการอบรมการใช้ เทคโนโลยีในส่วนงานที่ตนรับผิดชอบ เพ่ือให้ เกิดการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในหนว่ ยงานการศกึ ษาได้อยา่ งมีประสิทธิภาพท่ีสดุเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
904.6 สรุป เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารมีบทบาทที่สาคญั ย่ิงสาหรับวงการการศึกษา และถูกนามาใช้ช่วยเหลือในการทางานของหน่วยงานการจดั การศกึ ษาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทางานสาหรับการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทางานของหน่วยงานการศกึ ษาจะสามารถนาไปใช้ในสองประเด็นหลกั ได้แก่ การนามาใช้ในการจดั การเรียนการสอน และการนามาใช้ในการบริหารจดั การโรงเรียน โดยในการนาไปใช้งานด้านการเรียนการสอนนนั้ ควรมีการคานึงถึงระบบในการจดั การเรียนการสอน ด้วยเพื่อสมารถที่จะทราบได้วา่ วสั ดแุ ละอุปกรณ์ใดเหมาะสมกับการนามาใช้ในการจดั การเรียนการสอนในเนือ้ หานนั้ ๆ และในการนามาใช้ในการบริหารโรงเรียน ประเด็นที่สาคญั ในปัจจบุ นั คือเร่ืองของโปรแกรมท่ีจะนามาใช้ในการบริหารโรงเรียน ควรต้องสอดคล้อง กับความต้องการ ของหน่วยงาน มีฐานข้อมูลท่ีครอบคลมุ และใช้งานได้ง่าย ทงั้ นีบ้ คุ ลกรในโรงเรียน ต้องถูกฝึ กอบรมให้มีทกั ษะการใช้โปรแกรมเพ่ือการใช้งานเทคโนโลยีท่ีมีอยไู่ ด้อยา่ งเตม็ ศกั ยภาพเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
91คาถามท้ายบท 1. จงอธิบายวา่ เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทตอ่ หนว่ ยงานการศกึ ษาอยา่ งไร 2. จงยกตวั อย่างอุปกรณ์ท่ีใช้ในการจดั การเรียนการสอนในปัจจุบนั 5 ชนิด และอธิบายมาพอสงั เขป 3. จงหาข้อมลู โปแกรมประยกุ ต์สาหรับอปุ กรณ์แบบพกพา ท่ีเหมาะกบั การสอนในสาขาวิชาของทา่ น 3 โปรแกรมพร้อมบอกข้อดแี ละวิธีการใช้ในการสอน 4. จงยกตวั อย่างโปรแกรมประยกุ ต์ที่สามารถใช้ในการบริหารจดั การโรงเรียน 2 โปรแกรมพร้ อมอธิบาย 5. จงอธิบายกระบวนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจดั การเรียนการสอนอยา่ งละเอียดเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
92เอกสารอ้างอิงทวีวัฒ น์ วัฒ นกุลเจริญ.(2553).สือ่ อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคมเพือ่ การศึกษา.นนทบุรี: บณั ฑติ ศกึ ษา สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.บุญ เลิศ อรุณพิบูลย์. (เมษายน 2556). E – Learning Technology. http://stks.or.th wiki/doku .php?id=e-learning:wbiสคลู ฟอร์เว็บ. ระบบบริหารจดั การโรงเรียน.http://www.schoolforweb.com/อินเทลลิสท์ โซลูชั่น.(กันยายน 2556).ระบบบริหารงานโรงเรียน School ICT.http://www.intellisys .co.th/Richard Byrne. (2013). Free Technology for Teacher. www.freetech4teachers.com/2011/10/ bloomin-android-android-apps-to-match.html#.UnTa73CGpjkเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
93 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 5การใช้โปรแกรมประยุกต์พืน้ ฐานสาหรับครูหวั ข้อเนือ้ หา 1. ความสาคญั ของโปแกรมประยกุ ตพ์ ืน้ ฐานสาหรับครู 2. การใช้โปรแกรมประยกุ ตป์ ระเภทโปรแกรมประมวลผลคาสาหรับครู 3. การใช้โปรแกรมประยกุ ตป์ ระเภทโปรแกรมคานวณสาหรับครู 4. การใช้โปรแกรมประยกุ ตป์ ระเภทโปรแกรมนาเสนอสาหรับครูวัตถปุ ระสงค์ 1. อธิบายความหมาย ความสาคญั ของการใช้โปรแกรมประยกุ ต์พืน้ ฐานสาหรับครู 2. วเิ คราะห์และเลือกใช้โปรแกรมประยกุ ต์พืน้ ฐานได้เหมาะสมกบั การทางาน 3. มีทกั ษะในการใช้โปรแกรมประยกุ ตป์ ระเภทประมวลผลคาในการทาเอกสารราชการ 4. มีทักษะในการใช้โปรแกรมประยุกต์ประเภทโปรแกรมคานวณในการประมวลผลการ เรียนของผ้เู รียน 5. มีทกั ษะการใช้โปรแกรมประยกุ ตป์ ระเภทโปรแกรมนาเสนอสาหรับนาเสนองานวิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 สอนแบบบรรยาย 1.2 สอนแบบสาธิตและฝึ กปฏิบตั ิ 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 ผ้สู อนอธิบายความสาคญั ของการใช้โปรแกรมพืน้ ฐานสาหรับการทางานท่ีเกี่ยวข้องกบั วชิ าชีพครู 2.2 ผู้สอนสาธิตการใช้โปรแกรมประมวลผลคาในการจัดทาเอกสารราชการ และให้ผ้เู รียนฝึกปฏิบตั ติ าม 2.3 ผ้สู อนสาธิตการใช้โปรแกรมด้านการนาเสนอและให้ผ้เู รียนฝึกปฏิบตั ติ าม 2.4 ผู้สอนสาธิตการใช้โปรแกรมด้านการคานวณเพื่อใช้ในการประมวลการเรียนของนกั เรียน และให้ผ้เู รียนฝึกปฏิบตั ติ าม 2.5 ผ้สู อนทาการทดสอบปฏิบตั กิ ารใช้โปรแกรมประยกุ ต์พืน้ ฐานเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
94 3. ส่ือการเรียนการสอน 3.1 เอกสารประกอบการสอน 3.2 เอกสารประกอบการบรรยาย โดยใช้โปรแกรม Power point 3.3 โปรแกรมประยกุ ตพ์ ืน้ ฐานการวัดผลและการประเมิน 1. สงั เกตความสนใจของผ้เู รียนในการศกึ ษา 2. ผลการฝึ กปฏิบตั กิ ารใช้โปรแกรมประยกุ ต์พืน้ ฐาน 3. คาถามท้ายบทเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
95 บทท่ี 5 การใช้โปรแกรมประยุกต์พนื้ ฐานสาหรับครู 5.1 บทนา 5.2 ความสาคญั ของโปแกรมประยกุ ตพ์ ืน้ ฐานสาหรับครู 5.3 การใช้โปรแกรมประยกุ ตป์ ระเภทโปรแกรมประมวลผลคาสาหรับครู 5.4 การใช้โปรแกรมประยกุ ตป์ ระเภทโปรแกรมคานวณสาหรับครู 5.5 การใช้โปรแกรมประยกุ ต์ประเภทโปรแกรมนาเสนอสาหรับครู 5.6 สรุป 5.7 คาถามท้ายบท 5.8 เอกสารอ้างอิง5.1 บทนา โปรแกรมประยกุ ต์สาหรับงานทว่ั ไป เป็ นโปรแกรมท่ีมีผ้จู ดั ทาไว้ เพ่ือใช้ในการทางานประเภทตา่ งๆ ทว่ั ไป โดยผ้ใู ช้คนอื่นๆ สามารถนาโปรแกรมนีไ้ ปประยกุ ตใ์ ช้กบั ข้อมลู ของตนได้ แตจ่ ะไมส่ ามารถทาการดัดแปลง หรือแก้ ไขโปรแกรมได้ ครูซึ่งเป็ นผู้ใช้ไม่จาเป็ นต้องเขียนโปรแกรมเอง เป็ นการประหยดั เวลา แรงงาน และคา่ ใช้จา่ ยในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี ้ยงั ไมต่ ้องใช้เวลามากในการฝึ กและปฏิบตั ิ โปรแกรมสาเร็จรูปนี ้มักจะมีการใช้งานในหน่วยงานท่ีขาดบุคลากรท่ีมีความชานาญเป็ นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดงั นนั้ การใช้โปรแกรมสาเร็จรูปจึงเป็ นส่ิงท่ีอานวยความสะดวกและเป็ นประโยชน์อย่างย่ิง ตวั อย่างโปรแกรมสาเร็จรูปท่ีนิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop,SPSS, Internet Explorer และ เกมส์ตา่ งๆ เป็นต้น ในหน่วยงานการศกึ ษา ครูหรือบคุ ลากรทางการศกึ ษาจงึ ต้องทาความรู้จกั และเรียนรู้การใช้โปรแกรมดงั กล่าวท่ีสอดคล้องกบั ลกั ษณะงานแตล่ ะด้านของครูเพ่ือช่วยให้มีการทางานท่ีงานที่สะดวกรวดเร็ว และมีประสทิ ธิภาพมากท่ีสดุเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
965.2 ความสาคัญของโปรแกรมประยุกต์สาหรับครู การนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจดั การศกึ ษา สิง่ สาคญั ที่ผ้จู ะเป็นครูจะต้องศกึ ษาคือความสามารถในการใช้โปรแกรมประยุกต์ประเภทต่างๆ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกบั การปฏิบตั ิหน้าท่ีของผู้ท่ีเป็ นครูโดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมพืน้ ฐาน ซึ่งเป็ นโปรแกรมเบือ้ งต้นที่ครูจะใช้ในการทางานทางด้านการศกึ ษา เชน่ การใช้โปรแกรมประเภทประมวลผลคาจดั ทาเอกสารประกอบการสอนหรือการทาหนังสือราชการ การใช้โปรแกรมประเภทคานวณในการบันทึกข้อมูลและประมวลผลคะแนนของนกั เรียน และการใช้โปรแกรมประเภทนาเสนอในการสร้างส่ือประกอบการสอนของผ้สู อนเพื่อกระต้นุ และดงึ ดดู ความสนใจของผ้เู รียนให้มากขนึ ้5.3การใช้โปรแกรมประยกุ ต์ประเภทโปรแกรมประมวลผลคาสาหรับครู โปรแกรมประมวลคา หมายถึง การพิมพ์เอกสารโดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการสร้าง แก้ไข เพ่ิมเติม คดั ลอกจดั รูปแบบเอกสาร ตลอดจนการเก็บบนั ทึกเอกสารนนั้ ลงในสื่อบนั ทกึ ข้อมลู ตา่ ง ๆ เช่น แผ่นบนั ทกึ เพ่ือให้พกพาติดตวั ไปใช้กบั เคร่ืองอ่ืนแฟ้ มเอกสารท่ีเก็บไว้แล้วนี ้สามารถเรียกมาแสดงผลบนจอภาพเพื่อทาการดัดแปลงใหม่ได้อีกด้วย หรือเพ่ือสามารถเรียกใช้งานในภายหลงั ได้ซ่ึงการกระทาดงั กล่าวนีจ้้ ะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็ นอปุ กรณ์หลกั ในการทางาน ลกั ษณะใช้งานซอฟต์แวร์ประมวลคาจะเป็นการเตรียมเอกสาร ท่ีมองเห็นงานพิมพ์ไปปรากฏท่ีจอภาพ ถ้าพิมพ์ผิดและต้องการแก้ไขเพ่ิมหรือตดั ทอนที่ตาแหน่งใด จะต้องเคลื่อนย้ายตัวชีห้ รือตวักระพริบบนจอภาพไปยงั ตาแหน่งนัน้ เพ่ือทาการแก้ไข เนื่องจากสามารถแทรก หรือลบอกั ษรหรือข้อความได้ตลอด และโปรแกรม จะคงรูปให้เป็ นไปตามท่ีกาหนดไว้ จึงทาให้ไม่เสียเวลาและสิน้ เปลืองเหมือนการพมิ พ์เอกสารด้วยเคร่ืองพิมพ์ดดี ซงึ่ ถ้ามีข้อผิดพลาดจะต้องพมิ พ์ใหม่ 5.3.1 ประโยชน์ของโปรแกรมประเภทประมวลผลคา โปรแกรมประมวลคา มีประโยชน์ อาจสรุปได้ดงั นี ้ 1)ช่วยให้การจดั เก็บและค้นหาเอกสารมีความรวดเร็วมากขึน้ เพราะงานเอกสารต่าง ๆจะถกู จดั เก็บเป็นแฟ้ มข้อมลู ลงในส่ือบนั ทกึ ข้อมลู ตา่ ง ๆและสามารถค้นหาและเรียกใช้งานได้สะดวกรวดเร็ว 2) ช่วยลดปริมาณกระดาษท่ีจัดเก็บทาให้ประหยัดพืน้ ท่ีในการเก็บเอกสาร เพราะเอกสารจะถูกจัดเก็บอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ท่ีมีขนาดเล็กแต่มีความจุในการเก็บข้อมูลได้เป็ นจานวนมาก 3) ชว่ ยประหยดั เวลาและคา่ ใช้จา่ ยในการจดั พมิ พ์เอกสารเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
97 4) สามารถควบคมุ การแสดงตวั อกั ษรของข้อความที่อาจเป็ นตวั เข้มตวั หนาตวั เอียงและขีดเส้นใต้ที่ตาแหนง่ ตา่ งๆได้อยา่ งอิสระการพิมพ์เอกสารออกทางเคร่ืองพิมพ์จะได้แบบของตวั อกั ษรที่สวยงามตามต้องการ 5) ช่วยสร้ างเอกสารให้มีความสวยงาม ทัง้ นีเ้ พราะผู้ใช้สามารถนารูปภาพ รูปวาดภาพกราฟิกตา่ ง ๆ มาแทรกลงในเอกสารได้โดยตรง 6) มีคาสั่งในการเรียกค้นคาหรือข้อความที่มีอยู่ในเอกสารได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้สามารถแก้ไขดดั แปลงได้สะดวกและรวดเร็วขนึ ้ นอกจากการเรียกค้นแล้วยงั สามารถให้มีการแทนท่ีคาหรือข้อความเดมิ ด้วยข้อความใหม่ได้ทนั ทีอย่างอตั โนมตั เิ ช่นการเปลี่ยนข้อความจาก\"ประมวลคา\"เป็ น\"โปรแกรมประมวลคา\"ในทกุ ๆแหง่ ที่พบในเอกสารนนั้ เป็นต้น 7) ช่วยให้การทางานกับเอกสารถูกต้องและมีข้อผิดพลาดน้ อยลง เพราะผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบความถกู ต้องของเอกสารได้โดยตรงบนหน้าจอจนพอใจจะสง่ั พิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพิมพ์ หรืออาจใช้ระบบการตรวจสอบคาผิดแบบอัตโนมัติ ในการตรวจสอบการสะกดหรือไวยากรณ์ของภาษาก็ได้ 5.3.2 การใช้โปรแกรมประยกุ ต์ประเภทประมวลผลคาในการพิมพ์หนงั สือราชการ โปรแกรมประยกุ ต์ประเภทประมวลผลคาจะถกู นามาใช้ในการจดั ทาเอกสาร ดงั นนั้ ผ้ทู ี่เป็ นครูจงึ ควรศกึ ษาเกี่ยวกบั รูปแบบของเอกสารประเภทตา่ งๆ เพ่ือทาให้ใช้โปรแกรมจดั ทาเอกสารได้อย่างถกู ต้อง โดยในการอธิบายในส่วนนีจ้ ะขออธิบายในการใช้โปรแกรมประยกุ ต์ ไมโครซอฟท์เวิร์ด เพื่อทาหนงั สือราชการแบบภายในและภายนอก การจดั หน้าและการทาหนงั สือราชการภายนอก หนังสือราชการภายนอก เป็ นเอกสารท่ีใช้ในการติดตอ่ ประสานงานกับหน่วยงานท่ีไม่ได้มีการบริหารงานภายใต้สถาบนั เดียวกนั เป็นเอกสารท่ีใช้ในการดาเนินการระหวา่ งสถาบนั ซึ่งมีการตงั้ คา่และรูปแบบการพมิ พ์เอกสารดงั นี ้ 1) การตงั้ คา่ โปรแกรม 1.1) การตงั้ ระยะขอบหน้ากระดาษ - ขอบซ้าย 3 เซนตเิ มตร ขอบขวา 2 เซนตเิ มตร - ขอบบน 2.5 เซนตเิ มตร ขอบลา่ งประมาณ 2 เซนตเิ มตร 1.2) การตงั้ ระยะบรรทดั ให้ใช้คา่ ระยะบรรทดั ปกติ คือ 1 เทา่ หรือ Single 1.3) การกนั้ คา่ ไม้บรรทดั ระยะการพมิ พ์อยรู่ ะหวา่ ง 0-16 เซนตเิ มตรเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
98 2) ขนาดตราครุฑ 2.1) ตราครุฑสงู 3 เซนติ เมตร 2.2) การวางตราครุฑให้วางห่างจากขอบกระดาษบนประมาณ 2.5 เซนติเมตร(ชิดขอบบน) 3) การพมิ พ์ 3.1) ใช้รูปแบบตวั พิมพ์ไทยสารบรรณ (TH Sarabun PSK) ขนาด 16 พอยท์ 3.2) การพิมพ์ “ ท่ี” และ “ สว่ นราชการเจ้าของหนงั สือ” ให้พมิ พ์ตรงกบั แนวเท้าของตราครุฑ 3.3) การพิมพ์ชื่อเดือนให้ตวั อกั ษรตวั แรกอยตู่ รงกบั แนวเท้าขวาของตราครุฑ 3.4 ) การพิมพ์เรื่องคาขึน้ ต้น อ้างถึง ส่ิงท่ีสง่ มาด้วย ให้มีระยะบรรทดั ระหวา่ งกันเทา่ กบั ระยะบรรทดั ปกติ และเพ่มิ คา่ กอ่ นหน้าอีก 6 พอยท์ (1 Enter + Before 6 pt) 3.5 ) การย่อหน้าข้อความภาคเหตุ ภาคความประสงค์ และภาคสรุป ให้มีระยะยอ่หน้าตามคา่ ไม้บรรทดั ระยะการพิมพ์ เทา่ กบั 2.5 เซนติ เมตร 3.6) การพิมพ์คาลงท้าย ให้พิมพ์ตวั อักษรตวั แรกอยู่ตรงกับแนวก่ึงกลางของตราครุฑและห่างจากบรรทัดสุดท้ ายของภาคสรุปเท่ากับระยะบรรทัดปกติและเพ่ิมค่าก่อนหน้ าอีก12 พอยท์ (1 Enter + Before 12 pt) 3.7) การพิมพ์ยศของผ้ลู งชื่อ ให้อย่หู น้าแนวกึ่งกลางของตราครุฑกับให้เว้นบรรทดั การพิมพ์ 2 บรรทดั ปกตแิ ละเพมิ่ คา่ ก่อนหน้าอีก 6 พอยท์ (2 Enter + Before 6 pt) จากคาลงท้าย 3.8) การพิมพ์ชื่อเตม็ ของเจ้าของหนงั สือ ( ชื่อสกลุ ) และตาแหน่ง ให้ถือคาลงท้ายเป็ นหลกั โดยให้อยกู่ ่ึงกลางซง่ึ กนั และกนั ในกรณีท่ีต้องพิมพ์ตาแหนง่ 2 บรรทดั ระหวา่ งบรรทดั ให้ใช้ระยะ 1 Enter 3.9) ระยะระหว่างตาแหน่งกับส่วนราชการเจ้าของเรื่อง ให้พิจารณาตามความเหมาะสมของพืน้ ที่ ที่เหลืออย่ใู นหน้ากระดาษนนั้ โดยสามารถเลือกใช้ระยะบรรทดั 1 Enter หรือ1 Enter + Before 6 pt หรือ 2 Enter ได้ตามความเหมาะสมเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
99 รูปท่ี 5.1ตวั อยา่ งการจดั หน้าเอกสารหนงั สอื ราชการภายนอก ท่มี า www2.ect.go.th/เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
100 การจดั หน้าและการทาหนงั สือราชการภายใน หรือบนั ทกึ ข้อความ หนังสือภายใน คือหนังสือติดต่อราชการท่ีเป็ นแบบพิธีการน้อยกว่าหนังสือภายนอก เป็ นหนังสือติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกัน ใช้กระดาษบันทึกข้อความ เพื่อประสานงานภายในสถาบนั หรือหนว่ ยงานเดียวกนั สว่ นประกอบของหนงั สือราชการภายนอกจะมีดงั นี ้ สว่ นราชการ ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของหนงั สือหรือหนว่ ยงานที่ออกหนงั สือ โดยมีรายละเอียดพอสมควร เชน่ สานกั งานเลขานกุ าร ฝ่ ายบริการทรัพยากรสารนเิ ทศกลาง เป็นต้น ที่ ให้ลงเลขรหสั ตวั พยญั ชนะและเลขประจาของเจ้าของเร่ืองทบั เลขทะเบียนหนงั สือสง่ เชน่ ท่ี ศธ 9463 (6).1.1/ วนั เดือน ปี ให้ลงตวั เลขของวนั ท่ี ช่ือเตม็ ของเดือน และตวั เลขของปี พทุ ธศกั ราชท่ีออกหนงั สือ เชน่ 30 มกราคม 2552 การพิมพ์วนั เดือน ปี ของหนงั สือราชการภายในจะพิมพ์เป็นตวั ยอ่ ได้ เชน่ 30 ม.ค. 52 เร่ือง ให้ลงชื่อเร่ืองยอ่ ที่เป็นใจความสนั้ ท่ีสดุ ของหนงั สือฉบบั นนั้ ในกรณีที่เป็นหนงั สือตอ่ เน่ืองโดยปกตใิ ห้ลงเรื่องของหนงั สือฉบบั เดมิ คาขนึ ้ ต้น ใช้ตามฐานะของผ้รู ับหนงั สือ นิยมใช้คาวา่ “เรียน” ข้อความ ให้ลงสาระสาคญั ของเรื่องให้ชดั เจนและเข้าใจงา่ ย หากมีความประสงค์หลายประการให้แยกเป็ นข้อ ๆ ในกรณีที่มีการอ้างถึงหนงั สือที่เคยมีตดิ ตอ่ กนั หรือมีสง่ิ ที่สง่ มาด้วยให้ระบไุ ว้ในข้อนี ้ ลงช่ือและตาแหนง่ ให้เว้น 2 บรรทดั จากบรรทดั สดุ ท้ายของข้อความ เริ่มต้นพิมพ์จาก ก่ึงกลางหน้ากระดาษ พิมพ์ชื่อและนามสกลุ ไว้ในวงเล็บ สาหรับตาแหนง่ ขนึ ้ บรรทดั ใหม่ 1 ระยะบรรทดั และพิมพ์วางศนู ย์กบั ชื่อและนามสกลุ ที่อยใู่ นวงเลบ็ นนั้ การจดั หน้าของหนงั สือราชการภายในนนั้ มีลกั ษณะแตกตา่ งจากหนงั สือราชการภายนอกซง่ึ มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี ้ 1) การตงั้ คา่ ในโปรแกรมการพิมพ์ 1.1) การตงั้ ระยะขอบหน้ากระดาษ - ขอบซ้าย 3 เซนตเิ มตร ขอบขวา 2 เซนตเิ มตร - ขอบบน 2.5 เซนติ เมตร ขอบลา่ งประมาณ 2 เซนตเิ มตร 1.2) การตงั้ ระยะบรรทดั ให้ใช้คา่ ระยะบรรทดั ปกติ คือ 1 เทา่ หรือ Single 1.3) การกนั้ คา่ ไม้บรรทดั ระยะการพิมพ์ อย่รู ะหวา่ ง 0 - 16 เซนตเิ มตรเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190