วารสารสาธารณสขุ ล้านนา คณะทีป่ รึกษา นพ.ศภุ ชัย ฤกษ์งาม อดตี ผ้ทู รงคณุ วุฒดิ ้านเวชกรรมปอ้ งกนั กรมควบคมุ โรค นพ.อรรถพล ชีพสตั ยากร อดีตผ้ทู รงคณุ วุฒิดา้ นเวชกรรมป้องกนั กรมควบคมุ โรค รศ.ดร.นมิ ติ ร มรกต คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ นพ.สเุ มธ องคว์ รรณดี ผ้อู านวยการสานกั งานปอ้ งกันควบคุมโรคท่ี 1 เชยี งใหม่ บรรณาธกิ าร นายแพทยส์ รุ เชษฐ์ อรโุ ณทอง รองผ้อู านวยการสานักงานปอ้ งกันควบคมุ โรคท่ี 1 เชยี งใหม่ รองบรรณาธิการ ดร.นารถลดา ขนั ธิกุล สานกั งานป้องกนั ควบคมุ โรคที่ 1 เชยี งใหม่ กองบรรณาธิการ ศ.ดร.นพ.คม สุคนธสรรพ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ศ.ดร.นพ.พงศเ์ ทพ ววิ รรธนะเดช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ศ.ดร.ธรี ภาพ เจริญวริ ิยะภาพ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ รศ.ดร.ปรัชญา สมบรู ณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ รศ.ดร.สมเดช ศรชี ัยรตั นกลู คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ รศ.ดร.เพญ็ ประภา ศวิ โิ รจน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ รศ.นพ.เกรยี งไกร ศรีธนวิบญุ ชยั คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ รศ.ดร.ปิยะรัตน์ บุตราภรณ์ คณะเวชศาสตรเ์ ขตร้อน มหาวทิ ยาลยั มหิดล รศ.ดร.จรณติ แกว้ กังวาล คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลยั มหิดล ผศ.ดร.พญ.สารนาถ ล้อพลู ศรนี ยิ ม คณะเวชศาสตร์เขตรอ้ น มหาวทิ ยาลยั มหิดล ผศ.ดร.ยุทธนา หม่นั ดี คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลยั พะเยา ดร.ประยทุ ธ สดุ าทิพย์ สานักโรคติดตอ่ นาโดยแมลง กรมควบคุมโรค ดร.องั คณา แซเ่ จง็ สานักโรคตดิ ต่อนาโดยแมลง กรมควบคุมโรค นพ.จรัส สงิ หแ์ ก้ว ผู้อานวยการโรงพยาบาลสารภี สานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ นพ.เจรญิ ชูโชติถาวร สถาบนั โรคทรวงอก กรมควบคมุ โรค นพ.นฐั พนธ์ เอกรักษ์ร่งุ เรือง สานกั งานปอ้ งกันควบคมุ โรคท่ี 1 เชียงใหม่ ดร.อดลุ ย์ศกั ด์ิ วจิ ิตร สานักงานป้องกนั ควบคมุ โรคที่ 1 เชียงใหม่ นพ.วาที สทิ ธิ สานกั งานปอ้ งกันควบคมุ โรคที่ 1 เชยี งใหม่ นายอานวย ทพิ ศรรี าช สานักงานปอ้ งกันควบคมุ โรคที่ 1 เชยี งใหม่ ดร.เจรญิ ศรี แซต่ ง้ั สานักงานป้องกนั ควบคุมโรคที่ 1 เชยี งใหม่ ดร.วราพันธ์ุ พรวิเศษศริ ิกลุ สานกั งานปอ้ งกันควบคุมโรคที่ 1 เชยี งใหม่ คณะจดั การและเตรียมต้นฉบับ คณะประชาสมั พนั ธ์ นางสาวยภุ าพร ศรีจันทร์ นางสาวนพพร ศรผี ดั นายเกรยี งศกั ด์ิ ขตั ิยะ นายสวาท ชลพล นายกีรตกิ านต์ แกว้ เรือน นางสาวพชั ณี สมทุ รอาลัย นางสาวเกสรา ไชยลอ้ ม นางสาวชุตญิ า ไชยมณี เจา้ ของ สานักงานปอ้ งกนั ควบคมุ โรคท่ี 1 เชยี งใหม่ (กลุ่มพัฒนานวัตกรรมและวิจยั ) เลขท่ี 447 ถนนลาพนู ตาบลวดั เกต อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ 50000 โทรศพั ท์ 053-221529 ต่อ 203 โทรสาร 053-212389 E-mail: [email protected] Website: https://tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/ กาหนดออก ปลี ะ 2 ครงั้ หรอื ราย 6 เดอื น (มกราคม - มิถนุ ายน, กรกฎาคม – ธนั วาคม)
วารสารสาธารณสขุ ล้านนา LANNA PUBLIC HEALTH JOURNAL E-ISSN 2672-930X ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม – มถิ นุ ายน 2563 Volume 16 No. 1 January – June 2020 สารบญั หน้า CONTENTS PAGE ปจั จยั ท่ีมคี วามสมั พันธ์ต่อพฤตกิ รรมการปอ้ งกนั ควบคมุ 1 Factors Related to Hand, Foot and Mouth โรคมอื เท้าปากของผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนา Disease Prevention and Control Behaviors เดก็ เล็ก อาเภอลี้ จังหวดั ลาพนู among Caregivers in Childcare Centers, ชฎาพร โทปุรนิ ทร์ และคณะ Li District, Lamphun Province Chadaporn Topurin et al. ปจั จยั ท่มี ผี ลตอ่ การปฏิบัตใิ นการป้องกนั การติดเชื้อ 13 Factors Related to Prevention Practice สเตรปโตคอกคัส ซอู สิ ของประชาชน จังหวดั เชียงใหม่ Streptococcus suis Infection of People in กลุ จิรา เพ็ชรกุล และกรรณกิ าร์ ณ ลาปาง Chiang Mai Province Kuljira Pechkul and Kannika Na Lampang ความสมั พันธร์ ะหวา่ งคา่ ฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ ไมเ่ กิน 2.5 24 The Relationship between Airborne particulate ไมครอน (PM2.5) กบั โรคเยอ่ื บตุ าอักเสบ ที่ matter 2.5 µ (PM2.5) and conjunctivitis in the โรงพยาบาลดารารศั มี Patients at Dararassamee Hospital แวว ขัตติพฒั นาพงษ์ Waeo Kattipatanapong ประสทิ ธภิ าพของสารกาจดั ลูกนา้ เทมฟี อส 32 Field Studies on Efficiency of Temephos, ไดฟูเบนซรู อน และแบคทีเรียควบคมุ ลกู นา้ ชนิดบีทไี อ Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var. เพื่อการควบคุมลกู นา้ ยุงลายบ้าน Aedes aegypti (L.) israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). ในภาคสนาม Kanitta Pankeaw et al. ขนษิ ฐา ปานแก้ว และคณะ พฤติกรรมที่มีความสัมพันธก์ บั การสญู เสยี ฟนั ใน 46 Behaviors Related to Teeth Loss in the Elderly, ผูส้ งู อายุ ตาบลข่วงเปา อาเภอจอมทอง จังหวัด Khuangpao Sub-district, Chomthong District, เชยี งใหม่ Chiangmai Province กวนิ ธิดา สงิ ห์ทะ และคณะ Kawinthida Singtha et al.
สารบญั (ต่อ) หนา้ CONTENTS PAGE การสอบสวนและควบคมุ โรคตดิ เช้ือไวรสั ซกิ า 57 The Investigation and Disease Control of Zika อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง ปี 2561 outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 ศุภฤกษ์ ทฉิ ลาด และคณะ Suparerk Tichaladd et al. ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ คณุ ภาพชวี ติ ของผู้ปว่ ยประคับประคอง 70 Factors affecting the Quality of Life of the ทีม่ ารบั การรกั ษาที่คลนิ กิ ประคบั ประคอง แผนกผูป้ ว่ ย Palliative Care Patient at Palliative Care Clinic, นอก โรงพยาบาลลาพูน Lamphun Hospital ช่อทพิ ย์ พรหมมารตั น์ Chortip Prommarat การพฒั นารปู แบบการดาเนินงานปอ้ งกันการบาดเจบ็ 82 Development of an Operational Model to จากอบุ ัติเหตทุ างถนนในระดบั อาเภอ กรณศี กึ ษา Prevent Road Traffic Injury: A Case Study in อาเภอทงุ่ ช้าง จังหวดั นา่ น Thung Chang District, Nan province อารุณรตั ศ์ อรุณนุมาศ และวิสทิ ธ์ิ มารินทร์ Aroonrat Aroonnumas and Wisit Marin ผลของโปรแกรมการปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมเพอ่ื 94 Effect of Behavior Based Safety Program on ความปลอดภยั ท่มี ตี ่อพฤตกิ รรมความปลอดภัยในการ Safety at Work Behaviors among Cleaning ทางานของพนักงานทาความสะอาด ในโรงพยาบาล Personal in a Tertiary Hospital, Pathumthani ตติยภมู ิแห่งหนง่ึ ในจงั หวัดปทมุ ธานี Province กนกวรรณ วรปัญญา และคณะ Kanokwan Worapanya et al. ความครอบคลุมการกระจายมุ้งชบุ สารเคมชี นดิ 106 Coverage of Long-Lasting Insecticidal Nets ออกฤทธิ์ยาวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคุมโรคไข้ (LLINs) Distribution for Malaria Control in มาลาเรีย ในประเทศไทย Thailand เจดิ สุดา กาญจนสวุ รรณ และคณะ Jerdsuda Kanjanasuwan et al. ปัจจัยท่ีมคี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการปอ้ งกันโรค 119 Factors related to the Helminth Preventive หนอนพยาธิของประชาชนในพ้นื ทท่ี ุรกนั ดาร Behaviors of People in Remote Areas ตาบลแมส่ าว อาเภอแม่อาย จังหวดั เชียงใหม่ Mae Sao Sub-District, Mae Ai District, Chiang Mai Province ยุภาพร ศรจี นั ทร์ และคณะ Yupaporn Srichan et al.
คำแนะนำสำหรบั ผเู้ ขยี น วารสารสาธารณสขุ ล้านนา สานกั งานปอ้ งกนั ควบคุมโรคท่ี 1 เชียงใหม่ ยินดรี บั บทความวิชาการและ ผลงานวิชาการที่เกี่ยวกับการส่งเสริม การดูแลรักษา การเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ เพื่อ เผยแพร่องค์ความรู้แก่หน่วยงานดา้ นการแพทย์ สาธารณสุข และผสู้ นใจ โดยเร่ืองทจ่ี ะสง่ ตีพมิ พ์ตอ้ งไม่เคยตพี มิ พ์ หรอื กาลังตีพมิ พ์ในวารสารใดๆ มากอ่ น ทั้งนี้กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจทานแก้ไขต้นฉบบั และ พจิ ารณาตามลาดับกอ่ น หลงั และตามหลักเกณฑ์คาแนะนาดงั ต่อไปน้ี หลักเกณฑ์กำรส่งเร่ืองเพ่อื ตีพิมพ์ 1. บทควำมทส่ี ง่ ลงพมิ พ์ นิพนธต์ ้นฉบับ (Original article) เป็นรายงานผลการศึกษา คน้ คว้า หรือวจิ ัย การเขยี นเปน็ บทหรอื ตอนตามลาดับดังนี้ บทคัดย่อ บทนา วัตถุประสงค์ วิธีการศึกษา ผลการศึกษา อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ กติ ตกิ รรมประกาศ เอกสารอา้ งอิง ความยาวของเรื่องไม่เกิน 15 หน้าพิมพ์ บทควำมวิชำกำรทั่วไป (General article) ควรเป็นบทความท่ีใหค้ วามร้ใู หม่ รวบรวมสงิ่ ตรวจพบ ใหม่หรือเรื่องท่ีน่าสนใจที่ผ้อู ่านนาไปประยุกต์ได้ หรือเป็นบทความวิเคราะห์สถานการณ์โรคต่างๆ โดยเรยี บ เรียงจากวารสาร หรือหนงั สือต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย บทนา ความรู้โรคท่ีนามาเขียน บท วจิ ารณ์ และเอกสารอ้างองิ ความยาวไมเ่ กิน 15 หนา้ พิมพ์ รำยงำนผู้ป่วย (Case report) เป็นรายงานผู้ป่วยที่ไม่ค่อยพบได้บ่อย หรือไม่เคยพบมาก่อน ประกอบด้วย บทนา รายงานผูป้ ่วย วิจารณ์ สรปุ กิตติกรรมประกาศ และเอกสารอา้ งอิง ยอ่ เอกสำร (Abstract) อาจยอ่ บทความภาษาตา่ งประเทศ หรือภาษาไทย ท่ตี พี มิ พ์ไม่เกิน 3 ปี ควรมี บทวจิ ารณ์สั้นๆ ของผู้ย่อดว้ ย 2. กำรเตรยี มต้นฉบับเพือ่ ลงตีพิมพ์ 2.1 ขนาดของต้นฉบับ ใช้กระดาษขนาด A4 (8.5 x 11 น้ิว) พิมพ์หน้าเดียวโดยใช้ Font: Cordia UPC ขนาด 16 เว้น และพิมพโ์ ดยเว้นระยะห่างจากขอบกระดาษดา้ นละ 1 นวิ้ ระยะบรรทดั 1 บรรทดั เพือ่ สะดวก ในการอ่านและปรบั ตรวจแก้ไขภาพประกอบ เป็นภาพสี หรอื ขาวดา การเขยี นคาอธบิ ายให้เขียนแยกต่างหาก ใตภ้ าพ ความยาวไม่เกนิ 15 หน้า 2.2 ตน้ ฉบบั เปน็ ภาษาไทย หรอื ภาษาอังกฤษ ความยาวเรอื่ งไมเ่ กนิ 15 หน้า ประกอบดว้ ยหัวข้อและ เรียงลาดับให้ถูกต้อง ดังนี้ บทคัดย่อ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) บทนา วิธีการศึกษา (สาหรบั งานวิจัยทีท่ า ในมนษุ ยใ์ หแ้ จง้ หมายเลขการรบั รองจรยิ ธรรมการวิจัยในมนษุ ย์ด้วย) ผลการศึกษา อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ เอกสารอา้ งอิง รวมทง้ั ตารางและรปู 2.3 ต้นฉบับ จะต้องประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ดังตอ่ ไปนี้ ชือ่ เรอื่ ง ควรสนั้ กะทัดรดั ใหไ้ ด้ใจความท่คี รอบคลมุ และตรงกบั วัตถปุ ระสงค์และเนอ้ื หา ชือ่ เร่อื งต้อง มที ้ังภาษาไทยและภาษาองั กฤษ ชือ่ ผเู้ ขียน ให้ใชค้ าเตม็ มีทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อยอ่ ปรญิ ญา หรือคุณวฒุ ิ (สาขาสูงสดุ ) ท้ัง ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ
ชอื่ หนว่ ยงำน ใหใ้ ชค้ าเต็ม มที ้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทคดั ยอ่ คือ การยอ่ เนอ้ื หาสาคญั เฉพาะทจี่ าเปน็ เทา่ น้ัน ระบุตัวเลขทางสถิตทิ ีส่ าคัญ ใช้ภาษารดั กมุ เป็นประโยคสมบูรณ์ และเป็นร้อยแก้ว ให้พิมพ์ใน 1 ย่อหน้า ไม่แบ่งเป็นข้อๆ ความยาวไม่เกิน 15 บรรทัด ห รื อ ไม่ เ กิ น 300 คา ป ร ะ ก อ บ ด้ วย บ ท น า ( ควา ม ส า คั ญ แ ล ะ ควา ม เ ป็ น ม า ) วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ วิธีการศึกษา ผลการศึกษา และบทสรุป หรือข้อเสนอแนะ (อย่างย่อ) ไม่ต้องมีโครงสร้างกากับ ไม่ต้องมี เชิงอรรถอ้างอิงถึงเอกสารอยู่ในบทคัดย่อ บทคัดย่อต้องเขียนท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คาสาคัญ หรอื คาหลัก (Key words) ไม่เกนิ 5 คาหลกั ใส่ไว้ท้ายบทคดั ยอ่ สาหรบั ทาดัชนเี รื่อง (Subject index) บทนำ อธบิ ายความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาท่ีทาการวจิ ัยศกึ ษาค้นคว้าของผูอ้ ่ืนท่ีเกย่ี วข้อง วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั สมมตุ ิฐานและขอบเขตของการวจิ ยั (ถ้าม)ี วิธีกำรศึกษำ อธิบายถึงรปู แบบวิธีการวิจยั สถานท่ี วันเวลาที่ศึกษา วัสดุและวิธีการ วิธีการรวบรวม ข้อมูล วธิ กี ารเลือกสุ่มตัวอยา่ งและการใช้เครื่องมอื ช่วยในการวจิ ยั มาตรฐาน และสถิตทิ ีใ่ ช้ ผลกำรศึกษำ อธิบายจากสิ่งท่ีได้พบจากการวิจัย โดยเสนอหลักฐานและข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ พร้อมทั้งแปลความหมายของผลทคี่ ้นพบ หรือวิเคราะห์ แล้วพยายามสรุปเปรยี บเทยี บกับสมมุติฐานท่ีวางไว้ อ่านทาความเขา้ ใจงา่ ย ผลต้องสอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา บรรยายเป็นร้อยแกว้ ถ้ามตี วั เลขมาก ตัวแปรมากให้ใช้ตาราง และแปลความหมายของผลท่ีพบ หรือวิเคราะห์จากตาราง แสดงเฉพาะที่สา คัญๆ ตารางพิมพ์แยกต่างหาก เรียงลาดับก่อน-หลัง ตามที่อ้างอิงในเนื้อเรื่อง และมีคาอธิบายเพ่ิมเติมในตาราง ภาพประกอบ อภิปรำยผล ควรเขียนการอภิปรายผลการวิจัยว่าเป็นไปตามสมมุติฐาน/วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ เพียงใด เหมือนหรือแตกต่างจากผู้อ่ืนหรือไม่ เหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน เน้นเฉพาะสาคัญและใหม่ๆ ไม่ควรนา เนื้อหาในบทนา หรือผลการศึกษามากล่าวซ้าในอภิปรายผล ควรแสดงข้อเด่น ข้อบกพร่องของการศึกษา รวมทั้งข้อเสนอแนะสาหรับการศึกษาในอนาคต และควรอ้างอิงถึงทฤษฎี หรือผลการดาเนินงานของผ้อู ื่นที่ เกยี่ วขอ้ งประกอบด้วย สรุปใหต้ รงกบั ผลทต่ี ้องการจากวัตถปุ ระสงค์ ข้อเสนอแนะ ควรเขียนข้อเสนอแนะในการนาผลการศึกษาไปใช้ท่ีสอดคล้องกบั ผลการศึกษา หรือ ขอ้ เสนอแนะสาหรับการศกึ ษาคร้ังตอ่ ไป ควรสนั้ กะทดั รดั กิตติกรรมประกำศ เขียนขอบคุณส้ันๆ ต่อผู้ร่วมวิจัยและขอบคุณหน่วยงาน หรือบุคคลที่สนบั สนุน วิจัยท้งั ด้านวชิ าการและทนุ วิจยั เอกสำรอำ้ งองิ สาหรับบทความท่ีตีพิมพ์ในวารสารสาธารณสุขล้านนา กองบรรณาธิการกาหนดให้ผู้เขียนรวบรวม เอกสารอ้างอิงเฉพาะรายการเอกสารท่ีถูกอา้ งไว้ในส่วนเนือ้ เร่ืองเท่านน้ั ภายใตห้ ัวขอ้ \"เอกสำรอ้ำงองิ \" สาหรบั บทความภาษาไทย และ \"References\" สาหรับบทความภาษาอังกฤษ หลักเกณฑ์การเขียนเอกสารอ้างอิง กาหนดให้ผู้เขียนใชแ้ บบ APA citation style (American Psychological Association Citation Style) 6th Edition และผ้เู ขียนต้องรบั ผดิ ชอบในความถูกตอ้ งของเอกสารอ้างอิง
1. การเขียนเอกสารอ้างอิงในเอกสารหลัก หรือการอ้างอิงในเน้ือหาบทความ (citations in text) ใช้ ระบบนาม-ปี ดังน้ี ให้วงเล็บชื่อผู้แต่ง ใส่เครื่องหมายจุลภาค (,) ตามด้วยปี พ.ศ.ที่เผยแพร่ เช่น ภาษาไทย (ธรี ะ รามสตู และคณะ, 2526) ภาษาองั กฤษ (Ramasoota et al., 1983) 2. การเขียนเอกสารอ้างอิงท้ายบทความ ใช้ระบบอ้างอิง APA ผู้เขียนภาษาไทยให้เรียงช่ือ นามสกุล ถ้าเป็นภาษาอังกฤษให้เรียงนามสกุล ชื่อ หากเป็นภาษาอังกฤษให้ใช้ชื่อวารสารเต็มตามหนังสือ Index Medicus โดยเรียงลาดับการอ้างอิงตามลาดับตัวอักษร และให้การอ้างอิงท่ีเป็นภาษาไทยขึ้นก่อน รายละเอียดดงั รปู แบบการเขยี นเอกสารอา้ งองิ 3. กำรเตรยี มตน้ ฉบับเพ่อื กำรส่งบทควำมเพือ่ ตีพิมพ์ 3.1 รูปแบบและขนาดอกั ษรทใ่ี ชใ้ นเรือ่ งกาหนดไว้ดงั น้ี ต้นฉบับภาษาไทย – Font: Cordia UPC ขนาด 16 เว้น ระยะห่าง 1 บรรทดั ชื่อเร่อื งพิมพ์ตวั หนา ขนาด 20 ชอ่ื ผแู้ ตง่ หนว่ ยงานทส่ี ังกัด และหัวข้อเรอื่ งพิมพ์ตัวหนา ขนาด 16 และเนอื้ เรือ่ งพิมพ์ตวั ปกติ ขนาด 16 ตน้ ฉบับภาษาองั กฤษ – Font: Cordia UPC ระยะหา่ ง 1 บรรทดั ชอื่ เร่ืองพิมพต์ วั หนา ขนาด 20 ชื่อผู้แต่ง หน่วยงานที่สงั กัด และหัวขอ้ เรอื่ งพิมพ์ตวั หนา ขนาด 16 และเน้อื เรื่องพมิ พ์ตวั ปกติ ขนาด 16 3.2 ตารางและรปู เขียนเปน็ ภาษาไทย หรอื องั กฤษ เรยี งลาดับตามเนอ้ื หา 3.3 การอ้างอิงเอกสารในเน้ือหา ใช้ระบบนาม-ปี ผู้นิพนธ์ต้องรับผิดชอบความถูกต้องของ เอกสารอ้างอิงทุกเรื่องจากตัวจริง หรือสาเนาตัวจริง ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่ไม่ได้รับการตีพิมพ์ อ้างอิงตาม รูปแบบ APA หากเปน็ เรอ่ื งท่ีมผี ู้นิพนธ์มากกว่า 6 คนข้ึนไป ให้ใส่เฉพาะชื่อแรกและตามด้วย \"และคณะ\" (et al.) ใช้ช่ือของวารสารตามที่กาหนดใน List of Journals Indexed in Index Medicus (ดูตัวอย่างการเขียน เอกสารอ้างอิงในหวั ข้อ การเขยี นเอกสารอ้างอิง) 4. กำรส่งต้นฉบบั 4.1 การส่งเร่ืองตีพมิ พ์ สง่ ทางเว็บไซต์ เท่าน้นั *** https://www.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/ 4.2 กรณีต้องการตดิ ตอ่ กองบรรณาธิการ สามารถติดตอ่ ทางไปรษณียอ์ ิเล็กทรอนิกส์ E-mail address: [email protected] 4.3 ผู้นิพนธ์จะต้องส่ง File ผลงานวิชาการเข้าไปในเว็บไซต์เพ่ือการลงทะเบียนบทความเพื่อขอรบั การตีพิมพ์ และส่งไฟล์ที่แก้ไขตามคาแนะนาของ Peer review พร้อมท้ัง Highlight ในส่วนที่ได้แก้ไขตาม คาแนะนา บันทึกด้วยโปรแกรม Microsoft Word ให้กองบรรณาธิการ ภายในวันทก่ี าหนด ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/ เทา่ นนั้ 4.4 การพิจารณาตีพิมพ์ ผลงานจะได้รับการตีพิมพ์เมือ่ ผูเ้ ชี่ยวชาญพิจารณาบทความมีความเห็นให้ ตีพิมพ์ได้ อย่างน้อย 1 ใน 2
5. กำรรับเร่อื งตน้ ฉบบั 5.1 เร่ืองท่ีรับไว้ กองบรรณาธิการจะแจ้งตอบรับใหผ้ เู้ ขียนทราบ และจะส่งให้ Peer review 2 ท่าน ร่วมพิจารณา โดยไม่เปดิ เผยชือ่ ผู้นิพนธ์ และ Peer review (Double-blind Peer Review) 5.2 เร่ืองท่ไี ม่ได้รับพจิ ารณาตีพมิ พ์ กองบรรณาธกิ ารจะแจง้ ให้ทราบ 5.3 เรื่องท่ีไดร้ ับพจิ ารณาพมิ พเ์ ผยแพร่ ผเู้ ขยี นสามารถ Download เอกสาร ไดท้ ี่เว็บไซต์ https://www.tci-thaijo.org/index.php/LPHJ/ ควำมรบั ผดิ ชอบ 1. วารสารสาธารณสุขล้านนาได้จัดทาเป็นแบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์ กรณีที่ผู้นิพนธ์ต้องการเล่ม วารสารสามารถแจ้งกองบรรณาธิการเพ่ือประสานโรงพิมพ์ให้เป็นกรณีเฉพาะ ท้ังนี้ผู้นิพนธ์จะต้องเป็น ผู้รับผิดชอบค่าใชจ้ ่ายตามราคาที่โรงพิมพ์กาหนด 2. บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารสาธารณสุขล้านนา ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการ หรือการวิจัย ตลอดจนเปน็ ความเห็นสว่ นตัวของผู้เขียน ไม่ใชค่ วามเหน็ ของสานกั งานป้องกนั ควบคุมโรคท่ี 1 เชียงใหม่ หรือ กองบรรณาธกิ ารแต่ประการใด ผู้เขียนจาเปน็ ต้องรบั ผิดชอบตอ่ บทความของตน และปฏิบัติตามจริยธรรมใน การตพี มิ พ์ของวารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา กำรเขียนเอกสำรอำ้ งองิ ใหอ้ า้ งองิ เอกสารภาษาไทยก่อนภาษาต่างประเทศเรยี งลาดับตามตวั อักษร 3.1 กำรอำ้ งอิงเนื้อหำในบทควำม โปรดสงั เกตเครื่องหมายวรรคตอน ผแู้ ตง่ กำรอ้ำงอิง กำรอำ้ งอิงนอก กำรอ้ำงองิ กำรอ้ำงอิง นอกวงเลบ็ ครั้งแรก วงเลบ็ ครั้งทสี่ อง ในวงเล็บครัง้ แรก ในวงเล็บครั้งทีส่ อง เป็นตน้ ไป เป็นต้นไป 1 คน Vardy (2015) Vardy (2015) (Vardy, 2015) (Vardy, 2015) 2 คน Vardy and Stone Vardy and Stone (Vardy & Stone, 2014) (Vardy & Stone, (2014) (2014) 2014) 3 คน Vardy, Stone, and Vardy et al. (2014) (Vardy, Stone, & Jones, (Vardy et al., 2014) Jones (2014) 2014) 5 คน Vardy, Stone, Jones, Vardy et al. (2014) (Vardy, Stone, Jones, (Vardy et al., 2014) Carrick, and Carrick, & Henderson, 2014) Henderson (2014) 6 คนข้ึน Vardy et al. (2014) Vardy et al. (2014) (Vardy et al., 2014) (Vardy et al., 2014) ไป องค์กร/ World Health WHO (2015) (World Health Organization (WHO, 2015) หนว่ ยงาน Organization (WHO, [WHO], 2015) 2015)
3.2 กำรอำ้ งอิงเอกสำรทำ้ ยบทควำม ภำษำอังกฤษ: ช่ือผู้แตง่ (ใช้ชื่อสกุลเตม็ ตำมด้วยอกั ษรย่อของช่ือ). (ปี พ.ศ.). ชอื่ เรือ่ ง. ช่ือวารสาร, ปที พ่ี มิ พ์ (ฉบบั ท่ีพิมพ)์ , หนา้ แรก-หนา้ สุดทา้ ย. ตวั อย่ำง McCombie, S. C. (1996). Treatment seeking for malaria: a review of recent research. Social science & medicine, 43(6), 933-945. ในกรณที ี่เปน็ บทควำมวชิ ำกำรท่เี ข้ำถึงโดยระบบ Online (Journal article on the internet) ตัวอย่าง นารถลดา ขนั ธิกลุ , ประยุทธ สุดาทิพย์, องั คณา แซ่เจ็ง, ร่งุ ระวี ทิพย์ มนตรี, วรรณภา สุวรรณเกิด. (2556). ปัจจัยทางสังคมและสิง่ แวดลอ้ มที่มีอิทธิพลตอ่ การระบาดของโรคไขเ้ ลอื ดออกในภาคเหนือตอนบน ประเทศไทย [online] [สืบคน้ เมอ่ื 5 พ.ค. 2556]; แหลง่ ขอ้ มูล: URL: http://thailand.digitaljournals.org/index.php/LPHJ/article/view/21913 Haynes, R. B., McDonald, H. P., Garg, A., & Montague, P. (2002). Interventions for helping patients to follow prescriptions for medications. Cochrane Database Syst Rev 2002. [cited 2005 May]; Available from: URL: http://www.mrw.interscience.wiley.com/ ในกรณีท่ผี ูแ้ ตง่ ไมเ่ กิน 6 คน ให้ใสร่ ายชอื่ ผู้แตง่ ทุกคนข้ันดว้ ยเครือ่ งหมายจลุ ภาค (,) แตถ่ ้าเกนิ 6 คน ให้ใส่ชอื่ 3 คนแรก แลว้ เตมิ et al. ถา้ เปน็ ภาษาไทย เกิน 6 คน ให้ใส่ชื่อ 3 คนแรก แล้วเตมิ และคณะ ภำษำไทย : ใช้เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ แต่ ช่ือผู้แต่งให้เขียนชื่อเต็มตำมด้วยนำมสกุล และใช้ชื่อวารสาร เป็นตัวเต็ม Font 16 ตัวอย่ำง ธรี ะ รามสตู . (2533). วิกฤตกิ ารณโ์ รคเอดส์ในสงั คมไทย. วารสารสงั คมศาสตรก์ ารแพทย์, 6(2), 69-81. 3.2.1 กำรอำ้ งองิ หนงั สอื หรอื ตำรำ ชื่อผู้แต่ง สกุล (อักษรย่อของชื่อหน่วยงาน). (ปีท่ีพิมพ์). ชื่อหนังสือ. คร้ังท่ีพิมพ์. เมืองท่ีพิมพ์: สานักพิมพ์, หนา้ แรก-หนา้ สดุ ท้าย. ตัวอยำ่ ง Fenner, F., Hall A. J., & Dowdle, W. R. (1998). What is eradication? In: Dowdle WR, Hopkins DR, 1st eds. The eradication of infectious diseases. Chichester: John Wiley & Sons, 13-18. 3.2.2 กำรอำ้ งองิ บทหนึง่ ในหนังสอื หรือตำรำ: ช่อื ผู้เขยี น ชอื่ สกุล. (ปีทพ่ี ิมพ์). ชอ่ื เรือ่ ง. ใน: (ชอื่ บรรณาธิการ), บรรณาธิการช่ือหนงั สอื , คร้งั ท่ีพิมพ.์ เมอื งทพี่ ิมพ์: สานกั พมิ พ์.
ตวั อย่ำง อมร ลีลารัศมี และสุรพล สุวรรณกูล. (2536). ระบาดวิทยาของโรคติดเช้ือเอชไอวีและเอดส์. ใน: อมร ลีลารัศม์ และสุรพล สุวรรณกูล บรรณาธิการ. โรคติดเชื้อเอชไอวีและเอดส.์ กรุงเทพมหานคร: ที พี พรนิ ท์ จากดั . 3.2.3 กำรอ้ำงองิ รำยงำนกำรประชมุ /สัมมนำ (Conference proceedings) ชื่อบรรณาธิการ, บรรณาธิการ. (ปีท่ีพิมพ์). ชื่อเรื่อง. ช่ือการประชุม. วันเดือนปีท่ีประชุม; สถานที่จัดประชมุ . เมืองทีพ่ มิ พ์: สานักพมิ พ์. 3.2.4 กำรอ้ำงอิงวทิ ยำนิพนธ์ ชื่อผู้เขียน. (ปีทีร่ ับปรญิ ญา). ชอ่ื เรอ่ื ง. ประเภทปรญิ ญา. ภาควชิ า คณะ เมอื ง: มหาวทิ ยาลัย. 3.2.5 บทควำมอิเลก็ ทรอนกิ ส์ทั่วไป ชื่อผู้เขียน. (ปที ่พี มิ พ)์ . ชอ่ื บทความ [ประเภทสอื่ ]. [สืบค้นเมอื่ /cited ปีเดือน วันท่ี]. แหลง่ ขอ้ มลู /Available from: http://.................. 3.2.6 กำรอำ้ งองิ อื่นๆ พจนานุกรมราชบณั ฑิตสถาน พ.ศ. 2525. (2538). พิมพค์ รัง้ ท่ี 5. กรงุ เทพฯ: อักษรเจริญทศั น,์ 545.
Factors Related to Hand, Foot and Mouth Disease Prevention and Control Behaviors among Caregivers in Childcare Centers, Li District, Lamphun Province ปจั จยั ทมี่ คี วามสัมพนั ธต์ อ่ พฤตกิ รรมการป้ องกนั ควบคุมโรคมอื เทา้ ปาก ของผ้ดู แู ลเด็กในศนู ยพ์ ฒั นาเด็กเล็ก อาเภอลี้ จงั หวดั ลาพนู Factors Related to Hand, Foot and Mouth Disease Prevention and Control Behaviors among Caregivers in Childcare Centers, Li District, Lamphun Province ชฎาพร โทปรุ ินทร์* ส.ม. (สาธารณสุขศาสตร)์ Chadaporn Topurin* M.P.H. (Public Health) อักษรา ทองประชมุ * ปร.ด. (สขุ ภาพระหว่างประเทศ) Aksara Thongprachum* Ph.D. (International Health) กรรณิการ์ ณ ลาปาง** ปร.ด. (ระบาดวิทยา) Kannika Na Lampang** Ph.D. (Epidemiology) * คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ Faculty of Public Health, Chiang Mai University ** คณะสตั วแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ Faculty of Veterinary Medicine, Chiang Mai University Received: Mar 25, 2020 Revised: April 8, 2020 Accepted: April 10, 2020 บทคดั ยอ่ การวิจยั แบบผสมผสานคร้ังนีม้ ีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการ ป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากของผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 28 แห่งในอาเภอลี้ จังหวัดลาพูน เกบ็ ข้อมลู ในผดู้ แู ลเด็กท่ีปฏิบตั งิ านในศนู ย์พัฒนาเดก็ เล็กสังกัดองคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น โดยวิจัย เชิง ปริมาณเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามและแบบทดสอบ จานวน 113 คน และวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูล จากแบบสัมภาษณ์เชิงลึก จานวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ถดถอย พหุคูณแบบข้ันตอน และการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า ปัจจัยนา ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากมีค่าเฉล่ียคะแนนอยู่ในระดับ ปานกลาง โดยปัจจัยท่ีสามารถทานายพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากได้แก่ ทัศนคติ เกี่ยวกับโรคมือเท้าปาก การได้รับคาแนะนาป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากจากบุคคลต่างๆ และสังกัด ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สามารถทานายได้ร้อยละ 30.50 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P<0.05) สาหรับ ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีการบริหารจัดการเป็นไปตามแนวทางดาเนินงาน ป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุ ข อย่างไรก็ตามพบว่า ศนู ยพ์ ัฒนาเด็กเลก็ บางแห่งมกี ารดาเนินงานไม่ถกู ต้อง เชน่ การทาความสะอาดของเล่นของใช้ไม่ถูกต้อง และมีการปิดศูนย์น้อยกว่า 5 วันทาการ ดังน้ันหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องควรนาผลการศึกษาคร้ังนี้ไปใช้ วางแผน กาหนดแนวทางการดาเนินงาน เพ่ือให้ผู้ดูแลเด็กมีพฤติกรรมที่ถูกต้อง เกิดประโยชน์ต่อการ ดาเนนิ งานปอ้ งกันควบคุมโรคมอื เท้าปากให้มีประสทิ ธภิ าพต่อไป คาสาคัญ: ปจั จัย, พฤติกรรม, โรคมือเท้าปาก, ผู้ดแู ลเดก็ , ศูนยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 1
ปัจจยั ทม่ี คี วามสัมพนั ธต์ อ่ พฤตกิ รรมการป้ องกนั ควบคมุ โรคมอื เทา้ ปาก ของผู้ดแู ลเด็กในศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ อาเภอลี้ จงั หวดั ลาพนู ABSTRACT The purpose of this mixed method research was to study the factors related to hand, foot and mouth disease prevention and control behaviors among caregivers in 28 childcare centers, Li district, Lamphun province. Data were collected from caregivers working in the childcare centers under the Local Administrative Organization. The quantitative data were collected by interviews with questionnaires and test forms from 113 caregivers and the qualitative data were obtained through an in-depth interview with ten caregiver volunteers. The statistics used in data analysis were descriptive statistics, stepwise multiple regression analysis and an interpretation of inductive conclusions. The results of quantitative research found that predisposing factors, enabling factors, reinforcing factors and the behaviors to prevent and control of the hand, foot and mouth disease were scored at a medium level. The factors that could predict behaviors of the hand, foot and mouth disease include attitudes toward hand, foot and mouth disease, received advices to prevent and control of the hand, foot and mouth disease from various people and suggestions from the childcare centers, they could predict 30.50 percent with statistical significance (P<0.05). For qualitative research revealed that the childcare centers were managed in accordance with a guideline for hand, foot and mouth disease prevention and control under the Department of Disease Control, Ministry of Public Health. Despite the implementation by those guidelines, some childcare centers carried out management incorrectly, such as cleaning toys and stuffs in a wrong way and closing down childcare centers less than 5 business days. Therefore, the finding from this study could introduce the relevant persons and units for planning and proposing a guideline the caregivers are able to take care children properly and gaining the benefit for prevention and control of hand foot mouth disease in the future. Key words: Factors, Behaviors, Hand Foot and Mouth Disease, Caregivers, Childcare Centers บทนา โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดต่อท่ีสาคัญและพบบ่อย ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2557-2561 พบผู้ป่วยจานวน ในเด็กท่ีอาศัยอยู่รวมกันจานวนมากในศูนย์พัฒนาเด็ก 65,606, 40,517, 79,854, 70,377 และ 67,912 ราย เล็ก ทาให้เด็กมีโอกาสเกิดการเจ็บป่วยและแพร่ระบาด ตามลาดับ คิดเปน็ อตั ราปว่ ยตอ่ แสนประชากร 101.00, ของโรคมือเท้าปากได้ง่าย (สานักโรคติดต่อท่ัวไป, 62.21, 122.05, 107.57 และ 102.80 ตามลาดับ 2559) จากสถานการณ์โรคมือเท้าปากพบการระบาด พบผู้เสียชีวิต ประมาณ 2-4 รายต่อปี กลุ่มอายุท่ี อย่างกว้างขวางในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก โดยเฉพาะ พบมากสุดคือ อายุ 1 ปี รองลงมาอายุ 2 ปี และอายุ ภูมิภาคเอเชีย พบรายงานการระบาดในหลายประเทศ 3 ปี ตามลาดับ โดยภาคเหนือพบอัตราป่วยสูงสุด เช่น มาเลเซีย ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน ส่วนประเทศ รองลงมาคือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ นอกเขตภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก พบการรายงาน ภาคใต้ ตามลาดับ (สานกั โรคติดตอ่ ทั่วไป, 2561) ค่อนข้างน้อย (World Health Organization, 2011) สถานการณ์โรคมือเท้าปากในอาเภอลี้ จังหวัด สาหรับสถานการณ์โรคมือเท้าปากในประเทศไทย ลาพนู ย้อนหลงั ตงั้ แตป่ ี 2557-2561 พบผู้ป่วยโรคมือ 2 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปที ี่ 16 ฉบบั ที่ 1
Factors Related to Hand, Foot and Mouth Disease Prevention and Control Behaviors among Caregivers in Childcare Centers, Li District, Lamphun Province เท้าปาก จานวน 129, 51, 191, 74 และ 266 ราย แนวทางการป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก เพื่อลด ตามลาดับ คิดเป็นอัตราป่วยต่อแสนประชากรเท่ากับ การระบาดของโรคมือเท้าปากในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 187.43, 74.10, 277.52, 107.52 และ 386.49 ส่งผลให้การพัฒนาเด็กมีคุณภาพเหมาะสมกับวัย ตามลาดับ ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุท่ีพบมากสุดคือ ตอ่ ไป 0-4 ปี รองลงมา 5-9 ปี และ 10-14 ปี ตามลาดับ (สานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่, 2561) วธิ กี ารศกึ ษา และจากรายงานเหตุการณ์ระบาดของโรคมือเท้าปาก การศึกษาน้ีเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วน Method Research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ ท้องถิ่นในพ้ืนที่อาเภอล้ี ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2557- (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ 2561 พบเหตกุ ารณ์ระบาด จานวน 2, 4, 12, 6 และ (Qualitative Research) ดาเนินการในพ้ืนท่ีอาเภอล้ี 7 เหตุการณ์ ตามลาดับ (โรงพยาบาลล้ี, 2561) ซึ่ง จังหวัดลาพูน ระหว่างเดือนตุลาคม 2561-ธันวาคม จากสถานการณ์ดังกล่าวพบว่าโรคมือเท้าปากเป็น 2562 ปญั หาสาธารณสขุ ทส่ี าคญั และการระบาดได้กระจาย ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ คือ เป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว โดยในปี พ.ศ. 2561 พ้ืนท่ี ผู้ดูแลเด็ก จานวน 113 คน ที่ปฏิบัติงานในศูนย์ อาเภอลี้พบจานวนผู้ป่วยและอัตราป่วยของโรคมือ พัฒนาเด็กเล็ก จานวน 28 แห่ง ซ่ึงอยู่ภายใต้สังกัด เท้าปากสูง 3.5 เท่าของปีที่ผ่านมา มีอัตราป่วยสูง องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท้ัง 10 แห่ง ในพ้ืนท่ี เป็นอันดับที่ 1 ในพ้ืนที่จังหวัดลาพูน และสูงเป็น อาเภอล้ี จังหวัดลาพูน (องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน อันดับที่ 4 ในพื้นท่ี 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 10 แหง่ อาเภอลี้, 2561) ทาให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรต่างๆ อีกทั้งยังส่งผล กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ คือ กระทบมากมายทั้งต่อตัวเด็ก ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็ก ผู้ดูแลเด็กท่ีปฏิบัติงานในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายใต้ และผทู้ ีม่ ีส่วนเกยี่ วข้อง สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยได้จากการ โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดต่อท่ีสามารถป้องกันได้ คัดเลือกแบบเจาะจง จานวน 10 แห่งๆ ละ 1 คน โดยผู้ที่มีบทบาทสาคัญในการป้องกันควบคุมโรคมือ รวมท้ังหมด 10 คน ซ่ึงเป็นผู้ท่ีมีความรู้ และมี เท้าปากในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้ คือผู้ดูแลเด็กซึ่งถือ ความสามารถในการใหข้ อ้ มลู ไดเ้ ป็นอย่างดี เป็นบุคคลท่ีมีอิทธิพลต่อเด็กในการปรับเปล่ียน พฤติกรรมสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค ส่งเสริม ขั้นตอนการศกึ ษา พัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กในระหว่างท่ีเด็กอาศัย 1 . การศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ผู้ศึกษาทาหนังสือ อยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (สานักโรคติดต่อท่ัวไป, ถึงนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพ่ือชี้แจง 2559) ดังนั้นผู้ดูแลเด็กจึงจาเป็นต้องมีความรู้ เพ่ือ วัตถุประสงค์ และขออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูลใน ป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก และควบคุม ประชากรผ้ดู ูแลเด็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การแพร่ระบาดของโรคมือเท้าปากในศูนย์พัฒนา โดยผู้ศึกษาดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเอง เด็กเล็ก การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มี หลังจากน้ันนาแบบสอบถาม แบบทดสอบที่ได้มา ความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือ ตรวจสอบความครบถ้วน ถูกต้อง และลงรหัสตาม เท้าปากของผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อาเภอลี้ ตัวแปรที่กาหนด เพื่อนาไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ จังหวดั ลาพูน โดยผลการศึกษาที่ได้จะนามาวิเคราะห์ ตอ่ ไป หาพฤติกรรมและปัจจัยต่างๆ เพ่ือนามาใช้เป็น 2. การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ศึกษาทาหนังสือ แนวทางการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสาหรับผู้ดูแลเด็ก ถึงนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เพ่ือช้ีแจง กาหนดนโยบายและแผนดาเนินงานให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ และขออนุญาตสัมภาษณ์เชิงลึกในกลุ่ม ตัวอย่างผู้ดูแลเด็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 3
ปัจจยั ทม่ี คี วามสัมพนั ธต์ อ่ พฤตกิ รรมการป้ องกนั ควบคมุ โรคมอื เท้าปาก ของผดู้ แู ลเดก็ ในศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ อาเภอลี้ จงั หวดั ลาพนู แห่งละ 1 คน รวมทั้งหมด 10 คน โดยผู้ศึกษา ตอนที่ 1 แบบสอบถามการได้รับคาแนะนา ดาเนินการสัมภาษณ์ดว้ ยตนเอง หลงั การสัมภาษณ์จะ ป้ อ ง กั น ค ว บ คุ ม โ ร ค มื อ เ ท้ า ป า ก จ า ก บุ ค ค ล ต่ า ง ๆ ทาการประเมินข้อมูลทุกคร้ัง และจะทาการหยุด จานวน 3 ข้อ เป็นแบบประเมนิ คา่ 3 ระดับ คือ ได้รับ สัมภาษณเ์ มื่อไดข้ อ้ มลู ท่อี ิ่มตัว เป็นประจา 2 คะแนน ได้รับเป็นบางครั้ง 1 คะแนน และไม่ได้รับเลย 0 คะแนน ใช้การแบ่งระดับของ เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการศึกษา เบสท์ (Best, 1997 อ้างถึงในชวลิต สาทช้าง, 2554) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาครั้งน้ีสร้างขึ้นจากการ โดยได้รับคาแนะนาจากบุคคลต่างๆ ระดับสูง ทบทวนเอกสาร และงานวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ดังน้ี (6 คะแนน) ระดับปานกลาง (3-5 คะแนน) และ 1. การศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วย 5 ระดบั ต่า (1-2 คะแนน) สว่ น ได้แก่ ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล จานวน ตอนท่ี 2 แบบสอบถามการได้รับข้อมูลข่าวสาร 13 ข้อ ข้อคาถามเป็นแบบปลายเปดิ และปลายปดิ เก่ียวกับโรคมือเท้าปากจากส่ือต่างๆ จานวน 5 ข้อ ส่วนท่ี 2 ปจั จยั นา แบง่ ออกเปน็ 2 ตอน ไดแ้ ก่ เปน็ แบบประเมินค่า 3 ระดับ คือ ได้รับเป็นประจา 2 ตอนท่ี 1 แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับโรคมือเท้า คะแนน ได้รับเป็นบางครั้ง 1 คะแนน และไม่ได้รับ ปาก จานวน 17 ข้อ ตอบถูก 1 คะแนน ตอบผิด 0 เลย 0 คะแนน ใช้การแบ่งระดับของเบสท์ (Best, คะแนน ใช้การวัดระดับของบลูม 3 ระดับ (Bloom, 1997 อ้างถึงในชวลิต สาทช้าง, 2554) โดยได้รับ 1971 อ้างถึงในสุวรรณา เชียงขุนทด และคณะ, ข้อมูลข่าวสารจากส่ือต่างๆ ระดับสูง (10 คะแนน) 2556) โดยความรู้ระดับดี (14-17 คะแนน) ระดับ ระดับปานกลาง (5-9 คะแนน) และระดับต่า (1-4 ปานกลาง (11-13 คะแนน) และระดับต่า (1-10 คะแนน) คะแนน) ตอนท่ี 2 แบบสอบถามทศั นคตเิ กีย่ วกบั โรคมือเท้า ส่วนที่ 5 แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกัน ปาก จานวน 15 ข้อ เป็นแบบประเมินค่า 3 ระดับ ควบคุมโรคมือเท้าปาก จานวน 32 ข้อ เป็นแบบ โดยคาถามเชิงบวก คือ เห็นด้วย 2 คะแนน ไม่แน่ใจ ประเมนิ ค่า 3 ระดับ โดยคาถามเชิงบวก คือ เห็นด้วย 1 คะแนน และไม่เห็นด้วย 0 คะแนน ส่วนคาถาม 2 คะแนน ไม่แน่ใจ 1 คะแนน และไม่เห็นด้วย 0 เชิงลบ คือ เห็นด้วย 0 คะแนน ไม่แน่ใจ 1 คะแนน คะแนน ส่วนคาถามเชิงลบ คือ เห็นด้วย 0 คะแนน และไมเ่ หน็ ด้วย 2 คะแนน ใช้การแบง่ ระดับของเบสท์ ไม่แน่ใจ 1 คะแนน และไม่เห็นด้วย 2 คะแนน ใช้การ (Best, 1997 อ้างถึงในชวลิต สาทช้าง, 2554) โดย แบ่งระดับของเบสท์ (Best, 1997 อ้างถึงในชวลิต ทัศนคติระดับที่ดี (26-30 คะแนน) ระดับปานกลาง สาทช้าง, 2554) โดยพฤติกรรมระดับสูง (71-72 (20-25 คะแนน) และระดับต้องปรับปรุง (1-19 คะแนน) ระดับปานกลาง (63-70 คะแนน) และ คะแนน) ระดับตา่ (1-62 คะแนน) ส่วนที่ 3 ปัจจยั เอ้ือ ได้แก่ แบบสอบถามการได้รับ สนับสนุนทรัพยากรป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก 2. การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบ จานวน 17 ข้อ เป็นแบบประเมินค่า 2 ระดับ คือ สัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) แบบมี ได้รับ 1 คะแนน และไม่ได้รับ 0 คะแนน ใช้การแบ่ง โครงสร้าง จานวน 2 ข้อ ประเด็นข้อคาถามเก่ียวกับ ระดับของเบสท์ (Best, 1997 อา้ งถึงในชวลิต สาทช้าง นโยบายและแผนการดาเนินงานป้องกันควบคุมโรค , 2554) โดยได้รับทรัพยากรระดับสูง (17 คะแนน) มือเท้าปาก ระดับปานกลาง (13-16 คะแนน) และระดับต่า (1-12 คะแนน) เครื่องมือในการศึกษาครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบ สว่ นท่ี 4 ปัจจัยเสริม แบง่ ออกเปน็ 2 ตอน ไดแ้ ก่ ความตรงด้านเน้ือหาโดยผู้ทรงคณุ วฒุ ิ จานวน 3 ท่าน แล้วนาไปคานวณหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา IOC (Index of Item Objective Congruence) ได้ ค่า IOC โดยรวมท้ังชุด เท่ากับ 0.77 และหาความ 4 วารสารสาธารณสขุ ล้านนา ปีท่ี 16 ฉบับท่ี 1
Factors Related to Hand, Foot and Mouth Disease Prevention and Control Behaviors among Caregivers in Childcare Centers, Li District, Lamphun Province เชื่อม่ันของแบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับโรคมือเท้า ประสบการณ์การอบรมวิชาการเร่ืองโรคมือเท้าปาก ปาก ด้วยวิธีคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KR-20) เท่ากับ 0.74 และประสบการณด์ ูแลเด็กป่วยเป็นโรคมือเทา้ ปาก และหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทัศนคติ เกี่ยวกบั โรคมอื เท้าปาก การได้รบั สนับสนุนทรัพยากร ส่วนท่ี 2 ปัจจัยนาพบว่า ผู้ดูแลเด็กมีความรู้ ป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก การได้รับคาแนะนา เกี่ยวกับโรคมือเท้าปากอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ ป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากจากบุคคลต่างๆ การ 46.90 รองลงมาระดับดี ร้อยละ 40.71 และระดับต่า ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรคมือเท้าปากจากสื่อ ร้อยละ 12.39 ตามลาดับ และมีทัศนคติเกี่ยวกับโรค ต่างๆ และพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้า มือเท้าปากอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 68.14 ปาก ด้วยวิธีสัมประสิทธ์ิอัลฟาของครอนบาค เท่ากับ รองลงมาระดับต้องปรับปรุง ร้อยละ 18.58 และ 0.70, 0.87, 0.93, 0.92 และ 0.74 ตามลาดับ ระดับดี ร้อยละ 13.28 ตามลาดับ รายละเอียดดัง ตารางท่ี 1 การวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาคร้ังน้ีได้ทาการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนที่ 3 ปัจจัยเอื้อพบว่า ผู้ดูแลเด็กได้รับ และวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ทาการวเิ คราะห์ข้อมูลดังน้ี สนับสนนุ ทรัพยากรป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากอยู่ 1. การศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ วิเคราะห์ด้วยสถิติ ในระดับปานกลาง ร้อยละ 48.67 รองลงมาระดับสูง เชิงพรรณนา ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ร้ อ ย ล ะ 38.94 แ ล ะ ร ะ ดั บ ต่ า ร้ อ ย ล ะ 12.39 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ตามลาดับ รายละเอียดดังตารางที่ 2 การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (stepwise multiple regression analysis) โดยทาการวิเคราะห์ ส่วนที่ 4 ปัจจัยเสริมพบว่า ผู้ดูแลเด็กได้รับ ขอ้ มูลด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ าเร็จรูป คาแนะนาป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากจากบุคคล 2. การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์โดย ตา่ งๆ อยใู่ นระดบั ปานกลาง ร้อยละ 68.14 รองลงมา ตี ค ว า ม ห า บ ท ส รุ ป อุ ป นั ย ร่ ว ม กั น ( Analytic ระดับสูง ร้อยละ 24.78 และระดับต่า ร้อยละ 7.08 Induction) และนาเสนอข้อมูลโดยใช้การบรรยาย ตามลาดับ และได้รับข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับโรคมือ เชิงพรรณนา เท้าปากจากส่ือต่างๆ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 76.11 รองลงมาระดับสูง ร้อยละ 18.58 และ การพิทักษ์สิทธิของกลุ่มตัวอยา่ ง ระดับต่า ร้อยละ 5.31 ตามลาดับ รายละเอียดดัง การศึกษาครั้งน้ีผ่านการพิจารณาและได้รับอนุมัติ ตารางที่ 3 ความเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตาม สว่ นที่ 5 พฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้า เ อก ส า ร รั บ ร อ งโ ค ร ง กา ร จ ริ ย ธ ร ร ม ท่ีเ กี่ย ว ข้อ งกั บ ปากพบว่า ผู้ดูแลเด็กมีพฤติกรรมการป้องกันควบคุม มนุษย์ เลขที่ ET 007 / 2562 โรคมือเท้าปากอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 71.68 รองลงมาระดับต่า ร้อยละ 15.93 และระดับสูง ร้อยละ ผลการศกึ ษา 12.39 ตามลาดบั รายละเอยี ดดงั ตารางท่ี 4 ส่วนท่ี 1 ปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า ผู้ดูแลเด็ก ส่วนที่ 6 ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการ ปฏิบัติงานสังกัดองค์การบริหารส่วนตาบล รองลงมา ปอ้ งกันควบคมุ โรคมือเท้าปากพบว่า ปัจจัยที่สามารถ สังกดั เทศบาลตาบล สว่ นใหญ่เป็นเพศหญงิ อายุเฉลี่ย ร่วมทานายพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้า 44 ปี สภาพภาพคู่และมีบุตร การศึกษาระดับ ปาก ได้แก่ ทัศนคติเกีย่ วกับโรคมือเท้าปาก การได้รับ ปริญญาตรี รายได้ต่อเดือนเฉล่ีย 13,400 บาท คาแนะนาป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากจากบุคคล ระยะเวลาทาหน้าท่ีดูแลเด็กอยู่ระหว่าง 10-20 ปี ต่างๆ และสังกัดของศนู ย์พัฒนาเดก็ เลก็ โดยสามารถ จานวนเด็กที่รับผิดชอบอยู่ระหว่าง 11-20 คน เคยมี ร่วมทานายพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้า ปาก ได้ร้อยละ 30.50 (R2 = 0.305, p < 0.05) รายละเอยี ดดังตารางท่ี 5 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 5
ปัจจยั ทมี่ คี วามสัมพนั ธต์ อ่ พฤตกิ รรมการป้ องกนั ควบคมุ โรคมอื เท้าปาก ของผ้ดู แู ลเดก็ ในศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เล็ก อาเภอลี้ จงั หวดั ลาพนู ตารางที่ 1 จานวน รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับของปัจจยั นา ปัจจัยนา จานวน (คน) รอ้ ยละ ความรเู้ กย่ี วกับโรคมอื เท้าปาก 14 12.39 ระดับตา่ (1-10 คะแนน) 53 46.90 ระดบั ปานกลาง (11-13 คะแนน) 46 40.71 ระดับดี (14-17 คะแนน) μ=12.82 , σ=1.76 21 18.58 77 68.14 ทัศนคติเกี่ยวกับโรคมือเท้าปาก 15 13.28 ระดบั ตอ้ งปรับปรงุ (1-19 คะแนน) ระดบั ปานกลาง (20-25 คะแนน) ระดับดี (26-30 คะแนน) μ=22.56, σ=2.90 ตารางที่ 2 จานวน รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และระดับของปจั จยั เอ้ือ ปจั จยั เอื้อ จานวน (คน) ร้อยละ การได้รบั สนบั สนนุ ทรัพยากรปอ้ งกันควบคุมโรคมอื เทา้ ปาก 12.39 48.67 ระดบั ตา่ (1-12 คะแนน) 14 38.94 ระดับปานกลาง (13-16 คะแนน) 55 ระดับสูง (17 คะแนน) 44 μ=15.27, σ=2.30 ตารางท่ี 3 จานวน รอ้ ยละ คา่ เฉลีย่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และระดับของปจั จยั เสรมิ ปัจจัยเสรมิ จานวน (คน) ร้อยละ การไดร้ ับคาแนะนาป้องกันควบคมุ โรคมือเท้าปากจากบุคคลตา่ งๆ 7.08 68.14 ระดับต่า (1-2 คะแนน) 8 24.78 ระดับปานกลาง (3-5 คะแนน) 77 5.31 76.11 ระดบั สูง (6 คะแนน) 28 18.58 μ=4.24 , σ=1.36 การไดร้ ับขอ้ มูลขา่ วสารเก่ียวกบั โรคมอื เทา้ ปากจากส่ือต่างๆ ระดับต่า (1-4 คะแนน) 6 ระดบั ปานกลาง (5-9 คะแนน) 86 ระดับสูง (10 คะแนน) 21 μ=7.22, σ=2.03 6 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1
Factors Related to Hand, Foot and Mouth Disease Prevention and Control Behaviors among Caregivers in Childcare Centers, Li District, Lamphun Province ส่วนท่ี 7 นโยบายและแผนดาเนินงานป้องกัน ให้ความรู้เร่ืองโรคติดต่อท่ีพบบ่อยกับผู้ปกครอง ควบคุมโรคมือเท้าปากพบว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต่อเนื่องเป็นประจาทุกปี แต่อย่างไรก็ตามยังพบว่า ภายใต้สังกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการ ผู้ ดู แ ล เ ด็ ก ใ น ศู น ย์ พั ฒ น า เ ด็ ก เ ล็ ก บ า ง แ ห่ ง มี ก า ร บริหารจัดการเป็นไปตามนโยบาย และแผน ดาเนินงานยังไม่ถูกต้อง เช่น ไม่ได้ตรวจคัดกรองและ ดาเนนิ งานตามแนวทางการป้องกันควบคุมโรคมือเท้า วัดไข้เด็กก่อนขึ้นรถรับส่ง การทาความสะอาดของใช้ ปากของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เช่น ของเล่นไม่ถูกต้อง การปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การมนี โยบายใหเ้ ดก็ หยุดเรียนและปิดศูนย์พัฒนาเด็ก น้อยกว่า 5 วันทาการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อ เลก็ ช่วั คราว การตรวจคดั กรองสุขภาพเด็กเปน็ ประจา การป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากในศูนย์พัฒนา ทุกวัน การให้ความรู้เร่ืองโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก เดก็ เล็กได้ เป็นประจาทุกสัปดาห์ และการจัดทาโครงการอบรม ตารางที่ 4 จานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับของพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรค มอื เท้าปาก ปจั จัยเอื้อ จานวน (คน) ร้อยละ พฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเทา้ ปาก 18 15.93 ระดับต่า (1-62 คะแนน) 81 71.68 ระดบั ปานกลาง (63-70 คะแนน) 14 12.39 ระดบั สูง (71-72 คะแนน) μ=66.27 , σ=3.60 ตารางท่ี 5 ค่าสัมประสิทธ์ิถดถอยพหุคูณแบบข้ันตอนของตัวแปรทานายพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรค มือเท้าปาก ตัวแปรพยากรณ์ B Beta t Sig ค่าคงท่ี 53.356 22.840 .000* ทัศนคตเิ กย่ี วกบั โรคมือเทา้ ปาก .418 .337 4.101 .000* การได้รบั คาแนะนาป้องกนั ควบคุมโรคมือเท้าปากจากบุคคลต่างๆ .692 .261 3.043 .003* สงั กดั ศนู ย์พฒั นาเดก็ เล็ก 1.304 .180 2.087 .039* F = 15.968 , Sig = 0.000, Adjusted R2 = 0.286, R2 = 0.305, R = 0.553 * P < 0.05 อภปิ รายผล เข้าใจธรรมชาติของเด็ก ทาให้สามารถดูแลเด็กได้ดี ส่วนที่ 1 ปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า ผู้ดูแลเด็กส่วน ประกอบกับการมีประสบการณ์ทางานเป็นระยะ ใหญ่เป็นเพศหญิง ซ่ึงอยู่ในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ถือ เวลานาน จะช่วยทาให้ผู้ดูแลเด็กมีความรู้ ความ เป็นวัยที่มีความม่ันคงสูง และการได้รับความรู้ทาง ชานาญ สามารถปฏิบัติงานคัดกรองและป้องกันโรค วิชาการจะช่วยเพ่ิมพูนความรู้ รวมถึงการท่ีผู้ดูแลเด็ก สูงกว่าผู้ดูแลเด็กที่ไม่มีประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี เคยมีประสบการณ์เล้ียงดูแลบุตรมาก่อนจะมีความ (บุญเลิศ จันทร์หอม, 2557; อาพัน ไชยงาเมือง, Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 7
ปจั จยั ทมี่ คี วามสัมพนั ธต์ อ่ พฤตกิ รรมการป้ องกนั ควบคมุ โรคมอื เท้าปาก ของผดู้ แู ลเด็กในศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ อาเภอลี้ จงั หวดั ลาพนู 2552; วภิ าดา แสงนิมติ รชัยกุล และปรยี ์กมล รัชนกุล, โรคมือเท้าปากจากเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข องค์กร 2558; จกั รพงศ์ เอี้ยวตระกลู และคณะ, 2555) ปกครองส่วนท้องถ่ิน ซึ่งเป็นบุคคลท่ีมีความรู้ ความ ชานาญในสายอาชีพ แต่เนื่องจากบุคคลดังกล่าวอาจ ส่วนท่ี 2 ปัจจัยนาพบว่า ผู้ดูแลเด็กมีความรู้ มภี าระงานหลายอย่าง สามารถให้คาแนะนาแก่ผู้ดูแล เก่ียวกับโรคมือเท้าปากอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ เ ด็ ก ไ ด้ เ ฉ พ า ะ ฤ ดู ก า ล ท่ี เ กิ ด ก า ร ร ะ บ า ด ข อ ง โ ร ค 46.90 สอดคล้องกับผลการศึกษาของพรวิภา เย็นใจ มือเท้าปากเท่าน้ัน และการได้รับข้อมูลข่าวสาร และคณะ (2560) สมพงษ์ ภูผิวฟ้า (2557) และ เก่ียวกับโรคมือเท้าปากจากสื่อต่างๆ พบว่าผู้ดูแลเด็ก อัจจิมา ชนะกุล (2558) ท่ีพบว่าความรู้เกี่ยวกับการ ได้รับขอ้ มูลขา่ วสารอยใู่ นระดบั ปานกลางเช่นกัน ท้ังนี้ ป้ อ ง กั น โ ร ค มื อ เ ท้ า ป า ก อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ป า น ก ล า ง ผู้ดูแลเด็กได้รับข้อมูลข่าวสารจากส่ือต่างๆ เช่น เช่นเดียวกัน ท้ังน้ีสามารถอธิบายได้ว่า ผู้ดูแลเด็กอยู่ เครือข่ายสังคมออนไลน์ ซ่ึงสามารถเข้าถึงข้อมูล ในช่วงวยั ผ้ใู หญต่ อนกลาง ซ่งึ เป็นช่วงวัยที่เร่ิมเกิดการ ข่าวสารได้ง่าย และการเข้าร่วมประชุม หรืออบรม เปลี่ยนแปลงทางด้านสติปัญญาเก่ียวกับความจาท่ี จากหน่วยงานสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วน ลดลง และข้อจากัดความรู้โรค มือเท้าปากท่ีอาจ ท้องถิ่นในพื้นท่ี ซ่ึงได้รับข้อมูลข่าวสารเพียงปีละ 1-2 เป็นประเด็นเฉพาะ ทาให้ยากต่อความเข้าใจ คร้งั เท่าน้ัน ประกอบกับทัศนคติเป็นผลท่ีเกิดจากความรู้ ความ เข้าใจ ความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และเป็นตัวกระตุ้น ส่วนท่ี 5 พฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้า ให้บุคคลแสดงพฤติกรรม และจากความรู้ ความ ปากพบว่า ผู้ดูแลเด็กมีพฤติกรรมอยู่ในระดับ เขา้ ใจท่ผี ้ดู แู ลเดก็ ไดร้ ับสว่ นใหญ่จะเป็นความรพู้ น้ื ฐาน ปานกลาง ร้อยละ 71.68 อาจเน่ืองจากผู้ดูแลเด็กท่ี ปฏิบัติงานดูแลเด็กเป็นระยะเวลานานมากกว่า 10 ปี ส่วนที่ 3 ปัจจัยเอ้ือพบว่า ผู้ดูแลเด็กได้รับ จะมีความเช่ือม่ันในตนเองสูง และการปฏิบัติ สนับสนุนทรัพยากรป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก สม่าเสมอ จนเกิดความเคยชิน อาจทาให้ยากต่อการ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 48.67 สอดคล้องกับ ปรับเปล่ียนพฤติกรรมที่ถูกต้องได้ รวมถึงข้อจากัด ผลการศึกษาของ นาตยา สุขจันทร์ตรี และคณะ ด้านทรัพยากรท่ีได้รับสนับสนุนยังไม่เพียงพอสาหรับ (2555) ที่พบว่าปัจจัยเอื้อด้านความเพียงพอของ การปฏิบัติงาน จึงส่งผลให้พฤติกรรมการป้องกัน ทรัพยากรท่ีใช้ในการป้องกันโรคมือเท้าปากอยู่ใน ควบคุมโรคมือเท้าปากอยู่ระดับปานกลาง แตกต่าง ระดับปานกลาง อาจเน่ืองจากทรัพยากรที่ได้รับการ จากผลการศึกษาของนาตยา สุขจันทร์ตรี และคณะ สนับสนุนส่วนใหญ่เป็นประเภทโครงสร้างพื้นฐาน (2555) ที่พบว่าพฤติกรรมการป้องกันโรคมือเท้าปาก ตัวอาคาร สถานท่ี รวมถึงอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัว อยู่ในระดับสูง ท้ังนี้เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ปฏิบัติ สาหรับเด็ก ซ่ึงเป็นไปตามมาตรฐานการดาเนินงาน เ ป็ น กิ จ วั ต ร ป ร ะ จ า วั น ต า ม ม า ต ร ฐ า น ก า ร ดู แ ล เ ด็ ก ศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ เล็ก อย่างไรก็ตามทรัพยากรบางอย่าง รวมถึงการได้รับอบรมความรู้การป้องกันควบคุม ได้รับการสนับสนุนไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เช่น โรคติดต่อในเด็ก จึงส่งผลให้ผู้ดูแลเด็กมีความพร้อม อุปกรณ์วัดไข้ เน่ืองจากข้อจากัดเรื่องงบประมาณ ในการปฏิบัติงาน จึงส่งผลให้การได้รับสนับสนุนทรัพยากรป้องกัน ควบคุมโรคอยู่ระดับปานกลาง สว่ นที่ 6 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการ ป้องกนั ควบคุมโรคมือเท้าปากพบว่า ปัจจัยที่สามารถ ส่วนท่ี 4 ปัจจัยเสริมพบว่า ผู้ดูแลเด็กได้รับ ร่วมทานายพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้า คาแนะนาป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากจากบุคคล ปาก มดี ังนี้ ต่างๆ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 68.14 เช่นเดียวกับการศึกษาของนาตยา สุขจันทร์ตรี และ ทัศนคติเก่ียวกับโรคมือเท้าปาก สามารถร่วม คณะ (2555) และอัจจิมา ชนะกุล (2558) ทั้งน้ีอาจ ทานายพฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก เน่ืองจากผู้ดูแลเด็กได้รับคาแนะนาป้องกันควบคุม ได้เป็นลาดับแรก หมายความว่า ผู้ดูแลเด็กท่ีมี 8 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีที่ 16 ฉบับที่ 1
Factors Related to Hand, Foot and Mouth Disease Prevention and Control Behaviors among Caregivers in Childcare Centers, Li District, Lamphun Province การศึกษาท่ีดีต้ังแต่ระดับปริญญาตรีข้ึนไป และการ อิสระ ทาให้เกิดความหลากหลายในการบริหารงาน เรียนรู้จากประสบการณ์ปฏิบัติงานท่ีสั่งสมเป็นระยะ ด้านตา่ งๆ (สุดารตั น์ สอดเสน และคณะ, 2556) เวลานาน จะมสี ่วนช่วยให้บุคคลมีความรู้ส่งผลให้เกิด ทศั นคตทิ ด่ี ี และเกดิ อานาจในการปฏิบัติพฤติกรรมได้ ส่วนท่ี 7 นโยบายและแผนดาเนินงานป้องกัน (แสงดาว เกษตรสุนทร และคณะ, 2558) ซึ่งทัศนคติ ควบคุมโรคมือเท้าปากพบว่า องค์กรปกครองส่วน มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ป้ อ ง กั น โ ร ค ท้องถิ่นในพ้ืนที่อาเภอล้ีได้มีการบริหารจัดการภายใน มอื เท้าปาก (อจั จิมา ชนะกุล, 2558) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยส่งเสริมให้มีนโยบาย แผนงาน โครงการประจาปีในการป้องกันโรคติดต่อ การไดร้ บั คาแนะนาป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เช่น การมีนโยบายให้เด็กหยุด จากบุคคลต่างๆ สามารถร่วมทานายพฤติกรรมการ เรยี นและปดิ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กชวั่ คราว การคัดกรอง ป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากได้เป็นลาดับท่ีสอง สุขภาพเด็กประจาทุกวัน การให้ความรู้เร่ือง ท้ังนี้การได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรสาธารณสุข โรคตดิ ตอ่ ท่พี บบอ่ ยในเด็กประจาทุกสัปดาห์ และการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความสัมพันธ์กับ จัดทาโครงการอบรมให้ความรู้เรื่องโรคติดต่อท่ีพบ พฤติกรรมการควบคุมป้องกนั โรคมือเท้าปาก (อัจจิมา บอ่ ยในเดก็ ให้กบั ผู้ปกครองเป็นประจาทุกปี ชนะกุล, 2558) โดยการได้รับคาแนะนาป้องกัน ควบคมุ โรคมือเท้าปากจากบุคคลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จากการดาเนินงานพบว่า ผู้ดูแลเด็กจะทาการ สม่าเสมอ เป็นปัจจัยหนึ่งท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมการ คัดกรองสขุ ภาพเดก็ ก่อนข้นึ รถรับส่งและก่อนเข้าศูนย์ ป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก นอกจากนี้ผู้ดูแลเด็ก พัฒนาเด็กเล็กเป็นประจาทุกวัน เมื่อพบเด็กป่วยจะ ได้รับคาแนะนาจากบุคลากรสาธารณสุขและองค์กร ทาการแยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ และแจ้ง ปกครองส่วนท้องถิ่น ซ่ึงเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความ ผู้ปกครองทราบเพ่ือพาไปพบแพทย์ หากแพทย์ ชานาญ และมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติของผู้ดูแลเด็ก วินิจฉัยว่าเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ผู้ดูแลเด็กจะ จึงทาให้ผู้ดูแลเด็กเกิดความเช่ือถือ ไว้วางใจ เช่ือม่ัน ทาการแจ้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและ ว่าถูกต้อง และพร้อมที่จะปฏิบัติพฤติกรรมป้องกัน เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขในพื้นท่ีทราบ เพื่อพิจารณาให้ ควบคุมโรคมือเท้าปากได้อยา่ งถกู ตอ้ ง หยุดเรียน ปิดห้องเรียน หรือปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ช่ัวคราวอย่างน้อย 5 วันทาการ ซึ่งการดาเนินงาน สงั กดั ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สามารถร่วมทานาย ดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางการป้องกันควบคุมโรค พฤติกรรมการป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากได้เป็น มือเท้าปากของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ลาดับท่ีสาม โดยการสนับสนุนทางสังคมของ (สานักโรคติดต่ออุบัติใหม่, 2557) เพ่ือดาเนินการ หน่วยงานท่ีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัด สามารถร่วม ป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของโรคมือเท้า ทานายพฤติกรรมป้องกันโรคมือเท้าปากได้ (ดาว ปาก (พัชราภรณ์ ไพศาขมาส, 2554) เวียงคา และคณะ, 2560) อาจเน่ืองจากรัฐบาลมี นโยบายถ่ายโอนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจากส่วนราชการ อย่างไรก็ตามพบว่า ผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็ก ต่างๆ ให้กับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตาบล เล็กบางแห่งดาเนินงานไม่ถูกต้อง เช่น ไม่ได้คัดกรอง ตามพระราชบัญญัติกาหนดแผนและข้ันตอนการ สุขภาพเด็กก่อนข้ึนรถรับส่ง การใช้ผ้าเช็ดมือร่วมกัน กระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การทาความสะอาดอุปกรณ์ของใช้ ของเล่นไม่ถูกต้อง พ.ศ. 2542 ภายใต้การส่งเสริมสนับสนุนการ ทั้งนี้อาจเนื่องจากข้อจากัดของรถรับส่งที่ถูกจ้างโดย ดาเนนิ งานของกรมสง่ เสรมิ การปกครองท้องถิ่น (กรม กลุ่มผู้ปกครองในชุมชน ทาให้ผู้ดูแลเด็กไม่สามารถ ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, 2559) ซ่ึงการกระจาย คัดกรองสุขภาพเด็กก่อนขึ้นรถรับส่งได้ รวมถึง อานาจดังกล่าวทาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ทรัพยากรท่ีใช้ยังไม่ครบถ้วนและเพียงพอต่อการ แต่ละแห่งบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้อย่าง ปฏิบัติงาน เนื่องจากทรัพยากรส่วนใหญ่ได้รับ สนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งแต่ละ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 9
ปัจจยั ทมี่ คี วามสัมพนั ธต์ อ่ พฤตกิ รรมการป้ องกนั ควบคมุ โรคมอื เทา้ ปาก ของผู้ดแู ลเดก็ ในศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ อาเภอลี้ จงั หวดั ลาพนู แห่งอาจมีความแตกต่างกัน (จรรยา ชินสี, 2552; สอื่ ต่างๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ตลอดจนส่งเสริมให้มีนโยบาย จิรชาย นาบุญมี, 2552) ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับการบริหาร การปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอย่างน้อย 5 วันทาการ จดั การ รวมถงึ จานวนศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เล็กภายใต้สังกัด เพ่ือให้การดาเนินงานเป็นไปตามแนวทางการป้องกัน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน้ันๆ นอกจากนี้ ควบคมุ โรคมอื เท้าปากของกรมควบคุมโรค กระทรวง พบว่าเมื่อเกิดการระบาดของโรคมือเท้าปาก ศูนย์ สาธารณสุข และเพื่อให้ผู้ดูแลเด็กสามารถเข้าถึง พัฒนาเด็กเล็กบางแห่งมีการปิดศูนย์น้อยกว่า 5 วัน เข้าใจ เกิดความรู้ที่ถูกต้อง และสามารถดาเนินงาน ทาการ ซึ่งการให้เด็กป่วยหยุดเรียนเพียง 2-3 วัน ป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สามารถแพร่เชื้อให้กับเด็กคนอ่ืนๆ และทาให้มีความ ให้มปี ระสทิ ธิภาพมากยิ่งขน้ึ เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดซ้าของโรคมือเท้าปากได้ (ทัศนยี ์ พาณชิ ย์กลุ และคณะ, 2555) กติ ตกิ รรมประกาศ ขอ้ เสนอแนะ การศึกษาฉบับนี้สาเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณา และความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากอาจารย์ที่ปรึกษา หน่วยงานที่เก่ียวข้อง ได้แก่ องค์กรปกครองส่วน หลัก อาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม ผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ท้องถิ่น หน่วยงานสาธารณสุข รวมถึงผู้ที่มีส่วน ขอขอบพระคุณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ เกี่ยวข้องในพื้นที่ ควรนาผลการศึกษาคร้ังน้ีไปใช้ ผู้ดูแลเด็กทุกท่าน ตลอดท้ังอาจารย์ เจ้าหน้าท่ีคณะ ประกอบการวางแผน ส่งเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยน สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าหน้าท่ี เรียนรรู้ ะหว่างศนู ย์พัฒนาเด็กเล็กในระดับอาเภอหรือ กลุ่มปฏิบัติการควบคุมโรคและตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ระดับจังหวัด เสริมสร้างทัศนคติเชิงบวก และ ทางด้านสาธารณสุข สานักงานป้องกันควบคุมโรคท่ี องค์ความรู้ทางวิชาการโรคมือเท้าปาก สนับสนุน 1 เชียงใหม่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ ทรัพยากรเพอ่ื ใช้ในการปอ้ งกันควบคุมโรคมือเท้าปาก กรุณาเอ้ือเฟื้อสละเวลา และให้ความร่วมมือด้วยดี อย่างเพียงพอท่ัวถึง รวมถึงการให้คาแนะนาข้อมูล ตลอดมา จนทาใหก้ ารศกึ ษาครั้งนีส้ าเรจ็ ลุลว่ งดว้ ยดี ข่าวสารเกี่ยวกับโรคมือเท้าปากผ่านบุคคลและ เอกสารอา้ งอิง กรมสง่ เสรมิ การปกครองท้องถน่ิ . (2559). มาตรฐานการดาเนนิ งานศูนยพ์ ฒั นาเด็กเล็กขององคก์ รปกครองสว่ น ทอ้ งถิน่ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 [online] [สบื ค้นเมื่อ 27 ธ.ค. 2561]; แหล่งข้อมลู : URL: http://www.dla.go.th/upload/ebook/column/2017/4/2199_5930.pdf จรรยา ชินส.ี (2552). แนวทางพัฒนาการจดั การศึกษาระดับปฐมวยั ของศูนย์พัฒนาเด็กเลก็ ในเขตอาเภอ แม่รมิ จังหวัดเชียงใหม.่ ปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ . การบริหารการศึกษา เชียงใหม่: มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. จักรพงศ์ เอีย้ วตระกูล วิชเยนทร์ โชตวิ นิช ปุณธดิ า มงุ่ วฒั นา และคณะ. (2555). ความรแู้ ละการปฏิบัติในการ ควบคมุ ป้องกนั โรคมอื เทา้ ปากของบุคลากรในสถานบริการเลยี้ งเด็ก เขตเทศบาลนครขอนแก่น. ศรีนครินทร์เวชสาร, 27 (3), 250-257. จริ ชาย นาบุญม.ี (2552). การมสี ว่ นรว่ มของชุมชนในการดาเนนิ งานศนู ยเ์ ด็กเล็กใน อาเภอรอ้ งกวาง จังหวดั แพร่. ปรญิ ญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑติ . เชยี งใหม่: มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ 10 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1
Factors Related to Hand, Foot and Mouth Disease Prevention and Control Behaviors among Caregivers in Childcare Centers, Li District, Lamphun Province ชวลิต สาทชา้ ง. (2554). ความรู้ ทศั นคติ และพฤตกิ รรมการปอ้ งกนั อนั ตรายจากการใชส้ ารเคมีในการควบคุม โรคไข้เลือดออกของทีมสุขภาพ อาเภอพร้าว จงั หวัดเชียงใหม่. ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑติ . เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่. ดาว เวยี งคา จฑุ ามาศ ผลมาก ปรชั ญาพร ธิสาระ และสุทิตย์ เสมอเชอ้ื . (2560). ปจั จัยทานายพฤติกรรมการ ป้องกนั โรคมอื เทา้ ปากของผูด้ ูแลเด็กในศนู ย์พฒั นาเด็กเล็ก. Journal of Nursing and Health Care, 35 (2), 16-24. ทศั นยี ์ พาณิชยก์ ุล พิสทุ ธิ์ ปทุมาสตู ร และสุภาวดี สมบรูณ.์ (2555). การหยดุ เรียนลดการแพรก่ ระจายของ โรคมือเทา้ ปากในโรงเรยี น. SDU Res. J, 5 (2), 1-12. นาตยา สขุ จันทร์ตรี ชมนาด วรรณพรศริ ิ สาโรจน์ สนั ตยากร และทวศี ักดิ์ ศิริพรไพบลู ย์. (2555). ปจั จัยท่ีมี อทิ ธิพลต่อพฤตกิ รรมการป้องกนั โรคมือเทา้ ปากในเด็กเล็กของผ้ดู ูแลเดก็ ในศูนย์เด็กเล็กอาเภอเมอื ง จังหวัดกาแพงเพชร. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ, 6 (1), 52-62. บุญเลศิ จนั ทร์หอม. (2557). การปฏบิ ตั ิของผดู้ แู ลเด็กและเด็กทางด้านสขุ อนามยั ในการป้องกันการเกิดโรค มอื เท้าปากของศูนย์พฒั นาเด็กเลก็ อาเภอลับแล จังหวัดอุตรดติ ถ์. ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหา บณั ฑติ . เชยี งใหม:่ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. พรวภิ า เย็นใจ สทุ ธิโชค ดีเสมอ ระวิวรรณ แสงฉาย และวราภรณ์ ขัดทาน. (2560). ปจั จยั ที่สง่ ผลต่อ พฤติกรรมการป้องกันโรคมือเทา้ ปากของผปู้ กครองและผ้ดู แู ลเดก็ ก่อนวัยเรยี นในศูนยเ์ ด็กเล็ก ตาบลศรบี ัวทอง จังหวดั อา่ งทอง มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพธนบรุ ี [online] [สบื ค้นเม่ือ 28 ต.ค. 2561]; แหลง่ ขอ้ มูล: URL: http://bkkthon.ac.th/home/user_files/department/department- 24/files/13.ปจั จัยทีส่ ่งผลตอ่ พฤติกรรมการป้องกันโรค%20มอื %20เทา้ %20ปาก%20ข% 20(1).pdf พชั ราภรณ์ ไพศาขมาส. (2554). การปฏบิ ัติของผู้ดูแลเด็กและสขุ อนามัยของเด็กรวมท้งั สิ่งแวดลอ้ มในศูนย์ พฒั นาเด็กเล็กทเ่ี กดิ โรคมือเท้าและปาก อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชยี งใหม.่ ปริญญาสาธารณสขุ ศาสตร มหาบณั ฑิต เชยี งใหม่: มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ โรงพยาบาลลี้. (2561). สถานการณก์ ารเกิดโรคมือเท้าปากในศูนยพ์ ัฒนาเด็กเล็กปี 2561 อาเภอล้ี จังหวดั ลาพูน. วภิ าดา แสงนมิ ิตชัยกลุ และปรียก์ มล รชั นกุล. (2558). ปจั จยั ทานายพฤติกรรมป้องกันการตดิ เชื้อโรคมือเท้า ปากของผดู้ ูแลเด็กในสถานรบั เลย้ี งเดก็ วัยกอ่ นอนบุ าลและผู้ปกครอง. Ramathibodi Nursing Journal, 21 (3), 336-351. สมพงษ์ ภผู ิวฟา้ . (2557). พฤติกรรมสขุ ภาพเก่ียวกับการป้องกันโรคมอื เทา้ ปากของผดู้ ูแลเด็กในศนู ย์พัฒนา เด็กเล็กอาเภอหว้ ยเม็ก จังหวดั กาฬสนิ ธ์.ุ วารสารวิจัยและพฒั นาระบบสุขภาพ, 7 (1), 143-151. สานกั งานปอ้ งกันควบคมุ โรคท่ี 1 เชียงใหม่. (2561). สถานการณโ์ รคมือเท้าปากพนื้ ที่อาเภอล้ี [online] [สืบคน้ เมื่อ 27 ธ.ค. 2561]; แหล่งข้อมลู : URL: http://1.10.141.27:8010/dpc10/r506_week/zone.php สานักโรคติดตอ่ ทั่วไป. (2559). แนวทางการปอ้ งกนั ควบคุมโรคติดต่อในศนู ย์เด็กเลก็ และโรงเรียนอนุบาล สาหรับครผู ู้ดแู ลเดก็ . พมิ พ์คร้ังท่ี 2. สมทุ รสาคร: บรษิ ทั บอร์น ทู บี พบั ลิชช่ิง จากดั , 1-64. สานักโรคตดิ ตอ่ ท่ัวไป. (2561). สถานการณโ์ รคมือเท้าปาก สัปดาหท์ ่ี 50 ณ วนั ท่ี 23 ธันวาคม 2561 [online] [สืบค้นเมือ่ 27 ธ.ค. 2561]; แหลง่ ข้อมูล: URL: http://27.254.33.52/healthypreschool/uploads/file/HFM%2061/HFM%20WK50.pdf Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 11
ปัจจยั ทม่ี คี วามสัมพนั ธต์ อ่ พฤตกิ รรมการป้ องกนั ควบคมุ โรคมอื เทา้ ปาก ของผู้ดแู ลเด็กในศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ อาเภอลี้ จงั หวดั ลาพนู สานักโรคตดิ ต่ออุบตั ิใหม่. (2557). แนวทางการปฏิบัตงิ านโรคมือเท้าปาก และโรคติดเช้ือเอนเทอโรไวรัส 71 สาหรับบุคลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสุข ปี 2557. พิมพ์ครงั้ ท่ี 1. กรุงเทพฯ: สานักงานกจิ การ โรงพมิ พ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศกึ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์, 1-107. สุดารตั น์ สอดเสน สงวน ทรงววิ ฒั น์ และประสทิ ธิ์ สุวรรณรกั ษ.์ (2556). ปัญหาในการดาเนนิ งานศนู ย์พฒั นา เดก็ เลก็ สงั กัดองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ ในเขตอาเภอบ้านกรวด จงั หวัดบุรีรมั ย์. Graduate Research Conference KhonKarn University 2013, 1517-1525. สวุ รรณา เชยี งขุนทด ชนดิ า มัททวางกูร กุลธิดา จันทร์เจริญ และคณะ. (2556). รายงานการวิจยั ความรู้และ พฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชาชนในเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร [online] [สืบค้นเม่ือ 24 พ.ย. 2561]; แหล่งข้อมูล: URL: http://rcfcd.com/?p=3552 แสงดาว เกษตรสนุ ทร นงเยาว์ เกษตรภ์ ิบาล และจิตตาภรณ์ จติ รเี ชอ้ื . (2558). ปัจจยั ทานายความต้งั ใจในการ คดั กรองโรคมือเทา้ และปากของครูพีเ่ ลีย้ งในศูนยพ์ ฒั นาเด็กเลก็ ในภาคใต้. Nursing Journal, 42(1), 74-84. องค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ 10 แห่ง อาเภอล.ี้ (2561). ข้อมลู รายช่ือครแู ละจานวนศูนย์พัฒนาเดก็ เล็กในสงั กัด องค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ อาเภอล้ี จังหวดั ลาพูน. อัจจิมา ชนะกุล. (2558). พฤตกิ รรมของครตู ่อการควบคุมป้องกันโรคมอื เท้าปากในศูนย์พัฒนาเดก็ เล็ก อาเภอ เมือง จงั หวดั กระบ.่ี วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , 3 (3), 453-468. อาพนั ไชยงาเมือง. (2552). การปฏบิ ัติในการป้องกนั โรคมือเท้าและปากของผ้ดู ูแลเด็กในศนู ยพ์ ัฒนาเด็กเล็ก อาเภอเมืองเชยี งราย. ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑติ . สาขาวิชาการพยาบาลชุมชน เชยี งใหม่: มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ World Health Organization. (2011). A Guide to Clinical Management and Public Health Response for Hand, Foot and Mouth Disease [online] [cited 2018 November]; Available from: URL: https://iris.wpro.who.int/bitstream/handle/10665.1/5521/9789290615255_eng.pdf 12 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1
Factors Related to Prevention Practice Streptococcus suis Infection of People in Chiang Mai Province ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การปฏบิ ตั ใิ นการป้ องกนั การตดิ เชอื้ สเตรปโตคอกคสั ซูอสิ ของประชาชน จงั หวดั เชยี งใหม่ Factors Related to Prevention Practice Streptococcus suis Infection of People in Chiang Mai Province กุลจริ า เพ็ชรกุล* ส.ม. (สาธารณสขุ ศาสตร์) Kuljira Pechkul* M.P.H. (Public Health) กรรณิการ์ ณ ลาปาง** ปร.ด. (ระบาดวทิ ยา) Kannika Na Lampang** Ph.D. (Epidemiology) * โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลบ้านคลองมะนาว อาเภอวัฒนานคร จงั หวดั สระแก้ว Khlong Manao Health Promoting Hospital, Wattana Nakhon Distric, Sakaeo Province ** คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ Faculty of Veterinary Medicine, Chiang Mai University Received: May 11, 2020 Revised: May 26, 2020 Accepted: Jun 17, 2020 บทคดั ยอ่ การศึกษาแบบภาคตัดขวางน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติในการป้องกันการ ติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ของประชาชน จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างจานวน 430 คน คัดเลือกโดยการ สุ่มตัวอย่างจาก 10 อาเภอ แบบหลายข้ันตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ เชงิ พรรณนาคือ ความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยโดยใช้ สถติ ิไคสแควร์และสหสมั พันธ์เพยี รส์ ัน ผลการศกึ ษาพบวา่ กลุ่มตัวอย่างมรี ะดบั ความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ ในระดบั ปานกลาง ร้อยละ 49.30 ทัศนคตใิ นการป้องกันการติดเช้ือในระดับปานกลาง ร้อยละ 57.67 และการ ปฏิบตั ใิ นการป้องกันการตดิ เช้ือในระดบั ปานกลางรอ้ ยละ 42.56 โดยปัจจัยดา้ นเพศ อาชพี ความรู้ และทศั นคติ ในการป้องกันการติดเช้ือสเตรปโตคอกคัส ซูอิส มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้ออย่างมี นัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05) ท้ังนี้ความรู้และทัศนคติมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการปฏิบัติในการป้องกันการ ติดเช้ือ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ โดยมีค่าสัมประสิทธ์สัมพันธ์ r = 0.476 และ 0.514 (p<0.001) ดังนั้น หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องควรให้ความสาคัญกับการให้ความรู้เก่ียวกับการป้องกันโรคแก่ประชาชนอย่างต่อเน่ือง รวมถึงการสร้างความตระหนักให้ประชาชนมีทัศนคติท่ีถูกต้องเก่ียวกับการป้องกันโรค เพ่ือนาไปสู่การปฏิบัติ ในการปอ้ งกันการติดเช้ือสเตรปโตคอกคัส ซอู ิส อย่างถูกต้องตอ่ ไป คาสาคัญ: สเตรปโตคอกคสั ซูอิส, การปฏบิ ตั ิ, ปจั จัย Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 13
ปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ การปฏบิ ตั ใิ นการป้ องกนั การตดิ เชอื้ สเตรปโตคอกคสั ซูอสิ ของประชาชน จงั หวดั เชยี งใหม่ ABSTRACT The cross-sectional study aimed to define the relationships between factors of practical prevention toward Streptococcus suis infection in Chiang Mai Province. The multi- stage sampling was a method to recruit 430 population samples from 10 districts in the province. The data collected by a questionnaire were analyzed as descriptive statistics narrated in percentage, average values and standard deviation. The factor relationships and correlation between knowledge and attitude score were computed by Chi-square and Pearson Correlation. The results showed there were moderate knowledge (49.30%), attitudes (57.67%) and practical prevention of Streptococcus suis infection (42.56%). There were significant correlations between practical prevention of Streptococcus suis infection with genders, occupation, knowledge and attitudes (P<0.001). Furthermore, the knowledge and attitudes were positively correlated with practical prevention of Streptococcus suis infection (r = 0.476 and 0.514) (P<0.001). However, the related agencies should always support the knowledge of the disease and continuous prevention of infection information for the communities. The people had gotten positive attitudes to prevent Streptococcus suis infection. Moreover, the authorities should regularly follow up to correct the practical prevention of Streptococcus suis infection. Key words: Streptococcus suis, Preventive Practice, Factors. บทนา โรคติดเชื้อ Streptococcus suis เป็นโรคติดต่อ 1 รายเสียชีวิต 1 รายสูญเสียการได้ยิน และอีก 1 จากสัตว์สู่คน (Zoonotic disease) โดยมีสุกรเป็น รายหายเป็นปกติ (Leelarasamee et al., 1997 แหล่งรังโรค ความรุนแรงของโรคท่ีทาให้เกิดการ อ้างถึงใน จานง บุญศรี, 2556) สถานการณ์การ เสยี ชวี ิตในผ้ปู ่วยที่ติดเชอื้ Streptococcus suis มักมี ระบาดของโรค Streptococcus suis ในจังหวัด อาการไข้สูงเฉียบพลัน คล่ืนเหียน วิงเวียน และเสีย เชียงใหม่ พบในปี พ.ศ. 2551 ท่ีอาเภอจอมทอง เกิด การทรงตัว เดินเซ ภายหลังท่ีหายจะมีความผิดปกติ การติดเชื้อจากการบริโภคอาหารดิบท่ีปรุงจากเนื้อ ในการทรงตวั และการได้ยินจนถึงข้ันหูหนวกถาวร ใน สุกรในงานเลี้ยง พบผู้ป่วยทั้งหมด 62 ราย คิดเป็น รายที่อาการรุนแรงอาจมีการติดเช้ือในกระแสโลหิต อัตราป่วย 23.40 ต่อประชากรแสนคน (สมอาจ วงศ์ อวัยวะภายในอักเสบ มีจ้าเลือดทั่วตัว และช็อกจาก สวัสดิ์, 2553) และในปี พ.ศ. 2559 จังหวัดเชียงใหม่ พิษของเช้ือ (อาทิชา วงศ์คามา และเสาวพักตร์ ฮ้ินจ้อย พบผู้ป่วยท้ังหมด 5 ราย อัตราป่วย 0.30 ต่อ , 2558) ประชากรแสนคน พบผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย จาก ปี พ.ศ. 2530-2535 ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วย รายงานการสอบสวนโรคของกลุ่มระบาดวิทยาและ ทุกปี ปีละ 3 ถึง 6 ราย มีประวัติสัมผัสสุกรก่อนจะมี ข่าวกรอง สานักงานปอ้ งกันควบคุมโรคท่ี 1 เชียงใหม่ อาการป่วยด้วยโรคเย่ือหุ้มสมองอักเสบ และมีอาการ (2559) พบวา่ เกิดจากการรับประทานลาบสกุ รดิบ หูหนวกทั้งสองข้าง (Pootong et al., 1993) ในปี ประชาชนในภาคเหนือนิยมรับประทานลาบ พ.ศ. 2540 มีรายงานผู้ป่วยมีอาการรุนแรงอีก 3 ราย หมูดิบ เน่ืองจากจากปัจจัยทางสังคม ประเพณี 14 วารสารสาธารณสขุ ล้านนา ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1
Factors Related to Prevention Practice Streptococcus suis Infection of People in Chiang Mai Province วัฒนธรรม เช่ือว่าการบริโภคลาบดิบเป็นอาหารชั้นดี จากสมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ให้ความ และเป็นมงคล คล้องจองกับคาว่า “ลาภ” จึงนิยม ร่วมมือตอบแบบสอบถามครัวเรือนละ 1 คน ตาบล นามาเป็นอาหารเพื่อรับรองแขกในงานเลี้ยงสังสรรค์ ละ 75 คน โดยให้โควตา เพศชาย 38 คน เพศหญิง งานบญุ งานฉลองในหมู่บ้าน (วัฒนา โยธาใหญ่, 2549) 37 คน จากทฤษฎีของ Bloom (1973) กล่าวว่า ความรู้จึงมี เกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผลต่อการตัดสินใจและการปฏิบัติ เมื่อประชาชนมี ประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ความรู้ที่ดี จะส่งผลให้เกิดความรู้สึกท่ีดี และก็จะ สามารถส่ือสารภาษาไทยได้เข้าใจ อ่านออกเขียนได้ ส่งผลให้ประชาชนสนใจ ศึกษาหาความรู้และเรียนรู้ และมีความสมัครใจในการเข้าร่วมการวจิ ัยคร้ังนี้ ในส่ิงนน้ั ๆ ได้รวดเร็วและถูกต้องย่ิงขึ้น สามารถจดจา เรื่องนนั้ ๆ ได้นาน และความรู้ยังเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มี การคานวณขนาดตัวอยา่ ง ใช้สูตรของ YAMANE ผลต่อการปฏิบัติ ดังน้ันผู้วิจัยจึงสนใจการศึกษาถึง (1973) ดังนี้ แทนค่าประชากรที่ศึกษา จานวน ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อ 1,423,301 คน ได้กลุ่มตัวอย่างจานวน 400 คน Streptococcus suis พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ผู้วิจัยเพิ่มกลุ่มตัวอย่างอีก 10% เพื่อทดแทนกลุ่ม วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาระดับความรู้ ทัศนคติ และ ตัวอย่างท่ีตอบข้อมูลไม่ครบถ้วน ดังน้ันจึงได้กลุ่ม การปฏบิ ตั ิในการป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus ตัวอย่างทใี่ ช้ในการศกึ ษานี้ จานวน 440 คน หลังจาก suis และความสัมพันธ์ของปัจจัยที่เก่ียวข้องกับการ ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของแบ บ ปฏิบัติในการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus สมั ภาษณ์ ได้กลุ่มตัวอย่างท้ังสิ้น 430 คน ทาการเก็บ suis ของประชาชนในจงั หวัดเชยี งใหม่ ขอ้ มลู ระหว่างเดอื นมกราคม - มีนาคม 2561 เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษา เป็นแบบสัมภาษณ์ท่ี วิธีการศกึ ษา ผู้ศึกษาสร้างข้ึนจากการทบทวนเอกสารงานวิจัยท่ี การศึกษาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional เก่ยี วข้อง ประกอบด้วย 4 สว่ น ได้แก่ analytical study) ประชากรคือ ประชาชนที่มีอายุ ส่วนท่ี 1 ข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ 18 ปีขึ้นไป ท่ีอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จานวน การศึกษาสงู สดุ และอาชพี 1,423,301 คน (สานักบริหารการทะเบียน กรมการ ส่วนท่ี 2 ความรู้ในการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis จานวน 42 ข้อ ประกอบด้วย ปกครอง, 2558) กลุ่มตัวอย่าง ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลาย 2 สว่ นคอื ความรู้เก่ยี วกบั การติดเชื้อ Streptococcus ขั้นตอน (Multi-stage sampling) โดยเลือกอาเภอที่ suis และความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ มีรายงานผู้ป่วยในปี พ.ศ. 2558 จานวน 10 อาเภอ Streptococcus suis ใช้เกณฑ์การให้คะแนน คือ ได้แก่ อาเภอเมืองเชียงใหม่, อาเภอจอมทอง, อาเภอ ถ้าตอบถูกให้ 1 ถ้าตอบผิดให้ 0 การแปลผลระดับ เชียงดาว, อาเภอสะเมิง, อาเภอฝาง, อาเภอสันป่าตอง, ความรู้แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับดี (33.6-42.0 อาเภอสันกาแพง, อาเภอสันทราย, อาเภอ คะแนน) ระดับปานกลาง (25.2-33.5 คะแนน) และ หางดง และอาเภอแม่ออน (สานักงานป้องกันควบคุม ระดับต่า (น้อยกว่า 25.2 คะแนน) มีค่าความตรง โรคที่ 1 เชียงใหม่, 2559) จากนั้นจับฉลากเลือก เชิงเน้ือหา (CVI) เท่ากับ 0.89 มีค่าสัมประสิทธิ์ความ อาเภอที่มีรายงานผู้ป่วยทั้งหมด 3 อาเภอ ได้แก่ เชอ่ื ม่ันเทา่ กบั 0.73 อาเภอสันปา่ ตอง อาเภอสนั ทราย และอาเภอเชียงดาว ส่ ว น ท่ี 3 ทั ศ น ค ติ ใ น ก า ร ป้ อ ง ก า ร ติ ด เ ช้ื อ จากนั้นจับฉลากเลือกตาบลของท้ัง 3 อาเภอๆ ละ 2 Streptococcus suis จานวน 21 ข้อ ประกอบด้วย ตาบล ได้ท้ังหมด 6 ตาบล เลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ ทัศนคติ 3 ด้านคือ ทัศนคติต่อการติดเชื้อ ในแต่ละครัวเรือน แล้วทาการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง Streptococcus suis ทัศนคติต่อปัจจัยการติดเช้ือ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 15
ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การปฏบิ ตั ใิ นการป้ องกนั การตดิ เชอื้ สเตรปโตคอกคสั ซูอสิ ของประชาชน จงั หวดั เชยี งใหม่ Streptococcus suis และทศั นคติในการป้องกันการ การพทิ ักษส์ ิทธิของกลุ่มตัวอยา่ ง ติดเช้ือ Streptococcus suis ใช้การวัดแบบลิเคิร์ท งานวิจัยนี้ผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยใน (Likert’s method) ซึ่งกาหนดคาตอบในแต่ละข้อ ม นุ ษ ย์ จ า ก ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร จ ริ ย ธ ร ร ม จ า ก เป็น 5 ทางเลือก คือเห็นด้วยอย่างยิ่ง 5 คะแนน, คณะกรรมการจริยธรรมในคน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เห็นด้วย 4 คะแนน, ไม่แน่ใจ 3 คะแนน, ไม่เห็นด้วย เลขที่ 60/038 2 คะแนน และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง 1 คะแนน การ แปลผลระดับทัศนคติแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับดี ผลการศึกษา (84.0-105.0 คะแนน) ระดับปานกลาง (63.0-83.9 คะแนน) และระดบั ต่า (< 63 คะแนน) มีค่าความตรง ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง พบว่ากลุ่ม เชิงเน้ือหา (CVI) เท่ากับ 0.89 มีค่าสัมประสิทธิ์ความ ตัวอย่างเป็นเพศหญิงร้อยละ 55.12 และเพศชาย เชอ่ื มัน่ เท่ากบั 0.79 ร้อยละ 44.88 มีอายุอยู่ในกลุ่ม 40-49 ปี ร้อยละ 23.49 และ 50-59 ปี ร้อยละ 23.72 อายุเฉล่ีย ส่วนที่ 4 การปฏิบัติในการป้องการติดเชื้อ 42.47 ปี มีเช้ือชาติไทยทั้งหมด การศึกษาสูงสุดใน Streptococcus suis จานวน 26 ข้อ ประกอบไป ระดับชั้นมัธยมศึกษา และประถมศึกษา ร้อยละ ด้วยการปฏิบัติ 4 ด้าน ได้แก่ การเลือกซื้อเน้ือสุกร 36.98 และ 35.58 ตามลาดับ ประกอบอาชีพรับจ้าง การปรุงอาหารจากเนื้อสุกร การบริโภคเนื้อสุกร และ มากทสี่ ุด ร้อยละ 44.42 รองลงมาอาชีพเกษตรกรรม การจัดเก็บ ทาความสะอาดอุปกรณ์เครื่องครัว ร้อยละ 22.33 ดงั ตารางที่ 1 ลักษณะคาตอบเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 3 ระดับ คอื ปฏิบัติทุกคร้ัง 2 คะแนน, ปฏิบัติ ความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus บางคร้ัง 1 คะแนน และไม่เคยปฏิบัติ 0 คะแนน โดย suis พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้ใน การแปลผลการปฏิบัติแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับดี การป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis เท่ากับ (41.6-52.0 คะแนน) ระดับปานกลาง (31.2-41.5 31.77 (Min=17, Max=42, S.D.=5.13) กลุ่มตัวอย่าง คะแนน) และระดับต่า (<31.2 คะแนน) มีค่าความ ส่ว นใหญ่มีคว ามรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ ตรงเชิงเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 0.85 มีค่าสัมประสิทธิ์ Streptococcus suis ระดับปานกลาง (ร้อยละ 49.30) ความเชอ่ื มัน่ เทา่ กบั 0.80 ทัศนคติในการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉล่ียทัศนคติใน การวิเคราะห์ข้อมูล สาหรับข้อมูลท่ัวไปของกลุ่ม การป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus suis เท่ากับ ตัวอย่าง ข้อมูลความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการ 75.01 (Min= 52, Max=100, S.D.=8.20) กลุ่มตัวอย่าง ป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis ใช้สถิติ ส่วนใหญ่มีทัศนคติในการป้องกันการติดเช้ือ เชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) เช่น ความถ่ี Streptococcus suis ในระดับปานกลาง ร้อยละ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การ 57.67 ส่วนการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง เพศ อายุ เช้ือชาติ Streptococcus suis พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยการ การศึกษาสูงสุด อาชีพ ความรู้กับทัศนคติในการ ปฏิบัติเท่ากับ 36.73 (Min=21, Max=52, S.D.=7.23) ป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis โดยใช้สถิติ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการปฏิบัติในระดับปานกลาง วิเคราะห์ (Inferential statistic) คือ Chi-square รอ้ ยละ 42.56 ดังตารางที่ 2 test และวิเคราะห์ระดับความสัมพันธ์ของปัจจัย การวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา ด้านความรู้และทัศนคติกับการปฏิบัติในการป้องกัน ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษาสูงสุด อาชีพ ความรู้และ การติดเชื้อ Streptococcus suis โดยใช้ Pearson ทัศนคติในการป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus correlation suis พบว่า มีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติ ในการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis 16 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1
Factors Related to Prevention Practice Streptococcus suis Infection of People in Chiang Mai Province อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติ (p<0.05) ไดแ้ ก่ เพศ อาชีพ เชิงบวกกับการปฏิบัติในการป้องกันการติดเช้ือ ความรู้ และทัศนคติในการป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus suis อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ Streptococcus suis ดงั ตารางที่ 3 (r = 0.476, p<0.001) ทัศนคติในการป้องกันการติด เม่ือนาตัวแปรด้านความรู้และทัศนคติมาทดสอบ เช้ือ Streptococcus suis มีความสัมพันธ์กับการ ความสัมพันธ์กับการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus suis อย่างมี Streptococcus suis พบว่า ความรู้มีความสัมพันธ์ นยั สาคัญทางสถิติ (r = 0.514, p<0.001) ดงั ตารางท่ี 4 ตารางท่ี 1 จานวนและรอ้ ยละของกลุม่ ตวั อยา่ ง จาแนกตามขอ้ มูลส่วนบคุ คล ข้อมูลทั่วไป จานวน ร้อยละ เพศ 193 44.88 ชาย 237 55.12 หญิง 92 21.40 อายุ (ปี) 91 21.16 18-29 ปี 101 23.49 30-39 ปี 102 23.72 40-49 ปี 44 10.23 50-59 ปี 60 ปีขนึ้ ไป 17 3.95 153 35.58 Mean=42.47, S.D=13.18, Min=18, Max=82 159 36.98 การศกึ ษาสูงสดุ 25 5.81 76 17.67 ไม่ได้ศึกษา ประถมศกึ ษา 96 22.33 มัธยมศกึ ษา 191 44.42 อนปุ รญิ ญาหรอื เทยี บเท่า 55 12.79 สงู กว่าปรญิ ญาตรี 15 3.49 อาชีพ 40 9.30 เกษตรกรรม 33 7.67 รับจา้ ง ค้าขาย นกั เรยี น/นกั ศึกษา ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ แม่บา้ น Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 17
ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การปฏบิ ตั ใิ นการป้ องกนั การตดิ เชอื้ สเตรปโตคอกคสั ซูอสิ ของประชาชน จงั หวดั เชยี งใหม่ ตารางที่ 2 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามระดับความรู้ ระดับทัศนคติ และระดับการปฏิบัติ ในการป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus suis (n=430) ระดับ จานวน ร้อยละ ความรู้ 171 39.77 ระดับดี 212 49.30 ระดับปานกลาง 47 10.93 ระดับต่า 23 5.35 Min=17, Max=42, Mean=31.77, S.D.=5.13 248 57.67 ทัศนคติ 159 36.98 ระดับดี 127 29.53 ระดับปานกลาง 183 42.56 ระดับตา่ 120 27.91 Min=52, Max=100, Mean=75.01, S.D.=8.20 การปฏิบัติ ระดับดี ระดับปานกลาง ระดับตา่ Min=21, Max=52, Mean=36.73, S.D.=7.23 ตารางท่ี 3 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติในการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis ของประชาชน จงั หวดั เชยี งใหม่ (n = 430) การปฏบิ ัตใิ นการปอ้ งกันการติดเชือ้ Streptococcus suis ปัจจัย ระดับดี ระดับปานกลาง ระดับต่า P-value จานวน เพศ ชาย (ร้อยละ) จานวน จานวน 0.002* หญิง 0.377 (ร้อยละ) (ร้อยละ) อายุ 18-29 ปี 30-39 ปี 43 (33.86) 83 (45.36) 67 (55.83) 40-49 ปี 50-59 ปี 84 (66.14) 100 (56.64) 53 (44.17) 60 ปีขน้ึ ไป 19 (14.96) 40 (21.86) 33 (27.50) 29 (22.83) 37 (20.22) 25 (20.83) 31 (24.41) 49 (26.78) 21 (17.50) 34 (26.77) 39 (21.31) 29 (24.17) 14 (11.02) 18 (9.84) 12 (10.00) 18 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีที่ 16 ฉบับที่ 1
Factors Related to Prevention Practice Streptococcus suis Infection of People in Chiang Mai Province ตารางที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เก่ียวข้องกับการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus suis ของประชาชน จังหวดั เชยี งใหม่ (n = 430) (ต่อ) การปฏบิ ัติในการปอ้ งกนั การตดิ เช้อื Streptococcus suis ปัจจัย ระดับดี ระดับปานกลาง ระดับต่า P-value 0.082 จานวน จานวน จานวน <0.001* (ร้อยละ) (ร้อยละ) (ร้อยละ) <0.001* <0.001* การศึกษาสูงสุด ไมไ่ ด้ศกึ ษา 3 (2.36) 9 (4.92) 5 (4.17) ประถมศึกษา 46 (36.22) 54 (29.51) 53 (44.17) มธั ยมศกึ ษา 48 (37.80) 67 (36.61) 44 (36.67) อนปุ รญิ ญาหรือเทียบเทา่ 5 (3.94) 13 (7.10) 7 (5.83) สูงกว่าปริญญาตรี 25 (19.69) 40 (21.86) 11 (9.17) อาชพี เกษตรกรรม 13 (10.24) 41 (22.40) 42 (35.00) รับจา้ ง 66 (51.97) 82 (44.81) 43 (35.83) ค้าขาย 24 (18.90) 18 (9.84) 13 (10.83) นักเรียน/นักศึกษา 0 (0) 9 (4.92) 6 (5.00) ขา้ ราชการ/รัฐวิสาหกิจ 14 (11.02) 20 (10.93) 6 (5.00) แม่บา้ น 10 (7.87) 13 (7.10) 10 (8.33) ความรู้ในการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis ระดับดี 84 (66.14) 77 (42.08) 10 (8.33) ระดับปานกลาง 42 (33.07) 90 (49.18) 80 (66.67) ระดบั ต่า 1 (0.79) 16 (8.74) 30 (25.00) ทัศนคตใิ นการปอ้ งกันการตดิ เชื้อ Streptococcus suis ทัศนคติดี 14 (11.02) 9 (4.92) 0 (0) ทัศนคตปิ านกลาง 99 (77.95) 122 (66.67) 27 (22.50) ทัศนคติต่า 14 (11.02) 52 (28.42) 93 (77.50) * p-value<0.05 ตารางที่ 4 ค่าสมั ประสิทธิส์ หสมั พันธข์ องความรูแ้ ละทัศนคตใิ นการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus suis กับการปฏบิ ตั ใิ นการป้องกันการตดิ เช้อื Streptococcus suis ของประชาชน จังหวดั เชยี งใหม่ (n = 430) ตัวแปร ค่าสัมประสทิ ธส์ หสัมพันธ์ (r) p-value ความรู้ในการป้องกันการตดิ เชอื้ Streptococcus suis 0.476 <0.001* ทัศนคติในการปอ้ งกนั การตดิ เชื้อ Streptococcus suis 0.514 <0.001* *p-value<0.001 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 19
ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การปฏบิ ตั ใิ นการป้ องกนั การตดิ เชอื้ สเตรปโตคอกคสั ซูอสิ ของประชาชน จงั หวดั เชยี งใหม่ อภิปรายผล การตอบสนองที่มีความหมายทางสังคมของบุคคล กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ในการป้องกันการ หนึ่ง เกิดขึน้ จากแรงขับภายในของแต่ละบุคคลที่มีต่อ ติดเช้ือ Streptococcus suis อยู่ในระดับปานกลาง ส่ิงเร้ารูปแบบต่างๆ อันเป็นผลทาให้บุคคลนั้นแสดง ท้ังนอ้ี าจเนื่องมาจากการใหค้ วามรเู้ กีย่ วกับการติดเช้ือ พฤติกรรมออกมาภายหลัง (Doob, 1976 อ้างถึงใน Streptococcus suis มักเป็นการให้ความรู้เฉพาะ ชวลิต สารทช้าง, 2554) ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษา เวลาที่มีการระบาดเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (ศิริพัฒน์ ของวัฒนา โยธาใหญ่ (2549) ท่ีพบว่าวัฒนธรรมการ โอกระจ่าง, 2551) และเฉพาะพ้ืนที่ท่ีพบการติดเชื้อ บริโภคอาหารดิบของตาบลเชียงแรง อาเภอภูซาง เท่านั้น ทาให้ประชาชนได้รับความรู้ไม่ทั่วถึงและไม่ จังหวัดพะเยา มีค่านิยมการกินอาหารของชาวบ้าน ต่อเน่ือง รวมถึงการให้ความรู้ผ่านการส่ือสารผ่านส่ือ เก่ียวกับ ลาบ ส้า และหลู้ ว่าเป็นการถ่ายทอดทาง ต่างๆ โทรทศั น์ สอ่ื ส่งิ พมิ พ์ ภาพ อินโฟกราฟิกมักเป็น วัฒนธรรมท่ีกินมากันหลายช่ัวอายุคน อิทธิพลทาง การใหค้ วามรู้เฉพาะเรื่องเช่น “กินหมูดิบ เสี่ยงหูดับ” สงั คมและครอบครัวมผี ลต่อการบ่มเพาะ และจรรโลง (สานักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรม กรม บริโภคสืบต่อกันมา ทัศนคติกับการบริโภคลาบดิบ มี ควบคุมโรค, 2562) ทาให้ประชาชนเกิดการจาได้ ความเห็นว่าการกินลาบดิบมันอร่อย กลืนง่าย เฉพาะความรู้ที่ได้รับบ่อยคร้ัง สอดคล้องกับ สะดวก กินอาหารได้มาก อ่ิมนาน กินแล้วรู้สึก คาอธิบายลักษณะความรู้ของ ประภาเพ็ญ สุวรรณ แข็งแรง ถ้ากินสุกไม่มีรสชาติ จืดชืด เม่ือมีงานเล้ียง (2520) ที่ระบุว่าความรู้เป็นพฤติกรรมข้ันต้น ซึ่ง หากเจ้าภาพเล้ียงอาหารเป็นลาบจะทาให้มีหน้ามีตา ผเู้ รยี นรเู้ พียงจาไดโ้ ดยการนึกหรือการมองเห็น การได้ เจ้าภาพจัดดีท่ีสุด ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารของแต่ละ ยินก็จาได้ แต่ประชาชนยังมีความรู้ไม่ท่ัวถึงในด้าน งานเล้ียง ด้านการปฏิบัติ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการ การตดิ ตอ่ ของโรค เช่น การติดตอ่ ท่เี กิดจากการสัมผัส ปฏิบัติในการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus ซ่งึ จะเห็นได้จากเป็นขอ้ ท่ตี อบถูกน้อยท่ีสุด สอดคล้อง suis อยู่ในระดับปานกลาง ท้ังนี้เนื่องมาจาก กับการศึกษาของเปรมจิตร แก้วมูล (2552) ท่ีพบว่า ประชาชนได้รับความรู้ยังไม่ต่อเนื่อง ยังอยู่ในช่วง ประชาชนในตาบลท่าอิฐ อาเภอเมือง จังหวัด ระยะเวลาและในพื้นท่ีที่มีการระบาด และมีทัศนคติ อุตรดิตถ์ มีความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ ในการรับประทานเนื้อสุกรดิบเป็นบางครั้ง ซ่ึง Streptococcus suis โดยรวมและความรู้เร่ืองการ พฤติกรรมการรับประทานเนื้อสุกรดิบเป็นพฤติกรรม ติดเชื้อ Streptococcus suis อยู่ในระดับปานกลาง เป็นการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาหลาย ด้านทัศนคติพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติในการ ช่ัวอายุคน (วัฒนา โยธาใหญ่, 2549) ซึ่งการปฏิบัติ ป้องกนั การติดเช้อื Streptococcus suis อยใู่ นระดับ เป็นผลเกิดจากประสบการณ์ การรับรู้ หรือการ ปานกลาง ท้ังน้ีเนื่องมาจากการได้รับความรู้เกี่ยวกับ เรียนรู้ จากวิถีการครองชีวิต (Norm) นิสัย (habit) การติดเชื้อท่ีไม่ครอบคลุม ทาให้ประชาชนไม่เกิด และสิ่งท่ีความคาดหวังจะได้รับจากการกระทา ความตระหนักในความรุนแรงของโรค ซ่ึงการติดเช้ือ (ประภาเพ็ญ สุวรรณ, 2536 อ้างถึงใน อัมพร ยานะ, Streptococcus suis ทาใหผ้ ปู้ ่วยเกิดภาวะแทรกซ้อน 2552) สอดคล้องกับการศึกษาของ รุจิรา ดุรยศาสตร์ นั่นคือ อาการเย่ือหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อใน และคณะ (2558) ที่พบว่า การปฏิบัติในการป้องกัน กระแสเลือดเป็นอาการที่พบบ่อยท่ีสุดในการติดเชื้อ การติดเช้ือ Streptococcus suis อยู่ในระดับปาน Streptococcus suis (Hughes et al., 2009) และ กลาง ซ่ึงหน่วยงานควรให้ความรู้กับประชาชนอย่าง มีผลทาให้เกิดการเสียชีวิตในท่ีสุด นอกจากนี้การ ต่อเน่ือง รวมถึงมีการเฝ้าติดตามผล และการสารวจ รับประทานเนื้อสุกรดิบ หรือ สุกๆ ดิบๆ ช่วยให้ การปฏิบตั ใิ นการป้องกันการติดเช้ือ Streptococcus ร่างกายแข็งแรง และมีรสชาติอร่อยกว่าเน้ือสุกรท่ี suis อย่างสม่าเสมอ เพ่ือนาไปสู่การปฏิบัติท่ีถูกต้อง ปรุงสุก (Burniston et a.l, 2015) โดยทัศนคติเป็น ต่อไป ซึ่งหากต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการ 20 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1
Factors Related to Prevention Practice Streptococcus suis Infection of People in Chiang Mai Province ปฏิบัติท่ีพึงประสงค์ด้านสุขภาพอนามัยและเป็นการ การศึกษาของรุจิรา ดุริยศาสตร์ (2558) พบว่าความรู้ ปฏิบัติท่ีย่ังยืนสาหรับประชาชน ประชาชนต้องมี เกี่ยวกับการติดเช้ือ Streptococcus suis ของ ความร้ใู นการป้องกนั โรค (Bloom, 1973) ประชาชนในตาบลนาขมิ้นและตาบลโพนจาน อาเภอ ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติในการ โพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม มีความสัมพันธ์เชิงบวก ป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus suis พบว่า อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติกับการปฏิบัติในการป้องกัน เพศ ชายเป็นผู้ท่ีมีการปฏิบัติในการป้องกันการติด การตดิ เช้อื Streptococcus suis เช้อื Streptococcus suis ในระดับต่า เนื่องมาจากผู้ ท่ีมีหน้าที่ปรุงอาหารในครัวเรือนและงานเลี้ยงของ ข้อเสนอแนะ ชุมชนส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน (รัชนีกร คาหล้า และ หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องควรนาข้อมูลที่ได้จาก คณะ, 2553) และเป็นผู้ท่ีมีการรับประทานอาหารดิบ การศึกษามาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน สาหรับวางแผน น้อยกวา่ (วัฒนา โยธาใหญ่ และคณะ, 2549) การดาเนินงานให้ความรู้ผ่านทางส่ือในรูปแบบ นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ หลากหลาย ต่อเน่ือง เพ่ือให้ประชาชนเกิดความ รับจ้าง เกษตรกรรม ร่วมกับเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อบริโภค สนใจ และมีการสร้างกระแสในการรับประทานเน้ือ และมีการเลือกซ้ือเนื้อสุกรจากแหล่งต่างๆ ท่ีมีการฆ่า สุกรที่ปรุงสุก รวมถึงมีเผยแพร่ข้อมูลให้กับระดับ ชาแหละขายในหมู่บ้านหรือตลาดท่ัวไป ประกอบกับ องคก์ รส่วนทอ้ งถน่ิ เพือ่ นาไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ ในพื้นที่ห่างไกลของภาคเหนือยังมีการเลี้ยงสุกรแบบ การส่ือสารความเสี่ยง ด้านการป้องกันการติดเชื้อ ชาวบ้าน (Padungtod et al., 2010) ทาให้มีการซื้อ Streptococcus suis ในจงั หวดั เชียงใหม่ตอ่ ไป เน้ือสุกรจากแหล่งท่ีไม่ได้มาตรฐาน สอดคล้องกับ ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป การศึกษาของสุวิชัย โรจนเสถียร (2560) ท่ีพบว่า 1. ควรมีการศึกษาเชิงคุณภาพ เกี่ยวกับปัญหา การเลี้ยงสุกรในหมู่บ้าน การซ้ือสุกรราคาถูกจาก และอุปสรรคของการให้ความรู้ เพ่ือพัฒนารูปแบบ ฟาร์ม และการซ้ือเน้ือสุกรจากตลาดมาทาลาบเอง การให้ความรู้ท่ีเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนมีการ เป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ Streptococcus ปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus suis suis ท่เี หมาะสม ความสมั พนั ธข์ องปจั จัยพบว่า ความรู้และทัศนคติ 2. ควรมีการศึกษารูปแบบการปรับเปลี่ยน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการปฏิบัติในการป้องกัน พฤติกรรมหรือค่านิยมในการรับประทานอาหาร เช่น การติดเชื้อ Streptococcus suis การให้ความรู้ใน ลาบสุกรดิบในงานเลี้ยงต่างๆ ในชุมชน เพ่ือนาผล เรื่องของโรคการตดิ เชื้อ ยังจาเป็นเน่ืองจากประชาชน การศึกษามาใช้ในการป้องกันและลดปัจจัยต่อการ ยังได้ความรู้ท่ีไม่คลอบคลุม อีกทั้งยังมีค่านิยมในการ แพรก่ ระจายเชือ้ รบั ประทานเนอื้ สุกรดิบ ยังเช่ือว่าเป็นเมนูอาหารช้ันดี เป็นอาหารที่เป็นศักดิ์เป็นศรี (วัฒนา โยธาใหญ่ และ กติ ติกรรมประกาศ คณะ, 2549) การส่งเสริมความรู้และการสร้างความ ตระหนักในการป้องกันการติดเชื้อ Streptococcus ขอขอบคุณสานักงานสาธารณสขุ อาเภอสันป่าตอง suis โดยการส่งเสริมการบริโภคเน้ือสุกรท่ีปรุงสุกแก่ สานักงานสาธารณสุขอาเภอเชียงดาว สานักงาน ชุมชน จะส่งผลให้เกิดการปฏิบัติในการป้องกันการ สาธารณสุขอาเภอสันทราย เจ้าหน้าที่ผู้ประสานงาน ตดิ เชือ้ ในทางท่ีดีมากข้ึน ซงึ่ ความรู้เป็นปัจจัยพ้ืนฐาน ผู้นาชุมชน ประชาชน และอาสาสมัครสาธารณสุข ท่ีมีผลต่อการปฏิบัติ (Bloom, 1973) สอดคล้องกับ ประจาหมบู่ ้านทุกท่านทใี่ ห้ความรว่ มมอื ในการวิจยั นี้ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 21
ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การปฏบิ ตั ใิ นการป้ องกนั การตดิ เชอื้ สเตรปโตคอกคสั ซูอสิ ของประชาชน จงั หวดั เชยี งใหม่ เอกสารอา้ งอิง กลุม่ ระบาดวิทยาและข่าวกรอง สานักงานควบคุมป้องกันโรคท่ี 1 เชยี งใหม่. (2559). รายงานสถานการณ์ ประจาสัปดาหท์ ี่ 18 (1 -7 พฤษภาคม 2559) [online] [สืบคน้ เมือ่ 10 พฤษภาคม 2559]; แหลง่ ขอ้ มูล: URL: http://1.10.141.27/epidpc10/list_report.php?item_id=2 ชวลติ สารทช้าง. (2554). ความรู้ ทศั นคติ และพฤติกรรมการปอ้ งกันอนั ตรายจาการใช้สารเคมใี นการควบคุม โรคไขเ้ ลอื ดออกของทมี สุขภาพ อาเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่. สาธารณสขุ ศาสตรมหาบัณฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่. จานง บุญศรี (2556). ปัจจัยท่มี ผี ลต่อความรุนแรงของโรค Streptococcus suis ทีเ่ ขา้ รับการรกั ษาที่ โรงพยาบาลจอมทอง จังหวัดเชียงใหม.่ สาธารณสขุ ศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม.่ ประภาเพ็ญ สวุ รรณ. (2520). ทศั นคติ : การวดั การเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมอนามยั . กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์ ไทยวฒั นาพานิช. เปรมจติ ร แก้วมลู . (2552). ความรแู้ ละการปฏิบัติในการป้องกนั การติดเชอ้ื สเตร็พโตค็อกคัส ซอู ิส ของ ประชาชน ตาบลทา่ อิฐ อาเภอเมือง จงั หวดั อุตรดติ ถ์. พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ พยาบาลชุมชน บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. รชั นกี ร คาหล้า อดลุ ย์ศกั ด์ิ วิจิตร ยพุ าพร ศรจี นั ทร์ พิมพท์ อง อิ่มสาราญ และนพพร ศรีผดั . (2553). การพฒั นารูปแบบส่ือสารความเสีย่ งโรคและภยั สขุ ภาพ แบบมสี ่วนรว่ ม เพือ่ แก้ไขปญั หาโรค Streptococcus suis ในพื้นที่ ตาบลทุ่งกลว้ ย อาเภอภซู าง จงั หวดั พะเยา. วารสารสาธารณสขุ ล้านนา, 6(1), 104-109. รจุ ริ า ดรยุ ศาสตร์ ณิตชาธร ภาโนมยั สรรเพชร อังกติ ิตระกูล และ ฐิติมา นุตราวงค์. (2558). พฤติกรรม สขุ ภาพในการป้องกันโรคตดิ เช้ือ Streptococcus suis ของประชาชนในตาบลนาขมิ้น และ ตาบลโพนจาน อาเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม. วารสารสานักงานปอ้ งกนั ควบคมุ โรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น, 22(2), 75-84. วฒั นา โยธาใหญ่ อดุลยศ์ ักด์ิ วจิ ติ ร และเกรียงศักดิ จติ รวชั ระพนั ธ์ (2549). บรบิ ททางสงั คมและการบรโิ ภค นสิ ัยของประชาชนในหมบู่ า้ นท่เี กิดโรคโบทูลซิ มึ จงั หวัดพะเยา ปี 2549. วารสารสาธารณสุขล้านนา, 2(3), 216-229 ศริ ิพฒั น์ โอกระจ่าง. (2551). ระบาดวทิ ยาของการติดเชอื้ สเตร็ปโตคอคคสั ซูอสิ ในอาเภอสนั กาแพง จงั หวัดเชยี งใหม่ ปี พ.ศ.2549-2550. วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา, 4(1), 22-29 . สานกั งานควบคุมปอ้ งกนั โรคที่ 1 เชยี งใหม่. (2559). ระบบสารสนเทศทางภมู ิศาสตรร์ ายงานสถานการณโ์ รค ในระบบเฝา้ ระวงั (รง.506) [online] [สบื คน้ เม่อื 25 พฤษภาคม 2559]; แหล่งข้อมลู : URL: http://1.10.141.27:8010/dpc10/r506_week/zone.php สานกั บริหารการทะเบยี น กรมการปกครอง. (2558). สถติ ปิ ระชากร - จานวนประชากรแยกรายอายุ [online] [สบื คน้ เมือ่ 13 กุมภาพนั ธ์ 2559]; แหลง่ ขอ้ มูล: URL: https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statINTERNET/#/TableAge สานักสอ่ื สารความเสีย่ งและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค. (2562). กรมควบคมุ โรค เตอื น ประชาชนกินเล้ยี งเทศกาลปใี หม่ หลีกเล่ยี งหมสู กุ ๆ ดิบๆ เสีย่ งปว่ ย โรคไขห้ ูดบั [online] [สืบค้นเม่ือ 7 พฤษภาคม 2559]; แหล่งข้อมูล: URL https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=10720&deptcode=brc&news_views=247. 22 วารสารสาธารณสขุ ล้านนา ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1
Factors Related to Prevention Practice Streptococcus suis Infection of People in Chiang Mai Province สมอาจ วงศ์สวสั ด.ิ์ (2553). การระบาดของโรคตดิ เชื้อ Streptococcus suis serotype 2 อาเภอจอมทอง จังหวดั เชียงใหม่ เดอื นมิถนุ ายน ถึง กรกฎาคม พ.ศ.2551. วารสารสาธารณสุขล้านนา, 6(3), 322- 336. สุวชิ ัย โรจนเสถยี ร. (2560). การลดจานวนผปู้ ่วยโรคไขห้ ดู บั ในจงั หวัดเชยี งใหม่ด้วยหลักการสุขภาพหนึง่ เดียว. รายงานการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรม ฉบับสมบูรณ์ รหัสโครงการ P-13-50155 คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. อาทชิ า วงคค์ ามา และ เสาวพกั ตร์ ฮิน้ จอ้ ย. (2558). การประเมินระบบเฝา้ ระวงั โรคไข้หูดับของโรงพยาบาล 5 แห่ง ใน 5 จังหวัดทางภาคเหนือ ในปี พ.ศ. 2556. วารสารควบคมุ โรค, 41(2), 87-97. อมั พร ยานะ (2552). ความร้แู ละการปฏบิ ัตใิ นการป้องกนั การตดิ เชอื้ สเตร็พโตค็อกคสั ซูอสิ ของประชาชน ตาบลแมน่ าเรอื อาเภอเมือง จงั หวดั พะเยา. การค้นควา้ แบบอสิ ระ สาธารณสขุ ศาสตรมหาบณั ฑิต บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. Bloom, B.S. (1973). Taxonomy Educational Objective Handbook 1: Cognitive Domain. (20thed.). New York: David Makey. Hughes, J. M., Wilson, M. E., Wertheim, H. F., Nghia, H. D. T., Taylor, W., & Schultsz, C. (2009). Streptococcus suis: an emerging human pathogen. Clinical Infectious Diseases, 48(5), 617-625. Padungtod, P., Tharavichitkul, P., Junya, S. et al. (2010). Incidence and presence of virulence factors of Streptococcus suis infection in slaughtered pigs from Chiang Mai, Thailand. Southeast Asian journal of tropical medicine and public health, 41(6), 1454- 1461. Pootong, P., Boongrid, P., and Phuapradit, P. (1993). Streptococcus suis meningitis at Ramathibodi hospital. Ramathibodi Medical Journal, 16(4), 203-207. Burniston, S., Okello, A. L., Khamlome, B. et al. (2015). Cultural drivers and health-seeking behaviours that impact on the transmission of pig-associated zoonoses in Lao People’s Democratic Republic. Infectious diseases of poverty, 4(1), 11. Yamane, Taro. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. 3rded. New York: Harper and Row Publications. Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 23
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคา่ ฝ่ นุ ละอองขนาดเล็กไมเ่ กนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) กบั โรคเยอื่ บุตาอกั เสบ ทโี่ รงพยาบาลดารารศั มี ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคา่ ฝ่ ุนละอองขนาดเล็กไมเ่ กนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) กบั โรคเยอ่ื บตุ าอกั เสบ ทโี่ รงพยาบาลดารารศั มี The Relationship between Airborne particulate matter 2.5 µ (PM2.5) and conjunctivitis in the Patients at Dararassamee Hospital แวว ขตั ตพิ ฒั นาพงษ์ พ.บ.,ว.ว. (จักษวุ ทิ ยา) Waeo Kattipatanapong M.D., Dip. in Clin. Sci. (Ophthalmology) โรงพยาบาลดารารัศมี สังกดั โรงพยาบาลตารวจ สานักงานตารวจแห่งชาติ Dararassamee Hospital Police General Hospital Received: Nov 29, 2019 Revised: Mar 3, 2020 Accepted: Mar 31, 2020 บทคดั ยอ่ โรคเย่ือบุตาอักเสบเป็นโรคทางจักษุท่ีพบบ่อยในแผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยมักมีอาการแสบตา เคืองตา ตาแดง น้าตาไหล มีขี้ตามาก หรือ อาการอาจรุนแรงจนมีผลกระทบให้ เยื่อบุตาอักเสบ เปลือก ตาอกั เสบ และกระจกตาอกั เสบได้ โรคเย่ือบุตาอักเสบมีหลายสาเหตุ จากการติดเช้ือ เช่น เชื้อไวรัส เช้ือ แบคทเี รยี ปรสิต หรือจาการไมต่ ิดเชือ้ เชน่ เยอ่ื บุตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรือ การระคายเคืองจากสารเคมี มลพิษทางอากาศเป็นอกี สาเหตุหน่งึ ท่ีท้าใหเ้ กดิ ภาวะเยื่อบุตาอกั เสบได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือหา ความสัมพันธ์ระหว่างค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) กับโรคเย่ือบุตาอักเสบ ท่ี โรงพยาบาลดารารัศมี โดยการรวบรวมข้อมูลย้อนหลังของผู้ป่วยนอกที่มาตรวจท่ีแผนกตา ต้ังแต่ 1 มีนาคม 2561 ถึง 31 มีนาคม 2562 โดยแยกโรคตาม ICD10 และ ข้อมูลค่าเฉลี่ย PM2.5 รายวัน จาก รายงานสถานการณ์และคุณภาพอากาศประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ ณ จุดตรวจวัดศาลากลาง จังหวัดเชยี งใหม่ และนา้ มาคา้ นวณทางสถิติโดยใช้โปรแกรม STATA ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยท้ังหมด จ้านวน 931 ราย จ้านวนคร้ังที่ผู้ป่วยได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบและโรคตาแห้งเท่ากับ 727 คร้ัง เป็นโรคเย่ือบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ 141 ครั้ง และ โรคตาแห้ง 234 ครั้ง ช่วงฤดูฝุ่นระหว่างเดือน มกราคมถึงเมษายน จะมีค่า PM2.5 เพิม่ ข้ึน สมั พันธ์กับจ้านวนผู้ป่วยโรคเย่ือบุตาอักเสบ และโรคตาแห้ง ทเ่ี พม่ิ ข้นึ อย่างมีนัยส้าคญั ทางสถติ ิ (p<0.001) ประชาชนจึงควรติดตามภาวะฝุ่นควันในแต่ละวัน เม่ือเกิด ภาวะฝ่นุ ควันทีม่ ีคา่ สูงเกนิ มาตรฐานเปน็ อันตรายต่อสขุ ภาพ ในท้องทที่ ี่อยอู่ าศยั ประชาชนควรเตรียมตัว ให้พร้อม เพอ่ื หลกี เลยี่ งไมใ่ หช้ ั้นผิวตาไดร้ ับฝุ่นจนเกิดภาวะตาแหง้ และเยื่อบตุ าอักเสบดังกล่าว คาสาคญั : PM2.5, โรคเยื่อบุตาอักเสบ 24 วารสารสาธารณสขุ ล้านนา ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1
The Relationship between Airborne particulate matter 2.5 µ (PM2.5) and conjunctivitis in The Patients at Dararassamee Hospital ABSTRACT Conjunctivitis is one of the most common problems that bring patients to visit the outpatient department. The disease may bring about mild symptoms such as burning sensation, eye discomfort, red eye, tearing, increase eye discharge or it may progress to blepharoconjunctivitis or keratitis. The causes of conjunctivitis can vary from infection such as virus, bacteria, parasite or non-infection such as allergy, trauma and chemical substance. Air pollution can cause health problems including conjunctivitis. The objective of this study was to define the relationship between air pollution, especially the Airborne particulate matter (PM2.5), and conjunctivitis in patients at Dararassamee Hospital by using the ICD10 data collected from the eye outpatient department between 1 March 2018 to 31 March 2019. The data on PM2.5 level was collected from Thailand’s air quality and situation reports at Chiangmai city hall spot. The STATA software was used for all statistical analyses. The result indicated that out of 931 patients, 727 had conjunctivitis; 141 of which had allergic conjunctivitis. A total of 234 patients suffered from dry eyes. In period of smog season from January to April, it was found out that the PM2.5 level increased while the number of patients with conjunctivitis and dry eyes also increased with statistical significance (p<0.001). People should monitor air quality index and PM2.5 each day to beware conjunctivitis and dry eye while experiencing air pollution problems. Key words: PM2.5, conjunctivitis บทนา จากสถานการณ์มลพิษทางอากาศในจังหวัด ตาแดง น้าตาไหล มีขี้ตามาก หรือ อาการอาจรุนแรง เชียงใหม่ที่รุนแรงขึ้นในช่วง 2 -3 ปี ท่ีผ่านมา จนมีผลกระทบกับกระจกตาอักเสบและเปลือกตา โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ถึงเดือน อักเสบได้ โรคเยื่อบุตาอักเสบมีหลายสาเหตุ เมษายน ซึง่ เป็นชว่ งทป่ี ระสบปัญหา และมีผลกระทบ ทั้งติดเชื้อจากเช้ือไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต และไม่ติด ต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้ที่อยู่อาศัยใน เช้ือ เช่น เย่ือบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรือการระคาย จังหวัดเชียงใหม่เป็นอย่างมาก ซึ่งปัญหามลพิษทาง เคืองจากสารเคมี (Hong et al., 2016) โดยมีการศึกษา อากาศน้ันมีผลกระทบต่อด้านร่างกายท้ังระยะส้ัน ในต่างประเทศว่ามลพิษทางอากาศ มีผลท้าให้มี และระยะยาว เช่น ท้าให้เกิดโรคปอด,โรคหัวใจ อาการตาแห้ง เยื่อบุตาเกิดการระคายเคือง และ เปน็ ต้น (Chang et al., 2012) ดวงตาเป็นอีกอวัยวะ อักเสบได้ (Chang et al., 2012; Chen et al., 2019; หนงึ่ ท่ยี ากต่อการป้องกันหรือหลีกเล่ียงจากปัญหาฝุ่น Hong et al., 2016; Li et al., 2016; Zhong et al., ควันเหล่าน้ีได้ เยื่อบุตามีความไวต่อการสัมผัสกับ 2018) ในจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่เคยมีการศึกษาถึง สารเคมีท่ีอยู่ในสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก (Chen ผลกระทบของมลพิษทางอากาศ PM2.5 กับโรคเย่ือบุ et al., 2019) ตาอักเสบมาก่อน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ โรคเยื่อบุตาอักเสบเป็นโรคทางจักษุท่ีพบบ่อยใน ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมลพิษทางอากาศที่ แผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยมักมีอาการแสบเคืองตา เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ ผลกระทบของอนุภาคฝุ่น Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 25
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคา่ ฝ่ นุ ละอองขนาดเล็กไมเ่ กนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) กบั โรคเยอื่ บตุ าอกั เสบ ทโ่ี รงพยาบาลดารารศั มี PM2.5 และจ้านวนผู้ป่วยโรคเยื่อบุตาอักเสบท่ีมา การวิเคราะห์ข้อมูล รักษาท่ีโรงพยาบาลดารารัศมี อ้าเภอแม่ริม จังหวัด โดยใช้โปรแกรม STATA version 14.0 Serial เชยี งใหม่ number: 301406219300 หาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน พิสัย วิธกี ารศกึ ษา ควอไทล์ และเปรียบเทียบค่าเฉล่ีย 2 กลุ่มด้วย การศึกษานี้เป็นการรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจาก independent t-test ส้าหรับข้อมูลกระจายปกติ ทะเบียนผู้ป่วยนอกท่ีมารับการตรวจท่ีแผนกตา และ Mann-Whitney U test ส้าหรับข้อมูลกระจาย โรงพยาบาลดารารัศมี ต้ังแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 ไม่ปกติ และใช้ Multivariable linear regression ถึง 31 มีนาคม 2562 ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค วิเคราะห์เปรียบเทียบจ้านวนการเกิด โรคเย่ือบุตา เย่ือบุตาอักเสบและโรคตาแห้ง โดยใช้รหัสตาม อักเสบระหว่างเดือนฤดูฝุ่น (มกราคม ถึง เมษายน) ICD 10 โดยเย่ือบุตาอักเสบ จัดอยู่ใน รหัส กลุ่ม กับเดือนที่ไม่ใช่ฤดูฝุ่น (พฤษภาคม ถึง ธันวาคม) เม่ือ H10-H11 เช่น โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภู มิแพ้ ควบคุมอิทธิพลของตัวแปรโรคร่วมก้าหนดระดับ (Allergic conjunctivitis) มีรหัส H10.1 เป็นต้น นยั ส้าคญั ที่ 0.05 และโรคตาแห้ง (Dry eye) โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัย จากการซักประวัติ โดยมีอาการเคืองตา ไม่สบายตา ผลการศึกษา หรือมีน้าตาไหลขณะใช้สายตา ร่วมกับการตรวจโดย จากข้อมูลผู้ป่วยที่มารักษาท่ีห้องตรวจผู้ป่วยนอก กล้องตรวจตาชนิดล้าแสงแคบ พบความผิดปกติที่ แผนกตาโรงพยาบาลดารารัศมี จ้านวนทั้งหมด กระจกตา เช่น ย้อมตดิ สฟี ลูโอเรสซีน เป็นจุดเยื่อบุผิว 931 ราย โดยแบ่งเป็นเพศหญิง 480 คน ร้อยละ กร่อนเป็นจุด (Punctate epithelial erosion) และ 51.5 และ เพศชาย 451 คน ร้อยละ 48.5 อายุเฉล่ีย การระเหยของน้าตาเร็วกว่าปกติจากการนับค่า Tear 57 ปี (S.D.=16.85) และมีโรคร่วมทางตามากที่สุด break up time โดยคัดกลุ่มท่ีได้รับการวินิจฉัยว่า คิดเป็น ร้อยละ 62.1 รองลงมามีโรคเบาหวาน เปน็ โรคเยอ่ื บุตาอกั เสบที่มีสาเหตุจากอุบัติเหตุหรือสิ่ง ร้อยละ 18.4 ดงั ตารางที่ 1 แปลกปลอมเข้าตาออกจากการศึกษาน้ี และเก็บ จ้านวนคร้ังที่ผู้ป่วยได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคเยื่อบุ ข้อมูลค่าคุณภาพอากาศ (Air quality index; AQI) ตาอักเสบและโรคตาแห้งมีท้ังหมด 727 ครั้ง โดย และค่า PM2.5 จากเว็บไซด์ www.air4thai.pcd.go.th จ้าแนกตามเดือนได้ ค่าเฉลี่ยรายเดือนของค่า PM2.5 ที่สถานีตรวจวัดที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ อ้าเภอ จ้าแนกตามเดือน ดังตารางที่ 2 ซ่ึงค่า PM2.5 จะ เมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเป็นค่าเฉล่ียมลพิษของ สูงข้ึนในช่วงเดือน มกราคม ถึง เดือนเมษายน โดยมี อนุภาคฝุ่น PM2.5 ต่อวัน ในช่วงเวลาตั้งแต่ การวินิจฉัยโรคเยื่อบุตาอักเสบและโรคตาแห้ง 1 มนี าคม 2561 ถึง 31 มีนาคม 2562 69,36,22,29 คร้ัง ตามลา้ ดบั ขอ้ จ้ากัดของงานวิจัยนี้ โรงพยาบาลดารารัศมีเป็น จ้านวนคร้ังที่ผู้ป่วยได้รับวินิจฉัยเป็นโรค เย่ือบุตา โรงพยาบาลขนาดเล็ก แผนกจักษุโรงพยาบาลดารา อักเสบจากภูมิแพ้ (H10.1) มีท้ังหมด 141 ครั้ง,เย่ือบุ รัศมี เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือน มีนาคม 2561 ตาอักเสบชนิดอ่ืน 352 ครั้ง และจ้านวนครั้งที่ผู้ป่วย ท้าให้จ้านวนผู้ป่วยโรคตาและจ้านวนข้อมูลใน ได้รับวินิจฉัยเป็นโรค ตาแห้ง หรือ dry eye มีท้ังหมด งานวิจัยยังไม่มากในช่วงแรกท่ีมีการเก็บข้อมูลวิจัย 234 ครงั้ จ้าแนกรายเดอื น ดงั ตารางท่ี 3 และ พบว่า และ ค่า PM2.5 ท่ีอ้างอิงเป็นค่าเฉล่ียจากจุดวัดศาลา ช่วงที่มีค่า PM2.5 สูงจะอยู่ในช่วง มกราคม ถึง กลางจังหวัดชียงใหม่ ในอ้าเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ เมษายน และค่า PM2.5 จะลดลงในช่วง เดือน หา่ งจาก รพ.ดารารศั มีประมาณ 10 กิโลเมตร พฤษภาคม ถงึ ธนั วาคม ดังแผนภูมิท่ี 1 26 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 1
The Relationship between Airborne particulate matter 2.5 µ (PM2.5) and conjunctivitis in The Patients at Dararassamee Hospital ตารางท่ี 1 ลกั ษณะทั่วไปของกล่มุ ตวั อยา่ ง (n=931) ลกั ษณะ จานวน รอ้ ยละ เพศ 451 48.5 ชาย 480 51.5 หญิง 57.28±16.85 อายุ (ป)ี เฉลี่ย±สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (1-93) (น้อยทส่ี ุด-มากทส่ี ุด) 578 62.1 โรครว่ ม (อาจจะมมี ากกวา่ 1 ชนดิ ) 52 5.6 โรคตา 171 18.4 โรคความดันโลหติ สงู 38 4.1 โรคเบาหวาน โรคอ่นื ๆ ตารางท่ี 2 อตั ราการป่วยด้วยโรคเยือ่ บุตาอกั เสบและโรคตาแหง้ และค่าเฉลี่ยรายเดือนของค่า PM2.5 จ้าแนก ตามเดือน จานวนครง้ั การ วนิ ิจฉัยโรคเยือ่ บุ PM 2.5 PM 2.5 ปี เดอื น จานวนวัน จานวน ตาอกั เสบและ Events/100 (มคก./ (มคก./ ในการ ผ้ปู ่วยนอก โรคตาแห้ง patient- ลบ.ม.) ลบ.ม.) คานวณ ทีม่ ารักษา (Total 727 visits (Mean) (SD) แผนกตา ครงั้ ) 2561 มีนาคม 9 43 26 6.72 77.35 16.55 เมษายน 17 51 29 3.34 45.58 17.94 พฤษภาคม 19 72 49 3.58 21.12 9.47 มิถนุ ายน 21 107 89 3.96 14.54 6.22 กรกฎาคม 16 75 69 5.75 13.08 2.82 สงิ หาคม 20 75 54 3.60 16.99 2.67 กันยายน 20 75 58 3.87 12.89 2.97 ตลุ าคม 21 95 79 3.96 22.44 6.13 พฤศจิกายน 18 90 73 4.52 21.12 5.12 ธนั วาคม 15 79 74 6.24 23.72 5.34 2562 มกราคม 20 86 69 4.01 29.80 8.80 กุมภาพนั ธ์ 22 53 36 3.09 46.22 15.49 มนี าคม 11 30 22 6.67 116.24 46.73 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 27
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคา่ ฝ่ ุนละอองขนาดเล็กไมเ่ กนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) กบั โรคเยอ่ื บุตาอกั เสบ ทโ่ี รงพยาบาลดารารศั มี ตารางท่ี 3 อัตราการป่วยด้วยโรคเยื่อบุตาอักเสบทั้งหมด และแยกตามชนิดคือ โรคเย่ือบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ โรคเยือ่ บุตาอักเสบชนดิ อนื่ และโรคตาแหง้ จ้าแนกตามเดือน จานวน Events/100 จานวน Events/100 จานวน Events/100 เหตกุ ารณ์ patient- เหตุการณ์ patient- เหตุการณ์ patient- ปี เดือน จานวน โรคเยือ่ บุตา visits โรค โรคตาแห้ง visits โรคตา โรคเยื่อบตุ า visits โรค 2561 มีนาคม ผปู้ ว่ ย อักเสบจาก เย่ือบตุ า (Total แหง้ อักเสบชนิด เย่อื บตุ า เมษายน พฤษภาคม ภมู ิแพ้ อักเสบจาก 234) อ่นื อักเสบชนดิ มถิ นุ ายน กรกฎาคม (Total 141) ภูมแิ พ้ (Total 352) อน่ื สงิ หาคม กนั ยายน 43 5 1.29 7 1.81 14 3.62 ตุลาคม 51 4 0.46 5 0.58 20 2.30 พฤศจิกายน 72 13 0.95 17 1.24 19 1.39 ธันวาคม 2562 มกราคม 107 19 0.84 24 1.07 46 2.05 กุมภาพนั ธ์ 75 16 1.33 24 2 29 2.42 มนี าคม 75 7 0.47 23 1.53 24 1.6 75 6 0.4 22 1.47 30 2 95 12 0.60 25 1.25 42 2.10 90 9 0.56 28 1.73 36 2.22 79 20 1.69 26 2.19 28 2.36 86 14 0.81 20 1.16 35 2.03 53 10 0.86 10 0.86 16 1.37 30 6 1.82 3 0.91 13 3.94 แผนภมู ทิ ี่ 1 อัตราปว่ ยด้วยโรคเยอ่ื บตุ าอกั เสบจากภมู ิแพ้ โรคตาแห้ง โรคเย่ือบุตาอักเสบชนิดอื่น และค่าเฉล่ีย PM 2.5 ตั้งแต่ มนี าคม 2561 – มนี าคม 2562 28 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1
The Relationship between Airborne particulate matter 2.5 µ (PM2.5) and conjunctivitis in The Patients at Dararassamee Hospital เม่ือท้าการเปรียบเทียบระหว่างในและนอกฤดูฝุ่น linear regression เพื่อควบคุมอิทธิพลของโรคร่วม พบวา่ ค่ามธั ยฐานของ PM2.5 ในฤดูฝ่นุ สงู กวา่ อย่างมี ทางตา ความดันโลหิตสูง เบาหวานและโรคร่วมอ่ืนๆ นัยส้าคัญทางสถิติ (p<0.001) และอัตราการเกิดโรค พบว่า ช่วงเวลาของฤดูฝุ่นช่วงเดือนมกราคมถึง เยือ่ บุตาอักเสบเฉล่ียพบความแตกต่างระหว่างในและ เมษายนจะมีอัตราของการเกิดโรคตาอักเสบและ น อ ก ฤ ดู ฝุ่ น อ ย่ า ง มี นั ย ส้ า คั ญ ท า ง ส ถิ ติ ใ น ทุ ก โ ร ค โรคตาแห้งเพิ่มขึ้น 4.8 หน่วย เทียบกับจ้านวนผู้ป่วย (p<0.05) โดยพบในฤดูสูงกว่านอกฤดูยกเว้นโรค ท่ีเปน็ โรคเยือ่ บตุ าอกั เสบและโรคตาแห้งนอกฤดูฝุ่นใน ตาแหง้ ดังตารางที่ 4 เดือนพฤษภาคม - ธันวาคมอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ (p<0.001) ดงั ตารางท่ี 5 เมื่อทา้ การทดสอบด้วยสถิติ Multivariable ตารางที่ 4 เปรียบเทยี บอตั ราการเกิดโรคเย่ือบุตาอักเสบและระดบั PM2.5 แบ่งตามช่วงเวลา เดือน PM2.5 อตั ราการเกดิ โรคเย่อื บตุ าอกั เสบเฉลยี่ Events/100 patient-day (μg/m3) (95%CI) median (iqr) 3 ชนิด 2 ชนดิ ชนดิ H10.1 โรคตาแห้ง ชนิดอ่นื ๆ ในฤดฝู นุ่ มกราคม ถงึ 45.6 9.1 4.0 2.0 2.0 5.0 (35.25)a (7.7,10.5)b (3.0,5.0)c (1.3,2.7)d (1.3,2.7) (4.0,6.1)e เมษายน (n=263) 5.3 2.9 1.0 1.9 2.4 นอกฤดฝู ุ่น พฤษภาคม 16.8 (5.0,5.6) b (2.6,3.2) c (8.4,1.2)d (1.6,2.1) (2.2,2.7)e (9.5)a ถึง ธันวาคม (n=668) a Mann-Whitney U test p<0.001 b-e Independent T-test p<0.05 ตารางที่ 5 เปรียบเทียบอัตราการเกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบในฤดูฝุ่นและนอกฤดูฝุ่นเม่ือควบคุมอิทธิพลของ โรครว่ ม ปจั จัย Crude OR p-value Adjusted OR p-value (95%CI) (95%CI) <0.001 4.8 (3.8,5.8) <0.001 เดอื น มกราคม ถึง เมษายน* 3.8 (2.8, 4.8) 0.004 -1.8 (-0.5, -0.7) 0.002 (Events/100 patient-day) 0.548 0.4 (-1.8, 2.6) 0.702 0.519 -0.4 (-3.0,2.1) 0.753 โรครว่ ม** <0.001 -6.0 (-5.1,-6.9) <0.001 เบาหวาน -1.8 (-0.6, -3.1) ความดนั โลหิตสงู -0.6 (-2.7,1.4) โรครว่ มอ่นื ๆ -0.8 (-3.2,1.6) โรคร่วมทางตาอ่ืนๆ -5.3 (-4.4,-6.2) * เปรยี บเทยี บกบั เดือน พฤษภาคม ถึง ธันวาคม ** เปรยี บเทียบกับผูท้ ่ีไมม่ โี รคร่วมในแตล่ ะโรค Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 29
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคา่ ฝ่ ุนละอองขนาดเล็กไมเ่ กนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) กบั โรคเยอื่ บตุ าอกั เสบ ทโี่ รงพยาบาลดารารศั มี อภิปรายผล มีผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพทั้งในระบบหายใจ การศกึ ษานี้พบว่าจ้านวนผู้ป่วยท่ีได้รับการวินิจฉัย ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Eftim et al., 2008; ว่าเป็นโรคเย่ือบุตาอักเสบ และโรคตาแห้ง มีมาก Pope, 2004; Pope & Dockery, 2006) ซ่ึงพบว่า ขนึ้ ในช่วงเวลาท่ีค่า PM2.5 สูงขึ้น ในช่วงฤดูฝุ่นเดือน อนุภาคที่เล็กลงคือ PM2.5 ก็มีผลกระทบต่อภาวะตา มกราคม ถึง เมษายน เมื่อเทียบกับช่วงนอกฤดูฝุ่น แห้งและโรคเยื่อบุตาอักเสบเพ่ิมข้ึนเช่นเดียวกับ เดือน พฤษภาคม ถึง ธันวาคม อย่างมีนัยส้าคัญทาง การศึกษาในคา่ AQI และค่า PM10 สถิติ ซ่ึงการวิจัยเรื่องมลพิษทางอากาศของ Bielory & Friedlaender (2008) และ Ono & Abelson ขอ้ เสนอแนะ (2005) ใช้ค่า AQI และ PM10 เป็นหลัก ในขณะที่ ปัญหามลพิษทางอากาศภาวะฝุ่นควันเกิน PM10 ซึ่งมีขนาดอนุภาคที่ใหญ่จนท้าให้เกิดการ มาตรฐานในแตล่ ะปีอาจไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวกัน อาจมี ระคายเคืองเย่ือบุทั้งระบบทางเดินหายใจ เยื่อบุโพรง สาเหตุจากการเผา ปัญหาไฟป่าในพื้นที่ หรือจาก จมูก และเยื่อบุตาได้ และจากการศึกษาของ Yang กระแสลมท่ีพัดพาฝุ่นควันจากพ้ืนที่อ่ืนเข้ามาปกคลุม et al. (2019) ท่ีทดลองอนุภาคฝุ่นละออง PM2.5 เมืองเชียงใหม่ ประชาชนจึงควรติดตามภาวะฝุ่นควัน กบั ช้นั ผิวของตา (ocular surface) พบว่า อนุภาคฝุ่น ในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด และหากเกิดภาวะฝุ่นควันท่ี ละออง PM2.5 กระตุ้นท้าให้เกิดการตายของเซลล์ มคี า่ สูงเกนิ มาตรฐานเป็นอันตรายต่อสุขภาพในท้องท่ี (cell apoptosis) และมีการสะสมของอนุมูลอิสระ ที่อยู่อาศัย ประชาชนควรเตรียมตัวให้พร้อมเพ่ือ อนุพันธ์ออกซิเจนท่ีว่องไว (reactive oxygen หลีกเล่ียงไม่ให้ชั้นผิวตาได้รับฝุ่นจนเกิดภาวะตาแห้ง species) ท่ีชั้นผิวของตา ซ่ึงจะท้าให้เกิดการท้าลาย และเยื่อบุตาอักเสบดังกล่าว ลดกิจกรรมในท่ีโล่งแจ้ง ของเยื่อบุผิวของตา (conjunctival epithelial) และ หรอื หากจ้าเปน็ ต้องเผชิญกับฝุ่นควัน ควรสวมแว่นตา เย่ือบุกระจกตา (corneal epithelial) สอดคล้องกับ ที่มิดชิด สามารถป้องกันมิให้ฝุ่นควันเข้าตาได้ หยอด การศกึ ษาเร่อื งปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศจีน นา้ ตาเทียมเพ่อื ช่วยลดปริมาณฝุ่นที่ผิวกระจกตา เพิ่ม และไต้หวันมีผลท้าให้เกิดโรคเย่ือบุตาอักเสบมากขึ้น ความชุ่มช่ืนให้ผิวกระจกตาและเย่ือบุตา เพ่ือลดการ เช่นกัน (Chang et al., 2012; Chen et al., 2019; ระคายเคืองตา และหากมีอาการผิดปกติควรปรึกษา Hong et al., 2016; Li et al., 2016; Zhong et al., จกั ษแุ พทย์ 2018) โดย Chang et al. (2002) พบว่า ความ ข้อเสนอแนะส้าหรับการศึกษาครั้งต่อไป ควรมี แตกต่างของชนิดของสารมลพิษมีผลต่อการเกิดโรค การวัดค่า PM2.5 ในพื้นที่ท่ีใกล้เคียงกับบริเวณท่ี เย่ือบุตาอักเสบที่แตกต่างกัน และ Li et al. (2016) ผู้ป่วยได้รับผลกระทบจริง เช่น ตามภูมิล้าเนา ที่พัก พบว่า ค่า AQI ที่สูงขึ้นช่วงตุลาคมถึงมีนาคม มี อาศัยจริงของผู้ป่วย ควรมีการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยท่ีมี ความสัมพันธ์โรคเยื่อบุตาอักเสบ นอกจากนี้ มี จ้านวนมากขน้ึ ในโรงพยาบาลขนาดใหญต่ อ่ ไป การศึกษาเร่ืองความสัมพันธ์ของโรคตาแห้งกับมลพิษ ทางอากาศท่ีไต้หวัน พบว่า โรคตาแห้งมีการก้าเริบ กิตตกิ รรมประกาศ มากขนั้ ในชว่ งเวลาท่มี ีปัญหามลพษิ ทางอากาศเช่นกัน โดยจะสัมพันธ์กับค่าของคาร์บอนมอนอกไซด์กับ ขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาโรงพยาบาลดารารัศมี ค่าไนตรสั ออกไซด์ที่สูงข้ึน (Zhong et al., 2018) ซึ่ง ท่ีอนุญาตให้ใช้ข้อมูลในการท้าการศึกษา อาจารย์ การศึกษาในช่วงก่อนหน้าน้ีมุ่งเน้นไปท่ีค่า AQI ดร.ภญ.ชิดชนก เรอื นกอ้ น กลมุ่ วิจัยเภสัช ระบาดวิทยา ท่ีบ่งบอกถึงคุณภาพอากาศและค่า PM10 ซึ่งเป็น และสถิติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่ี อนุภาคขนาดใหญ่เป็นส่วนใหญ่ โดย ผลกระทบของ ให้ค้าปรึกษาด้านสถิติ และน.สพ. วรพจน์ กองเงิน ที่ ค่า PM2 . 5 ซ่ึ งเป็น อนุภ า คที่เล็ กลงม าก แล ะ เอ้ือเฟื้อข้อมูลค่ามลพิษทางอากาศจังหวัดเชียงใหม่ จากเวบ็ ไซด์ air4thai 30 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบับท่ี 1
The Relationship between Airborne particulate matter 2.5 µ (PM2.5) and conjunctivitis in The Patients at Dararassamee Hospital เอกสารอา้ งอิง Bielory, L., & Friedlaender, M. H. Allergic conjunctivitis. Immunol Allergy Clin North Am 2008. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18282545 Chang, C. J., Yang, H. H., Chang, C. A., & Tsai, H. Y. Relationship between air pollution and outpatient visits for nonspecific conjunctivitis. Invest Ophthalmol Vis Sci 2012. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22205603 Chen, R., Yang, J., Zhang, C., Li, B., Bergmann, S., Zeng, F., et al. Global Associations of Air Pollution and Conjunctivitis Diseases: A Systematic Review and Meta-Analysis. Int J Environ Res Public Health 2019. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/31569424 Eftim, S. E., Samet, J. M., Janes, H., McDermott, A., & Dominici, F. Fine particulate matter and mortality: a comparison of the six cities and American Cancer Society cohorts with a medicare cohort. Epidemiology 2008. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18223484 Hong, J., Zhong, T., Li, H., Xu, J., Ye, X., Mu, Z., et al. Ambient air pollution, weather changes, and outpatient visits for allergic conjunctivitis: A retrospective registry study. Sci Rep 2016. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/27033635 Li, Z., Bian, X., Yin, J., Zhang, X., & Mu, G. The Effect of Air Pollution on the Occurrence of Nonspecific Conjunctivitis. J Ophthalmol 2016. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/27313867 Ono, S. J., & Abelson, M. B. Allergic conjunctivitis: update on pathophysiology and prospects for future treatment. J Allergy Clin Immunol 2005. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15637556 Pope, C. A., 3rd. Air pollution and health - good news and bad. N Engl J Med 2004. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15356311 Pope, C. A., 3rd, & Dockery, D. W. Health effects of fine particulate air pollution: lines that connect. J Air Waste Manag Assoc 2006. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16805397 Yang, Q., Li, K., Li, D., Zhang, Y., Liu, X., & Wu, K. Effects of fine particulate matter on the ocular surface: An in vitro and in vivo study. Biomed Pharmacother 2019. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/31387168 Zhong, J. Y., Lee, Y. C., Hsieh, C. J., Tseng, C. C., & Yiin, L. M. Association between Dry Eye Disease, Air Pollution and Weather Changes in Taiwan. Int J Environ Res Public Health 2018. [cited 2019 April 3]; Available from: URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/30332806 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 31
ประสิทธภิ าพของสารกาจดั ลกู น้า เทมฟี อส ไดฟเู บนซรู อน และแบคทเี รยี ควบคุมลกู น้าชนดิ บที ไี อ เพอ่ื การควบคมุ ลกู น้ายุงลายบ้าน Aedes aegypti (L.) ในภาคสนาม ประสิทธภิ าพของสารกาจดั ลูกนา้ เทมฟี อส ไดฟเู บนซูรอน และแบคทเี รยี ควบคุมลกู น้าชนดิ บที ไี อ เพอ่ื การควบคุมลูกน้ายุงลายบา้ น Aedes aegypti (L.) ในภาคสนาม Field Studies on Efficiency of Temephos, Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var. israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). ขนิษฐา ปานแก้ว วท.ม. (กีฏวทิ ยา) Kanitta Pankeaw, M.Sc. (Entomology) บุษราคัม สินาคม วท.บ. (กีฏวทิ ยา) Bussarakum Sinakom, B.Sc. (Entomology) บญุ เสรมิ อว่ มออ่ ง วท.ม. (เกษตรศาสตร)์ Boonserm Aumaung, M.Sc. (Agriculture) กองโรคติดตอ่ นำโดยแมลง กรมควบคุมโรค Division of Vector Borne Diseases, Department of Disease Control Received: Apr 20,2020 Revised: May 18,2020 Accepted: Jun 1, 2020 บทคดั ยอ่ ก า ร ศึ ก ษ า นี้ มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ เ พื่ อ ท ร า บ ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ใ น ก า ร ค ว บ คุ ม ลู ก น้า ยุ ง ล า ย บ้ า น แ ล ะ ก า ร ป้องกันการเกิดยุงลายตามธรรมชาติ ด้วยสารกา้ จัดลูกน้าเทมีฟอส 1%SG อัตราการใช้ 1 กรัมต่อน้า 10 ลิตร ไดฟูเบนซรู อน 2%T และแบคทเี รียควบคมุ ลูกน้าชนิดบที ไี อ 37.4%WDG อัตราการใช้ 1 กรัมต่อน้า 200 ลิตร โดยใช้โอ่งเคลือบดินเผาขนาด 200 ลิตรทั้งหมดจา้ นวน 36 โอ่ง แบ่งตามประเภทของการถ่ายน้าสัปดาห์ ละหน่ึงคร้ังออกเป็นร้อยละ 0, 25 และ 50 ประเภทละ 3 โอ่งต่อสารกา้ จัดลูกน้า วางไว้ 3 สถานที่ และโอ่ง ไม่ใส่สารกา้ จัดลูกน้าเป็นโอ่งเปรียบเทียบชนิดละ 3 โอ่งเช่นเดียวกัน ท้าการทดสอบกับลูกน้ายุงลายบ้าน Aedes aegypti สายพันธุ์ ROCK จากห้องปฏิบัติการ ดา้ เนินการศึกษาในพื้นที่อ้าเภอบางใหญ่ จังหวัด นนทบุรี ระยะเวลาศึกษา 27 สัปดาห์ ต้ังแต่เดือนตุลาคม 2560 ถึงเมษายน 2561 ผลการศึกษาพบว่า การใช้สารก้าจัดลูกน้าตามอัตราที่ก้าหนดในสภาพการใช้น้าลักษณะเช่ นเดียวกันนั้น สารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส 1%SG มีประสิทธิภาพและฤทธิ์คงทนยาวนานที่สุด ตามด้วย สารก้าจัดลูกน้าไดฟูเบนซูรอน 2%T และแบคทีเรียควบคุมลูกน้าชนิดบีทีไอ 37.4%WDG ตามล้าดับ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ใช้ ส้าหรับประกอบการคัดเลือกสารเคมีก้าจัดลูกน้ายุงลายที่เหมาะสม ดังนั้นควรมีการศึกษาเพื่อติดตาม ค ว า ม ต้ า น ท า น ต่ อ ส า ร เ ค มี ข อ ง ยุ ง ล า ย อ ย่ า ง ส ม้่า เ ส ม อ เ พื่ อ ใ ห้ เ กิ ด ก า ร ป้ อ ง กั น แ ล ะ ค ว บ คุ ม ลู ก น้า ยุ ง ล า ย ที่ มี ประสิทธิภาพสูงต่อไป คาสาคญั : ลูกน้ายุงลายบ้าน, เทมีฟอส, ไดฟเู บนซรู อน, แบคทเี รยี ควบคุมลกู น้าชนดิ บีทีไอ 32 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบับท่ี 1
Field Studies on Efficiency of Temephos, Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). ABSTRACT An evaluation of the efficacy of Temephos 1%SG at dilution of 1 g per 10 liters of water, Diflubenzuron 2%T and Bacillus thuringiensis var. israelensis (BTI) 37.4%WDG at 1 g per 200 liters of water against the larvae of Aedes aegypti (L.) laboratory strain was carried out in 36 clay earthen 200-liter jars. The treated jars were diluted weekly with water in separate three groups of 0%, 25% or 50%, by the kinds of chemical, respectively. This study performed between October 2017 and April 2018 in Nonthaburi Province. The purposes were to evaluate and compare the efficiency of the three larvicides for larvae control, and to observe the natural breeding of the Aedes mosquitoes. This study concluded that application of the larvicides at the same condition as above by following the dose recommendation, Temephos 1%SG showed highest efficiency against the Aedes larvae, secondly, diflubenzuron 2%T, and lastly Bacillus thuringiensis var. israelensis (Bti) 37.4%WDG, respectively. The data gained from this study has proved usefulness for an appropriate selection of the larvicides. Thus, the susceptibility test monitoring should be applied regularly for most efficiency of the larvae control. Key words: Aedes aegypti larva, temephos, diflubenzuron, Bti บทนา ลูกน้ายงุ ลาย โดยใช้ในรูปแบบการเคลือบกับวัสดุชนิด ต่างๆ การใช้ทรายเคลอื บสารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส ที่ โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อน้าโดยยุงลายที่ อัตราความเข้มข้น 1 ส่วนในล้านส่วน (ppm) เป็น ยั ง ค ง เ ป็ น ปั ญ ห า ท่ี ส้ า คั ญ ท า ง ส า ธ า ร ณ สุ ข ข อ ง วิธีการทีใ่ ช้ทวั่ ไป (World Health Organization, 2007) ประเทศไทย ประเทศไทยจัดเป็นประเทศในกลุ่มท่ีมี ซึ่งเป็นมาตรการหลักใช้มายาวนาน สารก้าจัดลูกน้า การระบาดโรคสูงเป็นอันดับ 6 ใน 30 ประเทศ เทมีฟอส ท่ีใช้จะออกมาช้าๆ และละลายเป็นเน้ือเดียว (ส้านักโรคติดต่อน้าโดยแมลง, 2558) ปัจจุบันการใช้ กับน้าในแหล่งท่ีลูกน้าอาศัย ลูกน้ายุงลายจะได้รับ วคั ซนี ไข้เลอื ดออกส้าหรบั การป้องกันโรคไข้เลือดออก สารก้าจัดลูกน้าเทมีฟอส เข้าไปในร่างกาย โดยการ ยังมีข้อจ้ากัดอยู่ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันได้ กินเข้าไปพร้อมกับอาหาร นอกจากการใช้สารก้าจัด ประมาณร้อยละ 60 เท่าน้ัน (สถาบันวัคซีนแห่งชาติ, ลูกน้าเทมีฟอส ในการควบคุมยุงลายในระยะที่เป็นตัว ม.ป.ป.) วิธีที่ดีที่สุดในการด้าเนินการควบคุมป้องกัน อ่อนหรือลูกน้ายุง ยังมีสารยับยั้งการเจริญเติบโต โรคไข้เลือดออกปัจจุบันองค์การอนามัยโลกและ สารป้องกันการลอกคราบของลูกน้า (Insect Growth กระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมและสนับสนุนให้ใช้ Regulators; IGRs) คือ ไดฟูเบนซูรอน ซ่ึงเป็นสารฆ่า มาตรการการควบคุมยุงลายพาหะน้าโรค โดยเน้นให้ แมลงที่มีความเป็นพิษต้่า ออกฤทธ์ิยับย้ังการ ใช้การผสมผสานระบบบริหารจัดการพาหะน้าโรค สังเคราะห์สารไคติน (Chitin) ซ่ึงเป็นส่วนประกอบ แบบผสมผสาน (Integrated Vector Management: ส้าคัญของโครงสร้างผนังล้าตวั แมลง ทา้ ใหล้ กู น้ายุงไม่ IVM) มาตรการที่ส้าคัญคือการลดและท้าลายแหล่ง สามารถเจริญเป็นยุงตัวเต็มวัยได้และตายในที่สุด เพาะพันธุ์ การปรบั เปล่ียนสภาพแวดล้อม และการใช้ (Doucet & Retnakaran, 2012) และสารก้าจัดลูกน้า สารเคมีก้าจัดลูกน้า เช่น การใช้สารเคมีกลุ่มออแกโน ฟอสเฟต เช่น สารก้าจัดลูกน้าเทมีฟอส ใช้ควบคุม Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 33
ประสิทธภิ าพของสารกาจดั ลกู น้า เทมฟี อส ไดฟเู บนซูรอน และแบคทเี รยี ควบคมุ ลกู น้าชนิดบที ไี อ เพอื่ การควบคมุ ลกู น้ายงุ ลายบา้ น Aedes aegypti (L.) ในภาคสนาม Bti ในการก้าจัดลูกน้ายุงลาย เป็นแบคทีเรียกลุ่ม 36 ใบ ใส่น้าประปาในโอ่ง จ้านวน 200 ลิตร น้าไป Aerobic gram positive bacilli รูปแท่งยาวสามารถ วางไว้บริเวณบ้านชาวบ้านในชุมชนแห่งหน่ึง เสมือน สร้างสปอร์ได้ (สุทารัตน์ พรจรรยา, 2545) และสร้าง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตามธรรมชาติของยุงลายบ้าน ผลึกโปรตีน ท่ีมีคุณสมบัติฆ่าลูกน้ายุงลาย เม่ือลูกน้า โดยเลือกบ้านท่เี จา้ ของบ้านยินยอมและมีบริเวณบ้าน ยุงกินผลึกโปรตีนเข้าไปอยู่ในกระเพาะซ่ึงมีน้าย่อยท่ี 3 ลักษณะภายในบ้านหลังเดียวกันคือ บริเวณบ้านท่ี เปน็ ดา่ ง (อาคม สงั ข์วรานนท์, 2538) ท้าให้เกิดสารพิษ มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน บริเวณที่มีความร่มเงา ท่ีจะไปท้าลายเซลล์เย่ือบุกระเพาะอาหารท้าให้เซลล์ และบริเวณที่แสงแดดส่องถึงบางเวลา โดยตั้งทิ้งไว้ บวมแตกจนเป็นแผล เม่ือกระเพาะอาหารทะลุระบบ 1 สัปดาห์ เพ่ือให้คลอรีนระเหยออกไป แล ะ โลหิตและระบบทางเดินอาหารจะเช่ือมต่อกันจนท้า ดา้ เนินการศกึ ษาดังน้ี ให้เกิดภาวะโลหิตเป็นด่างมีผลให้ลูกน้าเป็นอัมพาต และตายในที่สุด ทั้งน้ีเชื้อแบคทีเรียชนิดน้ีไม่สามารถ 1. ใส่สารก้าจัดลูกน้าเทมีฟอส สูตร 1% ขนาดความ คงอยู่ในธรรมชาติได้นานเพราะไม่สามารถขยายพันธ์ุ เข้มข้น 1 ในล้านส่วน (1 ppm) จ้านวน 9 ใบ ใช้สาร หมุนเวียนได้ในธรรมชาติ (สุทารัตน์ พรจรรยา, 2545) ก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน สูตร 2%T ความเข้มข้น อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีก้าจัดแมลงทุกชนิด หาก 1 กรมั ต่อนา้ 200 ลิตร จา้ นวน 9 ใบ สารก้าจัดลูกน้า ใช้อย่างไม่เหมาะสมและการใช้เป็นระยะเวลานาน Bti สูตร 37.4%WDG (3,000 ITU/mg) ความเข้มข้น อาจชักน้าให้แมลงสามารถสร้างความต้านทานต่อ 1 กรัม ต่อน้า 200 ลิตร จ้านวน 9 ใบ การศึกษาได้ สารเคมกี ้าจดั แมลงท่ใี ช้ และท้าให้ไม่ประสบผลส้าเร็จ ปรับสภาพการใช้น้าให้เสมือนจริงตามธรรมชาติของ ในการควบคุมแมลง (Chareonviriyaphap et al., การใช้น้าของชาวบ้านแบ่งการทดสอบดังนี้คือ 1) ไม่ 1999) การศึกษาเพื่อติดตามยุงลายพาหะต้านทาน ต้องถ่ายน้าออก สารเคมีละ 3 โอ่ง รวม 9 โอ่ง หาก ต่อสารเคมี (susceptibility test) จึงมีความจ้าเป็น น้าลดลงให้เติมให้ปริมาตรเท่าเดิม 2) ถ่ายน้าออก ต้องด้าเนินการอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ควรมี รอ้ ยละ 25 สารเคมีละ 3 โอ่ง รวม 9 โอ่ง แล้วเติมน้า การศึกษาเพ่ือหาวิธีการป้องกันก้าจัดลูกน้ายุงลาย กลับไปใหม่ทุกสัปดาห์ 3) ถ่ายน้าออกร้อยละ 50 ทดแทนการใช้สารเคมีฯ ชนิดต่างๆ จึงเป็นความ สารเคมีละ 3 โอ่ง รวม 9 โอ่ง แล้วเติมน้ากลับไปใหม่ จ้ า เ ป็ น เ ร่ ง ด่ ว น ท่ี ต้ อ ง ด้ า เ นิ น ก า ร ก า ร ต ร ว จ ส อ บ ทุกสัปดาห์ และ 4) โอ่งควบคุม จ้านวน 9 โอ่ง ประสิทธิภาพและฤทธิ์คงทนของสารเคมีฯหรือสารที่ ด้าเนินการเช่นเดียวกับโอ่งท่ีใส่สารก้าจัดลูกน้า ใช้ในการควบคุมยุงนั้น จะมีประโยชน์ในการเป็น 3 ชนิด ข้อมูลส้าหรับการพิจารณาเลือกใช้สารก้าจัดลูกน้า ยงุ ลายท่ีมีประสิทธิภาพ ส้าหรับวางแผนการควบคุม 2. ใช้ลูกน้ายุงลายบ้าน (Ae. aegypti) สายพันธ์ุ ยุ ง พ า ห ะ น้ า โ ร ค ไ ด้ อ ย่ า ง มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ต่ อ ไ ป ROCK จากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแอตแลนตา การศกึ ษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพ สหรัฐอเมริกา (CDC: Centers for Disease Control ของสารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส ไดฟูเบนซูรอน และ and Prevention) ที่เล้ียงจากห้องปฏิบัติการกอง Bti ในการควบคุมลูกน้ายงุ ลายบา้ นในสภาพกึ่งสนาม โรคติดต่อน้าโดยแมลง ในระยะท่ี 2-3 ท่ีมีลักษณะ แข็งแรง จ้านวน 25 ตัว/ถ้วย จา้ นวน 36 ถว้ ย วธิ กี ารศึกษา 3. ทดสอบสารเคมีกา้ จดั ลูกน้ากับลูกน้ายุงลาย ซึ่ง การศึกษาน้ีเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ด้าเนิน ประกอบด้วยสารกา้ จัดลูกน้าเทมีฟอส, ไดฟูเบนซูรอน, การศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2560- เมษายน Bti และชุดเปรียบเทียบ ร่วมกับการถ่ายน้าร้อยละ 0, 2561 ในชุมชนอ้าเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดย 25 และ 50 ของปริมาณน้าในโอ่งทดสอบทุกสัปดาห์ น้าโอ่งดินเผาเคลือบขนาดความจุ 200 ลิตร จ้านวน ในสภาพการทดสอบใต้ชายคาบ้านท่ีมีแสงแดดส่องถึง บางเวลา อาคารใกล้สระน้าที่มีแสงแดดส่องถึง ตลอดเวลา และโรงเรือนในสวนท่ีมีความร่มเงา 34 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1
Field Studies on Efficiency of Temephos, Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). ทอี่ า้ เภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี กับลูกน้ายุงลายบ้าน - หาค่าเฉลีย่ จา้ นวนลกู น้ายงุ ลายธรรมชาติ (Ae. aegypti) สายพันธ์ุ ROCK จากห้องปฏิบัติการ 6. เกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพของสาร หลังจากใส่สารเคมีก้าจัดลูกน้าทั้ง 3 ชนิดลงไปเป็น ทดสอบ เวลา 1 วัน น้าลูกน้ายุงลายบ้านจากห้องปฏิบัติการท่ี เตรียมไว้เทลงในกรงท่ีแช่เตรียมไว้ในโอ่งๆ โอ่งละ - สารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส และ Bti มี 1 ถ้วยๆ ละ 25 ตัว ใส่อาหารลูกน้าลงไปเล็กน้อย ประสิทธิภาพเมื่อลูกน้ายุงตายไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 เปิดฝาโอ่งไว้เพื่อให้ยุงลายธรรมชาติมาวางไข่ในโอ่ง ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 4 เดอื น ท้าการทดสอบทุกสัปดาห์จนกว่าอัตราการตายจะต่้า กว่าร้อยละ 90 - สารกา้ จัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน มีประสิทธิภาพ เมื่ออัตราการยบั ย้งั การเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยต้อง 4. ตรวจสอบโอ่งท่ีท้าการศึกษาทุกใบ ทุกสัปดาห์ ไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 90 ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 4 เดอื น วา่ มีลูกนา้ ยุงลายเกิดข้ึนตามธรรมชาติบ้างหรือไม่เพื่อ ดูประสิทธิภาพสารก้าจัดลูกน้าในการก้าจัดลูกน้าท่ี - อัตราการตาย/การยบั ย้ังการเจรญิ เติบโตเป็น เกิดเองในธรรมชาติ ตัวเตม็ วยั มาวิเคราะหค์ วามแปรปรวน (ANOVA) และ เปรียบเทียบค่าเฉล่ียระหว่างทรีตเมนต์รายคู่ โดยวิธี 5. การบนั ทกึ ผลและการอ่านผล นับจ้านวนลูกน้า Duncan’s Multiple Range Test (DMRT) ก้าหนดค่า ยุงลายจากห้องปฏิบัติการหลังจากเทลูกน้ายุงลงใน นยั สา้ คญั ทางสถิติทีร่ ะดบั 0.05 กรงที่แช่เตรียมไว้ และนับจ้านวนลูกน้ายุงลาย ธรรมชาติท่ีมาวางไขใ่ นโอ่งทดสอบท้งั 36 โอ่ง ดังน้ี ผลการศึกษา 5.1 ลูกยงุ ลายจากหอ้ งปฏิบัติการ 1. การศึกษาประสิทธิภาพสารโดยยุงลายจาก - โอ่งสารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส นับจ้านวน หอ้ งปฏิบัตกิ าร ลูกน้ายงุ ตายท่ี 24 ช่ัวโมง - โอ่งสารก้าจัดลูกน้า Bti นับจ้านวนลูกน้ายุง จากการศึกษาประสิทธิภาพสารก้าจัดลูกน้า ตายที่ 48 ช่วั โมง 3 ชนิด คือ เทมีฟอส, ไดฟูเบนซูรอน และ Bti การ - โอง่ สารก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน นับจ้านวน ถา่ ยน้าท่ีร้อยละ 0 25 และ 50 เพื่อจ้าลองสภาพการ ลกู น้ายงุ ตายที่ 7 วนั ใช้น้าให้เสมือนจริงของชาวบ้าน ที่ อ้าเภอบางใหญ่ - โอ่งชุดเปรียบเทียบ นับจ้านวนลูกน้ายุงลาย จังหวัดนนทบุรี ต่อลูกน้ายุงลายบ้าน (Ae. aegypti) ที่ 24 ชั่วโมง 48 ชวั่ โมง และ 7 วนั สายพันธ์ุ ROCK จากห้องปฏิบัติการ พบว่าสารก้าจัด - การอ่านผลการทดสอบ ใช้แนวทางตามคู่มือ ลูกน้า เทมีฟอส และ ไดฟูเบนซูรอน มีประสิทธิภาพ การทดสอบสารเคมี โดยใช้คา่ เฉลยี่ การตายของลูกน้า ในการก้าจัดและยับย้ังการเจริญเติบโตของลูกน้า ยุงลาย จากโอ่งท่ีต้ังไว้ในชุมชน (ส้านักโรคติดต่อ ยุงลายบา้ นดีที่สุดเม่ือเปรียบเทียบกับสารก้าจัดลูกน้า นา้ โดยแมลง, 2557) โดยมีรายละเอยี ดดงั ตารางที่ 1 Bti อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ (p<0.01) ท่ีการถ่ายน้า 5.2 ลูกน้ายุงลายในธรรมชาติ ร้อยละ 0, 25 และ 50 เมื่อพิจารณาอัตราการตายเฉล่ีย - นับจ้านวนลูกน้ายุงลายท่ีเกิดจากยุงลายใน ของลูกน้ายุงลายเป็นรายคู่พบว่า ในสารก้าจัดลูกน้า ธรรมชาติมาวางไข่ในโอ่งทดสอบทั้ง 36 โอ่ง ทุก เทมีฟอส และไดฟูเบนซูรอน แตกต่างจาก สารก้าจัด สัปดาห์ โดยนับจ้านวนลูกน้ายุงลายธรรมชาติต้ังแต่ ลูกน้า Bti นอกจากน้ีการถ่ายน้าท่ีร้อยละ 0, 25 และ ระยะท่ี 2-4 และตัวโมง่ 5 0 พ บ ว่ า ส า ร ก้ า จั ด ลู ก น้ า เ ท มี ฟ อ ส แ ล ะ - ตักลูกน้ายงุ ธรรมชาตอิ อกจากโอง่ ทง้ั 36 โอ่ง ไดฟูเบนซูรอน มีประสิทธิภาพก้าจัดและยังยั้งการ ทุกสปั ดาห์หลงั จากบันทกึ ผลเรียบร้อยแล้ว และหาก เจรญิ เติบโตของลูกน้ายุงลายบ้านมากกว่าร้อยละ 90 พบตัวหา้ กนิ ลูกนา้ ยุงใหบ้ นั ทึกผลไว้และตักออกด้วย ได้ไม่แตกต่างกันตลอดระยะเวลาการทดลอง 27 สัปดาห์ โดยสารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส ให้ผลอัตรา การตายเฉล่ียเท่ากับ 99.63±0.21, 94.54±1.87 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 35
ประสิทธภิ าพของสารกาจดั ลกู น้า เทมฟี อส ไดฟูเบนซูรอน และแบคทเี รยี ควบคุมลกู น้าชนดิ บที ไี อ เพอ่ื การควบคุมลกู น้ายุงลายบา้ น Aedes aegypti (L.) ในภาคสนาม และ 93.82±2.84 ตามล้าดับ ส่วนสารยับย้ังการ อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ (p=0.04) เม่ือพิจารณา เจริญเตบิ โตของลูกน้ายุง สารก้าจัดลกู นา้ ไดฟูเบนซูรอน อัตราตายลกู น้ายุงเฉล่ียเป็นรายคู่ พบว่าท่ีการถ่ายน้า ให้ผลยบั ยงั้ การเจรญิ เตบิ โตเฉลย่ี เทา่ กับ 95.51±1.27, ร้อยละ 0 และ 25 แตกต่างจากการถ่ายน้าท่ีร้อยละ 92.49±2.25 และ 92.24±0.32 ตามล้าดับ ในขณะที่ 50 ซึ่งท้าให้ลูกน้ายุงลายบ้านตายได้น้อยท่ีสุดเพียง สารก้าจัดลูกน้า Bti ที่การถ่ายน้าร้อยละ 0 25 และ รอ้ ยละ 35.27±4.13 ดงั ตารางที่ 2 50 มอี ตั ราการตายเฉลี่ยของลูกน้ายุงลายแตกต่างกัน ตารางที่ 1 เกณฑ์การตัดสินผลการทดสอบสารก้าจัดลูกน้า 3 ชนิดในโอ่งเสมือนเป็นแหล่งเพาะพันธ์ุตาม ธรรมชาติของยงุ ลายบา้ น สารกาจัดลูกนา การแปลผลการทดสอบการตายของลกู นายงุ ลาย เทมฟี อส, - ลูกนา้ เจรญิ ไปเปน็ ตัวโมง่ จะไมน่ บั เปน็ จ้านวนทดสอบ Bti - ถ้าลกู นา้ ยุงท่ีไม่สามารถเคล่อื นท่ขี ึ้นลงไดใ้ หต้ ดั สินวา่ ตาย แมว้ า่ จะยงั คงเคล่อื นไหวได้ - ลกู น้ายุงทไี่ มส่ ามารถเคลือ่ นทข่ี ึน้ ลงไดใ้ ห้ตดั สนิ วา่ ตาย แม้ว่าจะยงั คงเคลื่อนไหวได้ ไดฟเู บนซูรอน - ตัวโม่งทไี่ ม่สามารถเคลือ่ นที่ขน้ึ ลงไดใ้ หต้ ัดสนิ วา่ ตาย แมว้ ่าจะยังคงเคลอื่ นไหวได้ - จ้านวนการเจริญเป็นตัวเต็มวัยของลูกน้ายุงให้นับจากจ้านวนคราบตัวโม่งที่ออกเป็น ชดุ เปรยี บเทยี บ ตวั เต็มวัยหรอื นับจากจ้านวนตัวเตม็ วัยทีเ่ กิดข้นึ กไ็ ด้ (control) - บันทึกจ้านวนลูกน้ายุงท่ีตาย จ้านวนตัวโม่งท่ีตาย จ้านวนคราบตัวโม่งท่ีออกเป็นตัว เต็มวัย หลังการทดสอบ 7 วัน ค้านวณหาอัตราการยับยั้งการเจริญเติบโตเป็นตัวเต็ม วยั (IE) จากสตู ร IE (%) = 100 − T x100 C IE (Inhibit Emergence) = อตั ราการยับยั้งการเจรญิ เตบิ โตเป็นตวั เตม็ วัย T (Treatment) = เปอร์เซ็นต์การเจรญิ เป็นตวั เต็มวัยของลูกน้ายุงทดสอบ C (Control) = เปอรเ์ ซ็นต์การเจรญิ เป็นตัวเตม็ วัยของลูกน้ายุงเปรียบเทียบ - ถ้าเจริญเปน็ ตวั โมง่ มากกว่า 10% ตอ้ งท้าการทดลองใหม่ - ถ้าอัตราการตายระหวา่ ง 5 – 20% ใหป้ รับค่าอตั ราตายจรงิ โดยใช้ Abbott formula (Capinera, 2005) - ถ้าอัตราการตายมากวา่ 20% ผลการทดสอบผดิ พลาด ตอ้ งทา้ การทดสอบใหม่ - อตั ราการเจรญิ เปน็ ตวั เต็มวัยของลกู น้ายุงเทยี บเทยี บ ตา้่ กวา่ รอ้ ยละ 80 ตอ้ งท้าการ ทดสอบใหม่ 36 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1
Field Studies on Efficiency of Temephos, Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). ตารางท่ี 2 ประสิทธิภาพการกา้ จดั และการยงั ย้งั การเจริญเตบิ โตของลกู น้ายุงลายจากหอ้ งปฏิบัติการที่การถ่าย นา้ ร้อยละ 0, 25 และ 50 ของสารกา้ จดั ลูกน้า 3 ชนิด ตลอดระยะเวลา 27 สัปดาห์ สารเคมีกาจดั ลูกนายุง อัตราการตายเฉลี่ย/ยบั ยังการเจริญเติบโต (Mean±SE) F-test P-value 0 25 50 99.63±0.21(a) 94.54±1.87(a) 93.82±2.84(a) เทมฟี อส 95.51±1.27(b) 92.49±2.25(b) 92.24±0.32(b) 2.60 0.15 ไดฟเู บนซรู อน 1.48 0.31 Bti 56.73±2.54(a,b) (1) 52.36±6.37(a,b) (2) 35.27±4.13(a,b) (1,2) 6.02 0.04* F-test 1050.55 160.42 333.37 0.00* 0.00* 0.00* P-value 1,2 อัตราการตายเฉลี่ยลูกน้ายุงของสารเคมีก้าจัดลูกน้าท่ีแตกต่างรายคู่ที่การถ่ายน้าร้อยละ 0, 25 และ 50 (P<0.05) a,b อัตราการตายเฉลย่ี ลูกน้ายุงของสารเคมแี ต่ละชนดิ ท่ีแตกตา่ งรายคู่ (P<0.01) ภาพที่ 1 อัตราการตาย/ยับยั้งการเจริญเติบโตของลูกน้ายุงลายของการใช้สารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส, ไดฟเู บนซรู อน และ Bti ทไ่ี มถ่ า่ ยนา้ (ร้อยละ 0) จา้ แนกรายสัปดาห์ ภาพที่ 2 อัตราการตาย/ยับยั้งการเจริญเติบโตของลูกน้ายุงลายของการใช้สารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส, ไดฟเู บนซูรอน และ Bti ทีก่ ารถ่ายน้ารอ้ ยละ 25 จ้าแนกรายสัปดาห์ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 37
ประสิทธภิ าพของสารกาจดั ลกู น้า เทมฟี อส ไดฟเู บนซรู อน และแบคทเี รยี ควบคมุ ลูกน้าชนิดบที ไี อ เพอ่ื การควบคุมลกู น้ายุงลายบา้ น Aedes aegypti (L.) ในภาคสนาม ภาพที่ 3 อัตราการตาย/ยับยั้งการเจริญเติบโตของลูกน้ายุงลายของการใช้สารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส, ไดฟเู บนซรู อน และ Bti ทกี่ ารถา่ ยนา้ ร้อยละ 50 จา้ แนกรายสัปดาห์ จากภาพท่ี 1 สารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส ท่ีไม่ถ่าย ถ่ายน้าร้อยละ 0, 25 และ 50 กับลูกน้ายุงลาย น้ามีประสิทธิภาพในการก้าจัดลูกน้ายุงลายบ้านได้ดี ธรรมชาติ ระยะเวลาการศึกษา 27 สัปดาห์ หลังจาก ที่สุดและคงทนอยู่ในน้าได้นานตลอดระยะเวลาการ ใส่สารก้าจัดลูกน้าลงในโอ่งทดสอบโดยการส้ารวจ ทดสอบ 27 สัปดาห์ ในขณะที่สัปดาห์ท่ี 19 สาร จ้านวนลูกน้ายุงลายวันที่ 2-4 และดักแด้ทุกสัปดาห์ ก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน มีความคงทนของสาร ผลการศกึ ษาพบวา่ สารเคมีก้าจัดลูกน้ายุงลายที่มีการ ในน้าและประสิทธิภาพในการยับย้ังการเจริญเติบโต ถ่ายนา้ ร้อยละ 0, 25 และ 50 ของจ้านวนลูกน้ายุงลาย ของลูกน้ายุงลายบ้านลดลงต้่ากว่าร้อยละ 90 ธรรมชาติมีค่าเฉลี่ยแตกต่างกัน อย่างมีนัยส้าคัญทาง เมื่อเปลี่ยนถ่ายน้าร้อยละ 25 และ 50 สารเทมีฟอส สถิติ (p<0.01) เมื่อพิจารณารายคู่ พบว่า ท่ีการถ่าย มีประสิทธิภาพในการก้าจัดลูกน้ายุงลายบ้านลดลง น้าร้อยละ 0 สารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส แตกต่างจาก เมื่อผ่านไป 17 สัปดาห์ ส่วนสารก้าจัดลูกน้า สารก้าจัดลูกน้า Bti และ control ส่วนสารก้าจัด ไดฟูเบนซูรอน มีประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโต ลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน และ Bti แตกต่างกับ control ของยุงลายลดลงเมื่อผ่านไป 15 สัปดาห์ ดังภาพที่ 2 ทก่ี ารถา่ ยนา้ รอ้ ยละ 0 (p>0.01) และ 3 ที่การถ่ายน้าร้อยละ 25 จ้านวนลูกน้ายุงลาย ส้าหรับความคงทนของสารก้าจัดลูกน้า Bti มี ธรรมชาติเฉล่ีย ในโอ่งที่มีสารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส ประสิทธิภาพในการก้าจัดลูกน้ายุงลายสูงสุดได้เพียง แตกต่างกับสารก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน และ 5 สัปดาห์ ท่ีการถ่ายน้าร้อยละ 0 ส่วนการถ่ายน้า control สว่ นสารก้าจัดลูกน้า Bti แตกต่างกับ control ร้อยละ 25 มีประสิทธิภาพเพียง 4 สัปดาห์ และ (p=0.01) ส้าหรับท่ีการถ่ายน้าร้อยละ 50 สารก้าจัด ประสิทธิภาพของสารจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ลกู น้า เทมีฟอส มีจ้านวนลูกน้ายุงลายธรรมชาติเฉลี่ย ดังภาพท่ี 1 และ 2 ในขณะที่ การถ่ายน้าร้อยละ 50 แตกตา่ งจากสารก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน, Bti และ สารก้าจัดลูกน้า Bti มีประสิทธิภาพในการก้าจัดลูกน้า control เมือ่ พจิ ารณาเป็นรายคู่ (p=0.03) ดังตาราง ได้น้อยและมีประสิทธิภาพในการฆ่าลูกน้ายุงลายได้ ท่ี 3 เพียง 2 สัปดาหเ์ ท่าน้นั ดงั ภาพที่ 3 ตลอดระยะเวลาการศึกษา 27 สัปดาห์ ผลการ 2. การศึกษาประสิทธิภาพสารก้าจัดลูกน้ากับ ทดสอบไม่พบลูกน้ายุงลายธรรมชาติในโอ่งทดสอบ ลกู นา้ ยงุ ลายธรรมชาติ สารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส ทุกร้อยละของการถ่ายน้า ซ่ึงแตกตา่ งกบั โอ่งน้าทดสอบท่ีไม่มีสารเคมี (control) จากการศึกษาประสิทธิภาพสารก้าจัดลูกน้า ทีส่ า้ รวจพบลูกน้ายุงลายธรรมชาติทุกสัปดาห์ ยกเว้น 3 ชนิด คือ เทมีฟอส ไดฟูเบนซูรอน และ Bti การ 38 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1
Field Studies on Efficiency of Temephos, Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). ในสัปดาห์ที่ 25 26 และ 27 ของการถ่ายน้าร้อยละ เพิ่มข้นึ ตามระยะเวลาในการศึกษาฯ ส่วนโอ่งท่ีใส่สาร 0, 25 และ 50 ส้าหรับสารก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน กา้ จดั ลูกน้า Bti เร่มิ พบลกู น้ายุงลายธรรมชาติสัปดาห์ ผลการศึกษาพบลูกน้ายุงลายธรรมชาติครั้งแรกใน ท่ี 7 ทก่ี ารถา่ ยนา้ ร้อยละ 50 จ้านวนลูกน้ายุงธรรมชาติ สัปดาห์ที่ 15 ท่ีการถ่ายน้าร้อยละ 25 และ 50 จ้านวน เฉลย่ี 1.67 ตวั ตอ่ โอง่ สว่ นการถ่ายน้าที่ร้อยละ 0 และ ลูกน้ายุงธรรมชาติเฉล่ีย 0.67 และ 4.67 ตัวต่อโอ่ง 25 พบลูกน้ายุงลายธรรมชาติที่สัปดาห์ท่ี 8 และใน ตามล้าดับ ส้าหรับโอ่งที่ไม่มีการถ่ายน้าพบลูกน้า สัปดาห์ถัดไปทุกสัปดาห์จนส้ินสุดการศึกษาที่ทุก ยุงลายสัปดาห์ท่ี 16 จ้านวนลูกน้ายุงลายธรรมชาติ ระดับการถา่ ยน้า ดงั ภาพท่ี 4, 5 และ 6 เฉลี่ย 0.33 ตัวต่อโอ่ง และจ้านวนลูกน้ายุงลายฯ ตารางที่ 3 จา้ นวนลกู นา้ ยงุ ลายธรรมชาติเฉลย่ี ท่กี ารถ่ายนา้ รอ้ ยละ 0, 25 และ 50 ของสารกา้ จัดลูกน้า 3 ชนิด ตลอดระยะเวลา 27 สปั ดาห์ สารเคมีกาจดั จานวนลูกนายุงลายธรรมชาตเิ ฉลี่ย (Mean±SE) F-test P-value ลูกนายุง 0 25 50 - - เทมีฟอส 0.00a,d 0.00aa,c 0.00a,b,c 1.44 0.24 1.42±0.64b 2.51±0.93a 3.42±0.90a 2.22 0.12 ไดฟเู บนซรู อน 2.95±0.84a,c 1.57±0.41b 4.35±1.31b 1.34 0.27 5.26±1.20b,c,d 3.73±0.80b,c 3.25±0.62c Bti Control F-test 7.92 5.89 4.91 P-value 0.00* 0.01* 0.03* a,b,c,d จา้ นวนลูกน้ายุงลายธรรมชาติเฉล่ยี ของสารเคมีแตล่ ะชนดิ ทีแ่ ตกต่างรายคู่ (P<0.01) ภาพที่ 4 คา่ เฉลี่ยจา้ นวนลกู น้ายุงลายธรรมชาติ ที่ไม่ถ่ายนา้ (รอ้ ยละ 0) จา้ แนกรายสัปดาห์ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 39
ประสิทธภิ าพของสารกาจดั ลกู น้า เทมฟี อส ไดฟเู บนซูรอน และแบคทเี รยี ควบคุมลูกน้าชนดิ บที ไี อ เพอ่ื การควบคุมลกู น้ายุงลายบา้ น Aedes aegypti (L.) ในภาคสนาม ภาพที่ 5 คา่ เฉลยี่ จา้ นวนลกู นา้ ยุงลายธรรมชาติ ท่กี ารถ่ายนา้ รอ้ ยละ 25 จา้ แนกรายสปั ดาห์ ภาพท่ี 6 คา่ เฉล่ยี จา้ นวนลูกน้ายงุ ลายธรรมชาติ ท่ีการถา่ ยน้าร้อยละ 50 จา้ แนกรายสปั ดาห์ หมายเหตุ ไมพ่ บลกู น้าธรรมชาติในโอ่งทดสอบทีม่ ีสารก้าจัดลกู นา้ เทมีฟอส ตลอดการศึกษา (27 สัปดาห)์ อภปิ รายผล (2004) ที่ทดสอบฤทธ์ิคงทนของ สารก้าจัดลูกน้า จากผลการศกึ ษาประสิทธิภาพและฤทธ์ิคงทนของ เทมีฟอส 1%SG ในตุ่มน้าขนาด 200 ลิตร แบบก่ึง สารก้าจัดลูกน้า 3 ชนิด คือสารก้าจัดลูกน้าเทมีฟอส จ้าลองธรรมชาติพบว่าสามารถควบคุมลูกน้ายุงลาย ไดฟูเบนซูรอน และ Bti กับยุงลายบ้าน พบว่าสารก้าจัด ได้นานถึง 6 เดือน หรือ 24 สัปดาห์ นอกจากนี้ ลูกน้า เทมีฟอส มีประสิทธิภาพก้าจัดลูกน้ายุงลายได้ ธ้ารงค์ ผลชีวิน และคณะ (2559) ศึกษาฤทธิ์คงทน มากกวา่ ร้อยละ 90 ได้นานถึง 27 สัปดาห์ ในสภาพที่ ของทรายอะเบท 1%SG ท่ีความเข้มข้น 1 ppm ไม่มีการถ่ายน้าหรือการไม่ใช้น้าของชาวบ้าน ส่วนใน ควบคุมลูกน้ายุงลายบ้านในสภาพธรรมชาติและกึ่ง การใช้น้าของชาวบ้านในปริมาณต่างๆ (การถ่ายน้าท่ี จ้าลองธรรมชาติ พบว่าระยะเวลาท่ีท้าให้ลูกน้า ร้อยละ 25 และ 50) พบว่าสารก้าจัดลูกน้าเทมีฟอส ยุงลายบ้านตายร้อยละ 50 และ 90 มีค่าเท่ากับ ยังมีประสิทธิภาพในการควบคุมลูกน้ายุงลายบ้านได้ 25.93 และ 24.13 สัปดาห์ ตามล้าดับ และ นานถึง 17 สัปดาห์ แต่ยังคงสามารถฆ่าลูกน้ายุงลาย นอกจากน้ีการศึกษาของ เกรียงศักด์ิ เจตนะจิตร บ้านได้มากกว่า 50 % ของลูกน้ายุงทดสอบในแต่ละ และคณะ (2552) พบว่า ความคงทนของทราย คร้งั ซ่ึงให้ผลใกล้เคียงกับการศึกษาของ Mulla et al. เคลือบสารทีมีฟอส 1 % มีประสิทธิภาพก้าจัดลูกน้า 40 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีที่ 16 ฉบับที่ 1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140