Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนรายวิชาชีววิทยา 3 หน่วยที่ 1

แผนรายวิชาชีววิทยา 3 หน่วยที่ 1

Published by Guset User, 2021-09-02 17:21:51

Description: ทดลองระบบ

Search

Read the Text Version

๑ คำอธิบำยรำยวชิ ำ กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์ วิชำเพ่มิ เติม รหสั วิชำ ว32243 ชีววิทยำ 3 ช้นั มัธยมศกึ ษำปที ่ี 5 ภำคเรยี นที่ 1 เวลำ 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต ศึกษาการสืบพันธ์ุของพืชดอก โครงสร้างของดอกและชนิดของผล วัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอก การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างต่างๆ ของผลและเมล็ด เน้ือเยื่อพืช โครงสร้างและการเจริญเติบโตของราก ลาต้น และใบ การลาเลียงน้าของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและการ คายน้า การลาเลียงธาตุอาหาร การลาเลียงอาหาร การศึกษาท่ีเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โฟโตเรสไพเรชัน การเพ่ิมความเข้มข้นของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ปัจจัยบางประการที่มีผลตอ่ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของ พืช ฮอร์โมนพืช ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด การตอบสนองของพืชในลักษณะการเคลื่อนไหว การ ตอบสนองต่อภาวะเครยี ด โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสืบค้น ขอ้ มลู และอภิปราย การแกป้ ัญหาและการใหเ้ หตุผล และนาความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการและสมรรถนะ สาคญั ไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั อย่างเปน็ ระบบและสรา้ งสรรค์ เพื่อให้เห็นคุณค่าและมีเจตคติท่ีดีต่อวิทยาศาสตร์ มีระเบียบ มีความรับผิดชอบ มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ มีวิจารณญาณ มีจิตสานึกในการใช้ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมอย่างประหยัดและคุ้มค่า มีคุณธรรม จริยธรรม ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิด หลักปฏิบัติในการเรียนรู้ และมีค่านิยมที่ เหมาะสมสอดคล้องกบั ท้องถิน่ ผลกำรเรยี นรู้ 1. อธบิ ายวฏั จักรชวี ติ แบบสลบั ของพชื ดอก 2. อธิบาย และเปรียบเทียบกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอก และอธิบายการ ปฏิสนธิของพืชดอก 3. อธิบายการเกิดเมล็ดและการเกิดผลของพืชดอก โครงสร้างของเมล็ดและผล และยกตัวอย่างการใช้ ประโยชนจ์ ากโครงสรา้ งต่างๆ ของเมล็ดและผล 4. อธบิ ายเกยี่ วกบั ชนิดและลักษณะของเนื้อเยือ่ พชื และเขียนแผนผังเพื่อสรปุ ชนดิ ของเน้ือเยื่อพชื 5. สังเกต อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างภายในของรากพืชใบเล้ียงเด่ียวและรากพืชใบเล้ียงคู่จากการ ตัดตามขวาง 6. สังเกต อธิบาย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งภายในของลาต้นพชื ใบเลยี้ งเด่ยี วและลาตน้ พืชใบเลย้ี งคูจ่ าก การตดั ตามขวาง 7. สังเกต และอธบิ ายโครงสร้างภายในของใบพชื จากการตดั ตามขวาง 8. สบื ค้นขอ้ มูล และอธิบายกลไกการลาเลี้ยงน้า และธาตุอาหารของพืช 9. สืบค้นขอ้ มลู สังเกต และอธบิ ายการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้าของพืช 10. สืบค้นข้อมูล อธิบายความสาคัญของธาตุอาหาร และยกตัวอย่างธาตุอาหารที่สาคัญท่ีมีผลต่อการ เจรญิ เติบโตของพชื

๒ 11. อธิบายกลไกการลาเลยี งอาหารในพชื 12. สืบค้นข้อมูล และสรุปการศึกษาท่ีได้จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีตเกี่ยวกับกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสง 13. อธบิ ายขนั้ ตอนทีเ่ กิดข้ึนในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช C3 14. เปรยี บเทยี บกลไกการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นพืช C3 พชื C4 และพืช CAM 15. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และสรุปปัจจัยความเข้มของแสง ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์และ อุณหภมู ทิ ม่ี ผี ลตอ่ การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพชื 16. สืบคน้ ขอ้ มูล อธบิ ายบทบาทและหน้าทขี่ องออกซิน ไซโทไคนนิ จิบเบอเรลลิน เอทิลนี และกรดแอบไซซกิ และอภิปรายเกยี่ วกบั การนาไปใชป้ ระโยชน์ทางการเกษตร 17. ทดลอง และอธิบายเก่ียวกับปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด สภาพพักตัวของเมล็ดและบอก แนวทางในการแก้สภาพพักตวั ของเมล็ด 18. สบื ค้นขอ้ มูล ทดลอง และอภิปรายเกีย่ วกบั สง่ิ เรา้ ภายนอกทีม่ ผี ลต่อการเจรญิ เตบิ โตของพืช รวมทง้ั หมด 18 ผลกำรเรียนรู้

รำยวิชำ ชีววทิ ยำ 3 โครงสรำ้ งรำยวชิ ำ ๓ เวลำ ๖๐ ชว่ั โมง รหสั วิชำ ว๓2243 ระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษำปีท่ี 5 จำนวน ๑.๕ หน่วยกติ ภำคเรยี นท่ี ๑ ช่ือหน่วยกำร ผลกำร เร่อื งท่ีสอน เวลำ คะแนน รวม เรียนรู้ เรยี นรู้ สอน ระหวำ่ ง กลำง ปลำย 22 1. โครงสร้างของดอกและชนิดของผล 8 ขอ้ 1-4 2. วฏั จกั รชีวติ แบบสลับของพชื ดอก 12 15 5 2 กำรสบื พันธุ์ 3. การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืช ของพืชดอก ดอก 4. การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างต่างๆ ของผลและเมลด็ 9 ขอ้ 5-8 5. เน้ือเยือ่ พชื 10 10 10 5 25 โครงสรำ้ ง 6. โครงสร้างและการเจริญเติบโตของ และกำร ราก เจรญิ เติบโต 7. โครงสร้างและการเจรญิ เตบิ โตของลา ของพืชดอก ตน้ 8. โครงสรา้ งและการเจรญิ เตบิ โตของใบ 10 ขอ้ 9-12 9. การลาเลยี งนา้ 7 10 5 3 18 กำรลำเลยี งของ 10. การแลกเปล่ียนแก๊สและการคายน้า พืช 11. การลาเลียงธาตอุ าหาร 12. การลาเลยี งอาหาร สอบกลำงภำค 1.30 - 20 - 20 11 ขอ้ 13-16 13. การศึกษาที่เกี่ยว ข้องกับ ก าร 17 10 - 10 20 กำรสังเครำะห์ สังเคราะห์ด้วยแสง ดว้ ยแสง 14. กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ของพืช 15. โฟโตเรสไพเรชนั 16. การเพ่มิ ความเข้มขน้ ของแก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ 17. ปัจจยั บางประการท่มี ผี ลต่ออัตรา การสังเคราะหด์ ้วยแสง

๔ ชื่อหน่วยกำร ผลกำร เรื่องท่ีสอน เวลำ คะแนน เรียนรู้ เรียนรู้ สอน ระหวำ่ ง กลำง ปลำย รวม 12 ข้อ 17-18 18. ฮอร์โมนพืช 11 5 - 10 15 กำรควบคมุ กำร 19. ปจั จยั ที่มีผลตอ่ การงอกของเมลด็ เจรญิ เติบโต 20. การตอบสนองของพืชในลักษณะ และกำร การเคลื่อนไหว ตอบสนอง 21. การตอบสนองต่อภาวะเครยี ด ของพืช สอบปลำยภำค 1.30 - - 30 30 รวม 60 50 20 30 100

๕ สาระวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการเรยี นรู้และสาระการเรียนรูเ้ พิ่มเติม สาระชวี วิทยา ๓. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลีย่ นแกส๊ และคายน้าของพืช การลา้ เลียงของพชื การ สงั เคราะห์ด้วยแสง การสบื พันธ์ุของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการ ตอบสนองของพืช รวมท้ังนา้ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เตมิ ม.5 ๑. อธิบายเกย่ี วกับชนดิ และลักษณะของเนื้อเย่ือพืช • เน้อื เยอ่ื พชื แบ่งเป็น ๒ กลมุ่ ใหญค่ ือ เน้ือเยอื่ เจรญิ และเขียนแผนผงั เพ่ือสรปุ ชนดิ ของเน้ือเยื่อพืช และเน้ือเย่ือถาวร • เนอื้ เยอ่ื เจรญิ แบ่งเปน็ เนอ้ื เยื่อเจรญิ สว่ นปลาย เน้ือเยอ่ื เจริญเหนือขอ้ และเน้ือเยอื่ เจริญดา้ นขา้ ง • เน้ือเยอ่ื ถาวรเปล่ียนแปลงมาจากเนอื้ เย่ือเจรญิ เนอ้ื เยอ่ื ถาวรอาจแบง่ ไดเ้ ปน็ ๓ ระบบ คอื ระบบ เนือ้ เยอ่ื ผิว ระบบเน้ือเย่ือพ้ืน และระบบเน้ือเย่ือ ท่อลาเลยี ง ซ่งึ ทาหนา้ ท่ตี า่ งกัน ๒. สังเกต อธิบาย และเปรยี บเทียบโครงสร้าง • ราก คอื ส่วนแกนของพืชทโ่ี ดยทว่ั ไปเจริญอยู่ ใต้ ภายในของรากพชื ใบเลี้ยงเดี่ยวและรากพืช ใบเลย้ี ง ระดบั ผวิ ดนิ ทาหน้าทย่ี ดึ หรือค้าจนุ ให้พืช คู่จากการตดั ตามขวาง เจรญิ เตบิ โตอย่กู บั ท่ีได้และยังมหี น้าที่สาคัญใน การ ดูดนา้ และธาตุอาหารในดนิ เพื่อสง่ ไปยงั ส่วน ตา่ ง ๆ ของพชื • โครงสร้างภายในของปลายรากท่ีตัดตามยาว ประกอบดว้ ย เนือ้ เย่ือเจรญิ แบง่ เปน็ บรเิ วณตา่ งๆ คือ บริเวณหมวกราก บรเิ วณเซลลก์ าลงั แบ่งตวั บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว และบริเวณท่เี ซลล์ มี การเปล่ียนแปลงไปทาหนา้ ทีเ่ ฉพาะและเจรญิ เติบโตเต็มที่ • โครงสรา้ งภายในของรากระยะการเตบิ โตปฐมภูมิ เมอ่ื ตดั ตามขวางจะเหน็ โครงสร้างแบ่งเป็น ๓ ช้ัน เรียงจากดา้ นนอกเขา้ ไป คอื ชน้ั เอพเิ ดอรม์ สิ ช้นั คอรเ์ ทกซ์และชัน้ สตลี ในช้นั สตลี จะพบ มดั ทอ่

๖ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ ลาเลยี งท่ีมีลักษณะแตกต่างกันใน พชื ใบเลย้ี งเด่ยี ว และพืชใบเล้ียงค • โครงสร้างภายในของรากระยะการเติบโตทุติยภมู ิ ชั้นเอพิเดอรม์ สิ จะถกู แทนทีด่ ้วยช้นั เพรเิ ดิรม์ ซ่ึงมี คอร์กเปน็ เนื้อเยื่อสาคญั ชนั้ คอรเ์ ทกซอ์ าจมกี าร เปลยี่ นแปลงเกิดเซลล์ท่ีทาให้มีความแขง็ แรง เพม่ิ ขน้ึ หรือเกดิ เซลล์ท่สี ะสมอาหารเพ่ิมขน้ึ สว่ น ลกั ษณะมัดท่อลาเลยี งจะเปลี่ยนไป เน่ืองจาก มี การสรา้ งเนือ้ เย่ือลาเลียงเพิ่มขึ้น ๓. สงั เกต อธบิ าย และเปรียบเทียบโครงสร้าง • ลาตน้ คอื ส่วนแกนของพชื ทีโ่ ดยทัว่ ไปเจรญิ อยู่ ภายในของลาต้นพืชใบเลย้ี งเดี่ยวและลาตน้ พชื ใบ เหนือระดับผิวดนิ ถัดขนึ้ มาจากราก ทาหนา้ ท่ี สรา้ ง เล้ียงคจู่ ากการตดั ตามขวาง ใบและชใู บ ลาเลียงน้า ธาตอุ าหาร และ อาหารท่ี พชื สรา้ งข้นึ ส่งไปยังสว่ นตา่ ง ๆ • โครงสรา้ งภายในของลาต้นระยะการเตบิ โตปฐม ภูมิ เมอื่ ตดั ตามขวางจะเห็นโครงสร้างแบง่ เปน็ ๓ ช้นั เรียงจากดา้ นนอกเขา้ ไป คอื ชน้ั เอพเิ ดอร์มิส ชั้นคอร์เทกซแ์ ละช้ันสตลี ซ่งึ ช้ันสตีลจะพบมัด ท่อ ลาเลียงทีม่ ลี กั ษณะแตกต่างกันในพืช ใบเล้ียงเดยี่ ว และพืชใบเล้ยี งคู่ • ลาต้นในระยะการเตบิ โตทตุ ิยภูมิจะมีเส้นรอบวง เพ่ิมขน้ึ และมโี ครงสรา้ งแตกตา่ งจากเดิม เนือ่ งจาก มีการสรา้ งเน้ือเย่ือเพริเดิรม์ และเนือ้ เยื่อ ท่อ ลาเลยี งทตุ ิยภมู ิเพิ่มขึน้ ๔. สังเกต และอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืช • ใบมหี น้าทส่ี ังเคราะหด์ ้วยแสง แลกเปล่ยี นแก๊ส จากการตดั ตามขวาง และคายน้า ใบของพชื ดอกประกอบด้วย กา้ นใบ แผน่ ใบ เส้นกลางใบ และเสน้ ใบ พชื บางชนดิ อาจ ไม่มีก้านใบ ทีโ่ คนกา้ นใบอาจพบหรอื ไม่พบหใู บ • โครงสร้างภายในของใบตดั ตามขวาง ประกอบดว้ ย เนอื้ เย่ือ ๓ กลุ่ม ไดแ้ ก่ เอพเิ ดอร์มิส มีโซฟิลล์ และเนื้อเย่อื ท่อลาเลียง ๕. สืบคน้ ข้อมลู สังเกต และอธิบายการแลกเปล่ียน • พืชมีการแลกเปล่ยี นแกส๊ และการคายนา้ ผา่ นทาง แก๊สและการคายน้าของพชื ปากใบเป็นสว่ นใหญ่ ปากใบพบไดท้ ใ่ี บและ ลาต้น ออ่ น เมื่อความชืน้ สมั พทั ธ์ในอากาศ ภายนอกต่า กวา่ ความชน้ื สัมพัทธภ์ ายในใบพืช ทาใหน้ ้าภายใน

๗ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พม่ิ เตมิ ใบพชื ระเหยเปน็ ไอออกมาทาง รปู ากใบ เรยี กว่า การคายน้า ๖. สบื ค้นข้อมูล และอธิบายกลไกการลาเลยี งน้า • พชื ดูดนา้ และธาตุอาหารต่าง ๆ จากดนิ โดยเซลล์ และธาตอุ าหารของพชื ขนรากแลว้ ลาเลยี งผา่ นชน้ั คอร์เทกซเ์ ข้าสู่ เนอ้ื เย่ือ ๗. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบายความสาคัญของธาตุอาหาร ลาเลียงน้าในชัน้ สตีลซ่งึ เป็นการดดู นา้ จากดนิ สู่ และยกตัวอยา่ งธาตอุ าหารทสี่ าคญั ท่มี ผี ลต่อ การ เนื้อเยือ่ ลาเลียงน้าในแนวระนาบ และลาเลียง ไป เจริญเติบโตของพชื ยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพืชในแนวดง่ิ • ในสภาวะปกตกิ ารลาเลียงน้าจากรากสู่ยอด ของ พชื อาศัยแรงดงึ จากการคายน้า ร่วมกบั แรงโคฮีชัน แรงแอดฮชี ัน • ในภาวะทบ่ี รรยากาศมคี วามชืน้ สมั พทั ธส์ งู มาก จนไมส่ ามารถเกิดการคายนา้ ได้ตามปกติน้าที่ เข้า ไปในเซลล์รากจะทาให้เกดิ แรงดนั เรียกว่า แรงดัน ราก ทาให้เกิดปรากฏการณก์ ัตเตชัน • พชื แต่ละชนดิ ตอ้ งการปริมาณและชนดิ ของ ธาตุ อาหารแตกต่างกนั สามารถนาความรู้ เกย่ี วกับ สมบตั ิของธาตุอาหารชนดิ ตา่ งๆ ทมี่ ีผลตอ่ การ เจริญเตบิ โตของพืชในสารละลายธาตุอาหาร เพอื่ ใหพ้ ชื เจรญิ เติบโตได้ตามท่ตี อ้ งการ ๘. อธบิ ายกลไกการลาเลียงอาหารในพชื • อาหารท่ไี ดจ้ ากกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง จากแหลง่ สร้าง จะถกู เปล่ียนแปลงเป็นซโู ครส และ ลาเลยี งผ่านทางท่อโฟลเอ็ม โดยอาศัยกลไก การ ลาเลียงอาหารในพืชซง่ึ เกี่ยวข้องกับแรงดนั นา้ ไป ยังแหลง่ รับ ๙. สบื คน้ ข้อมลู และสรปุ การศกึ ษาทไี่ ดจ้ ากการ • การศกึ ษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตรใ์ นอดตี ทา ทดลองของนักวทิ ยาศาสตร์ในอดีตเกี่ยวกับ ใหไ้ ดค้ วามรเู้ ก่ียวกับกระบวนการสังเคราะห์ ดว้ ย กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง แสงมาเปน็ ลาดับข้นั จนได้ข้อสรปุ ว่า คารบ์ อนไดออกไซด์และน้า เป็นวตั ถุดบิ ที่พืชใช้ ใน กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง และผลผลิต ทีไ่ ด้ คือ น้าตาล ออกซิเจน ๑๐. อธิบายข้นั ตอนทเี่ กิดขึ้นในกระบวนการ • กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสงมี๒ ขนั้ ตอน คือ สังเคราะห์ด้วยแสงของพืช C3 ปฏกิ ริ ยิ าแสง และการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์ • ปฏกิ ริ ยิ าแสงเป็นปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี ปลีย่ นพลงั งานแสง เป็นพลงั งานเคมโี ดยแสงออกซิไดสโ์ มเลกุลสารสี ท่ี

๘ ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเติม ไทลาคอยดข์ องคลอโรพลาสต์ทาใหเ้ กิดการ ถา่ ยทอดอเิ ล็กตรอน ได้ผลติ ภณั ฑ์เปน็ ATP และ NADPH+ H+ ในสโตรมาของคลอโรพลาสต์ • การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เกิดในสโตรมา โดย ใช้ RuBP และเอนไซม์รบู ิสโก ได้สารท่ี ประกอบด้วย คาร์บอน ๓ อะตอม คือ PGA โดย ใช้ATP และ NADPH ท่ไี ด้จากปฏิกิริยาแสงไป รดี วิ ซ์ สารประกอบคารบ์ อน ๓ อะตอม ไดเ้ ปน็ น้าตาล ทีม่ คี ารบ์ อน ๓ อะตอม คือ PGAL ซึ่งส่วน หน่งึ จะถกู นาไปสรา้ ง RuBP กลบั คืนเปน็ วฏั จักร โดยพชื C3 จะมีการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ด้วย วัฏจักรคัลวินเพียงอยา่ งเดียว ๑๑. เปรียบเทยี บกลไกการตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์ • พชื C4 ตรงึ คารบ์ อนอนินทรีย์๒ ครง้ั ครง้ั แรก ในพืช C3 พืช C4 และ พืช CAM เกิดขึน้ ทีเ่ ซลลม์ ีโซฟิลล์โดย PEP และเอนไซม์ เพบ คาร์บอกซเิ ลส ได้สารประกอบทม่ี คี าร์บอน ๔ อะตอม คือ OAA ซ่ึงจะมีการเปลี่ยนแปลง ทางเคมี ได้สารประกอบที่มคี าร์บอน ๔ อะตอม คือ กรดมา ลกิ ซ่ึงจะถูกลาเลียงไปจนถึงเซลล์ บนั เดิลชีทและ ปลอ่ ยคารบ์ อนไดออกไซด์ ในคลอโรพลาสต์เพื่อใช้ ในวัฏจักรคัลวนิ ตอ่ ไป • พืช CAM มีกลไกในการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ คลา้ ยพืช C4 แต่มีการตรงึ คาร์บอนอนินทรยี ์ ทงั้ ๒ ครัง้ ในเซลล์เดยี วกัน โดยเซลลม์ กี ารตรงึ คาร์บอนอ นินทรยี ์ครง้ั แรกในเวลากลางคนื และปล่อยออกมา ในเวลากลางวนั เพ่ือใชใ้ น วฏั จักรคัลวินต่อไป ๑๒. สืบค้นข้อมูล อภปิ ราย และสรุปปจั จยั ความ • ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง เชน่ เข้ม ของแสง ความเข้มข้นของคารบ์ อนไดออกไซด์ ความเข้มของแสง ความเข้มข้นของ และอุณหภมู ิท่ีมผี ลต่อการสงั เคราะห์ด้วยแสง ของ คาร์บอนไดออกไซด์อณุ หภูมิปริมาณนา้ ในดิน ธาตุ พืช อาหาร อายุใบ ๑๓. อธิบายวัฏจกั รชวี ติ แบบสลบั ของพืชดอก • พชื ดอกมีวัฏจกั รชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วย ระยะที่สร้างสปอร์เรียก ระยะสปอโรไฟต์(2n) และ ระยะที่สร้างเซลล์สืบพันธ์เุ รยี ก ระยะแกมีโทไฟต์ (n)

๙ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ • ส่วนประกอบของดอกทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการสบื พนั ธ์ุ โดยตรงคอื ชัน้ เกสรเพศผูแ้ ละชั้นเกสรเพศเมยี ซึ่ง จานวนรงั ไขเ่ ก่ยี วข้องกบั การเจริญเป็นผล ชนดิ ต่าง ๆ ๑๔. อธิบาย และเปรยี บเทยี บกระบวนการสร้าง • พชื ดอกสรา้ งไมโครสปอร์และเมกะสปอรซ์ ่งึ อาจ เซลลส์ บื พนั ธุ์เพศผู้และเพศเมียของพืชดอก และ สร้างในดอกเดยี วกันหรือตา่ งดอกหรือตา่ งต้นกนั อธิบายการปฏสิ นธขิ องพืชดอก • การสรา้ งไมโครสปอรข์ องพืชดอกเกิดขนึ้ โดย ไม โครสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์แบ่งเซลล์แบบ ไมโอซิสได้ ไมโครสปอร์โดยไมโครสปอรน์ ้ี แบ่งเซลลแ์ บบไมโท ซิสได๒้ เซลลค์ ือ ทวิ บ์เซลล์ และเจเนอเรทิฟเซลล์ เมื่อมีการถ่ายเรณไู ปตกบน ยอดเกสรเพศเมยี ทวิ บ์ เซลลจ์ ะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลล์แบ่ง ไมโทซสิ ได้เซลล์สบื พนั ธ์ุ เพศผู้๒ เซลล์ • การสร้างเมกะสปอร์เกดิ ขนึ้ ภายในออวลุ ในรังไข่ โดยเซลล์ท่เี รยี กวา่ เมกะสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ แบง่ ไมโอซิสได้เมกะสปอรซ์ ง่ึ ในพืชสว่ นใหญ่ จะเจรญิ พัฒนาต่อไปได้เพยี ง ๑ เซลล์ที่เหลืออีก ๓ เซลล์จะ ฝอ่ เมกะสปอร์จะแบ่งไมโทซิส ๓ คร้งั ได๘้ นวิ เคลยี ส ท่ีประกอบดว้ ย ๗ เซลลโ์ ดยมี ๑ เซลลท์ ี่ ทาหน้าทเี่ ปน็ เซลล์สบื พนั ธุ์เรยี ก เซลลไ์ ขส่ ว่ นอีก ๑ เซลลม์ ๒ี นิวเคลยี ส เรียก โพลาร์นวิ คลีไอ • การปฏิสนธิของพชื ดอกเปน็ การปฏสิ นธคิ ู่ โดย คู่ หนึ่งเปน็ การรวมกันของสเปริ ์มเซลลห์ น่งึ กบั เซลล์ ไข่ได้เป็นไซโกต ซ่ึงจะเจริญและพฒั นา ไปเปน็ เอม็ บริโอ และอีกคู่หนึง่ เป็นการรวมกัน ของสเปริ ์ม อีกเซลลห์ น่ึงกับโพลารน์ วิ คลไี อ ได้เป็นเอนโด สเปิรม์ นวิ เคลียสซึ่งจะเจรญิ และพัฒนา ต่อไปเปน็ เอนโดสเปริ ์ม ๑๕. อธิบายการเกิดเมล็ดและการเกดิ ผลของพืช • ภายหลงั การปฏสิ นธอิ อวุลจะมีการเจริญ และ ดอก โครงสร้างของเมลด็ และผล และยกตวั อยา่ ง พัฒนาไปเป็นเมลด็ และรงั ไข่จะมกี ารเจริญ และ การใชป้ ระโยชนจ์ ากโครงสรา้ งตา่ งๆของเมลด็ และ พฒั นาไปเป็นผล • โครงสร้างของเมล็ด ผล ประกอบด้วย เปลอื กเมล็ด เอ็มบรโิ อ และเอนโด สเปริ ์ม โครงสรา้ งของผล ประกอบด้วย ผนงั ผล

๑๐ ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม ๑๖. ทดลอง และอธบิ ายเกย่ี วกบั ปจั จัยต่าง ๆ ท่ีมี และเมลด็ ซง่ึ แต่ละสว่ น ของโครงสรา้ งจะมี ผลตอ่ การงอกของเมล็ด สภาพพักตัวของเมล็ด ประโยชน์ต่อพืชเองและตอ่ สิ่งมชี วี ติ อ่ืน และบอกแนวทางในการแกส้ ภาพพักตัว ของเมลด็ • เมล็ดทเ่ี จริญเตม็ ที่จะมีการงอกโดยมีปัจจัยต่าง ๆ ๑๗. สืบค้นข้อมูล อธบิ ายบทบาทและหน้าทีข่ อง ท่มี ผี ลต่อการงอกของเมลด็ เชน่ นา้ หรือความช้นื ออกซนิ ไซโทไคนนิ จิบเบอเรลลนิ เอทิลีน และ ออกซิเจน อุณหภูมิและแสง เมลด็ บางชนิด กรดแอบไซซิก และอภปิ รายเกี่ยวกับ การนาไปใช้ สามารถงอกได้ทันทีแต่เมล็ดบางชนดิ ไมส่ ามารถ ประโยชนท์ างการเกษตร งอกได้ทันทีเพราะอย่ใู นสภาพพกั ตวั ๑๘. สืบคน้ ขอ้ มูล ทดลอง และอภิปรายเกี่ยวกับ • เมล็ดบางชนิดมสี ภาพพักตวั เนอื่ งจากมปี ัจจยั สิ่งเร้าภายนอกท่ีมผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โต ของพืช บางประการที่มีผลยบั ย้งั การงอกของเมล็ด ซึ่ง สภาพพักตวั ของเมล็ดสามารถแกไ้ ขไดห้ ลายวธิ ี ตามปจั จยั ทีย่ ับยั้ง • พชื สรา้ งสารควบคมุ การเจริญเตบิ โตหลายชนดิ ที่ ส่วนต่าง ๆ ซึง่ สารนเ้ี ปน็ ส่งิ เรา้ ภายในทมี่ ีผล ต่อการ เจรญิ เตบิ โตของพชื เชน่ ออกซิน ไซโทไคนนิ จบิ เบอเรลลนิ เอทลิ ีน และกรดแอบไซซกิ • แสงสว่าง แรงโนม้ ถว่ งของโลก สารเคมแี ละน้า เปน็ สิง่ เรา้ ภายนอกทม่ี ผี ลต่อการเจริญเตบิ โต ของ พืช • ความรเู้ กย่ี วกบั การตอบสนองต่อสิง่ เร้าภายใน และส่งิ เร้าภายนอกทม่ี ผี ลต่อการเจรญิ เตบิ โต ของ พืช สามารถนามาประยุกตใ์ ช้ควบคุม การ เจรญิ เติบโตของพชื เพิม่ ผลผลติ และยดื อายุ ผลผลติ ได้

รายวชิ า ชีววทิ ยา 3 โครงสร้างรายวิชา ๑๑ เวลา ๖๐ ชวั่ โมง รหัสวิชา ว๓2243 ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 จานวน ๑.๕ หนว่ ยกิต ภาคเรียนที่ ๑ ชือ่ หน่วยการ ผลการ เรื่องท่ีสอน เวลา คะแนน รวม เรียนรู้ เรียนรู้ สอน ระหวา่ ง กลาง ปลาย 22 1. โครงสรา้ งของดอกและชนิดของผล 1 ขอ้ 1-4 2. วัฏจกั รชีวติ แบบสลับของพชื ดอก 12 15 5 2 การสบื พนั ธุ์ 3. การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืช ของพืชดอก ดอก 4. การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างต่างๆ ของผลและเมล็ด 2 ขอ้ 5-8 5. เน้อื เย่ือพืช 10 10 10 5 25 โครงสร้าง 6. โครงสร้างและการเจริญเติบโตของ และการ ราก เจริญเติบโต 7. โครงสร้างและการเจริญเติบโตของลา ของพืชดอก ตน้ 8. โครงสร้างและการเจรญิ เติบโตของใบ 3 ขอ้ 9-12 9. การลาเลียงนา้ 7 10 5 3 18 การลาเลียงของ 10. การแลกเปล่ยี นแกส๊ และการคายน้า พืช 11. การลาเลยี งธาตุอาหาร 12. การลาเลยี งอาหาร สอบกลางภาค 1.30 - 20 - 20 4 ขอ้ 13-16 13. การศึกษาท่ีเก่ียว ข้องกับ ก าร 17 10 - 10 20 การสงั เคราะห์ สังเคราะหด์ ว้ ยแสง ด้วยแสง 14. กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ของพชื 15. โฟโตเรสไพเรชนั 16. การเพิ่มความเขม้ ข้นของแก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ 17. ปัจจยั บางประการทม่ี ผี ลตอ่ อตั รา การสงั เคราะห์ด้วยแสง

๑๒ ชือ่ หน่วยการ ผลการ เรือ่ งท่ีสอน เวลา คะแนน เรียนรู้ เรียนรู้ สอน ระหว่าง กลาง ปลาย รวม 5 ข้อ 17-18 18. ฮอรโ์ มนพชื 11 5 - 10 15 การควบคุมการ 19. ปัจจยั ท่ีมผี ลต่อการงอกของเมล็ด เจริญเตบิ โต 20. การตอบสนองของพืชในลักษณะ และการ การเคลอ่ื นไหว ตอบสนอง 21. การตอบสนองต่อภาวะเครียด ของพชื สอบปลายภาค 1.30 - - 30 30 รวม 60 50 20 30 100

๑๓ การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรอื่ ง การสบื พนั ธ์ุของพืชดอก เวลา 10 ช่ัวโมง กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว32243 วิชา ชีววิทยา 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ช่ือครูผ้สู อน นายบุญรงั จาปา 1. เป้าหมายการเรียนรู้ 1. ความเข้าใจท่คี งทน ดอกเปน็ อวัยวะสบื พันธุข์ องพืชดอก 2. สาระชวี วิทยา สาระที่ 3 เขา้ ใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปล่ยี นแกส๊ และคายน้าของพืช การล้าเลียง ของพืช การสังเคราะห์ดว้ ยแสง การสบื พันธข์ุ องพืชดอกและการเจริญเตบิ โต และการตอบสนองของ พืช รวมทงั นา้ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายวฏั จกั รชวี ติ แบบสลบั ของพืช 2. อธิบายและเปรียบเทียบกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้และเพศเมียของพืชดอกและอธิบาย การปฏสิ นธิของพชื ดอก 3. อธิบายการเกิดเมล็ดและการเกิดผลของพืชดอก โครงสร้างของเมล็ดและผล และยกตัวอย่าง การ ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างต่าง ๆ ของเมล็ดและผล สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด ดอกโดยท่ัวไปมีส่วนประกอบ 4 ชัน คือ ชันกลีบเลียง ชันกลีบดอก ชันเกสรเพศผู้และชันเกสร เพศ เมีย อาจจา้ แนกประเภทของดอกไดโ้ ดยใชเ้ กณฑ์ท่ีเปน็ สว่ นประกอบของดอก ตา้ แหนง่ รังไข่ หรือ จา้ นวนดอกท่ี อยู่บนก้านดอก ส่วนประกอบของดอกท่ีเก่ียวข้องกับการสืบพันธุ์โดยตรง คือชันเกสรเพศผู้ และชันเกสรเพศ เมยี ซ่ึงจา้ นวนรังไข่เกี่ยวขอ้ งกบั การเจริญเป็นผลชนดิ ตา่ ง ๆ พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วยสปอโรไฟต์และแกมีโทไฟต์ซึ่งสปอโรไฟต์เป็น ระยะที่ สร้างสปอร์คือไมโครสปอร์และเมกะสปอร์ท่ีอาจสร้างในดอกเดียวกันหรือต่างดอกหรือต่างต้น ไมโครสปอร์มา เทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้ไมโครสปอร์จากนันไมโครสปอร์จะแบ่งเซลล์แบบ ไมโทซิสและพัฒนาไป เป็นแกมีโทไฟต์เพศผู้ซึ่งท้าหน้าที่สร้างเซลลส์ ืบพันธุ์เพศผู้สว่ นเมกะสปอร์ มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิส ได้เมกะสปอร์จากนันเมกะสปอร์จะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและ พัฒนาไปเป็นแกมีโทไฟต์เพศเมียซ่ึงท้า หน้าที่ สรา้ งเซลลส์ ืบพันธ์เุ พศเมีย เมอื่ มกี ารปฏิสนธิของ เซลลส์ ืบพันธ์ุเพศผแู้ ละเพศเมียจะได้ไซโกตและพฒั นาไปเป็น เอม็ บริโอแลว้ เจรญิ เตบิ โตเป็น สปอโรไฟต์ต่อไป ภายหลังการปฏิสนธิรังไข่จะมีการเจริญและพัฒนาไปเป็นผล และออวุลจะมีการเจริญและพัฒนาไป เป็นเมล็ด โครงสร้างของผลประกอบด้วยผนังผลและเมล็ด ส่วนโครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วยเปลือกเมล็ด เอ็มบริโอ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างแต่ละส่วนของผลและเมล็ดมีประโยชน์ต่อพืชและต่อส่ิงมีชีวิตอื่น ซึ่ง มนษุ ย์ใชป้ ระโยชน์จากโครงสรา้ งของผลและเมลด็ ในดา้ นต่าง ๆ

๑๔ สาระการเรยี นร้แู กนกลาง - พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วย ระยะท่ีสร้างสปอร์เรียก ระยะสปอโรไฟต์(2n) และ ระยะท่ีสร้างเซลลส์ ืบพันธเุ์ รียก ระยะแกมโี ทไฟต์(n) - ส่วนประกอบของดอกท่ีเก่ียวข้องกับการสืบพันธุ์ โดยตรงคือชันเกสรเพศผู้และชันเกสรเพศเมีย ซึ่ง จา้ นวนรังไข่เก่ยี วขอ้ งกับการเจรญิ เปน็ ผล ชนดิ ตา่ ง ๆ - พชื ดอกสรา้ งไมโครสปอรแ์ ละเมกะสปอรซ์ งึ่ อาจ สรา้ งในดอกเดียวกันหรอื ต่างดอกหรือต่างต้นกัน - การสร้างไมโครสปอร์ของพืชดอกเกิดขึนโดย ไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบ ไมโอซิสได้ไม โครสปอร์โดยไมโครสปอร์นี แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้๒ เซลล์คือ ทิวบ์เซลล์ และเจเนอเรทิฟเซลล์เม่ือมีการ ถ่ายเรณูไปตกบน ยอดเกสรเพศเมีย ทิวบ์เซลล์จะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลล์แบ่งไมโทซิสได้เซลล์ สบื พนั ธุ์ เพศผู้๒ เซลล์ - การสรา้ งเมกะสปอรเ์ กิดขนึ ภายในออวลุ ในรังไข่ โดยเซลลท์ ่ีเรียกวา่ เมกะสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ แบง่ ไม โอซิสได้เมกะสปอร์ซ่ึงในพืชส่วนใหญ่ จะเจริญพัฒนาต่อไปได้เพียง ๑ เซลล์ที่เหลืออีก ๓ เซลล์จะฝ่อ เมกะ สปอร์จะแบ่งไมโทซิส ๓ ครัง ได้๘ นิวเคลียส ที่ประกอบด้วย ๗ เซลล์โดยมี ๑ เซลล์ท่ีท้าหน้าที่เป็นเซลล์ สบื พนั ธุ์เรียก เซลลไ์ ขส่ ว่ นอกี ๑ เซลล์ม๒ี นิวเคลียส เรยี ก โพลารน์ วิ คลีไอ - การปฏิสนธิของพืชดอกเป็นการปฏิสนธิคู่ โดย คู่หนึ่งเป็นการรวมกันของสเปิร์มเซลล์หนึ่ง กับเซลล์ ไขไ่ ด้เป็นไซโกต ซงึ่ จะเจรญิ และพัฒนา ไปเปน็ เอม็ บริโอ และอีกคู่หน่ึงเป็นการรวมกัน ของสเปริ ม์ อีกเซลล์หนึ่ง กบั โพลาร์นิวคลีไอ ได้เป็นเอนโดสเปิร์มนิวเคลยี สซ่ึงจะเจรญิ และพัฒนา ต่อไปเปน็ เอนโดสเปริ ม์ - ภายหลงั การปฏสิ นธิออวุลจะมกี ารเจริญ และพฒั นาไปเปน็ เมลด็ และรงั ไขจ่ ะมีการเจริญ และพฒั นา ไปเป็นผล - โครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วย เปลือกเมล็ด เอ็มบริโอ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างของผล ประกอบดว้ ย ผนงั ผล และเมล็ด ซงึ่ แต่ละสว่ น ของโครงสรา้ งจะมีประโยชน์ต่อพชื เองและต่อ สิ่งมชี วี ิตอ่นื สมรรถนะสา้ คญั ของผเู้ รียนและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 1) ทักษะการสงั เกต 2) ทักษะการสา้ รวจคน้ หา 3) ทกั ษะการตงั คา้ ถาม 4) ทกั ษะการตงั สมมตฐิ าน 5) ทกั ษะการตรวจสอบสมมตฐิ าน 6) ทกั ษะการสรุปลงความเห็น 3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1) ซื่อสัตย์ สจุ ริต 2) มวี ินยั 3) ใฝ่เรียนรู้ 4) มุ่งมั่นในการทา้ งาน

๑๕ ๒. ช้ินงาน/ภาระงาน - ใบงานที่ 1.1 เร่ือง โครงสร้างของดอกและชนิดของผล - ใบงานท่ี 1.2 เร่อื ง วฏั จกั รชีวิตแบบสลบั ของพชื ดอก - ใบงานท่ี 1.3 เรอ่ื ง การสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศของพืชดอก (การสร้างเซลลส์ ืบพันธ์)ุ - ใบงานท่ี 1.4 เร่อื ง การสบื พันธแุ์ บบอาศัยเพศของพชื ดอก (การปฏสิ นธิ การเกดิ ผลและเมล็ด) - บทปฏบิ ัตกิ าร เรือ่ ง การเกิดผลและเมล็ด การวัดและการประเมนิ ผล การวัดและประเมินก่อนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรื่อง โครงสร้างของดอกและชนดิ ของผล - แบบทดสอบก่อนเรยี น เร่ือง วัฏจักรชีวติ แบบสลบั ของพืชดอก - แบบทดสอบก่อนเรยี น เรื่อง การสืบพันธแุ์ บบอาศยั เพศของพืชดอก (การสรา้ งเซลล์สบื พันธ์)ุ - แบบทดสอบก่อนเรยี น เรื่อง การสบื พนั ธุแ์ บบอาศยั เพศของพชื ดอก (การปฏสิ นธิ การเกิดผลและเมลด็ ) - แบบทดสอบก่อนเรียน เร่อื ง การเกดิ ผลและเมลด็ การวดั และประเมนิ ระหวา่ งการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ - ชดุ ค้าถาม เรอ่ื ง โครงสร้างของดอกและชนดิ ของผล - ชดุ คา้ ถาม เรื่อง วฏั จกั รชวี ติ แบบสลบั ของพืชดอก - ชุดคา้ ถาม เรือ่ ง การสบื พันธแุ์ บบอาศัยเพศของพชื ดอก (การสรา้ งเซลล์สืบพันธ)์ุ - ชุดคา้ ถาม เร่ือง การสืบพนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศของพชื ดอก (การปฏสิ นธิ การเกดิ ผลและเมล็ด) - ชดุ ค้าถาม เรื่อง การเกดิ ผลและเมลด็ การวัดและประเมนิ หลังการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ - ใบงานที่ 1.1 เรอื่ ง โครงสร้างของดอกและชนดิ ของผล - ใบงานที่ 1.2 เรื่อง วฏั จกั รชวี ิตแบบสลบั ของพืชดอก - ใบงานที่ 1.3 เรื่อง การสบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศของพชื ดอก (การสรา้ งเซลล์สบื พนั ธ)์ุ - ใบงานที่ 1.4 เรือ่ ง การสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอก (การปฏสิ นธิ การเกิดผลและเมล็ด) - ใบงานที่ 1.5 เรอ่ื ง การเกิดผลและเมล็ด

๑๖ การออกแบบการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ เรื่อง การสืบพนั ธข์ุ องพชื ดอก เปา้ หมาย เลอื กคาตอบท่ี ตอบคาถามสนั้ การเขยี นแบบ ประเมินจดั ขน้ึ ประเมินตาม การสงั เกต การเรยี นรู้ ถกู ต้อง ๆ อัตนยั ภายในโรงเรียน สภาพจริง (ประเมินตลอด Constructed Essay contextual วธิ ีการประเมิน Selected Response School หนว่ ย) ความเข้าใจทีค่ งทน Response แบบทดสอบ Product / สงั เกตจากการ on-going ดอกเปน็ อวยั วะ ตอบคา้ ถามสนั อตั นยั Performance ทา้ ปฏิบัติการ Tools สบื พันธุ์ของพชื ดอก ทดสอบความรู้ ๆ - เร่อื ง วัฏจกั ร - โครงสร้างและ เกีย่ วกบั ความรู้ เกีย่ วกับความรู้ ชีวติ แบบสลบั แสดงผลงานท่ี การเจรญิ เติบโต สังเกต สมรรถนะสาคัญ เรอื่ ง โครงสรา้ ง เรื่อง ของพชื ดอก เกดิ จากการ ของราก พฤตกิ รรมการ 1. ความสามารถใน ของดอกและ - เรื่อง การ เรยี นรใู้ นสัปดาห์ - โครงสร้างและ เรียนร้กู ารตอบ การสอื่ สาร ชนิดของผล โครงสร้างของ สบื พันธแ์ุ บบ วิทยาศาสตร์ การเจรญิ เติบโต ค้าถามและการ 2. ความสามารถใน (ทดสอบก่อน ดอกและชนดิ อาศัยเพศของ ของล้าต้น ท้าปฏิบตั กิ าร การคดิ และหลัง) ของผล พืชดอก (การ - นา้ เสนอ - โครงสร้างและ สร้างเซลล์ ผลงานเกดิ จาก การเจรญิ เติบโต - ผูป้ กครอง/ครู 2.1 ทักษะการ ตอบค้าถามตอบ สบื พนั ธุ์) การเรยี นร้ใู น ของใบ สังเกต สังเกต โต้กับครผู ูส้ อน - เรอ่ื ง การ สัปดาห์ พฤติกรรมการ ระหว่างเรยี น สืบพนั ธ์ุแบบ วทิ ยาศาสตร์ ปฏบิ ตั ิงาน 2.2 ทกั ษะการ อาศัยเพศของ ทักษะการใช้ ส้ารวจคน้ หา พชื ดอก (การ กล้องจลุ ทรรศน์ ปฏสิ นธิ การ เกิดผลและ เมลด็ ) - เรื่อง การ เกิดผลและเมลด็ - สรุปผล การศึกษาใน ปฏบิ ัติการตา่ งๆ

๑๗ เป้าหมาย เลือกคาตอบที่ ตอบคาถามสัน้ การเขยี นแบบ ประเมินจดั ข้ึน ประเมินตาม การสงั เกต การเรียนรู้ ถกู ตอ้ ง ๆ อตั นยั ภายในโรงเรยี น สภาพจริง (ประเมินตลอด Constructed Essay contextual Selected Response School หน่วย) Response Product / on-going Performance Tools และการ วธิ กี ารประเมนิ ถา่ ยภาพได้ กล้อง 2.3 ทักษะการตงั ค้าถาม สังเกต พฤตกิ รรมการ 2.4 ทักษะการ ท้างานส่วนตวั ตังสมมตฐิ าน และพฤตกิ รรม การปฏบิ ตั ิงาน 2.5 ทักษะการ กลมุ่ ตรวจสอบสมมติฐาน 2.6 ทักษะการ สรปุ ลงความเห็น 3. ความสามารถใน การใชท้ ักษะชวี ิต คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ 1) ซื่อสัตย์ สุจรติ 2) มวี นิ ัย 3) ใฝเ่ รยี นรู้ 4) มุ่งมั่นในการ ท้างาน ดา้ นทักษะ ตอบคา้ ถาม - ตรวจผลงาน เก่ียวกับความรู้ - สังเกตความ 1. ผเู้ รยี นสามารถ เรื่อง การ ตงั ใจและความ สบื ค้นและอธบิ าย ปฏสิ นธิ การ รับผิดชอบใน การปฏิสนธิ การ เกดิ ผลและเมล็ด การปฏบิ ัติ เกิดผลและเมลด็ กจิ กรรม ตอบค้าถาม 2. ผ้เู รยี นสามารถ เก่ียวกับความรู้ - ตรวจผลงาน อธบิ าย เรื่อง วัฏจักร - สังเกตความ เกี่ยวกบั วัฏจักร ชีวิตแบบสลับ ตงั ใจและความ ชีวิตแบบสลับของ ของพืชดอก รบั ผดิ ชอบใน พชื ดอก การปฏิบตั ิ กจิ กรรม

๑๘ เป้าหมาย เลือกคาตอบที่ ตอบคาถามส้ัน การเขยี นแบบ ประเมนิ จัดข้นึ ประเมนิ ตาม การสงั เกต การเรยี นรู้ ถูกต้อง ๆ อตั นัย ภายในโรงเรียน สภาพจรงิ (ประเมนิ ตลอด Constructed Essay contextual Selected Response School หน่วย) Response Product / on-going Performance Tools วธิ ีการประเมนิ ตอบค้าถาม - ตรวจผลงาน เกย่ี วกับความรู้ - สงั เกตความ 3. ผ้เู รยี นสามารถ เรอ่ื ง ตังใจและความ อ ธิ บ า ย เ กี่ ย ว กั บ รบั ผิดชอบใน กระบวนการสร้าง กระบวนการ การปฏิบตั ิ เซลล์สืบพันธ์ุเพศ สรา้ งเซลล์ กจิ กรรม ผู้และเพศเมียของ สบื พนั ธ์ุเพศผู้ พชื ดอก และเพศเมีย - ตรวจผลงาน ของพืชดอก - สงั เกตความ 4. ผ้เู รยี นสามารถ ตังใจและความ สืบคน้ และอธิบาย ตอบคา้ ถาม รับผิดชอบใน การน้าโครงสรา้ ง เก่ยี วกบั ความรู้ การปฏบิ ตั ิ แตล่ ะสว่ นของผล กิจกรรม และเมล็ดไป เร่อื งโครงสร้าง แต่ละส่วนของ ผลและเมล็ด ไป - ใบงานท่ี ช้นิ งาน 1.1 เรอื่ ง โครงสร้างของ ดอกและชนดิ ของผล - ใบงานท่ี 1.2 เรอ่ื ง วฏั จกั รชีวิตแบบ สลบั ของพชื ดอก - ใบงานท่ี 1.3 เร่ือง การ สบื พนั ธแ์ุ บบ อาศัยเพศของ พชื ดอก (การ สร้างเซลล์ สืบพนั ธุ์)

๑๙ เปา้ หมาย เลอื กคาตอบท่ี ตอบคาถามสั้น การเขียนแบบ ประเมินจัดข้ึน ประเมนิ ตาม การสังเกต การเรยี นรู้ ถูกตอ้ ง ๆ อัตนัย ภายในโรงเรยี น สภาพจริง (ประเมินตลอด Constructed Essay contextual Selected Response School หน่วย) Response Product / on-going Performance Tools วธิ กี ารประเมนิ - ใบงานท่ี 1.4 เรอ่ื ง การ สบื พันธ์แุ บบ อาศัยเพศของ พชื ดอก (การ ปฏสิ นธิ การ เกดิ ผลและ เมล็ด) - ใบงานที่ 1.5 เรอื่ ง การ เกดิ ผลและ เมลด็ จัดทาเกณฑก์ ารประเมิน ตามผังการประเมิน ประเดน็ การประเมิน ระดบั คณุ ภาพ 3 2 1 1. การทดสอบ แบบเลือกตอบ ท้าข้อสอบได้ 8-10 ข้อ ทา้ ข้อสอบได้ 5-7 ข้อ ทา้ ขอ้ สอบได้ 1-4 ขอ้ ตอบคา้ ถามไดบ้ างครงั ท่คี รูถาม ไมต่ อบคา้ ถาม 2. การตอบค้าถามสัน ๆ ตอบคา้ ถามได้ทกุ ครังที่ครถู าม 3. การเขียนแบบอัตนยั เนอื หาตรงประเด็นชดั เจน เนอื หาถกู ต้องตรงประเด็น เนือหาไมถ่ กู ตอ้ ง บางสว่ น - ใบงานท่ี 2.1 เรือ่ ง โครงสรา้ งของ -เนือหาถูกต้องตรงประเด็น -เนือหาถกู ตอ้ งบางสว่ น -เนอื หาถไู ม่ถกู ต้อง -มีรายละเอยี ดขนั ตอนเป็น -รายละเอียดไม่เป็นไปตาม ดอกและชนดิ ของผล -มีรายละเอยี ดขนั ตอนครบถ้วน บางสว่ น ขันตอน - มคี วามเป็นระเบยี บเรยี บร้อย - ไมเ่ ปน็ ระเบยี บ - ใบงานท่ี 2.2 เรือ่ ง วัฏจกั รชวี ิตแบบ - มีความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อย บางส่วน - ประโยชนท์ ี่ไดร้ บั ไมช่ ดั เจน - มีประโยชนต์ อ่ ตนเอง สลบั ของพชื ดอก - มีประโยชนต์ อ่ ตนเองและ - ใบงานท่ี 2.3 เรื่อง การสบื พนั ธ์ุแบบ ส่วนรวม อาศยั เพศของพชื ดอก (การสร้าง เซลล์สืบพันธ์ุ) - ใบงานท่ี 2.4 เรื่อง การสบื พันธ์ุแบบ อาศยั เพศของพืชดอก (การปฏิสนธิ การเกิดผลและเมลด็ )

๒๐ - ใบงานท่ี 2.5 เรอ่ื ง การเกดิ ผลและ เมลด็ เกณฑ์การตัดสิน/ระดบั คุณภาพ เกณฑ์การผา่ นตงั แต่ระดับ ๒ ขนึ ไป ประเดน็ การประเมินผลคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ประเด็นการประเมิน ระดบั คุณภาพ 321 1. มีวนิ ัย ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ไม่ปฏบิ ตั ิตนตามขอ้ ตกลง ระเบียบ ขอ้ ตกลง ของ ระเบียบ ขอ้ บังคบั ของ กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบงั คับ ครอบครัว โรงเรียน และสงั คม ครอบครัวและโรงเรียน ตรงต่อ ของครอบครัวและโรงเรียน ไมล่ ะเมดิ สทิ ธิของผอู้ น่ื ตรง เวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆ ต่อเวลา ในชีวติ ประจา้ วนั และรบั ผิดชอบ ในการ ปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในการทา้ งานเป็นบางครงั ในชวี ติ ประจ้าวัน และ รบั ผดิ ชอบในการทา้ งานปฏิบัติ เป็นปกตวิ สิ ัย และเปน็ แบบอยา่ งท่ีดี 2. ใฝเ่ รยี นรู้ ศกึ ษาค้นควา้ หาความรู้จากหนังสือ ศกึ ษาคน้ คว้าความรจู้ ากหนงั สือ ไม่ศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรู้ เอกสาร สงิ่ พมิ พ์ สอ่ื เทคโนโลยี เอกสาร ส่ิงพิมพ์ สเ่ื ทคโนโลยี และสารสนเทศ แหลง่ เรยี นร้ทู งั แหลง่ เรยี นรู้ ทงั ภายในและ ภายในและภายนอกโรงเรยี น ภายนอกโรงเรยี น เลือกใช้สื่อได้ เลือกใช้ส่ือไดอ้ ย่างเหมาะสม มี อย่างเหมาะสม และ การบันทกึ ความรู้ วิเคราะห์ มีการบันทึกความรู้ ขอ้ มูล สรุปเปน็ องคค์ วามรู้ และ แลกเปลย่ี นเรยี นรู้ ด้วยวธิ กี ารท่ี หลากหลาย และนา้ ไปใชใ้ น ชีวติ ประจา้ วนั ได้ 3.มุ่งม่ันในการทางาน ตงั ใจและรับผดิ ชอบในการ ตงั ใจและรับผดิ ชอบในการ ไม่ตังใจปฏบิ ตั หิ น้าท่กี ารงาน ปฏบิ ตั ิหน้าที่ท่ไี ดร้ ับมอบหมาย ปฏิบัตหิ น้าทท่ี ีไ่ ด้รับมอบหมาย ให้ส้าเรจ็ มกี ารปรบั ปรุงการ ท้างานใหด้ ขี ึน ให้ส้าเรจ็ มีการ ปรบั ปรงุ และพฒั นาการท้างาน ใหด้ ีขึนดว้ ยตนเอง 4. มีจติ สาธารณะ - ช่วยพอ่ แม่ ผู้ปกครองและครู -ชว่ ยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และ -ไมช่ ว่ ยเหลอื พ่อแม่ ท้างาน อาสาทา้ งาน ชว่ ยคดิ ครทู า้ งานอาสาท้างาน และ ผู้ปกครอง และครู ช่วยทา้ แบง่ ปันสงิ่ ของ และ

๒๑ ประเดน็ การประเมนิ ระดับคณุ ภาพ 2 3 1 แบง่ ปนั สิง่ ของใหผ้ ้อู น่ื ดว้ ยความ ชว่ ยแกป้ ญั หาให้ผู้อ่ืนด้วยความ เตม็ ใจ -ไม่สนใจดูแลรกั ษา เตม็ ใจ - ดแู ล รักษาทรพั ยส์ มบตั ิ ทรัพย์สมบตั แิ ละ -ดูแล รกั ษาทรัพยส์ มบตั ิ สิ่งแวดลอ้ มของหอ้ งเรียน สง่ิ แวดล้อมของหอ้ งเรยี น โรงเรยี น และเข้ารว่ มกิจกรรม สง่ิ แวดล้อมของโรงเรยี น โรงเรียน ชมุ ชน และเขา้ ร่วม เพอ่ื สงั คมและ กิจกรรมเพอ่ื สงั คมและ สาธารณประโยชนข์ องโรงเรยี น สาธารณประโยชนข์ องโรงเรียน ด้วยความเต็มใจ และชุมชนด้วย ความเตม็ ใจ เกณฑ์การตดั สนิ /ระดบั คุณภาพ เกณฑ์การผ่านตังแต่ระดับ ๒ ขนึ ไป ประเด็นการประเมนิ สมรรถนะท่สี าคญั ระดบั คณุ ภาพ 1 ประเด็นการประเมิน 2 -น้าเสนอไมต่ ามลา้ ดับขนั ตอน 3 น้าเสนอตามล้าดับขันตอนแตไ่ ม่ 1. ความสามารถในการสื่อสาร -น้าเสนอตามลา้ ดบั ขนั ตอน -ใชภ้ าษาส่ือความหมายไม่ชดั เจน น่าสนใจ น่าสนใจ -ใชภ้ าษาส่อื ความหมายเขา้ ใจชัด -ใช้ภาษาสอ่ื ความหมายได้เขา้ ใจ เจดยงั ไมช่ ดั เจน ชดั เจน 2.ความสามารถในการคดิ -เขยี นสรปุ แผนภาพความคิด -เขยี นสรปุ แผนภาพความคดิ -เขยี นสรปุ แผนภาพความคิด วเิ คราะห์ ความรู้เร่อื ง เทคโนโลยี และ ความร้เู รื่อง เทคโนโลยี และ ความรเู้ รื่อง เทคโนโลยี และ กระบวนการทางเทคโนโลยี ได้ กระบวนการทางเทคโนโลยี ได้ กระบวนการทางเทคโนโลยี ยัง 3. ความสามารถในการใช้ทักษะ ถูกตอ้ งครบทกุ องคป์ ระกอบและ ถกู ต้อง ไม่ครบองคป์ ระกอบ ชีวติ สวยงาม - มที ักษะในการเลือกใช้ - มีทักษะในการเลือกใช้ - ไมม่ ีทกั ษะในการเลือกใช้ เทคโนโลยไี ด้อย่างปลอดภยั เทคโนโลยี เทคโนโลยี - นา้ กระบวนการทางเทคโนโลยี - น้ากระบวนการทางเทคโนโลยี - ไมไ่ ด้นา้ กระบวนการทาง มาใช้ในการวางแผนปฏบิ ตั ิงาน มาใชใ้ นการวางแผนปฏิบตั งิ าน เทคโนโลยีมาใช้ในการวางแผน เปน็ ประจา้ ปฏบิ ตั ิงาน 4. ความสามารถในการใช้ -มีความรทู้ ักษะพนื ฐานในการใช้ -มคี วามรู้พนื ฐานในการใช้ -ไมม่ ีความรูพ้ ืนฐานในการใช้ เทคโนโลยี คอมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอรแ์ ตข่ าดทักษะ คอมพวิ เตอรแ์ ละขาดทักษะ - นา้ เสนอผลงานโดยใช้ - น้าเสนอผลงานโดยใช้ - นา้ เสนอผลงานโดยใช้ คอมพิวเตอรไ์ ดด้ ี คอมพวิ เตอรไ์ ด้ คอมพิวเตอรไ์ ม่ได้

๒๒ ประเดน็ การประเมิน ระดบั คุณภาพ 321 - ใชค้ อมพิวเตอร์เป็นแหลง่ เรยี นรู้ - ใช้คอมพวิ เตอร์เป็นแหลง่ เรยี นรู้ - ใชค้ อมพิวเตอร์เปน็ แหล่งเรยี นรู้ ไดด้ ีทุกครงั ได้ ไมไ่ ด้ เกณฑ์การตดั สิน/ระดบั คุณภาพ เกณฑ์การผ่านตังแต่ระดับ ๒ ขนึ ไป ประเดน็ การประเมนิ พฤติกรรมกระบวนการทางานกลมุ่ ประเดน็ การประเมิน ระดบั คุณภาพ 321 กระบวนการทา้ งานกลมุ่ มกี ารแบง่ หนา้ ท่ี ความรบั ผดิ ชอบ มกี ารแบง่ หนา้ ท่ี ความรับผดิ ชอบ มีการแบง่ หน้าที่ ความ ชัดเจน รว่ มคดิ รว่ มวางแผน ชดั เจน ร่วมคดิ ร่วมวางแผน รบั ผิดชอบไม่ชัดเจน รว่ มคิด รว่ ม รว่ มมือทา้ งาน ช่วยเหลอื เออื รว่ มมอื ท้างาน ช่วยเหลอื เอือ วางแผน รว่ มมือทา้ งาน อาทรในการทา้ งาน รับผดิ ชอบ อาทรในการทา้ งาน รับผดิ ชอบ ช่วยเหลอื เอืออาทรในการท้างาน ตรงต่อเวลา รบั ฟงั ความคดิ เหน็ ตรงตอ่ เวลา ขาดความรบั ผดิ ชอบและไมต่ รง ซ่งึ กนั และกัน และรว่ มภูมใิ จใน ตอ่ เวลา ผลงาน เกณฑ์การตดั สนิ /ระดับคุณภาพ เกณฑ์การผา่ นตังแต่ระดับ ๒ ขึนไป

๒๓ การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ เวลา 10 ชั่วโมง ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ เร่ือง โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก กจิ กรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมนาสกู่ ารเรยี น (ชดุ คาถามท่กี าหนดไว/้ กจิ กรรมการเรียนรทู้ ี่ออกแบบไว้) 1. ดอกไม้ท่เี ห็นนมี ีลักษณะที่เหมอื นหรอื แตกต่างกนั อย่างไร 2. ดอกทมี่ ลี ักษณะแตกตา่ งกันท้าหนา้ ท่เี หมือนกนั หรือไม่ อย่างไร แนวตอบ ดอกไม้แต่ละชนิดจะมีลักษณะ รูปร่าง และโครงสร้าง ที่แตกต่างกัน เช่น ขนาด สีกล่ิน และจ้า นวนกลีบดอก แม้ว่าดอกจะมีลักษณะที่แตกต่างกันแต่ท้า หน้าที่ เดียวกันคือ ใช้ในการ สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเพื่อด้า รงพันธ์ุจากนันครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า ลักษณะดอกไม้ ที่แตกต่างกันนีเป็นผลมา จากวิวัฒนาการท้า ให้เกิดความหลากหลายของดอกไม้และพืชดอกจะเป็น กลุ่มพืชท่ีมีวิวัฒนาการสูงที่สุดใน อาณาจักรพืช 3. วัฏจกั รชวี ิตของพชื ดอกเป็นอย่างไร แนวตอบ พืชดอกเม่ือเจรญิ เติบโตและมีดอก ดอกจะมกี ารสืบพันธ์เุ ปล่ียนแปลงไปเป็นผล ภายในผลมีเมล็ด เม่ือเมลด็ งอก ตน้ อ่อนท่ีอยู่ภายในเมลด็ จะเจรญิ เตบิ โตเปน็ พืชต้นใหม่ พชื ต้นใหม่จะ เจริญเตบิ โตออกดอกเพอื่ สืบพนั ธุ์มผี ลต่อไปได้อกี หมนุ เวยี นตอ่ เน่ืองเปน็ วัฏจกั รชีวติ ของพชื ดอก 4. ระยะใดทมี่ ีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในวฏั จกั รชวี ิตแบบสลับของพชื แนวตอบ แกมโี ทไฟต์ เปน็ ระยะท่ีมีการสร้างเซลล์สบื พันธุ์ 5. - ใน 1 เรณูมสี เปิร์มนวิ เคลยี สจ้านวนเท่าใด แต่ละนิวเคลียสมีโครโมโซมกีช่ ุด - ใน 1 ถุงเอ็มบรโิ อมีเซลล์ไข่จ้านวนเทา่ ใด และมโี ครโมโซมก่ชี ดุ แนวตอบ จากการอภิปรายนักเรยี นควรสรุปได้ว่าใน 1 เรณูจะมสี เปริ ์มนวิ เคลยี ส 2 สเปริ ์ม นวิ เคลยี ส และแต่ละสเปริ ์มนิวเคลียสมโี ครโมโซม 1 ชดุ ส่วนเซลลไ์ ขม่ จี า้ นวน 1 เซลล์และมโี ครโมโซม 1 ชดุ 6. นกั เรยี นยกตัวอย่างการน้าผลและเมล็ดมาใช้ประโยชนใ์ นดา้ นต่าง ๆ แนวตอบ นา้ มาเปน็ อาหาร เครื่องใช้ ส่ิงทอหรืออ่ืน ๆ ขึนกับความร้เู ดิมของนักเรยี น ครยู งั ไม่ สรุปคา้ ตอบ แต่ให้นกั เรียนศึกษาต่อไปเกย่ี วการใชป้ ระโยชน์จากสว่ นของผลและเมลด็ ในด้านต่าง กจิ กรรมพฒั นา (กจิ กรรมการเรียนการสอนของครูที่ออกแบบไว้ในตารางออกแบบกจิ กรรม) เร่อื งโครงสรา้ งดอกและชนิดของผล 1. ครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับโครงสร้างของดอกท่ีนักเรียนเคยเรียนมาแล้วในระดับชัน ประถม ศึกษาและมัธยมศึกษาตอนตน้ โดยให้นักเรียนยกตัวอยา่ งดอกไม้ที่นักเรยี นรูจ้ กั เพื่ออภปิ รายรว่ มกันวา่ ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ท่ีไดย้ กตวั อยา่ งมานมี โี ครงสร้างและส่วนประกอบที่เหมอื นกันหรอื ไม่ อย่างไร จากการอภปิ รายนกั เรยี นอาจตอบได้วา่ ดอกไมแ้ ต่ละชนิดทีน่ ักเรยี นยกตัวอย่างมานจี ะมี สว่ นประกอบทเี่ หมือนกัน เช่น มกี ลบี เลียง กลบี ดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ทังนีครูจะยังไม่สรุป ค้า ตอบเน่ืองจากดอกไม้ท่ีนักเรียนยกตัวอย่างมานีอาจมี ความหลากหลาย บางชนดิ อาจมีโครงสรา้ ง ทค่ี รบทัง 4 สว่ น และบางชนิดอาจมีโครงสรา้ งทีไ่ มค่ รบทงั 4 ส่วน

๒๔ 2. ครูให้นักเรียนศึกษารูป โครงสร้างดอกและรูปดอกไม่สมบูรณ์ของปัตตาเวีย เพ่ือ เปรยี บเทยี บโครงสรา้ งของดอกสมบรู ณ์และดอกไม่สมบูรณ์ซึ่งนักเรยี นสามารถสรุปไดว้ ่า ดอกทม่ี ี ส่วนประกอบ ทัง 4 ส่วน คือ กลีบเลียง กลีบดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย เรียกว่าดอกสมบูรณ์ ถ้าขาดส่วนประกอบใด ไปจะเรยี กวา่ ดอกไม่สมบรู ณ์ครูให้นกั เรยี นพจิ ารณาต่อไปว่า ดอกท่ีมีทัง เกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมยี อยู่ภายใน ดอกเดียวกัน เรียกว่า ดอกสมบูรณ์เพศ ถ้าดอกชนิดใดมีเฉพาะ เกสรเพศผู้หรือเกสรเพศเมียอย่างใดอย่างหน่งึ เรยี กวา่ ดอกไม่สมบรู ณเ์ พศ และใหน้ กั เรยี นตอบค้า ถาม ในหนังสือเรยี น ซึง่ มแี นวการตอบดังนี คาถาม ดอกสมบรู ณ์เพศจา้ เป็นจะต้องเปน็ ดอกสมบูรณด์ ้วยหรือไม่ อยา่ งไร แนวคาตอบ ไม่จ้า เป็น ดอกสมบูรณ์เพศที่มีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียในดอกเดียวกัน อาจจะขาดส่วนของ กลีบเลียงหรือกลีบดอก โครงสร้างของดอกอาจจ้าแนกโดยใช้เกณฑ์อื่นได้อีก เช่นต้า แหนง่ ของรังไข่เม่อื เทียบกับต้าแหนง่ วงกลบี 3. ครูใหน้ กั เรียนศึกษารปู โครงสร้างของดอกแบง่ ตามต้าแหนง่ รังไข่ ซง่ึ จา้ แนกเป็นดอก ที่มรี ัง ไข่เหนือวงกลีบและดอกที่มีรังไข่ใต้วงกลีบ และศึกษารูปการจัดเรียงตัวของดอก ซึ่งเป็น แผนภาพแสดงดอก เด่ียวและดอกช่อเพื่ออภิปรายร่วมกัน ซึ่งนักเรียนควรสรุปได้ว่า ดอกเด่ียวคือ ดอก ท่ีมีดอกเพียง 1 ดอกบน กา้ นดอก และดอกช่อคือ ดอกท่ีมดี อกยอ่ ยมากกวา่ 1 ดอกติดอยู่บนกา้ น ชอ่ ดอก 4. ครูอาจให้ข้อมูลเพ่ิมเติมแก่นักเรียนว่า ดอกไม้บางชนิดอาจมีลักษณะท่ีพิเศษนอก เหนือ จากที่ได้ศกึ ษาไปแลว้ โดยลกั ษณะพเิ ศษดังกลา่ ว เช่น บางชนิดมเี กสรเพศผู้ทเี่ ปน็ หมนั เกสรเพศผู้ ทใี่ ช้สบื พันธ์ุ ได้มีเพียงอับเรณูยาว ๆ เท่านัน พบได้ในดอกพุทธรักษา บางชนิดมีกลีบเลียงท่ีคล้าย กลีบดอก สีสันสวยงาม เช่น ดอนย่า นอกจากนีบางชนดิ มใี บประดับท่ีมสี ีสันสวยงามคลา้ ยกับกลบี ดอก เช่น โปย๊ เซยี น 5. ครูสอบถามความรู้เดิมของนักเรียนท่ีเคยเรียนมาแลว้ เก่ียวกับการพัฒนาไปเป็นเมล็ดและ ผล หลังการปฏิสนธิจากนันถามนักเรียนว่า การเจริญเป็นผลชนิดต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับจ้านวนรังไข่อย่างไร ครู อาจใหน้ กั เรียนศึกษาเกี่ยวกับชนิดของผล ซงึ่ แบง่ เป็น 3 ประเภท คือ ผลเดยี่ ว ผลกลุ่ม และ ผลรวม 6. ให้นักเรียนท้ากิจกรรม โครงสร้างของดอกและชนิดของผล พร้อมทังศึกษาเกี่ยวกับชนิด ของผลดว้ ยตนเอง เรอี่ งวฏั จักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก 1. ครูให้นักเรียนศึกษารูปวัฏจักรชีวติ แบบสลับของพืช แล้วให้ข้อมูลนักเรียนว่า วัฏจักรชีวิต ของพืชทุกกลุ่ม ทังพืชดอกและพืชไร้ดอกเป็นวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วย ระยะท่ีสร้างสปอร์เรียกว่า สปอโรไฟต์และระยะทีส่ ร้างเซลล์สืบพันธ์เุ รยี กวา่ แกมโี ทไฟตโ์ ครงสร้างของ สปอโรไฟต์ประกอบขึนจากเซลล์ที่ มีจ้านวนโครโมโซม 2 ชุด หรือเซลล์ที่อยู่ในสภาพดิพลอยด์(diploid; 2n) ส่วนแกมีโทไฟต์ประกอบขึนจาก เซลล์ทีม่ ี จ้านวนโครโมโซม 1 ชุด หรอื เซลล์ท่อี ย่ใู นสภาพแฮพลอยด์ (haploid; n) 2. จากนันครูเช่อื มโยงเรอื่ งการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ และไมโทซสิ เพอื่ อธิบายวา่ สปอร์มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้สปอร์ซ่ึงโครโมโซมลดลงครึ่งหน่ึง จากนันสปอร์จะ แบ่ง เซลลแ์ บบไมโทซิสเพื่อเจริญและพฒั นาเป็นแกมีโทไฟต์และทา้ หนา้ ทสี่ รา้ งเซลลส์ ืบพันธ์ตุ อ่ มา จะมกี ารปฏิสนธิ ของเซลลส์ ืบพันธเ์ุ พศผู้และเพศเมยี ไดเ้ ป็นไซโกต ซงึ่ มีโครโมโซม 2 ชุด 3. ครูให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ต้นไม้ที่เห็นนันคือ สปอโรไฟต์ส่วนแกมีโทไฟต์เพศผู้และแกมีโท ไฟต์เพศเมียนักเรียนอาจจะไม่เคยเห็น เน่ืองจากมีขนาด เล็กและอยู่ภายในดอก จากนันครูให้นักเรียนศึกษา รปู วฏั จักรชวี ิตของเฟิร์นและพืชดอก โดย สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วทิ ยา เลม่ 3 บทที่ 8 การสืบพันธุ์ของพืชดอก 17 ให้ศึกษาวัฏจักรชีวิตของเฟิร์นซ่ึงเป็นพืชมีท่อลา้ เลียงที่ไร้เมล็ดก่อน ซ่ึง

๒๕ แกมีโทไฟต์แยกออกจากสปอโรไฟต์เพ่ือใหน้ ักเรียนเห็นความแตกต่างของสปอโรไฟต์และแกมีโทไฟต์ได้ชัดเจน มากขนึ เรี่องการสืบพันธ์ุแบบอาศยั เพศของพชื ดอก (การสรา้ งเซลลส์ ืบพันธ์ุ) 1. ครใู ห้นักเรยี นศกึ ษารูปการสร้างเซลล์สบื พนั ธ์ขุ องพชื ดอก ดงั นกี ารสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ เพศ ผู้เกิดท่ีอับเรณูของเกสรเพศผู้ภายในอับเรณูจะมีไมโครสปอมาเทอร์เซลล์ที่แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ได้เป็นไมโค รสปอร์จ้านวน 4 เซลล์โดยไมโครสปอร์แต่ละเซลล์นีจะแบ่งแบบไมโทซิสต่อไปได้เป็น 2 นิวเคลียส คือ เจเนอ เรทิฟนิวเคลียสกับทิวบ์นิวเคลียส ซึ่งเรียกไมโครสปอร์ที่ผ่านการแบ่งเซลล์ แล้วนีว่าเรณูซึ่งจะท้าหน้าที่สร้าง สเปิรม์ เพอ่ื ปฏิสนธิกบั เซลล์ไข่ ส่วนการสร้างเซลล์สบื พนั ธเุ์ พศเมยี เกิดขึนทเ่ี กสรเพศเมีย โดยจะมเี มกะสปอร์มา เทอรเ์ ซลล์ที่ แบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิสได้เป็นเมกะสปอร์จ้านวน 4 เซลลโ์ ดยเมกะสปอร์3 เซลลส์ ลายไป เหลือ 1 เซลล์ ที่แบ่งเซลล์แบบไมโทซิส 3 ครังติดต่อกัน ได้ 8 นิวเคลียส แยกกันอยู่ท่ีขัวตรงข้าม ขัวละ 4 นิวเคลียส โดย 3 นิวเคลียสของขัวบนเคลื่อนที่ไปอยู่ตรงข้ามกับไมโครไพล์และสร้างเย่ือหุ้มล้อมรอบเรียกว่า แอนติโพ แดล ส่วนอีก 3 นิวเคลียสของขัวลา่ งเคล่ือนไปอยู่ทางดา้ นของไมโครไพล์โดยมี 1 เซลล์ทท่ี า้ หน้าทีเ่ ป็นเซลล์ไข่ ส่วนอีก 2 เซลล์อยู่ด้านข้างเรียกว่า ซินเนอร์จิด และนิวเคลียสที่เหลืออีกอย่างละ 1 เซลล์ของขัวบนและขัว ล่างจะเคลื่อนท่ีมาอยู่ตรงกลาง เรียกว่า โพลาร์นิวคลีไอ เกิดเป็นเซลล์ ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางถุงเอ็มบริโอ เรยี กวา่ เซนทรัลเซลล์ 2. จากนันให้นักเรียนตอบคา้ ถามในหนงั สือเรยี นซ่ึงมีแนวการตอบดังนี คาถาม การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสของเมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์มีผลอย่างไรต่อลักษณะทาง พันธกุ รรม ของพชื ในร่นุ ต่อไป แนวคาตอบ พืชรุ่นต่อไปจะมีลักษณะทางพันธุกรรมที่หลากหลาย เน่ืองจากเมกะสปอร์มา เทอร์เซลล์แบ่ง เซลล์แบบไมโอซิสท้าให้เมกะสปอร์มีจ้านวนโครโมโซมลดลงครงึ่ หน่ึง เม่ือเมกะสปอร์แบ่งเซลล์ แบบไมโทซิสจะได้เซลล์ไข่ที่มีจ้านวนโครโมโซม 1 ชุด (n) และเม่ือเกิดการปฏิสนธิจะได้ไซโกต ท่ีมี2n ซ่ึงจะ เจรญิ ไปเปน็ เอม็ บริโอ คาถาม ถ้าเริม่ จากไมโครสปอร์มาเทอรเ์ ซลล์1 เซลลแ์ ละเมกะสปอรม์ าเทอร์เซลล1์ เซลลเ์ มื่อ มีการสร้างสปอร์และพฒั นาไปเป็นแกมีโทโฟต์จะได้เรณูและถุงเอ็มบรโิ อจ้านวนเท่ากนั หรือไม่ อยา่ งไร แนวคาตอบ ไม่เท่ากัน จะได้เรณู4 อันและถุงเอ็มบริโอ 1 อัน เนื่องจากเมกะสปอร์สลายไป 3 เซลล์ เหลอื เพียง 1 เซลล์ทพ่ี ัฒนาไปเปน็ ถุงเอม็ บรโิ อ 3. ครอู ธบิ ายเพิ่มเตมิ ว่าในการสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศเมยี คอื เซลล์ไขน่ นั สรา้ งในออวลุ ซ่ึง อยู่ ในรงั ไข่ ส่วนการสรา้ งเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ในพชื บางชนดิ อาจจะยังไม่สร้างในทันทีแตต่ ้องมีกระบวนการถ่ายเรณู ก่อน 4. ครูน้ารูปพืชท่ีมีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ต่างดอกภายในต้นเดียวกัน เช่น ข้าวโพด ปตั ตาเวยี และฟักทอง หรอื พืชทด่ี อกเพศผู้และดอกเพศเมยี อยูต่ ่างต้น เชน่ สละ ตา้ ลงึ และตาล มาให้นักเรียน ศึกษาแล้วถามนักเรียนว่า เรณูจากเกสรเพศผู้จะมายังเกสรเพศเมียได้อย่างไร และพืชดอก มีกระบวนการ อย่างไรท่ที ้าให้เซลลส์ ืบพันธ์ุเพศผมู้ ีโอกาสมาผสมกบั เซลลส์ ืบพนั ธเุ์ พศเมียได้ ซง่ึ คา้ ตอบของนักเรียนอาจขึนอยู่ กับพืนฐานและประสบการณ์เดิมจากท่ีเคยเรียนมาแล้ว นักเรียนอาจตอบได้ว่า การถ่ายเรณูในธรรมชาติอาจ เกิดขึนโดยอาศัยลม น้า แมลง หรือสัตว์อ่ืน ๆ เป็นตัวกลาง ในการน้าเรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมีย พืชบางชนิดท่ีเป็นดอกสมบูรณ์เพศอาจผสมกันเองภายในดอกได้เน่ืองจากต้าแหน่งของเกสร เพศผู้และเกสร

๒๖ เพศเมียมีความจ้าเพาะเหมาะสมกันท่ีจะเอือให้เรณูจากอับเรณูสามารถติดบนยอดเกสร เพศเมียได้อย่างไรก็ ตามในดอกสมบูรณ์เพศ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอาจจะเจริญไม่พร้อมกัน ท้าให้การถ่ายเรณูเกิดจากต่าง ดอกกัน 5. ครใู ห้นกั เรียนท้ากจิ กรรม 8.2 เพอื่ ศกึ ษารปู ร่างลกั ษณะของเรณูและการงอกของหลอดเรณู เรอี่ งการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอก (การปฏสิ นธิ การเกิดผลและเมลด็ ) 1. จากรปู ที่นกั เรยี นไดศ้ กึ ษาและมารว่ มกันอภิปราย 2. ครูน้าเข้าสู่บทเรียนโดยการทบทวนเก่ียวกับกิจกรรม 8.1 ซ่ึงนักเรียนท้ากิจกรรมไปแล้ว หรือให้นกั เรียนศึกษาภาพผลไม้ชนิดตา่ ง ๆ แลว้ ถามนกั เรยี นว่า ผลไมแ้ ต่ละชนิดมีความเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร ซึ่งนักเรียนอาจตอบได้ว่า ผลไม้แต่ละชนิดมีรูปร่างลักษณะ ขนาด เปลือกของผลท่ีมองเห็นภายนอก แตกต่างกัน และเมื่อผ่าผลไม้แต่ละชนิดจะพบเมล็ดอยู่ข้างในซึ่งเมล็ดก็มีรูปร่างลักษณะและจ้านวนท่ีแตกต่าง กนั ดว้ ย 3. ครใู หน้ กั เรียนศึกษารูปดอกมะเขอื และผลมะเขือ เพอ่ื ให้นกั เรยี นเปรยี บเทยี บส่วนของ ดอกที่เจริญไปเป็นผล แล้วถามนักเรียนว่า ผลและเมล็ดของพืชพัฒนามาจากส่วนใดของดอก ซ่ึงนักเรียนอาจ ตอบไดว้ ่า ผลพฒั นามาจากรงั ไข่ ผนงั รังไขจ่ ะเปลีย่ นแปลงไปเป็นผนังผล และเมลด็ พัฒนามาจากออวลุ จากนัน ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาเกีย่ วกับผนังผลในรูปซึ่งมีรายละเอยี ดดงั นี 1) ผนังผลอาจแบ่งได้เป็น 3 ชัน คือ ผนังผลชันนอก ผนังผลชันกลาง และผนังผล ชันใน ผลบางชนิดสามารถแยกผนังผลออกเป็น 3 ชันได้ชัดเจน เช่น มะม่วงและมะพร้าว แต่ผลบางชนิดไม่ สามารถแยกผนังผลเป็น 3 ชันออกจากกันได้อย่างชัดเจน เช่น เมลอน มะเขือเทศ ฟักทอง และแตงโม ส่วนท่ี เป็นเนอื ผลคือ ผนงั ผลชนั กลางและผนงั ผลชันใน จากนันครูใหน้ ักเรียนศึกษารูป 8.15 ผลมเี นอื และรปู 8.16 ผลแห้ง แลว้ อภปิ รายร่วมกันเก่ยี วกับลักษณะของผนังผล ซง่ึ นักเรียนควรสรปุ ได้ ดังนี ลักษณะของผนังผลอาจอ่อนนุ่มมีลักษณะอวบน้าเรียกว่า ผลมีเนือ และผนังผลท่ี แห้งแขง็ เรียกว่า ผลแหง้ ซึง่ ผลแหง้ นันมี 2 แบบ คอื ผลแห้งแบบแตกและผลแห้งแบบไม่แตก 4. ครูให้นักเรียนศึกษารูปการเจริญและพัฒนาของเอ็มบริโอและเอนโดสเปิร์ม เพื่อศึกษา เกี่ยวกับการเจริญและพัฒนาของเอ็มบริโอและเอนโดสเปิร์ม แล้วตอบค้าถามในหนังสอื เรียน ซ่ึงมีแนวค้าตอบ ดงั นี คาถาม การแบง่ เซลล์ของเอ็มบริโอในรปู การแบง่ เซลลแ์ บบใด ทราบไดอ้ ยา่ งไร แนวคาตอบ แบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ เน่อื งจากต้นสปอโรไฟต์ประกอบดว้ ยเซลล์ท่มี ีโครโมโซม 2 ชดุ ซง่ึ ต้นสปอโรไฟตน์ ีเจริญเติบโตมาจากเอ็มบรโิ อ คาถาม การเจริญและการพัฒนาของเอ็มบริโอกับเอนโดสเปิร์มในเมล็ดพืชเกิดขึนพร้อมกัน หรือไม่ อยา่ งไร แนวคาตอบ เกิดขึนพร้อมกัน เอ็มบริโอจะมีการเจริญและพัฒนาต่อไปจนเห็นโครงสร้างได้ ชัดเจนในระยะท่ี 5 ซ่ึงจะสังเกตเห็นเอนโดสเปิร์มเช่นเดียวกันซึ่งมีการเจริญและพัฒนาเป็นเนือเยื่อสะสม อาหารไว้ส้าหรับการเจริญของเอ็มบริโอ ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่าในการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศเมีย คือเซลล์ไข่นัน สร้างในออวุลซึ่ง อยู่ในรังไข่ ส่วนการสร้างเซลลส์ บื พันธ์เุ พศผู้ในพืชบางชนิดอาจจะยังไม่สร้างในทันทีแต่ตอ้ งมี กระบวนการถ่ายเรณูกอ่ น

๒๗ การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างต่าง ๆ ของผลและเมล็ด 1. ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างผลไม้ต่าง ๆ ท่ีน้ามารับประทาน นักเรียนอาจตอบได้หลากหลาย เช่น มะม่วง แตงโม ลินจ่ี ทุเรยี น และเงาะ จากนันครใู ชค้ ้าถามเพ่อื นา้ อภิปราย ดังนี 1) สว่ นเนือทน่ี ้ามารบั ประทานเป็นส่วนของผลหรอื เมล็ด ทราบไดอ้ ย่างไร 2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและอาจสรุปได้ว่า เนือผลไม้ที่น้ามารับประทานนันเป็นส่วนของ ผนงั ผล ซ่ึงชนั ของผนังผลท่รี บั ประทานได้นันขึนกับชนิดของพชื 3. ครใู หน้ ักเรียนแบ่งกล่มุ ทา้ กจิ กรรมท่ี 8.3 4. ครูใชค้ ้าถามถามนักเรยี นเพ่ิมเติมว่า เมล็ดพชื มกี ารสะสมแป้งและไขมันไวท้ ีเ่ มล็ด ซงึ่ อาจสะสมในเอน โดสเปริ ม์ หรือใบเลียง มนษุ ย์นา้ มาใช้ประโยชนอ์ ะไรบา้ ง ครแู ละนกั เรยี นอภิปรายร่วมกนั เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรุปว่า มนุษย์น้าเมล็ดมาใช้เป็นอาหาร โดยเมล็ดพืชที่สะสมแป้งอาจจะน้ามารับประทานทังเมล็ด เช่น ข้าวเจ้าและข้าวเหนียว หรืออาจน้าเมล็ดไปบดให้ละเอียดจนกลายเป็นแป้ง เช่น แป้งสาลี ใช้ในการท้า ขนมปงั ส่วนเมล็ดพืชทีส่ ะสมลพิ ดิ ไวจ้ ะน้ามาสกัดเพ่อื ผลติ นา้ มัน เชน่ น้ามนั ถวั่ เหลือง นา้ มันมะพรา้ ว 5. จากนันครูให้นกั เรยี นตอบคา้ ถามในหนังสือเรียน ซึง่ มแี นวการตอบดังนี คาถาม แป้งในเมลด็ ขา้ วเจา้ และถัว่ เขียว สะสมอย่ใู นโครงสร้างใดของเมล็ด แนวคาตอบ ในเมลด็ ขา้ วเจ้าจะสะสมแปง้ ในเอ็นโดสเปริ ม์ สว่ นในเมลด็ ถัว่ เขยี วจะสะสมแป้งในใบเลยี ง 6. ครูน้าเขา้ สู่เรื่องการใช้ประโยชนจ์ ากเสน้ ใย โดยอ้างอิงถามความร้เู ดมิ เกีย่ วกับการใช้ประโยชน์ จาก ตน้ ลินินทส่ี ามารถนา้ มาทอเปน็ ผ้าลินนิ เพ่อื ตัดเปน็ เครอ่ื งน่งุ ห่มได้ และใชค้ า้ ถาม ดงั นี คาถาม เส้นใยควรมสี มบัตอิ ยา่ งไรจงึ จะสามารถน้ามาใช้ทอเปน็ เครื่องนุ่งห่ม คาถาม สว่ นของผลและเมล็ดสามารถน้ามาใชท้ า้ เครื่องนงุ่ ห่มได้หรือไม่ แนวคาตอบ เส้นใยควรมลี ักษณะเหนียว เซลลร์ ูปร่างยาว ผนงั เซลล์หนา และแข็งแรงท้าใหเ้ หมาะสม กบั นา้ มาทา้ เปน็ เส้นดา้ ยเพอื่ ใชท้ อผา้ 7. ครูให้ความรู้เก่ียวกับฝ้ายและนุ่น โดยบอกว่าส่วนเส้นใยที่เห็นนันเป็นส่วนของเมล็ด จากนันบอก สมบัตขิ องเสน้ ใยท่ไี ดจ้ ากฝา้ ยและนนุ่ แลว้ ให้นกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายว่า สมบัติของเส้นใยเหมาะสมกับการน้าไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อย่างไร ซ่ึงนักเรียนควร สรปุ ได้ว่า เส้นใยฝา้ ยมีสมบัติเหนียว เซลล์รปู ร่างยาว สามารถน้ามาป่ันเป็นด้ายเส้นยาวได้ดี สว่ นเส้นใยของนุ่น นนั มีลกั ษณะสัน เซลลส์ นั ไม่เหนยี ว ไม่สามารถน้ามาปั่นเป็นเสน้ ยาวได้ ไม่สามารถน้ามาใช้ท้าส่ิงทอได้ จงึ น้าไปใชป้ ระโยชน์ดา้ นอน่ื เชน่ ใสใ่ นหมอนหรอื ที่นอน กิจกรรมรวบยอด (ช้ินงาน/ภาระงานของผเู้ รยี น) - ใบงานท่ี 2.1 เรื่อง โครงสร้างของดอกและชนิดของผล - ใบงานที่ 2.2 เร่อื ง วฏั จักรชีวิตแบบสลบั ของพืชดอก - ใบงานท่ี 2.3 เรอื่ ง การสืบพนั ธุแ์ บบอาศยั เพศของพืชดอก (การสร้างเซลล์สบื พนั ธ์)ุ - ใบงานท่ี 2.4 เรื่อง การสบื พนั ธ์แุ บบอาศัยเพศของพชื ดอก (การปฏสิ นธิ การเกดิ ผลและเมล็ด) - ใบงานที่ 2.5 เรอ่ื ง การเกดิ ผลและเมลด็

การประเมนิ กิจกรรม ทรพั ยากร/สอ่ื ๒๘ - หนงั สือเรยี น โครงสรา้ งดอกและชนิดของ 1. ประเมินจากสมดุ บันทกึ ชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1 เวลา ผล 2. ประเมนิ จากใบกจิ กรรม - อนิ เทอรเ์ น็ต 3 ชว่ั โมง 3. ประเมินพฤติกรรมนักเรยี น (สมารท์ โฟน) - แบบเฉลยรายงาน 2 ช่วั โมง วฏั จักรชีวติ แบบสลบั ของพืช 1. ประเมินจากสมดุ บันทกึ สมดุ บันทกึ ดอก 2. ประเมนิ จากใบกจิ กรรม - แบบประเมนิ ใบ 2 ชั่วโมง กิจกรรม 3. ประเมนิ พฤติกรรมนักเรยี น - แบบประเมนิ พฤติกรรมนักเรยี น การสบื พันธุแ์ บบอาศยั เพศ 1. ประเมนิ จากสมุดบันทึก 1. หนังสอื เรียน ของพืชดอก (การสร้างเซลล์ 2. ประเมนิ จากใบกิจกรรม ชีววทิ ยา ม.5 เล่ม 1 2. อินเทอร์เนต็ สืบพนั ธ)ุ์ 3. ประเมินพฤติกรรมนักเรยี น (สมาร์ทโฟน) 3. ใบงานท่ี 2.2 เรอื่ ง วัฏจักรชีวติ แบบสลบั ของพชื ดอก 4. PowerPoint 5. แบบเฉลยรายงาน สมดุ บันทกึ 6. แบบประเมินใบ กิจกรรม 7. แบบประเมนิ พฤติกรรมนกั เรยี น 1. หนังสอื เรยี น ชีววทิ ยา ม.5 เลม่ 1 2. อนิ เทอรเ์ น็ต (สมาร์ทโฟน) 3. ใบงานท่ี 2.3 เรื่อง การสบื พนั ธุ์ แบบอาศยั เพศของ พชื ดอก (การสร้าง เซลล์สืบพันธ์)ุ 4. PowerPoint 5. แบบเฉลยรายงาน สมุดบันทกึ

การประเมนิ กิจกรรม ทรพั ยากร/สอ่ื ๒๙ เรอ่ี งการสืบพนั ธุแ์ บบอาศัย 1. ประเมินจากสมดุ บันทกึ 6. แบบประเมินใบ เวลา กิจกรรม 2 ชวั่ โมง เพศของพชื ดอก (การปฏิสนธิ 2. ประเมนิ จากใบกิจกรรม 7. แบบประเมิน พฤติกรรมนกั เรยี น 1 ชั่วโมง การเกิดผลและเมล็ด) 3. ประเมินพฤติกรรมนักเรยี น 1. หนังสอื เรยี น การใชป้ ระโยชนจ์ าก 1. ประเมนิ จากสมุดบันทึก ชีววทิ ยา ม.5 เลม่ 1 2. อนิ เทอรเ์ นต็ โครงสร้างต่าง ๆ ของผลและ 2. ประเมนิ จากใบกิจกรรม (สมารท์ โฟน) 3. ใบงานที่ 2.4 เมล็ด 3. ประเมินพฤติกรรมนักเรียน เรอ่ี งการสืบพันธุแ์ บบ อาศยั เพศของพชื ดอก (การปฏสิ นธิ การเกิดผลและเมล็ด) 4. PowerPoint 5. แบบเฉลยรายงาน สมดุ บนั ทึก 6. แบบประเมนิ ใบ กิจกรรม 7. แบบประเมิน พฤติกรรม 1. หนังสือเรียน ชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1 2. อนิ เทอรเ์ น็ต (สมารท์ โฟน) 3. ใบงานที่ 2.5 เรอี่ งการใชป้ ระโยชน์ จากโครงสรา้ งต่าง ๆ ของผลและเมลด็ 4. PowerPoint 5. แบบเฉลยรายงาน สมดุ บันทกึ 6. แบบประเมนิ ใบ กจิ กรรม 7. แบบประเมิน พฤติกรรม

๓๐ โครงสร้างแผนการจดั การเรยี นรจู้ ากการออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 เร่อื ง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของพชื ดอก เวลา 10 ช่ัวโมง โครงสรา้ งการจัดทาแผนการจดั การเรยี นรู้ ตามที่ได้ออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ ชื่อเรื่อง เวลา/ช่วั โมง แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1 โครงสร้างดอกและชนดิ ของผล 3 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 2 วัฏจักรชีวติ แบบสลับของพืชดอก 2 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 การสืบพันธแ์ุ บบอาศัยเพศของพชื ดอก 2 (การสรา้ งเซลล์สืบพันธุ)์ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4 เรอี่ งการสืบพันธ์ุแบบอาศยั เพศของพืชดอก 2 (การปฏสิ นธิ การเกิดผลและเมลด็ ) แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 5 การใช้ประโยชนจ์ ากโครงสร้างตา่ ง ๆ ของผลและเมลด็ 1 10 รวม

๓๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ 1 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า ชีววิทยา 3 รหสั วชิ า ว33243 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 การสืบพนั ธ์ุของพืชดอก เวลา 10 ช่ัวโมง เรอ่ื ง โครงสรา้ งของดอกและชนดิ ของผล เวลา 3 ชั่วโมง ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ครูผ้สู อน นายบญุ รงั จาปา 1. สาระชีววิทยา สาระที่ 3 เขา้ ใจสว่ นประกอบของพืช การแลกเปล่ยี นแก๊สและคายน้าของพืช การล้าเลยี งของพชื การสงั เคราะหด์ ้วยแสง การสืบพันธุข์ องพชื ดอกและการเจรญิ เติบโต และการตอบสนองของพชื รวมทังน้า ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ อธบิ ายการเกิดเมล็ดและการเกดิ ผลของพืชดอก โครงสร้างของเมลด็ และผล และยกตัวอย่างการใช้ ประโยชนจ์ ากโครงสรา้ งตา่ งๆ ของเมล็ดและผล 3. สาระสาคัญ ดอกโดยทั่วไปมีส่วนประกอบ 4 ชัน คือ ชันกลีบเลียง ชันกลีบดอก ชันเกสรเพศผู้และชันเกสร เพศ เมีย อาจจ้าแนกประเภทของดอกได้โดยใช้เกณฑท์ เี่ ป็นสว่ นประกอบของดอก ต้าแหน่งรงั ไข่ หรือ จ้านวนดอกท่ี อยู่บนก้านดอก ส่วนประกอบของดอกที่เก่ียวข้องกับการสืบพันธ์ุโดยตรง คือชันเกสรเพศผู้ และชันเกสรเพศ เมีย ซึ่งจ้านวนรังไข่เกีย่ วข้องกบั การเจริญเป็นผลชนิดต่าง ๆ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.1 ด้านความรู้ (K) 1. ผ้เู รียนสามารถสรปุ เกี่ยวกับจ้านวนรังไข่และการเจริญเปน็ ผลชนิดตา่ ง ๆ 3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) 1. ผเู้ รียนสามารถอธิบายเกีย่ วกับจ้านวนรังไขแ่ ละการเจริญเป็นผลชนดิ ตา่ ง ๆ 3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบค้าถาม 4. การยอมรบั ฟังผูอ้ น่ื 5. ความรบั ผดิ ชอบ 5. สาระการเรียนรู้ ดอกโดยทั่วไปมีส่วนประกอบ 4 ชัน คือ ชันกลีบเลียง ชันกลีบดอก ชันเกสรเพศผู้และชันเกสร เพศ เมีย อาจจา้ แนกประเภทของดอกได้โดยใช้เกณฑท์ ี่เปน็ ส่วนประกอบของดอก ต้าแหนง่ รงั ไข่ หรอื จา้ นวนดอกที่ อยู่บนก้านดอก ส่วนประกอบของดอกท่ีเก่ียวข้องกับการสืบพันธุ์โดยตรง คือชันเกสรเพศผู้ และชันเกสรเพศ เมีย ซ่งึ จ้านวนรงั ไข่เกย่ี วข้องกับการเจรญิ เป็นผลชนิดต่าง ๆ พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วยสปอโรไฟต์และแกมีโทไฟต์ซึ่งสปอโรไฟต์เป็น ระยะท่ี สร้างสปอร์คือไมโครสปอร์และเมกะสปอร์ที่อาจสร้างในดอกเดียวกันหรือต่างดอกหรือต่างต้น ไมโครสปอร์มา เทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้ไมโครสปอร์จากนันไมโครสปอร์จะแบ่งเซลล์แบบ ไมโทซิสและพัฒนาไป

๓๒ เป็นแกมีโทไฟต์เพศผู้ซึ่งท้าหนา้ ที่สร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้สว่ นเมกะสปอร์ มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ ได้เมกะสปอร์จากนันเมกะสปอร์จะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและ พัฒนาไปเป็นแกมีโทไฟต์เพศเมียซึ่งท้า หน้าท่ี สรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธเุ์ พศเมีย เมือ่ มีการปฏิสนธขิ อง เซลล์สืบพันธเุ์ พศผู้และเพศเมียจะได้ไซโกตและพัฒนาไปเป็น เอม็ บรโิ อแล้วเจริญเตบิ โตเปน็ สปอโรไฟตต์ อ่ ไป 6. ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น  ความสามารถในการสอ่ื สาร : แสดงความคิดเห็น และสามารถอธิบาย  ความสามารถในการคิด : มคี วามสามารถในการวิเคราะห์ แก้ปญั หาเฉพาะหนา้  ความสามารถในการแก้ปัญหา : นกั เรียนสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไดเ้ ม่ือพบปัญหา  ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต : ทา้ งานรว่ มกับผูอ้ น่ื ได้ดี  ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : สามารถใช้เทคโนโลยสี บื คน้ ขอ้ มลู 7. ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attitude) คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551  รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์  อย่อู ย่างพอเพียง  ซ่อื สตั ยส์ ุจรติ  มงุ่ ม่นั ในการท้างาน  มีวินยั  รกั ความเป็นไทย  ใฝ่เรยี นรู้  มจี ติ สาธารณะ 8. กิจกรรมการเรยี นรู้ (5E) ขั้นท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ 1.1 ครนู ้าเข้าสูบ่ ทเรียนดว้ ยการกระตุน้ ความสนใจของนักเรยี นเกี่ยวกับโครงสร้างท่ีเกย่ี วข้อง กับการ สืบพันธ์ุของพืชดอก โดยให้ศึกษารูปน้า บทท่ีเป็นรูปดอกบัวหลวงและส่วนต่าง ๆ ของบัวหลวง เช่น ฝักบัว เมล็ด และดีบัว และใช้ค้า ถามถามนักเรียนว่า ส่วนต่าง ๆ ของบัวหลวงนีเกี่ยวข้องกับการ สืบพันธุ์อย่างไร ซ่ึง นักเรียนอาจจะร่วมกันตอบได้ว่า ดอกบัวเป็นโครงสร้างที่ใช้ในการสืบพันธ์ุเมล็ด อยู่ในผลที่ติดอยู่บนฝักบัวซ่ึง เป็นผล ดบี ัวเป็นเอ็มบริโอที่อยูภ่ ายในเมล็ด อยา่ งไรก็ตามนักเรียนอาจจะ ตอบไดห้ รอื ตอบไมไ่ ด้ครูจะยงั ไม่สรุป แต่ให้นักเรียนศึกษาต่อไปในบทเรียน จากนันครูน้าดอกไม้หรือภาพดอกไม้ชนิดต่าง ๆ มาให้นักเรียนศึกษา แล้วใชค้ า้ ถามถามนักเรยี น เพ่อื รวมกนั อภิปราย ดงั นี 1) ดอกไม้ที่เห็นนมี ลี ักษณะทีเ่ หมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร 2) ดอกทมี่ ีลกั ษณะแตกตา่ งกันท้าหน้าทเ่ี หมอื นกันหรอื ไม่ อย่างไร 1.2 จากการอภิปรายนักเรียนควรสรุปได้ว่า ดอกไม้แต่ละชนิดจะมีลักษณะ รูปร่าง และโครงสร้าง ท่ี แตกต่างกัน เช่น ขนาด สีกล่ิน และจ้า นวนกลีบดอก แม้ว่าดอกจะมีลักษณะที่แตกต่างกันแต่ท้า หน้าท่ี เดียวกันคือ ใช้ในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเพื่อด้า รงพันธ์ุจากนันครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า ลักษณะดอกไม้ ท่ี แตกต่างกันนีเป็นผลมาจากวิวัฒนาการท้า ให้เกิดความหลากหลายของดอกไม้และพืชดอกจะเป็น กลุ่มพืชที่มี วิวัฒนาการสงู ทส่ี ุดในอาณาจักรพืช ขน้ั ที่ 2 ขน้ั สารวจและค้นหา 2.1 ครูทบทวนความรู้เดิมเก่ียวกับโครงสร้างของดอกที่นักเรียนเคยเรียนมาแล้วในระดับชันประถม ศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น โดยให้นักเรียนยกตัวอย่างดอกไม้ท่ีนักเรียนรู้จักเพื่ออภิปรายร่วมกันว่า ดอกไม้ ชนดิ ต่าง ๆ ทไ่ี ด้ยกตวั อยา่ งมานีมโี ครงสร้างและส่วนประกอบท่เี หมือนกันหรือไม่ อยา่ งไร จากการอภิปรายนักเรียนอาจตอบไดว้ ่า

๓๓ ดอกไม้แต่ละชนิดท่นี ักเรยี นยกตัวอย่างมานจี ะมี สว่ นประกอบทีเ่ หมือนกัน เชน่ มกี ลบี เลียง กลบี ดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ทังนีครูจะยังไม่สรุป ค้า ตอบเน่ืองจากดอกไม้ที่นักเรียนยกตัวอย่างมานีอาจมี ความหลากหลาย บางชนดิ อาจมโี ครงสร้าง ทค่ี รบทัง 4 สว่ น และบางชนดิ อาจมีโครงสรา้ งทไ่ี ม่ครบทัง 4 ส่วน 2.2 ครูให้นักเรียนศึกษารูปท่ี 8.1 โครงสร้างดอกและรูปท่ี 8.2 ดอกไม่สมบูรณ์ของปัตตาเวีย เพื่อ เปรียบเทยี บโครงสร้างของดอกสมบรู ณแ์ ละดอกไมส่ มบรู ณซ์ ึง่ นักเรยี นสามารถสรปุ ไดว้ ่า ดอกท่มี ี สว่ นประกอบ ทัง 4 ส่วน คือ กลีบเลียง กลีบดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย เรียกว่าดอกสมบูรณ์ ถ้าขาดส่วนประกอบใด ไปจะเรยี กว่า ดอกไมส่ มบรู ณค์ รใู ห้นักเรยี นพิจารณาต่อไปว่า ดอกที่มที งั เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ภายใน ดอกเดียวกัน เรียกว่า ดอกสมบูรณ์เพศ ถ้าดอกชนิดใดมีเฉพาะ เกสรเพศผู้หรือเกสรเพศเมียอย่างใดอย่างหนง่ึ เรียกวา่ ดอกไม่สมบูรณเ์ พศ และให้นักเรยี นตอบค้า ถาม ในหนงั สือเรียน ซ่ึงมแี นวการตอบดังนี คาถาม ดอกสมบรู ณ์เพศจา้ เปน็ จะต้องเปน็ ดอกสมบูรณ์ดว้ ยหรือไม่ อยา่ งไร แนวคาตอบ ไม่จ้า เป็น ดอกสมบูรณ์เพศที่มีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียในดอกเดียวกันอาจจะขาด ส่วนของ กลีบเลียงหรือกลีบดอก โครงสร้างของดอกอาจจ้าแนกโดยใช้เกณฑ์อื่นได้อีก เช่นต้า แหน่งของรังไข่ เม่อื เทียบกบั ต้าแหน่ง วงกลบี 2.3 ครูให้นักเรียนศึกษารูป 8.3 โครงสร้างของดอกแบ่งตามต้าแหน่งรังไข่ ซึ่งจ้าแนกเป็นดอก ที่มีรัง ไข่เหนือวงกลีบและดอกที่มีรังไข่ใต้วงกลีบ และศึกษารูป 8.4 การจัดเรียงตัวของดอก ซึ่งเป็น แผนภาพแสดง ดอกเดี่ยวและดอกช่อเพื่ออภิปรายร่วมกัน ซึ่งนักเรียนควรสรุปได้ว่า ดอกเด่ียวคือ ดอก ท่ีมีดอกเพียง 1 ดอก บนก้านดอก และดอกชอ่ คอื ดอกทม่ี ีดอกย่อยมากกว่า 1 ดอกติดอยู่บนก้าน ช่อดอก 2.4 ครูอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่นักเรียนว่า ดอกไม้บางชนิดอาจมีลักษณะท่ีพิเศษนอก เหนือจากที่ได้ ศึกษาไปแล้ว โดยลักษณะพิเศษดังกล่าว เช่น บางชนิดมีเกสรเพศผู้ท่ีเป็นหมัน เกสรเพศผู้ ท่ีใช้สืบพันธ์ุได้มี เพียงอับเรณูยาว ๆ เท่านัน พบได้ในดอกพุทธรักษา บางชนิดมีกลีบเลียงที่คล้าย กลีบดอก สีสันสวยงาม เช่น ดอนย่า นอกจากนีบางชนดิ มใี บประดับทม่ี สี สี นั สวยงามคล้ายกับกลบี ดอก เช่น โปย๊ เซยี น 2.5 ครูสอบถามความรูเ้ ดมิ ของนักเรียนท่ีเคยเรยี นมาแลว้ เกี่ยวกับการพัฒนาไปเป็นเมลด็ และผล หลงั การปฏิสนธิจากนันถามนักเรียนว่า การเจริญเป็นผลชนิดต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับจ้านวนรังไข่อย่างไร ครูอาจให้ นกั เรยี นศกึ ษาเกี่ยวกับชนดิ ของผล ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ผลเดี่ยว ผลกลุม่ และ ผลรวม 2.6 ให้นักเรียนท้ากิจกรรม โครงสร้างของดอกและชนิดของผล พร้อมทังศึกษาเก่ียวกับชนิดของผล ด้วยตนเอง ขนั้ ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 นักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการท้ากิจกรรม โดยครูอาจทบทวน ความรู้เกี่ยวกับหน้าท่ี ของดอกท่ีนักเรยี นเคยศึกษามาแล้วโดยใชค้ า้ ถาม ดงั นี คาถาม โครงสร้างและ สว่ นประกอบของดอกมีความสมั พนั ธ์กับหน้าท่ีของดอกอย่างไร แนวคาตอบ โครงสร้างและส่วนประกอบของดอกมีความสัมพันธ์กับหน้าท่ีของดอก คือ ใช้ในการ สืบพันธ์ุดอกทุกชนิดถึงจะแตกต่างกัน แต่จะมีโครงสร้างเหมาะสมเพื่อท้าหน้าที่สืบพันธ์ุ เหมือนกันโดยกลีบ เลียงปกติมักมีสเี ขยี ว ท้าหน้าทีป่ อ้ งกันส่วนประกอบอ่นื ๆ ของดอกออ่ นทีอ่ ยูด่ ้านใน เอาไว้กลบี ดอกมกั มรี ูปร่าง

๓๔ และสีสันสวยงามเพ่ือดึงดูดแมลงหรือสัตว์อ่ืน ๆ ในการผสมพันธ์ุส่วนเกสร เพศผู้และเกสรเพศเมียซ่ึงอาจมี จ้านวนแตกต่างกันในดอกแตล่ ะชนดิ แตท่ ้าหนา้ ทเี่ หมือนกนั คอื เปน็ อวยั วะท่สี รา้ งเซลลส์ บื พนั ธ์ุ 3.2 จากนันครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับชนิดของผล โดยใช้ผลจากการท้า กิจกรรม 8.1 ตอนท่ี 2 ประกอบกับรูป 8.6 ดอกและผลเด่ียว 8.7 ดอกและผลกลุ่ม และ 8.8 ช่อดอกและผลรวมของ ยอ ประกอบการอภปิ ราย ครอู าจยกตัวอยา่ งเพิ่มเติมว่า ผลของมะม่วง แตงโม ทุเรียน กล้วย มงั คุด ละมดุ มะนาว ส้มโอ ฟกั ทองและแตงกวาเปน็ ผลเด่ยี ว ผลนมแมว สายหยดุ และสตรอเบอรีเป็น ผลกลมุ่ สว่ นผลรวมนันดงั เชน่ ทยี่ กตวั อยา่ งในหนงั สอื เรียน ข้นั ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ 4.1 ครูใชค้ า้ ถามทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียน คาถาม ชนดิ ของดอกและจ้านวนรงั ไขภ่ ายในดอกมีความสัมพันธก์ ับชนิดของผลอย่างไร แนวคาตอบ 1) รงั ไข่1 รังไข่ทอี่ ย่ใู นดอกเดี่ยว 1 ดอกหรอื ดอกย่อย 1 ดอกในดอกช่อ เมือ่ เจรญิ เป็น ผล ผลนนั จะเป็นผลเดีย่ ว 2) รงั ไขห่ ลายรังไข่ท่ีอยูใ่ นดอกเดี่ยว 1 ดอกเม่ือเจรญิ เป็นผล ผลนนั จะเป็นผลกลมุ่ 3) รงั ไขข่ องดอกย่อยแต่ละดอกท่อี ยู่ชิดกันแน่นจะเจริญร่วมกนั ขนึ มาเปน็ ผลย่อยท่ีอยู่ เบียดชิดกันบนแกนช่อดอกจนดูคลา้ ยเปน็ ผล 1 ผล ผลนนั จะเป็นผลกล่มุ ขนั้ ท่ี 5 ประเมินผล 5.1 วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล 1. ประเมนิ จากสมุดบนั ทกึ 2. ประเมินจากใบกจิ กรรม 3. ประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน 5.2 เครอ่ื งมอื วัดและประเมนิ ผล 1. แบบเฉลยรายงานสมุดบนั ทกึ 2. แบบประเมินใบกิจกรรม 3. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมนักเรยี น 5.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล 1. การประเมนิ จากสมดุ บนั ทึก ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 2. การประเมินใบกิจกรรม ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 3. การประเมินพฤตกิ รรมนกั เรยี น ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 9. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้ 9.1 หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้ชีววิทยา 3 9.2 เพาเวอรพ์ อยท์ เรื่อง โครงสรา้ งของดอกและชนดิ ของผล 9.3 ใบกจิ กรรมที่ 1.1 เรือ่ ง โครงสรา้ งของดอกและชนดิ ของผล 9.4 สมุดบันทกึ

๓๕ 10. หลักฐานการเรยี นร้แู ละวธิ ีการประเมิน วธิ กี ารวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑ์การ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (K P A) - ใบกจิ กรรม ประเมนิ - สมดุ บนั ทึก ผา่ นเกณฑ์ ด้านความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม ร้อยละ 70 ของ 1. ผเู้ รียนสามารถสรุปเกยี่ วกบั จ้านวนรงั ไขแ่ ละ - ตรวจสมดุ บันทกึ - แบบประเมิน คะแนน การเจรญิ เป็นผลชนดิ ต่าง ๆ ชินงาน ผา่ นเกณฑ์ คณุ ภาพระดับ 2 ด้านทักษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ พฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์ 1. ผู้เรียนสามารถอธิบายเก่ียวกับจ้านวนรังไข่และ - สงั เกตความตงั ใจ คุณภาพระดบั 2 การเจริญเป็นผลชนิดต่าง ๆ และความ รับผิดชอบในการ ปฏิบตั กิ ิจกรรม ดา้ นเจตคติ (A) - สงั เกตพฤติกรรม 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา การเรยี นรู้ 3. การตอบค้าถาม 4. การยอมรับฟังผอู้ น่ื 5. ความรับผดิ ชอบ

๓๖ ใบงานที่ 1.1 เรื่อง โครงสรา้ งดอกและชนิดของผล คาชแี้ จง : ให้นกั เรยี นเติมคาตอบให้ถูกตอ้ งและสมบูรณ์ทส่ี ุด .................................................................................................................................................. 1. การปฏิสนธิซ้อนในดอกออวูลจะเจริญไปเป็นส่วนใด .................. และรังไข่หลังจากผ่านระยะปฏิสนธิไป แล้วจะเปล่ยี นแปลงไปเป็นสว่ นใด ……………… 2. ผลเดีย่ ว ผลกลมุ่ ผลรวม เกดิ จากดอกทีม่ ีลักษณะเชน่ ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การเปลย่ี นแปลงรปู ร่างของเอ็มบรโิ อ เกดิ จากการแบ่งเซลล์แบบใด ……………………………..………………….. 4. เปลือกหมุ้ เมลด็ (Seed coat หรอื Testa) ทา้ หน้าท่ีอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. เอ็มบริโอ (Embryo) จะเจรญิ ไปเป็นสว่ นใด ................................................................................................................................. ............................................. ...................................................................................... ........................................................................................ .............................................................................................................................................................................. 6. เมลด็ สว่ นใหญเ่ มอ่ื ได้รบั ความชืนแล้วจะมีผลอย่างไร ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................... ........................... .............................................................................................................................................................................. 7. เมลด็ ขา้ ว ขา้ วโพด ท่ีเรากินเปน็ มนั เปน็ สว่ นใดของพชื ดอก ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ .............................................................................................................................................................................. ชื่อ – สกลุ ...................................................... เลขท่ี .................. ช้ัน ..................

๓๗ เฉลยใบงานที่ 1.1 เรอื่ ง โครงสรา้ งดอกและชนิดของผล คาชี้แจง : ให้นกั เรียนเตมิ คาตอบให้ถูกตอ้ งและสมบรู ณ์ท่สี ุด .................................................................................................................................................. 1. การปฏิสนธซิ อ้ นในดอกออวูลจะเจริญไปเป็นส่วนใด .................. และรงั ไขห่ ลังจากผ่านระยะปฏิสนธิ ไปแลว้ จะเปลีย่ นแปลงไปเปน็ ส่วนใด ……………… คาตอบ ออวลู จะเจรญิ ไปเป็นเมลด็ รังไขห่ ลังจากผา่ นระยะปฏสิ นธิไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นผล 2. ผลเดี่ยว ผลกลุ่ม ผลรวม เกิดจากดอกที่มลี กั ษณะเชน่ ใด ตอบ ผลเดยี่ ว เกดิ จากดอกเด่ยี วทีม่ ีรงั ไขใ่ บเดยี ว ผลกลมุ่ เกดิ จากดอกเดย่ี วที่มีรงั ไข่หลายใบอยชู่ ดิ ตดิ กัน ผลรวม เกดิ จากดอกชอ่ ทีร่ ังไขข่ องดอกย่อยหลอมรวมกัน แต่ผลไมบ้ างชนิดเกิดมาจากส่วนอนื่ ของดอกได้ 3. การเปลยี่ นแปลงรปู ร่างของเอ็มบรโิ อ เกดิ จากการแบ่งเซลล์แบบใด ตอบ แบบไมโทซิส 4. เปลือกหุ้มเมลด็ (Seed coat หรือ Testa) ทาหนา้ ทอี่ ย่างไร ตอบ ป้องกนั สว่ นที่อยภู่ ายใน โดยปอ้ งกันอันตรายและป้องกันการคายน้า 5. เอ็มบริโอ (Embryo) จะเจรญิ ไปเป็นส่วนใด ตอบ คือส่วนทจี่ ะเจรญิ เตบิ โตเป็นต้นไม้ 6. เมลด็ สว่ นใหญเ่ มอื่ ได้รับความช้ืนแล้วจะมีผลอย่างไร คาตอบ ท้าใหท้ ังความชนื และออกซิเจน สามารถแพรผ่ ่านเยอ่ื หุ้มเมล็ดเข้าไปภายในได้ เอม็ บริโอจงึ เจริญเตบิ โตแทงเปลือกหมุ้ เมล็ดออกมา เพื่อเจรญิ เตบิ โตต่อไปเป็นพืชตน้ ใหม่ 7. เมล็ดข้าว ขา้ วโพด ทเ่ี รากนิ เป็นมนั เป็นสว่ นใดของพชื ดอก คาตอบ สว่ นเอนโดสเปริ ์ม

๓๘ แผนการจดั การเรียนรู้ 2 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า ชีววิทยา 3 รหัสวิชา ว32243 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 การสืบพันธข์ุ องพืชดอก เวลา 10 ช่วั โมง เร่อื ง วัฏจักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก เวลา 2 ช่ัวโมง ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 ครูผสู้ อน นายบุญรงั จาปา 1. สาระชีววิทยา สาระที่ 3 เขา้ ใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลีย่ นแก๊สและคายนา้ ของพืช การลา้ เลียงของพชื การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง การสืบพันธขุ์ องพชื ดอกและการเจริญเตบิ โต และการตอบสนองของพืช รวมทงั นา้ ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ อธบิ ายวัฏจกั รชีวิตแบบสลับของพืชดอก 3. สาระสาคญั ดอกโดยทั่วไปมีส่วนประกอบ 4 ชัน คือ ชันกลีบเลียง ชันกลีบดอก ชันเกสรเพศผู้และชันเกสร เพศ เมีย อาจจ้าแนกประเภทของดอกได้โดยใช้เกณฑท์ ีเ่ ปน็ ส่วนประกอบของดอก ต้าแหนง่ รงั ไข่ หรอื จ้านวนดอกท่ี อยู่บนก้านดอก ส่วนประกอบของดอกที่เก่ียวข้องกับการสืบพันธ์ุโดยตรง คือชันเกสรเพศผู้ และชันเกสรเพศ เมยี ซง่ึ จา้ นวนรงั ไขเ่ กีย่ วขอ้ งกบั การเจรญิ เป็นผลชนดิ ตา่ ง ๆ 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 ดา้ นความรู้ (K) 1. ผู้เรยี นสามารถสรุปเกย่ี วกับวฏั จกั รชวี ิตแบบสลบั ของพืชดอก 3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) 1. ผเู้ รียนสามารถอธบิ ายเกีย่ วกับสรปุ วฏั จักรชวี ิตแบบสลบั ของพชื ดอก 3.3 ดา้ นคุณลักษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบค้าถาม 4. การยอมรับฟังผู้อน่ื 5. ความรบั ผดิ ชอบ 5. สาระการเรียนรู้ - พืชดอกมวี ฏั จักรชวี ิตแบบสลบั ประกอบด้วย ระยะที่สร้างสปอรเ์ รียก ระยะสปอโรไฟต์(2n) และระยะท่ี สรา้ งเซลล์สบื พันธเุ์ รียก ระยะแกมโี ทไฟต์(n) - ส่วนประกอบของดอกทีเ่ ก่ยี วข้องกับการสืบพันธุ์ โดยตรงคือชันเกสรเพศผ้แู ละชนั เกสรเพศเมีย ซ่ึงจา้ นวน รังไข่เก่ยี วข้องกบั การเจรญิ เป็นผล ชนิดตา่ ง ๆ - พืชดอกสร้างไมโครสปอรแ์ ละเมกะสปอรซ์ งึ่ อาจ สร้างในดอกเดยี วกนั หรอื ตา่ งดอกหรอื ตา่ งตน้ กัน

๓๙ - การสร้างไมโครสปอรข์ องพืชดอกเกิดขนึ โดย ไมโครสปอร์มาเทอรเ์ ซลล์แบง่ เซลลแ์ บบ ไมโอซิสได้ไมโครส ปอรโ์ ดยไมโครสปอร์นี แบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ได้๒ เซลลค์ อื ทิวบเ์ ซลล์ และเจเนอเรทิฟเซลลเ์ มอื่ มีการถา่ ยเรณู ไปตกบน ยอดเกสรเพศเมีย ทิวบเ์ ซลล์จะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลล์แบ่งไมโทซิสไดเ้ ซลล์สบื พันธ์ุ เพศผู้ ๒ เซลล์ - การสร้างเมกะสปอร์เกิดขึนภายในออวุลในรังไข่ โดยเซลล์ที่เรียกว่า เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ แบ่งไมโอ ซิสได้เมกะสปอร์ซ่ึงในพืชส่วนใหญ่ จะเจริญพัฒนาต่อไปได้เพียง ๑ เซลล์ท่ีเหลืออีก ๓ เซลล์จะฝ่อ เมกะสปอร์ จะแบง่ ไมโทซิส ๓ ครงั ได้๘ นวิ เคลียส ทป่ี ระกอบดว้ ย ๗ เซลลโ์ ดยมี ๑ เซลล์ที่ท้าหน้าที่เป็นเซลล์สบื พนั ธุ์เรียก เซลลไ์ ข่สว่ นอีก ๑ เซลลม์ ี๒ นิวเคลยี ส เรียก โพลาร์นิวคลีไอ 6. ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น  ความสามารถในการสอื่ สาร : แสดงความคดิ เหน็ และสามารถอธบิ าย  ความสามารถในการคดิ : มคี วามสามารถในการวิเคราะห์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า  ความสามารถในการแก้ปญั หา : นกั เรียนสามารถแก้ไขปญั หาเฉพาะหนา้ ได้เม่ือพบปัญหา  ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ : ทา้ งานรว่ มกับผู้อ่ืนไดด้ ี  ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี : สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสบื คน้ ข้อมูล 7. ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (Attitude) คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคต์ ามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช 2551  รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์  อยูอ่ ย่างพอเพยี ง  ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ  ม่งุ มน่ั ในการท้างาน  มีวินัย  รักความเป็นไทย  ใฝเ่ รียนรู้  มจี ติ สาธารณะ 8. กิจกรรมการเรียนรู้ (5E) ข้ันที่ 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ 1.1 ครูน้าเข้าสู่บทเรยี นโดยถามนักเรยี นเกีย่ วกับวัฏจักรชวี ิตของพืชดอกท่ีเคยเรยี นมาแลว้ ว่า วฏั จักร ชวี ิตของพชื ดอกเป็นอยา่ งไร ซ่งึ นักเรียนอาจตอบได้ว่า พืชดอกเมอื่ เจรญิ เตบิ โตและมีดอก ดอกจะมีการสืบพันธุ์ เปลี่ยนแปลงไปเป็นผล ภายในผลมีเมล็ด เม่ือเมล็ดงอก ต้นอ่อนท่ีอยู่ภายในเมล็ดจะเจริญ เติบโตเป็นพืชต้น ใหม่ พชื ตน้ ใหม่จะเจรญิ เตบิ โตออกดอกเพื่อสืบพันธุ์มีผลต่อไปได้อีกหมุนเวียนต่อ เนอ่ื งเป็นวัฏจักรชีวติ ของพืช ดอก ขั้นที่ 2 ขนั้ สารวจและค้นหา 2.1 ครูให้นกั เรยี นศึกษารปู ที่ 8.9 วัฏจักรชวี ติ แบบสลบั ของพืช แล้วให้ขอ้ มลู นักเรียนว่า วัฏจกั รชีวิต ของพืชทุกกลุ่ม ทังพืชดอกและพืชไร้ดอกเป็นวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วย ระยะที่สร้างสปอร์เรียกว่า สปอโรไฟต์และระยะท่ีสรา้ งเซลล์สืบพนั ธเุ์ รียกว่า แกมโี ทไฟต์โครงสร้างของ สปอโรไฟต์ประกอบขึนจากเซลล์ท่ี มีจ้านวนโครโมโซม 2 ชุด หรือเซลล์ท่ีอยู่ในสภาพดิพลอยด์(diploid; 2n) ส่วนแกมีโทไฟต์ประกอบขึนจาก เซลลท์ ม่ี ี จา้ นวนโครโมโซม 1 ชุด หรอื เซลล์ทีอ่ ยู่ในสภาพแฮพลอยด์ (haploid; n) 2.2 จากนนั ครเู ชื่อมโยงเร่ืองการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสและไมโทซิส เพื่ออธบิ ายว่า สปอร์มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้สปอร์ซึ่งโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง จากนันสปอร์จะ แบ่ง เซลลแ์ บบไมโทซิสเพื่อเจริญและพัฒนาเปน็ แกมีโทไฟต์และทา้ หนา้ ทส่ี ร้างเซลลส์ บื พันธ์ุต่อมา จะมีการปฏิสนธิ ของเซลลส์ ืบพันธุเ์ พศผู้และเพศเมียได้เปน็ ไซโกต ซ่งึ มโี ครโมโซม 2 ชุด

๔๐ 2.3 ครใู หข้ ้อมูลเพิ่มเติมวา่ ต้นไม้ท่ีเห็นนันคือ สปอโรไฟต์ส่วนแกมโี ทไฟตเ์ พศผู้และแกมีโทไฟต์เพศเมียนักเรยี นอาจจะไม่เคยเห็น เน่ืองจากมีขนาด เล็กและอยู่ภายในดอก จากนันครูให้นักเรียนศึกษารูปท่ี 8.10 วัฏจักรชีวติ ของเฟิรน์ และพืช ดอก โดย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา เล่ม 3 บทที่ 8 | การสืบพันธุ์ของพืช ดอก 17 ใหศ้ กึ ษาวัฏจกั รชวี ิตของเฟิรน์ ซง่ึ เป็นพชื มีท่อล้า เลยี งทไ่ี ร้เมลด็ ก่อน ซง่ึ แกมีโทไฟต์แยกออกจากสปอ โรไฟตเ์ พ่อื ให้นกั เรยี นเห็นความแตกตา่ งของสปอโรไฟตแ์ ละแกมโี ทไฟต์ไดช้ ัดเจนมากขึน ข้ันที่ 3 ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ 3.1 ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน นักเรียนอาจจะไม่เคยเห็นสปอโรไฟต์ของเฟิร์น แต่บางคนอาจเคย เห็นและ บอกได้ว่า เป็นโครงสร้างท่ีคล้ายรูปหัวใจ สามารถเจอในที่ท่ีมีความชืน จากนันนักเรียนควรสรุปได้ จาก การศึกษารูปวัฏจกั รชวี ิตของเฟริ ์นวา่ ต้นท่ีเห็นเป็นสปอโรไฟต์เมื่อสปอโรไฟต์โตเต็มที่ สปอร์มาเทอร์เซลล์ ในอับสปอร์จะแบ่งเซลล์แบบไม โอซิสไดส้ ปอร์ซึง่ มีโครโมโซมลดลงคร่ึงหนง่ึ เมื่อมกี ารกระจาย สปอรส์ ปอร์จะหลดุ จากสปอโรไฟต์และถ้าสปอร์ อยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีมีความชืนเหมาะสม สปอร์ จะงอกแล้วแบ่งเซลล์แบบ ไมโทซิสเจริญเป็นแกมีโทไฟตซ์ งึ่ จะมโี ครงสร้างทส่ี รา้ งเซลลส์ บื พนั ธต์ุ อ่ ไป 3.2 ครูให้นักเรียนอภิปรายเพ่ือเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างกันของวัฏจักรชีวิตของ เฟริ น์ และพืชดอก จากการอภิปรายของนักเรยี นควรสรปุ ได้ว่า พืชทุกกลุ่มไม่ว่ามีดอกหรือไม่มีดอกก็ตาม จะมีช่วงชีวิตเป็น 2 ระยะสลับกัน คือ สปอโรไฟต์และแกมี โทไฟต์ในพืชดอกนันแกมีโทไฟต์ซึ่งท้า หน้าท่ี สร้างเซลล์สืบพันธ์ุนันเกิดขึนที่ดอก ทังเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (สเปิร์ม) และเซลล์สืบพันธ์ุเพศเมีย (เซลล์ไข่) เม่ือสเปิร์มและเซลล์ไข่ปฏิสนธิจะได้เป็นไซโกตซึ่งมีการพัฒนา และเจริญเติบโตต่อไปจนเป็น ผลและเมล็ด เม่ือเมล็ดงอกเป็นต้นอ่อนและมีการเจริญเติบโตระยะนีจะเรียกว่า สปอโรไฟต์ ขนั้ ท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ 4.1 ครูนา้ อภปิ รายและให้ความรเู้ รอ่ื ง วฏั จักรชีวติ แบบสลบั ของพืชดอก 4.2 ครูเน้นให้เห็นว่า มีความแตกต่างกนั ของการกระจายสปอรข์ องเฟริ ์นและพชื ดอก คือในพืช ดอก นัน สปอร์ไม่ได้หลดุ ออกจากสปอโรไฟต์เม่ือสปอร์พฒั นาเป็นแกมีโทไฟต์แกมีโทไฟตข์ องพชื ดอก จงึ ไม่ได้อยู่ อยา่ งอสิ ระ แตม่ ีขนาดเล็กและเป็นสว่ นท่ีอย่ใู นดอก โดยทั่วไปจงึ จะมองไมเ่ หน็ แกมีโทไฟต์ ของพืชดอกดว้ ยตา เปลา่ ซึ่งต่างจากเฟิรน์ ทส่ี ปอร์หลุดจากสปอโรไฟต์และงอกเปน็ แกมีโทไฟต์ทส่ี ามารถ มองเห็นไดเ้ ปน็ แผน่ สีเขียว บาง ๆ จากนนั ครใู หน้ ักเรยี นตอบคา้ ดังนี คาถาม การกระจายสปอร์ของเฟริ ์นและพชื ดอกแตกตา่ งกันอย่างไร คาตอบ เฟิรน์ มีการกระจายสปอร์ออกไปจากต้นสปอโรไฟต์ สว่ นพืชดอกไมม่ ีการกระจาย สปอร์ ซง่ึ เมกะสปอร์และไมโครสปอร์จะอยูภ่ ายในดอกบนต้นสปอโรไฟต ข้ันท่ี 5 ประเมนิ ผล 5.1 วธิ กี ารวดั และประเมินผล 1. ประเมนิ จากสมดุ บนั ทึก 2. ประเมินจากใบกิจกรรม 3. ประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน 5.2 เคร่ืองมอื วดั และประเมนิ ผล

๔๑ 1. แบบเฉลยรายงานสมดุ บันทกึ 2. แบบประเมนิ ใบกจิ กรรม 3. แบบประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน 5.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล 1. การประเมนิ จากสมุดบนั ทึก ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 2. การประเมินใบกจิ กรรม ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 3. การประเมนิ พฤตกิ รรมนกั เรียน ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 9. ส่ือ/แหล่งการเรยี นรู้ 9.1 หนงั สือเรยี นสาระการเรียนรชู้ ีววทิ ยา 3 9.2 เพาเวอรพ์ อยท์ เรื่อง วัฏจกั รชวี ิตแบบสลับของพืชดอก 9.3 ใบกิจกรรมท่ี 1.2 เร่อื ง วฏั จักรชวี ิตแบบสลบั ของพืชดอก 9.4 สมุดบนั ทึก 10. หลักฐานการเรียนรูแ้ ละวธิ ีการประเมิน วิธีการวดั เครือ่ งมอื วดั เกณฑก์ าร จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ (K P A) ประเมนิ - ตรวจใบกจิ กรรม - ใบกิจกรรม ด้านความรู้ (K) - ตรวจสมดุ บนั ทกึ - สมดุ บนั ทึก ผ่านเกณฑ์ 1. ผู้เรียนสามารถสรปุ เก่ียวกับวฏั จกั รชีวิตแบบ ร้อยละ 70 สลับของพืชดอก ของคะแนน ดา้ นทักษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผ่านเกณฑ์ ชนิ งาน คณุ ภาพระดบั 1. ผู้เรียนสามารถอธิบายเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิตแบบ - สงั เกตความตังใจ 2 - แบบประเมนิ สลับของพืชดอก และความ พฤติกรรม ผ่านเกณฑ์ คุณภาพระดับ รับผดิ ชอบในการ 2 ปฏิบตั กิ จิ กรรม ดา้ นเจตคติ (A) - สังเกตพฤติกรรม 1. ความสนใจ การเรยี นรู้ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรับฟังผอู้ นื่ 5. ความรบั ผดิ ชอบ

๔๒ ใบงานท่ี 1.2 เร่ือง วงจรชีวติ แบบสลับของพชื คาชแี้ จง : ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาตอบใหถ้ ูกตอ้ งและสมบูรณ์ที่สุด 1. ระยะแกมีโทไฟต์ของพืชมีการสรา้ งเซลล์สบื พันธโุ์ ดยการแบง่ เซลลแ์ บบใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………............................................................................................................................. ................……. 2. พชื มกี ารสร้างสปอรด์ ว้ ยกระบวนการแบง่ เซลล์แบบใด และสปอร์ท่ีไดม้ จี ้านวนโครโมโซมกชี่ ดุ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………............................................................................................................................................. ……. 3. คาโรไฟต์มคี วามสัมพันธใ์ กลช้ ดิ ทางวิวัฒนาการกับพืชกลุ่มใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………............................................................................................................................. ................……. 4. พืชบกเรม่ิ ก้าเนิดขนึ ในช่วงเวลาใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………............................................................................................................................. ................……. 5. ส่วนที่คล้ายล้าตน้ คลา้ ยรากและคล้ายใบของมอสและลเิ วอร์เวิร์ทแตกตา่ งจากราก ล้าตน้ และใบของพชื อนื่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………….................................................. ........................................................................................... ……. ชอ่ื – สกลุ ...................................................... เลขที่ .................. ชน้ั .................

๔๓ เฉลยใบงานที่ 1.2 เรอื่ ง วงจรชีวติ แบบสลับของพืช คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนเติมคาตอบให้ถูกต้องและสมบรู ณ์ท่ีสดุ 1. ระยะแกมีโทไฟต์ของพชื มกี ารสรา้ งเซลล์สบื พนั ธุ์โดยการแบ่งเซลล์แบบใด ตอบ การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส 2. พืชมกี ารสร้างสปอร์ด้วยกระบวนการแบ่งเซลลแ์ บบใด และสปอรท์ ไ่ี ด้มีจานวนโครโมโซมกชี่ ดุ ตอบ พืชสรา้ งสปอรโ์ ดยกระบวนการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ และสปอรท์ ี่เกิดขึนมีจ้านวนโครโมโซม 1 ชุด 3. คาโรไฟต์มีความสัมพนั ธ์ใกลช้ ดิ ทางววิ ัฒนาการกับพืชกล่มุ ใด ตอบ พืชไม่มีเนือเย่ือลา้ เลียง 4. พืชบกเรมิ่ กาเนดิ ขึน้ ในช่วงเวลาใด ตอบ มหายุคพาลโี อโซอิก 5. สว่ นที่คลา้ ยลาต้น คลา้ ยรากและคล้ายใบของมอสและลิเวอร์เวิร์ทแตกตา่ งจากราก ลาต้นและใบของ พืชอนื่ อยา่ งไร ตอบ สว่ นทค่ี ล้ายล้าตน้ คล้ายรากและคล้ายใบของมอสและลเิ วอร์เวิรท์ ตา่ งจากสว่ นของล้าตน้ รากและใบ ของพชื อน่ื คือไม่มีเนือเย่ือลา้ เลยี ง

๔๔ แผนการจัดการเรียนรู้ 3 กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา ชีววิทยา 3 รหัสวิชา ว32243 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การสืบพันธข์ุ องพืชดอก เวลา 10 ช่ัวโมง เรื่อง การสบื พันธแ์ุ บบอาศัยเพศของพืชดอก (การสร้างเซลล์สืบพนั ธ)์ุ เวลา 2 ช่ัวโมง ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 ครูผ้สู อน นายบุญรงั จาปา 1. สาระชีววิทยา สาระท่ี 3 เขา้ ใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปลยี่ นแกส๊ และคายนา้ ของพืช การลา้ เลียงของพชื การสังเคราะหด์ ้วยแสง การสืบพันธขุ์ องพชื ดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทงั นา้ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ อธิบายและเปรยี บเทยี บกระบวนการสรา้ งเซลลส์ ืบพันธ์เุ พศผู้และเพศเมยี ของพชื ดอกและอธิบายการปฏิสนธิ ของพชื ดอก 3. สาระสาคญั พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วยสปอโรไฟต์และแกมีโทไฟต์ซ่ึงสปอโรไฟต์เป็น ระยะท่ี สร้างสปอร์คือไมโครสปอร์และเมกะสปอร์ท่ีอาจสร้างในดอกเดียวกันหรือต่างดอกหรือต่างต้น ไมโครสปอร์มา เทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้ไมโครสปอร์จากนันไมโครสปอร์จะแบ่งเซลล์แบบ ไมโทซิสและพัฒนาไป เป็นแกมีโทไฟต์เพศผู้ซึ่งท้าหน้าที่สร้างเซลลส์ ืบพันธ์ุเพศผู้ส่วนเมกะสปอร์ มาเทอร์เซลล์แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ได้เมกะสปอร์จากนันเมกะสปอร์จะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและ พัฒนาไปเป็นแกมีโทไฟต์เพศเมียซ่ึงท้า หน้าท่ี สร้างเซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศเมีย เม่ือมกี ารปฏิสนธขิ อง เซลล์สบื พันธ์ุเพศผู้และเพศเมียจะได้ไซโกตและพัฒนาไปเป็น เอม็ บรโิ อแลว้ เจริญเติบโตเปน็ สปอโรไฟตต์ อ่ ไป 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้ (K) ผู้เรียนสามารถสรปุ เกีย่ วกับกระบวนการสรา้ งเซลล์สบื พันธ์ุเพศผแู้ ละเพศเมียของพืชดอก 3.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายและเปรยี บเทยี บกระบวนการสรา้ งเซลล์สบื พนั ธเุ์ พศผู้และเพศเมียของพืชดอก 3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรบั ฟังผูอ้ นื่ 5. ความรับผดิ ชอบ 5. สาระการเรียนรู้ - การสรา้ งไมโครสปอร์ของพืชดอกเกิดขึนโดย ไมโครสปอรม์ าเทอร์เซลลแ์ บง่ เซลล์แบบ ไมโอซิสได้ไม โครสปอรโ์ ดยไมโครสปอร์นี แบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ ได้๒ เซลล์คือ ทิวบ์เซลล์ และเจเนอเรทฟิ เซลล์เมื่อมีการถา่ ย

๔๕ เรณไู ปตกบน ยอดเกสรเพศเมยี ทิวบ์เซลลจ์ ะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลลแ์ บง่ ไมโทซสิ ได้เซลลส์ บื พนั ธ์ุ เพศผู้ ๒ เซลล์ - การสรา้ งเมกะสปอรเ์ กิดขนึ ภายในออวุลในรังไข่ โดยเซลล์ท่เี รียกวา่ เมกะสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ แบง่ ไม โอซิสได้เมกะสปอร์ซ่งึ ในพืชส่วนใหญ่ จะเจรญิ พฒั นาต่อไปได้เพียง ๑ เซลล์ทเ่ี หลืออีก ๓ เซลล์จะฝ่อ เมกะสปอร์ จะแบ่งไมโทซิส ๓ ครัง ได้๘ นิวเคลียส ทปี่ ระกอบดว้ ย ๗ เซลล์โดยมี ๑ เซลลท์ ท่ี า้ หน้าท่ีเปน็ เซลลส์ ืบพนั ธ์เุ รยี ก เซลล์ไข่สว่ นอกี ๑ เซลลม์ ี๒ นิวเคลยี ส เรยี ก โพลารน์ ิวคลไี อ - การปฏสิ นธิของพืชดอกเป็นการปฏิสนธคิ ู่ โดย คูห่ น่ึงเป็นการรวมกนั ของสเปริ ม์ เซลล์หนึง่ กบั เซลลไ์ ข่ ได้เป็นไซโกต ซึ่งจะเจรญิ และพัฒนา ไปเป็นเอม็ บรโิ อ และอีกคู่หนึ่งเปน็ การรวมกนั ของสเปริ ์มอีกเซลลห์ นง่ึ กบั โพลาร์นวิ คลีไอ ไดเ้ ปน็ เอนโดสเปริ ม์ นิวเคลียสซึง่ จะเจริญและพัฒนา ต่อไปเปน็ เอนโดสเปริ ม์ - ภายหลังการปฏสิ นธิออวลุ จะมีการเจริญ และพัฒนาไปเป็นเมล็ด และรังไขจ่ ะมีการเจริญ และพฒั นา ไปเป็นผล 6. ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน  ความสามารถในการสื่อสาร : แสดงความคิดเห็น และสามารถอธบิ าย  ความสามารถในการคดิ : มีความสามารถในการวิเคราะห์ แกป้ ัญหาเฉพาะหน้า  ความสามารถในการแก้ปญั หา : นักเรยี นสามารถแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้าไดเ้ ม่ือพบปัญหา  ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต : ทา้ งานรว่ มกับผู้อื่นไดด้ ี  ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : สามารถใช้เทคโนโลยสี บื ค้นข้อมลู 7. ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (Attitude) คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551  รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์  อย่อู ยา่ งพอเพียง  ซอื่ สัตยส์ จุ ริต  มุ่งมน่ั ในการทา้ งาน  มีวนิ ยั  รักความเป็นไทย  ใฝเ่ รยี นรู้  มีจิตสาธารณะ 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (5E) ขน้ั ที่ 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ 1.1 ครูทบทวนความรู้เดิมเก่ียวกับการสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศของพืชดอกโดยใช้คา้ ถาม คาถาม ระยะใดท่ีมกี ารสร้างเซลลส์ บื พนั ธใ์ุ นวฏั จักรชีวิตแบบสลับของพืช แนวคาตอบ แกมีโทไฟต์ เปน็ ระยะท่มี กี ารสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ ข้ันที่ 2 ข้ันสารวจและคน้ หา 2.1 ครูให้นักเรียนศึกษารูป 8.11 การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอก ดังนีการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ เพศผเู้ กิดทีอ่ ับเรณขู องเกสรเพศผภู้ ายในอับเรณจู ะมไี มโครสปอมาเทอร์เซลลท์ ่แี บ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ ไดเ้ ป็นไม โครสปอร์จ้านวน 4 เซลล์โดยไมโครสปอร์แต่ละเซลล์นีจะแบ่งแบบไมโทซิสต่อไปได้เป็น 2 นิวเคลียส คือ เจ เนอเรทฟิ นิวเคลยี สกบั ทิวบ์นวิ เคลียส ซงึ่ เรยี กไมโครสปอร์ท่ผี ่านการแบ่งเซลล์ แล้วนีวา่ เรณซู ึง่ จะท้าหน้าทส่ี รา้ ง สเปริ ม์ เพื่อปฏสิ นธิกบั เซลล์ไข่ สว่ นการสรา้ งเซลล์สบื พันธเ์ุ พศเมียเกิดขนึ ท่ีเกสรเพศเมยี โดยจะมีเมกะสปอร์มา เทอรเ์ ซลล์ที่ แบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ ได้เป็นเมกะสปอรจ์ า้ นวน 4 เซลลโ์ ดยเมกะสปอร์3 เซลลส์ ลายไป เหลือ 1 เซลล์ ที่แบ่งเซลล์แบบไมโทซิส 3 ครังติดต่อกัน ได้ 8 นิวเคลียส แยกกันอยู่ที่ขัวตรงข้าม ขัวละ 4 นิวเคลียส

๔๖ โดย 3 นิวเคลียสของขัวบนเคล่ือนท่ีไปอยู่ตรงข้ามกับไมโครไพล์และสร้างเย่ือหุ้มล้อมรอบเรียกว่า แอนติโพ แดล ส่วนอกี 3 นวิ เคลียสของขัวลา่ งเคล่ือนไปอยู่ทางด้านของไมโครไพล์โดยมี 1 เซลล์ท่ีทา้ หนา้ ทเ่ี ปน็ เซลล์ไข่ ส่วนอีก 2 เซลล์อยู่ด้านข้างเรียกว่า ซินเนอร์จิด และนิวเคลียสท่ีเหลืออีกอย่างละ 1 เซลล์ของขัวบนและขัว ล่างจะเคล่ือนที่มาอยู่ตรงกลาง เรียกว่า โพลาร์นิวคลีไอ เกิดเป็นเซลล์ ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางถุงเอ็มบริโอ เรียกวา่ เซนทรลั เซลล์ 2.2 จากนนั ให้นักเรยี นตอบค้า ถามในหนังสือเรียนซง่ึ มีแนวการตอบดงั นี คาถาม การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสของเมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์มีผลอย่างไรต่อลักษณะทางพันธุกรรม ของพชื ในรนุ่ ต่อไป แนวคาตอบ พืชรุ่นต่อไปจะมีลักษณะทางพันธุกรรมที่หลากหลาย เน่ืองจากเมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ แบ่ง เซลล์แบบไมโอซิสท้าให้เมกะสปอร์มีจ้านวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนงึ่ เมื่อเมกะสปอร์แบ่งเซลล์แบบไมโท ซิสจะได้เซลล์ไขท่ ี่มีจ้านวนโครโมโซม 1 ชุด (n) และเม่อื เกิดการปฏสิ นธิจะได้ไซโกต ทมี่ 2ี n ซ่งึ จะเจรญิ ไปเป็น เอม็ บริโอ คาถาม ถ้าเริ่มจากไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์1 เซลล์และเมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์1 เซลล์เม่ือมีการ สรา้ งสปอรแ์ ละพฒั นาไปเป็นแกมีโทโฟต์จะได้เรณูและถงุ เอ็มบรโิ อจา้ นวนเท่ากันหรอื ไม่ อยา่ งไร แนวคาตอบ ไม่เท่ากัน จะได้เรณู4 อันและถุงเอ็มบริโอ 1 อัน เนื่องจากเมกะสปอร์สลายไป 3 เซลล์ เหลอื เพยี ง 1 เซลลท์ พ่ี ัฒนาไปเป็นถงุ เอม็ บริโอ 2.3 ครูอธบิ ายเพ่มิ เติมว่าในการสร้างเซลล์สืบพันธุเ์ พศเมีย คือเซลล์ไข่นัน สร้างในออวุลซึ่ง อยู่ในรงั ไข่ ส่วนการสร้างเซลล์สบื พันธุ์เพศผ้ใู นพชื บางชนิดอาจจะยังไมส่ ร้างในทนั ทีแตต่ ้องมีกระบวนการถา่ ยเรณกู ่อน 2.4 ครูน้ารูปพืชที่มีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ต่างดอกภายในต้นเดียวกัน เช่น ข้าวโพด ปัตตาเวยี และฟักทอง หรือพืชที่ดอกเพศผู้และดอกเพศเมยี อยู่ต่างต้น เช่น สละ ต้าลงึ และตาล มาใหน้ ักเรียน ศึกษาแล้วถามนักเรียนว่า เรณูจากเกสรเพศผู้จะมายังเกสรเพศเมียได้อย่างไร และพืชดอก มีกระบวนการ อยา่ งไรท่ที ้าให้เซลลส์ บื พันธุ์เพศผู้มีโอกาสมาผสมกบั เซลล์สืบพันธ์ุเพศเมียได้ ซึง่ คา้ ตอบของนักเรียนอาจขึนอยู่ กับพืนฐานและประสบการณ์เดิมจากที่เคยเรียนมาแล้ว นักเรียนอาจตอบได้ว่า การถ่ายเรณูในธรรมชาติอาจ เกิดขึนโดยอาศัยลม น้า แมลง หรือสัตว์อื่น ๆ เป็นตัวกลาง ในการน้าเรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมีย พืชบางชนิดที่เป็นดอกสมบูรณ์เพศอาจผสมกันเองภายในดอกได้เน่ืองจากต้าแหน่งของเกสร เพศผู้และเกสร เพศเมียมีความจ้าเพาะเหมาะสมกันท่ีจะเอือให้เรณูจากอับเรณูสามารถติดบนยอดเกสร เพศเมียได้อย่างไรก็ ตามในดอกสมบูรณ์เพศ เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอาจจะเจริญไม่พร้อมกัน ท้าให้การถ่ายเรณูเกิดจากต่าง ดอกกนั 2.5 ครใู หน้ กั เรียนท้ากิจกรรม 8.2 เพอื่ ศกึ ษารปู ร่างลักษณะของเรณูและการงอกของหลอดเรณู ขัน้ ที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงข้อสรปุ 3.1 ใหน้ ักเรียนตอบค้าถามในหนงั สือเรยี น ซึ่งมีแนวการตอบ ดังนี คาถาม การถา่ ยเรณมู ีความส้าคัญตอ่ การสบื พันธข์ุ องพืชอยา่ งไร แนวคาตอบ ทา้ ใหเ้ ซลลส์ ืบพนั ธ์เุ พศผู้มโี อกาสมาผสมกบั เซลลส์ ืบพนั ธุเ์ พศเมียได้ คาถาม การถ่ายเรณใู นดอกเดียวกนั มผี ลดีหรือผลเสียตอ่ พืชอยา่ งไร แนวคาตอบ มีผลดคี ือถ้าต้นพันธ์ุเปน็ พนั ธ์ุแท้รนุ่ ลูกท่ีได้จะมีพันธุกรรมเหมือนเดิม ผลเสียคือ ท้าให้รุ่น ลูกมีความหลากหลายทางพันธุกรรมน้อยกว่าการผสมข้ามต้น ซ่ึงอาจจะส่งผลให้การต้านทานโรคลดลง และ ลกั ษณะด้อยปรากฏในรนุ่ ต่อ ๆ ไปไดง้ า่ ย คาถาม การปอ้ งกนั การถา่ ยเรณใู นดอกเดยี วกนั มีวธิ ีการอย่างไร

๔๗ แนวคาตอบ โดยการเด็ดเกสรเพศผู้ทิงไปกอ่ นท่ดี อกจะบาน หรอื ก่อนเกสรเพศผู้จะเจริญเต็มท่ี คาถาม การปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ รณจู ากดอกอน่ื มาผสม มวี ธิ ีการอยา่ งไร แนวคาตอบ วิธีป้องกันไม่ให้เรณูจากดอกอื่นมาผสมคือ ใช้ถุงพลาสติกใสคลุมดอกท่ีต้องการให้ติดผล ไว้โดย ปล่อยให้เกสรเพศเมียและเพศผู้ภายในดอกเดียวกันผสมกันเอง แล้วจึงเปิดถุงพลาสตกิ ออกเมื่อ เห็นว่า เริ่มจะติดผล ขัน้ ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ 4.1 ครนู ้าอภปิ รายและใหค้ วามรู้เรือ่ ง การสรา้ งเซลลส์ ืบพันธขุ์ องพชื ดอก 4.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเก่ียวกับเทคโนโลยีการถ่ายเรณูเพ่ือเพ่ิมผลผลิตของพืชเศรษฐกิจใน ท้องถิ่น เช่น เชิญปราชญ์ชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่เกษตรมาให้ความรู้เร่ืองเทคโนโลยีการถ่ายเรณูและ ควรให้นักเรียน ช่วยกันวิเคราะห์ว่าเหตุใดจึงต้องใช้เทคโนโลยีการถ่ายเรณูและเทคโนโลยีการถ่ายเรณู มีผลต่อการด้ารงชีวิต ของคนในท้องถิน่ อย่างไร และพืชในลักษณะใดท่ีต้องใชเ้ ทคโนโลยีการถ่ายเรณู ชว่ ยในการเพม่ิ ผลผลิต จากนัน ครูอาจตงั ค้าถามเพิ่มเตมิ ดงั นี คาถาม นกั เรียนบอกได้หรอื ไม่ว่ายังมีวิธกี ารใดอกี บา้ งทีจ่ ะชว่ ยในการถา่ ยเรณูให้มากขนึ แนวคาตอบ เพิ่มจ้านวนแมลงท่ีช่วยในการถ่ายเรณูเช่น เลียงแมลงจ้า พวกผึง หรือมนุษย์อาจช่วย เขี่ยเรณูมาติดทย่ี อดเกสรเพศเมยี ของดอกเดยี วกันหรือต่างดอกกไ็ ด้ คาถาม นักเรยี นสามารถใช้ความรู้ด้านการถ่ายเรณูมาใชใ้ นการผลติ พชื ให้มีลักษณะตามต้องการ หรอื ได้สายพันธใุ์ หมไ่ ด้อย่างไร แนวคาตอบ การคัดเลอื กตน้ พ่อพันธ์ุและแม่พนั ธ์ุท่ีมีลักษณะตามต้องการแล้วถ่ายเรณูแบบข้ามต้นจะ ทา้ ให้ได้พชื ทมี่ ีลักษณะตา่ ง ๆ หลากหลายและอาจจะได้พชื สายพนั ธใุ์ หมท่ ีม่ ลี ักษณะตามต้องการ คาถาม นักเรียนคิดว่าการใช้สารฆ่าแมลงจะมีผลกระทบต่อการสืบพันธ์ุของพืชดอกอย่างไร และมีผล ตอ่ เน่ืองถึงมนุษยใ์ นดา้ นใดบ้าง จะมีวธิ กี ารแก้ไขอยา่ งไร แนวคาตอบ สารเคมีท่ีใช้ฆ่าแมลงนัน ส่วนใหญ่เป็นสารพิษท่ีเป็นอันตราย ถ้าใช้สารเคมีเหล่านันฉีด พน่ ในสวนผลไมห้ รือไมด้ อกจะท้าให้แมลงตาย และอาจทา้ ใหผ้ ู้ฉีดสารฆ่าแมลงได้รับอันตรายจากสารพิษ แมลง ท่ีเป็นประโยชน์ที่ช่วยในการถ่ายเรณูจึงมีจ้านวนลดน้อยลงท้าให้การถ่าย เรณูเกิดขึนน้อย และสารพิษ บางอย่างอาจจะตกค้างอยู่นานท้าให้สารพิษปะปนมากับผลไม้ มนุษย์ที่รับประทานผลไม้ก็จะได้รับสารพิษเขา้ ไปด้วย สารพิษบางอย่างเม่ือตกลงสู่พืนดิน จะสะสมอยู่ในดินเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในดินท่ีมีประโยชน์ เช่น ไส้เดือนดิน และจุลินทรีย์ ที่ย่อยสลายสารอินทรีย์ต่าง ๆ ให้แก่พืช วิธีการแก้ปัญหาควรใช้สารฆ่าแมลงที่ ได้จากพืช เช่น สารทสี่ กัดจากใบสะเดา ตะไคร้หอม หรือใชส้ ารเคมีชนิดทส่ี ลายตวั ไดเ้ ร็ว ขน้ั ที่ 5 ประเมินผล 5.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล 1. ประเมนิ จากสมุดบันทึก 2. ประเมินจากใบกจิ กรรม 3. ประเมินพฤติกรรมนักเรยี น 5.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล 1. แบบเฉลยรายงานสมุดบนั ทกึ 2. แบบประเมินใบกจิ กรรม 3. แบบประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน 5.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล

๔๘ 1. การประเมนิ จากสมดุ บันทึก ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 2. การประเมนิ ใบกิจกรรม ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 3. การประเมินพฤติกรรมนักเรียน ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 80 9. ส่ือ/แหลง่ การเรียนรู้ 9.1 หนงั สือเรียนสาระการเรียนรู้ชวี วทิ ยา 3 9.2 เพาเวอร์พอยท์ เร่อื ง การสรา้ งเซลล์สบื พันธุข์ องพชื ดอก 9.3 ใบกจิ กรรมท่ี 1.3 เร่ือง การสร้างเซลล์สบื พนั ธขุ์ องพืชดอก 9.4 สมุดบันทกึ 10. หลักฐานการเรยี นร้แู ละวธิ ีการประเมนิ วิธีการวดั เครื่องมอื วัด เกณฑ์การ จุดประสงค์การเรียนรู้ (K P A) ประเมนิ ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจใบกจิ กรรม - ใบกจิ กรรม ผ่านเกณฑ์ รอ้ ยละ 70 ของ 1. ผู้เรยี นสามารถสรุปเก่ียวกับกระบวนการสร้าง - ตรวจสมุดบนั ทกึ - สมุดบนั ทกึ คะแนน เซลล์สืบพันธเุ์ พศผู้และเพศเมียของพืชดอก ดา้ นทกั ษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ 1. ผเู้ รยี นสามารถอธิบายเก่ียวกบั กระบวนการ - สงั เกตความตงั ใจ ชินงาน คุณภาพระดับ 2 สรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธเ์ุ พศผ้แู ละเพศเมยี ของพชื ดอก และความ รบั ผิดชอบในการ - แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ ดา้ นเจตคติ (A) ปฏบิ ตั ิกจิ กรรม พฤติกรรม คณุ ภาพระดบั 2 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา - สงั เกตพฤติกรรม 3. การตอบคา้ ถาม การเรยี นรู้ 4. การยอมรบั ฟังผูอ้ ื่น 5. ความรบั ผดิ ชอบ

๔๙ ใบงานที่ 1.3 เรอ่ื ง การสบื พันธุ์แบบอาศยั เพศของพืชดอก (การสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธ์)ุ คาช้ีแจง : ให้นักเรยี นเตมิ คาตอบให้ถูกต้องและสมบูรณท์ ่ีสุด ............................................................................................................................. ..................... 1. ภายในถงุ ละอองเรณู ( Microsporangium หรือ Pollen sac ) มีกลุ่มเซลล์ที่ เรยี กว่า ไมโครสปอรม์ าเทอร์ เซลล์ ( Microspore mother cell ) ซง่ึ เป็นเซลล์ตังต้นในการสรา้ งส่วนใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. การสรา้ งเซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศเมียของพืชดอก เกดิ ทีใ่ ด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. เมื่อละอองเรณูแก่ อับเรณู ( Ather ) แตกออก ท้าให้ละอองณูปลิวไปตกบนยอดเกสรตัวเมีย ( หรือถูกน้า พดั พาไป หรือตดิ ขาแมลง สัตวพ์ าไป ) เรียกกระบวนการนวี า่ กระบวนการใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. แมลงมีความส้าคัญในการถา่ ยละอองเรณู .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. สารเคมที ่ีใช้ปราบศัตรูพืชและสตั ว์นนั มผี ลกระทบตอ่ การสืบพันธุ์ของพชื ดอกอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. . ชื่อ – สกลุ ............................................................. เลขที่ ....................... ช้ัน ...........................

๕๐ เฉลยใบงานท่ี 1.3 เรอื่ ง การสบื พันธ์ุแบบอาศยั เพศของพชื ดอก (การสร้างเซลลส์ ืบพนั ธ์)ุ คาชแี้ จง : ใหน้ ักเรียนเตมิ คาตอบให้ถูกตอ้ งและสมบรู ณท์ สี่ ดุ ............................................................................................................................. ..................... 1. ภายในถุงละอองเรณู ( Microsporangium หรือ Pollen sac ) มีกลุ่มเซลลท์ ่ี เรยี กวา่ ไมโครสปอร์มา เทอรเ์ ซลล์ ( Microspore mother cell ) ซึ่งเปน็ เซลลต์ ั้งต้นในการสรา้ งส่วนใด ตอบ ละอองเรณู หรอื แกมโี ทไฟต์เพศผู้ ( Microspore หรือ Male gametophyte ) 2. การสร้างเซลลส์ ืบพันธ์เุ พศเมยี ของพชื ดอก เกิดท่ีใด ตอบ ในรงั ไข่ ( Ovary ) 3. เมื่อละอองเรณูแก่ อบั เรณู ( Ather ) แตกออก ทาใหล้ ะอองณูปลิวไปตกบนยอดเกสรตวั เมีย ( หรือถกู น้าพดั พาไป หรอื ติดขาแมลง สัตวพ์ าไป ) เรียกกระบวนการนวี้ ่ากระบวนการใด ตอบ การถ่ายละอองเรณู ( Pollination ) 4. แมลงมคี วามสาคญั ในการถ่ายละอองเรณู ตอบ ช่วยผสมเกสรได้ โดยการบินไปดูดน้าหวานในขณะที่ไต่ลงไปในดอก ละอองเรณูจะติดตามตัวแมลงไป ด้วย เม่อื แมลงไปดดู นา้ หวานดอกอน่ื ละอองเรณูทต่ี ดิ มากบั ตวั แมลงจะติดบนยอดเกสรตวั เมียของดอกใหม่ ทา้ ให้เกิดการถ่ายละอองเรณู ส้าหรับดอกไม้ที่แมลงช่วยผสมเกสรนัน ดอกจะมีสีสวยงาม อาจมีกลิ่นหอม มีต่อม น้าหวาน และเรณจู ะมีลกั ษณะเหนยี ว เพือ่ ตดิ ตามสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายแมลงได้ 5. สารเคมีที่ใช้ปราบศัตรูพชื และสตั ว์นนั้ มีผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ของพืชดอกอย่างไร ตอบ เพราะแมลงที่ไปยังต้นพืชท่ีถูกฉีดสารเคมีจะตาย ท้าให้ลดจ้านวนแมลงท่ีช่วยถ่ายละอองเรณู นอกจากนันสารพิษเหล่านันยังสะสมหรือปะปนอยู่กับพืช ผัก ผลไม้ อันเป็นอาหารท้าให้คนได้รับอันตรายไป ด้วย การแก้ไขควรใช้สารเคมีท่ีมีการสลายตัวเรว็ หรือใช้สารท่ีสกัดได้จากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากใบสะเดา หรอื ตะไครห้ อม ซง่ึ ไมเ่ ปน็ อันตรายต่อคน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook