การพัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ ในอา่ งเก็บน้าคลองล้ากง อา้ เภอหนองไผ่ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ เครือวัลย์ แสงโสดา งานวจิ ัยนไ้ี ดร้ ับทนุ อุดหนุนการวิจัยจาก งบประมาณแผน่ ดิน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเพชรบูรณ์ โดยผ่านการเหน็ ชอบจากสา้ นักงาน คณะกรรมการวจิ ยั แหง่ ชาติ ประจ้าปงี บประมาณ 2556
การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ือง ความหลากหลายทางชวี ภาพ ในอา่ งเกบ็ นา้ คลองลา้ กง อ้าเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบรู ณ์ นางเครือวลั ย์ แสงโสดา โรงเรยี นบ้านยางลาด ส้านกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 สา้ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. 2556 ได้รับทุนสนบั สนุนงานวจิ ัยประเภททว่ั ไป ปงี บประมาณ 2556
Development of activities to learn about biodiversity in the Study of Biodiversity in the Khlong- Lom -Gong reservoir Nong-Phai Distric Phetchabun Province. Mrs.Kruawan Sangsoda Banyanglad Schoo Prinary Education office Country District 1. Department of Basic Education 2013
ฉ กติ ติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบบั นส้ี าเร็จไดด้ ว้ ยดี เนื่องจากไดร้ ับความกรณุ า และความอนเุ คราะห์ อยา่ งดียิ่งจาก รองศาสตราจารย์ สุวทิ ย์ วรรณศรี ท่ีปรึกษางานวจิ ัย ท่กี รุณาใหค้ าแนะนา ชว่ ยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และคอยติดตามอยา่ งใกล้ชดิ ตลอดจนคาปรึกษาทีม่ ีคุณค่ายิ่ง ผู้วจิ ยั รสู้ ึก ซาบซงึ้ อย่างยิง่ จึงขอกราบขอบพระคุณทา่ นอาจารย์เปน็ อย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ประจาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เพชรบรู ณ์ ท่ไี ด้อบรมสัง่ สอน ให้ความรูป้ ระสทิ ธิป์ ระสาทวิชาทุกทา่ น ขอขอพระคุณผู้เชย่ี วชาญทกุ ทา่ นทีก่ รุณาเปน็ ผู้ตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ พร้อมท้ังได้ ใหค้ าแนะนาในการจดั ทาเคร่ืองมือในการวิจัยเป็นอย่างดี ขอกราบขอบพระคุณ ผู้บริหารและคณะครูโรงเรียนบ้านยางลาด ท่ีให้การสนบั สนนุ ในการเกบ็ ข้อมลู ในการวิจัย คณุ คา่ และประโยชน์ อนั เกิดจากงานวิจยั ฉบบั นี้ ผู้วิจัย ขอบชู าผ้มู ีพระคณุ ทุกท่าน เครอื วัลย์ แสงโสดา
ค บทคดั ยอ่ ชอ่ื เร่อื ง การพฒั นาชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ ในอ่างเก็บน้าคลองล้ากง อ้าเภอหนองไผ่ จงั หวดั เพชรบูรณ์ ผ้วู จิ ัย นางเครือวลั ย์ แสงโสดา หน่วยงาน โรงเรยี นบา้ นยางลาด ปที ี่พิมพ์ 2556 ............................................................................................................................................................ การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง ความหลากหลายทางชีวภาพ ในอ่างเก็บน้าคลองล้า กง อา้ เภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีวัตถุประสงค์เพ่ือ สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการ เรยี นรู้ โดยเทยี บกบั เกณฑ์ 80 /80 เปรยี บเทยี บคะแนนเฉล่ียของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน กับเกณฑ์ ที่ก้าหนด เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนและ เปรียบเทียบเจตคติ ต่อวิชา วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ท่ีเรยี นด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ความหลากหลาย ทางชีวภาพ ในคลองลา้ กง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ กลุ่มตวั อยา่ งทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาไดแ้ ก่ นกั เรียน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนบ้านยางลาด สงั กัดส้านกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2556 จ้านวน 1 ห้องเรียน มนี ักเรียน 17 คน เครอื่ งมือที่ใช้ในการ เกบ็ รวบรวมข้อมูล ไดแ้ ก่ 1) ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ 2) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น และ 3) แบบวัดเจตคติ สถิติท่ใี ช้ ในการวิเคราะห์ข้อมลู ได้แก่ คา่ เฉลีย่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน E1 / E2 และ t – test แบบก้าหนดเกณฑ์ และ t – test แบบ dependent ผลการศึกษา พบวา่ 1. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้มปี ระสิทธภิ าพสงู กวา่ เกณฑ์ทกี่ ้าหนดไว้ คอื 80 / 80 ทุกเร่ือง เฉล่ียเทา่ กบั 85.33/85.17 2. ผลการเปรียบเทยี บคะแนนเฉล่ยี ของผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ทเี่ รยี นด้วยชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ กับเกณฑ์ที่ก้าหนด ปรากฏว่าสงู กว่าเกณฑท์ ่กี ้าหนด อย่างมีนยั ส้าคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01 3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ท่ไี ดร้ ับการเรียนด้วยชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเกบ็ นา้ คลองลา้ กง หลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมนี ยั ส้าคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ .01 4. การเปรยี บเจตคติของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ทเ่ี รียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี น อย่างมนี ัยสา้ คญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .01
ง ABSTRACT The title The Development of a Series of Learning Activities for Biodiversity in the Khlong Lam-Gong Reservoir, Nong-Phai District, Phetchabun Province Researchers 1. Mrs. Kruawan Sangsoda 2. Assoc. Prof. Suwit Wannasri University Phetchbun Rajabhat University Published 2013 The purposes of this research were to 1) construct and performance the efficiency of a series of learning activities for Biodiversity in the Khlong Lam-Gong Reservoir, Nong-Phai District, Phetchabun Province by comparing with the set criterion score 80/80 2) compare the achievement before and after learning through a series of learning activities for Biodiversity 3) compare the Mattayomsuksa 3 students’ attitudes who learned through a series of learning activities. The sample group was one classroom with 17 Mattayomsuksa 3 students in Ban Yang-lard School under Phetchabun Primary Educational Service Area Office 1, in the semester 1 of academic year 2013. The research instruments for collecting the data were a series of learning activities for Biodiversity, the achievement tests and an attitude test. The data was analyzed by mean, standard deviations, E1/E2 one sample t-test and t-test dependent. The results were found as follows: 1. The efficiency of every series of learning activities for Biodiversity in the Khlong Lam-Gong Reservoir, Nong-Phai District, Phetchabun Province were higher than the set criterion score 80/80, the overall mean was 85.33/85.17 2. The comparison of average achievement of Mattayomsuksa 3 students in the Science Learning Department, who learned through a series of learning activities for Biodiversity was significantly higher than the set criterion score at .01. 3. The posttest achievement of Mattayomsuksa 3 students in the Science Learning Department which learned through a series of learning activities for Biodiversity was significantly higher than the pretest at .01.
จ 4.The comparison of Mattayomsuksa 3 students’ attitudes after learning through a series of learning activities for Biodiversity was significantly higher than the attitudes before learning at .01. Keyword : Activity Package
ช สารบญั หนา้ บทคัดยอ่ .......................................................................................................................................... ค กติ ตกิ รรมประกาศ.......................................................................................................................... ฉ สารบัญ............................................................................................................................................ ช สารบญั ตาราง................................................................................................................................. ฌ สารบัญภาพ ............................................................................................................................. ...... ฎ สารบญั แผนภูมิ............................................................................................................................. ฏ สารบัญภาคผนวก ......................................................................................................................... ฐ บทท่ี 1 บทนา........................................................................................................................... 1 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา....................................................................... 1 วตั ถปุ ระสงค์................................................................................................................. 4 สมมติฐาน.................................................................................................................... 4 ขอบเขตการวิจยั .......................................................................................................... 5 ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง......................................................................................... 5 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ......................................................................................................... 6 ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับจากการวจิ ัย...................................................................................... 7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วข้อง................................................................................ 8 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ..................................... 9 หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร.์ ................................................................. 12 การจดั การเรยี นรู้กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์..................................................... 19 แนวคิดและทฤษฎเี ก่ยี วกบั การสรา้ งชดุ กิจกรรม ......................................................... 26 เอกสารท่ีเก่ียวข้องกับชดุ กิจกรรมการเรียนรู้................................................................ 27 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน............................................................................................... 37 เอกสารทเี่ กี่ยวข้องกับเจตคติ ...................................................................................... 40 งานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วข้อง...................................................................................................... 41 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ............................................................................................. 44 บทท่ี 3 วธิ ดี าเนินการ............................................................................................................. 45 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง......................................................................................... 45 เครือ่ งมือท่ีใช้ในการศึกษา........................................................................................... 45
ซ สารบัญ (ตอ่ ) หน้า การสรา้ งและการหาคุณภาพของเคร่อื งมอื ............................................................ 46 แบบแผนการวิจยั ................................................................................................... 49 วิธดี าเนินการวิจยั ................................................................................................... 50 การวิเคราะห์ขอ้ มูล................................................................................................ 50 สถติ ิทใี่ ช้ในการวิจยั ............................................................................................... 51 บทที่ 4 ผลการวิจยั .......................................................................................................... 57 สัญลักษณใ์ นการวเิ คราะห์ข้อมลู .......................................................................... 57 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล.......................................................................................... 58 การทดสอบการแจกแจงของข้อมลู ..................................................................... 58 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู คุณภาพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยผู้เช่ยี วชาญ ......... 59 การวิเคราะห์ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี นโดยเทยี บกบั เกณฑ์ท่ีกาหนด ....... 61 การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรยี นและหลังเรยี น......................... 62 การเปรยี บเทยี บเจตคติของนักเรียน...................................................................... 63 บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ................................................................... 64 สรปุ ผล................................................................................................................... 64 อภิปรายผล............................................................................................................ 64 ข้อเสนอแนะ......................................................................................................... 67 บรรณานกุ รม.............................................................................................................................. 68 ภาคผนวก............................................................................................................................. ....... 74 รูปภาพกิจกรรมการวิจยั ........................................................................................................... 145 ประวตั ิผู้วจิ ยั ................................................................................................................................ 147
ฌ สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 1 แสดงผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านยางลาด ปีการศึกษา 2553 – 2554.......................................................... 3 2 แสดงการทดสอบการแจกแจงของขอ้ มูลโดยการใชส้ ถิติ Komogorov – Smirnov Test และ Shapiro - Wilk Test.................................................................................................. 58 3 แสดงคณุ ภาพของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โดยผู้เชีย่ วชาญ 5 ท่าน .............................................................. 59 4 แสดงผลการหาประสทิ ธภิ าพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง ความหลากหลาย ทางชีวภาพ ในอ่างเกบ็ น้าคลองลากง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนบา้ นหว้ ยสะแก ทไ่ี ม่ใช่กลมุ่ ตัวอยา่ ง ............................... 60 5 การวิเคราะห์ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นหลงั เรยี นโดยเทยี บกับเกณฑ์ที่กาหนด โดยกาหนดเกณฑ์ 30 คะแนน ......................................................................................... 61 6 การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรียน โดยใช้ ชดุ กจิ กรรม การเรยี นรใู้ นอ่างเกบ็ นา้ คลองลากง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนบ้านยางลาด ............................................................................................... 62 7 แสดงผลการเปรียบเทียบเจตคตขิ องนกั เรยี น ต่อการเรียนดว้ ยชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านยางลาด กล่มุ ตวั อย่าง 17 คน ........................................................................................................ 63 8 แสดงผลการพจิ ารณาความเหมาะสมของ ชุดกิจกรรมการเรียนร้เู รอื่ งความหลากหลาย ทางชวี ภาพในอ่างเก็บน้าคลองลากง................................................................................. 88 9 แสดงการหาประสิทธิภาพของชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง ความหลากหลายทาง ชีวภาพในอ่างเก็บนา้ คลองลากง ..................................................................................... 90 10 แสดงผลการหาความตรงเชงิ เน้อื หาโดยใช้ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้................................. 105 11 แสดงการหาค่าความยากงา่ ยและอานาจจาแนกของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ............................................................................. 107
ญ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ หนา้ 12 แสดงคะแนนผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น หลงั เรียนดว้ ยชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ งความหลากหลายชีวภาพอา่ งเก็บน้าคลองลากง ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 จานวน 17 คน โดยเทยี บกับเกณฑ์ทก่ี าหนด คือคะแนนเฉล่ีย 30 คะแนน ................ 111 13 แสดงการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ก่อนเรยี นและหลงั เรยี นด้วยชดุ กิจกรรม การเรยี นรู้ เรือ่ งความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเก็บนา้ คลองลากง ชั้นมธั ยมศกึ ษา ปที ่ี 3 จานวน 17 คน .................................................................................................. 112 14 แสดงการวิเคราะห์แบบวัดเจตคติ เพื่อหาความตรงเชิงเนอื้ หา โดยใช้ดชั นี ความสอดคล้อง (IOC) ................................................................................................... 117 15 แสดงการหาค่าอานาจจาแนกของแบบวัดเจตคติต่อวชิ าวิทยาศาสตร์ ท่ีเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ................................................................................... 118
ฎ สารบัญภาพ ภาพ หนา้ ภาพกจิ กรรมการวิจยั 145
ฏ สารบญั แผนภูมิ แผนภูมิท่ี แสดงองคป์ ระกอบทสี่ าคัญของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ หน้า แสดงกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั 1 แสดงผลการเปรยี บเทียนคะแนนกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น 31 2 44 3 62
ฐ สารบัญภาคผนวก หนา้ ภาคผนวก ................................................................................................................................... 74 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชีย่ วชาญ......................................................................... 75 ภาคผนวก ข การหาค่าประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 89 92 เรอื่ ง ความหลากหลายทางชีวภาพอ่างเก็บนา้ คลองลากง .............. ภาคผนวก ค การหาคณุ ภาพข้อทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน 110 115 ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้เรอ่ื งความหลากหลายทางชวี ภาพ 121 ในอา่ งเก็บคลองลากง...................................................................... 123 ภาคผนวก ง การเปรยี บเทยี นคะแนนเฉล่ยี ของผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยเทยี บกับเกณฑ์ท่กี าหนด การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นก่อนเรยี นและ หลังเรยี น ดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้เรอ่ื งความ หลากหลายทางชวี ภาพ ในอ่างเก็บนา้ คลองลากง .............................................................. ภาคผนวก จ การหาคุณภาพของแบบวัดเจตคติ ................................................ ภาคผนวก ฉ ผลการเปรยี บเทยี บเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตรข์ องนักเรยี น ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3 ทีเ่ รยี นดว้ ย ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่อง ความหลากหลายทางชวี ภาพ ในคลองลากง........................... ภาคผนวก ช การเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั ชุดกิจกรรมการเรียนรอู้ า่ งเกบ็ น้า คลองลากง........................................................................................
บทท่ี 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา จากยทุ ธศาสตรก์ ารวจิ ยั ของชาติ ฉบับท่ี 8 (พ.ศ.2555-2559) รวม 5 ยุทธศาสตร์ ได้กาหนดยุทธศาสตร์ การวิจัยท่ี 4 การอนุรักษ์ เสริมสร้างและพัฒนาทุนทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม กลยุทธ์การวิจัยที่ 1 บริหารจัดการและการใช้ประโยชน์ทรัพยากร ธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อมอย่างย่ังยืน การวิจัยเกี่ยวกับ การพัฒนาองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและ การใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน (สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2553 : 26-28) วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์ เก่ียวข้องกับชีวิตของทุกคน ทั้งในการดารงชีวิตประจาวันและในงานอาชีพต่าง ๆ เคร่ืองมือ เครื่องใช้เพ่ืออานวยความสะดวกในชีวิตประจาวันและในการทางาน ล้วนเป็นผลของความรู้ วทิ ยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคดิ สร้างสรรคแ์ ละศาสตรอ์ ่นื ๆ วิทยาศาสตร์ทาให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะสาคัญ ในการค้นคว้าหา ความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลาย และประจักษ์พยานท่ีตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเป็นสังคมแห่ง การเรียนรู้ (Knowledge Based Society) ดังน้ันทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้ วทิ ยาศาสตร์ (Scientific literacy for all) เพ่ือทจ่ี ะมีความรู้ความเข้าใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยี ท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน สามารรถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551 : 1) พระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศักราช 2542 มาตรา 22 ระบุวา่ การจดั การศกึ ษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่า ผู้เรียนมีความสาคัญท่สี ดุ กระบวนการจดั การศกึ ษา ต้องส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี น สามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเตม็ ตามศักยภาพ มาตรา 24 ระบวุ ่า การกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศกึ ษาและ หนว่ ยงานทเี่ กี่ยวข้องดาเนินการดงั ตอ่ ไปนี้ 1. จัดเน้อื หาสาระและกจิ กรรมใหส้ อดคล้องกับความสนใจ และความถนดั ของผเู้ รียน โดยคานงึ ถึงความแตกตา่ งระหว่างบุคคล 2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ ความรู้มาใช้เพือ่ ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา
2 3. จัดกิจกรรมให้ผเู้ รียน ได้เรียนร้จู ากประสบการณ์จริง ฝกึ การปฏิบัตใิ หท้ าได้ คดิ เปน็ ทาเปน็ รักการอา่ นและการเกดิ การใฝ่รู้อยา่ งต่อเน่ือง 4. จัดการเรยี นการสอนโดยผสมผสานสาระความรดู้ า้ นต่าง ๆ อยา่ งไดส้ ัดส่วนสมดุลกัน รวมทงั้ ปลกู ฝงั คุณธรรม คา่ นิยมทด่ี งี ามและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ไวใ้ นทุกวิชา 5. สง่ เสริมสนับสนนุ ใหผ้ สู้ อนสามารถจดั บรรยากาศสภาพแวดลอ้ ม สอื่ การเรียน และ อานวยความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ และมคี วามรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้วจิ ัยเป็น ส่วนหนึ่ง ของกระบวนการเรียนรู้ ท้งั นี้ ผสู้ อนและผเู้ รยี นอาจเรยี นรไู้ ปพร้อมกัน จากสือ่ การเรียนการ สอน และแหล่งวทิ ยาการประเภทตา่ ง ๆ 6. จดั การเรียนรใู้ หเ้ กิดขึ้นได้ทุกเวลา ทกุ สถานที่ มกี ารประสานความรว่ มมือกับบดิ า มารดา ผู้ปกครอง และบคุ คลในชุมชนทกุ ฝ่าย เพ่ือร่วมกันพฒั นาผู้เรยี นตามศักยภาพ (ราชกิจจานุเบกษา 2545 : 12 – 14) จากหลักการของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 2551 เป็นหลักสูตรการศึกษา เพ่ือพัฒนาเด็กและเยาวชน ให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐานของความเป็นไทย ควบคู่กับความเป็นสากล โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และมีจุดมุ่งหมาย ให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต มุ่งให้ ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ ได้แก่ ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเผชิญได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและ ข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหา ความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพ โดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดาเนิน ชีวิตประจาวัน การเรียนรู้อย่าง ต่อเน่ือง การทางาน การอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในสังคม การ จัดการปัญหาและความขัดแย้งตา่ ง ๆ อยา่ งเหมาะสม (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 3 - 4) ในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คือการมุ่งเน้นให้ครูผู้สอนจัดการเรียนการ สอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองเต็มตาม ศักยภาพ และครูผู้สอนต้องประเมินผลการเรียนรู้ ของผู้เรียนควบคู่ไปการเรียนการสอน โดย พิจารณาจากพฒั นาการของผู้เรียนเปน็ หลัก (สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2552 : 29) การจดั การเรยี นรทู้ เ่ี นน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคญั ผเู้ รียนจะต้องอาศยั กระบวนการเรียนรู้ ที่หลากหลาย เป็นเครื่องมือท่ีจะนาพาตนเองไปสู่เป้าหมาย และบรรลุตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง กระบวนการเรยี นรทู้ ่ีจาเป็นสาหรับผู้เรียน เช่น กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้าง ความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และแก้ปัญหา
3 กระบวนการเรยี นรู้ จากประสบการณ์จรงิ กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทาจริง กระบวนการเรียนรู้ของ ตนเอง กระบวนการเหล่าน้ีเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ ท่ีผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา เพราะจะสามารถชว่ ยให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรไู้ ดด้ ี ดังน้ัน ผสู้ อนจึงจาเป็นต้องศึกษาทาความเข้าใจใน กระบวนการเรียนรูต้ า่ ง ๆ เพอ่ื ให้สามารถเลือกใชใ้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ จากการจัดการเรยี นการสอนเรื่องโครงงานวิทยาศาสตรข์ องนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษา ปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านยางลาด เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตในคลองลากง พบว่า สิง่ มชี วี ิตไดล้ ดจานวนลงเปน็ จานวนมากทาใหส้ ่มุ เสี่ยงในการสญู พันธ์ุของสัตว์บางชนิด และโรงเรียนยัง ขาดส่ือการจัดการเรียนการสอน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เก่ียวกับความหลายทาง ชีวภาพในท้องถิ่น จึงส่งผลให้นักเรียน มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่ากว่าเป้าหมายท่ีกาหนด อีกท้ัง เพ่ือปลูกฝงั ใหน้ ักเรียนไดเ้ ลง็ เหน็ คณุ ค่าของ ความหลากหลายทางชวี ภาพ ไม่ให้ส่งิ มชี วี ิตสูญพนั ธ์ุ จากสาเหตุสาคัญต่าง ๆ ข้างต้น ผู้วิจัยและคณะซ่ึงอยู่ในพ้ืนที่ดังกล่าว และ มีหน้าที่ สาคญั ในการศึกษาค้นควา้ หาองคค์ วามรู้วิทยาศาสตร์จากแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น มาเผยแพร่ความรู้แก่ ชุมชนในท้องถ่ิน จึงสนใจที่จะวิจัย โดยจัดทา แผนงานวิจัย ความหลากหลายทางชีวภาพ ในอ่างเก็บ น้าคลองลากง อาเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ จึงได้พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ความ หลากหลายทางชีวภาพ ในอ่างเก็บน้าคลองลากง อาเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพ่ือเป็นส่ือ นวตั กรรมทางการศกึ ษาทสี่ ามารถเป็นองคค์ วามรู้ใหก้ บั นักเรียน อย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นการเผยแพร่ องค์ความรู้ การอนุรกั ษ์ ส่ิงมีชวี ิตท่ีหลากหลายทางชวี ภาพ รายงานผลการวิจัยของแผนงานการวิจัยน้ี จะเป็นข้อมูล พ้ืนฐานความรู้ในการวิจัยเชิงประยุกต์ และการศึกษาค้นคว้าในสถาบันการศึกษา ตา่ งๆได้ จากการวเิ คราะหผ์ ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ช้นั มธั ยม ศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านยางลาด สานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ปกี ารศึกษา 2553 – 2554 พบว่าเปน็ วิชาทน่ี กั เรยี นมผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นต่า ดงั ตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นยางลาด ปกี ารศึกษา 2553- 2554 ปีการศกึ ษา ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนกลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ เปา้ หมายของโรงเรียน เฉล่ยี รอ้ ยละ ร้อยละ 2553 67.62 75 2554 68.54 75 ท่ีมา : สารสนเทศงานวิชาการโรงเรยี นบา้ นายางลาด ปีการศึกษา 2554 - 2555
4 จากตารางท่ี 1 พบวา่ ในปกี ารศึกษา 2553 – 2554 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียน ในกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เท่ากบั 67.62 และ 68.54 ซึ่งตา่ กวา่ เป้าหมายที่กาหนด ชุดกิจกรรมเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้เกิดทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะชุดกิจกรรมเป็นนวัตกรรมที่ประมวลเนื้อหา ประสบการณ์ แนวคิด วิธีการ กิจกรรม และส่ือได้อย่างสอดคล้องกัน และอา่ งเกบ็ น้าคลองลากงเป็นแหล่งเรยี นรู้ ในท้องถิน่ ทีส่ าคัญทีค่ วรใหน้ ักเรียนได้ศกึ ษาเรยี นรู้ และอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติในชุมชน ผูว้ ิจัยจึง ไดพ้ ัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพในอ่างเก็บน้าคลองลากง เพื่อให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามวตั ถุประสงค์หลังจากที่ได้เรียนรู้ สามารถพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสร้างเจตคติท่ีดีต่อวิทยาศาสตร์ เกิดการเรียนรู้อย่างมี ความสุข สง่ ผลใหน้ ักเรียนมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นสงู ขนึ้ วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรือ่ งความหลากหลาย ทางชีวภาพในคลองลากง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ โดยเทียบกบั เกณฑ์ 80 /80 2. เพอื่ เปรยี บเทียบคะแนนเฉลย่ี ของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน กล่มุ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ท่เี รยี นดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่อง ความหลากหลายทาง ชีวภาพ กับเกณฑ์ท่กี าหนด 3. เพ่อื เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนบ้านยางลาด สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ก่อนและหลงั เรียน ด้วยชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง ความหลากหลายทางชีวภาพ ในคลองลากง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบรู ณ์ 4. เพอ่ื เปรียบเทียบเจตคติ ต่อวชิ าวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 ทีเ่ รยี นด้วย ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ ในคลองลากง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบรู ณ์ สมมติฐาน 1. คะแนนเฉล่ียของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ของนักเรียน ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 ท่ีเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ อ่างเกบ็ น้าคลองลากง มคี ะแนน เฉล่ยี สงู กว่า 30 คะแนน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เร่ือง ความหลากหลายทางชีวภาพ ในอ่างเก็บน้า คลองลากง ทีไ่ ดร้ ับการเรยี นด้วยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี น
5 3. เจตคติของนกั เรยี นทม่ี ตี อ่ วชิ าวิทยาศาสตรข์ องนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ท่เี รยี นโดยใช้ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่อื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพหลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียน ขอบเขตการวิจยั 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรเป็นนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 กลมุ่ หว้ ยสะแก - ระวงิ สานกั งาน เขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 กลุ่มตัวอยา่ ง กลมุ่ ตวั อยา่ งเป็นนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านยางลาด ที่กาลงั เรียนอยู่ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2556 จานวน 1 ห้องเรยี น มนี กั เรยี น 17 คน ซึ่ง ไดม้ าดว้ ยการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) 2. ขอบเขตด้านตวั แปร ตัวแปรตน้ ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง ความหลากหลายทางชวี ภาพ ในอา่ งเก็บนา้ คลองลากง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ตัวแปรตาม 1. คะแนนเฉลยี่ ของผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของของนักเรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ท่ีเรยี นดว้ ยชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ อ่างเก็บน้าคลองลากง 2.ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรียน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ ในอ่างเก็บ นา้ คลองลากง 3. เจตคตขิ องนกั เรียนทมี่ ตี อ่ วิชาวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 3. ขอบข่ายเน้อื หาสาระการเรียนรู้ ในการวิจัยครัง้ นใ้ี ช้เนื้อหา ชดุ กิจกรรมการเรียนร้คู วามหลากหลายทางชีวภาพ กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 4. ขอบเขตด้านระยะเวลาที่วิจัย 1 ปี ( ตุลาคม 2555 – กันยายน 2556) ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการทดลอง ดาเนนิ การในภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2556 ใชเ้ วลา 5 สัปดาห์ ๆ ละ 3 ช่ัวโมง รวม 15 ชัว่ โมง
6 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 1. ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ หมายถึง สอื่ ประกอบการเรยี นรู้เพ่ือใช้ในกิจกรรมการ เรียนรู้ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่ผู้วจิ ัยสรา้ งขึ้น ตามสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง ความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเก็บนา้ คลองลากง จานวน 4 เรอ่ื ง ได้แก่ 1. ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวติ 2. ความหลากหลายของพชื และสตั ว์ 3. ความหลากหลายของพืชและสตั ว์อา่ งเก็บนา้ คลองลากง 4. ระบบนิเวศ 2. การเรยี นดว้ ยชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้อา่ งเกบ็ นา้ คลองลากง หมายถงึ การจดั กจิ กรรม การเรียนรู้ด้วยกระบวนการสบื เสาะหาความรโู้ ดยใชช้ ุดกจิ กรรมเป็นสอื่ ในการจัดการเรียนการรู้ 3. ประสทิ ธิภาพของเอกสารประกอบการเรยี น หมายถงึ ประสิทธภิ าพของ กระบวนการกับประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ ตามเกณฑ์ 80 / 80 80 ตวั แรก หมายถึง ค่าเฉลยี่ ของผลรวมของคะแนนทนี่ กั เรยี นท้งั หมดแบบฝึกหัด ระหวา่ งเรยี น คดิ เปน็ รอ้ ยละ 80 ขึ้นไปซ่ึงเป็นประสิทธภิ าพ ของกระบวนการ 80 ตวั หลงั หมายถงึ ค่าเฉล่ียของผลรวมของคะแนนท่ีนกั เรียนทั้งหมด ทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิหลงั เรยี น คดิ เปน็ รอ้ ยละ 80 ขึ้น ไปซ่งึ เป็นประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ 4. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น หมายถึง คะแนนจากการทาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 ซง่ึ เปน็ แบบทดสอบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 40 ขอ้ ทผ่ี ู้วิจยั สรา้ งข้ึน 5. เจตคติต่อวชิ าวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรสู้ กึ ชอบหรอื ไม่ชอบของนักเรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ทม่ี ีตอ่ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้อา่ งเก็บน้าคลองลา กง ทผ่ี วู้ จิ ยั สร้างขึ้น 6. อา่ งเกบ็ นา้ คลองลากง หมายถึง อ่างเก็บน้าในพื้นท่ี หมู่ 5 ตาบลวงั ท่าดี อาเภอ หนองไผ่ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ เปน็ โครงการ เพื่อสนองพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ในการเพ่ิมแหล่งเก็บกักน้าในบริเวณตน้ นา้ เหนอื เขอื่ นปา่ สักชลสทิ ธ์ิ เป็นแหล่งเก็บกักน้าสาหรับการ อุปโภค-บริโภค เกษตรกรรม และการบรรเทาอุทกภัยในช่วงฤดูน้าหลากของพน้ื ท่ีตามแนวสองฝ่งั ลา น้าคลองลากง และพ้ืนท่ฝี ัง่ ซ้ายของแม่น้าป่าสักในเขตอาเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบรู ณ์
7 ประโยชน์ท่ีได้รับจากการวิจัย ผลทมี่ ตี ่อนกั เรียน 1. ผลการวจิ ัยครงั้ นท้ี าให้ได้ นวัตกรรม คอื ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรื่อง ความหลากหลาย ทางชวี ภาพอา่ งเกบ็ น้าคลองลากง เพื่อใชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ไวใ้ ชศ้ กึ ษาหาความรู้ที่นักเรียนสามารถศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง ซงึ่ จะทาให้นกั เรยี นมีความรูค้ วามเขา้ ใจในการเรยี นมากข้นึ 2. เปน็ การส่งเสริมใหน้ ักเรยี นมีทักษะในการค้นคว้าหาความร้ดู ้วยตนเอง และนกั เรียน เกดิ การเรียนรู้อยา่ งถาวร เปิดโอกาสให้นกั เรยี นได้ฝกึ ความรับผดิ ชอบต่อตนเองและสังคม 3. ได้จดั กจิ กรรมเสรมิ หลกั สูตรสาระทอ้ งถ่ิน กระตุ้นใหน้ ักเรยี นได้ตระหนักในการอนุรักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มในท้องถนิ่ ของตนเอง 4. นักเรยี นไดเ้ รยี นร้นู อกหอ้ งเรยี น เนน้ การปฏบิ ัติจริง โดยใช้แหล่งเรยี นรู้ในทอ้ งถ่ินให้ เกดิ ประโยชน์สูงสุด 5. นักเรยี นนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2556 โรงเรยี น บ้านยางลาด ได้พฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นให้สูงข้ึน และสรา้ งเจตคติที่ดีต่อการเรียน กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ผลที่มตี ่อครู 1. ทาให้ครูมีนวัตกรรม ใชส้ าหรบั จดั กิจกรรมการเรยี นการรู้ คอื ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง ความหลากหลายทางชวี ภาพอา่ งเก็บน้าคลองลากง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ท่ีมปี ระสทิ ธิภาพ ไว้จัดกิจกรรมการเรียนการรู้ ทาใหส้ ามารถพัฒนา ประสิทธภิ าพการเรียนการสอนให้สูงขน้ึ 2. ช่วยลดบทบาทครู ในการสอนเน้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั ให้นักเรียนเรยี นรู้โดยใชท้ กั ษะ การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 3. เป็นแนวทางแกค่ รู ในการสรา้ งและใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ในเน้อื หาอืน่ ๆ และ สาระการเรียนรู้อืน่ ๆ ต่อไป
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกยี่ วข้อง การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ในอ่างเก็บน้าคลอง ลา้ กง อ้าเภอหนองไผ่ จังหวดั เพชรบูรณ์ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ผ้วู จิ ัย ไดท้ ้าการศึกษาเอกสาร แนวคิด หลกั การทฤษฎี และงานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้อง ตามลา้ ดับ ดงั นี้ 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 2. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 3. การจัดการเรียนรู้กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 4. ทฤษฎีและแนวคดิ เกีย่ วกับการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 5. เอกสารท่เี กยี่ วข้องกบั ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ 6. เอกสารทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 7. เอกสารทีเ่ กยี่ วข้องกบั เจตคติ 8. งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 9. กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
9 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน ได้ก้าหนดวสิ ยั ทัศน์ หลักการ มาตรฐาน การเรยี นรไู้ วด้ งั นี้ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551 : 3 - 5) 1. วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นก้าลงั ของชาติให้เปน็ มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตส้านึกในความเปน็ พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดม่นั ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมขุ มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จา้ เปน็ ต่อการศึกษาต่อ การประกอบ อาชพี และการศึกษาตลอดชวี ิต โดยมุ่งเน้นผ้เู รียนเป็นสา้ คัญบนพ้นื ฐานความเชื่อวา่ ทุกคนสามารถ เรยี นรู้และพัฒนาตนเองไดเ้ ต็มตามศักยภาพ 2. หลักการ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน มีหลกั การท่ีสา้ คัญ ดงั น้ี 2.1 เป็นหลักสตู รการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรยี นรู้ เป็นเปา้ หมายส้าหรบั พฒั นาเด็กและเยาวชนให้มคี วามรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบน พ้นื ฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2.2 เป็นหลักสตู รการศึกษาเพื่อปวงชน ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาค และมีคุณภาพ 2.3 เป็นหลกั สตู รการศึกษาที่สนองการกระจายอ้านาจ ให้สังคมมีสว่ นรว่ มในการ จดั การศกึ ษา ให้สอดคลอ้ งกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถน่ิ 2.4 เป็นหลกั สตู รการศึกษาท่ีมโี ครงสรา้ งยดื หยนุ่ ทง้ั ด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ การจัดการเรียนรู้ 2.5 เปน็ หลกั สตู รการศึกษาที่เนน้ ผเู้ รยี นเป็นสา้ คัญ 2.6 เป็นหลกั สูตรการศึกษาส้าหรบั การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทกุ กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์ 3. มาตรฐานการเรยี นรู้ การพัฒนาผเู้ รยี นให้เกิดความสมดลุ ต้องค้านงึ ถึงหลักพฒั นาการทางสมองและ พหุปญั ญา หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน จงึ ก้าหนดใหผ้ ู้เรียนเรยี นรู้ 8 กลมุ่ สาระ การเรียนรู้ ดังนี้ 3.1 ภาษาไทย 3.2 คณิตศาสตร์ 3.3 วิทยาศาสตร์
10 3.4 สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 3.5 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 3.6 ศิลปะ 3.7 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 3.8 ภาษาตา่ งประเทศ จากที่กลา่ วมาแลว้ สรุปได้ว่า หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ไดก้ ้าหนดวิสัยทัศน์มุง่ พัฒนาผ้เู รียนทุกคนให้มีความรู้ มีคุณธรรม และมจี ติ ส้านึกในความเป็น พลเมืองไทย ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข โดยมี การหลกั การทีส่ ้าคัญคือ เปน็ หลักสูตรเพื่อความเปน็ เอกภาพของชาติ เน้นพัฒนาเด็กและเยาวชน ให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม และก้าหนดใหผ้ เู้ รียนเรยี นรู้ 8 กลุ่มสาระ 4. ตวั ชว้ี ดั /เป้าหมายการเรียนรู้ จากการศึกษาเกยี่ วกบั ตัวชวี้ ดั ไดม้ หี นว่ ยงาน นักการศกึ ษาให้ความส้าคญั และ ประเภทของตัวชว้ี ัด ไวด้ งั นี้ (กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 62- 63) เป็นการด้าเนนิ งานท่บี ูรณาการ ในกระบวนการเรยี นการสอน ผลที่ไดจ้ ากการประเมนิ ในชน้ั เรียน จะสะท้อนถึงการจดั การเรยี นการ สอนของผ้สู อน และการเรียนรขู้ องผเู้ รียน ดงั นัน้ การประเมินในชน้ั เรยี น จงึ มีความสา้ คัญต่อการ พฒั นาคุณภาพการเรียนของผเู้ รยี น ต้ังแตก่ ารทา้ ความเข้าใจกบั มาตรฐาน/ตวั ช้วี ดั ซ่ึงเปน็ เปา้ หมาย การเรียนรู้ เปา้ หมายการเรยี นรูแ้ ละตวั ช้ีวดั แบ่งไดเ้ ป็น 3 ดา้ น ได้แก่ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) และด้านเจตคติ (A) ตวั ชวี้ ัดจึง สะท้อนว่าสิ่งที่จะวัดและประเมินน้ัน จัดเปน็ เปา้ หมาย ประเภทใด การรู้และเขา้ ใจอย่างถ่องแท้วา่ ตวั ช้วี ดั เป็นเป้าหมายการเรียนรู้ประเภทใด จะทา้ ใหผ้ สู้ อน สามารถออกแบบหน่วยการเรียนรูห้ รือแผนการสอน กา้ หนดกจิ กรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการประเมนิ ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ เพราะผู้สอนจะไดภ้ าพท่บี ่งช้ีชดั เจนข้นึ วา่ ผู้เรียนควรรู้อะไร ท้าอะไรได้ นอกจากน้ี (Stigging 2005, อ้างถึงใน กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 62 – 63) ไดจ้ ดั เป้าหมายการ เรียนร้เู ป็น 5 ดา้ นประกอบด้วย 4.1 เปา้ หมายด้านความร้คู วามเข้าใจ (Knowledge and Understanding Targets) เป็นเป้าหมายเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเนื้อหา ได้แก่ ข้อเท็จจริง เหตุการณ์ กรอบ ความคิด กฎเกณฑ์ หลักการตลอดจนความรู้ว่ากระบวนการ วิธีการ ข้ันตอนกล่าวไวว้ ่าอย่างไร ค้าส้าคัญที่บ่งบอกเป้าหมายด้านน้ีได้แก่ อธิบาย เข้าใจ พรรณนา ระบุ บอก บอกชื่อ บอกรายการ นิยาม จบั คู่ เลือก จา้ ระลกึ ไดเ้ ปน็ ต้น 4.2 เปา้ หมายด้านการคิดอย่างเปน็ เหตุเป็นผล (Reasoning Targets) เป็นเป้าหมาย ที่เกี่ยวกับความสามารถในการคดิ โดยก้าหนดใหต้ ้องใช้ความรู้มาแก้ปัญหา ความรู้นี้จะได้มาจากการคิด อย่างลึกซ้ึง คิดด้วยรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การวิเคราะห์ เปรียบเทียบความเหมือนความแตกต่าง
11 สังเคราะห์ จัดประเภท อุปนัย นิรนัย ตัดสิน ประเมินค่า เม่ือคิดแล้วต้องแสดงออกมาให้เห็นว่า รู้ โดยผ่านผลผลิตท่ีเป็นได้ท้ังชิ้นงาน หรือการกระท้า ผลผลิตท่ีเป็นชิ้นงาน เช่น ประเด็นค้าถาม ปลายเปิดท่ีผู้เรียนสร้างข้ึน เพื่อสอบถามความคิดเห็น หรือการท้า คือสาธิตให้ดู ฉะนั้น เครื่องมือ ประเมินประเภทเลือกตอบ เช่น ข้อสอบแบบเลือกตอบไม่เพียงพอที่จะบอกได้ถึงกระบวนการคิด รปู แบบต่าง ๆ ข้างตน้ 4.3 เป้าหมายดา้ นทกั ษะปฏบิ ตั ิ เปน็ เปา้ หมาย ทเ่ี ก่ยี วกับความสามารถในการปฏิบตั ิ หรือใช้วิธีการต่าง ๆ ได้ดี เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ท่ีย่ังยืน การประเมินการปฏิบัติ มักประเมินผ่านการ เห็นหรือได้ยินค้าส้าคัญที่บ่งบอกเป้าหมายด้านน้ี ได้แก่ สังเกต ทดลอง แสดง ท้า ตั้งค้าถาม ประพฤติ ท้างาน ฟัง อ่าน พูด ประกอบ ปฏิบัติ ใช้ สาธิต วัด ส้ารวจ เป็นแบบอย่าง รวบรวม การจะมที กั ษะการปฏิบัติไดจ้ ะต้องผ่านเปา้ หมายด้านความรู้มาก่อนเสมอ และในหลายกรณี ตอ้ งผ่านเป็นหมายด้านการให้เหตผุ ลด้วย 4.4 เป้าหมายดา้ นการผลิต เปน็ เปา้ หมายทเ่ี กีย่ วกับความสามารถในการใชค้ วามรู้ การคิด ทักษะ เพื่อสร้างผลผลิตสุดท้ายท่ีมีคุณภาพและเป็นรูปธรรม เช่น งานเขียน ชิ้นงานศิลปะ รายงาน แผน แบบจ้าลอง เป็นต้น ค้าส้าคัญท่ีบ่งบอกเป้าหมายน้ี ได้แก่ ออกแบบ ท้า สร้าง ผลิต พฒั นา เขยี น วาด ทา้ แบบจ้าลอง จัดนิทรรศการ จัดแสดง 4.5 เป้าหมายด้านจิตนิสัย เป็นเป้าหมายท่ีมิใช่ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ แต่เป็นสถานะ ทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก เช่น ทัศนคติตอ่ ส่ิงตา่ ง ๆ ความมน่ั ใจในตนเอง แรงจงู ใจ เป็นต้น จากที่กลา่ วมาแล้วสรปุ ได้ว่า การวัดผลประเมินผลการเรยี นรู้ต้องวัดตามตัวชีว้ ดั หรือ เป้าหมายการเรียนรู้ แบ่งออกเปน็ หลายด้านได้แก่ ดา้ นความรคู้ วามเข้าใจ การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ด้านทักษะปฏบิ ัติ และด้านจิตนสิ ยั
12 หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 22 ระบุว่า การจัดการศึกษา ต้องยดึ หลักวา่ ผเู้ รียนทุกคนมีความสามารถเรียนรูแ้ ละพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความส้าคัญ ที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ในสว่ นของการเรยี นรูด้ ้านวิทยาศาสตร์นั้น ต้องให้เกิดทั้งความรู้ ทักษะ และจิตวิทยาศาสตร์ อีกท้ัง ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และจติ วทิ ยาศาสตร์ ในการสบื เสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา และ เขา้ ใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คมและสง่ิ แวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ในที่นี้ผู้วิจัยขอ น้าเสนอเก่ียวกับหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ดังน้ี (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร 2551 : 1 – 33) 1. หลักการและเหตุผล วิทยาศาสตร์มีบทบาทส้าคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์ เก่ียวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจ้าวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือ เคร่ืองใช้และผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออ้านวยความสะดวกในชีวิตและการท้างาน เหล่านี้ล้วน เป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อ่ืน ๆ วิทยาศาสตร์ช่วย ให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะ สา้ คญั ในการค้นคว้าหาความรู้ มคี วามสามารถในการแกป้ ญั หาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดย ใช้ขอ้ มูลท่หี ลากหลายและมีประจกั ษพ์ ยานท่ตี รวจสอบได้ วทิ ยาศาสตร์เป็นวฒั นธรรมของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเปน็ สงั คมแหง่ การเรยี นรู้ (Knowledge-Based Society) ดงั นน้ั ทกุ คน จึงจ้าเปน็ ต้องไดร้ บั การพัฒนาให้รวู้ ทิ ยาศาสตร์ เพ่อื ท่จี ะมีความรคู้ วามเขา้ ใจในธรรมชาติ และเทคโนโลยีที่มนษุ ยส์ ร้างสรรคข์ น้ึ สามารถนา้ ความรู้ไปใชอ้ ย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมคี ุณธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการ เช่ือมโยงความรกู้ ับกระบวนการ มที กั ษะสา้ คัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการ ในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุก ขั้นตอน มีการท้ากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้ัน โดยได้ กา้ หนดสาระสา้ คัญไว้ดังน้ี ส่ิงมชี วี ิตกับกระบวนการดารงชีวิต สิง่ มชี วี ิต หนว่ ยพน้ื ฐานของสงิ่ มีชีวติ โครงสร้างและ หน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต และกระบวนการด้ารงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การ
13 ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การท้างานของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลาย ของสิ่งมชี ีวติ และเทคโนโลยชี ีวภาพ ชีวิตกับส่ิงแวดล้อม ส่ิงมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ ส่งิ แวดล้อม ความสมั พันธ์ของสิง่ มชี วี ิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ความส้าคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การ ใชแ้ ละจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลก ปัจจัยท่ีมีผลต่อการอยู่รอดของ ส่งิ มีชวี ิตในสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ สารและสมบัติของสาร สมบัติของวัสดุและสาร แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การ เปลีย่ นสถานะ การเกดิ สารละลายและการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมขี องสาร สมการเคมี และการแยกสาร แรงและการเคลื่อนท่ี ธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์ การ ออกแรงกระท้าต่อวัตถุ การเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทาน โมเมนต์การเคล่ือนท่ีแบบต่าง ๆ ใน ชวี ิตประจา้ วัน พลงั งาน พลังงานกับการด้ารงชวี ิต การเปล่ยี นรูปพลงั งาน สมบัติและปรากฏการณ์ของ แสง เสียง และวงจรไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กัมมันตภาพรังสีและปฏิกิริยานิวเคลียร์ ปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งสารและพลงั งานการอนุรักษ์พลงั งาน ผลของการใช้พลงั งานต่อชวี ิตและสิง่ แวดลอ้ ม กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทาง ธรณี สมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการ เปล่ียนแปลงของเปลือกโลก ปรากฏการณ์ทางธรณี ปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงของบรรยากาศ ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ววิ ัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏิสัมพันธ์และ ผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก ความสัมพันธ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ความส้าคัญของเทคโนโลยี อวกาศ ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะ หาความรู้ การแกป้ ญั หา และจติ วิทยาศาสตร์ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ส่งิ มชี วี ติ กบั กระบวนการดารงชีวติ มาตรฐาน ว 1. 1 เขา้ ใจหนว่ ยพ้นื ฐานของส่งิ มีชวี ิต ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าทขี่ อง ระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ท้างานสัมพันธ์กัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สอื่ สารสิ่งทเี่ รียนรแู้ ละนา้ ความรู้ไปใชใ้ นการดา้ รงชีวติ ของตนเองและดแู ลสงิ่ มีชีวิต มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความส้าคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่
14 มีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และ จิตวิทยาศาสตร์ สอ่ื สาร ส่ิงทีเ่ รียนรู้ และน้าความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 2 ชวี ิตกับส่ิงแวดล้อม มาตรฐาน ว 2. 1 เข้าใจส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับส่ิงมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจติ วิทยาศาสตรส์ อ่ื สารสง่ิ ทเี่ รยี นรแู้ ละน้าความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความส้าคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในระดับ ท้องถ่นิ ประเทศ และโลกน้าความรู้ไปใช้ในในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สงิ่ แวดล้อมในท้องถิน่ อย่างยง่ั ยืน สาระท่ี 3 สารและสมบตั ิของสาร มาตรฐาน ว 3. 1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้างและแรง ยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สอ่ื สารสง่ิ ทเี่ รียนรู้ น้าความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิด สารละลาย การเกดิ ปฏิกริ ิยา มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสง่ิ ทเ่ี รียนรู้ และนา้ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระท่ี 4 แรงและการเคลื่อนที่ มาตรฐาน ว 4. 1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่ือสารส่ิงท่ีเรียนรู้และน้าความรู้ไปใช้ประโยชน์ อย่างถูกต้องและมีคณุ ธรรม มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจลักษณะการเคลอื่ นทแี่ บบตา่ งๆ ของวัตถุในธรรมชาติมกี ระบวนการ สบื เสาะหาความรแู้ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสิ่งท่เี รยี นรูแ้ ละน้าความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ สาระท่ี 5 พลังงาน มาตรฐาน ว 5. 1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการด้ารงชีวิต การเปล่ียนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและ สิ่งแวดล้อม มีกระบวน การสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งท่ีเรียนรู้และ น้าความรู้ไปใช้ประโยชน์
15 สาระท่ี 6 กระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และ สณั ฐานของโลก มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรแู้ ละจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารสิ่งที่ เรียนรูแ้ ละนา้ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ 7 ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ มาตรฐาน ว 7. 1 เข้าใจวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซีและเอกภพการปฏิสัมพันธ์ภายใน ระบบสุริยะและผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และ จติ วิทยาศาสตร์ การสือ่ สารส่งิ ทีเ่ รยี นรูแ้ ละนา้ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 7.2 เข้าใจความส้าคัญของเทคโนโลยีอวกาศท่ีน้ามาใช้ในการส้ารวจอวกาศและ ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการเกษตรและการสื่อสาร มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งท่ีเรยี นรแู้ ละน้าความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างมี คุณธรรมตอ่ ชีวิตและสง่ิ แวดล้อม สาระที่ 8 ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน ว 8. 1 ใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การ แก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนส่วนใหญ่มีรูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลา น้ันๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่ิงแวดล้อม มีความเก่ียวข้อง สมั พันธ์กนั คณุ ภาพผู้เรียน หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ได้กา้ หนดคณุ ภาพผู้เรียน สา้ หรับนักเรียนท่ีจบ การศึกษาช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ดงั นี้ จบชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบท่ีส้าคัญของเซลล์ส่ิงมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการท้างาน ของระบบต่างๆ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ ความหลากหลายของ สิ่งมีชีวิต พฤติกรรมและการตอบสนองต่อส่ิงเร้าของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตใน ส่งิ แวดลอ้ ม
16 เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของสารละลาย สารบริสุทธ์ิ การเปลี่ยนแปลงของสารใน รปู แบบของการเปล่ยี นสถานะ การเกดิ สารละลายและการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี เข้าใจแรงเสียดทาน โมเมนต์ของแรง การเคลื่อนท่ีแบบต่างๆ ในชีวิตประจ้าวัน กฎการ อนุรกั ษ์พลงั งาน การถา่ ยโอนพลงั งาน สมดลุ ความรอ้ น การสะท้อน การหักเหและความเขม้ ของแสง เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทางไฟฟ้า หลักการต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน พลังงาน ไฟฟา้ และหลกั การเบอื้ งต้นของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงของเปลอื กโลก แหล่งทรัพยากรธรณี ปัจจัยท่ีมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ และผลท่ีมีต่อสิ่งต่างๆ บนโลก ความสา้ คญั ของเทคโนโลยีอวกาศ เขา้ ใจความสัมพนั ธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยี การพัฒนาและผลของการพัฒนา เทคโนโลยีตอ่ คณุ ภาพชวี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม ตงั้ คา้ ถามทม่ี ีการกา้ หนดและควบคุมตัวแปร คดิ คาดคะเนคา้ ตอบหลายแนวทาง วางแผน และลงมือสา้ รวจตรวจสอบ วิเคราะห์และประเมนิ ความสอดคล้องของข้อมลู และสรา้ งองคค์ วามรู้ ส่ือสารความคิด ความรู้จากผลการส้ารวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง หรือใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ ใชค้ วามรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีในการด้ารงชีวิต การศึกษาหา ความรู้เพมิ่ เตมิ ท้าโครงงานหรือสรา้ งช้นิ งานตามความสนใจ แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้ โดยใช้ เคร่อื งมอื และวธิ ีการทีใ่ หไ้ ดผ้ ลถกู ต้องเช่อื ถือได้ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีใช้ในชีวิตประจ้าวันและการ ประกอบอาชีพ แสดงความชืน่ ชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผูค้ ดิ คน้ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า มีส่วนร่วมในการพิทักษ์ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมใน ทอ้ งถิ่น ท้างานร่วมกับผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเองและยอมรับฟังความ คดิ เหน็ ของผู้อ่ืน
17 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 สิ่งมีชวี ิตกับกระบวนการดารงชวี ติ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความส้าคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวฒั นาการของสงิ่ มชี ีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่ มีผลกระทบต่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และ จติ วทิ ยาศาสตร์ สื่อสาร สง่ิ ท่เี รียนรู้ และนา้ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 1. ส้ า ร ว จ แ ล ะ อ ธิ บ า ย ค ว า ม - ความหลากหลายทางชีวภาพทีท่ า้ ให้ส่ิงมีชีวิต หลากหลายทางชีวภาพใน อยู่อย่างสมดุล ข้ึนอยู่กับความหลากหลาย ท้ อ ง ถ่ิ น ที่ ท้ า ใ ห้ ส่ิ ง มี ชี วิ ต ของระบบนิเวศ ความหลากหลายของชนิด ดา้ รงชีวติ อย่ไู ดอ้ ยา่ งสมดลุ สิ่ง มี ชี วิต แ ล ะค ว า ม หล า ก ห ลา ย ท า ง พันธกุ รรม ม.3 2. อ ธิ บ า ย ผ ล ข อ ง ค ว า ม - การตัดไม้ท้าลายป่าเป็นสาเหตุหน่ึงที่ท้าให้ หลากหลายทางชีวภาพท่ีมีต่อ เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ม นุ ษ ย์ สั ต ว์ พื ช แ ล ะ ซ่ึงส่งผลกระทบต่อการด้ารงชีวิตของมนุษย์ ส่ิงแวดลอ้ ม สัตว์ พชื และสิง่ แวดลอ้ ม - การใช้สารเคมีในการก้าจัดศัตรูพืชและสัตว์ สง่ ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์ สัตว์และพืช ท้า ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทาง ชีวภาพและส่งผลกระทบตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม
18 สาระที่ 2 ชวี ติ กับส่ิงแวดล้อม มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจความสา้ คัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาติในระดบั ทอ้ งถ่ิน ประเทศ และโลกนา้ ความรไู้ ปใช้ในในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อมในท้องถิ่นอย่างย่ังยืน ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม. 3 1. วเิ คราะห์สภาพปญั หา - สภาพปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติในทอ้ งถิน่ สงิ่ แวดล้อม เกดิ จากการกระท้าของธรรมชาติและ มนษุ ย์ ทรัพยากรธรรมชาติใน - ปญั หาส่งิ แวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ี ทอ้ งถน่ิ และเสนอแนวทาง เกดิ ขนึ้ ควรมแี นวทางในการดแู ลรักษาและ ในการแก้ไขปญั หา ปอ้ งกนั 2. อธิบายแนวทางการรักษา - ระบบนิเวศจะสมดุลได้จะต้องมีการควบคุม สมดุลของระบบนิเวศ จ้านวนผู้ผลิต ผบู้ ริโภค ผสู้ ลายสารอินทรีย์ ให้มี ปรมิ าณ สัดสว่ น และการกระจายทเี่ หมาะสม - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและการ ดูแลรักษาสภาพแวดล้อม เป็นการรักษาสมดุล ของระบบนิเวศ 3. อภปิ รายการใช้ - การน้าทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างคุ้มค่าด้วย ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ ง การใช้ซ้า น้ากลับมาใช้ใหม่ ลดการใช้ ยง่ั ยืน ผลิตภัณฑ์ ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเดิม ซ่อมแซม สิ่งของเครื่องใช้ เป็นวิธีการใช้ทรัพยากร ธรรมชาติอยา่ งย่งั ยืน 4. วิเคราะห์และอธิบายการ - การใช้ทรัพยากรธรรมชาตคิ วรคา้ นึงถึงปรชั ญา ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจพอเพยี งบนพ้นื ฐานของทางสายกลาง และ ตามปรัช ญาเศรษฐ กิจ ความไม่ประมาท โดยค้านงึ ถึงความพอประมาณ พอเพียง ความมเี หตุผลและ การเตรียมตวั ให้พรอ้ มท่ีจะรับ ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงท่ีเกดิ ขึน้ 5. อภปิ รายปญั หา - ปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจเกิดจากมลพิษทางน้า สิง่ แวดล้อมและเสนอแนะ มลพิษทางเสยี ง มลพษิ ทางอากาศ มลพิษทางดิน แนวทางการแกป้ ญั หา - แนวทางการแก้ปัญหามีหลายวิธี เริ่มจากศึกษา แหล่งท่ีมาของปัญหา เสาะหากระบวนการในการ
19 ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง แก้ปัญหา และทุกคนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติเพื่อ แกป้ ัญหานน้ั 6. อภิปรายและมีส่วนร่วมใน - การดูแลและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในท้องถ่ินให้ ก า ร ดู แ ล แ ล ะ อ นุ รั ก ษ์ ยัง่ ยนื ควรได้รับความร่วมมอื จากทุกฝ่ายและต้อง สิ่งแวดล้อ มในท้องถิ่น เป็นความรับผดิ ชอบของทกุ คน อย่างยัง่ ยนื การจัดการเรียนร้กู ลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2546 : 6-10) กล่าววา่ การเรียนรู้เปน็ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม การพฒั นาความคิดและความสามารถ โดยอาศยั ประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งผู้เรยี นและสงิ่ แวดลอ้ ม ท้าให้บุคคลด้าเนินชีวติ ได้อยา่ ง มคี วามสขุ ในสังคม ดงั น้ันกอ่ นท่คี รผู ้สู อนจะจัดการเรียนการสอน จะตอ้ งตระหนักวา่ การเรยี นรู้ เกิดข้ึนดว้ ย ตนเอง ผเู้ รยี นเอง การเรียนรเู้ ร่ืองใหมจ่ ะมีพ้นื ฐานมาจากความรูเ้ ดิม ฉะนัน้ ประสบการณ์ของ นกั เรยี นจงึ เปน็ ปจั จัยสา้ คัญต่อการเรยี นรู้อย่างยงิ่ กระบวนการเรียนรูท้ ีแ่ ท้จรงิ ของนักเรยี น ไม่ได้เกิดจากการบอกเลา่ ของครหู รือนักเรียนเพยี งแต่จดจ้าแนวคิดต่างๆ ที่มีผู้บอกให้ เทา่ นน้ั กระบวนการทีน่ กั เรยี นจะตอ้ งสบื เสาะหา สา้ รวจตรวจสอบ และคน้ คว้าด้วยวิธกี ารต่าง ๆจะ ท้าใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความเข้าใจและเกิดการรบั ความรู้นั้นอย่างมีความหมาย จงึ จะสามารถสร้างเป็นองค์ ความรู้ของนกั เรียนเอง และเกบ็ เปน็ ข้อมูลไวใ้ นสมองอยา่ งยาวนาน สามารถน้ามาใชไ้ ด้เม่ือ มสี ถานการณ์ใดๆ มาเผชญิ หนา้ ดงั นนั้ การทน่ี กั เรยี นจะสรา้ งองค์ความรู้ไดจ้ ะต้องผ่านกระบวนการ เรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย โดยเฉพาะอย่างย่ิงกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) กระบวนการเรียนการสอนเน้นการสืบเสาะหาความรู้จะเป็นการพัฒนาให้ผู้เรียนได้รับ ความร้แู ละทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ปลูกฝังใหผ้ เู้ รยี นรจู้ กั ใช้ความคิดของตนเอง สามารถ สืบเสาะหาความรหู้ รือวิเคราะห์ข้อมูลได้ การจดั การให้นกั เรยี นเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ อาจท้าเปน็ ขั้นตอนดังน้ี 1. ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement ) เป็นการนา้ เขา้ สู่บทเรยี นหรือเร่อื งทีส่ นใจซงึ่ อาจเกิดข้ึนเองจากความสงสัย หรอื อาจเร่ิมจากความสนใจของตวั นกั เรียนเองหรือเกดิ จากการ อภิปรายในกลุ่ม เร่ืองที่นา่ สนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่ก้าลงั เกิดข้ึนอยู่ในช่วงเวลาน้นั หรอื เปน็ เรือ่ ง ทเี่ ช่อื มโยงกับความรเู้ ดิมที่เพิ่งเรียนรมู้ าแล้ว เป็นตวั กระตนุ้ ให้นกั เรยี นสรา้ งคา้ ถามกา้ หนดประเดน็ ท่ี จะศกึ ษา ในกรณที ยี่ งั ไม่มปี ระเดน็ ใดน่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสื่อต่างๆหรอื เป็น
20 ผูก้ ระตุ้นด้วยการเสนอประเด็นขน้ึ มาก่อน แต่ไม่ควรบังคบั ใหน้ กั เรียนยอมรับประเดน็ หรือคา้ ถาม ท่ี ครกู ้าลังสนใจเป็นเรื่องที่จะใช้ศกึ ษา เม่ือมีค้าถามทีน่ ่าสนใจ และนักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับให้เปน็ ประเดน็ ทีต่ ้องการศึกษารว่ มกัน กา้ หนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรอ่ื งที่จะศกึ ษาให้มคี วามชดั เจนยง่ิ ข้นึ อาจรวมท้ังการ รวบรวมความรปู้ ระสบการณเ์ ดิม หรือความรู้จากแหลง่ ต่างๆ ทีจ่ ะนา้ ไปส่คู วามเข้าใจเร่ืองหรอื ประเดน็ ทีจ่ ะศึกษามากขน้ึ และมแี นวทางที่ใช้ในการส้ารวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย 2. ข้นั สารวจและคน้ หา (Exploration) เมอื่ ทา้ ความเข้าใจในประเดน็ หรือคา้ ถามท่ี สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็มกี ารวางแผนก้าหนดแนวทางส้ารวจตรวจสอบ ตงั้ สมมตฐิ าน ก้าหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมอื ปฏิบัติ เพื่อเก็บรวบรวมขอ้ มลู ข้อสนเทศหรอื ปรากฏการณ์ต่างๆ วธิ ีการตรวจสอบอาจทา้ ไดห้ ลายวธิ ี เชน่ ทา้ การทดลอง ทา้ กจิ กรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์ เพอ่ื ชว่ ยสรา้ งสถานการณ์จา้ ลอง( simulation ) การศึกษาหาข้อมลู จากเอกสารอ้างอิงหรอื จาก แหล่งข้อมลู ต่างๆเพือ่ ให้ได้มาซึง่ ขอ้ มลู อย่างเพยี งพอทจ่ี ะใชใ้ นขัน้ ต่อไป 3. ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation ) เมื่อไดข้ ้อมลู อยา่ งเพียงพอจากการ ส้ารวจตรวจสอบแลว้ จึงนา้ ขอ้ มูล ขอ้ สนเทศที่ได้มาวเิ คราะห์ แปลผล สรุปผล และนา้ ข้อเสนอที่ ไดใ้ นรปู แบบต่างๆ เชน่ บรรยายสรปุ สรา้ งแบบจา้ ลองทางคณติ ศาสตร์ หรอื รูปวาด สรา้ งตาราง การ ค้นพบในขนั้ น้ีอาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนบั สนุนสมมติฐานทต่ี ้ังไว้ โต้แย้งกบั สมมติฐานทตี่ ั้งไว้ หรือไม่เกีย่ วข้องกบั ประเด็นที่ได้ก้าหนดไว้ แตผ่ ลท่ีได้จะอยู่ในรปู ใดกส็ ามารถสรา้ งความรแู้ ละ ช่วย ให้เกดิ การเรียนรู้ได้ 4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration ) เป็นการน้าความรู้ท่ีสร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับ ความรู้เดิมหรือแนวคิดท่ีได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือน้าแบบจ้าลองหรือข้อสรุปท่ีได้ไปใช้อธิบาย สถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่นๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่างๆได้มาก ก็แสดงว่ามีข้อจ้ากัดน้อย ซึ่งก็จะช่วย ใหเ้ ชือ่ มโยงกบั เรอื่ งต่างๆและทา้ ให้เกดิ ความรู้กวา้ งขวางขึน้ 5. ขนั้ ประเมนิ (Evaluation ) เป็นการประเมนิ การเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการต่าง ๆ ว่า นักเรยี นมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะน้าไปสู่การน้าความรู้ไป ประยกุ ตใ์ นเรอ่ื งอน่ื ๆ การน้าความรู้หรือแบบจ้าลองไปใช้อธิบายหรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือเรื่องอ่ืนๆ จะน้าไปสู่ข้อโต้แย้งหรือข้อจ้ากัดซ่ึงจะก่อให้เป็นประเด็นหรือค้าถาม หรือปัญหาที่ต้องการส้ารวจ ตรวจสอบต่อไปท้าให้เกิดกระบวนการที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จึงเรียกว่า Inquiry Cycle กระบวนการ สืบเสาะหาความรู้จึงช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ทั้งเน้ือหาหลัก หลักการ และทฤษฎี ตลอดจน การลงมือปฏบิ ตั เิ พ่ือให้ไดค้ วามรูซ้ งึ่ จะเปน็ พนื้ ฐานในการเรียนรตู้ ่อไป
21 การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นอกจากจะใช้กระบวนการดงั กล่าวแลว้ อาจ ใชว้ ธิ ใี นการสืบเสาะหาความร้ดู ้วยรปู แบบอน่ื ๆ อีกดงั นี้ การค้นหารูปแบบ (Pattern Seeking) โดยที่นักเรียนเร่ิมต้นด้วยการสังเกตและ บันทึกปรากฏการณ์ตามธรรมชาติหรือท้าการส้ารวจตรวจสอบโดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวแปรได้ แล้วคิดหารูปแบบจากข้อมูล เช่น จากการสังเกตผลฝร่ังในสวนจากหลายแหล่ง พบว่าฝรั่งที่ได้รับ แสง จะมีขนาดโตกวา่ ฝร่งั ที่ไม่ได้รบั แสง นกั เรียนกส็ ร้างรปู แบบและสร้างความรู้ได้ การจาแนกประเภทและการระบุชือ่ เป็นการจัดประเภทของวสั ดหุ รอื เหตกุ ารณ์เป็นกลุ่ม หรอื การระบชุ ่ือวตั ถุหรือเหตุการณ์ท่ีเป็นสมาชิกของกลุม่ เชน่ เราจะแบง่ กลุม่ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เหลา่ น้ีไดอ้ ย่างไร วสั ดใุ ดนา้ ไฟฟ้าไดด้ ีหรอื ไม่ดี สารเคมตี ่างๆ เหล่านจี้ ้าแนกอย่ใู นกลมุ่ ใด การสารวจและค้นหา เปน็ การสังเกตวตั ถหุ รือเหตกุ ารณ์ในรายละเอียด หรอื ทา้ การ สงั เกตต่อเน่ืองเปน็ เวลานาน เชน่ ไข่กบมีพฒั นาการอย่างไร เม่ือผสมของเหลวต่างชนดิ กัน เขา้ ด้วยกันจะเกดิ อะไรขนึ้ การพฒั นาระบบ เป็นการออกแบบ ทดสอบ และปรับปรุงสง่ิ ประดษิ ฐ์หรอื ระบบ - ท่านสามารถออกแบบสวติ ซค์ วามดันส้าหรบั วงจรเตอื นภยั ได้อยา่ งไร - ท่านสามารถสร้างเทคนคิ หรือหามวลแห้งของแอปเปิ้ลได้อยา่ งไร การสรา้ งแบบจาลองเพอื่ สารวจตรวจสอบ เป็นการสร้างแบบจ้าลองเพอ่ื อธิบาย เพอื่ ใหเ้ หน็ ถึงการท้างาน เชน่ สรา้ งแบบจ้าลองระบบนิเวศน์ กระบวนการแกป้ ัญหา (Problem Solving Process ) การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายประการหน่ึง คือ เน้นให้นักเรียนได้ ฝึกแก้ปัญหาต่างๆ โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติอย่างมีระบบ ผลที่ได้จากการฝึกจะช่วยให้ นักเรียนสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆด้วยวิธีการคิดอย่างสมเหตุสมผล โดยใช้กระบวนการหรือ วิธีการความรู้ ทักษะต่างๆและความเข้าใจในปัญหาน้ัน มาประกอบกันเพ่ือเป็นข้อมูลในการ แกป้ ัญหา เพอ่ื ให้เข้าใจไดต้ รงกนั ถงึ ความหมายที่แทจ้ รงิ ของปัญหา ได้มผี ู้ใหค้ วามหมายไว้ดังนี้ “ปัญหา” หมายถึง สถานการณ์ เหตุการณ์ หรือสิ่งท่ีพบแล้วไม่สามารถจะใช้วิธีการใด วิธกี ารหน่งึ แก้ปัญหาได้ทันทหี รอื เมอ่ื มีปญั หาเกิดข้ึนแล้วไมส่ ามารถมองเหน็ แนวทางแก้ไขทันที การแก้ไขอาจท้าได้หลายวิธี ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับลักษณะของปัญหา ความรู้ ประสบการณ์ ของผูแ้ ก้ปญั หานั้น กระบวนการแกป้ ญั หาแตล่ ะขั้นตอน มีความสัมพันธก์ นั ดังนี้ 1. ทาความเข้าใจปัญหา ผู้แก้ปัญหาจะต้องท้าความเข้าใจกับปัญหาท่ีพบให้ถ่องแท้ ในประเด็นต่างๆคือ (1) ปัญหาถามว่าอย่างไร (2) มีข้อมูลใดบ้างแล้ว และ (3) มีเงื่อนไขหรือ ต้องการข้อมูลใดเพ่ิมเติมอีกหรือไม่ การวิเคราะห์ปัญหาอย่างดีจะช่วยให้ข้ันตอนด้าเนินต่อไปอย่าง
22 ราบร่ืน การจะประเมินว่านักเรียนเข้าใจปัญหามากน้อยเพียงใด ท้าได้โดยการก้าหนดให้ นักเรียน เขยี นแสดงถงึ ประเด็นต่างๆท่ีเก่ียวขอ้ งกับปัญหา 2. วางแผนแก้ปัญหา ขั้นตอนน้ีจะเป็นการคิดหาวิธีวางแผนเพ่ือแก้ปัญหาโดยใช้ข้อมูล จากปัญหาที่ได้วิเคราะห์ ได้แล้วในข้ันท่ี 1 ประกอบกับข้อมูลและความรู้ที่เก่ียวข้องกับปัญหานั้น และน้ามาใช้ประกอบการวางแผนการทดลอง ซ่ึงประกอบด้วยการต้ังสมมติฐาน ก้าหนดวิธีทดลอง หรือ ตรวจสอบ และอาจรวมท้งั แนวทางในการประเมนิ ผลการแก้ปัญหา 3. การดาเนินการแก้ปัญหาและประเมินผล ขั้นตอนนี้จะเป็นการลงมือปฏิบัติและ ประเมนิ ว่าวิธีการแกป้ ัญหาและผลที่ไดถ้ ูกต้องหรอื ได้ผลเป็นอย่างไร ถ้าการแก้ปัญหาท้าได้ถูกต้อง ก็ จะมีการประเมินต่อไปว่า วิธีการนั้นน่าจะยอมรับไปใช้ในการแก้ปัญหาอื่นๆหรือไม่ แต่ถ้าพบว่าการ แก้ปัญหาน้ันไม่ประสบความส้าเร็จ ก็จะต้องย้อนกลับไปเลือกวิธีแก้ปัญหาอื่นๆที่ได้ก้าหนดไว้แล้วใน ข้ันท่ี 2 และถ้ายังไม่ประสบความส้าเร็จ นักเรียนจะต้องย้อนกลับไปท้าความเข้าใจปัญหาใหม่ว่ามี ข้อบกพรอ่ งประการใด เชน่ ขอ้ มูลกา้ หนดไม่เพยี งพอ เพื่อจะไดเ้ ร่ิมต้นการแกป้ ญั หาใหม่ 4. ตรวจสอบการแก้ปญั หา เปน็ การประเมินภาพรวมของการแก้ปญั หาท้ังในด้าน วิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา และการตัดสินใจ รวมท้ังการน้าไปประยุกต์ใช้ ทั้งน้ีในการ แกป้ ญั หาใดๆตอ้ งตรวจสอบถงึ ผลกระทบตอ่ สังคมและส่งิ แวดล้อมด้วย แม้ว่าจะด้าเนินตามขั้นตอนท่ีกล่าวแล้วก็ตาม ผู้แก้ปัญหายังต้องมีความมั่นใจว่า จะสามารถแก้ปญั หาน้ันได้ รวมท้ังต้องมุ่งม่ันและทุ่มเทให้กับการแก้ปัญหา เนื่องจากบางปัญหาต้อง ใช้เวลานานและความพยายามเป็นอย่างสูงนอกจากนี้ ถ้านักเรียนเกิดความเหนื่อยล้าจากการ แกป้ ญั หากค็ วรให้นกั เรียนมโี อกาสไดพ้ ักผอ่ น การพัฒนาความสามารถและทกั ษะท่สี าคญั ของผูเ้ รียนในการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับต่างๆ นั้น นอกจากมุ่งหวังให้นักเรียนได้ พัฒนาความรู้ความเข้าใจในแนวความคิดหลักท่ีเกี่ยวข้องกับเน้ือหาในบทเรียนแล้ว ยังมุ่งหวังให้ นักเรียนได้พัฒนาความสามารถในการตัดสินใจ พัฒนาความคิดชั้นสูงและพัฒนาทักษะการสื่อสาร ด้วย 1. ความสามารถในการตัดสินใจ การจดั กจิ กรรมต่างๆ ครคู วรจัดสถานการณ์ท่ีเปิดโอกาสให้นักเรียนฝึกตัดสินใจ เช่น กิจกรรมการแก้ปัญหา การศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ การสืบเสาะหาความรู้ หรืออาจจัดกิจกรรม การแสดงบทบาทสมมติ โดยสร้างสถานการณ์ขึ้นเองและเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงบทบาทสมมติ โดยเป็นผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการตัดสินใจในเรื่องท่ีส้าคัญของบ้านเมือง เช่น การสร้างเข่ือน การสร้าง โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ การแก้ปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในโรงเรียนหรือชุมชน การตัดสินใจเก่ียวกับ
23 ปัญหาบ้านเมืองนั้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลท่ีเช่ือถือได้อย่างมีเหตุผล และส่งผลดีต่อส่วนรวม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและการพัฒนาท่ียั่งยืน ท้ังน้ีจะต้องพิจารณาทางเลือกที่ดีท่ีสุด ส่งผล กระทบตอ่ ส่งิ แวดลอ้ มนอ้ ยทส่ี ดุ ก่อให้เกดิ การพัฒนาท่ียั่งยนื และมีคณุ ภาพ 2. การพฒั นาความคดิ ข้นั พ้ืนฐาน การคิดข้นั สูงเป็นความสามารถทางสตปิ ญั ญาประการหนงึ่ ที่ตอ้ งพัฒนาให้เกิดใน ขณะท่นี ักเรยี นเขา้ มาอยใู่ นโรงเรียน เพ่ือเรยี นรู้เนื้อหาและหลกั การรวมท้ังแนวคิดในวิชาต่างๆ ความคดิ ขั้นสูงประกอบด้วยความคดิ ในดา้ นต่าง ๆ 2.1 ความคดิ วิเคราะห์ คือ ความคิดที่เป็นการจ้าแนก รวบรวมเป็นหมวดหมู่ รวมทั้ง การจัดประเด็นต่างๆ เช่น การจ้าแนกชนิดของหิน โดยพิจารณาลักษณะภายนอกเป็นเกณฑ์ การ จา้ แนกใบไม้โดยพิจารณารูปร่างของใบ ขอบใบ และเส้นใบเป็นเกณฑ์ 2.2 ความคิดวิพากษ์วิจารณ์ คือ ความคิดท่ีต่อเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งทั้งในด้านบวกหรือ ลบอย่างมีเหตุผล โดยการใช้ข้อมูลท่ีมีอยู่อย่างเพียงพอ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ ซ่ึงเป็นประเด็นที่คนท่ัวโลกใหค้ วามสนใจ คือ เรื่อง การตัดต่อจนี (Gene)ผลการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว มีผลให้สิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์ มีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงไปจากพันธุ์เดิม และการเปล่ียนแปลง ดังกลา่ วย่อมมผี ลต่อมนษุ ยแ์ ละสง่ิ แวดล้อม 2.3 ความคิดสร้างสรรค์ คือ ความคิดที่แปลกใหม่ ยืดหยุ่นและแตกต่างจากผู้อ่ืน เชน่ ให้นกั รเยนท้ากจิ กรรมคิดออกแบบประดิษฐ์อปุ กรณก์ า้ เนิดเสยี งแทนการใช้กระด่ิงไฟฟ้าหรือออด ไฟฟ้า หรอื ออกแบบวงจรเตอื นภยั โดยใช้เซนเซอร์ความรอ้ น 2.4 ความคิดอย่างมีเหตุมีผล เป็นความสามารถท่ีจะคิดในเชิงเหตุผลของเรื่องราว ต่างๆ เช่น กิจกรรมการเรียนเร่ืองการสร้างเขื่อน หรือการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมต่างๆ ซ่ึงเป็น ประเด็นโต้แย้งทางสังคมที่ไม่อยู่บนข้อมูลหรือประจักษ์พยานที่เป็นความรู้ทางวิทยาศา สตร์จึงควรให้ นกั เรยี นได้ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเหตผุ ลในการโตแ้ ย้งหรือสนับสนุน ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกหรือ ใช้อารมณใ์ นการตัดสนิ วา่ ควรด้าเนินการพฒั นาหรือไม่อย่างไร 2.5 ความคิดเชิงสร้างสรรค์ เป็นความคิดที่ใช้ในการพิสูจน์และส้ารวจตรวจสอบหา ข้อเท็จจริง เช่น ภูมิปัญญาท้องถ่ินที่เป็นเทคโนโลยีชาวบ้าน การดองผักด้วยน้าซาวข้าวหรือน้า มะพร้าว หรือการใส่พริกสดลงในน้ากะทเิ พ่ือกันบูดได้ โดยท่วั ไปแล้วความคดิ ด้านต่าง ๆ เหล่าน้ีจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจนต้อง พัฒนาไปพร้อม ๆ กันและอาจรวมท้ังพัฒนาไปพร้อมกับความสามารถด้านอื่นๆ ด้วย โดยไม่ จ้าเป็นต้องเน้นว่าจะต้องพัฒนาเร่ืองใดก่อนหรือหลังการพัฒนาความคิดข้ันสูงนี้จะท้าได้มากใน กิจกรรมการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้และกระบวนการแกป้ ญั หา
24 3. การพฒั นาทักษะการสื่อสาร กระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ทักษะในการส่ือสาร เป็นการแสดงความคิด หรือแลกเปลี่ยนความรู้ และแนวความคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ท่ีได้จากการท้ากิจกรรมหลากหลาย การสังเกต การทดลอง การอา่ นหรอื อนื่ ๆ ซึ่งแสดงออกในรูปแบบทชี่ ัดเจนและมีเหตุผลด้วยการพูด หรอื เขยี น การ พัฒน าให้ นักเรีย นมีความสา มาร ถใน การ สื่อสาร ควา มรู้แ ละแ นว ควา มคิด ทา ง วิทยาศาสตร์เป็นเป้าหมายส้าคัญประการหน่ึงของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ทุก ระดับความสามารถในการส่ือสารเป็นคุณลักษณะท่ีต้องฝึกซ้าเพ่ือให้เกิดทักษะ การจัดกิจกรรมการ เรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ สามารถฝึกทกั ษะการส่ือสารได้ดงั ตอ่ ไปนี้ 3.1 การเล่าหรือการเขียนสรุปเร่ืองราวทางวิทยาศาสตร์ที่อ่านจากหนังสือพิมพ์ วารสาร หนังสือต่างๆ จากการดูโทรทัศน์หรือการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต โดยมอบหมายให้ นักเรียนไปศึกษาค้นคว้า แล้วน้ามาเล่าหรือเขียนให้ผู้อ่ืนรับรู้เป็นการฝึกทักษะในการส่ือสารที่ดีวิธี หน่งึ กจิ กรรมนี้อาจใช้เวลาครัง้ ละ 10 นาที ก่อนท่ีจะมีการสอนตามปกติกไ็ ด้ 3.2 การบันทึกสรุปการไปทัศนศึกษาหรือการศึกษาภาคสนามในโอกาสที่นักเรียน กลับมาจากทัศนศึกษาหรือการศึกษาภาคสนามแล้วให้เขียนรายงานสรุปถึงความรู้ ความคิด ในบาง เรอ่ื งทีไ่ ด้รบั จากการไปทศั นศกึ ษาแต่ละครั้ง 3.3 การแสดงผลงานในกรณีที่นักเรียนท้าโครงงานวิทยาศาสตร์หรือโครงการอ่ืนๆ ควรกา้ หนดใหม้ ีวนั ทีแ่ นน่ อนเพอ่ื จัดแสดงผลงานให้เพ่ือนๆ ในช้ันหรือท้ังโรงเรียนได้ชมาและถ้าเป็นไป ได้ควรเชิญบคุ คลในชมุ ชนมาชมดว้ ย 3.4 การสอ่ื สารด้วยเทคโนโลยสี ารสนเทศ คอมพิวเตอร์จัดเป็นอุปกรณ์ท่ีจะช่วยมนุษย์ใน การทา้ งานได้อย่างรวดเร็วและแม่นย้า วิทยาการคอมพิวเตอร์จึงเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหน่ึงที่เป็นรากฐาน ส้าคัญต่อการพัฒนาความคิดและจินตนาการอันจะน้าไปสู่การแปลงรูปจากจินตนาการมาเป็นช้ินงาน สร้างสรรค์ทมี่ ีประโยชน์ ปัจจุบนั ส่ิงประดษิ ฐ์มากมายล้วนแลว้ แต่มสี ว่ นประกอบของคอมพิวเตอรเ์ ข้าไปรว่ ม ดว้ ย ทา้ ใหร้ ะบบการท้างานตา่ งๆ ไดร้ บั การพฒั นาเขา้ สคู่ วามเป็นอตั โนมตั มิ ากข้ึน สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมีประสิทธิผลควรมีการพัฒนาใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์จิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติท่ีเกิดขั้นส่วนใหญ่มีรูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ภายใต้ข้อมูลและ เคร่ืองมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อมมีความ เก่ียวข้องสัมพันธ์กัน มีการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ช่วยให้มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และ ครอบคลุมถึงเรือ่ งของความตระหนักและผลของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี อกี ด้วย
25 การจดั การเรยี นการสอนทเ่ี น้นผเู้ รียนเป็นสาคัญ วัฒนาพร ระงบั ทุกข์ (2545 : 17) ได้กลา่ วถึงแนวทางการจัดกระบวนการเรยี นร้ทู ี่ เน้นผเู้ รยี นเปน็ สา้ คญั ไวว้ ่า พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 24 ได้ กา้ หนดให้สถานศกึ ษาและหน่วยงานท่เี กย่ี วข้องดา้ เนินการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ดังนี้ 1. จัดเน้อื หาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของ ผเู้ รยี น โดยค้านึงถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล 2. ฝกึ ทักษะกระบวนการคดิ การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และประยุกต์ความรู้ มาใชเ้ พ่ือปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา 3. จัดกิจกรรมใหผ้ เู้ รยี นเรียนรู้จากประสบการณ์จรงิ ฝกึ การปฏบิ ตั ใิ หท้ า้ ได้ คิดเป็น ทา้ เป็น รกั การอา่ น และการใฝร่ อู้ ย่างต่อเนือ่ ง 4. จดั การเรยี นรูโ้ ดยผสมผสานสาระความรดู้ า้ นต่างๆ อย่างได้สดั สว่ น สมดลุ กัน รวมทัง้ ปลูกฝงั คุณธรรม ค่านิยมทด่ี ีงามและคุณลกั ษณะอันพึงประสงคไ์ ว้ในทุกวิชา 5. ส่งเสริมสนบั สนนุ ให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่อื การสอน และอ้านวยความสะดวกใหแ้ ก่ผเู้ รยี น เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจยั เปน็ สว่ นหนึง่ ของกระบวนการเรียนรู้ ทง้ั นีผ้ ูส้ อนและผูเ้ รียนอาจเรยี นรู้ไปพร้อมกัน จากส่ือการเรียน การสอนและแหล่งวทิ ยาการประเภทต่าง ๆ 6. จดั การเรยี นรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานการณ์ ท่มี กี ารประสานความร่วมมือ กบั บดิ ามารดา ผู้ปกครอง และบคุ คลในชุมชนทุกฝา่ ย เพื่อรว่ มกนั พัฒนาผู้เรียนตามศกั ยภาพ สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ (2545 : 19) ได้ใหแ้ นวคิดเก่ียวกับการจดั กระบวนการเรยี นรู้ที่เนน้ ผเู้ รยี นเป็นส้าคญั ไว้วา่ กระบวนการเรียนรูต้ ามความหมายที่ คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้ไดส้ รปุ ว่า กระบวนการเรียนรู้ หมายถึง แนวทางทจ่ี ะไดซ้ ึ่งความรู้ จากความคิด วเิ คราะห์ วางแผน ปฏิบตั ิจรงิ ปรับปรุงให้เหมาะสม สรุปและสร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง กระบวนการเรียนรู้มหี ลายลักษณะ บคุ คลอาจมีกระบวนการเรียนรทู้ ่ีแตกต่างกนั การเรียนเน้ือหา สาระตา่ งกนั ก็ใช้กระบวนการเรยี นร้ทู ีแ่ ตกตา่ งกนั การจัดกระบวนการเรียนรทู้ ีเ่ น้นผู้เรยี นเปน็ ส้าคัญ จงึ มีองค์ประกอบทส่ี ้าคญั คือ 1. ทุกฝา่ ยมสี ว่ นรว่ มในทกุ ข้ันตอน 2. มุ่งประโยชน์สูงสดุ แกผ่ เู้ รียน 3. ผู้เรียนได้พฒั นาเต็มตามศักยภาพ 4. ผเู้ รียนสามารถน้าความรู้ไปใช้ไดใ้ นชวี ิตจรงิ พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยนิ ดสี ขุ (2549 : 25) ได้ใหค้ วามหมายการเรียน การสอนท่เี นน้ ผ้เู รียนเป็นสา้ คัญ (child – centered approach) คือแนวการจดั การเรียนการสอนที่
26 เน้นให้ผู้เรยี นสร้างความร้ใู หม่ และสงิ่ ประดษิ ฐ์ใหม่ โดยการใชก้ ระบวนการทางปญั ญา (กระบวนการ คดิ ) กระบวนการทางสงั คม กระบวนการกล่มุ และให้ผูเ้ รยี นมปี ฏสิ ัมพันธ์และมีสว่ นร่วมในการเรียน สามารถน้าความรู้ ไปประยุกตใ์ ชไ้ ด้ โดยครูมีบทบาทเปน็ ผู้อา้ นวยความสะดวก จดั ประสบการณก์ าร เรยี นรู้ใหผ้ เู้ รียน การจดั การเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลาง ต้องจัดให้สอดคล้องกบั ความ สนใจ ความสามารถและความถนัด เน้นการบรู ณาการความรู้ในศาสตรส์ าขาตา่ งๆ ใชห้ ลากหลายวิธี สอน หลากหลายแหลง่ ความรู้ สามารถพัฒนาปญั ญาอยา่ งหลากหลาย คอื พฒั นา พหปุ ัญญา รวมทัง้ เนน้ การใช้วธิ กี ารวดั ผลอยา่ งหลากหลายวิธี จากทกี่ ล่าวมาแล้วพอสรปุ ไดว้ ่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่เี น้นผเู้ รยี นเปน็ สา้ คญั นนั้ เน้นให้นักเรียนได้มีสว่ นร่วมในการจดั การเรยี นการสอน นักเรียนได้คดิ และลงมอื ท้า จะทา้ ใหน้ กั เรยี นสามารถสร้างองค์ความรูไ้ ด้ด้วยตนเอง แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกบั การสรา้ งชุดกจิ กรรม ชุดกจิ กรรม เปน็ สอ่ื นวตั กรรมทจ่ี ดั ทา้ ขึน้ เพ่ือใชป้ ระกอบการสอนของครู หรอื ประกอบการเรยี นรู้ของนักเรียน เพื่อใชใ้ นการเรียนการสอนตามปกติ หรือเพื่อแก้ปัญหานักเรียนที่ เรยี นไม่ทัน หรือเรยี นรูช้ า้ ซ่ึงมีรายละเอยี ดในการจัดท้า ดงั นี้การสร้างชุดกิจกรรมใหม้ ีประสทิ ธิภาพ ส้าหรบั นา้ ไปใช้กับนักเรยี นน้ัน ต้องอาศัยหลกั จติ วทิ ยาในการเรียนรู้ และทฤษฏกี ารเรยี นรู้ ที่เปน็ แนวคิดพนื้ ฐานของการสร้างชุดกิจกรรม เพื่อใหเ้ กิดการเรียนร้ไู ดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ สรปุ ได้ดงั นี้ ทศิ นา แขมณี (2550 : 51) ได้กลา่ วถึงทฤษฏีความสัมพนั ธเ์ ชอ่ื มโยง ของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Classical Connectionism) ซงึ่ ต้งั กฎแห่งการเรยี นรู้ สรปุ ได้ดงั น้ี 1. กฎแหง่ ความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรูเ้ กดิ ข้นึ ไดด้ ี เมื่อผูเ้ รยี นมี ความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ 2. กฎแหง่ การฝกึ หัด (Law of Exercise) การฝกึ หัดหรอื กระทา้ บ่อย ๆ กระท้าซา้ ๆ ด้วยความเขา้ ใจ จะทา้ ให้การเรยี นรนู้ นั้ คงทนถาวร 3. กฎแหง่ ผลลพั ธ์ (Law of Effect) เม่อื บุคคลได้รับผลท่ีพึงพอใจ ยอ่ มอยากจะ เรยี นรู้ต่อไป วิไลวรรณ วิภาจักษณะกุล (2549 : 155) ทฤษฎีการเรยี นรแู้ บบสรา้ งสรรคค์ วามรู้ (Constructivisim theory) การสร้างองค์ความรูด้ ว้ ยตวั เอง มีความเช่อื วา่ การเรยี นร้เู ป็น กระบวนการทเ่ี กดิ จากการผู้เรยี นเป็นผสู้ รา้ งความรู้ (Active Process) ความรูไ้ มไ่ ด้เกดิ ขึ้นเอง ผเู้ รียนจะตอ้ งใช้กระบวนการทางสติปัญญา ในการดูดซึมหรือดูดซับ และปรับโครงสร้างความรู้ใหม่ และความรูเ้ กา่ กบั โครงสรา้ งทางสตปิ ัญญาของตน โดยมีครูเป็นผูเ้ อ้ืออา้ นวยความสะดวก ชว่ ยให้
27 ผู้เรียนสร้างองค์ความร้ดู ว้ ยตัวเอง ด้วยการเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนได้สงั เกต ไดส้ ้ารวจจนพบปญั หา เพ่ือ ช่วยใหผ้ เู้ รียน ได้สรา้ งความรูค้ วามคดิ ที่ยังไม่สมบรู ณ์ ให้เกดิ ความสมบรู ณข์ ึน้ เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ความหมายของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ อษุ า รัตนบุปผา (2547 : 16) ได้สรปุ ไว้วา่ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ จะช่วยส่งเสรมิ ให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรดู้ ว้ ยตวั เอง ตามจุดประสงค์อย่างมีประสทิ ธภิ าพ โดยยดึ ผ้เู รียน เปน็ ศูนย์กลาง ผูเ้ รยี นจะมสี ่วนรว่ มในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่าง ๆ ตามความสามารถของแตล่ ะบคุ คล นอกจากนี้แลว้ ยังทราบผลการปฏิบัตกิ ิจกรรมน้นั อยา่ งรวดเรว็ ท้าให้ไมเ่ กิดความเบ่ือหน่าย หรือเกดิ ความท้อแท้ในการเรียน เพราะผู้เรยี นสามารถกลบั ไปศึกษาเรอื่ งทีต่ นเองยังไม่เขา้ ใจใหม่ โดยไมต่ อ้ ง กงั วลว่าจะท้าใหเ้ พ่ือนเสยี เวลาคอย หรือตามเพอื่ นไม่ทนั ศิรินภา อิฐสวุ รรณศิลป์ (2548 : 27) ชุดกิจกรรมหมายถงึ ส่อื การสอนทค่ี รูสรา้ งข้นึ ประกอบด้วยสือ่ วสั ดุ อปุ กรณห์ ลายชนิดประกอบเข้ากันเปน็ ชดุ เพอื่ เกดิ ความสะดวกตอ่ การใช้ใน การเรียนการสอน และท้าให้การเรียนการสอนบรรลผุ ลตามเป้าหมายของการเรียนรู้ ทง้ั ดา้ นความรู้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคตติ ่อวิทยาศาสตร์ ณภัทร พุทธสรณ์ (2551 : 21) ชดุ กจิ กรรมหมายถึง ชดุ การเรียนการสอนท่ีครูสรา้ งข้ึน เพื่อใชเ้ ปน็ สือ่ ในการจัดการเรียนรูโ้ ดยอาศยั กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน รูปแบบตา่ งๆ มี ลักษณะเป็นชุด โดยผ้เู รียนเรียนรดู้ ้วยตัวเอง มีครูเปน็ ท่ีปรึกษา ให้ค้าแนะน้า ในแตล่ ะชุดประกอบดว้ ย จดุ ประสงค์ การเรยี นรู้กจิ กรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบทีน่ ้าหลักการทางจติ วิทยา มาใช้ประกอบ เพื่อ ชว่ ยให้ผูเ้ รยี นมกี ารเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรยี นรู้ ใหเ้ ปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธิภาพสูงสุด นลนิ ี อนิ ดคี า้ (2551 : 13) กล่าววา่ ชุดกิจกรรมคือ การน้าสื่อการสอนหลายอยา่ งมา ประสมกันเพ่ือถา่ ยทอดเน้ือหาวิชา ใหแ้ กผ่ ้เู รียนเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเรว็ บรรลวุ ตั ถุประสงค์ในการ เรียนการสอนท่ตี ั้งไว้ โดยให้ผเู้ รยี นใชเ้ รียนดว้ ยตนเอง หรือท้งั ผู้เรียนและผ้สู อนใช้รว่ มกัน เพ่ือทา้ ให้ ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้อย่างมปี ระสิทธิภาพ จากทีก่ ล่าวมาแล้วพอสรุปไดว้ ่า ชุดกจิ กรรม หมายถึง สื่อประสมท่ีครูผู้สอนสร้างข้ึน โดยมีการวางแผนการผลิตอยา่ งเปน็ ระบบ เพื่อนา้ มาใชใ้ นกจิ กรรมการเรยี นการสอน ทเ่ี น้นให้ นักเรยี นสามารถศึกษา และปฏิบัติกิจกรรมฝึกทักษะได้ด้วยตนเอง โดยให้สอดคล้องกับ เน้ือหาวิชาตามจุดประสงค์การเรียนรู้
28 ประเภทของชดุ กิจกรมการเรียนรู้ จากการศึกษาประเภทของชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ไดม้ ีผ้แู บง่ ประเภทของชดุ กจิ กรรมไว้ ต่างกัน ได้ ดังน้ี บญุ เก้ือ ควรหาเวช (2545 : 94 – 95 ; อา้ งถงึ ใน ศริ นิ ภา อิฐสุวรรณศลิ ป์ 2548 : 27) ได้แบง่ ประเภทของชุดกจิ กรรมไว้ 3 ประเภท ดังน้ี 1. ชุดกิจกรรมสา้ หรับประกอบการบรรยาย ส้าหรับครู ใชเ้ ป็นตัวก้าหนดกจิ กรรมและ สอ่ื การเรียน ให้ครูใช้ประกอบการบรรยาย เพ่ือเปลยี่ นบทบาทการพูดของครูให้ลดนอ้ ยลง และเปิด โอกาสให้นกั เรียนร่วมกิจกรรมมากขนึ้ ชดุ กิจกรรมนี้ จะมีเนื้อหาหนว่ ยเดยี วใชก้ บั นักเรียนท้งั ช้ัน 2. ชุดกิจกรรมส้าหรบั กจิ กรรมแบบกลมุ่ ชุดกิจกรรมน้ีมุ้งเนน้ ท่ตี วั ผเู้ รยี นได้ประกอบ กจิ กรรมร่วมกนั ชดุ กิจกรรมนี้ จะประกอบดว้ ยชดุ กิจกรรมยอ่ ยทมี่ ีจ้านวนเท่ากับศูนย์กจิ กรรมนัน้ ผ้เู รยี นอาจจะต้องการความช่วยเหลอื จากครูเพียงเลก็ น้อยในระยะเร่มิ เทา่ นัน้ ในขณะท้ากจิ กรรมหาก มีปญั หาผเู้ รียนสามารถซักถามครูไดเ้ สมอ 3. ชดุ กจิ กรรมเป็นรายบคุ คล เปน็ ชุดกิจกรรมทจี่ ดั ระบบขั้นตอนเพื่อใหผ้ ู้เรียนใช้เรียน ด้วยตนเองตามล้าดบั ขั้นความสามารถของแต่ละบคุ คล เม่อื จบแลว้ จะท้าการทดสอบประเมนิ ความกา้ วหน้า และศึกษาชุดอ่ืนตอ่ ไปตามลา้ ดบั เมื่อมีปัญหา จะปรึกษากนั ไดร้ ะหวา่ งผเู้ รียน และ ผู้สอนพรอ้ มท่จี ะให้ความช่วยเหลือทันทีในฐานะผ้ปู ระสานงานหรอื ผู้ชแ้ี นะแนวทาง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2545 : 142) กลา่ วถึงประเภทของชุดกจิ กรรมการเรียนรวู้ า่ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ส้าหรับครูท่ีก้าหนดกิจกรรมและส่ือ การสอนใหค้ รูไดใ้ ชป้ ระกอบการสอนแบบบรรยาย โดยมีหัวข้อเนื้อหาท่ีจะบรรยาย และกิจกรรมท่ีจัด ไว้ตามล้าดับขั้นตอน สื่อที่ใช้อาจเป็นสไลด์ประกอบเสียงบรรยายในแถบเสียง แผนภูมิ ภาพยนตร์ และกิจกรรมกลุ่ม 2. ชุดกจิ กรรมการเรียนรูส้ า้ หรับกจิ กรรมกลุ่ม มุง่ ใหน้ ักเรียนไดท้ ้ากจิ กรรมร่วมกัน ซง่ึ อาจจัดการเรยี นการสอนเป็นศูนย์การเรียน โดยวางเคา้ โครงเรื่อง จดั ประเด็นเนื้อหาหนว่ ยความรูท้ ี่ เป็นอสิ ระจากกัน สามารถเรยี นร้จู บในหนว่ ยความรู้แต่ละเรือ่ งท่มี สี ัดสว่ นเน้ือหาใกล้เคยี งกนั อาจจดั หน่วยความรูใ้ ห้ได้ประมาณ 3 – 5 เรอ่ื ง ตามสัดส่วนของการแบง่ ประเดน็ เนอ้ื หาแตล่ ะเรื่อง และ เวลาท่ใี ชศ้ ึกษาในแตล่ ะศูนย์ กจิ กรรมในศนู ย์จดั ในรูปแบบเรียนเป็นรายบุคคล หรอื เรียนรว่ มกนั เปน็ กลุ่ม มสี อื่ การเรียน บทเรยี น แบบฝกึ ครบตามจา้ นวนนักเรียนในแต่ละศนู ย์ 3. ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้รายบคุ คล เปน็ ชุดกิจกรรมการเรียนร้สู ้าหรบั นักเรยี น เพ่อื ให้ เรยี นรู้ดว้ ยตนเองตามลา้ ดับน้ัน ความสามารถของแตล่ ะคนเม่ือเรียนจบแลว้ จะทดสอบประเมนิ ผล
29 ความกา้ วหน้าแล้วจึงศึกษาชุดอ่ืน ๆ ต่อไปตามล้าดับ ถ้ามีปัญหานกั เรียนสามารถปรกึ ษากันได้ โดย ผู้สอนพร้อมทจ่ี ะชว่ ยเหลอื แนะน้า ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบน้ี จดั ขน้ึ เพือ่ ส่งเสรมิ ศักยภาพ การเรียนร้ขู องแตล่ ะบุคคล ให้พัฒนาการเรยี นรู้ของตนเองไปได้ถึงขดี สุดของความสามารถ เป็นรายบคุ คล จากแนวคดิ ดงั ท่ีกลา่ วมาสรุปไดว้ ่า การแบ่งประเภทของชุดกิจกรรมการเรียนรูน้ น้ั แบง่ ตามลักษณะของผใู้ ช้ โดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ช่วยตอบสนองความต้องการ และความสามารถ ของนักเรียนแต่ละบคุ คลทแ่ี ตกต่างกนั เพื่อให้นกั เรยี นบรรลุวตั ถปุ ระสงคต์ ามเปา้ หมายท่ีกา้ หนดไว้ ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้แตล่ ะประเภทจะมีค้าแนะนา้ วธิ กี ารใช้ และการท้ากจิ กรรมต่าง ๆ เปน็ ไปอยา่ ง มรี ะบบ มขี ัน้ ตอนจากงา่ ยไปสูย่ าก ทา้ ใหน้ กั เรยี นประสบความสา้ เรจ็ ได้ดว้ ยตนเอง และเปน็ ไปในแนว เดียวกัน ท้ังนเี้ พราะชดุ กจิ กรรมการเรยี นร้ไู ดม้ ีการกา้ หนดวัตถุประสงค์ เชิงพฤติกรรม ท่ีแน่นอน และชดั เจนในการท่จี ะใหน้ ักเรยี นทา้ กิจกรรม และแสดงพฤติกรรมเปน็ ไปตามเป้าหมายท่ี ต้องการจะประเมิน องค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ในการสร้างชุดกจิ กรรมการเรียนรู้เพื่อน้าไปใชป้ ระกอบการเรยี นการสอนน้นั ผู้สรา้ ง จ้าเปน็ ต้องศึกษาองคป์ ระกอบของชุดกจิ กรรมวา่ มอี งค์ประกอบใดบา้ ง เพ่ือจะได้กา้ หนดองค์ประกอบ ของชุดกจิ กรรมที่ต้องการสร้างขน้ึ ซง่ึ ได้มนี กั การศึกษาหลายท่านได้กลา่ วถึงองค์ประกอบของชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ไว้ตา่ งๆ กันดงั นี้ ฮุสตัน และคนอื่นๆ (Houston ; et al. 1972: 10 – 15) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบ ของชดุ การเรยี นไว้ ดังน้ี 1. ค้าชีแ้ จง (Prospectus) ในสว่ นนี้จะอธิบายถึงความสา้ คัญของจดุ มุ่งหมาย ขอบข่ายชุดการเรยี นการสอน ส่ิงทผี่ ูเ้ รยี นจะต้องมคี วามรู้ก่อนเรียนและขอบข่ายของ กระบวนการทงั้ หมดในชุดการเรยี น 2. จดุ ม่งุ หมาย (Objectives) คือ ขอ้ ความที่แจ่มชดั ไมก่ า้ กวมท่กี ้าหนดว่า ผเู้ รยี นจะประสบความสา้ เร็จอะไรหลงั จากเรียนแลว้ 3. การประเมินผลเบ้ืองต้น (Pre-assessment) มจี ดุ ประสงค์ 2 ประการ คอื เพอ่ื ทราบว่า ผู้เรยี นอยู่ในขนั้ การเรยี นจากชดุ การเรยี นการสอนน้นั และเพื่อดูว่าเขาได้ สัมฤทธผิ ลตามจุดประสงค์เพียงใด การประเมินเบ้ืองต้นนี้ อาจจะอยู่ในรูปของการทดสอบแบบ ขอ้ เขยี น ปากเปลา่ การท้างาน ปฏกิ ิรยิ าตอบสนองตอ่ คา้ ถามง่ายๆ เพือ่ ใหร้ ู้ถงึ ความต้องการ และความสนใจ 4. การก้าหนดกิจกรรม (Enabling Activities) คอื การก้าหนดแนวทางและ วธิ ี เพ่อื ไปสู่จดุ ประสงคท์ ่ีต้ังไว้ โดยให้ผเู้ รียนได้มสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมนน้ั ดว้ ย
30 5. การประเมนิ ขั้นสุดทา้ ย (Post- assessment) เปน็ ข้อทดสอบ เพ่ือวดั ผล การเรยี นหลงั จากทเ่ี รียนแล้ว วิชัย วงษใ์ หญ่ (2525 : 186 - 189 อ้างถงึ ใน เสาวนยี ์ เช้ือทอง 2551 : 10 - 11) ไดก้ ล่าวถงึ องค์ประกอบของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ไวด้ งั น้ี 1. หวั เรอ่ื ง คือการแบ่งเนอื้ หาออกเป็นหนว่ ย แตล่ ะหนว่ ยแบง่ ออกเป็นส่วนย่อย เพือ่ ให้นักเรยี นรู้ลึกซึ้ง เพ่ือมุ่งเนน้ ใหเ้ กดิ ความคดิ รวบยอด 2. คูม่ ือการใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้เปน็ สง่ิ จา้ เปน็ สา้ หรบั ผูใ้ ชช้ ดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ จะตอ้ งศกึ ษาก่อนที่ใชช้ ดุ กิจกรรมการเรียนรู้ จะทา้ ใหก้ ารใชช้ ุดกจิ กรรมการเรยี นรู้เป็นไปอยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ คมู่ ือประกอบด้วย 2.1 ค้าชแ้ี จงเกี่ยวกับการใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ 2.2 สง่ิ ทีค่ รูจะต้องเตรียมก่อนสอน 2.3 บทบาทของนักเรียน จะเสนอว่านักเรียนจะรว่ มด้าเนินกจิ กรรมอยา่ งไร 2.4 การจดั ชัน้ เรียน ควรจัดลกั ษณะใดเพ่ือความเหมาะสมของการเรยี นรู้ และการรว่ มกจิ กรรมในชกุ ารสอนนน้ั ๆ 2.5 แผนการสอนประกอบด้วย 1) หัวเรอ่ื ง ก้าหนดเวลาเรียน จ้านวนนกั เรียน 2) เนอ้ื หาสาระ ควรเขียนส้นั ๆ และกวา้ ง ๆ 3) ความคดิ รวบยอด 4 ) จุดประสงค์การเรยี นรู้ 5) สื่อการเรยี น กิจกรรมการเรียน การประเมินผล 3. วสั ดปุ ระกอบการเรียน ไดแ้ ก่ พวกสิ่งของ หรอื ข้อมลู ต่าง ๆ ท่ีจะให้นักเรยี น ศึกษาคน้ คว้า 4. บัตรงาน เป็นสิง่ จ้าเป็นสา้ หรับชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบกลุม่ ประกอบดว้ ย 4.1 ช่ือบัตร กลุ่ม หวั เร่อื ง 4.2 ค้าสั่งว่าจะใหน้ กั เรยี นปฏิบัตอิ ะไรบา้ ง 4.3 กิจกรรมทนี่ ักเรียนตอ้ งปฏิบัติ ตามลา้ ดับขน้ั ตอนการเรยี น 5. กิจกรรมสา้ รอง จา้ เปน็ ส้าหรบั การสอนแบบกลุม่ จัดเตรียมไว้ส้าหรับนกั เรียน บางคน หรือที่ทา้ กจิ กรรมเสรจ็ ก่อนคนอน่ื ไดม้ ีกจิ กรรมท้า เพื่อจะได้ไมเ่ กิดความเบ่ือหนา่ ย และ ส่งเสรมิ การเรียนรู้อยา่ งกว้างขวาง
31 6. ขนาด และรปู แบบของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ดี ี ไมค่ วร ใหญ่ และเล็กเกนิ ไป เพื่อความสะดวก และความสวยงามในการเกบ็ รักษา ควรมีขนาดไมเ่ กนิ 11 นว้ิ ถงึ 15 นวิ้ ความหนาแลว้ แต่ลกั ษณะของวชิ า ดา้ นหน้าและหลัง ควรเขียนข้อความให้เรยี บรอ้ ย เพอ่ื ความสะดวกในการนา้ ไปใช้ บญุ ชม ศรีสะอาด (2541 : 95 - 96) ไดก้ ลา่ วถึงองคป์ ระกอบทส่ี า้ คัญของชดุ กิจกรรม การเรยี นรวู้ า่ มีองค์ประกอบ 4 ด้าน ดงั น้ี คู่มือการใช้ บตั รงาน แบบทดสอบวัดผล สือ่ การเรยี น ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ ความก้าวหนา้ ของผ้เู รยี น ต่าง ๆ แผนภูมิที่ 1 แสดงองคป์ ระกอบทส่ี า้ คัญของชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. คูม่ ือการใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เปน็ คูม่ ือท่จี ัดทา้ ข้นึ เพอ่ื ให้ผู้ใช้ชดุ กิจกรรม การเรยี นรู้ศกึ ษา และปฏบิ ตั ิตามเพ่ือใหบ้ รรลุผลอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ อาจประกอบดว้ ย แผนการสอน สิง่ ท่ีครูต้องเตรียมก่อนสอน บทบาทของนกั เรียน และการจดั ชน้ั เรยี น (ในกรณี ของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ี่มุ่งใชก้ บั กลมุ่ ย่อย เชน่ ในศนู ย์การเรียน) 2. บตั รงาน เปน็ บัตรที่มคี ้าสั่งวา่ จะใหน้ ักเรียนปฏบิ ัติอะไรบ้าง โดยระบกุ ิจกรรม ตามล้าดบั ข้ันตอนของการเรยี น 3. แบบทดสอบวดั ผลความก้าวหนา้ ของนักเรยี น เป็นแบบทดสอบที่ใชส้ ้าหรบั ตรวจสอบวา่ หลงั จากเรยี นชุดกิจกรรมการเรยี นรู้จบแลว้ นักเรียนเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม ตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ทกี่ ้าหนดไวห้ รือไม่ 4. สอื่ การเรียนต่าง ๆ เปน็ สือ่ ส้าหรับนักเรยี นไดศ้ ึกษา มีหลายชนดิ ประกอบกัน อาจเป็นประเภทสิ่งพมิ พ์ เช่น บทความ เนื้อหาเฉพาะเร่ือง จลุ สาร บทเรยี นโปรแกรม หรือ ประเภทโสตทศั นูปกรณ์ เชน่ รูปภาพ แผนภมู ติ า่ ง ๆ เทปบนั ทึกเสยี ง ฟิลม์ สตรปิ เป็นต้น ขั้นตอนในการสร้างชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ นกั การศึกษาหลายท่าน ได้เสนอขั้นตอนการในการสรา้ งชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เพ่ือยึด เปน็ หลกั ในการสรา้ งวา่ จะต้องด้าเนินการอยา่ งไรไว้ ดังนี้ ฮีทเทอร์ (Heathers. 1964: 342 – 344) ได้ให้ขนั้ ตอนส้าคัญสา้ หรบั ครูผ้สู ร้างชดุ การเรยี นดว้ ยตนเอง คอื
32 1. ศึกษาหลกั สตู ร ตดั สินใจเลือกสิ่งทจี่ ะให้ผู้เรยี นได้ศึกษา และจดั ล้าดับข้ัน เนอ้ื หาใหต้ ่อเนอื่ งจากง่ายไปหายาก 2. ประเมินความรู้พืน้ ฐานประสบการณ์เดิมของผ้เู รยี น 3. เลือกกจิ กรรมการเรยี น วิธสี อน และส่ือการเรียนให้เหมาะสมกับผเู้ รยี น โดยต้องคา้ นงึ ถึงความพร้อมและความต้องการของผเู้ รียน 4. กา้ หนดรูปแบบของการเรียน 5. ก้าหนดหนา้ ทข่ี องผปู้ ระสานงาน หรอื จดั อา้ นวยความสะดวกในการเรยี น 6. สร้างแบบประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ของผเู้ รียนวา่ บรรลเุ ป้าหมายประสงค์ในการ เรียนหรือไม่ การสรา้ งชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้วา่ มหี ลกั การใหญ่ ๆ อยู่ 6 ประการคอื 1. ทา้ ความเข้าใจกับหลกั สตู ร และวตั ถปุ ระสงค์ของหลักสูตรในรายวิชานั้น 2. น้าเน้ือหารายวชิ าท่ีจะสร้างชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้มาจ้าแนกเปน็ ส่วน ๆ หรือ เป็นหน่วย ๆ พร้อมกา้ หนดจดุ ประสงคน์ า้ ทางของแต่ละหน่วยให้ชัดเจน ตลอดจนวิธกี ารวดั และประเมนิ ผลตามวัตถุประสงค์ 3. จดั สร้างชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ทีละหนว่ ย ตงั้ แตต่ ้นจนจบของเนื้อหานน้ั ซง่ึ แตล่ ะชดุ จะตอ้ งประกอบไปดว้ ยคมู่ อื ครู แนวปฏิบัติของนกั เรยี น สอื่ การเรียนการสอน และการวดั ผลการเรียนรู้ 4. ก่อนนา้ ไปใชจ้ ริง ต้องมีการนา้ ชุดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ี่สร้างขึน้ มาในคร้ังแรก ไปทดลองใช้เพื่อหาประสทิ ธิภาพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ อันจะได้นา้ มาแก้ไขปรับปรุงจดุ บอดต่าง ๆ ที่อาจจะมี 5. นา้ ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ไปใช้จรงิ พร้อมวัดผลประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ของนักเรียน ตรวจสอบกับจุดประสงค์ของเนื้อหาวชิ าตามหลักสูตรท่ีตัง้ ไว้ ทง้ั จุดประสงค์นา้ ทางและ จดุ ประสงค์ปลายทาง 6. พงึ มีการแกไ้ ขปรบั ปรุงชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้อยูต่ ลอดเวลา เพราะเม่ือสงั คม เปลีย่ นไป หลักสตู รการเรยี นการสอนก็ควรจะได้เปล่ียนแปลงตามไปดว้ ย ให้ทันกับบรบิ ทชวี ติ ของ นักเรียน สวุ ิทย์ มลู ค้า และอรทัย มูลค้า (2550 : 53 – 55) กล่าวว่า ข้ันตอนในการผลิต ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้มี 11 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ก้าหนดเร่ืองเพ่อื ท้าชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ อาจกา้ หนดตามเรือ่ งในหลักสตู ร หรอื ก้าหนดเรื่องใหม่ข้ึนมากไ็ ด้ การจัดแบง่ เรือ่ งยอ่ ยจะขน้ึ อยู่กับลกั ษณะของเนื้อหา และลักษณะ
33 การใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรู้นั้น ๆ การแบง่ เน้อื เร่ืองเพือ่ ทา้ ชุดกิจกรรมการเรียนร้ใู นแต่ละระดบั ยอ่ มไม่เหมือนกนั 2. ก้าหนดหมวดหมู่เนื้อหา และประสบการณ์ อาจก้าหนดเป็นหมวดวิชา หรอื บูรณาการแบบสหวิทยาการได้ตามความเหมาะสม 3. จัดเป็นหนว่ ยการสอน จะแบง่ เป็นกห่ี นว่ ย หนว่ ยหนงึ่ ๆ จะใช้เวลานานเท่าใด นั้นควรพจิ ารณาให้เหมาะสมกบั วัย และระดับชัน้ นกั เรยี น 4. กา้ หนดหัวเรอ่ื ง จัดแบง่ หนว่ ยการสอนเปน็ หัวข้อย่อย ๆ เพอ่ื สะดวกแก่ การเรยี นรู้ แต่ละหนว่ ยควรประกอบด้วยหัวข้อย่อย ๆ หรือประสบการณ์ในการเรียนรปู้ ระมาณ 4 – 6 ข้อ 5. ก้าหนดความคดิ รวบยอดหรอื หลักการ ต้องกา้ หนดให้ชดั เจนวา่ จะให้นักเรียนเกิด ความคิดรวบยอดหรอื สามารถสรปุ หลกั การ แนวคดิ อะไร ถ้าผ้สู อนเองยังไมช่ ดั เจนว่า จะใหน้ ักเรยี น เกิดการเรยี นรู้อะไรบา้ ง การก้าหนดกรอบความคดิ หรอื หลักการกจ็ ะไมช่ ัดเจน ซ่ึงจะรวมไปถึงการ จดั กิจกรรม เน้อื หาสาระ สอื่ และสว่ นประกอบอื่น ๆ ก็จะไมช่ ดั เจนตามไปดว้ ย 6. กา้ หนดจดุ ประสงค์การสอน หมายถงึ จดุ ประสงค์ท่ัวไป และจดุ ประสงค์ เชงิ พฤติกรรม รวมทั้งการก้าหนดเกณฑ์การตัดสินผลสัมฤทธิ์การเรียนร้ไู ว้ใหช้ ดั เจน 7. ก้าหนดกิจกรรมการเรียน ต้องก้าหนดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ซ่งึ จะเป็นแนวทางในการเลือก และผลิตสื่อการสอน กิจกรรมการเรียน หมายถึง กิจกรรมทุกอย่าง ท่ีนักเรียนปฏิบัติ เช่น การอ่าน การท้ากิจกรรมตามบัตรค้าส่ัง การเขียนภาพ การทดลอง การตอบ ค้าถาม การเลน่ เกม การแสดงความคดิ เห็น การทดสอบ เปน็ ต้น 8. ก้าหนดแบบประเมนิ ผล ตอ้ งออกแบบประเมนิ ผลให้ตรงกับวตั ถปุ ระสงค์ เชิงพฤติกรรม โดยใช้การสอบแบบองิ เกณฑ์ (การวดั ผลท่ยี ึดเกณฑ์ หรอื เงื่อนไขทก่ี า้ หนดไว้ ในวัตถปุ ระสงค์ โดยไมม่ ีการนา้ ไปเปรยี บเทียบกับคนอ่ืน) เพ่ือใหผ้ สู้ อนทราบวา่ หลังจากผ่านกจิ กรรม การเรยี นรู้มาเรียบร้อยแลว้ นกั เรยี นไดเ้ ปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ตามวตั ถปุ ระสงค์ที่ตั้งไวม้ ากน้อย เพียงใด 9. เลอื ก และผลิตสอื่ การสอน วสั ดุ อปุ กรณ์ และวิธกี ารท่ผี สู้ อนใช้ถือเป็น สอ่ื การสอนทัง้ สนิ้ เมอ่ื ผลติ สื่อการสอนในแต่ละหวั เรื่องเรยี บร้อยแลว้ ควรจัดสอ่ื การสอนเหลา่ น้ัน แยกออกเป็นหมวดหมูใ่ นกลอ่ งหรือแฟม้ ทเี่ ตรยี มไว้ ก่อนน้าไปหาประสิทธภิ าพเพ่ือหาความตรง ความเทยี่ งก่อนน้าไปใช้ เราเรยี กสือ่ การสอนแบบน้ีวา่ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ 10. สรา้ งข้อทดสอบก่อนและหลงั เรียนพร้อมท้ังเฉลย การสร้างขอ้ สอบ เพอ่ื ทดสอบก่อนและหลังเรยี น ควรสรา้ งใหค้ รอบคลมุ เนอ้ื หา และกิจกรรมทก่ี า้ หนด
34 ให้เกิดการเรยี นรู้ โดยพจิ ารณาจากจดุ ประสงค์การเรียนรู้เปน็ สา้ คญั ขอ้ สอบไมค่ วรมากเกินไป แตค่ วรเนน้ กรอบความรสู้ ้าคัญในประเด็นหลักมากกวา่ รายละเอียดปลีกยอ่ ย หรอื ถามเพ่ือความจา้ เพียงอย่างเดียว และเมื่อสร้างเสร็จแล้วควรท้าเฉลยไวใ้ หพ้ ร้อม ก่อนสง่ ไปหาประสทิ ธิภาพ ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 11. หาประสิทธิภาพของชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เมื่อสรา้ งชุดกิจกรรมการเรยี นรเู้ สรจ็ เรียบรอ้ ยแล้ว ตอ้ งน้าชดุ กิจกรรมการเรียนรูน้ ้นั ๆ ไปทดสอบโดยวิธีการตา่ ง ๆ กอ่ นน้าไป ใชจ้ รงิ เช่น ทดลองใชเ้ พ่อื ปรบั ปรุงแก้ไข ให้ผูเ้ ชย่ี วชาญตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ความครอบคลุม และความตรงของเนื้อหา เป็นตน้ การหาประสิทธิภาพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ นกั การศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงวิธกี ารตรวจสอบคุณภาพของชุดกิจกรรม การเรียนรใู้ นลกั ษณะคลา้ ยกัน ไดแ้ ก่ วาโร เพง็ สวัสดิ์ (2545 : 42 – 45) และ อนุวัติ คณู แกว้ (2549 : 163 – 164) ซงึ่ สามารถสรุปไดด้ ังนี้ 1. ขัน้ ตอนการทดสอบประสิทธภิ าพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้แบ่งเปน็ 3 ขน้ั ตอน ดงั น้ี 1.1 ขน้ั ทดสอบแบบรายบคุ คล (1 : 1) เปน็ การน้าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ไปทดลองใช้กับนักเรียนจ้านวน 3 คน โดยเลอื กทดลองกับนกั เรยี นทีม่ ีผลการเรียนอยใู่ นระดับต้า่ ระดับปานกลาง และระดับสูง เพ่ือท่จี ะศึกษาถงึ ข้อบกพร่องของภาษา ภาพประกอบท่ีใช้เป็น สอ่ื การสอน และหนังสือการ์ตูน ลา้ ดบั ของการน้าเสนอ ความเหมาะสมของวิธีการนา้ เสนอเนือ้ หา ซึง่ การทดลองในขั้นน้ี ไม่ได้ทดลองตามกระบวนการเรยี นการสอนที่กา้ หนดไว้ในชดุ กิจกรรม การเรยี นรู้ เนอ่ื งจากไม่ไดม้ ุ่งเน้นทีจ่ ะนา้ เอาคะแนนผลสัมฤทธข์ิ องนักเรียนภายหลงั ที่ศึกษาจาก ชุดกิจกรรมการเรียนรู้มาเป็นเครอื่ งตดั สนิ ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้แตอ่ ย่างใด แตจ่ ะนา้ ผลที่ได้มาพจิ ารณาปรบั ปรุงสว่ นทเ่ี หน็ วา่ ยงั บกพร่อง เช่น ภาษา เนื้อหา วิธกี ารน้าเสนอ ส่ือการสอนต่าง ๆ ให้ดีย่ิงข้นึ 1.2 ข้นั ทดสอบแบบกลมุ่ เล็ก (1 : 10) เป็นการนา้ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ ทีป่ รับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใชก้ บั นักเรยี นท่ีมีผลการเรยี นอยู่ในระดับสงู และต้่าแบบคละกนั ประมาณ 6 - 10 คน การทดลองในขั้นนเ้ี ปน็ การทดลองตามขัน้ ตอนของกระบวนการเรยี นการสอน ท่กี า้ หนดไว้ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ภายหลงั จากท่ศี ึกษาเน้อื หาจบแล้วใหน้ กั เรียนท้าแบบทดสอบ หลังเรียน จากนัน้ เม่ือเสร็จสิ้นกระบวนการทัง้ หมดแลว้ ถา้ คะแนนท่ีได้ออกมาเท่ากบั หรอื สงู กวา่ เกณฑ์ทตี่ ง้ั ไว้ ซงึ่ โดยเฉล่ียจะหา่ งจากเกณฑป์ ระมาณรอ้ ยละ 10 กส็ ามารถน้าชดุ กจิ กรรมการเรียนรไู้ ป ทดสอบประสทิ ธภิ าพในการทดลองภาคสนามในขนั้ ต่อไป 1.3 ขั้นทดลองภาคสนาม (1 : 100) ในการทดลองข้ันน้ี จะเปน็ การนา้
35 ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ท่ปี รับปรงุ แกไ้ ขแล้วไปทดลองใชก้ บั นักเรยี นท้งั ช้ันเรียนตงั้ แต่ 30 – 100 คน โดยดา้ เนินการทดลองตามกระบวนการเช่นเดียวกบั การทดลองแบบกลุ่มเล็ก เพือ่ พิจารณาแก้ไข ปรบั ปรุงในข้อบกพรอ่ งอีกเป็นข้ันสดุ ทา้ ย และมปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ที่กา้ หนดไว้ 2. การก้าหนดประสทิ ธิภาพของชุดกิจกรรม เกณฑป์ ระสิทธภิ าพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ หมายถึง ระดับประสทิ ธิภาพของ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ที่จะช่วยให้นักเรียนเกดิ การเรียนรู้ เป็นเกณฑ์ทผี่ สู้ อนคาดหมายว่านกั เรยี นจะ เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมเปน็ ท่ีน่าพอใจ หากชดุ กจิ กรรมการเรยี นรนู้ ั้น ๆ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐานแลว้ ยอ่ มแสดงใหเ้ หน็ ถงึ คุณคา่ ของการน้าชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ไปใช้ ให้สามารถบรรลุวัตถปุ ระสงค์ของการเรยี นได้ ในการกา้ หนดประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรม การเรียนรู้นน้ั จะก้าหนดเปอรเ์ ซ็นตข์ องผลเฉลย่ี ของคะแนนการท้างาน หรือการท้ากจิ กรรม ของนักเรียนทัง้ หมด หรือคะแนนจากการทดสอบหลังเรียนรายชุด (กรณีหาประสิทธภิ าพโดยรวม) ตอ่ เปอรเ์ ซน็ ตข์ องผลการทดสอบหลังเรียนของนักเรยี นทัง้ หมดนน่ั คือ ประสิทธภิ าพของกระบวนการ หรอื ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์แทนด้วย E1 / E2 เมือ่ E1 คอื ค่าประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ คดิ เปน็ รอ้ ยละของคะแนนเฉลีย่ จากการทา้ แบบฝึกหัดหรอื จากการทดสอบหลงั เรยี นรายชดุ E2 คือ ค่าประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์ (พฤตกิ รรมทเ่ี ปลี่ยนในตวั นักเรยี น หลังเรยี น) คิดเปน็ รอ้ ยละของคะแนนการทดสอบหลงั เรยี น 3. วธิ กี ารค้านวณหาประสทิ ธภิ าพของชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ หลังจากทก่ี า้ หนดเกณฑ์ประสทิ ธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้แล้ว ตอ้ งนา้ คะแนนกจิ กรรม และคะแนนสอบหลงั เรยี นมาค้านวณเพื่อหาประสทิ ธภิ าพของชุดกิจกรรม การเรยี นรู้ตามเกณฑ์ทกี่ า้ หนดไวด้ งั น้ี 3.1 การหาค่า E1 E1 = X N A X 100 เมื่อ E1 คือ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ ΣX คือ คะแนนรวมของแบบฝึกหัด หรอื คะแนนจากการ ทดสอบ หลังเรียนรายชุดของนักเรียนทกุ คน N คอื จ้านวนนกั เรยี น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161