เนื่องจากแตเดิมมาในเรื่องพยายามกระทําความผิดน้ีไมไดกําหนดเรื่องพยายาม กระทําความผิดท่ีไมสามารถจะบรรลุผลไดอยางแนแทออกเปนบทบัญญัติพิเศษ โดยเฉพาะอยางกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ไดบญั ญตั ิเรือ่ งพยายามกระทําความผิด ไวเพียงมาตราเดียวคือมาตรา 60 ที่กําหนดวา “ผูใดพยายามกระทําความผิด แตหากมี เหตุอันพนวิสัยของมันจะปองกันไดมาขัดขวางมิใหกระทําลงไดไซร ทานวามันควรรับ อาญาตามที่กฎหมายกาํ หนดไว สาํ หรับความผดิ นนั้ แบง ออกเปน สามสวนใหโทษอาญาแต สองสวน” แตตอมาไดมีบัญญัติในเร่ืองพยายามกระทําความผิดไวในประมวลกฎหมาย อาญา โดยแยกออกจากกันทีเดียว กลาวคือ การจะพยายามกระทําความผิดธรรมดา อันหนง่ึ และการพยายามกระทําความผิดซง่ึ ไมสามารถบรรลผุ ลไดอยา งแนแ ทอ ีกอันหนึง่ 1ไดมีนักกฎหมายกลาวถึงวัตถุประสงคในการบัญญัติมาตรา 81 ไว วาเน่ืองจาก การตรวจสอบระบบของกฎหมายตางประเทศในขณะนั้น เม่ือประกอบการพิจารณาในการ แกไขขอขัดของในเร่ืองพยายามกระทําความผิดก็ไดพบวาประมวลกฎหมายอาญา โปแลนด และประมวลกฎหมายอาญาสวิตเซอรแลนด ซ่ึงเปนกฎหมายใหมในขณะนั้นไดมี บทบัญญัติแกไขขอขัดของในเร่ืองพยายามกระทําความผิด นายอารีกียอง ผูเช่ียวชาญ กฎหมายซึ่งเปนที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงยุติธรรมและเปนอนุกรรมการอยูดวยได เสนอใหเขียนกฎหมายตามแบบของกระทรวงยุติธรรมและเปนอนุกรรมการอยูดวย ไดเสนอใหเขียนกฎหมายตามแบบของกฎหมายของประเทศทั้งสอง ซ่ึงแยกเอาเรื่องของ การพยายามกระทําที่ไมสามารถบรรลุผลไดอยางแนแทไปบัญญัติขึ้นเปนพิเศษตางหาก เพื่อแกไขปญหาในเร่ืองของการกระทําท่ีไมสามารถบรรลุผลไดอยางแนแท เพราะปจจัยท่ี ใชในการกระทําหรือเพราะเหตุแหงวัตถุท่ีมุงหมายกระทําตอ แมการกระทําเชนน้ันจะไม เปนความผิดเลยก็ตาม เชน ยิงคนที่ตายไปแลวโดยเขาใจวามีชีวิตดวยเจตนาท่ีจะฆา ก็จะ ใหลงโทษดวย โดยถือวาการกระทําเชนน้ันเปนพยายามกระทําความผิดบทบัญญัติที่จะ รางขึ้นใหมนี้สวนหน่ึงจึงเปนเรื่องที่ยอมรับเอาหลักในเร่ืองเจตนารายมาใช เพราะการท่ี บุคคลพยายามกระทําโดยมุงตอผลซ่ึงเปนความผิด แตไมสามารถเปนไปไดอยางแนแทน้ี เปนท่ียอมรับกันแลวลาควรจะลงโทษเพราะผูกระทํามีเจตนาช่ัวราย และท่ีลงโทษก็เพราะ 1หนงั สอื นติ ิศาสตรป รทิ ัศน บทความเรือ่ ง “พยายามกระทําความผิดซง่ึ เปนไปไมไ ดอ ยา งแนแท” โดย ดร.สมศกั ด์ิ สงิ หพันธุ จัดพิมพโ ดยชมรมนติ ศิ าสตร ป 2516. LW 206 161
ท่ีไดกลาวมาเปนเหตุของการบัญญัติมาตรา 81 ข้ึนมาเปนพิเศษตางหากใน ประมวลกฎหมายอาญา เม่ือไดบัญญัติมาตรา 81 ขึ้นมาดังนี้ ในการพิจารณาใช บทบัญญัติเรื่องพยายามกระทําความผิด ทําใหเกิดความสับสนในการใชกฎหมายอยู มากกวาเร่ืองใด สมควรจะปรับตามมาตรา 80 และเรื่องใดสมควรจะปรับตามมาตรา 81 สําหรับความสับสนในการใชบทบัญญัติท้ังสองมาตรานี้ มีทานผูทรงคุณวุฒิในทางอาญา หลายทานไดใหหลักวินิจฉัยวาเรื่องใดควรปรับดวยมาตรา 80 และเรื่องใดควรปรับดวย มาตรา 81 ไว 3 หลกั ดวยกัน ดังน้ี1 1. หลักวินจิ ฉยั ที่ 1 ทานผทู รงคณุ วฒุ ิทานหนึง่ ใหขอเสนอแนะวา ถาเหตุขัดขวาง มิใหกระทํานั้นบรรลุผลเกิดภายหลังที่ลงมือกระทํา ตองปรับดวยมาตรา 80 เชน กําลังเล็ง ยิงผูเสียหายอยู ก็พอดมี ผี ูมาปดปน ไปเสยี หรอื ยงิ แลวกระสุนเกิดดาน เปนตน ตรงขามถา เหตุขัดขวางมิใหการกระทํานั้นบรรลุผลเกิดกอนท่ีลงมือกระทําตองปรับดวยมาตรา 81 เชน ลวงกระเปา โดยมิไดมเี งนิ อยใู นกระเปา ตอ งใชมาตรา 81 2. หลักวินิจฉัยท่ี 2 ทานผูทรงคุณวุฒิอีกทานหน่ึงใหขอเสนอแนะวา การท่ีจะถือ วาเรื่องใดตองตามมาตรา 80 หรือมาตรา 81 ตองดูผลแหงการกระทําผิดวาอาจจะเปล่ียน ไปไดหรือไม ถาเปล่ียนแปลงไปไดเปนกรณีท่ีตองปรับดวยมาตรา 80 ถาเปลี่ยนแปลง ไมไดเปนกรณีท่ีจะตองปรับดวยมาตรา 81 และหลักสําคัญมีวาในการที่จะวินิจฉัยผลแหง การกระทําผิดวาอาจเปลี่ยนแปลงไปไดหรือไมน้ี ตองพิจารณาจากขอเท็จจริงเก่ียวกับการ กระทําประกอบดวยปจ จัยท่ีเปนการกระทาํ และวตั ถุทม่ี ุงหมายกระทําตอ ตัวอยาง จําเลยเอาระเบิดมือขวางผูเสียหาย แตจําเลยไมไดถอดสลักนิรภัย ออก ดังนี้ระเบิดอาจจะระเบิดหรือไมระเบิดก็ได กรณีตองตามมาตรา 80 ในทํานอง เดียวกัน เอายาพิษเจืออาหารใหผูเสียหายรับประทาน ถาหากเจือมากผูเสียหายอาจตาย ก็ได หรือแมเจือไมมากแตบังเอิญผูเสียหายปวยหนัก และมีโรคแทรกอยูแลวจึงตาย ดังน้ี เห็นไดวาผลแหงการกระทําผิดอาจจะเปล่ียนแปลงไปได จําเลยมีความผิดตามมาตรา 80 ตรงกันขามถาจําเลยเอาปนไมมีกระสุนปนยิงผูเสียหาย ดังน้ีจะเห็นไดวาถึงอยางไรก็ยิง 1ดูบนั ทกึ ทา ยฎีกาท่ี 783/2513 หนา 1121-1138 ไดร วบรวมไวอยา งละเอียด LW 206 162
3. หลักวินิจฉัยท่ี 31 ไดกลาววา ความผิดฐานพยายามอันเกิดจากการกระทําที่ ไมส ามารถบรรลุผลน้ันมี 3 ประการดว ยกัน คือ 1) ความผิดที่ไมสําเร็จโดยขอกฎหมาย (Legal Impossibility) อันหมายความ ถึงกรณีที่การกระทําขาดองคประกอบที่กฎหมายบัญญัติเปนความผิดไปบางองคประกอบ เชน การยิงศพท่ีไมเปนการฆาคนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เพราะผูที่ถูก ยิงเปนศพเสียกอนแลว ผูน้ันก็ไมไดมีชีวิตอยูในขณะถูกยิง หรือการทําใหแทงลูกตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 หญิงจะตองมีครรภ ถาหญิงน้ันไมมีครรภ การแทง ลูกกม็ ไี มได หรอื เชน การลกั ทรพั ยต ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ถา หากทรัพย ท่เี อาไปเปน ทรัพยข องผเู อาไปเอง การลักทรพั ยย อ มมีไมไ ด ผลก็คือ เมื่อการกระทํานั้นไมเปนความผิดสําเร็จไดเพราะขาด องคประกอบความผิดเสียแลว แมจะไดทําไปโดยตลอดและเกิดผลข้ึนตามท่ีตั้งใจกระทํา การกระทําและผลน้ันกไ็ มเ ปนความผดิ การพยายามกระทาํ ความผดิ กม็ ีไมไ ดอ ยนู ่ันเอง 2) ความผิดไมสําเร็จโดยเหตุปจจัยหรือวัตถุโดยไมเด็ดขาด ทาน ศาสตราจารยจ ิตติ ติงศภัทิย ไดอ รรถาธบิ ายวา (1) ในสวนท่ีเก่ียวกับปจจัยน้ัน หมายความถึงวิธีการอาจเกิดผลสําเร็จได แตผูกระทําไมรูจักใชวิธีการน้ันโดยถูกตอง หรือมีเหตุอื่นมาขัดขวาง เชน ยิงไมถูกเพราะ ขาดความแมน ยาํ ผเู สียหายหลบไดทัน หรอื ใชเ ครอื่ งมอื งัดหีบไมเ ปน จึงเปดไมออก (2) ในสวนท่ีเกี่ยวดวยวัตถุ หมายความถึงวัตถุท่ีเปนองคประกอบ ความผิดนั้นมีอยู แตไมอยูในท่ีท่ีผูกระทําเขาใจ เชน ยิงเขาไปในหองท่ีคนท่ีประสงคจะฆา เคยอยู แตเผอิญขณะยิงน้ันคนนั้นไปเสียท่ีอ่ืน หรือประสงคจะลักทรัพยในหีบท่ีเคยเก็บ ทรพั ย แตห บี นัน้ ในขณะน้นั ไมม ที รพั ย เปน ตน 1จิตติ ติงศภัทยิ , ศาสตราจารย, อางแลว, หนา 332. 163 LW 206
3) ความผิดไมสําเร็จโดยเหตุปจจัยหรือวัตถุโดยเด็ดขาด ทานศาสตราจารย จติ ติ ตงิ ศภทั ิย ใหแ งค ดิ วา (1) ในเรื่องปจจัยนั้น หมายความถึงวิธีการท่ีกระทําไมมีทางที่จะสําเร็จได เลย เชน ยงิ คนดวยปนทีไ่ มบรรจุกระสนุ ปน หรือฆาคนโดยวางยาพษิ แตส ่ิงทีผ่ สมไมมีพษิ (2) ในเรื่องวัตถุ หมายความถึงวัตถุท่ีเปนองคความผิดไมมีอยูเลย หรือมี แตวัตถุน้ันไมมีคุณสมบัติท่ีจะเปนวัตถุแหงการกระทําความผิดน้ันได เชน ยิงตนไมโดย เขาใจวาเปนคนท่ีผูกระทําประสงคจะฆา ดังน้ีตัวบุคคลท่ีผูกระทําประสงคจะฆาน้ันมีอยู องคประกอบความผิดน้นั มคี รบบริบรู ณ แตวัตถุทีย่ ิงเปนตอไม จึงไมบ รรลผุ ลไดอ ยางแนแท ตาม ขอ 3) น้ผี กู ระทาํ ยอมมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 แนวคําพิพากษาฎกี าเก่ยี วกบั มาตรา 80 และ 81 ก. แนวคําพิพากษาฎีกาที่ถือวาเปนกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 คําพิพากษาฎีกาท่ี 864/2502 จําเลยยิงปนตรงไปทางผูเสียหาย แตกระสุนปนไมถูก ผูเสียหาย เพราะผูเสียหายหลบเสียกอนนั้น เปนการกระทําไปตลอดแลว หากแตไม บรรลุผลตามที่จําเลยเจตนาเทานั้น การกระทําของจําเลยจึงเปนความผิดฐานพยายามฆา คนตาย ตามมาตรา 80 คําพิพากษาฎีกา 997/2502 ทีแรกผูเสียหายเอาแขนเขาประตูรถ จําเลยเห็น จาํ เลยเอ้ือมมือหยิบวตั ถุสีดาํ เขาใจวาปนจงึ เอ้ยี วตัวหลบ เห็นไดวาหมายถึงลําตัวซ่ึงอยูใน อาการเคล่ือนไหวไมใชหมายถึงแขน โดยเฉพาะเปนอาวุธรายแรง การยิงสาดตรงไปที่ตัว ยอมเล็งเห็นผลไดวาอาจถึงตาย เปนกรณีเจตนาฆา เม่ือกระสุนปนพลาดท่ีหมายไปถูก ศอก จําเลยยอ มมีความผิดฐานพยายามฆาคนตามมาตรา 80 คําพพิ ากษาฎีกา 711/2513 จําเลยใชปนยิงผูเสียหาย แตก ระสนุ ปน ไมล่ัน การ ท่ีกระสุนปนไมระเบิดออกไปนั้นจะเปนเพราะคุณภาพของกระสุนปนไมดี หรือเพราะเหตุ ใดก็ตาม การกระทําของจําเลยเปนการพยายามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 แลว คําพิพากษาฎีกา 783/2513 (ประชุมใหญ) กระสุนปนเคยใชยิงมากอน 3 คร้ัง แลวกระสุนดาน จําเลยนําไปใชยิงผูเสียหายอีกโดยเขาใจวายังใชไดอยู แตกระสุนก็ดาน อีก ถือวาการท่ีกระสุนไมระเบิดออกนี้เปนแตเพียงการท่ีเปนไปไมไดโดยบังเอิญ หาเปน 164 LW 206
คําพิพากษาฎีกา 1446/2513 ผูเสียหายรูตัวลวงหนาวาจําเลยจะมายิง จึงยาย จากหองที่เคยนอนไปนอนท่ีระเบียง จําเลยใชปนแกปไปยิงตรงท่ีที่ผูเสียหายเคยนอน กระสนุ ปนจงึ ไมถ ูกผูเสียหาย เชนน้ีถือวาผูเสียหายรูตัวและหายไปโดยบังเอิญ อีกประการ หนึ่งเม่ือผูเสียหายยังอยูในเรือน กระสุนปนก็อาจถูกผูเสียหายได การกระทําของจําเลยจึง มิใชเปนเรื่องท่ีไมสามารถบรรลุผลไดอยางแนแท เพราะเหตุแหงวัตถุท่ีมุงหมายกระทําตอ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 แตเปนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 คําพิพากษาฎีกา 2036/2519 ยิงดวยปนชนิดทําเอง ใชกระสุนเอ็ม 16 สับนก 3 ที กระสุนดานไมล น่ั คงอยูในรงั เพลงิ เปน พยายามฆา คน แตไมเกิดผลโดยบังเอิญ คําพิพากษาฎีกา 3543/2526 บานของผูเสียหายเปนบานไมชั้นเดียว ยกพ้ืน สูง 2 เมตร จําเลยยิงปนไปท่ีหองนอน ป. บุตรผูเสียหายเพราะเช่ือวาผูเสียหายนอนอยูใน หองนั้น กระสุนปนถูกที่ฝาบานสูงจากพ้ืนบาน 1 เมตร ดังน้ีแมขณะที่จําเลยยิงผูเสียหาย และ ป. มิไดนอนอยูในหองโดยลุกจากท่ีที่ตนนอนแอบดูจําเลยท่ีหนาตางและฝาบาน การกระทําของจําเลยก็เปนการยิงผูเสียหายโดยเจตนาฆาซึ่งกระทําไปตลอดแลวแตไม บรรลุผล จงึ เปนความผิดฐานพยายามฆาผเู สยี หาย ตามมาตรา 288 และ 80 ข. แนวคําพพิ ากษาฎกี าที่ถอื วา เปนกรณตี ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 คําพพิ ากษาฎกี า 980/2502 วินิจฉัยวา กรณีที่จะปรับดวยประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 81 นั้น เก่ียวกับปจจัยซ่ึงใชในการกระทําความผิดไมสามารถจะกระทําให บรรลุผลไดอยางแนแท เชน ใชปนท่ีมิไดมีกระสุนบรรจุอยูยิงคนโดยเขาใจผิดคิดวามี กระสุนบรรจุพรอมแลว ถึงอยางไรก็ยอมจะทําใหผูถูกยิงไดรับอันตรายจากการยิงมิไดเลย ดังนี้จึงถือไดวาเปนกรณีที่ไมสามารถบรรลุผลไดอยางแนแท แตในคดีน้ีจําเลยใชปนท่ีมี กระสุนบรรจุอยูถึง 7 นัดยิงโจทกรวม กระสุนนัดแรกดานไมระเบิดออก ซ่ึงอาจเปนเพราะ เส่ือมคุณภาพ หรือเพราะเหตุบังเอิญอยางใดไมปรากฏ มิฉะนั้นแลวกระสุนก็ตองระเบิด ออกและอาจเกิดอันตรายแกโจทกรวมได หาเปนการแนแทไม วาจะสามารถกระทําให ผูถูกยิงไดรับอันตรายจากการยิงของจําเลย เชนนี้กรณีน้ีตองปรับดวยมาตรา 80 ไมใช มาตรา 81 และถาหากไมมีคนเขาขัดขวางจําเลยไวทันทวงที จําเลยอาจยิงโจทกรวมดวย LW 206 165
คําพิพากษาฎีกาที่ 107/2510 จําเลยใชปนยิงผูเสียหายในระยะใกลเพียง วาเดียว บาดแผลเปนวงกลมเสนผาศูนยกลางประมาณ 1 ซ.ม. บริเวณรอบ ๆ แผลเปน รอยบวม แผลไมลึกเนอื่ งจากติดกับกระดูกหนา แขง และทห่ี นาที่แขง ที่ตรงกับ แผลไดบุม เขาไปเพียงเล็กนอย บาดแผลน้ีรักษาอยู 4 วันก็กลับบานได แสดงวาบาดแผลมีเพียง เล็กนอยเทานั้น ซึ่งเห็นวาปนที่จําเลยใชยิงมีกําลังนอยมาก ดังน้ี ความผิดของจําเลยจึง ตองปรับดวยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 โดยถือวาจําเลยมุงตอผลซ่ึงกฎหมาย บัญญัติเปนความผิด แตไมสามารถบรรลุผลไดอยางแนแท เพราะเหตุปจจัยซ่ึงใชในการ กระทําผดิ จําเลยยอ มมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 81 คําพิพากษาฎีกาท่ี 1720/2513 วินิจฉัยวา จําเลยกับพวกวิวาทกับบุคคลอีก กลุมหนึ่ง จําเลยจึงใชระเบิดขวดขนาดเทากลองไมขีดไฟโยนไปยังกลุมคนท่ีวิวาทกับ จําเลย เปนเหตุใหผูเสียหายซึ่งเปนบุคคลภายนอกไดรับบาดเจ็บเพราะถูกสะเก็ดระเบิด เชนน้ี เม่ือขอเท็จจริงนับไดวาระเบิดขวดนั้นมีกําลังออนถึงอยางไรก็ไมสามารถทําให บุคคลถึงแกความตายไดโดยแนแท แตจําเลยยอมมีความผิดฐานพยายามฆาผูอ่ืนตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 คําพพิ ากษาฎีกาท่ี 980/2520 ผเู สยี หายอยตู รงจุดระเบดิ ไดร บั บาดแผล 4 แหง แหงหนึ่งบวมมากและเนื้อไหม นอกนั้นบวมแดง แสดงวาลูกระเบิดมีกําลังออนไมอาจทํา ใหตายได จําเลยมีเจตนาฆาแตไมสามารถบรรลุผลไดอยางแนแท เพราะปจจัยที่ใชเปน ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 คําพิพากษาฎีกาที่ 1480/2520 จําเลยยิงผูเสียหายดวยปนลูกซองส้ัน 1 นัด ในระยะ 1 วา เปนแผลเล็กนอยนอนรักษาในโรงพยาบาล 2 วันก็กลับบานได แสดงวาปน ไมอาจทาํ ใหตายได เปนความผิดตามมาตรา 288, 81 คําพิพากษาฎีกาท่ี 589/2529 จําเลยเอาปนแกปที่ไมมีแกปปนยิงผูเสียหาย โดยเจตนาฆา กระสุนปนไมอาจล่ันออกไปไดอยางแนนอน ดังน้ีเปนการกระทําที่ไม สามารถจะบรรลผุ ลไดอยา งแนแท เพราะเหตุปจจัยท่ีใชในการกระทําผิด จําเลยมีความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 288, 81 166 LW 206
คําพิพากษาฎีกาที่ 1560/2529 จําเลยใชปนยิง ร. ในระยะใกลเพียง 1 วา กระสุนปนถกู ร. ฝงลึกไดผิดหนังรักษา 10 วันหาย และกระสุนปนพลาดไปถูก ข. ผิวหนัง ฉีกขาดตองรักษา 5 วันหาย ไมไดความจากแพทยวาถารักษาไมทันอาจถึงแกความตาย ได แสดงวาอาวธุ ปน ทจ่ี าํ เลยใชย งิ ไมอาจทาํ ใหผูถกู ยิงถึงตายได ถือวาจําเลยมุงประสงคจะ ฆา แตปนอันเปนปจจัยในการที่จําเลยใชยิงไมบรรลุผลอยางแนแท จําเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบดว ยมาตรา 81 คําพิพากษาฎีกาท่ี 2400/2529 จําเลยยิงผูเสียหายในระยะหาง 1-2 เมตร ถูกท่ี ราวนมซาย รอบบาดแผลมีรอยถลอกเล็ก ๆ หลายแผล รักษาหายภายใน 14 วัน ไมพบโลหะ ในรางกายผูเสียหาย สันนิษฐานวากระสุนปนทําข้ึนเอง ความเร็วต่ําไมอาจทําอันตรายถึง แกความตายได และไมไดความวาถารักษาไมทันอาจถึงแกความตายได แสดงวาอาวุธ ปนท่ีจําเลยใชยิงไมอาจทําใหผูเสียหายถึงตายได ดังน้ีการกระทําของจําเลยไมสามารถ บรรลผุ ลไดอยางแนแท เพราะปจ จัยทีใ่ ชในการกระทําความผดิ ตาม ป.อ.มาตรา 81 จากหลักวินิจฉัยของทานผูทรงคุณวุฒิทั้งสามหลักและแนวคําพิพากษาฎีกา เก่ียวกับมาตรา 80 และ 81 จึงพอสรุปไดดังน้ี สําหรับหลักวินิจฉัยที่ 1 น้ันไมตรงกับแนว คําพิพากษาศาลฎีกา สวนหลักวินิจฉัยที่ 2 และ 3 เปนหลักวินิจฉัยใกลเคียงกับแนวคํา วินิจฉัยของศาลฎีกา จึงพอแยกขอแตกตางตามแนววินิจฉัยของศาลฎีการะหวางมาตรา 80 และ 81 ไดดงั น้ี LW 206 167
มาตรา 80 มาตรา 81 1. การกระทําไมบรรลผุ ลเพราะ “เหตุ 1. การกระทําไมบ รรลผุ ลเพราะปจจัยท่ีใช บังเอิญ” (ดูคําพิพากษาฎีกาที่ หรอื วตั ถทุ ี่มงุ หมายกระทาํ ตอ ไม 783/2513 ประชุมใหญ) สามารถจะทาํ ใหบรรลผุ ลไดอยา งแนแท เชน ใชปนที่มิไดบ รรจุกระสุนอยูเลย ยงิ คนโดยเขา ใจผดิ วา มีกระสุนบรรจุอยู พรอ มแลว (ดคู าํ พิพากษาฎีกาท่ี 980/2502) 2. การพยายามกระทําความผดิ ตามมาตรา 2. การพยายามกระทําความผดิ ตามมาตรา 80 น้ัน ตอ งมเี หตุมาขัดขวาง หลังจาก 81 ไมม ีเหตอุ ะไรมาขัดขวางเพราะเหตุ ไดม กี ารลงมอื กระทาํ แลว เชน ยงิ เขา ไป ขดั ขวางน้นั อยใู นสภาพภายในตวั ของ ในหองทคี่ นท่ีประสงคจะฆาเคยอยู แต มนั เองอยแู ลว เชน ใชป น ท่ีบรรจุดวย เผอญิ ขณะยงิ นน้ั คนน้ันไปเสยี ที่อนื่ ขา วสารยงิ คน 3. การพยายามกระทาํ ความผิดตามมาตรา 3. การพยายามกระทําความผดิ ตามมาตรา 80 ผกู ระทาํ ตอ งรับโทษ 2 ใน 3 ของ 81 ผูกระทาํ ตอ งรบั โทษไมเ กินก่ึงหนงึ่ โทษท่ีกฎหมายกาํ หนดไวส ําหรับ ของโทษท่ีกฎหมายกําหนดไวส าํ หรับ ความผดิ น้นั ความผิดนัน้ สาํ หรับปญหาของมาตรา 80 และมาตรา 81 นี้ผูเ ขยี นขอสรปุ ไวดังน้ี 1. การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 และมาตรา 81 นั้นจะตองครบ องคประกอบความผิด หากการกระทําความผิดนนั้ ไมครบองคประกอบความผิดก็เปนเร่ือง ขาดองคประกอบความผิดไปทีเดียว ซ่ึงเรียกวาความผิดท่ีไมสําเร็จโดยขอกฎหมาย (Legal Impossibility) เชน การยิงศพที่ไมถือเปนการฆาคนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เพราะองคประกอบความผิดตามมาตรา 288 คําวา “ผูอื่น” น้ันจะตองมีสภาพ บุคคล แตศพไดสิ้นสภาพบุคคลไปแลว จึงขาดองคประกอบความผิด หรือการทําใหแทง ลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 หญิงจะตองมีครรภ ถาหญิงนั้นไมมีครรภ การแทงลกู ก็มีไมได หรือการยิงตอไมโดยเขาใจวาเปนคน หากความจริงคนนั้นไมมีตัวตน อยูเลย ความผดิ ฐานฆา คนตายกม็ ขี ึ้นไมได 168 LW 206
2. การพยายามกระทาํ ความผดิ ตามมาตรา 80 ตัวบทบัญญัติวา “ผูใดลงมือกระทํา ความผิด” เชนน้ีแสดงวาการกระทําแตเร่ิมแรกท่ีลงมือน้ันตองเปนความผิด แตเพราะ กระทําไปไมตลอด หรือกระทําไปตลอดแลวแตไมบรรลุผล จึงเปนเพียงพยายามกระทํา ความผิด สวนการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 81 ตัวบทบัญญัติวา “ผูใดกระทํา โดยมุงตอผลซ่ึงกฎหมายบัญญัติเปนความผิด” จะเห็นวากฎหมายมิไดบัญญัติไวอยาง มาตรา 80 มาตรา 81 คงจะดูเจตนาของผูกระทําเปนหลักวาชั่วรายเพียงใด เพราะการ กะทําเร่ิมแรกท่ีลงมือน้ันไมอาจจะเกิดผลสําเร็จไดเลยเพราะเหตุปจจัยท่ีใชในการกระทํา หรือวัตถุท่ีมุงหมายกระทําตอเปนไปไมไดอยางแนแท แตผูกระทําไดมุงตอผลท่ีเกิดข้ึนซึ่ง กฎหมายไดบัญญัติเปนความผิด กฎหมายจึงเพียงใหถือวาเปนพยายามกระทําความผิด เทานนั้ 3. การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 น้ันไมสามารถบรรลุผลได เพราะ มีเหตุขัดขวางหลังจากไดมีการลงมือกระทําแลว ผูกระทําจึงกระทําตอไปไมได ซึ่งถาไมมี เหตุมาขัดขวาง การกระทํายอมบรรลุผล เชน จําเลยใชปนยิงผูเสียหาย แตกระสุนปนไม ล่ัน การท่ีกระสุนปนไมระเบิดออกไปน้ันจะเปนเพราะคุณภาพของกระสุนปนนั้นไมดี หรือ เพราะเหตุใดก็ตาม การกระทําของจําเลยเปนการพยายามตาม ป.อ.มาตรา 80 (คําพิพากษาฎีกาที่ 711/2513) กระสุนปนเคยใชยิงมากอน 3 คร้ังแลวกระสุนดาน จําเลย นํามาใชยิงมาใชยิงผูเสียหายอีกโดยเขาใจวายังใชไดอยู แตกระสุนก็ดานอีก ถือวาการที่ กระสุนไมระเบิดออกนี้เปนแตเพียงการที่เปนไปไมไดโดยบังเอิญ หาเปนการแนแทวาจะ ไมสามารถทําใหผูถูกยิงไดรับอันตรายจากการยิงไม ตองปรับดวย ป.อ.มาตรา 80 คําพิพากษาฎีกาท่ี 783/2513 ประชุมใหญ จําเลยใชปนยิงผานไปตรงที่ที่ผูเสียหายเคย นอนในหองเรียน แตกระสุนไมถูกเพราะผูเสียหายรูตัวเสียกอนจึงยายไปนอนเสียท่ี ระเบียง การที่ผูเสียหายรูตัวและหลบไปไมอยูในที่ท่ีจําเลยเขาใจ ถือไดวาเปนเร่ืองบังเอิญ และผูเสียหายก็ยังคงอยูบนเรือนนั่นเอง ดังน้ีการกระทําของจําเลยหาใชเปนเรื่องที่ไม สามารถบรรลุผลไดอยางแนแทตามมาตรา 81 น้ันเมื่อไดลงมือกระทําไปแลวไมไดมีเหตุ ขัดขวางเกิดขึ้น แตการกระทําน้ันไมสําเร็จผลไดอยางแนแท กระทําไปแลวไมไดมีเหตุ ขัดขวางเกิดข้ึน แตการกระทํานั้นไมสําเร็จผลไดอยางแนแท เพราะเหตุปจจัยที่ใชในการ กระทําหรือวตั ถุทมี่ งุ หมายกระทาํ ตอ เชน คาํ พพิ ากษาฎกี าที่ 908/2502 ไดวินิจฉัยวากรณี ที่จะปรับดวยมาตรา 81 น้ัน เก่ียวกับปจจัยซ่ึงใชในการกระทําความผิดไมสามารถจะกระทํา LW 206 169
ขอสงั เกต 1. การยิงศพนั้นไดมีนักนิติศาสตรบางทานเห็นวาเปนพยายามที่เปนไปไมได อยางแนแท โดยใหเหตุผลวา มาตรา 81 บัญญัติข้ึนเปนพิเศษเพ่ือจะใชกับกรณีการขาด องคประกอบ เพราะการขาดองคประกอบไมใชพยายามตามหลักทั่วไป ตามมาตรา 80 พิจารณาจากตัวบทที่วา “ใหถือวาผูนั้นพยายามกระทําความผิด” ซึ่งแสดงวาไมใช พยายามกระทาํ ความผิดโดยทั่วไป จึงไมจําเปนตองอยูภายใตหลักทั่วไปของการพยายาม กระทําความผิดท่ีวาจะตองมีองคประกอบอยูครบถวนทุกอยางเสียกอน นอกจากนั้น ถอยคําของมาตรา 81 ไดบัญญัติแตกตางกับถอยคําของมาตรา 81 เพราะมาตรา 81 ข้ึนตนดวยถอยคําวา “ผูใดกระทําการโดยมุงตอผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเปนความผิด” ซ่ึง แสดงวาเจตนาตอผล หากเปนไปตามเจตนาของผูกระทําก็เปนความผิด ไมเหมือนกับ มาตรา 80 แลว ก็ยอมแสดงวาการยิงศพโดยคิดวาเปนคน ยอมเปนการขาดองคประกอบ เพราะจะเปนการพยายามกระทําความผิดไดก็ตอ เมอ่ื มีองคป ระกอบครบถวนบรบิ รู ณแลว 1 2. ลว งมือเขาไปในกระเปากางเกงของเขา เพื่อลักทรัพยโดยคิดวามีเงินอยู แตไม มีเงินอยูในกระเปานั้นเลย ตามตัวอยางน้ีมีนักนิติศาสตรสวนมากเห็นวาเปนพยายาม กระทาํ ความผิดตามมาตรา 80 โดยใหเหตุผลวา การทผี่ กู ระทาํ เขา ใจวามเี งนิ อยูในกระเปา แตเม่ือไมมีเงินเชนน้ันก็ถือเพียงเหตุบังเอิญเทานั้น เพราะเงินอาจจะมีอยูในกระเปาก็ได จึงมใิ ชความผดิ ท่ไี มส ามารถบรรลุผลไดอยา งแนแ ท 1สงา ลีนะสมิต, ศาสตราจารย, กฎหมายอาญา 1 (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหาวิทยาลัย รามคาํ แหง, 2323), หนา 169. 170 LW 206
3. พยายามกระทําความผิดดวยความเชื่ออยางงมงาย มีบัญญัติอยูในประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 81 วรรคทาย วา “ถาการกระทําดังกลาวในวรรคแรกไดกระทําไป โดยความเชื่ออยางงมงาย ศาลจะไมลงโทษก็ได” ในกรณีนี้หมายความวา ผูกระทําได กระทําไปโดยความเช่ืออยางงมงายจึงมีความผิด แตศาลจะลงโทษหรือไมก็ได อยูใน ดุลพินิจของศาล การกระทําท่ีเชื่ออยางงมงาย เชน ใชมนตคาถาพยายามฆาคน เสกเปา ใหเขาเปนบาหรือใหตาย ทําหุนข้ึนเสกเปาดวยเวทมนตใหหุนไปฆาคนน้ันเพื่อใหเขาตาย หรือยงิ คนในระยะหา งไกลถึงขนาดที่ไมมีใครคิดวาจะยิงไดถึง แตผูกระทํายังยิงโดยเชื่อวา จะยิงใหถูก ยอมเปนความเช่ืออยางงมงายทั้งสิ้น การกระทําดังกลาวจึงเปนพยายาม แต ศาลจะไมล งโทษกไ็ ด 4. ยับย้ังการทําผิด มีบัญญัติอยูในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82 วา “ผูใด พยายามกระทําความผิด หากยับย้ังเสียเองไมกระทําการใหตลอด หรือกลับใจแกไขไมให การกระทํานั้นบรรลุผล ผูนั้นไมตองรับโทษสําหรับการพยายามกระทําความผิดนั้น แตถา การท่ีไดกระทําไปแลวตองตามบทกฎหมายท่ีบัญญัติเปนความผิด ผูน้ันก็ยังรับผิดสําหรับ ความผดิ นนั้ ” จากบทบัญญตั ิในมาตราน้ี แยกพจิ ารณาออกเปน 3 กรณี คอื 1) การยับยั้งจะตองกระทําระหวางท่ีการกระทําเขาขั้นพยายามตามมาตรา 80 แลว จนกระทั่งถึงเวลากอนที่การกระทําเปนความผิดสําเร็จ ถาการกระทํายังไมเขาข้ัน พยายาม เปนแตอยูในข้ันตระเตรียมการ ถึงจะมีการยับย้ังก็ไมมีผลอยางไร เพราะในข้ัน ตระเตรียมไมถือวาลงมือกระทํา เมื่อไมมีพยายามกระทําความผิดแลวก็ไมมีการยับย้ัง หรอื ถา การกระทาํ ความผดิ ไปแลวเทาน้ัน ซ่ึงอาจมีกฎหมายบัญญัติไวโดยเฉพาะเปนกรณี ไป เชน มาตรา 78, 88, 176, 182, 183, 205, 316 หรืออาจไมตองรับโทษหนักขึ้นตาม มาตรา 216 2) หลกั เกณฑการยับยั้งพยายามกระทาํ ความผิดมี 2 ประการ คือ (1) ยบั ย้ังเสยี เองไมกระทําการใหต ลอด หรือ (2) กลบั ใจแกไ ขไมใหก ารกระทําน้นั บรรลผุ ล (1) ยับยั้งเสียเองไมกระทําการใหตลอด หมายความวา ไดลงมือ กระทําความผิดแลวแตกระทําไปไมตลอดเพราะผูกระทํายับย้ังเสียเอง และการยับยั้งนี้ LW 206 171
เชน ก ตั้งใจไปฆา ข. จึงไปซุมดักยิง ข. พอ ข. เดินมาไดเล็งปนตรง ไปยังตัว ข. ขณะท่ี ก. จะล่ันไก ก. เกรงวาถายิง ข. แลวจะตองติดตะรางจึงไมยิงตอไป แลวกลับบาน กรณีดังกลาวเปนการยับย้ังโดยเหตุภายในตัวผูกระทําเอง หรือขณะ ก. จะ ล่ันไกนั้นเห็นบุตรของ ข. วิ่งตาม ข. มา เกรงวาลูกปนจะไปโดนบุตร ข. ดวย จึงไมยิง กรณนี เ้ี ปนการยับยง้ั โดยเหตุภายนอก แตถาการท่ี ก. ไมยิง ข. เพราะ ก. เห็นตํารวจเดินมา อยางน้ีการ ยับยั้งของ ก. เกิดจากความกดดันภายนอก จึงไมเรียกวาการยับย้ังนั้นเปนไปโดยความ สมัครใจ ก. ตองรับโทษฐานพยายามกระทําความผิด เพราะการยับย้ังของผูกระทํากลัวจะ ถกู จบั จงึ จําใจตอ งเลิกกระทํา กรณีมีปญหาตอไปวา ถาการยับยั้งเปนเพราะความสําคัญผิดของ ผูกระทํา จะถือวาผูกระทํายับย้ังโดยความสมัครใจไดหรือไม เชน ก. ตั้งใจไปยิง ข. กําลัง จะลั่นไก ก. ไดยินเสียงดังกรอกแกรก เขาใจวามีคนมาหรือเขาใจวาเปนตํารวจ จึงไมยิง แตความจริงเสียงที่ดังกรอกแกรกน้ันเปนสุนัข กรณีตามปญหาน้ี ทานอาจารยสุบัน พูนทรัพย ไดอธิบายในคําอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาคท่ัวไปวา การเลิกไมยิง ตอไปยอมเปนผลจากการท่ี ก. ไมกระทําตอไป ซึ่งถา ก. จะกระทําตอไปใหสําเร็จก็ยอม ทําได เพราะ ก. เพียงไดยินแตเสียงดังกรอกแกรก ไมเห็นรูปราง การยับย้ังดังกลาวจึง เปน ไปโดยสมคั รใจ เรอ่ื งน้ีมคี าํ พพิ ากษาพอจะเทียบได คอื คําพิพากษาฎีกาที่ 784/2463 ก. เอาปนขึ้นประทับบาจะยิง ข. แตมี ค. รองหาม ก. จําเลยก็ไมยิง ตัดสินวา ก. ยับย้ังเสียดวยใจตนเอง จึงไมมีความผิดฐาน พยายามฆา ใหลงโทษเพียงความผิดที่ไดกระทําลงไปแลว ฐานถืออาวุธปนไปในถนน หลวงเปน ทห่ี วาดเสียวแกส าธารณชน คําพิพากษาฎีกาท่ี 230/2502 ก. กับพวกขูเอาเงินจากพวกเดินทาง เจาทรัพยรองทักข้ึนเพราะรูจัก ก. ดี ก. จึงรองขึ้นวาหยุดโวยพวกเดียวกัน แลวก็จากกัน 172 LW 206
คําพิพากษาฎีกาท่ี 63/2454 ก. กับพวกเขาปลนบาน ข. แตยังไมทัน ไดขึ้นเรือน พวกของ ก. ยิงปนไปถูกเจาทรัพย ก. รองขึ้นวายิงปนไปถูกคนแลวกลับเถิด แลวพากันกลับ ตัดสินวาเปนการยับย้ังเสียเอง ไมมีความผิดฐานพยายามปลน คงลงโทษ ฐานทํารายรา งกาย ตามคําพิพากษาฎีกาแรกจะเห็นไดวามีผูรองหามขณะยกปนข้ึน ประทับบาแลวจะยิงไป จําเลยก็หยุดไมยิงตอไป ซึ่งความจริงหาก ก. จะยิงตอไปก็ยิงได แต ก. ไมย ิงตอไป ยอ มเหน็ ไดวาเหตุผลที่ ก. ไมยิงตอไปมันมีนํ้าหนักเปนผลดีกวาผลราย ศาลฎีกาจึงถือวาเปนการยับย้ังเสียเอง แตถาเปนกรณีที่มีคนรองเอะอะโวยวายขึ้นไดยิน กันท่ัวไป จึงเลิกไมกระทําตอไปแลว กรณีเชนน้ีจะเรียกวายับยั้งเสียเองไมได (คําพิพากษาฎีกาที่ 718/2469, 849/2472, 481/2481) หรือในกรณีที่กระทําตอไปไม สําเร็จจึงเลิกทําเพราะเจาพนักงานตํารวจมา กรณีเชนน้ีก็ไมใชเพราะยับย้ังเสียเอง (คําพิพากษาฎีกาท่ี 425/2482, 1590/2405, 690/2498, 1108/2499) สําหรับตัวอยางที่ 2 น้ันเปนเพราะเจาทรัพยรูจัก ก. ดี จึงทักข้ึน ก. จึงหยุดไมปลนตอไป จึงถือวา ก. ยับยั้ง เสียเอง ซึ่งก็ตางกับท่ีไดยินเสียงดังกรอกแกรกหรือกุกกัก ซึ่งเปนเพียงการคาดคิดเอาวา จะเปน เชน นัน้ หรือเชน นี้ อยางไรก็ตาม การยับยั้งเสียเองนี้จะตองไมใชนึกวาการกระทํานั้น สําเร็จแลวจึงไมกระทําตอไป เชน ก. ใชปนยิง ข. ไปแลวนัดหนึ่งโดยเจตนาฆา กระสุนยัง อยูอีก 4 นัด แต ก. เห็น ข. ลมลงนึกวา ข. ตายแลว จึงไมยิงซํ้าอีก แตความจริงกระสุน ปนไมถ กู ข. ลม ลงเพราะการตกใจและกลวั จะยงิ ซาํ้ ดงั นี้ไมใชการยบั ยั้งเสียเอง หรือแมแต วาจัดการแกไขไมกระทําไปใหบรรลุผลก็อางไมได เพราะการกระทํานั้นเปนพยายามฆา โดยสมบูรณแลว (2) กลับใจแกไขไมใหการกระทําน้ันบรรลุผล หมายความวา การ กระทํานั้นไดลงมือกระทําไปตลอดแลวแตไมบรรลุผล เพราะแทนที่จะกระทําตามความ ประสงคกลับแกไขใหเปนอยางอ่ืน เชน ก. เจตนาฆา ข. ซ่ึง ก. ยืนหางจาก ข. เพียง 1 เมตร แทนท่ี ก. จะยิง ข. ในบริเวณอวัยวะท่ีสําคัญเพื่อให ข. ตาย ดังความต้ังใจ แต ก. กลับยิงท่ีนิ้วเทาของ ข. อยางน้ีเปนเพราะ ก. กลับใจแกไขไมใหการกระทํานั้นบรรลุผล LW 206 173
3) ผลของการยับยั้ง (1) ถาผูพยายามกระทําความผิดไดยับย้ังเสียเองไมกระทําความผิดให ตลอดหรือกลับใจแกไขการกระทําที่ตลอดแลวไมใหบรรลุผล ผูกระทําไมตองรับโทษ เวน แตการท่ีไดกระทําไปแลวจะเปนความผิดตามบทกฎหมายที่บัญญัติเปนความผิดสําหรับ การกระทําน้ัน ผูน้ันก็ตองรับโทษสําหรับความผิดนั้น ๆ เชน ก. เจตนาฆา ข. จึงใชปนยิง ข. แทนที่ ก. จะยิงบริเวณอวัยวะสําคัญ กลับยิงไปที่เทา ข. ก. ไดกลับใจแกไขการกระทํา ที่ตลอดแลวแตไมใหบรรลุผล ก. ไมตองรับโทษสําหรับความผิดฐานพยายามฆา แต ก. จะตองรับโทษฐานทํารายรางกาย ข. หรือ ก. ตองการฆา ข. จึงไปซุมดักยิง ข. ท่ีจะเดิน ผานมา พอ ข. เดินมา ก. เกิดความสงสาร ข. จึงไมยิง ก. ไมตองรับโทษฐานพยายามฆา ข. แตอาจมีความผดิ ฐานมีอาวุธปน โดยไมร บั อนุญาต (2) การยับย้ังการกระทําเสียเองน้ี ยอมมีผลไปถึงผูกระทําผิดคนอื่น ๆ ใน ความผิดที่กระทําเพราะการยับย้ังนั้นดวย เพราะเปนเหตุในลักษณะคดีตามมาตรา 89 บคุ คลอนื่ ดังกลาวคอื ตัวการ ผูสนับสนนุ และผูใช สรุป เนื้อหาบทท่ี 8 เรื่องการเร่ิมตนของความผิดที่จะถือวาเปนการเร่ิมตนของ ความผดิ พิจารณาไดเ ปน 2 แนวคือ แนวคําพิพากษาศาลฎีกา และแนวทฤษฎีอีกแนวหนึ่ง ซ่ึงท้ังสองแนวสอดคลองตองกันวา การกระทําท่ีใกลชิดกับผลสําเร็จเปนการเริ่มตนของ ความผิด แมวาตามแนวทฤษฎีจะแยกการพิจารณาออกเปนการกระทํากรรมเดียวและ หลายกรรม กท็ าํ นองเดยี วกบั แนวคาํ พิพากษาศาลฎีกานนั้ เอง การเริ่มตนของความผิดถือวาเขาข้ันพยายามแลว การพยายามกระทําความผิดใน ประมวลกฎหมายอาญา พจิ ารณาได 4 ประการ คอื 1. พยายามกระทําความผิดธรรมดา (มาตรา 80) ซึ่งประกอบดวยหลักเกณฑ 3 ประการ คือ 1) ผูก ระทําจะตองมีเจตนากระทาํ ความผดิ 2) ผกู ระทําจะตอ งลงมือกระทําความผดิ 3) ผูกระทําไปไมต ลอด หรอื กระทําไปตลอดแลว แตการกระทาํ นนั้ ไมบ รรลผุ ล 174 LW 206
2. พยายามกระทําความผิดซ่ึงการกระทํานั้นไมสามารถบรรลุผลไดอยางแนแท (มาตรา 81) ซ่งึ ประกอบดวยหลักเกณฑ 3 ประการ คอื 1) ผูก ระทําจะตองมีเจตนากระทาํ ความผิด 2) โดยมงุ ตอ ผลซ่งึ กฎหมายบญั ญัตเิ ปน ความผิด 3) การกระทําไมสามารถบรรลผุ ลไดอยางแนแท เพราะ (1) เหตปุ จ จยั ซึง่ ใชใ นการกระทาํ หรอื (2) เหตุแหงวัตถุทีม่ งุ หมายกระทําตอ (3) พยายามกระทําความผิดดวยความเช่ืออยางงมงาย (มาตรา 81 วรรค ทา ย) (4) ยบั ยั้งการกระทาํ ผิด (มาตรา 82) แยกพจิ ารณาได 2 กรณีคอื ก. การยับยั้งจะตองกระทําระหวางท่ีการกระทําเขาขั้นพยายามตาม มาตรา 80 แลว จนกระทั่งถงึ เวลากอ นทกี่ ารกระทําเปนความผิดสําเรจ็ ข. การยับย้ังพยายามกระทาํ ความผิดมี 2 ประการ คอื ก) ยบั ยง้ั เสียเองไมก ระทําการใหต ลอด หรอื ข) กลบั ใจแกไขไมใหก ารกระทํานนั้ บรรลผุ ล โทษสาํ หรบั การพยายามกระทาํ ความผิด 1. พยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 ผูกระทําตองรับโทษสองในสามสวน ของโทษที่กฎหมายกาํ หนดไวส าํ หรับความผดิ นัน้ 2. พยายามกระทําความผิดตามมาตรา 81 ผูกระทําตองรับโทษไมเกินกึ่งหนึ่ง ของโทษท่กี ฎหมายกําหนดไวสําหรับความผิดนนั้ 3. พยายามดว ยความเชอ่ื อยางงมงาย ศาลจะไมล งโทษกไ็ ด 4. การพยายามท่ีผูกระทํายับยั้งไมกระทําการใหตลอด หรือกลับใจแกไขไมให การกระทาํ นั้นบรรลุผล ผูนัน้ ไมต อ งรบั โทษสาํ หรับการพยายามกระทําความผิดนั้น เวนแต การท่ีไดกระทําไปแลวตองตามบทกฎหมายท่ีบัญญัติเปนความผิด ผูนั้นก็ยังรับผิดสําหรับ ความผิดน้นั LW 206 175
ขอยกเวนสําหรับการพยายามกระทําความผดิ ทีไ่ มต องรับโทษ 1. การพยายามกระทําท่ีเขาลักษณะตามที่มาตรา 82 บัญญัติไว ผูกระทําไมตอง รับโทษ 2. การพยายามกระทาํ ความผดิ ลหโุ ทษ ผกู ระทําไมตอ งรบั โทษ (มาตรา 105) 3. การพยายามกระทําความผิดฐานทําใหแทงลูกตามมาตรา 301 หรือมาตรา 302 วรรคแรก ผูกระทําไมตอ งรับโทษ (มาตรา 304) 176 LW 206
LW 206 177
บทท่ี 9 เหตุท่ีผูกระทาํ มีอํานาจทําได ขอความทั่วไปความรับผิดทางอาญาอาจไมเกิดข้ึนแมวาจะไดเร่ิมตนกระทําและ เขาเกณฑสาระสําคัญของความผิดแลวก็ตาม เพราะความผิดอาญาเปนการกระทําท่ี กระทบกระเทือนตอสังคม รัฐจึงบัญญัติกฎหมายอาญาข้ึนมาเพื่อหามไมใหเอกชนในรัฐ กระทําการอยางใดอยางหน่ึง หรือกําหนดหนาท่ีใหเอกชนในรัฐกระทําการอยางใดอยาง หนึ่ง หากเอกชนฝาฝนหรือขัดขืนไมปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษ การฝาฝนหรือขัดขืนไม ปฏิบัติตามนี้ ผูกระทํายอมมีความรูสึกตางกัน บางกรณีฝาฝนหรือขัดขืนก็ดวยความ ยินยอมของผูเสียหายเอง ดังน้ันการฝาฝนหรือขัดขืนไมปฏิบัติตามกฎหมายอาญาท่ีรัฐ บญั ญัติขนึ้ คมุ ครองปองกันประโยชนของสังคมในกรณีดังกลาวไมสมควรท่ีจะเปนความผิด หรืออาจกลาวไดวาผูกระทํามีอํานาจท่ีจะกระทําไดโดยมีกฎหมายสนับสนุนใหกระทํา แทนท่จี ะตอ งรับผิดทางอาญา เหตุท่ผี กู ระทาํ มอี าํ นาจกระทําได คือ 1. ผูกระทํามอี าํ นาจตามกฎหมาย 2. ความยินยอมของผเู สียหาย 178 LW 206
สว นท่ี 1 ผูกระทาํ มีอาํ นาจตามกฎหมาย ผูกระทํามีอาํ นาจตามกฎหมาย หมายความวา มกี ฎหมายบัญญัติใหผูกระทําทําได โดยไมเปน ความผิด ซึง่ นอกจากจะบัญญัตไิ วในประมวลกฎหมายอาญาแลว ยังบัญญัติไว ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง ประมวล กฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา และพระราชบัญญัติอ่ืน ๆ สําหรับประมวลกฎหมายอาญาท่ีบัญญัติใหผูกระทํามีอํานาจกระทําไดตาม กฎหมาย คือ 1. การปองกนั โดยชอบดว ยกฎหมาย (มาตรา 68) 2. การกระทาํ ของนายแพทยใหห ญงิ แทง ลูก (มาตรา 305) 3. การแสดงความคิดเห็นหรอื ขอความใดโดยสจุ ริต (มาตรา 329) 4. การแสดงความคิดเห็นหรือขอความในกระบวนพิจารณาคดีในศาล โดยคูความ หรอื ทนายความของคคู วามเพ่ือประโยชนแกคดขี องตน (มาตรา 331) ในท่นี ้จี ะกลาวโดยละเอยี ดเฉพาะแตก ารปองกนั โดยชอบดว ยกฎหมาย ตามมาตรา 68 เทาน้ัน การปองกันโดยชอบดวยกฎหมาย โดยปกติรัฐจะทําหนาท่ีคุมครองปองกันประโยชนของสังคม โดยจะบัญญัติ กฎหมายหามมิใหบุคคลกระทําการอยางใดอยางหน่ึง หรือบังคับใหบุคคลมีหนาท่ีกระทํา การอยางใดอยางหนึ่ง เชน บัญญัติกฎหมายหามไมใหมีการประทุษรายดวยกัน ไมวาจะ เปนการประทุษรายตอชีวิต รางกาย ทรัพยสิน หรือช่ือเสียง ถาใครฝาฝนไมปฏิบัติตามจะ ตองถูกรัฐลงโทษ โดยเอกชนผูถูกประทุษรายจะลงโทษผูกระทําความผิดดวยตนเองไมได แตดวยเหตุท่ีรัฐไมสามารถใหความคุมครองแกเอกชนไดอยางทันทวงทีและท่ัวถึง รัฐจึง ตองใหอํานาจเอกชนผูบริสุทธ์ิขจัดปดเปาภยันตรายท่ีจะมาถึงดวยการปองกัน ถาจะรอให รัฐเขามาชวยเหลือจะไมทันการ และหากปลอยใหภัยเกิดข้ึน ความเสียหายที่เกิดจาก ภยันตรายน้ันบางกรณีก็ยากทจ่ี ะแกไขใหกลับคืนดังเดิมได จึงตองยอมใหเอกชนผูจะตอง LW 206 179
ประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติเกี่ยวกับการกระทําโดยปองกันไวในมาตรา 68 วา “ผใู ดจาํ ตองกระทาํ การใดเพอ่ื ปอ งกันสทิ ธิของตนหรือของผูอ่ืนใหพนภยันตรายซึ่งเกิดจาก การประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมายและเปนภยันตรายท่ีใกลจะถึง ถาไดกระทําพอ สมควรแกเ หตุ การกระทําน้นั เปน การปองกนั โดยชอบดว ยกฎหมาย ผนู ้นั ไมมคี วามผิด” จากขอ ความในมาตรา 68 นี้ จึงอาจแยกพิจารณาได 2 กรณี คือ ก. หลกั เกณฑข องการกระทาํ โดยปองกนั ข. ผลของการกระทําโดยปอ งกนั ก. หลักเกณฑของการกระทําโดยปองกัน ท่ีจะเปนการปองกันโดยชอบดวย กฎหมายอันมผี ลใหผูกระทําไมมีความผดิ ตอ งประกอบดวยหลักเกณฑดังตอไปนี้ คอื 1. มีภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมายและเปน ภยันตรายทใ่ี กลจ ะถึง 2. ผูกระทําจําตองกระทําเพ่ือปองกันสิทธิของตนเองหรือผูอ่ืนใหพนจาก ภยันตรายน้ัน 3. กระทําไปพอสมควรแกเ หตุ 1. มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมายและเปน ภยันตรายท่ีใกลจ ะถึง ก. ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย “ภยันตราย” หมายถึง ภัยที่เปนความเสียหายแกชีวิต รางกาย ชื่อเสียง หรือทรัพยสินความเสียหาย เหลาน้ีเปนสิทธิของบุคคล “สิทธิ” หมายถึง ประโยชนอันบุคคลมีอยูโดยกฎหมายรับรอง และคุม ครองให (คําพิพากษาท่ี 124/2487) “ภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษราย” หมายความถึง ภยันตรายน้ันจะตอง เกิดจากการประทุษราย การประทุษรายจะมไี ดเฉพาะแตก ารกระทาํ ของบุคคลเทา น้ัน 1อทุ ทิศ แสนโกศกิ , กฎหมายอาญา ภาค 1, หนา 115-116. LW 206 180
“ภยันตรายอันละเมิดตอกฎหมาย” หมายความวา ภัยอันเกิดจากการ กระทําของบุคคลโดยไมมีอํานาจอันถือไดวาเปนการกระทําที่ผิดกฎหมาย ซ่ึงอาจจะเปน กฎหมายอาญาหรอื กฎหมายแพง ก็ได กรณีภยันตรายอันละเมิดตอกฎหมายอาญาผูกอภัยจะกระทําโดยเจตนา หรือประมาทก็ได เชน กรกับนพเปนคูอริกัน กรพบนพ กรชักมีดออกแทงนพ กรได กระทําตอนพโดยเจตนาหรือแสงขับรถยนตขณะมึนเมาดวยความเร็วในถนนท่ีมีผูคน พลุกพลาน รถยนตท่ีแสงขับมาพุงตรงไปท่ีสอน ซึ่งกําลังเดินขามถนน แสงไดกอภัยข้ึน โดยประมาท เปน ตน กรณีภยันตรายอันละเมิดตอกฎหมายแพง เชน กรณีสามีภริยาโดยชอบ ดว ยกฎหมาย หากสามีเห็นภริยาของตนกําลังรวมประเวณีกับชายอ่ืน หรือภริยาเห็นสามี ของตนกําลังรวมประเวณีกับหญิงอ่ืน การกระทําของภริยาหรือสามีดังกลาวยอมทําให สามีหรอื ภริยาเสือ่ มเสียเกียรติยศอยางรายแรง สามีฆาชายชูและภริยาตายจึงอางปองกัน ไดเพราะการที่ภริยาทําชูเปนการกอภยันตรายอันละเมิดตอกฎหมายแพงเชนเดียวกันกับ ภริยาฆาสามแี ละหญิงท่ีทําชูอยูกับสามีตายยอมอางปองกันได กรณีดังกลาวน้ีจะตองเห็น วากําลังรวมประเวณีกันอยู นัยคําพิพากษาศาลฎีกาท่ี 378/2479 การทําชูของภริยาน้ัน จะตองมีชายชูมารวมดวย การที่ภริยามีชูน้ันถือวาเปนการเส่ือมเสียเกียรติยศของสามี อยางรายแรง เม่อื สามฆี า ภรยิ าและชายชตู ายขณะรว มประเวณกี นั จึงถือวาเปนการปองกัน เกยี รตยิ ศพอสมควรแกเหตุ แตถา ภริยาหรือสามีพบเห็นสามีหรือภริยาของตนอยูกับหญิง อื่นหรือชายอื่น โดยไมไดเห็นกําลังรวมประเวณีกันจะอางปองกันไมได จะอางไดแต บันดาลโทสะเทาน้ัน นัยคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2547 จําเลยเปนภริยาชอบดวย กฎหมายของ น. มีสิทธิปองกันมิใหหญิงอ่ืนมามีสัมพันธฉันชูสาวกับสามีของตน แตขณะ จําเลย น.กําลังนอนหลับอยูกับหญิงอ่ืนเทาน้ันมิไดกําลังรวมประเวณีกัน ยังถือไมไดวามี ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมายและเปนภยันตรายที่ใกลจะถึง ท่ีจําเลยจะกระทําเพื่อปองกันสิทธิของจําเลยได แตการท่ีหญิงอื่นเขาไปนอนหลับอยูกับ น. สามีจําเลยที่เพียงนอนน้ันไดวาเปนการกระทําที่ขมเหงจิตใจของจําเลยอยางรายแรง ดวยเหตุอันไมเปนธรรม เม่ือจําเลยพบเห็นโดยบังเอิญมิไดคาดคิดมากอนและไมสามารถ อดกล้ันโทสะไวไดใชมีดฟนศีรษะหญิงคนน้ันในทันทีทันใดจึงเปนการกระทําโดยบันดาล โทสะ ตาม ปอ. มาตรา 72 และคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3955/2547 การท่ีจําเลยใชอาวุธ LW 206 181
รวมความแลว “ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอ กฎหมาย” หมายความวา ภยันตรายที่เกิดข้ึนน้ันผูถูกประทุษรายไมมีหนาที่ตามกฎหมาย ทจ่ี ะตองทนยอมรบั ผูถูกประทษุ รายจึงมอี าํ นาจตามกฎหมายท่ีจะใชสทิ ธิปอ งกนั ได1 ภยันตรายที่ผูประทุษรายมีอาํ นาจทาํ ไดตามกฎหมาย เชน 1. ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 1567 ใหอํานาจบิดามารดา ทําโทษบุตรซึ่งอยูใตอํานาจปกครองตามสมควรเพ่ือวากลาวตักเตือน ถาบิดาเฆ่ียนตีบุตร เพ่ือสั่งสอนเพราะประพฤติตัวไมดี บิดามีอํานาจตามกฎหมาย บุตรจะตองยอมใหบิดาตี จะใชก ําลงั ตอสบู ดิ าโดยอางวาใชสิทธิปองกนั ไมได 2. การกระทําของเจาพนักงานเปนการปฏิบัติหนาท่ีที่กฎหมายใหอํานาจ ไว แมการกระทําน้ันจะกอใหเกิดภยันตรายแกผูใด ผูนั้นจําตองทนยอมรับการกระทํา ดังกลาวเพราะภยันตรายที่เจาพนักงานกอขึ้นเปนการกระทําตามหนาที่ท่ีกฎหมายให อํานาจไว หากเกิดภยันตรายแกผูใด ถือวาเปนภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอัน ละเมดิ ตอกฎหมาย ผูถกู ประทษุ รา ยใชสิทธิปอ งกนั ได 1อทุ ทิศ แสนโกศกิ , กฎหมายอาญา ภาค 1, หนา 116. LW 206 182
ตวั อยาง คาํ พิพากษาฎีกาท่ี 372/2480 จําเลยกับภริยาทะเลาะวิวาทกันอยูบนบาน ภริยาจําเลยตกลงมาจากบานมีบาดเจ็บ ตํารวจท่ียืนรักษาการณอยูเห็นเขาและเขาใจวา จําเลยจับภริยาโยนลงมา จึงเขาไปเพื่อจับกุม จําเลยไมยอมใหจับและใชไมระแนงกวัด แกวงถูกแขนตํารวจผูนั้น ตัดสินวาจําเลยมีความผิดฐานตอสูขัดขวางเจาพนักงาน ทั้งน้ี แมภายหลังจะปรากฏวาภริยาจําเลยตกลงมาเองโดยจําเลยไมไดกระทําความผิดก็ตาม ท้ังน้ีเพราะตํารวจเขาทําการจับกุมตามหนาที่อันชอบดวยกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 80 คําพิพากษาฎีกาที่ 46/2482 จําเลยรับเรือไวโดยรูวาเปนทรัพยท่ีถูกลัก มาวันรุงขึ้นกํานันไปตรวจคนและจะจับจําเลย จําเลยกลับตอสูขัดขวาง ตัดสินวาในเวลา ท่ีกํานันไปตรวจคนและจับของกลางน้ันไมใชเวลาที่จําเลยกระทําผิดซ่ึงหนาตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80 และไมใชกรณีท่ีจับไดโดยไมตองมีหมายจับ ตามมาตรา 78 กํานันจึงไมมีอํานาจจับกุม ฉะนั้นจําเลยไมมีความผิดฐานตอสูขัดขวาง เจาพนักงาน คาํ พิพากษาฎกี าที่ 1275/2503 มีผูบอกกลาขอจับกุมจําเลยในขอหาวาได กระทําความผิด จําเลยถือมีดตรงรี่เขาไปแสดงวาจะตอสูทําราย โดยฝายท่ีขอจับกุมยัง ไมไดลงมือกระทําการที่จะเขาจับกุมจําเลยแตประการใด ฝายท่ีขอจับคนหนึ่งจึงใชไมตีท่ี มือของจําเลย จําเลยก็แทงเอาบาดเจ็บ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญวินิจฉัยวาจําเลยจะ อางปองกันใหพนผิดไมได เพราะฝายที่ขอจับยังไมไดลงมือกระทําการที่จะเขาจับตัว จําเลยประการใดเลย จึงยังไมมีกรณีจําเปนท่ีจําเลยจะปองกันและไมจําตองวินิจฉัยวา ฝายที่ขอจับน้ันมีอํานาจจับหรือไม การท่ีผูขอจับใชไมตีมีดที่จําเลยถือมาจะทํารายนั้นถือ ไดว าเปน การปอ งกนั ตวั ขอ สังเกต 1. ตามคําพิพากษาฎีกาท่ี 372/2480 เปนเร่ืองท่ีเจาพนักงานตํารวจมีอํานาจ จับกุมไดตามกฎหมาย จึงไมถือวาการกระทําของเจาพนักงานตํารวจเปนภยันตราย ซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย การกระทําของจําเลยจึงไมเปนปองกัน โดยชอบดว ยกฎหมาย LW 206 183
2. ตามคําพิพากษาฎีกาท่ี 46/2482 จะเห็นวากํานันไมมีอํานาจตามกฎหมาย ใหจับได เพราะการกระทําของจําเลยไมใชความผิดซ่ึงหนา ฉะนั้นการจับกุมจึงตองมี หมายจบั เมอื่ กาํ นนั ไมม หี มายจบั แลว ไปตรวจคนและจะจับจําเลย จาํ เลยมีสิทธิปอ งกนั ได 3. ตามคําพิพากษาฎีกาท่ี 1275/2503 น้ี ไดวางแนวเกี่ยวกับการจับกุมโดย ไมมีอํานาจหรือโดยกระทําไปนอกขอบเขตอํานาจของเจาพนักงานอันเปนเหตุใหผูถูก จับกุมปองกันไดน้ี จะตองเปนกรณีท่ีเจาพนักงานไดเขาจับกุมแลว ถาเพียงแตบอกวาจะ จับโดยยังไมลงมือก็ไมถือวาเปนภยันตรายใกลจะถึง กลาวคือ ถาจําเลยไมยอมใหจับ ก็ยังไมแ นวา ผูขอจับจะใชกําลังจับกุมหรือไม จึงไมเขาหลักเกณฑครบถวนที่จะปองกันได แตถาจําเลยไมยอมใหจับ ฝายผูขอจับก็เขาไปจับกุมใหได อยางน้ีถือวาภยันตรายคือ การถูกจบั นน้ั ใกลจะถงึ แลว ฝา ยผูถ ูกจับยอ มปอ งกันได 4. การกระทาํ ของผูถ กู ประทษุ รายโดยใชสิทธิปองกัน ไมถือเปนภยันตรายซึ่ง เกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย ผูกอภัยตอนแรกจึงใชสิทธิปองกันมิได เชน แดงจะเอามแี ทงดาํ ดําจงึ ตอ สปู อ งกันตัวโดยใชไมตีขอมือแดงท่ีถือมีดจนมีดหลุดจาก มือแดง เพ่ือมิใหแดงเอามีดแทงตน แดงไดใชมืออีกขางหนึ่งตอยสวนไปท่ีหนาดํา ดังนี้ การกระทําของดําเปนการใชสิทธิปองกันภยันตรายท่ีแดงกอข้ึน สวนที่แดงตอยสวนไปที่ หนา ดาํ จะอางปองกันมิได เพราะการกระทําของดําที่ใชไมตีขอมือไมเปนภยันตรายซ่ึงเกิด จากการประทุษรายอันละเมดิ ตอกฎหมาย เมื่อแดงใชมีดอีกขางหนึ่งตอยสวนไปท่ีหนาดํา จงึ อางสิทธิปองกันมไิ ด (คาํ พิพากษาฎกี าท่ี 60/2494)1 5. ถา ไมม ภี ยันตรายอางปอ งกันไมไ ด เชน คําพิพากษาฎีกาท่ี 2645/2547 ผูตายกับจําเลยเปนสามีภริยากัน แตมี เรื่องทะเลาะกันเปนประจําจึงแยกกันอยู วันเกิดเหตุผูตายกับจําเลยไปบานเกิดเหตุเพื่อ ตกลงปญหาเรื่องครอบครัว แตตกลงกันไมได จําเลยจึงจะออกจากบาน ผูตายนําอาวุธปน 1คําพิพากษาฎีกาท่ี 60/2494 ไดอธิบายวา การกระทําโดยปองกันตองเปนการกระทําเพ่ือใหพน จากภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย แตคดีนี้เมื่อผูตายไมยอมใหเขาท่ีพัก พวก ของจําเลยก็ไมมีอํานาจเขาไปโดยพลการ ในเมื่อยังขืนจะเขาไป การที่ขืนจะเขาไปน้ันถือวาเปนภยันตราย ซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมายซึ่งกําลังเกิดแกผูตาย ผูตายจึงมีอํานาจปองกันขัดขวาง ไมใหเขาไปได การกระทําของผูตายจึงไมผิดกฎหมาย ดังนั้นการที่จําเลยยิงผูตายจึงอางปองกันไมได เพราะจะกลายเปนการปองกันตอการปองกันอันชอบดวยกฎหมายอยูแลว หรืออีกนัยหน่ึงคือเปนการปองกัน ซอนปองกันน่ันเอง. 184 LW 206
คําพิพากษาฎีกาท่ี 8173/2544 แมผูเสียหายจะถือมีดเขาไปในบานของ มารดาจําเลยในเวลากลางคืนโดยไมมีเหตุอันสมควรก็ตาม แตเมื่อจําเลยมาพบไดพูดจา โตตอบกันและผูเสียหายไดบอกแกจําเลยแลววาไมใชขโมย เหตุท่ีทําใหจําเลยเขาใจผิด วา ผเู สียหายเปน คนรายเขามาลักทรัพยหมดไปแลว ไมมีภยันตรายที่จําเลยจําตองกระทํา เพ่ือปองกันอีก การท่ีจําเลยใชอาวุธปนยิงผูเสียหายจึงไมเปนการกระทําเพ่ือปองกันโดยชอบ ดวยกฎหมาย จําเลยมคี วามผดิ ฐานพยายามฆา ตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 คําพิพากษาฎีกาท่ี 5664/2540 จําเลยเพียงแตเกรงวาผูตายจะชักปน ออกมายิง ท้ังท่ียังไมมีพฤติการณท่ีสอวาผูตายจะชักปนออกมายิงทํารายจําเลย และไม ปรากฏวาผูตายมีอาวุธปน จึงถือวายังไมมีภยันตรายที่จําเลยจําตองปองกันแตอยางใด การกระทาํ ของจาํ เลยจงึ ไมเ ปน การปองกันตามกฎหมาย ไดกลาวมาแลววา “ภยันตราย” หมายถึงภัยที่เปนความเสียหายแกชีวิต รางกาย ชื่อเสียง หรือทรัพยสิน จากความหมายนี้จะเห็นไดวา “ภยันตราย” น้ีไม จําเปนตองเปนภยันตรายตอชีวิต รางกาย หรือทรัพยสินเทานั้น อาจเปนภยันตรายตอ เกียรติยศช่ือเสียงก็เปนเหตุใหปองกันได เพราะเกียรติยศชื่อเสียงถือเปนสิทธิของบุคคล ดวย เชน ภริยากําลังรวมประเวณีกับชายอื่น แมภริยาจะยินยอม สามีมาพบเห็นขณะ กําลังรวมประเวณีกันอยู ก็ชอบที่จะทําการปองกันไดเพราะเปนภยันตรายตอเกียรติยศ ช่ือเสยี งของชายผเู ปน สามี1 ผูกอภยันตรายจะตองเปนบุคคลเทาน้ัน ในมาตรา 68 ใชคําวา “ประทษุ รา ยอันละเมดิ ตอกฎหมาย” จึงหมายถึงบุคคลเทาน้ันท่ีประทุษรายและการละเมิด 1คําพิพากษาฎีกาท่ี 378/2479 การทําชูของภรรยาน้ันจะสําเร็จรูปตองมีชายชูมารวมดวย การท่ี ภรรยามีชูนั้นถือวาเปนการเส่ือมเสียเกียรติยศของสามีอยางรายแรง ฉะน้ันเมื่อผูเปนสามีฆาภริยาและชายชู ตายขณะรว มประเวณกี ัน จงึ ถือวาเปนการปอ งกนั เกียรตยิ ศพอสมควรแกเ หตุ หมายเหตุ สามีภรรยาจะตองชอบดวยกฎหมาย หากไมชอบดวยกฎหมายจะอางปองกันมิได ดคู าํ พพิ ากษาฎกี าที่ 249/2515. LW 206 185
ข.ภยันตรายที่ใกลจะถึง ภยันตรายท่ีจะทําการปองกันไดจะตองเปน ภยันตรายทใี่ กลจะถงึ ถาภยันตรายน้ันยังอยูหางไกลก็อางปองกันไมได การท่ีจะวินิจฉัย วาภยันตรายน้ันใกลจะถึงหรือไมน้ีจะตองดูจากขอเท็จจริงตามพฤติการณเปนเรื่อง ๆ ไป คงวางหลักเกณฑกวาง ๆ ไดแตเพียงวาถาการประทุษรายอันเปนเหตุแหงภยันตรายได เกิดข้ึนแลวและยังคงมีอยูไมสุดสิ้นไปก็ดี หรือการประทุษรายเชนน้ันใกลจะเกิดขึ้นก็ดี ก็ ถอื วาเปนภยันตรายทใ่ี กลจ ะถงึ แตถ า ภยนั ตรายน้ันไดผานพนไปแลวจะอา งปองกนั ไมไ ด ทานศาสตราจารยจิตติ ติงศภัทิย ไดวางหลักของคําวา “ภยันตรายใกล จะถึง” วา ภยันตรายท่ีใกลจะถึงนี้ความหมายอยูในตัววาไมจําเปนท่ีจะตองใหภัยนั้น เกิดข้ึนแกตัวผูท่ีจะตองประสบเสียกอน การปองกันเปนการกระทําเพื่อมิใหภัยน้ันเกิดขึ้น จริงแกผูตองประสบภัยตามท่ีผูกอภัยประสงคจะกระทํา กลาวคือ ถาไมกระทําการ ปองกันเสียแตข ณะใดภัยอาจเกิดขน้ึ ไดแลว กย็ อมปอ งกันไดต ัง้ แตขณะนน้ั ตวั อยางคาํ พิพากษาฎกี า คําพิพากษาฎีกาท่ี 275/2470 ผูตายลอบทําชูกับภริยาจําเลย จําเลยตี ผตู ายถงึ แกค วามตายขณะทผี่ ูตายผละจากภริยาจําเลยหนีลงไปถึงบันไดเรือนแลว ตัดสิน วาไมเปนการปองกันเกียรติยศและชื่อเสียง เพราะไมใชการกระทําขณะผูตายกําลังลอบ ทําชกู บั ภริยาจาํ เลย เปนแตจําเลยไดกระทําโดยเหตุท่ีผูตายยั่วโทสะมาลอบทําชูกับภริยา จําเลย จําเลยเห็นจึงเกิดบันดาลโทสะข้ึนในทันทีน้ัน มีเหตุลดหยอนผอนโทษจําเลยฐาน กระทําโดยบันดาลโทสะได คําพิพากษาฎีกาที่ 1528/2495 จําเลยน่ังหอยเทาอยูบนเตียง ผูตายอยู กับพ้ืนดินไดใชไมคานตีจําเลยถูกหางค้ิวแตก ผูตายตีจําเลยแลวก็ท้ิงไมชักมีดแทงจําเลย อีก จาํ เลยจับมอื ผูตายท่ีถอื มีดกดไวไดแ ลว จําเลยกช็ กั มดี ของตนแทงผูตายถูกกลางหลัง หนึ่งที ทําใหถึงแกความตายในเวลาตอมา ศาลช้ันตนตัดสินวาเม่ือจําเลยจับมือผูตายไว 186 LW 206
คําพิพากษาฎีกาท่ี 1923/2579 จําเลยเก็บของไวในโรงเก็บของในสวน ของจําเลย ตําบลท่ีเกิดเหตุมีคนรายชุกชุม ผูตายกับพวกบุกรุกเขาไปในเวลาวิกาลโดย เจตนาจะลักทรัพย ถูกเสนลวดท่ีจําเลยขึงปลอยกระแสไฟฟาไวที่โรงเก็บของถึงแกความ ตาย จําเลยมีสิทธิทํารายผูตายกับพวกเพ่ือปองกันทรัพยสินได การกระทําของจําเลย เปนการปองกนั สิทธพิ อสมควรแกเ หตุ ไมม คี วามผิด คาํ พิพากษาฎกี าที่ 1796/2521 ป. กับจําเลยไดเถียงกันแลวจําเลยถูก ป. กับพวกรุมชก ส. ถือฆอนเขาชวย ป. จําเลยยิง ส. 1 นัดถูกตนคอและใบหูขวาเปน ปอ งกนั พอสมควรแกเ หตุ ตัวอยางคําพพิ ากษาฎีกา คําพิพากษาฎีกาท่ี 455/2537 เมื่อผูตายยกอาวุธปนเล็งมายิงจําเลย จําเลยไดเขาแยงอาวุธปนจากผูตายทําใหมีเสียงปนดังข้ึน 1 นัด ผูตายจึงไดหักลํากลอง ปนและบรรจุกระสุนข้ึนใหม จําเลยไดเขาแยงอาวุธปนอีก เปนเหตุใหปนลั่นอีก 1 นัด และอาวุธปนไดหลุดจากมือผูตาย ถือวาภยันตรายท่ีจําเลยตองปองกันไดผานพนไป ไมมีภยันตรายที่ใกลจะถึงอันจะตองปองกันอีก การท่ีจําเลยใชมีดโตฟนผูตายใน ขณะน้ัน จึงไมอาจเปนการกระทําโดยปองกันได แตการกระทําของผูตายถือไดวาจําเลย ถูกขมเหงอยางรายแรงดวยเหตุอันไมเปนธรรม การท่ีจําเลยฟนผูตายจึงเปนการกระทํา โดยบนั ดาลโทสะ คําพิพากษาฎีกาที่ 637/2537 ผูตายเขาไปหาจําเลยแลวเตะสํารับกับขาว ทีจ่ ําเลยกับภรรยานั่งรับประทานอยู แตจําเลยก็หาไดตอบโตภยันตรายท่ีผูตายกออยางใด ไม ตอเมื่อผูตายรองเรียกจําเลยใหเขามาตอสูพรอมกับดาจําเลย จําเลยจึงเขากอดปลํ้า ตอสูกับผูตาย แตสูไมไดเพราะตัวเล็กกวาจําเลยจึงว่ิงไปหยิบมีดมาแทงผูตาย การ LW 206 187
คําพิพากษาฎีกาท่ี 2388/2537 การท่ีจําเลยท่ี 1 ถูกโจทกรวมพูดจาหมิ่น ประมาทวาเที่ยวชอบเลนชูแลวรังแกและทําราย โดยจําเลยท่ี 1 เปนหญิง สวนโจทกรวม เปนชายมีรูปรางใหญกวาจําเลยที่ 1 มาก ไมมีหนทางที่จะตอสูได จําเลยท่ี 1 จึงใชมีดซ่ึง อยูในถุงยามท่ีสะพายติดตัวมาแทงโจทกรวมเพื่อมิใหโจทกรวมทํารายจําเลยที่ 1 ถือได วาเปนการกระทําเพ่ือปองกันสิทธิของตนใหพนภยันตรายซ่ึงเกิดจากการท่ีถูกโจทกรวม ประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย และเปนภยันตรายที่ใกลจะถึง แตการท่ีจําเลยที่ 1 ใชมีดแทงโจทกรวมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สําคัญของรางกายจึงเปนการกระทําท่ีเกิน สมควรแกเหตุ สวนจาํ เลยที่ 2 ซง่ึ เขาไปชวยเหลอื จาํ เลยท่ี 1 ในขณะท่ีโจทกรวมกําลังทํา รายจําเลยท่ี 1 โดยจําเลยที่ 2 หยิบไมฟนท่ีเปนเชื้อเพลิงใชทําขนมซ่ึงวางอยูใกลตัวตี โจทกรวมไปเพียงคร้ังเดียวและไมเลือกวาที่สวนไหนของรางกายเพื่อปองกันมิใหโจทก รวมทํารายจําเลยท่ี 1 เมื่อตีแลวก็โยนไมทิ้งและนั่งขายขนมตอ ถือไดวาจําเลยท่ี 2 กระทําไปโดยฉับพลันทันทีเพ่ือปองกันจําเลยท่ี 1 ใหพนภยันตรายซึ่งเกิดจากการ ประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมายและเปนภยันตรายท่ีใกลจะถึง ยอมถือไดวาเปนการ กระทําปองกนั พอสมควรแกเ หตุ จําเลยที่ 2 จึงไมมคี วามผดิ คําพิพากษาฎีกาท่ี 5758/2537 ผูตายกับพวกถือสิ่งของคลายอาวุธปน เดินเขามาหาจําเลยในเขตนากุงของจําเลยในเวลาค่ําคืน จําเลยรองหามใหวางสิ่งของ ดังกลาวแลว ผูตายกับพวกกลับจูโจมเขามาใกลประมาณ 2-3 เมตร ยอมมีเหตุใหจําเลย อยูในภาวะเขาใจไดวาผูตายกับพวกจะเขามาทํารายและถือไดวาเปนภยันตรายท่ีใกล จะถึง จําเลยใชอาวุธปนของกลางยิงไปทางผูตายกับพวกในภาวะและพฤติการณดังกลาว ถอื ไดว า เปนการปอ งกันสิทธขิ องตนโดยชอบดว ยกฎหมายและพอสมควรแกเหตุ คําพิพากษาฎีกาท่ี 149/2538 ผูเสียหายกับพวกมีเคร่ืองหมายแสดงให เห็นวาเปนพวกเดียวกัน รองรําทําเพลงอันมีลักษณะเตรียมการลวงหนากันมากอนแลว ปลูกตนกลวยในทางท่ีรูวาจําเลยกับพวกจะตองผาน เม่ือจําเลยกับพวกขอผานเพ่ือกลับ 188 LW 206
คําพิพากษาฎกี าท่ี 9279/2539 การทีผ่ ูเ สยี หายตบหนาจําเลยที่ 2 จํานวน 1 คร้ัง และใชขวดเปลาทุบกับโตะจนขวดแตกปลายแหลมคมเปนอาวุธแทงจําเลยที่ 2 จําเลยท่ี 2 จึงไดยกหัวเตาแกสข้ึนทุมใสผูเสียหายและใชขวดนํ้าอัมลมตีศีรษะผูเสียหาย และขวดนํ้าอัดลมตกกระแทกกับโตะแตกกระจาย เศษแกวกระเด็นขึ้นมาถูกนิ้วกลางขวา ของผูเสยี หายมบี าดแผลเลือดไหล การกระทาํ ของจําเลยที่ 2 มีลักษณะติดพันตอเน่ืองกับ การทผี่ เู สียหายทาํ รายรา งกายจําเลยท่ี 2 กอน ถือวาเปนการปองกันตัวใหพนภยันตราย ซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมายและเปนภยันตรายที่ใกลจะถึง และ กระทาํ ไปพอสมควรแกเหตุจงึ เปนการปองกันโดยชอบดวยกฎหมาย คําพิพากษาฎีกาท่ี 2176/2540 การท่ีผูเสียหายเมาสุราไมเชื่อฟงมารดา พูดทาทายจําเลยและถือมีดปลายแหลมซ่ึงมีใบมีดยาวถึง 17 ซม. เดินไปตบหนาภริยา จําเลยที่หนาประตูหองน้ํา ในขณะที่จําเลยอยูในหองนํ้าและอยูหางกันเพียง 1 วา ไมมี ทางท่ีจําเลยจะหลบหนีไปทางใดได บุคคลที่อยูในภาวะเชนจําเลยตองเห็นวาผูเสียหายมี เจตนาจะทํารายจําเลยโดยใชมีดท่ีถือมาแทงจําเลยอยางแนนอน และอาจถึงแกความตาย ได จึงเปนภยันตรายที่เกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมายและเปน ภยันตรายท่ีใกลจะถึง การที่จําเลยเปดประตูหองน้ําออกมาแลวใชอาวุธปนยิงผูเสียหาย เพียง 1 นดั แลว หลบหนี จงึ เปน การปอ งกันพอสมควรแกเ หตุ 2. จําตองกระทําเพื่อปองกันสิทธิของตนเองหรือผูอื่นใหพนจาก ภยันตรายน้นั ก. จําตองกระทําเพ่ือปองกันสิทธิของตนเองหรือผูอ่ืน คําวา “สิทธิ” หมายความถึงประโยชนอันบุคคลมีอยูโดยกฎหมายรับรองและคุมครองให (คําพิพากษา ฎีกาที่ 124/2487) สิทธิน้ีอาจจะเกี่ยวกับชีวิต รางกาย ทรัพยสิน เสรีภาพหรือเกียรติยศ ช่ือเสียงก็ได เพราะบุคคลยอมมีสิทธิในอันจะไมใหผูใดมาละเมิดในสิ่งดังกลาวของตน LW 206 189
ปญหาวา ถามีภัยมาจําเปนหรือไมที่ผูประสบภัยจําตองกระทําเพ่ือปองกัน สิทธิ หากมีทางท่ีจะถอยหนีไดโดยปลอดภัยแตเขากลับใชกําลังปองกันตัวโดยไมถอยหนี และอางวากระทําโดยปองกันเพ่ือใหพนผิดไดหรือไม สําหรับปญหาเม่ือพิจารณาจาก มาตรา 68 ใชคําวา “จําตองกระทํา” น้ันแสดงวา ผูที่ถูกรุกรานเปนผูบริสุทธ์ิไมมีสวนผิด เลย จึงเปนหนาที่ของผูถูกรุกรานที่จะตองตอสูภัยอันละเมิดตอกฎหมาย เพราะฉะนั้น ถาไดกระทําเพื่อปองกันภัยมิใชเพ่ือสมัครใจเขาตอสูหรือท่ีเรียกวาวิวาทกันแลว ก็ไม จําเปนตองหลบหลีกหรือหนีภัยน้ันกอนที่จะกระทําการปองกัน สวนที่กฎหมายบัญญัติวา ตองเปนภัยท่ีใกลจะถึงอันจําตองกระทําเพื่อปองกันน้ันหมายความแตเพียงวาใกลจะถึง โดยขนาดทว่ี าจะเฉยอยตู อไปไมได จําตองกระทําการอยางใดอยางหน่ึงลงไปเพื่อปองกัน เทานั้น มิไดหมายความไปในทางท่ีวาเม่ือจําตองทําแลวจะทําโดยวิธีอ่ืนไดหรือไม เชน คําพิพากษาฎีกาที่ 169/2504 ปรากฏขอเท็จจริงวาในคืนเกิดเหตุผูตายเมาสุราเดินผาน หนาโรงของจําเลยแลวทาทายใหจําเลยออกมาสูกันจําเลยวาไมสู ผูตายกลับเง้ือมีดดาบ ว่ิงเขาไปที่โรงของจําเลย จําเลยจึงยิงปนออกมาจากโรงหน่ึงนัดถูกผูตายถึงแกความตาย ศาลช้ันตนตัดสินวาเปนการปองกันพอสมควรแกเหตุ ศาลอุทธรณตัดสินวามีความผิด ฐานฆาคนตายโดยเจตนา เพราะจําเลยมีทางที่จะหลบหนีไปได จึงอางเหตุปองกันตัว ไมได ศาลฎีกาตัดสินวา ผูตายบุกรุกเขาไปจะทํารายจําเลยจนถึงบานจําเลย ไมมีความ จําเปนอยางไรท่ีจําเลยผูมีสิทธิครอบครองเคหสถานของตนโดยชอบดวยกฎหมายจะตอง หนีผูกระทําผิดกฎหมาย การกระทาํ ของจาํ เลยเปน การปอ งกันชวี ิตพอสมควรแกเ หตุ คําพิพากษาฎีกาท่ี 1613/2503 วินิจฉัยวาเม่ือผูถูกรุกรานเปนฝายถูกแลว ก็ไมมีหนาท่ีตองถอยหนีผูรุกรานซึ่งเปนผูละเมิดกฎหมาย และอาจใชกําลังปองกันไดเลย ขอเท็จจริงในคดีนป้ี รากฏกวา ผูตายเปนผูกอเหตุขึ้นกอนและใชมีดฟนจําเลย 1 ที และยัง วิ่งไลจะฟนจําเลยอีก จําเลยว่ิงหนีเขาไปหานายฮวยนองชายซึ่งยืนอยูกับตํารวจ เม่ือ จําเลยแยงหอกจากนายฮวยไดแลวก็หันหนาไปทางผูตาย ขณะนั้นผูตายว่ิงเขามาจะฟน 190 LW 206
เชน คําพพิ ากษาฎีกาที่ 211/2477 ผูถกู ทาํ รายไดตีบุตรจําเลยลมลงแลวตี ซ้ํา ท้ังน้ีโดยไมมีเหตุผล จําเลยจึงเขาชวยบุตรโดยใชขวานฟนผูเขาทํารายบุตรของตนมี บาดเจบ็ สาหสั ตดั สินวาเปน การปอ งกันพอสมควรแกเหตุ คําพิพากษาฎีกาท่ี 1074/2499 ผูตายเมาสุราไดทะเลาะและไลแทง นายชลอ นายชลอไปแจงความตอผูใหญบาน ผูใหญบานจึงชวนจําเลยซึ่งเปนลูกบานท่ี ไดรับแตงต้ังใหเปนเวรยามรักษาเหตุการณในวันนั้นไปตามตัวผูตาย เมื่อพบผูตายแลว ผูใหญบานก็บอกใหผูตายไปท่ีบานของตนเพื่อปรับความเขาใจกัน พอมาระหวางทาง ผูตายไมยอมไปและชักมีดพกแทงผูใหญบาน ผูใหญบานหลบลมลงไปแลวเรียกใหคน ชวย จําเลยจึงใชปนยิงผูตายขณะที่ผูตายกําลังจะแทงผูใหญบานอีก ตัดสินวาเปนการ ปอ งกนั ชีวติ ของผูใหญบ านพอสมควรแกเ หตุ การปองกันสิทธิของผูอื่นน้ันจะกระทําไดตอเมื่อผูท่ีจะไดรับความ ชวยเหลือนั้นมีอํานาจตามกฎหมายท่ีจะปองกันตัวเองไดเทาน้ัน ถาหากตัวผูไดรับความ ชวยเหลือไมอยูในฐานะจะปองกันตนเองไดตามกฎหมายแลว คนอ่ืนก็ไมมีอํานาจท่ีจะไป ชวยเหลอื ปอ งกนั เขาได จะเห็นไดจากคําพิพากษาฎีกาทั้งสองเร่ืองที่ไดกลาวไวขางบน ผู ทไี่ ดร บั ความชวยเหลอื ลวนอยูในฐานะทจี่ ะปอ งกนั ไดต ามกฎหมาย ข. พนจากภยันตราย หมายความวา เมื่อมีผูกอภัยขึ้น ผูประสบภัยชอบที่ จะทําการปองกันเพื่อใหภัยนั้นพนจากตัวผูประสบภัย เชน ก. เงื้อมีดจะฟน ข. ข. จึง ใชไมตีขอมือ ก. เพ่ือใหมีดหลุดจากมือ การที่ ข. ใชไมตีขอมือ ก. ก็เพ่ือใหภัยท่ี ก. กอ ขน้ึ พนไปจากตวั ข. LW 206 191
ตามหลักเกณฑข อ 2 มีขอยกเวน อยู 3 ประการที่จะอางปองกนั ไมไ ด คือ 1. ผูท่ีเปนตนเหตุของภยันตรายอันละเมิดตอกฎหมาย เปนเหตุใหผูท่ี ไดรับความเสียหายจากภยันตรายนั้นตองกระทําการละเมิดกฎหมายตอผูท่ีเปนตนเหตุ ผู เปนตนเหตุในตอนแรกจะอางปองกันไมได เชน ก. ถือมีดตรงเขาทําราย ข. ข. ไดใช ไมตีขอมือ ก. เพื่อใหมีดหลุดจากมือ ก. เม่ือ ข. ใชไมตีที่ขอมือ ก. ก. จึงตอยสวนไปที่ หนา ข. การกระทําของ ก. ท่ีตอยหนา ข. ก.จะอางปองกันเพราะ ข. ไดกอภัยขึ้นน้ัน ไมได เนื่องจาก ก. เปนผูกอภัยตอนแรก เปนเหตุให ข. กระทําการละเมิดตอกฎหมาย แตกฎหมายใหอํานาจ ข. ทําได สวน ก. อางไมไดไมมีกฎหมายใหอํานาจผูเปนตนเหตุ แหงภัยตอนแรกใชสิทธิปองกันภัย คําพิพากษาฎีกาที่ 334/2509 ในเวลากลางคืน จําเลยกับพวกถือปนข้ึนไปหาผูตายบนเรือนของ ส. เพื่อจะทํารายเพราะความโกรธเคือง ผูตายท่ีไปเบิกความเปนพยานในคดีจําเลยปลนทรัพย จนศาลพิพากษาจําคุกจําเลยและ จําเลยอาฆาตไว และขึ้นไปยืนคุมในลักษณะจะทํารายผูตาย ถือวาจําเลยกับพวกเปน ฝายกอเหตุข้ึนกอน ผูตายใชปนยิงตอสูปองกันตนเพราะจําเลยกับพวกใชอาวุธปนคนละ กระบอกขูผูตาย แมกระสุนปนของผูตายจะลั่นออกไปกอน จําเลยจะอางเหตุวาจําเลย กระทาํ ไปโดยปอ งกันไมได คาํ พิพากษาฎกี าที่ 49/2529, 78-79/2532 และ 537/2542 คําพิพากษาฎีกาท่ี 49/2529 จําเลยไดใชปนยิงผูตาย เนื่องมาจาก จําเลยเปนฝายทาทายผูตายใหออกไปยิงกับจําเลย จําเลยจะอางวาเปนการกระทําเพื่อ ปองกนั ตวั หาไดไ ม คําพิพากษาฎีกาท่ี 78-79/2532 การท่ีจําเลยเปนฝายกอเหตุดาโจทก กอ น เม่ือโจทกจะเขาทํารา ย 2. ผสู มัครใจววิ าทตอสูก ัน การสมัครใจวิวาทน้ันฝายหน่ึงตองทาทายอีกฝายหน่ึงรับคําทาและ แสดงกิริยาอาการเขาตอสูดวย หากเพียงแตโตเถียงกันไมมีพฤติการณแสดงใหเห็นวาจะ เขาตอสู ก็มใิ ชการววิ าท เชน คําพิพากษาฎีกาท่ี 2423/2533 โจทกรวมมีเร่ืองขัดแยงกับบุตรจําเลย โดยเปน ฝา ยไปท่บี านจาํ เลย ถึงแมจาํ เลยดาโจทกร ว ม แตก ย็ ังไมมีพฤติการณอ่ืนใหเห็นวา จําเลยสมัครใจจะเขาตอสูกับโจทกรวมดวยกําลังกาย ไดความวาโจทกรวมมีรูปรางใหญ 192 LW 206
คําพิพากษาฎีกาที่ 1961/2528 การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเขาตอสู ทํารายกัน คําพูดของจําเลยท่ีวาการยายตํารวจตองมีขั้นตอนตองมีคณะกรรมการอยาไป เชื่อใหมากนัก เปนการแสดงความคิดเห็นในการสัมมนาเทานั้น มิไดมีขอความใดที่เปน การทาทายใหผูตายหรือผูเสียหายออกมาตอสูทํารายกับจําเลย จะถือวาจําเลยเปนฝาย กอเหตุกอนไมไ ด คําพิพากษาฎีกาที่ 528/2526 แมผูตายและจําเลยจะโตเถียงกันกอน แตการโตเถียงก็หาใชเปนเร่ืองที่ทั้งสองฝายสมัครใจทํารายซึ่งกันและกันไม การที่ผูตาย จะใชขวานฟนจําเลย จึงเปนภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย และเปนภยันตรายที่ใกลจะถึง เมื่อจําเลยใชมีดแทงผูตายไปเพียงทีเดียว แมจะถูกที่ สําคัญก็เปนที่เห็นไดวาเปนการฉุกเฉินเพ่ือใหตนเองพนอันตราย จําเลยยอมไมมีโอกาส ไตรตรองวาอวัยวะสวนใดสําคัญหรือไม การกระทําของจําเลยจึงเปนการปองกันตัว พอสมควรแกเหตุ ถาการวิวาทตอสูไดสิ้นสุดแลวโดยมีผูมาหามหรือเลิกกันเองก็ตาม หลงั จากนัน้ ถาฝายหน่ึงจะไปทํารา ยอีกฝา ยหน่ึง ฝายทจ่ี ะถูกทํารา ยอาจฟอ งกันได เชน คําพพิ ากษาฎกี าที่ 1284/2513 โจทกก บั จาํ เลยโตเถียงกนั และกอดปลํ้า ชกตอยทํารายซึ่งกันและกันที่รานขายของ โจทกใชขวดตีจําเลยท่ีแสกหนาโลหิตไหลแลว โจทกหนีไป ตอมาเม่ือจําเลยทําแผลเสร็จแลวจะกลับบาน พบโจทกถือไมไผเทา ขอมือ ยาวประมาณ 2 ศอก มาคอยดักทํารายจําเลย ขณะท่ีจําเลยเขาไปหางจากโจทก 1 วา โจทกเงอื้ ไมไผน ้นั จะตีศีรษะจําเลย จําเลยจึงใชป นยิงไปถกู มือโจทกแลววิ่งหนี หาก จําเลยไมยิงโจทก โจทกอาจตีศีรษะจําเลยเปนอันตรายถึงตายได การที่จําเลยยิงเปนการ ปองกนั ตัวพอสมควรแกเหตุ ไมมีความผิด คาํ พิพากษาฎกี าที่ 805/2528 จําเลยกับพวกเกิดวิวาทชกตอยกับโจทก รว มและพวกในวงสุราหนาบานโจทกรวม มีผูหามก็เลิกกัน จําเลยพกปนกลับมาท่ีวงสุรา อีก แตถูกโจทกรวมคนตัวจนหนีกลับบาน การที่โจทกรวมกับพวกตามไปถึงใตถุนบาน จําเลย จงึ เปน เพราะอยากหาเรือ่ งจําเลยเปนการตามไปคุกคามจะทํารายจําเลยถึงในบาน LW 206 193
คําพิพากษาฎีกาที่ 1254/2510 จําเลยกับผูเสียหายมีปากเสียงกัน ผูเสยี หายทา ทายจําเลย แตจําเลยไมยอมรับคําทา มุงหนาจะกลับบาน ผูเสียหายตามไป กระชากแขนและตอยจาํ เลย จําเลยจึงเขา กอดปลํ้าและตกลงไปในคลองดว ยกัน จําเลยถูก ผูเสียหายกดใหจมน้ําและถูกกัดจําเลยจึงกัดผูเสียหายหูขาด ดังนี้ เห็นวาการโตเถียงเปน ปากเสียงกันไดขาดตอนแลว โดยจําเลยไมยอมรับคําทา การท่ีผูเสียหายไดตามไปตอย จําเลยกอน มิใชเปนการสมัครใจวิวาทกันเมื่อตกลงในคลอง จําเลยก็ถูกผูเสียหายกดให จมนาํ้ และถกู กดั อีก จําเลยจงึ กดั ไปบางเพอื่ มิใหถูกผเู สยี หายกดจมน้ําตาย ถือวาเปนการ ปองกันโดยชอบดว ยกฎหมาย ตามมาตรา 68 จาํ เลยไมม ีความผดิ คําพิพากษาฎีกาท่ี 2508/2529 ต. กับพวกเขาชกตอยทํารายจําเลยกับ เพื่อนแลววิ่งหนีไป จําเลยกับเพื่อนวิ่งไลตามโดยจําเลยถือปนไปดวย แตเม่ือไลไมทัน จําเลยก็ว่ิงกลับนําเพ่ือนขึ้นน่ังบนรถยนตสองแถวเพื่อจะกลับบาน แสดงวาจําเลยไมสมัครใจ ที่จะวิวาททํารายกับ ต. และพวกตอไปแลว เมื่อ ต. ไปตามผูเสียหายกับพวก 7-8 คน ซ่ึง มีมีดเปนอาวุธติดตัวทุกคนวิ่งกรูกันกลับมายังจําเลยซึ่งกําลังอยูบนรถสองแถว จําเลยพูด หามไมใหเขามาแตผูเสียหายกับพวกไมฟงเสียง กลับถือมีดเขามาจะทํารายจําเลย จําเลยจึงใชปนยิงผูเสียหายกับพวกในขณะที่จําเลยอยูหางผูเสียหายประมาณ 10 เมตร และอยูหาง ต. ประมาณ 5 เมตรเทานั้น หากผูเสียหายกับพวกว่ิงเขามาถึงตัวอาจทําราย จําเลยถึงตายได นับเปนภยันตรายท่ีใกลจะถึงและไมมีทางหลีกเล่ียงได จึงเปนการ ปองกันพอสมควรแกเหตุ จําเลยไมมีความผิดฐานพยายามฆาและฐานยิงปนโดยใชเหตุ ในเมือง หมบู านหรอื ท่ชี มุ นมุ ชน คําพิพากษาฎีกาท่ี 2520/2529 จําเลยกับผูตายวิวาทชกตอยกัน อ. มาหาม จําเลยจึงหยุดวิวาทกับผูตาย ตอมาประมาณ 2 นาที ผูตายวิ่งไปเอาไมไลตี จําเลยอีก จําเลยว่ิงหนีขึ้นไปบนกุฏิสามเณร ผูตายว่ิงไลตามขึ้นไปทํารายจําเลย จําเลย แทงผูตายเพียงคร้ังเดียวดวยมีดปอกผลไมท่ีเหน็บอยูท่ีฝาหอง จําเลยไมมีโอกาส 194 LW 206
ตัวอยางคําพพิ ากษาฎีกาสมัครใจววิ าทกนั อางปองกันไมได คําพิพากษาฎีกาที่ 777/2505 (ประชุมใหญ) ผูตายรองทาทายจําเลย จาํ เลยโดดลงจากเรอื เขา ตอสูก บั ผตู าย เปน การสมคั รใจเขาตอ สู ไมใชเ ปน การปองกนั ตัว คําพิพากษาฎีกาที่ 5640/2533 ภริยาจําเลยกับผูเสียหายสมัครใจ ทะเลาะวิวาททํารายรางกายซ่ึงกันและกัน มิใชเปนภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษราย อันละเมิดตอกฎหมาย จําเลยจึงไมอาจอางไดวาการท่ีจําเลยใชมีดแทงผูเสียหายเปนการ กระทาํ เพื่อปองกันสทิ ธิของภรยิ าจาํ เลย ตาม ป.อ. มาตรา 68 คําพิพากษาฎีกาที่ 1305/2537 การท่ีจําเลยพูดโตเถียงกับผูตาย เมื่อ ผูตายพูดวาจะใชขวานฟนจําเลย จําเลยก็ตอบวา ถาผูตายใชขวานฟนจําเลยก็จะยิงดวย อาวุธปน อันเปนทํานองทาทายผูตาย แสดงวาจําเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผูตาย การทจ่ี าํ เลยยงิ ผตู ายจงึ ไมอ าจอางวา เปนการปองกนั โดยชอบดว ยกฎหมายได คําพิพากษาฎีกาที่ 3089/2541 การที่ผูเสียหายที่ 1 ไปทาทายจําเลย โดยพูดเพียงวา “มึงออกมาตอยกับกูตัวตอตัวถาแนจริง” แมจําเลยไมมีหนาที่จะตอง หลบหนีก็ตาม แตหากจาํ เลยไมส มคั รใจท่ีจะวิวาทหรอื ตอสูกับผูเสียหายที่ 1 จําเลยก็ชอบ ท่ีจะไมตอบโตหรือออกไปพบผูเสียหายที่ 1 แตจําเลยกลับออกไปพบผูเสียหายที่ 1 โดย พกอาวุธปนไปดวย แสดงวาจําเลยสมัครใจเขาวิวาทและตอสูกับผูเสียหายที่ 1 และเขาสู ภัยโดยไมมีกฎหมายใหอํานาจ แมผูเสียหายที่ 1 จะชักมีดออกมาเพื่อจวงแทงจําเลยก็ เปนเหตุการณที่เกิดขึ้นในขณะวิวาทกัน จําเลยไมมีสิทธิใชไมตีผูเสียหายท้ังสองและใช ปนยิงผูเสียหายที่ 1 โดยอางเหตุปองกันตามกฎหมาย ท้ังการที่ผูเสียหายที่ 1 มาเรียก จําเลยใหออกไปชกตอยกันตัวตอตัว ไมเปนการขมเหงอยางรายแรง ไมอาจอางเหตุ บนั ดาลโทสะ ตาม ป.อ. มาตรา 72 คําพพิ ากษาฎกี าท่ี 10689/2546 กอ นเกดิ เหตุจําเลยกับผเู สียหายมีเหตุ ตอวากันเรื่องผูเสียหายเรียกรองคาแรงเพ่ิมแลวจําเลยเอานํ้าแกงสาดหนาผูเสียหายอันมี ลักษณะที่ตองการใหผูเสียหายตอสูกับตน และโดยที่จําเลยเปนฝายท่ีกอเหตุข้ึนเมื่อ ผูเสียหายใชฆอนตีศีรษะจําเลยขณะจําเลยเดินไปแลว แตการกระทําของผูเสียหายสืบ เนื่องมาจากการที่ผูเสียหายถูกจําเลยเอาน้ําแกงสาดหนานั่นเอง ดังน้ัน การท่ีจําเลยแยง LW 206 195
คําพิพากษาฎีกาท่ี 7135/2547 (ประชุมใหญ) เหตุคดีน้ีเกิดเพราะ จําเลยเปนผูกอเหตุข้ึนกอนและเปนการสมัครใจทะเลาะวิวาททํารายรางกายซ่ึงกันและกัน มิใชเปนภยันตรายซึ่งเกิดจากประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย จําเลยจะอางวาการ กระทําเปน การปองกันโดยชอบดวยกฎหมายไมได ขอสังเกต 1) กรณีไมเ ปนการปอ งกนั แตถือวา เปนการกระทําโดยบันดาลโทสะ เชน คําพิพากษาฎีกาที่ 3976/2543 แมผูเสียหายเปนฝายกอเหตุขึ้นกอน โดยชกตอยทํารายจําเลยที่ช้ันสองของตึกแถวแลววิ่งขึ้นไปท่ีหองพักผูเสียหายที่ชั้นสาม แตการท่ีจาํ เลยตามผเู สียหายขน้ึ ชั้นสามไปแลวใชอาวธุ ปนยิงผูเสียหาย 3 นัด ถูกที่บริเวณ หนาทอง ไมใชภยันตรายที่ใกลจะถึง แตเปนเหตุการณท่ีผานพนไปแลว จําเลยจึงอางวา เปนการปองกันสิทธิของตนใหพนภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรายและละเมิดตอ กฎหมายไมได แตการที่ผูเสียหายทํารายจําเลยแลววิ่งขึ้นไปชั้นสาม จําเลยตามข้ึนไป แลวใชอาวุธปนยิงผูเสียหายในเวลาตอเน่ืองและกระชั้นชิดกับที่จําเลยยังมีโทสะอยู เปน ความผดิ ฐานพยายามฆา โดยบนั ดาลโทสะ คําพิพากษาฎีกาท่ี 637/2537 การกระทําอยางใดอยางหนึ่งไมอาจเปน ทั้งการกระทําโดยบันดาลโทสะและปอ งกนั โดยชอบดว ยกฎหมายในขณะเดียวกนั ได ผูตายเขาไปหาจําเลยแลวเตะสํารับกับขาวท่ีจําเลยกับภรรยาน่ัง รบั ประทานอยู แตจําเลยก็หาไดตอบโตภยันตรายท่ีผูตายกออยางใดไม ตอเมื่อผูตายรอง เรียกจําเลยใหเขามาตอสูพรอมกับดาจําเลย จําเลยจึงเขากอดปลํ้าตอสูกับผูตาย แตสู ไมไดเพราะตัวเล็กกวา จําเลยจึงวิ่งไปหยิบมีดมาแทงผูตาย การกระทําของจําเลยเปน การกระทําเม่ือภยันตรายดังกลาวท่ีผูตายกอไดผานพนไปแลว แตการกระทําของผูตาย ก็ถือไดวาเปนการขมเหงจําเลยอยางรายแรงดวยเหตุอันไมเปนธรรม การท่ีจําเลยใชมีด แทงผูตายไปในระยะเวลาตอเน่ืองกระช้ันชิดกับท่ีจําเลยยังมีโทสะอยู การกระทําของ จาํ เลยจึงเปนการกระทาํ โดยบันดาลโทสะ หาใชเปน การปองกันโดยชอบดวยกฎหมายไม 196 LW 206
คําพิพากษาฎีกาที่ 455/2537 เม่ือผูตายยกอาวุธปนเล็งมายังจําเลย จําเลยไดเขาแยงอาวุธปนจากผูตายทําใหมีเสียงปนดังข้ึน 1 นัด ผูตายจึงไดหักลํากลอง ปนและบรรจุกระสุนข้ึนใหม จําเลยไดเขาแยงอาวุธปนอีก เปนเหตุใหปนลั่นอีก 1 นัด และอาวุธปนไดหลุดจากมือผูตาย ถือวาภยันตรายท่ีจําเลยตองปองกันไดผานพนไป ไมมีภยันตรายที่ใกลจะถึงอันจะตองปองกันอีกการที่จําเลยใชมีดโตฟนผูตายในขณะนั้น จึงไมอาจเปนการกระทําโดยปองกันได แตการกระทําของผูตายถือไดวาจําเลยถูกขมเหง อยางรายแรงดวยเหตุอนั ไมเปน ธรรม การท่ีจําเลยฟนผูตายจึงเปนการกระทําโดยบันดาล โทสะ คําพิพากษาฎีกาท่ี 1048-1049/2514 จําเลยเปนเจาพนักงานตํารวจ ออกตรวจทองที่พบผูตายกับพวกหลายคนถือไมและทอนเหล็ก จับกลุมกันอยูในเวลา วิกาล จึงเขาไปสอบถาม พวกผูตายกลับเขากลุมรุมตัวจําเลยจนศีรษะแตกลมลง จําเลย ชักปนออกมา ผูตายกับพวกก็พากันวิ่งหนีจําเลยจึงยิงไปทางพวกผูตาย กระสุนปนถูก ผูตายทางดานหลังถึงแกความตาย การกระทําของจําเลยดังกลาวไมเปนปองกัน เพราะภยันตรายที่เกิดแกจําเลยไดผานพนไปแลว แตเปนการกระทําผิดโดย บนั ดาลโทสะ 2) การปองกันจะตองมีภยันตรายอยูในปจจุบัน หากภยันตรายทานไปแลว เปนอดีตหรอื ภยันตรายจะเกิดในอนาคตจะปองกนั มิได แตอาจปองกันลวงหนา ได เชน คําพิพากษาฎีกาที่ 1923/2519 จําเลยเก็บของไวในโรงเก็บของในสวน ของจําเลย ตําบลท่ีเกิดเหตุมีคนรายชุกชุม ผูตายกับพวกบุกรุกเขาไปในเวลาวิกาลโดย เจตนาจะลักทรัพยถูกเสนลวดที่จําเลยขึงปลอยกระแสไฟฟาไวที่โรงเก็บของถึงแกความ ตาย จําเลยมีสิทธิทํารายผูตายกับพวกเพ่ือปองกันทรัพยสินได การกระทําของ จําเลยเปน การปอ งกันสิทธพิ อสมควรแกเหตุ ไมม ีความผดิ คําพิพากษาฎีกาท่ี 4884/2528 ผูตายเขาไปในบริเวณบอปลาของ นายจางจําเลยเพื่อจะเก่ียวหญาจําเลยไมมีสิทธิทํารายผูตายได เม่ือจําเลยขึงลวดไว ภายในร้วั ลวดหนามทล่ี อ มรอบบริเวณบอเล้ียงปลาของนายจางและปลอยกระแสไฟฟาเขา ไปตามลวดนั้น ผูตายมาถูกสายไฟฟาของจําเลยเขาถึงแกความตาย ดังน้ี การกระทํา ของจําเลยไมเปนการปองกันสิทธิของผูอ่ืนโดยชอบดวยกฎหมาย จําเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290 LW 206 197
ท่ีหามคูวิวาทอางปองกันน้ีคงจะหามเฉพาะคูวิวาทเทาน้ัน กรณีที่ บุคคลภายนอกไดเขาชวยคูวิวาทฝายหน่ึง คูวิวาทอีกฝายหน่ึงยอมปองกันการกระทํา ของบคุ คลภายนอกนัน้ ได เชน ก. กบั ข. สมัครใจตอ สกู ัน ก. ตี ข. ลมลงไป ค. ซ่ึงยืน อยูใกล ๆ กันเห็น ข. เสียทีจึงเขาชวยโดยเงื้อมมีดจะแทง ก. ก. จึงใชไมตี ค. เพ่ือมิให ค. แทงตนได ดังนี้การกระทําของ ก. ตอ ข. ก. อางปองกันไมไดเพราะสมัครใจวิวาทกัน สว นการกระทําของ ก. ตอ ค. ก. อา งปอ งกนั ไมไ ดเ พราะ ค. ไมใชคูวิวาทของ ก. 3) ผูท่ีสมัครใจยินยอมใหผูอ่ืนกระทําความผิดตอตน และอางวาจําตอง กระทําตอ ผูอน่ื เพอ่ื ปองกนั ตนเองไมไ ด 3. การกระทําไปพอสมควรแกเหตุ ในกรณีท่ีจําตองกระทําเพ่ือปองกันสิทธิ ของตนเองหรือผูอื่นใหพนจากภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย และเปนภยันตรายที่ใกลจะถึงน้ัน ผูกระทําจะไมมีความผิดและไมมีโทษโดยอางไดวาเปน การกระทําโดยปองกันตามมาตรา 68 ไดก็ตอเม่ือไดกระทําไปพอสมควรแกเหตุ ปญหา วาเพียงใดจึงจะถือวาพอสมควรแกเหตุหรือไม เปนเรื่องยากท่ีจะวางหลักเกณฑลงไป แนนอนตายตัว เพราะกรณีที่เกิดขึ้นยอมมีพฤติการณตาง ๆ กันไป สําหรับวินิจฉัยวาการ กระทําเพียงใดจึงจะถือวาไดกระทําไปพอสมควรแกเหตุ ทานศาสตราจารย ดร. หยุด แสงอุทยั กลา วไววา มีอยู 2 ทฤษฎี คอื 1 (1) ทฤษฎีสัดสวน ใหพิจารณาวาอันตรายที่จะบังเกิดขึ้นถาหากจะไม ปองกันจะไดสวนสัดกับอันตรายที่ผูกระทําไดกระทําเนื่องจากการปองกันน้ันหรือไม เชน คนเขาจะตบหนาเรา เราจะใชมีดแทงเขาตายไมได เพราะความเจ็บอันเนื่องจากการถูก ตบหนา เมื่อมาเทียบกับความตายแลวไมไดสวนสัดกัน ฉะนั้นจึงถือวาการเอามีดแทงเขา ตายนเ้ี ปนการกระทาํ ไปเกนิ สมควรแกเหตุ จึงไมม ีอํานาจทาํ ได ตามทฤษฎีสัดสวนถือหลักการวัดสวนสัดของภัยจากการละเมิดตอ กฎหมายและภยั ท่เี กิดจากการปองกันเปรียบเทียบกัน ถาภัยท่ีเกิดขึ้นและการกระทําเพ่ือ ปองกันภัยนั้นไดสวนสัดไมเกินสมควรกัน ถาเปนการกระทําพอสมควรแกเหตุ เชน ก. จะยิง ข. หรือจะทําราย ข. ดวยดาบ หรือไลแทงฟนดวยมีดซ่ึงอาจรายแรงถึงตายได ข. อาจปองกันดวยอาวุธท่ีทําให ก. ถึงตายได ไมเปนการสมควรแกเหตุ หรือการทําราย 1หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย ดร., กฎหมายทั่วไป (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร, 2516), หนา 212. 198 LW 206
ปญหาวา ถาภัยท่ีเกิดจากการทํารายไมถึงเปนอันตรายแกกายหรือจิตใจ เชน เพียงแตชกตอย ถีบเตะ อาจปองกันโดยการทํารายถึงบาดเจ็บ จะใชทฤษฎีสวนสัด ไดหรือไม เห็นวาใชทฤษฎีสวนสัดคงไมไดเพราะเปรียบเทียบสัดสวนแลวเกินสมควรแก เหตุ นอกจากนี้ในกรณีภัยที่เกิดจากความผิดอยางอ่ืนอันมิใชความผิดตอเนื้อตัวรางกาย เชน ภัยเกิดแกทรัพย ชื่อเสียง หรือเสรีภาพ จะใชทฤษฎีสวนสัดคงไมไดเชนกัน กรณี ดังกลาวจะตองวินิจฉัยระดับความสมควรของบุคคลในฐานะเชนเดียวกัน ซึ่งเรียกวา “ทฤษฎีวถิ ที างนอยท่สี ุด” (2) ทฤษฎีวิถีทางนอยท่ีสุด ตามทฤษฎีน้ีถือวา ถาผูกระทําไดใชวิถีทางนอย ท่ีสุดที่จะทําใหเกิดอันตราย ก็ถือวาผูกระทําไดกระทําไปพอสมควรแกเหตุแลว เชน ก. เปนงอยไปไหนไมได ข.จึงเขกศีรษะ ก. เลน โดยเห็นวา ก. ไมมีทางกระทําตอบแทนได เลย ก. หามปรามเทาใด ข. ก็ไมเช่ือฟง ถาการที่ ก. จะปองกันมิให ข. เขกศีรษะมีวิธี เดียวคือใชมีดแทง ข. ตองถือวาการท่ี ก. ใชมีดแทง ข. น้ีเปนการกระทําไปพอสมควรแก เหตุเพราะเปน วถิ ีทางนอยที่สดุ ทจี่ ะปองกันได และทานศาสตราจารย ดร. หยุด แสงอุทัย ยังไดอธิบายตอไปวาทฤษฎี วิถีทางนอยที่สุดเปนทฤษฎีที่ถูกตอง เพราะการปองกันเปนการกระทําตอผูที่กอใหเกิด ภยันตรายอันเปนการละเมิดตอกฎหมาย และผูกระทําไมควรจะตองทนทานภยันตราย ดังกลาว ถาหากผกู ระทาํ ไดใชว ถิ ที างนอยท่ีสุดซึ่งเขาพึงทําไดในภาวะเชนน้ันเพื่อปองกัน ภยันตรายแลว ควรถือวาเขาไดกระทําไปพอสมควรแกเหตุแลว และเขามีอํานาจทําได ตัวอยา งเชน ภรยิ ารางถกู สามีไลฉุดจะใหก ลับไปอยูดวยกัน ภริยาจึงแกวงมีดไว สามีเขา ไปถูกมีดที่แกวง 1 ทีตาย ตัดสินวาภริยาปองกันพอสมควรแกเหตุ (คําพิพากษาฎีกาท่ี 436/2478) หญิงพอแทงชายท่ีไลกอดปล้ําจนชายปลอย เปนแผล 5 แหง ชายตาย การกระทําของหญงิ สมควรแกเหตุ (คาํ พิพากษาฎีกาที่ 1747/2474) จึงสรุปไดวา การพิจารณาวาการกระทําสมควรแกเหตุหรือไมนี้ ตาม ความเห็นของศาสตราจารย ดร. หยุด แสงอุทัย ตองวินิจฉัยโดยเปรียบเทียบตามระดับ LW 206 199
สําหรับผูเขียนเองเห็นวา การพิจารณาวาเปนการปองกันพอสมควรแก เหตุ ตามทฤษฎีทั้งสองน้ีควรจะพิจารณาควบคูกันไป กลาวคือพิจารณาตามทฤษฎี วิถีทางนอยที่สุด กอนวาผูกระทํามีทางเลือกอยางอื่นนอกจากจะตองกระทําเพื่อปองกัน หรือไม หากไมมีทางอื่นอีกนอกจากตองกระทําเพ่ือปองกันสิทธิแลว จึงถือวาเปนวิถีทาง นอยที่สุดเทาท่ีจําตองกระทํา เมื่อเปนวิถีทางนอยท่ีสุดเทาที่จําตองกระทําแลวจึงดูตอไป วาภัยท่ีเกิดขึ้นกับการกระทําของผูปองกันนั้นไดสัดสวนกันหรือไม ถาไดสัดสวนก็เปน การปองกนั เกนิ สมควรแกเ หตุ เชน ก. คนพิการถูก ข. ซึ่งเปนนักกีฬารางกายแข็งแรงใชเชือกรัดคอ ก. จึงใชมีดแทง ข. 1 ที ข. ถึงแกความตาย ดังนี้ยอมเห็นไดวา ก. เปนคนพิการ สวน ข. เปนคนแข็งแรง เพียงผลัก ก. เบา ๆ ก.ก็ลมแลว เม่ือ ข. ใชเชือกรัดคอ ก. ก.ก็ไมมี ทางเลือกอยางอ่ืนให ข. ปลอยได นอกจากใชมีดแทง ข. จึงถือวาเปนวิถีทางนอยท่ีสุด เทา ท่ี ก. จําตอ งกระทาํ และเมอื่ เทยี บภยั ท่ี ข. กอขึ้นกับการกระทําของ ก. ก็ไดสัดสวนกับ การกระทําของ ก. จึงเปน การปองกนั พอสมควรแกเหตุ ข. ผลของการกระทาํ โดยปองกัน 1. ถาผูกระทําไดกระทําครบหลักเกณฑดังกลาวมาแลวในขอ ก. การกระทําน้ัน เปน การปองกนั โดยชอบดว ยกฎหมาย ผูกระทาํ ไมมคี วามผิดและไมมีโทษแตอยา งใด 2. ถาผูกระทําไดกระทําไปเกินสมควรแกเหตุ หรือการปองกันเกินกวากรณี แหงการจําตองกระทําเพื่อปองกัน ถือวาเปนการปองกันที่มิชอบดวยกฎหมาย ผูกระทํา ความผิดและตองรับโทษ ดังท่ีไดบัญญัติไวในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 วา “ในกรณที บี่ ัญญัติไวในมาตรา 67 และมาตรา 68 นัน้ ถาผูกระทําไดกระทําไปเกินสมควร แกเหตุ หรือเกินกวากรณีแหงความจําเปน หรือเกินกวากรณีแหงการจําตองกระทําเพ่ือ ปองกนั ศาลจะลงโทษนอยกวาที่กฎหมายกําหนดไวสําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได แต ถา การกระทํานน้ั เกดิ ขึ้นจากความต่นื เตนตกใจหรอื ความกลวั ศาลจะไมลงโทษผกู ระทาํ กไ็ ด” จากบทบัญญัติมาตรา 69 น้ี ไดบัญญัติถึงเรื่องการปองกันท่ีเกินขอบเขตอัน เปนการปอ งกันท่มี ิชอบดว ยกฎหมาย ซงึ่ มดี ว ยกนั 2 กรณี คอื 200 LW 206
2.1 การปองกันเกนิ สมควรแกเ หตุ 2.2 การปองกนั เกนิ กวากรณีแหง การจําตอ งกระทําเพ่ือปองกนั 2.1 การปองกันเกินสมควรแกเหตุ หมายถึงการกระทําท่ีไมเปนวิถีทาง นอยท่ีสุดเทาที่จําตองกระทําและภัยกอข้ึนกับการกระทําของผูปองกันไมไดสัดสวนหรือ การกระทําเปนวิถีทางนอยที่สุดเทาท่ีจําตองกระทํา แตภัยที่กอขึ้นกับการกระทําของผู ปองกันไมไดสัดสวน หรือการกระทําไมใชวิถีทางนอยท่ีสุดเทาท่ีจําตองกระทําแตภัยท่ีกอ ขน้ึ กบั การกระทําของผปู อ งกันไดส ัดสวนกนั 2.2 การปองกันเกินกวากรณีแหงการจําตองกระทําเพ่ือปองกัน หมายถึง ภยนั ตรายที่เกิดขน้ึ อันเปน เหตใุ หป องกนั นนั้ ยังอยหู า งไกล หรอื ไมผานพนไปแลว กรณีภัยยังอยูหางไกล เชน จําเลยใชปนยิงเด็กซ่ึงสองไฟหากบที่ริมรั้ว บานจําเลยถึงแกความตาย โดยจําเลยสําคัญผิดวาเปนคนรายจะมาฆาพ่ีจําเลยเปนการ ปองกนั เกินกวา กรณแี หงการจําตอ งกระทําเพอื่ ปองกัน (คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 872/2510) ตามตัวอยางคําพิพากษาฎีกาน้ี ภยันตรายท่ีเกิดยังอยูหางไกล เมื่อ กระทําการปองกันภยันตรายนั้นจึงเปนการปองกันที่เกินกวากรณีแหงการจําตองกระทํา เพอื่ ปอ งกัน หมูบานจําเลยมีผูรายชุกชุม จําเลยเคยถูกคนรายลักเปดและเรือไปแลว 4 คร้ัง จําเลยจึงไดลอมรั้วช้ันนอกอีกช้ันหนึ่งกอนเกิดเหตุเพียงเดือนเดียว คืนเกิดเหตุ จาํ เลยจอดเรอื ไวท ท่ี า ทะเลสาบ 2 ลํา และมีเปดอีก 800 ตัว ผูเสียหายกับพวกไดเดินผาน ประตเู ขา ไปในร้ัวบานชนั้ นอกของจาํ เลยเมือ่ เวลา 1 นาฬกิ า โดยมไิ ดบ อกกลาวขออนุญาต กอ น จําเลยรองถาม ผูเสียหายก็รองตอบแตเพียงวาผม ไมบอกชื่อใหชัดเจน จําเลยจึงยิง ผเู สยี หายเพราะสําคัญผิดวาเปนคนราย แตการที่จําเลยยิงผูเสียหายไปในพฤติการณ เชนนั้น ยอมเปนการกระทําเกินกวากรณีแหงการจําตองกระทําเพื่อปองกัน (คําพพิ ากษาฎีกาท่ี 830/2510) กรณีภยันตรายไดผานพนไปแลว เชน การที่จําเลยวิ่งไลตาม ผูเสียหายออกไปนอกบานโดยจําเลยสําคัญผิดวาผูเสียหายเปนคนรายท่ีเขาไปลักทรัพยที่ ใตถุนเรือนของจําเลย เปนการกระทําเพ่ือปองกันสิทธิในทรัพยสินของตน แตเม่ือจําเลย ว่ิงไลไปทันผูเสียหายแลว ใชมีดแทงผูเสียหายถูกท่ีหลัง 4 แผล ท่ีขอศอก 1 แผล โดยไม LW 206 201
คนรายลอบวางเพลิงบานจําเลยในตอนกลางคืน จําเลยเห็นผูตายยืนอยู หนาบาน สําคัญผิดวาเปนคนรายจึงใชปนยิงผูตาย ดังน้ีถือไดวาจําเลยกระทําไปเพื่อ ปองกันทรัพยของตน แตขอเท็จจริงไมไดความวาผูตายทําอะไรแกบานจําเลย ไมมีเหตุ อันสมควรที่จําเลยตองยิงผูตาย การกระทําของจําเลยจึงเกินกวากรณีแหงการจําตอง กระทําเพือ่ ปอ งกันทรพั ย (คาํ พพิ ากษาฎีกาท่ี 529/2517) การปองกันอันมิชอบดวยกฎหมายท่ีไดกลาวมาแลวตามขอ 2.1 และ 2.2 น้ัน ผกู ระทําการปอ งกนั อนั มิชอบดว ยกฎหมายมีความผดิ ซงึ่ ศาลจะลงโทษนอยกวา ที่กฎหมายกาํ หนดไวส าํ หรบั ความผดิ นนั้ เพียงใดกไ็ ด กฎหมายอ่ืนนอกจากประมวลกฎหมายอาญาซ่ึงบัญญัติใหผูกระทํา มีอํานาจทาํ ไดโดยไมเปนความผิด ไดแ ก 1. รฐั ธรรมนญู แหง ราชอาณาจกั รไทยฉบับปจ จุบนั ไดใหเอกสิทธ์ิแกบุคคล 5 ประเภท คือ (1) สมาชิกสภาผูแทนราษฎร (2) สมาชิกวุฒิสภา (3) รัฐมนตรี (4) บุคคลท่ีประธานสภาอนุญาตใหแถลงขอเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในสภาผูแทนหรือ วุฒิสภาหรือรัฐสภา (5) ผูพิมพและโฆษณารายงานการประชุมตามคําสั่งของสภา ทั้งน้ี เฉพาะเทาท่ีเก่ียวกับการแถลงขอเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในสภาผูแทน วุฒิสมาชิก หรือรัฐสภา ฉะน้ันบุคคลดังกลาวจะกลาวขอความอันเปนหมิ่นประมาทก็ไมมีความผิด ฐานหมิน่ ประมาท 2. ประมวลกฎมายแพงและพาณิชย มาตรา 1347 บัญญัติวา “เจาของ ท่ีดินอาจตัดรากไมซึ่งรุกเขามาจากท่ีดินติดตอและเอาไวเสีย ถาก่ิงไมยื่นล้ําเขต เมื่อ เจาของที่ดินไดบอกผูครอบครองที่ดินติดตอใหตัดภายในเวลาอันสมควรแลว แตผูน้ันไม ตัด ทานวาเจาของท่ีดินตัดเองเสียได” เม่ือมาตรา 1347 ใหอํานาจไวเชนนี้ยอมเปนได ในตวั วาการตัดก่ิงไมดังกลาวจะไมทาํ ใหเ ปนความผิดฐานทาํ ใหเ สยี ทรพั ย 3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เชน ในกรณีที่ใหอํานาจ เจาพนักงานฝายปกครองหรือตํารวจจับบุคคลผูมีเหตุอันควรสงสัยวาไดกระทําความผิด มาแลว และหลบหนี เปนตน การจบั จงึ ไมเปนความผิดตอ เสรีภาพ 202 LW 206
4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง เชน ในกรณีที่ใหอํานาจ เจาพนักงานบังคับคดีคนสถานท่ีใด ๆ อันเปนของลูกหนี้ตามคําพิพากษา เปนตน การ กระทาํ จงึ ไมเปน ความผดิ ฐานบกุ รกุ 5. พระราชบัญญัติอื่น ๆ เชน ในกรณีที่ใหอํานาจพนักงานเจาหนาที่ที่จะ เขาไปยังสถานท่ีหรือท่ีดินของประชาชนเพื่อตรวจสอบเร่ืองตาง ๆ ตามพระราชบัญญัติ ตา ง ๆ เปน ตน การกระทําของเจา พนกั งานไมเ ปนความผิดฐานบุกรกุ น. ยิงจําเลย 1 นัด จําเลยฟน น. สาหัสมาก น. ไมไดแสดงกิริยาจะทํา รายจําเลยอีก ถือปนเซออยูเปนปนที่ตองบรรจุกระสุนทีละนัด จําเลยฟนซ้ําอีกถูกคอ น. ลึก กระดูกประสาทตนคอขาดตายอยูกับที่ เปนการปองกันเกินสมควรแกเหตุ (คาํ พพิ ากษาฎีกาท่ี 2409/2521) LW 206 203
สวนที่ 2 ความยินยอมของผูเสียหาย มีความผิดบางประการท่ีกฎหมายถือวาจะเกิดขึ้นตอเม่ือเปนการกระทําโดย ปราศจากความยินยอมของผูเสียหาย และยอมใหนําหลักท่ีวาเมื่อยอมแลวไมเปน ความผดิ เชน 1. ความผิดท่ีเกิดข้ึนโดยการบังคับขูเข็ญหรือหลอกลวง ความผิดเหลาน้ีถา ปรากฏวาผูเสียหายยินยอมใหกระทําโดยบริสุทธ์ิใจ การกระทําก็ยอมจะไมเปนความผิด อยูเอง เชน ความผิดเก่ียวกับเพศ ตามมาตรา 276, 278 ความผิดตอเสรีภาพ ตามมาตรา 309, 313 (2), 320 ความผิดเกยี่ วกับทรพั ย ตามมาตรา 337 ถงึ มาตรา 341 เปนตน 2. ความผิดบางประเภทท่ีเห็นไดโดยสภาพวาจะเปนความผิดข้ึนก็ตอเม่ือ ผูเสียหายมไิ ดย ินยอม เชน การลกั ทรพั ย โกงเจาหน้ี ยกั ยอก ทําใหเ สียทรัพยหรือบุกรุก ยอมหมายความถึงการเอาทรัพยไปโดยผูเสียหายไมยินยอม หากผูเสียหายยินยอม ความผดิ กไ็ มเ กดิ 3. ความผิดเกี่ยวกับชีวิตหรือรางกายไมมีกฎหมายบัญญัติวาเพื่อใหความยินยอม แลวไมเปนความผิด ดังนั้นในความผิดเก่ียวกับชีวิตหรือรางกาย แมผูเสียหายจะใหความ ยินยอมก็ยังเปนความผิดอยูนั่นเอง นัยตามคําพิพากษาฎีกาถือวาความยินยอมของผูถูก ทํารายหาเปนขอแกตัวใหพนผิดไม ในคดีนั้นจําเลยสองคนตองหาวาทดลองฟนกันโดย เช่ือวาอยูยงคงกระพัน และมีบาดเจ็บดวยกันทั้งสองคน คดีข้ึนสูศาลอุทธรณ เฉพาะ จําเลยคนหนึ่งเทานั้นศาลอุทธรณลงโทษฐานทําใหบาดเจ็บสาหัสโดยประมาท ศาลฎีกา กลาวคดีน้ีไดความวาจําเลยไมมีเจตนาท่ีจะฟนกันโดยตรง มีขอสงสัยอยูแตวาจะเขา หรือไมเขา เทาน้ัน แตหามกี ฎหมายยอมใหท าํ กันเชนนั้นไม เม่ือฟนกันมีบาดแผลก็ควรมี โทษฐานทํารายรางกาย วิธใี หค วามยนิ ยอม 1. จะใหค วามยนิ ยอมโดยแสดงออกชดั แจง หรือแสดงออกโดยปริยายก็ได เชน เขา ไปในบานเพ่ือซอมแซมทอนํ้าร่ัวในระหวางท่ีเจาของบานไมอยู หรือชวยทําโทษเด็กที่ 204 LW 206
2. ความยินยอมนั้นผูยินยอมจะใหความยินยอมโดยสมัครใจมิใชถูกบังคับขูเข็ญ หรือหลอกลวง 3. ความยินยอมจะตองเปนความยินยอมท่ีมีอยูในขณะกําลังกระทําผิดหรือ แสดงออกกอนและยังคงมีอยูมิไดบอกเลิกเสียกอนการกระทําผิดน้ันส้ินสุดลง และความ ยินยอมน้นั จะตองไมข ัดตอ ความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอนั ดี สรุปเนื้อหาบทท่ี 9 เรื่องเหตทุ ่ผี ูกระทํามีอํานาจกระทําได เหตุที่ผูกระทํามีอํานาจ กระทาํ ได มี 2 กรณี คอื 1. ผูก ระทาํ มีอํานาจตามกฎหมาย 2. ความยนิ ยอมของผูเ สียหาย 1. ผูกระทํามีอํานาจตามกฎหมาย หมายความวา มีกฎหมายบัญญัติให ผกู ระทาํ ทําไดโ ดยไมเปน ความผิด กฎหมายทบี่ ญั ญัตใิ หผ กู ระทาํ มีอํานาจกระทาํ ได คอื ก. ประมวลกฎหมายอาญา ข. กฎหมายอ่ืนนอกจากประมวลกฎหมายอาญา ก.ประมวลกฎหมายอาญา สําหรับประมวลกฎหมายอาญาท่ีบัญญัติให ผกู ระทาํ มอี าํ นาจทําไดโ ดยไมมีความผิด คอื 1. การปอ งกันโดยชอบดวยกฎหมาย (มาตรา 68) 2. การกระทาํ ของนายแพทยใหหญงิ แทงลกู (มาตรา 305) 3. การแสดงความคิดเห็นหรอื ขอความใดโดยสุจริต (มาตรา 329) 4. การแสดงความคดิ เห็นหรือขอ ความใดเพอ่ื ประโยชนแ กคดี (มาตรา 331) การกระทาํ โดยปอ งกัน การกระทําโดยปองกันประกอบดว ยหลกั เกณฑดังนค้ี ือ 1. มีภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรายอันละเมิดตอกฎหมาย และเปน ภยันตรายท่ใี กลจะถงึ LW 206 205
2. ผูกระทําจําตองกระทําเพื่อปองกันสิทธิของตนเองหรือผูอื่นใหพนจาก ภยนั ตรายนน้ั 3. กระทําไปพอสมควรแกเหตุ ผลของการกระทําโดยปองกนั 1. การกระทําโดยปองกัน ถากระทําพอสมควรแกเหตุ การกระทํานั้นเปน การปอ งกันโดยชอบดวยกฎหมาย ผนู น้ั ไมมคี วามผิด 2. การกระทําโดยปองกัน ถากระทําไปเกินสมควรแกเหตุหรือเกินกวากรณี แหงการจําตองกระทําเพ่ือปองกัน ศาลจะลงโทษนอยกวาที่กฎหมายกําหนดไวสําหรับ ความผิดนั้นเพียงใดก็ได แตถาการปองกันเกิดขึ้นจากความตื่นเตนตกใจหรือความกลัว ศาลจะไมลงโทษผกู ระทาํ ก็ได ข. กฎหมายอื่นนอกจากประมวลกฎหมายอาญา นอกจากจะมีประมวล กฎหมายอาญาบัญญัติใหผูกระทํามีอํานาจทําไดแลว ยังมีกฎหมายอ่ืนท่ีบัญญัติให ผกู ระทําทาํ ไดโดยไมมีความผิด คอื 1. กฎหมายรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย ไดใหเอกสิทธ์ิแกบุคคล 5 ประเภท คือ สมาชิกสภาผูแทน สมาชิกวุฒิสภา รัฐมนตรี บุคคลท่ีประธานสภาอนุญาต ใหแถลงขอเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในสภา หรือผูพิมพผูโฆษณารายงานการ ประชุมตามคําสง่ั ของสภา 2. ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย มาตรา 1347 3. ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพง มาตรา 279 4. ประมวลวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา 78 (3) 5. พระราชบญั ญัติอ่ืน ๆ 2. ความยินยอมของผูเสียหาย การใหความยินยอมของผูเสียหายทําให ผกู ระทําไมมีความผดิ ตองประกอบดวยหลักเกณฑ คอื ก. การใหค วามยนิ ยอมจะแสดงโดยชดั แจง หรอื โดยปรยิ ายกไ็ ด ข. ความยินยอมนั้น ผูยินยอมจะใหความยินยอมโดยสมัครใจมิใชถูกบังคับขู เขญ็ หรือหลอกลวง ค. ความยินยอมน้นั จะตองยงั มีอยูในขณะกาํ ลังกระทาํ ความผิด 206 LW 206
LW 206 207
บทท่ี 10 เหตุยกเวนและลดหยอ นอาญา เราไดกลาวถึงเหตุท่ีทําใหผูกระทํามีอํานาจทําไดมาแลวในบทที่ 9 เมื่อมีเหตุท่ีทํา ใหผูกระทํามีอํานาจทําได ผูกระทําไมตองรับผิดทางอาญาสําหรับความผิดน้ัน เชน กรณี ท่ีไดกระทําการปองกันโดยชอบดวยกฎหมาย หรือกรณีผูเสียหายยินยอมใหกระทํา ผูกระทําไมตองรับผิดทางอาญาตอกฎหมายเลย แตที่จะกลาวตอไปในบทที่ 10 เรื่อง เหตุยกเวนและลดหยอนอาญานี้ไมใชกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติใหผูกระทํามีอํานาจทําไดซ่ึง ถือวาการกระทําไมเปนความผิดตอกฎหมาย เปนเร่ืองที่กฎหมายบัญญัติวาการกระทํา นั้นเปนความผิด เพียงแตกฎหมายคํานึงถึงวัตถุประสงคในการลงโทษมุงถึงการ ปราบปรามไมใหผูที่ถูกลงโทษคิดกระทําความผิดข้ึนอีก และดัดนิสัยใหผูน้ันกลับตัวเปน พลเมืองดี วัตถุประสงคในการลงโทษดังไดกลาวมาแลวน้ีจะใชไดผลแตเฉพาะผูกระทํา ความผิดในขณะท่ีการกระทําและสภาพจิตใจปกติดี สําหรับผูกระทํากระทําความผิดใน ขณะที่สภาพทางจิตใจไมปกติ หรือการกระทํามิไดเกิดจากความสมัครใจ ยังไมควรที่จะ ถูกลงโทษสาํ หรบั ความผดิ น้ันเทากับการกระทําความผิดของผกู ระทําในขณะปกติ ในทาง อาญาจงึ ไดบ ญั ญตั ิเปน เหตยุ กเวนและลดหยอนอาญาไว สําหรับผูกระทําความผิดในขณะ ไมปกติทางการกระทําและสภาพทางจิตใจ กรณีเหตุยกเวนและลดหยอนอาญามีดวยกัน หลายเหตุดงั นี้คอื 1. เหตุที่กฎหมายยกเวนโทษสําหรบั การกระทาํ 2. เหตุทเ่ี กีย่ วกับความไมสามารถรผู ดิ ชอบหรอื ไมส ามารถบังคับตนเองได 3. เหตยุ กโทษ เหตลุ ดโทษ และเหตุบรรเทาโทษอ่ืน ๆ 1. เหตทุ ่ีกฎหมายยกเวน โทษสําหรับการกระทาํ แยกอธิบายเปน 2 สวน คือ สว นที่ 1 กระทําความผิดดว ยความจาํ เปน 37 สว นท่ี 2 กระทําตามคําสั่งของเจา พนักงาน 208 LW 206
สวนท่ี 1 กระทาํ ความผิดดวยความจําเปน การกระทําความผิดดวยความจําเปน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 บัญญตั วิ า “ผูใดกระทาํ ความผิดดวยความจําเปน (1) เพราะอยูในท่ีบงั คับหรอื ภายใตอ ํานาจซ่ึงไมสามารถหลกี เลยี่ งหรือขดั ขืนได หรอื (2) เพราะใหตนเองหรือผูอื่นพนจากภยันตรายที่ใกลจะถึง และไมสามารถ หลีกเลี่ยงใหพนโดยวิธีอื่นใดได เม่ือภยันตรายนั้นตนมิไดกอใหเกิดข้ึนเพราะความผิด ของตน จากมาตรา 67 นี้ จะเหน็ วาการกระทาํ โดยจาํ เปน แบงออกเปน 2 อยางคอื 1. กระทําโดยจําเปนเพราะถูกบงั คับตามมาตรา 67 (1) 2. กระทาํ โดยจําเปน เพ่ือพน จากภยันตรายตามมาตรา 67 (2) เม่ือเขาลักษณะอยางใดอยางหนึ่งใน 2 อยางขางตน ผูกระทําก็ไมตองรับโทษ ทงั้ นกี้ ็คอื ผกู ระทํายงั มีความผิดอยู เปนแตไมต องรบั โทษสาํ หรบั การกระทําความผิดนั้น เหตุผลในการยกเวนโทษใหแกผูกระทําความผิดโดยจําเปนน้ี ทานศาสตราจารย ดร.อุททศิ แสนโกศกิ 1 ไดกลาวไว 2 ประการดวยกนั คอื 1. มองในแงผลในทางขมขูของการลงโทษ ในเมื่อการท่ีกําหนดโทษไวใน กฎหมายอาญา และมกี ารลงโทษเม่ือมีการฝาฝนกระทาํ ผิดมาแลวกลับมากระทําความผิด ซ้ําข้ึนอีก และเปนการขมขูใหผูอื่นเกรงกลัวไมกลากระทําความผิดขึ้นบาง ก็ควรมีการ ลงโทษตอเม่ือการลงโทษจะมีผลเปนการขมขูเชนวานั้นเทาน้ัน ในกรณีที่เห็นไดวาแมจะมี การลงโทษแกผูกระทําความผิดก็จะไมมีผลเปนการขมขู การลงโทษในกรณีเชนนั้นก็ไร ประโยชนและไมควรกระทํา เชน ก. ใชปนขู ข. ใหใชไมตีหัว ค. ถาไมตีจะยิงใหตาย หาก ข. ตีหัว ค. เพราะกลัวถูก ก. ยิงตาย การกระทําของ ข. เขาลักษณะกระทําโดย จําเปนเพราะถูกบังคับตามมาตรา 67 (1) ข. จะรูวาหากตนตีหัว ค. ไปตามท่ีถูกขมขู ตนจะตองถูกลงโทษฐานทํารายรางกายก็ตาม ก็นาเชื่อวา ข. คงตกลงใจตีหัว ค. อยู 1 อทุ ทศิ แสนโกศิก, กฎหมายอาญา ภาค 1, หนา 104-105. 209 LW 206
2. มองในแงผลเสียหายแกสังคม สมมติวาเราสามารถจะขมขูไมใหบุคคล กระทําความผิดได แมเขากรณีที่ถือไดวากระทําโดยจําเปนก็ตาม แตก็เปนกรณีที่ไม สมควรจะขมขูไวดวยโทษ เพราะแมเขาจะไดกระทําการอันเปนความผิดข้ึนก็จริง แตการ ท่ีเขาไดกระทําลงไปเนื่องมาจากความจําเปนบังคับ ถาไมมีความจําเปนเชนน้ันเขาคงไม กระทําและการท่ีเขากระทําความผิดไปน้ันทําใหมีผลเสียหายนอยกวา ถาเขางดเวนไม กระทาํ ความผิด และเมือ่ เปน เชน นั้นกฎหมายก็ไมควรเอาโทษแกการกระทําความผิดของ เขา เชน ตามตัวอยางขางตนเม่ือ ก. ใชปนขู ข. ใหใชไมตีหัว ค. ถาไมตีจะยิง ข. ให ตาย หาก ข. กลัวและตีหัว ค. แตก ผลเสียหายท่ีเกิดจากการกระทําของ ข. (คือ ค. หัวแตก) ยังนอยหรือเบากวาผลเสียหายท่ีจะเกิดข้ึน ถาหาก ข. ไมกระทําความผิด (คือ ข. จะถกู ยิงตาย) จากท่ีไดกลาวไวแลวขางตนวาการกระทําโดยจําเปนแบงออกเปน 2 ประการ ซ่ึงทง้ั สองประการนมี้ สี ภาพตางกัน คอื ขอ 1 เปนความจาํ เปน เพราะอยใู นที่บังคับ คือมีการบงั คับหรอื บงการใหกระทํา การท่ีเปนความผิดนั้นจากภายนอก ผูถูกบังคับมิไดคิดริเร่ิมกระทําการนั้นข้ึนดวยใจ ตนเอง แตไมมที างจะทําอยา งอ่นื ได ในขอ 2 เปนความจาํ เปนซึ่งไมมีการบังคับการบงการ ใหแตมีภยันตรายที่จะตองหลีกเล่ียง และผูกระทําเลือกหลีกเล่ียงภยันตรายโดยวิธีกระทํา การอันเปนความผิดดวยการริเร่ิมของตนเอง แมอาจทําอยางอ่ืนได แตการกระทําอยาง อื่นนั้นกย็ งั ทําความเสียหายแกผูอน่ื อยูนัน้ เอง ตอไปน้จี ะไดอ ธิบายถงึ การกระทาํ โดยจําเปนทัง้ 2 อยา ง ตามลําดบั 1. ไดก ระทาํ โดยจําเปนเพราะถูกบงั คับ การกระทําโดยจําเปนเพราะถูกบังคับอันจะมีผลใหผูกระทําไมตองรับโทษ ตามมาตรา 67 ตอ งประกอบดวยหลักเกณฑดงั น้ี คอื (1) กระทําความผิดดว ยความจาํ เปน (2) เพราะอยูในบังคบั หรอื ภายใตอํานาจ 210 LW 206
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389