Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักกฎหมายอาญา 1

หลักกฎหมายอาญา 1

Published by dopayut, 2019-01-30 00:00:01

Description: FULL TEXT LAW2006

Keywords: อาญา,กฎหมาย

Search

Read the Text Version

บทที่ 4 การใชกฎหมายอาญา สว นที่ 1 เวลาทกี่ ฎหมายอาญาใชบ งั คับ มีหลักท่ัวไปของกฎหมายอาญาวา กฎหมายไมมีผลหลัง คําวา “กฎหมายไมมีผล ยอนหลัง” หมายความวากฎหมายจะไมยอนหลังไปใชบังคับแกขอเท็จจริงหรือเหตุการณ ซึ่งเกิดข้นึ กอ นวนั ทก่ี ฎหมายใชบังคับ สําหรับกฎหมายอาญา การที่กฎหมายอาญาจะไมมี ผลยอนหลังจึงหมายความวากฎหมายอาญาจะไมมีผลยอนหลังไปลงโทษบุคคลหรือเพ่ิม โทษบุคคลใหหนักยิ่งขึ้น1 เพราะฉะน้ันการกระทําที่บุคคลจักตองรับโทษอาญามักจะตอง เปนการกระทําผิดตอกฎหมายท่ีใชอยู “ในขณะกระทํานั้น” ถาในขณะกระทําน้ันไมมี กฎหมายบัญญัติเปนความผิดและกําหนดโทษไว แตมาบัญญัติในภายหลังวาการกระทํา เชนน้ันเปนความผิด ก็จะยอนไปลงโทษผูกระทําไมได เพ่ือใหเปนไปตามหลักท่ีวา กฎหมายอาญาไมมีผลยอนหลัง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 จึงบัญญัติวา “บุคคล จักตอ งรบั โทษในทางอาญาตอ เมื่อไดกระทําการอันกฎหมายท่ีใชในขณะกระทํานั้นบัญญัติ เปนความผิดและกําหนดโทษไวและโทษที่จะลงแกผูกระทําความผิดนั้น ตองเปนโทษที่ บัญญัติไวในกฎหมาย” และรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 บัญญัติวา “บุคคลจะไมตองรับโทษอาญา เวนแตจะไดกระทําการอันกฎหมายซ่ึงใชอยู ในเวลาที่กระทําน้ันบัญญัติเปนความผิดและกําหนดโทษไว และโทษท่ีจะลงแกบุคคลนั้น จะหนักกวาโทษที่กําหนดไวใ นกฎหมายซง่ึ ใชเวลาทกี่ ระทาํ ความผิดมไิ ด” ท่ีวา “ไดกระทําการอันกฎหมายท่ีใชในขณะกระทําน้ันบัญญัติเปนความผิด ฯลฯ หมายความวาการกระทําอันท่ีเปนองคความผิดตองไดกระทําในระหวางท่ีกฎหมายซ่ึง บัญญัติความผิดข้ึนนั้นกําลังใชบังคับอยู ถาหากการกระทําบางอันกระทําเม่ือกฎหมาย บัญญัติความผิดขึ้นแลว แตบางอันกระทําเมื่อยังไมมีกฎหมายบัญญัติเชนน้ัน ทําใหการ กระทําเม่ือกฎหมายบัญญัติความผิดข้ึนแลวไมครบองคความผิด นอกจากจะนําเอาการ 1หยดุ แสงอุทัย, ศาสตราจารย ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, อา งแลว, หนา 35. 38 LW 206

จึงสรุปไดวา บุคคลจะรับโทษอาญาตอเมือ่ 1. กระทําการทกี่ ฎหมายบญั ญัตวิ าเปน ความผิด และ 2. กฎหมายนั้นกําหนดไว (โทษท่ีจะลงแกผูกระทําผิดจะตองเปนโทษท่ีบัญญัติไว ในบทกฎหมายนัน้ ) จากหลัก 2 ประการน้ี จึงแยกอธิบายได 3 ประการคอื 1. มีกฎหมายแลว หมายความวา ขณะกระทําน้ันตองมีกฎหมายบัญญัติวา การ กระทําน้ันเปนความผิด หากในขณะกระทําไมมีกฎหมาย ภายหลังจะออกกฎหมาย ยอนหลัง โดยถือวาการกระทําน้ันเปนความผิดมิได กลาวคือ จะลงโทษทางอาญาแก บุคคลใดไดก็ตอเมื่อเขาไดกระทําการท่ีกฎหมายซ่ึงใชอยูขณะท่ีเขากระทํานั้น บัญญัติวา การกระทํานั้นเปนความผิด และกําหนดโทษไว ท้ังนี้เปนไปตามสุภาษิตกฎหมายที่วา NULLUM SINE LEGE NULLA POENNA SINE LEGE1 (แปลตามตัวไดวา ไมมี ความผิดโดยไมมกี ฎหมาย ไมมโี ทษโดยไมมีกฎหมาย) คําวา “กฎหมาย” หมายความวา กฎหมายลายลักษณอักษร ไดแกบท กฎหมายท่ีตราขึ้นโดยอํานาจนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ เชน ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกําหนดท่ีมีพระราชบัญญัติอนุมัติในภายหลัง กฎกระทรวง ประกาศหรือคาํ สัง่ ที่ออกตามพระราชบัญญตั ิ 1ดร.อุทศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนยบริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525), หนา 301. LW 206 39

คําวา “ขณะกระทาํ ความผดิ ” คอื ขณะใด1 1. ขณะลงมอื 2. ขณะผลเกิดขึน้ 3. ถอื เอาทัง้ ขณะลงมอื และขณะผลเกิดขนึ้ เปน ขณะกระทําความผิด 2โดยท่ัวไปแลวตองถือวากฎหมายที่ใชอยูในขณะกระทําความผิดคือ กฎหมายท่ีใชในขณะลงมือกระทําความผิด ไมใชกฎหมายท่ีใชอยูในขณะท่ีผลแหงการ กระทําความผิดเกิดขึ้น เชน แดงเขียนจดหมายมีขอความหม่ินประมาทดําสงไปจังหวัด เชียงใหม ขณะท่ีเขียนกฎหมายกําหนดโทษไวเล็กนอย สมมติวาเม่ือจดหมายไปถึงผูรับท่ี เชยี งใหมม ีกฎหมายเพิม่ โทษสงู ข้นึ ถา จะถอื วา ขณะท่กี ระทําความผดิ คือขณะท่ีผลของการ กระทําเกิดข้ึนก็ตองถือวาความผิดเกิดขึ้นเมื่อจดหมายถึงผูรับที่เชียงใหม และเห็นไดชัด วาการท่ีจะเอากฎหมายท่ีเพ่ิมโทษสูงมาลงโทษแดงที่ลงมือเขียนจดหมายมากอน ประกาศใชกฎหมายท่ีเพิ่มโทษใหสูงขึ้นน้ัน ยอมไมเปนความยุติธรรมแกแดง ซึ่งถาใช กฎหมายในขณะทแี่ ดงลงมอื เขยี นจดหมายหม่ินประมาท แดงกจ็ ะไดรับโทษเบา จากหลักดังกลาวขางตน กฎหมายอาญาเม่ือบัญญัติข้ึนประกาศใชและมี ผลบังคับแลว ตั้งแตน้ันไปผูใดกระทําการอยางที่กฎหมายอาญาฉบับนั้นบัญญัติหามไว ก็ จะมีความผิดและถูกลงโทษ กฎหมายอาญาจึงบัญญัติขึ้นมาใหมีผลบังคับในปจจุบันและ อนาคตเทา นั้น ดังนั้น การกระทําที่เปนความผิดนี้ไมวาความผิดท่ีหามมิใหบุคคลกระทํา หรือความผิดที่บังคับใหบุคคลกระทําน้ีจะตองมีองคประกอบของการกระทําและ องคประกอบของจิตใจจึงจะเปนความผิด เชน เร่ืองลักทรัพย องคประกอบของการกระทํา คือเอาทรพั ยข องผอู ่นื ไป องคป ระกอบของจิตใจกค็ อื มีเจตนาทุจริต 2. โทษท่ีจะลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ไดกําหนดโทษที่จะลงแก ผูกระทําความผิดไว 5 สถานคือ ประหารชีวิต จําคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพยสิน ซึ่งโทษ เหลาน้ีจะลงแกผูกระทําความผิดไดตอเมื่อไดกระทําการท่ีกฎหมายซ่ึงใชอยูขณะท่ีกระทํา นนั้ เปน ความผิดและกาํ หนดโทษไวในกฎหมายทใี่ ชใ นขณะกระทาํ ความผิดนัน้ 1หยุด แสงอทุ ัย, ศาสตราจารย ดร., กฎหมายอาญาภาคท่วั ไป, อา งแลว, หนา 36. 2หยดุ แสงอุทัย, ศาสตราจารย ดร., อางแลว , หนา 36. 40 LW 206

หลกั เกณฑส าํ คัญตามมาตรา 2 วรรคแรกแหงประมวลกฎหมายอาญามดี ังนี้ 1. กฎหมายอาญาจะยอ นหลังใหเปนผลรายมิได 2. กฎหมายอาญาจะตองบญั ญตั ไิ วเ ปน ลายลกั ษณอกั ษรใหแนนอนและชัดเจน 3. กฎหมายอาญาจะตองตคี วามโดยเครงครดั 1. กฎหมายอาญาจะยอนหลังใหเปนโทษมิได หมายความวา กฎหมาย อาญาจะใชบังคับไดในขณะกระทําเทาน้ัน หากในขณะกระทําไมมีกฎหมายบัญญัติเปน ความผิด ตอมาจะมีการออกกฎหมายยอนหลังใหการกระทํานั้นเปนความผิดไมได หรือ ในขณะกระทําน้ันไดมีกฎหมายบัญญัติเปนความผิดและกําหนดโทษไว ตอมาจะออก กฎหมายยอนหลังเพ่มิ โทษการกระทาํ ดงั กลาวใหหนกั ขึน้ มไิ ด 2. กฎหมายอาญาจะตองบัญญัติไวเปนลายลักษณอักษรใหแนนอนและ ชัดเจน เน่ืองจากในมาตรา 2 แหงประมวลกฎหมายอาญาใชคําวา “บัญญัติเปนความผิด” ฉะนั้นกฎหมายอาญาที่บัญญัติมาใชบังคับจึงตองบัญญัติใหแนนอนและชัดเจนไม คลุมเครือ เพื่อผปู ฏบิ ตั ิตามกฎหมายจะไดรูลวงหนาวาการกระทําหรืองดเวนกระทําใดเปน ความผิดหรือไม สําหรับดานผูใชกฎหมายจะเปนการสะดวกในทางปฏิบัติและการใช ดลุ พนิ จิ ตามใจตนเองไมได ตอ งเปน ไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติไว 3. กฎหมายอาญาจะตองตีความโดยเครงครัด เมื่อกฎหมายอาญาได บัญญัติโดยแนนอนและชัดเจนแลวเวลาจะใชกฎหมายอาญาบังคับจะตองตีความโดย เครงครดั ตามตวั อกั ษร หลักการตีความโดยเครง ครดั น้ี หมายความวา 1 ก. จะนําบทกฎหมายใกลเ คียง (Analogy) มาใชใหเ ปนผลรา ยมไิ ด ข. จะนาํ จารตี ประเพณมี าใชใ หเ ปน ผลรา ยมไิ ด 1เกียรติขจร วจั นะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติท่วั ไป (กรงุ เทพมหานคร: คณะนติ ศิ าสตร มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร, 2524), หนา 20-25. LW 206 41

หลักที่วากฎหมายอาญาไมมีผลยอนหลังน้ัน เคยกลาวมาแลววามิใหมีผล ยอนหลังไปเปนผลรายแกผูกระทําความผิด แตถาบัญญัติไวใหยอนหลังไปในทางท่ีเปน ผลดีก็ไมอยูในขอหาม โดยเหตุน้ีประมวลกฎหมายอาญาจึงไดมีบทบัญญัติยกเวน หลกั เรือ่ งกฎหมายมีผลยอ นหลงั อยสู องกรณีดงั ตอไปนี้ คอื 1. กรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลัง การกระทําน้ันไมเปน ความผิดตอไป และ 2. กรณีที่กฎหมายใชในขณะกระทําความผิดแตกตางกับกฎหมายที่ใชใน ภายหลังการกระทาํ ความผดิ 1. กรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลัง การกระทําน้ัน ไมเปนความผิดตอไป ประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติไวในมาตรา 2 วรรค 2 วา “ถาตามบทบัญญัติของกฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลัง การกระทําเชนนั้นไมเปนความผิด ตอ ไป ใหผ ทู ่ีไดก ระทาํ การนัน้ พนจากการเปน ผกู ระทําความผิด และถาไดมีคําพิพากษาถึง ท่ีสุดใหลงโทษแลว ก็ใหถือวาผูนั้นไมเคยตองคําพิพากษาวาไดกระทําความผิดนั้น ถารับ โทษอยกู ็ใหการลงโทษนนั้ สน้ิ สดุ ลง” ตามความในมาตรา 2 วรรค 2 นี้ เปนเรื่องบทบัญญัติของกฎหมายใน ภายหลังไดยกเลิกกฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิด ซ่ึงการยกเลิกนี้อาจยกเลิก โดยตรงโดยระบุขอความใหยกเลิกกฎหมายเกาไวในกฎหมายใหมก็ได หรืออาจเปนแต เพียงกฎหมายใหมมีขอ ความทับหรอื ขดั แยง กับกฎหมายเกาก็ได ปญหาวาถามีการยกเลิกพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศ หรือ คําสั่งเทศบัญญัติ หรือขอบังคับท่ีออกตามพระราชบัญญัติ แตตัวพระราชบัญญัตินั้นเอง ยังคงอยูตามเดิมไมมีการเปลี่ยนแปลงเชนนี้ จะมีผลตามมาตรา 2 วรรค 2 นี้ดวยหรือไม ปญหาน้ีเขาใจวาคงไมถือเครงครัดวาส่ิงท่ียกเลิกนั้นจะตองเปนบทบัญญัติแหงกฎหมาย เทานั้น แมจะยกเลิกแตส่ิงท่ีบัญญัติขึ้นตามอํานาจพระราชบัญญัติก็ใชบังคับตามมาตรา 2 วรรค 2 ได เชน ทําความผิดตอพระราชกฤษฎีกาควบคุมการจําหนายรํา พ.ศ. 2486 ออก ตามความในพระราชบัญญัติมอบอํานาจใหรัฐบาลในภาวะคับขัน พ.ศ. 2485 ถาตอมา พระราชกฤษฎีกาน้ันยกเลิกไป สิทธิฟองรองคดีนั้นก็ระงับไป การตีความคําวากฎหมาย 42 LW 206

กรณตี ามมาตรา 2 วรรค 2 มีบทบัญญัติแหงกฎหมายในภายหลังยกเลิก ความผิดแหง กฎหมายท่ใี ชใ นขณะกระทํานั้น ผลคอื 1) ผูที่ไดกระทําการนั้นพนจากความผิดโดยอัตโนมัติ เชน ผูท่ีกระทํา ความผิดชําเราผิดธรรมดามนุษย อันเปนความผิดตามมาตรา 242 แหงกฎหมายลักษณะ อาญา แตตามประมวลกฎหมายอาญา การกระทําชําเราผิดธรรมดามนุษยนี้หาเปน ความผิดตอกฎหมายไม เมื่อเปนเชนน้ีถาบุคคลใดกระทําความผิดฐานกระทําชําเราผิด ธรรมดามนุษยในขณะใชกฎหมายลักษณะอาญา เมื่อถึงวันที่ประมวลกฎหมายอาญาใช บังคับ (วันท่ี 1 มกราคม 2500) ผูน้ันพนจากการเปนผูกระทําความผิด ถาส่ังจับหรือตาม จับตัวอยู ใหเปนอันระงับไมจับตัวตอไป หรือถากําลังสอบสวนใหปลอยตัวไป ถากําลัง พิจารณาในศาลก็ใหปลอยตัวไปเชนกัน หรือถาถูกคุมขังอยูในอํานาจศาลศาลก็ตองปลอยตัว ผนู ัน้ ไป 2) ในกรณีที่มีคําพิพากษาถึงที่สุดใหลงโทษแลว ก็ใหถือวาผูนั้นไมเคย ตองคําพิพากษาวาไดกระทําความผิด หมายความวา ถาบุคคลใดเคยตองคําพิพากษาถึง ที่สุดใหลงโทษ ก็ถือวาผูน้ันไมเคยตองคําพิพากษาวากระทําความผิด ทั้งน้ีเพื่อใหบุคคล น้ันกลับเปนผูบริสุทธิ์อีกครั้ง และถาหากกําลังรับโทษอยู ก็ใหการลงโทษน้ันส้ินสุดลงโดย ปลอยตัวผูน้ันไป ตัวอยางเชน โจทกฟองจําเลยขอหาพยายามฆาและมีอาวุธปนผิด กฎหมายไวในครอบครอง ศาลชั้นตนพิพากษาวาจําเลยผิดทั้งสองฐาน แตลงโทษฐาน พยายามฆาอันเปนกระทงหนัก จําเลยอุทธรณเฉพาะขอหาพยายามฆา แตระหวาง พิจารณาของศาลอุทธรณ มีพระราชบัญญัติอาวุธปนฯ (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2510 ออกมาให ผูมีอาวุธปนไปขออนุญาตภายใน 90 วัน โดยไมตองรับโทษ เม่ือศาลอุทธรณยกฟองท้ัง สองขอหาและโจทกฎีกาคัดคานขึ้นมา ดังน้ีแมความผิดฐานมีอาวุธปนจะถึงที่สุดแลว แต โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟองฐานพยายามฆา เม่ือจะลงโทษฐานมีอาวุธปนซึ่งศาลชั้นตนมิได กําหนดโทษฐานน้ีไว คดีก็ตองบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติวา แมค ดีถงึ ทส่ี ุดแลว ก็ใหถือวาผูน้ันไมเคยตองคําพิพากษาวาไดกระทําผิด จึงเปนอันวาศาล ฎีกาจะกําหนดโทษใหลงแกจําเลยในความผิดฐานนี้อีกไมได (คําพิพากษาฎีกาท่ี 289/2512) LW 206 43

ขอสังเกต มาตรา 2 วรรค 2 น้ี ใชบังคับต้ังแตกอนฟอง กอนมี คาํ พพิ ากษาและตลอดไปจนถึงกรณีทไี่ ดม ีคําพิพากษาถึงที่สุดใหลงโทษแลวดวย กลาวคือ การสอบสวนฟอง หรือพิจารณาพิพากษาคดีตองยุติลงเม่ือยกเลิกความผิดตามกฎหมาย เกา แมมีคําพิพากษาถงึ ท่ีสดุ แลวการบังคับคดีเฉพาะในเรื่องลงโทษตามคําพิพากษาก็ยุติ ลงเพยี งนัน้ 2. กรณีที่กฎหมายใชในขณะกระทําความผิดแตกตางกับกฎหมายที่ ใชในภายหลังกระทําความผิด หมายความวา ท้ังกฎหมายเกาและใหมยังเปนความผิด อยู ประมวลกฎหมายอาญาจึงบัญญัติใหใชกฎหมายในสวนท่ีเปนคุณมาบังคับ ดังท่ีได บัญญัติไวในมาตรา 3 ความวา “ถากฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิดแตกตางกับ กฎหมายที่ใชภายหลังการกระทําความผิด ใหใชกฎหมายในสวนที่เปนคุณแกผูกระทํา ความผดิ ไมวา ในทางใด เวนแตค ดีถงึ ท่ีสุดแลว แตในกรณีคดถี งึ ท่สี ุดแลว ดังตอ ไปน้ี (1) ถาผูกระทําความผิดยังไมไดรับโทษ หรือกําลังรับโทษอยู และโทษ ที่กําหนดตามคําพิพากษาหนักกวาโทษท่ีกําหนดตามกฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลัง เม่ือ สํานวนความปรากฏแกศาล หรือเมื่อผูกระทําความผิด ผูแทนโดยชอบธรรมของผูนั้น ผูอนุบาลของผูนั้น หรือพนักงานอัยการรองขอใหศาลกําหนดโทษเสียใหมน้ี ถาปรากฏวา ผูกระทําความผิดไดรับโทษมาบางแลว เมื่อไดคํานึงถึงโทษตามกฎหมายที่บัญญัติใน ภายหลังหากเห็นเปนการสมควร ศาลจะกําหนดโทษนอยกวาโทษข้ันตํ่าท่ีกฎหมาย บัญญัติในภายหลังกําหนดไวถาหากมีก็ได หรือถาเห็นวาโทษท่ีผูกระทําความผิดไดรับ มาแลว เปนการเพียงพอ ศาลจะปลอ ยผกู ระทาํ ความผดิ ไปก็ได (2) ถาศาลพิพากษาใหประหารชีวิตผูกระทําความผิด และตาม กฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง โทษที่จะลงแกผูกระทําความผิด และตามกฎหมายที่ บัญญัติในภายหลัง โทษที่จะลงแกผูกระทําความผิดไมถึงประหารชีวิต ใหงดการประหาร ชีวิตผูกระทําความผิด และใหถือวาโทษประหารชีวิตตามคําพิพากษาไดเปล่ียนเปนโทษ สูงสดุ ท่ีจะพงึ ลงไดตามกฎหมายทีบ่ ัญญัตภิ ายหลัง” ตามความในมาตรา 3 นี้ ถากฎหมายท่ีใชในขณะกระทําความผิด กับกฎหมายท่ีใชภายหลังกระทําความผิดแตกตางกัน ใหใชกฎหมายสวนท่ีเปนคุณบังคับ สาํ หรับกรณที กี่ ฎหมายแตกตางและเปน คณุ กวา เชน 44 LW 206

1. ประเภทของโทษยอมหนักเบากวากันตามลําดับในมาตรา 18 กลาวคือ ตองถือโทษประหารชีวิตหนักกวาโทษจําคุก โทษจําคุกหนักกวาโทษกักขัง โทษ กักขังหนักกวาโทษปรับ และโทษปรับหนักกวาโทษริบทรัพยสิน เชน ตามกฎหมาย ลกั ษณะอาญา มาตรา 339(2) โทษจาํ คกุ ไมเ กิน 10 วัน หรือปรับไมเกิน 500 บาท หรือทั้ง จําทั้งปรับ ตามกฎหมายใหมมีโทษปรับอยางเดียวคือไมเกิน 500 บาท กฎหมายใหม มาตรา 393 เปน คณุ กวา 2. อัตราโทษ ก. อัตราโทษประเภทเดียวกัน ตองถือตามอัตราโทษชั้นสูงที่ กําหนดไวในกฎหมาย มิใชดูแตกําหนดโทษที่จะลงแกผูกระทําความผิด ซ่ึงใชกฎหมายท่ี อตั ราโทษช้ันสงู เบากวาลงโทษ ข. อัตราโทษชั้นสูงในประเภทเดียวกันเทากัน เชนโทษจําคุก อยางสงู เทา กนั แตกฎหมายเกาลงโทษทั้งจาํ ท้ังปรับ กฎหมายใหมเปนโทษจําคุกหรือปรับ หรือทั้งจําท้ังปรับไดสามสถาน วินิจฉัยวากฎหมายใหมเปนคุณแกผูกระทําความผิด มากกวา (คาํ พิพากษาฎีกาที่ 313/2500) ค. อัตราโทษอยางสูงจําคุกไมเกิน 10 ปเทากัน แตกฎหมาย เกามีโทษขั้นตํ่า 5 ป กฎหมายใหมไมมีโทษข้ันต่ํา วินิจฉัยวากฎหมายใหมเปนคุณแก ผูกระทําความผิดมากกวา ตองใชกฎหมายใหม เม่ือจําเลยรับสารภาพ โจทกไมตอง สืบพยานประกอบศาลก็พจิ ารณาลงโทษจําเลยได (คําพพิ ากษาฎีกาที่ 1303/2503) 3. กฎหมายที่กําหนดใหบุคคลรับผิดในทางอาญานอยกวา เชน กฎหมายในขณะกระทําความผิดเพียงแตกระทําโดยประมาทก็เปนความผิด แตกฎหมาย ในภายหลังตองกระทาํ โดยเจตนาจงึ เปน ความผิด กฎหมายใหมเปนคณุ กวา 4. เหตุเพิ่มโทษฐานไมเข็ดหลาบ ถาไมตองดวยกฎหมายทั้งเกา และใหมท่ีจะเพ่ิมโทษ ก็เพ่ิมโทษไมได (คําพิพากษาฎีกาที่ 309/2500) ถาอัตราการเพิ่ม โทษตางกนั ก็ตองเพม่ิ ตามกฎหมายท่ีเบากวา 5. เหตุยกเวนหรือลดโทษ ถามีในกฎหมายขณะกระทําความผิด หรือกอนพิพากษาคดี ยอมนํากฎหมายท่ีเปนคุณแกผูกระทําความผิดมากท่ีสุดมาใชได (คําพิพากษาฎีกาที่ 1336/2494) LW 206 45

6. กฎหมายเกาและกฎหมายใหมบัญญัติวาการกระทําความผิด ใดเปนความผิดอันยอมความได กฎหมายที่บัญญัติเชนน้ันยอมเปนคุณแกผูกระทํา ความผิดมากกวา กฎหมายท่มี ิไดบ ญั ญตั เิ ชน น้นั 7. อายุความ กฎหมายทก่ี ําหนดอายุความสั้นกวา ยอ มเปน คณุ กวา การใชกฎหมายในสวนที่เปนคุณนี้ จะใชเฉพาะกอนคดีถึงที่สุด เทา นน้ั แตป ระมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรค 2 ก็ไดบัญญัติยกเวนใหใชกฎหมายใน สว นทเ่ี ปนคุณแมคดจี ะถึงท่ีสดุ แลว ไว 2 กรณี คอื ก. กรณีท่ีผูกระทําความผิดตองคําพิพากษาใหรับโทษอยาง อน่ื นอกจากโทษประหารชวี ติ 1. ผูกระทําความผิดยังไมไดรับโทษ หรือกําลังรับโทษ ตามคาํ พิพากษาอยู ถา ผูก ระทําความผิดรับโทษไปแลว ก็ไมมีการเปลี่ยนแปลง เชน ชําระ คาปรับไปแลวเทาใดไมมีการรื้อฟนคืนคาปรับ จะมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะโทษท่ียังไมได รบั เทานัน้ 2. โทษท่ีกําหนดตามคําพิพากษาสูงกวาโทษท่ีกําหนด ตามกฎหมายใหม ตองถือตามโทษที่กําหนดใหลงแกจําเลยในผลสุดทายหลังจากลดโทษ แลว อันไหนเปนคณุ กวา ใหใชอันน้นั ทั้งขอ 1 และ ขอ 2 น้ี ถาสํานวนความนัน้ 1) ศาลเหน็ เอง 2) ผกู ระทาํ ผดิ รองขอ 3) ผแู ทนโดยชอบธรรมของผูก ระทําความผดิ รองขอ 4) ผอู นุบาลของผกู ระทําความผดิ รองขอ 5) พนักงานอัยการรอ งขอ ใหศาลกําหนดโทษที่จะลงแกผูนั้นตอไปเสียใหมตามอัตรา โทษที่บัญญัติภายหลังโดยคํานึงถึงโทษท่ีผูนั้นไดรับมาแลวประกอบดวย ซึ่งศาลอาจ กําหนดโทษนอยกวาโทษขนั้ ตํา่ ก็ได หรอื ถา รบั โทษมาพอแลวจะปลอ ยตวั ไปเลยกไ็ ด ข. กรณีผูกระทําความผิดตองคําพิพากษาใหลงโทษประหาร ชีวิต หมายความวา ผูกระทําความผิดตองคําพิพากษาถึงท่ีสุดใหลงโทษประหารชีวิตตาม กฎหมายท่ีใชในขณะกระทําความผิด หากในระหวางท่ียังไมไดลงโทษไดมีกฎหมายใหม 46 LW 206

ขอสังเกต มาตรา 2 วรรค 2 กับมาตรา 3 ตางกันที่วา มาตรา 2 วรรค 2 เปน เร่ืองกฎหมายใหมบัญญัติยกเลิกหรือมีขอความทับหรือแยงกับกฎหมายที่ใชในขณะ กระทําความผิดเสียทีเดียว แตมาตรา 3 เปนเร่ืองบทบัญญัติแหงกฎหมายภายหลังกระทํา ความผิดและกฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิดนั้นตางก็ยังมีความผิดอยู เพียงแต กฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลังไดแกไขหรือเปล่ียนแปลงอันเปนคุณ ก็ใชกฎหมายใหม บังคับ หากกฎหมายท่ีใชในขณะกระทําความผิดเปนคุณกวา ก็ใชกฎหมายในขณะกระทํา ผิดบงั คับ ตัวอยางคาํ พิพากษาฎกี าเกี่ยวกับมาตรา 2 คําพิพากษาฎีกาท่ี 1294/2510 ศาลพิพากษาถึงท่ีสุดจําคุกจําเลย ตาม พ.ร.บ. อาวุธปน ฯ 2 ป ระหวา งรับโทษมี พ.ร.บ.อาวุธปนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 5 ใหนํา ปนไปมอบแกนายทะเบียนภายใน 90 วัน แลวไมตองรับโทษ ดังน้ีไมไดบัญญัติวาไมเปน ความผดิ ตอไป จึงปลอ ยตวั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 2 ไมไ ด คําพิพากษาฎีกาท่ี 883/2520 จําเลยมีอาวุธปนระหวางพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.อาวุธปนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3, 4 ใหนําปนมาขอจดทะเบียนไดใน 90 วนั โดยไมตอ งรบั โทษ ศาลฎกี าพิพากษาเมอ่ื พน 90 วัน แลวใหจาํ เลยไดยกเวน โทษ คําพิพากษาฎีกาท่ี 1869/2521 ประกาศของคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 12 วันที่ 7 ตุลาคม 2519 ยกเวนโทษแกผูนําอาวุธปนที่ใชเฉพาะสงครามไปมอบเจาหนาที่ ไมคุมครองถึงกรณีท่ีมีอาวุธปนเพื่อการคา คําพิพากษาฎีกาที่ 2433/2522 ประกาศ รัฐมนตรกี าํ หนดเขตควบคุมการแปรรูปไมไมใชกฎหมาย เปนขอเท็จจริงที่โจทกตองนําสืบ วา ประกาศเปนเขตควบคมุ แลว โจทกไมนําสบื ศาลลงโทษและริบไมข องกลางไมไ ด คําพิพากษาฎีกาที่ 1525/2535 การออกเช็คแลกเงินสดไมเปนการออกเช็คเพื่อ ชําระหนี้ที่มีอยูจริง และบังคับไดตามกฎหมายอันจะเปนความผิดตามมาตรา 4 แหง พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซ่ึงเปนบทบัญญัติของ LW 206 47

คําพิพากษาฎีกาท่ี 1716/2535 โจทกฟองขอใหลงโทษจําเลย ตาม พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 อันเปนกฎหมายที่ใชบังคับอยูในขณะน้ันท่ี โจทกกลาวหาวาจําเลยกระทําความผิด แตขณะท่ีอยูระหวางพิจารณาของศาลฎีกา กฎหมายฉบับที่โจทกฟองขอใหลงโทษจําเลยไดถูกยกเลิกไปแลว มีกฎหมายฉบับใหมคือ พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 ออกมาใชบังคับแทน ปรากฏวา กฎหมายท่ีออกภายหลัง การออกเช็คท่ีจะเปนความผิดน้ันตองเปนการออกเช็คเพื่อชําระ หนี้ที่มีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมาย เมื่อหนี้เงินกูยืมไมมีหลักฐานไวเปนหนังสือ จึง เปนหน้ีท่ีตองหามตามกฎหมายมิใหฟองรองขอใหศาลบังคับคดี การกระทําของจําเลยจึง ไมเปนความผิดตาม พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซ่งึ เปน กฎหมายที่ใชบงั คับในภายหลงั การเปนผูกระทาํ ผดิ ตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง คําพิพากษาฎกี าเกย่ี วกบั มาตรา 3 คําพิพากษาฎีกาท่ี 2039/2519 มีวัตถุระเบิดไว และถูกจับตั้งแตกอนใช พ.ร.บ. อาวุธปน (ฉบับท่ี 6) พ.ศ. 2517 ซึ่งออกใชเม่ือคดีอยูระหวางอุทธรณ ศาลอุทธรณ พิพากษายกเวน โทษใหตามกฎหมายใหมนนั้ ได คําพิพากษาฎีกาที่ 2021/2520 ระหวางพิจารณาของศาลฎีกามีกฎหมายยกเวน โทษโดย พ.ร.บ.อาวุธปน ฯ (ฉบับที่ 6) จาํ เลยไดร บั ผลตามกฎหมายนี้ คําพิพากษาฎีกาที่ 921/2521 จําเลยมีปนท่ีใชเฉพาะในการสงคราม ตอมามีคําส่ัง คณะปฏิรูปการปกครองแผนดิน ฉบับท่ี 12 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519 ใหนํามามอบนาย ทะเบียน แลวไมตองรับโทษ มีผลถึงผูถูกจับดําเนินคดีอยูกอนประกาศไมตองรับโทษตาม มาตรากฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก คําพิพากษาฎีกาที่ 472/2522 จําเลยมีอาวุธปนและเครื่องกระสุนท่ีใชเฉพาะแตใน สงคราม และถูกจับกอนคําส่ังของคณะปฏิรูปการปกครองแผนดิน ฉบับท่ี 12 ลงวันท่ี 7 ตุลาคม 2517 ที่ใหมีอาวุธและเครื่องกระสุนปนสําหรับใชแตเฉพาะในการสงครามไวใน ครอบครองนํามามอบใหนายทะเบียนทองที่ตามกฎหมายภายในวันท่ี 14 ตุลาคม 2519 จาํ เลยก็ไมต องรับโทษ ศาลยกฟอ ง 48 LW 206

คําพิพากษาฎีกาท่ี 2809/2537 โจทกฟองขอใหลงโทษจําเลยตาม พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 แตกอนสืบพยานโจทกมี พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 ออกใชบังคับโดยยกเลิก พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 ซึ่งเปนกฎหมายท่ีใชในขณะจําเลยกระทํา ความผิดโดย พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติวา “ผูใดออกเช็คเพ่ือชําระหน้ีท่ีมีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมายเปนความผิด” ดังน้ี การกระทํา ที่จะเปนความผดิ ตามบทบญั ญัติของกฎหมายดังกลาว จะตองไดความวาขณะที่ผูออกเช็ค ออกเช็คน้ันเพื่อเปนการชําระหน้ีท่ีมีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมาย แตเมื่อชั้นไตสวน มูลฟองและช้ันพิจารณาโจทกไมนําสืบขอเท็จจริงวาจําเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชําระหน้ีท่ีมี อยูจรงิ และบังคบั ไดต ามกฎหมาย แมจ ําเลยใหก ารรับสารภาพตามฟอง ขอเท็จจริงก็รับฟง ไดเพียงวาจําเลยไดออกเช็คพิพาทชําระหน้ีใหแกผูมีชื่อเทาน้ัน เม่ือไมปรากฏวามูลหน้ี ตามเช็คพิพาทระหวา งจาํ เลยกับผมู ชี ่ือมอี ยูจ รงิ บงั คับไดตามกฎหมายหรือไม การออกเช็ค พิพาทของจําเลยจึงไมเปนความผิดตาม พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซ่ึงเปนกฎหมายท่ีใชบังคับภายหลัง จําเลยจึงพนจากการเปน ผกู ระทาํ ความผิดตาม ป.อ.ตามมาตรา 2 วรรคสอง คําพิพากษาฎีกาที่ 5166/2537 โจทกฟองวา จําเลยตั้งโรงงาน ประกอบกิจการ โรงงานและรับเด็กอายุกวาสิบสามปแตยังไมถึงสิบหาปบริบูรณเขาทํางานในโรงงาน ดังกลาวโดยมิไดรับอนุญาต ขอใหลงโทษตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2512 ดังนี้ แมขณะ เกิดเหตุการกระทําของจําเลยจะเปนความผิดตามฟอง แตเมื่อระหวางการพิจารณาของ ศาลอุทธรณไดมี พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ออกมายกเลิก พ.ร.บ.โรงงานฉบับเดิม ทั้งหมด และเมื่อปรากฏวาโรงงานของจําเลยเปนโรงงานซึ่งไมมีบทบัญญัติไดตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 ระบุไววาการตั้งโรงงานหรือประกอบกิจการโรงงานดังกลาวจะตอง ไดรับใบอนุญาตจากผูอนุญาตและไมมีบทกําหนดโทษไวเชน พ.ร.บ.โรงงานฉบับเดิม ถือไดวาตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังการกระทําเชนนั้นไมเปน ความผิดตอไป จําเลยจึงพนจากการเปนผูกระทําความผิดตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง จําเลยจึงไมมีความผิดฐานตั้งโรงงาน และฐานประกอบกิจการโรงงานโดยไมไดรับ ใบอนุญาตตามท่ีโจทกฟอง และศาลฎีกามีอํานาจพิพากษายกฟองโจทกในขอหาน้ีไดตาม LW 206 49

คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 894/2539 ความผิดตาม พ.ร.บ.วาดว ยความผิดอนั เกิดจากการ ใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 น้ัน ขอเท็จจริงตองไดความวาขณะที่ผูออกเช็คน้ันเพื่อเปน การชําระหน้ีที่มีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมาย เม่ือชั้นไตสวนมูลฟองและช้ันพิจารณา โจทกไมนําสืบวาจําเลยออกเช็คพิพาทเพ่ือชําระหน้ีท่ีมีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมาย ใหแก ศ. ผูสลักหลังเช็คดังกลาว จึงไมเปนเปนความผิดตาม พ.ร.บ.วาดวยความผิดอัน เกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเปนกฎหมายท่ีใชบังคับภายหลัง พ.ร.บ.วา ดวยความผดิ อนั เกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 จําเลยจึงพนจากการเปนผูกระทําความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง คําพิพากษาฎีกาท่ี 29/2539 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 92 (พ.ศ. 2538) กําหนดการมีไวในครอบครองหรือใชประโยชนซึ่งเมทแอมเฟตามีนตองไมเกิน 0.500 กรัม เมื่อไมปรากฏวาเมทแอมเฟตามีนของกลางนํ้าหนัก 1.26 กรัม คํานวณเปน สารบริสุทธิ์ไดปริมาณเกินกวาท่ีกําหนดหรือไม จําเลยท้ังสองจึงไมมีความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ตอจิตและประสาทฯ มาตรา 106 ทวิ เพราะประกาศดังกลาวเปนคุณแก จําเลย และศาลฎีกามีอํานาจพิพากษาถึงจําเลยที่ 2 ซ่ึงมิไดฎีกาดวย เพราะเปนเหตุใน ลกั ษณะคดี คําพิพากษาฎีกาท่ี 896/2539 การนําบทบัญญัติของกฎหมายตาม ป.อ.มาตรา 3 มาใชบังคับเพื่อเปนคุณน้ันตองเปนกรณีนํามาใชบังคับแกความรับผิดทางอาญาของ ผูกระทําความผิด จะนํามาใชบังคับแกความรับผิดตามสัญญาประกันซึ่งเปนความรับผิด ทางแพงหาไดไม โดยสัญญาดังกลาวจะมีผลบังคับกันไดโดยสมบูรณเพียงใดหรือไม ยอม ตองพิจารณาจากกฎหมายท่ีใชบังคับอยูในขณะทําสัญญานั้น และการฟองบังคับให ผูประกันชําระเงินตามสัญญาดังกลาวมิใชการฟองเรียกเงินตามเช็ค เม่ือไมมีกฎหมาย บญั ญัตอิ ายคุ วามไวโ ดยเฉพาะจงึ มีกาํ หนดอายคุ วาม 10 ป จําเลยท่ี 1 ทําสัญญาประกันตัวผูตองหาซ่ึงถูกจับกุมในขอหาออกเช็คโดยมีเจตนา ที่จะไมใหมีการใชเงินตามเช็คเปนเงิน 60,000 บาท ไปจากความควบคุมของโจทกใน ขณะท่ี พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 ใชบังคับโดยสัญญาวาจะ นาํ ตัวผูตองหาสง ใหโ จทกต ามกาํ หนดนัด ถาผิดสัญญายินยอมใชเงิน 60,000 บาท สัญญา 50 LW 206

คําพิพากษาฎีกาท่ี 3992/2539 ศาลลางลงโทษปรับจําเลยท้ังสองตามอัตราโทษ ของกฎหมายท่ีใชบังคับภายหลังการกระทําผิดซึ่งมีโทษปรับสูงกวากฎหมายเดิม จึงไม เปน คณุ แกจ าํ เลยทง้ั สอง และไมอาจนํากฎหมายดังกลาวมาปรับบทลงโทษจาํ เลยทัง้ สองได คําพิพากษาฎีกาท่ี 1047/2537 กฎหมายที่บังคับขณะที่กระทําผิดและกฎหมายที่ แกไขใหมมีท้ังสวนที่เปนคุณและไมเปนคุณคละกัน ศาลใชกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ในสวนที่ เปนคณุ แกจ ําเลย แมคคู วามไมฎกี าก็มีอาํ นาจปรบั กฎหมายและวางโทษใหมใ หถกู ตองได คําพิพากษาฎีกาท่ี 2830/2537 ป.อ.มาตรา 3 ใหใชกฎหมายในสวนท่ีเปนคุณ ไมวาในทางใด ดังนั้นจึงตองนําบทบัญญัติ มาตรา 70 แหง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่แกไขอันเปนคุณแกจําเลยท้ังสองย่ิงกวามาตรา 70 มาใชบังคับแกจําเลยทั้งสอง และยังคงตองใชมาตรา 65 วรรคหนึ่งเดิม ซ่ึงเปนกฎหมายท่ีใชในขณะกระทําความผิดอัน เปน คณุ แกจ าํ เลยท้ังสองยิ่งกวามาตรา 65 ท่ีแกไขมาใชบังคับดวย ฉะน้ัน เม่ือนํากฎหมาย ในสวนท่ีเปนคุณแกจําเลยคือ มาตรา 65 วรรคหนึ่งเดิม ซ่ึงไมมีระวางโทษจําคุกคงมีแต โทษปรับและมาตรา 70 ท่ีแกไขซ่ึงไมไดกําหนดโทษจําคุกไวมาใชบังคับแกจําเลยท้ังสอง จึงไมมีโทษจําคุกที่จะลงแกจําเลยทั้งสอง คงลงโทษจําเลยท้ังสองไดเพียงปรับซึ่งเปนโทษ ทเ่ี บากวาโทษจําคกุ คําพิพากษาฎีกาท่ี 1281-1282/2538 ความผิดฐานทําการเดินเรือในขณะที่ ประกาศนียบัตรส้ินอายุแลวตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในนานน้ําไทยฯ ที่ใชในขณะที่จําเลย ที่ 1 กระทําความผิดกําหนดโทษจําคุกไมเกินสามเดือนหรือปรับไมเกินสองพันบาท หรือ ทั้งจําท้ังปรับ แตภายหลังการกระทําความผิดไดมีการแกไขโดยกําหนดโทษเปนปรับไม เกินสองพันบาท จึงตองใชกฎหมายตามที่แกไขเพิ่มเติมซ่ึงเปนคุณแกจําเลยที่ 1 ตาม ป.อ.มาตรา 3 คําพิพากษาฎีกาท่ี 2469/2538 ขณะท่ีคดีอยูระหวางการพิจารณาของศาลฎีกาได มี พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2535 ออกใชบังคับโดยยกเลิกความในมาตรา 65 วรรคแรก และมาตรา 70 เดิม และใหใชขอความใหมแทนโดยกฎหมายที่ใชในขณะ LW 206 51

คําพิพากษาฎีกาท่ี 2551/2538 ความผิดตาม พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจาก การใชเช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ซึ่งอยูระหวางพิจารณาของศาลกอนวันที่ พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ใชบังคับไมถูกยกเลิกตามมาตรา 10 แหง พ.ร.บ.ฉบบั ใหม เปน เร่อื งกฎหมายท่ีใชในขณะกระทําผิดแตกตางกับกฎหมายที่ใชใน ภายหลังซง่ึ มอี ตั ราโทษเบากวา และเปน คุณแกจาํ เลย จงึ ตองบังคบั ตาม ป.อ.มาตรา 3 โดย โจทกไมจําตองยื่นคํารองขอแกหรือเพ่ิมเติมฟองขอใหลงโทษจําเลยตาม พ.ร.บ.วาดวย ความผดิ อนั เกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แตอ ยางใด คําพิพากษาฎีกาที่ 5333/2538 พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ตอจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ใหยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใชความใหมแทน และใหเพ่ิมความ เปนมาตรา 13 ทวิ การกระทําความผิดของจําเลยจึงเปนความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และ มีโทษตามมาตรา 89 ซ่ึงมาตรา 89 ท่ีแกไขมีโทษเบากวาโทษตามมาตรา 89 เดิมจึงตอง ลงโทษจําเลยตามมาตรา 89 ท่ีแกใหมเพราะเปนกฎหมายในสวนท่ีเปนคุณแกจําเลย ตาม ป.อ.มาตรา 3 52 LW 206

หมวด 2 โทษ ในทางอาญาเมอ่ื มกี ารกระทาํ ผิดเกดิ ขนึ้ ปฏิกิริยาท่ีสังคมมีตอการกระทําความผิด ท้ังในดานการปราบปรามและในดานการปองกัน สําหรับปฏิกิริยาในดานปราบปรามก็คือ การลงโทษผูกระทาํ ความผดิ สวนในดา นการปองกันก็ไดแกการบังคับใชวิธีการเพื่อความ ปลอดภยั โทษ โทษเปนวิธีการบังคบั (Sanction) ท่ีรัฐใชปฏิบตั ติ อผูกระทาํ ความผดิ อาญา การศึกษาเร่ืองโทษจําเปนตองรูถึงชนิดของโทษอาญาและหลักเกณฑของโทษ นั้น ๆ วิธีการเพ่ิมโทษและลดโทษ การยกโทษจําคุก การรอการลงโทษและรอการ กําหนดโทษ โทษจําคุก การระงับของโทษอาญา รวม 4 เร่ืองดวยกัน ซ่ึงมีตัวบทท่ี จะตองศึกษาตามมาตรา 18 ถึงมาตรา 38 มาตรา 51 ถึงมาตรา 58 มาตรา 79 และ มาตรา 95 ถึงมาตรา 101 สวนวิธีการเพ่ือความปลอดภัยไมใชโทษอาญา เปนแต วิธีการหรือมาตรการของกฎหมายที่ศาลใชแกผูกระทําความผิดหรือมิไดกระทําความผิดก็ ได เพ่ือใหสังคมปลอดจากการกระทําของบุคคลนั้น รวมถึงผูกระทําความผิดซึ่งแมจะไม ตองรับโทษตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ซ่ึงศาลจะยกฟองของโจทกที่ขอใหลงโทษและปลอย ตวั จาํ เลยไป ถา ศาลเห็นวา การปลอยตวั บคุ คลนั้นไปจะไมป ลอดภัยแกประชาชน ศาลอาจ ใชวิธีการเพื่อความปลอดภัยแกผูน้ันตามท่ีกฎหมายบัญญัติไว อันเปนการปองกันมิใช การปราบปรามเหมือนโทษ เปรยี บเทียบโทษกบั วธิ กี ารเพ่อื ความปลอดภัย 1. โทษจะใชลงไดเฉพาะผูกระทําความผิดเทาน้ัน (ป.อ. มาตรา 2) สวนวิธีการ เพอื่ ความปลอดภัยจะใชแ กผ ูทศ่ี าลไมล งโทษก็ได (ป.อ. มาตรา 46) หรอื แกผูที่ศาลลงโทษ ก็ได (ป.อ. มาตรา 46, มาตรา 48 และมาตรา 49) 2. กฎหมายที่ใชลงโทษตองใชกฎหมายในขณะกระทําความผิด (ป.อ. มาตรา 2) สว นวธิ ีการเพอ่ื ความปลอดภยั ตอ งใชก ฎหมายในขณะท่ีศาลพพิ ากษา (ป.อ. มาตรา 12) LW 206 351

3. เมื่อศาลพิพากษาลงโทษแกผูกระทําความผิดแลว ศาลนั้นเองจะแกไขคํา พิพากษาเปนอยางอื่นไมได เปนการแกไขคําพิพากษาของตนเองซึ่งตองหาม (ป.วิ.อ. มาตรา 190) เวน แตโทษกักขงั อยางเดียวเทาน้ันท่ีศาลซ่ึงพิพากษาคดีน้ันเองอาจแกไขให เปลี่ยนโทษกักขังเปนโทษจําคุกไดในระหวางที่รับโทษกักขังนั้นอยู ไมวาคําพิพากษาที่ ลงโทษกักขังน้ันจะถึงท่ีสุดแลวหรือไมก็ตาม (ป.อ. มาตรา 27) สวนวิธีการเพื่อความ ปลอดภัยศาลน้ันเองอาจแกไขเปล่ียนแปลงคําพิพากษาหรือคําสั่งท่ีใชวิธีการนั้นไดเสมอ (ป.อ. มาตรา 16) 4. โทษจะใชลงแกเด็กท่ีมีอายุกวาสิบหาปแตตํ่ากวาสิบแปดปก็ได (ป.อ. มาตรา 75) สวนวิธีการเพ่ือความปลอดภัย 2 ชนิดคือ กักกัน และเรียกประกันทัณฑบนจะใชแก เด็กทมี่ ีอายุตาํ่ กวา 18 ปไ มได (ป.อ. มาตรา 41, 46) 5. การลงโทษตองมีคําขอของโจทกใหลงโทษ มิฉะนั้นศาลลงโทษไมได (ป.วิ.อ. มาตรา 158 และมาตรา 192) สวนวิธีการเพื่อความปลอดภัย โจทกไมตองมีคําขอ ศาลก็ มีอํานาจสั่งหรือใชวิธีการแกจําเลยผูนั้นได (ป.อ. มาตรา 45 ถึงมาตรา 50) เวนแตการ กักกันอยางเดียวเทานั้นที่พนักงานอัยการโจทกตองมีคําขอใหกักกัน ศาลจึงกักกันได (ป.อ. มาตรา 43) 6. ผูมีอํานาจฟองคดีอาญาขอใหลงโทษผูกระทําความผิด ไดแก พนักงานอัยการ และราษฎรผูเสียหายจากการกระทําความผิดน้ัน (ป.อ. มาตรา 28) สวนวิธีการเพ่ือความ ปลอดภัยในขอกักกัน พนักงานอัยการเทาน้ันมีอํานาจฟอง ผูเสียหายจะฟองใหกักกัน ไมได (ป.อ. มาตรา 43) การศึกษาวา ดว ยโทษในหมวดที่ 2 น้ี จะแยกออกเปน 4 เรื่องดว ยกนั คอื บทที่ 1 ชนิดของโทษ และหลักเกณฑของโทษอาญา บทที่ 2 วธิ ีเพม่ิ โทษและลดโทษ บทที่ 3 การยกโทษจําคุก การรอการลงโทษและรอการกาํ หนดโทษจาํ คุก บทท่ี 4 การระงบั ของโทษและความผดิ 352 LW 206

บทที่ 1 ชนิดของโทษและหลกั เกณฑของโทษอาญา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 บัญญัติวา “โทษสําหรับลงแกผูกระทํา ความผดิ มี ดงั น้ี (1) ประหารชีวติ (2) จําคุก (3) กกั ขงั (4) ปรบั (5) รบิ ทรพั ยส นิ โทษประหารชีวิตและโทษจําคุกตลอดชีวิตมิใหนํามาใชบังคับแกผูซึ่งกระทํา ความผดิ ในขณะที่มอี ายุตํ่ากวาสิบแปดป ในกรณีผูซ่ึงกระทําความผิดในขณะท่ีอายุต่ํากวาสิบแปดปไดกระทําความผิดท่ีมี ระวางโทษประหารชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิตใหถือวาระวางโทษดังกลาวไดเปล่ียนเปน ระวางโทษจําคกุ หาสิบป” จากบทบัญญัติ มาตรา 18 วรรคหนึ่ง โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มีอยู 5 ชนิดดว ยกัน คอื 1. โทษประหารชวี ติ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 19 บัญญัติวา “ผูใดตองโทษประหารชีวิตให ดําเนนิ การดว ยวธิ ฉี ดี ยาหรอื สารพิษใหตาย หลักเกณฑและวิธีการประหารชีวิตใหเปนไปตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรม กําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา” เมื่อมีคําพิพากษาถึงที่สุดใหประหารชีวิตแลว ศาลจะตองออกหมายสงตัวจําเลยผูตองโทษประหารชีวิตใหกรมราชทัณฑ จึงเปนเรื่อง ของเจา หนา ทร่ี าชทัณฑที่จะดําเนินการประหารชีวิต โดยจะตองปฏิบัติตามบทบัญญัติแหง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 247, 248, 261 และมาตรา 262 กลา วคอื จะดาํ เนินการประหารชีวิตทันทีไมได จะตองรอไวใหพนกําหนด 60 วันนับแตวัน ฟงคําพิพากษาเสียกอน ท้ังน้ีแมจะม่ีคําพิพากษาถึงที่สุดใหลงโทษประหารชีวิตแลว LW 206 353

โทษประหารชีวิตนี้จะไมนําไปใชบังคับแกผูกระทําความผิดท่ีมีอายุตํ่ากวาสิบ แปดป และในกรณีท่ีผูกระทําผิดมีอายุตํ่ากวาสิบแปดปไดกระทําความผิดท่ีมีระวางโทษ ประหารชีวิตใหเปลี่ยนเปนระวางโทษจําคุกหาสิบป (มาตรา 18 วรรคสอง และวรรคสาม เพ่ิมเติมโดยมาตรา 3 แหง พระราชบัญญตั ิแกไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี 16) พ.ศ. 2546) ในการเพิ่มโทษมิใหเพิ่มขึ้นถึงประหารชีวิต (ป.อ. มาตรา 51) และในการลด โทษประหารชีวิตไมวาจะเปนการลดมาตราสวนโทษหรือลดโทษท่ีจะลงใหลดดังตอไปนี้ (1) ถา จะลดหนงึ่ ในสามใหลดเปนโทษจาํ คุกตลอดชีวิต (2) ถาจะลดกึ่งหน่ึงใหลดเปนโทษ จาํ คุกตลอดชวี ิตหรอื โทษจาํ คุกต้ังแตยีส่ ิบหาปถงึ หา สบิ ป (ป.อ. มาตรา 52) 2. โทษจาํ คุก โทษจําคกุ อาจแบง ออกได 2 ประเภท คอื ก. โทษจําคุกตลอดชีวติ ข. โทษจําคกุ โดยมกี าํ หนดเวลา การลงโทษจาํ คุก ในกฎหมายทีบ่ ญั ญัตคิ วามผิดอันมโี ทษจําคุกน้ัน จะกําหนดโทษจําคุกไวสถาน เดียว เชน จําคุกตลอดชีวิต หรือกําหนดไว 2 สถาน คือ จําคุกและปรับ หรือ 3 สถานคือ จําคุกหรือปรับ หรือท้ังจําท้ังปรับ แลวแตกรณีแหงการกระทําผิดและความเหมาะสมของ โทษนั้น ๆ แตความผิดบางชนิดท่ีคอนขางรายแรงจะกําหนดระวางโทษขั้นตํ่าและขั้นสูง ไวท้ังโทษจําคุกและโทษปรับ ฉะนั้นการที่ศาลจะลงโทษจําเลยจึงตองเปนไปตามท่ี 354 LW 206

ในกรณีที่กฎหมายกําหนดใหลงโทษจําคุกและโทษปรับดวยเปน 2 สถาน เชน ความผิดฐานกรรโชกทรัพย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 กําหนดใหลงโทษ จําคุกและปรับ ถาศาลเห็นสมควรจะลงแตโทษจําคุกอยางเดียวโดยไมลงโทษปรับดวยก็ ได (ป.อ. มาตรา 20) แตถาโทษจําคุกท่ีผูกระทําความผิดจะตองรับมีกําหนดเวลาเพียง สามเดือนหรือนอยกวา ศาลจะกําหนดโทษจําคุกใหนอยลงอีกก็ได หรือถาโทษจําคุกที่ ผูกระทําความผิดจะตองรับมีกําหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือนอยกวาและมีโทษ ปรับดวย ศาลจะกําหนดโทษจําคุกใหนอยหรือจะยกโทษจําคุกเสีย คงใหปรับแต อยางเดยี วก็ได (ป.อ. มาตรา 55) สวนในกรณีที่กฎหมายกําหนดโทษไว 3 สถาน คือ ใหจําคุกหรือปรับหรือท้ัง จําทั้งปรับ ศาลมีอํานาจใชดุลพินิจใหลงโทษจําคุกหรือโทษปรับอยางเดียว หรือลงโทษทั้ง จําคุกและปรับดว ยกไ็ ดตามทศี่ าลเห็นสมควร การคาํ นวณระยะเวลาจําคุก 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 ใหนับวันเริ่มจําคุกรวมคํานวณเขาดวย เปนหนึ่งวันเต็มโดยไมตองคํานึงถึงจํานวนช่ัวโมงของวันเริ่มจําคุกน้ัน เชน ศาลอานคํา พิพากษาใหลงโทษจําคุกจําเลยเวลา 15.00 น. และศาลออกหมายจําคุกสงตัวจําเลยไป ถงึ เรือนจาํ เวลา 18.00 น. ก็ตอ งนบั วนั นน้ั เปน วันเริ่มจําคกุ หนง่ึ วนั เต็ม 2. ถาระยะเวลาจําคุกกําหนดเปนเดือน เชน ศาลพิพากษาใหจําคุกจําเลย 3 เดือน ใหน บั สามสิบวนั เปนหนึ่งเดอื น 3. ถา ระยะเวลาจาํ คกุ เปนป ใหค ํานวณตามปปฏิทินราชการ 4. เม่ือผูตองโทษจําคุกถูกจําคุกครบกําหนดแลว ใหปลอยตัวไปในวันถัดจาก วันครบกําหนดโทษ เชน ครบกําหนดโทษจําคุกวันท่ี 9 กันยายน 2548 ตองปลอยตัวไป ในวนั ท่ี 10 กนั ยายน 2548 การนับวันจาํ คกุ และการหกั วันถกู คมุ ขงั 1. ใหเริ่มนับวันจําคุกตั้งแตวันที่ศาลมีคําพิพากษา (ป.อ. มาตรา 22 ซึ่ง หมายถึงวันทีศ่ าลอา นคาํ พพิ ากษาใหจ าํ เลยฟง (ป.วิ.อ. มาตรา 182) LW 206 355

2. ในกรณีที่ศาลพิพากษาจําคุกจําเลย ถาจําเลยถูกคุมขังมากอนศาล พิพากษาคดีน้ัน ศาลตองหักวันถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจําคุกตามคําพิพากษาใหแก จาํ เลยดวย เวน แตค ําพิพากษาน้ันจะกลา วไวเปนอยางอื่น (ป.อ. มาตรา 22) กลาวคือศาล จะไมหักวันคุมขังให โดยจะใหนับวันจําคุกต้ังแตวันท่ีศาลพิพากษาก็ได หรือจะนับโทษ จาํ คกุ คดีนี้ตอ จากโทษจาํ คุกในคดอี ่นื กไ็ ด ซง่ึ ศาลจะตอ งระบุไวในคาํ พพิ ากษานนั้ เชน 1) ก. กระทําความผิดฐานลักทรพั ย ศาลพิพากษาใหล งโทษจําคุก 6 เดือน ก. ถูกคุมขังมากอนศาลพิพากษา 2 เดือน ดังนี้ถาศาลระบุในคําพิพากษาใหนับวันจําคุก ต้ังแตวันมีคําพิพากษาศาลจะไมใหหักวันคุมขัง 2 เดือนออกจากโทษจําคุกท่ีศาลจะลง 6 เดือนน้ัน แตถาศาลไมระบุในคําพิพากษาวาใหนับวันจําคุกต้ังแตวันมีคําพิพากษา ศาลก็ ตองหักวันถูกคุมขังใหจําเลยตามที่มาตรา 22 บัญญัติไว อยางไรก็ตามถาศาลระบุในคํา พพิ ากษาใหนบั วันจําคุกตั้งแตว ันมคี าํ พพิ ากษา โทษจําคกุ ตามคาํ พพิ ากษาเมื่อรวมจํานวน วันที่ถูก คุมขังกอนศาลพิพากษาในคดีเรื่องนั้นเขาดวยแลวตองไมเกินอัตราโทษขั้นสูง ของกฎหมายที่กําหนดไวสําหรับความผิดท่ีไดกระทําลงน้ัน เชน ก. ทํารายรางกาย ข. ซ่ึง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 กําหนดโทษข้ันสูงไวไมเกิน 2 ป ถาศาลพิพากษา ใหลงโทษจําคุก ก. 1 ป 6 เดือน และระบุในคําพิพากษาใหนับวันจําคุกต้ังแตวันมีคํา พิพากษา ก. 1 ป 6 เดือน และระบุในคําพิพากษาใหนับวันจําคุกต้ังแตวันมีคําพิพากษา หากปรากฏวา ก. ไดถูกคุมขังกอนศาลพิพากษาแลว 8 เดือน เม่ือศาลไมใหหักวันท่ีถูก คุมขังออกจากระยะเวลาจําคกุ ตามคําพิพากษา เมื่อรวมวันที่ถูกขังกับระยะเวลาจําคุกตาม คําพิพากษาเขาดวยกันจะเปนเวลา 2 ป 2 เดือน ซึ่งเกินอัตราโทษขั้นสูงตามมาตรา 295 อยู 2 เดือน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคสอง ไดบัญญัติหามไว เชนน้ีศาล จะตองหักระยะเวลาจําคุกให 2 เดือน เหลือระยะเวลาที่ ก. จําคุก 1 ป 4 เดือนเทาน้ัน ท้งั นีไ้ มเปนการกระทบกระเทือนบทบัญญัติในมาตรา 91 เชน ก. ทํารายรางกาย ข. เปน ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 (โทษข้ันสูง 2 ป) ตอมา ก. ลักทรัพย ค. เปนความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 334 (โทษขั้นสูง 3 ป ก. กระทําความผิดหลายกรรมตางกัน (ป.อ. มาตรา 91) ถา ก. ถกู ฟอ งเปน คดเี ดียวกันและศาลพิพากษาในคําพิพากษาอันเดียวกันให ลงโทษ ก. ทง้ั 2 กระทงโดยลงโทษกระทงแรก 1 ป 6 เดือน กระทงหลัง 2 ป ถาปรากฏวา ก. ถูกคุมขังกอนศาลพิพากษา 1 ป ศาลใชดุลพินิจสั่งไมใหหักวันท่ีถูกคุมขังออกจาก ระยะเวลาจําคุกตามคําพิพากษา เม่ือรวมวันท่ีถูกคุมขังเขาดวยกันกับระยะเวลาจําคุก 356 LW 206

2) ก. กระทําความผิดฐานทํารายรางกาย ถูกศาลพิพากษาใหลงโทษจําคุก 1 ป เชนนี้ ศาลมีอํานาจใชดุลพินิจสั่งไวในคําพิพากษาใหนับโทษคดีหลังตอจากคดีกอน ได คือ เม่อื ก. รับโทษจาํ คุกคดแี รกครบแลว จึงเรมิ่ ระยะเวลาจาํ คุกในคดหี ลัง 3. การหักวันถูกคุมขังออกจากโทษจําคุกน้ี จะตองเปนวันถูกคุมขังอยูใน “คดี เรอ่ื งนั้น” กลา วคือเปน วันทจี่ ําเลยถูกคุมขงั อยใู นคดเี ร่อื งเดียวกับท่ีโจทกฟองขอใหลงโทษ นนั่ เอง การเพม่ิ โทษและลดโทษจําคุก การเพิ่มโทษและลดโทษจําคุก มีบัญญัติไวในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51, 53, 54 และมาตรา 55 ซ่ึงจะไดกลาวโดยละเอียดในบทที่ 2 เรื่องวิธีการเพิ่มโทษ และลดโทษ 3. กกั ขัง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 บัญญัติวา “ผูใดกระทําความผิดซึ่งมีโทษ จําคุก และในคดีน้ันศาลจะลงโทษจําคุกไมเกินสามเดือน ถาไมปรากฏวาผูนั้นไดรับโทษ จําคุกมากอนหรือปรากฏวาไดรับโทษจําคุกมากอนแตเปนโทษสําหรับความผิดที่ได กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ศาลจะพิพากษาใหลงโทษกักขังไมเกินสาม เดือนแทนโทษจาํ คกุ น้ันกไ็ ด” ตามมาตรา 23 น้ี หลักเกณฑในการลงโทษกักขังแทนโทษ จําคุกมดี ังนี้ 1. ตองเปนการกระทําความผิดที่มีโทษจําคุกซ่ึงมีระยะเวลาใหจําคุก โดยจะมีโทษปรับหรือโทษริบทรัพยสินรวมอยูดวยหรือไมก็ตาม ดังนั้นถาเปนความผิดที่ มีโทษประหารชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิต หรือมีแตปรับอยางเดียว และโทษริบทรัพยสิน โดยไมมีโทษจําคกุ ท่มี กี ําหนดเวลา ศาลจะใชโ ทษกักขังแทนไมได 2. ความผิดท่ีมีโทษจําคุกดังกลาว ศาลจะลงโทษจําคุกไดไมเกิน 3 เดือน คําวา “ศาลจะลงโทษจําคุกไมเกินสามเดือน” ตามมาตรานี้หมายความถึงโทษสุทธิท่ีศาล ลงโทษจริง ๆ ดังน้ันถาศาลลงโทษจําเลยมากกวา 3 เดือน แตมีเหตุท่ีศาลลดมาตราสวน LW 206 357

3. ตอ งไมปรากฏวาจาํ เลยไดรับโทษจําคุกมากอน เวนแตเปนโทษจําคุก สําหรับความผิดที่กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ คําวา “ถาไมปรากฏวาผู นั้นไดรับโทษจําคุกมากอน” หมายความวาจําเลยในคดีที่กําลังพิจารณาอยูนี้ไมไดรับโทษ จําคุกมากอนเวลาที่ศาลพิพากษาคดีนี้ แตถาปรากฏวาจําเลยไดรับโทษจําคุกหรือกําลัง รับโทษจําคุกอยูในคดีอื่น ไมวาคดีอื่นน้ันศาลจะพิพากษาถึงที่สุดแลวหรือไมก็ดี ก็ เรยี กวาจําเลยไดรับโทษจําคุกมากอน คือถือเอาขอเท็จจริงในการรับโทษจําคุกคดีอ่ืนของ จําเลยเปนสําคัญในขณะจะพิพากษาคดีนี้วาจําเลยไดรับโทษจําคุกในคดีอื่นหรือไม ถา ไดรับหรือกําลังรับโทษจําคุกอยูแลวและมิใชโทษในความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ แม คดีนั้นจะยังไมถ ึงทส่ี ุด ศาลจะลงโทษกักขงั ในคดีนไ้ี ด 4. โทษกักขังตองมีกําหนดเวลาเทากับโทษจําคุกท่ีศาลจะลงโทษ ไมเกิน 3 เดือนน้ันดวย เชน ศาลพิพากษาใหจําคุก 2 เดือนอันเปนโทษสุทธิ ก็ตองลงโทษกักขัง 2 เดือนแทนโทษจาํ คกุ น้นั การบังคับโทษกักขงั แทนโทษจําคกุ เมื่อศาลพิพากษาใหลงโทษกักขังแทนโทษจําคุกตามมาตรา 23 แลวจะกักขัง ไวท่ีไหนไดบาง มีบัญญัติอยูในมาตรา 24 ดังนี้ “ผูใดตองโทษกักขัง ใหกักตัวไวใน สถานท่ีกักขังซึ่งกําหนดไว อันมิใชเรือนจํา สถานีตํารวจ หรือสถานท่ีควบคุมผูตองหา ของพนักงานสอบสวน ถาศาลเห็นเปนการสมควร จะสั่งในคําพิพากษาใหกักขังผูกระทําความผิดไว ในท่ีอาศัยของผูน้ันเอง หรือของผูอื่นที่ยินยอมรับผูน้ันไว หรือสถานที่อื่นท่ีอาจกักขังได เพอ่ื ใหเ หมาะสมกบั ประเภท หรอื สภาพของผถู ูกกกั ขงั ก็ได ถาความปรากฏแกศาลวา การกักขังผูตองโทษกักขังไวในสถานที่กักขังตาม วรรคหน่ึงหรือวรรคสอง อาจกอใหเกิดอันตรายตอผูนั้น หรือทําใหผูซ่ึงตองพ่ึงพาผู ตองโทษกักขังในการดํารงชีพไดรับความเดือดรอนเกินสมควร หรือมีพฤติการณพิเศษ ประการอ่ืนที่แสดงใหเห็นวาไมสมควรกักขังผูตองโทษกักขังในสถานที่ดังกลาว ศาลจะมี คาํ ส่งั ใหกกั ขังผูตองโทษกักขังในสถานที่อื่นซึ่งมิใชท่ีอยูอาศัยของผูนั้นเอง โดยไดรับความ ยินยอมจากเจาของหรือผูครอบครองสถานท่ีก็ได กรณีเชนวาน้ีใหศาลมีอํานาจกําหนด 358 LW 206

ตามบทบญั ญัติ มาตรา 24 สถานที่กักขังแทนโทษจาํ คุก มี 2 ประเภท คอื 1. สถานท่กี ักขังซึ่งกําหนดไวอันมใิ ชเรอื นจํา สถานีตํารวจ หรือสถานท่ีควบคุม ผตู องหาของพนักงานสอบสวน 2. ท่ีอาศัยของผูตองโทษกักขังนั้นเอง หรือที่อาศัยของผูอ่ืนท่ียินยอมรับตัวไว หรอื สถานที่อืน่ ทีอ่ าจกักขงั ได ขอ สังเกต 1. สถานท่ีกักขังตามขอ 2 ศาลตองระบุไวในคําพิพากษา แตสถานที่กักขัง ตามขอ 1 ศาลไมตอ งสงั่ ในคาํ พพิ ากษา เพียงแตพิพากษาใหลงโทษกักขังแลว ศาลก็ออก หมายกกั ขังสง ตวั จําเลยไปยงั สถานท่นี น้ั เลย 2. ถาการกักขังตามขอ 1 หรือขอ 2 อาจกอใหเกิดอันตรายตอผูตองโทษ กักขัง หรือบุคคลผูซึ่งตองพ่ึงพาผูตองโทษกักขังในการดํารงชีพไดรับความเดือดรอนเกิน สมควร หรือมีพฤติการณพิเศษประการอื่นท่ีแสดงใหเห็นวาไมสมควรกักขังผูตองโทษ กักขังในสถานที่ดังกลาว ศาลจะมีคําสั่งใหกักขังผูตองโทษกักขังในสถานที่อื่น โดยศาลมี อาํ นาจกําหนดเง่อื นไขใหผตู องโทษกกั ขังปฏิบัติ สิทธิและหนา ท่ขี องผูต อ งโทษกักขัง 1. ผูตองโทษกักขังในสถานที่ซ่ึงกําหนดไวอันมิใชเรือนจํา สถานีตํารวจหรือ สถานที่ควบคุมผูตองหาของพนักงานสอบสวน (ป.อ. มาตรา 24 วรรคหน่ึง) ผูตองโทษ กกั ขงั มีสทิ ธแิ ละหนา ทีด่ ังตอ ไปน้ี ก. สทิ ธไิ ดร ับการเล้ียงดจู ากสถานทน่ี นั้ แตภ ายใตบังคบั ของสถานทน่ี นั้ ข. สิทธิทจี่ ะรับอาหารจากภายนอกโดยคาใชจ า ยของตนเอง ค. สทิ ธทิ จ่ี ะใชเส้อื ผาของตนเอง ง. สิทธทิ จ่ี ะไดรับการเย่ยี มอยางนอยวันละหน่ึงช่วั โมง จ. สิทธทิ ่จี ะรับและสง จดหมายได ฉ. มีหนาที่ตองทํางานตามระเบียบ ขอบังคับ และวินัย ถาผูตองโทษกักขัง ประสงคจะทํางานอยางอ่ืน ก็ใหอนุญาตใหเลือกทําไดตามประเภทงานท่ีตนสมัคร แตตอง ไมข ัดตอ ระเบียบ ขอบงั คบั วนิ ยั หรอื ความปลอดภยั ของสถานทีน่ นั้ (ป.อ. มาตรา 25) LW 206 359

2. ผูตองโทษกักขังในสถานที่อาศัยของผูน้ันเอง ของผูที่ยอมรับผูตองโทษ กกั ขงั หรือสถานที่อนื่ ท่อี าจกักขังได มสี ิทธิดังนี้ สิทธิที่จะดําเนินการในวิชาชีพหรืออาชีพของตนในสถานที่ดังกลาว และใน การนี้ศาลจะกําหนดเง่ือนไขใหผูตองโทษกักขังปฏิบัติอยางหนจ่ึงอยางใดหรือไมก็ได แลวแตศาลจะเหน็ สมควร (ป.อ. มาตรา 26) การเปลี่ยนโทษกกั ขังเปนโทษจาํ คุก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27 บัญญัติวา “ถาในระหวางท่ีผูตองโทษ กักขัง ตามมาตรา 23 ไดร ับโทษกักขงั อยู ความปรากฏแกศาลเองหรอื ปรากฏแกศาลตาม คําแถลงของพนักงานอัยการ หรอื ผคู วบคมุ ดูแลสถานที่กกั ขังวา (1) ผูต องโทษฝา ฝนระเบยี บ ขอบงั คบั หรือวนิ ัยของสถานทก่ี ักขัง (2) ผูต อ งโทษกักขงั ไมปฏบิ ตั ติ ามเงื่อนไขท่ีศาลกาํ หนด หรือ (3) ผตู องโทษกกั ขงั ตอ งคําพพิ ากษาใหลงโทษจําคุก ศ า ล อ า จ เ ป ลี่ ย น โ ท ษ กั ก ขั ง เ ป น โ ท ษ จํ า คุ ก มี กํ า ห น ด เ ว ล า ต า ม ท่ี ศ า ล เห็นสมควร แตตองไมเกินกําหนดเวลาของโทษกักขังท่ีผูตองโทษกักขังจะตองไดรับ ตอไป” การเปล่ียนโทษกักขังเปนโทษจําคุกตามมาตรา 27 นี้เปนดุลพินิจของศาลที่จะ เปลย่ี นโทษกักขงั เปนโทษจาํ คุกหรือไมก ไ็ ด ถาศาลเปล่ียนเปนโทษจําคุก กฎหมายบังคับ ไววาจะจําคุกเกินกวากําหนดเวลาของโทษกกขังที่จะไดรับตอไปไมได แตอนุญาตใหศาล จาํ คุกเทาใดก็ได ภายในกาํ หนดเวลาของโทษกักขงั ที่จะไดรับตอ ไปนน้ั 4. โทษปรบั โทษปรับเปนโทษในทางทรัพยสินที่ศาลกําหนดโดยคําพิพากษาภายใน ขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว โทษปรับตามกฎหมายไดบัญญัติจํานวนเงินคาปรับไวตาม ลักษณะความผิดน้ัน ๆ เปนอัตราโทษปรับ การลงโทษปรับจึงตองเปนไปตามอัตราโทษ ในกฎหมาย ซึ่งศาลจะใชดุลพินิจวาจะลงโทษปรับเทาใดภายในอัตราโทษปรับน้ัน ๆ เวน แตมีอัตราโทษปรับขั้นตํ่าและขั้นสูงไวก็ตองเปนไปตามนั้น กรณีโทษปรับที่กฎหมาย กําหนดไวพรอ มกับโทษจาํ คกุ ศาลจะจาํ คุกอยา งเดียวโดยไมป รับดว ยก็ไดเม่ือเห็นสมควร (ป.อ. มาตรา 20) เวนแตความผิดน้ันรายแรงหรือมีเหตุอื่นอันควรลงโทษท้ังจําคุกและ 360 LW 206

การบังคบั โทษปรบั 1. ผูตองโทษปรับจะตองชําระคาปรับตามจํานวนท่ีกําหนดไวในคําพิพากษา ตอ ศาล (ป.อ. มาตรา 28) 2. ระยะเวลาชําระคาปรับ เน่ืองจากตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 28 มิไดกําหนดระยะเวลาชําระคาปรับไว ไดแตบัญญัติไวในมาตรา 29 วรรคหนึ่งวา “ผูใด ตองโทษปรับและไมชําระคาปรับภายในสามสิบวันนับแตวันที่ศาลพิพากษา ผูนั้นจะตอง ถูกยึดทรัพยสินใชคาปรับ หรือมิฉะน้ันจะถูกกักขังแทนคาปรับ แตถาศาลเห็นเหตุอันควร สงสัยวาผูนั้นจะหลีกเลี่ยงไมชําระคาปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะส่ังใหกักขังผูน้ัน แทนคาปรับไปพลางกอนก็ได” ตามมาตรา 29 วรรคหน่ึง น้ีหมายความวา เมื่อศาลมี คําพิพากษาใหผูตองโทษชําระคาปรับ ผูนั้นตองชําระคาปรับใหครบถวนในวันน้ัน หากไม ชําระหรือชําระไมครบ ศาลจะสั่งเรียกประกันการชําระคาปรับ ถาผูตองโทษไมมีประกัน ตอศาล ศาลจะสั่งกักขังแทนคาปรับไปพลางกอนในวันที่ศาลพิพากษานั้นเอง กรณี ผูตองโทษปรับขอประกันการชําระคาปรับและศาลอนุญาตแลว จะตองทําสัญญาประกัน กับศาลดวย ถาผิดสัญญาประกันผูนั้นจะตองใชเงินตามท่ีระบุไวในสัญญาประกัน หรือ ตามทศ่ี าลเห็นสมควร ซ่งึ เรยี กวาศาลปรับนายประกนั ซึ่งกรณนี ้ีมิใชค าปรับหรือผตู อ งโทษปรบั ดังนั้นเม่ือพน 30 วันนับแตวันมีคําพิพากษา หากผูตองโทษปรับไมชําระ คาปรับ ศาลจะสั่ง (1) ยึดทรัพยสินใชคาปรับ (2) กักขังแทนคาปรับ เวนแตผูตองโทษ ปรับจะไดขอประกนั การชําระคา ปรบั และศาลอนญุ าตแลว การยึดทรัพยส ินใชคาปรบั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลพิพากษาลงโทษ ปรับจําเลยวันใด ศาลจะสั่งใหยึดทรัพยจําเลยมาใชคาปรับกอนครบ 30 วันนับแตวันมี คําพิพากษาไมได และแมศาลจะสงสัยวาจําเลยหลีกเล่ียงไมชําระคาปรับโดยจําเลยไมขอ ประกันการชําระคาปรับ ศาลก็ไดแตกักขังแทนคาปรับไปพลางกอนเทาน้ัน จะยึดทรัพย ของจําเลยไปพลางกอนเพ่ือใชคาปรับกอนครบกําหนด 30 วันไมได ศาลจะส่ังยึด ทรัพยสินใชคาปรับไดตอเม่ือจําเลยไมชําระคาปรับภายใน 30 วันนับแตวันมีคําพิพากษา ใหปรบั เวน แตจาํ เลยจะมปี ระกันการชําระคา ปรับระหวางน้ัน LW 206 361

กรณีศาลใหกักขังแทนคาปรับไปพลางกอน ถาการกักขังน้ันไดทําไปจนครบ 30 วนั นับแตว นั มีคาํ พพิ ากษาและยงั ไมครบกาํ หนดวันกักขัง เมื่อปรากฏวาผูตองโทษปรับ มีทรัพยสินพอจะยึดมาใชคาปรับที่ยังเหลืออยูจากการกักขังได ศาลจะส่ังยึดทรัพยของ ผูตองโทษปรับมาใชคาปรับท่ียังเหลืออยูจากการกักขังได ศาลจะสั่งยึดทรัพยของ ผูตองโทษปรับมาใชคาปรบั ท่ยี ังเหลืออยูได โดยงดหรอื ไมก กั ขังตอ ไป การกกั ขงั แทนคาปรบั 1. การกักขังแทนคาปรับจะกระทําไดตอเม่ือผูตองโทษปรับไมชําระคาปรับ ภายใน 30 วันนับแตวันที่ศาลพิพากษา เวนแตศาลสงสัยวาผูนั้นจะหลีกเล่ียงไมชําระ คาปรบั ศาลจะส่ังเรียกประกัน ถาผูนั้นไมมีประกันในวันที่ศาลมีคําพิพากษา ศาลจะออก หมายกักขังแทนคาปรับไปพลางกอนในวันท่ีศาลมีคําพิพากษานั้นเอง (ป.อ. มาตรา 29 วรรคหนึ่ง) กรณีผูตองโทษปรับไดชําระคาปรับในวันที่ศาลมีคําพิพากษาแตชําระไมครบ จํานวนคาปรับตาม ป.อ. มาตรา 28 ถาผูน้ันไมมีประกันคาปรับในสวนท่ียังขาดอยู ศาล จะส่ังกกั ขังแทนคาปรับในสวนท่ยี งั ชําระไมครบได 2. การกักขังแทนคาปรับ ใหถืออัตราสองรอยบาทตอหนึ่งวัน และไมวาใน กรณีความผิดกระทงเดยี วหรือหลายกระทง หา มกกั ขงั เกนิ กาํ หนดหนง่ึ ป เวนแตในกรณีท่ี ศาลพิพากษาใหปรับตั้งแตแปดหมื่นบาทข้ึนไป ศาลจะสั่งใหกักขังแทนคาปรับเปน ระยะเวลาเกนิ กวา หน่ึงปแตไ มเ กนิ สองปกไ็ ด (ป.อ. มาตรา 30 วรรคหน่งึ ) การคิดวันกักขังแทนคาปรับ ไมวาจะถูกศาลปรับกระทงเดียวหรือหลาย กระทงใหถืออัตราสองรอยบาทตอหนึ่งวัน เมื่อคํานวณวันกักขังแลวหากวันกักขังเกิน 1 ป ใหกักขังไดเพียง 1 ป เวนแตผูนั้นถูกศาลปรับต้ังแตแปดหมื่นบาทข้ึนไปจึงจะกักขังเกิน 1 ปได แตตอ งไมเกิน 2 ป 3. การคํานวณระยะเวลานั้น ใหนับวันเร่ิมกักขังแทนคาปรับรวมเขาดวยและ ใหน บั เปน หนงึ่ วันเต็มโดยไมตอ งคาํ นงึ ถึงจาํ นวนช่วั โมง (ป.อ. มาตรา 30 วรรคสอง) 4. การคิดวันกักขังแทนคาปรับ ถาผูตองโทษปรับถูกคุมขังกอนศาลพิพากษา ศาลตองหักวันคุมขังน้ันออกจากเงินคาปรับดวย โดยถืออัตราสองรอยบาทตอหน่ึงวัน เหมือนกัน เชน ศาลพิพากษาใหลงโทษปรับ ก. เปนจํานวนเงิน 20,000 บาท แต ก. ได ถูกคุมขัง (ในคดีเร่ืองนั้น) กอนศาลพิพากษา (คดีน้ัน) มาแลว 60 วัน คิดเปนเงินได 12,000 บาท นําไปหักออกจากจํานวนเงินคาปรับเหลือที่ตองชําระคาปรับ 8,000 บาท 362 LW 206

5. เม่อื ผูต องโทษปรับถูกกักขังแทนคาปรับครบกําหนดแลว ใหปลอยตัวในวัน ถดั จากวนั ทค่ี รบกําหนด ถา นาํ เงนิ คาปรับมาชําระครบแลวใหป ลอ ยตัวไปทันที 6. สถานกักขัง ตาม ป.อ. มาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติวา “ความในวรรคสอง ของมาตรา 24 มิใหนํามาใชบังคับแกการกักขังแทนคาปรับ” หมายความวาจะกักขังไวใน สถานที่อาศัยของผูตองโทษปรับน้ันเองหรือของผูอื่นไมได กลาวคือใหกักขังไวในสถานที่ กักขังซ่ึงกําหนดไวอันมิใชเรือนจํา สถานีตํารวจ หรือสถานท่ีควบคุมผูตองหาของ พนกั งานสอบสวน 7. การกักขังแทนคาปรับ จะใชหรือกระทําไดเฉพาะบุคคลธรรมดาเทานั้น จะใชแกน ิติบคุ คลไมไ ด การทํางานบรกิ ารสงั คมหรือทาํ งานสาธารณประโยชนแทนคา ปรับ เนื่องจากผูตองโทษปรับที่ยากจนไมมีเงินชําระคาปรับ ตองถูกกักขังแทน คาปรับ เพ่ือมิใหผูท่ียากจนและตองโทษปรับไมตองถูกกักขังแทนคาปรับ ไดทํางาน บริการสงั คมหรือทาํ งานสาธารณประโยชนแทนคาปรับ ประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติ เพิ่มเติม มาตรา 30/1, 30/2 และ 30/3 โดยพระราชบัญญัติแกไขเพ่ิมเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี 15) พ.ศ. 2545 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30/1 บัญญัติวา “ในกรณีท่ีศาลพิพากษาปรับ ไมเกนิ แปดหมื่นบาท ผูตองโทษปรับซึ่งมิใชนิติบุคคล และไมมีเงินชําระคาปรับ อาจยื่นคํา รองตอศาลชั้นตนที่พิพากษาคดีเพ่ือขอทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน แทนคา ปรบั การพจิ ารณาคาํ รอ งตามวรรคแรก เม่ือศาลไดพิจารณาถึงฐานะการเงินประวัติ และสภาพความผิดของผูตองโทษปรับแลวเห็นเปนการสมควร ศาลจะมีคําสั่งใหผูนั้น ทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชนแทนคาปรับก็ได หรือองคการซ่ึงมี LW 206 363

กรณีศาลมีคําสั่งใหผูตองโทษปรับทํางานบริการสังคม หรือทํางาน สาธารณประโยชนแทนคาปรับ ใหศาลกําหนดลักษณะหรือประเภทของงาน ผูดูแลการ ทํางานวันเริ่มทํางาน ระยะเวลาทํางาน และจํานวนช่ัวโมงที่ถือเปนการทํางานหน่ึงวัน ทั้งน้ีโดยคํานึงถึง เพศ อายุ ประวัติ การนับถือศาสนา ความประพฤติ สติปญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแหงจิต นิสัย อาชีพ สิ่งแวดลอม หรือสภาพความผิดของ ผูตองโทษปรับประกอบดวย เพราะศาลจะกําหนดเงื่อนไขอยางหน่ึงอยางใดใหผูตองโทษ ปรบั ปฏิบตั ิเพ่อื แกไขฟน ฟู หรอื ปองกนั มใิ หผูนนั้ กระทําความผดิ ขึน้ อีกก็ได ถาภายหลังความปรากฏแกศ าลวา พฤติการณเก่ียวกับการทํางานบริการสังคม หรือทํางานสาธารณประโยชนของผูตองโทษไดเปล่ียนแปลงไป ศาลอาจแกไขเปลี่ยนปลง คาํ สงั่ ทกี่ ําหนดไวน น้ั กไ็ ดตามที่เห็นสมควร ในการกําหนดระยะเวลาทํางาน แทนคาปรับตามวรรคสามใหนําบทบัญญัติ มาตรา 30 มาใชบ งั คับโดยอนโุ ลม และในกรณที ศี่ าลมิไดกําหนดใหผูตองโทษปรับทํางาน ติดตอกันไป การทํางานดังกลาวตองอยูภายในกําหนดระยะเวลาสองปนับแตวันเริ่ม ทํางานตามทศ่ี าลกําหนด เพ่ือประโยชนในการกําหนดจํานวนชั่วโมงทํางานตามวรรคสาม ใหประธาน ศาลฎกี ามอี ํานาจออกระเบยี บราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรมกําหนดจํานวนช่ัวโมงท่ีถือ เปนการทํางานหน่ึงวัน สําหรับงานบริการสังคม หรืองานสาธารณประโยชนแตละ ประเภทไดต ามทเ่ี ห็นสมควร” มาตรา 30/2 บัญญัติวา “ถาภายหลังศาลมีคําส่ังอนุญาตตามมาตรา 30/1 แลวความปรากฏแกศาลเองหรือความปรากฏตามคําแถลงของโจทก หรือเจาพนักงานวา ผูตองโทษปรับมีเงินพอชําระคาปรับได ในเวลาท่ียื่นคํารองตามมาตรา 30/1 หรือฝาฝน หรือไมปฏิบัติตามคําส่ังหรือเง่ือนไขท่ีศาลกําหนด ศาลจะเพิกถอนคําสั่งอนุญาตดังกลาว และปรับหรือกักขังแทนคาปรับโดยใหหักจํานวนวันท่ีทํางานมาแลวออกจากจํานวนเงิน คา ปรับกไ็ ด ในระหวางการทํางานบริการสังคม หรือทํางานสาธารณประโยชนแทนคาปรับ หากผูตองโทษปรับไมประสงคจะทํางานดังกลาวตอไป อาจขอเปล่ียนเปนรับโทษปรับ 364 LW 206

1. ปรากฏวาผูตองโทษปรับนั้นมีเงินพอชําระคาปรับไดท้ังจํานวนในเวลาท่ียื่น คาํ รอ งตามมาตรา 30/1 2. ผตู องโทษปรับฝา ฝนหรอื ไมปฏบิ ตั ติ ามคําสั่งศาลตามมาตรา 30/2 3. ผูตองโทษปรับไมประสงคจ ะทาํ งานดังกลาวตอ ไปตามมาตรา 30/2 4. คําสัง่ ศาลใหเ พิกถอนดงั กลา วน้เี ปนท่ีสดุ (ป.อ. มาตรา 30/3) การปรบั จําเลยหลายคน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31 บัญญัติ “ในกรณีที่ศาลจะพิพากษาใหปรับ ผกู ระทาํ ความผดิ หลายคนในความผิดอันเดยี วกนั ในกรณีเดียวกันใหศาลลงโทษปรับเรียง ตามรายบุคคล” 5. โทษรบิ ทรัพยส ิน โทษริบทรัพยสินมีลักษณะแตกตางจากโทษอ่ืน ๆ ที่กลาวมาแลว โทษที่กลาว มาแลว 4 ชนิดนั้นมิไดเปนโทษที่มุงลงแกตัวทรัพยสินโดยตรง สวนโทษริบทรัพยสินเปน โทษที่ลงแกทรัพยสินเปนสําคัญ วาเขาหลักเกณฑที่จะริบไดหรือไม โดยไมคํานึงถึงตัว บคุ คลวา ไดก ระทาํ ความผิดหรือไม เชน ทรัพยสินที่ตองรับโดยเด็ดขาด ตาม ป.อ. มาตรา 32 หรือทรัพยสินท่ีศาลใชดุลพินิจไดวาจะริบไมริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 ก็มุงถึง ทรัพยสินเปนสําคัญ โดยไมคํานึงถึงตัวบุคคลวากระทําความผิดหรือไม เชน ทรัพยสินที่ บุคคลมีไวเพ่ือใชในการกระทําความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) จะเห็นไดชัดวาบุคคล น้ันยงั มไิ ดกระทาํ ความผิด ศาลกอ็ าจรบิ ได ลักษณะของทรัพยส ินท่จี ะถูกริบได ทรัพยสนิ ทจี่ ะถูกริบไดตามประมวลกฎหมายอาญา แบง ออกไดดงั นี้ คอื (1) ทรัพยส ินท่ีศาลจะตองริบโดยเด็ดขาด ตามมาตรา 32 (2) ทรัพยสินที่ศาลจะตองริบ เวนแตจะเปนของผูอื่นซ่ึงมิไดรูเห็นเปนใจดวย ในการกระทําความผิด ตามมาตรา 34 LW 206 365

(3) ทรัพยสินที่อยูในดุลพินิจของศาลวาจะริบหรือไมก็ได เวนแตจะเปนของ ผูอ่ืนซ่งึ มไิ ดรูเหน็ เปนใจดว ยในการกระทําความผิด ตามมาตรา 33 (1) ทรัพยสนิ ที่ศาลจะตอ งรบิ โดยเดด็ ขาด ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 บัญญัติวา “ทรัพยสินใดที่กฎหมาย บัญญัติไววาผูใดทําหรือมีไวเปนความผิด ใหริบเสียท้ังส้ิน ไมวาจะเปนของผูกระทํา ความผิดและผูถูกลงโทษตามคําพิพากษาหรือไม” ตามมาตรา 32 น้ีบังคับใหศาลตองริบ ทรัพยสินที่ระบุไว ไมอยูในดุลพินิจของศาล ศาลจะไมริบไมได การริบทรัพยประเภทน้ีจึง ดูจากตัวทรัพยเปนสําคัญ ทรัพยสินที่ศาลจะตองริบโดยเด็ดขาดตาม ป.อ. มาตรา 32 มี 2 กรณี คอื ก. ทรัพยที่กฎหมายบัญญัติวาผูใดทําเปนความผิด หมายถึง มบี ทบัญญตั ขิ องกฎหมายบัญญัติหามมิใหบุคคลทําทรพั ยอ นั ใดบาง เม่ือมีกฎหมายหามมิ ใหบุคคลทําทรัพยอยางใดอยางหน่ึงขึ้น หากมีผูทําทรัพยเชนนั้นข้ึนมาก็เปนการฝาฝน กฎหมาย ทรัพยน้ันก็เปนทรัพยท่ีกฎหมายบัญญัติไววาผูใดทําเปนความผิด คือเปน ความผิดในตัวเอง เชน ปนทําเองหรือปนไมมีทะเบียนที่เรียกวาปนเถ่ือน สุราเถ่ือน ฝน เฮโรอนี กัญชา เงินปลอม หรือธนบตั รปลอม ดวงตราปลอม แสตมปปลอม เหลานี้ ถาผูใด ทําขึ้นมาก็เปนทรัพยที่กฎหมายบัญญัติวาผูใดทําเปนความผิด ศาลตองริบเสมอ ถึงแมจะ ไมใ ชทรพั ยส ินของจําเลยหรือจาํ เลยมไิ ดกระทาํ ความผดิ หรือไมถ ูกลงโทษกต็ าม ข. ทรัพยท่ีกฎหมายบัญญัติไววาผูใดมีไวเปนความผิด หมายถึง มีบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติหามมิใหบุคคลมีไว เมื่อมีกฎหมายหามมิใหบุคคลมี ทรัพยอยางใดอยางหน่ึงไว ทรัพยนั้นก็เปนทรัพยท่ีกฎหมายบัญญัติไววาผูใดมีไวเปน ความผดิ เชน ปน เถ่ือน เฮโรอีน ฝน กญั ชา ยาบา ธนบตั รปลอม เปนตน โทษริบทรัพยสินตามมาตรา 32 น้ี มุงที่ตัวทรัพย ดังนั้นแมคดีน้ันศาล ยกฟองศาลก็พิพากษาใหริบทรัพยได เชน คําพิพากษาฎีกาที่ 2176/2543 ศาลพิพากษา ยกฟองโจทกฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวครอบครองเพ่ือจําหนายจึงไมอาจริบเมทแอมเฟตามีน ตามพระราชบัญญัติวัตถุท่ีออกฤทธ์ิตอจิตประสาทตามมาตรา 116 ได แตการมีเมทแอม- เฟตามีนไวในครอบครองเปนความผิด ศาลริบไดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และคําพพิ ากษาฎกี าที่ 2090/2542 เม่ือพยานหลกั ฐานโจทกย ังเปนทีส่ งสัยวาอาวุธปนและ เครื่องกระสุนปนของกลางตามฟองเปนของจําเลยหรือไม ควรยกประโยชนแหงความ 366 LW 206

แมโจทกไมมีอํานาจฟองก็ริบได เชน คําพิพากษาฎีกาที่ 1746/2550 เมทแอมเฟตามีนของกลางเปนยาเสพติดใหโทษประเภท 1 ซึ่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 102 บัญญัติใหริบเสียทั้งส้ินทั้งเปนทรัพยที่ผูใดทําหรือมีไวเปนความผิดซึ่ง ป.อ. มาตรา 32 บัญญัติใหริบเสียท้ังส้ิน ไมวาเปนของผูกระทําความผิดและมีผูถูกลงโทษตาม คําพิพากษาหรอื ไมจงึ ตอ งรบิ ตามบทบญั ญัตดิ งั กลา ว แมโ จทกไ มม อี ํานาจฟองกต็ าม (2) ทรัพยสินท่ีศาลจะตองริบ เวนแตจะเปนของผูอื่นซึ่งมิไดรูเห็นเปนใจ ดว ยการกระทําความผดิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 34 บัญญัติวา “บรรดาทรัพยสิน (1) ซ่ึง ไดใหตามความในมาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 149 หรือมาตรา 150 มาตรา 167 มาตรา 201 หรือมาตรา 202 (2) ซึ่งไดใหเพ่ือจูงใจบุคคลใหกระทําความผิดเพื่อเปน รางวัลในการท่บี ุคคลไดกระทาํ ความผดิ ใหริบเสียท้ังส้ิน เวนแตทรัพยสินน้ันเปนของผูอ่ืนซ่ึงมิไดรูเห็นเปนใจดวย ในการกระทําความผิด” ทรัพยสินดังระบุไวในมาตรา 34 นี้เปนมูลฐานสําคัญที่ทําให เสื่อมเสียความยุติธรรมและเปนเหตุใหเกิดอาชญากรรมดวย จึงบัญญัติใหศาลตองริบเสีย ทง้ั ส้ิน ทรัพยท่ีศาลจะตองริบตามมาตรา 34 นี้มีลักษณะเหมือนกัน คือลวนเปน ทรัพยสินที่ไดมีการใหแกกัน จะแตกตางกันเฉพาะลักษณะของการให กลาวคือ ทรัพยท่ี ระบุไวในมาตรา 34 (1) ไดแก ทรัพยท่ีไดใหในความผิดเกี่ยวกับการปกครองและความผิด LW 206 367

(3) ทรัพยสินที่อยูในดุลพินิจของศาลวาจะริบหรือไมก็ได เวนแตจะเปน ของผอู ่นื ซึ่งมไิ ดรูเ หน็ เปน ใจดวยในการกระทําความผดิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 บัญญัติวา “ในการริบทรัพยสิน นอกจากศาลจะมีอํานาจริบตามกฎหมายท่ีบัญญัติไวโดยเฉพาะแลว ใหศาลมีอํานาจสั่งให ริบทรพั ยสินดังตอไปน้ีอกี ดว ย คอื (1) ทรัพยส นิ ซ่งึ บคุ คลไดใช หรอื มไี วเ พื่อใชในการกะทําความผิด หรอื (2) ทรัพยสินซึง่ บุคคลไดมาโดยไดกระทาํ ความผิด เวนแตทรัพยสินเหลานี้เปนทรัพยสินของผูอื่นซ่ึงมิไดรูเห็นเปนใจดวยใน กากรระทําความผดิ ” ทรพั ยตามมาตรา 33 นีต้ างกับทรพั ยตามมาตรา 32 และมาตรา 34 ตรง ท่ีวา กฎหมายใหอยูในดุลพินิจของศาลท่ีจะสั่งใหริบหรือไมก็ได มาตรา 33 ใชคําวา “ให ศาลมีอํานาจสั่งใหริบ” ไมไดบังคับใหศาลตองริบเชนทรัพยตามมาตรา 32 และ 34 ซ่ึง กฎหมายใชค าํ วา “ใหร ิบเสียท้ังส้ิน” ทรัพยสินทั้ง 2 ประเภทตามมาตรา 33 ศาลมีอํานาจใชดุลพินิจไดวาควร ริบหรือไม ซึ่งแลวแตพฤติการณในคดีเปนเร่ือง ๆ ไป เวนแตปรากฏวาทรัพยสินเหลานี้ เปนของผูอื่นซึ่งไมรูเห็นเปนใจดวยในการกระทําความผิดนั้น ศาลจะริบไมไดทรัพยสินท่ี บัญญตั ิไวในมาตรา 33 คือ ก. ทรัพยสินที่ใชในการกระทําความผิด หมายความถึงความผิดนั้น ไดกระทําดวยการใชทรัพยน้ันเองโดยตรง เชน ใชอาวุธปน มีด หรือไมทํารายรางกายเขา การทํารายรางกายเปนความผิด อาวุธปน มีด หรือไมท่ีใชในการทํารายรางกายจึงเปน ทรัพยสินที่ใชในการกระทําความผิดที่จะริบอาวุธปน มีด หรือไมน้ัน แตถาความผิด เกิดขึ้นเพราะเหตุอยางอื่นไมไดอยูท่ีการใชทรัพยน้ัน ทรัพยสินท่ีใชเก่ียวกับความผิดนั้น ก็ไมเรยี กวาเปน ทรพั ยที่ใชในการกระทาํ ความผดิ เชน 368 LW 206

ใชรถยนตหรือรถจักรยานยนตเปนพาหนะในการไปกระทําความผิด ไมถือวารถยนตหรือรถจักรยานยนตเปนทรัพยที่ใชในการกระทําความผิดโดยตรง ตวั อยาง คําพพิ ากษาฎกี าท่ี 5014/2542 การทศี่ าลมอี ํานาจส่ังริบทรัพยสินของบุคคลที่ได ใชห รือมไี วเ พ่อื ใชในการกระทําผดิ ตามมาตรา 33 (1) มุงใหริบตัวทรัพยสินที่ผูกระทําไดใช ในการกระทาํ ผดิ นัน้ โดยตรง ทรพั ยส นิ นัน้ จะตอ งเกี่ยวของเปนสวนหนึง่ ของการกระทําผิด ข. ทรัพยสินท่ีมีไวเพื่อใชในการกระทําความผิด หมายถึง ทรัพยสิน ท่ีมีไวโดยเจตนาเพ่ือจะใชในกากรระทําความผิดอยางใดอยางหน่ึง เชน ใบมีดโกนหรือ เหรียญทองแดงท่ีฝนดานขางใหคมเพื่อใชตัดกระเปาเส้ือกางเกงเอาทรัพย กุญแจผีไขควง เล่ือยตัดเหล็กท่ีทําไวเพ่ือใชในการลักรถยนตหรือเพ่ือลักทรัพยในบานของผูอ่ืน เปนตน แมจะยังมิไดกระทําความผิดหรอื ยังไมถงึ ขนั้ พยายามกระทาํ ความผดิ ก็ริบได ค. ทรัพยสินท่ีไดมาโดยไดกระทําความผิด หมายความถึงทรัพยสินที่ ไดมาจากการกระทาํ ความผิดทกุ อยาง เวน แตท รพั ยสินที่ไดมาตามมาตรา 34 ตัวอยาง คําพิพากษาฎีกาที่ไมถือวาเปนทรัพยท่ีใชหรือมีไวเพื่อใชใน การกระทําความผิด 1. รถยนตหรือรถจักรยานยนตที่ใชเปนพาหนะในการไปกระทํา ความผิด ไมถือวาเปนทรัพยท่ีใชในการกระทําความผิดโดยตรง คําพิพากษาฎีกาที่ 5014/2542 การท่ีศาลมีอํานาจส่ังริบทรัพยสินของบุคคลที่ไดใชหรือมีไวเพ่ือใชในการ กระทําผิด ตามมาตรา 33(1) มุงหมายใหริบตัวทรัพยสินที่ผูกระทําผิดไดใชในการกระทํา ผิดนั้นโดยตรง ทรัพยสินนั้นจะตองเกี่ยวของเปนสวนหน่ึงของการกระทําผิด การที่จําเลย ใชรถยนตกระบะบรรทุกเปนพาหนะเพ่ือความสะดวกในการลักทรัพย การพาทรัพยน้ันไป เพ่ือใหพนการจับกุม แตไมไดหมายความวาจําเลยใชรถยนตกระบะดังกลาวเปนเครื่องมือ หรือเปนสวนหนึ่งของการลักทรัพยโดยตรง ก็ไมอาจริบรถยนตกระบะนั้นได คําพิพากษา ฎีกาที่ 469/2547 การที่จําเลยใชกระดาษหนังสือนิตยสารหอหุมเมทแอมเฟตามีนของ กลาง แลววางไวท่ีตะแกรงดานหนารถจักรยานยนตของกลางโดยเปดเผย ถือไมไดวา จําเลยไดใชรถจักรยานยนตของกลางในการกระทําความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวใน ครอบครองโดยไมไดรับอนุญาต รถจักรยานยนตของกลางจึงไมใชทรัพยสินท่ีจําเลยไดใช ในการกระทําความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 33(1) และคําพิพากษาฎีกาที่ 671/2548 รถยนต ของกลางเปนพาหนะท่ีคนตางดาวโดยสาร เพื่อพาคนตางดาวใหพนจากการจับกุม ไมใช LW 206 369

2. เคร่ืองรับโทรทัศนสีของกลางเปนเพียงเคร่ืองมือและอุปกรณการรับ ภาพแขงขันชกมวย มิใชเครื่องมือที่ใชในการกระทําความผิด คําพิพากษาฎีกาที่ 788/2542 เครื่องรับโทรทัศนส ีของกลางเปน เพยี งเครอ่ื งมือและอปุ กรณการรับภาพแขงขัน ชกมวยจากสถานีโทรทัศนซึ่งเปนผูสงภาพ การที่จําเลยกับพวกซ่ึงเปนผูชมทาพนัน แขงขันชกมวย หาทําใหโทรทัศนสีดังกลาวเปนเคร่ืองมือท่ีใชในการเลนการพนันชกมวย ตามความหมายของพระราชบัญญัติการพนันโดยแทไม แมจําเลยจะใหการรับสารภาพ ตามฟอง เม่ือปรากฏตามสภาพของเครื่องรับโทรทัศนของกลางมิใชเครื่องมือท่ีใชในการ เลนการพนันมวยแลว เครื่องรับโทรทัศนสีของกลางจึงไมใชทรัพยอันควรริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 ศาลไมร บิ (4) การริบทรพั ยส นิ ตามกฎหมายอ่นื การริบทรัพยสินใน 3 กรณีดังกลาวขางตน เปนการริบทรัพยสินตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 และ 34 ซ่ึงเปนหลักการใหญใชไดทั่วไปใน ความผิดอาญาท้ังปวง เวนแตกฎหมายอื่นบัญญัติถึงการริบทรัพยสินไวโดยเฉพาะแลว ก็ตองเปนไปตามขอยกเวนของมาตรา 17 และมาตรา 33 วรรคหน่ึง เชน พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 10 บัญญัติเปนพิเศษวา ทรัพยสินพนันท่ีจับไดในวงเลนใหริบทั้งส้ิน สวนทรัพยสินท่ีไมไดเอาออกพนันและเคร่ืองมือที่ใชในการเลน ใหศาลมีอํานาจริบไดตาม ประมวลกฎหมายอาญา การริบทรัพยสินตาม พ.ร.บ.ปาไม พ.ศ. 2484 การริบทรัพยสิน ตาม พ.ร.บ.การคา ขาว พ.ศ. 2489 พ.ร.บ.สาํ รวจและหา มกักกันขาว พ.ศ. 2489 เปน ตน 370 LW 206

(5) ผลของการรบิ ทรพั ยส นิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 35 บัญญัติวา “ทรัพยสินซ่ึงศาลพิพากษา ใหริบใหตกเปนของแผนดิน แตศาลจะพิพากษาใหทําใหทรัพยสินน้ันใชไมไดหรือทําลาย ทรพั ยสนิ นนั้ เสียก็ได” การริบทรัพยสนิ ตามประมวลกฎหมายอาญาก็ดี ตามกหมายอ่ืนก็ดี เม่อื ศาลพพิ ากษาใหรบิ มผี ล 3 ประการ คอื (1) ทรัพยสนิ น้ันตกเปน ของแผนดนิ (2) ศาลจะพพิ ากษาใหท าํ ลายหรือทําใหท รัพยสินนน้ั ใชไ มไ ดต อไปกไ็ ด (3) ศาลมีอํานาจสั่งใหผูครอบครองทรัพยสินที่ศาลริบสงทรัพยสินนั้นตอ ศาลภายในเวลาทกี่ าํ หนด ถา ผูนั้นไมปฏบิ ัติตามคําส่งั ศาล ศาลมีอํานาจสั่งดังตอ ไปน้ี ก. ใหย ึดทรัพยสนิ นัน้ ข. ใหชําระราคา หรือสั่งยึดทรัพยสินอื่นของผูนั้นชดใชราคาจนเต็ม หรอื ค. ถาศาลเห็นวาจะสงทรัพยสินไดแตไมสง หรือชําระราคาไดแตไม ชําระ ใหศ าลกักขังผนู ัน้ ไดจนกวา จะปฏบิ ัตติ ามคาํ ส่งั แตต องไมเกนิ 1 ป (ป.อ.มาตรา 37) (6) ทรพั ยสนิ ทจ่ี ะรบิ ตอ งมีตัวทรพั ยส ินอยู เม่ือศาลพิพากษาใหริบทรัพยสิน มีผลใหทรัพยน้ันตกเปนของแผนดิน และศาลยังมีอํานาจพิพากษาใหทําลายหรือทําใหทรัพยสินน้ันใชไมไดตอไป ตามมาตรา 35 ทั้งมีอํานาจสั่งใหผูครอบครองทรัพยสินที่ถูกริบสงมอบแกศาล หรือใหยึดทรัพยสินนั้น ตามมาตรา 37 ดังนั้นทรัพยสินที่ศาลจะพิพากษาใหริบตองมีตัวทรัพยสินน้ันอยูในขณะ ศาลพิพากษาคดีน้ัน ไมวาจะจับไดทรัพยสินน้ันมาเปนของกลางในคดีแลว หรืออยูใน ความครอบครองของใคร ซึง่ อาจเปนเจาพนักงานหรือพนักงานสอบสวน หรือผูที่พนักงาน สอบสวนมอบใหรักษาของกลางนั้นไว หรือแมของกลางน้ันเจาพนักงานไดคืนใหจําเลยไป แลว แตโจทกยังมีคําขอใหริบทรัพยนั้นอยู แตถาหากทรัพยสินนั้นถูกทําลายหรือ สูญหายไปแลว ไมวาดวยเหตุใด ศาลจะไมริบเพราะไมมีตัวทรัพยสินที่จะตกเปนของ แผนดนิ ได LW 206 371

(7) การขอคืนทรัพยส ินท่ีศาลริบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 บัญญัติวา “ในกรณีที่ศาลส่ังใหริบ ทรัพยสินตามมาตรา 33 หรือมาตรา 34 ไปแลว หากปรากฏในภายหลังโดยคําเสนอของ เจา ของแทจ ริงวา ผูเปน เจาของแทจรงิ มิไดรูเห็นเปนใจดวยในการกระทําความผิด ก็ใหศาล สั่งใหคืนทรัพยสิน ถาทรัพยสินนั้นยังคงอยูในครอบครองเจาพนักงาน แตคําเสนอของ เจาของแทจริงน้ันจะตองกระทําตอศาลภายในหน่ึงปนับแตวันคําพิพากษาถึงที่สุด” ตาม มาตรา 36 น้ี การขอคืนทรพั ยส ินท่ีศาลริบตอ งประกอบดว ยหลกั เกณฑ 4 ประการ คือ 1) ตอ งเปน ทรัพยส ินท่ศี าลรบิ ตามมาตรา 33 และมาตรา 34 2) ผูขอคืนตองเปนเจาของแทจริงในทรัพยสินนั้น และตองมิไดรูเห็นเปน ใจในการกระทําความผิดนั้นดวย คําวา “เจาของท่ีแทจริง” ตามาตรา 36 น้ี เปนบุคคล เดียวกันกับเจาของทรัพยสินซ่ึงมิไดรูเห็นเปนใจดวยในการกระทําความผิด ตามวรรคสอง ของมาตรา 33 และ 34 น่ันเอง กลาวคือ จําเลยผูกระทําความผิดไดเอาทรัพยสินของผูอ่ืน ไปใชในการกระทําความผิด หรือเพื่อใชกระทําความผิด หรือไดทรัพยสินของผูอ่ืนมาโดย การกระทําความผิดตามมาตรา 33 หรือเอาทรัพยสินของผูอื่นไปใหในการกระทําผิดตาม มาตรา 34 โดยผูอื่นน้ันมิไดรูเห็นเปนใจดวยในการกระทําความผิดของจําเลย และมีสิทธิ ขอคืนทรัพยสินท่ีศาลริบแลวไดตามมาตรา 36 ผูเปนเจาของที่แทจริงตองมีกรรมสิทธิ์ มากอ นในขณะทีจ่ าํ เลยเอาทรัพยสนิ ของผนู ้ันไปใชใ นการกระทําความผิด 3) เจาของแทจริงตองมีคําเสนอขอคืนตอศาลภายใน 1 ปนับแตวันท่ีศาล พิพากษาถึงที่สุดใหริบ หมายความวา เจาของแทจริงตองย่ืนคํารองขอคืนตอศาลชั้นตนที่ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น แมศาลชั้นตนจะไมริบ แตศาลอุทธรณหรือศาลฎีกาพิพากษาให ริบ ก็ตองย่ืนคํารองขอคืนตอศาลชั้นตนนั่นเอง โดยย่ืนคํารองขอคืนภายใน 1 ปนับแตวัน ศาลพิพากษาถึงท่สี ุด 4) ศาลจะส่ังใหคืนไดตอเม่ือทรัพยสินน้ันยังคงมีอยูในความครอบครอง ของเจาพนักงาน หมายความวา ทรัพยสินที่เจาของแทจริงขอคืนตอศาลตองอยูในความ ครอบครองของเจาพนักงาน ศาลจึงจะคืนใหได เพราะถาทรัพยสินนั้นสูญหายไปไมมีอยู เสยี แลว ศาลกย็ อมจะใหค นื ไมได 372 LW 206

บทที่ 2 วธิ เี พม่ิ โทษและลดโทษ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51, 52, 53 และ 54 ไดบัญญัติวางหลักการเพิ่ม โทษและลดโทษไวดงั นี้ 1. ในการเพิ่มโทษ มใิ หเพมิ่ ขึ้นถึงประหารชวี ติ จําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกเกินหา สิบป (ป.อ.มาตรา 51) หมายความวา การเพ่ิมโทษจําคุกทุกกรณีศาลจะเพ่ิมโทษให ประหารชวี ิต จําคกุ ตลอดชวี ิต หรอื จาํ คุกเกนิ หาสบิ ปไ มไ ด 2. ในการลดโทษประหารชีวิต ไมวาจะเปนการลดมาตราสวนโทษหรือลดโทษท่ี จะลง ใหลดดงั ตอไปนี้ (1) ถา จะลดหนึ่งในสาม ใหลดเปน โทษจําคุกตลอดชีวิต (2) ถาจะลดกึ่งหนึ่ง ใหลดเปนโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือโทษจําคุกตั้งแตยี่สิบ หาปถงึ หา สบิ ป (ป.อ.มาตรา 52) 3. ในการลดโทษจาํ คกุ ตลอดชีวติ ไมวา จะเปนการลดมาตราสวนโทษหรือลดโทษ ที่จะลง ใหเปล่ียนโทษจําคุกตลอดชีวิตเปนโทษจําคุกหาสิบป (ป.อ.มาตรา 53) หมายความวา การลดมาตราสวนโทษตามกฎหมายของโทษจําคุกตลอดชีวิตก็ดี หรือการ ลดโทษจําคุกตลอดชีวิตท่ีศาลลงแกผูกระทําความผิดตามมาตรา 78 ก็ดี ไมวาอัตราสวน ของการลดจะเปนเทาใด ศาลตองเปลี่ยนโทษจําคุกตลอดชีวิตเปนโทษจําคุก 50 ป เพื่อจะ ไดค าํ นวณสว นของอัตราโทษจําคกุ ตลอดชีวติ ท่กี ฎหมายบัญญัติใหลดมาตราสวนโทษหรือ ท่ศี าลลดโทษท่ีจะลงตามมาตรา 78 แกผตู องโทษจําคกุ ตลอดชีวิตไดโ ดยสะดวก 4. วธิ กี ารเพ่ิมและลดโทษจาํ คุก (1) ในการที่จะเพ่ิมหรือลดโทษนั้น ศาลจะตองกําหนดโทษที่จะลงแกจําเลย เสยี กอ น แลวจึงคิดเพมิ่ หรือลดโทษให แลว แตก รณี (ป.อ.มาตรา 54) (2) ในการเพิ่มโทษนั้น เมื่อจะตองเพิ่มขึ้นเปนเศษสวนเทาใด ก็คิดคํานวณ จากโทษที่ศาลกาํ หนด (ป.อ.มาตรา 54) (3) ในการลดโทษนั้น เม่ือจะตองลดลงเปนเศษสวนเทาใด ก็คิดคํานวณจาก โทษทศี่ าลกาํ หนด (ป.อ.มาตรา 54) LW 206 373

(4) ในกรณีที่จะมีทั้งการเพิ่มและลดโทษน้ัน ใหเพ่ิมกอนแลวจึงลดจากผลท่ี เพ่ิมแลวน้ัน ถาสวนของการเพิ่มเทากับหรือมากกวาสวนของการลดและศาลเห็นสมควร จะไมเพ่มิ ไมลดก็ได (ป.อ.มาตรา 54) 374 LW 206

บทท่ี 3 การยกโทษจําคุก การรอการลงโทษ และรอการกาํ หนดโทษจาํ คุก 1. การยกโทษจําคกุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55 บัญญัติวา “ถาโทษจําคุกที่ผูกระทํา ความผิดจะตองรับมีกําหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือนอยกวา ศาลจะกําหนดโทษจําคุกให นอยลงอีกก็ได หรือถาโทษจําคุกท่ีผูกระทําความผิดจะตองรับมีกําหนดเวลาเพียงสาม เดือนหรือนอยกวาและมีโทษปรับดวย ศาลจะกําหนดโทษจําคุกใหนอยลง หรือจะยกโทษ จาํ คกุ เสียคงใหปรับแตอยา งเดียวก็ได” ตามมาตรา 55 นี้ 1) ในกรณีที่ศาลพิพากษาใหจําคุกไมเกิน 3 เดือนอยางเดียว ศาลมีอํานาจ เพียงอยางเดียวเทาน้ันคือ กําหนดโทษจําคุกน้ันใหนอยลงอีกเทาใดก็ได แตจะยกโทษ จาํ คุกใหไ มได 2) ในกรณีท่ีศาลพิพากษาใหจําคุกไมเกิน 3 เดือน และลงโทษปรับดวยจะ ปรับเทาใดก็ตาม ศาลมีอํานาจกําหนดโทษจําคุกใหนอยลงอีกก็ได หรือยกโทษจําคุกน้ัน เสยี คงใหปรบั อยางเดยี ว 2. การรอการลงโทษ และการรอการกาํ หนดโทษจําคุก การรอการลงโทษเปนกรณีทศ่ี าลพิพากษาวาจาํ เลยมคี วามผิดและกําหนดโทษ ท่ีจะลงในคําพิพากษาน้ัน แตศาลใหรอการลงโทษไวกอน สวนรอการกําหนดโทษเปน กรณีท่ีศาลพิพากษาวาจําเลยมีความผิด แตศาลใหรอการกําหนดโทษจําคุกตามความผิด น้ันไวก อนโดยยังไมก ําหนดโทษจําคกุ ไวใ นคําพพิ ากษาน้นั การรอการลงโทษและการรอการกําหนดโทษ มีบทบัญญัติในประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 56, 57 และ 58 1) กรณีจะรอการลงโทษจาํ คกุ หรือรอการกําหนดโทษจาํ คุก ตองประกอบดวย หลกั เกณฑ 4 ประการดังน้ี (1) ผูน นั้ ตอ งกระทําความผิดซ่งึ มโี ทษจาํ คกุ LW 206 375

(2) ความผดิ ในคดนี ้ันศาลจะลงโทษจาํ คุกไมเ กิน 3 ป (3) ไมปรากฏวาผูนั้นไดรับโทษจําคุกมากอน หรือปรากฏวาไดรับโทษ จาํ คกุ มากอ นแตเ ปนโทษสําหรบั ความผดิ ท่ไี ดก ระทาํ โดยประมาทหรอื ความผดิ ลหโุ ทษ (4) ศาลเห็นสมควรใหรอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษ โดย กําหนดเวลาใหร อไวใ นคําพพิ ากษาน้ันดว ย ซงึ่ ตองไมเกิน 5 ปนับแตว นั พพิ ากษาคดี (1) ผนู น้ั ตองกระทําความผิดซึ่งมีโทษจําคุก การรอการลงโทษหรือรอการ กําหนดโทษน้ีมีไดเฉพาะโทษจําคุกเทาน้ัน โทษอยางอื่นไมวาเปนโทษกักขัง โทษปรับ หรือโทษริบทรัพยสินจะรอไมได นัยคําพิพากษาฎีกาท่ี 3818/2533 โทษท่ีจะรอการ ลงโทษไดต องเปนโทษจําคุกเทานนั้ เมื่อไดเปลี่ยนโทษจาํ คุกเปนกกั ขังไปแลว จึงจะรอการ ลงโทษไมได (2) ความผิดในคดีน้ันศาลจะลงโทษจําคุกไมเกิน 3 ป หมายความวา คดี ที่ศาลพิพากษาใหลงโทษจําคุก จะรอการลงโทษไดศาลตองพิพากษาใหลงโทษจําคุกไม เกิน 3 ป กลาวคือ เปนโทษท่ีลงจริง ๆ เชน คดีน้ันศาลพิพากษาลงโทษจําคุก 6 ป จําเลย รับสารภาพลดโทษใหก่ึงหน่ึง จําคุกจริง ๆ 3 ป อยูในเง่ือนไขท่ีรอการลงโทษได กรณี จําเลยถูกฟองหลายสํานวน ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน การพิจารณารอการลงโทษ ตองพิจารณาโทษเปนรายสํานวนไป นัยคําพิพากษาฎีกาที่ 1238-1239/2518 (ประชุม ใหญ) โจทกฟองจําเลยเปน 2 สํานวน ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน ศาลพิพากษาจําคุก จําเลยสํานวนหนึ่ง 1 ป อีกสํานวนหนึ่ง 1 ป 6 เดือน รวม 2 ป 6 เดือน ศาลรอการลงโทษ ได คําวา \"ในคดีน้ัน” ใน ป.อ.มาตรา 56 หมายถึงคดีแตละสํานวนเปนรายคดีไป คดีท่ี จําเลยถูกฟองหลายกระทงในฟองเดียวกัน กรณีอยางน้ีตองดูโทษเปนรายกระทงไป นัย คําพิพากษาฎกี าท่ี 1989/2523 การกระทาํ ความผิดหลายกระทงในคดีเดียวกัน การรอการ ลงโทษตองพิจารณาถึงโทษจําคุกในความผิดแตละกระทง ศาลลงโทษจําคุก 3 กระทง โทษจําคุกแตละกระทงไมเกิน 2 ป ศาลรอการลงโทษได คําพิพากษาฎีกาท่ี 789/2524 โจทกฟองจําเลยวากระทําผิดตอกฎหมายหลายกรรมตางกัน เมื่อโทษจําคุกที่ศาลลงแก จําเลยแตละกระทงไมเกินกระทงละ 2 ป จึงเทากับศาลพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยเปน คดี ๆ ไป ตามกระทงความผิดท่ีโจทกรวมฟองมาไมเกินคดีละ 2 ป ศาลยอมมีอํานาจใช ดลุ พินิจรอการลงโทษจําคุกแกจ าํ เลยไดต าม ป.อ. มาตรา 56 อยางไรก็ตามหากโจทกฟอง 376 LW 206

(3) ไมปรากฏวาผูนั้นไดรับโทษจําคุกมากอน หรือปรากฏวาไดรับโทษ จําคุกมากอน แตเปนโทษสําหรับความผิดท่ีไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หมายความวาจําเลยไมเคยไดรับโทษจําคุกจริง ๆ มากอน นัยคําพิพากษาฎีกาท่ี 452/2523 คดีกอนจําเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจําคุก แตรอการลงโทษไวภายใน ระยะเวลาท่ีศาลรอการลงโทษไวน้ัน จําเลยกระทําผิดคดีน้ีอีก ศาลพิพากษาลงโทษจําคุก และใหรอการลงโทษไวอีกได เพราะการที่ศาลกําหนดโทษจําคุก แตใหรอการลงโทษไวใน คดีกอนก็เทากับวาจําเลยยังมิไดรับโทษจําคุกมากอน แตถาจําเลยไดรับโทษจําคุกในคดี กอนจริง แตคดียังไมถึงท่ีสุด จึงอาจถูกศาลสูงเปลี่ยนแปลงได กรณีเชนนี้ถือไมไดวา จําเลยไดส่ังโทษจําคุกมากอน ศาลจึงมีอํานาจรอการลงโทษจําคุกจําเลยในคดีนี้ได (คาํ พพิ ากษาฎีกาที่ 4215/2533) (4) ศาลเห็นสมควรใหรอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษ โดย กําหนดเวลาใหรอไวในคําพิพากษาน้ันดวย ซ่ึงตองไมเกิน 5 ปนับแตวันพิพากษาคดี หมายความวา เมื่อเขาหลักเกณฑท้ัง 3 ประการแลว เม่ือศาลไดคํานึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแหงจิต นิสัย อาชีพ และ สิ่งแวดลอมของผูน้ัน หรือสถานความผิด หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแลว เห็นเปนการ สมควร ศาลจะพิพากษาวาผูน้ันมีความผิดแตรอการกําหนดโทษไว หรือกําหนดโทษแต รอการลงโทษไวไ มเ กินหา ปน บั แตว นั ทศี่ าลพิพากษา 2) ผลของการรอโทษจําคกุ เม่ือศาลพิพากษาใหรอการกําหนดโทษจําคุกหรือรอการลงโทษจําคุกท่ีไม เกิน 3 ป แกผูกระทําความผิดภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนดไวซึ่งไมเกิน 5 ป ศาลจะ ปลอยตัวไปเพื่อใหโอกาสผูน้ันกลับตัวภายในระยะเวลาท่ีศาลกําหนดใหรอตามมาตรา 56 แตถาผูกระทําความผิดไมปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ศาลกําหนดตามมาตรา 56 ศาลอาจ ตกั เตือนผูก ระทาํ ความผิด หรือจะกาํ หนดการลงโทษที่ยังไมไดกําหนดหรือลงโทษซ่ึงรอไว นั้นก็ได (ป.อ.มาตรา 57) LW 206 377

ถาผูท่ีถูกรอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษไดกระทําความผิดข้ึนอีกใน ระหวางระยะเวลารอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษ และความผิดน้ันมิใชความผิดท่ีได กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาใหลงโทษจําคุกสําหรับ ความผิดน้ัน ใหศาลที่พิพากษาคดีหลังกําหนดโทษท่ีรอการกําหนดไวในคดีกอนบวกเขา กับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษท่ีรอการลงโทษไวในคดีกอนเขากับโทษในคดีหลัง (ป.อ. มาตรา 58 วรรคหนง่ึ ) 378 LW 206

บทท่ี 4 การระงบั ของโทษหรือความผิด เหตุท่ีทําใหโทษหรือความผิดระงับตามประมวลกฎหมายอาญา มีอยู 5 ประการ ดวยกนั คือ 1. เม่ือมีกฎหมายบัญญัติในภายหลังการกระทําความผิดวาการกระทําเชนน้ันไม เปนความผิดตอไป (ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง) 2. เม่ือผูกระทําความผิดตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 บัญญัติวา “โทษใหเปนอนั ระงบั ไปดวยความตายของผกู ระทาํ ความผดิ ” 3. เม่ือชําระคาปรับอยางสูงในคดีมีโทษปรับอยางเดียว ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 79 บัญญัติวา “ในคดีมโี ทษปรับสถานเดียว ถาผูที่ตองหาวากระทําความผิด นําคาปรับในอัตราอยางสูงสําหรับความผิดนั้นมาชําระกอนที่ศาลเร่ิมตนสืบพยาน ใหคดี นั้นเปน อนั ระงบั ไป” 4. เม่อื คดีขาดอายุความฟอ งรอ ง การฟองคดีอาญาตอศาลนั้น จะตองฟองและไดตัวผูกระทําความผิดยังศาล ภายในกําหนดเวลาท่ีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 กําหนดไวนับแตวันกระทํา ความผิด มิฉะนั้นเปนอันขาดอายุความ จะฟองผูกระทําความผิดไมได และถาเปน ความผิดอันยอมความได ผูเสียหายมิไดรองทุกขภายในสามเดือนนับแตวันท่ีรูเรื่อง ความผดิ และรตู วั ผูกระทาํ ความผดิ เปนอนั ขาดอายุความ (ป.อ.มาตรา 96) 5. คดีขาดอายุความลวงเลยการลงโทษ เม่ือไดมีคําพิพากษาถึงที่สุดใหลงโทษผูใด ผูนั้นยังไมไดรับโทษก็ดี ไดรับโทษ แตยังไมครบถวนโดยหลบหนีคดี ถายังมิไดตัวผูน้ันมาเพื่อรับโทษนับแตวันที่มีคํา พิพากษาถึงท่ีสุด หรือนับแตวันท่ีผูกระทําความผิดหลบหนี แลวแตกรณี เกินกําหนดเวลา ดงั ตอไปนี้เปน อนั ลวงเลยการลงโทษ จะลงโทษผูน้ันมิได (1) ยส่ี ิบป สําหรบั โทษประหารชีวติ จําคกุ ตลอดชีวิต หรือจําคกุ ย่ีสิบป (2) สบิ หาป สําหรบั โทษจาํ คกุ กวา เจ็ดปแ ตไ มถึงย่สี ิบป (3) สบิ ป สาํ หรับโทษจาํ คุกกวา หนึง่ ปถ ึงเจด็ ป (4) หา ป สําหรับโทษจาํ คุกต้ังแตห นึ่งปลงมา หรือโทษอยา งอ่นื (ป.อ. 98) LW 206 379

อายุความลวงเลยการลงโทษตามมาตรา 98 น้ี ใชสําหรับโทษสุทธิท่ีศาลลงแก จําเลยตามคําพิพากษาถงึ ทส่ี ุด 380 LW 206

สว นที่ 2 สถานท่ที ่ีกฎหมายอาญาใชบ ังคบั อธิปไตยของรัฐยอมมีเหนืออาณาเขตของรัฐ ฉะน้ันการกระทําความผิดซึ่งเกิดข้ึน ในอาณาเขตไมวาผูกระทําผิดจะเปนคนสัญชาติใด ยอมตกอยูภายใตอํานาจของรัฐที่ ความผิดเกิดขึ้นนั้น นอกจากนี้อํานาจรัฐยังครอบคลุมไปถึงความผิดบางประเภท หรือ บุคคลผูกระทําผิดไดทํานอกอาณาเขตของรัฐนั้นดวย ในเรื่องอํานาจของรัฐน้ีประมวล กฎหมายอาญาไดวางหลักเกณฑไว โดยใหใช “หลักดินแดน” หมายความวา กฎหมาย ของรัฐใดยอ มใชบ งั คับแกการกระทาํ ความผิดทีเ่ กิดข้นึ ภายในเขตของรัฐนั้น ท้ังน้ีจะเห็นได จากมาตรา 4 วรรคแรก บญั ญตั วิ า “ผใู ดกระทําความผิดในราชอาณาจักร ตองรับโทษตาม กฎหมาย” คําวา “ราชอาณาจักร” น้ัน ประมวลกฎหมายอาญามิไดใหความหมายไว จึงไป ศกึ ษาจากกฎหมายระหวางประเทศแผนกคดเี มอื งวา ราชอาณาจกั รนั้นไดแ ก (1) พ้นื ดนิ และพน้ื นา้ํ เชน แมน ํ้า ลําคลอง ซ่ึงอยูในอาณาเขตของประเทศ (2) ทะเลอันเปนอาวไทย ตามพระราชบัญญัติกําหนดเขตจังหวัดในอาวไทยตอนใน พ.ศ. 2502 (3) ทะเลอันหางจากฝง ทเ่ี ปน ดนิ แดนของประเทศไมเกนิ 12 ไมล (4) พืน้ อากาศเหนอื (1), (2), (3) คําวา “กระทําความผิดในราชอาณาจักร” จึงหมายความวา ความผิดน้ันไดกระทํา ลงในราชอาณาจกั ร และผลของการกระทาํ ความผดิ นน้ั กเ็ กิดในราชอาณาจกั รดวย กรณีกระทําความผดิ ในราชอาณาจกั รน้ี แยกออกเปน 2 ประการคอื 1. กระทําความผดิ ในราชอาณาจักรโดยตรง 2. กรณกี ฎหมายใหถ ือวา กระทาํ ความผิดในราชอาณาจักร 1. กระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 วรรคแรก บัญญัตวิ า “ผใู ดกระทาํ ความผดิ ในราชอาณาจกั ร ตอ งรับโทษตามกฎหมาย” 56 LW 206

ตามบทบัญญัติมาตรา 4 วรรคแรก หลักการพิจารณาวาเปนการกระทํา ความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง คอื 1.1 การกระทาํ และผลของการกระทําเกิดในราชอาณาจกั ร 1.2 ผูกระทาํ หรอื ผูท ่ไี ดร ับผลแหงการกระทําจะเปน คนสญั ชาติไทยหรือไมกต็ าม 1.1 การกระทําและผลของการกระทําเกิดในราชอาณาจักร หมายความวา ท้ังการกระทําและผลของการกระทําจะตองเกิดในราชอาณาจักรเทานั้น เพียงแตการ กระทําหรือผลของการกระทําอยางใดอยางหนึ่งเกิดในราชอาณาจักรยังไมถือวาเปนการ กระทําความผิดที่เกิดในราชอาณาจักรโดยตรง เชน ก. ยิง ข. ท่ีกรุงเทพมหานคร และ ข. ก็ถูกปนตายท่กี รงุ เทพมหานคร เปน การกระทาํ ความผิดที่เกิดในราชอาณาจักรโดยตรง ก. จึงตองรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งใชบังคับอยูในประเทศไทย ก. ยืนอยูฝงลาว ใชปนยิง ข. ซ่ึงยืนอยูฝงไทยถึงแกความตาย เชนน้ีการกระทําเกิดนอกราชอาณาจักร แต ผลเกดิ ในราชอาณาจักร จึงมิใชการกระทําความผิดที่เกิดในราชอาณาจักรโดยตรง แตเปน กรณีที่กฎหมายใหถือวากระทําความผิดท่ีเกิดในราชอาณาจักรโดยตรง แตเปนกรณีท่ี กฎหมายใหถือวากระทําความผิดในราชอาณาจกั รตามมาตรา 5 วรรคแรก 1.2 ผูกระทําหรือผูที่ไดรับผลแหงการกระทําจะเปนคนสัญชาติไทย หรือไมก็ตาม การกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรงน้ี สําหรับผูกระทําหรือผูท่ี ไดรับผลแหงการกระทําน้ีมิไดจํากัดวาจะตองเปนคนสัญชาติใด หากไดกระทําและผลของ การกระทําเกิดในราชอาณาจักรแลว เปนการกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง ตองรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญาซ่ึงใชบังคับอยูในราชอาณาจักรไทย เชน จอหน คนอังกฤษใชปนยิงดําคนไทยที่เชียงใหมถึงแกความตาย ดังน้ีเปนการกระทําความผิดที่ เกิดในราชอาณาจักรโดยตรงแลว จอหนคนอังกฤษตองรับโทษตามประมวลกฎหมาย อาญาซึง่ ใชบงั คับอยูใ นประเทศไทย 2. กรณีกฎหมายใหถือวากระทําความผิดในราชอาณาจักร ซ่ึงบัญญัติอยูใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 วรรค 2, มาตรา 5 และมาตรา 6 แยกพิจารณาไดดงั นี้ 2.1 การกระทําความผดิ ในเรอื ไทย หรอื อากาศยานไทย ไมวาจะอยู ณ ทใ่ี ด 2.2 สวนใดสว นหน่ึงของการกระทาํ ผดิ เกิดในราชอาณาจักร LW 206 57

2.3 ผลของการกระทําความผิดเกิดในราชอาณาจักร 2.4 ตระเตรยี มหรือพยายามกระทาํ ความผดิ ซง่ึ ผลจะเกิดข้ึนในราชอาณาจักร 2.5 ตัวการ ผูสนับสนุน และผูใชใหกระทําความผิดในราชอาณาจักรหรือที่ให ถือวากระทําในราชอาณาจกั ร 2.1 การกระทําความผิดในเรือไทย หรืออากาศยานไทย ไมวาจะอยู ณ ที่ใด คําวา “เรือไทยหรืออากาศยานไทย” นี้ กฎหมายมิไดจํากัดถึงชนิดไว จึง ตองหมายความวาตองรวมถึงเรือและอากาศยาน ซึ่งใชในการรบของกองทัพไทยและเรือ หรืออากาศยานพาณชิ ย ซ่ึงข้นึ ทะเบยี นและชักธงไทยดวย คําวา “ไมวาจะอยู ณ ที่ใด” หมายความวา เรือหรืออากาศยานไทยนี้ได แลนออกไปพนราชอาณาจักรแลว กําลังเกินทางอยูหรือไปจอดอยู ณ ที่ใด นอก ราชอาณาจกั ร การกระทําความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยนี้ หมายถึง ท้ังการ กระทําและผลของการกระทําความผิดไดเกิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย หรือเพียง สวนหน่ึงสวนใดของความผิดไดเกิดข้ึนในเรือนไทยหรืออากาศยานไทย และผูกระทํา ความผิดหรือผูไดรับผลแหงการกระทําความผิดน้ันจะเปนคนสัญชาติใดก็ตาม ขอสําคัญ อีกอันหนึ่งก็คือเรือไทยหรืออากาศยานไทยขณะเกิดเหตุจะตองอยูนอกราชอาณาจักร ถาขณะเกิดเหตุหรือเรืออากาศยานไทยนั้นอยูในราชอาณาจักรไทย ก็เปนการกระทํา ความผิดในราชอาณาจักรโดยตรงตามมาตรา 4 วรรคแรก หรือกรณีกระทําความผิดในเรือ หรือ อากาศยานตางประเทศขณะจอดเรือหรือผานราชอาณาจักรไทย ก็เปนการกระทํา ความผิดในราชอาณาจักรไทยโดยตรงตามมาตรา 4 วรรคแรกเชนกัน ตัวอยางที่ 1 ขณะท่ีเรือสินคาไทยลําหน่ึงจอดเทียบทาอยูท่ีทาเรือ ฮองกง นายเซียชาวจีนไดลอบข้ึนมาลักทรัพยบนเรือสินคาไทย ดังน้ีถือวานายเซียกระทํา ความผิดในราชอาณาจักร ศาลไทยมีอํานาจพิจารณาพิพากษาลงโทษนายเซียไดตาม มาตรา 4 วรรค 2 ตัวอยางท่ี 2 ในระหวางท่ีเคร่ืองบินของบริษัทเดินอากาศไทยกําลังบิน โฉมหนาจะไปฮองกง ในระหวางท่ีบินอยูเหนือประเทศกัมพูชาพนอาณาเขตไทยแลว 58 LW 206

ตัวอยางท่ี 3 ขณะที่เคร่ืองบินของบริษัทสิงคโปรแอรไลนจอดรับ ผูโดยสารอยูท่ีทาอากาศยานกรุงเทพมหานคร นายฮิมชาวลังกาไดชิงทรัพยนายชิโดชาว ญ่ีปุนบนเครื่องบินนั้น ดังน้ีเปนการกระทําในราชอาณาจักรโดยตรง ศาลไทยมีอํานาจ พจิ ารณาและพพิ ากษาลงโทษนายฮมิ ชาวลงั กาไดตามมาตรา 4 วรรคแรก ขอสังเกต การกระทําความผิดในสถานทูตตางประเทศท่ีตั้งอยูใน ประเทศไทยเปนการกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง สวนการกระทําความผิดใน สถานทูตไทยที่ต้ังอยูในตา งประเทศไมใชเปนการกระทาํ ความผดิ ในราชอาณาจักรโดยตรง หรอื ทีก่ ฎหมายใหถือวากระทําความผดิ ในราชอาณาจักร 2.2 สวนใดสวนหนงึ่ ของการกระทําผดิ เกดิ ในราชอาณาจกั ร การกระทําแมแตสวนใดไดกระทําในราชอาณาจักร ในขอนี้ถือเอาการ กระทาํ เปน หลักวา แมก ารกระทําผิดนั้นมิไดเกิดข้ึนภายในราชอาณาจักรท้ังหมด กลาวคือ บางสวนทําในราชอาณาจักร แตบางสวนทํานอกราชอาณาจักร กฎหมายใหถือวายังเปน การกระทําภายในราชอาณาจักร เชน ขบวนรถไฟแลนระหวางกรุงเทพมหานครกับปนัง คนรายไดซื้อต๋ัวติดตามผูโดยสารคนหนึ่งไปจากกรุงเทพฯ พอรถไฟแลนถึงท่ีหาดใหญ คนรายก็แอบใชยาเบ่ือเคลาใสอาหารใหคนโดยสารรับประทาน เปนเหตุใหผูน้ันหลับไมได สติจนรถไฟไปถึงปนัง พอรถไฟจอดท่ีสถานีปนัง คนรายก็ลักทรัพยตาง ๆ ซึ่งติดตัว ผูโดยสารน้ันไป การลักทรัพยนนั้ ไปเกดิ นอกราชอาณาจักร แตกฎหมายใหถือวาไดกระทํา ความผิดในราชอาณาจักร เพราะการกระทําสวนหน่ึงคือการใสยาเบื่อลงในอาหารใหคน โดยสารรบั ประทานไดก ระทาํ ในราชอาณาจักร ศาลไทยจงึ มีอาํ นาจลงโทษได ท่ีวาการกระทําสวนหนึ่งสวนใดเกิดในราชอาณาจักรนี้ ไมไดหมายความ เฉพาะแตผูกระทําความผิดจะตองกระทําการนั้นดวยมือตนเองเสมอไป ยังหมายความ รวมถึงการใชสิ่งใดเปนเคร่ืองมือและการใหคนซึ่งมิไดรวมกระทําความผิดดวยเปน เครื่องมือ เชน ใชจดหมายท่ีสงไปรษณียหลอกลวงฉอโกง การกระทําท่ีเปนการหลอกลวง ดวยแสดงขอความอันเปนเท็จ มิใชจะเกิด ณ ท่ีที่ผูกระทําความผิดเขียนจดหมายเทาน้ัน LW 206 59

การกระทําความผิดประเภทตอเนื่องหรือเปนปกติธุระ หรือการกระทํา ความผิดที่ยืดออกไปตลอดเวลาและทุกแหงท่ีมีการกระทํา ถือวาเปนการกระทําสวนหน่ึง แหง ความผิดอยูทกุ ขณะทุกแหง ที่มีการกระทาํ นั้น2 2.3 ผลของการกระทาํ ความผิดเกดิ ในราชอาณาจักร กรณีที่การกระทําไดเกิดข้ึนนอกราชอาณาจักร แตผลของการกระทํานั้น ไดเกดิ ในราชอาณาจักร มีดังน้ี คือ ก. โดยผกู ระทาํ ประสงคใ หผลนน้ั เกดิ ขน้ึ ในราชอาณาจักร ข. โดยลักษณะแหงการกระทาํ ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ นัน้ ควรเกดิ ในราชอาณาจักร ค. โดยลักษณะแหงการกระทํา ยอมจะเล็งเห็นไดวาผลน้ันจะเกิดใน ราชอาณาจกั ร ก. โดยผูกระทําประสงคใหผลนั้นเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หมายความวา แมการกระทําจะไดเกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักรก็ดี แตถาผลน้ันไดเกิด ในราชอาณาจักรโดยผูกระทําประสงคแลว ก็ถือวากระทําในราชอาณาจักร เชน ก. ยืนอยู ฝงประเทศลาว มีเจตนาจะฆา ข. ซึง่ ยนื อยูเ ขตฝง ไทย จึงใชปนยิงมาถูก ข. ตาย จะเห็นวา การกระทําน้ันไดลงมือกระทํานอกราชอาณาจักร แตผลคือความตายของ ข. เกิดขึ้นใน ราชอาณาจกั ร โดย ก. ประสงคใหผ ลนั้นเกดิ ขน้ึ ก. จงึ ตอ งรบั โทษตามกฎหมายไทย ข. โดยลักษณะแหงการกระทํา ผลท่ีเกิดขึ้นน้ันควรเกิดใน ราชอาณาจักร ในขอนี้ตางกับในขอที่แลว ในขอท่ีแลวถือเอาเจตนาของผูกระทําเปน สําคัญ สวนในขอนี้ถือเอาลักษณะแหงการกระทําเปนสําคัญ กลาวคือ โดยลักษณะแหง การกระทําเชนน้ัน แมกระทํานอกราชอาณาจักร แตผลควรจะเกิดในราชอาณาจักร ซ่ึง สวนมากจะเปนการกระทําโดยประมาท เชน นายเข็มชนชาติเขมรอยูท่ีชายแดนติดตอ 1จติ ติ ติงศภัทิย, ศาสตราจารย, อางแลว. LW 206 2จติ ติ ติงศภัทยิ , ศาสตราจารย, อา งแลว . 60


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook