บทที่ 4 การใชกฎหมายอาญา สว นที่ 1 เวลาทกี่ ฎหมายอาญาใชบ งั คับ มีหลักท่ัวไปของกฎหมายอาญาวา กฎหมายไมมีผลหลัง คําวา “กฎหมายไมมีผล ยอนหลัง” หมายความวากฎหมายจะไมยอนหลังไปใชบังคับแกขอเท็จจริงหรือเหตุการณ ซึ่งเกิดข้นึ กอ นวนั ทก่ี ฎหมายใชบังคับ สําหรับกฎหมายอาญา การที่กฎหมายอาญาจะไมมี ผลยอนหลังจึงหมายความวากฎหมายอาญาจะไมมีผลยอนหลังไปลงโทษบุคคลหรือเพ่ิม โทษบุคคลใหหนักยิ่งขึ้น1 เพราะฉะน้ันการกระทําที่บุคคลจักตองรับโทษอาญามักจะตอง เปนการกระทําผิดตอกฎหมายท่ีใชอยู “ในขณะกระทํานั้น” ถาในขณะกระทําน้ันไมมี กฎหมายบัญญัติเปนความผิดและกําหนดโทษไว แตมาบัญญัติในภายหลังวาการกระทํา เชนน้ันเปนความผิด ก็จะยอนไปลงโทษผูกระทําไมได เพ่ือใหเปนไปตามหลักท่ีวา กฎหมายอาญาไมมีผลยอนหลัง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 จึงบัญญัติวา “บุคคล จักตอ งรบั โทษในทางอาญาตอ เมื่อไดกระทําการอันกฎหมายท่ีใชในขณะกระทํานั้นบัญญัติ เปนความผิดและกําหนดโทษไวและโทษที่จะลงแกผูกระทําความผิดนั้น ตองเปนโทษที่ บัญญัติไวในกฎหมาย” และรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 บัญญัติวา “บุคคลจะไมตองรับโทษอาญา เวนแตจะไดกระทําการอันกฎหมายซ่ึงใชอยู ในเวลาที่กระทําน้ันบัญญัติเปนความผิดและกําหนดโทษไว และโทษท่ีจะลงแกบุคคลนั้น จะหนักกวาโทษที่กําหนดไวใ นกฎหมายซง่ึ ใชเวลาทกี่ ระทาํ ความผิดมไิ ด” ท่ีวา “ไดกระทําการอันกฎหมายท่ีใชในขณะกระทําน้ันบัญญัติเปนความผิด ฯลฯ หมายความวาการกระทําอันท่ีเปนองคความผิดตองไดกระทําในระหวางท่ีกฎหมายซ่ึง บัญญัติความผิดข้ึนนั้นกําลังใชบังคับอยู ถาหากการกระทําบางอันกระทําเม่ือกฎหมาย บัญญัติความผิดขึ้นแลว แตบางอันกระทําเมื่อยังไมมีกฎหมายบัญญัติเชนน้ัน ทําใหการ กระทําเม่ือกฎหมายบัญญัติความผิดข้ึนแลวไมครบองคความผิด นอกจากจะนําเอาการ 1หยดุ แสงอุทัย, ศาสตราจารย ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, อา งแลว, หนา 35. 38 LW 206
จึงสรุปไดวา บุคคลจะรับโทษอาญาตอเมือ่ 1. กระทําการทกี่ ฎหมายบญั ญัตวิ าเปน ความผิด และ 2. กฎหมายนั้นกําหนดไว (โทษท่ีจะลงแกผูกระทําผิดจะตองเปนโทษท่ีบัญญัติไว ในบทกฎหมายนัน้ ) จากหลัก 2 ประการน้ี จึงแยกอธิบายได 3 ประการคอื 1. มีกฎหมายแลว หมายความวา ขณะกระทําน้ันตองมีกฎหมายบัญญัติวา การ กระทําน้ันเปนความผิด หากในขณะกระทําไมมีกฎหมาย ภายหลังจะออกกฎหมาย ยอนหลัง โดยถือวาการกระทําน้ันเปนความผิดมิได กลาวคือ จะลงโทษทางอาญาแก บุคคลใดไดก็ตอเมื่อเขาไดกระทําการท่ีกฎหมายซ่ึงใชอยูขณะท่ีเขากระทํานั้น บัญญัติวา การกระทํานั้นเปนความผิด และกําหนดโทษไว ท้ังนี้เปนไปตามสุภาษิตกฎหมายที่วา NULLUM SINE LEGE NULLA POENNA SINE LEGE1 (แปลตามตัวไดวา ไมมี ความผิดโดยไมมกี ฎหมาย ไมมโี ทษโดยไมมีกฎหมาย) คําวา “กฎหมาย” หมายความวา กฎหมายลายลักษณอักษร ไดแกบท กฎหมายท่ีตราขึ้นโดยอํานาจนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ เชน ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกําหนดท่ีมีพระราชบัญญัติอนุมัติในภายหลัง กฎกระทรวง ประกาศหรือคาํ สัง่ ที่ออกตามพระราชบัญญตั ิ 1ดร.อุทศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนยบริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525), หนา 301. LW 206 39
คําวา “ขณะกระทาํ ความผดิ ” คอื ขณะใด1 1. ขณะลงมอื 2. ขณะผลเกิดขึน้ 3. ถอื เอาทัง้ ขณะลงมอื และขณะผลเกิดขนึ้ เปน ขณะกระทําความผิด 2โดยท่ัวไปแลวตองถือวากฎหมายที่ใชอยูในขณะกระทําความผิดคือ กฎหมายท่ีใชในขณะลงมือกระทําความผิด ไมใชกฎหมายท่ีใชอยูในขณะท่ีผลแหงการ กระทําความผิดเกิดขึ้น เชน แดงเขียนจดหมายมีขอความหม่ินประมาทดําสงไปจังหวัด เชียงใหม ขณะท่ีเขียนกฎหมายกําหนดโทษไวเล็กนอย สมมติวาเม่ือจดหมายไปถึงผูรับท่ี เชยี งใหมม ีกฎหมายเพิม่ โทษสงู ข้นึ ถา จะถอื วา ขณะท่กี ระทําความผดิ คือขณะท่ีผลของการ กระทําเกิดข้ึนก็ตองถือวาความผิดเกิดขึ้นเมื่อจดหมายถึงผูรับที่เชียงใหม และเห็นไดชัด วาการท่ีจะเอากฎหมายท่ีเพ่ิมโทษสูงมาลงโทษแดงที่ลงมือเขียนจดหมายมากอน ประกาศใชกฎหมายท่ีเพิ่มโทษใหสูงขึ้นน้ัน ยอมไมเปนความยุติธรรมแกแดง ซึ่งถาใช กฎหมายในขณะทแี่ ดงลงมอื เขยี นจดหมายหม่ินประมาท แดงกจ็ ะไดรับโทษเบา จากหลักดังกลาวขางตน กฎหมายอาญาเม่ือบัญญัติข้ึนประกาศใชและมี ผลบังคับแลว ตั้งแตน้ันไปผูใดกระทําการอยางที่กฎหมายอาญาฉบับนั้นบัญญัติหามไว ก็ จะมีความผิดและถูกลงโทษ กฎหมายอาญาจึงบัญญัติขึ้นมาใหมีผลบังคับในปจจุบันและ อนาคตเทา นั้น ดังนั้น การกระทําที่เปนความผิดนี้ไมวาความผิดท่ีหามมิใหบุคคลกระทํา หรือความผิดที่บังคับใหบุคคลกระทําน้ีจะตองมีองคประกอบของการกระทําและ องคประกอบของจิตใจจึงจะเปนความผิด เชน เร่ืองลักทรัพย องคประกอบของการกระทํา คือเอาทรพั ยข องผอู ่นื ไป องคป ระกอบของจิตใจกค็ อื มีเจตนาทุจริต 2. โทษท่ีจะลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ไดกําหนดโทษที่จะลงแก ผูกระทําความผิดไว 5 สถานคือ ประหารชีวิต จําคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพยสิน ซึ่งโทษ เหลาน้ีจะลงแกผูกระทําความผิดไดตอเมื่อไดกระทําการท่ีกฎหมายซ่ึงใชอยูขณะท่ีกระทํา นนั้ เปน ความผิดและกาํ หนดโทษไวในกฎหมายทใี่ ชใ นขณะกระทาํ ความผิดนัน้ 1หยุด แสงอทุ ัย, ศาสตราจารย ดร., กฎหมายอาญาภาคท่วั ไป, อา งแลว, หนา 36. 2หยดุ แสงอุทัย, ศาสตราจารย ดร., อางแลว , หนา 36. 40 LW 206
หลกั เกณฑส าํ คัญตามมาตรา 2 วรรคแรกแหงประมวลกฎหมายอาญามดี ังนี้ 1. กฎหมายอาญาจะยอ นหลังใหเปนผลรายมิได 2. กฎหมายอาญาจะตองบญั ญตั ไิ วเ ปน ลายลกั ษณอกั ษรใหแนนอนและชัดเจน 3. กฎหมายอาญาจะตองตคี วามโดยเครงครดั 1. กฎหมายอาญาจะยอนหลังใหเปนโทษมิได หมายความวา กฎหมาย อาญาจะใชบังคับไดในขณะกระทําเทาน้ัน หากในขณะกระทําไมมีกฎหมายบัญญัติเปน ความผิด ตอมาจะมีการออกกฎหมายยอนหลังใหการกระทํานั้นเปนความผิดไมได หรือ ในขณะกระทําน้ันไดมีกฎหมายบัญญัติเปนความผิดและกําหนดโทษไว ตอมาจะออก กฎหมายยอนหลังเพ่มิ โทษการกระทาํ ดงั กลาวใหหนกั ขึน้ มไิ ด 2. กฎหมายอาญาจะตองบัญญัติไวเปนลายลักษณอักษรใหแนนอนและ ชัดเจน เน่ืองจากในมาตรา 2 แหงประมวลกฎหมายอาญาใชคําวา “บัญญัติเปนความผิด” ฉะนั้นกฎหมายอาญาที่บัญญัติมาใชบังคับจึงตองบัญญัติใหแนนอนและชัดเจนไม คลุมเครือ เพื่อผปู ฏบิ ตั ิตามกฎหมายจะไดรูลวงหนาวาการกระทําหรืองดเวนกระทําใดเปน ความผิดหรือไม สําหรับดานผูใชกฎหมายจะเปนการสะดวกในทางปฏิบัติและการใช ดลุ พนิ จิ ตามใจตนเองไมได ตอ งเปน ไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติไว 3. กฎหมายอาญาจะตองตีความโดยเครงครัด เมื่อกฎหมายอาญาได บัญญัติโดยแนนอนและชัดเจนแลวเวลาจะใชกฎหมายอาญาบังคับจะตองตีความโดย เครงครดั ตามตวั อกั ษร หลักการตีความโดยเครง ครดั น้ี หมายความวา 1 ก. จะนําบทกฎหมายใกลเ คียง (Analogy) มาใชใหเ ปนผลรา ยมไิ ด ข. จะนาํ จารตี ประเพณมี าใชใ หเ ปน ผลรา ยมไิ ด 1เกียรติขจร วจั นะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติท่วั ไป (กรงุ เทพมหานคร: คณะนติ ศิ าสตร มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร, 2524), หนา 20-25. LW 206 41
หลักที่วากฎหมายอาญาไมมีผลยอนหลังน้ัน เคยกลาวมาแลววามิใหมีผล ยอนหลังไปเปนผลรายแกผูกระทําความผิด แตถาบัญญัติไวใหยอนหลังไปในทางท่ีเปน ผลดีก็ไมอยูในขอหาม โดยเหตุน้ีประมวลกฎหมายอาญาจึงไดมีบทบัญญัติยกเวน หลกั เรือ่ งกฎหมายมีผลยอ นหลงั อยสู องกรณีดงั ตอไปนี้ คอื 1. กรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลัง การกระทําน้ันไมเปน ความผิดตอไป และ 2. กรณีที่กฎหมายใชในขณะกระทําความผิดแตกตางกับกฎหมายที่ใชใน ภายหลังการกระทาํ ความผดิ 1. กรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลัง การกระทําน้ัน ไมเปนความผิดตอไป ประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติไวในมาตรา 2 วรรค 2 วา “ถาตามบทบัญญัติของกฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลัง การกระทําเชนนั้นไมเปนความผิด ตอ ไป ใหผ ทู ่ีไดก ระทาํ การนัน้ พนจากการเปน ผกู ระทําความผิด และถาไดมีคําพิพากษาถึง ท่ีสุดใหลงโทษแลว ก็ใหถือวาผูนั้นไมเคยตองคําพิพากษาวาไดกระทําความผิดนั้น ถารับ โทษอยกู ็ใหการลงโทษนนั้ สน้ิ สดุ ลง” ตามความในมาตรา 2 วรรค 2 นี้ เปนเรื่องบทบัญญัติของกฎหมายใน ภายหลังไดยกเลิกกฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิด ซ่ึงการยกเลิกนี้อาจยกเลิก โดยตรงโดยระบุขอความใหยกเลิกกฎหมายเกาไวในกฎหมายใหมก็ได หรืออาจเปนแต เพียงกฎหมายใหมมีขอ ความทับหรอื ขดั แยง กับกฎหมายเกาก็ได ปญหาวาถามีการยกเลิกพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศ หรือ คําสั่งเทศบัญญัติ หรือขอบังคับท่ีออกตามพระราชบัญญัติ แตตัวพระราชบัญญัตินั้นเอง ยังคงอยูตามเดิมไมมีการเปลี่ยนแปลงเชนนี้ จะมีผลตามมาตรา 2 วรรค 2 นี้ดวยหรือไม ปญหาน้ีเขาใจวาคงไมถือเครงครัดวาส่ิงท่ียกเลิกนั้นจะตองเปนบทบัญญัติแหงกฎหมาย เทานั้น แมจะยกเลิกแตส่ิงท่ีบัญญัติขึ้นตามอํานาจพระราชบัญญัติก็ใชบังคับตามมาตรา 2 วรรค 2 ได เชน ทําความผิดตอพระราชกฤษฎีกาควบคุมการจําหนายรํา พ.ศ. 2486 ออก ตามความในพระราชบัญญัติมอบอํานาจใหรัฐบาลในภาวะคับขัน พ.ศ. 2485 ถาตอมา พระราชกฤษฎีกาน้ันยกเลิกไป สิทธิฟองรองคดีนั้นก็ระงับไป การตีความคําวากฎหมาย 42 LW 206
กรณตี ามมาตรา 2 วรรค 2 มีบทบัญญัติแหงกฎหมายในภายหลังยกเลิก ความผิดแหง กฎหมายท่ใี ชใ นขณะกระทํานั้น ผลคอื 1) ผูที่ไดกระทําการนั้นพนจากความผิดโดยอัตโนมัติ เชน ผูท่ีกระทํา ความผิดชําเราผิดธรรมดามนุษย อันเปนความผิดตามมาตรา 242 แหงกฎหมายลักษณะ อาญา แตตามประมวลกฎหมายอาญา การกระทําชําเราผิดธรรมดามนุษยนี้หาเปน ความผิดตอกฎหมายไม เมื่อเปนเชนน้ีถาบุคคลใดกระทําความผิดฐานกระทําชําเราผิด ธรรมดามนุษยในขณะใชกฎหมายลักษณะอาญา เมื่อถึงวันที่ประมวลกฎหมายอาญาใช บังคับ (วันท่ี 1 มกราคม 2500) ผูน้ันพนจากการเปนผูกระทําความผิด ถาส่ังจับหรือตาม จับตัวอยู ใหเปนอันระงับไมจับตัวตอไป หรือถากําลังสอบสวนใหปลอยตัวไป ถากําลัง พิจารณาในศาลก็ใหปลอยตัวไปเชนกัน หรือถาถูกคุมขังอยูในอํานาจศาลศาลก็ตองปลอยตัว ผนู ัน้ ไป 2) ในกรณีที่มีคําพิพากษาถึงที่สุดใหลงโทษแลว ก็ใหถือวาผูนั้นไมเคย ตองคําพิพากษาวาไดกระทําความผิด หมายความวา ถาบุคคลใดเคยตองคําพิพากษาถึง ที่สุดใหลงโทษ ก็ถือวาผูน้ันไมเคยตองคําพิพากษาวากระทําความผิด ทั้งน้ีเพื่อใหบุคคล น้ันกลับเปนผูบริสุทธิ์อีกครั้ง และถาหากกําลังรับโทษอยู ก็ใหการลงโทษน้ันส้ินสุดลงโดย ปลอยตัวผูน้ันไป ตัวอยางเชน โจทกฟองจําเลยขอหาพยายามฆาและมีอาวุธปนผิด กฎหมายไวในครอบครอง ศาลชั้นตนพิพากษาวาจําเลยผิดทั้งสองฐาน แตลงโทษฐาน พยายามฆาอันเปนกระทงหนัก จําเลยอุทธรณเฉพาะขอหาพยายามฆา แตระหวาง พิจารณาของศาลอุทธรณ มีพระราชบัญญัติอาวุธปนฯ (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2510 ออกมาให ผูมีอาวุธปนไปขออนุญาตภายใน 90 วัน โดยไมตองรับโทษ เม่ือศาลอุทธรณยกฟองท้ัง สองขอหาและโจทกฎีกาคัดคานขึ้นมา ดังน้ีแมความผิดฐานมีอาวุธปนจะถึงที่สุดแลว แต โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟองฐานพยายามฆา เม่ือจะลงโทษฐานมีอาวุธปนซึ่งศาลชั้นตนมิได กําหนดโทษฐานน้ีไว คดีก็ตองบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติวา แมค ดีถงึ ทส่ี ุดแลว ก็ใหถือวาผูน้ันไมเคยตองคําพิพากษาวาไดกระทําผิด จึงเปนอันวาศาล ฎีกาจะกําหนดโทษใหลงแกจําเลยในความผิดฐานนี้อีกไมได (คําพิพากษาฎีกาท่ี 289/2512) LW 206 43
ขอสังเกต มาตรา 2 วรรค 2 น้ี ใชบังคับต้ังแตกอนฟอง กอนมี คาํ พพิ ากษาและตลอดไปจนถึงกรณีทไี่ ดม ีคําพิพากษาถึงที่สุดใหลงโทษแลวดวย กลาวคือ การสอบสวนฟอง หรือพิจารณาพิพากษาคดีตองยุติลงเม่ือยกเลิกความผิดตามกฎหมาย เกา แมมีคําพิพากษาถงึ ท่ีสดุ แลวการบังคับคดีเฉพาะในเรื่องลงโทษตามคําพิพากษาก็ยุติ ลงเพยี งนัน้ 2. กรณีที่กฎหมายใชในขณะกระทําความผิดแตกตางกับกฎหมายที่ ใชในภายหลังกระทําความผิด หมายความวา ท้ังกฎหมายเกาและใหมยังเปนความผิด อยู ประมวลกฎหมายอาญาจึงบัญญัติใหใชกฎหมายในสวนท่ีเปนคุณมาบังคับ ดังท่ีได บัญญัติไวในมาตรา 3 ความวา “ถากฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิดแตกตางกับ กฎหมายที่ใชภายหลังการกระทําความผิด ใหใชกฎหมายในสวนที่เปนคุณแกผูกระทํา ความผดิ ไมวา ในทางใด เวนแตค ดีถงึ ท่ีสุดแลว แตในกรณีคดถี งึ ท่สี ุดแลว ดังตอ ไปน้ี (1) ถาผูกระทําความผิดยังไมไดรับโทษ หรือกําลังรับโทษอยู และโทษ ที่กําหนดตามคําพิพากษาหนักกวาโทษท่ีกําหนดตามกฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลัง เม่ือ สํานวนความปรากฏแกศาล หรือเมื่อผูกระทําความผิด ผูแทนโดยชอบธรรมของผูนั้น ผูอนุบาลของผูนั้น หรือพนักงานอัยการรองขอใหศาลกําหนดโทษเสียใหมน้ี ถาปรากฏวา ผูกระทําความผิดไดรับโทษมาบางแลว เมื่อไดคํานึงถึงโทษตามกฎหมายที่บัญญัติใน ภายหลังหากเห็นเปนการสมควร ศาลจะกําหนดโทษนอยกวาโทษข้ันตํ่าท่ีกฎหมาย บัญญัติในภายหลังกําหนดไวถาหากมีก็ได หรือถาเห็นวาโทษท่ีผูกระทําความผิดไดรับ มาแลว เปนการเพียงพอ ศาลจะปลอ ยผกู ระทาํ ความผดิ ไปก็ได (2) ถาศาลพิพากษาใหประหารชีวิตผูกระทําความผิด และตาม กฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง โทษที่จะลงแกผูกระทําความผิด และตามกฎหมายที่ บัญญัติในภายหลัง โทษที่จะลงแกผูกระทําความผิดไมถึงประหารชีวิต ใหงดการประหาร ชีวิตผูกระทําความผิด และใหถือวาโทษประหารชีวิตตามคําพิพากษาไดเปล่ียนเปนโทษ สูงสดุ ท่ีจะพงึ ลงไดตามกฎหมายทีบ่ ัญญัตภิ ายหลัง” ตามความในมาตรา 3 นี้ ถากฎหมายท่ีใชในขณะกระทําความผิด กับกฎหมายท่ีใชภายหลังกระทําความผิดแตกตางกัน ใหใชกฎหมายสวนท่ีเปนคุณบังคับ สาํ หรับกรณที กี่ ฎหมายแตกตางและเปน คณุ กวา เชน 44 LW 206
1. ประเภทของโทษยอมหนักเบากวากันตามลําดับในมาตรา 18 กลาวคือ ตองถือโทษประหารชีวิตหนักกวาโทษจําคุก โทษจําคุกหนักกวาโทษกักขัง โทษ กักขังหนักกวาโทษปรับ และโทษปรับหนักกวาโทษริบทรัพยสิน เชน ตามกฎหมาย ลกั ษณะอาญา มาตรา 339(2) โทษจาํ คกุ ไมเ กิน 10 วัน หรือปรับไมเกิน 500 บาท หรือทั้ง จําทั้งปรับ ตามกฎหมายใหมมีโทษปรับอยางเดียวคือไมเกิน 500 บาท กฎหมายใหม มาตรา 393 เปน คณุ กวา 2. อัตราโทษ ก. อัตราโทษประเภทเดียวกัน ตองถือตามอัตราโทษชั้นสูงที่ กําหนดไวในกฎหมาย มิใชดูแตกําหนดโทษที่จะลงแกผูกระทําความผิด ซ่ึงใชกฎหมายท่ี อตั ราโทษช้ันสงู เบากวาลงโทษ ข. อัตราโทษชั้นสูงในประเภทเดียวกันเทากัน เชนโทษจําคุก อยางสงู เทา กนั แตกฎหมายเกาลงโทษทั้งจาํ ท้ังปรับ กฎหมายใหมเปนโทษจําคุกหรือปรับ หรือทั้งจําท้ังปรับไดสามสถาน วินิจฉัยวากฎหมายใหมเปนคุณแกผูกระทําความผิด มากกวา (คาํ พิพากษาฎีกาที่ 313/2500) ค. อัตราโทษอยางสูงจําคุกไมเกิน 10 ปเทากัน แตกฎหมาย เกามีโทษขั้นตํ่า 5 ป กฎหมายใหมไมมีโทษข้ันต่ํา วินิจฉัยวากฎหมายใหมเปนคุณแก ผูกระทําความผิดมากกวา ตองใชกฎหมายใหม เม่ือจําเลยรับสารภาพ โจทกไมตอง สืบพยานประกอบศาลก็พจิ ารณาลงโทษจําเลยได (คําพพิ ากษาฎีกาที่ 1303/2503) 3. กฎหมายที่กําหนดใหบุคคลรับผิดในทางอาญานอยกวา เชน กฎหมายในขณะกระทําความผิดเพียงแตกระทําโดยประมาทก็เปนความผิด แตกฎหมาย ในภายหลังตองกระทาํ โดยเจตนาจงึ เปน ความผิด กฎหมายใหมเปนคณุ กวา 4. เหตุเพิ่มโทษฐานไมเข็ดหลาบ ถาไมตองดวยกฎหมายทั้งเกา และใหมท่ีจะเพ่ิมโทษ ก็เพ่ิมโทษไมได (คําพิพากษาฎีกาที่ 309/2500) ถาอัตราการเพิ่ม โทษตางกนั ก็ตองเพม่ิ ตามกฎหมายท่ีเบากวา 5. เหตุยกเวนหรือลดโทษ ถามีในกฎหมายขณะกระทําความผิด หรือกอนพิพากษาคดี ยอมนํากฎหมายท่ีเปนคุณแกผูกระทําความผิดมากท่ีสุดมาใชได (คําพิพากษาฎีกาที่ 1336/2494) LW 206 45
6. กฎหมายเกาและกฎหมายใหมบัญญัติวาการกระทําความผิด ใดเปนความผิดอันยอมความได กฎหมายที่บัญญัติเชนน้ันยอมเปนคุณแกผูกระทํา ความผิดมากกวา กฎหมายท่มี ิไดบ ญั ญตั เิ ชน น้นั 7. อายุความ กฎหมายทก่ี ําหนดอายุความสั้นกวา ยอ มเปน คณุ กวา การใชกฎหมายในสวนที่เปนคุณนี้ จะใชเฉพาะกอนคดีถึงที่สุด เทา นน้ั แตป ระมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรค 2 ก็ไดบัญญัติยกเวนใหใชกฎหมายใน สว นทเ่ี ปนคุณแมคดจี ะถึงท่ีสดุ แลว ไว 2 กรณี คอื ก. กรณีท่ีผูกระทําความผิดตองคําพิพากษาใหรับโทษอยาง อน่ื นอกจากโทษประหารชวี ติ 1. ผูกระทําความผิดยังไมไดรับโทษ หรือกําลังรับโทษ ตามคาํ พิพากษาอยู ถา ผูก ระทําความผิดรับโทษไปแลว ก็ไมมีการเปลี่ยนแปลง เชน ชําระ คาปรับไปแลวเทาใดไมมีการรื้อฟนคืนคาปรับ จะมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะโทษท่ียังไมได รบั เทานัน้ 2. โทษท่ีกําหนดตามคําพิพากษาสูงกวาโทษท่ีกําหนด ตามกฎหมายใหม ตองถือตามโทษที่กําหนดใหลงแกจําเลยในผลสุดทายหลังจากลดโทษ แลว อันไหนเปนคณุ กวา ใหใชอันน้นั ทั้งขอ 1 และ ขอ 2 น้ี ถาสํานวนความนัน้ 1) ศาลเหน็ เอง 2) ผกู ระทาํ ผดิ รองขอ 3) ผแู ทนโดยชอบธรรมของผูก ระทําความผดิ รองขอ 4) ผอู นุบาลของผกู ระทําความผดิ รองขอ 5) พนักงานอัยการรอ งขอ ใหศาลกําหนดโทษที่จะลงแกผูนั้นตอไปเสียใหมตามอัตรา โทษที่บัญญัติภายหลังโดยคํานึงถึงโทษท่ีผูนั้นไดรับมาแลวประกอบดวย ซึ่งศาลอาจ กําหนดโทษนอยกวาโทษขนั้ ตํา่ ก็ได หรอื ถา รบั โทษมาพอแลวจะปลอ ยตวั ไปเลยกไ็ ด ข. กรณีผูกระทําความผิดตองคําพิพากษาใหลงโทษประหาร ชีวิต หมายความวา ผูกระทําความผิดตองคําพิพากษาถึงท่ีสุดใหลงโทษประหารชีวิตตาม กฎหมายท่ีใชในขณะกระทําความผิด หากในระหวางท่ียังไมไดลงโทษไดมีกฎหมายใหม 46 LW 206
ขอสังเกต มาตรา 2 วรรค 2 กับมาตรา 3 ตางกันที่วา มาตรา 2 วรรค 2 เปน เร่ืองกฎหมายใหมบัญญัติยกเลิกหรือมีขอความทับหรือแยงกับกฎหมายที่ใชในขณะ กระทําความผิดเสียทีเดียว แตมาตรา 3 เปนเร่ืองบทบัญญัติแหงกฎหมายภายหลังกระทํา ความผิดและกฎหมายที่ใชในขณะกระทําความผิดนั้นตางก็ยังมีความผิดอยู เพียงแต กฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลังไดแกไขหรือเปล่ียนแปลงอันเปนคุณ ก็ใชกฎหมายใหม บังคับ หากกฎหมายท่ีใชในขณะกระทําความผิดเปนคุณกวา ก็ใชกฎหมายในขณะกระทํา ผิดบงั คับ ตัวอยางคาํ พิพากษาฎกี าเกี่ยวกับมาตรา 2 คําพิพากษาฎีกาท่ี 1294/2510 ศาลพิพากษาถึงท่ีสุดจําคุกจําเลย ตาม พ.ร.บ. อาวุธปน ฯ 2 ป ระหวา งรับโทษมี พ.ร.บ.อาวุธปนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 5 ใหนํา ปนไปมอบแกนายทะเบียนภายใน 90 วัน แลวไมตองรับโทษ ดังน้ีไมไดบัญญัติวาไมเปน ความผดิ ตอไป จึงปลอ ยตวั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 2 ไมไ ด คําพิพากษาฎีกาท่ี 883/2520 จําเลยมีอาวุธปนระหวางพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.อาวุธปนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3, 4 ใหนําปนมาขอจดทะเบียนไดใน 90 วนั โดยไมตอ งรบั โทษ ศาลฎกี าพิพากษาเมอ่ื พน 90 วัน แลวใหจาํ เลยไดยกเวน โทษ คําพิพากษาฎีกาท่ี 1869/2521 ประกาศของคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 12 วันที่ 7 ตุลาคม 2519 ยกเวนโทษแกผูนําอาวุธปนที่ใชเฉพาะสงครามไปมอบเจาหนาที่ ไมคุมครองถึงกรณีท่ีมีอาวุธปนเพื่อการคา คําพิพากษาฎีกาที่ 2433/2522 ประกาศ รัฐมนตรกี าํ หนดเขตควบคุมการแปรรูปไมไมใชกฎหมาย เปนขอเท็จจริงที่โจทกตองนําสืบ วา ประกาศเปนเขตควบคมุ แลว โจทกไมนําสบื ศาลลงโทษและริบไมข องกลางไมไ ด คําพิพากษาฎีกาที่ 1525/2535 การออกเช็คแลกเงินสดไมเปนการออกเช็คเพื่อ ชําระหนี้ที่มีอยูจริง และบังคับไดตามกฎหมายอันจะเปนความผิดตามมาตรา 4 แหง พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซ่ึงเปนบทบัญญัติของ LW 206 47
คําพิพากษาฎีกาท่ี 1716/2535 โจทกฟองขอใหลงโทษจําเลย ตาม พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 อันเปนกฎหมายที่ใชบังคับอยูในขณะน้ันท่ี โจทกกลาวหาวาจําเลยกระทําความผิด แตขณะท่ีอยูระหวางพิจารณาของศาลฎีกา กฎหมายฉบับที่โจทกฟองขอใหลงโทษจําเลยไดถูกยกเลิกไปแลว มีกฎหมายฉบับใหมคือ พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 ออกมาใชบังคับแทน ปรากฏวา กฎหมายท่ีออกภายหลัง การออกเช็คท่ีจะเปนความผิดน้ันตองเปนการออกเช็คเพื่อชําระ หนี้ที่มีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมาย เมื่อหนี้เงินกูยืมไมมีหลักฐานไวเปนหนังสือ จึง เปนหน้ีท่ีตองหามตามกฎหมายมิใหฟองรองขอใหศาลบังคับคดี การกระทําของจําเลยจึง ไมเปนความผิดตาม พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซ่งึ เปน กฎหมายที่ใชบงั คับในภายหลงั การเปนผูกระทาํ ผดิ ตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง คําพิพากษาฎกี าเกย่ี วกบั มาตรา 3 คําพิพากษาฎีกาท่ี 2039/2519 มีวัตถุระเบิดไว และถูกจับตั้งแตกอนใช พ.ร.บ. อาวุธปน (ฉบับท่ี 6) พ.ศ. 2517 ซึ่งออกใชเม่ือคดีอยูระหวางอุทธรณ ศาลอุทธรณ พิพากษายกเวน โทษใหตามกฎหมายใหมนนั้ ได คําพิพากษาฎีกาที่ 2021/2520 ระหวางพิจารณาของศาลฎีกามีกฎหมายยกเวน โทษโดย พ.ร.บ.อาวุธปน ฯ (ฉบับที่ 6) จาํ เลยไดร บั ผลตามกฎหมายนี้ คําพิพากษาฎีกาที่ 921/2521 จําเลยมีปนท่ีใชเฉพาะในการสงคราม ตอมามีคําส่ัง คณะปฏิรูปการปกครองแผนดิน ฉบับท่ี 12 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519 ใหนํามามอบนาย ทะเบียน แลวไมตองรับโทษ มีผลถึงผูถูกจับดําเนินคดีอยูกอนประกาศไมตองรับโทษตาม มาตรากฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก คําพิพากษาฎีกาที่ 472/2522 จําเลยมีอาวุธปนและเครื่องกระสุนท่ีใชเฉพาะแตใน สงคราม และถูกจับกอนคําส่ังของคณะปฏิรูปการปกครองแผนดิน ฉบับท่ี 12 ลงวันท่ี 7 ตุลาคม 2517 ที่ใหมีอาวุธและเครื่องกระสุนปนสําหรับใชแตเฉพาะในการสงครามไวใน ครอบครองนํามามอบใหนายทะเบียนทองที่ตามกฎหมายภายในวันท่ี 14 ตุลาคม 2519 จาํ เลยก็ไมต องรับโทษ ศาลยกฟอ ง 48 LW 206
คําพิพากษาฎีกาท่ี 2809/2537 โจทกฟองขอใหลงโทษจําเลยตาม พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 แตกอนสืบพยานโจทกมี พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 ออกใชบังคับโดยยกเลิก พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 ซึ่งเปนกฎหมายท่ีใชในขณะจําเลยกระทํา ความผิดโดย พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติวา “ผูใดออกเช็คเพ่ือชําระหน้ีท่ีมีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมายเปนความผิด” ดังน้ี การกระทํา ที่จะเปนความผดิ ตามบทบญั ญัติของกฎหมายดังกลาว จะตองไดความวาขณะที่ผูออกเช็ค ออกเช็คน้ันเพื่อเปนการชําระหน้ีท่ีมีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมาย แตเมื่อชั้นไตสวน มูลฟองและช้ันพิจารณาโจทกไมนําสืบขอเท็จจริงวาจําเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชําระหน้ีท่ีมี อยูจรงิ และบังคบั ไดต ามกฎหมาย แมจ ําเลยใหก ารรับสารภาพตามฟอง ขอเท็จจริงก็รับฟง ไดเพียงวาจําเลยไดออกเช็คพิพาทชําระหน้ีใหแกผูมีชื่อเทาน้ัน เม่ือไมปรากฏวามูลหน้ี ตามเช็คพิพาทระหวา งจาํ เลยกับผมู ชี ่ือมอี ยูจ รงิ บงั คับไดตามกฎหมายหรือไม การออกเช็ค พิพาทของจําเลยจึงไมเปนความผิดตาม พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซ่ึงเปนกฎหมายท่ีใชบังคับภายหลัง จําเลยจึงพนจากการเปน ผกู ระทาํ ความผิดตาม ป.อ.ตามมาตรา 2 วรรคสอง คําพิพากษาฎีกาที่ 5166/2537 โจทกฟองวา จําเลยตั้งโรงงาน ประกอบกิจการ โรงงานและรับเด็กอายุกวาสิบสามปแตยังไมถึงสิบหาปบริบูรณเขาทํางานในโรงงาน ดังกลาวโดยมิไดรับอนุญาต ขอใหลงโทษตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2512 ดังนี้ แมขณะ เกิดเหตุการกระทําของจําเลยจะเปนความผิดตามฟอง แตเมื่อระหวางการพิจารณาของ ศาลอุทธรณไดมี พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ออกมายกเลิก พ.ร.บ.โรงงานฉบับเดิม ทั้งหมด และเมื่อปรากฏวาโรงงานของจําเลยเปนโรงงานซึ่งไมมีบทบัญญัติไดตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 ระบุไววาการตั้งโรงงานหรือประกอบกิจการโรงงานดังกลาวจะตอง ไดรับใบอนุญาตจากผูอนุญาตและไมมีบทกําหนดโทษไวเชน พ.ร.บ.โรงงานฉบับเดิม ถือไดวาตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังการกระทําเชนนั้นไมเปน ความผิดตอไป จําเลยจึงพนจากการเปนผูกระทําความผิดตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง จําเลยจึงไมมีความผิดฐานตั้งโรงงาน และฐานประกอบกิจการโรงงานโดยไมไดรับ ใบอนุญาตตามท่ีโจทกฟอง และศาลฎีกามีอํานาจพิพากษายกฟองโจทกในขอหาน้ีไดตาม LW 206 49
คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 894/2539 ความผิดตาม พ.ร.บ.วาดว ยความผิดอนั เกิดจากการ ใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 น้ัน ขอเท็จจริงตองไดความวาขณะที่ผูออกเช็คน้ันเพื่อเปน การชําระหน้ีที่มีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมาย เม่ือชั้นไตสวนมูลฟองและช้ันพิจารณา โจทกไมนําสืบวาจําเลยออกเช็คพิพาทเพ่ือชําระหน้ีท่ีมีอยูจริงและบังคับไดตามกฎหมาย ใหแก ศ. ผูสลักหลังเช็คดังกลาว จึงไมเปนเปนความผิดตาม พ.ร.บ.วาดวยความผิดอัน เกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเปนกฎหมายท่ีใชบังคับภายหลัง พ.ร.บ.วา ดวยความผดิ อนั เกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 จําเลยจึงพนจากการเปนผูกระทําความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง คําพิพากษาฎีกาท่ี 29/2539 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 92 (พ.ศ. 2538) กําหนดการมีไวในครอบครองหรือใชประโยชนซึ่งเมทแอมเฟตามีนตองไมเกิน 0.500 กรัม เมื่อไมปรากฏวาเมทแอมเฟตามีนของกลางนํ้าหนัก 1.26 กรัม คํานวณเปน สารบริสุทธิ์ไดปริมาณเกินกวาท่ีกําหนดหรือไม จําเลยท้ังสองจึงไมมีความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ตอจิตและประสาทฯ มาตรา 106 ทวิ เพราะประกาศดังกลาวเปนคุณแก จําเลย และศาลฎีกามีอํานาจพิพากษาถึงจําเลยที่ 2 ซ่ึงมิไดฎีกาดวย เพราะเปนเหตุใน ลกั ษณะคดี คําพิพากษาฎีกาท่ี 896/2539 การนําบทบัญญัติของกฎหมายตาม ป.อ.มาตรา 3 มาใชบังคับเพื่อเปนคุณน้ันตองเปนกรณีนํามาใชบังคับแกความรับผิดทางอาญาของ ผูกระทําความผิด จะนํามาใชบังคับแกความรับผิดตามสัญญาประกันซึ่งเปนความรับผิด ทางแพงหาไดไม โดยสัญญาดังกลาวจะมีผลบังคับกันไดโดยสมบูรณเพียงใดหรือไม ยอม ตองพิจารณาจากกฎหมายท่ีใชบังคับอยูในขณะทําสัญญานั้น และการฟองบังคับให ผูประกันชําระเงินตามสัญญาดังกลาวมิใชการฟองเรียกเงินตามเช็ค เม่ือไมมีกฎหมาย บญั ญัตอิ ายคุ วามไวโ ดยเฉพาะจงึ มีกาํ หนดอายคุ วาม 10 ป จําเลยท่ี 1 ทําสัญญาประกันตัวผูตองหาซ่ึงถูกจับกุมในขอหาออกเช็คโดยมีเจตนา ที่จะไมใหมีการใชเงินตามเช็คเปนเงิน 60,000 บาท ไปจากความควบคุมของโจทกใน ขณะท่ี พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2497 ใชบังคับโดยสัญญาวาจะ นาํ ตัวผูตองหาสง ใหโ จทกต ามกาํ หนดนัด ถาผิดสัญญายินยอมใชเงิน 60,000 บาท สัญญา 50 LW 206
คําพิพากษาฎีกาท่ี 3992/2539 ศาลลางลงโทษปรับจําเลยท้ังสองตามอัตราโทษ ของกฎหมายท่ีใชบังคับภายหลังการกระทําผิดซึ่งมีโทษปรับสูงกวากฎหมายเดิม จึงไม เปน คณุ แกจ าํ เลยทง้ั สอง และไมอาจนํากฎหมายดังกลาวมาปรับบทลงโทษจาํ เลยทัง้ สองได คําพิพากษาฎีกาท่ี 1047/2537 กฎหมายที่บังคับขณะที่กระทําผิดและกฎหมายที่ แกไขใหมมีท้ังสวนที่เปนคุณและไมเปนคุณคละกัน ศาลใชกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ในสวนที่ เปนคณุ แกจ ําเลย แมคคู วามไมฎกี าก็มีอาํ นาจปรบั กฎหมายและวางโทษใหมใ หถกู ตองได คําพิพากษาฎีกาท่ี 2830/2537 ป.อ.มาตรา 3 ใหใชกฎหมายในสวนท่ีเปนคุณ ไมวาในทางใด ดังนั้นจึงตองนําบทบัญญัติ มาตรา 70 แหง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่แกไขอันเปนคุณแกจําเลยท้ังสองย่ิงกวามาตรา 70 มาใชบังคับแกจําเลยทั้งสอง และยังคงตองใชมาตรา 65 วรรคหนึ่งเดิม ซ่ึงเปนกฎหมายท่ีใชในขณะกระทําความผิดอัน เปน คณุ แกจ าํ เลยท้ังสองยิ่งกวามาตรา 65 ท่ีแกไขมาใชบังคับดวย ฉะน้ัน เม่ือนํากฎหมาย ในสวนท่ีเปนคุณแกจําเลยคือ มาตรา 65 วรรคหนึ่งเดิม ซ่ึงไมมีระวางโทษจําคุกคงมีแต โทษปรับและมาตรา 70 ท่ีแกไขซ่ึงไมไดกําหนดโทษจําคุกไวมาใชบังคับแกจําเลยท้ังสอง จึงไมมีโทษจําคุกที่จะลงแกจําเลยทั้งสอง คงลงโทษจําเลยท้ังสองไดเพียงปรับซึ่งเปนโทษ ทเ่ี บากวาโทษจําคกุ คําพิพากษาฎีกาท่ี 1281-1282/2538 ความผิดฐานทําการเดินเรือในขณะที่ ประกาศนียบัตรส้ินอายุแลวตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในนานน้ําไทยฯ ที่ใชในขณะที่จําเลย ที่ 1 กระทําความผิดกําหนดโทษจําคุกไมเกินสามเดือนหรือปรับไมเกินสองพันบาท หรือ ทั้งจําท้ังปรับ แตภายหลังการกระทําความผิดไดมีการแกไขโดยกําหนดโทษเปนปรับไม เกินสองพันบาท จึงตองใชกฎหมายตามที่แกไขเพิ่มเติมซ่ึงเปนคุณแกจําเลยที่ 1 ตาม ป.อ.มาตรา 3 คําพิพากษาฎีกาท่ี 2469/2538 ขณะท่ีคดีอยูระหวางการพิจารณาของศาลฎีกาได มี พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2535 ออกใชบังคับโดยยกเลิกความในมาตรา 65 วรรคแรก และมาตรา 70 เดิม และใหใชขอความใหมแทนโดยกฎหมายที่ใชในขณะ LW 206 51
คําพิพากษาฎีกาท่ี 2551/2538 ความผิดตาม พ.ร.บ.วาดวยความผิดอันเกิดจาก การใชเช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ซึ่งอยูระหวางพิจารณาของศาลกอนวันที่ พ.ร.บ.วาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ใชบังคับไมถูกยกเลิกตามมาตรา 10 แหง พ.ร.บ.ฉบบั ใหม เปน เร่อื งกฎหมายท่ีใชในขณะกระทําผิดแตกตางกับกฎหมายที่ใชใน ภายหลังซง่ึ มอี ตั ราโทษเบากวา และเปน คุณแกจาํ เลย จงึ ตองบังคบั ตาม ป.อ.มาตรา 3 โดย โจทกไมจําตองยื่นคํารองขอแกหรือเพ่ิมเติมฟองขอใหลงโทษจําเลยตาม พ.ร.บ.วาดวย ความผดิ อนั เกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 แตอ ยางใด คําพิพากษาฎีกาที่ 5333/2538 พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ตอจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ใหยกเลิกมาตรา 13 เดิมและใชความใหมแทน และใหเพ่ิมความ เปนมาตรา 13 ทวิ การกระทําความผิดของจําเลยจึงเปนความผิดตามมาตรา 13 ทวิ และ มีโทษตามมาตรา 89 ซ่ึงมาตรา 89 ท่ีแกไขมีโทษเบากวาโทษตามมาตรา 89 เดิมจึงตอง ลงโทษจําเลยตามมาตรา 89 ท่ีแกใหมเพราะเปนกฎหมายในสวนท่ีเปนคุณแกจําเลย ตาม ป.อ.มาตรา 3 52 LW 206
หมวด 2 โทษ ในทางอาญาเมอ่ื มกี ารกระทาํ ผิดเกดิ ขนึ้ ปฏิกิริยาท่ีสังคมมีตอการกระทําความผิด ท้ังในดานการปราบปรามและในดานการปองกัน สําหรับปฏิกิริยาในดานปราบปรามก็คือ การลงโทษผูกระทาํ ความผดิ สวนในดา นการปองกันก็ไดแกการบังคับใชวิธีการเพื่อความ ปลอดภยั โทษ โทษเปนวิธีการบังคบั (Sanction) ท่ีรัฐใชปฏิบตั ติ อผูกระทาํ ความผดิ อาญา การศึกษาเร่ืองโทษจําเปนตองรูถึงชนิดของโทษอาญาและหลักเกณฑของโทษ นั้น ๆ วิธีการเพ่ิมโทษและลดโทษ การยกโทษจําคุก การรอการลงโทษและรอการ กําหนดโทษ โทษจําคุก การระงับของโทษอาญา รวม 4 เร่ืองดวยกัน ซ่ึงมีตัวบทท่ี จะตองศึกษาตามมาตรา 18 ถึงมาตรา 38 มาตรา 51 ถึงมาตรา 58 มาตรา 79 และ มาตรา 95 ถึงมาตรา 101 สวนวิธีการเพ่ือความปลอดภัยไมใชโทษอาญา เปนแต วิธีการหรือมาตรการของกฎหมายที่ศาลใชแกผูกระทําความผิดหรือมิไดกระทําความผิดก็ ได เพ่ือใหสังคมปลอดจากการกระทําของบุคคลนั้น รวมถึงผูกระทําความผิดซึ่งแมจะไม ตองรับโทษตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ซ่ึงศาลจะยกฟองของโจทกที่ขอใหลงโทษและปลอย ตวั จาํ เลยไป ถา ศาลเห็นวา การปลอยตวั บคุ คลนั้นไปจะไมป ลอดภัยแกประชาชน ศาลอาจ ใชวิธีการเพื่อความปลอดภัยแกผูน้ันตามท่ีกฎหมายบัญญัติไว อันเปนการปองกันมิใช การปราบปรามเหมือนโทษ เปรยี บเทียบโทษกบั วธิ กี ารเพ่อื ความปลอดภัย 1. โทษจะใชลงไดเฉพาะผูกระทําความผิดเทาน้ัน (ป.อ. มาตรา 2) สวนวิธีการ เพอื่ ความปลอดภัยจะใชแ กผ ูทศ่ี าลไมล งโทษก็ได (ป.อ. มาตรา 46) หรอื แกผูที่ศาลลงโทษ ก็ได (ป.อ. มาตรา 46, มาตรา 48 และมาตรา 49) 2. กฎหมายที่ใชลงโทษตองใชกฎหมายในขณะกระทําความผิด (ป.อ. มาตรา 2) สว นวธิ ีการเพอ่ื ความปลอดภยั ตอ งใชก ฎหมายในขณะท่ีศาลพพิ ากษา (ป.อ. มาตรา 12) LW 206 351
3. เมื่อศาลพิพากษาลงโทษแกผูกระทําความผิดแลว ศาลนั้นเองจะแกไขคํา พิพากษาเปนอยางอื่นไมได เปนการแกไขคําพิพากษาของตนเองซึ่งตองหาม (ป.วิ.อ. มาตรา 190) เวน แตโทษกักขงั อยางเดียวเทาน้ันท่ีศาลซ่ึงพิพากษาคดีน้ันเองอาจแกไขให เปลี่ยนโทษกักขังเปนโทษจําคุกไดในระหวางที่รับโทษกักขังนั้นอยู ไมวาคําพิพากษาที่ ลงโทษกักขังน้ันจะถึงท่ีสุดแลวหรือไมก็ตาม (ป.อ. มาตรา 27) สวนวิธีการเพื่อความ ปลอดภัยศาลน้ันเองอาจแกไขเปล่ียนแปลงคําพิพากษาหรือคําสั่งท่ีใชวิธีการนั้นไดเสมอ (ป.อ. มาตรา 16) 4. โทษจะใชลงแกเด็กท่ีมีอายุกวาสิบหาปแตตํ่ากวาสิบแปดปก็ได (ป.อ. มาตรา 75) สวนวิธีการเพ่ือความปลอดภัย 2 ชนิดคือ กักกัน และเรียกประกันทัณฑบนจะใชแก เด็กทมี่ ีอายุตาํ่ กวา 18 ปไ มได (ป.อ. มาตรา 41, 46) 5. การลงโทษตองมีคําขอของโจทกใหลงโทษ มิฉะนั้นศาลลงโทษไมได (ป.วิ.อ. มาตรา 158 และมาตรา 192) สวนวิธีการเพื่อความปลอดภัย โจทกไมตองมีคําขอ ศาลก็ มีอํานาจสั่งหรือใชวิธีการแกจําเลยผูนั้นได (ป.อ. มาตรา 45 ถึงมาตรา 50) เวนแตการ กักกันอยางเดียวเทานั้นที่พนักงานอัยการโจทกตองมีคําขอใหกักกัน ศาลจึงกักกันได (ป.อ. มาตรา 43) 6. ผูมีอํานาจฟองคดีอาญาขอใหลงโทษผูกระทําความผิด ไดแก พนักงานอัยการ และราษฎรผูเสียหายจากการกระทําความผิดน้ัน (ป.อ. มาตรา 28) สวนวิธีการเพ่ือความ ปลอดภัยในขอกักกัน พนักงานอัยการเทาน้ันมีอํานาจฟอง ผูเสียหายจะฟองใหกักกัน ไมได (ป.อ. มาตรา 43) การศึกษาวา ดว ยโทษในหมวดที่ 2 น้ี จะแยกออกเปน 4 เรื่องดว ยกนั คอื บทที่ 1 ชนิดของโทษ และหลักเกณฑของโทษอาญา บทที่ 2 วธิ ีเพม่ิ โทษและลดโทษ บทที่ 3 การยกโทษจําคุก การรอการลงโทษและรอการกาํ หนดโทษจาํ คุก บทท่ี 4 การระงบั ของโทษและความผดิ 352 LW 206
บทที่ 1 ชนิดของโทษและหลกั เกณฑของโทษอาญา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 บัญญัติวา “โทษสําหรับลงแกผูกระทํา ความผดิ มี ดงั น้ี (1) ประหารชีวติ (2) จําคุก (3) กกั ขงั (4) ปรบั (5) รบิ ทรพั ยส นิ โทษประหารชีวิตและโทษจําคุกตลอดชีวิตมิใหนํามาใชบังคับแกผูซึ่งกระทํา ความผดิ ในขณะที่มอี ายุตํ่ากวาสิบแปดป ในกรณีผูซ่ึงกระทําความผิดในขณะท่ีอายุต่ํากวาสิบแปดปไดกระทําความผิดท่ีมี ระวางโทษประหารชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิตใหถือวาระวางโทษดังกลาวไดเปล่ียนเปน ระวางโทษจําคกุ หาสิบป” จากบทบัญญัติ มาตรา 18 วรรคหนึ่ง โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มีอยู 5 ชนิดดว ยกัน คอื 1. โทษประหารชวี ติ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 19 บัญญัติวา “ผูใดตองโทษประหารชีวิตให ดําเนนิ การดว ยวธิ ฉี ดี ยาหรอื สารพิษใหตาย หลักเกณฑและวิธีการประหารชีวิตใหเปนไปตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรม กําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา” เมื่อมีคําพิพากษาถึงที่สุดใหประหารชีวิตแลว ศาลจะตองออกหมายสงตัวจําเลยผูตองโทษประหารชีวิตใหกรมราชทัณฑ จึงเปนเรื่อง ของเจา หนา ทร่ี าชทัณฑที่จะดําเนินการประหารชีวิต โดยจะตองปฏิบัติตามบทบัญญัติแหง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 247, 248, 261 และมาตรา 262 กลา วคอื จะดาํ เนินการประหารชีวิตทันทีไมได จะตองรอไวใหพนกําหนด 60 วันนับแตวัน ฟงคําพิพากษาเสียกอน ท้ังน้ีแมจะม่ีคําพิพากษาถึงที่สุดใหลงโทษประหารชีวิตแลว LW 206 353
โทษประหารชีวิตนี้จะไมนําไปใชบังคับแกผูกระทําความผิดท่ีมีอายุตํ่ากวาสิบ แปดป และในกรณีท่ีผูกระทําผิดมีอายุตํ่ากวาสิบแปดปไดกระทําความผิดท่ีมีระวางโทษ ประหารชีวิตใหเปลี่ยนเปนระวางโทษจําคุกหาสิบป (มาตรา 18 วรรคสอง และวรรคสาม เพ่ิมเติมโดยมาตรา 3 แหง พระราชบัญญตั ิแกไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี 16) พ.ศ. 2546) ในการเพิ่มโทษมิใหเพิ่มขึ้นถึงประหารชีวิต (ป.อ. มาตรา 51) และในการลด โทษประหารชีวิตไมวาจะเปนการลดมาตราสวนโทษหรือลดโทษท่ีจะลงใหลดดังตอไปนี้ (1) ถา จะลดหนงึ่ ในสามใหลดเปนโทษจาํ คุกตลอดชีวิต (2) ถาจะลดกึ่งหน่ึงใหลดเปนโทษ จาํ คุกตลอดชวี ิตหรอื โทษจาํ คุกต้ังแตยีส่ ิบหาปถงึ หา สบิ ป (ป.อ. มาตรา 52) 2. โทษจาํ คุก โทษจําคกุ อาจแบง ออกได 2 ประเภท คอื ก. โทษจําคุกตลอดชีวติ ข. โทษจําคกุ โดยมกี าํ หนดเวลา การลงโทษจาํ คุก ในกฎหมายทีบ่ ญั ญัตคิ วามผิดอันมโี ทษจําคุกน้ัน จะกําหนดโทษจําคุกไวสถาน เดียว เชน จําคุกตลอดชีวิต หรือกําหนดไว 2 สถาน คือ จําคุกและปรับ หรือ 3 สถานคือ จําคุกหรือปรับ หรือท้ังจําท้ังปรับ แลวแตกรณีแหงการกระทําผิดและความเหมาะสมของ โทษนั้น ๆ แตความผิดบางชนิดท่ีคอนขางรายแรงจะกําหนดระวางโทษขั้นตํ่าและขั้นสูง ไวท้ังโทษจําคุกและโทษปรับ ฉะนั้นการที่ศาลจะลงโทษจําเลยจึงตองเปนไปตามท่ี 354 LW 206
ในกรณีที่กฎหมายกําหนดใหลงโทษจําคุกและโทษปรับดวยเปน 2 สถาน เชน ความผิดฐานกรรโชกทรัพย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 กําหนดใหลงโทษ จําคุกและปรับ ถาศาลเห็นสมควรจะลงแตโทษจําคุกอยางเดียวโดยไมลงโทษปรับดวยก็ ได (ป.อ. มาตรา 20) แตถาโทษจําคุกท่ีผูกระทําความผิดจะตองรับมีกําหนดเวลาเพียง สามเดือนหรือนอยกวา ศาลจะกําหนดโทษจําคุกใหนอยลงอีกก็ได หรือถาโทษจําคุกที่ ผูกระทําความผิดจะตองรับมีกําหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือนอยกวาและมีโทษ ปรับดวย ศาลจะกําหนดโทษจําคุกใหนอยหรือจะยกโทษจําคุกเสีย คงใหปรับแต อยางเดยี วก็ได (ป.อ. มาตรา 55) สวนในกรณีที่กฎหมายกําหนดโทษไว 3 สถาน คือ ใหจําคุกหรือปรับหรือท้ัง จําทั้งปรับ ศาลมีอํานาจใชดุลพินิจใหลงโทษจําคุกหรือโทษปรับอยางเดียว หรือลงโทษทั้ง จําคุกและปรับดว ยกไ็ ดตามทศี่ าลเห็นสมควร การคาํ นวณระยะเวลาจําคุก 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 ใหนับวันเริ่มจําคุกรวมคํานวณเขาดวย เปนหนึ่งวันเต็มโดยไมตองคํานึงถึงจํานวนช่ัวโมงของวันเริ่มจําคุกน้ัน เชน ศาลอานคํา พิพากษาใหลงโทษจําคุกจําเลยเวลา 15.00 น. และศาลออกหมายจําคุกสงตัวจําเลยไป ถงึ เรือนจาํ เวลา 18.00 น. ก็ตอ งนบั วนั นน้ั เปน วันเริ่มจําคกุ หนง่ึ วนั เต็ม 2. ถาระยะเวลาจําคุกกําหนดเปนเดือน เชน ศาลพิพากษาใหจําคุกจําเลย 3 เดือน ใหน บั สามสิบวนั เปนหนึ่งเดอื น 3. ถา ระยะเวลาจาํ คกุ เปนป ใหค ํานวณตามปปฏิทินราชการ 4. เม่ือผูตองโทษจําคุกถูกจําคุกครบกําหนดแลว ใหปลอยตัวไปในวันถัดจาก วันครบกําหนดโทษ เชน ครบกําหนดโทษจําคุกวันท่ี 9 กันยายน 2548 ตองปลอยตัวไป ในวนั ท่ี 10 กนั ยายน 2548 การนับวันจาํ คกุ และการหกั วันถกู คมุ ขงั 1. ใหเริ่มนับวันจําคุกตั้งแตวันที่ศาลมีคําพิพากษา (ป.อ. มาตรา 22 ซึ่ง หมายถึงวันทีศ่ าลอา นคาํ พพิ ากษาใหจ าํ เลยฟง (ป.วิ.อ. มาตรา 182) LW 206 355
2. ในกรณีที่ศาลพิพากษาจําคุกจําเลย ถาจําเลยถูกคุมขังมากอนศาล พิพากษาคดีน้ัน ศาลตองหักวันถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจําคุกตามคําพิพากษาใหแก จาํ เลยดวย เวน แตค ําพิพากษาน้ันจะกลา วไวเปนอยางอื่น (ป.อ. มาตรา 22) กลาวคือศาล จะไมหักวันคุมขังให โดยจะใหนับวันจําคุกต้ังแตวันท่ีศาลพิพากษาก็ได หรือจะนับโทษ จาํ คกุ คดีนี้ตอ จากโทษจาํ คุกในคดอี ่นื กไ็ ด ซง่ึ ศาลจะตอ งระบุไวในคาํ พพิ ากษานนั้ เชน 1) ก. กระทําความผิดฐานลักทรพั ย ศาลพิพากษาใหล งโทษจําคุก 6 เดือน ก. ถูกคุมขังมากอนศาลพิพากษา 2 เดือน ดังนี้ถาศาลระบุในคําพิพากษาใหนับวันจําคุก ต้ังแตวันมีคําพิพากษาศาลจะไมใหหักวันคุมขัง 2 เดือนออกจากโทษจําคุกท่ีศาลจะลง 6 เดือนน้ัน แตถาศาลไมระบุในคําพิพากษาวาใหนับวันจําคุกต้ังแตวันมีคําพิพากษา ศาลก็ ตองหักวันถูกคุมขังใหจําเลยตามที่มาตรา 22 บัญญัติไว อยางไรก็ตามถาศาลระบุในคํา พพิ ากษาใหนบั วันจําคุกตั้งแตว ันมคี าํ พพิ ากษา โทษจําคกุ ตามคาํ พพิ ากษาเมื่อรวมจํานวน วันที่ถูก คุมขังกอนศาลพิพากษาในคดีเรื่องนั้นเขาดวยแลวตองไมเกินอัตราโทษขั้นสูง ของกฎหมายที่กําหนดไวสําหรับความผิดท่ีไดกระทําลงน้ัน เชน ก. ทํารายรางกาย ข. ซ่ึง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 กําหนดโทษข้ันสูงไวไมเกิน 2 ป ถาศาลพิพากษา ใหลงโทษจําคุก ก. 1 ป 6 เดือน และระบุในคําพิพากษาใหนับวันจําคุกต้ังแตวันมีคํา พิพากษา ก. 1 ป 6 เดือน และระบุในคําพิพากษาใหนับวันจําคุกต้ังแตวันมีคําพิพากษา หากปรากฏวา ก. ไดถูกคุมขังกอนศาลพิพากษาแลว 8 เดือน เม่ือศาลไมใหหักวันท่ีถูก คุมขังออกจากระยะเวลาจําคกุ ตามคําพิพากษา เมื่อรวมวันที่ถูกขังกับระยะเวลาจําคุกตาม คําพิพากษาเขาดวยกันจะเปนเวลา 2 ป 2 เดือน ซึ่งเกินอัตราโทษขั้นสูงตามมาตรา 295 อยู 2 เดือน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคสอง ไดบัญญัติหามไว เชนน้ีศาล จะตองหักระยะเวลาจําคุกให 2 เดือน เหลือระยะเวลาที่ ก. จําคุก 1 ป 4 เดือนเทาน้ัน ท้งั นีไ้ มเปนการกระทบกระเทือนบทบัญญัติในมาตรา 91 เชน ก. ทํารายรางกาย ข. เปน ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 (โทษข้ันสูง 2 ป) ตอมา ก. ลักทรัพย ค. เปนความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 334 (โทษขั้นสูง 3 ป ก. กระทําความผิดหลายกรรมตางกัน (ป.อ. มาตรา 91) ถา ก. ถกู ฟอ งเปน คดเี ดียวกันและศาลพิพากษาในคําพิพากษาอันเดียวกันให ลงโทษ ก. ทง้ั 2 กระทงโดยลงโทษกระทงแรก 1 ป 6 เดือน กระทงหลัง 2 ป ถาปรากฏวา ก. ถูกคุมขังกอนศาลพิพากษา 1 ป ศาลใชดุลพินิจสั่งไมใหหักวันท่ีถูกคุมขังออกจาก ระยะเวลาจําคุกตามคําพิพากษา เม่ือรวมวันท่ีถูกคุมขังเขาดวยกันกับระยะเวลาจําคุก 356 LW 206
2) ก. กระทําความผิดฐานทํารายรางกาย ถูกศาลพิพากษาใหลงโทษจําคุก 1 ป เชนนี้ ศาลมีอํานาจใชดุลพินิจสั่งไวในคําพิพากษาใหนับโทษคดีหลังตอจากคดีกอน ได คือ เม่อื ก. รับโทษจาํ คุกคดแี รกครบแลว จึงเรมิ่ ระยะเวลาจาํ คุกในคดหี ลัง 3. การหักวันถูกคุมขังออกจากโทษจําคุกน้ี จะตองเปนวันถูกคุมขังอยูใน “คดี เรอ่ื งนั้น” กลา วคือเปน วันทจี่ ําเลยถูกคุมขงั อยใู นคดเี ร่อื งเดียวกับท่ีโจทกฟองขอใหลงโทษ นนั่ เอง การเพม่ิ โทษและลดโทษจําคุก การเพิ่มโทษและลดโทษจําคุก มีบัญญัติไวในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51, 53, 54 และมาตรา 55 ซ่ึงจะไดกลาวโดยละเอียดในบทที่ 2 เรื่องวิธีการเพิ่มโทษ และลดโทษ 3. กกั ขัง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 บัญญัติวา “ผูใดกระทําความผิดซึ่งมีโทษ จําคุก และในคดีน้ันศาลจะลงโทษจําคุกไมเกินสามเดือน ถาไมปรากฏวาผูนั้นไดรับโทษ จําคุกมากอนหรือปรากฏวาไดรับโทษจําคุกมากอนแตเปนโทษสําหรับความผิดที่ได กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ศาลจะพิพากษาใหลงโทษกักขังไมเกินสาม เดือนแทนโทษจาํ คกุ น้ันกไ็ ด” ตามมาตรา 23 น้ี หลักเกณฑในการลงโทษกักขังแทนโทษ จําคุกมดี ังนี้ 1. ตองเปนการกระทําความผิดที่มีโทษจําคุกซ่ึงมีระยะเวลาใหจําคุก โดยจะมีโทษปรับหรือโทษริบทรัพยสินรวมอยูดวยหรือไมก็ตาม ดังนั้นถาเปนความผิดที่ มีโทษประหารชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิต หรือมีแตปรับอยางเดียว และโทษริบทรัพยสิน โดยไมมีโทษจําคกุ ท่มี กี ําหนดเวลา ศาลจะใชโ ทษกักขังแทนไมได 2. ความผิดท่ีมีโทษจําคุกดังกลาว ศาลจะลงโทษจําคุกไดไมเกิน 3 เดือน คําวา “ศาลจะลงโทษจําคุกไมเกินสามเดือน” ตามมาตรานี้หมายความถึงโทษสุทธิท่ีศาล ลงโทษจริง ๆ ดังน้ันถาศาลลงโทษจําเลยมากกวา 3 เดือน แตมีเหตุท่ีศาลลดมาตราสวน LW 206 357
3. ตอ งไมปรากฏวาจาํ เลยไดรับโทษจําคุกมากอน เวนแตเปนโทษจําคุก สําหรับความผิดที่กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ คําวา “ถาไมปรากฏวาผู นั้นไดรับโทษจําคุกมากอน” หมายความวาจําเลยในคดีที่กําลังพิจารณาอยูนี้ไมไดรับโทษ จําคุกมากอนเวลาที่ศาลพิพากษาคดีนี้ แตถาปรากฏวาจําเลยไดรับโทษจําคุกหรือกําลัง รับโทษจําคุกอยูในคดีอื่น ไมวาคดีอื่นน้ันศาลจะพิพากษาถึงที่สุดแลวหรือไมก็ดี ก็ เรยี กวาจําเลยไดรับโทษจําคุกมากอน คือถือเอาขอเท็จจริงในการรับโทษจําคุกคดีอ่ืนของ จําเลยเปนสําคัญในขณะจะพิพากษาคดีนี้วาจําเลยไดรับโทษจําคุกในคดีอื่นหรือไม ถา ไดรับหรือกําลังรับโทษจําคุกอยูแลวและมิใชโทษในความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ แม คดีนั้นจะยังไมถ ึงทส่ี ุด ศาลจะลงโทษกักขงั ในคดีนไ้ี ด 4. โทษกักขังตองมีกําหนดเวลาเทากับโทษจําคุกท่ีศาลจะลงโทษ ไมเกิน 3 เดือนน้ันดวย เชน ศาลพิพากษาใหจําคุก 2 เดือนอันเปนโทษสุทธิ ก็ตองลงโทษกักขัง 2 เดือนแทนโทษจาํ คกุ น้นั การบังคับโทษกักขงั แทนโทษจําคกุ เมื่อศาลพิพากษาใหลงโทษกักขังแทนโทษจําคุกตามมาตรา 23 แลวจะกักขัง ไวท่ีไหนไดบาง มีบัญญัติอยูในมาตรา 24 ดังนี้ “ผูใดตองโทษกักขัง ใหกักตัวไวใน สถานท่ีกักขังซึ่งกําหนดไว อันมิใชเรือนจํา สถานีตํารวจ หรือสถานท่ีควบคุมผูตองหา ของพนักงานสอบสวน ถาศาลเห็นเปนการสมควร จะสั่งในคําพิพากษาใหกักขังผูกระทําความผิดไว ในท่ีอาศัยของผูน้ันเอง หรือของผูอื่นที่ยินยอมรับผูน้ันไว หรือสถานที่อื่นท่ีอาจกักขังได เพอ่ื ใหเ หมาะสมกบั ประเภท หรอื สภาพของผถู ูกกกั ขงั ก็ได ถาความปรากฏแกศาลวา การกักขังผูตองโทษกักขังไวในสถานที่กักขังตาม วรรคหน่ึงหรือวรรคสอง อาจกอใหเกิดอันตรายตอผูนั้น หรือทําใหผูซ่ึงตองพ่ึงพาผู ตองโทษกักขังในการดํารงชีพไดรับความเดือดรอนเกินสมควร หรือมีพฤติการณพิเศษ ประการอ่ืนที่แสดงใหเห็นวาไมสมควรกักขังผูตองโทษกักขังในสถานที่ดังกลาว ศาลจะมี คาํ ส่งั ใหกกั ขังผูตองโทษกักขังในสถานที่อื่นซึ่งมิใชท่ีอยูอาศัยของผูนั้นเอง โดยไดรับความ ยินยอมจากเจาของหรือผูครอบครองสถานท่ีก็ได กรณีเชนวาน้ีใหศาลมีอํานาจกําหนด 358 LW 206
ตามบทบญั ญัติ มาตรา 24 สถานที่กักขังแทนโทษจาํ คุก มี 2 ประเภท คอื 1. สถานท่กี ักขังซึ่งกําหนดไวอันมใิ ชเรอื นจํา สถานีตํารวจ หรือสถานท่ีควบคุม ผตู องหาของพนักงานสอบสวน 2. ท่ีอาศัยของผูตองโทษกักขังนั้นเอง หรือที่อาศัยของผูอ่ืนท่ียินยอมรับตัวไว หรอื สถานที่อืน่ ทีอ่ าจกักขงั ได ขอ สังเกต 1. สถานท่ีกักขังตามขอ 2 ศาลตองระบุไวในคําพิพากษา แตสถานที่กักขัง ตามขอ 1 ศาลไมตอ งสงั่ ในคาํ พพิ ากษา เพียงแตพิพากษาใหลงโทษกักขังแลว ศาลก็ออก หมายกกั ขังสง ตวั จําเลยไปยงั สถานท่นี น้ั เลย 2. ถาการกักขังตามขอ 1 หรือขอ 2 อาจกอใหเกิดอันตรายตอผูตองโทษ กักขัง หรือบุคคลผูซึ่งตองพ่ึงพาผูตองโทษกักขังในการดํารงชีพไดรับความเดือดรอนเกิน สมควร หรือมีพฤติการณพิเศษประการอื่นท่ีแสดงใหเห็นวาไมสมควรกักขังผูตองโทษ กักขังในสถานที่ดังกลาว ศาลจะมีคําสั่งใหกักขังผูตองโทษกักขังในสถานที่อื่น โดยศาลมี อาํ นาจกําหนดเง่อื นไขใหผตู องโทษกกั ขังปฏิบัติ สิทธิและหนา ท่ขี องผูต อ งโทษกักขัง 1. ผูตองโทษกักขังในสถานที่ซ่ึงกําหนดไวอันมิใชเรือนจํา สถานีตํารวจหรือ สถานที่ควบคุมผูตองหาของพนักงานสอบสวน (ป.อ. มาตรา 24 วรรคหน่ึง) ผูตองโทษ กกั ขงั มีสทิ ธแิ ละหนา ทีด่ ังตอ ไปน้ี ก. สทิ ธไิ ดร ับการเล้ียงดจู ากสถานทน่ี นั้ แตภ ายใตบังคบั ของสถานทน่ี นั้ ข. สิทธิทจี่ ะรับอาหารจากภายนอกโดยคาใชจ า ยของตนเอง ค. สทิ ธทิ จ่ี ะใชเส้อื ผาของตนเอง ง. สิทธทิ จ่ี ะไดรับการเย่ยี มอยางนอยวันละหน่ึงช่วั โมง จ. สิทธทิ ่จี ะรับและสง จดหมายได ฉ. มีหนาที่ตองทํางานตามระเบียบ ขอบังคับ และวินัย ถาผูตองโทษกักขัง ประสงคจะทํางานอยางอ่ืน ก็ใหอนุญาตใหเลือกทําไดตามประเภทงานท่ีตนสมัคร แตตอง ไมข ัดตอ ระเบียบ ขอบงั คบั วนิ ยั หรอื ความปลอดภยั ของสถานทีน่ นั้ (ป.อ. มาตรา 25) LW 206 359
2. ผูตองโทษกักขังในสถานที่อาศัยของผูน้ันเอง ของผูที่ยอมรับผูตองโทษ กกั ขงั หรือสถานที่อนื่ ท่อี าจกักขังได มสี ิทธิดังนี้ สิทธิที่จะดําเนินการในวิชาชีพหรืออาชีพของตนในสถานที่ดังกลาว และใน การนี้ศาลจะกําหนดเง่ือนไขใหผูตองโทษกักขังปฏิบัติอยางหนจ่ึงอยางใดหรือไมก็ได แลวแตศาลจะเหน็ สมควร (ป.อ. มาตรา 26) การเปลี่ยนโทษกกั ขังเปนโทษจาํ คุก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27 บัญญัติวา “ถาในระหวางท่ีผูตองโทษ กักขัง ตามมาตรา 23 ไดร ับโทษกักขงั อยู ความปรากฏแกศาลเองหรอื ปรากฏแกศาลตาม คําแถลงของพนักงานอัยการ หรอื ผคู วบคมุ ดูแลสถานที่กกั ขังวา (1) ผูต องโทษฝา ฝนระเบยี บ ขอบงั คบั หรือวนิ ัยของสถานทก่ี ักขัง (2) ผูต อ งโทษกักขงั ไมปฏบิ ตั ติ ามเงื่อนไขท่ีศาลกาํ หนด หรือ (3) ผตู องโทษกกั ขงั ตอ งคําพพิ ากษาใหลงโทษจําคุก ศ า ล อ า จ เ ป ลี่ ย น โ ท ษ กั ก ขั ง เ ป น โ ท ษ จํ า คุ ก มี กํ า ห น ด เ ว ล า ต า ม ท่ี ศ า ล เห็นสมควร แตตองไมเกินกําหนดเวลาของโทษกักขังท่ีผูตองโทษกักขังจะตองไดรับ ตอไป” การเปล่ียนโทษกักขังเปนโทษจําคุกตามมาตรา 27 นี้เปนดุลพินิจของศาลที่จะ เปลย่ี นโทษกักขงั เปนโทษจาํ คุกหรือไมก ไ็ ด ถาศาลเปล่ียนเปนโทษจําคุก กฎหมายบังคับ ไววาจะจําคุกเกินกวากําหนดเวลาของโทษกกขังที่จะไดรับตอไปไมได แตอนุญาตใหศาล จาํ คุกเทาใดก็ได ภายในกาํ หนดเวลาของโทษกักขงั ที่จะไดรับตอ ไปนน้ั 4. โทษปรบั โทษปรับเปนโทษในทางทรัพยสินที่ศาลกําหนดโดยคําพิพากษาภายใน ขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว โทษปรับตามกฎหมายไดบัญญัติจํานวนเงินคาปรับไวตาม ลักษณะความผิดน้ัน ๆ เปนอัตราโทษปรับ การลงโทษปรับจึงตองเปนไปตามอัตราโทษ ในกฎหมาย ซึ่งศาลจะใชดุลพินิจวาจะลงโทษปรับเทาใดภายในอัตราโทษปรับน้ัน ๆ เวน แตมีอัตราโทษปรับขั้นตํ่าและขั้นสูงไวก็ตองเปนไปตามนั้น กรณีโทษปรับที่กฎหมาย กําหนดไวพรอ มกับโทษจาํ คกุ ศาลจะจาํ คุกอยา งเดียวโดยไมป รับดว ยก็ไดเม่ือเห็นสมควร (ป.อ. มาตรา 20) เวนแตความผิดน้ันรายแรงหรือมีเหตุอื่นอันควรลงโทษท้ังจําคุกและ 360 LW 206
การบังคบั โทษปรบั 1. ผูตองโทษปรับจะตองชําระคาปรับตามจํานวนท่ีกําหนดไวในคําพิพากษา ตอ ศาล (ป.อ. มาตรา 28) 2. ระยะเวลาชําระคาปรับ เน่ืองจากตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 28 มิไดกําหนดระยะเวลาชําระคาปรับไว ไดแตบัญญัติไวในมาตรา 29 วรรคหนึ่งวา “ผูใด ตองโทษปรับและไมชําระคาปรับภายในสามสิบวันนับแตวันที่ศาลพิพากษา ผูนั้นจะตอง ถูกยึดทรัพยสินใชคาปรับ หรือมิฉะน้ันจะถูกกักขังแทนคาปรับ แตถาศาลเห็นเหตุอันควร สงสัยวาผูนั้นจะหลีกเลี่ยงไมชําระคาปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะส่ังใหกักขังผูน้ัน แทนคาปรับไปพลางกอนก็ได” ตามมาตรา 29 วรรคหน่ึง น้ีหมายความวา เมื่อศาลมี คําพิพากษาใหผูตองโทษชําระคาปรับ ผูนั้นตองชําระคาปรับใหครบถวนในวันน้ัน หากไม ชําระหรือชําระไมครบ ศาลจะสั่งเรียกประกันการชําระคาปรับ ถาผูตองโทษไมมีประกัน ตอศาล ศาลจะสั่งกักขังแทนคาปรับไปพลางกอนในวันที่ศาลพิพากษานั้นเอง กรณี ผูตองโทษปรับขอประกันการชําระคาปรับและศาลอนุญาตแลว จะตองทําสัญญาประกัน กับศาลดวย ถาผิดสัญญาประกันผูนั้นจะตองใชเงินตามท่ีระบุไวในสัญญาประกัน หรือ ตามทศ่ี าลเห็นสมควร ซ่งึ เรยี กวาศาลปรับนายประกนั ซึ่งกรณนี ้ีมิใชค าปรับหรือผตู อ งโทษปรบั ดังนั้นเม่ือพน 30 วันนับแตวันมีคําพิพากษา หากผูตองโทษปรับไมชําระ คาปรับ ศาลจะสั่ง (1) ยึดทรัพยสินใชคาปรับ (2) กักขังแทนคาปรับ เวนแตผูตองโทษ ปรับจะไดขอประกนั การชําระคา ปรบั และศาลอนญุ าตแลว การยึดทรัพยส ินใชคาปรบั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลพิพากษาลงโทษ ปรับจําเลยวันใด ศาลจะสั่งใหยึดทรัพยจําเลยมาใชคาปรับกอนครบ 30 วันนับแตวันมี คําพิพากษาไมได และแมศาลจะสงสัยวาจําเลยหลีกเล่ียงไมชําระคาปรับโดยจําเลยไมขอ ประกันการชําระคาปรับ ศาลก็ไดแตกักขังแทนคาปรับไปพลางกอนเทาน้ัน จะยึดทรัพย ของจําเลยไปพลางกอนเพ่ือใชคาปรับกอนครบกําหนด 30 วันไมได ศาลจะส่ังยึด ทรัพยสินใชคาปรับไดตอเม่ือจําเลยไมชําระคาปรับภายใน 30 วันนับแตวันมีคําพิพากษา ใหปรบั เวน แตจาํ เลยจะมปี ระกันการชําระคา ปรับระหวางน้ัน LW 206 361
กรณีศาลใหกักขังแทนคาปรับไปพลางกอน ถาการกักขังน้ันไดทําไปจนครบ 30 วนั นับแตว นั มีคาํ พพิ ากษาและยงั ไมครบกาํ หนดวันกักขัง เมื่อปรากฏวาผูตองโทษปรับ มีทรัพยสินพอจะยึดมาใชคาปรับที่ยังเหลืออยูจากการกักขังได ศาลจะส่ังยึดทรัพยของ ผูตองโทษปรับมาใชคาปรับท่ียังเหลืออยูจากการกักขังได ศาลจะสั่งยึดทรัพยของ ผูตองโทษปรับมาใชคาปรบั ท่ยี ังเหลืออยูได โดยงดหรอื ไมก กั ขังตอ ไป การกกั ขงั แทนคาปรบั 1. การกักขังแทนคาปรับจะกระทําไดตอเม่ือผูตองโทษปรับไมชําระคาปรับ ภายใน 30 วันนับแตวันที่ศาลพิพากษา เวนแตศาลสงสัยวาผูนั้นจะหลีกเล่ียงไมชําระ คาปรบั ศาลจะส่ังเรียกประกัน ถาผูนั้นไมมีประกันในวันที่ศาลมีคําพิพากษา ศาลจะออก หมายกักขังแทนคาปรับไปพลางกอนในวันท่ีศาลมีคําพิพากษานั้นเอง (ป.อ. มาตรา 29 วรรคหนึ่ง) กรณีผูตองโทษปรับไดชําระคาปรับในวันที่ศาลมีคําพิพากษาแตชําระไมครบ จํานวนคาปรับตาม ป.อ. มาตรา 28 ถาผูน้ันไมมีประกันคาปรับในสวนท่ียังขาดอยู ศาล จะส่ังกกั ขังแทนคาปรับในสวนท่ยี งั ชําระไมครบได 2. การกักขังแทนคาปรับ ใหถืออัตราสองรอยบาทตอหนึ่งวัน และไมวาใน กรณีความผิดกระทงเดยี วหรือหลายกระทง หา มกกั ขงั เกนิ กาํ หนดหนง่ึ ป เวนแตในกรณีท่ี ศาลพิพากษาใหปรับตั้งแตแปดหมื่นบาทข้ึนไป ศาลจะสั่งใหกักขังแทนคาปรับเปน ระยะเวลาเกนิ กวา หน่ึงปแตไ มเ กนิ สองปกไ็ ด (ป.อ. มาตรา 30 วรรคหน่งึ ) การคิดวันกักขังแทนคาปรับ ไมวาจะถูกศาลปรับกระทงเดียวหรือหลาย กระทงใหถืออัตราสองรอยบาทตอหนึ่งวัน เมื่อคํานวณวันกักขังแลวหากวันกักขังเกิน 1 ป ใหกักขังไดเพียง 1 ป เวนแตผูนั้นถูกศาลปรับต้ังแตแปดหมื่นบาทข้ึนไปจึงจะกักขังเกิน 1 ปได แตตอ งไมเกิน 2 ป 3. การคํานวณระยะเวลานั้น ใหนับวันเร่ิมกักขังแทนคาปรับรวมเขาดวยและ ใหน บั เปน หนงึ่ วันเต็มโดยไมตอ งคาํ นงึ ถึงจาํ นวนช่วั โมง (ป.อ. มาตรา 30 วรรคสอง) 4. การคิดวันกักขังแทนคาปรับ ถาผูตองโทษปรับถูกคุมขังกอนศาลพิพากษา ศาลตองหักวันคุมขังน้ันออกจากเงินคาปรับดวย โดยถืออัตราสองรอยบาทตอหน่ึงวัน เหมือนกัน เชน ศาลพิพากษาใหลงโทษปรับ ก. เปนจํานวนเงิน 20,000 บาท แต ก. ได ถูกคุมขัง (ในคดีเร่ืองนั้น) กอนศาลพิพากษา (คดีน้ัน) มาแลว 60 วัน คิดเปนเงินได 12,000 บาท นําไปหักออกจากจํานวนเงินคาปรับเหลือที่ตองชําระคาปรับ 8,000 บาท 362 LW 206
5. เม่อื ผูต องโทษปรับถูกกักขังแทนคาปรับครบกําหนดแลว ใหปลอยตัวในวัน ถดั จากวนั ทค่ี รบกําหนด ถา นาํ เงนิ คาปรับมาชําระครบแลวใหป ลอ ยตัวไปทันที 6. สถานกักขัง ตาม ป.อ. มาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติวา “ความในวรรคสอง ของมาตรา 24 มิใหนํามาใชบังคับแกการกักขังแทนคาปรับ” หมายความวาจะกักขังไวใน สถานที่อาศัยของผูตองโทษปรับน้ันเองหรือของผูอื่นไมได กลาวคือใหกักขังไวในสถานที่ กักขังซ่ึงกําหนดไวอันมิใชเรือนจํา สถานีตํารวจ หรือสถานท่ีควบคุมผูตองหาของ พนกั งานสอบสวน 7. การกักขังแทนคาปรับ จะใชหรือกระทําไดเฉพาะบุคคลธรรมดาเทานั้น จะใชแกน ิติบคุ คลไมไ ด การทํางานบรกิ ารสงั คมหรือทาํ งานสาธารณประโยชนแทนคา ปรับ เนื่องจากผูตองโทษปรับที่ยากจนไมมีเงินชําระคาปรับ ตองถูกกักขังแทน คาปรับ เพ่ือมิใหผูท่ียากจนและตองโทษปรับไมตองถูกกักขังแทนคาปรับ ไดทํางาน บริการสงั คมหรือทาํ งานสาธารณประโยชนแทนคาปรับ ประมวลกฎหมายอาญาไดบัญญัติ เพิ่มเติม มาตรา 30/1, 30/2 และ 30/3 โดยพระราชบัญญัติแกไขเพ่ิมเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี 15) พ.ศ. 2545 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30/1 บัญญัติวา “ในกรณีท่ีศาลพิพากษาปรับ ไมเกนิ แปดหมื่นบาท ผูตองโทษปรับซึ่งมิใชนิติบุคคล และไมมีเงินชําระคาปรับ อาจยื่นคํา รองตอศาลชั้นตนที่พิพากษาคดีเพ่ือขอทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน แทนคา ปรบั การพจิ ารณาคาํ รอ งตามวรรคแรก เม่ือศาลไดพิจารณาถึงฐานะการเงินประวัติ และสภาพความผิดของผูตองโทษปรับแลวเห็นเปนการสมควร ศาลจะมีคําสั่งใหผูนั้น ทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชนแทนคาปรับก็ได หรือองคการซ่ึงมี LW 206 363
กรณีศาลมีคําสั่งใหผูตองโทษปรับทํางานบริการสังคม หรือทํางาน สาธารณประโยชนแทนคาปรับ ใหศาลกําหนดลักษณะหรือประเภทของงาน ผูดูแลการ ทํางานวันเริ่มทํางาน ระยะเวลาทํางาน และจํานวนช่ัวโมงที่ถือเปนการทํางานหน่ึงวัน ทั้งน้ีโดยคํานึงถึง เพศ อายุ ประวัติ การนับถือศาสนา ความประพฤติ สติปญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแหงจิต นิสัย อาชีพ สิ่งแวดลอม หรือสภาพความผิดของ ผูตองโทษปรับประกอบดวย เพราะศาลจะกําหนดเงื่อนไขอยางหน่ึงอยางใดใหผูตองโทษ ปรบั ปฏิบตั ิเพ่อื แกไขฟน ฟู หรอื ปองกนั มใิ หผูนนั้ กระทําความผดิ ขึน้ อีกก็ได ถาภายหลังความปรากฏแกศ าลวา พฤติการณเก่ียวกับการทํางานบริการสังคม หรือทํางานสาธารณประโยชนของผูตองโทษไดเปล่ียนแปลงไป ศาลอาจแกไขเปลี่ยนปลง คาํ สงั่ ทกี่ ําหนดไวน น้ั กไ็ ดตามที่เห็นสมควร ในการกําหนดระยะเวลาทํางาน แทนคาปรับตามวรรคสามใหนําบทบัญญัติ มาตรา 30 มาใชบ งั คับโดยอนโุ ลม และในกรณที ศี่ าลมิไดกําหนดใหผูตองโทษปรับทํางาน ติดตอกันไป การทํางานดังกลาวตองอยูภายในกําหนดระยะเวลาสองปนับแตวันเริ่ม ทํางานตามทศ่ี าลกําหนด เพ่ือประโยชนในการกําหนดจํานวนชั่วโมงทํางานตามวรรคสาม ใหประธาน ศาลฎกี ามอี ํานาจออกระเบยี บราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรมกําหนดจํานวนช่ัวโมงท่ีถือ เปนการทํางานหน่ึงวัน สําหรับงานบริการสังคม หรืองานสาธารณประโยชนแตละ ประเภทไดต ามทเ่ี ห็นสมควร” มาตรา 30/2 บัญญัติวา “ถาภายหลังศาลมีคําส่ังอนุญาตตามมาตรา 30/1 แลวความปรากฏแกศาลเองหรือความปรากฏตามคําแถลงของโจทก หรือเจาพนักงานวา ผูตองโทษปรับมีเงินพอชําระคาปรับได ในเวลาท่ียื่นคํารองตามมาตรา 30/1 หรือฝาฝน หรือไมปฏิบัติตามคําส่ังหรือเง่ือนไขท่ีศาลกําหนด ศาลจะเพิกถอนคําสั่งอนุญาตดังกลาว และปรับหรือกักขังแทนคาปรับโดยใหหักจํานวนวันท่ีทํางานมาแลวออกจากจํานวนเงิน คา ปรับกไ็ ด ในระหวางการทํางานบริการสังคม หรือทํางานสาธารณประโยชนแทนคาปรับ หากผูตองโทษปรับไมประสงคจะทํางานดังกลาวตอไป อาจขอเปล่ียนเปนรับโทษปรับ 364 LW 206
1. ปรากฏวาผูตองโทษปรับนั้นมีเงินพอชําระคาปรับไดท้ังจํานวนในเวลาท่ียื่น คาํ รอ งตามมาตรา 30/1 2. ผตู องโทษปรับฝา ฝนหรอื ไมปฏบิ ตั ติ ามคําสั่งศาลตามมาตรา 30/2 3. ผูตองโทษปรับไมประสงคจ ะทาํ งานดังกลาวตอ ไปตามมาตรา 30/2 4. คําสัง่ ศาลใหเ พิกถอนดงั กลา วน้เี ปนท่ีสดุ (ป.อ. มาตรา 30/3) การปรบั จําเลยหลายคน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31 บัญญัติ “ในกรณีที่ศาลจะพิพากษาใหปรับ ผกู ระทาํ ความผดิ หลายคนในความผิดอันเดยี วกนั ในกรณีเดียวกันใหศาลลงโทษปรับเรียง ตามรายบุคคล” 5. โทษรบิ ทรัพยส ิน โทษริบทรัพยสินมีลักษณะแตกตางจากโทษอ่ืน ๆ ที่กลาวมาแลว โทษที่กลาว มาแลว 4 ชนิดนั้นมิไดเปนโทษที่มุงลงแกตัวทรัพยสินโดยตรง สวนโทษริบทรัพยสินเปน โทษที่ลงแกทรัพยสินเปนสําคัญ วาเขาหลักเกณฑที่จะริบไดหรือไม โดยไมคํานึงถึงตัว บคุ คลวา ไดก ระทาํ ความผิดหรือไม เชน ทรัพยสินที่ตองรับโดยเด็ดขาด ตาม ป.อ. มาตรา 32 หรือทรัพยสินท่ีศาลใชดุลพินิจไดวาจะริบไมริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 ก็มุงถึง ทรัพยสินเปนสําคัญ โดยไมคํานึงถึงตัวบุคคลวากระทําความผิดหรือไม เชน ทรัพยสินที่ บุคคลมีไวเพ่ือใชในการกระทําความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) จะเห็นไดชัดวาบุคคล น้ันยงั มไิ ดกระทาํ ความผิด ศาลกอ็ าจรบิ ได ลักษณะของทรัพยส ินท่จี ะถูกริบได ทรัพยสนิ ทจี่ ะถูกริบไดตามประมวลกฎหมายอาญา แบง ออกไดดงั นี้ คอื (1) ทรัพยส ินท่ีศาลจะตองริบโดยเด็ดขาด ตามมาตรา 32 (2) ทรัพยสินที่ศาลจะตองริบ เวนแตจะเปนของผูอื่นซ่ึงมิไดรูเห็นเปนใจดวย ในการกระทําความผิด ตามมาตรา 34 LW 206 365
(3) ทรัพยสินที่อยูในดุลพินิจของศาลวาจะริบหรือไมก็ได เวนแตจะเปนของ ผูอ่ืนซ่งึ มไิ ดรูเหน็ เปนใจดว ยในการกระทําความผิด ตามมาตรา 33 (1) ทรัพยสนิ ที่ศาลจะตอ งรบิ โดยเดด็ ขาด ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 บัญญัติวา “ทรัพยสินใดที่กฎหมาย บัญญัติไววาผูใดทําหรือมีไวเปนความผิด ใหริบเสียท้ังส้ิน ไมวาจะเปนของผูกระทํา ความผิดและผูถูกลงโทษตามคําพิพากษาหรือไม” ตามมาตรา 32 น้ีบังคับใหศาลตองริบ ทรัพยสินที่ระบุไว ไมอยูในดุลพินิจของศาล ศาลจะไมริบไมได การริบทรัพยประเภทน้ีจึง ดูจากตัวทรัพยเปนสําคัญ ทรัพยสินที่ศาลจะตองริบโดยเด็ดขาดตาม ป.อ. มาตรา 32 มี 2 กรณี คอื ก. ทรัพยที่กฎหมายบัญญัติวาผูใดทําเปนความผิด หมายถึง มบี ทบัญญตั ขิ องกฎหมายบัญญัติหามมิใหบุคคลทําทรพั ยอ นั ใดบาง เม่ือมีกฎหมายหามมิ ใหบุคคลทําทรัพยอยางใดอยางหน่ึงขึ้น หากมีผูทําทรัพยเชนนั้นข้ึนมาก็เปนการฝาฝน กฎหมาย ทรัพยน้ันก็เปนทรัพยท่ีกฎหมายบัญญัติไววาผูใดทําเปนความผิด คือเปน ความผิดในตัวเอง เชน ปนทําเองหรือปนไมมีทะเบียนที่เรียกวาปนเถ่ือน สุราเถ่ือน ฝน เฮโรอนี กัญชา เงินปลอม หรือธนบตั รปลอม ดวงตราปลอม แสตมปปลอม เหลานี้ ถาผูใด ทําขึ้นมาก็เปนทรัพยที่กฎหมายบัญญัติวาผูใดทําเปนความผิด ศาลตองริบเสมอ ถึงแมจะ ไมใ ชทรพั ยส ินของจําเลยหรือจาํ เลยมไิ ดกระทาํ ความผดิ หรือไมถ ูกลงโทษกต็ าม ข. ทรัพยท่ีกฎหมายบัญญัติไววาผูใดมีไวเปนความผิด หมายถึง มีบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติหามมิใหบุคคลมีไว เมื่อมีกฎหมายหามมิใหบุคคลมี ทรัพยอยางใดอยางหน่ึงไว ทรัพยนั้นก็เปนทรัพยท่ีกฎหมายบัญญัติไววาผูใดมีไวเปน ความผดิ เชน ปน เถ่ือน เฮโรอีน ฝน กญั ชา ยาบา ธนบตั รปลอม เปนตน โทษริบทรัพยสินตามมาตรา 32 น้ี มุงที่ตัวทรัพย ดังนั้นแมคดีน้ันศาล ยกฟองศาลก็พิพากษาใหริบทรัพยได เชน คําพิพากษาฎีกาที่ 2176/2543 ศาลพิพากษา ยกฟองโจทกฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวครอบครองเพ่ือจําหนายจึงไมอาจริบเมทแอมเฟตามีน ตามพระราชบัญญัติวัตถุท่ีออกฤทธ์ิตอจิตประสาทตามมาตรา 116 ได แตการมีเมทแอม- เฟตามีนไวในครอบครองเปนความผิด ศาลริบไดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และคําพพิ ากษาฎกี าที่ 2090/2542 เม่ือพยานหลกั ฐานโจทกย ังเปนทีส่ งสัยวาอาวุธปนและ เครื่องกระสุนปนของกลางตามฟองเปนของจําเลยหรือไม ควรยกประโยชนแหงความ 366 LW 206
แมโจทกไมมีอํานาจฟองก็ริบได เชน คําพิพากษาฎีกาที่ 1746/2550 เมทแอมเฟตามีนของกลางเปนยาเสพติดใหโทษประเภท 1 ซึ่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 102 บัญญัติใหริบเสียทั้งส้ินทั้งเปนทรัพยที่ผูใดทําหรือมีไวเปนความผิดซึ่ง ป.อ. มาตรา 32 บัญญัติใหริบเสียท้ังส้ิน ไมวาเปนของผูกระทําความผิดและมีผูถูกลงโทษตาม คําพิพากษาหรอื ไมจงึ ตอ งรบิ ตามบทบญั ญัตดิ งั กลา ว แมโ จทกไ มม อี ํานาจฟองกต็ าม (2) ทรัพยสินท่ีศาลจะตองริบ เวนแตจะเปนของผูอื่นซึ่งมิไดรูเห็นเปนใจ ดว ยการกระทําความผดิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 34 บัญญัติวา “บรรดาทรัพยสิน (1) ซ่ึง ไดใหตามความในมาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 149 หรือมาตรา 150 มาตรา 167 มาตรา 201 หรือมาตรา 202 (2) ซึ่งไดใหเพ่ือจูงใจบุคคลใหกระทําความผิดเพื่อเปน รางวัลในการท่บี ุคคลไดกระทาํ ความผดิ ใหริบเสียท้ังส้ิน เวนแตทรัพยสินน้ันเปนของผูอ่ืนซ่ึงมิไดรูเห็นเปนใจดวย ในการกระทําความผิด” ทรัพยสินดังระบุไวในมาตรา 34 นี้เปนมูลฐานสําคัญที่ทําให เสื่อมเสียความยุติธรรมและเปนเหตุใหเกิดอาชญากรรมดวย จึงบัญญัติใหศาลตองริบเสีย ทง้ั ส้ิน ทรัพยท่ีศาลจะตองริบตามมาตรา 34 นี้มีลักษณะเหมือนกัน คือลวนเปน ทรัพยสินที่ไดมีการใหแกกัน จะแตกตางกันเฉพาะลักษณะของการให กลาวคือ ทรัพยท่ี ระบุไวในมาตรา 34 (1) ไดแก ทรัพยท่ีไดใหในความผิดเกี่ยวกับการปกครองและความผิด LW 206 367
(3) ทรัพยสินที่อยูในดุลพินิจของศาลวาจะริบหรือไมก็ได เวนแตจะเปน ของผอู ่นื ซึ่งมไิ ดรูเ หน็ เปน ใจดวยในการกระทําความผดิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 บัญญัติวา “ในการริบทรัพยสิน นอกจากศาลจะมีอํานาจริบตามกฎหมายท่ีบัญญัติไวโดยเฉพาะแลว ใหศาลมีอํานาจสั่งให ริบทรพั ยสินดังตอไปน้ีอกี ดว ย คอื (1) ทรัพยส นิ ซ่งึ บคุ คลไดใช หรอื มไี วเ พื่อใชในการกะทําความผิด หรอื (2) ทรัพยสินซึง่ บุคคลไดมาโดยไดกระทาํ ความผิด เวนแตทรัพยสินเหลานี้เปนทรัพยสินของผูอื่นซ่ึงมิไดรูเห็นเปนใจดวยใน กากรระทําความผดิ ” ทรพั ยตามมาตรา 33 นีต้ างกับทรพั ยตามมาตรา 32 และมาตรา 34 ตรง ท่ีวา กฎหมายใหอยูในดุลพินิจของศาลท่ีจะสั่งใหริบหรือไมก็ได มาตรา 33 ใชคําวา “ให ศาลมีอํานาจสั่งใหริบ” ไมไดบังคับใหศาลตองริบเชนทรัพยตามมาตรา 32 และ 34 ซ่ึง กฎหมายใชค าํ วา “ใหร ิบเสียท้ังส้ิน” ทรัพยสินทั้ง 2 ประเภทตามมาตรา 33 ศาลมีอํานาจใชดุลพินิจไดวาควร ริบหรือไม ซึ่งแลวแตพฤติการณในคดีเปนเร่ือง ๆ ไป เวนแตปรากฏวาทรัพยสินเหลานี้ เปนของผูอื่นซึ่งไมรูเห็นเปนใจดวยในการกระทําความผิดนั้น ศาลจะริบไมไดทรัพยสินท่ี บัญญตั ิไวในมาตรา 33 คือ ก. ทรัพยสินที่ใชในการกระทําความผิด หมายความถึงความผิดนั้น ไดกระทําดวยการใชทรัพยน้ันเองโดยตรง เชน ใชอาวุธปน มีด หรือไมทํารายรางกายเขา การทํารายรางกายเปนความผิด อาวุธปน มีด หรือไมท่ีใชในการทํารายรางกายจึงเปน ทรัพยสินที่ใชในการกระทําความผิดที่จะริบอาวุธปน มีด หรือไมน้ัน แตถาความผิด เกิดขึ้นเพราะเหตุอยางอื่นไมไดอยูท่ีการใชทรัพยน้ัน ทรัพยสินท่ีใชเก่ียวกับความผิดนั้น ก็ไมเรยี กวาเปน ทรพั ยที่ใชในการกระทาํ ความผดิ เชน 368 LW 206
ใชรถยนตหรือรถจักรยานยนตเปนพาหนะในการไปกระทําความผิด ไมถือวารถยนตหรือรถจักรยานยนตเปนทรัพยที่ใชในการกระทําความผิดโดยตรง ตวั อยาง คําพพิ ากษาฎกี าท่ี 5014/2542 การทศี่ าลมอี ํานาจส่ังริบทรัพยสินของบุคคลที่ได ใชห รือมไี วเ พ่อื ใชในการกระทําผดิ ตามมาตรา 33 (1) มุงใหริบตัวทรัพยสินที่ผูกระทําไดใช ในการกระทาํ ผดิ นัน้ โดยตรง ทรพั ยส นิ นัน้ จะตอ งเกี่ยวของเปนสวนหนึง่ ของการกระทําผิด ข. ทรัพยสินท่ีมีไวเพื่อใชในการกระทําความผิด หมายถึง ทรัพยสิน ท่ีมีไวโดยเจตนาเพ่ือจะใชในกากรระทําความผิดอยางใดอยางหน่ึง เชน ใบมีดโกนหรือ เหรียญทองแดงท่ีฝนดานขางใหคมเพื่อใชตัดกระเปาเส้ือกางเกงเอาทรัพย กุญแจผีไขควง เล่ือยตัดเหล็กท่ีทําไวเพ่ือใชในการลักรถยนตหรือเพ่ือลักทรัพยในบานของผูอ่ืน เปนตน แมจะยังมิไดกระทําความผิดหรอื ยังไมถงึ ขนั้ พยายามกระทาํ ความผดิ ก็ริบได ค. ทรัพยสินท่ีไดมาโดยไดกระทําความผิด หมายความถึงทรัพยสินที่ ไดมาจากการกระทาํ ความผิดทกุ อยาง เวน แตท รพั ยสินที่ไดมาตามมาตรา 34 ตัวอยาง คําพิพากษาฎีกาที่ไมถือวาเปนทรัพยท่ีใชหรือมีไวเพื่อใชใน การกระทําความผิด 1. รถยนตหรือรถจักรยานยนตที่ใชเปนพาหนะในการไปกระทํา ความผิด ไมถือวาเปนทรัพยท่ีใชในการกระทําความผิดโดยตรง คําพิพากษาฎีกาที่ 5014/2542 การท่ีศาลมีอํานาจส่ังริบทรัพยสินของบุคคลที่ไดใชหรือมีไวเพ่ือใชในการ กระทําผิด ตามมาตรา 33(1) มุงหมายใหริบตัวทรัพยสินที่ผูกระทําผิดไดใชในการกระทํา ผิดนั้นโดยตรง ทรัพยสินนั้นจะตองเกี่ยวของเปนสวนหน่ึงของการกระทําผิด การที่จําเลย ใชรถยนตกระบะบรรทุกเปนพาหนะเพ่ือความสะดวกในการลักทรัพย การพาทรัพยน้ันไป เพ่ือใหพนการจับกุม แตไมไดหมายความวาจําเลยใชรถยนตกระบะดังกลาวเปนเครื่องมือ หรือเปนสวนหนึ่งของการลักทรัพยโดยตรง ก็ไมอาจริบรถยนตกระบะนั้นได คําพิพากษา ฎีกาที่ 469/2547 การที่จําเลยใชกระดาษหนังสือนิตยสารหอหุมเมทแอมเฟตามีนของ กลาง แลววางไวท่ีตะแกรงดานหนารถจักรยานยนตของกลางโดยเปดเผย ถือไมไดวา จําเลยไดใชรถจักรยานยนตของกลางในการกระทําความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวใน ครอบครองโดยไมไดรับอนุญาต รถจักรยานยนตของกลางจึงไมใชทรัพยสินท่ีจําเลยไดใช ในการกระทําความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 33(1) และคําพิพากษาฎีกาที่ 671/2548 รถยนต ของกลางเปนพาหนะท่ีคนตางดาวโดยสาร เพื่อพาคนตางดาวใหพนจากการจับกุม ไมใช LW 206 369
2. เคร่ืองรับโทรทัศนสีของกลางเปนเพียงเคร่ืองมือและอุปกรณการรับ ภาพแขงขันชกมวย มิใชเครื่องมือที่ใชในการกระทําความผิด คําพิพากษาฎีกาที่ 788/2542 เครื่องรับโทรทัศนส ีของกลางเปน เพยี งเครอ่ื งมือและอปุ กรณการรับภาพแขงขัน ชกมวยจากสถานีโทรทัศนซึ่งเปนผูสงภาพ การที่จําเลยกับพวกซ่ึงเปนผูชมทาพนัน แขงขันชกมวย หาทําใหโทรทัศนสีดังกลาวเปนเคร่ืองมือท่ีใชในการเลนการพนันชกมวย ตามความหมายของพระราชบัญญัติการพนันโดยแทไม แมจําเลยจะใหการรับสารภาพ ตามฟอง เม่ือปรากฏตามสภาพของเครื่องรับโทรทัศนของกลางมิใชเครื่องมือท่ีใชในการ เลนการพนันมวยแลว เครื่องรับโทรทัศนสีของกลางจึงไมใชทรัพยอันควรริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 ศาลไมร บิ (4) การริบทรพั ยส นิ ตามกฎหมายอ่นื การริบทรัพยสินใน 3 กรณีดังกลาวขางตน เปนการริบทรัพยสินตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 และ 34 ซ่ึงเปนหลักการใหญใชไดทั่วไปใน ความผิดอาญาท้ังปวง เวนแตกฎหมายอื่นบัญญัติถึงการริบทรัพยสินไวโดยเฉพาะแลว ก็ตองเปนไปตามขอยกเวนของมาตรา 17 และมาตรา 33 วรรคหน่ึง เชน พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 10 บัญญัติเปนพิเศษวา ทรัพยสินพนันท่ีจับไดในวงเลนใหริบทั้งส้ิน สวนทรัพยสินท่ีไมไดเอาออกพนันและเคร่ืองมือที่ใชในการเลน ใหศาลมีอํานาจริบไดตาม ประมวลกฎหมายอาญา การริบทรัพยสินตาม พ.ร.บ.ปาไม พ.ศ. 2484 การริบทรัพยสิน ตาม พ.ร.บ.การคา ขาว พ.ศ. 2489 พ.ร.บ.สาํ รวจและหา มกักกันขาว พ.ศ. 2489 เปน ตน 370 LW 206
(5) ผลของการรบิ ทรพั ยส นิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 35 บัญญัติวา “ทรัพยสินซ่ึงศาลพิพากษา ใหริบใหตกเปนของแผนดิน แตศาลจะพิพากษาใหทําใหทรัพยสินน้ันใชไมไดหรือทําลาย ทรพั ยสนิ นนั้ เสียก็ได” การริบทรัพยสนิ ตามประมวลกฎหมายอาญาก็ดี ตามกหมายอ่ืนก็ดี เม่อื ศาลพพิ ากษาใหรบิ มผี ล 3 ประการ คอื (1) ทรัพยสนิ น้ันตกเปน ของแผนดนิ (2) ศาลจะพพิ ากษาใหท าํ ลายหรือทําใหท รัพยสินนน้ั ใชไ มไ ดต อไปกไ็ ด (3) ศาลมีอํานาจสั่งใหผูครอบครองทรัพยสินที่ศาลริบสงทรัพยสินนั้นตอ ศาลภายในเวลาทกี่ าํ หนด ถา ผูนั้นไมปฏบิ ัติตามคําส่งั ศาล ศาลมีอํานาจสั่งดังตอ ไปน้ี ก. ใหย ึดทรัพยสนิ นัน้ ข. ใหชําระราคา หรือสั่งยึดทรัพยสินอื่นของผูนั้นชดใชราคาจนเต็ม หรอื ค. ถาศาลเห็นวาจะสงทรัพยสินไดแตไมสง หรือชําระราคาไดแตไม ชําระ ใหศ าลกักขังผนู ัน้ ไดจนกวา จะปฏบิ ัตติ ามคาํ ส่งั แตต องไมเกนิ 1 ป (ป.อ.มาตรา 37) (6) ทรพั ยสนิ ทจ่ี ะรบิ ตอ งมีตัวทรพั ยส ินอยู เม่ือศาลพิพากษาใหริบทรัพยสิน มีผลใหทรัพยน้ันตกเปนของแผนดิน และศาลยังมีอํานาจพิพากษาใหทําลายหรือทําใหทรัพยสินน้ันใชไมไดตอไป ตามมาตรา 35 ทั้งมีอํานาจสั่งใหผูครอบครองทรัพยสินที่ถูกริบสงมอบแกศาล หรือใหยึดทรัพยสินนั้น ตามมาตรา 37 ดังนั้นทรัพยสินที่ศาลจะพิพากษาใหริบตองมีตัวทรัพยสินน้ันอยูในขณะ ศาลพิพากษาคดีน้ัน ไมวาจะจับไดทรัพยสินน้ันมาเปนของกลางในคดีแลว หรืออยูใน ความครอบครองของใคร ซึง่ อาจเปนเจาพนักงานหรือพนักงานสอบสวน หรือผูที่พนักงาน สอบสวนมอบใหรักษาของกลางนั้นไว หรือแมของกลางน้ันเจาพนักงานไดคืนใหจําเลยไป แลว แตโจทกยังมีคําขอใหริบทรัพยนั้นอยู แตถาหากทรัพยสินนั้นถูกทําลายหรือ สูญหายไปแลว ไมวาดวยเหตุใด ศาลจะไมริบเพราะไมมีตัวทรัพยสินที่จะตกเปนของ แผนดนิ ได LW 206 371
(7) การขอคืนทรัพยส ินท่ีศาลริบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 บัญญัติวา “ในกรณีที่ศาลส่ังใหริบ ทรัพยสินตามมาตรา 33 หรือมาตรา 34 ไปแลว หากปรากฏในภายหลังโดยคําเสนอของ เจา ของแทจ ริงวา ผูเปน เจาของแทจรงิ มิไดรูเห็นเปนใจดวยในการกระทําความผิด ก็ใหศาล สั่งใหคืนทรัพยสิน ถาทรัพยสินนั้นยังคงอยูในครอบครองเจาพนักงาน แตคําเสนอของ เจาของแทจริงน้ันจะตองกระทําตอศาลภายในหน่ึงปนับแตวันคําพิพากษาถึงที่สุด” ตาม มาตรา 36 น้ี การขอคืนทรพั ยส ินท่ีศาลริบตอ งประกอบดว ยหลกั เกณฑ 4 ประการ คือ 1) ตอ งเปน ทรัพยส ินท่ศี าลรบิ ตามมาตรา 33 และมาตรา 34 2) ผูขอคืนตองเปนเจาของแทจริงในทรัพยสินนั้น และตองมิไดรูเห็นเปน ใจในการกระทําความผิดนั้นดวย คําวา “เจาของท่ีแทจริง” ตามาตรา 36 น้ี เปนบุคคล เดียวกันกับเจาของทรัพยสินซ่ึงมิไดรูเห็นเปนใจดวยในการกระทําความผิด ตามวรรคสอง ของมาตรา 33 และ 34 น่ันเอง กลาวคือ จําเลยผูกระทําความผิดไดเอาทรัพยสินของผูอ่ืน ไปใชในการกระทําความผิด หรือเพื่อใชกระทําความผิด หรือไดทรัพยสินของผูอ่ืนมาโดย การกระทําความผิดตามมาตรา 33 หรือเอาทรัพยสินของผูอื่นไปใหในการกระทําผิดตาม มาตรา 34 โดยผูอื่นน้ันมิไดรูเห็นเปนใจดวยในการกระทําความผิดของจําเลย และมีสิทธิ ขอคืนทรัพยสินท่ีศาลริบแลวไดตามมาตรา 36 ผูเปนเจาของที่แทจริงตองมีกรรมสิทธิ์ มากอ นในขณะทีจ่ าํ เลยเอาทรัพยสนิ ของผนู ้ันไปใชใ นการกระทําความผิด 3) เจาของแทจริงตองมีคําเสนอขอคืนตอศาลภายใน 1 ปนับแตวันท่ีศาล พิพากษาถึงที่สุดใหริบ หมายความวา เจาของแทจริงตองย่ืนคํารองขอคืนตอศาลชั้นตนที่ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น แมศาลชั้นตนจะไมริบ แตศาลอุทธรณหรือศาลฎีกาพิพากษาให ริบ ก็ตองย่ืนคํารองขอคืนตอศาลชั้นตนนั่นเอง โดยย่ืนคํารองขอคืนภายใน 1 ปนับแตวัน ศาลพิพากษาถึงท่สี ุด 4) ศาลจะส่ังใหคืนไดตอเม่ือทรัพยสินน้ันยังคงมีอยูในความครอบครอง ของเจาพนักงาน หมายความวา ทรัพยสินที่เจาของแทจริงขอคืนตอศาลตองอยูในความ ครอบครองของเจาพนักงาน ศาลจึงจะคืนใหได เพราะถาทรัพยสินนั้นสูญหายไปไมมีอยู เสยี แลว ศาลกย็ อมจะใหค นื ไมได 372 LW 206
บทที่ 2 วธิ เี พม่ิ โทษและลดโทษ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51, 52, 53 และ 54 ไดบัญญัติวางหลักการเพิ่ม โทษและลดโทษไวดงั นี้ 1. ในการเพิ่มโทษ มใิ หเพมิ่ ขึ้นถึงประหารชวี ติ จําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกเกินหา สิบป (ป.อ.มาตรา 51) หมายความวา การเพ่ิมโทษจําคุกทุกกรณีศาลจะเพ่ิมโทษให ประหารชวี ิต จําคกุ ตลอดชวี ิต หรอื จาํ คุกเกนิ หาสบิ ปไ มไ ด 2. ในการลดโทษประหารชีวิต ไมวาจะเปนการลดมาตราสวนโทษหรือลดโทษท่ี จะลง ใหลดดงั ตอไปนี้ (1) ถา จะลดหนึ่งในสาม ใหลดเปน โทษจําคุกตลอดชีวิต (2) ถาจะลดกึ่งหนึ่ง ใหลดเปนโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือโทษจําคุกตั้งแตยี่สิบ หาปถงึ หา สบิ ป (ป.อ.มาตรา 52) 3. ในการลดโทษจาํ คกุ ตลอดชีวติ ไมวา จะเปนการลดมาตราสวนโทษหรือลดโทษ ที่จะลง ใหเปล่ียนโทษจําคุกตลอดชีวิตเปนโทษจําคุกหาสิบป (ป.อ.มาตรา 53) หมายความวา การลดมาตราสวนโทษตามกฎหมายของโทษจําคุกตลอดชีวิตก็ดี หรือการ ลดโทษจําคุกตลอดชีวิตท่ีศาลลงแกผูกระทําความผิดตามมาตรา 78 ก็ดี ไมวาอัตราสวน ของการลดจะเปนเทาใด ศาลตองเปลี่ยนโทษจําคุกตลอดชีวิตเปนโทษจําคุก 50 ป เพื่อจะ ไดค าํ นวณสว นของอัตราโทษจําคกุ ตลอดชีวติ ท่กี ฎหมายบัญญัติใหลดมาตราสวนโทษหรือ ท่ศี าลลดโทษท่ีจะลงตามมาตรา 78 แกผตู องโทษจําคกุ ตลอดชีวิตไดโ ดยสะดวก 4. วธิ กี ารเพ่ิมและลดโทษจาํ คุก (1) ในการที่จะเพ่ิมหรือลดโทษนั้น ศาลจะตองกําหนดโทษที่จะลงแกจําเลย เสยี กอ น แลวจึงคิดเพมิ่ หรือลดโทษให แลว แตก รณี (ป.อ.มาตรา 54) (2) ในการเพิ่มโทษนั้น เมื่อจะตองเพิ่มขึ้นเปนเศษสวนเทาใด ก็คิดคํานวณ จากโทษที่ศาลกาํ หนด (ป.อ.มาตรา 54) (3) ในการลดโทษนั้น เม่ือจะตองลดลงเปนเศษสวนเทาใด ก็คิดคํานวณจาก โทษทศี่ าลกาํ หนด (ป.อ.มาตรา 54) LW 206 373
(4) ในกรณีที่จะมีทั้งการเพิ่มและลดโทษน้ัน ใหเพ่ิมกอนแลวจึงลดจากผลท่ี เพ่ิมแลวน้ัน ถาสวนของการเพิ่มเทากับหรือมากกวาสวนของการลดและศาลเห็นสมควร จะไมเพ่มิ ไมลดก็ได (ป.อ.มาตรา 54) 374 LW 206
บทท่ี 3 การยกโทษจําคุก การรอการลงโทษ และรอการกาํ หนดโทษจาํ คุก 1. การยกโทษจําคกุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55 บัญญัติวา “ถาโทษจําคุกที่ผูกระทํา ความผิดจะตองรับมีกําหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือนอยกวา ศาลจะกําหนดโทษจําคุกให นอยลงอีกก็ได หรือถาโทษจําคุกท่ีผูกระทําความผิดจะตองรับมีกําหนดเวลาเพียงสาม เดือนหรือนอยกวาและมีโทษปรับดวย ศาลจะกําหนดโทษจําคุกใหนอยลง หรือจะยกโทษ จาํ คกุ เสียคงใหปรับแตอยา งเดียวก็ได” ตามมาตรา 55 นี้ 1) ในกรณีที่ศาลพิพากษาใหจําคุกไมเกิน 3 เดือนอยางเดียว ศาลมีอํานาจ เพียงอยางเดียวเทาน้ันคือ กําหนดโทษจําคุกน้ันใหนอยลงอีกเทาใดก็ได แตจะยกโทษ จาํ คุกใหไ มได 2) ในกรณีท่ีศาลพิพากษาใหจําคุกไมเกิน 3 เดือน และลงโทษปรับดวยจะ ปรับเทาใดก็ตาม ศาลมีอํานาจกําหนดโทษจําคุกใหนอยลงอีกก็ได หรือยกโทษจําคุกน้ัน เสยี คงใหปรบั อยางเดยี ว 2. การรอการลงโทษ และการรอการกาํ หนดโทษจําคุก การรอการลงโทษเปนกรณีทศ่ี าลพิพากษาวาจาํ เลยมคี วามผิดและกําหนดโทษ ท่ีจะลงในคําพิพากษาน้ัน แตศาลใหรอการลงโทษไวกอน สวนรอการกําหนดโทษเปน กรณีท่ีศาลพิพากษาวาจําเลยมีความผิด แตศาลใหรอการกําหนดโทษจําคุกตามความผิด น้ันไวก อนโดยยังไมก ําหนดโทษจําคกุ ไวใ นคําพพิ ากษาน้นั การรอการลงโทษและการรอการกําหนดโทษ มีบทบัญญัติในประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 56, 57 และ 58 1) กรณีจะรอการลงโทษจาํ คกุ หรือรอการกําหนดโทษจาํ คุก ตองประกอบดวย หลกั เกณฑ 4 ประการดังน้ี (1) ผูน นั้ ตอ งกระทําความผิดซ่งึ มโี ทษจาํ คกุ LW 206 375
(2) ความผดิ ในคดนี ้ันศาลจะลงโทษจาํ คุกไมเ กิน 3 ป (3) ไมปรากฏวาผูนั้นไดรับโทษจําคุกมากอน หรือปรากฏวาไดรับโทษ จาํ คกุ มากอ นแตเ ปนโทษสําหรบั ความผดิ ท่ไี ดก ระทาํ โดยประมาทหรอื ความผดิ ลหโุ ทษ (4) ศาลเห็นสมควรใหรอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษ โดย กําหนดเวลาใหร อไวใ นคําพพิ ากษาน้ันดว ย ซงึ่ ตองไมเกิน 5 ปนับแตว นั พพิ ากษาคดี (1) ผนู น้ั ตองกระทําความผิดซึ่งมีโทษจําคุก การรอการลงโทษหรือรอการ กําหนดโทษน้ีมีไดเฉพาะโทษจําคุกเทาน้ัน โทษอยางอื่นไมวาเปนโทษกักขัง โทษปรับ หรือโทษริบทรัพยสินจะรอไมได นัยคําพิพากษาฎีกาท่ี 3818/2533 โทษท่ีจะรอการ ลงโทษไดต องเปนโทษจําคุกเทานนั้ เมื่อไดเปลี่ยนโทษจาํ คุกเปนกกั ขังไปแลว จึงจะรอการ ลงโทษไมได (2) ความผิดในคดีน้ันศาลจะลงโทษจําคุกไมเกิน 3 ป หมายความวา คดี ที่ศาลพิพากษาใหลงโทษจําคุก จะรอการลงโทษไดศาลตองพิพากษาใหลงโทษจําคุกไม เกิน 3 ป กลาวคือ เปนโทษท่ีลงจริง ๆ เชน คดีน้ันศาลพิพากษาลงโทษจําคุก 6 ป จําเลย รับสารภาพลดโทษใหก่ึงหน่ึง จําคุกจริง ๆ 3 ป อยูในเง่ือนไขท่ีรอการลงโทษได กรณี จําเลยถูกฟองหลายสํานวน ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน การพิจารณารอการลงโทษ ตองพิจารณาโทษเปนรายสํานวนไป นัยคําพิพากษาฎีกาที่ 1238-1239/2518 (ประชุม ใหญ) โจทกฟองจําเลยเปน 2 สํานวน ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน ศาลพิพากษาจําคุก จําเลยสํานวนหนึ่ง 1 ป อีกสํานวนหนึ่ง 1 ป 6 เดือน รวม 2 ป 6 เดือน ศาลรอการลงโทษ ได คําวา \"ในคดีน้ัน” ใน ป.อ.มาตรา 56 หมายถึงคดีแตละสํานวนเปนรายคดีไป คดีท่ี จําเลยถูกฟองหลายกระทงในฟองเดียวกัน กรณีอยางน้ีตองดูโทษเปนรายกระทงไป นัย คําพิพากษาฎกี าท่ี 1989/2523 การกระทาํ ความผิดหลายกระทงในคดีเดียวกัน การรอการ ลงโทษตองพิจารณาถึงโทษจําคุกในความผิดแตละกระทง ศาลลงโทษจําคุก 3 กระทง โทษจําคุกแตละกระทงไมเกิน 2 ป ศาลรอการลงโทษได คําพิพากษาฎีกาท่ี 789/2524 โจทกฟองจําเลยวากระทําผิดตอกฎหมายหลายกรรมตางกัน เมื่อโทษจําคุกที่ศาลลงแก จําเลยแตละกระทงไมเกินกระทงละ 2 ป จึงเทากับศาลพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยเปน คดี ๆ ไป ตามกระทงความผิดท่ีโจทกรวมฟองมาไมเกินคดีละ 2 ป ศาลยอมมีอํานาจใช ดลุ พินิจรอการลงโทษจําคุกแกจ าํ เลยไดต าม ป.อ. มาตรา 56 อยางไรก็ตามหากโจทกฟอง 376 LW 206
(3) ไมปรากฏวาผูนั้นไดรับโทษจําคุกมากอน หรือปรากฏวาไดรับโทษ จําคุกมากอน แตเปนโทษสําหรับความผิดท่ีไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หมายความวาจําเลยไมเคยไดรับโทษจําคุกจริง ๆ มากอน นัยคําพิพากษาฎีกาท่ี 452/2523 คดีกอนจําเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจําคุก แตรอการลงโทษไวภายใน ระยะเวลาท่ีศาลรอการลงโทษไวน้ัน จําเลยกระทําผิดคดีน้ีอีก ศาลพิพากษาลงโทษจําคุก และใหรอการลงโทษไวอีกได เพราะการที่ศาลกําหนดโทษจําคุก แตใหรอการลงโทษไวใน คดีกอนก็เทากับวาจําเลยยังมิไดรับโทษจําคุกมากอน แตถาจําเลยไดรับโทษจําคุกในคดี กอนจริง แตคดียังไมถึงท่ีสุด จึงอาจถูกศาลสูงเปลี่ยนแปลงได กรณีเชนนี้ถือไมไดวา จําเลยไดส่ังโทษจําคุกมากอน ศาลจึงมีอํานาจรอการลงโทษจําคุกจําเลยในคดีนี้ได (คาํ พพิ ากษาฎีกาที่ 4215/2533) (4) ศาลเห็นสมควรใหรอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษ โดย กําหนดเวลาใหรอไวในคําพิพากษาน้ันดวย ซ่ึงตองไมเกิน 5 ปนับแตวันพิพากษาคดี หมายความวา เมื่อเขาหลักเกณฑท้ัง 3 ประการแลว เม่ือศาลไดคํานึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแหงจิต นิสัย อาชีพ และ สิ่งแวดลอมของผูน้ัน หรือสถานความผิด หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแลว เห็นเปนการ สมควร ศาลจะพิพากษาวาผูน้ันมีความผิดแตรอการกําหนดโทษไว หรือกําหนดโทษแต รอการลงโทษไวไ มเ กินหา ปน บั แตว นั ทศี่ าลพิพากษา 2) ผลของการรอโทษจําคกุ เม่ือศาลพิพากษาใหรอการกําหนดโทษจําคุกหรือรอการลงโทษจําคุกท่ีไม เกิน 3 ป แกผูกระทําความผิดภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนดไวซึ่งไมเกิน 5 ป ศาลจะ ปลอยตัวไปเพื่อใหโอกาสผูน้ันกลับตัวภายในระยะเวลาท่ีศาลกําหนดใหรอตามมาตรา 56 แตถาผูกระทําความผิดไมปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ศาลกําหนดตามมาตรา 56 ศาลอาจ ตกั เตือนผูก ระทาํ ความผิด หรือจะกาํ หนดการลงโทษที่ยังไมไดกําหนดหรือลงโทษซ่ึงรอไว นั้นก็ได (ป.อ.มาตรา 57) LW 206 377
ถาผูท่ีถูกรอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษไดกระทําความผิดข้ึนอีกใน ระหวางระยะเวลารอการลงโทษหรือรอการกําหนดโทษ และความผิดน้ันมิใชความผิดท่ีได กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาใหลงโทษจําคุกสําหรับ ความผิดน้ัน ใหศาลที่พิพากษาคดีหลังกําหนดโทษท่ีรอการกําหนดไวในคดีกอนบวกเขา กับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษท่ีรอการลงโทษไวในคดีกอนเขากับโทษในคดีหลัง (ป.อ. มาตรา 58 วรรคหนง่ึ ) 378 LW 206
บทท่ี 4 การระงบั ของโทษหรือความผิด เหตุท่ีทําใหโทษหรือความผิดระงับตามประมวลกฎหมายอาญา มีอยู 5 ประการ ดวยกนั คือ 1. เม่ือมีกฎหมายบัญญัติในภายหลังการกระทําความผิดวาการกระทําเชนน้ันไม เปนความผิดตอไป (ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง) 2. เม่ือผูกระทําความผิดตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 บัญญัติวา “โทษใหเปนอนั ระงบั ไปดวยความตายของผกู ระทาํ ความผดิ ” 3. เม่ือชําระคาปรับอยางสูงในคดีมีโทษปรับอยางเดียว ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 79 บัญญัติวา “ในคดีมโี ทษปรับสถานเดียว ถาผูที่ตองหาวากระทําความผิด นําคาปรับในอัตราอยางสูงสําหรับความผิดนั้นมาชําระกอนที่ศาลเร่ิมตนสืบพยาน ใหคดี นั้นเปน อนั ระงบั ไป” 4. เม่อื คดีขาดอายุความฟอ งรอ ง การฟองคดีอาญาตอศาลนั้น จะตองฟองและไดตัวผูกระทําความผิดยังศาล ภายในกําหนดเวลาท่ีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 กําหนดไวนับแตวันกระทํา ความผิด มิฉะนั้นเปนอันขาดอายุความ จะฟองผูกระทําความผิดไมได และถาเปน ความผิดอันยอมความได ผูเสียหายมิไดรองทุกขภายในสามเดือนนับแตวันท่ีรูเรื่อง ความผดิ และรตู วั ผูกระทาํ ความผดิ เปนอนั ขาดอายุความ (ป.อ.มาตรา 96) 5. คดีขาดอายุความลวงเลยการลงโทษ เม่ือไดมีคําพิพากษาถึงที่สุดใหลงโทษผูใด ผูนั้นยังไมไดรับโทษก็ดี ไดรับโทษ แตยังไมครบถวนโดยหลบหนีคดี ถายังมิไดตัวผูน้ันมาเพื่อรับโทษนับแตวันที่มีคํา พิพากษาถึงท่ีสุด หรือนับแตวันท่ีผูกระทําความผิดหลบหนี แลวแตกรณี เกินกําหนดเวลา ดงั ตอไปนี้เปน อนั ลวงเลยการลงโทษ จะลงโทษผูน้ันมิได (1) ยส่ี ิบป สําหรบั โทษประหารชีวติ จําคกุ ตลอดชีวิต หรือจําคกุ ย่ีสิบป (2) สบิ หาป สําหรบั โทษจาํ คกุ กวา เจ็ดปแ ตไ มถึงย่สี ิบป (3) สบิ ป สาํ หรับโทษจาํ คุกกวา หนึง่ ปถ ึงเจด็ ป (4) หา ป สําหรับโทษจาํ คุกต้ังแตห นึ่งปลงมา หรือโทษอยา งอ่นื (ป.อ. 98) LW 206 379
อายุความลวงเลยการลงโทษตามมาตรา 98 น้ี ใชสําหรับโทษสุทธิท่ีศาลลงแก จําเลยตามคําพิพากษาถงึ ทส่ี ุด 380 LW 206
สว นที่ 2 สถานท่ที ่ีกฎหมายอาญาใชบ ังคบั อธิปไตยของรัฐยอมมีเหนืออาณาเขตของรัฐ ฉะน้ันการกระทําความผิดซึ่งเกิดข้ึน ในอาณาเขตไมวาผูกระทําผิดจะเปนคนสัญชาติใด ยอมตกอยูภายใตอํานาจของรัฐที่ ความผิดเกิดขึ้นนั้น นอกจากนี้อํานาจรัฐยังครอบคลุมไปถึงความผิดบางประเภท หรือ บุคคลผูกระทําผิดไดทํานอกอาณาเขตของรัฐนั้นดวย ในเรื่องอํานาจของรัฐน้ีประมวล กฎหมายอาญาไดวางหลักเกณฑไว โดยใหใช “หลักดินแดน” หมายความวา กฎหมาย ของรัฐใดยอ มใชบ งั คับแกการกระทาํ ความผิดทีเ่ กิดข้นึ ภายในเขตของรัฐนั้น ท้ังน้ีจะเห็นได จากมาตรา 4 วรรคแรก บญั ญตั วิ า “ผใู ดกระทําความผิดในราชอาณาจักร ตองรับโทษตาม กฎหมาย” คําวา “ราชอาณาจักร” น้ัน ประมวลกฎหมายอาญามิไดใหความหมายไว จึงไป ศกึ ษาจากกฎหมายระหวางประเทศแผนกคดเี มอื งวา ราชอาณาจกั รนั้นไดแ ก (1) พ้นื ดนิ และพน้ื นา้ํ เชน แมน ํ้า ลําคลอง ซ่ึงอยูในอาณาเขตของประเทศ (2) ทะเลอันเปนอาวไทย ตามพระราชบัญญัติกําหนดเขตจังหวัดในอาวไทยตอนใน พ.ศ. 2502 (3) ทะเลอันหางจากฝง ทเ่ี ปน ดนิ แดนของประเทศไมเกนิ 12 ไมล (4) พืน้ อากาศเหนอื (1), (2), (3) คําวา “กระทําความผิดในราชอาณาจักร” จึงหมายความวา ความผิดน้ันไดกระทํา ลงในราชอาณาจกั ร และผลของการกระทาํ ความผดิ นน้ั กเ็ กิดในราชอาณาจกั รดวย กรณีกระทําความผดิ ในราชอาณาจกั รน้ี แยกออกเปน 2 ประการคอื 1. กระทําความผดิ ในราชอาณาจักรโดยตรง 2. กรณกี ฎหมายใหถ ือวา กระทาํ ความผิดในราชอาณาจักร 1. กระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 วรรคแรก บัญญัตวิ า “ผใู ดกระทาํ ความผดิ ในราชอาณาจกั ร ตอ งรับโทษตามกฎหมาย” 56 LW 206
ตามบทบัญญัติมาตรา 4 วรรคแรก หลักการพิจารณาวาเปนการกระทํา ความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง คอื 1.1 การกระทาํ และผลของการกระทําเกิดในราชอาณาจกั ร 1.2 ผูกระทาํ หรอื ผูท ่ไี ดร ับผลแหงการกระทําจะเปน คนสญั ชาติไทยหรือไมกต็ าม 1.1 การกระทําและผลของการกระทําเกิดในราชอาณาจักร หมายความวา ท้ังการกระทําและผลของการกระทําจะตองเกิดในราชอาณาจักรเทานั้น เพียงแตการ กระทําหรือผลของการกระทําอยางใดอยางหนึ่งเกิดในราชอาณาจักรยังไมถือวาเปนการ กระทําความผิดที่เกิดในราชอาณาจักรโดยตรง เชน ก. ยิง ข. ท่ีกรุงเทพมหานคร และ ข. ก็ถูกปนตายท่กี รงุ เทพมหานคร เปน การกระทาํ ความผิดที่เกิดในราชอาณาจักรโดยตรง ก. จึงตองรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งใชบังคับอยูในประเทศไทย ก. ยืนอยูฝงลาว ใชปนยิง ข. ซ่ึงยืนอยูฝงไทยถึงแกความตาย เชนน้ีการกระทําเกิดนอกราชอาณาจักร แต ผลเกดิ ในราชอาณาจักร จึงมิใชการกระทําความผิดที่เกิดในราชอาณาจักรโดยตรง แตเปน กรณีที่กฎหมายใหถือวากระทําความผิดท่ีเกิดในราชอาณาจักรโดยตรง แตเปนกรณีท่ี กฎหมายใหถือวากระทําความผิดในราชอาณาจกั รตามมาตรา 5 วรรคแรก 1.2 ผูกระทําหรือผูที่ไดรับผลแหงการกระทําจะเปนคนสัญชาติไทย หรือไมก็ตาม การกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรงน้ี สําหรับผูกระทําหรือผูท่ี ไดรับผลแหงการกระทําน้ีมิไดจํากัดวาจะตองเปนคนสัญชาติใด หากไดกระทําและผลของ การกระทําเกิดในราชอาณาจักรแลว เปนการกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง ตองรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญาซ่ึงใชบังคับอยูในราชอาณาจักรไทย เชน จอหน คนอังกฤษใชปนยิงดําคนไทยที่เชียงใหมถึงแกความตาย ดังน้ีเปนการกระทําความผิดที่ เกิดในราชอาณาจักรโดยตรงแลว จอหนคนอังกฤษตองรับโทษตามประมวลกฎหมาย อาญาซึง่ ใชบงั คับอยูใ นประเทศไทย 2. กรณีกฎหมายใหถือวากระทําความผิดในราชอาณาจักร ซ่ึงบัญญัติอยูใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 วรรค 2, มาตรา 5 และมาตรา 6 แยกพิจารณาไดดงั นี้ 2.1 การกระทําความผดิ ในเรอื ไทย หรอื อากาศยานไทย ไมวาจะอยู ณ ทใ่ี ด 2.2 สวนใดสว นหน่ึงของการกระทาํ ผดิ เกิดในราชอาณาจักร LW 206 57
2.3 ผลของการกระทําความผิดเกิดในราชอาณาจักร 2.4 ตระเตรยี มหรือพยายามกระทาํ ความผดิ ซง่ึ ผลจะเกิดข้ึนในราชอาณาจักร 2.5 ตัวการ ผูสนับสนุน และผูใชใหกระทําความผิดในราชอาณาจักรหรือที่ให ถือวากระทําในราชอาณาจกั ร 2.1 การกระทําความผิดในเรือไทย หรืออากาศยานไทย ไมวาจะอยู ณ ที่ใด คําวา “เรือไทยหรืออากาศยานไทย” นี้ กฎหมายมิไดจํากัดถึงชนิดไว จึง ตองหมายความวาตองรวมถึงเรือและอากาศยาน ซึ่งใชในการรบของกองทัพไทยและเรือ หรืออากาศยานพาณชิ ย ซ่ึงข้นึ ทะเบยี นและชักธงไทยดวย คําวา “ไมวาจะอยู ณ ที่ใด” หมายความวา เรือหรืออากาศยานไทยนี้ได แลนออกไปพนราชอาณาจักรแลว กําลังเกินทางอยูหรือไปจอดอยู ณ ที่ใด นอก ราชอาณาจกั ร การกระทําความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยนี้ หมายถึง ท้ังการ กระทําและผลของการกระทําความผิดไดเกิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย หรือเพียง สวนหน่ึงสวนใดของความผิดไดเกิดข้ึนในเรือนไทยหรืออากาศยานไทย และผูกระทํา ความผิดหรือผูไดรับผลแหงการกระทําความผิดน้ันจะเปนคนสัญชาติใดก็ตาม ขอสําคัญ อีกอันหนึ่งก็คือเรือไทยหรืออากาศยานไทยขณะเกิดเหตุจะตองอยูนอกราชอาณาจักร ถาขณะเกิดเหตุหรือเรืออากาศยานไทยนั้นอยูในราชอาณาจักรไทย ก็เปนการกระทํา ความผิดในราชอาณาจักรโดยตรงตามมาตรา 4 วรรคแรก หรือกรณีกระทําความผิดในเรือ หรือ อากาศยานตางประเทศขณะจอดเรือหรือผานราชอาณาจักรไทย ก็เปนการกระทํา ความผิดในราชอาณาจักรไทยโดยตรงตามมาตรา 4 วรรคแรกเชนกัน ตัวอยางที่ 1 ขณะท่ีเรือสินคาไทยลําหน่ึงจอดเทียบทาอยูท่ีทาเรือ ฮองกง นายเซียชาวจีนไดลอบข้ึนมาลักทรัพยบนเรือสินคาไทย ดังน้ีถือวานายเซียกระทํา ความผิดในราชอาณาจักร ศาลไทยมีอํานาจพิจารณาพิพากษาลงโทษนายเซียไดตาม มาตรา 4 วรรค 2 ตัวอยางท่ี 2 ในระหวางท่ีเคร่ืองบินของบริษัทเดินอากาศไทยกําลังบิน โฉมหนาจะไปฮองกง ในระหวางท่ีบินอยูเหนือประเทศกัมพูชาพนอาณาเขตไทยแลว 58 LW 206
ตัวอยางท่ี 3 ขณะที่เคร่ืองบินของบริษัทสิงคโปรแอรไลนจอดรับ ผูโดยสารอยูท่ีทาอากาศยานกรุงเทพมหานคร นายฮิมชาวลังกาไดชิงทรัพยนายชิโดชาว ญ่ีปุนบนเครื่องบินนั้น ดังน้ีเปนการกระทําในราชอาณาจักรโดยตรง ศาลไทยมีอํานาจ พจิ ารณาและพพิ ากษาลงโทษนายฮมิ ชาวลงั กาไดตามมาตรา 4 วรรคแรก ขอสังเกต การกระทําความผิดในสถานทูตตางประเทศท่ีตั้งอยูใน ประเทศไทยเปนการกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง สวนการกระทําความผิดใน สถานทูตไทยที่ต้ังอยูในตา งประเทศไมใชเปนการกระทาํ ความผดิ ในราชอาณาจักรโดยตรง หรอื ทีก่ ฎหมายใหถือวากระทําความผดิ ในราชอาณาจักร 2.2 สวนใดสวนหนงึ่ ของการกระทําผดิ เกดิ ในราชอาณาจกั ร การกระทําแมแตสวนใดไดกระทําในราชอาณาจักร ในขอนี้ถือเอาการ กระทาํ เปน หลักวา แมก ารกระทําผิดนั้นมิไดเกิดข้ึนภายในราชอาณาจักรท้ังหมด กลาวคือ บางสวนทําในราชอาณาจักร แตบางสวนทํานอกราชอาณาจักร กฎหมายใหถือวายังเปน การกระทําภายในราชอาณาจักร เชน ขบวนรถไฟแลนระหวางกรุงเทพมหานครกับปนัง คนรายไดซื้อต๋ัวติดตามผูโดยสารคนหนึ่งไปจากกรุงเทพฯ พอรถไฟแลนถึงท่ีหาดใหญ คนรายก็แอบใชยาเบ่ือเคลาใสอาหารใหคนโดยสารรับประทาน เปนเหตุใหผูน้ันหลับไมได สติจนรถไฟไปถึงปนัง พอรถไฟจอดท่ีสถานีปนัง คนรายก็ลักทรัพยตาง ๆ ซึ่งติดตัว ผูโดยสารน้ันไป การลักทรัพยนนั้ ไปเกดิ นอกราชอาณาจักร แตกฎหมายใหถือวาไดกระทํา ความผิดในราชอาณาจักร เพราะการกระทําสวนหน่ึงคือการใสยาเบื่อลงในอาหารใหคน โดยสารรบั ประทานไดก ระทาํ ในราชอาณาจักร ศาลไทยจงึ มีอาํ นาจลงโทษได ท่ีวาการกระทําสวนหนึ่งสวนใดเกิดในราชอาณาจักรนี้ ไมไดหมายความ เฉพาะแตผูกระทําความผิดจะตองกระทําการนั้นดวยมือตนเองเสมอไป ยังหมายความ รวมถึงการใชสิ่งใดเปนเคร่ืองมือและการใหคนซึ่งมิไดรวมกระทําความผิดดวยเปน เครื่องมือ เชน ใชจดหมายท่ีสงไปรษณียหลอกลวงฉอโกง การกระทําท่ีเปนการหลอกลวง ดวยแสดงขอความอันเปนเท็จ มิใชจะเกิด ณ ท่ีที่ผูกระทําความผิดเขียนจดหมายเทาน้ัน LW 206 59
การกระทําความผิดประเภทตอเนื่องหรือเปนปกติธุระ หรือการกระทํา ความผิดที่ยืดออกไปตลอดเวลาและทุกแหงท่ีมีการกระทํา ถือวาเปนการกระทําสวนหน่ึง แหง ความผิดอยูทกุ ขณะทุกแหง ที่มีการกระทาํ นั้น2 2.3 ผลของการกระทาํ ความผิดเกดิ ในราชอาณาจักร กรณีที่การกระทําไดเกิดข้ึนนอกราชอาณาจักร แตผลของการกระทํานั้น ไดเกดิ ในราชอาณาจักร มีดังน้ี คือ ก. โดยผกู ระทาํ ประสงคใ หผลนน้ั เกดิ ขน้ึ ในราชอาณาจักร ข. โดยลักษณะแหงการกระทาํ ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ นัน้ ควรเกดิ ในราชอาณาจักร ค. โดยลักษณะแหงการกระทํา ยอมจะเล็งเห็นไดวาผลน้ันจะเกิดใน ราชอาณาจกั ร ก. โดยผูกระทําประสงคใหผลนั้นเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หมายความวา แมการกระทําจะไดเกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักรก็ดี แตถาผลน้ันไดเกิด ในราชอาณาจักรโดยผูกระทําประสงคแลว ก็ถือวากระทําในราชอาณาจักร เชน ก. ยืนอยู ฝงประเทศลาว มีเจตนาจะฆา ข. ซึง่ ยนื อยูเ ขตฝง ไทย จึงใชปนยิงมาถูก ข. ตาย จะเห็นวา การกระทําน้ันไดลงมือกระทํานอกราชอาณาจักร แตผลคือความตายของ ข. เกิดขึ้นใน ราชอาณาจกั ร โดย ก. ประสงคใหผ ลนั้นเกดิ ขน้ึ ก. จงึ ตอ งรบั โทษตามกฎหมายไทย ข. โดยลักษณะแหงการกระทํา ผลท่ีเกิดขึ้นน้ันควรเกิดใน ราชอาณาจักร ในขอนี้ตางกับในขอที่แลว ในขอท่ีแลวถือเอาเจตนาของผูกระทําเปน สําคัญ สวนในขอนี้ถือเอาลักษณะแหงการกระทําเปนสําคัญ กลาวคือ โดยลักษณะแหง การกระทําเชนน้ัน แมกระทํานอกราชอาณาจักร แตผลควรจะเกิดในราชอาณาจักร ซ่ึง สวนมากจะเปนการกระทําโดยประมาท เชน นายเข็มชนชาติเขมรอยูท่ีชายแดนติดตอ 1จติ ติ ติงศภัทิย, ศาสตราจารย, อางแลว. LW 206 2จติ ติ ติงศภัทยิ , ศาสตราจารย, อา งแลว . 60
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389