แทนเหมอื นผู้อนุบาลของคนไร้ความสามารถ ดงั นัน้ จงึ ได้กําหนดให้นิตกิ รรมท่รี ะบุไวใ้ น มาตรา 34 วรรคหน่ึง ของคนเสมอื นไรค้ วามสามารถทท่ี ําลงโดยปราศจากความยนิ ยอม ของผพู้ ทิ กั ษม์ ผี ลเป็นโมฆยี ะทงั้ สน้ิ การกําหนดประเภทของนิตกิ รรมซง่ึ บุคคลทถ่ี ูกศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนเสมอื น ไรค้ วามสามารถไมส่ ามารถทาํ ไดห้ ากปราศจากความยนิ ยอมของผพู้ ทิ กั ษ์ เพราะนิตกิ รรม อ่นื ๆ ทไ่ี มไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 34 วรรคหน่ึง คนเสมอื นไรค้ วามสามารถยงั คงมสี ทิ ธทิ ํา ได้ตามปกตนิ ัน่ เอง แต่หากมกี ารฝ่าฝืนผลของนิติกรรมก็จะเป็นโมฆยี ะ ทําให้ผู้พทิ กั ษ์ มสี ทิ ธิบอกล้างหรอื ให้สตั ยาบนั ต่อไปหลงั จากไปพเิ คราะห์แล้วเห็นว่าเสยี เปรียบหรอื ไดเ้ ปรยี บ แลว้ แตก่ รณี ประเภทของนิตกิ รรมท่ีคนเสมอื นไร้ความสามารถจะกระทํามไิ ด้หาก ปราศจากความยนิ ยอมของผพู้ ทิ กั ษ์ มฉิ ะนนั้ จะมผี ลเป็นโมฆยี ะ มดี งั น้ีคอื 1. การนําทรพั ยส์ นิ ไปลงทนุ ทรพั ยส์ นิ น้ีไมว่ า่ จะเป็นอสงั หารมิ ทรพั ยห์ รอื สงั หารมิ ทรพั ย์ กไ็ มอ่ าจนําไปลงทุนไดห้ ากผพู้ ทิ กั ษไ์ มย่ นิ ยอม 2. การรบั คนื ทรพั ยส์ นิ ทไ่ี ปลงทนุ รวมทงั้ รบั คนื ตน้ เงนิ และทุนอยา่ งอน่ื ดว้ ย 3. การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงนิ การยืมหรือให้ยืมสงั หารมิ ทรพั ย์อนั มคี ่า การบญั ญตั ไิ วเ้ ชน่ น้ีเพราะเมอ่ื เป็นเรอ่ื งเงนิ ๆ ทอง ๆ บคุ คลทม่ี เี หตุบกพรอ่ งในเรอ่ื งใชจ้ ่าย ฟุม่ เฟือย สรุ ยุ่ สรุ า่ ยโดยไมย่ งั้ คดิ อาจทาํ ไปโดยไมไ่ ดข้ อความยนิ ยอมไดง้ า่ ยกวา่ เรอ่ื งอ่นื ๆ จงึ ห้ามทําเองโดยเดด็ ขาด ไม่ว่าจะเป็นลูกหน้ีหรอื เจ้าหน้ี และยงั รวมไปถึงการยมื หรอื ให้ยืมสงั หาริมทรพั ย์อนั มีค่า ซ่ึงในกรณีน้ีต้องไปดูว่าสงั หาริมทรพั ย์อนั มีค่าหมายถึง อะไรบา้ ง ในมาตรา 456 วรรคหน่ึง และมาตรา 703 ซง่ึ ไดบ้ ญั ญตั ไิ วต้ ามลาํ ดบั ดงั น้ี มาตรา 456 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิว่า “การซื้อขายอสงั หาริมทรพั ย์ ถ้ามิได้ทาํ เป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไซร้ ท่านว่าเป็ นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือกาํ ปัน่ หรือเรือมีระวางตงั้ แต่หกตนั ขึน้ ไป เรือกลไฟหรือเรือยนต์ มีระวางตงั้ แต่ห้าตนั ขึ้นไป ทงั้ ซื้อขายแพและสตั ว์พาหนะด้วย” และมาตรา 703 บญั ญตั ิว่า “อนั อสงั หาริมทรพั ยน์ ัน้ อาจจาํ นองได้ไม่ว่าประเภทใด ๆ สงั หาริมทรพั ยอ์ นั จะกล่าวต่อไปนี้กอ็ าจจาํ นองได้ดจุ กนั หากว่า ได้จดทะเบียนไว้แล้วตามกฎหมาย คือ LA 102 (LW 102) 99
(1) เรือกาํ ปัน่ หรือเรือมีระวางตงั้ แต่หกตนั ขึน้ ไป เรือกลไฟ หรือ เรอื ยนตม์ ีระวางตงั้ แต่ห้าตนั ขนึ้ ไป (2) แพ (3) สตั วพ์ าหนะ (4) สังหาริมทรัพย์อ่ืน ๆ ซึ่งกฎหมายหากบัญญัติ ไว้ให้จด ทะเบียนเฉพาะการ” ดงั นัน้ สงั หารมิ ทรพั ย์อนั มคี ่าจงึ เป็นสงิ่ ทค่ี นเสมอื นไรค้ วามสามารถ อาจนําไปสรา้ งความสญู เสยี หรอื เสยี หายได้ ไมว่ า่ จะเป็นการยมื หรอื ใหย้ มื เพราะเป็นสง่ิ ทม่ี ี ราคาทงั้ นนั้ 4. การรบั ประกนั โดยประการใด ๆ อนั มผี ลใหค้ นตอ้ งถูกบงั คบั ชาํ ระหน้ี การเขา้ ค้าํ ประกนั บุคคลอ่นื ทไ่ี มอ่ าจชาํ ระหน้ีไดน้ นั้ เจา้ หน้ีสามารถบงั คบั ชาํ ระหน้ีจากผคู้ ้ํา ประกนั ได้ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยค้ําประกนั ซ่ึงหากผู้เสมอื นไร้ความ สามารถเป็นผูค้ ้ําประกนั ย่อมมแี ต่เร่อื งเสยี เปรยี บแน่นอน จงึ ไม่มผี ลเป็นโมฆยี ะ หากได้ ทาํ ลงไปโดยปราศจากความยนิ ยอมของผพู้ ทิ กั ษ์ 5. การเชา่ หรอื ใหเ้ ชา่ สงั หารมิ ทรพั ย์ มกี ําหนดระยะเวลาเกนิ กวา่ 6 เดอื น หรอื อสงั หารมิ ทรพั ย์มกี ําหนดระยะเวลาเกนิ กว่า 3 ปี การหา้ มไม่ให้คนเสมอื นไรค้ วาม สามารถนําอสงั หารมิ ทรพั ย์ เชน่ บา้ น ทด่ี นิ หรอื สงั หารมิ ทรพั ย์ เช่น รถยนต์ ไปใหค้ นอ่นื เช่าหรอื คนเสมอื นไรค้ วามสามารถเป็นผูเ้ ช่าก็ดี เพราะอาจก่อให้เกดิ ทงั้ สทิ ธแิ ละหน้าท่ี ตามกฎหมายในฐานะคู่ผูส้ ญั ญาตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลกั ษณะเช่าซ้อื หรอื เช่า ทรพั ย์ ทงั้ นนั้ จงึ เป็นอกี กรณหี น่ึงทต่ี อ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผพู้ ทิ กั ษก์ อ่ นจงึ ทาํ ได้ 6. การใหโ้ ดยเสน่หา เวน้ แต่การใหท้ พ่ี อควรแก่ฐานานุรปู เพ่อื การกุศล การสงั คมหรอื ตามหน้าทธ่ี รรมจรรยา หรอื ใหโ้ ดยเสน่หา การทก่ี ําหนดใหน้ ิตกิ รรมในขอ้ น้ี ต้องไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผูพ้ ทิ กั ษ์น้ีด้วย เพ่อื เป็นการป้องกนั ไม่ให้คนเสมอื นไรค้ วาม สามารถใชจ้ า่ ยฟุม่ เฟือย เพราะเป็นคนใจอ่อน จงึ แจกจ่ายเงนิ ทองโดยไมค่ ดิ หน้าคดิ หลงั จนทาํ ใหห้ มดเน้ือหมดตวั หรอื มใี จกุศลทําบุญบรจิ าคเงนิ โดยไม่ยงั้ คดิ ยกเวน้ จะเป็นการบรจิ าค เงนิ เพ่อื การกุศลท่สี มกบั ฐานะและสมควรแก่เหตุเท่านัน้ ท่สี ามารถทําได้โดยไม่ต้องขอ ความยนิ ยอมจากผพู้ ทิ กั ษ์ 100 LA 102 (LW 102)
การจะรู้ว่าสมกบั ฐานานุรูปหรอื ไม่ก็ต้องดูฐานะและการบรจิ าคเป็น กรณีไป ดงั นัน้ ผู้พทิ กั ษ์จงึ ต้องไปตรวจสอบพจิ ารณาว่าเป็นการให้จนเกินความจําเป็น หรอื เป็นการบรจิ าคจนเกนิ ไปหรอื เปล่า หากเป็นการใหท้ ท่ี ําใหเ้ สยี หายแก่กองทรพั ย์สนิ ของครอบครวั หรอื ของคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ ผพู้ ทิ กั ษ์กบ็ อกลา้ งได้ เชน่ ใหเ้ งนิ เพอ่ื น ยมื ทลี ะหม่นื บาทโดยไม่เคยทวงคนื บ่อย ๆ หากเป็นเร่อื งสมเหตุสมผลกใ็ ห้สตั ยาบนั ได้ เช่นกนั ยกเวน้ เป็นเร่อื งการบรจิ าคซง่ึ หากสมเหตุสมผลกท็ ําไดเ้ ลยโดยไม่ตอ้ งขออนุญาต จงึ สามารถทําเองได้โดยลําพงั และมผี ลสมบูรณ์ ไม่เป็นโมฆยี ะแต่ประการใด เช่น การบรจิ าคสรา้ งศาลาการเปรยี ญปีละ 500 บาท เป็นตน้ 7. การรบั การใหโ้ ดยเสน่หาทม่ี เี งอ่ื นไขหรอื ค่าภารตดิ พนั หรอื ไมร่ บั การ ให้โดยเสน่หา ในเร่อื งการรบั การให้โดยเสน่หา มเี ง่อื นไขหรอื ค่าภารติดพนั และการ ปฏเิ สธไม่รบั การให้โดยเสน่หาของคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ เป็นเร่อื งท่อี าจก่อความ เสยี หายหรอื อาจก่อประโยชน์ไดพ้ อ ๆ กนั จงึ ควรใหผ้ พู้ ทิ กั ษเ์ ป็นผเู้ ขา้ มาดแู ลควบคุมโดย การใหค้ วามยนิ ยอมหรอื ไมย่ นิ ยอม แลว้ แต่กรณี รวมทงั้ สามารถบอกลา้ งหรอื ใหส้ ตั ยาบนั ได้ตามท่ีเห็นสมควรเพราะนิติกรรมเหล่าน้ีหากทําลงโดยปราศจากความยนิ ยอมของ ผูพ้ ทิ กั ษ์กม็ ผี ลเป็นโมฆยี ะ เพราะการรบั การใหโ้ ดยเสน่หาทม่ี เี ง่อื นไขหรอื ค่าภารตดิ พนั บางกรณอี าจไดป้ ระโยชน์มากกวา่ เสยี ประโยชน์ เชน่ การรบั การใหท้ ด่ี นิ ทต่ี ดิ ภาระจาํ ยอม ซง่ึ เป็นทด่ี นิ ทม่ี รี าคาแพงมาก ๆ เป็นตน้ และในกรณีปฏเิ สธไมร่ บั การใหโ้ ดยเสน่หาทไ่ี ม่มี เงอ่ื นไขหรอื คา่ ภารตดิ พนั กเ็ ชน่ เดยี วกนั ย่อมเป็นประโยชน์แก่คนเสมอื นไรค้ วามสามารถ อยู่แล้ว แต่กลับไปปฏิเสธเสีย ย่อมส่งผลกระทบต่อกองทรัพย์สินของคนเสมือนไร้ ความสามารถเชน่ กนั เพราะแทนทจ่ี ะงอกเงยกลบั เทา่ เดมิ 8. การทําการอย่างหน่ึงอย่างใดเพ่อื จะได้มาหรอื ปล่อยไปซ่ึงสทิ ธิใน อสงั หารมิ ทรพั ย์หรอื ในสงั หารมิ ทรพั ย์◌์อนั มคี ่า หมายถึงการทํานิตกิ รรมใด ๆ เพ่อื ให้ ได้มาหรอื ปล่อยไปซ่งึ อสงั หารมิ ทรพั ย์หรอื สงั หารมิ ทรพั ย์อนั มคี ่า เช่น การซ้อื หรอื ขาย บ้าน ท่ีดิน แพ หรือสัตว์พาหนะ ซ่ึงไม่ว่าจะเป็นการซ้ือหรือขาย จําหน่าย จ่ายโอน อสงั หารมิ ทรพั ย์ หรอื สงั หารมิ ทรพั ยพ์ เิ ศษของคนเสมอื นไรค้ วามสามารถตามลาํ พงั กล็ ว้ น แต่เสย่ี งต่อการเสยี เปรยี บและเสยี หายแก่กองทรพั ยส์ นิ ไดท้ งั้ นนั้ จงึ ควรใหผ้ พู้ ทิ กั ษ์เขา้ ไป ควบคุมประโยชน์ของคนเสมอื นไรค้ วามสามารถดว้ ย LA 102 (LW 102) 101
9. การก่อสร้างหรอื ดดั แปลงโรงเรอื นหรอื สง่ิ ปลูกสร้างอย่างอ่นื หรอื ซ่อมแซมอย่างใหญ่ สําหรบั เร่ืองน้ีคงเป็นเร่ืองของค่าใช้จ่ายท่ีจะต้องหมดไปกับการ กอ่ สรา้ งหรอื ดดั แปลงหรอื ซ่อมแซมใหญ่ ซง่ึ โรงเรอื น สงิ่ ปลกู สรา้ งใด ๆ กต็ าม จงึ เป็นเรอ่ื ง ทต่ี อ้ งใหผ้ พู้ ทิ กั ษเ์ ขา้ มามสี ว่ นดแู ลกลนั่ กรองดว้ ย 10. การเสนอคดตี ่อศาลหรอื ดําเนินกระบวนพจิ ารณาใด ๆ เวน้ แต่การ รอ้ งขอตามมาตรา 35 หรอื การรอ้ งขอถอนผูพ้ ทิ กั ษ์ การกําหนดไวเ้ ช่นน้ีเพราะกฎหมาย ไม่ต้องการใหค้ นเสมอื นไรค้ วามสามารถต้องเสย่ี งกบั การเสยี เปรยี บไม่ว่าเป็นโจทก์หรอื จาํ เลยเพยี งลาํ พงั ในการดาํ เนินคดตี ่อศาลหรอื การพจิ ารณาอ่นื ๆ ทงั้ สน้ิ นอกจากน้ีปญั หา เร่อื งค่าใช้จ่ายและการรบั ผลจากการดําเนินคดี เช่น ค่าธรรมเนียมศาลหรอื การชดใช้ ค่าเสยี หาย หากแพค้ ดยี ่อมสง่ ผลต่อกองทรพั ยส์ นิ ของตนเองหรอื ของครอบครวั ได้ ดงั นนั้ ไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรอื เป็นจําเลยต้องได้รบั ความยินยอมจากผู้พทิ กั ษ์ก่อน และความ ยนิ ยอมในเรอ่ื งน้ีตอ้ งทาํ เป็นหนงั สอื เพอ่ื ยน่ื ต่อศาลดว้ ย แต่อย่างไรก็ตามได้มีข้อยกเว้นไว้ให้คนเสมือนไร้ความสามารถ สามารถทาํ ไดโ้ ดยลาํ พงั 2 กรณคี อื 1. กรณีคนเสมอื นไรค้ วามสามารถรอ้ งขอต่อศาลเพ่อื ขอเพกิ ถอน การเป็นผพู้ ทิ กั ษ์ และ 2. กรณีตามท่ีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 35 ซึ่งบญั ญตั ิไว้ว่า “ในกรณีท่ีผ้พู ิทักษ์ไม่ยินยอมให้คนเสมือนไร้ความ สามารถกระทําการอย่างหน่ึงอย่างใดตามมาตรา 34 โดยปราศจากเหตุผลอนั สมควร เมอ่ื คนเสมอื นไร้ความสามารถร้องขอ ศาลจะมีคาํ สงั่ อนุญาตให้กระทาํ การ นัน้ โดยไม่ต้องรบั ความยินยอมจากผพู้ ิทกั ษ์กไ็ ด้ ถ้าการนัน้ จะเป็ นคณุ ประโยชน์แก่ คนเสมือนไร้ความสามารถ” ซง่ึ เป็นการคุม้ ครองคนเสมอื นไรค้ วามสามารถทอ่ี าจถูก กลนั่ แกลง้ จากผพู้ ทิ กั ษห์ รอื เป็นกรณีผพู้ ทิ กั ษ์ปฏเิ สธไมใ่ หค้ วามยนิ ยอมโดยไมม่ เี หตุผลอนั สมควร หากเป็นเชน่ น้คี นเสมอื นไรค้ วามสามารถ สามารถรอ้ งขอใหศ้ าลมคี าํ สงั่ อนุญาตให้ ทํานิตกิ รรมนนั้ ๆ ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งไปขอความยนิ ยอมจากผูพ้ ทิ กั ษ์อกี โดยมขี อ้ แมเ้ พยี งว่า นติ กิ รรมดงั กลา่ วตอ้ งเป็นประโยชน์แกค่ นเสมอื นไรค้ วามสามารถเทา่ นนั้ 11. การประนีประนอมยอมความหรอื มอบขอ้ พพิ าทใหอ้ นุญาโตตุลาการ วินิจฉัย ไม่ว่าการประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการ 102 LA 102 (LW 102)
พิจารณา ล้วนเป็นกระบวนการตดั สนิ ข้อพิพาทนอกศาลโดยคู่กรณีท่ีมีข้อพิพาทตกลง ร่วมกนั จะใชก้ ารประนีประนอมยอมความหรอื การให้อนุญาโตตุลาการ หมายถงึ การตงั้ คนกลางซ่ึงจะเป็นใครท่ไี ม่ต้องเป็นผู้พพิ ากษาก็ได้มาทําหน้าท่ตี ดั สนิ ขอ้ พพิ าท ดงั นัน้ การยอมความกนั ก็ดี หรอื การให้คนกลางตดั สนิ คดใี ห้ก็ดี อาจทําให้คนเสมอื นไรค้ วาม สามารถเสยี เปรยี บหรอื เกดิ ความเสยี หายแก่กองทรพั ยส์ นิ ของคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ ก็ได้ จึงควรให้ผู้พิทกั ษ์ดูแลและหากเห็นสมควรก็ให้ความยินยอมคนเสมือนไร้ความ สามารถจงึ ไปทาํ ได้ อน่ึงนติ กิ รรมในขอ้ 1 จนถงึ ขอ้ 11 เป็นนิตกิ รรมทค่ี นเสมอื นไรค้ วาม สามารถตอ้ งขอความยนิ ยอมจากผพู้ ทิ กั ษ์ก่อน นิตกิ รรมจงึ จะมผี ลสมบูรณ์ หากไม่ไดร้ บั ความยินยอม นิติกรรมก็จะมีผลเป็นโมฆียะ แต่อย่างไรก็ดี เน่ืองจากคนเสมือนไร้ ความสามารถยงั คงมคี วามสามารถทํานิตกิ รรมอ่นื ๆ นอกจากนิตกิ รรมท่กี ําหนดไว้ 11 ประการไดอ้ ยู่ และเมอ่ื คนเสมอื นไรค้ วามสามารถไปทํานิตกิ รรมเชน่ นัน้ เขา้ อาจก่อความ เสยี หายแก่กองทรพั ยส์ นิ ของครอบครวั หรอื ของตนเองกไ็ ด้ ดงั นนั้ ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 34 วรรคสอง จงึ ไดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ ่า “ถา้ มกี รณีอ่นื ใดนอกจากทก่ี ล่าวใน วรรคหน่ึง ซ่งึ คนเสมอื นไรค้ วามสามารถอาจจดั การไปในทางเส่อื มเสยี แก่ทรพั ย์สนิ ของ ตนเองหรอื ครอบครวั ในการสงั่ ใหบ้ ุคคลใดเป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถหรอื เมอ่ื ผพู้ ทิ กั ษ์ รอ้ งขอในภายหลงั ศาลมอี ํานาจสงั่ ใหค้ นเสมอื นไรค้ วามสามารถนัน้ ตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอม ของผพู้ ทิ กั ษ์ก่อนจงึ จะทําการนัน้ ได”้ การบญั ญตั ไิ วเ้ ช่นน้ีเพ่อื คุม้ ครองประโยชน์ของคน เสมือนไร้ความสามารถมใิ ห้ต้องเสยี หาย แต่ต้องเป็นการร้องขอต่อศาลโดยผู้พทิ กั ษ์ เพ่อื ให้ศาลมคี ําสงั่ ให้การทํานิตกิ รรมอย่างอ่นื ท่เี สย่ี งต่อการเสยี เปรยี บหรอื เสยี หายแก่ ทรพั ย์สนิ ของคนเสมอื นไร้ความสามารถต้องได้รบั ความยนิ ยอมจากผู้พทิ กั ษ์ก่อนด้วย เชน่ กนั และเน่ืองจากการเป็นคนเสมอื นไร้ความสามารถอาจมสี าเหตุมาจาก เรอ่ื งของกายพกิ ารหรอื จติ ฟนั่ เฟือนไม่สมประกอบจนทําใหค้ นเสมอื นไรค้ วามสามารถไม่ สามารถจะทํานิตกิ รรมทไ่ี ดร้ บั ความยนิ ยอมจากผพู้ ทิ กั ษ์หรอื นิตกิ รรมทส่ี ามารถทาํ เองได้ โดยลําพงั ได้ด้วยตนเอง เพราะเหตุดงั กล่าวมาตรา 34 วรรคท้าย จงึ ได้บญั ญตั ไิ ว้เพ่อื แก้ปญั หาน้ีไว้ว่า “ในกรณีท่คี นเสมอื นไร้ความสามารถไม่สามารถจะทําการอย่างหน่ึง อย่างใดท่ีกล่าวมาในวรรคหน่ึงหรือวรรคสองได้ด้วยตนเอง เพราะเหตุมีกายพกิ ารหรือ LA 102 (LW 102) 103
จติ ฟนั่ เฟือนไมส่ มประกอบ ศาลจะสงั่ ใหผ้ พู้ ทิ กั ษ์เป็นผมู้ อี าํ นาจกระทาํ การนนั้ แทนคนเสมอื น ไรค้ วามสามารถก็ได้ ในกรณีเช่นน้ี ให้นําบทบญั ญตั ทิ ่เี ก่ยี วกบั ผู้อนุบาลมาใช้บงั คบั แก่ ผพู้ ทิ กั ษโ์ ดยอนุโลม 2.4.4 ความสิ้นสดุ ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ กฎหมายแพง่ และ พาณิชย์ มาตรา 36 ได้บญั ญตั ิว่า “ถ้าเหตุท่ีศาลได้สงั่ ให้เป็ นคนเสมือนไร้ความ สามารถได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ให้นําบทบญั ญตั ิมาตรา 31 มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม” ซง่ึ เป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายทต่ี อ้ งการคนื สภาพบุคคลใหก้ บั บุคคลทม่ี คี าํ สงั่ ศาลใหเ้ ป็น คนเสมอื นไรค้ วามสามารถ หากในเวลาต่อมาไดร้ บั การรกั ษาจนอาการทเ่ี ป็นเหตุบกพรอ่ ง หมดไป หรอื ในกรณกี ลบั กนั คนเสมอื นไรค้ วามสามารถอาจจะมอี าการทางสมองทห่ี นกั ขน้ึ กอ็ าจจะตอ้ งมกี ารรอ้ งขอใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถกไ็ ด้ ดงั นนั้ จงึ มกี ารกําหนดไวว้ า่ ไมว่ า่ จะเป็นกรณใี ดหากเหตุแห่งการเป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถไดส้ น้ิ สุดลง กใ็ หน้ ําบทบญั ญตั ิ ในมาตรา 31 ซง่ึ เป็นเรอ่ื งของการสน้ิ สดุ ความเป็นคนไรค้ วามสามารถมาใชไ้ ดต้ ามแต่กรณี และคาํ สงั่ เพกิ ถอนการเป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถจะตอ้ งมกี ารประกาศในราชกจิ จานุเบกษา ดว้ ย 104 LA 102 (LW 102)
บทท่ี 3 ภมู ิลาํ เนา (Domicile) เม่อื บุคคลมสี ภาพบุคคลตามมาตรา 15 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว กฎหมายก็ต้องกําหนดใหบ้ ุคคลมคี วามเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั เพ่อื บ่งชว้ี ่าใครเป็นใคร ซง่ึ จะมกี ฎหมายเฉพาะกําหนดไว้ เชน่ เรอ่ื งสญั ชาติ สาํ หรบั ในประเทศไทยกม็ พี ระราชบญั ญตั ิ สญั ชาติ พ.ศ. 2508 แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั สิ ญั ชาติ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 และ พระราชบญั ญตั สิ ญั ชาติ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2535 วางหลกั เกณฑไ์ วว้ ่าบุคคลทเ่ี กดิ ในประเทศ ไทยนัน้ จะได้สญั ชาตไิ ทยหรอื ไม่ และหากได้จะไดม้ าโดยเหตุใด ซ่งึ จะได้มกี ารศกึ ษาโดย ละเอยี ดในวชิ ากฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี ุคคลตอ่ ไป นอกจากนนั้ กม็ สี ง่ิ บง่ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ บุคคลแต่ละบุคคลมคี วามแตกต่างกนั กค็ อื ชอ่ื ซง่ึ ก็ เป็นไปตามกฎหมายในเร่อื งน้ีโดยเฉพาะ คอื พระราชบญั ญตั ชิ ่อื บุคคล พ.ศ. 2505 ซง่ึ ได้ กําหนดไวส้ อดคลอ้ งกบั เร่อื งสญั ชาตวิ า่ “ผมู้ สี ญั ชาตไิ ทย ตอ้ งมชี อ่ื ตวั ชอ่ื สกุล และจะมชี ่อื รองก็ได้” ดงั นัน้ บุคคลแต่ละคนจะมชี ่อื นามสกุล เป็นการเฉพาะของแต่ละบุคคล และ สําหรบั เร่อื งช่อื ของบุคคลน้ี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 18 ได้บญั ญัติ เพมิ่ เตมิ เพอ่ื เป็นการคุม้ ครองสทิ ธขิ องบุคคลในเรอ่ื งชอ่ื ไวด้ ว้ ยวา่ “สทิ ธขิ องบุคคลในการท่ี จะใชน้ ามอนั ชอบทจ่ี ะใชไ้ ดน้ นั้ ถา้ มบี ุคคลอ่นื โตแ้ ยง้ กด็ ี หรอื บุคคลผเู้ ป็นเจา้ ของนามนนั้ ตอ้ งเสอ่ื มเสยี ประโยชน์เพราะการทม่ี ผี อู้ ่นื มาใชน้ ามเดยี วกนั โดยมไิ ดร้ บั อาํ นาจใหใ้ ชไ้ ดก้ ด็ ี บุคคลผเู้ ป็นเจา้ ของนามจะเรยี กใหบ้ ุคคลนนั้ ระงบั ความเสยี หายกไ็ ด้ ถา้ และเป็นทพ่ี งึ วติ ก วา่ จะตอ้ งเสยี หายอยสู่ บื ไป จะรอ้ งขอต่อศาลใหส้ งั่ หา้ มกไ็ ด”้ และในท่สี ุดเพ่อื ทําให้บุคคลแต่ละคนมีลกั ษณะเฉพาะตนและยงั ทําให้ทราบว่า บุคคลใดอย่ทู ไ่ี หน จงึ ไดม้ กี ารกําหนดใหบ้ ุคคลธรรมดาตอ้ งมภี มู ลิ าํ เนา ทงั้ น้ีเพอ่ื ประโยชน์ ในการตดิ ตอ่ ราชการ การตดิ ตามตวั เพอ่ื สง่ หมายของทางราชการ รวมทงั้ ทาํ ใหท้ ราบไดว้ า่ เมอ่ื บุคคลจะทําการฟ้องคดใี นฐานะโจทก์ หรอื ถูกฟ้องคดใี นฐานะจําเลยจะตอ้ งฟ้องทไ่ี หน ได้อีกด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือประมวล กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา กล็ ว้ นกาํ หนดใหใ้ ชภ้ มู ลิ าํ เนาเป็นสาํ คญั ทงั้ สน้ิ LA 102 (LW 102) 105
ดงั นัน้ ภูมิลําเนาจึงเป็นถิ่นท่ีอยู่ตามกฎหมายของบุคคล จึงต้องมีการกําหนด หลกั เกณฑ์ไวใ้ นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตงั้ แต่มาตรา 37 จนถงึ มาตรา 47 ซง่ึ สามารถจดั แบง่ การกาํ หนดภมู ลิ าํ เนาออกเป็น 2 กรณี คอื 1. ภมู ลิ าํ เนาของบคุ คลธรรมดา (มาตรา 37-มาตรา 40) 2. ภมู ลิ าํ เนาทก่ี ฎหมายกาํ หนดให้ (มาตรา 43-มาตรา 47) ซง่ึ จะไดศ้ กึ ษารายละเอยี ดและเงอ่ื นไขตามลาํ ดบั ดงั ตอ่ ไปน้ี 3.1 ภมู ิลาํ เนาของบคุ คลธรรมดา เป็นภูมิลําเนาของบุคคลซ่ึงมีสิทธิท่ีจะเคล่ือนท่ี เดินทางไปมาได้โดยอิสระ เพราะฉะนนั้ บุคคลจงึ มสี ทิ ธทิ จ่ี ะกําหนดภูมลิ าํ เนาเองได้ แต่กต็ อ้ งอย่ภู ายใตส้ งิ่ ทก่ี ฎหมาย แพง่ และพาณชิ ยไ์ ดก้ าํ หนดไว้ ดงั น้คี อื 1. มาตรา 37 บญั ญตั ิว่า “ภมู ิลาํ เนาของบุคคลธรรมดา ได้แก่ ถ่ินอนั บุคคล นัน้ มีสถานที่อยู่เป็ นแหล่งสําคัญ” เม่ือพิจารณาเน้ือหาของกฎหมาย มาตรา 37 จะพบวา่ ภูมลิ าํ เนาของบุคคลธรรมดาจะตอ้ งประกอบไปดว้ ย 2 เงอ่ื นไข คอื ตอ้ งเป็นทอ่ี ยู่ และท่อี ยู่นัน้ ต้องเป็นท่อี ยู่อนั เป็นแหล่งสําคญั ด้วย ดงั นัน้ หากบุคคลใดมภี ูมลิ ําเนาอยู่ท่ี จงั หวดั เชยี งใหม่เพราะเกดิ ท่นี ัน่ บดิ ามารดาก็อยู่ท่นี ัน่ แต่ต้องเขา้ มาศกึ ษาท่กี รุงเทพฯ อยา่ งน้ี กต็ อ้ งถอื วา่ จงั หวดั เชยี งใหมย่ งั เป็นภมู ลิ าํ เนาตามเงอ่ื นไขของมาตรา 37 2. มาตรา 38 บญั ญตั ิว่า “ถ้าบุคคลธรรมดามีถิ่นท่ีอยู่หลายแห่งซ่ึงอยู่สบั เปล่ียน กนั ไปหรือมีหลกั แหล่งที่ทาํ การงานเป็ นปกติหลายแห่ง ให้ถือเอาแห่งใดแห่งหน่ึง เป็ นภมู ิลาํ เนาของบุคคลนัน้ ” เป็นการกําหนดภูมลิ ําเนาสาํ หรบั ผทู้ ม่ี ที อ่ี ยู่หรอื ทท่ี ํางาน หลายแห่ง และสลบั สบั เปล่ียนท่ีอยู่หรือท่ีทํางานเสมอ ๆ เพ่ือประโยชน์ทงั้ ของบุคคล นนั้ เองและทางราชการมาตรา 38 จงึ ใหเ้ ลอื กเอาทห่ี น่ึงทใ่ี ดเป็นภมู ลิ าํ เนา 3. มาตรา 39 บญั ญัติว่า “ถ้าภูมิลําเนาไม่ปรากฏ ให้ถือว่าถ่ินที่อยู่เป็ น ภมู ิลาํ เนา” กฎหมายมาตราน้ีใชส้ าํ หรบั กรณีทบ่ี ุคคลใดไมม่ ภี มู ลิ าํ เนา ไมว่ า่ จะเป็นตามท่ี มาตรา 37 หรอื มาตรา 38 ได้กําหนดไว้ ก็ต้องใช้ถน่ิ ท่อี ยู่เป็นภูมลิ ําเนาไป โดยไม่ต้อง คํานึงว่าเป็นแหล่งสําคญั หรอื ไม่ ดงั เช่นกรณีบุคคลท่รี บั จา้ งทํางานเป็นกรรมกรก่อสรา้ ง ซง่ึ ตอ้ งเคล่อื นยา้ ยไปตามสถานทก่ี ่อสรา้ งและอยู่ในแต่ละทเ่ี ป็นเวลานานหรอื ไม่ กข็ น้ึ อยู่ กบั งานทท่ี าํ กต็ อ้ งยดึ ถนิ่ ทอ่ี ยตู่ ามการทาํ งานแทนภมู ลิ าํ เนา 106 LA 102 (LW 102)
4. มาตรา 40 บญั ญตั ิว่า “บุคคลธรรมดาซ่ึงเป็ นผ้ไู ม่มีท่ีอยู่ปกติเป็ นหลกั แหล่ง หรือเป็ นผ้คู รองชีพในการเดินทางไปมาปราศจากหลกั แหล่งที่ทาํ การงาน พบตวั ในถ่ินไหนให้ถือว่าถิ่นนัน้ เป็ นภมู ิลาํ เนาของบุคคลนัน้ ” และมาตรา 40 น้ี ไดบ้ ญั ญตั ขิ น้ึ มาเพอ่ื แกป้ ญั หาสาํ หรบั กรณีบุคคลทไ่ี ม่สามารถจะมแี มแ้ ต่ภูมลิ าํ เนาหรอื ถน่ิ ท่อี ยู่ เน่ืองจากมอี าชีพท่ีต้องเดินทางไปมาโดยปราศจากแหล่งท่ีทํางานแน่นอน เช่น พอ่ คา้ เร่ หรอื เป็นบุคคลทเ่ี ดนิ ทางไปเรอ่ื ย ๆ ปราศจากจุดหมายใด ๆ เชน่ คนจรจดั จงึ ใช้ แหลง่ ทพ่ี บตวั แทนภมู ลิ าํ เนา เม่อื พจิ ารณาจากหลกั กฎหมายในเร่อื งภูมลิ ําเนาของบุคคลธรรมดา จะเหน็ ว่า กฎหมายต้องการให้บุคคลทุกคนมภี ูมลิ ําเนาหรอื ถน่ิ ท่อี ยู่ หรอื แม้แต่ถิ่นท่พี บตวั ก็ตาม เพอ่ื เป็นการกาํ หนดเอกลกั ษณ์สว่ นตวั ของบุคคลนนั้ เอง แต่อย่างไรกต็ ามยงั มบี ุคคลบางประเภททไ่ี มอ่ าจเลอื กภมู ลิ าํ เนาเองตามชอบได้ เพราะตอ้ งมภี มู ลิ าํ เนาตามทก่ี ฎหมายกาํ หนดให้ ซง่ึ จะไดศ้ กึ ษาในหวั ขอ้ ต่อไป 3.2 ภมู ิลาํ เนาท่ีกฎหมายกาํ หนดให้ เน่ืองจากยงั มบี ุคคลบางประเภททก่ี ฎหมายจําเป็นตอ้ งกาํ หนดตายตวั ลงไปเลยว่า ภูมลิ าํ เนาของเขาตอ้ งเป็นทใ่ี ด ทงั้ น้ีกเ็ พอ่ื ความสงบเรยี บรอ้ ยของสงั คมและประโยชน์ของ ทางราชการนนั่ เอง และมใิ ชก่ ารลดิ รอนสทิ ธขิ องบุคคลแต่ประการใด ซง่ึ บุคคลเหล่าน้ีเป็น ใครบา้ งกต็ ้องไปดูจากกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตงั้ แต่มาตรา 43 จนถงึ มาตรา 47 ซ่งึ มี รายละเอยี ดดงั น้ีคอื 1. มาตรา 43 บญั ญตั ิว่า “ภมู ิลาํ เนาของสามีและภริยา ได้แก่ถ่ินท่ีอยู่ท่ีสามี และ ภริยาอยู่กินด้วยกนั ฉันสามีภริยา เว้นแต่สามีหรือภริยาได้แสดงเจตนา ให้ ปรากฏว่ามีภมู ิลาํ เนาแยกต่างหากจากกนั ” เป็นการกําหนดภูมลิ าํ เนาของสามภี รยิ าท่ี ชอบดว้ ยกฎหมายหรอื สามภี รยิ าทจ่ี ดทะเบยี นสมรสกนั นนั่ เอง ยกเวน้ ไดม้ กี ารแสดงเจตนา ไวว้ า่ มภี มู ลิ าํ เนาแยกจากกนั ไว้ 2. มาตรา 44 บญั ญตั ิว่า “ภมู ิลาํ เนาของผ้เู ยาว์ ได้แก่ภมู ิลาํ เนาของผ้แู ทน โดยชอบธรรม ซ่ึงเป็นผใู้ ช้อาํ นาจปกครองหรอื ผปู้ กครอง LA 102 (LW 102) 107
ในกรณีที่ผเู้ ยาวอ์ ย่ใู ต้อาํ นาจปกครองของบิดามารดา ถ้าบิดาและมารดา มีภมู ิลาํ เนาแยกต่างหากจากกนั ภมู ิลาํ เนาของผ้เู ยาวไ์ ด้แก่ ภมู ิลาํ เนาของบิดาหรือ มารดาซ่ึงตนอย่ดู ้วย” เป็นการกาํ หนดภมู ลิ าํ เนาใหแ้ ก่ผเู้ ยาว์ ซง่ึ มบี ดิ ามารดาเป็นผแู้ ทนโดยชอบธรรม ดงั นนั้ จงึ เป็นเรอ่ื งถูกตอ้ งและสมควรแลว้ ทผ่ี เู้ ยาวต์ อ้ งมภี ูมลิ าํ เนาเดยี วกบั ผแู้ ทนโดยชอบ ธรรม และในกรณีบดิ ามารดาแยกกนั อยู่ กใ็ หใ้ ชภ้ ูมลิ ําเนาของฝ่ายทผ่ี ูเ้ ยาวอ์ าศยั อยู่ดว้ ย ทงั้ น้เี พอ่ื ความสะดวกในการดแู ลผเู้ ยาวน์ นั่ เอง 3. มาตรา 45 บญั ญตั ิว่า “ภมู ิลาํ เนาของคนไร้ความสามารถ ได้แก่ภมู ิลาํ เนา ของผ้อู นุบาล” เน่ืองจากคนไรค้ วามสามารถตอ้ งอยู่ในความดูแลของผูอ้ นุบาลตามมาตรา 28 ดงั นนั้ เพอ่ื ใหก้ ารดแู ลและควบคุมคนไรค้ วามสามารถไดส้ มบรู ณ์ จงึ ไดก้ ําหนดใหค้ นไร้ ความสามารถตอ้ งมภี มู ลิ าํ เนาเดยี วกบั ผอู้ นุบาลจนกวา่ จะพน้ จากการเป็นคนไรค้ วามสามารถ 4. มาตรา 46 บญั ญตั ิว่า “ภมู ิลาํ เนาของข้าราชการ ได้แก่ถ่ินอนั เป็นที่ทาํ การ ตามตาํ แหน่งหน้าท่ี หากมิใช่เป็ นตาํ แหน่งหน้าที่ชวั่ คราวชวั่ ระยะเวลา หรือเป็ น เพียงแต่งตงั้ ไปเฉพาะการครงั้ เดียวคราวเดียว” เป็นการกําหนดภูมลิ ําเนาของ ขา้ ราชการทต่ี อ้ งไปปฏบิ ตั ริ าชการในทซ่ี ง่ึ ไม่ใช่ภูมลิ ําเนาของตน และมวี าระการทํางานท่ี ยาวนาน 3-5 ปี เช่น ตําแหน่งผู้ว่าราชการจงั หวดั ผูพ้ พิ ากษาหรอื พนักงานอยั การ แต่ อย่างไรก็ดี สําหรบั มาตราน้ีได้เคยมคี ําพิพากษาฎีกาท่ี 1681/2515 ได้วินิจฉัยไว้ว่า ขา้ ราชการมี 2 ภมู ลิ าํ เนาได้ หากทาํ งานประจาํ อยทู่ ก่ี รงุ เทพแตม่ ถี นิ่ ทอ่ี ยทู่ อ่ี ่นื อยดู่ ว้ ย 5. มาตรา 47 บญั ญตั ิว่า “ภมู ิลาํ เนาของผ้ทู ี่ถกู จาํ คกุ ตามคาํ พิพากษาถึงท่ีสุด ของศาลหรือตามคาํ สงั่ โดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ เรอื นจาํ หรือทณั ฑสถานที่ถกู จาํ คกุ อย่จู นกว่าจะได้รบั การปล่อยตวั ” เป็นการกําหนดภูมลิ าํ เนาใหแ้ ก่บุคคลทม่ี คี าํ พพิ ากษา ถึงท่ีสุดให้จําคุก ว่าให้ใช้ภูมิลําเนาของเรือนจํา หรือทณั ฑสถานท่ีบุคคลนัน้ ถูกจําคุก จนกวา่ จะไดร้ บั การปลอ่ ยตวั จงึ กลบั ไปใชภ้ มู ลิ าํ เนาของบุคคลธรรมดาได้ ในเรอ่ื งภมู ลิ าํ เนาน้ียงั มอี กี 2 มาตรา ทไ่ี ดว้ างหลกั เกณฑเ์ กย่ี วกบั ภูมลิ าํ เนาของ บุคคลธรรมดาไว้ คอื 1. การเปล่ียนภูมิลําเนา ซ่ึงมาตรา 41 ได้บัญญัติ ไว้ว่า “ภูมิลําเนาย่อม เปลี่ยนไปด้วยการย้ายถิ่นท่ีอยู่ พร้อมด้วยเจตนาปรากฏชดั แจ้งว่าจะเปลี่ยน ภมู ิลาํ เนา” เป็นการแสดงวา่ บุคคลทุกคนยอ่ มมสี ทิ ธทิ จ่ี ะเปลย่ี นภูมลิ าํ เนาไดโ้ ดยการยา้ ยท่ี 108 LA 102 (LW 102)
อยู่และไปแสดงเจตนาจะขอย้ายโดยการไปแจ้งต่อนายทะเบียนเสีย ในปจั จุบันคือ สาํ นกั งานเขตต่าง ๆ นนั่ เอง 2. ภมู ลิ าํ เนาเฉพาะการ ซง่ึ มาตรา 42 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “ถ้าบคุ คลใดได้เลือก เอาถ่ินใด โดยมีเจตนาปรากฏชดั แจ้งว่าจะให้เป็ นภมู ิลาํ เนาเฉพาะการเพื่อทาํ การ ใด ให้ถือว่าถ่ินนัน้ เป็ นภมู ิลาํ เนาเฉพาะการสาํ หรบั การนัน้ ” เป็นการเปิดโอกาสให้ บุคคลสามารถเลอื กเอาภูมลิ ําเนา เพ่อื ให้เป็นภูมลิ ําเนาเฉพาะการเพ่อื จะทําการอนั ใด อนั หน่งึ ได้ ทงั้ น้ีเพอ่ื ประโยชน์ของบุคคลนนั้ เอง เชน่ มภี ูมลิ าํ เนาอย่กู รุงเทพฯ แต่อาจเลอื ก จงั หวดั เชยี งใหมเ่ ป็นภมู ลิ าํ เนาเฉพาะการกไ็ ด้ LA 102 (LW 102) 109
บทท่ี 4 การสาบสญู ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วไวใ้ นบทท่ี 1 เรอ่ื งการสน้ิ สภาพบุคคลตามมาตรา 15 ไวว้ า่ “การสน้ิ สภาพบุคคลนัน้ มไี ด้ 2 กรณีคอื การตายธรรมดา และการตายโดยผลของกฎหมาย หรอื เรยี กว่า การสาบสญู ซง่ึ เร่อื งสาบสญู น้ีไดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 48 ถงึ มาตรา 64 และแยก ออกเป็น 2 กรณคี อื 1. กรณที ถ่ี อื วา่ เป็นผไู้ มอ่ ยู่ (มาตรา 48) 2. กรณที ถ่ี อื วา่ ผไู้ มอ่ ยถู่ งึ แก่ความตาย (มาตรา 61) ในลาํ ดบั ตอ่ ไปจะไดท้ าํ การศกึ ษาทลี ะกรณโี ดยละเอยี ดต่อไป 4.1 กรณีที่ถอื ว่าเป็นผไู้ มอ่ ยู่ สาํ หรบั กรณผี ไู้ มอ่ ยนู่ ้ี เป็นเรอ่ื งทก่ี ฎหมายตอ้ งการใหค้ วามคุม้ ครองสทิ ธขิ องบุคคล ทไ่ี ดไ้ ปเสยี จากภมู ลิ าํ เนาหรอื ถน่ิ ทอ่ี ยู่ และไมม่ ใี ครรแู้ น่ว่าบุคคลน้ียงั มชี วี ติ อยู่หรอื ไม่ และ ยงั เป็นช่วงแรก ๆ นับแต่ไดจ้ ากภูมลิ ําเนาหรอื ถน่ิ ทอ่ี ยู่ไป และกฎหมายไดค้ ํานึงถงึ หลกั ความจรงิ ท่วี ่าญาตหิ รอื คนใกล้ชดิ ของบุคคลเหล่าน้ียงั ตงั้ ความหวงั ว่าบุคคลเหล่าน้ีจะ กลบั มาไดใ้ นเรว็ วนั แมไ้ ม่อยากทําอะไรทเ่ี ป็นการทําใหส้ ทิ ธขิ องบุคคลเหล่าน้ีถูกกระทบ หรอื มคี วามเปลย่ี นแปลง แต่ในกฎหมายเม่อื มเี หตุการณ์อย่างน้ีย่อมมปี ญั หาในกฎหมาย ตามมาแน่นอน เช่น สถานะในครอบครวั จะเป็นอย่างไร ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองตลอดจนธุรกจิ ใครจะดูแลรบั ผิดชอบ เป็นต้นส่วนในเร่อื งครอบครวั แม้จะมีปญั หาในทางกฎหมายอนั เน่ืองมาจากการไม่อยู่ของบุคคลใดบุคคลหน่ึง แต่กไ็ ม่ยุ่งยากและละเอยี ดอ่อนเหมอื นเร่อื ง ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองและธุรกจิ ของผไู้ มอ่ ยแู่ น่นอน ดงั นนั้ กฎหมายแพ่งและพาณิชยจ์ งึ ไดว้ างหลกั เกณฑไ์ วบ้ งั คบั ใชก้ บั ผไู้ ม่อยู่ไวใ้ น หลายมาตรา ซง่ึ แยกออกไดห้ ลายประเดน็ ดงั น้ีคอื LA 102 (LW 102) 111
4.1.1 การจดั การทรพั ยส์ ินของผไู้ มอ่ ยู่ 1. กรณผี ไู้ มอ่ ยไู่ มไ่ ดต้ งั้ ตวั แทนรบั มอบอาํ นาจทวั่ ไปไว้ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 48 ได้บญั ญตั ิว่า “ถ้าบคุ คลใด ไปเสียจากภมู ิลาํ เนาหรือถิ่นท่ีอย่โู ดยมิได้ ตงั้ ตวั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไปไว้ และ ไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนัน้ ยงั มีชีวิตอยู่หรือไม่ เมื่อผ้มู ีส่วนได้เสียหรือพนักงาน อยั การรอ้ งขอ ศาลจะสงั่ ให้ทาํ การอย่างหนึ่งอย่างใดไปพลางก่อนตามที่จาํ เป็นเพื่อ จดั การทรพั ยส์ ินของบคุ คลผไู้ มอ่ ย่นู ัน้ กไ็ ด้ เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไปหนึ่งปี นับแต่วนั ท่ีผ้ไู ม่อยู่นัน้ ไปเสียจาก ภมู ิลาํ เนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีผ้ใู ดได้รบั ข่าวเกี่ยวกบั บุคคลนัน้ ประการใดเลยกด็ ี หรอื หน่ึงปี นับแต่วนั มีผไู้ ด้พบเหน็ หรือได้ทราบข่าวมาเป็นครงั้ หลงั สดุ กด็ ีเมื่อบคุ คล ตามวรรคหน่ึงรอ้ งขอ ศาลจะตงั้ ผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินของผไู้ มอ่ ยขู่ ึน้ กไ็ ด้” มาตรา 48 น้ีจะเป็นเร่อื งของผู้ไม่อยู่ท่ไี ม่ได้ตงั้ ตวั แทนรบั มอบอํานาจ ทวั่ ไปไว้ อาจเพราะไม่อาจคาดการณ์ไดว้ ่าจะเกดิ เหตุการณ์ตามมาตรา 48 ขน้ึ หรอื อาจ เพราะไม่อยากตงั้ ตวั แทนรบั มอบอํานาจทวั่ ไปก็ตาม ซ่ึงในเร่อื งตวั แทนรบั มอบอํานาจ ทวั่ ไปนัน้ เน่ืองจากมาตรา 40 ได้บญั ญัติไว้ว่า “ให้นําบทบญั ญัติว่าด้วยตวั แทนแห่ง ประมวลกฎหมายน้ี มาใชบ้ งั คบั แก่การจดั การทรพั ยส์ นิ ของผไู้ ม่อยู่โดยอนุโลม” ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งไปดูหลกั กฎหมายเกย่ี วกบั ตวั แทนรบั มอบอํานาจทวั่ ไปและตวั แทนรบั มอบอํานาจ เฉพาะการในเรอ่ื งตวั แทน ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1.1 มาตรา 797 บญั ญตั ิไว้ว่า “อนั ว่าสญั ญาตวั แทนนัน้ คือสญั ญา ซ่ึงให้บคุ คลคนหนึ่ง เรียกว่าตวั แทน มีอาํ นาจทาํ การแทนบคุ คลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ตวั การและตกลงจะทาํ การดงั นัน้ อนั ความเป็ นตวั แทนนัน้ จะเป็ นโดยตงั้ แต่งแสดงออกชดั หรือ โดยปริยายกย็ อ่ มได้” 1.2 มาตรา 800 บญั ญตั ิไว้ว่า “ถ้าตวั แทนได้รบั มอบอํานาจแต่ เฉพาะการ ท่านว่าจะทาํ การแทนตวั การได้แต่เพียงในส่ิงที่จาํ เป็ นเพ่ือให้กิจอนั เขา ได้มอบหมายแก่ตนนัน้ สาํ เรจ็ ลลุ ่วงไป” 112 LA 102 (LW 102)
เม่อื พจิ ารณาจากมาตรา 797 และมาตรา 800 กจ็ ะทําใหท้ ราบถงึ คาํ จํากดั ความของคาํ ว่าตวั แทนรบั มอบอํานาจทวั่ ไปว่าหมายถงึ ตวั แทนทม่ี อี ํานาจทําการ แทนบุคคลท่เี รยี กว่าตวั การได้ในทุกเร่อื ง ส่วนตวั แทนเฉพาะการนัน้ หมายถงึ ตวั แทนท่ี สามารถทําการแทนตวั การได้เท่าท่ไี ด้รบั มอบหมายในตําแหน่งจนสําเร็จเท่านัน้ เช่น ตงั้ ใหต้ วั แทนเฉพาะการในการยน่ื ฟ้องตอ่ ศาล หรอื ใหเ้ ชา่ อสงั หารมิ ทรพั ย์ เป็นตน้ ดงั นัน้ เม่อื กลบั ไปพจิ ารณาถ้อยคําของมาตรา 48 วรรคหน่ึง ทไ่ี ดม้ ี การบญั ญตั เิ กย่ี วกบั กรณีทผ่ี ูไ้ ม่อยู่ไม่ไดต้ งั้ ตวั แทนรบั มอบอํานาจทวั่ ไปไว้ โดยกําหนดให้ ผู้มสี ่วนได้เสยี หรือพนักงานอยั การมสี ทิ ธิร้องขอให้ศาลสงั่ ให้บุคคลท่ีร้องขอมีอํานาจ กระทําการอย่างหน่ึงอย่างใดตามทร่ี อ้ งขอไวไ้ ด้ ตามท่ศี าลจะเหน็ ว่าเป็นการจําเป็นเพ่อื จดั การทรพั ยส์ นิ ของผไู้ มอ่ ยไู่ ด้ เชน่ บดิ าขอใหต้ งั้ เป็นตวั แทนเฉพาะการของบุคคลซง่ึ หาย ออกไปจากภูมลิ ําเนาหรอื ถน่ิ ทอ่ี ยู่ในเร่อื งการย่นื ฟ้องคดตี ่อศาล เป็นตน้ ซ่งึ ระยะเวลาใน วรรคหน่ึงอาจเป็นระยะเวลาเทา่ ใดกไ็ ดแ้ ต่ตอ้ งยงั ไมเ่ กนิ 1 ปี ทงั้ น้ีเพราะในมาตรา 48 วรรคสอง ไดก้ ําหนดไวช้ ดั เจนว่าจะกระทาํ การ ตามวรรคสองไดก้ ต็ ่อเม่อื ระยะเวลาทบ่ี ุคคลนนั้ หายไปจากภูมลิ าํ เนาหรอื ถนิ่ ทอ่ี ย่นู านเกนิ 1 ปีแลว้ เท่านนั้ เพราะไดก้ าํ หนดไวว้ า่ “เมอ่ื เวลาไดล้ ว่ งเลยไปหน่ึงปีนบั แต่วนั ทผ่ี ไู้ มอ่ ย่นู นั้ ไปเสยี จากภมู ลิ าํ เนาหรอื ถน่ิ ทอ่ี ยแู่ ละไมม่ ผี ใู้ ดไดร้ บั ขา่ วเกย่ี วกบั บุคคลนนั้ แต่อย่างใด” หรอื “เม่อื เวลาไดล้ ่วงเลยไปหน่ึงปีนบั แต่วนั ทม่ี ผี ไู้ ดพ้ บเหน็ หรอื ไดท้ ราบขา่ วเกย่ี วกบั บุคคลนนั้ ครงั้ สดุ ทา้ ย” ดงั นนั้ ใหผ้ มู้ สี ว่ นไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การสามารถรอ้ งขอต่อศาลเพอ่ื ขอตงั้ ผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ ของผไู้ มอ่ ยซู่ ง่ึ ศาลจะตงั้ หรอื ไมก่ แ็ ลว้ แตด่ ุลยพนิ ิจของศาลเทา่ นนั้ 2. กรณผี ไู้ มอ่ ยไู่ ดต้ งั้ ตวั แทนรบั มอบอํานาจทวั่ ไปไว้ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 49 บญั ญตั ิไว้ว่า “ในกรณี ท่ีผไู้ มอ่ ย่ไู ด้ตงั้ ตวั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไปไว้ และสญั ญาตวั แทนระงบั สิ้นไป หรือ ปรากฏว่าตวั แทนผ้รู บั มอบอาํ นาจทวั่ ไปได้จดั การทรพั ยส์ ินนัน้ ในลกั ษณะที่อาจ เสียหายแก่บคุ คลดงั กล่าว ให้นํามาตรา 48 มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม” สาํ หรบั มาตราน้ี เป็นเร่อื งท่กี ฎหมายมเี จตนารมณ์ท่จี ะคุ้มครองทรพั ย์สนิ ของผู้ไม่อยู่ท่แี มจ้ ะได้มกี ารตงั้ ตวั แทนผูร้ บั มอบอํานาจทวั่ ไปก็ตาม แต่ผูเ้ ป็นเจา้ ของทรพั ย์สนิ ในทน่ี ้ีกห็ มายถึงผูไ้ ม่อยู่ ไม่สามารถควบคุมจดั การดูแลการทาํ งานของตวั แทนผูร้ บั มอบอํานาจทวั่ ไปไดเ้ หตุเพราะ การไมอ่ ยู่ของผูไ้ มอ่ ยู่ ดงั นนั้ ไมว่ า่ จะเป็นกรณีสญั ญาตงั้ ตวั แทนผรู้ บั มอบอํานาจทวั่ ไประงบั ลง LA 102 (LW 102) 113
หรอื เป็นกรณตี วั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไปไดจ้ ดั การทรพั ยส์ นิ ไปในทางทอ่ี าจจะก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่ผูไ้ ม่อยู่ได้แล้ว ภายใต้ขอ้ กําหนดของมาตรา 49 ได้กําหนดให้นําหลกั กฎหมายในมาตรา 48 มาบงั คบั ใช้โดยอนุโลมนัน้ คือเท่าท่ีจําเป็นและเหมาะสม ทงั้ น้ี เพอ่ื ใหก้ ารควบคุมดูแลทรพั ยส์ นิ ของผูไ้ ม่อยู่ เป็นไปโดยราบร่นื และถูกตอ้ ง ไม่ว่าทงั้ เป็น การแตง่ ตงั้ ผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ คนใหม่ หรอื การควบคมุ ดแู ลการทาํ งานของตวั แทนผรู้ บั มอบ อาํ นาจทวั่ ไปทไ่ี ดต้ งั้ ไวก้ ต็ าม 4.1.2 การควบคมุ การทาํ งานของตวั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไป สาํ หรบั ในเร่อื งการควบคุมการทํางานของตวั แทนผูร้ บั มอบอํานาจทวั่ ไปใน กรณีท่ผี ูไ้ ม่อยู่ซ่งึ เป็นเจ้าของทรพั ย์สนิ ไม่สามารถอยู่ดูแลด้วยตวั เองได้นัน้ ต้องเป็นไป ตามทม่ี าตรา 50 และมาตรา 51 ของประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยไ์ ดก้ าํ หนดไวด้ งั น้ี มาตรา 50 บญั ญตั ิว่า “เมื่อผ้มู ีส่วนได้เสียหรือพนักงานอยั การร้องขอ ศาลจะสงั่ ให้ตวั แทนผ้รู บั มอบอํานาจทวั่ ไปจดั ทําบญั ชีทรพั ย์สินของผ้ไู ม่อยู่ขึ้น ตามที่ศาลจะมีคาํ สงั่ กไ็ ด้” มาตรา 51 บญั ญตั ิว่า “ภายใต้บงั คบั มาตรา 802 ถ้าตวั แทนผ้รู บั มอบ อาํ นาจทวั่ ไปเหน็ เป็นการจาํ เป็นจะต้องทาํ การอนั ใดอนั หน่ึงเกินขอบอาํ นาจท่ีได้รบั ไว้ต้องขออนุญาตต่อศาล และเม่อื ศาลสงั่ อนุญาตแล้วจึงจะกระทาํ การนัน้ ได้” จาก 2 วรรคขา้ งตน้ น้ีอาจสรุปไดว้ ่า เม่อื ผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การ รอ้ งขอ ศาลอาจสงั่ ใหต้ วั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไปจดั ทาํ บญั ชที รพั ยส์ นิ ของผไู้ มอ่ ย่ไู ด้ ซง่ึ ในการสงั่ ของศาลก็คงเป็นไปเพ่อื เป็นการตรวจสอบการทํางานของตวั แทนผู้รบั มอบ อํานาจทัว่ ไป ในเวลาเดียวกันน้ีผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการก็จะได้มีโอกาส ตรวจสอบไดเ้ ชน่ กนั และสาํ หรบั กรณีมาตรา 51 นนั้ เป็นเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วเน่ืองกบั การทก่ี ฎหมายแพง่ และพาณิชยเ์ รอ่ื งตวั แทนไดว้ างหลกั ในเร่อื งอํานาจหน้าทข่ี องผรู้ บั มอบอํานาจไวใ้ นมาตรา 801 และมาตรา 802 ซง่ึ มดี งั น้คี อื มาตรา 801 บญั ญตั ิว่า “ถ้าตวั แทนได้รบั มอบอาํ นาจทวั่ ไป ท่านว่าจะ ทาํ กิจใด ๆ ในทางจดั การแทนตวั การกย็ ่อมทาํ ได้ทกุ อยา่ ง แต่การเช่นอยา่ งจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าหาอาจจะทาํ ได้ไม่ คือ (1) ขายหรือจาํ นองอสงั หาริมทรพั ย์ 114 LA 102 (LW 102)
(2) ให้เช่าอสงั หาริมทรพั ยก์ ว่าสามปี ขึน้ ไป (3) ให้ (4) ประนีประนอมยอมความ (5) ยื่นฟ้ องต่อศาล (6) มอบขอ้ พิพาทให้อนุญาโตตลุ าการพิจารณา” และ มาตรา 802 บญั ญตั ิว่า “ในเหตฉุ ุกเฉิ น เพื่อจะฟ้ องกนั มิให้ตวั การต้อง เสียหาย ท่านให้สนั นิษฐานไว้ก่อนว่าตวั แทนจะทาํ การใด ๆ เช่นอย่างวิญ�ชู นจะพึง กระทาํ กย็ ่อมมีอาํ นาจจะทาํ ได้ทงั้ สิ้น” เมอ่ื พจิ ารณาหลกั กฎหมายทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 51 มาตรา 801 และมาตรา 802 ตามลาํ ดบั แลว้ จะไดค้ วามวา่ ตามหลกั ทวั่ ไปแลว้ ตวั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไปย่อมมี อํานาจทาํ การแทนผไู้ มอ่ ย่ไู ดท้ งั้ สน้ิ ยกเวน้ นิตกิ รรมทม่ี าตรา 801 วรรคสอง ไดก้ ําหนดไว้ วา่ จะทาํ ไดต้ ่อเมอ่ื ไดร้ บั อนุญาตจากศาลแลว้ เทา่ นนั้ อนั ประกอบไปดว้ ย 1. การขายหรอื จํานองอสงั หารมิ ทรพั ย์ เน่ืองจากอสงั หารมิ ทรพั ยเ์ ช่าทด่ี นิ บา้ นซง่ึ เป็นทรพั ยอ์ นั ตดิ กบั ทด่ี นิ แบบถาวร ลว้ นเป็นทรพั ยส์ นิ ทม่ี รี าคา ดงั นนั้ การทต่ี วั แทน ผู้รบั อํานาจทวั่ ไปจะนําไปขายหรอื จํานองจึงอาจทําให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ไม่อยู่ได้ จงึ กาํ หนดใหข้ ออนุญาตจากศาลก่อนจงึ ทาํ ได้ 2. การใหเ้ ชา่ อสงั หารมิ ทรพั ยก์ วา่ สามปีขน้ึ ไป นอกจากกาํ หนดใหก้ ารจะนํา อสังหาริมทรัพย์ไปขายหรือจํานองจะต้องขออนุญาตจากศาลก่อนแล้ว การจะนํา อสงั หารมิ ทรพั ย์ เชน่ ทด่ี นิ หรอื บา้ น ไปใหเ้ ชา่ เกนิ กวา่ 3 ปี กต็ อ้ งขออนุญาตเชน่ เดยี วกนั 3. การให้ ในกรณีการให้เป็นเร่อื งไม่มคี ่าตอบแทน ดงั นัน้ หากปล่อยให้ ตวั แทนผรู้ บั มอบอํานาจทวั่ ไปทาํ ไดโ้ ดยไมม่ ใี ครควบคุม อาจจะก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่ กองทรพั ยส์ นิ ของผไู้ มอ่ ยไู่ ด้ เชน่ กรณขี อ้ 1 และขอ้ 2 ตามทก่ี ลา่ วมาแลว้ 4. การประนีประนอมยอมความ การแก้ไขข้อพิพาทระหว่างบุคคลนัน้ คกู่ รณีอาจเลอื กใชว้ ธิ ปี ระนีประนอมยอมความแทนการนําคดขี น้ึ สศู่ าลไดห้ ากตอ้ งการใหม้ ี การเจรจาตกลงระหวา่ งกนั โดยไมต่ อ้ งอาศยั วธิ กี ารทก่ี ําหนดไวใ้ นประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา หรอื ตอ้ งการย่นระยะเวลา เชน่ เรอ่ื งการแบ่งมรดกระหวา่ งพน่ี ้อง เป็นตน้ ในกรณีน้ีอาจทํา ใหเ้ กดิ ความไดเ้ ปรยี บเสยี เปรยี บแก่ผไู้ มอ่ ยไู่ ด้ จงึ ใหศ้ าลเขา้ มามสี ว่ นดแู ลคุม้ ครองโดยการ ตอ้ งไดร้ บั คาํ อนุญาตจากศาลก่อนตวั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไปจงึ จะทาํ ได้ LA 102 (LW 102) 115
5. การย่นื ฟ้องต่อศาล สาํ หรบั การทก่ี ฎหมายกําหนดใหก้ ารนําคดขี น้ึ สศู่ าล ในฐานะโจทก์ของตวั แทนผู้รบั มอบอํานาจทวั่ ไปต้องได้รบั ความยินยอมจากศาลก่อน อาจจะสงสยั ว่ากศ็ าลเป็นผูต้ ดั สนิ คดอี ยู่แล้วก็ไม่น่าจะมปี ญั หาเร่อื งความไม่ยุตธิ รรมแก่ ผไู้ มอ่ ยแู่ ตอ่ ยา่ งใด เพราะมสี ทิ ธติ ่อสไู้ ดถ้ งึ ศาลฎกี า ซง่ึ เหตุผลทก่ี าํ หนดไวเ้ ชน่ น้ีกเ็ น่ืองจาก การย่นื ฟ้องต่อศาลเป็นเร่อื งท่ตี ้องใช้เงนิ ทองเสมอเพยี งแต่จะมากน้อยแล้วแต่กรณีไป รวมทงั้ การต่อสกู้ นิ ระยะเวลานาน อาจก่อความผกู พนั แก่กองทรพั ยส์ นิ ต่อไปอกี ดว้ ย อน่ึง การยน่ื ฟ้องต่อศาลในฐานะเป็นโจทกใ์ ชว่ า่ จะตอ้ งเป็นฝา่ ยชนะคดเี สมอไปอกี ดว้ ย 6. การมอบขอ้ พพิ าทใหอ้ นุญาโตตุลาการพจิ ารณา สาํ หรบั ในเร่อื งการมอบขอ้ พพิ าทใหอ้ นุญาโตตุลาการพจิ ารณานนั้ เป็นเรอ่ื งของการตดั สนิ ขอ้ พพิ าทเชน่ เดยี วกบั กรณี ขอ้ 4 และขอ้ 5 เพยี งแต่วธิ กี ารตดั สนิ ขอ้ พพิ าทจะแตกต่างกนั ไป การใหอ้ นุญาโตตุลาการ พจิ ารณาเป็นการเลอื กของคู่กรณีท่จี ะยอมใหม้ กี ารตงั้ ผูต้ ดั สนิ ขอ้ พพิ าทนอกศาล นัน่ คอื ไม่ตอ้ งมผี พู้ พิ ากษาเป็นผพู้ จิ ารณากไ็ ด้ เพยี งแต่ตอ้ งมกี ารตงั้ คณะอนุญาโตตุลาการขน้ึ มา ก่อน ซ่ึงควรเป็นบุคคลท่ีคู่กรณีท่ีพิพาทกันอยู่เช่ือถือและยอมรับ เช่น ญาติผู้ใหญ่ ขา้ ราชการ หรอื ครู อาจารย์ เป็นตน้ แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 802 ได้วางหลกั เป็นขอ้ ยกเว้นซ้อนมาตรา 801 เขา้ ไปอกี ว่า “ในเหตุฉุกเฉินเพ่อื จะป้องกนั มใิ หต้ วั การตอ้ งเสยี หาย ท่านใหส้ นั นิษฐานไว้ ก่อนว่า ตวั แทนจะทําการใด ๆ เช่นอย่างวญิ �ูชนจะพงึ กระทํา ก็ย่อมมอี ํานาจจะทําให้ ทงั้ ส้นิ ” จึงทําให้ขอ้ ห้าม 6 ประการท่กี ําหนดไว้ในมาตรา 801 ท่ีว่า ตวั แทนผู้รบั มอบ อํานาจทวั่ ไปจะทํามไิ ด้เลยหากไม่ได้รบั ความยนิ ยอมหรอื ขออนุญาตจากศาลเสยี ก่อน เท่านัน้ กลายเป็นเร่อื งท่ตี วั แทนผู้รบั มอบอํานาจทวั่ ไปสามารถจะทําได้หากเป็นเร่อื ง ฉุกเฉินและเพอ่ื ป้องกนั มใิ หต้ วั การตอ้ งไดร้ บั ความเสยี หาย เชน่ ผไู้ มอ่ ย่เู ป็นเจา้ หน้ีและมลู หน้ีนนั้ จะขาดอายุความใน 3 วนั หรอื 7 วนั ดงั น้ี กต็ อ้ งถอื ว่าเป็นเร่อื งฉุกเฉินเพราะหาก ไม่ใชส้ ทิ ธฟิ ้อง กจ็ ะทําใหล้ ูกหน้ีหมดหน้าทร่ี บั ผดิ คอื ไม่ต้องชําระหน้ีใหผ้ ูไ้ ม่อยู่ จงึ ทําให้ เกดิ ความเสยี หายแก่ผูไ้ ม่อยู่ได้ ดงั นนั้ กฎหมายจงึ ใหอ้ ํานาจแก่ตวั แทนผูร้ บั มอบอํานาจ ทวั่ ไปทจ่ี ะทําไดท้ ุกอย่างหากการนนั้ เป็นเรอ่ื งทค่ี นปกตทิ วั่ ไปซง่ึ กฎหมายเรยี กวา่ “วญิ �ชู น” จะทาํ อยา่ งน้ีเชน่ กนั และผลจากมาตรา 801 และมาตรา 802 ก็จะไปสอดคล้องกบั บทบญั ญตั ิ มาตรา 51 ซ่ึงวางหลกั ไว้ว่า “ภายใต้บงั คบั มาตรา 802 ถ้าตวั แทนผ้รู บั มอบอาํ นาจ 116 LA 102 (LW 102)
ทวั่ ไปเห็นเป็ นการจาํ เป็ นจะต้องทําการอนั ใดอนั หนึ่งเกินขอบอาํ นาจท่ีได้รบั ไว้ ต้องขออนุญาตศาลและเมอื่ ศาลสงั่ อนุญาตแล้วจึงจะกระทาํ การนัน้ ได้” ทงั้ หมดน้ีเป็นเรอ่ื งของการควบคุมการปฏบิ ตั หิ น้าทแ่ี ละตดั สนิ ใจของตวั แทน ผรู้ บั อาํ นาจทวั่ ไปของผไู้ มอ่ ยโู่ ดยกฎหมายนนั่ เอง สว่ นการควบคมุ การใชอ้ าํ นาจหน้าทข่ี อง ผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ ของผไู้ มอ่ ยจู่ ะไดศ้ กึ ษาในหวั ขอ้ ตอ่ ไป 4.1.3 การควบคมุ การใช้อาํ นาจหน้าท่ีของผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินของผไู้ มอ่ ยู่ ก่อนอ่นื ต้องเขา้ ใจว่าผู้จดั การทรพั ย์สนิ เป็นเร่อื งท่ศี าลแต่งตงั้ ขน้ึ มาตามท่ี มาตรา 48 หรอื มาตรา 49 ไดใ้ หอ้ ํานาจแก่ศาลไว้ ดงั นนั้ การควบคุมการใชอ้ ํานาจหน้าท่ี และกฎเกณฑ์ท่เี ก่ยี วกบั ผู้จดั การทรพั ย์สนิ จงึ มที งั้ ขอ้ แตกต่างและขอ้ เหมอื นกบั ตวั แทน ผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไป ดงั น้ี 1. ต้องจดั ทําบญั ชที รพั ย์สนิ ของผูไ้ ม่อยู่ใหเ้ สรจ็ ภายในสามเดอื นนับแต่วนั ทราบคาํ สงั่ แตง่ ตงั้ ของศาล แตห่ ากไมท่ นั เพราะมรี ายการเยอะหรอื ซบั ซอ้ น กอ็ าจขอขยาย เวลาได้ ตามทม่ี าตรา 52 บญั ญตั ิไว้ว่า “ผ้จู ดั การทรพั ยส์ ินท่ีศาลได้ตงั้ ขึน้ ต้องทาํ บญั ชีทรพั ยส์ ินของผ้ไู ม่อยู่ให้เสรจ็ ภายในสามเดือนนับแต่วนั ทราบคาํ สงั่ ตงั้ ของ ศาล แต่ผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินจะรอ้ งขอต่อศาลให้ขยายเวลากไ็ ด้” อน่ึงบญั ชที รพั ยส์ นิ ของผไู้ ม่อยู่นนั้ ไม่ว่าจะเป็นการจดั ทําขน้ึ โดยตวั แทน ผรู้ บั มอบอํานาจทวั่ ไป ตามมาตรา 50 หรอื จดั ทาํ ขน้ึ โดยผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ ตามมาตรา 52 จะต้องทําตามท่มี าตรา 53 กําหนดไว้คอื ต้องมพี ยานลงลายมอื ช่อื รบั รองความถูกต้อง อยา่ งน้อย 2 คน สว่ นจะเป็นใครบา้ งทจ่ี ะเป็นพยานไดก้ ไ็ ดก้ าํ หนดไวเ้ ชน่ กนั คอื 1. คสู่ มรสของผไู้ มอ่ ยู่ 2. ญาตขิ องผไู้ มอ่ ยทู่ บ่ี รรลนุ ิตภิ าวะแลว้ 3. บุคคลอ่นื ซ่งึ บรรลุนิตภิ าวะแล้ว หากผูไ้ ม่อยู่ไม่มคี ู่สมรส ไม่มญี าติ หรอื คสู่ มรส และญาตไิ มย่ อมเป็นพยาน 2. อํานาจหน้าทข่ี องผูจ้ ดั การทรพั ย์สนิ ในเร่อื งน้ีมาตรา 54 ได้บญั ญตั ิไว้ ว่า “ผ้จู ดั การทรพั ยส์ ินมีอาํ นาจหน้าท่ีอย่างเดียวกบั ตวั แทนผ้รู บั มอบอาํ นาจทวั่ ไป ตามมาตรา 801 และมาตรา 802 ถ้าผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินเหน็ เป็นการจาํ เป็นจะต้องทาํ การอนั ใดอนั หน่ึงเกินขอบอาํ นาจ ต้องขออนุญาตต่อศาลและเมื่อศาลสงั่ อนุญาต แล้วจึงจะกระทาํ การนัน้ ได้” ซ่งึ แสดงว่าอํานาจเหล่าน้ีของทงั้ ตวั แทนผูร้ บั มอบอํานาจ LA 102 (LW 102) 117
ทวั่ ไปหรอื ผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ ลว้ นอยู่ภายใตบ้ งั คบั กฎหมายแพง่ และพาณิชยเ์ ร่อื งตวั แทน ทงั้ สน้ิ เพราะกฎหมายมาตรา 54 กาํ หนดใหม้ อี าํ นาจหน้าทเ่ี หมอื นกนั 3. ขอบอํานาจของผู้จัดการทรัพย์สินและผู้รับมอบอํานาจเฉพาะการ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 55 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “ถ้าผู้ไม่อยู่ได้ตัง้ ตวั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจเฉพาะการอนั ใดไว้ผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินจะเขา้ ไปเกี่ยวข้องกบั การอนั เป็ นอาํ นาจเฉพาะการนัน้ ไม่ได้ แต่ถ้าปรากฏว่าการที่ตวั แทนจดั ทาํ อยู่นัน้ อาจจะเสียหายแก่ผ้ไู ม่อยู่ ผ้จู ดั การทรพั ยส์ ินจะร้องขอให้ศาลถอดถอนตวั แทนนัน้ เสียก็ได้” เน่ืองจากในบางกรณีผู้ไม่อยู่ได้ตงั้ ผู้รบั มอบอํานาจเฉพาะการไว้ และศาลก็ แต่งตงั้ ผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ ขน้ึ มาเพ่อื ทําหน้าทเ่ี กย่ี วกบั การจดั การทรพั ยข์ องผไู้ ม่อยู่เชน่ กนั แต่คนละขอบเขต ดงั นัน้ กฎหมายมาตรา 55 จึงห้ามไม่ให้ผู้จดั การทรพั ย์สนิ เขา้ ไปยุ่ง เกย่ี วกบั การทํางานในขอบอํานาจของผรู้ บั มอบอํานาจเฉพาะการ แต่หากปรากฏว่าผรู้ บั มอบอํานาจเฉพาะการทําให้เกิดความเสียหายแก่กองทรพั ย์สินของผู้ไม่อยู่แล้วละก็ กฎหมายใหอ้ าํ นาจผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ รอ้ งตอ่ ศาลเพอ่ื ขอใบถอดถอนผรู้ บั มอบอํานาจเฉพาะ หรอื ตวั แทนของผู้ไม่อยู่ได้ ส่วนศาลจะสงั่ ตามคําร้องขอหรือไม่ก็ข้นึ อยู่กบั พยานและ หลกั ฐานประกอบคาํ รอ้ งนนั่ เอง 4. การควบคุมการจดั การทรพั ย์สนิ ของผู้จดั การทรพั ย์สนิ ในเร่ืองการ ควบคุมการจดั การทรพั ยส์ นิ ของผจู้ ดั การทรพั ยใ์ นขอ้ น้ีเป็นไปตามทม่ี าตรา 56 ได้บญั ญตั ิ ไว้ว่า “เมื่อผ้มู ีส่วนได้เสียหรือพนักงานอยั การร้องขอ หรือ เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลอาจสงั่ อยา่ งหนึ่งอย่างใดดงั ต่อไปนี้ (1) ให้ผ้จู ดั การทรพั ยส์ ินหาประกนั อนั สมควรในการจดั การ ทรพั ยส์ ินของผไู้ ม่อยตู่ ลอดจนการมอบคืนทรพั ยส์ ินนัน้ (2) ให้ผ้จู ดั การทรพั ยส์ ินแถลงถึงความเป็ นอยู่แห่งทรพั ยส์ ินของ ผไู้ มอ่ ยู่ (3) ถอดถอนผ้จู ดั การทรพั ยส์ ิน และตงั้ ผ้อู ื่นให้เป็ นผ้จู ดั การ ทรพั ยส์ ินแทนต่อไป” ซง่ึ จะเหน็ ว่าเป็นการควบคุมโดยผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การรอ้ ง ขอต่อศาลหรอื เป็นกรณที ศ่ี าลเหน็ สมควร กม็ อี าํ นาจสงั่ ไดเ้ องเชน่ กนั 118 LA 102 (LW 102)
5. บําเหน็จของผู้จัดการทรพั ย์สิน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 57 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “ในคาํ สงั่ ตงั้ ผ้จู ดั การทรพั ยส์ ิน ศาลจะกาํ หนดบาํ เหน็จ ให้แก่ผ้จู ดั การทรพั ย์สินโดยจ่ายจากทรพั ย์สินของผ้ไู ม่อยู่นัน้ ก็ได้ ถ้าศาลมิได้ กาํ หนดผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินจะรอ้ งขอต่อศาลให้กาํ หนดบาํ เหน็จ ในภายหลงั กไ็ ด้ ถา้ ผจู้ ดั การทรพั ยส์ ิน หรือผมู้ ีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอยั การร้องขอ หรือเม่ือมีกรณี ปรากฏแก่ศาลว่า พฤติการณ์เกี่ยวกบั การจดั การทรพั ย์สินได้ เปลี่ยนแปลงไป ศาลจะสงั่ กาํ หนดบาํ เหน็จ งด ลด เพ่ิม หรือกลบั ให้บาํ เหน็จแก่ ผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินอีกกไ็ ด้” เน่ืองจากผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ ไดร้ บั การแต่งตงั้ โดยคาํ สงั่ ศาล ดงั นนั้ ศาลจงึ ตอ้ งเป็นผูก้ ําหนดบําเหน็จแก่ผูจ้ ดั การทรพั ยส์ นิ โดยจ่ายจากกองทรพั ยส์ นิ ของผไู้ ม่อยู่ และ เม่อื ไดม้ กี ารจ่ายบําเหน็จค่าตอบแทนไปแลว้ หากผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การหรอื ผู้จดั การทรพั ย์สนิ ร้องขอต่อศาล หรอื เม่อื มกี รณีปรากฏแก่ศาลว่าผู้จดั การทรพั ย์สนิ มี พฤตกิ ารณ์เกย่ี วกบั การจดั การทรพั ยส์ นิ เปลย่ี นแปลงได้ กอ็ าจมกี ารกําหนดบาํ เหน็จไมว่ า่ จะเป็นการชดใชบ้ าํ เหน็จ ลด เพมิ่ หรอื กลบั ไปใหบ้ าํ เหน็จแกผ่ จู้ ดั การทรพั ยส์ นิ กไ็ ด้ 6. ความสน้ิ สดุ ของการเป็นผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ เป็นไปตามทไ่ี ดม้ กี ารกาํ หนด บญั ญัติไว้ในมาตรา 58 ว่า “ความเป็ นผู้จดั การทรพั ย์สินย่อมสิ้นสุดลงในกรณี ดงั ต่อไปนี้ (1) ผไู้ มอ่ ย่นู ัน้ กลบั มา (2) ผไู้ ม่อยู่นัน้ มิได้กลบั มา แต่ได้จดั การทรพั ยส์ ินหรือตงั้ ตวั แทน เพื่อจดั การทรพั ยส์ ินของตนแล้ว (3) ผไู้ มอ่ ย่ถู ึงแก่ความตายหรือศาลมีคาํ สงั่ ให้เป็นคนสาบสญู (4) ผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินลาออกหรือถึงแก่ความตาย (5) ผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ ความสามารถ (6) ผจู้ ดั การทรพั ยส์ ินเป็นบคุ คลล้มละลาย (7) ศาลถอดถอนผจู้ ดั การทรพั ยส์ ิน” LA 102 (LW 102) 119
ดงั นัน้ เหตุแห่งการส้นิ สุดของการเป็นผู้จดั การทรพั ย์สนิ จึงมไี ด้หลาย สาเหตุไม่ว่าจะเกดิ จากตวั ผูจ้ ดั การทรพั ยส์ นิ เอง เช่น การตาย หรอื โดยผลแห่งกฎหมาย เชน่ การตกเป็นบุคคลลม้ ละลาย รวมทงั้ การถูกถอดถอนโดยศาล และในเรอ่ื งความสน้ิ สดุ ของการเป็นผู้จดั การทรพั ย์สนิ ก็ยงั ต้องปฏิบตั ิตามข้อกําหนดของมาตรา 59 อีกด้วย โดยเฉพาะเมอ่ื ถกู ถอดถอนตามกรณที ่ี 4 หรอื 5 หรอื 6 ย่อมจะตอ้ งมกี ารสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ใหบ้ คุ คลทไ่ี ดร้ บั การแตง่ ตงั้ จากศาลใหเ้ ป็นผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ แทนดว้ ย 4.2 กรณีที่ถอื ว่าผไู้ มอ่ ยถู่ ึงแก่ความตายหรอื คนสาบสญู เม่อื บุคคลใดบุคคลหน่ึงไปเสยี จากภูมลิ ําเนาหรอื ถ่ินท่อี ยู่หรอื ไม่มใี ครได้รบั ข่าว คราวหรอื พบเห็นจนล่วงเลยเวลาท่ีกฎหมายไม่สามารถจะคุ้มครองดูแลสทิ ธิและกอง ทรพั ยส์ นิ ของผไู้ ม่อย่ดู ว้ ยหลกั กฎหมายว่าดว้ ยผไู้ ม่อยู่ตามมาตรา 48 ไดอ้ กี ต่อไป รวมทงั้ ความหวงั ว่าบุคคลนัน้ จะกลับมาก็เริ่มน้อยลงไปตามเวลาท่ีผ่านไม่ ดงั นัน้ เพ่ือความ เหมาะสมและดแู ลรกั ษาผลประโยชน์ทงั้ ของผไู้ มอ่ ย่แู ละผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ไมว่ า่ จะเป็นค่สู มรส ญาตพิ น่ี ้อง บดิ า มารดา กฎหมายจงึ ไดม้ กี ารบญั ญตั เิ กย่ี วกบั เรอ่ื งคนสาบสญู ไวอ้ กี ดว้ ย 4.2.1 หลกั เกณฑข์ องการเป็นคนสาบสญู ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 ได้บัญญัติเก่ียวกับคน สาบสญู ซง่ึ เป็นเร่อื งของผูไ้ ม่อยู่ทก่ี ฎหมายถอื ว่าถงึ แก่ความตายโดยผลของกฎหมายไว้ วา่ “ถ้าบคุ คลใดได้ไปจากภมู ิลาํ เนาหรือถ่ินท่ีอยู่ และไม่มีใครร้แู น่ว่าบคุ คลนัน้ ยงั มี ชีวิตอย่หู รือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เม่ือผมู้ ีส่วนได้เสียหรือพนักงานอยั การร้องขอ ศาลจะสงั่ ให้บคุ คลนัน้ เป็นคนสาบสญู กไ็ ด้ ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี (1) นับแต่วนั ท่ีการรบหรือสงครามสิ้นสดุ ลง ถ้าบคุ คลนัน้ อย่ใู นการรบ หรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดงั กล่าว (2) นับแต่วนั ที่ยานพาหนะท่ีบคุ คลนัน้ เดินทาง อบั ปาง ถกู ทาํ ลาย หรือ สญู หายไป (3) นับแต่วนั ท่ีเหตอุ นั ตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบไุ ว้ใน (1) หรือ (2) ได้ ผา่ นพ้นไป ถา้ บคุ คลนัน้ ตกอยใู่ นอนั ตรายเช่นว่านัน้ ” 120 LA 102 (LW 102)
จากหลกั กฎหมายในมาตรา 61 ทําใหส้ ามารถแยกหลกั เกณฑข์ องการเป็น คนสาบสญู ออกเป็น 2 กรณี คอื 1. การเป็นคนสาบสญู กรณธี รรมดา ตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 61 วรรคหน่งึ 2. การเป็นคนสาบสญู กรณพี เิ ศษ ตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วโ้ ดยมาตรา 61 วรรคสอง แมว้ า่ ในแตล่ ะกรณจี ะมคี วามแตกต่างกนั ในเรอ่ื งระยะเวลาและสาเหตุทจ่ี ะทาํ ใหเ้ ป็นคนสาบสญู กต็ ามที แต่หลกั เกณฑใ์ นเรอ่ื งสทิ ธขิ องบุคคลทจ่ี ะรอ้ งขอและเรอ่ื งตอ้ งมี คาํ สงั่ ศาลนนั้ ยงั ใชห้ ลกั เกณฑท์ เ่ี หมอื นกนั ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 1. การเป็นคนสาบสญู กรณธี รรมดา ในเร่อื งคนสาบสญู กรณีธรรมดากต็ อ้ งเป็นไปตามหลกั เกณฑข์ องมาตรา 61 วรรคหน่งึ ทก่ี าํ หนดไวว้ า่ 1.1 บุคคลนนั้ ตอ้ งไปจากภมู ลิ าํ เนาหรอื ถน่ิ ทอ่ี ยตู่ ลอดระยะเวลา 5 ปี 1.2 ตอ้ งไมม่ ใี ครทราบว่ามชี วี ติ อยู่หรอื ไมเ่ พราะไมม่ ใี ครทราบขา่ ว หรอื พบเหน็ บุคคลนนั้ 1.3 ตอ้ งมกี ารรอ้ งขอจากผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การตอ่ ศาล เม่อื พจิ ารณาจากหลกั เกณฑ์ในการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดาแล้ว เร่อื งท่สี ําคญั คอื ระยะเวลาท่ตี ้องครบ 5 ปีและต่อเน่ืองด้วย ดงั นัน้ การเรมิ่ นับจงึ ควรเรม่ิ นบั ตงั้ แต่วนั สุดทา้ ยทไ่ี ดพ้ บเหน็ บุคคลนนั้ หรอื ไดร้ บั ขา่ วคราวของบุคคลนนั้ ซง่ึ ขา่ วคราว ไม่ว่าจะเป็นจากบุคคลนนั้ เอง หรอื จากบุคคลอ่นื กต็ าม เช่น นาย ก. ออกจากบา้ นไปทํางาน วนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2553 แลว้ หายไป การจะถอื ว่าเป็นระยะเวลาทค่ี รบ 5 ปี เม่อื ใดกต็ อ้ ง เรมิ่ นับวนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2553 เป็นวนั แรก และครบระยะเวลา 5 ปี ในวนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2558 ซง่ึ ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การกส็ ามารถจะเรมิ่ ไปใชส้ ทิ ธใิ นการรอ้ งขอ ตอ่ ศาลเพอ่ื สงั่ ใหเ้ ป็นคนสาบสญู ในวนั รงุ่ ขน้ึ คอื วนั ท่ี 2 มกราคม พ.ศ. 2558 นนั่ เอง สาํ หรบั ปญั หาว่าใครจะเป็นผูม้ สี ว่ นไดเ้ สยี ทจ่ี ะมสี ทิ ธริ อ้ งขอต่อศาลใหส้ งั่ ใหผ้ ไู้ มอ่ ย่เู ป็นคนสาบสญู ไดน้ นั้ กค็ งใหส้ ทิ ธกิ บั ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ตามทม่ี าตรา 48 หรอื มาตรา 49 ไดก้ าํ หนดไวใ้ นเรอ่ื งผไู้ มอ่ ยนู่ นั่ เอง ในเร่อื งคําสงั่ ศาลใหเ้ ป็นคนสาบสญู ในกรณีธรรมดานัน้ เป็นเร่อื งสาํ คญั มากพอ ๆ กบั เรอ่ื งระยะเวลาทต่ี อ้ งครบ 5 ปี เชน่ กนั เพราะตราบใดทศ่ี าลยงั ไม่มคี าํ สงั่ ให้ บคุ คลใดเป็นคนสาบสญู บุคคลนนั้ กจ็ ะยงั คงเป็นเพยี งผไู้ มอ่ ยตู่ ลอดไป LA 102 (LW 102) 121
ดงั นนั้ การไมอ่ ย่หู รอื การออกไปจากภมู ลิ าํ เนาหรอื ถน่ิ ทอ่ี ย่ขู องบุคคลใด อาจยาวนานจนลว่ งเลยระยะเวลา 5 ปี และอาจเกดิ ไดก้ บั บุคคลหน่ึงบุคคลใดกไ็ ด้ เป็นการ ออกไปเทย่ี ว ไปดหู นงั ไปทํางาน แลว้ เม่อื บุคคลนนั้ ไม่กลบั มา การรอคอยของผูม้ สี ว่ นได้ เสยี อาจจะรอคอยด้วยความหวงั ไปเร่อื ย ๆ ได้ แต่การไม่อยู่ของบุคคลนัน้ ย่อมมผี ลใน กฎหมาย ซ่งึ อาจกระทบทงั้ กองทรพั ยส์ นิ ของบุคคลนัน่ เอง และอาจกระทบในดา้ นความ สนั พนั ธ์กบั บุคคลทม่ี คี วามเก่ยี วขอ้ งดว้ ย เช่น คู่สมรสหรอื บุตรกไ็ ด้ กฎหมายจงึ ตอ้ งวาง หลกั เกณฑใ์ นเรอ่ื งสาบสญู ไว้ แต่อย่างไรกต็ าม การออกไปจากภูมลิ ําเนาหรอื ถน่ิ ทอ่ี ยู่ของบุคคลหน่ึง บุคคลใด ในบางครัง้ อาจเป็นเพราะมีสาเหตุหรือเหตุการณ์ท่ีมีอันตราย หรือทําให้ ความหวงั ว่าจะกลบั มาแทบจะไม่มี หรอื มคี วามหวงั ก็น้อยมาก เช่น ทหารไปรบหรอื ไป สงคราม การไปเทย่ี วทางเรอื แลว้ เรอื อบั ปาง เป็นตน้ ดงั นนั้ ในมาตรา 61 วรรคสอง จงึ ไดม้ ี การรน่ ระยะเวลาจาก 5 ปี ในมาตรา 61 วรรคหน่ึง ใหเ้ หลอื เพยี ง 2 ปีเท่านนั้ หากการไม่ กลบั มาของบุคคลหน่ึงบุคคลใด เขา้ ตามเงอ่ื นไขทก่ี ําหนดไวใ้ นมาตรา 61 วรรคสอง ดงั มี รายละเอยี ดดงั น้ี 1. นับแต่วนั ทก่ี ารรบหรอื สงครามสน้ิ สุดลง ถ้าบุคคลนัน้ อยู่ใน การรบ หรอื สงคราม และหายไปในการรบหรอื สงครามดงั กล่าว สาํ หรบั เงอ่ื นไขทก่ี าํ หนดไวใ้ นขอ้ น้ีเพราะการรบหรอื การทําสงครามย่อมมอี นั ตรายต่อชวี ติ ได้ ดงั นัน้ หากบุคคลใดไปรบ หรอื ไปทาํ สงคราม และหายไปหลงั การรบหรอื สงครามสน้ิ สดุ กใ็ หเ้ รมิ่ ตน้ นบั ระยะเวลา 2 ปี ตงั้ แต่วนั ทก่ี ารรบหรอื สงครามสน้ิ สดุ ลงนนั่ เอง ดงั นนั้ หากสงครามหรอื การรบสน้ิ สดุ ลงวนั ท่ี 1 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2553 กต็ อ้ งเรมิ่ นบั ตงั้ แต่วนั ท่ี 1 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2553 และจะครบ 2 ปี ในวนั ท่ี 1 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2555 ซ่งึ ผูม้ สี ่วนไดเ้ สยี หรอื พนักงานอยั การจะเรม่ิ ไปรอ้ งขอ ต่อศาลใหส้ งั่ ใหเ้ ป็นคนสาบสญู ไดใ้ นวนั ท่ี 2 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2555 เป็นตน้ ไปได้ 2. นบั แต่วนั ทย่ี านพาหนะทบ่ี ุคคลนนั้ เดนิ ทาง อบั ปาง ถูกทําลาย หรอื สูญหายไป สําหรบั เง่อื นไขในขอ้ 2 น้ี เพราะบุคคลหน่ึงบุคคลใดอาจเดินทางโดยทาง อากาศ ทางน้ํา หรอื ทางบกกไ็ ด้ หากไม่มเี หตุอนั ตรายบุคคลนนั้ กจ็ ะกลบั ส่ภู ูมลิ ําเนาหรอื ถนิ่ ท่อี ยู่ได้โดยปลอดภยั ตามปกติ แต่สําหรบั บุคคลบางคนไม่ได้เป็นเช่นน้ี เช่นไปทวั ร์ ต่างประเทศและเดนิ ทางโดยเครอ่ื งบนิ หากเกดิ อุบตั เิ หตุเครอ่ื งบนิ ตกบนภเู ขาโดยไมม่ ใี คร พบศพ ไม่มใี ครได้ข่าวหรอื พบเห็นบุคคลนัน้ อีกเลย ก็ต้องถือว่าเป็นการสาบสูญกรณี 122 LA 102 (LW 102)
พเิ ศษเพราะโอกาสจะรอดชวี ติ กลบั มาแทบไมม่ เี ลยกท็ ต่ี อ้ งเรมิ่ นบั ตงั้ แต่วนั ทย่ี านพาหนะท่ี บุคคลนัน้ ไดเ้ ดนิ ทางหรอื โดยสารไปดว้ ยไดเ้ กดิ อุบตั เิ หตุไม่ว่าจะเป็นเคร่อื งบนิ ตก เรอื ล่ม หรอื รถยนตต์ กเหว แต่มขี อ้ สงั เกตว่าเม่อื เกดิ เหตุเหล่าน้ีแลว้ ตอ้ งไม่สามารถทราบไดว้ ่า บุคคลนนั้ ยงั มชี วี ติ อย่หู รอื ไมเ่ พราะไมพ่ บศพหรอื ตวั บุคคลนนั้ หรอื ขา่ วคราวของบุคคลนนั้ อกี เลย และระยะเวลา 2 ปีกจ็ ะเรมิ่ นับตงั้ แต่วนั ทเ่ี กดิ อุบตั เิ หตุ เช่นเกดิ เหตุเคร่อื งบนิ ตก วนั ท่ี 1 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2553 กต็ อ้ งนบั วนั ท่ี 1 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2553 เป็นวนั แรก และ จะไปครบ 2 ปี ในวนั ท่ี 2 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2555 ซง่ึ ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การจะ เรมิ่ ไปใชส้ ทิ ธใิ นการรอ้ งขอตอ่ ศาลไดใ้ นวนั ท่ี 2 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2555 เป็นตน้ ไป 3. นบั แต่วนั ทเ่ี หตุอนั ตรายแก่ชวี ติ นอกจากทร่ี ะบุไวใ้ น (1) หรอื (2) ได้ ผ่านพน้ ไป ถา้ บุคคลนนั้ ตกอยู่ในอนั ตรายเชน่ ว่านนั้ สาํ หรบั เงอ่ื นไขในขอ้ น้ี เป็นกรณีท่ี ผู้ร่างกฎหมายมเี จตนาให้ครอบคลุมไปถึงภยนั ตรายทงั้ หลายท่อี าจทําให้มนุษย์ได้รบั อนั ตรายถงึ ตายได้ และตอ้ งไม่ใช่สาเหตุตามขอ้ 1 และ 2 ขา้ งตน้ ดว้ ย เช่น เกดิ น้ําปา่ ไหลหลาก ไฟไหมป้ า่ คล่นื ยกั ษ์ ภูเขาไฟระเบดิ หรอื แผ่นดนิ ไหว เป็นตน้ ซง่ึ สาเหตุแห่งการตายของ มนุษย์ทย่ี กมาลว้ นเป็นภยนั ตรายทไ่ี ม่อยู่ในขอ้ 1 และขอ้ 2 แต่กเ็ ป็นอนั ตรายทท่ี ําใหค้ น ตายไดเ้ ช่นกนั ดงั นัน้ ระยะเวลาของการสาบสญู ของบุคคลทอ่ี ยู่ภายใต้เง่อื นไขขอ้ 3 กจ็ ะ เหลอื แค่ 2 ปี โดยตอ้ งเขา้ ตามเกณฑท์ ก่ี าํ หนดไวค้ อื บุคคลนนั้ ตอ้ งอยใู่ นอนั ตรายเชน่ น้ีดว้ ย และการเรมิ่ นับระยะเวลา 2 ปี จะเรมิ่ นับตงั้ แต่วนั ทเ่ี หตุภยนั ตรายนัน้ ไดผ้ ่านพน้ ไป เช่น นาย ก. ไปเทย่ี วน้ําตกในวนั ท่ี 1 มนี าคม พ.ศ. 2553 ขณะกําลงั เล่นน้ําตกอยู่กเ็ กดิ น้ําป่า ไหลหลากพดั พา นาย ก. และนกั ท่องเทย่ี วทเ่ี ล่นน้ําตกอยู่ดว้ ยไปหมด และหาศพนาย ก. ไม่เจอ และไม่มใี ครไดข้ ่าวหรอื พบเหน็ นาย ก. อกี เลย ดงั น้ีกต็ อ้ งถอื ว่าเขา้ กรณีของเหตุ ของการสาบสญู ในขอ้ 3 แลว้ และจะเรม่ิ ตน้ นบั ตงั้ แต่วนั ทเ่ี หตุอนั ตรายแก่ชวี ติ นอกจากขอ้ 1 และขอ้ 2 ไดผ้ า่ นพน้ ไป กค็ อื เรมิ่ ตน้ นบั ตงั้ แต่วนั ท่ี 1 มนี าคม พ.ศ. 2553 และจะครบ 2 ปี ในวนั ท่ี 1 มนี าคม พ.ศ. 2555 ซง่ึ ผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี หรอื พนกั งานอยั การจะเรมิ่ ไปใชส้ ทิ ธริ อ้ งขอ ต่อศาลเพอ่ื สงั่ ใหบ้ ุคคลนนั้ คอื นาย ก. เป็นคนสาบสญู ไดใ้ นวนั ท่ี 2 มนี าคม พ.ศ. 2555 ต่อไป ดงั นนั้ สาํ หรบั หลกั เกณฑใ์ นเร่อื งการเป็นคนสาบสญู ตามมาตรา 61 นัน้ ก็ต้องครบตามเง่อื นไขไม่ว่าจะเป็นสาเหตุของการเป็นคนสาบสูญ ระยะเวลา และ คาํ สงั่ ศาลดว้ ยจะขาดอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ไปไมไ่ ด้ LA 102 (LW 102) 123
4.2.2 ผลของคาํ สงั่ ศาลให้เป็นคนสาบสญู ในเร่อื งน้ีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไดบ้ ญั ญตั ไิ วท้ งั้ หมด 3 มาตรา ดว้ ยกนั คอื 1. มาตรา 62 บญั ญตั ิว่า “บุคคลซ่ึงศาลได้มีคาํ สงั่ ให้เป็ นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถงึ แก่ความตายเมื่อครบกาํ หนดระยะเวลาดงั ท่ีระบไุ ว้ในมาตรา 61” 2. มาตรา 63 บญั ญตั ิว่า “เม่ือบุคคลผ้ถู กู ศาลสงั่ ให้เป็ นคนสาบสูญ นัน้ เอง หรือ มีผมู้ ีส่วนได้เสียหรอื พนักงานอยั การร้องขอต่อศาล และพิสจู น์ได้ ว่าบุคคลผ้ถู กู ศาลสงั่ ให้เป็ นคนสาบสูญนัน้ ยงั คงมีชีวิตอยู่กด็ ี หรือว่าตายใน เวลาอื่นผิดไปจากเวลาดงั ระบไุ ว้ในมาตรา 62 กด็ ี ให้ศาลสงั่ ถอนคาํ สงั่ ให้เป็น คนสาบสญู นัน้ แต่การถอนคาํ สงั่ นี้ ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ แห่งการทงั้ หลายอนั ได้ทาํ ไปโดยสุจริต ในระหว่างเวลาตงั้ แต่ศาลมีคาํ สงั่ ให้ เป็นคนสาบสญู จนถึงเวลาถอน คาํ สงั่ นัน้ บคุ คลผไู้ ด้ทรพั ยส์ ินมาเน่ืองแต่การท่ีศาลสงั่ ให้บคุ คลใดเป็นคน สาบสูญ แต่ต้องเสียสิทธิของตนไปเพราะศาลสงั่ ถอนคาํ สงั่ ให้บุคคลนัน้ เป็ นคน สาบสูญ ให้นําบทบญั ญตั ิว่าด้วยลาภมิควรได้แห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้ บงั คบั โดยอนุโลม” 3. มาตรา 64 บญั ญตั ิว่า “คาํ สงั่ ศาลให้เป็ นคนสาบสูญ หรือคาํ สงั่ ถอน คาํ สงั่ ให้เป็นคนสาบสญู ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา” การทก่ี ฎหมายกําหนดเรอ่ื งคาํ สงั่ ศาลใหเ้ ป็นคนสาบสญู และการเพกิ ถอน คาํ สงั่ ใหเ้ ป็นคนสาบสญู ตอ้ งประกาศในราชกจิ จานุเบกษา กเ็ พราะตอ้ งการใหบ้ ุคคลภายนอก ไดท้ ราบและป้องกนั มใิ หม้ กี ารกลา่ วอา้ งเพอ่ื หาประโยชน์จากคนสาบสญู ไดน้ นั่ เอง น อ ก จ า ก น้ี ค น ส า บ สูญ เ ป็ น ก ร ณี ข อ ง ก า ร ส้ิน ส ภ า พ บุ ค ค ล โ ด ย ผ ล ข อ ง กฎหมาย และไมม่ ใี ครรแู้ น่ชดั วา่ คนทถ่ี ูกศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนสาบสญู นนั้ ไดต้ ายไปแลว้ จรงิ ๆ หรอื ยงั คงมชี วี ติ อยู่ ซง่ึ มเี รอ่ื งตอ้ ง 2 กรณี คอื 1. ในกรณีคนสาบสญู ไดต้ ายไปแลว้ จรงิ ๆ โดยมกี ารยนื ยนั และหลกั ฐาน ชดั เจน เชน่ มกี ารพบศพในเวลาหลงั จากมคี าํ สงั่ ศาลใหเ้ ป็นคนสาบสญู แลว้ ผลในกฎหมายใน เรอ่ื งสถานะในครอบครวั กจ็ ะตอ้ งถอื ว่าการสมรสสน้ิ สุดลงดว้ ยการตายของฝา่ ยใดฝา่ ยหน่ึง 124 LA 102 (LW 102)
ตามท่ีมาตรา 1501 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชยว์ ่าด้วยครอบครวั ซ่ึงได้ บญั ญตั ิไว้ว่า “การสมรสย่อมสิ้นสดุ ลงด้วยความตาย การหยา่ หรือศาลพิพากษาให้ เพิกถอน” และในเร่อื งทรพั ยส์ นิ ของผตู้ ายกจ็ ะตอ้ งเป็นไปตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยมรดก มาตรา 1620 ซ่ึงบญั ญตั ิไว้ว่า “ถ้าผ้ใู ดตายโดยไม่ได้ทาํ พินัยกรรมไว้ หรือทาํ พินัยกรรม ไว้แต่ไม่มีผลบงั คบั ได้ ให้ปันทรพั ยม์ รดกทงั้ หมดแก่ทายาทโดย ธรรมของผตู้ ายนัน้ ตามกฎหมาย ถ้าผใู้ ดตายโดยได้ทาํ พินัยกรรมไว้ แต่พินัยกรรมนัน้ จาํ หน่ายทรพั ย์ หรือ มีผลบงั คบั ได้แต่เพียงบางส่วนแห่งทรพั ยม์ รดกให้ปันส่วนท่ีมิได้จาํ หน่าย โดย พินัยกรรม หรือส่วนท่ีพินัยกรรมไมม่ ีผลบงั คบั ให้แก่ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย” 2. กรณีคนสาบสูญได้กลบั มา ในกรณีน้ีก็ต้องคนื สภาพบุคคลโดยศาล ตอ้ งการมคี ําสงั่ ถอนการเป็นคนสาบสูญและมกี ารคนื ทรพั ยส์ นิ ของคนสาบสญู ใหก้ บั บุคคล นนั้ ดว้ ย ในกรณีทบ่ี ุคคลใดไดร้ บั ทรพั ยส์ นิ เพราะการสาบสญู โดยคาํ สงั่ ศาลของ คนสาบสูญและต้องเสยี สทิ ธไิ ปเพราะการกลบั มาของคนสาบสูญนัน้ กฎหมายมาตรา 63 วรรคทา้ ย ใหน้ ําบทบญั ญตั เิ รอ่ื งลาภมคิ วรไดม้ าใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม แต่อย่างไรกต็ าม กฎหมายยงั คงใหค้ วามคุม้ ครองกบั บุคคลผสู้ ุจรติ อยู่ เสมอโดยพจิ ารณาไดจ้ ากมาตรา 63 วรรคหน่ึง โดยไดบ้ ญั ญตั ไิ วช้ ดั เจนวา่ “การถอนคาํ สงั่ สาบสูญย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์แห่งการทัง้ หลายท่ีบุคคลท่ีได้รับ ทรพั ยส์ นิ ของคนสาบสญู มาไดก้ ระทําไปโดยสุจรติ ในระหว่างเวลาตงั้ แต่ศาลไดม้ คี ําสงั่ ให้ เป็นคนสาบสญู จนถงึ เวลาถอนคาํ รอ้ งสาบสญู ” ทงั้ น้ีไมว่ า่ จะกนิ เวลายาวนานเพยี งใด และ ไดก้ ระทาํ การอะไรโดยสจุ รติ ตอ่ ทรพั ยส์ นิ น้ีไดร้ บั มา เชน่ ซอ้ื ขาย จาํ นอง จาํ นํา ปญั หาทต่ี ามมาคอื จะทราบไดอ้ ย่างไรว่าสุจรติ หรอื ไม่ กค็ งเป็นเร่อื ง ของฝา่ ยทอ่ี า้ งวา่ สจุ รติ จะตอ้ งพสิ จู น์ใหศ้ าลเหน็ เทา่ นนั้ วา่ สจุ รติ จรงิ และประเดน็ สดุ ทา้ ยทต่ี อ้ งพงึ ระลกึ ไวก้ ค็ อื การเป็นคนสาบสญู นนั้ ใหถ้ อื วา่ บุคคลนนั้ ถงึ แก่ความตายเม่อื ครบระยะเวลา 5 ปี หรอื 2 ปี แลว้ แต่กรณี ไมใ่ ชว่ นั ทศ่ี าล ไดม้ คี าํ สงั่ ใหเ้ ป็นคนสาบสญู ซง่ึ เป็นไปตามทม่ี าตรา 62 ไดบ้ ญั ญตั ไิ วน้ นั่ เอง สว่ นเรอ่ื งสถานะในครอบครวั เน่ืองจากการสาบสญู ทค่ี สู่ มรสนําไปเป็น เหตุฟ้องหย่าได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 (5) ซึ่งบญั ญตั ิไว้ LA 102 (LW 102) 125
ว่า “สามีหรือภริยาถกู ศาลสงั่ ให้เป็ นคนสาบสูญ หรือไปจากภมู ิลาํ เนาหรือถ่ินท่ีอยู่ เป็นเวลาเกินสามปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็ นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ ายหนึ่งฟ้ อง หย่าได้” และเม่อื ศาลสงั่ ใหห้ ย่าได้ การสมรสกส็ น้ิ สุดลง การกลบั มาของคนสาบสญู กไ็ ม่ กระทบกบั สถานะในครอบครวั อกี ตอ่ ไป 126 LA 102 (LW 102)
บทท่ี 5 นิติบคุ คล (Juristic Persons) นอกจากกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะได้มกี ารวางหลกั เกณฑ์ไว้สําหรบั บุคคล ธรรมดาในบรรพ 1 ลกั ษณะ 2 หมวด 1 ตามทไ่ี ดศ้ กึ ษาไปแลว้ นัน้ ยงั ไดว้ างหลกั เกณฑ์ สําหรบั นิติบุคคลไว้อีกด้วยในหมวด 2 เพราะในความเป็นจรงิ แม้บุคคลธรรมดาย่อม สามารถจะดําเนินชวี ติ อยู่อย่างโดดเดย่ี ว สรา้ งครอบครวั ดว้ ยตวั เองได้ แต่ในการดําเนิน ธุรกจิ หรอื การทาํ บญุ ทาํ กุศลอาจจะตอ้ งการความรว่ มมอื จากบุคคลอ่นื ในดา้ นความคดิ หรอื การลงทุน เพ่อื ใหส้ งิ่ ทต่ี อ้ งการทําหรอื ลงทุนนนั้ บรรลุเป้าหมาย เช่น การจดั ตงั้ มูลนิธเิ พ่อื การกุศล การสรา้ งโรงเรยี น หรอื การจดั ตงั้ บรษิ ทั ขน้ึ เพอ่ื แสวงหากาํ ไร เป็นตน้ ดงั นัน้ เพ่ือให้ส่งิ ท่ีบุคคลธรรมดาได้ร่วมกันจดั ตัง้ ข้นึ ในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีกล่าว มาแลว้ นนั้ ไดม้ กี ตกิ าหรอื หลกั เกณฑท์ เ่ี ป็นบรรทดั ฐานเดยี วกนั กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ จึงได้มีการกําหนดหลกั เกณฑ์เก่ียวกบั นิติบุคคล หรือบุคคลตามกฎหมายเหล่าน้ีข้นึ เพราะจะมสี ทิ ธแิ ละหน้าทต่ี ามกฎหมายไดเ้ มอ่ื เป็นนิตบิ ุคคลแลว้ เท่านนั้ และจะตอ้ งปฏบิ ตั ิ ตามหลกั เกณฑแ์ ละกฎเกณฑท์ ก่ี ฎหมายไดก้ าํ หนดไวเ้ ทา่ นนั้ ในเร่อื งนิตบิ ุคคลน้ีจะได้แยกศกึ ษาตามประเภทของนิตบิ ุคคลทงั้ สทิ ธแิ ละหน้าท่ี รวมทงั้ การจดั ตงั้ การดําเนินงาน ความรบั ผดิ ทงั้ น้ีเป็นไปตามทไ่ี ดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 2 เกย่ี วกบั นิตบิ ุคคลเป็นสาํ คญั สว่ นเร่อื งของนิตบิ ุคคล บางประเภท เช่น ห้างหุ้นส่วนสามญั ห้างหุ้นส่วนจํากดั หรอื บรษิ ัทจํากดั นัน้ ต้องไป ศกึ ษาหลกั กฎหมายโดยละเอยี ดในวชิ าหนุ้ สว่ น บรษิ ทั ต่อไป ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1012 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “อนั ว่าสญั ญา จดั ตงั้ ห้างห้นุ ส่วนหรือบริษทั นัน้ คือสญั ญาซึ่งบคุ คลตงั้ แต่สองคนขึน้ ไปตกลงเข้ากนั เพ่ือกระทาํ กิจการร่วมกนั ด้วยประสงคจ์ ะแบง่ ปันกาํ ไรอนั จะพึงได้แต่กิจการท่ีทาํ นัน้ ” ทํากิจการร่วมกนั เพ่อื จะนําผลกําไรท่ไี ด้จากกจิ การมาแบ่งกนั นัน่ เอง และจากมาตรา 1013 ได้มีการบญั ญตั ิไว้ว่า “อนั ห้างห้นุ ส่วนหรือบริษทั นัน้ ท่านกาํ หนดเป็ นสาม ประเภท คือ LA 102 (LW 102) 127
(1) ห้างห้นุ ส่วนสามญั (2) ห้างห้นุ ส่วนจาํ กดั (3) บริษทั จาํ กดั ” ดงั นนั้ หมายความวา่ หา้ งหนุ้ สว่ น หรอื บรษิ ทั นนั้ แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. หา้ งหุน้ สว่ นสามญั 2. หา้ งหุน้ สว่ นจาํ กดั 3. บรษิ ทั จาํ กดั และในหมวด 2 ว่าดว้ ยนิตบิ ุคคล ยงั ไดม้ กี ารบญั ญตั ถิ งึ บุคคลอกี 2 ประเภท คอื สมาคม และมลู นิธไิ วด้ ว้ ย ดงั นนั้ จงึ สรุปไดว้ า่ นิตบิ ุคคลตามประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณชิ ย์ แบง่ ออกเป็น 5 ประเภท ดงั น้ีคอื 5.1 ห้างห้นุ ส่วนสามญั ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บญั ญตั เิ ก่ยี วกบั คําจํากดั ความไว้ในมาตรา 1025 ว่า “อนั ว่าห้างห้นุ ส่วนสามญั นัน้ คือห้างห้นุ ส่วนประเภทซ่ึงผ้เู ป็ นห้นุ ส่วนหมด ทุกคนต้องรบั ผิดร่วมกนั เพื่อหนี้ทงั้ ปวงของห้นุ ส่วนโดยไม่มีจาํ กดั ” และไดบ้ ญั ญตั ิ เก่ียวกบั การเป็นนิตบิ ุคคลของห้างหุ้นส่วนสามญั ไว้ในมาตรา 1064 และมาตรา 1015 ตามลาํ ดบั ดงั น้ี มาตรา 1064 บญั ญตั ิว่า “อนั ห้างห้นุ ส่วนสามญั นัน้ จะจดทะเบียนกไ็ ด้ การลงทะเบียนนัน้ ท่านบงั คบั ให้มีรายการดงั่ นี้ คือ (1) ชื่อห้างห้นุ ส่วน (2) วตั ถทุ ่ีประสงคข์ องห้างห้นุ ส่วน (3) ท่ีตงั้ สาํ นักงานแห่งใหญ่และสาขาทงั้ ปวง (4) ช่ือและท่ีสาํ นักกบั ทงั้ อาชีวะของผ้เู ป็ นห้นุ ส่วนทุก ๆ คน ถ้าผ้เู ป็ นห้นุ ส่วน คนใดมีช่ือย่ีห้อ กใ็ ห้ลงทะเบียนทงั้ ชื่อและย่ีห้อด้วย (5) ช่ือห้นุ ส่วนผจู้ ดั การ ในเมอ่ื ได้ตงั้ แต่งให้เป็นผจู้ ดั การแต่เพียงบางคน (6) ถ้ามีขอ้ จาํ กดั อาํ นาจของห้างห้นุ ส่วนผจู้ ดั การประการใดให้ลงไว้ด้วย (7) ตราซึ่งใช้เป็นสาํ คญั ของห้างห้นุ ส่วน 128 LA 102 (LW 102)
ข้อความซ่ึงลงทะเบียนนัน้ จะลงรายการอ่ืน ๆ อีกอนั ค่สู ญั ญาเหน็ สมควรจะ ให้ประชาชนทราบด้วยกไ็ ด้ การลงทะเบียนนัน้ ต้องลงลายมือช่ือของผ้เู ป็ นหุ้นส่วนทุกคน และต้อง ประทบั ตราของห้างห้นุ ส่วนนัน้ ด้วย ให้พนักงานทะเบียนทําใบสาํ คญั แสดงการจดทะเบียนส่งมอบให้แก่ห้าง ห้นุ ส่วนนัน้ ฉบบั หนึ่ง” มาตรา 1015 บญั ญตั ิว่า “ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทเม่ือได้จดทะเบียนตาม บญั ญตั ิแห่งลกั ษณะนี้แล้ว ท่านจดั ว่าเป็ นนิ ติบุคคลต่างหากจากผ้เู ป็ นห้นุ ส่วนหรือ ผถู้ ือห้นุ ทงั้ หลาย ซึ่งรวมเขา้ กนั เป็นห้างห้นุ ส่วนหรือบริษทั นัน้ ” ดงั นนั้ หา้ งหุน้ สว่ นสามญั ตอ้ งจดทะเบยี นแลว้ เท่านนั้ จงึ จะมสี ภาพเป็นนิตบิ ุคคลได้ แตก่ ฎหมายกไ็ มไ่ ดบ้ งั คบั ใหห้ า้ งหุน้ สว่ นสามญั ตอ้ งจดทะเบยี นเสมอไป 5.2 ห้างห้นุ ส่วนจาํ กดั ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ไดบ้ ญั ญตั เิ กย่ี วกบั คาํ จํากดั ความไวใ้ นมาตรา 1077 ไว้ว่า “อนั ห้างหุ้นส่วนจาํ กดั นัน้ คือ ห้างหุ้นส่วนประเภทหน่ึง ซึ่งมีผ้เู ป็ น ห้นุ ส่วนสองจาํ พวก ดงั่ จะกล่าวต่อไปนี้ คือ (1) ผ้เู ป็ นห้นุ ส่วนคนเดียวหรือหลายคนซึ่งมีจาํ กดั ความรบั ผิดเพียงไม่เกิน จาํ นวนเงินท่ีตนรบั จะลงห้นุ ในห้างห้นุ ส่วนนัน้ จาํ พวกหนึ่ง และ (2) ผ้เู ป็ นห้นุ ส่วนคนเดียวหรือหลายคนซึ่งต้องรบั ผิดร่วมกนั ในบรรดาหนี้ ของห้างห้นุ ส่วนไมม่ ีจาํ กดั จาํ นวนอีกจาํ พวกหนึ่ง” และได้มีบัญญัติให้ห้างหุ้นส่วนจํากัดต้องจดทะเบียนไว้ในมาตรา 1078 ว่า “อนั ห้างห้นุ ส่วนจาํ กดั นัน้ ท่านบงั คบั ว่าต้องจดทะเบียน การลงทะเบียนนัน้ ต้องมี รายการดงั่ ต่อไปนี้ คือ (1) ช่ือห้างห้นุ ส่วน (2) ข้อแถลงความว่าเป็นห้างห้นุ ส่วนจาํ กดั และวตั ถทุ ี่ประสงคข์ องห้างห้นุ ส่วน นัน้ (3) ท่ีตงั้ สาํ นักงานแห่งใหญ่และสาํ นักงานสาขาทงั้ ปวง LA 102 (LW 102) 129
(4) ช่ือ ยี่ห้อ สาํ นัก และอาชีวะของผ้เู ป็ นห้นุ ส่วนจาํ พวกจาํ กดั ความรบั ผิด และจาํ นวนเงินซึ่งเขาเหล่านัน้ ได้ลงห้นุ ด้วยในห้างห้นุ ส่วน (5) ช่ือ ย่ีห้อ สาํ นัก และอาชีวะของผเู้ ป็นห้นุ ส่วนจาํ พวกไมจ่ าํ กดั ความรบั ผิด (6) ช่ือห้นุ ส่วนผจู้ ดั การ (7) ถ้ามีข้อจํากัดอํานาจหุ้นส่วนผู้จัดการอันจะผูกพันห้างหุ้นส่วนนั้น ประการใดให้ลงไว้ด้วย ข้อความซ่ึงลงทะเบียนนัน้ จะลงรายการอ่ืนๆ อีกอนั ค่สู ญั ญาเหน็ สมควรจะ ให้ประชาชนทราบด้วยกไ็ ด้ การลงทะเบียนนัน้ ต้องลงลายมือช่ือของผ้เู ป็ นห้นุ ส่วนทุกคนและต้อง ประทบั ตราของห้างห้นุ ส่วนนัน้ ด้วย ให้พนักงานทะเบียนทําใบสาํ คญั แสดงการจดทะเบียนส่งมอบให้แก่ห้าง ห้นุ ส่วนนัน้ ฉบบั หน่ึง” และเม่ือได้จดทะเบียนแล้ว ห้างหุ้นส่วนจํากัดก็จะมีสภาพเป็นนิติบุคคล เชน่ เดยี วกบั หา้ งหุน้ สว่ นสามญั ทจ่ี ดทะเบยี นตามมาตรา 1015 เป็นตน้ 5.3 บริษทั จาํ กดั ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 ได้บญั ญตั ิเกี่ยวกบั คาํ จาํ กดั ความไว้ว่า “อนั ว่าบริษทั จาํ กดั นัน้ คือบริษทั ประเภทซ่ึงตงั้ ขึน้ ด้วยแบ่งทุนเป็นห้นุ มี มลู ค่าเท่าๆ กนั โดยมีผถู้ ือห้นุ ต่างรบั ผิดจาํ กดั เพียงไม่เกินจาํ นวนเงินที่ตนยงั ส่งใช้ ไม่ครบมูลค่าของห้นุ ท่ีตนถือ” และบรษิ ทั จํากดั นนั้ ตอ้ งจดทะเบยี นก่อนจงึ จะมสี ภาพ เป็นนิตบิ คุ คลได้ 5.4 สมาคม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 78 ได้บญั ญตั ิเกี่ยวกบั คาํ จาํ กดั ความ ไว้ว่า “การก่อตงั้ สมาคมเพื่อกระทาํ การใด ๆ อนั มีลกั ษณะต่อเน่ืองร่วมกนั และมิใช่ เป็ นการหาผลกาํ ไรหรือรายได้มาแบ่งปันกนั ต้องมีข้อบงั คบั และจดทะเบียนตาม บทบญั ญตั ิแห่งประมวลกฎหมายนี้” และเม่ือสมาคมได้มีสภาพเป็นนิติบุคคลแล้ว 130 LA 102 (LW 102)
ก็จะต้องปฏิบตั ิตามท่ีกฎหมายกําหนดจึงจะมสี ทิ ธิและหน้าท่ีตามกฎหมายได้ในเร่ือง ต่อไปน้ี 1. สมาคมตอ้ งมขี อ้ บงั คบั และขอ้ บงั คบั กต็ อ้ งเป็นไปตามทม่ี าตรา 79 ไดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ คอื “ขอ้ บงั คบั ของสมาคมอยา่ งน้อยตอ้ งมรี ายการดงั ตอ่ ไปน้ี (1) ชอ่ื สมาคม (2) วตั ถุประสงคข์ องสมาคม (3) ทต่ี งั้ สาํ นกั งานใหญ่ และทต่ี งั้ สาํ นกั งานสาขาทงั้ ปวง (4) วธิ รี บั สมาชกิ และการขาดจากสมาชกิ ภาพ (5) อตั ราคา่ บาํ รงุ (6) ขอ้ กําหนดเก่ียวกบั คณะกรรมการของสมาคม ได้แก่ จํานวนกรรมการ การตงั้ กรรมการ วาระการดาํ รงตําแหน่งของกรรมการ การพน้ จากตําแหน่งของกรรมการ และการประชมุ ของคณะกรรมการ (7) ขอ้ กาํ หนดเกย่ี วกบั การจดั การสมาคม การบญั ชี และทรพั ยส์ นิ ของสมาคม (8) ขอ้ กาํ หนดเกย่ี วกบั การประชมุ ใหญ่ 2. การตงั้ ชอ่ื ตอ้ งเป็นไปตามมาตรา 80 ซึ่งบญั ญตั ิไว้ว่า “สมาคมต้องใช้ชื่อซึ่ง มีคาํ ว่า “สมาคม” ประกอบกบั ช่ือของสมาคม” 3. การก่อตงั้ สมาคม ในเร่อื งน้ีก็ต้องเป็นไปตามทม่ี าตรา 81 และมาตรา 82 ได้ บญั ญตั ไิ ว้ คอื มาตรา 81 บญั ญตั ิว่า “การขอจดทะเบียนสมาคมนัน้ ให้ผ้จู ะเป็ นสมาชิก ของสมาคมจํานวนไม่น้ อยกว่าสามคน ร่วมกันย่ืนคําขอเป็ นหนังสือต่อ นายทะเบียนแห่งท้องท่ีที่สํานักงานใหญ่ของสมาคมจะตัง้ ขึ้นพร้อมกับแนบ ขอ้ บงั คบั ของสมาคมรายชื่อ ท่ีอยู่ และอาชีพของผ้จู ะเป็นสมาชิกไม่น้อยกว่าสิบคน และรายช่ือ ที่อยู่ และอาชีพ ของผจู้ ะเป็นกรรมการของสมาคมมากบั คาํ ขอด้วย” มาตรา 82 บญั ญตั ิว่า “เม่ือนายทะเบียนได้รบั คาํ ขอจดทะเบียนพร้อมทงั้ ข้อบงั คบั แล้วเห็นว่าคําขอนัน้ ถกู ต้องตามมาตรา 81 และข้อบงั คบั ถกู ต้องตาม มาตรา 79 และวตั ถปุ ระสงค์ของสมาคมไม่ขดั ต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอนั ดีของ ประชาชน หรือไม่เป็ นภยนั ตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมนั่ คง ของรฐั และรายการซึ่งจดแจ้งในคาํ ขอหรอื ขอ้ บงั คบั สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงคข์ อง LA 102 (LW 102) 131
สมาคม และผจู้ ะเป็นกรรมการของสมาคมนัน้ มีฐานะ และความประพฤติเหมาะสม ในการดาํ เนินการตามวตั ถปุ ระสงคข์ องสมาคม ให้นายทะเบียนรบั จดทะเบียนและ ออกใบสาํ คญั แสดงการจดทะเบียนให้แก่สมาคมนัน้ และประกาศการจดั ตงั้ สมาคม ในราชกิจจานุเบกษา ถา้ นายทะเบียนเหน็ ว่าคาํ ขอหรือขอ้ บงั คบั ไม่ถกู ต้องตามมาตรา 81 หรือ มาตรา 79 หรือรายการซ่ึงจดแจ้งในคาํ ขอหรือข้อบงั คบั ไม่สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์ ของสมาคม หรือผ้จู ะเป็ นกรรมการของสมาคมมีฐานะหรือความประพฤติไม่เหมาะสม ในการดาํ เนินการตามวตั ถปุ ระสงคข์ องสมาคม ให้มีคาํ สงั่ ให้ผยู้ ่ืนคาํ ขอจดทะเบียน แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถกู ต้อง เม่ือแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงถกู ต้องแล้ว ให้รบั จด ทะเบียนและออกใบสาํ คญั แสดงการจดทะเบียนให้แก่สมาคมนัน้ ถ้านายทะเบียนเห็นว่าไม่อาจรบั จดทะเบียนได้เน่ืองจากวตั ถปุ ระสงค์ ของสมาคมขดั ต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชน หรืออาจเป็ นภยนั ตราย ต่อความสงบสขุ ของประชาชนหรือความมนั่ คงของรฐั หรือผ้ยู ื่นคาํ ขอจดทะเบียน ไม่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถกู ต้องภายในสามสบวนั นับแต่วนั ท่ีทราบคาํ สงั่ ของ นายทะเบียน ให้นายทะเบียนมีคาํ สงั่ ไม่รบั จดทะเบียนและแจ้งคาํ สงั่ พร้อมด้วย เหตผุ ลท่ีไมร่ บั จดทะเบียนไปยงั ผยู้ ืน่ คาํ ขอจดทะเบียนโดยมิชกั ช้า ผู้ย่ืนคําขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คําสัง่ ไม่รบั จดทะเบียนนัน้ ต่อ รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยทาํ เป็ นหนังสือย่ืนต่อนายทะเบียนภายใน สามสิบวนั นับแต่วนั ที่ได้รบั แจ้งคาํ สงั่ ไมร่ บั จดทะเบียน ให้รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิ จฉัยอุทธรณ์และแจ้งคํา วินิ จฉัยให้ผ้อู ุทธรณ์ทราบภายในเก้าสิบวนั นับแต่วนั ที่นายทะเบียนได้รบั หนังสือ อทุ ธรณ์คาํ วินิจฉัยของรฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นที่สดุ ” การก่อตงั้ สมาคมแม้จะไม่ได้ถูกจดั ตงั้ ขน้ึ เพ่อื ผลกําไร แต่กฎหมายก็ยงั วาง เกย่ี วกบั วตั ถุประสงคข์ องสมาคมวา่ จะตอ้ งมกี ารควบคุมไมใ่ หข้ ดั ต่อกฎหมายหรอื ศลี ธรรม อนั ดขี องประชาชน หรอื อาจเป็นอนั ตรายต่อความสงบสุขของประชาชน หรอื ความมนั่ คง ของรฐั 132 LA 102 (LW 102)
4. คณะกรรมการของสมาคม เน่ืองจากสมาคมจะตอ้ งมผี ดู้ ําเนินการหรอื บรหิ าร ดงั นนั้ ในเรอ่ื งน้ีไดม้ กี ารกาํ หนดรายละเอยี ดไวแ้ ลว้ ดงั น้ีคอื การแต่งตงั้ กรรมการของสมาคมข้นึ ใหม่ หรือเปล่ียนแปลงกรรมการของ สมาคม ไดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 85 ว่า “การแต่งตงั้ กรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทงั้ ชดุ หรอื การเปล่ียนแปลงกรรมการของสมาคม ให้กระทาํ ตามข้อบงั คบั ของสมาคม และสมาคมต้องนําไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่สาํ นักงานใหญ่ของ สมาคมตงั้ อยภู่ ายในสามสิบวนั นับแต่วนั ที่มีการแต่งตงั้ หรือเปล่ียนแปลงกรรมการ ของสมาคม ถ้านายทะเบียนเหน็ ว่ากรรมการของสมาคมตามวรรคหนึ่ง ผ้ใู ดมีฐานะ หรือความประพฤติไม่เหมาะสมในการดาํ เนิ นการตามวตั ถปุ ระสงค์ของสมาคม นายทะเบียนจะไม่รบั จดทะเบียนกรรมการของสมาคมผ้นู ัน้ กไ็ ด้ ในกรณีที่นายทะเบียน ไม่รบั จดทะเบียนกรรมการของสมาคม นายทะเบียนต้องแจ้งเหตุผลท่ีไม่รบั จด ทะเบียนให้สมาคมทราบภายในหกสิบวนั นับแต่วนั ที่ยื่นคาํ ขอจดทะเบียน และให้ นําความในมาตรา 82 วรรคสี่ และวรรคห้า มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม ใ น ร ะ ห ว่ า ง ที่ ย ัง ไ ม่ มี ก า ร จ ด ท ะ เ บี ย น ก ร ร ม ก า ร ข อ ง ส ม า ค ม ชุ ด ใ ห ม่ ถ้าข้อบงั คบั ของสมาคมมิได้กาํ หนดไว้เป็ นอย่างอื่น ให้กรรมการของสมาคมชุด เดิมปฏิบตั ิหน้าที่กรรมการของสมาคมต่อไปจนกว่าจะได้มีการจดทะเบียนกรรมการ ของสมาคมชดุ ใหม่” สาํ หรบั เร่อื งอํานาจและหน้าทข่ี องคณะกรรมการของสมาคม กเ็ ป็นไปตามท่ี มาตรา 86 มาตรา 87 และมาตรา 88 ไดบ้ ญั ญตั ไิ วต้ ามลาํ ดบั คอื มาตรา 86 บญั ญตั ิว่า “คณะกรรมการของสมาคมเป็ นผ้ดู าํ เนิ นกิจการ ของสมาคมตามกฎหมายและข้อบงั คบั ภายใต้การควบคมุ ดแู ลของท่ีประชมุ ใหญ่” มาตรา 87 บญั ญตั ิว่า “คณะกรรมการของสมาคมเป็นผ้แู ทนของสมาคม ในกิจการอนั เก่ียวกบั บคุ คลภายนอก” มาตรา 88 บญั ญตั ิว่า “บรรดากิจการที่คณะกรรมการของสมาคมได้กระทาํ ไป แม้จะปรากฏในภายหลังว่ามีข้อบกพร่องเก่ียวกับการตัง้ หรือคุณสมบตั ิ ของ กรรมการของสมาคมกิจการนัน้ ย่อมมีผลสมบรู ณ์” LA 102 (LW 102) 133
5. สมาชกิ ของสมาคม การก่อตงั้ สมาคมนัน้ ต้องเรม่ิ ด้วยการมสี มาชิกอย่างน้อย 3 คน เป็นผู้ขอจด ทะเบยี นและสามารถรบั สมาชกิ เพมิ่ เตมิ ไดแ้ ลว้ ในเร่อื งของสมาชกิ จงึ เป็นเรอ่ื งสาํ คญั ของ สมาคมเชน่ เดยี วกบั เรอ่ื งของคณะกรรมการ จงึ ไดม้ บี ญั ญตั ติ ามลาํ ดบั ดงั น้ี มาตรา 81 บญั ญตั ิว่า “การขอจดทะเบียนสมาคมนัน้ ให้ผ้จู ะเป็ นสมาชิก ของสมาคมจาํ นวนไม่น้อยกว่าสามคน ร่วมกนั ย่ืนคาํ ขอเป็ นหนังสือต่อนายทะเบียน แห่งท้องที่ท่ีสาํ นักงานใหญ่ของสมาคมจะตงั้ ขึน้ พร้อมกบั แนบข้อบงั คบั ของสมาคม รายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพของผ้จู ะเป็ นสมาชิกไม่น้อยกว่าสิบคน และรายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพของผจู้ ะเป็นกรรมการของสมาคมมากบั คาํ ขอด้วย” มาตรา 89 บญั ญตั ิว่า “สมาชิกของสมาคมมีสิทธิท่ีจะตรวจตรากิจการ และทรพั ยส์ ินของสมาคมในระหว่างเวลาทาํ การของสมาคมได้” มาตรา 90 บญั ญตั ิว่า “สมาชิกของสมาคมต้องชาํ ระค่าบาํ รงุ เตม็ จาํ นวน ในวนั ท่ีสมคั รเข้าเป็นสมาชิกหรือในวนั เริ่มต้นของระยะเวลาชาํ ระค่าบาํ รงุ แล้วแต่ กรณีเว้นแต่ขอ้ บงั คบั ของสมาคมจะกาํ หนดไว้เป็นอยา่ งอื่น” มาตรา 91 บญั ญตั ิว่า “สมาชิกของสมาคมจะลาออกจากสมาคมเม่ือใด กไ็ ด้ เว้นแต่ขอ้ บงั คบั ของสมาคมจะกาํ หนดไว้เป็นอย่างอื่น” มาตรา 92 บญั ญตั ิว่า “สมาชิกแต่ละคนมีความรบั ผิดในหนี้ของสมาคม ไมเ่ กินจาํ นวนค่าบาํ รงุ ท่ีสมาชิกนัน้ ค้างชาํ ระอย”ู่ ทงั้ หมดน้ีเป็นเรอ่ื งของหลกั กฎหมายทว่ี างหลกั ไวท้ งั้ สทิ ธิ หน้าท่ี และความรบั ผดิ ของสมาชกิ ไว้ 6. การประชุมใหญ่ ในเร่อื งน้ีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยไ์ ดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ น มาตรา 93 จนถงึ มาตรา 100 ดงั น้คี อื มาตรา 93 บญั ญตั ิว่า “คณะกรรมการของสมาคมต้องจดั ให้มีการ ประชมุ ใหญ่สามญั อยา่ งน้อยปี ละครงั้ ” มาตรา 94 บญั ญตั ิว่า “คณะกรรมการของสมาคมจะเรียกประชุมใหญ่ วิสามญั เมื่อใดกส็ ดุ แต่จะเหน็ สมควร 134 LA 102 (LW 102)
สมาชิกจาํ นวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในห้าของจาํ นวนสมาชิกทงั้ หมดหรือ สมาชิกจาํ นวนไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนหรือสมาชิกจาํ นวนไม่น้อยกว่าที่กาํ หนดไว้ ในข้อบงั คบั จะทาํ หนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการของสมาคมให้เรียกประชุมใหญ่ วิสามญั กไ็ ด้ในหนังสือรอ้ งขอนัน้ ต้องระบวุ ่าประสงคใ์ ห้เรียกประชมุ เพื่อการใด เมื่อคณะกรรมการของสมาคมได้รบั หนังสือร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่ วิสามญั ตามวรรคสอง ให้คณะกรรมการของสมาคมเรียกประชุมใหญ่วิสามญั โดย จดั ให้มีการประชมุ ขึน้ ภายในสามสิบวนั นับแต่วนั ท่ีได้รบั คาํ รอ้ งขอ ถ้าคณะกรรมการของสมาคมไมเ่ รียกประชมุ ภายในระยะเวลาตามวรรค สาม สมาชิกที่เป็ นผ้รู ้องขอให้เรียกประชุมหรือสมาชิกอ่ืนรวมกนั มีจาํ นวนไม่น้อย กว่าจาํ นวนสมาชิกท่ีกาํ หนดตามวรรคสองจะเรียกประชมุ เองกไ็ ด้” มาตรา 95 บญั ญตั ิว่า “ในการเรียกประชุมใหญ่ คณะกรรมการของ สมาคมต้องส่งหนังสือนัดประชมุ ไปยงั สมาชิกทกุ คนซ่ึงมีชื่อในทะเบียนของสมาคม ก่อนวนั นัดประชุมไม่น้อยกว่าเจด็ วนั หรือลงพิมพโ์ ฆษณาอย่างน้อยสองคราวใน หนังสือพิมพท์ ี่แพรห่ ลายในท้องที่ฉบบั หนึ่งก่อนวนั นัดประชมุ ไม่น้อยกว่าเจด็ วนั กไ็ ด้ การเรียกประชุมใหญ่ต้องระบุสถานท่ี วนั เวลา และระเบียบวาระการ ประชุมและจดั ส่งรายละเอียดและเอกสารที่เก่ียวข้องตามควรไปพร้อมกนั ด้วย สําหรับการเรียกประชุมใหญ่โดยการพิมพ์โฆษณา รายละเอียดและเอกสาร ดงั กล่าวต้องจดั ไว้และพร้อมท่ีจะมอบให้แก่สมาชิกท่ีร้องขอ ณ สถานท่ีท่ีผ้เู รียก ประชมุ กาํ หนด” มาตรา 96 บญั ญตั ิว่า “การประชุมใหญ่ของสมาคมต้องมีสมาชิกมา ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหน่ึงของจาํ นวนสมาชิกทงั้ หมดจึงจะเป็ นองคป์ ระชุม เว้นแต่ ข้อบงั คบั ของสมาคมจะกาํ หนดองคป์ ระชมุ ไว้เป็นอย่างอื่น ในการประชุมใหญ่ครงั้ ใด ถ้าไม่ได้องคป์ ระชุมตามท่ีกาํ หนดไว้ และการ ประชุมใหญ่นัน้ ได้เรียกตามคาํ ร้องขอของสมาชิก กใ็ ห้งดการประชุม แต่ถ้าเป็ น การประชุมใหญ่ที่สมาชิกมิได้เป็ นผ้รู ้องขอ ให้คณะกรรมการของสมาคมเรียก ประชุมใหญ่อีกครงั้ หน่ึง โดยจดั ให้มีการประชุมขึ้นภายในสิบสี่วนั นับแต่วนั ท่ีนัด ประชมุ ครงั้ แรก การประชมุ ครงั้ หลงั นี้ไมบ่ งั คบั ว่าจาํ ต้องครบองคป์ ระชมุ ” LA 102 (LW 102) 135
มาตรา 97 บญั ญตั ิว่า “มติของที่ประชุม ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็ น ประมาณ เว้นแต่กรณีท่ีข้อบงั คบั ของสมาคมกาํ หนดเสียงข้างมากไว้เป็ นพิเศษ โดยเฉพาะ สมาชิกคนหน่ึงมีเสียงหน่ึงในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากนั ให้ประธานในที่ประชมุ ออกเสียงเพิ่มขึน้ ได้อีกเสียงหน่ึงเป็นเสียงชี้ขาด” มาตรา 98 บญั ญตั ิว่า “สมาชิกจะมอบอาํ นาจให้สมาชิกผ้ใู ดมาเข้า ประชุมและออกเสียงลงคะแนนแทนตนก็ได้ เว้นแต่ข้อบงั คับของสมาคมจะ กาํ หนดไว้เป็นอยา่ งอ่ืน” มาตรา 99 บญั ญตั ิว่า “ในกรณีท่ีจะมีมติในเรื่องใด ถ้าส่วนเสียของกรรมการ หรือสมาชิกของสมาคมผ้ใู ดขดั กบั ประโยชน์ได้เสียของสมาคม กรรมการหรือ สมาชิกของสมาคมผนู้ ัน้ จะออกเสียงลงคะแนนในเร่ืองนัน้ ไมได้” มาตรา 100 บญั ญตั ิว่า “ในการประชุมใหญ่ครงั้ ใด ถ้าได้มีการนัดประชุม หรือการลงมติโดยไม่ปฏิบตั ิตามหรือฝ่ าฝื นข้อบงั คบั ของสมาคมหรือบทบญั ญตั ิใน ส่วนนี้ สมาชิกหรือพนักงานอยั การอาจร้องขอให้ศาลสงั่ เพิกถอนมติในการประชุม ใหญ่ครงั้ นัน้ ได้ แต่ต้องรอ้ งขอต่อศาลภายในหน่ึงเดือนนับแต่วนั ท่ีประชมุ ใหญ่ลงมติ” 7. การส้นิ สุดของสมาคม กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กําหนดเหตุในการเลิก สมาคมไวใ้ นมาตรา 101 ว่า “สมาคมยอ่ มเลิกด้วยเหตหุ น่ึงเหตใุ ดดงั ต่อไปนี้ (1) เม่ือมีเหตตุ ามที่กาํ หนดในขอ้ บงั คบั (2) ถา้ สมาคมตงั้ ขึน้ ไว้เฉพาะระยะเวลาใด เม่ือสิ้นระยะเวลานัน้ (3) ถ้าสมาคมตงั้ ขนึ้ เพ่ือกระทาํ กิจการใด เม่อื กิจการนัน้ สาํ เรจ็ แล้ว (4) เม่ือที่ประชมุ ใหญ่มีมติให้เลิก (5) เมื่อสมาคมล้มละลาย (6) เม่อื นายทะเบียนถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนตามมาตรา 102” และในมาตรา 102 เป็นอํานาจของนายทะเบยี นท่จี ะสงั่ ถอนช่อื สมาคมออก จากทะเบยี นซง่ึ มผี ลใหส้ มาคมตอ้ งเลกิ กจิ การเชน่ กนั โดยบญั ญตั ิไว้ว่า “ให้นายทะเบียน มีอาํ นาจสงั่ ถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ในกรณีดงั ต่อไปนี้ 136 LA 102 (LW 102)
(1) เมื่อปรากฏในภายหลงั การจดทะเบียนว่า วตั ถปุ ระสงคข์ องสมาคม ขดั ต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชน หรืออาจเป็ นภยนั ตรายต่อความ สงบสุขของประชาชนหรือความมนั่ คงของรฐั และนายทะเบียนได้สงั่ ให้แก้ไข แล้วแต่สมาคมไมป่ ฏิบตั ิตามภายในระยะเวลาท่ีนายทะเบียนกาํ หนด (2) เมื่อปรากฏว่าการดาํ เนิ นกิจการของสมาคมขดั ต่อกฎหมายหรือ ศีลธรรมอนั ดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยนั ตรายต่อความสงบสขุ ของประชาชน หรอื ความมนั่ คงของรฐั (3) เมือ่ สมาคมหยดุ ดาํ เนินกิจการติดต่อกนั ตงั้ แต่สองปี ขึน้ ไป (4) เมื่อปรากฏว่าสมาคมให้หรือปล่อยให้บุคคลอื่นซ่ึงมิใช่กรรมการ ของสมาคมเป็นผดู้ าํ เนินกิจการของสมาคม (5) เมื่อสมาคมมีสมาชิกเหลือน้อยกว่าสิบคนมาเป็นเวลาติดต่อกนั กว่า สองปี ” 8. ผลของการทส่ี มาคมถูกถอนช่อื ตามมาตรา 102 หรอื สมาคมตอ้ งเลกิ กจิ การ ตามมาตรา 101 (1) (2) (3) (4) หรอื (5) และมาตรา 103 ถงึ มาตรา 107 ดงั น้ี มาตรา 103 บญั ญตั ิว่า “เมื่อนายทะเบียนมีคาํ สงั่ ให้ถอนชื่อสมาคมใด ออกจากทะเบียนตามมาตรา 102 แล้ว ให้นายทะเบียนแจ้งคาํ สงั่ พร้อมด้วยเหตผุ ล ไปยงั สมาคมนัน้ โดยมิชกั ช้า และประกาศการเลิกสมาคมในราชกิจจานุเบกษา กรรมการคนหน่ึงคนใดหรือสมาชิกของสมาคมจาํ นวนไม่น้อยกว่าสาม คนมีสิทธิ อุทธรณ์คําสัง่ ของนายทะเบียนตามวรรคหน่ึ งต่อรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยได้โดยทาํ เป็ นหนังสือย่ืนต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวนั นับ แต่วนั ที่ได้รบั แจ้งคําสงั่ และให้นําความในมาตรา 82 วรรคห้า มาใช้บงั คบั โดย อนุโลม” มาตรา 104 บญั ญตั ิว่า “เมื่อมีกรณีตามมาตรา 102 ผ้มู ีส่วนได้เสียอาจ ร้องขอให้นายทะเบียนถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ ถ้านายทะเบียน ไม่ปฏิบตั ิตามคาํ ร้องขอโดยไม่แจ้งเหตุผลให้ผ้รู ้องขอทราบภายในเวลาอนั สมควร หรือนายทะเบียนได้แจ้งเหตผุ ลให้ทราบแล้วแต่ผรู้ ้องขอไม่พอใจในเหตผุ ลดงั กล่าว ผรู้ อ้ งขอนัน้ จะร้องขอต่อศาลให้สงั่ เลิกสมาคมนัน้ เสียกไ็ ด้” LA 102 (LW 102) 137
มาตรา 105 บญั ญตั ิว่า “เมือ่ สมาคมมีเหตตุ ้องเลิกตามมาตรา 101 (1) (2) (3) หรือ (4) ให้คณะกรรมการของสมาคมท่ีอยู่ในตาํ แหน่งขณะมีการเลิกสมาคม แจ้งการเลิกสมาคมต่อนายทะเบียนภายในสิบสี่วนั นับแต่วนั ท่ีมีการเลิกสมาคม ในกรณีที่ศาลมีคาํ พิพากษาหรือคาํ สงั่ ถึงท่ีสุดให้สมาคมล้มละลายตาม มาตรา 101 (5) หรือมีคาํ สงั่ ที่สดุ ให้เลิกสมาคมตามมาตรา 104 ให้ศาลแจ้งคาํ พิพากษา หรอื คาํ สงั่ ดงั กล่าวให้นายทะเบียนทราบด้วย ให้นายทะเบียนประกาศการเลิกสมาคมในราชกิจจานุเบกษา” มาตรา 106 บญั ญตั ิว่า “ในกรณีท่ีมีการเลิกสมาคม ให้มีการชาํ ระบญั ชี สมาคมและให้นําบทบญั ญตั ิในบรรพ 3 ลกั ษณะ 22 ว่าด้วยการชาํ ระบญั ชีห้างห้นุ ส่วน จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจํากดั และบริษัทจํากัด มาใช้บงั คบั แก่การชําระบญั ชี สมาคมโดยอนุโลม” มาตรา 107 บญั ญตั ิว่า “เม่ือได้ชาํ ระบญั ชีแล้ว ถ้ามีทรพั ยส์ ินเหลืออยู่ เท่าใด จะแบ่งให้แก่สมาชิกของสมาคมนัน้ ไม่ได้ ทรพั ยส์ ินที่เหลือนัน้ จะต้องโอน ให้แก่สมาคมหรือมูลนิ ธิหรือนิ ติบุคคลท่ีมีวตั ถปุ ระสงคเ์ ก่ียวกบั การสาธารณกศุ ล ตามที่ได้ระบุชื่อไว้ในข้อบงั คบั ของสมาคม หรือถ้าข้อบงั คบั ไม่ได้ระบุชื่อไว้ก็ให้ เป็นไปตามมติของที่ประชมุ ใหญ่ แต่ถ้าข้อบงั คบั ของสมาคมหรือที่ประชุมใหญ่มิได้ ระบผุ ้รู บั โอนทรพั ยส์ ินดงั กล่าวไว้ หรือระบไุ ว้แต่ไม่สามารถปฏิบตั ิได้ ให้ทรพั ยส์ ินท่ี เหลืออย่นู ัน้ ตกเป็นของแผน่ ดิน” 9. การขอตรวจสอบบญั ชี กฎหมายใหส้ ทิ ธใิ ครกอ็ าจทําไดโ้ ดยทําตามท่มี าตรา 108 บญั ญตั ิไว้ว่า “ผ้ใู ดประสงคจ์ ะขอตรวจเอกสารเก่ียวกบั สมาคมที่นายทะเบียน เกบ็ รกั ษาไว้ หรือจะขอให้นายทะเบียนคดั สาํ เนาเอกสารดงั กล่าว พร้อมด้วยคาํ รบั รองว่าถกู ต้อง ให้ย่ืนคาํ ขอต่อนายทะเบียน และเม่ือได้เสียค่าธรรมเนียมตามที่ กาํ หนดในกฎกระทรวงแล้วให้นายทะเบียนปฏิบตั ิตามคาํ ขอนัน้ ” 10. อาํ นาจหน้าทข่ี องรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย มาตรา 109 ได้บญั ญตั ิ ในเร่ืองนี้ไว้ว่า “ให้รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามบทบญั ญตั ิใน ส่วนนี้ และให้มีอาํ นาจแต่งตงั้ นายทะเบียนกบั ออกกฎกระทรวงเกี่ยวกบั 138 LA 102 (LW 102)
(1) การย่ืนคาํ ขอจดทะเบียนและการรบั จดทะเบียน (2) ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การคดั สาํ เนา เอกสาร และค่าธรรมเนียมการขอให้นายทะเบียนดาํ เนินการใด ๆ เกี่ยวกบั สมาคม รวมทงั้ การยกเว้นค่าธรรมเนียมดงั กล่าว (3) การดาํ เนินกิจการของสมาคมและการทะเบียนสมาคม (4) การอ่ืนใดเพื่อปฏิบตั ิให้เป็นไปตามบทบญั ญตั ิในส่วนนี้ กฎกระทรวงนัน้ เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บงั คบั ได้” 5.5 มลู นิธิ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไดบ้ ญั ญตั เิ กย่ี วกบั เร่อื งมูลนิธไิ วใ้ นส่วนท่ี 3 ของเร่อื ง นติ บิ ุคคล โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1. คําจํากดั ความ เป็นไปตามท่ีมาตรา 110 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “มูลนิ ธิได้แก่ ทรพั ยส์ ินที่จดั สรรไว้โดยเฉพาะสาํ หรบั วตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือการกศุ ลสาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษาหรือเพ่ือสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดย มิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน และได้จดทะเบียนตามบทบญั ญัติแห่ง ประมวลกฎหมายนี้ การจดั การทรพั ย์สินของมูลนิ ธิ ต้องมิใช่เป็ นการหาผลประโยชน์เพื่อ บคุ คลใดนอกจากเพื่อดาํ เนินการตามวตั ถปุ ระสงคข์ องมลู นิธินัน้ เอง” จะเห็นว่าสมาคมกับมูลนิธินัน้ ถูกตัง้ ข้ึนมาโดยมิได้มุ่งผลกําไรมาแบ่งกัน แต่ลกั ษณะการก่อตงั้ และดําเนินการมคี วามแตกต่างกนั ตามความประสงคข์ องการจดั ตงั้ แต่อยา่ งไรกต็ ามมลู นิธนิ ้ีอยภู่ ายใตบ้ งั คบั ของกฎหมายแพง่ และพาณิชยจ์ ะตอ้ งจดทะเบยี น ดว้ ย มฉิ ะนนั้ จะไมม่ สี ภาพเป็นนิตบิ ุคคลแต่อยา่ งใด และดว้ ยขอ้ กําหนดของมาตรา 110 วรรคสอง จะเหน็ ว่ากฎหมายเน้นว่าการ จดั การทรพั ย์สนิ ของมูลนิธิ ต้องมใิ ช่เป็นการหาผลประโยชน์เพ่อื บุคคลใดบุคคลหน่ึง แต่ ตอ้ งเป็นไปเพอ่ื วตั ถุประสงคท์ จ่ี ดั ตงั้ มลู นธิ ขิ น้ึ มา เชน่ เพอ่ื การกุศล หรอื การศกึ ษา เป็นตน้ 2. คณะกรรมการของมลู นิธิ มาตรา 111 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “มลู นิธิต้องมีข้อบงั คบั และต้องมีคณะกรรมการของมลู นิธิประกอบด้วยบคุ คลอย่างน้อยสามคน เป็นผ้ดู าํ เนิน LA 102 (LW 102) 139
กิจการของมูลนิธิตามกฎหมายและข้อบงั คบั ของมูลนิธิ” แสดงวา่ คณะกรรมการทจ่ี ะ ดําเนินกจิ การของมลู นิธติ ามกฎหมายและขอ้ บงั คบั ของมูลนิธติ อ้ งประกอบไปดว้ ยบุคคล อยา่ งน้อย 3 คน 3. รายการของขอ้ บงั คบั สาํ หรบั ในเรอ่ื งทว่ี า่ ขอ้ บงั คบั ของมลู นิธจิ ะตอ้ งมรี ายการ อะไรบา้ งนัน้ กต็ อ้ งเป็นไปตามทม่ี าตรา 112 บญั ญตั ิไว้ว่า “ข้อบงั คบั ของมูลนิ ธิอย่าง น้อยต้องมีรายการดงั ต่อไปนี้ (1) ชื่อมลู นิธิ (2) วตั ถปุ ระสงคข์ องมลู นิธิ (3) ท่ีตงั้ สาํ นักงานใหญ่และท่ีตงั้ สาํ นักงานสาขาทงั้ ปวง (4) ทรพั ยส์ ินของมลู นิธิขณะจดั ตงั้ (5) ข้อกาํ หนดเก่ียวกบั คณะกรรมการของมูลนิ ธิ ได้แก่ จาํ นวนกรรมการ การตงั้ กรรมการ วาระการดาํ รงตาํ แหน่งของกรรมการ การพ้นจากตาํ แหน่งของ กรรมการ และการประชมุ ของคณะกรรมการ (6) ข้อกาํ หนดเกี่ยวกบั การจดั การมูลนิธิ การจดั การทรพั ยส์ ินและบญั ชี มลู นิธิ” ทงั้ หมดน้คี อื รายการทต่ี อ้ งอยใู่ นขอ้ บงั คบั ของมลู นธิ ิ 4. ช่อื ของมลู นิธิ อย่ภู ายใตบ้ งั คบั ของมาตรา 113 ซ่ึงบญั ญตั ิไว้ว่า “มลู นิธิต้อง ใช้ช่ือซ่ึงมีคาํ ว่า “มลู นิธิ” ประกอบกบั ชื่อของมลู นิธิ” 5. การขอจดทะเบียนมูลนิธิ สําหรับประเด็นการขอจดทะเบียนมูลนิธินัน้ ทงั้ รายละเอยี ดและหลกั การในการขอจดทะเบยี นของมูลนิธยิ ่อมเป็นเร่อื งสาํ คญั และไดม้ ี การบญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 114 จนถงึ มาตรา 121 ตามลาํ ดบั ดงั น้ี มาตรา 114 บญั ญตั ิว่า “การขอจดทะเบียนมลู นิธินัน้ ให้ผ้ขู อจดั ตงั้ มลู นิธิ ยื่นคําขอเป็ นหนังสือต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่สํานักงานใหญ่ของมูลนิ ธิจะ ตงั้ ขึ้นในคาํ ขออย่างน้อยต้องระบุเจ้าของทรพั ยส์ ินและรายการทรพั ยส์ ินท่ีจะจดั สรร สําหรบั มูลนิ ธิ รายชื่อ ท่ีอยู่ และอาชีพของผ้จู ะเป็ นกรรมการของมูลนิ ธิทุกคน พรอ้ มกบั แนบข้อบงั คบั ของมลู นิธิมากบั คาํ ขอด้วย” 140 LA 102 (LW 102)
มาตรา 115 บญั ญตั ิว่า “เมอ่ื นายทะเบียนได้รบั คาํ ขอแล้วเหน็ ว่า คาํ ขอนัน้ ถกู ต้องตามมาตรา 114 และข้อบงั คบั ถกู ต้องตามมาตรา 112 และวตั ถปุ ระสงค์ เป็นไปตามมาตรา 110 และไม่ขดั ต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชนหรือไม่ เป็ นภยนั ตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมนั่ คงของรฐั และรายการ ซ่ึงจดแจ้งในคาํ ขอหรอื ข้อบงั คบั สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องมลู นิธิ และผ้จู ะเป็น กรรมการของมูลนิ ธินัน้ มีฐานะและความประพฤติเหมาะสมในการดาํ เนิ นการตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องมูลนิ ธิ ให้นายทะเบียนรบั จดทะเบียนและออกใบสาํ คญั แสดงการ จดทะเบียนให้แก่มลู นิธินัน้ และประกาศการจดั ตงั้ มลู นิธิในราชกิจจานุเบกษา ถ้านายทะเบียนเห็นว่าคาํ ขอหรือข้อบงั คบั ไม่ถกู ต้องตามมาตรา 114 หรือมาตรา 112 หรือรายการซ่ึงจดแจ้งในคําขอหรือข้อบงั คบั ไม่สอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์ของมูลนิ ธิ หรือผู้จะเป็ นกรรมการของมูลนิ ธิมีฐานะหรือความ ประพฤติไม่เหมาะสมในการดาํ เนิ นการตามวตั ถปุ ระสงค์ของมูลนิ ธิ ให้มีคาํ สงั่ ให้ ผู้ขอจดทะเบียนแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถกู ต้อง เม่ือแก้ไขหรือเปล่ียนแปลง ถกู ต้องแล้ว ให้รบั จดทะเบียนและออกใบสาํ คญั แสดงการจดทะเบียนให้แก่มลู นิธินัน้ ถ้านายทะเบียนเห็นว่าไม่อาจรบั จดทะเบียนได้เน่ืองจากวตั ถปุ ระสงค์ ของมูลนิ ธิไม่เป็ นไปตามมาตรา 110 หรือขดั ต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอนั ดีของ ประชาชนหรืออาจเป็ นภยนั ตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมนั่ คง ของรฐั หรือผ้ขู อจดทะเบียนไม่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถกู ต้องภายในสามสิบวนั นับแต่วนั ที่ทราบคาํ สงั่ ของนายทะเบียน ให้นายทะเบียนมีคาํ สงั่ ไม่รบั จดทะเบียน และแจ้งคาํ สงั่ พร้อมด้วยเหตุผลท่ีไม่รบั จดทะเบียนให้ผ้ขู อจดทะเบียนทราบโดย มิชกั ช้า ผ้ขู อจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คาํ สงั่ ไม่รบั จดทะเบียนนัน้ ต่อรฐั มนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยทาํ เป็นหนังสือยืน่ ต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวนั นับแต่วนั ท่ีได้รบั แจ้งคาํ สงั่ ไมร่ บั จดทะเบียน ให้รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิ จฉัยอุทธรณ์และแจ้งคํา วินิ จฉัยให้ผ้อู ุทธรณ์ทราบภายในเก้าสิบวนั นับแต่วนั ที่นายทะเบียนได้รบั หนังสือ อทุ ธรณ์คาํ วินิจฉัยของรฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นท่ีสดุ ” LA 102 (LW 102) 141
มาตรา 116 บญั ญตั ิว่า “ก่อนที่นายทะเบียนรบั จดทะเบียนมูลนิ ธิ ผ้ขู อ จดั ตงั้ มูลนิ ธิมีสิทธิขอถอนการจดั ตงั้ มูลนิ ธิได้โดยทาํ เป็ นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียน สิทธิท่ีจะขอถอนการจดั ตงั้ มลู นิธินี้ไมต่ กทอดไปยงั ทายาท ในกรณีท่ีมีผ้ขู อจดั ตงั้ มูลนิ ธิหลายคน ถ้าผ้ขู อจดั ตงั้ มูลนิ ธิคนหน่ึงคนใด ใช้สิทธิถอนการจดั ตงั้ มลู นิธิ ให้คาํ ขอจดั ตงั้ มลู นิธินัน้ เป็นอนั ระงบั ไป” มาตรา 117 บญั ญตั ิว่า “ในกรณีที่ผ้ขู อจดั ตงั้ มูลนิธิถึงแก่ความตายก่อน นายทะเบียนรบั จดทะเบียนมูลนิ ธิ ถ้าผ้ตู ายมิได้ทําพินัยกรรมยกเลิกการจดั ตงั้ มูลนิ ธิท่ีขอจดั ตงั้ ไว้ ให้คาํ ขอจดั ตงั้ มูลนิ ธิที่ผ้ตู ายได้ยื่นไว้ต่อนายทะเบียนยงั คง ใช้ได้ต่อไป และให้ทายาทหรือผ้จู ดั การมรดกหรือผ้ซู ึ่งผตู้ ายมอบหมาย ดาํ เนินการ ในฐานะเป็ นผ้ขู อจดั ตงั้ มูลนิ ธิต่อไป ถ้าบุคคลดงั กล่าวไม่ดาํ เนิ นการภายในหน่ึง ร้อยย่ีสิบวนั นับแต่วนั ที่ผ้ขู อจดั ตงั้ มลู นิธิถึงแก่ความตาย บคุ คลผ้มู ีส่วนได้เสียหรือ พนักงานอยั การจะดาํ เนินการในฐานะเป็นผขู้ อจดั ตงั้ มลู นิธินัน้ ต่อไปกไ็ ด้ ในกรณีท่ีไม่สามารถจดั ตงั้ มูลนิ ธิขึ้นได้ตามวตั ถปุ ระสงค์ที่ผ้ตู ายกาํ หนดไว้ ถ้าหากไม่มีพินัยกรรมของผ้ตู ายสงั่ การในเร่ืองนี้ไว้เป็ นอย่างอ่ืน ให้นําความใน มาตรา 1679 วรรคสอง มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม ถ้าไม่สามารถดาํ เนิ นการตามมาตรา 1679 วรรคสอง หรือมูลนิ ธิจดั ตงั้ ขึ้นไม่ได้ตามมาตรา 115 ให้ทรพั ยส์ ินที่จดั สรรไว้ ตกเป็นมรดกของผตู้ าย” มาตรา 118 บญั ญตั ิว่า “ในกรณีท่ีมีข้อกาํ หนดพินัยกรรมให้ก่อตงั้ มลู นิธิ ตามมาตรา 1676 ให้บคุ คลซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องจดั ตงั้ มลู นิธิตามมาตรา 1677 วรรคหนึ่ง ดาํ เนินการตามมาตรา 114 และตามบทบญั ญตั ิแห่งมาตรานี้ ถ้าบุคคลซ่ึงมีหน้าที่ที่จะต้องจดั ตัง้ มูลนิ ธิตามวรรคหนึ่ง มิได้ขอจด ทะเบียนก่อตงั้ มูลนิ ธิภายในหนึ่งร้อยย่ีสิบวนั นับแต่วนั ท่ีบุคคลดงั กล่าวได้รู้หรือ ควรร้ขู ้อกาํ หนดพินัยกรรมให้ก่อตงั้ มูลนิ ธิ บุคคลผ้มู ีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดหรือ พนักงานอยั การจะเป็นผขู้ อจดทะเบียนมลู นิธิกไ็ ด้ ถ้าผ้ยู ื่นคาํ ขอจดทะเบียนมูลนิ ธิไม่ดาํ เนิ นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง ให้ถกู ต้องตามคาํ สงั่ ของนายทะเบียนตามมาตรา 115 จนเป็ นเหตุให้นายทะเบียน 142 LA 102 (LW 102)
ไม่รบั จดทะเบียนมลู นิธิเพราะเหตดุ งั กล่าว บคุ คลผ้มู ีส่วนได้เสียคนหน่ึงคนใดหรือ พนักงานอยั การจะเป็นผขู้ อจดทะเบียนมลู นิธินัน้ อีกกไ็ ด้ ผ้ยู ื่นคาํ ขอจดทะเบียนก่อตงั้ มูลนิ ธิตามมาตรานี้ จะขอถอนการก่อตงั้ มลู นิธิตามมาตรา 116 ไม่ได้ ในกรณีท่ีมีผ้คู ดั ค้านต่อนายทะเบียนว่าพินัยกรรมนัน้ มิได้กาํ หนดให้ ก่อตงั้ เป็นมลู นิธิ ให้นายทะเบียนแจ้งให้ผคู้ ดั ค้านไปร้องต่อศาลภายในหกสิบวนั นับ แต่วนั ที่ได้รบั แจ้งจากนายทะเบียนและให้นายทะเบียนรอการพิจารณาการจด ทะเบียนไว้ก่อนเพื่อดาํ เนิ นการตามคาํ พิพากษาหรือคาํ สงั่ ของศาล ถ้าผ้คู ดั ค้าน ไม่ยน่ื คาํ รอ้ งต่อศาลภายในเวลาท่ีกาํ หนด ให้นายทะเบียนพิจารณาการจดทะเบียน มลู นิธินัน้ ต่อไป” มาตรา 119 บญั ญตั ิว่า “ในกรณีที่มีข้อกาํ หนดพินัยกรรมให้จดั ตงั้ มูลนิธิ ถ้าพินัยกรรมท่ีทาํ ไว้มิได้มีข้อกาํ หนดเก่ียวกบั รายการตามมาตรา 112 (1) (3) (5) หรอื (6) ให้ผยู้ น่ื คาํ ขอตามมาตรา 118 กาํ หนดรายการดงั กล่าวได้ ถ้าผ้มู ีส่วนได้เสีย คนหน่ึงคนใดคดั ค้านให้นายทะเบียนมีคําสงั่ ตามท่ีเห็นสมควรแล้วแจ้งให้ผ้ยู ื่น คาํ ขอและผ้คู ดั ค้านทราบพร้อมทงั้ แจ้งด้วยว่า หากผ้ยู ่ืนคาํ ขอหรือผ้คู ดั ค้านไม่พอใจ ในคาํ สงั่ ดงั กล่าวกใ็ ห้ไปร้องคดั ค้านต่อศาลภายในหกสิบวนั นับแต่วนั ท่ีได้รบั แจ้ง จากนายทะเบียน และให้นายทะเบียนรอการพิจารณาจดทะเบียนไว้ก่อนเพ่ือ ดาํ เนิ นการตามคาํ พิพากษาหรือคาํ สงั่ ของศาล แต่ถ้าไม่มีการร้องคดั ค้านต่อศาล ภายในเวลาที่กาํ หนด ให้นายทะเบียนพิจารณาจดทะเบียนมูลนิ ธิตามท่ีได้มีคาํ สงั่ ไว้นัน้ ต่อไป” มาตรา 120 บญั ญตั ิว่า “ในกรณีที่มีบคุ คลหลายรายยื่นคาํ ขอจดทะเบียน มูลนิ ธิตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกรายเดียวกัน ถ้าคําขอนั้นมีข้อขดั แย้งกัน ให้นายทะเบียนเรียกผ้ยู ่ืนคาํ ขอมาตกลงกนั และถ้าผ้ยู ่ืนคาํ ขอไม่มาตกลงกนั หรือ ตกลงกนั ไม่ได้ภายในระยะเวลาท่ีนายทะเบียนกําหนด ให้นายทะเบียนมีคําสงั่ ตามท่ีเหน็ สมควรและให้นําความในมาตรา 119 มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม” LA 102 (LW 102) 143
มาตรา 121 บญั ญตั ิว่า “เม่ือได้จดทะเบียนมูลนิ ธิแล้ว ถ้าผ้ขู อจดั ตงั้ มูลนิ ธิมีชีวิตอยู่ให้ทรพั ย์สินที่จดั สรรไว้เพื่อการนัน้ ตกเป็ นของมูลนิ ธิตงั้ แต่วนั ที่ นายทะเบียนรบั จดทะเบียนมลู นิธิเป็นต้นไป ในกรณี ท่ีผู้ขอจดั ตัง้ มูลนิ ธิถึงแก่ความตายก่อนนายทะเบียนรบั จด ทะเบียนมูลนิ ธิ เมื่อได้จดทะเบียนมูลนิ ธิแล้ว ให้ทรพั ยส์ ินท่ีจดั สรรไว้เพ่ือการนัน้ ตกเป็นของมลู นิธิตงั้ แต่เวลาที่ผขู้ อจดั ตงั้ มลู นิธินัน้ ถึงแก่ความตาย” 6. ผลของการจดทะเบยี นมูลนิธิ มาตรา 122 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “มูลนิ ธิที่ได้จด ทะเบียนแล้วเป็ นนิ ติบุคคล” เป็นการแสดงใหเ้ หน็ ว่ามูลนิธนิ ัน้ กฎหมายไม่ไดบ้ งั คบั ให้ จดทะเบียน เพียงแต่ว่าหากมีการจดทะเบียนมูลนิธินัน้ ก็จะมีสภาพเป็นนิติบุคคลซ่ึง สามารถมสี ทิ ธแิ ละหน้าทต่ี ามกฎหมายได้ 7. คณะกรรมการของมูลนิธิ ในเร่อื งคณะกรรมการน้ีมกี ารบญั ญตั ิไว้ในมาตรา 123 จนถึงมาตรา 127 เป็นการวางหลักเกณฑ์เก่ียวกับอํานาจหน้าท่ีการแต่งตัง้ คณะกรรมการ การพน้ จากตาํ แหน่งของคณะกรรมการ โดยมเี น้ือหาดงั น้ี มาตรา 123 บญั ญตั ิว่า “คณะกรรมการของมูลนิ ธิเป็ นผ้แู ทนของมูลนิ ธิ ในกิจการอนั เก่ียวกบั บคุ คลภายนอก” มาตรา 124 บญั ญตั ิว่า “บรรดากิจการท่ีคณะกรรมการของมูลนิ ธิได้ กระทําไป แม้จะปรากฏในภายหลังว่ามีข้อบกพร่องเก่ียวกับการแต่งตัง้ หรือ คณุ สมบตั ิของกรรมการมลู นิธิ กิจการนัน้ ยอ่ มมีผลสมบรู ณ์” มาตรา 125 บญั ญตั ิว่า “การแต่งตงั้ กรรมการของมูลนิ ธิขึ้นใหม่ทงั้ ชุดหรือ การเปล่ียนแปลงกรรมการของมูลนิ ธิ ให้กระทาํ ตามข้อบงั คบั ของมูลนิ ธิ และมูลนิ ธิ ต้องนําไปจดทะเบียนภายในสามสิบวนั นับแต่วนั ท่ีมีการแต่งตงั้ หรือเปล่ียนแปลง กรรมการของมลู นิธิ ถ้านายทะเบียนเหน็ ว่ากรรมการของมูลนิ ธิตามวรรคหน่ึง ผ้ใู ดมีฐานะ หรือความประพฤติไม่เหมาะสมในการดําเนิ นการตามวตั ถปุ ระสงค์ของมูลนิ ธิ นายทะเบียนจะไม่รับจดทะเบียนกรรมการของมูลนิ ธิ ผู้นั้นก็ได้ ในกรณี ที่ นายทะเบียนไม่รบั จดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิ นายทะเบียนต้องแจ้งเหตผุ ลที่ 144 LA 102 (LW 102)
ไม่รบั จดทะเบียนให้มูลนิ ธิทราบภายในหกสิบวนั นับแต่วนั ท่ียื่นคาํ ขอจดทะเบียน และให้นําความในมาตรา 115 วรรคส่ีและวรรคห้ามาใช้บงั คบั โดยอนุโลม ในกรณีท่ีกรรมการของมูลนิ ธิพ้นจากตําแหน่งและไม่มีกรรมการของ มูลนิ ธิเหลืออยู่ หรือกรรมการของมูลนิ ธิที่เหลืออยู่ไม่สามารถดําเนิ นการตาม หน้าที่ได้ ถ้าข้อบงั คบั ของมูลนิ ธิมิได้กาํ หนดการปฏิบตั ิหน้าท่ีไว้เป็ นอย่างอ่ืนให้ กรรมการของมูลนิ ธิที่พ้นจากตําแหน่งปฏิบตั ิหน้าที่กรรมการของมูลนิ ธิต่อไป จนกว่านายทะเบียนจะได้แจ้งการรบั จดทะเบียนกรรมการของมลู นิธิที่ตงั้ ใหม่ กรรมการของมลู นิธิที่พ้นจากตาํ แหน่งเพราะถกู ถอดถอนโดยคาํ สงั่ ศาล ตามมาตรา 129 จะปฏิบตั ิหน้าที่ตามวรรคสามไม่ได้” มาตรา 126 บญั ญตั ิว่า “ภายใต้บงั คบั มาตรา 127 ให้คณะกรรมการของ มูลนิ ธิเป็ นผ้มู ีอาํ นาจแก้ไขเพ่ิมเติมข้อบงั คบั ของมูลนิ ธิ แต่ถ้าข้อบงั คบั ของมูลนิ ธิ ได้กาํ หนดหลกั เกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมไว้ การแก้ไขเพิ่มเติมต้องเป็ นไป ตามท่ีข้อบงั คบั กาํ หนด และให้มูลนิ ธินําข้อบงั คบั ที่แก้ไขเพ่ิมเติมนัน้ ไปจดทะเบียน ต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวนั นับแต่วนั ที่คณะกรรมการของมูลนิ ธิได้แก้ไข เพ่ิมเติมข้อบงั คบั ของมลู นิธิและให้นําความในมาตรา 115 มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม” มาตรา 127 บญั ญตั ิว่า “การแก้ไขเพ่ิมเติมรายการในข้อบงั คับของ มลู นิธิตามมาตรา 112 (2) จะกระทาํ ได้แต่เฉพาะในกรณีดงั ต่อไปนี้ (1) เพ่ือให้สามารถดาํ เนินการตามวตั ถปุ ระสงคข์ องมลู นิธิ หรือ (2) พฤติการณ์เปล่ียนแปลงไปเป็ นเหตุให้วตั ถปุ ระสงค์ของมูลนิ ธินัน้ มี ประโยชน์น้อย หรือไม่อาจดาํ เนิ นการให้สมประโยชน์ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องมูลนิ ธิ นัน้ ได้และวตั ถปุ ระสงคข์ องมูลนิ ธิที่แก้ไขเพิ่มเติมนัน้ ใกล้ชิดกบั วตั ถปุ ระสงค์เดิม ของมลู นิธิ” และในมาตรา 129 ไดม้ กี ารบญั ญตั ถิ งึ กรณีกรรมการไดก้ ระทาํ ความผดิ ทงั้ ใน กรณีเป็นความผดิ เฉพาะตวั กรรมการคนใดคนหน่ึงหรอื กรรมการทงั้ คณะไดก้ ระทําผดิ ไว้ ดว้ ยว่า “ในกรณีที่กรรมการของมลู นิธิผ้ใู ดดาํ เนินกิจการของมลู นิธิผิดพลาดเสื่อม เสียต่อมูลนิ ธิ หรือดําเนิ นกิจการฝ่ าฝื นกฎหมายหรือข้อบงั คบั ของมูลนิ ธิหรือ กลายเป็ นผู้มีฐานะหรือความประพฤติ ไม่เหมาะสมในการดําเนิ นการตาม LA 102 (LW 102) 145
วตั ถปุ ระสงค์ของมูลนิ ธิ นายทะเบียน พนักงานอยั การ หรือผ้มู ีส่วนได้เสียคนหน่ึง คนใดอาจรอ้ งขอต่อศาลให้มีคาํ สงั่ ถอดถอนกรรมการของมลู นิธิผนู้ ัน้ ได้ ในกรณีท่ีการกระทาํ ตามวรรคหน่ึงเป็ นการกระทาํ ของคณะกรรมการ ของมลู นิธิ หรือปรากฏว่าคณะกรรมการของมลู นิธิไม่ดาํ เนินการตามวตั ถปุ ระสงค์ ของมูลนิ ธิโดยไม่มีเหตุอนั สมควร นายทะเบียน พนักงานอยั การ หรือผ้มู ีส่วนได้ เสียคนหน่ึง คนใดอาจร้องขอต่อศาลให้มีคาํ สงั่ ถอดถอนกรรมการของมลู นิธิทงั้ คณะได้ ในกรณีท่ีศาลมีคาํ สงั่ ถอดถอนกรรมการของมูลนิ ธิหรือคณะกรรมการ ของมลู นิธิตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ศาลจะแต่งตงั้ บคุ คลอ่ืนเป็นกรรมการของ มูลนิ ธิหรือคณะกรรมการของมูลนิ ธิแทนกรรมการของมูลนิ ธิหรือคณะกรรมการ ของมูลนิ ธิที่ศาลถอดถอนได้ เมื่อศาลมีคาํ สงั่ แต่งตงั้ บุคคลใดเป็ นกรรมการของ มลู นิธิแล้ว ให้นายทะเบียนดาํ เนินการจดทะเบียนไปตามนัน้ ” 8. การสน้ิ สดุ ของมลู นิธิ เม่อื มลู นิธไิ ดถ้ ูกจดั ตงั้ ขน้ึ โดยชอบดว้ ยกฎหมายแพง่ และ พาณชิ ยย์ อ่ มสน้ิ สดุ ลงไดด้ ว้ ยเหตุทก่ี าํ หนดไวใ้ นมาตรา 130 และมาตรา 31 ตามลาํ ดบั ดงั น้ี มาตรา 130 บญั ญตั ิว่า “มลู นิธิย่อมเลิกด้วยเหตหุ นึ่งเหตใุ ด ดงั ต่อไปนี้ (1) เมอ่ื มีเหตตุ ามท่ีกาํ หนดในข้อบงั คบั (2) ถ้ามลู นิธิตงั้ ขนึ้ ไว้เฉพาะระยะเวลาใด เม่ือสิ้นระยะเวลานัน้ (3) ถ้ามูลนิ ธิตัง้ ขึ้นเพ่ือวัตถุประสงค์อย่างใด และได้ดําเนิ นการตาม วตั ถปุ ระสงคส์ าํ เรจ็ บริบรู ณ์แล้ว หรือวตั ถปุ ระสงคน์ ัน้ กลายเป็นพ้นวิสยั (4) เม่อื มลู นิธินัน้ ล้มละลาย (5) เมอื่ ศาลมีคาํ สงั่ ให้เลิกมลู นิธิตามมาตรา 131” มาตรา 131 บญั ญตั ิว่า “นายทะเบียน พนักงานอยั การ หรือผ้มู ีส่วนได้ เสียคนหน่ึงคนใดอาจร้องขอต่อศาลให้มีคาํ สงั่ ให้เลิกมูลนิธิได้ในกรณีหน่ึงกรณีใด ดงั ต่อไปนี้ (1) เมื่อปรากฏว่าวตั ถปุ ระสงคข์ องมลู นิธิขดั ต่อกฎหมาย (2) เม่ือปรากฏว่ามูลนิ ธิกระทําการขดั ต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอนั ดี ของประชาชน หรืออาจเป็ นภยนั ตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความ มนั่ คงของรฐั 146 LA 102 (LW 102)
(3) เม่ือปรากฏว่ามูลนิ ธิไม่สามารถดาํ เนิ นกิจการต่อไปได้ไม่ว่าเพราะ เหตใุ ด ๆ หรอื หยดุ ดาํ เนินกิจการตงั้ แต่สองปี ขึน้ ไป” 9. ขอ้ ปฏบิ ตั หิ ลงั เลกิ มลู นิธทิ จ่ี ดทะเบยี น เน่ืองจากมูลนิธทิ ่จี ดทะเบยี นมสี ภาพเป็นนิตบิ ุคคล ซ่งึ มสี ทิ ธแิ ละหน้าท่ตี าม กฎหมายและย่อมมสี ่วนเขา้ ไปเก่ยี วพนั กบั สงั คมไทยส่วนรวม ดงั นัน้ หลงั จากความเป็น มูลนิธสิ น้ิ สุดลงตามมาตรา 130 และมาตรา 131 ไปแลว้ นัน้ กฎหมายยงั ไดม้ กี ารกําหนด ขอ้ ปฏบิ ตั ไิ วต้ งั้ แต่มาตรา 132 จนถงึ มาตรา 134 โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้คี อื มาตรา 132 บญั ญตั ิว่า “เม่ือมูลนิ ธิมีเหตตุ ้องเลิกตามมาตรา 130 (1) (2) หรือ (3) แล้ว ให้คณะกรรมการของมลู นิธิที่อยใู่ นตาํ แหน่งขณะมีการเลิกมลู นิธิแจ้ง การเลิกมลู นิธิต่อนายทะเบียนภายในสิบวนั นับแต่วนั ท่ีมีการเลิกมลู นิธิ ในกรณีท่ีศาลมีคาํ พิพากษาหรือคาํ สงั่ ถึงที่สุดให้มูลนิ ธิล้มละลายตาม มาตรา 130 (4) หรือมีคําสัง่ ถึงที่สุดให้เลิกมูลนิ ธิตามมาตรา 131 ให้ศาลแจ้ง คาํ พิพากษาหรอื คาํ สงั่ ดงั กล่าวให้นายทะเบียนทราบด้วย ให้นายทะเบียนประกาศการเลิกมลู นิธิในราชกิจจานุเบกษา” มาตรา 133 บญั ญตั ิว่า “ในกรณีที่มีการเลิกมูลนิ ธิ ให้มีการชําระบญั ชี มูลนิ ธิและให้นําบทบญั ญัติในบรรพ 3 ลกั ษณะ 22 ว่าด้วยการชําระบญั ชีห้าง ห้นุ ส่วนจดทะเบียน ห้างห้นุ ส่วนจาํ กดั และบริษัทจาํ กดั มาใช้บงั คบั แก่การชาํ ระ บญั ชีต่อนายทะเบียน และให้นายทะเบียนเป็นผอู้ นุมตั ิรายงานนัน้ ” มาตรา 134 บญั ญตั ิว่า “เมื่อได้ชําระบญั ชีแล้ว ให้โอนทรพั ย์สินของ มูลนิ ธิให้แก่มูลนิ ธิหรือนิ ติบุคคลท่ีมีวตั ถปุ ระสงค์ตามมาตรา 110 ซ่ึงได้ระบุชื่อไว้ ในข้อบงั คบั ของมูลนิ ธิ ถ้าข้อบงั คบั ของมูลนิ ธิมิได้ระบุชื่อมูลนิ ธิหรือนิ ติบุคคล ดงั กล่าวไว้ พนักงานอยั การ ผ้ชู าํ ระบญั ชี หรือผ้มู ีส่วนได้เสียคนหน่ึงคนใดอาจร้อง ขอต่อศาลให้จดั สรรทรพั ยส์ ินนัน้ แก่มลู นิธิหรือนิติบคุ คลอ่ืนที่ปรากฏว่ามีวตั ถปุ ระ สงค์ ใกล้ชิดที่สดุ กบั วตั ถปุ ระสงคข์ องมลู นิธินัน้ ได้ ถ้ามูลนิ ธินัน้ ถกู ศาลสงั่ ให้เลิกตามมาตรา 131 (1) หรือ (2) หรือการ จดั สรรทรพั ยส์ ินตามวรรคหน่ึงไม่อาจกระทาํ ได้ ให้ทรพั ยส์ ินของมูลนิ ธิตกเป็ นของ แผน่ ดิน” LA 102 (LW 102) 147
10. การตรวจสอบเอกสารของมลู นธิ ิ ในเรอ่ื งน้ีใครกต็ ามทต่ี อ้ งการตรวจสอบเอกสารของมลู นิธยิ ่อมทาํ ไดโ้ ดยเป็นไป ตามท่ีมาตรา 135 บญั ญตั ิไว้ “ผ้ใู ดประสงค์จะขอตรวจเอกสารเกี่ยวกบั มูลนิ ธิที่ นายทะเบียนเก็บรกั ษาไว้ หรือจะขอให้นายทะเบียนคดั สําเนาเอกสารดงั กล่าว พร้อมด้วยคํารบั รองว่าถกู ต้อง ให้ยื่นคําขอต่อนายทะเบียน และเม่ือได้เสีย ค่าธรรมเนียมตามที่กาํ หนดในกฎกระทรวงแล้ว ให้นายทะเบียนปฏิบตั ิตามคาํ ขอนัน้ ” 11. อาํ นาจหน้าทข่ี องรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย ในเร่อื งน้ีได้กําหนดไวใ้ นมาตรา 136 ซึ่งบญั ญตั ิไว้ว่า “ให้รฐั มนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามบทบญั ญตั ิในส่วนนี้ และให้มีอํานาจแต่งตัง้ นายทะเบียนกบั ออกกฎกระทรวงเก่ียวกบั (1) การย่นื คาํ ขอจดทะเบียนและการรบั จดทะเบียน (2) ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การคดั สาํ เนา เอกสาร และค่าธรรมเนียมการขอให้นายทะเบียนดาํ เนินการใด ๆ เกี่ยวกบั มลู นิธิ รวมทงั้ การยกเว้นค่าธรรมเนียมดงั กล่าว (3) แบบบตั รประจาํ ตวั ของนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ (4) การดาํ เนินกิจการของมลู นิธิและการทะเบียนมลู นิธิ (5) การอ่ืนใดเพ่ือปฏิบตั ิให้เป็นไปตามบทบญั ญตั ิในส่วนนี้ กฎกระทรวงนัน้ เม่ือประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บงั คบั ได้” ดงั นัน้ จะเหน็ ว่าในเร่อื งของอํานาจหน้าทข่ี องรฐั มนตรวี ่าการกระทรวงมหาดไทย ในการควบคุมดูแลนิติบุคคลประเภทสมาคมและมูลนิธิไว้เหมือนกัน ด้วยเหตุซ่ึงไม่ ตอ้ งการใหเ้ กดิ ปญั หาเกย่ี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยและศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชนนนั่ เอง 148 LA 102 (LW 102)
บรรณานุกรม ชาญชยั แสวงศกั ด.ิ์ คาํ อธิบายกฎหมายปกครอง. กรุงเทพมหานคร: สาํ นกั พมิ พว์ ญิ �ชู น, 2551. ณฐั พงษ์ โปษกะบุตร และ พรชยั สุนทรพนั ธุ.์ ตาํ ราหลกั กฎหมายเอกชน. กรุงเทพมหานคร: สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง, ประเสรฐิ ณ นคร. มงั รายศาสตร.์ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พเ์ ลย่ี งเซยี งจงเจรญิ , 2514. พระยาเทพวฑิ ุร (บุญช่วย วณิกกุล). คาํ อธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ บรรพ 1-2 มาตรา 1 ถงึ 241. พระนคร: โรงพมิ พไ์ ทยพทิ ยา, 2509. ม.ร.ว. คกึ ฤทธิ์ ปราโมช. ฝรงั่ ศกั ดินา. กรงุ เทพมหานคร: สาํ นกั พมิ พก์ า้ วหน้า, 2516. มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ กฎหมายตรา 3 ดวง. ฉบบั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรแ์ ละ การเมอื ง แก้ไขปรบั ปรุงใหม่ เล่ม 3. กรุงเทพมหานคร: สถาบนั ปรีดี พนมยงค์, 2548. สมทบ สวุ รรณสทุ ธ.ิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยว์ า่ ดว้ ยบุคคล. กรงุ เทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2514. หยุด แสงอุทยั . ความร้เู บื้องต้นเก่ียวกบั กฎหมายทวั่ ไป. กรุงเทพมหานคร: สํานักพมิ พ์ ประกายพรกึ , 2542. รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550. ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ 1 ถงึ บรรพ 6. ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499. Baker, J.H., An Introduction to English Legal History. 2nd ed; (London: Butterworths, 1979. Glahn, Gerhard Von, “Law Among Nations,” An Introduction to Public International Law. (New York: The MACMILLAN Company, 1965. LA 102 (LW 102) 149
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151