Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักกฎหมายเอกชน

หลักกฎหมายเอกชน

Published by dopayut, 2019-01-30 00:12:27

Description: FULL TEXT LAW1002

Search

Read the Text Version

คาํ นํา คําบรรยายหลกั กฎหมายเอกชนเล่มน้ี ไดจ้ ดั ทําขน้ึ ในเวลาอนั จํากดั แต่คณะผูจ้ ดั ทํา กไ็ ดจ้ ดั ทําใหม้ เี น้ือหาครบถว้ น ตามหลกั สตู รปรบั ปรุงใหมข่ องคณะนิตศิ าสตร์ และเพอ่ื ให้ นักศึกษาได้ใช้สําหรบั ศึกษาวิชาหลักกฎหมายเอกชนนอกเหนือจากการเข้าฟงั การ บรรยายในชนั้ เรยี นแลว้ อน่ึง หากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใด คณะผูจ้ ดั ทําจะได้แก้ไขและ ปรบั ปรงุ ในการจดั พมิ พค์ รงั้ ต่อไป คณะผจู้ ดั ทาํ

สารบญั หน้า 1 ภาค 1 ความรทู้ วั่ ไปเก่ียวกบั หลกั กฎหมายเอกชน บทท่ี 3 3 1 ความรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั กฎหมาย 5 1.1 กฎหมายคอื อะไร 12 1.2 ลกั ษณะของกฎหมาย 15 1.3 การแบง่ ประเภทของกฎหมาย 21 1.4 การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย 21 22 2 ววิ ฒั นาการแหง่ กฎหมาย 37 2.1 กฎหมายยุคโบราณ 39 2.2 ววิ ฒั นาการกฎหมายโรมนั 44 2.3 ระบบรทิ (Writ System) 48 2.4 การกอ่ กาํ เนิดคอมมอนลอว์ 51 2.5 ววิ ฒั นาการกฎหมายไทย 57 2.6 อทิ ธพิ ลกฎหมายตา่ งประเทศทม่ี ตี ่อกฎหมายไทย 59 63 3 การใชแ้ ละการตคี วามกฎหมาย 64 4 การอุดชอ่ งวา่ งของกฎหมาย 67 ภาค 2 กฎหมายแพ่งและพาณิชยล์ กั ษณะบคุ คล 68 1 บุคคลธรรมดา (Natural Person) 71 71 1.1 การเรม่ิ สภาพบคุ คล 72 1.2 การเรม่ิ นบั อายบุ ุคคล 74 1.3 การสน้ิ สภาพบุคคล 2 ความสามารถของบุคคล 2.1 ผเู้ ยาว์ (Minor) 2.1.1 การบรรลุนิตภิ าวะของผเู้ ยาว์ 2.1.2 ความสามารถในการทาํ นติ กิ รรมของผเู้ ยาว์

บทท่ี หน้า 2.2 คนไรค้ วามสามารถ (Incompetent) 85 2.2.1 หลกั เกณฑใ์ นการเป็นคนไรค้ วามสามารถ 86 2.2.2 บุคคลทม่ี สี ทิ ธริ อ้ งขอใหศ้ าลสงั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ 87 2.2.3 ผอู้ นุบาล 88 2.2.4 ผลของการเป็นคนไรค้ วามสามารถ 89 2.2.5 ความสน้ิ สดุ ของการเป็นคนไรค้ วามสามารถ 90 2.3 คนวกิ ลจรติ 91 2.3.1 ความสามารถในการทาํ นิตกิ รรมของคนวกิ ลจรติ 92 2.3.2 นิตกิ รรมทต่ี อ้ งทาํ เองเฉพาะตวั 93 2.4 คนเสมอื นไรค้ วามสามารถ (Quasi Incompetent) 94 2.4.1 หลกั เกณฑใ์ นการเป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ 95 2.4.2 ผมู้ สี ทิ ธริ อ้ งขอใหเ้ ป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ 96 2.4.3 ผลของการเป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ 97 2.4.4 ความสน้ิ สดุ ของการเป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ 104 3 ภมู ลิ าํ เนา (Domicile) 105 3.1 ภมู ลิ าํ เนาของบุคคลธรรมดา 106 3.2 ภมู ลิ าํ เนาทก่ี ฎหมายกาํ หนดให้ 107 4 การสาบสญู 111 4.1 กรณที ถ่ี อื วา่ เป็นผไู้ มอ่ ยู่ 111 4.1.1 การจดั การทรพั ยส์ นิ ของผไู้ มอ่ ยู่ 112 1. กรณผี ไู้ มอ่ ยไู่ มไ่ ดต้ งั้ ตวั แทนรบั มอบอาํ นาจทวั่ ไปไว้ 112 2. กรณผี ไู้ มอ่ ยไู่ ดต้ งั้ ตวั แทนรบั มอบอาํ นาจทวั่ ไปไว้ 113 4.1.2 การควบคุมการทาํ งานของตวั แทนผรู้ บั มอบอาํ นาจทวั่ ไป 114 4.1.3 การควบคุมการใชอ้ าํ นาจหน้าทข่ี องผจู้ ดั การทรพั ยส์ นิ ของผไู้ มอ่ ยู่ 117 4.2 กรณที ถ่ี อื วา่ ผไู้ มอ่ ยถู่ งึ แก่ความตายหรอื คนสาบสญู 120

บทท่ี หน้า 4.2.1 หลกั เกณฑข์ องการเป็นคนสาบสญู 120 4.2.2 ผลของคาํ สงั่ ศาลใหเ้ ป็นคนสาบสญู 124 127 5 นติ บิ คุ คล (Juristic Persons) 128 5.1 หา้ งหุน้ สว่ นสามญั 129 5.2 หา้ งหนุ้ สว่ นจาํ กดั 130 5.3 บรษิ ทั จาํ กดั 130 5.4 สมาคม 139 5.5 มลู นิธิ 149 บรรณานุกรม

ภาค 1 ความร้ทู วั่ ไปเก่ียวกบั หลกั กฎหมายเอกชน LA 102 (LW 102) 1

2 LA 102 (LW 102)

บทที่ 1 ความร้ทู วั่ ไปเก่ียวกบั กฎหมาย 1.1 กฎหมายคืออะไร กฎหมายไดถ้ อื กําเนิดมาเป็นเวลาอนั ยาวนาน01 และเกย่ี วขอ้ งกบั ชวี ติ ของมนุษย์ ทุกผูค้ นตงั้ แต่เกดิ จนถึงแก่ความตาย แต่ก็เป็นการยากท่จี ะให้คําจํากดั ความของคําว่า กฎหมายให้มคี วามหมายกวา้ งขวางอย่างเพยี งพอโดยไม่จําเป็นต้องอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ว่า โดยแทจ้ รงิ แลว้ กฎหมายคอื อะไร หรอื หมายความวา่ อย่างไรเพราะบางครงั้ การใหค้ าํ จาํ กดั ความของคาํ วา่ กฎหมายอาจขน้ึ อยกู่ บั ยุคสมยั ของการปกครอง ระบอบการปกครอง สาํ นกั แนวคดิ ทางกฎหมาย เช่น เสดจ็ ในกรมหลวงราชบุรดี เิ รกฤทธทิ ์ รงใหค้ ําจํากดั ความของ คําว่ากฎหมายว่า “กฎหมายเป็นคําสงั่ ทงั้ หลายของผูป้ กครองแผ่นดนิ ต่อราษฎรทงั้ หลาย เมอ่ื ไมท่ าํ ตาม ตามธรรมดาจะตอ้ งมโี ทษ” ในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ไดใ้ หค้ วามหมายของคําว่ากฎหมายไวว้ ่า “กฎหมายคอื กฎทส่ี ถาบนั หรอื ผูม้ อี ํานาจสงู สุด ในรฐั ตราข้นึ หรอื ท่ีเกิดจากจารตี ประเพณีอนั เป็นท่ยี อมรบั นับถือเพ่อื ใช้ในการบรหิ าร ประเทศ เพ่อื ใชบ้ งั คบั บุคคลใหป้ ฏบิ ตั ติ ามหรอื กําหนดระเบยี บแห่งความสมั พนั ธ์ระหว่าง บุคคลหรอื ระหวา่ งบุคคลกบั รฐั ” แต่โดยเน้ือแท้แลว้ “กฎหมายคอื ส่วนหน่ึงของกฎเกณฑ์ (rules) ทค่ี วบคุมความ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องมนุษยท์ ม่ี ตี ่อกนั ภายในองคก์ รทางสงั คมทต่ี นเองเป็นสมาชกิ สงั กดั อยู่ ซง่ึ หมายรวมถงึ กฎเกณฑต์ ่าง ๆ ทค่ี วบคุมความสมั พนั ธข์ องมนุษยก์ บั องคก์ รทางสงั คมท่ี มนุษย์อาศยั อยู่และในหมู่มนุษย์ท่ีมีอารยธรรมกฎหมายยงั ถือเป็นว่าเป็นกฎเกณฑ์ท่ี 1กล่าวกนั ว่ากฎหมายอยี ปิ ตย์ คุ โบราณมอี ายุยอ้ นถอยหลงั ไปประมาณ 3,000 ปีก่อนครสิ ตกาล และ กฎหมายของกษตั รยิ ์ฮมั มูราบแี ห่งอาณาจกั รบาบโิ ลน มอี ายุยอ้ นถอยหลงั ไปถงึ ปี 1760 ก่อนครสิ ตกาล ดูใน Legal History/http://en.wikipedia.org./wiki/Law 3 LA 102 (LW 102)

ควบคุมความสมั พนั ธร์ ะหว่างองคก์ รทางสงั คมทม่ี ตี ่อกนั สาํ หรบั กฎหมายประเภทหลงั น้ีมี ชอ่ื เรยี กวา่ กฎหมายระหวา่ งประเทศ (International Law)”1 ตามคํานิยามของคําว่ากฎหมายหลงั สุดน้ีน่าจะครอบคลุมความหมายของคําว่า กฎหมายไดก้ วา้ งขวางทส่ี ดุ เพราะคาํ นยิ ามน้กี ฎหมายหมายถงึ 1. กฎหมายเป็นเพยี งส่วนหน่ึงของกฎเกณฑ์ท่คี วบคุมความสมั พนั ธ์ระหว่าง มนุษยก์ บั มนุษยใ์ นองคก์ รทางสงั คมทม่ี นุษยส์ งั กดั อยู่ ทงั้ น้ีเพราะวา่ มนุษยไ์ มเ่ พยี งแต่ตอ้ ง ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายเท่านนั้ มนุษยย์ งั ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑท์ างสงั คมอ่นื ๆ ดว้ ย เช่น จารตี ประเพณี กฎเกณฑท์ างศลี ธรรมและศาสนา เป็นตน้ 2. กฎหมายหมายถึงกฎเกณฑ์ท่ีควบคุมสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษย์กับองค์กรท่ี มนุษยส์ งั กดั อยู่ เชน่ ผมู้ เี งนิ ไดต้ อ้ งเสยี ภาษใี หก้ บั รฐั ชายไทยทม่ี อี ายุ 21 ปีบรบิ รู ณ์ตอ้ งไป คดั เลอื กทหาร การก่อสรา้ งโรงงานตอ้ งไปขออนุญาตจากสว่ นราชการทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เป็นตน้ 3. กฎหมายหมายถึงกฎเกณฑ์ท่ีว่าด้วยความสมั พนั ธ์ระหว่างรฐั กบั รฐั หรอื ท่ี เรยี กกนั วา่ กฎหมายระหวา่ งประเทศ ซง่ึ มกี ารแบ่งออกเป็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ ในยามสนั ตแิ ละสงคราม จะเห็นได้ว่า คํานิยามของคําว่ากฎหมายในประการหลังสุดน้ีมีความหมาย คอ่ นขา้ งกวา้ งขวาง ทาํ ใหเ้ หน็ ภาพของกฎหมายไดช้ ดั เจนกวา่ คาํ นิยามอน่ื ๆ อย่างไรกต็ าม ปจั จยั ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ของกฎหมาย ไดแ้ ก่ การทม่ี นุษยอ์ ย่รู วมกนั เป็น สงั คม ถ้าหากมนุษย์แยกกนั อยู่อย่างโดดเด่ยี ว คงไม่จําเป็นตอ้ งมกี ฎหมาย ดงั นัน้ การมี กฎหมายยอ่ มหมายความโดยปรยิ ายวา่ มนุษยอ์ ยรู่ วมกนั เป็นองคก์ รทางสงั คม22 1Zane, John Maxcy & James M. Beck, The Story of Law, Ives Washburn, Inc. 1927, pp. 1-2. …Law is a part, and only a part, of now large body of rules that govern men in their relations and conduct toward one another in the social organization to which they belong. Even here we must understand that we include rules which govern men in their relations to the social organization under which they live and that among civilized men law is considered to govern the relations of social organization toward one another. For this latter kind of law we have the term “international law.” 2Zane, เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า 2. 4 LA 102 (LW 102)

1.2 ลกั ษณะของกฎหมาย โดยเหตุทก่ี ฎหมายมลี กั ษณะเป็นกฎเกณฑท์ ก่ี าํ หนดความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผคู้ นใน องค์กรทางสงั คม หรอื ระหว่างผูค้ นท่อี ยู่ในองค์กรทางสงั คมกบั ตวั องค์กรทางสงั คมเอง ดงั นนั้ สง่ิ ทเ่ี ป็นกฎหมายจงึ ตอ้ งมลี กั ษณะดงั น้ี 1. กฎหมายต้องมาจากรฐั าธปิ ตั ย์ คําว่ารฐั าธปิ ตั ย์ หมายถงึ มผี ูอ้ ํานาจสูงสุดใน การตรากฎหมาย ซ่ึงในอดีตประเทศท่ีปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) ซ่งึ ได้แก่กษตั รยิ ์ของประเทศต่าง ๆ รวมทงั้ ประเทศไทยก่อน เปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชยม์ าเป็นระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดงั คํากล่าวท่ีว่า คําสงั่ ของพระเจ้าแผ่นดินคือ กฎหมาย ดงั เหน็ ไดจ้ ากพระราชกฤษฎกี าใหใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และบรรพ 2 ทไ่ี ดต้ รวจชาํ ระใหมโ่ ดยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อย่หู วั เมอ่ื วนั ท่ี 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 การประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 โดย พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื พ.ศ. 2451 เป็นตน้ เม่อื ประเทศไทยไดเ้ ปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ มาเป็นระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข ในรฐั ธรรมนูญมกี าร บญั ญตั วิ า่ อํานาจอธปิ ไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษตั รยิ ผ์ ทู้ รงเป็นประมุขทรง ใชอ้ ํานาจอธปิ ไตยทางรฐั สภาในการตรากฎหมาย31 ดงั เหน็ ได้จากพระราชบญั ญตั ใิ ห้ใช้ บทบญั ญตั ิ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ท่ไี ด้ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. 2519 เป็นตน้ ดงั นนั้ จงึ ถอื ไดว้ า่ กฎหมายตอ้ งมาจากองคอ์ ธปิ ตั ยไ์ ดเ้ ชน่ เดยี วกนั สําหรบั ประเทศองั กฤษซ่ึงเป็นแม่แบบการปกครองแบบรฐั สภา ปจั จุบนั มี สมเดจ็ พระราชนิ ีเป็นประมุขของประเทศ แมร้ ฐั สภาขององั กฤษจะมอี ํานาจในการตรา กฎหมาย แต่ตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจากสมเดจ็ พระราชนิ ีตามหลกั ทว่ี า่ “The Queen in Parliament” โดยเป็นการใชอ้ ํานาจร่วมกนั ระหว่างรฐั สภาและสมเดจ็ พระราชนิ ีในการตรา กฎหมาย ซ่ึงหมายความว่ารฐั สภาจะตรากฎหมายต้องได้รบั ความยนิ ยอมจากสมเด็จ 1รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550, มาตรา 3. 5 LA 102 (LW 102)

พระราชนิ ี ในขณะเดยี วกนั สมเด็จพระราชนิ ีจะทรงตรากฎหมายโดยลําพงั พระองค์เอง กไ็ มไ่ ด้ เวน้ แต่จะไดร้ บั คาํ แนะนําและยนิ ยอมของสภาขนุ นางและสภาสามญั 41 2. กฎหมายมลี กั ษณะเป็นคําสงั่ คําบงั คบั ทใ่ี ชโ้ ดยทวั่ ไป ซง่ึ หมายความว่าเม่อื มี การบญั ญตั ิกฎหมาย กฎหมายย่อมมผี ลใช้บงั คบั แก่บุคคลทวั่ ไปในรฐั ไม่จํากดั เฉพาะ เอกชนคนหน่งึ คนใดใหก้ ระทาํ การหรอื ไมใ่ หก้ ระทาํ การ ในประเทศองั กฤษ กฎหมายทต่ี รา ขน้ึ โดยรฐั สภาอาจแบง่ ออกเป็นกฎหมายทใ่ี ชท้ งั้ ประเทศ เรยี กวา่ public bill สว่ นกฎหมาย ทต่ี ราขน้ึ เพอ่ื ใชบ้ งั คบั ในบางทอ้ งทห่ี รอื ใชบ้ งั คบั กบั บคุ คลเพยี งบางคน เรยี กวา่ private bill แต่การบงั คบั ใช้กฎหมายอาจมบี ุคคลท่ไี ด้รบั การยกเว้นไม่อยู่ในบงั คบั ของ กฎหมาย เช่น รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 8 บญั ญัติว่า “องคพ์ ระมหากษตั รยิ ท์ รงดาํ รงอยใู่ นฐานะอนั เป็นทเ่ี คารพสกั การะ ผใู้ ดจะละเมดิ มไิ ด้ ผใู้ ด จะกล่าวหาหรอื ฟ้องรอ้ งพระมหากษตั รยิ ใ์ นทางใด ๆ มไิ ด้ “สมาชกิ รฐั สภาทแ่ี ถลงขอ้ เทจ็ จรงิ แสดงความคดิ เหน็ หรอื ออกเสยี งลงคะแนนในทป่ี ระชุมสภาผแู้ ทนราษฎร ทป่ี ระชุมวุฒสิ ภา หรอื ทป่ี ระชุมของรฐั สภาย่อมเป็นเอกสทิ ธโิ ์ ดยเดด็ ขาด ผูใ้ ดจะนําไปเป็นเหตุฟ้องรอ้ งว่า กล่าวสมาชกิ ผูน้ ัน้ ในทางใดมไิ ด”้ 2 ประมุขของต่างประเทศย่อมไดร้ บั ความคุ้มกนั ไม่อาจ ถกู ฟ้องในศาลของรฐั อ่นื ไมว่ า่ จะเป็นคดแี พง่ หรอื คดอี าญา63 3. กฎหมายตอ้ งใชไ้ ดต้ ลอดไป หมายความว่า เมอ่ื มกี ารบญั ญตั กิ ฎหมายออกมา กฎหมายย่อมใช้บงั คบั ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกประกาศยกเลิก ตราบใดท่ยี งั ไม่มกี าร ยกเลกิ กฎหมายย่อมมผี ลใชบ้ งั คบั อยู่เสมอ การยกเลกิ กฎหมายอาจเป็นการยกเลกิ โดย บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายนนั้ เอง หรอื มกี ฎหมายใหมย่ กเลกิ กฎหมายเก่า หรอื มกี ารยกเลกิ โดยปรยิ ายเมอ่ื กฎหมายเกา่ ขดั กบั กฎหมายใหม่ 1พระราชบญั ญตั ขิ ององั กฤษมกั เรม่ิ ดว้ ยขอ้ ความวา่ NOW THEREFORE, Her Majesty, by and with the advice and consent of the Lords Spiritual and Temporal, and Commons, in this present Parliament assembled, by the authority of the same as follows…. http://en.wikipedia.org/wiki/ Queen-in- Parliament. 2รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550, มาตรา 130. 3Glahn, Gerhard Von, “Law Among Nations,” An Introduction to Public International Law. (New York: The MACMILLAN Company, 1965), pp. 137-138. 6 LA 102 (LW 102)

4. ประชาชนจําตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม หมายความว่า เม่อื มกี ารประกาศใชก้ ฎหมายใด กเ็ ป็นหน้าทข่ี องประชาชนท่ตี ้องปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายนัน้ เม่อื คํานึงในแง่น้ีกฎหมายอาจ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื กฎหมายซง่ึ มผี ลบงั คบั เดด็ ขาดประเภทหน่ึง กบั กฎหมายซง่ึ ไมม่ ผี ลบงั คบั เดด็ ขาดอกี ประเภทหน่ึง สาํ หรบั กฎหมายทม่ี ผี ลบงั คบั เดด็ ขาดนนั้ ประชาชน จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายนัน้ โดยเดด็ ขาดซง่ึ ไดแ้ ก่กฎหมายอาญา กฎหมายทเ่ี กย่ี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยและศลี ธรรมอนั ดงี ามของประชาชน ส่วนกฎหมายทไ่ี มบ่ งั คบั เดด็ ขาด นนั้ ไดบ้ ญั ญตั ใิ หป้ ระชาชนเลอื กปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายกไ็ ด้ หรอื เลอื กทจ่ี ะตกลงกนั เองเป็น พเิ ศษแตกต่างไปจากบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายกไ็ ด้ เช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 457 ซง่ึ บญั ญตั วิ ่า “ค่าฤชาธรรมเนียมในการทําสญั ญาซ้อื ขายนัน้ ผูซ้ ้อื ผูข้ ายพงึ ออกใชเ้ ท่ากนั ทงั้ สองฝ่าย” ดงั นนั้ ผซู้ ้อื หรอื ผขู้ ายอาจตกลงกนั ใหผ้ ูซ้ อ้ื หรอื ผูข้ าย เป็นผอู้ อกคา่ ฤชาธรรมเนียมในการทาํ สญั ญาซอ้ื ขายเตม็ จาํ นวนแต่ฝา่ ยเดยี วกไ็ ด้ 5. กฎหมายตอ้ งมบี ทบงั คบั เพ่อื ใหก้ ฎหมายมคี วามศกั ดสิ ์ ทิ ธิ์ สามารถบงั คบั ให้ ประชาชนปฏิบตั ิตาม จึงจําเป็นท่ีกฎหมายต้องมีบทบังคับ (sanction) บทบงั คบั ของ กฎหมายอาจเป็นบทบงั คบั ทางอาญา ซง่ึ ไดแ้ ก่ การลงโทษตามมาตรา 18 ของประมวล กฎหมายอาญา อนั ไดแ้ ก่ การประหารชวี ติ จําคุก กกั ขงั ปรบั และรบิ ทรพั ย์สนิ ส่วนบท บงั คบั ทางแพง่ โดยปกตไิ ดแ้ ก่การจ่ายค่าสนิ ไหมซง่ึ ไดแ้ ก่การชาํ ระค่าเสยี หายเป็นเงนิ ตรา การบงั คบั ใหจ้ าํ เลยชาํ ระหน้ีเฉพาะสง่ิ (specific performance) หรอื การหา้ มจาํ เลยกระทาํ ละเมดิ ต่อผูเ้ สยี หาย (injunction) เช่น จําเลยทําสญั ญาขายทด่ี นิ แปลงหน่ึงใหแ้ ก่โจทก์ โจทก์ชําระเงนิ ค่าทด่ี นิ ใหจ้ ําเลยเรยี บรอ้ ยแลว้ จําเลยผดิ สญั ญาไม่โอนกรรมสทิ ธใิ ์ นทด่ี นิ ใหแ้ ก่โจทก์ โจทกจ์ งึ ไปฟ้องต่อศาล ศาลอาจพพิ ากษาใหจ้ ําเลยจ่ายเสยี หายใหแ้ ก่โจทก์ หรอื สงั่ ใหจ้ ําเลยโอนกรรมสทิ ธใิ์ นทด่ี นิ ใหแ้ ก่โจทกก์ ไ็ ด้ สาํ หรบั การสงั่ หา้ มจําเลยทาํ ละเมดิ โจทกน์ นั้ อาจไดแ้ ก่กรณีทบ่ี ุคคลหน่ึงเอาชอ่ื ของอกี บุคคลหน่ึงไปใชโ้ ดยมไิ ดร้ บั อํานาจใหใ้ ช้ เจา้ ของชอ่ื ทแ่ี ทจ้ รงิ อาจรอ้ งขอตอ่ ศาลใหส้ งั ่ หา้ มกไ็ ด7้1 กฎหมายซ่งึ มลี กั ษณะครบถ้วน 5 ประการดงั กล่าว มชี ่อื เรยี กว่า “กฎหมาย ตามเน้อื ความ”2 1ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย,์ มาตรา 18. 2หยุด แสงอุทยั , ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกบั กฎหมายทัว่ ไป (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์ ประกายพรกึ , 2542), หน้า 45. 7 LA 102 (LW 102)

อย่างไรก็ตาม อาจมกี ฎหมายบางประเภทท่ผี ่านกระบวนการบญั ญตั ิกฎหมาย แต่อาจไม่มลี กั ษณะครบองค์ประกอบทเ่ี ป็นกฎหมายตามเน้ือความ เช่น ไม่มบี ทบญั ญตั ิ กําหนดความประพฤตขิ องมนุษย์ซง่ึ หากฝ่าฝืนจะได้รบั ผลรา้ ยหรอื ถูกลงโทษ กฎหมาย จาํ พวกน้ีมกั จะเป็นการตราขน้ึ ตามบทบญั ญตั ใิ นรฐั ธรรมนูญ เชน่ การตราพระราชบญั ญตั ิ งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดนิ 91 การตราพระราชกฤษฎกี ายุบสภาผแู้ ทนราษฎร102 หรอื กรณที เ่ี ป็นเรอ่ื งของฝา่ ยบรหิ ารโดยแท้ เชน่ พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยระเบยี บบรหิ ารราชการ แผน่ ดนิ ตลอดจนพระราชบญั ญตั ปิ รบั ปรงุ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ กฎหมายทต่ี ราขน้ึ โดยข้อกําหนดของรฐั ธรรมนูญ หรือเพ่ือประโยชน์ในบรหิ ารราชการแผ่นดินดงั กล่าว ขา้ งตน้ มชี อ่ื เรยี กวา่ กฎหมาย “ตามแบบพธิ ”ี 3 กฎหมายทงั้ ทเ่ี ป็นกฎหมายตามเน้ือความ และกฎหมายตามแบบพธิ ี มดี งั ต่อไปน้ี 1. พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญ 2. พระราชบญั ญตั ิ 3. พระราชกาํ หนด 4. พระราชกฤษฎกี า 5. กฎกระทรวง 6. ขอ้ บญั ญตั จิ งั หวดั 7. เทศบญั ญตั ิ 8. ขอ้ บญั ญตั กิ รงุ เทพมหานคร 9. ขอ้ บญั ญตั เิ มอื งพทั ยา 10. ขอ้ บญั ญตั อิ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาํ บล 1. พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญ พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญ คอื กฎหมายทร่ี ฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย กาํ หนดใหบ้ ญั ญตั ขิ น้ึ มาซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี 1รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550, มาตรา 166. LA 102 (LW 102) 2รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550, มาตรา 108. 3หยดุ แสงอุทยั , เรอ่ื งเดมิ , หน้า 55. 8

1.1 กฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญ121 ไดแ้ ก่ (1) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภา ผแู้ ทนราษฎรและการไดม้ าซง่ึ สมาชกิ วฒุ สิ ภา (2) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตงั้ (3) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยพรรคการเมอื ง (4) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการออกเสยี งประชามติ (5) พระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รฐั ธรรมนูญ (6) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยวธิ พี จิ ารณาคดอี าญาของ ผดู้ าํ รงตาํ แหน่งทางการเมอื ง (7) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยผตู้ รวจการแผน่ ดนิ (8) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการป้องกนั และปราบปราม การทจุ รติ (9) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ 1.2 การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญ การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญใหก้ ระทําสามวาระ ดงั ต่อไปน้ี (1) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระทห่ี น่ึง ขนั้ รบั หลกั การ และในวาระท่ี สองขนั้ พจิ ารณาเรยี งลาํ ดบั มาตรา ใหถ้ อื เสยี งขา้ งมากของแตล่ ะสภา (2) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระทส่ี าม ตอ้ งมคี ะแนนเหน็ ชอบดว้ ยใน การท่จี ะให้ออกใชเ้ ป็นพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญมากกว่าก่งึ หน่ึงของจํานวน สมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ทม่ี อี ยขู่ องแต่ละสภา ส่วนกระบวนการพจิ ารณาร่างพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญนัน้ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย มาตรา 140 ใหน้ ํากระบวนการตราพระราชบญั ญตั มิ า ใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม 1รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550, มาตรา 138. 9 LA 102 (LW 102)

2. พระราชบญั ญตั ิ พระราชบญั ญตั ิ คอื กฎหมายท่พี ระมหากษตั รยิ ์ท่ที รงบญั ญตั ิโดยคําแนะนํา และยนิ ยอมของรฐั สภาซง่ึ มกี ระบวนการบญั ญตั ริ า่ งพระราชบญั ญตั ดิ งั ต่อไปน้ี 2.1 ผมู้ สี ทิ ธเิ สนอรา่ งพระราชบญั ญตั ิ (1) คณะรฐั มนตรี (2) สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจาํ นวนไมน่ ้อยกวา่ ยส่ี บิ คน (3) ศาลหรอื องคก์ รอสิ ระตามรฐั ธรรม เฉพาะกฎหมายทเ่ี กย่ี วกบั การจดั องคก์ รและกฎหมายทป่ี ระธานศาลและประธานองคก์ รนนั้ เป็นผรู้ กั ษาการ หรอื (4) ผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตงั้ จาํ นวนไมน่ ้อยกวา่ หน่ึงหม่นื คนเขา้ ชอ่ื เสนอกฎหมาย ตามมาตรา 163 ในกรณีท่รี ่างพระราชบญั ญตั ซิ ่งึ มผี ูเ้ สนอตาม (2) (3) หรอื (4) เป็นร่าง พระราชบญั ญตั เิ กย่ี วดว้ ยการเงนิ จะเสนอไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื มคี าํ รบั รองของนายกรฐั มนตรี ในกรณีท่ีประชาชนได้เสนอร่างพระราชบญั ญัติใดตาม (4) แล้ว หาก บุคคลตาม (1) หรอื (2) ไดเ้ สนอร่างพระราชบญั ญตั ทิ ม่ี หี ลกั การเดยี วกบั ร่างพระราชบญั ญตั ิ นนั้ อกี ใหน้ ําบทบญั ญตั มิ าตรา 163 วรรคส่ี มาใชบ้ งั คบั กบั การพจิ ารณาร่างพระราชบญั ญตั ิ นนั้ ดว้ ย รา่ งพระราชบญั ญตั ใิ หเ้ สนอตอ่ สภาผแู้ ทนราษฎรกอ่ น 2.2 กระบวนพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ิ ในชนั้ ตน้ ใหน้ ําร่างพระราชบญั ญตั เิ สนอต่อสภาผูแ้ ทนราษฎรซง่ึ จะมกี าร พจิ ารณาสามวาระ หากสภาผูแ้ ทนราษฎรลงมตเิ หน็ ชอบแลว้ ใหส้ ภาผูแ้ ทนราษฎรเสนอ ร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภา ซ่ึงต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน ถา้ วุฒสิ ภาพจิ ารณาไม่เสรจ็ ภายในเวลาดงั กล่าว ใหถ้ อื ว่าวุฒสิ ภาใหค้ วามเหน็ ชอบในร่าง พระราชบญั ญตั ิ ถ้าวุฒสิ ภาเห็นชอบด้วยกบั สภาผู้แทนราษฎร ให้นายกรฐั มนตรนี ําขน้ึ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายในย่สี บิ วนั นับแต่วนั ท่ไี ด้รบั ร่างพระราชบญั ญตั นิ ัน้ จาก รฐั สภา เพอ่ื พระมหากษตั รยิ ท์ รงลงพระปรมาภไิ ธย และเพอ่ื ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา แลว้ ใหใ้ ชบ้ งั คบั เป็นกฎหมายได1้31 1รายละเอยี ดอ่นื ๆ ใหด้ รู ฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550, มาตรา 142-154. 10 LA 102 (LW 102)

3. พระราชกาํ หนด พระราชกําหนด คอื กฎหมายทพ่ี ระมหากษตั รยิ ท์ รงตราขน้ึ มาตามคาํ แนะนํา ของคณะรฐั มนตรี ซง่ึ สองประเภท คอื พระราชกาํ หนดทวั่ ๆ ไปประเภทหน่ึง และพระราช กาํ หนดทเ่ี กย่ี วดว้ ยภาษอี ากรหรอื เงนิ ตราอกี ประเภทหน่งึ พระราชกําหนดทวั่ ๆ ไป จะตราขน้ึ มาต้องเป็นกรณีทม่ี เี หตุฉุกเฉินท่จี ําเป็น รีบด่วนอันมิอาจหลีกเล่ียงได้ และต้องเป็นกรณีเพ่ือประโยชน์ในอันท่ีจะรกั ษาความ ปลอดภยั ของประเทศ ความปลอดภยั สาธารณะ ความมนั่ คงในทางเศรษฐกจิ ของประเทศ หรอื ป้องกนั ภยั พบิ ตั สิ าธารณะ และจะเรยี กประชมุ รฐั สภาใหท้ นั ทว่ งทไี มไ่ ด้ สาํ หรบั พระราชกําหนดเกย่ี วกบั ภาษอี ากรหรอื เงนิ ตรานัน้ เป็นการตราขน้ึ มา ในระหว่างสมยั ประชุมเป็นกรณีซ่งึ จะต้องได้รบั การพจิ ารณาโดยด่วนและลบั เพ่อื รกั ษา ประโยชน์ของแผน่ ดนิ พระราชกําหนดเม่อื ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บงั คบั เป็น กฎหมายได้ และต้องนําเสนอต่อรฐั สภาเพ่อื พจิ ารณาโดยมชิ กั ชา้ ในการประชุมรฐั สภาใน คราวต่อไป กรณีท่เี ป็นพระราชกําหนดทวั่ ไป สําหรบั พระราชกําหนดท่เี ก่ยี วด้วยภาษี อากรและเงนิ ตรา จะต้องนําเสนอต่อสภาผูแ้ ทนราษฎรนับแต่วนั ถดั จากการประกาศใน ราชกจิ จานุเบกษา141 4. พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายทพ่ี ระมหากษตั รยิ ์ทรงตราขน้ึ โดยคําแนะนํา ของคณะรฐั มนตรีเพ่ือดําเนินการตามบทบญั ญัติในรฐั ธรรมนูญประเภทหน่ึง เช่น ตาม รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 108 บญั ญตั วิ ่า “พระมหากษตั รยิ ์ ทรงไวซ้ ง่ึ พระราชอาํ นาจในการยุบสภาผแู้ ทนราษฎร เพอ่ื ใหม้ กี ารเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรข้นึ การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทําโดยพระราชกฤษฎีกา...” หรอื กรณีตาม มาตรา 118 เมอ่ื วาระของสมาชกิ วฒุ สิ ภาซง่ึ มาจากการเลอื กตงั้ สน้ิ สดุ ลง พระมหากษตั รยิ ์ จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎใี ห้มกี ารเลอื กตงั้ สมาชกิ วุฒสิ ภาซ่งึ มาจากการเลอื กตงั้ ใหม่ เป็นการเลอื กตงั้ ทวั่ ไป...” เป็นตน้ 1รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550, มาตรา 186 11 LA 102 (LW 102)

พระราชกฤษฎกี าอกี ประเภทหน่ึง ไดแ้ ก่พระราชกฤษฎกี าทอ่ี อกตามพระราช บญั ญตั ิหรอื พระราชกําหนด เพ่อื กําหนดรายละเอียดท่สี ําคญั ของพระราชบญั ญตั หิ รอื พระราชกําหนดนัน้ ทัง้ น้ีเพ่ือเป็นการประหยัดเวลาของฝ่ายนิติบัญญัติท่ีไม่ต้องไป พจิ ารณารายละเอยี ดของกฎหมาย จงึ มอบหมายใหฝ้ า่ ยบรหิ ารไปดําเนินการโดยเฉพาะ อย่างยงิ่ พระราชบญั ญตั ิ หรอื พระราชกําหนดบางฉบบั ทเ่ี ป็นเรอ่ื งทางเทคนิค ฝา่ ยบรหิ าร ย่อมกําหนดได้ดีกว่า ถ้ามีพฤติการณ์เก่ียวกับพระราชกฤษฎีกานัน้ เปล่ียนแปลงไป กส็ ามารถแกไ้ ขไดโ้ ดยงา่ ย พระราชกฤษฎกี าเม่อื ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาแลว้ ย่อมมี ผลบงั คบั ใชเ้ ป็นกฎหมายได้ 5. กฎกระทรวง กฎกระทรวง ได้แก่ กฎหมายท่ีฝ่ายบริหารเป็นผู้ตราข้ึนมาเพ่ือกําหนด รายละเอยี ดปลกี ย่อยของพระราชบญั ญตั หิ รอื พระราชกําหนดท่มี อบอํานาจให้รฐั มนตรี ผู้รกั ษาการตามพระราชบญั ญตั หิ รอื พระราชกําหนดเป็นผู้ตราข้นึ มา กฎกระทรวงเม่อื ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาแลว้ ยอ่ มมผี ลใชเ้ ป็นกฎหมายได้ สาํ หรบั ขอ้ บญั ญตั จิ งั หวดั เทศบญั ญตั ิ ขอ้ บญั ญตั กิ รุงเทพมหานคร ขอ้ บญั ญตั ิ เมอื งพทั ยา และขอ้ บญั ญตั ิสภาตําบล เป็นกฎหมายท้องถนิ่ การตราขอ้ บญั ญตั เิ หล่าน้ี เป็นไปตามกฎหมายทจ่ี ดั ตงั้ หน่วยการปกครองทอ้ งถนิ่ เหลา่ นนั้ 1.3 การแบง่ ประเภทของกฎหมาย ประเทศต่าง ๆ มกี ารบญั ญตั กิ ฎหมายขน้ึ มาใชเ้ พ่อื วตั ถุประสงค์ต่าง ๆ จํานวน มาก จงึ มคี วามจําเป็นต้องแบ่งเป็นประเภทเพ่อื ประโยชน์ในการศกึ ษา การใชใ้ หถ้ ูกตอ้ ง และการตคี วาม ปจั จบุ นั มกี ารนยิ มแบง่ ประเภทของกฎหมาย ดงั น้ี 1. การแบง่ ประเภทของกฎหมายตามลกั ษณะแหง่ การใช้ 2. การแบง่ ประเภทของกฎหมายตามลกั ษณะความสมั พนั ธข์ องคกู่ รณี 12 LA 102 (LW 102)

1. การแบง่ ประเภทของกฎหมายตามลกั ษณะแห่งการใช้ เป็นการแบง่ แยก กฎหมายโดยคํานึงถึงว่าเม่อื มีคดีความเกิดข้นึ จะต้องใช้กฎหมายใดบงั คบั กบั คดีนัน้ ซง่ึ อาจแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1) กฎหมายสารบญั ญตั ิ (Substantive Law) คอื กฎหมายทก่ี ําหนดสทิ ธแิ ละ หน้าท่ีของบุคคลซ่ึงได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายท่ีบญั ญตั ิ ขน้ึ มาเพ่อื ควบคุมการประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ่เี ป็นอนั ตรายต่อสงั คม ซ่งึ ไดแ้ ก่ กฎหมายอาญา บทบญั ญตั ทิ ส่ี าํ คญั ทางอาญา ไดแ้ ก่ ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 และพระราชบญั ญตั อิ ่นื ทม่ี โี ทษทางอาญา เชน่ พระราชบญั ญตั กิ ารพนนั เป็นตน้ 2) กฎหมายวธิ สี บญั ญตั หิ รอื กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความ (Adjective Law หรอื Procedural Law) กฎหมายวธิ สี บญั ญตั ิ คอื กฎหมายทบ่ี ญั ญตั เิ ก่ยี วกบั การบงั คบั ตามสทิ ธิ และหน้าทต่ี ามทก่ี ําหนดไวใ้ นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยศาล เป็นวธิ บี งั คบั ใหล้ ูกหน้ี ชําระหน้ีตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นกฎหมายสารบญั ญตั ิ ถ้าหากไม่มกี ฎหมายวธิ พี จิ ารณาความ กฎหมายสารบญั ญตั กิ ็ไม่อาจมสี ภาพบงั คบั ในทํานองเดยี วกนั กฎหมายสารบญั ญตั ใิ น ส่วนท่ีเป็นบทบญั ญตั ิทางอาญา หากไม่มกี ฎหมายวธิ ีสบญั ญตั ิทางอาญา ก็ไม่อาจนํา ผกู้ ระทาํ ความผดิ มาลงโทษตามกระบวนยุตธิ รรมทางอาญาได้ กฎหมายวธิ สี บญั ญตั ทิ างแพง่ ทส่ี าํ คญั ไดแ้ ก่ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา ความแพ่ง ซ่งึ บญั ญตั ิถึงวธิ ีการฟ้องร้องลูกหน้ีต่อศาล การพจิ ารณาคดีของศาลชนั้ ต้น ชนั้ อุทธรณ์ และชนั้ ฎีกา ตลอดจนการบงั คบั คดี สําหรบั กฎหมายวธิ สี บญั ญตั ทิ างอาญา ได้แก่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซ่ึงบญั ญัติถึงวิธีการจบั กุม การค้น การสอบสวน การดําเนินคดีในชนั้ พนักงานอัยการ การพิจารณาคดีของศาลชนั้ ต้น ชนั้ อุทธรณ์ ชนั้ ฎกี า และกระบวนการหลงั ศาลมคี าํ พพิ ากษาคดเี สรจ็ เดด็ ขาด นอกจากประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ และประมวลกฎหมายวธิ ี พจิ ารณาความอาญา ซ่ึงเป็นประมวลกฎหมายวธิ สี บญั ญตั หิ ลกั ของประเทศไทย ยงั มี กฎหมายวธิ สี บญั ญตั อิ ่นื ๆ ในรูปของพระราชบญั ญตั อิ กี หลายฉบบั เช่น พระราชบญั ญตั ิ จดั ตงั้ ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. 2534 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2550 และพระราชบัญญัติ วธิ พี จิ ารณาคดผี บู้ รโิ ภค พ.ศ. 2551 เป็นตน้ LA 102 (LW 102) 13

2. การแบ่งแยกประเภทของกฎหมายตามลกั ษณะความสมั พนั ธข์ องค่กู รณี เป็นการแบ่งแยกกฎหมายโดยการพิจารณาถึงความสมั พนั ธ์ของคู่กรณีว่าเป็นความ สมั พนั ธร์ ะหว่างใครกบั ใคร ซง่ึ ไดแ้ ก่ความสมั พนั ธ์ระหว่างเอกชนกบั เอกชน หรอื ระหว่าง เอกชนกบั รฐั หรอื ระหว่างรฐั กบั รฐั ดงั นนั้ การแบ่งแยกประเภทของกฎหมายตามลกั ษณะ ความสมั พนั ธข์ องคกู่ รณี จงึ แบง่ กฎหมายออกเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 1) กฎหมายเอกชน 2) กฎหมายมหาชน 3) กฎหมายระหวา่ งประเทศ 1) กฎหมายเอกชนท่สี ําคญั ได้แก่กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายท่บี ญั ญตั ถิ ึง ความสมั พนั ธ์ระหว่างเอกชนต่อเอกชนในฐานะเท่าเทยี มกนั ทงั้ น้ี รวมถงึ นิตบิ ุคคลดว้ ย เป็นกฎหมายท่ีกําหนดสิทธิและหน้าท่ีของบุคคล ตัง้ แต่เกิดจนกระทัง่ ตาย ซ่ึงเกิดจาก นิตกิ รรม สญั ญา ละเมดิ ความสมั พนั ธใ์ นครอบครวั ตลอดจนเรอ่ื งมรดก กฎหมายทส่ี าํ คญั อกี ลกั ษณะหน่ึงไดแ้ ก่ กฎหมายพาณิชย์ กฎหมายพาณิชยเ์ ป็นกฎหมายเกย่ี วกบั การคา้ ขาย ธุรกจิ การพาณิชยต์ ่าง ๆ ประเทศไทยไดน้ ํากฎหมายพาณิชย์มารวมกบั กฎหมายแพ่งไว้ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซง่ึ เป็นการแตกต่างจากต่างประเทศ เช่น ประเทศ ฝรงั่ เศส และประเทศเยอรมนั ซง่ึ มกี ารแยกกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชยอ์ อกจากกนั เป็นประมวลกฎหมายแพง่ และประมวลกฎหมายพาณชิ ย์ 2) กฎหมายมหาชน กฎหมายมหาชน ไดแ้ ก่ กฎหมายทก่ี ําหนดความสมั พนั ธ์ระหว่างรฐั หรอื หน่วยงานของรฐั กบั ประชาชนในฐานะท่ีรฐั เป็นฝ่ายปกครอง กล่าวคอื ในฐานะท่รี ฐั มี อํานาจเหนือประชาชน ดงั นัน้ กฎหมายมหาชนจึงครอบคลุมถึงกฎหมายรฐั ธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายภาษี กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ กฎหมายวธิ พี จิ ารณาทางปกครอง เป็นตน้ อย่างไรกต็ ามมบี างประเทศ เช่น ประเทศฝรงั่ เศส ถอื ว่ากฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ล้วนแต่เป็น กฎหมายเอกชน โดยมเี หตุผลวา่ ความจรงิ ความผดิ ทางอาญาสว่ นใหญ่กําหนดขน้ึ มาเพ่อื รกั ษาความสงบสุขระหว่างเอกชนต่อเอกชนดว้ ยกนั เช่น ไม่ใหฆ้ ่ากนั หรอื ลกั ทรพั ย์กนั 14 LA 102 (LW 102)

ในสว่ นทเ่ี ป็นกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความ แมร้ ฐั จะเขา้ มาเกย่ี วขอ้ งกเ็ พยี งแต่อย่ใู นฐานะเป็น ผรู้ กั ษากตกิ าเทา่ นนั้ ไมใ่ ชก่ ฎหมายทก่ี ฎหมายกาํ หนดนติ สิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั กบั เอกชน151 3) กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ไดแ้ ก่ บรรดาหลกั การ จารีตประเพณี และกฎเกณฑ์ ท่ีกําหนดความสมั พนั ธ์ระหว่างรฐั กับรัฐ และองค์กร นิตบิ ุคคลระหวา่ งประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศไทยไม่ได้มที ่มี าจากองค์กรนิติบญั ญตั ิดงั เช่น กฎหมายภายในของประเทศตา่ ง ๆ หากแต่มที ม่ี าจาก 1. สนธสิ ญั ญาระหวา่ งประเทศ (International treaties) เรยี กวา่ สนธสิ ญั ญาท่ี มลี กั ษณะเป็นกฎหมาย (law making treaty) มลี กั ษณะเป็นสนธสิ ญั ญาพหุภาคี เกดิ จากการท่ี รฐั หลาย ๆ รฐั ตกลงกนั ทาํ สนธสิ ญั ญาขน้ึ โดยมเี จตนาจะกาํ หนดกฎเกณฑใ์ นความสมั พนั ธ์ ขน้ึ มาใหม่ ต่อมาอาจมรี ฐั อ่นื เขา้ เป็นภาคี เช่น อนุสญั ญาสหประชาชาตวิ ่าดว้ ยกฎหมาย ทะเล 1982 อนุสญั ญากรุงเวยี นนาว่าดว้ ยเอกสทิ ธแิ์ ละความคุม้ กนั ของทูต 1961 (Vienna Convention of Diplomatic Privileges and Immunities 1961) เป็นตน้ 2. จารตี ประเพณีอนั เป็นทย่ี อมรบั และถอื ปฏบิ ตั ขิ องนานาประเทศ เช่น เร่อื ง เขตอํานาจเหนือเขตแดน เสรภี าพของทะเลหลวง เอกสทิ ธแิ์ ละความคุม้ กนั ของรฐั และสทิ ธขิ องคนต่างดา้ ว เป็นตน้ 3. หลกั กฎหมายทวั่ ไปอนั เป็นท่ยี อมรบั ของรฐั ท่มี อี ารยะ เช่น หลกั การ ทว่ี ่ารฐั อาจเรยี กค่าเสยี หายไดถ้ า้ พลเมอื งของตนเองถูกทาํ รา้ ยโดยอกี รฐั หน่ึงในลกั ษณะท่ี เป็นการละเมดิ กฎหมายระหวา่ งประเทศ 4. คําพพิ ากษาของศาลระหว่างประเทศและตําราทเ่ี ขยี น และเรยี บเรยี ง โดยผทู้ รงคุณวฒุ ทิ างกฎหมายระหวา่ งประเทศ 1.4 การบงั คบั ใช้กฎหมาย เม่อื รฐั บญั ญตั กิ ฎหมายขน้ึ มา ย่อมมขี อ้ ทจ่ี ะต้องพจิ ารณาว่า (1) กฎหมายเรมิ่ ใช้ เมอ่ื ใด (2) กฎหมายใชท้ ไ่ี หน และ (3) บคุ คลทก่ี ฎหมายใชบ้ งั คบั 1ชาญชยั แสวงศกั ดิ,์ คําอธิบายกฎหมายปกครอง (กรุงเทพมหานคร: สํานักพมิ พ์วญิ �ูชน, 2551), หน้า 35. 15 LA 102 (LW 102)

1. กฎหมายเร่ิมใช้เมือ่ ใด โดยปกตกิ ฎหมายย่อมเรม่ิ ใชเ้ ม่อื มกี ารประกาศใชใ้ นหนังสอื แจง้ ข่าวสารของ ทางราชการ สาํ หรบั ประเทศไทย มกี ารประกาศใชก้ ฎหมายในหนงั สอื ราชกจิ จานุเบกษา ซง่ึ จดั พมิ พข์ น้ึ เป็นครงั้ แรกในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี 4 เหตุผลของการท่ตี ้องประกาศในหนังสอื ราชกจิ จานุเบกษากเ็ พ่อื ใหป้ ระชาชนทราบเป็น การทวั่ ไป เพราะบุคคลย่อมไมอ่ าจแกต้ วั วา่ ไมร่ กู้ ฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในทางอาญา เป็นการบอกกล่าวลว่ งหน้าแก่ประชาชนวา่ ตงั้ แต่มกี ารประกาศใชก้ ฎหมายแลว้ สงิ่ ใดบา้ ง ทป่ี ระชาชนทําไดแ้ ละสง่ิ ใดบา้ งทป่ี ระชาชนทาํ ไมไ่ ด้ และเพ่อื ความยุตธิ รรมกฎหมายย่อม ไมม่ ผี ลยอ้ นหลงั เวน้ แต่จะเป็นไปเพอ่ื ประโยชน์แก่ประชาชน การมผี ลบงั คบั ใชก้ ฎหมายอาจมดี งั ในกรณตี ่อไปน้ี 1) มีผลบงั คบั ใช้ทนั ทีท่ีมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซ่ึงเป็นกรณี เรง่ ดว่ นเกย่ี วกบั เงนิ ตราหรอื ภาษี หรอื กรณฉี ุกเฉนิ อยา่ งยง่ิ 2) มผี ลบงั คบั ใชใ้ นวนั ถดั จากวนั ทป่ี ระกาศในราชกจิ จานุเบกษา ซ่งึ พระราช บญั ญตั ทิ วั่ ๆ ไปจะมกี ารบญั ญตั ใิ นลกั ษณะเชน่ น้ี เพอ่ื ใหป้ ระชาชนมโี อกาสทราบขอ้ ความ ของพระราชบญั ญตั นิ นั้ ๆ ลว่ งหน้าหน่ึงวนั 3) มผี ลบงั คบั ใชใ้ นวนั ทก่ี ําหนดไวใ้ นกฎหมาย เช่น ในพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ช้ ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 ซ่ึงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เม่ือวนั ท่ี 15 พฤศจกิ ายน 2499 บญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 3 ใหป้ ระมวลกฎหมายอาญาใชบ้ งั คบั ตงั้ แต่วนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2500 เป็นต้นไป ทงั้ น้ีเน่ืองจากประมวลกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายท่ี สาํ คญั จงึ กําหนดเวลาใหม้ ผี ลบงั คบั เป็นเวลายาวนานพอสมควร เพอ่ื ใหป้ ระชาชนและผมู้ ี หน้าทใ่ี ชก้ ฎหมายไดศ้ กึ ษาเป็นการลว่ งหน้า 4) กําหนดใหก้ ฎหมายมผี ลใชบ้ งั คบั โดยไม่ระบุ วนั เดอื น ปี แต่กําหนดเป็น จํานวนวนั เดอื น หรอื ปี ทจ่ี ะใหม้ ผี ลใชบ้ งั คบั หลงั จากประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เช่น พระราชบญั ญตั คิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 บญั ญตั ใิ หใ้ ชบ้ งั คบั เม่อื พน้ กําหนดหน่ึงรอ้ ย แปดสบิ วนั นับแต่วนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เป็นต้นไป พระราชบญั ญตั คิ ุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เมอ่ื วนั ท่ี 20 กุมภาพนั ธ์ 2541 จงึ เรม่ิ มี ผลใชบ้ งั คบั ในวนั ท่ี 19 สงิ หาคม 2541 16 LA 102 (LW 102)

5) กาํ หนดใหใ้ ชใ้ นอนาคตโดยไมร่ ะบุ วนั เดอื น ปี หรอื ระยะเวลาทแ่ี น่นอน แต่จะกําหนดไว้ว่าจะบงั คบั ใช้กฎหมายเม่ือใด ให้ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาหรือ กฎกระทรวง โดยกําหนดสถานทแ่ี ละวนั ทใ่ี ชบ้ งั คบั อกี ชนั้ หน่ึง เช่น พระราชบญั ญตั ปิ ฏริ ปู ทด่ี นิ เพ่อื เกษตรกรรม พ.ศ. 2518 บญั ญตั วิ ่าการปฏริ ปู ทด่ี นิ เพอ่ื เกษตรกรรมในทอ้ งถนิ่ ใด เมอ่ื ใด ใหต้ ราเป็นพระราชกฤษฎกี า เป็นตน้ 2. สถานที่ใช้กฎหมาย หลกั มีว่ากฎหมายของประเทศใด ย่อมมผี ลใช้บงั คบั ในเขตแดนท่ีตนเองมี อํานาจอธปิ ไตยเหนือเขตแดนนนั้ ดงั นนั้ กฎหมายไทยย่อมมผี ลใชบ้ งั คบั ในราชอาณาจกั รไทย ซง่ึ เป็นการแสดงใหเ้ หน็ วา่ ประเทศไทยใชห้ ลกั ดนิ แดน คาํ วา่ ราชอาณาจกั ร (ไทย) หมายถงึ 1) พน้ื แผน่ ดนิ ในประเทศไทยซง่ึ รวมถงึ แมน่ ้ํา ลาํ คลอง สว่ นการจะกําหนดวา่ บรเิ วณใดเป็นอาณาเขตประเทศไทยในกรณีทม่ี เี ขตแดนตดิ ต่อกบั ประเทศขา้ งเคยี ง กต็ อ้ ง มกี ารทาํ ขอ้ ตกลงในเรอ่ื งการปกั ปนั เขตแดนรว่ มกนั 2) ทะเลอนั เป็นอ่าวไทย ตามพระราชบญั ญตั กิ ําหนดเขตจงั หวดั ในอ่าวไทยตอน ใน พ.ศ. 2502 พน้ื ทบ่ี รเิ วณอ่าวไทยมบี างส่วนทห่ี ่างจากทะเลอาณาเขต ซง่ึ ควรจะเป็น ทะเลหลวง แต่ประเทศไทยถอื วา่ พน้ื น้ําทะเลดงั กล่าวเป็นอ่าวประวตั ศิ าสตร1์61 จงึ ไดม้ กี าร ประกาศใหเ้ ป็นเขตแดนของประเทศไทย โดยประกาศดงั กลา่ วแลว้ 3) ทะเลอนั ห่างชายฝงั่ ท่เี ป็นดนิ แดนของประเทศไทย ไม่เกนิ 12 ไมล์ทะเล หรอื เรยี กกนั วา่ ทะเลอาณาเขตของประเทศไทย 4) พน้ื อากาศเหนอื ขอ้ 1, 2 และ 3 เรอื ไทยในทะเลหลวงไม่ใชด่ นิ แดนไทย ในทํานองเดยี วกนั อากาศยานไทย ทจ่ี อดอยู่ทส่ี นามบนิ ต่างชาตกิ ไ็ ม่ใช่ดนิ แดนไทย เพยี งแต่ถ้ามกี ารกระทําความผดิ ในเรอื ไทยหรอื อากาศยานไทย ไมว่ า่ จะอยู่ ณ ทใ่ี ด ใหถ้ อื วา่ กระทาํ ในราชอาณาจกั รไทย เพอ่ื ให้ ศาลมเี ขตอาํ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดที เ่ี กดิ ในเรอื ไทยหรอื อากาศยานไทยเทา่ นนั้ สถานทูตของต่างประเทศท่ีตัง้ อยู่ในประเทศไทย เป็ นการตัง้ อยู่ใน ราชอาณาจกั รไทย เพยี งแต่สถานทตู ของต่างประเทศเหลา่ นนั้ ไดร้ บั เอกสทิ ธแิ ์ ละการคุม้ กนั 1อ่าวประวตั ศิ าสตร์ (Historical Bay) คอื อ่าวทร่ี ฐั ชายฝงั่ อา้ งสทิ ธมิ อี ํานาจเหนือโดยทร่ี ฐั ต่างประเทศ นิ่งเฉยต่อการอา้ งสทิ ธขิ องรฐั ชายฝงั่ ดู Henry Campbell Black. Black’s Law Dictionary St. Paul, Minn: West Publishing Co. 1979, p. 657. 17 LA 102 (LW 102)

ไม่ให้ผูอ้ ่นื เขา้ ไปในสถานทูต ขณะเดยี วกนั สถานทูตไทยท่ตี งั้ อยู่ต่างประเทศกไ็ ม่ถอื ว่า ตงั้ อยใู่ นราชอาณาจกั รไทย 3. บคุ คลที่กฎหมายใช้บงั คบั กฎหมายทร่ี ฐั บญั ญตั ขิ น้ึ ย่อมบงั คบั ใชก้ บั ทุกคนทอ่ี ย่ใู นราชอาณาจกั รไทย โดย ไม่จํากดั สญั ชาติ ศาสนา หรอื ภาษา ดงั นัน้ กฎหมายท่รี ฐั บญั ญตั ขิ น้ึ มาย่อมใชบ้ งั คบั กบั คนไทย หรือคนต่างด้าวท่ีอยู่ภายในราชอาณาจักรไทยเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม คนต่างดา้ วอาจไม่ไดม้ สี ทิ ธติ ่าง ๆ หรอื ไดร้ บั การปกป้องคุม้ ครองจากกฎหมายเท่าเทยี ม กบั ผมู้ สี ญั ชาตไิ ทย เชน่ คนต่างดา้ วย่อมไมม่ สี ทิ ธลิ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ คนต่างดา้ วย่อม ไม่มสี ทิ ธปิ ระกอบธุรกจิ บางประเภท เวน้ แต่จะไดร้ บั อนุญาตตามพระราชบญั ญตั วิ ่าดว้ ย การประกอบธุรกจิ ของคนต่างดา้ ว เป็นตน้ สาํ หรบั บุคคลทไ่ี ดร้ บั ยกเวน้ ทไ่ี มไ่ ดอ้ ยใู่ นบงั คบั ของกฎหมายไทย ไดแ้ ก่ บคุ คลทก่ี ลา่ วไวแ้ ลว้ ในบทท่ี 1 ทว่ี า่ ดว้ ยลกั ษณะของกฎหมาย 4. การใช้กฎหมายกบั ข้อเทจ็ จริง การใช้กฎหมายกับข้อเท็จจริง หมายถึงการปรับบทกฎหมายให้เข้ากับ ขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื คดที เ่ี กดิ ขน้ึ ถา้ เป็นคดอี าญาพนกั งานสอบสวนอาจตอ้ งนํากฎหมายไปปรบั กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าผตู้ อ้ งหากระทําความผดิ ฐานใด พนักงานอยั การกต็ อ้ งปรบั บทกฎหมาย เพอ่ื สงั่ ฟ้องจาํ เลยต่อศาล ผพู้ พิ ากษาซง่ึ มหี น้าทต่ี ดั สนิ คดี กต็ อ้ งหากฎหมายมาเพอ่ื ตดั สนิ คดี ในสว่ นคดแี พง่ นนั้ เป็นเร่อื งทเ่ี อกชนฟ้องเอกชนดว้ ยกนั โจทกต์ อ้ งหากฎหมายมาปรบั ใชก้ บั คดขี องตนว่าจะฟ้องจําเลยขอ้ หาใด ในขณะทจ่ี ําเลยกต็ อ้ งหากฎหมายเพ่อื ต่อสูค้ ดี ผูพ้ พิ ากษากต็ อ้ งคน้ หากฎหมายมาเพ่อื ตดั สนิ คดี ในการปรบั ใชก้ ฎหมาย ถ้ากฎหมายมี ความชดั เจน ผปู้ รบั ใชก้ ฎหมายกไ็ ม่จําเป็นตอ้ งตคี วาม หากกฎหมายมคี วามหมายไมช่ ดั เจน หรอื กํากวม หรอื มคี วามหมายหลายนยั ผปู้ รบั ใชก้ ฎหมายกจ็ ําเป็นตอ้ งตคี วามกฎหมาย เสยี กอ่ นเพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามหมายทถ่ี กู ตอ้ ง ซง่ึ จะไดก้ ลา่ วในบทต่อไป ในการใชก้ ฎหมายกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ กรณปี กตมิ หี ลกั เกณฑด์ งั น้ี 1. ต้องพจิ ารณาว่าขอ้ เท็จจรงิ เป็นเร่อื งอะไร กล่าวคอื เม่อื มกี ารกระทําหรอื เหตุการณ์เกิดข้นึ ก็ต้องพิจารณาว่าการกระทําหรือเหตุการณ์ท่ีเกิดควรจะเป็นเร่ือง อะไรบ้าง เช่น การท่ีนายแดงไปทําร้ายนายเขยี วจนได้รบั อนั ตรายแก่กายหรือจิตใจ ซง่ึ เป็นละเมดิ ในทางแพง่ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 420 ขณะเดยี วกนั กเ็ ป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 18 LA 102 (LW 102)

2. ต้องพจิ ารณาว่าตวั บทกฎหมายในเร่อื งนัน้ ๆ มวี ่าอย่างไร เม่อื ทราบว่ามี ขอ้ เทจ็ จรงิ อย่างไร ตามขอ้ 1 แลว้ กต็ อ้ งพจิ ารณาว่าตวั บทกฎหมายทจ่ี ะนํามาปรบั ใชม้ วี ่า อย่างไร ซ่งึ จะทราบจากการศกึ ษาตวั บทกฎหมาย และคําอธบิ ายกฎหมาย ดงั นนั้ การท่ี นายแดงทําร้ายนายเขยี วจนได้รบั อนั ตรายแก่กายหรอื จิตใจ ในทางแพ่งย่อมเป็นการ ละเมดิ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 420 ซง่ึ บญั ญตั วิ า่ “ผใู้ ดกระทาํ โดย จงใจ ฤๅประมาทเลินเล่อ ทําต่อผู้อ่ืนโดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี รา่ งกายกด็ ี อนามยั กด็ ี เสรภี าพกด็ ี ทรพั ยส์ นิ ฤๅสทิ ธอิ ยา่ งหน่ึงอย่างใดกด็ ี ทา่ นวา่ ผนู้ นั้ ทํา ละเมดิ จาํ ตอ้ งใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนเพอ่ื การนนั้ ” ส่วนความผดิ ทางอาญาย่อมจะเป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ซ่งึ บญั ญตั วิ ่า “ผูใ้ ดทํารา้ ยผูอ้ ่นื จนเป็นเหตุให้เกดิ อนั ตรายแก่กายหรอื จติ ใจ ของผอู้ ่นื นนั้ ผนู้ นั้ กระทาํ ความผดิ ฐานทาํ รา้ ยรา่ งกาย ตอ้ งระวางโทษ.....” 3. ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตอ้ งเขา้ หลกั เกณฑห์ รอื องคป์ ระกอบของกฎหมาย เม่อื ทราบหลกั เกณฑห์ รอื องคป์ ระกอบของกฎหมายในเร่อื งนัน้ แลว้ กต็ อ้ ง นําขอ้ เทจ็ จรงิ ไปปรบั กบั หลกั เกณฑห์ รอื องคป์ ระกอบของกฎหมายดงั กล่าว ดงั ตวั อย่าง ขา้ งตน้ ในทางแพ่งกต็ ้องดูมกี ารกระทํารา้ ยผูอ้ ่นื โดยจงใจหรอื ไม่ หรอื ในทางอาญาเร่อื ง ความผดิ ฐานทําร้ายร่างกายก็ต้องดูว่า มกี ารทําร้ายผู้อ่ืนจนได้รบั อนั ตรายแก่กายหรอื จติ ใจโดยเจตนาหรอื ไม่ อนั เป็นองคป์ ระกอบของความผดิ ฐานทาํ รา้ ยรา่ งกาย 4. เม่อื นําขอ้ เทจ็ จรงิ มาปรบั เขา้ กบั หลกั เกณฑห์ รอื องคป์ ระกอบของกฎหมาย ในเร่อื งนัน้ ๆ แล้ว หากปรากฏว่าขอ้ เทจ็ จรงิ เขา้ ได้กบั หลกั เกณฑ์หรอื องค์ประกอบของ กฎหมายไดค้ รบถ้วนบรบิ ูรณ์ เรากจ็ ะไดผ้ ลลพั ธห์ รอื คําตอบทต่ี อ้ งการ เช่น ตามตวั อย่าง ในข้อก่อนหน้าน้ีในทางแพ่ง นายแดงย่อมมีความผิดฐานทําละเมิดต่อนายเขยี วตาม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 420 ในทางอาญา นายแดงย่อมมคี วามผดิ ฐาน ทาํ รา้ ยรา่ งกายนายเขยี ว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 การทบ่ี ุคคลใดจะสามารถใชก้ ฎหมายแก่ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง บุคคล นนั้ กต็ อ้ งสามารถกลนั่ กรองขอ้ เทจ็ จรงิ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งว่าเป็นเร่อื งอะไร และตอ้ งมคี วามรู้ เร่ืองหลักเกณฑ์ของกฎหมายหรือองค์ประกอบของกฎหมายท่ีจะนํามาปรับใช้กับ ขอ้ เทจ็ จรงิ เป็นอยา่ งดี จงึ สามารถนําเอากฎหมายไปปรบั ใชก้ บั ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง LA 102 (LW 102) 19

บทท่ี 2 วิวฒั นาการแห่งกฎหมาย ดงั ไดก้ ล่าวมาแลว้ ในบทท่ี 1 วา่ กฎหมายยอ่ มเกดิ มาพรอ้ มกบั การทม่ี นุษยอ์ ยรู่ วมกนั ใน ชุมชน เพ่อื ใหช้ ุมชนอยู่กนั อย่างสงบสุข และใหก้ ารเยยี วยาแก่ผูเ้ สยี หายเน่ืองจากการถูกทํา ละเมดิ ในการน้ีชุมชนย่อมต้องมกี ารวางกฎเกณฑ์ว่าสง่ิ ใดบ้างท่ผี ูอ้ ยู่ในชุมชนสามารถทําได้ และสง่ิ ใดบา้ งทผ่ี อู้ ยใู่ นชุมชนไมส่ ามารถทาํ ได้ ขอ้ ปฏบิ ตั ติ ่าง ๆ เหล่าน้ีไดม้ กี ารถ่ายทอดจากคน รุ่นหน่ึงสู่คนอีกรุ่นจนเป็นการถือปฏิบตั ิกนั มาเป็นเวลาอนั ยาวนาน ซ่ึงเราเรียกกันว่า กฎหมายจารตี ประเพณี (customary law)1 เม่อื มนุษย์สามารถคดิ ค้นตวั อกั ษรได้ จงึ นําเอากฎหมายจารตี ประเพณีมาบญั ญตั ไิ วเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความแน่นอน และชดั เจน เรยี กกนั ว่า กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร (written law) สําหรบั กฎหมายจารตี ประเพณีสมยั โบราณมวี ่าอย่างไรนัน้ กล่าวกนั ว่าผู้คนได้ลืมกนั ไปหมดแล้ว หรอื นํามา บญั ญตั ไิ วเ้ ป็น ลายลกั ษณ์อกั ษรแลว้ จงึ เป็นการยากทจ่ี ะกล่าวกนั วา่ กฎหมายเรอ่ื งนนั้ ๆ มที ม่ี าจากจารตี ประเพณใี ดบา้ ง 2.1 กฎหมายยคุ โบราณ สําหรบั กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรท่เี ก่าท่สี ุดน่าจะได้แก่ ประมวลกฎหมายของ กษตั รยิ ฮ์ มั มรู าบี (King Hammurabi) (1792-1750 B.C.) แหง่ อาณาจกั รบาบโิ ลน ซง่ึ สลกั ลงไปในแทง่ ศลิ าไดโอไรท์ (diorite) ดว้ ยอกั ษรลมิ่ (cuneiform) ในประมวลกฎหมายของ กษัตริย์ฮมั มูราบีซ่ึงกล่าวกนั ว่าเป็นการนําเอากฎหมายจารตี ประเพณีมาบญั ญัติเป็น ลายลกั ษณ์อกั ษร หลกั กฎหมายท่มี ชี ่อื เสยี งท่สี ุดของกษตั รยิ ์ฮมั มูราบี ได้แก่ กฎหมาย เกย่ี วกบั การลงโทษระบบตาต่อตา ฟนั ต่อฟนั (an eye for an eye, a tooth for a tooth) 1ศาสตราจารยห์ ยุด แสงอุทยั ไดอ้ ธบิ ายวา่ กฎหมายจารตี ประเพณีเป็นกฎหมายท่ไี มไ่ ดเ้ ป็นลาย ลกั ษณ์อกั ษร แต่เป็นกฎหมายท่รี าษฎรรูส้ กึ กนั ทวั่ ไปว่าเป็นกฎหมายและรฐั ได้ใชข้ อ้ บงั คบั เช่นว่าน้ีเสมอื น กฎหมายในลกั ษณะเดยี วกนั ตลอดมา ดหู ยดุ แสงอุทยั , เรอ่ื งเดมิ , หน้า 71. 21 LA 102 (LW 102)

หรอื ทร่ี จู้ กั กนั ดใี นชอ่ื วา่ Lex talionis เป็นการลงโทษผกู้ ระทาํ ความผดิ ในลกั ษณะเดยี วกนั กบั ทก่ี ระทาํ กบั ผอู้ น่ื ในส่วนของกฎหมายเอกชนนัน้ ในศลิ าจารกึ ของกษตั รยิ ์ฮมั มูราบี มกี ฎหมายว่า ด้วยการเช่าท่ีดิน การเช่าอาคารส่ิงปลูกสร้าง การเช่าปศุสตั ว์ มีกฎหมายครอบครวั กฎหมายว่าด้วยสญั ญา มหี ลกั ว่าด้วยเสรภี าพในการแสดงเจตนา การซ้อื ขายทรพั ย์ใช้ หลกั ผซู้ อ้ื พงึ ระวงั (caveat emptor) กฎหมายท่ีมีความเก่าแก่รองลงมาจากกฎหมายของกษัตริย์ฮมั มูราบี ได้แก่ กฎหมายของโมเสส ซง่ึ อยใู่ นชว่ งประมาณศตวรรษท่ี 16 ถงึ ศตวรรษท่ี 13 ก่อนครสิ ตกาล กฎหมายของโมเสสเป็นทงั้ คาํ สอนในทางศาสนาและเป็นบทบญั ญตั ทิ างกฎหมายพน้ื ฐาน ในโลกตะวนั ตกท่ีนับถือศาสนาครสิ ต์ในปจั จุบนั บทบญั ญตั ิของโมเสสท่มี ลี กั ษณะเป็น กฎหมาย เช่น ความผดิ ฐานฆ่าคนตาย ความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ และความผดิ ฐานกระทําชู้ เป็นตน้ 2.2 วิวฒั นาการกฎหมายโรมนั กฎหมายในอดตี กาลทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อกฎหมายปจั จบุ นั ในภาคพน้ื ยุโรป ในอเมรกิ าใต้ และบางประเทศในภาคพน้ื เอเชยี น่าจะไดแ้ กก่ ฎหมายโรมนั กฎหมายโรมนั ถอื กาํ เนิดขน้ึ ในอาณาจกั รโรมนั เมอ่ื ปี 753 ก่อนครสิ ตกาล แบง่ การ ปกครองออกเป็นสามยุค คอื ยุคทห่ี น่ึง ไดแ้ ก่ ยุคกษตั รยิ ์ (Regal period) ตงั้ แต่ปี 753- 509 ก่อนครสิ ตกาล ยุคทส่ี อง ไดแ้ ก่ ยุคสาธารณรฐั (Republic period) ตงั้ แต่ปี 509 ถงึ ปี 27 กอ่ นครสิ ตกาล และยุคทส่ี าม ไดแ้ ก่ ยุคจกั รวรรดิ์ (Imperial period) ตงั้ แต่ปีท่ี 27 ก่อน ครสิ ตศกั ราชถงึ ปีครสิ ตศกั ราชท่ี 565 1. การประมวลกฎหมาย 12 โตะ๊ พวกโรมนั มกี ารประมวลกฎหมายเป็นครงั้ แรกในยุคสาธารณรฐั เม่อื ปี 451 ก่อนครสิ ตกาล สาเหตุหลกั ของการประมวลกฎหมายกเ็ น่ืองจากมกี ารขดั แยง้ กนั ระหว่าง ชนชนั้ โดยในอาณาจกั รโรมนั ขณะนัน้ มกี ารแบ่งประชาชนออกเป็นสองชนชนั้ คอื กลุ่ม หน่ึงเรยี กกนั ว่าพวกพาทรเี ซียน (Patrician) ซ่งึ เป็นชนั้ ปกครองกบั อกี กลุ่มหน่ึงซ่งึ เป็น พวกสามญั ชน เรยี กกนั วา่ พวกเพลบเบยี น (Plebeian) ซง่ึ ไดแ้ ก่ พวกพอ่ คา้ วานิช ชา่ งฝีมอื 22 LA 102 (LW 102)

เกษตรกร เป็นต้น นอกจากน้ีบางตํารายังมีการกล่าวว่ามีชนชนั้ ท่ีสามซ่ึงได้แก่พวก ไคลเอนท์ (Client) พวกไคลเอนทเ์ ป็นพวกทล่ี ภ้ี ยั จากสงครามและอพยพมาพง่ึ พาอาศยั อยู่ กับชนชนั้ สูง ในลักษณะท่ีชนชนั้ สูงเป็นผู้ให้ความอุปการะโดยมอบท่ีดินให้แก่พวก ไคลเอนทท์ าํ กนิ พวกชนชนั้ สงู เทา่ นนั้ ทส่ี ามารถดาํ รงตาํ แหน่งทางการปกครอง การแต่งงานกนั ระหว่างคนต่างชนชนั้ เป็นสงิ่ ทต่ี อ้ งหา้ ม11 แต่สง่ิ สาํ คญั ทส่ี ุดคอื การทช่ี นชนั้ สงู แต่เพยี งกลุ่ม เดยี วเท่านนั้ ทผ่ี กู ขาดความรเู้ ร่อื งกฎหมาย เป็นเหตุใหพ้ วกสามญั ชนไม่ทราบว่าตนเองมี สทิ ธแิ ละหน้าทต่ี ามกฎหมายอย่างไรบา้ ง พวกสามญั ชนจงึ ไดม้ กี ารพยายามเรยี กรอ้ งให้ พวกชนชนั้ สูงตรากฎหมายออกเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ซง่ึ พวกชนชนั้ สูงกพ็ ยายามบ่ายเบย่ี ง เพราะไมต่ อ้ งการใหพ้ วกสามญั ชนมคี วามรเู้ รอ่ื งของกฎหมาย จนในทส่ี ดุ พวกสามญั ชนได้ กล่าวแก่พวกชนชนั้ สูงว่าหากไม่มีการบญั ญัติกฎหมายออกมาเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร พวกตนเองจะอพยพจากกรุงโรมทัง้ หมด พวกชนชัน้ สูงจึงได้ยอมจํานน โดยมีการตัง้ คณะกรรมการชุดหน่ึงจํานวน 10 คน ในปี 451 ก่อนคริสตกาล เพ่ือจัดการรวบรวม กฎหมายทงั้ หลายเขยี นลงในแผน่ ทองบรอนซ์ จาํ นวน 10 แผน่ แต่มกี ารเหน็ วา่ กฎหมายท่ี รวบรวมไวย้ งั ไมค่ รบถว้ น ในปี 450 กอ่ นครสิ ตกาล จงึ มกี ารตงั้ คณะกรรมการขน้ึ มาอกี ชุดหน่ึง จํานวน 10 คน จดั การรวบรวมกฎหมายเพมิ่ ขน้ึ มาเขยี นลงในแผ่นทองบรอนซ์ (bronze) อกี 2 แผ่น รวมเป็น 12 แผ่น ซง่ึ ต่อมาชอ่ื เรยี กวา่ กฎหมาย 12 โต๊ะ (the law of the twelve tables)2 กฎหมาย 12 โต๊ะ ประกอบดว้ ย 1. โต๊ะท่ี 1, 2 และ 3 วธิ พี จิ ารณาความแพง่ และการบงั คบั คดี 2. โต๊ะท่ี 4 อาํ นาจการปกครอง 3. โต๊ะท่ี 5, 6 และ 7 ความอนุบาล มรดกและทรพั ยส์ นิ 4. โต๊ะท่ี 8 กฎหมายอาญา 5. โต๊ะท่ี 9 กฎหมายมหาชน 6. โต๊ะ 10 กฎหมายเกย่ี วกบั สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ 7. โต๊ะท่ี 11 และ 12 กฎหมายเพมิ่ เตมิ 1Tellegen-Couperus, Olga, A Short History of Roman Law (London: Clays Ltd., St. Ivas Plc.), p. 7. 2คาํ วา่ กฎหมาย 12 โต๊ะ น่าจะมาจากการสกึ กรอ่ นของภาษา จากคาํ วา่ tablet เป็น table คอื ตวั t ทา้ ยคาํ กวา่ tablet หายไป เป็นการเขยี นลงในวสั ดุโลหะสเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ไมใ่ ชเ่ ขยี นลงบนโต๊ะ 23 LA 102 (LW 102)

การบญั ญตั กิ ฎหมาย 12 โต๊ะ นบั ว่าเป็นความพยายามของชาวโรมนั ทจ่ี ะวาง กฎเกณฑข์ องสงั คมอย่างละเอยี ด และกฎหมาย 12 โต๊ะ ดํารงความสาํ คญั เป็นเวลากว่า 1000 ปี จวบจนกระทงั่ สมยั จกั รพรรดจิ สั ติเนียนจงึ ประสบความสําเรจ็ ในการประมวล กฎหมายครงั้ ใหม่ 2. การประมวลกฎหมายของจกั รพรรดิจสั ติเนียน เม่ือจักรพรรดิจัสติเนียนได้ปกครองอาณาจักรโรมนั ตะวนั ออกอยู่ท่ีเมือง คอนสแตนตโิ นเปิล (Constantinople) เมอ่ื วนั ท่ี 1 เมษายน ค.ศ.527 กไ็ ดม้ ุ่งทจ่ี ะฟ้ืนฟู อาณาจกั รโรมนั ใหก้ ลบั มาอยู่ภายใต้การปกครองของจกั รพรรดอิ งค์เดยี วกนั อยู่ภายใต้ กฎหมายและศาสนาเดยี วกนั พระองคจ์ งึ ไดใ้ ชก้ ําลงั ทหารยดึ ครองดนิ แดนบางสว่ นคนื จาก เผ่าชนเยอรมนั ผูร้ ุกราน ไดแ้ ก่ดนิ แดนอฟั รกิ าเหนือ อติ าลแี ละภาคใตข้ องสเปนบางส่วน ทรงใหส้ รา้ งวหิ ารเซนตโ์ ซเฟียใหเ้ ป็นโบสถท์ ใ่ี หญ่ทส่ี ดุ ในศาสนจกั รและเป็นสญั ลกั ษณ์แห่ง ความเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ของจกั รวรรดกิ บั ฝ่ายศาสนา ทา้ ยทส่ี ุดจกั รพรรดจิ สั ตเิ นียน ใหด้ าํ เนินการประมวลกฎหมายใหมท่ งั้ หมด การประมวลกฎหมายของจกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนถอื ว่าเป็นผลงานทย่ี งิ่ ใหญ่และ ดํารงความสาํ คญั ตลอดมา ความสําเรจ็ ครงั้ น้ีเกดิ จากการทไ่ี ดม้ กี ารศกึ ษาและตระเตรยี ม งานของจกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนและทรโิ บเนียน (Tribonianus) ราชเลขาธกิ ารทม่ี หี น้าท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั เร่อื งของกฎหมายโดยตรงเป็นเวลาหลายปี การประมวลกฎหมายครงั้ น้ีใช้ เวลาทงั้ หมดประมาณ 7 ปี กล่าวคอื ตงั้ แต่ ค.ศ.528 ถึง ค.ศ.534 ผลงานท่เี กดิ จากการ ประมวลกฎหมายครงั้ น้ีไดช้ อ่ื ในภายหลงั วา่ Corpus Juris Civlis1 วตั ถุประสงคข์ องการประมวลกฎหมายครงั้ น้ีกเ็ พอ่ื มุ่งใหก้ ฎหมายทงั้ ทบ่ี ญั ญตั ิ ไวเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษรและไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ วเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษรใหม้ ผี ลใชบ้ งั คบั เสมอกนั นอกจากน้ียังอาจใช้เป็นตํารบั ตําราสําหรบั ให้นักศึกษาไว้ศึกษาด้วย กฎหมายท่ีจัด รวบรวมใหม่น้ีมผี ลใชบ้ งั คบั แทนกฎหมายท่มี อี ยู่เดมิ ทงั้ หมดและให้ถือว่าเป็นท่มี าแห่ง กฎหมายทงั้ ปวง ดว้ ยเหตุน้ีจงึ ทําให้กฎหมายโรมนั มรี ูปแบบเดยี วกนั ตลอดทวั่ จกั รวรรดิ ์ แทนกฎหมายเดมิ ทม่ี อี ยอู่ ยา่ งมากมายและสบั สนยงิ่ 1Corpus Juris Civils แปลเป็นภาษาองั กฤษวา่ Body of Civil Law หรอื แปลเป็นภาษาไทยวา่ ประมวลกฎหมายแพง่ 24 LA 102 (LW 102)

การประมวลกฎหมายของจกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนประกอบดว้ ย 1. Code ในปี ค.ศ. 528 จกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนสงั่ ใหป้ ระมวลตวั บทกฎหมาย ทงั้ หมดทม่ี อี ยู่ โดยตงั้ คณะกรรมการขน้ึ มาจาํ นวน 10 คน โดยมที รโิ บเนียนและศาสตราจารย์ ทางกฎหมายรวมอย่ดู ว้ ย คณะกรรมการจะตอ้ งตรวจสอบตวั บทกฎหมายตงั้ แต่ยุคกษตั รยิ ์ และกฎหมายทส่ี ภาต่าง ๆ ตราขน้ึ มาจนกระทงั่ ถงึ กฎหมายทจ่ี กั รพรรดจิ สั ตเิ นียนบญั ญตั ิ ขน้ึ มาเอง ความจรงิ กฎหมายทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ มาก่อนยุคจกั รวรรดนิ นั้ เมอ่ื มาถงึ สมยั จกั รพรรดิ จสั ตเิ นยี นกค็ งลา้ สมยั เสยี แลว้ หรอื มฉิ ะนนั้ กค็ งไดน้ ํามาบญั ญตั ไิ วใ้ นกฎหมายยุคจกั รวรรดิ์ หรอื มอี ยู่แลว้ ในขอ้ เขยี นของนักกฎหมายในภายหลงั นอกจากน้ียงั มบี ทบญั ญตั ทิ ต่ี ราขน้ึ ในสมยั จกั รพรรดธิ โี อโดซอี ุสอกี ดว้ ย คณะกรรมการทร่ี วบรวมกฎหมายน้ีไดร้ บั มอบอํานาจ ให้ตดั ข้อความท่ีเห็นว่าฟุ่มเฟือยเกินไปและยงั ได้รบั อํานาจให้ขจดั ข้อแย้งของตวั บท กฎหมายดว้ ย การรวบรวมกฎหมายครงั้ น้ีกระทาํ สาํ เรจ็ ในปี ค.ศ.529 จกั รพรรดจิ สั ตเิ นียน ประกาศใชเ้ ป็นกฎหมายแทนกฎหมายทงั้ หมดทเ่ี คยมอี ยู่เดมิ และใหถ้ อื ว่าเป็นแหล่งทม่ี า ของกฎหมายโรมนั อย่างไรกต็ าม การบญั ญตั กิ ฎหมายไม่ไดห้ ยุดยงั้ อยู่เพยี งเท่าน้ี หลงั จากท่ี ไดป้ ระกาศใช้ Code น้ีแลว้ จกั รพรรดเิ นียนกไ็ ดต้ รากฤษฎกี าของจกั รพรรดเิ พม่ิ เตมิ ขน้ึ มา ใหม่โดยมุ่งทจ่ี ะหาขอ้ ยุตแิ ก่ปญั หาขอ้ กฎหมายซ่งึ ยงั เป็นท่ถี กเถยี งกนั อยู่ คําวนิ ิจฉัยขอ้ กฎหมายเหลา่ น้ีรวมเรยี กวา่ Quinquaginta Decisiones (Fifty Decisions) ซง่ึ แปลว่า “คาํ วนิ ิจฉยั ทงั้ 50” เมอ่ื มกี ารจดั ทาํ Digest หรอื Pandect ทาํ ให้ Code ลา้ สมยั ไปภายใน เวลาเพยี ง 5 ปี จงึ จําเป็นต้องแก้ไขและประกาศใชใ้ หม่ เม่อื วนั ท่ี 16 มถิ ุนายน ค.ศ.534 การรวบรวม Code ครงั้ ใหมน่ ้ีเรยี กวา่ Codex Justinianus Repetitae Praelectiones หรอื เรยี กเป็นภาษาองั กฤษวา่ Justinian’s Code of Resumed Reading 2. Digest หรอื Pandectae1 สว่ นน้ีเป็นสว่ นสาํ คญั ทส่ี ดุ ในการรวบรวมกฎหมาย ของจกั รพรรดจิ สั ตเิ นียน เป็นการรวบรวมกฎหมายทไ่ี มไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ วเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร (jus) ซง่ึ ไดแ้ ก่ขอ้ เขยี นของนกั กฎหมายต่าง ๆ จกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนไดต้ งั้ คณะกรรมการ ขน้ึ มาชดุ หน่ึงในเดอื นธนั วาคม ค.ศ. 530 มที รโิ บเนียนเป็นประธาน โดยมวี ตั ถุประสงคท์ ่ี จะลดจาํ นวนขอ้ เขยี นเหลา่ น้ีลงและจดั ใหเ้ ป็นระเบยี บทาํ นองเดยี วกบั Code ขอ้ เขยี นทาง 1Digest เป็นคาํ ในภาษาลาตนิ แปลวา่ การจดั อยา่ งมรี ะบบ Pandectae เป็นคาํ ในภาษากรกี แปลวา่ หนงั สอื ทม่ี ที ุกเรอ่ื ง 25 LA 102 (LW 102)

กฎหมายสว่ นใหญ่เหล่าน้ีมกั จะเป็นของนกั กฎหมายในยุคคลาสสกิ คอื ตงั้ แต่ปี 100 ก่อน ครสิ ตกาลจนถงึ กลางครสิ ตวรรษทส่ี าม คณะกรรมการรวบรวมน้ีกล่าวอา้ งวา่ ไดต้ รวจสอบ หนงั สอื จํานวนถงึ 2000 เล่ม แต่นํามารวบเรยี งเรยี บเรยี งใหม่ เหลอื เพยี ง 50 เล่ม โดย แบ่งออกเป็นลกั ษณะต่าง ๆ ส่วนขอ้ ความทค่ี ดั ลอกเอามานนั้ ไดร้ ะบุช่อื ผูแ้ ต่ง ช่อื หนังสอื และลําดบั เล่มของหนังสอื ไวด้ ้วย เน่ืองจากจํานวนหนังสอื ท่ใี ชใ้ นการเรยี บเรยี ง Digest หรอื Pandectae มจี ํานวนมาก จงึ อาจเป็นไปไดว้ ่ามกี ารแบ่งคณะกรรมการรวบรวม ออกเป็นกลุ่ม ๆ ไปเรยี บเรยี งมาก่อน และนํามารวมต่อกนั ในภายหลงั กไ็ ด้ จสั ตเิ นียนได้ จดั พมิ พเ์ ผยแพรแ่ ละประกาศให้ Digest หรอื Pandectae มผี ลใชบ้ งั คบั เป็นกฎหมายเมอ่ื เดอื นธนั วาคม ค.ศ.533 ตงั้ แต่เมอ่ื ไดป้ ระกาศใช้ Digest หรอื Pandectae แลว้ ทาํ ใหม้ ผี ล เป็นทม่ี าแห่งกฎหมายทไ่ี ม่ไดบ้ ญั ญตั ไิ วเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร และจกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนยงั ไดห้ า้ มมใิ หอ้ า้ งองิ ถงึ หนงั สอื ทม่ี กี ่อน Digest หรอื Pandectae อกี ต่อไป ทงั้ น้ีเพราะเหน็ วา่ ขอ้ ความทด่ี ที ส่ี ุดและทถ่ี ูกตอ้ งทส่ี ุดแห่งกฎหมายทม่ี ไิ ดบ้ ญั ญตั ไิ วเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษรได้ นํามาบรรจไุ วใ้ น Digest หรอื Pandect แลว้ 3. Institutes จกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนมคี วามเหน็ วา่ การทจ่ี ะศกึ ษา Digest ให้ ไดผ้ ลดนี นั้ จะตอ้ งรหู้ ลกั เบอ้ื งตน้ ของระบบกฎหมายเสยี ก่อน จงึ จดั ตงั้ คณะกรรมการพเิ ศษ ขน้ึ มาชดุ หน่ึงใหม้ หี น้าทจ่ี ดั ทาํ ตาํ รากฎหมายโดยยอ่ เพอ่ื การน้ี ตําราน้ีพมิ พข์ น้ึ เมอ่ื วนั ท่ี 21 พฤศจกิ ายน ค.ศ.533 และมผี ลใชบ้ งั คบั เมอ่ื วนั ท่ี 31 ธนั วาคม ค.ศ.533 พรอ้ มกบั Digest กบั Pandect, Institutes มลี กั ษณะเป็นการเรยี บเรยี งคาํ สอนทางกฎหมายเหมอื นตํารา เล่มอ่นื ๆ เชน่ คาํ สอนของไกอสั (Gaius) เป็นตน้ Institutes มขี อ้ แตกต่างกบั Digest ใน ขอ้ ทว่ี ่า Institutes ไมไ่ ดร้ ะบุทม่ี าของขอ้ ความทค่ี ดั ลอกมา แต่กเ็ ป็นทเ่ี หน็ ไดว้ า่ ขอ้ ความ สว่ นใหญ่ของ Institutes ไดม้ าจากตํารากฎหมายของไกอสั (Gaius) นอกจากน้ีการแบ่ง กฎหมายออกเป็นสามสว่ นวา่ มเี รอ่ื งบุคคล ทรพั ย์ และการฟ้องคดคี วาม กไ็ ดแ้ บบอยา่ งมา จากไกอสั ดว้ ย 4. Novels ความจรงิ การประมวลกฎหมายไดส้ าํ เรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ แต่การ บัญญัติกฤษฎีกาของจักรพรรดิก็ยังคงดําเนินต่อมาเร่ือย ๆ จกั รพรรดิจสั ติเนียนได้ วางโครงการทจ่ี ะรวบรวมกฤษฎกี าเหล่าน้ีเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั เรยี กวา่ Novellae Constitutiones หรอื Novels แต่โครงการน้ีไม่เคยไดท้ ําเลย ทพ่ี บเหน็ ในปจั จุบนั เป็นการรวบรวมอย่าง ไมเ่ ป็นทางการ แต่กน็ บั เน่ืองเป็นสว่ นหน่ึงของ Corpus Juris Civilis กฎหมายทร่ี วบรวม 26 LA 102 (LW 102)

ไวใ้ น Novels สว่ นใหญ่จะเกย่ี วกบั กฎหมายมหาชน หรอื เรอ่ื งของฝา่ ยศาสนา แต่กม็ บี างสว่ น ทเ่ี ป็นการปฏริ ปู กฎหมายเอกชนโดยเฉพาะทเ่ี กย่ี วกบั กฎหมายครอบครวั และมรดก 3. การสืบทอดกฎหมายโรมนั ส่โู ลกสมยั ใหม่ นบั ตงั้ แต่จกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนไดป้ ระมวลกฎหมายโรมนั ทร่ี วมเรยี กในภายหลงั ว่า Copus Juris Civilis แลว้ กไ็ ดม้ กี ารใชก้ ฎหมายน้ีในโรมนั ตะวนั ออกสบื ทอดมา จนกระทงั่ กรงุ คอนสแตนตโิ นเปิลตกอยใู่ นอาํ นาจของพวกเตอรก์ ในปี ค.ศ.1453 จกั รพรรดิ จสั ตเิ นียนทรงห้ามมใิ ห้เขยี นคําอธบิ ายกฎหมายใดๆ ทงั้ สน้ิ ทงั้ น้ีเพ่อื ป้องกนั ไม่ให้มขี อ้ ขดั แยง้ กนั ในภายหลงั แต่มขี อ้ ยกเวน้ อยู่ 2 ประการคอื ไมห่ า้ มการทาํ ดชั นีและการสรุปยอ่ ขอ้ ความกฎหมายของแต่ละหน้า ทา้ ยทส่ี ดุ ขอ้ หา้ มของจกั รพรรดจิ สั ตเิ นียนกถ็ ูกละเลยโดย ปรยิ ายเมอ่ื มกี ารเรยี บเรยี งกฎหมายทม่ี อี ย่ใู น Code, Digest และ Novels เสยี ใหม่เป็น ภาษากรกี ใหส้ นั้ และง่ายอยู่ในเล่มเดยี วกนั เรยี กว่า Basilica จกั รพรรดลิ โิ อ (Emperor Leo the Wise)1 ไดน้ ํามาประกาศใชเ้ ป็นกฎหมาย จงึ ทาํ ใหก้ ฎหมายโรมนั ใชก้ นั ต่อมาจนปี ค.ศ. 1453 นอกจากน้ียงั มคี มู่ อื กฎหมายทเ่ี รยี บเรยี งโดยผพู้ พิ ากษาแห่งเมอื งซาโลนิกา (Salonica) ในปี ค.ศ.1345 ซง่ึ กลา่ วกนั วา่ เป็นหลกั กฎหมายของประเทศกรกี จนกระทงั่ ถูก ยกเลกิ ไปเมอ่ื มกี ารประกาศใชป้ ระมวลกฎหมายแพง่ ในปี ค.ศ.1946 สาํ หรบั ในจกั รวรรดโิ รมนั ตะวนั ตกนัน้ เม่อื จกั รวรรดติ กอยู่ในอํานาจของพวก อนารยชนแล้ว ชาวโรมนั ทางใต้ซ่งึ ได้แก่พวกท่อี ยู่ทางใต้ของฝรงั่ เศส สเปน และอติ าลี กถ็ ูกปกครองโดยกฎหมายโรมนั ผสมกบั กฎหมายเผ่าชนของพวกอนารยชน ไดแ้ ก่ Lex Romana Visigothorum สว่ น Code, Institutes และ Novels กเ็ ป็นทร่ี จู้ กั สบื ต่อมาบา้ งใน อติ าลี สาํ หรบั Digest นนั้ ผคู้ นไดล้ มื หมดเสยี แลว้ ในทางตอนเหนือของยุโรปไม่ปรากฏ รอ่ งรอยของกฎหมายโรมนั เหลอื อยเู่ ลย อทิ ธพิ ลของกฎหมายโรมนั เรมิ่ มขี น้ึ อกี ครงั้ หน่ึงเม่อื มกี ารฟ้ืนฟูการศกึ ษาใน ศตวรรษท่ี 11 บุคคลทส่ี ําคญั ทส่ี ุดไดแ้ ก่ เออรน์ ีไรอุส (Irnerius) ซ่งึ มชี วี ติ อยู่ประมาณ ปี ค.ศ.1055-1130 ไดท้ ําการศกึ ษาและสงั่ สอนกฎหมายโรมนั ตามทป่ี รากฏใน Corpus Juris Civilis ชนิดบทต่อบททเ่ี มอื งโบโลนญา (Bologna) ประเทศอติ าลี การศกึ ษา กฎหมายใชว้ ธิ ที ําคําอธบิ ายไวต้ ามขอบกระดาษ หรอื เขยี นคําแปลคําอธบิ ายไวร้ ะหว่าง 1Emperor Leo the Wise 886-911. 27 LA 102 (LW 102)

บรรทดั ของตวั บทกฎหมาย มกี ารอา้ งองิ ถงึ ซง่ึ กนั และกนั และขจดั ขอ้ ขดั แยง้ ของกฎหมาย เพราะมฉิ ะนัน้ แลว้ จะไม่สามารถนําไปใชไ้ ดเ้ ลย กลุ่มเออรน์ ีไรอุส (Irnerius) ไดช้ ่อื ใน ภายหลงั วา่ พวกกลอสเซเตอร์ (Glossator) กลา่ วกนั วา่ มนี กั ศกึ ษาถงึ จาํ นวน 10,000 คนมาจากทุกเมอื งของประเทศต่างๆ ในยโุ รปมาศกึ ษากฎหมายโรมนั ทเ่ี มอื งโบโลนญา (Bologna) ในประเทศอติ าลี ในศตวรรษ ท่ี 12 การศกึ ษาไดแ้ ผข่ ยายไปยงั มหาวทิ ยาลยั ต่าง ๆ ทก่ี ่อตงั้ ขน้ึ ทงั้ ในประเทศอติ าลแี ละท่ี อ่นื ๆ ในประเทศองั กฤษมกี ารสอนกฎหมายโรมนั ในมหาวทิ ยาลยั อ๊อกฟอรด์ ตงั้ แต่กลาง ศตวรรษท่ี 12 เอคเคอรซ์ อิ ุส (Accursius) ซ่งึ อยู่ในกลุ่มกลอสเซเตอรไ์ ด้รวบรวมเอา คาํ อธบิ ายและคาํ แปลมาเรยี บเรยี งเสยี ใหมไ่ ดช้ อ่ื วา่ Glossa Ordinaria การหนั กลบั มาศกึ ษากฎหมายโรมนั กนั ใหม่ในมหาวทิ ยาลยั เท่ากบั เป็นการ ฟ้ืนฟูทางดา้ นวชิ าการเท่านนั้ แต่ไมไ่ ดม้ ผี ลต่อกฎหมายทใ่ี ชใ้ นศาลเลย ต่อมากฎหมายท่ี ใช้อยู่เป็นประจําในเวลานัน้ ก็ย่อมไม่อาจหลีกเล่ียงอิทธิพลของกฎหมายโรมนั ไปได้ ในขณะเดยี วกนั สานุศษิ ย์ของเอคเคอร์ซอิ ุสก็ไดน้ ํากฎหมายโรมนั ไปปรบั ใชก้ บั ปญั หาท่ี เกิดข้นึ ในเวลานัน้ คําอธิบายกฎหมายท่ีพวกกลอสเซเตอร์จัดทําข้นึ ย่อมไม่เป็นการ เพียงพอ พวกหลงั กลอสเซเตอร์ (post-glossator)หรอื ท่ีเรียกกนั อีกอย่างหน่ึงว่าพวก คอมเมนเทเตอร์ (Commentators) กไ็ ดน้ ําเอากฎหมายไปแปลความอย่างไมเ่ ครง่ ครดั นกั เพ่อื ใชไ้ ดก้ บั สภาพของบา้ นเมอื งในสมยั กลาง พวกคอมเมนเทเตอรม์ กั จะอาศยั คําอธบิ าย ทพ่ี วกกลอสเซเตอรร์ วบรวมไวม้ ากกว่าตวั บทกฎหมายเดมิ ผลงานของคอมเมนเทเตอร์ จงึ ไมไ่ ดม้ าจากตวั บทกฎหมายโดยตรง แต่กใ็ ชไ้ ดผ้ ลดมี ากในทางปฏบิ ตั ิ ผูม้ ชี ่อื เสยี งทส่ี ุด ของกลุม่ คอมเมนเทเตอรไ์ ดแ้ ก่ บารต์ ุรสุ (Barturus) ซง่ึ มชี วี ติ ในชว่ งปี ค.ศ. 1314-1357 และสานุศษิ ยข์ องบารต์ ุรสุ ไดแ้ กบ่ าลดสั (Baldus) ซง่ึ มชี วี ติ อยใู่ นชว่ งปี ค.ศ. 1327-1400 จากการศกึ ษาและการเผยแพร่ของสาํ นกั เรยี นทงั้ สองกฎหมายโรมนั จงึ เป็นท่ี ยอมรบั วา่ เป็นกฎหมายทใ่ี ชร้ ว่ มกนั (Jus commune) ของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตะวนั ตก มพี ระราชบญั ญตั ฉิ บบั หน่ึงของประเทศสเปนซง่ึ ตราขน้ึ มาในปี ค.ศ.1449 บงั คบั ใหศ้ าล ทงั้ หลายถอื เอาความเหน็ ของบารต์ ุรุส (Bartulus) และบาลดสั (Baldus) เป็นหลกั ในการ ช้ีขาดตัดสินคดีในกรณีท่ีไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรท่ีใช้บังคับแก่คดีโดยตรง ในประเทศเยอรมนั กม็ ลี กั ษณะเชน่ เดยี วกนั โดยในศตวรรษท่ี 16 ศาลในประเทศเยอรมนั ยอมรบั เอาความเหน็ ของบารต์ ุรุสและบาลดสั มาใชบ้ งั คบั ได้ แต่ไม่ไดม้ กี ฎหมายบงั คบั ไว้ 28 LA 102 (LW 102)

เช่นกรณีของสเปน สําหรบั ประเทศองั กฤษนัน้ แม้จะมกี ารสอนวชิ ากฎหมายโรมนั ใน มหาวทิ ยาลยั มาก่อนกต็ าม แต่กม็ ไิ ดห้ ยงั่ รากลกึ ลงไปในการปฏบิ ตั งิ านของศาล ทงั้ น้ีอาจ เป็นเพราะวา่ กษตั รยิ อ์ งั กฤษไดร้ วบรวมอาํ นาจการปกครองไวท้ ส่ี ว่ นกลาง ก่อตงั้ ศาลหลวง ทท่ี ําใหเ้ กดิ คอมมอนลอว์ (Common Law) ทใ่ี ชแ้ ทนกฎหมายจารตี ประเพณีของศาล ทอ้ งถน่ิ นอกจากน้ีในประเทศองั กฤษยงั มสี าํ นกั ฝึกอบรมกฎหมายอนั เป็นชมรมวชิ าชพี ทม่ี ี ความมนั่ คงพอสมควร สํานักฝึกอบรมเหล่าน้ีตงั้ อยู่ใกล้ ๆ กบั ศาลขององั กฤษ และอยู่ หา่ งไกลจากสถาบนั การศกึ ษาระดบั มหาวทิ ยาลยั ทาํ ใหส้ ามารถรว่ มมอื กบั ศาลในการแยก กฎหมายโรมนั ออกไป ต่อมาในศตวรรษท่ี 16 และ 17 ไดม้ กี ลมุ่ ผศู้ กึ ษากฎหมายโรมนั ทม่ี หาวทิ ยาลยั บุรก์ ส์ (Bourges) ประเทศฝรงั่ เศส มชี อ่ื วา่ ฮวิ แมนนิสต์ (Humanist) พวกน้ีพยายามชาํ ระ ตวั บทกฎหมายโรมนั ทพ่ี วกกลอสเซเตอร์และคอมเมนเทเตอรไ์ ดแ้ ปลไวห้ รอื อธบิ ายเกนิ เลยไปใหก้ ลบั คนื ส่เู น้ือความเดมิ ของตวั กฎหมาย บางครงั้ ถงึ กบั คน้ ไปถงึ กฎหมายโรมนั ยคุ คลาสสกิ กล่าวคอื ตงั้ แต่ปี 100 ก่อนครสิ ตกาลจนถงึ ปี ค.ศ. 250 พวกฮวิ แมนนิสตเ์ ป็น ผมู้ คี วามรทู้ งั้ ภาษาลาตนิ และภาษากรกี เป็นอย่างดมี าก แต่ผลงานของพวกฮสิ แมนนิสตม์ ี ลกั ษณะไม่ทนั กบั สภาพการณ์ยุคสมยั ของบา้ นเมอื งและไมอ่ าจนําไปปรบั ใชไ้ ดเ้ หมอื นกบั สองกลมุ่ แรก อย่างไรก็ตามการศึกษาของพวกฮิวแมนนิสต์นําสู่แนวคิดใหม่ของสํานัก กฎหมายธรรมชาติ ซ่ึงเรียกร้องให้มีการประมวลโดยเห็นว่าหลักกฎหมายท่ีดีและ สมเหตุผลควรจะไดร้ วบรวมไวเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษรในประมวลกฎหมาย มปี ระเทศต่าง ๆ ตอบสนองขอ้ เรยี กรอ้ งเช่นน้ี เช่น มกี ารประมวลกฎหมายในบาวาเรยี และปรสั เซยี ในปี ค.ศ. 1756 และ 1794 ตามลาํ ดบั แต่ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ คอื การประมวลกฎหมายแพง่ ของประเทศ ฝรงั่ เศส ในปี ค.ศ. 1804 ซง่ึ จดั เป็นแบบอย่างแห่งประมวลกฎหมายประเทศต่าง ๆ ทวั่ โลก ในเวลาต่อมา 4. วิวฒั นาการกฎหมายคอมมอนลอว์ สกุลกฎหมายคอมมอนลอวถ์ อื กําเนิดขน้ึ ในประเทศองั กฤษ โดยแรกเรม่ิ เดมิ ที ประเทศองั กฤษมพี วกพคิ ส์ (Picts) อาศยั อยู่ ต่อมากถ็ ูกพวกเคลท์ (Celts) รุกราน พวกโรมนั ก็ได้ยกกองทพั มารุกรานเกาะอังกฤษในปีท่ี 54 ก่อนคริสตกาลและผนวก องั กฤษเขา้ เป็นส่วนหน่ึงของจกั รวรรดโิ รมนั ในขณะท่อี งั กฤษอยู่ในความปกครองของ LA 102 (LW 102) 29

โรมนั พวกโรมนั ไดก้ ็นําเอาศาสนาครสิ ต์มาเผยแพร่ เม่อื อํานาจของจกั รวรรดโิ รมนั เรม่ิ เส่ือมลง จึงมีการเรียกเอากองทหารโรมนั ท่ีประจําอยู่ในประเทศองั กฤษกลบั ไปในปี ค.ศ. 410 แมพ้ วกโรมนั จะครอบครองประเทศองั กฤษอยนู่ านถงึ ประมาณเกอื บสศ่ี ตวรรษ ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าชาวโรมันได้นําเอากฎหมายโรมันมาใช้ในประเทศอังกฤษ แตป่ ระการใด ในศตวรรษท่ี 5 และท่ี 6 พวกชนเผ่าเช้ือสายเยอรมันนิกอันได้แก่ พวก เอนเจลส์ (Angles) พวกแซกซอน (Saxon) และพวกจุ๊ทส์ (Jutes) ไดม้ ารกุ รานองั กฤษ อาณาบรเิ วณทเ่ี คยอยใู่ นความปกครองของพวกโรมนั กต็ กอยใู่ นอาํ นาจเดด็ ขาดของชนเผา่ เชอ้ื สายเยอรมนั นิก แต่ชนเผา่ ต่างๆ เหล่าน้ีเป็นอสิ ระแก่กนั และกนั และทาํ สงครามรบพุง่ กนั เองอยู่เสมอ ไม่เคยเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั เลย ศาสนาครสิ ต์ท่พี วกโรมนั นําเขา้ มา เผยแพรก่ เ็ สอ่ื มสญู ไปดว้ ย จนกระทงั่ ค.ศ. 597 นกั บุญออกสั ตนิ (St.Augustine) ซง่ึ เป็น นกั บวชในศาสนาครสิ ตจ์ ากกรุงโรมไดน้ ําศาสนาครสิ ตเ์ ขา้ มาเผยแพรอ่ กี ครงั้ หน่ึงจนเป็นท่ี แพร่หลายไปทวั่ ประเทศองั กฤษ กษตั รยิ เ์ อเธลเบริ ต์ แห่งเคน้ ท์ (Aethelberht) ไดบ้ ญั ญตั ิ กฎหมายจารตี ประเพณีแห่งเผ่าชนตามแบบอย่างกฎหมายโรมนั ขน้ึ มาเป็นครงั้ แรกเม่อื ประมาณ ปี ค.ศ. 6001 ขอ้ ความในกฎหมายนนั้ มเี พยี ง 90 ประโยคสนั้ ๆ เทา่ นนั้ เป็นบท บญั ญตั เิ กย่ี วกบั อตั ราค่าสนิ ไหมทดแทนในการทําละเมดิ เช่น ถา้ บุคคลชกต่อยผูอ้ ่นื ดว้ ย หมดั ทจ่ี มกู สามชลิ ลงิ่ ถา้ หากชกผอู้ ่นื จนกระทงั่ ลูกนยั น์ตาหลุดออกมาใหใ้ ชค้ ่าสนิ ไหม 50 ชลิ ลงิ่ เป็นตน้ 72 พวกแซกซอนตะวนั ตกซง่ึ ตงั้ ถน่ิ ฐานอย่ทู างตอนใตข้ องแม่น้ําเทมส์ และรอบๆ เมอื งวนิ เซสเตอร์ก็สามารถตงั้ ตนมอี ํานาจเหนือเผ่าชนเยอรมนั นิกอ่นื ๆ และจดั ตงั้ เป็น อาณาจกั รอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั แต่ในขณะเดยี วกนั ก็ไม่ได้ทําลายการปกครองอย่างเป็น อสิ ระของหวั หน้าเผ่าชนอ่นื ๆ พวกเดนส์ (Danes) กเ็ รมิ่ เขา้ มารุกรานประเทศองั กฤษ ในชว่ งศตวรรษท่ี 9 จนสามารถครอบครองดนิ แดนทางดา้ นตะวนั ออกของประเทศองั กฤษ บรเิ วณใดกต็ ามทพ่ี วกเดนสไ์ ดร้ บั ชยั ชนะ กฎหมายของพวกเดนส์ (Danelaws) กม็ ผี ลใชบ้ งั คบั 1Baker, J.H., An Introduction to English Legal History, 2nd ed; (London: Butterworths, 1979), p. 2. 2Honnold John, ed., The Life of the Law (New York: The Press of Glencoe, 1964), p.8. 30 LA 102 (LW 102)

ในปี ค.ศ. 899 กษตั รยิ อ์ ลั เฟรด (King Alfred) ซง่ึ เป็นชาวแซกซอนไดข้ บั ไล่ พวกเดนสอ์ อกไปและสามารถรวบรวมชนเผา่ ต่าง ๆ ทงั้ หมดใหอ้ ยภู่ ายใตอ้ ํานาจ กล่าวกนั ว่าพระเจา้ อลั เฟรดเป็นผูส้ นใจในความยุตธิ รรมเป็นอย่างยง่ิ ในคําปรารภของกฎหมายท่ี พระเจ้าอลั เฟรดตราข้นึ มาใช้กบั ชาวแซกซอนตะวนั ตกกล่าวว่าพระองค์ได้ทรงศึกษา กฎหมายของกษตั รยิ เ์ อเธลเบริ ต์ และผูค้ รองนครอ่นื ๆ รวมทงั้ พระคมั ภรี ์ก่อนจะทําการ บญั ญตั กิ ฎหมาย นบั เป็นการศกึ ษาเปรยี บเทยี บจารตี ประเพณีเผ่าชนขององั กฤษเป็นครงั้ แรก อยา่ งไรกต็ าม ในปี ค.ศ. 1013 พวกเดนสก์ ลบั มอี าํ นาจขน้ึ มาอกี ครงั้ หน่ึงในรชั สมยั กษตั รยิ ์ สเวน (Sweyn) และคานุท (Cnut) ประเทศองั กฤษกลายเป็นสว่ นหน่ึงของจกั รวรรดเิ ดนมารก์ จกั รวรรดเิ ดนมารก์ ถูกแบ่งแยกอกี ครงั้ หน่ึงในปี ค.ศ. 1042 พระเจา้ เอด็ เวริ ด์ (King Edward) ไดข้ น้ึ ครองราชย์เป็นกษตั รยิ ์องั กฤษ พระเจา้ เอด็ เวริ ด์ มเี ชอ้ื สายเป็นทงั้ ชาว แซกซอนและชาวนอรม์ นั ส์ (Normans) พระองคไ์ ดอ้ าศยั อยใู่ นมอรม์ งั ดตี งั้ แต่ปี ค.ศ. 1013 ถงึ 1040 จงึ มขี า้ ราชการบรพิ ารเป็นชาวนอรม์ นั สท์ งั้ หมด เมอ่ื พระเจา้ เอด็ เวริ ด์ สน้ิ พระชนม์ ดยุกแห่งนอรม์ งั ดี (Duke of Normandy) ซง่ึ อย่ทู างฝงั่ ฝรงั่ เศสไดย้ กกองทพั ขา้ มชอ่ งแคบ องั กฤษเขา้ มาทวงสทิ ธใิ นราชสมบตั แิ ละไดส้ รู้ บกษตั รยิ เ์ ฮโรลด์ (Harold) จนไดร้ บั ชยั ชนะ ทเ่ี มอื งเฮสตงิ่ ส์ (Hastings) ดยุกแหง่ นอรม์ งั ดี จงึ ไดเ้ ป็นกษตั รยิ ส์ บื ต่อมา ทรงพระนามว่า พระเจา้ วลิ เลย่ี ม (William I) และมฉี ายาวา่ วลิ เลย่ี มผพู้ ชิ ติ (William the Conqueror) การทพ่ี ระเจา้ วลิ เลย่ี มอา้ งสทิ ธใิ นราชบลั ลงั กโ์ ดยการสบื ราชสนั ตตวิ งศน์ นั้ ย่อม นบั ว่ามคี วามสาํ คญั ยงิ่ เพราะพระองคส์ ามารถรบิ ทด่ี นิ ของขนุ นางทส่ี รู้ บต่อตา้ นพระองค์ ได้ ทาํ ใหอ้ าจนําเอาระบบการปกครองแบบศกั ดนิ าสวามภิ กั ดิ ์ (Feudalism) ตามแบบอย่าง ในภาคพ้นื ยุโรปมาดดั แปลงใช้ในการปกครองประเทศองั กฤษอย่างได้ผลดี นอกจากน้ี พระองคย์ งั นําเอาขา้ ราชบรพิ ารนกั ปกครองและนกั บรหิ ารมาไวใ้ นราชสาํ นกั เรยี กวา่ ควิ รอิ า รจี สิ (Curia Regis) งานสว่ นใหญ่ของควิ รอี า รจี สิ ไดแ้ ก่เร่อื งเกย่ี วกบั การเงนิ เพราะ กษตั รยิ อ์ งั กฤษตอ้ งใหค้ วามอุปถมั ภแ์ กข่ า้ ราชบรพิ ารเป็นจาํ นวนมากจนเกนิ ความสามารถ ทจ่ี ะจา่ ยจากรายไดท้ ไ่ี ดร้ บั จากทด่ี นิ ของกษตั รยิ ์ 1. วิวฒั นาการของศาลองั กฤษ ศาลของประเทศองั กฤษนบั วา่ เป็นองคก์ รทม่ี คี วามสาํ คญั ยง่ิ สาํ หรบั ประเทศ อังกฤษ เพราะเป็นองค์กรท่ีก่อกําเนิดกฎหมายคอมมอนลอว์ข้ึนมา ดังนัน้ ศาลและ กฎหมายคอมมอนลอวจ์ งึ ไม่อาจแยกออกจากกนั การศกึ ษาถงึ ววิ ฒั นาการของศาลของ LA 102 (LW 102) 31

ประเทศองั กฤษจงึ นบั วา่ เป็นสง่ิ จาํ เป็นอยา่ งยง่ิ ววิ ฒั นาการของศาลประเทศองั กฤษนนั้ อาจ แยกออกเป็นสองสว่ น คอื ศาลทอ้ งถน่ิ และศาลหลวง81 ของกษตั รยิ อ์ งั กฤษ ซง่ึ จะขอกล่าว ตามลาํ ดบั ดงั น้ี 1.1 ศาลท้องถ่ิน ประเทศองั กฤษเดมิ ได้แบ่งการปกครองออกเป็นเขตแดนต่าง ๆ ซ่งึ มี อํานาจปกครองเป็นอสิ ระแก่กนั แต่ละเขตแดนมกี ารประชุมของบุคคลทเ่ี ป็นไทแก่ตนเอง (folkmoot) เพอ่ื วนิ ิจฉยั กจิ การทม่ี ผี ลกระทบต่อการปกครองเขตแดนนนั้ โดยตรง เมอ่ื เขต แดนเหล่านัน้ ตกอยู่ในอํานาจของกษตั รยิ ์ เขตแดนเหล่านัน้ ก็ไม่ได้สลายตวั ไป แต่กลบั กลายเป็นเขตการปกครองทเ่ี รยี กวา่ ไชร์ แต่ละไชรม์ กี ารประชุมปรกึ ษากนั ในกจิ การต่าง ๆ เช่นเดมิ เรยี กว่า Shiremoot หรอื ไชรส์ ภา ในการประชุมของไชรส์ ภานนั้ มไี ชรช์ ฟิ (Sheriff) เป็นประธาน ภายหลังจากไชร์ได้เปล่ียนมาเป็นหน่วยการปกครองเรียกว่าเคาน์ต้ี (County) การประชมุ ของไชรส์ ภาจงึ กลายเป็นศาลเคาน์ต้ี (County Court) ไชรร์ ฟี นอกจาก เป็นประธานการประชุมของไชร์สภาแล้ว ยงั มหี น้าท่ปี กป้องความสงบสุขของพระเจ้า แผน่ ดนิ มหี น้าทร่ี กั ษาความสงบและความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยในทอ้ งถนิ่ มหี น้าทต่ี ดั สนิ ความทงั้ คดแี พ่งและคดีอาญา แต่คดีส่วนมากจะเป็นคดีอาญาเสยี มากกว่า เม่อื มกี าร ฟ้องร้องเป็นคดใี นศาล ศาลจะทําการพพิ ากษาเสยี ก่อนแล้วจงึ กําหนดวธิ พี จิ ารณาตาม วธิ กี ารอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ดงั น้ี 1. การสาบานตน (compurgation) คอื การใหจ้ าํ เลยสาบานตนวา่ ไมผ่ ดิ ถ้าจําเลยสาบานตนได้จําเลยก็จะพ้นขอ้ หาไป บางครงั้ ศาลอาจให้จําเลยหาคนมาร่วม สาบานดว้ ยตามจาํ นวนทศ่ี าลกาํ หนด ซง่ึ อาจมจี าํ นวน 12 คน หรอื มากกวา่ นนั้ กไ็ ด้ สดุ แท้ แตว่ า่ จะเป็นคดรี า้ ยแรงเพยี งใด 2. การพสิ จู น์ดว้ ยวธิ กี ารทรมาน (trial by ordeal) การพสิ จู น์ดว้ ยการ ทรมานน้ีอาจเป็นการทรมานดว้ ยไฟ (fire ordeal) หรอื ทรมานดว้ ยน้ํา (water ordeal) การทรมานดว้ ยไฟใชส้ าํ หรบั คนทม่ี ยี ศศกั ดเิ ์ ท่านนั้ สว่ นการทรมานดว้ ยน้ําใชส้ าํ หรบั คน ทวั่ ไป 1คาํ วา่ ศาลหลวง, ศาลของกษตั รยิ อ์ งั กฤษหรอื ศาลคอมมอนลอว์ มคี วามหมายอยา่ งเดยี วกนั 32 LA 102 (LW 102)

การทรมานดว้ ยไฟนนั้ มกี ารนําแท่งเหลก็ ไปเผาไฟใหร้ อ้ นจนแดงแลว้ ใหจ้ ําเลยถอื ไว้ หรอื ใหเ้ ดนิ บนผาลไถนาทเ่ี ผาไฟเสยี จนรอ้ น ครนั้ แลว้ ใหเ้ อาผา้ มาพนั มอื หรอื พนั เทา้ ท้งิ ไวส้ ามวนั ถ้ามอื หรอื เทา้ พองกแ็ สดงมคี วามผดิ ถ้าไม่พองก็แสดงว่าเป็น ผบู้ รสิ ทุ ธิ์ การทรมานดว้ ยน้ํามสี องแบบคอื การทรมานดว้ ยน้ํารอ้ น (hot-water ordeal) และการทรมานดว้ ยน้ําเยน็ (cold-water ordeal) การทรมานดว้ ยน้ํารอ้ นทาํ โดยวธิ ใี หจ้ าํ เลยจมุ่ แขนลงไปในน้ําเดอื ดถงึ ขอ้ ศอก ถา้ จาํ เลยไมไ่ ดร้ บั บาดเจบ็ กพ็ น้ ขอ้ หาไป ก า ร ท ร ม า น ด้ว ย น้ํ า เ ย็น ใ ช้วิธีโ ย น จํ า เ ล ย ล ง ไ ป ใ น แ ม่ น้ํ า ห รือ ส ร ะ ถา้ จําเลยลอยน้ําโดยไม่ไดว้ ่ายน้ําขน้ึ มากถ็ อื เป็นหลกั ฐานไดว้ า่ จาํ เลยผดิ ถ้าจาํ เลยจมน้ํา จาํ เลยกพ็ น้ ผดิ 3. การพจิ ารณาดว้ ยการต่อสู้ (trial by battle) เป็นการพจิ ารณาความผดิ ดว้ ยการใหจ้ าํ เลยต่อสกู้ บั โจทกโ์ ดยเชอ่ื วา่ สวรรคค์ งชว่ ยใหผ้ ถู้ ูกตอ้ งเป็นฝา่ ยชนะ จะเห็นได้ว่าวิธีการพิจารณาตามแบบต่าง ๆ ท่ีใช้ในศาลท้องถ่ิน ตามทก่ี ล่าวมาแลว้ เป็นการนําเอาความเช่อื ในทางศาสนามาเป็นเคร่อื งมอื ทจ่ี ะช่วยพสิ จู น์ ความบรสิ ทุ ธขิ์ องผไู้ มผ่ ดิ นอกจากศาลเคาน์ต้ตี ามท่กี ล่าวมาแลว้ ในประเทศองั กฤษยงั มศี าล ทอ้ งถน่ิ อกี ประเภทหน่ึงเรยี กว่าศาลรอ้ ย (Hundred Court) คําว่ารอ้ ยหรอื ฮนั เดรด (hundred) น้ีอาจหมายถงึ หน่วยการปกครองทม่ี หี น่ึงรอ้ ยครอบครวั หรอื อาจหมายถงึ ทด่ี นิ จาํ นวน 100 ไฮด์ (Hind) กไ็ ด้ 1 ไฮด์ มเี น้ือทเ่ี ทา่ กบั 120 เอเคอร์ ซง่ึ เพยี งพอสาํ หรบั ใชใ้ น การเพาะปลกู เลย้ี งดหู น่ึงครอบครวั ผคู้ นทอ่ี าศยั อยใู่ นฮนั เดรดทงั้ หมดจะประชมุ กนั หน่ึงครงั้ ทุก 4 สปั ดาห์ ผมู้ าประชุมจะทาํ การชข้ี าดตดั สนิ ขอ้ พพิ าทต่าง ๆ ลงโทษผกู้ ระทาํ ความผดิ และเกบ็ ภาษี ผูเ้ ป็นประธานในการประชุมได้แก่รฟี (reeve) ในสมยั โบราณปญั หาเก่ยี วกบั ทด่ี นิ จะ พจิ ารณากนั ในศาลร้อย นอกจากน้ียงั มเี ขตอํานาจเหนือคดอี าญาบางประเภทเท่านัน้ หลงั จากท่พี วกนอร์มนั ส์ได้ครอบครองเกาะองั กฤษแล้ว ศาลเคาน์ต้ีและศาลร้อยได้ลด ความสาํ คญั ลงไปมาก ในทส่ี ดุ ศาลเคาน์ตก้ี ก็ ลายเป็นสว่ นหน่งึ ของศาลหลวงทม่ี เี ขตอาํ นาจ เพยี งเลก็ น้อยเทา่ นนั้ โดยในคดแี พง่ ศาลเคาน์ตม้ี เี ขตอาํ นาจพจิ ารณาคดที ุนทรพั ยท์ พ่ี พิ าท LA 102 (LW 102) 33

กนั ไมเ่ กนิ 40 ชลิ ลงิ่ สว่ นคดอี าญามเี ขตอํานาจเหนือคดมี สิ ดมี เี นอร์ (Misdemeanor) คอื คดที เ่ี ป็นความผดิ ทางอาญาเลก็ น้อยเท่านัน้ สําหรบั ศาลรอ้ ยนัน้ มกี ฎหมายใหย้ กเลกิ ใน ภายหลงั 1.2 ศาลหลวง ศาลหลวงของประเทศองั กฤษนัน้ เดิมไม่ได้เกิดจากพระราชบญั ญตั ิ พระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม หากแต่ววิ ฒั นาการมาจากการปฏบิ ตั งิ านในกจิ การต่าง ๆ ของ ควิ รอี ารจิ สิ หรอื ราชสาํ นกั ศาลหลวงจนแยกตวั ออกเป็นศาลต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ศาลเอกซเ์ ชคเกอร์ (The Court of Exchequer) คาํ วา่ เอกซเ์ ชคเกอร์ (Exchequer) มาจากคาํ วา่ “Sacrarium” ใน ภาษาลาตนิ แปลว่า ตาหมากรุก ทเ่ี ป็นเช่นน้ีกเ็ พราะว่าผา้ ทป่ี ูบนโต๊ะในหอ้ งทใ่ี ชเ้ กบ็ ภาษี ของกษตั รยิ เ์ ป็นผา้ ตาหมากรุก คาํ วา่ เอกซเ์ ชคเกอรป์ รากฏขน้ึ ในครงั้ แรก เมอ่ื ปี ค.ศ. 1118 ในรชั สมยั พระเจา้ เฮนรท่ี ่ี 1 หอ้ งท่ใี ชเ้ กบ็ ภาษนี ัน้ แบ่งออกเป็นสองชนั้ ชนั้ ล่าง (lower chamber) ใชเ้ ป็นทร่ี บั และตรวจสอบภาษี สว่ นชนั้ บน (upper chamber) ใชเ้ ป็นทต่ี กลงขอ้ โตแ้ ยง้ กนั ไชรร์ ฟี (Sheriff) ซง่ึ มหี น้าทจ่ี ดั เกบ็ ภาษจี ะตอ้ งนําเงนิ ภาษที ต่ี นตอ้ งรบั ผดิ ชอบ มาส่งมอบท่หี ้องจดั เก็บภาษีน้ี นอกจากนัน้ ห้องน้ียงั ใช้เป็นท่จี ดั ทําบญั ชแี ละเก็บรกั ษา เอกสารอ่นื ๆ อกี ขณะเดยี วกนั ยงั มอี ํานาจออกหมายเรยี กลูกหน้ีของกษตั รยิ ์มายงั ทท่ี ํา การเกบ็ ภาษดี ว้ ย เจา้ หน้าทข่ี องเอกซเ์ ชคเกอรเ์ ป็นขนุ นางระดบั บารอน (Baron) มหี น้าท่ี ควบคุม ตรวจสอบและตดั สนิ ขอ้ โตแ้ ยง้ ต่าง ๆ สภาพการณ์เป็นอย่เู ชน่ น้ีจนกระทงั่ ปี ค.ศ. 1236 จงึ เรมิ่ ใหฟ้ ้องความในศาลเอกซเ์ ชคเกอรไ์ ด้ เอกซเ์ ชคเกอรจ์ งึ เรมิ่ จะกลายเป็นศาล ขน้ึ มาและเป็นศาลทส่ี มบูรณ์ในตอนแรกของศตวรรษท่ี 14 โดยมี “ชพี บารอน” (Chief Baron) เป็นประธานศาลและบารอนอ่นื ๆ รว่ มอยดู่ ว้ ย ในศตวรรษท่ี 13 บารอนเหล่าน้ี แมจ้ ะเป็นนกั กฎหมายและอาจเคยเป็นผพู้ พิ ากษาในศาลอ่นื มาแลว้ กต็ าม แต่กม็ ไิ ดม้ ฐี านะ ทดั เทยี มกบั ผพู้ พิ ากษาศาลอ่นื จนกระทงั่ ค.ศ. 1579 อนั เป็นรชั สมยั ของพระนางเจา้ อลซิ าเบธ็ ท่ี 1 บารอนทงั้ หลายในศาลเอกซเ์ ชคเกอรจ์ งึ มฐี านะเทา่ เทยี มกบั ผพู้ พิ ากษาของศาลอ่นื ในศตวรรษท่ี 12 ศาลเอกเชคเกอรม์ เี ขตอํานาจในการตดั สนิ คดไี ด้ ทุกชนิดไม่ว่าจะเก่ียวข้องกับภาษีอากรหรือไม่ก็ตาม ทัง้ น้ีเพราะว่าผู้ปฏิบัติงานใน เอกซเ์ ชคเกอรถ์ อื วา่ เป็นการปฏบิ ตั งิ านของควิ รี อารจิ สิ จงึ มอี ํานาจในการตดั สนิ คดคี วามผมู้ า รอ้ งต่อควิ รี อารจี สิ ดว้ ย เมอ่ื ศาลคอมมอนพลสี ์ (Common Pleas) ไดต้ งั้ หลกั แหลง่ แน่นอน 34 LA 102 (LW 102)

ในวหิ ารเวสตม์ นิ สเตอร์ (Westminster) แลว้ ศาลเอกซเ์ ชคเกอรจ์ งึ ไดจ้ ํากดั เขตอํานาจอยู่ เหนือคดที เ่ี กย่ี วกบั การเงนิ ของกษตั รยิ เ์ ทา่ นนั้ แต่ทงั้ น้ีอํานาจการเกบ็ ภาษขี องกษตั รยิ น์ นั้ ไมไ่ ดจ้ าํ กดั ไวเ้ ฉพาะแต่ผเู้ ป็นหน้ีกษตั รยิ โ์ ดยตรงเท่านนั้ หากแต่ยงั อาจเกบ็ จากผทู้ เ่ี ป็นหน้ี ลูกหน้ีของกษตั รยิ ์เป็นทอด ๆ ออกไป ลูกหน้ีของกษตั รยิ ์จงึ มารอ้ งขอใหศ้ าลเอกซ์เชคเกอร์ เรยี กเงนิ จากลกู หน้ีของตนอกี ทอดหน่ึง หลกั เชน่ น้ีเรยี กวา่ ควอมนิ สั (Qua Minus) มผี ล ทาํ ใหเ้ อกซเ์ ชคเกอรม์ เี ขตอาํ นาจเหนือคดแี พง่ เป็นสว่ นมาก ทงั้ โจทกย์ งั อาจรอ้ งขอใหศ้ าล เอกซเ์ ชคเกอรบ์ งั คบั หน้ตี ามกฎหมายสาขาเอคควติ ไ้ี ดอ้ กี ดว้ ย ในทส่ี ดุ ศาลเอกซเ์ ชคเกอรย์ งั มเี ขตอํานาจอุทธรณ์ดว้ ย ทงั้ น้ีเกดิ จาก การทผ่ี ูพ้ พิ ากษาประชุมกนั เพ่อื พจิ ารณาเร่อื งท่สี ําคญั ๆ อย่างไม่เป็นทางการ และเป็น ศาลทแ่ี น่นอนในปี ค.ศ. 1338 เม่อื ศาลเอกซ์เชคเกอรป์ ฏเิ สธไม่ยอมใหศ้ าลคงิ สเ์ บนช์ ตรวจสอบคาํ พพิ ากษาของตน ต่อมาในปี ค.ศ. 1585 ศาลเอกซเ์ ชคเกอรย์ งั ไดร้ บั อาํ นาจให้ ตรวจสอบขอ้ ผดิ พลาดของศาลคงิ สเ์ บนซไ์ ดด้ ว้ ย ศาลเอกซเ์ ชคเกอรด์ ํารงอย่ตู ่อมาจนถูกยกเลกิ ไปโดยเดอะ จูตดิ เจอร์ แอคท์ (The Judicatire Act 1873) ซง่ึ จดั ระเบยี บศาลทงั้ หมดเสยี ใหม่ 2. ศาลคอมมอนพลีส์ (Common Pleas) ส่วนทส่ี องของการ ววิ ฒั นาการของควิ รี อารจี สิ เกย่ี วกบั งานดา้ นตุลาการเชน่ เดยี วกนั ทงั้ น้ีเน่ืองมาจากหลกั ทว่ี า่ การประสทิ ธิประสาทความยุติธรรมและการรกั ษาความสงบสุขเป็นหน้าท่ีของกษตั รยิ ์ โดยตรง ดงั นัน้ เม่อื พระองค์เสด็จไปท่ใี ดก็ตาม ประชาชนย่อมรอ้ งขอความเป็นธรรมได้ เสมอ แต่ถ้าหากคดคี วามมากเกนิ ไป พระองค์ก็ย่อมไม่สามารถพจิ ารณาคดที งั้ หมดได้ ดว้ ยพระองคเ์ อง จงึ จาํ เป็นตอ้ งใหบ้ คุ คลทอ่ี ยใู่ นราชสาํ นกั หรอื ควิ รี อารจี สิ จดั การแทนดว้ ย วธิ กี ารแต่งตงั้ ผพู้ พิ ากษาเดนิ ทางไปตามทต่ี ่าง ๆ ในลกั ษณะเป็นวงจร (Iter) ผพู้ พิ ากษาท่ี ไดร้ บั แต่งตงั้ มหี น้าทเ่ี กย่ี วกบั คดที างอาญาและตรวจสอบเรอ่ื งเกย่ี วกบั การเงนิ เมอ่ื อํานาจ การตดั สนิ คดคี วามของกษตั รยิ ม์ คี วามมนั่ คงมากขน้ึ ประชาชนกเ็ รยี กรอ้ งใหค้ วิ รี อารจี สิ ของกษตั รยิ ์ตดั สนิ ขอ้ พพิ าทระหว่างกนั เองมากข้นึ ความจรงิ กษตั รยิ ์มหี น้าท่ีประสทิ ธิ ประสาทความยุติธรรมอยู่แล้ว แต่ทงั้ น้ีไม่ใช่เป็นการกระทําให้เปล่าเพราะกษตั รยิ ์ต้อง จ่ายเงนิ ค่าจ้างแก่บุคคลทท่ี ํางานในราชสํานัก ซง่ึ ได้มกี ารฝึกอบรมมาแลว้ เป็นอย่างดใี น การตดั สนิ คดคี วาม กษตั รยิ เ์ องกช็ อบทจ่ี ะใหศ้ าลหลวงตดั สนิ คดรี ะหว่างเอกชนต่อเอกชน (Common Pleas) ประชาชนทงั้ หลายรวมทงั้ ผทู้ ไ่ี ดร้ บั มอบทด่ี นิ จากกษตั รยิ โ์ ดยตรง LA 102 (LW 102) 35

(tenants-in-chief) กช็ อบทจ่ี ะใหศ้ าลหลวงของกษตั รยิ ต์ ดั สนิ ขอ้ พพิ าทมากกวา่ ทจ่ี ะใหศ้ าล ทอ้ งถน่ิ ตดั สนิ เพราะถงึ อยา่ งไรกต็ อ้ งถูกบงั คบั ใหไ้ ปศาลหลวงอยแู่ ลว้ เมอ่ื มกี ารอุทธรณ์คดี จากศาลทอ้ งถนิ่ ไปยงั ศาลหลวง แต่ศาลของกษตั รยิ ม์ ขี อ้ เสยี อย่ปู ระการหน่ึงคอื จะตดิ ตาม กษตั รยิ ไ์ ปทต่ี า่ ง ๆ เสมอ มนี กั ประวตั ศิ าสตรก์ ลา่ ววา่ พระเจา้ เฮนรท่ี ่ี 1 (Henry I) ซง่ึ ครองราชย์ ระหว่างปี ค.ศ. 1100-1135 ไดแ้ ต่งตงั้ บุคคล 5 คน จากราชสาํ นกั เสมยี น 2 คน และ เจา้ หน้าทอ่ี ่นื อกี 3 คนใหป้ ระจาํ อย่ใู นควิ รอี า รจี สิ เป็นการถาวรเพอ่ื รบั ขอ้ เรยี กรอ้ งต่าง ๆ และเสนอเร่อื งใหก้ บั ควิ รี อารจี สิ ชข้ี าดเม่อื ไม่อาจตดั สนิ ได้ กรณีเช่นน้ีอาจถอื ไดว้ ่าเป็น การเรมิ่ ต้นของศาลคอมมอนพลสี ท์ ต่ี ้องประจําอยู่ ณ ทแ่ี ห่งใดแห่งหน่ึงเป็นการแน่นอน และกลายเป็นขอ้ เรยี กรอ้ งประการหน่ึงของพวกขนุ นางในแมกนา คารต์ า (Magna Carta) ซง่ึ ต่อมาไดก้ ําหนดใหอ้ ย่ใู นทอ้ งพระโรงวหิ ารเวสต์มนิ สเตอร์ เม่อื ถงึ ปลายศตวรรษท่ี 13 ศาลคอมมอนพลีส์ก็ได้แยกตัวออกจากคิวรีอา รีจิส โดยเด็ดขาด และมีเขตอํานาจ กวา้ งขวางและดาํ รงความสาํ คญั ตลอดมา ในศตวรรษท่ี 14 และศตวรรษต่อ ๆ มาไดม้ กี าร แขง่ ขนั กบั ศาลคงิ สเ์ บนซอ์ ย่างมาก แต่เป็นเอกสทิ ธอิ ์ ย่างหน่ึงของศาลคอมมอนพลสี ท์ ว่ี ่า เฉพาะแต่ซารเ์ จน้ ท์ (Serjeant) คอื ทนายความอาวุโสเท่านนั้ จงึ จะมสี ทิ ธวิ ่าความในศาล คอมมอนพลสี ไ์ ด้ ศาลคอมพลสี ม์ วี ธิ กี ารพจิ ารณาทซ่ี บั ซอ้ นมากเน่ืองจากระบบรทิ (writ) และตอ้ งเสยี คา่ ใชจ้ ่ายสงู เพราะฉะนนั้ เฉพาะแต่ผมู้ คี วามร่าํ รวยเท่านนั้ จงึ สามารถนําคดมี า สศู่ าลคอมมอนพลสี ไ์ ด้ ศาลคอมมอนพลสี ถ์ ูกยุบไปเมอ่ื ปี ค.ศ. 1875 เมอ่ื มกี ารจดั ระเบยี บ ศาลเสยี ใหมเ่ ชน่ เดยี วกบั กรณขี องศาลเอก็ ซเ์ ชค็ เกอร์ 3. ศาลคิงสเ์ บนซ์ (King’s Bench) ศาลคิงส์เบนซ์ เดิมรวมอยู่กับคิวรีอา รีจิส เป็นศาลท่ีพิจารณา เกย่ี วกบั คดที ก่ี ษตั รยิ ม์ สี ว่ นไดเ้ สยี โดยตรง ซง่ึ สว่ นมากเป็นคดอี าญา ดงั นนั้ กษตั รยิ อ์ งั กฤษ จึงเป็นผู้พิจารณาคดีเหล่านัน้ ร่วมกับคิวรีอา รจี ิส โดยตรง กษัตริย์องั กฤษจึงมีความ ใกลช้ ดิ กบั ควิ รอี า รจี สิ อย่างมาก จนถอื เป็นหลกั ว่าผทู้ ร่ี วมอย่ใู นควิ รอี า รจี สิ ทงั้ หมดเป็น ผู้พิจารณาคดี แม้ในทางปฏิบัติจะทําเช่นนัน้ ด้วยพระองค์เองไม่ได้ บุคคลท่ีได้รับ มอบหมายจงึ เขา้ สวมอํานาจแทนจนกลายเป็นศาลคงิ สเ์ บนซ์ก่อนปีครสิ ตศกั ราช 1300 36 LA 102 (LW 102)

ในภายหลงั ศาลคงิ สเ์ บนซย์ งั มเี ขตอํานาจเหนือคดแี พง่ และมอี ํานาจพจิ ารณาคดที อ่ี ุทธรณ์ มาจากศาลทอ้ งถนิ่ ดว้ ย ศาลคงิ สเ์ บนซ์ (King’s Bench) มชี ่อื เรยี กวา่ ศาลควนี สเ์ บนซ์ (Queen’s Bench) เมอ่ื กษตั รยิ ข์ ององั กฤษเป็นสมเดจ็ พระราชนิ ี 2.3 ระบบริท (Writ System) เม่อื พวกนอรม์ นั สค์ รอบครองเกาะองั กฤษแลว้ ไดน้ ําเอาระบอบการปกครองแบบ ศกั ดนิ าสวามภิ กั ดิ์ (feudal system) มาปกครองประเทศองั กฤษ บุคคลทถ่ี อื วา่ อย่รู ะดบั สงู สดุ ในระบอบการปกครองน้ี ไดแ้ ก่ กษตั รยิ ์ ซง่ึ เมอ่ื ชว่ งชงิ ไดด้ นิ แดนใดมากจ็ ะแบ่งใหข้ นุ นางไปครอบครองหาผลประโยชน์ พวกทไ่ี ดร้ บั ทด่ี นิ จากกษตั รยิ โ์ ดยตรงเรยี กว่า tenant- in-chief พวกน้ีไดร้ บั อํานาจในการปกครองบรเิ วณทด่ี นิ ทต่ี นไดร้ บั มอบมา ตามหลกั การ ปกครองแบบศกั ดนิ าสวามภิ กั ดกิ ์ ษตั รยิ ์จะให้ความคุ้มครองแก่ขุนนางท่ไี ด้รบั มอบท่ดี นิ สว่ นขนุ นางผไู้ ดร้ บั มอบทด่ี นิ กต็ อ้ งกระทาํ การตอบแทนกษตั รยิ ต์ ามแต่ประเภทของการถอื ครองทด่ี นิ เช่น การถอื ครองทด่ี นิ โดยรบั หน้าทส่ี รู้ บเป็นการตอบแทน (knight service)1 การถอื ครองทด่ี นิ โดยมหี น้าทต่ี อ้ งสง่ อาวุธยุทโธปกรณ์แก่กษตั รยิ ์ เป็นตน้ ผูไ้ ดร้ บั มอบ ทด่ี นิ ชนั้ ตน้ น้ีอาจมอบทด่ี นิ ใหก้ บั ผูอ้ ่นื อกี ต่อไปกไ็ ด้ นอกจากน้ียงั อาจมผี ใู้ ชแ้ รงงานทํามา หากนิ เพาะปลูกอยู่บนทด่ี นิ นัน้ และตกตดิ ไปกบั ทด่ี นิ นัน้ ตลอดไปไม่ว่าทด่ี นิ นัน้ จะเปลย่ี น เจา้ ของไปกท่ี อดตาม เรยี กกนั วา่ พวกเซริ ฟ์ (serf) หน้าทส่ี าํ คญั ประการหน่ึงในระบอบการปกครองแบบศกั ดนิ าสวามภิ กั ดคิ ์ อื การถอื วา่ กษตั รยิ เ์ ป็นผปู้ ระสทิ ธปิ์ ระสาทความยุตธิ รรมแก่ประชาชน แต่ในขณะเดยี วกนั ขนุ นางท่ี ไดร้ บั มอบทด่ี นิ ไปกม็ อี ํานาจตดั สนิ คดขี อ้ พพิ าทภายในเขตแดนของตนเอง กษตั รยิ จ์ ะไม่ เขา้ ไปกา้ วก่ายเลย เวน้ แต่คดเี กย่ี วดว้ ยผทู้ ไ่ี ดร้ บั มอบทด่ี นิ จากพระองคโ์ ดยตรง หรอื ผูอ้ ยู่ ในความปกครองของผคู้ รองทด่ี นิ ต่างรายกนั คนทอ่ี ย่ใู นความปกครองขนุ นางคนหน่ึงย่อม ไม่ยอมไปขน้ึ ศาลของขนุ นางอกี คนหน่ึง จงึ จําเป็นตอ้ งมาขอความเป็นธรรมจากศาลของ กษตั รยิ ์ ปกตศิ าลของกษตั รยิ จ์ ะรบั คดไี วพ้ จิ ารณาเฉพาะต่อเม่อื มผี มู้ ารอ้ งขอใหพ้ จิ ารณา เท่านัน้ การร้องขอเช่นน้ีผู้เสยี หายต้องขอให้กษตั รยิ ์ออกหนังสอื ไปยงั ไชร์รฟี (Sheriff) 1คกึ ฤทธิ ์ ปราโมช, ม.ร.ว., ฝรงั่ ศกั ดินา (กรงุ เทพมหานคร: สาํ นกั พมิ พก์ า้ วหน้า, 2516), หน้า 47-80. 37 LA 102 (LW 102)

ใหน้ ําตวั ผถู้ ูกกลา่ วหามาศาลหรอื เป็นคาํ สงั่ ของกษตั รยิ ใ์ หผ้ ถู้ ูกกลา่ วหามาศาล คาํ สงั่ เชน่ น้ี คอื รทิ (writ) คาํ ว่า รทิ จงึ หมายถงึ หนงั สอื ทก่ี ษตั รยิ ม์ ไี ปยงั ขา้ ราชการเพอ่ื ใหด้ าํ เนินการ ทางดา้ นบรหิ ารหรอื ทางดา้ นตุลาการ หนงั สอื น้ีตอ้ งมตี ราแผ่นดนิ ประทบั ไวเ้ ป็นเคร่อื งหมาย รับรองความถูกต้องแท้จริง ดังนัน้ ผู้มีอํานาจออกหนังสือน้ีจึงได้แก่ชานเซลเล่อร์ (Chancellor) ซง่ึ เป็นราชเลขาธกิ ารของกษตั รยิ โ์ ดยปรยิ ายเพราะเป็นผรู้ กั ษาตราแผน่ ดนิ ประชาชนจะนําคดีมาสู่ศาลได้ต่อเม่อื ได้ไปซ้ือรทิ มาจากชาลเซลเล่อร์มาบรรยายฟ้อง กล่าวหาผูท้ ท่ี ําใหต้ นเสยี หายเพ่อื ย่นื ฟ้องต่อศาล ในการน้ีผมู้ าซอ้ื รทิ ตอ้ งชาํ ระเงนิ ค่าฤชา ธรรมเนียมตามอตั ราทก่ี ําหนดไว้ ดงั นนั้ สาํ หรบั ทางดา้ นตุลาการ รทิ จงึ หมายถงึ หนงั สอื ท่ี ไดป้ ระทบั ตราแผน่ ดนิ ออกในนามของกษตั รยิ ท์ ม่ี ไี ปยงั เชอรร์ ฟี ของแต่ละเคาน์ต้ี หรอื ขนุ นาง ของแต่ละเขตแดนใหด้ าํ เนินการเรอ่ื งต่าง ๆ ดงั ทร่ี ะบุไวใ้ นรทิ กลา่ วกนั วา่ ในปี ค.ศ. 1200 ทท่ี ําการของชานเซลเล่อรม์ รี ทิ อยู่หลายประเภทท่เี ป็นแบบฟอรม์ ทวั่ ๆ ไปอยู่แล้ว รทิ ท่ี สาํ คญั ในเวลานนั้ ไดแ้ ก่ ริท ออฟ ไรท์ (Writ of Right) ซง่ึ ใชส้ าํ หรบั ฟ้องเรยี กทด่ี นิ คนื โดยสงั่ ใหข้ นุ นาง เจา้ ของเขตแดนบงั คบั ใหจ้ ําเลยทย่ี ดึ ครองทด่ี นิ ไวโ้ ดยไม่ชอบคนื ใหแ้ ก่โจทก์ ถ้าหากขนุ นาง เจา้ ของเขตแดนไมด่ ําเนินการใหเ้ ชอรร์ ฟี ซง่ึ เป็นขา้ ราชการดาํ เนินการแทน เพ่อื ไม่ใหเ้ กดิ การรอ้ งเรยี นวา่ มคี วามไมเ่ ป็นธรรมเกดิ ขน้ึ ริท ออฟ เทรสพาสส์ (Writ of Trespass) เป็นรทิ ทใ่ี ชฟ้ ้องเรยี กค่าสนิ ไหม ทดแทนเม่อื มกี ารทําละเมดิ ต่อร่างกายและทรพั ยส์ นิ รทิ น้ีดํารงความสาํ คญั ตลอดมาเป็น เวลาหลายศตวรรษ เป็นรทิ ทส่ี งั่ ใหเ้ ชอรร์ ฟี แห่งทอ้ งทท่ี ค่ี ดเี กดิ ขน้ึ นําตวั จําเลยมาใหอ้ ย่ตู ่อ หน้าผพู้ พิ ากษาของกษตั รยิ ต์ ามวนั ทก่ี ําหนด เพอ่ื ใหเ้ หตุผลว่าทําไมจําเลยจงึ ใชก้ ําลงั และ อาวุธทํารา้ ยโจทก์หรอื บุกรุกเขา้ ไปในทด่ี นิ ของโจทก์ หรอื เอาทรพั ยส์ นิ ของโจทก์ไป และ ทําร้ายโจทก์จนได้รบั ความเสยี หายอย่างมาก อนั เป็นการกระทบถึงความสงบสุขของ พระเจา้ แผน่ ดนิ นอกจากน้ียงั มรี ทิ อ่นื ๆ อกี เชน่ รทิ ออก คฟั เวอรเ์ น้นท์ (Writ of Covenent) ใช้สําหรบั เรยี กค่าเสยี หายเม่อื มีการผิดสญั ญาชนิดมกี ารประทบั ตราช่อื คู่สญั ญาลงใน เอกสาร (Sealed Contract) รทิ ออฟ เดททนิ ิว (Writ of Detenue) ใชส้ าํ หรบั เรยี กทรพั ย์ หรอื ราคาทรพั ยค์ นื จากผรู้ บั ฝากทรพั ย์ เป็นตน้ ในศตวรรษท่ี 13 รทิ ต่าง ๆ ทช่ี าลเซลเล่อร์ ออกมามถี งึ 50 ประเภทเศษ จนเป็นทร่ี งั เกยี จของพวกขนุ นาง เพราะเป็นการเพม่ิ อาํ นาจ ของศาลหลวง จงึ มกี ารตรากฎหมาย “เดอะ โพรวชิ นั่ ออฟ อ๊อกฟอร์ด 1258” (The 38 LA 102 (LW 102)

Provision of Oxford 1258) หา้ มมกี ารออกรทิ ประเภทใหม่ ๆ ขน้ึ มาอกี เวน้ แต่จะไดร้ บั พระบรมราชานุญาตจากกษตั รยิ ห์ รอื ไดร้ บั อนุญาตจากสภาองคมนตรี อย่างไรกต็ ามในศตวรรษท่ี 14 ชานเซลเล่อรก์ ไ็ ดจ้ ดั ทํารทิ ประเภททค่ี ลา้ ยคลงึ กบั รทิ ท่เี คยมอี ยู่แล้วออกมาอีก ทงั้ น้ีโดยอาศยั อํานาจในพระราชบญั ญตั ิ “สแตตทวิ ออฟ เวสตม์ นิ เตอร์ (Statue of Westminter II, Consimili Casu, 1288) ขอ้ เสยี ของรทิ คอื ถ้าโจทก์ฟ้องคดโี ดยใชร้ ทิ ผดิ ประเภท ไม่ตรงกบั ขอ้ เท็จจรงิ และลูกขุนยงั ไม่ได้ช้ขี าดใน ขอ้ เทจ็ จรงิ โจทกอ์ าจฟ้องคดใี หม่ไดแ้ ต่ตอ้ งเสยี เวลาและเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยอกี มาก ถา้ ลูกขนุ ได้ ช้ขี าดแลว้ โจทก์กจ็ ะเป็นฝ่ายแพค้ ดโี ดยไม่มที างแก้ไขแต่ประการใด รทิ ท่ใี ชฟ้ ้องคดถี ูก ยกเลกิ ไปเมอ่ื ค.ศ. 1875 โดย เธอะ จดู เิ คเจอร์ แอคท์ (The Judicature Act 1875) การฟ้อง คดใี นศาลไฮคอรด์ (High Court) ในสมยั ปจั จุบนั ใชร้ ทิ ออฟ ซมั มอนส์ (Writ of Summons) เพยี งอย่างเดยี วเท่านัน้ รทิ น้ีออกในนามของสมเดจ็ พระราชนิ ีสงั่ ใหจ้ ําเลยมาศาล เพ่อื ให้ การตอ่ ขอ้ กลา่ วหาของโจทก์ อยา่ งไรกต็ ามฟ้องของโจทกจ์ ะตอ้ งมเี หตุแหง่ คดเี สมอ 2.4 การก่อกาํ เนิดคอมมอนลอว์ เม่อื ดยุกแห่งนอรม์ งั ดไี ดข้ น้ึ ครองราชย์เป็นกษตั รยิ แ์ ห่งประเทศองั กฤษ พระองค์ กย็ งั คงปลอ่ ยใหป้ ระชาชนในทอ้ งถน่ิ ต่าง ๆ ใชก้ ฎหมายจารตี ประเพณขี องแต่ละทอ้ งถนิ่ ไป ตามเดิม ซ่ึงจารตี ประเพณีเหล่าน้ีมคี วามแตกต่างกนั อย่างมากตามแต่ละท้องถ่ิน ใน ขณะเดยี วกนั พระเจา้ วลิ เลย่ี มกไ็ ดพ้ ฒั นาการปกครองส่วนกลางใหม้ คี วามเขม้ แขง็ ยง่ิ ขน้ึ โดยเฉพาะการบรหิ ารงานยุติธรรม มกี ารส่งผู้พพิ ากษาเดนิ ทางไปตดั สนิ คดีความทวั่ ประเทศ มกี ารใชว้ ธิ พี จิ ารณาคดใี นศาลหลวงของกษตั รยิ โ์ ดยการรบั ฟงั พยานหลกั ฐานของ โจทก์และจําเลยแทนการพจิ ารณาคดแี บบต่างๆ เชน่ การใหจ้ ําเลยสาบานตน หรอื การให้ จาํ เลยพสิ จู น์ดว้ ยวธิ ที ํานองดาํ น้ําลุยเพลงิ (trial by ordeal) ของศาลทอ้ งถนิ่ ดงั ไดก้ ล่าว มาแลว้ ในขณะเดยี วกนั ผพู้ พิ ากษาทก่ี ษตั รยิ ใ์ หเ้ ดนิ ทางไปตดั สนิ คดคี วามในทอ้ งถน่ิ ต่างๆ มกั จะใช้หลกั กฎหมายจารีตประเพณีอันหน่ึงอันใดเป็นการเฉพาะแทนท่ีจะใช้จารีต ประเพณีของแต่ละท้องถิ่นไปปรับกับแต่ละคดี ในขณะเดียวกันกษัตริย์ก็ได้สร้าง หลกั เกณฑ์กฎหมายใหม่ ๆ ข้ึนมาท่ีสามารถนําไปใช้ได้ทวั่ พระราชอาณาจกั ร หลกั กฎหมายท่เี กิดจากคําพพิ ากษาของศาลหลวงซ่งึ มผี ลผูกพนั ไม่แต่เฉพาะคู่ความในคดี เท่านัน้ หากแต่ยงั มผี ลผูกพนั ทุกผู้คนในประเทศองั กฤษด้วย หลกั เกณฑ์กฎหมายท่ี LA 102 (LW 102) 39

ก่อกําเนิดขน้ึ มาใหมเ่ หล่าน้ีจงึ มชี อ่ื เรยี กโดยรวมวา่ the common law of England คอื เป็นกฎหมายทอ่ี าจใชไ้ ดก้ บั ทุกผคู้ นในประเทศองั กฤษ ต่อมาคาํ วา่ the common law of England ลดลงมาเหลอื เพยี ง the common law ดงั ทใ่ี ชก้ นั อยใู่ นปจั จุบนั แต่ปจั จุบนั คาํ ว่าคอมมอนลอว์ (common law) มหี ลายความหมาย สุดแลว้ แต่ว่าจะถูกนําไปใชใ้ น ความเน้ือความใด 1. คาํ วา่ Common Law อาจมคี วามหมายตรงขา้ มกบั คาํ วา่ statutory law คอื กฎหมายทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ โดยรฐั สภาในขณะท่ี คอมมอนลอวค์ อื กฎหมายทไ่ี ม่ไดบ้ ญั ญตั โิ ดย รฐั สภา หากแต่มอี ยใู่ นคาํ พพิ ากษาของศาลซง่ึ มที ม่ี าจากจารตี ประเพณขี องบา้ นเมอื ง (the custom of the Realm) และกล่าวกนั วา่ ถา้ หากจะมจี ารตี ประเพณเี ชน่ นนั้ อย่จู รงิ ตงั้ แต่ครงั้ โบราณกาลกค็ งถูกลมื เลอื นไปจนหมดแลว้ จากการให้ความหมายของคําว่าคอมมอนลอว์ดงั กล่าวขา้ งต้นผลก็คอื เม่อื มี การขดั กนั ระหว่างคอมมอนลอวก์ บั กฎหมายทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ โดยรฐั สภา (statutory law) กฎหมายทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ โดยรฐั สภายอ่ มมผี ลบงั คบั เหนอื คอมมอนลอว์ ทงั้ น้มี าจากหลกั ความ เป็นผมู้ อี าํ นาจสงู สดุ ของรฐั สภาในการบญั ญตั กิ ฎหมาย (legislative supremacy of Parliament) ผพู้ พิ ากษาจะปฏเิ สธการนําเอาพระราชบญั ญตั มิ าใชโ้ ดยอา้ งว่าขดั กบั คอมมอนลอวไ์ ม่ได้ หรอื จะอ้างว่าคอมมอนลอวม์ กี ารววิ ฒั นาการจนทําใหพ้ ระราชบญั ญตั ลิ า้ สมยั ไปแลว้ ย่อม ไม่ได้เช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันรฐั สภาสามารถท่ีจะตรากฎหมายมายกเลิกหลัก กฎหมายคอมมอนลอวไ์ ด้ 2. คําว่าคอมมอนลอว์ (Common Law) มคี วามหมายตรงกนั ขา้ มกบั เอคควติ ้ี (Equity) โดยเห็นว่าคอมมอนลอวค์ อื กฎหมายทเ่ี กดิ จากคําพพิ ากษาของศาลหลวง ในขณะทเ่ี อคควติ ค้ี อื กฎหมายทเ่ี กดิ จากการนําเอาหลกั เกณฑแ์ ห่งความยุตธิ รรมมาใชใ้ น การปรบั กบั คดโี ดยศาลชานเซอร่ี (Court of Chancery) ศาลหลวงก่อนทม่ี กี ารมกี ารปฏริ ปู ระบบศาลโดย the Judicature Act 1873-5 ไดแ้ ก่ศาลควนี สเ์ บนช์ (Queen’s Bench) ศาล คอมมอนพลสี ์ (Common Pleas) และ ศาลเอกซเ์ ชคเกอร์ (Exchequer) ซง่ึ มวี วิ ฒั นาการ มาจากราชสาํ นกั ศาลหลวงในปลายศตวรรษท่ี 13 3. คาํ วา่ คอมมอนลอว์ (Common Law) มคี วามตรงกนั ขา้ มกบั คําว่าซวี ลิ ลอว์ (Civil Law) โดยคอมมอนลอวเ์ ป็นสกุลกฎหมายทก่ี ําเนิดขน้ึ ในประเทศองั กฤษ เป็น กฎหมายทเ่ี กดิ จากคาํ พพิ ากษาของศาล ในขณะทส่ี กุลกฎหมายซวี ลิ ลอวถ์ อื กําเนิดขน้ึ ใน 40 LA 102 (LW 102)

อาณาจกั รโรมนั และใชแ้ พรห่ ลายอย่ใู นทวปี ยุโรป ในทวปี เอเซยี และทวปี อเมรกิ าใต้ มกี าร บญั ญตั เิ ป็นประมวลกฎหมายโดยอาศยั หลกั เกณฑข์ องกฎหมายโรมนั 1. วิวฒั นาการของเอคควิตี้ (The Development of Equity) หลงั จากท่มี กี ารจดั ตงั้ ศาลหลวงขน้ึ มาเรยี บร้อยแล้วในสมยั พระเจ้าเฮนร่ที ่ี 2 (ค.ศ. 1154-89) และจะตอ้ งใชร้ ทิ (writ)ในการฟ้องคดคี วาม การออกรทิ ใหม่ ๆ กถ็ ูกจาํ กดั โดยพระราชบญั ญตั เิ ดอะ โพรวชิ นั่ ออฟ อ๊อกฟอรด์ (The Provision of Oxford, 1285) เพราะรฐั สภาเหน็ ว่าการใหช้ านเซลเล่อรอ์ อกรทิ ใหม่ ๆ ไดเ้ ท่ากบั เป็นการบนั่ ทอนอํานาจ นิตบิ ญั ญตั ขิ องรฐั สภา จงึ ทําใหก้ ฎหมายและการเยยี วยา (remedy) ไมย่ ดื หยุน่ เท่าทค่ี วร ศาลหลวงของกษตั รยิ ม์ กั จะใหค้ ่าสนิ ไหมทดแทนเป็นเงนิ ตรามากกวา่ การบงั คบั ใหจ้ ําเลย กระทาํ การเฉพาะสงิ่ เพอ่ื บรรเทาความเดอื ดรอ้ นของโจทก์ ดงั นนั้ ในศตวรรษท่ี 14 เมอ่ื ศาล คอมมอนลอว์ไม่อาจให้การเยยี วยาไดอ้ ย่างเพยี งพอแก่โจทก์ในบางกรณี ผูไ้ ด้รบั ความ เดอื ดร้อนจงึ ถวายฎีกาต่อองค์พระมหากษตั รยิ ์ หรอื สภาท่ปี รกึ ษาของกษตั รยิ ์โดยตรง เร่ืองท่ีขอความเป็นธรรมเช่นน้ีมีเพิม่ ข้นึ อย่างมากมาย กษัตริย์จึงต้องมอบคดีต่าง ๆ เหลา่ น้ใี หช้ านเซลเลอ่ รเ์ ป็นผตู้ ดั สนิ ความจรงิ ชานเซลเล่อรม์ หี น้าทบ่ี รหิ ารงานศาลโดยตรง อยแู่ ลว้ กลา่ วคอื เป็นผอู้ อกรทิ สาํ หรบั ใชฟ้ ้องคดใี นศาลหลวง เมอ่ื ตอ้ งมาทาํ หน้าทต่ี ุลาการ เสยี เอง ทท่ี าํ การของชานเซลเล่อรจ์ งึ กลายเป็นศาลไปโดยปรยิ าย มชี ่อื เรยี กวา่ ศาลชานเซอร่ี (Court of Chancery) สาํ หรบั การฟ้องคดนี นั้ ชานเซลเลอ่ รจ์ ะออกรทิ ใหไ้ ปฟ้องคดยี งั ศาล ชานเซอรห่ี ากเหน็ ว่าคดนี ัน้ ไม่อาจจดั การไดอ้ ย่างเตม็ ทใ่ี นศาลคอมมอนลอว์ ซง่ึ บางครงั้ อาจเป็นเพราะศาลคอมมอนลอว์ไม่อาจบงั คบั คดเี อากบั ผู้มอี ทิ ธพิ ล แต่รทิ ของชานเซล เล่อรน์ นั้ ออกในพระปรมาภไิ ธยของพระเจา้ แผ่นดนิ การขดั ขนื คําสงั่ ของศาลชานเซอรจ่ี งึ เท่ากบั เป็นการหมน่ิ พระบรมเดชานุภาพ ศาลชานเซอรจ่ี งึ บงั คบั คดไี ดด้ กี ว่า อกี ประการ หน่ึงการเยยี วยาในศาลคอมมอนลอวเ์ ป็นแต่เพยี งการให้ค่าสนิ ไหมทดแทนเป็นเงนิ ตรา ถา้ โจทกป์ ระสงคใ์ หศ้ าลคอมมอนลอวบ์ รรเทาความเดอื ดรอ้ นเป็นประการอ่นื กต็ อ้ งมาฟ้อง ต่อศาลชานเซอร่ี ผพู้ พิ ากษาในศาลชานเซอรไ่ี ดแ้ ก่ชานเซลเล่อร์ (Chancellor) ซง่ึ สว่ นมาก มกั จะเป็นนกั บวชในครสิ ตศาสนา การตดั สนิ คดใี ชห้ ลกั ความสาํ นึกอนั ดงี าม หลกั ศลี ธรรม หลักกฎหมายและหลักศาสนา การพิจารณาคดีไม่ได้ใช้ลูกขุนเหมือนอย่างศาล คอมมอนลอวซ์ ่งึ ตดั สนิ คดโี ดยอาศยั หลกั กฎหมายทม่ี อี ยู่ในคําพพิ ากษาแต่เก่าก่อนและ LA 102 (LW 102) 41

บทบญั ญตั กิ ฎหมายของรฐั สภา เน่ืองจากศาลของชานเซลเล่อรใ์ หก้ ารเยยี วยาได้ดกี ว่า ศาลคอมมอนลอว์ จงึ เป็นทน่ี ิยมชมชอบของประชาชน อํานาจของศาลชานเซอรจ่ี งึ เพม่ิ มากขน้ึ ทําใหเ้ กดิ การขดั แยง้ กบั ศาลคอมมอนลอว์ เช่น ศาลชานเซอรอ่ี าจหา้ มมใิ หม้ กี าร บงั คบั คดตี ามคําพพิ ากษาของศาลคอมมอนลอว์ ถ้าหากชานเซลเล่อรเ์ หน็ ว่าคําพพิ ากษานัน้ ขดั ต่อความเป็นธรรม ในการน้ีแม้จะไม่เป็นการกลบั คําพพิ ากษาของศาลคอมมอนลอว์ กต็ าม แต่ผลแห่งคําพพิ ากษานนั้ กแ็ ทบจะไม่มคี วามหมายเลย เพราะฝา่ ยชนะคดใี นศาล คอมมอนลอวไ์ มอ่ าจบงั คบั คดไี ดต้ ามคําพพิ ากษา ศาลคอมมอนลอวจ์ งึ เหน็ วา่ ผทู้ พ่ี ยายาม หลกี เลย่ี งคาํ พพิ ากษาในกรณเี ชน่ น้ีเป็นการผดิ กฎหมายและลงโทษผไู้ ปศาลชานเซอร่ี ในตอนปลายครสิ ตวรรษท่ี 16 หลกั กฎหมายท่ใี ช้อยู่ในศาลชานเซอร่เี รมิ่ มี ลกั ษณะเป็นการแน่นอนและมคี วามขดั แยง้ กบั คอมมอนลอวใ์ นบางประเดน็ ในรชั สมยั พระเจา้ เจมสท์ ่ี 1 ไดท้ รงชข้ี าดในปี ค.ศ.1615 ว่าในกรณีทม่ี กี ารขดั แยง้ กนั ระหว่างคอมมอนลอว์ และเอคควติ ้แี ลว้ ใหเ้ อคควติ ม้ี ผี ลใชบ้ งั คบั ขอใหส้ งั เกตว่าเอคควติ ้ไี ม่ใชร้ ะบบกฎหมายท่ี สมบูรณ์ในตวั มนั เอง กล่าวกนั ว่าถ้าหากประเทศองั กฤษไม่มเี อคควติ ้ีประเทศองั กฤษ กย็ งั คงดาํ รงอย่ไู ด้ แต่ถา้ ประเทศองั กฤษมแี ต่เอคควติ โ้ี ดยไม่มคี อมมอนลอวเ์ ลย ประเทศ องั กฤษจะไมส่ ามารถดาํ รงอยไู่ ดเ้ ลย 2. เขตอาํ นาจของศาลชานเซอรี่ มีนักเขยี นตําราในศตวรรษท่ี 19 ได้จําแนกเขตอํานาจของศาลชานเซอร่ี ออกเป็นสามสว่ น ดงั น้ี 1. ศาลชานเซอร่ีมเี ขตอํานาจแต่เพยี งผู้เดียวเหนือคดีบางประเภทท่ีศาล คอมมอนลอวไ์ ม่อาจบรรเทาความเดอื ดรอ้ นได้ เช่น การบงั คบั เกย่ี วกบั การจดั ตงั้ ทรสั ต์101 (Trust) การคุม้ ครองผจู้ าํ นองอสงั หารมิ ทรพั ย์ ในกรณเี ชน่ น้ีสทิ ธแิ ละการเยยี วยามลี กั ษณะ เป็นการอาศยั หลกั ความเป็นธรรม 2. ศาลชานเซอรม่ี เี ขตอํานาจซ้ําซ้อนกบั ศาลคอมมอนลอว์ ได้แก่ในกรณีท่ี ศาลคอมมอนลอวย์ อมรบั ในสทิ ธขิ องโจทกแ์ ต่ไมไ่ ดก้ าํ หนดวธิ กี ารเยยี วยาไวอ้ ยา่ งเพยี งพอ เชน่ การผดิ สญั ญาซอ้ื ขาย การเชา่ ทด่ี นิ การทาํ ละเมดิ หรอื การจะทาํ ละเมดิ เชน่ การก่อให้ 1ทรสั ต์ (trust) เกดิ จากการทบ่ี ุคคลหน่ึงโอนทรพั ยส์ นิ ใหแ้ ก่บุคคลทส่ี องซง่ึ เรยี กวา่ ทรสั ตี (trustee) ในกรณีเชน่ น้ีเอคควติ บ้ี งั คบั ใหผ้ รู้ บั โอนทรพั ยส์ นิ จะตอ้ งจดั การทรพั ยส์ นิ นนั้ เพ่อื ประโยชน์ของบุคคลทส่ี าม คอื ผรู้ บั ประโยชน์ (beneficiary) การก่อตงั้ ทรสั ตอ์ าจกระทาํ โดยพนิ ยั กรรมหรอื ในระหวา่ งมชี วี ติ กไ็ ด้ 42 LA 102 (LW 102)

เกดิ การรบกวนหรอื ก่อให้เกิดความรําคาญ สําหรบั ในกรณีแรกซ่งึ ได้แก่การผดิ สญั ญา ศาลอาจสงั่ ใหป้ ฏบิ ตั กิ ารชาํ ระหน้ีเฉพาะสง่ิ (specific performance) บงั คบั ใหฝ้ า่ ยหน่ึง ฝ่ายใดปฏบิ ตั ิตามสญั ญา ส่วนในกรณีหลงั ได้แก่การทําละเมดิ ซ่ึงศาลอาจสงั่ ให้จําเลย งดกระทําการ ละเมดิ หรอื การรบกวน (injunction) ต่อไป ถ้าหากโจทก์ฟ้องคดที งั้ 2 ประเภทน้ีในศาลคอมมอนลอว์ สง่ิ ทโ่ี จทกจ์ ะไดร้ บั ไดแ้ ก่คา่ สนิ ไหมทดแทนเป็นเงนิ ตราและ เมอ่ื เกดิ ความเสยี หายขน้ึ แลว้ เทา่ นนั้ 3. ศาลชานเซอรม่ี เี ขตอาํ นาจเสรมิ สาํ หรบั ในกรณีทศ่ี าลคอมมอนลอวย์ อมรบั ในสทิ ธขิ องโจทก์โดยให้การเยยี วยาได้อย่างเพยี งพอ แต่ไม่สามารถบงั คบั ตามสทิ ธไิ ด้ เน่ืองจากมขี อ้ บกพรอ่ งเกย่ี วกบั กระบวนการบงั คบั ตามสทิ ธนิ นั้ ชานเซลเล่อรอ์ าจบงั คบั ให้ จาํ เลยสง่ มอบเอกสารทอ่ี ยใู่ นความครอบครองของจาํ เลยใหโ้ จทกต์ รวจสอบได้ 3. หลกั กฎหมายที่ใช้ในศาลเอคควิตี้ ในสมยั แรกเรมิ่ จดั ตงั้ ศาลชานเซอร่นี ัน้ ศาลใช้หลกั สํานึกอนั ดงี ามและหลกั ความเป็นธรรมในการตัดสินคดี แต่ไม่มีความนึกคิดท่ีจะยึดถือหลักบรรทัดฐานคํา พพิ ากษาแต่ประการใด ในศตวรรษท่ี 17 มกี ารตงั้ ผพู้ พิ ากษาไปแทนชานเซลเล่อรซ์ ง่ึ เป็น นกั บวชในครสิ ตศาสนาและพมิ พร์ ายคําพพิ ากษา (report) ขน้ึ มาจงึ ทําใหม้ กี ารถอื ตาม คาํ พพิ ากษาทเ่ี คยมอี ยแู่ ต่เกา่ กอ่ นและวางหลกั (maxims) ทใ่ี ชใ้ นการตดั สนิ คดี เชน่ 1. เอคควติ ้จี ะไม่บงั คบั ตามสญั ญาทฝ่ี ่ายหน่ึงของสญั ญามอี ํานาจการต่อรอง เหนือกวา่ อกี ฝา่ ยหน่งึ มาก 2. บุคคลทม่ี าแสวงหาความเป็นธรรมจะตอ้ งมาดว้ ยมอื สะอาด 3. เอคควติ ไ้ี มใ่ ชเ่ ป็นเครอ่ื งมอื สาํ หรบั การแกแ้ คน้ 4. เอคควติ ใ้ี ชบ้ งั คบั เอากบั ตวั บุคคล 5. เอคควติ เ้ี ป็นฝา่ ยตามกฎหมาย 6. เอคควติ จ้ี ะตอ้ งใหผ้ ทู้ ไ่ี ดร้ บั ความเสยี หายไดร้ บั การเยยี วยาเสมอ 7. เอคควติ ค้ี อื ความเสมอภาค 8. ระหวา่ งความเทา่ เทยี มกนั ผทู้ ม่ี ากอ่ นยอ่ มมสี ทิ ธดิ กี วา่ ฯลฯ ตามท่ีกล่าวมาแล้วทงั้ หมดพอท่ีจะสรุปข้อแตกต่างระหว่างคอมมอนลอว์กับ เอคควติ ไ้ี ด้ ดงั น้ี LA 102 (LW 102) 43

1. สภาพแหง่ คดี คอมมอนลอว์บงั คบั เอากบั ทรพั ย์สนิ ของจําเลย กล่าวคอื โจทก์ได้รบั ค่า สนิ ไหมทดแทนเป็นเงนิ ตราเท่านนั้ การไมป่ ฏบิ ตั ติ ามคาํ บงั คบั ของศาลไม่เป็นหมน่ิ อาํ นาจ ศาล สาํ หรบั เอคควติ ้นี นั้ บงั คบั เอากบั เน้ือตวั รา่ งกาย การไม่ปฏบิ ตั ติ ามคําสงั่ ของศาลเป็น การหมนิ่ อาํ นาจศาล 2. การพจิ ารณาคดี คดีคอมมอนลอว์ใช้ลูกขุนเป็นผู้วนิ ิจฉัยขอ้ เท็จจรงิ ส่วนผู้พพิ ากษาเป็น ผวู้ นิ ิจฉยั ขอ้ กฎหมาย สาํ หรบั คดเี อคควติ น้ี นั้ พจิ ารณาต่อหน้าชานเซลเลอ่ ร์ ไมม่ กี ารพจิ ารณาขอ้ เทจ็ จรงิ โดยลกู ขนุ ชานเซลเลอ่ รเ์ ป็นผพู้ จิ ารณาทงั้ ขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมาย 3. การเยยี วยา คดคี อมมอนลอวใ์ หก้ ารเยยี วยาแต่เฉพาะเป็นเงนิ ตรา สาํ หรบั คดเี อคควติ ้ี นัน้ โจทกอ์ าจไดร้ บั ความบรรเทาความเดอื ดรอ้ นโดยศาลอาจสงั่ ใหจ้ ําเลยปฏบิ ตั กิ ารชําระ หน้ีเฉพาะสง่ิ (specific performance) ตามทร่ี ะบุไวใ้ นสญั ญาหรอื สงั่ หา้ มจาํ เลยกระทาํ การ สงิ่ หน่ึงสงิ่ ใด (injunction) หลงั จากท่ปี ระเทศองั กฤษได้ปฏริ ูปกจิ การศาลในปี 1873-75 โดย เธอะ จูดเิ คเจอร์ แอคท์ (The Judicture Act) ทําใหศ้ าลสว่ นกลางมอี ํานาจใชท้ งั้ กฎหมาย คอมมอนลอวแ์ ละเอคควติ ้ี ดงั นัน้ โจทก์จงึ อาจนําคดคี อมมอนลอวแ์ ละเอคควติ ้มี าฟ้องใน ศาลเดยี วกนั โดยไมต่ อ้ งแยกฟ้องเหมอื นสมยั ก่อน 2.5 วิวฒั นาการกฎหมายไทย เน่อื งจากมกี ารถอื กนั วา่ อาณาจกั รสโุ ขทยั เป็นตน้ กาํ เนิดของอาณาจกั รไทย จงึ ถอื กนั ว่ากฎหมายไทยมตี น้ กําเนิดมาจากกฎหมายของพ่อขนุ รามคําแหง พ่อขนุ รามคําแหง ทรงประดษิ ฐ์ลายสอื ไทขน้ึ มา เม่อื ปี พ.ศ. 1826 (มหาศกั ราช 1205) ทรงสลกั ขอ้ ความ ลงในหลกั ศลิ าแท่งหน่ึง ซง่ึ นิยมเรยี กกนั วา่ ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคําแหง หรอื ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี 1 ในศลิ าหลกั น้ีมขี อ้ ความทเ่ี ป็นกฎหมายหลายลกั ษณะดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ กฎหมายภาษี กฎหมาย 44 LA 102 (LW 102)

ซ้อื ขาย กฎหมายลกั ษณะมรดก กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความ กฎหมายรอ้ งทุกข์ กฎหมาย เกย่ี วกบั ทด่ี นิ กฎหมายมนุษยธรรมและกฎหมายเกย่ี วผลู้ ภ้ี ยั 111 ขณะเดยี วกนั อาณาจกั รล้านนาไทยก็มกี ฎหมายท่พี ระเจ้ามงั รายกษตั รยิ ์ผู้สรา้ ง เมอื งเชยี งใหม่ เม่อื พ.ศ. 1839 ทรงบญั ญตั ขิ น้ึ มาเพ่อื ใชป้ กครองประชาชนทอ่ี ยู่ในอาณาจกั ร ล้านนาไทย มชี ่อื เรยี กว่า “มงั รายศาสตร์” ในมงั รายศาสตร์ได้กล่าวว่า พระเจ้ามงั ราย ไดท้ รงอาศยั มลู คดวี วิ าทในคมั ภรี พ์ ระธรรมศาสตรม์ าเป็นหลกั ในการบญั ญตั มิ งั รายศาสตร์ ในมงั รายศาสตรม์ บี ทบญั ญตั กิ ฎหมายเรอ่ื งการจดั รปู แบบกองทพั การลงโทษและ การปูนบําเหน็จทหาร การกําหนดความผิดร้ายแรงท่ีอาจลงโทษประหารชีวิตได้ การป้องกนั ตวั ทอ่ี นุญาตใหฆ้ ่าผกู้ ระทําผดิ ได้ การกําหนดโทษ วธิ พี จิ ารณาความ องคป์ ระกอบ ในการกาํ หนดคา่ เสยี หายและกาํ หนดโทษ กฎหมายแพง่ และกฎหมายอาญา122 นอกจากน้ีในสมยั สุโขทยั มศี ลิ าจารกึ อกี หลกั หน่ึงคอื ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี 38 ซง่ึ เป็น บทบญั ญตั ิในเร่อื งเก่ยี วกบั การกระทําความผดิ ทางอาญา จงึ มกี ารตงั้ ช่อื ว่า “กฎหมาย ลกั ษณะโจรสมยั สโุ ขทยั ” ต่อจากสมยั สุโขทยั ไดแ้ ก่ สมยั กรุงศรอี ยุธยา สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี 1 (พระเจา้ อทู่ อง) ไดก้ ่อตงั้ อาณาจกั รกรงุ ศรอี ยุธยาขน้ึ มาเมอ่ื พ.ศ. 1893 มกี ษตั รยิ ป์ กครองตดิ กนั มา รวม 34 พระองค์ เป็นเวลา 417 ปี จงึ ได้เสยี กรุงแก่พม่าเม่อื ปี พ.ศ. 2310 กล่าวกนั ว่า กษตั รยิ ์กรุงศรอี ยุธยาคงจะได้ตรากฎหมายขน้ึ มาเพ่อื ใช้ในการปกครองบ้านเมอื งเป็น จาํ นวนมาก แต่เป็นทน่ี ่าเสยี ดายทต่ี น้ ฉบบั กฎหมายเมอ่ื ครงั้ กรุงศรอี ยุธยาคงสญู หายหมด จนถงึ เม่อื ครงั้ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไดท้ รง จดั การประมวลกฎหมายทงั้ หลายทใ่ี ชใ้ นขณะนนั้ ซง่ึ เขา้ ใจว่าเป็นฉบบั ทค่ี ดั ลอกกนั ต่อ ๆ มาตงั้ แตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา สาเหตุทม่ี กี ารประมวลกฎหมายในขณะนนั้ เน่ืองจากมกี ารรอ้ งทุกขข์ องนายบุญศรี ชา่ งเหลก็ หลวง ความวา่ เจา้ พระยาศรธี รรมราช ไดน้ ําความขน้ึ กราบบงั คมทลู วา่ นายบุญศรี ชา่ งเหลก็ หลวงรอ้ งทุกขก์ ล่าวโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ เหตุเน่ืองจากอําแดงป้อม ภรรยานายบุญศรฟี ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรใี ห้การแก่พระเกษมว่า อําแดงป้อม นอกใจทําชดู้ ว้ ยนายราชาอรรถแลว้ มาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรไี ม่หย่า พระเกษม 1รายละเอยี ดศกึ ษาไดจ้ ากหนงั สอื ประวตั ศิ าสตรก์ ฎหมายหมายไทยและระบบกฎหมายหลกั 45 2ประเสรฐิ ณ นคร, มงั รายศาสตร์ (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พเ์ ลย่ี งเซยี งจงเจรญิ , 2514). LA 102 (LW 102)

หาพจิ ารณาตามคําให้การของนายบุญศรไี ม่ พระเกษมพูดจาแทะโลมอําแดงป้อมและ พจิ ารณาไม่เป็นสจั ไม่เป็นธรรมเขา้ ดว้ ยอําแดงป้อมแล้วคดั ขอ้ ความมาใหล้ ูกขุน ณ ศาล หลวงปรกึ ษาว่า เป็นหญงิ หย่าชาย ใหอ้ ําแดงป้อมกบั นายบุญศรขี าดจากผวั เมยี กนั ตาม กฎหมาย พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จงึ ทรงพระกรุณาตรสั ว่า หญงิ นอกใจชายแลว้ มาฟ้องหย่า ลูกขุนปรกึ ษาใหห้ ย่ากนั นัน้ หาเป็นยุตธิ รรมไม่ จงึ มพี ระราช โองการตรสั สงั่ ใหเ้ จา้ พระยาพระคลงั เอากฎหมาย ณ ศาลหลวงมาสอบกบั ฉบบั หอหลวง ฉบบั ข้างท่ี ได้ความว่า ชายหาผิดมิได้หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชายหย่าได้ ถูกต้องตรงกนั ทงั้ สามฉบบั จงึ ทรงเหน็ ว่าทางฝ่ายศาสนจกั รนัน้ พระไตรปิฎกฟนั่ เฟือน วปิ รติ กย็ งั อาจอาราธนาพระราชาคณะทงั้ ปวงใหท้ าํ สงั คายนาชาํ ระพระไตรปิฎกใหถ้ ูกตอ้ ง ตามพุทธบญั ญตั ไิ ด้ ดงั นนั้ ทางฝา่ ยราชอาณาจกั รเมอ่ื กฎหมายฟนั่ เฟือนวปิ รติ จงึ ควรทจ่ี ะ ชาํ ระใหถ้ ูกตอ้ ง พระองคจ์ งึ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มใหต้ งั้ คณะกรรมการ ชุดหน่ึง ประกอบดว้ ยอาลกั ษณ์ 4 ลกู ขนุ 3 ราชบณั ฑติ 4 จดั การชาํ ระบทกฎหมายตงั้ แต่ พระธรรมศาสตรเ์ ป็นตน้ ไป มใิ หเ้ น้ือความผดิ เพย้ี นซ้าํ กนั จดั เป็นหมวดหมเู่ ขา้ ไว้ ดดั แปลง บทกฎหมายท่ีวปิ ลาสให้ถูกต้องตามความยุติธรรม เม่อื ชําระเสร็จเรยี บร้อยแล้วจึงให้ อาลกั ษณ์เขยี นเป็นฉบบั หลวง จํานวน 3 ชุด ประทบั ตราพระราชสหี ์ พระคชสหี ์ และบวั แกว้ อนั เป็นตราประจาํ ตําแหน่งสมหุ นายก สมหุ พระกลาโหม และเจา้ พระยาพระคลงั ไวเ้ ป็นสาํ คญั ทงั้ น้ี เพ่อื แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความถูกตอ้ งแทจ้ รงิ ของกฎหมาย และแสดงใหเ้ หน็ ว่ากฎหมาย นนั้ มอี าํ นาจใชบ้ งั คบั ตลอดทวั่ ราชอาณาจกั ร พรอ้ มทงั้ มบี ทหา้ มมใิ หล้ กู ขนุ เชอ่ื ฟงั กฎหมาย อ่ืนท่มี ไิ ด้มตี ราทงั้ สามน้ีประทบั อยู่ กฎหมายทงั้ สามฉบบั น้ีเก็บไว้ท่หี ้องเคร่อื งหน่ึงชุด หอหลวงหน่ึงชดุ และทศ่ี าลหลวงหน่ึงชดุ กฎหมายทไ่ี ดเ้ ขยี นขน้ึ ใหมน่ ้ชี ดุ หน่ึงมี 41 เลม่ เม่อื มกี ารบญั ญตั ิกฎหมายตราสามดวงขน้ึ มาแล้ว ก็มกี ารใช้ปกครองบ้านเมอื ง เร่อื ยมา ในรชั สมยั รชั กาลท่ี 2 สมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั กไ็ ดท้ รงบญั ญตั กิ ฎหมาย ข้ึนมาหลายฉบับ ฉบับท่ีมีช่ือเสียงได้แก่กฎหมายเก่ียวกับยาเสพติด มีช่ือเรียกว่า “พระราชบญั ญตั หิ า้ มสบู ฝิ่น กนิ ฝ่ิน ซอ้ื ฝ่ิน ขายฝิ่น จ.ศ. 1173”1 ในสมยั รชั กาลท่ี 3 มกี าร 1มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กฎหมายตรา 3 ดวง, ฉบบั พิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์และ การเมอื ง แกไ้ ขปรบั ปรงุ ใหม่ เลม่ 3 (กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั ปรดี ี พนมยงค,์ 2548), หน้า 417. 46 LA 102 (LW 102)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook