ตรากฎหมายขน้ึ มาใชเ้ พมิ่ เตมิ อกี หลายฉบบั เช่นเดยี วกนั ฉบบั ทม่ี ชี ่อื เสยี งรจู้ กั กนั ดไี ดแ้ ก่ “พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะโจรหา้ เสน้ จ.ศ. 1199”1 ในปีเดยี วกนั กบั ทร่ี ชั กาลท่ี 1 ทรงบญั ญตั กิ ฎหมายตราสามดวงขน้ึ มา ทางประเทศ ฝรัง่ เศสจักรพรรดิน์ โปเลียนได้จัดทําประมวลกฎหมายแพ่งข้ึน ซ่ึงนิยมเรียกกันว่า “ประมวลกฎหมายนโปเลยี น (Code Napléon) การจดั ทาํ ประมวลกฎหมายของจกั รพรรดิ นโปเลยี นเป็นการจดั ทาํ กฎหมายอย่างเป็นระบบ เป็นทช่ี น่ื ชอบของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และประเทศลาตนิ อเมรกิ า ในช่วงต้นศตวรรษท่ี 19 ประเทศต่าง ๆ เหล่าน้ีจงึ ได้จดั ทํา ประมวลกฎหมายแพง่ และประมวลกฎหมายอ่นื ๆ ตามแบบอยา่ งประเทศฝรงั่ เศส และถอื กนั ว่าประเทศทไ่ี ม่ใชป้ ระมวลกฎหมายเป็นประเทศทล่ี า้ หลงั ในเร่อื งกฎหมาย ซ่งึ รวมถงึ ประเทศไทยดว้ ย อนั เป็นสาเหตุใหช้ าวตะวนั ตกยกเป็นเหตุเจรจาขอตงั้ ศาลกงสุลของเขา เพ่อื ชําระคดที ค่ี นในบงั คบั ของเขาท่เี ป็นคดคี วามกนั เอง หรอื ในเม่อื คนในบงั คบั ของเขา เป็นจําเลยของคนในบงั คบั ของไทย สาํ หรบั ประเทศไทยนัน้ องั กฤษไดส้ ง่ ทตู มาขอเจรจา ทําสนธสิ ญั ญาในสมยั รชั กาลท่ี 4 ซ่งึ นิยมเรยี กกนั ว่า “สนธสิ ญั ญาเบารงิ ” โดยกําหนดให้ คนในบงั คบั ขององั กฤษไมต่ อ้ งขน้ึ ศาลไทย ใหไ้ ปขน้ึ ศาลกงสลุ ของตนเอง ประเทศอ่นื ๆ กไ็ ดม้ าทาํ สนธสิ ญั ญาทาํ นองเดยี วกบั สนธสิ ญั ญาเบารงิ กบั ไทย จาก การทป่ี ระเทศไทยยงั ไม่มกี ฎหมายตามแบบอยา่ งประเทศตะวนั ตก เป็นสาเหตุใหป้ ระเทศ องั กฤษอา้ งขน้ึ มาเพอ่ื ขอจดั ตงั้ ศาลกงสลุ ของตนเพอ่ื ชาํ ระคดที ค่ี นในบงั คบั ขององั กฤษเป็น ความกนั เอง ตลอดจนคดที ค่ี นในบงั คบั ขององั กฤษเป็นจาํ เลยของคนในบงั คบั ของไทย เมอ่ื แรกตงั้ ศาลกงสุลใหม่ ๆ เจา้ ของประเทศกย็ งั มาสเู้ ดอื ดรอ้ น เพราะการคา้ ขาย ตดิ ต่อกบั ต่างประเทศยงั มนี ้อย เมอ่ื การคมนาคมสะดวกรวดเรว็ ขน้ึ มชี าวต่างประเทศเขา้ มาตงั้ ภูมลิ ําเนาในประเทศไทยมากขน้ึ การตดิ ต่อค้าขายกบั ชาวต่างประเทศก็มมี ากขน้ึ คดคี วามขอ้ พพิ าทระหว่างคนต่างชาติ รวมตลอดจนคนในบงั คบั ของคนต่างชาตกิ บั คน ไทยก็เพิ่มมากข้นึ จนประเทศไทยเริ่มมีความรู้สึกอึดอัดต่อการท่ีต้องสูญเสียอํานาจ อธปิ ไตยทางศาลของตนเอง เพ่ือให้ได้คืนมาซ่ึงเอกราชทางศาลของประเทศไทย จึงได้มาจดั ตัง้ กระทรวง ยุตธิ รรมขน้ึ ในปี พ.ศ. 2415 เพ่อื จดั วางระเบยี บศาลเสยี ใหม่ มกี ารวา่ จา้ งชาวต่างประเทศ 1เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า 525. 47 LA 102 (LW 102)
ทม่ี คี วามรูค้ วามเชย่ี วชาญทางกฎหมายจากประเทศตะวนั ตก รวมตลอดจนนักกฎหมาย ชาวญ่ปี ุ่นมาเป็นทป่ี รกึ ษากฎหมาย เพ่อื จดั ทําตวั บทกฎหมายขน้ึ มาใหม่ ตามแบบอย่าง กฎหมายชาตติ ะวนั ตก เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาวะสงั คมสมยั ใหม่ ทําใหค้ นไทยไดร้ อบรู้ กฎหมายมากขน้ึ และเป็นเครอ่ื งมอื เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสะดวกในการพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดี ทงั้ ปวง และประการสาํ คญั ทส่ี ดุ เพอ่ื ประเทศไทยรบั เอกราชทางศาลกลบั คนื มา ในสมยั รชั กาลท่ี 5 ได้มกี ารจดั ทําประมวลกฎหมายข้นึ มาเป็นลําดบั แรก มชี ่อื เรยี กวา่ กฎหมายลกั ษณะอาญา ร.ศ.127 เมอ่ื ประกาศใชก้ ฎหมายลกั ษณะอาญาแลว้ ไดม้ ี การจดั ทําประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ และพระธรรมนูญศาล การจดั ทําประมวลกฎหมายทงั้ หมดเรม่ิ ตงั้ แต่ พ.ศ. 2441 มาเสรจ็ สาํ เรจ็ ครบถ้วน เม่ือ พ.ศ. 2478 รวมเป็นระยะเวลา 38 ปี เป็นเหตุให้นานาชาติท่ีเคยมีศาลกงสุลใน ประเทศไทยยอมรบั นบั ถอื ตวั บทกฎหมายไทย ตลอดจนระเบยี บและวธิ กี ารพจิ ารณาคดี ของศาลไทยและยกเลกิ ศาลกงสุลท่ตี งั้ อยู่ในประเทศไทยทงั้ หมด เป็นเหตุให้ไทยได้รบั เอกราชทางศาลกลบั คนื มาโดยสมบรู ณ์ 2.6 อิทธิพลกฎหมายต่างประเทศท่ีมีต่อกฎหมายไทย จากการทไ่ี ดศ้ กึ ษาววิ ฒั นาการของกฎหมายต่างประเทศ ทําใหเ้ ราสามารถทราบ ว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยข์ องไทยไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากกฎหมายประเทศต่าง ๆ ทงั้ ทอ่ี ยใู่ นระบบซวี ลิ ลอว์ และคอมมอนลอว์ เชน่ ใน บรรพ 1 และบรรพ 2 ไดล้ อกเลยี นมา จากกฎหมายแพ่งเยอรมนั และกฎหมายแพง่ ญป่ี ุน่ บรรพ 3 วา่ ดว้ ยเอกเทศสญั ญา มกี าร เอาแบบอย่างกฎหมายมาจากหลายประเทศ โดยเฉพาะในลกั ษณะ 1 กฎหมายว่าดว้ ย ซ้อื ขาย ไดย้ ดึ ถอื พระราชบญั ญตั ซิ อ้ื ขายสนิ คา้ (The Sale of Goods Act 1893) มาเป็นแบบอยา่ ง ในส่วนท่เี ป็นกฎหมายว่าด้วยตวั ๋ เงนิ ได้นําเอาบทบญั ญตั ิส่วนใหญ่ของเธอะบลิ ล์ ออฟ เอ๊คซเ์ จนจ์ แอคท์ ค.ศ. 1882 (The Bill of Exchange Act, 1882) ขององั กฤษมาเป็น รากฐานในการร่าง นอกจากน้ีกฎหมายว่าดว้ ยหุน้ ส่วน บรษิ ทั จํากดั กไ็ ดต้ ้นแบบมาจาก กฎหมายองั กฤษเชน่ เดยี วกนั ในส่วนทเ่ี ป็นกฎหมายลม้ ละลาย คอื พระราชบญั ญตั ลิ ม้ ละลาย ร.ศ. 127 กไ็ ดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากกฎหมายองั กฤษเช่นเดยี วกนั นอกจากน้ียงั ได้นําเอาหลกั กฎหมายของ 48 LA 102 (LW 102)
องั กฤษเร่อื ง เฮนีอสั คอรป์ สั (Habeas Corpus) มาใชใ้ นประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา ความอาญา มาตรา 90 เพอ่ื ปลอ่ ยตวั ผทู้ ถ่ี ูกคุมขงั หรอื ถูกจาํ คกุ โดยมชิ อบดว้ ยกฎหมาย ให้สงั เกตว่ากฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ของไทย มกี ารบญั ญตั ริ วมเป็น ประมวลกฎหมายฉบบั เดยี วกนั ไมไ่ ดม้ กี ารบญั ญตั เิ ป็นประมวลกฎหมายแยกต่างหากจากกนั ทงั้ น้ี อาจเป็นเพราะในขณะท่มี กี ารจดั ทําประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยใน สมยั รชั กาลท่ี 6 ธุรกจิ การพาณิชย์ของไทยยงั ไม่เจรญิ กวา้ งขวางมากนัก จงึ ไม่มคี วาม จาํ เป็นตอ้ งจดั ทาํ เป็นประมวลกฎหมายแพง่ และประมวลกฎหมายพาณชิ ย์ ตามแบบอย่าง ประเทศฝรงั่ เศส และเยอรมนั และใหใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ สาํ หรบั คดี พาณชิ ยด์ ว้ ย LA 102 (LW 102) 49
บทท่ี 3 การใช้และการตีความกฎหมาย เม่อื รฐั บญั ญตั กิ ฎหมายขน้ึ แลว้ ย่อมมกี ารนําไปใชบ้ งั คบั กบั ประชาชนทุกผูค้ นใน ประเทศ ถา้ เป็นกฎหมาอาญากจ็ ะถกู นําไปใชเ้ พอ่ื รกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยภายในประเทศ บางครงั้ ก็มกี ารนําไปใช้นอกราชอาณาจกั ร เช่น การกระทําความผดิ ในเรอื ไทย หรอื อากาศยาน ไมว่ า่ จะกระทาํ ณ ทใ่ี ด ๆ ใหถ้ อื วา่ กระทาํ ในราชอาณาจกั ร01 หรอื การกระทาํ ความผดิ ฐานกบฏนอกราชอาณาจกั ร12 เป็นต้น ในส่วนท่เี ป็นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซง่ึ เป็นกฎหมายเอกชน กเ็ ป็นกฎหมายทก่ี ําหนดความสมั พนั ธ์ระหว่างเอกชนกบั เอกชน ในฐานะทเ่ี อกชนมคี วามเท่าเทยี มกนั เพยี งแต่ไม่ไดบ้ งั คบั เดด็ ขาดเช่นเดยี วกบั กฎหมาย อาญา กล่าวคือ คู่กรณีอาจตกลงกันเป็นประการอ่ืนได้ หากการตกลงนัน้ ไม่ขดั ต่อ กฎหมาย ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดงี าม จากการท่ีกฎหมายถูกนําไปใช้กับทุกผู้คนในประเทศไทย เป็นเหตุให้บุคคล ไม่สามารถอา้ งวา่ ไมท่ ราบวา่ มกี ฎหมายบญั ญตั ไิ วห้ รอื ทราบวา่ มกี ฎหมายบญั ญตั ไิ วแ้ ต่ไม่ ทราบว่ากฎหมายทบ่ี ญั ญตั ไิ วห้ มายความว่าอย่างไร ซ่งึ นําไปสู่ประเดน็ ทว่ี ่าใครเป็นผูใ้ ช้ กฎหมายเป็นการเจาะจงให้แจ่มชดั ข้นึ ซ่ึงหากพจิ ารณาโดยละเอยี ดแล้วจะพบว่าผู้ใช้ กฎหมายไดแ้ ก่ 1. ศาล มีหน้าท่ีพิจารณาและพิพากษาอรรถคดีต่าง ๆ ศาลอาจได้แก่ ศาล ยุตธิ รรม ศาลรฐั ธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลแรงงาน ศาลภาษี ฯลฯ ในการใชก้ ฎหมาย ทุกศาลย่อมมหี น้าท่ใี นการตีความเพ่อื สามารถนํากฎหมายไปปรบั ใช้กบั คดตี ่าง ๆ ได้ อยา่ งถกู ตอ้ ง 2. เจา้ พนกั งาน ซง่ึ ไดแ้ ก่ เจา้ พนกั งานของหน่วยงานต่าง ๆ ของรฐั เจา้ พนกั งาน ตํารวจ พนกั งานอยั การ เจา้ หน้าท่ี ขององคก์ รอสิ ระตามรฐั ธรรมนูญ เจา้ พนักงานของรฐั 1ประมวลกฎหมายอาญา, มาตรา 4 วรรค 2 51 2ประมวลกฎหมายอาญา, มาตรา 7 (1). LA 102 (LW 102)
เป็นผูบ้ งั คบั ใชก้ ฎหมาย จงึ มหี น้าทต่ี คี วามกฎหมายเพ่อื ใหม้ กี ารบงั คบั ใชก้ ฎหมายอย่าง ถูกตอ้ ง แต่การตคี วามกฎหมายของเจา้ หน้าทข่ี องรฐั มใิ ช่จะถูกตอ้ งเสมอไป อย่างไรกด็ ี อาจมีกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติว่า การตีความกฎหมายของเจ้าพนักงานถือเป็นท่ีสุด การตคี วามของเจา้ พนักงานย่อมเป็นเดด็ ขาด ไม่มที างอุทธรณ์ต่อไปได้ แต่ถ้ากฎหมาย ยอมใหม้ กี ารอุทธรณ์ กต็ อ้ งมกี ารอุทธรณ์ตามชอ่ งทางของกฎหมายนนั้ ๆ เสยี ก่อน จงึ ใช้ สทิ ธทิ างศาลได้ ในกรณีท่ีกฎหมายไม่ได้บัญญัติวิธีการอุทธรณ์ตามกฎหมายนัน้ ๆ ก่อน เอกชนผูไ้ ดร้ บั ผลรา้ ยจากการตคี วามของเจา้ หน้าทข่ี องรฐั ย่อมสามารถนําคดไี ปฟ้องรอ้ ง ยงั ศาลยุตธิ รรมหรอื ศาลทเ่ี กย่ี วขอ้ งต่อไปได้ นอกจากน้ีให้สังเกตว่า การตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซ่ึงเป็น หน่วยงานของรฐั ไมม่ ผี ลผกู พนั ศาล 3. ประชาชนทวั่ ไป ประชาชนทวั่ ไปเป็นกลุ่มบุคคลทถ่ี ูกบงั คบั ใชก้ ฎหมาย และ ต้องปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย ประชาชนย่อมต้องตคี วามในกฎหมายเพ่อื ประโยชน์เอง เช่น การตคี วามกฎหมายอาญา เพ่อื ใหต้ นเองไม่ตอ้ งตกเป็นผูก้ ระทําความผดิ ทางอาญา เช่น ความผดิ ฐานหมนิ่ ประมาท ประชาชนทจ่ี ะกล่าวขอ้ ความต่าง ๆ จะต้องไม่เป็นการหมนิ่ ประมาทผู้อ่นื ก็ต้องมกี ารตคี วามว่าการหมน่ิ ประมาทหมายความว่าอย่างไร การกล่าว ถ้อยคําอย่างไรเป็นหมิ่นประมาท หรือในกรณีของกฎหมายภาษี อาจมีประเด็นว่า คา่ ใชจ้ า่ ยอะไรบา้ งทส่ี ามารถหกั เป็นค่าใชจ้ ่ายไดบ้ า้ ง หรอื ไมส่ ามารถหกั เป็นค่าใชจ้ า่ ยบา้ ง ซ่งึ ประเดน็ ต่าง ๆ เหล่าน้ี แมแ้ ต่ผูท้ ส่ี าํ เรจ็ การศกึ ษาทางนิตศิ าสตร์ ยงั อาจตคี วามไดไ้ ม่ ถูกตอ้ ง อาจทาํ ใหป้ ระชาชนผใู้ ชก้ ฎหมายมคี วามผดิ ทางอาญา หรอื อาจตอ้ งมคี วามผดิ ใน การย่ืนจ่ายภาษีไม่ถูกต้อง อาจถูกปรบั หรือจ่ายเงินเพ่ิม เพราะบุคคลจะอ้างว่าไม่รู้ กฎหมายไม่ได้ ปญั หาคอื ว่าประชาชนจะตอ้ งดาํ เนินการอย่างไร แมบ้ างครงั้ จะไปปรกึ ษา กบั เจา้ หน้าท่ี ผบู้ งั คบั ใชก้ ฎหมายนนั้ ๆ แลว้ กต็ าม การตีความกฎหมาย จากการทก่ี ล่าวมาก่อนหน้าน้ีวา่ ผมู้ หี น้าทต่ี คี วามกฎหมายไดแ้ ก่ ศาล เจา้ พนกั งาน และประชาชนทวั่ ไป ต่อไปจะเป็นการอธบิ ายถงึ วธิ กี ารตคี วามกฎหมาย 52 LA 102 (LW 102)
การท่ีต้องมกี ารตีความกฎหมายก็เพราะเหตุว่ากฎหมายท่ีบญั ญตั ิไว้มีถ้อยคํา ไม่ชัดเจนแน่นอน คือมีถ้อยคําท่ีกํากวม หรือมีความหมายได้หลายทาง จึงมีความ จําเป็นต้องหยงั่ ทราบว่าถ้อยคําของบทบญั ญตั ิกฎหมายมีความหมายอย่างไร ดงั นัน้ ถ้ากฎหมายมคี วามชดั เจนอยู่แล้วกไ็ ม่จําเป็นต้องมกี ารตคี วาม แต่มขี อ้ สงั เกตว่าในทาง ปฏิบตั ิมกี รณีน้อยมากท่ถี ้อยคําในกฎหมายมคี วามชดั เจนโดยไม่ต้องมกี ารตีความแต่ ประการใด หลกั เกณฑใ์ นการตีความกฎหมาย หลกั เกณฑใ์ นการตคี วามกฎหมาย อาจแยกเป็น 2 กรณคี อื 1. การตคี วามกฎหมายอาญา 2. การตคี วามกฎหมายแพง่ 1. การตีความกฎหมายอาญา เน่ืองจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายทบ่ี ญั ญตั วิ า่ การกระทาํ หรอื งดการกระทาํ ใดเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ ดงั นัน้ กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครดั กล่าวคือต้องตีความเฉพาะการกระทําหรอื งดเว้นการกระทําเท่าท่ีระบุไว้ในกฎหมาย เท่านนั้ จงึ เป็นความผดิ ศาลจะตคี วามกฎหมายอาญาในทางขยายความไปเอาผดิ กบั การ กระทาํ ซง่ึ ไม่เป็นความผดิ มาลงโทษไม่ได้ หรอื จะตคี วามยอ้ นหลงั ไปลงโทษการกระทาํ ซง่ึ ขณะกระทําไม่เป็นความผดิ ไม่ได้เช่นเดยี วกนั ขณะเดยี วกนั ศาลจะตคี วามไปเพม่ิ โทษ ผกู้ ระทาํ ความผดิ ใหร้ บั โทษหนกั ขน้ึ กไ็ มไ่ ด้ เชน่ การหลอกใหผ้ อู้ ่นื สง่ แรงงานใหย้ ่อมไมเ่ ป็น ความผดิ ฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เพราะแรงงานไมใ่ ชท่ รพั ยส์ นิ 2. การตีความกฎหมายแพ่ง วธิ กี ารตคี วามตามกฎหมายแพง่ มกี ารบญั ญตั ไิ วใ้ นประมวลกฎหมายแพง่ และ กฎหมายพาณชิ ย์ มาตรา 4 วรรคแรก ความวา่ “กฎหมายนนั้ ตอ้ งใชใ้ นบรรดากรณีซง่ึ ตอ้ ง ดว้ ยบทบญั ญตั ใิ ด ๆ แหง่ กฎหมายตามอกั ษรหรอื ตามความมงุ่ หมายของบทบญั ญตั นิ นั้ ๆ” จากบทบญั ญตั นิ ้ี แสดงใหเ้ หน็ ว่ากฎหมายทจ่ี ะตอ้ งตคี วามนัน้ ไดแ้ ก่กฎหมาย ลายลกั ษณ์อกั ษร และแบง่ การตคี วามออกเป็น 2 ประการ ไดแ้ ก่ การตคี วามตวั อกั ษร และ การตคี วามตามเจตนารมณ์ LA 102 (LW 102) 53
1. การตคี วามตามตวั อกั ษร เพ่อื ใหห้ ยงั่ ทราบความหมายของกฎหมายจาก ตวั อกั ษรทบ่ี ญั ญตั ไิ ว้ 1.1 ในกรณีท่ีกฎหมายบญั ญัติไว้ด้วยภาษาธรรมดา ก็ต้องเข้าใจว่ามี ความหมายตามธรรมดาของถอ้ ยคํานนั้ ๆ ตามทบ่ี ุคคลทวั่ ไปเขา้ ใจกนั ในกรณีมขี อ้ สงสยั ว่า ถ้อยคํานัน้ ๆ มคี วามหมายว่าอย่างไร กต็ ้องคน้ หาความหมายจากพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน หรือค้นหาจากบทบญั ญัติท่ีเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ดงั กรณีของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยซ์ ่งึ ในชนั้ ตน้ ร่างขน้ึ เป็นภาษาองั กฤษแลว้ จงึ แปลเป็น ภาษาไทย ตวั อย่าง เชน่ คาํ วา่ “แพ” แปลมาจากคาํ วา่ “floating house” ซง่ึ หมายถงึ เรอื น แพ หรอื คาํ วา่ “อสงั หารมิ ทรพั ย”์ แปลมาจากคําว่า “immovable property” ซง่ึ แปลว่า ทรพั ยท์ เ่ี คล่อื นทไ่ี ม่ได้ หรอื “สงั หารมิ ทรพั ย”์ แปลมาจากคาํ วา่ “movable property” ซง่ึ หมายถงึ ทรพั ยท์ เ่ี คลอ่ื นทไ่ี มไ่ ด้ เป็นตน้ ทส่ี าํ คญั อกี ประการหน่ึงคอื ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยบ์ รรพ 1 และ 2 บญั ญตั ใิ ชเ้ ป็นกฎหมายตงั้ แต่สมยั รชั กาลท่ี 6 ถอ้ ยคาํ สาํ นวน ภาษาไทยเม่อื ครงั้ รชั กาลท่ี 6 อาจมคี วามแตกต่างจากภาษาไทยในปจั จุบนั บา้ ง ดงั นัน้ การตคี วามกฎหมายจงึ อาจตอ้ งตคี วามตามความเขา้ ใจในขณะบญั ญตั กิ ฎหมาย 1.2 ในกรณีบทบญั ญตั กิ ฎหมายใชภ้ าษาเทคนิคหรอื วชิ าการกต็ อ้ งเขา้ ใจ ตามความหมายทางเทคนิคหรือวิชาการนัน้ ๆ เช่น ศพั ท์ทางแพทย์ ทางเภสชั กรรม ทางวศิ วกรรมหรอื สถาปตั ยกรรม กต็ อ้ งเขา้ ใจตามความหมายตามวชิ าชพี นนั้ ๆ เป็นตน้ 1.3 ในกฎหมายเองบางครงั้ ผูบ้ ญั ญตั กิ ฎหมายอาจมคี วามประสงคท์ จ่ี ะให้ ถ้อยคําบางคํามคี วามหมายเฉพาะ หรอื มคี วามกว้างกว่าความเขา้ ใจของบุคคลทวั่ ไป จงึ อาจมกี ารกําหนดคําวเิ คราะหศ์ พั ทห์ รอื บทนิยาม (definition) ไว้ เช่น ในมาตรา 1 (5) ของประมวลกฎหมายอาญา คาํ วา่ “อาวธุ ” หมายความรวมถงึ สง่ิ ซง่ึ ไมเ่ ป็นอาวธุ โดยสภาพ แต่ซง่ึ ไดใ้ ชห้ รอื เจตนาจะใชป้ ระทษุ รา้ ยรา่ งกายถงึ อนั ตรายสาหสั อยา่ งอาวุธ ดงั นนั้ ตามคาํ วเิ คราะหศ์ พั ท์ คาํ วา่ อาวุธ จงึ หมายถงึ (1) สง่ิ ซง่ึ เป็นอาวุธโดยสภาพ (2) สง่ิ ซง่ึ ไมใ่ ชอ่ าวุธ โดยสภาพ แต่ซง่ึ ไดใ้ ชป้ ระทุษรา้ ยแก่ร่างกายถงึ อนั ตรายสาหสั อยา่ งอาวุธ และ (3) สงิ่ ซง่ึ ไม่ใช่ อาวุธโดยสภาพแต่เจตนาจะใชป้ ระทุษรา้ ยรา่ ยกายถงึ อนั ตรายสาหสั อยา่ งอาวุธ ขอ้ พงึ ระมดั ระวงั คอื วา่ คาํ วเิ คราะหศ์ พั ทห์ รอื คาํ นิยามของกฎหมายใดยอ่ ม ใชไ้ ดเ้ ฉพาะกบั กฎหมายนนั้ เทา่ นนั้ จะนําไปใชก้ บั กฎหมายอน่ื ยอ่ มไมไ่ ด้ 54 LA 102 (LW 102)
2. การตคี วามกฎหมายตามเจตนารมณ์ หมายถงึ การหยงั่ ทราบความหมาย ของถ้อยคําในบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายจากความมุ่งหมาย (Spirit) ของบทบญั ญตั ขิ อง กฎหมายนัน้ เหตุท่ีต้องมกี ารตีความบทบญั ญตั ิของกฎหมายตามความมุ่งหมายของ กฎหมายก็เน่ืองจากการตีความตามตวั อกั ษรแล้วผลของการตีความอาจยงั ไม่มคี วาม ชดั เจนพอ หรอื อาจเขา้ ใจไดห้ ลายนัย เช่น ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 เดมิ บญั ญตั วิ า่ “ผใู้ ดขม่ ขนื กระทาํ ชาํ เราหญงิ ซง่ึ มใิ ชภ่ รยิ าของตน...” มกี ารตคี วามตาม มาตรา 276 ว่าผู้กระทําความผิดฐานน้ีมีได้เฉพาะผู้ชายเท่านัน้ หญิงไม่อาจกระทํา ความผดิ ฐานน้ีได้ ต่อมามกี ารแกไ้ ขเป็น “ผูใ้ ดข่มขนื กระทําชําเราผูอ้ ่นื ...” โดยความมุ่งหมาย ให้เกดิ ความเสมอภาคกนั ระหว่างชายและหญิง คอื หญงิ ก็อาจกระทําความผดิ ฐานน้ีได้ เช่นเดยี วกบั ชาย หรอื ในกรณีท่มี กี ารแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครวั ในปี 2519 เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเสมอภาคระหวา่ งชายและหญงิ เชน่ เดยี วกนั แนวทางในการคน้ หาเจตนารมณ์หรอื ความมงุ่ หมายของกฎหมาย ดไู ดจ้ าก คําปรารภของกฎหมาย ซ่งึ ปจั จุบนั คําปรารภของกฎหมายมกั จะมขี อ้ ความสนั้ ๆ ซ่งึ ไม่ สามารถแสดงให้เหน็ เจตนารมณ์และความมุ่งหมายของกฎหมายแต่ประการใด เวน้ แต่ คําปรารภในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ ในอดีต รวมทัง้ ฉบับปจั จุบันได้แสดงให้เห็น เจตนารมณ์ซง่ึ สามารถนําไปใชต้ คี วามบทบญั ญตั ใิ นรฐั ธรรมนูญฉบบั นนั้ ๆ ไดบ้ า้ ง บางครงั้ การค้นหาเจตนารมณ์หรอื ความมุ่งหมายของกฎหมาย อาจดูได้ จากบนั ทกึ หลกั การและเหตุผลของร่างพระราชบญั ญตั ิ ตลอดบนั ทกึ ของรฐั สภาในการ พจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั นิ นั้ ๆ โดยเฉพาะบนั ทกึ ของรฐั สภาในวาระการพจิ ารณาเรยี ง มาตรา ประการสุดท้าย การค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาจทราบได้จาก หมายเหตุทา้ ยพระราชบญั ญตั ิ อย่างไรก็ตาม ตามปกติการตีความกฎหมายจะต้องเป็นการตีความทงั้ ตัวอักษรและตามเจตนารมณ์เสียก่อน เพ่ือหยัง่ ทราบความมุ่งหมายอันแท้จริงของ กฎหมาย หากการตีความทัง้ สองนัน้ มีความขดั แย้งกัน ต้องถือเอาการตีความตาม เจตนารมณ์เป็นใหญ่ LA 102 (LW 102) 55
บทที่ 4 การอดุ ช่องว่างของกฎหมาย ชอ่ งวา่ งของกฎหมาย (Loophole or gap in law) หมายถงึ กรณที ไ่ี มม่ กี ฎหมาย ลายลกั ษณ์อกั ษรทจ่ี ะนํามาปรบั ใชก้ บั ขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายเกดิ ขน้ึ ไดเ้ พราะขณะทบ่ี ญั ญตั กิ ฎหมายยงั ไมม่ เี หตุการณ์นนั้ เกดิ ขน้ึ ทําใหเ้ กดิ ช่องว่างของกฎหมายขน้ึ ได้ หรอื เป็นกรณีทผ่ี ูร้ ่างกฎหมายไม่ได้นึกถงึ ช่องว่างแห่งกฎหมายนนั้ เช่น การทําคําสนองโดยทางโทรศพั ทห์ รอื การลกั กระแสไฟฟ้า จงึ เป็นเหตุใหเ้ กดิ ชอ่ งวา่ งของกฎหมาย กรณีท่ีมีช่องว่างของกฎหมาย มาตรา 4 วรรคสอง บัญญัติว่า “เม่ือไม่มีบท กฎหมายท่จี ะยกมาปรบั คดไี ด้ ให้วนิ ิจฉัยคดนี ัน้ ตามจารตี ประเพณีแห่งทอ้ งถิน่ ถ้าไม่มี จารตี ประเพณีเช่นว่านัน้ ใหว้ นิ ิจฉัยคดอี าศยั เทยี บบทกฎหมายท่ใี กลเ้ คยี งอย่างยง่ิ และ ถา้ บทกฎหมายเชน่ น้ีกไ็ มม่ ดี ว้ ย ใหว้ นิ ิจฉยั ตามหลกั กฎหมายทวั่ ไป” เม่อื มชี ่องว่างของกฎหมายเกิดข้นึ มหี ลกั ทวั่ ไปทางกฎหมายแพ่งมวี ่า ศาลจะ ปฏเิ สธไมพ่ จิ ารณาพพิ ากษาคดี โดยอา้ งว่าไม่มบี ทบญั ญตั ขิ องกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร ทจ่ี ะนํามาปรบั ใชก้ บั คดไี ม่ได้ กล่าวอกี นัยหน่ึงคอื ศาลตอ้ งหากฎหมายมาตดั สนิ คดใี หไ้ ด้ เพ่อื ใหผ้ เู้ สยี หายไดร้ บั การเยยี วยา ซง่ึ ต่างกบั กฎหมายอาญา ซง่ึ มหี ลกั การทแ่ี ตกต่างกนั กล่าวคอื ในทางอาญาหากไม่มกี ฎหมายน้ีจะนํามาปรบั กบั คดี ศาลต้องตดั สนิ ยกฟ้อง จาํ เลยตามหลกั การทวั่ ไปของกฎหมายอาญาทว่ี ่า “ไมม่ กี ฎหมาย ไม่มคี วามผดิ ย่อมไม่มี โทษ” (nullum crimen sine lege, nulla poena sine lege-no crime or punishment without law) ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไดบ้ ญั ญตั วิ ธิ กี ารปิดช่องว่างของกฎหมาย ลายลกั ษณ์อกั ษรไวต้ ามลาํ ดบั ต่อไปน้ี 1. จารตี ประเพณีแห่งท้องถิ่น คําว่า จารตี ประเพณีนัน้ เขา้ ใจเป็นสองทาง คือ จารตี ประเพณีนิยมกนั ทวั่ ไปของประเทศ หรือจารตี ประเพณีท่ีนิยมกนั เฉพาะท้องถิ่น ความหมายของคําว่าจารตี ประเพณีแห่งท้องถิ่น ตามมาตราน้ีมีความหมายกว้างคือ LA 102 (LW 102) 57
ประเทศไทยทงั้ ประเทศกถ็ อื วา่ เป็นทอ้ งถน่ิ อนั หน่ึง01 จารตี ประเพณที น่ี ํามาอุดชอ่ งวา่ งของกฎหมาย กฎหมาย ไดแ้ ก่ จารตี ประเพณีการคา้ ของธนาคารพาณิชย์ จารตี ประเพณีเกย่ี วกบั การขนส่ง เป็นตน้ 2. การเทยี บเคยี งกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยง่ิ ในกรณีท่ไี ม่มกี ฎหมายจารตี ประเพณีแห่งท้องถนิ่ ก็ต้องพจิ ารณาโดยอาศยั กฎหมายใกล้อย่างยิ่ง ซ่ึงเป็นกรณีท่ียกบทกฎหมายท่ีบญั ญัติไว้ในเร่ืองอ่ืน แต่เป็น บทบญั ญตั กิ ฎหมายทส่ี ามารถใชส้ าํ หรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั หรอื คลา้ ยคลงึ กนั อย่างยง่ิ ก็สามารถนําเอาบทกฎหมายท่บี ญั ญตั ไิ ว้มาปรบั กบั คดที ่มี ขี อ้ เท็จจรงิ ใกล้เคยี งกนั หรอื คล้ายคลึงกันได้ ทัง้ น้ีเป็นตามหลักท่ีว่า “สิ่งท่ีเหมือนกันควรได้รับการปฏิบัติอย่าง เดยี วกนั ” หรอื หลกั ท่วี ่า “เม่อื มเี หตุผลอย่างเดยี วกนั ก็ต้องใช้กฎหมายอย่างเดยี วกนั ” (UBI EADEM RATIO, IBI EADEM LEX; ET DE SIMILIBUS IDEM EST JUTCIUM)2 ตวั อย่างเช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1342 วรรคแรก บญั ญตั วิ ่า “บอ่ สระ หลุมรบั น้ําโสโครก หรอื หลุมรบั ป๋ ุย หรอื ขยะมลู ฝอยนนั้ ท่านวา่ จะขดุ ในระยะสองเมตร จากแนวเขตทด่ี นิ ไมไ่ ด”้ สมมตวิ า่ เจา้ ของอสงั หารมิ ทรพั ยข์ ดุ ดนิ ไปขายจนเป็นหลุมลกึ ตดิ กบั ทด่ี นิ ขา้ งเคยี ง ถา้ หากขอ้ เทจ็ จรงิ มดี งั น้ี เจา้ ของอสงั หารมิ ทรพั ยก์ น็ ่าจะทําได้ เพราะไม่ มกี ฎหมายหา้ ม แตถ่ า้ นําเอามาตรา 1342 มาใชเ้ ทยี บเคยี ง เจา้ ของอสงั หารมิ ทรพั ยจ์ ะตอ้ ง ขดุ ดนิ ขายในระยะสองเมตรจากแนวเขตทด่ี นิ ไม่ได้ ถา้ หากการขดุ ดนิ ขายเป็นเหตุใหท้ ด่ี นิ ขา้ งเคยี งพงั ลงไป เจา้ ของอสงั หารมิ ทรพั ยอ์ าจตอ้ งรบั ผดิ ฐานละเมดิ ตามมาตรา 420 3. หลกั กฎหมายทวั่ ไป ในกรณที ไ่ี มม่ บี ทบญั ญตั ใิ กลเ้ คยี งอยา่ งยง่ิ มาอุดชอ่ งวา่ งของกฎหมาย ประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรค 2 ใหน้ ําหลกั กฎหมายทวั่ ไปมาใชอ้ ุดช่องว่างของ กฎหมาย หลกั กฎหมายทวั่ ไปมกั จะได้แก่สุภาษิตกฎหมาย เช่น ผูซ้ ้อื พงึ ระวงั (caveat emptor-let the buyer beware) สญั ญาตอ้ งเป็นสญั ญาหรอื สญั ญาตอ้ งไดร้ บั การปฏบิ ตั ิ 1พระยาเทพวฑิ ุร (บุญช่วย วณิกกุล), คาํ อธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1-2 มาตรา 1 ถึง 241 (พระนคร: โรงพมิ พไ์ ทยพทิ ยา, 2509), หน้า 26. 2Where the same reason exists, there the same law prevails; and of thing similar, the judgment is similar. Black, Henry Campbell เรอ่ื งเดมิ , หน้า 1690. 58 LA 102 (LW 102)
ภาค 2 กฎหมายแพ่งและพาณิชยล์ กั ษณะบคุ คล LA 102 (LW 102) 59
60 LA 102 (LW 102)
ภาคที่ 2 กฎหมายแพ่งและพาณิชยล์ กั ษณะบคุ คล มนุษยท์ กุ คนยอ่ มมสี ทิ ธแิ ละหน้าทต่ี ามทก่ี ฎหมายซง่ึ บุคคลนนั้ มสี ญั ชาตไิ ดก้ าํ หนด ไวเ้ สมอ นอกจากนัน้ แล้วกฎหมายของแต่ละประเทศกจ็ ะต้องวางกฎเกณฑแ์ ละกําหนด ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลกบั บุคคลไวด้ ว้ ย เพยี งแต่วา่ อาจจะแตกต่างกนั ในรายละเอยี ด ซง่ึ ขน้ึ อยกู่ บั ความเป็นมา ประวตั ศิ าสตร์ และแนวคดิ ของแตล่ ะประเทศ ประเทศไทยเป็นประเทศทใ่ี ชก้ ฎหมายระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) จงึ เป็น ประเทศหน่งึ ทไ่ี ดม้ กี ารประกาศใชป้ ระมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ เพอ่ื บงั คบั ใชแ้ ละวาง กฎเกณฑ์ สาํ หรบั คนไทยจงึ หมายถงึ คนทม่ี สี ญั ชาตไิ ทย ในสว่ นทเ่ี กย่ี วกบั สทิ ธแิ ละหน้าท่ี และมกี ารกําหนดหลกั เกณฑเ์ กย่ี วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเอกชนคนไทยดว้ ยกนั ไวถ้ งึ 6 บรรพ ดว้ ยมงุ่ หวงั ใหส้ งั คมไทยไดม้ แี นวปฏบิ ตั แิ ละประพฤตไิ ปในทศิ ทางเดยี วกนั และเมอ่ื ทุกคนได้ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายท่ไี ด้กําหนดขน้ึ แล้ว ก็เป็นท่แี น่นอนว่า ประเทศ ไทยก็มีสงั คมท่ีมีความสงบสุขและมีกฎระเบียบแบบแผนของกฎหมายแพ่งเฉกเช่น อารยประเทศทงั้ หลาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยไดม้ กี ารบญั ญตั ไิ วค้ รงั้ แรกในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั (รชั กาลท่ี 6) และเน่ืองจากสงั คมไทยไดม้ กี าร เปล่ยี นแปลงและเพ่อื ใหท้ นั กนั กบั ความเปลย่ี นแปลงของสงั คมโลก จงึ ไดม้ กี ารปรบั ปรุง แกไ้ ขเพอ่ื ใหท้ นั สมยั และทนั ต่อความเปลย่ี นแปลงตลอดมาแมใ้ นเวลาปจั จุบนั น้ี สาํ หรบั ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทงั้ 6 บรรพนัน้ มรี ายละเอยี ดดงั น้ีคอื บรรพ 1 บญั ญตั เิ กย่ี วกบั หลกั ทวั่ ไปวา่ ดว้ ยการใชก้ ารตคี วามกฎหมายแพง่ การอุดชอ่ งวา่ ง กฎหมาย หลกั ในการใชส้ ทิ ธขิ องบุคคล นอกจากนนั้ ยงั บญั ญตั เิ กย่ี วกบั บุคคล ทรพั ยแ์ ละ นิติกรรมด้วย ซ่ึงหลกั กฎหมายในบรรพ 1 ถือว่าเป็นพ้นื ฐานของการใช้กฎหมายแพ่งท่ี สาํ คญั มาก ส่วนบรรพ 2 บญั ญตั เิ ก่ยี วกบั หน้ี ส่วนบรรพ 3 บญั ญตั เิ กย่ี วกบั เอกเทศสญั ญา เช่น ซ้อื ขาย แลกเปล่ยี น ให้ เช่าซ้อื เช่าทรพั ย์ เป็นต้น ซ่งึ ในบรรพ 3 น้ีถอื ว่าเป็นการ พยายามวางกฎเกณฑข์ องสงั คมเมอ่ื เอกชนจะทาํ นิตกิ รรมระหวา่ งกนั ขน้ึ นอกจากนนั้ แลว้ LA 102 (LW 102) 61
ยงั มบี รรพ 4 บญั ญตั เิ กย่ี วกบั เร่อื งทรพั ยส์ นิ โดยวางหลกั เดยี วกบั การครอบครองทรพั ยส์ นิ ไมว่ า่ จะเป็นเรอ่ื งกรรมสทิ ธิ์การครอบครอง หรอื ภาระจาํ ยอม และในบรรพ 5 กม็ กี ารวางหลกั เกย่ี วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลในครอบครวั ไว้ ไม่วา่ จะเป็นระหวา่ งสามี ภรยิ า บดิ า มารดา และบุตร การหมนั้ การสมรส และการหย่าด้วย สําหรบั บรรพ 6 ซ่งึ เป็นบรรพ สุดท้ายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นการวางหลกั เก่ยี วกบั มรดกซ่ึงเป็น ทรพั ยส์ นิ ของผูต้ ายวา่ จะจดั การอย่างไร จะแบ่งโดยพนิ ยั กรรมหรอื โดยกฎหมายมรดกไว้ เพอ่ื ป้องกนั ปญั หาการแบง่ ทรพั ยส์ นิ ภายหลงั การตายของบคุ คล เน่ืองจากหลกั สูตรนิติศาสตรบณั ฑิตของมหาวิทยาลยั รามคําแหง ต้องการให้ นักศกึ ษามคี วามรู้ทางด้านกฎหมายอย่างถูกต้องและชดั เจน จนสามารถนําไปใช้เพ่อื ประกอบวชิ าชพี และเป็นนกั กฎหมายทด่ี ตี ่อไปในอนาคต จงึ ไดม้ กี ารแบง่ การศกึ ษาแต่ละ รายวชิ าอยา่ งค่อนขา้ งละเอยี ด ดงั นนั้ วชิ าหลกั กฎหมายเอกชน (LA 102 หรอื LW 102) ไดถ้ ูกกาํ หนดใหเ้ ป็นวชิ าแรกของการศกึ ษาประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ นอกจากจะ ไดศ้ กึ ษาในภาค 1 เกย่ี วกบั ความรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั หลกั กฎหมายเอกชนมาศกึ ษาแลว้ ยงั นํา บทกฎหมายท่บี ญั ญตั ิไว้ในบรรพ 1 ลกั ษณะ 2 ทงั้ หมวด 1 ว่าด้วยบุคคลและหมวด 2 ว่าด้วยนิติบุคคลมาศกึ ษาเพ่อื เป็นการวางพ้นื ฐานทางด้านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สาํ หรบั นกั ศกึ ษาคณะนิตศิ าสตรต์ ่อไป 62 LA 102 (LW 102)
บทท่ี 1 บคุ คลธรรมดา การทบ่ี ุคคลใดจะมสี ทิ ธหิ รอื ตอ้ งทําหน้าทใ่ี ด ๆ นนั้ ไดม้ กี ารกําหนดไวใ้ นกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ โดยตอ้ งมสี ภาพบุคคลแลว้ เท่านนั้ ดงั นัน้ การเรมิ่ มสี ภาพบุคคลจงึ เป็น เร่อื งสําคญั เพราะจะสามารถบอกไดว้ ่าบุคคลนนั้ จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายหรอื จะไดร้ บั การคมุ้ ครองจากกฎหมายตงั้ แตเ่ มอ่ื ใดและอยา่ งไรบา้ ง แต่เน่ืองจากตามธรรมชาตขิ องมนุษย์นัน้ เม่อื เกดิ มาแลว้ ต้องตายทุกคน จงึ ได้มี การกาํ หนดไวเ้ ชน่ เดยี วกนั ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วา่ สภาพบุคคลนนั้ จะสน้ิ สดุ ลงเมอ่ื ตาย ซง่ึ หมายความวา่ สภาพบุคคลนนั้ เองเมอ่ื มกี ารเรม่ิ กย็ อ่ มมวี นั สน้ิ สดุ ลงไปพรอ้ มกบั สทิ ธแิ ละ หน้าทท่ี งั้ หลายท่กี ฎหมายไดก้ ําหนดไวเ้ ช่นกนั แต่การสน้ิ สภาพบุคคลนัน้ ไม่ไดม้ เี ฉพาะ การตายธรรมดาเท่านนั้ ในกฎหมายยงั ไดม้ กี ารบญั ญตั ถิ งึ การสน้ิ สภาพบุคคลโดยผลของ กฎหมาย ซง่ึ เรยี กว่า การสาบสูญไวด้ ว้ ย เพราะเม่อื มนุษยเ์ ป็นสตั วส์ งั คม ต้องไปมาหาสู่ มกี ารเดนิ ทาง ไม่ว่าจะเป็นไปเพ่อื การทํางานธุรกจิ หรอื ท่องเทย่ี ว ในบางกรณีบุคคลนัน้ อาจจะไมส่ ามารถกลบั มาไดต้ ามกําหนด หรอื อาจไมก่ ลบั มากไ็ ด้ โดยไมม่ ใี ครทราบสาเหตุ ซ่งึ ในกรณีเช่นน้ีย่อมเป็นการยากท่จี ะทราบว่าบุคคลนัน้ มชี วี ติ อยู่หรอื ไม่ เพราะไม่มใี คร พบหรอื ไดข้ า่ วคราวของบคุ คลนนั้ อกี เลยเป็นเวลานาน เชน่ 1 ปี หรอื 5 ปี เป็นตน้ ดงั นัน้ การหายไปของบุคคลเช่นน้ีอาจสร้างความกังวลให้กับคนใกล้ชิด เช่น คู่สมรส บุตร พ่นี ้อง หรอื แม้แต่หุ้นส่วน ปญั หาน้ีผู้บญั ญตั ิกฎหมายได้คํานึงถึงเช่นกนั เพราะหากสมมติว่าบุคคลท่ีหายไปมีธุรกิจการงานท่ีมมี ูลค่ามหาศาล แล้วใครจะเป็น ผูบ้ รหิ ารดูแลกจิ การใหเ้ ม่อื เขาไม่อยู่ สถานะในครอบครวั จะเป็นอย่างไร อย่างน้ีเป็นต้น กฎหมายแพง่ และพาณิชยจ์ งึ ไดก้ าํ หนดใหบ้ ุคคลดงั กล่าวเป็นคนสาบสญู ถอื วา่ บุคคลนนั้ ตาย โดยผลของกฎหมาย และแน่นอนตอ้ งมคี ําสงั่ ศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนสาบสญู ตามคํารอ้ งของผมู้ ี สิทธิร้องขอเท่านัน้ ซ่ึงแน่นอนว่า หลักเกณฑ์หรือผลในกฎหมายของบุคคลท่ีตาย ธรรมชาตกิ บั ตายโดยผลของกฎหมาย ย่อมแตกต่างกนั ไปด้วย ซ่งึ ในเร่อื งน้ีจะได้นํามา ศกึ ษาตอ่ ไปตามลาํ ดบั LA 102 (LW 102) 63
1.1 การเร่ิมสภาพบคุ คล ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิว่า “สภาพ บคุ คลยอ่ มเริ่มแต่เม่ือคลอดแล้วอย่รู อดเป็นทารก และสิ้นสดุ ลงเมอ่ื ตาย ทารกในครรภม์ ารดา กส็ ามารถมีสิทธิต่าง ๆ ได้ หากว่าภายหลงั คลอดแล้ว อยรู่ อดเป็นทารก” เม่อื พจิ ารณาจากถ้อยคําในกฎหมายมาตรา 15 วรรคหน่ึง จะเห็นได้ว่าบุคคล ธรรมดานนั้ จะสามารถมสี ทิ ธติ ามกฎหมายแพ่งและพาณิชยไ์ ดก้ ต็ ่อเม่อื บุคคลนัน้ มสี ภาพ บุคคลตามกฎหมายแล้วเท่านัน้ ซ่งึ สภาพบุคคลท่ชี อบดว้ ยกฎหมายจะต้องประกอบไป ดว้ ย 2 เงอ่ื นไข คอื 1.1.1 การคลอด ตามกฎหมายนัน้ การคลอดโดยสมบูรณ์เรม่ิ นับตงั้ แต่เม่อื เดก็ ออกมาหมด ทงั้ ตวั จากมารดา ไมว่ า่ จะคลอดโดยธรรมชาตหิ รอื การผา่ ตดั และไมค่ าํ นึงวา่ จะตดั สายสะดอื สายรกหรอื ไมอ่ กี ดว้ ย และโดยเฉพาะอย่างยง่ิ กฎหมายไมไ่ ดก้ ําหนดว่าร่างกายของทารก นนั้ จะตอ้ งคลอดมาสมบรู ณ์ครบ 32 ประการหรอื ไม่ นนั้ แสดงวา่ ทารกทค่ี ลอดออกมาไมว่ า่ จะพกิ ารหรอื ไม่ กม็ สี ภาพบุคคลอยนู่ นั่ เอง ดงั นัน้ สภาพบุคคลจะเรมิ่ ต้นด้วย การคลอดโดยสมบูรณ์จากมารดาแล้ว เป็นองคป์ ระกอบทห่ี น่ึง 1.1.2 การอย่รู อดเป็นทารก สภาพบุคคลของทารกนอกจากจะต้องมีการคลอดแล้ว ก็จะต้องมีการ หายใจไมว่ ่าจะดว้ ยตวั เอง หรอื โดยเครอ่ื งมอื แพทยก์ ต็ ามอกี ดว้ ย และไมว่ ่าการหายใจนนั้ จะมเี วลายาวนานหรอื สนั้ เพยี งใดกต็ าม กถ็ อื วา่ ทารกมชี วี ติ รอดอย่แู ละมสี ภาพบุคคลโดย สมบรู ณ์ตามกฎหมายแลว้ และเม่อื ทารกไดม้ กี ารคลอดโดยสมบูรณ์และมกี ารแสดงใหเ้ หน็ ถงึ การอยู่ รอดแลว้ ทารกกจ็ ะมสี ภาพบุคคลและมสี ทิ ธแิ ละหน้าทต่ี ามกฎหมาย ตามทม่ี าตรา 15 วรรค หน่ึง ไดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ ดงั นนั้ เมอ่ื ทารกมสี ภาพบุคคลกจ็ ะมผี ลในทางกฎหมายโดยสงั เขป ดงั น้ี คอื สทิ ธใิ นทางกฎหมายอาญา เช่น ในการทป่ี ระมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซ่ึงบญั ญตั ิว่า “ผ้ใู ดฆ่าผ้อู ่ืน ต้องระวางโทษประหารชีวิต จาํ คกุ ตลอดชีวิต หรือ 64 LA 102 (LW 102)
จาํ คกุ ตงั้ แต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบปี ” จะถูกนํามาบงั คบั ใชก้ บั ใครกต็ ามทฆ่ี ่าเดก็ หลงั คลอดและ ทม่ี ชี วี ติ รอดแลว้ ในฐานฆา่ คนตายโดยเจตนา และมาตรา 301 ถงึ มาตรา 305 กม็ กี ารบญั ญตั ิ ไวล้ งโทษผใู้ ดกต็ ามทท่ี ําใหท้ ารกตายก่อนคลอดหรอื ขณะคลอดดว้ ย นนั้ คอื ความผดิ ฐาน ทําแทง้ แต่ไม่มคี วามผดิ ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามมาตรา 288 แต่ประการใด เพราะ ทารกเหล่าน้ียงั ไม่มสี ภาพบุคคลตามกฎหมาย ทก่ี ล่าวมาน้ีเป็นการแสดงใหเ้ หน็ วา่ บุคคล ใดท่มี สี ภาพบุคคล กย็ ่อมจะได้รบั การคุม้ ครองสทิ ธใิ นชวี ติ และร่างกายแลว้ แต่หากเป็น เพยี งทารกในครรภม์ ารดากจ็ ะไดร้ บั รองและคุม้ ครองสทิ ธเิ ชน่ กนั แต่คนละกรณกี นั สทิ ธใิ นทางกฎหมายแพ่ง เช่น สทิ ธทิ เ่ี ก่ยี วกบั เร่อื งมรดก ซ่งึ บญั ญตั ไิ วใ้ น บรรพ 6 นัน่ เอง โดยเฉพาะในมาตรา 1603 ซ่ึงบญั ญตั ิไว้ว่า “กองมรดกย่อมตกทอด แก่ทายาทโดยสิทธิตามกฎหมาย หรือโดยพินัยกรรม ทายาทมีสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า “ทายาทโดยธรรม” ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม เรียกว่า “ผรู้ บั พินัยกรรม” และในมาตรา 1629 ได้บญั ญตั ิไว้สอดคล้องกนั ว่า “ทายาทโดยธรรมมีหกลาํ ดบั เท่านัน้ และภายใต้บงั คบั แห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลาํ ดบั มีสิทธิได้รบั มรดกก่อนหลงั ดงั่ ต่อไปนี้ คือ (1) ผสู้ ืบสนั ดาน (2) บิดามารดา (3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกนั (4) พี่น้องร่วมบิดาหรอื ร่วมมารดาเดียวกนั (5) ป่ ู ย่า ตา ยาย (6) ลงุ ป้ า น้า อา ค่สู มรสท่ียงั มีชีวิตอย่นู ัน้ กเ็ ป็น ทายาทโดยธรรม ภายใต้บงั คบั ของ บทบญั ญตั ิพิเศษแห่ง มาตรา 1635” เม่อื พิจารณาจากบทบญั ญตั ิของ 2 มาตราท่ียกมาจะเห็นว่าเม่ือทารกมี สภาพบุคคลแลว้ เดก็ คนนนั้ ย่อมมสี ทิ ธติ ามทป่ี ระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 กําหนดไว้ แต่หากในกรณีโชคร้ายเด็กอาจเสียชีวิตในเวลาต่อมา เด็กก็จะกลายเป็น เจา้ มรดกซง่ึ ทรพั ยส์ นิ ทเ่ี ขาไดม้ าในฐานะทายาทโดยธรรมหรอื โดยพนิ ยั กรรม กจ็ ะตกแก่ทายาท โดยธรรมของเดก็ ทนั ที ไมว่ า่ จะเป็นมารดาหรอื ญาตพิ น่ี ้องตามหลกั ในการรบั มรดกตอ่ ไป LA 102 (LW 102) 65
แต่อย่างไรกด็ กี ฎหมายแพ่งและพาณิชยไ์ ดถ้ ูกบญั ญตั ขิ น้ึ เพ่อื ดูแลคุม้ ครอง สทิ ธขิ องบุคคล ดงั นนั้ จงึ ไดม้ กี ารบญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 15 วรรคสอง ว่า “ทารกในครรภ์ มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง ๆ ได้ หากว่าภายหลงั คลอดแล้วอยู่รอดเป็ นทารก” เราจะเหน็ ไดว้ ่าผบู้ ญั ญตั กิ ฎหมายมาตรา 15 วรรคสอง ตอ้ งการจะคุม้ ครองสทิ ธขิ องทารก ในครรภ์มารดาซ่งึ ได้อธบิ ายไปแล้วในเร่อื งผลในทางกฎหมายแพ่งของการเรมิ่ มสี ภาพ บุคคล และเพ่ือยืนยันสิทธิของทารกในครรภ์มารดาในเร่ืองครอบครัว ก็คงต้องไป ดบู ทบญั ญตั มิ าตรา 1536 ของบรรพ 5 วา่ ดว้ ยครอบครวั ซง่ึ เป็นสทิ ธใิ นการเป็นบุตรโดย ชอบดว้ ยกฎหมาย ทไ่ี ดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ า่ “เดก็ เกิดแต่หญิงขณะเป็ นภริยาชายหรือภายใน สามรอ้ ยสิบวนั นับแต่วนั ที่การสมรสสิ้นสดุ ลง ให้สนั นิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบตุ รชอบ ด้วยกฎหมายของชายผเู้ ป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี ให้นําความในวรรคหนึ่งมาใช้บงั คบั แก่บตุ รท่ีเกิดจากหญิงก่อนที่ได้มี คาํ พิพากษาถึงท่ีสุดของศาลแสดงว่าการสมรสเป็ นโมฆะ หรือภายในระยะเวลา สามรอ้ ยสิบวนั นับแต่วนั นัน้ ” และมาตรา 1604 ของบรรพ 6 วา่ ดว้ ยครอบครวั ซง่ึ เป็นการบญั ญตั ใิ หส้ ทิ ธิ ในการรบั มรดกของทารกในครรภ์มารดาไวโ้ ดยได้บญั ญตั วิ ่า “บุคคลธรรมดาจะเป็ น ทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล หรือสามารถมีสิทธิได้ตามมาตรา 15 แห่ง ประมวลกฎหมายนี้ในเวลาท่ีเจ้ามรดกถงึ แก่ความตาย เพ่ือประโยชน์แห่ง มาตรานี้ ให้ถือว่าเดก็ ท่ีเกิดมารอดอยู่ภายใน สามร้อยสิบวนั นับแต่เวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายนัน้ เป็ นทารกในครรภ์ มารดาอย่ใู นเวลาท่ีเจ้ามรดกถงึ แก่ความตาย” จาก 2 มาตราน้ี พอจะยืนยนั ได้ว่า ทารกในครรภ์มารดานัน้ ย่อมมีสทิ ธิ ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทงั้ ในบรรพ 5 เร่อื งครอบครวั และบรรพ 6 เร่อื งมรดก เช่นเดยี วกบั ผูท้ ม่ี สี ภาพบุคคลมาตรา 15 วรรคหน่ึง แมว้ ่าทารกในครรภ์มารดานัน้ จะยงั ไม่มสี ภาพบุคคลกต็ ามที และหากกฎหมายไม่ได้บญั ญตั มิ าตรา 15 วรรคสอง ไวเ้ พ่อื ให้ สทิ ธแิ ก่ทารกในครรภม์ ารดาซง่ึ อาจคลอดและอยรู่ อดเป็นทารก และมสี ภาพบุคคลในเวลา 310 วนั หลงั จากทบ่ี ดิ าเสยี ชวี ติ หรอื บดิ าหย่ากบั มารดา เดก็ เหล่าน้ีคงเกดิ มาโดยไมไดร้ บั ความยุตธิ รรม เพราะจะไมม่ กี ารรบั รองสทิ ธขิ องเดก็ เหล่าน้ีในขณะทย่ี งั ปฏสิ นธอิ ยใู่ นครรภ์ มารดา 66 LA 102 (LW 102)
ดงั นัน้ เพ่อื ใหท้ ารกซ่งึ ยงั มไิ ด้คลอดและอยู่รอดเป็นทารก ตามกรณีมาตรา 1536 หรอื มาตรา 1604 ก็ดี ย่อมสามารถมสี ทิ ธแิ ละไดร้ บั ประโยชน์เสมอื นทารกท่ไี ด้มี สภาพบุคคลแลว้ ตามมาตรา 15 วรรคหน่ึง เพราะไมว่ า่ สงิ่ ทเ่ี ป็นประโยชน์แก่ทารกจะเป็น อะไรกต็ าม กฎหมายกใ็ หต้ กเป็นสทิ ธแิ ก่ทารกในครรภม์ ารดา ตามมาตรา 15 วรรคสอง ทงั้ สน้ิ โดยพจิ ารณาไดจ้ ากคําพพิ ากษาฎกี าท่ี 124/2487 ทไ่ี ดว้ นิ ิจฉัยเกย่ี วกบั สทิ ธไิ วว้ ่า “ประโยชน์อนั บุคคลมอี ยู่ แต่ประโยชน์จะเป็นสทิ ธหิ รอื ไม่ กต็ อ้ งแลว้ แต่บุคคลมหี น้าทต่ี อ้ ง เคารพหรอื ไม่ ถา้ บุคคลอ่นื มหี น้าทต่ี อ้ งเคารพประโยชน์นนั้ กเ็ ป็นสทิ ธิ กล่าวคอื ไดร้ บั การ รบั รองและคุม้ ครองของกฎหมาย” ซ่งึ อาจพอจะสรุปไดว้ ่าสทิ ธหิ รอื ประโยชน์ทก่ี ฎหมาย มาตรา 15 วรรคสอง ตอ้ งการจะใหต้ กเป็นของทารกในครรภม์ ารดาเหล่าน้ี คงจะหมายถงึ ทงั้ สทิ ธิเด็ดขาด เช่น สทิ ธิในชีวติ ร่างกาย รวมทงั้ สทิ ธิในทางแพ่ง เช่น สทิ ธิในเร่ือง ครอบครวั และมรดกดว้ ย ตามทไ่ี ดม้ กี ารตดั สนิ ไวเ้ ป็นบรรทดั ฐานแลว้ ตามฎกี าขา้ งตน้ ดงั นนั้ อาจกลา่ วไดว้ า่ เมอ่ื ผใู้ ดมสี ภาพบุคคลแลว้ กเ็ ป็นเรอ่ื งทก่ี ฎหมายแพง่ และพาณิชยจ์ ะตอ้ งใหก้ ารคุม้ ครองและมกี ารกําหนดสทิ ธแิ ละหน้าทไ่ี วด้ ว้ ย ในขณะเดยี วกนั เพ่อื ให้สงั คมได้ดําเนินไปดว้ ยความสงบและเรยี บรอ้ ยและโดยไม่กลายเป็นปญั หาท่ไี ม่มี ทางแก้ สว่ นทารกในครรภม์ ารดา กเ็ ป็นเรอ่ื งทก่ี ฎหมายขยายเวลาใหท้ ารกมสี ทิ ธกิ ่อนเรมิ่ มสี ภาพบุคคล โดยมเี งอ่ื นไขวา่ ในเวลาต่อมาทารกนนั้ ตอ้ งมกี ารคลอดและอย่รู อดเป็นทารก แม้ทารกนัน้ จะเพยี งเริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดาเพียงวนั เดียว แต่หากเด็กถูกทําแท้ง มารดาตายก่อนคลอดหรอื ทารกคลอดแลว้ ตาย สทิ ธทิ ่ไี ด้มกี ารคุ้มครองไวใ้ นมาตรา 15 วรรคสอง กจ็ ะหมดไปทนั ที 1.2 การเริ่มนับอายบุ คุ คล มาตรา 16 ได้บญั ญัติ ว่า “การนับอายุของบุคคล ให้เร่ิมนับแต่วนั เกิด ในกรณีที่ร้วู ่าเกิดในเดือนใดแต่ไม่ร้วู นั เกิด ให้นับวนั ที่หนึ่งแห่งเดือนนัน้ เป็ นวนั เกิด แต่ถ้าพ้นวิสยั ที่จะหยงั่ ร้เู ดือนและวนั เกิดของบุคคลใดให้นับอายุบุคคลนัน้ ตงั้ แต่ วนั ต้นปี ปฏิทิน ซึ่งเป็นปี ที่บคุ คลนัน้ เกิด” จากมาตรา 16 การนบั อายุของบุคคลจงึ แยก ไดเ้ ป็น 2 กรณี กรณีท่ี 1 กรณีทไ่ี มท่ ราบวา่ บุคคลนนั้ เกดิ วนั ทเ่ี ท่าไหร่ แต่ทราบว่าเกดิ เดอื นอะไร ใหถ้ อื ว่าบุคคลนนั้ เกดิ วนั ทห่ี น่ึงแห่งเดอื นนนั้ เป็นวนั เกดิ เช่น นาย ก. เกดิ เดอื นมกราคม LA 102 (LW 102) 67
พ.ศ. 2494 ไม่รูว้ ่า นาย ก. เกดิ วนั ทเ่ี ท่าใด ใหถ้ อื ว่านาย ก. เกดิ วนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2494 และเป็นวนั เกดิ กรณีท่ี 2 กรณีทน่ี อกจากไม่ทราบว่าบุคคลนัน้ เกดิ วนั ทเ่ี ท่าไหร่ แลว้ ยงั ไม่ทราบ วา่ เกดิ เดอื นอะไร และปีอะไรดว้ ย กรณนี ้ี คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 489-490/2464 วนิ ิจฉยั วา่ ให้ พจิ ารณาจาก รปู ร่าง หน้าตา ลกั ษณะสณั ฐานของบุคคลนนั้ ว่าควรมอี ายุประมาณเท่าใด ซ่งึ ก็คงต้องกระทําโดยการสอบสวนจากคนอ่นื ท่อี ยู่ใกล้ชดิ หรอื คํานวณโดยใช้หลกั วชิ า แพทยช์ ว่ ย ดงั นนั้ เม่อื ทราบวา่ บุคคลนัน้ เกดิ ปีใดกถ็ อื ว่าบุคคลนนั้ เกดิ วนั ตน้ แห่งปีปฏทิ นิ ของปีทบ่ี คุ คลผนู้ นั้ เกดิ ตามมาตรา 16 วนั ต้นปี แห่งปฏิทินไทย มี 2 ระยะ คอื 1. ก่อนวนั ท่ี 18 ตุลาคม พ.ศ. 2483 คอื วนั ท่ี 1 เมษายน 2. ตงั้ แต่วนั ท่ี 18 ตุลาคม พ.ศ. 2483 คอื วนั ท่ี 1 มกราคม เช่น นาย ก. รวู้ ่าเกดิ ปี พ.ศ. 2470 วนั เกดิ กต็ อ้ งเป็นวนั ท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2470 แต่ นาย ข. รวู้ า่ เกดิ ปี พ.ศ. 2494 วนั เกดิ กต็ อ้ งเป็นวนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2494 พระราชบญั ญตั ิทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2534 ได้กําหนดไว้ให้บุคคลไปแจ้งเกิด ภายใน 15 วนั นับแต่เกิด ยกเว้นในกรณีจําเป็นไม่อาจแจ้งได้ตามท่ีกําหนด ให้แจ้ง ภายหลงั ไดแ้ ต่ตอ้ งไม่เกนิ 15 วนั นับแต่วนั ทอ่ี าจแจง้ ได้ ทงั้ น้ีกเ็ พราะว่าวนั เกดิ ของบุคคล ย่อมเป็นตวั บ่งบอกอายุของบุคคลได้ว่ามอี ายุเท่าไร ซ่งึ ย่อมมผี ลทงั้ ในทางแพ่งและทาง อาญา เพราะมหี ลายกรณีทต่ี อ้ งนําอายุมาเกย่ี วขอ้ งดว้ ย เชน่ เรอ่ื งการบรรลุนิตภิ าวะ ตาม มาตรา 19 ซง่ึ ตอ้ งมอี ายุครบ 20 ปีบรบิ รู ณ์ เป็นตน้ สว่ นในทางกฎหมายอาญานนั้ เดก็ ทม่ี ี อายุไม่เกนิ 10 ปี กระทําความผดิ เดก็ ไมต่ อ้ งรบั โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 73 เป็นตน้ 1.3 การสิ้นสภาพบคุ คล นอกจากการเรม่ิ สภาพบุคคลซ่ึงมคี วามสําคญั กบั บุคคลธรรมดาตามท่ไี ด้ศกึ ษา มาแล้ว การส้ินสภาพบุคคลก็มีความสําคัญเช่นกัน เพราะการส้ินสภาพบุคคลเป็น ตวั กําหนดวนั สน้ิ สุดการมสี ทิ ธแิ ละหมดหน้าทข่ี องบุคคล ดงั นนั้ ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 15 จงึ ไดบ้ ญั ญตั ถิ งึ ทงั้ 2 กรณีไวใ้ นวรรคหน่ึง ว่า “สภาพบุคคลย่อมเรม่ิ แต่เม่อื คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสน้ิ สุดลงเม่อื ตาย” ซ่งึ กฎหมายต้องการใหบ้ ุคคล 68 LA 102 (LW 102)
ซง่ึ มกี ารเรมิ่ สภาพบุคคลตามกฎหมายแลว้ ย่อมมวี นั สน้ิ สดุ สภาพบุคคลลงเชน่ กนั และการ สน้ิ สภาพบุคคลกย็ ่อมทําใหส้ ทิ ธแิ ละหน้าทท่ี งั้ ปวงของบุคคลตามทป่ี รากฏอยู่ในประมวล กฎหมายแพง่ และพาณชิ ยห์ มดลงไปดว้ ย ดงั นัน้ การส้นิ สภาพบุคคลก็มปี ระเด็นท่ีจะต้องศกึ ษาเช่นเดยี วกบั กรณีการเร่ิม สภาพบุคคล การสน้ิ สภาพบุคคลหรอื การตายของบุคคลธรรมดา อาจแยกออกไดเ้ ป็น 2 กรณคี อื การตายธรรมดา และการตายโดยผลของกฎหมาย ซง่ึ เรยี กวา่ การสาบสญู ตามท่ี ไดก้ ลา่ วไปแลว้ ซง่ึ รายละเอยี ดจะไดน้ ําไปศกึ ษาใน ภาค 2 บทท่ี 4 ต่อไป 1.3.1 การตายธรรมดา (Death) การตายของมนุษยถ์ อื วา่ เป็นการสน้ิ สภาพบุคคลโดยธรรมชาติ ซง่ึ ในเรอ่ื งน้ี ใชห้ ลกั การตายแบบดงั้ เดมิ คอื การหยุดหายใจหรอื หวั ใจหยุดเตน้ ซง่ึ แสดงว่าสมองหยุด ทํางานเป็นสําคญั แต่ในปจั จุบนั แพทยสมาคมโลกได้ประกาศยดึ หลกั สมองตาย (Brain Death) เป็นสําคญั และในปี พ.ศ. 2539 ได้มกี ารประกาศเกณฑ์วนิ ิจฉัยสมองตายของ แพทยสภาไทยไวโ้ ดยยอ่ ดงั น้ีคอื 1. การตายเป็นปญั หาขอ้ เทจ็ จรงิ ทางการแพทย์ มใิ ช่ปญั หาขอ้ กฎหมาย ความหมายของการตายในกฎหมายไทยสามารถตคี วามใหเ้ หมาะสมแก่ยุคสมยั ไดอ้ ย่แู ลว้ ไมจ่ าํ เป็นตอ้ งมกี ารแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงหรอื เพม่ิ เตมิ อกี 2. การวนิ ิจฉยั วา่ สมองตายเป็นการวนิ ิจฉยั วา่ บุคคลผนู้ นั้ ถงึ แกค่ วามตาย 3. สมองตาย หมายถงึ การทแ่ี กนสมองถูกทาํ ลายจนสน้ิ สดุ การทาํ งานโดย สน้ิ เชงิ ตลอดไป 4. แพทย์เป็นผูม้ หี น้าทพ่ี จิ ารณาและตดั สนิ การตายของสมองตามเกณฑ์ ทางวชิ าชพี 1.3.2 การตายพร้อมกนั นอกจากการตายธรรมดาของบุคคลแล้ว ยงั มอี กี กรณีหน่ึงท่อี าจเกดิ เป็น ปญั หาต่อไปได้ คือกรณีท่ีมีบุคคลตายหลายคนโดยไม่ทราบว่าใครตายก่อนตายหลงั เม่อื พจิ ารณาผวิ เผนิ อาจเหมอื นไม่มปี ญั หาอะไร แต่เม่อื พจิ ารณาต่อไปในเร่อื งการรบั มรดกของผตู้ าย กจ็ ะกลายเป็นปญั หาขน้ึ มาทนั ที เพราะหลกั เบอ้ื งตน้ ของการรบั มรดกนนั้ ทายาทจะตอ้ งตายหลงั เจา้ มรดกเท่านัน้ แต่เน่ืองจากในบางเหตุการณ์ เช่นเคร่อื งบนิ ตก เรอื อบั ปาง รถตกเหว อาจมบี ุคคลหลายคนตายในเหตุการณ์เดยี วกนั เมอ่ื ไม่ทราบว่าใคร LA 102 (LW 102) 69
ตายก่อนตายหลงั โดยเฉพาะในกรณีทเ่ี ป็นผูม้ สี ทิ ธริ บั มรดกของกนั และกนั อยู่ในเหตุนัน้ ดว้ ย กเ็ ป็นปญั หาวุ่นวายถงึ ขนั้ ฟ้องรอ้ งกนั ได้ ดงั นัน้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 17 จงึ ไดบ้ ญั ญตั เิ พอ่ื แกไ้ ขปญั หาเหลา่ น้ีไวว้ า่ “ในกรณีบุคคลหลายคนตายในเหตภุ ยนั ตรายร่วมกนั ถ้าเป็ นการพ้น วิสยั ท่ีจะกาํ หนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลงั ให้ถือว่าตายพรอ้ มกนั ” จากบทบญั ญตั ขิ า้ งตน้ น้ี เป็นการกาํ หนดหลกั เกณฑส์ าํ หรบั กรณที ม่ี คี นตาย หลายคนโดยไม่ทราบวา่ ใครตายก่อนหลงั ไวว้ า่ ใหถ้ อื วา่ ทุกคนตายพรอ้ มกนั โดยมเี งอ่ื นไข บงั คบั ไว้ 2 ขอ้ คอื 1. บุคคลหลายคนต้องตายในเหตุอนั ตรายเดยี วกนั เช่น เคร่อื งบนิ ตก เรอื อบั ปาง โคลนถลม่ เป็นตน้ 2. เป็นการพน้ วสิ ยั ทจ่ี ะทราบไดว้ า่ ใครตายก่อนตายหลงั ซง่ึ การทจ่ี ะถอื วา่ เป็นพน้ วสิ ยั นนั้ ตอ้ งเป็นการทไ่ี มม่ ใี ครบอกหรอื ไมม่ เี หตุบ่งชใ้ี ด ๆ ทจ่ี ะแสดงใหเ้ หน็ ว่าใคร ตายก่อนตายหลงั เช่นเคร่อื งบนิ ตก เม่อื มหี น่วยงานหรอื มผี ูเ้ ขา้ ไปช่วยเหลอื ก็จะพบว่า ผโู้ ดยสารตายหมดแลว้ เมอ่ื กฎหมายไทยมขี อ้ สนั นิษฐานเชน่ น้ี ปญั หาจะตอ้ งฟ้องรอ้ งกนั โดยเฉพาะ เร่อื งการรบั มรดกกจ็ ะหมดไป เพราะเมอ่ื เจา้ มรดกและทายาทกองมรดกเสยี ชวี ติ พรอ้ มกนั ผลในกฎหมายคือไม่มใี ครรบั มรดกของกนั และกนั ได้ ดงั นัน้ การจดั สรรมรดกท่ีเหลือ กเ็ ป็นไปตามกฎหมายมรดกตอ่ ไประหวา่ งผมู้ สี ทิ ธริ บั มรดก สําหรบั ประเทศอ่นื ๆ ก็อาจใช้ขอ้ สนั นิษฐานทแ่ี ตกต่างกนั ไปตามแนวคดิ วถิ ชี วี ติ และแนวปฏบิ ตั ขิ องแต่ละประเทศ ซ่งึ ขอ้ สนั นิฐานเหล่านัน้ อาจจะเป็นการนําอายุ และเพศมาเป็นตวั กาํ หนดดว้ ย เชน่ 1. ในกรณที ม่ี อี ายุ 15 ปีขน้ึ ไป ผนู้ ้มี อี ายุน้อยทส่ี ดุ ยอ่ มอยไู่ ดน้ านกวา่ 2. ในกรณที ม่ี อี ายตุ ่าํ กวา่ 15 ปี ถอื วา่ ผมู้ อี ายมุ ากทส่ี ดุ ยอ่ มอยไู่ ดน้ านกวา่ 3. ในกรณีระหว่างผูม้ อี ายุต่ํากว่า 15 ปี กบั บุคคลอายุเกนิ 60 ปี ถอื ว่า บคุ คลอายตุ ่าํ กวา่ 15 ปี ยอ่ มอยไู่ ดน้ านกวา่ 70 LA 102 (LW 102)
บทท่ี 2 ความสามารถบคุ คล เม่ือบุคคลรวมทงั้ ทารกในครรภ์มารดาได้มีสภาพบุคคลตามหลักเกณฑ์ของ กฎหมาย มาตรา 15 ตามท่ีได้ศึกษาไปแล้วในบทท่ี 1 นัน้ ปญั หาก็ยงั คงมอี ยู่เพราะ กฎหมายไม่ไดแ้ บ่งแยกหรอื กําหนดวา่ บุคคลตามมาตรา 15 จะตอ้ งเป็นเพศใด มรี ่างกาย สมบรู ณ์เพยี งใด รวมทงั้ ไมไ่ ดก้ ําหนดวา่ สภาพจติ ใจของบุคคลจะตอ้ งมอี าการปกตหิ รอื ไม่ อกี ด้วย ดงั นัน้ จงึ ทําให้เกิดปญั หาต่อไปได้ว่า แล้วบุคคลเหล่าน้ีจะสามารถใช้สทิ ธิตาม กฎหมายทไ่ี ดม้ กี ารรบั รองไวโ้ ดยสมบรู ณ์ไดห้ รอื ไม่ และจะใชอ้ ย่างไรโดยไม่ใหส้ ทิ ธขิ องเขา ถูกรบกวนหรอื ถูกเอาเปรยี บจากบุคคลอ่นื เช่น บุคคลทม่ี สี ภาพร่างกายหรอื จติ ใจไม่ปกติ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ คนบา้ และโดยเฉพาะอย่างยง่ิ เดก็ ทารก ดงั นนั้ กฎหมายจงึ ตอ้ งกําหนดหลกั กฎหมายเก่ียวกับความสามารถของบุคคลเหล่าน้ีไว้ในบรรพ 1 ลกั ษณะ 2 ส่วนท่ี 2 ในมาตรา 19 จนถึงมาตรา 64 เพ่อื เป็นการดูแลและคุ้มครองสทิ ธิและการใช้สทิ ธิของ บุคคลเหล่าน้ีซ่งึ ไม่สามารถจะใชส้ ทิ ธทิ ่เี ขามอี ย่างบุคคลทวั่ ไปได้ โดยได้แบ่งกลุ่มบุคคล เหล่าน้ีไว้เป็น 4 กลุ่ม คือ ผู้เยาว์ คนวิกลจริต คนไร้ความสามารถ และคนเสมือน ไรค้ วามสามารถ ซง่ึ จะไดท้ าํ การศกึ ษาทลี ะกลุม่ ในลาํ ดบั ตอ่ ไป 2.1 ผเู้ ยาว์ (Minor) เม่อื บุคคลใดมสี ภาพบุคคลแล้ว ด้วยกฎแห่งธรรมชาตทิ ุกคนต้องผ่านจากภาวะ ของเดก็ ทารกและเจรญิ เตบิ โตเป็นผูใ้ หญ่ตามวนั และเวลาท่ผี ่านไป แต่กว่าทารกจะได้มี การเจรญิ เตบิ โตจนสามารถดูแลตวั เองได้โดยสมบูรณ์หรอื ไม่นัน้ ย่อมขน้ึ อยู่กบั สภาวะ แวดลอ้ มของสงั คม ซง่ึ แตกต่างกนั ไปในแต่ละประเทศ ในกฎหมายแพ่งและพาณิชยข์ อง ไทยไดม้ บี ทบญั ญตั ศิ พั ท์ “ผเู้ ยาว”์ และ “ผบู้ รรลุนิตภิ าวะ” ขน้ึ มา เพ่อื ตอ้ งการแสดงความ แตกต่างระหว่างความสามารถของบุคคลทเ่ี ป็นผูเ้ ยาวแ์ ละผูบ้ รรลุนิตภิ าวะ โดยมกี ารวาง หลกั ตงั้ แตผ่ เู้ ยาวจ์ ะกลายเป็นผบู้ รรลุนิตภิ าวะเมอ่ื ใด ในเงอ่ื นไขอย่างไร รวมทงั้ ไดค้ ุม้ ครอง การใช้สทิ ธขิ องบุคคลท่เี ป็นผู้เยาว์ไว้อย่างดวี ่าใครจะเป็นผู้ดูแลหรอื ใชอ้ ํานาจปกครอง LA 102 (LW 102) 71
รวมทงั้ ยงั ลงลกึ ไปอกี วา่ มอี ะไรบา้ งทผ่ี เู้ ยาวส์ ามารถทาํ เองไดโ้ ดยไมต่ อ้ งใหใ้ ครมาตดั สนิ ใจ หรอื ควบคุมดว้ ย เพราะเช่อื ว่าเดก็ บางคนมวี ุฒภิ าวะทส่ี ามารถจะตดั สนิ ใจในบางเร่อื งได้ เองบา้ งแลว้ เชน่ การลงทะเบยี นเรยี นของนกั ศกึ ษา หรอื การเลอื กซอ้ื สนิ คา้ เป็นตน้ ดงั นนั้ ในเรอ่ื งผเู้ ยาวจ์ งึ ขอแบง่ ศกึ ษาดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 2.1.1 การบรรลนุ ิติภาวะของผเู้ ยาว์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 19 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “บุคคล ย่อมพ้นจากภาวะผ้เู ยาวแ์ ละบรรลุนิ ติภาวะเมื่อมีอายุย่ีสิบปี บริบูรณ์” ประกอบกบั มาตรา 20 ซึ่งได้บญั ญตั ิไว้อีกว่า “ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิ ติภาวะเมื่อทําการสมรส หากการสมรสนัน้ ได้ทาํ ตามบทบญั ญตั ิมาตรา 1448” จากหลกั กฎหมาย 2 มาตราน้ี ทําให้สามารถทราบได้ว่า ผูเ้ ยาว์หมายถงึ บุคคลท่ยี งั ไม่บรรลุนิติภาวะ และบุคคลจะบรรลุนิติภาวะได้ใน 2 กรณีเท่านัน้ คอื ต้อง เป็นไปตามหลกั เกณฑข์ องมาตรา 19 และมาตรา 20 โดยมหี ลกั เกณฑด์ งั น้ี 1. การบรรลุนิตภิ าวะโดยอายุ ตามท่ปี ระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 19 ได้บญั ญตั ไิ วว้ ่า “บุคคลย่อมพน้ จากภาวะผเู้ ยาวแ์ ละบรรลุนิตภิ าวะ เม่อื มอี ายุยส่ี บิ ปีบรบิ ูรณ์” นนั้ เป็นการ ทก่ี ฎหมายไทยไดก้ าํ หนดใหบ้ ุคคลทม่ี อี ายุครบ 20 ปีบรบิ รู ณ์เป็นผบู้ รรลุนิตภิ าวะ และพน้ จากภาวะการเป็นผเู้ ยาวห์ รอื เดก็ นนั้ กเ็ น่ืองดว้ ยสงั คมไทยเช่อื วา่ เมอ่ื เดก็ ทารกไดเ้ ตบิ ใหญ่ ไดม้ โี อกาสไดร้ บั การอบรมจากบดิ ามารดา และไดร้ บั การศกึ ษาในระดบั หน่ึงแลว้ เดก็ กจ็ ะ กลายเป็นบุคคลทส่ี ามารถดูแลและรบั ผดิ ชอบชวี ติ ของตนสามารถจะทําทุกอย่างไดท้ ถ่ี ูก กฎหมายไดด้ ว้ ยตนเอง รวมทงั้ ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายและรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม เดก็ นนั้ กค็ วร จะมสี ถานะทางกฎหมายเป็นผบู้ รรลุนิตภิ าวะตามกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยข์ องไทย ในเร่อื งการบรรลุนิตภิ าวะน้ีนักกฎหมายแต่ละประเทศจะนําอายุมาเป็น ตวั กําหนดนับระยะเวลาใหน้ ับวนั เกดิ เป็นวนั เรม่ิ ต้นนับอายุตามทไ่ี ดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 16 ดงั นัน้ ใครเกดิ วนั ใดก็นําวนั นัน้ มาเรมิ่ ต้นนับไดเ้ ลย โดยไม่ต้องนําหลกั เกณฑ์ทวั่ ไป ตามทก่ี ําหนดไวใ้ นมาตรา 193/1 ในเร่อื งการนบั ระยะเวลามาใชใ้ นกรณีนบั อายุบุคคลแต่ อย่างใด เพราะฉะนัน้ หาก นาย ก. เกดิ วนั ท่ี 19 มกราคม พ.ศ. 2532 นาย ก. กจ็ ะมอี ายุ ครบ 20 ปีบรบิ ูรณ์ในวนั ท่ี 19 มกราคม พ.ศ. 2552 และเป็นผูบ้ รรลุนิตภิ าวะตามมาตรา 19 ในวนั ท่ี 19 มกราคม พ.ศ. 2552 นนั่ เอง 72 LA 102 (LW 102)
2. การบรรลุนติ ภิ าวะโดยการสมรส ตามทป่ี ระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 20 ซึ่งบญั ญตั ิไว้ว่า “ผ้เู ยาวย์ ่อมบรรลุนิ ติภาวะเมื่อทาํ การสมรส หากการสมรสนัน้ ได้ทาํ ตามบทบญั ญตั ิ มาตรา 1448” และมาตรา 1448 ซง่ึ เป็นหลกั กฎหมายแพง่ ทอ่ี ย่ใู นบรรพ 5 เร่อื งครอบครวั และบญั ญตั ไิ วว้ า่ “การสมรสจะทาํ ไดต้ ่อเมอ่ื ชายและหญงิ มอี ายุสบิ เจด็ ปีบรบิ รู ณ์แลว้ แต่ใน กรณที ม่ี เี หตุอนั สมควร ศาลอาจอนุญาตใหท้ าํ การสมรสก่อนนนั้ ได”้ ดงั นัน้ เม่อื พจิ ารณาจากเน้ือหากฎหมายของทงั้ 2 มาตราแล้ว ก็อธบิ าย ไดว้ า่ เมอ่ื ชายและหญงิ ทม่ี อี ายุครบ 17 ปีบรบิ รู ณ์ ตอ้ งการจะสมรส ซง่ึ หมายความถงึ การ จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายมาตรา 1457 และมาตรา 1458 ในเร่ืองเก่ียวกับ ครอบครวั นัน้ ก็ย่อมจะกระทําได้ และเม่อื ได้สมรสกนั และทําตามเง่อื นไขของมาตรา 1448 แลว้ ชายและหญงิ คนู่ ้ีกบ็ รรลุนิตภิ าวะโดยการสมรสตามมาตรา 19 ทนั ที แต่ตอ้ งไม่ ลมื วา่ ชายหญงิ คนู่ ้ียงั เป็นผเู้ ยาวอ์ ยกู่ ่อนสมรส ดงั นนั้ การจะสมรสจงึ ตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอม จากบดิ ามารดาหรอื ผู้ปกครองแล้วแต่กรณีอีกด้วย ทงั้ น้ีเป็นไปตามมาตรา 1436 และ มาตรา 1454 ในเร่อื งเก่ยี วกบั ครอบครวั เช่นเดยี วกนั ด้วย มฉิ ะนัน้ แล้วการสมรสจะมผี ล เป็นโมฆยี ะ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม มาตรา 1448 ไดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นลกั ษณะเป็นขอ้ ยกเวน้ ไว้ ดว้ ยว่า “แต่ในกรณีทม่ี เี หตุอนั สมควร ศาลอาจอนุญาตใหท้ ําการสมรสก่อนนัน้ ได”้ ซง่ึ คําว่า “ก่อนนัน้ ได้” ก็คงจะหมายถงึ ก่อนอายุครบ 17 ปีบรบิ ูรณ์นัน่ เอง เพราะในบางกรณีชาย หรอื หญงิ ทม่ี อี ายุต่าํ กวา่ 17 ปีบรบิ รู ณ์ อาจตอ้ งการจะสมรสและบดิ ามารดาของทงั้ 2 ฝา่ ย ไมข่ ดั ขอ้ งดว้ ยแลว้ กฎหมายกย็ กใหเ้ ป็นดุลพนิ ิจของศาลทจ่ี ะพจิ ารณาดวู า่ มี “เหตุอนั ควร” หรอื ในภาษาไทยง่าย ๆ กค็ อื มเี หตุผลท่สี มควรจะอนุญาตหรอื ไม่ หากมเี หตุอนั จําเป็น และสมควรแล้ว ศาลก็สามารถอนุญาตให้สมรสกนั ได้ เช่นกรณีฝ่ายหญิงท่มี อี ายุ 15 ปี เกดิ ตงั้ ครรภ์ กอ็ าจยกเอาเหตุทต่ี งั้ ครรภม์ ายน่ื คํารอ้ งต่อศาลเพ่อื ใหศ้ าลสงั่ ใหท้ ําการสมรส ก่อนอายุครบ 17 ปีบรบิ ูรณ์ได้ และเม่อื ศาลมคี ําสงั่ ชายและหญงิ คู่น้ีจงึ จะทําการสมรสได้ และการสมรสรายน้ีกจ็ ะเป็นการสมรสทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย เพราะเขา้ เงอ่ื นไขของมาตรา 1448 แลว้ ซง่ึ มผี ลใหช้ ายและหญงิ ค่นู ้ีบรรลุนิตภิ าวะโดยการสมรสตามมาตรา 20 เชน่ กนั แต่ยงั คงต้องได้รบั คํายินยอมของบิดามารดาหรอื ผู้ปกครองด้วยจึงจะครบเง่อื นไขอยู่ เหมอื นกรณชี ายและหญงิ อายุ 17 ปีบรบิ รู ณ์สมรสกนั LA 102 (LW 102) 73
ในเรอ่ื งการบรรลนุ ิตภิ าวะโดยการสมรสยงั มปี ระเดน็ ทค่ี วรจะทราบไวอ้ กี เชน่ หากชายอายุ 17 ปีบรบิ รู ณ์ สมรสกบั หญงิ อายุ 15 ปีบรบิ รู ณ์ โดยไม่ได้ รบั อนุญาตจากศาลแมบ้ ดิ ามารดายนิ ยอม การสมรสกไ็ มท่ าํ ใหช้ ายและหญงิ คนู่ ้ีเป็นผบู้ รรลุ นติ ภิ าวะแต่อยา่ งใด เพราะไมเ่ ขา้ เงอ่ื นไขของมาตรา 1448 นนั่ เอง กรณีชายและหญิงท่สี มรสกนั ตามเง่อื นไขของมาตรา 20 และมาตรา 1448 แต่ต่อมาไดม้ กี ารหย่าขาดจากกนั ก่อนจะมอี ายุความ 20 ปีบรบิ ูรณ์ กฎหมายยงั คง ถอื วา่ ชายและหญงิ คนู่ ้ีเป็นผบู้ รรลนุ ิตภิ าวะโดยการสมรสเชน่ เดมิ และกรณสี ดุ ทา้ ยหากชายและหญงิ ทอ่ี ยกู่ นิ ฉนั สามภี รยิ าโดยมอี ายุ 17 ปี บรบิ ูรณ์ทงั้ คู่ แมบ้ ดิ ามารดาจะยนิ ยอมหากมไิ ดไ้ ปจดทะเบยี นสมรสใหถ้ ูกตอ้ งตามมาตรา 1457 แลว้ ชายและหญงิ คนู่ ้ีกย็ งั เป็นผเู้ ยาวอ์ ยู่ ซง่ึ ในกรณนี ้ีไมว่ า่ จะมบี ตุ รหรอื ไมก่ ต็ าม 2.1.2 ความสามารถในการทาํ นิติกรรมของผเู้ ยาว์ ปญั หาในเรอ่ื งความสามารถของผูเ้ ยาว์ เป็นปญั หาทล่ี ะเอยี ดอ่อนอย่างยง่ิ เพราะเดก็ ทม่ี อี ายุต่ํากว่า 20 ปีบรบิ ูรณ์ ยงั เป็นผูเ้ ยาวอ์ ยู่ แต่ในความเป็นจรงิ ในช่วงชวี ติ ของเดก็ แรกเกดิ จนถงึ อายุ 20 ปีบรบิ ูรณ์นัน้ มชี ่วงระยะเวลาทย่ี าวมาก และเดก็ แต่ละคน ก็ย่อมมคี วามรู้สกึ นึกคดิ ความรบั ผดิ ชอบ การใช้เหตุผลแตกต่างกนั ไปตามสภาพของ ครอบครวั สงิ่ แวดล้อมของสงั คม ดงั นัน้ หลายประเทศมกั จะยึดหลกั ท่ีคล้ายคลึงกนั คือ หากเป็นเดก็ ทอ่ี ายุ 1-10 ปี ยงั เป็นวยั ทไ่ี รเ้ ดยี งสา อ่อนดว้ ยวยั และความรบั ผดิ ชอบ ดงั นนั้ หากเด็กอายุไม่เกิน 10 ปี ทําปืนลนั่ ใส่ผู้อ่ืนจนทําให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย ในกรณีเช่นน้ี ประเทศไทยกเ็ ป็นตวั อย่างทด่ี เี พราะในประมวลกฎหมายอาญาของไทย มาตรา 73 ได้บญั ญตั ิ ไว้ว่า “เดก็ อายุยงั ไม่เกินสิบปี กระทาํ การอนั กฎหมายบญั ญตั ิเป็ นความผิด เดก็ นัน้ ไมต่ ้องรบั โทษ” แต่ในมาตรา 288 บญั ญตั ิว่า “ผ้ใู ดฆ่าผ้อู ื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จาํ คกุ ตลอดชีวิต หรือจาํ คกุ ตงั้ แต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบปี ” ดงั นนั้ จงึ เท่ากบั ว่าเดก็ ทอ่ี ายุต่ํา กว่า 10 ปีบรบิ ูรณ์ จงึ ไดร้ บั การยกเวน้ ไม่ต้องรบั โทษแต่ประการใด แมจ้ ะมคี วามผดิ ฐานฆ่า ผอู้ ่นื กต็ ามที แต่สาํ หรบั เดก็ ทม่ี อี ายุมากกวา่ 10 ปีขน้ึ ไป ซง่ึ แน่นอนว่าเดก็ เหล่าน้ียอ่ มมี ความคดิ และรผู้ ดิ ชอบชวั่ ดี และอาจสามารถแยกแยะไดว้ า่ ถูกเอาเปรยี บจากผอู้ ่นื หรอื ไมไ่ ด้ ดกี ว่าเดก็ อายุต่ํากว่า 10 ปีกต็ าม แต่ชวี ติ ของเดก็ ในช่วงอายุ 10 ปี จนถงึ 20 ปีบรบิ ูรณ์ เป็นวยั ทต่ี อ้ งศกึ ษาหาความรแู้ ต่รจู้ กั รบั ผดิ ชอบแลว้ จงึ อาจสามารถดาํ เนินชวี ติ ดว้ ยตวั เอง 74 LA 102 (LW 102)
โดยลาํ พงั ได้ เช่น ซอ้ื อาหาร เสอ้ื ผา้ ลงทะเบยี นเรยี น เบกิ -ฝากเงนิ ในธนาคาร ซง่ึ กจิ วตั ร เหล่าน้ีสาํ หรบั เดก็ บางคนอาจทําไดโ้ ดยไม่มปี ญั หาเร่อื งถูกหลอกลวงหรอื ฉ้อโกง แต่เดก็ บางคนอาจเพล่ียงพล้ําจนกลายเป็นเหย่ือของการหลอกลวง หรืออาจทําไปเพราะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์จนกลายเป็นความเสียหายหรือสูญเสียทรพั ย์สินเงินทองได้ ดังนัน้ เพ่อื มใิ ห้เกดิ ปญั หาเหล่าน้ีขน้ึ มาตรา 21 จงึ ไดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ ่า “ผูเ้ ยาวจ์ ะทํานิตกิ รรมใด ๆ ต้องได้รบั ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ท่ผี ู้เยาว์ได้ทําลงโดย ปราศจากความยนิ ยอมเชน่ วา่ นนั้ เป็นโมฆยี ะ เวน้ แต่จะบญั ญตั ไิ วเ้ ป็นอยา่ งอ่นื ” มาตรา 21 น้ีถือเป็นมาตราท่ีวางหลักและข้อยกเว้นเก่ียวกับเร่ือง ความสามารถของผเู้ ยาวไ์ ว้ และเพอ่ื ใหส้ ะดวกต่อการศกึ ษา จงึ ขออธบิ ายทลี ะประเดน็ ดงั น้ี 1. การใด ๆ ทก่ี ฎหมายกําหนดใหผ้ ูเ้ ยาวต์ อ้ งไดร้ บั คํายนิ ยอมจากผูแ้ ทน โดยชอบธรรม หมายถงึ นิตกิ รรมเท่านนั้ สาํ หรบั ปญั หาวา่ นิตกิ รรมคอื อะไรกต็ อ้ งไปศกึ ษา จากมาตรา 149 ซ่ึงได้บญั ญตั ิไว้ว่า “นิติกรรมหมายความว่าการใด ๆ อนั ทาํ ลงโดย ชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมคั ร มุ่งโดยตรงต่อการผกู นิ ติสมั พนั ธ์ขึ้นระหว่าง บุคคล เพ่ือจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงบั ซ่ึงสิทธิ” ดงั นนั้ นิตกิ รรมจงึ เป็น เรอ่ื งทบ่ี ุคคลไดก้ ระทาํ ขน้ึ เชน่ การซอ้ื ขาย ให้ เชา่ ซอ้ื จาํ นอง จาํ นํา เป็นตน้ ซง่ึ รายละเอยี ด ในเรอ่ื งน้ีจะตอ้ งไปศกึ ษาในวชิ านติ กิ รรมต่อไป ส่วนการกระทําทเ่ี รยี กว่านิตเิ หตุ เช่น การทําละเมดิ โดยผูเ้ ยาวต์ ามท่ี ไดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 420 และมาตรา 429 นนั้ ผเู้ ยาวก์ ย็ งั คงตอ้ งรบั ผดิ ชอบอยู่ หรอื แม้ แต่การจดั การงานนอกสงั่ ตามมาตรา 395 นนั้ กเ็ ป็นสงิ่ ทผ่ี เู้ ยาวส์ ามารถใชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ ง คา่ ชดเชยหรอื ตอ้ งรบั ชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทน แลว้ แตก่ รณี เพราะทงั้ การทาํ ละเมดิ และการ จดั การงานนอกสงั่ ไม่ไดเ้ ป็นนิตกิ รรม ตามมาตรา 149 แต่ประการใด ซง่ึ คงจะตอ้ งไป ศกึ ษาในวชิ าละเมดิ จดั การงานนอกสงั่ และลาภมคิ วรได้ ตอ่ ไป 2. ผแู้ ทนโดยชอบธรรม เป็นผมู้ อี ํานาจตามกฎหมายในการใหค้ วามยนิ ยอม แกผ่ เู้ ยาวใ์ นการทาํ นิตกิ รรม ซง่ึ ในเรอ่ื งผแู้ ทนโดยชอบธรรมน้ีมปี ระเดน็ ทต่ี อ้ งศกึ ษาดงั น้ีคอื 2.1 ผู้แทนโดยชอบธรรม มี 2 ประเภทคือ ผู้ใช้อํานาจปกครอง ซง่ึ ไดแ้ ก่บดิ ามารดาของผูเ้ ยาว์ ตามมาตรา 1569 และผูป้ กครองซ่งึ เป็นบุคคลใดกต็ ามท่ี ศาลแตง่ ตงั้ ขน้ึ มาเพอ่ื ดแู ลผเู้ ยาวแ์ ทนบดิ ามารดา เชน่ ปู่ ยา่ ลุง เป็นตน้ LA 102 (LW 102) 75
2.2 การใหค้ วามยนิ ยอมของผแู้ ทนโดยชอบธรรม สาํ หรบั ในเรอ่ื งความ ยนิ ยอมน้ีมปี ระเดน็ ทต่ี อ้ งศกึ ษาหลายประเดน็ เชน่ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 และมาตรา 30 ได้มกี าร บญั ญัติถึงบุคคลท่ีเป็นคนวิกลจรติ ไว้โดยมาตรา 28 จะเป็นมาตราท่ีบญั ญัติเก่ียวกบั ความสามารถของบุคคลวกิ ลจรติ ทถ่ี ูกศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ ซง่ึ เรยี กกนั ว่าคน ไรค้ วามสามารถ สว่ นมาตรา 30 เป็นการบญั ญตั เิ กย่ี วกบั ความสามารถของบุคคลวกิ ลจรติ ทย่ี งั ไมไ่ ดถ้ ูกศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ ซง่ึ เรยี กกนั วา่ คนวกิ ลจรติ แต่ตอ้ งยงั ไมล่ มื ว่าบุคคลวกิ ลจรติ ทงั้ 2 ประเภทน้ียงั มสี ภาพบุคคลท่มี สี ทิ ธติ ามมาตรา 15 อยู่ เพยี งแต่ ความสามารถจะถูกจํากดั ด้วยเหตุบางประการและการจํากดั ความสามารถน้ีก็เพราะ ต้องการคุม้ ครองบุคคลวกิ ลจรติ ทงั้ 2 ประเภทน้ี และบุคคลภายนอกโดยเฉพาะในกรณี ของบุคคลวกิ ลจรติ ซง่ึ ศาลยงั ไม่ไดส้ งั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถนัน้ ซ่งึ ยงั สามารถมสี ทิ ธิ และหน้าทต่ี ามกฎหมายเหมอื นบุคคลธรรมดาอยเู่ สมอ แบบของการใหค้ วามยนิ ยอม เน่ืองจากกฎหมายมาตรา 21 มไิ ด้ กาํ หนดไวว้ า่ ตอ้ งทาํ อย่างไร เพยี งแต่กาํ หนดไวว้ า่ “ตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมของผแู้ ทนโดย ชอบธรรมก่อน” ประกอบกบั คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 1319/2521 ไดว้ นิ ิจฉยั ไวว้ า่ “การทผ่ี แู้ ทน โดยชอบธรรมไดร้ ว่ มลงลายพมิ พน์ ้ิวมอื เป็นพยานในสญั ญาทผ่ี เู้ ยาวท์ ํากบั บุคคลภายนอก นนั้ ถอื ว่าผแู้ ทนโดยชอบธรรมไดใ้ หค้ วามยนิ ยอมแลว้ โดยปรยิ าย” ดงั นนั้ ผแู้ ทนโดยชอบ ธรรมจงึ อาจใหค้ วามยนิ ยอมไมว่ า่ จะโดยวาจาหรอื ลายลกั ษณ์อกั ษรกไ็ ด้ และไม่ว่าจะโดย ชดั แจง้ หรอื ปรยิ าย กย็ อ่ มถอื วา่ เป็นการใหค้ วามยนิ ยอมไดท้ งั้ สน้ิ แต่ท่สี ําคญั คอื การให้คํายนิ ยอมนัน้ ต้องให้ก่อนท่ผี ู้เยาว์จะไปทํา นิตกิ รรมหรอื ขณะกระทํานิตกิ รรมเท่านัน้ เพราะหากผูแ้ ทนโดยชอบธรรมใหค้ ํายนิ ยอม ภายหลงั จากทผ่ี เู้ ยาวไ์ ดท้ าํ นิตกิ รรมแลว้ กจ็ ะกลายเป็นการใหส้ ตั ยาบนั แก่นิตกิ รรมทเ่ี ป็น โมฆยี ะของผูเ้ ยาวไ์ ป ซง่ึ แน่นอนวา่ การใหส้ ตั ยาบนั กม็ ผี ลทาํ ใหน้ ิตกิ รรมทเ่ี ป็นโมฆยี ะของ ผู้เยาว์เป็นนิติกรรมท่ีสมบูรณ์ข้ึนมาได้ในภายหลัง ตามมาตรา 179 วรรคหนึ่ ง ซ่ึงบญั ญตั ิไว้ว่า “การให้สัตยาบนั แก่โมฆียกรรมนัน้ จะสมบูรณ์ต่อเม่ือได้กระทํา ภายหลงั เวลาท่ีมูลเหตุให้เป็ นโมฆียกรรมนัน้ หมดสิ้นไป” แต่กไ็ มใ่ ช่เร่อื งการใหค้ วาม ยนิ ยอมของผแู้ ทนโดยชอบธรรมทเ่ี ป็นไปตามหลกั กฎหมายมาตรา 21 แตป่ ระการใด 76 LA 102 (LW 102)
2.3 ผลของนิตกิ รรมทผ่ี เู้ ยาวท์ ําโดยปราศจากความยนิ ยอมของผแู้ ทน โดยชอบธรรม ยอ่ มเป็นโมฆยี ะ นิตกิ รรมของผเู้ ยาวท์ ท่ี ําโดยปราศจากความยนิ ยอมของผแู้ ทนโดย ชอบธรรมกจ็ ะมผี ลเป็นโมฆยี ะ ถอื ว่าเป็นนิตกิ รรมทฝ่ี ่าฝืนมาตรา 21 กต็ ้องมีผลตามท่ี ได้บญั ญตั ิไว้ “การใด ๆ ท่ีผเู้ ยาวไ์ ด้ทาํ ลงโดยปราศจากความยินยอมของผแู้ ทนโดย ชอบธรรม นิติกรรมเป็นโมฆียะ” ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นิติกรรมจะมีผลในกฎหมายอยู่ 3 กรณีเท่านนั้ คอื สมบูรณ์ โมฆยี ะ และโมฆะ ซง่ึ ขน้ึ อยู่กบั ว่านิตกิ รรมเหล่านัน้ ไดท้ ําขน้ึ โดยชอบดว้ ยกฎหมายหรอื ฝา่ ฝืนกฎหมาย หากไดท้ าํ ถูกตอ้ งตามกฎหมายกม็ ผี ลสมบรู ณ์ เช่น ผูเ้ ยาว์อาจทําพนิ ัยกรรมได้เม่อื มอี ายุความ 15 ปีบรบิ ูรณ์ ตามมาตรา 25 แต่หาก นิตกิ รรมใดไดท้ าํ ลงโดยมเี หตุบกพรอ่ งบางประการกม็ ผี ลเป็นโมฆยี ะ เชน่ กรณมี าตรา 21 ทผ่ี ูเ้ ยาวท์ ํานิตกิ รรมโดยปราศจากความยนิ ยอมของผูแ้ ทนโดยชอบธรรมหรอื เป็นการทํา นิตกิ รรมทฝ่ี ่าฝืนกฎหมายกม็ ผี ลเป็นโมฆะ เช่น กรณีผูเ้ ยาวท์ ําพนิ ัยกรรมในขณะทม่ี อี ายุ ยงั ไมค่ รบ 15 ปีบรบิ รู ณ์ จะมผี ลเป็นโมฆะ เพราะเป็นการฝา่ ฝืนบทบญั ญตั มิ าตรา 25 นนั่ เอง ดงั นัน้ ในวชิ านิตกิ รรมจะมกี ารศกึ ษาถึงหลกั ในการทํานิติกรรม สญั ญา รวมทงั้ หลกั กฎหมายท่เี ก่ียวกบั นิติกรรมท่เี ป็นโมฆยี กรรมและโมฆะกรรมด้วย ซ่งึ ในท่นี ้ีขอยกเฉพาะมาตราท่ไี ด้บญั ญตั เิ ก่ยี วกบั เร่อื งเหล่าน้ีมาไว้ใหน้ ักศกึ ษาได้นํามา ประกอบการศกึ ษามาตรา 21 น้ดี ว้ ย ซง่ึ มดี งั น้คี อื มาตรา 175 บญั ญตั ิว่า “โมฆียกรรมนัน้ บคุ คลต่อไปนี้จะบอกล้าง เสียกไ็ ด้ (1) ผ้แู ทนโดยชอบธรรมหรือผ้เู ยาวซ์ ่ึงบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ ผ้เู ยาว์ จะบอกล้างก่อนท่ีตนบรรลุนิ ติภาวะก็ได้ถ้าได้รบั ความยินยอมของผ้แู ทน โดยชอบธรรม (2) บุคคลซึ่ งศาลสัง่ ให้ เป็ นคนไร้ความสามารถ หรือ คนเสมือนไร้ความสามารถ เม่ือบคุ คลนัน้ พ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถหรือ คนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว หรือผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี แต่คนเสมอื นไร้ความสามารถจะบอกล้างก่อนที่ตนจะพ้นจากการเป็นคนเสมือนไร้ ความสามารถกไ็ ด้ถา้ ได้รบั ความยินยอมของผพู้ ิทกั ษ์ LA 102 (LW 102) 77
(3) บุคคลผ้แู สดงเจตนาเพราะสาํ คญั ผิด หรือถกู กลฉ้อฉล หรอื ถกู ข่มขู่ (4) บุคคลวิกลจริตผ้กู ระทํานิ ติกรรมอนั เป็ นโมฆียะตาม มาตรา 30 ในขณะที่จริตของบคุ คลนัน้ ไมว่ ิกลแล้ว ถ้าบคุ คลผ้ทู าํ นิติกรรมอนั เป็ นโมฆียะถึงแก่ความตาย ก่อนมี การบอกล้างโมฆียกรรม ทายาทของบคุ คลดงั กล่าวอาจบอกล้างโมฆียกรรมนัน้ ได้” มาตรา 176 บญั ญตั ิว่า “โมฆียกรรมเม่ือบอกล้างแล้ว ให้ถือ ว่าเป็ นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้เป็ นค่กู รณีกลบั คืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็ นการพ้น วิสยั จะให้กลบั คืนเช่นนัน้ ได้ กใ็ ห้ได้รบั ค่าเสียหายชดใช้ให้แทน ถ้าบคุ คลใดได้ร้หู รือควรจะได้ร้วู ่าการใดเป็ นโมฆียะ เมื่อบอกล้าง แล้วให้ถือว่าบุคคลนัน้ ได้ร้วู ่าการนัน้ เป็ นโมฆะ นับแต่วนั ที่ได้ร้หู รือควรจะได้ร้วู ่า เป็ นโมฆียะ ห้ามมิให้ใช้สิทธิเรียกร้องอนั เกิดแต่การกลบั คืนสู่ฐานะเดิม ตามวรรคหนึ่งเม่อื พ้นหน่ึงปี นับแต่วนั บอกล้างโมฆียกรรม” มาตรา 177 บญั ญตั ิว่า “ถ้าบคุ คลผ้มู ีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรม ตาม มาตรา 175 ผหู้ นึ่งผใู้ ด ได้ให้สตั ยาบนั แก่โมฆียกรรม ให้ถือว่าการนัน้ เป็นอนั สมบรู ณ์มาแต่เร่ิมแรก แต่ทงั้ นี้ย่อมไมก่ ระทบกระเทือนถงึ สิทธิของบคุ คลภายนอก” มาตรา 178 บญั ญตั ิว่า “การบอกล้างหรือให้สตั ยาบนั แก่ โมฆียกรรม ย่อมกระทาํ ได้โดยการแสดงเจตนาแก่ค่กู รณีอีกฝ่ ายหน่ึงซ่ึงเป็ นบคุ คล ท่ีมีตวั กาํ หนดได้แน่นอน” มาตรา 179 บญั ญตั ิว่า “การให้สตั ยาบนั แก่โมฆียกรรมนัน้ จะ สมบรู ณ์ต่อเม่ือได้กระทาํ ภายหลงั เวลาที่มลู เหตใุ ห้เป็นโมฆียกรรมนัน้ หมดสิ้นไปแล้ว บุคคลซึ่งศาลได้สงั่ ให้เป็ นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ ความสามารถหรือบุคคลวิกลจริต ผ้กู ระทาํ นิ ติกรรมอนั เป็ นโมฆียะตามมาตรา 30 จะให้สตั ยาบนั แก่โมฆียกรรมได้ ต่อเมื่อได้รเู้ หน็ ซึ่ง โมฆียกรรมนัน้ ภายหลงั ที่บคุ คล นัน้ พ้นจากการเป็ นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือในขณะที่ จริตของบคุ คลนัน้ ไมว่ ิกล แล้วแต่กรณี 78 LA 102 (LW 102)
ทายาทของบคุ คลผทู้ าํ นิติกรรมอนั เป็นโมฆียะ จะให้สตั ยาบนั แก่ โมฆียกรรมได้นับแต่เวลาท่ีผทู้ าํ นิติกรรมนัน้ ถึงแก่ความตาย เว้นแต่ สิทธิที่จะ บอกล้างโมฆียกรรมของผตู้ ายนัน้ ได้สิ้นสดุ ลงแล้ว บทบญั ญัติวรรคหนึ่ งและวรรคสองมิให้ใช้บงั คับ ถ้าการให้ สตั ยาบนั แก่โมฆียกรรมกระทาํ โดยผแู้ ทนโดยชอบธรรม ผอู้ นุบาลหรอื ผพู้ ิทกั ษ์” มาตรา 180 บญั ญตั ิว่า “ภายหลงั เวลาอนั พึงให้สตั ยาบนั ได้ ตามมาตรา 179 ถ้ามีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดดงั ต่อไปนี้เกิดขึน้ เก่ียวด้วย โมฆียกรรม โดยการกระทาํ ของบคุ คลซ่ึงมีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรม ตามมาตรา 175 ถา้ มิได้สงวนสิทธิไว้แจ้งชดั ประการใด ให้ถอื ว่าเป็นการให้สตั ยาบนั (1) ได้ปฏิบตั ิการชาํ ระหนี้แล้วทงั้ หมดหรอื แต่บางส่วน (2) ได้มีการเรียกให้ชาํ ระหนี้นัน้ แล้ว (3) ได้มีการแปลงหนี้ใหม่ (4) ได้มีการให้ประกนั เพื่อหนี้นัน้ (5) ได้มีการโอนสิทธิหรอื ความรบั ผิดทงั้ หมดหรอื แต่บางส่วน (6) ได้มีการกระทาํ อยา่ งอ่ืนอนั แสดงได้ว่าเป็นการให้สตั ยาบนั มาตรา 181 บญั ญตั ิว่า “โมฆียกรรมนัน้ จะบอกล้างมิได้เมื่อ พ้นเวลาหนึ่งปี นับแต่เวลาที่อาจให้สตั ยาบนั ได้ หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปี นับแต่ได้ทาํ นิติกรรมอนั เป็นโมฆียะนัน้ ” จากบทบญั ญตั ทิ ย่ี กมาขา้ งตน้ น้ีกอ็ าจจะพอสรุปไดว้ ่า นิตกิ รรมท่ี เป็นโมฆยี ะหรอื มผี ลเป็นโมฆยี กรรมนนั้ ในกฎหมายถอื ว่าเป็นนิตกิ รรมทไ่ี ม่สมบูรณ์ และ จะมผี ลบงั คบั ใชไ้ ดต้ ามกฎหมายทุกประการจนกว่าจะมกี ารบอกลา้ ง หากมกี ารบอกลา้ ง โดยผแู้ ทนโดยชอบธรรมเพราะเหน็ ว่าผเู้ ยาวเ์ สยี ประโยชน์ภายใน 1 ปี นิตกิ รรมนัน้ กจ็ ะมี ผลเป็นโมฆะมาตงั้ แตเ่ รมิ่ ทาํ และค่กู รณีกจ็ ะกลบั สฐู่ านะเดมิ และหากกลบั สฐู่ านะเดมิ ไมไ่ ด้ ก็สามารถเรียกค่าเสยี หายเป็นการชดใช้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สําหรบั นิติกรรมท่ีเป็น โมฆยี ะน้ี หากไม่ทําการบอกลา้ งภายใน 10 ปีนับแต่ไดท้ ํานิตกิ รรมขน้ึ มา นิตกิ รรมนนั้ จะ บอกลา้ งอกี ไมไ่ ดแ้ ละจะกลายเป็นนิตกิ รรมทส่ี มบรู ณ์ขน้ึ มาทนั ที และเชน่ เดยี วกนั การให้ LA 102 (LW 102) 79
ความยนิ ยอมเมอ่ื กฎหมายไมไ่ ดก้ ําหนดรปู แบบหรอื วธิ กี ารไว้ การบอกลา้ งของผแู้ ทนโดย ชอบธรรมกส็ ามารถทาํ ไดท้ งั้ โดยลายลกั ษณ์อกั ษรหรอื วาจา แลว้ แตก่ รณี แล ะ ใ น ก ร ณีน้ี นิติก รร มท่ีมีผ ล เ ป็ นโ มฆีย ะ น้ีห า ก ผู้แท นโ ดย ชอ บ ธรรมเหน็ วา่ ผเู้ ยาวไ์ ดเ้ ปรยี บหรอื เหน็ ดว้ ยกบั สงิ่ ทผ่ี เู้ ยาวไ์ ปทาํ ไว้ เชน่ ผเู้ ยาวไ์ ปซอ้ื รถยนต์ ราคา 1 ลา้ นบาท โดยปราศจากความยนิ ยอมของผแู้ ทนโดยชอบธรรม แต่เม่อื ไดพ้ ูดคุย กบั ผู้เยาว์และเห็นด้วย ก็สามารถให้สตั ยาบนั รบั รองนิติกรรมท่ีเป็นโมฆยี ะคอื การซ้ือ รถยนตน์ นั้ โดยการจ่ายเงนิ ค่ารถให้ นิตกิ รรมทเ่ี ป็นโมฆยี ะนนั้ กจ็ ะเป็นนิตกิ รรมทส่ี มบูรณ์ ขน้ึ มาไดเ้ ช่นกนั เป็นตน้ และเมอ่ื มกี ารใหส้ ตั ยาบนั แลว้ นิตกิ รรมนนั้ จะบอกลา้ งอกี ไมไ่ ดเ้ ลย ทงั้ น้กี ารใหส้ ตั ยาบนั กต็ อ้ งเป็นไปตามทก่ี ฎหมายมาตรา 180 ไดบ้ ญั ญตั ไิ ว้ ดงั นัน้ สําหรบั หลกั เกณฑ์ในการทํานิตกิ รรมของผู้เยาว์หรอื ผู้ท่มี ี อายุยงั ไม่ครบ 20 ปีบรบิ ูรณ์นนั้ จะเหน็ ไดว้ ่าเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายแพง่ ทต่ี อ้ งการ ใหค้ วามคุม้ ครองผเู้ ยาวโ์ ดยอาศยั การดแู ลเอาใจใส่ และทาํ หน้าทป่ี กป้องผลประโยชน์ของ ผเู้ ยาวโ์ ดยผา่ นทางผแู้ ทนโดยชอบธรรม การตดั สนิ ใจบอกลา้ งหรอื ใหส้ ตั ยาบนั แก่นิตกิ รรม ท่ฝี ่าฝืนมาตรา 21 ก็ขน้ึ อยู่กบั การพจิ ารณาไตร่ตรองและใชด้ ุลพนิ ิจของผูแ้ ทนโดยชอบ ธรรมโดยแทว้ ่าการทํานิตกิ รรมของผเู้ ยาวน์ นั้ ทําใหเ้ กดิ การไดเ้ ปรยี บหรอื เสยี เปรยี บหรอื สมประโยชน์แก่ผูเ้ ยาวห์ รอื ไม่อย่างไร ดว้ ยเช่อื ว่าเดก็ หรอื ผูเ้ ยาวย์ งั ไม่สามารถจะใชส้ ทิ ธิ หรอื ดแู ลประโยชน์สว่ นไดเ้ สยี ของตนไดเ้ ตม็ ทน่ี นั่ เอง อน่ึง ตามท่ไี ด้กล่าวไวแ้ ล้วว่า ช่วงอายุจากเดก็ ทารกจนอายุครบ 20 ปีบรบิ ูรณ์นัน้ มรี ะยะยาวมาก และผูเ้ ยาวเ์ องกย็ ่อมมคี วามสามารถในการดูแลและใช้ สทิ ธขิ องตนไดเ้ ชน่ กนั เพยี งแตก่ ฎหมายไดก้ าํ หนดหลกั ในการทาํ นิตกิ รรมของผเู้ ยาวไ์ วใ้ น มาตรา 21 ใหท้ ําไดเ้ ม่อื ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผูแ้ ทนโดยชอบธรรมมฉิ ะนัน้ เป็นโมฆยี ะ เพราะเหน็ วา่ ผเู้ ยาวน์ นั้ ความสามารถถูกจาํ กดั เพราะอายุเท่านนั้ มใิ ชเ่ พราะความอ่อนดอ้ ย ในเรอ่ื งอ่นื ใด ดงั นนั้ ในทา้ ยมาตรา 21 จงึ ปรากฏคาํ ว่า “เว้นแต่จะบญั ญตั ิไว้เป็ นอย่างอ่ืน” ซ่งึ ทําให้มาตรา 21 จงึ เป็นทงั้ มาตราหลกั และขอ้ ยกเวน้ ในเวลาเดยี วกนั ซ่งึ จะได้นํามา ศกึ ษาในหวั ขอ้ ต่อไป 2.4 นิตกิ รรมทผ่ี เู้ ยาวส์ ามารถทาํ ไดโ้ ดยลาํ พงั อันเน่ืองมาจากคําว่า “เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็ นอย่างอ่ืน” ในตอนทา้ ยของมาตรา 21 ทําใหผ้ เู้ ยาวก์ ลายเป็นบุคคลทส่ี ามารถมอี สิ ระในการทํานิตกิ รรม 80 LA 102 (LW 102)
ไดด้ ว้ ยตนเอง โดยไม่ตอ้ งขอความยนิ ยอมจากผแู้ ทนโดยชอบธรรมทนั ที และเป็นขอ้ ยกเวน้ ของหลกั ท่วี ่า ผูเ้ ยาวจ์ ะทํานิตกิ รรมใด ๆ ต้องขอความยนิ ยอมจากผูแ้ ทนโดยชอบธรรม ก่อน หากไปทําลงโดยผูแ้ ทนโดยชอบธรรมไม่ทราบหรอื ไม่ยนิ ยอม นิตกิ รรมนัน้ กจ็ ะมผี ล เป็นโมฆยี ะ ทงั้ น้ีเน่ืองจากผเู้ ยาวน์ นั้ เป็นบุคคลทก่ี ฎหมายจํากดั ความสามารถ ไว้ให้อยู่ในความดูแลของผู้แทนโดยชอบธรรมด้วยเหตุผลเดียวคอื อายุเท่านัน้ ดงั นัน้ ในบางนิตกิ รรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั การศกึ ษา การดําเนินชวี ติ หรอื เป็นสงิ่ ทผ่ี เู้ ยาวต์ อ้ ง ทาํ เองโดยลาํ พงั เชน่ การทาํ พนิ ยั กรรม การลงทะเบยี นเรยี นกฎหมาย จงึ อนุญาตใหผ้ เู้ ยาว์ ทําได้โดยไม่ต้องไปขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ซ่ึงจะเห็นได้จากการท่ี กฎหมายแพ่งได้บัญญัติให้ผู้เยาว์สามารถทํานิติกรรมด้วยตนเองได้อยู่หลายกรณี ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. นิตกิ รรมทเ่ี ป็นคุณประโยชน์แก่ผเู้ ยาวฝ์ า่ ยเดยี ว ตามทม่ี าตรา 22 ซ่ึงบญั ญตั ิไว้ว่า “ผ้เู ยาวอ์ าจทาํ การใด ๆ ได้ทงั้ สิ้น หากเป็ นเพียงเพ่ือ จะได้ไปซึ่ง สิทธิอนั ใดอนั หนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลดุ พ้นจากหน้าที่ อนั ใดอนั หน่ึง” จากบทบญั ญตั มิ าตรา 22 จะเหน็ ว่า ผูเ้ ยาว์อาจทํานิตกิ รรมท่ี หากทําแล้วจะให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว หรือเป็นนิติกรรมท่ีทําแล้ว ไมก่ ่อใหเ้ กดิ หน้าทแ่ี ละเงอ่ื นไขแก่ผเู้ ยาว์ ดงั น้ีคอื ก. นติ กิ รรมทไ่ี ดม้ าซง่ึ สทิ ธอิ นั ใดอนั หน่ึง เชน่ การไดร้ บั แหวน เพชรเป็นของขวญั ในวนั เกดิ ของผเู้ ยาวจ์ ากคุณปู่ หากเป็นการใหโ้ ดยไม่มเี งอ่ื นไขกร็ บั ได้ เลยโดยไม่ต้องขอความยนิ ยอมจากบดิ ามารดาซ่งึ เป็นผูแ้ ทนโดยชอบธรรม แต่หากการ ไดร้ บั แหวนเพชรนนั้ ตอ้ งแลกกบั การใหไ้ ปอย่ทู บ่ี า้ นคุณปู่เป็นเวลา 5 ปี อย่างน้ีถอื ว่าเป็น เงอ่ื นไขซง่ึ อาจทําใหผ้ ูเ้ ยาวเ์ กดิ หน้าทแ่ี ละเสยี ประโยชน์ได้ กต็ อ้ งไปขอความยนิ ยอมจาก บดิ ามารดาก่อนจงึ สมบูรณ์ หากผู้เยาว์รบั แหวนแพชรและตกลงไปโดยปราศจากความ ยนิ ยอมการรบั แหวนเพชร จะมผี ลเป็นโมฆยี ะทนั ที ข. นิติกรรมท่ีทําให้หลุดพ้นจากหน้าท่ีอันใดอันหน่ึง ย่อม หมายถึงนิติกรรมท่ีหากผู้เยาว์ทําลงไปแล้วทําให้เขาหลุดจากภาระหน้าท่ีท่ีมอี ยู่ เช่น ผู้เยาว์เป็นหน้ีนาย ก. อยู่ 500 บาท พอถึงวนั เกิดของผู้เยาว์ นาย ก. ยกหน้ีให้เป็น ของขวญั วนั เกดิ ดงั น้ีถอื ไดว้ า่ เป็นนติ กิ รรมทท่ี าํ ใหผ้ เู้ ยาวห์ ลดุ พน้ จากหน้าท่ี ตามมาตรา 22 LA 102 (LW 102) 81
ดังนัน้ นิติกรรมเหล่าน้ีผู้เยาว์สามารถทําได้เลยโดย ไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม และทําให้นิติกรรมมผี ลสมบูรณ์ตาม กฎหมายทกุ ประการ 2. นิตกิ รรมท่ผี ู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตวั ตามท่มี าตรา 23 ได้ บญั ญตั ิไว้ว่า “ผเู้ ยาวอ์ าจทาํ การใด ๆ ได้ทงั้ สิ้น ซึ่งเป็นการต้องทาํ เองเฉพาะตวั ” จากบทบัญญัติมาตรา 23 น้ี กฎหมายต้องการให้ผู้เยาว์ สามารถทาํ นติ กิ รรมทผ่ี อู้ ่นื ไมส่ ามารถทาํ แทนได้ หรอื ไมค่ วรใหใ้ ครมาทาํ แทนหรอื ใหค้ วาม ยนิ ยอม ซง่ึ ในชวี ติ ของผเู้ ยาวย์ อ่ มมบี างนิตกิ รรมทจ่ี าํ เป็นตอ้ งทาํ ดว้ ยตวั เอง เชน่ ก. การรับรองบุตร ตามมาตรา 1547 ซึ่งบัญญัติ ว่า “เดก็ เกิดจากบิดามารดาท่ีมิได้สมรสกนั จะเป็ นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดา มารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็ นบุตรหรือศาล พิพากษาว่าเป็ นบุตร” เน่ืองด้วยกฎหมายเลง็ เหน็ ว่าการรบั รองบุตรของบุคคลไม่ว่า บุคคลนนั้ จะเป็นผเู้ ยาว์ หรอื เดก็ กค็ วรจะเป็นไปดว้ ยอสิ ระและสมคั รใจ จงึ กําหนดใหไ้ มต่ อ้ ง ขอความยนิ ยอมจากผใู้ ด ข. การเพกิ ถอนการสมรส ตามมาตรา 1508 ซึ่งบญั ญตั ิว่า “การสมรสที่เป็ นโมฆียะเพราะค่สู มรสสาํ คญั ผิดตวั หรือถกู กลฉ้อฉล หรือถกู ข่มขู่ เฉพาะแต่ค่สู มรสท่ีสาํ คญั ผิดตวั หรือถกู กลฉ้อฉลหรือ ถกู ข่มข่เู ท่านัน้ ขอเพิกถอน การสมรสได้ ในกรณีที่ผ้มู ีสิทธิขอเพิกถอนการสมรสเป็ นบุคคลท่ี ถกู ศาลสงั่ ให้เป็นคนไร้ความสามารถ ให้บคุ คลซึ่งอาจร้องขอต่อศาลให้สงั่ ให้บคุ คล วิกลจริตเป็นคนไร้ ความสามารถตามมาตรา 29 ขอเพิกถอนการสมรสได้ด้วย แต่ ถ้าผ้มู ีสิทธิขอเพิกถอนการสมรสเป็ นคนวิกลจริตที่ศาลยงั ไม่ได้สงั่ ให้เป็ นคนไร้ ความสามารถ บคุ คลดงั กล่าวจะร้องขอเพิกถอนการสมรสกไ็ ด้ แต่ต้องขอให้ศาล สงั่ ให้คนวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถพร้อมกนั ด้วย ในกรณีที่ศาลมีคาํ สงั่ ให้ยก คาํ ขอให้ศาลสงั่ เป็ นคนไร้ความสามารถกใ็ ห้ศาลมีคาํ สงั่ ยกคาํ ขอการเพิกถอนการ สมรสของบคุ คลดงั กล่าวนัน้ เสียด้วย 82 LA 102 (LW 102)
คาํ สงั่ ศาลให้ยกคาํ ขอเพิกถอนการสมรสของบุคคล ตามวรรคสอง ไม่กระทบกระเทือนสิทธิการขอเพิกถอนการสมรสของค่สู มรส แต่ ค่สู มรสจะต้องใช้สิทธินัน้ ภายในกาํ หนดระยะเวลาที่ค่สู มรสมีอยู่ ถ้าระยะเวลาดงั กล่าว เหลืออยู่ไม่ถึงหกเดือนนับแต่วนั ที่ศาลมีคาํ สงั่ ให้ยกคาํ ขอเพิกถอนการสมรสของ บุคคลดงั กล่าว หรือไม่มีเหลืออยู่เลยกใ็ ห้ขยายระยะเวลานัน้ ออกไปได้ให้ครบ หกเดือน หรืออีกหกเดือนนับแต่วนั ท่ีศาลมีคาํ สงั่ ให้ยกคาํ ขอเพิกถอนการสมรส ของบคุ คลดงั กล่าวแล้วแต่กรณี” สําหรบั เร่อื งการเพกิ ถอนการสมรสน้ี เน่ืองจากกฎหมาย กําหนดใชเ้ ฉพาะ “แต่คู่สมรส” เท่านนั้ ทจ่ี ะขอเพกิ ถอนการสมรสได้ บุคคลอ่นื จงึ ไม่มสี ทิ ธิ เขา้ มาจดั การหรอื ทาํ แทนหรอื แมแ้ ต่ใหค้ วามยนิ ยอม ค. การทําพนิ ยั กรรม ตามมาตรา 25 ซึ่งบญั ญตั ิว่า “ผ้เู ยาว์ อาจทาํ พินัยกรรมได้เม่ืออายสุ ิบห้าปี บริบรู ณ์” สว่ นกรณีน้ีเป็นเร่อื งของพนิ ยั กรรมซง่ึ เป็นการจดั สรรทรพั ย์สนิ ของผู้เยาว์และจะมผี ลเม่อื ผู้เยาว์ส้นิ ชวี ติ ดงั นัน้ จงึ เป็นเร่อื งท่ี จะตอ้ งกระทําดว้ ยตนเองและมอิ าจไม่ใหใ้ ครมาอนุญาตหรอื ใหค้ วามยนิ ยอมได้ แมจ้ ะเป็น บดิ ามารดาของผเู้ ยาวก์ ต็ าม แต่กฎหมายไดต้ งั้ เงอ่ื นไขทส่ี าํ คญั ไวค้ อื ตอ้ งมอี ายุครบ 15 ปี บรบิ ูรณ์เท่านัน้ และกฎหมายใชค้ ําว่า “อาจทําพนิ ัยกรรมได”้ แสดงว่าไม่ได้บงั คบั ว่าใคร อายุ 15 ปีบรบิ รู ณ์จะตอ้ งทาํ พนิ ยั กรรมแต่อยา่ งใด แสดงวา่ กฎหมายตอ้ งการใหผ้ เู้ ยาวซ์ ง่ึ มี อายุครบ 15 ปี ไดต้ ดั สนิ ใจดว้ ยตวั เองว่าจะยกทรพั ยส์ นิ ของเขาใหใ้ ครโดยอสิ ระ และอายุ 15 ปีบรบิ ูรณ์กเ็ ป็นเคร่อื งมอื ควบคุมความสามารถของผูเ้ ยาวไ์ ปดว้ ย เพราะมาตรา 1702 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ไดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ ่า “พนิ ยั กรรมซง่ึ บุคคลทม่ี ี อายุยงั ไม่ครบ 15 ปีบรบิ รู ณ์ทาํ ขน้ึ นนั้ เป็นโมฆะ” ซง่ึ หมายความว่าหากผเู้ ยาวท์ อ่ี ายุยงั ไม่ ครบ 15 ปีบรบิ ูรณ์ ไปทําพนิ ัยกรรมย่อมทําให้พนิ ัยกรรมนัน้ มผี ลเป็นโมฆะและไม่มผี ล บงั คบั ตามกฎหมายแต่ประการใด 3. นิตกิ รรมทจ่ี ําเป็นเพ่อื การดํารงชวี ติ ของผูเ้ ยาว์ ตามทม่ี าตรา 24 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “ผ้เู ยาวอ์ าจทาํ การใด ๆ ได้ทงั้ สิ้น ซ่ึงเป็ นการสมแก่ฐานานุรปู แห่งตน และเป็นการอนั จาํ เป็นในการดาํ รงชีพตามสมควร” LA 102 (LW 102) 83
ก า ร ท่ีจ ะ ถือ ว่า เ ป็ น นิ ติก ร ร ม ท่ีจํา เ ป็ น เ พ่ือ ก า ร ดํา ร ง ชีพ ข อ ง ผูเ้ ยาวน์ นั้ มเี ง่อื นไขอยู่ 2 ประการคอื ตอ้ งเป็นนิตกิ รรมทจ่ี ําเป็นในการดํารงชพี และเป็น นติ กิ รรมทส่ี มแกฐ่ านานุรปู ของผเู้ ยาวด์ ว้ ย ดงั นัน้ หากผู้เยาว์ซ่ึงโดยวสิ ยั ต้องศึกษาเล่าเรยี น แต่บงั เอิญ บ้านกับโรงเรียนไกลกันมาก ก็อาจไปซ้ือจักรยานด้วยเงินท่ีเก็บไว้เองโดยลําพัง นิตกิ รรมการซอ้ื รถจกั รยานถอื วา่ สมบรู ณ์ เพราะการซอ้ื จกั รยานกเ็ ป็นไปเพอ่ื ประโยชน์ใน การไปโรงเรยี นเพอ่ื ศกึ ษาเลา่ เรยี น ซง่ึ สมประโยชน์และสมฐานะของผเู้ ยาว์ แต่ตรงกนั ขา้ ม แทนทจ่ี ะซ้อื จกั รยานกลบั ไปซ้อื รถยนตย์ ห่ี อ้ BMW ราคา 5 ลา้ นบาท โดยไม่ไดร้ บั ความ ยนิ ยอมจากผแู้ ทนโดยชอบธรรม ดงั น้ีกถ็ อื ว่าการทํานิตกิ รรมน้ี แมจ้ ะจําเป็นแก่การดํารง ชพี เพราะต้องการใชข้ บั ขไ่ี ปเรยี นหนังสอื แต่ต้องถอื ว่าเกนิ ฐานะของนักเรยี นอยู่ดี กจ็ ะ กลายเป็นนิตกิ รรมทม่ี ผี ลเป็นโมฆยี ะตามมาตรา 21 ไป นอกจากทไ่ี ดก้ ล่าวมาแลว้ ยงั มหี ลกั กฎหมายเกย่ี วกบั การทํา นิตกิ รรมของผเู้ ยาวอ์ ยอู่ กี 2 กรณคี อื 1. กรณีตามมาตรา 26 ได้บญั ญตั ิว่า “ถ้าผ้แู ทนโดยชอบ ธรรมอนุญาตให้ผเู้ ยาวจ์ าํ หน่ายทรพั ยส์ ินเพื่อการอนั ใดอนั หน่ึงอนั ได้ระบไุ ว้ ผเู้ ยาว์ จะจาํ หน่ายทรพั ย์สินนัน้ เป็ นประการใดภายในขอบของการท่ีระบุไว้นัน้ ก็ทําได้ ตามใจสมคั ร อน่ึงถ้าได้รบั อนุญาตให้จาํ หน่ายทรพั ยส์ ินโดยมิได้ระบวุ ่าเพื่อการอนั ใด ผ้เู ยาวก์ จ็ าํ หน่ายได้ตามใจสมคั ร” เป็นการขยายความวา่ แมผ้ แู้ ทนโดยชอบธรรมจะ ใหค้ วามยนิ ยอมในกรณขี องมาตรา 26 แลว้ ผเู้ ยาวก์ ย็ งั มขี อ้ จาํ กดั ในเรอ่ื งความสามารถใน การทํานิตกิ รรมเสมอเพราะมกี ารระบุไวว้ ่าให้ไปทําอะไร เช่น ให้เงนิ 1 หม่นื บาทไปซ้อื T.V. กต็ อ้ งไปซอ้ื T.V. แต่หากใหเ้ งนิ โดยไม่กําหนดว่าใหซ้ อ้ื T.V. แต่ใหไ้ ปซอ้ื เครอ่ื งเสยี ง อะไรกไ็ ด้ ดงั น้ีผูเ้ ยาวย์ ่อมใชเ้ งนิ 1 หม่นื บาทนัน้ ไปซ้อื T.V. วทิ ยุ หรอื เคร่อื งเสยี งอ่นื ๆ ตามชอบได้ 2. กรณีตามมาตรา 27 ไดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ ่า “ผูแ้ ทนโดยชอบธรรม อาจใหค้ วามยนิ ยอมแก่ผเู้ ยาว์ ในการประกอบธุรกจิ ทางการคา้ หรอื ธุรกจิ อ่นื หรอื ในการ ทาํ สญั ญาเป็นลกู จา้ งในสญั ญาจา้ งแรงงานได้ ในกรณีทผ่ี แู้ ทนโดยชอบธรรม ไมใ่ หค้ วาม ยนิ ยอมโดยไมม่ เี หตุอนั สมควร ผเู้ ยาวอ์ าจรอ้ งขอต่อศาล ใหส้ งั่ อนุญาตได้ 84 LA 102 (LW 102)
ในความเกย่ี วพนั กบั การประกอบธุรกจิ หรอื การจา้ งแรงงาน ตามวรรคหน่ึงใหผ้ เู้ ยาวม์ ฐี านะเสมอื นดงั บคุ คลซง่ึ บรรลุนิตภิ าวะแลว้ ถา้ การประกอบธุรกจิ หรอื การทาํ งานทไ่ี ดร้ บั ความยนิ ยอมหรอื ทไ่ี ดร้ บั อนุญาตตามวรรคหน่ึง ก่อใหเ้ กดิ ความ เสยี หายถงึ ขนาดหรอื เสอ่ื มเสยี แก่ผเู้ ยาว์ ผแู้ ทนโดยชอบธรรมอาจบอกเลกิ ความยนิ ยอม ทไ่ี ดใ้ หแ้ ก่ผเู้ ยาวเ์ สยี ไดห้ รอื ในกรณที ศ่ี าลอนุญาต ผแู้ ทนโดยชอบธรรม อาจรอ้ งขอต่อศาล ใหเ้ พกิ ถอนการอนุญาตทไ่ี ดใ้ หแ้ ก่ผเู้ ยาวน์ นั้ เสยี ได้ ในกรณีท่ผี ู้แทนโดยชอบธรรมบอกเลกิ ความยนิ ยอมโดยไม่มเี หตุ อนั สมควรผเู้ ยาวอ์ าจรอ้ งขอต่อศาล ใหเ้ พกิ ถอนการบอกเลกิ ความ ยนิ ยอมของผูแ้ ทนโดย ชอบธรรมได้ การบอกเลกิ ความยนิ ยอมโดยผู้แทนโดยชอบธรรม หรอื การเพกิ ถอนการอนุญาตโดยศาล ย่อมทําใหฐ้ านะเสมอื นดงั บุคคลซง่ึ บรรลุนิตภิ าวะแลว้ ของผเู้ ยาวส์ น้ิ สดุ ลง แต่ไมก่ ระทบกระเทอื นการใด ๆ ทผ่ี เู้ ยาวไ์ ดก้ ระทาํ ไปแลว้ ก่อนมกี าร บอกเลกิ ความยนิ ยอมหรอื เพกิ ถอนการอนุญาต” ในเร่อื งของมาตรา 27 น้ี เป็นเร่อื งทห่ี ากผูเ้ ยาวม์ คี วามสามารถ ในการทําการคา้ หรอื ตอ้ งทํางานเป็นลูกจา้ งโดยมสี ญั ญาจา้ งแรงงานแลว้ ละก็ หากผูแ้ ทน โดยชอบธรรมไดใ้ หค้ วามยนิ ยอมใหท้ าํ การคา้ หรอื ทาํ สญั ญาเป็นลกู จา้ ง ผเู้ ยาวก์ ส็ ามารถ ทาํ นิตกิ รรมใด ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั การคา้ หรอื สญั ญาจา้ งแรงงานทไ่ี ดร้ บั ความยนิ ยอมจากผแู้ ทน โดยชอบธรรมเสมอื นเป็นบุคคลทบ่ี รรลุนิตภิ าวะไดเ้ ลย แต่นิตกิ รรมในเรอ่ื งอ่นื ๆ ทไ่ี มเ่ ขา้ มาตรา 27 ผู้เยาว์ก็ยังคงต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเช่นเดิม เพราะยงั คงเป็นผเู้ ยาวอ์ ยตู่ ามกฎหมาย 2.2 คนไรค้ วามสามารถ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 28 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “บคุ คลวิกลจริตผใู้ ด ถ้าคู่สมรสกด็ ี ผ้บู ุพการี กล่าวคือ บิดามารดา ป่ ูย่า ตายาย ทวดกด็ ี ผ้สู ืบสนั ดาน กล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ล่ือกด็ ี ผ้ปู กครองหรือผ้พู ิทกั ษ์กด็ ี ผ้ซู ่ึงปกครองดแู ล บุคคลนัน้ อยู่กด็ ี หรือพนักงานอยั การกด็ ี ร้องขอต่อศาลให้สงั่ ให้บุคคลวิกลจริต ผ้นู ัน้ เป็ นคนไร้ความสามารถศาลจะสงั่ ให้บุคคลวิกลจริตผ้นู ัน้ เป็ นคนไร้ความ สามารถกไ็ ด้ LA 102 (LW 102) 85
บุคคลซ่ึงศาลได้สงั่ ให้เป็ นคนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจดั ให้อยู่ ในความอนุบาล การแต่งตงั้ ผ้อู นุบาล อาํ นาจหน้าท่ีของผ้อู นุบาลและการสิ้นสุด ของความเป็นผอู้ นุบาล ให้เป็นไปตามบทบญั ญตั ิบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายนี้ คาํ สงั่ ของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา” ดงั นัน้ เม่อื พจิ ารณาจากบทบญั ญัติของมาตรา 28 แล้วก็สามารถแยกศึกษาได้ 5 กรณคี อื 1. หลกั เกณฑใ์ นการเป็นคนไรค้ วามสามารถ 2. บุคคลทม่ี สี ทิ ธริ อ้ งขอใหศ้ าลสงั่ ใหค้ นวกิ ลจรติ เป็นคนไรค้ วามสามารถ 3. ผอู้ นุบาล 4. ผลของการเป็นคนไรค้ วามสามารถ 5. ความสน้ิ สดุ ของการเป็นคนไรค้ วามสามารถ ซง่ึ จะไดน้ ํามาศกึ ษาตามลาํ ดบั ดงั น้ีคอื 2.2.1 หลกั เกณฑใ์ นการเป็ นคนไร้ความสามารถ มี 2 องคป์ ระกอบ คอื ตอ้ ง เป็นคนวกิ ลจรติ และตอ้ งมคี าํ สงั่ ศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ คนวกิ ลจรติ หมายถงึ คนทม่ี จี ติ ไม่ปกติ ไม่มสี ตสิ มั ปชญั ญะหรอื สมองพกิ าร ซ่งึ คนทวั่ ไปมกั จะเรยี กว่า “คนบา้ ” นัน่ เอง และเม่อื ไปดูคําพพิ ากษาฎกี าท่ี 490/2509 และ พพิ ากษาฎีกาท่ี 74/2527 คนวกิ ลจรติ นัน้ จงึ หมายถงึ บุคคลท่มี อี าการผดิ ปกติ เช่น ขาด ความราํ ลกึ ขาดความรสู้ กึ ขาดความรบั ผดิ ชอบถงึ ขนาด ไม่สามารถประกอบกจิ การงาน ไดเ้ ลย นอกจากนนั้ ยงั รวมถงึ คนชราทม่ี อี าการไม่รูต้ วั พูดจาไม่รูเ้ ร่อื ง เดนิ ทางไปไหนมา ไหนไม่ได้ ซ่งึ ปจั จุบนั ผู้ท่มี อี าการสมองพกิ าร หรอื ป่วยเป็นโรคอลั ไซเมอร์ ก็อาจมกี าร รอ้ งขอใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถได้ จากคําอธิบายถึงอาการวิกลจรติ ข้างต้นน้ี ก็อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าคน วกิ ลจรติ นัน้ อาจเป็นอาการทางจิตหรอื เป็นอาการป่วยท่ีทําให้มอี าการผดิ ปกตไิ ปก็ได้ ดงั นัน้ แมใ้ นมาตรา 28 จะไม่ได้ใหค้ ําอธบิ ายไวว้ ่า คนวกิ ลจรติ คอื ใคร กพ็ อจะทําใหม้ อง ภาพออกว่าการจะเขา้ องคป์ ระกอบแรกของคนไรค้ วามสามารถทเ่ี รยี กว่าคนวกิ ลจรติ นัน้ เป็นอยา่ งไรได้ นอกจากนนั้ แลว้ อาการทงั้ หมดทก่ี ล่าวไปนนั้ จะตอ้ งมอี าการทเ่ี ป็นอย่างมาก และตอ้ งเป็นประจําดว้ ย จงึ จะเขา้ หลกั เกณฑท์ ย่ี อมรบั กนั ว่าอยู่ในเกณฑท์ จ่ี ะขอใหศ้ าลมี 86 LA 102 (LW 102)
คาํ สงั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถได้ ซง่ึ แน่นอนวา่ ความเหน็ ของแพทยย์ ่อมจะเป็นหลกั ฐาน พยานทด่ี ที จ่ี ะแสดงต่อศาลได้ เพราะฉะนัน้ อาการหลงลมื บางครงั้ บางคราวหรอื มอี าการ ไมไ่ ดส้ ตเิ พราะการเจบ็ ไขห้ รอื เสพของมนึ เมาย่อมไมใ่ ชเ่ รอ่ื งของอาการวกิ ลจรติ ตามความ มาตรา 28 แต่อย่างใด และสําหรบั กรณีต้องเป็นประจํานัน้ ก็คงเป็นกรณีท่ตี ้องมอี าการ บ่อย ๆ จนถงึ ขนั้ มอี าการวกิ ลจรติ ตลอดเวลา ไมใ่ ช่มอี าการคลุม้ คลงั่ หรอื หลงลมื เดอื นละครงั้ อยา่ งน้ีกไ็ มใ่ ชอ่ าการทจ่ี ะเรยี กไดว้ า่ “ประจาํ ” แตอ่ ยา่ งใด สว่ นองคป์ ระกอบทส่ี าํ คญั ทจ่ี ะทาํ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถอกี ประการหน่ึง คอื ต้องมคี ําสงั่ ศาลสงั่ ให้เป็นคนไรค้ วามสามารถ เพราะหากไม่มคี ําสงั่ ศาลให้เป็นคนไร้ ความสามารถ บุคคลนนั้ กจ็ ะเป็นเพยี งบุคคลทเ่ี รยี กวา่ “คนวกิ ลจรติ ” และอยภู่ ายใตห้ ลกั เกณฑ์ ของมาตรา 30 ต่อไป และเม่อื มคี าํ สงั่ ของศาลใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถแลว้ การเป็นคน ไร้ความสามารถจะเริ่มต้นนับแต่วนั ท่ีศาลมีคําสงั่ นัน่ เอง และคําสงั่ ศาลให้เป็นคนไร้ ความสามารถจะตอ้ งประกาศในราชกจิ จานุเบกษาดว้ ย ทงั้ น้ี เพ่อื เป็นการคุม้ ครองบุคคล ภายนอกทจ่ี ะไดท้ ราบสถานะของบุคคลไรค้ วามสามารถ และคุม้ ครองคนไรค้ วามสามารถ ดว้ ยในเวลาเดยี วกนั 2.2.2 บุคคลที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลสงั่ ให้เป็ นคนวิกลจริตเป็ นคนไร้ความ สามารถ ในเรอ่ื งน้มี าตรา 28 ไดก้ าํ หนดไวด้ งั น้ี 1. คู่สมรสของคนวกิ ลจรติ ซง่ึ จะตอ้ งเป็นสามหี รอื ภรรยาทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย คอื จดทะเบยี นสมรสกนั นนั่ เอง 2. บพุ พการขี องคนวกิ ลจรติ หมายถงึ บดิ า มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย และทวด เป็นตน้ 3. ผสู้ บื สนั ดานของคนวกิ ลจรติ หมายถงึ ลูก หลาน เหลน ล่อื และรวมถงึ บุตรบุญธรรมทไ่ี ดม้ กี ารจดทะเบยี นรบั บุตรบญุ ธรรมแลว้ ดว้ ย 4. ผูป้ กครอง หมายถงึ บุคคลทศ่ี าลไดต้ งั้ ขน้ึ มาเพ่อื ดูแลปกครองผูเ้ ยาว์ท่ี เป็นคนวกิ ลจรติ 5. ผพู้ ทิ กั ษ์ หมายถงึ ในกรณีทค่ี นวกิ ลจรติ ไดถ้ ูกศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนเสมอื นไร้ ความสามารถ ตามมาตรา 32 มาก่อน และต่อมาเม่ือมีอาการมากข้นึ และผู้พิทักษ์ LA 102 (LW 102) 87
เหน็ สมควรจะรอ้ งขอใหศ้ าลมคี ําสงั่ ใหค้ นเสมอื นไรค้ วามสามารถจงึ มอี าการวกิ ลจรติ นัน้ เป็นคนไรค้ วามสามารถไดด้ ว้ ย 6. ผซู้ ง่ึ ปกครองดูแลคนวกิ ลจรติ หมายถงึ บุคคลทด่ี แู ลคนวกิ ลจรติ ในความ เป็นจริงและเป็นการดูแลทัง้ ความเป็นอยู่และทรัพย์สินด้วยในขณะเดียวกัน ทัง้ น้ี ไม่จําเป็นต้องเป็นญาตกิ นั กไ็ ด้ เพราะกฎหมายต้องการใหค้ นทด่ี ูแลเพราะเมตตาสงสาร แต่มใิ ชญ่ าติ หรอื ดแู ลเพราะเป็นเครอื ญาติ กค็ วรจะใชส้ ทิ ธไิ ดเ้ ชน่ กนั 7. พนกั งานอยั การ ในฐานะทเ่ี ป็นทนายของแผ่นดนิ และเป็นผดู้ แู ลคุม้ ครอง ประโยชน์ของประชาชน กฎหมายจงึ ใหส้ ทิ ธนิ ้ีแกพ่ นกั งานอยั การดว้ ย การทม่ี าตรา 28 ไดก้ ําหนดตวั บุคคลทจ่ี ะมสี ทิ ธริ อ้ งขอต่อศาลเพ่อื สงั่ ให้ เป็นคนไรค้ วามสามารถไว้ เพราะต้องการให้การใชส้ ทิ ธเิ ป็นไปด้วยความถูกต้องสุจรติ มใิ ช่เพราะมเี ร่อื งกลนั่ แกลง้ หรอื ผลประโยชน์มาเกย่ี วขอ้ ง ดงั นัน้ หากบุคคลอ่นื ทไ่ี ม่อยู่ใน 6 ประเภททก่ี ล่าวมาน้ีตอ้ งการจะใชส้ ทิ ธริ อ้ งขอต่อศาลกต็ อ้ งไปใชส้ ทิ ธผิ ่านทางพนักงาน อยั การใหด้ ําเนินการแทนได้ ทงั้ น้ี ตวั ผวู้ กิ ลจรติ เองกไ็ ม่สามารถใชส้ ทิ ธนิ ้ีได้ เพราะกฎหมาย ไมไ่ ดใ้ หส้ ทิ ธไิ วน้ นั่ เอง และจากถ้อยคําในมาตรา 28 ซ่งึ บญั ญตั ไิ วว้ ่า “...ศาลจะสงั่ ให้บุคคลนัน้ เป็นคนไรค้ วามสามารถกไ็ ด้” เป็นการแสดงใหเ้ หน็ ว่ากฎหมายต้องการใหเ้ ป็นดุลยพนิ ิจ ของศาลท่ีจะพิจารณาคําร้องและพยานหลกั ฐานว่าจะสงั่ หรอื ไม่สงั่ ให้เป็นคนไร้ความ สามารถตามคาํ รอ้ งขอกไ็ ด้ เพราะเมอ่ื มคี าํ สงั่ ไปแลว้ ผลของการเป็นคนไรค้ วามสามารถจะ เป็นไปตามมาตรา 28 วรรคสอง และมาตรา 29 ทนั ที ซง่ึ จะไดศ้ กึ ษาในเรอ่ื งน้ีในหวั ขอ้ ต่อไป 2.2.3 ผอู้ นุบาล ตามทม่ี าตรา 28 วรรคสอง ไดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ า่ “บุคคลซง่ึ ศาลไดส้ งั่ ใหเ้ ป็นคนไร้ ความสามารถตามวรรคหน่ึง ต้องจดั ให้อยู่ในความอนุบาล การแต่งตงั้ ผูอ้ นุบาล อํานาจ หน้าทข่ี องผอู้ นุบาลและการสน้ิ สุดของความเป็นผูอ้ นุบาล ใหเ้ ป็นไปตามบทบญั ญตั บิ รรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายน้ี” นัน้ เป็นการกําหนดใหค้ นไรค้ วามสามารถต้องอยู่ในความดูแล และคุม้ ครองของผอู้ นุบาลโดยสน้ิ เชงิ เพราะคนไรค้ วามสามารถไดถ้ ูกตดั ความสามารถใน การใชส้ ทิ ธแิ ละหน้าทไ่ี ปแลว้ นบั แตม่ คี าํ สงั่ ศาลใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ ซง่ึ การเป็นคนไร้ ความสามารถนัน้ จะเป็นผูเ้ ยาว์ คนชรา หรอื ผูท้ อ่ี าจมคี ู่สมรสหรอื ไม่มคี ู่สมรสกไ็ ด้ ดงั นัน้ 88 LA 102 (LW 102)
ผูอ้ นุบาลของคนไรค้ วามสามารถจงึ ต้องเป็นไปตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เรอ่ื งครอบครวั ซง่ึ ไดแ้ บง่ ออกเป็น 3 กรณคี อื 1. กรณีคนไรค้ วามสามารถเป็นผูเ้ ยาว์ การตงั้ ผูอ้ นุบาลกต็ ้องเป็นไปตามท่ี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 1569 และมาตรา 1569/1 ไดก้ ําหนดไวค้ อื ศาล อาจตงั้ บดิ ามารดาซ่งึ เป็นผูแ้ ทนโดยชอบธรรมและเป็นผูใ้ ชอ้ ํานาจปกครองเป็นผูอ้ นุบาล และในบางกรณศี าลอาจตงั้ ผปู้ กครองเป็นผอู้ นุบาลกไ็ ด้ 2. กรณีคนไรค้ วามสามารถเป็นผูม้ คี ู่สมรส การตงั้ ผูอ้ นุบาลก็ต้องเป็นไป ตามท่ปี ระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1463 ได้กําหนดไว้คอื ไม่ตงั้ สามหี รอื ภรรยาเป็นผอู้ นุบาล 3. กรณีคนไร้ความสามารถเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแต่ไม่มคี ู่สมรส การตงั้ ผอู้ นุบาลกต็ อ้ งเป็นไปตามทป่ี ระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 1569/1 วรรคสอง ไดก้ าํ หนดไวค้ อื ใหต้ งั้ บดิ า มารดา หรอื บดิ าหรอื มารดาเป็นผอู้ นุบาล แต่อยา่ งไรกต็ ามหาก มกี ารคา้ นศาลอาจตงั้ ผอู้ ่นื เป็นผอู้ นุบาลได้ ในเร่อื งผอู้ นุบาลนอกจากเรอ่ื งการแต่งตงั้ ผอู้ นุบาลแลว้ เรอ่ื งเกย่ี วกบั อํานาจ หน้าท่ี และการสน้ิ สุดของความเป็นผูอ้ นุบาลกเ็ ป็นเร่อื งสาํ คญั เช่นกนั ซง่ึ ในเร่อื งน้ีจะไดม้ ี การศกึ ษาในรายละเอยี ดในวชิ ากฎหมายเกย่ี วกบั ครอบครวั ตอ่ ไป 2.2.4 ผลของการเป็นคนไรค้ วามสามารถ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “การใด ๆ อนั บคุ คลซึ่งศาลสงั่ ให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทาํ ลง การนัน้ เป็นโมฆียะ” ตามทม่ี าตรา 29 ไดใ้ ชค้ าํ ว่า “การใด ๆ” นนั้ กย็ ่อมหมายถงึ นิตกิ รรมเท่านนั้ ดงั นัน้ ผลของนิตกิ รรมทุกชนิดทท่ี ําลงโดยคนไรค้ วามสามารถกจ็ ะมผี ลเป็นโมฆยี ะทนั ที ไม่ว่าจะไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผูอ้ นุบาลหรอื ไม่กต็ าม ทงั้ น้ีโดยไม่ใหห้ มายความรวมถงึ นิตเิ หตุแต่อยา่ งใดโดยพจิ ารณาไดจ้ ากเจตนารมณ์ของผบู้ ญั ญตั กิ ฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 429 ที่บญั ญตั ิว่า “บุคคลใดแม้ไร้ความ สามารถเพราะเหตุเป็ นผ้เู ยาวห์ รือ วิกลจริต ก็ยงั ต้องรบั ผิดในผลท่ีตนทําละเมิด...” ดงั นัน้ การทําละเมิดของคนไร้ ความสามารถ เช่น ใชไ้ มต้ กี ระจกรา้ นคา้ แตกเสยี หาย กต็ อ้ งยงั คงรบั ผดิ ชดใชค้ ่าเสยี หาย ต่อเจา้ ของรา้ นคา้ จะมาอา้ งวา่ เป็นโมฆยี ะไมไ่ ด้ LA 102 (LW 102) 89
และเน่ืองจากเจตนารมณ์ของกฎหมายแพ่งในการจํากดั ความสามารถของ คนไรค้ วามสามารถนัน้ เป็นการเน้นท่จี ะคุ้มครองคนไรค้ วามสามารถเป็นสําคญั ดงั นัน้ ผลของการเป็นคนไรค้ วามสามารถจงึ อาจสรปุ ไดด้ งั น้ี 1. นติ กิ รรมใด ๆ ทค่ี นไรค้ วามสามารถไดท้ าํ ลงไดย้ อ่ มมผี ลเป็นโมฆยี ะเสมอ ไมว่ า่ จะไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผอู้ นุบาลหรอื ไมก่ ต็ าม 2. ผอู้ นุบาลตอ้ งเป็นผทู้ าํ นติ กิ รรมแทนเทา่ นนั้ 3. กรณีเป็นเร่ืองของการทํานิติกรรมท่ีต้องทําเองเฉพาะตัวโดยคนไร้ ความสามารถ แต่เน่ืองจากคนไรค้ วามสามารถไม่สามารถทํานิตกิ รรมใด ๆ ไดเ้ ลย ตาม มาตรา 29 และนิตกิ รรมนัน้ กเ็ ป็นนิตกิ รรมทผ่ี ูอ้ นุบาลกท็ ําแทนไม่ไดด้ ว้ ย เช่น การสมรส หรอื การทําพนิ ัยกรรมนัน้ ต้องไปดูประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครวั มรดก ซง่ึ ไดบ้ ญั ญตั ไิ วเ้ ป็นการเฉพาะ เชน่ ในเรอ่ื งการสมรส มาตรา 1449 ได้บญั ญตั ิไว้ ว่า “การสมรสจะกระทาํ มิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็ นบุคคลวิกลจริตหรือเป็ นบุคคลซึ่ง ศาลสงั่ ให้เป็ นคนไร้ความสามารถ” และมาตรา 1495 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “การสมรสท่ี ฝ่ าฝื นมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็ นโมฆะ” ดงั นนั้ การสมรสของคนวกิ ลจรติ หรอื คนไรค้ วามสามารถจงึ มผี ลเป็นโมฆะมใิ ชโ่ มฆยี ะ 2.2.5 ความสิ้นสดุ การเป็นคนไรค้ วามสามารถ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 31 ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “ถ้าเหตทุ ่ี ทาํ ให้เป็ นคนไร้ความสามารถได้สิ้นสุดไปแล้ว และเมื่อบุคคลผ้นู ัน้ เองหรือบุคคล ใด ๆ ดงั กล่าวมาในมาตรา 28 ร้องขอต่อศาลกใ็ ห้ศาลสงั่ เพิกถอนคาํ สงั่ ที่ให้เป็ น คนไร้ความสามารถนัน้ คาํ สงั่ ของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา” การทม่ี าตรา 31 ตอ้ งกําหนดไวเ้ ช่นน้ีกเ็ พราะอาการวกิ ลจรติ นนั้ ในบางกรณี อาจรกั ษาจนหายขาดหรอื มอี าการดขี น้ึ ได้ และเมอ่ื ใดกต็ ามทม่ี เี หตุอนั ทาํ ใหก้ ารเป็นคนไร้ ความสามารถสน้ิ สดุ ลง ไมว่ า่ จะโดยการรกั ษาพยาบาลจากแพทยห์ รอื คนไรค้ วามสามารถ กลบั มามอี าการรูส้ ตสิ มั ปชญั ญะ มคี วามรบั ผดิ ชอบชวั่ ดไี ดแ้ ลว้ บุคคลตามมาตรา 28 ทม่ี ี สทิ ธริ อ้ งขอใหศ้ าลสงั่ ใหค้ นวกิ ลจรติ เป็นคนไรค้ วามสามารถนัน่ เอง กส็ ามารถใชส้ ทิ ธริ อ้ งขอ ต่อศาลให้เพกิ ถอนคําสงั่ การเป็นคนไร้ความสามารถได้ ซ่งึ รวมทงั้ คนไรค้ วามสามารถเอง 90 LA 102 (LW 102)
เพราะเม่อื บุคคลนัน้ ไม่มอี าการวกิ ลจรติ เขาก็ย่อมกลบั มาใช้สทิ ธิและหน้าท่ขี องเขาได้ ตามปกตติ อ่ ไปได้ และเม่อื ศาลได้มีคําสงั่ เพกิ ถอนการเป็นคนไร้ความสามารถ ก็ต้องมีการ ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เพอ่ื ประกาศใหบ้ ุคคลทวั่ ไปไดท้ ราบวา่ ไดม้ กี ารเปลย่ี นแปลง สถานะของบุคคลผูซ้ ่งึ เคยถูกศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถแล้วนัน่ เอง และเป็นการ รบั รองวา่ เป็นบุคคลทส่ี ามารถใชส้ ทิ ธแิ ละหน้าทต่ี ามกฎหมายไดท้ กุ ประการเชน่ เดมิ 2.3 คนวิกลจริต ในการคุ้มครองคนวกิ ลจรติ นัน้ กฎหมายแพ่งได้แยกออกได้เป็น 2 กรณี ซ่งึ ใน กรณีทไ่ี ดศ้ กึ ษาไปในขอ้ 2.2 นัน้ เป็นเร่อื งของคนวกิ ลจรติ ทถ่ี ูกศาลสงั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วาม สามารถหรอื ทเ่ี รยี กวา่ คนไรค้ วามสามารถตามมาตรา 30 แลว้ และเม่อื บุคคลใดกลายเป็น คนไรค้ วามสามารถแลว้ กจ็ ะถูกจํากดั ความสามารถในการใชส้ ทิ ธทิ ุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น เร่อื งท่ผี ู้ไร้ความสามารถต้องทําเองเฉพาะตวั เช่น การสมรส การทําพนิ ัยกรรม ทงั้ น้ี เพราะถอื ว่าเป็นบุคคลทไ่ี ม่สามารถจะคุม้ ครองดูแลทงั้ สทิ ธหิ รอื ประโยชน์ของตนเองและ ครอบครวั ได้ รวมทงั้ ยงั ไมส่ ามารถปฏบิ ตั หิ น้าทใ่ี ด ๆ ตามกฎหมายดว้ ย สว่ นในขอ้ 2.3 ทจ่ี ะศกึ ษาต่อไปน้ี เป็นเรอ่ื งของคนวกิ ลจรติ ทศ่ี าลยงั ไมไ่ ดส้ งั่ ใหเ้ ป็น คนไรค้ วามสามารถ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ คนวกิ ลจรติ นนั่ เอง ซง่ึ หมายถงึ คนทม่ี อี าการวกิ ลจรติ ใน ขนั้ น้อยอยู่ ไมถ่ งึ ขนั้ อาละวาด ทาํ รา้ ยรา่ งกายผอู้ ่นื ทม่ี อี าการวกิ ลจรติ ถงึ ขนั้ ไมร่ สู้ ตสิ มั ปชญั ญะ ไมร่ สู้ กึ รบั ผดิ ชอบชวั่ ดี และอาการเป็นประจาํ ซง่ึ เป็นอาการวกิ ลจรติ ทอ่ี าจนําไปสกู่ ารเป็น คนไรค้ วามสามารถได้ ดงั นัน้ บุคคลเหล่าน้ีอาจมอี าการเหมอื นคนปกตอิ ยู่ค่อนขา้ งมาก จนแทบแยกไมอ่ อก และอาการวกิ ลจรติ กจ็ ะเป็นน้อยมาก และมเี วลาหา่ งถงึ ขนั้ ไมส่ ามารถ เรยี กไดว้ า่ เป็นประจาํ จนบางครงั้ เหมอื นเป็นคนปกตทิ าํ ใหบ้ ุคคลเหล่าน้ีจงึ ยงั ใชช้ วี ติ อย่ใู น สงั คมทวั่ ไป ญาตพิ น่ี ้องกด็ แู ลเอาใจใสไ่ มม่ ากเหมอื นกรณบี ุคคลตามขอ้ 2.2 แต่ประการใด รวมทงั้ บางครงั้ แม้จะมอี าการน่าเป็นห่วงก็ปล่อยปละละเลยเพราะไม่อยากเปิดเผยให้ สงั คมทราบ รวมทงั้ ไม่อยากไปใชส้ ทิ ธทิ างศาลในการไปรอ้ งขอใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ อกี ดว้ ย แมว้ า่ จะมอี าการมากแลว้ กต็ าม แต่อย่างไรกต็ าม นกั กฎหมายกต็ อ้ งป้องกนั เหตุไวล้ ่วงหน้าในมาตรา 30 เพอ่ื เป็น การดูแลและคุม้ ครองคนวกิ ลจรติ และบุคคลภายนอกไวด้ ว้ ย เพราะไม่มใี ครรูแ้ น่ว่าบุคคล LA 102 (LW 102) 91
วกิ ลจรติ ทย่ี งั มอี าการไมม่ าก หรอื นาน ๆ มอี าการทจ่ี ะไมไ่ ปก่ออนั ตรายต่อบุคคลภายนอก หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ไปทํานิติกรรมใด ๆ กบั บุคคลภายนอกข้นึ มา ซ่ึงนิติกรรม เหล่าน้ีย่อมมผี ลในกฎหมายแน่นอน เพราะไม่ได้เป็นนิตกิ รรมของคนไร้ความสามารถ ซง่ึ จะมผี ลเป็นโมฆยี ะแน่นอนอยแู่ ลว้ ตามกฎหมายมาตรา 29 2.3.1 ความสามารถในการทาํ นิติกรรมของคนวิกลจริต ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 30 ได้บญั ญตั ิหลกั เกณฑ์ เก่ียวกบั เรื่องนิติกรรมของคนวิกลจริตไว้ดงั นี้คือ “การใด ๆ อนั บคุ คลวิกลจริตซ่ึง ศาลยงั มิได้สงั่ ให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทาํ ลง การนัน้ จะเป็นโมฆียะต่อเมื่อ ได้กระทาํ ในขณะที่บุคคลนัน้ จริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ ายหนึ่งได้ร้แู ล้วด้วยว่า ผกู้ ระทาํ เป็นคนวิกลจริต” เม่อื พจิ ารณาดูจากถ้อยคําในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 30 ขา้ งต้นน้ี กจ็ ะทราบไดว้ า่ หลกั เกณฑใ์ นการทาํ นติ กิ รรมของคนวกิ ลจรติ ทศ่ี าลยงั ไมไ่ ดส้ งั่ ใหเ้ ป็นคนไร้ ความสามารถ แตกต่างจากหลกั เกณฑ์ของการทํานิติกรรมของคนไร้ความสามารถ มาตรา 28 โดยสน้ิ เชงิ เพราะนิตกิ รรมของคนไรค้ วามสามารถจะมผี ลเป็นโมฆยี ะทุกกรณี ตามมาตรา 29 ยกเว้นการสมรสและการทําพนิ ัยกรรมน้ีจะมผี ลเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1495 และมาตรา 1704 วรรคหน่ึง ตามลําดบั แต่นิตกิ รรมของคนวกิ ลจรติ นัน้ ยงั มผี ล สมบูรณ์ เพราะกฎหมายยงั ถอื ว่าเป็นบุคคลธรรมดาอยู่นัน้ เอง เวน้ แต่จะมผี ลเป็นโมฆยี ะ กต็ อ่ เมอ่ื เป็นนติ กิ รรมทเ่ี ขา้ องคป์ ระกอบหรอื หลกั เกณฑ์ 2 ขอ้ ตอ่ ไปน้ีเทา่ นนั้ คอื 1. ต้องเป็ นนิ ติกรรมท่ีบุคคลวิกลจริตได้กระทําในขณะที่มีอาการ วิกลจริต สาํ หรบั หลกั เกณฑแ์ รกน้ี เป็นการแสดงใหเ้ หน็ วา่ เน่ืองจากคนวกิ ลจรติ นนั้ ย่อมมอี าการทไ่ี ม่เป็นประจํานนั่ เอง ดงั นนั้ หากขณะทํานิตกิ รรมบุคคลวกิ ลจรติ มอี าการท่ี เรยี กว่า “จรติ วกิ ล” อยู่ เช่นมอี าการเบลอ ๆ ไม่พูดไม่จา ไม่รูส้ กึ ผดิ ชอบชวั่ ดี หรอื แมแ้ ต่ อาการเพอ้ เจอ้ คลุม้ คลงั่ เป็นตน้ และรวมทงั้ การทํานิตกิ รรมทไ่ี มม่ เี หตุผลหรอื มเี งอ่ื นไขทผ่ี ดิ ปกตเิ ชน่ วญิ �ชู นจะพงึ กระทาํ เชน่ หากคนวกิ ลจรติ ตกลงจะใหเ้ งนิ กบั นาย ข. หน่งึ หมน่ื บาท หากนาย ข. ยอมใหน้ าย ก. ไดข้ จ่ี กั รยานยนตข์ องนาย ข. เป็นเวลา 10 นาที เป็นตน้ ในกรณีท่ีจะพสิ ูจน์หรอื บอกได้ว่ามอี าการจรติ วกิ ลในขณะทํานิติกรรม หรอื ไม่นัน้ กฎหมายให้เป็นหน้าท่ีของผู้ท่ีต้องการจะบอกล้างนิติกรรมให้เป็นผู้นําสบื 92 LA 102 (LW 102)
ขอ้ เทจ็ จรงิ ซ่งึ แน่นอนว่าเป็นเร่อื งค่อนขา้ งอยากเพราะอาการจรติ วกิ ลไม่ไดม้ อี ยู่ตลอดเวลา เหมอื นอาการของคนทเ่ี ป็นคนไรค้ วามสามารถ ซง่ึ กฎหมายใหบ้ อกลา้ งไดโ้ ดยไม่ตอ้ งนํา สบื แตอ่ ยา่ งใด 2. ค่กู รณีต้องรอู้ ยแู่ ล้วด้วยว่าเป็นคนวิกลจริต สําหรบั หลกั เกณฑ์น้ีเป็นการคุ้มครองสทิ ธิของบุคคลภายนอก เพราะ แมว้ ่าขณะทํานิตกิ รรมกนั นนั้ บุคคลวกิ ลจรติ แมจ้ ะมอี าการทเ่ี รยี กไดว้ ่าจรติ วกิ ลอยู่กต็ าม หากบุคคลภายนอกหรือคู่กรณีไม่ทราบว่าบุคคลท่ีได้ทํานิติกรรมด้วยนัน้ เป็นบุคคล วกิ ลจรติ มาก่อน นิตกิ รรมนัน้ กย็ งั สมบูรณ์อยู่ตามทม่ี าตรา 30 ไดก้ ําหนดไวว้ ่านิตกิ รรมท่ี คนวกิ ลจรติ ไดท้ าํ ลงจะมผี ลสมบรู ณ์และจะมผี ลเป็นโมฆยี ะกต็ ่อเม่อื เขา้ องคป์ ระกอบ 2 ขอ้ ทก่ี ลา่ วมาแลว้ เทา่ นนั้ การทก่ี ฎหมายกําหนดหลกั เกณฑเ์ ร่อื งความสามารถในการทํานิตกิ รรม ของคนวกิ ลจรติ ไวเ้ ช่นน้ี กเ็ พราะบุคคลภายนอกทส่ี ุจรติ ซ่งึ หมายถงึ บุคคลภายนอกทไ่ี ม่ ทราบวา่ บุคคลทไ่ี ดท้ ํานิตกิ รรมดว้ ยนนั้ เป็นคนวกิ ลจรติ สมควรจะไดร้ บั ความคุม้ ครองจาก กฎหมาย แต่หากบุคคลภายนอกนนั้ ทราบวา่ บุคคลทท่ี ํานิตกิ รรมดว้ ยเป็นคนวกิ ลจรติ และ บุคคลนนั้ กม็ อี าการจรติ วกิ ลดว้ ยแลว้ กฎหมายจงึ จะใหน้ ิตกิ รรมนนั้ มผี ลเป็นโมฆยี ะ เพ่อื คุม้ ครองคนวกิ ลจรติ ในทางกลบั กนั และเหตุผลอกี อย่างหน่ึงคอื คนวกิ ลจรติ น้ีไมไ่ ดม้ คี ําสงั่ ศาลให้เป็นคนไร้ความสามารถนัน้ ย่อมเป็นขอ้ จํากดั ท่ที ําให้คนภายนอกไม่สามารถจะ ทราบสถานะของคนวกิ ลจรติ ไดเ้ ชน่ เดยี วกบั คนไรค้ วามสามารถซง่ึ ไดก้ าํ หนดใหต้ อ้ งมกี าร ประกาศคําสงั่ การเป็นคนไรค้ วามสามารถเพอ่ื ใหบ้ ุคคลภายนอกทราบ ดงั นนั้ บุคคลภายนอก จงึ ไมอ่ าจอา้ งความไมร่ สู้ ถานะของคนไรค้ วามสามารถมาต่อสใู้ นศาลไดอ้ กี ในราชกจิ จานุเบกษา 2.3.2 นิติกรรมที่ต้องทาํ เองเฉพาะตวั ในเร่อื งนิตกิ รรมทต่ี ้องทําเองเฉพาะตวั เช่น การสมรสของคนวกิ ลจรติ นัน้ มาตรา 1449 ได้บญั ญตั ิว่า “การสมรสจะทาํ ได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจด็ ปี บริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอนั สมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทาํ การสมรสก่อน นัน้ ได้” และมาตรา 1495 และมาตรา 1496 ไดบ้ ญั ญตั ไิ วต้ ามลาํ ดบั ดงั น้ีคอื มาตรา 1495 บญั ญตั ิว่า “การสมรสท่ีฝ่ าฝื นมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ” LA 102 (LW 102) 93
มาตรา 1496 บญั ญตั ิว่า “คาํ พิพากษาของศาลเท่านัน้ ที่จะแสดงว่าการ สมรสท่ีฝ่ าฝื นมาตรา 1449 มาตรา 1450 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ คู่สมรส บิดามารดา หรือผ้สู ืบสนั ดานของคู่สมรสอาจร้องขอให้ศาล พิพากษาว่าการสมรสเป็ นโมฆะได้ ถ้าไม่มีบุคคลดังกล่าวผู้มีส่วนได้เสียจะ ร้องขอให้อยั การเป็นผรู้ อ้ งขอต่อศาลกไ็ ด้” ส่วนพนิ ัยกรรมนัน้ มาตรา 1704 วรรคสอง ได้บญั ญตั ิว่า “พนิ ัยกรรมซ่ึง บุคคลผูถ้ ูกอา้ งว่าเป็นคนวกิ ลจรติ แต่ศาลยงั ไม่ไดส้ งั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถทําขน้ึ นนั้ จะเป็นอนั เสยี เปลา่ กแ็ ต่เมอ่ื พสิ จู น์ไดว้ า่ ในเวลาทท่ี าํ พนิ ยั กรรมนนั้ ผทู้ าํ จรติ วกิ ลอย”ู่ ดงั นัน้ จะเหน็ ว่าการสมรสย่อมเป็นเร่อื งทห่ี า้ มทําดว้ ยเหตุผลทางการแพทย์ แต่เร่อื งพนิ ัยกรรมนัน้ กฎหมายยงั คงใหส้ ทิ ธคิ นวกิ ลจรติ ทําได้ เพราะฉะนัน้ หากจะมกี าร บอกลา้ งพนิ ยั กรรมของคนวกิ ลจรติ กจ็ ะต้องมกี ารพสิ ูจน์ให้ศาลเหน็ ว่าในขณะทําพนิ ัยกรรม นนั้ ผซู้ ง่ึ มกี ารกลา่ วอา้ งวา่ เป็นคนวกิ ลจรติ มอี าการจรติ วกิ ลจรงิ ๆ เทา่ นนั้ ตามทไ่ี ดศ้ กึ ษาหลกั กฎหมายเกย่ี วกบั คนวกิ ลจรติ หรอื คนไรค้ วามสามารถไป แลว้ นัน้ ย่อมเหน็ ไดช้ ดั เจนว่ากฎหมายแพ่งและพาณิชยน์ อกจากจะต้องการคุม้ ครองคน วิกลจรติ และคนไร้ความสามารถแล้ว ก็ยงั ต้องคุ้มครองประโยชน์และสทิ ธิของบุคคล ภายนอกทส่ี จุ รติ ดว้ ยในเวลาเดยี วกนั 2.4 คนเสมือนไร้ความสามารถ (Quasi Incompetent) สําหรบั คนเสมอื นไร้ความสามารถ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยได้มกี าร กําหนดหลกั เกณฑ์เก่ียวกบั ความสามารถไว้เช่นกนั แต่ด้วยเหตุผลท่ีต่างกนั กบั กรณี ผเู้ ยาวซ์ ง่ึ ความสามารถถูกจาํ กดั ดว้ ยอายุ หรอื กรณขี องคนวกิ ลจรติ หรอื คนไรค้ วามสามารถท่ี ความสามารถถูกจํากดั ด้วยเหตุผลของสภาพจิตใจท่ีผดิ ปกติหรอื สมองท่พี กิ าร เพราะ บุคคลท่เี รยี กว่าคนเสมอื นไรค้ วามสามารถนัน้ จะถูกจํากดั ความสามารถด้วยเง่อื นไขท่ี ข้นึ อยู่กบั หลายสาเหตุซ่ึงเรียกกันว่าเหตุบกพร่องบางประการจนทําให้มีปญั หาเร่ือง ความสามารถในการประกอบอาชพี การทํางาน จนทําใหก้ ารบรหิ ารจดั การทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองของตนเองหรอื ครอบครวั เสยี หายในทส่ี ุด และทข่ี าดเสยี มไิ ดค้ อื จะตอ้ งมคี ําสงั่ ศาลให้ เป็นคนไรค้ วามสามารถดว้ ย ตามทไ่ี ดม้ กี ารบญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 32 บญั ญตั ิไว้ว่า “บคุ คลใด มีกายพิการหรือมีจิตฟัน่ เฟื อนไม่สมประกอบหรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็ น 94 LA 102 (LW 102)
อาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอ่ืนใดทํานองเดียวกนั นัน้ จนไม่สามารถจะ จดั การงานโดยตนเองได้ หรือจดั กิจการไปในทางที่อาจจะเส่ือมเสียแก่ทรพั ยส์ ิน ของตนเองหรือครอบครวั เม่ือบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ร้องขอต่อศาล ศาลจะสงั่ ให้บคุ คลนัน้ เป็นคนเสมอื นไร้ความ สามารถกไ็ ด้ บคุ คลซ่ึงศาลได้สงั่ ให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง ต้องจดั ให้อยู่ในความพิทกั ษ์ การแต่งตงั้ ผ้พู ิทกั ษ์ ให้เป็ นไปตามบทบญั ญตั ิบรรพ 5 แห่ง ประมวลกฎหมายนี้ ให้นําบทบญั ญตั ิว่าด้วยการสิ้นสุดของความเป็ นผ้ปู กครองในบรรพ 5 แห่ง ประมวลกฎหมายนี้ มาใช้บงั คบั แก่การสิ้นสดุ ของการเป็นผพู้ ิทกั ษ์โดยอนุโลม คาํ สงั่ ของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา” จากมาตรา 32 สามารถแยกพจิ ารณาไดด้ งั น้ี 2.4.1 หลกั เกณฑใ์ นการเป็นคนเสมอื นไร้ความสามารถ จะตอ้ งประกอบไปดว้ ย 1. ตอ้ งมเี หตุบกพรอ่ ง 5 ประการ ดงั ตอ่ ไปน้ีคอื 1.1 กายพกิ าร หมายถงึ อาการไม่สมประกอบ หรอื พกิ ารทางร่างกาย เช่น ตาบอด หูหนวก ขาแขนขาด อมั พาต หรอื เป็นง่อยจนเดนิ ไม่ได้ ซ่งึ อาการเหล่าน้ี ไมว่ า่ จะเป็นมาโดยกาํ เนิดหรอื โดยอุบตั เิ หตุหรอื จากการเจบ็ ปว่ ยกต็ ามที 1.2 มีจิตฟนั่ เฟือนไม่สมประกอบ หมายถึง อาการทางจิตท่ีไม่ปกติ แต่ไมถ่ งึ ขนั้ วกิ ลจรติ เพราะยงั สามารถมคี วามรสู้ กึ ผดิ ชอบชวั่ ดไี ดม้ ากกว่าอาการฟนั่ เฟือน ของคนวกิ ลจรติ 1.3 มคี วามประพฤตสิ ุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจณิ หมายถงึ การใชจ้ ่าย ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองโดยไมย่ งั้ คดิ ไรป้ ระโยชน์ หรอื เป็นไปในทางทไ่ี มค่ วร จนบางครงั้ อาจถงึ ขนั้ เกนิ ตวั จนกลายเป็นหน้ีเป็นสนิ และการใชจ้ ่ายแบบน้ีตอ้ งเป็นเรอ่ื งทท่ี ําเป็นประจาํ เชน่ ไปอาบอบนวดทุกวนั หรอื ไปเลน่ การพนนั 2-3 ครงั้ ต่ออาทติ ย์ เป็นตน้ 1.4 เป็นคนตดิ สุรายาเมา หมายถึง การเป็นบุคคลท่ดี ่ืมสุราหรอื เสพ ยาเสพยต์ ดิ จนไมส่ ามารถจะหยดุ หรอื เลกิ ได้ 1.5 มเี หตุอ่ืนใดทํานองเดียวกนั สําหรบั เหตุบกพร่องในขอ้ สุดท้ายน้ี ไม่ได้ระบุชดั เจนว่าเป็นอะไร เพราะเป็นการบญั ญตั ิกฎหมายไว้ล่วงหน้า ให้หมายถึง ทกุ เหตุบกพรอ่ งไวก้ ่อน เน่ืองดว้ ยผบู้ ญั ญตั ไิ มอ่ าจทราบไดว้ า่ ในอนาคตหลงั จากไดบ้ ญั ญตั ิ LA 102 (LW 102) 95
กฎหมายมาตรา 32 ไปแลว้ ดว้ ยความเปลย่ี นแปลงของสงั คมและความประพฤตขิ องมนุษยท์ ่ี มกี ารปรบั เปลย่ี นไดเ้ ช่นกนั อาจมเี หตุบกพร่องอ่นื ๆ นอกจากทบ่ี ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ เกดิ ขน้ึ มา ใหม่ในอนาคต และเหน็ เหตุบกพร่องทท่ี ําใหเ้ กดิ ผลออกมาเช่นเดยี วกนั เหตุบกพร่องใน 4 ขอ้ ขา้ งตน้ ดว้ ย เชน่ อาการตดิ คาราโอเกะหรอื อาการตดิ เน็ต (Internet) เป็นตน้ 2. เหตุบกพร่องนนั้ ตอ้ งทําใหบ้ ุคคลนัน้ ไม่สามารถจะจดั ทําการงานไดห้ รอื จดั กจิ การไปในทางทอ่ี าจจะเสอ่ื มเสยี แกท่ รพั ยส์ นิ ของตนเองหรอื ครอบครวั สาํ หรบั หลกั เกณฑใ์ นขอ้ สองน้ีเป็นการกําหนดเงอ่ื นไขว่าสาเหตุบกพรอ่ ง 5 ประการนัน้ ต้องเป็นสาเหตุท่ีทําให้บุคคลนัน้ ไม่สามารถจะประกอบกิจการงานใดท่ี รบั ผดิ ชอบอยู่ตามปกตไิ ด้ หรอื หากทํากจิ การต่อไปกม็ แี ต่จะก่อความเสยี หายหรอื เส่อื ม เสยี แก่ทรพั ยส์ นิ ของตนและ/หรอื ของครอบครวั ได้ เช่น คนทม่ี อี าการตดิ สุราเรอ้ื รงั หรอื เกดิ อุบตั เิ หตุจนกลายเป็นคนพกิ าร อาการเหล่าน้ีถอื ไดว้ ่าเป็นเหตุบกพรอ่ งตามขอ้ 1 และ เขา้ องคป์ ระกอบขอ้ 2 ทไ่ี ม่สามารถประกอบกจิ การงานหรอื ประกอบกจิ การ กอ็ าจไปทําให้ เสยี หายแกท่ รพั ยส์ นิ ของตนเองหรอื ครอบครวั ได้ 3. เมอ่ื ศาลมคี าํ สงั่ ใหเ้ ป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ นบั เป็นองคป์ ระกอบท่ี สําคญั เพราะไม่ว่าบุคคลใดจะเขา้ องค์ประกอบในขอ้ 1 และขอ้ 2 แลว้ แต่ยงั ไม่มคี ําสงั่ ศาลให้เป็นคนเสมอื นไร้ความสามารถ ก็ยงั เป็นบุคคลธรรมดาท่มี สี ทิ ธิและหน้าท่ีตาม กฎหมาย และคําสงั่ ศาลน้ีจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ความเป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถจะเรม่ิ มผี ลนบั แตว่ นั ทศ่ี าลสงั่ แลว้ 2.4.2 ผมู้ ีสิทธิร้องขอให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ สาํ หรบั ปญั หาวา่ ใคร จะเป็นผมู้ สี ทิ ธริ อ้ งขอใหศ้ าลสงั่ ใหเ้ ป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถนนั้ ตอ้ งกลบั ไปนําประมวล กฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 28 มาใชบ้ งั คบั ในเรอ่ื งน้ีโดยปรยิ าย ซง่ึ มาตรา 28 ไดม้ ี การกําหนดใหบ้ ุคคลดงั ต่อไปน้ีมสี ทิ ธริ อ้ งขอ คอื คู่สมรส บุพการี ผสู้ บื สนั ดาน ผปู้ กครอง หรอื ผพู้ ทิ กั ษ์ ผซู้ ง่ึ ปกครองดแู ลบุคคลนนั้ อยู่ หรอื พนกั งานอยั การ และในมาตรา 32 วรรคสอง กไ็ ดบ้ ญั ญตั ไิ วอ้ กี ดว้ ยว่า “บุคคลซง่ึ ศาลไดส้ งั่ ใหเ้ ป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถตามวรรคหน่ึง ตอ้ งจดั ใหอ้ ย่ใู นความพทิ กั ษ์ การแต่งตงั้ ผพู้ ทิ กั ษ์ใหเ้ ป็นไปตามบทบญั ญตั บิ รรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายน้ี” ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ ว่า ผพู้ ทิ กั ษ์ทม่ี สี ทิ ธริ อ้ งขอใหเ้ ป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถนนั้ หมายถงึ ผพู้ ทิ กั ษ์ในความเป็นจรงิ ทไ่ี ดด้ แู ลบคุ คลทม่ี เี หตุบกพรอ่ งอยู่ เหมอื นกรณผี ซู้ ง่ึ ปกครองดแู ลบุคคลผมู้ เี หตุบกพรอ่ งอยู่ 96 LA 102 (LW 102)
สว่ นผพู้ ทิ กั ษ์ในมาตรา 32 วรรคสอง นนั้ หมายถงึ ผพู้ ทิ กั ษ์ทไ่ี ดม้ กี ารแต่งตงั้ โดยคาํ สงั่ ศาลใหม้ อี ํานาจพทิ กั ษ์ดแู ลคนเสมอื นไรค้ วามสามารถเท่านนั้ ซง่ึ ในเรอ่ื งน้ีไดเ้ คย มคี ําพพิ ากษาฎีกาท่ี 964/2504 ได้วนิ ิจฉัยไว้แล้วว่า อย่างไรก็ตามผู้พทิ กั ษ์มสี ทิ ธิร้อง ขอให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถนัน้ ย่อมหมายถึงผู้พทิ กั ษ์ในความเป็นจริงและ ผูพ้ ทิ กั ษ์ตามกฎหมายดว้ ย และความชดั เจนในเร่อื งน้ีสามารถจะพบไดอ้ กี ในมาตรา 33 ของประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ท่ีบญั ญตั ิไว้ว่า “ในคดีท่ีมีการร้องขอให้ศาลสงั่ ให้บุคคลใดเป็ นคนไร้ความสามารถเพราะวิกลจริต ถ้าทางพิจารณาได้ความว่า บุคคลนัน้ ไม่วิกลจริต แต่มีจิตฟัน่ เฟื อน ไม่สมประกอบ เม่ือศาลเห็นสมควรหรือ เมื่อมีคาํ ขอของคู่ความหรือของบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ศาลอาจสงั่ ให้ บุคคลนัน้ เป็ นคนเสมือนไร้ความสามารถกไ็ ด้ หรือในคดีท่ีมีการร้องขอให้ศาลสงั่ ให้บุคคลใดเป็ นคนเสมือนไร้ความสามารถเพราะมีจิตฟัน่ เฟื อนไม่สมประกอบ ถ้าทางพิจารณาได้ความว่าบุคคลนัน้ วิกลจริต เมื่อมี คาํ ขอของคู่ความหรือของ บุคคลตามท่ีระบุไว้ในมาตรา 28 ศาลอาจสงั่ ให้บุคคลนัน้ เป็ นคนไร้ความสามารถ ก็ได้” จะเห็นว่าเป็นการท่กี ําหนดให้ศาลมอี ํานาจสงั่ ตามท่เี ห็นสมควร เพราะแม้ว่ามี คาํ รอ้ งขอใหศ้ าลสงั่ เป็นคนไรค้ วามสามารถ ศาลอาจสงั่ ใหเ้ ป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถกไ็ ด้ หรอื แมจ้ ะมคี ํารอ้ งขอใหศ้ าลสงั่ เป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ ศาลอาจสงั่ ใหเ้ ป็นคนไรค้ วาม สามารถกไ็ ด้ ทงั้ น้ีขน้ึ อยกู่ บั ขอ้ เทจ็ จรงิ และพยานหลกั ฐานทแ่ี สดงใหศ้ าลเหน็ วา่ บุคคลนนั้ มี อาการตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 28 หรอื มอี าการตามมาตรา 32 แลว้ แต่กรณนี นั่ เอง 2.4.3 ผลของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ 1. ตอ้ งอยู่ในความพทิ กั ษ์ของผพู้ ทิ กั ษ์ซง่ึ ศาลแต่งตงั้ ตามทป่ี ระมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32 วรรคสอง ได้บญั ญตั ไิ ว้ว่า “บุคคลซ่ึงศาลได้สงั่ ให้เป็นคน เสมอื นไร้ความสามารถตามวรรคหน่ึง ต้องจดั ให้อยู่ในความพทิ กั ษ์ การแต่งตงั้ ผู้พทิ กั ษ์ ใหเ้ ป็นไปตามบทบญั ญตั บิ รรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายน้ี” ตามนยั ของมาตรา 32 วรรคสอง ขา้ งตน้ น้ี แสดงใหเ้ หน็ ว่ากฎหมายตอ้ งการใหม้ คี นดูแลคนเสมอื นไรค้ วามสามารถในเรอ่ื ง เกย่ี วกบั ทรพั ยส์ นิ เป็นสาํ คญั จงึ ใหศ้ าลหลงั จากทม่ี คี าํ สงั่ ใหเ้ ป็นคนเสมอื นไรค้ วามสามารถ แลว้ จะตอ้ งมคี ําสงั่ แต่งตงั้ ผพู้ ทิ กั ษ์ใหด้ ว้ ยโดยใชห้ ลกั เกณฑเ์ ดยี วกบั การแต่งตงั้ ผอู้ นุบาล เพ่อื ดูแลคนไรค้ วามสามารถทบ่ี ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ ในบรรพ 5 ลกั ษณะครอบครวั มาตรา 1463 และมาตรา 1569 นนั่ เอง LA 102 (LW 102) 97
2. อํานาจหน้าทข่ี องผพู้ ทิ กั ษ์ ในเร่อื งน้ีตอ้ งไปพจิ ารณาจากประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 34 วรรคหนึ่ง ซ่ึงบญั ญตั ิไว้ว่า “คนเสมือนไร้ความสามารถ นัน้ ต้องได้รบั ความยินยอมของผ้พู ิทกั ษ์ก่อนแล้วจึงจะทาํ การอย่างหนึ่งอย่างใด ดงั ต่อไปนี้ได้ (1) นําทรพั ยส์ ินไปลงทนุ (2) รบั คืนทรพั ยส์ ินท่ีไปลงทนุ ต้นเงินหรอื ทนุ อย่างอื่น (3) ก้ยู ืมหรอื ให้ก้ยู ืมเงิน ยืมหรอื ให้ยมื สงั หาริมทรพั ยอ์ นั มีค่า (4) รบั ประกนั โดยประการใด ๆ อนั มีผลให้ตนต้องถกู บงั คบั ชาํ ระหนี้ (5) เช่าหรือให้เช่าสงั หาริมทรพั ยม์ ีกาํ หนดระยะเวลาเกินกว่าหกเดือน หรอื อสงั หาริมทรพั ยม์ ีกาํ หนดระยะเวลาเกินกว่าสามปี (6) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ท่ีพอควรแก่ฐานานุรปู เพื่อการกศุ ล การสงั คม หรอื ตามหน้าท่ีธรรมจรรยา (7) รบั การให้โดยเสน่หาที่มีเง่ือนไขหรือค่าภาระติดพนั หรือไม่รบั การให้โดยเสน่หา (8) ทําการอย่างหน่ึงอย่างใดเพื่อจะได้มาหรือปล่อยไปซึ่งสิทธิใน อสงั หาริมทรพั ยห์ รอื ในสงั หาริมทรพั ยอ์ นั มีค่า (9) ก่อสร้างหรือดดั แปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอ่ืน หรือ ซ่อมแซมอยา่ งใหญ่ (10) เสนอคดีต่อศาลหรือดาํ เนินกระบวนพิจารณาใด ๆ เว้นแต่การ ร้องขอตามมาตรา 35 หรอื การร้องขอถอนผพู้ ิทกั ษ์ (11) ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตลุ าการ วินิ จฉัย” และในมาตรา 34 วรรคท้าย ได้บญั ญตั ิไว้ว่า “การใดกระทาํ ลงโดย ฝ่ าฝื นบทบญั ญตั ิมาตรานี้ การนัน้ เป็นโมฆียะ” จากบทบญั ญตั มิ าตรา 34 วรรคหน่ึงและวรรคท้าย จะเหน็ ว่ากฎหมาย พจิ ารณาใหผ้ พู้ ทิ กั ษเ์ ขา้ มาทาํ หน้าทค่ี วบคุมดแู ลและคุม้ ครองในเรอ่ื งทก่ี ําหนดไวใ้ นมาตรา 34 เทา่ นนั้ โดยใช้ “การใหค้ วามยนิ ยอมของผพู้ ทิ กั ษ์” เป็นเครอ่ื งมอื แต่ไมใ่ หอ้ ํานาจทาํ การ 98 LA 102 (LW 102)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151