Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

Published by niyommusic, 2021-07-30 03:01:11

Description: คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

Search

Read the Text Version

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถูกตองจากการตอบคาํ ถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรยี นรู้ ประจําหนวยการเรียนรู ๑. พระธรรมคอื อะไร และมคี ณุ ประโยชนต์ อ่ ผปู้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งไร หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ๒. อรยิ สจั ๔ มอี งคป์ ระกอบกป่ี ระเภท อะไรบา้ ง ๓. อบายมุขมีโทษอย่างไร ให้นักเรียนอธิบายถึงโทษของอบายมุข พร้อมยกตัวอย่างท่เี ป็น 1. ผังความคดิ เชื่อมโยงระหวา งขนั ธ 5 กบั อายตนะ 2. ผังความคิดแสดงการเชื่อมโยงวา การคบคนชั่ว เหตกุ ารณป์ จั จบุ นั ประกอบ ๔. หากมคี นกลา่ ววา่ “ทา� ดไี ดด้ มี ที ่ไี หน ทา� ชว่ั ไดด้ มี ถี มไป” นกั เรยี นมวี ธิ อี ธบิ ายใหเ้ ขาเขา้ ใจ เปนมติ รจะนําไปสพู ฤตกิ รรมการตดิ การพนนั ชอบเท่ียวดูการละเลน ชอบเทย่ี วกลางคนื และ ในหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งไร ตดิ สุราและของมนึ เมา ๕. ถา้ บคุ คลตอ้ งการจะดบั ทกุ ขท์ ง้ั มวล ควรปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร 3. เรียงความเรือ่ งความสขุ ทางใจในกระแสวตั ถุ นยิ ม กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ั²นาการเรยี นรู้ 4. ปายนิเทศแสดงขา วท่ีเปน ปญ หาระดับสังคมหรือ ระดบั ประเทศ พรอมวิเคราะห โดยนาํ หลัก กิจกรรมที ่ ๑ นกั เรยี นวเิ คราะหก์ ารกระทา� ของตนวา่ ในแตล่ ะวนั ไดน้ า� หลกั อรยิ สจั ๔ ขอ้ ใด อริยสจั 4 มาแกปญ หา มาใช้ในการดา� เนินชวี ติ ประจา� วัน แล้วเขยี นเป็นรายงานสง่ ครู กจิ กรรมท่ี ๒ นักเรียนหาข่าว บทความจากหนังสือพิมพ์ หรือวารสารที่เกี่ยวกับเรื่องที่ บคุ คลนา� เอาอรยิ สจั ๔ มาใชเ้ ปน็ แนวทางการดา� เนนิ ชวี ติ แลว้ มาเลา่ สกู่ นั ฟงั และรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ ประกอบ กจิ กรรมท ี่ ๓ เชิญวิทยากรมาอภิปรายในหัวขอ้ อริยสัจ ๔ และการดบั ทุกข์โดยใช้มรรค ๘ โดยใหน้ กั เรยี นในชน้ั รว่ มกนั ซกั ถาม และสรปุ สาระสา� คญั ทไ่ี ดจ้ ากการอภปิ ราย ของวทิ ยากร พทุ ธศาสนสภุ าษติ ÇÊÔ ·Ø ¸Ú Ô Ê¾Ú¾à¡ÚÅàÊËÔ âËµÔ ·Ø¡àÚ ¢ËÔ ¹Ô¾Ú¾µØ Ô : ¤ÇÒÁËÁ´¨´¨Ò¡¡àÔ ÅÊ·é§Ñ »Ç§ ໹š ¤ÇÒÁ´Ñº¨Ò¡·¡Ø ¢· §éÑ ËÅÒ 92 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. พระธรรม คอื หลกั คาํ สอนของพระพทุ ธเจา มคี ุณประโยชนต อ ผปู ฏิบตั ิ คือ ทําใหผ ปู ฏิบตั ิมชี วี ิตท่ีมคี วามสขุ ลด ละ เลกิ จากกเิ ลสทัง้ ปวงได 2. อริยสจั 4 คือ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ 4 ประการ ไดแก ทุกข ความจริงวาสรรพสัตวยอมมีความทุกข สมทุ ยั ความจริงวา ทกุ ขย อ มมีสาเหตุการเกิด นโิ รธ ความจรงิ วา ความทกุ ขตางๆ สามารถดับได มรรค ความจรงิ วา ความทุกขยอ มมีวธิ ีการหรือแนวทางในการดับทุกข 3. อบายมขุ คอื ทางแหงความเสื่อม มีโทษ 7 อยาง ดังนี้ 1) ทาํ ใหเสยี ทรัพยโ ดยเปลาประโยชน 5) ทําใหผ ูคนหวาดระแวง ขาดความนา เชื่อถือ 2) ทาํ ใหห มกมนุ ในส่ิงทหี่ าสาระไมได 6) ทําใหรางกาย สตปิ ญญาเสอ่ื มถอย 3) ทาํ ใหประกอบหนา ทก่ี ารงานไมไ ด 7) ทําใหเปน คนทจุ ริต 4) ทาํ ใหชวี ิตตกต่าํ ตัวอยา งเชน การเสพส่ิงเสพติดทําใหเ กดิ อาการจติ หลอน เกดิ ความคลุม คล่ัง เปน ตน 4. กรรม คอื การกระทาํ สง่ิ ตา งๆ ทง้ั ทด่ี แี ละไมด ี ผลของการกระทาํ นนั้ ยอ มเปน ปจ จยั เกอ้ื หนนุ ใหบ คุ คลไดร บั ผลดงั ทกี่ ระทาํ ไว ตวั อยา ง วนั นเ้ี ดก็ ชายแดงทาํ การบา นทคี่ รสู ง่ั เสรจ็ เรยี บรอย แตพ อจะสง เพ่อื นขา งๆ ขอยืมลอก แดงเห็นวาเปน เพ่อื นกันกใ็ หล อก ครูมาเห็นเขา ก็วา กลาวท้ังแดงและเพอื่ น เหตุการณน ี้สะทอนใหเ ห็นวาการทแี่ ดงรบี ทํางานทีค่ รสู ่ังใหเสร็จเปน สิง่ ท่ีดี ครูชมเชย แตการท่แี ดงยอมใหเพือ่ นลอกแทนทจ่ี ะแนะนําหากเพื่อนสงสยั เปนสิ่งทไ่ี มถ กู ตอ ง เปน การทาํ รายเพ่ือนทางออ ม เพราะเพอื่ น แคเขยี นสงแตไ มเ ขาใจเนอื้ หา ครูจงึ ตกั เตือน ดงั นน้ั จงึ สรุปไดวา ควรแยกแยะเปน กรณี 5. ปฏบิ ัตติ ามหลกั อรยิ สัจ 4 เพราะเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา สามารถนาํ พาบุคคลใหหลดุ พนจากกิเลสได 92 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู ๔หน่วยการเรียนรูท้ ่ี พระไตรปฎ ก 1. อธิบายความหมายและความสาํ คัญของ และพุทธศาสน พระไตรปฎกได สุภาษิต 2. วเิ คราะหโครงสรา งและสาระสาํ คญั ของ พระไตรปฎ กได 3. นาํ หลักพทุ ธศาสนสภุ าษติ มาปรับใชใ น ชวี ติ ประจําวันได ตัวช้ีวัด สมรรถนะของผเู รยี น ● อธิบายโครงสร้างและสาระโดยสังเขปของ 1. ความสามารถในการคดิ พระไตรปฎิ ก หรอื คมั ภรี ข์ องศาสนาทต่ี นนบั ถอื 2. ความสามารถในการแกปญ หา (ส ๑.๑ ม.๒/๗) 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ิต ● อธิบายธรรมคุณและข้อธรรมสำาคัญในกรอบ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค อรยิ สจั ๔หรอื หลกั ธรรมของศาสนาทต่ี นนบั ถอื ตามที่กำาหนด เห็นคุณค่าและนำาไปพัฒนา 1. รกั ชาติ ศาสน กษตั ริย แก้ปญั หาของชมุ ชนและสังคม 2. ใฝเ รียนรู (ส ๑.๑ ม.๒/๘) สาระการเรียนร้แู กนกลาง กระตนุ ความสนใจ Engage ● โครงสร้าง และสาระสังเขปของพระวินัยปิฎก ครนู าํ หนังสอื พระไตรปฎ กมาใหนักเรียนดู พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก และกระตนุ โดยถามนกั เรยี นวา ● พทุ ธศาสนสุภาษติ • นกั เรยี นเคยอานพระไตรปฎกหรอื ไม และพระไตรปฎกมคี วามสําคญั อยางไร ¾ÃÐäµÃ»® ¡à»¹š ¤ÁÑ ÀÃÕ · ºèÕ ÃÃ¨ËØ Å¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹¢Í§ ตอพระพุทธศาสนา ¾Ãо·Ø ¸à¨ÒŒ «§Öè áµà‹ ´ÁÔ Á¡Õ Òöҋ ·ʹµÍ‹ æ ¡¹Ñ ÁÒ´ÇŒ ¡Òà (แนวตอบ พระไตรปฎ ก คอื คัมภีรข อง ·‹Í§¨íÒ ÀÒÂËÅѧ¨Ö§ä´ŒÁÕ¡ÒèÒÃ֡໚¹ÅÒÂÅѡɳÍÑ¡Éà พระพุทธศาสนา ซึง่ บนั ทกึ หลักคําสอน ¾ÃÐäµÃ»® ¡¨Ö§ÁÕʋǹÊÒí ¤ÑÞ㹡ÒÃÊ׺µ‹Í¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ของพระพุทธเจา และพระสาวก โดยมีการ ´§Ñ ¹¹Ñé ¾·Ø ¸ÈÒʹ¡Ô ª¹·´èÕ ¨Õ §Ö ¤ÇÃÈ¡Ö ÉÒ¾ÃÐäµÃ»® ¡à¾Íè× ãËÁŒ Õ สังคายนามาแลวหลายครง้ั จนเช่ือไดว า ¤ÇÒÁäŒÙ ÇÒÁà¢ÒŒ ã¨ã¹ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹¢Í§¾Ãо·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò ถูกตอ ง เพื่อใชเปน แนวทางในการปฏบิ ัตติ น ä´Œ´ÕÂÔè§¢é¹Ö และเขาใจธรรมะตางๆ ในพระพทุ ธศาสนา) ¹Í¡¨Ò¡¹éÕ ¡ÒÃÈÖ¡ÉҾط¸ÈÒÊ¹ÊØÀÒÉÔµ¨Ðª‹ÇÂãËŒ • นกั เรียนสามารถศึกษาพระธรรมคาํ สอน à¢ÒŒ ã¨ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁµÒ‹ §æ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §¶¡Ù µÍŒ § áÅÐÊÒÁÒöàÅÍ× ¡ÊÃà ของพระพุทธเจา จากที่ใดบาง ä»ãªàŒ »¹š á¹Ç·Ò§ã¹¡ÒôÒí à¹¹Ô ªÇÕ µÔ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §¶¡Ù µÍŒ §àËÁÒÐÊÁ (แนวตอบ เชน หนงั สือธรรมะ เวบ็ ไซตธ รรมะ Í¡Õ ´ÇŒ  พระไตรปฎก เปน ตน ) เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรยี นรู เพอ่ื ใหน กั เรยี นอธบิ ายความหมายและความสาํ คญั ของพระไตรปฎก รวมถึงวเิ คราะหโ ครงสรางและสาระสําคัญของพระไตรปฎ ก ตลอดจนนาํ พุทธศาสนสภุ าษิตมาปรับใชในชวี ิตประจาํ วัน โดยเนนการพัฒนาทักษะ กระบวนการทส่ี าํ คญั ไดแ ก ทกั ษะการคิดวิเคราะห กระบวนการสืบสอบ และ กระบวนการกลุม ดังน้ี • ใหน กั เรยี นสบื คนขอ มูลเกย่ี วกบั พระไตรปฎกและพทุ ธศาสนสภุ าษติ • จดั ใหม กี ารอภิปรายโครงสรา งและสาระสาํ คญั ของพระไตรปฎก ไดแ ก พระวินัยปฎ ก พระสุตตนั ตปฎ ก และพระอภิธรรมปฎก หรือคัมภรี ท าง ศาสนาท่ีนักเรยี นนบั ถือ • ใหน ักเรียนศึกษาและยกตวั อยางพทุ ธศาสนสภุ าษติ เพอ่ื การนาํ ไปใช ในชีวติ ประจําวัน คูม ือครู 93

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูถามนักเรยี นวา คมั ภีรใ นพระพทุ ธศาสนา คอื พระไตรปฎก สวนคมั ภรี ใ นศาสนาอืน่ ๆ ที่ ๑. โครงสร้างและสาระสÓคัญของพระไตรปิฎก นักเรียนรูจกั มอี ะไรบา ง 1.1 ความหมายและความสำาคญั ของพพรระะไตไรตปฎิรกป1แฎิ ปกลวา่ “คมั ภรี ์ ๓” เพราะปิฎก (แนวตอบ เชน ศาสนาคริสต คอื คมั ภรี ไบเบิล ศาสนาอิสลาม คอื คัมภีรอลั กรุ อาน ศาสนา แปลว่า “คัมภรี ”์ พระไตรปฎิ ก คอื คมั ภรี ท์ บี่ รรจุ พราหมณ-ฮินดู คือ คัมภรี พระเวท ศาสนาสขิ คือ หลกั คา� สอนของพระพทุ ธศาสนา แบง่ เปน็ ๓ สว่ น คมั ภรี ค รนั ถสาหพิ ศาสนาเชน คอื คัมภีรอ งั คะ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ ศาสนาโซโรอสั เตอร คือ คัมภีรอ เวสตะ เปนตน ) พระอภิธรรมปิฎก สาํ รวจคน หา Explore ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์มิได้เรียก ค�าส่ังสอนของพระองค์ว่า “พระพุทธศาสนา” ครใู หนักเรียนสืบคน ขอมลู เกย่ี วกบั ความหมาย แตเ่ รียกวา่ “พรหมจรรย”์ บ้าง “ธรรมวินัย” บา้ ง โครงสรา ง และสาระสําคัญของพระไตรปฎ ก หลงั จากพระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานแลว้ นยิ มเรยี ก จากหนงั สอื เรยี นหนา 94-96 และแหลง เรยี นรูต างๆ คา� สงั่ สอนของพระองคว์ า่ ธรรมวนิ ยั การสบื ทอด เชน หองสมดุ อินเทอรเ นต็ ผรู ูดา นพระไตรปฎ ก คา� สง่ั สอนของพระองคน์ นั้ กระทา� โดยการทอ่ งจา� สนทนาธรรมกบั พระสงฆ เปนตน เพ่ือนําความรู จนกระทง่ั ประมาณ พ.ศ. ๔๕๐ จงึ ไดม้ กี ารจารกึ มาอภิปรายในช้นั เรยี น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง พระพุทธวจนะลงเป2็นลายลักษณ์อักษร ภาษา นราธิวาสราชนครินทร์ ทรงร่วมจัดทำาพระไตรปิฎกฉบับ ทจี่ ารกึ คอื ภาษาบาลี ในเมอื งไทยไดม้ กี ารตพี มิ พ์ อธบิ ายความรู Explain ภาษาโรมัน และได้พระราชทานไปยังประเทศตา่ งๆ พระไตรปิฎกภาษาบาลีด้วยภาษาไทยเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๘ ได้เร่ิมแปลพระไตรปฎิ กเปน็ ภาษาไทย และตพี ิมพ์คร้งั แรกเปน็ การฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ 1. ครูนาํ สนทนาเก่ยี วกับพระไตรปฎ ก และ พระไตร ิปฎกปัจจุบันมีพระไตรปิฎกท�าเป็นแผ่น CD ROM ผลิตโดยสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย ถามคาํ ถาม • พระไตรปฎกทั้ง 3 หมวด แตกตางกนั เรื่องใด มหามกุฏราชวิทยาลัย ซ่ึงสะดวกในการคน้ ควา้ รวมทง้ั มผี นู้ า� ไปเผยแพรล่ งในเวบ็ ไซตท์ เี่ กย่ี วขอ้ ง (แนวตอบ แตกตางในเร่อื งเนือ้ หาสาระ หมวด กบั พระพทุ ธศาสนาอกี เปน็ จา� นวนมาก ซงึ่ เราสามารถสืบค้นได้โดยผา่ นเครือขา่ ยอินเทอรเ์ น็ต พระวินยั ปฎ ก เกย่ี วของกับกฎระเบียบของ ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ี หมวดพระสตุ ตนั ตปฎก 1.2 คมั ภีรแ์ ละโครงสรา้ งพระไตรปิฎก เกย่ี วขอ งกับประวตั ิ เรอื่ งราว หัวขอ ธรรมะ ณ สถานที่ตา งๆ หมวดพระอภิธรรมปฎก พระไตรปฎิ กแบ่งออกเป็น ๓ หมวด ดังน้ี เกี่ยวขอ งกับหลกั ธรรมทเี่ ปน วิชาการ) พระวินยั ปิฎก สุตตวภิ ังค์ ขนั ธกะ ปรวิ าร 2. ครูใหนักเรียนแบงออกเปน 3 กลุม และจบั สลาก เลอื กหมวดท่จี ะศึกษา ไดแก พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มชั ฌิมนกิ าย สงั ยตุ ตนิกาย องั คตุ ตรนิกาย ขุททกนิกาย • กลุม ท่ี 1 ศกึ ษาหมวดพระวินยั ปฎก พระอภิธรรมปฎิ ก ธัมมสงั คณี วิภงั ค์ ธาตกุ ถา ปุคคลบัญญตั ิ กถาวตั ถุ ยมก ปัฏฐาน • กลุม ท่ี 2 ศกึ ษาหมวดพระสตุ ตนั ตปฎ ก • กลมุ ที่ 3 ศึกษาหมวดพระอภธิ รรมปฎก 94 จากนั้นใหแ ตละกลมุ ทํารปู แบบการนาํ เสนอ ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET เปน PowerPoint เพอื่ อภิปรายหนา ชั้นเรียน นกั เรยี นควรรู 1 พระไตรปฎก คําวา “พระไตรปฎ ก” มาจากภาษาบาลคี าํ วา “ติปฎ ก” แปลวา มสั ยาตอ งการคนควา เร่อื งมหาชนกชาดกเพอ่ื ทํารายงาน มสั ยาควรไป ตะกรา สามใบหรอื คัมภรี สามหมวด สนั นษิ ฐานวามาจากการที่พระภกิ ษจุ ดจารึก คนหาจากหนงั สือเลมใดจงึ ไดขอ มูลทนี่ า เชื่อถือมากที่สุด คัมภรี ใสลงในใบตระกลู ปาลมและใสล งในตะกรา นอกจากนี้ หลกั ฐานทางวิชาการ สันนษิ ฐานวา “ไตรปฎก” เปนช่อื ทีใ่ ชกันมากอ นจะสังคายนาครง้ั ท่ี 3 เพราะมกี าร 1. ธัมมสังคณี ใชคาํ พูดวาไตรปฎ กในประวตั ิศาสตร สวนพระไตรปฎ กลายลักษณอักษรเกิดขึน้ 2. คมั ภรี อรรถกถา คร้งั แรกใน พ.ศ. 450 เมื่อมกี ารสังคายนาพระไตรปฎ กครั้งที่ 5 ทล่ี ังกาทวปี 3. พระสตุ ตันตปฎก โดยมีการจารกึ พระธรรมวนิ ยั ลงใบลานดว ยภาษามคธและอักษรบาลีเปนหลักฐาน 4. พระอภธิ รรมปฎ ก 2 ภาษาบาลี คือ ภาษาทีช่ าวพุทธเช่ือวามกี าํ เนดิ จากแควน มคธในชมพทู วีป โดยเรียกวา ภาษามคธ หรอื ภาษามาคธี หรือมาคธกิ โวหาร ซ่งึ “มาคธิกโวหาร” วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะพระสตุ ตันตปฎ กเปน สวนทวี่ า ดว ย พระพทุ ธโฆษาจารย พระอรรถกถาจารยน ามอโุ ฆษ ซ่งึ มีชวี ิตอยูใ นชว ง พุทธศตวรรษที่ 10 อธบิ ายวาเปน “สกานริ ตุ ติ” คอื ภาษาท่พี ระพุทธเจาตรสั พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา ซ่ึงประกอบดว ยเนอื้ หาสาระ บคุ คล เหตุการณ สถานท่ี และชาดก (เรอ่ื งราวของพระพุทธเจา ในอดีตชาติ) ดังน้ัน การศึกษาเรอื่ งมหาชนกชาดก ซ่ึงเปน พระชาติที่ 2 ใน 10 พระชาติ (ทศชาต)ิ สุดทายของพระพุทธเจา จงึ ตองคน ควาในพระสุตตันตปฎก 94 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑. พระวินัยปฎิ ก 1 1. ครูใหน ักเรียนกลุมท่ี 1 ที่ศกึ ษาหมวด พระวนิ ัยปฎ ก สงตวั แทนออกมาอธิบาย พระวินัยปิฎก คือ ส่วนที่ว่าด้วยสิกขาบท หรือศีลของพระภิกษุและพระภิกษุณี โครงสรางและสาระสําคัญของหมวดน้ี แบ่งออกเป็น ๓ หมวดยอ่ ย ดังน้ี จากนนั้ ครซู ักถามนักเรยี นกลมุ ท่ี 1 วา ๒๑.. สขตุนั ตธกวภิะงัคคอื ์ คสอื ว่ นสทว่ นวี่ า่ทดว่ี ว้า่ ยดสว้ งัยฆศลกี รในรมพ2รพะธิปกีารฏรโิ มมกวขตั ์รหปรฏอื บิศตัลี ขิสอา� คงพญั รขะอตงลภอกิ ดษจแุ นลมะภารกิ ยษาณุที หมวดสุตตวภิ งั ค ขนั ธกะ และปรวิ าร เพื่อความงามของสงฆ์ มคี วามสําคัญอยา งไร เพ่ือนนักเรยี นคนอนื่ ๆ ๓. ปรวิ าร คือ ส่วนทสี่ รุปข้อความหรือค่มู อื พระวนิ ยั ปิฎก อธิบายในรปู ค�าถาม ค�าตอบ จดสรุปความรูลงในสมุด เพ่อื ความเข้าใจแจ่มแจง้ 2. ครใู หนักเรยี นกลมุ ท่ี 2 ที่ศกึ ษาหมวด ๒. พระสตุ ตนั ตปิฎก พระสตุ ตันตปฎ ก สงตวั แทนออกมาอธิบาย ความสําคญั ของหมวดนี้ และครสู อบถามวา พระสุตตันตปิฎก คือ ส่วนที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า (และของ 5 นิกายในหมวดพระสุตตันปฎก แตละนกิ าย พระสาวกบางสว่ น) ทีท่ รงแสดงแกบ่ ุคคลต่างๆ ในวาระโอกาสตา่ งกัน แบง่ เปน็ ๕ นกิ าย ดังนี้ มคี วามสาํ คญั อยางไร ๑. ทีฆนกิ าย คือ หมวดทปี่ ระมวลสูตรขนาดยาว 3. ครนู าํ สนทนาเรอ่ื งพระไตรปฎ ก และตงั้ คาํ ถามวา ๒. มัชฌมิ นกิ าย คือ หมวดทีป่ ระมวลสูตรขนาดปานกลาง • ประโยชนท ่ไี ดร บั จากการศกึ ษาพระไตรปฎก ๓. สงั ยุตตนิกาย คอื หมวดทป่ี ระมวลสตู รโดยจัดกลมุ่ ตามเนื้อหา เช่น กลมุ่ สจั จะ มีอะไรบา ง (แนวตอบ เชน ทําใหร พู ระธรรมวนิ ยั ของ เรยี กว่า สัจจสังยุตต์ พระพุทธเจา และคําสั่งสอนของพระสาวก ๔. อังคุตตรนิกาย คือ หมวดท่ีประมวลหมวดธรรมจากน้อยไปหามาก เช่น ทําใหเกิดความรูและความเขา ใจวาธรรมะ ตางๆ ในพระไตรปฎกจะนําไปใชในดานใด เอกนบิ าต เป็นหมวดวา่ ด้วยธรรมะ ๑ ขอ้ ทกุ นบิ าต เป็นหมวดว่าด้วยธรรมะ บาง ใชข อความในพระไตรปฎกเปนเครือ่ ง ๒ ข้อ ตัดสนิ ใจเมือ่ มกี ารตคี วามคาํ สอนขดั แยงกนั ๕. ขุททกนิกาย คือ หมวดที่ประมวลเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ท่ีมิได้รวบรวมไว้ใน เขา ใจเหตุผลในการบญั ญัตพิ ระวนิ ยั และ ๔ นิกายข้างต้น โดยแบง่ ออกเป็น ๑๕ ประเภท ท่มี าของพระธรรมคําสอน เปน ตน) ถูปาราม เมอื งอนรุ าธปรุ ะ ประเทศศรีลงั กา สถานทที่ าำ 4. ครใู หนกั เรียนในหอ งบันทกึ ขอ มลู ของหมวด สังคายนาพระธรรมวนิ ัย ครง้ั ที่ ๔ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๘ พระวนิ ยั ปฎกและพระสุตตนั ตปฎ กทไี่ ดจ าก การอภปิ รายหนา ชน้ั ลงในสมุด แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู เพราะเหตุใด พระไตรปฎ กจงึ เปรยี บเสมอื นตวั แทนของพระพุทธเจา ครูแนะนําใหน ักเรียนดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือพจนานกุ รมศัพท แนวตอบ เนอื่ งจากพระพทุ ธเจาไดตรสั ไวค ร้ังหน่งึ วา พระธรรมวินัยจะเปน พระไตรปฎกอกั ษร อ. เลม 1-3 ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน ศาสดาแทนพระองคภายหลงั ทพี่ ระองคปรินพิ พานไปแลว พระไตรปฎ ก จงึ เปรียบเสมอื นตัวแทนของพระพุทธเจา และเปน ทที่ ีช่ าวพทุ ธสามารถเขา นักเรยี นควรรู เฝา พระศาสดาของตนได เพราะพุทธศาสนิกชนสามารถศึกษาพระปรยิ ัติ จากพระไตรปฎก เพ่ือใชเ ปน แนวทางในการปฏิบตั ิตนใหพ น จากความทุกข 1 สกิ ขาบท คอื ขอ ศีล ขอวินัยของพระภิกษุสงฆ และเขาสนู ิพพาน ซง่ึ เปนเปาหมายสงู สุดของพระพุทธศาสนา 2 สังฆกรรม คือ กิจกรรมทางพระวินัยที่พระภิกษุจํานวน 4 รูปข้ึนไปจะตอง ทําโดยพรอมเพรียงกันภายในเขตสีมา ที่เรียกวา พระอุโบสถหรือโบสถ ซึ่งตาม พระธรรมวินัย สังฆกรรมมี 4 อยาง ไดแก • อุปโลกนกรรม คอื การปรกึ ษาหารือ • ญตั ตกิ รรม คอื สวดเผดยี งสงฆ (การประชมุ ทมี่ กี ารสวดตง้ั เรอื่ งทจ่ี ะประชมุ ) • ญัตติทุตยิ กรรม คือ สวดต้ังญตั ติและสวดอนุสาวนา • ญตั ตจิ ตตุ ถกรรม คือ สวดตงั้ ญัตตแิ ละสวด อนสุ าวนา 3 คร้ัง คมู อื ครู 95

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นกลมุ ที่ 3 ทศี่ กึ ษาหมวด ๓. พระอภิธรรมปิฎก พระอภธิ รรมปฎ ก สง ตัวแทนมาอธิบายหนา ช้นั เก่ยี วกับโครงสรา งและความสําคัญของหมวดน้ี พระอภิธรรมปิฎก คือ ส่วนทวี่ า่ ดว้ ยการอธิบายหลกั ธรรมในรปู วิชาการ ไม่เกีย่ วดว้ ย บคุ คลและเหตุการณ์ แบง่ เปน็ ๗ คัมภรี ์ ดงั นี้ 2. ครใู หน กั เรยี นกลมุ ท่ี 3 เลอื กหลกั ธรรมในหมวดนี้ มา 1 หัวขอ พรอมอธบิ ายและยกตวั อยางวา ๑. ธมั มสงั คณี คือ คัมภรี ์ท่ีรวมขอ้ ธรรมเปน็ หมวดๆ แล้วแยกอธบิ ายเปน็ ประเภทๆ หลกั ธรรมนส้ี ามารถนํามาประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ ๒. วภิ งั ค ์ คอื คมั ภรี ท์ แี่ ยกแยะขอ้ ธรรมในสงั คณี แลว้ แสดงรายละเอยี ดเพอื่ ความเขา้ ใจ ของนกั เรยี นไดอยา งไร นกั เรียนคนอ่ืนๆ จดสรปุ ความสําคญั ของหลกั ธรรมน้ี แจม่ แจง้ ๓. ธาตุกถา คือ คัมภีร์ท่ีจัดข้อธรรมลงในขันธ์ ธาตุ อายตนะ ว่ามีข้อใดเข้ากันได้ ขยายความเขา ใจ Expand หรือไมอ่ ยา่ งไร 1. ครใู หนกั เรยี นอา นหมวดยอยของพระไตรปฎ ก ๔. ปุคคลบัญญตั ิ คือ คัมภรี ์ที่บัญญัตเิ รยี กบคุ คลต่างๆ ตามคุณธรรมทม่ี ี หมวดใดกไ็ ด แลว ใหน กั เรยี นเขยี นสรปุ หลกั ธรรม ๕. กถาวัตถุ คือ คัมภีรท์ ่ีอธิบายทรรศนะที่ขดั แย้งกัน โดยเน้นทรรศนะของเถรวาท และแงคดิ ทีไ่ ดจ ากหมวดน้ันลงในสมุดและ สง ครผู สู อน ท่ถี กู ต้อง ๖. ยมก คอื คมั ภรี ท์ ยี่ กธรรมขนึ้ เปน็ คๆู่ เชน่ กศุ ล‑ อกศุ ล แลว้ อธบิ ายโดยวธิ ถี ามตอบ 2. ครใู หน ักเรยี นทํารายงานสรุปโครงสรางและ ๗. ปัฏฐาน คือ คัมภีร์ท่ีอธิบายปัจจัยหรือเง่ือนไขทางธรรม ๒๔ ประการ ว่าธรรม ความสําคัญของพระไตรปฎกพอสังเขป โดย ใหน ักเรียนพมิ พเ ปน ภาษาตามความเขา ใจของ ข้อใดเป็นเง่อื นไขแกธ่ รรมข้อใด ตนเอง แลว นําสง ครผู สู อน วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิราช- วรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร สถานทท่ี าำ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ครง้ั ท่ี ๑๐ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๒๘ ตรวจสอบผล Evaluate 1. ตรวจสอบจากการเขียนสรปุ หลกั ธรรมและ แงคิดจากหมวดยอยของพระไตรปฎก 2. ตรวจสอบจากรายงานสรปุ โครงสรา งและ ความสําคัญของพระไตรปฎ ก เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET เพราะเหตใุ ด พทุ ธศาสนิกชนจงึ ควรศึกษาพระไตรปฎกใหเ ขา ใจอยา งถอ งแท ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา เรอื่ งเกยี่ วกบั บทบญั ญตั ขิ องคณะสงฆ สาํ หรบั เปน ขอ บงั คบั ใน แนวตอบ พระไตรปฎกเปนคมั ภีรท างพระพุทธศาสนาทบ่ี รรจหุ ลกั ธรรม การปฏบิ ตั ติ วั ของผอู อกบวชเทา นน้ั เรยี กวา “วนิ ยั ” สว น ธรรม เปน คาํ สอนทค่ี รอบคลมุ คาํ สอนของสมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา ไว พุทธศาสนกิ ชนจงึ ควรศึกษา พทุ ธบรษิ ัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อบุ าสิกา) แบง ออกเปน 2 อยาง ไดแ ก ธรรมท่ี พระไตรปฎ กใหแตกฉาน เพอื่ ใหม ีความรูค วามเขาใจหลักธรรมทาง พระพทุ ธเจาตรสั แสดงไปตามกาลเทศะ โตต อบกับบคุ คลตา งๆ เปนเรอ่ื งๆ ในพระ พระพุทธศาสนาอยางถอ งแทและถูกตอง สามารถนาํ หลักธรรมทีด่ ีงาม ไตรปฎกจะรวบรวมธรรมแบบนไี้ วพวกหน่งึ เรียกวา “สุตตนั ตะ” หรือพระสตู ร สวน ไปปรับประยุกตใ ชใหสอดคลองกับการดาํ เนินชวี ติ ประจาํ วัน ทาํ ใหช วี ติ ธรรมที่พระพุทธเจาตรัสแสดงไปตามเน้ือหาหรือเปนวิชาการลวนๆ โดยไมเก่ียวของ มคี วามสงบสุข ไมวุนวาย เมือ่ เกิดปญ หาชวี ิตกส็ ามารถหาทางออกหรอื กบั บุคคลหรือเหตุการณใ ดๆ เชน เรื่องขนั ธ 5 ไดอ ธิบายโดยละเอียดวาขันธ 5 คือ วิธีแกไ ขไดอยา งถูกตองเหมาะสม นอกจากน้ัน ยงั สามารถถา ยทอดหรอื อะไร แบงออกเปนอะไรบาง แตล ะอยางนนั้ เปนอยา งไร ในพระไตรปฎกจะจัดอยูใน เผยแผคาํ สอนทางพระพุทธศาสนาใหแ กผทู ส่ี นใจหรอื ผทู ่ีตองการรู ประเภท “อภิธมั มะ” หรอื พระอภธิ รรม เม่อื รวมพระวนิ ัยปฎก พระสตุ ตันตปฎ ก และ หลักธรรมมากขน้ึ ไดด ว ย พระอภธิ รรมปฎ กเขาดวยกัน ก็จะเกิดสามหมวดหมูใ หญเ ปน พระไตรปฎ กขน้ึ มา 96 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. พทุ ธÈาส¹สุÀาÉติ 1. ครูใหนักเรยี นชวยกันยกตวั อยา งพุทธศาสน- สุภาษิต โดยออกมาเขียนบนกระดาน 2.1 กมมฺ ุนา วตฺตต ี โลโก : สัตวโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามกรรม หนา ช้นั เรียน กรรม แปลว่า การกระท�า และมักหมายรวมถึงผลแห่งการกระท�า ในภาษาไทยปัจจุบัน 2. ครูใหน ักเรยี นบอกคตปิ ระจําใจของนกั เรยี นวา ค�าว่า กรรม มักใช้ในความหมายว่าเป็นการกระท�าที่ไม่ดี เช่น มีค�ากล่าวว่า “กรรมตามสนอง” ตรงกับพุทธศาสนสภุ าษิตหรือไม สามารถ หมายถงึ การได้รบั ผลร้ายจากการกระท�าท่ีไม่ดี นาํ มาใชในชวี ิตประจําวันไดอยางไร ในทางพระพุทธศาสนาสอนว่าคนเราจะมีชีวิตเป็นไปอย่างไรนั้น ข้ึนอยู่กับกรรมหรือ สาํ รวจคน หา Explore การกระทา� ของเรา ดงั พทุ ธดา� รสั ทวี่ า่ “ควรพจิ ารณาโดยเนอื งๆ วา่ เรามกี รรมเปน็ ของตน เปน็ ผรู้ บั ผลแหง่ กรรม มกี รรมเปน็ ก�าเนิด มกี รรมเปน็ เผา่ พันธุ์ มกี รรมเป็นทพี่ ง่ึ อาศยั เราทา� กรรมอนั ใด 1. ครใู หน กั เรยี นหากรณตี วั อยางบคุ คลจากส่ือ ไวด้ กี ็ตาม ชว่ั กต็ าม เราจกั เป็นผูร้ บั ผลแหง่ กรรมน้ัน” หรือแหลงเรียนรตู างๆ ท่มี กี ารกระทํา สอดคลองกับพุทธศาสนสภุ าษิต มาอภิปราย พระพุทธศาสนาสอนว่า คนที่ยังไม่หมดสิ้นซึ่งกิเลส เม่ือตายไปแล้ว จะต้องไปเกิดใหม่ ในหอ งเรยี น ใครจะเกดิ ที่ใดน้ันย่อมเป็นไปตามกรรมทีต่ นทา� ไว้ 2. ครูใหนักเรียนศกึ ษาตัวอยา งพุทธศาสนสุภาษิต ศาสนาฮินดู เชื่อว่า คนเราแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๔ วรรณะโดยก�าเนดิ ไดแ้ ก่ วรรณะพราหมณ์ เกิด ในหนังสอื เรยี นหนา 97-101 จากปากของพระพรหม วรรณะกษตั ริย์ เกดิ จากอกของพระพรหม วรรณะไวศยะ เกิดจากขาของ พระพรหม และวรรณะศูทร เกดิ จากเทา้ ของพระพรหม อธบิ ายความรู Explain แตพ่ ระพุทธองคท์ รงชใ้ี หเ้ ห็นว่า คนทุกคนไม่วา่ จะเปน็ พราหมณ์ กษัตริย์ ไวศยะ และศทู ร 1. ครใู หน กั เรยี นสบื หาและยกตวั อยา งพทุ ธศาสน- ลว้ นคลอดจากครรภม์ ารดาทั้งนนั้ คนเราเกดิ มาเปน็ อะไรก็ได้ แลว้ แตว่ า่ ตนมีความสามารถอะไร สภุ าษติ ทไ่ี มซ้ํากบั หนังสอื เรียน คนละ 1 เรือ่ ง ประกอบอาชพี อะไร คอื ทา� อะไรนนั่ เอง โดยบนั ทกึ ลงในสมดุ จากนัน้ นาํ มาแลกกบั เพือ่ นในช้นั เรยี น และบันทกึ ลงในสมุดเพิม่ เติม พระพทุ ธศาสนาสอนวา่ คนเราจะมคี วามสุข ความทกุ ข์ เป็นคนดี เปน็ คนช่ัว กแ็ ล้วแตก่ รรม หรือการกระท�าของตน คนเกียจคร้านสันหลังยาวจะมีความเจริญในอาชีพการงานได้อย่างไร 2. ครใู หนักเรียนวิเคราะหวา สัตวโ ลกยอ มเปนไป คนทคี่ รนุ่ คดิ พยาบาทหรอื อจิ ฉารษิ ยาผอู้ น่ื จติ ใจจะสงบสขุ ไดอ้ ยา่ งไร ถา้ อยากเปน็ คนบรสิ ทุ ธกิ์ ต็ อ้ ง ตามกรรมกบั กรรมตามสนอง มีความหมาย ท�าแตส่ ่งิ ท่บี ริสทุ ธิ์ และต้องท�าด้วยตนเอง คนอื่นท�าใหไ้ ม่ได้ เหมอื นหรอื แตกตา งกนั อยา งไร โดยยกตวั อยา ง ประกอบคาํ อธิบาย ชาวฮนิ ดเู ชอื่ วา่ การอาบนา้� ในแมน่ า�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ จะทา� ใหผ้ ทู้ า� กรรมชว่ั เป1น็ คนบรสิ ทุ ธิ์ พระพทุ ธองค์ ทรงสอนว่า “ถ้าคนพน้ จากกรรมชว่ั เพราะการอาบน�า้ ในแมน่ ้า� ศกั ดิส์ ิทธไ์ิ ด้ ปลา กบ เตา่ จระเข้ 3. ครใู หนกั เรียนศึกษาคาํ วา “วบิ ากกรรม” และอน่ื ๆ ก็คงจะไดข้ น้ึ สวรรค์กนั หมด สัตว์โลกยอ่ มเป็นไปตามผลกรรมทีต่ นท�าไว”้ “เจากรรมนายเวร” และ “เคราะหก รรม” ทัง้ 3 คาํ นี้ มคี วามหมายแตกตางกันอยา งไร 2.2 กลยฺ าณการ ี กลยฺ าณ ำ ปาปการ ี จ ปาปก ำ : ทาำ ดไี ดด้ ี ทาำ ชว่ั ไดช้ ว่ั ตรงกับพุทธศาสนสภุ าษิตวา ทาํ ดีไดด ี ทําช่วั ไดช ว่ั อยา งไร พระพุทธศาสนามหี ลักค�าสอนท่ีสา� คัญยิง่ ข้อหน่ึง เรยี กกนั วา่ “กฎแห่งกรรม” กฎแหง่ กรรม มีความหมายวา่ ทา� ดีไดด้ ี ทา� ชั่วได้ชัว่ กรรมแปลตามศพั ทว์ า่ การกระท�า หมายถึง การกระทา� ที่ ประกอบไปด้วยเจตนา การกระท�าทปี่ ราศจากเจตนาไมน่ บั เปน็ กรรม อยา่ งเชน่ เดนิ ไปเหยยี บมด ตายโดยไม่รู้ตัว ไม่มีเจตนาไม่เป็นกรรม และค�าว่า วิบาก แปลว่า ผล กรรมวิบากจึงแปลว่า ผลแหง่ กรรม ผลของกรรม แบง่ เปน็ ๓ ระดับ ดังน้ี 97 บูรณาการเช่ือมสาระ นักเรียนควรรู ครสู ามารถนําเน้ือหาเร่อื งวรรณะ ไปบูรณาการเชื่อมโยงกับกลุมสาระ 1 แมนํ้าศกั ดส์ิ ิทธิ์ หมายถึง แมน า้ํ คงคา มคี วามยาวประมาณ 2,510 กโิ ลเมตร การเรยี นรสู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม วิชาประวัติศาสตร เร่อื ง มตี น กาํ เนดิ จากเทอื กเขาหมิ าลยั ไหลผา นทางตอนเหนอื ของอนิ เดยี ไปรวมกบั แมน าํ้ อารยธรรมอนิ เดยี สมยั กอ นประวัติศาสตร โดยครอู ธบิ ายวาอินเดียเปนแหลง พรหมบุตรท่ปี ระเทศบังกลาเทศ แลว ไหลลงอาวเบงกอล ที่ราบลุมแมน้ําคงคานม้ี ี กาํ เนดิ อารยธรรมลมุ แมน า้ํ สมยั โบราณทยี่ งิ่ ใหญท ส่ี ดุ แหง หนงึ่ ของโลก คอื ประชากรอาศยั อยูอยา งหนาแนนมากทีส่ ดุ แหง หนงึ่ ของโลก ชาวฮินดูเชือ่ วา แมน าํ้ อารยธรรมลุม แมน ้าํ สนิ ธุ เมื่อประมาณ 2,500 ปก อนคริสตกาล มีเมืองสาํ คัญ คงคาโดยเฉพาะท่ที าเมอื งพาราณสนี นั้ มีความศกั ด์สิ ิทธ์ิมาก สามารถลางบาปได คือ โมเฮนโจ-ดาโรและฮารปั ปา ซ่งึ ปจ จุบันอยใู นประเทศปากสี ถาน กลุมคน รวมถงึ การโปรยเถา กระดกู ของผูต ายลงแมนา้ํ คงคา วญิ ญาณกจ็ ะไดไปสู ทสี่ รางสรรคอารยธรรม คอื ชาวดราวเิ ดยี นหรือมิลักขะ ซ่งึ มีผวิ ดาํ รมิ ฝป าก สรวงสวรรค หนา จมกู แบน ตอ มาเมอ่ื ประมาณ 1,500 ปก อนคริสตกาล ชาวอารยัน ซ่ึงมี ผิวขาว จมกู โดง รูปรางสูงใหญ ไดอ พยพจากเอเชยี กลางเขามายังตอนเหนือ ของอนิ เดยี และขบั ไลช าวดราวเิ ดยี นลงไปทางใต ชาวอารยนั เกรงวา พวกของตน จะถูกชาวดราวิเดียนกลนื ชาติ จึงกําหนดระบบวรรณะข้นึ มา เพอื่ กดี กนั ไมใหช าวอารยนั แตงงานหรอื ใชชีวิตปะปนกับชาวดราวเิ ดียน โดยชาวอารยัน จะอยใู น 3 วรรณะแรก คอื พราหมณ กษตั รยิ  และแพศย สว นชาวดราวเิ ดยี น จะอยใู นวรรณะศทู ร ซงึ่ ถือเปนทาสรบั ใช 3 วรรณะขา งตน คูมือครู 97

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนกั เรยี นแบงกลมุ เลอื กพทุ ธศาสนสภุ าษติ ๑) ระดับภายในจติ ใจหรือคุณภาพของจิต กรรมท�าให้เกดิ ผลในจิตใจ มีการสัง่ สม ทด่ี ที ส่ี ดุ 1 เรื่อง พรอ มระบุความหมายและ คําอธบิ าย พมิ พล งในกระดาษ ตัดและตกแตง คุณสมบัติ คือคุณภาพท้ังฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว มีอิทธิพลปรุงแต่งความรู้สึกนึกคิด ความโนม้ เอยี ง ใหส วยงาม แลว ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ นํา ตา่ งๆ ทกุ ครง้ั ทบ่ี คุ คลท�าความชว่ั เช่น ด่าหรือนินทาคนอ่ืนหรือคิดพยาบาทคนอ่ืน นับว่าเขา พุทธศาสนสภุ าษติ มาตดิ รวมกันท่ปี า ยนิเทศ “ไดร้ 1บั ผลชว่ั ” เปน็ การตอบแทนทนั ที นนั่ กค็ อื เขาไดส้ รา้ งเชอื้ แหง่ ความไมด่ ซี งึ่ ทางศาสนาเรยี กวา่ กิเลสหรืออาสวะขึ้นในจิตใจ ท�าให้สภาพจิตใจตกต่�ามัวหมองข้ึน ถ้าเขาท�าเช่นน้ันบ่อยๆ จิตใจ 2. ครใู หนกั เรยี นยกตัวอยา งวา สงิ่ ใดบา งรอบตวั ของเขาก็จะเต็มไปด้วยความชั่วร้าย หยาบกระด้างขึ้น มีคุณภาพยิ่งต�่าลง ในทางตรงกันข้าม นักเรียนท่ีมีอิทธิพลทางความคดิ ความรสู กึ ถา้ คนทคี่ ดิ แตใ่ นทางดี พลงั ฝา่ ยดกี จ็ ะสงั่ สมในจติ ใจ ชา� ระจติ ใหส้ ะอาด สรา้ งคณุ ภาพและสมรรถภาพ และการกระทํา ที่ทาํ ใหเกดิ กเิ ลสตณั หา จนอาจ ท่ีดีแก่จิต พูดให้เข้าใจง่าย คือ “ท�าดีเมื่อใด ก็เป็นคนดีเมื่อน้ัน ท�าช่ัวเม่ือใด ก็กลายเป็นคนชั่ว ลืมความถูกตองและความรูสึกผดิ ชอบชวั่ ดี เมื่อนั้น” ไปชั่วขณะหน่งึ นกั เรยี นจะมีวธิ ีปอ งกันและ แกไ ขสิง่ เหลา นนั้ อยา งไรบาง ๒) ระดับบุคลิกภาพและอุปนิสัย กรรมที่ท�าลงไปท�าให้เกิดผลในการสร้างเสริม (แนวตอบ เชน วตั ถนุ ิยม บรโิ ภคนยิ ม ทอี่ าจทําให คนเกดิ กเิ ลสบังตา จนลมื ความรสู ึกผิดชอบชั่วดี ลักษณะนิสัย ปรงุ แต่งลกั ษณะความประพฤติ การแสดงออก ท่าที การวางตวั การปรับตัวทา� ใหม้ ี โดยอาจไปขโมยหรือยอมเสยี เงนิ จํานวนมากเพื่อ บคุ ลกิ ลกั ษณะหรอื อปุ นสิ ยั ทด่ี ี เชน่ มเี มตตาอารี เออื้ เฟอ้ื เผอื่ แผ่ ไมอ่ จิ ฉารษิ ยา ไมอ่ าฆาตพยาบาท แลกกบั สิง่ ของราคาแพง บางคนยอมขายอวัยวะ ไมว่ ่วู าม พูดจาไพเราะ เปน็ ตน้ บคุ ลกิ ภาพและอปุ นิสยั ที่เลว เชน่ ใจแคบ ขี้อิจฉาริษยา มุ่งร้าย หรือส่งิ ทม่ี ีคา มากกวา เพราะตวั กิเลสหรอื ความ คนอน่ื ชอบเอารัดเอาเปรยี บ ววู่ าม พดู จากา้ วรา้ ว เป็นตน้ ผลของกรรมระดับนีส้ ืบเนือ่ งมาจาก อยากไดสิ่งของน้ัน วธิ ีปอ งกันและแกไข ทาํ โดย ระดับที่หน่ึงนั่นเอง คือ เม่ือคุณภาพของจิตสูงหรือต่�าก็แสดงออกมาทางบุคลิกลักษณะท่าทาง การใชส ติยบั ย้ังช่งั ใจพิจารณาถึงโทษและ อุปนสิ ยั ใจคอ วิบากกรรมที่จะเกดิ ตามมา เปน ตน ) ๓) ระดับภายนอกหรือผลทาง 3. ครใู หน ักเรยี นคน หาความหมายของคําวา สงั คม ผลของกรรมระดบั นี้ คือ สง่ิ ทมี่ องเห็น “อาสวกิเลส” และ “อุปกเิ ลส” บันทึกลงในสมดุ และใหน กั เรียนรว มกนั วิเคราะหว า การอยากทํา ในชวี ิตประจา� วนั เชน่ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข ความดี การอยากบาํ เพญ็ ประโยชน ชว ยเหลอื ทุกข์ อันเป็นผลท่ีเขาได้รับในสังคมท่ีเขาอยู่ ผูอ ่นื นบั วาเปนกิเลสหรือไม เพราะเหตุใด ผลภายนอกน้ีทางพระพุทธศาสนาไม่ถือว่าเป็น ผลโดยตรงของการทา� ดที า� ชว่ั อาจจะมกี ไ็ ด้ ไมม่ ี 4. ครูใหน ักเรยี นวิเคราะหวา ทาํ ดีไดด ี ทําช่วั ไดชั่ว ก็ได้ มีตรงกันข้ามก็ได้ เช่น คนบางคนท้ังๆ หมายความวาอยา งไร โดยยกตวั อยางการ ท่ีกระท�าความช่ัว อาจมีลาภ มียศ หรือได้รับ กระทาํ ของนักเรียนเองประกอบคาํ อธิบาย การยกย่องจากคนในสังคม ผู้ท่ีมองเฉพาะผล ภายนอกกจ็ ะเหน็ วา่ คนผนู้ ีท้ �าชว่ั แตก่ ลับได้ดี บคุ คลทบ่ี าำ เพญ็ คณุ งามความดอี ยา่ งสมา่ำ เสมอยอ่ มจะไดร้ บั ความจริงแล้วหาเป็นเชน่ นั้นไม่ บุคคลผนู้ ีไ้ ด้รบั ผลกรรมของการทำาความดีตอบสนอง ผลของกรรม ๒ ระดบั ดงั กลา่ วขา้ งตน้ แล้ว คอื เขามคี ณุ ภาพจติ อนั ตา�่ ทราม มคี วามทกุ ขท์ างใจ หรอื มีจิตเศร้าหมองอยา่ งแนน่ อน 98 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครคู วรแนะนํานักเรียนวา คนในยุคสมยั นม้ี ีความเช่อื ทีผ่ ิดหรือมิจฉาทิฏฐิ คอื ครมู อบหมายใหนกั เรียนไปคนควา พทุ ธศาสนสุภาษิตทม่ี ีขอคิดเตือนใจ มีความเขา ใจผดิ ในกฎธรรมชาติ เชน ไมเ ชือ่ วาทําดไี ดด ี ไมเชื่อในการทําความดี ในเรอ่ื งความขยนั หมนั่ เพยี ร ซง่ึ เปน คุณธรรมที่จะชวยใหการเรยี นประสบ ไมม ีความละอายตอ บาป เปน ตน ซงึ่ จะสง ผลอนั ตรายตอการอยรู วมกันในสังคม ความสาํ เรจ็ จากนนั้ รวบรวมและเขยี นลงสมุด แลวนาํ มาแลกเปลย่ี น เปน อยา งย่งิ โดยครูควรอธิบายและยกตวั อยางกรณีบุคคลทที่ ําความดแี ละไดดี ความรูกับเพือ่ นในช้ันเรียน บคุ คลทีท่ ําความชั่วและหมดอนาคต ใหน ักเรียนฟงและยึดถือเปนแบบอยางวา สิ่งใดควรทํา สงิ่ ใดไมควรทํา กิจกรรมทา ทาย นักเรยี นควรรู ครูมอบหมายใหนกั เรยี นเขยี นเลาประสบการณหรือปญ หาท่ีเกิดขน้ึ กบั ตนเอง ซง่ึ สามารถนาํ พทุ ธศาสนสภุ าษติ มาชว ยแกไ ขปญ หาหรอื เตอื นสตไิ ด 1 กเิ ลส คือ สง่ิ ท่ีแฝงอยใู นตวั คน แลวเปนเหตใุ หใจเศรา หมอง โดยกิเลสทีอ่ ยู ความยาว 1 หนา กระดาษ A4 จากน้นั นาํ มาเลา ใหเพอื่ นในชน้ั เรียนฟง ในใจคนมาก ไดแ ก ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะกเิ ลสชอบซกุ หมกั หมมอยใู นใจ ของคน จึงเรยี กอีกอยางหนึ่งวา “อาสวกิเลส” แปลวา กเิ ลสทห่ี มกั ดองอยใู นจิต 98 คูม อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู คนท่ีมักกล่าวท�านองคัดค้านหลักแห่งกรรมว่า “ท�าดีได้ดีมีท่ีไหน ท�าชั่วได้ดีมีถมไป” 1. ครูนําสนทนาเกยี่ วกับพทุ ธศาสนสุภาษิตทว่ี า มกั จะมองดแู ตผ่ ลภายนอกหรอื ผลพลอยไดเ้ พยี งอยา่ งเดยี ว โดยไมน่ กึ วา่ ผลของความดที ส่ี า� คญั กวา่ การส่ังสมบญุ นาํ สุขมาให และตัง้ คาํ ถามวา และจะต้องได้รับแน่นอน คือ ความสะอาดของจิตใจ คุณภาพจิตที่สูงขึ้น และความเป็นคนดี • การทาํ บญุ มีความสาํ คญั ตอ ชีวติ อยา งไร มบี คุ ลิกลักษณะและอปุ นิสัยท่พี งึ ประสงค์ อนึ่ง ถา้ ร�าลึกอยเู่ สมอวา่ “ท�าความดี ยอ่ มไดค้ วามดี” มอี ะไรบา ง แทนทีจ่ ะคดิ วา่ “ทา� ความดีได้ของด”ี บางทีอาจท�าใหเ้ ขา้ ใจเร่อื งผลของกรรมชัดขึ้น (แนวตอบ การทําบุญ คอื สิง่ สาํ คญั ท่ีทาํ ให ชีวิตพบเจอแตส่งิ ดีๆ มีความสขุ ความเจรญิ 2.3 สโุ ข ปญุ ฺญสฺ สฺ อุจฺจโย : การส่ังสมบุญนำาสขุ มาให้ รวมถงึ เปนการขดั เกลากิเลส ทาํ ใหจ ติ ใจ ผอ งใส เชน การทาํ ทาน รกั ษาศลี นั่งสมาธิ บญุ กิรยิ าวัตถุ ๑๐ 1 การเคารพผมู ีพระคุณ เปนตน) บญุ แปลว่า ความดีงาม การท�าบญุ ท�าได้ ๑๐ วธิ ี 2. ครใู หนักเรียนบันทกึ การทําความดใี นดาน เรียกว่า บุญกิริยาวตั ถุ มี ๑๐ ประการ ดังนี้ ตา งๆ ทนี่ กั เรยี นเคยทาํ มา แลว สาํ รวจตวั เองวา ๑. ท�าบุญด้วยการให้ นักเรียนเคยทาํ บุญวิธใี ดบางตามหลกั ธรรม ๒. ท�าบุญด้วยการรกั ษาศีล บญุ กริ ยิ าวตั ถุ 10 และเกดิ ผลอยา งไร โดยบนั ทกึ ๓. ท�าบญุ ด้วยการเจรญิ ภาวนา ลงในสมุด และนาํ สงครผู สู อน ๔. ทา� บุญดว้ ยการอ่อนน้อม ๕. ท�าบุญด้วยการรับใช้ 3. ครใู หนกั เรยี นทาํ กิจกรรมที่ 4.4 จากแบบวัดฯ ๖. ทา� บุญด้วยการเกล่ยี ความดีให้ผูอ้ ่ืน พระพุทธศาสนา ม.2 ๗. ท�าบญุ ด้วยการยนิ ดใี นความดีของผู้อน่ื ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ ๘. ทา� บญุ ด้วยการฟงั ธรรมหาความรู้ ๙. ทา� บุญดว้ ยการส่งั สอนธรรมให้ความรู้ พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมที่ 4.4 ๑๐. ท�าบุญด้วยการท�าความเห็นให้ตรง หนวยท่ี 4 พระไตรปฎ กและพุทธศาสนสภุ าษิต กิจกรรมท่ี ๔.๔ ใหนักเรียนเติมขอความเกี่ยวกับพุทธศาสนสุภาษิตใหได คะแนนเต็ม คะแนนทไี่ ด ใจความสมบูรณ (ส ๑.๑ ม.๒/๘) ñð โดยทั่วไปคนมักจะให้ความส�าคัญกับ ๓ ๑. พุทธศาสนสภุ าษิต : ……ก…ม…มฺ…นุ……า…ว…ต…ตฺ …ต…ี …โ…ล…โก…………(…ก…ัม…-…ม…ุ-…น…า…-ว…ดั …-…ต…ะ…-…ต…ี-…โล…-…โ…ก…)…………………………………… ขอ้ แรก คอื การให้ทาน การรกั ษาศีล และการ คาํ แปล…………ส…ัต…ว…โ…ล…ก…ย…อ …ม…เป…น……ไป…ต…า…ม…ก…ร…ร…ม…………………………………………………………………………………………………………. เจรญิ ภาวนา เรียกว่า บญุ กิริยาวัตถุ ๓ มคี น ความหมาย………ค…น…เร…า…จ…ะ…ม…ีช…ีว…ิต…เป…น……ไป…อ…ย…า…ง…ไ…ร…น…้ัน……ข…ึ้น…อ…ย…ูก…ั…บ…ก…ร…ร…ม…ห…ร…ือ…ก…า…ร…ก…ร…ะท……ําข…อ…ง…ต…น………ก…ร…ร…ม…น…ั้น.. จา� นวนไมน่ อ้ ยคดิ วา่ “การทา� บญุ ” มคี วามหมาย …เป…น……ขอ…ง…เ…ร…า…โด…ย…เ…ฉ…พ…า…ะ……แ…ล…ะเ…ร…า…จ…ะเ…ป…น…ผ…รู …ับ…ผ…ล…ข…อ…ง…ก…ร…ร…ม…น…น้ั ………จ…ะโ…อ…น…ใ…ห…ผ …อู …ื่น…ไ…ม…ไ …ด… …เช…น………เร…า…ท…าํ …ก…ร…ร…ม…ด.ี เพียงข้อ ๑ คอื การให้เทา่ นั้น ซ่ึงความจรงิ ไม่ …ก…ร…ร…ม…ด…ยี …อ …ม…เป…น……ขอ…ง…เ…ร…า……ห…ร…อื …ถ…า …เร…า…ท…าํ …ก…ร…ร…ม…ช…ว่ั ……เร…า…ก…ต็ …อ …ง…ร…บั …ผ…ล…ข…อ…ง…ก…ร…ร…ม…ช…่วั น……ั้น……จ…ะ…ล…บ…ล…า …ง…ห…ร…ือ…โ…อ…น. เปน็ เชน่ น้ัน …ไ…ป…ให…ผ…อู…่นื……ไม…ไ…ด… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. การท�าบุญย่อมให้ความสุข แน่นอน ๒. พุทธศาสนสุภาษติ : …ก…ล…ยฺ …า…ณ…ก…า…ร…ี ก……ล…ยฺ …าณ……ํ …ป…าป…ก…า…ร…ี …จ……ป…าป……ก…ํ ……………(…ก…นั …-…ย…า-…น…ะ…-…ก…า…-ร…-ี…ก…นั …-…ย…า…-น……งั การให้ (หรอื ทาน) เปน็ การขดั เกลากเิ ลส ทา� ให้ คาํ แปล…………ท…าํ …ด…ีได……ด …ี ท……าํ ช…่ัว…ไ…ด…ช…่ัว………………………………………………………………………ป…า…-ป…ะ…-…ก…า…-…ร…-ี จ…ะ…-…ป…า…-…ป…ะ-…ก…งั…). จิตใจผ่องใส ท�าให้การประกอบอาชีพการงาน ความหมาย………เร…ีย…ก…ก…ัน…ว…า……ก…ฎ…แ…ห…ง…ก…ร…ร…ม………ก…ร…ร…ม……ห…ม…า…ย…ถ…ึง……ก…า…ร…ก…ร…ะท……ําท…่ีป……ระ…ก…อ…บ…ด……วย…เ…จ…ต…น…า……ม…ีท…ั้ง.. เปน็ ไปอยา่ งปลอดโปรง่ ไมค่ ดิ คดโกงหรอื ทจุ รติ …ฝ…า…ย…ด…ีแ…ล…ะฝ…า…ย…ช…่ัว……ห…า…ก…บ…ุค…ค…ล……ท…ําค……วา…ม…ช…่ัว……เ…ขา…จ…ะ…ไ…ด…ร…ับ…ผ…ล…ช…ั่ว…เป…น…ก……าร…ต…อ…บ……แท……น……แ…ต…ถ…า…ค…น…ท…ํา…แ…ต…ค…ว…า…ม…ด. ี กับใคร …ก…จ็ …ะ…ได…ผ…ล……ด…ตี …อ…บ…แ…ท…น……เช…น……เ…ก…ดิ …ค…ว…า…ม…ส…ุข…ท…า…งใ…จ……ห…ร…อื …ไ…ด…ร…ับ…ส…่ิง…ด…ๆี ……ต…อ…บ…แ…ท…น……เป……น…ต…น………………………………. เฉฉบลับย ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. พทุ ธศาสนสภุ าษติ : ……ส…โุ…ข……ป…ุ…ฺ ……สฺ …สฺ ……อ…ุจ…จฺ …โย…………(…ส…ุ-…โข…-…ป…ุน…-…ย…ัด…-…ส…ะ…-…อดุ……-จ…ะ…-…โ…ย…) ……………………………… คาํ แปล…………ก…า…ร…ส…ัง่ …ส…ม…บ…ุญ…น……าํ ส……ุขม…า…ใ…ห… ………………………………………………………………………………………………………………. ความหมาย………ก…า…ร…ท…ํา…บ…ุญ…ย…อ…ม…ก……อ…ใ…ห…เก…ิ…ด…ค…ว…า…ม…ส…ุข……น…อ…ก……จ…า…ก…เป……น…ก…า…ร…ข…ัด…เก……ล…า…ก…ิเล……ส……ท…ํา…ใ…ห…จ…ิต…ใ…จ.. …ผ…อ…ง…ใ…ส…แ…ล…ว……ย…ัง…ท…ํา…ใ…ห…ก…า…ร…ท…ํา…ง…า…น…เป……น…ไ…ป…อ…ย…า…ง…ร…าบ……ร…่ืน……แ…ล…ะ…ก…า…ร…ท…ํา…บ…ุญ……น…้ัน…จ…ะ…ต…อ…ง…ท…ํา…อ…ย…า…ง…ต…อ…เ…น…ื่อ…ง. …ส…่งั …ส…ม…ไ…ป…เร…อื่…ย…ๆ……ผ…ล…บ…ญุ …ย…อ…ม…ต…อ…บ……ส…น…อ…ง…ภ…า…ย…ห…ล…งั ………………………………………………………………………………………………. การบริจาคโลหิต จัดเป็นการทำาบุญประเภทหนึ่ง เพราะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. โลหติ จากการบริจาค ไดถ้ กู นาำ ไปช่วยชวี ติ ผอู้ ื่น ๔. พุทธศาสนสุภาษิต : …ป…ูช…โก……ล…ภ…เ…ต……ป…ชู …ํ ว…น…ทฺ……โก……ป…ฏ…วิ…น…ฺท…น……ํ …(…ป…ู-…ช…ะ-…โ…ก…-…ล…ะ-…พ…ะ…-…เต…-…ป…ู-…ช…ัง…-…วัน……-…ท…ะ-…โ…ก… 99 คาํ แปล…………ผ…บู …ชู …า…ย…อม…ไ…ด…ร…บั …ก……าร…บ…ูช…า…ต…อ…บ……ผ…ไู …ห…ว…ย …อ …ม…ได…ร…บั……ก…าร…ไ…ห…ว…ต …อ…บ………………………ป…ะ-…ต…ิ-…ว…นั …-…ท…ะ…-…น…ัง…). ความหมาย………ก…า…ร…บ…ูช…า…เป……น…ก…า…ร…แ…ส…ด……ง…ค…ว…า…ม…เค…า…ร…พ……บ…ุค…ค…ล……ห…ร…ือ…ส…่ิง…ท…่ีน……ับ…ถ…ือ………ร…วม……ถ…ึง…ก…า…ร…ย…ก…ย…อ…ง.. …เท…ิด……ท…ูน…ด…ว…ย…ค…ว…า…ม…น…ับ…ถ…ือ……ห…า…ก…เ…ร…าร…ูจ…ัก……ให…ค……วา…ม…น…ับ……ถ…ือ……ให……เก…ีย…ร…ต…ิ …ใ…ห…ค…ว…า…ม…เค……าร…พ……ต…อ…ผ…ูอ…ื่น……เ…ร…าก…็จ…ะ…ไ…ด. …ส…่ิง…เ…ด…ีย…วก……ัน…น…ั้น…ต……อ…บ……ก…า…ร…บ…ูช…า…น…อ…ก…จ…า…ก…เ…ป…น…ก…า…ร…แ…ส…ด…ง…อ…อ…ก…ซ…ึ่ง…ไ…ม…ต…ร…ีจ…ิต…แ…ล……ว ……ย…ัง…น…ํา…ไป…ส……ูค…ว…าม…ส……ําเ…ร…็จ. …ใ…น…ห…น…า…ท…่กี …า…ร…ง…า…น…ด…ว…ย……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๕. นกั เรยี นเลอื กใชพ ทุ ธศาสนสภุ าษติ …………………ก…า…ร…ส…ัง่ …ส…ม…บ…ุญ…น……าํ ส……ุขม…า…ใ…ห… ……………….ในการดาํ เนนิ ชวี ติ เพราะ……เ…ป…น…ก…า…ร…ส…อ…น……ให……ค…น…ท…ํา…ค…ว…า…ม…ด…ีต…อ…ต…น…เ…อ…ง……ต…อ…ผ…ูอ…่ืน……แ…ล…ะ…ต…อ…ส……ังค……ม……ส…อ…น…ใ…ห…ร…ูจ…ัก…ก…า…ร…ใ…ห…ผ…ูอ…่ืน.. …แ…ล…ะ…ค…วร…ห……มน่ั……ท…ํา…อ…ย…า ง…ส…ม…ํ่า…เ…ส…ม…อ……เม…่อื …ป…ฏ…บิ …ัต…แิ…ล…ว…จ…ะ…ท…าํ …ให……เก…ดิ …ค…ว…า…ม…ส…ขุ …ท…ง้ั …ผ…ใู …ห…แ…ล…ะผ…รู…ับ…………………………………. ๓๖ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ขอใดเปน พทุ ธศาสนสภุ าษิตทเ่ี กย่ี วของกบั การสง่ั สมบญุ นาํ สุขมาให ครอู ธิบายเพม่ิ เตมิ วา การทาํ ทานทส่ี าํ คัญทสี่ ดุ คอื ธรรมทาน หรอื การสอนธรรม 1. ททมาโน ปโ ย โหติ ผใู หย อมเปน ทรี่ ัก ใหค นเปนคนดี รองจากธรรมทาน คือ อภัยทาน หรอื การละความโกรธเปน ทาน 2. ธมมฺ กาโม ภวํ โหติ ผชู อบธรรม เปน ผเู จริญ สว นการน่งั สมาธหิ รือเจรญิ ภาวนาจะตองมกี ารทาํ ทาน การรักษาศีลควบคกู ันไป 3. นตถฺ ิ โลเก อนินฺทโิ ต ผไู มถูกนนิ ทา ไมมใี นโลก จงึ จะนงั่ สมาธิไดดี เหมอื นการกาวขนึ้ บนั ไดทลี ะขัน้ ทไ่ี มควรกา วขามขนั้ ซ่งึ การ 4. ครุ โหติ สคารโว ผูเคารพผูอน่ื ยอมมีผเู คารพตนเอง ทาํ ทาน รกั ษาศลี เจรญิ ภาวนา เปน การทาํ บญุ 3 อยา งทสี่ าํ คญั ในการสะสมบญุ จนเตม็ และเขาสพู ระนพิ พาน โดยเฉพาะการนั่งสมาธิ เพ่ือใหเกดิ ปญ ญา เมอ่ื เกดิ ปญญาแลว วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะการทาํ บุญดว ยการใหอ ยูใ น จงึ ไตรต รองไดถ ึงผลเสียของกเิ ลส จนกระทัง่ ละกเิ ลส ละสังโยชน หรอื การละ ความโลภ โกรธ หลงได บุญกริ ยิ าวตั ถุ 10 ไมวาจะเปนการใหท าน การใหค วามรู ซง่ึ เปนการ ขดั เกลากิเลสอยา งหน่งึ ทาํ ใหจติ ใจผอ งใส มคี วามสขุ และเปน ทร่ี กั แกบคุ คลทวั่ ไป นักเรยี นควรรู 1 การทาํ บุญ แบงไดเ ปน 3 ประเภท ไดแก อามสิ ทาน คอื การใหทานดว ยวตั ถุ สิง่ ของ ธรรมทาน คอื การใหค วามรู และอภัยทาน คือ การสละความโกรธเปน ทาน คมู ือครู 99

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู ําสนทนาเร่อื ง ผบู ูชายอ มไดร บั การบชู าตอบ การรักษาศีลท�าให้คนเป็นคนดีมีศีลธรรม มีแต่คนรักใคร่นับถือและไว้วางใจ ในทางโลก ผูไหวย อ มไดรบั การไหวตอบ และต้งั คาํ ถามวา จะท�าใหก้ ารทา� งานเปน็ ไปอย่างราบร่ืน มคี วามสุขตามอตั ภาพ ในทางธรรมทา� ใหเ้ กิดความอมิ่ ใจ • การบชู าคนทค่ี วรบูชา หมายถึงอะไร และสงบ การเจรญิ ภาวนานั้นเป็นการชว่ ยใหจ้ ติ ใจแน่วแน่ มสี ติ ร้จู กั ตัวเอง รู้ตัวว่าก�าลังท�าอะไร (แนวตอบ การแสดงความเคารพตอผูม พี ระคุณ การเจรญิ ภาวนา แมว้ า่ สว่ นใหญจ่ ะมงุ่ ความสขุ ทางธรรม แตก่ ช็ ว่ ยทา� ใหค้ วามสขุ ทางโลกเปน็ ไปได้ ผอู าวโุ ส ซึ่งเปน การใหเ กยี รติ การยอมรบั แน่นอน ม่ันคง และความสาํ คญั และผูท่แี สดงความเคารพ ยอมไดรับการเคารพตอบ เมอ่ื มกี ารไหว การท�าบุญน้ันต้องท�าอย่างต่อเน่ืองสั่งสมไปเร่ือยๆ ผลบุญย่อมตอบสนองภายหลัง เหมือน ยอ มไดรับการไหวตอบ) หยดนา้� ตกลงทลี ะหยดย่อมเต็มต่มุ ได้ • การไหวผ อู นื่ นอกจากจะไดร บั การไหวต อบแลว 2.4 ป ชู โก ลภเต ปชู ำ วนทฺ โก ปฏวิ นทฺ น ำ : ผบู้ ชู ายอ่ มไดร้ บั การบชู าตอบ ยังกอ ใหเ กดิ ผลดอี ะไรบา ง ผู้ไหวย้ ่อมได้รับการไหวต้ อบ (แนวตอบ ไดรับไมตรีจิต ความรูสกึ ทด่ี ีตอผูไหว และผไู ดร ับการไหว รวมถึงเปน การแสดงออก บชู า หมายถงึ การแสดงความเคารพบคุ คลหรอื สง่ิ ทนี่ บั ถอื รวมตลอดไปถงึ การยกยอ่ งเทดิ ทนู ถงึ ความกตญั ู ซงึ่ เปนการกระทําท่ดี คี วรแก ดว้ ยความนับถือ และอาจขยายความไปถึงการยอมรบั การให้เกยี รติและการเหน็ ความสา� คญั การยกยอ งสรรเสรญิ นําไปสคู วามสําเรจ็ ในชีวิตและหนาท่กี ารงานได) คนเรามักจะโต้ตอบผู้อื่นด้วยสิ่งท่ีผู้อื่นทา� กบั เรา ถา้ เรายมิ้ ให้ คนอนื่ จะยม้ิ ตอบ ถา้ เราแสดง ท่าเย่อหยิ่ง คนอื่นก็เย่อหยิ่งตอบ ถ้าเราแสดงความสุภาพอ่อนโยนก่อน คนอื่นก็จะแสดงความ 2. ครูใหน ักเรยี นจดสรปุ แงคิดทไ่ี ดจ ากการทําบญุ สุภาพอ่อนโยนตอบ แต่มีคนจ�านวนไม่น้อยมคี วามภาคภมู ใิ จในตวั เองสงู คดิ วา่ ตวั เองสา� คญั กวา่ 10 วิธี และการบูชาผอู ื่น โดยบันทึกลงในสมุด มปี ัญญากวา่ เกง่ กวา่ คนอ่ืน เม่อื พบคนอ่นื มกั จะแสดงความอหังการออกมา ซึง่ โดยท่ัวไปกม็ ักจะ นําสง ครผู ูส อน ได้สิ่งเดียวกันนัน้ ตอบ แต่ถ้าเราให้ความเคารพนับถือ ให้เกียรติ 3. ครใู หน กั เรยี นสาํ รวจตวั เองวา ในวนั หนง่ึ ๆ นกั เรยี น ไดทําบุญหรือความดีอะไรบาง ถาหากยังไมได ใหค้ วามเคารพตามประเพณตี ่อผูอ้ นื่ เรากจ็ ะได้ ทําบุญอะไรเลย นักเรียนจะทําอยางไรตอไป สงิ่ เดยี วกนั นั้นตอบ มีคนจ�านวนนอ้ ยมากที่เรา ในการหาแนวทางปรบั ปรงุ และพฒั นาตนเองโดย ให้เกียรติเขาแล้วเขาแสดงความเย่อหย่ิงตอบ นําหลักพุทธศาสนสุภาษิตเขามาชวย จากน้ัน เราควรหดั มองโลกในแงด่ ี มองคนในแงด่ ไี วก้ อ่ น นําผลการสํารวจบันทึกลงในสมุดสงครูผูสอน ไมด่ ถู กู ดหู มิน่ คนอน่ื ล่วงหนา้ เพ่ือใหค รชู ว ยชแ้ี นะเพ่มิ เติม บางทีเราอาจไม่ชอบหน้าคนบางคนโดย ผไู้ หว้ยอ่ มได้รบั การไหว้ตอบ หาเหตุผลไม่ได้ แต่เราต้องต้ังสติให้ได้ว่าเรา กา� ลงั กลายเปน็ คนไม่มีเหตผุ ล เหน็ สงิ่ ที่ไมเ่ ป็น จรงิ แลว้ ก็แสดงทา่ ทาง หรอื พดู สิ่งที่ไม่สมควร กับเขา และก็ค่อนข้างแน่นอนว่าเราจะได้ สิ่งเดียวกันน้ีตอบ ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีพุทธศาสนิกชน ไม่ควรน�ามาปฏิบัติ เพราะไม่เป็นผลดีท้ังต่อ ตนเองและผู้อืน่ 100 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บคุ คลใดตอไปนท้ี าํ บุญแบบอามสิ ทาน ครูแนะนาํ นกั เรียนวา การรกั ษาศลี 5 ในชวี ติ ประจําวนั เปน การรกั ษาเพียง 1. วิหคใหอภยั เพื่อนท่ที ําหนงั สือของตนหาย เล็กนอย ไมเ พยี งพอตอการทาํ ตนใหเ ปน ปกติ จึงตอ งใชกรรมบถ 10 ซง่ึ เปนเครอื่ ง 2. สกุณาตวิ หนังสอื ใหเ พื่อนกอ นสอบ รักษาความดใี หเ ปน ปกติ 10 อยา ง ไดแก เวนจากการฆา สัตวหรือทรมานสตั ว 3. ปกษีบริจาคสง่ิ ของชว ยเหลือผปู ระสบอทุ กภยั ใหไ ดร บั ความลาํ บาก เวน จากการลกั ทรพั ย คอื ไมถ อื เอาทรพั ยข องผอู นื่ ทเ่ี ขาไมไ ดใ ห 4. ปกษาหมน่ั ไปถามพระอาจารยเ กย่ี วกับพระธรรมทตี่ นสงสัย ดว ยความเต็มใจ เวนจากการทาํ ชูใ นบุตร ภรรยา และสามขี องผูอ น่ื เวนจากการพูด วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. อามิสทาน คือ การใหทานดว ยวตั ถสุ ่ิงของ โกหก เวน จากการพดู จาหยาบคาย (พดู คาํ ดาคํา) เวนจากการพดู สอ เสียด ยแุ ยง ดงั นน้ั การทป่ี ก ษบี รจิ าคสงิ่ ของชว ยเหลอื ผปู ระสบอทุ กภยั จงึ จดั เปน อามสิ ทาน ทําใหผ ูอ ่นื แตกราวกัน เวน จากการพูดเพอเจอ เหลวไหล (พูดในเรือ่ งท่ีเปน ไปไมได) ขอ 1. จดั เปนอภยั ทาน คือ การสละความโกรธเปน ทาน การยกโทษดวย ไมค ดิ อยากไดท รพั ยข องผอู นื่ ทเี่ จา ของไมย กให ไมค ดิ จองลา งจองผลาญเพอ่ื ทาํ รา ยใคร การไมพ ยาบาทจองเวร และมคี วามเห็นถูก คือ มีสัมมาทิฏฐิ เห็นตรงตามทพ่ี ระพทุ ธเจาสอน ขอ 2. จดั เปนธรรมทานประเภทวทิ ยาทาน คือ การใหค วามรูทางโลก เชน วชิ าการตา งๆ เปนตน ขอ 4. จดั เปนธัมมัสสวนมยั คอื การทาํ บญุ ดวยการฟง ธรรม 100 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain อย่างไรก็ตาม การให้เกียรติ การยอมรับ และการนับถือน้ี เราควรเดินสายกลาง ไม่แสดง ครูใหนักเรยี นทํากจิ กรรมท่ี 4.5 จากแบบวดั ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 อาการพินอบพิเทาจนเกินควร ไมก่ ลา่ ววาจายกย่องสรรเสริญจนเกนิ งาม จะกลายเปน็ การประจบ ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ สอพลอ ในการใหเ้ กยี รติผูอ้ ืน่ เราตอ้ งใหเ้ กยี รตติ ัวเองดว้ ย ในการนับถอื ผอู้ นื่ เราต้องนบั ถือตวั เอง พระพุทธศาสนา ม.2 กิจกรรมที่ 4.5 ดว้ ย มฉิ ะนนั้ คนจะเยย้ หยนั และคดิ ดถู กู เราในใจ เรอ่� งท่ี 4 พระไตรปฎ กและพทุ ธศาสนสภุ าษิต เราไมค่ วรดถู กู ใครลว่ งหนา้ แตก่ ไ็ มค่ วรสรรเสรญิ กจิ กรรมที่ ๔.๕ ใหนักเรียนอา นกรณศี กึ ษาตอ ไปน้ี แลว เตมิ ขอ ความ คะแนนเตม็ คะแนนท่ีได ใครล่วงหน้า เราควรท�าตนให้เป็นคนสุภาพ ใหส มบูรณ (ส ๑.๑ ม.๒/๘) อ่อนโยน ไม่ดูหมิ่น หรือสรรเสริญคนโดยท่ียัง òð ไมร่ จู้ กั แตค่ วรแสดงออกทางกายและวาจาตาม ธรรมเนียมประเพณีที่สังคมถือกันว่าเหมาะสม กรณศี กึ ษาที่ ๑ ทกุ วนั อาทติ ยค ณุ ยายจะชวนเกง ไปทาํ บญุ ฟง ธรรม และชว ยทาํ ความ เชน่ พบครบู าอาจารยก์ ย็ กมอื ไหว้ พบคนรู้จักท่ี สะอาดบริเวณวัด คุณยายชอบทําบุญและใหทานคนที่เดือดรอน คอยสอนเกงอยูเสมอวา เป็นผอู้ าวุโสกค็ ารวะกอ่ น เป็นตน้ ใหเปนคนรูจักการใหและหม่ันทําบุญอยูเสมอ ผลบุญเหลานั้นจะชวยใหเรามีความสุขใจ เกิดชาติหนาจะไดสบาย ทุกคืนกอนนอนจะชวนหลานชายสวดมนตดวยกัน คุณยายบอกวา กล่าวได้ว่า การบูชาเป็นการแสดงความ จะไดน อนหลบั ฝน ดี ๑. การกระทาํ ของคณุ ยายตรงกบั พทุ ธศาสนสภุ าษติ ……ก……าร…ส…ั่ง…ส…ม…บ……ญุ …น…ํา…ส…ุข…ม…า…ให…… ………………………………… ๒. การกระทําดังกลา วมผี ลดตี อตนเองและครอบครวั คือ……ท…าํ…ใ…ห…ช …วี ติ…ม…คี…ว…า…ม…ส…ขุ …จ…า…ก…ก…า…ร…เป…น…ผ…ใู…ห… …ก…า…ร. …ส…งั่ …ส…ม…บ…ญุ …แ…ล…ะ…ก…าร…ม…หี…ล…กั…ธ…ร…ร…ม…ใ…น…ก…า…ร…ด…าํ เ…น…นิ …ช…วี …ติ ……แ…ล…ะก…า…ร…ท…เี่ …ก…ง …เช…อ่ื …ฟ…ง …ค…ณุ …ย…า…ย……ท…าํ ใ…ห…ค …ร…อ…บ…ค…ร…วั …ม…คี …ว…าม…ส…ข…ุ ๓. ถาคนในสงั คมมวี ิธีคิดและปฏบิ ตั ิเหมอื นคณุ ยายจะสงผลดีตอ สงั คมและประเทศชาติ คอื ท……าํ ใ…ห…อ …ย…รู …ว …ม…ก…นั …อ…ย…า …งส……งบ……ค…น……ใน……ส…งั …ค…ม…ร…จู …กั …ก…าร…ใ…ห… …ก…า…ร…เส…ยี…ส…ล…ะ……ห…ม…น่ั …ส…ง่ั…ส…ม…บ…ญุ………จ…ะไ…ม…ม …กี …า…ร…เอ…า…เป…ร…ยี …บ… ๔. สามารถนาํ แนวคดิ และการปฏบิ ตั ขิ องคณุ ยายมาพฒั นาสงั คมไทยโดย…ส……ร…า…ง…ค…ว…าม…ต……ร…ะห…น……ัก…ใ…ห.. …ค…น…ไ…ท…ย…ร…จู …กั …ก…า…รเ…ส…ีย…ส…ล…ะ……ม…ีจ…ติ …ส…า…ธ…าร…ณ……ะ…ส……ง่ั …ส…ม…ค…ว…าม…ด…ี…แ…ล…ะ…ป…ล…กู …ฝ…ง …แ…น…ว…ค…ดิ …เ…ห…ล…า …น…้ใี …ห…ก…ับ…เย…า…ว…ช…น………… เฉฉบลับย ๕. นกั เรยี นสามารถปฏบิ ตั ติ ามคาํ สงั่ สอนของคณุ ยายโดย……ห…ม…น่ั …ท…าํ …บ…ญุ …แ…ล…ะ…ใ…ห…ท …าน……ต…า…ม…ค…วา…ม…เ…ห…ม…าะ…ส…ม… …แล…ะ…โ…อ…ก…า…ส……เช…น ……ไ…ป…ท…าํ …บ…ญุ …ท…วี่ …ดั ……บ…ร…จิ …า…ค…ส…ง่ิ …ข…อ…ง…ต…า ง…ๆ……ใ…ห…ผ …ทู …ดี่ …อ …ย…โอ…ก……าส……ม…หี …ล…กั…ธ…ร…ร…ม…ใ…น…ก…า…ร…ด…าํ …เน……นิ …ช…วี ติ…. รู้สึกออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม ซ่ึงเป็นความ กรณีศึกษาที่ ๒ ทุกปแตงจะตองไปเยี่ยมครูสุคนธ เธอรําลึกอยูเสมอวาท่ีมีวันน้ีได รู้สึกที่ดีต่อคนท่ีเรามีความรู้สึกด้วย การบูชา ก็เพราะการอบรมส่งั สอน การเอาใจใสข องครทู ี่ใหท ้งั ความรูและช้ีแนะแนวทางการดาํ เนนิ ชวี ิต ด้วยวิธีการต่างๆ จึงถือเป็นการแสดงออกซึ่ง ไมตรีจิต และเป็นการเปิดโอกาสความรู้สึกท่ีดี การแสดงออกซึ่งความกตัญูต่อผู้มีพระคุณ เป็นการ ๑. การกระทาํ ดงั กลา วตรงกบั พทุ ธศาสนสภุ าษติ …ผ…บู …ชู …าย…อ …ม…ได…ร…บั…ก…า…ร…บ…ชู …าต…อ…บ……ผ…ไู …ห…วย…อ …ม…ได…ร…บั…ก…า…ร…ไ…ห…วต …อ…บ.. จนน�าไปสูค่ วามสา� เร็จในหน้าทีก่ ารงานได้ กระทำาท่ีดี ควรแกก่ ารยกย่องสรรเสริญ ๒. การกระทาํ ของบคุ คลทงั้ สองสง ผลดี คอื …ท…ํา…ใ…ห…ล…ู…ก…ศ…ิษ…ย…ม…ีค……วา…ม…ร…ู…แล……ะป……ร…ะ…ส…บ…ค…ว…า…ม…ส…ํา…เ…ร…็จ…ใ…น…ช…ีว…ิต. พระไตรปฎิ ก เป็นบนั ทกึ คา� สอนของพระพุทธเจ้า เดมิ อยใู่ นรปู “พระธรรมวนิ ัย” ต่อมา …ส…ว …น…ค…ร…ูก…็จ…ะ…ไ…ด…ค …ว…าม…ภ…า…ค…ภ…ูม…ิใ…จ…ใ…น…ค…ว…า…ม…ส…าํ …เร…จ็ …ข…อ…ง…ศ…ษิ …ย… ………………………………………………………………………………… ๓. ขอ คดิ ท่ีไดจ ากการกระทาํ ดงั กลา ว คอื ……ก…าร…ต…งั้…ใ…จ…ท…าํ …อ…ะ…ไร…ด…ว…ย…ค…ว…า…ม…ร…กั ……ค…ว…า…ม…จ…ร…ิงใ…จ……ย…อ …ม…ไ…ด…ร…ับ…ก…า…ร. …จ…ด…จ…าํ …ร…ะล…กึ……ถ…ึงจ…า…ก…บ…ุค……ค…ล…อ…่นื ………………………………………………………………………………………………………………………………… ๔. นกั เรยี นมวี ธิ กี ารปฏบิ ตั ติ อ ครู คอื ……ต…ง้ั …ใจ…เ…ร…ยี …น……แส……ด…ง…ค…วา…ม…เ…ค…าร…พ…เ…ท…ดิ …ท…นู ……แ…ล…ะ…น…าํ …ค…าํ …ส…อ…น…ไ…ป…ใช…ใ …น…ก…า…ร. …ด…ํา…เน…ิน……ช…ีวติ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๕. การปฏบิ ตั ขิ องแตงสามารถนาํ ไปพฒั นาสงั คม คอื …ถ…า…น……ัก…เร…ีย…น…ม…วี…ธิ …ีค…ิด…แ…ล…ะ…ป…ฏ…บิ…ตั……ิแบ……บ…แ…ต…ง……จ…ะท……าํ ใ…ห.. …ท…กุ …ค…น…เ…ป…น …ค…น…ด……ี ไ…ม…เ ก……ดิ …ป…ญ …ห…า…ส…งั …ค…ม…ต…า…ม…ม…า…เ…ช…น ……ป…ญ …ห…า…ก…า…ร…ย…ก…พ…ว…ก…ต…กี …นั ……ก…า…ร…ต…ง้ั …ค…ร…ร…ภ…ก …อ …น…ว…ยั …อ…นั …ค…ว…ร ๓๗ ได้แยกออกเป็น พระไตรปิฎก ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระไตรปฎิ กไดร้ บั การถา่ ยทอดสบื ตอ่ กนั มา โดยการทอ่ งจา� หรอื มขุ ปาฐะ และไดร้ บั การบนั ทกึ เปน็ ลายลักษณอ์ ักษร เมื่อพทุ ธศตวรรษท่ี ๕ ท่ปี ระเทศศรลี ังกา ขยายความเขา ใจ Expand ธรรมะในพระไตรปิฎก แม้ว่าจะมีหลากหลายและมีหลายระดับ แต่ก็เน้นลงไปท่ีการ ครใู หน กั เรยี นหาขา วทเ่ี ปน ปญ หาสงั คมในปจ จบุ นั กระทา� (กรรม) เพราะฉะนนั้ บางครงั้ พระพทุ ธเจ้าจึงทรงเรยี กค�าสอนของพระองค์ว่า “กรรมวาท” เชน ปญหาการตงั้ ครรภไมพงึ ประสงค ปญหาการ (สอนเรอ่ื งกรรม) และตรสั เรียกพระองค์เองวา่ “กรรมวาที” (ผู้สอนเรอ่ื งกรรม) แพรร ะบาดของสารเสพตดิ ปญ หาการถกู ลว งละเมดิ ทางเพศ เปนตน แลวนํามาเขียนวิเคราะหวา จะใช พระพุทธศาสนาสอนวา่ คนเราจะดี จะเลว จะเจริญ หรือเสอื่ มถอย ทัง้ นีเ้ พราะกรรม พทุ ธศาสนสภุ าษติ ใดมาเตอื นตนเองไมใ หต อ งเผชญิ (การกระทา� ) ของเรา จงึ ไมค่ วรทา� กรรมชว่ั ควรทา� แตก่ รรมดี ในพระไตรปฎิ กมพี ทุ ธภาษติ มากมาย กบั ปญ หานนั้ ๆ เพราะเหตใุ ด พรอ มทง้ั เสนอแนวทาง ท่ีเน้นในเร่ืองน้ี อาทิ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” “ท�าดีได้ดี ท�าชั่วได้ชั่ว” “การส่ังสมบุญ แกไขและปองกันปญ หาทีเ่ กดิ ขนึ้ น�าสุขมาให้” เป็นต้น สุภาษิตเหล่าน้ีจะช่วยเตือนสติเรามิให้หลงไปในทางที่ผิด ซึ่งสามารถ จะเลือกสรรน�าไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการดา� เนนิ ชีวติ ได้ 101 ตรวจสอบผล Evaluate แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด ตรวจสอบจากการเขยี นวเิ คราะหข า วทเ่ี ปน ปญ หา สังคมในปจจุบัน โดยการนําพุทธศาสนสุภาษิตมา ใชแกไขและปองกนั ปญ หาดังกลาว เกรด็ แนะครู ทพิ อาภาเปน เดก็ เรยี บรอย มสี มั มาคารวะ สภุ าพ ออ มนอมถอ มตนตอ ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ ใหน กั เรยี นเขา ใจวา ในการสังคายนาพระไตรปฎ กครัง้ ที่ 5 ผใู หญ จึงเปน ท่ีรักของทกุ คน แสดงวา ทิพอาภาปฏิบตั ติ นตามพทุ ธศาสน- (พ.ศ. 450) ไดมีการบันทกึ พระไตรปฎกเปน ลายลักษณอ กั ษร เน่ืองจากพระสงฆใน สภุ าษิตบทใด ลังกาตา งเห็นพองตองกนั วาพระพทุ ธวจนะท่ถี า ยทอดกันมาโดยวิธที องจาํ นั้น อาจจะขาดตกบกพรอ งไดในภายภาคหนา เพราะผูท ีส่ ามารถจดจาํ ไดม เี หลอื นอยลง 1. กมฺมนุ า วตตฺ ตี โลโก ประกอบกบั สถานการณทางการเมอื งในขณะนัน้ กาํ ลงั อยูในความไมส งบ เพราะได 2. สุโข ปุฺญสสฺ อุจฺจโย เกดิ ศกึ ยดื เยอ้ื ระหวา งพวกทมฬิ กบั ชาวสงิ หล โดยกระทาํ ทอ่ี าโลกเลณสถาน มตเลณ- 3. ปชู โก ลภเต ปูชํ วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ชนบท (หรือมลยั ชนบท) ประเทศลงั กา มีพระเจา วฏั ฏคามณีอภัยเปน ผูอุปถัมภ 4. กลฺยาณการี กลยฺ าณํ ปาปการี จ ปาปกํ มุม IT วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. “ปชู โก ลภเต ปชู ํ วนทฺ โก ปฏิวนฺทน”ํ ศกึ ษาคนควาเพิม่ เตมิ เกีย่ วกบั พุทธศาสนสภุ าษติ ไดท ่ี แปลวา ผูบ ชู ายอ มไดร บั การบชู าตอบ ผูไหวยอ มไดร ับการไหวตอบ http://www.fungdhom.com เวบ็ ไซตฟง ธรรม การท่ีทิพอาภาปฏบิ ัตติ นตามพุทธศาสนสภุ าษติ บทนี้ เปนการแสดงของ http://www.dhammathai.org เว็บไซตธรรมะไทย ผูนอ ยที่มคี วามออ นนอ มถอ มตนและมีสมั มาคารวะตอผใู หญ ทาํ ใหเ ปน ท่ีรกั ของผูอืน่ คมู อื ครู 101

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถูกตอ งจากการตอบคําถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรียนรู้ ประจาํ หนวยการเรียนรู ๑. พระไตรปฎิ กแปลวา่ อะไร แบง่ ออกเปน็ กส่ี ว่ น อะไรบา้ ง หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ๒. พทุ ธศาสนสภุ าษติ มคี วามสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ของคนในปจั จบุ นั นอ้ี ยา่ งไร จงอธบิ าย ๓. พระพทุ ธศาสนาสอนวา่ “สตั ว์โลกยอ่ มเปน็ ไปตามกรรม” นกั เรยี นเขา้ ใจวา่ อยา่ งไร อธบิ าย 1. การเขียนสรปุ หลักธรรมและแงค ดิ จาก หมวดยอยของพระไตรปฎก ใหเ้ หน็ วา่ ทเ่ี ปน็ ไปตามกรรมนน้ั เปน็ อยา่ งไร ๔. นกั เรยี นเหน็ ดว้ ยหรอื ไมก่ บั คา� กลา่ วทว่ี า่ “ทา� ดไี ดด้ ี ทา� ชว่ั ไดช้ ว่ั ” เพราะเหตใุ ด และจงให้ 2. รายงานสรปุ โครงสรางและความสําคญั ของ พระไตรปฎก เหตผุ ลประกอบ ๕. จากคา� กลา่ วทว่ี า่ “ผบู้ ชู ายอ่ มไดร้ บั การบชู าตอบ ผไู้ หวย้ อ่ มไดร้ บั การไหวต้ อบ” นกั เรยี น 3. การเขียนวิเคราะหข า วท่ีเปน ปญหาสงั คม ในปจ จบุ ัน ไดข้ อ้ คดิ หรอื คตสิ อนใจอยา่ งไรบา้ งจากการศกึ ษาพทุ ธศาสนสภุ าษติ ดงั กลา่ ว กิจกรรมสร้างสรรค์พ²ั นาการเรยี นรู้ กจิ กรรมท่ี ๑ นักเรียนศึกษาสาระส�าคัญของพระไตรปิฎกจากในห้องสมุด และรวบรวม ความรโู้ ดยบนั ทึกไวใ้ นสมุดจดบันทึก กจิ กรรมท่ ี ๒ นักเรียนยกพุทธศาสนสุภาษิตมา ๑ เรื่อง แล้วแต่งนิทานประกอบ น�ามา แสดงละครและอธบิ ายแง่คดิ ที่ได้ กิจกรรมที่ ๓ นกั เรยี นค้นควา้ รวบรวมพทุ ธศาสนสภุ าษติ มาคนละ ๑ ขอ้ พร้อมทั้งอธิบาย พุทธศาสนสุภาษติ แตล่ ะข้อ แลว้ น�ามาเสนอรว่ มกันหน้าชั้นเรยี น พทุ ธศาสนสภุ าษิต µ¶µµÚ Ò¹í ¹ÔàÇàÊÂÚÂ Â¶Ò ÀÃÙ Ô »Ç±²Ú µÔ : »Þ˜ ÞÒÂÍ‹ Áà¨ÃÔÞ´ŒÇ»ÃСÒÃã´ ¤Çõéѧµ¹äÇ´Œ ÇŒ »ÃСÒùé¹Ñ 102 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. พระไตรปฎก แปลวา คมั ภรี  3 คือ คมั ภรี ที่บรรจุหลักคําสอนของพระพุทธศาสนา แบง เปน 3 สวน ไดแ ก พระวินยั ปฎก พระสุตตันตปฎ ก และพระอภธิ รรมปฎ ก 2. พทุ ธศาสนสภุ าษิตมคี วามสอดคลอ งกับชีวติ ของคนในปจ จุบนั เน่ืองจากสามารถนําขอ คดิ หรือคําสอนที่ดมี าประยุกตใชในชวี ติ ได โดยเฉพาะอยางยิ่งชีวิต ของคนสมัยปจ จบุ ันท่ีเตม็ ไปดว ยสิ่งยัว่ ยุ มอมเมา และผดิ ศีลธรรม จึงตอ งนาํ พุทธศาสนสุภาษติ มาเตอื นตนเองเสมอๆ 3. คนเราจะมีชีวติ เปน อยางไร ขน้ึ อยูก ับกรรมหรือการกระทําของเราเปนตัวกําหนด ไมไ ดเกิดจากอาํ นาจของสงิ่ ศกั ด์สิ ิทธ์ิแตอยางใด เชน ผูท ่คี ิดอจิ ฉาริษยาผูอื่นเสมอ ก็ไมอ าจหาความสงบสุขได หรือผเู กิดมามผี ิวพรรณผดุ ผอง เพราะชาติท่แี ลวเปน คนไมมกั โกรธ เปนตน 4. เห็นดว ย เพราะผทู ่ีทาํ ความดี ยอ มไดรบั ความดตี อบแทนอยา งแนนอน ซึง่ ความดนี ี้ไมจําเปน ตอ งเปนทรัพยสนิ เงนิ ทอง แตอาจเปน ความสุขใจ ความปลม้ื ปต ิ หรอื คณุ ภาพของจิตท่ีสงู ขึน้ ก็ได สวนผทู ่ที าํ ความช่วั ยอมไดรับความชว่ั ตอบแทนแนน อนเชนกัน ซึ่งไมจาํ เปนตองชดใชกรรมช่ัวในชาตภิ พตอไป แตอ าจตองชดใชใน ชาตภิ พนกี้ ็ได อยา งไรกต็ าม คนทาํ ความชวั่ บางคนอาจไดรบั ลาภ ยศ สรรเสริญ ทําใหผ อู ืน่ เห็นวา เขาทําชัว่ กลบั ไดดี ความจรงิ แลว ไมใช อยา งนอ ยบุคคลผนู ้ี กม็ ีความทุกขท างใจ และมีจิตใจที่ตกต่าํ อยางแนนอน 5. ทําใหเราไดมิตรภาพท่ดี กี ลับมา เปนท่รี กั ของผอู ่นื รวมถงึ ยังไดร ับเกยี รติ ไดรับความเคารพจากผอู ่นื ตลอดจนไดร ับการชนื่ ชมยกยองดวย 102 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู ๕หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1. อธิบายบทบาทของพระสงฆใ นการเผยแผ หนาท่ีชาวพุทธ พระพุทธศาสนาได และมารยาท ชาวพุทธ 2. ฝก ฝนตนเองใหส ามารถเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา และเปน ลกู ท่ีดตี ามหลกั ทิศ 6 ได 3. วเิ คราะหประโยชนของคา ยคณุ ธรรม และ เขา รว มคา ยคณุ ธรรมตามโอกาสทีเ่ หมาะสม 4. อธิบายหลักเกณฑการเขา รวมพธิ ีกรรมทาง พระพุทธศาสนาและเขารว มพิธีกรรมตาม โอกาสอันสมควร 5. ปฏบิ ตั ิมารยาทชาวพทุ ธท่ีดีได ตัวชีว้ ัด สมรรถนะของผูเ รียน ● ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมต่อบุคคลต่างๆ 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร ตามหลักศาสนาท่ีตนนับถือตามท่ีกำาหนด 2. ความสามารถในการคดิ (ส ๑.๒ ม.๒/๑) 3. ความสามารถในการใชท ักษะชีวิต ● มีมรรยาทของความเป็นศาสนิกชนท่ีดีตามท่ี คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค กำาหนด (ส ๑.๒ ม.๒/๒) 1. รักชาติ ศาสน กษตั รยิ  สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 2. ใฝเ รียนรู 3. รักความเปน ไทย ● การเป็นลูกทีด่ ีตามหลักทิศเบ้ืองต้นในทศิ ๖ ● มรรยาทของศาสนกิ ชน 椄 ¤Áä·ÂÁ¨Õ Òí ¹Ç¹»ÃЪҡûÃÐÁÒ³ öõ ÅÒŒ ¹¤¹ «§èÖ ã¹ กระตนุ ความสนใจ Engage ¨Òí ¹Ç¹¹ÁéÕ Ò¡¡Ç‹ÒÃŒÍÂÅÐ ùõ ¹ºÑ ¶Í× ¾Ãоط¸ÈÒʹÒ໹š ·èÕ Â´Ö à˹ÂÕè ǨµÔ 㨠·§éÑ ¹éÕ ¾Ãо·Ø ¸ÈÒʹÒä´àŒ ¢ÒŒ ÁÒ¼ÊÁ¼ÊÒ¹ ครูสนทนากับนกั เรียนเกี่ยวกับการทาํ บุญ โดย ¡ÅÁ¡Å¹× ¡ºÑ Ç¶Ô ªÕ ÇÕ µÔ ¤ÇÒÁ໹š Í¢ً ͧ¤¹ä·Â ¨¹äÁÊ‹ ÒÁÒö ครูถามนักเรยี นวา á¡ÍÍ¡¨Ò¡¡¹Ñ ä´Œ ËÃÍ× ÍÒ¨¡ÅÒ‹ Çä´ÇŒ Ò‹ ¡ÒûÃоĵ»Ô ¯ºÔ µÑ µÔ ¹ ¢Í§¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹Â‹ÍÁÊ‹§¼Å¡Ãзºµ‹Í¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò • เดือนนีน้ กั เรียนไปวัดประมาณกคี่ รง้ั äÁÇ‹ Ò‹ ¨Ð·Ò§µÃ§ËÃ×Í·Ò§ÍŒÍÁ ´Ñ§¹éѹ ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹·Õ´è Õ และไปทาํ อะไร ¨Ö§ÁÕ˹ŒÒ·Õè·íҹغíÒÃØ§¾Ãоط¸ÈÒʹÒãËŒà¨ÃÔÞÁè¹Ñ ¤§Ê×ºä» â´Â¡ÒÃËÁ¹èÑ È¡Ö ÉÒËÒ¤ÇÒÁÌ٠»¯ºÔ µÑ µÔ ÒÁËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹ • นักเรยี นเคยไปวดั พรอ มกนั ท้งั ครอบครัว áÅлÃСͺ¾Ô¸Õ¡ÃÃÁµ‹Ò§æ ã˶Œ ¡Ù µÍŒ §µÒÁ¾·Ø ¸ºÞÑ ÞµÑ Ô หรือไม • นกั เรยี นคดิ วา คนกลมุ ใดไปวัดมากท่ีสุด • นักเรียนคิดวาแตล ะวัดควรพฒั นาดา นใด มากทส่ี ดุ เพราะเหตุใด เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กิจกรรมการเรียนรเู พ่ือใหน กั เรียนสามารถปฏิบตั ิตนไดอ ยา ง เหมาะสมตอบคุ คลตางๆ และแสดงมารยาทของชาวพุทธทด่ี ี โดยครจู ดั การเรยี น การสอน ดังนี้ • ใหนกั เรยี นสืบคน ขอ มูลเก่ยี วกบั บทบาทของพระภกิ ษุในการเผยแผ พระพทุ ธศาสนา แลว ไปสมั ภาษณพ ระภกิ ษุเก่ยี วกับการเผยแผ พระพุทธศาสนาและการปฏิบตั ิตนในชวี ติ ประจาํ วัน • ครูใหนักเรียนคนหาขอมูลเก่ียวกับวธิ กี ารมสี ว นรว มในการเผยแผพระพทุ ธ- ศาสนา การเปน ลกู ท่ดี ีตามหลักทิศ 6 การเขา คายคุณธรรม การเขา รว ม พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา และการแสดงตนเปนพุทธมามกะ แลวเขา รวมพธิ กี รรม รวมถึงเขียนสรุปข้นั ตอนและประโยชนข องพธิ ีแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ • ครใู หนักเรียนศกึ ษามารยาทชาวพุทธ แลวเขียนสรุปความรูความเขา ใจ ตลอดจนสาธติ ระเบยี บพิธปี ฏิบตั ิตอ พระสงฆ คมู อื ครู 103

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage 1. ครใู หน กั เรียนดูภาพหนา 104 และต้งั คําถามวา ๑. หนา้ ท่ชี าวพทุ ธ พระสงฆแสดงธรรมอยูบนสิง่ ใด จากน้นั ครู นาํ ภาพธรรมาสนในลกั ษณะตา งๆ มาแสดง 1.1 การเขา้ ใจบทบาทของพระภกิ ษุในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ใหนักเรียนดู เชน ธรรมาสนส งิ หเทินบุษบก ธรรมาสนบ ษุ บก ธรรมาสน 8 เหล่ียม ธรรมาสน พระภิกษุเป็นผู้สละเหย้าเรือน สละความสุขทางโลกเพ่ือแสวงหาสัจธรรม หน้าท่ีส�าคัญของ ขาแขก ธรรมาสนหวาย เปน ตน พระภิกษุ กค็ ือ ศกึ ษาพระธรรมคา� สอนของพระพุทธองคใ์ ห้เข้าใจอยา่ งถอ่ งแท้ แล้วนา� มาเผยแผ่ แกม่ วลมนษุ ย์ เพอ่ื เป็นหนทางใหโ้ ลกไดพ้ บความสงบและสนั ตอิ ย่างแทจ้ ริง พระภกิ ษอุ าจเผยแผ่ 2. ครูต้งั คาํ ถามนกั เรียนวา พระศาสนาได้หลายทาง เช่น การแสดงธรรม การแสดงปาฐกถาธรรม การประพฤติตนให้เป็น • บทบาทหนา ท่ีของพระสงฆมีอะไรบา ง แบบอย่าง เปน็ ต้น เราชาวพุทธควรท�าความเข้าใจกับบทบาทของพระภิกษุตามสมควร ดังน้ี (แนวตอบ เชน ศึกษาพระธรรมคาํ สอน ทําวัตร เชา-เยน็ แสดงธรรม เปนผนู าํ ในการประกอบ ๑) การแสดงธรรม ปาฐกถาธรรม การแสดงธรรมนั้นเรียกเต็มๆ ว่า การแสดง ศาสนพธิ ี เปนแบบอยา งทด่ี ี เปนตน ) พระธรรมเทศนา หรือเรียกย่อๆ ว่า “เทศน์” มีทั้งเทศน์เด่ียว (เทศน์รูปเดียว) และเทศน์ปุจฉา สาํ รวจคน หา Explore แวิสตชั่โบนราาณ(เทศมนีระถ์ เาบมีย‑บตวอิธบีป)ฏติบัง้ ัตแิเตป่ ็น๒แบรูปบขอน้ึยไ่าปงโดกยารเฉแพสดาะงพครือะธรมรีกมาเรทอศานราานธ้เีนปาน็ ศรีล1ปู แอบาบราทธ่ที นา� ากธันรมรมา2 และผู้ฟังนั่งอย่างสงบเรียบร้อย ประนมมือ ตั้งใจฟัง ท่านผู้รู้กล่าวว่าการฟังเทศน์แบบน้ีเป็น ครใู หน กั เรยี นสบื คน ขอ มลู เก่ยี วกับบทบาทของ การรักษาศีล ฝึกสมาธิ และอบรมปัญญาไปในตัว สว่ นการแสดงปาฐกถาธรรม คือ การแสดงธรรม พระสงฆใ นการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ไดแ ก การ โดยใช้ภาษาธรรมดาที่สื่อความหมายได้ง่าย ตัดรูปแบบและพิธีกรรมอย่างที่ใช้ในการเทศน์ออก แสดงธรรม การปาฐกถาธรรม และการประพฤตติ น หมดสน้ิ ใหเ ปนแบบอยา ง จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ อินเทอรเ น็ต ฟงพระธรรมเทศนาที่วดั ท้ังน้ีในการแสดงธรรม และแสดงปาฐกถาธรรม พระภิกษุมีหน้าท่ีท่ีจะสร้างความรู้ เปนตน เพอื่ นาํ มาอภปิ รายและแลกเปลีย่ นความรู ความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับพระพุทธศาสนา แม้ว่าในบางคร้ังบางคนอาจไม่เล่ือมใสศรัทธาใน ในชัน้ เรียน พระพุทธศาสนา มิใช่เพราะพระพุทธศาสนา อธบิ ายความรู Explain สอนไม่ดี แต่เป็นเพราะไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด จึงเหมาเอาว่าพระพุทธศาสนานั้นไม่ดี ไม่น่า 1. ครูใหน ักเรียนจดั นิทรรศการประวัตแิ ละผลงาน เล่ือมใสศรัทธา ยกตัวอย่างเช่น กล่าวหาว่า ของพระภิกษทุ ีม่ เี กียรติคณุ และเปนแบบอยา ง พระพุทธศาสนาสอนหลักธรรมที่ขัดกับการ ทดี่ ใี นการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา เชน พทุ ธทาส พฒั นาคนและสงั คม เพราะพระพทุ ธศาสนาสอน ภิกขุ หลวงตามหาบัว พระไพศาล วิสาโล ใหก้ า� จดั ตณั หา (ความอยาก) โดยเขาใหเ้ หตุผล พระมหาวฒุ ชิ ยั วชริ เมธี พระมหาสมปอง เปน ตน ว่าการจะพัฒนาอะไรได้น้ัน ต้องเร้าให้คนเกิด ความอยาก เกิดความต้องการ เมื่อต้องการ 2. ครใู หน กั เรยี นไปฟง พระธรรมเทศนาทวี่ ดั ใกลบ า น มากๆ ก็จะกระท�าหรือพัฒนาตนมากขึ้นเอง นกั เรยี น โดยใหนกั เรยี นระบวุ าเปน การเทศน ดังน้ัน การที่พระพุทธศาสนาสอนให้มนุษย์ แบบใด เปนการแสดงธรรมหรือปาฐกถาธรรม พระภกิ ษสุ งฆเ์ ปน็ ผมู้ บี ทบาทอยา่ งสาำ คญั ในการแสดงธรรม ละความอยากก็เท่ากับสอนให้คนงอมืองอเท้า และมเี นอื้ หาสาระของหลกั ธรรมอยางไรบา ง แกพ่ ทุ ธศาสนกิ ชน ไม่สรา้ งสรรค์นนั่ เอง บนั ทกึ ลงในสมุด 104 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การแสดงธรรมและปาฐกถาธรรม มีความแตกตา งกันอยา งไร ครูกลาวเสริมนักเรียนวา ในการเผยแผศาสนาใหใชคําวา “เผยแผ” ไมใชคําวา แนวตอบ การแสดงธรรม คอื การกลาวถา ยทอดพระธรรมคําสอนของ “เผยแพร” และครตู งั้ คาํ ถามนกั เรยี นวา การเผยแผห ลกั ธรรมคาํ สอนซงึ่ เปน ภารกจิ หลกั พระพุทธเจา หรอื การเทศนาธรรมแกพ ทุ ธบรษิ ัททัง้ หลาย เพอ่ื เปนการรกั ษา ของพระสงฆน ้ัน มวี ตั ถุประสงคเพ่อื อะไร ใหนกั เรียนชว ยกันตอบคําถามในชนั้ เรียน ศลี ฝกสมาธิ และอบรมปญ ญา สวนปาฐกถาธรรมเปนการบรรยายธรรม ที่ไมตองมพี ิธกี ารเหมือนการแสดงธรรม เพียงแตจดั สถานทใี่ หเ หมาะสม นักเรียนควรรู เพอื่ ใหพ ระภิกษกุ ลา วปาฐกถาธรรมดว ยภาษาธรรมดา ตัดรปู แบบการเทศน ออกไป ท่สี าํ คัญ คือ การแสดงปาฐกถาธรรมสามารถแสดงใหเ หมาะสมกบั 1 อาราธนาศีล เปน การกลา วขอศลี แกพระภิกษุ เพือ่ ตง้ั จติ รักษาศลี ของตน เหตกุ ารณได ใหมีความบริสุทธ์ิ งดเวนจากการกระทําชั่วท้งั ปวง โดยกอ นการทาํ ศาสนพิธตี างๆ พระสงฆจะกลาวคําอาราธนาศลี เพือ่ ใหชาวพุทธรับศลี 5 การอาราธนาศลี จึงเหมอื นการสญั ญาหรือตง้ั ใจวา จะรกั ษาศลี 5 ในวันนนั้ 2 อาราธนาธรรม เปนการกลาวขอใหพระภิกษุแสดงธรรมใหฟง โดยกระทํา หลงั จากอาราธนาศลี และสมาทานศลี หรอื การรบั ศลี มาเปน หลกั ปฏบิ ตั เิ รยี บรอ ยแลว 104 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ใหไ้ ดว้ า่ ความพอรยะาสกงทฆเ่ี์ผรู้ทยี กี่มวีห่าน้า“ตทัณ่ีหหลักา1”ในนก้ันารเเผปยน็ แคผว่ธามรรโมลภะจแะลตะ้อทงจุ สราิตมาครนถทชี่อี้แยจางกใหด้เ้วกยิดอคา� วนาามจเคขว้าาใมจ 1. ครใู หน กั เรยี นชว ยกนั ยกตวั อยา งวา ความอยาก โลภและทจุ รติ ยอ่ มจะกระท�าการใดๆ เพอื่ ตนเองและสรา้ งความเดอื ดรอ้ นใหแ้ กส่ งั คมเปน็ อยา่ งมาก หรือตณั หาทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอนใหพยายาม ถ้าย่ิงเร้าให้คนเกิดความอยากชนิดนี้มากเท่าใด สังคมก็จะเต็มไปด้วยคนโลภ คนทุจริต คนท่ี ลดมากท่ีสดุ มีอะไรบาง และธรรมฉนั ทะหรือ เอารดั เอาเปรียบจนหาความสงบสุขไดย้ ากเท่านั้น ความอยาก (ตณั หา) อย่างนี้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ความอยากในทางสรางสรรคม อี ะไรบา ง สอนใหพ้ ยายามลดละใหม้ ากสดุ เทา่ ทจี่ ะทา� ได้ แตค่ วามอยากในทางสรา้ งสรรค์ เชน่ อยากทา� ความดี ใหน กั เรยี นยกตวั อยา ง 10 ขอ “อธยรารกมชฉว่ ันยเทหะ2ล”ือคคนนอทืน่ี่มีคอวยาามกอเรยยี านกหชนนงั ิดสนอื ี้เใปห็นม้ คคี นวาไมมร่โมู้ลภากๆไมเ่พทุจอื่ รจิตะออจกะไตปั้งรหบั นใช้าตช้ ้ังาตติาททา่�านงาเรนยี ดก้ววย่า ความขยนั หม่นั เพยี ร ด้วยความซือ่ สตั ยส์ ุจรติ ความอยากชนิดนเี้ ทา่ น้นั ทสี่ นับสนนุ ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ 2. ครแู ละนกั เรียนอภปิ รายถงึ หลกั ในการเผยแผ การพัฒนาอย่างแท้จริง สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ “พระพุทธศาสนาสอนให้ก�าจัดความอยาก พระธรรม และตง้ั คําถามวา ทีเ่ รยี กวา่ ตณั หา แตใ่ ห้พัฒนาความอยากทเี่ รียกวา่ ธรรมฉนั ทะ” • นักเรยี นคดิ วาพระสงฆท ีม่ กี ารประพฤตติ น เปน แบบอยางทดี่ ี ควรมลี กั ษณะอยางไร ๒) การประพฤติตนให้เป็นแบบอย่าง วิธีท่ีดีท่ีสุดวิธีหน่ึงในการเผยแผ่พระพุทธ และนกั เรียนจะนําการประพฤตเิ หลาน้ัน ไปประยกุ ตใชอ ยางไร ศาสนา คอื การประพฤตติ นใหเ้ ปน็ แบบอยา่ ง ผทู้ จ่ี ะเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไดน้ น้ั กอ่ นอน่ื ตวั เอง จะตอ้ งเปน็ พุทธศาสนกิ ชนทด่ี ี คอื ร้แู ละเขา้ ใจหลกั ธรรมถกู ตอ้ งและปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมนน้ั ด้วย 3. ในปจ จุบนั ไดมีการเสนอขาวเก่ยี วกับการทุจริต เหมือนครูสอนดนตรีต้องรู้และเข้าใจทฤษฎีดนตรี และต้องเล่นดนตรีให้ดีด้วย ถ้ารู้แต่ทฤษฎีแต่ คอรรปั ชนั การเบยี ดบังหาประโยชนใสตน ตวั เองเลน่ ดนตรไี มเ่ ปน็ จะสอนใหค้ นอน่ื เลน่ ไดอ้ ยา่ งไร คนทส่ี บู บหุ รม่ี วนตอ่ มวนจะสอนใหค้ นเลกิ มากข้ึน นักเรียนคดิ วา พระสงฆมบี ทบาท สูบบุหร่ไี ด้อย่างไร การท่พี ระพุทธศาสนาสอนให้คนลดและละความโลภ ความโกรธ ความหลง สําคญั อยางไรทจ่ี ะชว ยทาํ ใหป ญ หาเหลานี้ลด ใหห้ มดไปหรอื เหลอื นอ้ ยทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะทา� ไดน้ น้ั หากพระภกิ ษเุ องเตม็ ไปดว้ ยความโลภ ความโกรธ นอ ยลง ใหบ ันทึกคาํ ตอบลงในสมดุ ความหลงแลว้ จะสอนคนอน่ื ใหล้ ดละไดอ้ ยา่ งไร หากพระสงฆม์ คี วามเปน็ อยอู่ ยา่ งฟมุ่ เฟอื ย หรหู รา จะสอนใหช้ าวบา้ นมคี วามเปน็ อยอู่ ยา่ งเรยี บงา่ ยไดอ้ ยา่ งไร ขยายความเขา ใจ Expand เร่ืองนา่ รู้ ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาและบนั ทกึ ขอมลู จาก การสนทนาธรรมกบั พระภิกษเุ กี่ยวกบั การเผยแผ พระพทุ ธศาสนาและการปฏบิ ตั ติ นในชวี ติ ประจาํ วนั ของพระภกิ ษุ ลงในกระดาษ A4 แลว นาํ สง ครผู สู อน อปุ ปถกริ ยิ า ตรวจสอบผล Evaluate อ1ุป. ปอถนกาิรจยิ าาร3 คคืออื กกาารรกปรระะทพาำ ฤนตอิทก่ีไรมตี ด่ นี อไมกง่ราอมยขไอมง่เพหรมะาภะิกสษมสุ แากมภ่ เณาวระข๓อปงครวะากมาเรปดน็ ังบนรี้ รพชติ ซึง่ มี ๓ อยา่ ง คอื ตรวจสอบจากบันทกึ ขอ มลู การสนทนาธรรม การเลน่ เหมอื นเด็ก การร้อยดอกไม้ การเรยี นดริ จั ฉานวชิ า เช่น การทำานายฝนั การทายหวย การทำาเสนห่ ์ ดูลายมอื กบั พระภกิ ษเุ กี่ยวกับการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา เป็นต้น และการปฏบิ ัตติ นในชวี ิตประจําวนั 2. บาปสมาจาร คอื ความประพฤตเิ หลวไหล เลวทราม เชน่ ชอบประจบคฤหสั ถด์ ว้ ยอาการอนั ไมเ่ หมาะสม ตนเองเป3็น. พอรเนะอสรนยิ 4าะ คือ การหาเล้ยี งชพี ในทางท่ไี ม่เหมาะสมกบั ความเป็นภกิ ษุ ผิดสมณวสิ ยั เชน่ การหลอกลวงวา่ เปน็ พระโสดาบัน เปน็ พระอรหันต์ เปน็ ตน้ เพื่อหวงั ลาภสักการะ 105 กิจกรรมทา ทาย นกั เรยี นควรรู ครใู หน ักเรยี นจับสลากเลอื กหัวขอหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา เชน 1 ตัณหา แบงออกเปน 3 ประเภท ไดแ ก กามตณั หา คอื ความอยากหรอื ยนิ ดี อธปิ ไตย 3 อริยสจั 4 พรหมวหิ าร 4 สงั คหวัตถุ 4 สาราณียธรรม 6 ในกามคุณ 5 อยา ง คอื รปู รส กลนิ่ เสียง โผฏฐพั พะ (สงิ่ ทีก่ ายสมั ผสั ) ภวตัณหา อบายมุข 6 โพชฌงค 7 อริยทรพั ย 7 โลกธรรม 8 เปนตน แลวใหออกมา คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อไดส งิ่ น้นั มาแลว ไมตองการใหม ันเปล่ียนแปลง อธบิ ายพอสงั เขป โดยใชหลกั การการเผยแผพ ระพุทธศาสนาทีถ่ กู ตองและ วภิ วตณั หา คอื ความไมอ ยากทางจติ ความอยากดบั สญู ดว ยเหตนุ ้ี ชาวพทุ ธจงึ ควร เหมาะสม เจริญมรรค 8 หรือหนทางแหง ความดับทกุ ขตามหลกั อรยิ สจั 4 เพื่อละตัณหา 3 ประเภทน้ี 2 ธรรมฉนั ทะ คือ ความอยากในทางสรา งสรรคตามวถิ ชี าวพุทธ 3 อนาจาร คาํ วา “อนาจาร” ในที่นจ้ี ะแตกตา งจากความหมายทางโลก ซ่งึ แปล วา พฤตกิ รรมหรอื กริ ยิ าอาการทแ่ี สดงถงึ ความนา รงั เกยี จและนา อบั อายของบคุ คลใด บุคคลหนึง่ แตคําวา “อนาจาร” ของพระภิกษุ คอื การประพฤติไมดีและไมควร 4 อรยิ ะ หมายถงึ เจริญ ประเสริฐ บุคคลผูบรรลธุ รรมวเิ ศษ คมู อื ครู 105

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครถู ามนกั เรียนวา พระภิกษุมหี นา้ ทีท่ จี่ ะท�าให้ช1าวบ้านเหน็ วา่ การมีชีวติ ตามท่พี ระพทุ ธองค์ทรงสอนนนั้ • นักเรยี นเคยมีบทบาทในการเผยแผพ ระธรรม เตป้อน็ งไมปีชไีวดิต้ หเรลียกั บคง�า่าสยอนพนึ่งนั้ เเพป3ียน็ งนปาัจมจธัยรรม๔2กเาลร้ียปงฏชบิ ีพัตนิ ไน้ัมเ่สหะ็นสไมดท้เปร็นัพรยปู ์สธินรเรงมินทพอระงภกิไมษ่ยุนึด้ันตอิดยใา่ นงนลา้อภย สกั การะ มเี มตตา ไม่พยาบาท ไม่คดิ รา้ ยตอ่ ผู้อ่นื เป็นต้น คําสอนหรือไม และนักเรยี นเคยแสดงตนหรือ เขารวมพธิ กี รรมท่ีแสดงใหเ หน็ วาตนเองเปน ชาวพุทธทแ่ี ทจรงิ หรอื ไม อยา งไรบาง สาํ รวจคน หา Explore พระภกิ ษทุ ป่ี ฏบิ ตั ดิ ี และปฏบิ ตั ชิ อบ อาจเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไดด้ โี ดยไมต่ อ้ งสอน 1. ครูใหน ักเรยี นคนหาขอมูลเกีย่ วกับวิธกี ารมี หลักธรรมดว้ ยวาจาเลยก็ได้ สว นรวมในการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา และ การเขา รวมกิจกรรมหรือพิธกี รรมตา งๆ 1.2 ก ารฝก บทบาทของตน ทางพระพุทธศาสนา จากแหลงการเรยี นรูตางๆ ในการช่วยเผยแผ่ เชน หอ งสมดุ อินเทอรเ น็ต เปนตน พระพทุ ธศาสนา 2. ครูใหนักเรียนศึกษาและดภู าพประกอบจาก พระสงฆ์มีบทบาทหน้าท่ีโดยตรงในการ หนังสือเรยี นหนา 106-114 เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา สว่ นชาวบา้ นทว่ั ไปหรอื แมแ้ ตต่ วั นกั เรยี นเองกม็ ภี ารกจิ ทางโลกทต่ี อ้ งทา� อาจไม่มีเวลาหรือความรู้มากพอที่จะเผยแผ่ อธบิ ายความรู Explain หนา้ ทส่ี าำ คญั ประการหนง่ึ ของพระสงฆ์ คอื การประพฤตติ น แตห่ ากมโี อกาสเหมาะสมในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เป็นแบบอยา่ งท่ีดีแกพ่ ุทธศาสนิกชน 1. ครูใหน กั เรยี นสํารวจตัวเองวา นกั เรยี นสามารถ ก็ควรท�าหนา้ ทนี่ เี้ ทา่ ท่สี ามารถจะท�าได้ ดงั นี้ ชวยในการเผยแผพระพุทธศาสนาได ๑) การบรรยายธรรม เมื่อได้ยินค�าว่าบรรยาย คนท่ัวไปอาจนึกถึงห้องใหญ่ๆ อยา งไรบา ง และนาํ ประเดน็ คําถามน้ีมา บรรจุคนได้เป็นร้อยหรือพัน แล้วก็มีคนที่อยู่บนเวทีบรรยาย แต่จริงๆ แล้ว การบรรยายอาจมี อภปิ รายในช้นั เรยี น คนฟังไม่ถึงสิบคนก็ได้ ห้องก็อาจไม่ใหญ่โต อาจไม่มีเวที มีแต่เพียงโต๊ะและเก้าอ้ีธรรมดา และ การบรรยายก็เป็นแค่เพียงการฝึกบรรยายเท่านั้น เพราะนักเรียนยังขาดความรู้และประสบการณ์ 2. ครใู หนกั เรียนศึกษาการใหทานประเภทตา งๆ คงไปบรรยายเตม็ รปู แบบไมไ่ ด้ หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาบางเรอ่ื งกล็ กึ ซง้ึ เขา้ ใจยาก มแี งม่ มุ และวเิ คราะหค าํ กลา วทวี่ า “การใหธ รรมเปน ทาน ในการมองหลายด้าน ผ้ทู ี่มคี วามรู้ไม่พออาจอธบิ ายผิดและท�าให้คนอน่ื เข้าใจผิดได้ ชนะการใหท ้ังปวง” นักเรยี นเห็นดวยกบั ในการบรรยายเพื่อเผยแผพ่ ระศาสนาน้ัน มีข้อควรคา� นึง ดังน้ี คาํ กลา วนหี้ รอื ไม เพราะเหตใุ ด ๑. อยา่ ดหู มนิ่ ศาสนาอื่น ไม่ว่าโดยตรงหรอื โดยอ้อม ศาสนานนั้ เป็นที่สักการบชู า ของศาสนกิ ชนในศาสนานั้นๆ เราควรให้เกียรติและเคารพซ่งึ กนั และกนั 3. ครนู ําสนทนาเร่อื งการบรรยายธรรม และตัง้ ๒. ตอ้ งดกู าลเทศะทเ่ี หมาะสม ไมบ่ รรยายหรอื อธบิ ายพรา่� เพรอ่ื ไปในงานพธิ กี รรม คาํ ถามวา ของศาสนาอ่นื ไมค่ วรพูดถงึ แตศ่ าสนาของตน เปน็ ต้น • การบรรยายธรรมทถี่ ูกตอ งควรคาํ นงึ ถึง ๓. ในการบรรยาย เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนาอื่น ควรแยกให้ออกว่าอะไรเป็น เรือ่ งใดบาง เพราะเหตใุ ด ข้อเท็จจรงิ อะไรเปน็ ความเห็น ผทู้ ี่รู้น้อยควรหลกี เลี่ยงการเปรียบเทียบ (แนวตอบ อยา ดหู มนิ่ และเปรยี บเทยี บกบั ศาสนา อน่ื เพราะศาสนานนั้ เปน ทเ่ี คารพบชู าของกลมุ คน 106 ทน่ี บั ถอื ศาสนานนั้ จงึ ควรใหเ กยี รตซิ งึ่ กนั และกนั รวมถึงดกู าลเทศะท่เี หมาะสม ไมพูดบรรยาย พร่าํ เพรอื่ ถกู สถานท่ี และถกู เวลา) นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET 1 นามธรรม หมายถงึ สง่ิ ทไ่ี มม ีรปู เพราะรไู มไดทางตา หู จมกู ลน้ิ กาย ขอใดกลาวถงึ หลักปฏิบัตใิ นการบรรยายธรรมไม ถกู ตอง แตรไู ดเฉพาะทางใจเทาน้นั มักใชคกู บั รูปธรรม 1. พาดพงิ ศาสนาอื่นเทาทจ่ี าํ เปน 2 ปจ จัย 4 ของพระภิกษุเรียกวา “จตุปจ จัย” เหมอื นกับปจจัย 4 ของฆราวาส 2. มงุ ประโยชนข องผูฟงเปน ท่ตี ัง้ ไดแ ก จีวร (เครอ่ื งนุงหม) บิณฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ท่ีอยอู าศยั ) และคลิ าน 3. บรรยายไปตามลําดบั ความยากงา ย เภสัช (ยารักษาโรค) 4. ขยายความดวยเหตผุ ลและยกตัวอยา งประกอบ 3 ไมพ ยาบาท หรืออพยาบาท คือ ความไมพยาบาทปองรายเขา การแผเมตตา ใหผูอ ื่นมคี วามสขุ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะหลักปฏบิ ัตใิ นการบรรยายธรรม คือ ไมค วรดหู มิน่ ไมว า ทางตรงหรือทางออม หรือกลา วเปรยี บเทียบกับศาสนาอน่ื เพราะเปนการไมใ หเกยี รติและไมคาํ นงึ ถงึ ศาสนสมั พันธกบั บคุ คลตา งศาสนา ซ่งึ เราควรเขา ใจหลกั ศาสนาอ่ืนๆ เพอื่ การอยูรว มกนั อยางสงบสุข 106 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๒) การจัดนิทรรศการ1 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นักเรียนหรือคนทั่วไป 1. ครใู หนกั เรียนชว ยกนั ตอบคาํ ถามวา นักเรยี น เคยเห็นการจดั นทิ รรศการเผยแผพระพทุ ธ- อาจท�าได้อีกวิธีหนึ่ง คือ การจัดนิทรรศการ การเผยแพร่ความรู้โดยการแสดงธรรม การแสดง ศาสนาทใี่ ดบาง และชว งเวลาใด ปาฐกถาธรรม หรือการบรรยายธรรมน้ันใช้ค�าพูดหรือเสียงเป็นสื่อ ซึ่งก็เป็นวิธีธรรมชาติท่ีดี (แนวตอบ วัด สนามหลวง โรงเรียน พิพธิ ภัณฑ วิธีหนึ่ง แต่ถ้าใช้อวัยวะอ่ืนรับรู้ด้วยก็จะดียิ่งข้ึน การรับรู้ด้วยหูเพียงอย่างเดียวอาจจ�าได้ไม่นาน ในชวงวันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา) แต่ถ้าเห็นด้วยตาด้วย คนเราก็จะเข้าใจชัดขึ้นและจ�าได้ดีข้ึน การจัดนิทรรศการมีการใช้รูปภาพ ประกอบเป็นสือ่ ทเี่ พมิ่ เขา้ มาอกี อย่างหน่งึ น่าจะเพิ่มประสทิ ธิภาพในการเผยแผศ่ าสนาได้มากขึ้น 2. ครตู ั้งคําถามใหนกั เรยี นชวยกันตอบวา • การจดั นิทรรศการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา สิ่งที่น�ามาแสดงในการจัดนิทรรศการเพ่ือเผยแผ่พระพุทธศาสนาอาจมีท้ังหนังสือ ทดี่ ีและดึงดูดความสนใจ ควรจัดอยางไร บทความ ภาพถ่าย โปสเตอร์ ในงานนิทรรศการอาจมบี รกิ ารถามตอบในเรอื่ งของพระพทุ ธศาสนา (แนวตอบ เชน ใชรูปภาพเปนสอ่ื ประกอบ ดว้ ยกไ็ ด้ ปจั จบุ นั คนทว่ั ไปตอ้ งใชเ้ วลาในการทา� มาหากนิ มาก ไมม่ เี วลาอา่ นหนงั สอื หรอื เดนิ ทางไป บรกิ ารถามตอบในเรอื่ งพระพทุ ธศาสนา แจก ฟงั ธรรม การจดั นทิ รรศการจะชว่ ยใหค้ นเหลา่ นี้ใชเ้ วลานอ้ ยแตไ่ ดร้ บั รเู้ นอื้ หามาก อนงึ่ นทิ รรศการ แผน พบั หนงั สือ ของท่รี ะลกึ ฉายวีดิทศั น สามารถดงึ ดดู คนไดม้ ากกวา่ การบรรยายหรอื การแสดงปาฐกถา หรอื ถา้ มกี ารจดั นทิ รรศการประกอบ ทํากจิ กรรมตอบคาํ ถาม เปน ตน) กับการบรรยาย หรือการแสดงปาฐกถาก็ยิง่ ดี 3. ครูใหนกั เรียนเขารว มนทิ รรศการหรอื ฟง การ การจัดนิทรรศการมีส่วนดีหลายอย่าง แต่ก็มีจุดอ่อน การท่ีจะให้คนเข้าใจหลักธรรม บรรยายธรรมเน่อื งในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธ- ทคี่ อ่ นขา้ งยากและลกึ ซงึ้ โดยการจดั นทิ รรศการนนั้ เปน็ ไปไดย้ าก เพราะเรอื่ งเหลา่ นต้ี อ้ งใชค้ วามคดิ ศาสนา และบนั ทึกความรูพอสังเขป ต้องอา่ น ฟัง หรือสนทนากันอยา่ งเป็นกิจจะลกั ษณะ แต่ถา้ เปน็ เร่อื งที่ไม่ใช้ความคิดมากนกั หรือ เป็นเรอื่ งรปู ธรรม เชน่ พทุ ธประวตั ิ เหตุการณส์ า� คญั ในพระพุทธศาสนา การจดั นิทรรศการจะได้ 4. ครใู หนกั เรียนทํากิจกรรมที่ 5.1 จากแบบวดั ฯ ผลมากกว่า นอกจากน้ัน การจัดนิทรรศการอาจช่วยให้ผู้ท่ีรู้จักพระพุทธศาสนาน้อยมากหรือ พระพทุ ธศาสนา ม.2 ไม่ร้เู ลยมาสนใจและอยากรูจ้ กั พระพทุ ธศาสนา เกิดความสนใจในพระพทุ ธศาสนามากขึน้ ได้ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ พระพุทธศาสนา ม.2 กิจกรรมท่ี 5.1 หนว ยที่ 5 หนาท่ีชาวพทุ ธและมารยาทชาวพุทธ กิจกรรมตามตวั ชว้ี ดั กจิ กรรมท่ี ๕.๑ ใหนักเรียนศึกษาหนาท่ีชาวพุทธแลววงกลมหนาคํา คะแนนเตม็ คะแนนที่ได หรอื ขอ ความที่ไมม คี วามสมั พนั ธก บั ขอ ความดา นซา ยมอื ñð (ส ๑.๒ ม.๒/๑) ๑. หนา ทีส่ าํ คญั ก. ศึกษาคาํ สอน ข. แสดงธรรม- ค. แสดงปาฏิหาริย ง. ประพฤติตน ของพระภิกษุ ของพระพทุ ธเจา เทศนา เปนแบบอยาง ๒. แสดงธรรม ก. อาราธนาศลี ข. อาราธนาธรรม ค. อาราธนา ง. เทศนป ุจฉา- พระรัตนตรยั วิสัชนา ๓. ปาฐกถาธรรม ก. เทศนเ ดย่ี ว ข. เผยแผห ลกั ธรรม ค. ใชภาษาธรรมดา ง. ไมส อน ใหก วา งขวางใน ทีส่ ่อื ความหมาย นอกเหนอื หมูชน ไดง าย คาํ สอนของ พระพุทธเจา ๔. เผยแผ ก. เปน หนาท่ี ข. รแู ละเขา ใจ ค. ปฏบิ ตั ติ าม ง. ตอ งจําหลัก พระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ี หลักธรรม หลักธรรม คําสอนไดอ ยา ง ถูกตอง คําสอนได แมน ยําทส่ี ุด ๕. บรรยายธรรม ก. ตอ งมีคนฟง ข. ไมดหู มิ่น ค. ไมบ รรยายธรรม ง. หลกี เลี่ยง อยา งนอ ย ๑๐ คน ศาสนาอื่น พรา่ํ เพร่ือไปในงาน การเปรยี บเทยี บ ข้นึ ไป ไมว าโดยตรง พธิ กี รรมของศาสนา กับศาสนาอนื่ เฉฉบลบั ย หรอื ออม อนื่ ๖. จดั นิทรรศการ ก. การเผยแผค วามรู ข. มบี รกิ ารถาม ค. ใชร ปู ภาพและหนุ ง. คน คดิ การ โดยการแสดงธรรม ตอบในเร่อื งของ ประกอบแทนคาํ พดู เผยแผศาสนาที่ พระพทุ ธศาสนา แปลกใหมไ มซ า้ํ แบบใคร ๗. ทิศ ๖ ก. พอ แม ข. สามี ภรรยา ลูก ค. เหนอื ใต ตะวนั ออก ง. ลูกจา ง นายจาง ครูอาจารย ตะวันตก อสี าน เพอื่ นรว มทกุ ข กลาง รว มสขุ การจดั นทิ รรศการทางพระพทุ ธศาสนา โดยใชร้ ปู ภาพและหนุ่ จาำ ลองประกอบ จะชว่ ยดงึ ดดู ความสนใจ และสรา้ งความเขา้ ใจ ใหแ้ ก่ผเู้ ยยี่ มชมมากยิ่งขึ้น ๘. หลักเกณฑการ ก. มคี วามภาคภมู ิใจ ข. ถกู ตอ งตาม ค. ประหยัดและคาํ นึง ง. มคี วามเหมาะสม เขารวมพธิ กี รรม หลักทาง ถงึ ประโยชน กับธรรมเนียม 107 ทางพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนา ประเพณี ๙. แสดงตนเปน ก. ประกาศตนวา เปน ข. เกิดขึ้นในสมัย ค. อบุ าสกผปู ฏญิ านตน ง. อบุ าสกิ าท่เี ปน พทุ ธมามกะ ผยู อมรบั นบั ถือ พุทธกาลในวินัย เปน พุทธมามกะ พทุ ธมามกะ พระพทุ ธเจา ปฎกมหาวรรค คนแรกคอื พระยสะ คแู รก คอื มารดา เลม ๔ และภรรยาเกา ของพระยสะ ๑๐. หนาท่ขี อง ก. ศกึ ษาความรู ข. ปฏบิ ตั ิตามหลกั - ค. ชกั ชวนใหบุคคล ง. ปกปอ ง ชาวพุทธ เกย่ี วกบั หลกั ธรรม ธรรมและประเพณี ที่อยูใกลเคียงใหม า พระพุทธศานา คาํ สอนของ พิธกี รรมทาง สนใจนบั ถอื ไมใหเสอื่ มหรอื พระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนา ถูกทาํ ลาย ๔๓ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกร็ดแนะครู ในฐานะทนี่ กั เรยี นเปนคนไทยสามารถมสี ว นชว ยสบื ทอดพระพทุ ธศาสนาได ครคู วรจัดกิจกรรมโดยพานกั เรียนไปดูนทิ รรศการหรอื ฟง การบรรยายธรรม อยา งไร เน่ืองในวันสาํ คัญทางพระพุทธศาสนา เชน วนั มาฆบชู า วันวิสาขบชู า วันอาสาฬหบูชา วนั เขา พรรษา วันออกพรรษา เปน ตน 1. บวชเณรหรือบวชชีพราหมณ 2. เปนอาสาสมคั รออกเผยแผพ ระพุทธศาสนา นักเรยี นควรรู 3. พิมพเผยแผตาํ ราทางพระพทุ ธศาสนาใหหลากหลายภาษา 4. ศกึ ษาคําสอนทางพระพทุ ธศาสนาใหถ อ งแทแ ละนาํ ไปปฏิบัติเพอื่ เปน แบบอยา งแกผอู น่ื วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ศกึ ษาคาํ สอนของพระพุทธเจาเพอ่ื นําไปเปน 1 นทิ รรศการ (Exhibition) คอื การจดั กจิ กรรมตางๆ เพื่อนําเสนอขอมลู วดี ทิ ัศน ภาพ และเสียง โดยมีกาํ หนดการ หลักการและเหตผุ ล วตั ถุประสงค แบบอยา งแกผอู ืน่ หรือเผยแผเ ปนธรรมทาน โดยสอนใหผูอน่ื ปฏิบตั ิตาม และหนว ยงานทร่ี ับผิดชอบแนน อน เพอ่ื สรา งความเขาใจแกผ ทู สี่ นใจ คําสอนของพระพทุ ธเจา ซง่ึ เปน วิธหี น่ึงทจี่ ะชว ยสืบทอดพระพทุ ธศาสนา ใหคนทว่ั ไปตระหนกั และเขาใจพระธรรมคาํ สอนมากยงิ่ ข้นึ การจัดนิทรรศการทางพระพุทธศาสนาเปนการนําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกบั พทุ ธประวตั ิ หลักธรรมคําสอน วันสําคัญตางๆ การปฏบิ ตั ติ นของชาวพทุ ธ เปน ตน คูมือครู 107

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครใู หนักเรยี นศกึ ษาและชวยกันสรปุ หลักธรรม 1.3 การเปน็ ลกู ที่ดตี ามหลกั ทิศ 6 (ทศิ เบ้ืองหนา้ ) ทิศ 6 ในรูปแบบของผังความคิด โดยสมุ ตัวแทนนกั เรยี นออกมาเขียนบนกระดาน ค�าว่า “ทิศ” ในทางพระพุทธศาสนา เป็นนัยเปรียบเทียบถึงบุคคลประเภทต่างๆ ที่สัมพันธ์ หนาชั้น เกยี่ วข้องในสังคม มไิ ด้หมายถึง ทศิ ทางด้านภมู ิศาสตร์ “ทศิ ๖1” ถือเปน็ หลักธรรมทีจ่ ะกอ่ ให้เกิด ความสมานฉนั ท์ และการเกอ้ื กลู กนั ระหวา่ งบคุ คล 2. ครทู บทวนความรเู กย่ี วกับทิศ 6 วา ในชนั้ ม.1 ตา่ งๆ เพอ่ื จะไดเ้ ปน็ บตุ รธดิ าและเปน็ บดิ ามารดา นักเรยี นเคยเรยี นหลกั ธรรมทิศ 6 เกี่ยวกับ ท่ีดี เป็นศิษย์และเป็นครูอาจารย์ท่ีดี เป็นมิตร การปฏบิ ตั ติ นอยางเหมาะสมตอ เพ่ือนตามหลกั สหายท่ีดี เปน็ สามีและภรรยาทด่ี ี เป็นนายจา้ ง พระพุทธศาสนา จากนั้นครูตัง้ คําถามเกยี่ วกบั และลูกจ้างที่ดี และเป็นพุทธศาสนกิ ชนทดี่ ี ทิศเบอื้ งหนา ไดแก บิดามารดา วา ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะทิศเบ้ืองหน้า • ทศิ เบ้อื งหนา มคี วามสําคัญกบั ชวี ิตของ ซึง่ มสี าระสา� คญั ดังน้ี นักเรียนอยางไร ทิศเบ้ืองหน้า (ปุรัตถิมทิศหรือทิศตะวัน (แนวตอบ ทิศเบ้อื งหนา ไดแก บิดามารดา ออก) ไดแ้ ก่ บิดามารดา ซง่ึ ถอื ว่าท่านทัง้ สอง คอื ผใู หกําเนิดชวี ิต ผอู บรมสั่งสอน ผูให เป็นผู้ที่มีอุปการคุณแก่เราอย่างสูงท่ีสุด ท่าน คําปรกึ ษา ใหการศกึ ษา เล้ียงดบู ตุ ร และมอบ เป็นบุรพเทพ คือ เป็นเทวดาองค์แรกของลูก ทรัพยส มบตั เิ มื่อถึงเวลาอันควร เพราะฉะน้นั และเป็นบุรพาจารย์ คือ เป็นอาจารย์คนแรก บิดามารดาจึงเปน ทพ่ี ึ่งสูงสุด) บิดามารดาพึงหาคคู่ รองทีเ่ หมาะสมใหแ้ ก่บตุ ร ของลูก • ตามหลักทศิ 6 นักเรยี นสมควรปฏบิ ตั ติ นตอ บิดามารดาอยา งไร ตารางแสดงการปฏิบัติตนเพื่อเปน็ ลูกทด่ี ีตามหลักทศิ ๖ (แนวตอบ กตัญกู ตเวที เช่ือฟง ทาน เล้ยี งดู ทานตอบ ชวยทําธรุ ะ ประพฤตติ นให บิดามารดาปฏิบตั ติ ่อบุตรธิดา บุตรธดิ าปฏิบตั ติ อ่ บดิ ามารดา เหมาะสม ทาํ ใหบ ดิ ามารดาภูมิใจ) บดิ ามารดายอ่ มจะอนเุ คราะหแ์ ละสงเคราะหบ์ ตุ รธดิ า บุตรธิดาก็สมควรปฏิบัติตนต่อบิดามารดาด้วยสถาน 3. ครูยกคาํ กลอนทว่ี า “เมื่อแกเฒาหมายเจาชว ย ด้วยสถาน ๕ ดงั นี้ ๕ ดงั นี้ รบั ใช เมื่อเจบ็ ไขหมายเจาเฝารักษา เม่ือยาม ๑. หา้ มปรามมิใหท้ �าช่วั ๑. ท่านเลย้ี งดเู ราแลว้ เราตอ้ งเล้ียงดู ถงึ วนั ตายวายชวี า หวงั ลูกชวยปดตาเมือ่ ส้นิ ใจ” ๒. อบรมใหต้ ั้งอยู่ในความดี ท่านตอบ ใหนกั เรียนบรรยายความรูสกึ ของตนเองตาม ๓. ใหก้ ารศึกษาเลา่ เรยี น ๒. ชว่ ยท�าธุระของท่าน ความหมายของบทกลอนนี้ ๔. หาคู่ครองที่เหมาะสมให้ ๓. ดา� รงวงศส์ กลุ ๕. มอบทรัพยส์ มบัติให้เมื่อถงึ โอกาสอนั ควร ๔. ประพฤติตนให้เหมาะสมกบั ความเป็น 4. ครใู หน กั เรยี นวเิ คราะหค าํ กลา วทวี่ า “บดิ ามารดา ทายาท พงึ หาคคู รองที่เหมาะสมใหแ กบ ุตร” นักเรียน ๕. เม่ือทา่ นล่วงลบั ไปแล้ว ทา� บุญอทุ ศิ เหน็ ดว ยกับคาํ กลา วนี้หรือไม เพราะเหตุใด ส่วนกศุ ลใหท้ า่ น 108 นักเรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ทศิ 6 หมายถงึ บุคคลตางๆ ทีม่ คี วามเกีย่ วของสัมพันธก ันและมีหนา ที่ทพ่ี งึ ครมู อบหมายใหนักเรยี นสาํ รวจตนเอง วา เคยทําใหบ ิดามารดาเสียใจ ปฏิบัติตอ กัน ดงั นี้ หรอื โกรธเรอ่ื งใด แลว เขยี นลงกระดาษ A4 พรอ มท้ังบอกถึงวธิ ีการแกไข ปรับปรงุ พฤตกิ รรมนั้นๆ ดว ย สงครูผสู อน • ทิศเบอ้ื งหนา ไดแ ก บดิ ามารดา หมายถงึ หนาท่ีของบดิ ามารดาและบตุ ร ท่พี งึ ปฏบิ ัตติ อกัน กิจกรรมทาทาย • ทศิ เบื้องหลงั ไดแ ก สามีภรรยา หมายถึง หนาท่ีของสามแี ละภรรยา ครูมอบหมายใหนกั เรียนเขยี นเรียงความ 1 หนากระดาษ หวั ขอ ทพ่ี ึงปฏิบตั ิตอกนั “พระคณุ ของบดิ ามารดาและการปฏบิ ตั ิตนทีเ่ หมาะสม” โดยใหน ักเรียน เขียนบรรยายถึงบิดามารดาหรือบุคคลทน่ี กั เรียนเคารพรักและการตอบแทน • ทศิ เบอ้ื งขวา ไดแ ก ครอู าจารย หมายถึง หนา ทีข่ องครอู าจารยแ ละ พระคุณของทาน แลว นําสง ครผู สู อน ลูกศิษยท พี่ งึ ปฏบิ ตั ิตอ กัน • ทิศเบอ้ื งซาย ไดแ ก เพื่อน หมายถึง หนา ที่ของเพอื่ นที่พึงปฏบิ ตั ติ อ กนั • ทิศเบ้ืองบน ไดแก พระสงฆ หมายถงึ หนาทีข่ องพระสงฆและฆราวาส ทพ่ี งึ ปฏบิ ัติตอ กัน • ทศิ เบื้องลาง ไดแ ก ผูใตบงั คบั บญั ชา หมายถงึ หนาท่ขี องคนรบั ใชและ ผบู งั คับบญั ชาทีพ่ ึงปฏิบัติตอกนั 108 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๑.๔ การเข้าคา่ ยคณุ ธรรม1 1. ครใู หนักเรยี นทาํ แผน กระดานขาวคา ย สภาพสังคมในปจั จุบนั เตม็ ไปดว้ ยปญั หาต่างๆ มากมาย ทง้ั ปัญหาแหลง่ เสื่อมโทรม ปญั หา คุณธรรม แลวใหน กั เรียนแตละคนหรือผูทมี่ ี โสเภณี ปัญหาแรงงาน ปัญหาเยาวชน ปัญหาเศรษฐกจิ ปญั หาสภาวะแวดลอ้ มเปน็ พษิ ปญั หา ประสบการณและเคยเขาคา ยคณุ ธรรมมาแลว ความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง ปัญหา เขียนแสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกับส่ิงทไ่ี ดจ าก อาชญากรรม ปัญหายาเสพตดิ ซึง่ ปญั หาต่างๆ การไปเขา รว ม แลวนําไปตดิ บนกระดานขา ว เหล่าน้ีล้วนเกดิ จากความเหน็ แก่ตวั การเอารัด เอาเปรียบ การขาดคณุ ธรรม ซึ่งสง่ ผลให้สังคม 2. ครูใหน ักเรียนเขา รวมโครงการปฏบิ ตั ิธรรม เส่อื มโทรม ไม่สงบสขุ ระยะส้นั หรอื เขาคายพุทธบุตรทีท่ างโรงเรยี น การแก้ปญั หาทางหน่ึง กค็ ือ การปลูกฝัง จัดข้ึน แลวทาํ บันทึกการเขารว มกจิ กรรม คุณธรรม จริยธรรม ให้แกเ่ ดก็ หรอื เยาวชนซง่ึ นาํ สง ครูผูสอน เปน็ วยั รนุ่ ทก่ี า� ลงั สดใส ตืน่ ตัว เต็มไปด้วยพลัง ทางกาย พลงั ทางความคดิ และพลงั สตปิ ัญญา 3. ครเู กรน่ิ นําถงึ การเขาคา ยคุณธรรม และตงั้ ถ้าเยาวชนเหล่าน้ีได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธ ี คําถามวา อย่างมีระบบแบบแผน เยาวชนก็จะเป็นก�าลัง • การเขา คา ยคณุ ธรรม มีประโยชนใน ส�าคัญในการพัฒนาชาติ แต่ในขณะเดียวกัน การพฒั นาคณุ ธรรมของเยาวชนอยางไร หากเยาวชนไดร้ บั การพฒั นาไมถ่ กู วธิ ี ขาดระบบ การเข้าค่ายคุณธรรมเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม (แนวตอบ การเขา คา ยคุณธรรม คอื การ แบบแผนทีด่ ีพอ เยาวชนกจ็ ะเป็นปญั หาสา� คญั ให้แกเ่ ยาวชน เพ่อื ใหเ้ ตบิ โตเปน็ ผใู้ หญ่ที่มคี ุณภาพ ปลูกฝง คุณธรรมและจรยิ ธรรมใหเ ยาวชน ซงึ่ เปน วัยท่ีเตม็ ไปดว ยพลังแหง ความคดิ ของชาติเช่นเดียวกัน ดงั น้นั จึงจ�าเป็นทจี่ ะต้องหาวธิ กี ารเพือ่ ให้เยาวชนเข้าใจบทบาทของตนเอง และการสรางสรรคส ิง่ ใหมๆ ตลอดเวลา มจี ติ สา� นกึ รบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและสงั คม โดยการจดั กจิ กรรมทมี่ งุ่ เนน้ การปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม โดยการรับรูข าวสารภายนอกท่เี ขามาอยาง ใหเ้ ยาวชนรู้จักน�าหลักธรรมไปใช้ในการด�ารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม เช่น กิจกรรมกตัญญูกตเวท ี ไมหยุดยงั้ ดว ยเหตนุ ี้ การเขาคายคุณธรรม กจิ กรรมอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมไทย กจิ กรรมสรา้ งสายสมั พนั ธ ์ กจิ กรรมสรา้ งความสามคั ค ี เปน็ ตน้ จงึ ชวยใหความคิดของวยั รนุ เกดิ ความ แข็งแกรง ทางคณุ ธรรม มสี ามัญสํานึกตั้งแต ๑.๕ การเขา้ ร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา วยั รุน มีจติ สาํ นกึ รบั ผิดชอบตอ ตนเองและ สังคม อนั จะเปนรากฐานของการเตบิ โต พธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ ระเบียบปฏิบตั เิ ก่ยี วกบั ศาสนาหรอื ลัทธปิ ระเพณที ี่ เปน ผใู หญทีม่ ีคณุ ภาพในอนาคต ซึง่ จะเปน กา� หนดขนึ้ เปน็ แบบอย่างส�าหรับใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนไดย้ ดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ เปน็ การแสดงออกถงึ ความเชือ่ กําลังทสี่ ําคัญในการพัฒนาประเทศชาติ ทางศาสนา ซึ่งกระท�าเพ่ือให้เกิดความอบอุ่นทางใจ ท�าให้การปฏิบัติศาสนกิจเป็นสิ่งส�าคัญและ สืบไป) มีความน่าเชอื่ ถอื นา่ ศรทั ธามากยง่ิ ข้ึน การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา จะต้องค�านึงถึงความเหมาะสมในหลายๆ ด้าน ตอ้ งรจู้ ุดมุ่งหมายแห่งการกระท�า ร้วู า่ ส่ิงใดมปี ระโยชน์ ส่งิ ใดไม่มปี ระโยชน์ และตอ้ งมีหลกั เกณฑ์ ในการจัด เพราะถ้าหากไม่รู้หลักเกณฑ์แล้ว อาจจะเป็นการบ่อนท�าลายพิธีกรรมนั้นๆ ทางอ้อม ดว้ ยความรเู้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ ๑09 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกร็ดแนะครู การเขา คา ยคุณธรรมมีวัตถปุ ระสงคเพือ่ อะไร ครอู ธิบายเพมิ่ เตมิ เกีย่ วกับการเขา รวมพิธกี รรมทางพระพทุ ธศาสนาวา ตอ ง 1. ใหเ ยาวชนมีความรใู นหลกั ธรรม ปฏบิ ัตติ ามหลักศาสนาอยางถูกตอ ง เพราะในปจจบุ ันมีการเสรมิ แตงจนผดิ หลักการ 2. ปลกู ฝง ใหเยาวชนเห็นความสําคัญของพระพทุ ธศาสนา เชน การทาํ พธิ ตี อ งมมี หรสพประกอบ การเชญิ คนใหญค นโตมาเปน ประธานจดุ ธปู เทยี น 3. เปดโอกาสใหเ ยาวชนเขาวัดฟงธรรม สนทนากบั พระสงฆ แตในความเปนจริงแลว ใหย ดึ หลักงายๆ โดยทําตามศาสนบัญญตั ทิ ่สี บื ตอ กนั มา 4. ใหเยาวชนรูจ กั นําหลักธรรมไปใชในการดํารงชีวติ ไดอยา งเหมาะสม เปนตน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะการเขา คายคณุ ธรรม คือ การจัด นกั เรียนควรรู กจิ กรรมท่ีมงุ เนน การปลูกฝง คุณธรรม จรยิ ธรรม เพื่อใหเยาวชนรจู ักนํา 1 คณุ ธรรม มาจาก คณุ +ธรรมะ หมายถงึ คณุ ความดที เี่ ปน ธรรมชาติ กอ ใหเ กิด หลกั ธรรมไปใชใ นการดาํ รงชวี ิตไดอ ยางเหมาะสม ซงึ่ จะทําใหมคี วามสขุ ประโยชนตอตนเองและสังคม ซ่ึงเปนพฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรม และประสบความสําเรจ็ ในชีวิต โดยกระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดป ระกาศนโยบายเรงรัดการปฏริ ูปการศกึ ษา โดยยึดหลัก คณุ ธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการ ไดแก ขยัน ประหยดั ซื่อสัตย มีวินยั สภุ าพ สะอาด สามัคคี และมีนา้ํ ใจ คูมอื ครู 109

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครใู หน กั เรยี นเขยี นเรยี งความหวั ขอ “การปฏบิ ตั ิ การประกอบพธิ กี รรมหรือการเข้ารว่ มพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา1ควรมีหลักเกณฑ์ ดังน้ี ตนทถี่ กู ตองในพธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนา” (๑) มีใจมนั่ หมายถงึ มจี ิตใจบรสิ ทุ ธิ์ และมคี วามแนว่ แน่ทจ่ี ะเขา้ ร่วมพิธีกรรมนนั้ ๆ มาคนละ 1 หนา กระดาษ แลว ครเู ลอื กเรยี งความ (๒) ถกู ต้องตามหลักทางพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ การเข้าร่วมพธิ ีกรรมต่างๆ จะตอ้ ง ของนกั เรยี น 5-6 คน มาอภิปรายรว มกันในชน้ั ยึดถือหลักเกณฑ์และระเบียบทางพระพุทธศาสนาเป็นส�าคัญ รวมทั้งควรรู้จุดมุ่งหมาย ข้ันตอน 2. ครใู หนักเรยี นชวยกันยกตวั อยางพธิ กี รรมทาง ตลอดจนรายละเอียดของพธิ กี รรมนัน้ ๆ พอสมควร เพื่อไม่ใหพ้ ิธีกรรมน้นั ๆ ลดความส�าคัญลงไป พระพุทธศาสนาท่นี ักเรยี นรูจ ัก โดยออกมา เขยี นบนกระดานหนา ชน้ั เรยี น จากนน้ั ครซู กั ถาม (๓) ประหยดั หมายถงึ การประหยดั ทรพั ยท์ ใ่ี ชใ้ นการจดั พธิ กี รรมหรอื เขา้ รว่ มพธิ กี รรม และอภปิ รายรว มกบั นกั เรยี นวา พธิ กี รรมเหลา นน้ั นั้นๆ รู้จกั พิจารณาวา่ สิ่งใดฟุม่ เฟอื ย สง่ิ ใดไม่ฟมุ่ เฟือย ควรพิจารณาอยา่ งรอบคอบ มกี ารวางแผน มีลักษณะการประกอบพิธอี ยางไร โดยยดึ หลักเกณฑท์ างพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางส�าคญั 3. ครกู ลา วถงึ การประกอบพธิ ีกรรมทาง (๔) คา� นึงถงึ ประโยชน์ หมายถงึ การพิจารณาวา่ การเขา้ รว่ มในพิธกี รรมนัน้ ๆ จะได้รับ พระพทุ ธศาสนา และตัง้ คําถามวา คุณประโยชน์อย่างใดบา้ ง เชน่ ช่วยลดความเหน็ แก่ตัว ทา� ใหจ้ ิตใจบรสิ ทุ ธ์ิ มีความเลอ่ื มใสศรทั ธา • ขอควรคาํ นงึ ในการประกอบพธิ กี รรมและ ในพระพทุ ธศาสนามากขนึ้ ถา้ ทา� โดยไมค่ า� นงึ ถงึ ประโยชน์ เหน็ เขาทา� กท็ า� บา้ ง ไมร่ จู้ ดุ มงุ่ หมายแลว้ การเขารวมพธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนา พิธกี รรมนัน้ กย็ ่อมปราศจากคณุ คา่ มอี ะไรบาง (แนวตอบ เชน มจี ิตใจท่แี นว แนและศรทั ธา (๕) มคี วามเหมาะสม หมายถงึ พธิ กี รรมนนั้ ไมข่ ดั ตอ่ ประเพณนี ยิ ม วฒั นธรรม ระเบยี บ ประกอบพิธีกรรมถูกตองตามหลักศาสนา กฎเกณฑ์ รวมถงึ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั อิ นั ดงี ามของสงั คม ตลอดจนไมส่ รา้ งความเดอื ดรอ้ นใหแ้ กผ่ อู้ น่ื คาํ นงึ ถงึ ประโยชนท ่จี ะไดรับ มคี วามประหยัด เหมาะสม โดยไมข ดั ตอ จารีตและประเพณี นยิ ม ไมสรา งความเดอื ดรอนใหแกผูอื่น เปน ตน ) การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาจะต้องกระทำาด้วยความตั้งใจ และปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ ทป่ี ฏิบตั สิ ืบต่อกนั มา 110 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บคุ คลใดตอไปนปี้ ฏิบตั ิถูกตอ งตามหลักเกณฑการเขา รวมพิธกี รรมทาง 1 พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา จากภาพหนา 110 เปนประเพณีทาํ บุญ พระพุทธศาสนามากท่ีสุด ตกั บาตร ซ่งึ จดั ข้ึนทวี่ ัดพระธาตพุ นมวรมหาวิหาร อําเภอธาตพุ นม จังหวดั 1. นทเี ชิญนายอําเภอมาเปน ประธานในพิธีทาํ บญุ ขึน้ บานใหม นครพนม ซง่ึ เปน ทปี่ ระดษิ ฐานของพระอรุ งั คธาตหุ รอื กระดกู สว นอกของพระพุทธเจา เพราะเปนคนมีชอ่ื เสยี ง 2. วารีจัดงานบวชของบุตรชาย โดยเนน ความหรูหรา เพ่อื ความมหี นา บรู ณาการอาเซียน มตี าในสงั คม 3. ชลธารสาํ รวมกาย วาจา ใจ และกลาวคาํ รับศีลตามพระสงฆข ณะ ครกู ลาวถงึ ประเพณที างพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว ซึง่ มีงานบญุ เดอื น 10 รว มพิธกี รรม เหมือนกับประเพณีทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยประเทศไทยเรียกวา 4. สาครเห็นเพื่อนบริจาคเงนิ จาํ นวนมากเพ่อื บรู ณปฏสิ ังขรณว ัด “วนั สารทไทย” ลาวเรยี กวา “บญุ ขา วสาก” ซง่ึ เปน หนงึ่ ในประเพณฮี ตี สบิ สอง ไดแ ก ก็ทาํ บาง เพราะกลัวนอ ยหนา เดอื นอา ย- บญุ เขา กรรม เดอื นย่ี - บญุ คณู ลาน เดอื นสาม - บญุ ขา วจี่ เดอื นส่ี - บญุ พระเวส วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการเขารว มพธิ กี รรมทางพระพุทธ- เดอื นหา -บญุ สงกรานต เดอื นหก-บญุ บงั้ ไฟ เดอื นเจด็ -บญุ ซาํ ฮะ เดอื นแปด-บญุ เขา พรรษา ศาสนา ตองคาํ นงึ ถึงหลักเกณฑต อไปนี้ ไดแ ก มใี จตัง้ มัน่ ถกู ตองตาม เดือนเกา - บุญขา วประดบั ดิน เดอื นสิบ - บญุ ขา วสาก เดือนสิบเอด็ - บุญออกพรรษา หลกั การ ประหยัด คํานึงถึงประโยชน และมีความเหมาะสม ดังนั้น เดือนสบิ สอง - บญุ กฐนิ จงึ ตอบขอ 3. สวนขออ่ืนๆ เปนการปฏบิ ัติทไ่ี มส มเหตสุ มผล 110 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain 1.6 การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ 1. ครูอธิบายถึงการแสดงตนเปนพุทธมามกะวา เปนการประกาศตนนับถือพระพทุ ธศาสนา พทุ ธมามกะ หมายถึง ผ้ถู ือพระพุทธเจา้ ว่าเป็นของเรา หรือผู้รับเอาพระพุทธเจา้ เป็นของตน และต้งั คาํ ถามวา ผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา • บทสวดมนตใ ดทีแ่ สดงตนวาผูส วดเปน ดงั นน้ั การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ กค็ อื การ พุทธมามกะ ประกาศตนว่าเป็นผู้ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า (แนวตอบ บทไตรสรณคมน ซ่ึงเปน บทสวด เป็นการแสดงให้ปรากฏว่าตนยอมรับนับถือ เกย่ี วกบั การถึงพระรตั นตรัยวาเปนทีพ่ ง่ึ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจ�าชีวิตของตน ทร่ี ะลกึ หรือการเปลง วาจาขอถงึ พระพทุ ธ ตามปกติแล้ว คนไทยส่วนใหญ่จะรับนับถือ พระธรรม พระสงฆวาเปน สรณะที่พง่ึ เพื่อ พระพุทธศาสนาตามอย่างบิดามารดา เม่ือ แสดงวาตนมีพระรตั นตรัยเปนท่รี ะลึกนึกถึง แจ้งทะเบียนส�ามะโนครัวในการเกดิ กม็ กั แจง้ วา่ และเปน ที่พง่ึ ตลอดไป และแสดงตนเปน ศาสนาพทุ ธ จงึ เปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนไปโดยปรยิ าย พทุ ธมามกะ เปน ผูเ คารพนบั ถือ หาได้มีจิตตั้งมั่นฝังใจอย่างแท้จริงไม่ ดังน้ัน พระพทุ ธศาสนา) เพื่อให้เกิดความซาบซ้ึงในพระพุทธศาสนา จึงน�ามาสู่การจัดกิจกรรมการแสดงตนเป็น 2. ครูใหนกั เรียนศึกษาวา เพราะเหตใุ ด พระบาท พุทธมามกะข้ึน เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนต้ังมั่น พธิ ีแสดงตนเปน็ พุทธมามกะของเยาวชน สมเดจ็ พระเจา อยูห วั รชั กาลท่ี 9 จงึ ทรงไดร บั ในความเป็นพุทธมามกะของตน ยกยอ งใหเปนแบบอยางของพทุ ธมามกะ และ พระองคท รงมคี ณุ ูปการตอ พระพทุ ธศาสนา ๑) ประวัติความเป็นมา การแสดงตนเป็นพุทธมามกะเกิดขึ้นต้ังแต่สมัยพุทธกาล อยา งไรบาง ยกตวั อยา งประกอบคาํ อธบิ าย ดงั มีปรากฏในวนิ ัยปฎิ กมหาวรรคเล่ม ๔ ซง่ึ สรุปโดยย่อ ดังนี้ 3. ครูซักถามนกั เรียนถงึ ประโยชนทไี่ ดรับจาก ยสกุลบุตรเป็นเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติมากมาย และได้รับการบ�ารุงบ�าเรออย่างเต็มที่ พธิ ีแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ (แนวตอบ เปนการแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ คืนวันหนึ่งเขาได้หลับก่อนบริวาร และตื่นข้ึนมาเห็นบริวารของตนหลับด้วยอาการต่างๆ บางคน หรือผนู บั ถือพระพุทธศาสนาอยา งแทจ ริง นอนผ้าหลุดลุ่ย บางคนนอนละเมอ น้�าลายไหล เม่ือยสะเห็นอาการต่างๆ เหล่านี้ จิตจึงต้ังอยู่ ไมเ ปนเพียงชาวพทุ ธตามบัตรประชาชน ทในี่นคีข่ วดั าขม้อเบงห่อื หนนอ”่ายแลเะขไาดจ้องึ อเปกลจาง่ อกุทเมาอืนงขไึน้ปใยนงั ขปณา่ อะิสนปิ้ันตวน่าม“ฤทค่าทนาผยเู้ จวรัน1ิญครทัน้ ่ีนรวีุ่ง่ ่นุเชวา้าพยหระนผอมู้ พี ทรา่ ะนภผาู้เคจเรจญิ า้ เปน การสญั ญาตอพระพทุ ธเจา วา เปน ผนู ับถอื เสด็จลุกข้ึนจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง ได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล จึงเสด็จลงจาก พระพุทธศาสนา ไดร ับศีลรบั พรจากพระสงฆ ท่ีจงกรมประทับนง่ั บนอาสนะท่ีเขาจัดไว้ ขณะน้นั ยสกุลบตุ รไดเ้ ปลง่ อทุ านข้นึ ว่า “ท่านผู้เจริญ ที่นี่ และไดบ ุญกศุ ล) วุ่นวายหนอ ท่านผู้เจริญ ท่ีน่ีขัดข้องหนอ” พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับยสกุลบุตรว่า “ยสะ ที่น่ีไม่วุ่นวาย ท่ีน่ีไม่ขัดข้อง มาเถิดยสะจงน่ังลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ” พระผู้มีพระภาคเจ้า ไดต้ รัสอนปุ พุ พิกถา คอื ทรงประกาศทานกถา สลี กถา สคั คกถา กามาทนี วกถา และเนกขมั มา‑ นิสงั สกถาไปตามล�าดบั ทา� ให้ยสกุลบุตรได้ดวงตาเหน็ ธรรมและขอบรรพชาอปุ สมบท 111 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู การประกาศตนวา จะปฏบิ ัติตามหลกั ธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา และ ครูใหนกั เรยี นดตู วั อยางคลปิ วดิ ีโอไดท่ี http://www.youtube.com โดยใช ขอยึดพระรตั นตรยั เปนท่พี ่ึง เปน พธิ ีกรรมของชาวพุทธในขอใด คาํ คนหาวา “การแสดงตนเปนพุทธมามกะ” จากน้ันครูควรนมิ นตพ ระอาจารยม า บรรยายธรรมเก่ยี วกบั ความสําคัญของการแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ แลวสาธิต 1. พธิ ีบรรพชาเปน สามเณร การแสดงตนเปน พุทธมามกะ 2. พิธีอุปสมบทเปน พระภิกษุ 3. พธิ แี สดงตนเปนพทุ ธมามกะ นกั เรยี นควรรู 4. พิธถี วายภัตตาหารแดพ ระพทุ ธเจา 1 ปา อิสปิ ตนมฤคทายวนั แปลวา ปาท่ใี หอภัยแกเ นอ้ื ซงึ่ เปนสถานที่ท่ี วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เน่อื งจากพิธีแสดงตนเปนพุทธมามกะ พระพุทธเจา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเปน ครัง้ แรกหรือปฐมเทศนา คือ ธัมมจกั กัปปวัตตนสูตร แกป ญ จวัคคีย อยูใกลเมอื งพาราณสี แควน กาสี คือ การประกาศตนวา เปน ผูย อมรับนบั ถือพระพทุ ธศาสนาเปน ศาสนา ปจจุบันคอื เมอื งสารนาถ อยูในรฐั อตุ ตรประเทศ ประเทศอินเดยี ประจําชีวติ ของตน และนอ มนําเอาหลักธรรมคาํ สอนมาประพฤตปิ ฏิบัติ เพ่ือใหเกดิ ความเปน มงคลแกการดาํ รงชีวติ คูมือครู 111

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครูใหน ักเรยี นอา นเรอื่ ง “ยสกุลบตุ ร” เกี่ยวกบั ครั้นรุ่งเช้า เศรษฐคี หบดีผบู้ ดิ าได้ส่งคนไปตามหายสะท้ัง ๔ ทิศ และตนเองไปยงั ปา่ การแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ และใหวเิ คราะห อเหสิ ็นปิ เตศนรมษฤฐคีคทหาบยดวีเนั ดินไดมพ้ าบแตรอ่ไกงเลทจา้ ึงททอรงงวบาันงอดยาู่ลจองึ ิทเดธนิ าไภปิสยังงั ขทาน่ี ร1น่ั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทอดพระเนตร วา เพราะเหตุใด บดิ า มารดา และภรรยาเกา ไม่ให้เศรษฐีคหบดีเห็นยสกุลบุตร ของยสกุลบุตร จึงเปน อุบาสกและอุบาสิกา ผนู้ งั่ อยทู่ นี่ น่ั เศรษฐคี หบดไี ปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ถงึ ทป่ี ระทบั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ “คหบดี ผูแสดงตนเปน พทุ ธมามกะคนแรกของโลก เจชึงิญถวทา่ายนอนภั่งวิ ลางทกพ่อรนะผเถูม้ ิดีพรบะภางาทคีทเจ่าา้ นแนลั่งว้ทน่ีนั่ง่ีแลณ้วจทะี่สพมึงคพวบรยพสรกะุลผบ้มู ุตีพรรนะั่งภอายคู่ทเจี่นา้ ี่กไ็ไดดต้ ้”รัสเอศนรษุปฐพุ ีคพหกิ บถดา2ี เช่นเดียวกัน เศรษฐีคหบดีได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรมและได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า 2. ครูนาํ สนทนาเรื่องพทุ ธมามกะ และต้ังคาํ ถามวา ดังน้ีว่า “พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม • เพราะเหตุใด การแสดงตนเปนพุทธมามกะ แจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่�า เปิดของท่ีปิด บอกทางแก่ จึงตอ งเปน ผถู ึงพระรตั นตรัย ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในท่มี ดื ด้วยตัง้ ใจว่า คแนลตะาพดรจี ะักสเงหฆ็น์เรปปู ็นพสรระณอะ3งคต์ผั้งู้เจแรติญ่วันขน้า้ีเพปร็นะตอ้นงคไ์นปี้ (แนวตอบ เพราะองคประกอบของพระพุทธ- ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรม ศาสนา คือ พระรตั นตรัยหรอื พระไตรรตั น จนตลอดชีวิต” เศรษฐีคหบดีน้ีจึงนับเป็นเตวาจิกอุบาสก (ผู้กล่าวถึงรัตนะท้ัง ๓ ว่าเป็นสรณะ) ประกอบดว ย พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ เปน็ คนแรกในโลก การแสดงตนเปนพทุ ธมามกะจงึ ตองเปน ผูที่ คร้ันเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังนิเวศน์ของเศรษฐีคหบดี มารดาและ ถงึ พระรตั นตรัยเปนสรณะหรือเปน ทพ่ี ่ึงสูงสดุ ) ภรรยาเก่าของท่านยสะพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงท่ีประทับ ได้ถวายอภิวาทพระผู้มี 3. ครูใหน ักเรียนทาํ กจิ กรรมท่ี 5.4 จากแบบวัดฯ พระพุทธศาสนา ม.2 ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝก ฯ พระภาคเจา้ แลว้ นั่ง ณ ทส่ี มควร พระผู้มพี ระภาคเจา้ ได้ตรัสอนปุ ุพพกิ ถาเชน่ เดยี วกนั มารดาและ พระพุทธศาสนา ม.2 กจิ กรรมที่ 5.4 ภรรยาเก่าของท่านพระยสะได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรม และได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า หนวยท่ี 5 หนา ทช่ี าวพุทธและมารยาทชาวพทุ ธ เชน่ เดียวกบั เศรษฐคี หบดี และกล่าวว่า “หมอ่ มฉันท้ังสองน้ี ขอถงึ พระผู้มีพระภาคเจา้ พร้อมทั้ง พระธรรมและพระสงฆ์ เปน็ สรณะของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงทรงจา� หมอ่ มฉนั ทงั้ สองวา่ เปน็ อบุ าสกิ า กิจกรรมท่ี ๕.๔ เขยี นเครื่องหมาย ✓ลงในชองวางหนา ขอ ความท่ถี ูกตอง คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด ผ้ถู งึ สรณะตง้ั แต่วนั น้ีเปน็ ตน้ ไปจนตลอดชีวติ ” และเครอ่ื งหมาย ✗ ลงในชอ งวา งหนา ขอ ความทไ่ี มถ กู ตอ ง ñð (ส ๑.๒ ม.๒/๑) ✓………………. ๑. หนาที่สําคัญของพระภิกษุ คือ ศึกษาพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจาใหเขาใจ จากข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกน้ีเป็นการยืนยันว่า อุบาสกผู้ปฏิญาณตน ✓………………. ๒. อยา งถอ งแท แลวนาํ มาเผยแผแ กมวลมนุษย เป็นพุทธมามกะ ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นคนแรกของโลก คือ เศรษฐีคหบดีผู้เป็นบิดาของพระยสะ การรแู ละเขา ใจหลกั ธรรมทถี่ กู ตอ งนน้ั จะตอ งปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมนน้ั ดว ย เหมอื นครู ✓………………. ๓. สอนดนตรีตอ งรูแ ละเขา ใจทฤษฎดี นตรี และตอ งเลนดนตรีใหดีดว ย โดยไมตองสอน ส่วนอุบาสิกาผู้ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นคู่แรกของโลก คือ มารดาและ พระภิกษุท่ีปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อาจเผยแผพระพุทธศาสนาไดดี ✗………………. ๔. หลกั ธรรมดว ยวาจาเลยก็ได โดยไมตองไปศึกษา ภรรยาเก่าของพระยสะ การจัดนิทรรศการชวยใหพุทธศาสนิกชนมีความรูและเขาใจ ✗………………. ๕. หลักธรรมจากหนังสอื ๒) การเตรยี มการ วธิ กี ารทดี่ ที ส่ี ดุ เพอื่ ใหเ ยาวชนเขา ใจบทบาทของตนเอง และมจี ติ สาํ นกึ รบั ผดิ ชอบตอ ✗เฉฉบลับย ๖. ตนเองและครอบครวั คือ การเขารบั ฟง การแสดงพระธรรมเทศนา ๑. ผู้จัดกา� หนดวนั เวลา สถานทใี่ ห้แนน่ อน จะ4เปน็ ช่วงเช้าหรือบา่ ยก็ได้ ถ้าจัด ………………. ๗. การกาํ หนดวนั เวลาแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ ควรใชเ วลาวนั หยดุ หรอื วนั เสาร- อาทติ ย ภาคเช้าควรจดั ใกลเ้ วลาเพล พอเสรจ็ พิธีจะได้ถวายภตั ตาหารเพลแดพ่ ระสงฆ์ ✓………………. ผแู สดงตนเปน พทุ ธมามกะเมอื่ ถวายเครอ่ื งสกั การะแลว กราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ ✗………………. ๘. ๓ ครงั้ “อิมินา สกฺกาเรน พุทฺธํ ปูเชมิ” แปลวา ขาพเจาขอบูชาพระธรรม ๒. จัดหาคณะกรรมการรว่ มมอื เพอ่ื ดา� เนนิ การประมาณ ๕‑๖ คน เชน่ ฝา่ ยสถานที่ คําสวดมนต ✓ ๙.………………. ดว ยเครื่องสกั การะนี้ ฝ่ายถวายภัตตาหาร จดั เคร่ืองสกั การะ เครอื่ งไทยทาน เครอื่ งไทยธรรม และฝา่ ยควบคมุ เสียง ✗………………. ๑๐. ควรถวายจตุปจ จัยไทยธรรมแดพระสงฆ เมอ่ื พระใหศ ลี และรบั ศีลจบแลว เมื่อพระสวด…ยถา วรวิ หา…ตัวแทนกรวดนา้ํ รนิ นา้ํ ลงในภาชนะใหหมด ๓. จัดเคร่ืองสักการะ (กระทงดอกไม้ ธูปแพ เทียนแพ) ใส่พานเตรียมไว้ถวาย สักการะพระเถระทมี่ าในพิธี ๔๖ 112 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET อบุ าสกผปู ฏญิ าณตนเปน พทุ ธมามกะ ผถู งึ พระรตั นตรยั เปน คนแรก 1 อิทธาภสิ ังขาร คือ การแสดงหรือบันดาลสิง่ ตางๆ ใหเกิดขน้ึ โดยการใช ของโลกมคี วามเกย่ี วของกบั พระยสะอยางไร อิทธฤิ ทธ์ปิ าฏหิ ารยิ ตา งๆ 1. เปน บิดาของพระยสะ 2 อนปุ ุพพิกถา คือ พระธรรมเทศนาทแ่ี สดงความลมุ ลกึ ลงไปโดยลาํ ดบั เพอ่ื ให 2. เปนมารดาของพระยสะ ผูฟงเขาใจจากงายไปยาก ขนึ้ ไปเปน ชัน้ ๆ และเพื่อเตรียมจติ ของผูฟง ใหพ รอมทจี่ ะ 3. เปนบรวิ ารของพระยสะ รบั ฟง อรยิ สจั 4 ในสมยั พุทธกาลพระพทุ ธเจาจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก 4. เปน ภรรยาเกาของพระยสะ ฆราวาสหรือคฤหัสถ ผูม อี ปุ นสิ ัยสามารถทจ่ี ะบรรลุธรรมพิเศษได โดยแสดงธรรม วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เปนบดิ าของพระยสะ คอื เศรษฐคี หบดี แกบคุ คลตางๆ เชน พระเจามหากปั ปน ะ พระนางอโนชาเทวี ยศกุลบตุ ร ผกู ลา วถงึ พระรตั นตรยั วา เปน สรณะหรอื เปน ทพ่ี ง่ึ ทร่ี ะลกึ ทยี่ ดึ เหนย่ี วสงู สดุ อุคคตคหบดี เปน ตน ไมมสี ิง่ ใดเหนือกวา เปน คนแรกของโลก 3 สรณะ หมายถึง เปน ที่พึ่ง ทร่ี ะลกึ ท่ียดึ เหนี่ยวสูงสุด ไมมีสง่ิ ใดเหนอื กวา 4 ภตั ตาหารเพล คอื อาหารสําหรบั พระภิกษุและสามเณร ซง่ึ ฉันระหวาง เวลา 11.00 - 12.00 น. 112 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๔. นิมนต์พระ ๗ หรือ ๙ รูป ตามศรัทธา 1. ครใู หน กั เรยี นสง ตวั แทนออกมากลา วนาํ 1 ๕. สถานทคี่ วรจดั ในหอประชมุ ไมค่ วรจดั กลางสนามและเตรยี มจดั ทบ่ี ชู าพระพรอ้ ม สวดมนตพ รอ มคาํ แปลในพิธปี ฏบิ ตั ิเปน อาสนส์ งฆ์เท่าจา� นวนพระท่ีนิมนต์มา พุทธมามกะหนาช้ันเรียน ไดแก บทสกั การะ พระรัตนตรัย บทนมัสการพระพทุ ธเจา และ ๓) พธิ ปี ฏิบัติ คําปฏญิ าณตนเปนพุทธมามกะ จากน้นั เพื่อน นกั เรยี นกลา วคําปฏิญาณตนเปน พุทธมามกะ ๑. ก่อนเวลาก�าหนด ๑๕ นาที ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมนั่งประจา� ท่ี เมอื่ พระเถระและ พรอมกัน คณะสงฆ์มาถึงเรียบร้อยแล้ว ให้ตัวแทนผู้ท่ีจะแสดงตนเป็นพุทธมามกะจุดธูปเทียนบูชาพระ กราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง แล้วนา� สวดมนต์ ดังน้ี 2. ครูใหนกั เรียนทํากิจกรรมที่ 5.5 จากแบบวัดฯ พระพุทธศาสนา ม.2 อมิ ินา สกฺกาเรน พทุ ธฺ � ปเู ชมิ ข้าพเจ้าขอบชู าพระพทุ ธเจ้าดว้ ยเคร่อื งสกั การะน้ี (กราบ) อมิ นิ า สกกฺ าเรน ธมฺม� ปูเชมิ ข้าพเจ้าขอบชู าพระธรรมดว้ ยเคร่อื งสกั การะน้ี (กราบ) ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ อิมนิ า สกกฺ าเรน สงฆฺ � ปเู ชมิ ขา้ พเจา้ ขอบูชาพระสงฆ์ดว้ ยเครื่องสกั การะน้ี (กราบ) พระพทุ ธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 5.5 หนวยที่ 5 หนา ทีช่ าวพทุ ธและมารยาทชาวพทุ ธ ๒. เสร็จแล้วตัวแทนผู้แสดงตน คลานเข้าถวายเครื่องสักการะ2 ดอกไม้ ธูปแพ เทียนแพ แก่พระเถระ แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง (ขณะที่ตัวแทนคลานออกไป กจิ กรรมท่ี ๕.๕ ใหน กั เรยี นเรยี งลาํ ดบั พธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นการแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด คนอื่นๆ เปล่ยี นท่าน่งั เปน็ ท่าพรหมหรือทา่ เทพธิดาตามเพศและกราบ ๓ ครงั้ พรอ้ มตวั แทน) โดยนําตวั เลข ๑-๑๐ ใสห นาขอความตอ ไปน้ี (ส ๑.๒ ม.๒/๑) ñð ๓. จากนัน้ ทกุ คนกล่าวนมสั การพระพทุ ธเจ้า ๓ ครง้ั ดังนี้ ๖……………………… พระเถระใหโ อวาท ขณะใหโอวาททกุ คนพนมมอื จบแลวยกมอื ขนึ้ จบกลางหนาผาก นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส (ซ้า� ๓ ครัง้ ) พรอ มกบั กลา ววา “สาธ”ุ และเปลยี่ นทา นงั่ เปน ทา พรหมและเทพธดิ า และอาราธนาศลี ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมแดพ่ ระผู้มพี ระภาค อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจ้าพระองคน์ ั้น (ซ้�า ๓ คร้ัง) ดงั ๆ พรอมกัน ดังน้ี มยํ ภนเฺ ต วสิ ุํ วสิ ํุ รกขฺ ณตฺถาย ตสิ รเณน สห ปฺจ สลี านิ ยาจาม ๔. จากนน้ั กล่าวค�าปฏิญาณตนเปน็ พุทธมามกะ ดงั นี้ ทตุ ยิ มฺป มยํ ภนเฺ ต วสิ ํุ วิสํุ รกฺขณตฺถาย ตสิ รเณน สห ปจฺ สีลานิ ยาจาม ตติยมฺป มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปฺจ สีลานิ ยาจาม (ผู้ชาย) เอเต มย� (ผหู้ ญงิ ) เอตา มย� ภนฺเต สุจริ ปรินพิ ฺพุตมฺปิ ต� ภควนตฺ � สรณ� คจฉฺ าม (เม่ือพระใหศีลและรบั ศลี จบแลว กราบ ๓ ครัง้ ) ธมมฺ ญจฺ สงฺฆญจฺ พทุ ฺธมามกาติ โน สงโฺ ฆ ธาเรตุ ๕……………………… กลาวคาํ ปฏิญาณตนเปนพทุ ธมามกะ ดงั นี้ ค�าแปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลายถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน (ผชู าย) เอเต มยํ แม้ปรินิพพานไปนานแล้ว ท้ังพระธรรมและพระสงฆ์ เป็นสรณะท่ีระลึกนับถือ ขอพระสงฆ์ (ผหู ญงิ ) เอตา มยํ ภนเฺ ต สจุ ริ ปรนิ พิ พฺ ตุ มปฺ  ตํ ภควนตฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมมฺ จฺ สงฆฺ จฺ จงจ�าข้าพเจ้าท้ังหลายไว้ว่าเป็นพุทธมามกะ ผู้รับเอาพระพุทธเจ้าเป็นของตน คือ ผู้นับถือ พทุ ฺธมามกาติ โน สงโฺ ฆ ธาเรตุ (กราบเบญจางคประดษิ ฐ ๓ คร้ัง แลวนงั่ พบั เพียบ) พระพทุ ธเจา้ (กราบเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ ครั้ง แล้วนง่ั พบั เพยี บ) ๒……………………… ตวั แทนผทู จ่ี ะแสดงตนเปน พทุ ธมามกะจดุ ธปู เทยี นบชู าพระ กราบเบญจางคประดษิ ฐ ๓ คร้งั แลวนาํ สวดมนต ดงั น้ี เฉฉบลบั ย อมิ นิ า สกกฺ าเรน พทุ ธฺ ํ ปเู ชมิ ขา พเจา ขอบชู าพระพทุ ธเจา ดว ยเครอื่ งสกั การะน้ี (กราบ) อิมินา สกกฺ าเรน ธมมฺ ํ ปูเชมิ ขาพเจาขอบชู าพระธรรมดวยเครื่องสักการะนี้ (กราบ) อมิ ินา สกฺกาเรน สงฺฆํ ปูเชมิ ขาพเจาขอบชู าพระสงฆด ว ยเครือ่ งสักการะนี้ (กราบ) ๙……………………… เมอื่ พระสวด… สพพฺ ตี โิ ย… รนิ นาํ้ ลงภาชนะใหห มด แลว พนมมอื รบั พรจากพระ จบแลว ๑๐……………………… กราบเบญจางคประดษิ ฐ ๓ ครงั้ ๓……………………… รับพุทธมามกบตั รจากพระเถระ ตวั แทนผแู สดงตน คลานเขา ถวายเครอื่ งสกั การะ ดอกไม ธปู แพเทยี นแพ แกพ ระเถระ แลวกราบดวยเบญจางคประดิษฐ ๓ ครั้ง (คนอ่ืนๆ เปล่ียนทานั่งเปนทาพรหม หรอื ทาเทพธิดาตามเพศและกราบ ๓ ครัง้ พรอ มตวั แทน) ๔……………………… ทกุ คนกลาวนมัสการพระพุทธเจา ๓ คร้งั ดงั นี้ ๗……………………… นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธสสฺ (ซํา้ ๓ ครงั้ ) ๘……………………… ถวายจตปุ จจัยไทยธรรมแดพ ระสงฆ ๑……………………… เม่อื พระสวด… ยถา วริวหา… ตัวแทนกรวดนา้ํ อทุ ิศสวนกศุ ล กอ นเวลากาํ หนด ๑๕ นาที ผเู ขา รว มกจิ กรรมนงั่ ประจาํ ที่ เพอ่ื รอพระเถระและคณะสงฆ ๔๗ 113 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู การแสดงตนเปน พุทธมามกะ เปนพธิ ีกรรมทจ่ี ะปฏิบตั ิเมื่อใด ครคู วรแนะนํานักเรียนวาการแสดงตนเปน พุทธมามกะ ไมใ ชแ คการสวดมนต แนวตอบ การแสดงตนเปนพุทธมามกะ จะปฏิบตั ิเมอ่ื กลา วคาํ ปฏญิ าณหรือรูคาํ แปลของบทสวดมนตเ ทานนั้ หากแตตองนาํ หลกั ธรรม คาํ สอนมาปฏบิ ัติในชวี ติ ประจาํ วัน เชน ศลี 5 ศลี 8 กรรมบถ 10 เปน ตน จงึ จะเปน • บุคคลตา งศาสนาตอ งการเปล่ยี นมานับถอื พระพุทธศาสนา ชาวพุทธทีส่ มบรู ณ • ตองการยนื ยนั ความเปนชาวพุทธของตนเองใหหนกั แนน ยง่ิ ขน้ึ • จะสง บุตรหลานไปเรยี นยงั ตา งประเทศที่มิใชด นิ แดนของพระพทุ ธศาสนา นักเรียนควรรู • จะปลกู ฝง นสิ ยั ของเยาวชนใหม นั่ คงในพระพทุ ธศาสนา ซึง่ สว นใหญ 1 อาสนส งฆ คอื ท่ีนั่งของพระสงฆ ซง่ึ หากไมมเี บาะรองนงั่ จะใชเสอ่ื ปูลาด ทางโรงเรยี นจะเปนผจู ัดทําพิธกี รรม อาจจะเปน ปละครั้ง กบั พ้ืนก็ได เพื่อเปนการแสดงใหเ หน็ วาพระสงฆอยใู นตาํ แหนงที่สูงกวาฆราวาส • บตุ รหลานมอี ายุระหวาง 12-15 ป เพอื่ ใหเ ดก็ สืบทอดความเปน ในกรณที ่ีปดู ว ยเสือ่ ฆราวาสจะตอ งไมน ่งั ลงบนเส่ือผืนเดยี วกับพระสงฆ 2 เคร่อื งสักการะ คอื ธปู ไมร ะกํา 5 ดอก วางอยบู นเทียน 5 เลม มดั ซอ นกนั พทุ ธศาสนกิ ชนตามตระกลู ตอ ไป และมกี รวยดอกไมส ด 1 กรวย วางขางบน คมู อื ครู 113

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore ขยายความเขา ใจ Expand 1. ครูใหนักเรียนเขารวมพธิ ีกรรมทางพระพุทธ- ๕. พระเถระให้โอวาท ขณะให้โอวาททุกคนพนมมือ จบแล้วยกมือขึ้นจบท่ีกลาง ศาสนา 1 พธิ ี จากน้นั ใหนกั เรียนบนั ทึกลักษณะ หนา้ ผาก พรอ้ มกบั กลา่ ววา่ “สาธ”ุ และเปลยี่ นทา่ นงั่ เปน็ ทา่ พรหมและเทพธดิ า และอาราธนาศลี ดงั ๆ การประกอบพธิ กี รรม ความสําคญั และ พร้อมกัน ดงั น้ี ประโยชนท ไ่ี ดร บั จากพิธีกรรมนนั้ ลงในสมดุ และสงครูผูสอน มย� ภนฺเต วิส�ุ วิสุ� รกขฺ ณตถฺ าย ตสิ รเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม ทุตยิ มปฺ ิ มย� ภนฺเต วสิ �ุ วิสุ� รกขฺ ณตฺถาย ตสิ รเณน สห ปญจฺ สลี านิ ยาจาม 2. ครใู หน กั เรยี นเขยี นสรปุ ขน้ั ตอนและประโยชน ตติยมฺปิ มย� ภนฺเต วสิ ุ� วิสุ� รกขฺ ณตถฺ าย ตสิ รเณน สห ปญจฺ สลี านิ ยาจาม ของพิธีแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ โดยบันทึกลง ในสมุดและนาํ สง ครผู สู อน เมื่อพระใหศ้ ีล และรับศลี จบแลว้ กราบ ๓ ครง้ั ๖. ถวายจตปุ ัจจัยไทยธรรมแดพ่ ระสงฆ์ ตรวจสอบผล Evaluate ๗. เม่อื พระสวด...ยถา วาริวหา...ตัวแทนกรวดนา้� อุทิศสว่ นกศุ ล ๘. เมอื่ พระสวด...สพพฺ ตี โี ย...รนิ นา�้ ลงภาชนะใหห้ มด แลว้ พนมมอื รบั พรจากพระจบแลว้ 1. ตรวจสอบจากบนั ทึกการเขา รว มพธิ กี รรมทาง กราบเบญจา๙ง.คปรับระพดทุ ษิ ธฐม์ ๓ามคกรบง้ั ตั ร1จากพระเถระ เป็นอนั เสรจ็ พิธี พระพุทธศาสนาของนักเรยี น ๒. มมาารรยายท2า หทมชายาถวึงพระทุ เบธียบปฏิบัติที่สังคมก�าหนดไว้เป็นแนวทางในการแสดงออกทางกาย 2. ตรวจสอบจากการเขียนสรปุ ขั้นตอนและ ประโยชนของพธิ แี สดงตนเปนพทุ ธมามกะ และทางวาจาในดา้ นตา่ งๆ เชน่ กริ ยิ าทา่ ทาง การแตง่ กาย การพดู การแสดงอริ ยิ าบถตา่ งๆ เปน็ ตน้ สังคมแต่ละแห่งมีประเพณีในการแสดงออกไม่เหมือนกัน เช่น ฝร่ังทักทายกันโดยการจับมือ คนไทยทกั ทายกนั โดยผ้นู ้อยไหว้ผใู้ หญ่ก่อน เป็นตน้ คนไทยได้รับการยกย่องจากต่างชาติมานานแล้วว่าเป็นผู้มีมารยาทอ่อนโยน น่ิมนวลน่ารัก เราจึงควรเรียนรู้เก่ียวกับมารยาทในสังคมไทย เพ่ือจะได้ปฏิบัติถูกต้อง เป็นการรักษาเอกลักษณ์ อนั ดงี ามอยา่ งหนง่ึ ของไทยไวส้ บื ไป และทา� ใหเ้ ปน็ ทชี่ น่ื ชมของผอู้ นื่ และเปน็ การเสรมิ บคุ ลกิ ภาพดว้ ย 2.1 การต้อนรบั (ปฏสิ ันถาร) การต้อนรับ อาจท�าได้หลายวิธี คือ ปฏิสันถารด้วยวาจา ปฏิสันถารด้วยการให้ท่ีพักอาศัย และปฏสิ นั ถารดว้ ยการแสดงนา�้ ใจตอ่ กนั ในพระพทุ ธศาสนาพระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ การปฏสิ นั ถารเปน็ พน้ื ฐานสา� คญั ของชวี ติ พรหมจรรยเ์ ลยทเี ดยี ว ทรงกา� ชบั ใหพ้ ระสงฆเ์ อาใจใสต่ อ้ นรบั อาคนั ตกุ ะดว้ ย อัธยาศัยอันดีงาม พระพุทธเจ้าเองก็มิได้ทรงละเลยในเรื่องนี้ ดังมีผู้กล่าวสรรเสริญพระองค์ว่า ทรงมีพระพักตร์เบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ ทรงทกั ทายแขกก่อน และตรัสปฏิสันถารด้วยพระวาจา ที่ไพเราะ ร่ืนหู คนไทยเราได้รับอิทธิพลส่วนดีเหล่าน้ีมาจากพระพุทธศาสนา จนมีค�าพังเพยว่า “เปน็ ธรรมเนียมไทยแท้แตโ่ บราณ ใครมาถึงเรอื นชานตอ้ งต้อนรบั ” 114 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ถานักเรยี นไปเยี่ยมเพ่ือนท่ีบาน นกั เรียนควรปฏิบตั ติ นอยา งไร 1 พุทธมามกบัตร คือ หลกั ฐานของผูที่ไดแสดงตนเปนพุทธมามกะแลว แตก าร ใหเ หมาะสมในฐานะแขกผูมาเยอื น จะมีหรือไมม พี ทุ ธมามกบัตรไมใ ชส ่ิงสาํ คัญ ขอสาํ คญั คอื การทชี่ าวพทุ ธปฏบิ ตั ติ น 1. ตะโกนเรียกอยูห นา บา น ตามหลักธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจาเปนหลกั 2. ทาํ ความเคารพเจา ของบานกอน 2 มารยาท หมายถงึ กิรยิ าวาจาท่ีถอื วา สุภาพ เรยี บรอ ย ถูกกาลเทศะ 3. เปดประตเู ขา ไปนงั่ รอในหองรบั แขก ซ่ึงการใชค าํ วา มารยาทและมรรยาท ขึ้นอยกู ับผูใชเ หน็ สมควรตามความเหมาะสม 4. เขา ไปนั่งรวมโตะ อาหารของเพ่อื นบา น วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ในฐานะแขกผูมาเยือน เม่อื เขา บา นควร มมุ IT เคาะประตูหรือกดกริ่ง แลว ทําความเคารพเจา ของบา นกอ น ไมค วรอยูนาน เกินสมควร และควรทําความเคารพเจา ของบา นกอ นแลวจงึ กลับ ศกึ ษาคน ควา ขอมลู เพมิ่ เติมเกี่ยวกับการแสดงตนเปนพุทธมามกะ ไดท ี่ http://www.onab.go.th เว็บไซตสํานักงานพระพทุ ธศาสนาแหงชาติ 114 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage เม่อื มีแขกมาบา้ น เราตอ้ งรู้จกั ปฏบิ ัตติ นวา่ จะพูดอย่างไร กับบคุ คลวัยใด ฐานะใด สรรพนาม 1. ครใู หนักเรยี นชว ยกนั ยกตัวอยางมารยาททาง แทนตัวเองและแทนแขก ใชอ้ ยา่ งไร ต้องร้จู กั เลือกใช้ให้ถกู แต่อะไรก็ไมเ่ ทา่ กบั การยิ้มแยม้ แจ่มใส สงั คมทน่ี กั เรยี นรจู กั และปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาํ วนั แสดงใหเ้ ขาเหน็ วา่ เรายนิ ดเี ตม็ ใจใหก้ ารตอ้ นรบั ไม่ควรแสดงสหี น้าบง้ึ ตงึ ใส่แขก อย่างที่เรียกว่า 2. ครูถามนักเรยี นวา ประเทศตางๆ มีธรรมเนียม “หน้าไม่รบั แขก” การตอ นรบั แขกอยางไร ยกตวั อยางประกอบ คาํ อธิบาย การปฏิสันถารให้ท่ีอยู่อาศัยเป็นเร่ืองของ (แนวตอบ เชน อังกฤษ ฝรง่ั เศส อติ าลี กลา ว ผู้ใหญ่ท่ีจะกระท�า ด้วยเป็นประเพณีแต่โบราณ พดู คาํ ทักทายแลวเอาแกมชนกัน ชนเผา เมารี ดังได้กล่าวมาแล้ว ผู้มาจากต่างบ้านต่างถิ่น ในนวิ ซีแลนด เอาจมกู แตะกนั และคลึงเล็กนอ ย จะได้รับการต้อนรับโดยให้อาศัย พักพิงเม่ือ เกาหลี ผูอ อ นวยั จะคุกเขา และกม ศรี ษะคาํ นบั มาถึงเวลาค�่าคืน ในปัจจุบันธรรมเนียมอย่างน้ี ผูอาวโุ ส อินเดีย จะพูดวา “นะมสั เต” พนมมือ สองขางและโคง ตวั เล็กนอย เปนตน ) ไดล้ ะเลยกนั เปน็ สว่ นมาก โดยเฉพาะในเมอื งใหญ่ สาํ รวจคน หา Explore หรอื เมอื งหลวง เพราะความเจรญิ ของบา้ นเมอื ง มีมากข้ึน ท่ีพักคนเดินทางหรือโรงแรมก็จะ สะดวกสบาย จึงมักไม่ใคร่มีใครอยากรบกวน ครใู หนกั เรยี นศกึ ษามารยาทชาวพุทธ ผู้อ่ืนให้ล�าบาก จะเหลืออยู่แต่การปฏิสันถาร การต้อนรับแขกด้วยกริ ยิ าท่ีสุภาพ มสี ัมมาคารวะ เป็นการ จากหนังสือเรียนและแหลง การเรียนรูตา งๆ เชน ดว้ ยการต้อนรับญาตหิ รอื มิตรสหายเทา่ นนั้ แสดงออกซงึ่ มารยาททีด่ งี ามของชาวพุทธ หองสมุด อินเทอรเ นต็ สนทนากับพระสงฆ เปนตน เพอ่ื นําความรูมาอภปิ รายในช้ันเรียน เมื่อมีงานเลี้ยงหรืองานรับรองเนื่องด้วยพิธีใดๆ ก็ตาม ผู้เป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าหน้าท่ี รับแขกควรกล่าวปฏิสันถารต่อแขกให้ท่ัวถึง นักเรียนเป็นเด็กอาจจะได้รับการแนะน�าให้รู้จักญาติ หรือมิตรสหายของบิดามารดา หรือผู้ปกครอง เราจะต้องแสดงตนเป็นผู้มีคารวะต่อผู้ใหญ่และ อธบิ ายความรู Explain ร่วมอยู่ในที่สนทนาตามเวลาอันสมควร แต่ไม่ควรพูดสอดแทรกข้ึนเมื่อผู้ใหญ่ก�าลังสนทนากัน ควรตอบกต็ ่อเม่ือผใู้ หญถ่ ามเราเท่านั้น 1. ครใู หนกั เรยี นออกมาเลา ประสบการณของ นักเรยี นเองในการปฏิบัติตนเก่ียวกับการ 2.2 มารยาทของผูเ้ ปน็ แขก ตอนรับแขกใหเ พ่ือนนกั เรยี นฟง สังคมไทยมีวัฒนธรรม ประเพณีนิยมที่หลากหลายท้ังในด้านการปฏิบัติและในด้านคุณค่า 2. ครยู กตัวอยางคาํ พงั เพยทีว่ า “เปนธรรมเนียม ทผ่ี ปู้ ฏบิ ตั จิ ะตอ้ งเลอื กปฏบิ ตั ใิ หเ้ หมาะสมกบั สภาพการณน์ น้ั ดงั นนั้ ผเู้ ปน็ แขกหรอื บคุ คลทไี่ ปเยยี่ ม ไทยแทแ ตโ บราณ ใครมาถงึ เรอื นชานตอ ง ผู้อืน่ ควรปฏิบัติตน ดังน้ี ตอนรับ” แลว ใหนกั เรียนวิเคราะหว าจาก คาํ พงั เพยน้ี แสดงใหเหน็ ถงึ ธรรมเนียมปฏิบัติ ๑. ควรหาโอกาสไปเยย่ี มญาตมิ ติ รตามควร โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เมอื่ ครอบครวั ของญาติ ของคนไทยตอ ผอู ื่นอยา งไร ได้รับความเดือดร้อน เช่น มีผู้ได้รับอุบัติเหตุ ควรไปถามข่าวคราวและให้ก�าลังใจ หรือเมื่อยาม ครอบครวั ของญาตมิ ติ รไดร้ บั ความยินดีในเร่ืองใดเรือ่ งหนึง่ กค็ วรไปเยี่ยมเพ่อื แสดงความยินดีดว้ ย 3. ครใู หนักเรยี นแสดงบทบาทสมมตเิ ก่ียวกับการ ตอนรบั (ปฏสิ ันถาร) ในฐานะเจาของบานและ ๒. ก่อนเข้าบ้านควรให้เสียงหรือสัญญาณอื่นๆ เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ทราบว่ามีแขก ผูเปน แขก มาหา เชน่ เคาะประตู หรอื กดกรง่ิ (ถา้ ม)ี 4. ครูใหน ักเรียนวเิ คราะหวา การปฏิสนั ถาร 115 มีความสําคญั อยา งไร ใครคือคนทต่ี อ ง แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ ปฏิสนั ถารดวย และการปฏิสนั ถารมีแนวทาง การปฏิบัตอิ ยา งไร บูรณาการอาเซียน ผูใดปฏบิ ัตติ นในฐานะแขกทไ่ี ปเยีย่ มผอู ่ืนไดอ ยางเหมาะสม ครูเสริมความรูเ พิ่มเติมเกีย่ วกบั คํากลาวทักทายของภาษาตา งๆ ในประเทศ 1. เนตรไปเย่ยี มมกุ ทีบ่ าน เม่อื เจอพอแมเ พ่ือนกย็ กมือไหว สมาชกิ อาเซียน 10 ประเทศ 2. เกพ าเพอ่ื นกลมุ ใหญไปเย่ียมขวัญซ่ึงปว ยเปนไขอ ยทู ีบ่ าน 3. ออสนิทกบั กบิ๊ มาก จึงมกั ไปหาเพือ่ นโดยไมบอกกลา วลว งหนา คาํ กลา วทักทาย (ภาษาอาเซียน) 4. โอถอื โอกาสท่เี อกเจาของบา นเขา หอ งนา้ํ ขอตวั กลบั โดยไมบ อกลา บรไู น ซาลามัต ดาตงั อินโดนเี ซยี ซาลามตั เตียง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะเปน การแสดงความเคารพเจาของ มาเลเซีย ซาลามัต ดาตงั ฟล ปิ ปน ส กูมสุ ตา บา นเมื่อไปเยย่ี มเยือน สิงคโปร หนหี าว (ภาษาจนี ) ขอ 2. ไมควรพาเพอื่ นเปน กลุมใหญไป เพราะจะเปน การรบกวนผปู วย ไทย สวสั ดีครับ/คะ ขอ 3. ควรบอกกลาวเพือ่ นลว งหนากอนไปหาเพ่ือนทบ่ี า น กมั พูชา ซวั สเด ขอ 4. ควรบอกกลา วเพอื่ นกอนจะขอตวั กลบั บาน ลาว สะบายดี พมา มิงกาลาบา เวียดนาม ซินจาว คูมอื ครู 115

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครูสมุ ตวั แทนนักเรียนออกมาเลา ประสบการณ ๓. โดยทั่วไปแขกผู้มาเยี่ยมจะท�าความเคารพเจ้าของบ้านก่อน นอกจากว่าแขกมี การปฏิบตั ิตนตอ พระสงฆแ ละในเขตวดั เชน อาวุโสกวา่ เจ้าของบา้ น การแตงกายไปวัด การเตรยี มภตั ตาหารไป ถวายพระภกิ ษุ การปฏบิ ัติตนในระหวา งรว มพธิ ี ๔. ถา้ มิใชญ่ าตมิ ิตรทส่ี นทิ สนมกนั จรงิ ๆ แล้ว ไมค่ วรจะอยนู่ านเกนิ สมควร ถ้ามีธุระ การสนทนากบั พระสงฆ เปนตน เมอื่ เสรจ็ ธรุ ะแลว้ กค็ วรกลับ ถ้าไปเยีย่ มเฉยๆ เม่ือถามขา่ วคราวพอควรแลว้ กค็ วรกลบั นอกจาก เจา้ ของบา้ นจะคะยน้ั คะยอใหอ้ ย่ตู อ่ เชน่ ในกรณที ่เี จ้าของบา้ นรูส้ กึ เหงาอยากมีเพื่อนสนทนา 2. ครนู าํ อภิปรายเรือ่ งการปฏบิ ตั ติ อพระภิกษุ และตงั้ คําถามวา ๕. การไปเยี่ยมผู้อ่ืนนั้นไม่ควรน�าบุคคลที่เจ้าของบ้านไม่รู้จักไปด้วย นอกจากเป็น • การเขา พบพระภิกษุ ควรมีการปฏบิ ัติตน บุตรหลานข๖อ.งตเนมอ่ื หจระือกเลปบั น็ ไผปเู้คกวย่ี รวบขอ้อกงลกาบั กก่อานรไแปลเยะี่ยทม�าคนวัน้ ามเคารพโดยฐานานรุ ูป1แล้วจงึ กลับ ใหเหมาะสมอยางไร (แนวตอบ เชน ควรแตง กายใหสภุ าพเรยี บรอ ย 2.3 ระเบียบพธิ ีปฏิบัติตอ่ พระภกิ ษุ ควรถวายภตั ตาหารในตอนเชา หรอื ถวายน้าํ ผลไมใ นตอนบา ยและตอนเยน็ ตง้ั ใจฟง ขณะที่ ๑) การยนื พระภิกษุใหศ ลี หรอื แสดงพระธรรม สนทนา ๑.๑) การยืนตามล�าพัง การยืนตามล�าพังแม้จะไม่ต้องระวังตัวมากเหมือนยืน อยางสํารวม เปนตน ) ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ควรปล่อยตัวให้อยู่ในลักษณะท่ีน่าเกลียด ซ่ึงอาจมีคนมาพบเห็นเข้า เช่น ไมค่ วรยนื ขาถา่ ง เทา้ สะเอว ทา� ทา่ ทางเยอ่ หยงิ่ หนั หนา้ ไปมาอยา่ งลกุ ลลี้ กุ ลน ทา� ทา่ ทางหลกุ หลกิ 3. ครูใหนักเรยี นทาํ กิจกรรมท่ี 5.6 จากแบบวัดฯ เป็นต้น พระพทุ ธศาสนา ม.2 การยนื ควรอยใู่ นลกั ษณะสภุ าพ ปล่อยตวั ตามสบายพอควร ขาชิดกนั หรอื หา่ งกนั ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ เล็กน้อยก็ได้ หรือจะยืนในท่าพักก็ได้ จะยืนเอียงเล็กน้อยพองามก็ได้ แขนปล่อยแนบล�าตัว พระพทุ ธศาสนา ม.2 กจิ กรรมที่ 5.6 หนวยที่ 5 หนาทีช่ าวพทุ ธและมารยาทชาวพทุ ธ ตามสบาย ๑.๒) การยนื ตอ่ หนา้ ผใู้ หญแ่ ละ พระภิกษุ สมัยก่อนถ้าไม่จ�าเป็นจะไม่ยืนตรง กิจกรรมท่ี ๕.๖ ใหนักเรียนเขียนเครอ่ื งหมาย ✓ ลงใน ñðหนาขอความ คะแนนเต็ม คะแนนที่ได ท่เี ห็นวา ถูกตอง (ส ๑.๒ ม.๒/๒) ตอ่ หนา้ ผู้ใหญ่ แตจ่ ะยืนเฉยี งไปทางใดทางหนงึ่ สถานการณ นักเรียนควรปฏบิ ัติ การยืนทา� ได้ ๒ วธิ ี คือ ยืนตรง วิธที ่ี ๑ วธิ ีท่ี ๒ ๑. การยนื ตอ หนาผูใหญ ยืนตรงตอหนา ขาชดิ ✓ยืนเฉียงไปทางใดทางหนง่ึ ขาชิด ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย มือทั้งสอง และพระภกิ ษุ มือแนบขาง ยืนคอ ม สว นบนต้งั แตเอวขึน้ ไป ขาชิด มอื สองขางแนบขาง เลก็ นอย แขนแนบลําตัว ยืนคอ มสว นบนตง้ั แตเอวขึ้น แนบข้างหรือยืนค้อมส่วนบนต้ังแต่เอวข้ึนไป ไปเลก็ นอย มือสองขา ง ประสานกัน ๒. ถา จาํ เปน ตองนัง่ ✓ควรนัง่ ทางดา นซา ยมอื ควรน่งั ทางดานขวามือ เล็กน้อย ท่าทางส�ารวมและมือประสานกัน ของทาน การค้อมตัวจะมากน้อยแล้วแต่ผู้ใหญ่อาวุโส แถวเดยี วกบั พระสงฆ ของทาน เฉฉบลบั ย ๓. หากตอ งเดนิ สวน ✓หลกี ชดิ ทางดา นซา ยมือ หลีกชดิ ทางดานขวามอื มากหรือนอ้ ย กับพระสงฆ ของพระสงฆ ของพระสงฆ ๔. การรบั สิ่งของขณะท่ี ชาย/หญิง กราบแบบ ✓ชาย/หญิง กราบแบบ การประสานมอื ทา� ได้ ๒ วธิ ี คอื พระสงฆนงั่ กับพื้น เบญจางคประดิษฐ ๓ คร้งั เบญจางคประดิษฐ ๓ ครัง้ ย่ืนมือทัง้ สองไปรับของ ย่ืนมือทงั้ สองไปรบั ของ แลววางของไวด านซายมือ แลววางของไวดานขวามือ เม่อื ยืนต่อหนา้ พระภกิ ษุ พงึ ยนื ดว้ ยอาการสาำ รวม โดยการ คว�่ามือซ้อนกันจะเป็นมือไหนทับมือไหนก็ได้ กราบ๓ครงั้ แลว หยบิ ของนนั้ กราบ ๓ ครงั้ แลว หยบิ ของนน้ั ยืนตัวตรง ขาชิด มือท้ังสองประสานกันและค้อมตัวไป หรอื หงายมอื ทง้ั สอง สอดนว้ิ เขา้ ระหวา่ งรอ่ งนวิ้ ดวยมอื ท้งั สอง ประคอง ดวยมอื ทง้ั สอง ประคอง เดนิ เขา ถอยหลงั ไปจนหา ง เดนิ เขา ถอยหลังไปจนหา ง แลวคอยลกุ ขึ้นยืน หันหนา แลวคอ ยลกุ ขึ้นยืน หันหนา เดนิ กลับได เดินกลับได ขา้ งหน้าเล็กนอ้ ย ของแต่ละมอื ก็ไดเ้ ชน่ กนั ๕. การสนทนา ✓เวลารับไตรสรณคมนและ เวลารับไตรสรณคมนแ ละ 116 กับพระสงฆ รับศลี ใหพนมรับดวยความ รบั ศีล วาตามดวยเสียงดัง สงบน่งิ ไมควรน่งั เงยี บเฉยๆ ๔๘ เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การสละทน่ี ่งั ใหพระสงฆ ถือเปนการปฏิบัตติ ามมารยาทชาวพุทธขอ ใด ครอู ธิบายเพิ่มเตมิ วา ชาวพุทธทกุ คนควรปฏบิ ตั ติ นตอ พระภกิ ษใุ หเ หมาะสม 1. สังฆทาน ทั้งกาย วาจา และใจ ดังนี้ 2. ธรรมทาน 3. อาสนทาน 1. ทางกาย รจู กั แสดงความเคารพท่ีเหมาะสมแกโอกาส เชน ลุกขึน้ ตอนรับ 4. ทกั ขณิ านุปทาน ฟง ธรรมดวยอาการสงบ อุปถัมภพระสงฆดวยปจจยั 4 เปน ตน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การใหท ี่น่งั มาจากคาํ วา อาสนทาน คอื การสละที่นงั่ ใหพ ระสงฆ 2. ทางวาจา พูดกบั พระสงฆด วยคําพูดท่ีไพเราะ ใชคาํ พดู ถกู ตองเหมาะสม ขอ 1. สงั ฆทาน คอื การถวายสิ่งของหรอื เคร่ืองไทยธรรมแดพ ระสงฆ ควรใชคาํ สรรพนามท่ถี ูกตอ ง โดยไมเจาะจงเฉพาะรปู ใดรูปหนึ่ง ขอ 2. ธรรมทาน คอื การใหธรรมหรอื คาํ สอนเปนทาน 3. ทางใจ แผค วามรกั ความปรารถนาดตี อ ทา น คดิ หาโอกาสสนบั สนนุ บาํ รงุ พระสงฆ ขอ 4. ทกั ขิณานปุ ทาน คอื การทําบุญอทุ ิศสว นกุศลใหญาตผิ ลู ว งลับ ไปแลว นักเรยี นควรรู 1 ฐานานุรปู คือ สมควรแกฐ านะ ใชใ นกรณกี จิ การ การใชจา ย การตอ นรับ การดํารงชีพ ใหเ ปนไปอยา งพอดี พอเหมาะพอควร ไมใ หเกินเลยฐานะ หรือนอยไปจนเกนิ เหตุ 116 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๒) การใหท้ นี่ ัง่ มาจากคา� วา่ “อาสนทาน” ใชใ้ นเวลาพระสงฆ์มาในบริเวณมณฑลพิธี 1. ครูใหน กั เรียนแบงกลมุ เพอ่ื ฝก ระเบยี บพิธี ซึ่งไมม่ ีทว่ี ่างหรือแสดงความเคารพแกพ่ ระสงฆ์ พึงปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ปฏบิ ตั ติ อ พระภกิ ษุ ทง้ั การยนื การลกุ ขนึ้ ยนื รบั ๑. ถ้าสถานที่ชุมนุมนั้นนั่งเก้าอี้ เม่ือพระสงฆ์มาในงานน้ัน ฆราวาสชายและ1 การใหทน่ี งั่ การเดนิ สวนทาง การสนทนา และ การรบั ส่ิงของ แลวใหนกั เรียนออกมาสาธิต หญิงพึงลุกข้ึน หลีกให้พระสงฆ์น่ังเก้าอ้ีแถวหน้า หรือขณะข้ึนรถเมล์ประจ�าทางนั่งอยู่เบาะหลัง หนา ช้ัน ถา้ มพี ระสงฆเ์ ดนิ ทางไปดว้ ยพงึ ใหพ้ ระสงฆน์ ง่ั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความมสี มั มาคารวะ และมวี ฒั นธรรม ในการน่งั 2. ครใู หน กั เรียนแตละกลมุ สมมตสิ ถานการณ ๒. ถา้ จ�าเปน็ ต้องน่งั แถวเดยี วกับพระสงฆ์ พงึ นง่ั เก้าอด้ี ้านซ้ายมอื ท่านเสมอ แลวแตงบทสนทนาระหวา งพระภกิ ษุกบั ตนเอง ๓. ส�าหรับสตรีเพศจะน่ังอาสนะยาว เช่น ม้ายาวตัวเดียวกันกับพระสงฆ์ต้องมี เชน การนิมนตพระสงฆม าประกอบงานบุญ บรุ ุษเพศนัง่ คัน่ ในระหว่างกลาง จงึ ไม่เกดิ โทษแก่พระสงฆ์ ที่บาน การนมิ นตพ ระภิกษมุ าเปน วิทยากรที่ ๔. ถ้าสถานท่ีชุมนุมน้ันนั่งกับพ้ืน พึงจัดอาสน์สงฆ์ให้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจาก โรงเรียน เปน ตน ครูสังเกตการใชสรรพนาม ฆราวาส เช่น ปูพรมผนื ใหญเ่ ตม็ หอ้ งควรจดั อาสนะเล็กบนพรมนนั้ อีกชน้ั หนึง่ และคําราชาศพั ทส าํ หรบั พระภิกษใุ หเ หมาะสม ๓) การเดนิ สวนทาง การเดินสวนทางกับพระสงฆ์ ควรปฏบิ ตั ิ ดังนี้ 3. ครูซักถามและสอนนักเรียนเพิ่มเติมเกยี่ วกบั กริ ิยามารยาททเ่ี หมาะสมตอพระภกิ ษุ จากน้ัน ๑. หลกี ชดิ ทางซา้ ยมือของพระสงฆ์ นักเรียนบันทึกขอ ควรระวงั และการปฏิบตั ิตน ๒. ยืนตรงหรือน่ังตามความเหมาะสมแล้วหันหน้ามาทางท่าน มือทั้งสองห้อย ระหวา งสนทนากบั พระภิกษลุ งในสมดุ ประสานกนั ไว้ขา้ งหน้าในทา่ ทเี่ รียบร้อย ๓. เมื่อพระสงฆ์เดนิ ผา่ นมาเฉพาะหนา้ พงึ ยกมือไหว้ 4. ครถู ามนกั เรียนเพิ่มเติมวา เพราะเหตใุ ด ๔. ถ้าท่านพูดด้วยพึงประนมมอื พดู กับท่าน เราจึงตองใหค วามเคารพพระภกิ ษุ ๕. ถ้าท่านมิได้พูดด้วย เม่ือไหว้แล้วมือทั้งสองต้องห้อยประสานกันไว้ข้างหน้า (แนวตอบ เพราะพระภิกษเุ ปนผูท รงศลี ถึง 227 มองดูจนกวา่ ทา่ นจะผ่านไป ขอ ปฏบิ ัติตนอยูใ นสมณเพศอันดีงาม เช่อื ไดวา เปน ผรู ักษาศลี หรอื ความเปน ปกติเหนือมนษุ ย ๔) การสนทนา การสนทนากับ ปุถชุ นท่วั ไป นอกจากนี้ ยงั เปนตวั แทนของ พระพทุ ธเจา เปน เนอื้ นาบุญของโลก เพอื่ ให พระสงฆ์ พงึ ปฏิบตั ิ ดงั นี้ ผูคนไดท าํ บญุ ถวายทานตอพระภิกษุ จงึ เปนที่ ๑. ใช้สรรพนามให้เหมาะสม เคารพสกั การะสําหรับพุทธศาสนิกชนท่วั ไป) คือใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผม, กระผม” (ส�าหรบั ชาย) “ดฉิ ัน” (สา� หรบั หญิง) ๒. ใช้สรรพนามแทนท่านว่า “พระคณุ เจ้า, หลวงพอ่ , ทา่ นพระครู, ท่านเจา้ คณุ , ใต้เท้า, พระเดชพระคณุ ” ตามควรแกก่ รณี ๓. เวลารบั ค�า พงึ ใช้วา่ “ครบั , ขอรบั ” (สา� หรบั ชาย) “คะ่ , เจา้ คะ่ ” (สา� หรบั หญงิ ) การเดนิ สวนทางกบั พระภกิ ษุ ขณะทพ่ี ระภกิ ษเุ ดนิ ผา่ นหนา้ พึงยกมือไหว้ 117 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู เราควรใชส รรพนามกบั พระสงฆร ปู ทีเ่ ราไมรูจกั วาอยา งไรจึงจะเหมาะสม ครแู นะนําวา คําวา “หลวงพอ” ไมใชส มณศกั ดิ์ แตเ ปน คําพูดแสดงความเคารพ 1. หลวงพอ ยกยองพระสงฆท ี่ทา นประพฤตปิ ฏิบตั ชิ อบ และมกั มพี รรษาหรอื อายุมากแลว 2. พระคุณเจา ในกรณที อี่ ายไุ มม าก ผพู ดู จะใชค าํ สรรพนามแทนทา นวา หลวงอา หลวงพี่ และอนื่ ๆ 3. ทา นพระครู ก็ได ตามแตกรณี 4. พระเดชพระคณุ นกั เรียนควรรู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. พระคุณเจา เปน สรรพนามท่ีใชเ รียก 1 ฆราวาส คอื ผคู รองเรอื น หรอื คฤหสั ถ หรอื ชาวบา นธรรมดา โดยฆราวาสธรรม พระภิกษทุ ม่ี ีระดับเปน พระราชาคณะช้นั สามญั ขนึ้ ไป และพระท่ัวไปทีไ่ มมี หรอื ธรรมของผูครองเรือนมี 4 อยาง ดงั นี้ สมณศักด์ิ • สจั จะ คือ ความจริงใจ ซอื่ สตั ย • ทมะ คือ การฝกฝน การขม ใจตนเอง • ขนั ติ คือ ความอดทน • จาคะ คอื ความเสียสละ คมู ือครู 117

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครูใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ออกมาสาธิตการถวาย ๔. เวลาพระท่านพดู พึงตัง้ ใจฟงั โดยเคารพ ไม่พงึ ขดั จังหวะหรอื พูดแทรกขึน้ มา สงิ่ ของและรบั สิง่ ของในขณะท่ีพระสงฆยืน ในระหวา่ งที่ทา่ นกา� ลงั พดู อยู่ นงั่ เกา อ้ี และนั่งกับพื้น ๕. เเววลลาารทบั า่ ไนตใรหส้โรอณวาคทมหน1รแ์ อื ลอะรวบัยศพลีร พึงประนมมือฟงั โดยเคารพ ๖. พงึ วา่ ตามดว้ ยเสยี ง2ดงั ไมพ่ งึ นงั่ เงยี บเฉยๆ 2. ครสู นทนาเก่ียวกบั การรับส่ิงของจากพระสงฆ ๗. เวลาฟงั พระสวด เช่น สวดศพ เจรญิ พระพุทธมนต์ พึงประนมมือฟงั ด้วยความ และต้งั คาํ ถามวา เคารพ ไม่คุยกนั หรอื ท�าอย่างอืน่ ในระหว่างทที่ า่ นกา� ลังสวด • การรบั สง่ิ ของจากมอื พระสงฆก บั การแบมอื รอรบั สง่ิ ของทพี่ ระสงฆป ลอ ยลง ใชใ นกรณใี ด ๕) การรบั ส่งิ ของ การรบั ส่งิ ของจากพระสงฆ์ ควรปฏิบัติ ดังน้ี บาง ๕.๑) การรับสิ่งของขณะท่ีพระสงฆ์ยืนอยู่ ขณะที่พระสงฆ์ยืนอยู่หรือนั่งในทส่ี งู (แนวตอบ ในกรณสี งิ่ ของชิน้ เลก็ ๆ ผชู าย ใหผ้ รู้ บั เดนิ เขา้ ไปดว้ ยกริ ยิ าอาการสา� รวม เม่ือได้ระยะพอสมควร ให้ยืนตรง น้อมตัวลงไหว้ และ สามารถรบั สงิ่ ของจากพระสงฆโดยตรงได ยนื่ มอื ทงั้ สองเขา้ ไปรบั พรอ้ มกบั นอ้ มตวั เลก็ นอ้ ย สา� หรบั ชายรบั ของจากมอื ทา่ นไดแ้ ตส่ า� หรบั หญงิ แตผ หู ญงิ จะรับส่ิงของจากพระสงฆโ ดยแบมือ ให้แบมอื ท้ังสองชดิ กันคอยรองรบั สง่ิ ของท่ที า่ นจะปล่อยลงในมอื ให้ เมือ่ รบั ส่ิงของแลว้ ถ้าสิ่งของ รอรบั ส่ิงของทีพ่ ระสงฆป ลอยลงมา ท้ังนีเ้ พ่ือ เล็กนิยมน้อมตัวลงยกมือไหว้พร้อมกับส่ิงของในมือ ถ้าสิ่งของท่ีรับน้ันใหญ่หรือหนักก็ไม่ต้อง ปองกนั การถกู เนอ้ื ตอ งตวั กัน) ไหวร้ บั แลว้ คอ่ ยหันตวั กลบั เดนิ ไปได้ • หากโรงเรยี นนมิ นตพ ระสงฆม าเปน วทิ ยากร ๕.๒) การรับสิ่งของขณะท่ีพระสงฆ์น่ังเก้าอี้ ขณะที่พระสงฆ์น่ังเก้าอ้ี ให้ผู้รับ บรรยายความรทู างพระพทุ ธศาสนา แลว เดินเข้าไปด้วยอาการส�ารวม เมื่อเข้าไปใกล้พอสมควรให้ยืนตรงแล้วนั่งคุกเข่าข้างซ้าย ชันเข่า นกั เรยี นตอบคาํ ถามถกู ตอ ง พระสงฆจ งึ เรยี ก ขวาข้นึ น้อมตวั ลงยกมือไหว้ แล้วย่นื มอื ท้งั สองออกไปรับของเช่นท่ีกลา่ วมาแลว้ เมอื่ รบั ของแล้ว นกั เรยี นออกไปรบั รางวลั หนา ชนั้ เรยี น ถา้ ของนน้ั เลก็ กน็ อ้ มตวั ลงไหวพ้ รอ้ มกบั ของนนั้ อยใู่ นมอื ถา้ เปน็ ของใหญห่ รอื หนกั นยิ มวางของนนั้ ซ่งึ เปนปากกา 1 ดาม โดยทา นกําลงั ยนื ไวข้ า้ งตัวด้านซ้ายมือ นอ้ มตวั ลงไหวแ้ ล้วยกของนน้ั ดว้ ยมอื ทัง้ สองประคองขึน้ ลกุ ขึ้นยนื ถอยหลัง บรรยายอยู นกั เรยี นจะมีวธิ ีการรับสงิ่ ของ เล็กน้อยแล้วหนั หน้ากลบั เดินไปได้ จากทา นอยางไร ๕.๓) ก า ร รั บ สิ่ ง ข อ ง ข ณ ะ ท่ี (แนวตอบ หากเปน นกั เรียนชาย ใหเ ดนิ เขา ไป พระสงฆ์นั่งกับพ้ืน ขณะที่พระสงฆ์นั่งกับพ้ืน หาพระสงฆดวยอาการสํารวม เมอื่ ไดระยะ ให้เดินเข้าไปด้วยกิริยาส�ารวม เม่ือใกล้อาสนะ พอสมควรใหย ืนตรง นอ มตัวลงไหว แลวยื่น ที่พระสงฆ์นั่งอยู่พอสมควร จึงน่ังคุกเข่าลง มอื ไปรับสงิ่ ของจากทานไดโดยตรง พรอ ม แล้วเดินเข่าหรือคลานเข้าไปจนได้ระยะรับของ นอ มตวั เล็กนอ ย แตถ าเปนนักเรยี นหญิง แล้วน่ังคุกเข่าส�าหรับชาย หรือน่ังพับเพียบ ใหแ บมอื ทั้งสองชดิ กนั คอยรองรับสิง่ ของ สา� หรบั หญงิ กราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ หน ทีท่ านจะปลอ ยลงในมือ เม่ือรบั สงิ่ ของ คอื แลว้ ยนื่ มือทง้ั สองไปรบั ของแบบท่ีกล่าวมาแลว้ ปากกา ซ่งึ เปน ของเลก็ แลว ใหนอ มตัวลง เมื่อรับของแล้วนิยมวางของน้ันไว้ข้างตัวด้าน ยกมือไหว พรอ มกับส่ิงของในมือ) การรับสิ่งของจากพระภิกษุสำาหรับหญิงในขณะท่ีพระภิกษุ ขวามอื กราบ ๓ หน แล้วหยบิ ของนนั้ ด้วยมอื นง่ั กบั พ้นื ทัง้ สองข้าง ประคองเดนิ เข่าถอยหลังไปจนหา่ ง 118 พอสมควร แลว้ จงึ ลกุ ขน้ึ ยนื หนั หนา้ เดนิ กลบั ได้ นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดเปน การแสดงมารยาทในการรับสิง่ ของจากพระสงฆข องนักเรยี นชาย 1 ไตรสรณคมน ไตร คอื สาม สรณะ คอื ท่พี ึ่ง คมน คอื การถึง ไตรสรณคมน หรอื สภุ าพบรุ ษุ จงึ หมายถึง การถึงท่ีพงึ่ 3 ประการ ไดแ ก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ซึง่ การรบั 1. แบมอื รบั ไตรสรณคมน เปนการนอ มกาย วาจา ใจ นาํ พระรัตนตรัยเขาไปไวใ นตน 2. รบั ไมใ หโ ดนมอื พระสงฆ เพอื่ แสดงวาตนมพี ระรตั นตรยั เปน ทรี่ ะลกึ นึกถึง เปน ทพ่ี ่ึงตลอดไป และแสดงตน 3. รับจากมอื พระสงฆโดยตรง เปนพทุ ธมามกะ หรอื ผนู ับถอื พระพุทธศาสนา 4. ใชพ านหรอื ผา ปูสาํ หรับรองรบั 2 เจรญิ พระพทุ ธมนต มจี ดุ กาํ เนดิ มาจากการศึกษาเลาเรยี นพระพุทธพจน วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะผูชายสามารถรับสิง่ ของจากมือ เพอ่ื ทอ งจาํ และสบื ตอคาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา โดยตรง โดยพระสงฆส าวกสมัย พระสงฆโดยตรงได พทุ ธกาลไดน ําพระสูตรตางๆ มาสวดสาธยายในรปู แบบการบริกรรมภาวนาใหเ กดิ ขอ 1. ใชก ับผูหญิงในกรณีส่ิงของชิน้ เลก็ ๆ เชน เหรียญ พระเครือ่ ง เปนสมาธิ จงึ เรยี กวา พระพทุ ธมนต เปนตน ขอ 2. ใชในกรณผี หู ญิง 118 คมู ือครู ขอ 4. พระสงฆใชพานหรอื ผาปูรองรบั สําหรับฆราวาสทีเ่ ปน ผูห ญงิ ถวายของแดพระสงฆ

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๒.๔ การแตงกายในพธิ ีตางๆ 1. ครกู ลาวนาํ เกยี่ วกบั การแตง กายในศาสนพิธี ตา งๆ และต้ังคาํ ถามวา การแตงกายมใิ ชว า จะมจี ุดประสงคเ พ่อื ปกปด รางกาย ปองกนั หนาวรอนเพียงเทา นน้ั แตยงั • การแตง กายทีถ่ ูกตองเหมาะสมและ เพ่ือประโยชนในการสงเสริมความมีสงาราศีใหตัวเราอีกดวย จําเปนตองรูวาแตงอยางไรจึงจะ ถูกกาลเทศะ กอใหเ กิดผลดอี ยา งไร เหมาะสมแกก าลเทศะ คือ เรามรี ะเบียบทน่ี ยิ ม (แนวตอบ การแตง กายใหเหมาะสม คอื กันวา ไปในงานอยางหน่ึงแตงกายอยางหน่ึง การยดึ ถือความรสู ึกของเจาภาพในงาน ตา งๆ กนั ไป สว นมากมกั จะเปน เรอื่ งของผใู หญ ตางๆ โดยเอาใจเขามาใสใ จเรา เราเปนเด็กก็ควรสังเกตไววันหนึ่งขางหนาโต เมือ่ แตง กายถูกตอ งเหมาะสมในงานนนั้ เปนผูใหญ กจ็ ะตอ งปฏบิ ัตเิ ชนเดยี วกัน จะเปน การใหเกียรติ ทําใหเจา ภาพมีความ รูสกึ ท่ดี ี และเปนทต่ี อนรับของบุคคลท่ัวไป ๑) การแตงกายไปวัด วัดเปนที่ รวมถึงเปนทชี่ ่ืนชมของผูอนื่ ดวย) พาํ นกั ของพระภิกษแุ ละสามเณร เปนที่สําหรับ • ส่งิ ที่ชาวพุทธควรระลกึ อยูเสมอเมอื่ ไปวัด ประกอบการบญุ การกศุ ล ในสมยั กอ นวดั มคี วาม มอี ะไรบาง สําคัญมากในสังคมไทย วัดเปนศูนยกลางของ (แนวตอบ ระลกึ อยเู สมอวา วัดเปนสถานท่ี ชุมชน วัดเปนโรงเรียน เปนท่ีพักแรมของคน ศักด์ิสิทธิ์ ไมควรทําการคกึ คะนอง ไมส ง เดินทาง เปนท่ีที่ชาวบานมาพบปะสังสรรคกัน การแตงกายไปวัด ควรแตงกายใหสุภาพเรียบรอยและ เสยี งดัง ไมกระทาํ ผิดศีล ไมย ุงเกี่ยวกับ เปน ทท่ี คี่ นมาพกั ผอ นหยอ นใจเมอื่ มงี าน วดั เปน ถูกตองตามกาลเทศะ อบายมุขตา งๆ ควรแตง กายใหสะอาด เรยี บรอย และถูกตองตามกาลเทศะ) ทท่ี ค่ี นมาหาความสงบวิเวกทางใจ เปนที่ที่ระบายและปรึกษาความทกุ ขใจและอนื่ ๆ อกี มากมาย • พทุ ธศาสนิกชนที่ดี ควรแตงกายไปวดั ชาวพทุ ธท่ดี ีควรหาโอกาสไปวดั เปน ครง้ั คราว เชน ในวันพระ วนั สาํ คัญทางพระพทุ ธ อยางไร ศาสนาก็เขาไปสนทนาธรรมหรือแมแตไปพักผอนหาที่สงบวิเวก เพื่อต้ังใจที่จะกระทําความช่ัว (แนวตอบ การแตงกายไปวดั ท่ีถูกตองและ ใหนอยลง ทําความดีใหมากขึ้น และในการไปวัดน้ันหากฐานะอํานวยก็ควรนําส่ิงของอันควร เหมาะสม ควรแตง ใหสะอาดเรียบรอย ไปถวายพระดวยตามกําลังความสามารถและศรัทธาของตน เพ่ือเปนการทําบุญและชําระจิตใจ หลกี เล่ียงเสื้อผา สสี ันฉูดฉาด ไมใ สเส้ือผาที่ ใหส ะอาด หากฐานะไมอ าํ นวยกไ็ มเ ปน ไร เพราะการบชู าพระนน้ั ถา บชู าดว ยการปฏบิ ตั ธิ รรมกถ็ อื วา หรหู ราหรอื นาํ สมยั มากจนเกินไป ควรใส เปนส่ิงประเสรฐิ สดุ อยแู ลว เสอ้ื ผาทหี่ ลวมและไมรัดรปู เพอ่ื สะดวกใน การไปวัดน้ันตองระลึกอยูเสมอวาวัดเปนสถานที่ศักด์ิสิทธิ์ท่ีตองการความสะอาด การกราบพระและทําสมาธิ สาํ หรับผหู ญิง สไมงสบง เแสลียะงสดําังรไวมมเลชน าควะพนุทอธงทไี่ดมีตพ อูดงหใหยคาวบามไมเคด าม่ื รสพรุ ตาใอนสเถขาตนวทดั 1ี่อไันมเเปลนน ทกี่ตาร้ังพขนองนั 2วัดเปนคตวนรมีมารยาท จะตองแตง กายสภุ าพและมดิ ชิด ไมใส การแตงกายไปวดั นัน้ ควรแตง ใหส ะอาดเรียบรอย หลีกเลี่ยงการใชเ สอ้ื ผาทีม่ ีลวดลาย เสื้อทีบ่ างเกินไปหรอื เสือ้ คอลกึ กระโปรง และสสี นั ฉูดฉาด ไมค วรแตงกายใหห รูหราหรอื นาํ สมยั จนเกนิ ไป ควรใสเ สอ้ื ผาหลวมๆ ไมรดั รปู หรือกางเกงก็ไมควรส้ันมาก และไมควร เพ่ือสะดวกในการกราบพระ และการทาํ สมาธิ สตรไี มค วรใสเส้อื บางจนเกนิ ไป กระโปรงก็ไมควร ผาหนาผา หลังลึกเกนิ ไป อกี ทั้งไมค วรใส สน้ั มาก และไมค วรผา หนา ผา หลงั ลกึ เกนิ ไป ไมค วรใสเ ครอื่ งประดบั มากจนเกนิ ไป วดั ไมใ ชส ถานที่ เคร่อื งประดบั มากจนเกนิ ไป เพราะวดั ไมใช อวดมัง่ อวดมี ควรเปนทที่ ี่เราจะไปเพอื่ ขัดเกลากเิ ลสตัณหาใหน อยลง สถานทอ่ี วดความร่ํารวย และไมควรใส นํา้ หอมกลน่ิ ฉนุ ดว ย) ๑๑๙ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอใดกลา วไม ถกู ตองสําหรบั การแตงกายไปงานมงคลหรอื งานอวมงคล 1 ไมด มื่ สรุ าในเขตวดั ในปจ จบุ นั วดั ถอื เปน สถานทปี่ ลอดสรุ า โดยมหาเถรสมาคม 1. ไปงานแตง งานใสช ดุ ลําลอง (คณะกรรมการปกครองคณะสงฆไทย) มีมติหามดืม่ เหลาในวดั ท่ัวประเทศ 2. ไปงานบวชแตง กายเสือ้ เชิ้ต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล พ.ศ. 2551 ฝาฝนมีโทษจําคุก 6 เดือน 3. ไปงานศพควรแตง กายชุดสากล หรอื ปรับไมเกนิ 10,000 บาท หรือท้งั จาํ ทั้งปรับ หากพบวาพระสงฆท ําผิดเสยี เอง 4. ไปงานวันเกิดเพอ่ื นใสเสอ้ื สีสนั สดใส ถือโทษ 2 เทา คอื ถูกจับสึกและออกไปรบั โทษตามกฎหมายดวย 2 การพนนั เปนหน่ึงในอบายมุข 6 หรอื ทางแหงความเสอื่ ม มี 6 ประการ ไดแ ก วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เนอ่ื งจากงานแตง งานควรแตงใหเปน ตดิ สุราและของมนึ เมา ชอบเทีย่ วกลางคนื ชอบดูการละเลน ตดิ การพนนั คบคนช่วั และเกยี จครา นการงาน โดยการเลน การพนนั มโี ทษ 6 อยา ง ไดแ ก ผชู นะยอ มกอ เวร ทางการ คอื สวมชุดสากลหรือชุดสุภาพ สวนชุดลําลองสามารถแตง ผแู พยอ มเสยี ดายทรพั ย ความเสือ่ มทรพั ยในปจ จบุ ัน ไมมคี วามนา เช่อื ถือ ถูกบุคคล ไปงานวนั เกดิ เพ่ือนได หมิน่ ประมาท และไมมีใครประสงคจ ะแตงงานดว ย คูมอื ครู 119

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครใู หนกั เรียนแตล ะคนแสดงความคดิ เห็นวา ๒) การแต่งกายไปงานมงคล งานมงคล คือ งานที่เกี่ยวกับเร่ืองดีงาม เป็นการ การแตงกายในงานมงคลและงานอวมงคล ควร แตงกายใหเหมาะสมอยางไรบา ง เพราะเหตใุ ด ฉลองอะไรบางอยา่ ง หรอื เป็นเรื่องที่นา่ ยนิ ดี เชน่ งานบวช งานแตง่ งาน งานวนั เกดิ เปน็ ต้น โดยบนั ทกึ ลงในสมุด การแต่งกายไปงานมงคลมีข้อควรปฏิบัติ คือ แต่งกายให้เหมาะสมกับงานน้ันๆ 2. ครูใหศ ึกษาความหมายและคานยิ มของสีใน เพ่ือเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพ บัตรเชิญไปงานอาจบอกได้ว่าควรแต่งกายอย่างไร ท้ังน้ีต้องยึด วัฒนธรรมไทยและตา งประเทศ จากนน้ั ครูให ความนยิ มของสงั คมดว้ ย เชน่ ไปงานวนั เกดิ เพอ่ื นอาจแตง่ ตวั แบบลา� ลองตามสบาย ไปงานแตง่ งาน นกั เรยี นวเิ คราะหวา เพราะเหตใุ ดพระสงฆ ควรแตง่ ให้เป็นทางการ เชน่ สวมชดุ สากล ไปงานบวชแตง่ ตัวให้ดเู รียบง่าย เปน็ ต้น สวนใหญจงึ ครองจีวรสเี หลือง การไปงาน มงคลจงึ ควรใสสสี ดใส สภุ าพ และการไปงาน คนแต่ละคนยึดถือประเพณีนิยมของสังคมไม่เหมือนกัน บางคนยึดถือตามระเบียบ อวมงคลจงึ ควรใสส ดี ําหรอื สขี าว ประเพณีอย่างเคร่งครัด บางคนตามสบาย อันที่จริงเสื้อผ้าท่ีสวมใส่ไม่ใช่สาระหรือแก่นของการ ไปร่วมงาน แต่ถ้าเราไม่ยึดถืออะไรเลย แต่งตัวตามใจชอบ อาจท�าให้เจ้าภาพมีความรู้สึกไม่ดี 3. ครใู หนกั เรียนทเี่ คยบวชเปน สามเณร หรอื คนเราควรดา� เนินสายกลาง นกึ ถึงใจเขาใจเรา คดิ ดวู า่ หากเราเป็นเจา้ ภาพเราจะรู้สึกอยา่ งไร ถ้ามี เขา รว มงานบวชหรอื งานมงคลตา งๆ ออกมา คนแต่งตัวอย่างที่เราแตง่ มางานของเขา อธบิ ายวามีขั้นตอนการดาํ เนินงานอยา งไร เพื่อ ใหเ พอ่ื นนกั เรียนซักถามถงึ การปฏบิ ัติตนและ การแตงกายไปงานเหลา น้นั 4. ครใู หนักเรียนทาํ กจิ กรรมที่ 5.7 จากแบบวดั ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 5.7 หนว ยท่ี 5 หนาท่ชี าวพทุ ธและมารยาทชาวพุทธ กิจกรรมที่ ๕.๗ ใหน ักเรยี นสรปุ หลักปฏิบัติท่เี หมาะสมในการแตง กาย คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด ในพธิ ตี างๆ (ส ๑.๒ ม.๒/๒) ñð การแต่งกายไปรว่ มงานมงคล จะต้องยดึ หลกั ความสภุ าพเรยี บร้อยและความเหมาะสมกบั งาน การแตงกายไปวัด เรือ่ งน่ารู้ …ค…วร…แ…ต…ง …ก…า…ย…ให…ส …ะ…อ…า…ด…เร…ยี …บ…ร…อ …ย…ห…ล……กี …เล…ย่ี …ง…ก…า…รส……วม…ใ…ส…เ ส……อ้ื ผ…า.. …ท…ี่ม…ีล…ว…ด…ล…า…ย…แ…ล…ะ…ส…ี…ส…ัน…ฉ…ูด……ฉ…า…ด……ค……วร……ใส……เส……้ือ…ผ…า…ห…ล…ว…ม…ๆ.. กาสายะหรือกาสาวะ …ไม…ร…ัด…ร…ูป………เพ…ื่อ…ส……ะด……วก……ใน……ก…าร…ก……ร…าบ……พ…ร…ะ…แล……ะก…า…ร…ท…ํา…ส…ม…า…ธ..ิ …ส…ต…ร…ีไ…ม…ค…ว…ร…ใส……เส…ื้อ……บ…า…งจ……น…เก…ิ…น…ไ…ป……ก…ร…ะ…โ…ป…ร…ง…ไ…ม…ค…ว…ร…ส…ั้น.. …มา…ก…แ…ล…ะ…ไ…ม…ค …ว…ร…ผ…าล…กึ……เก…นิ …ไ…ป……แ…ล…ะ…ไ…ม…ค…ว…ร…ใส……เ ค…ร…ื่อ…ง…ป…ร…ะ…ด…ับ.. …มา…ก…จ…น……เก…ิน…ค……วา…ม…พ…อ…ด…ี …………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………….. การแตงกายไปงานมงคล กาสายะหรือกาสาวะ คือ ผ้าทย่ี อ้ มดว้ ยรสฝาดแห่งตน้ ไม้ มสี ีเหลืองหมน่ ผ้าเหลืองสาำ หรับพระ การที่ต้อง …ค…ว…ร…แ…ต…ง…ก…า…ย…ใ…ห…ส…ุภ…า…พ…เ…ร…ีย…บ…ร…อ…ย…เ…ห…ม…า…ะ…ส…ม…ก…ับ…ง…า…น……น…้ัน…ๆ.. ยอ้ มดว้ ยรสฝาดนนั้ มจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื จะฆา่ เชอื้ โรค เพราะสมยั นน้ั พระหาผา้ ครองไดจ้ ากปา่ ชา้ ซง่ึ เปน็ ผา้ ทช่ี าวบา้ นใช้ ห่อศพมีเลือดและหนองเปรอะอยู่ เม่ือจะนำามาใช้เป็นผ้าครองต้องฆ่าเช้ือโรคเสียก่อน อีกประการหนึ่งผ้าเหล่าน้ัน …แล……ะย…ึด…ค……วา…ม…น……ิย…ม…ขอ……งส……ัง…ค…ม……เ…ช…น……ไ…ป…ง…า…น…ว…ัน…เ…ก…ิด…เ…พ…่ือ…น.. เฉฉบลบั ย …อ…าจ…แ…ต…ง…ต…ั…วแ…บ…บ……ล…ํา…ล…อ…ง…ต…า…ม…ส…บ…า…ย……ไ…ป…ง…า…น…แ…ต…ง…ง…า…น…ค…ว…ร.. ยอ่ มเปอ่ื ย จาำ เปน็ ตอ้ งฉกี เอาแตท่ ด่ี ๆี มาเยบ็ ตอ่ เขา้ เปน็ ผนื ดว้ ยเหตนุ ้ี ผ1า้ ครองของพระแตเ่ ดมิ จงึ มตี ะเขบ็ มากมายไมเ่ หมอื น …แต……ง…ก…า…ย…ใ…ห…เ…ป…น…ท……าง…ก……า…ร……ไ…ป…ง…า…น…บ……วช…ค……ว…ร…แ…ต…ง…ต…ัว…ใ…ห.. ในปัจจบุ ัน จวี รพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลออกแบบโดยพระอานนท์ ท่เี ปน็ ตะเขบ็ เรยี กว่า ขันธ์ มี ๕ ขนั ธ์ ๗ ขันธ์ มลี กั ษณะคลา้ ยคนั นาของชาวมคธ (วนิ ยั มขุ เล่ม ๒) …เร…ยี …บ…ร…อ …ย……ไม…จ…ํา…เ…ป…น…ต…อ …ง…ใ…ส…ช …ดุ …ห…ร…หู …ร…า…ร…าค……าแ…พ…ง………………….. 120 …………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………….. การแตง กายไปงานอวมงคล …ต…า…ม…ป…ร…ะ…เพ…ณ……ีน…ิย…ม…ผ…ู…ช…าย…แ…ต……ง…ชุ…ด…ส…า…ก…ล…น…ิ…ย…ม…ส…ีเข…ม………ห…ร…ือ.. …แต…ง…ก…า…ย…ช…ุด…ไ…ท…ย…พ…ร…ะ…ร…า…ชท……าน……ส…ดี …ํา…ท…้งั …ชุด………ห…ร…อื …ก…า…ง…เก…ง…ส…ดี …าํ.. …ห…ร…ือ…เข…ม……เ…ส…ื้อ…ส…ีข…า…ว……ผ…ูห…ญ……ิง…น…ุง…ผ…า…ซ…ิ่น…ห…ร…ือ…ก……ร…ะโ…ป…ร…ง…ต…า…ม.. …ส…ม…ัย…น…ิย…ม……ถ…า…เป……น…ไ…ป…ได……ค…ว…รเ…ป…น…ส……ีด…ําท……ั้ง…ชุด………ส…ว…ม…ร…อ…ง…เท…า.. …ห…ุม…ส…น……ส…ีด…ํา……ถ……า…ไม……ม…ีก…็อ…า…จ…แ…ต…ง…ก……าย……ธ…ร…ร…ม…ด…า…ส…ีเ…ร…ีย…บ…ๆ.. …ไม…ฉ…ูด…ฉ……าด……แ…ล…ะ…ไ…ม…ค …วร…ใ…ส…เ…ค…ร…ื่อ…ง…ป…ร…ะ…ด…ับ…ม…า…ก…เก…ิน……ไป…………….. …………………………………………………………………………………………………….. ๔๙ ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การแตง กายไปทาํ บุญฟงเทศนท ่วี ดั ไมควร แตงอยางไร เกรด็ แนะครู 1. นุงกระโปรงสดี าํ 2. ใสเ ครื่องประดับ ครูอธบิ ายเพิม่ เตมิ ถงึ การแตง กายไปงานมงคลวา เมื่อไปรวมพิธหี รือไปแสดง 3. นงุ กางเกงขาสน้ั ความยนิ ดแี กเ จา ภาพ เนน การแตงกายสุภาพเรียบรอยกเ็ พยี งพอ ไมจาํ เปน ตองใส 4. ทําผมแตงหนาเล็กนอ ย ชดุ หรหู รา แตส ิง่ ท่ตี อ งยกเวน เชน รองเทา แตะ กางเกงขาส้นั เสอื้ ผารุมรามหรือ ฉกี ขาด หรอื มองแลว ไมเหมาะไมค วร เปน ตน นักเรียนควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการไปทาํ บญุ ฟง เทศนทวี่ ดั 1 พระอานนท เปน สหชาติ (เกิดวนั เดียวกับพระพุทธเจา) และพุทธอุปฏฐาก ควรแตง กายใหสุภาพ เหมาะสมกบั กาลเทศะ และสภุ าพสตรคี วรหลีกเล่ียง ของพระพทุ ธเจา ซง่ึ ไดร ับยกยองวาเปนเอตทคั คะหรอื ผูเ ปน เลิศกวาพระสาวกอืน่ การนุง กระโปรงสน้ั หรอื กางเกงขาส้นั และใสเ ส้อื รดั รูป เพราะไมเหมาะสมกับ ถงึ 5 ประการ ไดแก มีสตเิ ปนเลศิ มคี วามทรงจําเปน เลศิ มคี วามเพยี รเปนเลศิ กาลเทศะอยา งยิง่ พหสู ูต (ผูไดย นิ ไดฟงมาก) และยอดพระพทุ ธอุปฏ ฐาก 120 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain นแติย่งมกชาายยชแุดตไ๓่ทง)ชย ุดพกสาราะรรกแาลตชน่งทิยกามานยสสีไเีดขป�า้มงทา้ังนสชวอุดมวมปหลงรือคอกกลาแงขงเกานนงทสอุกีดวข�าม1์ทหงี่แรคือขลเนขหเ้มสม้ือาเขสย้า้ือถงสึงซีข้างายาวเนหหศนพญือิงขนต้อาุ่งศมผอ้าปกซร่ินะ2เหหพรรณืืออี ครนู ําสนทนาเร่อื งการแตงกายไปงานอวมงคล และตงั้ คาํ ถาม กระโปรงตามสมัยนิยม ควรเป็นสีด�าทั้งชุดถ้าเป็นไปได้ รองเท้าหุ้มส้นสีด�า ถ้าไม่มีก็อาจแต่งกาย ธรรมดา สีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด ไม่ควรใส่เพชรนิลจินดาให้มากเกินเหตุ เพราะเป็นงานเศร้าโศก • การแตง กายไปรว มงานอวมงคล เพราะเหตใุ ด มิใชง่ านร่ืนเริง จึงนยิ มแตง กายดว ยชุดสดี าํ หรอื สขี าว (แนวตอบ เพราะงานอวมงคล คอื งานไวท กุ ข งานโศกเศรา ผูแตง กายจงึ ควรสวมชุด ทีแ่ สดงถึงการไวทุกข เชน ชุดสีดาํ สขี าว สีเขม เปนตน เพอ่ื ใหผ ูท่ีไปงานสวมชุด ธรรมดา สเี รียบ ไมฉ ดู ฉาดเหมอื นๆ กนั ซง่ึ เปน การแตงกายที่ใหเ กยี รติเจาภาพเวลา ไปงานอวมงคล) ขยายความเขา ใจ Expand การแต่งกายไปงานอวมงคลหรืองานศพ ควรแตง่ กายตามประเพณีนิยม หรอื แตง่ กายธรรมดาสีเรียบ ไมฉ่ ูดฉาด 1. ครใู หน ักเรยี นเขยี นสรปุ ความรแู ละความเขาใจ เกยี่ วกับมารยาทชาวพทุ ธ ไดแก การตอ นรบั พระพุทธศาสนามีความส�าคัญต่อการด�าเนินชีวิตตามอย่างวิถีไทย ซึ่งไม่สามารถ (ปฏิสนั ถาร) มารยาทของผเู ปน แขก ระเบียบ แยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด กระท่ังเป็นที่ยอมรับว่าเมืองไทยเป็นเมืองแห่งพุทธธรรมอย่าง พธิ ีปฏิบตั ิตอพระสงฆ และการแตงกาย แท้จริง ในเมืองไทยจะมีพทุ ธศาสนกิ ชนอยมู่ ากทีส่ ดุ ดังนัน้ พุทธศาสนิกชนไทยจงึ ควรปฏบิ ัติตน ในพธิ ีตา งๆ ลงในสมุดและสง ครูผสู อน ตามหลกั หนา้ ทชี่ าวพทุ ธ ไดแ้ ก่ ทา� นบุ า� รงุ พระพทุ ธศาสนาใหย้ นื ยงสบื ไป อาจจะดว้ ยวธิ หี มนั่ ศกึ ษา หาความรใู้ นหลกั ธรรมและนา� ไปใชใ้ นการดา� รงชวี ติ ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ประเพณพี ธิ กี รรมทางพระพทุ ธ 2. ครูใหนักเรียนแตล ะคนสาธิตระเบยี บพธิ ปี ฏบิ ัติ ศาสนา หรือส่งเสริมอุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์ซ่ึงเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ ยังต้อง ตอพระสงฆ ไดแก การยนื การใหท่ีนัง่ การ ท�าหนา้ ท่เี ผยแผพ่ ระศาสนาให้รงุ่ เรืองยงิ่ ขึ้นไป ตลอดจนปกป้องพระศาสนามใิ ห้เสอื่ มหรือถอยลง เดินสวนทาง การสนทนา และการรับส่ิงของ สู่ความตา่� ดว้ ย ตรวจสอบผล Evaluate 121 1. ตรวจสอบจากการเขียนสรปุ ความรูและความ เขา ใจเก่ยี วกบั มารยาทชาวพุทธ 2. ตรวจสอบจากการสาธติ ระเบียบพิธีปฏิบตั ติ น ตอ พระสงฆ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นกั เรียนควรรู “หมูแฮมชวนสายปา น ไขดาว และขาวโอตไปงานสวดพระอภิธรรมศพ ของพอ เพ่อื น หมแู ฮมใสกางเกงขายาวสดี ํา เสือ้ เชิต้ ขาว สายปา น 1 สวมปลอกแขนทุกข มหี ลกั เกณฑแ ละเทคนิคการตดิ ปลอกแขนทุกข ดังนี้ นงุ กระโปรงดํา เสอ้ื สีขาว ไขด าวนงุ กระโปรงขาว เส้ือสชี มพู ขา วโอต • การตดิ ปลอกแขนทกุ ข ตองติดดานซา ยมอื นงุ กางเกงขายาวสีดํา สวมเส้อื แขนยาวสขี าว ผกู เนกไทสนี า้ํ เงนิ ” • การติดปลอกแขนทกุ ขใ ชในพิธพี ระราชทานเพลิงศพ บุคคลใดแตง กายไม เหมาะสมกบั กาลเทศะ • ความสงู ของดา นบนของปลอกแขนทกุ ข ตอ งเสมอกบั แนวรกั แรด า นซา ยมอื 1. หมแู ฮม 2. สายปาน • ปลอกแขนทกุ ขส ดี าํ มกั เปน ขน ลกั ษณะคลา ยขนแมวตดิ ควรใชแ ปรงปด ออก 3. ไขดาว 4. ขา วโอต ใหส ะอาดเรียบรอ ย • ใหแ นวตะเขบ็ ของปลอกแขนทกุ ข อยตู รงตน แขนดา นใน ไมใ หเ หน็ เขม็ กลดั วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะไขด าวใสเ สอื้ สชี มพู ไมเ หมาะสมกบั ทใ่ี ชกลัด เพื่อความสวยงาม • ขนาดปลอกแขนทุกข ตองพอดีกับขนาดแขน อาจจะหลวมเล็กนอย การไปงานอวมงคลหรอื งานสวดพระอภธิ รรมศพ เนอ่ื งจากเปน งานไวท กุ ข พอสวยงาม ความกวา งของปลอกแขนทกุ ขก วาง 4 น้ิว ผแู ตง กายควรใสชุดสุภาพ สีขาว สีดาํ หรอื สเี ขม จงึ จะเหมาะสม 2 ผา ซน่ิ คอื ผาทีเ่ ยบ็ เปน ถงุ สาํ หรบั ผหู ญิงนุง ผาซนิ่ จะมีขนาดส้นั ยาวและกวาง แคบแตกตางกนั ไป ข้ึนอยูก ับรูปรา งของผนู ุงและวิธกี ารนงุ คูม อื ครู 121

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบความถูกตอ งจากการตอบคําถาม ค าí ¶ามประจ าí หนว่ ยการเรยี นรู้ ประจาํ หนว ยการเรยี นรู ๑. กล่าวกันว่า “พระสงฆ์ คือผู้ปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่ประชาชน” การปฏิบัติ หลักฐานแสดงผลการเรียนรู เปน็ แบบอยา่ งทด่ี ี คอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรบา้ ง 1. บนั ทึกขอ มลู จากการสัมภาษณพ ระภิกษุเก่ียวกับ ๒. หลักค�าสอนพระพุทธศาสนาท่สี อนให้ท�าความดีและมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ มีประโยชน์ การเผยแผพระพุทธศาสนาและการปฏิบตั ิตน ต่อสังคมไทยอย่างไร และอธิบายให้เห็นว่าหากขาดหลักธรรมข้อน้ีแล้วจะเกิดปัญหา ในชวี ติ ประจาํ วนั ตอ่ สงั คมไทยอยา่ งไร 2. บนั ทกึ การเขา รว มพธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนา ๓. หากนักเรียนจะต้องไปท�ากิจธุระท่ีวัด นักเรียนมีหลักปฏิบัติในการสนทนากับพระสงฆ์ 3. การเขียนสรุปข้ันตอนและประโยชนข อง อยา่ งไร จงอธบิ ายเปน็ ขน้ั ตอน พิธแี สดงตนเปนพุทธมามกะ ๔. การปฏิสันถารคืออะไร มีประโยชน์และมีความส�าคัญอย่างไร อธิบายตามหลักพระพุทธ 4. การเขียนสรปุ ความรแู ละความเขา ใจเกีย่ วกบั ศาสนาและวถิ ชี วี ติ ของสงั คมไทย มารยาทชาวพุทธ ๕. ในฐานะท่ียังอยู่ในวัยเรียน นักเรียนคิดว่าจะมีแนวทางในการช่วยเผยแผ่พระศาสนาได้ อยา่ งไรบา้ ง ใหแ้ สดงความคดิ เหน็ กจิ กรรมสร้างสรรค์พั²นาการเรียนรู้ กจิ กรรมท ี่ ๑ ครูและนักเรียนร่วมกันวิเคราะห์บทบาทของพระสงฆ์ในปัจจุบัน จากน้ันครู สรุปประเด็นส�าคัญให้นักเรียนเขา้ ใจบทบาทของพระสงฆ์ไดด้ ยี ิ่งข้ึน กจิ กรรมท ี่ ๒ ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มออกมาสาธิตการปฏิบัติตนต่อ พระสงฆ์ อาทิ การยืนหน้าพระสงฆ์ การให้ทน่ี ง่ั การเดินสนทนา และการ สนทนากับพระสงฆ์ โดยให้ครูและนักเรียนร่วมกันชี้แนะว่าสาธิตได้ถูกต้อง หรอื ไม่อยา่ งไร กจิ กรรมท ่ี ๓ ครูน�าเทปหรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับการสนทนาธรรมมาเปิดหรือฉายให้นักเรียน ชมและรว่ มกันสรปุ ถงึ แนวทางการแสวงหาความรดู้ ว้ ยวิธีการสนทนาธรรม พุทธศาสนสุภาษติ ÁÒµÒ ÁÔµµÚ í Êà¡ ¦àà : ÁÒôÒ໚¹ÁµÔ Ãã¹àÃ×͹¢Í§µ¹ 122 แนวตอบ คําถามประจาํ หนว ยการเรียนรู 1. การปฏิบตั เิ ปน แบบอยางของพระสงฆ เชน ดํารงชวี ติ ดวยความเรียบงา ย สมถะ ไมฟุงเฟอ ไมยึดติดในลาภสกั การะ ไมส ะสมทรพั ยส นิ เงินทอง เนนพฒั นาดานจิตใจ ใหสูงข้นึ และเนน ขัดเกลากิเลส เปน ตน 2. การท่พี ระพุทธศาสนาสอนใหลูกทําความดี และมคี วามกตัญูตอพอ แม ทาํ ใหส ังคมมีความสงบสุข คนไมก ลา ทาํ ความชั่ว เพราะคนท่รี ักและกตญั ูตอพอแม ยอมไม กลา ทําสงิ่ ผิด เน่อื งจากกลวั พอแมจ ะเสียใจและผิดหวงั ซึ่งถือเปน ความอกตัญยู ง่ิ หากขาดหลักธรรมขอ นี้ สังคมไทยจะวนุ วาย ไมส งบสุข คนทไี่ มร กั และไมกตญั ู ตอ พอ แม ยอ มทาํ ความชวั่ ไดงาย เพราะไมกลวั วา จะมีผูใดเสียใจ นอกจากน้ัน พอ แมจะถูกทอดทิ้งเมื่อแกชรา ทาํ ใหภาครฐั ตอ งเล้ยี งดู จึงเปน การสิน้ เปลอื งงบประมาณ อยางมาก 3. การใชสรรพนามแทนตวั เอง ผชู ายใช “กระผม” ผูหญิงใช “ดิฉนั ” และใชส รรพนามแทนพระสงฆตามแตก รณี สวนเวลารบั คํา ใช “ครบั ” สาํ หรบั ผูชาย “คะ” สําหรบั ผูห ญิง เวลาพระพูด ตัง้ ใจฟงดว ยความเคารพ เวลาพระใหพ ร ประนมมือฟงดวยความเคารพ รวมถึงเวลารบั ศลี ใหว าตาม ไมควรนงั่ เงยี บ 4. การปฏสิ ันถาร คือ การตอนรบั อาคันตุกะดว ยวธิ ีตา งๆ คอื ปฏิสันถารดว ยวาจา การใหท พ่ี ัก และการแสดงนา้ํ ใจตอกนั มีประโยชนแ ละความสําคญั คอื ทําให อาคันตุกะเกดิ ความประทบั ใจ ซง่ึ พระพุทธเจาทรงใหค วามสาํ คญั ตอการปฏสิ ันถารดวยกิรยิ ามารยาททสี่ ุภาพอยา งมาก คนไทยจงึ รับอิทธิพลนมี้ าจากพระพุทธศาสนา กอ ใหเ กิดเปนวัฒนธรรมที่ดีงาม 5. ศึกษาคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนาใหเ ขาใจอยา งถองแท เม่อื มผี ูส งสัย จะไดช้ีแจงหรอื อธบิ ายใหเขาเขาใจได รวมถงึ ปฏิบตั ติ นตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอยา ง เครงครัด เพือ่ เปน แบบอยา งทด่ี แี กผ สู นใจพระพุทธศาสนา ตลอดจนจัดนิทรรศการเพือ่ เผยแผพ ระพทุ ธศาสนาก็ได 122 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู ๖หน่วยการเรียนรทู้ ี่ วันสาํ คัญทาง 1. อธิบายประวัติความเปนมาและความสาํ คญั พระพทุ ธศาสนา ของวันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาได และศาสนพิธี 2. ปฏบิ ตั ติ นไดถ กู ตอ งและเหมาะสมในวนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา 3. อธิบายคาํ สอนทีเ่ ก่ียวเนอื่ งกับวนั สําคัญทาง พระพทุ ธศาสนาได 4. ปฏิบตั ิศาสนพธิ ที างพระพทุ ธศาสนาไดอยา ง ถกู ตอ ง ตวั ชว้ี ัด สมรรถนะของผเู รียน ● วเิ คราะหค์ ณุ คา่ ของศาสนพธิ แี ละปฏบิ ตั ติ นได้ 1. ความสามารถในการคิด ถกู ตอ้ ง 2. ความสามารถในการแกปญ หา (ส ๑.๒ ม.๒/๑) 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ติ ● อธิบายคำาสอนท่ีเก่ียวเน่ืองกับวันสำาคัญทาง คุณลักษณะอันพึงประสงค ศาสนาและปฏบิ ัตติ นไดถ้ ูกต้อง (ส ๑.๒ ม.๒/๔) 1. รกั ชาติ ศาสน กษัตรยิ  2. ใฝเ รยี นรู ● อธิบายความแตกต่างของศาสนพธิ ี พธิ ีกรรม 3. รักความเปนไทย ตามแนวปฏิบัติของศาสนาอื่นๆ เพื่อนำาไปสู่ 4. มีจิตสาธารณะ การยอมรับและความเข้าใจซ่ึงกันและกัน (ส ๑.๒ ม.๒/๒) สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ÈÒʹ¾¸Ô ËÕ ÃÍ× ¾¸Ô ¡Õ ÃÃÁ·Ò§ÈÒʹÒ໹š ÃÐàºÂÕ ºáººá¼¹ กระตนุ ความสนใจ Engage ·Ò§ÈÒʹҷÕè¡íÒ˹´¢éÖ¹à¾×èÍãËŒ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹ä´ŒÂÖ´¶×Í ● การปฏบิ ัตติ นอยา่ งเหมาะสม »¯ºÔ µÑ àÔ »¹š ẺÍÂÒ‹ §à´ÂÕ Ç¡¹Ñ áÅжÍ× à»¹š ÊÇ‹ ¹»ÃСͺ·ÊèÕ Òí ¤ÞÑ ● หลกั ธรรมเบอ้ื งตน้ ทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งในวนั มาฆบชู า »ÃСÒÃ˹§Öè ¢Í§¾Ãо·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò ¹Í¡¨Ò¡¹Õé ÈÒʹ¾¸Ô ÂÕ §Ñ ªÇ‹  áÊ´§ÍÍ¡¶§Ö àÍ¡Å¡Ñ É³¢ ͧªÒµÔáÅÐÊÃÒŒ §¤ÇÒÁÊÒÁ¤Ñ ¤ãÕ ËŒ วันวิสาขบูชา วันอฏั ฐมีบชู า วนั อาสาฬหบูชา à¡´Ô ¢Ö¹é ã¹ËÁÙ‹¤³Ð วันธรรมสวนะ และเทศกาลสำาคญั ● ระเบยี บพธิ แี ละการปฏบิ ตั ติ นในวนั ธรรมสวนะ ªÒµäÔ ·ÂÁàÕ Í¡Å¡Ñ É³¡ ÒûÃСͺ¾¸Ô ¡Õ ÃÃÁ·Ò§ÈÒÊ¹Ò วนั เข้าพรรษา วนั ออกพรรษา วนั เทโวโรหณะ áÅÐä´¡Œ Òí ˹´ãËÁŒ ÇÕ ¹Ñ ÊÒí ¤ÞÑ µÒ‹ §æ à¡ÂèÕ Çà¹Íè× §¡ºÑ ¾Ãо·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò ● ศาสนพธิ ี พธิ กี รรม แนวปฏบิ ตั ขิ องศาสนาอน่ื ๆ ÁÒ¡ÁÒ ÍÒ·Ô Ç¹Ñ ÁÒ¦ºªÙ Ò Ç¹Ñ ÇÊÔ Ò¢ºªÙ Ò Ç¹Ñ ÍÒÊÒÌ˺ªÙ Ò ÏÅÏ ´§Ñ ¹¹éÑ ¾·Ø ¸ÈÒʹ¡Ô ª¹·´èÕ ¨Õ §Ö ¤ÇÃÈ¡Ö ÉÒ¤ÇÒÁ໹š ÁÒ¢Í§Ç¹Ñ ÊÒí ¤ÞÑ ·Ò§¾Ãоط¸ÈÒʹÒáÅÐÈÒʹ¾Ô¸Õµ‹Ò§æ à¾èÍ× ãËŒÊÒÁÒö ครใู หน ักเรยี นชวยกนั ตอบวา »¯ºÔ ѵԵ¹ä´ŒÍÂÒ‹ §¶¡Ù µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ • วันสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนาท่นี กั เรียนรูจัก มีอะไรบาง • วันสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนาเหลา นีม้ ีข้นึ เพือ่ วัตถุประสงคอ ะไร และชาวพุทธควร ปฏบิ ัติอยา งไรบางในวนั สาํ คญั นนั้ เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กิจกรรมการเรยี นรูเพอ่ื ใหนักเรียนสามารถอธิบายประวัตคิ วามเปนมา และหลักคําสอนทเี่ กี่ยวเนอื่ งกับวันสําคญั ทางพระพุทธศาสนาได รวมถงึ ปฏิบัตติ น ไดอยา งถกู ตองในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ตลอดจนปฏิบตั ิศาสนพิธีทาง พระพุทธศาสนาไดถูกตอ ง โดยครคู วรจัดการเรยี นการสอน ดงั นี้ • ใหน กั เรียนศึกษาคนควาเก่ียวกบั วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา แลวจดั ทาํ ผังมโนทศั นส รุปสาระสาํ คัญ • ใหน กั เรียนสบื คนเก่ยี วกบั วันธรรมสวนะและเทศกาลสาํ คัญ แลวเขา รว ม ประกอบพธิ ีกรรมทางพระพุทธศาสนา • ใหน กั เรยี นศกึ ษาเกย่ี วกบั ประวัตคิ วามเปนมาและวิธปี ฏิบัติของศาสนพิธี ตางๆ แลว เขียนสรปุ สาระสาํ คัญ • ฝก ใหนกั เรียนสวดมนตทใ่ี ชใ นงานศาสนพธิ ีตา งๆ ในพระพุทธศาสนา • จดั ใหมีการสาธติ การปฏิบตั ศิ าสนพิธีในชัน้ เรยี น รวมถงึ จดั ใหม ีการปฏิบตั ิ จริงท่วี ดั คูมอื ครู 123

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครนู าํ ภาพเหตกุ ารณตา งๆ ในพุทธประวตั ิ ñ. ÇѹÊÓ¤ÑÞ·Ò§¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ทีเ่ ก่ยี วขอ งกบั วันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนา เชน ภาพพระพุทธเจาประสูติ ตรัสรู พระพทุ ธเจาแสดง ๑.๑ หลกั ธรรมเบอ้ื งตน ทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ปฐมเทศนาแกป ญ จวัคคยี  เปน ตน มาแสดงให ๑) วันมาฆบูชา นกั เรียนดู และถามเชงิ กระตุน วา ๑.๑) ความเปนมาและความสําคัญ วันมาฆบูชาเปนวันท่ีพุทธศาสนิกชนแสดง • เหตุการณใ นภาพเหลาน้ีตรงกบั วันสําคัญใด ความเคารพตอพระธรรม มาฆบูชา ยอมาจากคําวา “มาฆบูรณมีบูชา” แปลวา การบูชาใน ทางพระพุทธศาสนา วันเพ็ญเดือน ๓ แตถาปใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็ใหเล่ือนไปเปนวันเพ็ญกลาง เดือน ๔ มูลเหตุท่ีเกิดวันมาฆบูชาข้ึนมาก็เนื่องมาจากวาในสมัยพุทธกาลไดมีเหตุการณสําคัญ สาํ รวจคน หา Explore ๔ อยาง เกดิ ขึน้ พรอ มกนั ในวนั นหี้ รอื ทน่ี ิยมเรียกกันวา “จาตรุ งคสนั นิบาต” ซ่ึงแปลวา การประชุม อันประกอบดวยองค ๔ ไดแก ครูใหนักเรยี นศกึ ษาคนควา เก่ยี วกับวันสําคญั ทางพระพุทธศาสนา ไดแก วนั มาฆบชู า จาตรุ งคสนั นบิ าต 1 วนั วสิ าขบชู า วนั อฐั มบี ชู า และวนั อาสาฬหบชู า จากหนงั สอื เรยี นหนา 124-131 และแหลง การเรยี นรู ๑. พระอรหนั ตสาวก จาํ นวน ๑,๒๕๐ องค มาประชมุ พรอ มกนั ณ เวฬวุ นั ตา งๆ เชน หอ งสมุด อินเทอรเนต็ สนทนาธรรม กับพระสงฆ เปน ตน เพือ่ นาํ ความรูม าอภิปรายและ มหาวิหาร กรงุ ราชคฤห แลกเปล่ียนในชน้ั เรียน ๒. พระอรหนั ตสาวกเหลานี้ ลวนไดรับเอหภิ ิกขุอุปสัมปทา คือ ไดร บั การอุปสมบทจากพระพุทธเจาโดยตรงทัง้ ส้นิ อธบิ ายความรู Explain ๓. พระอรหนั ตสาวกเหลา นี้ มาประชมุ พรอมกันโดยมไิ ดนดั หมาย กนั มากอน 2 ครูนาํ อภิปรายเก่ียวกับวนั มาฆบชู า และตง้ั ๔. พระพทุ ธองคทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข พระพทุ ธรปู แสดงปางโอวาทปาฏโิ มกข คําถามเชงิ วเิ คราะหว า พระพุทธเจาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขแกพระสงฆสาวก เหตุการณที่เกิดข้ึนในคร้ังนั้น • นกั เรยี นคดิ วา เพราะเหตใุ ด วันมาฆบชู า จาํ นวน ๑,๒๕๐ องค ซง่ึ มาประชมุ พรอ มกนั โดยมไิ ดน ดั หมาย พระพทุ ธเจา ทรงเหน็ เปน เรอื่ งอศั จรรย จงึ ไดท รง จึงมพี ระอรหันตสาวก จาํ นวน 1,250 องค แสดงพระธรรมเทศนา “พระโอวาทปาฏิโมกข” มาประชมุ กันโดยมิไดนัดหมาย ๑๒๔ ใหปรากฏตอมหาสังฆสันนิบาต คือ ท่ีประชุม (แนวตอบ เพราะวันมาฆบูชาคือวันเพญ็ เดอื น 3 สงฆหมูใหญ ซ่ึงมีใจความสําคัญ คือ “การ ท่พี ระสงฆจ ะมาประชมุ กันเพอื่ มาสดับรับฟง ไมทําความช่ัวท้ังปวง ๑ การทําแตความดี ๑ พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา ) การทาํ จติ ใจใหสะอาดบริสุทธิ์ ๑ นีเ้ ปน คาํ สอน ของพระพุทธเจาทั้งหลาย” ซึ่งอาจกลาวไดวา • โอวาทปาฏิโมกข ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดง หลักธรรมดังกลาวเปนหลักธรรมที่เกี่ยวเน่ือง ในวันมาฆบูชามีใจความสาํ คัญเก่ียวกบั อะไร ในวันมาฆบูชา บา ง (แนวตอบ การไมทําความชว่ั ทั้งปวง การทาํ แต ความดี การทาํ จิตใจใหส ะอาดบริสทุ ธ์ิ) นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET เพราะเหตใุ ด เราจึงเรยี กวนั มาฆบูชาวา “วันพระธรรม” 1 พระอรหนั ตสาวก คอื พระสงฆสาวกทบี่ รรลธุ รรมสาํ เร็จเปนพระอรหันต 1. เก่ียวขอ งกบั ไตรสกิ ขา โดยสามารถละสังโยชน 10 หรือกเิ ลสผูกมดั ใจไดท ้งั 10 ประการ 2. เกย่ี วของกบั การแสดงปฐมเทศนา 2 โอวาทปาฏิโมกข คือ หลักคําสอนของพระพุทธเจาทีอ่ าจสรปุ ใจความไดเ ปน 3. เก่ยี วขอ งกบั พธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา 3 สวน ไดแก หลักการ 3 คอื แนวทางทพี่ ทุ ธบรษิ ัทควรปฏบิ ตั ิ ประกอบดวย การ 4. เกีย่ วขอ งกับหลกั คาํ สอนของพระพุทธศาสนา ไมท ําบาปทัง้ ปวง การทาํ กุศลใหถ งึ พรอ ม การทําจติ ใจใหบริสทุ ธ์ิ อดุ มการณ 4 คอื วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะในวันมาฆบชู าเปนวนั ทพ่ี ระพุทธเจา อุดมการณส งู สดุ ของพระสงฆ อนั มลี ักษณะทแ่ี ตกตางจากศาสนาอน่ื และวิธีการ 6 ทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข ซง่ึ เปน การแสดงพระธรรมเก่ียวกบั หลกั คาํ สอน คอื แนวทางเดียวกนั และถูกตองเปนธรรม ของพระพทุ ธเจา ไดแ ก หลกั การ 3 อดุ มการณ 4 และวธิ กี าร 6 มมุ IT ศึกษาคน ควาเพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั วันมาฆบูชา ไดท ี่ http://www.larnbuddhism.com เวบ็ ไซตลานพระพุทธศาสนา 124 คูมอื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู อนึ่ง อาจจะมีผู้สงสัยว่าในวันจาตุรงคสันนิบาต มีพระอรหันตสาวกจ�านวนถึง 1. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาพธิ ลี อยบาปในวนั ศวิ าราตรี ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายกันมาก่อนน้ันจะเป็นไปได้หรือ เร่ืองน้ี ของศาสนาพราหมณ- ฮินดู และการละเวนบาป มมี ูลความจริงอยูว่ า่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงได้พระสารบี ุตรและพระโมคคลั ลานะเป็นอคั รสาวกแลว้ ของพระพทุ ธศาสนา วา เหมอื นหรอื แตกตา งกนั ยังคงประทบั อยู่ ณ เวฬวุ นั มหาวหิ าร พร้อมด้วยหมูพ่ ระภกิ ษุ ๑,๒๕๐ องค์ คอื หม่พู ระภกิ ษุบุราณ อยา งไร และนํามาอภปิ รายในช้ันเรียน ชฎลิ ๑,๐๐๐ รปู และหม่พู ระภกิ ษซุ งึ่ เป็นศิษย์ของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะอีก ๒๕๐ องค์ แโดตย่อทยี่พ่างรใะดพุทพธอเถจึง้าวยันังเมพิไ็ญด้สข่ง้ึนพ๑ระ๕ภิกค�่ษา ุเเหดลือ่านน้ีอ๓อใกนไทปาปงรศะากสานศาพพรระาธหรมรมณ์เเผรยียแกผว่พ่า ร“ะวพันุทศิวธาศราาสตนร1าี” 2. ครูสุม ใหน ักเรียน 2-3 ออกมาเลา ประสบการณ ซงึ่ จะมกี ารประกอบพธิ ลี อยบาป ในคนื นน้ั พระสงฆท์ ง้ั ๑,๒๕๐ องค์ คงมคี วามคดิ วา่ บดั นตี้ นกพ็ น้ และความประทับใจที่นกั เรยี นเคยไปรว ม จากความเป็นพราหมณ์กลายมาเปน็ พทุ ธสาวกแลว้ แทนทเี่ ราจะประกอบพธิ ลี อยบาปอย่างทีเ่ คย ประกอบพิธีกรรมตางๆ เน่อื งในวนั สาํ คญั ทาง กระท�ามา ควรเปล่ียนเป็นการเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อสดับรับฟังพระธรรมเทศนาจะดีกว่า พระพทุ ธศาสนา จากนนั้ ครใู หน กั เรยี นวเิ คราะห มูลเหตุนเ้ี องทท่ี �า๑ใ.ห๒ม้) ภี กกิ าษรปถุ ฏงึ บิ ๑ตั ,๒ติ น๕ใ๐นวอนังมค์าเฆขบ้ามชู าาปในระตชอมุ นพเชรา้้อพมทุกธันศเพาส่ือนเฝกิ ้าชพนรจะะพไปทุ ทธา�อบงญุค์ตกั บาตร2 วา พธิ ีกรรมตางๆ เหลานม้ี ีความสาํ คญั ท่ีวัด ฟงั พระธรรมเทศนา บา� เพ็ญสาธารณประโยชน์ และในตอนค่�าก็จะน�าดอกไม้ ธปู เทยี นไปยัง อยางไร และมีวตั ถปุ ระสงคเพอ่ื อะไร โดยให วดั ท่อี ยู่ใกล้บ้าน พอได้เวลาพระสงฆ์จะประชุมกัน ยนื หนั หนา้ ตรงตอ่ พระพุทธรูป บรรดาฆราวาส นักเรยี นรว มกนั อภปิ รายและบันทกึ ความรู ก็ยืนต้ังแถวให้เป็นระเบียบอยู่ด้านหลังพระสงฆ์ จากนั้นจุดธูปเทียน พระเถระชั้นผู้ใหญ่กล่าวน�า ลงในสมดุ ค�าบูชา เสร็จแล้วท�าทักษิณาวรรต โดยการเดินเวียนขวารอบพระอุโบสถหรือสถูปเจดีย์ ๓ รอบ การเดนิ เวยี นเทยี นนตี้ อ้ งทา� ใจใหส้ งบ ควรสา� รวมวาจาและละเวน้ การทา� อาการตลกคกึ คะนอง ตา่ งๆ 3. ครูใหน ักเรียนยกตัวอยางวา นักเรยี นควรจะ ปฏิบัตติ นอยางไรในวันมาฆบูชา เพราะเหตใุ ด เร่ืองน่ารู้ 4. ครูใหนักเรียนทํากจิ กรรมที่ 6.1 จากแบบวัดฯ เทศนาวิธี 4 พระพุทธศาสนา ม.2 เทศนาวิธี หรือพุทธลีลาในการสอน หมายถึง การสอนของพระพุทธเจ้าในแต่ละครั้ง ที่ประกอบด้วย ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ คุณลกั ษณะ ๔ ประการ ดงั น้ี พระพุทธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 6.1 1. สันทัสสนา คือ ชี้แจงเรื่องท่ีทรงสอนให้เห็นชัดเป็นการแยกแยะ อธิบาย และแสดงเหตุผลให้ชัดเจน หนวยท่ี 6 วันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพิธ� จนผู้ฟงั เข้าใจแจ่มแจ้งเหน็ จรงิ เห็นจงั ดงั ได้เห็นกบั ตา 2. สมาทปนา คือ ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เป็นการสอนให้เห็นว่าสิ่งใดควรปฏิบัติก็แนะนำาหรือ กจิ กรรมตามตัวชี้วดั คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด บรรยายให้ซาบซงึ้ ในคุณคา่ และเหน็ ความสำาคญั ทจ่ี ะต้องฝกึ ฝน จนยอมรับและนำาไปปฏิบัติ กิจกรรมท่ี ๖.๑ ใหนักเรียนเติมขอความที่สอดคลองและเหมาะสมเกี่ยวกับ ñð 3. สมุตเตชนา คือ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า เป็นการปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้น เกิดความอุตสาหะ ความสาํ คญั และการปฏบิ ตั ติ นในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา มกี าำ ลังใจท่จี ะทาำ ใหส้ าำ เรจ็ ลงได้ (ส ๑.๒ ม.๒/๓) 4. สัมปหงั สนา คอื ปลอบชโลมใจให้สดชน่ื รา่ เริง เป็นการบำารงุ จิตใหแ้ ช่มชน่ื เบกิ บาน เหน็ คณุ ประโยชน์ วันสําคัญทาง ความสําคัญ การปฏบิ ัติตนของ ท่ีจะได้รบั และทางท่จี ะก้าวหน้าบรรลผุ ลสำาเรจ็ ยง่ิ ข้นึ ไป ทาำ ใหผ้ ฟู้ งั มคี วามหวงั และเบกิ บานใจ พระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนกิ ชน 125 วนั วิสาขบชู า …เป…น……วนั……ท…พ่ี …ทุ …ธ…ศ…า…ส…น…กิ…ช…น……แส……ด…ง…ค…ว…าม…เ…ค…า…ร…พ.. …ท…าํ …บ…ญุ …ต…ัก…บ……าต……ร……ฟ…ง…พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า…… …ต…อ…พ…ร…ะ…พ…ุท…ธ…เ…จ…า……เ…ป…น…ว…ัน…ค…ล……าย…ว…ัน……ป…ร…ะส……ูต..ิ …ส…น…ท…น……าธ…ร…ร…ม………เว…ยี …น…เ…ท…ยี …น……ร…กั……ษ…าศ……ลี …… …ต…ร…ัส…ร…ู …แ…ล…ะ…ป…ร…นิ …พิ …พ…า…น…………………………………….. ………………………………………………………………………… วันมาฆบูชา …เป……น…ว…ัน…ท…่ีพ……ร…ะ…พ…ุท…ธ…เ…จ…า…ท…ร…ง…แ…ส…ด…ง…โ…อ…ว…า…ท…-.. …ท…าํ …บ…ุญ…ต…ัก…บ……าต……ร……ฟ…ง …พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า…… …ป…า…ฏ…โิ ม…ก…ข… …อ…นั …เ…ป…น …ห…วั …ใจ…ส…าํ…ค…ญั……ขอ…ง…พ…ร…ะ…พ…ทุ …ธ…-.. …บ…ํา…เพ…ญ็……ป…ร…ะ…โย…ช…น………เว…ยี …น…เ…ท…ีย…น…………………… …ศ…า…ส…น…า……………………………………………………………….. ………………………………………………………………………… วันอาสาฬหบชู า …เป…น……วนั……ท…พ่ี …ร…ะ…พ…ทุ …ธ…เจ…า …ท…ร…ง…แ…ส…ด…ง…ป…ฐ…ม…เ…ท…ศ…น…า.. …ท…าํ …บ…ุญ…ต…ัก…บ……าต……ร……ฟ…ง …พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า…… เฉฉบลับย …ค…ือ……ธ…มั …ม…จ…ัก…ก…ัป…ป…ว…ัต…ต…น…ส……ูต…ร………………………….. …บ…ํา…เพ…็ญ……ส…า…ธ…าร…ณ……ป…ร…ะ…โย…ช…น…… …เว…ีย…น…เ…ท…ีย…น…… …………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………… วนั อัฏฐมบี ชู า …เป…น……ว…ัน…ค…ล…า…ย…ว…ัน…ถ…ว…า…ย…พ…ร…ะ…เพ……ล…ิง…พ…ร…ะ…พ…ุท…ธ…-.. …ท…าํ …บ…ญุ …ต…กั…บ……าต……ร……ฟ…ง…พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า…… …ส…ร…ีร…ะ………………………………………………………………….. …ป…ฏ…ิบ…ตั …ิต…น……ต…า…ม…ห…ล…ัก…ค…ํา…ส…อ…น………………………… …………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………… วนั ธรรมสวนะ …เป…น……วนั……ส…ํา…ห…ร…บั …ฟ…ง …ธ…ร…ร…ม………………………………….. …ท…าํ …บ…ญุ …ต…ัก…บ……าต……ร……ท…ํา…ว…ตั …ร……ส…ว…ด…ม…น…ต…… …… …ร…กั …ษ…า…ศ…ีล……๕……ห…ร…อื…ศ……ลี …๘……………………………… …………………………………………………………………………….. …ฟ…ง…พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า …………………………………… …………………………………………………………………………….. วนั เขาพรรษา …พ…ร…ะ…ส…ง…ฆ…ห …ย…ดุ …จ…าร…กิ……ป…ร…ะ…จ…าํ …อย…ใู…น…ว…ดั …เ…ป…น …เว…ล…า.. …ท…ํา…บ…ุญ…ต…ัก…บ……าต……ร……แ…ห…เ ท……ีย…น…พ…ร…ร…ษ…า…………… …๓……เ…ด…ือ…น……พ…ร…ะ…ภ…ิก…ษ……ุม…ีเว…ล…า…ป…ฏ…ิบ…ัต…ิศ…า…ส…น……ก…ิจ.. …ถ…ว…าย…ผ…า…อ…า…บ…น…า้ํ…ฝ…น………ฟ…ง …พ…ร…ะ…ธร…ร…ม…เ…ท…ศ…น…า… …ช…าว…พ…ทุ……ธไ…ด…พ…บ……ป…ะพ……ร…ะส……งฆ……ได…ส……ะด…ว…ก…ข…น้ึ ……….. …อ…ธ…ิษ…ฐ…า…น…จ…ิต……ท…าํ …ค…ว…าม…ด……ี …………………………… วนั ออกพรรษา …เป…น……วนั……ท…พ่ี …ร…ะ…ส…ง…ฆ…ท …ํา…พ…ิธ…ีป…ว…า…ร…ณ…า………………….. …ท…ํา…บ…ุญ…ต…ัก…บ……าต……ร……ต…ัก…บ…า…ต…ร…เ…ท…โ…ว ……………… …ร…ัก…ษ…า…ศ…ีล……๕……ห…ร…อื…ศ……ีล…๘……………………………… …………………………………………………………………………….. …บ…ํา…เพ…ญ็……ส…า…ธ…าร…ณ……ป…ร…ะ…โย…ช…น…… ……………………… …………………………………………………………………………….. ๕๔ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกรด็ แนะครู เทศนาวธิ หี รอื พทุ ธลลี าในการสอนของพระพุทธเจาแบบใดทช่ี วนใหร ับ คาํ สอนนําไปปฏบิ ัติ ครแู นะนาํ นกั เรยี นวา เทศนาวิธี 4 จะเรยี กวา พทุ ธลีลาในการแสดงธรรมกไ็ ด 1. สันทัสสนา 2. สมาทปนา ซงึ่ สรุปเปน ประโยคส้ันๆ เพอ่ื ใหจ าํ งาย ไดแก 1. ช้ใี หชดั 2. ชวนใหป ฏิบตั ิ 3. เรา ให 3. สมุตเตชนา 4. สัมปหังสนา กลวั 4. ปลุกใหราเริง อนั เปน แนวทางจิตวทิ ยาทีท่ ําใหค นยอมรับและนาํ ไปปฏบิ ตั ิ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะสมาทปนาเปน การสอนใหเหน็ วา นกั เรียนควรรู สงิ่ ใดควรปฏบิ ตั ิกแ็ นะนําหรือบรรยายใหเห็นคุณคา และเห็นความสาํ คัญทจี่ ะ 1 วันศวิ าราตรี เปน วันสําคญั ทางศาสนาของศาสนาพราหมณ-ฮินดู ตอ งฝก ฝน โดยชาวฮนิ ดูจะประกอบพิธีบูชาพระศวิ ะดว ยพิธีกรรมตา งๆ ตลอดท้งั วันทง้ั คนื 2 ตักบาตร คอื ประเพณีอยางหนึง่ ทช่ี าวพทุ ธปฏบิ ัติกันมาตง้ั แตสมัยพทุ ธกาล ขอ 1. สันทสั สนา คอื การอธิบายแยกแยะเหตผุ ลใหช ัดเจนจนเหน็ ภาพ โดยพระภกิ ษุจะถือบาตรออกบณิ ฑบาตเพอ่ื รับอาหารหรือทานอน่ื ๆ ตามหมบู านใน ขอ 2. สมตุ เตชนา คือ การปลุกเรา ใจใหกระตือรอื รน มคี วามกลา เวลาเชา มีความอุตสาหะ ขอ 4. สมั ปหังสนา คือ การปลอบใจใหแชม ชน่ื ทําใหผ ูฟง มีความหวงั ที่จะกาวหนา ตอ ไป คูม ือครู 125

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนกั เรียนสวดมนตบทพระพทุ ธคณุ ข้อพึงระลกึ ในการเวยี นเทยี น พระธรรมคณุ พระสงั ฆคณุ โดยใหพ จิ ารณาคาํ แปล รอบแรก ให้ระลึกถงึ พระพทุ ธคณุ ว่า ของบทสวดวามีความหมายอยางไรบาง คา� อ่าน อิตปิ ิ โส ภะคะวา อะระหัง สมั มาสมั พทุ โธ วิชชาจะระณะสัมปนั โน สคุ ะโต โลกะวิทู 2. ครูใหนักเรียนศกึ ษาความหมายของคาํ วา วิชชา อะนตุ ตะโร ปุรสิ ะทมั มะสาระถิ สตั ถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ และจรณะในบทพระพุทธคณุ คําวาวิญชู นใน บทพระธรรมคณุ และคําวา พระอริยบคุ คล 4 คู ค�าแปล ถแมงึ พ้เพรอ้รามะดอว้ ยย่าวงิชนชี้ พาแระลผะู้มจรีพณระะ1ภเาสคดเจจ็ ้าไปพดรแีะอลง้วคน์เป้ันน็ เปผ็นรู้ ู้จพักรโะลอกรหเนัปต็น์ ยตอรดัสสรเู้าอรงถโีผด้ฝูยึกชคอนบ ในพระสงั ฆคุณ โดยใหน ักเรยี นหาความหมาย ท่คี วรฝกึ เปน็ ศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท์ ้งั หลาย เป็นผู้ตื่นแลว้ และเป็นผจู้ า� แนก ของคาํ ศัพทเ หลานี้ แลว บันทึกสาระสําคัญ พระธรรม จากนน้ั ครูซักถามใหนักเรยี นรวมกนั อภิปราย ในช้นั เรยี น รอบท่ี ๒ ให้ระลกึ ถงึ พระธรรมคุณว่า คา� อ่าน สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม สนั ทฏิ ฐโิ ก อะกาลโิ ก เอหปิ สั สโิ ก โอปะนะยโิ ก ปจั จตั ตงั 3. ครูนาํ สนทนาเรื่องการเวยี นเทียน และตัง้ คําถาม ใหนักเรยี นวเิ คราะหว า เวทติ พั โพ วิญญหู ตี ิ • การทาํ ทักษณิ าวรรต โดยการเดินเวยี นเทียน ค�าแปล พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่จะเห็นได้ด้วย รอบพระอุโบสถหรือพระเจดยี  3 รอบ มีจดุ ประสงคเพ่อื อะไร ตนเอง ไม่จ�ากัดกาล เป็นสิ่งชวนชม เป็นความดีท่ีสามารถน้อมน�าเข้ามาสู่ตนได้ (แนวตอบ การเดินเวยี นเทียน เพอ่ื ระลกึ ถงึ ซ่งึ วิญญูชนทัง้ หลายพึงรู้ได้จ�าเพาะตน พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงั ฆคุณ รอบที่ ๓ ให้ระลึกถึงพระสังฆคุณวา่ ซ่ึงเปน การแสดงออกถงึ ความกตญั แู ละ ค�าอ่าน สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เคารพตอคุณพระศรรี ัตนตรัย) ญายะปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สามจี ปิ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ยะทิทงั จัตตาริ ปุรสิ ะยคุ านิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขเิ ณยโย อญั ชะลีกะระณโี ย อะนุตตะรงั ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ คา� แปล พระสงฆอ์ นั เปน็ สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้ ปฏบิ ตั ติ รง ปฏบิ ตั ิ เปน็ ธรรม ปฏบิ ตั ชิ อบยงิ่ นคี้ อื พระอรยิ บคุ คล ๔ คู่ นบั เรยี งองคเ์ ปน็ ๘ พระสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เปน็ ผ้คู วรแกก่ ารนบั ถือ ควรแก่การตอ้ นรับ ควรแก่ การทา� บุญ ควรแกก่ ารกราบไหว้ เปน็ เนือ้ นาบุญอันยอดเย่ยี มของโลก 126 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บุคคลใดตอไปนปี้ ฏบิ ัตติ นไม ถูกตอ งในวนั ขึ้น 15 ค่ํา เดือน 3 ครคู วรใหนกั เรยี นคนหาคาํ ศพั ทและความหมายจากบทสวดมนตแปล บทระลกึ 1. เง็กตนื่ มาตักบาตรแตเชา ตรู ถงึ พระพทุ ธคณุ พระธรรมคณุ และพระสงั ฆคณุ เพ่อื ใหน กั เรียนมีความเขา ใจ 2. เมงชวนเพือ่ นๆ ไปเวียนเทียนทีว่ ดั ตอนคาํ่ บทสวดมนตแปลมากข้นึ 3. เกยี วไปฟง พระเทศนเ รื่องโอวาทปาฏโิ มกข 4. กิมไปถวายผาอาบนํ้าฝนแดพระสงฆท วี่ ัด นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะวนั ขึน้ 15 ค่ํา เดอื น 3 เปนวันมาฆบูชา ซึง่ เปนวนั ท่พี ระอรหันต 1,250 องค มาประชมุ พรอมกนั ณ เวฬุวนั มหาวหิ าร 1 วชิ ชาและจรณะ หมายถงึ พระพุทธเจาทรงเปนผมู คี วามรูแจง โลกและ โดยมิไดน ัดหมาย และพระสงฆเหลา น้นั ไดรับการอปุ สมบทจากพระพุทธเจา มขี อปฏิบตั ิอันเปนทางบรรลวุ ชิ า 15 ขอ ไดแ ก สลี สมั ปทา 1 อปณ ณกปฏิปทา 3 โดยตรง รวมถงึ พระพุทธเจาไดท รงแสดงโอวาทปาฏิโมกข ดังนัน้ กิจกรรมท่ี สัทธรรม 7 และฌาน 4 การถงึ พรอ มดว ยวิชชาและจรณะ หมายถงึ การปฏบิ ตั ิตน พทุ ธศาสนิกชนควรปฏิบัติ ไดแ ก ทาํ บญุ ตกั บาตร ฟงธรรม และเวยี นเทยี น จนเกิดผล รชู ดั ผลท่ีเกิดกบั ผล รูชัดในแนวทางท่ีปฏิบตั จิ นเกิดผลนั้น สว นการถวายผา อาบนาํ้ ฝนจะกระทาํ กนั ในวนั เขาพรรษา คอื วันแรม 1 คํา่ เดือน 8 126 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นเขยี นตารางวนั ประสตู ิ ตรสั รู และ ปรนิ ิพพานของพระพุทธเจา โดยใหระบุเวลา เมื่อเวยี นครบ ๓ รอบแล้ว กใ็ ห้นา� เครอ่ื งสักการบูชาไปปกั ในกระถางธูป ซึง่ ทางวดั สถานท่ี ชอ่ื เมอื ง และแควน ลงในสมดุ เรยี นและ ไดจ้ ดั เตรยี มไว้ จากนนั้ กเ็ ขา้ ไปในโบสถเ์ พอื่ ทา� วตั ร สวดมนตแ์ ละสดบั ตรบั ฟงั พระธรรมเทศนาเรอื่ ง นําสง ครผู สู อน “พระโอวาทปาฏโิ มกข”์ 2. ครนู าํ สนทนาเกยี่ วกบั วนั วสิ าขบชู า และตงั้ คาํ ถาม อยา่ งไรก็ตาม ถา้ หากพุทธศาสนิกชนท่านใดไม่สามารถไปร่วมเวยี นเทยี นท่ีวดั ได้ เชิงวิเคราะหวา จะประกอบศาสนกิจอยู่ท่ีบ้านก็ได้ โดยจุดธูปเทียนบูชาพระ ท�าจิตใจให้สงบ และน้อมระลึกถึง • กอ นท่พี ระพทุ ธเจา จะทรงตรัสรู พระองค พระพุทธคุณ พระธรรมคณุ และพระสงั ฆคณุ กย็ ่อมได้ช่ือวา่ เป็นพุทธศาสนิกชนทีด่ ีเชน่ เดียวกนั ทรงเอาชนะพญามารทีเ่ ขา มาขดั ขวางการ ๒) วนั วสิ าขบูชา ตรัสรอู ยางไร ๒.๑) ความเปน็ มาและความสา� คัญ วันวิสาขบูชา เปน็ วันที่พทุ ธศาสนิกชนแสดง (แนวตอบ พระองคทรงอธิษฐานถงึ ทานบารมี ความเคารพต่อพระพุทธเจ้า วิสาขบูชา ย่อมาจากค�าว่า “วิสาขบูรณมีบูชา” แปลว่า การบูชาใน และใหพระแมธ รณมี าเปนพยาน หล่งั นํ้าออก วันเพ็ญ เดอื น ๖ แต่ถ้าปใี ดมีอธกิ มาส ก็เล่ือนไปประกอบพธิ ใี นวันเพ็ญกลางเดอื น ๗ วันวสิ าขบชู า จากมวยผมเปน สายนาํ้ ใหญโ ถมใสเหลา พญา ถอื เป็นวนั คลา้ ยวันประสตู ิ วันตรสั รู้ และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า กลา่ วคอื มารพายแพไป ซง่ึ เปนสายน้ําทีพ่ ระพุทธเจา ๑. พระพุทธเจ้าประสูตจิ ากพระครรภข์ องพระชนนี ณ สวนลมุ พินีวนั ซง่ึ อยู่ ทรงเคยปฏิบัติทานบารมมี านบั ชาติไมถว น) ระหว่างกรุงกบิลพัสด์ุกบั กรุงเทวทหะ เมือ่ วันข้นึ ๑๕ ค�า่ เดอื น ๖ กอ่ นพุทธศักราช ๘๐ ปี • เพราะเหตใุ ด พระพทุ ธเจา จงึ ทรงเลอื กสถานท่ี ๒. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรินิพพานท่กี รุงกสุ นิ ารา แควน มลั ละ ณ ใตต้ ้นพระศรมี หาโพธิ์ ริมฝัง่ แมน่ ้า� เนรัญชรา ต�าบลอรุ ุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ปจั จบุ นั คอื (แนวตอบ เพราะพระพุทธเจา ทรงดําริวา เมอื งพุทธคยา เมอื่ วนั ขึ้น ๑๕ ค่�า เดือน ๖ กอ่ นพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี กรุงกุสินารา แควนมัลละ เปนแควนเลก็ ๓. พระพุทธเจ้าเสด็จดับ หากพระองคป รินพิ พานทเ่ี มืองแหง น้ี ขันธปรินิพพาน ณ ดงไม้สาละ กรุงกุสินารา พระบรมสารีรกิ ธาตุจะไดร บั การอัญเชญิ แคว้นมลั ละ เมือ่ วนั ขนึ้ ๑๕ คา�่ เดอื น ๖ ก่อน ไปยงั แวน แควน ตา งๆ แตห ากพระองค พุทธศักราช ๑ ปี ปรินิพพานในแควน ใหญทีม่ อี ํานาจมาก นับเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง แควนนนั้ อาจไมใ หพ ระบรมสารรี กิ ธาตแุ ก ท่ีเหตุการณ์ส�าคัญทั้ง ๓ ได้มาอุบัติขึ้นใน แควน อน่ื ใด ซง่ึ อาจทําใหเ กดิ สงครามแยงชงิ วันเดียวกัน ดังน้ัน พุทธศาสนิกชนท่ัวโลก กนั ดว ยเหตนุ จ้ี งึ ทรงเลือกสถานทีป่ รินิพพาน จงึ ได้จัดให้มีการประกอบพธิ ีกรรมข้ึนในวันน้ี ท่กี รงุ กุสินารา) นอกจากนี้ ในการประชมุ สมชั ชา • เพราะเหตุใด วนั วิสาขบูชาจึงไดร ับเลอื กให สหประชาชาติ สมัยสามัญคร้ังท่ี ๕ เมื่อวันที่ เปน วนั สาํ คัญสากลของโลก ๑๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ องคก์ ารสหประชาชาติ (แนวตอบ เพราะวนั วสิ าขบชู าเปน วันสาํ คญั ได้มีมติก�าหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันส�าคัญ ของพทุ ธศาสนกิ ชนทวั่ โลก เนอ่ื งจากเปน วนั ท่ี สากลในกรอบขององคก์ ารสหประชาชาติ (Inter‑ พระพุทธเมตตาเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐาน พระพุทธเจาประสูติ ตรัสรู เสดจ็ ดบั ขันธ- national Recognition of the Day of Vesak) ในมหาสถปู พทุ ธคยา เป็นพระพทุ ธรปู ปางแสดงเหตุการณ์ ปรินิพพาน อกี ท้ังพระพุทธเจา ทรงสงั่ สอนให ตอนตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า 127 มวลมนุษยม เี มตตาธรรมและขันติธรรมตอ เพ่อื นมนษุ ยด ว ยกัน เพ่ือใหเ กิดสันตสิ ุขใน สงั คม อนั เปน แนวทางของสหประชาชาต)ิ กจิ กรรมสรา งเสรมิ บรู ณาการอาเซียน ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาความหมายของคาํ วา “พทุ ธชยนั ต”ี และวตั ถปุ ระสงค ครเู พม่ิ เติมขอมูลวา เมือ่ เขาสปู ระชาคมอาเซยี นใน พ.ศ. 2558 จะมชี าวตางชาติ ทจ่ี ัดงานพุทธชยันตี 2,600 ป แหง การตรัสรูข องพระพุทธเจา รวมถงึ ให หลากหลายเชอื้ ชาตเิ ขา มาในประเทศไทย เพอ่ื ทาํ งานและลงทนุ ในทางกลบั กนั คนไทย นกั เรียนศกึ ษาธงสัญลักษณงานฉลองพุทธชยันตีวามรี ปู แบบและความหมาย กไ็ ปลงทนุ ในประเทศสมาชกิ อาเซยี น ดงั นน้ั พระสงฆจ ะตอ งพบกบั ความเปลย่ี นแปลง อยางไร โดยใหบ ันทึกลงในสมุดและสง ครผู สู อน นเี้ ชนกัน โดยอาจพบกับนกั บวชในนิกายหรอื ศาสนาอนื่ ๆ จากตางประเทศมากขึน้ ดวยเหตนุ ี้ การสอนธรรมะจงึ ตองมีการเปล่ียนแปลง เพราะปญ หาใหมๆ จะตามมา กิจกรรมทา ทาย เชน ขาดแคลนอาชีพ แรงงานบางสาขาตองตกงาน เปนตน ดังนนั้ หนา ที่ของ พระสงฆ คือ ทําใหพ ุทธศาสนกิ ชนเขา ใจธรรมะ รวมทั้งคอยแนะนาํ การปรบั ใชก บั ครูใหนกั เรียนหาภาพพระพุทธรปู ปางตา งๆ ท่เี ก่ยี วกบั วนั สาํ คัญ ทางโลก ตลอดจนนําเทคโนโลยีสมยั ใหมเขา มาชวยในการเผยแผธรรมะใหเขา ถึง ทางพระพุทธศาสนา เชน วันมาฆบชู า วนั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมบี ชู า หมชู นไดอ ยา งกวางขวางและสะดวกมากขน้ึ วันอาสาฬหบูชา เปนตน โดยนําภาพมาตดิ ลงในสมดุ ใหสวยงาม และเขยี น คําอธิบายใตภ าพถึงความสาํ คญั ของวนั นนั้ พอสงั เขป แลว นําสงครผู สู อน คมู อื ครู 127

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนักเรยี นระดมความคิดวา วนั อฏั ฐมีบชู า ๒.๒) การปฏบิ ตั ติ นในวนั วสิ าขบชู า การปฏบิ ตั ติ นในวนั นก้ี เ็ ชน เดยี วกบั วนั มาฆบชู า ของพระพุทธเจา มีความสําคัญอยางไรและควร คือ พุทธศาสนิกชนจะไปทําบุญตักบาตรท่ีวัด ฟงเทศน สนทนาธรรม เวียนเทียน รักษาศีล ๕ พึงระลึกถึงอะไรบาง จากนนั้ ครสู ุมใหนักเรียน ศีล ๘ หรืออโุ บสถศลี สาํ หรับพระธรรมเทศนาซง่ึ พระสงฆจ ะแสดงใหพทุ ธศาสนกิ ชนสดบั ตรบั ฟง ออกมาอธิบายหนา ชนั้ แลว นกั เรยี นคนอื่นๆ ในวันวสิ าขบชู าน้ี จะเปนเร่อื งเกย่ี วกบั พระพุทธประวัติ บันทึกความรูลงในสมุดและนาํ สงครผู ูสอน ๒.๓) หลักธรรมท่ีเก่ียวเน่อื งในวันวิสาขบูชา คือ “หลักอริยสัจ ๔” เพราะเปน หวั ใจสาํ คญั ของการตรสั รู 2. ครสู ุมถามนักเรยี นวา อนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตา หรอื ไตรลักษณมีลักษณะอยางไร เก่ียวขอ ง ๓) วันอัฏฐมีบูชา วันอัฏฐมีบูชา อยางไรกบั วนั อัฏฐมบี ชู า และกฎไตรลกั ษณ ตรงกับวันแรม ๘ คํ่า เดือน ๖ หรือเดือน ๗ ใหแงคดิ สําคัญอยางไรกบั การดําเนนิ ชวี ิตของ ทกุ ข นับถัดจากวนั วสิ าขบชู าไป ๘ วนั เปน วนั คลา ย นกั เรยี น วนั ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ พทุ ธศาสนกิ ชน ควาขมอทงชุกีวขติ หทรงั้ ือหปมญดหา 3. ครใู หน ักเรยี นศึกษาปจฉิมพทุ ธโอวาทของ พระพุทธเจา แลวเขยี นสรปุ วา มสี าระสาํ คัญ มรรค อรยิ สจั สมุทยั พงึ ราํ ลกึ วา แมแ ตพ ระพทุ ธเจา ผทู รงเพยี บพรอ ม อยา งไร และสามารถนําไปประยุกตใ ชก บั ชีวิต ทกุ อยา งยงั เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน ทกุ สรรพสง่ิ ประจาํ วันของนักเรยี นอยา งไรบา ง ทางดบั ทุกข สาเหตขุ องทุกข ในโลกจงึ เปน อนิจจงั มคี วามไมแ นน อน ทุกคน แหกรปือญแนหวาทชาวี งติ หรปอื ญสาหเาหชตีวขุ ิตอง จงึ ควรเรง สรา งผลบญุ สะสมไว โดยยดึ หลกั ธรรม 4. ครใู หนกั เรยี นทาํ กจิ กรรมที่ 6.6 จากแบบวดั ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 นโิ รธ วาดวย “อัปปมาทะ” (ความไมประมาท) เปน แนวทางในการดาํ เนนิ ชวี ติ ดงั ปจ ฉมิ พทุ ธโอวาท ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ ความดบั ทุกข วา “เธอทงั้ หลายพงึ ยงั ประโยชนต นและประโยชน พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมท่ี 6.6 หรอื ภาวะหมดปญหา หนว ยที่ 6 วันสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพิธ� ทานใหถ ึงพรอมดวยความไมประมาทเถิด” กิจกรรมท่ี ๖.๖ ใหน กั เรยี นเขยี นเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ งวา งหนา ขอ ความ คะแนนเตม็ คะแนนท่ไี ด ทถี่ กู ตอง และครื่องหมาย ✗ ลงในชอ งวางหนา ขอ ความ ท่ไี มถกู ตอง (ส ๑.๒ ม.๒/๔) ñð ✓………………. ๑. หลักอรยิ สัจ ๔ คือ ความจรงิ อนั ประเสริฐ มี ๔ ประการ คอื ทุกข สมุทัย นโิ รธ และมรรค เปน หลักธรรมทีเ่ ก่ียวของกับวันวสิ าขบชู า ✗………………. ๒. หลกั ธรรมท่เี กี่ยวของกับเหตุการณจ าตุรงคสนั นิบาต คอื อริยสจั ๔ ✓………………. ๓. พระพุทธเจาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขแกพระอรหันตสาวกจํานวน ๑,๒๕๐ องค ทีม่ าเขา ประชมุ พรอมกัน ณ เวฬุวนั มหาวิหาร กรุงราชคฤห ✓………………. ๔. โอวาทปาฏิโมกข มีใจความสําคัญ คือ การไมทําความช่ัวท้ังปวง การทําความดี ✗………………. การทาํ จติ ใจใหสะอาดบริสทุ ธ์ิ ๕. หลักธรรมท่วี าดว ย “อปั ปมาทะ” (ความไมประมาท) เปนหลกั ธรรมทีเ่ ก่ยี วเนอื่ งกับ วนั อาสาฬหบชู า เฉฉบลบั ย ✓………………. ๖. เทศนาวิธี หรือพุทธลีลาในการสอน เปนการสอนของพระพุทธเจาในแตละครั้ง ประกอบดว ย ๔ ลักษณะ คือ สันทสั สนา สมาทปนา สมตุ เตชนา และสมั ปหงั สนา ✗………………. ๗. ในวันอาสาฬหบูชาควรสวดมนตและสดับรบั ฟงพระธรรมเทศนา เรือ่ ง โอวาทปาฏโิ มกข พระพุทธรูปป1างถวายพระเพลิงท่ีวัดพระนอน จังหวัดสุพรรณบุรี เปนพระพุทธรูปปางแสดงเหตุการณตอนถวายพระเพลิง ✗………………. ๘. พระพทุ ธเจา ทรงแสดงธรรม(ปฐมเทศนา) ชอ่ื “ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร” แกป ญ จวคั คยี  พระพทุ ธสรีระในวนั อฏั ฐมีบชู า ในวันวสิ าขบูชา ๑๒๘ ✓………………. ๙. ปจ ฉมิ พทุ ธโอวาททวี่ า “เธอทง้ั หลายพงึ ยงั ประโยชนต นและประโยชนท า นใหถ งึ พรอ ม ดว ยความไมประมาทเถดิ ” เปนพทุ ธโอวาทในวนั อฏั ฐมบี ชู า ✓……………….๑๐. อุคฆฏติ ญั ู คือ บุคคลที่โงเ ขลา เบาปญญา แมไ ดฟงธรรมก็ไมอ าจบรรลไุ ดเ หมือน ดอกบวั ทอี่ ยูใตเ ปอกตม ไมอ าจโผลพ นน้ําเบง บานไดเลย ๕๙ เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเก่ยี วกับไตรลักษณ ครคู วรอธิบายคาํ วา “ปาง” หมายถึง เหตกุ ารณ เชน ปางโอวาทปาฏิโมกข ความเขาใจไตรลกั ษณ จะชวยในการดําเนินชีวติ ของเราอยา งไร ปางมารวชิ ยั เปนตน สวนการทําพระหัตถใ นรูปแบบตางๆ เรียกวา “มทุ รา” เชน 1. เปนคนแกท่มี คี ณุ ภาพ วติ รรกะมทุ รา คือ ปางปฐมเทศนา เปนตน โดยสามารถดูรายละเอยี ดเพิม่ เติมจาก 2. ยิม้ แยม แจม ใสมคี วามเขาใจกนั หนังสอื พระพุทธรูปปางตา งๆ ในสยามประเทศ ของศาสตราจารยเ กียรติคุณ 3. ดาํ เนนิ ชวี ติ ดวยความไมป ระมาท คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ 4. ทาํ ใจไดด ัง่ คําวา “ใครชอบ ใครชงั ” ชา งเถดิ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ดําเนินชวี ติ ดวยความไมประมาท เพราะ นกั เรียนควรรู ไตรลกั ษณ คอื กฎของความไมเที่ยงแท ไมม สี ่งิ ใดอยูยั่งยืนตลอดไป ดังนั้น จึงควรยดึ หลกั ธรรมวา ดวย “อปั ปมาทะ” หรือความไมป ระมาท เปนแนวทาง 1 ถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระ สถานท่ถี วายพระเพลิงอยูที่มกฏุ พันธนเจดยี  ในการดาํ เนินชีวติ ซ่งึ อยูทางดานทิศตะวนั ออกของกรงุ กสุ ินารา 128 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๔) วันอาสาฬหบชู า 1. ครูใหนักเรยี นศึกษาเหตกุ ารณห ลังจากการ ๔.๑) ความเป็นมาและความส�าคัญ วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่พุทธศาสนิกชน ตรสั รขู องพระพุทธเจาวา พระองคทรงดาํ ริวา แกาสรดบงูชคาวใานมวเนั คเาพรญ็พเตด่อือพนระ๘สงแฆต่ถ์ า้อปาใีสดามฬีอหธบิกูชมาาส1ยก่จ็อะมเาลจอ่ื านกไคป�าเปว่็นาว“นั อขาึน้ สา๑ฬ๕หบคูรา่� ณเดมือีบนูชา๘” แปลว่า จะกระทาํ สงิ่ ใดเปนอยา งแรกหลังจากพระองค หลงั ตรัสรูแลว แลว สมุ ใหนกั เรยี นออกมาอธิบาย พระอนตุ ตรสัมมมาูลสเัมหโตพุทธญิี่เกาิดณวแันลอว้าสกาป็ ฬรหะทบบัูชาเสขว้ึนยมวามิ ตุ กต็เนสิ ุขื่อ2ใงตมร้ าม่ จไามก้มวห่าาเโมพ่ือธพ์ิ แรละะพบุทรธิเวเจณ้าใไกดล้ต้เครัสยี รงู้ หนาชัน้ เปน็ เวลา ๗ สปั ดาห์ ครนั้ ลว่ งสปั ดาหท์ ่ี ๗ พระองคก์ เ็ สดจ็ มาประทบั ที่โคนไมไ้ ทรชอ่ื “อชปาลนโิ ครธ” ทรงทบทวนหลกั ธรรมทพี่ ระองคต์ รสั รู้ และพบวา่ มคี วามลกึ ซง้ึ มาก ยากทผ่ี อู้ นื่ จะทา� ความเขา้ ใจได้ 2. ครกู ลา วถงึ บัว 4 เหลาทพี่ ระพุทธเจา ทรงเล็ง จึงเกิดท้อพระทัยไม่คิดจะเผยแผ่พระธรรมออกไป แต่เพราะท่ีทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นท่ีต้ัง เหน็ วา มีเวไนยสตั วหรอื บคุ คลท่พี ระองคทรง กท็ รงเลง็ เหน็ วา่ เวไนยสตั ว์(บคุ คลทพี่ อแนะนา� สง่ั สอนได)้ ซงึ่ พอจะทา� ความเขา้ ใจสจั ธรรมทพ่ี ระองค์ สง่ั สอนได และตัง้ คําถามวา คน้ พบกค็ งมอี ยบู่ ้าง เพราะบคุ คลตา่ งๆ น้นั แบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท ดงั นี้ • พระพุทธเจา ทรงเลือกท่ีจะเผยแผพ ระธรรม ตอ บคุ คลกลมุ ใด มใี ครบา ง และเพราะเหตใุ ด บคุ คล ๔ พระองคทรงเลือกเผยแผพ ระธรรมแกบคุ คล กลมุ น้ัน ๑. อุคฆฏิตัญญู ได้แก่ บุคคลที่มีสติปัญญาดี พอได้ฟังธรรมซึ่งยกข้ึนมาแสดงแต่เพียงหัวข้อ (แนวตอบ พระพุทธเจาทรงเลือกแสดง ก็สามารถท�าความเข้าใจกับธรรมอันวิเศษได้ทันที เหมือนดังดอกบัวท่ีโผล่พ้นน้�าขึ้นมาแล้วพร้อมที่จะ พระธรรมแกป ญ จวคั คยี  ไดแก โกณฑญั ญะ บานสะพร่งั ถ้าไดร้ ับแสงอาทิตย์ วัปปะ ภัททยิ ะ มหานามะ อัสสชิ กอ นเปน กลุม แรก ซึ่งเปน นักบวชท่ตี ดิ ตามปรนนิบตั ิ ๒. วิปจติ ญั ญู ได้แก่ บคุ คลทมี่ สี ตปิ ัญญาปานกลาง เม่ือไดฟ้ งั บทธรรมท่จี �าแนกขยายความออกไป พระพทุ ธเจาตัง้ แตเ สดจ็ ออกบวชใหมๆ จงึ จะสามารถรแู้ จ้งเห็นจริงตาม เหมอื นดั่งดอกบัวที่ขึน้ อย่เู สมอระดบั น�า้ จกั เบง่ บานในวนั ตอ่ ไป เดมิ ทพี ระพทุ ธเจาต้ังพระทัยวาจะไปโปรด อาจารยข องพระองค คือ อาฬารดาบสและ ๓. เนยยะ ไดแ้ ก่ บคุ คลทย่ี งั พอแนะนา� ได้ บคุ คลประเภทนแ้ี มจ้ ะไดฟ้ งั ธรรมทงั้ โดยยอ่ และโดยพสิ ดาร อทุ ทกดาบส แตท ราบดว ยญาณวา อาจารย แลว้ กย็ งั ไมเ่ ขา้ ใจ จนเมอ่ื เอาใจใส่ พากเพยี รสอบถาม ตรติ รอง ทบทวน กส็ ามารถรซู้ ง้ึ ถงึ ธรรมอนั วเิ ศษได้ ทงั้ สองถึงแกกรรมแลว จึงไปโปรด เหมอื นดงั่ ดอกบวั ทอ่ี ยใู่ ตผ้ วิ นา้� ซง่ึ มโี อกาสเจรญิ งอกงาม ปญจวคั คีย เพราะเปนสาวกกลมุ แรกและ และบานสะพรง่ั ในวันต่อๆ ไป เพง พิจารณาแลว พบวา โกณฑัญญะเปน ผูมปี ญ ญามากพอท่จี ะฟงธรรมจนบรรลเุ ปน ๔. ปทปรมะ ได้แก่ บุคคลที่โง่เขลา พระโสดาบนั ได จนกระทง่ั ตอ มาปญ จวคั คยี  เบาปญั ญา แม้ไดฟ้ งั ธรรมหรือพากเพยี ร ก็บรรลเุ ปน พระอรหนั ตสาวก) จดจา� ทบทวนมากก็ไมอ่ าจบรรลุธรรม 3. ครูใหน กั เรยี นแตล ะคนวิเคราะหว า นักเรียน อนั วเิ ศษได้ เหมอื นดอกบวั ทอ่ี ยใู่ ตเ้ ปอื กตม จะมีวธิ กี ารอยา งไรท่จี ะทาํ ใหตนเองเปน รังแต่จะเป็นภักษาของเต่า ปู ปลา บคุ คลทม่ี สี ตปิ ญ ญาดหี รอื เปน บวั ทโี่ ผลพ น นา้ํ ไม่อาจโผลพ่ น้ น�า้ เบง่ บานได้เลย ขน้ึ มาแลว พรอ มทจี่ ะบานสะพร่ังถา ไดรับ แสงอาทติ ย บันทึกสาระสําคัญ 129 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู ขอ ใดคือความสาํ คญั ของวนั อาสาฬหบชู า ครคู วรอธิบายเกย่ี วกบั สงั โยชน 10 หรอื กิเลสพวกหนง่ึ ที่ผูกมดั สตั วไวกบั ทกุ ข 1. เปน วันสําคญั สากลของโลก มี 10 อยา ง 1. สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นวา รา งกายนีเ้ ปน ของตน 2. วิจกิ จิ ฉา คอื 2. วนั ทีพ่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข ความลังเลสงสัย 3. สลี ัพพตปรามาส คือ ความเชอื่ ในสิง่ ศกั ดิ์สทิ ธ์อิ ยางงมงาย 3. วันท่ีพระพทุ ธเจาแสดงปฐมเทศนาแกปญ จวคั คีย 4. กามราคะ คอื การยดึ ตดิ ในกามคณุ 5. ปฏฆิ ะ คอื ความหงดุ หงิดในใจดวย 4. วันทเี่ กิดเหตุการณจ าตุรงคสันนบิ าต อาํ นาจโทสะ 6. รปู ราคะ คือ ความติดใจในรปู ธรรม 7. อรูปราคะ คอื ความตดิ ใจ ในอรูปธรรม 8. มานะ คอื การสาํ คัญตนวาเปน นนั่ เปนน่ี 9. อุทธจั จะ คอื ความ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะวนั อาสาฬหบูชา คอื วนั ท่ี ฟงุ ซา น และ 10. อวิชชา คอื ความไมร ู ความหลงอนั เปน เหตไุ มร ูจ รงิ พระพทุ ธเจา แสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวตั นสูตรแกป ญ จวัคคีย เกดิ นักเรยี นควรรู พระสงฆรูปแรกของโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระพทุ ธศาสนาจงึ มี พระรตั นตรัยครบ 3 ประการในวนั น้ี 1 อธกิ มาส คือ ปที่มีเดอื น 8 เพม่ิ อีกเดอื น หรือทเ่ี รียกกันวา มีเดือน 8 สองหน 2 วมิ ุตตสิ ขุ คอื สุขเกดิ แตความหลดุ พนจากกิเลสอาสวะและปวงทกุ ข ขอ 1. คอื วนั วิสาขบูชา ขอ 2. และขอ 4. คอื วนั มาฆบูชา คมู ือครู 129

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู าํ บทสวดธมั มจกั กปั ปวัตตนสูตรพรอ ม เมอ่ื พระพทุ ธองคท รงพจิ ารณาเหน็ อยา งนแ้ี ลว จงึ ตกลงพระทยั ทจี่ ะแสดงธรรมโปรด คําแปลมาแจกใหน กั เรยี น จากน้นั ใหน กั เรียน เวไนยสัตว ซ่ึงบุคคลกลุมแรกท่ีพระพุทธองคเสด็จไปโปรดก็คือ ปญจวัคคียทั้ง ๕ ทาน ไดแก นําบทสวดมนตน ไ้ี ปสวดท่ีบาน และเขียนสรปุ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทยิ ะ มหานาม และอสั สชิ สาระสาํ คญั อยางนอย 10 ขอ ลงในสมุด เห็นธรรม บรรลหพุ ลรงัะจโสาดกาทบพ่ี นั 1รเะปพน ทุ ทธาอนงแครแ กสดจงึงธกรรรามบจทบลู ลขงอแบลวว ชปซรึ่งาพกรฏะวพา ทุทธา เนจโา กกณ็ทฑรงญั อญนุญะไาดตด วงตา 2. ครนู าํ สนทนาถงึ วนั อาสาฬหบูชาวา เปน วนั ท่ี จากพระพุทธประวัติดังที่กลาวมานี้ เห็นไดวาวันอาสาฬหบูชามีความสําคัญอยู พระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา คอื ธมั มจัก- ๔ ประการ ดงั น้ี กัปปวัตตนสูตร และตงั้ คาํ ถามนกั เรยี นวา • ปฐมเทศนาของพระพทุ ธเจา มีสาระสาํ คญั ๑. เปนวันแรกท่พี ระพทุ ธเจาประกาศพระพุทธศาสนา อะไรบา ง และพระธรรมเทศนาของพระองค ๒. เปนวนั แรกทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงแสดงธรรมโปรดปญจวัคคยี  (ปฐมเทศนา) สามารถนาํ มาประยกุ ตใ ชก บั ชวี ติ ของนกั เรยี น ชื่อ “ธัมมจักกัปปวตั ตนสตู ร” ซึง่ มีใจความสําคญั ดังน้ี ไดอ ยา งไร (แนวตอบ ไมป ฏิบตั ิในทางสดุ ข้วั 2 ทาง คือ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร การหมกมนุ อยูในกามและการทรมานตนให ลาํ บาก แตค วรเดนิ ทางสายกลางหรอื มชั ฌมิ า- ๑. ไมปฏิบัติตนตามทางท่ีสุดข้ัว ๒ ทาง คือ การหมกมุนอยูในกาม ปฏปิ ทา โดยนักเรียนสามารถนําไปใชในการ (ความสขุ ทางเนอื้ หนงั ) เรยี กวา กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค และการทรมานตนใหล าํ บาก ตัดสินใจหรอื การดําเนินชีวิตประจําวันได เรยี กวา อัตตกลิ มถานโุ ยค แตค วรเดินตามสายกลาง ไดแ ก มัชฌมิ าปฏปิ ทา ในกรณีที่ตอ งเลอื กสงิ่ ใดส่งิ หนึ่งก็ควรใชท าง สายกลางเปนแนวทางปฏบิ ัติ เพ่ือไมใ หเกดิ ๒. ทรงแสดงอรยิ สจั ๔ การสดุ ขว้ั มากเกนิ ไป) ๓. ทรงแสดงวา ทรงรอู รยิ สจั ๔ ทรงรหู นา ทอ่ี นั ควรทาํ ในอรยิ สจั ทง้ั ๔ • เพราะเหตุใด ในวันอาสาฬหบูชาจงึ เปน วนั ท่ี และทรงรูว า ไดทาํ หนา ท่ีนน้ั แลว มพี ระรตั นตรยั ครบองค 3 (แนวตอบ เพราะหลังจากที่พระพุทธเจาตรัสรู พระพทุ ธรูปแสดงปางปฐมเทศนา แลว พระองคเ สดจ็ ไปเผยแผพ ระธรรมแกป ญ จ- วัคคีย ดวยทรงเล็งเห็นวาเปนเวไนยสัตวหรือ 23 ๓. เปน วนั แรกทมี่ พี ระสงฆ บคุ คลที่พอจะแนะนาํ ส่ังสอนได เมือ่ พระองค เกิดขึ้นในโลก กลาวคือ เม่ือทานโกณฑัญญะ ทรงแสดงปฐมเทศนาแลว พระโกณฑัญญะ ธัมเมกขสถูป จัดเปนสังเวชนียสถานที่สรางข้ึนในสถานท่ี กราบทูลขอบวช พระพุทธเจาก็ทรงประทาน จึงขอบวชเปนพระสงฆร ปู แรกในพระพทุ ธ- ที่พระพทุ ธองคทรงแสดงปฐมเทศนา อปุ สมบทใหด ว ยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา โดยทรง ศาสนา ทาํ ใหมีพระรตั นตรัยครบองค 3) เปลงพระวาจาวา “ทานจงเปนภิกษุมาเถิด ๑๓๐ ธรรมอนั เรากลา วดแี ลว ทา นจงประพฤตพิ รหมจรรย 3. ครใู หน กั เรยี นหาภาพสงั เวชนยี สถานหรอื สถานที่ เพอ่ื ทําที่สุดแหง ทุกขโดยชอบเถดิ ” ทท่ี าํ ใหร สู กึ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา 4 แหง คอื สถานที่ ประสูติ สถานท่ีตรสั รู สถานทีแ่ สดงปฐมเทศนา ๔. เปน วนั แรกทม่ี หี รอื เกดิ และสถานที่ปรนิ ิพพาน โดยใหนักเรยี นนาํ ภาพ พระรัตนตรยั ครบองค ๓ ไดแ ก พระพุทธรตั นะ สถานทเี่ หลา นนั้ ตดิ ลงในสมดุ และเขยี นคาํ อธบิ าย พระธรรมรตั นะ และพระสงั ฆรตั นะ ใตภ าพวา ช่อื สถานท่ีอะไร ตั้งอยทู ใี่ ด และ มีความสําคญั อยา งไร แลว นําสง ครผู ูสอน ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET นกั เรยี นควรรู 1 พระโสดาบัน เปน ชอ่ื เรยี กพระอริยบคุ คลประเภทแรกใน 4 ประเภท ไดแก ขอใดไมใ ช สาระสําคญั ของหลกั ธรรมธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู ร โสดาบนั สกทาคามี อนาคามี และอรหันต พระโสดาบัน คอื ผูไดบ รรลุ 1. มชั ฌมิ าปฏิปทา 2. อัตตกลิ มถานโุ ยค พระโสดาปต ตผิ ลแลว ดว ยการละสงั โยชนเ บอื้ งตา่ํ 3 ประการได ไดแ ก สกั กายทฏิ ฐิ 3. กามสุขลั ลกิ านุโยค 4. กาเลนะธัมมัสสะวะนัง วิจกิ จิ ฉา และสีลพั พตปรามาส 2 ธัมเมกขสถูป แปลวา สถูปผูเห็นธรรม คือ สถานทีท่ ส่ี ันนษิ ฐานวาพระพุทธเจา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. กาเลนะธัมมสั สะวะนงั หมายถงึ ฟงธรรม ทรงแสดงปฐมเทศนา อยใู นปา อิสิปตนมฤคทายวนั ใกลเ มอื งพาราณสี ปจจบุ นั เรียกวา “สารนาถ” ตามกาล คอื วนั พระ วันที่มโี อกาสหรอื มเี วลาวาง ก็ควรไปฟงธรรมบา ง 3 สงั เวชนียสถาน มี 4 แหง ไดแก สถานทป่ี ระสูตอิ ยใู ตต น สาละ ลมุ พินีวัน เพื่อฟง ส่ิงทเ่ี ปนประโยชนในหลกั ธรรมนั้นๆ และนํามาใชก ับชวี ติ ฟงธรรม แควน สกั กะ สถานทตี่ รัสรูอ ยใู ตตนมหาโพธิ์ ตําบลอุรุเวลาเสนานคิ ม พุทธคยา ตามกาลอยใู นมงคลสตู ร 38 ซ่ึงเปน พระสตู รหรือหลกั ธรรมที่พระพุทธเจา แควน มคธ สถานทแี่ สดงปฐมเทศนาอยใู นปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี ทรงแสดงแกเ หลา เทวดาทมี่ าทลู ถามพระพทุ ธเจา เพอื่ ใหต อบขอ สงสยั ของ และสถานที่ปรินพิ พานอยูท สี่ าลวโนทยาน เมืองกุสินารา แควนมลั ละ มนษุ ยแ ละเทวดา ขอ 1. มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หมายถงึ ทางสายกลาง ขอ 2. อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความลําบากเดือดรอ นแก ตนเอง ดังเชน พระพุทธเจา ทรงบาํ เพญ็ ทุกกรกิรยิ า ขอ 3. หมายถึง กามสขุ ัลลิกานุโยค คอื ความสขุ ทางกาม 130 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ๔.๒) การปฏบิ ตั ติ นในวนั อาสาฬหบชู า กอ่ นถงึ วนั อาสาฬหบชู าเจา้ อาวาสแตล่ ะวดั ครูใหน ักเรยี นชว ยกนั ยกตัวอยา งวธิ ที าํ บุญ จะแจ้งให้พระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาทราบล่วงหน้าว่า วันพระขึ้น ๑๕ ค่�า เดือน ๘ ในชวี ิตประจาํ วันของนกั เรยี นอยางนอย 10 วธิ ี จะเป็นวนั ประกอบพิธีอาสาฬหบชู า โดยออกมาเขียนบนกระดานหนาชน้ั จากน้นั เม่ือถึงวันขึ้น ๑๔ ค่�า เดือน ๘ ก่อนวันอาสาฬหบูชา ๑ วัน พระภิกษุ สามเณร ครซู กั ถามนกั เรยี นวา วธิ เี หลา นน้ั ไดบ ญุ หรอื อานสิ งส มรรคนายก พทุ ธศาสนกิ ชน ทวี่ า่ งเวน้ จากหนา้ ทก่ี ารงานประจา� กจ็ ะชว่ ยกนั ปดั กวาดปลู าดเสนาสนะ อยางไร และบันทกึ วธิ ที ําบุญตา งๆ ลงในสมดุ จัดตง้ั เครือ่ งสักการะ จดั หาภาชนะใส่น้�าดมื่ ประดบั ธงธรรมจักร ธงชาติ และประทีปโคมไฟต่างๆ รอบพระอโุ บสถ พระสถูปเจดีย์ เช่นเดียวกับวนั วสิ าขบูชา (แนวตอบ เชน ทําบญุ ตกั บาตร บริจาคทรัพยส ิน คร้นั ถงึ วนั อาสาฬหบูชา ตอนเช้าพทุ ธศาสนกิ ชนจะไปรว่ มกันทา� บุญตักบาตรท่ีวัด กราบไหวผ ูใหญ ผูม พี ระคณุ กตญั กู ตเวที ชวย พอ แมท ํางานบาน รกั ษาศลี สวดมนต เดนิ จงกรม นงั่ สมาธิ เปน ตน) ฟังเทศน์ และบ�าเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่น บริจาคโลหิต พัฒนาวัด หรือบริจาคทรัพย์ ขยายความเขา ใจ Expand เพ่อื การกศุ ล ตอนค่�ากจ็ ะมกี ารเวยี นเทยี นรอบพระอโุ บสถ หรอื รอบพระสถูปเจดีย์ เสรจ็ แล้วเข้าไป ท�าวัตรค�่าในพระอุโบสถ หลังจากนั้นพระเถระช้ันผู้ใหญ่ขึ้นธรรมาสน์แสดงพระธรรมเทศนาช่ือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” และหลังจากจบพระธรรมเทศนา พุทธศาสนิกชนอาจสนทนาธรรม 1. ครนู ําตารางบนั ทึกความดีมาใหน ักเรยี น ต่อกไ็ ด้ โดยใหน ักเรยี นบันทกึ การทําความดใี นชีวิต ประจําวนั เชน ชว ยคนแกขามถนน ลกุ ขึ้นให 1.2 วันธรรมสวนะและเทศกาลสำาคัญ ท่นี ัง่ คนแก ใหเ งินคนแกท่มี าขอเงนิ เปน ตน ๑) วันธรรมสวนะ หมายถึง วันส�าหรับฟังธรรม เรียกกันทั่วไปว่า “วันพระ” ซ่ึงมี และนาํ สงครผู ูสอน ๒ ชนิด คือ วันพระเล็กและวันพระใหญ่ วันพระเล็ก ได้แก่ วันขึ้นและวันแรม ๘ ค�่า ส่วน วนั พระใหญ่ ไดแ้ ก่ วันขึ้น ๑๕ คา�่ และวนั แรม ๑๔ ค�า่ (ในเดอื นขาด) หรือ ๑๕ คา่� (ในเดือนเต็ม) 2. ครูใหนกั เรียนทําผงั มโนทัศนส รปุ สาระสําคญั ในวันธรรมสวนะ พุทธศาสนิกชน ของวนั สําคัญทางพระพทุ ธศาสนา ไดแก พแลึงปะอฏุบิบาัตสิ กค1ืออุบในาตสอิกนา2เชป้าระชพุมระโภดยิกพษุรส้อามมกเันณทร่ี วันมาฆบชู า วันวสิ าขบชู า วันอาสาฬหบชู า พระอุโบสถหรือศาลาการเปรียญ พระสงฆ์ และวนั อัฏฐมบี ูชา โดยใหอธิบายความสําคญั ท�าวตั รสวดมนต์ เริม่ ดว้ ยนมสั การพระรัตนตรยั พระธรรมคาํ สอน สง่ิ ทพี่ งึ ราํ ลกึ ถงึ ของวนั สาํ คญั น้ันๆ ลงในกระดาษ A4 และนําสงครูผสู อน และสวดบทท�าวัตรเช้าไปจนจบ หลังจากน้ัน ตรวจสอบผล Evaluate ฆราวาสกท็ า� วตั รสวดมนต์ (หรอื อาจทา� พรอ้ มกบั พระสงฆ)์ จากน้ันก็มีก3ารรับศีล ๕ หรอื ศลี ๘ 1. ตรวจสอบจากตารางบนั ทกึ ความดขี องนกั เรยี น เสรจ็ แลว้ พระธรรมกถกึ ขน้ึ ธรรมาสนแ์ สดงธรรม ในชีวิตประจาํ วัน ระหวา่ งฟังธรรม พทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ประนมมอื ตงั้ ใจฟังด้วยความเคารพ เมื่อเทศนจ์ บหัวหน้า 2. ตรวจสอบจากผงั มโนทศั นสรุปสาระสําคญั ของ อบุ าสก อบุ าสกิ า นา� กลา่ วสาธกุ าร ๓ ครงั้ (สาธุ การฟงั ธรรมในวนั พระนอกจากจะเปน็ แนวทางการปฏบิ ตั ติ น วนั สําคัญทางพระพุทธศาสนา สาธุ สาธ)ุ เป็นอันเสร็จพธิ ี ของพุทธศาสนิกชนท่ีดีแล้ว ยังช่วยชำาระจิตใจให้สะอาด เบิกบานอกี ด้วย 131 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู วนั ธรรมสวนะหรอื วันพระ มีประวตั ิความเปน มาอยางไร 1 อบุ าสก คอื คฤหัสถหรือชาวบา นผูชายท่ัวไปท่นี ับถอื พระพทุ ธศาสนา โดย แนวตอบ วนั ธรรมสวนะหรอื วนั พระ เดิมเปนธรรมเนียมของพวกเดียรถยี  อบุ าสกสองทานแรกของโลกทีถ่ งึ พระพุทธและพระธรรมเปนท่ีพ่งึ (ในเวลาน้ันยัง ซ่งึ จะประชุมกนั แสดงธรรมทุกๆ วนั 8 ค่าํ และ 15 คาํ่ ในสมัยตนพุทธกาล ไมม พี ระสงฆ) คอื พอ คา ชอื่ วา ตปสุ สะและภลั ลกิ ะ ผถู วายขา วสตั ตผุ งและขา วสตั ตกุ อ น พระพุทธเจามไิ ดทรงวางระเบียบเรอ่ื งนไ้ี ว ตอ มาพระเจาพมิ พิสารไดก ราบทูล แดพ ระพทุ ธเจา ภายหลงั จากทรงตรสั รใู หมๆ สว นอบุ าสกทา นแรกทถี่ งึ พระรตั นตรยั ตอ พระพทุ ธเจาวา นกั บวชศาสนาอ่ืนมีวนั ประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรม เปน ท่ีพง่ึ คอื เศรษฐีคหบดี บิดาของพระยสะ คาํ สงั่ สอนในศาสนาของเขา แตว า พระพทุ ธศาสนายงั ไมม ี พระพทุ ธองคจ งึ ทรง 2 อบุ าสกิ า คือ คฤหัสถห รือชาวบา นผหู ญงิ ทว่ั ไปท่ีนบั ถอื พระพุทธศาสนา อนุญาตใหม กี ารประชมุ พระสงฆในวนั 8 คาํ่ และ 15 ค่ํา แตในระยะแรก อบุ าสกิ าทานแรกของโลก คือ ภรรยาเกาของพระยสะและนางสุชาดา มารดาของ พระภิกษุไมร วู า ควรจะทาํ สิ่งใด จงึ นงั่ นิง่ บา ง นงั่ หลบั บา ง ชาวบานกไ็ ดต าํ หนิ พระยสะ ผูถ วายขาวมธุปายาสแดพ ระพุทธเจา เมอื่ พระบรมโพธิสตั วรับ พระพทุ ธเจาจงึ กาํ หนดใหพ ระสงฆป ระชมุ สนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก ขาวมธุปายาสแลว เสด็จไปประทับทีโ่ คนตน มหาโพธ์ิ ทรงบาํ เพ็ญเพียรทางจิตและ ประชาชน ตลอดจนการสวดปาฏิโมกข ตรัสรเู ปน สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจาในวันน้นั 3 พระธรรมกถกึ คอื ผทู ่จี ะตอ งไปกลา วธรรม แสดงธรรม เปน ตัวแทนของ พระพุทธเจา ในการนาํ ธรรมของพระองคไปเผยแผแกประชาชน พระธรรมกถกึ จึงตองเปน ผูช าญฉลาด เขา ใจในหลักธรรมอยา งแจม แจง คมู ือครู 131

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูถามนกั เรียนวา ใน 1 เดือนมวี นั ธรรมสวนะ ประโยชน์ที่เกิดข้ึนก็คือ การได้ฟังธรรมในวันพระ จะเป็นการเพ่ิมพูนศรัทธาใน หรอื วนั พระกว่ี นั และในแตล ะวันตรงกบั วนั ใดบาง พระรัตนตรัย และได้ทราบแนวทางในการปฏิบัติตนของชาวพุทธท่ีดี รู้ว่าอะไรควรละ อะไรควร และในวนั พระนกั เรยี นควรปฏบิ ตั ติ นอยา งไร จงึ จะได บา� เพญ็ มคี วามเหน็ ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา ชอ่ื วา เปนชาวพทุ ธท่ีดี สาํ รวจคน หา Explore ๒) วนั เขา้ พรรษา ๒.๑) ความเป็นมาและความ ส�าคัญ วันเข้าพรรษา คือ วันท่ีพระภิกษุสงฆ์ ครูใหนักเรียนสืบคนเกี่ยวกับวันธรรมสวนะและ อธษิ ฐานวา่ จะอยปู่ ระจา� ณ อาวาสใดอาวาสหนง่ึ เทศกาลสาํ คญั ไดแ ก วนั เขา พรรษา วนั ออกพรรษา เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตลอดฤดูฝน ไม่จารกิ และวันเทโวโรหณะ จากหนงั สอื เรียนหนา 131-136 ไปแรมคืนยังสถานที่อื่นแม้แต่คืนเดียว โดย และแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ อนิ เทอรเ นต็ ปราศจากความจา� เปน็ ตามทร่ี ะบไุ วใ้ นพระธรรม สนทนาธรรมกับพระสงฆ เปน ตน วินัย๑ อธบิ ายความรู Explain วนั เข้าพรรษา มอี ยู่ ๒ วัน คอื ๑. วันแรม ๑ ค่�า เดือน ๘ 1. ครใู หน กั เรยี นยกตวั อยา งวา เมอ่ื ถงึ วนั ธรรมสวนะ เรียกว่า “ปุริมพรรษา” (วันเข้าพรรษาต้น) นักเรียนควรปฏิบัติตนอยางไร โดยบันทึกลงใน เทยี นพรรษาทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนชว่ ยกนั ตกแตง่ อยา่ งสวยงาม ออกพรรษาในวนั ขึ้น ๑๕ ค�า่ เดอื น ๑๑ สมุดและสง ครูผสู อน ในเทศกาลเข้าพรรษา ๒. วันแรม ๑ ค�่า เดือน ๙ 2. ครูใหนักเรียนออกไปประกอบศาสนพธิ ีเนอ่ื ง เรียกวา่ “ปจั ฉิมพรรษา” (วันเข้าพรรษาหลัง) ออกพรรษาในวันขึน้ ๑๕ ค่�า เดือน ๑๒ ในวนั ธรรมสวนะท่ีวัดตางๆ ใกลบา นหรอื แต่เดิมนน้ั ยังไม่มธี รรมเนียมการเข้าพรรษา เมื่อถึงฤดูฝน พระพทุ ธเจ้า รวมทงั้ ชวนกนั ไปกบั เพ่อื นนักเรียน และใหระบวุ า วัดท่ี พุทธสาวก ซึ่งขณะนั้นยังมีน้อยองค์ก็จะหยุดสัญจร ประทับอยู่ ณ ที่ใดท่ีหนึ่ง ด้วยทรงเห็นว่า นักเรยี นไปทาํ บญุ นั้น มีศาสนพธิ อี ะไรบา ง และ ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวงที่จะเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฤดูกาลนี้ กาลต่อมาเมื่อมี มวี ัตถุประสงคเ พ่ืออะไร พระภิกษุสงฆ์มากขึ้น ภิกษุบางพวก เช่น พวกฉัพพัคคีย์ (กลุ่มพระภิกษุซึ่งอยู่ด้วยกัน ๖ รูป) มไิ ดค้ า� นงึ ถงึ กาลอนั ควรหรอื ไมค่ วร เทย่ี วไปมาจารกิ ตลอดทง้ั ปี ซง่ึ บางครง้ั กไ็ ปเหยยี บยา่� ขา้ วกลา้ 3. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาและวเิ คราะหว า เพราะเหตใุ ด ตลอดจนพืชอื่นๆ ซึ่งชาวบ้านเพ่ิงจะลงมือหว่านไถเพาะปลูกให้ได้รับความเสียหายบ้าง หรือ ในวันเขาพรรษาจึงมีพิธีแหเทียนพรรษา รวมถึง ไปเหยียบย่�าโดนสัตว์เล็กๆ จนถึงแก่ความตายบ้าง ชาวบ้านจึงพากันต�าหนิติเตียนว่าพวก ทําไมจึงตองสรางเทียนท่ีสวยงามและใหญโต สมณศากยบุตรกระท�าในส่ิงท่ีไม่สมควร เพราะแม้แต่พวกเดียรถีย์ปริพาชก และบรรดาพ่อค้า ในวนั นนั้ วาณชิ ตา่ งกห็ ยดุ สญั จรกนั ในฤดนู ี้ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบจงึ ทรงวางระเบยี บใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆอ์ ยู่ ประจ�าท่ี ณ อาวาสใดอาวาสหนงึ่ ตลอด ๓ เดอื นในฤดูฝน เรียกกนั โดยทวั่ ไปว่า “จา� พรรษา” ๑ ในพระธรรมวินัยระบุไว้ว่า พระภิกษุสงฆ์ที่มี “สัตตาหกรณียะ” หรือมีกิจธุระท่ีจ�าเป็นเร่งด่วน ก็อนุญาตให้ไปแรมคืนยังอาวาสอื่น หรอื สถานทอี่ ื่นได้ แต่ทงั้ นี้ตอ้ งกลบั มาภายใน ๗ วนั สตั ตาหกรณยี ะดงั กล่าว ไดแ้ ก่ ๑) ไปรกั ษาพยาบาลเพื่อนสหธรรมมิก (ผู้มธี รรมร่วมกัน) หรอื บดิ ามารดาทเ่ี จ็บป่วย ๒) เพอ่ื นสหธรรมมกิ กระสันอยากสกึ ไปเพอื่ ระงบั ความกระสนั อยากสึก ๓) ไปเพือ่ กิจธรุ ะคณะสงฆ์ เชน่ ไปหาอปุ กรณ์มาซ่อมแซมวดั ท่ีชา� รดุ ภายในพรรษานั้นๆ 132 ๔) ทายกทายกิ านมิ นต์ไปฉลองศรทั ธาในการบ�าเพ็ญกศุ ลของเขา เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครแู นะนํานักเรียนเกย่ี วกับการรกั ษาศีล 8 วา การรักษาศลี 8 นนั้ มีศลี 3 ขอ ครูใหนกั เรยี นศึกษาศลี 8 วาขอ หามเพิ่มเติมนอกเหนอื จากศีล 5 เพ่มิ ขึ้นมาจากศีล 5 ไดแ ก หามรบั ประทานอาหารยามวิกาลหรือหลังบา ยโมง มอี ะไรบาง จากนน้ั ครใู หน กั เรียนถอื ศีล 8 เปนเวลา 1 วนั ในวนั ธรรมสวนะ หา มทาเครือ่ งหอม หา มดกู ารละเลนตา งๆ ทุกชนดิ ไมว าจะเปน การฟงเพลง การดู จากนนั้ ครสู มุ ใหน กั เรยี นออกมาอธบิ ายการรกั ษาศลี 8 วา มคี วามยากงา ย ละคร ภาพยนตร การแสดงตางๆ และหา มนอนบนทส่ี ูง ที่ฟกู อันประกอบดว ยนนุ และมปี ระโยชนอ ยา งไร หรือท่ีนอนอันสบาย บางคร้ังการรกั ษาศีล 8 นัน้ ทาํ ไดย าก เพราะตอ งหักหามกิเลส จากความอยาก ความหวิ ความสบาย ฯลฯ ดว ยเหตนุ ี้การรกั ษาศลี 8 จงึ เปน กิจกรรมทา ทาย เครอื่ งมอื ในการลด ละ เอาชนะกเิ ลสอยางหนึ่ง ซ่งึ หากทําไดจ ะไดบุญบารมีสงู และ สรา งความเจริญใหก บั ชวี ติ ครูใหนักเรยี นรวมกนั สง ประกวดเรยี งความหรอื บทรอยกรอง เพอื่ กระตนุ และปลุกจติ สํานกึ ใหพ ุทธศาสนกิ ชนลด ละ เลิก อบายมุข ในชว งเขา พรรษา จากนน้ั ครคู ัดเลอื กและนาํ ผลงานท่ดี ที ี่สุด 3 อนั ดบั ไปติดบนกระดานความรูหนา ช้ัน 132 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู นอกจากน้ี ยงั มีวัตถุประสงค์อ่ืนๆ อกี ในวนั เขา้ พรรษา คอื 1. ครนู าํ สนทนาเกย่ี วกบั วันเขาพรรษา และต้งั ๑. พระภกิ ษสุ งฆจ์ ะไดม้ เี วลาปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ สว่ นทพี่ งึ กระทา� เชน่ การศกึ ษา คาํ ถามวา เลา่ เรียนพระธรรมวนิ ยั การบา� เพญ็ ภาวนา การส่ังสอนประชาชนในทอ้ งถิน่ นน้ั ๆ ได้อย่างเต็มที่ • วนั เขา พรรษามีความสาํ คัญอยางไร ๒. เป็นการเปิดโอกาส และนกั เรียนควรปฏบิ ตั ิตนอยา งไรในวันนี้ ใหท้ ายก ทายิกา ได้มาบ�าเพ็ญกุศล อาทิ การ ถึงจะไดชื่อวาเปนชาวพุทธทด่ี ี ถวายทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ สนทนาธรรม (แนวตอบ วนั เขาพรรษา คือ วนั ท่พี ระสงฆ โดยอาศยั พระสงฆไ์ ด้อยา่ งเตม็ ที่ จําพรรษาอยูทีว่ ัดใดวดั หน่ึงเปน เวลา 3 เดือน ๒.๒) การปฏิบัติตนในวันเข้า ตลอดฤดูฝน พทุ ธศาสนิกชนควรรักษาศีล 5 พรรษา พธิ กี รรมในวนั เขา้ พรรษา แบง่ แยกออก อยูเปนนิจศีลตลอด 3 เดือนท่พี ระสงฆ เปน็ ๒ ส่วน ดังน้ี เขา พรรษา เพอ่ื รกั ษากาย วาจา ใจใหบ รสิ ทุ ธ)ิ์ (๑) พธิ ขี องพระภกิ ษสุ งฆ์ • เพราะเหตุใด พระสงฆจึงตอ งมกี ารประกาศ เดิมทีเดียวน้ันการเข้าพรรษากระท�ากันอย่าง เขตอาวาสวามีอาณาเขตจดที่ใดบา ง งา่ ยๆ คอื เมื่อถงึ วันเขา้ พรรษา พระภิกษุเพียง (แนวตอบ เพราะอาณาเขตของวดั สมัยกอน แต่ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าจักอยู่จ�าพรรษา หรือในปจ จุบันบางแหง มกั จะเปน เขตท่ี ในอาวาสนี้เป็นเวลา ๓ เดือน” หรือแม้จะมิได้ เชอ่ื มตอกบั ที่ดนิ ของชาวบา น โดยมไิ ดม ีรัว้ ตง้ั จติ อธษิ ฐาน ครน้ั ถงึ วนั เขา้ พรรษาไมจ่ ารกิ ไป พระภิกษุสงฆท์ าำ วัตรปฏิบัตริ ว่ มกันก่อนเข้าพรรษา หรือกาํ แพงก้นั อยางชดั เจน จึงตองประกาศ ไวเ พื่อจะไดป องกนั มใิ หพ ระภิกษุพลง้ั เผลอ แรมคืนท่ีอ่ืน ก็ย่อมได้ชื่อว่าเข้าพรรษา หรืออยู่จ�าพรรษาแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้การเข้าพรรษา ออกไปจาํ พรรษานอกเขตวดั ทตี่ นอธิษฐาน มีพิธรี ีตองมากขน้ึ กล่าวคือ เม่ือถึงวันแรม ๑ คา่� เดือน ๘ อันเป็นวันเขา้ พรรษา พระภกิ ษุสงฆ์ เขา พรรษา) จะประชมุ กนั ในโบสถเ์ พอ่ื ทา� วตั รคา�่ จากนน้ั เจา้ อาวาสหรอื สมภาร ซง่ึ เปน็ หวั หนา้ ของพระภกิ ษสุ งฆ์ ในวดั กจ็ ะบอกกฎเกณฑ์ กตกิ า หรอื วตั รปฏบิ ตั ติ า่ งๆ ทพ่ี ระภกิ ษคุ วรกระทา� ในระหวา่ งอยจู่ า� พรรษา 2. ครใู หนักเรียนศึกษาการทาํ วัตรของพระสงฆ รวมท้ังประกาศเขตอาวาสว่ามีอาณาเขตจดท่ีใดบ้าง เพ่ือป้องกันมิให้พระภิกษุพล้ังเผลอออกไป เชน ทําวตั รเชา ทาํ วัตรเย็น เปน ตน โดยให จา� พรรษานอกเขตวดั ทตี่ นอธษิ ฐานเขา้ พรรษา เสรจ็ แลว้ พระผนู้ อ้ ยจะกลา่ วคา� ขอขมาตอ่ พระผใู้ หญ่ ระบุวาการทาํ วตั รของพระสงฆนัน้ ทา น มีใจความว่า “ขอให้ท่านจงอดโทษทั้งปวงท่ีท�าด้วยไตรทวาร (คือ กาย วาจา ใจ) เพราะความ สวดมนตบทใดบาง และบทสวดมนตน้นั มี ประมาทในท่านแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระผู้ใหญ่กล่าวตอบมีใจความว่า “อดโทษให้” เสร็จแล้ว ความมงุ หมายอยางไร โดยใหน ักเรียนบนั ทกึ พระภกิ ษุทุกองคก์ ล่าวค�าอธิษฐานเขา้ พรรษา ดังน้ี สาระสาํ คัญลงในสมดุ คา� อ่าน อิมัสมงิ อาวาเส อิมัง เตมาสัง วสั สงั อเุ ปมิ 3. ครูพานักเรยี นไปทําวัตรเย็นหรือฟงพระธรรม- คา� แปล ขา้ พเจ้าขออยจู่ า� พรรษาในอาวาสนต้ี ลอดเวลา ๓ เดอื น เทศนาทว่ี ดั จากนั้นใหบ นั ทึกวานกั เรียน สวดมนตบทใดบา ง ไดแงค ิดอะไรจากการฟง พระธรรมเทศนา และสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ ช กบั ชีวติ ของตนเองไดอยางไร 133 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู กิจกรรมในขอ ใดไม เก่ยี วขอ งกบั วนั เขา พรรษา ครูแนะนาํ นักเรียนเก่ียวกับการทาํ สามจี ิกรรม ซึ่งเปนธรรมเนียมหนึง่ ที่ให 1. การเวยี นเทยี น พระสงฆและสามเณรทําความชอบกัน หรือการขอขมาลาโทษและใหอภยั กัน 2. การถวายผา อาบน้ําฝน เพอื่ ความสามัคคีและอยูร วมกนั อยา งสงบสขุ โดยมโี อกาสในการทําสามีจกิ รรม คือ 3. การถวายเทียนพรรษา ในวันเขาพรรษา ระยะเขาพรรษา และในโอกาสท่ีจะจากกนั ไปอยวู ัดอ่ืน การขอขมา 4. การงดเหลา และอบายมุขทงั้ ปวง ลาโทษทาํ โดยการจดั เครอ่ื งสกั การะ ดอกไม ธปู เทยี น ประคองไปหาทา นทจ่ี ะขอขมา กราบเบญจางคประดษิ ฐ 3 คร้ัง แลวกลาวคาํ ขอขมา ทา นทีร่ บั ขอขมาพงึ รบั คํา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. การเวยี นเทียน เพราะเปนศาสนพธิ ที ี่ ตามนยิ มและรบั ไหวหรือกราบเปนอันเสรจ็ พิธี ปฏิบัติกันในวนั มาฆบูชา วนั วสิ าขบชู า วันอาสาฬหบูชา และวนั อัฏฐมีบชู า สวนขอ 2., 3. และ 4. เปนกิจกรรมทเ่ี กีย่ วขอ งกบั วนั เขาพรรษา คูม ือครู 133

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นหาภาพขา วประเพณแี หเ ทยี นพรรษา กลา่ วคา� อธษิ ฐาน ๓ ครง้ั เปน็ อันเสร็จสิน้ พธิ สี งฆใ์ นวนั เข้าพรรษา ของจงั หวัดตางๆ ที่นกั เรียนชน่ื ชอบ 2-3 รปู (๒) พธิ ขี องพทุ ธศาสนกิ ชน ในปจั จบุ นั นป้ี ระเพณเี ขา้ พรรษาเปน็ อกี ประเพณี และบนั ทึกวาประเพณีแหเทยี นพรรษามคี วาม ทส่ี า� คญั ยงิ่ กลา่ วคอื กอ่ นถงึ เทศกาลเขา้ พรรษา สาํ คญั อยา งไร มีจดุ ประสงคเ พอื่ อะไร โดยตดิ (ก่อนวนั แรม ๑ ค่า� เดือน ๘) บดิ ามารดาหรือ ภาพและบันทึกคําอธบิ ายลงในกระดาษ A4 ผู้ปกครองก็จะประกอบพิธีอุปสมบทให้แก่บุตร นําสงครูผสู อน หลานของตนทม่ี ีอายุครบบวช (๒๐ ปบี ริบูรณ์) ไปบรรพชาอปุ สมบทโดยถอื กนั วา่ ถา้ บตุ รหลาน 2. ครูนําสนทนาเกี่ยวกับวันออกพรรษา และให ของตนได้เข้าบวชเรียนในพระพุทธศาสนาและ นกั เรียนรวมกันตอบคาํ ถามวา อยูจ่ า� พรรษาจะได้รบั อานิสงสส์ งู สดุ • เพราะเหตุใด พระสงฆจ งึ มีการรวมสงั ฆกรรม พุทธศาสนิกชนคจระั้นรถ่วึงมวใันจเกขัน้าทพ�ารบรษุญาตักบบรารตดาร1 หรือการทาํ ปวารณาหลังจากวนั ออกพรรษา แห่เทียนพรรษา ซ่ึงได้รับการตกแต่งอย่าง (แนวตอบ เพราะในระหวา งจําพรรษา พระสงฆ สวยงามไปยังวัดที่ตนนับถือ แล้วเชิญเทียน บางรูปอยใู นความประมาท ประพฤติตนไม พรรษาเข้าไปตั้งไว้ในพระอุโบสถ2 จากน้ันก็มี เหมาะสม และไมม ผี ใู ดกลาวากลาวตกั เตอื น ในวนั เขา้ พรรษา พทุ ธศาสนกิ ชนจะรว่ มใจกนั ทาำ บญุ ตกั บาตร การถวายผ้าอาบน้�าฝน จตุปัจจัยแก่พระภิกษุ เพราะตา งคาํ นงึ วา มิใชห นา ที่ของตน มคี วาม ทง้ั นเ้ี พอ่ื ความเปน็ สริ มิ งคลแกต่ นเองและครอบครวั สามเณร และสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา เกรงใจและหวั่นเกรงวาจะเปน ชนวนใหเกิด การแตกแยกในคณะสงฆไ ด คร้ันออกพรรษา 3 แลว พระภกิ ษตุ า งกแ็ ยกยา ยกนั ไปเผยแผ นอกจากน้ี พุทธศาสนิกชนบางท่านก็ปวารณาตัวต่อพระสงฆ์รับเป็นโยมอุปัฏฐากจัดหาสิ่งของ พระพทุ ธศาสนา ความประพฤตอิ นั ไมเ หมาะสม ทขี่ าดเหลอื ถวายใหแ้ กท่ า่ นเปน็ การเฉพาะองค์ หรอื รบั เปน็ โยมสงฆจ์ ดั หาสงิ่ ของถวายแดพ่ ระภกิ ษุ ของพระภกิ ษุบางรปู ก็ยังไมไดร บั การแกไข สามเณรทวั่ ทงั้ วดั หรอื บางทา่ นกอ็ ธษิ ฐานกระทา� ความดตี า่ งๆ เชน่ ทา� บญุ ตกั บาตรทกุ วนั งดเสพสรุ า ครัน้ ภกิ ษบุ างรปู พบเหน็ เขา ก็คิดวาถูกตอง งดเลน่ การพนนั หรอื รบั ประทานแตอ่ าหารมงั สวริ ตั ิ ตลอดชว่ ง ๓ เดอื น แหง่ การเขา้ พรรษา เปน็ ตน้ จึงพากนั ประพฤติปฏิบตั ิตามอยาง นอกจากน้ี ความประพฤติอนั ไมเ หมาะสมนนั้ ยังได ๓) วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจ�าพรรษา ถ้าเป็นพรรษาต้นจะตรงกับ ปรากฏตอชมุ ชน ทาํ ใหช าวบา นพากนั ติเตยี น วันขึ้น ๑๕ ค�่า เดือน ๑๑ และพรรษาหลังจะตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๑๒ แต่เดิมนั้น และคลายความศรัทธาทีม่ ีตอพระพุทธศาสนา วนั ออกพรรษาไมม่ พี ธิ รี ตี องแตอ่ ยา่ งใด ตอ่ มาภายหลงั พระพทุ ธเจา้ ทรงเหน็ วา่ ในระหวา่ งอยจู่ �าพรรษา ลง มลู เหตุนี้จึงมกี ารปวารณา เพือ่ เปด โอกาส มีพระภิกษุบางรูปเกิดความประมาท ประพฤติตนไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าว่ากล่าวตักเตือน ใหพระสงฆวา กลา วตกั เตอื นกนั เก่ยี วกบั พระ เพราะต่างค�านึงว่ามิใช่หน้าท่ีของตนเอง มีความเกรงใจและหว่ันเกรงว่าจะเป็นชนวนให้เกิดการ วินัยท่ีควรปฏิบัติ พระสงฆจะไดท ราบวาสิง่ ใด แตกแยกในคณะสงฆไ์ ด้ ครน้ั ออกพรรษาแลว้ พระภกิ ษตุ า่ งกแ็ ยกยา้ ยกนั ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ควรทาํ ส่งิ ใดไมค วรทํา) ความประพฤตอิ นั ไมเ่ หมาะสมของพระภกิ ษบุ างรปู กย็ งั ไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ข ครน้ั ภกิ ษบุ างรปู พบเหน็ • เมอื่ มผี ูวากลา วตกั เตอื น นกั เรียนควรจะ เขา้ กค็ ดิ วา่ ถกู ตอ้ ง จงึ พากนั ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามอยา่ ง นอกจากนี้ ความประพฤตอิ นั ไมเ่ หมาะสมนนั้ ปฏิบตั ิอยางไร จงึ จะเรียกวาเปนชาวพทุ ธที่ดี ยงั ไดป้ รากฏตอ่ ชมุ ชน ทา� ใหช้ าวบา้ นพากนั ตเิ ตยี นและคลายความศรทั ธาทมี่ ตี อ่ พระพทุ ธศาสนาลง (แนวตอบ ควรนาํ สง่ิ ทว่ี า กลา วตักเตอื นมาคิด พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงมีพระบัญญัติวา่ พระภกิ ษทุ ุกรูปต้องทา� การปวารณาหลงั จากออกพรรษาแลว้ พิจารณาวาเปน จริงอยา งที่ถกู วา กลา วหรือไม เพื่อจะไดรูวาสิง่ ใดควรทํา ส่ิงใดไมค วรทํา 134 และจะไดป รบั ปรุงพัฒนาตนเองใหดีข้นึ ) นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดตอไปนี้ ไม สัมพนั ธกับวนั ออกพรรษา 1 ตกั บาตร มกี ารตกั บาตรในหลายรูปแบบ เชน งานตกั บาตรดอกไมในชวง 1. การปวารณา เขาพรรษาที่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตักบาตรพระขี่มาท่ีจังหวัดเชียงราย 2. การตกั บาตรเทโว ตกั บาตรขาวเหนียวทเ่ี มืองหลวงพระบาง ประเทศลาว 3. การฟงเทศนฟ งธรรม 2 จตุปจ จัย จตุ แปลวา สี่ หมายถึง ปจจยั 4 ของพระสงฆท เี่ ปน เคร่อื งอาศัย 4. การถวายผา อาบนา้ํ ฝน เลยี้ งชวี ติ คลา ยคลงึ กบั ปจ จยั 4 ของคฤหสั ถท วั่ ไป มี 4 อยา ง ไดแ ก จวี ร (เครอื่ งนงุ หม ) วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เพราะการถวายผา อาบนาํ้ ฝน บณิ ฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ทอี่ ยอู าศัย) และ คลิ านเภสัช (ยารักษาโรค) จะกระทําในวันแรม 1 คํา่ เดอื น 8 คอื วันเขาพรรษา สวนตัวเลอื กขอ อ่ืนๆ 3 ปวารณา คือ การยอมใหวากลาวตักเตือนซึ่งกันและกัน หรือยอมมอบตน เกยี่ วขอ งกับวนั ออกพรรษาทง้ั หมด สาํ หรบั การตักบาตรเทโว จะทาํ ใน ใหส งฆก ลาวตักเตอื นในขอบกพรอ งท่ีภิกษุทัง้ หลายไดเ ห็นไดย นิ หรอื มขี อ สงสยั วันข้นึ 15 คํ่า เดอื น 11 หรอื วนั แรม 1 ค่าํ เดอื น 11 กไ็ ด ดวยจติ เมตตา เพื่อจะไดส ํารวม ระวงั ปรับปรุง แกไขตนเอง เพื่อความเจรญิ ของ พระธรรมวินัยและความผาสกุ ในการอยรู วมกนั 134 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การปวารณา หมายถึง การที่พระภิกษุสงฆ์เปิดโอกาสให้ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ 1. ครูตงั้ คําถามใหนกั เรยี นวิเคราะหวา ในธรรมวินัยเดียวกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้โดยไม่ต้องเกรงใจกัน เม่ือผู้ใหญ่เห็นผู้น้อยประพฤติ • พระภกิ ษุสงฆม กี ารเรียงตามลาํ ดับอาวุโส บกพร่อง หรือเพียงแต่สงสัยว่าน่าจะมีความ อยา งไร และพระสงฆท ี่อาวโุ สตา งกนั จะใช ประพฤติบกพร่อง ผู้ใหญ่ก็ว่ากล่าวตักเตือน คําเรียกแทนพระสงฆอีกรปู วา อยางไร ผู้น้อยได้ ในท�านองเดียวกัน ผู้น้อยก็สามารถ (แนวตอบ เรียงลาํ ดับอาวุโสตามพรรษาท่ีบวช ตักเตือนผู้ใหญ่ได้เช่นกัน ถ้าหากเห็นผู้ใหญ่ หรอื ระยะเวลาทบี่ วชมากอ น หากพรรษามาก ประพฤติบกพร่องหรือสงสัยว่าน่าจะประพฤติ กเ็ ปนผูอาวโุ ส โดยไมไ ดเรยี งตามวัยวฒุ ขิ อง บกพร่อง ท้ังนี้การตักเตือนของหมู่สงฆ์น้ัน พระสงฆน นั้ พระสงฆท มี่ พี รรษานอ ยจะเรยี ก มเี จตนาบรสิ ุทธ์เิ ป็นท่ีตั้ง คอื มงุ่ หมายให้เพื่อน พระสงฆที่มพี รรษามากกวาวา “ภนั เต” สหธรรมิกปราศจากมลทิน เพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งใด สว นพระสงฆพรรษาเทา กันหรือนอยกวา จะ ควรท�า ส่ิงใดไม่ควรท�า ฉะนั้นการปวารณาจึง เรียกวา “อาวุโส”) เปน็ การรว่ มสงั ฆกรรม และการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความ เอ้ืออาทรต่อกันของพระภิกษุสงฆ์ที่จ�าพรรษา 2. ครใู หนักเรียนศกึ ษาการเรียกจาํ นวนหรือ อย่ใู นอาวาสเดียวกนั การปวารณาเป็นการเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ว่ากล่าว ตัวเลขในภาษาบาลี เชน จตุ คอื ส่ี ปญ จ ในวันข้ึน ๑๕โดคย่�าปเกดตอื ภิ นกิ ษ๑สุ๑งเฆรจ์ียะกทวา�า่ ก“าวรันปปวาณั รรณส1าี” ตักเตือนกันเก่ียวกับวินัยท่ีควรปฏิบัติ ซ่ึงกระทำาหลังจาก เบญจ คือ หา เปน ตน โดยใหน ักเรยี นคน หา ออกพรรษาแลว้ จํานวนทหี่ น่งึ ถึงย่ีสบิ วามีคําเรียกในภาษาบาลี วาอะไร แลว บนั ทกึ ลงในสมดุ เแดตอื ่ถน้าภ๑ิก๑ษเุสรงยี ฆก์ยวัง่าไม“ว่พนั รจ้อามตกุท็จส2ะ”ี เลก่ือไ็ ดน้วันปวารณาออกไปอีก ๑ ปักษ์ ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๔ ค�่า เม่ือถึงวนั ปวารณา ภกิ ษุสงฆ์จะประชุมกนั ในโบสถ์รบั ไทยธรรมจากอุบาสก อุบาสกิ า 3. ครใู หนกั เรียนทดลองใชว ธิ ปี วารณาของ พระเถระชน้ั ผใู้ หญแ่ สดงพระธรรมเทศนา เสรจ็ แลว้ ภกิ ษสุ งฆจ์ ะเรม่ิ ทา� การปวารณา โดยเรยี งกนั ไป พระสงฆ โดยการเปดโอกาสใหเ พ่อื นนกั เรียน วา กลา วตกั เตือนกันถึงขอ บกพรองหรือขอ ควร ปรับปรุงของอีกฝาย โดยไมตอ งเกรงใจกนั และควรบอกวิธีแกไขใหเ พอื่ นนักเรียนดว ย ตามลา� ดับอาวุโส คา� ปวารณามีใจความวา่ “สงฆฺ มภฺ นเฺ ต ปวาเรม,ิ ทฏิ เฺ ฐนฺ วา สเุ ตน วา ปรสิ งกฺ าย วา; วทนตฺ ุ ม� อายสมฺ นโฺ ต อนกุ มปฺ ํ อุปาทาย; ปสสฺ นฺโต ปฏิกกฺ ริสสฺ าม.ิ ทตุ ยิ มฺปิ ภนเฺ ต สงฆฺ � ปวาเรมิ,... ตตยิ มปฺ ิ ภนฺเต สงฺฆ� ปวาเรมิ,...” “ท่านท้ังหลาย ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอทา่ นทงั้ หลายจงอาศยั ความกรณุ าวา่ กลา่ วตอ่ ขา้ พเจา้ เมอ่ื ขา้ พเจา้ สา� นกึ ไดจ้ กั กระทา� คนื เสยี ” “ทา่ นทง้ั หลาย ขา้ พเจา้ ขอปวารณาตอ่ สงฆ์ เปน็ คร้งั ที่ ๒.....................” “ทา่ นทัง้ หลาย ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ เปน็ ครัง้ ท่ี ๓.....................” 135 ขอ สอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอสอบป ’52 ออกเกี่ยวกับวนั สําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา 1 วันปณรสี แปลวา การเกดิ ขา งขึ้นและขา งแรม (ดิถ)ี เตม็ 15 วัน คอื เมือ่ ถึงวนั สาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา ชาวพทุ ธควรจะระลกึ ถงึ สิ่งใด วนั 15 คา่ํ เรียกเตม็ ๆ วา “วนั ปณรสดี ิถี” 2 วันจาตทุ สี แปลวา การเกิดขางข้ึนและขางแรม (ดิถี) เต็ม 14 วนั คือ มากทสี่ ดุ วนั 14 คํ่า เรยี กเตม็ ๆ วา “วันจาตุทสดี ิถ”ี 1. พระรัตนตรัย 2. พระไตรปฎก มมุ IT 3. พระพทุ ธคณุ 3 4. การทํานุบํารงุ พระพทุ ธศาสนา ศึกษาคนควา เพิ่มเติมเกี่ยวกบั การปวารณาในเทศกาลออกพรรษา ไดท ่ี http://www.dhammathai.org เวบ็ ไซตธ รรมะไทย วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ชาวพทุ ธ ควรระลกึ ถึงพระรตั นตรัย คอื พระพุทธคณุ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ดงั ที่ปรากฏในการเวียนเทียนรอบพระอโุ บสถ 3 รอบ ขอ 2. พระไตรปฎก คอื พระธรรมวนิ ยั ของพระสงฆ ขอ 3. พระพุทธคุณ 3 คอื การระลึกถงึ พระพทุ ธคณุ อยา งเดยี ว ขอ 4. การทาํ นุบํารงุ พระพุทธศาสนาสามารถทาํ ไดท ุกวนั คมู อื ครู 135

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู 1. ครูใหน ักเรยี นศกึ ษาคนควา เกย่ี วกับ ๔) วันเทโวโรหณะ โดยปกติในวันออกพรรษานี้ พุทธศาสนิกชนจะไปร่วมท�าบุญ วดั สังกัสรัตนครี ี จงั หวดั อทุ ยั ธานี วามศี าสนพิธี ตักบาตรกันที่วัด ซึ่งบางวัดก็จัดท�าพิธีอย่าง อะไรบา งในวนั ออกพรรษาและมกี ารจดั งาน ใหญ่โตมาก เรียกว่า “ตักบาตรเทโว” ค�าว่า อยางไร แลว บนั ทึกลงในสมุด “เทโว” ย่อมาจาก “เทโวโรหณ” แปลว่า การ เสด็จลงมาจากเทวโลก ตามต�านานกล่าวว่า 2. ครูต้งั คําถามเกีย่ วกบั วันเทโวโรหณะ ใหนักเรียน พหลระงั พจาุทกธทมพี่ ารระดพาใทุ นธสอวงรครเ์ คส์ชดนั้จ็ ไดปาจวา�ดพึงสร1ร์ ษเมาือ่ โอปอรดก ชวยกันตอบคําถาม พรรษาแล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จกลับมาสู่ • เมอื่ พระพทุ ธเจา เสด็จโปรดพทุ ธมารดาและ มนุษยโลกในวนั นี้ คอื วนั ขน้ึ ๑๕ คา�่ เดอื น ๑๑ ไดตรัสสอนอภิธรรมพุทธมารดาอยางไร ไดเ้ สดจ็ ลงมาจากสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ สก์ ลบั คนื มาสู่ และพทุ ธมารดาไดบ รรลุอรยิ บุคคลระดับใด โลกมนุษย์ ณ ประตเู มอื งสังกัสสะ โดยมีเทวดา (แนวตอบ พระพทุ ธเจาทรงแสดงอภธิ รรม 7 และมหาพรหมท้ังหลายแวดล้อมลงมาส่งเสด็จ คัมภีร โปรดพระพทุ ธมารดาตลอด 3 เดอื น ฝูงชนเป็นจ�านวนมากมายก็ได้ไปคอยรับเสด็จ ทําใหพ ระพทุ ธมารดาไดบ รรลุโสดาปตตผิ ล กระทา� มหาบูชาเปน็ การเอิกเกริกมโหฬาร และ สมพระประสงคของพระพทุ ธเจา ที่ทรงตงั้ พธิ ตี กั บาตรเทโว ณ วัดสังกสั รัตนครี ี บริเวณเขาสะแกกรัง พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรม ท�าให้มีผู้บรรลุ พระทยั เสด็จขึ้นมาสนองคุณพระพุทธมารดา) จงั หวัดอุทัยธานี ซง่ึ จัดขน้ึ อย่างยิง่ ใหญเ่ ปน็ ประจำาทุกปี คุณวิเศษจ�านวนมาก พุทธศาสนิกชนจึงถือ • พธิ ตี ักบาตรเทโวมคี วามหมายและความ มุงหมายอยางไร เปน็ โอกาสพิเศษ พร้อมใจกนั ตกั บาตรเฉลมิ ฉลอง โดยจัดทา� ข้ึนเพยี งปีละ ๑ คร้งั เท่าน้นั (แนวตอบ เปน พธิ ีตกั บาตรเพื่อรบั เสด็จ การตกั บาตรเทโวน้อี าจจะจัดให้มีในวันขึ้น ๑๕ ค�่า เดือน ๑๑ หรือแรม ๑ ค่�า เดือน พระพทุ ธเจา โดยไดป ฏิบัติสืบเนอื่ งตอ กันมา ๑๑ ก็ได้ และบางวัดก็จัดท�าพิธีตักบาตรเทโวอย่างมโหฬาร กล่าวคือ บรรดาฆราวาสจะชะลอ เปนประเพณี จนถึงประเทศไทยไดเ รียก พระพุทธรูป ซ่ึงประดิษฐานอยู่ในบุษบกมีล้อเล่ือน และมีบาตรต้ังอยู่หน้าพระพุทธรูปน�าหน้า ประเพณีนว้ี า การตกั บาตรเทโวโรหณะ โดย พระสงฆ์ผ่านไปรอบๆ บริเวณโบสถ์ หรือบริเวณที่ก�าหนดไว้ เพื่อให้ทายก ทายิกา ซ่ึงยืน นยิ มเรียกสน้ั ๆ วา การตักบาตรเทโว ซ่ึงคาํ วา นงั่ เรยี งรายกนั อยเู่ ปน็ ทวิ แถวไดต้ กั บาตรอาหารทพ่ี ทุ ธศาส2นกิ ชนจดั ท�ามาเปน็3พเิ ศษ นอกเหนอื จาก “เทโว” ยอมาจาก “เทโวโรหณะ” แปลวา ข้าว กบั ข้าว ของหวาน และผลไมแ้ ล้ว ก็มีข้าวต้มลูกโยน และข้าวตม้ มดั ไต้ การเสด็จจากเทวโลก) ขยายความเขา ใจ Expand หลังจากท�าบุญตักบาตรเสร็จแล้ว พุทธศาสนิกชนก็จะเข้าไปในโบสถ์ ฟังพระธรรม เทศนา รกั ษาศลี ๕ ศีล ๘ หรือบ�าเพญ็ สาธารณประโยชน์ ตามแต่อัธยาศัย ครูใหน ักเรยี นเขารวมประกอบพิธกี รรมทาง พระพทุ ธศาสนาในวันธรรมสวนะที่วัดท่ีนกั เรยี น ๒. ศาสนพธิ ี สะดวก จากน้ันบันทึกวา นกั เรยี นเขารวมศาสนพธิ ี หรอื ทําบญุ อะไรบา ง และสิง่ ทนี่ กั เรยี นพึงปฏิบัติใน ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีเป็นระเบียบแบบแผนทางศาสนาที่ก�าหนด วันธรรมสวนะมีอะไรบา ง ลงในสมดุ นาํ สงครผู ูสอน ขน้ึ ไวเ้ พอื่ ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนไดย้ ดึ ถอื ปฏบิ ตั เิ ปน็ แบบอยา่ งเดยี วกนั และถอื เปน็ สว่ นประกอบทส่ี า� คญั ประการหนึ่งของพระพทุ ธศาสนา ตรวจสอบผล Evaluate ในระดับชน้ั น้ีจะกล่าวถึง พิธีท่ีส�าคญั ทางพระพทุ ธศาสนาบางพิธี ดงั ต่อไปนี้ 136 ตรวจสอบจากบันทึกการเขา รว มศาสนพธิ ีและ บรู ณาการเช่ือมสาระ ส่งิ ทน่ี กั เรยี นพงึ ปฏิบตั ิในวนั ธรรมสวนะ ครสู ามารถนาํ เรือ่ งขา วตม ลกู โยนและขา วตม มดั ไต ไปบูรณาการเช่อื มโยง กับกลุม สาระการเรยี นรกู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี วิชาการงานอาชพี นักเรยี นควรรู และเทคโนโลยี เรอ่ื งการเตรียมและการประกอบอาหารประเภทสาํ รับ โดยใหนักเรยี นศกึ ษาวา หลกั เกณฑในการกําหนดรายการอาหารมีอะไรบาง 1 ช้นั ดาวดงึ ส เปน ช่ือสวรรคชน้ั ที่ 2 ซงึ่ เปน 1 ใน 6 ชั้นของสวรรคช นั้ กามาพจร ขาวตมลกู โยนและขา วตมมดั ทีพ่ ทุ ธศาสนิกชนจัดทํามาตักบาตรเปน พิเศษ หรอื สวรรคช น้ั กามภมู ิ สวรรคท ง้ั 6 ชนั้ ไดแ ก จาตมุ หาราชกิ า ดาวดงึ ส ยามา ดุสิต เขา กบั หลักเกณฑในกาํ หนดรายการอาหารอยางไร เพราะเหตใุ ด โดยบันทกึ นมิ มานรดี และปรนิมมติ วสวัตดี ลงในสมดุ และสงครูผูสอน 2 ขา วตม ลกู โยน คอื ขา วตม มดั ชนดิ หนงึ่ เปน ขนมไทยทใ่ี ชใ นพธิ ตี กั บาตรเทโว ทําจากขาวเหนียวผสมถ่ัวผัดกับกะทิ นิยมหอดวยใบพง (มีลักษณะคลายใบออย แตม กี ลิ่นหอม) แลว นาํ ไปน่งึ จนสุก 3 ขา วตม มัดไต คาํ วา ไต เปนชอ่ื ขนมอยา งหนงึ่ ทาํ ดวยขา วเหนียวผัดกับกะทิ และถวั่ ทอง ปรุงรสดว ยน้ําตาลทราย เกลอื หอไสท ่ีทําดวยถั่วทองตม สุกแลว ผัดกบั เครอ่ื งปรงุ มพี รกิ ไทย เกลอื เปน ตน ขา วตม มดั ไตม กั หอ ยาวๆ ดว ยใบมะพรา วออ น ใชตอกมัดหลายเปลาะ เหมอื นไตทใี่ ชจ ดุ ไฟ 136 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ 2.1 การทำาบญุ ตักบาตร ครถู ามนักเรียนวา การทําบญุ ตักบาตรกบั การ ถวายสังฆทานเหมอื นหรือตางกันอยางไร “ตักบาตร” หมายถึง การถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ด้วยการใส่ภัตตาหารลงไปในบาตร ของท่าน ซง่ึ มีวตั ถุประสงค์ ดงั น้ี (แนวตอบ เหมอื นกัน เพราะการทาํ บญุ ตักบาตร ๑. ถือเป็นการท�าบุญอย่างหนึ่งซ่ึง และการถวายสงั ฆทาน สามารถถวายภตั ตาหาร การท�าบุญน้ันย่อมมีผลดีต่อจิตใจของผู้กระท�า และนํ้าแดพระสงฆไ ดเ หมอื นกัน แตต างกนั หลายประการ เชน่ ขจัดความตระหน่ี มีเมตตา ตรงที่การถวายสงั ฆทานจะถวายเครอื่ งไทยธรรม หรอื สิ่งของเครื่องใชข องพระสงฆดว ย) กรณุ า ชว่ ยชา� ระจติ ใจใหส้ ะอาด เบกิ บานและสงบ สาํ รวจคน หา Explore ๒. เป็นการถวายความอุปถัมภ์แด่ พระสงฆ์ ซึ่งท่านเป็นผู้สืบทอดต่อและเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาแกเ่ รา ไดช้ ว่ ยทา� นบุ า� รงุ พระพทุ ธ ครูใหน กั เรยี นศกึ ษาเก่ียวกบั ความเปน มาและ ศาสนาโดยทางออ้ ม ถือได้ว่าเป็นประเพณีนิยม วธิ ีปฏบิ ตั ิของศาสนพิธีตา งๆ ไดแ ก การทําบุญ อันดีงามของพุทธศาสนิกชน ตกั บาตร การถวายภตั ตาหาร การถวายสังฆทาน ๓. สรา้ งความดใี หแ้ กต่ นเอง เพราะ การถวายผาอาบน้ําฝน การจัดและถวาย การท�าบุญนั้นถือเป็นการให้ทาน ซึ่งเป็นการ เครอื่ งไทยธรรม เคร่อื งไทยทาน การกรวดนํ้า กระท�าท่ีเกื้อกูลกัน ตรงกันข้ามกับความโลภ การทำาบุญตักบาตรถือเป็นการให้ทานที่สามารถกระทำาได้ การทอดกฐิน และการทอดผาปา จากหนังสอื เรียน ความตระหนอ่ี นั เปน็ ลกั ษณะของความเหน็ แกต่ วั หลายโอกาสทงั้ ในงานบญุ และงานพิธีต่างๆ หนา 137-149 และแหลง การเรียนรูตา งๆ เชน หองสมุด อินเทอรเ นต็ ผรู ูดา นธรรมะ เปน ตน รวมท้งั สนบั สนุนความเปน็ มิตรและความมีไมตรีต่อกนั ของบุคคลในสังคม เพอื่ นําความรมู าอภปิ รายและบนั ทึกลงในสมุด ๔. เป็นส่วนประกอบส�าคัญของการท�าบุญ การท�าบุญตักบาตรสามารถกระท�าได1้ ในหลายโอกาส เช่น การตกั บาตรแด่พระสงฆ์ท่อี อกบณิ ฑบาตในตอนเช้า ซง่ึ การออกบิณฑบาต อธบิ ายความรู Explain ของพระสงฆ์ในตอนเช้าน้ันถือว่าเป็นการโปรดสัตว์ กล่าวคือ เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนท่ีไม่มี เวลาไปวัด ได้มีโอกาสท�าบุญสร้างกุศล นอกจากนี้ การท�าบุญตักบาตรยังสามารถกระท�าได้ใน 1. ครใู หน กั เรยี นชว ยกนั ยกตวั อยา งวา ขอ ควรระวงั งานบญุ และงานพธิ ีต่างๆ ขณะใสบ าตรมอี ะไรบาง โดยชว ยกนั ตอบ 2.2 การถวายภัตตาหาร ในชนั้ เรยี น และครซู ักถามวาเพราะเหตุใด เราจงึ ควรระวังสงิ่ นน้ั ขณะใสบ าตร “ภัตตาหาร” หมายถงึ อาหารต่างๆ ทีเ่ ราประกอบขนึ้ แล้วน�าไปถวายแดพ่ ระสงฆ์เพื่อให้ทา่ น ได้ฉัน การถวายภัตตาหารเป็นประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาต้ังแต่สมัยพุทธกาล โดยมี 2. ครกู ลา วถงึ การทาํ บญุ ตกั บาตรและตงั้ คาํ ถามวา วัตถุประสงค์ ดงั น้ี • นกั เรยี นคิดวา การทําบญุ ตักบาตร มปี ระโยชนอ ยางไร ๑. เพอ่ื สืบทอดประเพณี (แนวตอบ การทาํ บญุ ตกั บาตรสง ผลดตี อ จติ ใจ ๒. เพ่ือสร้างความเปน็ สริ มิ งคลให้เกดิ ข้นึ แกต่ นเอง ของผูทาํ คอื ลดความตระหนแี่ ละความเห็น ๓. เพ่ือจะไดม้ ีโอกาสสดบั ตรบั ฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์อย่างใกลช้ ิด แกตัว มเี มตตากรณุ าและรูจักแบงปน ๔. เพ่อื เป็นการช่วยทา� นุบ�ารุงพระพทุ ธศาสนา ชว ยทาํ นบุ าํ รุงพระพุทธศาสนา และเปน การ ทาํ บญุ ใหกับตนเอง) 137 ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับการทาํ บุญตักบาตร ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู คณุ ยายพาหลานสาวไปตักบาตรบริเวณหนาบา น พระสงฆรปู หนงึ่ เดินมา ครแู นะนาํ ขอ ควรระวงั ขณะใสบ าตรวา ไมค วรสวมรองเทา หรอื ยนื สงู กวา พระสงฆ รบั บาตร คณุ ยายจึงนิมนตใหม ารับบาตรในวนั พรงุ นด้ี วย พระสงฆจะกลาว ไมโยนส่งิ ของลงในบาตร ซึ่งถือวาไมม ีความเคารพ และสิง่ ของท่จี ะใสใ นบาตรตอ ง ตอบอยางไร ไมร อนหรือหนกั จนเกินไป ในกรณที ี่เปนของหนกั ควรนาํ ไปถวายพระสงฆท ว่ี ัดจะ 1. ครับผม 2. ขอบคุณโยม เหมาะสมกวา 3. เจรญิ พร 4. อนโุ มทนา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เจริญพร แปลวา ขอใหม ีความเจริญในพร นักเรยี นควรรู มาจากพร 4 อยา งหรอื จตรุ พธิ พร ไดแ ก อายุ (อายยุ นื ) วรรณะ (ผวิ พรรณผอ งใส) สขุ ะ (สขุ กายสขุ ใจ) พละ (สขุ ภาพดแี ขง็ แรง) กลา วคอื พระสงฆใ หพ รผมู าทาํ บญุ 1 บิณฑบาต คอื กิจวตั รของพระสงฆและสามเณรในพระพทุ ธศาสนา ในการ ขอ 1. เปน คาํ กลาวของบคุ คลทวั่ ไปทีม่ ใิ ชพ ระสงฆ ออกเดินถือ “บาตร” รบั การถวายภตั ตาหารหรอื สงิ่ ของจากชาวบา นในเวลาเชา ขอ 2. ขอบคณุ ใชก บั บุคคลท่ัวไป โยม คือ คําทพี่ ระสงฆใ ชเ รยี กคฤหสั ถ การออกบิณฑบาตถอื เปน กิจวตั รทพ่ี ระพุทธเจาทรงกําหนดไวใ หเ ปน หนาทขี่ อง ทเ่ี ปน บิดามารดาของตน หรือผูท่ีเปนผูใหญค ราวบดิ ามารดา พระสงฆและสามเณรมาตง้ั แตส มยั พทุ ธกาล หรอื ใชขยายออกไปโดยเรียกผูมีจติ ศรทั ธาในการอุปถมั ภบ ํารุง พระพทุ ธศาสนา คูม อื ครู 137 ขอ 4. อนโุ มทนา คอื ความยินดที ผ่ี ูอื่นทํากุศล ใชพ ดู เมือ่ ไดยนิ หรอื รับรวู า ใครทาํ บญุ อะไรมา ก็บอกอนโุ มทนายินดีในกุศลน้ัน

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหนกั เรยี นยกตัวอยา งวาการถวายภตั ตาหาร นอกจากนี้ ยงั มีจดุ มงุ่ หมายที่ส�าคญั อกี ประการหนึ่ง คือ ท�าให้เรามีความใกล้ชดิ และผกู พนั นยิ มทาํ ในโอกาสใดบาง กบั พระพทุ ธศาสนามากขน้ึ จะไดม้ คี วามร้สู ึกม่นั คงทางจติ ใจ เพราะมีศาสนาเปน็ ทีย่ ดึ เหน่ียว (แนวตอบ ทําบุญงานมงคลตางๆ เชน งานทําบญุ เ รียกวกา่า รถกวาราทยภา� บตั ญุตาเลหยี้างรพ เรปะ1น็ คกิจอื ก รกรามรหถวนาึง่ ยขภอตังตกาารหทาา�รบแดุญ่พในระทสางงฆพ ์รซะพ่ึงอทุ าธจศการสะนทา�า ไชดา ้ ว๒พ ทุ วธธิ น ี ิยคมอื วันเกิด งานอปุ สมบท งานมงคลสมรส งานขนึ้ กระท�าทบี่ า้ นของเจา้ ภาพ หรอื กระทา� ที่วดั บา นใหม เปนตน ทําบญุ งานอวมงคลตา งๆ เชน ในการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาจะจัดภัตตาหารออกเป็น ๒ ท่ี คือ ถวาย งานทาํ บญุ หนา ศพ งานทาํ บุญอัฐิ เปนตน ) พระพทุ ธรปู ๑ ท ี่ และถวายพระสงฆ์อีก ๑ ที่ ดงั นี้ 2. ครูเกรนิ่ นาํ ถึงการถวายภัตตาหาร และตั้ง ๑) การถวายภัตตาหารแด่พระพุทธรูป การจัดภัตตาหารถวายแด่พระพุทธรูปนั้น คาํ ถามวา • การถวายภตั ตาหารแดพระพุทธรปู มีความ เปน็ การกระทา� ทเี่ ปน็ สญั ลกั ษณเ์ พอื่ แสดงความระลกึ ถงึ และเคารพสกั การะพระพทุ ธองคผ์ ทู้ รงเปน็ แตกตา งจากการถวายพระสงฆอยางไร พระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนาและเพ่อื บชู าคณุ พระรตั นตรัย เพราะเหตุใด พระพุทธรูปท่ีอัญเชิญมาไว้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนานั้นเป็นสิ่งสมมติแทน (แนวตอบ การถวายภัตตาหารแดพระพุทธรูป องคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ และถือเป็นประธานสงฆ์ ณ ทน่ี ้ัน การจัดภัตตาหารถวายจงึ ควร ควรจัดถวายภัตตาหารใหประณีตและดีกวา จัดท�าอย่างประณีตให้ดีกว่าถวายพระสงฆ์ หรืออย่างน้อยก็จัดแบบเดียวกับพระสงฆ์ ไม่ควรจัด ถวายพระสงฆ เพราะพระพทุ ธรปู เปน สง่ิ สมมติ อย่างลวกๆ โดยใส่ในถว้ ยหรือกระทงเลก็ ๆ แบบไปเซน่ ไหวศ้ าลพระภูมิหรอื ภูตผี แทนองคสมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา ) ภัตตาหารท่ีน�ามาถวายพระพุทธรูป บางคร้ังเรียกกันง่ายๆ ว่า “ข้าวพระพุทธ” เมื่อ2 • การถวายภัตตาหารแดพ ระพุทธรปู และ พระสงฆเ์ จรญิ พระพทุ ธมนตใ์ กลจ้ บหรอื จบแลว้ พธิ กี รกย็ กสา� รบั ภตั ตาหารไปตงั้ ทหี่ นา้ พระพทุ ธรปู พระสงฆ มีจดุ มุง หมายอยา งไร โดยใช้ผา้ ขาวปรู องพ้ืนเสียก่อน แล้วเชญิ เจ้าภาพหรือประธานในพธิ จี ดุ ธปู ๓ ดอก และนา� ไปปกั (แนวตอบ เชน จุดมุง หมายเพ่อื ใกลช ิดและ ทก่ี ระถางธปู นัง่ ประนมมอื กลา่ วค�าบูชา ดังนี้ ผูกพนั กบั พระพุทธศาสนามากขนึ้ สรางเสรมิ สริ มิ งคล ชวยทํานบุ าํ รงุ พระพทุ ธศาสนา ค�าอา่ น อมิ งั สปู ะพะยญั ชะนะสมั ปนั นงั สาลนี งั โภชะนงั อทุ ะกงั วะรงั พทุ ธสั สะ ปเู ชม ิ มีความรสู กึ มนั่ คงทางจติ ใจ เปน ตน ) คา� แปล ข้าพเจ้าขอบูชาเคร่ืองบริโภคแห่งข้าวสาลี อันถึงพร้อมด้วยแกง กับข้าวและน้�า อันประเสริฐน้ี แดพ่ ระผูม้ พี ระภาคเจ้า เมือ่ กล่าวค�าบชู าเสร็จแลว้ กราบเบญจางคประดิษฐ3์ ๓ ครง้ั ส�าหรับข้าวพระพุทธจะลาออกมาหลังจากที่พระสงฆ์ได้ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว โดย เจ้าภาพหรือพิธกี รกลา่ วค�าลา ดงั น้ี คา� อา่ น เสสัง มงั คะลงั ยาจามิ คา� แปล ขา้ พเจ้าขอส่วนท่ีเหลืออนั เปน็ มงคลน้ี กราบ ๓ คร้งั แลว้ ยกสา� รับภตั ตาหารออกมา 138 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET “อมิ งั สปู ะพะยัญชะนะสัมปน นงั สาลนี ัง โภชะนัง อทุ ะกงั วะรงั 1 การทําบุญเลยี้ งพระ มีขอ หามทีส่ าํ คญั คือ หามบอกชอื่ อาหาร โดยสิ่งของ พุทธัสสะ ปเู ชมิ” เปน คาํ กลาวบูชาส่งิ ใด ทค่ี วรถวาย ไดแ ก 1. เปน ของสะอาด หามาไดด ว ยความซอ่ื สตั ยส จุ รติ และชอบธรรม 1. ถวายขา วเจาที่ 2. เปนของประณีต เปนของดี ปรงุ มาอยางดี เปน ของใหม 3. เปนของสมควร 2. ถวายขา วเทวดา ท่ีพระสงฆฉ ันได 4. เหมาะแกกาล (พระสงฆไมฉ นั หลังเท่ยี ง) 3. ถวายขาวพระพุทธ 2 ตงั้ ทหี่ นา พระพุทธรปู พธิ ีถวายภตั ตาหารหนา พระพทุ ธรปู ควรจัดเวนพ้นื ที่ 4. ถวายขาวพระรตั นตรัย หรือจัดหาพ้นื ทส่ี าํ หรับวางภตั ตาหารถวายพระพุทธรปู ไวล วงหนา เพราะหาก วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะ “อิมัง สปู ะพะยญั ชะนะสมั ปนนัง ไมเตรยี มไว จะตองเลอ่ื นโตะ ปรับสถานทใ่ี นระหวา งงาน ซ่ึงจะทาํ ใหด ไู มง าม สาลีนัง โภชะนัง อุทะกงั วะรงั พุทธัสสะ ปูเชมิ” แปลวา ขา พเจาขอ 3 เบญจางคประดษิ ฐ แปลวา ตงั้ ไวเฉพาะซง่ึ องคห า คือ การกราบโดยให บูชาเคร่อื งบริโภคแหงขาวสาลี อนั ถงึ พรอมดวยแกง กับขา วและนํา้ อัน อวยั วะ 5 สว นจดลงใหตดิ กับพืน้ ไดแ ก เขา ท้ังสอง ฝา มือทง้ั สอง และหนาผาก ประเสริฐนแ้ี ดพระผูมีพระภาคเจา คาํ วา สาลีนงั คือ ขาวสาลี และคําวา ซงึ่ เปนการกราบทใี่ ชแสดงความเคารพตอบุคคลทคี่ วรเคารพนบั ถือสูงสดุ หรอื พทุ ธัสสะ คอื พระพุทธเจา การกราบทใ่ี ชส ําหรบั กราบพระ 138 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) การถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ การถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ก็คือ การจัด 1. ครนู ําสนทนาเพ่ิมเตมิ เกี่ยวกบั การถวาย ภัตตาหารแดพ ระสงฆ และตั้งคาํ ถามวา อาหารเลี้ยงพระสงฆ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเป็นการท�าบุญถวายความอุปถัมภ์แด่พระสงฆ์ และ • เพราะเหตุใด พระพทุ ธเจาจงึ ทรงบญั ญัติ เพอ่ื จะไดฟ้ งั ธรรมจากพระสงฆอ์ ยา่ งใกล้ชดิ ไมใหพ ระสงฆบ ริโภคอาหารตองหาม 10 ประการ อาหารท่ีน�ามาถวายพระสงฆ์น้ัน (แนวตอบ เน่อื งจากในสมัยพทุ ธกาล อาจมี จะตอ้ งไมเ่ ปน็ อาหารตอ้ งห้าม ๑๐ ชนิด ตามที่ คนศรัทธาแรงกลา ยอมอทุ ศิ ตนถวายเปน พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มิให้พระภิกษุสงฆ์ อาหารแดพระสงฆไ ด การฉนั เน้ือและเลอื ด บริโภค ไดแ้ ก่ เนอ้ื มนษุ ย์ เน้ือชา้ ง เนอ้ื มา้ เนื้อ มนษุ ยถ อื เปน ความผดิ รา ยแรงทสี่ ดุ ในเนอื้ สุนัข เนื้องู เนื้อราชสีห์ (สิงโต) เน้ือเสือโคร่ง 10 ประการ ไดแ ก เนอ้ื ชาง เพราะชา งเปน เนอื้ เสือเหลอื ง เนอ้ื หมี และเนื้อเสอื ดาว พาหนะของพระมหากษตั ริย จงึ มีประชาชน ตําหนิพระสงฆทฉี่ ันเน้อื ชา ง เนอื้ มา มีเหตผุ ล 2.3 การถวายสงั ฆทาน เชนเดยี วกับชา ง เนือ้ สุนัขเพราะเปนสตั วที่ นา รงั เกยี จ ไมสมควรทส่ี มณะจะบรโิ ภค ๑) ความหมาย “สังฆทาน” คือ เน้ืองเู พราะมีพญานาคชอ่ื สปุ สสะ ทานท่ีถวายแด่พระสงฆ์ท่ัวไป มิได้เจาะจงว่า ไปกราบทูลพระพทุ ธเจา วา โปรดอยา ฉนั จะเป็นพระภิกษุรูปใดรูปหน่ึง การท�าบุญแบบ การถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ นอกจากจะเป็นการ เนอ้ื งู เนอื้ ราชสหี  เพราะภกิ ษทุ ่ฉี นั เนอ้ื ราชสหี  สังฆทานนี้ ถือว่าจะได้รับผลบุญมากกว่าการ ชว่ ยทาำ นบุ าำ รงุ พระพทุ ธศาสนาแลว้ ยงั ชว่ ยใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชน แลวอยูในปา ตางกถ็ ูกฝูงราชสีหฆา เนื่องจาก ถวายทานโดยเฉพาะเจาะจง มคี วามใกล้ชดิ และผกู พนั กบั พระพทุ ธศาสนามากข้นึ มกี ลน่ิ ราชสีหต ดิ ตวั เนือ้ เสอื โครง เนอ้ื เสือ เหลอื ง เน้ือหมี และเสอื ดาว เหตุผลเดียวกับ สิ่งของทจี่ ะถวายเป็นทานแดพ่ ระสงฆ์นั้น เรยี กวา่ “เครอ่ื งไทยธรรม” เจ้าภาพจะถวาย เรือ่ งของเนอื้ ราชสหี ) กีอ่ ย่างกไ็ ด้ ไม่จา� เปน็ ตอ้ งถวายพร้อมกันทุกอยา่ ง 2. ครใู หนักเรียนหาคําราชาศพั ทท ใี่ ชกับพระสงฆ เครอ่ื งไทยธรรม เชน กิน ใชค าํ วา ฉนั อาหาร ใชค ําวา ภัตตาหาร อาบนา้ํ ใชคาํ วา สรงนาํ้ สวดมนต เครือ่ งไทยธรรมสามารถจ�าแนกออกเปน็ ๑๐ อยา่ ง ดังน้ี ใชค ําวาเจริญพระพุทธมนต เปน ตน โดยให ๑. ภตั ตาหาร นักเรียนหาคาํ ศัพทเหลานม้ี าอยางนอย 10 คาํ ๒. นา�้ รวมทั้งเครอ่ื งดมื่ ท่พี ระสงฆ์ดมื่ ได้ และบันทกึ ความหมายลงในสมดุ ๓. ผ้า เคร่ืองน่งุ หม่ ๔. ยานพาหนะ รวมถงึ การถวายปจั จยั เปน็ คา่ พาหนะ แด่พระสงฆ์ ๕. มาลยั ดอกไม้ เครือ่ งบูชาชนดิ ต่างๆ ๖. ของหอม หมายถงึ ธปู เทยี นบูชาพระ ๗. เคร่ืองสขุ ภณั ฑส์ า� หรับชา� ระร่างกายให้สะอาด ๘. เครอื่ งทนี่ อนอันสมควรแก่พระสงฆ์ ๙. ท่ีอยู่อาศัยและบริวาร อันได้แก่ กุฏิ เสนาสนะ 1 เตยี ง โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ๑๐. เคร่อื งใช้ท่ใี หแ้ สงสวา่ ง เช่น เทยี น ตะเกียง 139 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกบั การปฏบิ ัตติ นตอ พระภกิ ษุ ครูเสริมความรเู พมิ่ เตมิ เกี่ยวกับเคร่ืองไทยธรรมวา บางครง้ั ชาวบา นเรียกวา ทกุ ขอเปน แนวทางในการปฏบิ ตั ิตอ พระภกิ ษุ ยกเวน ขอ ใด เคร่อื งสังฆทาน ซง่ึ ปจจุบันรา นคาจะจดั เปนชดุ ๆ มีขนาดและมลู คา ใหเลอื กหลาย 1. ปฏบิ ัตติ อ พระภกิ ษดุ ว ยอามสิ ทาน แบบ เพื่ออํานวยความสะดวกใหผูถ วาย ซงึ่ มักเรียกวา ชดุ สังฆทาน ในการเลอื กซื้อ 2. ปฏิบตั ิตอ พระภกิ ษดุ ว ยความเตม็ ใจ ควรตรวจดคู ณุ ภาพสงิ่ ของดว ย เพราะรานคาบางแหงก็นาํ เอาของหมดอายุหรือ 3. ใหค วามเคารพตอพระภกิ ษุดว ยกาย วาจา ใจ ดอยคณุ ภาพผสมเขามาดว ย หากมีปญหาสามารถรองเรยี นไดท ่ีสายดว น สคบ. 4. ใหค วามเคารพตอ พระภกิ ษทุ ี่พรรษามากกวาภิกษุทมี่ พี รรษานอยกวา หรอื สํานกั งานคณะกรรมการคุมครองผบู รโิ ภค โทร 1166 วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะพระภกิ ษไุ มว า พรรษาหรอื ระยะเวลา นกั เรียนควรรู ในการบวชจะมากกวา หรอื นอ ยกวา กนั พทุ ธศาสนกิ ชนควรแสดงความเคารพ 1 เสนาสนะ มาจากภาษาบาลี คอื เสน (ท่ีนอน) และอาสน (ทนี่ ่งั ) ความหมาย พระภกิ ษุเทาเทียมกนั เน่อื งจากพระภกิ ษถุ อื ศลี 227 ขอเทากนั ทกุ รูป จงึ ควร โดยรวม คือ ท่อี ยูของพระภิกษสุ งฆ เชน กุฏิ วหิ าร ศาลา รวมถึงเครื่องนอนและ แสดงความเคารพพระสงฆท กุ รูปโดยไมคาํ นงึ ถึงพรรษา เครือ่ งใชใ นการพาํ นกั เชน โตะ เกา อ้ี เตยี ง ตงั่ หมอน เปนตน คมู ือครู 139

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหน ักเรยี นชวยกนั ยกตวั อยางประโยชนของ ๒) วัตถุประสงคแ ละความสําคญั การถวายสงั ฆทานเปน พธิ ปี ฏิบตั ทิ ี่มมี าตง้ั แตครง้ั การทําทานและการทําบุญถวายสังฆทาน โดย สมยั พุทธกาลแลว โดยทีพ่ ระพุทธเจา ไดต รัสแกพ ระอานนท ความวา “สังฆทาน คอื การรอ งขอตอ ออกมาเขียนบนกระดานหนาชัน้ และอภิปราย สงฆใหส ง ใครไปรบั แลวถวายแกผ ูนน้ั ” การถวายสงั ฆทานมคี ุณคาและความสาํ คัญ ดงั น�้ วา เปนประโยชนเ พราะเหตใุ ด ๑. เเปปนน กกาารรสทืบําบตญุอ รทะี่ไเบดอียาบนปิสรงะสเ1พมณากที าเพงศราาสะเนปาน การทาํ บญุ โดยไมเจาะจง ๒. 2. ครใู หนกั เรยี นจดั เตรยี มสงิ่ ของจาํ เปน ท่ีเหมาะ ๓. ทาํ ใหจิตใจเบิกบาน สงบ และยังชวยฝกนิสัยใหเ กิดการเสยี สละ โดยไมหวังผล ในการถวายสงั ฆทานแดพ ระสงฆ ใดๆ ตอบแทน ๔. เปน สิรมิ งคลแกตนเอง และเปน การระลึกถึงบรรพบุรษุ ท่ีลวงลับไปแลว 3. ครูสุมใหนกั เรยี น 2-3 คน ออกมาสาธติ การ ถวายสังฆทานหนา ช้ันเรียน โดยใหเ พื่อน ๓) วิธปี ฏิบตั ิ ในการถวายสังฆทาน มีวธิ กี ารปฏิบตั ิ ดังน�้ นกั เรียนในหองสวดคําถวายสังฆทานพรอมกนั ๑. แจงตอพระอธิการของพระสงฆ คือ เจาอาวาสหรือพระภิกษุผูมีหนาท่ีนิมนต อาราธนาศีลและรบั ศลี และถวายสังฆทาน พระในวัด ขอใหนิมนตพระสงฆไปรับสังฆทานตามจํานวนท่ีตนตองการ พรอมทั้งบอกวัน เวลา และสถานที่ใหแ นนอนดวย 4. ครใู หน กั เรียนเขารวมศาสนพธิ ีและถวาย ๒. จัดเตรยี มสถานที่ ภตั ตาหาร และสิง่ ของที่จะถวายใหพรอ มสรรพ สังฆทานท่วี ัด พรอมบนั ทกึ วิธีปฏบิ ัตติ ้ังแตเรม่ิ ๓. เม่ือพระสงฆมาพรอมแลว ทายกทายิกาจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยกราบ จนจบพิธวี า มอี ะไรบางลงในสมดุ ๓ ครัง้ จากนนั้ หันหนา ไปทางพระสงฆ กราบอกี ๓ ครั้ง แลว อาราธนาศีลและรบั ศลี ๔. เมอื่ รบั ศลี เสรจ็ เรยี บรอ ยแลว กราบ ๓ ครงั้ ทายกทายกิ ากลา วคาํ ถวายสงั ฆทาน 5. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาและวเิ คราะหว า เพราะเหตใุ ด ถามหี ลายคนก็ใหห ัวหนากลา วนาํ และคนอน่ื วา ตาม ดังน้ี พระสงฆจ งึ ใชตาลปต รบังเอาไวขณะประกอบ ศาสนพธิ ี โดยใหนักเรียนบอกเหตผุ ลและ ความเชือ่ เหลาน้นั ลงในสมดุ และนํามาอภปิ ราย ในช้นั เรยี น การถวายสงั ฆทานนอกจากเปนการทําบญุ ท่ีชวยใหจ ิตใจสงบเบกิ บานแลว ยังเปน การฝก นิสัยใหร จู กั เสยี สละอกี ดวย ๑๔๐ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET เพราะเหตใุ ด การถวายสงั ฆทานจงึ ถือวามอี านิสงสม าก ครคู วรกลา วเพม่ิ เติมวา ปจจุบนั เพ่ือความสะดวกและสภาพสังคมท่ี 1. ถวายไดตลอดเวลา เปลยี่ นแปลงไป ทางเจาภาพมกั จดั ยานพาหนะไปรับ-สง พระสงฆถ งึ ท่ีวัด ซึ่งจะตอ ง 2. ถวายไดเฉพาะบางเวลา แจงกําหนดเวลาใหท านทราบวาจะไปรับ-สง ทา นเวลาใด 3. พระพทุ ธเจา ทรงสรรเสรญิ 4. เปนทานบริสทุ ธ์เิ พราะไมเจาะจงผูร บั นกั เรยี นควรรู วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. การถวายสังฆทาน องคส มเดจ็ พระสมั มา- สมั พุทธเจาทรงสรรเสริญวา เปนทานทม่ี ีอานิสงส เนื่องจากเปนทานท่ี 1 อานสิ งส แปลตรงตวั วา คณุ ทไ่ี หลออกเนอื งๆ แหง ผล คอื ใหผ ลทน่ี า ชน่ื ใจยง่ิ บริสทุ ธเิ์ พราะไมเจาะจงผูรบั การเจาะจงผูร บั อยางนอ ยท่ีสุดกแ็ สดงถึง โดยอานิสงสม ีความหมายวา ผลแหงกศุ ลกรรม ผลบุญ ซึง่ เปนผลผลติ จากการ อํานาจของกิเลสเพราะความรักความชอบ ทําความดตี างๆ ตามคตทิ ่วี า “ทาํ ดไี ดดี” เม่อื ทาํ ความดแี ลว ความดยี อ มให อานิสงสเ ปนคณุ ความดีกอ น ลําดับตอมาคุณงามความดีน้นั จึงใหผลทีน่ า ชนื่ ใจ ไหลออกมาสนองผูท ําในรปู แบบตา งๆ ตามเหตุปจ จยั ทท่ี ํา เปรียบเสมือนปลูก ตน มะมวงยอมจะไดผลเปน ลกู มะมวงกอน ตอ มาลูกมะมว งน้นั จงึ ใหผ ลทน่ี า ชน่ื ใจ ตอไปเม่ือนําไปเปนอาหาร นําไปแลกเปน ของ หรอื นาํ ไปขายเปนเงนิ 140 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ค�าอา่ น อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ 1. ครูใหนกั เรยี นศึกษาวา ผา 3 ผนื ท่ีพระพุทธเจา สาธุ โน ภนั เต ภิกขุสังโฆ อมิ านิ ภตั ตานิ สะปะรวิ ารานิ ปะฏคิ คัณหาตุ อมั หากัง ทรงอนุญาตใหใช ไดแก สังฆาฏิ (ผา พาดบา ) ทีฆะรัตตัง หิตายะ สขุ ายะ จีวร (ผา หมคลมุ รา งกาย) และสบง (ผา นงุ ) มีความแตกตางกันอยางไร โดยนําความรูที่ได ค�าแปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลายขอน้อมถวายภัตตาหารและของบริวาร มาอภปิ รายในช้ันเรยี น เหล่าน้ี แดพ่ ระภิกษุสงฆ์ ขอพระภกิ ษสุ งฆจ์ งรบั ภตั ตาหาร รวมท้งั บริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าท้ังหลาย เพ่ือประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอด 2. ครูนาํ สนทนาเกยี่ วกบั การถวายผา อาบน้ําฝน กาลนานเทอญ และตง้ั คําถามวา • เพราะเหตุใด จึงมกี ารถวายผา อาบน้าํ ฝน เมอื่ กล่าวคา� ถวายจบแล้ว ทายกทายกิ าประเคนของ หลังจากประเคนเสร็จ พระทา่ น ในสมัยพทุ ธกาลและสืบตอ มาจนถึงปจจบุ นั จะอนุโมทนา (ให้พร) ด้วยบทยถาและสัพพี พอพระสงฆ์รูปท่ีเป็นประธานเริ่มสวดว่า ยถา (แนวตอบ เนอ่ื งจากนางวิสาขาไดท ลู ขอ วาริวหา... ทายกทายิกาก้มกรวดน้�า ตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วและ พระพุทธเจาใหพ ระสงฆร บั ผาอาบนา้ํ ฝนได สรรพสตั วร์ ว่ มโลก เมอื่ พระสงฆร์ ปู ทเี่ ปน็ ประธานอนโุ มทนาจบ พระสงฆร์ ปู ทน่ี ง่ั รองลงมาจะกลา่ ว โดยกลาวถึงเหตทุ ี่นางทาสไี ปทูลอาราธนา สพั พีตโี ย... ทายกทายิกาควรกรวดน้�าใหห้ มด แล้วประนมมอื รับพรตอ่ ไปจนพระสงฆส์ วดจบ พระพทุ ธเจา และพระสงฆท วี่ ดั เชตวนั ในขณะ ฝนตก พบพระสงฆเปลือยกายอาบนํา้ ฝนอยู 2.4 การถวายผา้ อาบนา้ำ ฝน ก็เขา ใจวาเปน พวกชีเปลือย เนอ่ื งดว ย ๑) ความเป็นมาและความหมาย มีเรื่องเล่า1อยู่ในพระไตรปิฎกว่า เม่ือครั้งที่ พระสงฆใ ชผาเพยี ง 3 ผนื หรือไตรจวี ร จงึ ตอ งเปลอื ยกายอาบนา้ํ ดว ยเหตนุ พ้ี ระพทุ ธเจา พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ เชตวนาราม เมอื งสาวตั ถี นางวสิ าขาไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ แลว้ กราบทลู อาราธนา จึงประทานอนญุ าตใหพ ระสงฆมี พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกให้ไปรับภัตตาหารท่ีบ้านของตนในตอนเช้าวันรุ่งข้ึน พอเวลา ผาอาบน้าํ ฝนเพิ่มไดอีก 1 ผืน) ใกล้รุ่งฝนตกหนัก พระภิกษุสงฆ์ก็พากันไปอาบน�้าฝน ในสมัยน้ันพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ พระภิกษุใช้ผ้าได้เพียง ๓ ผืน ได้แก่ สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) จีวร (ผ้าห่มคลุมร่างกาย) และสบง 3. ครูสมุ ใหน กั เรยี นนํากลาวสวดมนต และเพือ่ น (ผ้านุ่ง) ดังน้ัน พระสงฆ์จึงต้องเปลือยกายอาบน้�า ครั้นใกล้เวลาภัตตาหาร นางวิสาขาจึงใช้ นักเรยี นทุกคนในหอ งกลา วอาราธนาศลี และ นางทาสีให้ไปทูลอาราธนา ฝ่ายนางทาสีเมื่อไปถึงวัดเชตวัน พบพระภิกษุเปลือยกายอาบน้�าอยู่ รบั ศลี รวมถึงคาํ ถวายผาอาบนา้ํ ฝนพรอม กลางแจง้ กเ็ ขา้ ใจวา่ เป็นพวกชเี ปลือย (อาชีวก) จงึ กลับไปบอกนางวสิ าขาวา่ ท่ีวดั ไมม่ พี ระสงฆ์ คาํ แปล มีแต่พวกอาชีวกก�าลังอาบน�้ากันอยู่ นางวิสาขาพิจารณาด้วยปัญญาทราบว่าคงจะเป็นพระสงฆ์ เปลอื ยกายอาบนา้� หลงั จากทฝี่ นหยดุ ตกแลว้ นางวสิ าขาจงึ ใชใ้ หน้ างทาสไี ปทลู อาราธนาอกี ครง้ั หนง่ึ 4. ครูใหนักเรยี นบันทกึ สรุปความสาํ คญั ของการ คราวนนี้ างทาสีพบพระภกิ ษุสงฆ์นงุ่ เหลือง ห่มเหลือง อยเู่ ต็มไปท่วั ลานวดั ถวายผาอาบน้าํ ฝนพอสังเขปลงในสมดุ และ นาํ สงครผู สู อน เม่ือได้เวลาภัตตาหาร พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งปวงก็เสด็จมายังบ้านนางวิสาขา หลงั จากเสรจ็ ภัตกิจ นางวสิ าขาจงึ ไดท้ ูลขออนญุ าตตอ่ พระพทุ ธเจา้ ให้พระสงฆร์ บั ผา้ อาบน�้าฝนได้ โดยปรารภถึงเหตุท่ีประสบมา ซ่ึงพระพุทธเจ้าก็ประทานอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีผ้าเพิ่มข้ึน อกี ๑ ผืน เรยี กว่า “ผ้าอาบน�า้ ฝน” 141 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู อุบาสิกาทานใดเปน ผทู ลู ขออนญุ าตตอ พระพุทธเจา ใหพระภิกษุ ครูควรอธิบายถงึ การประเคนวามอี งคป ระกอบ 5 อยาง ไดแก 1. ของไมใหญ รบั ผา อาบนํ้าฝนได หรือหนกั เกินไป 2. ผปู ระเคนควรยืนหางประมาณ 1 ศอก 3. นอ มของที่จะประเคน เขา ไปดวยความเคารพ 4. ในกรณที เี่ ปนผูชายจะนอ มเขา ไปถวายเลยกไ็ ด แตถา เปน 1. นางสิรมิ า ผูห ญิงใหว างของลงบนผาทีพ่ ระสงฆป ลู าดออกมา 5. พระภกิ ษุจะรบั ดว ยมอื กไ็ ด 2. นางวิสาขา ถาหากผูช ายเปน ผถู วาย แตถา เปน ผหู ญิง พระสงฆจ ะใชผา ปลู าดสําหรบั รบั สง่ิ ของ 3. นางสุชาดา 4. พระนางมัลลกิ า นักเรยี นควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. นางวิสาขาไดใ ชนางทาสีไปอาราธนา 1 นางวสิ าขา คือ มหาอบุ าสกิ า ซงึ่ บรรลุเปน พระโสดาบันเม่อื อายุ 7 ขวบ หลงั จากไปเขา เฝาพระพุทธเจา นางวสิ าขาเปนผูอ ปุ ถมั ภบํารุงพระภกิ ษุสงฆอ ยาง พระพุทธเจาและพระสงฆม าฉนั ภตั ตาหารที่บาน แตเ น่ืองจากพระพุทธเจา มากมาย และเปน บคุ คลทไี่ ดร บั ความนับถืออยา งกวางขวางในสังคม รวมทง้ั ได ทรงอนุญาตใหพระสงฆใชผาไดเ พียง 3 ผืน คือ สบง จวี ร และสังฆาฏิ รบั การยกยองจากพระพุทธเจา วา เปน เอตทคั คะในบรรดาทายกและทายิกาทั้งปวง พระสงฆจ งึ ตองเปลือยกายอาบนํ้า ทาํ ใหนางทาสีเขา ใจวาเปนชเี ปลือย (ทายกและทายกิ า คอื ผูถวายจตุปจ จยั แดภกิ ษุสงฆ หรอื ผนู ับถอื พระพุทธศาสนา) ดังน้ัน นางวิสาขาจึงทูลขออนุญาตตอ พระพทุ ธเจา ใหพ ระสงฆร บั ผาอาบนาํ้ ฝนได ซง่ึ พระองคก็ทรงอนุญาตตามน้ัน คมู ือครู 141


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook