กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถูกตองจากการตอบคาํ ถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรยี นรู้ ประจําหนวยการเรียนรู ๑. พระธรรมคอื อะไร และมคี ณุ ประโยชนต์ อ่ ผปู้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งไร หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ๒. อรยิ สจั ๔ มอี งคป์ ระกอบกป่ี ระเภท อะไรบา้ ง ๓. อบายมุขมีโทษอย่างไร ให้นักเรียนอธิบายถึงโทษของอบายมุข พร้อมยกตัวอย่างท่เี ป็น 1. ผังความคดิ เชื่อมโยงระหวา งขนั ธ 5 กบั อายตนะ 2. ผังความคิดแสดงการเชื่อมโยงวา การคบคนชั่ว เหตกุ ารณป์ จั จบุ นั ประกอบ ๔. หากมคี นกลา่ ววา่ “ทา� ดไี ดด้ มี ที ่ไี หน ทา� ชว่ั ไดด้ มี ถี มไป” นกั เรยี นมวี ธิ อี ธบิ ายใหเ้ ขาเขา้ ใจ เปนมติ รจะนําไปสพู ฤตกิ รรมการตดิ การพนนั ชอบเท่ียวดูการละเลน ชอบเทย่ี วกลางคนื และ ในหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งไร ตดิ สุราและของมนึ เมา ๕. ถา้ บคุ คลตอ้ งการจะดบั ทกุ ขท์ ง้ั มวล ควรปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร 3. เรียงความเรือ่ งความสขุ ทางใจในกระแสวตั ถุ นยิ ม กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ั²นาการเรยี นรู้ 4. ปายนิเทศแสดงขา วท่ีเปน ปญ หาระดับสังคมหรือ ระดบั ประเทศ พรอมวิเคราะห โดยนาํ หลัก กิจกรรมที ่ ๑ นกั เรยี นวเิ คราะหก์ ารกระทา� ของตนวา่ ในแตล่ ะวนั ไดน้ า� หลกั อรยิ สจั ๔ ขอ้ ใด อริยสจั 4 มาแกปญ หา มาใช้ในการดา� เนินชวี ติ ประจา� วัน แล้วเขยี นเป็นรายงานสง่ ครู กจิ กรรมท่ี ๒ นักเรียนหาข่าว บทความจากหนังสือพิมพ์ หรือวารสารที่เกี่ยวกับเรื่องที่ บคุ คลนา� เอาอรยิ สจั ๔ มาใชเ้ ปน็ แนวทางการดา� เนนิ ชวี ติ แลว้ มาเลา่ สกู่ นั ฟงั และรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ ประกอบ กจิ กรรมท ี่ ๓ เชิญวิทยากรมาอภิปรายในหัวขอ้ อริยสัจ ๔ และการดบั ทุกข์โดยใช้มรรค ๘ โดยใหน้ กั เรยี นในชน้ั รว่ มกนั ซกั ถาม และสรปุ สาระสา� คญั ทไ่ี ดจ้ ากการอภปิ ราย ของวทิ ยากร พทุ ธศาสนสภุ าษติ ÇÊÔ ·Ø ¸Ú Ô Ê¾Ú¾à¡ÚÅàÊËÔ âËµÔ ·Ø¡àÚ ¢ËÔ ¹Ô¾Ú¾µØ Ô : ¤ÇÒÁËÁ´¨´¨Ò¡¡àÔ ÅÊ·é§Ñ »Ç§ ໹š ¤ÇÒÁ´Ñº¨Ò¡·¡Ø ¢· §éÑ ËÅÒ 92 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. พระธรรม คอื หลกั คาํ สอนของพระพทุ ธเจา มคี ุณประโยชนต อ ผปู ฏิบตั ิ คือ ทําใหผ ปู ฏิบตั ิมชี วี ิตท่ีมคี วามสขุ ลด ละ เลกิ จากกเิ ลสทัง้ ปวงได 2. อริยสจั 4 คือ ความจรงิ อนั ประเสรฐิ 4 ประการ ไดแก ทุกข ความจริงวาสรรพสัตวยอมมีความทุกข สมทุ ยั ความจริงวา ทกุ ขย อ มมีสาเหตุการเกิด นโิ รธ ความจรงิ วา ความทกุ ขตางๆ สามารถดับได มรรค ความจรงิ วา ความทุกขยอ มมีวธิ ีการหรือแนวทางในการดับทุกข 3. อบายมขุ คอื ทางแหงความเสื่อม มีโทษ 7 อยาง ดังนี้ 1) ทาํ ใหเสยี ทรัพยโ ดยเปลาประโยชน 5) ทําใหผ ูคนหวาดระแวง ขาดความนา เชื่อถือ 2) ทาํ ใหห มกมนุ ในส่ิงทหี่ าสาระไมได 6) ทําใหรางกาย สตปิ ญญาเสอ่ื มถอย 3) ทาํ ใหประกอบหนา ทก่ี ารงานไมไ ด 7) ทําใหเปน คนทจุ ริต 4) ทาํ ใหชวี ิตตกต่าํ ตัวอยา งเชน การเสพส่ิงเสพติดทําใหเ กดิ อาการจติ หลอน เกดิ ความคลุม คล่ัง เปน ตน 4. กรรม คอื การกระทาํ สง่ิ ตา งๆ ทง้ั ทด่ี แี ละไมด ี ผลของการกระทาํ นนั้ ยอ มเปน ปจ จยั เกอ้ื หนนุ ใหบ คุ คลไดร บั ผลดงั ทกี่ ระทาํ ไว ตวั อยา ง วนั นเ้ี ดก็ ชายแดงทาํ การบา นทคี่ รสู ง่ั เสรจ็ เรยี บรอย แตพ อจะสง เพ่อื นขา งๆ ขอยืมลอก แดงเห็นวาเปน เพ่อื นกันกใ็ หล อก ครูมาเห็นเขา ก็วา กลาวท้ังแดงและเพอื่ น เหตุการณน ี้สะทอนใหเ ห็นวาการทแี่ ดงรบี ทํางานทีค่ รสู ่ังใหเสร็จเปน สิง่ ท่ีดี ครูชมเชย แตการท่แี ดงยอมใหเพือ่ นลอกแทนทจ่ี ะแนะนําหากเพื่อนสงสยั เปนสิ่งทไ่ี มถ กู ตอ ง เปน การทาํ รายเพ่ือนทางออ ม เพราะเพอื่ น แคเขยี นสงแตไ มเ ขาใจเนอื้ หา ครูจงึ ตกั เตือน ดงั นน้ั จงึ สรุปไดวา ควรแยกแยะเปน กรณี 5. ปฏบิ ัตติ ามหลกั อรยิ สัจ 4 เพราะเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา สามารถนาํ พาบุคคลใหหลดุ พนจากกิเลสได 92 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู ๔หน่วยการเรียนรูท้ ่ี พระไตรปฎ ก 1. อธิบายความหมายและความสาํ คัญของ และพุทธศาสน พระไตรปฎกได สุภาษิต 2. วเิ คราะหโครงสรา งและสาระสาํ คญั ของ พระไตรปฎ กได 3. นาํ หลักพทุ ธศาสนสภุ าษติ มาปรับใชใ น ชวี ติ ประจําวันได ตัวช้ีวัด สมรรถนะของผเู รยี น ● อธิบายโครงสร้างและสาระโดยสังเขปของ 1. ความสามารถในการคดิ พระไตรปฎิ ก หรอื คมั ภรี ข์ องศาสนาทต่ี นนบั ถอื 2. ความสามารถในการแกปญ หา (ส ๑.๑ ม.๒/๗) 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ิต ● อธิบายธรรมคุณและข้อธรรมสำาคัญในกรอบ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค อรยิ สจั ๔หรอื หลกั ธรรมของศาสนาทต่ี นนบั ถอื ตามที่กำาหนด เห็นคุณค่าและนำาไปพัฒนา 1. รกั ชาติ ศาสน กษตั ริย แก้ปญั หาของชมุ ชนและสังคม 2. ใฝเ รียนรู (ส ๑.๑ ม.๒/๘) สาระการเรียนร้แู กนกลาง กระตนุ ความสนใจ Engage ● โครงสร้าง และสาระสังเขปของพระวินัยปิฎก ครนู าํ หนังสอื พระไตรปฎ กมาใหนักเรียนดู พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก และกระตนุ โดยถามนกั เรยี นวา ● พทุ ธศาสนสุภาษติ • นกั เรยี นเคยอานพระไตรปฎกหรอื ไม และพระไตรปฎกมคี วามสําคญั อยางไร ¾ÃÐäµÃ»® ¡à»¹š ¤ÁÑ ÀÃÕ · ºèÕ ÃÃ¨ËØ Å¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹¢Í§ ตอพระพุทธศาสนา ¾Ãо·Ø ¸à¨ÒŒ «§Öè áµà‹ ´ÁÔ Á¡Õ Òöҋ ·ʹµÍ‹ æ ¡¹Ñ ÁÒ´ÇŒ ¡Òà (แนวตอบ พระไตรปฎ ก คอื คัมภีรข อง ·‹Í§¨íÒ ÀÒÂËÅѧ¨Ö§ä´ŒÁÕ¡ÒèÒÃ֡໚¹ÅÒÂÅѡɳÍÑ¡Éà พระพุทธศาสนา ซึง่ บนั ทกึ หลักคําสอน ¾ÃÐäµÃ»® ¡¨Ö§ÁÕʋǹÊÒí ¤ÑÞ㹡ÒÃÊ׺µ‹Í¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ของพระพุทธเจา และพระสาวก โดยมีการ ´§Ñ ¹¹Ñé ¾·Ø ¸ÈÒʹ¡Ô ª¹·´èÕ ¨Õ §Ö ¤ÇÃÈ¡Ö ÉÒ¾ÃÐäµÃ»® ¡à¾Íè× ãËÁŒ Õ สังคายนามาแลวหลายครง้ั จนเช่ือไดว า ¤ÇÒÁäŒÙ ÇÒÁà¢ÒŒ ã¨ã¹ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹¢Í§¾Ãо·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò ถูกตอ ง เพื่อใชเปน แนวทางในการปฏบิ ัตติ น ä´Œ´ÕÂÔè§¢é¹Ö และเขาใจธรรมะตางๆ ในพระพทุ ธศาสนา) ¹Í¡¨Ò¡¹éÕ ¡ÒÃÈÖ¡ÉҾط¸ÈÒÊ¹ÊØÀÒÉÔµ¨Ðª‹ÇÂãËŒ • นกั เรียนสามารถศึกษาพระธรรมคาํ สอน à¢ÒŒ ã¨ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁµÒ‹ §æ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §¶¡Ù µÍŒ § áÅÐÊÒÁÒöàÅÍ× ¡ÊÃà ของพระพุทธเจา จากที่ใดบาง ä»ãªàŒ »¹š á¹Ç·Ò§ã¹¡ÒôÒí à¹¹Ô ªÇÕ µÔ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §¶¡Ù µÍŒ §àËÁÒÐÊÁ (แนวตอบ เชน หนงั สือธรรมะ เวบ็ ไซตธ รรมะ Í¡Õ ´ÇŒ  พระไตรปฎก เปน ตน ) เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรยี นรู เพอ่ื ใหน กั เรยี นอธบิ ายความหมายและความสาํ คญั ของพระไตรปฎก รวมถึงวเิ คราะหโ ครงสรางและสาระสําคัญของพระไตรปฎ ก ตลอดจนนาํ พุทธศาสนสภุ าษิตมาปรับใชในชวี ิตประจาํ วัน โดยเนนการพัฒนาทักษะ กระบวนการทส่ี าํ คญั ไดแ ก ทกั ษะการคิดวิเคราะห กระบวนการสืบสอบ และ กระบวนการกลุม ดังน้ี • ใหน กั เรยี นสบื คนขอ มูลเกย่ี วกบั พระไตรปฎกและพทุ ธศาสนสภุ าษติ • จดั ใหม กี ารอภิปรายโครงสรา งและสาระสาํ คญั ของพระไตรปฎก ไดแ ก พระวินัยปฎ ก พระสุตตนั ตปฎ ก และพระอภิธรรมปฎก หรือคัมภรี ท าง ศาสนาท่ีนักเรยี นนบั ถือ • ใหน ักเรียนศึกษาและยกตวั อยางพทุ ธศาสนสภุ าษติ เพอ่ื การนาํ ไปใช ในชีวติ ประจําวัน คูม ือครู 93
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูถามนักเรยี นวา คมั ภีรใ นพระพทุ ธศาสนา คอื พระไตรปฎก สวนคมั ภรี ใ นศาสนาอืน่ ๆ ที่ ๑. โครงสร้างและสาระสÓคัญของพระไตรปิฎก นักเรียนรูจกั มอี ะไรบา ง 1.1 ความหมายและความสำาคญั ของพพรระะไตไรตปฎิรกป1แฎิ ปกลวา่ “คมั ภรี ์ ๓” เพราะปิฎก (แนวตอบ เชน ศาสนาคริสต คอื คมั ภรี ไบเบิล ศาสนาอิสลาม คอื คัมภีรอลั กรุ อาน ศาสนา แปลว่า “คัมภรี ”์ พระไตรปฎิ ก คอื คมั ภรี ท์ บี่ รรจุ พราหมณ-ฮินดู คือ คัมภรี พระเวท ศาสนาสขิ คือ หลกั คา� สอนของพระพทุ ธศาสนา แบง่ เปน็ ๓ สว่ น คมั ภรี ค รนั ถสาหพิ ศาสนาเชน คอื คัมภีรอ งั คะ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ ศาสนาโซโรอสั เตอร คือ คัมภีรอ เวสตะ เปนตน ) พระอภิธรรมปิฎก สาํ รวจคน หา Explore ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์มิได้เรียก ค�าส่ังสอนของพระองค์ว่า “พระพุทธศาสนา” ครใู หนักเรียนสืบคน ขอมลู เกย่ี วกบั ความหมาย แตเ่ รียกวา่ “พรหมจรรย”์ บ้าง “ธรรมวินัย” บา้ ง โครงสรา ง และสาระสําคัญของพระไตรปฎ ก หลงั จากพระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานแลว้ นยิ มเรยี ก จากหนงั สอื เรยี นหนา 94-96 และแหลง เรยี นรูต างๆ คา� สงั่ สอนของพระองคว์ า่ ธรรมวนิ ยั การสบื ทอด เชน หองสมดุ อินเทอรเ นต็ ผรู ูดา นพระไตรปฎ ก คา� สง่ั สอนของพระองคน์ นั้ กระทา� โดยการทอ่ งจา� สนทนาธรรมกบั พระสงฆ เปนตน เพ่ือนําความรู จนกระทง่ั ประมาณ พ.ศ. ๔๕๐ จงึ ไดม้ กี ารจารกึ มาอภิปรายในช้นั เรยี น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง พระพุทธวจนะลงเป2็นลายลักษณ์อักษร ภาษา นราธิวาสราชนครินทร์ ทรงร่วมจัดทำาพระไตรปิฎกฉบับ ทจี่ ารกึ คอื ภาษาบาลี ในเมอื งไทยไดม้ กี ารตพี มิ พ์ อธบิ ายความรู Explain ภาษาโรมัน และได้พระราชทานไปยังประเทศตา่ งๆ พระไตรปิฎกภาษาบาลีด้วยภาษาไทยเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๘ ได้เร่ิมแปลพระไตรปฎิ กเปน็ ภาษาไทย และตพี ิมพ์คร้งั แรกเปน็ การฉลอง ๒๕ พทุ ธศตวรรษ 1. ครูนาํ สนทนาเก่ยี วกับพระไตรปฎ ก และ พระไตร ิปฎกปัจจุบันมีพระไตรปิฎกท�าเป็นแผ่น CD ROM ผลิตโดยสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย ถามคาํ ถาม • พระไตรปฎกทั้ง 3 หมวด แตกตางกนั เรื่องใด มหามกุฏราชวิทยาลัย ซ่ึงสะดวกในการคน้ ควา้ รวมทง้ั มผี นู้ า� ไปเผยแพรล่ งในเวบ็ ไซตท์ เี่ กย่ี วขอ้ ง (แนวตอบ แตกตางในเร่อื งเนือ้ หาสาระ หมวด กบั พระพทุ ธศาสนาอกี เปน็ จา� นวนมาก ซงึ่ เราสามารถสืบค้นได้โดยผา่ นเครือขา่ ยอินเทอรเ์ น็ต พระวินยั ปฎ ก เกย่ี วของกับกฎระเบียบของ ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ี หมวดพระสตุ ตนั ตปฎก 1.2 คมั ภีรแ์ ละโครงสรา้ งพระไตรปิฎก เกย่ี วขอ งกับประวตั ิ เรอื่ งราว หัวขอ ธรรมะ ณ สถานที่ตา งๆ หมวดพระอภิธรรมปฎก พระไตรปฎิ กแบ่งออกเป็น ๓ หมวด ดังน้ี เกี่ยวขอ งกับหลกั ธรรมทเี่ ปน วิชาการ) พระวินยั ปิฎก สุตตวภิ ังค์ ขนั ธกะ ปรวิ าร 2. ครูใหนักเรียนแบงออกเปน 3 กลุม และจบั สลาก เลอื กหมวดท่จี ะศึกษา ไดแก พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มชั ฌิมนกิ าย สงั ยตุ ตนิกาย องั คตุ ตรนิกาย ขุททกนิกาย • กลุม ท่ี 1 ศกึ ษาหมวดพระวินยั ปฎก พระอภิธรรมปฎิ ก ธัมมสงั คณี วิภงั ค์ ธาตกุ ถา ปุคคลบัญญตั ิ กถาวตั ถุ ยมก ปัฏฐาน • กลุม ท่ี 2 ศกึ ษาหมวดพระสตุ ตนั ตปฎ ก • กลมุ ที่ 3 ศึกษาหมวดพระอภธิ รรมปฎก 94 จากนั้นใหแ ตละกลมุ ทํารปู แบบการนาํ เสนอ ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET เปน PowerPoint เพอื่ อภิปรายหนา ชั้นเรียน นกั เรยี นควรรู 1 พระไตรปฎก คําวา “พระไตรปฎ ก” มาจากภาษาบาลคี าํ วา “ติปฎ ก” แปลวา มสั ยาตอ งการคนควา เร่อื งมหาชนกชาดกเพอ่ื ทํารายงาน มสั ยาควรไป ตะกรา สามใบหรอื คัมภรี สามหมวด สนั นษิ ฐานวามาจากการที่พระภกิ ษจุ ดจารึก คนหาจากหนงั สือเลมใดจงึ ไดขอ มูลทนี่ า เชื่อถือมากที่สุด คัมภรี ใสลงในใบตระกลู ปาลมและใสล งในตะกรา นอกจากนี้ หลกั ฐานทางวิชาการ สันนษิ ฐานวา “ไตรปฎก” เปนช่อื ทีใ่ ชกันมากอ นจะสังคายนาครง้ั ท่ี 3 เพราะมกี าร 1. ธัมมสังคณี ใชคาํ พูดวาไตรปฎ กในประวตั ิศาสตร สวนพระไตรปฎ กลายลักษณอักษรเกิดขึน้ 2. คมั ภรี อรรถกถา คร้งั แรกใน พ.ศ. 450 เมื่อมกี ารสังคายนาพระไตรปฎ กครั้งที่ 5 ทล่ี ังกาทวปี 3. พระสตุ ตันตปฎก โดยมีการจารกึ พระธรรมวนิ ยั ลงใบลานดว ยภาษามคธและอักษรบาลีเปนหลักฐาน 4. พระอภธิ รรมปฎ ก 2 ภาษาบาลี คือ ภาษาทีช่ าวพุทธเช่ือวามกี าํ เนดิ จากแควน มคธในชมพทู วีป โดยเรียกวา ภาษามคธ หรอื ภาษามาคธี หรือมาคธกิ โวหาร ซ่งึ “มาคธิกโวหาร” วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะพระสตุ ตันตปฎ กเปน สวนทวี่ า ดว ย พระพทุ ธโฆษาจารย พระอรรถกถาจารยน ามอโุ ฆษ ซ่งึ มีชวี ิตอยูใ นชว ง พุทธศตวรรษที่ 10 อธบิ ายวาเปน “สกานริ ตุ ติ” คอื ภาษาท่พี ระพุทธเจาตรสั พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา ซ่ึงประกอบดว ยเนอื้ หาสาระ บคุ คล เหตุการณ สถานท่ี และชาดก (เรอ่ื งราวของพระพุทธเจา ในอดีตชาติ) ดังน้ัน การศึกษาเรอื่ งมหาชนกชาดก ซ่ึงเปน พระชาติที่ 2 ใน 10 พระชาติ (ทศชาต)ิ สุดทายของพระพุทธเจา จงึ ตองคน ควาในพระสุตตันตปฎก 94 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑. พระวินัยปฎิ ก 1 1. ครูใหน ักเรียนกลุมท่ี 1 ที่ศกึ ษาหมวด พระวนิ ัยปฎ ก สงตวั แทนออกมาอธิบาย พระวินัยปิฎก คือ ส่วนที่ว่าด้วยสิกขาบท หรือศีลของพระภิกษุและพระภิกษุณี โครงสรางและสาระสําคัญของหมวดน้ี แบ่งออกเป็น ๓ หมวดยอ่ ย ดังน้ี จากนนั้ ครซู ักถามนักเรยี นกลมุ ท่ี 1 วา ๒๑.. สขตุนั ตธกวภิะงัคคอื ์ คสอื ว่ นสทว่ นวี่ า่ทดว่ี ว้า่ ยดสว้ งัยฆศลกี รในรมพ2รพะธิปกีารฏรโิ มมกวขตั ์รหปรฏอื บิศตัลี ขิสอา� คงพญั รขะอตงลภอกิ ดษจแุ นลมะภารกิ ยษาณุที หมวดสุตตวภิ งั ค ขนั ธกะ และปรวิ าร เพื่อความงามของสงฆ์ มคี วามสําคัญอยา งไร เพ่ือนนักเรยี นคนอนื่ ๆ ๓. ปรวิ าร คือ ส่วนทสี่ รุปข้อความหรือค่มู อื พระวนิ ยั ปิฎก อธิบายในรปู ค�าถาม ค�าตอบ จดสรุปความรูลงในสมุด เพ่อื ความเข้าใจแจ่มแจง้ 2. ครใู หนักเรยี นกลมุ ท่ี 2 ที่ศกึ ษาหมวด ๒. พระสตุ ตนั ตปิฎก พระสตุ ตันตปฎ ก สงตวั แทนออกมาอธิบาย ความสําคญั ของหมวดนี้ และครสู อบถามวา พระสุตตันตปิฎก คือ ส่วนที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า (และของ 5 นิกายในหมวดพระสุตตันปฎก แตละนกิ าย พระสาวกบางสว่ น) ทีท่ รงแสดงแกบ่ ุคคลต่างๆ ในวาระโอกาสตา่ งกัน แบง่ เปน็ ๕ นกิ าย ดังนี้ มคี วามสาํ คญั อยางไร ๑. ทีฆนกิ าย คือ หมวดทปี่ ระมวลสูตรขนาดยาว 3. ครนู าํ สนทนาเรอ่ื งพระไตรปฎ ก และตงั้ คาํ ถามวา ๒. มัชฌมิ นกิ าย คือ หมวดทีป่ ระมวลสูตรขนาดปานกลาง • ประโยชนท ่ไี ดร บั จากการศกึ ษาพระไตรปฎก ๓. สงั ยุตตนิกาย คอื หมวดทป่ี ระมวลสตู รโดยจัดกลมุ่ ตามเนื้อหา เช่น กลมุ่ สจั จะ มีอะไรบา ง (แนวตอบ เชน ทําใหร พู ระธรรมวนิ ยั ของ เรยี กว่า สัจจสังยุตต์ พระพุทธเจา และคําสั่งสอนของพระสาวก ๔. อังคุตตรนิกาย คือ หมวดท่ีประมวลหมวดธรรมจากน้อยไปหามาก เช่น ทําใหเกิดความรูและความเขา ใจวาธรรมะ ตางๆ ในพระไตรปฎกจะนําไปใชในดานใด เอกนบิ าต เป็นหมวดวา่ ด้วยธรรมะ ๑ ขอ้ ทกุ นบิ าต เป็นหมวดว่าด้วยธรรมะ บาง ใชข อความในพระไตรปฎกเปนเครือ่ ง ๒ ข้อ ตัดสนิ ใจเมือ่ มกี ารตคี วามคาํ สอนขดั แยงกนั ๕. ขุททกนิกาย คือ หมวดที่ประมวลเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ท่ีมิได้รวบรวมไว้ใน เขา ใจเหตุผลในการบญั ญัตพิ ระวนิ ยั และ ๔ นิกายข้างต้น โดยแบง่ ออกเป็น ๑๕ ประเภท ท่มี าของพระธรรมคําสอน เปน ตน) ถูปาราม เมอื งอนรุ าธปรุ ะ ประเทศศรีลงั กา สถานทที่ าำ 4. ครใู หนกั เรียนในหอ งบันทกึ ขอ มลู ของหมวด สังคายนาพระธรรมวนิ ัย ครง้ั ที่ ๔ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๘ พระวนิ ยั ปฎกและพระสุตตนั ตปฎ กทไี่ ดจ าก การอภปิ รายหนา ชน้ั ลงในสมุด แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู เพราะเหตุใด พระไตรปฎ กจงึ เปรยี บเสมอื นตวั แทนของพระพุทธเจา ครูแนะนําใหน ักเรียนดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือพจนานกุ รมศัพท แนวตอบ เนอื่ งจากพระพทุ ธเจาไดตรสั ไวค ร้ังหน่งึ วา พระธรรมวินัยจะเปน พระไตรปฎกอกั ษร อ. เลม 1-3 ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน ศาสดาแทนพระองคภายหลงั ทพี่ ระองคปรินพิ พานไปแลว พระไตรปฎ ก จงึ เปรียบเสมอื นตัวแทนของพระพุทธเจา และเปน ทที่ ีช่ าวพทุ ธสามารถเขา นักเรยี นควรรู เฝา พระศาสดาของตนได เพราะพุทธศาสนิกชนสามารถศึกษาพระปรยิ ัติ จากพระไตรปฎก เพ่ือใชเ ปน แนวทางในการปฏิบตั ิตนใหพ น จากความทุกข 1 สกิ ขาบท คอื ขอ ศีล ขอวินัยของพระภิกษุสงฆ และเขาสนู ิพพาน ซง่ึ เปนเปาหมายสงู สุดของพระพุทธศาสนา 2 สังฆกรรม คือ กิจกรรมทางพระวินัยที่พระภิกษุจํานวน 4 รูปข้ึนไปจะตอง ทําโดยพรอมเพรียงกันภายในเขตสีมา ที่เรียกวา พระอุโบสถหรือโบสถ ซึ่งตาม พระธรรมวินัย สังฆกรรมมี 4 อยาง ไดแก • อุปโลกนกรรม คอื การปรกึ ษาหารือ • ญตั ตกิ รรม คอื สวดเผดยี งสงฆ (การประชมุ ทมี่ กี ารสวดตง้ั เรอื่ งทจ่ี ะประชมุ ) • ญัตติทุตยิ กรรม คือ สวดต้ังญตั ติและสวดอนุสาวนา • ญตั ตจิ ตตุ ถกรรม คือ สวดตงั้ ญัตตแิ ละสวด อนสุ าวนา 3 คร้ัง คมู อื ครู 95
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นกลมุ ที่ 3 ทศี่ กึ ษาหมวด ๓. พระอภิธรรมปิฎก พระอภธิ รรมปฎ ก สง ตัวแทนมาอธิบายหนา ช้นั เก่ยี วกับโครงสรา งและความสําคัญของหมวดน้ี พระอภิธรรมปิฎก คือ ส่วนทวี่ า่ ดว้ ยการอธิบายหลกั ธรรมในรปู วิชาการ ไม่เกีย่ วดว้ ย บคุ คลและเหตุการณ์ แบง่ เปน็ ๗ คัมภรี ์ ดงั นี้ 2. ครใู หน กั เรยี นกลมุ ท่ี 3 เลอื กหลกั ธรรมในหมวดนี้ มา 1 หัวขอ พรอมอธบิ ายและยกตวั อยางวา ๑. ธมั มสงั คณี คือ คัมภรี ์ท่ีรวมขอ้ ธรรมเปน็ หมวดๆ แล้วแยกอธบิ ายเปน็ ประเภทๆ หลกั ธรรมนส้ี ามารถนํามาประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ ๒. วภิ งั ค ์ คอื คมั ภรี ท์ แี่ ยกแยะขอ้ ธรรมในสงั คณี แลว้ แสดงรายละเอยี ดเพอื่ ความเขา้ ใจ ของนกั เรยี นไดอยา งไร นกั เรียนคนอ่ืนๆ จดสรปุ ความสําคญั ของหลกั ธรรมน้ี แจม่ แจง้ ๓. ธาตุกถา คือ คัมภีร์ท่ีจัดข้อธรรมลงในขันธ์ ธาตุ อายตนะ ว่ามีข้อใดเข้ากันได้ ขยายความเขา ใจ Expand หรือไมอ่ ยา่ งไร 1. ครใู หนกั เรยี นอา นหมวดยอยของพระไตรปฎ ก ๔. ปุคคลบัญญตั ิ คือ คัมภรี ์ที่บัญญัตเิ รยี กบคุ คลต่างๆ ตามคุณธรรมทม่ี ี หมวดใดกไ็ ด แลว ใหน กั เรยี นเขยี นสรปุ หลกั ธรรม ๕. กถาวัตถุ คือ คัมภีรท์ ่ีอธิบายทรรศนะที่ขดั แย้งกัน โดยเน้นทรรศนะของเถรวาท และแงคดิ ทีไ่ ดจ ากหมวดน้ันลงในสมุดและ สง ครผู สู อน ท่ถี กู ต้อง ๖. ยมก คอื คมั ภรี ท์ ยี่ กธรรมขนึ้ เปน็ คๆู่ เชน่ กศุ ล‑ อกศุ ล แลว้ อธบิ ายโดยวธิ ถี ามตอบ 2. ครใู หน ักเรยี นทํารายงานสรุปโครงสรางและ ๗. ปัฏฐาน คือ คัมภีร์ท่ีอธิบายปัจจัยหรือเง่ือนไขทางธรรม ๒๔ ประการ ว่าธรรม ความสําคัญของพระไตรปฎกพอสังเขป โดย ใหน ักเรียนพมิ พเ ปน ภาษาตามความเขา ใจของ ข้อใดเป็นเง่อื นไขแกธ่ รรมข้อใด ตนเอง แลว นําสง ครผู สู อน วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิราช- วรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร สถานทท่ี าำ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ครง้ั ท่ี ๑๐ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๒๘ ตรวจสอบผล Evaluate 1. ตรวจสอบจากการเขียนสรปุ หลกั ธรรมและ แงคิดจากหมวดยอยของพระไตรปฎก 2. ตรวจสอบจากรายงานสรปุ โครงสรา งและ ความสําคัญของพระไตรปฎ ก เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET เพราะเหตใุ ด พทุ ธศาสนิกชนจงึ ควรศึกษาพระไตรปฎกใหเ ขา ใจอยา งถอ งแท ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา เรอื่ งเกยี่ วกบั บทบญั ญตั ขิ องคณะสงฆ สาํ หรบั เปน ขอ บงั คบั ใน แนวตอบ พระไตรปฎกเปนคมั ภีรท างพระพุทธศาสนาทบ่ี รรจหุ ลกั ธรรม การปฏบิ ตั ติ วั ของผอู อกบวชเทา นน้ั เรยี กวา “วนิ ยั ” สว น ธรรม เปน คาํ สอนทค่ี รอบคลมุ คาํ สอนของสมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา ไว พุทธศาสนกิ ชนจงึ ควรศึกษา พทุ ธบรษิ ัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อบุ าสิกา) แบง ออกเปน 2 อยาง ไดแ ก ธรรมท่ี พระไตรปฎ กใหแตกฉาน เพอื่ ใหม ีความรูค วามเขาใจหลักธรรมทาง พระพทุ ธเจาตรสั แสดงไปตามกาลเทศะ โตต อบกับบคุ คลตา งๆ เปนเรอ่ื งๆ ในพระ พระพุทธศาสนาอยางถอ งแทและถูกตอง สามารถนาํ หลักธรรมทีด่ ีงาม ไตรปฎกจะรวบรวมธรรมแบบนไี้ วพวกหน่งึ เรียกวา “สุตตนั ตะ” หรือพระสตู ร สวน ไปปรับประยุกตใ ชใหสอดคลองกับการดาํ เนินชวี ติ ประจาํ วัน ทาํ ใหช วี ติ ธรรมที่พระพุทธเจาตรัสแสดงไปตามเน้ือหาหรือเปนวิชาการลวนๆ โดยไมเก่ียวของ มคี วามสงบสุข ไมวุนวาย เมือ่ เกิดปญ หาชวี ิตกส็ ามารถหาทางออกหรอื กบั บุคคลหรือเหตุการณใ ดๆ เชน เรื่องขนั ธ 5 ไดอ ธิบายโดยละเอียดวาขันธ 5 คือ วิธีแกไ ขไดอยา งถูกตองเหมาะสม นอกจากน้ัน ยงั สามารถถา ยทอดหรอื อะไร แบงออกเปนอะไรบาง แตล ะอยางนนั้ เปนอยา งไร ในพระไตรปฎกจะจัดอยูใน เผยแผคาํ สอนทางพระพุทธศาสนาใหแ กผทู ส่ี นใจหรอื ผทู ่ีตองการรู ประเภท “อภิธมั มะ” หรอื พระอภธิ รรม เม่อื รวมพระวนิ ัยปฎก พระสตุ ตันตปฎ ก และ หลักธรรมมากขน้ึ ไดด ว ย พระอภธิ รรมปฎ กเขาดวยกัน ก็จะเกิดสามหมวดหมูใ หญเ ปน พระไตรปฎ กขน้ึ มา 96 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. พทุ ธÈาส¹สุÀาÉติ 1. ครูใหนักเรยี นชวยกันยกตวั อยา งพุทธศาสน- สุภาษิต โดยออกมาเขียนบนกระดาน 2.1 กมมฺ ุนา วตฺตต ี โลโก : สัตวโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามกรรม หนา ช้นั เรียน กรรม แปลว่า การกระท�า และมักหมายรวมถึงผลแห่งการกระท�า ในภาษาไทยปัจจุบัน 2. ครูใหน ักเรยี นบอกคตปิ ระจําใจของนกั เรยี นวา ค�าว่า กรรม มักใช้ในความหมายว่าเป็นการกระท�าที่ไม่ดี เช่น มีค�ากล่าวว่า “กรรมตามสนอง” ตรงกับพุทธศาสนสภุ าษิตหรือไม สามารถ หมายถงึ การได้รบั ผลร้ายจากการกระท�าท่ีไม่ดี นาํ มาใชในชวี ิตประจําวันไดอยางไร ในทางพระพุทธศาสนาสอนว่าคนเราจะมีชีวิตเป็นไปอย่างไรนั้น ข้ึนอยู่กับกรรมหรือ สาํ รวจคน หา Explore การกระทา� ของเรา ดงั พทุ ธดา� รสั ทวี่ า่ “ควรพจิ ารณาโดยเนอื งๆ วา่ เรามกี รรมเปน็ ของตน เปน็ ผรู้ บั ผลแหง่ กรรม มกี รรมเปน็ ก�าเนิด มกี รรมเปน็ เผา่ พันธุ์ มกี รรมเป็นทพี่ ง่ึ อาศยั เราทา� กรรมอนั ใด 1. ครใู หน กั เรยี นหากรณตี วั อยางบคุ คลจากส่ือ ไวด้ กี ็ตาม ชว่ั กต็ าม เราจกั เป็นผูร้ บั ผลแหง่ กรรมน้ัน” หรือแหลงเรียนรตู างๆ ท่มี กี ารกระทํา สอดคลองกับพุทธศาสนสภุ าษิต มาอภิปราย พระพุทธศาสนาสอนว่า คนที่ยังไม่หมดสิ้นซึ่งกิเลส เม่ือตายไปแล้ว จะต้องไปเกิดใหม่ ในหอ งเรยี น ใครจะเกดิ ที่ใดน้ันย่อมเป็นไปตามกรรมทีต่ นทา� ไว้ 2. ครูใหนักเรียนศกึ ษาตัวอยา งพุทธศาสนสุภาษิต ศาสนาฮินดู เชื่อว่า คนเราแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๔ วรรณะโดยก�าเนดิ ไดแ้ ก่ วรรณะพราหมณ์ เกิด ในหนังสอื เรยี นหนา 97-101 จากปากของพระพรหม วรรณะกษตั ริย์ เกดิ จากอกของพระพรหม วรรณะไวศยะ เกิดจากขาของ พระพรหม และวรรณะศูทร เกดิ จากเทา้ ของพระพรหม อธบิ ายความรู Explain แตพ่ ระพุทธองคท์ รงชใ้ี หเ้ ห็นว่า คนทุกคนไม่วา่ จะเปน็ พราหมณ์ กษัตริย์ ไวศยะ และศทู ร 1. ครใู หน กั เรยี นสบื หาและยกตวั อยา งพทุ ธศาสน- ลว้ นคลอดจากครรภม์ ารดาทั้งนนั้ คนเราเกดิ มาเปน็ อะไรก็ได้ แลว้ แตว่ า่ ตนมีความสามารถอะไร สภุ าษติ ทไ่ี มซ้ํากบั หนังสอื เรียน คนละ 1 เรือ่ ง ประกอบอาชพี อะไร คอื ทา� อะไรนนั่ เอง โดยบนั ทกึ ลงในสมดุ จากนัน้ นาํ มาแลกกบั เพือ่ นในช้นั เรยี น และบันทกึ ลงในสมุดเพิม่ เติม พระพทุ ธศาสนาสอนวา่ คนเราจะมคี วามสุข ความทกุ ข์ เป็นคนดี เปน็ คนช่ัว กแ็ ล้วแตก่ รรม หรือการกระท�าของตน คนเกียจคร้านสันหลังยาวจะมีความเจริญในอาชีพการงานได้อย่างไร 2. ครใู หนักเรียนวิเคราะหวา สัตวโ ลกยอ มเปนไป คนทคี่ รนุ่ คดิ พยาบาทหรอื อจิ ฉารษิ ยาผอู้ น่ื จติ ใจจะสงบสขุ ไดอ้ ยา่ งไร ถา้ อยากเปน็ คนบรสิ ทุ ธกิ์ ต็ อ้ ง ตามกรรมกบั กรรมตามสนอง มีความหมาย ท�าแตส่ ่งิ ท่บี ริสทุ ธิ์ และต้องท�าด้วยตนเอง คนอื่นท�าใหไ้ ม่ได้ เหมอื นหรอื แตกตา งกนั อยา งไร โดยยกตวั อยา ง ประกอบคาํ อธิบาย ชาวฮนิ ดเู ชอื่ วา่ การอาบนา้� ในแมน่ า�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ จะทา� ใหผ้ ทู้ า� กรรมชว่ั เป1น็ คนบรสิ ทุ ธิ์ พระพทุ ธองค์ ทรงสอนว่า “ถ้าคนพน้ จากกรรมชว่ั เพราะการอาบน�า้ ในแมน่ ้า� ศกั ดิส์ ิทธไ์ิ ด้ ปลา กบ เตา่ จระเข้ 3. ครใู หนกั เรียนศึกษาคาํ วา “วบิ ากกรรม” และอน่ื ๆ ก็คงจะไดข้ น้ึ สวรรค์กนั หมด สัตว์โลกยอ่ มเป็นไปตามผลกรรมทีต่ นท�าไว”้ “เจากรรมนายเวร” และ “เคราะหก รรม” ทัง้ 3 คาํ นี้ มคี วามหมายแตกตางกันอยา งไร 2.2 กลยฺ าณการ ี กลยฺ าณ ำ ปาปการ ี จ ปาปก ำ : ทาำ ดไี ดด้ ี ทาำ ชว่ั ไดช้ ว่ั ตรงกับพุทธศาสนสภุ าษิตวา ทาํ ดีไดด ี ทําช่วั ไดช ว่ั อยา งไร พระพุทธศาสนามหี ลักค�าสอนท่ีสา� คัญยิง่ ข้อหน่ึง เรยี กกนั วา่ “กฎแห่งกรรม” กฎแหง่ กรรม มีความหมายวา่ ทา� ดีไดด้ ี ทา� ชั่วได้ชัว่ กรรมแปลตามศพั ทว์ า่ การกระท�า หมายถึง การกระทา� ที่ ประกอบไปด้วยเจตนา การกระท�าทปี่ ราศจากเจตนาไมน่ บั เปน็ กรรม อยา่ งเชน่ เดนิ ไปเหยยี บมด ตายโดยไม่รู้ตัว ไม่มีเจตนาไม่เป็นกรรม และค�าว่า วิบาก แปลว่า ผล กรรมวิบากจึงแปลว่า ผลแหง่ กรรม ผลของกรรม แบง่ เปน็ ๓ ระดับ ดังน้ี 97 บูรณาการเช่ือมสาระ นักเรียนควรรู ครสู ามารถนําเน้ือหาเร่อื งวรรณะ ไปบูรณาการเชื่อมโยงกับกลุมสาระ 1 แมนํ้าศกั ดส์ิ ิทธิ์ หมายถึง แมน า้ํ คงคา มคี วามยาวประมาณ 2,510 กโิ ลเมตร การเรยี นรสู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม วิชาประวัติศาสตร เร่อื ง มตี น กาํ เนดิ จากเทอื กเขาหมิ าลยั ไหลผา นทางตอนเหนอื ของอนิ เดยี ไปรวมกบั แมน าํ้ อารยธรรมอนิ เดยี สมยั กอ นประวัติศาสตร โดยครอู ธบิ ายวาอินเดียเปนแหลง พรหมบุตรท่ปี ระเทศบังกลาเทศ แลว ไหลลงอาวเบงกอล ที่ราบลุมแมน้ําคงคานม้ี ี กาํ เนดิ อารยธรรมลมุ แมน า้ํ สมยั โบราณทยี่ งิ่ ใหญท ส่ี ดุ แหง หนงึ่ ของโลก คอื ประชากรอาศยั อยูอยา งหนาแนนมากทีส่ ดุ แหง หนงึ่ ของโลก ชาวฮินดูเชือ่ วา แมน าํ้ อารยธรรมลุม แมน ้าํ สนิ ธุ เมื่อประมาณ 2,500 ปก อนคริสตกาล มีเมืองสาํ คัญ คงคาโดยเฉพาะท่ที าเมอื งพาราณสนี นั้ มีความศกั ด์สิ ิทธ์ิมาก สามารถลางบาปได คือ โมเฮนโจ-ดาโรและฮารปั ปา ซ่งึ ปจ จุบันอยใู นประเทศปากสี ถาน กลุมคน รวมถงึ การโปรยเถา กระดกู ของผูต ายลงแมนา้ํ คงคา วญิ ญาณกจ็ ะไดไปสู ทสี่ รางสรรคอารยธรรม คอื ชาวดราวเิ ดยี นหรือมิลักขะ ซ่งึ มีผวิ ดาํ รมิ ฝป าก สรวงสวรรค หนา จมกู แบน ตอ มาเมอ่ื ประมาณ 1,500 ปก อนคริสตกาล ชาวอารยัน ซ่ึงมี ผิวขาว จมกู โดง รูปรางสูงใหญ ไดอ พยพจากเอเชยี กลางเขามายังตอนเหนือ ของอนิ เดยี และขบั ไลช าวดราวเิ ดยี นลงไปทางใต ชาวอารยนั เกรงวา พวกของตน จะถูกชาวดราวิเดียนกลนื ชาติ จึงกําหนดระบบวรรณะข้นึ มา เพอื่ กดี กนั ไมใหช าวอารยนั แตงงานหรอื ใชชีวิตปะปนกับชาวดราวเิ ดียน โดยชาวอารยัน จะอยใู น 3 วรรณะแรก คอื พราหมณ กษตั รยิ และแพศย สว นชาวดราวเิ ดยี น จะอยใู นวรรณะศทู ร ซงึ่ ถือเปนทาสรบั ใช 3 วรรณะขา งตน คูมือครู 97
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนกั เรยี นแบงกลมุ เลอื กพทุ ธศาสนสภุ าษติ ๑) ระดับภายในจติ ใจหรือคุณภาพของจิต กรรมท�าให้เกดิ ผลในจิตใจ มีการสัง่ สม ทด่ี ที ส่ี ดุ 1 เรื่อง พรอ มระบุความหมายและ คําอธบิ าย พมิ พล งในกระดาษ ตัดและตกแตง คุณสมบัติ คือคุณภาพท้ังฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว มีอิทธิพลปรุงแต่งความรู้สึกนึกคิด ความโนม้ เอยี ง ใหส วยงาม แลว ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ นํา ตา่ งๆ ทกุ ครง้ั ทบ่ี คุ คลท�าความชว่ั เช่น ด่าหรือนินทาคนอ่ืนหรือคิดพยาบาทคนอ่ืน นับว่าเขา พุทธศาสนสภุ าษติ มาตดิ รวมกันท่ปี า ยนิเทศ “ไดร้ 1บั ผลชว่ั ” เปน็ การตอบแทนทนั ที นนั่ กค็ อื เขาไดส้ รา้ งเชอื้ แหง่ ความไมด่ ซี งึ่ ทางศาสนาเรยี กวา่ กิเลสหรืออาสวะขึ้นในจิตใจ ท�าให้สภาพจิตใจตกต่�ามัวหมองข้ึน ถ้าเขาท�าเช่นน้ันบ่อยๆ จิตใจ 2. ครใู หนกั เรยี นยกตัวอยา งวา สงิ่ ใดบา งรอบตวั ของเขาก็จะเต็มไปด้วยความชั่วร้าย หยาบกระด้างขึ้น มีคุณภาพยิ่งต�่าลง ในทางตรงกันข้าม นักเรียนท่ีมีอิทธิพลทางความคดิ ความรสู กึ ถา้ คนทคี่ ดิ แตใ่ นทางดี พลงั ฝา่ ยดกี จ็ ะสงั่ สมในจติ ใจ ชา� ระจติ ใหส้ ะอาด สรา้ งคณุ ภาพและสมรรถภาพ และการกระทํา ที่ทาํ ใหเกดิ กเิ ลสตณั หา จนอาจ ท่ีดีแก่จิต พูดให้เข้าใจง่าย คือ “ท�าดีเมื่อใด ก็เป็นคนดีเมื่อน้ัน ท�าช่ัวเม่ือใด ก็กลายเป็นคนชั่ว ลืมความถูกตองและความรูสึกผดิ ชอบชวั่ ดี เมื่อนั้น” ไปชั่วขณะหน่งึ นกั เรยี นจะมีวธิ ีปอ งกันและ แกไ ขสิง่ เหลา นนั้ อยา งไรบาง ๒) ระดับบุคลิกภาพและอุปนิสัย กรรมที่ท�าลงไปท�าให้เกิดผลในการสร้างเสริม (แนวตอบ เชน วตั ถนุ ิยม บรโิ ภคนยิ ม ทอี่ าจทําให คนเกดิ กเิ ลสบังตา จนลมื ความรสู ึกผิดชอบชั่วดี ลักษณะนิสัย ปรงุ แต่งลกั ษณะความประพฤติ การแสดงออก ท่าที การวางตวั การปรับตัวทา� ใหม้ ี โดยอาจไปขโมยหรือยอมเสยี เงนิ จํานวนมากเพื่อ บคุ ลกิ ลกั ษณะหรอื อปุ นสิ ยั ทด่ี ี เชน่ มเี มตตาอารี เออื้ เฟอ้ื เผอื่ แผ่ ไมอ่ จิ ฉารษิ ยา ไมอ่ าฆาตพยาบาท แลกกบั สิง่ ของราคาแพง บางคนยอมขายอวัยวะ ไมว่ ่วู าม พูดจาไพเราะ เปน็ ตน้ บคุ ลกิ ภาพและอปุ นิสยั ที่เลว เชน่ ใจแคบ ขี้อิจฉาริษยา มุ่งร้าย หรือส่งิ ทม่ี ีคา มากกวา เพราะตวั กิเลสหรอื ความ คนอน่ื ชอบเอารัดเอาเปรยี บ ววู่ าม พดู จากา้ วรา้ ว เป็นตน้ ผลของกรรมระดับนีส้ ืบเนือ่ งมาจาก อยากไดสิ่งของน้ัน วธิ ีปอ งกันและแกไข ทาํ โดย ระดับที่หน่ึงนั่นเอง คือ เม่ือคุณภาพของจิตสูงหรือต่�าก็แสดงออกมาทางบุคลิกลักษณะท่าทาง การใชส ติยบั ย้ังช่งั ใจพิจารณาถึงโทษและ อุปนสิ ยั ใจคอ วิบากกรรมที่จะเกดิ ตามมา เปน ตน ) ๓) ระดับภายนอกหรือผลทาง 3. ครใู หน ักเรยี นคน หาความหมายของคําวา สงั คม ผลของกรรมระดบั นี้ คือ สง่ิ ทมี่ องเห็น “อาสวกิเลส” และ “อุปกเิ ลส” บันทึกลงในสมดุ และใหน กั เรียนรว มกนั วิเคราะหว า การอยากทํา ในชวี ิตประจา� วนั เชน่ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข ความดี การอยากบาํ เพญ็ ประโยชน ชว ยเหลอื ทุกข์ อันเป็นผลท่ีเขาได้รับในสังคมท่ีเขาอยู่ ผูอ ่นื นบั วาเปนกิเลสหรือไม เพราะเหตุใด ผลภายนอกน้ีทางพระพุทธศาสนาไม่ถือว่าเป็น ผลโดยตรงของการทา� ดที า� ชว่ั อาจจะมกี ไ็ ด้ ไมม่ ี 4. ครูใหน ักเรยี นวิเคราะหวา ทาํ ดีไดด ี ทําช่วั ไดชั่ว ก็ได้ มีตรงกันข้ามก็ได้ เช่น คนบางคนท้ังๆ หมายความวาอยา งไร โดยยกตวั อยางการ ท่ีกระท�าความช่ัว อาจมีลาภ มียศ หรือได้รับ กระทาํ ของนักเรียนเองประกอบคาํ อธิบาย การยกย่องจากคนในสังคม ผู้ท่ีมองเฉพาะผล ภายนอกกจ็ ะเหน็ วา่ คนผนู้ ีท้ �าชว่ั แตก่ ลับได้ดี บคุ คลทบ่ี าำ เพญ็ คณุ งามความดอี ยา่ งสมา่ำ เสมอยอ่ มจะไดร้ บั ความจริงแล้วหาเป็นเชน่ นั้นไม่ บุคคลผนู้ ีไ้ ด้รบั ผลกรรมของการทำาความดีตอบสนอง ผลของกรรม ๒ ระดบั ดงั กลา่ วขา้ งตน้ แล้ว คอื เขามคี ณุ ภาพจติ อนั ตา�่ ทราม มคี วามทกุ ขท์ างใจ หรอื มีจิตเศร้าหมองอยา่ งแนน่ อน 98 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครคู วรแนะนํานักเรียนวา คนในยุคสมยั นม้ี ีความเช่อื ทีผ่ ิดหรือมิจฉาทิฏฐิ คอื ครมู อบหมายใหนกั เรียนไปคนควา พทุ ธศาสนสุภาษิตทม่ี ีขอคิดเตือนใจ มีความเขา ใจผดิ ในกฎธรรมชาติ เชน ไมเ ชือ่ วาทําดไี ดด ี ไมเชื่อในการทําความดี ในเรอ่ื งความขยนั หมนั่ เพยี ร ซง่ึ เปน คุณธรรมที่จะชวยใหการเรยี นประสบ ไมม ีความละอายตอ บาป เปน ตน ซงึ่ จะสง ผลอนั ตรายตอการอยรู วมกันในสังคม ความสาํ เรจ็ จากนนั้ รวบรวมและเขยี นลงสมุด แลวนาํ มาแลกเปลย่ี น เปน อยา งย่งิ โดยครูควรอธิบายและยกตวั อยางกรณีบุคคลทที่ ําความดแี ละไดดี ความรูกับเพือ่ นในช้ันเรียน บคุ คลทีท่ ําความชั่วและหมดอนาคต ใหน ักเรียนฟงและยึดถือเปนแบบอยางวา สิ่งใดควรทํา สงิ่ ใดไมควรทํา กิจกรรมทา ทาย นักเรยี นควรรู ครูมอบหมายใหนกั เรยี นเขยี นเลาประสบการณหรือปญ หาท่ีเกิดขน้ึ กบั ตนเอง ซง่ึ สามารถนาํ พทุ ธศาสนสภุ าษติ มาชว ยแกไ ขปญ หาหรอื เตอื นสตไิ ด 1 กเิ ลส คือ สง่ิ ท่ีแฝงอยใู นตวั คน แลวเปนเหตใุ หใจเศรา หมอง โดยกิเลสทีอ่ ยู ความยาว 1 หนา กระดาษ A4 จากน้นั นาํ มาเลา ใหเพอื่ นในชน้ั เรียนฟง ในใจคนมาก ไดแ ก ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะกเิ ลสชอบซกุ หมกั หมมอยใู นใจ ของคน จึงเรยี กอีกอยางหนึ่งวา “อาสวกิเลส” แปลวา กเิ ลสทห่ี มกั ดองอยใู นจิต 98 คูม อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู คนท่ีมักกล่าวท�านองคัดค้านหลักแห่งกรรมว่า “ท�าดีได้ดีมีท่ีไหน ท�าชั่วได้ดีมีถมไป” 1. ครูนําสนทนาเกยี่ วกับพทุ ธศาสนสุภาษิตทว่ี า มกั จะมองดแู ตผ่ ลภายนอกหรอื ผลพลอยไดเ้ พยี งอยา่ งเดยี ว โดยไมน่ กึ วา่ ผลของความดที ส่ี า� คญั กวา่ การส่ังสมบญุ นาํ สุขมาให และตัง้ คาํ ถามวา และจะต้องได้รับแน่นอน คือ ความสะอาดของจิตใจ คุณภาพจิตที่สูงขึ้น และความเป็นคนดี • การทาํ บญุ มีความสาํ คญั ตอ ชีวติ อยา งไร มบี คุ ลิกลักษณะและอปุ นิสัยท่พี งึ ประสงค์ อนึ่ง ถา้ ร�าลึกอยเู่ สมอวา่ “ท�าความดี ยอ่ มไดค้ วามดี” มอี ะไรบา ง แทนทีจ่ ะคดิ วา่ “ทา� ความดีได้ของด”ี บางทีอาจท�าใหเ้ ขา้ ใจเร่อื งผลของกรรมชัดขึ้น (แนวตอบ การทําบุญ คอื สิง่ สาํ คญั ท่ีทาํ ให ชีวิตพบเจอแตส่งิ ดีๆ มีความสขุ ความเจรญิ 2.3 สโุ ข ปญุ ฺญสฺ สฺ อุจฺจโย : การส่ังสมบุญนำาสขุ มาให้ รวมถงึ เปนการขดั เกลากิเลส ทาํ ใหจ ติ ใจ ผอ งใส เชน การทาํ ทาน รกั ษาศลี นั่งสมาธิ บญุ กิรยิ าวัตถุ ๑๐ 1 การเคารพผมู ีพระคุณ เปนตน) บญุ แปลว่า ความดีงาม การท�าบญุ ท�าได้ ๑๐ วธิ ี 2. ครใู หนักเรียนบันทกึ การทําความดใี นดาน เรียกว่า บุญกิริยาวตั ถุ มี ๑๐ ประการ ดังนี้ ตา งๆ ทนี่ กั เรยี นเคยทาํ มา แลว สาํ รวจตวั เองวา ๑. ท�าบุญด้วยการให้ นักเรียนเคยทาํ บุญวิธใี ดบางตามหลกั ธรรม ๒. ท�าบุญด้วยการรกั ษาศีล บญุ กริ ยิ าวตั ถุ 10 และเกดิ ผลอยา งไร โดยบนั ทกึ ๓. ท�าบญุ ด้วยการเจรญิ ภาวนา ลงในสมุด และนาํ สงครผู สู อน ๔. ทา� บุญดว้ ยการอ่อนน้อม ๕. ท�าบุญด้วยการรับใช้ 3. ครใู หนกั เรยี นทาํ กิจกรรมที่ 4.4 จากแบบวัดฯ ๖. ทา� บุญด้วยการเกล่ยี ความดีให้ผูอ้ ่ืน พระพุทธศาสนา ม.2 ๗. ท�าบญุ ด้วยการยนิ ดใี นความดีของผู้อน่ื ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ ๘. ทา� บญุ ด้วยการฟงั ธรรมหาความรู้ ๙. ทา� บุญดว้ ยการส่งั สอนธรรมให้ความรู้ พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมที่ 4.4 ๑๐. ท�าบุญด้วยการท�าความเห็นให้ตรง หนวยท่ี 4 พระไตรปฎ กและพุทธศาสนสภุ าษิต กิจกรรมท่ี ๔.๔ ใหนักเรียนเติมขอความเกี่ยวกับพุทธศาสนสุภาษิตใหได คะแนนเต็ม คะแนนทไี่ ด ใจความสมบูรณ (ส ๑.๑ ม.๒/๘) ñð โดยทั่วไปคนมักจะให้ความส�าคัญกับ ๓ ๑. พุทธศาสนสภุ าษิต : ……ก…ม…มฺ…นุ……า…ว…ต…ตฺ …ต…ี …โ…ล…โก…………(…ก…ัม…-…ม…ุ-…น…า…-ว…ดั …-…ต…ะ…-…ต…ี-…โล…-…โ…ก…)…………………………………… ขอ้ แรก คอื การให้ทาน การรกั ษาศีล และการ คาํ แปล…………ส…ัต…ว…โ…ล…ก…ย…อ …ม…เป…น……ไป…ต…า…ม…ก…ร…ร…ม…………………………………………………………………………………………………………. เจรญิ ภาวนา เรียกว่า บญุ กิริยาวัตถุ ๓ มคี น ความหมาย………ค…น…เร…า…จ…ะ…ม…ีช…ีว…ิต…เป…น……ไป…อ…ย…า…ง…ไ…ร…น…้ัน……ข…ึ้น…อ…ย…ูก…ั…บ…ก…ร…ร…ม…ห…ร…ือ…ก…า…ร…ก…ร…ะท……ําข…อ…ง…ต…น………ก…ร…ร…ม…น…ั้น.. จา� นวนไมน่ อ้ ยคดิ วา่ “การทา� บญุ ” มคี วามหมาย …เป…น……ขอ…ง…เ…ร…า…โด…ย…เ…ฉ…พ…า…ะ……แ…ล…ะเ…ร…า…จ…ะเ…ป…น…ผ…รู …ับ…ผ…ล…ข…อ…ง…ก…ร…ร…ม…น…น้ั ………จ…ะโ…อ…น…ใ…ห…ผ …อู …ื่น…ไ…ม…ไ …ด… …เช…น………เร…า…ท…าํ …ก…ร…ร…ม…ด.ี เพียงข้อ ๑ คอื การให้เทา่ นั้น ซ่ึงความจรงิ ไม่ …ก…ร…ร…ม…ด…ยี …อ …ม…เป…น……ขอ…ง…เ…ร…า……ห…ร…อื …ถ…า …เร…า…ท…าํ …ก…ร…ร…ม…ช…ว่ั ……เร…า…ก…ต็ …อ …ง…ร…บั …ผ…ล…ข…อ…ง…ก…ร…ร…ม…ช…่วั น……ั้น……จ…ะ…ล…บ…ล…า …ง…ห…ร…ือ…โ…อ…น. เปน็ เชน่ น้ัน …ไ…ป…ให…ผ…อู…่นื……ไม…ไ…ด… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. การท�าบุญย่อมให้ความสุข แน่นอน ๒. พุทธศาสนสุภาษติ : …ก…ล…ยฺ …า…ณ…ก…า…ร…ี ก……ล…ยฺ …าณ……ํ …ป…าป…ก…า…ร…ี …จ……ป…าป……ก…ํ ……………(…ก…นั …-…ย…า-…น…ะ…-…ก…า…-ร…-ี…ก…นั …-…ย…า…-น……งั การให้ (หรอื ทาน) เปน็ การขดั เกลากเิ ลส ทา� ให้ คาํ แปล…………ท…าํ …ด…ีได……ด …ี ท……าํ ช…่ัว…ไ…ด…ช…่ัว………………………………………………………………………ป…า…-ป…ะ…-…ก…า…-…ร…-ี จ…ะ…-…ป…า…-…ป…ะ-…ก…งั…). จิตใจผ่องใส ท�าให้การประกอบอาชีพการงาน ความหมาย………เร…ีย…ก…ก…ัน…ว…า……ก…ฎ…แ…ห…ง…ก…ร…ร…ม………ก…ร…ร…ม……ห…ม…า…ย…ถ…ึง……ก…า…ร…ก…ร…ะท……ําท…่ีป……ระ…ก…อ…บ…ด……วย…เ…จ…ต…น…า……ม…ีท…ั้ง.. เปน็ ไปอยา่ งปลอดโปรง่ ไมค่ ดิ คดโกงหรอื ทจุ รติ …ฝ…า…ย…ด…ีแ…ล…ะฝ…า…ย…ช…่ัว……ห…า…ก…บ…ุค…ค…ล……ท…ําค……วา…ม…ช…่ัว……เ…ขา…จ…ะ…ไ…ด…ร…ับ…ผ…ล…ช…ั่ว…เป…น…ก……าร…ต…อ…บ……แท……น……แ…ต…ถ…า…ค…น…ท…ํา…แ…ต…ค…ว…า…ม…ด. ี กับใคร …ก…จ็ …ะ…ได…ผ…ล……ด…ตี …อ…บ…แ…ท…น……เช…น……เ…ก…ดิ …ค…ว…า…ม…ส…ุข…ท…า…งใ…จ……ห…ร…อื …ไ…ด…ร…ับ…ส…่ิง…ด…ๆี ……ต…อ…บ…แ…ท…น……เป……น…ต…น………………………………. เฉฉบลับย ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. พทุ ธศาสนสภุ าษติ : ……ส…โุ…ข……ป…ุ…ฺ ……สฺ …สฺ ……อ…ุจ…จฺ …โย…………(…ส…ุ-…โข…-…ป…ุน…-…ย…ัด…-…ส…ะ…-…อดุ……-จ…ะ…-…โ…ย…) ……………………………… คาํ แปล…………ก…า…ร…ส…ัง่ …ส…ม…บ…ุญ…น……าํ ส……ุขม…า…ใ…ห… ………………………………………………………………………………………………………………. ความหมาย………ก…า…ร…ท…ํา…บ…ุญ…ย…อ…ม…ก……อ…ใ…ห…เก…ิ…ด…ค…ว…า…ม…ส…ุข……น…อ…ก……จ…า…ก…เป……น…ก…า…ร…ข…ัด…เก……ล…า…ก…ิเล……ส……ท…ํา…ใ…ห…จ…ิต…ใ…จ.. …ผ…อ…ง…ใ…ส…แ…ล…ว……ย…ัง…ท…ํา…ใ…ห…ก…า…ร…ท…ํา…ง…า…น…เป……น…ไ…ป…อ…ย…า…ง…ร…าบ……ร…่ืน……แ…ล…ะ…ก…า…ร…ท…ํา…บ…ุญ……น…้ัน…จ…ะ…ต…อ…ง…ท…ํา…อ…ย…า…ง…ต…อ…เ…น…ื่อ…ง. …ส…่งั …ส…ม…ไ…ป…เร…อื่…ย…ๆ……ผ…ล…บ…ญุ …ย…อ…ม…ต…อ…บ……ส…น…อ…ง…ภ…า…ย…ห…ล…งั ………………………………………………………………………………………………. การบริจาคโลหิต จัดเป็นการทำาบุญประเภทหนึ่ง เพราะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. โลหติ จากการบริจาค ไดถ้ กู นาำ ไปช่วยชวี ติ ผอู้ ื่น ๔. พุทธศาสนสุภาษิต : …ป…ูช…โก……ล…ภ…เ…ต……ป…ชู …ํ ว…น…ทฺ……โก……ป…ฏ…วิ…น…ฺท…น……ํ …(…ป…ู-…ช…ะ-…โ…ก…-…ล…ะ-…พ…ะ…-…เต…-…ป…ู-…ช…ัง…-…วัน……-…ท…ะ-…โ…ก… 99 คาํ แปล…………ผ…บู …ชู …า…ย…อม…ไ…ด…ร…บั …ก……าร…บ…ูช…า…ต…อ…บ……ผ…ไู …ห…ว…ย …อ …ม…ได…ร…บั……ก…าร…ไ…ห…ว…ต …อ…บ………………………ป…ะ-…ต…ิ-…ว…นั …-…ท…ะ…-…น…ัง…). ความหมาย………ก…า…ร…บ…ูช…า…เป……น…ก…า…ร…แ…ส…ด……ง…ค…ว…า…ม…เค…า…ร…พ……บ…ุค…ค…ล……ห…ร…ือ…ส…่ิง…ท…่ีน……ับ…ถ…ือ………ร…วม……ถ…ึง…ก…า…ร…ย…ก…ย…อ…ง.. …เท…ิด……ท…ูน…ด…ว…ย…ค…ว…า…ม…น…ับ…ถ…ือ……ห…า…ก…เ…ร…าร…ูจ…ัก……ให…ค……วา…ม…น…ับ……ถ…ือ……ให……เก…ีย…ร…ต…ิ …ใ…ห…ค…ว…า…ม…เค……าร…พ……ต…อ…ผ…ูอ…ื่น……เ…ร…าก…็จ…ะ…ไ…ด. …ส…่ิง…เ…ด…ีย…วก……ัน…น…ั้น…ต……อ…บ……ก…า…ร…บ…ูช…า…น…อ…ก…จ…า…ก…เ…ป…น…ก…า…ร…แ…ส…ด…ง…อ…อ…ก…ซ…ึ่ง…ไ…ม…ต…ร…ีจ…ิต…แ…ล……ว ……ย…ัง…น…ํา…ไป…ส……ูค…ว…าม…ส……ําเ…ร…็จ. …ใ…น…ห…น…า…ท…่กี …า…ร…ง…า…น…ด…ว…ย……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๕. นกั เรยี นเลอื กใชพ ทุ ธศาสนสภุ าษติ …………………ก…า…ร…ส…ัง่ …ส…ม…บ…ุญ…น……าํ ส……ุขม…า…ใ…ห… ……………….ในการดาํ เนนิ ชวี ติ เพราะ……เ…ป…น…ก…า…ร…ส…อ…น……ให……ค…น…ท…ํา…ค…ว…า…ม…ด…ีต…อ…ต…น…เ…อ…ง……ต…อ…ผ…ูอ…่ืน……แ…ล…ะ…ต…อ…ส……ังค……ม……ส…อ…น…ใ…ห…ร…ูจ…ัก…ก…า…ร…ใ…ห…ผ…ูอ…่ืน.. …แ…ล…ะ…ค…วร…ห……มน่ั……ท…ํา…อ…ย…า ง…ส…ม…ํ่า…เ…ส…ม…อ……เม…่อื …ป…ฏ…บิ …ัต…แิ…ล…ว…จ…ะ…ท…าํ …ให……เก…ดิ …ค…ว…า…ม…ส…ขุ …ท…ง้ั …ผ…ใู …ห…แ…ล…ะผ…รู…ับ…………………………………. ๓๖ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ขอใดเปน พทุ ธศาสนสภุ าษิตทเ่ี กย่ี วของกบั การสง่ั สมบญุ นาํ สุขมาให ครอู ธิบายเพม่ิ เตมิ วา การทาํ ทานทส่ี าํ คัญทสี่ ดุ คอื ธรรมทาน หรอื การสอนธรรม 1. ททมาโน ปโ ย โหติ ผใู หย อมเปน ทรี่ ัก ใหค นเปนคนดี รองจากธรรมทาน คือ อภัยทาน หรอื การละความโกรธเปน ทาน 2. ธมมฺ กาโม ภวํ โหติ ผชู อบธรรม เปน ผเู จริญ สว นการน่งั สมาธหิ รือเจรญิ ภาวนาจะตองมกี ารทาํ ทาน การรักษาศีลควบคกู ันไป 3. นตถฺ ิ โลเก อนินฺทโิ ต ผไู มถูกนนิ ทา ไมมใี นโลก จงึ จะนงั่ สมาธิไดดี เหมอื นการกาวขนึ้ บนั ไดทลี ะขัน้ ทไ่ี มควรกา วขามขนั้ ซ่งึ การ 4. ครุ โหติ สคารโว ผูเคารพผูอน่ื ยอมมีผเู คารพตนเอง ทาํ ทาน รกั ษาศลี เจรญิ ภาวนา เปน การทาํ บญุ 3 อยา งทสี่ าํ คญั ในการสะสมบญุ จนเตม็ และเขาสพู ระนพิ พาน โดยเฉพาะการนั่งสมาธิ เพ่ือใหเกดิ ปญ ญา เมอ่ื เกดิ ปญญาแลว วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะการทาํ บุญดว ยการใหอ ยูใ น จงึ ไตรต รองไดถ ึงผลเสียของกเิ ลส จนกระทัง่ ละกเิ ลส ละสังโยชน หรอื การละ ความโลภ โกรธ หลงได บุญกริ ยิ าวตั ถุ 10 ไมวาจะเปนการใหท าน การใหค วามรู ซง่ึ เปนการ ขดั เกลากิเลสอยา งหน่งึ ทาํ ใหจติ ใจผอ งใส มคี วามสขุ และเปน ทร่ี กั แกบคุ คลทวั่ ไป นักเรยี นควรรู 1 การทาํ บุญ แบงไดเ ปน 3 ประเภท ไดแก อามสิ ทาน คอื การใหทานดว ยวตั ถุ สิง่ ของ ธรรมทาน คอื การใหค วามรู และอภัยทาน คือ การสละความโกรธเปน ทาน คมู ือครู 99
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู ําสนทนาเร่อื ง ผบู ูชายอ มไดร บั การบชู าตอบ การรักษาศีลท�าให้คนเป็นคนดีมีศีลธรรม มีแต่คนรักใคร่นับถือและไว้วางใจ ในทางโลก ผูไหวย อ มไดรบั การไหวตอบ และต้งั คาํ ถามวา จะท�าใหก้ ารทา� งานเปน็ ไปอย่างราบร่ืน มคี วามสุขตามอตั ภาพ ในทางธรรมทา� ใหเ้ กิดความอมิ่ ใจ • การบชู าคนทค่ี วรบูชา หมายถึงอะไร และสงบ การเจรญิ ภาวนานั้นเป็นการชว่ ยใหจ้ ติ ใจแน่วแน่ มสี ติ ร้จู กั ตัวเอง รู้ตัวว่าก�าลังท�าอะไร (แนวตอบ การแสดงความเคารพตอผูม พี ระคุณ การเจรญิ ภาวนา แมว้ า่ สว่ นใหญจ่ ะมงุ่ ความสขุ ทางธรรม แตก่ ช็ ว่ ยทา� ใหค้ วามสขุ ทางโลกเปน็ ไปได้ ผอู าวโุ ส ซึ่งเปน การใหเ กยี รติ การยอมรบั แน่นอน ม่ันคง และความสาํ คญั และผูท่แี สดงความเคารพ ยอมไดรับการเคารพตอบ เมอ่ื มกี ารไหว การท�าบุญน้ันต้องท�าอย่างต่อเน่ืองสั่งสมไปเร่ือยๆ ผลบุญย่อมตอบสนองภายหลัง เหมือน ยอ มไดรับการไหวตอบ) หยดนา้� ตกลงทลี ะหยดย่อมเต็มต่มุ ได้ • การไหวผ อู นื่ นอกจากจะไดร บั การไหวต อบแลว 2.4 ป ชู โก ลภเต ปชู ำ วนทฺ โก ปฏวิ นทฺ น ำ : ผบู้ ชู ายอ่ มไดร้ บั การบชู าตอบ ยังกอ ใหเ กดิ ผลดอี ะไรบา ง ผู้ไหวย้ ่อมได้รับการไหวต้ อบ (แนวตอบ ไดรับไมตรีจิต ความรูสกึ ทด่ี ีตอผูไหว และผไู ดร ับการไหว รวมถึงเปน การแสดงออก บชู า หมายถงึ การแสดงความเคารพบคุ คลหรอื สง่ิ ทนี่ บั ถอื รวมตลอดไปถงึ การยกยอ่ งเทดิ ทนู ถงึ ความกตญั ู ซงึ่ เปนการกระทําท่ดี คี วรแก ดว้ ยความนับถือ และอาจขยายความไปถึงการยอมรบั การให้เกยี รติและการเหน็ ความสา� คญั การยกยอ งสรรเสรญิ นําไปสคู วามสําเรจ็ ในชีวิตและหนาท่กี ารงานได) คนเรามักจะโต้ตอบผู้อื่นด้วยสิ่งท่ีผู้อื่นทา� กบั เรา ถา้ เรายมิ้ ให้ คนอนื่ จะยม้ิ ตอบ ถา้ เราแสดง ท่าเย่อหยิ่ง คนอื่นก็เย่อหยิ่งตอบ ถ้าเราแสดงความสุภาพอ่อนโยนก่อน คนอื่นก็จะแสดงความ 2. ครูใหน ักเรยี นจดสรปุ แงคิดทไ่ี ดจ ากการทําบญุ สุภาพอ่อนโยนตอบ แต่มีคนจ�านวนไม่น้อยมคี วามภาคภมู ใิ จในตวั เองสงู คดิ วา่ ตวั เองสา� คญั กวา่ 10 วิธี และการบูชาผอู ื่น โดยบันทึกลงในสมุด มปี ัญญากวา่ เกง่ กวา่ คนอ่ืน เม่อื พบคนอ่นื มกั จะแสดงความอหังการออกมา ซึง่ โดยท่ัวไปกม็ ักจะ นําสง ครผู ูส อน ได้สิ่งเดียวกันนัน้ ตอบ แต่ถ้าเราให้ความเคารพนับถือ ให้เกียรติ 3. ครใู หน กั เรยี นสาํ รวจตวั เองวา ในวนั หนง่ึ ๆ นกั เรยี น ไดทําบุญหรือความดีอะไรบาง ถาหากยังไมได ใหค้ วามเคารพตามประเพณตี ่อผูอ้ นื่ เรากจ็ ะได้ ทําบุญอะไรเลย นักเรียนจะทําอยางไรตอไป สงิ่ เดยี วกนั นั้นตอบ มีคนจ�านวนนอ้ ยมากที่เรา ในการหาแนวทางปรบั ปรงุ และพฒั นาตนเองโดย ให้เกียรติเขาแล้วเขาแสดงความเย่อหย่ิงตอบ นําหลักพุทธศาสนสุภาษิตเขามาชวย จากน้ัน เราควรหดั มองโลกในแงด่ ี มองคนในแงด่ ไี วก้ อ่ น นําผลการสํารวจบันทึกลงในสมุดสงครูผูสอน ไมด่ ถู กู ดหู มิน่ คนอน่ื ล่วงหนา้ เพ่ือใหค รชู ว ยชแ้ี นะเพ่มิ เติม บางทีเราอาจไม่ชอบหน้าคนบางคนโดย ผไู้ หว้ยอ่ มได้รบั การไหว้ตอบ หาเหตุผลไม่ได้ แต่เราต้องต้ังสติให้ได้ว่าเรา กา� ลงั กลายเปน็ คนไม่มีเหตผุ ล เหน็ สงิ่ ที่ไมเ่ ป็น จรงิ แลว้ ก็แสดงทา่ ทาง หรอื พดู สิ่งที่ไม่สมควร กับเขา และก็ค่อนข้างแน่นอนว่าเราจะได้ สิ่งเดียวกันน้ีตอบ ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีพุทธศาสนิกชน ไม่ควรน�ามาปฏิบัติ เพราะไม่เป็นผลดีท้ังต่อ ตนเองและผู้อืน่ 100 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บคุ คลใดตอไปนท้ี าํ บุญแบบอามสิ ทาน ครูแนะนาํ นกั เรียนวา การรกั ษาศลี 5 ในชวี ติ ประจําวนั เปน การรกั ษาเพียง 1. วิหคใหอภยั เพื่อนท่ที ําหนงั สือของตนหาย เล็กนอย ไมเ พยี งพอตอการทาํ ตนใหเ ปน ปกติ จึงตอ งใชกรรมบถ 10 ซง่ึ เปนเครอื่ ง 2. สกุณาตวิ หนังสอื ใหเ พื่อนกอ นสอบ รักษาความดใี หเ ปน ปกติ 10 อยา ง ไดแก เวนจากการฆา สัตวหรือทรมานสตั ว 3. ปกษีบริจาคสง่ิ ของชว ยเหลือผปู ระสบอทุ กภยั ใหไ ดร บั ความลาํ บาก เวน จากการลกั ทรพั ย คอื ไมถ อื เอาทรพั ยข องผอู นื่ ทเ่ี ขาไมไ ดใ ห 4. ปกษาหมน่ั ไปถามพระอาจารยเ กย่ี วกับพระธรรมทตี่ นสงสัย ดว ยความเต็มใจ เวนจากการทาํ ชูใ นบุตร ภรรยา และสามขี องผูอ น่ื เวนจากการพูด วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. อามิสทาน คือ การใหทานดว ยวตั ถสุ ่ิงของ โกหก เวน จากการพดู จาหยาบคาย (พดู คาํ ดาคํา) เวนจากการพดู สอ เสียด ยแุ ยง ดงั นน้ั การทป่ี ก ษบี รจิ าคสงิ่ ของชว ยเหลอื ผปู ระสบอทุ กภยั จงึ จดั เปน อามสิ ทาน ทําใหผ ูอ ่นื แตกราวกัน เวน จากการพูดเพอเจอ เหลวไหล (พูดในเรือ่ งท่ีเปน ไปไมได) ขอ 1. จดั เปนอภยั ทาน คือ การสละความโกรธเปน ทาน การยกโทษดวย ไมค ดิ อยากไดท รพั ยข องผอู นื่ ทเี่ จา ของไมย กให ไมค ดิ จองลา งจองผลาญเพอ่ื ทาํ รา ยใคร การไมพ ยาบาทจองเวร และมคี วามเห็นถูก คือ มีสัมมาทิฏฐิ เห็นตรงตามทพ่ี ระพทุ ธเจาสอน ขอ 2. จดั เปนธรรมทานประเภทวทิ ยาทาน คือ การใหค วามรูทางโลก เชน วชิ าการตา งๆ เปนตน ขอ 4. จดั เปนธัมมัสสวนมยั คอื การทาํ บญุ ดวยการฟง ธรรม 100 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain อย่างไรก็ตาม การให้เกียรติ การยอมรับ และการนับถือน้ี เราควรเดินสายกลาง ไม่แสดง ครูใหนักเรยี นทํากจิ กรรมท่ี 4.5 จากแบบวดั ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 อาการพินอบพิเทาจนเกินควร ไมก่ ลา่ ววาจายกย่องสรรเสริญจนเกนิ งาม จะกลายเปน็ การประจบ ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ สอพลอ ในการใหเ้ กยี รติผูอ้ ืน่ เราตอ้ งใหเ้ กยี รตติ ัวเองดว้ ย ในการนับถอื ผอู้ นื่ เราต้องนบั ถือตวั เอง พระพุทธศาสนา ม.2 กิจกรรมที่ 4.5 ดว้ ย มฉิ ะนนั้ คนจะเยย้ หยนั และคดิ ดถู กู เราในใจ เรอ่� งท่ี 4 พระไตรปฎ กและพทุ ธศาสนสภุ าษิต เราไมค่ วรดถู กู ใครลว่ งหนา้ แตก่ ไ็ มค่ วรสรรเสรญิ กจิ กรรมที่ ๔.๕ ใหนักเรียนอา นกรณศี กึ ษาตอ ไปน้ี แลว เตมิ ขอ ความ คะแนนเตม็ คะแนนท่ีได ใครล่วงหน้า เราควรท�าตนให้เป็นคนสุภาพ ใหส มบูรณ (ส ๑.๑ ม.๒/๘) อ่อนโยน ไม่ดูหมิ่น หรือสรรเสริญคนโดยท่ียัง òð ไมร่ จู้ กั แตค่ วรแสดงออกทางกายและวาจาตาม ธรรมเนียมประเพณีที่สังคมถือกันว่าเหมาะสม กรณศี กึ ษาที่ ๑ ทกุ วนั อาทติ ยค ณุ ยายจะชวนเกง ไปทาํ บญุ ฟง ธรรม และชว ยทาํ ความ เชน่ พบครบู าอาจารยก์ ย็ กมอื ไหว้ พบคนรู้จักท่ี สะอาดบริเวณวัด คุณยายชอบทําบุญและใหทานคนที่เดือดรอน คอยสอนเกงอยูเสมอวา เป็นผอู้ าวุโสกค็ ารวะกอ่ น เป็นตน้ ใหเปนคนรูจักการใหและหม่ันทําบุญอยูเสมอ ผลบุญเหลานั้นจะชวยใหเรามีความสุขใจ เกิดชาติหนาจะไดสบาย ทุกคืนกอนนอนจะชวนหลานชายสวดมนตดวยกัน คุณยายบอกวา กล่าวได้ว่า การบูชาเป็นการแสดงความ จะไดน อนหลบั ฝน ดี ๑. การกระทาํ ของคณุ ยายตรงกบั พทุ ธศาสนสภุ าษติ ……ก……าร…ส…ั่ง…ส…ม…บ……ญุ …น…ํา…ส…ุข…ม…า…ให…… ………………………………… ๒. การกระทําดังกลา วมผี ลดตี อตนเองและครอบครวั คือ……ท…าํ…ใ…ห…ช …วี ติ…ม…คี…ว…า…ม…ส…ขุ …จ…า…ก…ก…า…ร…เป…น…ผ…ใู…ห… …ก…า…ร. …ส…งั่ …ส…ม…บ…ญุ …แ…ล…ะ…ก…าร…ม…หี…ล…กั…ธ…ร…ร…ม…ใ…น…ก…า…ร…ด…าํ เ…น…นิ …ช…วี …ติ ……แ…ล…ะก…า…ร…ท…เี่ …ก…ง …เช…อ่ื …ฟ…ง …ค…ณุ …ย…า…ย……ท…าํ ใ…ห…ค …ร…อ…บ…ค…ร…วั …ม…คี …ว…าม…ส…ข…ุ ๓. ถาคนในสงั คมมวี ิธีคิดและปฏบิ ตั ิเหมอื นคณุ ยายจะสงผลดีตอ สงั คมและประเทศชาติ คอื ท……าํ ใ…ห…อ …ย…รู …ว …ม…ก…นั …อ…ย…า …งส……งบ……ค…น……ใน……ส…งั …ค…ม…ร…จู …กั …ก…าร…ใ…ห… …ก…า…ร…เส…ยี…ส…ล…ะ……ห…ม…น่ั …ส…ง่ั…ส…ม…บ…ญุ………จ…ะไ…ม…ม …กี …า…ร…เอ…า…เป…ร…ยี …บ… ๔. สามารถนาํ แนวคดิ และการปฏบิ ตั ขิ องคณุ ยายมาพฒั นาสงั คมไทยโดย…ส……ร…า…ง…ค…ว…าม…ต……ร…ะห…น……ัก…ใ…ห.. …ค…น…ไ…ท…ย…ร…จู …กั …ก…า…รเ…ส…ีย…ส…ล…ะ……ม…ีจ…ติ …ส…า…ธ…าร…ณ……ะ…ส……ง่ั …ส…ม…ค…ว…าม…ด…ี…แ…ล…ะ…ป…ล…กู …ฝ…ง …แ…น…ว…ค…ดิ …เ…ห…ล…า …น…้ใี …ห…ก…ับ…เย…า…ว…ช…น………… เฉฉบลับย ๕. นกั เรยี นสามารถปฏบิ ตั ติ ามคาํ สงั่ สอนของคณุ ยายโดย……ห…ม…น่ั …ท…าํ …บ…ญุ …แ…ล…ะ…ใ…ห…ท …าน……ต…า…ม…ค…วา…ม…เ…ห…ม…าะ…ส…ม… …แล…ะ…โ…อ…ก…า…ส……เช…น ……ไ…ป…ท…าํ …บ…ญุ …ท…วี่ …ดั ……บ…ร…จิ …า…ค…ส…ง่ิ …ข…อ…ง…ต…า ง…ๆ……ใ…ห…ผ …ทู …ดี่ …อ …ย…โอ…ก……าส……ม…หี …ล…กั…ธ…ร…ร…ม…ใ…น…ก…า…ร…ด…าํ …เน……นิ …ช…วี ติ…. รู้สึกออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม ซ่ึงเป็นความ กรณีศึกษาที่ ๒ ทุกปแตงจะตองไปเยี่ยมครูสุคนธ เธอรําลึกอยูเสมอวาท่ีมีวันน้ีได รู้สึกที่ดีต่อคนท่ีเรามีความรู้สึกด้วย การบูชา ก็เพราะการอบรมส่งั สอน การเอาใจใสข องครทู ี่ใหท ้งั ความรูและช้ีแนะแนวทางการดาํ เนนิ ชวี ิต ด้วยวิธีการต่างๆ จึงถือเป็นการแสดงออกซึ่ง ไมตรีจิต และเป็นการเปิดโอกาสความรู้สึกท่ีดี การแสดงออกซึ่งความกตัญูต่อผู้มีพระคุณ เป็นการ ๑. การกระทาํ ดงั กลา วตรงกบั พทุ ธศาสนสภุ าษติ …ผ…บู …ชู …าย…อ …ม…ได…ร…บั…ก…า…ร…บ…ชู …าต…อ…บ……ผ…ไู …ห…วย…อ …ม…ได…ร…บั…ก…า…ร…ไ…ห…วต …อ…บ.. จนน�าไปสูค่ วามสา� เร็จในหน้าทีก่ ารงานได้ กระทำาท่ีดี ควรแกก่ ารยกย่องสรรเสริญ ๒. การกระทาํ ของบคุ คลทงั้ สองสง ผลดี คอื …ท…ํา…ใ…ห…ล…ู…ก…ศ…ิษ…ย…ม…ีค……วา…ม…ร…ู…แล……ะป……ร…ะ…ส…บ…ค…ว…า…ม…ส…ํา…เ…ร…็จ…ใ…น…ช…ีว…ิต. พระไตรปฎิ ก เป็นบนั ทกึ คา� สอนของพระพุทธเจ้า เดมิ อยใู่ นรปู “พระธรรมวนิ ัย” ต่อมา …ส…ว …น…ค…ร…ูก…็จ…ะ…ไ…ด…ค …ว…าม…ภ…า…ค…ภ…ูม…ิใ…จ…ใ…น…ค…ว…า…ม…ส…าํ …เร…จ็ …ข…อ…ง…ศ…ษิ …ย… ………………………………………………………………………………… ๓. ขอ คดิ ท่ีไดจ ากการกระทาํ ดงั กลา ว คอื ……ก…าร…ต…งั้…ใ…จ…ท…าํ …อ…ะ…ไร…ด…ว…ย…ค…ว…า…ม…ร…กั ……ค…ว…า…ม…จ…ร…ิงใ…จ……ย…อ …ม…ไ…ด…ร…ับ…ก…า…ร. …จ…ด…จ…าํ …ร…ะล…กึ……ถ…ึงจ…า…ก…บ…ุค……ค…ล…อ…่นื ………………………………………………………………………………………………………………………………… ๔. นกั เรยี นมวี ธิ กี ารปฏบิ ตั ติ อ ครู คอื ……ต…ง้ั …ใจ…เ…ร…ยี …น……แส……ด…ง…ค…วา…ม…เ…ค…าร…พ…เ…ท…ดิ …ท…นู ……แ…ล…ะ…น…าํ …ค…าํ …ส…อ…น…ไ…ป…ใช…ใ …น…ก…า…ร. …ด…ํา…เน…ิน……ช…ีวติ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๕. การปฏบิ ตั ขิ องแตงสามารถนาํ ไปพฒั นาสงั คม คอื …ถ…า…น……ัก…เร…ีย…น…ม…วี…ธิ …ีค…ิด…แ…ล…ะ…ป…ฏ…บิ…ตั……ิแบ……บ…แ…ต…ง……จ…ะท……าํ ใ…ห.. …ท…กุ …ค…น…เ…ป…น …ค…น…ด……ี ไ…ม…เ ก……ดิ …ป…ญ …ห…า…ส…งั …ค…ม…ต…า…ม…ม…า…เ…ช…น ……ป…ญ …ห…า…ก…า…ร…ย…ก…พ…ว…ก…ต…กี …นั ……ก…า…ร…ต…ง้ั …ค…ร…ร…ภ…ก …อ …น…ว…ยั …อ…นั …ค…ว…ร ๓๗ ได้แยกออกเป็น พระไตรปิฎก ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระไตรปฎิ กไดร้ บั การถา่ ยทอดสบื ตอ่ กนั มา โดยการทอ่ งจา� หรอื มขุ ปาฐะ และไดร้ บั การบนั ทกึ เปน็ ลายลักษณอ์ ักษร เมื่อพทุ ธศตวรรษท่ี ๕ ท่ปี ระเทศศรลี ังกา ขยายความเขา ใจ Expand ธรรมะในพระไตรปิฎก แม้ว่าจะมีหลากหลายและมีหลายระดับ แต่ก็เน้นลงไปท่ีการ ครใู หน กั เรยี นหาขา วทเ่ี ปน ปญ หาสงั คมในปจ จบุ นั กระทา� (กรรม) เพราะฉะนนั้ บางครงั้ พระพทุ ธเจ้าจึงทรงเรยี กค�าสอนของพระองค์ว่า “กรรมวาท” เชน ปญหาการตงั้ ครรภไมพงึ ประสงค ปญหาการ (สอนเรอ่ื งกรรม) และตรสั เรียกพระองค์เองวา่ “กรรมวาที” (ผู้สอนเรอ่ื งกรรม) แพรร ะบาดของสารเสพตดิ ปญ หาการถกู ลว งละเมดิ ทางเพศ เปนตน แลวนํามาเขียนวิเคราะหวา จะใช พระพุทธศาสนาสอนวา่ คนเราจะดี จะเลว จะเจริญ หรือเสอื่ มถอย ทัง้ นีเ้ พราะกรรม พทุ ธศาสนสภุ าษติ ใดมาเตอื นตนเองไมใ หต อ งเผชญิ (การกระทา� ) ของเรา จงึ ไมค่ วรทา� กรรมชว่ั ควรทา� แตก่ รรมดี ในพระไตรปฎิ กมพี ทุ ธภาษติ มากมาย กบั ปญ หานนั้ ๆ เพราะเหตใุ ด พรอ มทง้ั เสนอแนวทาง ท่ีเน้นในเร่ืองน้ี อาทิ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” “ท�าดีได้ดี ท�าชั่วได้ชั่ว” “การส่ังสมบุญ แกไขและปองกันปญ หาทีเ่ กดิ ขนึ้ น�าสุขมาให้” เป็นต้น สุภาษิตเหล่าน้ีจะช่วยเตือนสติเรามิให้หลงไปในทางที่ผิด ซึ่งสามารถ จะเลือกสรรน�าไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการดา� เนนิ ชีวติ ได้ 101 ตรวจสอบผล Evaluate แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด ตรวจสอบจากการเขยี นวเิ คราะหข า วทเ่ี ปน ปญ หา สังคมในปจจุบัน โดยการนําพุทธศาสนสุภาษิตมา ใชแกไขและปองกนั ปญ หาดังกลาว เกรด็ แนะครู ทพิ อาภาเปน เดก็ เรยี บรอย มสี มั มาคารวะ สภุ าพ ออ มนอมถอ มตนตอ ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ ใหน กั เรยี นเขา ใจวา ในการสังคายนาพระไตรปฎ กครัง้ ที่ 5 ผใู หญ จึงเปน ท่ีรักของทกุ คน แสดงวา ทิพอาภาปฏิบตั ติ นตามพทุ ธศาสน- (พ.ศ. 450) ไดมีการบันทกึ พระไตรปฎกเปน ลายลักษณอ กั ษร เน่ืองจากพระสงฆใน สภุ าษิตบทใด ลังกาตา งเห็นพองตองกนั วาพระพทุ ธวจนะท่ถี า ยทอดกันมาโดยวิธที องจาํ นั้น อาจจะขาดตกบกพรอ งไดในภายภาคหนา เพราะผูท ีส่ ามารถจดจาํ ไดม เี หลอื นอยลง 1. กมฺมนุ า วตตฺ ตี โลโก ประกอบกบั สถานการณทางการเมอื งในขณะนัน้ กาํ ลงั อยูในความไมส งบ เพราะได 2. สุโข ปฺุญสสฺ อุจฺจโย เกดิ ศกึ ยดื เยอ้ื ระหวา งพวกทมฬิ กบั ชาวสงิ หล โดยกระทาํ ทอ่ี าโลกเลณสถาน มตเลณ- 3. ปชู โก ลภเต ปูชํ วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ชนบท (หรือมลยั ชนบท) ประเทศลงั กา มีพระเจา วฏั ฏคามณีอภัยเปน ผูอุปถัมภ 4. กลฺยาณการี กลยฺ าณํ ปาปการี จ ปาปกํ มุม IT วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. “ปชู โก ลภเต ปชู ํ วนทฺ โก ปฏิวนฺทน”ํ ศกึ ษาคนควาเพิม่ เตมิ เกีย่ วกบั พุทธศาสนสภุ าษติ ไดท ่ี แปลวา ผูบ ชู ายอ มไดร บั การบชู าตอบ ผูไหวยอ มไดร ับการไหวตอบ http://www.fungdhom.com เวบ็ ไซตฟง ธรรม การท่ีทิพอาภาปฏบิ ัตติ นตามพุทธศาสนสภุ าษติ บทนี้ เปนการแสดงของ http://www.dhammathai.org เว็บไซตธรรมะไทย ผูนอ ยที่มคี วามออ นนอ มถอ มตนและมีสมั มาคารวะตอผใู หญ ทาํ ใหเ ปน ท่ีรกั ของผูอืน่ คมู อื ครู 101
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถูกตอ งจากการตอบคําถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรียนรู้ ประจาํ หนวยการเรียนรู ๑. พระไตรปฎิ กแปลวา่ อะไร แบง่ ออกเปน็ กส่ี ว่ น อะไรบา้ ง หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ๒. พทุ ธศาสนสภุ าษติ มคี วามสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ของคนในปจั จบุ นั นอ้ี ยา่ งไร จงอธบิ าย ๓. พระพทุ ธศาสนาสอนวา่ “สตั ว์โลกยอ่ มเปน็ ไปตามกรรม” นกั เรยี นเขา้ ใจวา่ อยา่ งไร อธบิ าย 1. การเขียนสรปุ หลักธรรมและแงค ดิ จาก หมวดยอยของพระไตรปฎก ใหเ้ หน็ วา่ ทเ่ี ปน็ ไปตามกรรมนน้ั เปน็ อยา่ งไร ๔. นกั เรยี นเหน็ ดว้ ยหรอื ไมก่ บั คา� กลา่ วทว่ี า่ “ทา� ดไี ดด้ ี ทา� ชว่ั ไดช้ ว่ั ” เพราะเหตใุ ด และจงให้ 2. รายงานสรปุ โครงสรางและความสําคญั ของ พระไตรปฎก เหตผุ ลประกอบ ๕. จากคา� กลา่ วทว่ี า่ “ผบู้ ชู ายอ่ มไดร้ บั การบชู าตอบ ผไู้ หวย้ อ่ มไดร้ บั การไหวต้ อบ” นกั เรยี น 3. การเขียนวิเคราะหข า วท่ีเปน ปญหาสงั คม ในปจ จบุ ัน ไดข้ อ้ คดิ หรอื คตสิ อนใจอยา่ งไรบา้ งจากการศกึ ษาพทุ ธศาสนสภุ าษติ ดงั กลา่ ว กิจกรรมสร้างสรรค์พ²ั นาการเรยี นรู้ กจิ กรรมท่ี ๑ นักเรียนศึกษาสาระส�าคัญของพระไตรปิฎกจากในห้องสมุด และรวบรวม ความรโู้ ดยบนั ทึกไวใ้ นสมุดจดบันทึก กจิ กรรมท่ ี ๒ นักเรียนยกพุทธศาสนสุภาษิตมา ๑ เรื่อง แล้วแต่งนิทานประกอบ น�ามา แสดงละครและอธบิ ายแง่คดิ ที่ได้ กิจกรรมที่ ๓ นกั เรยี นค้นควา้ รวบรวมพทุ ธศาสนสภุ าษติ มาคนละ ๑ ขอ้ พร้อมทั้งอธิบาย พุทธศาสนสุภาษติ แตล่ ะข้อ แลว้ น�ามาเสนอรว่ มกันหน้าชั้นเรยี น พทุ ธศาสนสภุ าษิต µ¶µµÚ Ò¹í ¹ÔàÇàÊÂÚÂ Â¶Ò ÀÃÙ Ô »Ç±²Ú µÔ : »Þ˜ ÞÒÂÍ‹ Áà¨ÃÔÞ´ŒÇ»ÃСÒÃã´ ¤Çõéѧµ¹äÇ´Œ ÇŒ »ÃСÒùé¹Ñ 102 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. พระไตรปฎก แปลวา คมั ภรี 3 คือ คมั ภรี ที่บรรจุหลักคําสอนของพระพุทธศาสนา แบง เปน 3 สวน ไดแ ก พระวินยั ปฎก พระสุตตันตปฎ ก และพระอภธิ รรมปฎ ก 2. พทุ ธศาสนสภุ าษิตมคี วามสอดคลอ งกับชีวติ ของคนในปจ จุบนั เน่ืองจากสามารถนําขอ คดิ หรือคําสอนที่ดมี าประยุกตใชในชวี ติ ได โดยเฉพาะอยางยิ่งชีวิต ของคนสมัยปจ จบุ ันท่ีเตม็ ไปดว ยสิ่งยัว่ ยุ มอมเมา และผดิ ศีลธรรม จึงตอ งนาํ พุทธศาสนสุภาษติ มาเตอื นตนเองเสมอๆ 3. คนเราจะมีชีวติ เปน อยางไร ขน้ึ อยูก ับกรรมหรือการกระทําของเราเปนตัวกําหนด ไมไ ดเกิดจากอาํ นาจของสงิ่ ศกั ด์สิ ิทธ์ิแตอยางใด เชน ผูท ่คี ิดอจิ ฉาริษยาผูอื่นเสมอ ก็ไมอ าจหาความสงบสุขได หรือผเู กิดมามผี ิวพรรณผดุ ผอง เพราะชาติท่แี ลวเปน คนไมมกั โกรธ เปนตน 4. เห็นดว ย เพราะผทู ่ีทาํ ความดี ยอ มไดรบั ความดตี อบแทนอยา งแนนอน ซึง่ ความดนี ี้ไมจําเปน ตอ งเปนทรัพยสนิ เงนิ ทอง แตอาจเปน ความสุขใจ ความปลม้ื ปต ิ หรอื คณุ ภาพของจิตท่ีสงู ขึน้ ก็ได สวนผทู ่ที าํ ความช่วั ยอมไดรับความชว่ั ตอบแทนแนน อนเชนกัน ซึ่งไมจาํ เปนตองชดใชกรรมช่ัวในชาตภิ พตอไป แตอ าจตองชดใชใน ชาตภิ พนกี้ ็ได อยา งไรกต็ าม คนทาํ ความชวั่ บางคนอาจไดรบั ลาภ ยศ สรรเสริญ ทําใหผ อู ืน่ เห็นวา เขาทําชัว่ กลบั ไดดี ความจรงิ แลว ไมใช อยา งนอ ยบุคคลผนู ้ี กม็ ีความทุกขท างใจ และมีจิตใจที่ตกต่าํ อยางแนนอน 5. ทําใหเราไดมิตรภาพท่ดี กี ลับมา เปนท่รี กั ของผอู ่นื รวมถงึ ยังไดร ับเกยี รติ ไดรับความเคารพจากผอู ่นื ตลอดจนไดร ับการชนื่ ชมยกยองดวย 102 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู ๕หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1. อธิบายบทบาทของพระสงฆใ นการเผยแผ หนาท่ีชาวพุทธ พระพุทธศาสนาได และมารยาท ชาวพุทธ 2. ฝก ฝนตนเองใหส ามารถเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา และเปน ลกู ท่ีดตี ามหลกั ทิศ 6 ได 3. วเิ คราะหประโยชนของคา ยคณุ ธรรม และ เขา รว มคา ยคณุ ธรรมตามโอกาสทีเ่ หมาะสม 4. อธิบายหลักเกณฑการเขา รวมพธิ ีกรรมทาง พระพุทธศาสนาและเขารว มพิธีกรรมตาม โอกาสอันสมควร 5. ปฏบิ ตั ิมารยาทชาวพทุ ธท่ีดีได ตัวชีว้ ัด สมรรถนะของผูเ รียน ● ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมต่อบุคคลต่างๆ 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร ตามหลักศาสนาท่ีตนนับถือตามท่ีกำาหนด 2. ความสามารถในการคดิ (ส ๑.๒ ม.๒/๑) 3. ความสามารถในการใชท ักษะชีวิต ● มีมรรยาทของความเป็นศาสนิกชนท่ีดีตามท่ี คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค กำาหนด (ส ๑.๒ ม.๒/๒) 1. รักชาติ ศาสน กษตั รยิ สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 2. ใฝเ รียนรู 3. รักความเปน ไทย ● การเป็นลูกทีด่ ีตามหลักทิศเบ้ืองต้นในทศิ ๖ ● มรรยาทของศาสนกิ ชน 椄 ¤Áä·ÂÁ¨Õ Òí ¹Ç¹»ÃЪҡûÃÐÁÒ³ öõ ÅÒŒ ¹¤¹ «§èÖ ã¹ กระตนุ ความสนใจ Engage ¨Òí ¹Ç¹¹ÁéÕ Ò¡¡Ç‹ÒÃŒÍÂÅÐ ùõ ¹ºÑ ¶Í× ¾Ãоط¸ÈÒʹÒ໹š ·èÕ Â´Ö à˹ÂÕè ǨµÔ 㨠·§éÑ ¹éÕ ¾Ãо·Ø ¸ÈÒʹÒä´àŒ ¢ÒŒ ÁÒ¼ÊÁ¼ÊÒ¹ ครูสนทนากับนกั เรียนเกี่ยวกับการทาํ บุญ โดย ¡ÅÁ¡Å¹× ¡ºÑ Ç¶Ô ªÕ ÇÕ µÔ ¤ÇÒÁ໹š Í¢ً ͧ¤¹ä·Â ¨¹äÁÊ‹ ÒÁÒö ครูถามนักเรยี นวา á¡ÍÍ¡¨Ò¡¡¹Ñ ä´Œ ËÃÍ× ÍÒ¨¡ÅÒ‹ Çä´ÇŒ Ò‹ ¡ÒûÃоĵ»Ô ¯ºÔ µÑ µÔ ¹ ¢Í§¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹Â‹ÍÁÊ‹§¼Å¡Ãзºµ‹Í¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò • เดือนนีน้ กั เรียนไปวัดประมาณกคี่ รง้ั äÁÇ‹ Ò‹ ¨Ð·Ò§µÃ§ËÃ×Í·Ò§ÍŒÍÁ ´Ñ§¹éѹ ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹·Õ´è Õ และไปทาํ อะไร ¨Ö§ÁÕ˹ŒÒ·Õè·íҹغíÒÃØ§¾Ãоط¸ÈÒʹÒãËŒà¨ÃÔÞÁè¹Ñ ¤§Ê×ºä» â´Â¡ÒÃËÁ¹èÑ È¡Ö ÉÒËÒ¤ÇÒÁÌ٠»¯ºÔ µÑ µÔ ÒÁËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹ • นักเรยี นเคยไปวดั พรอ มกนั ท้งั ครอบครัว áÅлÃСͺ¾Ô¸Õ¡ÃÃÁµ‹Ò§æ ã˶Œ ¡Ù µÍŒ §µÒÁ¾·Ø ¸ºÞÑ ÞµÑ Ô หรือไม • นกั เรยี นคดิ วา คนกลมุ ใดไปวัดมากท่ีสุด • นักเรียนคิดวาแตล ะวัดควรพฒั นาดา นใด มากทส่ี ดุ เพราะเหตุใด เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กิจกรรมการเรียนรเู พ่ือใหน กั เรียนสามารถปฏิบตั ิตนไดอ ยา ง เหมาะสมตอบคุ คลตางๆ และแสดงมารยาทของชาวพุทธทด่ี ี โดยครจู ดั การเรยี น การสอน ดังนี้ • ใหนกั เรยี นสืบคน ขอ มูลเก่ยี วกบั บทบาทของพระภกิ ษุในการเผยแผ พระพทุ ธศาสนา แลว ไปสมั ภาษณพ ระภกิ ษุเก่ยี วกับการเผยแผ พระพุทธศาสนาและการปฏิบตั ิตนในชวี ติ ประจาํ วัน • ครูใหนักเรียนคนหาขอมูลเก่ียวกับวธิ กี ารมสี ว นรว มในการเผยแผพระพทุ ธ- ศาสนา การเปน ลกู ท่ดี ีตามหลักทิศ 6 การเขา คายคุณธรรม การเขา รว ม พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา และการแสดงตนเปนพุทธมามกะ แลวเขา รวมพธิ กี รรม รวมถึงเขียนสรุปข้นั ตอนและประโยชนข องพธิ ีแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ • ครใู หนักเรียนศกึ ษามารยาทชาวพุทธ แลวเขียนสรุปความรูความเขา ใจ ตลอดจนสาธติ ระเบยี บพิธปี ฏิบตั ิตอ พระสงฆ คมู อื ครู 103
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage 1. ครใู หน กั เรียนดูภาพหนา 104 และต้งั คําถามวา ๑. หนา้ ท่ชี าวพทุ ธ พระสงฆแสดงธรรมอยูบนสิง่ ใด จากน้นั ครู นาํ ภาพธรรมาสนในลกั ษณะตา งๆ มาแสดง 1.1 การเขา้ ใจบทบาทของพระภกิ ษุในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ใหนักเรียนดู เชน ธรรมาสนส งิ หเทินบุษบก ธรรมาสนบ ษุ บก ธรรมาสน 8 เหล่ียม ธรรมาสน พระภิกษุเป็นผู้สละเหย้าเรือน สละความสุขทางโลกเพ่ือแสวงหาสัจธรรม หน้าท่ีส�าคัญของ ขาแขก ธรรมาสนหวาย เปน ตน พระภิกษุ กค็ ือ ศกึ ษาพระธรรมคา� สอนของพระพุทธองคใ์ ห้เข้าใจอยา่ งถอ่ งแท้ แล้วนา� มาเผยแผ่ แกม่ วลมนษุ ย์ เพอ่ื เป็นหนทางใหโ้ ลกไดพ้ บความสงบและสนั ตอิ ย่างแทจ้ ริง พระภกิ ษอุ าจเผยแผ่ 2. ครูต้งั คาํ ถามนกั เรียนวา พระศาสนาได้หลายทาง เช่น การแสดงธรรม การแสดงปาฐกถาธรรม การประพฤติตนให้เป็น • บทบาทหนา ท่ีของพระสงฆมีอะไรบา ง แบบอย่าง เปน็ ต้น เราชาวพุทธควรท�าความเข้าใจกับบทบาทของพระภิกษุตามสมควร ดังน้ี (แนวตอบ เชน ศึกษาพระธรรมคาํ สอน ทําวัตร เชา-เยน็ แสดงธรรม เปนผนู าํ ในการประกอบ ๑) การแสดงธรรม ปาฐกถาธรรม การแสดงธรรมนั้นเรียกเต็มๆ ว่า การแสดง ศาสนพธิ ี เปนแบบอยา งทด่ี ี เปนตน ) พระธรรมเทศนา หรือเรียกย่อๆ ว่า “เทศน์” มีทั้งเทศน์เด่ียว (เทศน์รูปเดียว) และเทศน์ปุจฉา สาํ รวจคน หา Explore แวิสตชั่โบนราาณ(เทศมนีระถ์ เาบมีย‑บตวอิธบีป)ฏติบัง้ ัตแิเตป่ ็น๒แบรูปบขอน้ึยไ่าปงโดกยารเฉแพสดาะงพครือะธรมรีกมาเรทอศานราานธ้เีนปาน็ ศรีล1ปู แอบาบราทธ่ที นา� ากธันรมรมา2 และผู้ฟังนั่งอย่างสงบเรียบร้อย ประนมมือ ตั้งใจฟัง ท่านผู้รู้กล่าวว่าการฟังเทศน์แบบน้ีเป็น ครใู หน กั เรยี นสบื คน ขอ มลู เก่ยี วกับบทบาทของ การรักษาศีล ฝึกสมาธิ และอบรมปัญญาไปในตัว สว่ นการแสดงปาฐกถาธรรม คือ การแสดงธรรม พระสงฆใ นการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ไดแ ก การ โดยใช้ภาษาธรรมดาที่สื่อความหมายได้ง่าย ตัดรูปแบบและพิธีกรรมอย่างที่ใช้ในการเทศน์ออก แสดงธรรม การปาฐกถาธรรม และการประพฤตติ น หมดสน้ิ ใหเ ปนแบบอยา ง จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ อินเทอรเ น็ต ฟงพระธรรมเทศนาที่วดั ท้ังน้ีในการแสดงธรรม และแสดงปาฐกถาธรรม พระภิกษุมีหน้าท่ีท่ีจะสร้างความรู้ เปนตน เพอื่ นาํ มาอภปิ รายและแลกเปลีย่ นความรู ความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับพระพุทธศาสนา แม้ว่าในบางคร้ังบางคนอาจไม่เล่ือมใสศรัทธาใน ในชัน้ เรียน พระพุทธศาสนา มิใช่เพราะพระพุทธศาสนา อธบิ ายความรู Explain สอนไม่ดี แต่เป็นเพราะไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด จึงเหมาเอาว่าพระพุทธศาสนานั้นไม่ดี ไม่น่า 1. ครูใหน ักเรียนจดั นิทรรศการประวัตแิ ละผลงาน เล่ือมใสศรัทธา ยกตัวอย่างเช่น กล่าวหาว่า ของพระภิกษทุ ีม่ เี กียรติคณุ และเปนแบบอยา ง พระพุทธศาสนาสอนหลักธรรมที่ขัดกับการ ทดี่ ใี นการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา เชน พทุ ธทาส พฒั นาคนและสงั คม เพราะพระพทุ ธศาสนาสอน ภิกขุ หลวงตามหาบัว พระไพศาล วิสาโล ใหก้ า� จดั ตณั หา (ความอยาก) โดยเขาใหเ้ หตุผล พระมหาวฒุ ชิ ยั วชริ เมธี พระมหาสมปอง เปน ตน ว่าการจะพัฒนาอะไรได้น้ัน ต้องเร้าให้คนเกิด ความอยาก เกิดความต้องการ เมื่อต้องการ 2. ครใู หน กั เรยี นไปฟง พระธรรมเทศนาทวี่ ดั ใกลบ า น มากๆ ก็จะกระท�าหรือพัฒนาตนมากขึ้นเอง นกั เรยี น โดยใหนกั เรยี นระบวุ าเปน การเทศน ดังน้ัน การที่พระพุทธศาสนาสอนให้มนุษย์ แบบใด เปนการแสดงธรรมหรือปาฐกถาธรรม พระภกิ ษสุ งฆเ์ ปน็ ผมู้ บี ทบาทอยา่ งสาำ คญั ในการแสดงธรรม ละความอยากก็เท่ากับสอนให้คนงอมืองอเท้า และมเี นอื้ หาสาระของหลกั ธรรมอยางไรบา ง แกพ่ ทุ ธศาสนกิ ชน ไม่สรา้ งสรรค์นนั่ เอง บนั ทกึ ลงในสมุด 104 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การแสดงธรรมและปาฐกถาธรรม มีความแตกตา งกันอยา งไร ครูกลาวเสริมนักเรียนวา ในการเผยแผศาสนาใหใชคําวา “เผยแผ” ไมใชคําวา แนวตอบ การแสดงธรรม คอื การกลาวถา ยทอดพระธรรมคําสอนของ “เผยแพร” และครตู งั้ คาํ ถามนกั เรยี นวา การเผยแผห ลกั ธรรมคาํ สอนซงึ่ เปน ภารกจิ หลกั พระพุทธเจา หรอื การเทศนาธรรมแกพ ทุ ธบรษิ ัททัง้ หลาย เพอ่ื เปนการรกั ษา ของพระสงฆน ้ัน มวี ตั ถุประสงคเพ่อื อะไร ใหนกั เรียนชว ยกันตอบคําถามในชนั้ เรียน ศลี ฝกสมาธิ และอบรมปญ ญา สวนปาฐกถาธรรมเปนการบรรยายธรรม ที่ไมตองมพี ิธกี ารเหมือนการแสดงธรรม เพียงแตจดั สถานทใี่ หเ หมาะสม นักเรียนควรรู เพอื่ ใหพ ระภิกษกุ ลา วปาฐกถาธรรมดว ยภาษาธรรมดา ตัดรปู แบบการเทศน ออกไป ท่สี าํ คัญ คือ การแสดงปาฐกถาธรรมสามารถแสดงใหเ หมาะสมกบั 1 อาราธนาศีล เปน การกลา วขอศลี แกพระภิกษุ เพือ่ ตง้ั จติ รักษาศลี ของตน เหตกุ ารณได ใหมีความบริสุทธ์ิ งดเวนจากการกระทําชั่วท้งั ปวง โดยกอ นการทาํ ศาสนพิธตี างๆ พระสงฆจะกลาวคําอาราธนาศลี เพือ่ ใหชาวพุทธรับศลี 5 การอาราธนาศลี จึงเหมอื นการสญั ญาหรือตง้ั ใจวา จะรกั ษาศลี 5 ในวันนนั้ 2 อาราธนาธรรม เปนการกลาวขอใหพระภิกษุแสดงธรรมใหฟง โดยกระทํา หลงั จากอาราธนาศลี และสมาทานศลี หรอื การรบั ศลี มาเปน หลกั ปฏบิ ตั เิ รยี บรอ ยแลว 104 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ใหไ้ ดว้ า่ ความพอรยะาสกงทฆเ่ี์ผรู้ทยี กี่มวีห่าน้า“ตทัณ่ีหหลักา1”ในนก้ันารเเผปยน็ แคผว่ธามรรโมลภะจแะลตะ้อทงจุ สราิตมาครนถทชี่อี้แยจางกใหด้เ้วกยิดอคา� วนาามจเคขว้าาใมจ 1. ครใู หน กั เรยี นชว ยกนั ยกตวั อยา งวา ความอยาก โลภและทจุ รติ ยอ่ มจะกระท�าการใดๆ เพอื่ ตนเองและสรา้ งความเดอื ดรอ้ นใหแ้ กส่ งั คมเปน็ อยา่ งมาก หรือตณั หาทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอนใหพยายาม ถ้าย่ิงเร้าให้คนเกิดความอยากชนิดนี้มากเท่าใด สังคมก็จะเต็มไปด้วยคนโลภ คนทุจริต คนท่ี ลดมากท่ีสดุ มีอะไรบาง และธรรมฉนั ทะหรือ เอารดั เอาเปรียบจนหาความสงบสุขไดย้ ากเท่านั้น ความอยาก (ตณั หา) อย่างนี้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ความอยากในทางสรางสรรคม อี ะไรบา ง สอนใหพ้ ยายามลดละใหม้ ากสดุ เทา่ ทจี่ ะทา� ได้ แตค่ วามอยากในทางสรา้ งสรรค์ เชน่ อยากทา� ความดี ใหน กั เรยี นยกตวั อยา ง 10 ขอ “อธยรารกมชฉว่ ันยเทหะ2ล”ือคคนนอทืน่ี่มีคอวยาามกอเรยยี านกหชนนงั ิดสนอื ี้เใปห็นม้ คคี นวาไมมร่โมู้ลภากๆไมเ่พทุจอื่ รจิตะออจกะไตปั้งรหบั นใช้าตช้ ้ังาตติาททา่�านงาเรนยี ดก้ววย่า ความขยนั หม่นั เพยี ร ด้วยความซือ่ สตั ยส์ ุจรติ ความอยากชนิดนเี้ ทา่ น้นั ทสี่ นับสนนุ ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ 2. ครแู ละนกั เรียนอภปิ รายถงึ หลกั ในการเผยแผ การพัฒนาอย่างแท้จริง สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ “พระพุทธศาสนาสอนให้ก�าจัดความอยาก พระธรรม และตง้ั คําถามวา ทีเ่ รยี กวา่ ตณั หา แตใ่ ห้พัฒนาความอยากทเี่ รียกวา่ ธรรมฉนั ทะ” • นักเรยี นคดิ วาพระสงฆท ีม่ กี ารประพฤตติ น เปน แบบอยางทดี่ ี ควรมลี กั ษณะอยางไร ๒) การประพฤติตนให้เป็นแบบอย่าง วิธีท่ีดีท่ีสุดวิธีหน่ึงในการเผยแผ่พระพุทธ และนกั เรียนจะนําการประพฤตเิ หลาน้ัน ไปประยกุ ตใชอ ยางไร ศาสนา คอื การประพฤตติ นใหเ้ ปน็ แบบอยา่ ง ผทู้ จ่ี ะเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไดน้ น้ั กอ่ นอน่ื ตวั เอง จะตอ้ งเปน็ พุทธศาสนกิ ชนทด่ี ี คอื ร้แู ละเขา้ ใจหลกั ธรรมถกู ตอ้ งและปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมนน้ั ด้วย 3. ในปจ จุบนั ไดมีการเสนอขาวเก่ยี วกับการทุจริต เหมือนครูสอนดนตรีต้องรู้และเข้าใจทฤษฎีดนตรี และต้องเล่นดนตรีให้ดีด้วย ถ้ารู้แต่ทฤษฎีแต่ คอรรปั ชนั การเบยี ดบังหาประโยชนใสตน ตวั เองเลน่ ดนตรไี มเ่ ปน็ จะสอนใหค้ นอน่ื เลน่ ไดอ้ ยา่ งไร คนทส่ี บู บหุ รม่ี วนตอ่ มวนจะสอนใหค้ นเลกิ มากข้ึน นักเรียนคดิ วา พระสงฆมบี ทบาท สูบบุหร่ไี ด้อย่างไร การท่พี ระพุทธศาสนาสอนให้คนลดและละความโลภ ความโกรธ ความหลง สําคญั อยางไรทจ่ี ะชว ยทาํ ใหป ญ หาเหลานี้ลด ใหห้ มดไปหรอื เหลอื นอ้ ยทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะทา� ไดน้ น้ั หากพระภกิ ษเุ องเตม็ ไปดว้ ยความโลภ ความโกรธ นอ ยลง ใหบ ันทึกคาํ ตอบลงในสมดุ ความหลงแลว้ จะสอนคนอน่ื ใหล้ ดละไดอ้ ยา่ งไร หากพระสงฆม์ คี วามเปน็ อยอู่ ยา่ งฟมุ่ เฟอื ย หรหู รา จะสอนใหช้ าวบา้ นมคี วามเปน็ อยอู่ ยา่ งเรยี บงา่ ยไดอ้ ยา่ งไร ขยายความเขา ใจ Expand เร่ืองนา่ รู้ ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาและบนั ทกึ ขอมลู จาก การสนทนาธรรมกบั พระภิกษเุ กี่ยวกบั การเผยแผ พระพทุ ธศาสนาและการปฏบิ ตั ติ นในชวี ติ ประจาํ วนั ของพระภกิ ษุ ลงในกระดาษ A4 แลว นาํ สง ครผู สู อน อปุ ปถกริ ยิ า ตรวจสอบผล Evaluate อ1ุป. ปอถนกาิรจยิ าาร3 คคืออื กกาารรกปรระะทพาำ ฤนตอิทก่ีไรมตี ด่ นี อไมกง่ราอมยขไอมง่เพหรมะาภะิกสษมสุ แากมภ่ เณาวระข๓อปงครวะากมาเรปดน็ ังบนรี้ รพชติ ซึง่ มี ๓ อยา่ ง คอื ตรวจสอบจากบันทกึ ขอ มลู การสนทนาธรรม การเลน่ เหมอื นเด็ก การร้อยดอกไม้ การเรยี นดริ จั ฉานวชิ า เช่น การทำานายฝนั การทายหวย การทำาเสนห่ ์ ดูลายมอื กบั พระภกิ ษเุ กี่ยวกับการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา เป็นต้น และการปฏบิ ัตติ นในชวี ิตประจําวนั 2. บาปสมาจาร คอื ความประพฤตเิ หลวไหล เลวทราม เชน่ ชอบประจบคฤหสั ถด์ ว้ ยอาการอนั ไมเ่ หมาะสม ตนเองเป3็น. พอรเนะอสรนยิ 4าะ คือ การหาเล้ยี งชพี ในทางท่ไี ม่เหมาะสมกบั ความเป็นภกิ ษุ ผิดสมณวสิ ยั เชน่ การหลอกลวงวา่ เปน็ พระโสดาบัน เปน็ พระอรหันต์ เปน็ ตน้ เพื่อหวงั ลาภสักการะ 105 กิจกรรมทา ทาย นกั เรยี นควรรู ครใู หน ักเรยี นจับสลากเลอื กหัวขอหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา เชน 1 ตัณหา แบงออกเปน 3 ประเภท ไดแ ก กามตณั หา คอื ความอยากหรอื ยนิ ดี อธปิ ไตย 3 อริยสจั 4 พรหมวหิ าร 4 สงั คหวัตถุ 4 สาราณียธรรม 6 ในกามคุณ 5 อยา ง คอื รปู รส กลนิ่ เสียง โผฏฐพั พะ (สงิ่ ทีก่ ายสมั ผสั ) ภวตัณหา อบายมุข 6 โพชฌงค 7 อริยทรพั ย 7 โลกธรรม 8 เปนตน แลวใหออกมา คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อไดส งิ่ น้นั มาแลว ไมตองการใหม ันเปล่ียนแปลง อธบิ ายพอสงั เขป โดยใชหลกั การการเผยแผพ ระพุทธศาสนาทีถ่ กู ตองและ วภิ วตณั หา คอื ความไมอ ยากทางจติ ความอยากดบั สญู ดว ยเหตนุ ้ี ชาวพทุ ธจงึ ควร เหมาะสม เจริญมรรค 8 หรือหนทางแหง ความดับทกุ ขตามหลกั อรยิ สจั 4 เพื่อละตัณหา 3 ประเภทน้ี 2 ธรรมฉนั ทะ คือ ความอยากในทางสรา งสรรคตามวถิ ชี าวพุทธ 3 อนาจาร คาํ วา “อนาจาร” ในที่นจ้ี ะแตกตา งจากความหมายทางโลก ซ่งึ แปล วา พฤตกิ รรมหรอื กริ ยิ าอาการทแ่ี สดงถงึ ความนา รงั เกยี จและนา อบั อายของบคุ คลใด บุคคลหนึง่ แตคําวา “อนาจาร” ของพระภิกษุ คอื การประพฤติไมดีและไมควร 4 อรยิ ะ หมายถงึ เจริญ ประเสริฐ บุคคลผูบรรลธุ รรมวเิ ศษ คมู อื ครู 105
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครถู ามนกั เรียนวา พระภิกษุมหี นา้ ทีท่ จี่ ะท�าให้ช1าวบ้านเหน็ วา่ การมีชีวติ ตามท่พี ระพทุ ธองค์ทรงสอนนนั้ • นักเรยี นเคยมีบทบาทในการเผยแผพ ระธรรม เตป้อน็ งไมปีชไีวดิต้ หเรลียกั บคง�า่าสยอนพนึ่งนั้ เเพป3ียน็ งนปาัจมจธัยรรม๔2กเาลร้ียปงฏชบิ ีพัตนิ ไน้ัมเ่สหะ็นสไมดท้เปร็นัพรยปู ์สธินรเรงมินทพอระงภกิไมษ่ยุนึด้ันตอิดยใา่ นงนลา้อภย สกั การะ มเี มตตา ไม่พยาบาท ไม่คดิ รา้ ยตอ่ ผู้อ่นื เป็นต้น คําสอนหรือไม และนักเรยี นเคยแสดงตนหรือ เขารวมพธิ กี รรมท่ีแสดงใหเ หน็ วาตนเองเปน ชาวพุทธทแ่ี ทจรงิ หรอื ไม อยา งไรบาง สาํ รวจคน หา Explore พระภกิ ษทุ ป่ี ฏบิ ตั ดิ ี และปฏบิ ตั ชิ อบ อาจเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไดด้ โี ดยไมต่ อ้ งสอน 1. ครูใหน ักเรยี นคนหาขอมูลเกีย่ วกับวิธกี ารมี หลักธรรมดว้ ยวาจาเลยก็ได้ สว นรวมในการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา และ การเขา รวมกิจกรรมหรือพิธกี รรมตา งๆ 1.2 ก ารฝก บทบาทของตน ทางพระพุทธศาสนา จากแหลงการเรยี นรูตางๆ ในการช่วยเผยแผ่ เชน หอ งสมดุ อินเทอรเ น็ต เปนตน พระพทุ ธศาสนา 2. ครูใหนักเรียนศึกษาและดภู าพประกอบจาก พระสงฆ์มีบทบาทหน้าท่ีโดยตรงในการ หนังสือเรยี นหนา 106-114 เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา สว่ นชาวบา้ นทว่ั ไปหรอื แมแ้ ตต่ วั นกั เรยี นเองกม็ ภี ารกจิ ทางโลกทต่ี อ้ งทา� อาจไม่มีเวลาหรือความรู้มากพอที่จะเผยแผ่ อธบิ ายความรู Explain หนา้ ทส่ี าำ คญั ประการหนง่ึ ของพระสงฆ์ คอื การประพฤตติ น แตห่ ากมโี อกาสเหมาะสมในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เป็นแบบอยา่ งท่ีดีแกพ่ ุทธศาสนิกชน 1. ครูใหน กั เรยี นสํารวจตัวเองวา นกั เรยี นสามารถ ก็ควรท�าหนา้ ทนี่ เี้ ทา่ ท่สี ามารถจะท�าได้ ดงั นี้ ชวยในการเผยแผพระพุทธศาสนาได ๑) การบรรยายธรรม เมื่อได้ยินค�าว่าบรรยาย คนท่ัวไปอาจนึกถึงห้องใหญ่ๆ อยา งไรบา ง และนาํ ประเดน็ คําถามน้ีมา บรรจุคนได้เป็นร้อยหรือพัน แล้วก็มีคนที่อยู่บนเวทีบรรยาย แต่จริงๆ แล้ว การบรรยายอาจมี อภปิ รายในช้นั เรยี น คนฟังไม่ถึงสิบคนก็ได้ ห้องก็อาจไม่ใหญ่โต อาจไม่มีเวที มีแต่เพียงโต๊ะและเก้าอ้ีธรรมดา และ การบรรยายก็เป็นแค่เพียงการฝึกบรรยายเท่านั้น เพราะนักเรียนยังขาดความรู้และประสบการณ์ 2. ครใู หนกั เรียนศึกษาการใหทานประเภทตา งๆ คงไปบรรยายเตม็ รปู แบบไมไ่ ด้ หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาบางเรอ่ื งกล็ กึ ซง้ึ เขา้ ใจยาก มแี งม่ มุ และวเิ คราะหค าํ กลา วทวี่ า “การใหธ รรมเปน ทาน ในการมองหลายด้าน ผ้ทู ี่มคี วามรู้ไม่พออาจอธบิ ายผิดและท�าให้คนอน่ื เข้าใจผิดได้ ชนะการใหท ้ังปวง” นักเรยี นเห็นดวยกบั ในการบรรยายเพื่อเผยแผพ่ ระศาสนาน้ัน มีข้อควรคา� นึง ดังน้ี คาํ กลา วนหี้ รอื ไม เพราะเหตใุ ด ๑. อยา่ ดหู มนิ่ ศาสนาอื่น ไม่ว่าโดยตรงหรอื โดยอ้อม ศาสนานนั้ เป็นที่สักการบชู า ของศาสนกิ ชนในศาสนานั้นๆ เราควรให้เกียรติและเคารพซ่งึ กนั และกนั 3. ครนู ําสนทนาเร่อื งการบรรยายธรรม และตัง้ ๒. ตอ้ งดกู าลเทศะทเ่ี หมาะสม ไมบ่ รรยายหรอื อธบิ ายพรา่� เพรอ่ื ไปในงานพธิ กี รรม คาํ ถามวา ของศาสนาอ่นื ไมค่ วรพูดถงึ แตศ่ าสนาของตน เปน็ ต้น • การบรรยายธรรมทถี่ ูกตอ งควรคาํ นงึ ถึง ๓. ในการบรรยาย เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนาอื่น ควรแยกให้ออกว่าอะไรเป็น เรือ่ งใดบาง เพราะเหตใุ ด ข้อเท็จจรงิ อะไรเปน็ ความเห็น ผทู้ ี่รู้น้อยควรหลกี เลี่ยงการเปรียบเทียบ (แนวตอบ อยา ดหู มนิ่ และเปรยี บเทยี บกบั ศาสนา อน่ื เพราะศาสนานนั้ เปน ทเ่ี คารพบชู าของกลมุ คน 106 ทน่ี บั ถอื ศาสนานนั้ จงึ ควรใหเ กยี รตซิ งึ่ กนั และกนั รวมถึงดกู าลเทศะท่เี หมาะสม ไมพูดบรรยาย พร่าํ เพรอื่ ถกู สถานท่ี และถกู เวลา) นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET 1 นามธรรม หมายถงึ สง่ิ ทไ่ี มม ีรปู เพราะรไู มไดทางตา หู จมกู ลน้ิ กาย ขอใดกลาวถงึ หลักปฏิบัตใิ นการบรรยายธรรมไม ถกู ตอง แตรไู ดเฉพาะทางใจเทาน้นั มักใชคกู บั รูปธรรม 1. พาดพงิ ศาสนาอื่นเทาทจ่ี าํ เปน 2 ปจ จัย 4 ของพระภิกษุเรียกวา “จตุปจ จัย” เหมอื นกับปจจัย 4 ของฆราวาส 2. มงุ ประโยชนข องผูฟงเปน ท่ตี ัง้ ไดแ ก จีวร (เครอ่ื งนุงหม) บิณฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ท่ีอยอู าศยั ) และคลิ าน 3. บรรยายไปตามลําดบั ความยากงา ย เภสัช (ยารักษาโรค) 4. ขยายความดวยเหตผุ ลและยกตัวอยา งประกอบ 3 ไมพ ยาบาท หรืออพยาบาท คือ ความไมพยาบาทปองรายเขา การแผเมตตา ใหผูอ ื่นมคี วามสขุ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะหลักปฏบิ ัตใิ นการบรรยายธรรม คือ ไมค วรดหู มิน่ ไมว า ทางตรงหรือทางออม หรือกลา วเปรยี บเทียบกับศาสนาอน่ื เพราะเปนการไมใ หเกยี รติและไมคาํ นงึ ถงึ ศาสนสมั พันธกบั บคุ คลตา งศาสนา ซ่งึ เราควรเขา ใจหลกั ศาสนาอ่ืนๆ เพอื่ การอยูรว มกนั อยางสงบสุข 106 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๒) การจัดนิทรรศการ1 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นักเรียนหรือคนทั่วไป 1. ครใู หนกั เรียนชว ยกนั ตอบคาํ ถามวา นักเรยี น เคยเห็นการจดั นทิ รรศการเผยแผพระพทุ ธ- อาจท�าได้อีกวิธีหนึ่ง คือ การจัดนิทรรศการ การเผยแพร่ความรู้โดยการแสดงธรรม การแสดง ศาสนาทใี่ ดบาง และชว งเวลาใด ปาฐกถาธรรม หรือการบรรยายธรรมน้ันใช้ค�าพูดหรือเสียงเป็นสื่อ ซึ่งก็เป็นวิธีธรรมชาติท่ีดี (แนวตอบ วัด สนามหลวง โรงเรียน พิพธิ ภัณฑ วิธีหนึ่ง แต่ถ้าใช้อวัยวะอ่ืนรับรู้ด้วยก็จะดียิ่งข้ึน การรับรู้ด้วยหูเพียงอย่างเดียวอาจจ�าได้ไม่นาน ในชวงวันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา) แต่ถ้าเห็นด้วยตาด้วย คนเราก็จะเข้าใจชัดขึ้นและจ�าได้ดีข้ึน การจัดนิทรรศการมีการใช้รูปภาพ ประกอบเป็นสือ่ ทเี่ พมิ่ เขา้ มาอกี อย่างหน่งึ น่าจะเพิ่มประสทิ ธิภาพในการเผยแผศ่ าสนาได้มากขึ้น 2. ครตู ั้งคําถามใหนกั เรยี นชวยกันตอบวา • การจดั นิทรรศการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา สิ่งที่น�ามาแสดงในการจัดนิทรรศการเพ่ือเผยแผ่พระพุทธศาสนาอาจมีท้ังหนังสือ ทดี่ ีและดึงดูดความสนใจ ควรจัดอยางไร บทความ ภาพถ่าย โปสเตอร์ ในงานนิทรรศการอาจมบี รกิ ารถามตอบในเรอื่ งของพระพทุ ธศาสนา (แนวตอบ เชน ใชรูปภาพเปนสอ่ื ประกอบ ดว้ ยกไ็ ด้ ปจั จบุ นั คนทว่ั ไปตอ้ งใชเ้ วลาในการทา� มาหากนิ มาก ไมม่ เี วลาอา่ นหนงั สอื หรอื เดนิ ทางไป บรกิ ารถามตอบในเรอื่ งพระพทุ ธศาสนา แจก ฟงั ธรรม การจดั นทิ รรศการจะชว่ ยใหค้ นเหลา่ นี้ใชเ้ วลานอ้ ยแตไ่ ดร้ บั รเู้ นอื้ หามาก อนงึ่ นทิ รรศการ แผน พบั หนงั สือ ของท่รี ะลกึ ฉายวีดิทศั น สามารถดงึ ดดู คนไดม้ ากกวา่ การบรรยายหรอื การแสดงปาฐกถา หรอื ถา้ มกี ารจดั นทิ รรศการประกอบ ทํากจิ กรรมตอบคาํ ถาม เปน ตน) กับการบรรยาย หรือการแสดงปาฐกถาก็ยิง่ ดี 3. ครูใหนกั เรียนเขารว มนทิ รรศการหรอื ฟง การ การจัดนิทรรศการมีส่วนดีหลายอย่าง แต่ก็มีจุดอ่อน การท่ีจะให้คนเข้าใจหลักธรรม บรรยายธรรมเน่อื งในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธ- ทคี่ อ่ นขา้ งยากและลกึ ซงึ้ โดยการจดั นทิ รรศการนนั้ เปน็ ไปไดย้ าก เพราะเรอื่ งเหลา่ นต้ี อ้ งใชค้ วามคดิ ศาสนา และบนั ทึกความรูพอสังเขป ต้องอา่ น ฟัง หรือสนทนากันอยา่ งเป็นกิจจะลกั ษณะ แต่ถา้ เปน็ เร่อื งที่ไม่ใช้ความคิดมากนกั หรือ เป็นเรอื่ งรปู ธรรม เชน่ พทุ ธประวตั ิ เหตุการณส์ า� คญั ในพระพุทธศาสนา การจดั นิทรรศการจะได้ 4. ครใู หนกั เรียนทํากิจกรรมที่ 5.1 จากแบบวดั ฯ ผลมากกว่า นอกจากน้ัน การจัดนิทรรศการอาจช่วยให้ผู้ท่ีรู้จักพระพุทธศาสนาน้อยมากหรือ พระพทุ ธศาสนา ม.2 ไม่ร้เู ลยมาสนใจและอยากรูจ้ กั พระพทุ ธศาสนา เกิดความสนใจในพระพทุ ธศาสนามากขึน้ ได้ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ พระพุทธศาสนา ม.2 กิจกรรมท่ี 5.1 หนว ยที่ 5 หนาท่ีชาวพทุ ธและมารยาทชาวพุทธ กิจกรรมตามตวั ชว้ี ดั กจิ กรรมท่ี ๕.๑ ใหนักเรียนศึกษาหนาท่ีชาวพุทธแลววงกลมหนาคํา คะแนนเตม็ คะแนนที่ได หรอื ขอ ความที่ไมม คี วามสมั พนั ธก บั ขอ ความดา นซา ยมอื ñð (ส ๑.๒ ม.๒/๑) ๑. หนา ทีส่ าํ คญั ก. ศึกษาคาํ สอน ข. แสดงธรรม- ค. แสดงปาฏิหาริย ง. ประพฤติตน ของพระภิกษุ ของพระพทุ ธเจา เทศนา เปนแบบอยาง ๒. แสดงธรรม ก. อาราธนาศลี ข. อาราธนาธรรม ค. อาราธนา ง. เทศนป ุจฉา- พระรัตนตรยั วิสัชนา ๓. ปาฐกถาธรรม ก. เทศนเ ดย่ี ว ข. เผยแผห ลกั ธรรม ค. ใชภาษาธรรมดา ง. ไมส อน ใหก วา งขวางใน ทีส่ ่อื ความหมาย นอกเหนอื หมูชน ไดง าย คาํ สอนของ พระพุทธเจา ๔. เผยแผ ก. เปน หนาท่ี ข. รแู ละเขา ใจ ค. ปฏบิ ตั ติ าม ง. ตอ งจําหลัก พระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ี หลักธรรม หลักธรรม คําสอนไดอ ยา ง ถูกตอง คําสอนได แมน ยําทส่ี ุด ๕. บรรยายธรรม ก. ตอ งมีคนฟง ข. ไมดหู มิ่น ค. ไมบ รรยายธรรม ง. หลกี เลี่ยง อยา งนอ ย ๑๐ คน ศาสนาอื่น พรา่ํ เพร่ือไปในงาน การเปรยี บเทยี บ ข้นึ ไป ไมว าโดยตรง พธิ กี รรมของศาสนา กับศาสนาอนื่ เฉฉบลบั ย หรอื ออม อนื่ ๖. จดั นิทรรศการ ก. การเผยแผค วามรู ข. มบี รกิ ารถาม ค. ใชร ปู ภาพและหนุ ง. คน คดิ การ โดยการแสดงธรรม ตอบในเร่อื งของ ประกอบแทนคาํ พดู เผยแผศาสนาที่ พระพทุ ธศาสนา แปลกใหมไ มซ า้ํ แบบใคร ๗. ทิศ ๖ ก. พอ แม ข. สามี ภรรยา ลูก ค. เหนอื ใต ตะวนั ออก ง. ลูกจา ง นายจาง ครูอาจารย ตะวันตก อสี าน เพอื่ นรว มทกุ ข กลาง รว มสขุ การจดั นทิ รรศการทางพระพทุ ธศาสนา โดยใชร้ ปู ภาพและหนุ่ จาำ ลองประกอบ จะชว่ ยดงึ ดดู ความสนใจ และสรา้ งความเขา้ ใจ ใหแ้ ก่ผเู้ ยยี่ มชมมากยิ่งขึ้น ๘. หลักเกณฑการ ก. มคี วามภาคภมู ิใจ ข. ถกู ตอ งตาม ค. ประหยัดและคาํ นึง ง. มคี วามเหมาะสม เขารวมพธิ กี รรม หลักทาง ถงึ ประโยชน กับธรรมเนียม 107 ทางพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนา ประเพณี ๙. แสดงตนเปน ก. ประกาศตนวา เปน ข. เกิดขึ้นในสมัย ค. อบุ าสกผปู ฏญิ านตน ง. อบุ าสกิ าท่เี ปน พทุ ธมามกะ ผยู อมรบั นบั ถือ พุทธกาลในวินัย เปน พุทธมามกะ พทุ ธมามกะ พระพทุ ธเจา ปฎกมหาวรรค คนแรกคอื พระยสะ คแู รก คอื มารดา เลม ๔ และภรรยาเกา ของพระยสะ ๑๐. หนาท่ขี อง ก. ศกึ ษาความรู ข. ปฏบิ ตั ิตามหลกั - ค. ชกั ชวนใหบุคคล ง. ปกปอ ง ชาวพุทธ เกย่ี วกบั หลกั ธรรม ธรรมและประเพณี ที่อยูใกลเคียงใหม า พระพุทธศานา คาํ สอนของ พิธกี รรมทาง สนใจนบั ถอื ไมใหเสอื่ มหรอื พระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนา ถูกทาํ ลาย ๔๓ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกร็ดแนะครู ในฐานะทนี่ กั เรยี นเปนคนไทยสามารถมสี ว นชว ยสบื ทอดพระพทุ ธศาสนาได ครคู วรจัดกิจกรรมโดยพานกั เรียนไปดูนทิ รรศการหรอื ฟง การบรรยายธรรม อยา งไร เน่ืองในวันสาํ คัญทางพระพุทธศาสนา เชน วนั มาฆบชู า วันวิสาขบชู า วันอาสาฬหบูชา วนั เขา พรรษา วันออกพรรษา เปน ตน 1. บวชเณรหรือบวชชีพราหมณ 2. เปนอาสาสมคั รออกเผยแผพ ระพุทธศาสนา นักเรยี นควรรู 3. พิมพเผยแผตาํ ราทางพระพทุ ธศาสนาใหหลากหลายภาษา 4. ศกึ ษาคําสอนทางพระพทุ ธศาสนาใหถ อ งแทแ ละนาํ ไปปฏิบัติเพอื่ เปน แบบอยา งแกผอู น่ื วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ศกึ ษาคาํ สอนของพระพุทธเจาเพอ่ื นําไปเปน 1 นทิ รรศการ (Exhibition) คอื การจดั กจิ กรรมตางๆ เพื่อนําเสนอขอมลู วดี ทิ ัศน ภาพ และเสียง โดยมีกาํ หนดการ หลักการและเหตผุ ล วตั ถุประสงค แบบอยา งแกผอู ืน่ หรือเผยแผเ ปนธรรมทาน โดยสอนใหผูอน่ื ปฏิบตั ิตาม และหนว ยงานทร่ี ับผิดชอบแนน อน เพอ่ื สรา งความเขาใจแกผ ทู สี่ นใจ คําสอนของพระพทุ ธเจา ซง่ึ เปน วิธหี น่ึงทจี่ ะชว ยสืบทอดพระพทุ ธศาสนา ใหคนทว่ั ไปตระหนกั และเขาใจพระธรรมคาํ สอนมากยงิ่ ข้นึ การจัดนิทรรศการทางพระพุทธศาสนาเปนการนําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกบั พทุ ธประวตั ิ หลักธรรมคําสอน วันสําคัญตางๆ การปฏบิ ตั ติ นของชาวพทุ ธ เปน ตน คูมือครู 107
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครใู หนักเรยี นศกึ ษาและชวยกันสรปุ หลักธรรม 1.3 การเปน็ ลกู ที่ดตี ามหลกั ทิศ 6 (ทศิ เบ้ืองหนา้ ) ทิศ 6 ในรูปแบบของผังความคิด โดยสมุ ตัวแทนนกั เรยี นออกมาเขียนบนกระดาน ค�าว่า “ทิศ” ในทางพระพุทธศาสนา เป็นนัยเปรียบเทียบถึงบุคคลประเภทต่างๆ ที่สัมพันธ์ หนาชั้น เกยี่ วข้องในสังคม มไิ ด้หมายถึง ทศิ ทางด้านภมู ิศาสตร์ “ทศิ ๖1” ถือเปน็ หลักธรรมทีจ่ ะกอ่ ให้เกิด ความสมานฉนั ท์ และการเกอ้ื กลู กนั ระหวา่ งบคุ คล 2. ครทู บทวนความรเู กย่ี วกับทิศ 6 วา ในชนั้ ม.1 ตา่ งๆ เพอ่ื จะไดเ้ ปน็ บตุ รธดิ าและเปน็ บดิ ามารดา นักเรยี นเคยเรยี นหลกั ธรรมทิศ 6 เกี่ยวกับ ท่ีดี เป็นศิษย์และเป็นครูอาจารย์ท่ีดี เป็นมิตร การปฏบิ ตั ติ นอยางเหมาะสมตอ เพ่ือนตามหลกั สหายท่ีดี เปน็ สามีและภรรยาทด่ี ี เป็นนายจา้ ง พระพุทธศาสนา จากนั้นครูตัง้ คําถามเกยี่ วกบั และลูกจ้างที่ดี และเป็นพุทธศาสนกิ ชนทดี่ ี ทิศเบอื้ งหนา ไดแก บิดามารดา วา ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะทิศเบ้ืองหน้า • ทศิ เบ้อื งหนา มคี วามสําคัญกบั ชวี ิตของ ซึง่ มสี าระสา� คญั ดังน้ี นักเรียนอยางไร ทิศเบ้ืองหน้า (ปุรัตถิมทิศหรือทิศตะวัน (แนวตอบ ทิศเบ้อื งหนา ไดแก บิดามารดา ออก) ไดแ้ ก่ บิดามารดา ซง่ึ ถอื ว่าท่านทัง้ สอง คอื ผใู หกําเนิดชวี ิต ผอู บรมสั่งสอน ผูให เป็นผู้ที่มีอุปการคุณแก่เราอย่างสูงท่ีสุด ท่าน คําปรกึ ษา ใหการศกึ ษา เล้ียงดบู ตุ ร และมอบ เป็นบุรพเทพ คือ เป็นเทวดาองค์แรกของลูก ทรัพยส มบตั เิ มื่อถึงเวลาอันควร เพราะฉะน้นั และเป็นบุรพาจารย์ คือ เป็นอาจารย์คนแรก บิดามารดาจึงเปน ทพ่ี ึ่งสูงสุด) บิดามารดาพึงหาคคู่ รองทีเ่ หมาะสมใหแ้ ก่บตุ ร ของลูก • ตามหลักทศิ 6 นักเรยี นสมควรปฏบิ ตั ติ นตอ บิดามารดาอยา งไร ตารางแสดงการปฏิบัติตนเพื่อเปน็ ลูกทด่ี ีตามหลักทศิ ๖ (แนวตอบ กตัญกู ตเวที เช่ือฟง ทาน เล้ยี งดู ทานตอบ ชวยทําธรุ ะ ประพฤตติ นให บิดามารดาปฏิบตั ติ ่อบุตรธิดา บุตรธดิ าปฏิบตั ติ อ่ บดิ ามารดา เหมาะสม ทาํ ใหบ ดิ ามารดาภูมิใจ) บดิ ามารดายอ่ มจะอนเุ คราะหแ์ ละสงเคราะหบ์ ตุ รธดิ า บุตรธิดาก็สมควรปฏิบัติตนต่อบิดามารดาด้วยสถาน 3. ครูยกคาํ กลอนทว่ี า “เมื่อแกเฒาหมายเจาชว ย ด้วยสถาน ๕ ดงั นี้ ๕ ดงั นี้ รบั ใช เมื่อเจบ็ ไขหมายเจาเฝารักษา เม่ือยาม ๑. หา้ มปรามมิใหท้ �าช่วั ๑. ท่านเลย้ี งดเู ราแลว้ เราตอ้ งเล้ียงดู ถงึ วนั ตายวายชวี า หวงั ลูกชวยปดตาเมือ่ ส้นิ ใจ” ๒. อบรมใหต้ ั้งอยู่ในความดี ท่านตอบ ใหนกั เรียนบรรยายความรูสกึ ของตนเองตาม ๓. ใหก้ ารศึกษาเลา่ เรยี น ๒. ชว่ ยท�าธุระของท่าน ความหมายของบทกลอนนี้ ๔. หาคู่ครองที่เหมาะสมให้ ๓. ดา� รงวงศส์ กลุ ๕. มอบทรัพยส์ มบัติให้เมื่อถงึ โอกาสอนั ควร ๔. ประพฤติตนให้เหมาะสมกบั ความเป็น 4. ครใู หน กั เรยี นวเิ คราะหค าํ กลา วทวี่ า “บดิ ามารดา ทายาท พงึ หาคคู รองที่เหมาะสมใหแ กบ ุตร” นักเรียน ๕. เม่ือทา่ นล่วงลบั ไปแล้ว ทา� บุญอทุ ศิ เหน็ ดว ยกับคาํ กลา วนี้หรือไม เพราะเหตุใด ส่วนกศุ ลใหท้ า่ น 108 นักเรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ทศิ 6 หมายถงึ บุคคลตางๆ ทีม่ คี วามเกีย่ วของสัมพันธก ันและมีหนา ที่ทพ่ี งึ ครมู อบหมายใหนักเรยี นสาํ รวจตนเอง วา เคยทําใหบ ิดามารดาเสียใจ ปฏิบัติตอ กัน ดงั นี้ หรอื โกรธเรอ่ื งใด แลว เขยี นลงกระดาษ A4 พรอ มท้ังบอกถึงวธิ ีการแกไข ปรับปรงุ พฤตกิ รรมนั้นๆ ดว ย สงครูผสู อน • ทิศเบอ้ื งหนา ไดแ ก บดิ ามารดา หมายถงึ หนาท่ีของบดิ ามารดาและบตุ ร ท่พี งึ ปฏบิ ัตติ อกัน กิจกรรมทาทาย • ทศิ เบื้องหลงั ไดแ ก สามีภรรยา หมายถึง หนาท่ีของสามแี ละภรรยา ครูมอบหมายใหนกั เรียนเขยี นเรียงความ 1 หนากระดาษ หวั ขอ ทพ่ี ึงปฏิบตั ิตอกนั “พระคณุ ของบดิ ามารดาและการปฏบิ ตั ิตนทีเ่ หมาะสม” โดยใหน ักเรียน เขียนบรรยายถึงบิดามารดาหรือบุคคลทน่ี กั เรียนเคารพรักและการตอบแทน • ทศิ เบอ้ื งขวา ไดแ ก ครอู าจารย หมายถึง หนา ทีข่ องครอู าจารยแ ละ พระคุณของทาน แลว นําสง ครผู สู อน ลูกศิษยท พี่ งึ ปฏบิ ตั ิตอ กัน • ทิศเบอ้ื งซาย ไดแ ก เพื่อน หมายถึง หนา ที่ของเพอื่ นที่พึงปฏบิ ตั ติ อ กนั • ทิศเบ้ืองบน ไดแก พระสงฆ หมายถงึ หนาทีข่ องพระสงฆและฆราวาส ทพ่ี งึ ปฏบิ ัติตอ กัน • ทศิ เบื้องลาง ไดแ ก ผูใตบงั คบั บญั ชา หมายถงึ หนาท่ขี องคนรบั ใชและ ผบู งั คับบญั ชาทีพ่ ึงปฏิบัติตอกนั 108 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๑.๔ การเข้าคา่ ยคณุ ธรรม1 1. ครใู หนักเรยี นทาํ แผน กระดานขาวคา ย สภาพสังคมในปจั จุบนั เตม็ ไปดว้ ยปญั หาต่างๆ มากมาย ทง้ั ปัญหาแหลง่ เสื่อมโทรม ปญั หา คุณธรรม แลวใหน กั เรียนแตละคนหรือผูทมี่ ี โสเภณี ปัญหาแรงงาน ปัญหาเยาวชน ปัญหาเศรษฐกจิ ปญั หาสภาวะแวดลอ้ มเปน็ พษิ ปญั หา ประสบการณและเคยเขาคา ยคณุ ธรรมมาแลว ความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง ปัญหา เขียนแสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกับส่ิงทไ่ี ดจ าก อาชญากรรม ปัญหายาเสพตดิ ซึง่ ปญั หาต่างๆ การไปเขา รว ม แลวนําไปตดิ บนกระดานขา ว เหล่าน้ีล้วนเกดิ จากความเหน็ แก่ตวั การเอารัด เอาเปรียบ การขาดคณุ ธรรม ซึ่งสง่ ผลให้สังคม 2. ครูใหน ักเรียนเขา รวมโครงการปฏบิ ตั ิธรรม เส่อื มโทรม ไม่สงบสขุ ระยะส้นั หรอื เขาคายพุทธบุตรทีท่ างโรงเรยี น การแก้ปญั หาทางหน่ึง กค็ ือ การปลูกฝัง จัดข้ึน แลวทาํ บันทึกการเขารว มกจิ กรรม คุณธรรม จริยธรรม ให้แกเ่ ดก็ หรอื เยาวชนซง่ึ นาํ สง ครูผูสอน เปน็ วยั รนุ่ ทก่ี า� ลงั สดใส ตืน่ ตัว เต็มไปด้วยพลัง ทางกาย พลงั ทางความคดิ และพลงั สตปิ ัญญา 3. ครเู กรน่ิ นําถงึ การเขาคา ยคุณธรรม และตงั้ ถ้าเยาวชนเหล่าน้ีได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธ ี คําถามวา อย่างมีระบบแบบแผน เยาวชนก็จะเป็นก�าลัง • การเขา คา ยคณุ ธรรม มีประโยชนใน ส�าคัญในการพัฒนาชาติ แต่ในขณะเดียวกัน การพฒั นาคณุ ธรรมของเยาวชนอยางไร หากเยาวชนไดร้ บั การพฒั นาไมถ่ กู วธิ ี ขาดระบบ การเข้าค่ายคุณธรรมเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม (แนวตอบ การเขา คา ยคุณธรรม คอื การ แบบแผนทีด่ ีพอ เยาวชนกจ็ ะเป็นปญั หาสา� คญั ให้แกเ่ ยาวชน เพ่อื ใหเ้ ตบิ โตเปน็ ผใู้ หญ่ที่มคี ุณภาพ ปลูกฝง คุณธรรมและจรยิ ธรรมใหเ ยาวชน ซงึ่ เปน วัยท่ีเตม็ ไปดว ยพลังแหง ความคดิ ของชาติเช่นเดียวกัน ดงั น้นั จึงจ�าเป็นทจี่ ะต้องหาวธิ กี ารเพือ่ ให้เยาวชนเข้าใจบทบาทของตนเอง และการสรางสรรคส ิง่ ใหมๆ ตลอดเวลา มจี ติ สา� นกึ รบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและสงั คม โดยการจดั กจิ กรรมทมี่ งุ่ เนน้ การปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม โดยการรับรูข าวสารภายนอกท่เี ขามาอยาง ใหเ้ ยาวชนรู้จักน�าหลักธรรมไปใช้ในการด�ารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม เช่น กิจกรรมกตัญญูกตเวท ี ไมหยุดยงั้ ดว ยเหตนุ ี้ การเขาคายคุณธรรม กจิ กรรมอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมไทย กจิ กรรมสรา้ งสายสมั พนั ธ ์ กจิ กรรมสรา้ งความสามคั ค ี เปน็ ตน้ จงึ ชวยใหความคิดของวยั รนุ เกดิ ความ แข็งแกรง ทางคณุ ธรรม มสี ามัญสํานึกตั้งแต ๑.๕ การเขา้ ร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา วยั รุน มีจติ สาํ นกึ รบั ผิดชอบตอ ตนเองและ สังคม อนั จะเปนรากฐานของการเตบิ โต พธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ ระเบียบปฏิบตั เิ ก่ยี วกบั ศาสนาหรอื ลัทธปิ ระเพณที ี่ เปน ผใู หญทีม่ ีคณุ ภาพในอนาคต ซึง่ จะเปน กา� หนดขนึ้ เปน็ แบบอย่างส�าหรับใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนไดย้ ดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ เปน็ การแสดงออกถงึ ความเชือ่ กําลังทสี่ ําคัญในการพัฒนาประเทศชาติ ทางศาสนา ซึ่งกระท�าเพ่ือให้เกิดความอบอุ่นทางใจ ท�าให้การปฏิบัติศาสนกิจเป็นสิ่งส�าคัญและ สืบไป) มีความน่าเชอื่ ถอื นา่ ศรทั ธามากยง่ิ ข้ึน การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา จะต้องค�านึงถึงความเหมาะสมในหลายๆ ด้าน ตอ้ งรจู้ ุดมุ่งหมายแห่งการกระท�า ร้วู า่ ส่ิงใดมปี ระโยชน์ ส่งิ ใดไม่มปี ระโยชน์ และตอ้ งมีหลกั เกณฑ์ ในการจัด เพราะถ้าหากไม่รู้หลักเกณฑ์แล้ว อาจจะเป็นการบ่อนท�าลายพิธีกรรมนั้นๆ ทางอ้อม ดว้ ยความรเู้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ ๑09 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกร็ดแนะครู การเขา คา ยคุณธรรมมีวัตถปุ ระสงคเพือ่ อะไร ครอู ธิบายเพมิ่ เตมิ เกีย่ วกับการเขา รวมพิธกี รรมทางพระพทุ ธศาสนาวา ตอ ง 1. ใหเ ยาวชนมีความรใู นหลกั ธรรม ปฏบิ ัตติ ามหลักศาสนาอยางถูกตอ ง เพราะในปจจบุ ันมีการเสรมิ แตงจนผดิ หลักการ 2. ปลกู ฝง ใหเยาวชนเห็นความสําคัญของพระพทุ ธศาสนา เชน การทาํ พธิ ตี อ งมมี หรสพประกอบ การเชญิ คนใหญค นโตมาเปน ประธานจดุ ธปู เทยี น 3. เปดโอกาสใหเ ยาวชนเขาวัดฟงธรรม สนทนากบั พระสงฆ แตในความเปนจริงแลว ใหย ดึ หลักงายๆ โดยทําตามศาสนบัญญตั ทิ ่สี บื ตอ กนั มา 4. ใหเยาวชนรูจ กั นําหลักธรรมไปใชในการดํารงชีวติ ไดอยา งเหมาะสม เปนตน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะการเขา คายคณุ ธรรม คือ การจัด นกั เรียนควรรู กจิ กรรมท่ีมงุ เนน การปลูกฝง คุณธรรม จรยิ ธรรม เพื่อใหเยาวชนรจู ักนํา 1 คณุ ธรรม มาจาก คณุ +ธรรมะ หมายถงึ คณุ ความดที เี่ ปน ธรรมชาติ กอ ใหเ กิด หลกั ธรรมไปใชใ นการดาํ รงชวี ิตไดอ ยางเหมาะสม ซงึ่ จะทําใหมคี วามสขุ ประโยชนตอตนเองและสังคม ซ่ึงเปนพฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรม และประสบความสําเรจ็ ในชีวิต โดยกระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดป ระกาศนโยบายเรงรัดการปฏริ ูปการศกึ ษา โดยยึดหลัก คณุ ธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการ ไดแก ขยัน ประหยดั ซื่อสัตย มีวินยั สภุ าพ สะอาด สามัคคี และมีนา้ํ ใจ คูมอื ครู 109
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครใู หน กั เรยี นเขยี นเรยี งความหวั ขอ “การปฏบิ ตั ิ การประกอบพธิ กี รรมหรือการเข้ารว่ มพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา1ควรมีหลักเกณฑ์ ดังน้ี ตนทถี่ กู ตองในพธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนา” (๑) มีใจมนั่ หมายถงึ มจี ิตใจบรสิ ทุ ธิ์ และมคี วามแนว่ แน่ทจ่ี ะเขา้ ร่วมพิธีกรรมนนั้ ๆ มาคนละ 1 หนา กระดาษ แลว ครเู ลอื กเรยี งความ (๒) ถกู ต้องตามหลักทางพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ การเข้าร่วมพธิ ีกรรมต่างๆ จะตอ้ ง ของนกั เรยี น 5-6 คน มาอภิปรายรว มกันในชน้ั ยึดถือหลักเกณฑ์และระเบียบทางพระพุทธศาสนาเป็นส�าคัญ รวมทั้งควรรู้จุดมุ่งหมาย ข้ันตอน 2. ครใู หนักเรยี นชวยกันยกตวั อยางพธิ กี รรมทาง ตลอดจนรายละเอียดของพธิ กี รรมนัน้ ๆ พอสมควร เพื่อไม่ใหพ้ ิธีกรรมน้นั ๆ ลดความส�าคัญลงไป พระพุทธศาสนาท่นี ักเรยี นรูจ ัก โดยออกมา เขยี นบนกระดานหนา ชน้ั เรยี น จากนน้ั ครซู กั ถาม (๓) ประหยดั หมายถงึ การประหยดั ทรพั ยท์ ใ่ี ชใ้ นการจดั พธิ กี รรมหรอื เขา้ รว่ มพธิ กี รรม และอภปิ รายรว มกบั นกั เรยี นวา พธิ กี รรมเหลา นน้ั นั้นๆ รู้จกั พิจารณาวา่ สิ่งใดฟุม่ เฟอื ย สง่ิ ใดไม่ฟมุ่ เฟือย ควรพิจารณาอยา่ งรอบคอบ มกี ารวางแผน มีลักษณะการประกอบพิธอี ยางไร โดยยดึ หลักเกณฑท์ างพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางส�าคญั 3. ครกู ลา วถงึ การประกอบพธิ ีกรรมทาง (๔) คา� นึงถงึ ประโยชน์ หมายถงึ การพิจารณาวา่ การเขา้ รว่ มในพิธกี รรมนัน้ ๆ จะได้รับ พระพทุ ธศาสนา และตัง้ คําถามวา คุณประโยชน์อย่างใดบา้ ง เชน่ ช่วยลดความเหน็ แก่ตัว ทา� ใหจ้ ิตใจบรสิ ทุ ธ์ิ มีความเลอ่ื มใสศรทั ธา • ขอควรคาํ นงึ ในการประกอบพธิ กี รรมและ ในพระพทุ ธศาสนามากขนึ้ ถา้ ทา� โดยไมค่ า� นงึ ถงึ ประโยชน์ เหน็ เขาทา� กท็ า� บา้ ง ไมร่ จู้ ดุ มงุ่ หมายแลว้ การเขารวมพธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนา พิธกี รรมนัน้ กย็ ่อมปราศจากคณุ คา่ มอี ะไรบาง (แนวตอบ เชน มจี ิตใจท่แี นว แนและศรทั ธา (๕) มคี วามเหมาะสม หมายถงึ พธิ กี รรมนนั้ ไมข่ ดั ตอ่ ประเพณนี ยิ ม วฒั นธรรม ระเบยี บ ประกอบพิธีกรรมถูกตองตามหลักศาสนา กฎเกณฑ์ รวมถงึ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั อิ นั ดงี ามของสงั คม ตลอดจนไมส่ รา้ งความเดอื ดรอ้ นใหแ้ กผ่ อู้ น่ื คาํ นงึ ถงึ ประโยชนท ่จี ะไดรับ มคี วามประหยัด เหมาะสม โดยไมข ดั ตอ จารีตและประเพณี นยิ ม ไมสรา งความเดอื ดรอนใหแกผูอื่น เปน ตน ) การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาจะต้องกระทำาด้วยความตั้งใจ และปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ ทป่ี ฏิบตั สิ ืบต่อกนั มา 110 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บคุ คลใดตอไปนปี้ ฏิบตั ิถูกตอ งตามหลักเกณฑการเขา รวมพิธกี รรมทาง 1 พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา จากภาพหนา 110 เปนประเพณีทาํ บุญ พระพุทธศาสนามากท่ีสุด ตกั บาตร ซ่งึ จดั ข้ึนทวี่ ัดพระธาตพุ นมวรมหาวิหาร อําเภอธาตพุ นม จังหวดั 1. นทเี ชิญนายอําเภอมาเปน ประธานในพิธีทาํ บญุ ขึน้ บานใหม นครพนม ซง่ึ เปน ทปี่ ระดษิ ฐานของพระอรุ งั คธาตหุ รอื กระดกู สว นอกของพระพุทธเจา เพราะเปนคนมีชอ่ื เสยี ง 2. วารีจัดงานบวชของบุตรชาย โดยเนน ความหรูหรา เพ่อื ความมหี นา บรู ณาการอาเซียน มตี าในสงั คม 3. ชลธารสาํ รวมกาย วาจา ใจ และกลาวคาํ รับศีลตามพระสงฆข ณะ ครกู ลาวถงึ ประเพณที างพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว ซึง่ มีงานบญุ เดอื น 10 รว มพิธกี รรม เหมือนกับประเพณีทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยประเทศไทยเรียกวา 4. สาครเห็นเพื่อนบริจาคเงนิ จาํ นวนมากเพ่อื บรู ณปฏสิ ังขรณว ัด “วนั สารทไทย” ลาวเรยี กวา “บญุ ขา วสาก” ซง่ึ เปน หนงึ่ ในประเพณฮี ตี สบิ สอง ไดแ ก ก็ทาํ บาง เพราะกลัวนอ ยหนา เดอื นอา ย- บญุ เขา กรรม เดอื นย่ี - บญุ คณู ลาน เดอื นสาม - บญุ ขา วจี่ เดอื นส่ี - บญุ พระเวส วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการเขารว มพธิ กี รรมทางพระพุทธ- เดอื นหา -บญุ สงกรานต เดอื นหก-บญุ บงั้ ไฟ เดอื นเจด็ -บญุ ซาํ ฮะ เดอื นแปด-บญุ เขา พรรษา ศาสนา ตองคาํ นงึ ถึงหลักเกณฑต อไปนี้ ไดแ ก มใี จตัง้ มัน่ ถกู ตองตาม เดือนเกา - บุญขา วประดบั ดิน เดอื นสิบ - บญุ ขา วสาก เดือนสิบเอด็ - บุญออกพรรษา หลกั การ ประหยัด คํานึงถึงประโยชน และมีความเหมาะสม ดังนั้น เดือนสบิ สอง - บญุ กฐนิ จงึ ตอบขอ 3. สวนขออ่ืนๆ เปนการปฏบิ ัติทไ่ี มส มเหตสุ มผล 110 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain 1.6 การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ 1. ครูอธิบายถึงการแสดงตนเปนพุทธมามกะวา เปนการประกาศตนนับถือพระพทุ ธศาสนา พทุ ธมามกะ หมายถึง ผ้ถู ือพระพุทธเจา้ ว่าเป็นของเรา หรือผู้รับเอาพระพุทธเจา้ เป็นของตน และต้งั คาํ ถามวา ผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา • บทสวดมนตใ ดทีแ่ สดงตนวาผูส วดเปน ดงั นน้ั การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ กค็ อื การ พุทธมามกะ ประกาศตนว่าเป็นผู้ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า (แนวตอบ บทไตรสรณคมน ซ่ึงเปน บทสวด เป็นการแสดงให้ปรากฏว่าตนยอมรับนับถือ เกย่ี วกบั การถึงพระรตั นตรัยวาเปนทีพ่ ง่ึ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจ�าชีวิตของตน ทร่ี ะลกึ หรือการเปลง วาจาขอถงึ พระพทุ ธ ตามปกติแล้ว คนไทยส่วนใหญ่จะรับนับถือ พระธรรม พระสงฆวาเปน สรณะที่พง่ึ เพื่อ พระพุทธศาสนาตามอย่างบิดามารดา เม่ือ แสดงวาตนมีพระรตั นตรัยเปนท่รี ะลึกนึกถึง แจ้งทะเบียนส�ามะโนครัวในการเกดิ กม็ กั แจง้ วา่ และเปน ที่พง่ึ ตลอดไป และแสดงตนเปน ศาสนาพทุ ธ จงึ เปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนไปโดยปรยิ าย พทุ ธมามกะ เปน ผูเ คารพนบั ถือ หาได้มีจิตตั้งมั่นฝังใจอย่างแท้จริงไม่ ดังน้ัน พระพทุ ธศาสนา) เพื่อให้เกิดความซาบซ้ึงในพระพุทธศาสนา จึงน�ามาสู่การจัดกิจกรรมการแสดงตนเป็น 2. ครูใหนกั เรียนศึกษาวา เพราะเหตใุ ด พระบาท พุทธมามกะข้ึน เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนต้ังมั่น พธิ ีแสดงตนเปน็ พุทธมามกะของเยาวชน สมเดจ็ พระเจา อยูห วั รชั กาลท่ี 9 จงึ ทรงไดร บั ในความเป็นพุทธมามกะของตน ยกยอ งใหเปนแบบอยางของพทุ ธมามกะ และ พระองคท รงมคี ณุ ูปการตอ พระพทุ ธศาสนา ๑) ประวัติความเป็นมา การแสดงตนเป็นพุทธมามกะเกิดขึ้นต้ังแต่สมัยพุทธกาล อยา งไรบาง ยกตวั อยา งประกอบคาํ อธบิ าย ดงั มีปรากฏในวนิ ัยปฎิ กมหาวรรคเล่ม ๔ ซง่ึ สรุปโดยย่อ ดังนี้ 3. ครูซักถามนกั เรียนถงึ ประโยชนทไี่ ดรับจาก ยสกุลบุตรเป็นเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติมากมาย และได้รับการบ�ารุงบ�าเรออย่างเต็มที่ พธิ ีแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ (แนวตอบ เปนการแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ คืนวันหนึ่งเขาได้หลับก่อนบริวาร และตื่นข้ึนมาเห็นบริวารของตนหลับด้วยอาการต่างๆ บางคน หรือผนู บั ถือพระพุทธศาสนาอยา งแทจ ริง นอนผ้าหลุดลุ่ย บางคนนอนละเมอ น้�าลายไหล เม่ือยสะเห็นอาการต่างๆ เหล่านี้ จิตจึงต้ังอยู่ ไมเ ปนเพียงชาวพทุ ธตามบัตรประชาชน ทในี่นคีข่ วดั าขม้อเบงห่อื หนนอ”่ายแลเะขไาดจ้องึ อเปกลจาง่ อกุทเมาอืนงขไึน้ปใยนงั ขปณา่ อะิสนปิ้ันตวน่าม“ฤทค่าทนาผยเู้ จวรัน1ิญครทัน้ ่ีนรวีุ่ง่ ่นุเชวา้าพยหระนผอมู้ พี ทรา่ ะนภผาู้เคจเรจญิ า้ เปน การสญั ญาตอพระพทุ ธเจา วา เปน ผนู ับถอื เสด็จลุกข้ึนจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง ได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล จึงเสด็จลงจาก พระพุทธศาสนา ไดร ับศีลรบั พรจากพระสงฆ ท่ีจงกรมประทับนง่ั บนอาสนะท่ีเขาจัดไว้ ขณะน้นั ยสกุลบตุ รไดเ้ ปลง่ อทุ านข้นึ ว่า “ท่านผู้เจริญ ที่นี่ และไดบ ุญกศุ ล) วุ่นวายหนอ ท่านผู้เจริญ ท่ีน่ีขัดข้องหนอ” พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับยสกุลบุตรว่า “ยสะ ที่น่ีไม่วุ่นวาย ท่ีน่ีไม่ขัดข้อง มาเถิดยสะจงน่ังลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ” พระผู้มีพระภาคเจ้า ไดต้ รัสอนปุ พุ พิกถา คอื ทรงประกาศทานกถา สลี กถา สคั คกถา กามาทนี วกถา และเนกขมั มา‑ นิสงั สกถาไปตามล�าดบั ทา� ให้ยสกุลบุตรได้ดวงตาเหน็ ธรรมและขอบรรพชาอปุ สมบท 111 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู การประกาศตนวา จะปฏบิ ัติตามหลกั ธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา และ ครูใหนกั เรยี นดตู วั อยางคลปิ วดิ ีโอไดท่ี http://www.youtube.com โดยใช ขอยึดพระรตั นตรยั เปนท่พี ่ึง เปน พธิ ีกรรมของชาวพุทธในขอใด คาํ คนหาวา “การแสดงตนเปนพุทธมามกะ” จากน้ันครูควรนมิ นตพ ระอาจารยม า บรรยายธรรมเก่ยี วกบั ความสําคัญของการแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ แลวสาธิต 1. พธิ ีบรรพชาเปน สามเณร การแสดงตนเปน พุทธมามกะ 2. พิธีอุปสมบทเปน พระภิกษุ 3. พธิ แี สดงตนเปนพทุ ธมามกะ นกั เรยี นควรรู 4. พิธถี วายภัตตาหารแดพ ระพทุ ธเจา 1 ปา อิสปิ ตนมฤคทายวนั แปลวา ปาท่ใี หอภัยแกเ นอ้ื ซงึ่ เปนสถานที่ท่ี วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เน่อื งจากพิธีแสดงตนเปนพุทธมามกะ พระพุทธเจา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเปน ครัง้ แรกหรือปฐมเทศนา คือ ธัมมจกั กัปปวัตตนสูตร แกป ญ จวัคคีย อยูใกลเมอื งพาราณสี แควน กาสี คือ การประกาศตนวา เปน ผูย อมรับนบั ถือพระพทุ ธศาสนาเปน ศาสนา ปจจุบันคอื เมอื งสารนาถ อยูในรฐั อตุ ตรประเทศ ประเทศอินเดยี ประจําชีวติ ของตน และนอ มนําเอาหลักธรรมคาํ สอนมาประพฤตปิ ฏิบัติ เพ่ือใหเกดิ ความเปน มงคลแกการดาํ รงชีวติ คูมือครู 111
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครูใหน ักเรยี นอา นเรอื่ ง “ยสกุลบตุ ร” เกี่ยวกบั ครั้นรุ่งเช้า เศรษฐคี หบดีผบู้ ดิ าได้ส่งคนไปตามหายสะท้ัง ๔ ทิศ และตนเองไปยงั ปา่ การแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ และใหวเิ คราะห อเหสิ ็นปิ เตศนรมษฤฐคีคทหาบยดวีเนั ดินไดมพ้ าบแตรอ่ไกงเลทจา้ ึงททอรงงวบาันงอดยาู่ลจองึ ิทเดธนิ าไภปิสยังงั ขทาน่ี ร1น่ั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทอดพระเนตร วา เพราะเหตุใด บดิ า มารดา และภรรยาเกา ไม่ให้เศรษฐีคหบดีเห็นยสกุลบุตร ของยสกุลบุตร จึงเปน อุบาสกและอุบาสิกา ผนู้ งั่ อยทู่ นี่ น่ั เศรษฐคี หบดไี ปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ถงึ ทป่ี ระทบั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ “คหบดี ผูแสดงตนเปน พทุ ธมามกะคนแรกของโลก เจชึงิญถวทา่ายนอนภั่งวิ ลางทกพ่อรนะผเถูม้ ิดีพรบะภางาทคีทเจ่าา้ นแนลั่งว้ทน่ีนั่ง่ีแลณ้วจทะี่สพมึงคพวบรยพสรกะุลผบ้มู ุตีพรรนะั่งภอายคู่ทเจี่นา้ ี่กไ็ไดดต้ ้”รัสเอศนรษุปฐพุ ีคพหกิ บถดา2ี เช่นเดียวกัน เศรษฐีคหบดีได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรมและได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า 2. ครูนาํ สนทนาเรื่องพทุ ธมามกะ และต้ังคาํ ถามวา ดังน้ีว่า “พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม • เพราะเหตุใด การแสดงตนเปนพุทธมามกะ แจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่�า เปิดของท่ีปิด บอกทางแก่ จึงตอ งเปน ผถู ึงพระรตั นตรัย ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในท่มี ดื ด้วยตัง้ ใจว่า คแนลตะาพดรจี ะักสเงหฆ็น์เรปปู ็นพสรระณอะ3งคต์ผั้งู้เจแรติญ่วันขน้า้ีเพปร็นะตอ้นงคไ์นปี้ (แนวตอบ เพราะองคประกอบของพระพุทธ- ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรม ศาสนา คือ พระรตั นตรัยหรอื พระไตรรตั น จนตลอดชีวิต” เศรษฐีคหบดีน้ีจึงนับเป็นเตวาจิกอุบาสก (ผู้กล่าวถึงรัตนะท้ัง ๓ ว่าเป็นสรณะ) ประกอบดว ย พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ เปน็ คนแรกในโลก การแสดงตนเปนพทุ ธมามกะจงึ ตองเปน ผูที่ คร้ันเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังนิเวศน์ของเศรษฐีคหบดี มารดาและ ถงึ พระรตั นตรัยเปนสรณะหรือเปน ทพ่ี ่ึงสูงสดุ ) ภรรยาเก่าของท่านยสะพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงท่ีประทับ ได้ถวายอภิวาทพระผู้มี 3. ครูใหน ักเรียนทาํ กจิ กรรมท่ี 5.4 จากแบบวัดฯ พระพุทธศาสนา ม.2 ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝก ฯ พระภาคเจา้ แลว้ นั่ง ณ ทส่ี มควร พระผู้มพี ระภาคเจา้ ได้ตรัสอนปุ ุพพกิ ถาเชน่ เดยี วกนั มารดาและ พระพุทธศาสนา ม.2 กจิ กรรมที่ 5.4 ภรรยาเก่าของท่านพระยสะได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรม และได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า หนวยท่ี 5 หนา ทช่ี าวพุทธและมารยาทชาวพทุ ธ เชน่ เดียวกบั เศรษฐคี หบดี และกล่าวว่า “หมอ่ มฉันท้ังสองน้ี ขอถงึ พระผู้มีพระภาคเจา้ พร้อมทั้ง พระธรรมและพระสงฆ์ เปน็ สรณะของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงทรงจา� หมอ่ มฉนั ทงั้ สองวา่ เปน็ อบุ าสกิ า กิจกรรมท่ี ๕.๔ เขยี นเครื่องหมาย ✓ลงในชองวางหนา ขอ ความท่ถี ูกตอง คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด ผ้ถู งึ สรณะตง้ั แต่วนั น้ีเปน็ ตน้ ไปจนตลอดชีวติ ” และเครอ่ื งหมาย ✗ ลงในชอ งวา งหนา ขอ ความทไ่ี มถ กู ตอ ง ñð (ส ๑.๒ ม.๒/๑) ✓………………. ๑. หนาที่สําคัญของพระภิกษุ คือ ศึกษาพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจาใหเขาใจ จากข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกน้ีเป็นการยืนยันว่า อุบาสกผู้ปฏิญาณตน ✓………………. ๒. อยา งถอ งแท แลวนาํ มาเผยแผแ กมวลมนุษย เป็นพุทธมามกะ ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นคนแรกของโลก คือ เศรษฐีคหบดีผู้เป็นบิดาของพระยสะ การรแู ละเขา ใจหลกั ธรรมทถี่ กู ตอ งนน้ั จะตอ งปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมนน้ั ดว ย เหมอื นครู ✓………………. ๓. สอนดนตรีตอ งรูแ ละเขา ใจทฤษฎดี นตรี และตอ งเลนดนตรีใหดีดว ย โดยไมตองสอน ส่วนอุบาสิกาผู้ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นคู่แรกของโลก คือ มารดาและ พระภิกษุท่ีปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อาจเผยแผพระพุทธศาสนาไดดี ✗………………. ๔. หลกั ธรรมดว ยวาจาเลยก็ได โดยไมตองไปศึกษา ภรรยาเก่าของพระยสะ การจัดนิทรรศการชวยใหพุทธศาสนิกชนมีความรูและเขาใจ ✗………………. ๕. หลักธรรมจากหนังสอื ๒) การเตรยี มการ วธิ กี ารทดี่ ที ส่ี ดุ เพอื่ ใหเ ยาวชนเขา ใจบทบาทของตนเอง และมจี ติ สาํ นกึ รบั ผดิ ชอบตอ ✗เฉฉบลับย ๖. ตนเองและครอบครวั คือ การเขารบั ฟง การแสดงพระธรรมเทศนา ๑. ผู้จัดกา� หนดวนั เวลา สถานทใี่ ห้แนน่ อน จะ4เปน็ ช่วงเช้าหรือบา่ ยก็ได้ ถ้าจัด ………………. ๗. การกาํ หนดวนั เวลาแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ ควรใชเ วลาวนั หยดุ หรอื วนั เสาร- อาทติ ย ภาคเช้าควรจดั ใกลเ้ วลาเพล พอเสรจ็ พิธีจะได้ถวายภตั ตาหารเพลแดพ่ ระสงฆ์ ✓………………. ผแู สดงตนเปน พทุ ธมามกะเมอื่ ถวายเครอ่ื งสกั การะแลว กราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ ✗………………. ๘. ๓ ครงั้ “อิมินา สกฺกาเรน พุทฺธํ ปูเชมิ” แปลวา ขาพเจาขอบูชาพระธรรม ๒. จัดหาคณะกรรมการรว่ มมอื เพอ่ื ดา� เนนิ การประมาณ ๕‑๖ คน เชน่ ฝา่ ยสถานที่ คําสวดมนต ✓ ๙.………………. ดว ยเครื่องสกั การะนี้ ฝ่ายถวายภัตตาหาร จดั เคร่ืองสกั การะ เครอื่ งไทยทาน เครอื่ งไทยธรรม และฝา่ ยควบคมุ เสียง ✗………………. ๑๐. ควรถวายจตุปจ จัยไทยธรรมแดพระสงฆ เมอ่ื พระใหศ ลี และรบั ศีลจบแลว เมื่อพระสวด…ยถา วรวิ หา…ตัวแทนกรวดนา้ํ รนิ นา้ํ ลงในภาชนะใหหมด ๓. จัดเคร่ืองสักการะ (กระทงดอกไม้ ธูปแพ เทียนแพ) ใส่พานเตรียมไว้ถวาย สักการะพระเถระทมี่ าในพิธี ๔๖ 112 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET อบุ าสกผปู ฏญิ าณตนเปน พทุ ธมามกะ ผถู งึ พระรตั นตรยั เปน คนแรก 1 อิทธาภสิ ังขาร คือ การแสดงหรือบันดาลสิง่ ตางๆ ใหเกิดขน้ึ โดยการใช ของโลกมคี วามเกย่ี วของกบั พระยสะอยางไร อิทธฤิ ทธ์ปิ าฏหิ ารยิ ตา งๆ 1. เปน บิดาของพระยสะ 2 อนปุ ุพพิกถา คือ พระธรรมเทศนาทแ่ี สดงความลมุ ลกึ ลงไปโดยลาํ ดบั เพอ่ื ให 2. เปนมารดาของพระยสะ ผูฟงเขาใจจากงายไปยาก ขนึ้ ไปเปน ชัน้ ๆ และเพื่อเตรียมจติ ของผูฟง ใหพ รอมทจี่ ะ 3. เปนบรวิ ารของพระยสะ รบั ฟง อรยิ สจั 4 ในสมยั พุทธกาลพระพทุ ธเจาจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก 4. เปน ภรรยาเกาของพระยสะ ฆราวาสหรือคฤหัสถ ผูม อี ปุ นสิ ัยสามารถทจ่ี ะบรรลุธรรมพิเศษได โดยแสดงธรรม วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เปนบดิ าของพระยสะ คอื เศรษฐคี หบดี แกบคุ คลตางๆ เชน พระเจามหากปั ปน ะ พระนางอโนชาเทวี ยศกุลบตุ ร ผกู ลา วถงึ พระรตั นตรยั วา เปน สรณะหรอื เปน ทพ่ี ง่ึ ทร่ี ะลกึ ทยี่ ดึ เหนย่ี วสงู สดุ อุคคตคหบดี เปน ตน ไมมสี ิง่ ใดเหนือกวา เปน คนแรกของโลก 3 สรณะ หมายถึง เปน ที่พึ่ง ทร่ี ะลกึ ท่ียดึ เหนี่ยวสูงสุด ไมมีสง่ิ ใดเหนอื กวา 4 ภตั ตาหารเพล คอื อาหารสําหรบั พระภิกษุและสามเณร ซง่ึ ฉันระหวาง เวลา 11.00 - 12.00 น. 112 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๔. นิมนต์พระ ๗ หรือ ๙ รูป ตามศรัทธา 1. ครใู หน กั เรยี นสง ตวั แทนออกมากลา วนาํ 1 ๕. สถานทคี่ วรจดั ในหอประชมุ ไมค่ วรจดั กลางสนามและเตรยี มจดั ทบ่ี ชู าพระพรอ้ ม สวดมนตพ รอ มคาํ แปลในพิธปี ฏบิ ตั ิเปน อาสนส์ งฆ์เท่าจา� นวนพระท่ีนิมนต์มา พุทธมามกะหนาช้ันเรียน ไดแก บทสกั การะ พระรัตนตรัย บทนมัสการพระพทุ ธเจา และ ๓) พธิ ปี ฏิบัติ คําปฏญิ าณตนเปนพุทธมามกะ จากน้นั เพื่อน นกั เรยี นกลา วคําปฏิญาณตนเปน พุทธมามกะ ๑. ก่อนเวลาก�าหนด ๑๕ นาที ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมนั่งประจา� ท่ี เมอื่ พระเถระและ พรอมกัน คณะสงฆ์มาถึงเรียบร้อยแล้ว ให้ตัวแทนผู้ท่ีจะแสดงตนเป็นพุทธมามกะจุดธูปเทียนบูชาพระ กราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง แล้วนา� สวดมนต์ ดังน้ี 2. ครูใหนกั เรียนทํากิจกรรมที่ 5.5 จากแบบวัดฯ พระพุทธศาสนา ม.2 อมิ ินา สกฺกาเรน พทุ ธฺ � ปเู ชมิ ข้าพเจ้าขอบชู าพระพทุ ธเจ้าดว้ ยเคร่อื งสกั การะน้ี (กราบ) อมิ นิ า สกกฺ าเรน ธมฺม� ปูเชมิ ข้าพเจ้าขอบชู าพระธรรมดว้ ยเคร่อื งสกั การะน้ี (กราบ) ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ อิมนิ า สกกฺ าเรน สงฆฺ � ปเู ชมิ ขา้ พเจา้ ขอบูชาพระสงฆ์ดว้ ยเครื่องสกั การะน้ี (กราบ) พระพทุ ธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 5.5 หนวยที่ 5 หนา ทีช่ าวพทุ ธและมารยาทชาวพทุ ธ ๒. เสร็จแล้วตัวแทนผู้แสดงตน คลานเข้าถวายเครื่องสักการะ2 ดอกไม้ ธูปแพ เทียนแพ แก่พระเถระ แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง (ขณะที่ตัวแทนคลานออกไป กจิ กรรมท่ี ๕.๕ ใหน กั เรยี นเรยี งลาํ ดบั พธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นการแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด คนอื่นๆ เปล่ยี นท่าน่งั เปน็ ท่าพรหมหรือทา่ เทพธิดาตามเพศและกราบ ๓ ครงั้ พรอ้ มตวั แทน) โดยนําตวั เลข ๑-๑๐ ใสห นาขอความตอ ไปน้ี (ส ๑.๒ ม.๒/๑) ñð ๓. จากนัน้ ทกุ คนกล่าวนมสั การพระพทุ ธเจ้า ๓ ครง้ั ดังนี้ ๖……………………… พระเถระใหโ อวาท ขณะใหโอวาททกุ คนพนมมอื จบแลวยกมอื ขนึ้ จบกลางหนาผาก นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส (ซ้า� ๓ ครัง้ ) พรอ มกบั กลา ววา “สาธ”ุ และเปลยี่ นทา นงั่ เปน ทา พรหมและเทพธดิ า และอาราธนาศลี ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมแดพ่ ระผู้มพี ระภาค อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจ้าพระองคน์ ั้น (ซ้�า ๓ คร้ัง) ดงั ๆ พรอมกัน ดังน้ี มยํ ภนเฺ ต วสิ ุํ วสิ ํุ รกขฺ ณตฺถาย ตสิ รเณน สห ปฺจ สลี านิ ยาจาม ๔. จากนน้ั กล่าวค�าปฏิญาณตนเปน็ พุทธมามกะ ดงั นี้ ทตุ ยิ มฺป มยํ ภนเฺ ต วสิ ํุ วิสํุ รกฺขณตฺถาย ตสิ รเณน สห ปจฺ สีลานิ ยาจาม ตติยมฺป มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปฺจ สีลานิ ยาจาม (ผู้ชาย) เอเต มย� (ผหู้ ญงิ ) เอตา มย� ภนฺเต สุจริ ปรินพิ ฺพุตมฺปิ ต� ภควนตฺ � สรณ� คจฉฺ าม (เม่ือพระใหศีลและรบั ศลี จบแลว กราบ ๓ ครัง้ ) ธมมฺ ญจฺ สงฺฆญจฺ พทุ ฺธมามกาติ โน สงโฺ ฆ ธาเรตุ ๕……………………… กลาวคาํ ปฏิญาณตนเปนพทุ ธมามกะ ดงั นี้ ค�าแปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลายถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน (ผชู าย) เอเต มยํ แม้ปรินิพพานไปนานแล้ว ท้ังพระธรรมและพระสงฆ์ เป็นสรณะท่ีระลึกนับถือ ขอพระสงฆ์ (ผหู ญงิ ) เอตา มยํ ภนเฺ ต สจุ ริ ปรนิ พิ พฺ ตุ มปฺ ตํ ภควนตฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมมฺ จฺ สงฆฺ จฺ จงจ�าข้าพเจ้าท้ังหลายไว้ว่าเป็นพุทธมามกะ ผู้รับเอาพระพุทธเจ้าเป็นของตน คือ ผู้นับถือ พทุ ฺธมามกาติ โน สงโฺ ฆ ธาเรตุ (กราบเบญจางคประดษิ ฐ ๓ คร้ัง แลวนงั่ พบั เพียบ) พระพทุ ธเจา้ (กราบเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ ครั้ง แล้วนง่ั พบั เพยี บ) ๒……………………… ตวั แทนผทู จ่ี ะแสดงตนเปน พทุ ธมามกะจดุ ธปู เทยี นบชู าพระ กราบเบญจางคประดษิ ฐ ๓ คร้งั แลวนาํ สวดมนต ดงั น้ี เฉฉบลบั ย อมิ นิ า สกกฺ าเรน พทุ ธฺ ํ ปเู ชมิ ขา พเจา ขอบชู าพระพทุ ธเจา ดว ยเครอื่ งสกั การะน้ี (กราบ) อิมินา สกกฺ าเรน ธมมฺ ํ ปูเชมิ ขาพเจาขอบชู าพระธรรมดวยเครื่องสักการะนี้ (กราบ) อมิ ินา สกฺกาเรน สงฺฆํ ปูเชมิ ขาพเจาขอบชู าพระสงฆด ว ยเครือ่ งสักการะนี้ (กราบ) ๙……………………… เมอื่ พระสวด… สพพฺ ตี โิ ย… รนิ นาํ้ ลงภาชนะใหห มด แลว พนมมอื รบั พรจากพระ จบแลว ๑๐……………………… กราบเบญจางคประดษิ ฐ ๓ ครงั้ ๓……………………… รับพุทธมามกบตั รจากพระเถระ ตวั แทนผแู สดงตน คลานเขา ถวายเครอื่ งสกั การะ ดอกไม ธปู แพเทยี นแพ แกพ ระเถระ แลวกราบดวยเบญจางคประดิษฐ ๓ ครั้ง (คนอ่ืนๆ เปล่ียนทานั่งเปนทาพรหม หรอื ทาเทพธิดาตามเพศและกราบ ๓ ครัง้ พรอ มตวั แทน) ๔……………………… ทกุ คนกลาวนมัสการพระพุทธเจา ๓ คร้งั ดงั นี้ ๗……………………… นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธสสฺ (ซํา้ ๓ ครงั้ ) ๘……………………… ถวายจตปุ จจัยไทยธรรมแดพ ระสงฆ ๑……………………… เม่อื พระสวด… ยถา วริวหา… ตัวแทนกรวดนา้ํ อทุ ิศสวนกศุ ล กอ นเวลากาํ หนด ๑๕ นาที ผเู ขา รว มกจิ กรรมนงั่ ประจาํ ที่ เพอ่ื รอพระเถระและคณะสงฆ ๔๗ 113 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู การแสดงตนเปน พุทธมามกะ เปนพธิ ีกรรมทจ่ี ะปฏิบตั ิเมื่อใด ครคู วรแนะนํานักเรียนวาการแสดงตนเปน พุทธมามกะ ไมใ ชแ คการสวดมนต แนวตอบ การแสดงตนเปนพุทธมามกะ จะปฏิบตั ิเมอ่ื กลา วคาํ ปฏญิ าณหรือรูคาํ แปลของบทสวดมนตเ ทานนั้ หากแตตองนาํ หลกั ธรรม คาํ สอนมาปฏบิ ัติในชวี ติ ประจาํ วัน เชน ศลี 5 ศลี 8 กรรมบถ 10 เปน ตน จงึ จะเปน • บุคคลตา งศาสนาตอ งการเปล่ยี นมานับถอื พระพุทธศาสนา ชาวพุทธทีส่ มบรู ณ • ตองการยนื ยนั ความเปนชาวพุทธของตนเองใหหนกั แนน ยง่ิ ขน้ึ • จะสง บุตรหลานไปเรยี นยงั ตา งประเทศที่มิใชด นิ แดนของพระพทุ ธศาสนา นักเรียนควรรู • จะปลกู ฝง นสิ ยั ของเยาวชนใหม นั่ คงในพระพทุ ธศาสนา ซึง่ สว นใหญ 1 อาสนส งฆ คอื ท่ีนั่งของพระสงฆ ซง่ึ หากไมมเี บาะรองนงั่ จะใชเสอ่ื ปูลาด ทางโรงเรยี นจะเปนผจู ัดทําพิธกี รรม อาจจะเปน ปละครั้ง กบั พ้ืนก็ได เพื่อเปนการแสดงใหเ หน็ วาพระสงฆอยใู นตาํ แหนงที่สูงกวาฆราวาส • บตุ รหลานมอี ายุระหวาง 12-15 ป เพอื่ ใหเ ดก็ สืบทอดความเปน ในกรณที ่ีปดู ว ยเสือ่ ฆราวาสจะตอ งไมน ่งั ลงบนเส่ือผืนเดยี วกับพระสงฆ 2 เคร่อื งสักการะ คอื ธปู ไมร ะกํา 5 ดอก วางอยบู นเทียน 5 เลม มดั ซอ นกนั พทุ ธศาสนกิ ชนตามตระกลู ตอ ไป และมกี รวยดอกไมส ด 1 กรวย วางขางบน คมู อื ครู 113
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore ขยายความเขา ใจ Expand 1. ครูใหนักเรียนเขารวมพธิ ีกรรมทางพระพุทธ- ๕. พระเถระให้โอวาท ขณะให้โอวาททุกคนพนมมือ จบแล้วยกมือขึ้นจบท่ีกลาง ศาสนา 1 พธิ ี จากน้นั ใหนกั เรียนบนั ทึกลักษณะ หนา้ ผาก พรอ้ มกบั กลา่ ววา่ “สาธ”ุ และเปลยี่ นทา่ นงั่ เปน็ ทา่ พรหมและเทพธดิ า และอาราธนาศลี ดงั ๆ การประกอบพธิ กี รรม ความสําคญั และ พร้อมกัน ดงั น้ี ประโยชนท ไ่ี ดร บั จากพิธีกรรมนนั้ ลงในสมดุ และสงครูผูสอน มย� ภนฺเต วิส�ุ วิสุ� รกขฺ ณตถฺ าย ตสิ รเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม ทุตยิ มปฺ ิ มย� ภนฺเต วสิ �ุ วิสุ� รกขฺ ณตฺถาย ตสิ รเณน สห ปญจฺ สลี านิ ยาจาม 2. ครใู หน กั เรยี นเขยี นสรปุ ขน้ั ตอนและประโยชน ตติยมฺปิ มย� ภนฺเต วสิ ุ� วิสุ� รกขฺ ณตถฺ าย ตสิ รเณน สห ปญจฺ สลี านิ ยาจาม ของพิธีแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ โดยบันทึกลง ในสมุดและนาํ สง ครผู สู อน เมื่อพระใหศ้ ีล และรับศลี จบแลว้ กราบ ๓ ครง้ั ๖. ถวายจตปุ ัจจัยไทยธรรมแดพ่ ระสงฆ์ ตรวจสอบผล Evaluate ๗. เม่อื พระสวด...ยถา วาริวหา...ตัวแทนกรวดนา้� อุทิศสว่ นกศุ ล ๘. เมอื่ พระสวด...สพพฺ ตี โี ย...รนิ นา�้ ลงภาชนะใหห้ มด แลว้ พนมมอื รบั พรจากพระจบแลว้ 1. ตรวจสอบจากบนั ทึกการเขา รว มพธิ กี รรมทาง กราบเบญจา๙ง.คปรับระพดทุ ษิ ธฐม์ ๓ามคกรบง้ั ตั ร1จากพระเถระ เป็นอนั เสรจ็ พิธี พระพุทธศาสนาของนักเรยี น ๒. มมาารรยายท2า หทมชายาถวึงพระทุ เบธียบปฏิบัติที่สังคมก�าหนดไว้เป็นแนวทางในการแสดงออกทางกาย 2. ตรวจสอบจากการเขียนสรปุ ขั้นตอนและ ประโยชนของพธิ แี สดงตนเปนพทุ ธมามกะ และทางวาจาในดา้ นตา่ งๆ เชน่ กริ ยิ าทา่ ทาง การแตง่ กาย การพดู การแสดงอริ ยิ าบถตา่ งๆ เปน็ ตน้ สังคมแต่ละแห่งมีประเพณีในการแสดงออกไม่เหมือนกัน เช่น ฝร่ังทักทายกันโดยการจับมือ คนไทยทกั ทายกนั โดยผ้นู ้อยไหว้ผใู้ หญ่ก่อน เป็นตน้ คนไทยได้รับการยกย่องจากต่างชาติมานานแล้วว่าเป็นผู้มีมารยาทอ่อนโยน น่ิมนวลน่ารัก เราจึงควรเรียนรู้เก่ียวกับมารยาทในสังคมไทย เพ่ือจะได้ปฏิบัติถูกต้อง เป็นการรักษาเอกลักษณ์ อนั ดงี ามอยา่ งหนง่ึ ของไทยไวส้ บื ไป และทา� ใหเ้ ปน็ ทชี่ น่ื ชมของผอู้ นื่ และเปน็ การเสรมิ บคุ ลกิ ภาพดว้ ย 2.1 การต้อนรบั (ปฏสิ ันถาร) การต้อนรับ อาจท�าได้หลายวิธี คือ ปฏิสันถารด้วยวาจา ปฏิสันถารด้วยการให้ท่ีพักอาศัย และปฏสิ นั ถารดว้ ยการแสดงนา�้ ใจตอ่ กนั ในพระพทุ ธศาสนาพระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ การปฏสิ นั ถารเปน็ พน้ื ฐานสา� คญั ของชวี ติ พรหมจรรยเ์ ลยทเี ดยี ว ทรงกา� ชบั ใหพ้ ระสงฆเ์ อาใจใสต่ อ้ นรบั อาคนั ตกุ ะดว้ ย อัธยาศัยอันดีงาม พระพุทธเจ้าเองก็มิได้ทรงละเลยในเรื่องนี้ ดังมีผู้กล่าวสรรเสริญพระองค์ว่า ทรงมีพระพักตร์เบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ ทรงทกั ทายแขกก่อน และตรัสปฏิสันถารด้วยพระวาจา ที่ไพเราะ ร่ืนหู คนไทยเราได้รับอิทธิพลส่วนดีเหล่าน้ีมาจากพระพุทธศาสนา จนมีค�าพังเพยว่า “เปน็ ธรรมเนียมไทยแท้แตโ่ บราณ ใครมาถึงเรอื นชานตอ้ งต้อนรบั ” 114 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ถานักเรยี นไปเยี่ยมเพ่ือนท่ีบาน นกั เรียนควรปฏิบตั ติ นอยา งไร 1 พุทธมามกบัตร คือ หลกั ฐานของผูที่ไดแสดงตนเปนพุทธมามกะแลว แตก าร ใหเ หมาะสมในฐานะแขกผูมาเยอื น จะมีหรือไมม พี ทุ ธมามกบัตรไมใ ชส ่ิงสาํ คัญ ขอสาํ คญั คอื การทชี่ าวพทุ ธปฏบิ ตั ติ น 1. ตะโกนเรียกอยูห นา บา น ตามหลักธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจาเปนหลกั 2. ทาํ ความเคารพเจา ของบานกอน 2 มารยาท หมายถงึ กิรยิ าวาจาท่ีถอื วา สุภาพ เรยี บรอ ย ถูกกาลเทศะ 3. เปดประตเู ขา ไปนงั่ รอในหองรบั แขก ซ่ึงการใชค าํ วา มารยาทและมรรยาท ขึ้นอยกู ับผูใชเ หน็ สมควรตามความเหมาะสม 4. เขา ไปนั่งรวมโตะ อาหารของเพ่อื นบา น วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ในฐานะแขกผูมาเยือน เม่อื เขา บา นควร มมุ IT เคาะประตูหรือกดกริ่ง แลว ทําความเคารพเจา ของบา นกอ น ไมค วรอยูนาน เกินสมควร และควรทําความเคารพเจา ของบา นกอ นแลวจงึ กลับ ศกึ ษาคน ควา ขอมลู เพมิ่ เติมเกี่ยวกับการแสดงตนเปนพุทธมามกะ ไดท ี่ http://www.onab.go.th เว็บไซตสํานักงานพระพทุ ธศาสนาแหงชาติ 114 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage เม่อื มีแขกมาบา้ น เราตอ้ งรู้จกั ปฏบิ ัตติ นวา่ จะพูดอย่างไร กับบคุ คลวัยใด ฐานะใด สรรพนาม 1. ครใู หนักเรยี นชว ยกนั ยกตัวอยางมารยาททาง แทนตัวเองและแทนแขก ใชอ้ ยา่ งไร ต้องร้จู กั เลือกใช้ให้ถกู แต่อะไรก็ไมเ่ ทา่ กบั การยิ้มแยม้ แจ่มใส สงั คมทน่ี กั เรยี นรจู กั และปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาํ วนั แสดงใหเ้ ขาเหน็ วา่ เรายนิ ดเี ตม็ ใจใหก้ ารตอ้ นรบั ไม่ควรแสดงสหี น้าบง้ึ ตงึ ใส่แขก อย่างที่เรียกว่า 2. ครูถามนักเรยี นวา ประเทศตางๆ มีธรรมเนียม “หน้าไม่รบั แขก” การตอ นรบั แขกอยางไร ยกตวั อยางประกอบ คาํ อธิบาย การปฏิสันถารให้ท่ีอยู่อาศัยเป็นเร่ืองของ (แนวตอบ เชน อังกฤษ ฝรง่ั เศส อติ าลี กลา ว ผู้ใหญ่ท่ีจะกระท�า ด้วยเป็นประเพณีแต่โบราณ พดู คาํ ทักทายแลวเอาแกมชนกัน ชนเผา เมารี ดังได้กล่าวมาแล้ว ผู้มาจากต่างบ้านต่างถิ่น ในนวิ ซีแลนด เอาจมกู แตะกนั และคลึงเล็กนอ ย จะได้รับการต้อนรับโดยให้อาศัย พักพิงเม่ือ เกาหลี ผูอ อ นวยั จะคุกเขา และกม ศรี ษะคาํ นบั มาถึงเวลาค�่าคืน ในปัจจุบันธรรมเนียมอย่างน้ี ผูอาวโุ ส อินเดีย จะพูดวา “นะมสั เต” พนมมือ สองขางและโคง ตวั เล็กนอย เปนตน ) ไดล้ ะเลยกนั เปน็ สว่ นมาก โดยเฉพาะในเมอื งใหญ่ สาํ รวจคน หา Explore หรอื เมอื งหลวง เพราะความเจรญิ ของบา้ นเมอื ง มีมากข้ึน ท่ีพักคนเดินทางหรือโรงแรมก็จะ สะดวกสบาย จึงมักไม่ใคร่มีใครอยากรบกวน ครใู หนกั เรยี นศกึ ษามารยาทชาวพุทธ ผู้อ่ืนให้ล�าบาก จะเหลืออยู่แต่การปฏิสันถาร การต้อนรับแขกด้วยกริ ยิ าท่ีสุภาพ มสี ัมมาคารวะ เป็นการ จากหนังสือเรียนและแหลง การเรียนรูตา งๆ เชน ดว้ ยการต้อนรับญาตหิ รอื มิตรสหายเทา่ นนั้ แสดงออกซงึ่ มารยาททีด่ งี ามของชาวพุทธ หองสมุด อินเทอรเ นต็ สนทนากับพระสงฆ เปนตน เพอ่ื นําความรูมาอภปิ รายในช้ันเรียน เมื่อมีงานเลี้ยงหรืองานรับรองเนื่องด้วยพิธีใดๆ ก็ตาม ผู้เป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าหน้าท่ี รับแขกควรกล่าวปฏิสันถารต่อแขกให้ท่ัวถึง นักเรียนเป็นเด็กอาจจะได้รับการแนะน�าให้รู้จักญาติ หรือมิตรสหายของบิดามารดา หรือผู้ปกครอง เราจะต้องแสดงตนเป็นผู้มีคารวะต่อผู้ใหญ่และ อธบิ ายความรู Explain ร่วมอยู่ในที่สนทนาตามเวลาอันสมควร แต่ไม่ควรพูดสอดแทรกข้ึนเมื่อผู้ใหญ่ก�าลังสนทนากัน ควรตอบกต็ ่อเม่ือผใู้ หญถ่ ามเราเท่านั้น 1. ครใู หนกั เรยี นออกมาเลา ประสบการณของ นักเรยี นเองในการปฏิบัติตนเก่ียวกับการ 2.2 มารยาทของผูเ้ ปน็ แขก ตอนรับแขกใหเ พ่ือนนกั เรยี นฟง สังคมไทยมีวัฒนธรรม ประเพณีนิยมที่หลากหลายท้ังในด้านการปฏิบัติและในด้านคุณค่า 2. ครยู กตัวอยางคาํ พงั เพยทีว่ า “เปนธรรมเนียม ทผ่ี ปู้ ฏบิ ตั จิ ะตอ้ งเลอื กปฏบิ ตั ใิ หเ้ หมาะสมกบั สภาพการณน์ น้ั ดงั นนั้ ผเู้ ปน็ แขกหรอื บคุ คลทไี่ ปเยยี่ ม ไทยแทแ ตโ บราณ ใครมาถงึ เรอื นชานตอ ง ผู้อืน่ ควรปฏิบัติตน ดังน้ี ตอนรับ” แลว ใหนกั เรียนวิเคราะหว าจาก คาํ พงั เพยน้ี แสดงใหเหน็ ถงึ ธรรมเนียมปฏิบัติ ๑. ควรหาโอกาสไปเยย่ี มญาตมิ ติ รตามควร โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เมอื่ ครอบครวั ของญาติ ของคนไทยตอ ผอู ื่นอยา งไร ได้รับความเดือดร้อน เช่น มีผู้ได้รับอุบัติเหตุ ควรไปถามข่าวคราวและให้ก�าลังใจ หรือเมื่อยาม ครอบครวั ของญาตมิ ติ รไดร้ บั ความยินดีในเร่ืองใดเรือ่ งหนึง่ กค็ วรไปเยี่ยมเพ่อื แสดงความยินดีดว้ ย 3. ครใู หนักเรยี นแสดงบทบาทสมมตเิ ก่ียวกับการ ตอนรบั (ปฏสิ ันถาร) ในฐานะเจาของบานและ ๒. ก่อนเข้าบ้านควรให้เสียงหรือสัญญาณอื่นๆ เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ทราบว่ามีแขก ผูเปน แขก มาหา เชน่ เคาะประตู หรอื กดกรง่ิ (ถา้ ม)ี 4. ครูใหน ักเรียนวเิ คราะหวา การปฏิสนั ถาร 115 มีความสําคญั อยา งไร ใครคือคนทต่ี อ ง แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ ปฏิสนั ถารดวย และการปฏิสนั ถารมีแนวทาง การปฏิบัตอิ ยา งไร บูรณาการอาเซียน ผูใดปฏบิ ัตติ นในฐานะแขกทไ่ี ปเยีย่ มผอู ่ืนไดอ ยางเหมาะสม ครูเสริมความรูเ พิ่มเติมเกีย่ วกบั คํากลาวทักทายของภาษาตา งๆ ในประเทศ 1. เนตรไปเย่ยี มมกุ ทีบ่ าน เม่อื เจอพอแมเ พ่ือนกย็ กมือไหว สมาชกิ อาเซียน 10 ประเทศ 2. เกพ าเพอ่ื นกลมุ ใหญไปเย่ียมขวัญซ่ึงปว ยเปนไขอ ยทู ีบ่ าน 3. ออสนิทกบั กบิ๊ มาก จึงมกั ไปหาเพือ่ นโดยไมบอกกลา วลว งหนา คาํ กลา วทักทาย (ภาษาอาเซียน) 4. โอถอื โอกาสท่เี อกเจาของบา นเขา หอ งนา้ํ ขอตวั กลบั โดยไมบ อกลา บรไู น ซาลามัต ดาตงั อินโดนเี ซยี ซาลามตั เตียง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะเปน การแสดงความเคารพเจาของ มาเลเซีย ซาลามัต ดาตงั ฟล ปิ ปน ส กูมสุ ตา บา นเมื่อไปเยย่ี มเยือน สิงคโปร หนหี าว (ภาษาจนี ) ขอ 2. ไมควรพาเพอื่ นเปน กลุมใหญไป เพราะจะเปน การรบกวนผปู วย ไทย สวสั ดีครับ/คะ ขอ 3. ควรบอกกลาวเพือ่ นลว งหนากอนไปหาเพ่ือนทบ่ี า น กมั พูชา ซวั สเด ขอ 4. ควรบอกกลา วเพอื่ นกอนจะขอตวั กลบั บาน ลาว สะบายดี พมา มิงกาลาบา เวียดนาม ซินจาว คูมอื ครู 115
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครูสมุ ตวั แทนนักเรียนออกมาเลา ประสบการณ ๓. โดยทั่วไปแขกผู้มาเยี่ยมจะท�าความเคารพเจ้าของบ้านก่อน นอกจากว่าแขกมี การปฏิบตั ิตนตอ พระสงฆแ ละในเขตวดั เชน อาวุโสกวา่ เจ้าของบา้ น การแตงกายไปวัด การเตรยี มภตั ตาหารไป ถวายพระภกิ ษุ การปฏบิ ัติตนในระหวา งรว มพธิ ี ๔. ถา้ มิใชญ่ าตมิ ิตรทส่ี นทิ สนมกนั จรงิ ๆ แล้ว ไมค่ วรจะอยนู่ านเกนิ สมควร ถ้ามีธุระ การสนทนากบั พระสงฆ เปนตน เมอื่ เสรจ็ ธรุ ะแลว้ กค็ วรกลับ ถ้าไปเยีย่ มเฉยๆ เม่ือถามขา่ วคราวพอควรแลว้ กค็ วรกลบั นอกจาก เจา้ ของบา้ นจะคะยน้ั คะยอใหอ้ ย่ตู อ่ เชน่ ในกรณที ่เี จ้าของบา้ นรูส้ กึ เหงาอยากมีเพื่อนสนทนา 2. ครนู าํ อภิปรายเรือ่ งการปฏบิ ตั ติ อพระภิกษุ และตงั้ คําถามวา ๕. การไปเยี่ยมผู้อ่ืนนั้นไม่ควรน�าบุคคลที่เจ้าของบ้านไม่รู้จักไปด้วย นอกจากเป็น • การเขา พบพระภิกษุ ควรมีการปฏบิ ัติตน บุตรหลานข๖อ.งตเนมอ่ื หจระือกเลปบั น็ ไผปเู้คกวย่ี รวบขอ้อกงลกาบั กก่อานรไแปลเยะี่ยทม�าคนวัน้ ามเคารพโดยฐานานรุ ูป1แล้วจงึ กลับ ใหเหมาะสมอยางไร (แนวตอบ เชน ควรแตง กายใหสภุ าพเรยี บรอ ย 2.3 ระเบียบพธิ ีปฏิบัติตอ่ พระภกิ ษุ ควรถวายภตั ตาหารในตอนเชา หรอื ถวายน้าํ ผลไมใ นตอนบา ยและตอนเยน็ ตง้ั ใจฟง ขณะที่ ๑) การยนื พระภิกษุใหศ ลี หรอื แสดงพระธรรม สนทนา ๑.๑) การยืนตามล�าพัง การยืนตามล�าพังแม้จะไม่ต้องระวังตัวมากเหมือนยืน อยางสํารวม เปนตน ) ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ควรปล่อยตัวให้อยู่ในลักษณะท่ีน่าเกลียด ซ่ึงอาจมีคนมาพบเห็นเข้า เช่น ไมค่ วรยนื ขาถา่ ง เทา้ สะเอว ทา� ทา่ ทางเยอ่ หยงิ่ หนั หนา้ ไปมาอยา่ งลกุ ลลี้ กุ ลน ทา� ทา่ ทางหลกุ หลกิ 3. ครูใหนักเรยี นทาํ กิจกรรมท่ี 5.6 จากแบบวัดฯ เป็นต้น พระพทุ ธศาสนา ม.2 การยนื ควรอยใู่ นลกั ษณะสภุ าพ ปล่อยตวั ตามสบายพอควร ขาชิดกนั หรอื หา่ งกนั ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ เล็กน้อยก็ได้ หรือจะยืนในท่าพักก็ได้ จะยืนเอียงเล็กน้อยพองามก็ได้ แขนปล่อยแนบล�าตัว พระพทุ ธศาสนา ม.2 กจิ กรรมที่ 5.6 หนวยที่ 5 หนาทีช่ าวพทุ ธและมารยาทชาวพทุ ธ ตามสบาย ๑.๒) การยนื ตอ่ หนา้ ผใู้ หญแ่ ละ พระภิกษุ สมัยก่อนถ้าไม่จ�าเป็นจะไม่ยืนตรง กิจกรรมท่ี ๕.๖ ใหนักเรียนเขียนเครอ่ื งหมาย ✓ ลงใน ñðหนาขอความ คะแนนเต็ม คะแนนที่ได ท่เี ห็นวา ถูกตอง (ส ๑.๒ ม.๒/๒) ตอ่ หนา้ ผู้ใหญ่ แตจ่ ะยืนเฉยี งไปทางใดทางหนงึ่ สถานการณ นักเรียนควรปฏบิ ัติ การยืนทา� ได้ ๒ วธิ ี คือ ยืนตรง วิธที ่ี ๑ วธิ ีท่ี ๒ ๑. การยนื ตอ หนาผูใหญ ยืนตรงตอหนา ขาชดิ ✓ยืนเฉียงไปทางใดทางหนง่ึ ขาชิด ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย มือทั้งสอง และพระภกิ ษุ มือแนบขาง ยืนคอ ม สว นบนต้งั แตเอวขึน้ ไป ขาชิด มอื สองขางแนบขาง เลก็ นอย แขนแนบลําตัว ยืนคอ มสว นบนตง้ั แตเอวขึ้น แนบข้างหรือยืนค้อมส่วนบนต้ังแต่เอวข้ึนไป ไปเลก็ นอย มือสองขา ง ประสานกัน ๒. ถา จาํ เปน ตองนัง่ ✓ควรนัง่ ทางดา นซา ยมอื ควรน่งั ทางดานขวามือ เล็กน้อย ท่าทางส�ารวมและมือประสานกัน ของทาน การค้อมตัวจะมากน้อยแล้วแต่ผู้ใหญ่อาวุโส แถวเดยี วกบั พระสงฆ ของทาน เฉฉบลบั ย ๓. หากตอ งเดนิ สวน ✓หลกี ชดิ ทางดา นซา ยมือ หลีกชดิ ทางดานขวามอื มากหรือนอ้ ย กับพระสงฆ ของพระสงฆ ของพระสงฆ ๔. การรบั สิ่งของขณะท่ี ชาย/หญิง กราบแบบ ✓ชาย/หญิง กราบแบบ การประสานมอื ทา� ได้ ๒ วธิ ี คอื พระสงฆนงั่ กับพื้น เบญจางคประดิษฐ ๓ คร้งั เบญจางคประดิษฐ ๓ ครัง้ ย่ืนมือทัง้ สองไปรับของ ย่ืนมือทงั้ สองไปรบั ของ แลววางของไวด านซายมือ แลววางของไวดานขวามือ เม่อื ยืนต่อหนา้ พระภกิ ษุ พงึ ยนื ดว้ ยอาการสาำ รวม โดยการ คว�่ามือซ้อนกันจะเป็นมือไหนทับมือไหนก็ได้ กราบ๓ครงั้ แลว หยบิ ของนนั้ กราบ ๓ ครงั้ แลว หยบิ ของนน้ั ยืนตัวตรง ขาชิด มือท้ังสองประสานกันและค้อมตัวไป หรอื หงายมอื ทง้ั สอง สอดนว้ิ เขา้ ระหวา่ งรอ่ งนวิ้ ดวยมอื ท้งั สอง ประคอง ดวยมอื ทง้ั สอง ประคอง เดนิ เขา ถอยหลงั ไปจนหา ง เดนิ เขา ถอยหลังไปจนหา ง แลวคอยลกุ ขึ้นยืน หันหนา แลวคอ ยลกุ ขึ้นยืน หันหนา เดนิ กลับได เดินกลับได ขา้ งหน้าเล็กนอ้ ย ของแต่ละมอื ก็ไดเ้ ชน่ กนั ๕. การสนทนา ✓เวลารับไตรสรณคมนและ เวลารับไตรสรณคมนแ ละ 116 กับพระสงฆ รับศลี ใหพนมรับดวยความ รบั ศีล วาตามดวยเสียงดัง สงบน่งิ ไมควรน่งั เงยี บเฉยๆ ๔๘ เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การสละทน่ี ่งั ใหพระสงฆ ถือเปนการปฏิบัตติ ามมารยาทชาวพุทธขอ ใด ครอู ธิบายเพิ่มเตมิ วา ชาวพุทธทกุ คนควรปฏบิ ตั ติ นตอ พระภกิ ษใุ หเ หมาะสม 1. สังฆทาน ทั้งกาย วาจา และใจ ดังนี้ 2. ธรรมทาน 3. อาสนทาน 1. ทางกาย รจู กั แสดงความเคารพท่ีเหมาะสมแกโอกาส เชน ลุกขึน้ ตอนรับ 4. ทกั ขณิ านุปทาน ฟง ธรรมดวยอาการสงบ อุปถัมภพระสงฆดวยปจจยั 4 เปน ตน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การใหท ี่น่งั มาจากคาํ วา อาสนทาน คอื การสละที่นงั่ ใหพ ระสงฆ 2. ทางวาจา พูดกบั พระสงฆด วยคําพูดท่ีไพเราะ ใชคาํ พดู ถกู ตองเหมาะสม ขอ 1. สงั ฆทาน คอื การถวายสิ่งของหรอื เคร่ืองไทยธรรมแดพ ระสงฆ ควรใชคาํ สรรพนามท่ถี ูกตอ ง โดยไมเจาะจงเฉพาะรปู ใดรูปหนึ่ง ขอ 2. ธรรมทาน คอื การใหธรรมหรอื คาํ สอนเปนทาน 3. ทางใจ แผค วามรกั ความปรารถนาดตี อ ทา น คดิ หาโอกาสสนบั สนนุ บาํ รงุ พระสงฆ ขอ 4. ทกั ขิณานปุ ทาน คอื การทําบุญอทุ ิศสว นกุศลใหญาตผิ ลู ว งลับ ไปแลว นักเรยี นควรรู 1 ฐานานุรปู คือ สมควรแกฐ านะ ใชใ นกรณกี จิ การ การใชจา ย การตอ นรับ การดํารงชีพ ใหเ ปนไปอยา งพอดี พอเหมาะพอควร ไมใ หเกินเลยฐานะ หรือนอยไปจนเกนิ เหตุ 116 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๒) การใหท้ นี่ ัง่ มาจากคา� วา่ “อาสนทาน” ใชใ้ นเวลาพระสงฆ์มาในบริเวณมณฑลพิธี 1. ครูใหน กั เรียนแบงกลมุ เพอ่ื ฝก ระเบยี บพิธี ซึ่งไมม่ ีทว่ี ่างหรือแสดงความเคารพแกพ่ ระสงฆ์ พึงปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ปฏบิ ตั ติ อ พระภกิ ษุ ทง้ั การยนื การลกุ ขนึ้ ยนื รบั ๑. ถ้าสถานที่ชุมนุมนั้นนั่งเก้าอี้ เม่ือพระสงฆ์มาในงานน้ัน ฆราวาสชายและ1 การใหทน่ี งั่ การเดนิ สวนทาง การสนทนา และ การรบั ส่ิงของ แลวใหนกั เรียนออกมาสาธิต หญิงพึงลุกข้ึน หลีกให้พระสงฆ์น่ังเก้าอ้ีแถวหน้า หรือขณะข้ึนรถเมล์ประจ�าทางนั่งอยู่เบาะหลัง หนา ช้ัน ถา้ มพี ระสงฆเ์ ดนิ ทางไปดว้ ยพงึ ใหพ้ ระสงฆน์ ง่ั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความมสี มั มาคารวะ และมวี ฒั นธรรม ในการน่งั 2. ครใู หน กั เรียนแตละกลมุ สมมตสิ ถานการณ ๒. ถา้ จ�าเปน็ ต้องน่งั แถวเดยี วกับพระสงฆ์ พงึ นง่ั เก้าอด้ี ้านซ้ายมอื ท่านเสมอ แลวแตงบทสนทนาระหวา งพระภกิ ษุกบั ตนเอง ๓. ส�าหรับสตรีเพศจะน่ังอาสนะยาว เช่น ม้ายาวตัวเดียวกันกับพระสงฆ์ต้องมี เชน การนิมนตพระสงฆม าประกอบงานบุญ บรุ ุษเพศนัง่ คัน่ ในระหว่างกลาง จงึ ไม่เกดิ โทษแก่พระสงฆ์ ที่บาน การนมิ นตพ ระภิกษมุ าเปน วิทยากรที่ ๔. ถ้าสถานท่ีชุมนุมน้ันนั่งกับพ้ืน พึงจัดอาสน์สงฆ์ให้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจาก โรงเรียน เปน ตน ครูสังเกตการใชสรรพนาม ฆราวาส เช่น ปูพรมผนื ใหญเ่ ตม็ หอ้ งควรจดั อาสนะเล็กบนพรมนนั้ อีกชน้ั หนึง่ และคําราชาศพั ทส าํ หรบั พระภิกษใุ หเ หมาะสม ๓) การเดนิ สวนทาง การเดินสวนทางกับพระสงฆ์ ควรปฏบิ ตั ิ ดังนี้ 3. ครูซักถามและสอนนักเรียนเพิ่มเติมเกยี่ วกบั กริ ิยามารยาททเ่ี หมาะสมตอพระภกิ ษุ จากน้ัน ๑. หลกี ชดิ ทางซา้ ยมือของพระสงฆ์ นักเรียนบันทึกขอ ควรระวงั และการปฏิบตั ิตน ๒. ยืนตรงหรือน่ังตามความเหมาะสมแล้วหันหน้ามาทางท่าน มือทั้งสองห้อย ระหวา งสนทนากบั พระภิกษลุ งในสมดุ ประสานกนั ไว้ขา้ งหน้าในทา่ ทเี่ รียบร้อย ๓. เมื่อพระสงฆ์เดนิ ผา่ นมาเฉพาะหนา้ พงึ ยกมือไหว้ 4. ครถู ามนกั เรียนเพิ่มเติมวา เพราะเหตใุ ด ๔. ถ้าท่านพูดด้วยพึงประนมมอื พดู กับท่าน เราจึงตองใหค วามเคารพพระภกิ ษุ ๕. ถ้าท่านมิได้พูดด้วย เม่ือไหว้แล้วมือทั้งสองต้องห้อยประสานกันไว้ข้างหน้า (แนวตอบ เพราะพระภิกษเุ ปนผูท รงศลี ถึง 227 มองดูจนกวา่ ทา่ นจะผ่านไป ขอ ปฏบิ ัติตนอยูใ นสมณเพศอันดีงาม เช่อื ไดวา เปน ผรู ักษาศลี หรอื ความเปน ปกติเหนือมนษุ ย ๔) การสนทนา การสนทนากับ ปุถชุ นท่วั ไป นอกจากนี้ ยงั เปนตวั แทนของ พระพทุ ธเจา เปน เนอื้ นาบุญของโลก เพอื่ ให พระสงฆ์ พงึ ปฏิบตั ิ ดงั นี้ ผูคนไดท าํ บญุ ถวายทานตอพระภิกษุ จงึ เปนที่ ๑. ใช้สรรพนามให้เหมาะสม เคารพสกั การะสําหรับพุทธศาสนิกชนท่วั ไป) คือใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ผม, กระผม” (ส�าหรบั ชาย) “ดฉิ ัน” (สา� หรบั หญิง) ๒. ใช้สรรพนามแทนท่านว่า “พระคณุ เจ้า, หลวงพอ่ , ทา่ นพระครู, ท่านเจา้ คณุ , ใต้เท้า, พระเดชพระคณุ ” ตามควรแกก่ รณี ๓. เวลารบั ค�า พงึ ใช้วา่ “ครบั , ขอรบั ” (สา� หรบั ชาย) “คะ่ , เจา้ คะ่ ” (สา� หรบั หญงิ ) การเดนิ สวนทางกบั พระภกิ ษุ ขณะทพ่ี ระภกิ ษเุ ดนิ ผา่ นหนา้ พึงยกมือไหว้ 117 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู เราควรใชส รรพนามกบั พระสงฆร ปู ทีเ่ ราไมรูจกั วาอยา งไรจึงจะเหมาะสม ครแู นะนําวา คําวา “หลวงพอ” ไมใชส มณศกั ดิ์ แตเ ปน คําพูดแสดงความเคารพ 1. หลวงพอ ยกยองพระสงฆท ี่ทา นประพฤตปิ ฏิบตั ชิ อบ และมกั มพี รรษาหรอื อายุมากแลว 2. พระคุณเจา ในกรณที อี่ ายไุ มม าก ผพู ดู จะใชค าํ สรรพนามแทนทา นวา หลวงอา หลวงพี่ และอนื่ ๆ 3. ทา นพระครู ก็ได ตามแตกรณี 4. พระเดชพระคณุ นกั เรียนควรรู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. พระคุณเจา เปน สรรพนามท่ีใชเ รียก 1 ฆราวาส คอื ผคู รองเรอื น หรอื คฤหสั ถ หรอื ชาวบา นธรรมดา โดยฆราวาสธรรม พระภิกษทุ ม่ี ีระดับเปน พระราชาคณะช้นั สามญั ขนึ้ ไป และพระท่ัวไปทีไ่ มมี หรอื ธรรมของผูครองเรือนมี 4 อยาง ดงั นี้ สมณศักด์ิ • สจั จะ คือ ความจริงใจ ซอื่ สตั ย • ทมะ คือ การฝกฝน การขม ใจตนเอง • ขนั ติ คือ ความอดทน • จาคะ คอื ความเสียสละ คมู ือครู 117
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครูใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ออกมาสาธิตการถวาย ๔. เวลาพระท่านพดู พึงตัง้ ใจฟงั โดยเคารพ ไม่พงึ ขดั จังหวะหรอื พูดแทรกขึน้ มา สงิ่ ของและรบั สิง่ ของในขณะท่ีพระสงฆยืน ในระหวา่ งที่ทา่ นกา� ลงั พดู อยู่ นงั่ เกา อ้ี และนั่งกับพื้น ๕. เเววลลาารทบั า่ ไนตใรหส้โรอณวาคทมหน1รแ์ อื ลอะรวบัยศพลีร พึงประนมมือฟงั โดยเคารพ ๖. พงึ วา่ ตามดว้ ยเสยี ง2ดงั ไมพ่ งึ นงั่ เงยี บเฉยๆ 2. ครสู นทนาเก่ียวกบั การรับส่ิงของจากพระสงฆ ๗. เวลาฟงั พระสวด เช่น สวดศพ เจรญิ พระพุทธมนต์ พึงประนมมือฟงั ด้วยความ และต้งั คาํ ถามวา เคารพ ไม่คุยกนั หรอื ท�าอย่างอืน่ ในระหว่างทที่ า่ นกา� ลังสวด • การรบั สง่ิ ของจากมอื พระสงฆก บั การแบมอื รอรบั สง่ิ ของทพี่ ระสงฆป ลอ ยลง ใชใ นกรณใี ด ๕) การรบั ส่งิ ของ การรบั ส่งิ ของจากพระสงฆ์ ควรปฏิบัติ ดังน้ี บาง ๕.๑) การรับสิ่งของขณะท่ีพระสงฆ์ยืนอยู่ ขณะที่พระสงฆ์ยืนอยู่หรือนั่งในทส่ี งู (แนวตอบ ในกรณสี งิ่ ของชิน้ เลก็ ๆ ผชู าย ใหผ้ รู้ บั เดนิ เขา้ ไปดว้ ยกริ ยิ าอาการสา� รวม เม่ือได้ระยะพอสมควร ให้ยืนตรง น้อมตัวลงไหว้ และ สามารถรบั สงิ่ ของจากพระสงฆโดยตรงได ยนื่ มอื ทงั้ สองเขา้ ไปรบั พรอ้ มกบั นอ้ มตวั เลก็ นอ้ ย สา� หรบั ชายรบั ของจากมอื ทา่ นไดแ้ ตส่ า� หรบั หญงิ แตผ หู ญงิ จะรับส่ิงของจากพระสงฆโ ดยแบมือ ให้แบมอื ท้ังสองชดิ กันคอยรองรบั สง่ิ ของท่ที า่ นจะปล่อยลงในมอื ให้ เมือ่ รบั ส่ิงของแลว้ ถ้าสิ่งของ รอรบั ส่ิงของทีพ่ ระสงฆป ลอยลงมา ท้ังนีเ้ พ่ือ เล็กนิยมน้อมตัวลงยกมือไหว้พร้อมกับส่ิงของในมือ ถ้าสิ่งของท่ีรับน้ันใหญ่หรือหนักก็ไม่ต้อง ปองกนั การถกู เนอ้ื ตอ งตวั กัน) ไหวร้ บั แลว้ คอ่ ยหันตวั กลบั เดนิ ไปได้ • หากโรงเรยี นนมิ นตพ ระสงฆม าเปน วทิ ยากร ๕.๒) การรับสิ่งของขณะท่ีพระสงฆ์น่ังเก้าอี้ ขณะที่พระสงฆ์น่ังเก้าอ้ี ให้ผู้รับ บรรยายความรทู างพระพทุ ธศาสนา แลว เดินเข้าไปด้วยอาการส�ารวม เมื่อเข้าไปใกล้พอสมควรให้ยืนตรงแล้วนั่งคุกเข่าข้างซ้าย ชันเข่า นกั เรยี นตอบคาํ ถามถกู ตอ ง พระสงฆจ งึ เรยี ก ขวาข้นึ น้อมตวั ลงยกมือไหว้ แล้วย่นื มอื ท้งั สองออกไปรับของเช่นท่ีกลา่ วมาแลว้ เมอื่ รบั ของแล้ว นกั เรยี นออกไปรบั รางวลั หนา ชนั้ เรยี น ถา้ ของนน้ั เลก็ กน็ อ้ มตวั ลงไหวพ้ รอ้ มกบั ของนนั้ อยใู่ นมอื ถา้ เปน็ ของใหญห่ รอื หนกั นยิ มวางของนนั้ ซ่งึ เปนปากกา 1 ดาม โดยทา นกําลงั ยนื ไวข้ า้ งตัวด้านซ้ายมือ นอ้ มตวั ลงไหวแ้ ล้วยกของนน้ั ดว้ ยมอื ทัง้ สองประคองขึน้ ลกุ ขึ้นยนื ถอยหลัง บรรยายอยู นกั เรยี นจะมีวธิ ีการรับสงิ่ ของ เล็กน้อยแล้วหนั หน้ากลบั เดินไปได้ จากทา นอยางไร ๕.๓) ก า ร รั บ สิ่ ง ข อ ง ข ณ ะ ท่ี (แนวตอบ หากเปน นกั เรียนชาย ใหเ ดนิ เขา ไป พระสงฆ์นั่งกับพ้ืน ขณะที่พระสงฆ์นั่งกับพ้ืน หาพระสงฆดวยอาการสํารวม เมอื่ ไดระยะ ให้เดินเข้าไปด้วยกิริยาส�ารวม เม่ือใกล้อาสนะ พอสมควรใหย ืนตรง นอ มตัวลงไหว แลวยื่น ที่พระสงฆ์นั่งอยู่พอสมควร จึงน่ังคุกเข่าลง มอื ไปรับสงิ่ ของจากทานไดโดยตรง พรอ ม แล้วเดินเข่าหรือคลานเข้าไปจนได้ระยะรับของ นอ มตวั เล็กนอ ย แตถ าเปนนักเรยี นหญิง แล้วน่ังคุกเข่าส�าหรับชาย หรือน่ังพับเพียบ ใหแ บมอื ทั้งสองชดิ กนั คอยรองรับสิง่ ของ สา� หรบั หญงิ กราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ หน ทีท่ านจะปลอ ยลงในมือ เม่ือรบั สงิ่ ของ คอื แลว้ ยนื่ มือทง้ั สองไปรบั ของแบบท่ีกล่าวมาแลว้ ปากกา ซ่งึ เปน ของเลก็ แลว ใหนอ มตัวลง เมื่อรับของแล้วนิยมวางของน้ันไว้ข้างตัวด้าน ยกมือไหว พรอ มกับส่ิงของในมือ) การรับสิ่งของจากพระภิกษุสำาหรับหญิงในขณะท่ีพระภิกษุ ขวามอื กราบ ๓ หน แล้วหยบิ ของนนั้ ด้วยมอื นง่ั กบั พ้นื ทัง้ สองข้าง ประคองเดนิ เข่าถอยหลังไปจนหา่ ง 118 พอสมควร แลว้ จงึ ลกุ ขน้ึ ยนื หนั หนา้ เดนิ กลบั ได้ นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดเปน การแสดงมารยาทในการรับสิง่ ของจากพระสงฆข องนักเรยี นชาย 1 ไตรสรณคมน ไตร คอื สาม สรณะ คอื ท่พี ึ่ง คมน คอื การถึง ไตรสรณคมน หรอื สภุ าพบรุ ษุ จงึ หมายถึง การถึงท่ีพงึ่ 3 ประการ ไดแ ก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ซึง่ การรบั 1. แบมอื รบั ไตรสรณคมน เปนการนอ มกาย วาจา ใจ นาํ พระรัตนตรัยเขาไปไวใ นตน 2. รบั ไมใ หโ ดนมอื พระสงฆ เพอื่ แสดงวาตนมพี ระรตั นตรยั เปน ทรี่ ะลกึ นึกถึง เปน ทพ่ี ่ึงตลอดไป และแสดงตน 3. รับจากมอื พระสงฆโดยตรง เปนพทุ ธมามกะ หรอื ผนู ับถอื พระพุทธศาสนา 4. ใชพ านหรอื ผา ปูสาํ หรับรองรบั 2 เจรญิ พระพทุ ธมนต มจี ดุ กาํ เนดิ มาจากการศึกษาเลาเรยี นพระพุทธพจน วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะผูชายสามารถรับสิง่ ของจากมือ เพอ่ื ทอ งจาํ และสบื ตอคาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา โดยตรง โดยพระสงฆส าวกสมัย พระสงฆโดยตรงได พทุ ธกาลไดน ําพระสูตรตางๆ มาสวดสาธยายในรปู แบบการบริกรรมภาวนาใหเ กดิ ขอ 1. ใชก ับผูหญิงในกรณีส่ิงของชิน้ เลก็ ๆ เชน เหรียญ พระเครือ่ ง เปนสมาธิ จงึ เรยี กวา พระพทุ ธมนต เปนตน ขอ 2. ใชในกรณผี หู ญิง 118 คมู ือครู ขอ 4. พระสงฆใชพานหรอื ผาปูรองรบั สําหรับฆราวาสทีเ่ ปน ผูห ญงิ ถวายของแดพระสงฆ
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๒.๔ การแตงกายในพธิ ีตางๆ 1. ครกู ลาวนาํ เกยี่ วกบั การแตง กายในศาสนพิธี ตา งๆ และต้ังคาํ ถามวา การแตงกายมใิ ชว า จะมจี ุดประสงคเ พ่อื ปกปด รางกาย ปองกนั หนาวรอนเพียงเทา นน้ั แตยงั • การแตง กายทีถ่ ูกตองเหมาะสมและ เพ่ือประโยชนในการสงเสริมความมีสงาราศีใหตัวเราอีกดวย จําเปนตองรูวาแตงอยางไรจึงจะ ถูกกาลเทศะ กอใหเ กิดผลดอี ยา งไร เหมาะสมแกก าลเทศะ คือ เรามรี ะเบียบทน่ี ยิ ม (แนวตอบ การแตง กายใหเหมาะสม คอื กันวา ไปในงานอยางหน่ึงแตงกายอยางหน่ึง การยดึ ถือความรสู ึกของเจาภาพในงาน ตา งๆ กนั ไป สว นมากมกั จะเปน เรอื่ งของผใู หญ ตางๆ โดยเอาใจเขามาใสใ จเรา เราเปนเด็กก็ควรสังเกตไววันหนึ่งขางหนาโต เมือ่ แตง กายถูกตอ งเหมาะสมในงานนนั้ เปนผูใหญ กจ็ ะตอ งปฏบิ ัตเิ ชนเดยี วกัน จะเปน การใหเกียรติ ทําใหเจา ภาพมีความ รูสกึ ท่ดี ี และเปนทต่ี อนรับของบุคคลท่ัวไป ๑) การแตงกายไปวัด วัดเปนที่ รวมถึงเปนทชี่ ่ืนชมของผูอนื่ ดวย) พาํ นกั ของพระภิกษแุ ละสามเณร เปนที่สําหรับ • ส่งิ ที่ชาวพุทธควรระลกึ อยูเสมอเมอื่ ไปวัด ประกอบการบญุ การกศุ ล ในสมยั กอ นวดั มคี วาม มอี ะไรบาง สําคัญมากในสังคมไทย วัดเปนศูนยกลางของ (แนวตอบ ระลกึ อยเู สมอวา วัดเปนสถานท่ี ชุมชน วัดเปนโรงเรียน เปนท่ีพักแรมของคน ศักด์ิสิทธิ์ ไมควรทําการคกึ คะนอง ไมส ง เดินทาง เปนท่ีที่ชาวบานมาพบปะสังสรรคกัน การแตงกายไปวัด ควรแตงกายใหสุภาพเรียบรอยและ เสยี งดัง ไมกระทาํ ผิดศีล ไมย ุงเกี่ยวกับ เปน ทท่ี คี่ นมาพกั ผอ นหยอ นใจเมอื่ มงี าน วดั เปน ถูกตองตามกาลเทศะ อบายมุขตา งๆ ควรแตง กายใหสะอาด เรยี บรอย และถูกตองตามกาลเทศะ) ทท่ี ค่ี นมาหาความสงบวิเวกทางใจ เปนที่ที่ระบายและปรึกษาความทกุ ขใจและอนื่ ๆ อกี มากมาย • พทุ ธศาสนิกชนที่ดี ควรแตงกายไปวดั ชาวพทุ ธท่ดี ีควรหาโอกาสไปวดั เปน ครง้ั คราว เชน ในวันพระ วนั สาํ คัญทางพระพทุ ธ อยางไร ศาสนาก็เขาไปสนทนาธรรมหรือแมแตไปพักผอนหาที่สงบวิเวก เพื่อต้ังใจที่จะกระทําความช่ัว (แนวตอบ การแตงกายไปวดั ท่ีถูกตองและ ใหนอยลง ทําความดีใหมากขึ้น และในการไปวัดน้ันหากฐานะอํานวยก็ควรนําส่ิงของอันควร เหมาะสม ควรแตง ใหสะอาดเรียบรอย ไปถวายพระดวยตามกําลังความสามารถและศรัทธาของตน เพ่ือเปนการทําบุญและชําระจิตใจ หลกี เล่ียงเสื้อผา สสี ันฉูดฉาด ไมใ สเส้ือผาที่ ใหส ะอาด หากฐานะไมอ าํ นวยกไ็ มเ ปน ไร เพราะการบชู าพระนน้ั ถา บชู าดว ยการปฏบิ ตั ธิ รรมกถ็ อื วา หรหู ราหรอื นาํ สมยั มากจนเกินไป ควรใส เปนส่ิงประเสรฐิ สดุ อยแู ลว เสอ้ื ผาทหี่ ลวมและไมรัดรปู เพอ่ื สะดวกใน การไปวัดน้ันตองระลึกอยูเสมอวาวัดเปนสถานที่ศักด์ิสิทธิ์ท่ีตองการความสะอาด การกราบพระและทําสมาธิ สาํ หรับผหู ญิง สไมงสบง เแสลียะงสดําังรไวมมเลชน าควะพนุทอธงทไี่ดมีตพ อูดงหใหยคาวบามไมเคด าม่ื รสพรุ ตาใอนสเถขาตนวทดั 1ี่อไันมเเปลนน ทกี่ตาร้ังพขนองนั 2วัดเปนคตวนรมีมารยาท จะตองแตง กายสภุ าพและมดิ ชิด ไมใส การแตงกายไปวดั นัน้ ควรแตง ใหส ะอาดเรียบรอย หลีกเลี่ยงการใชเ สอ้ื ผาทีม่ ีลวดลาย เสื้อทีบ่ างเกินไปหรอื เสือ้ คอลกึ กระโปรง และสสี นั ฉูดฉาด ไมค วรแตงกายใหห รูหราหรอื นาํ สมยั จนเกนิ ไป ควรใสเ สอ้ื ผาหลวมๆ ไมรดั รปู หรือกางเกงก็ไมควรส้ันมาก และไมควร เพ่ือสะดวกในการกราบพระ และการทาํ สมาธิ สตรไี มค วรใสเส้อื บางจนเกนิ ไป กระโปรงก็ไมควร ผาหนาผา หลังลึกเกนิ ไป อกี ทั้งไมค วรใส สน้ั มาก และไมค วรผา หนา ผา หลงั ลกึ เกนิ ไป ไมค วรใสเ ครอื่ งประดบั มากจนเกนิ ไป วดั ไมใ ชส ถานที่ เคร่อื งประดบั มากจนเกนิ ไป เพราะวดั ไมใช อวดมัง่ อวดมี ควรเปนทที่ ี่เราจะไปเพอื่ ขัดเกลากเิ ลสตัณหาใหน อยลง สถานทอ่ี วดความร่ํารวย และไมควรใส นํา้ หอมกลน่ิ ฉนุ ดว ย) ๑๑๙ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอใดกลา วไม ถกู ตองสําหรบั การแตงกายไปงานมงคลหรอื งานอวมงคล 1 ไมด มื่ สรุ าในเขตวดั ในปจ จบุ นั วดั ถอื เปน สถานทปี่ ลอดสรุ า โดยมหาเถรสมาคม 1. ไปงานแตง งานใสช ดุ ลําลอง (คณะกรรมการปกครองคณะสงฆไทย) มีมติหามดืม่ เหลาในวดั ท่ัวประเทศ 2. ไปงานบวชแตง กายเสือ้ เชิ้ต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล พ.ศ. 2551 ฝาฝนมีโทษจําคุก 6 เดือน 3. ไปงานศพควรแตง กายชุดสากล หรอื ปรับไมเกนิ 10,000 บาท หรือท้งั จาํ ทั้งปรับ หากพบวาพระสงฆท ําผิดเสยี เอง 4. ไปงานวันเกิดเพอ่ื นใสเสอ้ื สีสนั สดใส ถือโทษ 2 เทา คอื ถูกจับสึกและออกไปรบั โทษตามกฎหมายดวย 2 การพนนั เปนหน่ึงในอบายมุข 6 หรอื ทางแหงความเสอื่ ม มี 6 ประการ ไดแ ก วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เนอ่ื งจากงานแตง งานควรแตงใหเปน ตดิ สุราและของมนึ เมา ชอบเทีย่ วกลางคนื ชอบดูการละเลน ตดิ การพนนั คบคนช่วั และเกยี จครา นการงาน โดยการเลน การพนนั มโี ทษ 6 อยา ง ไดแ ก ผชู นะยอ มกอ เวร ทางการ คอื สวมชุดสากลหรือชุดสุภาพ สวนชุดลําลองสามารถแตง ผแู พยอ มเสยี ดายทรพั ย ความเสือ่ มทรพั ยในปจ จบุ ัน ไมมคี วามนา เช่อื ถือ ถูกบุคคล ไปงานวนั เกดิ เพ่ือนได หมิน่ ประมาท และไมมีใครประสงคจ ะแตงงานดว ย คูมอื ครู 119
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain อธบิ ายความรู Explain 1. ครใู หนกั เรียนแตล ะคนแสดงความคดิ เห็นวา ๒) การแต่งกายไปงานมงคล งานมงคล คือ งานที่เกี่ยวกับเร่ืองดีงาม เป็นการ การแตงกายในงานมงคลและงานอวมงคล ควร แตงกายใหเหมาะสมอยางไรบา ง เพราะเหตใุ ด ฉลองอะไรบางอยา่ ง หรอื เป็นเรื่องที่นา่ ยนิ ดี เชน่ งานบวช งานแตง่ งาน งานวนั เกดิ เปน็ ต้น โดยบนั ทกึ ลงในสมุด การแต่งกายไปงานมงคลมีข้อควรปฏิบัติ คือ แต่งกายให้เหมาะสมกับงานน้ันๆ 2. ครูใหศ ึกษาความหมายและคานยิ มของสีใน เพ่ือเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพ บัตรเชิญไปงานอาจบอกได้ว่าควรแต่งกายอย่างไร ท้ังน้ีต้องยึด วัฒนธรรมไทยและตา งประเทศ จากนน้ั ครูให ความนยิ มของสงั คมดว้ ย เชน่ ไปงานวนั เกดิ เพอ่ื นอาจแตง่ ตวั แบบลา� ลองตามสบาย ไปงานแตง่ งาน นกั เรยี นวเิ คราะหวา เพราะเหตใุ ดพระสงฆ ควรแตง่ ให้เป็นทางการ เชน่ สวมชดุ สากล ไปงานบวชแตง่ ตัวให้ดเู รียบง่าย เปน็ ต้น สวนใหญจงึ ครองจีวรสเี หลือง การไปงาน มงคลจงึ ควรใสสสี ดใส สภุ าพ และการไปงาน คนแต่ละคนยึดถือประเพณีนิยมของสังคมไม่เหมือนกัน บางคนยึดถือตามระเบียบ อวมงคลจงึ ควรใสส ดี ําหรอื สขี าว ประเพณีอย่างเคร่งครัด บางคนตามสบาย อันที่จริงเสื้อผ้าท่ีสวมใส่ไม่ใช่สาระหรือแก่นของการ ไปร่วมงาน แต่ถ้าเราไม่ยึดถืออะไรเลย แต่งตัวตามใจชอบ อาจท�าให้เจ้าภาพมีความรู้สึกไม่ดี 3. ครใู หนกั เรียนทเี่ คยบวชเปน สามเณร หรอื คนเราควรดา� เนินสายกลาง นกึ ถึงใจเขาใจเรา คดิ ดวู า่ หากเราเป็นเจา้ ภาพเราจะรู้สึกอยา่ งไร ถ้ามี เขา รว มงานบวชหรอื งานมงคลตา งๆ ออกมา คนแต่งตัวอย่างที่เราแตง่ มางานของเขา อธบิ ายวามีขั้นตอนการดาํ เนินงานอยา งไร เพื่อ ใหเ พอ่ื นนกั เรียนซักถามถงึ การปฏบิ ัติตนและ การแตงกายไปงานเหลา น้นั 4. ครใู หนักเรียนทาํ กจิ กรรมที่ 5.7 จากแบบวดั ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 5.7 หนว ยท่ี 5 หนาท่ชี าวพทุ ธและมารยาทชาวพุทธ กิจกรรมที่ ๕.๗ ใหน ักเรยี นสรปุ หลักปฏิบัติท่เี หมาะสมในการแตง กาย คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด ในพธิ ตี างๆ (ส ๑.๒ ม.๒/๒) ñð การแต่งกายไปรว่ มงานมงคล จะต้องยดึ หลกั ความสภุ าพเรยี บร้อยและความเหมาะสมกบั งาน การแตงกายไปวัด เรือ่ งน่ารู้ …ค…วร…แ…ต…ง …ก…า…ย…ให…ส …ะ…อ…า…ด…เร…ยี …บ…ร…อ …ย…ห…ล……กี …เล…ย่ี …ง…ก…า…รส……วม…ใ…ส…เ ส……อ้ื ผ…า.. …ท…ี่ม…ีล…ว…ด…ล…า…ย…แ…ล…ะ…ส…ี…ส…ัน…ฉ…ูด……ฉ…า…ด……ค……วร……ใส……เส……้ือ…ผ…า…ห…ล…ว…ม…ๆ.. กาสายะหรือกาสาวะ …ไม…ร…ัด…ร…ูป………เพ…ื่อ…ส……ะด……วก……ใน……ก…าร…ก……ร…าบ……พ…ร…ะ…แล……ะก…า…ร…ท…ํา…ส…ม…า…ธ..ิ …ส…ต…ร…ีไ…ม…ค…ว…ร…ใส……เส…ื้อ……บ…า…งจ……น…เก…ิ…น…ไ…ป……ก…ร…ะ…โ…ป…ร…ง…ไ…ม…ค…ว…ร…ส…ั้น.. …มา…ก…แ…ล…ะ…ไ…ม…ค …ว…ร…ผ…าล…กึ……เก…นิ …ไ…ป……แ…ล…ะ…ไ…ม…ค…ว…ร…ใส……เ ค…ร…ื่อ…ง…ป…ร…ะ…ด…ับ.. …มา…ก…จ…น……เก…ิน…ค……วา…ม…พ…อ…ด…ี …………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………….. การแตงกายไปงานมงคล กาสายะหรือกาสาวะ คือ ผ้าทย่ี อ้ มดว้ ยรสฝาดแห่งตน้ ไม้ มสี ีเหลืองหมน่ ผ้าเหลืองสาำ หรับพระ การที่ต้อง …ค…ว…ร…แ…ต…ง…ก…า…ย…ใ…ห…ส…ุภ…า…พ…เ…ร…ีย…บ…ร…อ…ย…เ…ห…ม…า…ะ…ส…ม…ก…ับ…ง…า…น……น…้ัน…ๆ.. ยอ้ มดว้ ยรสฝาดนนั้ มจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื จะฆา่ เชอื้ โรค เพราะสมยั นน้ั พระหาผา้ ครองไดจ้ ากปา่ ชา้ ซง่ึ เปน็ ผา้ ทช่ี าวบา้ นใช้ ห่อศพมีเลือดและหนองเปรอะอยู่ เม่ือจะนำามาใช้เป็นผ้าครองต้องฆ่าเช้ือโรคเสียก่อน อีกประการหนึ่งผ้าเหล่าน้ัน …แล……ะย…ึด…ค……วา…ม…น……ิย…ม…ขอ……งส……ัง…ค…ม……เ…ช…น……ไ…ป…ง…า…น…ว…ัน…เ…ก…ิด…เ…พ…่ือ…น.. เฉฉบลบั ย …อ…าจ…แ…ต…ง…ต…ั…วแ…บ…บ……ล…ํา…ล…อ…ง…ต…า…ม…ส…บ…า…ย……ไ…ป…ง…า…น…แ…ต…ง…ง…า…น…ค…ว…ร.. ยอ่ มเปอ่ื ย จาำ เปน็ ตอ้ งฉกี เอาแตท่ ด่ี ๆี มาเยบ็ ตอ่ เขา้ เปน็ ผนื ดว้ ยเหตนุ ้ี ผ1า้ ครองของพระแตเ่ ดมิ จงึ มตี ะเขบ็ มากมายไมเ่ หมอื น …แต……ง…ก…า…ย…ใ…ห…เ…ป…น…ท……าง…ก……า…ร……ไ…ป…ง…า…น…บ……วช…ค……ว…ร…แ…ต…ง…ต…ัว…ใ…ห.. ในปัจจบุ ัน จวี รพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลออกแบบโดยพระอานนท์ ท่เี ปน็ ตะเขบ็ เรยี กว่า ขันธ์ มี ๕ ขนั ธ์ ๗ ขันธ์ มลี กั ษณะคลา้ ยคนั นาของชาวมคธ (วนิ ยั มขุ เล่ม ๒) …เร…ยี …บ…ร…อ …ย……ไม…จ…ํา…เ…ป…น…ต…อ …ง…ใ…ส…ช …ดุ …ห…ร…หู …ร…า…ร…าค……าแ…พ…ง………………….. 120 …………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………….. การแตง กายไปงานอวมงคล …ต…า…ม…ป…ร…ะ…เพ…ณ……ีน…ิย…ม…ผ…ู…ช…าย…แ…ต……ง…ชุ…ด…ส…า…ก…ล…น…ิ…ย…ม…ส…ีเข…ม………ห…ร…ือ.. …แต…ง…ก…า…ย…ช…ุด…ไ…ท…ย…พ…ร…ะ…ร…า…ชท……าน……ส…ดี …ํา…ท…้งั …ชุด………ห…ร…อื …ก…า…ง…เก…ง…ส…ดี …าํ.. …ห…ร…ือ…เข…ม……เ…ส…ื้อ…ส…ีข…า…ว……ผ…ูห…ญ……ิง…น…ุง…ผ…า…ซ…ิ่น…ห…ร…ือ…ก……ร…ะโ…ป…ร…ง…ต…า…ม.. …ส…ม…ัย…น…ิย…ม……ถ…า…เป……น…ไ…ป…ได……ค…ว…รเ…ป…น…ส……ีด…ําท……ั้ง…ชุด………ส…ว…ม…ร…อ…ง…เท…า.. …ห…ุม…ส…น……ส…ีด…ํา……ถ……า…ไม……ม…ีก…็อ…า…จ…แ…ต…ง…ก……าย……ธ…ร…ร…ม…ด…า…ส…ีเ…ร…ีย…บ…ๆ.. …ไม…ฉ…ูด…ฉ……าด……แ…ล…ะ…ไ…ม…ค …วร…ใ…ส…เ…ค…ร…ื่อ…ง…ป…ร…ะ…ด…ับ…ม…า…ก…เก…ิน……ไป…………….. …………………………………………………………………………………………………….. ๔๙ ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การแตง กายไปทาํ บุญฟงเทศนท ่วี ดั ไมควร แตงอยางไร เกรด็ แนะครู 1. นุงกระโปรงสดี าํ 2. ใสเ ครื่องประดับ ครูอธบิ ายเพิม่ เตมิ ถงึ การแตง กายไปงานมงคลวา เมื่อไปรวมพิธหี รือไปแสดง 3. นงุ กางเกงขาสน้ั ความยนิ ดแี กเ จา ภาพ เนน การแตงกายสุภาพเรียบรอยกเ็ พยี งพอ ไมจาํ เปน ตองใส 4. ทําผมแตงหนาเล็กนอ ย ชดุ หรหู รา แตส ิง่ ท่ตี อ งยกเวน เชน รองเทา แตะ กางเกงขาส้นั เสอื้ ผารุมรามหรือ ฉกี ขาด หรอื มองแลว ไมเหมาะไมค วร เปน ตน นักเรียนควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการไปทาํ บญุ ฟง เทศนทวี่ ดั 1 พระอานนท เปน สหชาติ (เกิดวนั เดียวกับพระพุทธเจา) และพุทธอุปฏฐาก ควรแตง กายใหสุภาพ เหมาะสมกบั กาลเทศะ และสภุ าพสตรคี วรหลีกเล่ียง ของพระพทุ ธเจา ซง่ึ ไดร ับยกยองวาเปนเอตทคั คะหรอื ผูเ ปน เลิศกวาพระสาวกอืน่ การนุง กระโปรงสน้ั หรอื กางเกงขาส้นั และใสเ ส้อื รดั รูป เพราะไมเหมาะสมกับ ถงึ 5 ประการ ไดแก มีสตเิ ปนเลศิ มคี วามทรงจําเปน เลศิ มคี วามเพยี รเปนเลศิ กาลเทศะอยา งยิง่ พหสู ูต (ผูไดย นิ ไดฟงมาก) และยอดพระพทุ ธอุปฏ ฐาก 120 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain นแติย่งมกชาายยชแุดตไ๓่ทง)ชย ุดพกสาราะรรกแาลตชน่งทิยกามานยสสีไเีดขป�า้มงทา้ังนสชวอุดมวมปหลงรือคอกกลาแงขงเกานนงทสอุกีดวข�าม1์ทหงี่แรคือขลเนขหเ้มสม้ือาเขสย้า้ือถงสึงซีข้างายาวเนหหศนพญือิงขนต้อาุ่งศมผอ้าปกซร่ินะ2เหหพรรณืืออี ครนู ําสนทนาเร่อื งการแตงกายไปงานอวมงคล และตงั้ คาํ ถาม กระโปรงตามสมัยนิยม ควรเป็นสีด�าทั้งชุดถ้าเป็นไปได้ รองเท้าหุ้มส้นสีด�า ถ้าไม่มีก็อาจแต่งกาย ธรรมดา สีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด ไม่ควรใส่เพชรนิลจินดาให้มากเกินเหตุ เพราะเป็นงานเศร้าโศก • การแตง กายไปรว มงานอวมงคล เพราะเหตใุ ด มิใชง่ านร่ืนเริง จึงนยิ มแตง กายดว ยชุดสดี าํ หรอื สขี าว (แนวตอบ เพราะงานอวมงคล คอื งานไวท กุ ข งานโศกเศรา ผูแตง กายจงึ ควรสวมชุด ทีแ่ สดงถึงการไวทุกข เชน ชุดสีดาํ สขี าว สีเขม เปนตน เพอ่ื ใหผ ูท่ีไปงานสวมชุด ธรรมดา สเี รียบ ไมฉ ดู ฉาดเหมอื นๆ กนั ซง่ึ เปน การแตงกายที่ใหเ กยี รติเจาภาพเวลา ไปงานอวมงคล) ขยายความเขา ใจ Expand การแต่งกายไปงานอวมงคลหรืองานศพ ควรแตง่ กายตามประเพณีนิยม หรอื แตง่ กายธรรมดาสีเรียบ ไมฉ่ ูดฉาด 1. ครใู หน ักเรยี นเขยี นสรปุ ความรแู ละความเขาใจ เกยี่ วกับมารยาทชาวพทุ ธ ไดแก การตอ นรบั พระพุทธศาสนามีความส�าคัญต่อการด�าเนินชีวิตตามอย่างวิถีไทย ซึ่งไม่สามารถ (ปฏิสนั ถาร) มารยาทของผเู ปน แขก ระเบียบ แยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด กระท่ังเป็นที่ยอมรับว่าเมืองไทยเป็นเมืองแห่งพุทธธรรมอย่าง พธิ ีปฏิบตั ิตอพระสงฆ และการแตงกาย แท้จริง ในเมืองไทยจะมีพทุ ธศาสนกิ ชนอยมู่ ากทีส่ ดุ ดังนัน้ พุทธศาสนิกชนไทยจงึ ควรปฏบิ ัติตน ในพธิ ีตา งๆ ลงในสมุดและสง ครูผสู อน ตามหลกั หนา้ ทชี่ าวพทุ ธ ไดแ้ ก่ ทา� นบุ า� รงุ พระพทุ ธศาสนาใหย้ นื ยงสบื ไป อาจจะดว้ ยวธิ หี มนั่ ศกึ ษา หาความรใู้ นหลกั ธรรมและนา� ไปใชใ้ นการดา� รงชวี ติ ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ประเพณพี ธิ กี รรมทางพระพทุ ธ 2. ครูใหนักเรียนแตล ะคนสาธิตระเบยี บพธิ ปี ฏบิ ัติ ศาสนา หรือส่งเสริมอุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์ซ่ึงเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ ยังต้อง ตอพระสงฆ ไดแก การยนื การใหท่ีนัง่ การ ท�าหนา้ ท่เี ผยแผพ่ ระศาสนาให้รงุ่ เรืองยงิ่ ขึ้นไป ตลอดจนปกป้องพระศาสนามใิ ห้เสอื่ มหรือถอยลง เดินสวนทาง การสนทนา และการรับส่ิงของ สู่ความตา่� ดว้ ย ตรวจสอบผล Evaluate 121 1. ตรวจสอบจากการเขียนสรปุ ความรูและความ เขา ใจเก่ยี วกบั มารยาทชาวพุทธ 2. ตรวจสอบจากการสาธติ ระเบียบพิธีปฏิบตั ติ น ตอ พระสงฆ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นกั เรียนควรรู “หมูแฮมชวนสายปา น ไขดาว และขาวโอตไปงานสวดพระอภิธรรมศพ ของพอ เพ่อื น หมแู ฮมใสกางเกงขายาวสดี ํา เสือ้ เชิต้ ขาว สายปา น 1 สวมปลอกแขนทุกข มหี ลกั เกณฑแ ละเทคนิคการตดิ ปลอกแขนทุกข ดังนี้ นงุ กระโปรงดํา เสอ้ื สีขาว ไขด าวนงุ กระโปรงขาว เส้ือสชี มพู ขา วโอต • การตดิ ปลอกแขนทกุ ข ตองติดดานซา ยมอื นงุ กางเกงขายาวสีดํา สวมเส้อื แขนยาวสขี าว ผกู เนกไทสนี า้ํ เงนิ ” • การติดปลอกแขนทกุ ขใ ชในพิธพี ระราชทานเพลิงศพ บุคคลใดแตง กายไม เหมาะสมกบั กาลเทศะ • ความสงู ของดา นบนของปลอกแขนทกุ ข ตอ งเสมอกบั แนวรกั แรด า นซา ยมอื 1. หมแู ฮม 2. สายปาน • ปลอกแขนทกุ ขส ดี าํ มกั เปน ขน ลกั ษณะคลา ยขนแมวตดิ ควรใชแ ปรงปด ออก 3. ไขดาว 4. ขา วโอต ใหส ะอาดเรียบรอ ย • ใหแ นวตะเขบ็ ของปลอกแขนทกุ ข อยตู รงตน แขนดา นใน ไมใ หเ หน็ เขม็ กลดั วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะไขด าวใสเ สอื้ สชี มพู ไมเ หมาะสมกบั ทใ่ี ชกลัด เพื่อความสวยงาม • ขนาดปลอกแขนทุกข ตองพอดีกับขนาดแขน อาจจะหลวมเล็กนอย การไปงานอวมงคลหรอื งานสวดพระอภธิ รรมศพ เนอ่ื งจากเปน งานไวท กุ ข พอสวยงาม ความกวา งของปลอกแขนทกุ ขก วาง 4 น้ิว ผแู ตง กายควรใสชุดสุภาพ สีขาว สีดาํ หรอื สเี ขม จงึ จะเหมาะสม 2 ผา ซน่ิ คอื ผาทีเ่ ยบ็ เปน ถงุ สาํ หรบั ผหู ญิงนุง ผาซนิ่ จะมีขนาดส้นั ยาวและกวาง แคบแตกตางกนั ไป ข้ึนอยูก ับรูปรา งของผนู ุงและวิธกี ารนงุ คูม อื ครู 121
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบความถูกตอ งจากการตอบคําถาม ค าí ¶ามประจ าí หนว่ ยการเรยี นรู้ ประจาํ หนว ยการเรยี นรู ๑. กล่าวกันว่า “พระสงฆ์ คือผู้ปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่ประชาชน” การปฏิบัติ หลักฐานแสดงผลการเรียนรู เปน็ แบบอยา่ งทด่ี ี คอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรบา้ ง 1. บนั ทึกขอ มลู จากการสัมภาษณพ ระภิกษุเก่ียวกับ ๒. หลักค�าสอนพระพุทธศาสนาท่สี อนให้ท�าความดีและมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ มีประโยชน์ การเผยแผพระพุทธศาสนาและการปฏิบตั ิตน ต่อสังคมไทยอย่างไร และอธิบายให้เห็นว่าหากขาดหลักธรรมข้อน้ีแล้วจะเกิดปัญหา ในชวี ติ ประจาํ วนั ตอ่ สงั คมไทยอยา่ งไร 2. บนั ทกึ การเขา รว มพธิ กี รรมทางพระพุทธศาสนา ๓. หากนักเรียนจะต้องไปท�ากิจธุระท่ีวัด นักเรียนมีหลักปฏิบัติในการสนทนากับพระสงฆ์ 3. การเขียนสรุปข้ันตอนและประโยชนข อง อยา่ งไร จงอธบิ ายเปน็ ขน้ั ตอน พิธแี สดงตนเปนพุทธมามกะ ๔. การปฏิสันถารคืออะไร มีประโยชน์และมีความส�าคัญอย่างไร อธิบายตามหลักพระพุทธ 4. การเขียนสรปุ ความรแู ละความเขา ใจเกีย่ วกบั ศาสนาและวถิ ชี วี ติ ของสงั คมไทย มารยาทชาวพุทธ ๕. ในฐานะท่ียังอยู่ในวัยเรียน นักเรียนคิดว่าจะมีแนวทางในการช่วยเผยแผ่พระศาสนาได้ อยา่ งไรบา้ ง ใหแ้ สดงความคดิ เหน็ กจิ กรรมสร้างสรรค์พั²นาการเรียนรู้ กจิ กรรมท ี่ ๑ ครูและนักเรียนร่วมกันวิเคราะห์บทบาทของพระสงฆ์ในปัจจุบัน จากน้ันครู สรุปประเด็นส�าคัญให้นักเรียนเขา้ ใจบทบาทของพระสงฆ์ไดด้ ยี ิ่งข้ึน กจิ กรรมท ี่ ๒ ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มออกมาสาธิตการปฏิบัติตนต่อ พระสงฆ์ อาทิ การยืนหน้าพระสงฆ์ การให้ทน่ี ง่ั การเดินสนทนา และการ สนทนากับพระสงฆ์ โดยให้ครูและนักเรียนร่วมกันชี้แนะว่าสาธิตได้ถูกต้อง หรอื ไม่อยา่ งไร กจิ กรรมท ่ี ๓ ครูน�าเทปหรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับการสนทนาธรรมมาเปิดหรือฉายให้นักเรียน ชมและรว่ มกันสรปุ ถงึ แนวทางการแสวงหาความรดู้ ว้ ยวิธีการสนทนาธรรม พุทธศาสนสุภาษติ ÁÒµÒ ÁÔµµÚ í Êà¡ ¦àà : ÁÒôÒ໚¹ÁµÔ Ãã¹àÃ×͹¢Í§µ¹ 122 แนวตอบ คําถามประจาํ หนว ยการเรียนรู 1. การปฏิบตั เิ ปน แบบอยางของพระสงฆ เชน ดํารงชวี ติ ดวยความเรียบงา ย สมถะ ไมฟุงเฟอ ไมยึดติดในลาภสกั การะ ไมส ะสมทรพั ยส นิ เงินทอง เนนพฒั นาดานจิตใจ ใหสูงข้นึ และเนน ขัดเกลากิเลส เปน ตน 2. การท่พี ระพุทธศาสนาสอนใหลูกทําความดี และมคี วามกตัญูตอพอ แม ทาํ ใหส ังคมมีความสงบสุข คนไมก ลา ทาํ ความชั่ว เพราะคนท่รี ักและกตญั ูตอพอแม ยอมไม กลา ทําสงิ่ ผิด เน่อื งจากกลวั พอแมจ ะเสียใจและผิดหวงั ซึ่งถือเปน ความอกตัญยู ง่ิ หากขาดหลักธรรมขอ นี้ สังคมไทยจะวนุ วาย ไมส งบสุข คนทไี่ มร กั และไมกตญั ู ตอ พอ แม ยอ มทาํ ความชวั่ ไดงาย เพราะไมกลวั วา จะมีผูใดเสียใจ นอกจากน้ัน พอ แมจะถูกทอดทิ้งเมื่อแกชรา ทาํ ใหภาครฐั ตอ งเล้ยี งดู จึงเปน การสิน้ เปลอื งงบประมาณ อยางมาก 3. การใชสรรพนามแทนตวั เอง ผชู ายใช “กระผม” ผูหญิงใช “ดิฉนั ” และใชส รรพนามแทนพระสงฆตามแตก รณี สวนเวลารบั คํา ใช “ครบั ” สาํ หรบั ผูชาย “คะ” สําหรบั ผูห ญิง เวลาพระพูด ตัง้ ใจฟงดว ยความเคารพ เวลาพระใหพ ร ประนมมือฟงดวยความเคารพ รวมถึงเวลารบั ศลี ใหว าตาม ไมควรนงั่ เงยี บ 4. การปฏสิ ันถาร คือ การตอนรบั อาคันตุกะดว ยวธิ ีตา งๆ คอื ปฏิสันถารดว ยวาจา การใหท พ่ี ัก และการแสดงนา้ํ ใจตอกนั มีประโยชนแ ละความสําคญั คอื ทําให อาคันตุกะเกดิ ความประทบั ใจ ซง่ึ พระพุทธเจาทรงใหค วามสาํ คญั ตอการปฏสิ ันถารดวยกิรยิ ามารยาททสี่ ุภาพอยา งมาก คนไทยจงึ รับอิทธิพลนมี้ าจากพระพุทธศาสนา กอ ใหเ กิดเปนวัฒนธรรมที่ดีงาม 5. ศึกษาคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนาใหเ ขาใจอยา งถองแท เม่อื มผี ูส งสัย จะไดช้ีแจงหรอื อธบิ ายใหเขาเขาใจได รวมถงึ ปฏิบตั ติ นตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอยา ง เครงครัด เพือ่ เปน แบบอยา งทด่ี แี กผ สู นใจพระพุทธศาสนา ตลอดจนจัดนิทรรศการเพือ่ เผยแผพ ระพทุ ธศาสนาก็ได 122 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู ๖หน่วยการเรียนรทู้ ี่ วันสาํ คัญทาง 1. อธิบายประวัติความเปนมาและความสาํ คญั พระพทุ ธศาสนา ของวันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาได และศาสนพิธี 2. ปฏบิ ตั ติ นไดถ กู ตอ งและเหมาะสมในวนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา 3. อธิบายคาํ สอนทีเ่ ก่ียวเนอื่ งกับวนั สําคัญทาง พระพทุ ธศาสนาได 4. ปฏิบตั ิศาสนพธิ ที างพระพทุ ธศาสนาไดอยา ง ถกู ตอ ง ตวั ชว้ี ัด สมรรถนะของผเู รียน ● วเิ คราะหค์ ณุ คา่ ของศาสนพธิ แี ละปฏบิ ตั ติ นได้ 1. ความสามารถในการคิด ถกู ตอ้ ง 2. ความสามารถในการแกปญ หา (ส ๑.๒ ม.๒/๑) 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ติ ● อธิบายคำาสอนท่ีเก่ียวเน่ืองกับวันสำาคัญทาง คุณลักษณะอันพึงประสงค ศาสนาและปฏบิ ัตติ นไดถ้ ูกต้อง (ส ๑.๒ ม.๒/๔) 1. รกั ชาติ ศาสน กษัตรยิ 2. ใฝเ รยี นรู ● อธิบายความแตกต่างของศาสนพธิ ี พธิ ีกรรม 3. รักความเปนไทย ตามแนวปฏิบัติของศาสนาอื่นๆ เพื่อนำาไปสู่ 4. มีจิตสาธารณะ การยอมรับและความเข้าใจซ่ึงกันและกัน (ส ๑.๒ ม.๒/๒) สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ÈÒʹ¾¸Ô ËÕ ÃÍ× ¾¸Ô ¡Õ ÃÃÁ·Ò§ÈÒʹÒ໹š ÃÐàºÂÕ ºáººá¼¹ กระตนุ ความสนใจ Engage ·Ò§ÈÒʹҷÕè¡íÒ˹´¢éÖ¹à¾×èÍãËŒ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹ä´ŒÂÖ´¶×Í ● การปฏบิ ัตติ นอยา่ งเหมาะสม »¯ºÔ µÑ àÔ »¹š ẺÍÂÒ‹ §à´ÂÕ Ç¡¹Ñ áÅжÍ× à»¹š ÊÇ‹ ¹»ÃСͺ·ÊèÕ Òí ¤ÞÑ ● หลกั ธรรมเบอ้ื งตน้ ทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งในวนั มาฆบชู า »ÃСÒÃ˹§Öè ¢Í§¾Ãо·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò ¹Í¡¨Ò¡¹Õé ÈÒʹ¾¸Ô ÂÕ §Ñ ªÇ‹  áÊ´§ÍÍ¡¶§Ö àÍ¡Å¡Ñ É³¢ ͧªÒµÔáÅÐÊÃÒŒ §¤ÇÒÁÊÒÁ¤Ñ ¤ãÕ ËŒ วันวิสาขบูชา วันอฏั ฐมีบชู า วนั อาสาฬหบูชา à¡´Ô ¢Ö¹é ã¹ËÁÙ‹¤³Ð วันธรรมสวนะ และเทศกาลสำาคญั ● ระเบยี บพธิ แี ละการปฏบิ ตั ติ นในวนั ธรรมสวนะ ªÒµäÔ ·ÂÁàÕ Í¡Å¡Ñ É³¡ ÒûÃСͺ¾¸Ô ¡Õ ÃÃÁ·Ò§ÈÒÊ¹Ò วนั เข้าพรรษา วนั ออกพรรษา วนั เทโวโรหณะ áÅÐä´¡Œ Òí ˹´ãËÁŒ ÇÕ ¹Ñ ÊÒí ¤ÞÑ µÒ‹ §æ à¡ÂèÕ Çà¹Íè× §¡ºÑ ¾Ãо·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò ● ศาสนพธิ ี พธิ กี รรม แนวปฏบิ ตั ขิ องศาสนาอน่ื ๆ ÁÒ¡ÁÒ ÍÒ·Ô Ç¹Ñ ÁÒ¦ºªÙ Ò Ç¹Ñ ÇÊÔ Ò¢ºªÙ Ò Ç¹Ñ ÍÒÊÒÌ˺ªÙ Ò ÏÅÏ ´§Ñ ¹¹éÑ ¾·Ø ¸ÈÒʹ¡Ô ª¹·´èÕ ¨Õ §Ö ¤ÇÃÈ¡Ö ÉÒ¤ÇÒÁ໹š ÁÒ¢Í§Ç¹Ñ ÊÒí ¤ÞÑ ·Ò§¾Ãоط¸ÈÒʹÒáÅÐÈÒʹ¾Ô¸Õµ‹Ò§æ à¾èÍ× ãËŒÊÒÁÒö ครใู หน ักเรยี นชวยกนั ตอบวา »¯ºÔ ѵԵ¹ä´ŒÍÂÒ‹ §¶¡Ù µŒÍ§àËÁÒÐÊÁ • วันสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนาท่นี กั เรียนรูจัก มีอะไรบาง • วันสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนาเหลา นีม้ ีข้นึ เพือ่ วัตถุประสงคอ ะไร และชาวพุทธควร ปฏบิ ัติอยา งไรบางในวนั สาํ คญั นนั้ เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กิจกรรมการเรยี นรูเพอ่ื ใหนักเรียนสามารถอธิบายประวัตคิ วามเปนมา และหลักคําสอนทเี่ กี่ยวเนอื่ งกับวันสําคญั ทางพระพุทธศาสนาได รวมถงึ ปฏิบัตติ น ไดอยา งถกู ตองในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ตลอดจนปฏิบตั ิศาสนพิธีทาง พระพุทธศาสนาไดถูกตอ ง โดยครคู วรจัดการเรยี นการสอน ดงั นี้ • ใหน กั เรียนศึกษาคนควาเก่ียวกบั วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา แลวจดั ทาํ ผังมโนทศั นส รุปสาระสาํ คัญ • ใหน กั เรียนสบื คนเก่ยี วกบั วันธรรมสวนะและเทศกาลสาํ คัญ แลวเขา รว ม ประกอบพธิ ีกรรมทางพระพุทธศาสนา • ใหน กั เรยี นศกึ ษาเกย่ี วกบั ประวัตคิ วามเปนมาและวิธปี ฏิบัติของศาสนพิธี ตางๆ แลว เขียนสรปุ สาระสาํ คัญ • ฝก ใหนกั เรียนสวดมนตทใ่ี ชใ นงานศาสนพธิ ีตา งๆ ในพระพุทธศาสนา • จดั ใหมีการสาธติ การปฏิบตั ศิ าสนพิธีในชัน้ เรยี น รวมถงึ จดั ใหม ีการปฏิบตั ิ จริงท่วี ดั คูมอื ครู 123
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครนู าํ ภาพเหตกุ ารณตา งๆ ในพุทธประวตั ิ ñ. ÇѹÊÓ¤ÑÞ·Ò§¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ทีเ่ ก่ยี วขอ งกบั วันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนา เชน ภาพพระพุทธเจาประสูติ ตรัสรู พระพทุ ธเจาแสดง ๑.๑ หลกั ธรรมเบอ้ื งตน ทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ปฐมเทศนาแกป ญ จวัคคยี เปน ตน มาแสดงให ๑) วันมาฆบูชา นกั เรียนดู และถามเชงิ กระตุน วา ๑.๑) ความเปนมาและความสําคัญ วันมาฆบูชาเปนวันท่ีพุทธศาสนิกชนแสดง • เหตุการณใ นภาพเหลาน้ีตรงกบั วันสําคัญใด ความเคารพตอพระธรรม มาฆบูชา ยอมาจากคําวา “มาฆบูรณมีบูชา” แปลวา การบูชาใน ทางพระพุทธศาสนา วันเพ็ญเดือน ๓ แตถาปใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็ใหเล่ือนไปเปนวันเพ็ญกลาง เดือน ๔ มูลเหตุท่ีเกิดวันมาฆบูชาข้ึนมาก็เนื่องมาจากวาในสมัยพุทธกาลไดมีเหตุการณสําคัญ สาํ รวจคน หา Explore ๔ อยาง เกดิ ขึน้ พรอ มกนั ในวนั นหี้ รอื ทน่ี ิยมเรียกกันวา “จาตรุ งคสนั นิบาต” ซ่ึงแปลวา การประชุม อันประกอบดวยองค ๔ ไดแก ครูใหนักเรยี นศกึ ษาคนควา เก่ยี วกับวันสําคญั ทางพระพุทธศาสนา ไดแก วนั มาฆบชู า จาตรุ งคสนั นบิ าต 1 วนั วสิ าขบชู า วนั อฐั มบี ชู า และวนั อาสาฬหบชู า จากหนงั สอื เรยี นหนา 124-131 และแหลง การเรยี นรู ๑. พระอรหนั ตสาวก จาํ นวน ๑,๒๕๐ องค มาประชมุ พรอ มกนั ณ เวฬวุ นั ตา งๆ เชน หอ งสมุด อินเทอรเนต็ สนทนาธรรม กับพระสงฆ เปน ตน เพือ่ นาํ ความรูม าอภิปรายและ มหาวิหาร กรงุ ราชคฤห แลกเปล่ียนในชน้ั เรียน ๒. พระอรหนั ตสาวกเหลานี้ ลวนไดรับเอหภิ ิกขุอุปสัมปทา คือ ไดร บั การอุปสมบทจากพระพุทธเจาโดยตรงทัง้ ส้นิ อธบิ ายความรู Explain ๓. พระอรหนั ตสาวกเหลา นี้ มาประชมุ พรอมกันโดยมไิ ดนดั หมาย กนั มากอน 2 ครูนาํ อภิปรายเก่ียวกับวนั มาฆบชู า และตง้ั ๔. พระพทุ ธองคทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข พระพทุ ธรปู แสดงปางโอวาทปาฏโิ มกข คําถามเชงิ วเิ คราะหว า พระพุทธเจาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขแกพระสงฆสาวก เหตุการณที่เกิดข้ึนในคร้ังนั้น • นกั เรยี นคดิ วา เพราะเหตใุ ด วันมาฆบชู า จาํ นวน ๑,๒๕๐ องค ซง่ึ มาประชมุ พรอ มกนั โดยมไิ ดน ดั หมาย พระพทุ ธเจา ทรงเหน็ เปน เรอื่ งอศั จรรย จงึ ไดท รง จึงมพี ระอรหันตสาวก จาํ นวน 1,250 องค แสดงพระธรรมเทศนา “พระโอวาทปาฏิโมกข” มาประชมุ กันโดยมิไดนัดหมาย ๑๒๔ ใหปรากฏตอมหาสังฆสันนิบาต คือ ท่ีประชุม (แนวตอบ เพราะวันมาฆบูชาคือวันเพญ็ เดอื น 3 สงฆหมูใหญ ซ่ึงมีใจความสําคัญ คือ “การ ท่พี ระสงฆจ ะมาประชมุ กันเพอื่ มาสดับรับฟง ไมทําความช่ัวท้ังปวง ๑ การทําแตความดี ๑ พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา ) การทาํ จติ ใจใหสะอาดบริสุทธิ์ ๑ นีเ้ ปน คาํ สอน ของพระพุทธเจาทั้งหลาย” ซึ่งอาจกลาวไดวา • โอวาทปาฏิโมกข ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดง หลักธรรมดังกลาวเปนหลักธรรมที่เกี่ยวเน่ือง ในวันมาฆบูชามีใจความสาํ คัญเก่ียวกบั อะไร ในวันมาฆบูชา บา ง (แนวตอบ การไมทําความชว่ั ทั้งปวง การทาํ แต ความดี การทาํ จิตใจใหส ะอาดบริสทุ ธ์ิ) นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET เพราะเหตใุ ด เราจึงเรยี กวนั มาฆบูชาวา “วันพระธรรม” 1 พระอรหนั ตสาวก คอื พระสงฆสาวกทบี่ รรลธุ รรมสาํ เร็จเปนพระอรหันต 1. เก่ียวขอ งกบั ไตรสกิ ขา โดยสามารถละสังโยชน 10 หรือกเิ ลสผูกมดั ใจไดท ้งั 10 ประการ 2. เกย่ี วของกบั การแสดงปฐมเทศนา 2 โอวาทปาฏิโมกข คือ หลักคําสอนของพระพุทธเจาทีอ่ าจสรปุ ใจความไดเ ปน 3. เก่ยี วขอ งกบั พธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา 3 สวน ไดแก หลักการ 3 คอื แนวทางทพี่ ทุ ธบรษิ ัทควรปฏบิ ตั ิ ประกอบดวย การ 4. เกีย่ วขอ งกับหลกั คาํ สอนของพระพุทธศาสนา ไมท ําบาปทัง้ ปวง การทาํ กุศลใหถ งึ พรอ ม การทําจติ ใจใหบริสทุ ธ์ิ อดุ มการณ 4 คอื วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะในวันมาฆบชู าเปนวนั ทพ่ี ระพุทธเจา อุดมการณส งู สดุ ของพระสงฆ อนั มลี ักษณะทแ่ี ตกตางจากศาสนาอน่ื และวิธีการ 6 ทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข ซง่ึ เปน การแสดงพระธรรมเก่ียวกบั หลกั คาํ สอน คอื แนวทางเดียวกนั และถูกตองเปนธรรม ของพระพทุ ธเจา ไดแ ก หลกั การ 3 อดุ มการณ 4 และวธิ กี าร 6 มมุ IT ศึกษาคน ควาเพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั วันมาฆบูชา ไดท ี่ http://www.larnbuddhism.com เวบ็ ไซตลานพระพุทธศาสนา 124 คูมอื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู อนึ่ง อาจจะมีผู้สงสัยว่าในวันจาตุรงคสันนิบาต มีพระอรหันตสาวกจ�านวนถึง 1. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาพธิ ลี อยบาปในวนั ศวิ าราตรี ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายกันมาก่อนน้ันจะเป็นไปได้หรือ เร่ืองน้ี ของศาสนาพราหมณ- ฮินดู และการละเวนบาป มมี ูลความจริงอยูว่ า่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงได้พระสารบี ุตรและพระโมคคลั ลานะเป็นอคั รสาวกแลว้ ของพระพทุ ธศาสนา วา เหมอื นหรอื แตกตา งกนั ยังคงประทบั อยู่ ณ เวฬวุ นั มหาวหิ าร พร้อมด้วยหมูพ่ ระภกิ ษุ ๑,๒๕๐ องค์ คอื หม่พู ระภกิ ษุบุราณ อยา งไร และนํามาอภปิ รายในช้ันเรียน ชฎลิ ๑,๐๐๐ รปู และหม่พู ระภกิ ษซุ งึ่ เป็นศิษย์ของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะอีก ๒๕๐ องค์ แโดตย่อทยี่พ่างรใะดพุทพธอเถจึง้าวยันังเมพิไ็ญด้สข่ง้ึนพ๑ระ๕ภิกค�่ษา ุเเหดลือ่านน้ีอ๓อใกนไทปาปงรศะากสานศาพพรระาธหรมรมณ์เเผรยียแกผว่พ่า ร“ะวพันุทศิวธาศราาสตนร1าี” 2. ครูสุม ใหน ักเรียน 2-3 ออกมาเลา ประสบการณ ซงึ่ จะมกี ารประกอบพธิ ลี อยบาป ในคนื นน้ั พระสงฆท์ ง้ั ๑,๒๕๐ องค์ คงมคี วามคดิ วา่ บดั นตี้ นกพ็ น้ และความประทับใจที่นกั เรยี นเคยไปรว ม จากความเป็นพราหมณ์กลายมาเปน็ พทุ ธสาวกแลว้ แทนทเี่ ราจะประกอบพธิ ลี อยบาปอย่างทีเ่ คย ประกอบพิธีกรรมตางๆ เน่อื งในวนั สาํ คญั ทาง กระท�ามา ควรเปล่ียนเป็นการเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อสดับรับฟังพระธรรมเทศนาจะดีกว่า พระพทุ ธศาสนา จากนนั้ ครใู หน กั เรยี นวเิ คราะห มูลเหตุนเ้ี องทท่ี �า๑ใ.ห๒ม้) ภี กกิ าษรปถุ ฏงึ บิ ๑ตั ,๒ติ น๕ใ๐นวอนังมค์าเฆขบ้ามชู าาปในระตชอมุ นพเชรา้้อพมทุกธันศเพาส่ือนเฝกิ ้าชพนรจะะพไปทุ ทธา�อบงญุค์ตกั บาตร2 วา พธิ ีกรรมตางๆ เหลานม้ี ีความสาํ คญั ท่ีวัด ฟงั พระธรรมเทศนา บา� เพ็ญสาธารณประโยชน์ และในตอนค่�าก็จะน�าดอกไม้ ธปู เทยี นไปยัง อยางไร และมีวตั ถปุ ระสงคเพอ่ื อะไร โดยให วดั ท่อี ยู่ใกล้บ้าน พอได้เวลาพระสงฆ์จะประชุมกัน ยนื หนั หนา้ ตรงตอ่ พระพุทธรูป บรรดาฆราวาส นักเรยี นรว มกนั อภปิ รายและบันทกึ ความรู ก็ยืนต้ังแถวให้เป็นระเบียบอยู่ด้านหลังพระสงฆ์ จากนั้นจุดธูปเทียน พระเถระชั้นผู้ใหญ่กล่าวน�า ลงในสมดุ ค�าบูชา เสร็จแล้วท�าทักษิณาวรรต โดยการเดินเวียนขวารอบพระอุโบสถหรือสถูปเจดีย์ ๓ รอบ การเดนิ เวยี นเทยี นนตี้ อ้ งทา� ใจใหส้ งบ ควรสา� รวมวาจาและละเวน้ การทา� อาการตลกคกึ คะนอง ตา่ งๆ 3. ครูใหน ักเรียนยกตัวอยางวา นักเรยี นควรจะ ปฏิบัตติ นอยางไรในวันมาฆบูชา เพราะเหตใุ ด เร่ืองน่ารู้ 4. ครูใหนักเรียนทํากจิ กรรมที่ 6.1 จากแบบวัดฯ เทศนาวิธี 4 พระพุทธศาสนา ม.2 เทศนาวิธี หรือพุทธลีลาในการสอน หมายถึง การสอนของพระพุทธเจ้าในแต่ละครั้ง ที่ประกอบด้วย ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ คุณลกั ษณะ ๔ ประการ ดงั น้ี พระพุทธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 6.1 1. สันทัสสนา คือ ชี้แจงเรื่องท่ีทรงสอนให้เห็นชัดเป็นการแยกแยะ อธิบาย และแสดงเหตุผลให้ชัดเจน หนวยท่ี 6 วันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพิธ� จนผู้ฟงั เข้าใจแจ่มแจ้งเหน็ จรงิ เห็นจงั ดงั ได้เห็นกบั ตา 2. สมาทปนา คือ ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เป็นการสอนให้เห็นว่าสิ่งใดควรปฏิบัติก็แนะนำาหรือ กจิ กรรมตามตัวชี้วดั คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด บรรยายให้ซาบซงึ้ ในคุณคา่ และเหน็ ความสำาคญั ทจ่ี ะต้องฝกึ ฝน จนยอมรับและนำาไปปฏิบัติ กิจกรรมท่ี ๖.๑ ใหนักเรียนเติมขอความที่สอดคลองและเหมาะสมเกี่ยวกับ ñð 3. สมุตเตชนา คือ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า เป็นการปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้น เกิดความอุตสาหะ ความสาํ คญั และการปฏบิ ตั ติ นในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา มกี าำ ลังใจท่จี ะทาำ ใหส้ าำ เรจ็ ลงได้ (ส ๑.๒ ม.๒/๓) 4. สัมปหงั สนา คอื ปลอบชโลมใจให้สดชน่ื รา่ เริง เป็นการบำารงุ จิตใหแ้ ช่มชน่ื เบกิ บาน เหน็ คณุ ประโยชน์ วันสําคัญทาง ความสําคัญ การปฏบิ ัติตนของ ท่ีจะได้รบั และทางท่จี ะก้าวหน้าบรรลผุ ลสำาเรจ็ ยง่ิ ข้นึ ไป ทาำ ใหผ้ ฟู้ งั มคี วามหวงั และเบกิ บานใจ พระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนกิ ชน 125 วนั วิสาขบชู า …เป…น……วนั……ท…พ่ี …ทุ …ธ…ศ…า…ส…น…กิ…ช…น……แส……ด…ง…ค…ว…าม…เ…ค…า…ร…พ.. …ท…าํ …บ…ญุ …ต…ัก…บ……าต……ร……ฟ…ง…พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า…… …ต…อ…พ…ร…ะ…พ…ุท…ธ…เ…จ…า……เ…ป…น…ว…ัน…ค…ล……าย…ว…ัน……ป…ร…ะส……ูต..ิ …ส…น…ท…น……าธ…ร…ร…ม………เว…ยี …น…เ…ท…ยี …น……ร…กั……ษ…าศ……ลี …… …ต…ร…ัส…ร…ู …แ…ล…ะ…ป…ร…นิ …พิ …พ…า…น…………………………………….. ………………………………………………………………………… วันมาฆบูชา …เป……น…ว…ัน…ท…่ีพ……ร…ะ…พ…ุท…ธ…เ…จ…า…ท…ร…ง…แ…ส…ด…ง…โ…อ…ว…า…ท…-.. …ท…าํ …บ…ุญ…ต…ัก…บ……าต……ร……ฟ…ง …พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า…… …ป…า…ฏ…โิ ม…ก…ข… …อ…นั …เ…ป…น …ห…วั …ใจ…ส…าํ…ค…ญั……ขอ…ง…พ…ร…ะ…พ…ทุ …ธ…-.. …บ…ํา…เพ…ญ็……ป…ร…ะ…โย…ช…น………เว…ยี …น…เ…ท…ีย…น…………………… …ศ…า…ส…น…า……………………………………………………………….. ………………………………………………………………………… วันอาสาฬหบชู า …เป…น……วนั……ท…พ่ี …ร…ะ…พ…ทุ …ธ…เจ…า …ท…ร…ง…แ…ส…ด…ง…ป…ฐ…ม…เ…ท…ศ…น…า.. …ท…าํ …บ…ุญ…ต…ัก…บ……าต……ร……ฟ…ง …พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า…… เฉฉบลับย …ค…ือ……ธ…มั …ม…จ…ัก…ก…ัป…ป…ว…ัต…ต…น…ส……ูต…ร………………………….. …บ…ํา…เพ…็ญ……ส…า…ธ…าร…ณ……ป…ร…ะ…โย…ช…น…… …เว…ีย…น…เ…ท…ีย…น…… …………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………… วนั อัฏฐมบี ชู า …เป…น……ว…ัน…ค…ล…า…ย…ว…ัน…ถ…ว…า…ย…พ…ร…ะ…เพ……ล…ิง…พ…ร…ะ…พ…ุท…ธ…-.. …ท…าํ …บ…ญุ …ต…กั…บ……าต……ร……ฟ…ง…พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า…… …ส…ร…ีร…ะ………………………………………………………………….. …ป…ฏ…ิบ…ตั …ิต…น……ต…า…ม…ห…ล…ัก…ค…ํา…ส…อ…น………………………… …………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………… วนั ธรรมสวนะ …เป…น……วนั……ส…ํา…ห…ร…บั …ฟ…ง …ธ…ร…ร…ม………………………………….. …ท…าํ …บ…ญุ …ต…ัก…บ……าต……ร……ท…ํา…ว…ตั …ร……ส…ว…ด…ม…น…ต…… …… …ร…กั …ษ…า…ศ…ีล……๕……ห…ร…อื…ศ……ลี …๘……………………………… …………………………………………………………………………….. …ฟ…ง…พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท…ศ…น……า …………………………………… …………………………………………………………………………….. วนั เขาพรรษา …พ…ร…ะ…ส…ง…ฆ…ห …ย…ดุ …จ…าร…กิ……ป…ร…ะ…จ…าํ …อย…ใู…น…ว…ดั …เ…ป…น …เว…ล…า.. …ท…ํา…บ…ุญ…ต…ัก…บ……าต……ร……แ…ห…เ ท……ีย…น…พ…ร…ร…ษ…า…………… …๓……เ…ด…ือ…น……พ…ร…ะ…ภ…ิก…ษ……ุม…ีเว…ล…า…ป…ฏ…ิบ…ัต…ิศ…า…ส…น……ก…ิจ.. …ถ…ว…าย…ผ…า…อ…า…บ…น…า้ํ…ฝ…น………ฟ…ง …พ…ร…ะ…ธร…ร…ม…เ…ท…ศ…น…า… …ช…าว…พ…ทุ……ธไ…ด…พ…บ……ป…ะพ……ร…ะส……งฆ……ได…ส……ะด…ว…ก…ข…น้ึ ……….. …อ…ธ…ิษ…ฐ…า…น…จ…ิต……ท…าํ …ค…ว…าม…ด……ี …………………………… วนั ออกพรรษา …เป…น……วนั……ท…พ่ี …ร…ะ…ส…ง…ฆ…ท …ํา…พ…ิธ…ีป…ว…า…ร…ณ…า………………….. …ท…ํา…บ…ุญ…ต…ัก…บ……าต……ร……ต…ัก…บ…า…ต…ร…เ…ท…โ…ว ……………… …ร…ัก…ษ…า…ศ…ีล……๕……ห…ร…อื…ศ……ีล…๘……………………………… …………………………………………………………………………….. …บ…ํา…เพ…ญ็……ส…า…ธ…าร…ณ……ป…ร…ะ…โย…ช…น…… ……………………… …………………………………………………………………………….. ๕๔ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกรด็ แนะครู เทศนาวธิ หี รอื พทุ ธลลี าในการสอนของพระพุทธเจาแบบใดทช่ี วนใหร ับ คาํ สอนนําไปปฏบิ ัติ ครแู นะนาํ นกั เรยี นวา เทศนาวิธี 4 จะเรยี กวา พทุ ธลีลาในการแสดงธรรมกไ็ ด 1. สันทัสสนา 2. สมาทปนา ซงึ่ สรุปเปน ประโยคส้ันๆ เพอ่ื ใหจ าํ งาย ไดแก 1. ช้ใี หชดั 2. ชวนใหป ฏิบตั ิ 3. เรา ให 3. สมุตเตชนา 4. สัมปหังสนา กลวั 4. ปลุกใหราเริง อนั เปน แนวทางจิตวทิ ยาทีท่ ําใหค นยอมรับและนาํ ไปปฏบิ ตั ิ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะสมาทปนาเปน การสอนใหเหน็ วา นกั เรียนควรรู สงิ่ ใดควรปฏบิ ตั ิกแ็ นะนําหรือบรรยายใหเห็นคุณคา และเห็นความสาํ คัญทจี่ ะ 1 วันศวิ าราตรี เปน วันสําคญั ทางศาสนาของศาสนาพราหมณ-ฮินดู ตอ งฝก ฝน โดยชาวฮนิ ดูจะประกอบพิธีบูชาพระศวิ ะดว ยพิธีกรรมตา งๆ ตลอดท้งั วันทง้ั คนื 2 ตักบาตร คอื ประเพณีอยางหนึง่ ทช่ี าวพทุ ธปฏบิ ัติกันมาตง้ั แตสมัยพทุ ธกาล ขอ 1. สันทสั สนา คอื การอธิบายแยกแยะเหตผุ ลใหช ัดเจนจนเหน็ ภาพ โดยพระภกิ ษุจะถือบาตรออกบณิ ฑบาตเพอ่ื รับอาหารหรือทานอน่ื ๆ ตามหมบู านใน ขอ 2. สมตุ เตชนา คือ การปลุกเรา ใจใหกระตือรอื รน มคี วามกลา เวลาเชา มีความอุตสาหะ ขอ 4. สมั ปหังสนา คือ การปลอบใจใหแชม ชน่ื ทําใหผ ูฟง มีความหวงั ที่จะกาวหนา ตอ ไป คูม ือครู 125
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนกั เรียนสวดมนตบทพระพทุ ธคณุ ข้อพึงระลกึ ในการเวยี นเทยี น พระธรรมคณุ พระสงั ฆคณุ โดยใหพ จิ ารณาคาํ แปล รอบแรก ให้ระลึกถงึ พระพทุ ธคณุ ว่า ของบทสวดวามีความหมายอยางไรบาง คา� อ่าน อิตปิ ิ โส ภะคะวา อะระหัง สมั มาสมั พทุ โธ วิชชาจะระณะสัมปนั โน สคุ ะโต โลกะวิทู 2. ครูใหนักเรียนศกึ ษาความหมายของคาํ วา วิชชา อะนตุ ตะโร ปุรสิ ะทมั มะสาระถิ สตั ถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ และจรณะในบทพระพุทธคณุ คําวาวิญชู นใน บทพระธรรมคณุ และคําวา พระอริยบคุ คล 4 คู ค�าแปล ถแมงึ พ้เพรอ้รามะดอว้ ยย่าวงิชนชี้ พาแระลผะู้มจรีพณระะ1ภเาสคดเจจ็ ้าไปพดรแีะอลง้วคน์เป้ันน็ เปผ็นรู้ ู้จพักรโะลอกรหเนัปต็น์ ยตอรดัสสรเู้าอรงถโีผด้ฝูยึกชคอนบ ในพระสงั ฆคุณ โดยใหน ักเรยี นหาความหมาย ท่คี วรฝกึ เปน็ ศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท์ ้งั หลาย เป็นผู้ตื่นแลว้ และเป็นผจู้ า� แนก ของคาํ ศัพทเ หลานี้ แลว บันทึกสาระสําคัญ พระธรรม จากนน้ั ครูซักถามใหนักเรยี นรวมกนั อภิปราย ในช้นั เรยี น รอบท่ี ๒ ให้ระลกึ ถงึ พระธรรมคุณว่า คา� อ่าน สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม สนั ทฏิ ฐโิ ก อะกาลโิ ก เอหปิ สั สโิ ก โอปะนะยโิ ก ปจั จตั ตงั 3. ครูนาํ สนทนาเรื่องการเวยี นเทียน และตัง้ คําถาม ใหนักเรยี นวเิ คราะหว า เวทติ พั โพ วิญญหู ตี ิ • การทาํ ทักษณิ าวรรต โดยการเดินเวยี นเทียน ค�าแปล พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่จะเห็นได้ด้วย รอบพระอุโบสถหรือพระเจดยี 3 รอบ มีจดุ ประสงคเพ่อื อะไร ตนเอง ไม่จ�ากัดกาล เป็นสิ่งชวนชม เป็นความดีท่ีสามารถน้อมน�าเข้ามาสู่ตนได้ (แนวตอบ การเดินเวยี นเทียน เพอ่ื ระลกึ ถงึ ซ่งึ วิญญูชนทัง้ หลายพึงรู้ได้จ�าเพาะตน พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงั ฆคุณ รอบที่ ๓ ให้ระลึกถึงพระสังฆคุณวา่ ซ่ึงเปน การแสดงออกถงึ ความกตญั แู ละ ค�าอ่าน สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เคารพตอคุณพระศรรี ัตนตรัย) ญายะปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สามจี ปิ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ยะทิทงั จัตตาริ ปุรสิ ะยคุ านิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขเิ ณยโย อญั ชะลีกะระณโี ย อะนุตตะรงั ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ คา� แปล พระสงฆอ์ นั เปน็ สาวกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้ ปฏบิ ตั ติ รง ปฏบิ ตั ิ เปน็ ธรรม ปฏบิ ตั ชิ อบยงิ่ นคี้ อื พระอรยิ บคุ คล ๔ คู่ นบั เรยี งองคเ์ ปน็ ๘ พระสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เปน็ ผ้คู วรแกก่ ารนบั ถือ ควรแก่การตอ้ นรับ ควรแก่ การทา� บุญ ควรแกก่ ารกราบไหว้ เปน็ เนือ้ นาบุญอันยอดเย่ยี มของโลก 126 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บุคคลใดตอไปนปี้ ฏบิ ัตติ นไม ถูกตอ งในวนั ขึ้น 15 ค่ํา เดือน 3 ครคู วรใหนกั เรยี นคนหาคาํ ศพั ทและความหมายจากบทสวดมนตแปล บทระลกึ 1. เง็กตนื่ มาตักบาตรแตเชา ตรู ถงึ พระพทุ ธคณุ พระธรรมคณุ และพระสงั ฆคณุ เพ่อื ใหน กั เรียนมีความเขา ใจ 2. เมงชวนเพือ่ นๆ ไปเวียนเทียนทีว่ ดั ตอนคาํ่ บทสวดมนตแปลมากข้นึ 3. เกยี วไปฟง พระเทศนเ รื่องโอวาทปาฏโิ มกข 4. กิมไปถวายผาอาบนํ้าฝนแดพระสงฆท วี่ ัด นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะวนั ขึน้ 15 ค่ํา เดอื น 3 เปนวันมาฆบูชา ซึง่ เปนวนั ท่พี ระอรหันต 1,250 องค มาประชมุ พรอมกนั ณ เวฬุวนั มหาวหิ าร 1 วชิ ชาและจรณะ หมายถงึ พระพุทธเจาทรงเปนผมู คี วามรูแจง โลกและ โดยมิไดน ัดหมาย และพระสงฆเหลา น้นั ไดรับการอปุ สมบทจากพระพุทธเจา มขี อปฏิบตั ิอันเปนทางบรรลวุ ชิ า 15 ขอ ไดแ ก สลี สมั ปทา 1 อปณ ณกปฏิปทา 3 โดยตรง รวมถงึ พระพุทธเจาไดท รงแสดงโอวาทปาฏิโมกข ดังนัน้ กิจกรรมท่ี สัทธรรม 7 และฌาน 4 การถงึ พรอ มดว ยวิชชาและจรณะ หมายถงึ การปฏบิ ตั ิตน พทุ ธศาสนิกชนควรปฏิบัติ ไดแ ก ทาํ บญุ ตกั บาตร ฟงธรรม และเวยี นเทยี น จนเกิดผล รชู ดั ผลท่ีเกิดกบั ผล รูชัดในแนวทางท่ีปฏิบตั จิ นเกิดผลนั้น สว นการถวายผา อาบนาํ้ ฝนจะกระทาํ กนั ในวนั เขาพรรษา คอื วันแรม 1 คํา่ เดือน 8 126 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นเขยี นตารางวนั ประสตู ิ ตรสั รู และ ปรนิ ิพพานของพระพุทธเจา โดยใหระบุเวลา เมื่อเวยี นครบ ๓ รอบแล้ว กใ็ ห้นา� เครอ่ื งสักการบูชาไปปกั ในกระถางธูป ซึง่ ทางวดั สถานท่ี ชอ่ื เมอื ง และแควน ลงในสมดุ เรยี นและ ไดจ้ ดั เตรยี มไว้ จากนนั้ กเ็ ขา้ ไปในโบสถเ์ พอื่ ทา� วตั ร สวดมนตแ์ ละสดบั ตรบั ฟงั พระธรรมเทศนาเรอื่ ง นําสง ครผู สู อน “พระโอวาทปาฏโิ มกข”์ 2. ครนู าํ สนทนาเกยี่ วกบั วนั วสิ าขบชู า และตงั้ คาํ ถาม อยา่ งไรก็ตาม ถา้ หากพุทธศาสนิกชนท่านใดไม่สามารถไปร่วมเวยี นเทยี นท่ีวดั ได้ เชิงวิเคราะหวา จะประกอบศาสนกิจอยู่ท่ีบ้านก็ได้ โดยจุดธูปเทียนบูชาพระ ท�าจิตใจให้สงบ และน้อมระลึกถึง • กอ นท่พี ระพทุ ธเจา จะทรงตรัสรู พระองค พระพุทธคุณ พระธรรมคณุ และพระสงั ฆคณุ กย็ ่อมได้ช่ือวา่ เป็นพุทธศาสนิกชนทีด่ ีเชน่ เดียวกนั ทรงเอาชนะพญามารทีเ่ ขา มาขดั ขวางการ ๒) วนั วสิ าขบูชา ตรัสรอู ยางไร ๒.๑) ความเปน็ มาและความสา� คัญ วันวิสาขบูชา เปน็ วันที่พทุ ธศาสนิกชนแสดง (แนวตอบ พระองคทรงอธิษฐานถงึ ทานบารมี ความเคารพต่อพระพุทธเจ้า วิสาขบูชา ย่อมาจากค�าว่า “วิสาขบูรณมีบูชา” แปลว่า การบูชาใน และใหพระแมธ รณมี าเปนพยาน หล่งั นํ้าออก วันเพ็ญ เดอื น ๖ แต่ถ้าปใี ดมีอธกิ มาส ก็เล่ือนไปประกอบพธิ ใี นวันเพ็ญกลางเดอื น ๗ วันวสิ าขบชู า จากมวยผมเปน สายนาํ้ ใหญโ ถมใสเหลา พญา ถอื เป็นวนั คลา้ ยวันประสตู ิ วันตรสั รู้ และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า กลา่ วคอื มารพายแพไป ซง่ึ เปนสายน้ําทีพ่ ระพุทธเจา ๑. พระพุทธเจ้าประสูตจิ ากพระครรภข์ องพระชนนี ณ สวนลมุ พินีวนั ซง่ึ อยู่ ทรงเคยปฏิบัติทานบารมมี านบั ชาติไมถว น) ระหว่างกรุงกบิลพัสด์ุกบั กรุงเทวทหะ เมือ่ วันข้นึ ๑๕ ค�า่ เดอื น ๖ กอ่ นพุทธศักราช ๘๐ ปี • เพราะเหตใุ ด พระพทุ ธเจา จงึ ทรงเลอื กสถานท่ี ๒. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรินิพพานท่กี รุงกสุ นิ ารา แควน มลั ละ ณ ใตต้ ้นพระศรมี หาโพธิ์ ริมฝัง่ แมน่ ้า� เนรัญชรา ต�าบลอรุ ุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ปจั จบุ นั คอื (แนวตอบ เพราะพระพุทธเจา ทรงดําริวา เมอื งพุทธคยา เมอื่ วนั ขึ้น ๑๕ ค่�า เดือน ๖ กอ่ นพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี กรุงกุสินารา แควนมัลละ เปนแควนเลก็ ๓. พระพุทธเจ้าเสด็จดับ หากพระองคป รินพิ พานทเ่ี มืองแหง น้ี ขันธปรินิพพาน ณ ดงไม้สาละ กรุงกุสินารา พระบรมสารีรกิ ธาตุจะไดร บั การอัญเชญิ แคว้นมลั ละ เมือ่ วนั ขนึ้ ๑๕ คา�่ เดอื น ๖ ก่อน ไปยงั แวน แควน ตา งๆ แตห ากพระองค พุทธศักราช ๑ ปี ปรินิพพานในแควน ใหญทีม่ อี ํานาจมาก นับเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง แควนนนั้ อาจไมใ หพ ระบรมสารรี กิ ธาตแุ ก ท่ีเหตุการณ์ส�าคัญทั้ง ๓ ได้มาอุบัติขึ้นใน แควน อน่ื ใด ซง่ึ อาจทําใหเ กดิ สงครามแยงชงิ วันเดียวกัน ดังน้ัน พุทธศาสนิกชนท่ัวโลก กนั ดว ยเหตนุ จ้ี งึ ทรงเลือกสถานทีป่ รินิพพาน จงึ ได้จัดให้มีการประกอบพธิ ีกรรมข้ึนในวันน้ี ท่กี รงุ กุสินารา) นอกจากนี้ ในการประชมุ สมชั ชา • เพราะเหตุใด วนั วิสาขบูชาจึงไดร ับเลอื กให สหประชาชาติ สมัยสามัญคร้ังท่ี ๕ เมื่อวันที่ เปน วนั สาํ คัญสากลของโลก ๑๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ องคก์ ารสหประชาชาติ (แนวตอบ เพราะวนั วสิ าขบชู าเปน วันสาํ คญั ได้มีมติก�าหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันส�าคัญ ของพทุ ธศาสนกิ ชนทวั่ โลก เนอ่ื งจากเปน วนั ท่ี สากลในกรอบขององคก์ ารสหประชาชาติ (Inter‑ พระพุทธเมตตาเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐาน พระพุทธเจาประสูติ ตรัสรู เสดจ็ ดบั ขันธ- national Recognition of the Day of Vesak) ในมหาสถปู พทุ ธคยา เป็นพระพทุ ธรปู ปางแสดงเหตุการณ์ ปรินิพพาน อกี ท้ังพระพุทธเจา ทรงสงั่ สอนให ตอนตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า 127 มวลมนุษยม เี มตตาธรรมและขันติธรรมตอ เพ่อื นมนษุ ยด ว ยกัน เพ่ือใหเ กิดสันตสิ ุขใน สงั คม อนั เปน แนวทางของสหประชาชาต)ิ กจิ กรรมสรา งเสรมิ บรู ณาการอาเซียน ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาความหมายของคาํ วา “พทุ ธชยนั ต”ี และวตั ถปุ ระสงค ครเู พม่ิ เติมขอมูลวา เมือ่ เขาสปู ระชาคมอาเซยี นใน พ.ศ. 2558 จะมชี าวตางชาติ ทจ่ี ัดงานพุทธชยันตี 2,600 ป แหง การตรัสรูข องพระพุทธเจา รวมถงึ ให หลากหลายเชอื้ ชาตเิ ขา มาในประเทศไทย เพอ่ื ทาํ งานและลงทนุ ในทางกลบั กนั คนไทย นกั เรียนศกึ ษาธงสัญลักษณงานฉลองพุทธชยันตีวามรี ปู แบบและความหมาย กไ็ ปลงทนุ ในประเทศสมาชกิ อาเซยี น ดงั นน้ั พระสงฆจ ะตอ งพบกบั ความเปลย่ี นแปลง อยางไร โดยใหบ ันทึกลงในสมุดและสง ครผู สู อน นเี้ ชนกัน โดยอาจพบกับนกั บวชในนิกายหรอื ศาสนาอนื่ ๆ จากตางประเทศมากขึน้ ดวยเหตนุ ี้ การสอนธรรมะจงึ ตองมีการเปล่ียนแปลง เพราะปญ หาใหมๆ จะตามมา กิจกรรมทา ทาย เชน ขาดแคลนอาชีพ แรงงานบางสาขาตองตกงาน เปนตน ดังนนั้ หนา ที่ของ พระสงฆ คือ ทําใหพ ุทธศาสนกิ ชนเขา ใจธรรมะ รวมทั้งคอยแนะนาํ การปรบั ใชก บั ครูใหนกั เรียนหาภาพพระพุทธรปู ปางตา งๆ ท่เี ก่ยี วกบั วนั สาํ คัญ ทางโลก ตลอดจนนําเทคโนโลยีสมยั ใหมเขา มาชวยในการเผยแผธรรมะใหเขา ถึง ทางพระพุทธศาสนา เชน วันมาฆบชู า วนั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมบี ชู า หมชู นไดอ ยา งกวางขวางและสะดวกมากขน้ึ วันอาสาฬหบูชา เปนตน โดยนําภาพมาตดิ ลงในสมดุ ใหสวยงาม และเขยี น คําอธิบายใตภ าพถึงความสาํ คญั ของวนั นนั้ พอสงั เขป แลว นําสงครผู สู อน คมู อื ครู 127
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนักเรยี นระดมความคิดวา วนั อฏั ฐมีบชู า ๒.๒) การปฏบิ ตั ติ นในวนั วสิ าขบชู า การปฏบิ ตั ติ นในวนั นก้ี เ็ ชน เดยี วกบั วนั มาฆบชู า ของพระพุทธเจา มีความสําคัญอยางไรและควร คือ พุทธศาสนิกชนจะไปทําบุญตักบาตรท่ีวัด ฟงเทศน สนทนาธรรม เวียนเทียน รักษาศีล ๕ พึงระลึกถึงอะไรบาง จากนนั้ ครสู ุมใหนักเรียน ศีล ๘ หรืออโุ บสถศลี สาํ หรับพระธรรมเทศนาซง่ึ พระสงฆจ ะแสดงใหพทุ ธศาสนกิ ชนสดบั ตรบั ฟง ออกมาอธิบายหนา ชนั้ แลว นกั เรยี นคนอื่นๆ ในวันวสิ าขบชู าน้ี จะเปนเร่อื งเกย่ี วกบั พระพุทธประวัติ บันทึกความรูลงในสมุดและนาํ สงครผู ูสอน ๒.๓) หลักธรรมท่ีเก่ียวเน่อื งในวันวิสาขบูชา คือ “หลักอริยสัจ ๔” เพราะเปน หวั ใจสาํ คญั ของการตรสั รู 2. ครสู ุมถามนักเรยี นวา อนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตา หรอื ไตรลักษณมีลักษณะอยางไร เก่ียวขอ ง ๓) วันอัฏฐมีบูชา วันอัฏฐมีบูชา อยางไรกบั วนั อัฏฐมบี ชู า และกฎไตรลกั ษณ ตรงกับวันแรม ๘ คํ่า เดือน ๖ หรือเดือน ๗ ใหแงคดิ สําคัญอยางไรกบั การดําเนนิ ชวี ิตของ ทกุ ข นับถัดจากวนั วสิ าขบชู าไป ๘ วนั เปน วนั คลา ย นกั เรยี น วนั ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ พทุ ธศาสนกิ ชน ควาขมอทงชุกีวขติ หทรงั้ ือหปมญดหา 3. ครใู หน ักเรยี นศึกษาปจฉิมพทุ ธโอวาทของ พระพุทธเจา แลวเขยี นสรปุ วา มสี าระสาํ คัญ มรรค อรยิ สจั สมุทยั พงึ ราํ ลกึ วา แมแ ตพ ระพทุ ธเจา ผทู รงเพยี บพรอ ม อยา งไร และสามารถนําไปประยุกตใ ชก บั ชีวิต ทกุ อยา งยงั เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน ทกุ สรรพสง่ิ ประจาํ วันของนักเรยี นอยา งไรบา ง ทางดบั ทุกข สาเหตขุ องทุกข ในโลกจงึ เปน อนิจจงั มคี วามไมแ นน อน ทุกคน แหกรปือญแนหวาทชาวี งติ หรปอื ญสาหเาหชตีวขุ ิตอง จงึ ควรเรง สรา งผลบญุ สะสมไว โดยยดึ หลกั ธรรม 4. ครใู หนกั เรยี นทาํ กจิ กรรมที่ 6.6 จากแบบวดั ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 นโิ รธ วาดวย “อัปปมาทะ” (ความไมประมาท) เปน แนวทางในการดาํ เนนิ ชวี ติ ดงั ปจ ฉมิ พทุ ธโอวาท ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ ความดบั ทุกข วา “เธอทงั้ หลายพงึ ยงั ประโยชนต นและประโยชน พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมท่ี 6.6 หรอื ภาวะหมดปญหา หนว ยที่ 6 วันสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพิธ� ทานใหถ ึงพรอมดวยความไมประมาทเถิด” กิจกรรมท่ี ๖.๖ ใหน กั เรยี นเขยี นเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ งวา งหนา ขอ ความ คะแนนเตม็ คะแนนท่ไี ด ทถี่ กู ตอง และครื่องหมาย ✗ ลงในชอ งวางหนา ขอ ความ ท่ไี มถกู ตอง (ส ๑.๒ ม.๒/๔) ñð ✓………………. ๑. หลักอรยิ สัจ ๔ คือ ความจรงิ อนั ประเสริฐ มี ๔ ประการ คอื ทุกข สมุทัย นโิ รธ และมรรค เปน หลักธรรมทีเ่ ก่ียวของกับวันวสิ าขบชู า ✗………………. ๒. หลกั ธรรมท่เี กี่ยวของกับเหตุการณจ าตุรงคสนั นิบาต คอื อริยสจั ๔ ✓………………. ๓. พระพุทธเจาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขแกพระอรหันตสาวกจํานวน ๑,๒๕๐ องค ทีม่ าเขา ประชมุ พรอมกัน ณ เวฬุวนั มหาวิหาร กรุงราชคฤห ✓………………. ๔. โอวาทปาฏิโมกข มีใจความสําคัญ คือ การไมทําความช่ัวท้ังปวง การทําความดี ✗………………. การทาํ จติ ใจใหสะอาดบริสทุ ธ์ิ ๕. หลักธรรมท่วี าดว ย “อปั ปมาทะ” (ความไมประมาท) เปนหลกั ธรรมทีเ่ ก่ยี วเนอื่ งกับ วนั อาสาฬหบชู า เฉฉบลบั ย ✓………………. ๖. เทศนาวิธี หรือพุทธลีลาในการสอน เปนการสอนของพระพุทธเจาในแตละครั้ง ประกอบดว ย ๔ ลักษณะ คือ สันทสั สนา สมาทปนา สมตุ เตชนา และสมั ปหงั สนา ✗………………. ๗. ในวันอาสาฬหบูชาควรสวดมนตและสดับรบั ฟงพระธรรมเทศนา เรือ่ ง โอวาทปาฏโิ มกข พระพุทธรูปป1างถวายพระเพลิงท่ีวัดพระนอน จังหวัดสุพรรณบุรี เปนพระพุทธรูปปางแสดงเหตุการณตอนถวายพระเพลิง ✗………………. ๘. พระพทุ ธเจา ทรงแสดงธรรม(ปฐมเทศนา) ชอ่ื “ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร” แกป ญ จวคั คยี พระพทุ ธสรีระในวนั อฏั ฐมีบชู า ในวันวสิ าขบูชา ๑๒๘ ✓………………. ๙. ปจ ฉมิ พทุ ธโอวาททวี่ า “เธอทง้ั หลายพงึ ยงั ประโยชนต นและประโยชนท า นใหถ งึ พรอ ม ดว ยความไมประมาทเถดิ ” เปนพทุ ธโอวาทในวนั อฏั ฐมบี ชู า ✓……………….๑๐. อุคฆฏติ ญั ู คือ บุคคลที่โงเ ขลา เบาปญญา แมไ ดฟงธรรมก็ไมอ าจบรรลไุ ดเ หมือน ดอกบวั ทอี่ ยูใตเ ปอกตม ไมอ าจโผลพ นน้ําเบง บานไดเลย ๕๙ เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเก่ยี วกับไตรลักษณ ครคู วรอธิบายคาํ วา “ปาง” หมายถึง เหตกุ ารณ เชน ปางโอวาทปาฏิโมกข ความเขาใจไตรลกั ษณ จะชวยในการดําเนินชีวติ ของเราอยา งไร ปางมารวชิ ยั เปนตน สวนการทําพระหัตถใ นรูปแบบตางๆ เรียกวา “มทุ รา” เชน 1. เปนคนแกท่มี คี ณุ ภาพ วติ รรกะมทุ รา คือ ปางปฐมเทศนา เปนตน โดยสามารถดูรายละเอยี ดเพิม่ เติมจาก 2. ยิม้ แยม แจม ใสมคี วามเขาใจกนั หนังสอื พระพุทธรูปปางตา งๆ ในสยามประเทศ ของศาสตราจารยเ กียรติคุณ 3. ดาํ เนนิ ชวี ติ ดวยความไมป ระมาท คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ 4. ทาํ ใจไดด ัง่ คําวา “ใครชอบ ใครชงั ” ชา งเถดิ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. ดําเนินชวี ติ ดวยความไมประมาท เพราะ นกั เรียนควรรู ไตรลกั ษณ คอื กฎของความไมเที่ยงแท ไมม สี ่งิ ใดอยูยั่งยืนตลอดไป ดังนั้น จึงควรยดึ หลกั ธรรมวา ดวย “อปั ปมาทะ” หรือความไมป ระมาท เปนแนวทาง 1 ถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระ สถานท่ถี วายพระเพลิงอยูที่มกฏุ พันธนเจดยี ในการดาํ เนินชีวติ ซ่งึ อยูทางดานทิศตะวนั ออกของกรงุ กสุ ินารา 128 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๔) วันอาสาฬหบชู า 1. ครูใหนักเรยี นศึกษาเหตกุ ารณห ลังจากการ ๔.๑) ความเป็นมาและความส�าคัญ วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่พุทธศาสนิกชน ตรสั รขู องพระพุทธเจาวา พระองคทรงดาํ ริวา แกาสรดบงูชคาวใานมวเนั คเาพรญ็พเตด่อือพนระ๘สงแฆต่ถ์ า้อปาใีสดามฬีอหธบิกูชมาาส1ยก่จ็อะมเาลจอ่ื านกไคป�าเปว่็นาว“นั อขาึน้ สา๑ฬ๕หบคูรา่� ณเดมือีบนูชา๘” แปลว่า จะกระทาํ สงิ่ ใดเปนอยา งแรกหลังจากพระองค หลงั ตรัสรูแลว แลว สมุ ใหนกั เรยี นออกมาอธิบาย พระอนตุ ตรสัมมมาูลสเัมหโตพุทธญิี่เกาิดณวแันลอว้าสกาป็ ฬรหะทบบัูชาเสขว้ึนยมวามิ ตุ กต็เนสิ ุขื่อ2ใงตมร้ าม่ จไามก้มวห่าาเโมพ่ือธพ์ิ แรละะพบุทรธิเวเจณ้าใไกดล้ต้เครัสยี รงู้ หนาชัน้ เปน็ เวลา ๗ สปั ดาห์ ครนั้ ลว่ งสปั ดาหท์ ่ี ๗ พระองคก์ เ็ สดจ็ มาประทบั ที่โคนไมไ้ ทรชอ่ื “อชปาลนโิ ครธ” ทรงทบทวนหลกั ธรรมทพี่ ระองคต์ รสั รู้ และพบวา่ มคี วามลกึ ซง้ึ มาก ยากทผ่ี อู้ นื่ จะทา� ความเขา้ ใจได้ 2. ครกู ลา วถงึ บัว 4 เหลาทพี่ ระพุทธเจา ทรงเล็ง จึงเกิดท้อพระทัยไม่คิดจะเผยแผ่พระธรรมออกไป แต่เพราะท่ีทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นท่ีต้ัง เหน็ วา มีเวไนยสตั วหรอื บคุ คลท่พี ระองคทรง กท็ รงเลง็ เหน็ วา่ เวไนยสตั ว์(บคุ คลทพี่ อแนะนา� สง่ั สอนได)้ ซงึ่ พอจะทา� ความเขา้ ใจสจั ธรรมทพ่ี ระองค์ สง่ั สอนได และตัง้ คําถามวา คน้ พบกค็ งมอี ยบู่ ้าง เพราะบคุ คลตา่ งๆ น้นั แบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท ดงั นี้ • พระพุทธเจา ทรงเลือกท่ีจะเผยแผพ ระธรรม ตอ บคุ คลกลมุ ใด มใี ครบา ง และเพราะเหตใุ ด บคุ คล ๔ พระองคทรงเลือกเผยแผพ ระธรรมแกบคุ คล กลมุ น้ัน ๑. อุคฆฏิตัญญู ได้แก่ บุคคลที่มีสติปัญญาดี พอได้ฟังธรรมซึ่งยกข้ึนมาแสดงแต่เพียงหัวข้อ (แนวตอบ พระพุทธเจาทรงเลือกแสดง ก็สามารถท�าความเข้าใจกับธรรมอันวิเศษได้ทันที เหมือนดังดอกบัวท่ีโผล่พ้นน้�าขึ้นมาแล้วพร้อมที่จะ พระธรรมแกป ญ จวคั คยี ไดแก โกณฑญั ญะ บานสะพร่งั ถ้าไดร้ ับแสงอาทิตย์ วัปปะ ภัททยิ ะ มหานามะ อัสสชิ กอ นเปน กลุม แรก ซึ่งเปน นักบวชท่ตี ดิ ตามปรนนิบตั ิ ๒. วิปจติ ญั ญู ได้แก่ บคุ คลทมี่ สี ตปิ ัญญาปานกลาง เม่ือไดฟ้ งั บทธรรมท่จี �าแนกขยายความออกไป พระพทุ ธเจาตัง้ แตเ สดจ็ ออกบวชใหมๆ จงึ จะสามารถรแู้ จ้งเห็นจริงตาม เหมอื นดั่งดอกบัวที่ขึน้ อย่เู สมอระดบั น�า้ จกั เบง่ บานในวนั ตอ่ ไป เดมิ ทพี ระพทุ ธเจาต้ังพระทัยวาจะไปโปรด อาจารยข องพระองค คือ อาฬารดาบสและ ๓. เนยยะ ไดแ้ ก่ บคุ คลทย่ี งั พอแนะนา� ได้ บคุ คลประเภทนแ้ี มจ้ ะไดฟ้ งั ธรรมทงั้ โดยยอ่ และโดยพสิ ดาร อทุ ทกดาบส แตท ราบดว ยญาณวา อาจารย แลว้ กย็ งั ไมเ่ ขา้ ใจ จนเมอ่ื เอาใจใส่ พากเพยี รสอบถาม ตรติ รอง ทบทวน กส็ ามารถรซู้ ง้ึ ถงึ ธรรมอนั วเิ ศษได้ ทงั้ สองถึงแกกรรมแลว จึงไปโปรด เหมอื นดงั่ ดอกบวั ทอ่ี ยใู่ ตผ้ วิ นา้� ซง่ึ มโี อกาสเจรญิ งอกงาม ปญจวคั คีย เพราะเปนสาวกกลมุ แรกและ และบานสะพรง่ั ในวันต่อๆ ไป เพง พิจารณาแลว พบวา โกณฑัญญะเปน ผูมปี ญ ญามากพอท่จี ะฟงธรรมจนบรรลเุ ปน ๔. ปทปรมะ ได้แก่ บุคคลที่โง่เขลา พระโสดาบนั ได จนกระทง่ั ตอ มาปญ จวคั คยี เบาปญั ญา แม้ไดฟ้ งั ธรรมหรือพากเพยี ร ก็บรรลเุ ปน พระอรหนั ตสาวก) จดจา� ทบทวนมากก็ไมอ่ าจบรรลุธรรม 3. ครูใหน กั เรยี นแตล ะคนวิเคราะหว า นักเรียน อนั วเิ ศษได้ เหมอื นดอกบวั ทอ่ี ยใู่ ตเ้ ปอื กตม จะมีวธิ กี ารอยา งไรท่จี ะทาํ ใหตนเองเปน รังแต่จะเป็นภักษาของเต่า ปู ปลา บคุ คลทม่ี สี ตปิ ญ ญาดหี รอื เปน บวั ทโี่ ผลพ น นา้ํ ไม่อาจโผลพ่ น้ น�า้ เบง่ บานได้เลย ขน้ึ มาแลว พรอ มทจี่ ะบานสะพร่ังถา ไดรับ แสงอาทติ ย บันทึกสาระสําคัญ 129 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู ขอ ใดคือความสาํ คญั ของวนั อาสาฬหบชู า ครคู วรอธิบายเกย่ี วกบั สงั โยชน 10 หรอื กิเลสพวกหนง่ึ ที่ผูกมดั สตั วไวกบั ทกุ ข 1. เปน วันสําคญั สากลของโลก มี 10 อยา ง 1. สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นวา รา งกายนีเ้ ปน ของตน 2. วิจกิ จิ ฉา คอื 2. วนั ทีพ่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข ความลังเลสงสัย 3. สลี ัพพตปรามาส คือ ความเชอื่ ในสิง่ ศกั ดิ์สทิ ธ์อิ ยางงมงาย 3. วันท่ีพระพทุ ธเจาแสดงปฐมเทศนาแกปญ จวคั คีย 4. กามราคะ คอื การยดึ ตดิ ในกามคณุ 5. ปฏฆิ ะ คอื ความหงดุ หงิดในใจดวย 4. วันทเี่ กิดเหตุการณจ าตุรงคสันนบิ าต อาํ นาจโทสะ 6. รปู ราคะ คือ ความติดใจในรปู ธรรม 7. อรูปราคะ คอื ความตดิ ใจ ในอรูปธรรม 8. มานะ คอื การสาํ คัญตนวาเปน นนั่ เปนน่ี 9. อุทธจั จะ คอื ความ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะวนั อาสาฬหบูชา คอื วนั ท่ี ฟงุ ซา น และ 10. อวิชชา คอื ความไมร ู ความหลงอนั เปน เหตไุ มร ูจ รงิ พระพทุ ธเจา แสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวตั นสูตรแกป ญ จวัคคีย เกดิ นักเรยี นควรรู พระสงฆรูปแรกของโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระพทุ ธศาสนาจงึ มี พระรตั นตรัยครบ 3 ประการในวนั น้ี 1 อธกิ มาส คือ ปที่มีเดอื น 8 เพม่ิ อีกเดอื น หรือทเ่ี รียกกันวา มีเดือน 8 สองหน 2 วมิ ุตตสิ ขุ คอื สุขเกดิ แตความหลดุ พนจากกิเลสอาสวะและปวงทกุ ข ขอ 1. คอื วนั วิสาขบูชา ขอ 2. และขอ 4. คอื วนั มาฆบูชา คมู ือครู 129
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู าํ บทสวดธมั มจกั กปั ปวัตตนสูตรพรอ ม เมอ่ื พระพทุ ธองคท รงพจิ ารณาเหน็ อยา งนแ้ี ลว จงึ ตกลงพระทยั ทจี่ ะแสดงธรรมโปรด คําแปลมาแจกใหน กั เรยี น จากน้นั ใหน กั เรียน เวไนยสัตว ซ่ึงบุคคลกลุมแรกท่ีพระพุทธองคเสด็จไปโปรดก็คือ ปญจวัคคียทั้ง ๕ ทาน ไดแก นําบทสวดมนตน ไ้ี ปสวดท่ีบาน และเขียนสรปุ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทยิ ะ มหานาม และอสั สชิ สาระสาํ คญั อยางนอย 10 ขอ ลงในสมุด เห็นธรรม บรรลหพุ ลรงัะจโสาดกาทบพ่ี นั 1รเะปพน ทุ ทธาอนงแครแ กสดจงึงธกรรรามบจทบลู ลขงอแบลวว ชปซรึ่งาพกรฏะวพา ทุทธา เนจโา กกณ็ทฑรงญั อญนุญะไาดตด วงตา 2. ครนู าํ สนทนาถงึ วนั อาสาฬหบูชาวา เปน วนั ท่ี จากพระพุทธประวัติดังที่กลาวมานี้ เห็นไดวาวันอาสาฬหบูชามีความสําคัญอยู พระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา คอื ธมั มจัก- ๔ ประการ ดงั น้ี กัปปวัตตนสูตร และตงั้ คาํ ถามนกั เรยี นวา • ปฐมเทศนาของพระพทุ ธเจา มีสาระสาํ คญั ๑. เปนวันแรกท่พี ระพทุ ธเจาประกาศพระพุทธศาสนา อะไรบา ง และพระธรรมเทศนาของพระองค ๒. เปนวนั แรกทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงแสดงธรรมโปรดปญจวัคคยี (ปฐมเทศนา) สามารถนาํ มาประยกุ ตใ ชก บั ชวี ติ ของนกั เรยี น ชื่อ “ธัมมจักกัปปวตั ตนสตู ร” ซึง่ มีใจความสําคญั ดังน้ี ไดอ ยา งไร (แนวตอบ ไมป ฏิบตั ิในทางสดุ ข้วั 2 ทาง คือ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร การหมกมนุ อยูในกามและการทรมานตนให ลาํ บาก แตค วรเดนิ ทางสายกลางหรอื มชั ฌมิ า- ๑. ไมปฏิบัติตนตามทางท่ีสุดข้ัว ๒ ทาง คือ การหมกมุนอยูในกาม ปฏปิ ทา โดยนักเรียนสามารถนําไปใชในการ (ความสขุ ทางเนอื้ หนงั ) เรยี กวา กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค และการทรมานตนใหล าํ บาก ตัดสินใจหรอื การดําเนินชีวิตประจําวันได เรยี กวา อัตตกลิ มถานโุ ยค แตค วรเดินตามสายกลาง ไดแ ก มัชฌมิ าปฏปิ ทา ในกรณีที่ตอ งเลอื กสงิ่ ใดส่งิ หนึ่งก็ควรใชท าง สายกลางเปนแนวทางปฏบิ ัติ เพ่ือไมใ หเกดิ ๒. ทรงแสดงอรยิ สจั ๔ การสดุ ขว้ั มากเกนิ ไป) ๓. ทรงแสดงวา ทรงรอู รยิ สจั ๔ ทรงรหู นา ทอ่ี นั ควรทาํ ในอรยิ สจั ทง้ั ๔ • เพราะเหตุใด ในวันอาสาฬหบูชาจงึ เปน วนั ท่ี และทรงรูว า ไดทาํ หนา ท่ีนน้ั แลว มพี ระรตั นตรยั ครบองค 3 (แนวตอบ เพราะหลังจากที่พระพุทธเจาตรัสรู พระพทุ ธรูปแสดงปางปฐมเทศนา แลว พระองคเ สดจ็ ไปเผยแผพ ระธรรมแกป ญ จ- วัคคีย ดวยทรงเล็งเห็นวาเปนเวไนยสัตวหรือ 23 ๓. เปน วนั แรกทมี่ พี ระสงฆ บคุ คลที่พอจะแนะนาํ ส่ังสอนได เมือ่ พระองค เกิดขึ้นในโลก กลาวคือ เม่ือทานโกณฑัญญะ ทรงแสดงปฐมเทศนาแลว พระโกณฑัญญะ ธัมเมกขสถูป จัดเปนสังเวชนียสถานที่สรางข้ึนในสถานท่ี กราบทูลขอบวช พระพุทธเจาก็ทรงประทาน จึงขอบวชเปนพระสงฆร ปู แรกในพระพทุ ธ- ที่พระพทุ ธองคทรงแสดงปฐมเทศนา อปุ สมบทใหด ว ยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา โดยทรง ศาสนา ทาํ ใหมีพระรตั นตรัยครบองค 3) เปลงพระวาจาวา “ทานจงเปนภิกษุมาเถิด ๑๓๐ ธรรมอนั เรากลา วดแี ลว ทา นจงประพฤตพิ รหมจรรย 3. ครใู หน กั เรยี นหาภาพสงั เวชนยี สถานหรอื สถานที่ เพอ่ื ทําที่สุดแหง ทุกขโดยชอบเถดิ ” ทท่ี าํ ใหร สู กึ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา 4 แหง คอื สถานที่ ประสูติ สถานท่ีตรสั รู สถานทีแ่ สดงปฐมเทศนา ๔. เปน วนั แรกทม่ี หี รอื เกดิ และสถานที่ปรนิ ิพพาน โดยใหนักเรยี นนาํ ภาพ พระรัตนตรยั ครบองค ๓ ไดแ ก พระพุทธรตั นะ สถานทเี่ หลา นนั้ ตดิ ลงในสมดุ และเขยี นคาํ อธบิ าย พระธรรมรตั นะ และพระสงั ฆรตั นะ ใตภ าพวา ช่อื สถานท่ีอะไร ตั้งอยทู ใี่ ด และ มีความสําคญั อยา งไร แลว นําสง ครผู ูสอน ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET นกั เรยี นควรรู 1 พระโสดาบัน เปน ชอ่ื เรยี กพระอริยบคุ คลประเภทแรกใน 4 ประเภท ไดแก ขอใดไมใ ช สาระสําคญั ของหลกั ธรรมธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู ร โสดาบนั สกทาคามี อนาคามี และอรหันต พระโสดาบัน คอื ผูไดบ รรลุ 1. มชั ฌมิ าปฏิปทา 2. อัตตกลิ มถานโุ ยค พระโสดาปต ตผิ ลแลว ดว ยการละสงั โยชนเ บอื้ งตา่ํ 3 ประการได ไดแ ก สกั กายทฏิ ฐิ 3. กามสุขลั ลกิ านุโยค 4. กาเลนะธัมมัสสะวะนัง วิจกิ จิ ฉา และสีลพั พตปรามาส 2 ธัมเมกขสถูป แปลวา สถูปผูเห็นธรรม คือ สถานทีท่ ส่ี ันนษิ ฐานวาพระพุทธเจา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. กาเลนะธัมมสั สะวะนงั หมายถงึ ฟงธรรม ทรงแสดงปฐมเทศนา อยใู นปา อิสิปตนมฤคทายวนั ใกลเ มอื งพาราณสี ปจจบุ นั เรียกวา “สารนาถ” ตามกาล คอื วนั พระ วันที่มโี อกาสหรอื มเี วลาวาง ก็ควรไปฟงธรรมบา ง 3 สงั เวชนียสถาน มี 4 แหง ไดแก สถานทป่ี ระสูตอิ ยใู ตต น สาละ ลมุ พินีวัน เพื่อฟง ส่ิงทเ่ี ปนประโยชนในหลกั ธรรมนั้นๆ และนํามาใชก ับชวี ติ ฟงธรรม แควน สกั กะ สถานทตี่ รัสรูอ ยใู ตตนมหาโพธิ์ ตําบลอุรุเวลาเสนานคิ ม พุทธคยา ตามกาลอยใู นมงคลสตู ร 38 ซ่ึงเปน พระสตู รหรือหลกั ธรรมที่พระพุทธเจา แควน มคธ สถานทแี่ สดงปฐมเทศนาอยใู นปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี ทรงแสดงแกเ หลา เทวดาทมี่ าทลู ถามพระพทุ ธเจา เพอื่ ใหต อบขอ สงสยั ของ และสถานที่ปรินพิ พานอยูท สี่ าลวโนทยาน เมืองกุสินารา แควนมลั ละ มนษุ ยแ ละเทวดา ขอ 1. มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หมายถงึ ทางสายกลาง ขอ 2. อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความลําบากเดือดรอ นแก ตนเอง ดังเชน พระพุทธเจา ทรงบาํ เพญ็ ทุกกรกิรยิ า ขอ 3. หมายถึง กามสขุ ัลลิกานุโยค คอื ความสขุ ทางกาม 130 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ๔.๒) การปฏบิ ตั ติ นในวนั อาสาฬหบชู า กอ่ นถงึ วนั อาสาฬหบชู าเจา้ อาวาสแตล่ ะวดั ครูใหน ักเรยี นชว ยกนั ยกตัวอยา งวธิ ที าํ บุญ จะแจ้งให้พระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาทราบล่วงหน้าว่า วันพระขึ้น ๑๕ ค่�า เดือน ๘ ในชวี ิตประจาํ วันของนกั เรยี นอยางนอย 10 วธิ ี จะเป็นวนั ประกอบพิธีอาสาฬหบชู า โดยออกมาเขียนบนกระดานหนาชน้ั จากน้นั เม่ือถึงวันขึ้น ๑๔ ค่�า เดือน ๘ ก่อนวันอาสาฬหบูชา ๑ วัน พระภิกษุ สามเณร ครซู กั ถามนกั เรยี นวา วธิ เี หลา นน้ั ไดบ ญุ หรอื อานสิ งส มรรคนายก พทุ ธศาสนกิ ชน ทวี่ า่ งเวน้ จากหนา้ ทก่ี ารงานประจา� กจ็ ะชว่ ยกนั ปดั กวาดปลู าดเสนาสนะ อยางไร และบันทกึ วธิ ที ําบุญตา งๆ ลงในสมดุ จัดตง้ั เครือ่ งสักการะ จดั หาภาชนะใส่น้�าดมื่ ประดบั ธงธรรมจักร ธงชาติ และประทีปโคมไฟต่างๆ รอบพระอโุ บสถ พระสถูปเจดีย์ เช่นเดียวกับวนั วสิ าขบูชา (แนวตอบ เชน ทําบญุ ตกั บาตร บริจาคทรัพยส ิน คร้นั ถงึ วนั อาสาฬหบูชา ตอนเช้าพทุ ธศาสนกิ ชนจะไปรว่ มกันทา� บุญตักบาตรท่ีวัด กราบไหวผ ูใหญ ผูม พี ระคณุ กตญั กู ตเวที ชวย พอ แมท ํางานบาน รกั ษาศลี สวดมนต เดนิ จงกรม นงั่ สมาธิ เปน ตน) ฟังเทศน์ และบ�าเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่น บริจาคโลหิต พัฒนาวัด หรือบริจาคทรัพย์ ขยายความเขา ใจ Expand เพ่อื การกศุ ล ตอนค่�ากจ็ ะมกี ารเวยี นเทยี นรอบพระอโุ บสถ หรอื รอบพระสถูปเจดีย์ เสรจ็ แล้วเข้าไป ท�าวัตรค�่าในพระอุโบสถ หลังจากนั้นพระเถระช้ันผู้ใหญ่ขึ้นธรรมาสน์แสดงพระธรรมเทศนาช่ือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” และหลังจากจบพระธรรมเทศนา พุทธศาสนิกชนอาจสนทนาธรรม 1. ครนู ําตารางบนั ทึกความดีมาใหน ักเรยี น ต่อกไ็ ด้ โดยใหน ักเรยี นบันทกึ การทําความดใี นชีวิต ประจําวนั เชน ชว ยคนแกขามถนน ลกุ ขึ้นให 1.2 วันธรรมสวนะและเทศกาลสำาคัญ ท่นี ัง่ คนแก ใหเ งินคนแกท่มี าขอเงนิ เปน ตน ๑) วันธรรมสวนะ หมายถึง วันส�าหรับฟังธรรม เรียกกันทั่วไปว่า “วันพระ” ซ่ึงมี และนาํ สงครผู ูสอน ๒ ชนิด คือ วันพระเล็กและวันพระใหญ่ วันพระเล็ก ได้แก่ วันขึ้นและวันแรม ๘ ค�่า ส่วน วนั พระใหญ่ ไดแ้ ก่ วันขึ้น ๑๕ คา�่ และวนั แรม ๑๔ ค�า่ (ในเดอื นขาด) หรือ ๑๕ คา่� (ในเดือนเต็ม) 2. ครูใหนกั เรียนทําผงั มโนทัศนส รปุ สาระสําคญั ในวันธรรมสวนะ พุทธศาสนิกชน ของวนั สําคัญทางพระพทุ ธศาสนา ไดแก พแลึงปะอฏุบิบาัตสิ กค1ืออุบในาตสอิกนา2เชป้าระชพุมระโภดยิกพษุรส้อามมกเันณทร่ี วันมาฆบชู า วันวสิ าขบชู า วันอาสาฬหบชู า พระอุโบสถหรือศาลาการเปรียญ พระสงฆ์ และวนั อัฏฐมบี ูชา โดยใหอธิบายความสําคญั ท�าวตั รสวดมนต์ เริม่ ดว้ ยนมสั การพระรัตนตรยั พระธรรมคาํ สอน สง่ิ ทพี่ งึ ราํ ลกึ ถงึ ของวนั สาํ คญั น้ันๆ ลงในกระดาษ A4 และนําสงครูผสู อน และสวดบทท�าวัตรเช้าไปจนจบ หลังจากน้ัน ตรวจสอบผล Evaluate ฆราวาสกท็ า� วตั รสวดมนต์ (หรอื อาจทา� พรอ้ มกบั พระสงฆ)์ จากน้ันก็มีก3ารรับศีล ๕ หรอื ศลี ๘ 1. ตรวจสอบจากตารางบนั ทกึ ความดขี องนกั เรยี น เสรจ็ แลว้ พระธรรมกถกึ ขน้ึ ธรรมาสนแ์ สดงธรรม ในชีวิตประจาํ วัน ระหวา่ งฟังธรรม พทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ประนมมอื ตงั้ ใจฟังด้วยความเคารพ เมื่อเทศนจ์ บหัวหน้า 2. ตรวจสอบจากผงั มโนทศั นสรุปสาระสําคญั ของ อบุ าสก อบุ าสกิ า นา� กลา่ วสาธกุ าร ๓ ครงั้ (สาธุ การฟงั ธรรมในวนั พระนอกจากจะเปน็ แนวทางการปฏบิ ตั ติ น วนั สําคัญทางพระพุทธศาสนา สาธุ สาธ)ุ เป็นอันเสร็จพธิ ี ของพุทธศาสนิกชนท่ีดีแล้ว ยังช่วยชำาระจิตใจให้สะอาด เบิกบานอกี ด้วย 131 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู วนั ธรรมสวนะหรอื วันพระ มีประวตั ิความเปน มาอยางไร 1 อบุ าสก คอื คฤหัสถหรือชาวบา นผูชายท่ัวไปท่นี ับถอื พระพทุ ธศาสนา โดย แนวตอบ วนั ธรรมสวนะหรอื วนั พระ เดิมเปนธรรมเนียมของพวกเดียรถยี อบุ าสกสองทานแรกของโลกทีถ่ งึ พระพุทธและพระธรรมเปนท่ีพ่งึ (ในเวลาน้ันยัง ซ่งึ จะประชุมกนั แสดงธรรมทุกๆ วนั 8 ค่าํ และ 15 คาํ่ ในสมัยตนพุทธกาล ไมม พี ระสงฆ) คอื พอ คา ชอื่ วา ตปสุ สะและภลั ลกิ ะ ผถู วายขา วสตั ตผุ งและขา วสตั ตกุ อ น พระพุทธเจามไิ ดทรงวางระเบียบเรอ่ื งนไ้ี ว ตอ มาพระเจาพมิ พิสารไดก ราบทูล แดพ ระพทุ ธเจา ภายหลงั จากทรงตรสั รใู หมๆ สว นอบุ าสกทา นแรกทถี่ งึ พระรตั นตรยั ตอ พระพทุ ธเจาวา นกั บวชศาสนาอ่ืนมีวนั ประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรม เปน ท่ีพง่ึ คอื เศรษฐีคหบดี บิดาของพระยสะ คาํ สงั่ สอนในศาสนาของเขา แตว า พระพทุ ธศาสนายงั ไมม ี พระพทุ ธองคจ งึ ทรง 2 อบุ าสกิ า คือ คฤหัสถห รือชาวบา นผหู ญงิ ทว่ั ไปท่ีนบั ถอื พระพุทธศาสนา อนุญาตใหม กี ารประชมุ พระสงฆในวนั 8 คาํ่ และ 15 ค่ํา แตในระยะแรก อบุ าสกิ าทานแรกของโลก คือ ภรรยาเกาของพระยสะและนางสุชาดา มารดาของ พระภิกษุไมร วู า ควรจะทาํ สิ่งใด จงึ นงั่ นิง่ บา ง นงั่ หลบั บา ง ชาวบานกไ็ ดต าํ หนิ พระยสะ ผูถ วายขาวมธุปายาสแดพ ระพุทธเจา เมอื่ พระบรมโพธิสตั วรับ พระพทุ ธเจาจงึ กาํ หนดใหพ ระสงฆป ระชมุ สนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก ขาวมธุปายาสแลว เสด็จไปประทับทีโ่ คนตน มหาโพธ์ิ ทรงบาํ เพ็ญเพียรทางจิตและ ประชาชน ตลอดจนการสวดปาฏิโมกข ตรัสรเู ปน สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจาในวันน้นั 3 พระธรรมกถกึ คอื ผทู ่จี ะตอ งไปกลา วธรรม แสดงธรรม เปน ตัวแทนของ พระพุทธเจา ในการนาํ ธรรมของพระองคไปเผยแผแกประชาชน พระธรรมกถกึ จึงตองเปน ผูช าญฉลาด เขา ใจในหลักธรรมอยา งแจม แจง คมู ือครู 131
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูถามนกั เรียนวา ใน 1 เดือนมวี นั ธรรมสวนะ ประโยชน์ที่เกิดข้ึนก็คือ การได้ฟังธรรมในวันพระ จะเป็นการเพ่ิมพูนศรัทธาใน หรอื วนั พระกว่ี นั และในแตล ะวันตรงกบั วนั ใดบาง พระรัตนตรัย และได้ทราบแนวทางในการปฏิบัติตนของชาวพุทธท่ีดี รู้ว่าอะไรควรละ อะไรควร และในวนั พระนกั เรยี นควรปฏบิ ตั ติ นอยา งไร จงึ จะได บา� เพญ็ มคี วามเหน็ ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา ชอ่ื วา เปนชาวพทุ ธท่ีดี สาํ รวจคน หา Explore ๒) วนั เขา้ พรรษา ๒.๑) ความเป็นมาและความ ส�าคัญ วันเข้าพรรษา คือ วันท่ีพระภิกษุสงฆ์ ครูใหนักเรียนสืบคนเกี่ยวกับวันธรรมสวนะและ อธษิ ฐานวา่ จะอยปู่ ระจา� ณ อาวาสใดอาวาสหนง่ึ เทศกาลสาํ คญั ไดแ ก วนั เขา พรรษา วนั ออกพรรษา เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตลอดฤดูฝน ไม่จารกิ และวันเทโวโรหณะ จากหนงั สอื เรียนหนา 131-136 ไปแรมคืนยังสถานที่อื่นแม้แต่คืนเดียว โดย และแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ อนิ เทอรเ นต็ ปราศจากความจา� เปน็ ตามทร่ี ะบไุ วใ้ นพระธรรม สนทนาธรรมกับพระสงฆ เปน ตน วินัย๑ อธบิ ายความรู Explain วนั เข้าพรรษา มอี ยู่ ๒ วัน คอื ๑. วันแรม ๑ ค่�า เดือน ๘ 1. ครใู หน กั เรยี นยกตวั อยา งวา เมอ่ื ถงึ วนั ธรรมสวนะ เรียกว่า “ปุริมพรรษา” (วันเข้าพรรษาต้น) นักเรียนควรปฏิบัติตนอยางไร โดยบันทึกลงใน เทยี นพรรษาทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนชว่ ยกนั ตกแตง่ อยา่ งสวยงาม ออกพรรษาในวนั ขึ้น ๑๕ ค�า่ เดอื น ๑๑ สมุดและสง ครูผสู อน ในเทศกาลเข้าพรรษา ๒. วันแรม ๑ ค�่า เดือน ๙ 2. ครูใหนักเรียนออกไปประกอบศาสนพธิ ีเนอ่ื ง เรียกวา่ “ปจั ฉิมพรรษา” (วันเข้าพรรษาหลัง) ออกพรรษาในวันขึน้ ๑๕ ค่�า เดือน ๑๒ ในวนั ธรรมสวนะท่ีวัดตางๆ ใกลบา นหรอื แต่เดิมนน้ั ยังไม่มธี รรมเนียมการเข้าพรรษา เมื่อถึงฤดูฝน พระพทุ ธเจ้า รวมทงั้ ชวนกนั ไปกบั เพ่อื นนักเรียน และใหระบวุ า วัดท่ี พุทธสาวก ซึ่งขณะนั้นยังมีน้อยองค์ก็จะหยุดสัญจร ประทับอยู่ ณ ที่ใดท่ีหนึ่ง ด้วยทรงเห็นว่า นักเรยี นไปทาํ บญุ นั้น มีศาสนพธิ อี ะไรบา ง และ ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวงที่จะเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฤดูกาลนี้ กาลต่อมาเมื่อมี มวี ัตถุประสงคเ พ่ืออะไร พระภิกษุสงฆ์มากขึ้น ภิกษุบางพวก เช่น พวกฉัพพัคคีย์ (กลุ่มพระภิกษุซึ่งอยู่ด้วยกัน ๖ รูป) มไิ ดค้ า� นงึ ถงึ กาลอนั ควรหรอื ไมค่ วร เทย่ี วไปมาจารกิ ตลอดทง้ั ปี ซง่ึ บางครง้ั กไ็ ปเหยยี บยา่� ขา้ วกลา้ 3. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาและวเิ คราะหว า เพราะเหตใุ ด ตลอดจนพืชอื่นๆ ซึ่งชาวบ้านเพ่ิงจะลงมือหว่านไถเพาะปลูกให้ได้รับความเสียหายบ้าง หรือ ในวันเขาพรรษาจึงมีพิธีแหเทียนพรรษา รวมถึง ไปเหยียบย่�าโดนสัตว์เล็กๆ จนถึงแก่ความตายบ้าง ชาวบ้านจึงพากันต�าหนิติเตียนว่าพวก ทําไมจึงตองสรางเทียนท่ีสวยงามและใหญโต สมณศากยบุตรกระท�าในส่ิงท่ีไม่สมควร เพราะแม้แต่พวกเดียรถีย์ปริพาชก และบรรดาพ่อค้า ในวนั นนั้ วาณชิ ตา่ งกห็ ยดุ สญั จรกนั ในฤดนู ี้ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบจงึ ทรงวางระเบยี บใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆอ์ ยู่ ประจ�าท่ี ณ อาวาสใดอาวาสหนงึ่ ตลอด ๓ เดอื นในฤดูฝน เรียกกนั โดยทวั่ ไปว่า “จา� พรรษา” ๑ ในพระธรรมวินัยระบุไว้ว่า พระภิกษุสงฆ์ที่มี “สัตตาหกรณียะ” หรือมีกิจธุระท่ีจ�าเป็นเร่งด่วน ก็อนุญาตให้ไปแรมคืนยังอาวาสอื่น หรอื สถานทอี่ ื่นได้ แต่ทงั้ นี้ตอ้ งกลบั มาภายใน ๗ วนั สตั ตาหกรณยี ะดงั กล่าว ไดแ้ ก่ ๑) ไปรกั ษาพยาบาลเพื่อนสหธรรมมิก (ผู้มธี รรมร่วมกัน) หรอื บดิ ามารดาทเ่ี จ็บป่วย ๒) เพอ่ื นสหธรรมมกิ กระสันอยากสกึ ไปเพอื่ ระงบั ความกระสนั อยากสึก ๓) ไปเพือ่ กิจธรุ ะคณะสงฆ์ เชน่ ไปหาอปุ กรณ์มาซ่อมแซมวดั ท่ีชา� รดุ ภายในพรรษานั้นๆ 132 ๔) ทายกทายกิ านมิ นต์ไปฉลองศรทั ธาในการบ�าเพ็ญกศุ ลของเขา เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครแู นะนํานักเรียนเกย่ี วกับการรกั ษาศีล 8 วา การรักษาศลี 8 นนั้ มีศลี 3 ขอ ครูใหนกั เรยี นศึกษาศลี 8 วาขอ หามเพิ่มเติมนอกเหนอื จากศีล 5 เพ่มิ ขึ้นมาจากศีล 5 ไดแ ก หามรบั ประทานอาหารยามวิกาลหรือหลังบา ยโมง มอี ะไรบาง จากนน้ั ครใู หน กั เรียนถอื ศีล 8 เปนเวลา 1 วนั ในวนั ธรรมสวนะ หา มทาเครือ่ งหอม หา มดกู ารละเลนตา งๆ ทุกชนดิ ไมว าจะเปน การฟงเพลง การดู จากนนั้ ครสู มุ ใหน กั เรยี นออกมาอธบิ ายการรกั ษาศลี 8 วา มคี วามยากงา ย ละคร ภาพยนตร การแสดงตางๆ และหา มนอนบนทส่ี ูง ที่ฟกู อันประกอบดว ยนนุ และมปี ระโยชนอ ยา งไร หรือท่ีนอนอันสบาย บางคร้ังการรกั ษาศีล 8 นัน้ ทาํ ไดย าก เพราะตอ งหักหามกิเลส จากความอยาก ความหวิ ความสบาย ฯลฯ ดว ยเหตนุ ี้การรกั ษาศลี 8 จงึ เปน กิจกรรมทา ทาย เครอื่ งมอื ในการลด ละ เอาชนะกเิ ลสอยางหนึ่ง ซ่งึ หากทําไดจ ะไดบุญบารมีสงู และ สรา งความเจริญใหก บั ชวี ติ ครูใหนักเรยี นรวมกนั สง ประกวดเรยี งความหรอื บทรอยกรอง เพอื่ กระตนุ และปลุกจติ สํานกึ ใหพ ุทธศาสนกิ ชนลด ละ เลิก อบายมุข ในชว งเขา พรรษา จากนน้ั ครคู ัดเลอื กและนาํ ผลงานท่ดี ที ี่สุด 3 อนั ดบั ไปติดบนกระดานความรูหนา ช้ัน 132 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู นอกจากน้ี ยงั มีวัตถุประสงค์อ่ืนๆ อกี ในวนั เขา้ พรรษา คอื 1. ครนู าํ สนทนาเกย่ี วกบั วันเขาพรรษา และต้งั ๑. พระภกิ ษสุ งฆจ์ ะไดม้ เี วลาปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ สว่ นทพี่ งึ กระทา� เชน่ การศกึ ษา คาํ ถามวา เลา่ เรียนพระธรรมวนิ ยั การบา� เพญ็ ภาวนา การส่ังสอนประชาชนในทอ้ งถิน่ นน้ั ๆ ได้อย่างเต็มที่ • วนั เขา พรรษามีความสาํ คัญอยางไร ๒. เป็นการเปิดโอกาส และนกั เรียนควรปฏบิ ตั ิตนอยา งไรในวันนี้ ใหท้ ายก ทายิกา ได้มาบ�าเพ็ญกุศล อาทิ การ ถึงจะไดชื่อวาเปนชาวพุทธทด่ี ี ถวายทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ สนทนาธรรม (แนวตอบ วนั เขาพรรษา คือ วนั ท่พี ระสงฆ โดยอาศยั พระสงฆไ์ ด้อยา่ งเตม็ ที่ จําพรรษาอยูทีว่ ัดใดวดั หน่ึงเปน เวลา 3 เดือน ๒.๒) การปฏิบัติตนในวันเข้า ตลอดฤดูฝน พทุ ธศาสนิกชนควรรักษาศีล 5 พรรษา พธิ กี รรมในวนั เขา้ พรรษา แบง่ แยกออก อยูเปนนิจศีลตลอด 3 เดือนท่พี ระสงฆ เปน็ ๒ ส่วน ดังน้ี เขา พรรษา เพอ่ื รกั ษากาย วาจา ใจใหบ รสิ ทุ ธ)ิ์ (๑) พธิ ขี องพระภกิ ษสุ งฆ์ • เพราะเหตุใด พระสงฆจึงตอ งมกี ารประกาศ เดิมทีเดียวน้ันการเข้าพรรษากระท�ากันอย่าง เขตอาวาสวามีอาณาเขตจดที่ใดบา ง งา่ ยๆ คอื เมื่อถงึ วันเขา้ พรรษา พระภิกษุเพียง (แนวตอบ เพราะอาณาเขตของวดั สมัยกอน แต่ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าจักอยู่จ�าพรรษา หรือในปจ จุบันบางแหง มกั จะเปน เขตท่ี ในอาวาสนี้เป็นเวลา ๓ เดือน” หรือแม้จะมิได้ เชอ่ื มตอกบั ที่ดนิ ของชาวบา น โดยมไิ ดม ีรัว้ ตง้ั จติ อธษิ ฐาน ครน้ั ถงึ วนั เขา้ พรรษาไมจ่ ารกิ ไป พระภิกษุสงฆท์ าำ วัตรปฏิบัตริ ว่ มกันก่อนเข้าพรรษา หรือกาํ แพงก้นั อยางชดั เจน จึงตองประกาศ ไวเ พื่อจะไดป องกนั มใิ หพ ระภิกษุพลง้ั เผลอ แรมคืนท่ีอ่ืน ก็ย่อมได้ชื่อว่าเข้าพรรษา หรืออยู่จ�าพรรษาแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้การเข้าพรรษา ออกไปจาํ พรรษานอกเขตวดั ทตี่ นอธิษฐาน มีพิธรี ีตองมากขน้ึ กล่าวคือ เม่ือถึงวันแรม ๑ คา่� เดือน ๘ อันเป็นวันเขา้ พรรษา พระภกิ ษุสงฆ์ เขา พรรษา) จะประชมุ กนั ในโบสถเ์ พอ่ื ทา� วตั รคา�่ จากนน้ั เจา้ อาวาสหรอื สมภาร ซง่ึ เปน็ หวั หนา้ ของพระภกิ ษสุ งฆ์ ในวดั กจ็ ะบอกกฎเกณฑ์ กตกิ า หรอื วตั รปฏบิ ตั ติ า่ งๆ ทพ่ี ระภกิ ษคุ วรกระทา� ในระหวา่ งอยจู่ า� พรรษา 2. ครใู หนักเรียนศึกษาการทาํ วัตรของพระสงฆ รวมท้ังประกาศเขตอาวาสว่ามีอาณาเขตจดท่ีใดบ้าง เพ่ือป้องกันมิให้พระภิกษุพล้ังเผลอออกไป เชน ทําวตั รเชา ทาํ วัตรเย็น เปน ตน โดยให จา� พรรษานอกเขตวดั ทตี่ นอธษิ ฐานเขา้ พรรษา เสรจ็ แลว้ พระผนู้ อ้ ยจะกลา่ วคา� ขอขมาตอ่ พระผใู้ หญ่ ระบุวาการทาํ วตั รของพระสงฆนัน้ ทา น มีใจความว่า “ขอให้ท่านจงอดโทษทั้งปวงท่ีท�าด้วยไตรทวาร (คือ กาย วาจา ใจ) เพราะความ สวดมนตบทใดบาง และบทสวดมนตน้นั มี ประมาทในท่านแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระผู้ใหญ่กล่าวตอบมีใจความว่า “อดโทษให้” เสร็จแล้ว ความมงุ หมายอยางไร โดยใหน ักเรียนบนั ทกึ พระภกิ ษุทุกองคก์ ล่าวค�าอธิษฐานเขา้ พรรษา ดังน้ี สาระสาํ คัญลงในสมดุ คา� อ่าน อิมัสมงิ อาวาเส อิมัง เตมาสัง วสั สงั อเุ ปมิ 3. ครูพานักเรยี นไปทําวัตรเย็นหรือฟงพระธรรม- คา� แปล ขา้ พเจ้าขออยจู่ า� พรรษาในอาวาสนต้ี ลอดเวลา ๓ เดอื น เทศนาทว่ี ดั จากนั้นใหบ นั ทึกวานกั เรียน สวดมนตบทใดบา ง ไดแงค ิดอะไรจากการฟง พระธรรมเทศนา และสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ ช กบั ชีวติ ของตนเองไดอยางไร 133 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู กิจกรรมในขอ ใดไม เก่ยี วขอ งกบั วนั เขา พรรษา ครูแนะนาํ นักเรียนเก่ียวกับการทาํ สามจี ิกรรม ซึ่งเปนธรรมเนียมหนึง่ ที่ให 1. การเวยี นเทยี น พระสงฆและสามเณรทําความชอบกัน หรือการขอขมาลาโทษและใหอภยั กัน 2. การถวายผา อาบน้ําฝน เพอื่ ความสามัคคีและอยูร วมกนั อยา งสงบสขุ โดยมโี อกาสในการทําสามีจกิ รรม คือ 3. การถวายเทียนพรรษา ในวันเขาพรรษา ระยะเขาพรรษา และในโอกาสท่ีจะจากกนั ไปอยวู ัดอ่ืน การขอขมา 4. การงดเหลา และอบายมุขทงั้ ปวง ลาโทษทาํ โดยการจดั เครอ่ื งสกั การะ ดอกไม ธปู เทยี น ประคองไปหาทา นทจ่ี ะขอขมา กราบเบญจางคประดษิ ฐ 3 คร้ัง แลวกลาวคาํ ขอขมา ทา นทีร่ บั ขอขมาพงึ รบั คํา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. การเวยี นเทียน เพราะเปนศาสนพธิ ที ี่ ตามนยิ มและรบั ไหวหรือกราบเปนอันเสรจ็ พิธี ปฏิบัติกันในวนั มาฆบูชา วนั วสิ าขบชู า วันอาสาฬหบูชา และวนั อัฏฐมีบชู า สวนขอ 2., 3. และ 4. เปนกิจกรรมทเ่ี กีย่ วขอ งกบั วนั เขาพรรษา คูม ือครู 133
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นหาภาพขา วประเพณแี หเ ทยี นพรรษา กลา่ วคา� อธษิ ฐาน ๓ ครง้ั เปน็ อันเสร็จสิน้ พธิ สี งฆใ์ นวนั เข้าพรรษา ของจงั หวัดตางๆ ที่นกั เรียนชน่ื ชอบ 2-3 รปู (๒) พธิ ขี องพทุ ธศาสนกิ ชน ในปจั จบุ นั นป้ี ระเพณเี ขา้ พรรษาเปน็ อกี ประเพณี และบนั ทึกวาประเพณีแหเทยี นพรรษามคี วาม ทส่ี า� คญั ยงิ่ กลา่ วคอื กอ่ นถงึ เทศกาลเขา้ พรรษา สาํ คญั อยา งไร มีจดุ ประสงคเ พอื่ อะไร โดยตดิ (ก่อนวนั แรม ๑ ค่า� เดือน ๘) บดิ ามารดาหรือ ภาพและบันทึกคําอธบิ ายลงในกระดาษ A4 ผู้ปกครองก็จะประกอบพิธีอุปสมบทให้แก่บุตร นําสงครูผสู อน หลานของตนทม่ี ีอายุครบบวช (๒๐ ปบี ริบูรณ์) ไปบรรพชาอปุ สมบทโดยถอื กนั วา่ ถา้ บตุ รหลาน 2. ครูนําสนทนาเกี่ยวกับวันออกพรรษา และให ของตนได้เข้าบวชเรียนในพระพุทธศาสนาและ นกั เรียนรวมกันตอบคาํ ถามวา อยูจ่ า� พรรษาจะได้รบั อานิสงสส์ งู สดุ • เพราะเหตุใด พระสงฆจ งึ มีการรวมสงั ฆกรรม พุทธศาสนิกชนคจระั้นรถ่วึงมวใันจเกขัน้าทพ�ารบรษุญาตักบบรารตดาร1 หรือการทาํ ปวารณาหลังจากวนั ออกพรรษา แห่เทียนพรรษา ซ่ึงได้รับการตกแต่งอย่าง (แนวตอบ เพราะในระหวา งจําพรรษา พระสงฆ สวยงามไปยังวัดที่ตนนับถือ แล้วเชิญเทียน บางรูปอยใู นความประมาท ประพฤติตนไม พรรษาเข้าไปตั้งไว้ในพระอุโบสถ2 จากน้ันก็มี เหมาะสม และไมม ผี ใู ดกลาวากลาวตกั เตอื น ในวนั เขา้ พรรษา พทุ ธศาสนกิ ชนจะรว่ มใจกนั ทาำ บญุ ตกั บาตร การถวายผ้าอาบน้�าฝน จตุปัจจัยแก่พระภิกษุ เพราะตา งคาํ นงึ วา มิใชห นา ที่ของตน มคี วาม ทง้ั นเ้ี พอ่ื ความเปน็ สริ มิ งคลแกต่ นเองและครอบครวั สามเณร และสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา เกรงใจและหวั่นเกรงวาจะเปน ชนวนใหเกิด การแตกแยกในคณะสงฆไ ด คร้ันออกพรรษา 3 แลว พระภกิ ษตุ า งกแ็ ยกยา ยกนั ไปเผยแผ นอกจากน้ี พุทธศาสนิกชนบางท่านก็ปวารณาตัวต่อพระสงฆ์รับเป็นโยมอุปัฏฐากจัดหาสิ่งของ พระพทุ ธศาสนา ความประพฤตอิ นั ไมเ หมาะสม ทขี่ าดเหลอื ถวายใหแ้ กท่ า่ นเปน็ การเฉพาะองค์ หรอื รบั เปน็ โยมสงฆจ์ ดั หาสงิ่ ของถวายแดพ่ ระภกิ ษุ ของพระภกิ ษุบางรปู ก็ยังไมไดร บั การแกไข สามเณรทวั่ ทงั้ วดั หรอื บางทา่ นกอ็ ธษิ ฐานกระทา� ความดตี า่ งๆ เชน่ ทา� บญุ ตกั บาตรทกุ วนั งดเสพสรุ า ครัน้ ภกิ ษบุ างรปู พบเหน็ เขา ก็คิดวาถูกตอง งดเลน่ การพนนั หรอื รบั ประทานแตอ่ าหารมงั สวริ ตั ิ ตลอดชว่ ง ๓ เดอื น แหง่ การเขา้ พรรษา เปน็ ตน้ จึงพากนั ประพฤติปฏิบตั ิตามอยาง นอกจากน้ี ความประพฤติอนั ไมเ หมาะสมนนั้ ยังได ๓) วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจ�าพรรษา ถ้าเป็นพรรษาต้นจะตรงกับ ปรากฏตอชมุ ชน ทาํ ใหช าวบา นพากนั ติเตยี น วันขึ้น ๑๕ ค�่า เดือน ๑๑ และพรรษาหลังจะตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๑๒ แต่เดิมนั้น และคลายความศรัทธาทีม่ ีตอพระพุทธศาสนา วนั ออกพรรษาไมม่ พี ธิ รี ตี องแตอ่ ยา่ งใด ตอ่ มาภายหลงั พระพทุ ธเจา้ ทรงเหน็ วา่ ในระหวา่ งอยจู่ �าพรรษา ลง มลู เหตุนี้จึงมกี ารปวารณา เพือ่ เปด โอกาส มีพระภิกษุบางรูปเกิดความประมาท ประพฤติตนไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าว่ากล่าวตักเตือน ใหพระสงฆวา กลา วตกั เตอื นกนั เก่ยี วกบั พระ เพราะต่างค�านึงว่ามิใช่หน้าท่ีของตนเอง มีความเกรงใจและหว่ันเกรงว่าจะเป็นชนวนให้เกิดการ วินัยท่ีควรปฏิบัติ พระสงฆจะไดท ราบวาสิง่ ใด แตกแยกในคณะสงฆไ์ ด้ ครน้ั ออกพรรษาแลว้ พระภกิ ษตุ า่ งกแ็ ยกยา้ ยกนั ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ควรทาํ ส่งิ ใดไมค วรทํา) ความประพฤตอิ นั ไมเ่ หมาะสมของพระภกิ ษบุ างรปู กย็ งั ไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ข ครน้ั ภกิ ษบุ างรปู พบเหน็ • เมอื่ มผี ูวากลา วตกั เตอื น นกั เรียนควรจะ เขา้ กค็ ดิ วา่ ถกู ตอ้ ง จงึ พากนั ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามอยา่ ง นอกจากนี้ ความประพฤตอิ นั ไมเ่ หมาะสมนนั้ ปฏิบตั ิอยางไร จงึ จะเรียกวาเปนชาวพทุ ธที่ดี ยงั ไดป้ รากฏตอ่ ชมุ ชน ทา� ใหช้ าวบา้ นพากนั ตเิ ตยี นและคลายความศรทั ธาทมี่ ตี อ่ พระพทุ ธศาสนาลง (แนวตอบ ควรนาํ สง่ิ ทว่ี า กลา วตักเตอื นมาคิด พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงมีพระบัญญัติวา่ พระภกิ ษทุ ุกรูปต้องทา� การปวารณาหลงั จากออกพรรษาแลว้ พิจารณาวาเปน จริงอยา งที่ถกู วา กลา วหรือไม เพื่อจะไดรูวาสิง่ ใดควรทํา ส่ิงใดไมค วรทํา 134 และจะไดป รบั ปรุงพัฒนาตนเองใหดีข้นึ ) นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดตอไปนี้ ไม สัมพนั ธกับวนั ออกพรรษา 1 ตกั บาตร มกี ารตกั บาตรในหลายรูปแบบ เชน งานตกั บาตรดอกไมในชวง 1. การปวารณา เขาพรรษาที่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตักบาตรพระขี่มาท่ีจังหวัดเชียงราย 2. การตกั บาตรเทโว ตกั บาตรขาวเหนียวทเ่ี มืองหลวงพระบาง ประเทศลาว 3. การฟงเทศนฟ งธรรม 2 จตุปจ จัย จตุ แปลวา สี่ หมายถึง ปจจยั 4 ของพระสงฆท เี่ ปน เคร่อื งอาศัย 4. การถวายผา อาบนา้ํ ฝน เลยี้ งชวี ติ คลา ยคลงึ กบั ปจ จยั 4 ของคฤหสั ถท วั่ ไป มี 4 อยา ง ไดแ ก จวี ร (เครอื่ งนงุ หม ) วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เพราะการถวายผา อาบนาํ้ ฝน บณิ ฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ทอี่ ยอู าศัย) และ คลิ านเภสัช (ยารักษาโรค) จะกระทําในวันแรม 1 คํา่ เดอื น 8 คอื วันเขาพรรษา สวนตัวเลอื กขอ อ่ืนๆ 3 ปวารณา คือ การยอมใหวากลาวตักเตือนซึ่งกันและกัน หรือยอมมอบตน เกยี่ วขอ งกับวนั ออกพรรษาทง้ั หมด สาํ หรบั การตักบาตรเทโว จะทาํ ใน ใหส งฆก ลาวตักเตอื นในขอบกพรอ งท่ีภิกษุทัง้ หลายไดเ ห็นไดย นิ หรอื มขี อ สงสยั วันข้นึ 15 คํ่า เดอื น 11 หรอื วนั แรม 1 ค่าํ เดอื น 11 กไ็ ด ดวยจติ เมตตา เพื่อจะไดส ํารวม ระวงั ปรับปรุง แกไขตนเอง เพื่อความเจรญิ ของ พระธรรมวินัยและความผาสกุ ในการอยรู วมกนั 134 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การปวารณา หมายถึง การที่พระภิกษุสงฆ์เปิดโอกาสให้ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ 1. ครูตงั้ คําถามใหนกั เรยี นวิเคราะหวา ในธรรมวินัยเดียวกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้โดยไม่ต้องเกรงใจกัน เม่ือผู้ใหญ่เห็นผู้น้อยประพฤติ • พระภกิ ษุสงฆม กี ารเรียงตามลาํ ดับอาวุโส บกพร่อง หรือเพียงแต่สงสัยว่าน่าจะมีความ อยา งไร และพระสงฆท ี่อาวโุ สตา งกนั จะใช ประพฤติบกพร่อง ผู้ใหญ่ก็ว่ากล่าวตักเตือน คําเรียกแทนพระสงฆอีกรปู วา อยางไร ผู้น้อยได้ ในท�านองเดียวกัน ผู้น้อยก็สามารถ (แนวตอบ เรียงลาํ ดับอาวุโสตามพรรษาท่ีบวช ตักเตือนผู้ใหญ่ได้เช่นกัน ถ้าหากเห็นผู้ใหญ่ หรอื ระยะเวลาทบี่ วชมากอ น หากพรรษามาก ประพฤติบกพร่องหรือสงสัยว่าน่าจะประพฤติ กเ็ ปนผูอาวโุ ส โดยไมไ ดเรยี งตามวัยวฒุ ขิ อง บกพร่อง ท้ังนี้การตักเตือนของหมู่สงฆ์น้ัน พระสงฆน นั้ พระสงฆท มี่ พี รรษานอ ยจะเรยี ก มเี จตนาบรสิ ุทธ์เิ ป็นท่ีตั้ง คอื มงุ่ หมายให้เพื่อน พระสงฆที่มพี รรษามากกวาวา “ภนั เต” สหธรรมิกปราศจากมลทิน เพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งใด สว นพระสงฆพรรษาเทา กันหรือนอยกวา จะ ควรท�า ส่ิงใดไม่ควรท�า ฉะนั้นการปวารณาจึง เรียกวา “อาวุโส”) เปน็ การรว่ มสงั ฆกรรม และการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความ เอ้ืออาทรต่อกันของพระภิกษุสงฆ์ที่จ�าพรรษา 2. ครใู หนักเรียนศกึ ษาการเรียกจาํ นวนหรือ อย่ใู นอาวาสเดียวกนั การปวารณาเป็นการเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ว่ากล่าว ตัวเลขในภาษาบาลี เชน จตุ คอื ส่ี ปญ จ ในวันข้ึน ๑๕โดคย่�าปเกดตอื ภิ นกิ ษ๑สุ๑งเฆรจ์ียะกทวา�า่ ก“าวรันปปวาณั รรณส1าี” ตักเตือนกันเก่ียวกับวินัยท่ีควรปฏิบัติ ซ่ึงกระทำาหลังจาก เบญจ คือ หา เปน ตน โดยใหน ักเรยี นคน หา ออกพรรษาแลว้ จํานวนทหี่ น่งึ ถึงย่ีสบิ วามีคําเรียกในภาษาบาลี วาอะไร แลว บนั ทกึ ลงในสมดุ เแดตอื ่ถน้าภ๑ิก๑ษเุสรงยี ฆก์ยวัง่าไม“ว่พนั รจ้อามตกุท็จส2ะ”ี เลก่ือไ็ ดน้วันปวารณาออกไปอีก ๑ ปักษ์ ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๔ ค�่า เม่ือถึงวนั ปวารณา ภกิ ษุสงฆ์จะประชุมกนั ในโบสถ์รบั ไทยธรรมจากอุบาสก อุบาสกิ า 3. ครใู หนกั เรียนทดลองใชว ธิ ปี วารณาของ พระเถระชน้ั ผใู้ หญแ่ สดงพระธรรมเทศนา เสรจ็ แลว้ ภกิ ษสุ งฆจ์ ะเรม่ิ ทา� การปวารณา โดยเรยี งกนั ไป พระสงฆ โดยการเปดโอกาสใหเ พ่อื นนกั เรียน วา กลา วตกั เตือนกันถึงขอ บกพรองหรือขอ ควร ปรับปรุงของอีกฝาย โดยไมตอ งเกรงใจกนั และควรบอกวิธีแกไขใหเ พอื่ นนักเรียนดว ย ตามลา� ดับอาวุโส คา� ปวารณามีใจความวา่ “สงฆฺ มภฺ นเฺ ต ปวาเรม,ิ ทฏิ เฺ ฐนฺ วา สเุ ตน วา ปรสิ งกฺ าย วา; วทนตฺ ุ ม� อายสมฺ นโฺ ต อนกุ มปฺ ํ อุปาทาย; ปสสฺ นฺโต ปฏิกกฺ ริสสฺ าม.ิ ทตุ ยิ มฺปิ ภนเฺ ต สงฆฺ � ปวาเรมิ,... ตตยิ มปฺ ิ ภนฺเต สงฺฆ� ปวาเรมิ,...” “ท่านท้ังหลาย ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอทา่ นทงั้ หลายจงอาศยั ความกรณุ าวา่ กลา่ วตอ่ ขา้ พเจา้ เมอ่ื ขา้ พเจา้ สา� นกึ ไดจ้ กั กระทา� คนื เสยี ” “ทา่ นทง้ั หลาย ขา้ พเจา้ ขอปวารณาตอ่ สงฆ์ เปน็ คร้งั ที่ ๒.....................” “ทา่ นทัง้ หลาย ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ เปน็ ครัง้ ท่ี ๓.....................” 135 ขอ สอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอสอบป ’52 ออกเกี่ยวกับวนั สําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา 1 วันปณรสี แปลวา การเกดิ ขา งขึ้นและขา งแรม (ดิถ)ี เตม็ 15 วัน คอื เมือ่ ถึงวนั สาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา ชาวพทุ ธควรจะระลกึ ถงึ สิ่งใด วนั 15 คา่ํ เรียกเตม็ ๆ วา “วนั ปณรสดี ิถี” 2 วันจาตทุ สี แปลวา การเกิดขางข้ึนและขางแรม (ดิถี) เต็ม 14 วนั คือ มากทสี่ ดุ วนั 14 คํ่า เรยี กเตม็ ๆ วา “วันจาตุทสดี ิถ”ี 1. พระรัตนตรัย 2. พระไตรปฎก มมุ IT 3. พระพทุ ธคณุ 3 4. การทํานุบํารงุ พระพทุ ธศาสนา ศึกษาคนควา เพิ่มเติมเกี่ยวกบั การปวารณาในเทศกาลออกพรรษา ไดท ่ี http://www.dhammathai.org เวบ็ ไซตธ รรมะไทย วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ชาวพทุ ธ ควรระลกึ ถึงพระรตั นตรัย คอื พระพุทธคณุ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ดงั ที่ปรากฏในการเวียนเทียนรอบพระอโุ บสถ 3 รอบ ขอ 2. พระไตรปฎก คอื พระธรรมวนิ ยั ของพระสงฆ ขอ 3. พระพุทธคุณ 3 คอื การระลึกถงึ พระพทุ ธคณุ อยา งเดยี ว ขอ 4. การทาํ นุบํารงุ พระพุทธศาสนาสามารถทาํ ไดท ุกวนั คมู อื ครู 135
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู 1. ครูใหน ักเรยี นศกึ ษาคนควา เกย่ี วกับ ๔) วันเทโวโรหณะ โดยปกติในวันออกพรรษานี้ พุทธศาสนิกชนจะไปร่วมท�าบุญ วดั สังกัสรัตนครี ี จงั หวดั อทุ ยั ธานี วามศี าสนพิธี ตักบาตรกันที่วัด ซึ่งบางวัดก็จัดท�าพิธีอย่าง อะไรบา งในวนั ออกพรรษาและมกี ารจดั งาน ใหญ่โตมาก เรียกว่า “ตักบาตรเทโว” ค�าว่า อยางไร แลว บนั ทึกลงในสมุด “เทโว” ย่อมาจาก “เทโวโรหณ” แปลว่า การ เสด็จลงมาจากเทวโลก ตามต�านานกล่าวว่า 2. ครูต้งั คําถามเกีย่ วกบั วันเทโวโรหณะ ใหนักเรียน พหลระงั พจาุทกธทมพี่ ารระดพาใทุ นธสอวงรครเ์ คส์ชดนั้จ็ ไดปาจวา�ดพึงสร1ร์ ษเมาือ่ โอปอรดก ชวยกันตอบคําถาม พรรษาแล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จกลับมาสู่ • เมอื่ พระพทุ ธเจา เสด็จโปรดพทุ ธมารดาและ มนุษยโลกในวนั นี้ คอื วนั ขน้ึ ๑๕ คา�่ เดอื น ๑๑ ไดตรัสสอนอภิธรรมพุทธมารดาอยางไร ไดเ้ สดจ็ ลงมาจากสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ สก์ ลบั คนื มาสู่ และพทุ ธมารดาไดบ รรลุอรยิ บุคคลระดับใด โลกมนุษย์ ณ ประตเู มอื งสังกัสสะ โดยมีเทวดา (แนวตอบ พระพทุ ธเจาทรงแสดงอภธิ รรม 7 และมหาพรหมท้ังหลายแวดล้อมลงมาส่งเสด็จ คัมภีร โปรดพระพทุ ธมารดาตลอด 3 เดอื น ฝูงชนเป็นจ�านวนมากมายก็ได้ไปคอยรับเสด็จ ทําใหพ ระพทุ ธมารดาไดบ รรลุโสดาปตตผิ ล กระทา� มหาบูชาเปน็ การเอิกเกริกมโหฬาร และ สมพระประสงคของพระพทุ ธเจา ที่ทรงตงั้ พธิ ตี กั บาตรเทโว ณ วัดสังกสั รัตนครี ี บริเวณเขาสะแกกรัง พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรม ท�าให้มีผู้บรรลุ พระทยั เสด็จขึ้นมาสนองคุณพระพุทธมารดา) จงั หวัดอุทัยธานี ซง่ึ จัดขน้ึ อย่างยิง่ ใหญเ่ ปน็ ประจำาทุกปี คุณวิเศษจ�านวนมาก พุทธศาสนิกชนจึงถือ • พธิ ตี ักบาตรเทโวมคี วามหมายและความ มุงหมายอยางไร เปน็ โอกาสพิเศษ พร้อมใจกนั ตกั บาตรเฉลมิ ฉลอง โดยจัดทา� ข้ึนเพยี งปีละ ๑ คร้งั เท่าน้นั (แนวตอบ เปน พธิ ีตกั บาตรเพื่อรบั เสด็จ การตกั บาตรเทโวน้อี าจจะจัดให้มีในวันขึ้น ๑๕ ค�่า เดือน ๑๑ หรือแรม ๑ ค่�า เดือน พระพทุ ธเจา โดยไดป ฏิบัติสืบเนอื่ งตอ กันมา ๑๑ ก็ได้ และบางวัดก็จัดท�าพิธีตักบาตรเทโวอย่างมโหฬาร กล่าวคือ บรรดาฆราวาสจะชะลอ เปนประเพณี จนถึงประเทศไทยไดเ รียก พระพุทธรูป ซ่ึงประดิษฐานอยู่ในบุษบกมีล้อเล่ือน และมีบาตรต้ังอยู่หน้าพระพุทธรูปน�าหน้า ประเพณีนว้ี า การตกั บาตรเทโวโรหณะ โดย พระสงฆ์ผ่านไปรอบๆ บริเวณโบสถ์ หรือบริเวณที่ก�าหนดไว้ เพื่อให้ทายก ทายิกา ซ่ึงยืน นยิ มเรียกสน้ั ๆ วา การตักบาตรเทโว ซ่ึงคาํ วา นงั่ เรยี งรายกนั อยเู่ ปน็ ทวิ แถวไดต้ กั บาตรอาหารทพ่ี ทุ ธศาส2นกิ ชนจดั ท�ามาเปน็3พเิ ศษ นอกเหนอื จาก “เทโว” ยอมาจาก “เทโวโรหณะ” แปลวา ข้าว กบั ข้าว ของหวาน และผลไมแ้ ล้ว ก็มีข้าวต้มลูกโยน และข้าวตม้ มดั ไต้ การเสด็จจากเทวโลก) ขยายความเขา ใจ Expand หลังจากท�าบุญตักบาตรเสร็จแล้ว พุทธศาสนิกชนก็จะเข้าไปในโบสถ์ ฟังพระธรรม เทศนา รกั ษาศลี ๕ ศีล ๘ หรือบ�าเพญ็ สาธารณประโยชน์ ตามแต่อัธยาศัย ครูใหน ักเรยี นเขารวมประกอบพิธกี รรมทาง พระพทุ ธศาสนาในวันธรรมสวนะที่วัดท่ีนกั เรยี น ๒. ศาสนพธิ ี สะดวก จากน้ันบันทึกวา นกั เรยี นเขารวมศาสนพธิ ี หรอื ทําบญุ อะไรบา ง และสิง่ ทนี่ กั เรยี นพึงปฏิบัติใน ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีเป็นระเบียบแบบแผนทางศาสนาที่ก�าหนด วันธรรมสวนะมีอะไรบา ง ลงในสมดุ นาํ สงครผู ูสอน ขน้ึ ไวเ้ พอื่ ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนไดย้ ดึ ถอื ปฏบิ ตั เิ ปน็ แบบอยา่ งเดยี วกนั และถอื เปน็ สว่ นประกอบทส่ี า� คญั ประการหนึ่งของพระพทุ ธศาสนา ตรวจสอบผล Evaluate ในระดับชน้ั น้ีจะกล่าวถึง พิธีท่ีส�าคญั ทางพระพทุ ธศาสนาบางพิธี ดงั ต่อไปนี้ 136 ตรวจสอบจากบันทึกการเขา รว มศาสนพธิ ีและ บรู ณาการเช่ือมสาระ ส่งิ ทน่ี กั เรยี นพงึ ปฏิบตั ิในวนั ธรรมสวนะ ครสู ามารถนาํ เรือ่ งขา วตม ลกู โยนและขา วตม มดั ไต ไปบูรณาการเช่อื มโยง กับกลุม สาระการเรยี นรกู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี วิชาการงานอาชพี นักเรยี นควรรู และเทคโนโลยี เรอ่ื งการเตรียมและการประกอบอาหารประเภทสาํ รับ โดยใหนักเรยี นศกึ ษาวา หลกั เกณฑในการกําหนดรายการอาหารมีอะไรบาง 1 ช้นั ดาวดงึ ส เปน ช่ือสวรรคชน้ั ที่ 2 ซงึ่ เปน 1 ใน 6 ชั้นของสวรรคช นั้ กามาพจร ขาวตมลกู โยนและขา วตมมดั ทีพ่ ทุ ธศาสนิกชนจัดทํามาตักบาตรเปน พิเศษ หรอื สวรรคช น้ั กามภมู ิ สวรรคท ง้ั 6 ชนั้ ไดแ ก จาตมุ หาราชกิ า ดาวดงึ ส ยามา ดุสิต เขา กบั หลักเกณฑในกาํ หนดรายการอาหารอยางไร เพราะเหตใุ ด โดยบันทกึ นมิ มานรดี และปรนิมมติ วสวัตดี ลงในสมดุ และสงครูผูสอน 2 ขา วตม ลกู โยน คอื ขา วตม มดั ชนดิ หนงึ่ เปน ขนมไทยทใ่ี ชใ นพธิ ตี กั บาตรเทโว ทําจากขาวเหนียวผสมถ่ัวผัดกับกะทิ นิยมหอดวยใบพง (มีลักษณะคลายใบออย แตม กี ลิ่นหอม) แลว นาํ ไปน่งึ จนสุก 3 ขา วตม มัดไต คาํ วา ไต เปนชอ่ื ขนมอยา งหนงึ่ ทาํ ดวยขา วเหนียวผัดกับกะทิ และถวั่ ทอง ปรุงรสดว ยน้ําตาลทราย เกลอื หอไสท ่ีทําดวยถั่วทองตม สุกแลว ผัดกบั เครอ่ื งปรงุ มพี รกิ ไทย เกลอื เปน ตน ขา วตม มดั ไตม กั หอ ยาวๆ ดว ยใบมะพรา วออ น ใชตอกมัดหลายเปลาะ เหมอื นไตทใี่ ชจ ดุ ไฟ 136 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ 2.1 การทำาบญุ ตักบาตร ครถู ามนักเรียนวา การทําบญุ ตักบาตรกบั การ ถวายสังฆทานเหมอื นหรือตางกันอยางไร “ตักบาตร” หมายถึง การถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ด้วยการใส่ภัตตาหารลงไปในบาตร ของท่าน ซง่ึ มีวตั ถุประสงค์ ดงั น้ี (แนวตอบ เหมอื นกัน เพราะการทาํ บญุ ตักบาตร ๑. ถือเป็นการท�าบุญอย่างหนึ่งซ่ึง และการถวายสงั ฆทาน สามารถถวายภตั ตาหาร การท�าบุญน้ันย่อมมีผลดีต่อจิตใจของผู้กระท�า และนํ้าแดพระสงฆไ ดเ หมอื นกัน แตต างกนั หลายประการ เชน่ ขจัดความตระหน่ี มีเมตตา ตรงที่การถวายสงั ฆทานจะถวายเครอื่ งไทยธรรม หรอื สิ่งของเครื่องใชข องพระสงฆดว ย) กรณุ า ชว่ ยชา� ระจติ ใจใหส้ ะอาด เบกิ บานและสงบ สาํ รวจคน หา Explore ๒. เป็นการถวายความอุปถัมภ์แด่ พระสงฆ์ ซึ่งท่านเป็นผู้สืบทอดต่อและเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาแกเ่ รา ไดช้ ว่ ยทา� นบุ า� รงุ พระพทุ ธ ครูใหน กั เรยี นศกึ ษาเก่ียวกบั ความเปน มาและ ศาสนาโดยทางออ้ ม ถือได้ว่าเป็นประเพณีนิยม วธิ ีปฏบิ ตั ิของศาสนพิธีตา งๆ ไดแ ก การทําบุญ อันดีงามของพุทธศาสนิกชน ตกั บาตร การถวายภตั ตาหาร การถวายสังฆทาน ๓. สรา้ งความดใี หแ้ กต่ นเอง เพราะ การถวายผาอาบน้ําฝน การจัดและถวาย การท�าบุญนั้นถือเป็นการให้ทาน ซึ่งเป็นการ เครอื่ งไทยธรรม เคร่อื งไทยทาน การกรวดนํ้า กระท�าท่ีเกื้อกูลกัน ตรงกันข้ามกับความโลภ การทำาบุญตักบาตรถือเป็นการให้ทานที่สามารถกระทำาได้ การทอดกฐิน และการทอดผาปา จากหนังสอื เรียน ความตระหนอ่ี นั เปน็ ลกั ษณะของความเหน็ แกต่ วั หลายโอกาสทงั้ ในงานบญุ และงานพิธีต่างๆ หนา 137-149 และแหลง การเรียนรูตา งๆ เชน หองสมุด อินเทอรเ นต็ ผรู ูดา นธรรมะ เปน ตน รวมท้งั สนบั สนุนความเปน็ มิตรและความมีไมตรีต่อกนั ของบุคคลในสังคม เพอื่ นําความรมู าอภปิ รายและบนั ทึกลงในสมุด ๔. เป็นส่วนประกอบส�าคัญของการท�าบุญ การท�าบุญตักบาตรสามารถกระท�าได1้ ในหลายโอกาส เช่น การตกั บาตรแด่พระสงฆ์ท่อี อกบณิ ฑบาตในตอนเช้า ซง่ึ การออกบิณฑบาต อธบิ ายความรู Explain ของพระสงฆ์ในตอนเช้าน้ันถือว่าเป็นการโปรดสัตว์ กล่าวคือ เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนท่ีไม่มี เวลาไปวัด ได้มีโอกาสท�าบุญสร้างกุศล นอกจากนี้ การท�าบุญตักบาตรยังสามารถกระท�าได้ใน 1. ครใู หน กั เรยี นชว ยกนั ยกตวั อยา งวา ขอ ควรระวงั งานบญุ และงานพธิ ีต่างๆ ขณะใสบ าตรมอี ะไรบาง โดยชว ยกนั ตอบ 2.2 การถวายภัตตาหาร ในชนั้ เรยี น และครซู ักถามวาเพราะเหตุใด เราจงึ ควรระวังสงิ่ นน้ั ขณะใสบ าตร “ภัตตาหาร” หมายถงึ อาหารต่างๆ ทีเ่ ราประกอบขนึ้ แล้วน�าไปถวายแดพ่ ระสงฆ์เพื่อให้ทา่ น ได้ฉัน การถวายภัตตาหารเป็นประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาต้ังแต่สมัยพุทธกาล โดยมี 2. ครกู ลา วถงึ การทาํ บญุ ตกั บาตรและตงั้ คาํ ถามวา วัตถุประสงค์ ดงั น้ี • นกั เรยี นคิดวา การทําบญุ ตักบาตร มปี ระโยชนอ ยางไร ๑. เพอ่ื สืบทอดประเพณี (แนวตอบ การทาํ บญุ ตกั บาตรสง ผลดตี อ จติ ใจ ๒. เพ่ือสร้างความเปน็ สริ มิ งคลให้เกดิ ข้นึ แกต่ นเอง ของผูทาํ คอื ลดความตระหนแี่ ละความเห็น ๓. เพ่ือจะไดม้ ีโอกาสสดบั ตรบั ฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์อย่างใกลช้ ิด แกตัว มเี มตตากรณุ าและรูจักแบงปน ๔. เพ่อื เป็นการช่วยทา� นุบ�ารุงพระพทุ ธศาสนา ชว ยทาํ นบุ าํ รุงพระพุทธศาสนา และเปน การ ทาํ บญุ ใหกับตนเอง) 137 ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับการทาํ บุญตักบาตร ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู คณุ ยายพาหลานสาวไปตักบาตรบริเวณหนาบา น พระสงฆรปู หนงึ่ เดินมา ครแู นะนาํ ขอ ควรระวงั ขณะใสบ าตรวา ไมค วรสวมรองเทา หรอื ยนื สงู กวา พระสงฆ รบั บาตร คณุ ยายจึงนิมนตใหม ารับบาตรในวนั พรงุ นด้ี วย พระสงฆจะกลาว ไมโยนส่งิ ของลงในบาตร ซึ่งถือวาไมม ีความเคารพ และสิง่ ของท่จี ะใสใ นบาตรตอ ง ตอบอยางไร ไมร อนหรือหนกั จนเกินไป ในกรณที ี่เปนของหนกั ควรนาํ ไปถวายพระสงฆท ว่ี ัดจะ 1. ครับผม 2. ขอบคุณโยม เหมาะสมกวา 3. เจรญิ พร 4. อนโุ มทนา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เจริญพร แปลวา ขอใหม ีความเจริญในพร นักเรยี นควรรู มาจากพร 4 อยา งหรอื จตรุ พธิ พร ไดแ ก อายุ (อายยุ นื ) วรรณะ (ผวิ พรรณผอ งใส) สขุ ะ (สขุ กายสขุ ใจ) พละ (สขุ ภาพดแี ขง็ แรง) กลา วคอื พระสงฆใ หพ รผมู าทาํ บญุ 1 บิณฑบาต คอื กิจวตั รของพระสงฆและสามเณรในพระพทุ ธศาสนา ในการ ขอ 1. เปน คาํ กลาวของบคุ คลทวั่ ไปทีม่ ใิ ชพ ระสงฆ ออกเดินถือ “บาตร” รบั การถวายภตั ตาหารหรอื สงิ่ ของจากชาวบา นในเวลาเชา ขอ 2. ขอบคณุ ใชก บั บุคคลท่ัวไป โยม คือ คําทพี่ ระสงฆใ ชเ รยี กคฤหสั ถ การออกบิณฑบาตถอื เปน กิจวตั รทพ่ี ระพุทธเจาทรงกําหนดไวใ หเ ปน หนาทขี่ อง ทเ่ี ปน บิดามารดาของตน หรือผูท่ีเปนผูใหญค ราวบดิ ามารดา พระสงฆและสามเณรมาตง้ั แตส มยั พทุ ธกาล หรอื ใชขยายออกไปโดยเรียกผูมีจติ ศรทั ธาในการอุปถมั ภบ ํารุง พระพทุ ธศาสนา คูม อื ครู 137 ขอ 4. อนโุ มทนา คอื ความยินดที ผ่ี ูอื่นทํากุศล ใชพ ดู เมือ่ ไดยนิ หรอื รับรวู า ใครทาํ บญุ อะไรมา ก็บอกอนโุ มทนายินดีในกุศลน้ัน
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหนกั เรยี นยกตัวอยา งวาการถวายภตั ตาหาร นอกจากนี้ ยงั มีจดุ มงุ่ หมายที่ส�าคญั อกี ประการหนึ่ง คือ ท�าให้เรามีความใกล้ชดิ และผกู พนั นยิ มทาํ ในโอกาสใดบาง กบั พระพทุ ธศาสนามากขน้ึ จะไดม้ คี วามร้สู ึกม่นั คงทางจติ ใจ เพราะมีศาสนาเปน็ ทีย่ ดึ เหน่ียว (แนวตอบ ทําบุญงานมงคลตางๆ เชน งานทําบญุ เ รียกวกา่า รถกวาราทยภา� บตั ญุตาเลหยี้างรพ เรปะ1น็ คกิจอื ก รกรามรหถวนาึง่ ยขภอตังตกาารหทาา�รบแดุญ่พในระทสางงฆพ ์รซะพ่ึงอทุ าธจศการสะนทา�า ไชดา ้ ว๒พ ทุ วธธิ น ี ิยคมอื วันเกิด งานอปุ สมบท งานมงคลสมรส งานขนึ้ กระท�าทบี่ า้ นของเจา้ ภาพ หรอื กระทา� ที่วดั บา นใหม เปนตน ทําบญุ งานอวมงคลตา งๆ เชน ในการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาจะจัดภัตตาหารออกเป็น ๒ ท่ี คือ ถวาย งานทาํ บญุ หนา ศพ งานทาํ บุญอัฐิ เปนตน ) พระพทุ ธรปู ๑ ท ี่ และถวายพระสงฆ์อีก ๑ ที่ ดงั นี้ 2. ครูเกรนิ่ นาํ ถึงการถวายภัตตาหาร และตั้ง ๑) การถวายภัตตาหารแด่พระพุทธรูป การจัดภัตตาหารถวายแด่พระพุทธรูปนั้น คาํ ถามวา • การถวายภตั ตาหารแดพระพุทธรปู มีความ เปน็ การกระทา� ทเี่ ปน็ สญั ลกั ษณเ์ พอื่ แสดงความระลกึ ถงึ และเคารพสกั การะพระพทุ ธองคผ์ ทู้ รงเปน็ แตกตา งจากการถวายพระสงฆอยางไร พระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนาและเพ่อื บชู าคณุ พระรตั นตรัย เพราะเหตุใด พระพุทธรูปท่ีอัญเชิญมาไว้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนานั้นเป็นสิ่งสมมติแทน (แนวตอบ การถวายภัตตาหารแดพระพุทธรูป องคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ และถือเป็นประธานสงฆ์ ณ ทน่ี ้ัน การจัดภัตตาหารถวายจงึ ควร ควรจัดถวายภัตตาหารใหประณีตและดีกวา จัดท�าอย่างประณีตให้ดีกว่าถวายพระสงฆ์ หรืออย่างน้อยก็จัดแบบเดียวกับพระสงฆ์ ไม่ควรจัด ถวายพระสงฆ เพราะพระพทุ ธรปู เปน สง่ิ สมมติ อย่างลวกๆ โดยใส่ในถว้ ยหรือกระทงเลก็ ๆ แบบไปเซน่ ไหวศ้ าลพระภูมิหรอื ภูตผี แทนองคสมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา ) ภัตตาหารท่ีน�ามาถวายพระพุทธรูป บางคร้ังเรียกกันง่ายๆ ว่า “ข้าวพระพุทธ” เมื่อ2 • การถวายภัตตาหารแดพ ระพุทธรปู และ พระสงฆเ์ จรญิ พระพทุ ธมนตใ์ กลจ้ บหรอื จบแลว้ พธิ กี รกย็ กสา� รบั ภตั ตาหารไปตงั้ ทหี่ นา้ พระพทุ ธรปู พระสงฆ มีจดุ มุง หมายอยา งไร โดยใช้ผา้ ขาวปรู องพ้ืนเสียก่อน แล้วเชญิ เจ้าภาพหรือประธานในพธิ จี ดุ ธปู ๓ ดอก และนา� ไปปกั (แนวตอบ เชน จุดมุง หมายเพ่อื ใกลช ิดและ ทก่ี ระถางธปู นัง่ ประนมมอื กลา่ วค�าบูชา ดังนี้ ผูกพนั กบั พระพุทธศาสนามากขนึ้ สรางเสรมิ สริ มิ งคล ชวยทํานบุ าํ รงุ พระพทุ ธศาสนา ค�าอา่ น อมิ งั สปู ะพะยญั ชะนะสมั ปนั นงั สาลนี งั โภชะนงั อทุ ะกงั วะรงั พทุ ธสั สะ ปเู ชม ิ มีความรสู กึ มนั่ คงทางจติ ใจ เปน ตน ) คา� แปล ข้าพเจ้าขอบูชาเคร่ืองบริโภคแห่งข้าวสาลี อันถึงพร้อมด้วยแกง กับข้าวและน้�า อันประเสริฐน้ี แดพ่ ระผูม้ พี ระภาคเจ้า เมือ่ กล่าวค�าบชู าเสร็จแลว้ กราบเบญจางคประดิษฐ3์ ๓ ครง้ั ส�าหรับข้าวพระพุทธจะลาออกมาหลังจากที่พระสงฆ์ได้ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว โดย เจ้าภาพหรือพิธกี รกลา่ วค�าลา ดงั น้ี คา� อา่ น เสสัง มงั คะลงั ยาจามิ คา� แปล ขา้ พเจ้าขอส่วนท่ีเหลืออนั เปน็ มงคลน้ี กราบ ๓ คร้งั แลว้ ยกสา� รับภตั ตาหารออกมา 138 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET “อมิ งั สปู ะพะยัญชะนะสัมปน นงั สาลนี ัง โภชะนัง อทุ ะกงั วะรงั 1 การทําบุญเลยี้ งพระ มีขอ หามทีส่ าํ คญั คือ หามบอกชอื่ อาหาร โดยสิ่งของ พุทธัสสะ ปเู ชมิ” เปน คาํ กลาวบูชาส่งิ ใด ทค่ี วรถวาย ไดแ ก 1. เปน ของสะอาด หามาไดด ว ยความซอ่ื สตั ยส จุ รติ และชอบธรรม 1. ถวายขา วเจาที่ 2. เปนของประณีต เปนของดี ปรงุ มาอยางดี เปน ของใหม 3. เปนของสมควร 2. ถวายขา วเทวดา ท่ีพระสงฆฉ ันได 4. เหมาะแกกาล (พระสงฆไมฉ นั หลังเท่ยี ง) 3. ถวายขาวพระพุทธ 2 ตงั้ ทหี่ นา พระพุทธรปู พธิ ีถวายภตั ตาหารหนา พระพทุ ธรปู ควรจัดเวนพ้นื ที่ 4. ถวายขาวพระรตั นตรัย หรือจัดหาพ้นื ทส่ี าํ หรับวางภตั ตาหารถวายพระพุทธรปู ไวล วงหนา เพราะหาก วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะ “อิมัง สปู ะพะยญั ชะนะสมั ปนนัง ไมเตรยี มไว จะตองเลอ่ื นโตะ ปรับสถานทใ่ี นระหวา งงาน ซ่ึงจะทาํ ใหด ไู มง าม สาลีนัง โภชะนัง อุทะกงั วะรงั พุทธัสสะ ปูเชมิ” แปลวา ขา พเจาขอ 3 เบญจางคประดษิ ฐ แปลวา ตงั้ ไวเฉพาะซง่ึ องคห า คือ การกราบโดยให บูชาเคร่อื งบริโภคแหงขาวสาลี อนั ถงึ พรอมดวยแกง กับขา วและนํา้ อัน อวยั วะ 5 สว นจดลงใหตดิ กับพืน้ ไดแ ก เขา ท้ังสอง ฝา มือทง้ั สอง และหนาผาก ประเสริฐนแ้ี ดพระผูมีพระภาคเจา คาํ วา สาลีนงั คือ ขาวสาลี และคําวา ซงึ่ เปนการกราบทใี่ ชแสดงความเคารพตอบุคคลทคี่ วรเคารพนบั ถือสูงสดุ หรอื พทุ ธัสสะ คอื พระพุทธเจา การกราบทใ่ี ชส ําหรบั กราบพระ 138 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) การถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ การถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ก็คือ การจัด 1. ครนู ําสนทนาเพ่ิมเตมิ เกี่ยวกบั การถวาย ภัตตาหารแดพ ระสงฆ และตั้งคาํ ถามวา อาหารเลี้ยงพระสงฆ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเป็นการท�าบุญถวายความอุปถัมภ์แด่พระสงฆ์ และ • เพราะเหตุใด พระพทุ ธเจาจงึ ทรงบญั ญัติ เพอ่ื จะไดฟ้ งั ธรรมจากพระสงฆอ์ ยา่ งใกล้ชดิ ไมใหพ ระสงฆบ ริโภคอาหารตองหาม 10 ประการ อาหารท่ีน�ามาถวายพระสงฆ์น้ัน (แนวตอบ เน่อื งจากในสมัยพทุ ธกาล อาจมี จะตอ้ งไมเ่ ปน็ อาหารตอ้ งห้าม ๑๐ ชนิด ตามที่ คนศรัทธาแรงกลา ยอมอทุ ศิ ตนถวายเปน พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มิให้พระภิกษุสงฆ์ อาหารแดพระสงฆไ ด การฉนั เน้ือและเลอื ด บริโภค ไดแ้ ก่ เนอ้ื มนษุ ย์ เน้ือชา้ ง เนอ้ื มา้ เนื้อ มนษุ ยถ อื เปน ความผดิ รา ยแรงทสี่ ดุ ในเนอื้ สุนัข เนื้องู เนื้อราชสีห์ (สิงโต) เน้ือเสือโคร่ง 10 ประการ ไดแ ก เนอ้ื ชาง เพราะชา งเปน เนอื้ เสือเหลอื ง เนอ้ื หมี และเนื้อเสอื ดาว พาหนะของพระมหากษตั ริย จงึ มีประชาชน ตําหนิพระสงฆทฉี่ ันเน้อื ชา ง เนอื้ มา มีเหตผุ ล 2.3 การถวายสงั ฆทาน เชนเดยี วกับชา ง เนือ้ สุนัขเพราะเปนสตั วที่ นา รงั เกยี จ ไมสมควรทส่ี มณะจะบรโิ ภค ๑) ความหมาย “สังฆทาน” คือ เน้ืองเู พราะมีพญานาคชอ่ื สปุ สสะ ทานท่ีถวายแด่พระสงฆ์ท่ัวไป มิได้เจาะจงว่า ไปกราบทูลพระพทุ ธเจา วา โปรดอยา ฉนั จะเป็นพระภิกษุรูปใดรูปหน่ึง การท�าบุญแบบ การถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ นอกจากจะเป็นการ เนอ้ื งู เนอื้ ราชสหี เพราะภกิ ษทุ ่ฉี นั เนอ้ื ราชสหี สังฆทานนี้ ถือว่าจะได้รับผลบุญมากกว่าการ ชว่ ยทาำ นบุ าำ รงุ พระพทุ ธศาสนาแลว้ ยงั ชว่ ยใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชน แลวอยูในปา ตางกถ็ ูกฝูงราชสีหฆา เนื่องจาก ถวายทานโดยเฉพาะเจาะจง มคี วามใกล้ชดิ และผกู พนั กบั พระพทุ ธศาสนามากข้นึ มกี ลน่ิ ราชสีหต ดิ ตวั เนือ้ เสอื โครง เนอ้ื เสือ เหลอื ง เน้ือหมี และเสอื ดาว เหตุผลเดียวกับ สิ่งของทจี่ ะถวายเป็นทานแดพ่ ระสงฆ์นั้น เรยี กวา่ “เครอ่ื งไทยธรรม” เจ้าภาพจะถวาย เรือ่ งของเนอื้ ราชสหี ) กีอ่ ย่างกไ็ ด้ ไม่จา� เปน็ ตอ้ งถวายพร้อมกันทุกอยา่ ง 2. ครใู หนักเรียนหาคําราชาศพั ทท ใี่ ชกับพระสงฆ เครอ่ื งไทยธรรม เชน กิน ใชค าํ วา ฉนั อาหาร ใชค ําวา ภัตตาหาร อาบนา้ํ ใชคาํ วา สรงนาํ้ สวดมนต เครือ่ งไทยธรรมสามารถจ�าแนกออกเปน็ ๑๐ อยา่ ง ดังน้ี ใชค ําวาเจริญพระพุทธมนต เปน ตน โดยให ๑. ภตั ตาหาร นักเรียนหาคาํ ศัพทเหลานม้ี าอยางนอย 10 คาํ ๒. นา�้ รวมทั้งเครอ่ื งดมื่ ท่พี ระสงฆ์ดมื่ ได้ และบันทกึ ความหมายลงในสมดุ ๓. ผ้า เคร่ืองน่งุ หม่ ๔. ยานพาหนะ รวมถงึ การถวายปจั จยั เปน็ คา่ พาหนะ แด่พระสงฆ์ ๕. มาลยั ดอกไม้ เครือ่ งบูชาชนดิ ต่างๆ ๖. ของหอม หมายถงึ ธปู เทยี นบูชาพระ ๗. เคร่ืองสขุ ภณั ฑส์ า� หรับชา� ระร่างกายให้สะอาด ๘. เครอื่ งทนี่ อนอันสมควรแก่พระสงฆ์ ๙. ท่ีอยู่อาศัยและบริวาร อันได้แก่ กุฏิ เสนาสนะ 1 เตยี ง โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ๑๐. เคร่อื งใช้ท่ใี หแ้ สงสวา่ ง เช่น เทยี น ตะเกียง 139 ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกบั การปฏบิ ัตติ นตอ พระภกิ ษุ ครูเสริมความรเู พมิ่ เตมิ เกี่ยวกับเคร่ืองไทยธรรมวา บางครง้ั ชาวบา นเรียกวา ทกุ ขอเปน แนวทางในการปฏบิ ตั ิตอ พระภกิ ษุ ยกเวน ขอ ใด เคร่อื งสังฆทาน ซง่ึ ปจจุบันรา นคาจะจดั เปนชดุ ๆ มีขนาดและมลู คา ใหเลอื กหลาย 1. ปฏบิ ัตติ อ พระภกิ ษดุ ว ยอามสิ ทาน แบบ เพื่ออํานวยความสะดวกใหผูถ วาย ซงึ่ มักเรียกวา ชดุ สังฆทาน ในการเลอื กซื้อ 2. ปฏิบตั ิตอ พระภกิ ษดุ ว ยความเตม็ ใจ ควรตรวจดคู ณุ ภาพสงิ่ ของดว ย เพราะรานคาบางแหงก็นาํ เอาของหมดอายุหรือ 3. ใหค วามเคารพตอพระภกิ ษุดว ยกาย วาจา ใจ ดอยคณุ ภาพผสมเขามาดว ย หากมีปญหาสามารถรองเรยี นไดท ่ีสายดว น สคบ. 4. ใหค วามเคารพตอ พระภกิ ษทุ ี่พรรษามากกวาภิกษุทมี่ พี รรษานอยกวา หรอื สํานกั งานคณะกรรมการคุมครองผบู รโิ ภค โทร 1166 วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะพระภกิ ษไุ มว า พรรษาหรอื ระยะเวลา นกั เรียนควรรู ในการบวชจะมากกวา หรอื นอ ยกวา กนั พทุ ธศาสนกิ ชนควรแสดงความเคารพ 1 เสนาสนะ มาจากภาษาบาลี คอื เสน (ท่ีนอน) และอาสน (ทนี่ ่งั ) ความหมาย พระภกิ ษุเทาเทียมกนั เน่อื งจากพระภกิ ษถุ อื ศลี 227 ขอเทากนั ทกุ รูป จงึ ควร โดยรวม คือ ท่อี ยูของพระภิกษสุ งฆ เชน กุฏิ วหิ าร ศาลา รวมถึงเครื่องนอนและ แสดงความเคารพพระสงฆท กุ รูปโดยไมคาํ นงึ ถึงพรรษา เครือ่ งใชใ นการพาํ นกั เชน โตะ เกา อ้ี เตยี ง ตงั่ หมอน เปนตน คมู ือครู 139
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหน ักเรยี นชวยกนั ยกตวั อยางประโยชนของ ๒) วัตถุประสงคแ ละความสําคญั การถวายสงั ฆทานเปน พธิ ปี ฏิบตั ทิ ี่มมี าตง้ั แตครง้ั การทําทานและการทําบุญถวายสังฆทาน โดย สมยั พุทธกาลแลว โดยทีพ่ ระพุทธเจา ไดต รัสแกพ ระอานนท ความวา “สังฆทาน คอื การรอ งขอตอ ออกมาเขียนบนกระดานหนาชัน้ และอภิปราย สงฆใหส ง ใครไปรบั แลวถวายแกผ ูนน้ั ” การถวายสงั ฆทานมคี ุณคาและความสาํ คัญ ดงั น�้ วา เปนประโยชนเ พราะเหตใุ ด ๑. เเปปนน กกาารรสทืบําบตญุอ รทะี่ไเบดอียาบนปิสรงะสเ1พมณากที าเพงศราาสะเนปาน การทาํ บญุ โดยไมเจาะจง ๒. 2. ครใู หนกั เรยี นจดั เตรยี มสงิ่ ของจาํ เปน ท่ีเหมาะ ๓. ทาํ ใหจิตใจเบิกบาน สงบ และยังชวยฝกนิสัยใหเ กิดการเสยี สละ โดยไมหวังผล ในการถวายสงั ฆทานแดพ ระสงฆ ใดๆ ตอบแทน ๔. เปน สิรมิ งคลแกตนเอง และเปน การระลึกถึงบรรพบุรษุ ท่ีลวงลับไปแลว 3. ครูสุมใหนกั เรยี น 2-3 คน ออกมาสาธติ การ ถวายสังฆทานหนา ช้ันเรียน โดยใหเ พื่อน ๓) วิธปี ฏิบตั ิ ในการถวายสังฆทาน มีวธิ กี ารปฏิบตั ิ ดังน�้ นกั เรียนในหองสวดคําถวายสังฆทานพรอมกนั ๑. แจงตอพระอธิการของพระสงฆ คือ เจาอาวาสหรือพระภิกษุผูมีหนาท่ีนิมนต อาราธนาศีลและรบั ศลี และถวายสังฆทาน พระในวัด ขอใหนิมนตพระสงฆไปรับสังฆทานตามจํานวนท่ีตนตองการ พรอมทั้งบอกวัน เวลา และสถานที่ใหแ นนอนดวย 4. ครใู หน กั เรียนเขารวมศาสนพธิ ีและถวาย ๒. จัดเตรยี มสถานที่ ภตั ตาหาร และสิง่ ของที่จะถวายใหพรอ มสรรพ สังฆทานท่วี ัด พรอมบนั ทกึ วิธีปฏบิ ัตติ ้ังแตเรม่ิ ๓. เม่ือพระสงฆมาพรอมแลว ทายกทายิกาจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยกราบ จนจบพิธวี า มอี ะไรบางลงในสมดุ ๓ ครัง้ จากนนั้ หันหนา ไปทางพระสงฆ กราบอกี ๓ ครั้ง แลว อาราธนาศีลและรบั ศลี ๔. เมอื่ รบั ศลี เสรจ็ เรยี บรอ ยแลว กราบ ๓ ครงั้ ทายกทายกิ ากลา วคาํ ถวายสงั ฆทาน 5. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาและวเิ คราะหว า เพราะเหตใุ ด ถามหี ลายคนก็ใหห ัวหนากลา วนาํ และคนอน่ื วา ตาม ดังน้ี พระสงฆจ งึ ใชตาลปต รบังเอาไวขณะประกอบ ศาสนพธิ ี โดยใหนักเรียนบอกเหตผุ ลและ ความเชือ่ เหลาน้นั ลงในสมดุ และนํามาอภปิ ราย ในช้นั เรยี น การถวายสงั ฆทานนอกจากเปนการทําบญุ ท่ีชวยใหจ ิตใจสงบเบกิ บานแลว ยังเปน การฝก นิสัยใหร จู กั เสยี สละอกี ดวย ๑๔๐ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET เพราะเหตใุ ด การถวายสงั ฆทานจงึ ถือวามอี านิสงสม าก ครคู วรกลา วเพม่ิ เติมวา ปจจุบนั เพ่ือความสะดวกและสภาพสังคมท่ี 1. ถวายไดตลอดเวลา เปลยี่ นแปลงไป ทางเจาภาพมกั จดั ยานพาหนะไปรับ-สง พระสงฆถ งึ ท่ีวัด ซึ่งจะตอ ง 2. ถวายไดเฉพาะบางเวลา แจงกําหนดเวลาใหท านทราบวาจะไปรับ-สง ทา นเวลาใด 3. พระพทุ ธเจา ทรงสรรเสรญิ 4. เปนทานบริสทุ ธ์เิ พราะไมเจาะจงผูร บั นกั เรยี นควรรู วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. การถวายสังฆทาน องคส มเดจ็ พระสมั มา- สมั พุทธเจาทรงสรรเสริญวา เปนทานทม่ี ีอานิสงส เนื่องจากเปนทานท่ี 1 อานสิ งส แปลตรงตวั วา คณุ ทไ่ี หลออกเนอื งๆ แหง ผล คอื ใหผ ลทน่ี า ชน่ื ใจยง่ิ บริสทุ ธเิ์ พราะไมเจาะจงผูรบั การเจาะจงผูร บั อยางนอ ยท่ีสุดกแ็ สดงถึง โดยอานิสงสม ีความหมายวา ผลแหงกศุ ลกรรม ผลบุญ ซึง่ เปนผลผลติ จากการ อํานาจของกิเลสเพราะความรักความชอบ ทําความดตี างๆ ตามคตทิ ่วี า “ทาํ ดไี ดดี” เม่อื ทาํ ความดแี ลว ความดยี อ มให อานิสงสเ ปนคณุ ความดีกอ น ลําดับตอมาคุณงามความดีน้นั จึงใหผลทีน่ า ชนื่ ใจ ไหลออกมาสนองผูท ําในรปู แบบตา งๆ ตามเหตุปจ จยั ทท่ี ํา เปรียบเสมือนปลูก ตน มะมวงยอมจะไดผลเปน ลกู มะมวงกอน ตอ มาลูกมะมว งน้นั จงึ ใหผ ลทน่ี า ชน่ื ใจ ตอไปเม่ือนําไปเปนอาหาร นําไปแลกเปน ของ หรอื นาํ ไปขายเปนเงนิ 140 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ค�าอา่ น อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ 1. ครูใหนกั เรยี นศึกษาวา ผา 3 ผนื ท่ีพระพุทธเจา สาธุ โน ภนั เต ภิกขุสังโฆ อมิ านิ ภตั ตานิ สะปะรวิ ารานิ ปะฏคิ คัณหาตุ อมั หากัง ทรงอนุญาตใหใช ไดแก สังฆาฏิ (ผา พาดบา ) ทีฆะรัตตัง หิตายะ สขุ ายะ จีวร (ผา หมคลมุ รา งกาย) และสบง (ผา นงุ ) มีความแตกตางกันอยางไร โดยนําความรูที่ได ค�าแปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลายขอน้อมถวายภัตตาหารและของบริวาร มาอภปิ รายในช้ันเรยี น เหล่าน้ี แดพ่ ระภิกษุสงฆ์ ขอพระภกิ ษสุ งฆจ์ งรบั ภตั ตาหาร รวมท้งั บริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าท้ังหลาย เพ่ือประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอด 2. ครูนาํ สนทนาเกยี่ วกบั การถวายผา อาบน้ําฝน กาลนานเทอญ และตง้ั คําถามวา • เพราะเหตุใด จึงมกี ารถวายผา อาบน้าํ ฝน เมอื่ กล่าวคา� ถวายจบแล้ว ทายกทายกิ าประเคนของ หลังจากประเคนเสร็จ พระทา่ น ในสมัยพทุ ธกาลและสืบตอ มาจนถึงปจจบุ นั จะอนุโมทนา (ให้พร) ด้วยบทยถาและสัพพี พอพระสงฆ์รูปท่ีเป็นประธานเริ่มสวดว่า ยถา (แนวตอบ เนอ่ื งจากนางวิสาขาไดท ลู ขอ วาริวหา... ทายกทายิกาก้มกรวดน้�า ตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วและ พระพุทธเจาใหพ ระสงฆร บั ผาอาบนา้ํ ฝนได สรรพสตั วร์ ว่ มโลก เมอื่ พระสงฆร์ ปู ทเี่ ปน็ ประธานอนโุ มทนาจบ พระสงฆร์ ปู ทน่ี ง่ั รองลงมาจะกลา่ ว โดยกลาวถึงเหตทุ ี่นางทาสไี ปทูลอาราธนา สพั พีตโี ย... ทายกทายิกาควรกรวดน้�าใหห้ มด แล้วประนมมอื รับพรตอ่ ไปจนพระสงฆส์ วดจบ พระพทุ ธเจา และพระสงฆท วี่ ดั เชตวนั ในขณะ ฝนตก พบพระสงฆเปลือยกายอาบนํา้ ฝนอยู 2.4 การถวายผา้ อาบนา้ำ ฝน ก็เขา ใจวาเปน พวกชีเปลือย เนอ่ื งดว ย ๑) ความเป็นมาและความหมาย มีเรื่องเล่า1อยู่ในพระไตรปิฎกว่า เม่ือครั้งที่ พระสงฆใ ชผาเพยี ง 3 ผนื หรือไตรจวี ร จงึ ตอ งเปลอื ยกายอาบนา้ํ ดว ยเหตนุ พ้ี ระพทุ ธเจา พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ เชตวนาราม เมอื งสาวตั ถี นางวสิ าขาไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ แลว้ กราบทลู อาราธนา จึงประทานอนญุ าตใหพ ระสงฆมี พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกให้ไปรับภัตตาหารท่ีบ้านของตนในตอนเช้าวันรุ่งข้ึน พอเวลา ผาอาบน้าํ ฝนเพิ่มไดอีก 1 ผืน) ใกล้รุ่งฝนตกหนัก พระภิกษุสงฆ์ก็พากันไปอาบน�้าฝน ในสมัยน้ันพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ พระภิกษุใช้ผ้าได้เพียง ๓ ผืน ได้แก่ สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) จีวร (ผ้าห่มคลุมร่างกาย) และสบง 3. ครูสมุ ใหน กั เรยี นนํากลาวสวดมนต และเพือ่ น (ผ้านุ่ง) ดังน้ัน พระสงฆ์จึงต้องเปลือยกายอาบน้�า ครั้นใกล้เวลาภัตตาหาร นางวิสาขาจึงใช้ นักเรยี นทุกคนในหอ งกลา วอาราธนาศลี และ นางทาสีให้ไปทูลอาราธนา ฝ่ายนางทาสีเมื่อไปถึงวัดเชตวัน พบพระภิกษุเปลือยกายอาบน้�าอยู่ รบั ศลี รวมถึงคาํ ถวายผาอาบนา้ํ ฝนพรอม กลางแจง้ กเ็ ขา้ ใจวา่ เป็นพวกชเี ปลือย (อาชีวก) จงึ กลับไปบอกนางวสิ าขาวา่ ท่ีวดั ไมม่ พี ระสงฆ์ คาํ แปล มีแต่พวกอาชีวกก�าลังอาบน�้ากันอยู่ นางวิสาขาพิจารณาด้วยปัญญาทราบว่าคงจะเป็นพระสงฆ์ เปลอื ยกายอาบนา้� หลงั จากทฝี่ นหยดุ ตกแลว้ นางวสิ าขาจงึ ใชใ้ หน้ างทาสไี ปทลู อาราธนาอกี ครง้ั หนง่ึ 4. ครูใหนักเรยี นบันทกึ สรุปความสาํ คญั ของการ คราวนนี้ างทาสีพบพระภกิ ษุสงฆ์นงุ่ เหลือง ห่มเหลือง อยเู่ ต็มไปท่วั ลานวดั ถวายผาอาบน้าํ ฝนพอสังเขปลงในสมดุ และ นาํ สงครผู สู อน เม่ือได้เวลาภัตตาหาร พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งปวงก็เสด็จมายังบ้านนางวิสาขา หลงั จากเสรจ็ ภัตกิจ นางวสิ าขาจงึ ไดท้ ูลขออนญุ าตตอ่ พระพทุ ธเจา้ ให้พระสงฆร์ บั ผา้ อาบน�้าฝนได้ โดยปรารภถึงเหตุท่ีประสบมา ซ่ึงพระพุทธเจ้าก็ประทานอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีผ้าเพิ่มข้ึน อกี ๑ ผืน เรยี กว่า “ผ้าอาบน�า้ ฝน” 141 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู อุบาสิกาทานใดเปน ผทู ลู ขออนญุ าตตอ พระพุทธเจา ใหพระภิกษุ ครูควรอธิบายถงึ การประเคนวามอี งคป ระกอบ 5 อยาง ไดแก 1. ของไมใหญ รบั ผา อาบนํ้าฝนได หรือหนกั เกินไป 2. ผปู ระเคนควรยืนหางประมาณ 1 ศอก 3. นอ มของที่จะประเคน เขา ไปดวยความเคารพ 4. ในกรณที เี่ ปนผูชายจะนอ มเขา ไปถวายเลยกไ็ ด แตถา เปน 1. นางสิรมิ า ผูห ญิงใหว างของลงบนผาทีพ่ ระสงฆป ลู าดออกมา 5. พระภกิ ษุจะรบั ดว ยมอื กไ็ ด 2. นางวิสาขา ถาหากผูช ายเปน ผถู วาย แตถา เปน ผหู ญิง พระสงฆจ ะใชผา ปลู าดสําหรบั รบั สง่ิ ของ 3. นางสุชาดา 4. พระนางมัลลกิ า นักเรยี นควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. นางวิสาขาไดใ ชนางทาสีไปอาราธนา 1 นางวสิ าขา คือ มหาอบุ าสกิ า ซงึ่ บรรลุเปน พระโสดาบันเม่อื อายุ 7 ขวบ หลงั จากไปเขา เฝาพระพุทธเจา นางวสิ าขาเปนผูอ ปุ ถมั ภบํารุงพระภกิ ษุสงฆอ ยาง พระพุทธเจาและพระสงฆม าฉนั ภตั ตาหารที่บาน แตเ น่ืองจากพระพุทธเจา มากมาย และเปน บคุ คลทไี่ ดร บั ความนับถืออยา งกวางขวางในสังคม รวมทง้ั ได ทรงอนุญาตใหพระสงฆใชผาไดเ พียง 3 ผืน คือ สบง จวี ร และสังฆาฏิ รบั การยกยองจากพระพุทธเจา วา เปน เอตทคั คะในบรรดาทายกและทายิกาทั้งปวง พระสงฆจ งึ ตองเปลือยกายอาบนํ้า ทาํ ใหนางทาสีเขา ใจวาเปนชเี ปลือย (ทายกและทายกิ า คอื ผูถวายจตุปจ จยั แดภกิ ษุสงฆ หรอื ผนู ับถอื พระพุทธศาสนา) ดังน้ัน นางวิสาขาจึงทูลขออนุญาตตอ พระพทุ ธเจา ใหพ ระสงฆร บั ผาอาบนาํ้ ฝนได ซง่ึ พระองคก็ทรงอนุญาตตามน้ัน คมู ือครู 141
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182