Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

Published by niyommusic, 2021-07-30 03:01:11

Description: คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

Search

Read the Text Version

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand วันต่อมา พระราชาจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมภิกษุสงฆ์ ไปเสวยภัตตาหารใน 1. ครแู ละนกั เรยี นสรปุ ประวตั พิ ระเจาพมิ พสิ าร พระราชวัง แล้วกรวดน�้าอุทิศส่วนกุศลแก่พวกเปรตที่เคยเป็นพระญาติของพระองค์ ตกดึกมา แลวแสดงความคิดเหน็ ในประเด็นคาํ ถาม บรรดาพระญาตเิ กา่ กม็ าปรากฏโฉมอกี คราวนหี้ นา้ ตายมิ้ แยม้ แจม่ ใส ซาบซงึ้ ในพระหฤทยั ทแ่ี บง่ ตอ ไปน้ี สว่ นบญุ ให้ ตพ่ารงะกเจไ็ ดา้ พ้เสิมวพยบิสาุญรไมปีพตราะมรๆาชกโอนั รสแพลว้รกะน็อาันมตวร่าธา“นอชหาาตยศไปตั ร1ู” จากพระนางเวเทหิ ตอนทรง • คณุ ธรรมใดของพระเจา พิมพสิ ารทน่ี ักเรียน ประชวรพระครรภ์ (แพ้ท้อง) พระเทวใี คร่จะเสวย “เลือด” ของพระราชสวามี แต่พระนางไมก่ ลา้ ควรถอื เปน แบบอยางในการประพฤตปิ ฏิบตั ิ ทลู แก่พระราชสวามี ในชวี ติ ประจาํ วนั (แนวตอบ การเคารพนบั ถือในพระรตั นตรัย ตอ่ มาเมอ่ื ทรงซกั ไซร้ จงึ กราบทลู ความจรงิ ใหท้ ราบ ดว้ ยความรกั พระมเหสี พระราชา การมคี วามเพยี ร และการมงุ มนั่ ในการศกึ ษา จึงเฉือนพระพาหา (แขน) เอาพระโลหิตออกมาให้พระมเหสีดื่ม อาการประชวรพระครรภ์ก็สงบ หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ตลอดจนมี โหราจารยท์ �านายว่าพระโอรสองคน์ ี้จะทา� “ปติ ุฆาต” แต่พระราชากม็ ไิ ดส้ นพระทัยต่อค�าทา� นาย จติ เอ้อื เฟอเผือ่ แผ ปรารถนาดีตอผอู ื่นเสมอ) • คุณธรรมใดของพระเจา พิมพสิ ารทีค่ วร กลา่ วกนั ว่า ค�าท�านายของโหรทา� ใหพ้ ระเทวมี คี วามกังวลมาก จงึ แอบไปท�าแทง้ ทถี่ ้�า นํามาเปนแบบอยา งในการครองเรอื น มทั ทกจุ ฉิ เชงิ เขาคชิ ฌกูฏ โดยเอากอ้ นหินทุบท้องเพ่อื ใหแ้ ทง้ พระราชาทรงทราบ ตรสั หา้ มท�า (แนวตอบ เชน การรกั และเอาใจใสต อ คนใน เชน่ น้นั เปน็ อันขาด ทารกน้อยจงึ มีโอกาสเกดิ ขนึ้ มาดูโลก ที่พระนางท�าไปมิใช่ไม่รักลกู แตม่ ิอยาก ครอบครวั การใหก ารอปุ การะ ใหก ารศกึ ษา ไดช้ อื่ วา่ มลี กู ฆา่ พอ่ อนั เปน็ ความอปั ยศอยา่ งยง่ิ แตพ่ ระสวามกี ป็ ลอบพระทยั วา่ เรอ่ื งในอนาคตไมม่ ี แกบ ตุ ร และหมน่ั อบรมสง่ั สอน ชแ้ี นะสงิ่ ใดดี ใครสามารถหยง่ั รไู้ ด้ เพยี งคา� ทา� นายกไ็ มค่ วรเชอื่ วา่ จะเปน็ ความจรงิ รอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ตท์ กุ อยา่ ง อยทู่ ี่ สง่ิ ใดไมดใี หแ กบตุ รเสมอ) การกระท�าของคน ถา้ เราอบรมลกู ให้ดี มีหรอื จะกลายเป็นคนช่วั เช่นน้นั ได้ 2. ครูใหนกั เรยี นอภปิ รายความหมายของ เพราะความเช่ือม่ันอย่างน้ี เม่ือพระราชโอรสประสูติแล้ว จึงพระราชทานนามว่า พระพทุ ธวจนะท่ีตรสั วา “เม่อื โคขามฟาก อชาตศัตรู (ผู้เกิดมาไม่เป็นศัตรู) ทรงให้การศึกษาอบรมแก่พระราชโอรสเป็นอย่างดี ท�าให้ ถาโคจา ฝงู วายไปคดหรอื ตรง ฝูงโคก็จะคด เจ้าชายนอ้ ยเปน็ คนวา่ นอนสอนง่าย อยใู่ นพระโอวาท ไมม่ 2ีวีแ่ วววา่ จะป3ระพฤตินอกรีตแต่อยา่ งใด หรือตรงตาม” แลวบอกถงึ การนาํ ขอคดิ จาก พระพุทธวจนะดงั กลา วนไี้ ปปรบั ใชใ นชีวติ แต่ก็เหมือนฟ้าลิขิต เจ้าชายน้อยได้รู้จักอลัชชีนามเทวทัต ถูกเทวทัตผู้เป็นบาปมิตร ประจําวนั เส้ยี มสอนให้เหน็ ผดิ เปน็ ชอบ จบั พระเจา้ พิมพสิ ารขงั คุกใหอ้ ดพระกระยาหารจนส้นิ พระชนม์ (แนวตอบ หากผปู กครองประพฤติตนอยใู นศีล- ธรรม ผใู ตป กครองกย็ อ มจะอยใู นศลี ธรรม ดงั นน้ั ๒) คุณธรรมทีค่ วรถอื เป็นแบบอยา่ ง ของพระเจา้ พิมพสิ าร มดี ังน้ี หากมีบทบาทเปนผูน าํ จะตองดํารงตนอยใู น ศลี ธรรม และมหี ลกั การปกครองทเี่ สรมิ สรา งให ๒.๑) เป็นพ่อที่ดี พระเจ้าพิมพิสารมีความรักอชาตศัตรูผู้เป็นพระราชโอรสอย่าง ผใู ตป กครองเปน คนดแี ละเปน คนเกง ควบคกู นั ไป) แท้จรงิ เมอ่ื ครงั้ พระราชโอรสอยใู่ นพระครรภ์ พระมเหสี “แพ้ท้อง” อยากเสวยโลหิตพระราชสวามี เพราะความรักในพระมเหสี และรักในพระราชโอรสผู้อยู่ในพระครรภ์ พระเจ้าพิมพิสารถึงกับเอา พระขรรค์กรีดพระโลหิตจากพระพาหาของพระองคใ์ หพ้ ระมเหสีด่มื แมภ้ ายหลงั เจา้ ชายอชาตศตั รหู ลงผดิ เพราะการยยุ งของพระเทวทตั ถอื พระขรรค์ เขา้ ไปหมายจะสงั หารพระองค์ พระองคก์ ็ไมท่ รงถอื โกรธ เมือ่ รูว้ า่ พระราชโอรสตอ้ งการราชสมบัติ ตรวจสอบผล Evaluate กย็ นิ ดยี กใหต้ ามปรารถนา แมพ้ ระราชโอรสจบั ขงั คกุ ทรมานใหอ้ ดพระกระยาหาร กไ็ มม่ จี ติ โกรธเคอื ง 1. ตรวจสอบผลจากความถกู ตองในการตอบ หรอื พยาบาทในพระราชโอรสแตป่ ระการใด คําถามและแสดงความคิดเหน็ 53 2. ตรวจสอบผลจากความถูกตองและความ สวยงามของสมดุ ภาพเลาเรอ่ื งประวัติของ พทุ ธสาวกหรือพุทธสาวกิ า แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู พระเจาพิมพิสารทรงเสียสละสิ่งใด เพอ่ื ทําใหพระนางเวเทหิหายจาก 1 อชาตศัตรู แปลวา ผปู ราศจากศตั รู ในเวลาตอ มาทา นไดค บคดิ กบั พระเทวทตั อาการประชวรพระครรภ (แพท อ ง) ฆาพระราชบดิ าตามที่โหรทํานายไว และไดขน้ึ ครองราชสมบัตแิ ควนมคธ ณ กรุงราชคฤห แตทรงสํานกึ และกลบั พระทัยได หันมาทรงอุปถมั ภบาํ รุงพระพทุ ธ- 1. ยกราชสมบัติใหพ ระนางปกครอง ศาสนา และทรงเปน พุทธศาสนปู ถัมภกในการสังคายนาพระธรรมวินัยคร้งั ที่ 1 2. กรีดเลอื ดจากแขนใหพ ระมเหสดี ื่ม 2 อลชั ชี คอื ผไู มม ีความละอาย ภกิ ษุผปู ระพฤตลิ ะเมดิ พุทธบญั ญัติโดยจงใจ 3. เสยี สละพระราชทรพั ยส รา งท่ีประทับใหใหม ละเมดิ หรือกระทําผดิ แลว ไมมีการแกไ ข 4. ถวายอาหารโปรดบํารุงพระครรภพระมเหสี 3 เทวทัต เปน พระโอรสในพระเจาสุปปพุทธะและพระนางอมติ าแหง โกลิยวงศ ไดออกผนวชและบําเพญ็ ฌานจนไดโลกียอภิญญา เวลาตอมามคี วามมักใหญ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. พระเจาพิมพิสารทรงใชม ีดกรีดเลอื ดทแ่ี ขน คดิ ทาํ รายพระพุทธเจา ไดก อ เรอ่ื งวุนวายในสังฆมณฑลและถกู ธรณีสูบในที่สดุ ของพระองคใหพระมเหสีดืม่ เพราะพระนางประชวรพระครรภ (แพทอง) ใครจ ะเสวยพระโลหติ ของพระราชสวามี คอื พระเจา พิมพสิ าร ดว ยความรัก ในพระมเหสแี ละรกั ในพระราชโอรสผูอยูในพระครรภ พระองคจึงทรงยอม เสยี สละพระโลหติ คูม ือครู 53

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครใู หนักเรยี นยกตวั อยางพระมหากษตั รยิ ไทย ๒.๒) ทรงม่ันคงในพระรัตนตรัย พระองค์ทรงรับเอาพระพุทธศาสนามาเป็น ในอดีตท่มี ีพระราชกรณียกจิ ในดา นการทํานบุ าํ รงุ หลักปฏิบัติของพระองค์เองและประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ สร้างวัดถวายไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา แลว อภปิ รายรว มกันถึงผลงานที่ เปน็ วดั แหง่ แรกในประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ทรงมนั่ คงในพระศาสนายิ่งนัก สรา งประโยชนใ หก บั ประเทศไทย ตลอดจนคณุ ธรรม เม่ือครั้งถูกพระราชโอรสจับขังให้ ท่คี วรถอื เปนแบบอยาง สาํ รวจคน หา Explore อดพระกระยาหาร1พระองคก์ ย็ ดึ ม2นั่ ในพระธรรม เจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ น�ามาเป็น เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จนถึงวาระสุดท้ายแห่ง ใหน กั เรยี นศกึ ษาคน ควา เกย่ี วกบั ขอ มลู ศาสนกิ ชน พระชนมช์ พี ตัวอยางจากหนงั สือเรียนหนา 54-61 หรือจากแหลง ๒.๓) ทรงเปน็ ผนู้ า� ทดี่ ี เมอ่ื กอ่ น การเรยี นรูตา งๆ หรือสอบถามผูรู จากนน้ั บันทกึ พระเจ้าพมิ พสิ ารทรงเลื่อมใสในชฎลิ ๓ พ่นี อ้ ง ประวัติและผลงานของทา นเหลา นั้นลงสมดุ กน็ า� ประชาชนไปฟงั คา� ชแ้ี นะเปน็ ประจา� ครนั้ มา อธบิ ายความรู Explain เป็นสาวกของพระพุทธองค์แล้ว ก็นา� ประชาชน เขา้ หาพระพทุ ธศาสนา ประพฤตปิ ฏบิ ตั พิ ระองค์ ครูใหน กั เรยี นผลดั กนั เลา ประวัตขิ อง พระพุทธรูปปางแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ประดิษฐานอยู่ เป็นแบบอยา่ งท่ีดี พระมหาธรรมราชาลิไทยโดยยอ จากน้นั ใหนักเรียน ภายในพระเวฬวุ นั วหิ าร ซง่ึ เปน็ วดั ทพ่ี ระเจา้ พมิ พสิ ารสรา้ ง พระราชจริยาวัตรของพระเจ้า จับคูออกมาจับสลากเพือ่ นาํ เสนอพระราชกรณียกจิ ถวายพระพทุ ธเจา้ พมิ พิสารเขา้ หลักพระพทุ ธวจนะที่ตรัสว่า “เมอ่ื ของพระมหาธรรมราชาลิไทยในดา นตา งๆ ตอ ไปนี้ โคข้ามฟาก ถ้าโคจ่าฝูงว่ายไปคดหรือตรง ฝูงโคก็จะไปคดหรือตรงตาม” ผู้ท่ีเป็นผู้น�าประเทศ • ดานศาสนา กเ็ ช่นเดยี วกนั ถา้ ปฏบิ ัติตนอยู่ในศลี ในธรรม ผูใ้ ตป้ กครองก็ยอ่ มมีศลี มธี รรมตาม • ดานการปกครอง • ดา นอกั ษรศาสตร ó. ศาสนิกชนตวั อย่าง 3.1 พระมหาธรรมราชาลิไทย ในพระยาเลอ๑ไ)ท พย3รพะประรมะหวัาตกิ ษพัตรระิยม์อหงคาธ์ทรี่ ร๕มแราหช่งากทรุงี่ ส๑ุโข(ทพัยระตยาามลปิไรทะยว)ัติศทารสงตเปร์ก็นลพ่ารวะวร่าาชไดโอ้ทรรสง ศึกษาวิชาช้ันต้นจากพระเถระชาวลังกา ซ่ึงเข้ามาสอนหนังสือและเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่าง จรงิ จัง และเมอื่ ขึน้ ครองราชย์ได้ ๕ ปี กท็ รงอุปสมบทเปน็ พระภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา เม่อื พ.ศ. ๑๙๐๔ โดยนมิ นต์พระเถระจากลังกามาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาธรรมราชาลไิ ทย ทรงเป็นแบบอยา่ งพระมหากษตั ริยผ์ ปู้ ระพฤตธิ รรมพระองค์ แรกของกรงุ สโุ ขทยั และทรงเป็นนักปราชญ์ทีร่ อบรทู้ ้งั ทางศาสนา การปกครอง และอกั ษรศาสตร์ เป็นอยา่ งยง่ิ โดยประมวลได้ในดา้ นตา่ งๆ ดงั น้ี 54 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดเปน วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาของพระมหาธรรมราชาลไิ ทย 1 พทุ ธานุสสติ คอื การระลึกถึงคณุ ของพระพุทธเจา 1. นิราศภูเขาทอง 2. เวสสันดรชาดก 2 ธมั มานุสสติ คอื การระลกึ ถงึ คุณของพระธรรม 3. ไตรภมู ิพระรวง 4. มหาชาตคิ าํ หลวง 3 พระยาเลอไทย (พ.ศ. 1841-1866) เปน พระราชโอรสองคโ ตของพอ ขนุ รามคาํ แหง มหาราช ทรงศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาเปน อยา งมาก แตใ นรชั สมยั ของพระองคเ ปน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ไตรภมู ิพระรว งหรอื เตภมู ิกถาเปน ชว งระยะเวลาท่อี าณาจักรสุโขทัยเร่มิ เสอ่ื มอาํ นาจ วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาเรือ่ งแรกของไทยทพ่ี ระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงพระราชนิพนธข้ึน มีเน้ือหาเก่ยี วของกบั นรก-สวรรค เพอ่ื สอนใหคน ทาํ ความดี ละเวนความชัว่ 54 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๑) ด้านศาสนา มดี งั น้ี 1. ครูและนกั เรียนชว ยกนั สรุปพระราชกรณยี กจิ ๑. ทรงมคี วามเช่ยี วชาญทางดา้ นศาสนา รอบรพู้ ระไตรปฎิ กอยา่ งแตกฉาน ของพระมหาธรรมราชาลไิ ทยในรปู แบบ ทง้ั อรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี า และปกรณว์ เิ สสอน่ื ๆ โดยทรงศกึ ษาจากพระสงฆผ์ เู้ ชยี่ วชาญพระไตรปฎิ ก ผังความคดิ บนกระดานหนาชน้ั เรียน จากนั้น ในขณะน้ัน เช่น พระมหาเถรมุนีพงศ์ พระอโนมทัสสีเถรเจ้า เป็นต้น หรือจากราชบัณฑิตฝ่าย ใหนักเรยี นชว ยกนั วเิ คราะหคุณธรรมท่คี วร คฤหัสถ์ เชน่ อุปเสนบณั ฑิต เป็นต้น นาํ ไปเปนแบบอยา ง ๒. ทรงสง่ เสรมิ อปุ ถมั ภด์ า้ นการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาและศลิ ปศาสตรต์ า่ งๆ (แนวตอบ พระมหาธรรมราชาลไิ ทยทรง ๓. ทรงสง่ ราชบรุ ษุ ไปขอพระบรมสารรี กิ ธาตจุ ากลงั กาทวปี และไดท้ รงนา� มา เปน ผูมีวสิ ัยทัศนก วางไกล พระองคท รงมี บรรจุไว้ในพระมหาธาตเุ มอื งนครชุม (เมืองโบราณอย่ใู นจงั หวดั ก�าแพงเพชร) ความคดิ รเิ ริม่ ในดา นตา งๆ ไดอยา งดีเลิศ ๔. ทรงส่งราชทูตไปอาราธนาพระสังฆราชมาจากลังกาทวีป มาจ�าพรรษา พระองคทรงวางรากฐานดานการปกครอง อยู่ที่วดั ปา่ มะมว่ ง นอกจากนีท้ รงผนวชในพระพทุ ธศาสนา และทรงสร้างพระพทุ ธรปู ไวห้ ลายองค์ โดยใชหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาเปน ๑.๒) ด้านการปกครอง มดี งั น้ี ตวั ขัดเกลาจติ ใจประชาชน เพ่ือใหประชาชน ๑. โปรดให้สรา้ งปราสาทราชมณเฑยี ร อยใู นศลี ธรรมและเกดิ ความสงบสขุ และ ๒. ทโปรรงดปใกหคย้ รกอผงนดงั้วกย้นัทนศ�้าพตธิ ัง้ รแาตช่เธมรือรงม1สองแคว (พษิ ณโุ ลก) มาถึงกรุงสุโขทัย พระองคท รงมีความสามารถในการถายทอด ๓. เรอื่ งราวนามธรรมใหเ ปนรปู ธรรม กอ ใหเกดิ ๑.๓) ดา้ นอักษรศาสตร์ มีดงั น้ี ความเขาใจทีง่ ายขึน้ ดังเชนหนังสอื ๑. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “เตภูมิกถา” หรือ “ไตรภูมิพระร่วง” อันเป็น เตภมู ิกถาหรอื ไตรภมู พิ ระรว ง ซง่ึ มเี น้ือหา วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาเรอื่ งแรกของไทย เก่ียวกับนรกสวรรค เพอื่ ใหป ระชาชนเขาใจ ๒. โปรดให้มีการสร้าง ผลของการปฏิบตั ติ ามศลี ธรรมและประพฤติ ศลิ าจารกึ ไว้หลายหลัก ผิดศีลธรรม) เปน็ นกั ปราชญ์ ทพรรงะมมคี หวาาธมรรรอมบรราใู้ ชนาศลลิ ิไปทศยาทสตรงร2์ มากมาย ทรงบา� เพญ็ พระราชกรณยี กจิ และทรง 2. ครใู หน ักเรียนบอกถงึ วิธีการพฒั นาตนเองเพอ่ื มีพระจริยาวัตรอันเป็นประโยชน์อย่างไพศาล ใหเ ปนบคุ คลผมู ีวสิ ยั ทศั นก วา งไกลและมีความ ท้ังแก่ฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักรเป็นอย่างย่ิง สามารถในการคิดรเิ รม่ิ สรา งสรรค ดังเชน พระองค์ทรงประพฤติในทางท่ีจะทรงเป็น พระมหาธรรมราชาลไิ ทย ธรรมราชา คอื การปกครองพระราชอาณาจักร (แนวตอบ หม่นั ศกึ ษาหาความรอู ยูเสมอ ตดิ ตาม ดว้ ยธรรมานุภาพเป็นสา� คัญ ขาวสารเหตุการณปจจุบัน สบื คนขอมลู ทาง พระมหาธรรมราชาลิไทย พระบรมรปู พระมหาธรรมราชาลไิ ทย ภายในวดั พระศรรี ตั น อินเทอรเนต็ อานหนงั สอื และพูดคุยกับผมู ี สวรรคตในปใี ดไมป่ รากฏแนช่ ดั แตเ่ ขา้ ใจวา่ เปน็ มหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก พระมหาธรรมราชาลิไทย ความรู เพ่อื สรางองคค วามรูในดานตา งๆ ช่วงใดช่วงหนึ่ง ระหวา่ ง พ.ศ. ๑๙๑๑ ‑ ๑๙๑๗ ทรงเป็นผู้รจนาหนังสือไตรภูมิพระร่วง วรรณกรรมทาง ทที่ นั สมัยใหกับตนเอง ฝก การวิพากษว จิ ารณ พระพทุ ธศาสนาเรื่องแรกของไทย คดิ ริเรม่ิ สรา งสรรค และมองการณไ กลดวย ความรอบคอบและมเี หตผุ ล) 55 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรยี นควรรู วรรณกรรมเรือ่ งไตรภมู ิพระรวง มคี วามสําคัญตอ สงั คมสโุ ขทัยอยา งไร 1 ทศพธิ ราชธรรม พระพุทธศาสนาสอนวา นักปกครองทีด่ นี นั้ ควรมีคุณธรรม แนวตอบ ไตรภมู ิพระรว งเปน วรรณกรรมทีเ่ กย่ี วของกับพระพทุ ธศาสนา 10 ประการ ไดแ ก การให การตัง้ อยูในศลี การบริจาค ความซอื่ ตรง พระมหาธรรมราชาลไิ ทยทรงพระราชนพิ นธ โดยนําหลักธรรมทางพระพุทธ- ความออนโยน ความมีตบะ ความไมโกรธ ความไมเ บยี ดเบยี น ความอดทน ศาสนาท่ีเขา ใจยากมานําเสนอใหมเปนรปู ของคาํ ประพันธ มีการใชขอ ความ และความไมคลาดธรรม งายๆ อา นแลว เกดิ จินตนาการ โดยเนอ้ื หาในไตรภูมิพระรว งจะกลา วถงึ นรก 2 ศลิ ปศาสตร หมายถงึ ศลิ ปศาสตร 18 ประการ ไดแก วิชาพระเวท วิชา สวรรค ผทู ที่ ําความดีจะไดไ ปเสวยสุขบนสวรรค สว นผูท่ีทําความช่ัวจะตอง พิจารณาสว นตา งๆ ของรา งกาย วชิ าคํานวณ วชิ าทาํ จิตใหแนว แน วชิ ากฎหมาย ไปชดใชก รรมในนรก ซึง่ ทาํ ใหป ระชาชนเกิดความหวาดกลวั ทจี่ ะไปเกดิ ใน วชิ าแยกประเภท วิชาทํานายเหตุการณ วชิ าฟอ นรํา วชิ าแพทย วิชาโบราณคดี นรก จงึ หมน่ั เรงสรา งความดี ไมประพฤตชิ ว่ั ความเช่ือเชนนีส้ งผลใหส ังคม วชิ าศาสนา วชิ าทาํ นายบคุ คล วิชากล วชิ าคนหาเหตุ วชิ าคิด วิชารบ วชิ ากลอน สุโขทยั เกดิ ความสงบสุข ผูค นไมเบียดเบียนซง่ึ กนั และกัน และวิชาดลู กั ษณะคน คมู ือครู 55

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูใหนกั เรียนวิเคราะหวา งานดา นอักษรศาสตร ๒) คุณธรรมทีค่ วรถอื เปน็ แบบอยา่ ง ของพระมหาธรรมราชาลิไทย มดี ังน้ี ที่พระมหาธรรมราชาลไิ ทยทรงพระราชนิพนธเ ร่ือง ไตรภูมิพระรวง มีคุณประโยชนตอพระพุทธศาสนา ๒.๑) ทรงมีความกตัญญูอย่างย่ิง พระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงมีความรักและ อยา งไร กตัญญตู ่อพระราชมารดาของพระองค์เป็นอย่างย่งิ สังเกตได้จากการทีท่ รงพระราชนพิ นธห์ นังสือ พระพุทธศาสนาชื่อ “เตภูมิกถา” หรือ “ไตรภูมิพระร่วง” ทรงแจ้งวัตถุประสงค์ข้อหน่ึงว่า เพ่ือ (แนวตอบ พระมหาธรรมราชาลิไทยทรง เทศนาโปรดพระมารดา การพระราชนิพนธ์คัมภีร์พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศล พระราชนพิ นธเรื่องไตรภูมิพระรวง เพ่อื เทศนาโปรด อันย่ิงใหญ่อย่างหน่ึง พระองค์ไม่ลืมท่ีจะแบ่งบุญให้แก่พระราชมารดาของพระองค์ แสดงว่าทรง พระมารดา อนั เปนการดําเนนิ ตามรอยยคุ ลบาท มีความรกั และกตญั ญูใน “แมบ่ งั เกดิ เกล้า” อย่างมาก เปน็ การดา� เนินตามรอยยุคลบาทพระสัมมา พระสมั มาสมั พุทธเจาทีเ่ สด็จข้ึนไปแสดงพระธรรม- สัมพุทธเจา้ ทเ่ี สด็จขนึ้ ไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดอดีตพุทธมารดาบนสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ เทศนาโปรดอดตี พทุ ธมารดาบนสวรรคชนั้ ดาวดึงส พระองคท รงถายทอดเนอ้ื หาเกยี่ วกับศีลธรรมและ ๒.๒) ทรงมีความสามารถในการถ่ายทอดนามธรรมให้เป็นรูปธรรม เนื้อหาของ ความเชอ่ื เรื่องนรก สวรรค การเวียนวา ยตายเกดิ ใน ไตรภูมิพระรว่ ง กลา่ วถึงเร่ืองศลี ธรรม จรยิ ธรรม เรอื่ งนรก สวรรค์ เปน็ เรอื่ งละเอียดอ่อน ยากที่ พระพุทธศาสนาใหเขาใจงาย ดว ยการยกตัวอยา ง จะอธิบายให้เข้าใจได้ แต่พระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงมีความสามารถในการถ่ายทอด ทรงท�า หรืออุปมาอุปไมย จงึ ทําใหไตรภมู พิ ระรวงไดรบั การ เรอื่ งยากใหง้ า่ ยได้ โดยเฉพาะการยกตวั อยา่ งหรอื อปุ มาอปุ ไมย ทรงทา� ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั เนอื้ หา ยกยอ งใหเ ปน วรรณคดีพระพทุ ธศาสนาเลมแรกของ และทา� ใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจไดแ้ จม่ แจง้ ถอื ไดว้ า่ ไตรภมู พิ ระรว่ งเปรยี บเสมอื น “กฎหมายทางใจ” ทค่ี วบคมุ ไทย หรือเปรียบไดว า เปนกฎหมายทางใจที่ควบคุม มิให้พสกนกิ รของพระองคท์ �าผดิ ท�าช่วั นัน่ เอง พฤตกิ รรมของพุทธศาสนิกชน ทาํ ใหคนไมกลา ทาํ ความช่ัว หม่ันสรางแตค วามดี สงั คมจึงสงบสุข ๒.๓) ทรงมีความคิดริเริ่มเป็นยอด วิเคราะห์ได้จากการที่ทรงบรรยายธรรมใน สามารถพฒั นาประเทศชาติไดอยางรวดเรว็ ) ไตรภูมิพระร่วง จะเห็นว่าพระมหาธรรมราชาลิไทยมิเพียงแต่ “คัดลอก” ความคิดจากคัมภีร์ พระไตรปิฎกและอรรถกถา ฎีกา เทา่ น้ัน หากพระองค์ทรงเสนอแนวคิดใหมๆ่ ด้วย เช่น แนวคดิ เรอื่ งคนทา� ชวั่ แลว้ ถกู จารกึ ชอ่ื บนหนงั สนุ ขั ซง่ึ ในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กและอรรถกถา ฎกี า กอ่ นหนา้ นนั้ พดู ถงึ เฉพาะคนทา� ดีแลว้ ถกู จารกึ ชอื่ ในแผน่ ทองเทา่ นน้ั หนงั สอื ไตรภมู พิ ระรว่ ง เปน็ วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา 1 ที่ว่าด้วยเร่ืองนรก-สวรรค์ เพ่ือใช้ส่ังสอนราษฎรให้ต้ังม่ัน อยู่ในศีลธรรม ฐานเจดยี ท์ ว่ี ดั ปา่ มะมว่ ง เปน็ วดั ทพี่ ระมหาธรรมราชาลไิ ทย เคยทรงผนวชและจาำ พรรษาอยกู่ อ่ นทจ่ี ะเสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์ 56 ตง้ั อยู่นอกเมอื งสุโขทัยดา้ นทศิ ตะวนั ตก เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูแนะนาํ ใหนกั เรยี นไปศึกษาภาพจติ รกรรมฝาผนังที่มคี วามงดงามไดทีว่ ดั ครใู หน กั เรียนศึกษาคน ควา เพ่มิ เตมิ เกย่ี วกบั พระราชประวัตแิ ละ หรอื สถานทอี่ น่ื ๆ ในทอ งถน่ิ ของตน เชน พระทนี่ ง่ั พทุ ไธสวรรย พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง ชาติ พระราชกรณยี กจิ ของพระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลไิ ทย) แลวบันทกึ พระนคร วัดอรุณราชวราราม วดั บวรนเิ วศวหิ าร วัดสุทศั นเทพวราราม เปน ตน สาระสาํ คัญ นํามาเลา ในชน้ั เรียน นักเรียนควรรู กิจกรรมทา ทาย 1 ฐานเจดียทีว่ ัดปามะมวง ในวดั ปา มะมว ง ปจ จุบนั ประกอบดว ยอุโบสถและ ครูใหนกั เรยี นศึกษาเพม่ิ เตมิ เก่ยี วกับเนอื้ หาบางตอนของไตรภูมพิ ระรวง เจดียต า งๆ อยูไมไ กลจากเทวาลยั มหาเกษตร ซ่งึ เปนท่ีทีพ่ บเทวรปู สําริดศลิ ปะ แลวนํามาวเิ คราะหว า ไตรภูมิพระรว งสะทอนใหเหน็ ถึงความคดิ ความเช่อื สโุ ขทยั อนั เปน รูปเคารพในศาสนาฮนิ ดู เชน พระนารายณ พระศวิ ะ พระหรหิ ระ ในสังคมไทยดา นใดบา ง บันทกึ สาระสาํ คญั นํามาอภิปรายในช้นั เรยี น เปน ตน 56 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๒ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส 1. ครูและนักเรยี นอภปิ รายรว มกันถงึ ประวัติของ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณ ๑) พระประวัติ สมเด็จพระมหา วโรรส แลวใหน กั เรยี นตอบคาํ ถามวา สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส มพี ระนาม เพราะเหตใุ ด สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา เดมิ วา “พระองคเจา มนษุ ยนาคมานพ” ประสตู ิ วชริ ญาณวโรรสจงึ ไดร ับการขนานนามวา เมื่อวันท่ี ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๒ เปน “มนษุ ยนาคมานพ” พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา (แนวตอบ เพราะวันทสี่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา เจา อยูหวั และเจา จอมมารดาแพ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสประสูติ เกดิ ทองฟา ในวันท่ีพระองคประสูติน้ัน ไดเกิด มืดครมึ้ ฝนตกหนกั จนนา้ํ ทวมพระตําหนกั เหตุการณมหัศจรรย คือ ทองฟาซ่ึงแจมใส พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหวั อยูกอนหนานั้น พลันมืดคร้ึมและมีฝนตก มพี ระราชดาํ รวิ า เหตุการณดังกลา วมีลกั ษณะ ลงมาอยางหนัก จนนํ้านองชาลาพระตําหนัก คลายกับเหตุการณเ มอ่ื ครั้งท่พี ระพทุ ธองค พระราชบิดาทรงรําลึกถึงเหตุการณเม่ือครั้ง ประทับใตต น มุจจลนิ ทหลังตรัสรู มีฝนตก พระพุทธองคประทับใตตนมุจจลินท (ตนจิก) แลวมพี ญานาคมาแผพังพานบังลมบงั ฝนให หลงั ตรสั รมู ฝี นตกพราํ ๆ ตลอดเจด็ วนั พญานาค สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จงึ เปน เหตใุ หพ ระราชบดิ าทรงขนานพระนามวา ขึ้นมาจากพิภพบาดาล มาแผพังพานบังลม ผูทรงไดรับการยกยองวาทรงเปน “ดวงประทีปแกวแหง “มนษุ ยนาคมานพ” แปลวา คนผเู ปน นาค บังฝนให พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนาม คณะสงฆไ ทย” หรือนาคจําแลงเปนคนหนมุ ) พระราชโอรสวา “มนษุ ยนาคมานพ” แปลวา คนผูเปนนาค หรอื นาคจําแลงเปน คนหนมุ 2. ครใู หน กั เรยี นวเิ คราะหว า การผนวชเปน สามเณร หลังจากประสูตไิ ดเพยี งปเ ดยี ว เจาจอมมารดาของพระองคก ็สนิ้ พระชนม พระองคจ ึง ของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา ทรงอยใู นความเลยี้ งดขู องกรมหลวงวรเสรฐสดุ า (พระองคเ จา บตุ รี พระราชธดิ าในพระบาทสมเดจ็ วชริ ญาณวโรรส เมื่อพระชนั ษา 13 พรรษานั้น พระนงั่ เกลา เจาอยหู ัว) ซ่ึงเปนพระญาติ ตอ มาทรงยายมาอยกู บั ทาวทรงกันดาร (ศร)ี ผูเปนยาย มอี ิทธิพลตอ การตดั สินใจออกผนวชเปน เมอื่ ทรงพระเยาวไ ดเ รยี นหนงั สอื ขอมและภาษามคธจากพระยาปรยิ ตั ธิ รรมธาดา (เปย ม) พระภิกษุในชว งพระชนั ษา 20 พรรษาของ เม่ือคร้ังยังดํารงบรรดาศักดิ์เปนหลวงราชาภิรมย ปลัดกรมราชบัณฑิต เมื่อพระบาทสมเด็จ พระองคหรอื ไม เพราะอะไร พระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ทรงตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษขึ้น พระองคเจามนุษยนาคมานพ (แนวตอบ ครเู ปด โอกาสใหนกั เรียนแสดงความ ก็ไดเขา ศกึ ษาในโรงเรียนน้ี โดยมีมสิ เตอรฟรานซิส แพตเตอรส ัน เปนผูถวายความรู คิดเหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย โดยครชู แ้ี นะถึง เมอื่ พระชนั ษาได ๑๓ พรรษา กท็ รงโสกนั ต (โกนจกุ ) ในปร งุ ขนึ้ กท็ รงผนวชเปน สามเณร ประโยชนทไี่ ดร ับจากการบวชเรยี นเปน สามเณร ท่ีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันท่ี ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ สมเด็จพระมหาสมณเจากรม เชน การศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พระปวเรศวริยาลงกรณ คร้ังดํารงพระยศเปนกรมหม่ืนบวรรังษีสุริยพันธุ เปนพระอุปชฌาย อยา งลกึ ซงึ้ การเรยี นรูแ ละปฏิบตั ติ ามกิจของ ทรงผนวชแลว เสด็จมาประทับทวี่ ดั บวรนิเวศวิหาร หมอ มเจาพระธรรมุณหิศธาดา (พระนามเดิม สงฆในเบือ้ งตน และเปนการฝกฝนตนเองใหมี สีขเรศ) เปนผูประทานสรณะและศีล ถึงหนาเขาพรรษาของปนั้นเอง พระบาทสมเด็จ ระเบยี บวนิ ยั อยูรวมกับผอู ื่นไดอยา งมคี วามสุข พระจลุ จอมเกลา เจา อยหู วั เสดจ็ ฯ มาทรงถวายพมุ พรรษา ณ วดั บวรนเิ วศวหิ าร ตามราชประเพณี เปนตน ) ๕๗ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกร็ดแนะครู บคุ คลใดตอ ไปนม้ี ีสถานภาพแตกตางจากบคุ คลอนื่ ครูใหน กั เรียนไปสบื คนขอ มลู เพ่ิมเตมิ จากแหลงการเรยี นรหู รอื จากหนังสือ 1. พระเจา บรมวงศเ ธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนิท ท่เี กยี่ วของ เชน หนงั สือสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส 2. พระเจา บรมวงศเธอ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ติวงศ (พระองคเ จา มนษุ ยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวหิ าร ผลงานของ สุเชาน พลอยชุม 3. สมเดจ็ พระเจาบรมวงศเ ธอ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ และพระดาํ รแิ ละพระโอวาทเก่ียวกับการพระศาสนา พระนพิ นธในสมเดจ็ พระมหา- 4. สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แลวนํามาเลาใหเ พือ่ นฟง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีสถานภาพเปน พระสงฆ ผทู รงไดรับการ ยกยอ งวา ทรงเปน “ดวงประทีปแกวแหง คณะสงฆไ ทย” เพราะเปนผใู ฝร ู ใฝเ รยี น มคี วามคดิ รเิ รม่ิ ตลอดจนมวี สิ ยั ทศั นก วา งไกลในการพฒั นาความรู ความเขาใจในสงิ่ ตา งๆ ทง้ั ทางโลกและทางธรรม คมู ือครู 57

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นอภปิ รายถงึ สาเหตทุ สี่ มเดจ็ พระมหา ในคราวนนั้ ไดเ้ สดจ็ ฯ ไปถวายพมุ่ พรรษาแดพ่ ระเจา้ นอ้ งยาเธอ พระองคเ์ จา้ มนษุ ยนาค สมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสผนวชเปน มานพ ซึ่งเพิง่ ทรงผนวชใหม่ถงึ กฏุ ิทปี่ ระทับด้วย พระเจา้ น้องยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระภกิ ษุ โดยอธิบายวา หมอปเ ตอร เคาวนั ทรงผนวชอยเู่ ป็นเวลา ๗๗ วัน กท็ รงลาสิกขา (สึก) พระจันทรโคจรคณุ พระธรรมรกั ขิต และ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลาเจาอยูห ัว ๑.๑) สาเหตุที่ผนวชเป็นภิกษุ หลังจากลาสิกขาจากสามเณรแล้ว อยู่ในวัยหนุ่ม มบี ทบาทอยา งไรตอ การผนวชเปน พระภิกษุ กไ็ มม่ นี สิ ยั คบกบั สตรี จนมคี วามคดิ วา่ ไมอ่ ยากแตง่ งาน อยากอยเู่ ปน็ โสดมากกวา่ พอดไี ดท้ รงรจู้ กั ของพระองค กลั ยาณมติ รฝรง่ั ทา่ นหนงึ่ คอื หมอปเี ตอร์ เคาวนั ทรงประทบั ใจในความเปน็ อยอู่ ยา่ งงา่ ยแบบหมอ (แนวตอบ เคาวนั หมอเคาวันไดถ้ วายคา� แนะน�าไมใ่ ห้ย่งุ เกย่ี วกบั อบายมขุ จึงทรงถือหมอเคาวันเป็นอาจารย์ • หมอปเตอร เคาวนั ดํารงชีวติ ความเปน อยู พระองคไ์ ดศ้ กึ ษาธรรมในพระพทุ ธศาสนาเปน็ พนื้ ฐานแหง่ ชวี ติ จนแนใ่ จวา่ ชวี ติ ของพระองคเ์ หมาะ อยา งเรยี บงา ย ทาํ ใหสมเด็จพระมหาสมณเจา ส�าหรับเป็นผู้ประพฤตพิ รหมจรรย์มากกว่าครองเพศฆราวาส กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงประทับใจ อีกท้งั หมอเคาวนั ยงั ถวายคาํ แนะนําพระองค วนั หนง่ึ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ ทรงลอ้ พระองค์ ไมใหยุงเก่ยี วกบั อบายมขุ ต่อหน้าพระท่ีนั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าเป็น “ผู้เข้าวัด” พระบาทสมเด็จ • พระจันทรโคจรคุณและพระธรรมรกั ขิต พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเห็นด้วย รับสั่งว่า “กรมหม่ืนนุชิตชิโนรส (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ซ่ึงเปน พระอปุ ชฌาจารยของสมเด็จพระมหา- กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) ก็ทรงผนวชไม่สึก” พระองค์กราบทูลว่า “บวชแล้ว ถ้าจะสึกก็สึกเม่ือ สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส พ้นพรรษาแรก หลงั จากนัน้ แลว้ จะไมส่ กึ ” คา� นเี้ สมอื นหน่งึ เปน็ ปฏิญญาของพระองค์ คอยตกั เตอื นพระองคอ ยเู สมอ • พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา เจาอยหู วั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทรงผนวชเปน็ ภกิ ษเุ มอื่ วนั ท่ี ๗ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๒๒ ทรงชกั ชวนใหส มเดจ็ พระมหาสมณเจา เมื่อพระชันษาได้ ๒๐ พรรษา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็น กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสทรงผนวช) แพลระ้วอเสปุ ดชั ็จฌไาปยป์ พระรทะจบั นั ทณรโควจดั รบควณุ รน(ยเิ วมิ้ ศวจหิ นาทฺ รรส� ต)ี อ่ วมดั ามไกดฏุ ้ยก้าษยตัไปรยิปารระาทมับเกปับน็ พกรระรกมรวรามจาวจาาจรายจ์าทรรย1ง์ผทน่วีวัดช มกฏุ กษตั รยิ าราม 2. ครใู หน กั เรยี นวเิ คราะหว า การทสี่ มเดจ็ พระมหา สมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงถอื สาเหตทุ ่ที �าให้พระองค์ทรงผนวช คอื หมอเคาวนั เปนอาจารย เพราะทา นไดถ วาย ๑. การได้กัลยาณมิตรผู้มีนิสยั สงบ เรยี บง่ายดังหมอเคาวัน คําแนะนาํ ในการดาํ รงชวี ติ อยา งงายโดยไมใ ห ๒. การได้มีพระอาจารย์ที่ดีอย่างพระจันทรโคจรคุณ พระธรรมรักขิต และ ยุงเก่ยี วกบั อบายมขุ น้ัน แสดงใหเ หน็ วาพระองค ทรงมีคุณธรรมดา นใด เพราะเหตใุ ด พระอุปัชฌาจารย์คอยตักเตือนเสมอๆ (แนวตอบ พระองคทรงมีความออ นนอ มถอมตน ๓. กระแสพระราชดา� รสั ชกั ชวนของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว และมีความกตัญูกตเวทีตอผูมพี ระคุณ แมวา อาจารยจะอยใู นฐานะสามัญชนและเปน สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเขา้ แปลบาลไี ดเ้ ปรียญ ชาวตา งชาติ พระองคก ท็ รงกราบไหว ทรงเชอ่ื ฟง ๕ ประโยค ไดร้ บั พระราชทานสถาปนาใหท้ รงเปน็ กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรสเมอื่ วนั ท่ี ๑๓ มกราคม คาํ สอน และยึดเปน แบบอยางในการดาํ เนินชวี ิต) พ.ศ. ๒๔๒๔ และในปนี น้ั เองก็ทรงได้รบั ตา� แหนง่ เป็นรองเจ้าคณะธรรมยตุ ๑.๒) งานด้านการจัดการทางพระพุทธศาสนา ทรงได้รับสถาปนาเป็นอธิบดีสงฆ์ (เจ้าอาวาส) วดั บวรนิเวศวหิ าร เม่อื พ.ศ. ๒๔๓๕ พระองค์ไดท้ รงวางระเบยี บการบรหิ ารวดั และ พระพุทธศาสนา โดยทรงถือวดั บวรนเิ วศเป็นแบบอยา่ งของวดั ทั่วไป สรุปได้ดงั น้ี 58 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดกลา วถึงความสมั พันธข องสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา ครคู วรอธบิ ายเพิ่มเติมเกี่ยวกบั ความแตกตา งระหวา งขอ ปฏิบตั ขิ องสามเณรกบั วชริ ญาณวโรรสกับวดั บวรนเิ วศวิหารไดถ ูกตอง ขอปฏบิ ตั ิของพระสงฆ เพือ่ ใหนกั เรยี นเขา ใจความแตกตางไดด ยี ่ิงข้ึน 1. พระองคท รงศกึ ษาท่วี ดั บวรนเิ วศวิหารเมอ่ื ครง้ั ทรงพระเยาว 2. พระองคท รงไดรับการสถาปนาเปนอธิบดสี งฆข องวดั บวรนเิ วศวิหาร นักเรยี นควรรู 3. พระองคทรงพระราชทานนามสถานท่แี หงนีว้ า “วัดบวรนเิ วศวหิ าร” 4. พระองคทรงพระราชทานที่ดินสวนพระองค เพ่อื สรางวัดบวรนิเวศวิหาร 1 พระกรรมวาจาจารย คอื พระอาจารยผ ูส วดกรรมวาจาใหสงฆยอมรบั บุคคล วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา ไวอุปสมบทเปนพระภิกษุ วชริ ญาณวโรรสทรงผนวชเปน ภกิ ษุและเสดจ็ ไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวหิ าร เมอื่ พ.ศ. 2435 พระองคท รงไดรับการสถาปนาเปนอธิบดสี งฆข อง มมุ IT วัดบวรนเิ วศวิหาร ทรงวางระเบียบการบริหารวดั และพระพุทธศาสนา โดยทรงถือวดั บวรนิเวศวิหารเปนแบบอยา งของวัดทั่วไป ศึกษาคนควา ขอ มูลเพม่ิ เติมเกีย่ วกับวดั บวรนเิ วศวิหาร ไดท่ี http://www.watbowon.com เว็บไซตวัดบวรนเิ วศวหิ าร 58 คมู อื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑. ทรงจัดสอนภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ให้ได้เรียนพระธรรมวินัย และ 1. ครูต้ังคาํ ถามใหน ักเรียนแสดงความคดิ เหน็ จภนาษมาผี ไเู้ ทรยียนเทรมิ่วั่ ทจกุากนทกิ รางยสทอรนงใเนปฐดิ าปนระะพโยระคอนปุ กั ชั ธฌรรามยส์ จอนบกในระสทนง่ั าเมปหน็ ลแวบง1บแอลยะา่ สงแนกาว่มดัมพณรฑะธลรตรา่มงยจตุงั อหน่ืวดัๆ • สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา วชริ ญาณวโรรสทรงมีคณุ ูปการแก ๒. ทรงจัดให้สวดมนต์ในพรรษาทุกวัน และให้ออกเสียงให้ถูกต้องตาม พระพทุ ธศาสนาอยา งไร ฐานกรณ์ (ฐานเสยี ง) (แนวตอบ พระองคท รงผนวชเปน ภกิ ษุ ทาํ หนา ท่ี ศึกษาหลกั ธรรมและสบื ทอดพระพุทธศาสนา ๓. ทรงจดั ใหภ้ กิ ษทุ พี่ รรษาตา�่ กวา่ ๕ ทจ่ี บนกั ธรรมแลว้ มาเรยี นบาลที งั้ หมด เมอื่ พระองคท รงไดร บั สถาปนาเปน อธบิ ดสี งฆ ๔. ทรงจัดตัง้ มหามกฏุ ราชวิทยาลยั โดยพระบรมราชานญุ าต หรือเจา อาวาส พระองคทรงวางระเบยี บการ ๕. ทรงจดั การเรยี นการสอน ทงั้ หนงั สอื ไทยและความรใู้ นศาสตรอ์ นื่ ๆ ควบคู่ บรหิ ารวัดและพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื พัฒนา กันไป ต่อมาเพอื่ ความเป็นเอกภาพในการศึกษาของชาติ จึงทรงใชห้ ลักสูตรของกรมศกึ ษาธกิ าร ภิกษใุ หมีความรคู วามสามารถ เชน จัดสอน แทน และโอนใหก้ รมศกึ ษาธกิ ารจัดเป็นโรงเรยี นรัฐบาล ภกิ ษุสามเณรผบู วชใหมใหไ ดเ รยี นพระธรรม ๖. ทรงฝกึ พระธรรมกถกึ จนสามารถแสดงธรรมปากเปลา่ ได้ วินยั จัดใหภ กิ ษุเรยี นบาลี ฝกใหภ กิ ษุแสดง ๗. ทรงจัดต้ังการฟังธรรมส�าหรับเด็กวัดในวันธรรมสวนะ และในเวลาค�่า ธรรมปากเปลาได เปนตน ตลอดจนทรงตั้ง โปรดให้สวดนมสั การพระรัตนตรยั รบั ศีล ๕ และฟงั การอบรมส่งั สอนธรรม หลกั สตู ร “สามเณรผูร ูธรรม” ทรงนิพนธ ๑.๓) งานพระนิพนธ์ทางพระพุทธศาสนา หนังสอื แบบเรียน หนงั สือประเภทพระโอวาท ๑. ทรงตั้งหลักสูตร “สามเณรผู้รู้ธรรม” ทรงนิพนธ์ “นวโกวาท” ทดลอง พระธรรมกถา พระนพิ นธบ าลี เปน ตน) เรียนและสอบเฉพาะในวัดบวรนิเวศวิหารก่อน ต่อมาได้ขยายเป็นหลักสูตรนักธรรมตรี ‑ โท ‑ เอก ส�าหรับพระสงฆ์ทว่ั ไป 2. ครูใหน กั เรยี นวิเคราะหว า งานพระนิพนธทาง ๒. ทรงรจนาหนังสือแบบเรียนมากมาย อาทิ วินัยมุขเล่ม ๑ ‑ ๒ ‑ ๓ พระพทุ ธศาสนาในสมเดจ็ พระมหาสมณเจา ธรรมวจิ ารณ์ ธรรมวภิ าค พุทธประวตั ิ แบบเรยี นบาลไี วยากรณ์ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แสดงใหเหน็ วา ๓. หนังสอื ประเภทอ่ืน เช่น ประเภทพระโอวาท พระธรรมกถา ประมาณ พระองคท รงมคี วามรคู วามสามารถดา นใดบา ง ๖๗ เร่ือง อาทิ ธรรมกถา (ประทานแก่ผแู้ ทนราษฎร) ประเภทประวตั ิศาสตรแ์ ละโบราณคดี อาทิ (แนวตอบ พระองคท รงมพี ระปรีชาสามารถ พงศาวดารสยาม ต�านานประเทศไทย ข้อความในต�านานเมืองเชียงแสน ประเภทอักษรศาสตร์ แตกฉานภาษาบาลี มคี วามรูความเขา ใจใน อาทิ ปรารภอักษรไทยที่ใชส้ า� หรับบาลี วิธีใช้อกั ษรในภาษามคธเทียบสนั สกฤต วิธแี สดงไวยากรณ์ พระไตรปฎกอยางลึกซ้ึง ตลอดจนมีความรู ของตนั ตภิ าษา เปน็ ตน้ ดานประวัตศิ าสตรและการใชภ าษาไดอ ยา ง ๔. พระนิพนธ์ภาษาบาลี ทรงรจนาบทนมัสการพระรัตนตรัย ช่ือ นมการ สละสลวย เขาใจงา ย ท้ังนี้ จดุ ประสงคของ สทิ ธคิ าถา (โย จกั ขุมา) งานนพิ นธท างพระพทุ ธศาสนาหลายเลมแสดง ๑.๔) พระอิสริยยศ ถึงการมวี สิ ยั ทศั นท ีก่ วางไกล เชน นวโกวาท ๑. ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ด�ารงพระอิสริยยศท่ีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืน ซงึ่ พระองคทรงนพิ นธข นึ้ เพ่อื ใหสามเณร วชริ ญาณวโรรส เม่อื พ.ศ. ๒๔๒๔ ทดลองเรยี นและสอบ จนตอ มาขยายเปน ๒. ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เล่ือนสมณศักด์ิเป็นเจ้าคณะใหญ่แห่ง หลกั สตู รสาํ หรับพระสงฆท ั่วไปดว ย เปนตน) คณะธรรมยตุ ิกนิกาย พ.ศ. ๒๔๓๖ 59 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู ขอใดเปนงานนพิ นธข องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชญิ าณวโรรส ครคู วรนําหนงั สอื นวโกวาทหรือหนงั สอื ประเภทอนื่ ที่เปน พระนพิ นธข องสมเด็จ 1. นวโกวาท พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสมาประกอบการสอน เพอื่ ใหน ักเรียน 2. โองการแชงนํ้า ไดต ระหนักถงึ พระปรชี าสามารถของพระองค ตลอดจนไดศ ึกษารปู แบบ เนอ้ื หา 3. ไตรภูมิพระรวง และสํานวนภาษาในการนิพนธห นังสอื ประเภทตางๆ 4. มหาชาติคําหลวง นกั เรียนควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. พระองคท รงนิพนธนวโกวาท อันเปนหนังสอื 1 สอบในสนามหลวง การสอบสนามหลวง มใิ ชเ ปน การสอบภายในทอ งสนามหลวง ท่ีประมวลหัวขอธรรมจากพระไตรปฎกสําหรับทดลองเรยี นและสอบเฉพาะ แตเ ปนการสอบพระธรรมวนิ ัยท่ีทางหลวง หรือทางราชการจัดสนามสอบขึ้นมา สามเณรในวัดบวรนิเวศวิหาร ตอมาใชเปน หลกั สูตรของนกั ธรรม จงึ เรยี กวา เปน การสอบสนามหลวง ในอดีตจะจัดใหม กี ารสอบสนามหลวงที่ ชัน้ ตรี-โท-เอก หอพระมณฑปในบรเิ วณวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม คูมือครู 59

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา ใจ ครูใหนักเรียนแบงกลุม แลววิเคราะหคุณธรรม ๓. ทรงไดร้ บั พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สถาปนาพระอสิ รยิ ยศทพ่ี ระเจา้ บรมวงศ‑์ ที่ควรถือเปนแบบอยางของสมเด็จพระมหาสมณเจา เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส พ.ศ. ๒๔๔๙ กรมพระยาวชิญาณวโรรส จากนัน้ ระดมความคิด ชว ยกนั จัดกจิ กรรมหรอื สรางช้นิ งานท่ีชว ยปลกู ฝง ๔. ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดพระราชพิธี “มหาสมณุตมาภิเษก” คุณธรรมดงั กลา วใหก บั ตนเอง เชน จัดกจิ กรรม เลื่อนพระอิสริยยศข้ึนเป็น สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงสมณศักด์ิเป็นสมเด็จพระมหา สงเสรมิ การอานเพอื่ ปลูกฝง ใหเปน คนรกั การอาน สงั ฆปรณิ ายก หรอื เปน็ องคพ์ ระประมขุ สงฆท์ ว่ั พระราชอาณาจกั ร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๓ และเนอื่ งจาก มคี วามใฝร ู มวี สิ ยั ทศั นท ก่ี วา งไกล เปน ตน แลว บนั ทกึ ทรงเปน็ พระบรมราชวงศท์ ท่ี รงสมณศกั ดขิ์ นั้ สงู สดุ จงึ สถาปนาค�านา� หนา้ ของพระองคเ์ ปน็ “สมเดจ็ ประโยชนท ไ่ี ดร บั จากการปฏบิ ตั ิ โดยครมู หี นา ทช่ี แี้ นะ พระมหาสมณ” (ครั้นต่อมาสมัยรัชกาลท่ี ๖ ทรงมีพระราชด�าริจะถวายพระเกียรติยศให้สูงข้ึน และกระตุนใหนักเรียนสามารถนําคุณธรรมดังกลาว จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลย่ี นคา� นา� หนา้ พระนามจากสมเดจ็ พระมหาสมณเปน็ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ) ไปปรบั ใชใ นชีวติ ประจาํ วันได ๒) คุณธรรมท่ีควรถือเป็นแบบอย่าง ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา ตรวจสอบผล Evaluate วชริ ญาณวโรรส มดี ังนี้ 1. ตรวจสอบผลจากความถูกตองในการตอบ ๒.๑) ทรงมีความใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา ดังจะเห็นว่าสมัยยังทรงพระเยาว์ พยายามเอา คําถามและการแสดงความคิดเหน็ ในชั้นเรยี น แบบอย่างท่ีดจี ากผูท้ ี่พระองค์ประทบั ใจ เชน่ พระยาปรยิ ัติธรรมธาดา เห็นว่าเปน็ คนมีความรู้และ 2. ตรวจสอบผลจากแบบบนั ทึกการปฏิบัตกิ จิ กรรม ความประพฤติดี จงึ คอยศกึ ษาหาความรจู้ ากทา่ นเหล่าน้ันเสมอ หรือสรา งช้นิ งานเพ่ือเสริมสรา งคุณธรรม ๒.๒) ทรงมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเลิศ พระองคท์ รงเปน็ “เจา้ นาย” มาผนวช เปน็ ถงึ พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั กลบั ไม่ถอื องค์ ทรงกราบไหว้ พระภกิ ษทุ อี่ ายพุ รรษามากกวา่ แมจ้ ะมสี มณศกั ดติ์ า่� กวา่ สมยั เปน็ คฤหสั ถท์ รงเหน็ ครผู ถู้ วายความรู้ ถวายบังคมทกุ ครั้งก่อนถวายความรู้ พระองคท์ รงเห็นวา่ เขาเปน็ ถงึ อาจารย์ ยงั อ่อนนอ้ มถ่อมตน ต่อพระองค์ จงึ ทรงยดึ เอาเป็นแบบอยา่ ง1เสมอมา ๒.๓) ทรงมหี ริ โิ อตตปั ปะเปน็ เลศิ สมยั ยงั เปน็ หนมุ่ เบอ้ื งแรกทรงมคี า่ นยิ มแบบฝรงั่ ใชข้ องแพง ยห่ี ้อดี ทรงใช้จ่ายสุรุ่ยสรุ า่ ย ไมร่ จู้ ักประหยัด ห้างรา้ นส่งบลิ มาเกบ็ เงินที่ “ท่านยาย” กร็ อดตัวไปหลายครั้ง มีครง้ั หนึ่งจะถกู ฟ้องไมม่ เี งินไปใช้หน้ี บงั เอญิ เจา้ พระยาภาณวุ งศโ์ กษาธิบดี ยับย้ังไว้ และกราบทูลให้พระองค์น�าเงินไปใช้เขาเสีย พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตาม ฝ่ายโจทก์จึง ถอนฟ้อง ทรงส�านกึ ได้ว่าพระองคส์ รา้ งความล�าบากให้ “ทา่ นยาย” และผอู้ นื่ เพราะความประพฤติ ท่ีไม่เหมาะสม ทรงมีความละอายต่อการท�าชั่วท�าผิด จึงทรงเลิกเด็ดขาด แต่เมื่อมีผู้ล้อว่า “เป็นคนเข้าวัด” ก็ทรงเข้มงวดพระจริยาวัตรมากข้ึน ไม่ท�าอะไรให้ใครต�าหนิได้ ให้สมกับเป็น คนเข้าวัดจริงๆ คุณธรรมข้อหิริโอตตัปปะนี้ได้ซึมซับในพระทัยของพระองค์มากถึงขนาดว่า เมื่อทรงผนวชเป็นภิกษุใหม่ๆ พระเจ้าอยู่หัวทรงก้มกราบอย่างนอบน้อม ก็ทรงละอายพระทัยว่า พระมหากษัตริยท์ รงเป็นพระเชษฐาธริ าชยงั กม้ กราบพระองค์ ควรทพี่ ระองค์จะอยู่ในเพศบรรพชิต ตอ่ ไป ทรงประพฤติพระองคใ์ หค้ วรแก่การกราบไหว้ ไม่ควรมีขอ้ น่าตา� หนไิ ด้ น้คี อื แบบอยา่ งของ ผมู้ หี ริ ิโอตตัปปะเป็นเลศิ 60 นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET บุคคลใดตอไปนี้ปฏบิ ัติตนตามแบบอยา งของสมเด็จพระมหาสมณเจา 1 หิริโอตตัปปะ คือ ความละอายและความเกรงกลวั ตอบาป เปนหลกั ธรรมที่ใช กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ควบคุมจติ ใจมนษุ ยใหอ ยใู นความดี ปฏิบัตติ นอยูในกฎระเบียบและหนา ท่ีของ 1. จงกลไมซ้อื กระเปา ใหมเพราะของเกา ยงั ใชไ ดอยู ตนเองและสงั คม หากบคุ คลใดไมละอายแกใ จตอการกระทําผิด ไมเ กรงกลัวตอ 2. ปทมุ ดแู ลมารดาทีเ่ จบ็ ปว ยอยา งดีจนทานหายเปน ปกติ ผลของการกระทาํ น้นั ยอมจะนําความเดือดรอ นและความเสยี หายมาใหก ับตนเอง 3. อบุ ลยกมอื ไหวคุณปา แมบา นท่ีบริษัททกุ เชาและตอนเยน็ และสังคม สําหรับการปลูกฝงหลักธรรมหริ ิโอตตัปปะ ควรเริ่มตน จากครอบครวั 4. บงกชเห็นลกู แมวถูกนาํ มาทิง้ ไวที่หนา บานจงึ นํามาเลย้ี งดู ฝก ใหส มาชกิ ในครอบครัวรูจ กั บทบาทหนา ท่ีและเคารพกฎกตกิ าในการอยูรวมกนั วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. คณุ ธรรมทคี่ วรถอื เปน แบบอยา งประการหนง่ึ ในครอบครัว มกี ารกาํ หนดบทลงโทษตามระดับความผิด เพ่ือสรา งจติ สาํ นึกให ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส คือ บคุ คลรจู กั แยกแยะสิ่งใดผิดส่ิงใดถูกและปฏิบัตติ นอยูใ นความดี ความออ นนอมถอ มตน ดงั นัน้ การทอี่ บุ ลยกมือไหวคณุ ปา แมบ านท่ีบรษิ ทั ทุกเชาและตอนเย็น จึงเปนการปฏิบัตติ นตามแบบอยางของพระองค 60 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒.๔) ทรงมีความคิดริเริ่ม ทรงเห็นบทสวดมนต์นมัสการพระรัตนตรัยแบบเก่า ครูสนทนากับนกั เรยี นถึงเรื่องราวชาดกที่ (สัมพุทเธ) มีคติไปทางมหายานมากจึงทรงนิพนธ์ นมการสิทธิคาถา (โย จักขุมา) แทน ซ่ึงถือ นักเรียนรจู ักหรอื เคยเรยี น แลว ตัง้ คําถามให เปน็ ความคดิ รเิ รมิ่ ทเี่ ปน็ แบบอยา่ งในการสบื ทอด นักเรียนชว ยกันตอบวา พระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง เมื่อทรงเป็น เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ทรงริเริ่มฝึก • ชาดกเปน เรอ่ื งราวเก่ียวกบั บคุ คลใดใน พระภกิ ษสุ งฆใ์ หม้ คี วามสามารถในการถา่ ยทอด พระพทุ ธศาสนา พระธรรมใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย รวมทง้ั ทรงนพิ นธห์ นงั สอื (แนวตอบ ชาดกเปน เรือ่ งราวของพระพทุ ธเจา ทที่ รงบาํ เพ็ญบารมหี รือพยายามทําความดี ในชาติตางๆ) คู่มือศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างง่าย คือ สาํ รวจคน หา Explore นวโกวาท ซึ่งใช้เป็นหลักสูตรผู้บวชใหม่มาจน บัดนี้ ๒.๕) ทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ครใู หนักเรยี นแบงกลมุ ออกเปน 2 กลุม ทเนร่ืองมงจีวาิธกคี ทิดทรงี่แเยปบ็นคผาู้ใยฝ่ร(โู้ใยฝน่ศิโึกสษมานสพกิ ารระ1)องอคย์จา่ ึงง สบื คน ชาดกจากหนงั สือเรยี นหนา 61-65 และ ฉบบั ประชาชน แหลงการเรียนรูอ่ืนๆ โดยจับสลากเลอื กจากชาดก 2 เรือ่ ง ตอ ไปน้ี ครบวงจรคอื คดิ ถกู วธิ ี คดิ มรี ะเบยี บ คดิ เปน็ เหตุ หนงั สอื คมู่ อื ศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา หรอื นวโกวาท พระนพิ นธ์ เปน็ ผล และคดิ ก่อให้เกดิ กศุ ล คือ สร้างสรรค์ ในสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลุมท่ี 1 เรอื่ งมติ ตวนิ ทุกชาดก ในทางดี กลุมที่ 2 เร่อื งราโชวาทชาดก สมัยรชั กาลท่ี ๕ ในยคุ สมัยของพระองคน์ ้ัน ความรู้แบบตะวนั ตกพร้อมท้งั กระแส จากน้ันทาํ ความเขาใจชาดกเร่อื งดังกลาว วัฒนธรรมตะวนั ตก ไดแ้ พรเ่ ขา้ มาสู่ประเทศไทย พระองคท์ รงมีวิธีคดิ ท่ีดี คือ อะไรควรรบั อะไร รวมกัน แลว วางแผนเตรียมตัวออกมาแสดง ควรปฏิเสธ หรือแม้แต่ที่รับมาแล้วจะต้องปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีไทย แม้เม่ือทรงผนวชแล้ว บทบาทสมมติหนาชน้ั เรียน ก็พยายามศึกษาศาสตรส์ มยั ใหมแ่ บบตะวนั ตกใหม้ คี วามรเู้ ทา่ ทนั เพราะทรงมองเหน็ การณไ์ กลวา่ พระสงฆ์มีหน้าที่สอนธรรม การสอนธรรมจะเป็นที่เข้าใจได้ดี ก็ต่อเม่ือผู้เทศน์ ผู้สอนมีความรู้ ทั้งทางโลกทางธรรม ô. ªา´2ก ชาดก คือ เรื่องราวของพระโพธิสัตว์บ�าเพ็ญบารมี เพื่อจะไปเสวยชาติเป็นพระพุทธเจ้า ท่ีพระพทุ ธเจา้ ตรสั เล่าไว้อยู่ในสุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย มีทัง้ หมด ๕๔๗ เรอ่ื ง ในท่ีนจ้ี ะกล่าวถึง เรือ่ ง มติ ตวินทุกชาดก และราโชวาทชาดก ดงั นี้ 4.1 มิตตวินทกุ ชาดก ครั้งหน่ึงในสมัยพุทธกาล มีภิกษุว่ายากอยู่รูปหน่ึง พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสพระธรรมเทศนา เป็นชาดก เรือ่ ง มิตตวนิ ทุกชาดก มีความวา่ 61 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นักเรยี นควรรู สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 1 โยนโิ สมนสกิ าร “โยน”ิ แปลวา เหตุ ตน เคา แหลง เกดิ ปญ ญา วธิ ี สว น “มนสกิ าร” ทรงมีวิสยั ทัศนกวางไกลเกยี่ วกับวฒั นธรรมตะวันตกอยา งไร แปลวา การทําในใจ การคดิ คํานึง ใสใจ พจิ ารณา ดังนั้น โยนิโสมนสิการจงึ มีความ แนวตอบ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงเลือกรบั หมายวา การทําในใจโดยแยบคาย เปนหลักธรรมภาคปฏิบัติที่กอใหเกิดประโยชน ความรแู ละวฒั นธรรมตะวันตกอยางชาญฉลาด ทรงเลือกเฉพาะสิ่งท่ี ในการดําเนินชีวิตประจําวันเพ่ือประโยชนสุขแกตนเองและผูอื่น เปนการสงเสริม เหมาะสมกบั สังคมไทย หรอื เลือกมาแลว ก็ปรับประยุกตใหเขากับสงั คมไทย คณุ ลกั ษณะทีด่ ีในการฝกอบรมตนอยางมีสติ ใหรูจักคิดอยา งถูกวธิ ี คิดอยา งมีระบบ เม่ือทรงผนวชแลวกท็ รงศกึ ษาใหร ูเทา ทันศาสตรตะวันตก เนอ่ื งจากพระองค คดิ วเิ คราะห ไมม องสงิ่ ตา งๆ อยา งผวิ เผนิ คดิ ตามเหตผุ ล และคดิ แบบกศุ ล จงึ ทาํ ให ทรงมองเหน็ การณไกลวา หากพระสงฆจะสอนธรรมใหฆ ราวาสเขา ใจ รจู กั เลอื กรบั รอู ารมณต า งๆ ทม่ี ากระทบภายนอกอยา งมเี หตผุ ล จงึ กลา วไดว า โยนโิ ส- ก็จะตองมคี วามรูท งั้ ทางโลกและทางธรรม มนสิการไมใชปญญา แตเปนปจจัยท่ีทําใหเกิดปญญา กําจัดอวิชชา และบรรเทา ตัณหาตา งๆ ได 2 ชาดก หรอื ชาตก แปลวา ผูเกิด ชาดกเปน เรื่องราวที่เลาถงึ การทีพ่ ระพุทธเจา ทรงเวียนวา ยตายเกดิ พระองคถ อื กําเนดิ ในชาตติ า งๆ เพ่อื บาํ เพ็ญคุณงามความดี หรือกลา วอีกความหมายหนง่ึ ไดวา เร่อื งราวชาดกเปนวิวัฒนาการแหงการบาํ เพญ็ คุณงามความดีของพระพุทธเจา ตงั้ แตย ังเปนพระโพธสิ ตั วอยกู ็ได คูม ือครู 61

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหน ักเรยี นกลุมท่ี 1 แสดงบทบาทสมมติ มิตตวนิ ทกุ ะ เป็นบุตรชายในตระกลู พ่อค้า มีพนื้ ฐานนิสัยเป็นคนโลภ ครัง้ หนงึ่ มคี นชักชวนให้ เรอ่ื งมติ ตวินทุกชาดก พรอ มกับสรุปขอ คิดให มิตตวินทุกะไปแสวงโชคโดยน่ังเรือส�าเภาไป ชายหนุ่มอยากไปยิ่งนัก ด้วยความโลภหวังว่าจะได้ เพอื่ นในช้นั เรยี นฟง เงินทองกลับมามากมาย แต่แม่ของเขากลับทัดทานขอร้องไม่ให้ไป มิตตวินทุกะไม่ฟังเสียง กลับด่าทอทบุ ตแี มข่ องตนและหนีไปแสวงโชคในท่สี ดุ 2. ใหนกั เรียนวเิ คราะหค วามหมายทีแ่ ฝงอยูใน ขณะน่ังเรือส�าเภาไปนั้นก็เกิดเหตุอาเพศต่างๆ ข้ึนมากมาย ชาวเรือจึงเกิดความสงสัยว่า มิตตวินทุกชาดก โดยคาํ นงึ ถึงพ้ืนฐานความ จะต้องมีบุคคลผู้เป็นกาลกิณีลงเรือมาด้วยเป็นแน่ จึงท�าฉลากให้ทุกคนบนเรือจับเพื่อหาผู้เป็น เปน จรงิ ในชีวติ ประจาํ วนั กาลกิณีปรากฏว่าไม่ว่าจะจับกี่คร้ังๆ มิตตวินทุกะก็เป็นผู้ท่ีจับได้ความเป็นกาลกิณี ชาวเรือนัก (แนวตอบ การท่ีมติ ตวินทุกะมองเหน็ สตั วน รก แสวงหาโชคท้ังหมด จึงลงมติกันว่ามิตตวินทุกะคือบุคคลผู้เป็นกาลกิณี จึงจับเขาลอยแพไป เปนเทพบตุ รและมองเหน็ กงจกั รเปน ดอกบัวนั้น ใ นมหมาิตสตมวทุ ินรทุกะล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรอยู่ระยะหนึ่ง ก็ไปพบกับอุสสทนรก1ซึ่งเป็นท่ีเผา อาจตีความไดวา บคุ คลใดทีจ่ ติ ใจมคี วามโลภ สัตว์นรกเข้า แต่ด้วยบาปกรรมที่ได้ท�าไว้ จึงท�าให้เขามองเห็นว่าเป็นเมืองใหญ่งดงามยิ่งนัก จะทําใหบคุ คลนนั้ ตกอยูในความโงเ ขลา ไมอาจ เขาเดินเข้าไปในเมืองนิมิตแห่งน้ี ทีแรกเขาพบกับปราสาทแก้วผลึก มีเทพธิดา ๔ นางเฝ้าอยู่ พจิ ารณาสิ่งตางๆ ไดด ว ยเหตผุ ล) เขาคิดว่าหนทางข้างหน้าจักมีสมบัติมีค่ามากกว่านี้จึงผ่านเลยไปพบปราสาท เงิน มีเทพธิดา ๘ นางเฝา้ อย ู่ เขายงั ไม่พอใจหวังจะพบสิ่งมีค่ามากกว่านจ้ี งึ ผ่านเลยไปอีก จนถงึ ปราสาทแกว้ มณี 3. ใหน กั เรยี นเขยี นเรยี งความเรอื่ งวธิ ขี จดั ความโลภ ในจติ ใจ โดยอยบู นพนื้ ฐานของหลกั ธรรมทาง มเี ทพธดิ า ๑๖ นางเฝา้ อย ู่ แตเ่ ขากย็ งั ผา่ นไปอกี พระพทุ ธศาสนาและหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ จนมาถึงปราสาททอง มีเทพธิดา ๓๒ นาง พอเพยี งในรชั กาลที่ 9 เฝา้ อย ู่ แตด่ ว้ ยความโลภชกั นา� ใหเ้ ขาผา่ นไปอกี จนมาถึงอุทยานแห่งหน่ึง มิตตวินทุกะพบ เทพบตุ รรปู งาม มดี อกบวั ดอกใหญป่ ระดบั อยบู่ น ศีรษะ ตกแต่งร่างกายด้วยอาภรณ์อันงดงาม มติ ตวนิ ทกุ ะประสงคจ์ ะไดด้ อกบวั งดงามเชน่ นน้ั มาประดับศีรษะบ้าง จึงร้องขอต่อเทพบุตรนั้น แตแ่ ทจ้ รงิ แลว้ เทพบตุ รนนั้ คอื สตั วน์ รกทมี่ จี กั ร บดศีรษะอยดู่ ว้ ย จึงบอกแกม่ ิตตวนิ ทกุ ะวา่ “นหี่ าใชด่ อกบวั ไม่ เปน็ จกั รทบ่ี ดกระหมอ่ ม ข้าให้ได้รับความทรมานย่ิงนัก” มิตตวินทุกะ ไม่พอใจที่เทพบุตรโกหกตนเช่นนั้น จึงกล่าว ตอ่ วา่ เทพบตุ รไปวา่ “ไมเ่ หน็ จะตอ้ งโกหกกนั เลย พระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นเสวยพระชาติเป็นเทวดากำาลั2ง ก็เราเห็นอยู่ว่าบนศีรษะของเจ้าน้ันมีดอกบัว สอบถามมติ ตวนิ ทกุ ะถงึ สาเหตทุ มี่ กี งจกั รหมุนอยบู่ นศีรษะ งดงามประดบั อยู่แทๆ้ ” 62 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดเปนมลู เหตุทม่ี ติ ตวินทุกะไดร บั ผลกรรม มองเหน็ กงจกั รเปน ดอกบวั 1 อสุ สทนรก เปน นรกบรวิ าร ลอ มรอบมหานรกทง้ั 8 ขมุ แตล ะขมุ ของมหานรก 1. ความรกั จะมอี ุสสทนรกลอ มรอบ 4 ทศิ ทิศละ 4 ขุม รวมเปน 16 ขุม มหานรก 1 ขมุ 2. ความโกรธ มอี ุสสทนรกลอมรอบ 16 ขมุ ดงั น้ัน มหานรก 8 ขมุ จงึ มอี ุสสทนรกรวมเปน 3. ความหลง 16×8 = 128 ขุม ชื่อของอสุ สทนรกแตละทศิ ซึง่ มี 4 ขุม จะมีชื่อเหมอื นกัน ไดแก 4. ความโลภ คถู นรกหรือนรกอจุ จาระ กกุ กฬุ นรกหรือนรกขเ้ี ถา อสปิ ตตนรกหรือนรกใบไมดาบ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. มลู เหตุท่ีทําใหมิตตวนิ ทกุ ะไดรับผลกรรม และเวตรณีนรกหรอื นรกแมน้าํ เคม็ เหน็ กงจักรเปนดอกบวั เพราะมติ ตวนิ ทุกะมีความโลภ ตองการไดส มบตั ิ 2 กงจักรหมนุ อยูบ นศรี ษะ เปนท่ีมาของสาํ นวนไทยวา “เห็นกงจักรเปนดอกบวั ” มากๆ เมอ่ื เขาพบกบั ปราสาททง้ั 4 หลงั ไดแ ก ปราสาทแกว ผลกึ ปราสาทเงนิ ซงึ่ หมายถงึ เห็นผิดเปนชอบ หรือเห็นของรา ยเปนของดี ปราสาทแกวมณี และปราสาททอง เขากผ็ า นเลยไปเรื่อยๆ ทุกหลงั ดว ยหวังวาจะไดพ บกบั ทรพั ยลา้ํ คา มากขน้ึ ในที่สุดความโลภน้ี จงึ ชักนาํ ให 62 คมู อื ครู มติ ตวนิ ทกุ ะไปพบกบั สตั วน รกทมี่ กี งจกั รบดศรี ษะ แตเ ขากลบั คดิ วา เปน เทพบตุ ร ทม่ี ดี อกบวั ประดบั ศรี ษะ จงึ รอ งขอดอกบวั นนั้ มติ ตวนิ ทกุ ะจงึ ตอ งเสวย ผลกรรมถกู กงจกั รบดศรี ษะไดรบั ทกุ ขเวทนายงิ่ นกั

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู สัตว์นรกตนน้ันคิดว่าคงถึงคราวหมดกรรมของตน และคงมีคนบาปมารับกรรมแทนตนแล้ว 1. ใหนกั เรียนกลมุ ที่ 2 แสดงบทบาทสมมตเิ ร่อื ง จึงมอบดอกบัวน้ันให้แก่มิตตวินทุกะสมใจ ปรากฏว่าทันทีท่ีรับดอกบัวนั้นมา ก็กลับกลายเป็น ราโชวาทชาดก พรอ มกับสรุปขอ คดิ ใหเ พ่อื น กงจกั รบดศรี ษะของมิตตวนิ ทุกะไดร้ ับความทรมานยง่ิ นัก ในชัน้ เรียนฟง ครง้ั นนั้ พระโพธสิ ตั วเ์ สวยชาตเิ ปน็ เทวดา เทย่ี วจารกิ ไปยงั อสุ สทนรกไปพบกบั มติ ตวนิ ทกุ ะเขา้ 2. ใหนกั เรยี นวิเคราะหความหมายที่แฝงอยูใน จึงสอบถามเหตุผลที่ต้องมาเทินจักรกรดอยู่เช่นน้ี ท�าให้ทราบความจริงว่า ด้วยตัณหาความโลภ คาํ กลา วท่วี า “ดูกอ นผบู ญุ หนกั แทจ ริงกษตั รยิ  ของม“ิตแทตว้จินรงิทเุกทะพทธา� ิดใหาท้ต้ัง้อสงี่มแาปรดับบสาบิ ปหกกรรแมลดะงัสกาลม่าสวิบสจอึงตงนรัสาแงนกั้น่มติ คตือวินนทางุกเะปวรา่ ต1ท้ังสนิ้ แต่ความโลภ ทรงครองราชสมบัตโิ ดยธรรมเสมอแลว มากของเจ้าจึงท�าให้เจ้าต้องพบกับจักรบดกระหม่อมเช่นน้ี เพราะฉะน้ันบุคคลใดก็ตามท่ีมีตัณหา ผลไมย อ มมรี สหวานดวยเหตุน้นั ” ความอยาก ความโลภ มากเชน่ น้ี เขาเหลา่ นัน้ ย่อมเป็นผู้เทินจกั รกรด” (แนวตอบ หากบา นเมืองใด มกี ษตั รยิ ท ีป่ กครอง แผน ดนิ โดยธรรมแลว ผูใตป กครองหรือ ฝา่ ยมติ ตวนิ ทกุ ะผกู้ า� ลงั รบั เวทนานนั้ แล จกั รกรดกพ็ ดั ฟนั ตอ่ ไปทา� ใหเ้ ขาไมส่ ามารถพดู อกี ได้ ประชากรในบา นเมืองยอ มอยอู ยางสงบสขุ เทวดาจงึ กลับไปส่สู ถานแห่งเทวโลกของตนเช่นเดิม มคี วามรืน่ รมยในชวี ิต เปรยี บดง่ั การปลกู ผลไม ชนดิ หนง่ึ หากเจา ของดแู ลเอาใจใสอยา งถูกวธิ ี ตรัสเลา่ จบ พระพุทธองค์ตรสั ว่า “มิตตวนิ ทกุ ะในครานน้ั ไดแ้ ก่ภิกษวุ า่ ยากผนู้ ้ี สว่ นเทวดานน้ั ยอ มไดผลผลิตที่มรี สหวานโอชาอยา งแนน อน) ไดแ้ กเ่ รา” และไดต้ รัสพระคาถาวา่ “ตณั หาเปน็ สงิ่ ทไ่ี มส่ นิ้ สดุ มอี าณาเขตกวา้ งขวาง บคุ คลใดมแี ตค่ วามอยาก ยากทจี่ ะพงึ พอใจ กระทา� ตนไปตามก�าหนดั ตณั หานั้น บุคคลน้นั ย่อมเปน็ ผเู้ ทนิ จกั รกรด” 4.2 ราโชวาทชาดก ครั้งหน่ึงในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ พระราชาพรหมทัต ซึ่งปลอมพระองค์เป็นสามัญชน เสด็จประทับในพระวิหารเชตวัน และทรงมี ขณะกำาลังสนทนากับพระโพธิสัตว์ท่บี รรพชาเปน็ ฤๅษี พระประสงค์จะแสดงธรรมแก่กษัตริย์เจ้านคร ทั้งหลาย จงึ ปรารภว่า “แม้กษัตริย์ในอดีตทั้งหลายทรงสดับวาจา ของบณั ฑติ แลว้ กท็ รงครองราชสมบตั โิ ดยธรรม ทรงบ�าเพ็ญทางสวรรค์ผ่านไปให้บริบูรณ์ บัดนี้ เมื่อมีพระราชามาทูลอาราธนา เราจึงจะแสดง ธรรมแก่พระราชา” จงึ ตรัสเลา่ ราโชวาทชาดก ความวา่ ราชสใมนบอัตดิใีตนกนาคลรพคารรงั้ าพณรสะ2รี พาชราะพโพรธหิสมตั ทวตับ์ คังรเกอดิง ในสกลุ พราหมณ์ เจรญิ วัยเตบิ ใหญ่ไดเ้ ลา่ เรียน จบศิลปศาสตร์ แล้วบรรพชาเป็นฤๅษีอบรม 63 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรยี นควรรู ครูใหน กั เรียนเขยี นสรปุ เรื่องมิตตวนิ ทกุ ชาดก พรอมบอกวา จะสามารถ 1 เปรต เปน สัตวโ ลกจาํ พวกหนงึ่ ทเ่ี กดิ ในเปรตภูมิ ซง่ึ เปนหน่ึงในอบายภูมิ 4 นําไปปรบั ใชใ นการดําเนนิ ชีวิตประจาํ วนั ไดอยา งไร ความยาว 1 หนา (จากภพภมู ิท้ังหมด 31 ภพภูมิ) ผูท่เี กิดเปน เปรตเนอื่ งจากอกศุ ลกรรมทีท่ าํ ไวต อน กระดาษ A4 แลวนาํ สง ครูผูสอน เปน มนุษย เชน ทาํ รา ยบดิ ามารดา ดา ทอพระสงฆผ ูทรงศลี ตระหนีใ่ นการทาํ ทาน ฉอราษฎรบ งั หลวง รบั สินบน ใสความผูบริสทุ ธ์ิ เปนตน กิจกรรมทาทาย 2 พาราณสี หรอื วาราณสี เปน ช่อื เมืองหลวงของแควน กาสี ประเทศอินเดีย เปน เมืองท่มี แี มนาํ้ คงคาไหลผาน ซ่งึ ชาวฮนิ ดมู ีความเช่ือกันวา การไดอาบน้าํ ใน ครใู หน ักเรยี นสืบคน ขาวจากหนังสือพิมพหรืออินเทอรเ น็ตเกย่ี วกับ แมนา้ํ คงคาเปนการลา งบาป ทัง้ นี้ เมอื งพาราณสียงั เปนเมืองแหง การแสวงหาบญุ พฤตกิ รรมของบคุ คลท่ีมกี ารกระทําเขา ขา ยเห็นกงจกั รเปน ดอกบวั ของชาวพทุ ธทั่วโลก กลา วคอื เปนเมอื งทม่ี ีความสําคญั ทางพระพุทธศาสนา จากน้ันใหน กั เรยี นเขยี นแสดงความคดิ เห็นถึงสาเหตุและวิธแี กไ ข มอี าณาเขตครอบคลมุ ถงึ ปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั อนั เปน สถานทที่ พ่ี ระพทุ ธเจา ทรง พฤตกิ รรมดงั กลา วลงกระดาษ A4 สง ครผู ูส อน แสดงปฐมเทศนาแกป ญจวคั คยี  ปจจบุ ันเรียกพาราณสวี า พานารสั (Banaras) คูมอื ครู 63

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหน กั เรียนวิเคราะหวา นกั เรียนสามารถนํา อภญิ ญาสมาบตั ใิ หเ้ กดิ มาอาศยั อยใู่ นปา่ หมิ พานตเ์ ปน็ ทส่ี า� ราญ มรี ากไมแ้ ละผลไมใ้ นปา่ เปน็ อาหาร ขอ คดิ จากราโชวาทชาดกมาปรบั ใชในการเรยี น ในกาลครง้ั นนั้ พระราชาทรงระแวงถงึ โทษ เมอื่ จะทรงสอบสวนใหต้ ระหนกั วา่ มผี ใู้ ดกลา่ วโทษตนบา้ ง ไดอยา งไรบาง หรอื ไม่ ก็ไมพ่ บว่ามีใครเลย ท้งั คนภายใน คนภายนอก ท้งั ในเมือง ทงั้ นอกเมือง จงึ ปลอมแปลง (แนวตอบ การประพฤตติ นอยใู นศีลธรรมเสมอ พระองค์เสด็จเท่ียวสู่ชนบท แต่ก็ไม่พบค�ากล่าวโทษ ทรงได้ยินแต่วาจากล่าวสรรเสริญพระคุณ ยอ มนาํ พาความสขุ สงบทางใจมาใหแ กชวี ติ ใทน้งั อสาิน้ ศรจมงึ นเส้ันด็จเเวขล้าาสนูป่ ้ันา่ หพมิระพโาพนธติส์ ัตควรนั้์ไดเส้นด�าจ็ ผถลึงไอทาร1ศอรันมสพุกรงะอโพมธจิสาตั กวป์ก่าท็ มรางบอรภิโวิภาคทแผลละขไทอปรเรหะลท่าบั นอ้ันยู่ สาํ หรับการเรียน การเปนคนขยัน ซื่อสตั ย มรี สหวานโอชา เธอจงึ เชอ้ื เชิญพระราชาทลู ว่า ตอ การทํางาน การสอบ ก็จะทําใหเกิดความ กาวหนาและเจริญรงุ เรืองในชวี ติ แมว า บางครงั้ “ท่านผู้บุญหนัก จงบริโภคผลไทรสุกน้ันแล้วดื่มน�้าเสียเถิด” ครั้นพระราชาทรงกระท�าตาม ผลลัพธของการทํางานหรือการสอบจะออกมา คา� เชญิ นั้นแล้ว รบั สง่ั ถามวา่ ลมเหลว แตก จ็ ะทาํ ใหผนู น้ั ไดรจู ักยอมรับ ความจริง รูจักจดุ ดอยของตนเอง และพฒั นา “ไฉนหนอพระคุณเจ้า ผลไทรสกุ น้ีจงึ มีรสหวานย่ิงนกั ” ตนเองใหด ีข้นึ ได) “ดูก่อนผู้บุญหนัก แท้จริงกษัตริย์ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม เสมอแล้ว ผลไม้ย่อมมี รสหวานดว้ ยเหตนุ น้ั ” พระดาบสตอบ 2. ครใู หนกั เรยี นทาํ กจิ กรรมท่ี 2.4 จากแบบวดั ฯ “แลว้ ถ้ากษตั รยิ ์ไมด่ า� รงอยู่ในธรรม ผลไม้ย่อมไม่มีรสหวานหรือพระคณุ เจ้า” พระราชารับสัง่ พระพุทธศาสนา ม.2 ถามอกี “เช่นน้ันแล ท่านผู้บุญหนัก เม่ือกษัตริย์ทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในธรรม น�้าตาล น้�าผึ้ง น้�าอ้อย ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ รากไม้ และผลไมใ้ นปา่ ยอ่ มไมม่ รี สหวานปราศจากโอชา แตเ่ มอื่ กษตั รยิ ท์ งั้ หลายทรงตงั้ อยใู่ นธรรม พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมท่ี 2.4 ผลไม้ทั้งหลายน้นั ยอ่ มมีรสหวานโอชา ทง้ั แว่นแคว้นทงั้ สิน้ ก็มีรสโอชาด้วยเชน่ กัน” ราชสพมรบะัตริโาดชยาอไธดร้สรดมับหดมังนาย้ันพก็ทระรทงัยนวมา่ ัสจกกั าพรสิพจู รนะ์คดา�าพบสดู แขลอะงเดสาดบ็จส2กรละับยพะเรวะลนาคผร่าพนาไรปาสณกั สพี กั ทพรงรคะอรงอคง์ หนวยที่ 2 พุทธประวัติ พระสาวก ศาสนกิ ชนตัวอยาง กเ็ สดจ็ ไปทอี่ าศรมนนั้ อกี คร้ัง คร้ันนมัสการพระดาบสแล้ว พระดาบสได้ทูลถวายผลไทรสุก ปรากฏว่าผลไทรนั้น กลับมี และชาดก รสขมส�าหรับพระองค์ จงึ คายทงิ้ แลว้ รับส่งั ว่า “ผลไทรน้นั ขมนัก พระคณุ เจ้า” พระดาบสทลู ว่า “ดูก่อนผู้บุญหนัก แท้จริงพระราชาคงไม่สถิตอยู่ในธรรม เพราะในเวลาท่ีกษัตริย์ท้ังหลาย กจิ กรรมที่ ๒.๔ ใหนักเรยี นศกึ ษามิตตวนิ ทกุ ชาดกและราโชวาทชาดก คะแนนเต็ม คะแนนที่ได ไมท่ รงธรรม ทกุ ส่ิงย่อมปราศจากรสหมดโอชา” แลวตอบคาํ ถามตอไปนี้ (ส ๑.๑ ม.๒/๖) พระราชาคร้ันทรงสดับธรรมของพระโพธิสัตว์แล้ว ก็ทรงประกาศให้ทราบว่าพระองค์ ñð เป็นกษัตริย์ แล้วทรงรับสั่งว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า เม่ือก่อนข้าพเจ้านั่นเองได้กระท�าผลไทรสุก รสหวานให้มีรสขม บัดนี้จักกระท�าให้มีรสหวานต่อไป” แล้วทรงนมัสการพระโพธิสัตว์ลาเสด็จ หัวขอ คําถาม มติ ตวนิ ทกุ ชาดก ราโชวาทชาดก กลบั สู่พระนคร ทรงเสวยราชสมบตั โิ ดยธรรม ไดท้ รงกระทา� ทกุ ๆ สง่ิ ให้เป็นปรกตอิ ย่างเดมิ ตรัสเล่าจบ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ราชาในคร้ังนั้นได้แก่อานนท์ ส่วนดาบสนั้นได้แก่เรา” สาเหตทุ ตี่ รสั ชาดก …เพ…อ่ื…ส……อ…น…พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท……ศ…น…า…แ…ก…พ …ร…ะ…ภ…กิ …ษ…ุ. …ท…ร…ง…ม…พี …ร…ะ…ป…ร…ะ…ส…ง…ค……จ…ะแ…ส……ด…ง…ธ…ร…ร…ม…แ…ก… . แลว้ ตรัสพระคาถาวา่ …ว…า ย…า…ก…ร…ูป……ห…น…งึ่ ……………………………………………. …ก…ษ…ัต…ร…ิย…………………………………………………………. 64 ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. เนื้อหาชาดก …ม…ิต…ต…ว…ิน……ท…ุก…ะ…เป……น…บ…ุต……ร…ช…า…ย…ใ…น…ต…ร…ะ…ก…ูล…. …พ…ร…ะ…โ…พ…ธ…ิส…ั…ต…ว…เก……ิด…ใ…น…ส……ก…ุล…พ…ร……าห……ม…ณ…. …พ…อ…ค……าท……่ีม…ีน…ิส……ัย…โ…ล…ภ………ค…ร…้ัง…ห…น……่ึง…ม…ีค…น…. …ต…อ …ม…า…ได……บ …ร…ร…พ…ช…า…เป…น………ษ……บี …าํ …เพ…ญ็……เพ…ยี…ร…. …ช…กั …ช…วน……ให…ไ…ป…แ…ส…ว…ง…โ…ช…ค…โด……ย…น…ง่ั …เร…อื …ส…าํ…เ…ภ…า. …อ…ย…ใู น……ป…า …ห…มิ …พ…า…น…ต… …ฉ…นั …ผ…ล…ไ…ม…แ …ล…ะ…ร…า…ก…ไ…ม. …ถ…ึง…แ…ม…ม…า…ร…ด…า…จ…ะ…ห……าม………แ…ต…เ…ข…า…ก…็ไ…ม…เช…ื่อ…. …เป…น……อ…า…ห…า…ร……ต…ร…ง…ก…ับ……ส…ม…ัย…ข…อ…ง…พ…ร…ะ…เ…จ…า. …ต…อ…ม…า…ไ…ด…เก……ิด…อ…า…เพ……ศ…จ…น…ถ…ูก……จ…ับ…ล…อ…ย…แ…พ…. …พ…ร…ห…ม…ท…ั…ต…ค…ร…อ…ง…ร…า…ช…ส…ม…บ……ัต…ิ …พ…ร…ะ…อ…ง…ค…. …แ…ล…ะ…ไ…ด…พ…บ……ก…ับ…อ…ุ…ส…ส…ท……น…ร…ก………แ…ต…ด……วย…. …ท…ร…ง…ร…ะแ…ว…ง…ว…า จ…ะ…ม…ปี…ร…ะ…ช…า…ชน……ก…ล…า …วต……เิ ต…ยี…น…. …จ…ึง…ป…ล…อ……ม…ต…ัว…ไ…ป…ส…น……ท…น……า…ก…ับ…พ……ร…ะ……ษ….ี …บ…า…ป…ก……ร…ร…ม…ท…ํา…ใ…ห…ม……อ…ง…เห……็น…เ…ป…น……เม…ือ……ง. …เม…ื่อ……ได……ส…ด…ับ……ฟ…ง…ธ…ร…ร…ม…จ…า…ก……พ…ร…ะ…ด…า…บ…ส…. เฉฉบลับย …ง…ด…ง…า…ม……แ…ล…ะ…ด……วย……ค…ว…า…ม…โล……ภ……จ…ึง…เ…ห…็น…. …ก…ง…จ…ัก…ร…เ…ป…น…ด……อ…ก…บ…ัว……ต……อ…ง…ไ…ด…ร…ับ…ท…ุก……ข. …จ…งึ …ท…ร…ง…ป…ก…ค……ร…อ…ง…ร…า…ษ…ฎ…ร…โ…ด…ย…ธ…ร…ร…ม………. …ท…ร…ม…า…น…จ…า…ก…ก……า…ร…ถ…ูก…ก…ง…จ…ัก……ร…บ…ด…ศ…ีร…ษ……ะ. ………………………………………………………………………. ของตน………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ขอ คดิ เตอื นใจ …๑…. …ก…า…ร…เ…ป…น……ค…น……โล……ภ…ม…า…ก…ย……อ…ม…น…ํา…พ……า. …ก…า…ร…เป……น…ผ…ูป…ก……ค…ร…อ…ง…ต…อ…ง…ป…ร…ะ…พ……ฤ…ต…ิต…น…. สําหรับนกั เรียน ………ต…น……เอ…ง…ไ…ป…ส……ูค…ว…า…ม…เ…ด…ือ…ด…ร…อ…น………ด…ั…ง. …เป…น……ผ…ูน…ํา…ท…่ีด…ี……ป…ก…ค…ร…อ…ง…ป……ร…ะช…า…ช…น……โด…ย…. ………ส…ภุ …า…ษ…ิต……ท…ว่ี …า …โ…ล…ภ…ม…า…ก……ล…า…ภ…ห…า…ย………. …ธ…ร…ร…ม……ก…จ็ …ะ…ท…าํ …ให…ร…า…ษ…ฎ……ร…อ…าศ……ยั …อ…ย…อู …ย…า …ง. …๒….…ค…น……ช…่ัว…ห…ร…ือ…ค…น……บ…า…ป…ม……ัก…จ…ะ…เ…ร…ิ่ม…ต…น…. …ม…คี …ว…า…ม…ส…ขุ ……………………………………………………. ………จ…า…ก…ก…า…ร…ม…ีค…ว…า…ม…ค…ดิ…เ…ห…น็ ……ผ…ิด…ไ…ป…บ…ูช…า…. ………………………………………………………………………. ………ห…ร…ือ……ช…อ…บ…ส…่ิง…ช…่ั…วร……า…ย……เ…ข…า…ท…ํา…น…อ……ง. ………………………………………………………………………. ………เห……็น…ก…ง…จ…ัก……ร…เป…น……ด…อ…ก…บ…ัว………ใน……ท…่ีส…ุด…. ………………………………………………………………………. ………ต…น……เอ……ง…ก…็ต……อ…ง…ร…ับ…ผ……ล…ก…ร……ร…ม…ท…ี่ไ…ด…. ………………………………………………………………………. ………ก…ร…ะ…ท…าํ …ไ…ว… ……………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ๑๗ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET บคุ คลในตาํ แหนง หรอื อาชพี ใด ควรนําขอ คิดจากเรอ่ื งราโชวาทชาดก 1 ไทร ในภาษาสนั สกฤตจะเรยี กวา นโิ ครธ หรอื อชปาลนโิ ครธ ตน ไทรมเี รอ่ื งราว ไปปรบั ประยุกตใ ชม ากท่สี ดุ เก่ยี วขอ งกบั พทุ ธประวัติอยู 2 ครง้ั คือ ครั้งที่ 1 ในวันขึน้ 15 คํา่ เดือน 6 วนั ท่ี 1. แพทย ทรงตรัสรู ทรงประทับอยใู ตโ คนตนไทร แลวนางสชุ าดานําขาวมธปุ ายาสมาถวาย 2. อยั การ ครงั้ ที่ 2 หลงั จากทรงตรัสรูแ ลว ไดป ระทับเสวยวมิ ตุ ติสุขเปนเวลา 7 สปั ดาห 3. ครูอาจารย ก็เสด็จไปประทับอยูใ ตต นไทรในสปั ดาหท ี่ 5 เปน เวลา 7 วัน 4. รฐั มนตรี 2 ดาบส ผูบาํ เพญ็ ตบะ คือ เผากเิ ลส ผบู าํ เพญ็ พรตเพอ่ื เผากเิ ลส ไดแ ก ฤๅษี วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ราโชวาทชาดกเปน เรอ่ื งราวที่ส่งั สอนใหผูน าํ ถาเปน สตรใี ชว า ดาบสนิ ี ประเทศปกครองประเทศโดยธรรม ไมคดโกง ซื่อสตั ยสจุ ริต เพ่อื ประชาชน จะไดอ ยูอยางเปนสุข ดงั นัน้ รัฐมนตรี ซ่งึ ถือเปนผปู กครองประเทศ จึงสมควรนาํ ขอ คดิ จากเรือ่ งราโชวาทชาดกไปปรับประยกุ ตใ ชม ากท่สี ดุ 64 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand “หากเมอ่ื โคท้งั หลายจะข้ามฟาก แลว้ โคผนู้ า� เดนิ คด แมโ้ คทั้งปวงกไ็ ปคด เมอ่ื โคนา� เดินคด 1. ครแู ละนักเรยี นอภปิ รายถงึ ประโยชนท ไี่ ดรับ ในคนทั้งหลายก็อย่างนั้นแล ผู้ใดท่ีสมมติว่าประเสริฐสุด หากผู้นั้นประพฤติอธรรม ก็ไม่ต้อง จากการศกึ ษาชาดก แลวใหน ักเรยี นวิเคราะห กล่าวถึงสัตว์นอกนัน้ ชาวแควน้ ท้ังส้นิ ย่อมนอนเปน็ ทกุ ข์ ถ้าพระราชาทรงประพฤตอิ ธรรม” ถงึ ความแตกตา งของชาดกกบั นิทานท่ัวไป “หากเมือ่ โคท้งั หลายจะขา้ มฟาก แลว้ โคผนู้ า� เดินตรง แม้โคทัง้ ปวงกไ็ ปตรง เมอื่ โคน�าเดนิ ตรง (แนวตอบ ชาดกแตกตางจากนิทานทั่วไปตรงท่ี ในคนทั้งหลายก็อย่างนั้นแล ผู้ใดท่ีสมมติว่าประเสริฐสุด แม้หากผู้น้ันประพฤติธรรม ก็ไม่ต้อง ชาดกเปน เรื่องราวของพระพุทธเจาในอดตี ชาติ กล่าวถงึ สตั วน์ อกนนั้ ชาวแควน้ ทั้งสนิ้ ย่อมนอนเป็นสขุ ถ้าพระราชาทรงประพฤติธรรม” ทพี่ ระองคทรงแสดงแกพระภกิ ษใุ นโอกาสตางๆ เพื่อใหเ กดิ แงคิดแลวกลับไปพฒั นาตน) เมื่อพิจารณาถึงการด�าเนินชีวิตขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธสาวก พระพทุ ธสาวกิ า และชาวพทุ ธตวั อยา่ ง ตลอดจนพระโพธสิ ตั วจ์ ากนทิ านชาดกเรอ่ื งตา่ งๆ เหลา่ นแี้ ลว้ 2. ครูใหน ักเรยี นเลอื กชาดกเร่ืองทปี่ ระทับใจ แลว จะเห็นได้ว่าแต่ละท่านล้วนมีจริยาวัตรทางการด�าเนินชีวิตที่งดงาม และมีคุณธรรมเป็นหลัก เขยี นเหตุผลและการนําขอคดิ จากชาดกเรื่อง ในการด�ารงตนท้ังส้ิน ดังนั้น ในฐานะท่ีเป็นพุทธศาสนิกชน นักเรียนควรน�าคุณธรรมและ ดงั กลาวไปใชในชวี ติ ประจําวัน ลงในกระดาษ คตขิ อ้ คดิ ทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษานม้ี าเปน็ แนวทางทจี่ ะนา� ไปใชเ้ ปน็ หลกั ในการปฏบิ ตั ติ นและดา� เนนิ ชวี ติ A4 สงครูผสู อน เพราะนอกจากท่ีจะท�าให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีคุณธรรมแล้ว จะช่วยธ�ารงสังคมให้มีความ สงบสุขไดอ้ กี ด้วย ตรวจสอบผล Evaluate 1. ตรวจสอบผลจากความถูกตอ งในการ ตอบคาํ ถามและการแสดงความคดิ เห็น ในชนั้ เรยี น 2. ตรวจสอบผลจากการเขียนเรยี งความเร่อื ง วธิ ขี จดั ความโลภในจติ ใจ 3. ตรวจสอบผลจากความตั้งใจในการแสดง บทบาทสมมติ 65 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู ราโชวาทชาดกเปน ชาดกทใี่ หขอคิดหรือคตสิ อนใจในเรือ่ งใด ครูควรใหนกั เรียนไปคนหาตวั อยา งในชาดกเร่ืองอื่นท่ีแสดงใหเ หน็ วา ประเทศ 1. การผจญภยั ทมี่ ีผนู าํ ทดี่ ีทําใหส ังคมเจรญิ กา วหนาและสงบสุข สว นประเทศทมี่ ีผนู ําไมด ีทาํ ให 2. การเสวยผลไทรสกุ สงั คมเสอ่ื มทรามและวุนวาย จากน้นั นํามาอภิปรายรว มกันในช้ันเรยี น 3. การแสวงหาสัจธรรม 4. การประพฤตติ นอยใู นศีลธรรม มมุ IT วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ขอคดิ หรือคตสิ อนใจเรือ่ งราโชวาทชาดก ศึกษาคน ควาขอมลู เพมิ่ เตมิ เกีย่ วกับชาดก ไดท่ี http://www.thammapedia.com เว็บไซตธ รรมะพีเดีย สรปุ ได 2 ประการ คอื 1. ผปู กครองที่ดีตอ งประพฤติตนเปนแบบอยางทีด่ ี เพอื่ ใหผ ูนอ ยปฏบิ ตั ิ ตนตามเยยี่ งอยา ง ซง่ึ จะชวยใหส ังคมมคี วามสงบสุข 2. ธรรมหรอื คณุ ความดีนํามาซ่ึงความสงบรมเย็นของบานเมอื ง ผูป กครองที่ประพฤตธิ รรม จะทาํ ใหอ าณาประชาราษฎรอ ยูอยาง รม เย็นเปน สขุ คมู ือครู 65

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถกู ตอ งจากการตอบคําถาม ค าí ¶ามประจ าí หนว่ ยการเรยี นรู้ ประจาํ หนวยการเรียนรู ๑. การศึกษาพุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธตัวอย่าง นักเรียน หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู คดิ วา่ ตนเองไดร้ บั คณุ ประโยชนอ์ ะไรบา้ ง ใหแ้ สดงความคดิ เหน็ ทา 1. ผังความคิดเร่อื งสตั ตมหาสถาน ๒. จงอธบิ ายวธิ กี ารแสวงหาความรขู้ องพระพทุ ธเจา้ ตามทน่ี กั เรยี นเขา้ ใจมาพอสงั เขป 2. สมดุ ภาพเลา เร่ืองประวัติของพทุ ธสาวกหรอื ๓. พทุ ธจรยิ าอนั เปน็ แบบอยา่ งในการดา� เนนิ ชวี ติ มกี ป่ี ระการ อะไรบา้ ง ๔. พระพุทธศาสนาถือหลักอาวุโสเป็นส�าคัญ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระอุรุเวลกัสสปะ พุทธสาวกิ า 3. แบบบนั ทึกการปฏิบัติกจิ กรรมหรอื สรา งชนิ้ งาน ถือว่ามีอาวุโสสูงกว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ แต่เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงแต่งต้งั ให้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวก ให้นักเรียนวิเคราะห์เหตุผล และ เพือ่ เสริมสรางคุณธรรม ประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั 4. เรยี งความเรื่องวิธีขจดั ความโลภในจติ ใจ ๕. ผลจากการศกึ ษาประวตั ชิ วี ติ ของนางขชุ ชตุ ตรา นกั เรยี นไดแ้ งค่ ดิ อะไรบา้ ง อธบิ ายพรอ้ ม ยกตวั อยา่ ง กจิ กรรมสรา้ งสรรค์พั²นาการเรยี นรู้ กิจกรรมท่ี ๑ ครฉู ายสไลด์ วดี ทิ ศั นห์ รอื นา� ภาพประกอบเกย่ี วกบั พทุ ธประวตั ติ อนผจญมาร การตรัสรู้ และการสั่งสอนมาให้นักเรียนดู แล้วช่วยกันอภิปรายและสรุป เหตุการณต์ ่างๆ ร่วมกนั กิจกรรมท ี่ ๒ ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงคุณธรรมที่ควรยึดเป็นแบบอย่างของ พทุ ธสาวก พทุ ธสาวิกา และชาวพุทธตวั อยา่ ง แล้วสรปุ ผลอภิปรายส่งครู กิจกรรมท ่ี ๓ นักเรียนแบ่งกลุ่มแสดงละครเร่ือง มิตตวินทุกชาดก และราโชวาทชาดก แลว้ ร่วมกนั อภิปรายว่าชาดก ๒ เรือ่ งน้ี ให้แงค่ ิดและคณุ ธรรมอยา่ งไร พุทธศาสนสภุ าษิต ËÃÔ âÔ ÍµµÚ »»Ú  àÚ Ç âÅ¡í »ÒàÅµÔ ÊÒ¸¡Ø í : ËÔÃÔáÅÐâ͵µ»Ñ »Ð ÂÍ‹ ÁÃÑ¡ÉÒâÅ¡äÇŒ ໹š Íѹ´Õ 66 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. การศึกษาพทุ ธประวัตทิ าํ ใหท ราบถงึ ความยากลาํ บากของพระพทุ ธเจาในการแสวงหาความหลุดพน การศกึ ษาประวัติพุทธสาวก พทุ ธสาวกิ า ทาํ ใหไ ดรูค ุณธรรมทค่ี วร นํามาเปน แบบอยาง และการศึกษาชาวพุทธตัวอยาง ทําใหไดข อคิดวาบรรพบุรษุ ไทยเปน ผูมคี วามเกง กลาสามารถและมีวสิ ยั ทัศนก วางไกล และทาํ ใหเราเยาวชน ตระหนักถงึ คุณคาของพระพทุ ธศาสนาและตองสืบทอดตอ ไป 2. การแสวงหาความรูของพระพทุ ธเจาทรงใชวิธแี บบลองผดิ ลองถูก 3. พุทธจรยิ า แปลวา พระจริยวัตรปกตขิ องพระพทุ ธเจา หมายถงึ การบําเพ็ญประโยชนต อผูอน่ื ซ่งึ ทรงปฏบิ ตั เิ ปน ประจํา มี 3 ประเภท ไดแ ก - โลกตั ถจริยา คือ พระจรยิ วตั รที่เปน ประโยชนแ กชาวโลก เชน การเสด็จไปแสดงธรรมในที่ตางๆ เปนตน - ญาตตั ตถจรยิ า คอื พระจริยวตั รท่เี ปนประโยชนแกพระประยูรญาติ เชน การเสด็จไปโปรดพระบิดาและพระประยรู ญาติท่กี รงุ กบลิ พสั ดุ เปน ตน - พทุ ธตั ถจริยา คือ พระจริยวัตรทเี่ ปนประโยชนต ามหนา ท่ีทเ่ี ปน พระพุทธเจา เชน ทรงบญั ญัตพิ ระวนิ ัยเพื่อเปน หลักปกครองสงฆ เปนตน 4. เพราะพระสารบี ตุ รและพระโมคคัลลานะเปน ผูท่ีมีความสามารถ เนอ่ื งจากพระสารีบุตรเปนผูมปี ญ ญาฉลาดหลกั แหลมยอมเปรยี บเสมือนมารดาทคี่ อยดูแลบตุ ร พระโมคคลั ลานะมีฤทธ์ิมากยอ มเปรยี บเสมือนพอ ท่มี ีกําลังคอยปกปอ งคุมภัยใหแ กบุตร พระพทุ ธศาสนาขณะนน้ั เพงิ่ เผยแผใ หมๆ ยอ มมบี ุคคลตางศาสนามาทา ทาย ทดสอบ ทดลอง เพอ่ื หวงั ใหพ า ยแพเ ปน ทอี่ บั อาย จงึ ตอ งมคี นทร่ี เู ขารเู ราและรลู กึ รจู รงิ ไวช ว ยงานสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา เผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ถอื ไดว า ทงั้ สองทา น มีคณุ ูปการและเปน กาํ ลังสาํ คญั ในการเผยแผพระพทุ ธศาสนาเปนอยางยิ่ง 5. มนุษยจะเปน คนดหี รือเลวไมไดอยทู ร่ี างกายดีหรือพิการ แตอยทู จ่ี ิตใจและการกระทาํ 66 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ๓หน่วยการเรียนรู้ท ่ี หลักธรรม 1. อธิบายหลกั ธรรมสําคญั ในกรอบอริยสัจ 4 ได ทางพระพทุ ธศาสนา 2. วเิ คราะหหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา เพอื่ นําไปปรบั ใชในการแกปญหาและพฒั นา ตนเองและสงั คมได สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแกปญหา 3. ความสามารถในการใชทักษะชวี ติ ตวั ช้ีวดั คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค ● อธิบายธรรมคุณและข้อธรรมสำาคัญในกรอบ 1. มีวินยั อริยสัจ ๔ หรือหลักธรรมของศาสนาที่ตน 2. ใฝเรียนรู นับถือตามท่ีกำาหนด เห็นคุณค่าและนำาไป 3. ซอื่ สตั ยส ุจริต พัฒนาแกป้ ัญหาของชุมชนและสงั คม 4. มงุ มนั่ ในการทาํ งาน (ส ๑.๑ ม.๒/๘) กระตนุ ความสนใจ Engage สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ครูใหนักเรยี นชวยกนั บอกธรรมะประจาํ ใจที่ ● พระรตั นตรยั นักเรียนยึดปฏิบตั ใิ นชีวติ ประจาํ วัน แลวบอกถึง ● อรยิ สัจ ๔ ประโยชนท ี่ไดรบั จากการปฏิบัติตามหลักธรรม ดังกลา ว ËÅÑ¡¸ÃÃÁ¢Í§¾Ãоط¸ÈÒʹÒ໚¹ÊèÔ§·èÕÁÕÍ‹ÙáÅŒÇ ¾Ãоط¸Í§¤à»š¹à¾Õ§¼ŒÙ·Ã§¤Œ¹¾ºáÅйíÒÁÒà¼ÂἋᡋ (แนวตอบ เชน การปฏิบัติตนตามศีล 5 ไดแ ก ÁÇÅÁ¹ÉØ Â à¾Íè× ãËàŒ ¡´Ô ¤ÇÒÁʧºÊ¢Ø ¢¹éÖ ã¹âÅ¡ àÁÍè× ¾Ãо·Ø ¸à¨ÒŒ ไมฆ าสัตว ไมล กั ทรัพย ไมประพฤติผิดในกาม ¨Ç¹àÊ´¨ç ´ºÑ ¢¹Ñ ¸»Ã¹Ô ¾Ô ¾Ò¹ ¾ÃÐͧ¤ä ´µŒ ÃÊÑ á¡¾‹ ÃÐÍÒ¹¹·Ç Ò‹ ไมพูดปด และไมด ่ืมของมึนเมา ซ่ึงสงผลใหช วี ติ “¸ÃÃÁÇ¹Ô ÂÑ ã´·àèÕ ÃÒµ¶Ò¤µáÊ´§áÅÇŒ ºÞÑ ÞµÑ áÔ ÅÇŒ á¡à‹ ¸Í·§éÑ ËÅÒ มคี วามสงบสขุ ไมประสบกบั ความเดือดรอ น หรอื ¸ÃÃÁÇ¹Ô ÂÑ ¹¹éÑ ¨¡Ñ ໹š ÈÒʴҢͧà¸Í·§éÑ ËÅÒ àÁÍè× àÃÒµ¶Ò¤µ ความทุกขใจใดๆ เปนตน) ÅÇ‹ §ÅºÑ ä»áÅÇŒ ” ËÁÒ¤ÇÒÁÇÒ‹ ¾ÃиÃÃÁ໹š µÇÑ á·¹¢Í§ ¾Ãоط¸à¨ŒÒ ´Ñ§¹Ñé¹ ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒËÅÑ¡¸ÃÃÁ¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ¨Ö§à»š¹ ʧèÔ ÊÒí ¤ÞÑ ÊÒí ËÃºÑ ¾·Ø ¸ÈÒʹ¡Ô ª¹ à¾Íè× ã˹Œ Òí ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ´§Ñ ¡ÅÒ‹ Ç ä»ãªŒà»¹š á¹Ç·Ò§ã¹¡ÒôíÒà¹¹Ô ªÕÇµÔ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §¶Ù¡µÍŒ § เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู พอ่ื ใหน กั เรยี นสามารถอธบิ ายและวเิ คราะหธ รรมคณุ และหลกั ธรรมสําคญั ในกรอบอรยิ สัจ 4 รวมถึงสามารถนําหลกั ธรรมไปประยกุ ตใ ช ในชวี ิตประจําวัน โดยเนน การพัฒนาทักษะกระบวนการทสี่ ําคัญ ไดแก ทักษะ การคดิ วเิ คราะห กระบวนการสบื สอบ และกระบวนการกลมุ ดังน้ี • ครูใหนักเรยี นสบื คน ความหมายของพทุ ธคณุ 9 ธรรมคุณ 6 และสงั ฆคุณ 9 แลวนํามาอภิปรายรวมกนั • ครูใหนักเรียนศกึ ษาคนควา เกย่ี วกบั หลักธรรมเรอื่ งทุกขแ ละสมุทยั แลว เขียน ผงั ความคิด • ครใู หนักเรียนศกึ ษาคนควา เกยี่ วกับหลักธรรมเรอื่ งนิโรธ แลวเขียนเรียงความ • ครใู หน กั เรียนศึกษาคน ควา เกยี่ วกับหลกั ธรรมเรอ่ื งมรรค แลว จดั ทําปายนเิ ทศ คมู ือครู 67

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage ครูใหนักเรียนสวดมนตบ ทบชู าพระรตั นตรยั ñ. พระรตั ¹ตรÂั จากนน้ั ใหบ อกถงึ ความรสู กึ กอ นและหลงั การสวดมนต พระพุทธศาสนามีองค์ประกอบส�าคัญ ๓ ประการ คือ พระรัตนตรัย ซึ่งแปลว่า แก้วอัน สาํ รวจคน หา Explore ประเสริฐ ๓ ดวง อนั ได้แก่ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูใหนักเรียนสืบคนความหมายของพุทธคุณ 9 พระพุทธ หมายถงึ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ซึ่งทรงเป็นศาสดาของศาสนา ท่ีว่า ธรรมคณุ 6 และสงั ฆคณุ 9 จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เป็นศาสดากห็ มายความวา่ เป็นผทู้ รงคน้ พบสัจธรรมโดยการตรัสรเู้ องและสอนใหผ้ อู้ น่ื รู้ตาม แลว จดบันทึกเปนภาษาทเี่ ขาใจงายลงสมุด พระธรรม หมายถึง ค�าสั่งสอนของพระพทุ ธเจา้ ทัง้ ทีเ่ ป็นคา� อธิบายเกีย่ วกับความเปน็ จรงิ อธบิ ายความรู Explain ของชวี ติ มนุษยแ์ ละเป็นคา� สั่งสอนใหม้ นษุ ยป์ ระพฤติดีตอ่ กัน ครูและนกั เรยี นรว มกนั อภิปรายถึงธรรมคุณ 6 พระสงฆ์ หมายถงึ หมู่สาวกที่ปฏิบัติตามค�าสอนของพระพุทธเจ้าและเผยแผ่ค�าสอนให้แก่ ประการ จากน้ันครูตง้ั คาํ ถามใหนกั เรียนชว ยกนั คนทัว่ ไป ตอบวา พระรตั นตรยั มคี วามสาํ คญั ตอ พระพทุ ธ- เรียกวพ่าระธพรทุ รมธเคจณุา้ มคี๖ณุ พลรกั ะษสณงฆะ์ม๙คี ปณุ รละกักาษรณเะรยี ๙กวปา่ รพะกทุ าธรคเณุรียก๙วพา่ สระังธฆรครุณมมคี๙1ณุ ซลง่ึกั ใษนณทีน่ะ้ีจ๖ะกปลรา่ะกวถารงึ ศาสนาอยางไร ธรรมคุณ ๖ ดงั นี้ (แนวตอบ พระพทุ ธ เปน ศาสดาของพระพทุ ธ- ธรรมคณุ ศาสนา ผทู รงคน พบทางแหง การตรสั รู พระธรรม เปนหลกั คําสอนของพระพทุ ธเจาที่ ธรรมคณุ หมายถึง คุณของพระธรรม มี ๖ ประการ ดงั น้ี ศาสนิกชนนอ มนาํ ไปปฏิบัติ ๑. สวากขาโต ภควตา ธมั โม พระธรรมเป็นค�าสอนอันพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรัสไวด้ แี ลว้ เปน็ ความ พระสงฆ เปนสาวกผปู ฏิบัติตามคําสอนของ จรงิ แท้ เปน็ หลกั ครองชวี ติ อนั ประเสรฐิ พระพทุ ธเจา และเผยแผพระพุทธศาสนา) ๒. สันทิฏฐิโก พระธรรมนี้ผู้ปฏิบัติตามจะเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อค�าผู้อ่ืน ผู้ท่ีมิได้ปฏิบัติน้ัน ขยายความเขา ใจ Expand แมจ้ ะมใี ครมาบอกและอธบิ ายใหฟ้ งั กไ็ มอ่ าจเหน็ ได้ ครใู หน กั เรยี นอภปิ รายวา เพราะเหตใุ ดจงึ กลา ววา ๓. อกาลิโก ไม่เน่ืองด้วยกาลเวลา ไม่ข้ึนอยู่กับเวลา ปฏิบัติตามได้พร้อมบริบูรณ์เม่ือใดก็เห็นผล พระธรรมเปน จรงิ เสมอ ไมเ ปลยี่ นแปลงตามกาลเวลา เมอื่ นน้ั เปน็ จรงิ ตลอดเวลาไมเ่ ปลย่ี นแปลงไปตามกาลสมยั สง่ิ ทเ่ี นอ่ื งดว้ ยเวลาเปน็ สง่ิ ทม่ี เี กดิ มเี ปลย่ี นแปลง มดี บั ไปตามเวลา แตพ่ ระธรรมเป็นจรงิ อยูเ่ สมอเป็นนจิ (แนวตอบ ครูเปด โอกาสใหน ักเรยี นอภปิ ราย โดย ยกตวั อยา งคาํ สอนทเ่ี ปน จรงิ ตลอดกาล เชน มงคล 38 ๔. เอหปิ สั สโิ ก ควรเรยี กใหม้ าดู คอื พระธรรมเป็นคา� สอนที่ควรจะเชิญ เปน ธรรมะทน่ี าํ ไปปฏบิ ตั แิ ลว นาํ มาซงึ่ ความสขุ ความเจรญิ ให้ใครๆ มาดู มาพิสจู น์ มาตรวจสอบ เพราะเป็นของทีจ่ ริงตลอดเวลา อยางแทจ รงิ ไมว า จะยุคใดสมัยใด การปฏิบตั ิตน ตามมงคล 38 ยอมนํามาซึง่ ความสขุ เสมอ เปน ตน ) ๕. โอปนยิโก ควรน้อมเขา้ มา คือ เปน็ สิ่งท่คี วรนอ้ มเข้าไว้ในใจ เพอื่ ยึดถอื เปน็ หลกั ปฏิบตั ิในชีวิต จะได้บรรลุถงึ ความหลดุ พน้ ตรวจสอบผล Evaluate ๖. ปจั จัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คอื วิญญชู น ได้แก่ นักปราชญ์ รไู้ ดเ้ ฉพาะตน คือ พระธรรมนี้เปน็ ส่ิงทว่ี ิญญชู นจะร้ไู ด้ และการรไู้ ดน้ น้ั เปน็ ของเฉพาะตน ตอ้ งปฏบิ ัติตามจงึ จะรู้ ทา� แทนกันไมไ่ ด้ แบ่งปัน ให้กันไมไ่ ด้ ตอ้ งประจักษ์ดว้ ยตนเอง ตรวจสอบผลจากความถกู ตอ งในการตอบคาํ ถาม 68 และการอภปิ ราย นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ธรรมคุณมคี วามหมายตรงกับขอใด 1 สงั ฆคณุ 9 คณุ ของพระสงฆ (หมายถงึ สาวกสงฆห รอื อรยิ สงฆ) มี 9 ประการ 1. พระไตรปฎ ก ดงั นี้ 2. พระพุทธคุณ 3. พระสงั ฆคุณ 1. สปุ ฏปิ นโฺ น เปนผูปฏิบตั ิดี 4. คุณของพระธรรม 2. อชุ ปุ ฏิปนฺโน เปนผปู ฏิบัตติ รง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ธรรมคุณ หมายถงึ คณุ ของพระธรรม 3. ายปฏิปนโฺ น เปน ผปู ฏิบตั ิถกู ทาง มี 6 ประการ ไดแก สวากขาโต ภควตา ธมั โม, สนั ทฏิ ฐโิ ก, อกาลิโก, 4. สามจี ิปฏปิ นโฺ น เปน ผปู ฏิบตั ิสมควร เอหิปส สิโก, โอปนยิโก, ปจ จัตตัง เวทิตัพโพ วญิ หู ิ 5. อาหุเนยโฺ ย เปน ผูค วรแกของคํานับ 6. ปาหุเนยโฺ ย เปน ผคู วรแกก ารตอ นรับ 7. ทกฺขิเณยโฺ ย เปน ผูควรแกข องทําบญุ 8. อฺชลกี รณโี ย เปนผคู วรแกก ารกราบไหว 9. อนุตตฺ รํ ปุญฺ กเฺ ขตฺตํ โลกสสฺ เปนเนอ้ื นาบุญอันยอดเย่ียมของโลก 68 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. ÍรÂิ ส¨ั ô ครูใหน กั เรียนดูภาพบคุ คลนอนปวยในหนังสือ เรยี นหนา 69 แลวตง้ั คําถามกระตนุ ความสนใจ อรยิ สัจ ๔ คือ ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการ เป็นหลกั คา� สอนส�าคญั ของพระพุทธศาสนา เชน มีดงั น้ี • การเจบ็ ปว ยทางกายเปน สาเหตุทก่ี อใหเกิด ๑. ทุกข์ คอื ความจรงิ ว่าด้วยความทุกข์ ทุกขอ ยางไร ๒. สมทุ ัย คอื ความจริงวา่ ด้วยเหตเุ กดิ แหง่ ทุกข์ (แนวตอบ การเจบ็ ปว ยทางกาย นอกจากจะ ๓. นโิ รธ คอื ความจริงว่าดว้ ยความดบั ทกุ ข์ ทาํ ใหเปนทุกขท างกายแลว ยังสงผลให ผปู ว ยมจี ติ ใจออ นแอ ซมึ เศรา เกดิ ความกงั วล 2.1 ๔ท.ุกมขร์ ร(คธครือรมควทามีค่ จวรรงิ วร่า1ู้)ดว้ ยทางแหง่ ความดับทุกข์ กอใหเกิดความทกุ ขใ จดวยเชน เดียวกัน) ทุกข์ คือ ความจริงว่าด้วยความทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มนุษย์ทุกคนไม่ว่า • หลกั ธรรมที่จะทาํ ใหเขา ใจความทุกขแ ละ จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็มีความทุกข์ด้วยกันท้ังน้ัน ความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทุกขณะ วธิ แี กปญ หาความทกุ ขมีอะไรบา ง เราจึงไม่ควรประมาทและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ณ ที่น้ีจะกล่าวถึงขันธ์ ๕ ซ่ึงเป็น (แนวตอบ อรยิ สัจ 4 ความจริงอนั ประเสริฐ หลกั ธรรมทค่ี วรร้เู พ่อื ใหร้ ู้ความจริงของการเกดิ ทุกข์ 4 ประการ อันประกอบดวย ทุกข สมทุ ยั นิโรธ และมรรค) ๑) ข๑.นั ๑ธ) ์ ๕รปู 2คคือืออสงว่คนป์ ทรี่เะปกน็อรบ่าขงอกงาชยีวติรวมมี ๕ถงึ พปรฤะตกิการรรมดทังนั้งหี้ มดของร่างกายด้วย ๑.๒) เวทนา ในที่นี้มไิ ด้หมายถงึ ความสงสารที่ใช้กันท่ัวไป แตห่ มายถงึ ความรูส้ กึ สาํ รวจคน หา Explore ท่เี กิดขน้ึ ต่อสงิ่ ทรี่ บั รูน้ นั้ เวทนามีอยู่ ๓ อย่าง ได้แก่ ครูใหนักเรียนศกึ ษาคนควาเกี่ยวกบั หลกั ธรรม ๑. ความรู้สึกสบายใจ ทกุ ข (ธรรมท่คี วรรู) จากหนงั สือเรยี นหนา 69-70 เรียกว่า สขุ เวทนา หรือจากแหลง การเรยี นรตู างๆ เชน หนงั สอื ธรรมะ ๒. ความรู้สึกไม่สบายใจ หอ งสมดุ เปน ตน จากนน้ั ใหน ํามาอภิปรายใน เรยี กว่า ทุกขเวทนา ชน้ั เรยี น ว่า อุเบกขาเวทนา ๓. ความรู้สกึ เฉยๆ เรียก ๑.๓) สญั ญา ในทน่ี ม้ี ไิ ดแ้ ปลวา่ ค�ามั่นสัญญาดังในภาษาสามัญ แต่หมายถึง กกลารน่ิ ก�าเสหียนงดหโผมฏาฐยพั รู้สพ่ิงะ3ใดแสลิ่งะหอนาร่ึงมณเชท์ ่น่เี กริดูปกบั รใสจ วา่ เขยี ว ขาว ดา� แดง ดงั เบา เสียงคน เสียง แมว เป็นตน้ การแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร อันเป็นข้นั ตอนถัดจากเวทนา ความเจ็บปว่ ยทางรา่ งกายเปน็ สาเหตหุ นง่ึ ท่กี ่อให้เกดิ ทุกข์ 69 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอ ใดเปน ความหมายของคาํ วา “วญิ ญาณ” ในองคประกอบขนั ธ 5 1 ธรรมที่ควรรู หมายความวา พระพุทธศาสนาสอนใหร วู าอะไรคือความทกุ ข 1. ชีวิตหลังความตาย หมายถึง สภาพท่ีบบี ค้นั อดึ อดั ขดั เคอื ง แตใหรเู ฉยๆ ไมใหเปน ทุกขไปดว ย 2. การรับรผู านการเพง ของจติ 2 รูป ประกอบดวย ธาตทุ ง้ั 4 ไดแ ก 3. การกาํ หนดหมายรสู ่ิงใดสงิ่ หนงึ่ 4. การรับรผู านประสาทสัมผัสทัง้ 5 และใจ • ปฐวีธาตุ คอื ธาตดุ นิ เชน กระดกู เนอื้ เปนตน • อาโปธาตุ คอื ธาตนุ ้ํา เชน นํา้ ลาย เลือด เปน ตน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. วิญญาณ หมายถงึ การรบั รผู า นประสาท • เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ เชน อุณหภูมิในรางกาย เปนตน • วาโยธาตุ คือ ธาตุลม เชน ลมหายใจเขาออก ลมในกระเพาะอาหาร สัมผัสทั้ง 5 และใจ อันไดแก จกั ขวุ ญิ ญาณ โสตวญิ ญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวญิ ญาณ และมโนวญิ ญาณ เปน ตน 3 โผฏฐพั พะ อารมณทีพ่ งึ ถูกตองดวยกาย ส่งิ ท่ีถูกตองกาย เชน เย็น รอ น ออ น แขง็ เปน ตน คูมอื ครู 69

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นอภปิ รายรว มกนั เกยี่ วกบั หลกั ธรรม ๑.๔) สงั ขาร แปลว่า สง่ิ ทป่ี รุงแตง่ จิตหรือพดู ให้เขา้ ใจงา่ ย เช่น แรงจูงใจ หรอื ทกุ ข ไดแก ขนั ธ 5 และอายตนะ สิ่งกระตุ้นผลักดันให้มนุษย์กระท�าการอย่างใดอย่างหน่ึง เป็นผลรวมของการรับรู้ (วิญญาณ) ความร้สู ึก (เวทนา) และความจา� ได้ (สญั ญา) ทีผ่ ่านมา เชน่ ตารับรวู้ ัตถสุ ิ่งหน่งึ (วญิ ญาณ) รู้สึก 2. ครใู หนกั เรยี นน่งั หลับตาสงบนงิ่ แลว ปฏิบัตติ าม วา่ สวยดี (เวทนา) จ�าไดว้ ่ามันเป็นวตั ถกุ ลมๆ ใสๆ (สัญญา) แล้วเกิดแรงจงู ใจผลักดนั ให้เออ้ื มมอื ขนั้ ตอนทคี่ รกู าํ หนด เพอื่ เรยี นรอู ายตนะจากการ ไปหยบิ มาเพราะความอยากได้ ข้นั ตอนนเ้ี รียกวา่ “สังขาร” ซง่ึ เปน็ ข้ันตอนท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรม ปฏบิ ัตจิ ริง โดยกาํ หนดความรูสกึ ไปท่ี ทัง้ ดแี ละช่ัว • ตา แลวคอ ยๆ ลมื ตา พจิ ารณาส่งิ ตางๆ รอบตัว ๑.๕) วญิ ญาณ คอื การรับรูผ้ า่ นประสาทสมั ผัสท้ัง ๕ และใจ ไดแ้ ก่ • หู ครูนาํ แปรงลบกระดานเคาะโตะ 1 ครัง้ แผนผังแสดงวญิ ญาณ ๖ นกั เรียนพจิ ารณาเสยี งที่ไดยิน • จมูก ใหนักเรยี นดมกลิ่นหลงั มอื ของตนเอง โสตวญิ ญาณ จกั ขุวิญญาณ พจิ ารณากล่นิ ที่สูดดม ชิวหาวิญญาณ ฆานวิญญาณ • ลน้ิ ครนู าํ ผลไมหรือขนมมาใหน กั เรียนชิม มโนวญิ ญาณ แลว พิจารณารสชาติทล่ี ้นิ สมั ผัส กายวญิ ญาณ • รางกาย ใหนกั เรียนลูบแขนตนเอง พิจารณา สิ่งทกี่ ายสัมผสั ๒) อายตนะ คอื จดุ เชอื่ มตอ่ ระหวา่ งขนั ธ์ ๕ กบั สง่ิ ทอ่ี ยภู่ ายนอกตวั เรา อายตนะจดั เปน็ • อารมณหรือความคดิ น่ังสงบนง่ิ 1 นาที พจิ ารณาส่งิ ทีค่ ิดภายในใจ องค์ประกอบของวิญญาณ คอื การรบั รู้ กลา่ วคือ ในการรับรจู้ ะต้องมีผรู้ แู้ ละสงิ่ ทถ่ี ูกรู้ ขันธ์ ๕ คอื จากนั้นใหน กั เรยี นชว ยกนั อธิบายความหมาย ผกลรู้ ู้น่ิ ซ่ึงรรสับกรู้ผารา่ สนมั อผายัสตแนละะภกาายรในนึกคไดิดแ้ (กธ่ รตรามาหรูมจณม1)์กู เรลีย้ินกวก่าายอาแยลตะนใจะภสาย่วนนสอ่ิงกท่ีถูกรู้ คือ รปู เสยี ง ของอายตนะภายในและอายตนะภายนอกจาก อายตนะภายในเปน็ เครอ่ื งเชอื่ มตอ่ ใจกบั โลกภายนอก พระพทุ ธศาสนาจงึ สอนใหม้ คี วาม กิจกรรมดงั กลาว สา� รวมในอายตนะ ขยายความเขา ใจ Expand ครใู หนักเรียนอภปิ รายวา ระหวา งขันธ 5 กับ อายตนะ อายตนะภายนอก อายตนะมีความเชอ่ื มโยงกันอยา งไร จากนนั้ ให  รูป สิ่งท่เี หน็ ด้วยตา นักเรียนจบั คจู ดั ทําผังความคิด อายตนะภายใน  เสยี ง สิ่งท่ีได้ยนิ ด้วยหู  กล่นิ สิ่งทส่ี ูดดมไดด้ ้วยจมกู ตรวจสอบผล Evaluate  ตา ประสาทท่เี ห็นรปู ต่างๆ ได้ เรียกวา่ จกั ขุประสาท  รส ส่งิ ท่ลี ิ้มรสได้ด้วยล้ิน  หู ประสาทที่รบั ฟังเสยี งได้ เรยี กวา่ โสตประสาท  สมั ผัส (โผฏฐัพพะ) สงิ่ ทีถ่ กู ต้องกาย 1. ตรวจสอบจากความถูกตอ งในการตอบคาํ ถาม  จมกู ประสาททส่ี ูดกลิน่ ได้ เรียกว่า ฆานประสาท  อารมณ์ (ธรรมารมณ์) เรอ่ื งทีค่ ดิ ข้ึนด้วยใจ และการอภปิ ราย  ลน้ิ ประสาทท่ลี ้ิมรสได้ เรยี กว่า ชิวหาประสาท  กาย ประสาทรับสัมผัสได้ เรียกว่า กายประสาท 2. ตรวจสอบจากความถกู ตองของผังความคิด  ใจ หมายถงึ จิต เชือ่ มโยงระหวา งขนั ธ 5 กับอายตนะ 70 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET การศึกษาหลกั ธรรมขนั ธ 5 และอายตนะ จะทําใหเขา ใจความทุกข ครชู แ้ี นะใหน กั เรยี นนาํ หลกั ธรรมขนั ธ 5 และอายตนะ ไปปรบั ใชแ กป ญ หาเพอ่ื ให ไดอยางไร พนจากความทกุ ขท ีน่ กั เรยี นไดป ระสบในชวี ติ ประจาํ วนั แนวตอบ การศกึ ษาหลกั ธรรมขันธ 5 จะทําใหเขาใจกระบวนการเกิด ความรูสกึ ทุกขอ นั เกดิ จากรูป เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ซง่ึ เมือ่ นักเรยี นควรรู เขา ใจเชน นน้ั แลว กจ็ ะทาํ ใหส ามารถลด ละ เลกิ ยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในความจรงิ ของการเกดิ ทกุ ขไดในระดบั หนึง่ สวนการศกึ ษาอายตนะ จะทาํ ใหเขาใจ 1 ธรรมารมณ คือ สง่ิ ที่ถกู รบั รูทางใจ ส่ิงท่ีรดู วยใจ หรอื สงิ่ ที่ใจรูสึกนึกคิด การรบั รูข องสิง่ ที่อยูภ ายในกับสงิ่ ที่อยภู ายนอก สามารถกําหนดและ มีความสาํ รวมในอายตนะ จงึ ละจากความรสู ึกทุกขได 70 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ 2.2 สมุทัย (ธรรมท่คี วรละ) ครใู หน กั เรยี นบอกความหมายของคาํ กลา วทวี่ า “หวานพชื เชนใด ไดผลเชนนั้น” สมทุ ยั คอื ความจรงิ วา่ ดว้ ยเหตเุ กดิ แหง่ ความทกุ ข์ เพราะความทกุ ขท์ เี่ กดิ ขนึ้ นนั้ ตอ้ งมสี าเหตุ เกดิ จากอะไรบางอยา่ ง ไม่ได้มขี ึ้นลอยๆ ในที่นจ้ี ะพดู ถึงหลกั ธรรมทค่ี วรละ ๓ อย่าง เพื่อไม่ใหเ้ กดิ สาํ รวจคน หา Explore ทุกข์ ไดแ้ ก่ หลกั กรรม (สมบตั ิ ๔ วบิ ตั ิ ๔) อกุศลกรรมบถ ๑๐ อบายมขุ ๖ ครูใหน ักเรยี นศึกษาคน ควา เก่ียวกบั หลกั ธรรม ๑) หลกั กรรม หรอื กฎแหง่ กรรม เปน็ คา� สอนทส่ี า� คญั ของพระพทุ ธศาสนา มใี จความ สมุทัย (ธรรมทค่ี วรละ) จากหนงั สอื เรยี นหนา 71-76 หรอื จากแหลง การเรยี นรตู างๆ เชน หนังสือ สนั้ ๆ วา่ ธรรมะ หองสมุด พระสงฆในชุมชน เปนตน หวา่ นพชื เช่นใด ได้ผลเชน่ นน้ั อธบิ ายความรู Explain ท�าดีได้ดี ทา� ช่วั ได้ชัว่ ผลของกรรมมีทั้งผลช้ันในและผลชั้นนอก ผลชั้นใน หมายความว่า เมื่อใดเราท�าดี 1. ครูและนกั เรียนรวมอภปิ รายเก่ยี วกับหลกั กรรม เราก็เปน็ คนดีเมื่อนนั้ คอื ใจสงบ สะอาด ปลอดโปรง่ เมือ่ ใดทา� ชว่ั ก็เปน็ คนชว่ั เม่อื นัน้ คือ จิตใจ แลว ใหแ สดงความคดิ เหน็ วา หลักกรรมแสดง เตม็ ไปดว้ ยความโลภ ความมุ่งร้าย ความไม่สงบผอ่ งใส ผลชั้นนอก หมายถงึ ความสขุ ความทกุ ข์ ถึงความสัมพนั ธร ะหวางเหตุกบั ผลอยา งไร ความเจรญิ ความเสอื่ ม ซงึ่ ปจั จยั ภายนอกตวั เราเปน็ ตวั กา� หนด ทา� ใหผ้ ลชนั้ นอกของกรรมไมเ่ ปน็ ไปอยา่ งท่ีควรเป็น 2. ใหนักเรียนแสดงความคิดเหน็ ตอ ทัศนคตทิ ว่ี า เพราะเหตใุ ด ตนเองทาํ ความดี ทาํ บุญ สงิ่ ทส่ี นบั สนนุ ใหก้ รรมดใี หผ้ ล (ชน้ั นอก) และขดั ขวางการใหผ้ ล (ชน้ั นอก) ของกรรมชว่ั ทําทานตงั้ มากมาย แตก ย็ งั ไมเหน็ ความดี เรียกว่า “สมบัต”ิ มาตอบสนองใหช ีวิตมีความสุข ความเจริญ กา วหนา เสียที สง่ิ ทส่ี นบั สนนุ ใหก้ รรมชวั่ ใหผ้ ล (ชน้ั นอก) และขดั ขวางการใหผ้ ล (ชน้ั นอก) ของกรรมดี (แนวตอบ ครเู ปดโอกาสใหนกั เรียนแสดง เรียกว่า “วิบตั ิ” ความคดิ เห็นไดอ ยางหลากหลาย แตต องแสดง เหตุผลทีอ่ ยูบนพื้นฐานของหลักกรรม อีกท้งั สมบตั ิ ๔ และวบิ ัติ ๔ ครคู วรช้ีแนะใหน กั เรียนพึงทําความดี โดยไม คํานึงถึงผลประโยชนท ่จี ะไดรับ) สมบัติ ๔ วบิ ัติ ๔ สมบตั ิ คอื ความถงึ พรอ้ ม ๔ ประการ ดงั นี้ วบิ ตั ิ คอื ความบกพรอ่ ง ๔ ประการ ดงั น้ี  คติสมบัติ คือ เกิดอยู่ในภพ ถิ่น หรือประเทศ  คติวิบัติ คือ เกิดอยู่ในภพ ถ่ิน หรอื ประเทศท่ี ท่ีเจริญ ไมเ่ จรญิ  อุปธสิ มบตั ิ คอื เกดิ มามรี า่ งกายสงา่ งาม แขง็ แรง  อปุ ธวิ บิ ตั ิ คอื เกดิ มามรี า่ งกายพกิ ลพกิ าร ออ่ นแอ น่านิยม เลื่อมใส ไมส่ ง่างาม  กาลสมบัติ คือ เกิดอยู่ในสมัยท่ีบ้านเมืองมี  กาลวิบัติ คอื เกดิ อยใู่ นสมยั ทบ่ี า้ นเมอื งม1ที กุ ขเ์ ขญ็ ความสงบสุข สังคมยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริม ยกย่องคนช่ัว บบี ค้นั คนดี ไม่มศี ีลธรรม คนชัว่ มผี ู้ปกครองดี  ปโยควิบัติ คือ การท�าไม่ครบถ้วน ไม่ต่อเน่ือง  ปโยคสมบัติ คือ การท�าให้ครบถ้วน ท�าอย่าง ท�าครง่ึ ๆ กลางๆ ไม่ตรงกับความถนดั หรือความ ต่อเนื่อง ท�าถึงที่สุด ไม่ท�าเพียงครึ่งๆ กลางๆ สามารถของตน ท�าตรงกบั ความสามารถของตน 71 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรียนควรรู การศกึ ษาหลกั ธรรมกรรม มีประโยชนอยา งไร 1 ศลี ธรรม คือ กฎ ระเบยี บ ขอ บงั คับ ตลอดจนหลกั ปฏิบัติทางศาสนาท่ีบุคคล 1. ทาํ ใหไ มป ระมาทในชีวิต พึงปฏบิ ัติเพื่อพฒั นาคุณภาพชีวติ ใหประกอบดวยคณุ ธรรม ซง่ึ ในความหมายของ 2. ทาํ ใหเขา ใจตนเองมากขึน้ คาํ วา ศีลธรรม จะมีความหมายที่คลา ยกบั คําวา จริยธรรม กลา วคือ จรยิ ธรรม 3. ทาํ ใหรูจักคนุ เคยกับผอู ืน่ ยิ่งขึน้ เปนเร่ืองของความควร ไมควรของพฤติกรรม ซ่ึงเปนมาตรฐานความประพฤติของ 4. ทาํ ใหไดร ับแตความสุขทางกาย บคุ คล ศีลธรรมมคี วามโนมเอยี งทจ่ี ะเก่ียวขอ งกบั ทางศาสนา สว นจรยิ ธรรมเปน เร่ืองทีเ่ กีย่ วกบั มนุษยธรรม วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. หลกั กรรม หมายถึง การกระทําทางกาย มมุ IT ทางวาจา หรือทางใจ ทีป่ ระกอบดวยเจตนาดีก็ตาม เจตนาชั่วก็ตาม ในทางพระพทุ ธศาสนาอธิบายกฎแหง กรรมไวว า ผูใดกระทําสิง่ ใดไวย อมจะ ศกึ ษาคนควาเพ่มิ เตมิ เกยี่ วกบั เรอื่ งกรรม ไดท ี่ ไดร ับผลแหงการกระทําน้ัน ถาทาํ ดยี อมไดร บั ผลดตี อบแทน แตถาทําชวั่ http://www.dhammajak.net เวบ็ ไซตธ รรมจกั ร และ ยอ มไดรับผลชว่ั ตอบแทนเชนกัน ซงึ่ หลักกรรมสอนใหผ ูปฏิบัติรูจักคดิ http://www.fungdham.com เวบ็ ไซตฟ ง ธรรม ไตรต รองการกระทาํ ตา งๆ ภายใตห ลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา และทาํ ให ใชชวี ิตอยางไมประมาท คมู อื ครู 71

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครถู ามนกั เรยี นวา สงิ่ ใดหรอื เหตกุ ารณใ ดทที่ าํ ให ตัวอย่างที่แสดงใหเ้ ห็นถงึ การเกดิ อยู่ในทตี่ า่ งๆ ดงั นี้ นักเรยี นรสู ึกผดิ หวงั หรอื เสียใจทีไ่ ดกระทาํ ๑. เกิดอยู่ในถ่ินเจริญ มีบริการ การศึกษาดี ทั้งที่สติปัญญาและความขยันไม่เท่าไร แตก่ ็ยังศกึ ษาไดม้ ากกวา่ สามารถเขา้ ถงึ สถานะ 2. ครูและนกั เรียนอภปิ รายรวมกันเก่ยี วกบั อกุศล- ทางสังคมสูงกว่าอีกคนหน่ึง ซึ่งมีสติปัญญา กรรมบถ 10 จากน้นั ครูสมุ นกั เรียนออกมาเลา และความขยนั ดกี วา่ แตไ่ ปเกิดอยู่ในถ่ินป่าดง เหตกุ ารณท น่ี กั เรยี นเคยประสบทีส่ อดคลอ งกับ ๒. มสี ตปิ ญั ญาดี แตไ่ ปเกดิ เปน็ คนปา่ กรรมชว่ั ทางกาย กรรมชวั่ ทางวาจา และกรรมชวั่ อยูใ่ นกาฬทวปี ก็ไมม่ โี อกาสได้เป็นนกั ปราชญ์ ทางใจ พรอ มกับบอกถึงผลทต่ี นเองไดรบั ๓. มคี วามรู้ ความสามารถดี แตไ่ ป จากการกระทาํ สิ่งไมดีเหลานนั้ อยู่ในถิ่นหรือในชุมชนที่เขาไม่เห็นคุณค่าของ ความรู้ และความสามารถนั้น เข้ากับเขาไม่ได้ 3. ครใู หน กั เรียนวเิ คราะหวา เพราะเหตใุ ด แมว า ถกู เหยียดหยามบีบคน้ั อยู่อยา่ งเดอื ดรอ้ น บางคนจะรูวาทางแหง ความชว่ั เปน ส่งิ ไมด ี แตก็ ๔. เป็นคนซ่ือสัตย์ ท�าแต่สิ่งดีงาม ยังกระทาํ ในส่ิงนัน้ อยู มาเกดิ อยใู่ นยคุ ทผี่ ปู้ กครองดี สงั คมยกยอ่ งเชดิ ชู (แนวตอบ ครูเปด โอกาสใหนักเรียนแสดง คนดี คนนนั้ ก็มเี กยี รติ มีความเจริญ ความคิดเห็นไดอยางหลากหลาย โดยครูอธบิ าย บุคคลที่อยู่ในท่ีเจริญได้รับการศึกษาดี ย่อมท่ีจะมีโอกาส ในยามสังคมเสื่อมจากศีลธรรม เพิ่มเตมิ ถงึ แนวทางการปฏิบตั เิ พ่อื ขม ใจ ทางสงั คมดกี ว่าบุคคลท่อี ยู่ในถิน่ ไม่เจรญิ ผู้ปกครองไม่ประกอบด้วยธรรม คนท�าดีไม่ได้ มใิ หค ดิ พดู และทาํ ในสงิ่ ไมด ี) รับการยกยอ่ ๒ง) ออากจถุศูกลเกบียรดรมเบบยี ถน ได๑ร้ ๐ับ1ควคาือมเทดอืางดแรห้อน่งอกุศลกรรม หรือทางแห่งความช่ัว หรือ อาจหมายถึง กรรมชั่วอนั เปน็ ทางไปสคู่ วามเส่ือม ความทกุ ข์ก็ได้ กรรมชั่วนีแ้ บ่งไดเ้ ปน็ ๓ ทางใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๒.๑) กรรมชว่ั ทางกาย มี ๓ ประการ ดังนี้ (๑) ปาณาติบาต คือ การปลงชีวิต การทา� ใหส้ ตั ว์โลกถึงแก่ความตาย (๒) อทินนาทาน คือ การขโมยของผู้อื่น การถือเอาของที่เขาไม่ให้ รวมถงึ การฉ้อโกง ยกั ยอก หลอกลวง คอร์รปั ชนั ด้วย (๓) กาเมสมุ จิ ฉาจาร คือ การประพฤตผิ ดิ ในกาม การละเมดิ คคู่ รอง ของรกั ของหวงของผ้อู ื่น ๒.๒) กรรมชั่วทางวาจา มี ๔ ประการ ดงั นี้ (๑) มุสาวาท คือ การพูดเท็จ พูดสิ่งท่ีไม่จริงโดยท่ีตนรู้ว่าไม่จริง รวมถึง การพูดกา� กวมเพอ่ื หลอกลวงผ้อู ื่นด้วย (๒) ปสิ ณุ วาจา คอื พดู สอ่ เสยี ด ทา� ใหค้ นเกดิ แตกสามคั คี พดู กระทบกระเทยี บ เหนบ็ แนม เพื่อให้อีกฝ่ายหนึง่ เจ็บใจ การพดู เสียดสมี กั เกิดจากความอจิ ฉา 72 นักเรียนควรรู เบญจศลี ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ 1 บคุ คลใดตอไปนถี้ อื วากาํ ลังกระทําปส ณุ วาจา 1 อกศุ ลกรรมบถ 10 ตรงกับเบญจศลี ขอตางๆ ดงั นี้ ขอ 2 1. หยกเก็บกระเปา สตางคไดแลวไมส งคืนเจา ของ อกศุ ลกรรมบถ ขอ 3 2. พลอยมคี วามเช่อื วาทาํ ดีไดด มี ีท่ีไหน ทําชว่ั ไดดีมีถมไป 3. เพชรชอบดา เพ่อื นดวยคําหยาบคายเสมอเมื่อโกรธเพอื่ น ปาณานบิ าต ขอ 4 4. ทับทมิ พดู จาแดกดันเพ่ือนรว มงานเรอื่ งการแตงกายเสมอ อทนิ นาทาน วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. ปส ณุ วาจา หมายถงึ การพูดสอ เสียด กาเมสมุ จิ ฉาจาร พดู เหน็บแหนม พดู จาแดกดัน พูดจากระทบกระเทยี บ จดั เปน กรรมช่ัว มสุ าวาท ปส ุณวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ทางวาจาอยางหน่งึ ดงั น้นั การทีท่ บั ทมิ พดู จาแดกดันเพอ่ื นรว มงานเรอื่ ง การแตงกายเสมอ จงึ ถือวาเปน ปสณุ วาจา มุม IT ขอ 1. ถอื เปนอทนิ นาทาน คอื การลักทรัพยผอู ่นื ขอ 2. ถือเปน มิจฉาทฏิ ฐิ คือ ความเห็นผดิ จากทํานองคลองธรรม ศึกษาคนควาเพมิ่ เตมิ เกย่ี วกับอกศุ ลกรรมบถ 10 ไดท่ี ขอ 4. ถือเปนผรสุ วาจา คือ การพดู คําหยาบ http://www.buddhism-online.org เวบ็ ไซตมลู นธิ เิ ผยแผพ ระสัทธรรม 72 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู (๓) ผรสุ วาจา คอื พดู คา� หยาบ การพดู หยาบกอ่ ใหเ้ กดิ ความแตกรา้ ว ทา� ให้ 1. ครใู หน กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา การดมื่ สรุ า เรอ่ื งเล็กกลายเป็นเร่ืองใหญ่ และของมนึ เมามผี ลกระทบตอ ตนเองและสงั คม อยา งไร (๔) สัมผัปปลาปะ คือ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีประโยชน์แก่ใคร (แนวตอบ การด่ืมสรุ าและของมนึ เมา ทําให ไม่ว่าตนเองหรือผอู้ ืน่ ขาดสติในการกระทาํ สิ่งตางๆ อาจนาํ มาซ่ึง การทะเลาะวิวาท สรา งความเดือดรอนใหกบั ๒.๓) กรรมชว่ั ทางใจ มี ๓ ประการ ดังนี้ ผอู ่ืน เปนบอ เกิดของโรคราย ทาํ ใหสุขภาพ (๑) อภิชฌา คือ คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา โดยไม่นึกว่าของใครใคร เสอ่ื มโทรม อาจถึงแกความตาย ทัง้ นี้การดืม่ สุราและของมึนเมายงั สง ผลกระทบตอ สงั คม ก็หวง แมย้ งั มไิ ด้ลงมอื ขโมยแตก่ ท็ า� ให้จิตใจเสอื่ ม ไม่คดิ ท่จี ะขยนั ขนั แขง็ เพอ่ื หามาด้วยตนเอง คือ เปน สาเหตขุ องการกอคดอี าชญากรรม (๒) พยาบาท คือ คิดร้ายผู้อน่ื อยากให้ผ้อู ื่นเจ็บปวด เสยี หาย ประสงคร์ ้าย ประเภทตา งๆ ทําใหป ระเทศตองสญู เสีย งบประมาณในการดูแลรักษาสุขภาพประชากร) ความคดิ รา้ ยน้ีจะบน่ั ทอนความสามารถและความดขี องตนเอง (๓) มจิ ฉาทิฏฐิ คอื เห็นผดิ จากคลองธรรม เชน่ ไม่เชอ่ื ว่าท�าดีไดด้ ี ท�าช่วั 2. ครตู ้ังสถานการณใ หนกั เรยี นชวยกนั หาทาง แกป ญ หา เชน ได้ช่ัว เปน็ ต้น • ถาหากเพื่อนของนักเรยี นชวนใหท ดลอง ดืม่ สุรา นกั เรียนจะมีวิธีปฏิเสธอยา งไร ๓) อบายมุข ๖ คอื ทางแห่งความเส่ือม เปน็ ส่ิงทเี่ ราควรละ มี ๖ ประการ ดังน้ี (แนวตอบ อาจบอกเพ่ือนวา ชอบดื่ม นํ้าเปลา หรือน้าํ ผลไมม ากกวา หลังจากน้นั ๓.๑) ตดิ สรุ าและของมนึ เมา การตดิ สุราและของมนึ เมามีโทษ ดังน้ี หาโอกาสบอกเพ่ือนวา การดม่ื สุราเปน สิ่ง ๑. ท�าใหเ้ สียทรัพย์ ไมด ี ทําใหเ สยี สุขภาพ สน้ิ เปลอื งเงินทอง) ๒. ท�าให้เกิดการทะเลาะวิวาท คนเมาสุรามักจะทะเลาะกัน ตีกัน และ • ถา คนใกลตวั เชน ญาตพิ ่ีนอ งหรอื เพื่อน ตดิ สุราอยางหนกั นกั เรียนจะมีวิธแี นะนาํ ให บางคร้ังถึงกับฆ่ากัน คนบางคนเวลาไม่เมามีความประพฤติเรียบร้อย แต่พอดื่มสุราเข้าไปแล้ว บุคคลเหลานัน้ เลิกดื่มสุราอยางไร ตอ้ งหาเรื่องทะเลาะกบั คนอ่นื เกือบทกุ ครงั้ (แนวตอบ พดู คุยกบั บคุ คลเหลา น้ันอยา งตรง ไปตรงมา โดยแสดงถงึ ความหว งใยและ ๓. เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ โรค สรุ าและสงิ่ เสพตดิ ทกุ อยา่ งทา� ใหเ้ สยี สขุ ภาพบนั่ ทอน ความปรารถนาดี อาจพยายามชวนคุยถงึ กา� ลงั กาย หากเสพไปนานๆ อาจทา� ใหถ้ งึ แกค่ วามตายได้ หรอื ถา้ ไมต่ ายกไ็ มม่ กี า� ลงั ในการประกอบ ปญหาชวี ิตตางๆ เชน สภาพจติ ใจ อาชีพหนา้ ท่ีการงานตา่ งๆ ซมึ เศรา การเรยี นหรอื การงานแยล ง สขุ ภาพ เสอ่ื มโทรม เปน ตน แลว โยงวา ปญ หาเหลา นี้ ๔. ท�าให้เสียเกียรติยศและช่ือเสียง คนเมาสุราอยู่เสมอ คนติดยาเสพติด ลว นมีสาเหตมุ าจากการด่มื สรุ าหรอื ของ ยอ่ มไมม่ ใี ครเชอ่ื ไม่มใี ครยอมรบั นับถือ ไว้วางใจ ไม่มใี ครอยากคบค้าสมาคม หรอื ไม่มีใครอยาก มนึ เมา โดยชใี้ หเ หน็ ถึงผลกระทบท่ีมีตอ ให้ท�างานด้วย เพราะคนเช่นน้ี ถ้าไม่มีเงินซื้อสุราหรือยาเสพติดก็อาจจะกระท�าในสิ่งที่ช่ัวร้าย บคุ คลและสงั คมในวงกวาง เพื่อใหตระหนัก ต่างๆ ไดง้ า่ ย ถึงโทษของการด่ืมสุรา แลวจงึ แนะนํา กิจกรรมดีๆ ท่มี ปี ระโยชนใหป ฏบิ ัต)ิ ๕. ท�าให้ไม่รู้จักอาย คนเมาสุราจะกระท�าส่ิงต่างๆ โดยขาดสติ เพราะ ถูกฤทธ์ิแอลกอฮอล์ครอบง�า บางคนเมื่อหายเมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตอนท่ีเมาอยู่นั้นตนได้ท�าอะไร ลงไปบ้าง ดังนั้น คนท่ีเมาสุราอย่เู ป็นนิจ จึงไม่มีใครอยากเก่ยี วขอ้ งคบค้าสมาคมด้วย ๖. บั่นทอนกา� ลังสติปัญญา สุราและยาเสพตดิ ไมเ่ พยี งแต่บ่นั ทอนก�าลังกาย เทา่ นัน้ แต่ยังทา� ใหส้ ติปัญญาเสอ่ื ม ความจ�าไม่ดี หลงลมื งา่ ย ความคิดและการตดั สินใจเช่อื งชา้ ลงเร่ือยๆ จนในท่ีสุดมสี ภาพเหมือนกบั คนที่ตายท้งั เป็น 73 บูรณาการเชอื่ มสาระ เกรด็ แนะครู ครูสามารถนําเนอ้ื เรื่องสรุ าและของมึนเมา ไปบูรณาการเชอ่ื มโยงกบั ครอู าจแนะนาํ ใหน กั เรยี นสรา งสรรคก จิ กรรมทรี่ ณรงคก ารงดดม่ื สรุ า การเผยแพร กลุมสาระการเรียนรสู ุขศึกษาและพลศกึ ษา วิชาสุขศกึ ษา เรอ่ื งสารเสพติด ความรเู กี่ยวกับโทษ การบาํ บดั รักษา และวธิ ีการเลิกดม่ื เครือ่ งดมื่ แอลกอฮอล โดยครอู ธิบายถึงผลรายของสรุ าทม่ี ตี อ รางกาย ดงั นี้ เพ่ือใหค นในสงั คมตระหนักถึงพิษภยั ของสรุ าและของมนึ เมา • ผลรา ยตอ ระบบประสาทสวนกลาง จะไปกดประสาทสว นกลาง ทาํ ให มุม IT ขาดความยบั ยง้ั ชัง่ ใจ ขาดสติ ขาดประสทิ ธิภาพในการทาํ สิง่ ตางๆ มีอาการ หูออ้ื ตาลาย เสียการทรงตวั มีบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไป และอาจถึงกบั ศกึ ษาคนควา ขอมลู เพม่ิ เตมิ เก่ยี วกับความรูท ั่วไปของเคร่ืองดม่ื แอลกอฮอล ไดท่ี หมดสตไิ ปได http://www.thaiantialcohol.com เวบ็ ไซตสํานกั งานคณะกรรมการควบคุม เครอ่ื งดมื่ แอลกอฮอล • ผลรายตอ ระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด ทําใหห ัวใจเตนเรว็ ความดนั เลอื ดสูง หลอดเลือดขยายตัว ทาํ ใหผ ดู ม่ื มใี บหนา แดง หแู ดง มเี ลอื ดไปเลย้ี ง คมู ือครู 73 สมองมาก ทําใหส มองบวม มีอาการปวดศรี ษะ • ผลรายตอ ระบบทางเดนิ อาหาร ผตู ดิ สุรามกั เปนโรคกระเพาะอาหาร อักเสบเปนแผล ลาํ ไสอกั เสบเร้ือรงั และอาจทาํ ใหเ กดิ มะเรง็ ท่ีหลอดอาหารได • ผลรายตอตบั ทาํ ใหเปนโรคตบั แข็ง ตบั มีเลือดมาคั่งมาก ทําใหผูปว ย ทอ งบวมนา้ํ มีอาการตวั เหลืองและตาเหลอื งได • ผลรายตอทางจติ ใจ เม่ือไมไ ดด่มื จะมคี วามกระวนกระวาย ฉนุ เฉยี ว และถาดื่มมากๆ จะมอี าการประสาทหลอนได

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกยี่ วกบั อบุ ตั เิ หตเุ พลงิ ไหม ๓.๒) ชอบเทยี่ วกลางคนื สมยั กอ่ นการเทยี่ วกลางคนื หมายถงึ การไปดภู าพยนตร์ ท่ี “ซานติกา ผบั ” หลังจากน้ันครตู ้ังคําถามให ดูละคร ไปเต้นร�า ปัจจุบันในเมืองใหญ่ๆ มีที่เที่ยวมากมาย เช่น สถานอาบอบนวด บาร์ คาเฟ นักเรียนชวยกันตอบ เชน ไนทค์ ลบั ผับ และอน่ื ๆ มากมาย การเที่ยวกลางคืนมีโทษ ดงั นี้ • การเทีย่ วกลางคนื เปน ประจํา สงผลกระทบ ตอตนเองและสงั คมอยา งไร โทษของการเทยี่ วกลางคนื (แนวตอบ ทําใหส ้นิ เปลืองเงนิ ทองโดยไมได ประโยชนอันใด ทําใหส ขุ ภาพรา งกาย ๑. เป็นการไม่รักตัว คนท่ีชอบเท่ียวมากย่อมท�าให้ร่างกายและจิตใจไม่ปกติ ไม่อาจประกอบหน้าที่ เส่อื มโทรม นอนพักผอ นไมเพียงพอ เกดิ โรค การงานไดต้ ามปกติ และต้องเสียเงินรกั ษาตัวโดยไม่จา� เปน็ แทรกซอ นตา งๆ ไดง าย ทงั้ น้ีการเปนคนชอบ เท่ยี วกลางคนื เปนประจาํ นั้น ยงั สง ผลใหผูอืน่ ๒. เป็นการไม่รักลูกเมียหรือครอบครัว การไปเที่ยวบ่อยๆ ท�าให้ครอบครัวขาดความอบอุ่น ซึ่งอาจเกิด มองภาพลกั ษณของตวั เราไปในทางไมดี เชน ปญั หาตา่ งๆ ได้ เปนที่ระแวงสงสยั ของผูอื่น ผูอนื่ จะคิดวา เรา เปน คนเหลวไหล ขาดความรับผดิ ชอบ ๓. เป็นการไม่รักษาทรัพย์สมบัติ การเที่ยวเตร่เป็นการจ่ายเงินโดยไม่ได้รับประโยชน์อะไร ทรัพย์สิน เปนตน) มแี ตจ่ ะหมดไป อาจมีปญั หาแทรกซ้อนได้ 2. ครูใหนักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา ถานกั เรียน ๔. เป็นทรี่ ะแวงสงสยั ของผอู้ นื่ ขอ้ น้เี หน็ ชัด คนทีเ่ ท่ียวกลางคืนเป็นประจ�าผูค้ นย่อมไม่คอ่ ยจะไว้ใจ ทา� ให้ ไมไ ปเท่ียวกลางคนื นักเรียนจะเลือกทาํ สิง่ ใด ส่งผลกระทบไปถึงการท�างานไม่ว่าจะเป็นงานราชการหรือธุรกิจเอกชน หัวหน้าจะไม่ไว้ใจ ลูกน้องจะ เพ่ือสรา งประโยชนและคุณคาใหแกตนเอง ไมเ่ ลือ่ มใส (แนวตอบ เชน อยูกับครอบครัวท่ีบาน เลือกดู รายการโทรทศั นที่เปนประโยชน อา นหนงั สอื ๕. เปน็ เปาให้เขาใสค่ วาม ท�าอะไรผิดเลก็ นอ้ ยคนก็จะหาว่าเพราะเทยี่ วมากจึงเปน็ อย่างน้ี ทั้งๆ ทีอ่ าจมใิ ช่ ทีใ่ หความรแู ละความบันเทิง เพอ่ื เสริมสราง กไ็ ด้ สตปิ ญญาใหเ กิดความรอบรู พัฒนาตนใหม ี ความรูค วามสามารถทีด่ ีย่ิงขนึ้ เปน ตน) ๖. เปน็ ทมี่ าของความเดอื ดรอ้ นนานาชนดิ เมอ่ื เทย่ี วจนหมดเงนิ อาจคดิ การทจุ รติ อาจมอี ารมณเ์ สยี บอ่ ยๆ อาจท�าใหค้ รอบครัวเกิดความแตกแยก 74 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครมู อบหมายใหนักเรยี นไปคนควา หาขา วจากหนงั สอื พมิ พ โทรทศั น หรืออินเทอรเน็ต เกีย่ วกบั โทษของการเท่ยี วกลางคนื เชน เกดิ การทะเลาะ ครูอธบิ ายเพม่ิ เติมใหนักเรยี นเขาใจวา ตามพระราชบญั ญตั ิสถานบริการ ววิ าท เกิดคดอี าชญากรรม เปนตน แลวเขียนสรุปเหตุการณที่เกิดขนึ้ ในขา ว (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2546 กาํ หนดไวว า ผูทจ่ี ะเขา ไปใชบรกิ ารสถานบริการไดน น้ั พรอมท้งั วเิ คราะหว ามีผลเสยี ตอ ชวี ติ และทรพั ยสินอยา งไร จากน้ันนาํ มาเลา จะตอ งมีอยูไ มตาํ่ กวา 20 ปบ ริบูรณ แตใ นความเปน จริงแลว ไมว าจะอายเุ ทาใด ใหเพ่ือนฟงหนา ชน้ั เรยี น ก็ควรหลีกเลยี่ งการไปเที่ยวเตรใ นสถานทอ่ี โคจรเชน นั้น เพราะสมเด็จพระสัมมา- สัมพุทธเจา ทรงส่ังสอนแลว วา การเทีย่ วกลางคนื มโี ทษมากมาย พทุ ธศาสนิกชนทดี่ ี กิจกรรมทาทาย จงึ ควรนอมนาํ คําสง่ั สอนของพระองคม าประพฤติปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหเกิดความสุขและ ความกาวหนาในชีวติ ครมู อบหมายใหนักเรียนไปศึกษาคนควาเพม่ิ เติมเกยี่ วกับโทษของการ ชอบเทย่ี วกลางคืน จากนั้นใหน ําขอ มลู ที่ไดแ ตง เปน เรื่องสั้นหรอื นิทานทใี่ ห ขอ คดิ เตือนใจ แลวออกมานําเสนอหนาชัน้ เรยี น 74 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๓.๓) ชอบเทยี่ วดูการละเลน่ การละเล่น1มีความหมาย ดงั ต่อไปน้ี 1. ครูนาํ ภาพการละเลน เชน ภาพฟอนรํา ๑. มรี �าทไ่ี หนไปทนี่ ั่น ภาพคอนเสิรต ภาพการแสดงละครเวที ๒. มขี ับร้องท่ีไหนไปท่ีนน่ั เปน ตน มาใหนักเรยี นอภิปรายถงึ ประโยชน ๓. มีดนตรีทไ่ี หนไปทนี่ ัน่ ทไ่ี ดรับจากดกู ารละเลน ดงั กลาว ๔. มเี สภาทไี่ หนไปทีน่ ั่น ๕. มเี พลงที่ไหนไปท่นี ่ัน 2. ใหน กั เรียนวเิ คราะหว า การชอบเทยี่ วดูการ ๖. มเี ถิดเทงิ ทีไ่ หนไปท่นี ่ัน ละเลน ตางๆ มากจนเกนิ ไปน้นั สง ผลกระทบ ในการชอบเท่ียวดูการละเล่นนี้ ตอตนเองอยา งไร มโี ทษ คอื ถา้ เทยี่ วมากเกนิ ไป ท�าใหใ้ จไปจดจอ่ (แนวตอบ การเทย่ี วดกู ารละเลนตางๆ มากจน อยกู่ บั สง่ิ เหลา่ นี้ ไมเ่ ปน็ อนั ทา� มาหากนิ เสยี ทงั้ เวลา เกินไปหรอื มีใจจดจอ อยแู ตเรอื่ งเดียวน้นั จะ เสียทั้งเงิน ท�าให้คนเช่ือถือน้อยลง ถูกมองว่า ทําใหล ะเลยในการกระทาํ สงิ่ อืน่ ๆ ทเ่ี ปน หนาท่ี เป็นคนไม่เอาการเอางาน หรอื การทํางานหลกั ทําใหข าดความนา เชื่อถือ ๓.๔) ติดการพนัน มโี ทษ ดังน้ี และถกู มองวา เปน คนไมเ อาการเอางาน) ๑. เม่ือชนะย่อมก่อเวร คอื เม่ือเล่นไดก้ ็ย่อมมคี นอยากแกม้ ือเรียกร้อง ในการเท่ียวชมการละเล่นต่างๆ หากพิจารณาเลือกชมได้ 3. ครูใหนักเรียนวิเคราะหสาเหตุทที่ าํ ใหบ างคน ใหเ้ ล่นอีก เหมาะสมกับวัยและเวลา จะช่วยสร้างความบันเทิงใจให้ ตดิ การพนันจนยอมเสยี ทรัพยสนิ เปน จํานวน กบั ผู้ชม มาก ตลอดจนบอกถึงโทษของการติดพนนั (แนวตอบ สาเหตทุ ี่ทาํ ใหบ างคนเลน การพนันจน ๒. เมือ่ แพย้ อ่ มเสยี ดายทรพั ย์ คือ เมอื่ เล่นเสยี จิตใจก็บังเกิดความเสยี ดาย เสียทรพั ยสินเปน จํานวนมาก มาจากความโลภ ตอ้ งการเลน่ ตอ่ ไปอกี การพนนั ทกุ ชนดิ ทา� ใหค้ นลมุ่ หลง เมอ่ื ลองเลน่ แลว้ กม็ กั หยดุ ไมไ่ ด้ หนกั เขา้ ภายในใจ ปราศจากการคดิ ดว ยเหตแุ ละผล ก็ไม่เปน็ อนั ท�างานหรือศกึ ษาเลา่ เรยี น จึงทําใหค วามโลภบงั คบั จติ ใหยอมทาํ ทุกสงิ่ ๓. ทรพั ยส์ นิ ยอ่ มเสยี หาย ไมเ่ คยปรากฏวา่ มคี นรา�่ รวย หรอื มฐี านะดไี ดด้ ว้ ย เพ่อื ใหไดผ ลตอบแทนกลับมา สง ผลใหเ กดิ การพนัน เพราะถงึ แมจ้ ะเล่นชนะ เงินทไี่ ดม้ าน้ันก็มกั เก็บไวไ้ ดไ้ ม่นาน ตอ้ งใชจ้ า่ ยจนหมด ความทกุ ข สรา งความเดอื ดรอ นใหแ กต นเอง และครอบครวั ในภายหลงั ) ๔. ไม่มีใครเช่ือถือ ผู้ท่ีเป็นนักเลงการพนัน ผู้อื่นย่อมขาดความเชื่อถือใน ขยายความเขา ใจ Expand ถอ้ ยคา� มกั ถกู มองว่าเปน็ คนหลอกลวง ๕. เพ่ือนฝูงดูหมนิ่ ไมอ่ ยากคบค้าสมาคม เพราะกลวั จะเสียชอ่ื ตามไปดว้ ย ๖. ไมม่ ใี ครอยากไดเ้ ปน็ คคู่ รองเพราะกลวั ชวี ติ ครอบครวั ไมร่ าบรนื่ เนอื่ งจาก ใหนกั เรียนชวยกนั เขยี นผังความคิดแสดงถงึ นักเลงการพนนั อาจจะละทง้ิ ครอบครัวได้ ถ้าหากติดการพนนั มากๆ การเชอ่ื มโยงวา การคบคนชว่ั เปนมติ รจะนําไปสู ๓.๕) คบคนช่ัวเปน็ มิตร คนเราเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับใคร ก็มีโอกาสท่ีจะมีพฤติกรรม พฤตกิ รรมการตดิ การพนัน ชอบเทยี่ วดกู ารละเลน เช่นเดียวกับเขา เปรียบเหมือนดั่งว่าถ้าเราอยู่ใกล้ของหอมเราก็หอมไปด้วย และถ้าอยู่ใกล้ของ ชอบเทย่ี วกลางคนื และตดิ สุราและของมึนเมา เหม็นเรากย็ อ่ มเหม็นตามไปดว้ ย ดงั นั้น ในการคบคา้ ผใู้ ดเปน็ มติ ร นักเรยี นจึงต้องระมดั ระวังใหด้ ี พรอ มอธบิ ายโดยสรปุ ใตผัง แลวสงครูผสู อน โดยพยายามหลีกเล่ยี งไม่คบคนชั่ว ๖ ประเภทใหญ่ๆ ดงั น้ี ตรวจสอบผล Evaluate บูรณาการเชอื่ มสาระ 75 1. ตรวจสอบจากความถกู ตองในการตอบคาํ ถาม และการอภปิ ราย ครสู ามารถนําเนอ้ื หาเรือ่ งการคบคนช่ัวเปนมติ ร คบนักเลงสุรายาเสพตดิ ไปบูรณาการเช่อื มโยงกับกลมุ สาระการเรียนรูสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา 2. ตรวจสอบจากความถูกตอ งของผังความคดิ วชิ าสุขศึกษา เร่อื งการชวยเหลือฟนฟผู ูต ดิ สารเสพตดิ โดยใหน กั เรียนศึกษา คนควา เพิ่มเตมิ เกี่ยวกบั โทษของสารเสพตดิ ประเภทตา งๆ ตลอดจนการ เกรด็ แนะครู ปอ งกนั และชว ยเหลอื ผตู ดิ สารเสพติด แลวนําขอ มูลท่ไี ดมาอภิปรายรวมกัน ในช้ันเรียน ครแู นะนําและอธิบายเพ่มิ เติมใหน กั เรยี นเขาใจวา อบายมขุ 6 ทนี่ ําไปสู อบายมขุ ขอ อืน่ ไดท ง้ั หมด คอื การคบคนชั่วเปน มติ ร นักเรียนจึงตอ งระมดั ระวัง ในการคบเพ่อื น เพราะเมือ่ เราอยใู กลช ิดใคร กม็ ีโอกาสทจ่ี ะเลยี นแบบพฤตกิ รรม ของเขา ถาเราคบเพื่อนทม่ี พี ฤตกิ รรมไมด ี เชน ติดสรุ า เขาอาจจะชกั ชวนใหเ รา ด่ืมสรุ าดวย หรอื ติดการพนัน เขาอาจจะชกั ชวนเราไปเลน การพนันดวย เปน ตน นักเรียนควรรู 1 การละเลน วัตถปุ ระสงคใ นคาํ สอนนี้ ถาเขาไปดเู พอื่ ความบนั เทิง เพอื่ ผอนคลายเปนคร้งั คราว ไมถ ือวาเปน โทษแตถอื วา เปนนันทนาการอยา งหนึ่ง โดยนัยนี้ตอ งการสอนศาสนกิ ชนมิใหมคี วามหมกมนุ มากเกินไป เพราะจะมี ผลกระทบอยางอื่นตามมา คมู อื ครู 75

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครใู หนกั เรียนยกตัวอยา งเหตุการณในชีวิต ๑. นักเลงการพนนั ประจาํ วนั ทท่ี าํ ใหน กั เรียนรสู กึ มคี วามสขุ สาํ รวจคน หา Explore ๒. นนัักกเเลลงงเสจรุ า้ าชยู้าเสพตดิ 1 ๓. ๔. นกั ลวงเขาดว้ ยของปลอม ครใู หนกั เรียนศกึ ษาคนควา เก่ียวกบั หลักธรรม ๕. นกั หลอกลวง นิโรธ (ธรรมทค่ี วรบรรล)ุ จากหนังสือเรยี นหนา ๖. นกั เลงหัวไม้ 76-78 หรอื จากแหลง การเรียนรูตา งๆ เชน หนงั สือ ๓.๖) เกียจคร้านการงาน คนเกียจคร้านการงานนนั้ มกั จะยกเหตผุ ลตา่ งๆ นานา ธรรมะ หอ งสมดุ เปนตน มาอา้ งวา่ ยังท�างานไม่ได้ เชน่ อ้างว่าหนาวนกั รอ้ นนัก เยน็ ไปแล้ว ยงั เช้านกั หิวนัก อิ่มนัก อธบิ ายความรู Explain ความเกียจคร้านมีโทษอย่างไร แทบไม่ต้องพูดถึง ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งท่ีเป็น ประโยชน์และส่ิงดีงามทั้งหลายย่อมไม่เกิดจากความเกียจคร้าน เรียนหนังสือก็สู้เขาไม่ได้ ทา� มาหากนิ กส็ เู้ ขาไมไ่ ด้ ไดแ้ ตห่ าเหตผุ ลมาชว่ ยใหส้ บายใจขน้ึ ซง่ึ จรงิ ๆ แลว้ ไมช่ า้ กท็ ราบวา่ แทนท่ี ครูสนทนากบั นักเรียนเกย่ี วกับความหมาย จะสบายใจกลบั เปน็ ทกุ ข์ใจมากขนึ้ ของพุทธดํารสั ทวี่ า “เม่อื สิง่ นไี้ มม ี สงิ่ นั้นไมมี เพราะสง่ิ นด้ี บั สงิ่ นน้ั กด็ บั ” จากนน้ั ใหน กั เรยี นชว ยกนั คณุ ประโยชนข์ องการละเวน้ อบายมขุ บอกวา ทกุ ครัง้ ทนี่ กั เรียนรสู ึกไมส บายใจ มคี วาม ทุกขใ จ นกั เรยี นมีวิธแี กปญหาอยางไร ผู้ทลี่ ะเวน้ จากอบายมุข ๖ ย่อมไดร้ บั คุณประโยชน์ ดังน้ี ๑. ไมเ่ สียทรัพย์ไปโดยเปลา่ ประโยชน์ (แนวตอบ เม่ือความทุกขเกิดจากสาเหตใุ ด ก็ตอง ๒. ไม่หมกมุน่ ในสงิ่ ท่หี าสาระมไิ ด้ ดับสาเหตแุ หง ทุกขน น้ั ดงั น้ัน เมือ่ เกดิ ความรสู ึก ๓. ประกอบหน้าทก่ี ารงานได้เต็มท่ี ไมส บายใจหรอื ทกุ ขใ จ ควรหาสาเหตแุ หง ความทกุ ขใ จ ๔. ชีวติ ไม่ตกต�า่ เหลาน้นั ซ่ึงจะทาํ ใหม องเห็นวธิ กี ารดับทกุ ข ๕. เป็นทีร่ ักใคร่และไวว้ างใจของผ้อู ่นื เพ่ือพนจากความทุกขทง้ั ปวงได) ๖. มีพลานามยั สมบรู ณ์ และสติปัญญาไม่เส่อื มถอย ๗. สามารถประกอบหนา้ ทกี่ ารงานไดด้ ้วยความสจุ รติ 2.3 นโิ รธ (ธรรมท่ีควรบรรลุ) นโิ รธ คือ ความจริงว่าด้วยความดับทุกข์ เม่อื ความทกุ ขเ์ กดิ จากสาเหตุ ถ้าเราดบั สาเหตุเสยี ความทุกข์นั้นก็ย่อมดับไปด้วย ดังพุทธด�ารัสว่า “เม่ือส่ิงนี้ไม่มี ส่ิงนั้นก็ไม่มี เพราะสิ่งน้ีดับ สงิ่ นนั้ กด็ บั ” ณ ทนี่ จี้ ะพดู ถงึ หลกั ธรรมบางขอ้ ทเี่ ราควรบรรลเุ พอื่ เปน็ ทางดบั ทกุ ขต์ ามหลกั อรยิ สจั ๔ ในพระพุทธศาสนามีหลักค�าสอนเร่ืองอริยสัจ ๔ ซึ่งเก่ียวกับความทุกข์ และวิธีดับทุกข์ บางคนอาจคิดวา่ พระพทุ ธศาสนาสอนแตเ่ ร่อื งความทุกข์ไม่สอนเรอ่ื งความสุขจริงๆ แล้วพระพุทธ ศาสนามีหลักค�าสอนเก่ียวกับเรื่องความสุขมากมาย จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ “นิพพาน” ก็เป็นความสุข และเป็นบรมสุข คือ สขุ สูงสุด 76 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บุคคลผูละเวนจากอบายมขุ 6 จะเกดิ ผลดีตอ ตนเองและสังคมอยา งไร 1 ยาเสพติด คอื สารใดกต็ ามทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตหิ รอื สารทส่ี งั เคราะหข นึ้ เมอี่ แนวตอบ การละเวนจากการติดสุรา เที่ยวกลางคืน เทยี่ วดูการละเลน นาํ เขาสูรา งกาย ไมว า จะโดยวิธีรับประทาน ดม สบู ฉีด หรอื ดวยวธิ กี ารใดๆ แลว ตดิ การพนนั คบคนชั่วเปนมิตร และเกยี จครา นการงาน ยอ มเกิดผลดตี อ ทําใหเ กดิ ผลตอ รางกายและจติ ใจ นอกจากนี้ ยงั จะทาํ ใหเกิดการเสพตดิ ได หากใช ตนเองและสังคม คือ ทาํ ใหบคุ คลนัน้ มีสขุ ภาพกาย สุขภาพใจที่แขง็ แรง สารนั้นเปน ประจาํ ทุกวนั หรือวนั ละหลายๆ คร้งั ซ่ึงลักษณะสาํ คญั ของสารเสพติด สมบูรณ มีสตปิ ญ ญาพรอ มท่ีจะทาํ งานตา งๆ ไดอยา งมีประสทิ ธิภาพ เปน จะทําใหเ กิดผลตอผูเสพ ดงั น้ี ทีร่ ักใครแ ละไวว างใจของผูอืน่ ดาํ เนินชีวติ ไปในทางทด่ี งี าม ถกู ตอง ไมเ สีย ทรพั ยไปกับสงิ่ ท่ีไรป ระโยชน รจู ักแยกแยะสง่ิ ใดดีสิง่ ใดชั่ว อนั จะสง ผลให 1. เกิดอาการด้ือยาหรอื ตา นยา และเมือ่ ติดแลว จะตองการใชสารน้นั ชวี ติ ประสบความสาํ เรจ็ ทัง้ น้ียงั สงผลดีตอสังคม ทําใหสังคมขบั เคลอื่ นไปใน ในปริมาณมากขนึ้ ทางท่ดี ี พัฒนาไปสูค วามกา วหนาไดอยา งรวดเรว็ เน่อื งจากมปี ระชากรทม่ี ี คุณภาพ 2. เกดิ อาการขาดยา ถอนยา หรอื อยากยา เมอื่ ใชส ารนัน้ เทาเดิม ลดลง หรอื หยดุ ใช 3. มคี วามตอ งการเสพท้ังทางรา งกายและจิตใจอยางรนุ แรงตลอดเวลา 4. สขุ ภาพรา งกายทรุดโทรมลง เกดิ โทษตอ ตนเอง ครอบครวั ผูอ่นื ตลอดจน สังคมและประเทศชาติ 76 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain การแบ่งประเภทความสุขนั้น แบ่งได้หลายวิธี วิธีหน่ึงท่ีเข้าใจได้ง่าย คือ แบ่งเป็น 1. ครใู หน กั เรยี นอภิปรายถงึ ประเภทของความสุข สามสิ สุข กบั นริ ามิสสขุ พรอมยกตวั อยา งเหตุการณประกอบการ อภิปราย ๑) สามสิ สขุ คอื ความสขุ ทางวตั ถหุ รอื ความสขุ ทางเนอ้ื หนงั บางทเี รยี กวา่ “กามสขุ ” 2. ครใู หน กั เรียนเปรียบเทียบขอดขี อเสียระหวาง เป็นความสุขทปี่ ระสาทสัมผสั ทง้ั ๕ (ตา หู จมูก ลน้ิ กาย) ไดเ้ สพเสวยส่ิงที่ทา� ให้เกดิ ความพอใจ ความสขุ ทางกายกับความสุขทางใจ เช่น ได้กินอาหารอร่อยๆ เห็นภาพสวยๆ ได้อยู่ในท่ีไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ได้ฟังเสียงอ่อนนุ่ม (แนวตอบ ความสขุ ทางกายหรือสามสิ สขุ ไพเราะ เปน็ ต้น เปน ความสขุ ท่ีเกดิ จากความแข็งแรงสมบูรณ ทางกาย การมีทรัพยส นิ เงนิ ทอง มีอาชีพ การเสพสามสิ สุขเป็นของธรรมดาสา� หรบั คนทวั่ ไป พระพทุ ธศาสนาสอนเร่ือง “คิหสิ ขุ ” การงานที่ดี ทําใหส ามารถใชชวี ิตไดอ ยา งสุข คอื ความสขุ ของชาวบ้าน อันไดแ้ ก่ สบาย แตสิง่ เหลา น้ีลว นเปนความสุขช่ัวคราว แมว ามีเงนิ ทองมากมาย แตว นั หน่งึ กต็ อ ง ๑. ความสขุ ทเ่ี กิดจากการมีทรัพย์ เรียกว่า อัตถิสขุ หมดไป รางกายทเี่ คยแข็งแรงก็เสอ่ื มโทรมลง ๒. ความสขุ ทเ่ี กดิ จากการใช้จา่ ยทรพั ย์ เรยี กวา่ โภคสุข กอใหเกดิ ความทกุ ขในที่สดุ สาํ หรบั ความสขุ ๓. ความสุขทเี่ กดิ จากการไมม่ หี นี้สนิ เรยี กว่า อนณสุข ทางใจหรอื นริ ามสิ สขุ เปน ความสขุ ท่เี กิดจาก ๔. ความสุขที่เกดิ จากการประพฤติในสิ่งท่ีสจุ รติ เรยี กวา่ อนวชั ชสุข จิตใจท่ีสงบ ไมคดิ ฟุงซาน ไมคดิ รายตอผูอ นื่ เป็นทาสของสวาัตมถิสุ สคุขรหุ่นรคือิดคแวลาะมกสรุขะทวนากงกระาวยาขย้ึนในอยเรู่กื่อับงวกัตามถุภคุณายน๕1อกตลผอู้หดมเวกลมาุ่นมกาัวรเมเสาพกค็จวะากมลสาุขย ซง่ึ แมว า จะเปน ความสขุ ทไ่ี มสามารถจับตอ งได ประเภทนคี้ วรจะมสี ติ คือ ต้องรับวา่ เปน็ ความสุขทีไ่ ม่แน่นอน ความทุกขอ์ าจเกิดได้เสมอ เพราะ แตเปน ความสุขทม่ี น่ั คงถาวร สรา งความสุข เป็นความสุขที่ขึ้นอยู่กบั วัตถภุ ายนอกโดยสิน้ เชงิ ในระยะยาวใหก ับชีวติ ) ๒) นิรามิสสุข คือ ความสุขที่ ขยายความเขา ใจ Expand ไม่อิงวัตถุภายนอก อาจเรียกได้ง่ายๆ ว่าเป็น ครูใหน ักเรียนเขยี นเรยี งความเร่ืองความสุข ขคั้วนาตม่�าสสุขุดทไาปงจใจนถคึงวขาั้นมสสูงุขสปุดระเคภือทนนี้มิพีตพั้งแานต2่ ทางใจในกระแสวัตถุนิยมของสังคมไทย รายละเอียดจะไม่กล่าว ณ ท่ีน้ี จะกล่าวเพียง ระดับต้นๆ คือ เป็นความสุขทางใจในระดับ ตรวจสอบผล Evaluate ชาวบา้ น ความสขุ แบบน้ี เช่น การไดร้ บั ความ อบอุ่นจากพ่อแม่ ไม่มีศัตรู ไม่มีผู้เกลียดชัง การได้รับประทานอาหารอร่อยๆ จัดเป็นสามิสสุข หรือ 1. ตรวจสอบจากความถกู ตองในการ มีแต่ผู้ให้ความรักใคร่ นับถือยกย่องสรรเสริญ ความสขุ ทางวัตถุ ซง่ึ เปน็ ความสขุ ทไ่ี ม่แนน่ อน ตอบคําถามและการอภิปราย ขั้นสูงข้ึนก็เช่น การท่ีมีจิตใจสงบ ไม่คิดร้าย ต่อใคร ไม่คิดฟุ้งซ่าน ท่ีสูงขึ้นอีกก็เช่น เกิด 2. ตรวจสอบจากการแสดงความคิดเห็น ความอมิ่ ใจทไ่ี ดเ้ สยี สละ ทา� ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม ทส่ี มเหตุสมผลในการเขยี นเรียงความ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน จิตใจสงบผ่องแผ้ว เรอ่ื งความสุขทางใจในกระแสวัตถนุ ยิ มของ ทไ่ี ดย้ กโทษใหแ้ กผ่ คู้ ดิ ร้ายตอ่ เรา สงั คมไทย 77 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู บุคคลใดตอไปน้ี มพี ฤติกรรมในการดําเนินชีวติ แบบเสพนริ ามิสสุข 1 กามคุณ 5 คือ สวนท่นี าปรารถนานา ใคร มี 5 อยา ง ไดแ ก รปู รส กล่ิน เสยี ง 1. จนิ ดาชอบสวมใสเ สอื้ ผา ทท่ี นั สมัยอยูเสมอ และโผฏฐพั พะ (สมั ผัสทางกาย) ที่นา ใคร นา พอใจ 2. ตนกลา ชอบเดนิ ทางทองเที่ยวในประเทศไทย 3. ดาํ รงชอบรบั ประทานอาหารในรานอาหารทมี่ ีชอ่ื เสยี ง 2 นพิ พาน คือ ความดับกเิ ลสและทุกขโดยส้ินเชงิ เปนจุดมงุ หมายสงู สุดใน 4. ลัดดาชอบทํากจิ กรรมทีเ่ ปนประโยชนตอสงั คมโดยไมหวงั ผลตอบแทน พระพุทธศาสนา เปนความสุขท่ีเกิดจากการละกิเลส นพิ พานเปน ภาวะจติ ที่ บรสิ ุทธหิ์ มดจด เปน ปจจัตตัง คือ รูไดเ ฉพาะผมู ีประสบการณเทา นั้น อยูเหนอื ระบบ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. นิรามิสสุขเปน ความสขุ ทางใจทไี่ มอ งิ วตั ถุ ความคิดและประสบการณของสามัญชน เปนโลกุตรธรรม คือ เหนือโลกเหนือวิสัย แหง โลกปถุ ชุ น พระอรหันตจึงไมอธบิ ายพระนพิ พานใหแ กป ถุ ชุ น นิพพาน ภายนอก อนั เกดิ จากการมจี ติ ใจท่ีสงบ ไมคดิ รายตอ ผูอ่ืน ตลอดจนรจู ัก มี 2 ประเภท ไดแก เสยี สละความสุขสว นตัว เพ่ือทาํ ประโยชนใหแกสว นรวมโดยไมห วงั ผล 1. สอปุ าทเิ สสนพิ พาน คอื นพิ พานทด่ี บั กเิ ลสไดโ ดยสนิ้ เชงิ เหลอื แตเ บญจขนั ธอ ยู ตอบแทน เชน เมอ่ื ตอนพระพุทธองคทรงบรรลพุ ระอนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณเปน พระสัมมาสัมพทุ ธเจาแลว ยังดาํ รงเบญจขนั ธอ ยแู ละไดส่งั สอนโปรด เวไนยสัตวต อ มาอีก 45 ป 2. อนปุ าทเิ สสนิพพาน คอื นพิ พานซ่ึงดบั ท้ังกเิ ลสและเบญจขนั ธ เชน การปรินพิ พานของพระพทุ ธเจา เปน ตน คูมือครู 77

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูถามนักเรียนวา ในเวลาท่ีเกิดความทกุ ขใจ ความสุขประเภทน้ี ไมขึ้นอยูกับวัตถุภายนอกหรือข้ึนอยูนอยมาก เปนความสุข มีวิธีหรอื แนวทางในการแกป ญ หาดังกลาวอยา งไร ทางใจ เราบังคบั วัตถุภายนอกไมไ ด บงั คบั คนอน่ื ก็ไมไ ด แตบงั คบั จิตใจของตวั เองได การบังคับ จติ ใจตวั เองมิใชของงา ย แตกเ็ ปนไปได เร่ิมตน ดว ยการปฏิบตั ิตามศลี ๕ และธรรม ๕ แลวกม็ า (แนวตอบ เชน ปรึกษาพอแม ครูอาจารย หรือ เพ่ือนสนทิ นงั่ สมาธิ เลนกีฬา เลนดนตรี เปนตน ) บําเพ็ญสมาธิ ในระดับตนและสูงข้ึนไปเร่ือยๆ ปฏิบัติตามมรรคมีองคแปดก็จะไดรับความสุข สาํ รวจคน หา Explore ทางใจสงู ข้นึ เรื่อยๆ ความสขุ ท่พี ่งึ วัตถุภายนอก กจ็ ะนอ ยลงเรอื่ ยๆ เปน ตวั ของตวั เอง ไมเ ปน ทาส ครใู หนักเรียนศกึ ษาคนควาเก่ียวกับหลกั ธรรม มรรค (ธรรมทีค่ วรเจรญิ ) จากหนงั สือเรยี นหนา ของค๒า น.๔ยิ มทมฟี่ รมุ รเคฟ1อ (ยธหรรรอื มทเ่ีทรยีค่ี กววรา เวจตั รถญินุ ยิ )ม 78-90 หรือจากแหลงการเรยี นรูตางๆ อธบิ ายความรู Explain มรรค คอื ความจริงวา ดวยทางแหง ความ ดบั ทกุ ข ถา ใครปฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะลดความทกุ ขห รอื 1. ครูใหน ักเรียนอภปิ รายวา การน่งั สมาธิเปน การ การปฏิบัติธรรม จัดเปนนิรามิสสุขหรือความสุขทางจิตใจ ปญ หาได ณ ที่น้ีเราจะพูดถึงหลกั ธรรมบางขอ ปฏบิ ตั ิเพ่อื พนจากความทุกขไดจ รงิ หรอื ไม ชวยใหจ ติ ใจสงบไมฟงุ ซาน เปนความสุขทถ่ี าวร ทเ่ี ราควรปฏบิ ตั ิ เพอื่ เปน ทางไปสคู วามดบั ทกุ ข (แนวตอบ การน่ังสมาธเิ ปนการปฏบิ ตั ิเพ่ือฝก ฝน ดังน้ี จิตใหส งบ เยือกเย็น มีสติสมั ปชญั ญะในการรจู ัก พจิ ารณาสงิ่ ตางๆ ดวยปญญา ผอนคลายความ ๑) บพุ พนมิ ติ ของมชั ฌมิ าปฏปิ ทา ทุกขไดในระดบั หนึง่ ดังน้ัน จึงกลาวไดวา การ นัง่ สมาธเิ ปนวธิ ีการเบื้องตนในการฝกตนใหร ูจกั เปนท่ที ราบกันดีแลววา พระพุทธศาสนาสอนเร่อื งทุกขและวิธีดับทุกข ทางดับทุกขน้นั เรียกวา ควบคมุ จติ ใหพนจากความทกุ ข) มรรคมีองคแปด หรอื เรียกอีกอยางหนงึ� วา มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) บพุ พนมิ ติ แปลวา ส�ิงท่ีเปนเคร่ืองหมาย หรือส�ิงบอกลวงหนา 2. ครูใหนักเรียนอธิบายความหมายของพุทธดาํ รัส พระพุทธเจาตรัสเปรียบวา “กอนที่ดวงอาทิตย ทีก่ ลาววา “กอนที่ดวงอาทติ ยจ ะข้ึนยอมมี จะขึ้นยอมมีแสงเงินแสงทองปรากฏใหเห็น แสงเงินแสงทองปรากฏใหเ ห็นฉันใด ในทํานอง กอนฉันใด ในทํานองเดียวกนั กอนทอ่ี ริยมรรค เดียวกนั กอนทอ่ี รยิ มรรคหรอื มัชฌิมาปฏปิ ทา หรือมชั ฌิมาปฏิปทา ซงึ� เปน ขอ ปฏบิ ัตสิ าํ คัญใน ซง่ึ เปนขอ ปฏิบัติสําคัญในพระพุทธศาสนาจะ พระพทุ ธศาสนาจะเกดิ ขนึ้ กม็ ธี รรมบางประการ เกิดข้นึ กม็ ธี รรมบางประการปรากฏขึน้ กอน ปรากฏข้ึนกอนเหมือนแสงเงินแสงทองฉันนั้น” เหมือนแสงเงินแสงทองฉันนัน้ ” ผูที่ปฏบิ ตั ิตามทางน้� จะไดรบั ความสงบสขุ ของ (แนวตอบ พระพุทธองคตรัสเปรียบเทยี บระหวาง ชวี ติ ตง้ั แตร ะดบั ตน จนถงึ ระดบั สงู สดุ เหน็ สง�ิ ตา งๆ บุพพนมิ ติ ของมชั ฌิมาปฏปิ ทากบั ลักษณะการ ตามความเปนจริง ซงึ� เรยี กวา เกิดปญญาข้นึ ขน้ึ ของดวงอาทติ ย กลาวคอื เมื่อส่ิงใดสง่ิ หน่ึง กอนที่จะทําใหเกิดปญญาขึ้นไดน้ัน จะเกดิ ข้นึ ยอ มมีสิ่งที่เปน สญั ญาณบอกลว งหนา มปี จ จยั ๒ อยา งเปน เครอื่ งชว ย คอื กลั ยาณมติ ร การฝกบริหารจิตชวยใหเรามีสติรูตัวอยูเสมอ และตั้งตน เสมอ การปฏบิ ตั ิเพอื่ นาํ ไปสมู ชั ฌมิ าปฏิปทาก็ และโยนโิ สมนสิการ อยใู นความไมประมาท เชนกนั ยอ มมปี จจยั ทเ่ี ปน สญั ญาณบอกวากาํ ลงั จะเดนิ ทางไปสอู ริยมรรคหรือมัชฌิมาปฏปิ ทา ๗๘ นั่นคอื กัลยาณมติ รและโยนโิ สมนสิการ) กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรียนควรรู 1 มรรค ทางปฏบิ ัติใหถ งึ ทางดบั ทกุ ข 8 ประการ ดงั นี้ ครูมอบหมายใหนกั เรยี นเขียนบรรยายเหตกุ ารณท ีท่ าํ ใหน กั เรียน 1. สมั มาทิฏฐิ เห็นชอบ 5. สัมมาอาชวี ะ เลี้ยงชีพชอบ มคี วามสุขแบบนริ ามิสสุข พรอมบอกเหตุผลวา เหตใุ ดจงึ รสู ึกเชนนนั้ 2. สัมมาสงั กปั ปะ ดาํ ริชอบ 6. สมั มาวายามะ เพียรชอบ ความยาว 1 หนากระดาษ A4 สง ครูผสู อน 3. สมั มาวาจา เจรจาชอบ 7. สัมมาสติ ระลกึ ชอบ 4. สัมมากัมมนั ตะ กระทาํ การชอบ 8. สมั มาสมาธิ ต้งั จิตม่ันชอบ กิจกรรมทา ทาย บเศรู ณรากษารฐกจิ พอเพียง ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง มุงใหค นดาํ รงชวี ิตอยูบนพืน้ ฐานของความพอประมาณ ครูมอบหมายใหน ักเรยี นจัดทาํ การต ูนทสี่ อนใหเห็นถึงขอเสยี ของการ ซึ่งสอดคลอ งกับคาํ สอนเรอื่ งทางสายกลาง หรอื มัชฌมิ าปฏปิ ทาของพระพุทธศาสนา บรโิ ภคนยิ มหรอื คา นยิ มใชส นิ คา ฟมุ เฟอ ย เชน การเปลยี่ นโทรศพั ทเ คลอ่ื นท่ี บอ ยๆ พรอมทง้ั บอกวธิ ีแกไ ขปญ หาดงั กลา วดว ย ครูใหนกั เรียนสํารวจตนเองวา ประพฤติตนเกินความพอดใี นดา นใดบาง และควรจะแกไ ข หรอื ปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมอยา งไรใหสอดคลอ งกับทางสายกลาง โดยใหบ ันทึกขอมลู ลงกระดาษ แลว ออกมานําเสนอหนา ช้นั เรยี น 78 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๑) กลั ยาณมติ ร พระพทุ ธองค์ทรงสอนว่า การมกี ลั ยาณมติ รเปน็ “บุพพนิมติ ” 1. ครูและนกั เรียนอภปิ รายถงึ ความหมายและ ของมัชฌิมาปฏิปทา คือ เป็นสิ่งท่ีน�าเราไปสู่มัชฌิมาปฏิปทา การมีกัลยาณมิตรเป็นสัญญาณ คุณสมบตั ขิ องกลั ยาณมิตรรว มกัน จากนั้น ที่บอกว่าเราก�าลังจะเดินทางไปสู่อริยมรรค บางทีเรียกกัลยาณมิตรว่า “ปรโตโฆสะ” แปลว่า ใหนกั เรียนจบั คกู บั เพือ่ นสนิท แลว อธบิ ายวา เสยี งจากผู้อื่น คอื เปน็ เสยี งหรือค�าพูดทดี่ งี าม ถกู ตอ้ ง เป็นเสยี งจากมติ รทีด่ ี ช่วยแนะนา� ใหเ้ รา เพอื่ นของนักเรียนมีคุณสมบัติสอดคลองกบั เกิดความคิดเห็นท่ีถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ความมีกัลยาณมิตรนี้ถือว่าอยู่ในระดับศรัทธา การมี กลั ยาณมติ รในขอใดบาง กลั ยาณมติ รมไิ ดแ้ ปลวา่ เราเกดิ ปญั ญา เหน็ สจั ธรรม แตแ่ ปลวา่ เราเกดิ ศรทั ธาทจี่ ะไปหาสจั ธรรม กัลยาณมิตรจะเป็นผู้แนะน�า สั่งสอน ให้เห็นว่าอะไรถูกอะไรผิด การมีกัลยาณมิตรเป็นจุดเร่ิมต้น 2. ใหน กั เรียนอธิบายวา โยนิโสมนสกิ ารมีความ ของการพฒั นาปัญญาทจ่ี ะทา� ใหเ้ ราเหน็ สจั ธรรม สาํ คญั ตอการปฏิบตั เิ พ่ือนําไปสทู างแหงความ ดบั ทกุ ขห รือมรรคมีองค 8 ไดอยา งไร คณุ สมบตั ขิ องกลั ยาณมติ ร (แนวตอบ โยนโิ สมนสกิ าร หมายถงึ การ ทําใจโดยอุบายอันแยบคาย หรือการรจู ักคิด คณุ สมบตั ิของกลั ยาณมิตร เรยี กวา่ กลั ยาณมติ รธรรม วิเคราะห พจิ ารณาส่ิงตา งๆ อยา งมีระบบ มี ๗ ประการ ดงั นี้ มคี วามสําคญั ตอ การปฏิบัติเพ่ือนําไปสมู รรค คอื ทาํ ใหเกิดความรแู จง ขจดั อวิชชา ทาํ ใหจ ติ ๑. ปิโย น่ารกั เป็นกนั เอง เกิดกศุ ลธรรม สรางพลังใหร จู ักคิดในสิ่งทด่ี ี ๒. คร ุ นา่ เคารพ อนั เปนปจ จยั ภายในทีเ่ สรมิ สรา งใหน ําไปสู ๓. ภาวนโี ย น่ายกย่อง หนทางแหง ความดบั ทุกขห รือมรรคมอี งค 8) ๔. วตั ตา รูจ้ กั ชีแ้ จงใหเ้ ขา้ ใจ ๕. วจนกั ขโม อดทนทจี่ ะรบั ฟัง ๖. คัมภรี ญั จะ กะถงั กัตตา แถลงเรอ่ื งลา�้ ลึกได้ ๗. โน จัฏฐาเน นโิ ยชะเย ไม่ชกั จงู ไปทางเส่อื มเสีย ๑.๒) โยนโิ สมนสกิ าร หมายถงึ ผู้ท่ีมีปัญญาคิดอย่างถูกวิธี และสามารถหาทางออกให้ การใช้ความคิดถูกวิธี รู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ ปัญหาได้ ย่อมมีความสุขและมีสุขภาพจิตดี คดิ อยา่ งมรี ะเบยี บ บางทเี รยี กวา่ “การทา� ใจโดย อุบายอันแยบคาย” โยนิโสมนสิการนี้ถือเป็น 79 บุพพนิมิตของมัชฌิมาปฏิปทาเปรียบเสมือน กัลยาณมติ ร กลั ยาณมติ รหรอื ปรโตโฆสะ เป็น ปัจจัยภายนอก โยนิโสมนสิการ เป็นปัจจัย ภายใน โยนโิ สมนสกิ าร เปน็ อาหารหลอ่ เลย้ี งสติ มิให้คิดในทางผิด แม้ศรัทธาหรือกัลยาณมิตร เปน็ สงิ่ สา� คญั ทจี่ ะเดนิ ตามอรยิ มรรค แตต่ วั ตดั สนิ คือ ปัจจัยฝา่ ยใน ทเี่ รยี กว่า โยนโิ สมนสิการ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกรด็ แนะครู กลั ยาณมติ รและโยนโิ สมนสกิ ารเปน ปจ จัยทมี่ คี วามสาํ คญั ตอ การเรียน ครแู นะนําใหน ักเรียนนาํ ความรจู ากการศกึ ษาเรอ่ื งการคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร อยางไร ไปเปนพน้ื ฐานในการพฒั นาการเรียนโดยใชกระบวนการคิดอยางถูกวิธี และการ แนวตอบ กลั ยาณมติ ร หมายถงึ การคบเพอ่ื นทีด่ ี ดาํ รงตนอยูในศลี ธรรม ใชชวี ติ ทามกลางกระแสบริโภคนิยมไดอ ยางไมป ระมาทดว ยการคดิ อยา งถกู วิธี อนั ดงี าม ซงึ่ มคี วามสาํ คญั ตอ การเรียน คือ จะเปนผชู กั ชวนใหใฝรูใฝเ รียน แนะนําวธิ ีการเรียนใหม ีประสิทธภิ าพ ตลอดจนคอยชวยเหลอื อธิบายสิ่งท่ี มมุ IT ไมเขา ใจใหก ระจา งชัดขึ้น สวนโยนิโสมนสิการ คือ การรจู กั คดิ วเิ คราะห อยา งมรี ะบบ จะเปน พ้ืนฐานใหม ีทักษะในการหาแนวทางแกไขปญ หาตางๆ ศกึ ษาคนควา ขอมลู เพิ่มเตมิ เกยี่ วกบั เร่ืองโยนโิ สมนสิการ ไดท ่ี ท่ีตอ งเผชิญไดอ ยา งถกู วิธี ตลอดจนเกดิ ความคิดอยางมรี ะบบในการเรยี น http://www.m-culture.go.th เวบ็ ไซตก ระทรวงวัฒนธรรม และตอ ยอดความรไู ดอ ยา งดี คูมือครู 79

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นออกมาเลา การวางแผนการใชช วี ติ คใวนาหมนสงั สาํ อืคญั “พขทุ อธงธวริธรมีค”ิดขแอบงบพโรยะนพรโิ สหมมคนณุ สากิ ภารรณ1 ในอกี 5 ปขางหนา หลังจากน้นั ใหนกั เรียน อภปิ รายวา การตง้ั ใจศึกษาเลา เรยี นในปจ จุบนั (ประยุทธ ปยตุ โฺ ต)* ไดนาํ เสนอความสําคัญและ มีประโยชนต อ ชีวติ ในอนาคตอยางไร คุณประโยชนของโยนิโสมนสิการ จากตัวอยาง (แนวตอบ การต้งั ใจศึกษาเลาเรียนในปจจุบนั พุทธพจน ดงั นี้ จะเปน พน้ื ฐานใหม คี วามรู เสรมิ สรา งทกั ษะตา งๆ ทีม่ คี วามจําเปนตอ การประกอบอาชพี เชน “ภิกษุท้ังหลาย เมือ่ ดวงอาทติ ยอุทัยอยู ทักษะการสื่อสาร ทักษะการวางแผน การทาํ งาน ยอมมีแสงอรุณขึ้นมากอนเปนบุพนิมิต ฉันใด เปน ทีม เปนตน อนั จะทาํ ใหช วี ิตมคี วามกา วหนา ความถงึ พรอ มดว ยโยนโิ สมนสกิ าร กเ็ ปน และเจริญรุงเรืองในอนาคต ตลอดจนสามารถ ตวั นาํ เปน บพุ นมิ ติ แหง การเกดิ ข้นึ ของ นาํ ความรคู วามสามารถไปพัฒนาชุมชนและ อรยิ อัษฎางคิกมรรค แกภ กิ ษุ ฉันนัน้ ประเทศชาตไิ ดอ กี ดวย) ภิกษผุ ูถึงพรอมดว ยโยนิโสมนสิการ พึงหวัง ส่ิงนี้ได คือ จักเจริญ จักทาํ ใหมาก ซึง่ อริย 2. ครใู หน กั เรยี นชวยกันวเิ คราะหว า การปฏบิ ตั ติ น อษั ฎางคิกมรรค” ตามหลกั ดรุณธรรม 6 จะสงผลดีตอ ตนเอง และประเทศชาติอยางไร ๒) ดรุณธรรม ๖ ดรณุ หมายถงึ เดก็ หรือผูเ ยาว2 เดก็ นัน้ ยังมอี นาคตอนั ยาวไกล (แนวตอบ ดรุณธรรม 6 เปน หลักธรรมสาํ หรบั เด็ก ควรจะมหี ลกั ธรรมท่เี ปน ทางไปสคู วามเจริญกาวหนา ของชีวติ เรยี กวา ดรณุ ธรรม ๖ คือ ทางไปสู หรือผเู ยาว ซึ่งหากปฏบิ ัติตามหลกั ธรรมนี้แลว ความเจรญิ กาวหนา ๖ ประการ ซ�งึ เยาวชนทป่ี ฏิบตั ิไดต ามน้�จะประสบความเจรญิ ในชวี ติ ดังน�้ จะทําใหผ ูปฏิบตั มิ ีความเจรญิ กาวหนาในชีวิต ๑. รักษาสุขภาพดี (อาโรคยะ) มีสุขภาพรางกายแขง็ แรง ปราศจากโรคภัย ไรโรคท้ังกายและใจ ไขเ จบ็ มีระเบยี บวินัยในตวั เอง ไมสรา งความ ๒. มรี ะเบยี บวนิ ยั (ศลี ) ไมเ กะกะ เดอื ดรอนใหใคร อกี ทง้ั ยังเปนคนดมี ีศลี ธรรม ระรานกอความเดอื ดรอนใหใ คร กระทาํ แตส ง่ิ ทถี่ กู ตอ งดงี าม รวมถงึ เปน คนมคี วาม ๓. ไดเห็นแบบอยางจากคนดี ขยันหมนั่ เพียรในการเรยี นและเรยี นหนงั สอื เกง ทปี่ ฏบิ ตั ติ นเปน แบบอยา ง (พทุ ธานุวตั ิ) ซึ่งหากเยาวชนของประเทศมคี ุณลกั ษณะเชนนี้ ๔. ต้ังใจเรียน (สุตะ) ศึกษา จะทาํ ใหประเทศชาตสิ ามารถพัฒนาไปไดอ ยา ง คนควา ใหรูจ ริง รวดเรว็ เพราะเมอ่ื เดก็ โตขนึ้ กจ็ ะเปน กาํ ลงั สาํ คญั ๕. ทําสิ่งท่ีมีความถูกตองดีงาม ในการพัฒนาชาตใิ หก า วหนา ตอไป) (ธรรมานวุ ัติ) ๖. มคี วามขยนั หมนั่ เพยี ร (วริ ยิ ะ) 3. ครแู ละนกั เรยี นอภิปรายรว มกันเกี่ยวกบั เด็กหรือเยาวชนควรตงั้ ใจศึกษาเลาเรียน เพ่ือเปน แนวทาง ดรณุ ธรรม 6 แลว ใหน กั เรยี นเขียนบนั ทึก ไปสคู วามเจรญิ กาวหนา ของชีวิตในอนาคต มีกาํ ลงั ใจไมท อถอย ชีวติ ประจาํ วัน พรอมกับวิเคราะหวา การปฏบิ ัติตนในแตละวนั มีความสอดคลอง *พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) ไดร บั พระราชทานสมณศกั ดเ์ิ ปน สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย เมอ่ื วนั ท่ี ๕ ธนั วาคม กับดรุณธรรม 6 หรอื ไม อยา งไร พ.ศ. ๒๕๕๙ ๘๐ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดเปน ประโยชนท ี่ไดร บั จากการปฏิบตั ิตามหลักดรณุ ธรรม ครูอาจแนะนําใหน กั เรยี นศึกษาเพมิ่ เตมิ หนงั สือพุทธธรรมของพระพรหม 1. มีเสนหน ามอง คุณาภรณ (ประยทุ ธ ปยตุ ฺโต) แลวใหนักเรยี นบอกถึงขอคดิ ท่ไี ดร บั จากการอา น 2. เรียนหนงั สอื เกง สติปญญาดี 3. คนในสงั คมเชดิ ชูนบั หนา ถอื ตา นักเรียนควรรู 4. มคี วามอดทนตอ ความยากลําบากมากขึน้ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ดรุณธรรม 6 คอื หลกั ธรรมสําหรับเยาวชน 1 พระพรหมคณุ าภรณ ปราชญทา นหน่งึ ที่มผี ลงานวิชาการทางพระพทุ ธศาสนา ทจี่ ะนาํ ไปสูความเจริญกา วหนา 6 ประการ ประกอบดว ย รักษาสุขภาพดี เปน จาํ นวนมาก และเปนบคุ คลแรกทไ่ี ดร บั รางวัลการศกึ ษาเพอื่ สนั ตภิ าพจาก มรี ะเบยี บวนิ ยั ไดเ หน็ แบบอยา งจากคนดที ป่ี ฏบิ ตั ติ นเปน แบบอยา ง ตงั้ ใจเรยี น องคการยเู นสโก ไดร ับปริญญาดษุ ฎบี ัณฑติ กติ ติมศกั ดิ์มากกวา 15 สถาบัน ทําสงิ่ ถกู ตองดีงาม และมคี วามขยนั หมั่นเพียร ดังนนั้ การปฏบิ ัตติ นตาม 2 เด็กหรือผเู ยาว ในทางกฎหมาย ผเู ยาว หมายถงึ ผูที่ยังไมบรรลุนิตภิ าวะ หลักดรณุ ธรรม 6 ในขอ ทว่ี าต้ังใจเรียน จะทําใหเ รยี นหนังสือเกงและมี ซ่งึ จะพน จากการเปนผูเ ยาวไดเมื่ออายคุ รบ 20 ปบรบิ รู ณ สติปญญาดี 80 คูมอื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 1. ครแู ละนกั เรยี นอภปิ รายถึงกลุ จิรัฏฐิตธิ รรม 4 รว มกัน จากน้ันครูตง้ั คําถามใหน ักเรียน ๓) กุลจริ ัฏฐติ ิธรรม ๔ ธรรมะหมวดนี้ เปน็ ธรรมะส�าหรบั ท�าให้ครอบครัวหรือตระกลู ชว ยกนั ตอบ เชน ตั้งม่ันอยู่ได้นานไม่เสื่อมสลายไปก่อนเวลาอันสมควร หมายถึง ธรรมท่ีเป็นเหตุท�าให้ตระกูล • ครอบครวั ของนกั เรยี นมเี ครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภค มัง่ ค่งั มน่ั คงตั้งอยไู่ ดน้ าน ท�าให้ตระกูลด�ารงอยูด่ ้วยความสงบสุข เรยี บร้อย และมฐี านะอันมนั่ คง เรยี กวา่ กุลจิรฏั ฐิตธิ รรม ๔ มดี งั น้ี ทจ่ี ําเปน อะไรบาง ๓.๑) เมื่อเคร่ืองอุปโภคบริโภคหายหรือหมดไปต้องรู้จักจัดหามาไว้ ในแต่ละ (แนวตอบ เชน อาหารและเคร่ืองปรุงสําหรบั ครอบครัวย่อมต้องมีส่ิงของที่จ�าเป็นในการช่วยสนองความต้องการตามธรรมชาติและช่วยอ�านวย ประกอบอาหาร เครื่องใชไฟฟาตา งๆ ความสะดวกสบายบางอยา่ ง ไดแ้ ก่ เครือ่ งอุปโภคบริโภค ส่ิงเหล่านหี้ ากหมดหรอื หายไปโดยผดู้ ูแล ยารกั ษาโรค เสอ้ื ผาเครือ่ งนุง หม เปน ตน ) บ้านไมจ่ ัดหามาไว้ กจ็ ะทา� ใหส้ มาชกิ ในครอบครวั เดอื ดร้อน เชน่ ขา้ วสารหมดไมห่ ามาเตรยี มไว้ • นกั เรยี นมบี ทบาทหนา ทใ่ี นการดูแลเครอ่ื ง อาจท�าให้คนในบ้านเกิดโมโหเพราะความหิว เป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันจนกลายเป็น อปุ โภคบรโิ ภคในครัวเรือนอยางไร เรื่องใหญ่ถึงขัน้ แตกหกั กันไปเลย ครอบครัวก็เกดิ ความระส�่าระสาย (แนวตอบ สํารวจเครอื่ งอุปโภคบริโภคใน เครื่องมือส�าหรใับนปบราะงกคอรอบบอคารชัวีพสดิ่ง้จว�ายเปเ็นชม่นิใชเ่มกีแวตีย่อนา1หราถรแลคะวเาคยรไื่อถงนใชา้ภาเคยใรน่ือบงด้านนเตทร่าี นเั้นป็นยตัง้นมี ครัวเรือนทกุ เดอื น เพื่อบอกใหผ ูปกครอง ของเหล่าน้ีอาจส้ินสภาพจนใช้การไม่ได้ ถ้าผู้มีหน้าที่ดูแลไม่จัดหามาแทน การประกอบอาชีพ จัดหาใหค รบถว นตอ ไป นอกจากนน้ั การงานกส็ ะดดุ หยดุ ลง ทา� ใหเ้ กดิ ความเสยี หายได้ สมาชกิ ในครอบครวั ควรชว่ ยกนั ดแู ล เมอ่ื พบเหน็ ยังตองทาํ ความสะอาด ปด กวาดเชด็ ถู สงิ่ ใดทข่ี าดไป ควรบอกใหผ้ เู้ กยี่ วขอ้ งทราบ จะไดจ้ ดั หามาเพอ่ื มใิ หก้ ารงานขาดชว่ ง ซงึ่ ในบางกรณี และซกั ลา งเคร่อื งอปุ โภคบรโิ ภคใหสะอาด อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ครอบครัวได้ อยเู สมอ ตลอดจนซอมแซมเคร่ืองอุปโภค ๓.๒) ซ่อมแซมส่ิงของที่เก่าและช�ารุดเสียหาย เคร่ืองอุปโภคส่วนมาก เม่ือมี บรโิ ภคท่ชี ํารุดใหอ ยใู นสภาพด)ี การใช้งานไปนานๆ อาจช�ารุดเสียหายได้ ซ่ึงถ้าไม่รีบซ่อมแซมยังใช้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะย่ิงเสีย • การไมซ อ มแซมสิ่งของเครือ่ งใชภ ายในบาน มากข้ึนจนถึงขั้นซ่อมแซมไม่ได้ หรือมิฉะนั้น ที่ชาํ รุด จะสงผลเสยี อยา งไร กต็ อ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการซอ่ มแซมมาก บางคน (แนวตอบ เปน ธรรมดาท่สี ง่ิ ของเครอ่ื งใช เสียดายเงินค่าซ่อม หรือเกียจคร้านไม่ดูแล เม่อื ใชไ ปนานๆ กย็ อมเกา และชํารดุ ไป เอาใจใส่ โดยไมน่ กึ ถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่ ยง่ิ ทงิ้ ไวน้ าน ตามกาลเวลา จึงตองมกี ารซอ มแซม ยิ่งเสียเงินมากขึ้น เขา้ ทา� นองเสยี นอ้ ยเสียยาก แตหากปลอ ยปละละเลย นานวันเขา ส่งิ ของ เสียมากเสียง่าย ในบางกรณีถ้ามีส่ิงของบาง เครอื่ งใชจะยิง่ ชาํ รุดมากขึน้ จนถงึ ขัน้ อย่างช�ารุด หากไม่รีบซ่อมจะท�าให้ของอ่ืนๆ ซอ มแซมไมไ ด หรอื ซอมแซมไดแตต อง เสียตามไปด้วย เช่น หลังคาบ้านรั่วเล็กน้อย เสียคา ใชจายมาก ทาํ ใหสิ้นเปลืองเงนิ ทอง หากไม่รีบซ่อมเม่ือฝนตกอาจท�าให้เพดานบ้าน และยงั อาจทําใหสิง่ ของอ่นื ๆ เสียตามไปดว ย ตลอดจนพน้ื เสยี หายได้ หรอื หมอ้ นา้� รถยนตเ์ สยี แตห ากพิจารณาแลววาการซอมแซม หากไม่รีบซ่อมแซม อาจท�าให้ส่วนอื่นๆ เสีย การซอ่ มแซมสงิ่ ของเครอ่ื งใชใ้ นชวี ติ ประจาำ วนั เปน็ การชว่ ย จะทาํ ใหเสียเงนิ มากกวาซอ้ื ใหม ก็ควร โดยไม่จา� เปน็ ไปดว้ ย ประหยัดรายจา่ ยให้แก่ครอบครัว ซือ้ ใหม จะคมุ คาเงินมากกวา ) 2. ใหนกั เรยี นสาํ รวจเครอ่ื งใชตา งๆ ภายในบา น วามชี ิ้นสวนใดบางท่ีชํารดุ เสยี หาย ควรไดรบั 81 การแกไขซอ มแซม พรอ มบอกถงึ ประโยชน ที่ไดรับจากการซอมแซมเครือ่ งใชตา งๆ บนั ทึกผล สงครผู ูสอน บูรณาการเช่อื มสาระ ครูสามารถนําเนื้อหาเก่ยี วกบั กลุ จิรฏั ฐติ ิธรรม 4 ไปบูรณาการเช่อื มโยงกบั เกร็ดแนะครู กลุมสาระการเรยี นรกู ารงานอาชีพและเทคโนโลยี วชิ าการงานอาชีพ ครูใหนกั เรียนแบง กลุม แสดงบทบาทสมมติเรอื่ งครอบครัว วา สมาชกิ ใน และเทคโนโลยี เรอื่ งงานชางในบาน โดยใหน กั เรยี นศึกษาเพ่ิมเติมและ ครอบครัวจะตอ งปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมกุลจิรฏั ฐติ ิธรรม 4 อยางไร จงึ จะทาํ ให ฝก ปฏบิ ตั ซิ อมแซมเครอ่ื งใชภายในบา น เชน การเปล่ียนลกู บิดประตู ครอบครวั มคี วามมั่นคง การซอ มปนู ยาแนวกระเบอ้ื ง การเปลยี่ นกอ กนาํ้ การเปลย่ี นหลอดไฟฟา การซอมเกาอี้ การซอ มแซมชน้ั วางถว ยชาม เปนตน จากน้ันใหนกั เรียน ประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ริ ว มกนั รวมทง้ั วเิ คราะหถ งึ ประโยชนท ไ่ี ดร บั จากการ ซอ มแซมบํารุงรักษาและติดตั้งเคร่ืองใชตา งๆ ภายในบา น นกั เรยี นควรรู 1 เกวียน ยานพาหนะชนิดหนง่ึ ทม่ี ลี อ เล่ือน ทาํ ดว ยไม มี 2 ลอ เคล่ือนทไ่ี ปโดย ใชว วั หรอื ควายเทียมลากไป เกวยี นเปน พาหนะท่สี าํ คญั ในการเดินทางและบรรทกุ ส่งิ ของในสมัยโบราณ เกวียนสามารถเดินทางผานผิวถนนขรขุ ระหรอื ถนนท่ีเต็ม ไปดวยโคลนตม ซ่ึงการใชเ กวียนท่ีเทยี มสตั วแ ละรถศึกมปี รากฏแนช ดั ในสมัยกรกี และโรมัน คูมือครู 81

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นอภิปรายถงึ ความหมายของการ มีข้อควรค�านึงบางประการ คือ ของบางอย่างช�ารุดมากแล้ว ซ่อมไปก็น�าไปใช้ ประมาณตน จากนัน้ สมมตสิ ถานการณให ไดอ้ กี ไมน่ าน ตอ้ งซอ่ มแซมบอ่ ยๆ เมอ่ื คดิ ค�านวณดแู ลว้ ซ้อื ใหมอ่ าจประหยดั กวา่ เมื่อเปน็ เชน่ น้ี นักเรียนวเิ คราะหวา ถา นกั เรียนไดร บั เงนิ ไป ต้องพจิ ารณาในการเลอื กใชเ้ ครื่องอปุ โภคใหด้ ี โรงเรียนจํานวน 100 บาทตอ วัน นกั เรยี นจะใช ส่ิงของโดยท่ัวไปย่อมเก่าและช�ารุดเมื่อกาลเวลาผ่านไป ซ่ึงเป็นเร่ืองธรรมชาติ จายเงินจาํ นวนดงั กลาวใหเหมาะสมไดอ ยางไร แตถ่ า้ ผู้ใชง้ านขาดการเอาใจใส่ดูแล อาจท�าให้สง่ิ ของน้ันเก่าและชา� รุดก่อนเวลาอนั ควรได้ ดังน้ัน (แนวตอบ ครเู ปดโอกาสใหน ักเรยี นแสดงความ เราไม่ต้องคอยให้ของช�ารุดก่อนแล้วมาซ่อม แต่ควรดูแลรักษาให้ดีแล้วสิ่งของจะใช้ได้นาน เช่น คิดเห็นไดหลากหลาย โดยคํานงึ ถงึ การวางแผน จอบ เสยี ม ถา้ ทง้ิ ตากแดดตากฝนตลอดวนั ตลอดคนื ยอ่ มชา� รดุ เรว็ กวา่ ทเ่ี กบ็ ไวใ้ หเ้ รยี บรอ้ ย เปน็ ตน้ การใชจา ยท่สี มเหตสุ มผล) ๓.๓) ประมาณตนในการอปุ โภคบรโิ ภค ครอบครัวบางครอบครวั ใชจ้ า่ ยเกินฐานะ ของตน คอื หาไดน้ อ้ ยแตใ่ ชม้ าก ครอบครวั ทม่ี สี ภาพอยา่ งนคี้ งอยไู่ มไ่ ดน้ าน ตอ้ งมหี นส้ี นิ ลน้ พน้ ตวั 2. ครูใหน ักเรียนอภิปรายถึงประโยชนท ี่ไดร ับจาก จนต้องยากจนลงในท่ีสุด แต่ครอบครัวบางครอบครัวก็ใช้จ่ายต่�ากว่าฐานะของตนจนเกินพอดี การดําเนินชวี ิตอยางประมาณตน เป็นเศรษฐีแต่นุ่งกางเกงเก่าๆ ปะแล้วปะอีก จะท�าบุญท�าทานสักนิดก็คิดมาก ครอบครัวแบบนี้ (แนวตอบ การดาํ เนินชีวติ อยางประมาณตน คอื อาจตั้งอยู่ไดน้ านกแาตร่จเดะขินาสดาคยวกาลมาอง1บเปอ็นุ่นจสาิ่งกดเีทพี่ส่อื ุดนรนว่ ม่ันสคงั ือคมการรู้จักประมาณตน รู้จักความพอดี การรจู ักใชจายอยางเหมาะสม อยูบนพ้นื ฐาน ความเหมาะสม หมายความวา่ เราตอ้ งอยสู่ ายกลางระหวา่ งความสรุ ยุ่ สรุ า่ ยกบั ความตระหนถี่ เี่ หนยี ว ของความพอเพียง ไมสรุ ุย สรุ ายหรือตระหน่ี ค�าวา่ “ประมาณตน” น้ีมีความหมายไมต่ ายตัว สมมติคน ๒ คนใชเ้ งินเทา่ กัน แต่เราอาจเรียกวา่ ถี่เหนียวจนเกนิ ไป คาํ นึงถงึ บทบาทหนาที่ คนหน่ึงรู้จักประมาณตน อีกคนหน่ึงไม่รู้จักประมาณตน เช่น คนท่ีมีรายได้เดือนละหน่ึงหมื่นบาท และฐานะของตนเปนสําคัญ อนั จะทําให พาครอบครัวไปรบั ประทานอาหารท่ภี ัตตาคารหรูๆ ทกุ สปั ดาห์ ทบ่ี ้านดโู ทรทศั น์เครอ่ื งละห้าหม่ืน สามารถดาํ เนนิ ชวี ิตไดอยางมีความสุข ไมเกดิ เชน่ นเ้ี รยี กวา่ ไมร่ จู้ กั ประมาณตน แตเ่ ศรษฐที ม่ี เี งนิ รอ้ ยลา้ น ทา� อยา่ งเดยี วกนั นจี้ ะวา่ เขาไมป่ ระมาณตน ความเครียดหรือความกงั วลใจในการใชเ งิน คงไมไ่ ด้ ทําใหสุขภาพรา งกายแข็งแรง เพิม่ โอกาสให ผทู้ ม่ี อี าชพี เปน็ ดาราหรอื นกั รอ้ ง ประสบความสําเร็จในการเรยี นและการทาํ งาน อาจตอ้ งตดั เยบ็ เสอื้ ผา้ บอ่ ยๆ ใหน้ า� สมยั อยเู่ สมอ ตอไปในอนาคต) ไม่เรียกว่าสุรุ่ยสุร่าย แต่คนท่ีมีอาชีพเป็นครู เงินเดือนน้อยท�าอย่างนั้นบ้าง อาจเรียกได้ว่า 3. ครูสุมถามนกั เรียนวา มแี นวทางในการเลอื กซ้อื สุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักประมาณตน เพราะการมี สนิ คาอปุ โภคบริโภคในชีวติ ประจาํ วันอยางไร เสอ้ื ผ้าใหม่ๆ นา� สมยั หลายๆ ชดุ ไมใ่ ชส่ งิ่ จา� เปน็ (แนวตอบ การเลือกซอื้ สนิ คาอุปโภคในชวี ิต ในการประกอบอาชีพเหมือนกับนักร้องและ ประจาํ วัน จะตองยึดหลักความประหยัด คมุ คา นักแสดง แตท่ ง้ั นม้ี ไิ ดห้ มายความว่าคนเป็นครู คุมราคา และมปี ระโยชนใ นการใชสอย ไมซ้ือ จะมเี ส้ือผ้าใหม่ๆ ไมไ่ ด้ พงึ มไี ดเ้ พียงแต่ต้องให้ ของเพยี งเพราะความอยากไดหรือเห็นวา สิง่ นนั้ ผู้บริโภคควรรู้จักประมาณตนในการซื้อของอุปโภคบริโภค พอเหมาะพอควรกับฐานะของตน นารกั สวยงาม แตใหซ ้ือเพราะมีความจําเปน ในชวี ิตประจาำ วนั จะตอ งใชง านของชนิ้ นนั้ ๆ อกี ทง้ั ยงั ควรพจิ ารณา จากฐานะการเงินของเราดวย ถา เรามรี ายได 82 มาก จะซ้อื ของราคาแพง กไ็ มเ ปน ไร แตถ ามี ฐานะปานกลางคงจะเลยี นแบบพฤติกรรมของ กจิ กรรมสรา งเสรมิ คนรวยไมได นอกจากนนั้ สนิ คา บางชนิดหาก ซือ้ ในฤดกู าลจะมีราคาถูกลง กค็ วรซ้อื ในฤดกู าล น้ันๆ เชน ผลไม เปน ตน) นกั เรยี นควรรู 1 การเดินสายกลาง ในทางพระพทุ ธศาสนาเรยี กวา “มัชฌิมาปฏิปทา” ครูมอบหมายใหนกั เรยี นศกึ ษาคนควา เพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั หลักธรรมทาง อนั หมายถงึ ขอ ปฏบิ ตั ทิ ที่ าํ ใหบ รรลนุ พิ พาน ซง่ึ ไมต งึ หรอื หยอ นเกนิ ไป มชั ฌมิ าปฏปิ ทา พระพุทธศาสนาทีม่ สี วนชวยสงเสรมิ ใหร ูจักประมาณตนและมีชวี ิตท่ีมี ในเชงิ พระปริยตั ธิ รรมหรอื เชิงทฤษฎีนนั้ มปี รากฏอยใู นพระไตรปฎ ก วิภงั คสูตร 8 ความม่ันคงทางดานเศรษฐกิจ จากนน้ั เขียนสรุปสง ครูผูสอน ซ่งึ พระพทุ ธเจาทรงประทานพระปฐมเทศนาแกป ญ จวคั คียท ้งั 5 โดยปฏเิ สธ การขอ งแวะกับ 2 ส่ิง คอื กามสุขัลลกิ านุโยค หมายถงึ การหมกมุนอยใู นกาม กจิ กรรมทาทาย และอตั ตกิลมถานโุ ยค หมายถงึ การทรมานตนใหลําบากโดยเปลา ประโยชน มมุ IT ครมู อบหมายใหนักเรยี นศกึ ษาคนควาเพม่ิ เตมิ เก่ยี วกบั หลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง แลวยกตัวอยา งบคุ คลท่ีเปน แบบอยา งในการปฏบิ ัตติ น ศกึ ษาคน ควาขอมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับเรอ่ื งการประมาณตน ไดท่ี ไดส อดคลองกบั หลักดังกลาว พรอมวิเคราะหพ ฤติกรรมทีน่ ักเรยี นสามารถ http://www.dhammathai.org เวบ็ ไซตธรรมะไทย นาํ มาประยกุ ตใ ชไดใ นชวี ติ ประจําวัน เขียนใสก ระดาษ A4 สง ครผู ูส อน 82 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๔) ตง้ั ผูม้ ศี ีลธรรมเปน็ พ่อบา้ นแม่เรือน พอ่ บา้ นแมเ่ รอื นในที่นี้ หมายถึง ผู้ทม่ี ี 1. ครใู หน ักเรยี นอภปิ รายเกีย่ วกบั ลกั ษณะของ ภาระหนา้ ทจี่ ดั การดแู ลทกุ อยา่ งภายในครอบครวั ครอบครัวในสังคมไทยปจ จบุ ัน พรอมวิเคราะห อาจเปน็ พอ่ แม่ หรอื สมาชกิ อน่ื ในครอบครวั คา� วา่ ถึงปญ หาและแนวทางในการแกไ ขรวมกัน ผมู้ ศี ลี ธรรม ในทนี่ หี้ มายถงึ คนซอื่ สตั ย์ ยตุ ธิ รรม (แนวตอบ ปจ จบุ ันครอบครัวในสังคมไทย มัธยัสถ์ มีเมตตา ขยันขันแข็ง ไม่หลงอยู่ใน มลี กั ษณะเปนครอบครวั เด่ียว ขนาดเล็ก และ อบายมุข เป็นต้น มีแนวโนม ท่ผี หู ญงิ เปน หวั หนา ครอบครวั เพ่ิม นอกจากนี้ พอ่ บา้ นแมเ่ รอื นยัง มากขึน้ ครอบครวั ท่ีมีเพียงพอ หรือแมลาํ พังก็ ควรเป็นคนรอบรู้เรื่องราวต่างๆ นอกบ้านด้วย เพมิ่ ขนึ้ เชน กนั อกี ทง้ั แนวโนม ทห่ี วั หนา ครอบครวั เพราะคนเราจะดูแลภายในบ้านให้ดีไม่ได้หาก จะมอี ายุนอ ยลงมจี าํ นวนมากขนึ้ จึงสง ผลให ไม่ร้เู รื่องนอกบ้านเลย เกดิ ปญ หาสมั พันธภาพภายในครอบครัว เนอ่ื ง ถา้ พ่อบา้ นหรอื แมเ่ รอื นเปน็ คน มาจากคนในครอบครวั ขาดหลกั คิด คณุ ธรรม สุรุ่ยสุร่าย เราก็พอวาดภาพได้ว่าครอบครัวน้ัน และศีลธรรมท่ีดใี นการดาํ เนินชีวติ จงึ ทาํ ใหไม จะต้ังอยู่ได้ไม่นาน ถ้าพ่อบ้านแม่เรือนติดสุรา อาจบม สอน หลอ หลอมสมาชกิ ในครอบครวั ให ชอบเล่นการพนนั ชอบเทยี่ วเตร่ เรากพ็ อเห็น ครอบครัวจะมีความสุข หากหัวหน้าครอบครัวมีศีลธรรม เปนบุคคลทม่ี ีคณุ ภาพของสงั คมได แนวทาง ไดว้ า่ ภายในครอบครวั จะตอ้ งมคี วามระสา�่ ระสาย และปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องตามทำานอง ในการแกไข คือ ใหการศึกษาท่ดี กี ับทุกคนใน และยุ่งเหยิงมาก ถ้าพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคน คลองธรรม สงั คม โดยปลูกฝง หลักคิดท่ดี ใี นการดําเนินชีวิต บนพ้ืนฐานของหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา 1 สง เสริมใหสือ่ ประเภทตางๆ ในสงั คมรจู ัก ไม่ยุติธรรม คนในบ้านก็จะเกิดการเล่นพรรคเล่นพวก อิจฉาริษยากัน ไม่สามัคคีปรองดองกัน นําเสนอสิ่งทเี่ ปน ประโยชนแ ละปอ งกันส่ือ ครอบครัวนั้นก็คงเจริญรุ่งเรืองได้ยาก หากพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนตระหนี่ไม่ท�าบุญท�าทานเลย ที่เปนภยั หรือไมเ หมาะสม) แม้มีฐานะท่ีพอท�าได้ ครอบครัวนั้นก็จะเป็นครอบครัวที่สมาชิกมีแต่ความเห็นแก่ตัว ขาดหลัก ยดึ เหนยี่ วทางใจ ในระยะยาวกจ็ ะหาความสงบสขุ ไดย้ าก เพราะคนเราทอ่ี ยดู่ ว้ ยกนั หากขาดหลกั 2. ใหนกั เรยี นแสดงความคิดเหน็ วา การที่สมาชกิ ยดึ เหนยี่ วทางใจแลว้ จะไมม่ ใี ครยอมรบั ฟงั ใคร มแี ตจ่ ะเอาเปรยี บซงึ่ กนั และกนั จะทะเลาะกนั แมแ้ ต่ ในครอบครวั เปนผูมศี ลี ธรรมมคี วามสาํ คัญตอ เรื่องเล็กๆ นอ้ ยๆ ความเปนอยขู องครอบครัวอยางไร ดังนั้น คนทเ่ี ปน็ พอ่ บ้านแม่เรอื น แมจ้ ะด้อยในเรอื่ งอื่นๆ ก็ยังไม่รา้ ยแรงนกั แตถ่ ้า (แนวตอบ การท่ีสมาชกิ ในครอบครัวเปน ผูม ี ด้อยคณุ ธรรมแลว้ ครอบครัวจะด�ารงอยู่ไดย้ าก ศีลธรรม แสดงใหเ หน็ วา ทุกคนมีหลกั คดิ ท่ดี ี กลา วคอื มพี ้นื ฐานความคดิ ทมี่ ีเหตุผล ๔) กุศลกรรมบถ ๑๐ ค�าว่า “กุศล” แปลว่า สิ่งท่ีดีท่ีชอบ บุญหรือความฉลาด สามารถแยกแยะสิ่งใดดี ส่ิงใดไมด ี เพ่อื เลือก “กรรม” แปลวา่ การกระทา� “บถ” แปลว่า ทาง ท่จี ะกระทาํ ไดอ ยา งถกู ตอ ง นับเปนสงิ่ ทีช่ ว ย กศุ ลกรรมบถ ๑๐ หมายถงึ ทางแหง่ การกระทา� ของผฉู้ ลาดหรอื คนดี เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ เสรมิ สรางสมั พันธภาพทีด่ ใี หแ กครอบครัว ความดีและความถูกตอ้ ง กศุ ลกรรมบถ ๑๐ นี้ แบ่งออกเปน็ ๓ หมวดใหญๆ่ ดังนี้ โดยเฉพาะอยา งยงิ่ หวั หนา ครอบครวั ผทู าํ หนา ที่ รบั ผิดชอบจดั การทกุ อยางภายในครอบครัว 83 จาํ เปนตอ งมศี ลี ธรรม เพ่อื เปน แบบอยางและ หลอหลอมสมาชกิ ในครอบครัวใหเปนบคุ คล ท่ีมคี ุณภาพในสังคมตอไป) แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรยี นควรรู หลกั ปฏบิ ตั ใิ นการทาํ ใหค รอบครวั มคี วามสขุ สอดคลอ งกบั กลุ จริ ฏั ฐติ ธิ รรม 4 1 สามคั คี คอื การรวมพลงั กบั ผอู นื่ เพอื่ เพม่ิ ขดี ความสามารถของตนในการกระทาํ ขอใด สงิ่ ใดส่ิงหน่งึ ดว ยความพรอ มเพรยี งใหสาํ เร็จผล ซึ่งความพรอ มเพรียงจําแนกได 2 ประเภท ไดแ ก 1. รจู กั ประมาณตนในการใชจ า ย 2. หัวหนาครอบครวั เปน คนมีศีลธรรม 1. ความพรอ มเพรยี งทางกาย คือ การชวยเหลือซง่ึ กนั และกนั ดวยกาํ ลงั กาย 3. ของใชช ํารดุ เสยี หายตองรบี ซอมแซม ใหสาํ เรจ็ ลลุ วง 4. จัดเตรียมของกนิ ของใชไวอ ยา ใหขาด 2. ความพรอมเพรยี งทางใจ คือ มใี จทีห่ วงั ดตี อกนั มีเจตนาท่ีจะแสดง วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. หวั หนาครอบครัวที่เปน คนดี มศี ลี ธรรม ความคิดเหน็ เพ่ือพฒั นาไปในทิศทางที่ดี มคี ณุ ธรรม และปฏบิ ตั หิ นา ทข่ี องตนไดอ ยา งถกู ตอ งตามทาํ นองคลองธรรม ยอ มดูแลจดั การทกุ อยา งภายในครอบครัวไดเปนอยางดี ครอบครัวกจ็ ะ มีความสุข สมาชกิ ในครอบครวั กจ็ ะรักใครกลมเกลียวกัน และอยรู วมกนั ดว ยความรกั ความเขาใจ คูม อื ครู 83

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูและนกั เรียนอภิปรายรวมกนั เกยี่ วกบั กศุ ล- ๔.๑) ความประพฤติดที างกาย มี ๓ อยา่ ง ดงั ตอ่ ไปน้ี กรรมบถ 10 จากน้ันใหน ักเรียนสํารวจตนเองวา (๑) เว้นจากการฆา่ สัตว์ คือ ไมท่ า� ลายชวี ิตทกุ ประเภท ไมท่ รมาน ไมร่ งั แก ในชวี ิตประจําวันของนกั เรยี นไดป ฏิบัติตนตาม สัตว์ แตม่ คี วามละอายต่อการเบยี ดเบียน มคี วามกรุณาเอ็นดสู ัตวท์ ัง้ หลาย ชว่ ยเหลือเก้อื กูลกนั หลักกุศลกรรมบถ 10 อยางไรบา ง แลว บนั ทึก เท่าที่จะท�าได้ ควรละเว้นจากการท�าให้ชีวิต ลงในสมดุ บันทกึ ความดีสง ครผู ูสอน ผู้อื่นต้องตายหรือบาดเจ็บ เราต้องการให้ผู้อ่ืน ช่วยเหลือหรือเมตตาเราอย่างไร เราก็ควรท�า 2. ครูใหน ักเรียนหาขา วเหตกุ ารณป ระจาํ วนั จาก อย่างนั้นกับผู้อ่ืนกอ่ น ส่อื ตา งๆ เชน หนังสอื พมิ พ วทิ ยุ โทรทัศน (๒) เวน้ จากการลกั ขโมย เกี่ยวกบั บุคคลทีป่ ระพฤตดิ ที ้ังทางกาย วาจา คอื การไมถ่ อื เอาสงิ่ ของทเ่ี จา้ ของมไิ ดใ้ หม้ าโดย และใจ แลวครสู ุมตัวแทนนกั เรียนออกมา ทุจริต เราควรเคารพในสิทธิของผู้อื่น เมื่อเรา เลา ใหเ พ่อื นฟง พรอมกับชว ยกนั วิเคราะหวา หาทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองมาไดด้ ว้ ยความยากลา� บาก พฤติกรรมดังกลาวมผี ลดีตอ ตนเองและสงั คม ไม่อยากให้ใครมาฉกฉวยเอาส่ิงของของเราไป อยางไร ฉนั ใด ผอู้ น่ื กย็ อ่ มมคี วามรสู้ กึ หวงแหนทรพั ยส์ นิ ของเขาฉนั นน้ั ผทู้ มี่ คี วามสจุ รติ ตอ่ ทรพั ยส์ นิ ของ 3. ครใู หน กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา ถา หากเพอื่ น การทำาบุญด้วยการปล่อยปลาเป็นการปลดปล่อยชีวิต ผ้อู ื่น ยอ่ มเป็นบคุ คลทีน่ ่าเช่ือถือ นา่ ไวว้ างใจ ของนกั เรยี นไปขโมยของจากผูอ่ืนมา แลวให ของสรรพสัตว์ ถอื เปน็ การประพฤติดที างกายวิธีหน่ึง 1 (๓) เวน้ จากการประพฤติ นักเรียนชว ยปด เปนความลับ นักเรยี นจะมี แนวทางในการแกไขปญหาเพ่อื ใหถกู ตอ งตาม ผดิ ในกาม คือ ชายก็ไม่ล่วงเกินลกู เมียผู้อนื่ โดยผดิ ประเวณี ส�าหรับหญิงกไ็ ม่ควรมีความสมั พันธ์ หลกั กศุ ลกรรมบถ 10 ไดอ ยางไร เชิงชู้สาวกบั สามผี ูอ้ ่นื การหาคู่ครองเป็นธรรมดาของโลก แตค่ วรทา� ตามประเพณี ไมท่ �าร้ายจติ ใจ (แนวตอบ ครูเปด โอกาสใหน ักเรียนแสดงความ ผูอ้ น่ื โดยการไปมคี วามสมั พันธ์เชงิ ช้สู าวกบั สามภี รรยาของผอู้ ่ืน คดิ เหน็ ไดอยางหลากหลาย โดยคํานึงถงึ การคิด ๔.๒) ความประพฤตดิ ที างวาจา มี ๔ อยา่ ง ได้แก่ วิเคราะหท ม่ี เี หตุผลบนพ้ืนฐานของความถูกตอง (๑) เว้นจากการพูดเท็จ คอื การพูดสิ่งท่เี ปน็ จริง ค�าพดู จะเปน็ เทจ็ หรอื ไม่ ทางกฎหมายและกฎทางศลี ธรรม ดงั เชน หลักธรรมกุศลกรรมบถ 10 เปน ตน ) ตอ้ งดูที่เจตนา บางคนพดู ผดิ จากความเปน็ จริง แตเ่ น่อื งจากเพราะความเขลา ความไมร่ ู้ อย่างน้ี ไมเ่ รยี กว่า “พูดเทจ็ ” โลกเราหากมแี ตก่ ารพดู เท็จแล้วกค็ งยุง่ เหยิง ระสา่� ระสาย จะไม่มีใครเชื่อใคร จะไมม่ ใี ครกลา้ ทา� อะไร การพดู เทจ็ เปน็ โทษทงั้ แกส่ ว่ นรวมและแกต่ วั เอง เปน็ โทษแกส่ ว่ นรวมเพราะ ท�าใหเ้ กดิ ความป่ันปว่ น เปน็ โทษแกต่ นเองเพราะจะไม่มใี ครเชื่อค�าพดู ของตน (๒) เว้นจากการพูดส่อเสียด คือ เอาความฝ่ายหนึ่งไปบอกอีกฝ่ายหนึ่ง จรงิ บา้ งเทจ็ บา้ ง แตม่ เี จตนาทจี่ ะใหค้ นเขา้ ใจผดิ ใหค้ นทะเลาะกนั แตกสามคั คกี นั ถา้ เปน็ เรอื่ งเลก็ ๆ ก็อาจท�าให้เกิดการแตกความสามัคคีกันในกลุ่มชน แต่ถ้าเป็นเร่ืองใหญ่อาจท�าให้ชาติบ้านเมือง เสียหายได้ เราควรพูดแต่ค�าท่ีจะสมานรอยร้าว ช่วยให้คนท่ีก�าลังทะเลาะกันน้ันเลิกทะเลาะและ หนั มาสามัคคกี ัน 84 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดเปนการปฏบิ ตั ิตนท่สี อดคลองกบั การประพฤตทิ างกายทด่ี ีตาม ครสู ามารถศึกษารายละเอียดเพิม่ เติมเกยี่ วกับความประพฤติดีทางวาจา หลกั กศุ ลกรรมบถ 10 ในหนังสอื แกนพทุ ธศาสน ของทานพทุ ธทาสภิกขุ 1. ประภาปลอยใหยงุ กดั เพราะการฆา สัตวน้นั เปนบาป 2. สมภพลงโทษสนุ ขั โดยไมใหอ าหารและน้าํ เปน เวลา 3 วนั นกั เรียนควรรู 3. กมลซอ้ื โทรศัพทม อื สองตอจากเพ่อื นทีข่ โมยมาเพราะราคาถูก 4. สนิ สมุทรเก็บเงนิ ไดจากสนามเดก็ เลนจึงนําไปคืนครูประจําชั้น 1 ผดิ ประเวณี คอื การกระทาํ ผดิ ตอ คคู รองทงั้ ของตนและของผอู ่นื เชน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. การปฏิบตั ิตนตามหลักกุศลกรรมบถ 10 การมีความสมั พนั ธเ ชงิ ชูส าวกับผทู ่มี ิใชสามภี รรยาของตน รวมถงึ การใชกําลัง คือ การกระทําเพ่อื ใหเกดิ ความดแี ละความถกู ตอง ดงั นั้น การประพฤติ ฉุดครา ขม เหง กระทําชําเราผอู นื่ ซ่ึงมีผลใหผ อู น่ื ไดร บั ความเดือดรอน และ ทางกายทด่ี ี มี 3 ประการ ไดแ ก เวน จากการฆาสัตว ไมทรมานหรอื สงผลกระทบตอความมัน่ คงภายในครอบครวั พระพทุ ธศาสนาจึงสอนให เบยี ดเบียนสัตวท งั้ หลาย เวนจากการขโมย ไมน ําสงิ่ ของของผูอื่นมา พุทธศาสนกิ ชนละเวนจากการประพฤติผิดประเวณี เพ่อื กอใหเกดิ ความดแี ละ ครอบครอง และเวนจากการประพฤตผิ ิดในกาม ไมล ว งเกินคูครอง ความถูกตอ งขึน้ ในสงั คม ของผอู น่ื คําตอบในขอ 4. ถือเปนการเวน จากการขโมย 84 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู โกรธแคน้ ได้ ค�าหยาบ(ร๓ว)มเไวป้นถจึงากกากราพรดู พกูดรคะ�าทหบยการบะเทคยี �าบหยแาดบกทด�านัใ1ห้ผสู้ฟาปังรแะชคง่ ายคห�าูพกว่อกในหีพ้ ้เกดู ิดไปคแวาลม้ว 1. ครนู าํ ขอความส้นั ๆ ท่ีมีลกั ษณะทแ่ี สดงถงึ การ มแี ต่ทา� ใหเ้ กดิ ความขุน่ มวั ในขณะทพ่ี ดู ผู้พดู อาจจะพอใจที่ไดก้ ล่าวออกไปโดยไมย่ ้งั คดิ แต่ความ พูดเท็จ การพดู สอ เสียด การพดู คาํ หยาบ และ พอใจน้ไี มน่ านก็หาย แตผ่ ลเสยี ทเ่ี กิดขนึ้ น้ันอาจมมี ากมายมหาศาล อาจนา� ไปสู่การทะเลาะวิวาท การพูดเพอ เจอ มาใหนักเรียนอาน แลวให บาดหมาง หรอื ถงึ กับฆา่ กันตายก็ได้ ดงั นนั้ เราจะต้องระมัดระวงั ตัว พยายามคดิ ก่อนพดู นกั เรยี นบอกวา ขอ ความดงั กลา วสอดคลอ งกบั ลักษณะการพดู แบบใด และเกิดโทษอยา งไร (๔) เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ การพูดเพ้อเจ้อ คือ การพูดท่ีไร้สาระไม่มี ตอผพู ดู และผฟู ง แก่นสาร ไม่ท�าให้เกิดประโยชน์แก่ใคร การพูดเพ้อเจ้ออาจไม่ใช่การพูดเท็จ แต่เป็นการพูดผิด กาลเทศะ ไม่ตรงกับเรือ่ งทีว่ งสนทนาก�าลังสนใจกนั อยู่ หรอื เป็นคา� พดู ทชี่ วนให้เขาออกนอกเร่ือง 2. ใหน ักเรียนออกมาเลาเหตุการณทเ่ี กดิ จาก คือ พูดเรื่องนี้ยังไม่จบก็ไปพูดเรื่องใหม่ อย่างน้ีก็เรียกว่าพูดเพ้อเจ้อได้เหมือนกัน ถึงแม้การพูด ความผดิ พลาดเพราะการใชค าํ พูดใหเ พือ่ นฟง เพ้อเจอ้ จะไมใ่ ห้โทษมากเหมอื นการพดู เทจ็ แตก่ ไ็ รป้ ระโยชน์ เสยี เวลา ไมก่ ่อให้เกิดการสรา้ งสรรค์ หนา ชนั้ เรยี น แลวใหเ พอื่ นชว ยกนั สรุปขอคดิ แตอ่ ยา่ งใด ดงั น้ัน เราจงึ ไม่ควรประพฤติ ทไ่ี ดจากการฟงเรอื่ งราวดังกลา ว พรอมกบั สรปุ การปฏิบตั ติ นทางวาจาท่ีดีตามหลัก ๔.๓) ความประพฤตดิ ที างใจ มี ๓ อยา่ ง ดงั น2ี้ กุศลกรรมบถ 10 (๑) ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น ความโลภ คือ ความอยากได้ของผู้อื่นท่ีตน 3. ครใู หนกั เรยี นทํากจิ กรรมที่ 3.7 จากแบบวดั ฯ ไม่มีสิทธิอันชอบธรรม แต่การอยากได้ของผู้อื่นโดยหาของมาแลกเปลี่ยนจนเป็นที่ตกลงกันน้ัน พระพุทธศาสนา ม.2 ไมถ่ ือวา่ โลภ ความคดิ โลภเมอ่ื เกิดแลว้ เป็นทางพาไปสคู่ วามทุจริต ความโลภทเี่ กดิ ขนึ้ ชว่ั ขณะหนง่ึ แล้วหายไปก็ไม่เป็นไร แต่การครุ่นคิดมุ่งท่ีจะเอาของผู้อื่นโดยท่ีตนไม่มีสิทธินั้น จะเป็นทางไปสู่ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ ความหายนะ เพราะถึงลงมือท�าส�าเร็จ สักวันหนึ่งเขาก็คงจับได้ และเราควรคิดถึงใจเขาใจเรา พระพทุ ธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 3.7 ควรคดิ เรือ่ งการเสยี สละบา้ ง จะทา� ให้ความคดิ โลภอยากไดข้ องผูอ้ นื่ ลดนอ้ ยลงไป หนวยที่ 3 หลกั ธรมทางพระพุทธศาสนา เร่อื งนา่ รู้ กจิ กรรมที่ ๓.๗ ใหน กั เรยี นพจิ ารณาภาพตอ ไปนี้ แลว วเิ คราะหห ลกั ธรรมมรรค คะแนนเต็ม คะแนนท่ีได สปั ปุริสธรรม 7 ในประเดน็ ท่กี ําหนด (ส ๑.๑ ม.๒/๘) คำาวา่ สปั ปรุ ิสธรรม หมายถึง ธรรมของคนดีหรอื คณุ สมบตั ิของคนดี มี ๗ ประการ ดังน้ี ñð 1. ธัมมัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักเหตุ สามารถที่จะพิจารณา วิเคราะห์หาสาเหตุของสถานการณ์ได้ ภาพท่ี ๑ ๑. สอดคลองกบั หลักธรรม มคี วามรแู้ ละเขา้ ใจสิ่งที่ตนจะต้องประพฤติ ปฏิบัติ ตามเหตุและผล 2. อัตถญั ญุตา คือ ความเป็นผรู้ จู้ กั ผลทีเ่ กดิ จากเหตุ สามารถที่จะวเิ คราะห์ได้วา่ ผลอยา่ งนเี้ กิดจากอะไร …บ…ุพ…พ…น…ิม…ติ……ขอ…ง…ม…ชั …ฌ……ิมา…ป…ฏ…ปิ……ท…า………………….. 3. อตั ตัญญุตา คือ ความเปน็ ผรู้ ู้จักตน สามารถท่จี ะพจิ ารณาวิเคราะห์ตนเองไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ตามความ …(ก…ัล……ย…าณ……ม…ติ …ร…)…ด…ร…ุณ……ธ…ร…ร…ม……๖………………….. เปน็ จริง ตามเพศ กำาลัง ความร้คู วามสามารถ ความถนัด และคณุ ธรรมของตนเอง 4. มตั ตัญญุตา คอื ความเป็นผรู้ ู้จกั ประมาณตน ๒. ประโยชนที่ไดจากการปฏิบัติตนตาม 5. กาลญั ญตุ า คอื ความเป็นผู้รจู้ ักกาล รู้จกั ระยะเวลาท่ีเหมาะสม ทพี่ งึ ใช้ในการประกอบหน้าที่การงาน หลักธรรม 6. ปรสิ ญั ญตุ า คอื ความเปน็ ผรู้ จู้ กั ชมุ ชน เขา้ ใจวา่ ชมุ ชนมสี ภาพเปน็ อยา่ งไร แลว้ ปรบั ปรงุ ตนเองใหเ้ หมาะสม …ก…า…ร…ได…ค…บ……เพ…อ่ื…น……ห…ร…อื …ม…ติ …ร…ท…ด่ี …ี …ช…กั …ช…วน……ก…นั .. กับชุมชนนน้ั …ท…ํา…ส…่ิง…ท…่ีด…ี……ใ…น…ท…่ีน……้ีค…ือ……ก…า…ร…ช…ว…ย…ก……ัน…ต…ิว.. 7. ปคุ คลปโรปรญั ญตุ า คอื ความเปน็ ผรู้ จู้ กั เลอื กบคุ คล รจู้ กั และเขา้ ใจความแตกตา่ งของบคุ คล และปฏบิ ตั ิ …ห…น…ัง…ส…ือ……เร…ีย…น………จ…ะ…ช…ว…ย…ใ…ห…ท…ุก…ค……น…ไ…ม…ล…ืม.. ต่อบคุ คลไดอ้ ย่างเหมาะสม …ค…ว…าม…ร…ูท…่เี…ร…ีย…น…ไ…ป……เป…น…ก……าร…ท…บ……ท…ว…น…ค…ว…าม…ร…ู…ส…ง…ผ…ล…ใ…ห…ส…อ…บ…ไ…ด…ค …ะ…แ…น…น…ด……ี ………………………………………………………. 85 ๓. การนาํ หลักธรรมมาประยุกตใชในการพัฒนาชุมชนและสงั คม …ก…า…ร…ชั…ก…ช…วน……ก…ัน…ท…ํา…ส…่ิง…ท…่ีด…ีม…ีป……ร…ะโ…ย…ช…น… ……ย…อ…ม…ส…ง…ผ…ล…ด…ีท…ั้ง…ต…อ…ต…น……เอ…ง……ช…ุม…ช…น……แล……ะส…ัง…ค……ม……ใ…น…ร…ะ…ด…ับ…ต…น…เ…อ…ง. เฉฉบลับย …ก…จ็ …ะ…ท…ําใ…ห…ช …วี …ิต…ม…คี …ว…า…ม…ส…ขุ …ค……วา…ม…เ…จ…ร…ญิ …ก…า…ว…ห…น…า……ใน……ร…ะด…ับ……ชมุ…ช…น…แ…ล…ะ…ส…ัง…ค…ม…ก…็จ…ะ…ไ…ม…เก…ิด……ป…ญ…ห…า…ส…ัง…ค…ม……ท…้งั …ย…งั . …ท…ํา…ให…ป…ร…ะ…เ…ท…ศ…ช…าต……ิเจ…ร…ญิ …ก…า…ว…ห…น…า…ม…า…ก…ข…ึ้น………………………………………………………………………………………………………………. ภาพท่ี ๒ ๑. สอดคลอ งกับหลักธรรม …ก…ุล…จ…ิร…ฏั …ฐ…ติ …ธิ …ร…ร…ม……๔…………………………………….. ……………………………………………………………………….. ๒. ประโยชนท่ีไดจากการปฏิบัติตนตาม หลกั ธรรม …ก…า…ร…ซ…อ…ม…แซ…ม…ส……่ิงข…อ…ง…เ…ค…ร…อ่ื …ง…ใช…เ…อ…ง……จ…ะช…ว…ย.. …ให…ป…ร…ะ…ห…ย…ดั …ค…า…ใ…ชจ… า…ย…ข…อ…ง…ค…ร…อ…บ…ค…ร…วั …ท……าํ ใ…ห.. …ม…ีเง…นิ …เ…ห…ล…ือ…เ…ก…็บ…ไ…วใ…ช…ใ…น…ย…า…ม…จ…าํ เ…ป…น…………….. ๓. การนําหลกั ธรรมมาประยกุ ตใชใ นการพัฒนาชมุ ชนและสงั คม …ก…า…ร…รจู…ัก……ซ…อ …ม…แซ…ม…ส……ง่ิ ข…อ…ง…เ…ค…ร…่อื …ง…ใช…ท…่ีช…ํา…ร…ดุ …ใ…ห…ใช…ง…า…น…ไ…ด…ด…ี …น…อ…ก…จ…า…ก…จ…ะ…ท…าํ …ใ…ห…ค…ร…อ…บ…ค…ร…วั …ป…ร…ะ…ห…ย…ัด…ค…า…ใช…จ…า …ย. …แ…ล…ว …ย…งั …เป……น …ก…า…ร…ป…ร…ะห…ย…ดั…ก…า…ร…ใ…ช…ท …ร…พั …ย…า…ก…ร…ช…ว …ย…ล…ด…ป…ร…มิ …า…ณ…ข…ย…ะ…ท…อี่ …าจ…ก……อ ใ…ห…เ …ก…ดิ …ม…ล…พ…ษิ …ต…อ…ช…มุ …ช…น…แ…ล…ะ…ส…งั …ค…ม. …ได……อีก……ด…วย……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒๘ แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู การประพฤติดีทางวาจาตามหลักกุศลกรรมบถ 10 มีแนวทางในการ ครสู ุมถามนกั เรยี น 3-4 คนวา การพดุ คุยกนั ในหองเรยี นขณะที่ครกู ําลังสอนอยู ปฏิบตั ติ นอยา งไร จัดวา ผดิ กศุ ลกรรมบถขอ ใด และทําใหเ กิดโทษอยางไร แนวตอบ พยายามคดิ กอ นพูดทกุ ครงั้ รจู กั เลอื กใชคาํ พดู ใหเ หมาะสมกบั บุคคลและกาลเทศะ หลีกเลี่ยงการพูดจาสอ เสยี ด การพูดคาํ หยาบ และ นกั เรยี นควรรู การพูดเพอ เจอ เพราะนอกจากจะเปน ส่ิงทไ่ี รป ระโยชนแ ลว ยังสรางความ เดอื ดรอ นใหกบั ตนเองและผูอนื่ อีกดวย 1 แดกดัน คอื กลา วกระทบกระแทกหรอื ประชดผูอ น่ื เพราะความไมพ อใจ 2 ความโลภ ความอยากไดอยากมี เพราะไมพอใจในสิง่ ทีต่ นมี ซ่งึ ในทาง พระพุทธศาสนามีวิธบี รรเทาความโลภ คอื การใหทานหรอื บําเพญ็ ประโยชนต อ สวนรวมโดยไมห วังผลตอบแทน ฝก ควบคุมจติ ใหพ นจากความโลภโดยใชชีวติ อยาง เรียบงาย ไมย ดึ ตดิ กับวัตถุหรอื เงินทองภายนอก หม่นั รกั ษาศีล นั่งสมาธิ มสี ติ รูเทา ทันความอยากไดอยากมใี นจติ ใจทเี่ กิดขน้ึ คมู ือครู 85

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนักเรียนแสดงความคิดเหน็ วา หากมีคน (๒) ไม่คิดพยาบาท ความคดิ พยาบาท1คอื คิดแตจ่ ะให้ผู้อ่ืนได้รบั ความทกุ ข์ กลาววา “ทําดไี ดด ีมีท่ีไหน ทําช่ัวไดดมี ถี มไป” ความเจบ็ ปวด ความหายนะ ความคดิ พยาบาทเกดิ ขนึ้ เพราะผอู้ นื่ มาทา� เรากอ่ นสว่ นใหญ่ แตบ่ างที นักเรียนจะมวี ิธอี ธบิ ายใหบ คุ คลนนั้ เกดิ ความ คนบางคนก็คิดพยาบาทกับคนอ่ืนได้ โดยที่เขาไม่ได้ท�าอะไรให้เลย เป็นแต่เพียงอิจฉาริษยา เขา ใจทถ่ี กู ตอ งในหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ไมอ่ ยากให้เขาไดด้ ี ความคดิ พยาบาทเปน็ บอ่ เกิดของการกระทา� ท่ีชัว่ ร้าย แต่โดยทว่ั ไปแลว้ คนทีม่ ี อยางไร แต่ความคิดพยาบาทนั้นเองที่จะได้รับผลร้าย ความคิดแบบนี้จะท�าลายจิตใจของผู้คิดทีละน้อย (แนวตอบ ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนแสดงความ ไม่เป็นอันท�าการงานหรือเล่าเรียน เป็นการท�าร้ายตนเองโดยไม่รู้ตัว หากเราคิดแต่จะให้คนอ่ืน คดิ เหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย โดยพจิ ารณาถงึ การให มีความสุขใจ เราก็ย่อมมีความสุข การงาน และการเล่าเรียนของเราก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น เหตุผลสนับสนุนคําอธิบายท่ีถูกตองเหมาะสม ดังนัน้ เราตอ้ งพยายามหา้ มใจมิใหค้ ดิ พยาบาทให้จงได้ โดยอาจยกตวั อยา งหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา (๓) มีความเห็นชอบ คือ เห็นว่า ท�าดีได้ดี ท�าช่ัวได้ช่ัว2ความส�าเร็จน้ัน มาประกอบการอธบิ าย เชน การปฏิบัตติ นตาม เกิดได้จากความพากเพียรมิได้เกิดจากโชคชะตา เห็นว่าการให้และการเสียสละนั้นมีผลต่อการ หลกั กุศลกรรมบถ 10 หลกั ธรรมกรรม เปน ตน ) ช�าระล้างจิตใจของเราให้บริสทุ ธ์ิได้ เหน็ วา่ ความทกุ ขร์ ้อนนนั้ มีสาเหตุและสาเหตุนน้ั ดบั ได้ เห็นว่า ความสงบสุขของชีวติ นั้นเกดิ ไดโ้ ดยการปฏบิ ัติตนท่ีถกู ตอ้ ง เป็นตน้ 2. ใหน กั เรยี นชว ยกนั บอกถงึ ผลดจี ากการปฏบิ ตั ติ น กศุ ลกรรมบถ ๑๐ เปน็ ธรรมทที่ กุ คนปฏบิ ตั ไิ ด้ หากมคี วามตง้ั ใจแนว่ แนเ่ พยี งแตใ่ ช้ ตามหลกั กศุ ลกรรมบถ 10 สตปิ ญั ญายงั้ คดิ ไมท่ า� อะไรไปโดยอารมณว์ วู่ าม คนเราเกดิ มามคี วามสามารถหลายอยา่ งไมเ่ ทา่ กนั (แนวตอบ การปฏบิ ตั ติ นตามหลกั กศุ ลกรรมบถ 10 เชน่ บางคนเรยี นเกง่ กวา่ บางคน บางคนเลน่ กฬี าเกง่ กวา่ บางคน แตท่ กุ คนมคี วามสามารถทจี่ ะเดนิ คือ การปฏิบัตติ นใหส จุ รติ ทง้ั กาย วาจา และใจ ตามแนวกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ได้เทา่ เทยี มกนั หากต้ังใจจะกระทา� และเดินตามแนวนแี้ ล้ว ไมเ่ พียงแต่ จงึ กอ ใหเ กดิ ผลดตี อ ตนเองและสงั คม กลา วคอื จะทา� ใหต้ นเองเจรญิ กา้ วหน้าเท่าน้ัน สังคมสว่ นรวมก็พลอยสงบสุขตามไปดว้ ย ทําใหผ ปู ฏิบตั เิ ปนท่รี กั ใครข องผูค นรอบขาง ๕) สติปฏั ฐาน ๔ หมายถงึ ที่ต้งั นา เคารพนบั ถอื เปนทยี่ กยองเชิดชูของผูอ่นื ของสติ สมั มาสติ (หรอื สตทิ ช่ี อบ) เปน็ องคม์ รรค สง ผลตอ การประสบความสาํ เรจ็ ในหนา ทกี่ ารงาน ข้อหนึ่งในมรรคมีองคแ์ ปด ส่ิงท่ตี รงกันข้ามกบั และมชี ีวติ ที่มีความสขุ ตลอดจนเปน สวนหน่ึง สติ คือ ความประมาท สติ คือความไมเ่ ผลอ ในการสรางสงั คมใหมแี ตส ง่ิ ทดี่ ีและยังชว ยให ไมเ่ ลนิ เลอ่ ไมเ่ ลอ่ื นลอย สตเิ ปน็ ตวั คอยเตอื นให้ สังคมมคี วามสงบสขุ ทําใหส ามารถพฒั นาสังคม เรายบั ย้ังตนเอง ไม่ใหห้ ลงเพลนิ ไปในทางที่ผิด ใหกา วหนาไดอยา งรวดเร็วและเปน สังคมทดี่ ี มศี ีลธรรม) เป็นตัวคอยป้องกันมิให้ความชั่วเล็ดลอดเข้าไป ในจิตได้ สติเป็นตัวปดิ โอกาสความชวั่ แตเ่ ปิด โอกาสใหแ้ กค่ วามดี สติ มคี วามหมายวา่ ความไมป่ ระมาท (อัปปมาทธรรม) พระพุทธองค์ให้ความส�าคัญ แกค่ วามไม่ประมาทมาก พระด�ารัสคร้ังสดุ ท้าย การนั่งสมาธิสามารถกระทำาได้ทุกเพศทุกวัย เม่ือทำาแล้ว จิตใจจะสงบ มีสติก่อให้เกิดผลดีท้ังในด้านการเรียนและ ของพระพทุ ธเจา้ กเ็ ปน็ เรอื่ งอปั ปมาทธรรม ดงั นี้ การประกอบสมั มาอาชีพ 86 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การตัง้ สตกิ าํ หนดพิจารณาสิง่ ตา งๆ ใหรูและเขา ใจในสจั ธรรม 1 ความคิดพยาบาท ทําใหร า งกายหลัง่ สารความเครียดออกมา ถา เกดิ ข้ึน หรอื รูเ ทาทนั เหตุการณท่เี กดิ ข้นึ เรียกวา อะไร เปนประจําจะมีผลกระทบตอสขุ ภาพรา งกาย ทาํ ใหเกิดโรคตา งๆ เชน โรคหัวใจ 1. สตปิ ฏฐาน โรคความดนั โลหิตสงู โรคมะเรง็ โรคเบาหวาน เปน ตน 2. มรณานุสติ 2 เสยี สละ คุณธรรมข้นั พ้ืนฐานของผูท อ่ี ยรู วมกันในสังคม ความเสียสละเปน 3. ธมั มานสุ ติ คณุ ธรรมสาํ หรบั ผกู มติ รไมตรี ยดึ เหนย่ี วจติ ใจใหก บั คนในสงั คม ทงั้ ยงั เปน เครอื่ งมอื 4. ปทมาทปฏ ฐาน สรา งลักษณะนสิ ยั ใหเ ปน คนทเ่ี หน็ แกป ระโยชนส ุขสว นรวมมากกวา ประโยชนส ุข วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. สติปฏฐาน หมายถึง ทีต่ ง้ั ของสติ สวนตวั ความเอือ้ เฟอ เผอื่ แผและการเสยี สละยอมใหผลท่ดี ีตอผูปฏบิ ัตแิ ละสงั คม สติ คือ ความไมเผลอ ไมเ ลินเลอ ไมเลอื่ นลอย ไมป ระมาท สามารถ รอบขา งเสมอ กอ ใหเ กดิ ความช่นื ชมยินดตี อกนั และกัน ไมวา จะเปนผใู หหรือผูร บั กาํ หนดพิจารณาสิ่งตางๆ ใหรูและเขา ใจในสจั ธรรม ตลอดจนรูเ ทาทัน คนท่มี นี า้ํ ใจเสียสละคิดจะเฉล่ยี แบง ปน ลาภผลและความสขุ ของตนแกผ ูอนื่ เหตุการณต า งๆ แยกแยะความชัว่ ออกจากความดี และรจู ักยับยง้ั ชงั่ ใจ อยเู สมอนน้ั ไมว า ใครๆ กอ็ ยากคบหาสมาคมดว ย ดงั นน้ั ผทู ม่ี องเหน็ การณไ กลควร ไมหลงเดินไปในทางทีผ่ ดิ พยายามฝก ตนใหเปน คนเสียสละจนเกดิ เปน อุปนิสยั เพ่อื ใหส ามารถปลดเปลื้อง ความทุกขท เี่ กดิ จากความโลภได 86 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู “สง่ิ ทง้ั หลายทปี่ จั จยั ปรงุ แตง่ ขน้ึ ยอ่ มมคี วามเสอื่ มสนิ้ ไปเปน็ ธรรมดา ทา่ นทงั้ หลายจงยงั 1. ครูและนกั เรียนอภปิ รายรวมกนั เกีย่ วกบั ประโยชนท์ มี่ ่งุ หมายใหส้ า� เร็จดว้ ยความไมป่ ระมาทเถิด” สติปฏฐาน 4 แลววิเคราะหวา สตปิ ัฏฐาน มี ๔ ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้ • สตมิ ีความสาํ คัญตอ การเรียนอยางไร (๑) พิจารณาเห็นภายในกาย คือ การต้ังสติก�าหนดพิจารณากาย ให้รู้เห็น (แนวตอบ สติ คอื ความระลกึ ได การรตู ัว ตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงกายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของเรา ตัวตนของเขา อยเู สมอ มจี ติ จดจอ กบั สง่ิ ทก่ี าํ ลงั กระทาํ ซงึ่ มี วธิ ีปฏบิ ัตมิ ี ๖ วิธี วิธที ร่ี ้จู ักกันดี คือ อานาปานสติ (การกา� หนดลมหายใจเขา้ ออก) ความสําคญั ตอ การเรยี น คอื ทําใหผ ูเรียน (๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เวทนาในท่ีนี้มิได้แปลว่าสงสาร แต่หมายถึง เกดิ สมาธิในการศกึ ษาเลา เรียน สามารถ ความรู้สึกเปน็ สขุ เป็นทกุ ข์ หรอื เฉยๆ วธิ ีนคี้ ือ การต้งั สตกิ �าหนดพจิ ารณาเวทนา ใหร้ ู้เห็นความ จดจําและเขาใจบทเรียนไดอยางแมนยาํ เปน็ จรงิ ว่า เป็นแต่เพียงเวทนาไม่ใช่สตั ว์ บุคคล ตวั ตนของเรา ของเขา ตลอดจนสามารถจดั ระบบความคดิ เพอ่ื การ (๓) พิจารณาเหน็ ในจิต คอื การต้ังสติก�าหนดพจิ ารณาจติ ให้ร้เู ห็นตามความเป็น เรยี นรูไดอยางเปนระบบ) จริงวา่ เป็นแตเ่ พียงจิตมใิ ชส่ ตั ว์ บคุ คล ตัวเรา ตัวเขา เมื่อจิตมรี าคะก็รู้วา่ จติ มรี าคะ จิตปราศจาก • สตมิ ีประโยชนตอการดาํ เนินชีวติ ประจําวัน ราคะก็ร้วู า่ จติ ปราศจากราคะ เป็นต้น อยางไร เป็นจรงิ วา่ เป็นเ(พ๔ีย) งพธรจิ รามรณไมา่ใเชหส่ น็ ตั ธวร์ รบมคุ ใคนลธรตรมวั เรคาอื ตวักเาขราตัง้มสีสตติพริ ิจจู้ าักรธณรรามธทรรัง้ มหลใาหยร้ ูเ้เหชน็่นตนามิวรคณวา์ ๕ม1 (แนวตอบ ในชวี ติ ประจาํ วันสติมปี ระโยชน อริยสจั ๔ เป็นตน้ ว่าคอื อะไร เป็นอย่างไร มาก ชว ยใหเรามีความระมัดระวัง การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ น้ี พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า “ทางสายเอก” ไมประมาท ไมเลนิ เลอ ความประมาทเปน ที่จะพาชีวติ ไ๖ป)ส คู่มวงาคมลส งบ๓ส๘ุข2ตั้งคแือต่รสะดิ่งบัทต่ีท้น�าๆใหจ้ นถงึ ระดบั สงู สดุ หนทางนาํ ไปสูความลมเหลว และอาจทําให เกิดความดีงาม เป็นธรรมที่น�ามาซึ่งความสุข เกิดอนั ตรายหรอื ความเสียหายรา ยแรงได ความเจริญ มีทั้งหมด ๓๘ ข้อ แต่ ณ ท่ีนี้ เชน เดินขา มถนน หากขาดสตอิ าจถูกรถชน จะกลา่ วถึง ๓ ขอ้ ดังน้ี ไดร บั บาดเจ็บสาหสั ได ถาระลกึ และรตู วั อยู ๑. ประพฤติธรรม ตลอดเวลาวากาํ ลังทาํ อะไร ดูซายดขู วา ๒. เว้นความชั่ว ใหด ีกอนขา ม หรอื เลือกใชส ะพานลอย ๓. เวน้ การด่มื น�า้ เมา เดนิ ขา มกเ็ ปนวิธีการปลอดภยั ทส่ี ุด ๖.๑) ประพฤติธรรม คนเรา นอกจากนี้ คนมีสติเมือ่ จะพดู หรือจะแสดง เกิดมาย่อมต้องการความสุข ความสุขของ กิรยิ าทาทางอะไรออกมากร็ ูสกึ ตวั อยูเสมอ แตล่ ะคนไมเ่ หมอื นกนั บางครง้ั บางคนตอ้ งการ ไมพ ดู หยาบ พูดเพอเจอ กิริยามารยาทก็ ความสขุ ทางใจมากกวา่ ความสขุ ทางกาย บางคน นม่ิ นวล ยอ มทาํ ใหเ ปนทร่ี กั ใครชอบพอ ต้องการความสุขทางกายมากกว่าความสุข ผลแห่งการปฏิบัติธรรมนำามาซึ่งความสงบสุขทางจิตใจ ของคนที่คบคา สมาคมดวย ชวี ติ กจ็ ะมีแต ทางใจ บางคนชอบความตืน่ เตน้ และผจญภยั อันจะส่งผลให้ชวี ติ มีความสุขความเจริญ ความราบรน่ื นอกจากมปี ระโยชนในการ ทาํ งานแลวยังทําใหใ จสงบดวย) 87 2. ครูใหน ักเรียนฝกสตปิ ฏ ฐาน 4 เปนเวลา 7 วัน บันทกึ ผลกอ นและหลังการปฏิบัติ พรอ มบอก ประโยชนท ไ่ี ดร บั จากการปฏบิ ตั ติ ามสตปิ ฏ ฐาน 4 บันทกึ ผลลงสมดุ สงครผู สู อน แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรียนควรรู การเดนิ จงกรม จดั เปนสตปิ ฏฐาน 4 ในขอ ใด 1 นิวรณ 5 คอื ธรรมทกี่ ัน้ จติ ไมใ หบรรลุความดี สิ่งท่ขี ดั ขวางจติ ไมใ หก า วหนา 1. กายานปุ สสนาสติปฏฐาน ในคณุ ธรรม มี 5 ประการ ดงั นี้ 2. จิตตานปุ สสนาสติปฏ ฐาน 3. ธมั มานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน 1. กามฉันท คือ ความพอใจในกามคณุ 4. เวทนานุปสสนาสติปฏ ฐาน 2. พยาบาท คือ ความคิดรายผอู ่นื 3. ถนี มิทธะ คอื ความหดหูซึมเซา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. การเดนิ จงกรม คือ การกาํ หนดจิตอยทู ีเ่ ทา 4. อุทธัจจกุกกจุ จะ คือ ความฟงุ ซา นและรําคาญ 5. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสยั โดยผูเดนิ จงกรมยืนตรง มือประสานกันไวด านหนาหรือดานหลงั ใชจ ิตกาํ หนด 2 มงคล 38 มีเหตมุ าจากเมอ่ื พระพุทธเจา ประทบั อยู ณ วัดเชตวัน กรุงสาวตั ถี อาการทีเ่ ทากาํ ลังกา วเดนิ ในแตล ะครั้งอยางชา ๆ ปลอยจติ ใหพ น จากความ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกพทุ ธบริษทั ทัง้ หลายทม่ี าทลู ถามปญหาวา อะไรเปน กงั วลตางๆ ซง่ึ กลา วไดว า เปนการกระทาํ ทพี่ ิจารณากายใหร ูเ ห็นตามความ มงคลสงู สุดของมนุษยท ัง้ หลาย โดยตรัสช้ไี ปที่ขอ ประพฤตปิ ฏิบตั ิท่จี ะนําความสุข เปน จริง เรียกวา กายานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน ความเจริญมาให 38 ประการ คมู อื ครู 87

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครแู ละนกั เรยี นอภปิ รายรว มกนั เกย่ี วกบั มงคล 38 บางคนชอบอยเู่ งยี บๆ งา่ ยๆ บางคนชอบงานสงั คม บางคนชอบอา่ นหนงั สอื อยกู่ บั จากน้ันใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นวา บา้ น บางคนตอ้ งการเงนิ มากๆ เพอื่ จะไดม้ คี วามสขุ บางคนตอ้ งการไมม่ ากนกั แตค่ วามสขุ เหลา่ นี้ ในสงั คมไทยปจ จบุ นั มสี งิ่ ใดทเี่ ปน เกณฑก ารตดั สนิ จะเกิดกับใครไม่ได้ ถ้าคนคนนั้นปราศจากส่ิงส�าคัญที่สุดสิ่งหน่ึง คือ “ธรรมะ” ไม่ว่าจะมั่งมีหรือ ความถกู ตอ งในการกระทําส่งิ ตางๆ ในชีวติ ยากจน โงห่ รอื ฉลาด เดก็ หรอื ผใู้ หญ่ เปน็ ชาวกรงุ หรอื ชาวชนบท เปน็ หญงิ หรอื ชาย ทา� งานเกง่ หรอื ประจาํ วนั ไมเ่ กง่ หากขาดธรรมะแล้ว ชีวติ ก็จะไม่มีความสขุ ความสงบ (แนวตอบ ครูเปด โอกาสใหน ักเรียนแสดงความ คิดเหน็ ไดอ ยางหลากหลาย โดยคาํ นึงถึงความ เราคงเคยเห็นว่าครอบครัวที่ม่ังมีเงินทองน้ันบางคร้ังไม่มีความสงบสุข คนท่ี ถกู ตอ งเหมาะสม เชน เกณฑก ารตดั สนิ ความ เรียนเก่งอาจเอาตัวไม่รอด ดังมีค�ากล่าวว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” วิชาความรู้ก็ดี ถกู ตองในการกระทาํ สง่ิ ตา งๆ ในสงั คมไทย ทรพั ยส์ มบตั กิ ด็ ี ความฉลาดและเกง่ กด็ ี ลว้ นเปน็ ดาบสองคม ถา้ ไมม่ ธี รรมะเปน็ หลกั ยดึ เหนยี่ วแลว้ คือ กฎหมาย กฎศีลธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ความวิบัติชั่วร้ายจะเกิดข้ึน ธรรมะคือหลักท่ีจะช่วยเตือนเราว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เป็นสิ่งท่ี ประเพณหี รือวฒั นธรรม คา นยิ ม ความคิด จะน�ามาซ่งึ ความสขุ สวัสดิท์ ัง้ แกต่ วั เองและสว่ นรวม ความเชื่อตางๆ เปนตน ) พระพุทธศาสนามีค�าสอนเกี่ยวกับหลักธรรมท่ีจะให้เราถือปฏิบัติมากมาย แต่ใน 2. ใหนักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา การทบ่ี ุคคล ท่นี ีจ้ ะกลา่ วถึงเบญจธรรม ๕ และเบญจศลี ๕ ดงั นี้ ยดึ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในการดําเนนิ เบญจธรรม ๕ ชีวติ จะเกดิ ผลดอี ยา งไร (แนวตอบ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาจะเปน ๑. เมตตากรุณา มีความรักใครเ่ พือ่ นมนษุ ย์ ชว่ ยเหลือเท่าที่ตนท�าได้ สงิ่ ท่ีคอยยํา้ เตอื นใหบคุ คลเลอื กกระทาํ ในส่ิงทีด่ ี ๒. สมั มาอาชวี ะ หาเลย้ี งชพี ทางสุจริต และถกู ตอง ท้งั ยังทําใหส ามารถอยูร ว มกบั ผูอ น่ื ๓. กามสงั วร เดินสายกลางเกย่ี วกบั ความสุขทางเน้ือหนงั ไดอ ยา งมคี วามสขุ ) ๔. สจั จะ พดู แต่ความจริง ๕. สตสิ มั ปชัญญะ รูส้ กึ ตวั อยเู่ สมอว่าอะไรควร อะไรไม่ควร 3. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ รวบรวมสภุ าษติ คาํ พงั เพย คาํ คม พทุ ธศาสนสภุ าษติ ทกี่ ระตนุ ใหผ คู นสนใจ เบญจศลี ๕ ประพฤตธิ รรม เขยี นลงสมดุ แลว นาํ สง ครผู สู อน ๑. เว้นจากการท�าลายชีวติ 4. ครใู หน กั เรยี นเขยี นความสมั พนั ธข องเบญจศลี 5 ๒. เว้นจากการลกั ขโมย ฉ้อโกง และเบญจธรรม 5 ในรปู แบบของผังความคิด ๓. เว้นจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม แลวนาํ สงครผู ูสอน ๔. เว้นจากการพูดเท็จ ๕. เว้นจากนา้� เมา และสิ่งเสพตดิ ทงั้ หลาย ๖.๒) เว้นความช่ัว ที่กล่าวข้างต้นเป็นเร่ืองการประพฤติธรรม การเว้นความช่ัว มกเ็าปกน็ มเารยอ่ื หงเลดายี ยวอกยบั ่ากงทาร่เี รปารคะวพรฤลตะธิเวรน้รมไแมต่พเ่ ึงปปน็ ฏกบิ าตัรมิ ทอส่ีงอา� คกี ญัดา้ นเชหน่ นง่ึอกพุศรละพกรทุ รธมศบาถสน๑า๐พ1ดูดถังงึทคี่ไวดา้กมลชา่ ว่ัว มาแลว้ 88 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดเปนประโยชนส ูงสดุ ในการศึกษาเบญจศลี -เบญจธรรม 1 อกศุ ลกรรมบถ 10 คือ ทางแหงกรรมชว่ั ทางแหง กรรมท่เี ปน อกุศล กรรมชว่ั 1. เพอื่ ใหร อบรวู ิทยาการแขนงตางๆ อนั เปนทางนาํ ไปสูทคุ ติ มี 10 ประการ ดงั นี้ 2. เพอื่ สงเสรมิ สติปญญาใหเฉลียวฉลาด • กายกรรม 3 ไดแก 3. เพอ่ื แกไ ขกรณพี พิ าททางศาสนาที่เกิดข้ึนในสังคม 1. ปาณาติบาต คือ การทําลายชวี ิต 4. เพือ่ รหู ลกั ธรรมและนํามาปฏบิ ตั ใิ นการดําเนินชีวติ 2. อทนิ นาทาน คอื การถือเอาของที่เขามิไดใ ห วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เบญจธรรม คอื ขอ ควรปฏบิ ัติ สวนเบญจศลี 3. กาเมสมุ จิ ฉาจาร คอื การประพฤติผดิ ในกาม คอื ขอหามปฏิบัติเพ่ือควบคุมกาย วาจา ใจใหด ํารงอยูในความดี ซ่งึ การ • วจีกรรม 4 ไดแ ก ศกึ ษาหลกั ธรรมทั้งสองจะชวยเปน แนวทางใหม นษุ ยด าํ เนินชวี ิตไดอ ยาง 4. มสุ าวาท คอื การพดู เท็จ 6. ผรสุ วาจา คือ การพดู คาํ หยาบ ถูกตองและมีความสขุ 5. ปสุณวาจา คือ การพูดสอ เสียด 7. สมั ผปั ปลาปะ คอื การพดู เพอ เจอ • มโนกรรม 3 ไดแก 8. อภชิ ฌา คือ ความละโมบคอยจองอยากไดข องเขา 9. พยาบาท คอื การคิดรา ยตอผูอื่น 10. มิจฉาทิฏฐิ คอื ความเห็นผดิ จากคลองธรรม 88 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ส�าหรับคนบางคน การเว้นจากการท�าความชั่วอาจง่ายกว่าการท�าความดีและ 1. ครูและนกั เรยี นอภปิ รายรว มกนั เก่ยี วกับ การประพฤติธรรม เช่น การไม่ท�าร้ายคนน้ันไม่ยากนักเพราะเป็นการ “ไม่ท�า” แต่การเสียสละ อกศุ ลมลู 3 แลว ใหนกั เรยี นชวยกนั ยกตวั อยาง เพ่ือช่วยคนอ่ืนนั้นอาจยากกว่าเพราะเป็น “การท�า” เป็นการลงทุนลงแรงท�าให้เราต้อง “เสีย” เหตกุ ารณท่เี กดิ จากตนตอของความช่ัว 3 อะไรไปบางอย่าง แตพ่ ุทธศาสนิกชนควรทา� ทั้งสองอยา่ ง คือ ละเวน้ ความชัว่ และทา� ความดี ประการ อันไดแ ก โลภะ โทสะ และโมหะ ความช่ัวท่ีพระพุทธศาสนาสอนให้ละเว้นมีมากมาย แต่จริงๆ แล้วอาจรวบรวม 2. ครูใหนักเรียนชวยกันบอกวธิ กี ารกําจัดตน ตอ ไดเ้ ปน็ ๓ อย่าง คอื อกศุ ลมลู ๓ แปลวา่ ต้นตอของความชว่ั ๓ ประการ อนั ไดแ้ ก่ โลภะ โทสะ ของความช่ัวหรอื อกุศลมลู 3 โมหะ หรือ โลภ โกรธ หลง (แนวตอบ วิธกี ารกาํ จัดตน ตอของความช่ัวหรอื อกุศลมูล 3 คือ การมสี ติ ตระหนกั รูในสงิ่ ที่ อกุศลมูล ๓ มีดังนี้ ตนกาํ ลงั คิด กาํ ลังกระทํา รูเทาทันความโลภ (๑) โลภะ คือ ความโลภ หมายถึง ความอยากได้โดยมิชอบ หรือความ โกรธ หลงท่จี ะเกดิ ขึ้นภายในใจ หม่ันน่งั สมาธิ บาํ เพญ็ จติ ใหเ กดิ ปญ ญาในการกระทาํ สง่ิ ตา งๆ อยากได้เกนิ พอดี เชน่ อยากไดส้ งิ่ ท่ไี ม่เป็นของตนโดยการหลอกลวง ฉอ้ โกง ขโมย เป็นต้น อยา งมเี หตผุ ลอยูเ สมอ ฝก ควบคุมตนใหชนะ (๒) โทสะ คอื ความโกรธแคน้ พยาบาท อิจฉารษิ ยา คดิ แต่อยากใหผ้ ้อู ืน่ จากกิเลสทั้งปวง และยดึ หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาในการดาํ เนินชีวิต) ประสบเคราะห์กรรม ประสบความหายนะ (๓) โมหะ คอื ความหลง ไมอ่ ยใู่ นหลกั ของเหตผุ ลและปญั ญา มคี วามลา� เอยี ง 3. ครใู หน กั เรยี นทาํ กิจกรรมที่ 3.6 จากแบบวดั ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 ไม่เปน็ กลาง คดิ ปกั ใจแต่เพียงดา้ นใดด้านหนง่ึ ตน้ ตอแหง่ ความชวั่ ท้งั ๓ นี้ อาจมิใช่ต้นตอของความช่วั ทั้งหมดในโลก แตก่ เ็ ป็น ต้นตอทีส่ �าคัญ หากละเว้นไดก้ ็จะเป็นการละเวน้ ความช่ัวได้หลายอยา่ ง ๖.๓) เว้นจากการด่ืมน�้าเมา ในท่ีน้ีหมายรวมถึง การติดของมึนเมา และ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมท่ี 3.6 ส่ิงเสพติดให้โทษ โทษที่เห็นชัดก็คือ เสียเงิน หนวยท่ี 3 หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา โดยเปลา่ ประโยชน์ แทนทจี่ ะใชเ้ งนิ ไปกบั อาหาร ท่ีเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การทะเลาะวิวาท คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด ก็เกิดข้ึนได้ง่ายในหมู่นักเลงสุรา เรื่องเล็กน้อย กิจกรรมท่ี ๓.๖ ใหนักเรียนอานกรณีศึกษา แลววิเคราะหหลักธรรมมรรค ก็กลายเป็นเรื่องให1ญ่ สุราท�าให้คนใจกล้าเป็น ในประเด็นดังตอ ไปนี้ (ส ๑.๑ ม.๒/๘) ñð พิเศษ ทา� ใหข้ าดสติ คนบางคนพอสุราเข้าปาก กเ็ ปล่ียนจากคนเงยี บขรมึ เปน็ คนกา้ วรา้ ว ดนัยเรียนอยูชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓ ในโรงเรียนประจําจังหวัด เขาเปนเด็กต้ังใจเรียน มีผลการเรียนดีมาตลอด เปนท่ีภาคภูมิใจของพอแมและเปนท่ีช่ืนชมของครูบาอาจารย สุราและสิ่งเสพติดท้ังหลาย และเพ่ือนๆ จนกระทั่งมาพบกับอนุชาซ่ึงยายมาใหมจากโรงเรียนอ่ืน ท้ังสองไดคุยถูกคอ ท�าให้เสียสุขภาพ บางคนบอกว่าการด่ืมสุรา จนเปน เพอื่ นสนทิ กนั แตอ นชุ ากลบั มพี ฤตกิ รรมตรงกนั ขา มกบั ดนยั เขาเปน เดก็ ทม่ี ผี ลการเรยี น เป็นยานั้นอาจเป็นความจริงบ้างหรือเพียงครึ่ง ย่ําแย เพราะชอบหนีเรียนไปเลนเกมคอมพิวเตอรและแอบสูบบุหรี่เปนประจํา จากการท่ี เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นยาพิษมากกว่า สุรา ทั้งสองคนเปนพื่อนสนิทกันทําใหดนัยเร่ิมมีพฤติกรรมเลียนแบบอนุชา จากท่ีเคยเปนเด็ก ท�าให้ร่างกายเสื่อมลงทีละน้อย และท�าให้คน มีผลการเรียนดี ทําใหภายหลังเขาเร่ิมมีผลการเรียนตกต่ําลงจนทําใหสอบตกหลายวิชา ปญั ญาดกี ลายเปน็ คนโง่ได้ นําความผดิ หวงั มาใหแ กครอบครัวของดนัยเปน อยา งยิ่ง ๑. ปญ หาของดนยั คอื อะไรและเกดิ จากสาเหตุใด …ป…ญ…ห……าข…อ…ง…ด…น……ัย……ค…ือ……ก……าร…ส……อ…บ…ต…ก……ซ…่ึง…เ…ก…ิด…จ…า…ก…ก…า…ร…ห…น……ีเร…ีย…น…ไ…ป…เ…ล…น…เ…ก…ม…ค…อ…ม…พ…ิว…เ…ต…อ…ร…แ…ล…ะ…ก…า…ร…แ…อ…บ. …ส…บู …บ…ุห…ร…ีเ่…ป…น…ป…ร…ะ…จ…าํ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. เฉฉบลับย การสอบตกของดนยั เปนเพราะเขามไิ ดป ฏิบัติตนตามหลักธรรมใดบาง …เช…น……ก…ุศ…ล……ก…ร…ร…ม…บ…ถ……๑…๐…ข…อ ……ส…ัม…ม…า…ท…ิฏ…ฐ…ิ …(ม…ีค……วา…ม…เ…ห…น็ …ช…อ…บ…)…ส……ต…ิป…ฎ …ฐ…า…น……๔……ม…งค……ล……๓…๘…ข…อ ……เ…วน……ค…ว…าม…ช…่ัว. เปน ตน……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. การประกอบอาชีพสุจริตเป็นการประพฤติท่ีถูกต้องดีงาม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. นาำ มาซ่งึ ความสขุ ทงั้ ตอ่ ตนเองและส่วนรวม ๓. ควรนําหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาขอใดมาชว ยแกไขปญ หาของดนัย 89 …ส…า…ม…า…รถ……น…าํ …ห…ล…ัก…ธ…ร…ร…ม……เช…น……ก…ศุ…ล……ก…ร…ร…ม…บ…ถ……๑…๐……ม…งค……ล……๓…๘……แ…ล…ะ…ส…ต…ปิ …ฏ…ฐ…า…น……๔……ม…า…ช…วย…แ…ก…ไ…ข…ป…ญ…ห…า…ไ…ด. …น…นั่ …ค…อื……ก…า…ร…ม…สี …ต…ิ …ไม…ป …ร…ะ…ม…าท……ไ…ม…เ ผ…ล…อ…ไ…ป…ก…บั …ก…า…ร…ท…าํ …ค…วา…ม…ช…ว่ั …โ…ด…ย…ไ…มห… …น…เี ร…ยี …น…ไ…ป…เล…น……เก…ม…แ…ล…ะ…แอ…บ…ส……บู …บ…หุ …ร…อี่ …กี . …แ…ล…ะ…ต…้งั …ใจ…เ…ร…ยี …น…ห…น…ัง…ส…อื……ค…ว…ร…เต……อื …น…เพ…่อื…น……ค……ือ…อ…น……ชุ า…ใ…ห…ล …ะ…เว…น …ด…ว…ย…เ…ช…น …ก…นั ……………………………………………………. ๔. หากเยาวชนมีพฤติกรรมอยา งดนัยและอนชุ าจะสง ผลตอ ตนเองและสังคมอยา งไร …ห…า…ก…เย…า…ว…ช…น…เล……ียน……แ…บ…บ…พ…ฤ…ต…กิ …ร…ร…ม…ข…อ…ง…อ…น…ชุ …า…แ…ล…ะด……น…ัย…ก…จ็ …ะ…ท…ําใ…ห…ต …น……เอ…ง…ม…ผี …ล…ก…า…ร…เร…ีย…น…ต……ก…ต…ํ่า……ไม…ส …า…ม…า…ร…ถ. …เร…ีย…น……ห…น…ัง…ส…ือ…ใ…น…ร…ะ…ด…ับ…ส…ูง…ต……อ…ไป…ไ…ด… ……ไม…ม…ีค…ว…า…ม…ร…ูท…่ีจ…ะ…น…ํา…ไ…ป…ป…ร…ะ…ก…อ…บ…อ…า…ช…ีพ…ส…ุจ…ร…ิต………ส…ง…ผ…ล…ก…ร…ะ…ท…บ…ท…ํา…ใ…ห.  …ป…ร…ะ…เท…ศ…ช…า…ต…ิข…า…ด…บ…คุ …ล…า…ก…ร…ท…่จี …ะ…ช…วย…พ……ัฒ…น…า…ช…า…ต…ใิ ห……มคี……วา…ม…เ…จ…ร…ิญ…ก…า…ว…ห…น…า …………………………………………………………. ๕. นกั เรยี นควรนาํ ขอคิดท่ีไดม าใชใ นการพัฒนาตนไดอยา งไร …ต…ั้ง…ใ…จ…เร…ยี …น…ห…น……ังส……อื …ใ…ห…เ …ล…ือ…ก…ค…บ…เ…พ…่ือ…น…ท…ีด่ …แี…ล…ะ…ช…กั …ช…ว…น…ท…ํา…ใน……ส…่ิง…ท…ดี่ …ี …ห…ร…อื …ถ…า…ห…า…ก…เพ…่ือ…น…ค……น…ใ…ด…ม…พี …ฤ…ต…ิก…ร…ร…ม. …ท…ี่ไ…ม…ด …ีก…ใ็ …ห…ค…ํา…แน……ะน……ําใ…ห…เ …ขา…เ…ป…ล…ย่ี …น…พ…ฤ…ต…ิก……รร…ม………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒๗ แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู ทุกขอจัดอยูในอกุศลมลู 3 หรือตน ตอของความชัว่ 3 ประการ ยกเวน ขอ ใด ครใู หน กั เรียนศกึ ษาวเิ คราะหโ ครงการตา งๆ ที่จัดทําขึน้ เพอื่ รณรงคใหค นงดเวน 1. ความรกั 2. ความโลภ จากการด่ืมสรุ าและใชย าเสพตดิ ในชุมชนและทอ งถน่ิ วามผี ลดผี ลเสียอะไรบา ง เชน 3. ความโกรธ 4. ความหลง โครงการเมาไมข ับ โครงการงดเหลา เขา พรรษา เปน ตน และใหร ะบวุ านักเรยี นจะมี สว นรวมในโครงการเหลา นน้ั ไดอ ยางไร วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. อกศุ ลมลู 3 แปลวา ตนตอของความช่วั นักเรยี นควรรู 3 ประการ ประกอบดวย - โลภะ คือ ความอยากไดเกินพอดี 1 ทําใหข าดสติ การด่มื สุราทําใหเ กิดปญหาสงั คมตา งๆ มากมาย นอกจาก - โทสะ คอื คามโกรธแคน พยาบาท อิจฉาริษยา จะทาํ ใหเ กิดการทะเลาะววิ าท ลดทอนความสงบสุขของครอบครวั แลว ยังเปน - โมหะ คอื ความไมอ ยูในหลกั ของเหตุผลของปญ ญา มีความลาํ เอยี ง สาเหตุทาํ ใหเ กิดอบุ ตั เิ หตุ มผี ูไดรบั บาดเจบ็ และเสยี ชวี ติ จาํ นวนมากในแตละป ซ่งึ ลว นเปน สงิ่ ท่เี ชื่อมโยงทําใหเ กิดกิเลสอ่นื ๆ ไดอีกมากมาย อนั จะนํา จนรฐั บาลตอ งเขมงวดและกาํ หนดนโยบายเมาไมข บั ออกมา ความทุกขม าใหแกบ คุ คลผูนัน้ คูมือครู 89

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู ครูใหนกั เรยี นชวยกันบอกผลกระทบท่ีเกิดจาก คนขเี้ มานน้ั ไมม่ ใี ครเชอ่ื ถอื ไมอ่ ยากคบคา้ สมาคม ไมอ่ ยากทา� ธรุ ะตดิ ตอ่ ดว้ ยเพราะ การดมื่ นา้ํ เมา ไว้ใจไม่ได้ คนเมาสรุ าเป็นคนทกี่ ระท�าส่งิ ต่างๆ โดยขาดสติ การตกลงกันในเร่ืองตา่ งๆ กบั คนขเี้ มา ไมแ่ น่ว่าจะมกี ารท�าตามข้อตกลง (แนวตอบ การดมื่ น้าํ เมาหรือดืม่ สรุ าสงผลเสยี ในบรรดาส่ิงช่ัวท้ังหลาย โทษ ตอ ผูด่มื ในแงข องสขุ ภาพ ความนาเช่ือถือในสงั คม ของสุราและส่ิงเสพติดเป็นสิ่งท่ีเห็นได้ชัดและ และทาํ ใหเ กดิ ปญ หาสงั คมตา งๆ ตามมามากมาย ง่ายท่ีสุด บางคนอาจบอกว่าสุราน้ันถ้าด่ืมแต่ เชน การทะเลาะวิวาท การเกิดอบุ ัติเหตุบนทอ งถนน พอประมาณกไ็ ม่เสยี หายอะไร คนที่ดื่มสรุ าเป็น ปญหาความรุนแรงในครอบครวั เปน ตน ท้ังนส้ี งผล ครง้ั คราวใชว่ า่ จะตอ้ งเปน็ คนขเี้ มาเสมอไป เรอื่ งนี้ ตอ ความเจรญิ กา วหนา ของประเทศอกี ดว ย เป็นความจริง แต่อย่าลืมว่ามีคนเป็นจ�านวน เพราะรัฐบาลตองสญู เสียงบประมาณในการแกไข ปญหาและเยยี วยาผลทเี่ กดิ จากปญหาดังกลาว) ขยายความเขา ใจ Expand ไม่น้อยท่ีหยุดยั้งการดื่มไม่ได้ ต้อ1งด่ืมมากขึ้น เร่ือยๆ กลายเป็นคนติดสุราเร้ือรัง โดยเฉพาะ ผู้ท่ียังเป็นเยาวชนและอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน 1. ครใู หนักเรยี นชว ยกันสรุปหลกั ธรรม มรรค สมควรอย่างย่ิงที่จะหลีกหนีให้ห่างเพราะถ้าติด (ธรรมที่ควรเจริญ) บนกระดานหนาชั้นเรยี น สุราหรือส่ิงเสพติดใดๆ จนถอนตัวไม่ข้ึนแล้ว ส่ิงเสพติดและอบายมุขต่างๆ เป็นเหตุแห่งความหายนะ อาจทา� ให้เสียการเรยี นและเสียอนาคตได้ 2. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ นาํ ขา วเหตกุ ารณป จ จบุ นั ทาำ ใหส้ ญู เสยี ทั้งชีวติ และทรัพย์สิน ท่เี ปน ปญ หาในระดับสังคมหรอื ระดับประเทศ เชน ขาวการระบาดของโรคตดิ ตอ ตา งๆ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นหลักความจริงท่ีพระพุทธองค์ทรงค้นพบด้วยพระองค์ ขา วนักเรียนยกพวกตีกนั ขา วปญหายาเสพตดิ เอง แล้วน�ามาเผยแผ่แก่มวลมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้เข้าใจความจริงของชีวิต ท้ังนี้หลักธรรม เปนตน แลวรว มกนั วิเคราะหเหตกุ ารณ สามารถให้ผลแก่ผู้ปฏบิ ตั ติ ามสมควรแหง่ การปฏบิ ัตนิ น้ั ๆ ดงั กลา วโดยนําหลกั อรยิ สัจ 4 มาแกปญหา จดั ทาํ เปนปายนิเทศ การท�าความเข้าใจในหลักธรรมค�าสั่งสอนต่างๆ ของพระพุทธองค์ อาทิ หลัก พระรัตนตรยั และอริยสัจ ๔ ยอ่ มท�าใหเ้ ขา้ ใจหลักการด�าเนินชีวติ โดยเฉพาะหลักอริยสจั ๔ นน้ั สอนให้มนุษย์ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ต้ังอยู่ในความไม่ประมาท สอนให้ดับทุกข์ด้วยตนเอง ตลอดจนให้พิจารณาทุกส่ิงตามความเป็นจริง หลักธรรมเหล่าน้ีสามารถน�ามาประยุกต์ใช้เป็น เคร่ืองมือน�าทางให้ด�าเนินชีวิตอย่างถูกต้องและดีงามได้ ดังนั้น พุทธศาสนิกชนท่ีดีจึงควรศึกษา หลกั ธรรมตา่ งๆ ใหช้ ดั เจนเพอ่ื นา� ไปปฏบิ ตั ิ เพราะถา้ หากไมเ่ ขา้ ใจหลกั ธรรมดแี ลว้ การปฏบิ ตั กิ อ็ าจ คลาดเคลอื่ นไปได้ 90 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET พัชราภาเสียใจท่สี อบวชิ าพระพุทธศาสนาไมผา น ตามหลกั อริยสัจ 4 1 สรุ าเร้อื รงั ผูป วยที่เปน โรคพิษสุราเร้ือรงั จะมีความอยากหรอื กระหายสุรา พชั ราภาควรแกป ญหานีอ้ ยางไร อยา งมาก สามารถดื่มสรุ าไดโดยไมจํากัด เมอื่ หยุดดื่มสุราจะมีอาการคลนื่ ไส 1. ลาออกจากโรงเรยี น อาเจยี น มอื ส่ัน กระวนกระวาย ซ่ึงสง ผลเสียตอ การดําเนนิ ชวี ติ ในหลายๆ ดาน 2. ลอกขอ สอบเพอ่ื นทส่ี อบผา น เชน ทําใหค วามสามารถในการขับขลี่ ดลงอาจกอใหเ กิดอบุ ัตเิ หตไุ ด แอลกอฮอล 3. ขอรอ งอาจารยใ หออกขอสอบงา ยขนึ้ สงผลเสยี ตอทุกเซลลของรางกายโดยเฉพาะระบบประสาท หวั ใจ และหลอดเลอื ด 4. อานหนงั สือพฒั นาตนเองและฝกฝนทาํ ขอ สอบใหเช่ียวชาญขึ้น อกี ทง้ั เปน สารกระตุนใหเ กิดมะเร็งไดงา ยขึ้น ซ่งึ อาจจะเสียชีวติ ได วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ตามหลักอริยสัจ 4 ไดแ ก ทกุ ข สมุทยั นิโรธ มรรค พชั ราภาควรแกป ญ หาการสอบไมผ า นดว ยการวเิ คราะหส าเหตขุ อง มุม IT ความทุกขท ่ีเกดิ จากการสอบไมผา น จากน้นั หาแนวทางแกไ ขปญหาจาก สาเหตุนนั้ กลาวคอื ถาสาเหตเุ กิดจากการอา นหนงั สือนอ ยเกินไป แกไขโดย ศกึ ษาคน ควา เพ่มิ เติมเก่ยี วกบั มงคล 38 ไดท ่ี อานหนงั สอื ใหมากข้นึ ฝก ฝนทําขอสอบบอย ๆ เพ่ือใหเ กิดความชาํ นาญใน http://www.thammapedia.com เว็บไซตธ รรมะพีเดยี การทําขอสอบ 90 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand àÊÃÔÁÊÒÃÐ สตั ตมหาสถาคนุณประโยชนของอรยิ สัจ ๔ 1. ครใู หน กั เรยี นอภปิ รายรวมกนั ถงึ กระบวนการ สถานทส่ี ำาคัญ ๗ แห่งที่พระพทุ ธเจา้ เสด็จประทบั เสวยวิมุตตสิ ขุ หลังจากไดท้ รงตรสั ร้ธู รรมวิเศษ (อนตุ ตร- แกป ญหาตามหลักอรยิ สัจ 4 สมั มาส1มั . โอพรธิยิญสาัจณ )4แ ลส้วอเนปใ็นหเว้เรลาาไแมห่ปง่ ลระะม๑าสทปั ดคาือห์ เเตรือียนงตเราามวล่าำาดปับัญตหอ่ าไแปลนะ้ี ความทุกข์ของคนเรานั้นเกิดได้ทุกเมื่อ เราไมค่ วรหลงระเริง หลงั จากทแ่ี ก้ปญั หาใดปญั หาหน่ึงได้แลว้ ปญั หาใหม่อาจเกดิ ตามมาอีกมากมาย ชวี ิตและโลก 2. ครูสรางบัตรคําเก่ยี วกับสถานการณต า งๆ เต็มไปด้วยปญั หา โลกมใิ ชว่ มิ านสวรรค์ แต่โลกก็มิใช่ขมุ นรกทเี่ ราจะหลุดพ้นออกไปมไิ ด้ เราตอ้ งไม่มองโลกในแงด่ ี ท่ีเปนประสบการณใกลตวั ในชีวติ ประจาํ วัน และไมม่ องในแงร่ า้ ย เมือ่ มคี วามสขุ ก็ไม่หลงลมื ตวั แต่พรอ้ มจะเผชญิ ปญั หาทุกเมือ่ ของนกั เรียน ใหน กั เรียนจบั สลากคูล ะ 1 บตั รคํา แลว วเิ คราะหส าเหตุและแนวทางใน 2. อริยสัจ 4 สอนให้เราแก้ปัญหาด้วยปัญญาและเหตุผล คือ สิ่งท้ังปวงเกิดจากสาเหตุบางอย่าง การแกป ญหาดงั กลาวรว มกัน บนั ทึกลงสมุด หากต้องการแก้ปัญหาก็ต้องพยายามสืบสาวราวเรื่องให้ถึงต้นตอ ให้รู้ว่าต้นตอที่แท้จริงอยู่ที่ไหน หากดับต้นตอ สง ครูผูส อน ของปัญหาได้ก็ย่อมดับปัญหาได้ ไม่มอี ะไรทจ่ี ะเกิดขึ้นไดล้ อยๆ ทกุ อย่างต้องมเี หตมุ ปี จั จยั 3. ครใู หน กั เรยี นชวยกันบอกวา การเรยี นรู 3. อริยสัจ 4 สอนให้เราแก้ปัญหาด้วยตัวเราเอง ท้ังน้ีเพราะว่าปัญหาท่ัวไปที่เราประสบนั้นเกิดจาก หลักธรรมอรยิ สจั 4 สามารถนํามาประยุกตใช ตัวเราเอง ตัวเราเองเท่าน้ันจึงจะแก้ไขได้ จะอาศัยโชคชะตา ฤกษ์ยาม ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิเหนือธรรมชาติย่อมช่วยไม่ได้ ในชวี ิตประจาํ วนั ไดอ ยา งไร บางปญั หาอาจมผี อู้ นื่ เข้ามาช่วย แตใ่ นที่สดุ ตวั เราเองเท่านัน้ ท่จี ะรู้วา่ ความทกุ ข์หมดหรอื ยังไมห่ มด (แนวตอบ การเรียนรูหลกั อริยสจั 4 สอนใหร จู กั คดิ อยา งเปน ระบบ รจู กั แกปญหาดว ยปญ ญา 4. อริยสัจ 4 ช่วยให้เราเห็นสง่ิ ตา่ งๆ ตามความเป็นจรงิ มใิ ชน่ กึ คดิ เอาตามกิเลสตัณหาของเรา ชว่ ยให้ และเหตผุ ล สามารถวิเคราะหส าเหตแุ ละ เราหลุดพน้ จากกิเลสตัณหา ทาำ ใหเ้ กดิ แสงสวา่ งแหง่ ปัญญา และปัญญากจ็ ะเปน็ เคร่ืองนาำ ทางของชวี ติ ชวี ิตทีด่ ำาเนิน แนวทางในการแกป ญหาไดต ามความเปนจรงิ ไปตามปัญญาย่อมสงบสุข ปลอดโปร่ง ไม่คิดเห็นแก่ตัว จิตใจก็จะค่อยๆ คำานึงถึงผู้อื่น พร้อมที่จะรับรู้ความสุข ฝกใหรจู กั คิดอยางรอบคอบและมองการณไกล) ความทกุ ขข์ องเพอื่ นรว่ มโลก กอ่ ใหเ้ กดิ ความกรณุ าขน้ึ แลว้ บาำ เพญ็ ตนใหเ้ ปน็ ประโยชนส์ ขุ แกค่ นทว่ั ๆ ไป รวมทงั้ สตั ว์ ทงั้ หลายด้วย ปัญญากบั กรุณาที่ไปด้วยกันจะทำาใหโ้ ลกปกติสุข ซงึ่ ทงั้ หมดนี้เกิดไดจ้ ากการเข้าใจอรยิ สจั ๔ ตรวจสอบผล Evaluate 1 1. ตรวจสอบจากความถกู ตองในการตอบคําถาม พพรระะออาุโรบาสมถหวลัดวเงบชญน้ั เจอมกบชพนิตดิ รรดาชุส2วิตรววนหิ าารราตมงั้ อรยาชทู่ วเี่ ขรตวดิหสุ าติร และการอภิปราย กรงุ เทพมหานคร เปน็ พระอโุ บสถทมี่ สี ถาปตั ยกรรมงดงาม 2. ตรวจสอบจากความถกู ตอ งของเนอื้ หา มาก และใช้หินออ่ นสีขาวบริสทุ ธใิ์ นการกอ่ สร้าง และความสวยงามในการจดั ปายนเิ ทศ แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ลดาเสยี ใจทีไ่ มไ ดเหรยี ญทองในการแขง ขันกฬี าวอลเลยบ อล ครคู วรใหน กั เรียนออกมาเลาตัวอยา งเหตกุ ารณหรอื ประสบการณสว นตวั ทแ่ี สดง จัดเปนอริยสจั 4 ขอ ใด ใหเหน็ วาไดน าํ หลกั ธรรมอรยิ สจั 4 ไปใชแกป ญ หาในชีวิตประจาํ วัน 1. สมทุ ัย นกั เรยี นควรรู 2. นโิ รธ 3. มรรค 1 วดั เบญจมบพติ รดสุ ติ วนารามราชวรวิหาร ในสมยั พระบาทสมเดจ็ 4. ทุกข พระจอมเกลาเจา อยหู ัว โปรดเกลา ฯ พระราชทานนามวา “วัดเบญจบพิตร” หมายความวา วัดของเจา นาย 5 พระองค ครนั้ ในสมัยพระบาทสมเด็จ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ทกุ ข หมายถึง ความไมส บายกาย พระจลุ จอมเกลาเจาอยหู วั โปรดเกลา ฯ ใหเปล่ยี นช่ือวดั จาก “เบญจบพิตร” เปน “วัดเบญจมบพิตร” หมายถงึ วดั ของพระเจา แผนดิน รัชกาลท่ี 5 ไมส บายใจ ซง่ึ สอดคลอ งกบั ความรูส กึ เสยี ใจของลดา และเพิม่ สรอ ยนามวา ดสุ ิตวนาราม 2 พระอโุ บสถ หรือทีโ่ ดยทว่ั ไปเรยี กกันวา โบสถ อันเปนสถานทส่ี ําหรบั พระสงฆ ประชมุ ทําสงั ฆกรรม คูมอื ครู 91


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook