กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand วันต่อมา พระราชาจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมภิกษุสงฆ์ ไปเสวยภัตตาหารใน 1. ครแู ละนกั เรยี นสรปุ ประวตั พิ ระเจาพมิ พสิ าร พระราชวัง แล้วกรวดน�้าอุทิศส่วนกุศลแก่พวกเปรตที่เคยเป็นพระญาติของพระองค์ ตกดึกมา แลวแสดงความคิดเหน็ ในประเด็นคาํ ถาม บรรดาพระญาตเิ กา่ กม็ าปรากฏโฉมอกี คราวนหี้ นา้ ตายมิ้ แยม้ แจม่ ใส ซาบซงึ้ ในพระหฤทยั ทแ่ี บง่ ตอ ไปน้ี สว่ นบญุ ให้ ตพ่ารงะกเจไ็ ดา้ พ้เสิมวพยบิสาุญรไมปีพตราะมรๆาชกโอนั รสแพลว้รกะน็อาันมตวร่าธา“นอชหาาตยศไปตั ร1ู” จากพระนางเวเทหิ ตอนทรง • คณุ ธรรมใดของพระเจา พิมพสิ ารทน่ี ักเรียน ประชวรพระครรภ์ (แพ้ท้อง) พระเทวใี คร่จะเสวย “เลือด” ของพระราชสวามี แต่พระนางไมก่ ลา้ ควรถอื เปน แบบอยางในการประพฤตปิ ฏิบตั ิ ทลู แก่พระราชสวามี ในชวี ติ ประจาํ วนั (แนวตอบ การเคารพนบั ถือในพระรตั นตรัย ตอ่ มาเมอ่ื ทรงซกั ไซร้ จงึ กราบทลู ความจรงิ ใหท้ ราบ ดว้ ยความรกั พระมเหสี พระราชา การมคี วามเพยี ร และการมงุ มนั่ ในการศกึ ษา จึงเฉือนพระพาหา (แขน) เอาพระโลหิตออกมาให้พระมเหสีดื่ม อาการประชวรพระครรภ์ก็สงบ หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ตลอดจนมี โหราจารยท์ �านายว่าพระโอรสองคน์ ี้จะทา� “ปติ ุฆาต” แต่พระราชากม็ ไิ ดส้ นพระทัยต่อค�าทา� นาย จติ เอ้อื เฟอเผือ่ แผ ปรารถนาดีตอผอู ื่นเสมอ) • คุณธรรมใดของพระเจา พิมพสิ ารทีค่ วร กลา่ วกนั ว่า ค�าท�านายของโหรทา� ใหพ้ ระเทวมี คี วามกังวลมาก จงึ แอบไปท�าแทง้ ทถี่ ้�า นํามาเปนแบบอยา งในการครองเรอื น มทั ทกจุ ฉิ เชงิ เขาคชิ ฌกูฏ โดยเอากอ้ นหินทุบท้องเพ่อื ใหแ้ ทง้ พระราชาทรงทราบ ตรสั หา้ มท�า (แนวตอบ เชน การรกั และเอาใจใสต อ คนใน เชน่ น้นั เปน็ อันขาด ทารกน้อยจงึ มีโอกาสเกดิ ขนึ้ มาดูโลก ที่พระนางท�าไปมิใช่ไม่รักลกู แตม่ ิอยาก ครอบครวั การใหก ารอปุ การะ ใหก ารศกึ ษา ไดช้ อื่ วา่ มลี กู ฆา่ พอ่ อนั เปน็ ความอปั ยศอยา่ งยง่ิ แตพ่ ระสวามกี ป็ ลอบพระทยั วา่ เรอ่ื งในอนาคตไมม่ ี แกบ ตุ ร และหมน่ั อบรมสง่ั สอน ชแ้ี นะสงิ่ ใดดี ใครสามารถหยง่ั รไู้ ด้ เพยี งคา� ทา� นายกไ็ มค่ วรเชอื่ วา่ จะเปน็ ความจรงิ รอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ตท์ กุ อยา่ ง อยทู่ ี่ สง่ิ ใดไมดใี หแ กบตุ รเสมอ) การกระท�าของคน ถา้ เราอบรมลกู ให้ดี มีหรอื จะกลายเป็นคนช่วั เช่นน้นั ได้ 2. ครูใหนกั เรยี นอภปิ รายความหมายของ เพราะความเช่ือม่ันอย่างน้ี เม่ือพระราชโอรสประสูติแล้ว จึงพระราชทานนามว่า พระพทุ ธวจนะท่ีตรสั วา “เม่อื โคขามฟาก อชาตศัตรู (ผู้เกิดมาไม่เป็นศัตรู) ทรงให้การศึกษาอบรมแก่พระราชโอรสเป็นอย่างดี ท�าให้ ถาโคจา ฝงู วายไปคดหรอื ตรง ฝูงโคก็จะคด เจ้าชายนอ้ ยเปน็ คนวา่ นอนสอนง่าย อยใู่ นพระโอวาท ไมม่ 2ีวีแ่ วววา่ จะป3ระพฤตินอกรีตแต่อยา่ งใด หรือตรงตาม” แลวบอกถงึ การนาํ ขอคดิ จาก พระพุทธวจนะดงั กลา วนไี้ ปปรบั ใชใ นชีวติ แต่ก็เหมือนฟ้าลิขิต เจ้าชายน้อยได้รู้จักอลัชชีนามเทวทัต ถูกเทวทัตผู้เป็นบาปมิตร ประจําวนั เส้ยี มสอนให้เหน็ ผดิ เปน็ ชอบ จบั พระเจา้ พิมพสิ ารขงั คุกใหอ้ ดพระกระยาหารจนส้นิ พระชนม์ (แนวตอบ หากผปู กครองประพฤติตนอยใู นศีล- ธรรม ผใู ตป กครองกย็ อ มจะอยใู นศลี ธรรม ดงั นน้ั ๒) คุณธรรมทีค่ วรถอื เป็นแบบอยา่ ง ของพระเจา้ พิมพสิ าร มดี ังน้ี หากมีบทบาทเปนผูน าํ จะตองดํารงตนอยใู น ศลี ธรรม และมหี ลกั การปกครองทเี่ สรมิ สรา งให ๒.๑) เป็นพ่อที่ดี พระเจ้าพิมพิสารมีความรักอชาตศัตรูผู้เป็นพระราชโอรสอย่าง ผใู ตป กครองเปน คนดแี ละเปน คนเกง ควบคกู นั ไป) แท้จรงิ เมอ่ื ครงั้ พระราชโอรสอยใู่ นพระครรภ์ พระมเหสี “แพ้ท้อง” อยากเสวยโลหิตพระราชสวามี เพราะความรักในพระมเหสี และรักในพระราชโอรสผู้อยู่ในพระครรภ์ พระเจ้าพิมพิสารถึงกับเอา พระขรรค์กรีดพระโลหิตจากพระพาหาของพระองคใ์ หพ้ ระมเหสีด่มื แมภ้ ายหลงั เจา้ ชายอชาตศตั รหู ลงผดิ เพราะการยยุ งของพระเทวทตั ถอื พระขรรค์ เขา้ ไปหมายจะสงั หารพระองค์ พระองคก์ ็ไมท่ รงถอื โกรธ เมือ่ รูว้ า่ พระราชโอรสตอ้ งการราชสมบัติ ตรวจสอบผล Evaluate กย็ นิ ดยี กใหต้ ามปรารถนา แมพ้ ระราชโอรสจบั ขงั คกุ ทรมานใหอ้ ดพระกระยาหาร กไ็ มม่ จี ติ โกรธเคอื ง 1. ตรวจสอบผลจากความถกู ตองในการตอบ หรอื พยาบาทในพระราชโอรสแตป่ ระการใด คําถามและแสดงความคิดเหน็ 53 2. ตรวจสอบผลจากความถูกตองและความ สวยงามของสมดุ ภาพเลาเรอ่ื งประวัติของ พทุ ธสาวกหรือพุทธสาวกิ า แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู พระเจาพิมพิสารทรงเสียสละสิ่งใด เพอ่ื ทําใหพระนางเวเทหิหายจาก 1 อชาตศัตรู แปลวา ผปู ราศจากศตั รู ในเวลาตอ มาทา นไดค บคดิ กบั พระเทวทตั อาการประชวรพระครรภ (แพท อ ง) ฆาพระราชบดิ าตามที่โหรทํานายไว และไดขน้ึ ครองราชสมบัตแิ ควนมคธ ณ กรุงราชคฤห แตทรงสํานกึ และกลบั พระทัยได หันมาทรงอุปถมั ภบาํ รุงพระพทุ ธ- 1. ยกราชสมบัติใหพ ระนางปกครอง ศาสนา และทรงเปน พุทธศาสนปู ถัมภกในการสังคายนาพระธรรมวินัยคร้งั ที่ 1 2. กรีดเลอื ดจากแขนใหพ ระมเหสดี ื่ม 2 อลชั ชี คอื ผไู มม ีความละอาย ภกิ ษุผปู ระพฤตลิ ะเมดิ พุทธบญั ญัติโดยจงใจ 3. เสยี สละพระราชทรพั ยส รา งท่ีประทับใหใหม ละเมดิ หรือกระทําผดิ แลว ไมมีการแกไ ข 4. ถวายอาหารโปรดบํารุงพระครรภพระมเหสี 3 เทวทัต เปน พระโอรสในพระเจาสุปปพุทธะและพระนางอมติ าแหง โกลิยวงศ ไดออกผนวชและบําเพญ็ ฌานจนไดโลกียอภิญญา เวลาตอมามคี วามมักใหญ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. พระเจาพิมพิสารทรงใชม ีดกรีดเลอื ดทแ่ี ขน คดิ ทาํ รายพระพุทธเจา ไดก อ เรอ่ื งวุนวายในสังฆมณฑลและถกู ธรณีสูบในที่สดุ ของพระองคใหพระมเหสีดืม่ เพราะพระนางประชวรพระครรภ (แพทอง) ใครจ ะเสวยพระโลหติ ของพระราชสวามี คอื พระเจา พิมพสิ าร ดว ยความรัก ในพระมเหสแี ละรกั ในพระราชโอรสผูอยูในพระครรภ พระองคจึงทรงยอม เสยี สละพระโลหติ คูม ือครู 53
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครใู หนักเรยี นยกตวั อยางพระมหากษตั รยิ ไทย ๒.๒) ทรงม่ันคงในพระรัตนตรัย พระองค์ทรงรับเอาพระพุทธศาสนามาเป็น ในอดีตท่มี ีพระราชกรณียกจิ ในดา นการทํานบุ าํ รงุ หลักปฏิบัติของพระองค์เองและประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ สร้างวัดถวายไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา แลว อภปิ รายรว มกันถึงผลงานที่ เปน็ วดั แหง่ แรกในประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ทรงมนั่ คงในพระศาสนายิ่งนัก สรา งประโยชนใ หก บั ประเทศไทย ตลอดจนคณุ ธรรม เม่ือครั้งถูกพระราชโอรสจับขังให้ ท่คี วรถอื เปนแบบอยาง สาํ รวจคน หา Explore อดพระกระยาหาร1พระองคก์ ย็ ดึ ม2นั่ ในพระธรรม เจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ น�ามาเป็น เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จนถึงวาระสุดท้ายแห่ง ใหน กั เรยี นศกึ ษาคน ควา เกย่ี วกบั ขอ มลู ศาสนกิ ชน พระชนมช์ พี ตัวอยางจากหนงั สือเรียนหนา 54-61 หรือจากแหลง ๒.๓) ทรงเปน็ ผนู้ า� ทดี่ ี เมอ่ื กอ่ น การเรยี นรูตา งๆ หรือสอบถามผูรู จากนน้ั บันทกึ พระเจ้าพมิ พสิ ารทรงเลื่อมใสในชฎลิ ๓ พ่นี อ้ ง ประวัติและผลงานของทา นเหลา นั้นลงสมดุ กน็ า� ประชาชนไปฟงั คา� ชแ้ี นะเปน็ ประจา� ครนั้ มา อธบิ ายความรู Explain เป็นสาวกของพระพุทธองค์แล้ว ก็นา� ประชาชน เขา้ หาพระพทุ ธศาสนา ประพฤตปิ ฏบิ ตั พิ ระองค์ ครูใหน กั เรยี นผลดั กนั เลา ประวัตขิ อง พระพุทธรูปปางแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ประดิษฐานอยู่ เป็นแบบอยา่ งท่ีดี พระมหาธรรมราชาลิไทยโดยยอ จากน้นั ใหนักเรียน ภายในพระเวฬวุ นั วหิ าร ซง่ึ เปน็ วดั ทพ่ี ระเจา้ พมิ พสิ ารสรา้ ง พระราชจริยาวัตรของพระเจ้า จับคูออกมาจับสลากเพือ่ นาํ เสนอพระราชกรณียกจิ ถวายพระพทุ ธเจา้ พมิ พิสารเขา้ หลักพระพทุ ธวจนะที่ตรัสว่า “เมอ่ื ของพระมหาธรรมราชาลิไทยในดา นตา งๆ ตอ ไปนี้ โคข้ามฟาก ถ้าโคจ่าฝูงว่ายไปคดหรือตรง ฝูงโคก็จะไปคดหรือตรงตาม” ผู้ท่ีเป็นผู้น�าประเทศ • ดานศาสนา กเ็ ช่นเดยี วกนั ถา้ ปฏบิ ัติตนอยู่ในศลี ในธรรม ผูใ้ ตป้ กครองก็ยอ่ มมีศลี มธี รรมตาม • ดานการปกครอง • ดา นอกั ษรศาสตร ó. ศาสนิกชนตวั อย่าง 3.1 พระมหาธรรมราชาลิไทย ในพระยาเลอ๑ไ)ท พย3รพะประรมะหวัาตกิ ษพัตรระิยม์อหงคาธ์ทรี่ ร๕มแราหช่งากทรุงี่ ส๑ุโข(ทพัยระตยาามลปิไรทะยว)ัติศทารสงตเปร์ก็นลพ่ารวะวร่าาชไดโอ้ทรรสง ศึกษาวิชาช้ันต้นจากพระเถระชาวลังกา ซ่ึงเข้ามาสอนหนังสือและเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่าง จรงิ จัง และเมอื่ ขึน้ ครองราชย์ได้ ๕ ปี กท็ รงอุปสมบทเปน็ พระภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา เม่อื พ.ศ. ๑๙๐๔ โดยนมิ นต์พระเถระจากลังกามาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาธรรมราชาลไิ ทย ทรงเป็นแบบอยา่ งพระมหากษตั ริยผ์ ปู้ ระพฤตธิ รรมพระองค์ แรกของกรงุ สโุ ขทยั และทรงเป็นนักปราชญ์ทีร่ อบรทู้ ้งั ทางศาสนา การปกครอง และอกั ษรศาสตร์ เป็นอยา่ งยง่ิ โดยประมวลได้ในดา้ นตา่ งๆ ดงั น้ี 54 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดเปน วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาของพระมหาธรรมราชาลไิ ทย 1 พทุ ธานุสสติ คอื การระลึกถึงคณุ ของพระพุทธเจา 1. นิราศภูเขาทอง 2. เวสสันดรชาดก 2 ธมั มานุสสติ คอื การระลกึ ถงึ คุณของพระธรรม 3. ไตรภมู ิพระรวง 4. มหาชาตคิ าํ หลวง 3 พระยาเลอไทย (พ.ศ. 1841-1866) เปน พระราชโอรสองคโ ตของพอ ขนุ รามคาํ แหง มหาราช ทรงศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาเปน อยา งมาก แตใ นรชั สมยั ของพระองคเ ปน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ไตรภมู ิพระรว งหรอื เตภมู ิกถาเปน ชว งระยะเวลาท่อี าณาจักรสุโขทัยเร่มิ เสอ่ื มอาํ นาจ วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาเรือ่ งแรกของไทยทพ่ี ระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงพระราชนิพนธข้ึน มีเน้ือหาเก่ยี วของกบั นรก-สวรรค เพอ่ื สอนใหคน ทาํ ความดี ละเวนความชัว่ 54 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๑) ด้านศาสนา มดี งั น้ี 1. ครูและนกั เรียนชว ยกนั สรุปพระราชกรณยี กจิ ๑. ทรงมคี วามเช่ยี วชาญทางดา้ นศาสนา รอบรพู้ ระไตรปฎิ กอยา่ งแตกฉาน ของพระมหาธรรมราชาลไิ ทยในรปู แบบ ทง้ั อรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี า และปกรณว์ เิ สสอน่ื ๆ โดยทรงศกึ ษาจากพระสงฆผ์ เู้ ชยี่ วชาญพระไตรปฎิ ก ผังความคดิ บนกระดานหนาชน้ั เรียน จากนั้น ในขณะน้ัน เช่น พระมหาเถรมุนีพงศ์ พระอโนมทัสสีเถรเจ้า เป็นต้น หรือจากราชบัณฑิตฝ่าย ใหนักเรยี นชว ยกนั วเิ คราะหคุณธรรมท่คี วร คฤหัสถ์ เชน่ อุปเสนบณั ฑิต เป็นต้น นาํ ไปเปนแบบอยา ง ๒. ทรงสง่ เสรมิ อปุ ถมั ภด์ า้ นการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาและศลิ ปศาสตรต์ า่ งๆ (แนวตอบ พระมหาธรรมราชาลไิ ทยทรง ๓. ทรงสง่ ราชบรุ ษุ ไปขอพระบรมสารรี กิ ธาตจุ ากลงั กาทวปี และไดท้ รงนา� มา เปน ผูมีวสิ ัยทัศนก วางไกล พระองคท รงมี บรรจุไว้ในพระมหาธาตเุ มอื งนครชุม (เมืองโบราณอย่ใู นจงั หวดั ก�าแพงเพชร) ความคดิ รเิ ริม่ ในดา นตา งๆ ไดอยา งดีเลิศ ๔. ทรงส่งราชทูตไปอาราธนาพระสังฆราชมาจากลังกาทวีป มาจ�าพรรษา พระองคทรงวางรากฐานดานการปกครอง อยู่ที่วดั ปา่ มะมว่ ง นอกจากนีท้ รงผนวชในพระพทุ ธศาสนา และทรงสร้างพระพทุ ธรปู ไวห้ ลายองค์ โดยใชหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาเปน ๑.๒) ด้านการปกครอง มดี งั น้ี ตวั ขัดเกลาจติ ใจประชาชน เพ่ือใหประชาชน ๑. โปรดให้สรา้ งปราสาทราชมณเฑยี ร อยใู นศลี ธรรมและเกดิ ความสงบสขุ และ ๒. ทโปรรงดปใกหคย้ รกอผงนดงั้วกย้นัทนศ�้าพตธิ ัง้ รแาตช่เธมรือรงม1สองแคว (พษิ ณโุ ลก) มาถึงกรุงสุโขทัย พระองคท รงมีความสามารถในการถายทอด ๓. เรอื่ งราวนามธรรมใหเ ปนรปู ธรรม กอ ใหเกดิ ๑.๓) ดา้ นอักษรศาสตร์ มีดงั น้ี ความเขาใจทีง่ ายขึน้ ดังเชนหนังสอื ๑. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “เตภูมิกถา” หรือ “ไตรภูมิพระร่วง” อันเป็น เตภมู ิกถาหรอื ไตรภมู พิ ระรว ง ซง่ึ มเี น้ือหา วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาเรอื่ งแรกของไทย เก่ียวกับนรกสวรรค เพอื่ ใหป ระชาชนเขาใจ ๒. โปรดให้มีการสร้าง ผลของการปฏิบตั ติ ามศลี ธรรมและประพฤติ ศลิ าจารกึ ไว้หลายหลัก ผิดศีลธรรม) เปน็ นกั ปราชญ์ ทพรรงะมมคี หวาาธมรรรอมบรราใู้ ชนาศลลิ ิไปทศยาทสตรงร2์ มากมาย ทรงบา� เพญ็ พระราชกรณยี กจิ และทรง 2. ครใู หน ักเรียนบอกถงึ วิธีการพฒั นาตนเองเพอ่ื มีพระจริยาวัตรอันเป็นประโยชน์อย่างไพศาล ใหเ ปนบคุ คลผมู ีวสิ ยั ทศั นก วา งไกลและมีความ ท้ังแก่ฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักรเป็นอย่างย่ิง สามารถในการคิดรเิ รม่ิ สรา งสรรค ดังเชน พระองค์ทรงประพฤติในทางท่ีจะทรงเป็น พระมหาธรรมราชาลไิ ทย ธรรมราชา คอื การปกครองพระราชอาณาจักร (แนวตอบ หม่นั ศกึ ษาหาความรอู ยูเสมอ ตดิ ตาม ดว้ ยธรรมานุภาพเป็นสา� คัญ ขาวสารเหตุการณปจจุบัน สบื คนขอมลู ทาง พระมหาธรรมราชาลิไทย พระบรมรปู พระมหาธรรมราชาลไิ ทย ภายในวดั พระศรรี ตั น อินเทอรเนต็ อานหนงั สอื และพูดคุยกับผมู ี สวรรคตในปใี ดไมป่ รากฏแนช่ ดั แตเ่ ขา้ ใจวา่ เปน็ มหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก พระมหาธรรมราชาลิไทย ความรู เพ่อื สรางองคค วามรูในดานตา งๆ ช่วงใดช่วงหนึ่ง ระหวา่ ง พ.ศ. ๑๙๑๑ ‑ ๑๙๑๗ ทรงเป็นผู้รจนาหนังสือไตรภูมิพระร่วง วรรณกรรมทาง ทที่ นั สมัยใหกับตนเอง ฝก การวิพากษว จิ ารณ พระพทุ ธศาสนาเรื่องแรกของไทย คดิ ริเรม่ิ สรา งสรรค และมองการณไ กลดวย ความรอบคอบและมเี หตผุ ล) 55 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรยี นควรรู วรรณกรรมเรือ่ งไตรภมู ิพระรวง มคี วามสําคัญตอ สงั คมสโุ ขทัยอยา งไร 1 ทศพธิ ราชธรรม พระพุทธศาสนาสอนวา นักปกครองทีด่ นี นั้ ควรมีคุณธรรม แนวตอบ ไตรภมู ิพระรว งเปน วรรณกรรมทีเ่ กย่ี วของกับพระพทุ ธศาสนา 10 ประการ ไดแ ก การให การตัง้ อยูในศลี การบริจาค ความซอื่ ตรง พระมหาธรรมราชาลไิ ทยทรงพระราชนพิ นธ โดยนําหลักธรรมทางพระพุทธ- ความออนโยน ความมีตบะ ความไมโกรธ ความไมเ บยี ดเบยี น ความอดทน ศาสนาท่ีเขา ใจยากมานําเสนอใหมเปนรปู ของคาํ ประพันธ มีการใชขอ ความ และความไมคลาดธรรม งายๆ อา นแลว เกดิ จินตนาการ โดยเนอ้ื หาในไตรภูมิพระรว งจะกลา วถงึ นรก 2 ศลิ ปศาสตร หมายถงึ ศลิ ปศาสตร 18 ประการ ไดแก วิชาพระเวท วิชา สวรรค ผทู ที่ ําความดีจะไดไ ปเสวยสุขบนสวรรค สว นผูท่ีทําความช่ัวจะตอง พิจารณาสว นตา งๆ ของรา งกาย วชิ าคํานวณ วชิ าทาํ จิตใหแนว แน วชิ ากฎหมาย ไปชดใชก รรมในนรก ซึง่ ทาํ ใหป ระชาชนเกิดความหวาดกลวั ทจี่ ะไปเกดิ ใน วชิ าแยกประเภท วิชาทํานายเหตุการณ วชิ าฟอ นรํา วชิ าแพทย วิชาโบราณคดี นรก จงึ หมน่ั เรงสรา งความดี ไมประพฤตชิ ว่ั ความเช่ือเชนนีส้ งผลใหส ังคม วชิ าศาสนา วชิ าทาํ นายบคุ คล วิชากล วชิ าคนหาเหตุ วชิ าคิด วิชารบ วชิ ากลอน สุโขทยั เกดิ ความสงบสุข ผูค นไมเบียดเบียนซง่ึ กนั และกัน และวิชาดลู กั ษณะคน คมู ือครู 55
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูใหนกั เรียนวิเคราะหวา งานดา นอักษรศาสตร ๒) คุณธรรมทีค่ วรถอื เปน็ แบบอยา่ ง ของพระมหาธรรมราชาลิไทย มดี ังน้ี ที่พระมหาธรรมราชาลไิ ทยทรงพระราชนิพนธเ ร่ือง ไตรภูมิพระรวง มีคุณประโยชนตอพระพุทธศาสนา ๒.๑) ทรงมีความกตัญญูอย่างย่ิง พระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงมีความรักและ อยา งไร กตัญญตู ่อพระราชมารดาของพระองค์เป็นอย่างย่งิ สังเกตได้จากการทีท่ รงพระราชนพิ นธห์ นังสือ พระพุทธศาสนาชื่อ “เตภูมิกถา” หรือ “ไตรภูมิพระร่วง” ทรงแจ้งวัตถุประสงค์ข้อหน่ึงว่า เพ่ือ (แนวตอบ พระมหาธรรมราชาลิไทยทรง เทศนาโปรดพระมารดา การพระราชนิพนธ์คัมภีร์พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศล พระราชนพิ นธเรื่องไตรภูมิพระรวง เพ่อื เทศนาโปรด อันย่ิงใหญ่อย่างหน่ึง พระองค์ไม่ลืมท่ีจะแบ่งบุญให้แก่พระราชมารดาของพระองค์ แสดงว่าทรง พระมารดา อนั เปนการดําเนนิ ตามรอยยคุ ลบาท มีความรกั และกตญั ญูใน “แมบ่ งั เกดิ เกล้า” อย่างมาก เปน็ การดา� เนินตามรอยยุคลบาทพระสัมมา พระสมั มาสมั พุทธเจาทีเ่ สด็จข้ึนไปแสดงพระธรรม- สัมพุทธเจา้ ทเ่ี สด็จขนึ้ ไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดอดีตพุทธมารดาบนสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ เทศนาโปรดอดตี พทุ ธมารดาบนสวรรคชนั้ ดาวดึงส พระองคท รงถายทอดเนอ้ื หาเกยี่ วกับศีลธรรมและ ๒.๒) ทรงมีความสามารถในการถ่ายทอดนามธรรมให้เป็นรูปธรรม เนื้อหาของ ความเชอ่ื เรื่องนรก สวรรค การเวียนวา ยตายเกดิ ใน ไตรภูมิพระรว่ ง กลา่ วถึงเร่ืองศลี ธรรม จรยิ ธรรม เรอื่ งนรก สวรรค์ เปน็ เรอื่ งละเอียดอ่อน ยากที่ พระพุทธศาสนาใหเขาใจงาย ดว ยการยกตัวอยา ง จะอธิบายให้เข้าใจได้ แต่พระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงมีความสามารถในการถ่ายทอด ทรงท�า หรืออุปมาอุปไมย จงึ ทําใหไตรภมู พิ ระรวงไดรบั การ เรอื่ งยากใหง้ า่ ยได้ โดยเฉพาะการยกตวั อยา่ งหรอื อปุ มาอปุ ไมย ทรงทา� ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั เนอื้ หา ยกยอ งใหเ ปน วรรณคดีพระพทุ ธศาสนาเลมแรกของ และทา� ใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจไดแ้ จม่ แจง้ ถอื ไดว้ า่ ไตรภมู พิ ระรว่ งเปรยี บเสมอื น “กฎหมายทางใจ” ทค่ี วบคมุ ไทย หรือเปรียบไดว า เปนกฎหมายทางใจที่ควบคุม มิให้พสกนกิ รของพระองคท์ �าผดิ ท�าช่วั นัน่ เอง พฤตกิ รรมของพุทธศาสนิกชน ทาํ ใหคนไมกลา ทาํ ความช่ัว หม่ันสรางแตค วามดี สงั คมจึงสงบสุข ๒.๓) ทรงมีความคิดริเริ่มเป็นยอด วิเคราะห์ได้จากการที่ทรงบรรยายธรรมใน สามารถพฒั นาประเทศชาติไดอยางรวดเรว็ ) ไตรภูมิพระร่วง จะเห็นว่าพระมหาธรรมราชาลิไทยมิเพียงแต่ “คัดลอก” ความคิดจากคัมภีร์ พระไตรปิฎกและอรรถกถา ฎีกา เทา่ น้ัน หากพระองค์ทรงเสนอแนวคิดใหมๆ่ ด้วย เช่น แนวคดิ เรอื่ งคนทา� ชวั่ แลว้ ถกู จารกึ ชอ่ื บนหนงั สนุ ขั ซง่ึ ในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กและอรรถกถา ฎกี า กอ่ นหนา้ นนั้ พดู ถงึ เฉพาะคนทา� ดีแลว้ ถกู จารกึ ชอื่ ในแผน่ ทองเทา่ นน้ั หนงั สอื ไตรภมู พิ ระรว่ ง เปน็ วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา 1 ที่ว่าด้วยเร่ืองนรก-สวรรค์ เพ่ือใช้ส่ังสอนราษฎรให้ต้ังม่ัน อยู่ในศีลธรรม ฐานเจดยี ท์ ว่ี ดั ปา่ มะมว่ ง เปน็ วดั ทพี่ ระมหาธรรมราชาลไิ ทย เคยทรงผนวชและจาำ พรรษาอยกู่ อ่ นทจ่ี ะเสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์ 56 ตง้ั อยู่นอกเมอื งสุโขทัยดา้ นทศิ ตะวนั ตก เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูแนะนาํ ใหนกั เรยี นไปศึกษาภาพจติ รกรรมฝาผนังที่มคี วามงดงามไดทีว่ ดั ครใู หน กั เรียนศึกษาคน ควา เพ่มิ เตมิ เกย่ี วกบั พระราชประวัตแิ ละ หรอื สถานทอี่ น่ื ๆ ในทอ งถน่ิ ของตน เชน พระทนี่ ง่ั พทุ ไธสวรรย พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง ชาติ พระราชกรณยี กจิ ของพระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลไิ ทย) แลวบันทกึ พระนคร วัดอรุณราชวราราม วดั บวรนเิ วศวหิ าร วัดสุทศั นเทพวราราม เปน ตน สาระสาํ คัญ นํามาเลา ในชน้ั เรียน นักเรียนควรรู กิจกรรมทา ทาย 1 ฐานเจดียทีว่ ัดปามะมวง ในวดั ปา มะมว ง ปจ จุบนั ประกอบดว ยอุโบสถและ ครูใหนกั เรยี นศึกษาเพม่ิ เตมิ เก่ยี วกับเนอื้ หาบางตอนของไตรภูมพิ ระรวง เจดียต า งๆ อยูไมไ กลจากเทวาลยั มหาเกษตร ซ่งึ เปนท่ีทีพ่ บเทวรปู สําริดศลิ ปะ แลวนํามาวเิ คราะหว า ไตรภูมิพระรว งสะทอนใหเหน็ ถึงความคดิ ความเช่อื สโุ ขทยั อนั เปน รูปเคารพในศาสนาฮนิ ดู เชน พระนารายณ พระศวิ ะ พระหรหิ ระ ในสังคมไทยดา นใดบา ง บันทกึ สาระสาํ คญั นํามาอภิปรายในช้นั เรยี น เปน ตน 56 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๒ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส 1. ครูและนักเรยี นอภปิ รายรว มกันถงึ ประวัติของ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณ ๑) พระประวัติ สมเด็จพระมหา วโรรส แลวใหน กั เรยี นตอบคาํ ถามวา สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส มพี ระนาม เพราะเหตใุ ด สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา เดมิ วา “พระองคเจา มนษุ ยนาคมานพ” ประสตู ิ วชริ ญาณวโรรสจงึ ไดร ับการขนานนามวา เมื่อวันท่ี ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๒ เปน “มนษุ ยนาคมานพ” พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา (แนวตอบ เพราะวันทสี่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา เจา อยูหวั และเจา จอมมารดาแพ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสประสูติ เกดิ ทองฟา ในวันท่ีพระองคประสูติน้ัน ไดเกิด มืดครมึ้ ฝนตกหนกั จนนา้ํ ทวมพระตําหนกั เหตุการณมหัศจรรย คือ ทองฟาซ่ึงแจมใส พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหวั อยูกอนหนานั้น พลันมืดคร้ึมและมีฝนตก มพี ระราชดาํ รวิ า เหตุการณดังกลา วมีลกั ษณะ ลงมาอยางหนัก จนนํ้านองชาลาพระตําหนัก คลายกับเหตุการณเ มอ่ื ครั้งท่พี ระพทุ ธองค พระราชบิดาทรงรําลึกถึงเหตุการณเม่ือครั้ง ประทับใตต น มุจจลนิ ทหลังตรัสรู มีฝนตก พระพุทธองคประทับใตตนมุจจลินท (ตนจิก) แลวมพี ญานาคมาแผพังพานบังลมบงั ฝนให หลงั ตรสั รมู ฝี นตกพราํ ๆ ตลอดเจด็ วนั พญานาค สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จงึ เปน เหตใุ หพ ระราชบดิ าทรงขนานพระนามวา ขึ้นมาจากพิภพบาดาล มาแผพังพานบังลม ผูทรงไดรับการยกยองวาทรงเปน “ดวงประทีปแกวแหง “มนษุ ยนาคมานพ” แปลวา คนผเู ปน นาค บังฝนให พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนาม คณะสงฆไ ทย” หรือนาคจําแลงเปนคนหนมุ ) พระราชโอรสวา “มนษุ ยนาคมานพ” แปลวา คนผูเปนนาค หรอื นาคจําแลงเปน คนหนมุ 2. ครใู หน กั เรยี นวเิ คราะหว า การผนวชเปน สามเณร หลังจากประสูตไิ ดเพยี งปเ ดยี ว เจาจอมมารดาของพระองคก ็สนิ้ พระชนม พระองคจ ึง ของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา ทรงอยใู นความเลยี้ งดขู องกรมหลวงวรเสรฐสดุ า (พระองคเ จา บตุ รี พระราชธดิ าในพระบาทสมเดจ็ วชริ ญาณวโรรส เมื่อพระชนั ษา 13 พรรษานั้น พระนงั่ เกลา เจาอยหู ัว) ซ่ึงเปนพระญาติ ตอ มาทรงยายมาอยกู บั ทาวทรงกันดาร (ศร)ี ผูเปนยาย มอี ิทธิพลตอ การตดั สินใจออกผนวชเปน เมอื่ ทรงพระเยาวไ ดเ รยี นหนงั สอื ขอมและภาษามคธจากพระยาปรยิ ตั ธิ รรมธาดา (เปย ม) พระภิกษุในชว งพระชนั ษา 20 พรรษาของ เม่ือคร้ังยังดํารงบรรดาศักดิ์เปนหลวงราชาภิรมย ปลัดกรมราชบัณฑิต เมื่อพระบาทสมเด็จ พระองคหรอื ไม เพราะอะไร พระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ทรงตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษขึ้น พระองคเจามนุษยนาคมานพ (แนวตอบ ครเู ปด โอกาสใหนกั เรียนแสดงความ ก็ไดเขา ศกึ ษาในโรงเรียนน้ี โดยมีมสิ เตอรฟรานซิส แพตเตอรส ัน เปนผูถวายความรู คิดเหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย โดยครชู แ้ี นะถึง เมอื่ พระชนั ษาได ๑๓ พรรษา กท็ รงโสกนั ต (โกนจกุ ) ในปร งุ ขนึ้ กท็ รงผนวชเปน สามเณร ประโยชนทไี่ ดร ับจากการบวชเรยี นเปน สามเณร ท่ีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันท่ี ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ สมเด็จพระมหาสมณเจากรม เชน การศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พระปวเรศวริยาลงกรณ คร้ังดํารงพระยศเปนกรมหม่ืนบวรรังษีสุริยพันธุ เปนพระอุปชฌาย อยา งลกึ ซงึ้ การเรยี นรูแ ละปฏิบตั ติ ามกิจของ ทรงผนวชแลว เสด็จมาประทับทวี่ ดั บวรนิเวศวิหาร หมอ มเจาพระธรรมุณหิศธาดา (พระนามเดิม สงฆในเบือ้ งตน และเปนการฝกฝนตนเองใหมี สีขเรศ) เปนผูประทานสรณะและศีล ถึงหนาเขาพรรษาของปนั้นเอง พระบาทสมเด็จ ระเบยี บวนิ ยั อยูรวมกับผอู ื่นไดอยา งมคี วามสุข พระจลุ จอมเกลา เจา อยหู วั เสดจ็ ฯ มาทรงถวายพมุ พรรษา ณ วดั บวรนเิ วศวหิ าร ตามราชประเพณี เปนตน ) ๕๗ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกร็ดแนะครู บคุ คลใดตอ ไปนม้ี ีสถานภาพแตกตางจากบคุ คลอนื่ ครูใหน กั เรียนไปสบื คนขอ มลู เพ่ิมเตมิ จากแหลงการเรยี นรหู รอื จากหนังสือ 1. พระเจา บรมวงศเ ธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนิท ท่เี กยี่ วของ เชน หนงั สือสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส 2. พระเจา บรมวงศเธอ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ติวงศ (พระองคเ จา มนษุ ยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวหิ าร ผลงานของ สุเชาน พลอยชุม 3. สมเดจ็ พระเจาบรมวงศเ ธอ กรมพระยาดํารงราชานภุ าพ และพระดาํ รแิ ละพระโอวาทเก่ียวกับการพระศาสนา พระนพิ นธในสมเดจ็ พระมหา- 4. สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แลวนํามาเลาใหเ พือ่ นฟง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีสถานภาพเปน พระสงฆ ผทู รงไดรับการ ยกยอ งวา ทรงเปน “ดวงประทีปแกวแหง คณะสงฆไ ทย” เพราะเปนผใู ฝร ู ใฝเ รยี น มคี วามคดิ รเิ รม่ิ ตลอดจนมวี สิ ยั ทศั นก วา งไกลในการพฒั นาความรู ความเขาใจในสงิ่ ตา งๆ ทง้ั ทางโลกและทางธรรม คมู ือครู 57
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นอภปิ รายถงึ สาเหตทุ สี่ มเดจ็ พระมหา ในคราวนนั้ ไดเ้ สดจ็ ฯ ไปถวายพมุ่ พรรษาแดพ่ ระเจา้ นอ้ งยาเธอ พระองคเ์ จา้ มนษุ ยนาค สมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสผนวชเปน มานพ ซึ่งเพิง่ ทรงผนวชใหม่ถงึ กฏุ ิทปี่ ระทับด้วย พระเจา้ น้องยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระภกิ ษุ โดยอธิบายวา หมอปเ ตอร เคาวนั ทรงผนวชอยเู่ ป็นเวลา ๗๗ วัน กท็ รงลาสิกขา (สึก) พระจันทรโคจรคณุ พระธรรมรกั ขิต และ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลาเจาอยูห ัว ๑.๑) สาเหตุที่ผนวชเป็นภิกษุ หลังจากลาสิกขาจากสามเณรแล้ว อยู่ในวัยหนุ่ม มบี ทบาทอยา งไรตอ การผนวชเปน พระภิกษุ กไ็ มม่ นี สิ ยั คบกบั สตรี จนมคี วามคดิ วา่ ไมอ่ ยากแตง่ งาน อยากอยเู่ ปน็ โสดมากกวา่ พอดไี ดท้ รงรจู้ กั ของพระองค กลั ยาณมติ รฝรง่ั ทา่ นหนงึ่ คอื หมอปเี ตอร์ เคาวนั ทรงประทบั ใจในความเปน็ อยอู่ ยา่ งงา่ ยแบบหมอ (แนวตอบ เคาวนั หมอเคาวันไดถ้ วายคา� แนะน�าไมใ่ ห้ย่งุ เกย่ี วกบั อบายมขุ จึงทรงถือหมอเคาวันเป็นอาจารย์ • หมอปเตอร เคาวนั ดํารงชีวติ ความเปน อยู พระองคไ์ ดศ้ กึ ษาธรรมในพระพทุ ธศาสนาเปน็ พนื้ ฐานแหง่ ชวี ติ จนแนใ่ จวา่ ชวี ติ ของพระองคเ์ หมาะ อยา งเรยี บงา ย ทาํ ใหสมเด็จพระมหาสมณเจา ส�าหรับเป็นผู้ประพฤตพิ รหมจรรย์มากกว่าครองเพศฆราวาส กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงประทับใจ อีกท้งั หมอเคาวนั ยงั ถวายคาํ แนะนําพระองค วนั หนง่ึ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ ทรงลอ้ พระองค์ ไมใหยุงเก่ยี วกบั อบายมขุ ต่อหน้าพระท่ีนั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าเป็น “ผู้เข้าวัด” พระบาทสมเด็จ • พระจันทรโคจรคุณและพระธรรมรกั ขิต พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเห็นด้วย รับสั่งว่า “กรมหม่ืนนุชิตชิโนรส (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ซ่ึงเปน พระอปุ ชฌาจารยของสมเด็จพระมหา- กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) ก็ทรงผนวชไม่สึก” พระองค์กราบทูลว่า “บวชแล้ว ถ้าจะสึกก็สึกเม่ือ สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส พ้นพรรษาแรก หลงั จากนัน้ แลว้ จะไมส่ กึ ” คา� นเี้ สมอื นหน่งึ เปน็ ปฏิญญาของพระองค์ คอยตกั เตอื นพระองคอ ยเู สมอ • พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา เจาอยหู วั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทรงผนวชเปน็ ภกิ ษเุ มอื่ วนั ท่ี ๗ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๒๒ ทรงชกั ชวนใหส มเดจ็ พระมหาสมณเจา เมื่อพระชันษาได้ ๒๐ พรรษา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็น กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสทรงผนวช) แพลระ้วอเสปุ ดชั ็จฌไาปยป์ พระรทะจบั นั ทณรโควจดั รบควณุ รน(ยเิ วมิ้ ศวจหิ นาทฺ รรส� ต)ี อ่ วมดั ามไกดฏุ ้ยก้าษยตัไปรยิปารระาทมับเกปับน็ พกรระรกมรวรามจาวจาาจรายจ์าทรรย1ง์ผทน่วีวัดช มกฏุ กษตั รยิ าราม 2. ครใู หน กั เรยี นวเิ คราะหว า การทสี่ มเดจ็ พระมหา สมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงถอื สาเหตทุ ่ที �าให้พระองค์ทรงผนวช คอื หมอเคาวนั เปนอาจารย เพราะทา นไดถ วาย ๑. การได้กัลยาณมิตรผู้มีนิสยั สงบ เรยี บง่ายดังหมอเคาวัน คําแนะนาํ ในการดาํ รงชวี ติ อยา งงายโดยไมใ ห ๒. การได้มีพระอาจารย์ที่ดีอย่างพระจันทรโคจรคุณ พระธรรมรักขิต และ ยุงเก่ยี วกบั อบายมขุ น้ัน แสดงใหเ หน็ วาพระองค ทรงมีคุณธรรมดา นใด เพราะเหตใุ ด พระอุปัชฌาจารย์คอยตักเตือนเสมอๆ (แนวตอบ พระองคทรงมีความออ นนอ มถอมตน ๓. กระแสพระราชดา� รสั ชกั ชวนของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว และมีความกตัญูกตเวทีตอผูมพี ระคุณ แมวา อาจารยจะอยใู นฐานะสามัญชนและเปน สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเขา้ แปลบาลไี ดเ้ ปรียญ ชาวตา งชาติ พระองคก ท็ รงกราบไหว ทรงเชอ่ื ฟง ๕ ประโยค ไดร้ บั พระราชทานสถาปนาใหท้ รงเปน็ กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรสเมอื่ วนั ท่ี ๑๓ มกราคม คาํ สอน และยึดเปน แบบอยางในการดาํ เนินชวี ิต) พ.ศ. ๒๔๒๔ และในปนี น้ั เองก็ทรงได้รบั ตา� แหนง่ เป็นรองเจ้าคณะธรรมยตุ ๑.๒) งานด้านการจัดการทางพระพุทธศาสนา ทรงได้รับสถาปนาเป็นอธิบดีสงฆ์ (เจ้าอาวาส) วดั บวรนิเวศวหิ าร เม่อื พ.ศ. ๒๔๓๕ พระองค์ไดท้ รงวางระเบยี บการบรหิ ารวดั และ พระพุทธศาสนา โดยทรงถือวดั บวรนเิ วศเป็นแบบอยา่ งของวดั ทั่วไป สรุปได้ดงั น้ี 58 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดกลา วถึงความสมั พันธข องสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา ครคู วรอธบิ ายเพิ่มเติมเกี่ยวกบั ความแตกตา งระหวา งขอ ปฏิบตั ขิ องสามเณรกบั วชริ ญาณวโรรสกับวดั บวรนเิ วศวิหารไดถ ูกตอง ขอปฏบิ ตั ิของพระสงฆ เพือ่ ใหนกั เรยี นเขา ใจความแตกตางไดด ยี ่ิงข้ึน 1. พระองคท รงศกึ ษาท่วี ดั บวรนเิ วศวิหารเมอ่ื ครง้ั ทรงพระเยาว 2. พระองคท รงไดรับการสถาปนาเปนอธิบดสี งฆข องวดั บวรนเิ วศวิหาร นักเรยี นควรรู 3. พระองคทรงพระราชทานนามสถานท่แี หงนีว้ า “วัดบวรนเิ วศวหิ าร” 4. พระองคทรงพระราชทานที่ดินสวนพระองค เพ่อื สรางวัดบวรนิเวศวิหาร 1 พระกรรมวาจาจารย คอื พระอาจารยผ ูส วดกรรมวาจาใหสงฆยอมรบั บุคคล วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา ไวอุปสมบทเปนพระภิกษุ วชริ ญาณวโรรสทรงผนวชเปน ภกิ ษุและเสดจ็ ไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวหิ าร เมอื่ พ.ศ. 2435 พระองคท รงไดรับการสถาปนาเปนอธิบดสี งฆข อง มมุ IT วัดบวรนเิ วศวิหาร ทรงวางระเบียบการบริหารวดั และพระพุทธศาสนา โดยทรงถือวดั บวรนิเวศวิหารเปนแบบอยา งของวัดทั่วไป ศึกษาคนควา ขอ มูลเพม่ิ เติมเกีย่ วกับวดั บวรนเิ วศวิหาร ไดท่ี http://www.watbowon.com เว็บไซตวัดบวรนเิ วศวหิ าร 58 คมู อื ครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑. ทรงจัดสอนภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ให้ได้เรียนพระธรรมวินัย และ 1. ครูต้ังคาํ ถามใหน ักเรียนแสดงความคดิ เหน็ จภนาษมาผี ไเู้ ทรยียนเทรมิ่วั่ ทจกุากนทกิ รางยสทอรนงใเนปฐดิ าปนระะพโยระคอนปุ กั ชั ธฌรรามยส์ จอนบกในระสทนง่ั าเมปหน็ ลแวบง1บแอลยะา่ สงแนกาว่มดัมพณรฑะธลรตรา่มงยจตุงั อหน่ืวดัๆ • สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา วชริ ญาณวโรรสทรงมีคณุ ูปการแก ๒. ทรงจัดให้สวดมนต์ในพรรษาทุกวัน และให้ออกเสียงให้ถูกต้องตาม พระพทุ ธศาสนาอยา งไร ฐานกรณ์ (ฐานเสยี ง) (แนวตอบ พระองคท รงผนวชเปน ภกิ ษุ ทาํ หนา ท่ี ศึกษาหลกั ธรรมและสบื ทอดพระพุทธศาสนา ๓. ทรงจดั ใหภ้ กิ ษทุ พี่ รรษาตา�่ กวา่ ๕ ทจ่ี บนกั ธรรมแลว้ มาเรยี นบาลที งั้ หมด เมอื่ พระองคท รงไดร บั สถาปนาเปน อธบิ ดสี งฆ ๔. ทรงจัดตัง้ มหามกฏุ ราชวิทยาลยั โดยพระบรมราชานญุ าต หรือเจา อาวาส พระองคทรงวางระเบยี บการ ๕. ทรงจดั การเรยี นการสอน ทงั้ หนงั สอื ไทยและความรใู้ นศาสตรอ์ นื่ ๆ ควบคู่ บรหิ ารวัดและพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื พัฒนา กันไป ต่อมาเพอื่ ความเป็นเอกภาพในการศึกษาของชาติ จึงทรงใชห้ ลักสูตรของกรมศกึ ษาธกิ าร ภิกษใุ หมีความรคู วามสามารถ เชน จัดสอน แทน และโอนใหก้ รมศกึ ษาธกิ ารจัดเป็นโรงเรยี นรัฐบาล ภกิ ษุสามเณรผบู วชใหมใหไ ดเ รยี นพระธรรม ๖. ทรงฝกึ พระธรรมกถกึ จนสามารถแสดงธรรมปากเปลา่ ได้ วินยั จัดใหภ กิ ษุเรยี นบาลี ฝกใหภ กิ ษุแสดง ๗. ทรงจัดต้ังการฟังธรรมส�าหรับเด็กวัดในวันธรรมสวนะ และในเวลาค�่า ธรรมปากเปลาได เปนตน ตลอดจนทรงตั้ง โปรดให้สวดนมสั การพระรัตนตรยั รบั ศีล ๕ และฟงั การอบรมส่งั สอนธรรม หลกั สตู ร “สามเณรผูร ูธรรม” ทรงนิพนธ ๑.๓) งานพระนิพนธ์ทางพระพุทธศาสนา หนังสอื แบบเรียน หนงั สือประเภทพระโอวาท ๑. ทรงตั้งหลักสูตร “สามเณรผู้รู้ธรรม” ทรงนิพนธ์ “นวโกวาท” ทดลอง พระธรรมกถา พระนพิ นธบ าลี เปน ตน) เรียนและสอบเฉพาะในวัดบวรนิเวศวิหารก่อน ต่อมาได้ขยายเป็นหลักสูตรนักธรรมตรี ‑ โท ‑ เอก ส�าหรับพระสงฆ์ทว่ั ไป 2. ครูใหน กั เรยี นวิเคราะหว า งานพระนิพนธทาง ๒. ทรงรจนาหนังสือแบบเรียนมากมาย อาทิ วินัยมุขเล่ม ๑ ‑ ๒ ‑ ๓ พระพทุ ธศาสนาในสมเดจ็ พระมหาสมณเจา ธรรมวจิ ารณ์ ธรรมวภิ าค พุทธประวตั ิ แบบเรยี นบาลไี วยากรณ์ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แสดงใหเหน็ วา ๓. หนังสอื ประเภทอ่ืน เช่น ประเภทพระโอวาท พระธรรมกถา ประมาณ พระองคท รงมคี วามรคู วามสามารถดา นใดบา ง ๖๗ เร่ือง อาทิ ธรรมกถา (ประทานแก่ผแู้ ทนราษฎร) ประเภทประวตั ิศาสตรแ์ ละโบราณคดี อาทิ (แนวตอบ พระองคท รงมพี ระปรีชาสามารถ พงศาวดารสยาม ต�านานประเทศไทย ข้อความในต�านานเมืองเชียงแสน ประเภทอักษรศาสตร์ แตกฉานภาษาบาลี มคี วามรูความเขา ใจใน อาทิ ปรารภอักษรไทยที่ใชส้ า� หรับบาลี วิธีใช้อกั ษรในภาษามคธเทียบสนั สกฤต วิธแี สดงไวยากรณ์ พระไตรปฎกอยางลึกซ้ึง ตลอดจนมีความรู ของตนั ตภิ าษา เปน็ ตน้ ดานประวัตศิ าสตรและการใชภ าษาไดอ ยา ง ๔. พระนิพนธ์ภาษาบาลี ทรงรจนาบทนมัสการพระรัตนตรัย ช่ือ นมการ สละสลวย เขาใจงา ย ท้ังนี้ จดุ ประสงคของ สทิ ธคิ าถา (โย จกั ขุมา) งานนพิ นธท างพระพทุ ธศาสนาหลายเลมแสดง ๑.๔) พระอิสริยยศ ถึงการมวี สิ ยั ทศั นท ีก่ วางไกล เชน นวโกวาท ๑. ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ด�ารงพระอิสริยยศท่ีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืน ซงึ่ พระองคทรงนพิ นธข นึ้ เพ่อื ใหสามเณร วชริ ญาณวโรรส เม่อื พ.ศ. ๒๔๒๔ ทดลองเรยี นและสอบ จนตอ มาขยายเปน ๒. ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เล่ือนสมณศักด์ิเป็นเจ้าคณะใหญ่แห่ง หลกั สตู รสาํ หรับพระสงฆท ั่วไปดว ย เปนตน) คณะธรรมยตุ ิกนิกาย พ.ศ. ๒๔๓๖ 59 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู ขอใดเปนงานนพิ นธข องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชญิ าณวโรรส ครคู วรนําหนงั สอื นวโกวาทหรือหนงั สอื ประเภทอนื่ ที่เปน พระนพิ นธข องสมเด็จ 1. นวโกวาท พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสมาประกอบการสอน เพอื่ ใหน ักเรียน 2. โองการแชงนํ้า ไดต ระหนักถงึ พระปรชี าสามารถของพระองค ตลอดจนไดศ ึกษารปู แบบ เนอ้ื หา 3. ไตรภูมิพระรวง และสํานวนภาษาในการนิพนธห นังสอื ประเภทตางๆ 4. มหาชาติคําหลวง นกั เรียนควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. พระองคท รงนิพนธนวโกวาท อันเปนหนังสอื 1 สอบในสนามหลวง การสอบสนามหลวง มใิ ชเ ปน การสอบภายในทอ งสนามหลวง ท่ีประมวลหัวขอธรรมจากพระไตรปฎกสําหรับทดลองเรยี นและสอบเฉพาะ แตเ ปนการสอบพระธรรมวนิ ัยท่ีทางหลวง หรือทางราชการจัดสนามสอบขึ้นมา สามเณรในวัดบวรนิเวศวิหาร ตอมาใชเปน หลกั สูตรของนกั ธรรม จงึ เรยี กวา เปน การสอบสนามหลวง ในอดีตจะจัดใหม กี ารสอบสนามหลวงที่ ชัน้ ตรี-โท-เอก หอพระมณฑปในบรเิ วณวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม คูมือครู 59
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Expand ขยายความเขา ใจ ครูใหนักเรียนแบงกลุม แลววิเคราะหคุณธรรม ๓. ทรงไดร้ บั พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สถาปนาพระอสิ รยิ ยศทพ่ี ระเจา้ บรมวงศ‑์ ที่ควรถือเปนแบบอยางของสมเด็จพระมหาสมณเจา เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส พ.ศ. ๒๔๔๙ กรมพระยาวชิญาณวโรรส จากนัน้ ระดมความคิด ชว ยกนั จัดกจิ กรรมหรอื สรางช้นิ งานท่ีชว ยปลกู ฝง ๔. ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดพระราชพิธี “มหาสมณุตมาภิเษก” คุณธรรมดงั กลา วใหก บั ตนเอง เชน จัดกจิ กรรม เลื่อนพระอิสริยยศข้ึนเป็น สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงสมณศักด์ิเป็นสมเด็จพระมหา สงเสรมิ การอานเพอื่ ปลูกฝง ใหเปน คนรกั การอาน สงั ฆปรณิ ายก หรอื เปน็ องคพ์ ระประมขุ สงฆท์ ว่ั พระราชอาณาจกั ร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๓ และเนอื่ งจาก มคี วามใฝร ู มวี สิ ยั ทศั นท ก่ี วา งไกล เปน ตน แลว บนั ทกึ ทรงเปน็ พระบรมราชวงศท์ ท่ี รงสมณศกั ดขิ์ นั้ สงู สดุ จงึ สถาปนาค�านา� หนา้ ของพระองคเ์ ปน็ “สมเดจ็ ประโยชนท ไ่ี ดร บั จากการปฏบิ ตั ิ โดยครมู หี นา ทช่ี แี้ นะ พระมหาสมณ” (ครั้นต่อมาสมัยรัชกาลท่ี ๖ ทรงมีพระราชด�าริจะถวายพระเกียรติยศให้สูงข้ึน และกระตุนใหนักเรียนสามารถนําคุณธรรมดังกลาว จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลย่ี นคา� นา� หนา้ พระนามจากสมเดจ็ พระมหาสมณเปน็ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ) ไปปรบั ใชใ นชีวติ ประจาํ วันได ๒) คุณธรรมท่ีควรถือเป็นแบบอย่าง ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา ตรวจสอบผล Evaluate วชริ ญาณวโรรส มดี ังนี้ 1. ตรวจสอบผลจากความถูกตองในการตอบ ๒.๑) ทรงมีความใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา ดังจะเห็นว่าสมัยยังทรงพระเยาว์ พยายามเอา คําถามและการแสดงความคิดเหน็ ในชั้นเรยี น แบบอย่างท่ีดจี ากผูท้ ี่พระองค์ประทบั ใจ เชน่ พระยาปรยิ ัติธรรมธาดา เห็นว่าเปน็ คนมีความรู้และ 2. ตรวจสอบผลจากแบบบนั ทึกการปฏิบัตกิ จิ กรรม ความประพฤติดี จงึ คอยศกึ ษาหาความรจู้ ากทา่ นเหล่าน้ันเสมอ หรือสรา งช้นิ งานเพ่ือเสริมสรา งคุณธรรม ๒.๒) ทรงมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเลิศ พระองคท์ รงเปน็ “เจา้ นาย” มาผนวช เปน็ ถงึ พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั กลบั ไม่ถอื องค์ ทรงกราบไหว้ พระภกิ ษทุ อี่ ายพุ รรษามากกวา่ แมจ้ ะมสี มณศกั ดติ์ า่� กวา่ สมยั เปน็ คฤหสั ถท์ รงเหน็ ครผู ถู้ วายความรู้ ถวายบังคมทกุ ครั้งก่อนถวายความรู้ พระองคท์ รงเห็นวา่ เขาเปน็ ถงึ อาจารย์ ยงั อ่อนนอ้ มถ่อมตน ต่อพระองค์ จงึ ทรงยดึ เอาเป็นแบบอยา่ ง1เสมอมา ๒.๓) ทรงมหี ริ โิ อตตปั ปะเปน็ เลศิ สมยั ยงั เปน็ หนมุ่ เบอ้ื งแรกทรงมคี า่ นยิ มแบบฝรงั่ ใชข้ องแพง ยห่ี ้อดี ทรงใช้จ่ายสุรุ่ยสรุ า่ ย ไมร่ จู้ ักประหยัด ห้างรา้ นส่งบลิ มาเกบ็ เงินที่ “ท่านยาย” กร็ อดตัวไปหลายครั้ง มีครง้ั หนึ่งจะถกู ฟ้องไมม่ เี งินไปใช้หน้ี บงั เอญิ เจา้ พระยาภาณวุ งศโ์ กษาธิบดี ยับย้ังไว้ และกราบทูลให้พระองค์น�าเงินไปใช้เขาเสีย พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตาม ฝ่ายโจทก์จึง ถอนฟ้อง ทรงส�านกึ ได้ว่าพระองคส์ รา้ งความล�าบากให้ “ทา่ นยาย” และผอู้ นื่ เพราะความประพฤติ ท่ีไม่เหมาะสม ทรงมีความละอายต่อการท�าชั่วท�าผิด จึงทรงเลิกเด็ดขาด แต่เมื่อมีผู้ล้อว่า “เป็นคนเข้าวัด” ก็ทรงเข้มงวดพระจริยาวัตรมากข้ึน ไม่ท�าอะไรให้ใครต�าหนิได้ ให้สมกับเป็น คนเข้าวัดจริงๆ คุณธรรมข้อหิริโอตตัปปะนี้ได้ซึมซับในพระทัยของพระองค์มากถึงขนาดว่า เมื่อทรงผนวชเป็นภิกษุใหม่ๆ พระเจ้าอยู่หัวทรงก้มกราบอย่างนอบน้อม ก็ทรงละอายพระทัยว่า พระมหากษัตริยท์ รงเป็นพระเชษฐาธริ าชยงั กม้ กราบพระองค์ ควรทพี่ ระองค์จะอยู่ในเพศบรรพชิต ตอ่ ไป ทรงประพฤติพระองคใ์ หค้ วรแก่การกราบไหว้ ไม่ควรมีขอ้ น่าตา� หนไิ ด้ น้คี อื แบบอยา่ งของ ผมู้ หี ริ ิโอตตัปปะเป็นเลศิ 60 นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET บุคคลใดตอไปนี้ปฏบิ ัติตนตามแบบอยา งของสมเด็จพระมหาสมณเจา 1 หิริโอตตัปปะ คือ ความละอายและความเกรงกลวั ตอบาป เปนหลกั ธรรมที่ใช กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ควบคุมจติ ใจมนษุ ยใหอ ยใู นความดี ปฏิบัตติ นอยูในกฎระเบียบและหนา ท่ีของ 1. จงกลไมซ้อื กระเปา ใหมเพราะของเกา ยงั ใชไ ดอยู ตนเองและสงั คม หากบคุ คลใดไมละอายแกใ จตอการกระทําผิด ไมเ กรงกลัวตอ 2. ปทมุ ดแู ลมารดาทีเ่ จบ็ ปว ยอยา งดีจนทานหายเปน ปกติ ผลของการกระทาํ น้นั ยอมจะนําความเดือดรอ นและความเสยี หายมาใหก ับตนเอง 3. อบุ ลยกมอื ไหวคุณปา แมบา นท่ีบริษัททกุ เชาและตอนเยน็ และสังคม สําหรับการปลูกฝงหลักธรรมหริ ิโอตตัปปะ ควรเริ่มตน จากครอบครวั 4. บงกชเห็นลกู แมวถูกนาํ มาทิง้ ไวที่หนา บานจงึ นํามาเลย้ี งดู ฝก ใหส มาชกิ ในครอบครัวรูจ กั บทบาทหนา ท่ีและเคารพกฎกตกิ าในการอยูรวมกนั วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. คณุ ธรรมทคี่ วรถอื เปน แบบอยา งประการหนง่ึ ในครอบครัว มกี ารกาํ หนดบทลงโทษตามระดับความผิด เพ่ือสรา งจติ สาํ นึกให ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส คือ บคุ คลรจู กั แยกแยะสิ่งใดผิดส่ิงใดถูกและปฏิบัตติ นอยูใ นความดี ความออ นนอมถอ มตน ดงั นัน้ การทอี่ บุ ลยกมือไหวคณุ ปา แมบ านท่ีบรษิ ทั ทุกเชาและตอนเย็น จึงเปนการปฏิบัตติ นตามแบบอยางของพระองค 60 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒.๔) ทรงมีความคิดริเริ่ม ทรงเห็นบทสวดมนต์นมัสการพระรัตนตรัยแบบเก่า ครูสนทนากับนกั เรยี นถึงเรื่องราวชาดกที่ (สัมพุทเธ) มีคติไปทางมหายานมากจึงทรงนิพนธ์ นมการสิทธิคาถา (โย จักขุมา) แทน ซ่ึงถือ นักเรียนรจู ักหรอื เคยเรยี น แลว ตัง้ คําถามให เปน็ ความคดิ รเิ รมิ่ ทเี่ ปน็ แบบอยา่ งในการสบื ทอด นักเรียนชว ยกันตอบวา พระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง เมื่อทรงเป็น เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ทรงริเริ่มฝึก • ชาดกเปน เรอ่ื งราวเก่ียวกบั บคุ คลใดใน พระภกิ ษสุ งฆใ์ หม้ คี วามสามารถในการถา่ ยทอด พระพทุ ธศาสนา พระธรรมใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย รวมทง้ั ทรงนพิ นธห์ นงั สอื (แนวตอบ ชาดกเปน เรือ่ งราวของพระพทุ ธเจา ทที่ รงบาํ เพ็ญบารมหี รือพยายามทําความดี ในชาติตางๆ) คู่มือศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างง่าย คือ สาํ รวจคน หา Explore นวโกวาท ซึ่งใช้เป็นหลักสูตรผู้บวชใหม่มาจน บัดนี้ ๒.๕) ทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ครใู หนักเรยี นแบงกลมุ ออกเปน 2 กลุม ทเนร่ืองมงจีวาิธกคี ทิดทรงี่แเยปบ็นคผาู้ใยฝ่ร(โู้ใยฝน่ศิโึกสษมานสพกิ ารระ1)องอคย์จา่ ึงง สบื คน ชาดกจากหนงั สือเรยี นหนา 61-65 และ ฉบบั ประชาชน แหลงการเรียนรูอ่ืนๆ โดยจับสลากเลอื กจากชาดก 2 เรือ่ ง ตอ ไปน้ี ครบวงจรคอื คดิ ถกู วธิ ี คดิ มรี ะเบยี บ คดิ เปน็ เหตุ หนงั สอื คมู่ อื ศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา หรอื นวโกวาท พระนพิ นธ์ เปน็ ผล และคดิ ก่อให้เกดิ กศุ ล คือ สร้างสรรค์ ในสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลุมท่ี 1 เรอื่ งมติ ตวนิ ทุกชาดก ในทางดี กลุมที่ 2 เร่อื งราโชวาทชาดก สมัยรชั กาลท่ี ๕ ในยคุ สมัยของพระองคน์ ้ัน ความรู้แบบตะวนั ตกพร้อมท้งั กระแส จากน้ันทาํ ความเขาใจชาดกเร่อื งดังกลาว วัฒนธรรมตะวนั ตก ไดแ้ พรเ่ ขา้ มาสู่ประเทศไทย พระองคท์ รงมีวิธีคดิ ท่ีดี คือ อะไรควรรบั อะไร รวมกัน แลว วางแผนเตรียมตัวออกมาแสดง ควรปฏิเสธ หรือแม้แต่ที่รับมาแล้วจะต้องปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีไทย แม้เม่ือทรงผนวชแล้ว บทบาทสมมติหนาชน้ั เรียน ก็พยายามศึกษาศาสตรส์ มยั ใหมแ่ บบตะวนั ตกใหม้ คี วามรเู้ ทา่ ทนั เพราะทรงมองเหน็ การณไ์ กลวา่ พระสงฆ์มีหน้าที่สอนธรรม การสอนธรรมจะเป็นที่เข้าใจได้ดี ก็ต่อเม่ือผู้เทศน์ ผู้สอนมีความรู้ ทั้งทางโลกทางธรรม ô. ªา´2ก ชาดก คือ เรื่องราวของพระโพธิสัตว์บ�าเพ็ญบารมี เพื่อจะไปเสวยชาติเป็นพระพุทธเจ้า ท่ีพระพทุ ธเจา้ ตรสั เล่าไว้อยู่ในสุตตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย มีทัง้ หมด ๕๔๗ เรอ่ื ง ในท่ีนจ้ี ะกล่าวถึง เรือ่ ง มติ ตวินทุกชาดก และราโชวาทชาดก ดงั นี้ 4.1 มิตตวินทกุ ชาดก ครั้งหน่ึงในสมัยพุทธกาล มีภิกษุว่ายากอยู่รูปหน่ึง พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสพระธรรมเทศนา เป็นชาดก เรือ่ ง มิตตวนิ ทุกชาดก มีความวา่ 61 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นักเรยี นควรรู สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 1 โยนโิ สมนสกิ าร “โยน”ิ แปลวา เหตุ ตน เคา แหลง เกดิ ปญ ญา วธิ ี สว น “มนสกิ าร” ทรงมีวิสยั ทัศนกวางไกลเกยี่ วกับวฒั นธรรมตะวันตกอยา งไร แปลวา การทําในใจ การคดิ คํานึง ใสใจ พจิ ารณา ดังนั้น โยนิโสมนสิการจงึ มีความ แนวตอบ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงเลือกรบั หมายวา การทําในใจโดยแยบคาย เปนหลักธรรมภาคปฏิบัติที่กอใหเกิดประโยชน ความรแู ละวฒั นธรรมตะวันตกอยางชาญฉลาด ทรงเลือกเฉพาะสิ่งท่ี ในการดําเนินชีวิตประจําวันเพ่ือประโยชนสุขแกตนเองและผูอื่น เปนการสงเสริม เหมาะสมกบั สังคมไทย หรอื เลือกมาแลว ก็ปรับประยุกตใหเขากับสงั คมไทย คณุ ลกั ษณะทีด่ ีในการฝกอบรมตนอยางมีสติ ใหรูจักคิดอยา งถูกวธิ ี คิดอยา งมีระบบ เม่ือทรงผนวชแลวกท็ รงศกึ ษาใหร ูเทา ทันศาสตรตะวันตก เนอ่ื งจากพระองค คดิ วเิ คราะห ไมม องสงิ่ ตา งๆ อยา งผวิ เผนิ คดิ ตามเหตผุ ล และคดิ แบบกศุ ล จงึ ทาํ ให ทรงมองเหน็ การณไกลวา หากพระสงฆจะสอนธรรมใหฆ ราวาสเขา ใจ รจู กั เลอื กรบั รอู ารมณต า งๆ ทม่ี ากระทบภายนอกอยา งมเี หตผุ ล จงึ กลา วไดว า โยนโิ ส- ก็จะตองมคี วามรูท งั้ ทางโลกและทางธรรม มนสิการไมใชปญญา แตเปนปจจัยท่ีทําใหเกิดปญญา กําจัดอวิชชา และบรรเทา ตัณหาตา งๆ ได 2 ชาดก หรอื ชาตก แปลวา ผูเกิด ชาดกเปน เรื่องราวที่เลาถงึ การทีพ่ ระพุทธเจา ทรงเวียนวา ยตายเกดิ พระองคถ อื กําเนดิ ในชาตติ า งๆ เพ่อื บาํ เพ็ญคุณงามความดี หรือกลา วอีกความหมายหนง่ึ ไดวา เร่อื งราวชาดกเปนวิวัฒนาการแหงการบาํ เพญ็ คุณงามความดีของพระพุทธเจา ตงั้ แตย ังเปนพระโพธสิ ตั วอยกู ็ได คูม ือครู 61
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหน ักเรยี นกลุมท่ี 1 แสดงบทบาทสมมติ มิตตวนิ ทกุ ะ เป็นบุตรชายในตระกลู พ่อค้า มีพนื้ ฐานนิสัยเป็นคนโลภ ครัง้ หนงึ่ มคี นชักชวนให้ เรอ่ื งมติ ตวินทุกชาดก พรอ มกับสรุปขอ คิดให มิตตวินทุกะไปแสวงโชคโดยน่ังเรือส�าเภาไป ชายหนุ่มอยากไปยิ่งนัก ด้วยความโลภหวังว่าจะได้ เพอื่ นในช้นั เรยี นฟง เงินทองกลับมามากมาย แต่แม่ของเขากลับทัดทานขอร้องไม่ให้ไป มิตตวินทุกะไม่ฟังเสียง กลับด่าทอทบุ ตแี มข่ องตนและหนีไปแสวงโชคในท่สี ดุ 2. ใหนกั เรียนวเิ คราะหค วามหมายทีแ่ ฝงอยูใน ขณะน่ังเรือส�าเภาไปนั้นก็เกิดเหตุอาเพศต่างๆ ข้ึนมากมาย ชาวเรือจึงเกิดความสงสัยว่า มิตตวินทุกชาดก โดยคาํ นงึ ถึงพ้ืนฐานความ จะต้องมีบุคคลผู้เป็นกาลกิณีลงเรือมาด้วยเป็นแน่ จึงท�าฉลากให้ทุกคนบนเรือจับเพื่อหาผู้เป็น เปน จรงิ ในชีวติ ประจาํ วนั กาลกิณีปรากฏว่าไม่ว่าจะจับกี่คร้ังๆ มิตตวินทุกะก็เป็นผู้ท่ีจับได้ความเป็นกาลกิณี ชาวเรือนัก (แนวตอบ การท่ีมติ ตวินทุกะมองเหน็ สตั วน รก แสวงหาโชคท้ังหมด จึงลงมติกันว่ามิตตวินทุกะคือบุคคลผู้เป็นกาลกิณี จึงจับเขาลอยแพไป เปนเทพบตุ รและมองเหน็ กงจกั รเปน ดอกบัวนั้น ใ นมหมาิตสตมวทุ ินรทุกะล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรอยู่ระยะหนึ่ง ก็ไปพบกับอุสสทนรก1ซึ่งเป็นท่ีเผา อาจตีความไดวา บคุ คลใดทีจ่ ติ ใจมคี วามโลภ สัตว์นรกเข้า แต่ด้วยบาปกรรมที่ได้ท�าไว้ จึงท�าให้เขามองเห็นว่าเป็นเมืองใหญ่งดงามยิ่งนัก จะทําใหบคุ คลนนั้ ตกอยูในความโงเ ขลา ไมอาจ เขาเดินเข้าไปในเมืองนิมิตแห่งน้ี ทีแรกเขาพบกับปราสาทแก้วผลึก มีเทพธิดา ๔ นางเฝ้าอยู่ พจิ ารณาสิ่งตางๆ ไดด ว ยเหตผุ ล) เขาคิดว่าหนทางข้างหน้าจักมีสมบัติมีค่ามากกว่านี้จึงผ่านเลยไปพบปราสาท เงิน มีเทพธิดา ๘ นางเฝา้ อย ู่ เขายงั ไม่พอใจหวังจะพบสิ่งมีค่ามากกว่านจ้ี งึ ผ่านเลยไปอีก จนถงึ ปราสาทแกว้ มณี 3. ใหน กั เรยี นเขยี นเรยี งความเรอื่ งวธิ ขี จดั ความโลภ ในจติ ใจ โดยอยบู นพนื้ ฐานของหลกั ธรรมทาง มเี ทพธดิ า ๑๖ นางเฝา้ อย ู่ แตเ่ ขากย็ งั ผา่ นไปอกี พระพทุ ธศาสนาและหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ จนมาถึงปราสาททอง มีเทพธิดา ๓๒ นาง พอเพยี งในรชั กาลที่ 9 เฝา้ อย ู่ แตด่ ว้ ยความโลภชกั นา� ใหเ้ ขาผา่ นไปอกี จนมาถึงอุทยานแห่งหน่ึง มิตตวินทุกะพบ เทพบตุ รรปู งาม มดี อกบวั ดอกใหญป่ ระดบั อยบู่ น ศีรษะ ตกแต่งร่างกายด้วยอาภรณ์อันงดงาม มติ ตวนิ ทกุ ะประสงคจ์ ะไดด้ อกบวั งดงามเชน่ นน้ั มาประดับศีรษะบ้าง จึงร้องขอต่อเทพบุตรนั้น แตแ่ ทจ้ รงิ แลว้ เทพบตุ รนนั้ คอื สตั วน์ รกทมี่ จี กั ร บดศีรษะอยดู่ ว้ ย จึงบอกแกม่ ิตตวนิ ทกุ ะวา่ “นหี่ าใชด่ อกบวั ไม่ เปน็ จกั รทบ่ี ดกระหมอ่ ม ข้าให้ได้รับความทรมานย่ิงนัก” มิตตวินทุกะ ไม่พอใจที่เทพบุตรโกหกตนเช่นนั้น จึงกล่าว ตอ่ วา่ เทพบตุ รไปวา่ “ไมเ่ หน็ จะตอ้ งโกหกกนั เลย พระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นเสวยพระชาติเป็นเทวดากำาลั2ง ก็เราเห็นอยู่ว่าบนศีรษะของเจ้าน้ันมีดอกบัว สอบถามมติ ตวนิ ทกุ ะถงึ สาเหตทุ มี่ กี งจกั รหมุนอยบู่ นศีรษะ งดงามประดบั อยู่แทๆ้ ” 62 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดเปนมลู เหตุทม่ี ติ ตวินทุกะไดร บั ผลกรรม มองเหน็ กงจกั รเปน ดอกบวั 1 อสุ สทนรก เปน นรกบรวิ าร ลอ มรอบมหานรกทง้ั 8 ขมุ แตล ะขมุ ของมหานรก 1. ความรกั จะมอี ุสสทนรกลอ มรอบ 4 ทศิ ทิศละ 4 ขุม รวมเปน 16 ขุม มหานรก 1 ขมุ 2. ความโกรธ มอี ุสสทนรกลอมรอบ 16 ขมุ ดงั น้ัน มหานรก 8 ขมุ จงึ มอี ุสสทนรกรวมเปน 3. ความหลง 16×8 = 128 ขุม ชื่อของอสุ สทนรกแตละทศิ ซึง่ มี 4 ขุม จะมีชื่อเหมอื นกัน ไดแก 4. ความโลภ คถู นรกหรือนรกอจุ จาระ กกุ กฬุ นรกหรือนรกขเ้ี ถา อสปิ ตตนรกหรือนรกใบไมดาบ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. มลู เหตุท่ีทําใหมิตตวนิ ทกุ ะไดรับผลกรรม และเวตรณีนรกหรอื นรกแมน้าํ เคม็ เหน็ กงจักรเปนดอกบวั เพราะมติ ตวนิ ทุกะมีความโลภ ตองการไดส มบตั ิ 2 กงจักรหมนุ อยูบ นศรี ษะ เปนท่ีมาของสาํ นวนไทยวา “เห็นกงจักรเปนดอกบวั ” มากๆ เมอ่ื เขาพบกบั ปราสาททง้ั 4 หลงั ไดแ ก ปราสาทแกว ผลกึ ปราสาทเงนิ ซงึ่ หมายถงึ เห็นผิดเปนชอบ หรือเห็นของรา ยเปนของดี ปราสาทแกวมณี และปราสาททอง เขากผ็ า นเลยไปเรื่อยๆ ทุกหลงั ดว ยหวังวาจะไดพ บกบั ทรพั ยลา้ํ คา มากขน้ึ ในที่สุดความโลภน้ี จงึ ชักนาํ ให 62 คมู อื ครู มติ ตวนิ ทกุ ะไปพบกบั สตั วน รกทมี่ กี งจกั รบดศรี ษะ แตเ ขากลบั คดิ วา เปน เทพบตุ ร ทม่ี ดี อกบวั ประดบั ศรี ษะ จงึ รอ งขอดอกบวั นนั้ มติ ตวนิ ทกุ ะจงึ ตอ งเสวย ผลกรรมถกู กงจกั รบดศรี ษะไดรบั ทกุ ขเวทนายงิ่ นกั
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู สัตว์นรกตนน้ันคิดว่าคงถึงคราวหมดกรรมของตน และคงมีคนบาปมารับกรรมแทนตนแล้ว 1. ใหนกั เรียนกลมุ ที่ 2 แสดงบทบาทสมมตเิ ร่อื ง จึงมอบดอกบัวน้ันให้แก่มิตตวินทุกะสมใจ ปรากฏว่าทันทีท่ีรับดอกบัวนั้นมา ก็กลับกลายเป็น ราโชวาทชาดก พรอ มกับสรุปขอ คดิ ใหเ พ่อื น กงจกั รบดศรี ษะของมิตตวนิ ทุกะไดร้ ับความทรมานยง่ิ นัก ในชัน้ เรียนฟง ครง้ั นนั้ พระโพธสิ ตั วเ์ สวยชาตเิ ปน็ เทวดา เทย่ี วจารกิ ไปยงั อสุ สทนรกไปพบกบั มติ ตวนิ ทกุ ะเขา้ 2. ใหนกั เรยี นวิเคราะหความหมายที่แฝงอยูใน จึงสอบถามเหตุผลที่ต้องมาเทินจักรกรดอยู่เช่นน้ี ท�าให้ทราบความจริงว่า ด้วยตัณหาความโลภ คาํ กลา วท่วี า “ดูกอ นผบู ญุ หนกั แทจ ริงกษตั รยิ ของม“ิตแทตว้จินรงิทเุกทะพทธา� ิดใหาท้ต้ัง้อสงี่มแาปรดับบสาบิ ปหกกรรแมลดะงัสกาลม่าสวิบสจอึงตงนรัสาแงนกั้น่มติ คตือวินนทางุกเะปวรา่ ต1ท้ังสนิ้ แต่ความโลภ ทรงครองราชสมบัตโิ ดยธรรมเสมอแลว มากของเจ้าจึงท�าให้เจ้าต้องพบกับจักรบดกระหม่อมเช่นน้ี เพราะฉะน้ันบุคคลใดก็ตามท่ีมีตัณหา ผลไมย อ มมรี สหวานดวยเหตุน้นั ” ความอยาก ความโลภ มากเชน่ น้ี เขาเหลา่ นัน้ ย่อมเป็นผู้เทินจกั รกรด” (แนวตอบ หากบา นเมืองใด มกี ษตั รยิ ท ีป่ กครอง แผน ดนิ โดยธรรมแลว ผูใตป กครองหรือ ฝา่ ยมติ ตวนิ ทกุ ะผกู้ า� ลงั รบั เวทนานนั้ แล จกั รกรดกพ็ ดั ฟนั ตอ่ ไปทา� ใหเ้ ขาไมส่ ามารถพดู อกี ได้ ประชากรในบา นเมืองยอ มอยอู ยางสงบสขุ เทวดาจงึ กลับไปส่สู ถานแห่งเทวโลกของตนเช่นเดิม มคี วามรืน่ รมยในชวี ิต เปรยี บดง่ั การปลกู ผลไม ชนดิ หนง่ึ หากเจา ของดแู ลเอาใจใสอยา งถูกวธิ ี ตรัสเลา่ จบ พระพุทธองค์ตรสั ว่า “มิตตวนิ ทกุ ะในครานน้ั ไดแ้ ก่ภิกษวุ า่ ยากผนู้ ้ี สว่ นเทวดานน้ั ยอ มไดผลผลิตที่มรี สหวานโอชาอยา งแนน อน) ไดแ้ กเ่ รา” และไดต้ รัสพระคาถาวา่ “ตณั หาเปน็ สงิ่ ทไ่ี มส่ นิ้ สดุ มอี าณาเขตกวา้ งขวาง บคุ คลใดมแี ตค่ วามอยาก ยากทจี่ ะพงึ พอใจ กระทา� ตนไปตามก�าหนดั ตณั หานั้น บุคคลน้นั ย่อมเปน็ ผเู้ ทนิ จกั รกรด” 4.2 ราโชวาทชาดก ครั้งหน่ึงในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ พระราชาพรหมทัต ซึ่งปลอมพระองค์เป็นสามัญชน เสด็จประทับในพระวิหารเชตวัน และทรงมี ขณะกำาลังสนทนากับพระโพธิสัตว์ท่บี รรพชาเปน็ ฤๅษี พระประสงค์จะแสดงธรรมแก่กษัตริย์เจ้านคร ทั้งหลาย จงึ ปรารภว่า “แม้กษัตริย์ในอดีตทั้งหลายทรงสดับวาจา ของบณั ฑติ แลว้ กท็ รงครองราชสมบตั โิ ดยธรรม ทรงบ�าเพ็ญทางสวรรค์ผ่านไปให้บริบูรณ์ บัดนี้ เมื่อมีพระราชามาทูลอาราธนา เราจึงจะแสดง ธรรมแก่พระราชา” จงึ ตรัสเลา่ ราโชวาทชาดก ความวา่ ราชสใมนบอัตดิใีตนกนาคลรพคารรงั้ าพณรสะ2รี พาชราะพโพรธหิสมตั ทวตับ์ คังรเกอดิง ในสกลุ พราหมณ์ เจรญิ วัยเตบิ ใหญ่ไดเ้ ลา่ เรียน จบศิลปศาสตร์ แล้วบรรพชาเป็นฤๅษีอบรม 63 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรยี นควรรู ครูใหน กั เรียนเขยี นสรปุ เรื่องมิตตวนิ ทกุ ชาดก พรอมบอกวา จะสามารถ 1 เปรต เปน สัตวโ ลกจาํ พวกหนงึ่ ทเ่ี กดิ ในเปรตภูมิ ซง่ึ เปนหน่ึงในอบายภูมิ 4 นําไปปรบั ใชใ นการดําเนนิ ชีวิตประจาํ วนั ไดอยา งไร ความยาว 1 หนา (จากภพภมู ิท้ังหมด 31 ภพภูมิ) ผูท่เี กิดเปน เปรตเนอื่ งจากอกศุ ลกรรมทีท่ าํ ไวต อน กระดาษ A4 แลวนาํ สง ครูผูสอน เปน มนุษย เชน ทาํ รา ยบดิ ามารดา ดา ทอพระสงฆผ ูทรงศลี ตระหนีใ่ นการทาํ ทาน ฉอราษฎรบ งั หลวง รบั สินบน ใสความผูบริสทุ ธ์ิ เปนตน กิจกรรมทาทาย 2 พาราณสี หรอื วาราณสี เปน ช่อื เมืองหลวงของแควน กาสี ประเทศอินเดีย เปน เมืองท่มี แี มนาํ้ คงคาไหลผาน ซ่งึ ชาวฮนิ ดมู ีความเช่ือกันวา การไดอาบน้าํ ใน ครใู หน ักเรยี นสืบคน ขาวจากหนังสือพิมพหรืออินเทอรเ น็ตเกย่ี วกับ แมนา้ํ คงคาเปนการลา งบาป ทัง้ นี้ เมอื งพาราณสียงั เปนเมืองแหง การแสวงหาบญุ พฤตกิ รรมของบคุ คลท่ีมกี ารกระทําเขา ขา ยเห็นกงจกั รเปน ดอกบวั ของชาวพทุ ธทั่วโลก กลา วคอื เปนเมอื งทม่ี ีความสําคญั ทางพระพุทธศาสนา จากน้ันใหน กั เรยี นเขยี นแสดงความคดิ เห็นถึงสาเหตุและวิธแี กไ ข มอี าณาเขตครอบคลมุ ถงึ ปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั อนั เปน สถานทที่ พ่ี ระพทุ ธเจา ทรง พฤตกิ รรมดงั กลา วลงกระดาษ A4 สง ครผู ูส อน แสดงปฐมเทศนาแกป ญจวคั คยี ปจจบุ ันเรียกพาราณสวี า พานารสั (Banaras) คูมอื ครู 63
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหน กั เรียนวิเคราะหวา นกั เรียนสามารถนํา อภญิ ญาสมาบตั ใิ หเ้ กดิ มาอาศยั อยใู่ นปา่ หมิ พานตเ์ ปน็ ทส่ี า� ราญ มรี ากไมแ้ ละผลไมใ้ นปา่ เปน็ อาหาร ขอ คดิ จากราโชวาทชาดกมาปรบั ใชในการเรยี น ในกาลครง้ั นนั้ พระราชาทรงระแวงถงึ โทษ เมอื่ จะทรงสอบสวนใหต้ ระหนกั วา่ มผี ใู้ ดกลา่ วโทษตนบา้ ง ไดอยา งไรบาง หรอื ไม่ ก็ไมพ่ บว่ามีใครเลย ท้งั คนภายใน คนภายนอก ท้งั ในเมือง ทงั้ นอกเมือง จงึ ปลอมแปลง (แนวตอบ การประพฤตติ นอยใู นศีลธรรมเสมอ พระองค์เสด็จเท่ียวสู่ชนบท แต่ก็ไม่พบค�ากล่าวโทษ ทรงได้ยินแต่วาจากล่าวสรรเสริญพระคุณ ยอ มนาํ พาความสขุ สงบทางใจมาใหแ กชวี ติ ใทน้งั อสาิน้ ศรจมงึ นเส้ันด็จเเวขล้าาสนูป่ ้ันา่ หพมิระพโาพนธติส์ ัตควรนั้์ไดเส้นด�าจ็ ผถลึงไอทาร1ศอรันมสพุกรงะอโพมธจิสาตั กวป์ก่าท็ มรางบอรภิโวิภาคทแผลละขไทอปรเรหะลท่าบั นอ้ันยู่ สาํ หรับการเรียน การเปนคนขยัน ซื่อสตั ย มรี สหวานโอชา เธอจงึ เชอ้ื เชิญพระราชาทลู ว่า ตอ การทํางาน การสอบ ก็จะทําใหเกิดความ กาวหนาและเจริญรงุ เรืองในชวี ติ แมว า บางครงั้ “ท่านผู้บุญหนัก จงบริโภคผลไทรสุกน้ันแล้วดื่มน�้าเสียเถิด” ครั้นพระราชาทรงกระท�าตาม ผลลัพธของการทํางานหรือการสอบจะออกมา คา� เชญิ นั้นแล้ว รบั สง่ั ถามวา่ ลมเหลว แตก จ็ ะทาํ ใหผนู น้ั ไดรจู ักยอมรับ ความจริง รูจักจดุ ดอยของตนเอง และพฒั นา “ไฉนหนอพระคุณเจ้า ผลไทรสกุ น้ีจงึ มีรสหวานย่ิงนกั ” ตนเองใหด ีข้นึ ได) “ดูก่อนผู้บุญหนัก แท้จริงกษัตริย์ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม เสมอแล้ว ผลไม้ย่อมมี รสหวานดว้ ยเหตนุ น้ั ” พระดาบสตอบ 2. ครใู หนกั เรยี นทาํ กจิ กรรมท่ี 2.4 จากแบบวดั ฯ “แลว้ ถ้ากษตั รยิ ์ไมด่ า� รงอยู่ในธรรม ผลไม้ย่อมไม่มีรสหวานหรือพระคณุ เจ้า” พระราชารับสัง่ พระพุทธศาสนา ม.2 ถามอกี “เช่นน้ันแล ท่านผู้บุญหนัก เม่ือกษัตริย์ทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในธรรม น�้าตาล น้�าผึ้ง น้�าอ้อย ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ รากไม้ และผลไมใ้ นปา่ ยอ่ มไมม่ รี สหวานปราศจากโอชา แตเ่ มอื่ กษตั รยิ ท์ งั้ หลายทรงตงั้ อยใู่ นธรรม พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมท่ี 2.4 ผลไม้ทั้งหลายน้นั ยอ่ มมีรสหวานโอชา ทง้ั แว่นแคว้นทงั้ สิน้ ก็มีรสโอชาด้วยเชน่ กัน” ราชสพมรบะัตริโาดชยาอไธดร้สรดมับหดมังนาย้ันพก็ทระรทงัยนวมา่ ัสจกกั าพรสิพจู รนะ์คดา�าพบสดู แขลอะงเดสาดบ็จส2กรละับยพะเรวะลนาคผร่าพนาไรปาสณกั สพี กั ทพรงรคะอรงอคง์ หนวยที่ 2 พุทธประวัติ พระสาวก ศาสนกิ ชนตัวอยาง กเ็ สดจ็ ไปทอี่ าศรมนนั้ อกี คร้ัง คร้ันนมัสการพระดาบสแล้ว พระดาบสได้ทูลถวายผลไทรสุก ปรากฏว่าผลไทรนั้น กลับมี และชาดก รสขมส�าหรับพระองค์ จงึ คายทงิ้ แลว้ รับส่งั ว่า “ผลไทรน้นั ขมนัก พระคณุ เจ้า” พระดาบสทลู ว่า “ดูก่อนผู้บุญหนัก แท้จริงพระราชาคงไม่สถิตอยู่ในธรรม เพราะในเวลาท่ีกษัตริย์ท้ังหลาย กจิ กรรมที่ ๒.๔ ใหนักเรยี นศกึ ษามิตตวนิ ทกุ ชาดกและราโชวาทชาดก คะแนนเต็ม คะแนนที่ได ไมท่ รงธรรม ทกุ ส่ิงย่อมปราศจากรสหมดโอชา” แลวตอบคาํ ถามตอไปนี้ (ส ๑.๑ ม.๒/๖) พระราชาคร้ันทรงสดับธรรมของพระโพธิสัตว์แล้ว ก็ทรงประกาศให้ทราบว่าพระองค์ ñð เป็นกษัตริย์ แล้วทรงรับสั่งว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า เม่ือก่อนข้าพเจ้านั่นเองได้กระท�าผลไทรสุก รสหวานให้มีรสขม บัดนี้จักกระท�าให้มีรสหวานต่อไป” แล้วทรงนมัสการพระโพธิสัตว์ลาเสด็จ หัวขอ คําถาม มติ ตวนิ ทกุ ชาดก ราโชวาทชาดก กลบั สู่พระนคร ทรงเสวยราชสมบตั โิ ดยธรรม ไดท้ รงกระทา� ทกุ ๆ สง่ิ ให้เป็นปรกตอิ ย่างเดมิ ตรัสเล่าจบ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ราชาในคร้ังนั้นได้แก่อานนท์ ส่วนดาบสนั้นได้แก่เรา” สาเหตทุ ตี่ รสั ชาดก …เพ…อ่ื…ส……อ…น…พ…ร…ะ…ธ…ร…ร…ม…เท……ศ…น…า…แ…ก…พ …ร…ะ…ภ…กิ …ษ…ุ. …ท…ร…ง…ม…พี …ร…ะ…ป…ร…ะ…ส…ง…ค……จ…ะแ…ส……ด…ง…ธ…ร…ร…ม…แ…ก… . แลว้ ตรัสพระคาถาวา่ …ว…า ย…า…ก…ร…ูป……ห…น…งึ่ ……………………………………………. …ก…ษ…ัต…ร…ิย…………………………………………………………. 64 ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. เนื้อหาชาดก …ม…ิต…ต…ว…ิน……ท…ุก…ะ…เป……น…บ…ุต……ร…ช…า…ย…ใ…น…ต…ร…ะ…ก…ูล…. …พ…ร…ะ…โ…พ…ธ…ิส…ั…ต…ว…เก……ิด…ใ…น…ส……ก…ุล…พ…ร……าห……ม…ณ…. …พ…อ…ค……าท……่ีม…ีน…ิส……ัย…โ…ล…ภ………ค…ร…้ัง…ห…น……่ึง…ม…ีค…น…. …ต…อ …ม…า…ได……บ …ร…ร…พ…ช…า…เป…น………ษ……บี …าํ …เพ…ญ็……เพ…ยี…ร…. …ช…กั …ช…วน……ให…ไ…ป…แ…ส…ว…ง…โ…ช…ค…โด……ย…น…ง่ั …เร…อื …ส…าํ…เ…ภ…า. …อ…ย…ใู น……ป…า …ห…มิ …พ…า…น…ต… …ฉ…นั …ผ…ล…ไ…ม…แ …ล…ะ…ร…า…ก…ไ…ม. …ถ…ึง…แ…ม…ม…า…ร…ด…า…จ…ะ…ห……าม………แ…ต…เ…ข…า…ก…็ไ…ม…เช…ื่อ…. …เป…น……อ…า…ห…า…ร……ต…ร…ง…ก…ับ……ส…ม…ัย…ข…อ…ง…พ…ร…ะ…เ…จ…า. …ต…อ…ม…า…ไ…ด…เก……ิด…อ…า…เพ……ศ…จ…น…ถ…ูก……จ…ับ…ล…อ…ย…แ…พ…. …พ…ร…ห…ม…ท…ั…ต…ค…ร…อ…ง…ร…า…ช…ส…ม…บ……ัต…ิ …พ…ร…ะ…อ…ง…ค…. …แ…ล…ะ…ไ…ด…พ…บ……ก…ับ…อ…ุ…ส…ส…ท……น…ร…ก………แ…ต…ด……วย…. …ท…ร…ง…ร…ะแ…ว…ง…ว…า จ…ะ…ม…ปี…ร…ะ…ช…า…ชน……ก…ล…า …วต……เิ ต…ยี…น…. …จ…ึง…ป…ล…อ……ม…ต…ัว…ไ…ป…ส…น……ท…น……า…ก…ับ…พ……ร…ะ……ษ….ี …บ…า…ป…ก……ร…ร…ม…ท…ํา…ใ…ห…ม……อ…ง…เห……็น…เ…ป…น……เม…ือ……ง. …เม…ื่อ……ได……ส…ด…ับ……ฟ…ง…ธ…ร…ร…ม…จ…า…ก……พ…ร…ะ…ด…า…บ…ส…. เฉฉบลับย …ง…ด…ง…า…ม……แ…ล…ะ…ด……วย……ค…ว…า…ม…โล……ภ……จ…ึง…เ…ห…็น…. …ก…ง…จ…ัก…ร…เ…ป…น…ด……อ…ก…บ…ัว……ต……อ…ง…ไ…ด…ร…ับ…ท…ุก……ข. …จ…งึ …ท…ร…ง…ป…ก…ค……ร…อ…ง…ร…า…ษ…ฎ…ร…โ…ด…ย…ธ…ร…ร…ม………. …ท…ร…ม…า…น…จ…า…ก…ก……า…ร…ถ…ูก…ก…ง…จ…ัก……ร…บ…ด…ศ…ีร…ษ……ะ. ………………………………………………………………………. ของตน………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ขอ คดิ เตอื นใจ …๑…. …ก…า…ร…เ…ป…น……ค…น……โล……ภ…ม…า…ก…ย……อ…ม…น…ํา…พ……า. …ก…า…ร…เป……น…ผ…ูป…ก……ค…ร…อ…ง…ต…อ…ง…ป…ร…ะ…พ……ฤ…ต…ิต…น…. สําหรับนกั เรียน ………ต…น……เอ…ง…ไ…ป…ส……ูค…ว…า…ม…เ…ด…ือ…ด…ร…อ…น………ด…ั…ง. …เป…น……ผ…ูน…ํา…ท…่ีด…ี……ป…ก…ค…ร…อ…ง…ป……ร…ะช…า…ช…น……โด…ย…. ………ส…ภุ …า…ษ…ิต……ท…ว่ี …า …โ…ล…ภ…ม…า…ก……ล…า…ภ…ห…า…ย………. …ธ…ร…ร…ม……ก…จ็ …ะ…ท…าํ …ให…ร…า…ษ…ฎ……ร…อ…าศ……ยั …อ…ย…อู …ย…า …ง. …๒….…ค…น……ช…่ัว…ห…ร…ือ…ค…น……บ…า…ป…ม……ัก…จ…ะ…เ…ร…ิ่ม…ต…น…. …ม…คี …ว…า…ม…ส…ขุ ……………………………………………………. ………จ…า…ก…ก…า…ร…ม…ีค…ว…า…ม…ค…ดิ…เ…ห…น็ ……ผ…ิด…ไ…ป…บ…ูช…า…. ………………………………………………………………………. ………ห…ร…ือ……ช…อ…บ…ส…่ิง…ช…่ั…วร……า…ย……เ…ข…า…ท…ํา…น…อ……ง. ………………………………………………………………………. ………เห……็น…ก…ง…จ…ัก……ร…เป…น……ด…อ…ก…บ…ัว………ใน……ท…่ีส…ุด…. ………………………………………………………………………. ………ต…น……เอ……ง…ก…็ต……อ…ง…ร…ับ…ผ……ล…ก…ร……ร…ม…ท…ี่ไ…ด…. ………………………………………………………………………. ………ก…ร…ะ…ท…าํ …ไ…ว… ……………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………. ๑๗ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET บคุ คลในตาํ แหนง หรอื อาชพี ใด ควรนําขอ คิดจากเรอ่ื งราโชวาทชาดก 1 ไทร ในภาษาสนั สกฤตจะเรยี กวา นโิ ครธ หรอื อชปาลนโิ ครธ ตน ไทรมเี รอ่ื งราว ไปปรบั ประยุกตใ ชม ากท่สี ดุ เก่ยี วขอ งกบั พทุ ธประวัติอยู 2 ครง้ั คือ ครั้งที่ 1 ในวันขึน้ 15 คํา่ เดือน 6 วนั ท่ี 1. แพทย ทรงตรัสรู ทรงประทับอยใู ตโ คนตนไทร แลวนางสชุ าดานําขาวมธปุ ายาสมาถวาย 2. อยั การ ครงั้ ที่ 2 หลงั จากทรงตรัสรูแ ลว ไดป ระทับเสวยวมิ ตุ ติสุขเปนเวลา 7 สปั ดาห 3. ครูอาจารย ก็เสด็จไปประทับอยูใ ตต นไทรในสปั ดาหท ี่ 5 เปน เวลา 7 วัน 4. รฐั มนตรี 2 ดาบส ผูบาํ เพญ็ ตบะ คือ เผากเิ ลส ผบู าํ เพญ็ พรตเพอ่ื เผากเิ ลส ไดแ ก ฤๅษี วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ราโชวาทชาดกเปน เรอ่ื งราวที่ส่งั สอนใหผูน าํ ถาเปน สตรใี ชว า ดาบสนิ ี ประเทศปกครองประเทศโดยธรรม ไมคดโกง ซื่อสตั ยสจุ ริต เพ่อื ประชาชน จะไดอ ยูอยางเปนสุข ดงั นัน้ รัฐมนตรี ซ่งึ ถือเปนผปู กครองประเทศ จึงสมควรนาํ ขอ คดิ จากเรือ่ งราโชวาทชาดกไปปรับประยกุ ตใ ชม ากท่สี ดุ 64 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand “หากเมอ่ื โคท้งั หลายจะข้ามฟาก แลว้ โคผนู้ า� เดนิ คด แมโ้ คทั้งปวงกไ็ ปคด เมอ่ื โคนา� เดินคด 1. ครแู ละนักเรยี นอภปิ รายถงึ ประโยชนท ไี่ ดรับ ในคนทั้งหลายก็อย่างนั้นแล ผู้ใดท่ีสมมติว่าประเสริฐสุด หากผู้นั้นประพฤติอธรรม ก็ไม่ต้อง จากการศกึ ษาชาดก แลวใหน ักเรยี นวิเคราะห กล่าวถึงสัตว์นอกนัน้ ชาวแควน้ ท้ังส้นิ ย่อมนอนเปน็ ทกุ ข์ ถ้าพระราชาทรงประพฤตอิ ธรรม” ถงึ ความแตกตา งของชาดกกบั นิทานท่ัวไป “หากเมือ่ โคท้งั หลายจะขา้ มฟาก แลว้ โคผนู้ า� เดินตรง แม้โคทัง้ ปวงกไ็ ปตรง เมอื่ โคน�าเดนิ ตรง (แนวตอบ ชาดกแตกตางจากนิทานทั่วไปตรงท่ี ในคนทั้งหลายก็อย่างนั้นแล ผู้ใดท่ีสมมติว่าประเสริฐสุด แม้หากผู้น้ันประพฤติธรรม ก็ไม่ต้อง ชาดกเปน เรื่องราวของพระพุทธเจาในอดตี ชาติ กล่าวถงึ สตั วน์ อกนนั้ ชาวแควน้ ทั้งสนิ้ ย่อมนอนเป็นสขุ ถ้าพระราชาทรงประพฤติธรรม” ทพี่ ระองคทรงแสดงแกพระภกิ ษใุ นโอกาสตางๆ เพื่อใหเ กดิ แงคิดแลวกลับไปพฒั นาตน) เมื่อพิจารณาถึงการด�าเนินชีวิตขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธสาวก พระพทุ ธสาวกิ า และชาวพทุ ธตวั อยา่ ง ตลอดจนพระโพธสิ ตั วจ์ ากนทิ านชาดกเรอ่ื งตา่ งๆ เหลา่ นแี้ ลว้ 2. ครูใหน ักเรยี นเลอื กชาดกเร่ืองทปี่ ระทับใจ แลว จะเห็นได้ว่าแต่ละท่านล้วนมีจริยาวัตรทางการด�าเนินชีวิตที่งดงาม และมีคุณธรรมเป็นหลัก เขยี นเหตุผลและการนําขอคดิ จากชาดกเรื่อง ในการด�ารงตนท้ังส้ิน ดังนั้น ในฐานะท่ีเป็นพุทธศาสนิกชน นักเรียนควรน�าคุณธรรมและ ดงั กลาวไปใชในชวี ติ ประจําวัน ลงในกระดาษ คตขิ อ้ คดิ ทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษานม้ี าเปน็ แนวทางทจี่ ะนา� ไปใชเ้ ปน็ หลกั ในการปฏบิ ตั ติ นและดา� เนนิ ชวี ติ A4 สงครูผสู อน เพราะนอกจากท่ีจะท�าให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีคุณธรรมแล้ว จะช่วยธ�ารงสังคมให้มีความ สงบสุขไดอ้ กี ด้วย ตรวจสอบผล Evaluate 1. ตรวจสอบผลจากความถูกตอ งในการ ตอบคาํ ถามและการแสดงความคดิ เห็น ในชนั้ เรยี น 2. ตรวจสอบผลจากการเขียนเรยี งความเร่อื ง วธิ ขี จดั ความโลภในจติ ใจ 3. ตรวจสอบผลจากความตั้งใจในการแสดง บทบาทสมมติ 65 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู ราโชวาทชาดกเปน ชาดกทใี่ หขอคิดหรือคตสิ อนใจในเรือ่ งใด ครูควรใหนกั เรียนไปคนหาตวั อยา งในชาดกเร่ืองอื่นท่ีแสดงใหเ หน็ วา ประเทศ 1. การผจญภยั ทมี่ ีผนู าํ ทดี่ ีทําใหส ังคมเจรญิ กา วหนาและสงบสุข สว นประเทศทมี่ ีผนู ําไมด ีทาํ ให 2. การเสวยผลไทรสกุ สงั คมเสอ่ื มทรามและวุนวาย จากน้นั นํามาอภิปรายรว มกันในช้ันเรยี น 3. การแสวงหาสัจธรรม 4. การประพฤตติ นอยใู นศีลธรรม มมุ IT วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ขอคดิ หรือคตสิ อนใจเรือ่ งราโชวาทชาดก ศึกษาคน ควาขอมลู เพมิ่ เตมิ เกีย่ วกับชาดก ไดท่ี http://www.thammapedia.com เว็บไซตธ รรมะพีเดีย สรปุ ได 2 ประการ คอื 1. ผปู กครองที่ดีตอ งประพฤติตนเปนแบบอยางทีด่ ี เพอื่ ใหผ ูนอ ยปฏบิ ตั ิ ตนตามเยยี่ งอยา ง ซง่ึ จะชวยใหส ังคมมคี วามสงบสุข 2. ธรรมหรอื คณุ ความดีนํามาซ่ึงความสงบรมเย็นของบานเมอื ง ผูป กครองที่ประพฤตธิ รรม จะทาํ ใหอ าณาประชาราษฎรอ ยูอยาง รม เย็นเปน สขุ คมู ือครู 65
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถกู ตอ งจากการตอบคําถาม ค าí ¶ามประจ าí หนว่ ยการเรยี นรู้ ประจาํ หนวยการเรียนรู ๑. การศึกษาพุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา และชาวพุทธตัวอย่าง นักเรียน หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู คดิ วา่ ตนเองไดร้ บั คณุ ประโยชนอ์ ะไรบา้ ง ใหแ้ สดงความคดิ เหน็ ทา 1. ผังความคิดเร่อื งสตั ตมหาสถาน ๒. จงอธบิ ายวธิ กี ารแสวงหาความรขู้ องพระพทุ ธเจา้ ตามทน่ี กั เรยี นเขา้ ใจมาพอสงั เขป 2. สมดุ ภาพเลา เร่ืองประวัติของพทุ ธสาวกหรอื ๓. พทุ ธจรยิ าอนั เปน็ แบบอยา่ งในการดา� เนนิ ชวี ติ มกี ป่ี ระการ อะไรบา้ ง ๔. พระพุทธศาสนาถือหลักอาวุโสเป็นส�าคัญ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระอุรุเวลกัสสปะ พุทธสาวกิ า 3. แบบบนั ทึกการปฏิบัติกจิ กรรมหรอื สรา งชนิ้ งาน ถือว่ามีอาวุโสสูงกว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ แต่เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงแต่งต้งั ให้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวก ให้นักเรียนวิเคราะห์เหตุผล และ เพือ่ เสริมสรางคุณธรรม ประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั 4. เรยี งความเรื่องวิธีขจดั ความโลภในจติ ใจ ๕. ผลจากการศกึ ษาประวตั ชิ วี ติ ของนางขชุ ชตุ ตรา นกั เรยี นไดแ้ งค่ ดิ อะไรบา้ ง อธบิ ายพรอ้ ม ยกตวั อยา่ ง กจิ กรรมสรา้ งสรรค์พั²นาการเรยี นรู้ กิจกรรมท่ี ๑ ครฉู ายสไลด์ วดี ทิ ศั นห์ รอื นา� ภาพประกอบเกย่ี วกบั พทุ ธประวตั ติ อนผจญมาร การตรัสรู้ และการสั่งสอนมาให้นักเรียนดู แล้วช่วยกันอภิปรายและสรุป เหตุการณต์ ่างๆ ร่วมกนั กิจกรรมท ี่ ๒ ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงคุณธรรมที่ควรยึดเป็นแบบอย่างของ พทุ ธสาวก พทุ ธสาวิกา และชาวพุทธตวั อยา่ ง แล้วสรปุ ผลอภิปรายส่งครู กิจกรรมท ่ี ๓ นักเรียนแบ่งกลุ่มแสดงละครเร่ือง มิตตวินทุกชาดก และราโชวาทชาดก แลว้ ร่วมกนั อภิปรายว่าชาดก ๒ เรือ่ งน้ี ให้แงค่ ิดและคณุ ธรรมอยา่ งไร พุทธศาสนสภุ าษิต ËÃÔ âÔ ÍµµÚ »»Ú  àÚ Ç âÅ¡í »ÒàÅµÔ ÊÒ¸¡Ø í : ËÔÃÔáÅÐâ͵µ»Ñ »Ð ÂÍ‹ ÁÃÑ¡ÉÒâÅ¡äÇŒ ໹š Íѹ´Õ 66 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. การศึกษาพทุ ธประวัตทิ าํ ใหท ราบถงึ ความยากลาํ บากของพระพทุ ธเจาในการแสวงหาความหลุดพน การศกึ ษาประวัติพุทธสาวก พทุ ธสาวกิ า ทาํ ใหไ ดรูค ุณธรรมทค่ี วร นํามาเปน แบบอยาง และการศึกษาชาวพุทธตัวอยาง ทําใหไดข อคิดวาบรรพบุรษุ ไทยเปน ผูมคี วามเกง กลาสามารถและมีวสิ ยั ทัศนก วางไกล และทาํ ใหเราเยาวชน ตระหนักถงึ คุณคาของพระพทุ ธศาสนาและตองสืบทอดตอ ไป 2. การแสวงหาความรูของพระพทุ ธเจาทรงใชวิธแี บบลองผดิ ลองถูก 3. พุทธจรยิ า แปลวา พระจริยวัตรปกตขิ องพระพทุ ธเจา หมายถงึ การบําเพ็ญประโยชนต อผูอน่ื ซ่งึ ทรงปฏบิ ตั เิ ปน ประจํา มี 3 ประเภท ไดแ ก - โลกตั ถจริยา คือ พระจรยิ วตั รที่เปน ประโยชนแ กชาวโลก เชน การเสด็จไปแสดงธรรมในที่ตางๆ เปนตน - ญาตตั ตถจรยิ า คอื พระจริยวตั รท่เี ปนประโยชนแกพระประยูรญาติ เชน การเสด็จไปโปรดพระบิดาและพระประยรู ญาติท่กี รงุ กบลิ พสั ดุ เปน ตน - พทุ ธตั ถจริยา คือ พระจริยวัตรทเี่ ปนประโยชนต ามหนา ท่ีทเ่ี ปน พระพุทธเจา เชน ทรงบญั ญัตพิ ระวนิ ัยเพื่อเปน หลักปกครองสงฆ เปนตน 4. เพราะพระสารบี ตุ รและพระโมคคัลลานะเปน ผูท่ีมีความสามารถ เนอ่ื งจากพระสารีบุตรเปนผูมปี ญ ญาฉลาดหลกั แหลมยอมเปรยี บเสมือนมารดาทคี่ อยดูแลบตุ ร พระโมคคลั ลานะมีฤทธ์ิมากยอ มเปรยี บเสมือนพอ ท่มี ีกําลังคอยปกปอ งคุมภัยใหแ กบุตร พระพทุ ธศาสนาขณะนน้ั เพงิ่ เผยแผใ หมๆ ยอ มมบี ุคคลตางศาสนามาทา ทาย ทดสอบ ทดลอง เพอ่ื หวงั ใหพ า ยแพเ ปน ทอี่ บั อาย จงึ ตอ งมคี นทร่ี เู ขารเู ราและรลู กึ รจู รงิ ไวช ว ยงานสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา เผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ถอื ไดว า ทงั้ สองทา น มีคณุ ูปการและเปน กาํ ลังสาํ คญั ในการเผยแผพระพทุ ธศาสนาเปนอยางยิ่ง 5. มนุษยจะเปน คนดหี รือเลวไมไดอยทู ร่ี างกายดีหรือพิการ แตอยทู จ่ี ิตใจและการกระทาํ 66 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ๓หน่วยการเรียนรู้ท ่ี หลักธรรม 1. อธิบายหลกั ธรรมสําคญั ในกรอบอริยสัจ 4 ได ทางพระพทุ ธศาสนา 2. วเิ คราะหหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา เพอื่ นําไปปรบั ใชในการแกปญหาและพฒั นา ตนเองและสงั คมได สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแกปญหา 3. ความสามารถในการใชทักษะชวี ติ ตวั ช้ีวดั คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค ● อธิบายธรรมคุณและข้อธรรมสำาคัญในกรอบ 1. มีวินยั อริยสัจ ๔ หรือหลักธรรมของศาสนาที่ตน 2. ใฝเรียนรู นับถือตามท่ีกำาหนด เห็นคุณค่าและนำาไป 3. ซอื่ สตั ยส ุจริต พัฒนาแกป้ ัญหาของชุมชนและสงั คม 4. มงุ มนั่ ในการทาํ งาน (ส ๑.๑ ม.๒/๘) กระตนุ ความสนใจ Engage สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ครูใหนักเรยี นชวยกนั บอกธรรมะประจาํ ใจที่ ● พระรตั นตรยั นักเรียนยึดปฏิบตั ใิ นชีวติ ประจาํ วัน แลวบอกถึง ● อรยิ สัจ ๔ ประโยชนท ี่ไดรบั จากการปฏิบัติตามหลักธรรม ดังกลา ว ËÅÑ¡¸ÃÃÁ¢Í§¾Ãоط¸ÈÒʹÒ໚¹ÊèÔ§·èÕÁÕÍ‹ÙáÅŒÇ ¾Ãоط¸Í§¤à»š¹à¾Õ§¼ŒÙ·Ã§¤Œ¹¾ºáÅйíÒÁÒà¼ÂἋᡋ (แนวตอบ เชน การปฏิบัติตนตามศีล 5 ไดแ ก ÁÇÅÁ¹ÉØ Â à¾Íè× ãËàŒ ¡´Ô ¤ÇÒÁʧºÊ¢Ø ¢¹éÖ ã¹âÅ¡ àÁÍè× ¾Ãо·Ø ¸à¨ÒŒ ไมฆ าสัตว ไมล กั ทรัพย ไมประพฤติผิดในกาม ¨Ç¹àÊ´¨ç ´ºÑ ¢¹Ñ ¸»Ã¹Ô ¾Ô ¾Ò¹ ¾ÃÐͧ¤ä ´µŒ ÃÊÑ á¡¾‹ ÃÐÍÒ¹¹·Ç Ò‹ ไมพูดปด และไมด ่ืมของมึนเมา ซ่ึงสงผลใหช วี ติ “¸ÃÃÁÇ¹Ô ÂÑ ã´·àèÕ ÃÒµ¶Ò¤µáÊ´§áÅÇŒ ºÞÑ ÞµÑ áÔ ÅÇŒ á¡à‹ ¸Í·§éÑ ËÅÒ มคี วามสงบสขุ ไมประสบกบั ความเดือดรอ น หรอื ¸ÃÃÁÇ¹Ô ÂÑ ¹¹éÑ ¨¡Ñ ໹š ÈÒʴҢͧà¸Í·§éÑ ËÅÒ àÁÍè× àÃÒµ¶Ò¤µ ความทุกขใจใดๆ เปนตน) ÅÇ‹ §ÅºÑ ä»áÅÇŒ ” ËÁÒ¤ÇÒÁÇÒ‹ ¾ÃиÃÃÁ໹š µÇÑ á·¹¢Í§ ¾Ãоط¸à¨ŒÒ ´Ñ§¹Ñé¹ ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒËÅÑ¡¸ÃÃÁ¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ¨Ö§à»š¹ ʧèÔ ÊÒí ¤ÞÑ ÊÒí ËÃºÑ ¾·Ø ¸ÈÒʹ¡Ô ª¹ à¾Íè× ã˹Œ Òí ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ´§Ñ ¡ÅÒ‹ Ç ä»ãªŒà»¹š á¹Ç·Ò§ã¹¡ÒôíÒà¹¹Ô ªÕÇµÔ ä´ÍŒ ÂÒ‹ §¶Ù¡µÍŒ § เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู พอ่ื ใหน กั เรยี นสามารถอธบิ ายและวเิ คราะหธ รรมคณุ และหลกั ธรรมสําคญั ในกรอบอรยิ สัจ 4 รวมถึงสามารถนําหลกั ธรรมไปประยกุ ตใ ช ในชวี ิตประจําวัน โดยเนน การพัฒนาทักษะกระบวนการทสี่ ําคัญ ไดแก ทักษะ การคดิ วเิ คราะห กระบวนการสบื สอบ และกระบวนการกลมุ ดังน้ี • ครูใหนักเรยี นสบื คน ความหมายของพทุ ธคณุ 9 ธรรมคุณ 6 และสงั ฆคุณ 9 แลวนํามาอภิปรายรวมกนั • ครูใหนักเรียนศกึ ษาคนควา เกย่ี วกบั หลักธรรมเรอื่ งทุกขแ ละสมุทยั แลว เขียน ผงั ความคิด • ครใู หนักเรียนศกึ ษาคนควา เกยี่ วกับหลักธรรมเรอื่ งนิโรธ แลวเขียนเรียงความ • ครใู หน กั เรียนศึกษาคน ควา เกยี่ วกับหลกั ธรรมเรอ่ื งมรรค แลว จดั ทําปายนเิ ทศ คมู ือครู 67
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage ครูใหนักเรียนสวดมนตบ ทบชู าพระรตั นตรยั ñ. พระรตั ¹ตรÂั จากนน้ั ใหบ อกถงึ ความรสู กึ กอ นและหลงั การสวดมนต พระพุทธศาสนามีองค์ประกอบส�าคัญ ๓ ประการ คือ พระรัตนตรัย ซึ่งแปลว่า แก้วอัน สาํ รวจคน หา Explore ประเสริฐ ๓ ดวง อนั ได้แก่ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูใหนักเรียนสืบคนความหมายของพุทธคุณ 9 พระพุทธ หมายถงึ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ซึ่งทรงเป็นศาสดาของศาสนา ท่ีว่า ธรรมคณุ 6 และสงั ฆคณุ 9 จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เป็นศาสดากห็ มายความวา่ เป็นผทู้ รงคน้ พบสัจธรรมโดยการตรัสรเู้ องและสอนใหผ้ อู้ น่ื รู้ตาม แลว จดบันทึกเปนภาษาทเี่ ขาใจงายลงสมุด พระธรรม หมายถึง ค�าสั่งสอนของพระพทุ ธเจา้ ทัง้ ทีเ่ ป็นคา� อธิบายเกีย่ วกับความเปน็ จรงิ อธบิ ายความรู Explain ของชวี ติ มนุษยแ์ ละเป็นคา� สั่งสอนใหม้ นษุ ยป์ ระพฤติดีตอ่ กัน ครูและนกั เรยี นรว มกนั อภิปรายถึงธรรมคุณ 6 พระสงฆ์ หมายถงึ หมู่สาวกที่ปฏิบัติตามค�าสอนของพระพุทธเจ้าและเผยแผ่ค�าสอนให้แก่ ประการ จากน้ันครูตง้ั คาํ ถามใหนกั เรียนชว ยกนั คนทัว่ ไป ตอบวา พระรตั นตรยั มคี วามสาํ คญั ตอ พระพทุ ธ- เรียกวพ่าระธพรทุ รมธเคจณุา้ มคี๖ณุ พลรกั ะษสณงฆะ์ม๙คี ปณุ รละกักาษรณเะรยี ๙กวปา่ รพะกทุ าธรคเณุรียก๙วพา่ สระังธฆรครุณมมคี๙1ณุ ซลง่ึกั ใษนณทีน่ะ้ีจ๖ะกปลรา่ะกวถารงึ ศาสนาอยางไร ธรรมคุณ ๖ ดงั นี้ (แนวตอบ พระพทุ ธ เปน ศาสดาของพระพทุ ธ- ธรรมคณุ ศาสนา ผทู รงคน พบทางแหง การตรสั รู พระธรรม เปนหลกั คําสอนของพระพทุ ธเจาที่ ธรรมคณุ หมายถึง คุณของพระธรรม มี ๖ ประการ ดงั น้ี ศาสนิกชนนอ มนาํ ไปปฏิบัติ ๑. สวากขาโต ภควตา ธมั โม พระธรรมเป็นค�าสอนอันพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรัสไวด้ แี ลว้ เปน็ ความ พระสงฆ เปนสาวกผปู ฏิบัติตามคําสอนของ จรงิ แท้ เปน็ หลกั ครองชวี ติ อนั ประเสรฐิ พระพทุ ธเจา และเผยแผพระพุทธศาสนา) ๒. สันทิฏฐิโก พระธรรมนี้ผู้ปฏิบัติตามจะเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อค�าผู้อ่ืน ผู้ท่ีมิได้ปฏิบัติน้ัน ขยายความเขา ใจ Expand แมจ้ ะมใี ครมาบอกและอธบิ ายใหฟ้ งั กไ็ มอ่ าจเหน็ ได้ ครใู หน กั เรยี นอภปิ รายวา เพราะเหตใุ ดจงึ กลา ววา ๓. อกาลิโก ไม่เน่ืองด้วยกาลเวลา ไม่ข้ึนอยู่กับเวลา ปฏิบัติตามได้พร้อมบริบูรณ์เม่ือใดก็เห็นผล พระธรรมเปน จรงิ เสมอ ไมเ ปลยี่ นแปลงตามกาลเวลา เมอื่ นน้ั เปน็ จรงิ ตลอดเวลาไมเ่ ปลย่ี นแปลงไปตามกาลสมยั สง่ิ ทเ่ี นอ่ื งดว้ ยเวลาเปน็ สง่ิ ทม่ี เี กดิ มเี ปลย่ี นแปลง มดี บั ไปตามเวลา แตพ่ ระธรรมเป็นจรงิ อยูเ่ สมอเป็นนจิ (แนวตอบ ครูเปด โอกาสใหน ักเรยี นอภปิ ราย โดย ยกตวั อยา งคาํ สอนทเ่ี ปน จรงิ ตลอดกาล เชน มงคล 38 ๔. เอหปิ สั สโิ ก ควรเรยี กใหม้ าดู คอื พระธรรมเป็นคา� สอนที่ควรจะเชิญ เปน ธรรมะทน่ี าํ ไปปฏบิ ตั แิ ลว นาํ มาซงึ่ ความสขุ ความเจรญิ ให้ใครๆ มาดู มาพิสจู น์ มาตรวจสอบ เพราะเป็นของทีจ่ ริงตลอดเวลา อยางแทจ รงิ ไมว า จะยุคใดสมัยใด การปฏิบตั ิตน ตามมงคล 38 ยอมนํามาซึง่ ความสขุ เสมอ เปน ตน ) ๕. โอปนยิโก ควรน้อมเขา้ มา คือ เปน็ สิ่งท่คี วรนอ้ มเข้าไว้ในใจ เพอื่ ยึดถอื เปน็ หลกั ปฏิบตั ิในชีวิต จะได้บรรลุถงึ ความหลดุ พน้ ตรวจสอบผล Evaluate ๖. ปจั จัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คอื วิญญชู น ได้แก่ นักปราชญ์ รไู้ ดเ้ ฉพาะตน คือ พระธรรมนี้เปน็ ส่ิงทว่ี ิญญชู นจะร้ไู ด้ และการรไู้ ดน้ น้ั เปน็ ของเฉพาะตน ตอ้ งปฏบิ ัติตามจงึ จะรู้ ทา� แทนกันไมไ่ ด้ แบ่งปัน ให้กันไมไ่ ด้ ตอ้ งประจักษ์ดว้ ยตนเอง ตรวจสอบผลจากความถกู ตอ งในการตอบคาํ ถาม 68 และการอภปิ ราย นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ธรรมคุณมคี วามหมายตรงกับขอใด 1 สงั ฆคณุ 9 คณุ ของพระสงฆ (หมายถงึ สาวกสงฆห รอื อรยิ สงฆ) มี 9 ประการ 1. พระไตรปฎ ก ดงั นี้ 2. พระพุทธคุณ 3. พระสงั ฆคุณ 1. สปุ ฏปิ นโฺ น เปนผูปฏิบตั ิดี 4. คุณของพระธรรม 2. อชุ ปุ ฏิปนฺโน เปนผปู ฏิบัตติ รง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ธรรมคุณ หมายถงึ คณุ ของพระธรรม 3. ายปฏิปนโฺ น เปน ผปู ฏิบตั ิถกู ทาง มี 6 ประการ ไดแก สวากขาโต ภควตา ธมั โม, สนั ทฏิ ฐโิ ก, อกาลิโก, 4. สามจี ิปฏปิ นโฺ น เปน ผปู ฏิบตั ิสมควร เอหิปส สิโก, โอปนยิโก, ปจ จัตตัง เวทิตัพโพ วญิ หู ิ 5. อาหุเนยโฺ ย เปน ผูค วรแกของคํานับ 6. ปาหุเนยโฺ ย เปน ผคู วรแกก ารตอ นรับ 7. ทกฺขิเณยโฺ ย เปน ผูควรแกข องทําบญุ 8. อฺชลกี รณโี ย เปนผคู วรแกก ารกราบไหว 9. อนุตตฺ รํ ปุญฺ กเฺ ขตฺตํ โลกสสฺ เปนเนอ้ื นาบุญอันยอดเย่ียมของโลก 68 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. ÍรÂิ ส¨ั ô ครูใหน กั เรียนดูภาพบคุ คลนอนปวยในหนังสือ เรยี นหนา 69 แลวตง้ั คําถามกระตนุ ความสนใจ อรยิ สัจ ๔ คือ ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการ เป็นหลกั คา� สอนส�าคญั ของพระพุทธศาสนา เชน มีดงั น้ี • การเจบ็ ปว ยทางกายเปน สาเหตุทก่ี อใหเกิด ๑. ทุกข์ คอื ความจรงิ ว่าด้วยความทุกข์ ทุกขอ ยางไร ๒. สมทุ ัย คอื ความจริงวา่ ด้วยเหตเุ กดิ แหง่ ทุกข์ (แนวตอบ การเจบ็ ปว ยทางกาย นอกจากจะ ๓. นโิ รธ คอื ความจริงว่าดว้ ยความดบั ทกุ ข์ ทาํ ใหเปนทุกขท างกายแลว ยังสงผลให ผปู ว ยมจี ติ ใจออ นแอ ซมึ เศรา เกดิ ความกงั วล 2.1 ๔ท.ุกมขร์ ร(คธครือรมควทามีค่ จวรรงิ วร่า1ู้)ดว้ ยทางแหง่ ความดับทุกข์ กอใหเกิดความทกุ ขใ จดวยเชน เดียวกัน) ทุกข์ คือ ความจริงว่าด้วยความทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มนุษย์ทุกคนไม่ว่า • หลกั ธรรมที่จะทาํ ใหเขา ใจความทุกขแ ละ จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็มีความทุกข์ด้วยกันท้ังน้ัน ความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทุกขณะ วธิ แี กปญ หาความทกุ ขมีอะไรบา ง เราจึงไม่ควรประมาทและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ณ ที่น้ีจะกล่าวถึงขันธ์ ๕ ซ่ึงเป็น (แนวตอบ อรยิ สัจ 4 ความจริงอนั ประเสริฐ หลกั ธรรมทค่ี วรร้เู พ่อื ใหร้ ู้ความจริงของการเกดิ ทุกข์ 4 ประการ อันประกอบดวย ทุกข สมทุ ยั นิโรธ และมรรค) ๑) ข๑.นั ๑ธ) ์ ๕รปู 2คคือืออสงว่คนป์ ทรี่เะปกน็อรบ่าขงอกงาชยีวติรวมมี ๕ถงึ พปรฤะตกิการรรมดทังนั้งหี้ มดของร่างกายด้วย ๑.๒) เวทนา ในที่นี้มไิ ด้หมายถงึ ความสงสารที่ใช้กันท่ัวไป แตห่ มายถงึ ความรูส้ กึ สาํ รวจคน หา Explore ท่เี กิดขน้ึ ต่อสงิ่ ทรี่ บั รูน้ นั้ เวทนามีอยู่ ๓ อย่าง ได้แก่ ครูใหนักเรียนศกึ ษาคนควาเกี่ยวกบั หลกั ธรรม ๑. ความรู้สึกสบายใจ ทกุ ข (ธรรมท่คี วรรู) จากหนงั สือเรยี นหนา 69-70 เรียกว่า สขุ เวทนา หรือจากแหลง การเรยี นรตู างๆ เชน หนงั สอื ธรรมะ ๒. ความรู้สึกไม่สบายใจ หอ งสมดุ เปน ตน จากนน้ั ใหน ํามาอภิปรายใน เรยี กว่า ทุกขเวทนา ชน้ั เรยี น ว่า อุเบกขาเวทนา ๓. ความรู้สกึ เฉยๆ เรียก ๑.๓) สญั ญา ในทน่ี ม้ี ไิ ดแ้ ปลวา่ ค�ามั่นสัญญาดังในภาษาสามัญ แต่หมายถึง กกลารน่ิ ก�าเสหียนงดหโผมฏาฐยพั รู้สพ่ิงะ3ใดแสลิ่งะหอนาร่ึงมณเชท์ ่น่เี กริดูปกบั รใสจ วา่ เขยี ว ขาว ดา� แดง ดงั เบา เสียงคน เสียง แมว เป็นตน้ การแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร อันเป็นข้นั ตอนถัดจากเวทนา ความเจ็บปว่ ยทางรา่ งกายเปน็ สาเหตหุ นง่ึ ท่กี ่อให้เกดิ ทุกข์ 69 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอ ใดเปน ความหมายของคาํ วา “วญิ ญาณ” ในองคประกอบขนั ธ 5 1 ธรรมที่ควรรู หมายความวา พระพุทธศาสนาสอนใหร วู าอะไรคือความทกุ ข 1. ชีวิตหลังความตาย หมายถึง สภาพท่ีบบี ค้นั อดึ อดั ขดั เคอื ง แตใหรเู ฉยๆ ไมใหเปน ทุกขไปดว ย 2. การรับรผู านการเพง ของจติ 2 รูป ประกอบดวย ธาตทุ ง้ั 4 ไดแ ก 3. การกาํ หนดหมายรสู ่ิงใดสงิ่ หนงึ่ 4. การรับรผู านประสาทสัมผัสทัง้ 5 และใจ • ปฐวีธาตุ คอื ธาตดุ นิ เชน กระดกู เนอื้ เปนตน • อาโปธาตุ คอื ธาตนุ ้ํา เชน นํา้ ลาย เลือด เปน ตน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. วิญญาณ หมายถงึ การรบั รผู า นประสาท • เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ เชน อุณหภูมิในรางกาย เปนตน • วาโยธาตุ คือ ธาตุลม เชน ลมหายใจเขาออก ลมในกระเพาะอาหาร สัมผัสทั้ง 5 และใจ อันไดแก จกั ขวุ ญิ ญาณ โสตวญิ ญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวญิ ญาณ และมโนวญิ ญาณ เปน ตน 3 โผฏฐพั พะ อารมณทีพ่ งึ ถูกตองดวยกาย ส่งิ ท่ีถูกตองกาย เชน เย็น รอ น ออ น แขง็ เปน ตน คูมอื ครู 69
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นอภปิ รายรว มกนั เกยี่ วกบั หลกั ธรรม ๑.๔) สงั ขาร แปลว่า สง่ิ ทป่ี รุงแตง่ จิตหรือพดู ให้เขา้ ใจงา่ ย เช่น แรงจูงใจ หรอื ทกุ ข ไดแก ขนั ธ 5 และอายตนะ สิ่งกระตุ้นผลักดันให้มนุษย์กระท�าการอย่างใดอย่างหน่ึง เป็นผลรวมของการรับรู้ (วิญญาณ) ความร้สู ึก (เวทนา) และความจา� ได้ (สญั ญา) ทีผ่ ่านมา เชน่ ตารับรวู้ ัตถสุ ิ่งหน่งึ (วญิ ญาณ) รู้สึก 2. ครใู หนกั เรยี นน่งั หลับตาสงบนงิ่ แลว ปฏิบัตติ าม วา่ สวยดี (เวทนา) จ�าไดว้ ่ามันเป็นวตั ถกุ ลมๆ ใสๆ (สัญญา) แล้วเกิดแรงจงู ใจผลักดนั ให้เออ้ื มมอื ขนั้ ตอนทคี่ รกู าํ หนด เพอื่ เรยี นรอู ายตนะจากการ ไปหยบิ มาเพราะความอยากได้ ข้นั ตอนนเ้ี รียกวา่ “สังขาร” ซง่ึ เปน็ ข้ันตอนท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรม ปฏบิ ัตจิ ริง โดยกาํ หนดความรูสกึ ไปท่ี ทัง้ ดแี ละช่ัว • ตา แลวคอ ยๆ ลมื ตา พจิ ารณาส่งิ ตางๆ รอบตัว ๑.๕) วญิ ญาณ คอื การรับรูผ้ า่ นประสาทสมั ผัสท้ัง ๕ และใจ ไดแ้ ก่ • หู ครูนาํ แปรงลบกระดานเคาะโตะ 1 ครัง้ แผนผังแสดงวญิ ญาณ ๖ นกั เรียนพจิ ารณาเสยี งที่ไดยิน • จมูก ใหนักเรยี นดมกลิ่นหลงั มอื ของตนเอง โสตวญิ ญาณ จกั ขุวิญญาณ พจิ ารณากล่นิ ที่สูดดม ชิวหาวิญญาณ ฆานวิญญาณ • ลน้ิ ครนู าํ ผลไมหรือขนมมาใหน กั เรียนชิม มโนวญิ ญาณ แลว พิจารณารสชาติทล่ี ้นิ สมั ผัส กายวญิ ญาณ • รางกาย ใหนกั เรียนลูบแขนตนเอง พิจารณา สิ่งทกี่ ายสัมผสั ๒) อายตนะ คอื จดุ เชอื่ มตอ่ ระหวา่ งขนั ธ์ ๕ กบั สง่ิ ทอ่ี ยภู่ ายนอกตวั เรา อายตนะจดั เปน็ • อารมณหรือความคดิ น่ังสงบนง่ิ 1 นาที พจิ ารณาส่งิ ทีค่ ิดภายในใจ องค์ประกอบของวิญญาณ คอื การรบั รู้ กลา่ วคือ ในการรับรจู้ ะต้องมีผรู้ แู้ ละสงิ่ ทถ่ี ูกรู้ ขันธ์ ๕ คอื จากนั้นใหน กั เรยี นชว ยกนั อธิบายความหมาย ผกลรู้ ู้น่ิ ซ่ึงรรสับกรู้ผารา่ สนมั อผายัสตแนละะภกาายรในนึกคไดิดแ้ (กธ่ รตรามาหรูมจณม1)์กู เรลีย้ินกวก่าายอาแยลตะนใจะภสาย่วนนสอ่ิงกท่ีถูกรู้ คือ รปู เสยี ง ของอายตนะภายในและอายตนะภายนอกจาก อายตนะภายในเปน็ เครอ่ื งเชอื่ มตอ่ ใจกบั โลกภายนอก พระพทุ ธศาสนาจงึ สอนใหม้ คี วาม กิจกรรมดงั กลาว สา� รวมในอายตนะ ขยายความเขา ใจ Expand ครใู หนักเรียนอภปิ รายวา ระหวา งขันธ 5 กับ อายตนะ อายตนะภายนอก อายตนะมีความเชอ่ื มโยงกันอยา งไร จากนนั้ ให รูป สิ่งท่เี หน็ ด้วยตา นักเรียนจบั คจู ดั ทําผังความคิด อายตนะภายใน เสยี ง สิ่งท่ีได้ยนิ ด้วยหู กล่นิ สิ่งทส่ี ูดดมไดด้ ้วยจมกู ตรวจสอบผล Evaluate ตา ประสาทท่เี ห็นรปู ต่างๆ ได้ เรียกวา่ จกั ขุประสาท รส ส่งิ ท่ลี ิ้มรสได้ด้วยล้ิน หู ประสาทที่รบั ฟังเสยี งได้ เรยี กวา่ โสตประสาท สมั ผัส (โผฏฐัพพะ) สงิ่ ทีถ่ กู ต้องกาย 1. ตรวจสอบจากความถูกตอ งในการตอบคาํ ถาม จมกู ประสาททส่ี ูดกลิน่ ได้ เรียกว่า ฆานประสาท อารมณ์ (ธรรมารมณ์) เรอ่ื งทีค่ ดิ ข้ึนด้วยใจ และการอภปิ ราย ลน้ิ ประสาทท่ลี ้ิมรสได้ เรยี กว่า ชิวหาประสาท กาย ประสาทรับสัมผัสได้ เรียกว่า กายประสาท 2. ตรวจสอบจากความถกู ตองของผังความคิด ใจ หมายถงึ จิต เชือ่ มโยงระหวา งขนั ธ 5 กับอายตนะ 70 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET การศึกษาหลกั ธรรมขนั ธ 5 และอายตนะ จะทําใหเขา ใจความทุกข ครชู แ้ี นะใหน กั เรยี นนาํ หลกั ธรรมขนั ธ 5 และอายตนะ ไปปรบั ใชแ กป ญ หาเพอ่ื ให ไดอยางไร พนจากความทกุ ขท ีน่ กั เรยี นไดป ระสบในชวี ติ ประจาํ วนั แนวตอบ การศกึ ษาหลกั ธรรมขันธ 5 จะทําใหเขาใจกระบวนการเกิด ความรูสกึ ทุกขอ นั เกดิ จากรูป เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ซง่ึ เมือ่ นักเรยี นควรรู เขา ใจเชน นน้ั แลว กจ็ ะทาํ ใหส ามารถลด ละ เลกิ ยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในความจรงิ ของการเกดิ ทกุ ขไดในระดบั หนึง่ สวนการศกึ ษาอายตนะ จะทาํ ใหเขาใจ 1 ธรรมารมณ คือ สง่ิ ที่ถกู รบั รูทางใจ ส่ิงท่ีรดู วยใจ หรอื สงิ่ ที่ใจรูสึกนึกคิด การรบั รูข องสิง่ ที่อยูภ ายในกับสงิ่ ที่อยภู ายนอก สามารถกําหนดและ มีความสาํ รวมในอายตนะ จงึ ละจากความรสู ึกทุกขได 70 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ 2.2 สมุทัย (ธรรมท่คี วรละ) ครใู หน กั เรยี นบอกความหมายของคาํ กลา วทวี่ า “หวานพชื เชนใด ไดผลเชนนั้น” สมทุ ยั คอื ความจรงิ วา่ ดว้ ยเหตเุ กดิ แหง่ ความทกุ ข์ เพราะความทกุ ขท์ เี่ กดิ ขนึ้ นนั้ ตอ้ งมสี าเหตุ เกดิ จากอะไรบางอยา่ ง ไม่ได้มขี ึ้นลอยๆ ในที่นจ้ี ะพดู ถึงหลกั ธรรมทค่ี วรละ ๓ อย่าง เพื่อไม่ใหเ้ กดิ สาํ รวจคน หา Explore ทุกข์ ไดแ้ ก่ หลกั กรรม (สมบตั ิ ๔ วบิ ตั ิ ๔) อกุศลกรรมบถ ๑๐ อบายมขุ ๖ ครูใหน ักเรยี นศึกษาคน ควา เก่ียวกบั หลกั ธรรม ๑) หลกั กรรม หรอื กฎแหง่ กรรม เปน็ คา� สอนทส่ี า� คญั ของพระพทุ ธศาสนา มใี จความ สมุทัย (ธรรมทค่ี วรละ) จากหนงั สอื เรยี นหนา 71-76 หรอื จากแหลง การเรยี นรตู างๆ เชน หนังสือ สนั้ ๆ วา่ ธรรมะ หองสมุด พระสงฆในชุมชน เปนตน หวา่ นพชื เช่นใด ได้ผลเชน่ นน้ั อธบิ ายความรู Explain ท�าดีได้ดี ทา� ช่วั ได้ชัว่ ผลของกรรมมีทั้งผลช้ันในและผลชั้นนอก ผลชั้นใน หมายความว่า เมื่อใดเราท�าดี 1. ครูและนกั เรียนรวมอภปิ รายเก่ยี วกับหลกั กรรม เราก็เปน็ คนดีเมื่อนนั้ คอื ใจสงบ สะอาด ปลอดโปรง่ เมือ่ ใดทา� ชว่ั ก็เปน็ คนชว่ั เม่อื นัน้ คือ จิตใจ แลว ใหแ สดงความคดิ เหน็ วา หลักกรรมแสดง เตม็ ไปดว้ ยความโลภ ความมุ่งร้าย ความไม่สงบผอ่ งใส ผลชั้นนอก หมายถงึ ความสขุ ความทกุ ข์ ถึงความสัมพนั ธร ะหวางเหตุกบั ผลอยา งไร ความเจรญิ ความเสอื่ ม ซงึ่ ปจั จยั ภายนอกตวั เราเปน็ ตวั กา� หนด ทา� ใหผ้ ลชนั้ นอกของกรรมไมเ่ ปน็ ไปอยา่ งท่ีควรเป็น 2. ใหนักเรียนแสดงความคิดเหน็ ตอ ทัศนคตทิ ว่ี า เพราะเหตใุ ด ตนเองทาํ ความดี ทาํ บุญ สงิ่ ทส่ี นบั สนนุ ใหก้ รรมดใี หผ้ ล (ชน้ั นอก) และขดั ขวางการใหผ้ ล (ชน้ั นอก) ของกรรมชว่ั ทําทานตงั้ มากมาย แตก ย็ งั ไมเหน็ ความดี เรียกว่า “สมบัต”ิ มาตอบสนองใหช ีวิตมีความสุข ความเจริญ กา วหนา เสียที สง่ิ ทส่ี นบั สนนุ ใหก้ รรมชวั่ ใหผ้ ล (ชน้ั นอก) และขดั ขวางการใหผ้ ล (ชน้ั นอก) ของกรรมดี (แนวตอบ ครเู ปดโอกาสใหนกั เรียนแสดง เรียกว่า “วิบตั ิ” ความคดิ เห็นไดอ ยางหลากหลาย แตต องแสดง เหตุผลทีอ่ ยูบนพื้นฐานของหลักกรรม อีกท้งั สมบตั ิ ๔ และวบิ ัติ ๔ ครคู วรช้ีแนะใหน กั เรียนพึงทําความดี โดยไม คํานึงถึงผลประโยชนท ่จี ะไดรับ) สมบัติ ๔ วบิ ัติ ๔ สมบตั ิ คอื ความถงึ พรอ้ ม ๔ ประการ ดงั นี้ วบิ ตั ิ คอื ความบกพรอ่ ง ๔ ประการ ดงั น้ี คติสมบัติ คือ เกิดอยู่ในภพ ถิ่น หรือประเทศ คติวิบัติ คือ เกิดอยู่ในภพ ถ่ิน หรอื ประเทศท่ี ท่ีเจริญ ไมเ่ จรญิ อุปธสิ มบตั ิ คอื เกดิ มามรี า่ งกายสงา่ งาม แขง็ แรง อปุ ธวิ บิ ตั ิ คอื เกดิ มามรี า่ งกายพกิ ลพกิ าร ออ่ นแอ น่านิยม เลื่อมใส ไมส่ ง่างาม กาลสมบัติ คือ เกิดอยู่ในสมัยท่ีบ้านเมืองมี กาลวิบัติ คอื เกดิ อยใู่ นสมยั ทบ่ี า้ นเมอื งม1ที กุ ขเ์ ขญ็ ความสงบสุข สังคมยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริม ยกย่องคนช่ัว บบี ค้นั คนดี ไม่มศี ีลธรรม คนชัว่ มผี ู้ปกครองดี ปโยควิบัติ คือ การท�าไม่ครบถ้วน ไม่ต่อเน่ือง ปโยคสมบัติ คือ การท�าให้ครบถ้วน ท�าอย่าง ท�าครง่ึ ๆ กลางๆ ไม่ตรงกับความถนดั หรือความ ต่อเนื่อง ท�าถึงที่สุด ไม่ท�าเพียงครึ่งๆ กลางๆ สามารถของตน ท�าตรงกบั ความสามารถของตน 71 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรียนควรรู การศกึ ษาหลกั ธรรมกรรม มีประโยชนอยา งไร 1 ศลี ธรรม คือ กฎ ระเบยี บ ขอ บงั คับ ตลอดจนหลกั ปฏิบัติทางศาสนาท่ีบุคคล 1. ทาํ ใหไ มป ระมาทในชีวิต พึงปฏบิ ัติเพื่อพฒั นาคุณภาพชีวติ ใหประกอบดวยคณุ ธรรม ซง่ึ ในความหมายของ 2. ทาํ ใหเขา ใจตนเองมากขึน้ คาํ วา ศีลธรรม จะมีความหมายที่คลา ยกบั คําวา จริยธรรม กลา วคือ จรยิ ธรรม 3. ทาํ ใหรูจักคนุ เคยกับผอู ืน่ ยิ่งขึน้ เปนเร่ืองของความควร ไมควรของพฤติกรรม ซ่ึงเปนมาตรฐานความประพฤติของ 4. ทาํ ใหไดร ับแตความสุขทางกาย บคุ คล ศีลธรรมมคี วามโนมเอยี งทจ่ี ะเก่ียวขอ งกบั ทางศาสนา สว นจรยิ ธรรมเปน เร่ืองทีเ่ กีย่ วกบั มนุษยธรรม วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. หลกั กรรม หมายถึง การกระทําทางกาย มมุ IT ทางวาจา หรือทางใจ ทีป่ ระกอบดวยเจตนาดีก็ตาม เจตนาชั่วก็ตาม ในทางพระพทุ ธศาสนาอธิบายกฎแหง กรรมไวว า ผูใดกระทําสิง่ ใดไวย อมจะ ศกึ ษาคนควาเพ่มิ เตมิ เกยี่ วกบั เรอื่ งกรรม ไดท ี่ ไดร ับผลแหงการกระทําน้ัน ถาทาํ ดยี อมไดร บั ผลดตี อบแทน แตถาทําชวั่ http://www.dhammajak.net เวบ็ ไซตธ รรมจกั ร และ ยอ มไดรับผลชว่ั ตอบแทนเชนกัน ซงึ่ หลักกรรมสอนใหผ ูปฏิบัติรูจักคดิ http://www.fungdham.com เวบ็ ไซตฟ ง ธรรม ไตรต รองการกระทาํ ตา งๆ ภายใตห ลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา และทาํ ให ใชชวี ิตอยางไมประมาท คมู อื ครู 71
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครถู ามนกั เรยี นวา สงิ่ ใดหรอื เหตกุ ารณใ ดทที่ าํ ให ตัวอย่างที่แสดงใหเ้ ห็นถงึ การเกดิ อยู่ในทตี่ า่ งๆ ดงั นี้ นักเรยี นรสู ึกผดิ หวงั หรอื เสียใจทีไ่ ดกระทาํ ๑. เกิดอยู่ในถ่ินเจริญ มีบริการ การศึกษาดี ทั้งที่สติปัญญาและความขยันไม่เท่าไร แตก่ ็ยังศกึ ษาไดม้ ากกวา่ สามารถเขา้ ถงึ สถานะ 2. ครูและนกั เรียนอภปิ รายรวมกันเก่ยี วกบั อกุศล- ทางสังคมสูงกว่าอีกคนหน่ึง ซึ่งมีสติปัญญา กรรมบถ 10 จากน้นั ครูสมุ นกั เรียนออกมาเลา และความขยนั ดกี วา่ แตไ่ ปเกิดอยู่ในถ่ินป่าดง เหตกุ ารณท น่ี กั เรยี นเคยประสบทีส่ อดคลอ งกับ ๒. มสี ตปิ ญั ญาดี แตไ่ ปเกดิ เปน็ คนปา่ กรรมชว่ั ทางกาย กรรมชวั่ ทางวาจา และกรรมชวั่ อยูใ่ นกาฬทวปี ก็ไมม่ โี อกาสได้เป็นนกั ปราชญ์ ทางใจ พรอ มกับบอกถึงผลทต่ี นเองไดรบั ๓. มคี วามรู้ ความสามารถดี แตไ่ ป จากการกระทาํ สิ่งไมดีเหลานนั้ อยู่ในถิ่นหรือในชุมชนที่เขาไม่เห็นคุณค่าของ ความรู้ และความสามารถนั้น เข้ากับเขาไม่ได้ 3. ครใู หน กั เรียนวเิ คราะหวา เพราะเหตใุ ด แมว า ถกู เหยียดหยามบีบคน้ั อยู่อยา่ งเดอื ดรอ้ น บางคนจะรูวาทางแหง ความชว่ั เปน ส่งิ ไมด ี แตก็ ๔. เป็นคนซ่ือสัตย์ ท�าแต่สิ่งดีงาม ยังกระทาํ ในส่ิงนัน้ อยู มาเกดิ อยใู่ นยคุ ทผี่ ปู้ กครองดี สงั คมยกยอ่ งเชดิ ชู (แนวตอบ ครูเปด โอกาสใหนักเรียนแสดง คนดี คนนนั้ ก็มเี กยี รติ มีความเจริญ ความคิดเห็นไดอยางหลากหลาย โดยครูอธบิ าย บุคคลที่อยู่ในท่ีเจริญได้รับการศึกษาดี ย่อมท่ีจะมีโอกาส ในยามสังคมเสื่อมจากศีลธรรม เพิ่มเตมิ ถงึ แนวทางการปฏิบตั เิ พ่อื ขม ใจ ทางสงั คมดกี ว่าบุคคลท่อี ยู่ในถิน่ ไม่เจรญิ ผู้ปกครองไม่ประกอบด้วยธรรม คนท�าดีไม่ได้ มใิ หค ดิ พดู และทาํ ในสงิ่ ไมด ี) รับการยกยอ่ ๒ง) ออากจถุศูกลเกบียรดรมเบบยี ถน ได๑ร้ ๐ับ1ควคาือมเทดอืางดแรห้อน่งอกุศลกรรม หรือทางแห่งความช่ัว หรือ อาจหมายถึง กรรมชั่วอนั เปน็ ทางไปสคู่ วามเส่ือม ความทกุ ข์ก็ได้ กรรมชั่วนีแ้ บ่งไดเ้ ปน็ ๓ ทางใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๒.๑) กรรมชว่ั ทางกาย มี ๓ ประการ ดังนี้ (๑) ปาณาติบาต คือ การปลงชีวิต การทา� ใหส้ ตั ว์โลกถึงแก่ความตาย (๒) อทินนาทาน คือ การขโมยของผู้อื่น การถือเอาของที่เขาไม่ให้ รวมถงึ การฉ้อโกง ยกั ยอก หลอกลวง คอร์รปั ชนั ด้วย (๓) กาเมสมุ จิ ฉาจาร คือ การประพฤตผิ ดิ ในกาม การละเมดิ คคู่ รอง ของรกั ของหวงของผ้อู ื่น ๒.๒) กรรมชั่วทางวาจา มี ๔ ประการ ดงั นี้ (๑) มุสาวาท คือ การพูดเท็จ พูดสิ่งท่ีไม่จริงโดยท่ีตนรู้ว่าไม่จริง รวมถึง การพูดกา� กวมเพอ่ื หลอกลวงผ้อู ื่นด้วย (๒) ปสิ ณุ วาจา คอื พดู สอ่ เสยี ด ทา� ใหค้ นเกดิ แตกสามคั คี พดู กระทบกระเทยี บ เหนบ็ แนม เพื่อให้อีกฝ่ายหนึง่ เจ็บใจ การพดู เสียดสมี กั เกิดจากความอจิ ฉา 72 นักเรียนควรรู เบญจศลี ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ 1 บคุ คลใดตอไปนถี้ อื วากาํ ลังกระทําปส ณุ วาจา 1 อกศุ ลกรรมบถ 10 ตรงกับเบญจศลี ขอตางๆ ดงั นี้ ขอ 2 1. หยกเก็บกระเปา สตางคไดแลวไมส งคืนเจา ของ อกศุ ลกรรมบถ ขอ 3 2. พลอยมคี วามเช่อื วาทาํ ดีไดด มี ีท่ีไหน ทําชว่ั ไดดีมีถมไป 3. เพชรชอบดา เพ่อื นดวยคําหยาบคายเสมอเมื่อโกรธเพอื่ น ปาณานบิ าต ขอ 4 4. ทับทมิ พดู จาแดกดันเพ่ือนรว มงานเรอื่ งการแตงกายเสมอ อทนิ นาทาน วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. ปส ณุ วาจา หมายถงึ การพูดสอ เสียด กาเมสมุ จิ ฉาจาร พดู เหน็บแหนม พดู จาแดกดัน พูดจากระทบกระเทยี บ จดั เปน กรรมช่ัว มสุ าวาท ปส ุณวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ทางวาจาอยางหน่งึ ดงั น้นั การทีท่ บั ทมิ พดู จาแดกดันเพอ่ื นรว มงานเรอื่ ง การแตงกายเสมอ จงึ ถือวาเปน ปสณุ วาจา มุม IT ขอ 1. ถอื เปนอทนิ นาทาน คอื การลักทรัพยผอู ่นื ขอ 2. ถือเปน มิจฉาทฏิ ฐิ คือ ความเห็นผดิ จากทํานองคลองธรรม ศึกษาคนควาเพมิ่ เตมิ เกย่ี วกับอกศุ ลกรรมบถ 10 ไดท่ี ขอ 4. ถือเปนผรสุ วาจา คือ การพดู คําหยาบ http://www.buddhism-online.org เวบ็ ไซตมลู นธิ เิ ผยแผพ ระสัทธรรม 72 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู (๓) ผรสุ วาจา คอื พดู คา� หยาบ การพดู หยาบกอ่ ใหเ้ กดิ ความแตกรา้ ว ทา� ให้ 1. ครใู หน กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา การดมื่ สรุ า เรอ่ื งเล็กกลายเป็นเร่ืองใหญ่ และของมนึ เมามผี ลกระทบตอ ตนเองและสงั คม อยา งไร (๔) สัมผัปปลาปะ คือ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีประโยชน์แก่ใคร (แนวตอบ การด่ืมสรุ าและของมนึ เมา ทําให ไม่ว่าตนเองหรือผอู้ ืน่ ขาดสติในการกระทาํ สิ่งตางๆ อาจนาํ มาซ่ึง การทะเลาะวิวาท สรา งความเดือดรอนใหกบั ๒.๓) กรรมชว่ั ทางใจ มี ๓ ประการ ดังนี้ ผอู ่ืน เปนบอ เกิดของโรคราย ทาํ ใหสุขภาพ (๑) อภิชฌา คือ คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา โดยไม่นึกว่าของใครใคร เสอ่ื มโทรม อาจถึงแกความตาย ทัง้ นี้การดืม่ สุราและของมึนเมายงั สง ผลกระทบตอ สงั คม ก็หวง แมย้ งั มไิ ด้ลงมอื ขโมยแตก่ ท็ า� ให้จิตใจเสอื่ ม ไม่คดิ ท่จี ะขยนั ขนั แขง็ เพอ่ื หามาด้วยตนเอง คือ เปน สาเหตขุ องการกอคดอี าชญากรรม (๒) พยาบาท คือ คิดร้ายผู้อน่ื อยากให้ผ้อู ื่นเจ็บปวด เสยี หาย ประสงคร์ ้าย ประเภทตา งๆ ทําใหป ระเทศตองสญู เสีย งบประมาณในการดูแลรักษาสุขภาพประชากร) ความคดิ รา้ ยน้ีจะบน่ั ทอนความสามารถและความดขี องตนเอง (๓) มจิ ฉาทิฏฐิ คอื เห็นผดิ จากคลองธรรม เชน่ ไม่เชอ่ื ว่าท�าดีไดด้ ี ท�าช่วั 2. ครตู ้ังสถานการณใ หนกั เรยี นชวยกนั หาทาง แกป ญ หา เชน ได้ช่ัว เปน็ ต้น • ถาหากเพื่อนของนักเรยี นชวนใหท ดลอง ดืม่ สุรา นกั เรียนจะมีวิธีปฏิเสธอยา งไร ๓) อบายมุข ๖ คอื ทางแห่งความเส่ือม เปน็ ส่ิงทเี่ ราควรละ มี ๖ ประการ ดังน้ี (แนวตอบ อาจบอกเพ่ือนวา ชอบดื่ม นํ้าเปลา หรือน้าํ ผลไมม ากกวา หลังจากน้นั ๓.๑) ตดิ สรุ าและของมนึ เมา การตดิ สุราและของมนึ เมามีโทษ ดังน้ี หาโอกาสบอกเพ่ือนวา การดม่ื สุราเปน สิ่ง ๑. ท�าใหเ้ สียทรัพย์ ไมด ี ทําใหเ สยี สุขภาพ สน้ิ เปลอื งเงินทอง) ๒. ท�าให้เกิดการทะเลาะวิวาท คนเมาสุรามักจะทะเลาะกัน ตีกัน และ • ถา คนใกลตวั เชน ญาตพิ ่ีนอ งหรอื เพื่อน ตดิ สุราอยางหนกั นกั เรียนจะมีวิธแี นะนาํ ให บางคร้ังถึงกับฆ่ากัน คนบางคนเวลาไม่เมามีความประพฤติเรียบร้อย แต่พอดื่มสุราเข้าไปแล้ว บุคคลเหลานัน้ เลิกดื่มสุราอยางไร ตอ้ งหาเรื่องทะเลาะกบั คนอ่นื เกือบทกุ ครงั้ (แนวตอบ พดู คุยกบั บคุ คลเหลา น้ันอยา งตรง ไปตรงมา โดยแสดงถงึ ความหว งใยและ ๓. เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ โรค สรุ าและสงิ่ เสพตดิ ทกุ อยา่ งทา� ใหเ้ สยี สขุ ภาพบนั่ ทอน ความปรารถนาดี อาจพยายามชวนคุยถงึ กา� ลงั กาย หากเสพไปนานๆ อาจทา� ใหถ้ งึ แกค่ วามตายได้ หรอื ถา้ ไมต่ ายกไ็ มม่ กี า� ลงั ในการประกอบ ปญหาชวี ิตตางๆ เชน สภาพจติ ใจ อาชีพหนา้ ท่ีการงานตา่ งๆ ซมึ เศรา การเรยี นหรอื การงานแยล ง สขุ ภาพ เสอ่ื มโทรม เปน ตน แลว โยงวา ปญ หาเหลา นี้ ๔. ท�าให้เสียเกียรติยศและช่ือเสียง คนเมาสุราอยู่เสมอ คนติดยาเสพติด ลว นมีสาเหตมุ าจากการด่มื สรุ าหรอื ของ ยอ่ มไมม่ ใี ครเชอ่ื ไม่มใี ครยอมรบั นับถือ ไว้วางใจ ไม่มใี ครอยากคบค้าสมาคม หรอื ไม่มีใครอยาก มนึ เมา โดยชใี้ หเ หน็ ถึงผลกระทบท่ีมีตอ ให้ท�างานด้วย เพราะคนเช่นน้ี ถ้าไม่มีเงินซื้อสุราหรือยาเสพติดก็อาจจะกระท�าในสิ่งที่ช่ัวร้าย บคุ คลและสงั คมในวงกวาง เพื่อใหตระหนัก ต่างๆ ไดง้ า่ ย ถึงโทษของการด่ืมสุรา แลวจงึ แนะนํา กิจกรรมดีๆ ท่มี ปี ระโยชนใหป ฏบิ ัต)ิ ๕. ท�าให้ไม่รู้จักอาย คนเมาสุราจะกระท�าส่ิงต่างๆ โดยขาดสติ เพราะ ถูกฤทธ์ิแอลกอฮอล์ครอบง�า บางคนเมื่อหายเมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตอนท่ีเมาอยู่นั้นตนได้ท�าอะไร ลงไปบ้าง ดังนั้น คนท่ีเมาสุราอย่เู ป็นนิจ จึงไม่มีใครอยากเก่ยี วขอ้ งคบค้าสมาคมด้วย ๖. บั่นทอนกา� ลังสติปัญญา สุราและยาเสพตดิ ไมเ่ พยี งแต่บ่นั ทอนก�าลังกาย เทา่ นัน้ แต่ยังทา� ใหส้ ติปัญญาเสอ่ื ม ความจ�าไม่ดี หลงลมื งา่ ย ความคิดและการตดั สินใจเช่อื งชา้ ลงเร่ือยๆ จนในท่ีสุดมสี ภาพเหมือนกบั คนที่ตายท้งั เป็น 73 บูรณาการเชอื่ มสาระ เกรด็ แนะครู ครูสามารถนําเนอ้ื เรื่องสรุ าและของมึนเมา ไปบูรณาการเชอ่ื มโยงกบั ครอู าจแนะนาํ ใหน กั เรยี นสรา งสรรคก จิ กรรมทรี่ ณรงคก ารงดดม่ื สรุ า การเผยแพร กลุมสาระการเรียนรสู ุขศึกษาและพลศกึ ษา วิชาสุขศกึ ษา เรอ่ื งสารเสพติด ความรเู กี่ยวกับโทษ การบาํ บดั รักษา และวธิ ีการเลิกดม่ื เครือ่ งดมื่ แอลกอฮอล โดยครอู ธิบายถึงผลรายของสรุ าทม่ี ตี อ รางกาย ดงั นี้ เพ่ือใหค นในสงั คมตระหนักถึงพิษภยั ของสรุ าและของมนึ เมา • ผลรา ยตอ ระบบประสาทสวนกลาง จะไปกดประสาทสว นกลาง ทาํ ให มุม IT ขาดความยบั ยง้ั ชัง่ ใจ ขาดสติ ขาดประสทิ ธิภาพในการทาํ สิง่ ตางๆ มีอาการ หูออ้ื ตาลาย เสียการทรงตวั มีบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไป และอาจถึงกบั ศกึ ษาคนควา ขอมลู เพม่ิ เตมิ เก่ยี วกับความรูท ั่วไปของเคร่ืองดม่ื แอลกอฮอล ไดท่ี หมดสตไิ ปได http://www.thaiantialcohol.com เวบ็ ไซตสํานกั งานคณะกรรมการควบคุม เครอ่ื งดมื่ แอลกอฮอล • ผลรายตอ ระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด ทําใหห ัวใจเตนเรว็ ความดนั เลอื ดสูง หลอดเลือดขยายตัว ทาํ ใหผ ดู ม่ื มใี บหนา แดง หแู ดง มเี ลอื ดไปเลย้ี ง คมู ือครู 73 สมองมาก ทําใหส มองบวม มีอาการปวดศรี ษะ • ผลรายตอ ระบบทางเดนิ อาหาร ผตู ดิ สุรามกั เปนโรคกระเพาะอาหาร อักเสบเปนแผล ลาํ ไสอกั เสบเร้ือรงั และอาจทาํ ใหเ กดิ มะเรง็ ท่ีหลอดอาหารได • ผลรายตอตบั ทาํ ใหเปนโรคตบั แข็ง ตบั มีเลือดมาคั่งมาก ทําใหผูปว ย ทอ งบวมนา้ํ มีอาการตวั เหลืองและตาเหลอื งได • ผลรายตอทางจติ ใจ เม่ือไมไ ดด่มื จะมคี วามกระวนกระวาย ฉนุ เฉยี ว และถาดื่มมากๆ จะมอี าการประสาทหลอนได
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกยี่ วกบั อบุ ตั เิ หตเุ พลงิ ไหม ๓.๒) ชอบเทยี่ วกลางคนื สมยั กอ่ นการเทยี่ วกลางคนื หมายถงึ การไปดภู าพยนตร์ ท่ี “ซานติกา ผบั ” หลังจากน้ันครตู ้ังคําถามให ดูละคร ไปเต้นร�า ปัจจุบันในเมืองใหญ่ๆ มีที่เที่ยวมากมาย เช่น สถานอาบอบนวด บาร์ คาเฟ นักเรียนชวยกันตอบ เชน ไนทค์ ลบั ผับ และอน่ื ๆ มากมาย การเที่ยวกลางคืนมีโทษ ดงั นี้ • การเทีย่ วกลางคนื เปน ประจํา สงผลกระทบ ตอตนเองและสงั คมอยา งไร โทษของการเทยี่ วกลางคนื (แนวตอบ ทําใหส ้นิ เปลืองเงนิ ทองโดยไมได ประโยชนอันใด ทําใหส ขุ ภาพรา งกาย ๑. เป็นการไม่รักตัว คนท่ีชอบเท่ียวมากย่อมท�าให้ร่างกายและจิตใจไม่ปกติ ไม่อาจประกอบหน้าที่ เส่อื มโทรม นอนพักผอ นไมเพียงพอ เกดิ โรค การงานไดต้ ามปกติ และต้องเสียเงินรกั ษาตัวโดยไม่จา� เปน็ แทรกซอ นตา งๆ ไดง าย ทงั้ น้ีการเปนคนชอบ เท่ยี วกลางคนื เปนประจาํ นั้น ยงั สง ผลใหผูอืน่ ๒. เป็นการไม่รักลูกเมียหรือครอบครัว การไปเที่ยวบ่อยๆ ท�าให้ครอบครัวขาดความอบอุ่น ซึ่งอาจเกิด มองภาพลกั ษณของตวั เราไปในทางไมดี เชน ปญั หาตา่ งๆ ได้ เปนที่ระแวงสงสยั ของผูอื่น ผูอนื่ จะคิดวา เรา เปน คนเหลวไหล ขาดความรับผดิ ชอบ ๓. เป็นการไม่รักษาทรัพย์สมบัติ การเที่ยวเตร่เป็นการจ่ายเงินโดยไม่ได้รับประโยชน์อะไร ทรัพย์สิน เปนตน) มแี ตจ่ ะหมดไป อาจมีปญั หาแทรกซ้อนได้ 2. ครูใหนักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา ถานกั เรียน ๔. เป็นทรี่ ะแวงสงสยั ของผอู้ นื่ ขอ้ น้เี หน็ ชัด คนทีเ่ ท่ียวกลางคืนเป็นประจ�าผูค้ นย่อมไม่คอ่ ยจะไว้ใจ ทา� ให้ ไมไ ปเท่ียวกลางคนื นักเรียนจะเลือกทาํ สิง่ ใด ส่งผลกระทบไปถึงการท�างานไม่ว่าจะเป็นงานราชการหรือธุรกิจเอกชน หัวหน้าจะไม่ไว้ใจ ลูกน้องจะ เพ่ือสรา งประโยชนและคุณคาใหแกตนเอง ไมเ่ ลือ่ มใส (แนวตอบ เชน อยูกับครอบครัวท่ีบาน เลือกดู รายการโทรทศั นที่เปนประโยชน อา นหนงั สอื ๕. เปน็ เปาให้เขาใสค่ วาม ท�าอะไรผิดเลก็ นอ้ ยคนก็จะหาว่าเพราะเทยี่ วมากจึงเปน็ อย่างน้ี ทั้งๆ ทีอ่ าจมใิ ช่ ทีใ่ หความรแู ละความบันเทิง เพอ่ื เสริมสราง กไ็ ด้ สตปิ ญญาใหเ กิดความรอบรู พัฒนาตนใหม ี ความรูค วามสามารถทีด่ ีย่ิงขนึ้ เปน ตน) ๖. เปน็ ทมี่ าของความเดอื ดรอ้ นนานาชนดิ เมอ่ื เทย่ี วจนหมดเงนิ อาจคดิ การทจุ รติ อาจมอี ารมณเ์ สยี บอ่ ยๆ อาจท�าใหค้ รอบครัวเกิดความแตกแยก 74 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครมู อบหมายใหนักเรยี นไปคนควา หาขา วจากหนงั สอื พมิ พ โทรทศั น หรืออินเทอรเน็ต เกีย่ วกบั โทษของการเท่ยี วกลางคนื เชน เกดิ การทะเลาะ ครูอธบิ ายเพม่ิ เติมใหนักเรยี นเขาใจวา ตามพระราชบญั ญตั ิสถานบริการ ววิ าท เกิดคดอี าชญากรรม เปนตน แลวเขียนสรุปเหตุการณที่เกิดขนึ้ ในขา ว (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2546 กาํ หนดไวว า ผูทจ่ี ะเขา ไปใชบรกิ ารสถานบริการไดน น้ั พรอมท้งั วเิ คราะหว ามีผลเสยี ตอ ชวี ติ และทรพั ยสินอยา งไร จากน้ันนาํ มาเลา จะตอ งมีอยูไ มตาํ่ กวา 20 ปบ ริบูรณ แตใ นความเปน จริงแลว ไมว าจะอายเุ ทาใด ใหเพ่ือนฟงหนา ชน้ั เรยี น ก็ควรหลีกเลยี่ งการไปเที่ยวเตรใ นสถานทอ่ี โคจรเชน นั้น เพราะสมเด็จพระสัมมา- สัมพุทธเจา ทรงส่ังสอนแลว วา การเทีย่ วกลางคนื มโี ทษมากมาย พทุ ธศาสนิกชนทดี่ ี กิจกรรมทาทาย จงึ ควรนอมนาํ คําสง่ั สอนของพระองคม าประพฤติปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหเกิดความสุขและ ความกาวหนาในชีวติ ครมู อบหมายใหนักเรียนไปศึกษาคนควาเพม่ิ เติมเกยี่ วกับโทษของการ ชอบเทย่ี วกลางคืน จากนั้นใหน ําขอ มลู ที่ไดแ ตง เปน เรื่องสั้นหรอื นิทานทใี่ ห ขอ คดิ เตือนใจ แลวออกมานําเสนอหนาชัน้ เรยี น 74 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๓.๓) ชอบเทยี่ วดูการละเลน่ การละเล่น1มีความหมาย ดงั ต่อไปน้ี 1. ครูนาํ ภาพการละเลน เชน ภาพฟอนรํา ๑. มรี �าทไ่ี หนไปทนี่ ั่น ภาพคอนเสิรต ภาพการแสดงละครเวที ๒. มขี ับร้องท่ีไหนไปท่ีนน่ั เปน ตน มาใหนักเรยี นอภิปรายถงึ ประโยชน ๓. มีดนตรีทไ่ี หนไปทนี่ ัน่ ทไ่ี ดรับจากดกู ารละเลน ดงั กลาว ๔. มเี สภาทไี่ หนไปทีน่ ั่น ๕. มเี พลงที่ไหนไปท่นี ่ัน 2. ใหน กั เรียนวเิ คราะหว า การชอบเทยี่ วดูการ ๖. มเี ถิดเทงิ ทีไ่ หนไปท่นี ่ัน ละเลน ตางๆ มากจนเกนิ ไปน้นั สง ผลกระทบ ในการชอบเท่ียวดูการละเล่นนี้ ตอตนเองอยา งไร มโี ทษ คอื ถา้ เทยี่ วมากเกนิ ไป ท�าใหใ้ จไปจดจอ่ (แนวตอบ การเทย่ี วดกู ารละเลนตางๆ มากจน อยกู่ บั สง่ิ เหลา่ นี้ ไมเ่ ปน็ อนั ทา� มาหากนิ เสยี ทงั้ เวลา เกินไปหรอื มีใจจดจอ อยแู ตเรอื่ งเดียวน้นั จะ เสียทั้งเงิน ท�าให้คนเช่ือถือน้อยลง ถูกมองว่า ทําใหล ะเลยในการกระทาํ สงิ่ อืน่ ๆ ทเ่ี ปน หนาท่ี เป็นคนไม่เอาการเอางาน หรอื การทํางานหลกั ทําใหข าดความนา เชื่อถือ ๓.๔) ติดการพนัน มโี ทษ ดังน้ี และถกู มองวา เปน คนไมเ อาการเอางาน) ๑. เม่ือชนะย่อมก่อเวร คอื เม่ือเล่นไดก้ ็ย่อมมคี นอยากแกม้ ือเรียกร้อง ในการเท่ียวชมการละเล่นต่างๆ หากพิจารณาเลือกชมได้ 3. ครูใหนักเรียนวิเคราะหสาเหตุทที่ าํ ใหบ างคน ใหเ้ ล่นอีก เหมาะสมกับวัยและเวลา จะช่วยสร้างความบันเทิงใจให้ ตดิ การพนันจนยอมเสยี ทรัพยสนิ เปน จํานวน กบั ผู้ชม มาก ตลอดจนบอกถึงโทษของการติดพนนั (แนวตอบ สาเหตทุ ี่ทาํ ใหบ างคนเลน การพนันจน ๒. เมือ่ แพย้ อ่ มเสยี ดายทรพั ย์ คือ เมอื่ เล่นเสยี จิตใจก็บังเกิดความเสยี ดาย เสียทรพั ยสินเปน จํานวนมาก มาจากความโลภ ตอ้ งการเลน่ ตอ่ ไปอกี การพนนั ทกุ ชนดิ ทา� ใหค้ นลมุ่ หลง เมอ่ื ลองเลน่ แลว้ กม็ กั หยดุ ไมไ่ ด้ หนกั เขา้ ภายในใจ ปราศจากการคดิ ดว ยเหตแุ ละผล ก็ไม่เปน็ อนั ท�างานหรือศกึ ษาเลา่ เรยี น จึงทําใหค วามโลภบงั คบั จติ ใหยอมทาํ ทุกสงิ่ ๓. ทรพั ยส์ นิ ยอ่ มเสยี หาย ไมเ่ คยปรากฏวา่ มคี นรา�่ รวย หรอื มฐี านะดไี ดด้ ว้ ย เพ่อื ใหไดผ ลตอบแทนกลับมา สง ผลใหเ กดิ การพนัน เพราะถงึ แมจ้ ะเล่นชนะ เงินทไี่ ดม้ าน้ันก็มกั เก็บไวไ้ ดไ้ ม่นาน ตอ้ งใชจ้ า่ ยจนหมด ความทกุ ข สรา งความเดอื ดรอ นใหแ กต นเอง และครอบครวั ในภายหลงั ) ๔. ไม่มีใครเช่ือถือ ผู้ท่ีเป็นนักเลงการพนัน ผู้อื่นย่อมขาดความเชื่อถือใน ขยายความเขา ใจ Expand ถอ้ ยคา� มกั ถกู มองว่าเปน็ คนหลอกลวง ๕. เพ่ือนฝูงดูหมนิ่ ไมอ่ ยากคบค้าสมาคม เพราะกลวั จะเสียชอ่ื ตามไปดว้ ย ๖. ไมม่ ใี ครอยากไดเ้ ปน็ คคู่ รองเพราะกลวั ชวี ติ ครอบครวั ไมร่ าบรนื่ เนอื่ งจาก ใหนกั เรียนชวยกนั เขยี นผังความคิดแสดงถงึ นักเลงการพนนั อาจจะละทง้ิ ครอบครัวได้ ถ้าหากติดการพนนั มากๆ การเชอ่ื มโยงวา การคบคนชว่ั เปนมติ รจะนําไปสู ๓.๕) คบคนช่ัวเปน็ มิตร คนเราเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับใคร ก็มีโอกาสท่ีจะมีพฤติกรรม พฤตกิ รรมการตดิ การพนัน ชอบเทยี่ วดกู ารละเลน เช่นเดียวกับเขา เปรียบเหมือนดั่งว่าถ้าเราอยู่ใกล้ของหอมเราก็หอมไปด้วย และถ้าอยู่ใกล้ของ ชอบเทย่ี วกลางคนื และตดิ สุราและของมึนเมา เหม็นเรากย็ อ่ มเหม็นตามไปดว้ ย ดงั นั้น ในการคบคา้ ผใู้ ดเปน็ มติ ร นักเรยี นจึงต้องระมดั ระวังใหด้ ี พรอ มอธบิ ายโดยสรปุ ใตผัง แลวสงครูผสู อน โดยพยายามหลีกเล่ยี งไม่คบคนชั่ว ๖ ประเภทใหญ่ๆ ดงั น้ี ตรวจสอบผล Evaluate บูรณาการเชอื่ มสาระ 75 1. ตรวจสอบจากความถกู ตองในการตอบคาํ ถาม และการอภปิ ราย ครสู ามารถนําเนอ้ื หาเรือ่ งการคบคนช่ัวเปนมติ ร คบนักเลงสุรายาเสพตดิ ไปบูรณาการเช่อื มโยงกับกลมุ สาระการเรียนรูสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา 2. ตรวจสอบจากความถูกตอ งของผังความคดิ วชิ าสุขศึกษา เร่อื งการชวยเหลือฟนฟผู ูต ดิ สารเสพตดิ โดยใหน กั เรียนศึกษา คนควา เพิ่มเตมิ เกี่ยวกบั โทษของสารเสพตดิ ประเภทตา งๆ ตลอดจนการ เกรด็ แนะครู ปอ งกนั และชว ยเหลอื ผตู ดิ สารเสพติด แลวนําขอ มูลท่ไี ดมาอภิปรายรวมกัน ในช้ันเรียน ครแู นะนําและอธิบายเพ่มิ เติมใหน กั เรยี นเขาใจวา อบายมขุ 6 ทนี่ ําไปสู อบายมขุ ขอ อืน่ ไดท ง้ั หมด คอื การคบคนชั่วเปน มติ ร นักเรียนจึงตอ งระมดั ระวัง ในการคบเพ่อื น เพราะเมือ่ เราอยใู กลช ิดใคร กม็ ีโอกาสทจ่ี ะเลยี นแบบพฤตกิ รรม ของเขา ถาเราคบเพื่อนทม่ี พี ฤตกิ รรมไมด ี เชน ติดสรุ า เขาอาจจะชกั ชวนใหเ รา ด่ืมสรุ าดวย หรอื ติดการพนัน เขาอาจจะชกั ชวนเราไปเลน การพนันดวย เปน ตน นักเรียนควรรู 1 การละเลน วัตถปุ ระสงคใ นคาํ สอนนี้ ถาเขาไปดเู พอื่ ความบนั เทิง เพอื่ ผอนคลายเปนคร้งั คราว ไมถ ือวาเปน โทษแตถอื วา เปนนันทนาการอยา งหนึ่ง โดยนัยนี้ตอ งการสอนศาสนกิ ชนมิใหมคี วามหมกมนุ มากเกินไป เพราะจะมี ผลกระทบอยางอื่นตามมา คมู อื ครู 75
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครใู หนกั เรียนยกตัวอยา งเหตุการณในชีวิต ๑. นักเลงการพนนั ประจาํ วนั ทท่ี าํ ใหน กั เรียนรสู กึ มคี วามสขุ สาํ รวจคน หา Explore ๒. นนัักกเเลลงงเสจรุ า้ าชยู้าเสพตดิ 1 ๓. ๔. นกั ลวงเขาดว้ ยของปลอม ครใู หนกั เรียนศกึ ษาคนควา เก่ียวกบั หลักธรรม ๕. นกั หลอกลวง นิโรธ (ธรรมทค่ี วรบรรล)ุ จากหนังสือเรยี นหนา ๖. นกั เลงหัวไม้ 76-78 หรอื จากแหลง การเรียนรูตา งๆ เชน หนงั สือ ๓.๖) เกียจคร้านการงาน คนเกียจคร้านการงานนนั้ มกั จะยกเหตผุ ลตา่ งๆ นานา ธรรมะ หอ งสมดุ เปนตน มาอา้ งวา่ ยังท�างานไม่ได้ เชน่ อ้างว่าหนาวนกั รอ้ นนัก เยน็ ไปแล้ว ยงั เช้านกั หิวนัก อิ่มนัก อธบิ ายความรู Explain ความเกียจคร้านมีโทษอย่างไร แทบไม่ต้องพูดถึง ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งท่ีเป็น ประโยชน์และส่ิงดีงามทั้งหลายย่อมไม่เกิดจากความเกียจคร้าน เรียนหนังสือก็สู้เขาไม่ได้ ทา� มาหากนิ กส็ เู้ ขาไมไ่ ด้ ไดแ้ ตห่ าเหตผุ ลมาชว่ ยใหส้ บายใจขน้ึ ซง่ึ จรงิ ๆ แลว้ ไมช่ า้ กท็ ราบวา่ แทนท่ี ครูสนทนากบั นักเรียนเกย่ี วกับความหมาย จะสบายใจกลบั เปน็ ทกุ ข์ใจมากขนึ้ ของพุทธดํารสั ทวี่ า “เม่อื สิง่ นไี้ มม ี สงิ่ นั้นไมมี เพราะสง่ิ นด้ี บั สงิ่ นน้ั กด็ บั ” จากนน้ั ใหน กั เรยี นชว ยกนั คณุ ประโยชนข์ องการละเวน้ อบายมขุ บอกวา ทกุ ครัง้ ทนี่ กั เรียนรสู ึกไมส บายใจ มคี วาม ทุกขใ จ นกั เรยี นมีวิธแี กปญหาอยางไร ผู้ทลี่ ะเวน้ จากอบายมุข ๖ ย่อมไดร้ บั คุณประโยชน์ ดังน้ี ๑. ไมเ่ สียทรัพย์ไปโดยเปลา่ ประโยชน์ (แนวตอบ เม่ือความทุกขเกิดจากสาเหตใุ ด ก็ตอง ๒. ไม่หมกมุน่ ในสงิ่ ท่หี าสาระมไิ ด้ ดับสาเหตแุ หง ทุกขน น้ั ดงั น้ัน เมือ่ เกดิ ความรสู ึก ๓. ประกอบหน้าทก่ี ารงานได้เต็มท่ี ไมส บายใจหรอื ทกุ ขใ จ ควรหาสาเหตแุ หง ความทกุ ขใ จ ๔. ชีวติ ไม่ตกต�า่ เหลาน้นั ซ่ึงจะทาํ ใหม องเห็นวธิ กี ารดับทกุ ข ๕. เป็นทีร่ ักใคร่และไวว้ างใจของผ้อู ่นื เพ่ือพนจากความทุกขทง้ั ปวงได) ๖. มีพลานามยั สมบรู ณ์ และสติปัญญาไม่เส่อื มถอย ๗. สามารถประกอบหนา้ ทกี่ ารงานไดด้ ้วยความสจุ รติ 2.3 นโิ รธ (ธรรมท่ีควรบรรลุ) นโิ รธ คือ ความจริงว่าด้วยความดับทุกข์ เม่อื ความทกุ ขเ์ กดิ จากสาเหตุ ถ้าเราดบั สาเหตุเสยี ความทุกข์นั้นก็ย่อมดับไปด้วย ดังพุทธด�ารัสว่า “เม่ือส่ิงนี้ไม่มี ส่ิงนั้นก็ไม่มี เพราะสิ่งน้ีดับ สงิ่ นนั้ กด็ บั ” ณ ทนี่ จี้ ะพดู ถงึ หลกั ธรรมบางขอ้ ทเี่ ราควรบรรลเุ พอื่ เปน็ ทางดบั ทกุ ขต์ ามหลกั อรยิ สจั ๔ ในพระพุทธศาสนามีหลักค�าสอนเร่ืองอริยสัจ ๔ ซึ่งเก่ียวกับความทุกข์ และวิธีดับทุกข์ บางคนอาจคิดวา่ พระพทุ ธศาสนาสอนแตเ่ ร่อื งความทุกข์ไม่สอนเรอ่ื งความสุขจริงๆ แล้วพระพุทธ ศาสนามีหลักค�าสอนเก่ียวกับเรื่องความสุขมากมาย จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ “นิพพาน” ก็เป็นความสุข และเป็นบรมสุข คือ สขุ สูงสุด 76 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บุคคลผูละเวนจากอบายมขุ 6 จะเกดิ ผลดีตอ ตนเองและสังคมอยา งไร 1 ยาเสพติด คอื สารใดกต็ ามทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตหิ รอื สารทส่ี งั เคราะหข นึ้ เมอี่ แนวตอบ การละเวนจากการติดสุรา เที่ยวกลางคืน เทยี่ วดูการละเลน นาํ เขาสูรา งกาย ไมว า จะโดยวิธีรับประทาน ดม สบู ฉีด หรอื ดวยวธิ กี ารใดๆ แลว ตดิ การพนนั คบคนชั่วเปนมิตร และเกยี จครา นการงาน ยอ มเกิดผลดตี อ ทําใหเ กดิ ผลตอ รางกายและจติ ใจ นอกจากนี้ ยงั จะทาํ ใหเกิดการเสพตดิ ได หากใช ตนเองและสังคม คือ ทาํ ใหบคุ คลนัน้ มีสขุ ภาพกาย สุขภาพใจที่แขง็ แรง สารนั้นเปน ประจาํ ทุกวนั หรือวนั ละหลายๆ คร้งั ซ่ึงลักษณะสาํ คญั ของสารเสพติด สมบูรณ มีสตปิ ญ ญาพรอ มท่ีจะทาํ งานตา งๆ ไดอยา งมีประสทิ ธิภาพ เปน จะทําใหเ กิดผลตอผูเสพ ดงั น้ี ทีร่ ักใครแ ละไวว างใจของผูอืน่ ดาํ เนินชีวติ ไปในทางทด่ี งี าม ถกู ตอง ไมเ สีย ทรพั ยไปกับสงิ่ ท่ีไรป ระโยชน รจู ักแยกแยะสง่ิ ใดดีสิง่ ใดชั่ว อนั จะสง ผลให 1. เกิดอาการด้ือยาหรอื ตา นยา และเมือ่ ติดแลว จะตองการใชสารน้นั ชวี ติ ประสบความสาํ เรจ็ ทัง้ น้ียงั สงผลดีตอสังคม ทําใหสังคมขบั เคลอื่ นไปใน ในปริมาณมากขนึ้ ทางท่ดี ี พัฒนาไปสูค วามกา วหนาไดอยา งรวดเรว็ เน่อื งจากมปี ระชากรทม่ี ี คุณภาพ 2. เกดิ อาการขาดยา ถอนยา หรอื อยากยา เมอื่ ใชส ารนัน้ เทาเดิม ลดลง หรอื หยดุ ใช 3. มคี วามตอ งการเสพท้ังทางรา งกายและจิตใจอยางรนุ แรงตลอดเวลา 4. สขุ ภาพรา งกายทรุดโทรมลง เกดิ โทษตอ ตนเอง ครอบครวั ผูอ่นื ตลอดจน สังคมและประเทศชาติ 76 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain การแบ่งประเภทความสุขนั้น แบ่งได้หลายวิธี วิธีหน่ึงท่ีเข้าใจได้ง่าย คือ แบ่งเป็น 1. ครใู หน กั เรยี นอภิปรายถงึ ประเภทของความสุข สามสิ สุข กบั นริ ามิสสขุ พรอมยกตวั อยา งเหตุการณประกอบการ อภิปราย ๑) สามสิ สขุ คอื ความสขุ ทางวตั ถหุ รอื ความสขุ ทางเนอ้ื หนงั บางทเี รยี กวา่ “กามสขุ ” 2. ครใู หน กั เรียนเปรียบเทียบขอดขี อเสียระหวาง เป็นความสุขทปี่ ระสาทสัมผสั ทง้ั ๕ (ตา หู จมูก ลน้ิ กาย) ไดเ้ สพเสวยส่ิงที่ทา� ให้เกดิ ความพอใจ ความสขุ ทางกายกับความสุขทางใจ เช่น ได้กินอาหารอร่อยๆ เห็นภาพสวยๆ ได้อยู่ในท่ีไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ได้ฟังเสียงอ่อนนุ่ม (แนวตอบ ความสขุ ทางกายหรือสามสิ สขุ ไพเราะ เปน็ ต้น เปน ความสขุ ท่ีเกดิ จากความแข็งแรงสมบูรณ ทางกาย การมีทรัพยส นิ เงนิ ทอง มีอาชีพ การเสพสามสิ สุขเป็นของธรรมดาสา� หรบั คนทวั่ ไป พระพทุ ธศาสนาสอนเร่ือง “คิหสิ ขุ ” การงานที่ดี ทําใหส ามารถใชชวี ิตไดอ ยา งสุข คอื ความสขุ ของชาวบ้าน อันไดแ้ ก่ สบาย แตสิง่ เหลา น้ีลว นเปนความสุขช่ัวคราว แมว ามีเงนิ ทองมากมาย แตว นั หน่งึ กต็ อ ง ๑. ความสขุ ทเ่ี กิดจากการมีทรัพย์ เรียกว่า อัตถิสขุ หมดไป รางกายทเี่ คยแข็งแรงก็เสอ่ื มโทรมลง ๒. ความสขุ ทเ่ี กดิ จากการใช้จา่ ยทรพั ย์ เรยี กวา่ โภคสุข กอใหเกดิ ความทกุ ขในที่สดุ สาํ หรบั ความสขุ ๓. ความสุขทเี่ กดิ จากการไมม่ หี นี้สนิ เรยี กว่า อนณสุข ทางใจหรอื นริ ามสิ สขุ เปน ความสขุ ท่เี กิดจาก ๔. ความสุขที่เกดิ จากการประพฤติในสิ่งท่ีสจุ รติ เรยี กวา่ อนวชั ชสุข จิตใจท่ีสงบ ไมคดิ ฟุงซาน ไมคดิ รายตอผูอ นื่ เป็นทาสของสวาัตมถิสุ สคุขรหุ่นรคือิดคแวลาะมกสรุขะทวนากงกระาวยาขย้ึนในอยเรู่กื่อับงวกัตามถุภคุณายน๕1อกตลผอู้หดมเวกลมาุ่นมกาัวรเมเสาพกค็จวะากมลสาุขย ซง่ึ แมว า จะเปน ความสขุ ทไ่ี มสามารถจับตอ งได ประเภทนคี้ วรจะมสี ติ คือ ต้องรับวา่ เปน็ ความสุขทีไ่ ม่แน่นอน ความทุกขอ์ าจเกิดได้เสมอ เพราะ แตเปน ความสุขทม่ี น่ั คงถาวร สรา งความสุข เป็นความสุขที่ขึ้นอยู่กบั วัตถภุ ายนอกโดยสิน้ เชงิ ในระยะยาวใหก ับชีวติ ) ๒) นิรามิสสุข คือ ความสุขที่ ขยายความเขา ใจ Expand ไม่อิงวัตถุภายนอก อาจเรียกได้ง่ายๆ ว่าเป็น ครูใหน ักเรียนเขยี นเรยี งความเร่ืองความสุข ขคั้วนาตม่�าสสุขุดทไาปงจใจนถคึงวขาั้นมสสูงุขสปุดระเคภือทนนี้มิพีตพั้งแานต2่ ทางใจในกระแสวัตถุนิยมของสังคมไทย รายละเอียดจะไม่กล่าว ณ ท่ีน้ี จะกล่าวเพียง ระดับต้นๆ คือ เป็นความสุขทางใจในระดับ ตรวจสอบผล Evaluate ชาวบา้ น ความสขุ แบบน้ี เช่น การไดร้ บั ความ อบอุ่นจากพ่อแม่ ไม่มีศัตรู ไม่มีผู้เกลียดชัง การได้รับประทานอาหารอร่อยๆ จัดเป็นสามิสสุข หรือ 1. ตรวจสอบจากความถกู ตองในการ มีแต่ผู้ให้ความรักใคร่ นับถือยกย่องสรรเสริญ ความสขุ ทางวัตถุ ซง่ึ เปน็ ความสขุ ทไ่ี ม่แนน่ อน ตอบคําถามและการอภิปราย ขั้นสูงข้ึนก็เช่น การท่ีมีจิตใจสงบ ไม่คิดร้าย ต่อใคร ไม่คิดฟุ้งซ่าน ท่ีสูงขึ้นอีกก็เช่น เกิด 2. ตรวจสอบจากการแสดงความคิดเห็น ความอมิ่ ใจทไ่ี ดเ้ สยี สละ ทา� ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม ทส่ี มเหตุสมผลในการเขยี นเรียงความ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน จิตใจสงบผ่องแผ้ว เรอ่ื งความสุขทางใจในกระแสวัตถนุ ยิ มของ ทไ่ี ดย้ กโทษใหแ้ กผ่ คู้ ดิ ร้ายตอ่ เรา สงั คมไทย 77 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู บุคคลใดตอไปน้ี มพี ฤติกรรมในการดําเนินชีวติ แบบเสพนริ ามิสสุข 1 กามคุณ 5 คือ สวนท่นี าปรารถนานา ใคร มี 5 อยา ง ไดแ ก รปู รส กล่ิน เสยี ง 1. จนิ ดาชอบสวมใสเ สอื้ ผา ทท่ี นั สมัยอยูเสมอ และโผฏฐพั พะ (สมั ผัสทางกาย) ที่นา ใคร นา พอใจ 2. ตนกลา ชอบเดนิ ทางทองเที่ยวในประเทศไทย 3. ดาํ รงชอบรบั ประทานอาหารในรานอาหารทมี่ ีชอ่ื เสยี ง 2 นพิ พาน คือ ความดับกเิ ลสและทุกขโดยส้ินเชงิ เปนจุดมงุ หมายสงู สุดใน 4. ลัดดาชอบทํากจิ กรรมทีเ่ ปนประโยชนตอสงั คมโดยไมหวงั ผลตอบแทน พระพุทธศาสนา เปนความสุขท่ีเกิดจากการละกิเลส นพิ พานเปน ภาวะจติ ที่ บรสิ ุทธหิ์ มดจด เปน ปจจัตตัง คือ รูไดเ ฉพาะผมู ีประสบการณเทา นั้น อยูเหนอื ระบบ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. นิรามิสสุขเปน ความสขุ ทางใจทไี่ มอ งิ วตั ถุ ความคิดและประสบการณของสามัญชน เปนโลกุตรธรรม คือ เหนือโลกเหนือวิสัย แหง โลกปถุ ชุ น พระอรหันตจึงไมอธบิ ายพระนพิ พานใหแ กป ถุ ชุ น นิพพาน ภายนอก อนั เกดิ จากการมจี ติ ใจท่ีสงบ ไมคดิ รายตอ ผูอ่ืน ตลอดจนรจู ัก มี 2 ประเภท ไดแก เสยี สละความสุขสว นตัว เพ่ือทาํ ประโยชนใหแกสว นรวมโดยไมห วงั ผล 1. สอปุ าทเิ สสนพิ พาน คอื นพิ พานทด่ี บั กเิ ลสไดโ ดยสนิ้ เชงิ เหลอื แตเ บญจขนั ธอ ยู ตอบแทน เชน เมอ่ื ตอนพระพุทธองคทรงบรรลพุ ระอนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณเปน พระสัมมาสัมพทุ ธเจาแลว ยังดาํ รงเบญจขนั ธอ ยแู ละไดส่งั สอนโปรด เวไนยสัตวต อ มาอีก 45 ป 2. อนปุ าทเิ สสนิพพาน คอื นพิ พานซ่ึงดบั ท้ังกเิ ลสและเบญจขนั ธ เชน การปรินพิ พานของพระพทุ ธเจา เปน ตน คูมือครู 77
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูถามนักเรียนวา ในเวลาท่ีเกิดความทกุ ขใจ ความสุขประเภทน้ี ไมขึ้นอยูกับวัตถุภายนอกหรือข้ึนอยูนอยมาก เปนความสุข มีวิธีหรอื แนวทางในการแกป ญ หาดังกลาวอยา งไร ทางใจ เราบังคบั วัตถุภายนอกไมไ ด บงั คบั คนอน่ื ก็ไมไ ด แตบงั คบั จิตใจของตวั เองได การบังคับ จติ ใจตวั เองมิใชของงา ย แตกเ็ ปนไปได เร่ิมตน ดว ยการปฏิบตั ิตามศลี ๕ และธรรม ๕ แลวกม็ า (แนวตอบ เชน ปรึกษาพอแม ครูอาจารย หรือ เพ่ือนสนทิ นงั่ สมาธิ เลนกีฬา เลนดนตรี เปนตน ) บําเพ็ญสมาธิ ในระดับตนและสูงข้ึนไปเร่ือยๆ ปฏิบัติตามมรรคมีองคแปดก็จะไดรับความสุข สาํ รวจคน หา Explore ทางใจสงู ข้นึ เรื่อยๆ ความสขุ ท่พี ่งึ วัตถุภายนอก กจ็ ะนอ ยลงเรอื่ ยๆ เปน ตวั ของตวั เอง ไมเ ปน ทาส ครใู หนักเรียนศกึ ษาคนควาเก่ียวกับหลกั ธรรม มรรค (ธรรมทีค่ วรเจรญิ ) จากหนงั สือเรยี นหนา ของค๒า น.๔ยิ มทมฟี่ รมุ รเคฟ1อ (ยธหรรรอื มทเ่ีทรยีค่ี กววรา เวจตั รถญินุ ยิ )ม 78-90 หรือจากแหลงการเรยี นรูตางๆ อธบิ ายความรู Explain มรรค คอื ความจริงวา ดวยทางแหง ความ ดบั ทกุ ข ถา ใครปฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะลดความทกุ ขห รอื 1. ครูใหน ักเรียนอภปิ รายวา การน่งั สมาธิเปน การ การปฏิบัติธรรม จัดเปนนิรามิสสุขหรือความสุขทางจิตใจ ปญ หาได ณ ที่น้ีเราจะพูดถึงหลกั ธรรมบางขอ ปฏบิ ตั ิเพ่อื พนจากความทุกขไดจ รงิ หรอื ไม ชวยใหจ ติ ใจสงบไมฟงุ ซาน เปนความสุขทถ่ี าวร ทเ่ี ราควรปฏบิ ตั ิ เพอื่ เปน ทางไปสคู วามดบั ทกุ ข (แนวตอบ การน่ังสมาธเิ ปนการปฏบิ ตั ิเพ่ือฝก ฝน ดังน้ี จิตใหส งบ เยือกเย็น มีสติสมั ปชญั ญะในการรจู ัก พจิ ารณาสงิ่ ตางๆ ดวยปญญา ผอนคลายความ ๑) บพุ พนมิ ติ ของมชั ฌมิ าปฏปิ ทา ทุกขไดในระดบั หนึง่ ดังน้ัน จึงกลาวไดวา การ นัง่ สมาธเิ ปนวธิ ีการเบื้องตนในการฝกตนใหร ูจกั เปนท่ที ราบกันดีแลววา พระพุทธศาสนาสอนเร่อื งทุกขและวิธีดับทุกข ทางดับทุกขน้นั เรียกวา ควบคมุ จติ ใหพนจากความทกุ ข) มรรคมีองคแปด หรอื เรียกอีกอยางหนงึ� วา มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) บพุ พนมิ ติ แปลวา ส�ิงท่ีเปนเคร่ืองหมาย หรือส�ิงบอกลวงหนา 2. ครูใหนักเรียนอธิบายความหมายของพุทธดาํ รัส พระพุทธเจาตรัสเปรียบวา “กอนที่ดวงอาทิตย ทีก่ ลาววา “กอนที่ดวงอาทติ ยจ ะข้ึนยอมมี จะขึ้นยอมมีแสงเงินแสงทองปรากฏใหเห็น แสงเงินแสงทองปรากฏใหเ ห็นฉันใด ในทํานอง กอนฉันใด ในทํานองเดียวกนั กอนทอ่ี ริยมรรค เดียวกนั กอนทอ่ี รยิ มรรคหรอื มัชฌิมาปฏปิ ทา หรือมชั ฌิมาปฏิปทา ซงึ� เปน ขอ ปฏบิ ัตสิ าํ คัญใน ซง่ึ เปนขอ ปฏิบัติสําคัญในพระพุทธศาสนาจะ พระพทุ ธศาสนาจะเกดิ ขนึ้ กม็ ธี รรมบางประการ เกิดข้นึ กม็ ธี รรมบางประการปรากฏขึน้ กอน ปรากฏข้ึนกอนเหมือนแสงเงินแสงทองฉันนั้น” เหมือนแสงเงินแสงทองฉันนัน้ ” ผูที่ปฏบิ ตั ิตามทางน้� จะไดรบั ความสงบสขุ ของ (แนวตอบ พระพุทธองคตรัสเปรียบเทยี บระหวาง ชวี ติ ตง้ั แตร ะดบั ตน จนถงึ ระดบั สงู สดุ เหน็ สง�ิ ตา งๆ บุพพนมิ ติ ของมชั ฌิมาปฏปิ ทากบั ลักษณะการ ตามความเปนจริง ซงึ� เรยี กวา เกิดปญญาข้นึ ขน้ึ ของดวงอาทติ ย กลาวคอื เมื่อส่ิงใดสง่ิ หน่ึง กอนที่จะทําใหเกิดปญญาขึ้นไดน้ัน จะเกดิ ข้นึ ยอ มมีสิ่งที่เปน สญั ญาณบอกลว งหนา มปี จ จยั ๒ อยา งเปน เครอื่ งชว ย คอื กลั ยาณมติ ร การฝกบริหารจิตชวยใหเรามีสติรูตัวอยูเสมอ และตั้งตน เสมอ การปฏบิ ตั ิเพอื่ นาํ ไปสมู ชั ฌมิ าปฏิปทาก็ และโยนโิ สมนสิการ อยใู นความไมประมาท เชนกนั ยอ มมปี จจยั ทเ่ี ปน สญั ญาณบอกวากาํ ลงั จะเดนิ ทางไปสอู ริยมรรคหรือมัชฌิมาปฏปิ ทา ๗๘ นั่นคอื กัลยาณมติ รและโยนโิ สมนสิการ) กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรียนควรรู 1 มรรค ทางปฏบิ ัติใหถ งึ ทางดบั ทกุ ข 8 ประการ ดงั นี้ ครูมอบหมายใหนกั เรยี นเขียนบรรยายเหตกุ ารณท ีท่ าํ ใหน กั เรียน 1. สมั มาทิฏฐิ เห็นชอบ 5. สัมมาอาชวี ะ เลี้ยงชีพชอบ มคี วามสุขแบบนริ ามิสสุข พรอมบอกเหตุผลวา เหตใุ ดจงึ รสู ึกเชนนนั้ 2. สัมมาสงั กปั ปะ ดาํ ริชอบ 6. สมั มาวายามะ เพียรชอบ ความยาว 1 หนากระดาษ A4 สง ครูผสู อน 3. สมั มาวาจา เจรจาชอบ 7. สัมมาสติ ระลกึ ชอบ 4. สัมมากัมมนั ตะ กระทาํ การชอบ 8. สมั มาสมาธิ ต้งั จิตม่ันชอบ กิจกรรมทา ทาย บเศรู ณรากษารฐกจิ พอเพียง ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง มุงใหค นดาํ รงชวี ิตอยูบนพืน้ ฐานของความพอประมาณ ครูมอบหมายใหน ักเรยี นจัดทาํ การต ูนทสี่ อนใหเห็นถึงขอเสยี ของการ ซึ่งสอดคลอ งกับคาํ สอนเรอื่ งทางสายกลาง หรอื มัชฌมิ าปฏปิ ทาของพระพุทธศาสนา บรโิ ภคนยิ มหรอื คา นยิ มใชส นิ คา ฟมุ เฟอ ย เชน การเปลยี่ นโทรศพั ทเ คลอ่ื นท่ี บอ ยๆ พรอมทง้ั บอกวธิ ีแกไ ขปญ หาดงั กลา วดว ย ครูใหนกั เรียนสํารวจตนเองวา ประพฤติตนเกินความพอดใี นดา นใดบาง และควรจะแกไ ข หรอื ปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมอยา งไรใหสอดคลอ งกับทางสายกลาง โดยใหบ ันทึกขอมลู ลงกระดาษ แลว ออกมานําเสนอหนา ช้นั เรยี น 78 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๑) กลั ยาณมติ ร พระพทุ ธองค์ทรงสอนว่า การมกี ลั ยาณมติ รเปน็ “บุพพนิมติ ” 1. ครูและนกั เรียนอภปิ รายถงึ ความหมายและ ของมัชฌิมาปฏิปทา คือ เป็นสิ่งท่ีน�าเราไปสู่มัชฌิมาปฏิปทา การมีกัลยาณมิตรเป็นสัญญาณ คุณสมบตั ขิ องกลั ยาณมิตรรว มกัน จากนั้น ที่บอกว่าเราก�าลังจะเดินทางไปสู่อริยมรรค บางทีเรียกกัลยาณมิตรว่า “ปรโตโฆสะ” แปลว่า ใหนกั เรียนจบั คกู บั เพือ่ นสนิท แลว อธบิ ายวา เสยี งจากผู้อื่น คอื เปน็ เสยี งหรือค�าพูดทดี่ งี าม ถกู ตอ้ ง เป็นเสยี งจากมติ รทีด่ ี ช่วยแนะนา� ใหเ้ รา เพอื่ นของนักเรียนมีคุณสมบัติสอดคลองกบั เกิดความคิดเห็นท่ีถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ความมีกัลยาณมิตรนี้ถือว่าอยู่ในระดับศรัทธา การมี กลั ยาณมติ รในขอใดบาง กลั ยาณมติ รมไิ ดแ้ ปลวา่ เราเกดิ ปญั ญา เหน็ สจั ธรรม แตแ่ ปลวา่ เราเกดิ ศรทั ธาทจี่ ะไปหาสจั ธรรม กัลยาณมิตรจะเป็นผู้แนะน�า สั่งสอน ให้เห็นว่าอะไรถูกอะไรผิด การมีกัลยาณมิตรเป็นจุดเร่ิมต้น 2. ใหน กั เรียนอธิบายวา โยนิโสมนสกิ ารมีความ ของการพฒั นาปัญญาทจ่ี ะทา� ใหเ้ ราเหน็ สจั ธรรม สาํ คญั ตอการปฏิบตั เิ พ่ือนําไปสทู างแหงความ ดบั ทกุ ขห รือมรรคมีองค 8 ไดอยา งไร คณุ สมบตั ขิ องกลั ยาณมติ ร (แนวตอบ โยนโิ สมนสกิ าร หมายถงึ การ ทําใจโดยอุบายอันแยบคาย หรือการรจู ักคิด คณุ สมบตั ิของกลั ยาณมิตร เรยี กวา่ กลั ยาณมติ รธรรม วิเคราะห พจิ ารณาส่ิงตา งๆ อยา งมีระบบ มี ๗ ประการ ดงั นี้ มคี วามสําคญั ตอ การปฏิบัติเพ่ือนําไปสมู รรค คอื ทาํ ใหเกิดความรแู จง ขจดั อวิชชา ทาํ ใหจ ติ ๑. ปิโย น่ารกั เป็นกนั เอง เกิดกศุ ลธรรม สรางพลังใหร จู ักคิดในสิ่งทด่ี ี ๒. คร ุ นา่ เคารพ อนั เปนปจ จยั ภายในทีเ่ สรมิ สรา งใหน ําไปสู ๓. ภาวนโี ย น่ายกย่อง หนทางแหง ความดบั ทุกขห รือมรรคมอี งค 8) ๔. วตั ตา รูจ้ กั ชีแ้ จงใหเ้ ขา้ ใจ ๕. วจนกั ขโม อดทนทจี่ ะรบั ฟัง ๖. คัมภรี ญั จะ กะถงั กัตตา แถลงเรอ่ื งลา�้ ลึกได้ ๗. โน จัฏฐาเน นโิ ยชะเย ไม่ชกั จงู ไปทางเส่อื มเสีย ๑.๒) โยนโิ สมนสกิ าร หมายถงึ ผู้ท่ีมีปัญญาคิดอย่างถูกวิธี และสามารถหาทางออกให้ การใช้ความคิดถูกวิธี รู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ ปัญหาได้ ย่อมมีความสุขและมีสุขภาพจิตดี คดิ อยา่ งมรี ะเบยี บ บางทเี รยี กวา่ “การทา� ใจโดย อุบายอันแยบคาย” โยนิโสมนสิการนี้ถือเป็น 79 บุพพนิมิตของมัชฌิมาปฏิปทาเปรียบเสมือน กัลยาณมติ ร กลั ยาณมติ รหรอื ปรโตโฆสะ เป็น ปัจจัยภายนอก โยนิโสมนสิการ เป็นปัจจัย ภายใน โยนโิ สมนสกิ าร เปน็ อาหารหลอ่ เลย้ี งสติ มิให้คิดในทางผิด แม้ศรัทธาหรือกัลยาณมิตร เปน็ สงิ่ สา� คญั ทจี่ ะเดนิ ตามอรยิ มรรค แตต่ วั ตดั สนิ คือ ปัจจัยฝา่ ยใน ทเี่ รยี กว่า โยนโิ สมนสิการ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกรด็ แนะครู กลั ยาณมติ รและโยนโิ สมนสกิ ารเปน ปจ จัยทมี่ คี วามสาํ คญั ตอ การเรียน ครแู นะนําใหน ักเรียนนาํ ความรจู ากการศกึ ษาเรอ่ื งการคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร อยางไร ไปเปนพน้ื ฐานในการพฒั นาการเรียนโดยใชกระบวนการคิดอยางถูกวิธี และการ แนวตอบ กลั ยาณมติ ร หมายถงึ การคบเพอ่ื นทีด่ ี ดาํ รงตนอยูในศลี ธรรม ใชชวี ติ ทามกลางกระแสบริโภคนิยมไดอ ยางไมป ระมาทดว ยการคดิ อยา งถกู วิธี อนั ดงี าม ซงึ่ มคี วามสาํ คญั ตอ การเรียน คือ จะเปนผชู กั ชวนใหใฝรูใฝเ รียน แนะนําวธิ ีการเรียนใหม ีประสิทธภิ าพ ตลอดจนคอยชวยเหลอื อธิบายสิ่งท่ี มมุ IT ไมเขา ใจใหก ระจา งชัดขึ้น สวนโยนิโสมนสิการ คือ การรจู กั คดิ วเิ คราะห อยา งมรี ะบบ จะเปน พ้ืนฐานใหม ีทักษะในการหาแนวทางแกไขปญ หาตางๆ ศกึ ษาคนควา ขอมลู เพิ่มเตมิ เกยี่ วกบั เร่ืองโยนโิ สมนสิการ ไดท ่ี ท่ีตอ งเผชิญไดอ ยา งถกู วิธี ตลอดจนเกดิ ความคิดอยางมรี ะบบในการเรยี น http://www.m-culture.go.th เวบ็ ไซตก ระทรวงวัฒนธรรม และตอ ยอดความรไู ดอ ยา งดี คูมือครู 79
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นออกมาเลา การวางแผนการใชช วี ติ คใวนาหมนสงั สาํ อืคญั “พขทุ อธงธวริธรมีค”ิดขแอบงบพโรยะนพรโิ สหมมคนณุ สากิ ภารรณ1 ในอกี 5 ปขางหนา หลังจากน้นั ใหนกั เรียน อภปิ รายวา การตง้ั ใจศึกษาเลา เรยี นในปจ จุบนั (ประยุทธ ปยตุ โฺ ต)* ไดนาํ เสนอความสําคัญและ มีประโยชนต อ ชีวติ ในอนาคตอยางไร คุณประโยชนของโยนิโสมนสิการ จากตัวอยาง (แนวตอบ การต้งั ใจศึกษาเลาเรียนในปจจุบนั พุทธพจน ดงั นี้ จะเปน พน้ื ฐานใหม คี วามรู เสรมิ สรา งทกั ษะตา งๆ ทีม่ คี วามจําเปนตอ การประกอบอาชพี เชน “ภิกษุท้ังหลาย เมือ่ ดวงอาทติ ยอุทัยอยู ทักษะการสื่อสาร ทักษะการวางแผน การทาํ งาน ยอมมีแสงอรุณขึ้นมากอนเปนบุพนิมิต ฉันใด เปน ทีม เปนตน อนั จะทาํ ใหช วี ิตมคี วามกา วหนา ความถงึ พรอ มดว ยโยนโิ สมนสกิ าร กเ็ ปน และเจริญรุงเรืองในอนาคต ตลอดจนสามารถ ตวั นาํ เปน บพุ นมิ ติ แหง การเกดิ ข้นึ ของ นาํ ความรคู วามสามารถไปพัฒนาชุมชนและ อรยิ อัษฎางคิกมรรค แกภ กิ ษุ ฉันนัน้ ประเทศชาตไิ ดอ กี ดวย) ภิกษผุ ูถึงพรอมดว ยโยนิโสมนสิการ พึงหวัง ส่ิงนี้ได คือ จักเจริญ จักทาํ ใหมาก ซึง่ อริย 2. ครใู หน กั เรยี นชวยกันวเิ คราะหว า การปฏบิ ตั ติ น อษั ฎางคิกมรรค” ตามหลกั ดรุณธรรม 6 จะสงผลดีตอ ตนเอง และประเทศชาติอยางไร ๒) ดรุณธรรม ๖ ดรณุ หมายถงึ เดก็ หรือผูเ ยาว2 เดก็ นัน้ ยังมอี นาคตอนั ยาวไกล (แนวตอบ ดรุณธรรม 6 เปน หลักธรรมสาํ หรบั เด็ก ควรจะมหี ลกั ธรรมท่เี ปน ทางไปสคู วามเจริญกาวหนา ของชีวติ เรยี กวา ดรณุ ธรรม ๖ คือ ทางไปสู หรือผเู ยาว ซึ่งหากปฏบิ ัติตามหลกั ธรรมนี้แลว ความเจรญิ กาวหนา ๖ ประการ ซ�งึ เยาวชนทป่ี ฏิบตั ิไดต ามน้�จะประสบความเจรญิ ในชวี ติ ดังน�้ จะทําใหผ ูปฏิบตั มิ ีความเจรญิ กาวหนาในชีวิต ๑. รักษาสุขภาพดี (อาโรคยะ) มีสุขภาพรางกายแขง็ แรง ปราศจากโรคภัย ไรโรคท้ังกายและใจ ไขเ จบ็ มีระเบยี บวินัยในตวั เอง ไมสรา งความ ๒. มรี ะเบยี บวนิ ยั (ศลี ) ไมเ กะกะ เดอื ดรอนใหใคร อกี ทง้ั ยังเปนคนดมี ีศลี ธรรม ระรานกอความเดอื ดรอนใหใ คร กระทาํ แตส ง่ิ ทถี่ กู ตอ งดงี าม รวมถงึ เปน คนมคี วาม ๓. ไดเห็นแบบอยางจากคนดี ขยันหมนั่ เพียรในการเรยี นและเรยี นหนงั สอื เกง ทปี่ ฏบิ ตั ติ นเปน แบบอยา ง (พทุ ธานุวตั ิ) ซึ่งหากเยาวชนของประเทศมคี ุณลกั ษณะเชนนี้ ๔. ต้ังใจเรียน (สุตะ) ศึกษา จะทาํ ใหประเทศชาตสิ ามารถพัฒนาไปไดอ ยา ง คนควา ใหรูจ ริง รวดเรว็ เพราะเมอ่ื เดก็ โตขนึ้ กจ็ ะเปน กาํ ลงั สาํ คญั ๕. ทําสิ่งท่ีมีความถูกตองดีงาม ในการพัฒนาชาตใิ หก า วหนา ตอไป) (ธรรมานวุ ัติ) ๖. มคี วามขยนั หมนั่ เพยี ร (วริ ยิ ะ) 3. ครแู ละนกั เรยี นอภิปรายรว มกันเกี่ยวกบั เด็กหรือเยาวชนควรตงั้ ใจศึกษาเลาเรียน เพ่ือเปน แนวทาง ดรณุ ธรรม 6 แลว ใหน กั เรยี นเขียนบนั ทึก ไปสคู วามเจรญิ กาวหนา ของชีวิตในอนาคต มีกาํ ลงั ใจไมท อถอย ชีวติ ประจาํ วัน พรอมกับวิเคราะหวา การปฏบิ ัติตนในแตละวนั มีความสอดคลอง *พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) ไดร บั พระราชทานสมณศกั ดเ์ิ ปน สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย เมอ่ื วนั ท่ี ๕ ธนั วาคม กับดรุณธรรม 6 หรอื ไม อยา งไร พ.ศ. ๒๕๕๙ ๘๐ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดเปน ประโยชนท ี่ไดร บั จากการปฏิบตั ิตามหลักดรณุ ธรรม ครูอาจแนะนําใหน กั เรยี นศึกษาเพมิ่ เตมิ หนงั สือพุทธธรรมของพระพรหม 1. มีเสนหน ามอง คุณาภรณ (ประยทุ ธ ปยตุ ฺโต) แลวใหนักเรยี นบอกถึงขอคดิ ท่ไี ดร บั จากการอา น 2. เรียนหนงั สอื เกง สติปญญาดี 3. คนในสงั คมเชดิ ชูนบั หนา ถอื ตา นักเรียนควรรู 4. มคี วามอดทนตอ ความยากลําบากมากขึน้ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ดรุณธรรม 6 คอื หลกั ธรรมสําหรับเยาวชน 1 พระพรหมคณุ าภรณ ปราชญทา นหน่งึ ที่มผี ลงานวิชาการทางพระพทุ ธศาสนา ทจี่ ะนาํ ไปสูความเจริญกา วหนา 6 ประการ ประกอบดว ย รักษาสุขภาพดี เปน จาํ นวนมาก และเปนบคุ คลแรกทไ่ี ดร บั รางวัลการศกึ ษาเพอื่ สนั ตภิ าพจาก มรี ะเบยี บวนิ ยั ไดเ หน็ แบบอยา งจากคนดที ป่ี ฏบิ ตั ติ นเปน แบบอยา ง ตงั้ ใจเรยี น องคการยเู นสโก ไดร ับปริญญาดษุ ฎบี ัณฑติ กติ ติมศกั ดิ์มากกวา 15 สถาบัน ทําสงิ่ ถกู ตองดีงาม และมคี วามขยนั หมั่นเพียร ดังนนั้ การปฏบิ ัตติ นตาม 2 เด็กหรือผเู ยาว ในทางกฎหมาย ผเู ยาว หมายถงึ ผูที่ยังไมบรรลุนิตภิ าวะ หลักดรณุ ธรรม 6 ในขอ ทว่ี าต้ังใจเรียน จะทําใหเ รยี นหนังสือเกงและมี ซ่งึ จะพน จากการเปนผูเ ยาวไดเมื่ออายคุ รบ 20 ปบรบิ รู ณ สติปญญาดี 80 คูมอื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 1. ครแู ละนกั เรยี นอภปิ รายถึงกลุ จิรัฏฐิตธิ รรม 4 รว มกัน จากน้ันครูตง้ั คําถามใหน ักเรียน ๓) กุลจริ ัฏฐติ ิธรรม ๔ ธรรมะหมวดนี้ เปน็ ธรรมะส�าหรบั ท�าให้ครอบครัวหรือตระกลู ชว ยกนั ตอบ เชน ตั้งม่ันอยู่ได้นานไม่เสื่อมสลายไปก่อนเวลาอันสมควร หมายถึง ธรรมท่ีเป็นเหตุท�าให้ตระกูล • ครอบครวั ของนกั เรยี นมเี ครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภค มัง่ ค่งั มน่ั คงตั้งอยไู่ ดน้ าน ท�าให้ตระกูลด�ารงอยูด่ ้วยความสงบสุข เรยี บร้อย และมฐี านะอันมนั่ คง เรยี กวา่ กุลจิรฏั ฐิตธิ รรม ๔ มดี งั น้ี ทจ่ี ําเปน อะไรบาง ๓.๑) เมื่อเคร่ืองอุปโภคบริโภคหายหรือหมดไปต้องรู้จักจัดหามาไว้ ในแต่ละ (แนวตอบ เชน อาหารและเคร่ืองปรุงสําหรบั ครอบครัวย่อมต้องมีส่ิงของที่จ�าเป็นในการช่วยสนองความต้องการตามธรรมชาติและช่วยอ�านวย ประกอบอาหาร เครื่องใชไฟฟาตา งๆ ความสะดวกสบายบางอยา่ ง ไดแ้ ก่ เครือ่ งอุปโภคบริโภค ส่ิงเหล่านหี้ ากหมดหรอื หายไปโดยผดู้ ูแล ยารกั ษาโรค เสอ้ื ผาเครือ่ งนุง หม เปน ตน ) บ้านไมจ่ ัดหามาไว้ กจ็ ะทา� ใหส้ มาชกิ ในครอบครวั เดอื ดร้อน เชน่ ขา้ วสารหมดไมห่ ามาเตรยี มไว้ • นกั เรยี นมบี ทบาทหนา ทใ่ี นการดูแลเครอ่ื ง อาจท�าให้คนในบ้านเกิดโมโหเพราะความหิว เป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันจนกลายเป็น อปุ โภคบรโิ ภคในครัวเรือนอยางไร เรื่องใหญ่ถึงขัน้ แตกหกั กันไปเลย ครอบครัวก็เกดิ ความระส�่าระสาย (แนวตอบ สํารวจเครอื่ งอุปโภคบริโภคใน เครื่องมือส�าหรใับนปบราะงกคอรอบบอคารชัวีพสดิ่ง้จว�ายเปเ็นชม่นิใชเ่มกีแวตีย่อนา1หราถรแลคะวเาคยรไื่อถงนใชา้ภาเคยใรน่ือบงด้านนเตทร่าี นเั้นป็นยตัง้นมี ครัวเรือนทกุ เดอื น เพื่อบอกใหผ ูปกครอง ของเหล่าน้ีอาจส้ินสภาพจนใช้การไม่ได้ ถ้าผู้มีหน้าที่ดูแลไม่จัดหามาแทน การประกอบอาชีพ จัดหาใหค รบถว นตอ ไป นอกจากนน้ั การงานกส็ ะดดุ หยดุ ลง ทา� ใหเ้ กดิ ความเสยี หายได้ สมาชกิ ในครอบครวั ควรชว่ ยกนั ดแู ล เมอ่ื พบเหน็ ยังตองทาํ ความสะอาด ปด กวาดเชด็ ถู สงิ่ ใดทข่ี าดไป ควรบอกใหผ้ เู้ กยี่ วขอ้ งทราบ จะไดจ้ ดั หามาเพอ่ื มใิ หก้ ารงานขาดชว่ ง ซงึ่ ในบางกรณี และซกั ลา งเคร่อื งอปุ โภคบรโิ ภคใหสะอาด อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ครอบครัวได้ อยเู สมอ ตลอดจนซอมแซมเคร่ืองอุปโภค ๓.๒) ซ่อมแซมส่ิงของที่เก่าและช�ารุดเสียหาย เคร่ืองอุปโภคส่วนมาก เม่ือมี บรโิ ภคท่ชี ํารุดใหอ ยใู นสภาพด)ี การใช้งานไปนานๆ อาจช�ารุดเสียหายได้ ซ่ึงถ้าไม่รีบซ่อมแซมยังใช้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะย่ิงเสีย • การไมซ อ มแซมสิ่งของเครือ่ งใชภ ายในบาน มากข้ึนจนถึงขั้นซ่อมแซมไม่ได้ หรือมิฉะนั้น ที่ชาํ รุด จะสงผลเสยี อยา งไร กต็ อ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการซอ่ มแซมมาก บางคน (แนวตอบ เปน ธรรมดาท่สี ง่ิ ของเครอ่ื งใช เสียดายเงินค่าซ่อม หรือเกียจคร้านไม่ดูแล เม่อื ใชไ ปนานๆ กย็ อมเกา และชํารดุ ไป เอาใจใส่ โดยไมน่ กึ ถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่ ยง่ิ ทงิ้ ไวน้ าน ตามกาลเวลา จึงตองมกี ารซอ มแซม ยิ่งเสียเงินมากขึ้น เขา้ ทา� นองเสยี นอ้ ยเสียยาก แตหากปลอ ยปละละเลย นานวันเขา ส่งิ ของ เสียมากเสียง่าย ในบางกรณีถ้ามีส่ิงของบาง เครอื่ งใชจะยิง่ ชาํ รุดมากขึน้ จนถงึ ขัน้ อย่างช�ารุด หากไม่รีบซ่อมจะท�าให้ของอ่ืนๆ ซอ มแซมไมไ ด หรอื ซอมแซมไดแตต อง เสียตามไปด้วย เช่น หลังคาบ้านรั่วเล็กน้อย เสียคา ใชจายมาก ทาํ ใหสิ้นเปลืองเงนิ ทอง หากไม่รีบซ่อมเม่ือฝนตกอาจท�าให้เพดานบ้าน และยงั อาจทําใหสิง่ ของอ่นื ๆ เสียตามไปดว ย ตลอดจนพน้ื เสยี หายได้ หรอื หมอ้ นา้� รถยนตเ์ สยี แตห ากพิจารณาแลววาการซอมแซม หากไม่รีบซ่อมแซม อาจท�าให้ส่วนอื่นๆ เสีย การซอ่ มแซมสงิ่ ของเครอ่ื งใชใ้ นชวี ติ ประจาำ วนั เปน็ การชว่ ย จะทาํ ใหเสียเงนิ มากกวาซอ้ื ใหม ก็ควร โดยไม่จา� เปน็ ไปดว้ ย ประหยัดรายจา่ ยให้แก่ครอบครัว ซือ้ ใหม จะคมุ คาเงินมากกวา ) 2. ใหนกั เรยี นสาํ รวจเครอ่ื งใชตา งๆ ภายในบา น วามชี ิ้นสวนใดบางท่ีชํารดุ เสยี หาย ควรไดรบั 81 การแกไขซอ มแซม พรอ มบอกถงึ ประโยชน ที่ไดรับจากการซอมแซมเครือ่ งใชตา งๆ บนั ทึกผล สงครผู ูสอน บูรณาการเช่อื มสาระ ครูสามารถนําเนื้อหาเก่ยี วกบั กลุ จิรฏั ฐติ ิธรรม 4 ไปบูรณาการเช่อื มโยงกบั เกร็ดแนะครู กลุมสาระการเรยี นรกู ารงานอาชีพและเทคโนโลยี วชิ าการงานอาชีพ ครูใหนกั เรียนแบง กลุม แสดงบทบาทสมมติเรอื่ งครอบครัว วา สมาชกิ ใน และเทคโนโลยี เรอื่ งงานชางในบาน โดยใหน กั เรยี นศึกษาเพ่ิมเติมและ ครอบครัวจะตอ งปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมกุลจิรฏั ฐติ ิธรรม 4 อยางไร จงึ จะทาํ ให ฝก ปฏบิ ตั ซิ อมแซมเครอ่ื งใชภายในบา น เชน การเปล่ียนลกู บิดประตู ครอบครวั มคี วามมั่นคง การซอ มปนู ยาแนวกระเบอ้ื ง การเปลยี่ นกอ กนาํ้ การเปลย่ี นหลอดไฟฟา การซอมเกาอี้ การซอ มแซมชน้ั วางถว ยชาม เปนตน จากน้ันใหนกั เรียน ประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ริ ว มกนั รวมทง้ั วเิ คราะหถ งึ ประโยชนท ไ่ี ดร บั จากการ ซอ มแซมบํารุงรักษาและติดตั้งเคร่ืองใชตา งๆ ภายในบา น นกั เรยี นควรรู 1 เกวียน ยานพาหนะชนิดหนง่ึ ทม่ี ลี อ เล่ือน ทาํ ดว ยไม มี 2 ลอ เคล่ือนทไ่ี ปโดย ใชว วั หรอื ควายเทียมลากไป เกวยี นเปน พาหนะท่สี าํ คญั ในการเดินทางและบรรทกุ ส่งิ ของในสมัยโบราณ เกวียนสามารถเดินทางผานผิวถนนขรขุ ระหรอื ถนนท่ีเต็ม ไปดวยโคลนตม ซ่ึงการใชเ กวียนท่ีเทยี มสตั วแ ละรถศึกมปี รากฏแนช ดั ในสมัยกรกี และโรมัน คูมือครู 81
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นอภิปรายถงึ ความหมายของการ มีข้อควรค�านึงบางประการ คือ ของบางอย่างช�ารุดมากแล้ว ซ่อมไปก็น�าไปใช้ ประมาณตน จากนัน้ สมมตสิ ถานการณให ไดอ้ กี ไมน่ าน ตอ้ งซอ่ มแซมบอ่ ยๆ เมอ่ื คดิ ค�านวณดแู ลว้ ซ้อื ใหมอ่ าจประหยดั กวา่ เมื่อเปน็ เชน่ น้ี นักเรียนวเิ คราะหวา ถา นกั เรียนไดร บั เงนิ ไป ต้องพจิ ารณาในการเลอื กใชเ้ ครื่องอปุ โภคใหด้ ี โรงเรียนจํานวน 100 บาทตอ วัน นกั เรยี นจะใช ส่ิงของโดยท่ัวไปย่อมเก่าและช�ารุดเมื่อกาลเวลาผ่านไป ซ่ึงเป็นเร่ืองธรรมชาติ จายเงินจาํ นวนดงั กลาวใหเหมาะสมไดอ ยางไร แตถ่ า้ ผู้ใชง้ านขาดการเอาใจใส่ดูแล อาจท�าให้สง่ิ ของน้ันเก่าและชา� รุดก่อนเวลาอนั ควรได้ ดังน้ัน (แนวตอบ ครเู ปดโอกาสใหน ักเรยี นแสดงความ เราไม่ต้องคอยให้ของช�ารุดก่อนแล้วมาซ่อม แต่ควรดูแลรักษาให้ดีแล้วสิ่งของจะใช้ได้นาน เช่น คิดเห็นไดหลากหลาย โดยคํานงึ ถงึ การวางแผน จอบ เสยี ม ถา้ ทง้ิ ตากแดดตากฝนตลอดวนั ตลอดคนื ยอ่ มชา� รดุ เรว็ กวา่ ทเ่ี กบ็ ไวใ้ หเ้ รยี บรอ้ ย เปน็ ตน้ การใชจา ยท่สี มเหตสุ มผล) ๓.๓) ประมาณตนในการอปุ โภคบรโิ ภค ครอบครัวบางครอบครวั ใชจ้ า่ ยเกินฐานะ ของตน คอื หาไดน้ อ้ ยแตใ่ ชม้ าก ครอบครวั ทม่ี สี ภาพอยา่ งนคี้ งอยไู่ มไ่ ดน้ าน ตอ้ งมหี นส้ี นิ ลน้ พน้ ตวั 2. ครูใหน ักเรียนอภิปรายถึงประโยชนท ี่ไดร ับจาก จนต้องยากจนลงในท่ีสุด แต่ครอบครัวบางครอบครัวก็ใช้จ่ายต่�ากว่าฐานะของตนจนเกินพอดี การดําเนินชวี ิตอยางประมาณตน เป็นเศรษฐีแต่นุ่งกางเกงเก่าๆ ปะแล้วปะอีก จะท�าบุญท�าทานสักนิดก็คิดมาก ครอบครัวแบบนี้ (แนวตอบ การดาํ เนินชีวติ อยางประมาณตน คอื อาจตั้งอยู่ไดน้ านกแาตร่จเดะขินาสดาคยวกาลมาอง1บเปอ็นุ่นจสาิ่งกดเีทพี่ส่อื ุดนรนว่ ม่ันสคงั ือคมการรู้จักประมาณตน รู้จักความพอดี การรจู ักใชจายอยางเหมาะสม อยูบนพ้นื ฐาน ความเหมาะสม หมายความวา่ เราตอ้ งอยสู่ ายกลางระหวา่ งความสรุ ยุ่ สรุ า่ ยกบั ความตระหนถี่ เี่ หนยี ว ของความพอเพียง ไมสรุ ุย สรุ ายหรือตระหน่ี ค�าวา่ “ประมาณตน” น้ีมีความหมายไมต่ ายตัว สมมติคน ๒ คนใชเ้ งินเทา่ กัน แต่เราอาจเรียกวา่ ถี่เหนียวจนเกนิ ไป คาํ นึงถงึ บทบาทหนาที่ คนหน่ึงรู้จักประมาณตน อีกคนหน่ึงไม่รู้จักประมาณตน เช่น คนท่ีมีรายได้เดือนละหน่ึงหมื่นบาท และฐานะของตนเปนสําคัญ อนั จะทําให พาครอบครัวไปรบั ประทานอาหารท่ภี ัตตาคารหรูๆ ทกุ สปั ดาห์ ทบ่ี ้านดโู ทรทศั น์เครอ่ื งละห้าหม่ืน สามารถดาํ เนนิ ชวี ิตไดอยางมีความสุข ไมเกดิ เชน่ นเ้ี รยี กวา่ ไมร่ จู้ กั ประมาณตน แตเ่ ศรษฐที ม่ี เี งนิ รอ้ ยลา้ น ทา� อยา่ งเดยี วกนั นจี้ ะวา่ เขาไมป่ ระมาณตน ความเครียดหรือความกงั วลใจในการใชเ งิน คงไมไ่ ด้ ทําใหสุขภาพรา งกายแข็งแรง เพิม่ โอกาสให ผทู้ ม่ี อี าชพี เปน็ ดาราหรอื นกั รอ้ ง ประสบความสําเร็จในการเรยี นและการทาํ งาน อาจตอ้ งตดั เยบ็ เสอื้ ผา้ บอ่ ยๆ ใหน้ า� สมยั อยเู่ สมอ ตอไปในอนาคต) ไม่เรียกว่าสุรุ่ยสุร่าย แต่คนท่ีมีอาชีพเป็นครู เงินเดือนน้อยท�าอย่างนั้นบ้าง อาจเรียกได้ว่า 3. ครูสุมถามนกั เรียนวา มแี นวทางในการเลอื กซ้อื สุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักประมาณตน เพราะการมี สนิ คาอปุ โภคบริโภคในชีวติ ประจาํ วันอยางไร เสอ้ื ผ้าใหม่ๆ นา� สมยั หลายๆ ชดุ ไมใ่ ชส่ งิ่ จา� เปน็ (แนวตอบ การเลือกซอื้ สนิ คาอุปโภคในชวี ิต ในการประกอบอาชีพเหมือนกับนักร้องและ ประจาํ วัน จะตองยึดหลักความประหยัด คมุ คา นักแสดง แตท่ ง้ั นม้ี ไิ ดห้ มายความว่าคนเป็นครู คุมราคา และมปี ระโยชนใ นการใชสอย ไมซ้ือ จะมเี ส้ือผ้าใหม่ๆ ไมไ่ ด้ พงึ มไี ดเ้ พียงแต่ต้องให้ ของเพยี งเพราะความอยากไดหรือเห็นวา สิง่ นนั้ ผู้บริโภคควรรู้จักประมาณตนในการซื้อของอุปโภคบริโภค พอเหมาะพอควรกับฐานะของตน นารกั สวยงาม แตใหซ ้ือเพราะมีความจําเปน ในชวี ิตประจาำ วนั จะตอ งใชง านของชนิ้ นนั้ ๆ อกี ทง้ั ยงั ควรพจิ ารณา จากฐานะการเงินของเราดวย ถา เรามรี ายได 82 มาก จะซ้อื ของราคาแพง กไ็ มเ ปน ไร แตถ ามี ฐานะปานกลางคงจะเลยี นแบบพฤติกรรมของ กจิ กรรมสรา งเสรมิ คนรวยไมได นอกจากนนั้ สนิ คา บางชนิดหาก ซือ้ ในฤดกู าลจะมีราคาถูกลง กค็ วรซ้อื ในฤดกู าล น้ันๆ เชน ผลไม เปน ตน) นกั เรยี นควรรู 1 การเดินสายกลาง ในทางพระพทุ ธศาสนาเรยี กวา “มัชฌิมาปฏิปทา” ครูมอบหมายใหนกั เรยี นศกึ ษาคนควา เพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั หลักธรรมทาง อนั หมายถงึ ขอ ปฏบิ ตั ทิ ที่ าํ ใหบ รรลนุ พิ พาน ซง่ึ ไมต งึ หรอื หยอ นเกนิ ไป มชั ฌมิ าปฏปิ ทา พระพุทธศาสนาทีม่ สี วนชวยสงเสรมิ ใหร ูจักประมาณตนและมีชวี ิตท่ีมี ในเชงิ พระปริยตั ธิ รรมหรอื เชิงทฤษฎีนนั้ มปี รากฏอยใู นพระไตรปฎ ก วิภงั คสูตร 8 ความม่ันคงทางดานเศรษฐกิจ จากนน้ั เขียนสรุปสง ครูผูสอน ซ่งึ พระพทุ ธเจาทรงประทานพระปฐมเทศนาแกป ญ จวคั คียท ้งั 5 โดยปฏเิ สธ การขอ งแวะกับ 2 ส่ิง คอื กามสุขัลลกิ านุโยค หมายถงึ การหมกมุนอยใู นกาม กจิ กรรมทาทาย และอตั ตกิลมถานโุ ยค หมายถงึ การทรมานตนใหลําบากโดยเปลา ประโยชน มมุ IT ครมู อบหมายใหนักเรยี นศกึ ษาคนควาเพม่ิ เตมิ เก่ยี วกบั หลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง แลวยกตัวอยา งบคุ คลท่ีเปน แบบอยา งในการปฏบิ ัตติ น ศกึ ษาคน ควาขอมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับเรอ่ื งการประมาณตน ไดท่ี ไดส อดคลองกบั หลักดังกลาว พรอมวิเคราะหพ ฤติกรรมทีน่ ักเรยี นสามารถ http://www.dhammathai.org เวบ็ ไซตธรรมะไทย นาํ มาประยกุ ตใ ชไดใ นชวี ติ ประจําวัน เขียนใสก ระดาษ A4 สง ครผู ูส อน 82 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๔) ตง้ั ผูม้ ศี ีลธรรมเปน็ พ่อบา้ นแม่เรือน พอ่ บา้ นแมเ่ รอื นในที่นี้ หมายถึง ผู้ทม่ี ี 1. ครใู หน ักเรยี นอภปิ รายเกีย่ วกบั ลกั ษณะของ ภาระหนา้ ทจี่ ดั การดแู ลทกุ อยา่ งภายในครอบครวั ครอบครัวในสังคมไทยปจ จบุ ัน พรอมวิเคราะห อาจเปน็ พอ่ แม่ หรอื สมาชกิ อน่ื ในครอบครวั คา� วา่ ถึงปญ หาและแนวทางในการแกไ ขรวมกัน ผมู้ ศี ลี ธรรม ในทนี่ หี้ มายถงึ คนซอื่ สตั ย์ ยตุ ธิ รรม (แนวตอบ ปจ จบุ ันครอบครัวในสังคมไทย มัธยัสถ์ มีเมตตา ขยันขันแข็ง ไม่หลงอยู่ใน มลี กั ษณะเปนครอบครวั เด่ียว ขนาดเล็ก และ อบายมุข เป็นต้น มีแนวโนม ท่ผี หู ญงิ เปน หวั หนา ครอบครวั เพ่ิม นอกจากนี้ พอ่ บา้ นแมเ่ รอื นยัง มากขึน้ ครอบครวั ท่ีมีเพียงพอ หรือแมลาํ พังก็ ควรเป็นคนรอบรู้เรื่องราวต่างๆ นอกบ้านด้วย เพมิ่ ขนึ้ เชน กนั อกี ทง้ั แนวโนม ทห่ี วั หนา ครอบครวั เพราะคนเราจะดูแลภายในบ้านให้ดีไม่ได้หาก จะมอี ายุนอ ยลงมจี าํ นวนมากขนึ้ จึงสง ผลให ไม่ร้เู รื่องนอกบ้านเลย เกดิ ปญ หาสมั พันธภาพภายในครอบครัว เนอ่ื ง ถา้ พ่อบา้ นหรอื แมเ่ รอื นเปน็ คน มาจากคนในครอบครวั ขาดหลกั คิด คณุ ธรรม สุรุ่ยสุร่าย เราก็พอวาดภาพได้ว่าครอบครัวน้ัน และศีลธรรมท่ีดใี นการดาํ เนินชีวติ จงึ ทาํ ใหไม จะต้ังอยู่ได้ไม่นาน ถ้าพ่อบ้านแม่เรือนติดสุรา อาจบม สอน หลอ หลอมสมาชกิ ในครอบครวั ให ชอบเล่นการพนนั ชอบเทยี่ วเตร่ เรากพ็ อเห็น ครอบครัวจะมีความสุข หากหัวหน้าครอบครัวมีศีลธรรม เปนบุคคลทม่ี ีคณุ ภาพของสงั คมได แนวทาง ไดว้ า่ ภายในครอบครวั จะตอ้ งมคี วามระสา�่ ระสาย และปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องตามทำานอง ในการแกไข คือ ใหการศึกษาท่ดี กี ับทุกคนใน และยุ่งเหยิงมาก ถ้าพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคน คลองธรรม สงั คม โดยปลูกฝง หลักคิดท่ดี ใี นการดําเนินชีวิต บนพ้ืนฐานของหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา 1 สง เสริมใหสือ่ ประเภทตางๆ ในสงั คมรจู ัก ไม่ยุติธรรม คนในบ้านก็จะเกิดการเล่นพรรคเล่นพวก อิจฉาริษยากัน ไม่สามัคคีปรองดองกัน นําเสนอสิ่งทเี่ ปน ประโยชนแ ละปอ งกันส่ือ ครอบครัวนั้นก็คงเจริญรุ่งเรืองได้ยาก หากพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนตระหนี่ไม่ท�าบุญท�าทานเลย ที่เปนภยั หรือไมเ หมาะสม) แม้มีฐานะท่ีพอท�าได้ ครอบครัวนั้นก็จะเป็นครอบครัวที่สมาชิกมีแต่ความเห็นแก่ตัว ขาดหลัก ยดึ เหนยี่ วทางใจ ในระยะยาวกจ็ ะหาความสงบสขุ ไดย้ าก เพราะคนเราทอ่ี ยดู่ ว้ ยกนั หากขาดหลกั 2. ใหนกั เรยี นแสดงความคิดเหน็ วา การที่สมาชกิ ยดึ เหนยี่ วทางใจแลว้ จะไมม่ ใี ครยอมรบั ฟงั ใคร มแี ตจ่ ะเอาเปรยี บซงึ่ กนั และกนั จะทะเลาะกนั แมแ้ ต่ ในครอบครวั เปนผูมศี ลี ธรรมมคี วามสาํ คัญตอ เรื่องเล็กๆ นอ้ ยๆ ความเปนอยขู องครอบครัวอยางไร ดังนั้น คนทเ่ี ปน็ พอ่ บ้านแม่เรอื น แมจ้ ะด้อยในเรอื่ งอื่นๆ ก็ยังไม่รา้ ยแรงนกั แตถ่ ้า (แนวตอบ การท่ีสมาชกิ ในครอบครัวเปน ผูม ี ด้อยคณุ ธรรมแลว้ ครอบครัวจะด�ารงอยู่ไดย้ าก ศีลธรรม แสดงใหเ หน็ วา ทุกคนมีหลกั คดิ ท่ดี ี กลา วคอื มพี ้นื ฐานความคดิ ทมี่ ีเหตุผล ๔) กุศลกรรมบถ ๑๐ ค�าว่า “กุศล” แปลว่า สิ่งท่ีดีท่ีชอบ บุญหรือความฉลาด สามารถแยกแยะสิ่งใดดี ส่ิงใดไมด ี เพ่อื เลือก “กรรม” แปลวา่ การกระทา� “บถ” แปลว่า ทาง ท่จี ะกระทาํ ไดอ ยา งถกู ตอ ง นับเปนสงิ่ ทีช่ ว ย กศุ ลกรรมบถ ๑๐ หมายถงึ ทางแหง่ การกระทา� ของผฉู้ ลาดหรอื คนดี เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ เสรมิ สรางสมั พันธภาพทีด่ ใี หแ กครอบครัว ความดีและความถูกตอ้ ง กศุ ลกรรมบถ ๑๐ นี้ แบ่งออกเปน็ ๓ หมวดใหญๆ่ ดังนี้ โดยเฉพาะอยา งยงิ่ หวั หนา ครอบครวั ผทู าํ หนา ที่ รบั ผิดชอบจดั การทกุ อยางภายในครอบครัว 83 จาํ เปนตอ งมศี ลี ธรรม เพ่อื เปน แบบอยางและ หลอหลอมสมาชกิ ในครอบครัวใหเปนบคุ คล ท่ีมคี ุณภาพในสังคมตอไป) แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรยี นควรรู หลกั ปฏบิ ตั ใิ นการทาํ ใหค รอบครวั มคี วามสขุ สอดคลอ งกบั กลุ จริ ฏั ฐติ ธิ รรม 4 1 สามคั คี คอื การรวมพลงั กบั ผอู นื่ เพอื่ เพม่ิ ขดี ความสามารถของตนในการกระทาํ ขอใด สงิ่ ใดส่ิงหน่งึ ดว ยความพรอ มเพรยี งใหสาํ เร็จผล ซึ่งความพรอ มเพรียงจําแนกได 2 ประเภท ไดแ ก 1. รจู กั ประมาณตนในการใชจ า ย 2. หัวหนาครอบครวั เปน คนมีศีลธรรม 1. ความพรอ มเพรยี งทางกาย คือ การชวยเหลือซง่ึ กนั และกนั ดวยกาํ ลงั กาย 3. ของใชช ํารดุ เสยี หายตองรบี ซอมแซม ใหสาํ เรจ็ ลลุ วง 4. จัดเตรียมของกนิ ของใชไวอ ยา ใหขาด 2. ความพรอมเพรยี งทางใจ คือ มใี จทีห่ วงั ดตี อกนั มีเจตนาท่ีจะแสดง วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. หวั หนาครอบครัวที่เปน คนดี มศี ลี ธรรม ความคิดเหน็ เพ่ือพฒั นาไปในทิศทางที่ดี มคี ณุ ธรรม และปฏบิ ตั หิ นา ทข่ี องตนไดอ ยา งถกู ตอ งตามทาํ นองคลองธรรม ยอ มดูแลจดั การทกุ อยา งภายในครอบครัวไดเปนอยางดี ครอบครัวกจ็ ะ มีความสุข สมาชกิ ในครอบครวั กจ็ ะรักใครกลมเกลียวกัน และอยรู วมกนั ดว ยความรกั ความเขาใจ คูม อื ครู 83
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูและนกั เรียนอภิปรายรวมกนั เกยี่ วกบั กศุ ล- ๔.๑) ความประพฤติดที างกาย มี ๓ อยา่ ง ดงั ตอ่ ไปน้ี กรรมบถ 10 จากน้ันใหน ักเรียนสํารวจตนเองวา (๑) เว้นจากการฆา่ สัตว์ คือ ไมท่ า� ลายชวี ิตทกุ ประเภท ไมท่ รมาน ไมร่ งั แก ในชวี ิตประจําวันของนกั เรยี นไดป ฏิบัติตนตาม สัตว์ แตม่ คี วามละอายต่อการเบยี ดเบียน มคี วามกรุณาเอ็นดสู ัตวท์ ัง้ หลาย ชว่ ยเหลือเก้อื กูลกนั หลักกุศลกรรมบถ 10 อยางไรบา ง แลว บนั ทึก เท่าที่จะท�าได้ ควรละเว้นจากการท�าให้ชีวิต ลงในสมดุ บันทกึ ความดีสง ครผู ูสอน ผู้อื่นต้องตายหรือบาดเจ็บ เราต้องการให้ผู้อ่ืน ช่วยเหลือหรือเมตตาเราอย่างไร เราก็ควรท�า 2. ครูใหน ักเรียนหาขา วเหตกุ ารณป ระจาํ วนั จาก อย่างนั้นกับผู้อ่ืนกอ่ น ส่อื ตา งๆ เชน หนังสอื พมิ พ วทิ ยุ โทรทัศน (๒) เวน้ จากการลกั ขโมย เกี่ยวกบั บุคคลทีป่ ระพฤตดิ ที ้ังทางกาย วาจา คอื การไมถ่ อื เอาสงิ่ ของทเ่ี จา้ ของมไิ ดใ้ หม้ าโดย และใจ แลวครสู ุมตัวแทนนกั เรียนออกมา ทุจริต เราควรเคารพในสิทธิของผู้อื่น เมื่อเรา เลา ใหเ พ่อื นฟง พรอมกับชว ยกนั วิเคราะหวา หาทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองมาไดด้ ว้ ยความยากลา� บาก พฤติกรรมดังกลาวมผี ลดีตอ ตนเองและสงั คม ไม่อยากให้ใครมาฉกฉวยเอาส่ิงของของเราไป อยางไร ฉนั ใด ผอู้ น่ื กย็ อ่ มมคี วามรสู้ กึ หวงแหนทรพั ยส์ นิ ของเขาฉนั นน้ั ผทู้ มี่ คี วามสจุ รติ ตอ่ ทรพั ยส์ นิ ของ 3. ครใู หน กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา ถา หากเพอื่ น การทำาบุญด้วยการปล่อยปลาเป็นการปลดปล่อยชีวิต ผ้อู ื่น ยอ่ มเป็นบคุ คลทีน่ ่าเช่ือถือ นา่ ไวว้ างใจ ของนกั เรยี นไปขโมยของจากผูอ่ืนมา แลวให ของสรรพสัตว์ ถอื เปน็ การประพฤติดที างกายวิธีหน่ึง 1 (๓) เวน้ จากการประพฤติ นักเรียนชว ยปด เปนความลับ นักเรยี นจะมี แนวทางในการแกไขปญหาเพ่อื ใหถกู ตอ งตาม ผดิ ในกาม คือ ชายก็ไม่ล่วงเกินลกู เมียผู้อนื่ โดยผดิ ประเวณี ส�าหรับหญิงกไ็ ม่ควรมีความสมั พันธ์ หลกั กศุ ลกรรมบถ 10 ไดอ ยางไร เชิงชู้สาวกบั สามผี ูอ้ ่นื การหาคู่ครองเป็นธรรมดาของโลก แตค่ วรทา� ตามประเพณี ไมท่ �าร้ายจติ ใจ (แนวตอบ ครูเปด โอกาสใหน ักเรียนแสดงความ ผูอ้ น่ื โดยการไปมคี วามสมั พันธ์เชงิ ช้สู าวกบั สามภี รรยาของผอู้ ่ืน คดิ เหน็ ไดอยางหลากหลาย โดยคํานึงถงึ การคิด ๔.๒) ความประพฤตดิ ที างวาจา มี ๔ อยา่ ง ได้แก่ วิเคราะหท ม่ี เี หตุผลบนพ้ืนฐานของความถูกตอง (๑) เว้นจากการพูดเท็จ คอื การพูดสิ่งท่เี ปน็ จริง ค�าพดู จะเปน็ เทจ็ หรอื ไม่ ทางกฎหมายและกฎทางศลี ธรรม ดงั เชน หลักธรรมกุศลกรรมบถ 10 เปน ตน ) ตอ้ งดูที่เจตนา บางคนพดู ผดิ จากความเปน็ จริง แตเ่ น่อื งจากเพราะความเขลา ความไมร่ ู้ อย่างน้ี ไมเ่ รยี กว่า “พูดเทจ็ ” โลกเราหากมแี ตก่ ารพดู เท็จแล้วกค็ งยุง่ เหยิง ระสา่� ระสาย จะไม่มีใครเชื่อใคร จะไมม่ ใี ครกลา้ ทา� อะไร การพดู เทจ็ เปน็ โทษทงั้ แกส่ ว่ นรวมและแกต่ วั เอง เปน็ โทษแกส่ ว่ นรวมเพราะ ท�าใหเ้ กดิ ความป่ันปว่ น เปน็ โทษแกต่ นเองเพราะจะไม่มใี ครเชื่อค�าพดู ของตน (๒) เว้นจากการพูดส่อเสียด คือ เอาความฝ่ายหนึ่งไปบอกอีกฝ่ายหนึ่ง จรงิ บา้ งเทจ็ บา้ ง แตม่ เี จตนาทจี่ ะใหค้ นเขา้ ใจผดิ ใหค้ นทะเลาะกนั แตกสามคั คกี นั ถา้ เปน็ เรอื่ งเลก็ ๆ ก็อาจท�าให้เกิดการแตกความสามัคคีกันในกลุ่มชน แต่ถ้าเป็นเร่ืองใหญ่อาจท�าให้ชาติบ้านเมือง เสียหายได้ เราควรพูดแต่ค�าท่ีจะสมานรอยร้าว ช่วยให้คนท่ีก�าลังทะเลาะกันน้ันเลิกทะเลาะและ หนั มาสามัคคกี ัน 84 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดเปนการปฏบิ ตั ิตนท่สี อดคลองกบั การประพฤตทิ างกายทด่ี ีตาม ครสู ามารถศึกษารายละเอียดเพิม่ เติมเกยี่ วกับความประพฤติดีทางวาจา หลกั กศุ ลกรรมบถ 10 ในหนังสอื แกนพทุ ธศาสน ของทานพทุ ธทาสภิกขุ 1. ประภาปลอยใหยงุ กดั เพราะการฆา สัตวน้นั เปนบาป 2. สมภพลงโทษสนุ ขั โดยไมใหอ าหารและน้าํ เปน เวลา 3 วนั นกั เรียนควรรู 3. กมลซอ้ื โทรศัพทม อื สองตอจากเพ่อื นทีข่ โมยมาเพราะราคาถูก 4. สนิ สมุทรเก็บเงนิ ไดจากสนามเดก็ เลนจึงนําไปคืนครูประจําชั้น 1 ผดิ ประเวณี คอื การกระทาํ ผดิ ตอ คคู รองทงั้ ของตนและของผอู ่นื เชน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. การปฏิบตั ิตนตามหลักกุศลกรรมบถ 10 การมีความสมั พนั ธเ ชงิ ชูส าวกับผทู ่มี ิใชสามภี รรยาของตน รวมถงึ การใชกําลัง คือ การกระทําเพ่อื ใหเกดิ ความดแี ละความถกู ตอง ดงั นั้น การประพฤติ ฉุดครา ขม เหง กระทําชําเราผอู นื่ ซ่ึงมีผลใหผ อู น่ื ไดร บั ความเดือดรอน และ ทางกายทด่ี ี มี 3 ประการ ไดแ ก เวน จากการฆาสัตว ไมทรมานหรอื สงผลกระทบตอความมัน่ คงภายในครอบครวั พระพทุ ธศาสนาจึงสอนให เบยี ดเบียนสัตวท งั้ หลาย เวนจากการขโมย ไมน ําสงิ่ ของของผูอื่นมา พุทธศาสนกิ ชนละเวนจากการประพฤติผิดประเวณี เพ่อื กอใหเกดิ ความดแี ละ ครอบครอง และเวนจากการประพฤตผิ ิดในกาม ไมล ว งเกินคูครอง ความถูกตอ งขึน้ ในสงั คม ของผอู น่ื คําตอบในขอ 4. ถือเปนการเวน จากการขโมย 84 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู โกรธแคน้ ได้ ค�าหยาบ(ร๓ว)มเไวป้นถจึงากกากราพรดู พกูดรคะ�าทหบยการบะเทคยี �าบหยแาดบกทด�านัใ1ห้ผสู้ฟาปังรแะชคง่ ายคห�าูพกว่อกในหีพ้ ้เกดู ิดไปคแวาลม้ว 1. ครนู าํ ขอความส้นั ๆ ท่ีมีลกั ษณะทแ่ี สดงถงึ การ มแี ต่ทา� ใหเ้ กดิ ความขุน่ มวั ในขณะทพ่ี ดู ผู้พดู อาจจะพอใจที่ไดก้ ล่าวออกไปโดยไมย่ ้งั คดิ แต่ความ พูดเท็จ การพดู สอ เสียด การพดู คาํ หยาบ และ พอใจน้ไี มน่ านก็หาย แตผ่ ลเสยี ทเ่ี กิดขนึ้ น้ันอาจมมี ากมายมหาศาล อาจนา� ไปสู่การทะเลาะวิวาท การพูดเพอ เจอ มาใหนักเรียนอาน แลวให บาดหมาง หรอื ถงึ กับฆา่ กันตายก็ได้ ดงั นนั้ เราจะต้องระมัดระวงั ตัว พยายามคดิ ก่อนพดู นกั เรยี นบอกวา ขอ ความดงั กลา วสอดคลอ งกบั ลักษณะการพดู แบบใด และเกิดโทษอยา งไร (๔) เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ การพูดเพ้อเจ้อ คือ การพูดท่ีไร้สาระไม่มี ตอผพู ดู และผฟู ง แก่นสาร ไม่ท�าให้เกิดประโยชน์แก่ใคร การพูดเพ้อเจ้ออาจไม่ใช่การพูดเท็จ แต่เป็นการพูดผิด กาลเทศะ ไม่ตรงกับเรือ่ งทีว่ งสนทนาก�าลังสนใจกนั อยู่ หรอื เป็นคา� พดู ทชี่ วนให้เขาออกนอกเร่ือง 2. ใหน ักเรียนออกมาเลาเหตุการณทเ่ี กดิ จาก คือ พูดเรื่องนี้ยังไม่จบก็ไปพูดเรื่องใหม่ อย่างน้ีก็เรียกว่าพูดเพ้อเจ้อได้เหมือนกัน ถึงแม้การพูด ความผดิ พลาดเพราะการใชค าํ พูดใหเ พือ่ นฟง เพ้อเจอ้ จะไมใ่ ห้โทษมากเหมอื นการพดู เทจ็ แตก่ ไ็ รป้ ระโยชน์ เสยี เวลา ไมก่ ่อให้เกิดการสรา้ งสรรค์ หนา ชนั้ เรยี น แลวใหเ พอื่ นชว ยกนั สรุปขอคดิ แตอ่ ยา่ งใด ดงั น้ัน เราจงึ ไม่ควรประพฤติ ทไ่ี ดจากการฟงเรอื่ งราวดังกลา ว พรอมกบั สรปุ การปฏิบตั ติ นทางวาจาท่ีดีตามหลัก ๔.๓) ความประพฤตดิ ที างใจ มี ๓ อยา่ ง ดงั น2ี้ กุศลกรรมบถ 10 (๑) ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น ความโลภ คือ ความอยากได้ของผู้อื่นท่ีตน 3. ครใู หนกั เรยี นทํากจิ กรรมที่ 3.7 จากแบบวดั ฯ ไม่มีสิทธิอันชอบธรรม แต่การอยากได้ของผู้อื่นโดยหาของมาแลกเปลี่ยนจนเป็นที่ตกลงกันน้ัน พระพุทธศาสนา ม.2 ไมถ่ ือวา่ โลภ ความคดิ โลภเมอ่ื เกิดแลว้ เป็นทางพาไปสคู่ วามทุจริต ความโลภทเี่ กดิ ขนึ้ ชว่ั ขณะหนง่ึ แล้วหายไปก็ไม่เป็นไร แต่การครุ่นคิดมุ่งท่ีจะเอาของผู้อื่นโดยท่ีตนไม่มีสิทธินั้น จะเป็นทางไปสู่ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ ความหายนะ เพราะถึงลงมือท�าส�าเร็จ สักวันหนึ่งเขาก็คงจับได้ และเราควรคิดถึงใจเขาใจเรา พระพทุ ธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 3.7 ควรคดิ เรือ่ งการเสยี สละบา้ ง จะทา� ให้ความคดิ โลภอยากไดข้ องผูอ้ นื่ ลดนอ้ ยลงไป หนวยที่ 3 หลกั ธรมทางพระพุทธศาสนา เร่อื งนา่ รู้ กจิ กรรมที่ ๓.๗ ใหน กั เรยี นพจิ ารณาภาพตอ ไปนี้ แลว วเิ คราะหห ลกั ธรรมมรรค คะแนนเต็ม คะแนนท่ีได สปั ปุริสธรรม 7 ในประเดน็ ท่กี ําหนด (ส ๑.๑ ม.๒/๘) คำาวา่ สปั ปรุ ิสธรรม หมายถึง ธรรมของคนดีหรอื คณุ สมบตั ิของคนดี มี ๗ ประการ ดังน้ี ñð 1. ธัมมัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักเหตุ สามารถที่จะพิจารณา วิเคราะห์หาสาเหตุของสถานการณ์ได้ ภาพท่ี ๑ ๑. สอดคลองกบั หลักธรรม มคี วามรแู้ ละเขา้ ใจสิ่งที่ตนจะต้องประพฤติ ปฏิบัติ ตามเหตุและผล 2. อัตถญั ญุตา คือ ความเป็นผรู้ จู้ กั ผลทีเ่ กดิ จากเหตุ สามารถที่จะวเิ คราะห์ได้วา่ ผลอยา่ งนเี้ กิดจากอะไร …บ…ุพ…พ…น…ิม…ติ……ขอ…ง…ม…ชั …ฌ……ิมา…ป…ฏ…ปิ……ท…า………………….. 3. อตั ตัญญุตา คือ ความเปน็ ผรู้ ู้จักตน สามารถท่จี ะพจิ ารณาวิเคราะห์ตนเองไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ตามความ …(ก…ัล……ย…าณ……ม…ติ …ร…)…ด…ร…ุณ……ธ…ร…ร…ม……๖………………….. เปน็ จริง ตามเพศ กำาลัง ความร้คู วามสามารถ ความถนัด และคณุ ธรรมของตนเอง 4. มตั ตัญญุตา คอื ความเป็นผรู้ ู้จกั ประมาณตน ๒. ประโยชนที่ไดจากการปฏิบัติตนตาม 5. กาลญั ญตุ า คอื ความเป็นผู้รจู้ ักกาล รู้จกั ระยะเวลาท่ีเหมาะสม ทพี่ งึ ใช้ในการประกอบหน้าที่การงาน หลักธรรม 6. ปรสิ ญั ญตุ า คอื ความเปน็ ผรู้ จู้ กั ชมุ ชน เขา้ ใจวา่ ชมุ ชนมสี ภาพเปน็ อยา่ งไร แลว้ ปรบั ปรงุ ตนเองใหเ้ หมาะสม …ก…า…ร…ได…ค…บ……เพ…อ่ื…น……ห…ร…อื …ม…ติ …ร…ท…ด่ี …ี …ช…กั …ช…วน……ก…นั .. กับชุมชนนน้ั …ท…ํา…ส…่ิง…ท…่ีด…ี……ใ…น…ท…่ีน……้ีค…ือ……ก…า…ร…ช…ว…ย…ก……ัน…ต…ิว.. 7. ปคุ คลปโรปรญั ญตุ า คอื ความเปน็ ผรู้ จู้ กั เลอื กบคุ คล รจู้ กั และเขา้ ใจความแตกตา่ งของบคุ คล และปฏบิ ตั ิ …ห…น…ัง…ส…ือ……เร…ีย…น………จ…ะ…ช…ว…ย…ใ…ห…ท…ุก…ค……น…ไ…ม…ล…ืม.. ต่อบคุ คลไดอ้ ย่างเหมาะสม …ค…ว…าม…ร…ูท…่เี…ร…ีย…น…ไ…ป……เป…น…ก……าร…ท…บ……ท…ว…น…ค…ว…าม…ร…ู…ส…ง…ผ…ล…ใ…ห…ส…อ…บ…ไ…ด…ค …ะ…แ…น…น…ด……ี ………………………………………………………. 85 ๓. การนาํ หลักธรรมมาประยุกตใชในการพัฒนาชุมชนและสงั คม …ก…า…ร…ชั…ก…ช…วน……ก…ัน…ท…ํา…ส…่ิง…ท…่ีด…ีม…ีป……ร…ะโ…ย…ช…น… ……ย…อ…ม…ส…ง…ผ…ล…ด…ีท…ั้ง…ต…อ…ต…น……เอ…ง……ช…ุม…ช…น……แล……ะส…ัง…ค……ม……ใ…น…ร…ะ…ด…ับ…ต…น…เ…อ…ง. เฉฉบลับย …ก…จ็ …ะ…ท…ําใ…ห…ช …วี …ิต…ม…คี …ว…า…ม…ส…ขุ …ค……วา…ม…เ…จ…ร…ญิ …ก…า…ว…ห…น…า……ใน……ร…ะด…ับ……ชมุ…ช…น…แ…ล…ะ…ส…ัง…ค…ม…ก…็จ…ะ…ไ…ม…เก…ิด……ป…ญ…ห…า…ส…ัง…ค…ม……ท…้งั …ย…งั . …ท…ํา…ให…ป…ร…ะ…เ…ท…ศ…ช…าต……ิเจ…ร…ญิ …ก…า…ว…ห…น…า…ม…า…ก…ข…ึ้น………………………………………………………………………………………………………………. ภาพท่ี ๒ ๑. สอดคลอ งกับหลักธรรม …ก…ุล…จ…ิร…ฏั …ฐ…ติ …ธิ …ร…ร…ม……๔…………………………………….. ……………………………………………………………………….. ๒. ประโยชนท่ีไดจากการปฏิบัติตนตาม หลกั ธรรม …ก…า…ร…ซ…อ…ม…แซ…ม…ส……่ิงข…อ…ง…เ…ค…ร…อ่ื …ง…ใช…เ…อ…ง……จ…ะช…ว…ย.. …ให…ป…ร…ะ…ห…ย…ดั …ค…า…ใ…ชจ… า…ย…ข…อ…ง…ค…ร…อ…บ…ค…ร…วั …ท……าํ ใ…ห.. …ม…ีเง…นิ …เ…ห…ล…ือ…เ…ก…็บ…ไ…วใ…ช…ใ…น…ย…า…ม…จ…าํ เ…ป…น…………….. ๓. การนําหลกั ธรรมมาประยกุ ตใชใ นการพัฒนาชมุ ชนและสงั คม …ก…า…ร…รจู…ัก……ซ…อ …ม…แซ…ม…ส……ง่ิ ข…อ…ง…เ…ค…ร…่อื …ง…ใช…ท…่ีช…ํา…ร…ดุ …ใ…ห…ใช…ง…า…น…ไ…ด…ด…ี …น…อ…ก…จ…า…ก…จ…ะ…ท…าํ …ใ…ห…ค…ร…อ…บ…ค…ร…วั …ป…ร…ะ…ห…ย…ัด…ค…า…ใช…จ…า …ย. …แ…ล…ว …ย…งั …เป……น …ก…า…ร…ป…ร…ะห…ย…ดั…ก…า…ร…ใ…ช…ท …ร…พั …ย…า…ก…ร…ช…ว …ย…ล…ด…ป…ร…มิ …า…ณ…ข…ย…ะ…ท…อี่ …าจ…ก……อ ใ…ห…เ …ก…ดิ …ม…ล…พ…ษิ …ต…อ…ช…มุ …ช…น…แ…ล…ะ…ส…งั …ค…ม. …ได……อีก……ด…วย……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒๘ แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู การประพฤติดีทางวาจาตามหลักกุศลกรรมบถ 10 มีแนวทางในการ ครสู ุมถามนกั เรยี น 3-4 คนวา การพดุ คุยกนั ในหองเรยี นขณะที่ครกู ําลังสอนอยู ปฏิบตั ติ นอยา งไร จัดวา ผดิ กศุ ลกรรมบถขอ ใด และทําใหเ กิดโทษอยางไร แนวตอบ พยายามคดิ กอ นพูดทกุ ครงั้ รจู กั เลอื กใชคาํ พดู ใหเ หมาะสมกบั บุคคลและกาลเทศะ หลีกเลี่ยงการพูดจาสอ เสยี ด การพูดคาํ หยาบ และ นกั เรยี นควรรู การพูดเพอ เจอ เพราะนอกจากจะเปน ส่ิงทไ่ี รป ระโยชนแ ลว ยังสรางความ เดอื ดรอ นใหกบั ตนเองและผูอนื่ อีกดวย 1 แดกดัน คอื กลา วกระทบกระแทกหรอื ประชดผูอ น่ื เพราะความไมพ อใจ 2 ความโลภ ความอยากไดอยากมี เพราะไมพอใจในสิง่ ทีต่ นมี ซ่งึ ในทาง พระพุทธศาสนามีวิธบี รรเทาความโลภ คอื การใหทานหรอื บําเพญ็ ประโยชนต อ สวนรวมโดยไมห วังผลตอบแทน ฝก ควบคุมจติ ใหพ นจากความโลภโดยใชชีวติ อยาง เรียบงาย ไมย ดึ ตดิ กับวัตถุหรอื เงินทองภายนอก หม่นั รกั ษาศีล นั่งสมาธิ มสี ติ รูเทา ทันความอยากไดอยากมใี นจติ ใจทเี่ กิดขน้ึ คมู ือครู 85
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนักเรียนแสดงความคิดเหน็ วา หากมีคน (๒) ไม่คิดพยาบาท ความคดิ พยาบาท1คอื คิดแตจ่ ะให้ผู้อ่ืนได้รบั ความทกุ ข์ กลาววา “ทําดไี ดด ีมีท่ีไหน ทําช่ัวไดดมี ถี มไป” ความเจบ็ ปวด ความหายนะ ความคดิ พยาบาทเกดิ ขนึ้ เพราะผอู้ นื่ มาทา� เรากอ่ นสว่ นใหญ่ แตบ่ างที นักเรียนจะมวี ิธอี ธบิ ายใหบ คุ คลนนั้ เกดิ ความ คนบางคนก็คิดพยาบาทกับคนอ่ืนได้ โดยที่เขาไม่ได้ท�าอะไรให้เลย เป็นแต่เพียงอิจฉาริษยา เขา ใจทถ่ี กู ตอ งในหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ไมอ่ ยากให้เขาไดด้ ี ความคดิ พยาบาทเปน็ บอ่ เกิดของการกระทา� ท่ีชัว่ ร้าย แต่โดยทว่ั ไปแลว้ คนทีม่ ี อยางไร แต่ความคิดพยาบาทนั้นเองที่จะได้รับผลร้าย ความคิดแบบนี้จะท�าลายจิตใจของผู้คิดทีละน้อย (แนวตอบ ครูเปดโอกาสใหนกั เรียนแสดงความ ไม่เป็นอันท�าการงานหรือเล่าเรียน เป็นการท�าร้ายตนเองโดยไม่รู้ตัว หากเราคิดแต่จะให้คนอ่ืน คดิ เหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย โดยพจิ ารณาถงึ การให มีความสุขใจ เราก็ย่อมมีความสุข การงาน และการเล่าเรียนของเราก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น เหตุผลสนับสนุนคําอธิบายท่ีถูกตองเหมาะสม ดังนัน้ เราตอ้ งพยายามหา้ มใจมิใหค้ ดิ พยาบาทให้จงได้ โดยอาจยกตวั อยา งหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา (๓) มีความเห็นชอบ คือ เห็นว่า ท�าดีได้ดี ท�าช่ัวได้ช่ัว2ความส�าเร็จน้ัน มาประกอบการอธบิ าย เชน การปฏิบัตติ นตาม เกิดได้จากความพากเพียรมิได้เกิดจากโชคชะตา เห็นว่าการให้และการเสียสละนั้นมีผลต่อการ หลกั กุศลกรรมบถ 10 หลกั ธรรมกรรม เปน ตน ) ช�าระล้างจิตใจของเราให้บริสทุ ธ์ิได้ เหน็ วา่ ความทกุ ขร์ ้อนนนั้ มีสาเหตุและสาเหตุนน้ั ดบั ได้ เห็นว่า ความสงบสุขของชีวติ นั้นเกดิ ไดโ้ ดยการปฏบิ ัติตนท่ีถกู ตอ้ ง เป็นตน้ 2. ใหน กั เรยี นชว ยกนั บอกถงึ ผลดจี ากการปฏบิ ตั ติ น กศุ ลกรรมบถ ๑๐ เปน็ ธรรมทที่ กุ คนปฏบิ ตั ไิ ด้ หากมคี วามตง้ั ใจแนว่ แนเ่ พยี งแตใ่ ช้ ตามหลกั กศุ ลกรรมบถ 10 สตปิ ญั ญายงั้ คดิ ไมท่ า� อะไรไปโดยอารมณว์ วู่ าม คนเราเกดิ มามคี วามสามารถหลายอยา่ งไมเ่ ทา่ กนั (แนวตอบ การปฏบิ ตั ติ นตามหลกั กศุ ลกรรมบถ 10 เชน่ บางคนเรยี นเกง่ กวา่ บางคน บางคนเลน่ กฬี าเกง่ กวา่ บางคน แตท่ กุ คนมคี วามสามารถทจี่ ะเดนิ คือ การปฏิบัตติ นใหส จุ รติ ทง้ั กาย วาจา และใจ ตามแนวกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ได้เทา่ เทยี มกนั หากต้ังใจจะกระทา� และเดินตามแนวนแี้ ล้ว ไมเ่ พียงแต่ จงึ กอ ใหเ กดิ ผลดตี อ ตนเองและสงั คม กลา วคอื จะทา� ใหต้ นเองเจรญิ กา้ วหน้าเท่าน้ัน สังคมสว่ นรวมก็พลอยสงบสุขตามไปดว้ ย ทําใหผ ปู ฏิบตั เิ ปนท่รี กั ใครข องผูค นรอบขาง ๕) สติปฏั ฐาน ๔ หมายถงึ ที่ต้งั นา เคารพนบั ถอื เปนทยี่ กยองเชิดชูของผูอ่นื ของสติ สมั มาสติ (หรอื สตทิ ช่ี อบ) เปน็ องคม์ รรค สง ผลตอ การประสบความสาํ เรจ็ ในหนา ทกี่ ารงาน ข้อหนึ่งในมรรคมีองคแ์ ปด ส่ิงท่ตี รงกันข้ามกบั และมชี ีวติ ที่มีความสขุ ตลอดจนเปน สวนหน่ึง สติ คือ ความประมาท สติ คือความไมเ่ ผลอ ในการสรางสงั คมใหมแี ตส ง่ิ ทดี่ ีและยังชว ยให ไมเ่ ลนิ เลอ่ ไมเ่ ลอ่ื นลอย สตเิ ปน็ ตวั คอยเตอื นให้ สังคมมคี วามสงบสขุ ทําใหส ามารถพฒั นาสังคม เรายบั ย้ังตนเอง ไม่ใหห้ ลงเพลนิ ไปในทางที่ผิด ใหกา วหนาไดอยา งรวดเร็วและเปน สังคมทดี่ ี มศี ีลธรรม) เป็นตัวคอยป้องกันมิให้ความชั่วเล็ดลอดเข้าไป ในจิตได้ สติเป็นตัวปดิ โอกาสความชวั่ แตเ่ ปิด โอกาสใหแ้ กค่ วามดี สติ มคี วามหมายวา่ ความไมป่ ระมาท (อัปปมาทธรรม) พระพุทธองค์ให้ความส�าคัญ แกค่ วามไม่ประมาทมาก พระด�ารัสคร้ังสดุ ท้าย การนั่งสมาธิสามารถกระทำาได้ทุกเพศทุกวัย เม่ือทำาแล้ว จิตใจจะสงบ มีสติก่อให้เกิดผลดีท้ังในด้านการเรียนและ ของพระพทุ ธเจา้ กเ็ ปน็ เรอื่ งอปั ปมาทธรรม ดงั นี้ การประกอบสมั มาอาชีพ 86 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การตัง้ สตกิ าํ หนดพิจารณาสิง่ ตา งๆ ใหรูและเขา ใจในสจั ธรรม 1 ความคิดพยาบาท ทําใหร า งกายหลัง่ สารความเครียดออกมา ถา เกดิ ข้ึน หรอื รูเ ทาทนั เหตุการณท่เี กดิ ข้นึ เรียกวา อะไร เปนประจําจะมีผลกระทบตอสขุ ภาพรา งกาย ทาํ ใหเกิดโรคตา งๆ เชน โรคหัวใจ 1. สตปิ ฏฐาน โรคความดนั โลหิตสงู โรคมะเรง็ โรคเบาหวาน เปน ตน 2. มรณานุสติ 2 เสยี สละ คุณธรรมข้นั พ้ืนฐานของผูท อ่ี ยรู วมกันในสังคม ความเสียสละเปน 3. ธมั มานสุ ติ คณุ ธรรมสาํ หรบั ผกู มติ รไมตรี ยดึ เหนย่ี วจติ ใจใหก บั คนในสงั คม ทงั้ ยงั เปน เครอื่ งมอื 4. ปทมาทปฏ ฐาน สรา งลักษณะนสิ ยั ใหเ ปน คนทเ่ี หน็ แกป ระโยชนส ุขสว นรวมมากกวา ประโยชนส ุข วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. สติปฏฐาน หมายถึง ทีต่ ง้ั ของสติ สวนตวั ความเอือ้ เฟอ เผอื่ แผและการเสยี สละยอมใหผลท่ดี ีตอผูปฏบิ ัตแิ ละสงั คม สติ คือ ความไมเผลอ ไมเ ลินเลอ ไมเลอื่ นลอย ไมป ระมาท สามารถ รอบขา งเสมอ กอ ใหเ กดิ ความช่นื ชมยินดตี อกนั และกัน ไมวา จะเปนผใู หหรือผูร บั กาํ หนดพิจารณาสิ่งตางๆ ใหรูและเขา ใจในสจั ธรรม ตลอดจนรูเ ทาทัน คนท่มี นี า้ํ ใจเสียสละคิดจะเฉล่ยี แบง ปน ลาภผลและความสขุ ของตนแกผ ูอนื่ เหตุการณต า งๆ แยกแยะความชัว่ ออกจากความดี และรจู ักยับยง้ั ชงั่ ใจ อยเู สมอนน้ั ไมว า ใครๆ กอ็ ยากคบหาสมาคมดว ย ดงั นน้ั ผทู ม่ี องเหน็ การณไ กลควร ไมหลงเดินไปในทางทีผ่ ดิ พยายามฝก ตนใหเปน คนเสียสละจนเกดิ เปน อุปนิสยั เพ่อื ใหส ามารถปลดเปลื้อง ความทุกขท เี่ กดิ จากความโลภได 86 คูม ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู “สง่ิ ทง้ั หลายทปี่ จั จยั ปรงุ แตง่ ขน้ึ ยอ่ มมคี วามเสอื่ มสนิ้ ไปเปน็ ธรรมดา ทา่ นทงั้ หลายจงยงั 1. ครูและนกั เรียนอภปิ รายรวมกนั เกีย่ วกบั ประโยชนท์ มี่ ่งุ หมายใหส้ า� เร็จดว้ ยความไมป่ ระมาทเถิด” สติปฏฐาน 4 แลววิเคราะหวา สตปิ ัฏฐาน มี ๔ ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้ • สตมิ ีความสาํ คัญตอ การเรียนอยางไร (๑) พิจารณาเห็นภายในกาย คือ การต้ังสติก�าหนดพิจารณากาย ให้รู้เห็น (แนวตอบ สติ คอื ความระลกึ ได การรตู ัว ตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงกายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของเรา ตัวตนของเขา อยเู สมอ มจี ติ จดจอ กบั สง่ิ ทก่ี าํ ลงั กระทาํ ซงึ่ มี วธิ ีปฏบิ ัตมิ ี ๖ วิธี วิธที ร่ี ้จู ักกันดี คือ อานาปานสติ (การกา� หนดลมหายใจเขา้ ออก) ความสําคญั ตอ การเรยี น คอื ทําใหผ ูเรียน (๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เวทนาในท่ีนี้มิได้แปลว่าสงสาร แต่หมายถึง เกดิ สมาธิในการศกึ ษาเลา เรียน สามารถ ความรู้สึกเปน็ สขุ เป็นทกุ ข์ หรอื เฉยๆ วธิ ีนคี้ ือ การต้งั สตกิ �าหนดพจิ ารณาเวทนา ใหร้ ู้เห็นความ จดจําและเขาใจบทเรียนไดอยางแมนยาํ เปน็ จรงิ ว่า เป็นแต่เพียงเวทนาไม่ใช่สตั ว์ บุคคล ตวั ตนของเรา ของเขา ตลอดจนสามารถจดั ระบบความคดิ เพอ่ื การ (๓) พิจารณาเหน็ ในจิต คอื การต้ังสติก�าหนดพจิ ารณาจติ ให้ร้เู ห็นตามความเป็น เรยี นรูไดอยางเปนระบบ) จริงวา่ เป็นแตเ่ พียงจิตมใิ ชส่ ตั ว์ บคุ คล ตัวเรา ตัวเขา เมื่อจิตมรี าคะก็รู้วา่ จติ มรี าคะ จิตปราศจาก • สตมิ ีประโยชนตอการดาํ เนินชีวติ ประจําวัน ราคะก็ร้วู า่ จติ ปราศจากราคะ เป็นต้น อยางไร เป็นจรงิ วา่ เป็นเ(พ๔ีย) งพธรจิ รามรณไมา่ใเชหส่ น็ ตั ธวร์ รบมคุ ใคนลธรตรมวั เรคาอื ตวักเาขราตัง้มสีสตติพริ ิจจู้ าักรธณรรามธทรรัง้ มหลใาหยร้ ูเ้เหชน็่นตนามิวรคณวา์ ๕ม1 (แนวตอบ ในชวี ติ ประจาํ วันสติมปี ระโยชน อริยสจั ๔ เป็นตน้ ว่าคอื อะไร เป็นอย่างไร มาก ชว ยใหเรามีความระมัดระวัง การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ น้ี พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า “ทางสายเอก” ไมประมาท ไมเลนิ เลอ ความประมาทเปน ที่จะพาชีวติ ไ๖ป)ส คู่มวงาคมลส งบ๓ส๘ุข2ตั้งคแือต่รสะดิ่งบัทต่ีท้น�าๆใหจ้ นถงึ ระดบั สงู สดุ หนทางนาํ ไปสูความลมเหลว และอาจทําให เกิดความดีงาม เป็นธรรมที่น�ามาซึ่งความสุข เกิดอนั ตรายหรอื ความเสียหายรา ยแรงได ความเจริญ มีทั้งหมด ๓๘ ข้อ แต่ ณ ท่ีนี้ เชน เดินขา มถนน หากขาดสตอิ าจถูกรถชน จะกลา่ วถึง ๓ ขอ้ ดังน้ี ไดร บั บาดเจ็บสาหสั ได ถาระลกึ และรตู วั อยู ๑. ประพฤติธรรม ตลอดเวลาวากาํ ลังทาํ อะไร ดูซายดขู วา ๒. เว้นความชั่ว ใหด ีกอนขา ม หรอื เลือกใชส ะพานลอย ๓. เวน้ การด่มื น�า้ เมา เดนิ ขา มกเ็ ปนวิธีการปลอดภยั ทส่ี ุด ๖.๑) ประพฤติธรรม คนเรา นอกจากนี้ คนมีสติเมือ่ จะพดู หรือจะแสดง เกิดมาย่อมต้องการความสุข ความสุขของ กิรยิ าทาทางอะไรออกมากร็ ูสกึ ตวั อยูเสมอ แตล่ ะคนไมเ่ หมอื นกนั บางครง้ั บางคนตอ้ งการ ไมพ ดู หยาบ พูดเพอเจอ กิริยามารยาทก็ ความสขุ ทางใจมากกวา่ ความสขุ ทางกาย บางคน นม่ิ นวล ยอ มทาํ ใหเ ปนทร่ี กั ใครชอบพอ ต้องการความสุขทางกายมากกว่าความสุข ผลแห่งการปฏิบัติธรรมนำามาซึ่งความสงบสุขทางจิตใจ ของคนที่คบคา สมาคมดวย ชวี ติ กจ็ ะมีแต ทางใจ บางคนชอบความตืน่ เตน้ และผจญภยั อันจะส่งผลให้ชวี ติ มีความสุขความเจริญ ความราบรน่ื นอกจากมปี ระโยชนในการ ทาํ งานแลวยังทําใหใ จสงบดวย) 87 2. ครูใหน ักเรียนฝกสตปิ ฏ ฐาน 4 เปนเวลา 7 วัน บันทกึ ผลกอ นและหลังการปฏิบัติ พรอ มบอก ประโยชนท ไ่ี ดร บั จากการปฏบิ ตั ติ ามสตปิ ฏ ฐาน 4 บันทกึ ผลลงสมดุ สงครผู สู อน แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรียนควรรู การเดนิ จงกรม จดั เปนสตปิ ฏฐาน 4 ในขอ ใด 1 นิวรณ 5 คอื ธรรมทกี่ ัน้ จติ ไมใ หบรรลุความดี สิ่งท่ขี ดั ขวางจติ ไมใ หก า วหนา 1. กายานปุ สสนาสติปฏฐาน ในคณุ ธรรม มี 5 ประการ ดงั นี้ 2. จิตตานปุ สสนาสติปฏ ฐาน 3. ธมั มานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน 1. กามฉันท คือ ความพอใจในกามคณุ 4. เวทนานุปสสนาสติปฏ ฐาน 2. พยาบาท คือ ความคิดรายผอู ่นื 3. ถนี มิทธะ คอื ความหดหูซึมเซา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. การเดนิ จงกรม คือ การกาํ หนดจิตอยทู ีเ่ ทา 4. อุทธัจจกุกกจุ จะ คือ ความฟงุ ซา นและรําคาญ 5. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสยั โดยผูเดนิ จงกรมยืนตรง มือประสานกันไวด านหนาหรือดานหลงั ใชจ ิตกาํ หนด 2 มงคล 38 มีเหตมุ าจากเมอ่ื พระพุทธเจา ประทบั อยู ณ วัดเชตวัน กรุงสาวตั ถี อาการทีเ่ ทากาํ ลังกา วเดนิ ในแตล ะครั้งอยางชา ๆ ปลอยจติ ใหพ น จากความ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกพทุ ธบริษทั ทัง้ หลายทม่ี าทลู ถามปญหาวา อะไรเปน กงั วลตางๆ ซง่ึ กลา วไดว า เปนการกระทาํ ทพี่ ิจารณากายใหร ูเ ห็นตามความ มงคลสงู สุดของมนุษยท ัง้ หลาย โดยตรัสช้ไี ปที่ขอ ประพฤตปิ ฏิบตั ิท่จี ะนําความสุข เปน จริง เรียกวา กายานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน ความเจริญมาให 38 ประการ คมู อื ครู 87
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครแู ละนกั เรยี นอภปิ รายรว มกนั เกย่ี วกบั มงคล 38 บางคนชอบอยเู่ งยี บๆ งา่ ยๆ บางคนชอบงานสงั คม บางคนชอบอา่ นหนงั สอื อยกู่ บั จากน้ันใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นวา บา้ น บางคนตอ้ งการเงนิ มากๆ เพอื่ จะไดม้ คี วามสขุ บางคนตอ้ งการไมม่ ากนกั แตค่ วามสขุ เหลา่ นี้ ในสงั คมไทยปจ จบุ นั มสี งิ่ ใดทเี่ ปน เกณฑก ารตดั สนิ จะเกิดกับใครไม่ได้ ถ้าคนคนนั้นปราศจากส่ิงส�าคัญที่สุดสิ่งหน่ึง คือ “ธรรมะ” ไม่ว่าจะมั่งมีหรือ ความถกู ตอ งในการกระทําส่งิ ตางๆ ในชีวติ ยากจน โงห่ รอื ฉลาด เดก็ หรอื ผใู้ หญ่ เปน็ ชาวกรงุ หรอื ชาวชนบท เปน็ หญงิ หรอื ชาย ทา� งานเกง่ หรอื ประจาํ วนั ไมเ่ กง่ หากขาดธรรมะแล้ว ชีวติ ก็จะไม่มีความสขุ ความสงบ (แนวตอบ ครูเปด โอกาสใหน ักเรียนแสดงความ คิดเหน็ ไดอ ยางหลากหลาย โดยคาํ นึงถึงความ เราคงเคยเห็นว่าครอบครัวที่ม่ังมีเงินทองน้ันบางคร้ังไม่มีความสงบสุข คนท่ี ถกู ตอ งเหมาะสม เชน เกณฑก ารตดั สนิ ความ เรียนเก่งอาจเอาตัวไม่รอด ดังมีค�ากล่าวว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” วิชาความรู้ก็ดี ถกู ตองในการกระทาํ สง่ิ ตา งๆ ในสงั คมไทย ทรพั ยส์ มบตั กิ ด็ ี ความฉลาดและเกง่ กด็ ี ลว้ นเปน็ ดาบสองคม ถา้ ไมม่ ธี รรมะเปน็ หลกั ยดึ เหนยี่ วแลว้ คือ กฎหมาย กฎศีลธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ความวิบัติชั่วร้ายจะเกิดข้ึน ธรรมะคือหลักท่ีจะช่วยเตือนเราว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เป็นสิ่งท่ี ประเพณหี รือวฒั นธรรม คา นยิ ม ความคิด จะน�ามาซ่งึ ความสขุ สวัสดิท์ ัง้ แกต่ วั เองและสว่ นรวม ความเชื่อตางๆ เปนตน ) พระพุทธศาสนามีค�าสอนเกี่ยวกับหลักธรรมท่ีจะให้เราถือปฏิบัติมากมาย แต่ใน 2. ใหนักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ วา การทบ่ี ุคคล ท่นี ีจ้ ะกลา่ วถึงเบญจธรรม ๕ และเบญจศลี ๕ ดงั นี้ ยดึ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในการดําเนนิ เบญจธรรม ๕ ชีวติ จะเกดิ ผลดอี ยา งไร (แนวตอบ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาจะเปน ๑. เมตตากรุณา มีความรักใครเ่ พือ่ นมนษุ ย์ ชว่ ยเหลือเท่าที่ตนท�าได้ สงิ่ ท่ีคอยยํา้ เตอื นใหบคุ คลเลอื กกระทาํ ในส่ิงทีด่ ี ๒. สมั มาอาชวี ะ หาเลย้ี งชพี ทางสุจริต และถกู ตอง ท้งั ยังทําใหส ามารถอยูร ว มกบั ผูอ น่ื ๓. กามสงั วร เดินสายกลางเกย่ี วกบั ความสุขทางเน้ือหนงั ไดอ ยา งมคี วามสขุ ) ๔. สจั จะ พดู แต่ความจริง ๕. สตสิ มั ปชัญญะ รูส้ กึ ตวั อยเู่ สมอว่าอะไรควร อะไรไม่ควร 3. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ รวบรวมสภุ าษติ คาํ พงั เพย คาํ คม พทุ ธศาสนสภุ าษติ ทกี่ ระตนุ ใหผ คู นสนใจ เบญจศลี ๕ ประพฤตธิ รรม เขยี นลงสมดุ แลว นาํ สง ครผู สู อน ๑. เว้นจากการท�าลายชีวติ 4. ครใู หน กั เรยี นเขยี นความสมั พนั ธข องเบญจศลี 5 ๒. เว้นจากการลกั ขโมย ฉ้อโกง และเบญจธรรม 5 ในรปู แบบของผังความคิด ๓. เว้นจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม แลวนาํ สงครผู ูสอน ๔. เว้นจากการพูดเท็จ ๕. เว้นจากนา้� เมา และสิ่งเสพตดิ ทงั้ หลาย ๖.๒) เว้นความช่ัว ที่กล่าวข้างต้นเป็นเร่ืองการประพฤติธรรม การเว้นความช่ัว มกเ็าปกน็ มเารยอ่ื หงเลดายี ยวอกยบั ่ากงทาร่เี รปารคะวพรฤลตะธิเวรน้รมไแมต่พเ่ ึงปปน็ ฏกบิ าตัรมิ ทอส่ีงอา� คกี ญัดา้ นเชหน่ นง่ึอกพุศรละพกรทุ รธมศบาถสน๑า๐พ1ดูดถังงึทคี่ไวดา้กมลชา่ ว่ัว มาแลว้ 88 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดเปนประโยชนส ูงสดุ ในการศึกษาเบญจศลี -เบญจธรรม 1 อกศุ ลกรรมบถ 10 คือ ทางแหงกรรมชว่ั ทางแหง กรรมท่เี ปน อกุศล กรรมชว่ั 1. เพอื่ ใหร อบรวู ิทยาการแขนงตางๆ อนั เปนทางนาํ ไปสูทคุ ติ มี 10 ประการ ดงั นี้ 2. เพอื่ สงเสรมิ สติปญญาใหเฉลียวฉลาด • กายกรรม 3 ไดแก 3. เพอ่ื แกไ ขกรณพี พิ าททางศาสนาที่เกิดข้ึนในสังคม 1. ปาณาติบาต คือ การทําลายชวี ิต 4. เพือ่ รหู ลกั ธรรมและนํามาปฏบิ ตั ใิ นการดําเนินชีวติ 2. อทนิ นาทาน คอื การถือเอาของที่เขามิไดใ ห วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เบญจธรรม คอื ขอ ควรปฏบิ ัติ สวนเบญจศลี 3. กาเมสมุ จิ ฉาจาร คอื การประพฤติผดิ ในกาม คอื ขอหามปฏิบัติเพ่ือควบคุมกาย วาจา ใจใหด ํารงอยูในความดี ซ่งึ การ • วจีกรรม 4 ไดแ ก ศกึ ษาหลกั ธรรมทั้งสองจะชวยเปน แนวทางใหม นษุ ยด าํ เนินชวี ิตไดอ ยาง 4. มสุ าวาท คอื การพดู เท็จ 6. ผรสุ วาจา คือ การพดู คาํ หยาบ ถูกตองและมีความสขุ 5. ปสุณวาจา คือ การพูดสอ เสียด 7. สมั ผปั ปลาปะ คอื การพดู เพอ เจอ • มโนกรรม 3 ไดแก 8. อภชิ ฌา คือ ความละโมบคอยจองอยากไดข องเขา 9. พยาบาท คอื การคิดรา ยตอผูอื่น 10. มิจฉาทิฏฐิ คอื ความเห็นผดิ จากคลองธรรม 88 คูม ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ส�าหรับคนบางคน การเว้นจากการท�าความชั่วอาจง่ายกว่าการท�าความดีและ 1. ครูและนกั เรยี นอภปิ รายรว มกนั เก่ยี วกับ การประพฤติธรรม เช่น การไม่ท�าร้ายคนน้ันไม่ยากนักเพราะเป็นการ “ไม่ท�า” แต่การเสียสละ อกศุ ลมลู 3 แลว ใหนกั เรยี นชวยกนั ยกตวั อยาง เพ่ือช่วยคนอ่ืนนั้นอาจยากกว่าเพราะเป็น “การท�า” เป็นการลงทุนลงแรงท�าให้เราต้อง “เสีย” เหตกุ ารณท่เี กดิ จากตนตอของความช่ัว 3 อะไรไปบางอย่าง แตพ่ ุทธศาสนิกชนควรทา� ทั้งสองอยา่ ง คือ ละเวน้ ความชัว่ และทา� ความดี ประการ อันไดแ ก โลภะ โทสะ และโมหะ ความช่ัวท่ีพระพุทธศาสนาสอนให้ละเว้นมีมากมาย แต่จริงๆ แล้วอาจรวบรวม 2. ครูใหนักเรียนชวยกันบอกวธิ กี ารกําจัดตน ตอ ไดเ้ ปน็ ๓ อย่าง คอื อกศุ ลมลู ๓ แปลวา่ ต้นตอของความชว่ั ๓ ประการ อนั ไดแ้ ก่ โลภะ โทสะ ของความช่ัวหรอื อกุศลมลู 3 โมหะ หรือ โลภ โกรธ หลง (แนวตอบ วิธกี ารกาํ จัดตน ตอของความช่ัวหรอื อกุศลมูล 3 คือ การมสี ติ ตระหนกั รูในสงิ่ ที่ อกุศลมูล ๓ มีดังนี้ ตนกาํ ลงั คิด กาํ ลังกระทํา รูเทาทันความโลภ (๑) โลภะ คือ ความโลภ หมายถึง ความอยากได้โดยมิชอบ หรือความ โกรธ หลงท่จี ะเกดิ ขึ้นภายในใจ หม่ันน่งั สมาธิ บาํ เพญ็ จติ ใหเ กดิ ปญ ญาในการกระทาํ สง่ิ ตา งๆ อยากได้เกนิ พอดี เชน่ อยากไดส้ งิ่ ท่ไี ม่เป็นของตนโดยการหลอกลวง ฉอ้ โกง ขโมย เป็นต้น อยา งมเี หตผุ ลอยูเ สมอ ฝก ควบคุมตนใหชนะ (๒) โทสะ คอื ความโกรธแคน้ พยาบาท อิจฉารษิ ยา คดิ แต่อยากใหผ้ ้อู ืน่ จากกิเลสทั้งปวง และยดึ หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาในการดาํ เนินชีวิต) ประสบเคราะห์กรรม ประสบความหายนะ (๓) โมหะ คอื ความหลง ไมอ่ ยใู่ นหลกั ของเหตผุ ลและปญั ญา มคี วามลา� เอยี ง 3. ครใู หน กั เรยี นทาํ กิจกรรมที่ 3.6 จากแบบวดั ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 ไม่เปน็ กลาง คดิ ปกั ใจแต่เพียงดา้ นใดด้านหนง่ึ ตน้ ตอแหง่ ความชวั่ ท้งั ๓ นี้ อาจมิใช่ต้นตอของความช่วั ทั้งหมดในโลก แตก่ เ็ ป็น ต้นตอทีส่ �าคัญ หากละเว้นไดก้ ็จะเป็นการละเวน้ ความช่ัวได้หลายอยา่ ง ๖.๓) เว้นจากการด่ืมน�้าเมา ในท่ีน้ีหมายรวมถึง การติดของมึนเมา และ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมท่ี 3.6 ส่ิงเสพติดให้โทษ โทษที่เห็นชัดก็คือ เสียเงิน หนวยท่ี 3 หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา โดยเปลา่ ประโยชน์ แทนทจี่ ะใชเ้ งนิ ไปกบั อาหาร ท่ีเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การทะเลาะวิวาท คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด ก็เกิดข้ึนได้ง่ายในหมู่นักเลงสุรา เรื่องเล็กน้อย กิจกรรมท่ี ๓.๖ ใหนักเรียนอานกรณีศึกษา แลววิเคราะหหลักธรรมมรรค ก็กลายเป็นเรื่องให1ญ่ สุราท�าให้คนใจกล้าเป็น ในประเด็นดังตอ ไปนี้ (ส ๑.๑ ม.๒/๘) ñð พิเศษ ทา� ใหข้ าดสติ คนบางคนพอสุราเข้าปาก กเ็ ปล่ียนจากคนเงยี บขรมึ เปน็ คนกา้ วรา้ ว ดนัยเรียนอยูชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓ ในโรงเรียนประจําจังหวัด เขาเปนเด็กต้ังใจเรียน มีผลการเรียนดีมาตลอด เปนท่ีภาคภูมิใจของพอแมและเปนท่ีช่ืนชมของครูบาอาจารย สุราและสิ่งเสพติดท้ังหลาย และเพ่ือนๆ จนกระทั่งมาพบกับอนุชาซ่ึงยายมาใหมจากโรงเรียนอ่ืน ท้ังสองไดคุยถูกคอ ท�าให้เสียสุขภาพ บางคนบอกว่าการด่ืมสุรา จนเปน เพอื่ นสนทิ กนั แตอ นชุ ากลบั มพี ฤตกิ รรมตรงกนั ขา มกบั ดนยั เขาเปน เดก็ ทม่ี ผี ลการเรยี น เป็นยานั้นอาจเป็นความจริงบ้างหรือเพียงครึ่ง ย่ําแย เพราะชอบหนีเรียนไปเลนเกมคอมพิวเตอรและแอบสูบบุหรี่เปนประจํา จากการท่ี เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นยาพิษมากกว่า สุรา ทั้งสองคนเปนพื่อนสนิทกันทําใหดนัยเร่ิมมีพฤติกรรมเลียนแบบอนุชา จากท่ีเคยเปนเด็ก ท�าให้ร่างกายเสื่อมลงทีละน้อย และท�าให้คน มีผลการเรียนดี ทําใหภายหลังเขาเร่ิมมีผลการเรียนตกต่ําลงจนทําใหสอบตกหลายวิชา ปญั ญาดกี ลายเปน็ คนโง่ได้ นําความผดิ หวงั มาใหแ กครอบครัวของดนัยเปน อยา งยิ่ง ๑. ปญ หาของดนยั คอื อะไรและเกดิ จากสาเหตุใด …ป…ญ…ห……าข…อ…ง…ด…น……ัย……ค…ือ……ก……าร…ส……อ…บ…ต…ก……ซ…่ึง…เ…ก…ิด…จ…า…ก…ก…า…ร…ห…น……ีเร…ีย…น…ไ…ป…เ…ล…น…เ…ก…ม…ค…อ…ม…พ…ิว…เ…ต…อ…ร…แ…ล…ะ…ก…า…ร…แ…อ…บ. …ส…บู …บ…ุห…ร…ีเ่…ป…น…ป…ร…ะ…จ…าํ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. เฉฉบลับย การสอบตกของดนยั เปนเพราะเขามไิ ดป ฏิบัติตนตามหลักธรรมใดบาง …เช…น……ก…ุศ…ล……ก…ร…ร…ม…บ…ถ……๑…๐…ข…อ ……ส…ัม…ม…า…ท…ิฏ…ฐ…ิ …(ม…ีค……วา…ม…เ…ห…น็ …ช…อ…บ…)…ส……ต…ิป…ฎ …ฐ…า…น……๔……ม…งค……ล……๓…๘…ข…อ ……เ…วน……ค…ว…าม…ช…่ัว. เปน ตน……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. การประกอบอาชีพสุจริตเป็นการประพฤติท่ีถูกต้องดีงาม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. นาำ มาซ่งึ ความสขุ ทงั้ ตอ่ ตนเองและส่วนรวม ๓. ควรนําหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาขอใดมาชว ยแกไขปญ หาของดนัย 89 …ส…า…ม…า…รถ……น…าํ …ห…ล…ัก…ธ…ร…ร…ม……เช…น……ก…ศุ…ล……ก…ร…ร…ม…บ…ถ……๑…๐……ม…งค……ล……๓…๘……แ…ล…ะ…ส…ต…ปิ …ฏ…ฐ…า…น……๔……ม…า…ช…วย…แ…ก…ไ…ข…ป…ญ…ห…า…ไ…ด. …น…นั่ …ค…อื……ก…า…ร…ม…สี …ต…ิ …ไม…ป …ร…ะ…ม…าท……ไ…ม…เ ผ…ล…อ…ไ…ป…ก…บั …ก…า…ร…ท…าํ …ค…วา…ม…ช…ว่ั …โ…ด…ย…ไ…มห… …น…เี ร…ยี …น…ไ…ป…เล…น……เก…ม…แ…ล…ะ…แอ…บ…ส……บู …บ…หุ …ร…อี่ …กี . …แ…ล…ะ…ต…้งั …ใจ…เ…ร…ยี …น…ห…น…ัง…ส…อื……ค…ว…ร…เต……อื …น…เพ…่อื…น……ค……ือ…อ…น……ชุ า…ใ…ห…ล …ะ…เว…น …ด…ว…ย…เ…ช…น …ก…นั ……………………………………………………. ๔. หากเยาวชนมีพฤติกรรมอยา งดนัยและอนชุ าจะสง ผลตอ ตนเองและสังคมอยา งไร …ห…า…ก…เย…า…ว…ช…น…เล……ียน……แ…บ…บ…พ…ฤ…ต…กิ …ร…ร…ม…ข…อ…ง…อ…น…ชุ …า…แ…ล…ะด……น…ัย…ก…จ็ …ะ…ท…ําใ…ห…ต …น……เอ…ง…ม…ผี …ล…ก…า…ร…เร…ีย…น…ต……ก…ต…ํ่า……ไม…ส …า…ม…า…ร…ถ. …เร…ีย…น……ห…น…ัง…ส…ือ…ใ…น…ร…ะ…ด…ับ…ส…ูง…ต……อ…ไป…ไ…ด… ……ไม…ม…ีค…ว…า…ม…ร…ูท…่ีจ…ะ…น…ํา…ไ…ป…ป…ร…ะ…ก…อ…บ…อ…า…ช…ีพ…ส…ุจ…ร…ิต………ส…ง…ผ…ล…ก…ร…ะ…ท…บ…ท…ํา…ใ…ห. …ป…ร…ะ…เท…ศ…ช…า…ต…ิข…า…ด…บ…คุ …ล…า…ก…ร…ท…่จี …ะ…ช…วย…พ……ัฒ…น…า…ช…า…ต…ใิ ห……มคี……วา…ม…เ…จ…ร…ิญ…ก…า…ว…ห…น…า …………………………………………………………. ๕. นกั เรยี นควรนาํ ขอคิดท่ีไดม าใชใ นการพัฒนาตนไดอยา งไร …ต…ั้ง…ใ…จ…เร…ยี …น…ห…น……ังส……อื …ใ…ห…เ …ล…ือ…ก…ค…บ…เ…พ…่ือ…น…ท…ีด่ …แี…ล…ะ…ช…กั …ช…ว…น…ท…ํา…ใน……ส…่ิง…ท…ดี่ …ี …ห…ร…อื …ถ…า…ห…า…ก…เพ…่ือ…น…ค……น…ใ…ด…ม…พี …ฤ…ต…ิก…ร…ร…ม. …ท…ี่ไ…ม…ด …ีก…ใ็ …ห…ค…ํา…แน……ะน……ําใ…ห…เ …ขา…เ…ป…ล…ย่ี …น…พ…ฤ…ต…ิก……รร…ม………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒๗ แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู ทุกขอจัดอยูในอกุศลมลู 3 หรือตน ตอของความชัว่ 3 ประการ ยกเวน ขอ ใด ครใู หน กั เรียนศกึ ษาวเิ คราะหโ ครงการตา งๆ ที่จัดทําขึน้ เพอื่ รณรงคใหค นงดเวน 1. ความรกั 2. ความโลภ จากการด่ืมสรุ าและใชย าเสพตดิ ในชุมชนและทอ งถน่ิ วามผี ลดผี ลเสียอะไรบา ง เชน 3. ความโกรธ 4. ความหลง โครงการเมาไมข ับ โครงการงดเหลา เขา พรรษา เปน ตน และใหร ะบวุ านักเรยี นจะมี สว นรวมในโครงการเหลา นน้ั ไดอ ยางไร วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. อกศุ ลมลู 3 แปลวา ตนตอของความช่วั นักเรยี นควรรู 3 ประการ ประกอบดวย - โลภะ คือ ความอยากไดเกินพอดี 1 ทําใหข าดสติ การด่มื สุราทําใหเ กิดปญหาสงั คมตา งๆ มากมาย นอกจาก - โทสะ คอื คามโกรธแคน พยาบาท อิจฉาริษยา จะทาํ ใหเ กิดการทะเลาะววิ าท ลดทอนความสงบสุขของครอบครวั แลว ยังเปน - โมหะ คอื ความไมอ ยูในหลกั ของเหตุผลของปญ ญา มีความลาํ เอยี ง สาเหตุทาํ ใหเ กิดอบุ ตั เิ หตุ มผี ูไดรบั บาดเจบ็ และเสยี ชวี ติ จาํ นวนมากในแตละป ซ่งึ ลว นเปน สงิ่ ท่เี ชื่อมโยงทําใหเ กิดกิเลสอ่นื ๆ ไดอีกมากมาย อนั จะนํา จนรฐั บาลตอ งเขมงวดและกาํ หนดนโยบายเมาไมข บั ออกมา ความทุกขม าใหแกบ คุ คลผูนัน้ คูมือครู 89
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู ครูใหนกั เรยี นชวยกันบอกผลกระทบท่ีเกิดจาก คนขเี้ มานน้ั ไมม่ ใี ครเชอ่ื ถอื ไมอ่ ยากคบคา้ สมาคม ไมอ่ ยากทา� ธรุ ะตดิ ตอ่ ดว้ ยเพราะ การดมื่ นา้ํ เมา ไว้ใจไม่ได้ คนเมาสรุ าเป็นคนทกี่ ระท�าส่งิ ต่างๆ โดยขาดสติ การตกลงกันในเร่ืองตา่ งๆ กบั คนขเี้ มา ไมแ่ น่ว่าจะมกี ารท�าตามข้อตกลง (แนวตอบ การดมื่ น้าํ เมาหรือดืม่ สรุ าสงผลเสยี ในบรรดาส่ิงช่ัวท้ังหลาย โทษ ตอ ผูด่มื ในแงข องสขุ ภาพ ความนาเช่ือถือในสงั คม ของสุราและส่ิงเสพติดเป็นสิ่งท่ีเห็นได้ชัดและ และทาํ ใหเ กดิ ปญ หาสงั คมตา งๆ ตามมามากมาย ง่ายท่ีสุด บางคนอาจบอกว่าสุราน้ันถ้าด่ืมแต่ เชน การทะเลาะวิวาท การเกิดอบุ ัติเหตุบนทอ งถนน พอประมาณกไ็ ม่เสยี หายอะไร คนที่ดื่มสรุ าเป็น ปญหาความรุนแรงในครอบครวั เปน ตน ท้ังนส้ี งผล ครง้ั คราวใชว่ า่ จะตอ้ งเปน็ คนขเี้ มาเสมอไป เรอื่ งนี้ ตอ ความเจรญิ กา วหนา ของประเทศอกี ดว ย เป็นความจริง แต่อย่าลืมว่ามีคนเป็นจ�านวน เพราะรัฐบาลตองสญู เสียงบประมาณในการแกไข ปญหาและเยยี วยาผลทเี่ กดิ จากปญหาดังกลาว) ขยายความเขา ใจ Expand ไม่น้อยท่ีหยุดยั้งการดื่มไม่ได้ ต้อ1งด่ืมมากขึ้น เร่ือยๆ กลายเป็นคนติดสุราเร้ือรัง โดยเฉพาะ ผู้ท่ียังเป็นเยาวชนและอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน 1. ครใู หนักเรยี นชว ยกันสรุปหลกั ธรรม มรรค สมควรอย่างย่ิงที่จะหลีกหนีให้ห่างเพราะถ้าติด (ธรรมที่ควรเจริญ) บนกระดานหนาชั้นเรยี น สุราหรือส่ิงเสพติดใดๆ จนถอนตัวไม่ข้ึนแล้ว ส่ิงเสพติดและอบายมุขต่างๆ เป็นเหตุแห่งความหายนะ อาจทา� ให้เสียการเรยี นและเสียอนาคตได้ 2. ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ นาํ ขา วเหตกุ ารณป จ จบุ นั ทาำ ใหส้ ญู เสยี ทั้งชีวติ และทรัพย์สิน ท่เี ปน ปญ หาในระดับสังคมหรอื ระดับประเทศ เชน ขาวการระบาดของโรคตดิ ตอ ตา งๆ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นหลักความจริงท่ีพระพุทธองค์ทรงค้นพบด้วยพระองค์ ขา วนักเรียนยกพวกตีกนั ขา วปญหายาเสพตดิ เอง แล้วน�ามาเผยแผ่แก่มวลมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้เข้าใจความจริงของชีวิต ท้ังนี้หลักธรรม เปนตน แลวรว มกนั วิเคราะหเหตกุ ารณ สามารถให้ผลแก่ผู้ปฏบิ ตั ติ ามสมควรแหง่ การปฏบิ ัตนิ น้ั ๆ ดงั กลา วโดยนําหลกั อรยิ สัจ 4 มาแกปญหา จดั ทาํ เปนปายนิเทศ การท�าความเข้าใจในหลักธรรมค�าสั่งสอนต่างๆ ของพระพุทธองค์ อาทิ หลัก พระรัตนตรยั และอริยสัจ ๔ ยอ่ มท�าใหเ้ ขา้ ใจหลักการด�าเนินชีวติ โดยเฉพาะหลักอริยสจั ๔ นน้ั สอนให้มนุษย์ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ต้ังอยู่ในความไม่ประมาท สอนให้ดับทุกข์ด้วยตนเอง ตลอดจนให้พิจารณาทุกส่ิงตามความเป็นจริง หลักธรรมเหล่าน้ีสามารถน�ามาประยุกต์ใช้เป็น เคร่ืองมือน�าทางให้ด�าเนินชีวิตอย่างถูกต้องและดีงามได้ ดังนั้น พุทธศาสนิกชนท่ีดีจึงควรศึกษา หลกั ธรรมตา่ งๆ ใหช้ ดั เจนเพอ่ื นา� ไปปฏบิ ตั ิ เพราะถา้ หากไมเ่ ขา้ ใจหลกั ธรรมดแี ลว้ การปฏบิ ตั กิ อ็ าจ คลาดเคลอื่ นไปได้ 90 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET พัชราภาเสียใจท่สี อบวชิ าพระพุทธศาสนาไมผา น ตามหลกั อริยสัจ 4 1 สรุ าเร้อื รงั ผูป วยที่เปน โรคพิษสุราเร้ือรงั จะมีความอยากหรอื กระหายสุรา พชั ราภาควรแกป ญหานีอ้ ยางไร อยา งมาก สามารถดื่มสรุ าไดโดยไมจํากัด เมอื่ หยุดดื่มสุราจะมีอาการคลนื่ ไส 1. ลาออกจากโรงเรยี น อาเจยี น มอื ส่ัน กระวนกระวาย ซ่ึงสง ผลเสียตอ การดําเนนิ ชวี ติ ในหลายๆ ดาน 2. ลอกขอ สอบเพอ่ื นทส่ี อบผา น เชน ทําใหค วามสามารถในการขับขลี่ ดลงอาจกอใหเ กิดอบุ ัตเิ หตไุ ด แอลกอฮอล 3. ขอรอ งอาจารยใ หออกขอสอบงา ยขนึ้ สงผลเสยี ตอทุกเซลลของรางกายโดยเฉพาะระบบประสาท หวั ใจ และหลอดเลอื ด 4. อานหนงั สือพฒั นาตนเองและฝกฝนทาํ ขอ สอบใหเช่ียวชาญขึ้น อกี ทง้ั เปน สารกระตุนใหเ กิดมะเร็งไดงา ยขึ้น ซ่งึ อาจจะเสียชีวติ ได วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ตามหลักอริยสัจ 4 ไดแ ก ทกุ ข สมุทยั นิโรธ มรรค พชั ราภาควรแกป ญ หาการสอบไมผ า นดว ยการวเิ คราะหส าเหตขุ อง มุม IT ความทุกขท ่ีเกดิ จากการสอบไมผา น จากน้นั หาแนวทางแกไ ขปญหาจาก สาเหตุนนั้ กลาวคอื ถาสาเหตเุ กิดจากการอา นหนงั สือนอ ยเกินไป แกไขโดย ศกึ ษาคน ควา เพ่มิ เติมเก่ยี วกบั มงคล 38 ไดท ่ี อานหนงั สอื ใหมากข้นึ ฝก ฝนทําขอสอบบอย ๆ เพ่ือใหเ กิดความชาํ นาญใน http://www.thammapedia.com เว็บไซตธ รรมะพีเดยี การทําขอสอบ 90 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand àÊÃÔÁÊÒÃÐ สตั ตมหาสถาคนุณประโยชนของอรยิ สัจ ๔ 1. ครใู หน กั เรยี นอภปิ รายรวมกนั ถงึ กระบวนการ สถานทส่ี ำาคัญ ๗ แห่งที่พระพทุ ธเจา้ เสด็จประทบั เสวยวิมุตตสิ ขุ หลังจากไดท้ รงตรสั ร้ธู รรมวิเศษ (อนตุ ตร- แกป ญหาตามหลักอรยิ สัจ 4 สมั มาส1มั . โอพรธิยิญสาัจณ )4แ ลส้วอเนปใ็นหเว้เรลาาไแมห่ปง่ ลระะม๑าสทปั ดคาือห์ เเตรือียนงตเราามวล่าำาดปับัญตหอ่ าไแปลนะ้ี ความทุกข์ของคนเรานั้นเกิดได้ทุกเมื่อ เราไมค่ วรหลงระเริง หลงั จากทแ่ี ก้ปญั หาใดปญั หาหน่ึงได้แลว้ ปญั หาใหม่อาจเกดิ ตามมาอีกมากมาย ชวี ิตและโลก 2. ครูสรางบัตรคําเก่ยี วกับสถานการณต า งๆ เต็มไปด้วยปญั หา โลกมใิ ชว่ มิ านสวรรค์ แต่โลกก็มิใช่ขมุ นรกทเี่ ราจะหลุดพ้นออกไปมไิ ด้ เราตอ้ งไม่มองโลกในแงด่ ี ท่ีเปนประสบการณใกลตวั ในชีวติ ประจาํ วัน และไมม่ องในแงร่ า้ ย เมือ่ มคี วามสขุ ก็ไม่หลงลมื ตวั แต่พรอ้ มจะเผชญิ ปญั หาทุกเมือ่ ของนกั เรียน ใหน กั เรียนจบั สลากคูล ะ 1 บตั รคํา แลว วเิ คราะหส าเหตุและแนวทางใน 2. อริยสัจ 4 สอนให้เราแก้ปัญหาด้วยปัญญาและเหตุผล คือ สิ่งท้ังปวงเกิดจากสาเหตุบางอย่าง การแกป ญหาดงั กลาวรว มกัน บนั ทึกลงสมุด หากต้องการแก้ปัญหาก็ต้องพยายามสืบสาวราวเรื่องให้ถึงต้นตอ ให้รู้ว่าต้นตอที่แท้จริงอยู่ที่ไหน หากดับต้นตอ สง ครูผูส อน ของปัญหาได้ก็ย่อมดับปัญหาได้ ไม่มอี ะไรทจ่ี ะเกิดขึ้นไดล้ อยๆ ทกุ อย่างต้องมเี หตมุ ปี จั จยั 3. ครใู หน กั เรยี นชวยกันบอกวา การเรยี นรู 3. อริยสัจ 4 สอนให้เราแก้ปัญหาด้วยตัวเราเอง ท้ังน้ีเพราะว่าปัญหาท่ัวไปที่เราประสบนั้นเกิดจาก หลักธรรมอรยิ สจั 4 สามารถนํามาประยุกตใช ตัวเราเอง ตัวเราเองเท่าน้ันจึงจะแก้ไขได้ จะอาศัยโชคชะตา ฤกษ์ยาม ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิเหนือธรรมชาติย่อมช่วยไม่ได้ ในชวี ิตประจาํ วนั ไดอ ยา งไร บางปญั หาอาจมผี อู้ นื่ เข้ามาช่วย แตใ่ นที่สดุ ตวั เราเองเท่านัน้ ท่จี ะรู้วา่ ความทกุ ข์หมดหรอื ยังไมห่ มด (แนวตอบ การเรียนรูหลกั อริยสจั 4 สอนใหร จู กั คดิ อยา งเปน ระบบ รจู กั แกปญหาดว ยปญ ญา 4. อริยสัจ 4 ช่วยให้เราเห็นสง่ิ ตา่ งๆ ตามความเป็นจรงิ มใิ ชน่ กึ คดิ เอาตามกิเลสตัณหาของเรา ชว่ ยให้ และเหตผุ ล สามารถวิเคราะหส าเหตแุ ละ เราหลุดพน้ จากกิเลสตัณหา ทาำ ใหเ้ กดิ แสงสวา่ งแหง่ ปัญญา และปัญญากจ็ ะเปน็ เคร่ืองนาำ ทางของชวี ติ ชวี ิตทีด่ ำาเนิน แนวทางในการแกป ญหาไดต ามความเปนจรงิ ไปตามปัญญาย่อมสงบสุข ปลอดโปร่ง ไม่คิดเห็นแก่ตัว จิตใจก็จะค่อยๆ คำานึงถึงผู้อื่น พร้อมที่จะรับรู้ความสุข ฝกใหรจู กั คิดอยางรอบคอบและมองการณไกล) ความทกุ ขข์ องเพอื่ นรว่ มโลก กอ่ ใหเ้ กดิ ความกรณุ าขน้ึ แลว้ บาำ เพญ็ ตนใหเ้ ปน็ ประโยชนส์ ขุ แกค่ นทว่ั ๆ ไป รวมทงั้ สตั ว์ ทงั้ หลายด้วย ปัญญากบั กรุณาที่ไปด้วยกันจะทำาใหโ้ ลกปกติสุข ซงึ่ ทงั้ หมดนี้เกิดไดจ้ ากการเข้าใจอรยิ สจั ๔ ตรวจสอบผล Evaluate 1 1. ตรวจสอบจากความถกู ตองในการตอบคําถาม พพรระะออาุโรบาสมถหวลัดวเงบชญน้ั เจอมกบชพนิตดิ รรดาชุส2วิตรววนหิ าารราตมงั้ อรยาชทู่ วเี่ ขรตวดิหสุ าติร และการอภิปราย กรงุ เทพมหานคร เปน็ พระอโุ บสถทมี่ สี ถาปตั ยกรรมงดงาม 2. ตรวจสอบจากความถกู ตอ งของเนอื้ หา มาก และใช้หินออ่ นสีขาวบริสทุ ธใิ์ นการกอ่ สร้าง และความสวยงามในการจดั ปายนเิ ทศ แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ลดาเสยี ใจทีไ่ มไ ดเหรยี ญทองในการแขง ขันกฬี าวอลเลยบ อล ครคู วรใหน กั เรียนออกมาเลาตัวอยา งเหตกุ ารณหรอื ประสบการณสว นตวั ทแ่ี สดง จัดเปนอริยสจั 4 ขอ ใด ใหเหน็ วาไดน าํ หลกั ธรรมอรยิ สจั 4 ไปใชแกป ญ หาในชีวิตประจาํ วัน 1. สมทุ ัย นกั เรยี นควรรู 2. นโิ รธ 3. มรรค 1 วดั เบญจมบพติ รดสุ ติ วนารามราชวรวิหาร ในสมยั พระบาทสมเดจ็ 4. ทุกข พระจอมเกลาเจา อยหู ัว โปรดเกลา ฯ พระราชทานนามวา “วัดเบญจบพิตร” หมายความวา วัดของเจา นาย 5 พระองค ครนั้ ในสมัยพระบาทสมเด็จ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ทกุ ข หมายถึง ความไมส บายกาย พระจลุ จอมเกลาเจาอยหู วั โปรดเกลา ฯ ใหเปล่ยี นช่ือวดั จาก “เบญจบพิตร” เปน “วัดเบญจมบพิตร” หมายถงึ วดั ของพระเจา แผนดิน รัชกาลท่ี 5 ไมส บายใจ ซง่ึ สอดคลอ งกบั ความรูส กึ เสยี ใจของลดา และเพิม่ สรอ ยนามวา ดสุ ิตวนาราม 2 พระอโุ บสถ หรือทีโ่ ดยทว่ั ไปเรยี กกันวา โบสถ อันเปนสถานทส่ี ําหรบั พระสงฆ ประชมุ ทําสงั ฆกรรม คูมอื ครู 91
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182