Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

Published by niyommusic, 2021-07-30 03:01:11

Description: คู่มือครู พระพุทธฯ ม.2

Search

Read the Text Version

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนกั เรยี นสืบคน ขอ มลู เรอ่ื งอานิสงสข อง ดังน้ัน ผาอาบนา้ํ ฝนหรือผา วสั สิกสาฎก ก็คอื ผาอาบนํา้ ทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนนํามาถวาย การถวายผา อาบนํา้ ฝน แลวนําขอ มูลมาเรียบ แดพ ระสงฆในฤดฝู น มีขนาดกวาง ๑ ศอกคืบ ๔ น้วิ ยาว ๔ ศอก ๓ กระเบียด (หรือกวา ง ๘๓ เรียงใหมแ ละตดิ ภาพประกอบลงในกระดาษ เซนตเิ มตร ยาว ๒ เมตร) A4 แลว นําสงครผู ูสอน ๒) วตั ถปุ ระสงคแ ละความสาํ คญั การถวายผา อาบนา้ํ ฝนแดพ ระสงฆ กเ็ พอ่ื ทาํ บญุ 2. ครใู หนกั เรยี นทํากิจกรรมที่ 6.2 จากแบบวดั ฯ และอปุ ภมั ภพ ระสงฆใ หม เี ครอื่ งใชท จี่ าํ เปน ตาม พระพุทธศาสนา ม.2 ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ ฤดกู าล พระพุทธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 6.2 ๓) วิธีปฏิบัติ การถวายผาอาบ หนวยท่ี 6 วันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพธิ � นาํ้ ฝน มีวิธปี ฏบิ ตั ิ ดังน้ี กิจกรรมที่ ๖.๒ ใหน กั เรยี นวเิ คราะหค ณุ คา ความสาํ คญั หรอื การปฏบิ ตั ติ น คะแนนเต็ม คะแนนท่ีได ๑. การถวายผาอาบนํ้าฝนไมมี ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามภาพพอสังเขป กฎเกณฑแ นน อนตายตวั วา จะตอ งถวายวนั ไหน ñð (ส ๑.๒ ม.๒/๓) ข้นึ อยูกับความเหมาะสมของแตล ะแหง ซึง่ โดย สวนใหญแลวจะกระทํากันในระหวาง แรม ๑ คาํ่ เดือน ๗ ไปจนถึงวนั ขึ้น ๑๕ ค่าํ เดอื น ๘ การถวายผาอาบนํ้าฝนเปนการทําบุญและชวยใหพระสงฆ และมักจะถวายกันในวันพระ เพราะเปนวันที่ การทาํ บญุ ตักบาตร การถวายสังฆทาน มีเครอื่ งใชท ีจ่ ําเปนตามฤดกู าล พทุ ธศาสนกิ ชนทง้ั หลายมาประชมุ พรอ มเพรยี ง …ช…วย…ท…ํ…าใ…ห…จ…ิต……ใจ…เ…ก…ิด…ค…ว…า…ม…ส…ง…บ………ส…ะ…อ…าด………แ…ล…ะ. …เป…น…ก…า…ร…ฝ…ก…จ…ิต…ใ…จ…ใ…ห…ร…ูจั…ก…ก…าร…เ…ส…ีย…ส…ล…ะ……เป……น…ผ…ูให…. …เบ…ิก…บ……าน………ม…ีค…ว…า…ม…เม…ต…า…ก…ร…ุณ……า……แ…ล…ะ…ยั…ง…ถ…ือ…เป…น…. …โด…ย…ท…ี่ไ…ม…ห…ว…ัง…ผ…ล…ต…อ…บ…แ…ท…น……แ…ล…ะ…เป…น……ก…า…รอ…ุป…ถ…ัม…ภ…. เฉฉบลับย กันแตใ นบางวดั กจ็ ัดถวายในวันเขา พรรษา คอื วันแ1รม ๑ คํา่ เดือน ๘ …ก…าร…ช…ว …ย…ท…าํ น…บุ…าํ…ร…งุ …ศ…า…ส…น…า…อ…กี …ท…ง้ั …ส…บื …ส…า…น…ป…ร…ะ…เพ…ณ…ี. …พ…ร…ะส…ง…ฆ…ไ…ด…ม …เี …ค…ร…ื่อง…อ…ุป…โ…ภ…ค…ท…ี่จ…ํา…เป…น…ไ…ว…ใ …ชส……อย………. ๒. ในวนั กาํ หนดถวายผา อาบนา้ํ ฝน พระภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก อบุ าสกิ าพรอ มกนั …อ…ัน…ด…ีง…าม…ใ…ห…ค …ง…อ…ย…ตู …อ …ไป……………………………………………. …………………………………………………………………………………. ในสถานทีก่ าํ หนด มนกี ําาผราทอําาวบัตนรา้ํสฝวนดวมานงตไวบด ูชา านพหรนะราตัพนรตะสรงยั ฆอ าหรัวาหธนนาาทศาีลยแกล2นะราํ ับกศลลีา วคําถวาย ดังนี้ ๓. การทอดกฐนิ การทอดผาปา คําอา น อมิ านิ มะยงั ภนั เต วสั สกิ ะสาฏกิ านิ สะปะรวิ ารานิ ภกิ ขสุ งั ฆสั สะ โอโณชะยามะ …ถ…ือ…เป…น…ก…า…ร…ท…ํา…บ…ุญ…ท…่ีไ…ด…อ…า…น…ิส…ง…ส…ม…า…ก……เ…น…ื่อ…ง…จ…าก…. …เป…น……พ…ิธ…ีก…ร…ร…ม…ท…่ีแ…ส…ด…ง…ถ…ึง…ค…ว…า…ม…ศ…ร…ัท…ธ…า……ร…ว…ม…ถ…ึง. สาธุ โน ภนั เต ภิกขุสงั โฆ อมิ านิ วัสสกิ ะสาฏกิ านิ สะปะริวารานิ ปะฏคิ คัณหาตุ …จ…ะก…ร…ะ…ท…ํา…ได…เ…พ…ยี …ง…ป…ล…ะ……๑…ค…ร…้ัง……เ…ป…น …ก…า…ร…อุป……ถ…ัมภ…. …ก…าร…ส…ร…า…ง…ก…ศุ …ล…ด…ว …ย…จ…ติ …ใจ…ท……่ีบ…ร…ิส…ุท…ธ…์ิ …เป…น …ก…า…ร…ช…ว…ย. อัมหากงั ทีฆะรัตตงั หติ ายะ สุขายะฯ …ให…พ…ร…ะ…ส…ง…ฆ…ไ…ด…ม…ีเ…ค…ร…ื่อ…งใ…ช…ท…่ีจ…ํา…เป…น………แ…ล…ะส…ะ…ท…อ…น…. …ให…พ…ร…ะ…ภ…ิก…ษ…ุส…ง…ฆ…เ…ก…ิด…ค…ว…า…มส……ะด…ว…ก…ไ…ม…ต…อ…ง…ค…อ…ย…ห…า. …ให…เ…ห…น็ …ถ…งึ …ป…ร…ะ…เพ…ณ……ีอนั……ด…ีง…าม……………………………………. …ผ…าบ…ัง…ส…กุ…ลุ…ม…า…ท…าํ …เป…น……เค…ร…่อื …ง…น…ุง…ห…ม…………………………. คาํ แปล ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวายผาอาบน้ําฝน พรอมกับ ของบรวิ ารทงั้ หลายเหลา น้ี แกพระภิกษสุ งฆ ขอพระภกิ ษสุ งฆ จงรับผาอาบนํา้ ฝน ๕๕ พรอมกับของบริวารทั้งหลายเหลาน้ี ของขาพเจาท้ังหลาย เพ่ือประโยชน เพื่อ ความสุขแกข าพเจา ท้ังหลาย ตลอดกาลนานเทอญฯ ๔. ในระหวางการกลาวคําถวายพระสงฆจะประนมมือ พอจบคํากลาวถวายแลว พระสงฆจะรับพรอมกันวา สาธุ แลว นาํ ผา ประเคนพระสงฆ ๕. พระสงฆอ นุโมทนาและใหพร อุบาสก อุบาสิกา กรวดนํ้าและรบั พร ๑๔๒ นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET มลู เหตใุ ดทาํ ใหเ กดิ ศาสนพิธีการถวายผาอาบนา้ํ ฝน 1 ผาอาบนํ้าฝน หรือผาวัสสิกสาฎก คือ ผาเปลยี่ นสาํ หรบั สรงนํา้ ฝนของ แนวตอบ ตามประวตั ิเลา วา เดิมพระพุทธเจา ทรงอนุญาตใหพ ระภิกษุใชผ า พระสงฆ ซ่ึงเปนผาท่ีมีลกั ษณะเดียวกับผา สบง (ผา นงุ ) เพือ่ ใหพ ระสงฆไดใ ชผลัด ไดเ พยี ง 3 ผืนเทาน้นั คอื ผา นงุ หรือผาสบง (อันตรวาสก) ผาหมหรือผา จีวร เปลีย่ นกับผา สบงปกติ (อตุ ราสงค) และผา พาดบา หรอื ผาคลมุ ช้นั นอก (สงั ฆาฏ)ิ ซงึ่ ใชห ม ซอนจีวร 2 หัวหนา ทายก มีคําศพั ท 2 คําเกีย่ วขอ ง คือ มัคนายกและมคั ทายก ในฤดหู นาวได รวมเรยี กวา ไตรจวี ร โดยท่ยี ังไมอ นญุ าตใหใชผ า อาบน้ําฝน วันหนึ่งฝนตก นางวสิ าขาใหส าวใชไ ปนมิ นตพระมาฉนั ภัตตาหาร • มคั นายก เปน คําสมาสมาจากภาษาบาลี 2 คํา คือ “มัคค” แปลวา ทาง ทบ่ี า น พบพระภิกษเุ ปลือยกายอาบนํา้ ฝน เขาใจวาเปน อาชวี ก (ชีเปลอื ย) และ “นายก” แปลวา ผนู ํา ไมใชพระภกิ ษุ จึงกลบั มาบอกนางวิสาขาวาไมพบพระภิกษุในวดั นางวสิ าขา ทราบวาเปน พระภิกษุ จึงทลู ขอพรตอ พระพทุ ธเจาเพื่อจะถวายผาสาํ หรบั • มัคทายก เปน คาํ สมาสจากภาษาบาลี 2 คาํ คือ “มัคค” แปลวา ทาง และ ผลัดเปลี่ยนเวลาอาบนา้ํ แดพระภกิ ษุ พระพุทธเจาทรงอนญุ าตใหพระรับ “ทายก” แปลวา ผถู วายปจ จยั แดพระสงฆ ผา อาบนํา้ ฝนเพม่ิ ไดอ กี หน่ึงผนื ตงั้ แตบัดน้นั เปนตนมา พจนานุกรมราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศกั ราช 2554 ไดใหค วามหมายของ มคั นายกวา หมายถึง ผจู ดั การทางกุศล ผูช้แี จงทางบุญ ดงั น้ัน ถาจะใชคําเพ่ือ เรยี กคนทคี่ อยนํากลา วคําบชู า คาํ อาราธนา คาํ ถวายสิง่ ของใหพระที่วัดแลว คําวา “มัคนายก” จงึ เปนคาํ ท่ถี ูกตอ งมากกวา “มคั ทายก” 142 คูม อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 2.5 การจดั และถวายเคร่ืองไทยธรรม เครือ่ งไทยทาน1 1. ครูกลาวถึงการจดั และถวายเคร่ืองไทยธรรม เครื่องไทยทาน และตง้ั คาํ ถามวา ๑) ความหมาย “เครอื่ งไทยธรรม เครื่องไทยทาน” หมายถงึ ส่งิ ของที่ควรถวายเป็น • เครอ่ื งไทยธรรมและเคร่อื งไทยทาน มีความ หมายแตกตางกันอยา งไร ทานแดพ่ ระสงฆ์ ในพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ ใหค้ วามหมายของ (แนวตอบ เครอ่ื งไทยทาน หมายถึง ของ ค�าว่า “ไทยทาน” วา่ ของสา� หรับทา� ทาน และใหค้ วามหมายของคา� วา่ “ไทยธรรม” ว่า ของทา� บุญ สําหรบั ทําทาน เคร่อื งไทยธรรม หมายถงึ ต่างๆ ของถวายพระ แสดงว่าความหมายของค�าว่า “ไทยทาน” กว้างกว่าค�าว่า “ไทยธรรม” ของสําหรับทาํ บญุ ถวายพระ เพราะฉะนนั้ เพราะหมายความว่าเป็นของส�าหรับท�าทานกับใครก็ได้ ไม่จ�าเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นพระสงฆ์ เครอ่ื งไทยทานจงึ มคี วามหมายกวา งกวา เครอื่ ง ในขณะทคี่ า� วา่ “ไทยธรรม” มีความหมายเฉพาะวา่ เปน็ ของถวายพระเทา่ น้ัน ดงั นนั้ เมื่อใช้ค�าว่า ไทยธรรม เนอื่ งจากเปน การทาํ ทานสําหรับ “ไทยทาน” ในความหมายว่าเป็นของที่ควรถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ จึงนิยมเติมค�าว่า “เครื่อง ใครก็ได แตเคร่ืองไทยธรรมใชสําหรับถวาย ปจั จยั ” หรอื “จตปุ จั จยั ” ไวข้ า้ งหนา้ ดว้ ย เปน็ “จตปุ จั จยั /เครอ่ื งปจั จยั ไทยทาน” เพอ่ื ใหม้ คี วามหมาย พระเทาน้นั เชน การถวายสงั ฆทาน เปน ตน ) ชัดเจนวา่ หมายถึงของถวายพระ ของท�าบญุ ไมใ่ ช่เปน็ เพยี งวตั ถุทานทใี่ ห้แก่คนทีค่ วรให้ • จตุปจ จยั มีอะไรบา ง สาํ คัญอยา งไร (แนวตอบ จตุปจจัย หมายถงึ ปจ จยั 4 ของ ตามปกติการจัดเครือ่ งไทยธรรมไทยทานจะตอ้ งมีดอกไม้ ธปู เทียนบูชาพระ รวมอยู่ บรรพชิต มี 4 อยาง ไดแ ก จีวร คอื เครือ่ ง ดว้ ยเสมอ และอาจมี “ปัจจยั ” ที่ในปจั จุบันใช้กนั ในความหมายแคบ คอื หมายถึง “เงนิ ” ท่ีถวาย นุงหม เชน ไตรจวี ร ผาหม ผาอาบนํ้าฝน พระหรอื วดั เพราะเหน็ วา่ พระสงฆส์ ามารถนา� เงนิ ไปซอ้ื หาปจั จยั ตา่ งๆ ไดเ้ หมาะสมกบั ความจา� เปน็ เปนตน บณิ ฑบาต คอื อาหาร เชน ขาว หรอื ตรงกับสิง่ ท่ขี าดแคลนได้ นํ้า ผลไม เปน ตน เสนาสนะ คือ ที่นอนท่นี ง่ั เชน กุฏิ ศาลา เตียง หมอน เปน ตน และ ๒) วัตถุประสงค์และความส�าคัญ ในการถวายเครื่องไทยธรรม เครื่องไทยทาน คิลานเภสชั คือ ยารักษาโรค ซง่ึ เปน เคร่ือง สําหรบั ดํารงชีพของภกิ ษุสารเณรคลายคลึง มีวัตถุประสงค์และความส�าคัญ ดงั น้ี กบั ปจจัย 4 ของคนทั่วไป) ๑. เพอื่ ถวายความอปุ ถัมภแ์ ด่พระภกิ ษุสงฆ์ • ไวยาวัจกรมีหนา ท่อี ะไร และควรมลี ักษณะ ๒. เพื่อลดความตระหนี่ ความโลภ ความเหน็ แก่ตัว กเิ ลส ของผู้ถวายของ หรือคณุ ธรรมในขอใดเปนสาํ คัญ ๓. เพื่อความเป็นสิริมงคลแกผ่ ู้ถวายเอง (แนวตอบ ไวยาวจั กรมหี นา ที่เบิกจา ยนิตยภตั ๔. เพ่ืออุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่บุพการีผู้มีพระคุณญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร หรืออาหารประจาํ ปจจบุ นั ใชใ นความหมาย วา เงินคา อาหารทที่ างราชการถวายแดสงฆ ท่ลี ่วงลบั ไปแลว้ เปน ประจาํ และมอี าํ นาจหนา ทด่ี แู ลทรพั ยส นิ ของวดั ตามที่เจาอาวาสมอบหมายเปน ๓) วิธีปฏิบัติ วิธีปฏิบัติในการถวายเครื่องไทยธรรมเคร่ืองไทยทานก็เป็นวิธีเดียวกัน หนังสอื ไวยาวจั กรตองเปน เจา พนักงานตาม กฎหมาย ซึง่ ควรเปนบคุ คลที่มีความซื่อสัตย กับการถวายสังฆทาน หรือการท�าบุญเลี้ยงพระในโอกาสต่างๆ และในการถวาย “ปัจจัย” ท่ีมี สุจรติ และมีอริยทรพั ย 7 ไดแ ก ศรทั ธา ศลี ความหมายวา่ “เงนิ ” นั้น วธิ ีปฏิบตั ทิ ีเ่ หมาะสม คือ ชาวพุทธควรเขยี นเป็นใบปวารณาและถวาย หริ ิ โอตตปั ปะ พาหสุ จั จะ จาคะ และปญ ญา) ใบปวารณาน้ันแก่พระสงฆ์พร้อมกับสิ่งของอื่นๆ ส่วนเงินที่ระบุไว้ในปวารณาควรมอบให้แก่ ไวยาวัจกร (ผู้ดูแลการเงินของวัด) หรือมอบไวก้ ับลูกศิษยท์ ต่ี ิดตามพระแทน ไมค่ วรใหพ้ ระสงฆ์ รับเงนิ โดยตรง ปัจจุบันได้มีร้านค้าจัดเตรียมเครื่องไทยธรรม เครื่องไทยทานไว้คอยบริการก็เป็น การสะดวกสา� หรบั ผทู้ มี่ เี วลานอ้ ย แตม่ ขี อ้ ควรพจิ ารณากค็ อื การซอ้ื จากรา้ นควรตรวจดใู หเ้ รยี บรอ้ ย เพราะบางกรณีอาจมสี ง่ิ ของตอ้ งห้ามหรอื สิ่งของทไี่ ม่เหมาะสมสา� หรบั พระสงฆป์ นเขา้ มาดว้ ย 143 2. ครูใหนักเรียนเขยี นบอกเลาประสบการณการ จัดและถวายเครือ่ งไทยธรรมลงในกระดาษ A4 และนําสง ครูผสู อน แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู การจัดเครื่องไทยธรรมถวายพระควรคํานงึ ถึงส่งิ ใด 1 เครื่องไทยธรรม เครอ่ื งไทยทาน มีขอ ควรระวงั ดงั น้ี 1. ไมผิดวนิ ัยสงฆ • ตองเปนของทไี่ ดม าโดยบริสทุ ธ์ิ 2. ประหยดั และเปน ประโยชน • ไมถ วายสง่ิ ของมึนเมา ยาเสพตดิ ทุกชนิด 3. เหมาะแกก ารบริโภคใชส อยของพระสงฆ • ถวายของใหเหมาะสมกับกาลเวลาของสงฆ 4. ทกุ ขอที่กลาวมา • ไมถ วายส่งิ ของตองหา ม เชน อาหารดิบทุกชนดิ เน้อื สัตวทีเ่ จาะจงฆา เพอ่ื ถวาย กรณีผลไมมเี มล็ด ควรทาํ การปอกและแคะเมลด็ ออกกอน เปนตน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เครอ่ื งไทยธรรมหรือไทยทาน แปลวา สง่ิ ของ • ไมควรถวายวัตถอุ นามาส หรือส่งิ ที่พระพทุ ธเจา ทรงหามพระภิกษุจับตอง เชน สิง่ ท่ีเก่ยี วกบั สตรที ุกชนดิ รัตนะ 10 ประการ เครอ่ื งอาวธุ ท่ีควรใหห รือสงิ่ ของทเ่ี หมาะสมแกการนาํ ไปถวายพระ ดงั นน้ั การจดั เคร่อื งประโคมดนตรี ขาวเปลอื ก ผลไมท่ีเกดิ อยกู ับท่ี เปน ตน เครอ่ื งไทยธรรมถวายพระจึงควรระลึกเสมอวา ตอ งไมเปน สง่ิ ของท่ีขดั ตอ ทงั้ น้มี สี ่งิ ของบางประเภทสามารถประเคนพระสงฆไดต ลอดเวลา เชน วนิ ัยสงฆ ไมแสดงความฟมุ เฟอย เปนประโยชนแ ละควรแกการบรโิ ภคใชส อย ของพระสงฆ เคร่อื งด่ืม เครื่องยารักษาโรค น้าํ ตาล นา้ํ ผง้ึ น้าํ ออย เปนตน คมู ือครู 143

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู ําสนทนาถึงการกรวดน้ํา และตัง้ คาํ ถามเชิง 2.6 การกรวดนา้ำ วิเคราะหวา • การกรวดนํา้ มีวตั ถุประสงคเ พือ่ อะไร ๑) ความหมาย การกรวดนา�้ หมายถงึ การอทุ ศิ สว่ นกศุ ล อนั จะพงึ เกดิ จากการทา� บญุ เพราะเหตุใด ให้แกผ่ ลู้ ่วงลบั ไปแล้วดว้ ยวิธกี ารหล่ังนา้� พรอ้ มกับกลา่ วคา� อทุ ศิ (ค�ากรวดน�า้ ) (แนวตอบ เชน การกรวดนา้ํ เปน อบุ ายอยา งหนงึ่ ในการทําจิตใจใหสงบน่ิง เพราะใน ๒) วัตถุประสงค์และความส�าคัญ ในการกรวดน�้ามีวัตถุประสงค์และความส�าคัญ ขณะอทุ ิศสวนบุญกศุ ล การกรวดน้าํ จะทําให ดงั นี้ เรามีจิตใจจดจอ ไปยังบุคคลทีต่ องการอทุ ิศ ๑. เป็นประเพณีทางพระพุทธ‑ บุญกศุ ลให เปนตน ) ศาสนาทย่ี ดึ ถอื ปฏบิ ัติสบื ต่อกนั มา • การกรวดนาํ้ เพอ่ื อุทิศบุญกศุ ล ตางจากการ ๒. เป็นการแสดงออกซ่ึงความ แผเ มตตาอยางไร กตญั ญกู ตเวทขี องผทู้ ยี่ งั มชี วี ติ อยู่ ตอ่ ผมู้ พี ระคณุ (แนวตอบ การกรวดนาํ้ คอื การอุทิศสวนกศุ ล ท่ลี ่วงลับไปแลว้ ดวยวธิ หี ล่ังนาํ้ พรอ มกับกลา วคําอทุ ิศ แตบ ท ๓. เป็นการแสดงความเมตตา สวดแผเมตตาโดยทัว่ ไป จะกลาววา ขอสตั ว แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อุทิศ ท้ังหลายทง้ั ปวงจงเปนผูไมมเี วร ไมมีความ สว่ นกุศลไปให้ เบยี ดเบยี น ไมมที ุกข รกั ษาตนใหพ นจากทกุ ข หลังจากการทำาบุญ ก็มีการกรวดนำ้าอุทิศผลบุญส่วนกุศล ท้งั ส้ินเถิด) ใหแ้ ก่ญาติทีล่ ว่ งลับไปแล้ว ๓) วธิ ปี ฏบิ ตั ิ การกรวดนา้� ทถ่ี กู ตอ้ ง 2. ครใู หน กั เรยี นหาบทสวดมนตเ ตม็ ของ “ยถาใหผ ี ควรปฏบิ ัติ ดงั นี้ -สพั พีใหค น” ไดแก ยถา วารวิ หา ปูรา ๑. เตรยี มนา้� สะอาดใสภ่ าชนะทมี่ ขี นาดเลก็ เชน่ แกว้ นา้� คนโท หรอื ภาชนะเฉพาะ ปรปิ ูเรนตฺ ิ สาคร.ํ .. และสพฺพีติโย วิวชชฺ นฺตุ ส�าหรบั การกรวด๒น.้า� พอพระสงฆ์เริ่มสวดอนุโมทนา1 ซ่ึงจะเร่ิมด้วยค�าว่า “ยถา วาริวหา2” ให้เริ่ม สพพฺ โรโค วนิ สสฺ ต.ุ .. พรอ มคาํ แปล โดยบนั ทกึ ลง หล่ังน้�าอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว น้�าที่รินต้องให้ต่อเนื่องเป็นสาย และรินให้หมด ในสมุดเรียน นาํ สงครผู ูส อน เมอ่ื พระสงฆเ์ ร่มิ บทสวดมนต์ท่ีข้ึนต้นวา่ “สัพพตี โิ ย” นา� ไปเทราดลงบ๓น.พนนื้ า�้ ดทนิ 3รี่ ทิน่ีสถะา้ ออายดบู่ หนรบอื า้ ในนใทห่ีท้ใช่ีเห้ภมาาชะนสะมที่สเชะอน่ าโดคน(อตย้น่าไใมช้้กกรระะโถถนาง)ตรน้ อไงมร้บั เปเ็นสตรจ็้นแลว้ ๔. ขณะท่ีหล่ังน�้าต้องตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และกล่าวค�า กรวดน้�าไปพรอ้ มกันด้วย คา� อา่ น อิทงั เม ญาตนี ัง โหตุ สขุ ติ า โหนตุ ญาตะโย ค�าแปล ขอส่วนบุญน้ี จงส�าเร็จแก่ญาติท้ังหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของ ขา้ พเจา้ จงมีความสขุ 144 นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บุคคลใดตอไปนปี้ ฏิบัติตนไดถ กู ตองขณะกรวดนาํ้ 1 อนุโมทนา แปลวา ความยินดตี าม ความพลอยยนิ ดี หมายถงึ การแสดง 1. พนาใชก ระโถนรองขณะกรวดนาํ้ ความชนื่ ชมยนิ ดีในบญุ หรอื ความดที ่ผี ูอนื่ ทาํ โดยอาจทาํ ไดดว ยการพูด เขยี น 2. ไพรวนั นาํ น้าํ ท่กี รวดแลวไปเทในหอ งนํา้ หนังสอื หรอื แสดงกิรยิ า เชน เมอื่ พระสงฆเจรญิ พระพุทธมนตและเจรญิ พร ก็กลา ว 3. พนาลเี ร่ิมกรวดนํา้ เม่ือพระสงฆส วดยถา วารวิ หา คําวาสาธุ เม่ือเห็นหรือไดยินคนทาํ ความดกี ็กลาวอนุโมทนาบญุ เปน ตน 4. ไพรสัณฑนง่ั คุยขาวการเมอื งกบั เพ่ือนขณะหล่ังนํา้ อทุ ิศสว นกศุ ล การอนโุ มทนาหรือการยินดใี นบญุ กศุ ลน้ถี อื เปน หน่ึงในบญุ กริ ิยาวัตถุ 10 วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การกรวดนาํ้ จะเรม่ิ หลงั่ นาํ้ อทุ ศิ สว นกศุ ล 2 ยถา วารวิ หา บททีเ่ รม่ิ ตนวา “ยถา” มชี ื่อเรียกวา บทอนโุ มทนารมั ภคาถา เมื่อพระสงฆเรม่ิ สวด “ยถา วารวิ หา” โดยนาํ้ ทีใ่ ชตอ งเปน นํา้ สะอาด หมายถงึ คาถาท่ีเร่ิมกอนการอนโุ มทนา กลาวคอื กอนทพ่ี ระสงฆจะอนุโมทนาใน ภาชนะทใ่ี ชก ็ตอ งเปนภาชนะสะอาด นํา้ ท่กี รวดแลว ตองนําไปเทท่ี บุญกุศลทอี่ บุ าสกอุบาสิกาไดทําแลว พระสงฆจะกลาวบทอนุโมทนารมั ภคาถานี้ โคนตน ไม หา มเทใสท ่สี กปรก และขณะกรวดนํา้ ตองสงบจติ สงบใจ เพ่อื ใหอ บุ าสกอุบาสกิ าไดเตรียมตวั ตงั้ ใจรับพรตอ ไป ต้งั ใจอทุ ิศผลบญุ กุศลไปใหแกผูล ว งลบั 3 เทราดลงบนพ้นื ดิน มูลเหตุที่มีการรินนํ้าลงดนิ ดว ยมีความเชอื่ วา น้าํ ท่ีกรวดนี้ พระแมธ รณจี ะรองรบั ไวโ ดยใชม วยผมเกบ็ รกั ษาไว เพอ่ื เปน ประจกั ษพ ยานวา ผนู นั้ ได ทําบุญสรา งกุศลมาแลว มากนอยเพียงใด 144 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 2.7 การทอดกฐนิ 1. ครูใหน ักเรยี นชว ยกันยกตัวอยางชนิดของกฐิน ๑) ความเป็นมาและความหมาย ค�าว่า กฐิน เป็นภาษาบาลี แปลว่า “ไม้สะดึง” และการทอดกฐินในประเทศไทย โดยออกมา เขยี นบนกระดานหนาช้นั ในสมยั กอ่ นการตดั เยบ็ จวี รเปน็ เรอื่ งใหญ่ เนอ่ื งจากไมม่ เี ครอื่ งทนุ่ แรง เชน่ จกั รเยบ็ ผา้ และไมม่ รี า้ น ขายจีวรสา� เรจ็ รูป การท�าจีวร สบง หรอื สังฆาฏแิ ต่ละผืนต้องอาศยั พระสงฆห์ ลายๆ รปู ช่วยกนั ท�า 2. ครกู ลาวนําเกี่ยวกับกฐิน และตั้งคําถามวา โดยขงึ ผา้ กับไมส้ ะดงึ ให้ตึงกอ่ นแลว้ จงึ ตัด เยบ็ ดังนน้ั ผา้ กฐิน กค็ ือ ผ้าท่ีสา� เร็จขน้ึ ไดเ้ พราะอาศยั • กฐนิ มคี วามหมายวา ไมสะดงึ ไมช นดิ น้มี ี ไม้สะดึง และถึงแม้ในปัจจุบันการท�าจีวรจะไม่ต้องอาศัยไม้สะดึงแล้วก็ตาม แต่ชื่อของผ้าชนิดน้ี ความเกยี่ วของกับผากฐินอยา งไร กย็ ังคงเรียกว่า “ผ้ากฐิน” อยู่ตามเดิม (แนวตอบ ไมส ะดงึ คือ ไมก รอบหรือไมแบบ สําหรับขงึ ผา ที่จะเย็บเปน จีวรในสมยั โบราณ เมื่อส�าเร็จเป็นผ้ากฐินแล้ว ก็จะน�าไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ผู้อยู่จ�าพรรษาตลอด ซึง่ ผาท่เี ยบ็ สําเรจ็ จากไมสะดงึ แบบน้จี ะ ๓ เดือน เรียกว่า “ทอดกฐิน” อันหมายถึง การน�าผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างน้อย เรียกวา ผา กฐิน) ๕ รูป โดยมิได้ตั้งใจจะถวายแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหน่ึง สุดแท้แต่พระท่านจะมอบหมายกันเอง • การถวายกฐนิ มคี วามพิเศษแตกตางจาก สมัยก่อนน้ันผ้าที่น�าไปทอดกฐินต้องมีขนาดพอเหมาะส�าหรับตัดเย็บเป็นจีวร สบง หรือสังฆาฏิ การทําทานทั่วไปอยางไร อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ปัจจุบันน้ีใช้ผ้าส�าเร็จรูปแทน ซ่ึงเป็นการช่วยอ�านวยความสะดวกให้แก่ (แนวตอบ เชน การถวายกฐนิ ตอ งถวายเปน สงั ฆทานเทานน้ั ถวายใหพระสงฆรูปใด พระสงฆ์ คอื ๒)ท ่าวนัตไถมุปต่ ร้อะงสตงัดคเย์แบ็ ละหครวอื ายมอ้ มสด�าว้คยัญตนใเนองการทอดกฐิน1มีวัตถุประสงค์และความส�าคัญ รปู หนึ่งไมไ ด จาํ กัดเวลาวา ตอ งถวายภายใน 1 เดือนหลงั จากวนั ออกพรรษา พระสงฆ ดังนี้ ผรู บั กฐินตอ งเปน ผูจาํ พรรษาในวัดโดยไม ๑. การทอดกฐินถือว่าเป็นการท�าบุญท่ีมีอานิสงส์ยิ่งกว่าการท�าบุญอื่นๆ เพราะ ขาดพรรษา และจํานวนไมนอยกวา 5 รูป หน่ึงกฐินรบั ไดเ พยี งปล ะ 1 ครัง้ เปน พระ หาโอกาสทา� ไดย้ าก ไม่เหมือนกับการทา� บุญอย่างอืน่ ซ่ึงจะท�าเม่ือใดกไ็ ด้ บรมพทุ ธานญุ าตของพระพทุ ธเจา เปน ตน) ๒. เปน็ การอปุ ถมั ภพ์ ระสงฆ์ใหม้ ีเครือ่ งใช้ สบั เปล่ยี นจากของเดมิ ๓. เปน็ การสืบตอ่ ประเพณที างพระพุทธศาสนาใหต้ อ่ เนอื่ ง 3. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาขอ มลู เกยี่ วกบั ความเปน มา ๔. เปน็ การเปิดโอกาสใหพ้ ุทธศาสนิกชนไดม้ ีโอกาสทา� บญุ สรา้ งกศุ ลรว่ มกนั ของกฐินในสมยั พทุ ธกาลวา กฐินเกิดข้ึน จากมลู เหตุใด และเพราะเหตุใดพระพทุ ธเจา ๓) การปฏิบัติ การทอดกฐนิ มวี ิธปี ฏิบัติ ดังน้ี จงึ มีพระบรมพทุ ธานญุ าตใหพระสงฆร ับ ผาพระกฐินได ๑. ก�าหนดระยะเวลาการทอดกฐิน เริ่มต้ังแต่วันแรม ๑ ค�่า เดือน ๑๑ ไปจนถึง วนั ขนึ้ ๑๕ คา�่ เดอื น ๑๒ จะทอดกอ่ นหรอื หลงั จากนไี้ มไ่ ด้ สว่ นจะเปน็ วดั ใดในชว่ งระยะเวลาดงั กลา่ ว 4. ครสู มุ ใหนักเรียนท่เี คยทอดกฐินตามวัดตา งๆ ขน้ึ อย่กู ับความสะดวกของเจ้าภาพและวดั ออกมาเลาประสบการณแ ละวธิ ปี ฏบิ ัตใิ นการ ทอดกฐิน แลวเปด โอกาสใหเพอื่ นนกั เรยี น ๒. วดั หนึง่ ๆ จะรบั ผา้ กฐนิ หรอื มกี ารทอดกฐินไดเ้ พียงปีละครัง้ เดียวเทา่ นน้ั ซักถามเพิ่มเติม ๓. วัดทีจ่ ะรบั กฐนิ จะต้องมีพระภกิ ษสุ งฆ์อยูจ่ า� พรรษาในวดั นน้ั ตั้งแต่ ๕ รูปข้ึนไป ตลอด ๓ เดือน โดยไม่ขาดพรรษา และผ้ากฐินก็จะถวายแด่พระสงฆ์ท่ีอยู่ประจ�าวัดเดียวตลอด พรรษา ๔. ผู้เปน็ เจา้ ภาพทอดกฐนิ จะเปน็ บรรพชติ หรอื ฆราวาสเพศใดๆ ก็ได้ แต่ถา้ เป็น บรรพชติ ต้องเป็นบรรพชิตต่างวัดกัน คือ พระภิกษุสงฆจ์ ะทอดกฐนิ ในวดั ทต่ี นอยู่จา� พรรษามิได้ 145 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรยี นควรรู ครูใหนกั เรยี นศกึ ษาการทอดกฐินในประเทศไทย ไดแ ก กฐินหลวง 1 การทอดกฐิน เมอื่ วดั ไดรับการทอดกฐินแลว จะมีการนาํ ธงรปู จระเขม าปกไว กฐินตน กฐินพระราชทาน และกฐนิ ราษฎร โดยใหน กั เรียนระบุวา การทอด ท่หี นาวดั เพอื่ ผูพบจะไดพลอยอนโุ มทนาบุญ อยางไรก็ดี ธงจระเขม ขี อสันนษิ ฐาน กฐนิ ท้งั 4 แบบนี้ มีลกั ษณะสาํ คัญอยางไร และมคี วามแตกตางกนั อยา งไร 2 อยา ง ดังนี้ แลวบนั ทกึ สาระสําคัญ นํามาอภิปรายในชัน้ เรยี น • ความเช่อื ที่ 1 ในสมยั โบราณนิยมแหผา กฐนิ ไปทอดตามวดั ตางๆ โดย ใชเ รือเปน พาหนะ การเดนิ ทางไปตามลาํ นํา้ มักมอี นั ตรายจากสตั วนํ้าอยู เสมอ ดวยเหตุน้จี งึ คิดอบุ ายทําธงจระเขป กหนา เรือ เปน ทํานองประกาศ ใหจ ระเขรบั ทราบการทาํ บุญกศุ ล จะไดพลอยอนโุ มทนาและไมคิดทีจ่ ะทาํ อนั ตรายแกผ คู นในกระบวนเรอื • ความเช่อื ที่ 2 เนือ่ งจากถือกนั วาดาวจระเขเ ปนดาวสําคญั การเคล่อื น ขบวนทพั ในสมยั โบราณตอ งคอยดดู าวจระเขข้ึน ซง่ึ เปนเวลาจวนสวางแลว แตเดมิ ผจู ะไปทอดกฐนิ ตองเตรยี มเคร่อื งบรขิ ารและผาองคกฐนิ ไวอ ยา ง พรอมเพรียง แลว แหไ ปวัดในเวลาดาวจระเขขึน้ ไปสวา งเอาทีว่ ดั ตอ มาจึง มผี คู ิดทาํ ธงจระเข โดยถือวา ดาวจระเขเปนดาวบอกเวลาเคลื่อนองคกฐนิ คูม ือครู 145

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหน กั เรยี นชวยกนั ยกตัวอยางวา นอกจาก ๕. เคร่อื งกฐนิ ประกอบดว้ ย ผา้ กฐินและเคร่อื งบริวารกฐนิ ดงั น้ี การทอดผา กฐินแลว ยงั มีเครอ่ื งบรวิ ารกฐิน (๑) ผ้ากฐิน เป็นส่วนที่ส�าคัญท่ีสุดจะขาดเสียมิได้ ผ้ากฐินน้ันพระพุทธเจ้า สง่ิ ใดบางที่สามารถนํามาถวายเปน เคร่อื งบริวาร กฐินได โดยใหน กั เรียนชวยกนั ตอบในชน้ั เรยี น ทรงบญั ญตั ไิ วว้ า่ จะตอ้ งมขี นาดกวา้ งยาวเพยี งพอทพ่ี ระสงฆจ์ ะสามารถนา� มาตดั เยบ็ ทา� เปน็ ผา้ สบง จวี ร หรอื สงั ฆาฏิผนื ใดผนื หนง่ึ โดยพระสงฆช์ ว่ ยกนั ทา� เอง ผา้ กฐนิ จะเป็นผืนเกา่ หรอื ผืนใหม่ก็ได้ 2. ครใู หน กั เรยี นหาภาพผา กฐินตดิ ลงในสมดุ และ แตต่ อ้ งมสี สี นั เหมาะแกก่ ารทา� เปน็ เครอ่ื งนงุ่ หม่ ของบรรพชติ เชน่ สขี าว สเี หลอื ง หรอื สกี รกั เปน็ ตน้ เขยี นคาํ อธิบายใตภาพวาลกั ษณะสําคัญของ ส�าหรับปจั จุบนั นีน้ ยิ มตัดเยบ็ และยอ้ มสีให้เสรจ็ แล้วจึงนา� ไปถวายเป็นการสงเคราะห์พระสงฆ์มิให้ ผา กฐินและเคร่อื งบริวารกฐินมอี ะไรบา ง เกิดความยากลา� บาก เพราะต้องน�าผา้ ไปตดั เยบ็ ยอ้ มเป็นไตรจีวรเอง 3. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาพธิ กี รานกฐินวา เปนอยางไร (๒) เคร่ืองบริวารกฐิน เราจะเห็นได้ว่าเวลาทอดกฐินนั้นมีเครื่องไทยธรรม และมขี ้ันตอนการกรานกฐินอยางไร โดยบนั ทึก มากมายหลายอย่างท่ีน�าไปถวายพระ ซ่ึงตามความเป็นจริงแล้ว ส่ิงของที่ส�าคัญมากที่สุดในการ ลงในสมดุ จากนน้ั ครูสมุ ใหน กั เรียนออกมา ทอดกฐนิ อนั จะขาดเสยี มไิ ดก้ ค็ อื ผา้ กฐนิ สว่ นของอน่ื ๆ นน้ั เปน็ เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ จะมหี รอื ไมม่ กี ็ได้ นําเสนอหนา ช้ันเรยี น และนกั เรียนคนอืน่ ๆ แลว้ แตค่ วามนยิ ม เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ อาจจา� แนกเปน็ เครอื่ งมอื เครอ่ื งใชส้ า� หรบั การกอ่ สรา้ ง ภาชนะ บนั ทึกความรเู พ่มิ เติม สา� หรบั เกบ็ น้า� เช่น ถงั เหล็ก ถงั น�า้ โอ่ง โตะ๊ ตู้ ถว้ ย จาน ชาม ช้อน หลอดไฟฟ้า จตุปัจจัย เป็นตน้ ซง่ึ เจา้ ภาพจะจดั หาของสง่ิ ใดมาเปน็ เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ ก็ได้ ถา้ ของสงิ่ นนั้ ไมข่ ดั ตอ่ พระธรรมวนิ ยั หรอื 4. ครใู หนกั เรียนทํากิจกรรมที่ 6.3 จากแบบวัดฯ ไม่นา� ความเสียหายมาส่พู ระภกิ ษุสงฆ์และพระพุทธศาสนาแล้วย่อมกระทา� ได้ทง้ั สิน้ พระพุทธศาสนา ม.2 ๖. พระภิกษผุ ู้ได้รบั การถวายผ้ากฐิน เรียกวา่ “พระผ้คู รองกฐนิ ” ซงึ่ เมื่อพระภิกษุ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ ไดร้ บั ผา้ กฐนิ แลว้ ทา่ นจะเลอื กเอาผา้ ผนื ใดผนื หนง่ึ เปน็ ผา้ กฐนิ ยกขนึ้ ทา� พธิ ี สว่ นผา้ ทเี่ หลอื เรยี กวา่ พระพุทธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 6.3 “ผ้าบริวารกฐิน” ส�าหรับเคร่ืองบริวารกฐินอื่นๆ หนว ยที่ 6 วนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาและศาสนพิธ� ที่ประชุมสงฆ์หรือเจ้าอาวาสจะแบ่งปันให้แก่ พระภกิ ษทุ กุ รปู ซง่ึ ถา้ เปน็ ของใช้ เชน่ เครอ่ื งมอื กิจกรรมท่ี ๖.๓ ใหนกั เรยี นลําดบั วธิ ีปฏิบตั ิศาสนพิธี พรอ มทั้งบอกวา เปน คะแนนเต็ม คะแนนท่ไี ด ช่างไม้ ถ้วย จาน ชาม ช้อน แกว้ น้�า เป็นตน้ ศาสนพธิ ใี ด (ส ๑.๒ ม.๒/๓) กจ็ ะตกเปน็ ของวดั เพอ่ื ประโยชนใ์ ชส้ อยสว่ นรวม ñð ๗. การถวายกฐิน มักนิยมน�า ๒…………….. เจาภาพจุดธปุ เทียนบชู าพระรตั นตรยั กลา วอาราธนาศลี และรับศีล ผ้ากฐินและเคร่ืองบริวารไปจัดเตรียมไว้ก่อน ๔…………….. ประเคนผากฐนิ ใหพ ระภิกษุรปู ใดรูปหนงึ่ ถวายเคร่ืองบริวาร พระสงฆสวดอนุโมทนา ที่พระอุโบสถหรือศาลาการเปรียญ ซ่ึงจะใช้ เป็นสถานท่ีในการประกอบพิธี เม่ือพระสงฆน์ ง่ั กรวดนาํ้ เรียบร้อยแล้ว ประธานในพิธี หรือเจ้าภาพ ๓…………….. วางผาไตรบนแขนท้ังสอง ๒ ขาง กลา วคําบชู าพระรัตนตรัยและคาํ ถวายผากฐนิ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วกลับมาน่ัง ๑…………….. เตรยี มเครอ่ื งกฐนิ ใหพ รอ ม นาํ ไปไวท พี่ ระอโุ บสถหรอื ศาลาการเปรยี ญที่ใชป ระกอบพธิ ี ประเพณที อดกฐนิ เปน็ ประเพณที ก่ี ระทาำ หลงั จากออกพรรษา ยังที่ท่จี ัดไว้ จากน้นั พิธีกรกลา่ วค�าอาราธนาศลี เปน็ การอปุ ถมั ภพ์ ระสงฆใ์ หม้ สี งิ่ ของเครอ่ื งใชส้ บั เปลย่ี นจาก ทายกทายิการ่วมกันรับศลี ศาสนพิธี……ก…า…ร…ท…อ…ด…ก…ฐ…ิน………….. ของเดมิ หลังจากท่ใี ชม้ าตลอดพรรษา ๑…………….. แจง เจา อาวาสหรอื พระภกิ ษสุ งฆผ มู หี นา ทนี่ มิ นตพ ระในวดั พรอ มแจง จาํ นวนพระสงฆ ที่ตนตอ งการ บอกวัน เวลา และสถานท่ี 146 เฉฉบลบั ย ๔…………….. กรวดนํา้ อทุ ศิ สวนกศุ ลใหแ กบรรพบรุ ษุ ที่ลว งลับไปแลว ๒…………….. เมอื่ พระสงฆม าพรอ มแลว ทายก ทายกิ า จดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั กราบพระสงฆ แลวอาราธนาศลี และรับศีล กลาวคาํ ถวายสังฆทาน ๓…………….. ประเคนของ เสร็จแลว พระจะอนโุ มทนาดว ยบทยถาและสัพพี ศาสนพิธี……ก…าร…ถ…ว…า…ย…ส…งั …ฆ…ท…า…น….. ๒…………….. พระสงฆส วดอนโุ มทนา เรมิ่ ตน ดว ยคาํ วา “ยถา วรวิ หา” หลงั่ นา้ํ โดยนาํ้ ทรี่ นิ ตอ งใหต อ เนอื่ ง เปนสาย ๑…………….. เตรียมนาํ้ ใสภ าชนะทมี่ ีขนาดเลก็ ๔…………….. นํานาํ้ ไปเทลงบนพนื้ ดนิ ท่สี ะอาดหรือในท่ีท่เี หมาะสม เชน โคนตน ไม กระถางตน ไม เปน ตน ๓…………….. รนิ น้ําใหห มดเม่อื พระสงฆเ ริ่มสวด “สพั พีตโิ ย” ศาสนพธิ ี……ก…าร…ก…ร…ว…ด…น……า้ํ ………….. ๕๖ เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดไมใ ช เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ ทีน่ ําไปถวายพรอมผาองคก ฐิน ครอู ธิบายเพิม่ เตมิ วา กรานกฐนิ เปน พิธีทพ่ี ระสงฆอ ยา งนอย 5 รูปกระทํารวมกัน 1. สัปทน 2. กานวม เม่ือพระสงฆร บั ผากฐนิ แลว จะประชมุ กนั ทาํ สงั ฆกรรม โดยยกผากฐินนั้นใหแก 3. ขา วเปลอื ก 4. เทยี นปาฏิโมกข พระสงฆรูปหนง่ึ พระสงฆรูปนั้นนาํ ผา ไปซกั ตัด เยบ็ และยอมใหเ สร็จภายในวันนนั้ โดยทําเปนผา สังฆาฏิ ผา อตุ ราสงค (จีวร) หรอื ผาอนั ตรวาสก (สบง) เสร็จแลว ก็ทาํ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะขาวเปลอื กเปนวัตถุอนามาสหรอื เปน “พินทุกปั ปะ” (การทําจุดเปนวงกลมทีม่ ุมจีวรดวยสเี ขยี วครามหรือดาํ คลํ้า) จากนนั้ อธิษฐาน วธิ กี ารท้ังหมดน้ีเรียกวา “กรานกฐนิ ” เมอื่ อธิษฐานแลวพระสงฆผ กู ราน ส่งิ ของที่พระพทุ ธเจา ทรงหามมใิ หพ ระสงฆจบั ตอ ง สวนขออื่นๆ เปน กฐินประกาศใหพ ระสงฆอนโุ มทนา เรียกวา “อนุโมทนากฐนิ ” เมอ่ื พระสงฆ เครือ่ งบรวิ ารกฐินได เพราะไมผิดพระวนิ ัยของสงฆ อนโุ มทนาแลวก็จะไดร ับอานิสงสก ฐิน คือ ไดร ับยกเวนพระวินยั บางประการ เชน ไปในที่ตางๆ โดยไมต องนําผาไตรจีวรติดตวั ไปครบสามผืนได เปนตน อยา งไรก็ดี ขอ 1. กานวม คอื กาสาํ หรบั รนิ น้าํ ชา ในปจ จุบนั ผากฐินสว นใหญเ ปนผาสาํ เรจ็ รูป กจิ ทต่ี องทําเบ้ืองตน คือ ซัก ตัด เย็บ ขอ 3. เทียนปาฏิโมกข คอื เทียนสาํ หรับจุดในเวลาที่พระภิกษสุ วด และยอม ก็ไมต องทํา จึงไมมีพระสงฆผ กู รานกฐนิ แตท ําเพียงพนิ ทุกัปปะ อธษิ ฐาน และอนุโมทนากฐิน พระปาฏโิ มกขหรอื คมั ภรี ท รี่ วมพระวินยั ของสงฆ 227 ขอ โดยให สวดในท่ปี ระชุมสงฆท ุกกึง่ เดอื น เรยี กวา สงฆทาํ อุโบสถ 146 คูม อื ครู ขอ 4. สปั ทน คอื รม ขนาดใหญ ทาํ ดวยผาหรอื แพรสตี า งๆ มรี ะบาย ลอมรอบและมีดา มยาว ซึ่งใชใ นการกนั้ นาค ผาไตร หรอื พระพทุ ธรปู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การถวายผา้ กฐนิ เจ้าภาพยกผา้ ไตรวางบนแขนท้ัง ๒ ขา้ ง นั่งคุกเข่าประนมมือหนั ไป 1. ครใู หต ัวแทนนักเรียนออกมากลาวคาํ ถวาย ทางพระพ1ุทธรูป แล้วกล่าวค�าบูชาพระรัตนตรัย คือ ตั้งนะโม ๓ จบ (ในบางแห่งจะมีการโยง ผา กฐินพรอ มคําแปล และใหน กั เรยี น 2-3 คน สายสญิ จน์ แลว้ กล่าวค�านมสั การพร้อมกัน) จากนน้ั จงึ หันหน้ามาทางพระสงฆ์ แลว้ กลา่ วคา� ถวาย ออกมาสาธติ การถวายผากฐนิ จากนัน้ เพ่อื น ผ้ากฐิน ดงั นี้ นกั เรียนในหองกลาวนมสั การและคํากลาว ถวายผากฐินพรอมกัน ค�าอ่าน อิมัง สะปะรวิ ารงั กะฐนิ ะจวี ะระทสุ สัง สังฆัสสะ โอโณชะยามะ (วา่ ๓ ครงั้ ) คา� แปล ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ขอนอ้ มถวายผา้ กฐนิ จวี รพรอ้ มทง้ั ของบรวิ ารน้ี แดพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ 2. ครูใหนักเรียนเขียนสรปุ ประโยชนทตี่ ัวนกั เรียน ไดรับจากการถวายผา กฐนิ และประโยชนท ่ี เม่ือกลา่ วคา� ถวายจบแลว้ ใหน้ �าผ้ากฐนิ ประเคนใหแ้ กพ่ ระภิกษุรปู ใดรูปหน่ึงหรอื จะวาง พระสงฆไ ดร บั จากการถวายผา กฐนิ โดยบนั ทกึ ไว้ตรงหน้าเฉยๆ ก็ได้ ต่อจากนี้ผู้มาร่วมพิธีช่วยกันถวายเครื่องบริวารแด่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูป ลงในสมดุ และนาํ สงครูผูสอน พระสงฆ์จะสวดอนุโมทนา ทายกทายิกากรวดน้�าต้ังใจอุทิศผลบุญให้แก่สรรพสัตว์ร่วมโลกเป็น อนั เสร็จพธิ ี 3. ครนู ําสนทนาเก่ยี วกบั การทอดผาปา และตง้ั คาํ ถามวา 2.8 การทอดผา้ ปา • เพราะเหตุใด จึงเกดิ ประเพณกี ารทอดผาปา มาแตคร้งั สมยั พทุ ธกาล ๑) ความเป็นมาและความหมาย ผ้าป่า หมายถึง ผ้าท่ีไม่มีเจ้าของ วางท้ิงอยู่ (แนวตอบ เพราะประชาชนเหน็ ความยาก ลาํ บากของพระสงฆทีต่ องหาผาตามปา ตามปา่ ปา่ ชา้ หรอื พาดอยตู่ ามกงิ่ ไม้ ประเพณกี ารทอดผา้ ปา่ มมี าตงั้ แตค่ รง้ั พทุ ธกาล โดยในสมยั นน้ั และยังตองเอาผา มาซกั ฟอก ยอมฝาด พพรระะสพาุทวธกอแงสคว์มงิไหดา้ทผรา้ งบองั นสุญกุ ลุ า2ตคใหอื ้พผระา้ ภทิกเ่ี ปษอ้ื ุสนงฝฆนุ่ ์รับผ้าไตรจีวรจากชาวบ้าน เพียงแต่ทรงอนุญาตให้ ตัดเย็บเอง ดว ยมูลเหตุนปี้ ระชาชนจงึ นาํ เศษผ้าจากกองขยะ หรือผ้าห่อซากศพซ่ึงเขา ผา ท่ีเปน จวี รสําเรจ็ รปู ไปทอดทิง้ ตามปา วางท้ิงไว้ตามป่าช้า เอามาซักฟอก ย้อมฝาด เพอื่ ใหพ ระสงฆช กั ผา ปา ไปทาํ เปน ผา ไตรจวี ร) ตัดเย็บ ท�าเป็นผ้ากาสาวพสั ตร๑์ 4. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาวา ผา ไตรจวี ร ผา กาสาวพสั ตร ภายหลังประชาชนเห็นความยาก และผา บงั สกุ ลุ มลี กั ษณะเชน ใด และแตกตาง ล�าบากของพระสงฆ์ในการน�าผ้าที่ผ่านการ กันอยา งไร ใชแ้ ล้วไปซักล้าง ย้อม และตดั เย็บใหม่ จงึ เอา ผา้ ดๆี ทา� เปน็ จวี รสา� เรจ็ รปู นา� ไปทอดทงิ้ ตามปา่ ปา่ ชา้ หรือกงิ่ ไม้ สดุ แทแ้ ตพ่ ระภกิ ษุสงฆร์ ปู ใด มาพบเข้ากช็ ักเอาไป ๒ แม้พระพุทธองค์เองก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้ ดังมีเร่ืองเล่าไว้ใน การทอดผ้าป่าเป็นพิธีทำาบุญท่ีพุทธศาสนิกชนสามารถ อรรถกถาว่า คร้ังหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงน�าผ้าบังสุกุล ซ่ึงเป็นผ้าพัน กระทาำ ได้ตลอดปี ซากศพของนางปุณณทาสี น�ามาซักฟอกย้อมฝาดเป็นเคร่ืองนุ่งห่ม ส�าหรบั พระองค์ 147 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นักเรยี นควรรู ขอใด ไมใช ลกั ษณะสําคญั ของการทอดกฐนิ 1 สายสญิ จน คือ ดายดิบสีขาวทนี่ ํามาจบั ทบเปน 3 เสน หรือ 9 เสน โดยใช 1. วดั หน่ึงจะรบั ผา กฐินไดป ล ะ 1 ครง้ั ในพธิ กี รรมทางศาสนา สาํ หรบั พระถอื ขณะประนมมอื เจรญิ พระพทุ ธมนต เชน 2. การทอดกฐนิ สามารถทําไดต ลอดท้งั ป ในเวลาทําบญุ ท่บี าน นิยมใชส ายสิญจนว งรอบบานโดยเวียนขวา คือ วนใหอยทู าง 3. การทอดกฐินจะตองนําผา กฐินไปวางหนาพระสงฆอยางนอ ย 5 รปู ขวามอื แลว โยงมาวนขวาทฐี่ านพระพุทธรปู อกี รอบหน่ึงหรือ 3 รอบ จากน้นั จงึ โยง 4. วดั ทไี่ ดรบั การทอดกฐนิ แลว จะมีธงรูปจระเขป กไวท ่ีหนา วดั มาวางไวบ นพานรอง 2 บังสกุ ลุ มาจากภาษาบาลวี า ปสุ (อานวา ปง-ส)ุ แปลวา ฝุน และคําวา กลุ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. การทอดกฐินสามารถทาํ ไดเ พียงปล ะ 1 ครั้ง (อา นวา ก-ุ ละ) แปลวา เปอน คลุก บงั สกุ ลุ จงึ แปลวา คลุกฝนุ เปอ นฝนุ ซ่ึงเปน คําทีใ่ ชเ รียกผาทพี่ ระภิกษุชกั จากศพ หรอื ผาทท่ี อดไวหนา ศพ หรือผา ทท่ี อดไวบน เทานนั้ คอื ตงั้ แตวันแรม 1 คํ่า เดือน 11 ถงึ วนั ข้ึน 15 คา่ํ เดือน 12 ดายสายสญิ จน ในสมยั พทุ ธกาลพระภิกษตุ องแสวงหาผาที่เขาทิง้ แลวจากกองขยะ จะทอดกอนหรอื หลงั จากน้ีไมไ ด แตกตางจากการทอดผาปา ทสี่ ามารถทําได หรอื จากปาชามาทําจวี รใช ผา เหลานั้นสว นใหญจ ะเปอ นฝุนหรอื สกปรก จึงเรียกวา ตลอดท้ังป บังสกุ ุล คมู อื ครู 147

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู าํ อภิปรายเกย่ี วการทอดผาปา และต้ัง ๒) วตั ถปุ ระสงคแ์ ละความสา� คญั การทอดผา้ ปา่ มวี ตั ถปุ ระสงคแ์ ละความสา� คญั ดงั น้ี คําถามเชงิ วเิ คราะหวา • การทอดผาปาและการทอดกฐินมคี วาม ๑. ธ�ารงรกั ษาไวซ้ ึง่ ขนบประเพณอี นั ดงี าม เหมือนและแตกตา งกันอยางไร ๒. เพอื่ แสดงวา่ ผทู้ อดผา้ ปา่ มคี วามเลอ่ื มใสศรทั ธา มคี วามบรสิ ทุ ธทิ์ างใจทจ่ี ะทา� บญุ (แนวตอบ การทอดผาปา และผากฐินเหมือนกัน สรา้ งกุศล ขจดั ความตระหน่ถี ีเ่ หนยี ว ตรงทีน่ ยิ มจดั เครอ่ื งบริวาร เชน จตปุ จ จยั ๓. เพ่อื สร้างความสามัคคใี นหมพู่ ทุ ธศาสนกิ ชน ตา งๆ ถวายพรอมกบั ผา การทอดผา ปาเปน ๔. เพอ่ื ชว่ ยสงเคราะหม์ ใิ หพ้ ระภกิ ษสุ งฆต์ อ้ งเกดิ ความลา� บากในการเทย่ี วแสวงหา สังฆทานไมเ จาะจงพระสงฆร ูปใดรูปหน่งึ เหมอื นการทอดกฐนิ และสามารถทอดผาปา ผ้าบงั สุกุลมา๓ท)า� กเปา็นรเปคฏรอื่บิ งตั นิ ุ่งกหาม่รททอา่ดนผจา้ ะปไา่ด1ม้มวี ีเิธวลกี าาบรปา� เฏพบิ ็ญตั สิ ดมงัณนกี้ จิ อยา่ งเต็มที่ รวมกนั หลายคนเปนผา ปา สามัคคเี ชน เดียวกบั กฐนิ สามคั คี แตการทอดผาปาไมม ีการจํากัด ๑. การทอดผ้าป่า ไม่มีการจ�ากัดเวลา คอื ทอดได้ตลอดปี และจะทอดกี่คร้งั ก็ได้ เวลา ทอดกี่คร้ังก็ได และใชผาบงั สกุ ุลเปน แตต่ อ้ งมผี ้าบังสุกุลอยา่ งน้อย ๑ ผนื หลักสาํ คญั ในขณะทก่ี ารทอดกฐนิ จะกระทาํ ไดเพยี งปละ 1 ครงั้ ตงั้ แตว นั แรม 1 คํ่า ๒. นอกจากจะมผี า้ บงั สกุ ลุ เปน็ หลกั สา� คญั แลว้ เครอื่ งบรวิ ารผา้ ปา่ ยงั ประกอบดว้ ย เดือน 11 ไปจนถึง วันข้นึ 15 ค่าํ เดอื น 12 ปัจจยั ต่างๆ และเคร่อื งไทยธรรม กลา่ วคอื เครอื่ งบริวารจะเปน็ ของส่ิงใดกไ็ ด้ท่ีไมข่ ัดตอ่ พระธรรม จะทอดกอนหรือหลงั จากนไ้ี มไ ด) วินยั และไม่น�าความเสอ่ื มเสียมาสู่พระสงฆแ์ ละพระพุทธศาสนา เปน็ อนั ใช้ได้ทั้งสิน้ 2. ครใู หนกั เรียนยกตัวอยา งวาการทอดผา ปา ถูก ๓. การทอดผ้าปา่ เปน็ สงั ฆทาน ไมเ่ จาะจงว่าพระภกิ ษุสงฆ์รูปใดจะเป็นผู้รบั นาํ มาใชในกิจกรรมอะไรบาง เพ่ือขอความ ๔. การทอดผา้ ปา่ จะกระทา� เปน็ สว่ นตัวหรือรวมกนั หลายคนเปน็ ผ้าปา่ สามคั คีก็ได้ รวมมอื ใหก จิ กรรมน้นั ประสบความสําเรจ็ โดย ชว ยกนั ตอบในชั้นเรียน (แนวตอบ ผาปาหนงั สอื ผา ปาทุนการศึกษา ผา ปากองทุนเลา เรียนหลวง ผา ปาสมทบทุนงาน บญุ กศุ ลตา งๆ เชน สรา งพระอุโบสถ โรงอาหาร อาคารเรยี น เปน ตน ) 3. ครูนําตนผาปา มาต้ังในหอ งเรียนและใหน กั เรยี น รวมทาํ บุญ นอกจากการทอดผ้าปา่ จะช่วยให้เกดิ ความบริสุทธ์ทิ างใจแลว้ ยังช่วยสง่ เสริมความสามัคคใี นชุมชนอกี ดว้ ย 148 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดกลา วไม ถูกตอ งเก่ยี วกบั การทอดผาปา 1 ผา ปา มีชอ่ื เรยี กหลายอยางดว ยกัน ท้ังน้ีขนึ้ อยูกับลกั ษณะตา งๆ ในการจัด 1. ทอดไดตลอดท้ังปไมจ าํ กัดเวลา ผาปา ดังนี้ 2. ผาบงั สกุ ลุ ถือเปน ของสําคญั ท่ีสดุ ในการทอดผาปา 3. ควรเจาะจงพระภิกษุสงฆรปู ใดรูปหน่งึ เปนผรู บั • ผา ปา หางกฐนิ คือ ผา ปาทเ่ี จาภาพผูทอดกฐินนาํ ไปพรอ มกับองคก ฐนิ 4. การรวมกันเปน หมูคณะนําผา ปา ไปทอดท่วี ัด เรยี กวา ผา ปา สามัคคี ไปทอดตามวัดตา งๆ ท่ีขบวนกฐนิ ผาน หรอื ทอดที่วดั ท่ีทอดกฐิน วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการทอดผา ปา ถอื เปนสงั ฆทาน จึงไมควรเจาะจงใหพระภกิ ษสุ งฆร ูปใดรูปหนง่ึ เปน ผรู บั แตการทอดผา ปา • ผา ปา โยง คอื ผาปา ที่มหี ลายเจาภาพ แตล ะเจา ภาพจะจัดกองผาปา มา สามารถกระทําไดต ลอดทง้ั ปไ มจ าํ กัดเวลา แตกตางจากการทอดกฐนิ ท่ี จงึ มผี าปา หลายกอง บรรทกุ ยานพาหนะไปทอดตามวดั ตางๆ ในสมยั กอน ทําไดเ พียงปล ะ 1 ครงั้ และผา บงั สุกลุ หรือผา ปา ถอื เปน ของสําคัญทส่ี ุดใน เจา ภาพกองผา ปา แตล ะกองจะนาํ ผา ปา บรรทกุ เรอื พว งกนั ไปหลายเจา ภาพ การทอดผา ปา แตจ ะมเี คร่ืองบริวารอ่นื ๆ ทไี่ มข ดั ตอ พระธรรมวนิ ยั และ และหลายกองจึงเรียกวา ผา ปา โยง ไมสรา งความเส่ือมเสยี แกพ ระพุทธศาสนาก็ได สว นการแจกฎีกาบอกบุญ ไปยังผูมีจติ ศรทั ธาใหชวยกนั บริจาคเงิน แลว รว มกนั นาํ ผา ปา ไปทอดที่วัด • ผาปา สามคั คี คอื ผาปา ทีม่ ีการแจกใบฎีกา (ใบท่ที างวดั ประกาศเชญิ ชวน เรียกวา ผาปาสามคั คี ใหญาติโยมไปรวมบุญเนื่องในวันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา) บอกผูมี จิตศรัทธาชว ยกันบรจิ าคเงนิ มากนอ ยตามศรัทธา แลว รวมกนั นาํ ไปทอด ทว่ี ัด 148 คูมอื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ๕. การทา� พิธีทอดผา้ ปา่ เน่อื งจากในปัจจุบนั บ้านเมืองมคี วามเจริญมากขน้ึ จึงมี 1. หลงั จากรวบรวมเงินท่ีตนผา ปาเรียบรอ ยแลว การท�าเลียนแบบธรรมเนียมดั้งเดิม ด้วยการตัดกิ่งไม้น�าไปปักที่ศาลาการเปรียญ กุฏิ แล้ววาง ครสู ุมใหน กั เรียนออกมานํากลาวคําถวาย ผ้าบังสุกุลตลอดจนเคร่ืองบริวารอื่นๆ ทอดไว้บนก่ิงไม้นั้น เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ผาปาพรอมคาํ แปล เพอ่ื นนกั เรียนในหองกลา ว แล้วกลา่ วค�าถวายผา้ ปา่ ดังน้ี คําถวายพรอมกนั จากนั้นสงตัวแทนนกั เรยี น คา� อา่ น อิมานิ มะยงั ภันเต ปังสุกูละจวี ะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆสั สะ ไปทอดผา ปา ทวี่ ดั ใกลโรงเรียน โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภกิ ขสุ งั โฆ อมิ านิ ปังสุกูละจวี ะรานิ 2. ครใู หนักเรยี นบนั ทึกขน้ั ตอนการถวายผาปา สะปะริวารานิ ปะฏคิ คัณหาตุ อมั หากงั ทฆี ะรตั ตงั หิตายะ สุขายะ และวัตถปุ ระสงคสาํ คัญของการทอดผา ปา ค�าแปล ขา้ แตพ่ ระสงฆผ์ ู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอนอ้ มถวายผ้าบงั สกุ ลุ จวี ร ลงในสมดุ และสงครูผูสอน พรอ้ มดว้ ยของบรวิ ารเหล่านัน้ แดพ่ ระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้าบังสุกลุ จวี ร พร้อมดว้ ยของบรวิ ารเหลา่ นนั้ ของข้าพเจา้ ทัง้ หลาย เพ่อื ประโยชนแ์ ละ ขยายความเขา ใจ Expand ความสุขแกข่ ้าพเจ้าทง้ั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ 1. ครนู มิ นตพระสงฆมาเทศนาถึงวธิ ีปฏบิ ตั ิ เม่ือกล่าวค�าถวายผ้าป่าแล้ว เพก่ยีระวสกงบั ฆก์สุศวลดกอรรนมุโ1ขมอทงนกาารกทรอวดดผนา้ ้�าป่าเปป็นระอกันอเบสดร็ว้จยสกิ้น็ไพดิธ้ ี เก่ยี วกับศาสนพิธีตางๆ จากนั้นใหน กั เรียน แต่บางกรณกี ็อาจมพี ระธรรมเทศนาสน้ั ๆ สาธติ วธิ ีปฏบิ ตั ใิ นการถวายสงั ฆทานและ ถวายภตั ตาหาร แลวครูซกั ถามถงึ วธิ ีปฏบิ ตั ิ ในสังคมไทยได้มีการก�าหนดให้วันส�าคัญต่างๆ ทางพระพุทธศาสนาจ�านวนหลายวัน ในขั้นตอนตางๆ เพอ่ื ใหนักเรยี นปฏิบตั ไิ ด ให้ถือเป็นวันหยุดราชการ ทั้งน้ี เพ่ือให้เห็นคุณค่าความส�าคัญของเหตุการณ์ที่เก่ียวข้องกับ อยางถกู ตอ ง พระพทุ ธศาสนาในวนั นนั้ ๆ แลว้ ยงั เปน็ การเปดิ โอกาสใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยไดม้ เี วลาปฏบิ ตั ธิ รรม ประกอบศาสนกิจได้อย่างเต็มท่ีอีกด้วย นอกจากน้ีก็ยังมีศาสนพิธีต่างๆ ท่ีนักเรียนควรเรียนรู้ 2. ครใู หนักเรยี นเขยี นสรุปความสาํ คญั และ ท�าความเข้าใจ เพื่อจะได้ปฏิบัติตนในการเข้าร่วมศาสนพิธีดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็น วิธีปฏิบัตศิ าสนพิธีตางๆ ไดแก การทําบญุ ศาสนพิธีทเี่ ราคุน้ เคยกนั ดอี ย่แู ล้ว ไมว่ า่ จะเปน็ การทา� บุญตกั บาตร การถวายภัตตาหาร การถวาย ตักบาตร การถวายภตั ตาหาร การถวาย ผ้าอาบน้�าฝน การถวายเครื่องไทยธรรม เคร่ืองไทยทาน การกรวดน�้า การทอดกฐิน และการ สงั ฆทาน การถวายผา อาบนํา้ ฝน การจดั และ ทอดผา้ ป่า ถวายเครอ่ื งไทยธรรม เครือ่ งไทยทาน การกรวดน้าํ การทอดกฐนิ และการทอดผาปา ลงในสมดุ และสงครูผูส อน ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบจากการเขียนสรุปความสาํ คญั และ วิธีปฏบิ ตั ศิ าสนพิธีตา งๆ 149 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอใดเปนลกั ษณะสาํ คญั ของประเพณีการทอดผา ปา 1 กุศลกรรม หรือกุศลกรรมบถ มี 10 ประการ ไดแ ก งดเวนจากการฆาสัตวทมี่ ี 1. การทอดผาปาไมม กี ารจาํ กัดเวลา ชวี ติ ใหตาย งดเวน จากการลกั ขโมยสงิ่ ของและไมใ ชใ หผ ูอ่นื ลกั ขโมย ไมหลอกลวง 2. วัดตา งๆ รบั ทอดผา ปา ไดปล ะ 1 ครั้ง ใหผ ูอ น่ื ตอ งเสยี ทรัพยและช่ือเสียง งดเวน จากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย 3. มพี ระสงฆอยางนอย 5 รูปในการรับทอดผาปา งดเวน จากการพูดเทจ็ งดเวนจากการพดู สอ เสยี ด งดเวนจากการพูดจาหยาบคาย 4. ทอดในชว งแรม 1 คํา่ เดอื น 11 ถึง ขนึ้ 15 คาํ่ เดอื น 12 งดเวนจากการพูดเพอ เจอ ไมโลภอยากไดข องผอู ืน่ มาเปน ของตน ไมพยาบาท ปองรายเขา และเหน็ ชอบตามทาํ นองคลองธรรม วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. เพราะการทอดผา ปา ทาํ ไดตลอดป มมุ IT และทอดกี่คร้งั ก็ได นิยมทอดในชว งเทศกาลปใหม วนั ตรุษสงกรานต สว นขอ 2. ขอ 3. และขอ 4. เปน ลกั ษณะสาํ คัญของการทอดกฐนิ ศึกษาคน ควาเพิม่ เตมิ วา ทาํ บญุ อยางไรไดบญุ สูงสุด ไดที่ http://www.budsakaeo.org/boon.htm เว็บไซตส ํานกั งานพระพุทธศาสนาจงั หวัดสระแกว คูมือครู 149

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถูกตอ งในการตอบคาํ ถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรยี นรู้ ประจาํ หนว ยการเรยี นรู ๑. นกั เรยี นสามารถนา� หลกั ธรรมในวนั วสิ าขบชู าไปใชใ้ นการพฒั นาตนเองไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๒. วันธรรมสวนะหรือวันพระมีประโยชน์ต่อพุทธศาสนิกชนเช่นใด นักเรียนมีวิธีปฏิบัติตน แล 1. ตารางบนั ทกึ ความดขี องนกั เรยี นในชวี ติ ประจาํ วนั ในการฟงั ธรรมในวนั พระอยา่ งไร 2. ผังมโนทัศนส รปุ สาระสําคัญของวนั สาํ คัญทาง ๓. ในวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนา นักเรียนควรท่ีจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะได้ช่ือว่าเป็น พระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ี บอกมาอยา่ งนอ้ ย ๔ ขอ้ 3. บันทกึ การเขา รวมศาสนพธิ แี ละสิ่งทน่ี ักเรยี นพึง ๔. จงอธบิ ายขน้ั ตอนการทา� บญุ ถวายภตั ตาหารแดพ่ ระในงานมงคลตามทน่ี กั เรยี นเขา้ ใจ ๕. นกั เรยี นคดิ วา่ จา� เปน็ หรอื ไมท่ ค่ี นไทยจะตอ้ งศกึ ษาและทา� ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั วธิ ปี ฏบิ ตั ติ น ปฏิบตั ิในวันธรรมสวนะ 4. การเขียนสรปุ ความสาํ คญั และวธิ ีปฏบิ ตั ิ ในศาสนพธิ ี จงแสดงความคดิ เหน็ ศาสนพิธีตางๆ กิจกรรมสรา้ งสรรค์พั²นาการเรียนรู้ กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนช่วยกันจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ อาจจดั ใหม้ ีการอภิปรายถาม‑ตอบ หรือจัดกิจกรรมอื่นๆ ร่วมด้วยก็ได้ กจิ กรรมท่ี ๒ ครูเชิญพระธรรมวิทยากรจากวัดใกล้โรงเรียนมาบรรยาย รวมทั้งช้ีแนะการ ปฏบิ ตั ศิ าสนพธิ ตี า่ งๆ เชน่ การทา� บญุ ตกั บาตร การถวายภตั ตาหาร และการ ถวายสงั ฆทาน การถวายผา้ อาบนา้� ฝน การจดั เครอื่ งไทยธรรม ไทยทาน และ การกรวดน้�า ท้ังนีอ้ าจจัดใหม้ ีการถา่ ยภาพ และใหน้ ักเรียนร่วมกันอภปิ ราย กิจกรรมที่ ๓ นกั เรยี นบา� เพญ็ ประโยชน์ เชน่ การทา� ความสะอาดโรงเรยี น ถนนรอบโรงเรยี น ขดุ ลอกคูคลอง ท�าความสะอาดบริเวณวัด ปลกู ต้นไม้ บริจาคทานช่วยเหลือ คนยากจน นา� อาหารไปเลย้ี งเดก็ กา� พรา้ คนพกิ าร เปน็ ตน้ เนอื่ งในวนั สา� คญั ทางพระพทุ ธศาสนาตามโอกาสอันควร พทุ ธศาสนสุภาษิต Ê·¸Ú ¸Õ ÇÔµÚµí »ØÃÔÊÊÊÚ àʯþ€Úí : ÈÃÑ·¸Ò໹š ·Ã¾Ñ » ÃÐàÊÃÔ°¢Í§¤¹ã¹âÅ¡¹Õé 150 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. หลกั ธรรมที่เกีย่ วเนอ่ื งในวนั วสิ าขบชู า คอื อรยิ สจั 4 อนั ประกอบดว ย ทุกข สมทุ ัย นิโรธ และมรรค เราสามารถนํามาปรบั ประยุกตใ ชเพ่อื การพน ทุกขหรอื แกปญหาใน ชีวิตประจําวันได กลา วคอื เมื่อมปี ญ หาหรอื ความทกุ ขใ หพ ิจารณาสาเหตุอยา งมีสติ และหาวธิ ีการแกป ญ หาอยา งถกู ตอ งเหมาะสม ก็จะทาํ ใหเราแกป ญหาได 2. ประโยชนข องวนั ธรรมสวนะหรอื วนั พระ คอื ไดท าํ บญุ ไดฟ ง ธรรมจากพระสงฆ ทาํ ใหป ฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาไดถ กู ตอ ง วธิ ปี ฏบิ ตั ติ นในการฟง ธรรม คอื ตัง้ ใจฟง ดว ยความสาํ รวม คิดพิจารณาและวเิ คราะหตามเนอื้ หาธรรมะน้ันๆ เพ่ือใหเกดิ ความเขา ใจอยางถองแท 3. ทําบญุ ตกั บาตร ฟง พระธรรมเทศนา บําเพญ็ ประโยชนส าธารณประโยชน และเวียนเทียน 4. ข้ันตอนการทาํ บุญถวายภัตตาหารแดพระในงานมงคล มีดังน้ี 1) นิมนตพระสงฆต อ เจา อาวาส บอกวัน เวลา สถานที่ และจํานวนพระสงฆต ามทตี่ อ งการ โดยไมเจาะจงรูปใดรปู หน่ึง 2) จัดเตรียมภัตตาหารทีส่ ะอาด เปนของดี ประณีต หามาไดด ว ยความสุจรติ และไมเ ปนอาหารตอ งหามตามพุทธบัญญัติ เชน เนอ้ื 10 ชนิด ของดบิ เปน ตน 3). เมือ่ พระสงฆมาพรอม นาํ ภตั ตาหารมาตงั้ หนา พระสงฆ จากนัน้ จดุ ธปู เทยี นบชู าพระรัตนตรัย กลา วคําบูชาพระรัตนตรยั อาราธนาศลี สมาทานศีล 4) กลาวคําถวายภัตตาหาร จากนน้ั ประเคนภตั ตาหารแดพระสงฆ 5) เม่ือพระสงฆอนโุ มทนา เจาภาพกรวดน้ํา 5. จาํ เปน อยา งยิ่ง เพอ่ื ใหส ามารถปฏิบตั ิตนไดถูกตองตามระเบียบแบบแผนทางศาสนาที่มมี าตั้งแตสมยั พทุ ธกาล รวมทงั้ ยังเปนการสืบทอดประเพณที ดี่ งี าม และสรา ง ความเปน สริ มิ งคลแกผ ูปฏิบตั ิ 150 คมู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู ๗หน่วยการเรียนรู้ท่ ี การบรหิ ารจติ 1. อธบิ ายความหมายและความสาํ คญั ของ และการเจริญปญญา การบริหารจิตและการเจรญิ ปญ ญาได 2. บอกวธิ กี ารปฏิบัตแิ ละประโยชนของการ บริหารจิตตามแนวทางศาสนาทต่ี นนบั ถอื 3. นาํ วธิ กี ารบรหิ ารจติ ตามหลักอานาปานสติ และวิธีคดิ แบบโยนโิ สมนสิการไปใชใ นชีวติ ประจาํ วันได 4. สวดมนตและแผเ มตตาไดอยางถูกตอ ง รวมถงึ แปลความหมายของบทสวดมนตน น้ั ได ตวั ชวี้ ดั สมรรถนะของผูเ รยี น ● เห็นคุณค่าของการพัฒนาจิต เพื่อการเรียนรู้ 1. ความสามารถในการคิด และดาำ เนนิ ชวี ติ ดว้ ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร 2. ความสามารถในการแกปญ หา คือ วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม และ 3. ความสามารถในการใชทักษะชวี ิต วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือการ พฒั นาจติ ตามแนวทางของศาสนาทต่ี นนบั ถอื คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค (ส ๑.๑ ม.๒/๙) 1. รกั ชาติ ศาสน กษตั รยิ  ● สวดมนต์ แผ่เมตตา บริหารจิตและเจริญ 2. ซ่อื สตั ยสจุ รติ ปัญญาด้วยอานาปานสติหรือตามแนวทาง 3. ใฝเ รยี นรู ของศาสนาท่ตี นนับถือ (ส ๑.๑ ม.๒/๑๐) สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ● พฒั นาการเรยี นรดู้ ว้ ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร ๒ วธิ ี คือ วิธคี ดิ แบบอบุ ายปลุกเร้าคณุ ธรรม และวธิ ีคิดแบบอรรถธรรมสัมพนั ธ์ ● สวดมนต์แปลและแผเ่ มตตา ¡ÒúÃËÔ ÒèµÔ ¤Í× ¡Òý¡ƒ ½¹ÍºÃÁ¨µÔ ãË´Œ §Õ ÒÁ ¹ÁØ‹ ¹ÇÅ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ÁÕ¤ÇÒÁ˹¡Ñ ṋ¹ Áèѹ¤§ á¢ç§áç ¼Í‹ ¹¤ÅÒ áÅÐʧºÊ¢Ø ÊÇ‹ ¹¡ÒÃà¨ÃÞÔ »Þ˜ ÞÒ ¤Í× ¡Òý¡ƒ ãËÃŒ ¨ŒÙ ¡Ñ ¤´Ô ÍÂÒ‹ §·àèÕ ÃÂÕ ¡¡¹Ñ ÇÒ‹ ครใู หนกั เรยี นนําสวดบทกราบพระรตั นตรยั “¤´Ô ໚¹ á¡»Œ ˜ÞËÒ໚¹” ¹¹èÑ àͧ บทพระพทุ ธคณุ พระธรรมคุณ พระสังฆคณุ และ ใหน ักเรยี นน่ังสมาธิประมาณ 5 นาที แลว ถาม ¡Òý¡ƒ ¨µÔ ãËàŒ »¹š ÊÁÒ¸ÁÔ ËÕ ÅÒÂÇ¸Ô Õ Ë¹§èÖ ã¹ËÅÒÂÇ¸Ô ¹Õ ¹Ñé นักเรยี นวา มีความเปลี่ยนแปลงเกิดข้นึ กับนกั เรยี น ¤Í× ¡ÒáÒí ˹´ÅÁËÒÂã¨à¢ÒŒ ÍÍ¡ «§Öè àÃÂÕ ¡ÇÒ‹ “Íҹһҹʵ”Ô อยางไรบา ง จากน้ันครอู ธิบายวิธีการนั่งสมาธิ àÁÍè× ¨µÔ ໹š ÊÁÒ¸áÔ ÅÇŒ ¨Ðà»¹š º¹Ñ ä´¡ÒŒ Çä»Ê»‹Ù Þ˜ ÞÒ ¤Í× ¨ÐÍÒ‹ ¹ เพ่ิมเตมิ เพ่ือใหน ักเรยี นนงั่ สมาธไิ ดอ ยางถกู ตอง ¨Ð¿§˜ ËÃÍ× È¡Ö ÉÒàÅÒ‹ àÃÂÕ ¹àÃÍè× §ã´ ¨Ð¤´Ô µÃµÔ ÃͧʧèÔ ã´ ¨Ð¡ÃзÒí ËÃÍ× ½¡ƒ »ÃÍ× ã¹àÃÍè× §ã´¡µç ÒÁ ¡¨ç Ðà¡´Ô ¤ÇÒÁäŒÙ ÇÒÁà¢ÒŒ ã¨áÅÐ ¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞä´ŒäÁ‹ÂÒ¡ ÇÔ¸Õ¡Òýƒ¡¨Ôµãˌ໚¹ÊÁҸԨ֧໚¹ ÊÔè§·èÕ¾Ö§ÈÖ¡ÉÒàÃÕ¹Ì٠à¾è×͹íÒä»»¯ÔºÑµÔãËŒà¡Ô´¤Ø³»ÃÐ⪹ á¡‹µ¹àͧµÍ‹ ä» เกร็ดแนะครู ครคู วรจดั กิจกรรมการเรียนรเู พ่ือใหนักเรยี นสามารถอธิบายความหมายและ ความสาํ คัญของการบรหิ ารจิตและการเจริญปญญา สามารถนําวิธีการบรหิ ารจติ ตามหลกั อานาปานสตแิ ละวิธคี ิดแบบโยนโิ สมนสกิ ารไปใชในชีวติ ประจําวัน ตลอดจนสวดมนตและแผเมตตาไดถ กู ตอ ง โดยเนนการพฒั นาทักษะการคดิ และ ทกั ษะการนาํ ไปใช ดงั น้ี • ใหน ักเรยี นแตละคนผลัดเปลี่ยนกันนําสวดมนต เชน บทกราบพระรัตนตรยั นมสั การพระพทุ ธเจา ไตรสรณคมน บทถวายพรพระ บทแผเ มตตา เปน ตน รวมถงึ สาธติ การจดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั และการกราบเบญจางคประดษิ ฐ ทถ่ี ูกตอ ง • ฝกใหน กั เรียนสวดมนตแปลในชน้ั เรียน โดยสามารถอธิบายถึงความหมาย ของบทสวดมนตน ้ัน • จดั ใหมีการปฏิบัติเดนิ จงกรม สวดมนต และฝก นัง่ สมาธิ คมู่ ือครู 151

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูใหนักเรยี นชวยกนั ยกตัวอยางประโยชนข อง ๑. การบริหารจิตและการเจรญิ ปญั ญา การบรหิ ารจติ หรือการนัง่ สมาธิ การบริหารจิต หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตใจให้ดีงาม นุ่มนวล มีความหนักแน่น มั่นคง (แนวตอบ เชน มสี ติสัมปชญั ญะ เกิดปญญา แข็งแกร่ง ผอ่ นคลาย และสงบสขุ ซงึ่ มกี ารฝกึ เพอื่ ใหบ้ รรลผุ ลดงั กลา่ วมากมาย หลายวธิ ี สว่ นการ เรียนหนงั สือไดดี มสี มาธิ เปน ตน) เจริญปญั ญานัน้ คอื การฝกึ ให้รู้จักคิด หรือทเี่ รียกวา่ “คดิ เป็น แกป้ ัญหาเปน็ ” น่ันเอง สา� รวจคน้ หา Explore การเจรญิ ปญั ญา หมายถงึ การส่งเสริมพฒั นาปญั ญาให้เกดิ ข้ึน ด้วยการฝึกอบรม (ภาวนา) ให้เกิดความรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง การใช้ปัญญาเป็นสิ่งส�าคัญอย่างย่ิงในสังคม 1. ครใู หน กั เรียนศกึ ษาเกยี่ วกบั การบริหารจิตจาก ปัจจุบัน เพราะเราต้องใช้ข้อมูลข่าวสาร (สารสนเทศ) เป็นพ้ืนฐานในการเลือก ตัดสินใจ และ หนังสอื สวดมนตห รือหนงั สือธรรมะทมี่ แี นวทาง แกป้ ญั หาทกุ ระดบั ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นการศกึ ษาเลา่ เรยี น การประกอบอาชพี ความเปน็ อยใู่ นครอบครวั เกย่ี วกบั การนงั่ สมาธิ เพอ่ื ใหก ารนงั่ สมาธไิ ดผ ลดี และการมีบทบาทช่วยเหลือสังคม ดังนั้น เพ่ือให้ตัดสินใจไม่ผิดพลาดและสามารถด�ารงชีวิตได้ ยง่ิ ข้นึ สัมพันธ์สอดคล้องกับสภาพการณ์ของสังคม การฝึกพัฒนาปัญญาและวิธีคิดตามหลักพระพุทธ ศาสนาจงึ เปน็ ความจา� เป็นอยา่ งยง่ิ ส�าหรับนกั เรียน 2. ครูใหน กั เรียนศกึ ษาการสวดมนตบทตางๆ พรอมความหมาย เชน บทกราบพระรัตนตรยั 1.1 ประโยชน์ของการบริหารจติ และการเจริญปญั ญา บทถวายพรพระ บทอาราธนาศลี เปน ตน เพ่อื ใหนักเรยี นเกดิ ความเขาใจและเขา ถึง ประโยชน์ของการบริหารจิตและการเจริญปัญญามีอยู่มากมาย ซึ่งในที่น้ีจะกล่าวเน้นเฉพาะ คําสอนของพระพุทธเจา มากข้ึน ประโยชน์ของการนา� ไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�าวนั ซง่ึ มดี ังน้ี ๑. ทา� ใหจ้ ติ ใจสบาย หายเครยี ด มคี วามสุขผ่องใส 3. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาการบรหิ ารจติ ในหนงั สอื เรยี น ๒. หายจากการวติ กหวาดกลวั หายกระวนกระวาย หนา 152-157 อธบิ ายความรู้ Explain ๓. หลับง่าย หลับสนิท ไม่ฝันร้าย สงั่ ตวั เองได้ เชน่ กา� หนดใหห้ ลบั ใหต้ นื่ ตามเวลา ที่ต้องการ 1. ครสู ุมใหน ักเรยี น 2-3 คน ออกมาอธิบาย ๔. มีความว่องไว กระฉับกระเฉง เกยี่ วกบั วธิ กี ารนงั่ สมาธทิ ถี่ กู ตอ ง จากนนั้ รู้จกั ตดั สนิ ใจเหมาะแกส่ ถานการณ์ ครตู ้ังคําถามใหน กั เรียนตอบวา เมอื่ นักเรียน ๕. มคี วามเพยี รพยายามแนว่ แนใ่ น นั่งสมาธอิ ยา งถูกตอ งแลว นกั เรยี นมคี วามรูสกึ จุดหมาย มีค๖ว. ามมสีใฝตสิส่ มััมปฤชทญัธ์ิสญูงะ1 มคี วามรเู้ ทา่ ทนั อยา งไรบา ง ปรากฏการณ์ ยับยั้งชง่ั ใจไดด้ ีเยี่ยม ๗. มีประสิทธิภาพในการท�างาน 2. ครใู หนักเรียนปฏิบตั ิการนัง่ สมาธใิ นหองเรียน เช่น เรียนหนังสือเก่ง ท�ากิจการงานทุกอย่าง ประมาณ 10 นาที จากนัน้ ใหนักเรียนบันทกึ ส�าเร็จด้วยดี ประโยชนข องสมาธิทสี่ ามารถนําไปใชในชวี ิต ๘. สง่ เสรมิ ความจา� และสมรรถภาพ ประจาํ วนั ได บุคคลที่มีสมาธิในการทำางานจะช่วยให้ทำางานได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ 3. ครใู หนกั เรยี นชวยกันวิเคราะหวา เพราะเหตใุ ด ทางสมอง การน่ังสมาธจิ ึงทําใหเกดิ สตปิ ญญา 152 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเก่ยี วกบั ประโยชนของการบริหารจิต ครแู นะนําเรอ่ื งการบริหารจติ วา กอนการนง่ั สมาธิควรรกั ษาจิตใจใหม คี วามสงบ จุดมงุ หมายของ “จติ ภาวนา” คอื ขอ ใด ในระดับหน่ึง เพราะหากจติ ใจฟงุ ซา น กระวนกระวาย จะไมส ามารถน่ังสมาธิได 1. การสวดออนวอนใหบ รรลผุ ล ซ่ึงเปน อุปสรรคสําคญั ทค่ี นจํานวนมากไมส ามารถนงั่ สมาธิได จึงควรเรม่ิ ตนดว ย 2. การสรา งความสงบในจิตใจ การเดนิ จงกรมและการสวดมนตอ อกเสยี ง อยา งไรกด็ ี การสวดมนตจ ะสวดเปน 3. การมีระเบียบวนิ ัย สํารวมกายวาจา ภาษาใดก็ไดตามแตส ะดวก ไมจําเปนตองสวดเปนภาษาบาลี เพยี งแตภาษาบาลี 4. การแผความดไี ปสมู วลมนุษย เปน ภาษาดง้ั เดมิ ท่ใี ชในการสบื ทอดพระพทุ ธศาสนา และเม่อื จติ ใจสงบไดระดบั หนง่ึ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เนือ่ งจากการบรหิ ารจติ หรอื “จิตภาวนา” จงึ จะสามารถนัง่ สมาธิไดอยางสงบและมปี ระสิทธผิ ลมากขนึ้ มจี ุดมุงหมายสําคัญ คอื ทาํ ใหจติ ใจเกดิ ความสงบ สบาย ผอนคลาย ไมเครยี ด ลดความวิตกกงั วล ชวยใหก ารเรยี นและการทํางานมี นกั เรียนควรรู ประสทิ ธิภาพมากย่งิ ข้นึ ดังน้นั คาํ ตอบที่ถกู ตอ งทสี่ ดุ จึงเปน ขอ 2. 1 สตสิ ัมปชัญญะ หมายถงึ ความระลกึ ไดและความรูสกึ ตวั ดว ยความรอบคอบ 152 ค่มู ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๙. เกือ้ กลู แกส่ ุขภาพทางกาย เช่น ชะลอความแก่ ทา� ให้ดอู ่อนกวา่ วยั 1. ครูใหนักเรียนระดมสมองวา กอ นการนัง่ สมาธิ ๑๐. รักษาโรคบางอย่างได้ เช่น โรคท้องผูกเร้ือรัง โรคกระเพาะอาหาร โรคความดัน นักเรยี นควรมกี ารเตรยี มตัวหรอื ปฏบิ ัตติ น โลหติ โรคหืดหอบ และโรคกายจิตอนื่ ๆ อยา งไรบาง เพราะเหตุใด 1.2 วิธีปฏิบัตใิ นการบรหิ ารจติ และการเจรญิ ปญั ญา 2. ครใู หน กั เรยี นในหอ งนาํ สวดมนตบ ทตา งๆ เชน บทกราบพระรัตนตรัย นมสั การพระรตั นตรัย วธิ ีปฏิบตั ิในการบริหารจิตและการเจรญิ ปัญญา มดี ังนี้ ไตรสรณคมน อาราธนาศลี แผเมตตา เปนตน ๑. เลอื กสถานที่ สถานท่จี ะตอ้ งให้เหมาะสมแกก่ ารฝกึ สมาธิ เช่น ต้องเปน็ ทไ่ี มอ่ บั ลม เพอ่ื ราํ ลกึ ถงึ คณุ พระรตั นตรยั และรักษาศีล จากนนั้ ใหน กั เรียนนัง่ สมาธิ 5 นาที ไม่อกึ ทกึ ปราศจากเสียงรบกวน ถา้ มหี อ้ งส�าหรับฝกึ สมาธิโดยเฉพาะย่ิงดี ๒. กา� หนดเวลา ควรเลอื กเวลาทเี่ หมาะสม แตถ่ า้ เปน็ เวลารบั ประทานอาหารอมิ่ ใหมๆ่ 3. ครใู หน กั เรียนศึกษาการตรสั รูข องพระพทุ ธเจา วา พระพทุ ธเจา สามารถตรสั รไู ดด ว ยพระองคเ อง หรอื เวลาท�า๓งา.นสมมาาจทนาเนหศนีล่ือยจแะลนว้ มิ นไมต1เ่ ์พหรมะามะาสใ�าหหศ้ รีลบั ฝหึกรสอื มถา้าธไิม่มีพระก็ตง้ั จิตงดเวน้ ด้วยตนเองกไ็ ด้ ดว ยวธิ กี ารใด และเพราะเหตุใด พระองค เพือ่ ให้จิตใจบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาด ซง่ึ เป็นการปูพืน้ ฐานที่ดีสา� หรบั การท�าสมาธิ จงึ สามารถตรัสรไู ดดวยวธิ กี ารน้นั ๔. นมสั การพระรตั นตรยั สวดรา� ลึกถึงคณุ ของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ดงั น้ี 4. ครูตัง้ ประเดน็ คาํ ถามใหนักเรียนชวยกันตอบ เพื่อฝกทกั ษะการคิด ดงั น้ี อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธงั ภะคะวันตงั อะภิวาเทมิ • การบรหิ ารจติ มีจุดมุงหมายตา งจากการ สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม ธมั มัง นะมสั สามิ เจริญปญ ญาอยา งไร สุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงั ฆัง นะมามิ (แนวตอบ การบรหิ ารจติ มคี วามมุงหมาย เพือ่ ใหจ ิตใจสงบ ดงี าม มีความสุข ไมลมื ตวั ๕. แผเ่ มตตา สง่ ความปรารถนาดีไปยงั สรรพสัตว์ท้งั หลาย โดยเรม่ิ จากการแผ่เมตตา ขาดสติ สว นการเจรญิ ปญ ญามคี วามมงุ หมาย ใหต้ นเองกอ่ น แลว้ จึงแผเ่ มตตาใหบ้ ิดา มารดา ปู่ ยา่ ตา ยาย จนถึงสรรพสตั ว์ การแผ่เมตตา เพอ่ื ใหด าํ รงชวี ิตอยา งชาญฉลาด มีความ จะสวดเป็นภาษาบาลหี รือภาษาไทยกไ็ ด้ หรือถา้ ไมส่ วดแตต่ ั้งจิตส่งความปรารถนาดีไปให้ก็ได้ รอบรู สามารถแยกแยะไดว า สงิ่ ใดดสี งิ่ ใดไมด ี หรือมโี ทษ จะไดก ระทําแตส่ิงท่ีดีและ ๖. ตดั กงั วล หมายถงึ ตดั หว่ ง ตดั กงั วลทกุ อยา่ งใหห้ มดสน้ิ อยา่ คดิ เรอื่ งงาน เรอ่ื งเรยี น ไมเขาไปของแวะกบั ส่งิ ไมดี) เรื่องญาติมิตร อย่าคดิ ถึงอดตี อนาคต ให้กา� หนดเฉพาะเร่ืองท่จี ะฝึกสมาธิขณะนเ้ี ด๋ียวน้เี ท่าน้ัน • เพราะเหตใุ ด จงึ ตองสมาทานศีลกอนปฏิบตั ิ การบรหิ ารจิตและเจริญปญญา การบริหารจิตมคี วามมุ่งหมายเพอ่ื ให้จติ ใจสงบดีงาม มคี วามสขุ ไม่ลมื ตวั ขาดสติ สว่ นการ (แนวตอบ เพ่อื ใหจ ิตใจบริสุทธิส์ ะอาด เจรญิ ปัญญาตามแนวทางของพระพุทธศาสนาใชเ้ พ่ือให้ดา� รงชวี ติ อยา่ งมคี วามสงบสุข ซง่ึ เปน การปูพ้นื ฐานทด่ี ใี นการทาํ สมาธ)ิ 1.3 การบรหิ ารจิตตามหลกั อานาปานสติ วธิ ฝี กึ สมาธมิ หี ลายวธิ ี แตว่ ธิ ที เ่ี หน็ วา่ เหมาะสมและสะดวกทจ่ี ะฝกึ ไดท้ กุ เพศทกุ วยั และทกุ โอกาส ก็คือ แบบอานาปานสติ (วธิ ีกา� หนดลมหายใจ) ท้ังนเ้ี พราะเหตุผล ดังน้ี ๑. ไม่ต้องหาอุปกรณ์อ่ืนใดมาฝึก เพราะทุกคนมีลมหายใจ หายใจออก‑หายใจเข้า ทุกเวลาอยูแ่ ลว้ ๒. ไม่ซบั ซ้อน เขา้ ใจงา่ ย ท�าได้งา่ ย พอลงมือทา� ก็ได้รับผลทนั ที ตัง้ แตต่ น้ เรือ่ ยไป 153 ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับการบริหารจิต ครูควรเชิญวิทยากรมาใหความรูเก่ียวกับการบริหารจิตที่ถูกตอง เพราะการ บุคคลใดเตรียมตวั เพื่อการบริหารจิตไดดีที่สุด นง่ั สมาธนิ นั้ ถอื วา เปน เรอื่ งยากสาํ หรบั นกั เรยี นหลายๆ คน จงึ ตอ งมกี ารบอกวธิ กี ารปฏบิ ตั ิ 1. แกว นอนหลบั พกั ผอนมากอนเพ่อื เตรียมใจใหพรอม ใหเ ขา ใจอยางถองแท โดยใหว ิทยากรบอกเลา ประสบการณเ กีย่ วกับการนงั่ สมาธิ 2. เกง ถวายสังฆทานเพอ่ื เปน อามสิ บูชากอนที่จะปฏิบตั ิบูชา ของทาน จากนน้ั ใหมีการสาธติ การฝกน่ังสมาธติ ามหลกั อานาปานสติ 3. กลา มศี รทั ธา ตัดความวติ กกงั วล 4. เกด บริหารรางกายมากอ น นกั เรยี นควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เน่ืองจากการเตรียมตัวเพอ่ื การบริหารจติ 1 นมิ นต คอื การเชญิ พระสงฆม าประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา เชน งานแตง งาน งานขึน้ บา นใหม เปนตน โดยท่ัวไปในงานมงคลนิยมนมิ นตพ ระสงฆจํานวนคี่ เชน ไดด ที ี่สดุ น้นั เร่ิมแรกจะตองมคี วามศรทั ธาหรือความเชื่อกอ นวา การบริหาร การนมิ นตพ ระสงฆ 9 รปู พอ งกับคําวากาวหนา พระเกตุ 9 คุมกนั อันตรายตางๆ จติ สามารถทําใหจิตใจสงบ มีความสขุ ไมล ืมตวั และขาดสติ โดยความเชอื่ เปน ตน สว นในงานอวมงคลนยิ มนมิ นตพ ระสงฆจํานวนคู เชน การนิมนตพระสงฆ เหลา นน้ั จะตอ งตง้ั อยบู นฐานของเหตแุ ละผล นอกจากนี้ ยงั ตอ งตดั ความวติ ก 4 รูปในการสวดพระอภิธรรม เปน ตน กงั วลตา งๆ ใหห มดสนิ้ และกําหนดเฉพาะเรอ่ื งที่จะฝก สมาธเิ ทานนั้ สําหรับ การนอนหลับพกั ผอ น การถวายสงั ฆทาน และการบริหารรา งกาย ไมถือเปน ค่มู อื ครู 153 วธิ ีการเตรยี มตวั ทีด่ ที สี่ ุดกอนจะทาํ การบริหารจิต ดงั น้นั กลาจงึ เปน บคุ คลที่ มกี ารเตรียมตัวเพื่อการบริหารจติ ไดดที สี่ ดุ

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหนกั เรยี นยกตวั อยางวธิ ีกาํ หนดลมหายใจ ๓. เป็นหลักฝึกจิตอย่างหนึ่งในจ�านวนไม่ก่ีอย่างท่ีสามารถปฏิบัติต่อเนื่องตั้งแต่ต้นไป ตามหลักอานาปานสติ โดยใหอ อกมาเขยี นบน จนสา� เร็จข้ันสงู สุด ไมต่ ้องพะวงท่ีจะหาวิธอี ืน่ มาสับเปล่ยี นในระหว่างปฏบิ ตั ิ กระดาน จากน้ันใหนกั เรียนชว ยกันบอกเหตุผล ๔. ไม่กระทบตอ่ สขุ ภาพ กายก็ไม่เหน่ือย ตาก็ไม่เมือ่ ย ช่วยให้รา่ งกายพักผอ่ นอยา่ งดี วา เพราะเหตใุ ดจงึ กาํ หนดลมหายใจเชนน้นั ๕. ทสี่ า� คญั พระพทุ ธเจา้ ทรงใชเ้ วลาสว่ นมากในการปฏบิ ตั วิ ธิ นี ้ี และทรงแนะนา� ใหส้ าวก ปฏิบัตมิ ากกวา่ วิธีอื่น 2. ครูนาํ สนทนาเกยี่ วกับความแตกตางของการ การฝกึ สมาธติ ามหลกั อานาปานสติ นั่งสมาธใิ น 2 ลักษณะ คอื ทา นัง่ ขัดสมาธริ าบ มขี ั้นตอนการปฏบิ ตั ิ ดังน้ี และทา นงั่ ขัดสมาธเิ พชร จากนั้นครูนําภาพ ๑) ทา่ นงั่ ใหน้ งั่ บนพน้ื ในทา่ “สมาธ”ิ ทา น่ังขัดสมาธทิ ้งั 2 ลักษณะมาใหนกั เรยี นดู เสมือนพระพุทธรูปปางสมาธิ อาจท�าได้ ๒ ความแตกตาง แลวตัง้ คําถามวา การนงั่ ลกั ษณะ คอื ขัดสมาธิทงั้ 2 ลกั ษณะ มคี วามหมายและ (๑) นั่งขัดบัลลังก์ ท่ีเรียกว่า มเี หตุผลในการนั่งลักษณะนั้นอยา งไรบาง “ขดั สมาธริ าบ” โดยเอาขาขวาทบั ขาซา้ ย มอื ขวา ทับมือซ้าย ตวั ตง้ั ตรง 3. ครูใหนักเรียนศึกษาวธิ กี ารกําหนดลมหายใจวา (๒) น่งั ขดั สมาธิเพชร คอื นั่ง มวี ิธกี ารกาํ หนดจติ ตามหลักอานาปานสติ การฝึกสมาธิตามหลักอานาปานสติ เป็นวิธีที่สามารถทำา เอาขาซา้ ยทบั ขาขวา เทา้ ขวาทบั ขาซา้ ย มอื ขวา อยา งไร จากน้นั ใหน กั เรยี นเลือกวธิ ีการกําหนด ไดง้ ่าย สะดวก และเหมาะสมกบั ทกุ เพศ ทุกวัย ทับมอื ซา้ ย ตัวตง้ั ตรง ลมหายใจที่นกั เรียนมีความสนใจ พรอ มบอก เหตุผลพอสงั เขป ๒) วิธกี �าหนดลมหายใจ อาจทา� ไดห้ ลายวธิ ี ดังนี้ (๑) ให้นับลมหายใจเข้าออก การนับอาจท�าเป็นข้ันตอนตามล�าดับ คือ นับเป็น 4. ครูต้ังประเดน็ คําถามใหน ักเรยี นตอบ เพ่ือฝกทกั ษะการคิดวเิ คราะห เชน คู่ๆ ไป เชน่ หายใจเขา้ นับ ๑ หายใจออกนับ ๑ • นอกจากการนงั่ สมาธดิ ว ยทา นงั่ ขดั สมาธแิ ลว (๒) ใหก้ า� หนดเฉยๆ ไมต่ อ้ งนบั เชน่ เวลาหายใจเขา้ หายใจออก ไมว่ า่ ยาวหรอื สนั้ นกั เรยี นสามารถกาํ หนดลมหายใจตามหลัก อานาปานสตดิ วยวิธีใดไดบา ง เพราะเหตใุ ด ใหก้ า� หนดรวู้ า่ หายใจเขา้ หายใจออกยาวหรอื สนั้ ใชส้ ตกิ า� หนดลมหายใจเขา้ ออกรตู้ วั ทวั่ พรอ้ มไมเ่ ผลอ (แนวตอบ เชน การเดนิ จงกรม การนอนสมาธิ (๓) ใหส้ ังเกตอาการพองและยบุ ของท้อง ขณะหายใจเขา้ หายใจออก คือ เวลา การกําหนดลมหายใจเขาออกในทกุ ชวงเวลา เปนตน เพราะในบางคร้ังและบางคนไม หายใจเข้าท้องจะยุบลง ให้ใช้สติก�าหนดที่ท้องให้ทันกับการยุบของท้อง เวลาหายใจออกท้องจะ สามารถฝกสมาธดิ วยการนงั่ ได จึงควรฝก จิต พองขนึ้ ใหใ้ ชส้ ตกิ า� หนดใหท้ นั กบั การพองของทอ้ ง จะภาวนาในใจวา่ “ยบุ หนอ ‑ พองหนอ” ดว้ ยกไ็ ด้ ระดบั พน้ื ฐานดว ยการกําหนดลมหายใจ โดยกําหนดพทุ -โธในใจในทกุ ชว งเวลา (๔) ให้ภาวนาในใจวา่ “พทุ - โธ” ขณะหายใจเขา้ ออก คือ ขณะหายใจเข้าภาวนา และการเดนิ จงกรม เพื่อเปน การสงบจติ ใจ วา่ “พุท” ขณะหายใจออกภาวนาวา่ “โธ” หรอื หายใจเข้าวา่ “พทุ โธ” หายใจออกว่า “พุทโธ” ดังน้ี ขัน้ ตน กอนการนั่งสมาธิ) กไ็ ดต้ ามสะดวกและสมคั รใจ แตว่ ธิ แี รกอาจดกี วา่ เพราะมพี ยางคเ์ ดยี ว สามารถกา� หนดใหส้ อดคลอ้ ง กบั จงั หวะการหายใจไดด้ กี วา่ นอกจากคา� วา่ “พทุ โธ” แลว้ อาจเลอื กคา� ทเี่ หมาะสมใดๆ มาใชภ้ าวนา ในใจก็ได้ เช่น ค�าว่า “อรหัง” เป็นต้น นอกจากจะใช้ค�าเหล่าน้ีภาวนาก�ากับการก�าหนดลมหายใจ แล้ว จะใช้ค�าที่ภาวนานั้นเป็นจุดที่ให้สติก�าหนดโดยล�าพัง หรือให้ต้ังสติอยู่กับค�าภาวนานั้นจนจิต เป็นสมาธกิ ไ็ ด้ 154 บรู ณาการอาเซียน ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกบั การบรหิ ารจติ ครูใหนักเรียนไปศึกษาการฝก สมาธิของประเทศสมาชิกอาเซียนท่ีนบั ถอื เพื่อนๆ ไมย อมใหสีฟา เขา กลมุ ทาํ รายงาน เพราะมอบหมายใหท าํ สิ่งใด พระพุทธศาสนาเปน ศาสนาประจําชาติ เชน ลาว กัมพูชา เมยี นมา เปนตน ก็มักหลงลืมอยูเสมอ ดงั นั้น สฟี าควรตัดสินใจทําอยางไร วามคี วามเหมอื นหรือแตกตา งจากการฝก สมาธขิ องประเทศไทยอยางไร แลว นาํ 1. ขอทดสอบแทนการทํารายงาน ขอ มลู ทไ่ี ดมาอภปิ รายรวมกันในชัน้ เรียน 2. ขออนญุ าตคณุ ครูทํารายงานเดยี่ ว 3. พยายามฝกตนใหม สี ติสมั ปชญั ญะอยูเสมอ มมุ IT 4. พยายามขอเขาไปทาํ รายงานกบั เพือ่ นกลุม อ่นื วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการที่สฟี า มักหลงลมื อยูเ สมอ ศึกษาคนควาขอมูลเพ่ิมเตมิ เกีย่ วกับการฝก สมาธิเบอ้ื งตน ไดที่ เกิดจากการขาดสติสมั ปชญั ญะวาในขณะนัน้ สฟี า กาํ ลงั ทาํ อะไรอยู ทําให http://www.salatham.com เว็บไซตศาลาธรรม และ ลืมงานทไ่ี ดรบั มอบหมาย เพราะฉะนนั้ สีฟาควรพยายามฝก ตนใหม ี http://www.dhammathai.org เว็บไซตธรรมะไทย สตสิ มั ปชญั ญะดวยการบริหารจิตหรอื การนัง่ สมาธิ สว นขออ่นื ๆ เปนการแก ปญหาทีป่ ลายเหตุ ซ่งึ นอกจากจะไมไดช ว ยแกป ญหาแลว ยังจะเปน ปญ หา ในการทํางานรว มกับผูอ ื่นในอนาคตดว ย 154 คู่มือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain สรุปแล้วไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม หลักการส�าคัญที่สุดก็คือ ต้องการฝึกให้มีสติอยู่กับ ครนู าํ สนทนาดว ยคาํ กลา วทว่ี า ทาน ศลี ภาวนา ตัวเราทกุ ขณะ เพราะขณะใดสตอิ ยกู่ ับตัว จติ จะตอ้ งเป็นสมาธเิ สมอ หรอื พูดอกี นัยหนึ่ง ถา้ สติเกิด เปน 3 กุศลกรรมของมนุษยที่ควรทําควบคูกันไป สมาธเิ กิด ถ้าสติไมเ่ กดิ สมาธกิ ไ็ มเ่ กดิ ถา้ สติมีเพียงชวั่ ขณะ สมาธกิ ็มีเพียงช่ัวขณะ ถา้ มสี ตติ ดิ ตอ่ จากนั้นครตู ัง้ คาํ ถามวา กนั ไปทกุ ขณะจติ นานๆ จิตจะเป็นสมาธนิ านๆ เช่นกัน • เพราะเหตุใด กอ นท่ีเราจะนง่ั สมาธิจงึ ควร ใหท านและรกั ษาศีลไปดวย (แนวตอบ เพราะการบริหารจิตและการเจรญิ ปญ ญาควรมพี ื้นฐานของความดเี ปน ท่ตี ั้งมา กอน การใหท าน เชน การบริจาคชว ยเหลอื ผอู นื่ เพอื่ ลดความตระหนถี่ เ่ี หนยี ว เกดิ ความ ใจกวา ง สว นการรกั ษาศลี นนั้ เปน การทาํ กศุ ล กรรมเพอ่ื ใหเ กดิ ความบรสิ ทุ ธใ์ิ นจติ ใจ เมอ่ื ทาน และศีลพรอมแลว จงึ จะสามารถนงั่ สมาธิ ดวยจิตที่สงบ ทาํ ใหเกดิ สตปิ ญ ญาดยี ่งิ ขึน้ ) ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. ครใู หน กั เรยี นบนั ทกึ วธิ กี ารบริหารจิตตามหลกั อานาปานสตทิ นี่ ักเรยี นปฏิบัตใิ นชีวติ ประจาํ วนั โดยใหบอกวธิ กี ารเตรียมตวั กอ นการน่งั สมาธิ 1 ระหวา งน่งั สมาธิ และประโยชนทไี่ ดร ับลงใน กระดาษ A4 แลว นําสงครูผูส อน การเดนิ จงกรมเปน็ การบรหิ ารจิตอกี วิธหี น่งึ ทีใ่ ช้ควบคมุ จิตใหส้ งบน่งิ 2. ครูใหน กั เรียนศึกษาความหมายของ บทสวดมนตตางๆ และบันทึกความหมาย เร่อื งน่ารู้ พรอ มคําอธบิ ายลงในสมุดพอสงั เขป สมถกรรมฐาน 2 สมถกรรมฐาน คอื อุบายฝกึ จติ วธิ ีอบรมจิตใหส้ ะอาด สวา่ ง สงบ ผ่องใสจากนวิ รณ์ ไมเ่ ศร้าหมองหรือขนุ่ มัว การฝึกจิตจนไดบ้ รรลุฌานเป็นพระอรหันต์ ทำาให้ไดค้ วามสามารถพเิ ศษ เรียกวา่ อภิญญา ๖ อยา่ ง ดงั น้ี ตรวจสอบผล Evaluate 1. อทิ ธิวิธ ี คือ แสดงฤทธไ์ิ ด้ 2. เจโตปรยิ ญาณ คือ อา่ นใจคนอืน่ ออก 1. ตรวจสอบจากการเขยี นบนั ทกึ วธิ กี ารบรหิ ารจติ 3. ปุพเพนิวาสานุสสต ิ คือ ระลึกชาตไิ ด้ ตามหลักอานาปานสตทิ นี่ กั เรยี นปฏบิ ัตใิ น 4. ทิพพโสต คอื มีหทู ิพย์ ชวี ติ ประจาํ วัน 5. ทพิ พจกั ขุ คือ มีตาทพิ ย์ 2. ตรวจสอบจากการแปลความหมายและ 6. อาสวกั ขยญาณ คือ ร้จู ักทำากิเลสให้ส้ินไป คําอธิบายของบทสวดมนตในสมดุ ของนักเรียน 3. ตรวจสอบจากวธิ ีการสวดมนตและการนง่ั แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ 155 สมาธิของนักเรยี น พรอมประเมินวิธกี ารปฏบิ ตั ิ เพื่อใหน ักเรยี นนําไปปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเองได ถกู ตอง เกร็ดแนะครู เพราะเหตใุ ด จึงตองสมาทานศลี ทุกครง้ั กอ นฝกสมาธิ ครใู หนักเรยี นบริหารจติ ดวยการเดินจงกรม จากนั้นนง่ั สมาธิประมาณ 10 นาที 1. เพอ่ื ทําจติ ใจใหสะอาดบรสิ ทุ ธ์ิ แลว ใหเ ปรยี บเทยี บวา กอ นปฏบิ ตั กิ บั หลงั ปฏบิ ตั สิ มาธมิ คี วามรสู กึ แตกตา งกนั อยา งไร 2. เพอ่ื ใหการฝก สมาธิทาํ ไดอ ยา งถูกตอง 3. เพื่อใหการฝก สมาธิมีความศกั ดิ์สทิ ธ์ิมากข้ึน 4. เพอื่ รําลึกถึงคณุ ของพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ นักเรยี นควรรู วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะกอนการนัง่ สมาธิควรมีการปูพน้ื ฐาน 1 เดนิ จงกรม คาํ วา จงกรม มาจากภาษาบาลวี า จังกะมะ แปลวา การกาวยา ง ในการทําความดี ไดแ ก การทําทานเพอื่ ลดความตระหนแ่ี ละเห็นอกเหน็ ใจ นาํ มาใชใ นการเดนิ กาํ หนดสตใิ หอ ยกู บั การเคลอื่ นไหวของกาย เพอื่ ฝก ฝนใหม สี ตแิ ละ ผอู นื่ มากขนึ้ รวมถึงการรักษาศีลเพือ่ ทาํ จติ ใจใหส ะอาดบริสุทธ์ิ ดว ยเหตุน้ี เกดิ สมาธใิ นการเดนิ รูเทา ทนั กับอารมณป จจุบนั จึงตองมีการสมาทานศีลเพือ่ เปนพนื้ ฐานในการฝกสมาธใิ หไ ดผ ลดียงิ่ ขึ้น 2 นิวรณ คอื ธรรมอันกั้นจิตของบุคคลไวไ มใ หบ รรลุความดงี าม มี 5 ประการ ไดแก กามฉันทะ คอื ความพอใจในรปู รส กลิ่น เสยี ง สัมผัส พยาบาท คือ ความ ผูกใจเจ็บ ถนี มทิ ธะ คือ ความงว งเหงาหาวนอน อุทธจั จกุกกุจจะ คอื ความคิด ฟุง ซา น และวจิ กิ จิ ฉา คอื ความลงั เลสงสยั ในผลของการปฏิบตั ิ คู่มอื ครู 155

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage 1. ครูเขยี นบนกระดานวา “โยนิโส” และ ๒. การเจรญิ ปญั ญาโ´ยการคิ´แบบโยนโิ สมนสิการ “มนสิการ” จากนัน้ ถามนกั เรียนวา ทงั้ สองคําน้ี แปลวา อะไร เมื่อรวมกันแลวหมายถึงอะไร พระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนวา่ การศกึ ษาทแี่ ทจ้ รงิ จะเกดิ กต็ อ่ เมอื่ มนษุ ยร์ จู้ กั คดิ การรจู้ กั คดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์อย่างรอบคอบ รอบด้าน ท�าให้เกิดปัญญาแตกฉาน เรียกว่า โยนิโสมนสิการ ซ่ึงค�าว่า 2. ครูใหนักเรียนบอกวา เมื่อนักเรยี นจะวิจารณ โยนโิ สมนสิการ แยกเปน็ ๒ คา� คอื ค�าว่า “โยนิโส” แปลว่า ถกู ตอ้ ง แยบคาย และค�าวา่ “มนสกิ าร” ส่ิงใดสิ่งหนึ่ง จะมีวิธีคิดหรือกระบวนการคิด แปลวา่ ทา� ไว้ในใจ โยนโิ สมนสกิ าร จงึ หมายถึง การท�าไวใ้ นใจโดยแยบคาย กลา่ วคอื การคิดเป็น อยา งไร เพ่อื ใหเปน เหตเุ ปนผลมากทสี่ ดุ ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และคิดเช่ือมโยง ตีความ วเิ คราะหข์ ้อมลู เพอ่ื นา� ไปใช้ตอ่ ไป สา� รวจคน้ หา Explore การคิดแบบโยนิโสมนสิการ ครูใหนกั เรียนสบื คน ขอมลู เพ่มิ เตมิ เกี่ยวกับ การคดิ แบบโยนโิ สมนสิการ มี ๑๐ วิธี ดงั นี้ การเจรญิ ปญญาโดยการคิดแบบโยนิโสมนสิการ ๑. คดิ แบบแยกแยะส่วนประกอบ จากหนงั สอื เรยี นหนา 156-159 หรอื จากแหลง เรยี นรู ๒. คดิ แบบคุณโทษและทางออก อน่ื ๆ เชน หอ งสมดุ อนิ เทอรเ นต็ การสนทนาธรรม ๓. คดิ แบบสบื สาวเหตุปัจจยั กับพระภกิ ษุสงฆ เปนตน ทง้ั น้เี พอื่ ใหนกั เรียนมี ๔. คิดแบบอรรถสัมพนั ธ์ ความเขา ใจในกระบวนการคดิ แบบโยนิโสมนสกิ าร ๕. คดิ แบบแก้ปญั หา มากยงิ่ ขนึ้ ๖. คดิ แบบรู้เท่าทันธรรมดา ๗. คิดแบบคุณคา่ แท้ คณุ ค่าเทยี ม อธบิ ายความรู้ Explain ๘. คิดแบบปลุกเรา้ คณุ ธรรม ๙. คิดแบบอยู่ในปจั จุบัน 1. ครใู หนกั เรยี นแบงออกเปน 10 กลมุ จากนั้นให ๑๐. คิดแบบแยกประเดน็ จบั สลากเลอื กหวั ขอ การคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร กลุมละ 1 วิธี ไมซ้าํ กัน ตามหนงั สือเรียน ในทีน่ ้ีจะกลา่ วถึงเฉพาะวธิ ีคดิ แบบปลุกเร้าคุณธรรม และวิธคี ดิ แบบอรรถสัมพนั ธ์ ดงั น้ี หนา 156 แลวใหแตล ะกลมุ ออกมาอธบิ ายและ ยกตวั อยางการคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ ารตามวิธที ่ี 2.1 คดิ แบบปลุกเร้าคณุ ธรรม จบั สลากไดห นาชั้นเรยี น การคดิ แบบปลุกเร้าคณุ ธรรม (อุปปาทกมนสกิ าร) วิธคี ดิ แบบน้ี คือ ก1ารใชเ้ หตผุ ลหรืออบุ าย 2. ครซู กั ถามแตล ะกลมุ ทอี่ อกมาอธบิ ายวา การคดิ เพ่ือให้เกดิ การกระท�าท่เี ป็นกุศล หรือภาษาสมัยใหม่วา่ “คิดแบบสร้างสรรค”์ เร่อื งทค่ี ดิ จะเป็นเรอ่ื ง แบบโยนโิ สมนสกิ ารดว ยวธิ นี ั้นๆ มปี ระโยชน อะไรก็ได้ คือ เรอ่ื งดีก็ได้ เรอ่ื งไม่ดกี ็ได้ แตว่ ิธีคดิ จะตอ้ งนา� ไปส่กู ารกระทา� ท่ีดี อยางไรบา งกับการดําเนินชวี ิตประจาํ วนั ของ นักเรยี น ยกตัวอย่างเช่น ความตาย เมอ่ื พูดถงึ ความตาย คนมกั จะคิดไป ๒ ทาง ดังน้ี ๑. ถ้าคดิ ว่าเราทกุ คนเกดิ มาแล้วต้องตาย ชวี ิตนไ้ี มจ่ ีรงั ยัง่ ยนื บางคนตายตัง้ แตย่ งั เดก็ 3. ครใู หนกั เรยี นแตละคนบันทึกลักษณะของ การคดิ แบบโยนโิ สมนสิการทงั้ 10 วธิ ี บางคนตายตอนเปน็ หนมุ่ สาว บางคนกอ็ ยมู่ าจนแกเ่ ฒา่ แตท่ า้ ยทส่ี ดุ กต็ ายทกุ คน เมอ่ื คดิ เชน่ นแ้ี ลว้ พรอมบอกประโยชนของการคิดในแตล ะวิธี ก็เกิดความท้อถอย ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม อย่างนี้เรียกว่าคิดถึงความตายแล้วไม่ท�าอะไร พอสังเขปลงในสมุด แลว นําสงครผู ูสอน ความคิดไมช่ ่วยให้เกิดการสร้างสรรค์ หรอื ปลุกเร้าให้เกดิ การกระทา� ทเ่ี ป็นกุศล 156 เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเกยี่ วกับคุณธรรมวา ในปจ จุบันโลกมีการพัฒนาทางดา น ครมู อบหมายใหนกั เรียนศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกีย่ วกับวธิ คี ิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร วัตถุอยางรวดเร็ว ดงั นัน้ การพฒั นาจิตใจควบคูไปดวยจึงมคี วามสําคญั อยา งยิง่ ท้งั 10 วธิ ี จากนัน้ เขยี นสรุปเปน ผงั มโนทัศน แลวสง ครูผูสอน เพราะการพัฒนาทางดา นวัตถเุ พยี งอยา งเดียว ทําใหมนษุ ยและสังคมเกิดความ เหน็ แกต วั และเหน็ คา ของเงนิ มากกวา ความถกู ตอ ง ดว ยเหตนุ ้ี จงึ ควรพฒั นาจติ ใจ กิจกรรมทา ทาย ดว ยการเจรญิ วิปส สนากรรมฐาน เพอื่ ยกระดับจิตใจใหร เู ทา ทันโลก เทาทันกิเลส ซงึ่ จะทาํ ใหมนุษยล ดละความยดึ ม่นั ถือม่นั ในตัวตน มีความละอายใจตอ บาป ครใู หนักเรยี นยกตัวอยา งกรณศี ึกษาหรือหาขา ว เหตุการณท ่เี กิดข้นึ รูจักบาปบุญคณุ โทษ และกฎแหง กรรม ในสงั คม และสงผลกระทบตอตนเองหรือคนทัว่ ไป แลว ใหนกั เรียนนํา วธิ กี ารคิดแบบโยนโิ สมนสิการ 1 วิธี มาใชแกป ญ หาที่เกิดขึน้ นกั เรียนควรรู 1 คดิ แบบสรางสรรค เกดิ จากการเรียนรูและการฝก ฝน โดยเนนใหมีการพฒั นา ทางดา นความคดิ อยางมศี ักยภาพ คดิ ในหลายๆ มิติ เชน การคิดในแงบ วก คดิ สรา งสรรคส งิ่ แปลกใหมท ไ่ี มล อกเลยี นแบบผอู น่ื และสามารถนาํ ไปพฒั นาตอ ไปได 156 คู่มอื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ หรือเมื่อคิดว่าชีวิตมีไม่นาน ไม่ถึงร้อยปีก็จะตาย เพราะฉะน้ันขณะท่ีเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ควร 1. ครใู หนกั เรียนรวมกนั อภิปรายและยกตัวอยา ง สนุกสนานให้เต็มที่ กอบโกยให้เต็มท่ี เพราะตายไปแล้วทรัพย์สมบัติที่มีเราไม่สามารถน�าติดตัว สุภาษิตทม่ี กี ารคดิ แบบอุบายปลุกเรา คุณธรรม ไปได้ คดิ อยา่ งนกี้ อ่ ใหเ้ กดิ การกระทา� แตจ่ ะออก พรอมทง้ั อธิบายความหมายและแงคิดของ มาในทางเป็นอกุศลหรือท�าชั่ว ไม่ใช่การกระทา� สุภาษิตนนั้ แบบสร้างสรรค์ ก็ไม่นับว่าเป็นการคิดแบบ ปลุกเรา้ คณุ ธรรม 2. ครูนําสนทนาถึงการคดิ แบบอบุ ายปลุกเรา ๒. ถา้ คดิ วา่ ชวี ติ ไมย่ ง่ั ยนื ไมถ่ งึ รอ้ ยปี คณุ ธรรม แลวตง้ั คาํ ถามเชิงวิเคราะหวา ก็ต้องตายทุกคนดังข้างต้น แล้วเกิดส�านึกว่า • เพราะเหตุใดวธิ กี ารคดิ แบบอบุ ายปลกุ เรา เรามเี วลาอยใู่ นโลกนไี้ มน่ าน เพราะฉะนนั้ ขณะท่ี คุณธรรม จงึ ชวยปรุงแตง จติ ใจของมนษุ ย ยังมีลมหายใจอยู่นี้ เราควรท�าคุณงามความดี ใหคดิ ไปในทางกศุ ล ใหม้ าก เพราะตายแลว้ ไมม่ โี อกาสทา� เราปลกุ เรา้ (แนวตอบ เพราะจติ ใจมนษุ ยแตกตางกัน ความรู้สึกเสมอว่า “เกิดมาทั้งทีควรท�าดีให้ได้ วาระจติ แตกตา งกัน เม่ือรบั รเู รอื่ งราว จะตายทง้ั ทที า� ดฝี ากไว”้ ถา้ คดิ เชน่ นี้ จงึ จะนบั วา่ เดยี วกนั กอ็ าจจะมคี วามคดิ และจติ ใจปรงุ แตง เป็นการคดิ แบบปลุกเร้าคณุ ธรรม ไปคนละอยา ง สุดแลว แตสามญั สํานกึ และ แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็มีตัวอย่างง่ายๆ วธิ คี ดิ แบบปลกุ เรา้ คณุ ธรรม สามารถนาำ มาประยกุ ตใ์ ชไ้ ดก้ บั ประสบการณของคนๆ นั้น โดยบางคนคดิ การทำางานทุกอย่าง เพราะจะทำาให้เราเร่งรัดทำางานให้ ไปในทางท่ดี งี าม บางคนคิดไปในทางโทษ ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสถึงบ่อยๆ คือ เหตุปรารภ แลว้ เสรจ็ ไมผ่ ดั วนั ประกันพรงุ่ เพราะฉะนัน้ จงึ ตอ งมกี ารคิดแบบอบุ ายปลุก เราคุณธรรม เพ่อื ชกั นาํ ความคดิ ใหเ ดินไปใน หรอื เรอ่ื งราวกรณอี ยา่ งเดยี วกนั คดิ มองไปอยา่ งหนงึ่ ทา� ใหเ้ กยี จครา้ น คดิ มองไปอกี อยา่ งหนงึ่ ทา� ให้ ทางดงี ามและแกไ ขนิสัยความเคยชนิ ของ เกิดความเพยี รพยายาม (ดังความในพระสูตร) ดังนี้ จติ ใจทสี่ ่งั สมไวแ ตเ ดมิ พรอ มกับสรางนสิ ัย ๑. ภกิ ษมุ งี านทจ่ี ะตอ้ งทา� เธอมคี วามคดิ อยา่ งนวี้ า่ เรามงี านทจี่ กั ตอ้ งทา� เมอื่ เราทา� งาน ความเคยชนิ ใหมๆ ที่ดงี ามใหแ กจิตใจ) ร่างกายก็จะเหน็ดเหน่ือย อย่ากระน้ันเลย เรานอน (เอาแรง) เสียก่อนเถิด คิดดังนี้แล้ว เธอก็ นอนเสีย ไม่เริ่มระดมความเพียร เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพ่ือเข้าถึงธรรมท่ียังไม่เข้าถึง 3. ครใู หน กั เรยี นเขยี นสรปุ ประโยชนข องการคดิ เพื่อประจักษ์แจ้งธรรมท่ียงั ไม่ประจกั ษ์แจ้ง... แบบปลุกเรา คุณธรรมวา สามารถพฒั นาจิตใจ ๒. อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษทุ า� งานเสรจ็ แลว้ เธอมคี วามคดิ อยา่ งนวี้ า่ เราไดท้ า� งานเสรจ็ แลว้ หรอื เปลยี่ นแปลงทศั นคติและสามญั สาํ นกึ ของ เม่ือเราท�างานร่างกายเหน็ดเหน่ือยแล้ว อย่ากระนั้นเลยเราจะนอน (พัก) ละ คิดดังน้ีแล้วเธอ มนุษยไ ดอยา งไรบา ง พรอ มเขียนอธิบายและ กน็ อนเสยี ... ยกตวั อยางประกอบ กรณเี ดยี วกนั ท้งั หมดนค้ี ดิ อีกอย่างหน่งึ กลบั ทา� ใหเ้ รม่ิ ระดมความเพยี ร ท่านเรยี กวา่ เรื่องที่จะ เรม่ิ ระดมความเพยี ร เชน่ ๑. (กรณีที่จะต้องทา� งาน) ...ภิกษุคิดว่า เรามีงานทีจ่ ะต้องท�าและขณะเมื่อเราท�างาน การมนสิการค�าสอนของพระพุทธะท้ังหลายก็จะท�าไม่ได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราเริ่มระดม ความเพียรเสียก่อนเถิด เพื่อจะได้บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง เพ่ือ ประจกั ษแ์ จ้งธรรมท่ียังไม่ประจักษ์แจ้ง คดิ ดังน้ีแลว้ ภกิ ษุน้นั จงึ เริ่มระดมความเพยี ร... 157 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู การกระทําในขอ ใดเปน วธิ ีการคดิ แบบปลุกเราคุณธรรม ครยู กตวั อยา งวธิ ีคดิ แบบโยนิโสมนสิการใหนักเรยี นฟง เชน ชมพเู ปน คนไมสวย 1. สมหญงิ อทุ ิศรา งกายใหแ กส ภากาชาดเพอ่ื การศึกษาวิจัยกอนเสียชีวติ อว น และเตีย้ จงึ มักถกู เพื่อนลอ อยูสมํ่าเสมอ ชมพูนอยใจในปมดอยของตวั เองอยู 2. สมชายขยนั ทาํ งานเพอื่ สรางทรัพยส มบัติใหไดมากท่สี ดุ บอยคร้ัง แตแลว วนั หนึ่งชมพูไ ดเหน็ หญิงพิการกําลังนั่งขอทานอยางนาเวทนา ชมพู 3. สมโชคเดินทางทอ งเที่ยวรอบโลกเพอ่ื สรา งความสขุ ใหกับตนเอง เกิดความสงั เวชใจและคิดข้นึ มาไดว า ปมดอยของเรานน้ั เปรยี บไมไดเลยกับความ 4. สมทรงไมกระทําการอนั ใดทเี่ ปนการสรางภาระใหก ับตนเองและผอู ืน่ พกิ ารของบคุ คลทแ่ี ยกวา เรา ถงึ เราจะเกิดมาเปน คนไมส วย อว น และเต้ีย แตเ ราก็มี อวัยวะครบถว นสมบรู ณ ไมพิการ ดังน้ัน ชมพจู ึงมกี ําลงั ใจและเห็นคณุ คา ของตัวเอง วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เน่อื งจากวธิ กี ารคดิ แบบปลุกเรา คุณธรรม มากขึ้น เปน ตน จะเหน็ ไดวาการคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร คอื การคิดสรา งสรรคไ ป ในทางกศุ ล ซ่งึ การท่มี นษุ ยจะเดินไปสเู สน ทางดหี รอื เสนทางไมดีนน้ั วธิ คี ดิ แบบน้ี เปน การใชเหตผุ ลหรอื อบุ ายเพ่ือใหเ กดิ การกระทําท่ีเปนกศุ ล สาํ หรับความ มสี ว นสาํ คญั อยา งมาก นกั เรยี นควรนาํ วธิ คี ดิ เหลา นไ้ี ปใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั เพ่อื ใหม ี ตายนั้น การคิดแบบปลุกเรา คณุ ธรรมมกั จะเนนใหคิดอยูเสมอวามนุษยมี จติ ใจที่เบกิ บานและดาํ เนนิ ชีวติ อยางมคี วามสุข ชีวิตอยใู นโลกนไ้ี มนาน ดังนนั้ ควรจะทําความดใี หม ากๆ ดงั คาํ กลา วทีว่ า “เกดิ มาทงั้ ทีทาํ ดใี หได จะตายทง้ั ทีทาํ ความดฝี ากไว” ซ่ึงการท่ีสมหญิง บริจาครา งกายเพอ่ื การศึกษาวิจยั ถอื เปน การคิดแบบปลกุ เรา คณุ ธรรม คมู่ อื ครู 157

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครสู มุ ใหนกั เรยี นออกมาอธิบายและยกตัวอยาง ๒. (กรณที ท่ี า� งานเสรจ็ แลว้ ) ...ภกิ ษคุ ดิ วา่ เราไดท้ า� งานเสรจ็ แลว้ กแ็ ล ขณะเมอ่ื ทา� งาน การคดิ แบบอรรถสัมพันธว า มลี ักษณะอยางไร เรามไิ ด้สามารถมนสกิ ารค�าสอนของพระพุทธะทั้งหลาย อย่ากระนน้ั เลย เราเริ่มระดมความเพียร เถิด... 2. ครซู กั ถามนกั เรียนเกี่ยวกบั การคิดแบบ อรรถสัมพนั ธ โดยต้ังคาํ ถามวา เร่ืองเดียวกัน ถ้าคิดแบบไม่สร้างสรรค์กับคิดแบบสร้างสรรค์ ผลจากการคิดจะออกมาไม่ • ถามีคนมาถามนกั เรียนวา มาเรียนหนงั สอื เหมือนกัน ดังตัวอย่างข้างต้น “เร่ืองงาน” คนหนึ่งคิดว่าถ้าท�างาน ร่างกายก็จะเหน็ดเหน่ือย เพอ่ื อะไร หรือมาโรงเรยี นเพ่ืออะไร นกั เรียน สูน้ อนพกั ผ่อนดกี วา่ สบายดี ไม่ต้องเหนด็ เหน่อื ย ผลก็คอื กลายเป็นคนข้ีเกียจ ผัดวันประกนั พร่งุ ควรตอบคาํ ถามโดยใชความคดิ แบบ ขณะที่อีกคนคิดว่าเรามีงานต้องท�า การท�างานท�าให้เราได้ปีติช่ืนชมเมื่องานเสร็จ แถมยังได้รับ อรรถสัมพันธอ ยา งไร คา่ ตอบแทนจากน้า� พกั น�า้ แรงอันบริสทุ ธิม์ าเลย้ี งตนและครอบครวั อกี งานของเราถา้ ท�าไดอ้ ยา่ งดี (แนวตอบ เชน เพื่อตอ งการศึกษาหาความรู ก็จะเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลและอ�านวยประโยชน์แก่คนทั่วไป ด้วยคนเราไม่มีค่า ถ้าไม่สร้าง ไดสอบชงิ ทุนไปตา งประเทศ ไดส รางชือ่ เสยี ง ผลงานท่ดี ฝี ากไว้ อีกไมก่ ่ปี ีเราก็จะลาโลกแลว้ เกิดมาทงั้ ทตี อ้ งท�าดฝี ากไว้ ถา้ คดิ เช่นนจ้ี ะไมม่ วี ัน ใหกับโรงเรียนและประเทศชาติ ไดนําความรู เปน็ คนเฉ่ือยแฉะ ไม่เอาไหนแน่นอน ไปปรับปรงุ และพฒั นาประเทศ นําความรไู ป ทํานบุ ํารงุ พระศาสนา เปนตน ) 2.2 คิดแบบอรรถสัมพันธ ์ 3. ครใู หนกั เรียนทํากิจกรรมที่ 7.1 จากแบบวดั ฯ การคดิ แบบอรรถสัมพันธ์ หมายถงึ คดิ หลกั การให้สมั พันธก์ บั ความมุ่งหมาย คดิ เรอ่ื งอะไร พระพุทธศาสนา ม.2 ก็ตาม ถ้าคิดให้หลักการกับความมุ่งหมายสอดคล้องกัน ความคิดน้ันย่อมน�าไปสู่การกระท�าให้ ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝก ฯ ประสบความสา� เร็จ ไมเ่ ขวออกนอกทาง ยกตัวอย่างเช่น การบวช ถ้าหากถามว่า พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมที่ 7.1 ฝคกือกึารฝกบนาวอรชบสครลือมะโอตละนกไตียราวมสิคหยั �า1ลตมกั อาไบตบอร�าสเาพกิจญ็ขมาีวส2่มา(ณศกีลกาจิ รสบมเพวาือ่ชธิ หนวยท่ี 7 การบร�หารจต� และการเจร�ญปญญา กจิ กรรมตามตัวชว้ี ัด คะแนนเต็ม คะแนนท่ไี ด กจิ กรรมที่ ๗.๑ ใหนักเรียนเปรียบเทียบวิธีคิดแบบอุบายปลุกเราคุณธรรม ñð และวิธีคิดแบบอรรถสมั พันธ แลวบนั ทกึ ลงในตาราง ปญั ญา) เพราะฉะนนั้ “การบวชเรยี น” หรอื “บวช (ส ๑.๑ ม.๒/๙) หัวขอเปรยี บเทียบ การคดิ แบบอบุ ายปลุกเราคณุ ธรรม การคิดแบบอรรถสมั พนั ธ ฝกึ ฝนตน” คอื หลกั การของการบวช ถา้ บวชแลว้ ๑. ความหมาย …ก…า…ร…ใช…เ…ห…ต…ผุ …ล…ห…ร…อ…ื …อ…บุ …า…ย…เ…พ…อ่ื …ท…าํ…ใ…ห…เ ก……ดิ .. …ก…า…ร…ค……ิด…โ…ด…ย……ใ…ห…ห…ล……ัก…ก…า…ร……ม…ีค…ว…า…ม… …ก…า…ร…ก…ร…ะ…ท…าํ …ท…ดี่ …เี ป…น… …ก…ศุ …ล……เ…ป…น …ป…ร…ะ…โ…ย…ช…น.. …ส…ัม……พ…ัน……ธ…ก…ับ……ค…ว…า…ม…ม…ุ…ง…ห…ม…า…ย………ซ…่ึง… …ต…อ…ผ…ูอ…ื่…น……อ…า…จ……เร…ีย…ก……อ…ีก…อ…ย…า…ง…ห……น…ึ่ง…ว…า.. …ถ…า…ห…า…ก…ห…ล……ัก…ก…า…ร…แ…ล…ะ…ค…ว…า…ม…ม…ุง…ห…ม…า…ย… ไม่สละความเคยชินที่เคยท�าสมัยเป็นฆราวาส …ก…า…ร…ค…ดิ …แ…บ…บ……ส…ร…า…ง…ส…ร…ร…ค………………………….. …ส…อ…ด……ค…ล…อ…ง…ก……ัน……ค……ว…า…ม…ค…ิด…น……ั้น…ก…็จ…ะ… ไม่ว่าจะเป็นกิริยามารยาท การพูดจาปราศรัย ……………………………………………………………………….. …น…ํา…ไ…ป…ส…คู……วา…ม…ส……าํ เ…ร…จ็ ……………………………… เคยประพฤตอิ ยา่ งไรกท็ า� อยา่ งนน้ั อยา่ งนแี้ สดง ……………………………………………………………………….. …………………………………………………………………… ……………………………………………………………………….. …………………………………………………………………… เฉฉบลบั ย ๒. ตวั อยางในปจจบุ นั …ก…า…ร…ค…ดิ …ใ…น…เ…ร…ือ่ …ง…ช…วี …ติ …ค…น………เม…ื่อ…พ…ิจ……าร…ณ……า.. …ก…า…ร…ค…ดิ …เ…ร…อื่ …งก……าร…บ……วช…จ…ะ…ต…อ …ง…พ…จิ …า…ร…ณ…า… วา่ ผิดหลกั การของการบวช …ถ…ึง…ค…ว…า…ม…ต…า…ย…จ…ะ…เ…ห…็น…ว…า…ช…ีว…ิต…ค…น……ส…ั้น…น……ัก.. …ถ…งึ …จ…ดุ …ม…งุ…ห……ม…าย…ใ…น……ก…า…ร…บ…ว…ช…แ…ล…ะ…ห…ล…กั … ถ้าบวชแล้วอยู่เฉยๆ ไม่ใส่ใจฝึกฝนอบรม …ด…ัง…น…ั้น………เ…ว…ล…า…ท…่ีเ…ห…ล…ือ…อ…ย…ูน……้ีจ…ะ…ต…อ…ง…เ…ร…ง.. …ข…อ…ง…ก…า…ร…บ…ว…ช……เช…น ……ห…ล…กั…ข…อ…ง…ก…า…ร…บ…ว…ช… ตนตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ท�าอะไร …ท…ํา…ค…ว…า…ม…ด…ี …ท……ํา…ป…ร…ะ…โย……ช…น…แ…ก…ส…ัง…ค……ม…ใ…ห.. …ค…ือ……ส…ล……ะค……วา…ม…เ…ป…น…ฆ……ร…าว…า…ส……ด…งั…น……ั้น… …ได……ม …า…ก…ท…ีส่ …ดุ ………………………………………………….. …เ…ป…า…ห…ม…า…ย…ก…า…ร…บ…ว…ช…ค…ือ…ก……าร…ม……ุง…ศ…ึก…ษ…า… ……………………………………………………………………….. …แ…ล…ะ…ป…ฏ…ิบ…ตั……ิธ…ร…ร…ม…………………………………… ……………………………………………………………………….. …………………………………………………………………… ๓. ตวั อยา งใน …พ…ร…ะ…พ…ุท……ธ…เจ……า…ได……ต…ร…ัส……ย…ก…ต…ัว…อ…ย……า…ง…ใน….. …พ…ร…ะ…พ…ุท……ธ…เจ…า…เ…ค…ย…ต…ร…ัส……เป……ร…ีย…บ…เ…ท…ีย…บ… เสยี หายแกพ่ ระศาสนากจ็ รงิ แตไ่ มไ่ ดส้ รา้ งสรรค์ พระไตรปฎ ก …เร…ื่อ…ง……ก…า…ร…ท…ํา…ง…า…น…ว…า………ส…า…ม…า…ร…ถ…ค…ิด……ไ…ด.. …น…ัก……บ…ว…ช…ก…ับ…ค…น……ต…ัด…ไ…ม… …ค……น…ต…ัด…ไ…ม…ถ…า… การวเิ คราะหป์ ญั หาตา่ งๆ ดว้ ยหลกั เหตผุ ลจะทาำ ใหส้ ามารถ อะไรแก่พระศาสนา อย่างนี้ก็ผิดหลักการของ …๒……ด……า…น……ค……น…ท…่ีเ…ก…ีย…จ…ค……ร…า…น…ม…ัก…ค……ิด…ว…า.. …ไ…ม…ร…ูจ…ัก…แ…ก…น……ไ…ม…จ…ร…ิง…ก…็จ…ะ…ไ…ด…แ…ต…ก…่ิง…ไ…ม… …ก…า…ร…ท…ํา…ง…า…น…ต……อ…ง…เห…น……็ด…เ…ห…น…่ือ…ย…จ…ึง……ต…อ…ง.. …เ…ป…ล…ือ…ก…ไ…ม………เช…น……เด……ีย…ว…ก…ับ…พ……ร…ะส……ง…ฆ… พัฒนาความรูแ้ ละสติปญั ญาได้เปน็ อย่างดี การบวช …พ…ัก…ผ…อ…น……เอ…า…แ…ร…ง………แ…ต…ค…น…ข…ย…ัน……จ…ะ…ค…ิด…ว…า.. …ห…า…ก…ไ…ม…เ…ข…า…ใจ…ห……ล…ัก…ธ…ร…ร…ม…ท……ี่แ…ท…จ…ร…ิง…ก…็ …ต…อ…ง…ร…ีบ…ท…ํา…ง…า…น…ใ…ห…ส……ํา…เร…็จ………………………….. …ไ…ม…ส …า…ม…า…ร…ถ…บ…ร…ร…ล…ธุ…ร…ร…ม……ได…………………… 158 ……………………………………………………………………….. …………………………………………………………………… ๖๔ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET หลักธรรมในขอใดสนับสนนุ การคดิ แบบอรรถสัมพันธ 1 โลกยี วิสยั หมายความวา ยังเก่ยี วขอ งกับโลกหรอื เรอื่ งของโลก 1. ไตรวัฏฏ 2. ไตรสิกขา โดยมีความหมายตรงขา มกับโลกุตตระ ซงึ่ แปลวา พน โลก อยูเหนือวสิ ัยของโลก 3. ไตรลักษณ 4. ไตรสรณคมน 2 ไตรสิกขา หรอื สิกขา 3 หมายถงึ ขอปฏบิ ตั ิท่ีตอ งศึกษา 3 ประการ ไดแก อธสิ ีลสกิ ขา อธจิ ิตตสิกขา อธิปญญาสิกขา เรยี กสั้นๆ วา ศีล สมาธิ ปญญา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เนอื่ งจากวธิ ีคิดแบบอรรถสัมพันธ คือ ไตรสิกขาถือเปนพหุลธัมมีกถา หรอื คําสอนธรรมที่พระพทุ ธเจาทรงแสดงบอย และมพี ุทธพจนแ สดงตอเนื่องกันของกระบวนการศกึ ษาฝก อบรม การพิจารณาใหเขาใจความสัมพันธระหวา งหลกั การกับความมงุ หมาย เพอ่ื ใหไ ดผ ลตามความมงุ หมาย ทงั้ นใี้ นการกระทาํ ตามหลกั การใดๆ จะตอ ง มมุ IT เขา ใจความหมายและความมุงหมายของหลกั การน้ันๆ วา ปฏิบตั ิไปเพ่ือ อะไร และนาํ ไปสจู ุดหมายใด ซง่ึ ในแงป รมตั ถน ัน้ ขอ ปฏบิ ัติทตี่ องศึกษาใน ศกึ ษาคนควา เพมิ่ เตมิ เกี่ยวกบั การคดิ แบบอรรถสัมพนั ธ ไดท ่ี ไตรสกิ ขา (ศีล สมาธิ ปญญา) ตา งก็มจี ดุ หมายเดียวกันคอื นิพพาน http://www.dhammathai.org เวบ็ ไซตธรรมะไทย โดยแตล ะขอ ปฏบิ ตั จิ ะตอ งไปตอ เชอ่ื มกบั ขอ อนื่ ๆ จงึ จะบรรลจุ ดุ หมายสดุ ทา ยได ดงั นัน้ ไตรสิกขาจงึ เปน หลักธรรมที่สนับสนนุ การคดิ แบบอรรถสัมพันธ 158 คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา้ ใจ Expand ถ้าถามว่า บวชมาเพ่ืออะไร เป็นการถามถึง “ความมุ่งหมาย” ของการบวช คนท่ีคิด 1. ครใู หน กั เรยี นเขยี นสรุปประโยชนของการ ไม่สัมพพรนั ะธพก์ ุทนั ธรเจะห้าตว่ารัสงหไวล้ใักนกพารระกสบั ูตเรป1ห้านห่ึงมใานยพรจะะไเตขรวปแลิฎะกออทกรนงอเลก่าทเปางรไียดบ้งเ่าทยียบคนที่บวชมาเหมือน เจริญปญ ญาโดยการคดิ แบบโยนิโสมนสกิ าร บุรุษคนหน่ึงถือขวานเข้าไปในป่าเพ่ือหาแก่นไม้ เน้ือความโดยสรุปว่า บุรุษคนท่ีหน่ึงถือเอากิ่ง และการนําไปประยุกตใชใ นชวี ิตประจาํ วนั และใบไม้ คิดว่าเป็นแกน่ ไม้ คนท่สี องถือเอาสะเก็ดไม้ คนท่สี ามถากเอาเปลือกไม้ คนทส่ี ่ีเอากระพ้ี ของนักเรยี น ลงในกระดาษ A4 แลวนาํ สง คนท่หี า้ ตัดเอาแก่นไม้ ครผู ูสอน บุรุษส่ีคนแรกไม่รูจ้ กั แกน่ ไม้จึงไม่ได้แก่น สว่ นคนท่หี ้ารจู้ ักวา่ แก่นไมค้ ืออะไรจงึ ไดแ้ กน่ คนที่บวชมาในพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่เข้าใจว่า เป้าหมายหรือความมุ่งหมาย 2. ครใู หน กั เรยี นเขยี นแผนผงั ความคดิ เปรยี บเทยี บ ทแ่ี ท้ของการบวชคืออะไร กจ็ ะไมส่ ามารถไดร้ บั ผลของการบวชเตม็ ที่ ลกั ษณะของการคิดแบบปลกุ เราคุณธรรมและ บางคนบวชมาแล้ว ได้รับความเคารพนับถือจากญาติโยม ยินดีในลาภสักการะท่ีเขาถวาย การคิดแบบอรรถสัมพันธ โดยเนน ประเด็น การใชป ระโยชนข องการคดิ ทง้ั 2 วธิ เี ปน สาํ คญั จัดทําลงในกระดาษ A4 แลว นาํ สง ครผู ูสอน ก็ภมู ใิ จวา่ ตนเป็น “พระดงั ” มีคนนบั ถือมาก พอใจอย่เู พยี งน้ี ไมพ่ ยายามฝกึ ฝนตนเพือ่ บรรลธุ รรม ตรวจสอบผล Evaluate สูงขึน้ ผูน้ ้กี ไ็ ดเ้ พียง “กงิ่ ใบของพระศาสนา” บางคนไม่พอใจแค่ช่ือเสียง ลาภสักการะที่ได้รับ พยายามรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ได้รับ 1. ตรวจสอบจากการเขียนสรปุ ประโยชนข องการ ความชมเชยว่าเป็น “พระเคร่ง” ก็พอใจอยู่แค่น้ัน ผู้น้ีก็ได้เพียง “สะเก็ดพระศาสนา” บางคน เจรญิ ปญญาโดยการคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร ไม่พอใจลาภสักการะ และความเคร่งครัดในศีล บ�าเพ็ญสมาธิจนได้ฌานระดับต่างๆ แล้วก็พอใจ และการนาํ ไปประยกุ ตใ ชในชวี ติ ประจาํ วนั เพียงแค่นัน้ ผนู้ ี้ก็ได้เพยี ง “เปลอื กพระศาสนา” บางคนไม่พอใจแค่น้ัน ตั้งหน้าต้ังตาบ�าเพ็ญวิปัสสนา จนได้บรรลุญาณ เป็นพระอริยบุคคล2 3 2. ตรวจสอบจากแผนผังความคิดเปรียบเทียบ ลกั ษณะของการคิดแบบอุบายปลุกเรา ระดบั ตน้ ๆ แลว้ พอใจเพยี งแคน่ ้ัน ผูน้ ้ีไดเ้ พียง “กระพีพ้ ระศาสนา” บางคนปฏบิ ัติจนไดบ้ รรลวุ ิมตุ ิ คุณธรรมและการคดิ แบบอรรถสมั พันธ (ความหลดุ พน้ จากกิเลสทงั้ หลาย) โดยสิน้ เชงิ ผ้นู ้ีนบั ว่าได้ “แก่นพระศาสนา” มองในแง่บุคคลธรรมดา ถ้าถามว่าหลักการของการศึกษาคืออะไร เป้าหมายคืออะไร ถา้ มองแบบแคบๆ กอ็ าจตอบวา่ การศกึ ษาคอื การเรยี น เปา้ หมายของการเรยี น คอื ประกาศนยี บตั ร หรอื ปรญิ ญาบตั ร เพยี งแคน่ ถ้ี อื วา่ เปน็ หลกั การและเปา้ หมายอยา่ งพนื้ ฐาน หลกั การของการศกึ ษา ทแี่ ท้จริง คือ การเรียนรเู้ พอ่ื พฒั นาตนใหม้ ีบุคลกิ ภาพและคุณลกั ษณะพึงประสงค์ เชน่ ความเป็น ผู้มีความเกง่ ความดี และมีความสุข เพ่อื จะเป็นกา� ลงั ในการพัฒนาประเทศชาติและสังคมตอ่ ไป การฝึกจติ ให้เป็นสมาธกิ ็เพอ่ื ผลคือ พฒั นาจติ ใหม้ คี ุณภาพ มคี วามดีงาม มีคณุ ธรรมที่ พงึ ประสงค์ การฝกึ วปิ สั สนากเ็ พอื่ ใหเ้ กดิ ปญั ญา ความรคู้ วามเขา้ ใจชวี ติ และรเู้ ทา่ ทนั ปรากฏการณ์ ทงั้ หลาย สว่ นการฝกึ ใหร้ จู้ กั คดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร กเ็ ปน็ การพฒั นาปญั ญาอยา่ งหนง่ึ เพราะฉะนน้ั การบรหิ ารจติ และการเจริญปัญญาตามแนวทางของพระพุทธศาสนา จงึ เปน็ การสรา้ งบุคลากรที่มี คณุ ภาพ สร้างคนเกง่ คนดี คนมคี วามสุขขึ้นมากๆ เพอื่ น�าความเจรญิ งอกงามและสันตสิ ุขมาสู่ตน และสงั คมส่วนรวมตอ่ ไป 159 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอ ใดเปนวิธีการคิดแบบอรรถสมั พันธ 1 พระสูตร หรือพระธรรมเทศนา คอื คาํ บรรยายธรรมตา งๆ ทต่ี รัสยักเยอ้ื งให 1. กติ ติคดิ หาสาเหตขุ องการเกดิ สรุ ยิ ปุ ราคาวา เกดิ จากอะไร ดว ยการคน จาก เหมาะกบั บคุ คลและโอกาส ตลอดจนบทประพันธ เร่ืองเลา และเรอ่ื งราวท่ีเกย่ี วของ กับหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา อินเทอรเนต็ จนพบคาํ ตอบ 2 วิปสสนา คือ การฝก อบรมปญญาใหเ กดิ ความเหน็ แจง ในสังขารทง้ั หลายวา 2. กรรณกิ ารตองการมีฐานะดี จึงตั้งใจศกึ ษาเลา เรียนและขยนั ทาํ งาน เปน ของไมเ ทีย่ ง เปนทุกข เปนอนตั ตา 3 พระอริยบุคคล คือ บคุ คลผปู ระเสรฐิ ทางพระพุทธศาสนา ถอื วาความเปน จนมีฐานะม่ันคงสมความปรารถนา พระอริยบคุ คลน้ันกําหนดไดดว ยการละกิเลสทีผ่ กู มัดสตั ว (สงั โยชน) ไวใ นภพ 3. กรกฎเสียใจมากท่แี มวตาย แตในทีส่ ดุ กค็ ดิ ไดวา เปน ธรรมดาท่เี กดิ มาแลว ใครละไดนอยกเ็ ปน พระอริยบคุ คลข้ันต่ํา เมอ่ื ละไดม ากก็เปน พระอริยบคุ คล ขน้ั สูงข้นึ ใครละไดท ง้ั หมดกเ็ ปน พระอรหันต ตอ งตาย จึงคลายความเสียใจได 4. กชกรขายผกั ไดไ มด ี เม่ือตรวจสอบพบวา เธอไมระวงั ในการเก็บทําให ค่มู อื ครู 159 ผกั ชํ้าเสยี หาย จึงแกไขปรบั ปรงุ จนขายผกั ไดด ีขนึ้ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เนอื่ งจากการคดิ แบบอรรถสัมพันธเ ปน การคดิ ทม่ี องไปสเู ปา หมายหรอื วตั ถปุ ระสงคอ ยา งถกู จรยิ ธรรม ซงึ่ กรรณกิ าร เปน เพียงบุคคลเดยี วท่ีมีการคดิ แบบมองไปสเู ปา หมายอยา งมจี รยิ ธรรม กลาวคือ กรรณิการม เี ปาหมายทจ่ี ะตอ งมีฐานะดี เธอจงึ มีความคิดท่ีจะ ตั้งใจศกึ ษาเลา เรยี นและขยนั ทาํ งานอยางเต็มท่ี เพอ่ื ท่ีเธอจะไดประสบ ความสาํ เรจ็ ตามเปาหมายทเ่ี ธอต้งั ไว

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถูกตอ งจากการตอบคาํ ถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรยี นรู้ ประจําหนวยการเรียนรู ๑. นกั เรยี นศกึ ษาบทสวดมนตแ์ ปล และนา� บทสวดมนตท์ ่ีไดศ้ กึ ษามาอธบิ ายวา่ มคี วามหมาย หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู อยา่ งไรบา้ ง และจะนา� ความรทู้ ่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาบทสวดมนต์ไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ อยา่ งไร ทา 1. การเขยี นบนั ทึกการบริหารจติ ตามหลัก ๒. นักเรียนคิดว่าพุทธมนต์มีความขลังหรือศักด์ิสิทธ์ิหรือไม่ หากต้องการให้มีมนต์ขลัง อานาปานสตทิ ่นี กั เรยี นปฏิบตั ิในชวี ติ ประจําวัน หรอื ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ จะตอ้ งทา� อยา่ งไร 2. การแปลความหมายและคาํ อธิบายของ ๓. จากค�ากล่าวท่วี ่า “การแผ่เมตตาเป็นการช�าระจิตใจให้บริสุทธ์”ิ นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่ บทสวดมนต เพราะเหตใุ ด 3. การเขยี นสรุปประโยชนข องการเจริญปญญา ๔. ปญั ญาคอื อะไร และมปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง ใหอ้ ธบิ ายพรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ โดยการคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร และการนาํ ไป ๕. การฝกึ ใหเ้ กดิ ปญั ญามวี ธิ กี ารอยา่ งไร ประยุกตใ ชในชวี ติ ประจําวัน กิจกรรมสร้างสรรค์พ²ั นาการเรยี นรู้ 4. แผนผังความคิดเปรยี บเทยี บลักษณะของ การคิดแบบอบุ ายปลกุ เรา คณุ ธรรมและการคดิ แบบอรรถสัมพันธ กจิ กรรมท ี่ ๑ ครูเชิญวิทยากรในท้องถ่ิน ซ่ึงอาจจะเป็นพระภิกษุหรือฆราวาส มาเล่า ประสบการณ์เกี่ยวกับการฝึกสมาธิของท่าน รวมท้ังให้ค�าแนะน�าและสาธิต การฝกึ ปฏิบตั ิสมาธติ ามหลักอานาปานสติ กจิ กรรมท่ ี ๒ ครูนิมนต์พระอาจารย์มาสอนวิธีการฝึกสมาธิตามหลักอานาปานสติ และ ใหน้ ักเรยี นฝกึ ปฏิบตั สิ มาธิ กจิ กรรมท ่ี ๓ ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น ๒ กลุ่ม โดยให้ศึกษาค้นคว้าท�ารายงานในหัวข้อ ต่อไปน้ี กลมุ่ ที่ ๑ ความหมายและประโยชน์ของปัญญา กลมุ่ ที่ ๒ การฝกึ ใหเ้ กดิ ปญั ญา พุทธศาสนสุภาษติ ʾàÚ ¾Êí ʧڦÀÙµÒ¹í ÊÒÁ¤Ú¤Õ Ç±Ø ²Ú ÊÔ Ò¸Ô¡Ò : ¤ÇÒÁ¾ÃÍŒ Áà¾ÃÕ§¢Í§»Ç§ª¹ ¼àŒÙ »¹š ËÁ‹Ù 处 ¤ÇÒÁà¨ÃÞÔ ãËÊŒ Òí àèç 160 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. บทสวดมนตเ ปน การกลา วถึงพระรตั นตรัย โดยใหร ะลกึ ถงึ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ และใหยึดการปฏิบตั ติ นของพระพทุ ธเจา และพระสงฆม าเปน แนวทาง ในการปฏิบัติ เชน การศกึ ษา ความเพียร ความสันโดษ เปน ตน โดยในชีวติ จริง เราสามารถนาํ หลกั ธรรมมายึดถือปฏบิ ัติเพ่ือใหเราเปนคนดไี ด 2. พทุ ธมนตจ ะมคี วามขลงั หรอื ศักด์สิ ทิ ธ์กิ ต็ อเมอ่ื ผปู ฏิบตั ิตอ งมคี ณุ ธรรม ศลี ธรรม และยดึ ม่นั ในความดี 3. เหน็ ดวย เพราะการแผเมตตาเปน การสง ความปรารถนาดีไปยงั สรรพสัตวท้งั หลาย เปนการชว ยเหลอื และแบง ปนความดีใหกบั ผอู น่ื ทงั้ นก้ี ารท่เี ราไดเ ปนผใู หแ ละมอบ สิง่ ดีๆ ใหกับผอู ื่นนั้น ยอ มทาํ ใหจติ ใจของเราบริสุทธม์ิ ากย่ิงข้ึน 4. ปญญา คอื ความรอบรู มีประโยชนอยา งมาก คือ ปญญาสามารถนาํ ไปใชในการแกไ ขปญหา หรือนาํ ไปใชในการสรา งสรรคและพัฒนาความเจรญิ เชน การใชป ญ ญา ในการแกไ ขปญ หาความขดั แยง ทางการเมอื งโดยไมใ ชอารมณแ ละความรุนแรง เปน ตน 5. ต้งั ใจศกึ ษาเลา เรยี นวชิ าความรูทัง้ ทางโลกและทางธรรมใหมาก หม่ันคนควา เพมิ่ เตมิ ในเรอื่ งทีศ่ กึ ษามาแลว เพอื่ ใหเกดิ ความเขาใจทลี่ ุมลึกมากขน้ึ อกี ทง้ั ตองรจู ักนาํ ความรูทีม่ มี าคดิ วเิ คราะห วจิ ารณ อยางรอบคอบและรอบดา น ซึง่ จะทําใหเกดิ ปญญาแตกฉาน มคี วามเฉลยี วฉลาดมากขึ้น 160 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู ๘หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ การปฏิบัตติ น 1. อธิบายประโยชนข องหลักธรรมคาํ สอนของ ตามหลกั ธรรม พระพุทธศาสนาได ทางพระพทุ ธศาสนา 2. ใชหลักธรรมทางศาสนาเปนหลักในการ ดําเนินชวี ิตได 3. ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมทางศาสนาทต่ี นนบั ถอื เพอื่ การอยรู วมกนั อยา งสันติสุขได ตัวช้ีวดั สมรรถนะของผูเรยี น ● วิเคราะห์การปฏิบัติตนตามหลักธรรมทาง 1. ความสามารถในการคดิ ศาสนาท่ีตนนับถือ เพื่อการดำารงตนอย่าง 2. ความสามารถในการแกปญหา เหมาะสมในกระแสความเปลย่ี นแปลงของโลก 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ติ และการอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสันตสิ ขุ (ส ๑.๑ ม.๒/๑๑) คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. รักชาติ ศาสน กษตั รยิ  2. อยูอยางพอเพยี ง สาระการเรียนรู้แกนกลาง กระตนุ้ ความสนใจ Engage ● การปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรม 1. ครใู หน ักเรยี นชว ยกนั ยกตัวอยางวา พระธรรม (ตามสาระการเรยี นรขู้ อ้ ๘) คําสั่งสอนของพระพุทธเจามีอะไรบา ง โดยออกมาเขยี นบนกระดานหนา ชนั้ เรยี น ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹¶Í× à»¹š ËÇÑ ã¨ÊÒí ¤ÞÑ ÊÒí ËÃºÑ ·¡Ø ÈÒÊ¹Ò (แนวตอบ เชน อรยิ สจั 4 พรหมวิหาร 4 ¾Ãо·Ø ¸ÈÒʹҡàç ª¹‹ à´ÂÕ Ç¡ºÑ ÈÒʹÒ͹è× ·ÁèÕ ¾Õ ÃиÃÃÁ¤Òí Ê͹ อทิ ธบิ าท 4 วุฒิธรรม 4 ขนั ธ 5 ทศิ 6 ¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ໚¹ËÑÇã¨ÊíÒ¤ÑÞÊíÒËÃѺ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹ สังคหวตั ถุ สาราณียธรรม 6 เปนตน) â´ÂËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁµÒ‹ §æ ä´¡Œ Í‹ à¡´Ô »ÃÐ⪹µ Í‹ ¡ÒèÃÃâÅ§Ê§Ñ ¤Á ãËÊŒ §ºÊ¢Ø ÀÒÂ㵡Œ ÃÐáʤÇÒÁà»ÅÂèÕ ¹á»Å§¢Í§âÅ¡ â´Â੾ÒÐ 2. ครูสมุ ถามคาํ ถามนกั เรียนวา ËÅÑ¡¸ÃÃÁ¡ÒÃÍ‹ÙËÇÁ¡¹Ñ ÍÂ‹Ò§Ê¹Ñ µÔ梯 • นักเรียนใชหลกั ธรรมใดบา งใน การดําเนนิ ชวี ิตและนาํ มาปฏบิ ตั อิ ยา งไร ´ÇŒ Âà˵¹Ø ËéÕ Å¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹¢Í§¾Ãо·Ø ¸ÈÒʹҨ§Ö ໹š ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ·´èÕ §Õ ÒÁ Á¤Õ ÇÒÁ໹š àËµàØ »¹š ¼Å áÅÐÊÒÁÒö¾ÊÔ ¨Ù ¹ä ´Œ ´ÇŒ ¡Òû¯ºÔ µÑ Ô ¾·Ø ¸ÈÒʹ¡Ô ª¹·´èÕ ¨Õ §Ö ¤ÇÃÈ¡Ö ÉÒáÅл¯ºÔ µÑ µÔ ¹ µÒÁËÅ¡Ñ ¤Òí Ê͹ Í¹Ñ ¨Ð¹Òí ä»Ê¡‹Ù Òû¯ºÔ µÑ µÔ ¹ã¹·Ò§·¶èÕ ¡Ù µÍŒ § ´Õ§ÒÁ «Ö觨С‹ÍãËŒà¡Ô´»ÃÐ⪹µ‹Íµ¹àͧáÅÐÊѧ¤Á䴌㹠͹Ҥµ เกรด็ แนะครู การเรียนรูเ กย่ี วกบั การปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพอื่ ให นักเรียนตระหนกั ถงึ ความเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภวิ ัตนหรอื ยุคดจิ ทิ ลั ท่ีกระแส วฒั นธรรมตะวันตกแพรก ระจายเขา มาเปน จาํ นวนมาก จึงตองมีการนําหลักธรรม มาใชในการปรับตวั และปฏิบตั ิตนใหเหมาะสมกับกระแสการเปล่ียนแปลงของโลก โดยครคู วรจัดกจิ กรรม ดังนี้ • เขียนเรียงความเร่อื ง วธิ กี ารปฏิบตั ติ นใหเ หมาะสมกบั กระแสการเปล่ียนแปลง ของโลก เพอ่ื ใหน กั เรยี นสามารถนาํ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาปรบั ใชใ น การประพฤติปฏบิ ัตใิ หเหมาะสมกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก • จัดทาํ ผังมโนทศั นแสดงหลักการปฏบิ ัตติ นเพือ่ การอยรู ว มกันอยา งสันตสิ ุข • จดั ทําบนั ทกึ การนําหลกั ธรรมในการอยูร วมกนั อยางสันติสขุ มาปรบั ใชใ น ชีวติ ประจําวัน เพอ่ื ใหนักเรียนสามารถประยุกตใ ชห ลกั ธรรมพระพทุ ธศาสนา ในการดาํ เนินชีวติ และอยูรวมกบั ผูอื่นไดอยา งสันตสิ ุข คมู่ ือครู 161

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครนู าํ ขา วหรือบทความเกี่ยวกับการประพฤติตน ๑. การปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในกระแสความเปลี่ยนแปลง ทไ่ี มเ หมาะสมเพอ่ื แลกกบั การไดม าซง่ึ สนิ คา ฟมุ เฟอ ย ของโลก เชน การทุจริตคอรร ัปชันในหนา ท่กี ารงาน การเอารดั เอาเปรยี บผอู ่นื การเพมิ่ เวลาทํางาน ในปจั จบุ นั สงั คมมนษุ ยม์ กี ารเปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา วทิ ยาการสาขาตา่ งๆ เชน่ วทิ ยาศาสตร์ เปน ตน มาสนทนากบั นักเรียน แลว ชว ยกนั แสดง เทคโนโลยี มคี วามเจรญิ ก้าวหน้ามากขึ้นตามล�าดับ ท�าให้วิถีชวี ติ ของมนษุ ยม์ ีการเปล่ียนแปลงไป ความคดิ เหน็ วา เพราะเหตใุ ด บคุ คลในขา วจงึ ยอม อยา่ งมาก ตวั อยา่ งเชน่ การกนิ อยขู่ องมนษุ ยต์ ลอดจนสขุ ภาพอนามยั ไดร้ บั การพฒั นาใหด้ ขี นึ้ เรอ่ื ยๆ กระทําการดังกลาวเพอื่ แลกกับสิง่ ตา งๆ แม้ว่าความยากจนและความอดอยากจะยังมีอยู่ในดินแดนส่วนต่างๆ ของโลก แต่สภาพการณ์ สา� รวจคน้ หา Explore ปัจจุบันกด็ กี ว่าสมยั ก่อนมาก โดยเฉพาะการคมนาคมขนส่ง ถ้าเทยี บเวลานก้ี บั เมื่อ ๑๕๐ ปีที่แลว้ ความเร็วและความสะดวกสบายจะต่างกนั มาก ตัวอย่างเชน่ กอ่ นท่จี ะมีเครอ่ื งบิน การเดินทางโดย นักเรยี นศึกษาและสบื คนขอมูลเพ่มิ เตมิ เก่ียวกับ ใช้เรอื จากเมืองไทยไปทวีปยโุ รป อาจใช้เวลาเป็นแรมเดอื น แต่ปจั จบุ ันใชเ้ วลาเพียงไมก่ ีช่ วั่ โมง การปฏบิ ตั ติ นอยางเหมาะสมในกระแสความ ส่วนคอมพิวเตอร์ก็นับเป็นส่ิงมหัศจรรย์อีกส่ิงหน่ึงท่ีมนุษย์สร้างสรรค์และประดิษฐ์ข้ึนมา เปล่ียนแปลงของโลก จากหนงั สอื เรยี นหนา คอมพิวเตอร์นอกจากจะเป็นเครื่องทุน่ แรง และทุ่นสมองแล้ว ยังชว่ ยท�าใหโ้ ลกมีความเปน็ อันหนึ่ง 162-165 หรอื จากแหลง เรยี นรูอนื่ ๆ เชน หอ งสมดุ อนั เดยี วกนั มากขน้ึ กลา่ วคอื มกี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั ผา่ นระบบอนิ เทอรเ์ นต็ ทา� ใหส้ ามารถรบั รขู้ อ้ มลู อินเทอรเน็ต ผทู ม่ี คี วามรดู านหลกั ธรรม ญาติผูใหญ ท่ถี ูกตอ้ ง ชัดเจน รวดเรว็ อย่างทัว่ ถึงทุกมมุ โลก และในอนาคตอันใกล้น้ี การนา� หุ่นยนต์มาเป็น เปนตน เพอ่ื นําขอมลู มาอภิปรายและแลกเปลี่ยน เคร่อื งทนุ่ แรงให้มนษุ ย์จะกลายเป็นเร่ืองธรรมดาส�าหรับผูค้ นในสังคมเมอื ง เรยี นรซู ่ึงกันและกันในชนั้ เรียน วัตถุนจ้ีกา็ทก�าทใี่กหล้เก่าวิดมกาานรเี้เปปล็น่ียกนาแรปเปลลง่ียทนางแสปังลคงม1ทแาลงะวจัติตถใุใจนตสาังมคมมามนซุษึ่งมยีค์ วแาลมะสก�าาครัญเปไลม่ีย่นน้อแยปกลวง่าทกาางร อธบิ ายความรู้ Explain เปลยี่ นแปลงทางวตั ถุ โลกและสังคมมนุษย์ในกระแสความ 1. ครูใหน ักเรียนรวมกนั อภปิ รายถงึ ความหมาย เปล่ียนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน เรียกว่าอยู่ ของคําวา บรโิ ภคนิยม วตั ถนุ ิยม และทุนนิยม ในยุคแห่งการ “บริโภคนิยม” ซึ่งหมายถึง จากน้นั นกั เรยี นชว ยกันวเิ คราะหว า บริโภคนิยม การได้กินมากๆ กินดีๆ และใช้มากๆ ใช้ดีๆ วัตถุนิยม และทุนนิยมมีอทิ ธพิ ลตอความคิด มคี วามพอใจในความหรหู ราฟมุ่ เฟอื ย และการดาํ เนนิ ชวี ติ ของนักเรียนอยา งไร พฤตกิ รรมการบรโิ ภคของคนไทยในปจั จบุ นั มคี วามเปลยี่ นแปลงไปจากสมยั กอ่ นคอ่ นขา้ งมาก 2. ครูนาํ สนทนาถงึ ผลดแี ละผลเสียของการ จากอดตี ทปี่ ระเทศไทยยงั คงเปน็ สงั คมเกษตรกรรม แพรกระจายวัฒนธรรมตะวนั ตกเขา มาสู มกี ารบรโิ ภคเพอ่ื การยงั ชพี ตอ่ มาไดป้ รบั เปลยี่ น ประเทศไทย จากนนั้ ครูและนักเรยี นรว มกนั ทีละเล็กละนอ้ ยกลายเปน็ สงั คมอุตสาหกรรม ท่ี วเิ คราะหแ ละอภปิ รายเกย่ี วกบั ปจ จยั ทสี่ ง เสรมิ ให เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการด�ารงชีวิต กระแสวฒั นธรรมตะวนั ตกแพรกระจายเขามาสู การแพร่กระจายของวัฒนธรรมตะวันตก ทำาให้เกิดการ ท�าให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่มีความสะดวกสบาย ประเทศไทยอยางรวดเรว็ เปลยี่ นแปลงในสงั คมปจั จบุ นั (จากภาพ) การรบั เทคโนโลยี มากขึ้น การกอ่ สร้างจากสงั คมตะวันตก 162 เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครคู วรนาํ ภาพผูคนทมี่ ฐี านะยากจนและมคี วามอดอยากกบั ผคู นท่มี ีฐานะ ครใู หน กั เรยี นสืบคน ขอมูล คา นิยมการบรโิ ภคของคนไทยในปจจุบนั ร่ํารวยและใชชวี ติ ทีห่ รหู ราฟุมเฟอยมาเปรียบเทยี บใหนกั เรยี นดู แลวใหนกั เรียน ทนี่ าํ ไปสูการบรโิ ภคนิยม พรอมทง้ั วเิ คราะหข อดี ขอ เสียจากพฤติกรรม แสดงความคดิ เหน็ ที่มตี อ ภาพดังกลาว จากนั้นครสู รุปใหนักเรียนฟงถงึ ความ การบริโภคดังกลา ว สรปุ สาระสาํ คญั เพ่อื นาํ มาอภปิ รายในช้ันเรยี น ไมเ ทา เทียมกันท่ยี ังมอี ยูมากในสังคมโลก ซึง่ เราจะตอ งรจู ักปรับตัวเพอ่ื ใหส ามารถ ดาํ รงชีวติ อยูในสงั คมไดอยางสงบสุข กิจกรรมทาทาย นกั เรียนควรรู ครมู อบหมายใหน กั เรียนเขียนเรียงความเรอื่ ง พระพุทธศาสนากบั วธิ ี การแกป ญหาสงั คมบรโิ ภคนิยมของประเทศไทย ความยาวไมเกิน 1 การเปลี่ยนแปลงทางสงั คม คอื การที่ระบบสังคม กระบวนการ แบบอยาง 1 หนา กระดาษ A4 แลว นาํ สงครผู ูสอน เพือ่ คัดเลอื กผลงานท่ดี ีเยย่ี ม หรอื รปู แบบทางสงั คม เชน ขนบธรรมเนยี มประเพณี ระบบครอบครวั ระบบการ ใหมาอภิปรายหนา ช้นั เรยี น ปกครอง ไดเปล่ยี นแปลงไป ไมวา จะเปน ดานใดก็ตามการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมนี้ อาจจะเปนไปในทางกาวหนาหรือถดถอย เปน ไปไดอ ยางถาวรหรือชวั่ คราว โดยมี การวางแผนใหเ ปนไปหรอื เปน ไปเอง และเปนประโยชนห รือใหโ ทษกไ็ ดท ัง้ สิ้น 162 คูม่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ การรับอารยธรรมจากตะวันตก ค่านิยมท่ีเปล่ียนแปลงไป ล้วนเป็นปัจจัยให้พฤติกรรมของ 1. ครูนาํ สนทนาเก่ียวกับมัชฌิมาปฏิปทาหรือทาง มนษุ ยโ์ ดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในสงั คมเมอื ง มวี ถิ กี ารดา� เนนิ ชวี ติ และการบรโิ ภคทเ่ี คยเปน็ ไปเพอื่ ความ สายกลาง แลว ตั้งประเด็นคําถามใหนักเรยี น อยรู่ อด กลายเปน็ วิถีการด�าเนนิ ชวี ิตและบริโภคเพอื่ ความชอบของแตล่ ะบคุ คล และตามฐานะทาง ชว ยกนั ตอบวา ครอบครัวและสังคม โดยเฉพาะผู้คนในสังคมเมอื งทกุ วนั น้ี การบริโภคส่วนใหญใ่ ชจ้ ่ายในประเภท • ส่ิงสดุ ขวั้ 2 ทางท่พี ระพุทธเจา ทรงคน พบวา สนิ คา้ ฟุ่มเฟือย มีการซื้อและใชส้ นิ ค้าทมี่ าจากต่างประเทศเพือ่ การยอมรับทางสงั คม ไมส ามารถนําไปสูการหลุดพน คอื อะไรบาง (แนวตอบ สิง่ สดุ ขั้วขา งหน่ึง คือ การทรมาน 1.1 การปฏิบัตติ นของชาวพุทธ ตนเองและการอดอาหารเหลอื แตห นงั หมุ กระดกู ส่ิงสดุ ขว้ั อกี ขา งหนงึ่ คือ การปฏบิ ตั ติ นของเราตอ้ งอยภู่ ายใตก้ รอบหลกั ธรรมคา� สอนของพระพทุ ธศาสนา เนน้ ความสขุ การหมกมุนมวั เมากับความสขุ ทางเนอ้ื หนัง สงบทางจิตใจมากกว่าวัตถุ และสอนให้เดินทางสายกลาง และเรียกหลักน้ีว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” หรือทางเพศ) ก่อนทพี่ ระพทุ ธองคต์ รัสรู้ พระองคเ์ คยทดลองวิธกี ารต่างๆ ท่ีคนสมัยนน้ั เชื่อกนั เคยทรมานตวั เอง • มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางที่ เคยอดอาหารเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก น่ีเป็นส่ิงสุดข้ัวข้างหนึ่ง ส่วนส่ิงสุดข้ัวอีกข้างหนึ่งน้ันก็คือ พระพทุ ธเจา ทรงเทศนาไว อยใู นเหตกุ ารณใ ด การหมกมุ่นมัวเมากับความสุขทางเน้ือหนัง ทรงพบว่าท้ัง ๒ ทางนี้ไม่น�าไปสู่การตรัสรู้ จึงทรง ในพทุ ธประวตั ิ และการเทศนาครัง้ น้ันมี ทดลองปฏิบัติทางสายกลาง ปรากฏว่าได้ผล ทางสายกลางได้น�าไปสู่สัจธรรมของชีวิต นี่คือ สาระสําคัญอะไรบาง หลกั ทางสายกลางด้งั เดิม ซึ่งเราสามารถประยุกต์หลักดัง้ เดิมไดก้ ับทกุ อย่าง พระพุทธศาสนามิได้ (แนวตอบ มชั ฌมิ าปฏปิ ทาหรือทางสายกลาง ปฏิเสธความสุขทางกาย แต่เตือนใหร้ ะมดั ระวัง เพราะความสุขทางวตั ถุเปน็ สิง่ ไม่จีรัง พระพุทธเจา ตรัสไวใ นวนั อาสาฬหบชู า และผพู้อรื่นะพคุทวธาศมาหสรนูหารมาิไฟดุ่ม้ปเฏฟิเืสอธยคกว็ไมาม่มมีอ่ังะคไรั่งผิดหสา�ากหครวับามคนมทั่งคั่วั่งไปน้ัทนไี่ยดัง้มเปา็นจปากุถกุชาน1รอไมยู่่เบแียตด่ตเ้อบงียรนะตลนึก ซึ่งพระพุทธเจา แสดงธรรมปฐมเทศนา เสมอวา่ อาจเสอ่ื มสญู ไปไดว้ นั หนงึ่ พระพทุ ธศาสนามไิ ดเ้ ชดิ ชคู วามยากจน แตส่ อนวา่ ความยากจน ใหแ กปญจวคั คยี ใ นวันขนึ้ 15 ค่ํา เป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม และการที่จะ เดือน 8 พระองคท รงเทศนาเรือ่ งธมั มจัก- พ้นจากความยากจนให้มีฐานะข้ึนมานั้นก็ต้อง กปั ปวตั ตนสตู ร ซง่ึ มสี าระสําคญั เกี่ยวกบั เปน็ ไปโดยชอบ การปฏเิ สธสง่ิ สดุ ขวั้ 2 อยา ง แตใ หป ฏบิ ตั ติ าม พระพทุ ธศาสนาสอนเร่อื งสันโดษ สันโดษ2 มชั ฌมิ าปฏปิ ทา ซงึ่ เปน แนวทางในการปฏบิ ตั ิ เพื่อบรรลุถึงอรยิ มรรคมอี งค 8) มไิ ดแ้ ปลวา่ มกั นอ้ ย อยา่ งทค่ี นบางคนเขา้ ใจกนั แปลว่า ยินดีในสิ่งที่ตนหาได้อย่างชอบธรรม 2. ครใู หน กั เรียนยกตัวอยางเหตกุ ารณในชีวติ ความมักน้อยเป็นธรรมของผู้สละโลกถือบวช ประจาํ วนั ทน่ี กั เรยี นสามารถนาํ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา แตช่ าวบา้ นแสวงหาความสขุ ทางวตั ถใุ หม้ ากขน้ึ หรอื ทางสายกลางไปใชในการแกปญหาได ได้ หากเกิดจากความขยันหมั่นเพียรของตน โดยบนั ทกึ ลงในสมดุ แลวนําสงครผู สู อน และไมเ่ บยี ดเบยี นตนหรอื ผอู้ นื่ ผทู้ ที่ �างานพเิ ศษ 3 ตอนเย็นเพื่อให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีขึ้น มไิ ดท้ า� อะไรผดิ จากพทุ ธธรรมหากเดนิ สายกลาง พระสงฆเ์ ปน็ ผทู้ ม่ี วี ตั รปฏบิ ตั อิ ยา่ งสนั โดษในการดาำ เนนิ ชวี ติ พุทธศาสนิกชนทด่ี ีควรถอื เป็นแบบอย่าง 163 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นกั เรียนควรรู “...ในหมบู า นไกลๆ ที่ฉนั ไป เขามี TV ดู แตใ ชแ บตเตอร่ี เขาไมมไี ฟฟา 1 ปุถชุ น คอื คนธรรมดาหรือสามัญชนที่ยงั คงมกี เิ ลส ซง่ึ ยังไมไดเ ปน อรยิ บคุ คล แตถ า Sufffiiciency น้นั มี TV เขาฟุมเฟอย เปรียบเสมือนคนไมม สี ตางค หรอื พระอริยะ มี 2 จาํ พวก คือ อนั ธปุถุชน หมายถึง บุคคลผไู มม ีการเรียน ไปตดั Suit และยงั ใส Necktie Versace อนั นก้ี เ็ กนิ ไป...” การสอบสวน การฟง การทรงจาํ และการพิจารณาในขนั ธ ธาตุ และอายตนะ และ กลั ยาณปถุ ชุ น หมายถงึ บคุ คลผทู ไ่ี ดม กี ารเรยี น การสอบสวน การฟง การทรงจาํ พระราชดํารสั ในรัชกาลที่ 9 ขางตน ตรงกบั ขอ ใดมากที่สุด และการพจิ ารณาในขันธ ธาตุ และอายตนะ 1. ความสขุ ทางวัตถเุ ปนสงิ่ ไมจีรัง 2 สันโดษ เปน มงคลขอที่ 24 ในมงคล 38 ประการ หมายถึง ความยินดี หรือ 2. ความมักนอยเปน ธรรมของผสู ละโลก ความพอใจ ตามมี ตามได ตามกําลงั และความจําเปนของตน พรอมทง้ั มคี วาม 3. ความเพียงพอคือการรูจ ักประมาณตนวา แคไ หนพอเพียง ขยันหมนั่ เพียรหาเล้ยี งชีพดว ยความสจุ ริต 4. ความหรหู ราฟุม เฟอยกไ็ มมอี ะไรผิดสําหรับคนทั่วไปทย่ี ังเปนปุถชุ น 3 วัตรปฏิบตั ิ หมายถงึ การปฏบิ ัติส่งิ ที่พึงปฏิบัตอิ นั เปนกิจวตั รประจํา เปนหนาทบ่ี าง หรอื เปนธรรมเนียมปฏิบตั ิทด่ี ีงามซึ่งปฏบิ ตั กิ นั ตอมาในฝา ยพระ แนวตอบ ตอบขอ 3. เน่ืองจากพระราชดํารัสในขางตน นั้น กลา วถึงความ เชน การปฏิบตั ดิ แู ลพระอปุ ชฌาย การปลงอาบตั ิ การรักษามารยาทในการขบฉัน การปฏบิ ตั ิตามธรรมเนียมในการนุงหม เปน ตน พอเพียงของแตละบคุ คลที่มีไมเ หมอื นกัน ทั้งนี้จะตองมคี วามเหมาะสมกับ ฐานะความเปนอยูของตน ซ่งึ ตรงกับการเดินทางสายกลางหรอื มชั ฌมิ า ค่มู ือครู 163 ปฏปิ ทา โดยเราตองเตือนตวั เองอยูเสมอวา ตองรจู กั พอ รูจกั ประมาณตนวา แคไ หนพอเพยี ง ซง่ึ คนแตล ะคนก็มรี ะดับความพอเพยี งไมเหมอื นกนั ดังนนั้ ขอ 3. จึงเปน คาํ ตอบท่ถี ูกตอง

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครนู ําสนทนาถึงอริยทรัพย 7 วา เปนทรพั ย อยา่ งไรกต็ าม เราตอ้ งเตอื นตนเองอยเู่ สมอวา่ ตอ้ งรจู้ กั พอ รู้จักประมาณว่าแค่ไหนพอเพียง อันประเสรฐิ เปน ทรพั ยภายในทีจ่ ะติดตัวไป ซ่ึงคนแตล่ ะคนระดับความพอเพียงอาจไมเ่ หมือนกนั ตลอดชวี ิต จากน้นั ครตู ้งั ประเด็นคาํ ถามเพือ่ ฝก ทกั ษะการคิดของนกั เรียน ดงั น้ี พระพุทธศาสนาสอนให้คนแข่งขันกัน แต่แข่งขันในการท�าความดี มีความเอ้ือเฟื้อต่อผู้อ่ืน • อรยิ ทรัพย 7 มคี วามสาํ คัญในการดาํ เนินชีวติ มีการแข่งขันโดยชอบธรรม ไมเ่ อาเปรียบ ไมโ่ กง ไมท่ ุจริตซงึ่ กันและกนั ชัยชนะที่ได้จากการท�า ของนักเรยี นอยางไร และนกั เรยี นสามารถ ผดิ ศลี ธรรม มใิ ชส่ งิ่ ทจี่ ะไดร้ บั การสรรเสรญิ จากพระพทุ ธศาสนา การแกง่ แยง่ ประหตั ประหารกนั นน้ั นําไปประยกุ ตใ ชไดอยางไรบาง เกิดจากความโลภ พระพุทธศาสนาสอนให้ระงับและลดความโลภเพื่อความเป็นศัตรูในหมู่มนุษย์ (แนวตอบ อรยิ ทรัพย 7 เปน ทรัพยท่ชี วยใหชวี ติ จะไดน้ อ้ ยลง มคี วามเจรญิ กา วหนา เพราะเปน ทรพั ยท ่ไี มมี ใครเอาไปได โดยสามารถนําไปประยกุ ตใ ชก บั 1.2 อรยิ ทรัพย ์ 7 การศกึ ษาเลา เรียน การทํางานของตนเอง รวมถึงสามารถนําความรคู วามสามารถไป ในพระพุทธศาสนามีหลักธรรม ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในกระแสการ ชว ยเหลือผูอ่ืนตอไป) เปลยี่ นแปลงของโลก คอื หลักธรรมที่มีชื่อว่า “อรยิ ทรพั ย์” 2. ครูใหน ักเรยี นจบั คแู ลว ผลดั กันบอกอริยทรพั ย ในสงั คมบริโภคนิยม ผคู้ นตา่ งแข่งขันกันหาเงินเพอ่ื น�ามาซ้อื สิ่งต่างๆ เพอ่ื การอุปโภคบริโภค ท่แี ตละคนพงึ มี โดยใหยกตัวอยา งสถานการณ ซ่ึงการแข่งขันน้ีอาจส่งผลท�าให้เกิดความเครียดได้ เราควรหาหลักเพ่ือจะช่วยให้การแข่งขันน้ี ทแ่ี สดงถงึ อริยทรัพยข อนั้นๆ จากนนั้ ครูให ลดความเข้มข้นลง พระพุทธศาสนาได้ให้ค�าสอนเร่ืองน้ีแก่เรา เรียกว่า “อริยทรัพย์” หมายถึง นกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายและเสนอแนะแนวทาง ทรัพยอ์ นั ประเสรฐิ ทรัพยอ์ นั เป็นคณุ ธรรมประจ�าใจอย่างประเสรฐิ การพฒั นาตนเองใหม ีอริยทรัพยข ออนื่ ๆ ใหค รบท้ัง 7 ขอ ในทางพระพุทธศาสนามีการแบ่งทรัพย์ออกเป็นประเภทกว้างๆ ได้ ๒ ชนิด คือ ทรัพย์ ภายนอกและทรพั ยภ์ ายใน ทรพั ยภ์ ายนอก หมายถึง ทรัพย์สมบตั ิท่เี ป็นวตั ถทุ วั่ ๆ ไป เช่น เงนิ ทอง 3. ครใู หนกั เรียนชว ยกนั บอกความหมายของ บา้ นเรอื น ยานพาหนะ คําวา “หิร”ิ และ “โอตตัปปะ” วามคี วาม นักเรียนสามารถนำาหลักอริยทรัพย์มาประยุกต์ใช้ในการ ส่วนทรัพย์ภายใน หมายถึง อริยทรัพย์ แตกตางกนั อยา งไร และเม่อื รวมกันเปนคําวา ดำาเนินชีวติ โดยการเข้ารว่ มกิจกรรมเพื่อชว่ ยเหลือสังคม “หิริโอตตปั ปะ” หมายถึงอะไร โดยใหนกั เรียน ได้แก่ คุณสมบัติท่ีฝังแนน่ อยู่ภายในใจ จัดเป็น ยกตวั อยา งเหตกุ ารณข องบคุ คลทมี่ หี ริ โิ อตตปั ปะ ทรพั ยอ์ นั ประเสรฐิ ผมู้ ที รพั ยภ์ ายในยอ่ มหาทรพั ย์ ประกอบการอธิบาย ภายนอกได้ และย่อมสามารถพึ่งพาตนเองได้ ตลอดไป สว่ นทรพั ย์ภายใน หรืออริยทรัพย์ ซง่ึ 4. ครยู กตัวอยางเหตกุ ารณหรือเรอื่ งราว แลวให แปลวา่ ทรพั ยอ์ นั ประเสรฐิ มี ๗ อยา่ ง ดงั ตอ่ ไปนี้ นักเรยี นใชปญญาแยกแยะวาควรทําหรอื ไม ควรทํา เพราะเหตุใด เชน การหนีเรยี น การ (๑) ศรทั ธา หมายถงึ ความเชอ่ื ทม่ี ี ลอกขอสอบ การหลบั ในหอ งเรยี น การนินทา เหตผุ ล มน่ั ใจในหลกั ทถ่ี อื และในความดที ท่ี า� หรอื อาจารย การลอ ชือ่ พอ แมเ พอ่ื น การชวย หมายถงึ ความเลือ่ มใสศรทั ธาในพระธรรม ครูถือของ การพาคนแกข ามถนน การชวย งานบา นพอแม การติวหนงั สอื ใหเ พอื่ น เปนตน (๒) ศีล หมายถึง การรักษากาย วาจาให้เรยี บร้อย ประพฤติถูกตอ้ งดีงาม (๓) หิริ หมายถึง ความละอายใจ ต่อการท�าความช่วั 164 เบศรู ณรากษารฐกจิ พอเพยี ง ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET สุรีรตั นไปฟง ธรรมท่วี ดั กบั คณุ ยายเปนประจาํ ตั้งแตเ ดก็ จนถึงปจจุบนั “เงนิ ทองของมายา ขา วปลาสขิ องจรงิ ” คาํ พดู นี้มักปรากฏใหเห็นอยเู สมอ จงึ ทาํ ใหเธอเปน คนทม่ี คี วามเล่อื มใสในพระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา ในหนงั สอื หรือบทความเกย่ี วกบั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง จากคําพูดดังกลาว อยางแทจ ริง สรุ ีรัตนเ ปน ผูมอี ริยทรัพยในขอใด ครูใหน กั เรียนปฏิบัติ ดงั นี้ 1. ศีล - จาคะ 2. หิริ - ปญญา • รว มกันตีความ เพือ่ คน หาความหมาย ขอ คดิ และวตั ถปุ ระสงคของคาํ พดู 3. จาคะ - โอตตัปปะ ดังกลาว 4. ศรัทธา - พาหสุ จั จะ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. จากการที่สุรรี ตั นไ ปฟง ธรรมทว่ี ัดกบั • รว มกนั วิเคราะหวา เพราะเหตุใดคนสวนใหญในสงั คมปจ จบุ นั จึงใหความ คุณยายเปนประจําตัง้ แตเ ดก็ จนถึงปจ จุบัน จงึ ทําใหเ ธอเปน ผูทไ่ี ดย นิ ไดฟ ง สาํ คญั กบั “เงินทอง” มากกวา “ขา วปลา” และจะมแี นวทางใดบา งที่ทาํ ให ไดศ กึ ษาพระธรรมคาํ สอนตางๆ เปนอยา งมาก ซึ่งตรงกับอรยิ ทรพั ยข อ คนเหลานัน้ เปลี่ยนความคิดมาใหค วามสาํ คัญกับขาวปลามากข้ึน พาหสุ ัจจะ และการท่เี ธอเปน ผูท่มี ีความเล่อื มใสศรทั ธาในพระธรรมคําสอน ของพระพทุ ธเจาอยางแทจริง ตรงกับอรยิ ทรัพยข อ ศรทั ธา ดงั นั้น ขอ 4. 164 คมู่ ือครู จงึ เปน คําตอบทถ่ี กู ตอ ง

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain (๔) โอตตัปปะ หมายถงึ ความเกรงกลัวตอ่ ผลของการทา� ความชั่ว ครูใหนกั เรยี นทาํ กิจกรรมที่ 8.1 จากแบบวัดฯ (๕) พาหสุ จั จะ หมายถงึ ความเป็นผ้ไู ด้ศึกษาเลา่ เรยี นมาก เปน็ ผ้ไู ด้ยินไดฟ้ งั มาก พระพุทธศาสนา ม.2 (๖) จาคะ หมายถึง ความเสียสละ ความเออื้ เฟื้อเผือ่ แผ่ (๗) ปัญญา หมายถึง ความรูค้ วามเขา้ ใจถ่องแทใ้ นเหตุผล สามารถแยกแยะเหตุผล ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ ดชี ่ัวถกู ผดิ คณุ โทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ร้คู ดิ รูพ้ จิ ารณา และรูท้ จี่ ะจดั ทา� พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมที่ 8.1 ในทางพระพทุ ธศาสนาถอื วา่ ทรัพยภ์ ายในหรอื อรยิ ทรัพยม์ ีคณุ ค่ากวา่ ทรัพย์ภายนอก เพราะ ไมม่ ผี ูใ้ ดแยง่ ชิงไปได้ ไมส่ ญู หายไปดว้ ยภยั อนั ตรายต่างๆ ท�าใจให้ไม่อา้ งว้างยากจน และเป็นทนุ หนว ยที่ 8 การปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา สรา้ งทรพั ยภ์ ายนอกได้ดว้ ย กิจกรรมตามตวั ชี้วัด ๒. การปฏบิ ัตติ นเพอ่ื การอยรู่ ว่ มกันอยา่ งสันตสิ ุข กิจกรรมที่ ๘.๑ ใหน กั เรยี นศกึ ษาคน ควา หลกั อรยิ ทรพั ย แลว นาํ มาเขยี นลงใน คะแนนเตม็ คะแนนทไี่ ด การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขคือการอยู่ร่วมกันโดยปราศจากความรุนแรง คนเรามีความเห็น แผนภมู ิท่ีกําหนดให (ส ๑.๒ ม.๒/๑๑) ขดั แยง้ กนั ได้ แตไ่ มจ่ า� เปน็ ตอ้ งมคี วามรนุ แรง คอื มคี วามคดิ เหน็ ตา่ งกนั แตไ่ มท่ า� รา้ ยกนั การทา� รา้ ย ñð กันมไี ด้ ๓ ทาง ไดแ้ ก่ ทางกาย เชน่ ตีด้วยของแขง็ ยิงดว้ ยปนื ใชก้ า� ลังขวางทางเพ่ือไม่ใหไ้ ป ทางวาจา เชน่ ดา่ ดว้ ยถอ้ ยคา� หยาบคาย พดู ประชด พดู เสยี ดสี เปน็ ตน้ และทางใจ เชน่ แชง่ ในใจ แนวทางแกไขปญ หาการปฏบิ ัติตนในปจจุบัน คิดพยาบาท เป็นตน้ วธิ ีการแก้ปัญหาเกยี่ วกบั ความรนุ แรง มีดงั นี้ ใชห ลกั ธรรมอริยทรพั ย (ทรพั ยอ ันประเสริฐ) 2.1 ความรุนแรงกับความยตุ ธิ รรม ประกอบดวย สถานที่ใดก็ตามที่ไม่มีความยุติธรรมมักจะมีความรุนแรงเกิดข้ึน บางทีคนเราก็มีความเห็น ต่างกันว่าอย่างนี้ยุติธรรมหรือไม่ น�ามาซึ่งความล�าเอียง อันเป็นท่ีมาแห่งความไม่ยุติธรรม ศรทั ธา หมายถงึ …ค……วา…ม…เ…ช่อื…ท……่มี …ีเห…ต…ุผ…ล………….. โอตตปั ปะ หมายถงึ ……ค…ว…า…ม…เก…ร…ง…ก…ล…ัว…ต…อ …….. เฉฉบลับย มดี ้วยกัน ๔ ประการ หรือทเ่ี รียกวา่ อคติ ๔ ได้แก่ ทางความประพฤตทิ ผี่ ิด มี ๔ อยา่ ง ดงั นี้ …ม…ั่น…ใ…จ…ใน……ห…ล…กั …ท…ีถ่ …อื…แ…ล…ะ…ใ…น…ค…ว…า…ม…ด…ีท…ี่ท…ํา………….. …ผ…ล…ข…อ…ง…ก…า…ร…ท…าํ ค……วา…ม…ช…ว่ั …………………………………….. (๑) ฉันทาคติ คือ ความล�าเอียงเพราะชอบ หมายถงึ การกระทา� สง่ิ ทีไ่ ม่ควรทา� ด้วย ศลี หมายถงึ ……ก…า…ร…ร…ัก…ษ…า…ก…า…ย…ว…า…จ…า…………….. พาหสุ จั จะ หมายถงึ ……ค…ว…าม…เ…ป…น…ผ…ู…ได…ศ……ึก…ษ…า. ความชอบพอรกั ใคร่กัน เช่น การใหล้ าภใหย้ ศ หรอื การตดั สินความต่างๆ ด้วยอา� นาจความพอใจ …ใ…ห…เร…ีย…บ…ร…อ …ย…ป…ร…ะ…พ…ฤ…ต…ถิ…กู……ต…อ…ง…ด…ีง…าม……………….. …เล…า…เ…ร…ีย…น…ม…า…ก……เป…น…ผ…ูไ…ด…ย…ิน……ได…ฟ…ง…ม…า…ก…………….. รักใคร่ ย่อมทา� ให้เสยี ความเป็นธรรม หริ ิ หมายถงึ ……ค…ว…า…ม…ล…ะ…อา…ย…ใ…จ…ต…อ…ก…า…ร…ท…ํา…….. จาคะ หมายถงึ ……ค…ว…า…ม…เส……ีย…ส…ล…ะ…………………. …ค…ว…า…ม…ชวั่……………………………………………………………….. …ค…ว…า…ม…เอ…้ือ…เฟ……อ …เผ…อ่ื …แ…ผ… ……………………………………….. (๒) โทสาคติ คอื ความลา� เอยี งเพราะชงั หมายถงึ การกระทา� สงิ่ ทไ่ี มค่ วรทา� ดว้ ยความ เกลียดชังไม่ชอบกนั การไมใ่ ห้ลาภไมใ่ ห้ยศ การตัดสนิ ความตา่ งๆ ด้วยความเกลยี ดชัง ย่อมทา� ให้ ปญ ญา หมายถงึ …ค…ว…า…ม…ร…ู …ค…ว…าม…เ…ข…า ใ…จ…ถ…อ …ง…แ…ท…ใ …น…เ…ห…ต…ผุ …ล……ส…า…ม…าร…ถ…แ…ย…ก…แ…ย…ะ…เห……ต…ผุ …ล…ด……ชี วั่……ถ…กู …ผ…ดิ ……ค…ณุ ……โท……ษ. เสียความเปน็ ธรรม …ป…ร…ะ…โย…ช…น…… ม…ิใ…ช…ป…ร…ะ…โย…ช…น…… ร…คู……ดิ ……รพู……ิจ…าร…ณ……า……แล……ะร…ูท…จ่ี…ะ…จ…ัด…ท…าํ………………………………………………………………………………. (๓) โมหาคติ คือ ความล�าเอยี งเพราะหลงหรอื ความเขลา หมายถงึ การกระท�าสงิ่ ท่ี ๗๕ ไมค่ วรทา� ดว้ ยความโงเ่ ขลา เชน่ การใหล้ าภใหย้ ศหรอื ไมใ่ ห้ และการตดั สนิ ความตา่ งๆ ดว้ ยอา� นาจ ความโงเ่ ขลาย่อมท�าใหเ้ สยี ความเป็นธรรม ขยายความเขา้ ใจ Expand (๔) ภยาคติ คอื ความลา� เอยี งเพราะกลวั หมายถงึ การกระทา� สง่ิ ทไี่ มค่ วรทา� ดว้ ยความ ครูใหนกั เรียนเขียนเรียงความเรอื่ ง วิธีการ กลัว เช่น การใหล้ าภ ให้ยศ ตัดสินความด้วยอ�านาจแห่งความกลวั ยอ่ มทา� ใหเ้ สียความเปน็ ธรรม ปฏบิ ัติตนใหเ หมาะสมกบั กระแสการเปล่ยี นแปลง ของโลก โดยใหย กตวั อยา งหลกั ธรรมทางพระพทุ ธ- ศาสนาทีส่ ามารถนาํ มาใชเ ปน หลกั ในการดําเนิน ชวี ิตใหเ หมาะสมกบั กระแสการเปลีย่ นแปลง ดงั กลา วอยา งนอ ย 3 หลกั ธรรม ความยาวไมเ กนิ 1 หนากระดาษ A4 แลวนําสง ครูผูส อน ตรวจสอบผล Evaluate 165 ตรวจสอบจากเรยี งความเรอื่ ง วธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นให เหมาะสมกบั กระแสการเปลยี่ นแปลงของโลก แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด บูรณาการอาเซยี น อรพมิ ตดั สนิ ใจลาออกจากงาน เนอ่ื งจากไมพอใจทห่ี วั หนาใหค วาม ยุตธิ รรมกบั ลูกนองไมเทาเทียมกัน การกระทําของอรพมิ ตรงกบั อคติ 4 ครูอธบิ ายนักเรียนเกีย่ วกบั ความหลากหลายทางศาสนาของประเทศสมาชิก ในขอใด อาเซียน โดยอธบิ ายวา ประชากรในประเทศสมาชิกอาเซียนมกี ารนบั ถอื ศาสนา 1. ภยาคติ 2. โทสาคติ แตกตา งกันไป ทงั้ ศาสนาอสิ ลาม พระพทุ ธศาสนา และคริสตศาสนา ดงั น้นั 3. โมหาคติ 4. ฉันทาคติ เยาวชนไทยจะตองศึกษาประวตั ิ หลกั คําสอน และขอปฏิบัติของศาสนาตางๆ ใหเ ขา ใจอยา งถอ งแท เพ่ือใหสามารถปฏบิ ตั ติ วั ตอคนตางศาสนิกไดถูกตอง รวมทั้ง วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เนื่องจากโทสาคติเปนการกระทําส่งิ ที่ เพ่ือใหเกิดการยอมรบั ความแตกตา ง ตลอดจนเคารพและใหเกียรตผิ ูน ับถอื ศาสนา ตา งๆ จะไดส ามารถอยูรว มกนั ไดอยางสนั ติสขุ ซึ่งเรือ่ งของศาสนาถือเปนสวนหนึ่ง ไมค วรทาํ ดว ยความเกลียดชัง ไมช อบกนั การไมใหลาภยศ การตดั สินความ ของประชาสงั คมและวฒั นธรรมอาเซยี น อันเปนหน่งึ ในสามเสาหลักของประชาคม ตางๆ ดว ยความเกลยี ดชงั ยอ มทาํ ใหเสียความเปนธรรม ซง่ึ การกระทาํ อาเซียน ของอรพมิ นัน้ ทําไปเน่ืองดวยความเกลียดชงั และความไมพ อใจท่หี ัวหนา ไมม คี วามยุตธิ รรมใหแ กล กู นอ งทุกๆ คนอยางเทาเทียมกนั จึงทาํ ใหเธอ ตดั สินใจลาออก คมู่ อื ครู 165

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครยู กตวั อยางขา วความรุนแรงทเ่ี กิดขึ้นใน อคติ ๔ อยา่ งนจี้ ดั เปน็ อกุศลกรรม เป็นส่ิงท่ีควรหลีกเว้น ไมค่ วรประพฤติ บคุ คลใดหลีกเวน้ ประเทศไทยและตา งประเทศ แลว ใหนักเรียน อคติเหล่าน้ี บุคคลน้ันย่อมจะเป็นผู้เจริญด้วยเกียรติยศ มีผู้เคารพนับถือ มีผู้เช่ือฟังค�า และ ชว ยกันวิเคราะหสถานการณความรุนแรงดังกลาว มีผู้ยกย่องสรรเสริญ อคติ ๔ อย่างนี้เป็นอกุศลกรรม ท�าลายการปกครอง ผู้มีอ�านาจตัดสิน พรอมทงั้ เสนอแนะแนวทางการปฏบิ ัติตนเพื่อการอยู เพ่ือทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม พึงเว้นอคติ ๔ ต้องวินิจฉัยด้วยปัญญา กล้าแสดงเหตุผลผิดถูก รวมกนั อยางสนั ตสิ ขุ ตดั สนิ อยา่ งเทย่ี งธรรม จงึ จะไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธย์ิ ตุ ธิ รรม ผปู้ กครองทห่ี วงั ผลสา� เรจ็ ในการปกครอง หวงั ความเจรญิ ก้าวหน้าของหมคู่ ณะของสังคมส่วนรวม พึงประพฤติหลักเวน้ อคติเหล่าน้ี สา� รวจคน้ หา Explore นกั เรียนศกึ ษาและสืบคนขอมลู เพ่ิมเตมิ เกีย่ วกบั 2.2 ความรนุ แรงกับความไม่รู้ การปฏบิ ัตติ นเพ่ือการอยรู ว มกนั อยางสันติสขุ จาก หนงั สอื เรยี นหนา 165-169 หรอื จากแหลง เรยี นรอู น่ื ๆ ความรุนแรงในบางคร้ังเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้หรือความเข้าใจผิด ชาวพุทธท่ีดีต้องหม่ัน เชน หอ งสมดุ หรอื อนิ เทอรเน็ต เปนตน แสวงหาความร้เู พือ่ ปอ้ งกันมใิ ห้เกดิ ความรนุ แรง โดยปฏิบตั ิตนตามหลกั วุฑฒิธรรม ๔ หรือวฒุ ิ ๔ เพอ่ื นําขอ มลู มาอภปิ รายและแลกเปลีย่ นเรียนรู คือ ธรรมเป็นเหตุแห่งความเจริญ หมายถึง คุณธรรมที่เป็นเครื่องเพ่ิมพูนความเจริญงอกงาม ซึง่ กันและกันในชน้ั เรยี น มี ๔ ประการ ดงั น้ี ปญั ญาเป็นก(ัล๑ย) าสณปั มปติ ุรรสิ2สงั เสวะ แปลวา่ เสวนาสตั บุรุษ1 หมายถึง การคบหาทา่ นผู้ทรงธรรมทรง อธบิ ายความรู้ Explain (๒) สทั ธมั มสั สวนะ แปลวา่ การฟงั ธรรม หมายถงึ การฟงั คา� แนะนา� สง่ั สอนของสตั บรุ ษุ ดว้ ยความเคารพและน�าค�าทท่ี ่านสอนมาปฏบิ ัติตาม และเอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรยี น 1. ครสู ุมใหนักเรยี นยกตวั อยางสถานการณท ่ี (๓) โยนโิ สมนสิการ แปลว่า การท�าไว้ในใจโดยแยบคาย หมายถงึ ตรติ รอง พจิ ารณา เกย่ี วกบั ความรุนแรง อันมสี าเหตุมาจากความ ธรรมทีฟ่ งั แล้วดว้ ยปัญญา ใหร้ ู้วา่ สง่ิ ใดดี สิง่ ใด ไมยุติธรรมท่ีนกั เรยี นพบเจอมาดวยตนเอง ไมด่ ี สิง่ ใดควร สงิ่ ใดไมค่ วร และให้รู้วา่ ค�าสอน จากน้ันใหน ักเรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ของท่านนั้น ตนควรปฏิบัติตามได้มากน้อย เกยี่ วกับการนาํ หลักอคติ 4 มาปรบั ใชเ พอื่ ขจดั เพยี งไร เมอื่ ปฏบิ ตั แิ ลว้ เกดิ ผลอยา่ งไร สามารถ ความรนุ แรงจากความอยุตธิ รรม จบั สาระทจ่ี ะนา� ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ (๔) ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ แปลว่า 2. ครนู าํ สนทนาเกีย่ วกบั วุฑฒธิ รรม 4 หรอื การปฏบิ ตั ธิ รรมตามสมควรแก่ธรรม หมายถึง ธรรมเปนเหตแุ หง ความเจริญ แลวใหน กั เรียน สมควรแก่หน้าท่ี สมควรแก่เพศ และสมควร วิเคราะหต นเองตง้ั แตอดตี จนถึงปจจบุ นั วา แก่วยั 2ก.3ลา่ วพคือรหถมกู ตวอ้ หิ งาตราม 4ห3 ลกักบักาสรนั ตสิ ขุ นกั เรยี นมกี ารประยกุ ตใ ชห ลกั วฑุ ฒธิ รรมขอ ใดบา ง ในการดาํ เนนิ ชวี ติ ใหม คี วามเจรญิ กา วหนา มากขนึ้ การปฏิบัติตามหลักวุฑฒิธรรม ๔ ชว่ ยให้การเรียนรตู้ ่างๆ ความรุนแรงในบางครั้งเกิดจากการไม่มี จากนั้นใหนักเรียนจับคูแ ละเลาเหตุการณ มีประสิทธิภาพมากข้ึน จึงทำาให้สามารถเขียนอ่านได้ดีขึ้น นา�้ ใจ หรอื ไมม่ คี วามเปน็ มติ รตอ่ กนั พรหมวหิ าร ดงั กลา วใหเ พ่อื นฟง ตามไปด้วย และยังทำาให้เรยี นหนงั สือไดด้ ีด้วย ๔ หมายถงึ ธรรมประจ�าใจอันประเสริฐ 166 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET “ธโี ร จ สุขสํวาโส ญาตีนวํ สมาคโม” สอดคลอ งกบั หลักวุฑฒธิ รรม 4 1 สตั บรุ ุษ คือ คนที่มสี มั มาทฐิ ิ และเปน คนดที ่ีนา นับถือ เพราะมคี ณุ ธรรมและ ขอใดมากทีส่ ดุ ประพฤติตนอยูในกรอบของศลี ธรรมอันดีงาม 1. สัปปรุ ิสสงั เสวะ 2 กลั ยาณมิตร คอื มิตรท่ีดงี ามและนาคบหา เพราะเปน บัณฑติ ทีพ่ ึงนบั ถอื และ 2. สทั ธมั มสั สวนะ นําพาไปสูความเจริญในชีวติ 3. โยนโิ สมนสกิ าร 3 พรหมวิหาร 4 หลกั ธรรมขอน้ีทําใหผปู ฏิบัติเปน พรหม คือ ตามหลักธรรม 4. ธัมมานธุ ัมมปฏปิ ต ติ คาํ สอนในพระพทุ ธศาสนา มคี วามเชอ่ื วา ถา เราเอาชนะความโลภ ความเหน็ แกต วั ได วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เนอ่ื งจากพุทธศาสนสภุ าษิตท่วี า ธีโร จ กจ็ ะหลุดพน จากความทกุ ขเวทนา คอื หลุดพน จากการเวียนวายตายเกดิ ทําใหอยู สุขสวํ าโส ญาตนี ํว สมาคโม แปลวา อยรู ว มกบั ปราชญน ําสุขมาให ในสถานะพรหม คอื เปนผูประเสริฐและไมเกยี่ วขอ งกับกาม เหมอื นสมาคมกับญาติ มคี วามสอดคลองกบั หลักธรรมสัปปรุ สิ สงั เสวะ ซ่งึ เปนหนึ่งในหลักธรรมของวฑุ ฒิธรรม 4 โดยสปั ปุรสิ สังเสวะ หมายถึง การคบหาทานผทู รงธรรมทรงปญ ญาเปน กัลยาณมติ ร 166 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ พรหมวิหาร ๔ เป็นหลักธรรมที่ส�าคัญข้อหน่ึงที่จะช่วยให้คนเราอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข 1. ครแู ละนกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเด็น มคี วามรัก ค(๑วา)มเเมอต้อื ตอาา1ทครอื ตอ่ คกวนัามดรงักั นใคี้ ร่ ปรารถนาใหผ้ อู้ ืน่ ไดร้ ับความสขุ พรหมวหิ าร 4 กบั การอยรู วมกนั ในสงั คมอยา ง (๒) กรณุ า คือ ความสงสาร คิดชว่ ยให้ผอู้ ื่นพ้นทุกข์ สงบสุข จากน้นั ครูตงั้ คาํ ถามเพ่ือใหน ักเรยี น (๓) อมเุุทบิตกาขาค2ือคือควาวมางยใินจดเปีดน็ ้วกยลเมาื่องผเูอ้ มน่ื อื่ มเหีคน็วาผมอู้ สน่ื ุขเป็นทุกข์หรอื เปน็ สขุ ก็รับวา่ ทุกอย่าง ฝกทกั ษะการคิดวเิ คราะห (๔) • ถาประชาชนทุกคนมพี รหมวิหาร 4 เปน เปน็ ไปตามกฎแห่งกรรมตามสมควรแกเ่ หตุ หลักธรรมประจําใจ จะสงผลตอประเทศ ชาติและสงั คมโลกอยา งไร เร่ืองนา่ รู้ (แนวตอบ หากประชาชนมพี รหมวิหาร 4 เปนธรรมประจําใจ จะทาํ ใหป ระเทศชาติ คณุ ประโยชนข์ องพรหมวิหาร 4 มคี วามเจริญกา วหนาเทาเทยี มกับนานา อารยประเทศและมีสันติสขุ เกิดขนึ้ อยา ง ๑. ผู้มีพรหมวิหาร ๔ ย่อมผูกมิตรไว้มาก เมื่อจะทำาอะไรหรือไปยังสถานท่ีใด ก็จะได้รับการต้อนรับจาก แทจ รงิ สาํ หรับสังคมโลกก็จะมีความสนั ติสขุ มติ รสหายด้วยดี เกดิ ขน้ึ เชน กัน เนอื่ งจากประชาชนหรอื ผนู าํ ประเทศตา งๆ จะมคี วามเหน็ ใจซงึ่ กนั และกนั ๒. เปน็ ผมู้ องการณไ์ กลและพจิ ารณาชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมเี หตมุ ผี ล จติ ใจมกั เยอื กเยน็ สขุ มุ ทำาสงิ่ ใดกไ็ มต่ ง้ั อยใู่ นความ คอยชวยเหลือประเทศเพ่อื นบา นหรอื ไม่ประมาท ประเทศตา งๆ ใหพ น ทกุ ข เชน ประชาชนไทย ชว ยกนั บริจาคเงนิ เพ่ือชวยเหลอื ผูประสบภัย ๓. ส่งเสริมใหเ้ กิดคุณธรรมอนื่ ๆ ตามมา ทางธรรมชาตใิ นตางประเทศ เปนตน ) ๔. ทำาให้สังคมเจรญิ ก้าวหนา้ และมีสันติสุข ๕. ถา้ ผู้นำาของประเทศใดมีพรหมวิหาร ๔ กจ็ ะสามารถช่วยเหลือประเทศเพื่อนบา้ นหรือแม้แต่ประเทศที่อยู่ 2. ครูใหนกั เรียนชวยกนั วเิ คราะหว า หากผนู าํ ห่างไกลออกไปให้พ้นทุกข์ได้ เช่น รัฐบาลไทยให้การช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจาก ชมุ ชนหรือประเทศมีความเปนอตั ตาธปิ ไตยสูง เหตกุ ารณ์แผ่นดินไหวทีป่ ระเทศเฮติ เปน็ ต้น จะสง ผลตอ ประชาชนในทอ งถนิ่ หรอื ในประเทศ อยางไร 2.4 อธปิ ไตย 3 กบั สันตสิ ุข (แนวตอบ หากผูน าํ ชมุ ชนหรือผูนาํ ประเทศ มีความเปนอัตตาธิปไตยสงู จะทําใหประชาชน การทผี่ ูม้ อี า� นาจในการตัดสินใจจะท�าอะไรลงไปน้ัน อาจยึดถือหลักอธปิ ไตย ๓ อนั หมายถงึ ในประเทศไดร ับความเดอื ดรอนยากลาํ บาก ความเปน็ ใหญ่ ภาวะท่ีถือเอาเปน็ ใหญ่ ความเป็นอสิ ระ จา� แนกออกเปน็ ๓ อย่าง ดงั นี้ สงั คมเกดิ ความวนุ วาย ระสาํ่ ระสาย เพราะผนู าํ จะกระทาํ กจิ การงานตา งๆ โดยยึด (๑) อตั ตาธิปไตย แปลว่า ความมีตนเป็นใหญ่ ถอื ตนเป็นใหญ่ กระท�าการด้วยปรารภ ผลประโยชนข องตวั เองเปน ทตี่ ้ัง ไมส นใจวา ตนเป็นประมาณ หมายถึง กิจการทบ่ี คุ คลพึงกระท�าโดยมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งอันตนจะพงึ ได้ ใครจะไดร บั ผลกระทบหรือผลเสียจาก พฤติกรรมของตนเอง) (๒) โลกาธิปไตย แปลวา่ ความมีโลกเป็นใหญ่ ถอื โลกเปน็ ใหญ่ กระท�าการด้วยปรารภ นิยมของโลกเป็นประมาณ หมายถึง กจิ การทีบ่ ุคคลพึงกระทา� โดยมุ่งใหผ้ อู้ นื่ สรรเสริญ หากไมท่ �า กก็ ลัวผ้อู ่ืนจ(ะ๓น)ินทธมัามนาัน่ ธคิปอืไตอย3้างแคปวลาวมา่ เหค็นวขาอมงมคีธนรหรมมู่มเปา็นกใเหปญน็ ใ่ หถญอื ่ธรรมเป็นใหญ่ กระท�าการดว้ ย ปรารภความถูกตอ้ ง เปน็ จริง สมควรตามธรรมเปน็ ประมาณ หมายถึง กิจการทบี่ คุ คลพงึ กระทา� โดยมงุ่ ความถกู ตอ้ งเปน็ จรงิ สมควรตามธรรม นนั่ คอื ธรรมาธปิ ไตย อา้ งเหตผุ ลอนั ถกู ตอ้ งเปน็ ใหญ่ 167 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นกั เรยี นควรรู “กฎของบา นหลงั นี้ มี 2 ขอ คือ ขอ 1. ไมวาอะไรจะเกดิ ขึ้น เจา ของบาน ถูกเสมอ ขอ 2. ถา ไมเขาใจ ใหย อนกลับไปดูท่ีขอ 1. อกี ครัง้ ” ขอ ความ 1 เมตตา คือ ความปรารถนาใหผ อู ่นื ไดร ับความสุข ทง้ั น้ีความสขุ เปน สิ่งที่ ดงั กลา วสอดคลอ งกบั หลกั ธรรมในขอ ใด ทกุ คนปรารถนา โดยความสขุ เกิดข้นึ ไดท ้ังกายและใจ ซ่งึ ความสุขของคฤหสั ถ 1. คณาธปิ ไตย 2. อัตตาธิปไตย มี 4 ประการ ไดแก ความสขุ อันเกิดจากการมที รพั ย ความสขุ อันเกดิ จากการใช 3. โลกาธิปไตย 4. ธัมมาธิปไตย จายทรพั ย ความสขุ อันเกดิ จากการไมเ ปน หน้ี และความสุขอันเกดิ จากการทํางาน ทป่ี ราศจากโทษ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เนอื่ งจากอัตตาธิปไตย แปลวา ความมีตน 2 อุเบกขา คนมกั เขา ใจกันวา หมายถงึ การวางเฉย ไมเขาไปยงุ เกยี่ ว แตอนั ทจี่ ริง หมายถงึ การทาํ ใจใหสงบนง่ิ ไมตื่นเตนไปตามโลก โดยเขาใจวา ทกุ ส่ิง เปน ใหญ ถอื ตนเปน ใหญ เปน กิจการท่บี ุคคลพงึ กระทําโดยมงุ ผล ทุกอยาง ลว นแตเกดิ จากเหตปุ จจัยจากการกระทําทงั้ สิ้น จึงสมควรท่ผี ูนัน้ จะไดรับ อยา งใดอยา งหนง่ึ อันทีต่ นพึงจะได ซ่ึงมีความสอดคลอ งกบั ขอความขางตน ความสุขหรอื ความทุกข ซง่ึ เปนเรอ่ื งธรรมดาของโลก ทีแ่ สดงใหเ หน็ ถึงการยดึ ตนเองเปน ใหญ โดยการตัง้ กฎในบานทเ่ี อ้อื อํานวย 3 ธมั มาธปิ ไตย คอื การยึดถือหลักการ หลกั เหตุผล หลกั ความจรงิ ความ ประโยชนตางๆ ใหกับเจาของบา นเปนอยางมาก ดังน้ัน ขอ 2. จึงเปน ถกู ตอง และความเปน ธรรม ในการบริหารจดั การตา งๆ โดยการจะทาํ สิง่ ใดนน้ั คาํ ตอบท่ีถูกตอง ใหยดึ ถือธรรมเปนหลัก ละเวน การยึดถือตน และกระแสเสียงคนสว นใหญ ท่ีไมเ ปนธรรม คูม่ อื ครู 167

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหน ักเรยี นรวมกนั อภิปรายและแสดงความ 2.5 กุศลวิตกกับสนั ติสขุ คิดเห็นวา นักเรียนมวี ธิ คี ดิ ทจ่ี ะทําใหจิตใจมี ความสุขหรือดาํ รงชวี ิตอยา งมีความสขุ ได กุศลวติ ก หมายถงึ การนกึ คดิ ในทางทีด่ ีงาม โดยมีเหตุผลในการตริ ตรกึ และนกึ ถึงเรื่องราว อยา งไรบาง ต่างๆ รู้เหตุแห่งความเสื่อมและเหตุแห่งความเจริญ ผู้ท่ีนึกแต่สิ่งดีงามจะช่วยให้สังคมลดความ (แนวตอบ เชน คิดแตในสง่ิ ท่ดี ี สง่ิ ทเี่ ปนกุศล รนุ แรงลง จ�าแนกออกเป็น ๓ อยา่ ง ดังนี้ คดิ ชวยเหลือผูอ น่ื ใหพ น จากความทกุ ข ไมค ิด อาฆาตหรอื ผกู ใจเจ็บผูอ่นื ไมคดิ วติ กกังวล (๑) เนกขัมมวติ ก หมายถึง ความนกึ คิดปลอดจากกาม คือ ความตริ ตรกึ นกึ ที่จะนา� มากจนเกินเหตุ หมัน่ คิดบวก มองโลกในแงดี กายและจิตของตนออกจากอ�านาจของวตั ถุกามและกเิ ลสกาม จนถงึ คดิ ท่จี ะออกบวชเปน็ นกั บวช ไมคดิ เบยี ดเบยี นใหผูอืน่ ไดร ับความเดอื ดรอ น ในศาสนา เปนตน) (๒) อพยาบาทวิตก หมายถงึ ความนกึ คดิ ปลอดจากพยาบาท คือ ความตริ ตรึก นึก 2. ครแู ละนกั เรยี นรว มกนั อภิปรายและวเิ คราะห ในทางท่ีจะไมผ่ กู โกรธ และไม่อาฆาตพยาบาทใคร เก่ยี วกับกศุ ลวติ กในประเด็นตอ ไปนี้ • เพราะเหตใุ ด เม่อื รา งกายเจบ็ ปว ย (๓) อวิหิงสาวิตก หมายถึง ความนึกคิด ปลอดจากการเบียดเบียน คือ ความตริ ไมแ ขง็ แรง จิตใจจึงหอเห่ยี วไปดวย ตรึก นึกในทางไม่เบยี ดเบียนประทษุ ร้ายกันและกนั (แนวตอบ เนอื่ งจากกายกบั จติ เปน สง่ิ ทสี่ มั พนั ธก นั ดังนนั้ เม่อื จิตมีสุขภาพดี คิดทําแตส ง่ิ ดีๆ ผลดีจากความตริ ตรกึ นกึ ในทางกุศลที่พึงเหน็ ได้ชัด คอื มจี ติ ปลอดโปรง่ แจม่ ใส คิดจะท�า และไมมีความเครยี ด รางกายกจ็ ะสดชน่ื อะไรก็ส�าเร็จได้ด้วยดี บุคลิกหน้าตาเบิกบานชวนให้คนอื่นยินดีคบหา เป็นมิตรสนิทสนม และ ซ่ึงในทางการแพทยมคี ํากลา วอยวู า “จิตท่ี สามารถปดิ กัน้ สิ่งท่ีไม่ดีไม่ใหเ้ กิดขึ้นแก่ตนและบคุ คลทเี่ กยี่ วกับตนได้ สดใส จะอยใู นรางกายท่ีแขง็ แรง” ในทาง กลบั กนั เม่ือมรี า งกายท่ีไมแ ขง็ แรง จติ ใจก็จะ 2.6 สงั คหวตั ถกุ ับสนั ตสิ ขุ ไมแ จม ใสเบิกบาน เพราะฉะนนั้ กายกบั จติ จงึ เปน สิง่ ท่สี ัมพันธกนั อยา งหลกี เลยี่ งไมไ ด) นักเรียนสามารถนำาหลักสังคหวัตถุมาประยุกต์ใช้ในการ สังคหวัตถุ แปลว่า วิธีในการสงเคราะห์ ดำาเนินชีวิต โดยการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้าน หมายถึง วิธีปฏิบัติเพ่ือยึดเหนี่ยวน�้าใจคนอ่ืน 3. ครูแบง กลมุ นกั เรยี นออกเปน 4 กลุม ตาม สง่ิ แวดล้อมในสงั คม ทีย่ ังไม่เคยรกั ใคร่นบั ถอื หรือท่ีรักใคร่นบั ถืออยู่ หลักธรรมของสงั คหวตั ถทุ ั้ง 4 ประการ จากนน้ั แล้วให้สนิทแนบแน่นยิ่งขึ้น กล่าวอย่างง่ายๆ ใหนกั เรียนดภู าพในหนังสอื เรียนหนา 168 แลว 168 สังคหวัตถุก็คือ เทคนิควิธีท่ีท�าให้คนรัก หรือ ชว ยกนั วเิ คราะหว า หลกั ธรรมของกลมุ ตนเองนนั้ มนตผ์ กู ใจคนนนั่ เอง มที ง้ั หมด ๔1ประการ ดงั นี้ สามารถนาํ มาอธบิ ายการทาํ งานเพอ่ื สว นรวมใน การแกไขปญหาดานสิ่งแวดลอ มในสงั คมตาม (๑) ทาน คือ การให้ การเสยี สละ ภาพดงั กลา วไดอยา งไร พรอ มทง้ั ใหแ ตล ะกลุม แบง่ ปนั ช่วยเหลือกนั ดว้ ยสงิ่ ของ ตลอดจนให้ ยกตวั อยา งการประยกุ ตใ ชห ลกั ธรรมของกลมุ ตน ความรูแ้ ละแนะนา� ส่งั สอน ในการดําเนินชวี ิตประจาํ วนั (๒) ปยิ วาจา คอื การกลา่ วคา� สภุ าพ ไพเราะ อ่อนหวาน สมานสามัคคี เพ่ือให้เกิด ไมตรีและความรักใคร่นับถือ ตลอดถึงถ้อยค�า แสดงประโยชนป์ ระกอบดว้ ยเหตผุ ลเปน็ หลกั ฐาน จูงใจให้นิยมยอมตาม ไม่พูดหยาบคาย หรือ ดุด่าวา่ เสยี ดสีให้เจบ็ ใจ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET สภุ าษิตขอ ใดมคี วามหมายสอดคลอ งกบั หลกั สงั คหวัตถุ 4 มากทส่ี ุด ครคู วรอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา กิเลสที่อยใู นใจคนมากทสี่ ุด ไดแ ก ราคะ คอื ความรัก 1. น้ําพึ่งเรือ เสือพ่ึงปา สวยรกั งาม โลภะ คอื ความโลภ โทสะ คอื ความโกรธและเกลยี ด โมหะ คือ 2. ชาเปนการ นานเปน คณุ ความหลงและความโง เพราะกเิ ลสชอบหมกั หมมอยใู นใจของคน จึงเรียกวา 3. รักยาวใหบ นั่ รกั สน้ั ใหตอ อาสวกเิ ลส แปลวา กิเลสท่ีหมักดองอยใู นจติ อยางไรกด็ ี วธิ ที ่ีจะกําจัดกเิ ลสไดน น้ั 4. พูดไปสองไพเบ้ีย นง่ิ เสยี ตาํ ลงึ ทอง คือ การทําทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา แนวตอบ ตอบขอ 1. เนือ่ งจากน้าํ พึ่งเรือ เสือพึง่ ปา เปน สุภาษิตท่มี ี ความหมายวา คนเรามีความจําเปนตองพึง่ พาอาศัยกัน ดงั น้ัน เมอื่ คนเรา นักเรยี นควรรู มคี วามจําเปน ท่จี ะตอ งพง่ึ พาอาศัยกัน ก็ควรมีหลกั ธรรมท่ใี ชในการยึดถอื ปฏบิ ตั ติ อกนั กลาวคอื ควรเปน หลกั ธรรมทีใ่ ชเปน เครื่องยึดเหน่ยี วน้าํ ใจของ 1 การให การใหทีจ่ ะไดบุญกศุ ลนนั้ ข้ึนอยูก ับการไดม าของทรพั ยส นิ วา ผอู ่นื ทย่ี ังไมเ คยรกั ใครน บั ถอื หรือท่ีรกั ใครนับถืออยแู ลว ใหส นิทสนมกนั มาก ไดม าอยางถูกตองหรือไม และใหท รัพยส นิ นน้ั กบั ผูใ ด รวมถงึ ความต้งั ใจขณะให ยิง่ ขนึ้ ซึ่งตรงกบั หลกั ของสังคหวัตถุ 4 เพราะถา คนเราสามารถยึดเหนี่ยว นอกจากน้ี การใหย ังมกี ารอภัยทาน คอื ใหอภัยบคุ คลทีท่ าํ ไมด กี บั เรา และ นาํ้ ใจของผอู ่ืนไดแ ลว ยอมสงผลใหเ ราสามารถทจี่ ะพึง่ พาอาศัยกันได ธรรมทาน คือ การสง่ั สอนและบอกแนวทางความเจรญิ ในทางธรรมแกผูอ ่ืน ตลอดไป สงผลใหสงั คมที่อาศยั อยูนน้ั มแี ตค วามสงบสุข 168 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain สาธารณประ(โ๓ย)ชนอตั์ แถลจะรสยิ นาับคสอื นกนุ าสรง่ปเรสะรพิมฤในตทปิ ราะงโศยลี ชธนร์รหมมาจยรถิยงึธรขรวมน1ขวายชว่ ยเหลอื กจิ การบา� เพญ็ ครูนําสนทนาเรอ่ื ง สาราณยี ธรรมกบั สันตสิ ขุ (๔) สมานัตตตา คือ ความเป็นผู้มีตนเสมอ หมายถึง ความเป็นผู้ท�าตนเสมอต้น แลวถามนักเรียนวา เสมอปลาย ความเป็นผวู้ างตนใหเ้ หมาะแกฐ่ านะของตน • หลักสาราณียธรรมสามารถนํามาใชใ นการ อยรู วมกนั ในโรงเรียนไดอ ยางไร 2.7 สาราณียธรรมกบั สันติสุข (แนวตอบ หลกั สาราณยี ธรรมเปนหลักธรรม ท่เี ปน เหตใุ หพ งึ ระลกึ ถงึ กัน เปนหลักการ สาราณียธรรม แปลว่า ธรรมหรือส่ิงที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นหลักการอยู่ร่วมกันท่ีมี อยรู ว มกนั ทีด่ ี ดังน้นั การนาํ หลกั ธรรมน้ี จุดหมายเพอื่ ตอ้ งการสอนใหค้ นสมัครสมานสามัคคีกนั มที ้งั หมด ๖ ประการ ดงั น้ี มาใชใ นการอยรู วมกนั ในโรงเรยี น สามารถ นาํ มาใชไดใ นหลายๆ กรณี เชน การทํางาน (๑) เมตตากายกรรม คอื การกระทา� ตอ่ กนั ดว้ ยเมตตา หมายถงึ ชว่ ยเหลอื กจิ ธรุ ะของ เปน หมูคณะทีต่ อ งเอือ้ เฟอ เผือ่ แผซ ึ่งกัน หมคู่ ณะดว้ ยความเต็มใจ และกัน ชวยเหลือเพื่อนรวมหอง เพอื่ นรว ม โรงเรียน ชวยครูอาจารยย กของ ชวยแบง ปน (๒) เมตตาวจีกรรม คือ พูดต่อกันด้วยเมตตา หมายถึง พูดจากันด้วยค�าพูดสุภาพ ความรแู ละทรัพยส ินในการทาํ กจิ กรรมตา งๆ อ่อนหวาน มปี ระโยชน์ ไมน่ ินทาว่ารา้ ยกันลบั หลัง รว มกัน รูจักกาลเทศะ เคารพกฎระเบยี บของ โรงเรยี นและกฎเกณฑของสงั คม เปนตน) (๓) เมตตามโนกรรม คือ คิดถึงกันด้วยเมตตา หมายถึง คิดแต่สิ่งท่ีเป็นความสุข ความเจริญ ขยายความเขา้ ใจ Expand (๔) สาธารณโภค ี คอื ลาภผลทไ่ี ดม้ าโดยชอบธรรม แม้เป็นของเล็กนอ้ ย ไมม่ ีคา่ อะไร 1. ครูใหน ักเรียนเขยี นผงั มโนทัศนหลักการปฏิบัติ มากมาย ก็มีแกใ่ จแบ่งกนั ใหค้ นอ่นื ได้กนิ ไดใ้ ช้ ตนเพ่อื การอยูรว มกันอยา งสันตสิ ุข โดยให ยกตัวอยา งหลกั ธรรมตางๆ ทสี่ ามารถนํามา (๕) สีลสามัญญตา คือ ความเปน็ ผู้มคี วามประพฤติเสมอกัน หมายถึง ประพฤติตาม ใชในการลดความรนุ แรงและสรา งสนั ติสุขใน ศลี ธรรม จารีตประเพณี ระเบียบข้อบงั คับและกฎเกณฑ์ของสงั คม ร้จู กั กาลเทศะ สังคม พรอมทั้งตกแตง ใหส วยงาม แลวนาํ สง ครูผสู อน (๖) ทฏิ ฐสิ ามญั ญตา คอื ความเปน็ ผมู้ คี วามคดิ เหน็ เสมอกนั หมายถงึ มคี วามคดิ เหน็ ลงรอยกันในหลกั การใหญๆ่ หรืออดุ มการณ์ของส่วนรวม 2. ครูใหนักเรียนเขียนบันทึกการนําหลักธรรม ในการอยูร วมกนั อยา งสนั ตสิ ขุ มาปรบั ใชใ น การศกึ ษาหลกั ธรรมคา� สอนของพระพทุ ธศาสนา เปน็ สง่ิ ทพี่ ทุ ธศาสนกิ ชนทกุ คนจะตอ้ ง ชีวิตประจําวันเปนเวลา 1 เดอื น นําสง ครผู สู อน ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อท่ีจะสามารถน�าไปปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในกระแสความ เปลย่ี นแปลงของโลก และการปฏบิ ตั ติ นเพอื่ การอยรู่ ว่ มกนั กบั ผอู้ น่ื ในสงั คม และเพอื่ สรา้ งสนั ตภิ าพ ตรวจสอบผล Evaluate ขึ้นในโลก หลักธรรมเป็นแก่นของพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนสามารถน�าไปปฏิบัติเพ่ือ ประโยชน์ของตัวเองและผู้อ่ืนในการอยู่ร่วมกัน พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนหลักธรรมไว้มากมาย 1. ตรวจสอบจากผังมโนทศั นหลักการปฏบิ ตั ิตน ดงั นนั้ เราตอ้ งศึกษาและทา� ความเขา้ ใจ แล้วน�ามาปรับใชใ้ นการดา� เนนิ ชีวิต เพอ่ื การอยูรวมกันอยางสันตสิ ุข การท่ีพุทธศาสนิกชนศึกษาหลักธรรมแล้วน�ามาปฏิบัติโดยสม�่าเสมอ จะท�าให้บุคคล 2. ตรวจสอบจากบนั ทึกการนําหลกั ธรรมใน ผนู้ ้นั เกดิ ความสงบสุขภายในจิตใจ มีการกระท�า คา� พดู และความคิดไปในทางทด่ี ี มีความรกั ใคร่ การอยูรว มกนั อยา งสนั ติสขุ มาปรับใชใ น สามัคคี ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น จะท�าให้เป็นท่ีรักของคนรอบข้าง สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมี ชวี ิตประจาํ วนั ความสุข 169 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรยี นควรรู หมบู านมติ รไมตรีไดรับโลป ระกาศเกยี รติคุณจากนายกรฐั มนตรใี หเปน 1 จรยิ ธรรม เปน คณุ สมบตั ขิ องความประพฤตทิ มี่ งุ หวงั ใหค นในสงั คมประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ หมบู านดีเดน เนื่องจากชาวบานในหมูบานมคี วามสามัคคใี นการทาํ กิจกรรม อยางถกู ตอ ง มีเสรีภาพภายในขอบเขตของมโนธรรม เปนหนา ทที่ ีส่ มาชิกในสงั คมพึง ตา งๆ ของทางราชการอยางดเี ย่ียม แสดงวาชาวบานปฏิบตั ติ ามหลักธรรมใด 1. อุบาสกธรรม 7 2. สัทธรรม 3 ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ อ ตนเอง ตอ ผอู นื่ และตอ สงั คม เพอื่ ใหเ กดิ ความเจรญิ รงุ เรอื งในสงั คม โดยโครงสรา งของแนวคดิ ดา นจริยธรรมประกอบดวยคุณธรรมหลายประการ ดังน้ี 3. สาราณียธรรม 6 4. ทศพิธราชธรรม 10 • ความรับผิดชอบ คือ ความมุงม่ันท่ีจะปฏิบัติหนาท่ีดวยความพากเพียรและ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เนื่องจากสาราณยี ธรรมเปนธรรมหรอื สง่ิ ที่ ความรอบคอบ • ความซ่ือสัตย คือ การประพฤติอยางเหมาะสมและตรงตอความเปนจริง เปน เหตุใหมนุษยพ งึ ระลึกถึงกัน เปน หลักการทท่ี าํ ใหส ามารถอยรู วมกัน ทง้ั กาย วาจา ใจ ไดเ ปนอยา งดี โดยมจี ดุ มงุ หมายเพอื่ ตอ งการสอนใหมีความสมัครสมาน • ความกตญั กู ตเวที คอื ความรสู าํ นกึ ในอปุ การคณุ หรอื บญุ คณุ ทผ่ี อู น่ื มตี อ เรา สามัคคกี ัน ซงึ่ ตรงกบั สถานการณของชาวบา นในหมบู า นมติ รไมตรที ม่ี ีความ • ความอตุ สาหะ คอื ความพยายามอยา งเขม แขง็ เพอ่ื ใหเ กดิ ความสาํ เรจ็ ในงาน สมคั รสมานสามัคคี รว มมอื รว มใจในการทาํ กิจกรรมการงานตา งๆ ของ • ความสามคั คี คอื ความรว มมอื กนั กระทาํ กจิ การใหส าํ เรจ็ ลลุ ว งดว ยดี โดยเหน็ ทางราชการไดอยางมปี ระสิทธิภาพและสําเรจ็ ลุลวงไปไดดวยดี ดังนน้ั ขอ 3. แกประโยชนส ว นรวมมากกวา สว นตน จึงเปน คําตอบที่ถูกตอ ง • ความเมตตาและกรณุ า คอื ความรกั ใครป รารถนาจะใหผ อู นื่ มสี ขุ และพน ทกุ ข 169• ความยุติธรรม คือ การปฏบิ ัติดวยความเทย่ี งตรง สอดคลองกบั ความเปน จริงและเหตุผล ไมมคี วามลําเอยี ง คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถกู ตองจากการตอบคาํ ถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรยี นรู้ ประจาํ หนวยการเรยี นรู ๑. นกั เรยี นสามารถปฏบิ ตั ติ นอยา่ งเหมาะสมในกระแสความเปลย่ี นแปลงของโลกไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ๒. นกั เรยี นสามารถนา� หลกั ธรรมในการอยรู่ ว่ มกนั ของพระพทุ ธศาสนามาใชใ้ นชวี ติ ประจา� วนั 1. เรยี งความเรอ่ื ง วิธีการปฏิบัตติ นใหเหมาะสม ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง กบั กระแสการเปล่ยี นแปลงของโลก ๓. นักเรียนคิดว่าการด�าเนินชีวิตโดยยึดทางสายกลางในสังคมบริโภคนิยม ควรปฏิบัติตน 2. ผงั มโนทัศนหลกั การปฏิบัติตนเพือ่ การอยูรว มกัน อยา่ งไร อยา งสันติสขุ ๔. หลกั สาราณยี ธรรม ๖ เปน็ หลกั ธรรมเพอ่ื การอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ขุ ไดอ้ ยา่ งไร ๕. การศกึ ษาหลกั ธรรมคา� สอนของพระพทุ ธศาสนามปี ระโยชนต์ อ่ ตวั นกั เรยี นอยา่ งไร 3. บันทกึ การนาํ หลักธรรมในการอยูรวมกัน อยา งสนั ติสขุ มาปรบั ใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั กิจกรรมสร้างสรรค์พ²ั นาการเรียนรู้ กิจกรรมท ี่ ๑ เชิญวิทยากรผู้มีความรู้ในด้านหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาบรรยาย ให้นักเรยี นฟัง กิจกรรมที่ ๒ ศึกษาประวัติบุคคลท่ีประสบความส�าเร็จในชีวิต แล้วคิดว่าบุคคลเหล่าน้ัน ใช้หลักธรรมใดในการด�าเนินชีวิต น�าเสนอผลงานในห้องเรียนแล้วร่วมกัน อภิปราย กจิ กรรมท่ี ๓ นกั เรยี นหาภาพ ขา่ ว บทความทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสา� คญั ของความสามคั คี แล้วน�าไปตดิ ทปี่ ้ายนเิ ทศเป็นเวลา ๒ สปั ดาห์ พทุ ธศาสนสุภาษติ ¸Õâà ¨ 梯 ÊÇí ÒâÊ ÞÒµÕ¹Çí ÊÁÒ¤âÁ : Í‹ÙÃÇ‹ Á¡ºÑ »ÃҪޏ ¹íÒÊØ¢ÁÒãËŒ àËÁÍ× ¹ÊÁÒ¤Á¡ºÑ ÞÒµÔ 170 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรียนรู 1. นกั เรียนตอ งปฏบิ ตั ิตนใหอยูภายใตก รอบหลกั ธรรมคําสอนของพระพุทธศาสนา เนน ความสงบสุขทางจิตใจมากกวาวัตถุ เชน การนาํ หลกั ธรรมมชั ฌิมาปฏปิ ทา และอริยทรัพยมาปรับใชในการดําเนินชวี ิตภายใตกระแสการเปลยี่ นแปลงของโลก เปนตน 2. นักเรยี นสามารถนาํ หลักธรรมในการอยูรว มกันอยางสันติสุขมาใชใ นชวี ติ ประจําวนั โดยตอ งศกึ ษาใหเกิดความรูค วามเขาใจในหลกั ธรรมตางๆ กอนนาํ มาปฏิบัติ เชน นําหลักธรรมสัปปรุ สิ สังเสวะจากหลักธรรมวฑุ ฒธิ รรม 4 มาปรบั ใชใ นการเลอื กคบผอู ืน่ โดยควรเลอื กคบหาผูท ่ที รงปญญาเปน กัลยาณมิตรกับตนเอง หรือการนําหลักธรรมสงั คหวตั ถุ 4 มาปรบั ใชเม่อื ตอ งการใหคนรอบขางรักใครแ ละสนใจเรามากข้นึ เปน ตน 3. นักเรยี นควรศึกษาหลักธรรมใหเขาใจ และนําหลักมัชฌิมาปฏปิ ทามาประยกุ ตใ ชเ พอ่ื ใหสอดคลอ งกับสังคมบริโภคนิยมท่มี สี งิ่ ย่วั ยตุ า งๆ มากมาย ดังนั้น จึงตอ งรูจ ักประมาณตนเอง ขยันหมนั่ เพียร ไมเบยี ดเบยี นผูอืน่ นอกจากนี้ ยงั ตอ งยึดหลักความสนั โดษ หรือการพงึ พอใจในสิ่งทีต่ นเองมีอยู เพอื่ ปองกันความเสอ่ื มตา งๆ ทอ่ี าจเกิดขน้ึ ไดกับตัวเรา 4. สาราณยี ธรรมเปน หลกั ธรรมท่ใี ชในการอยูรวมกันอยา งสนั ตสิ ุข มจี ุดมงุ หมายเพอ่ื สรา งความสามคั คี ไดแ ก การมีเมตตา การชว ยเหลอื ผอู ่นื การพูดจาไพเราะ ไมน ินทาวา รา ยผูอ นื่ การคิดแตส ิ่งทเี่ ปน สขุ คิดในทางสรา งสรรค การมีความเอ้ือเฟอ เผ่ือแผต อ กัน การปฏบิ ัติตนตามกฎระเบยี บของสังคม และมคี วามคิดในลักษณะ เดียวกบั คนสวนใหญ 5. ประโยชนท ไี่ ดรับจากการศึกษาหลักธรรมคาํ สอนของพระพุทธศาสนา เชน จะทําใหเ กิดความสงบสุขภายในจิตใจ มีการกระทํา คาํ พูด และความคดิ ไปในทางท่ดี ี มีความรักใครส ามคั คี ไมคิดรายตอผอู น่ื ซ่งึ จะทาํ ใหเ ปนที่รกั ของคนรอบขา ง และสามารถอยูร ว มกับผอู นื่ ไดอยางมคี วามสุข เปนตน 170 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สำ� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ºÃóҹ¡Ø ÃÁ ¨Òí ¹§¤ ·Í§»ÃÐàÊÃ°Ô . »ÃÐÇµÑ ÈÔ Òʵþ ·Ø ¸ÈÒʹÒã¹àÍàªÂÕ ÍÒ¤à¹Â. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ͧ¤¡ÒäŒÒ¢Í§¤ÃØ ØÊÀÒ, òõô÷. ÞÒ³ÇâôÁ, ¾ÃÐ (ʹ¸Ôì ¡¨Ô ¨Ú ¡ÒâÃ). ¤Á‹Ù Í× »¯ºÔ µÑ §Ô Ò¹ÈÒʹ¾¸Ô ÊÕ §Ñ ࢻ. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡¯Ø ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÑÂ, òõõò. ´¹Ñ äªÂâÂ¸Ò ¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃԏ¡Ñº¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐÇѵÔÈÒʵÏ. ¡Ãا෾ ÁËÒ¹¤Ã : âÍà´Õ¹ÊâµÃ, òõôø. _______. ¾Ø·¸¸ÃÃÁ ¾Ø·¸ÊÒÇ¡ ¾Ø·¸ÊÒÇÔ¡Ò áÅЪÒǾط¸µÑÇÍ‹ҧ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : âÍà´Õ¹ÊâµÃ, òõõñ. _______. ¾¨¹Ò¹Ø¡ÃÁ¤íÒÈѾ·¾Ãоط¸ÈÒʹÒ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ºÃÔÉÑ· ÍÑ¡ÉÃà¨ÃÞÔ ·ÈÑ ¹ ͨ·. ¨íÒ¡Ñ´, òõõò. _______. Ç²Ñ ¹¸ÃÃÁáÅÐÍÒøÃÃÁÊÁÑ ¾¹Ñ ¸¢ ͧ͹·Ø Ç»Õ Í¹Ô à´ÂÕ ¡ºÑ ¹Ò¹Ò»ÃÐà·È. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : âÍà´Õ¹ÊâµÃ, òõõó. ´¹ÂÑ äªÂâÂ¸Ò (ºÃóҸ¡Ô ÒÃ). õó ¾ÃÐÁËÒ¡ÉµÑ ÃÂÔ ä ·Â ¸ ·Ã§¤Ãͧã¨ä·Â·§éÑ ªÒµ.Ô ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : âÍà´ÂÕ ¹ÊâµÃ, òõôó. ·ÇÕÇѲ¹ »Ø³±ÃÔ¡ÇÔÇѲ¹. “¾Ø·¸ÈÒʹҡѺÊѧ¤Á¡ÒÃàÁ×ͧã¹ÍØÉÒ¤à¹Â” ã¹ ÍÉØ Ò¤à¹Â· ÃèÕ Ñ¡. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÇÔ·ÂÒÅѸÃÃÁÈÒʵÃ, òõõó. à·¾Ãѵ¹ÃÒªÊ´Ø Ò à¨ŒÒ¿‡ÒÁËÒ¨¡Ñ ÃÊÕ ÔÃ¹Ô ¸Ã ÊÂÒÁºÃÁÃÒª¡ÁØ ÒÃ,Õ ÊÁà´¨ç ¾ÃÐ. ·ÈºÒÃÁÕ ã¹¾Ø·¸ÈÒʹÒà¶ÃÇÒ·. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡Ø¯ÃÒªÇÔ·ÂÒÅÑÂ, òõôó. _______. ¾Ø·¸»ÃÐÇµÑ ÊÔ §Ñ ࢻ áÅÐÈÒʹ¾Ô¸ÊÕ Ñ§à¢». ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡Ø¯ ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÂÑ , òõôö. ¾ÃËÁ¤Ø³ÒÀó, ¾ÃÐ (».Í.»ÂصâÚ µ). ¾¨¹Ò¹¡Ø ÃÁ¾·Ø ¸ÈÒʵÏ ©ººÑ »ÃÐÁÇŸÃÃÁ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÇÔ·ÂÒÅÂÑ ÁËÒ¨ØÌÒŧ¡Ã³ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÑÂ, òõõñ. ÃÒªº³Ñ ±µÔ Âʶҹ. ¾¨¹Ò¹¡Ø ÃÁÈ¾Ñ ·¾ ÃÐäµÃ»® ¡ ºÒÅ-Õ âÃÁ¹Ñ -ä·Â àÅÁ‹ ñ Í¡Ñ Éà Í. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªºÑ³±µÔ Âʶҹ, òõôõ. _______. ¾¨¹Ò¹¡Ø ÃÁÈѾ·¾ÃÐäµÃ»® ¡ ºÒÅÕ-âÃÁ¹Ñ -ä·Â àÅ‹Á ò ÍÑ¡Éà Í. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªºÑ³±ÔµÂʶҹ, òõõð. _______. ¾¨¹Ò¹¡Ø ÃÁÈѾ·¾ ÃÐäµÃ»®¡ ºÒÅ-Õ âÃÁѹ-ä·Â àÅÁ‹ ó Í¡Ñ Éà Í. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªº³Ñ ±ÔµÂʶҹ, òõõñ. ÃҪǪÔÃÒÀó, ¾ÃÐ (ÊÕ¹ÇÅ »ÚÚÒǪÔâà ».¸.ù). ·íÒÇµÑ ÃÊÇ´Á¹µ© ººÑ ¤³Ðʧ¦ Ç´Ñ ¾ÃÐવؾ¹Ï. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : âç¾ÁÔ ¾ ºÃÔÉ·Ñ Ê˸ÃÃÁÔ¡ ¨Òí ¡Ñ´, òõôõ. 171 ค่มู อื ครู 171

กระตนุ้ ความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ÃÒªÇÃÁعÕ, ¾ÃÐ (»ÃÐÂÙà ¸ÁÚÁ¨ÔµÚâµ). ͹طԹ¸ÃÃÁÐ ¸ÃÃÁÐÊíÒËÃѺ óöõ Çѹ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁÙŹԸԾط¸¸ÃÃÁ, òõóù. ǪÃÔ ÞÒ³ÇâÃÃÊ, ÊÁà´¨ç ¾ÃÐÁËÒÊÁ³à¨ÒŒ ¡ÃÁ¾ÃÐÂÒ. ¾·Ø ¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉµÔ (àÅÁ‹ ñ). ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡Ø¯ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÂÑ , òõôò. ÇªÔ Ò¡ÒÃáÅÐÁҵðҹ¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒ ¡ÃзÃÇ§È¡Ö ÉÒ¸¡Ô ÒÃ, ÊÒí ¹¡Ñ . µÇÑ ªÇéÕ ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÂÕ ¹ÃŒÙ ᡹¡ÅÒ§ ¡Å‹ØÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÊ§Ñ ¤ÁÈÖ¡ÉÒ ÈÒÊ¹Ò áÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁ. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : âç¾ÁÔ ¾ª ÁØ ¹ÁØ Êˡó¡ ÒÃà¡ÉµÃá˧‹ »ÃÐà·Èä·Â, òõõñ. Ç·Ô Â ÇÈÔ ·àÇ·Â. »ÃªÑ ÞÒ·ÇÑè ä» : Á¹ÉØ Â âÅ¡ áÅФÇÒÁËÁÒ¢ͧªÇÕ µÔ . ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ºÃÉÔ ·Ñ Í¡Ñ ÉÃà¨ÃÔÞ·Ñȹ ͨ·. ¨Òí ¡´Ñ , òõõò. È¡Ö ÉÒ¸¡Ô ÒÃ, ¡ÃзÃǧ. »ÃÐÇѵԾÃÐÊÒÇ¡ àÅÁ‹ ñ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ͧ¤¡ÒäҌ ¢Í§¤ÃØ ØÊÀÒ, òõôò. _______. »ÃÐÇѵԾÃÐÊÒÇ¡ àÅ‹Á ò. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ͧ¤¡ÒäŒÒ¢Í§¤ØÃØÊÀÒ, òõôò. _______. ¤ÇÒÁÃÙŒàÃè×ͧ¾ÃÐäµÃ»®¡. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ͧ¤¡ÒäŒÒ¢Í§¤ØÃØÊÀÒ, òõôò. 欯 µÔ ÃÒ ¡Å¹Ôè à¡Éà (ºÃóҸ¡Ô ÒÃ). ÊÒÃÒ¹¡Ø ÃÁä·ÂÊÒí ËÃºÑ àÂÒǪ¹â´Â¾ÃÐÃÒª»ÃÐʧ¤ ã¹¾ÃкҷÊÁà´ç¨¾ÃÐ਌ÒÍÂÙ‹ËÑÇ ©ºÑºàÊÃÔÁ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ àÅ‹Á ø. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : â¤Ã§¡ÒÃÊÒÃҹءÃÁä·ÂÊíÒËÃѺàÂÒǪ¹â´Â¾ÃÐÃÒª »ÃÐʧ¤ã ¹¾ÃкҷÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨ÒŒ ÍÂËÙ‹ ÑÇ, òõõð. ÊØªÕ¾ »ØÞÞÒ¹ØÀÒ¾. ¤Ø³ÅѡɳоÔàÈÉáË‹§¾Ãоط¸ÈÒʹÒ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁÙŹ¸Ô ÁÔ ËÒÁ¡Ø¯ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÂÑ , òõôñ. ÊàØ ªÒǹ ¾ÅͪÁØ . ÊÁà´¨ç ¾ÃÐÁËÒÊÁ³à¨ÒŒ ¡ÃÁ¾ÃÐÂÒǪÃÔ ÞÒ³ÇâÃÃÊ. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡Ø¯ÃÒªÇÔ·ÂÒÅÂÑ , òõôñ. àʰÂÕ Ã¾§É ÇÃó»¡. ºÒ§á§‹ÁÁØ à¡ÂÕè Ç¡ºÑ ¾·Ø ¸Í§¤. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ËÍÃѵ¹ªÑ ¡ÒþÔÁ¾, òõôô. _______. ¾Ø·¸ÈÒÊ¹Ò ·ÑȹÐáÅÐÇÔ¨Òó. ¾ÔÁ¾¤Ãéѧ·èÕ ó. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁµÔª¹, òõóø. _______. ¾·Ø ¸ÊÒÇ¡ ¾Ø·¸ÊÒÇÔ¡Ò. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ¸ÃÃÁÊÀÒ, òõôô. ÊíÒÃÇ ¹¡Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹. ¸ÃÃÁÐ¨Ò¡à¨´ç µíÒ¹Ò¹ ÊºÔ ÊͧµÒí ¹Ò¹¤Ò¶Ò¾Ò褯 . ¡Ãا෾ ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªºÑ³±µÔ Âʶҹ, òõôø. _______. ¸ÃÃÁШҡº·ÊÇ´Á¹µ. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªº³Ñ ±µÔ Âʶҹ, òõôø. 172 172 คู่มือครู

สรา้ งอนาคตเดก็ ไทย ดว้ ยนวตั กรรมการเรยี นรรู้ ะดบั โลก >> ราคาเลม่ นกั เรยี นโปรดดจู ากใบสง่ั ซอ้ื ของ อจท. คู่มือครู บร. พระพุทธศาสนา ม.2 บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกดั 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร 10200 โทร./แฟกซ.์ 02 6222 999 (อตั โนมตั ิ 20 คสู่ าย) 8 8 5 8 6 4 9 132 15306 .3- www.aksorn.com Aksorn ACT ราคาน้ี เปน็ ของฉบบั คมู่ อื ครเู ทา่ นน้ั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook