กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนกั เรยี นสืบคน ขอ มลู เรอ่ื งอานิสงสข อง ดังน้ัน ผาอาบนา้ํ ฝนหรือผา วสั สิกสาฎก ก็คอื ผาอาบนํา้ ทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนนํามาถวาย การถวายผา อาบนํา้ ฝน แลวนําขอ มูลมาเรียบ แดพ ระสงฆในฤดฝู น มีขนาดกวาง ๑ ศอกคืบ ๔ น้วิ ยาว ๔ ศอก ๓ กระเบียด (หรือกวา ง ๘๓ เรียงใหมแ ละตดิ ภาพประกอบลงในกระดาษ เซนตเิ มตร ยาว ๒ เมตร) A4 แลว นําสงครผู ูสอน ๒) วตั ถปุ ระสงคแ ละความสาํ คญั การถวายผา อาบนา้ํ ฝนแดพ ระสงฆ กเ็ พอ่ื ทาํ บญุ 2. ครใู หนกั เรยี นทํากิจกรรมที่ 6.2 จากแบบวดั ฯ และอปุ ภมั ภพ ระสงฆใ หม เี ครอื่ งใชท จี่ าํ เปน ตาม พระพุทธศาสนา ม.2 ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ ฤดกู าล พระพุทธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 6.2 ๓) วิธีปฏิบัติ การถวายผาอาบ หนวยท่ี 6 วันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพธิ � นาํ้ ฝน มีวิธปี ฏบิ ตั ิ ดังน้ี กิจกรรมที่ ๖.๒ ใหน กั เรยี นวเิ คราะหค ณุ คา ความสาํ คญั หรอื การปฏบิ ตั ติ น คะแนนเต็ม คะแนนท่ีได ๑. การถวายผาอาบนํ้าฝนไมมี ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามภาพพอสังเขป กฎเกณฑแ นน อนตายตวั วา จะตอ งถวายวนั ไหน ñð (ส ๑.๒ ม.๒/๓) ข้นึ อยูกับความเหมาะสมของแตล ะแหง ซึง่ โดย สวนใหญแลวจะกระทํากันในระหวาง แรม ๑ คาํ่ เดือน ๗ ไปจนถึงวนั ขึ้น ๑๕ ค่าํ เดอื น ๘ การถวายผาอาบนํ้าฝนเปนการทําบุญและชวยใหพระสงฆ และมักจะถวายกันในวันพระ เพราะเปนวันที่ การทาํ บญุ ตักบาตร การถวายสังฆทาน มีเครอื่ งใชท ีจ่ ําเปนตามฤดกู าล พทุ ธศาสนกิ ชนทง้ั หลายมาประชมุ พรอ มเพรยี ง …ช…วย…ท…ํ…าใ…ห…จ…ิต……ใจ…เ…ก…ิด…ค…ว…า…ม…ส…ง…บ………ส…ะ…อ…าด………แ…ล…ะ. …เป…น…ก…า…ร…ฝ…ก…จ…ิต…ใ…จ…ใ…ห…ร…ูจั…ก…ก…าร…เ…ส…ีย…ส…ล…ะ……เป……น…ผ…ูให…. …เบ…ิก…บ……าน………ม…ีค…ว…า…ม…เม…ต…า…ก…ร…ุณ……า……แ…ล…ะ…ยั…ง…ถ…ือ…เป…น…. …โด…ย…ท…ี่ไ…ม…ห…ว…ัง…ผ…ล…ต…อ…บ…แ…ท…น……แ…ล…ะ…เป…น……ก…า…รอ…ุป…ถ…ัม…ภ…. เฉฉบลับย กันแตใ นบางวดั กจ็ ัดถวายในวันเขา พรรษา คอื วันแ1รม ๑ คํา่ เดือน ๘ …ก…าร…ช…ว …ย…ท…าํ น…บุ…าํ…ร…งุ …ศ…า…ส…น…า…อ…กี …ท…ง้ั …ส…บื …ส…า…น…ป…ร…ะ…เพ…ณ…ี. …พ…ร…ะส…ง…ฆ…ไ…ด…ม …เี …ค…ร…ื่อง…อ…ุป…โ…ภ…ค…ท…ี่จ…ํา…เป…น…ไ…ว…ใ …ชส……อย………. ๒. ในวนั กาํ หนดถวายผา อาบนา้ํ ฝน พระภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก อบุ าสกิ าพรอ มกนั …อ…ัน…ด…ีง…าม…ใ…ห…ค …ง…อ…ย…ตู …อ …ไป……………………………………………. …………………………………………………………………………………. ในสถานทีก่ าํ หนด มนกี ําาผราทอําาวบัตนรา้ํสฝวนดวมานงตไวบด ูชา านพหรนะราตัพนรตะสรงยั ฆอ าหรัวาหธนนาาทศาีลยแกล2นะราํ ับกศลลีา วคําถวาย ดังนี้ ๓. การทอดกฐนิ การทอดผาปา คําอา น อมิ านิ มะยงั ภนั เต วสั สกิ ะสาฏกิ านิ สะปะรวิ ารานิ ภกิ ขสุ งั ฆสั สะ โอโณชะยามะ …ถ…ือ…เป…น…ก…า…ร…ท…ํา…บ…ุญ…ท…่ีไ…ด…อ…า…น…ิส…ง…ส…ม…า…ก……เ…น…ื่อ…ง…จ…าก…. …เป…น……พ…ิธ…ีก…ร…ร…ม…ท…่ีแ…ส…ด…ง…ถ…ึง…ค…ว…า…ม…ศ…ร…ัท…ธ…า……ร…ว…ม…ถ…ึง. สาธุ โน ภนั เต ภิกขุสงั โฆ อมิ านิ วัสสกิ ะสาฏกิ านิ สะปะริวารานิ ปะฏคิ คัณหาตุ …จ…ะก…ร…ะ…ท…ํา…ได…เ…พ…ยี …ง…ป…ล…ะ……๑…ค…ร…้ัง……เ…ป…น …ก…า…ร…อุป……ถ…ัมภ…. …ก…าร…ส…ร…า…ง…ก…ศุ …ล…ด…ว …ย…จ…ติ …ใจ…ท……่ีบ…ร…ิส…ุท…ธ…์ิ …เป…น …ก…า…ร…ช…ว…ย. อัมหากงั ทีฆะรัตตงั หติ ายะ สุขายะฯ …ให…พ…ร…ะ…ส…ง…ฆ…ไ…ด…ม…ีเ…ค…ร…ื่อ…งใ…ช…ท…่ีจ…ํา…เป…น………แ…ล…ะส…ะ…ท…อ…น…. …ให…พ…ร…ะ…ภ…ิก…ษ…ุส…ง…ฆ…เ…ก…ิด…ค…ว…า…มส……ะด…ว…ก…ไ…ม…ต…อ…ง…ค…อ…ย…ห…า. …ให…เ…ห…น็ …ถ…งึ …ป…ร…ะ…เพ…ณ……ีอนั……ด…ีง…าม……………………………………. …ผ…าบ…ัง…ส…กุ…ลุ…ม…า…ท…าํ …เป…น……เค…ร…่อื …ง…น…ุง…ห…ม…………………………. คาํ แปล ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวายผาอาบน้ําฝน พรอมกับ ของบรวิ ารทงั้ หลายเหลา น้ี แกพระภิกษสุ งฆ ขอพระภกิ ษสุ งฆ จงรับผาอาบนํา้ ฝน ๕๕ พรอมกับของบริวารทั้งหลายเหลาน้ี ของขาพเจาท้ังหลาย เพ่ือประโยชน เพื่อ ความสุขแกข าพเจา ท้ังหลาย ตลอดกาลนานเทอญฯ ๔. ในระหวางการกลาวคําถวายพระสงฆจะประนมมือ พอจบคํากลาวถวายแลว พระสงฆจะรับพรอมกันวา สาธุ แลว นาํ ผา ประเคนพระสงฆ ๕. พระสงฆอ นุโมทนาและใหพร อุบาสก อุบาสิกา กรวดนํ้าและรบั พร ๑๔๒ นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET มลู เหตใุ ดทาํ ใหเ กดิ ศาสนพิธีการถวายผาอาบนา้ํ ฝน 1 ผาอาบนํ้าฝน หรือผาวัสสิกสาฎก คือ ผาเปลยี่ นสาํ หรบั สรงนํา้ ฝนของ แนวตอบ ตามประวตั ิเลา วา เดิมพระพุทธเจา ทรงอนุญาตใหพ ระภิกษุใชผ า พระสงฆ ซ่ึงเปนผาท่ีมีลกั ษณะเดียวกับผา สบง (ผา นงุ ) เพือ่ ใหพ ระสงฆไดใ ชผลัด ไดเ พยี ง 3 ผืนเทาน้นั คอื ผา นงุ หรือผาสบง (อันตรวาสก) ผาหมหรือผา จีวร เปลีย่ นกับผา สบงปกติ (อตุ ราสงค) และผา พาดบา หรอื ผาคลมุ ช้นั นอก (สงั ฆาฏ)ิ ซงึ่ ใชห ม ซอนจีวร 2 หัวหนา ทายก มีคําศพั ท 2 คําเกีย่ วขอ ง คือ มัคนายกและมคั ทายก ในฤดหู นาวได รวมเรยี กวา ไตรจวี ร โดยท่ยี ังไมอ นญุ าตใหใชผ า อาบน้ําฝน วันหนึ่งฝนตก นางวสิ าขาใหส าวใชไ ปนมิ นตพระมาฉนั ภัตตาหาร • มคั นายก เปน คําสมาสมาจากภาษาบาลี 2 คํา คือ “มัคค” แปลวา ทาง ทบ่ี า น พบพระภิกษเุ ปลือยกายอาบนํา้ ฝน เขาใจวาเปน อาชวี ก (ชีเปลอื ย) และ “นายก” แปลวา ผนู ํา ไมใชพระภกิ ษุ จึงกลบั มาบอกนางวิสาขาวาไมพบพระภิกษุในวดั นางวสิ าขา ทราบวาเปน พระภิกษุ จึงทลู ขอพรตอ พระพทุ ธเจาเพื่อจะถวายผาสาํ หรบั • มัคทายก เปน คาํ สมาสจากภาษาบาลี 2 คาํ คือ “มัคค” แปลวา ทาง และ ผลัดเปลี่ยนเวลาอาบนา้ํ แดพระภกิ ษุ พระพุทธเจาทรงอนญุ าตใหพระรับ “ทายก” แปลวา ผถู วายปจ จยั แดพระสงฆ ผา อาบนํา้ ฝนเพม่ิ ไดอ กี หน่ึงผนื ตงั้ แตบัดน้นั เปนตนมา พจนานุกรมราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศกั ราช 2554 ไดใหค วามหมายของ มคั นายกวา หมายถึง ผจู ดั การทางกุศล ผูช้แี จงทางบุญ ดงั น้ัน ถาจะใชคําเพ่ือ เรยี กคนทคี่ อยนํากลา วคําบชู า คาํ อาราธนา คาํ ถวายสิง่ ของใหพระที่วัดแลว คําวา “มัคนายก” จงึ เปนคาํ ท่ถี ูกตอ งมากกวา “มคั ทายก” 142 คูม อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 2.5 การจดั และถวายเคร่ืองไทยธรรม เครือ่ งไทยทาน1 1. ครูกลาวถึงการจดั และถวายเคร่ืองไทยธรรม เครื่องไทยทาน และตง้ั คาํ ถามวา ๑) ความหมาย “เครอื่ งไทยธรรม เครื่องไทยทาน” หมายถงึ ส่งิ ของที่ควรถวายเป็น • เครอ่ื งไทยธรรมและเคร่อื งไทยทาน มีความ หมายแตกตางกันอยา งไร ทานแดพ่ ระสงฆ์ ในพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ ใหค้ วามหมายของ (แนวตอบ เครอ่ื งไทยทาน หมายถึง ของ ค�าว่า “ไทยทาน” วา่ ของสา� หรับทา� ทาน และใหค้ วามหมายของคา� วา่ “ไทยธรรม” ว่า ของทา� บุญ สําหรบั ทําทาน เคร่อื งไทยธรรม หมายถงึ ต่างๆ ของถวายพระ แสดงว่าความหมายของค�าว่า “ไทยทาน” กว้างกว่าค�าว่า “ไทยธรรม” ของสําหรับทาํ บญุ ถวายพระ เพราะฉะนนั้ เพราะหมายความว่าเป็นของส�าหรับท�าทานกับใครก็ได้ ไม่จ�าเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นพระสงฆ์ เครอ่ื งไทยทานจงึ มคี วามหมายกวา งกวา เครอื่ ง ในขณะทคี่ า� วา่ “ไทยธรรม” มีความหมายเฉพาะวา่ เปน็ ของถวายพระเทา่ น้ัน ดงั นนั้ เมื่อใช้ค�าว่า ไทยธรรม เนอื่ งจากเปน การทาํ ทานสําหรับ “ไทยทาน” ในความหมายว่าเป็นของที่ควรถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ จึงนิยมเติมค�าว่า “เครื่อง ใครก็ได แตเคร่ืองไทยธรรมใชสําหรับถวาย ปจั จยั ” หรอื “จตปุ จั จยั ” ไวข้ า้ งหนา้ ดว้ ย เปน็ “จตปุ จั จยั /เครอ่ื งปจั จยั ไทยทาน” เพอ่ื ใหม้ คี วามหมาย พระเทาน้นั เชน การถวายสงั ฆทาน เปน ตน ) ชัดเจนวา่ หมายถึงของถวายพระ ของท�าบญุ ไมใ่ ช่เปน็ เพยี งวตั ถุทานทใี่ ห้แก่คนทีค่ วรให้ • จตุปจ จยั มีอะไรบา ง สาํ คัญอยา งไร (แนวตอบ จตุปจจัย หมายถงึ ปจ จยั 4 ของ ตามปกติการจัดเครือ่ งไทยธรรมไทยทานจะตอ้ งมีดอกไม้ ธปู เทียนบูชาพระ รวมอยู่ บรรพชิต มี 4 อยาง ไดแ ก จีวร คอื เครือ่ ง ดว้ ยเสมอ และอาจมี “ปัจจยั ” ที่ในปจั จุบันใช้กนั ในความหมายแคบ คอื หมายถึง “เงนิ ” ท่ีถวาย นุงหม เชน ไตรจวี ร ผาหม ผาอาบนํ้าฝน พระหรอื วดั เพราะเหน็ วา่ พระสงฆส์ ามารถนา� เงนิ ไปซอ้ื หาปจั จยั ตา่ งๆ ไดเ้ หมาะสมกบั ความจา� เปน็ เปนตน บณิ ฑบาต คอื อาหาร เชน ขาว หรอื ตรงกับสิง่ ท่ขี าดแคลนได้ นํ้า ผลไม เปน ตน เสนาสนะ คือ ที่นอนท่นี ง่ั เชน กุฏิ ศาลา เตียง หมอน เปน ตน และ ๒) วัตถุประสงค์และความส�าคัญ ในการถวายเครื่องไทยธรรม เครื่องไทยทาน คิลานเภสชั คือ ยารักษาโรค ซง่ึ เปน เคร่ือง สําหรบั ดํารงชีพของภกิ ษุสารเณรคลายคลึง มีวัตถุประสงค์และความส�าคัญ ดงั น้ี กบั ปจจัย 4 ของคนทั่วไป) ๑. เพอื่ ถวายความอปุ ถัมภแ์ ด่พระภกิ ษุสงฆ์ • ไวยาวัจกรมีหนา ท่อี ะไร และควรมลี ักษณะ ๒. เพื่อลดความตระหนี่ ความโลภ ความเหน็ แก่ตัว กเิ ลส ของผู้ถวายของ หรือคณุ ธรรมในขอใดเปนสาํ คัญ ๓. เพื่อความเป็นสิริมงคลแกผ่ ู้ถวายเอง (แนวตอบ ไวยาวจั กรมหี นา ที่เบิกจา ยนิตยภตั ๔. เพ่ืออุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่บุพการีผู้มีพระคุณญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร หรืออาหารประจาํ ปจจบุ นั ใชใ นความหมาย วา เงินคา อาหารทที่ างราชการถวายแดสงฆ ท่ลี ่วงลบั ไปแลว้ เปน ประจาํ และมอี าํ นาจหนา ทด่ี แู ลทรพั ยส นิ ของวดั ตามที่เจาอาวาสมอบหมายเปน ๓) วิธีปฏิบัติ วิธีปฏิบัติในการถวายเครื่องไทยธรรมเคร่ืองไทยทานก็เป็นวิธีเดียวกัน หนังสอื ไวยาวจั กรตองเปน เจา พนักงานตาม กฎหมาย ซึง่ ควรเปนบคุ คลที่มีความซื่อสัตย กับการถวายสังฆทาน หรือการท�าบุญเลี้ยงพระในโอกาสต่างๆ และในการถวาย “ปัจจัย” ท่ีมี สุจรติ และมีอริยทรพั ย 7 ไดแ ก ศรทั ธา ศลี ความหมายวา่ “เงนิ ” นั้น วธิ ีปฏิบตั ทิ ีเ่ หมาะสม คือ ชาวพุทธควรเขยี นเป็นใบปวารณาและถวาย หริ ิ โอตตปั ปะ พาหสุ จั จะ จาคะ และปญ ญา) ใบปวารณาน้ันแก่พระสงฆ์พร้อมกับสิ่งของอื่นๆ ส่วนเงินที่ระบุไว้ในปวารณาควรมอบให้แก่ ไวยาวัจกร (ผู้ดูแลการเงินของวัด) หรือมอบไวก้ ับลูกศิษยท์ ต่ี ิดตามพระแทน ไมค่ วรใหพ้ ระสงฆ์ รับเงนิ โดยตรง ปัจจุบันได้มีร้านค้าจัดเตรียมเครื่องไทยธรรม เครื่องไทยทานไว้คอยบริการก็เป็น การสะดวกสา� หรบั ผทู้ มี่ เี วลานอ้ ย แตม่ ขี อ้ ควรพจิ ารณากค็ อื การซอ้ื จากรา้ นควรตรวจดใู หเ้ รยี บรอ้ ย เพราะบางกรณีอาจมสี ง่ิ ของตอ้ งห้ามหรอื สิ่งของทไี่ ม่เหมาะสมสา� หรบั พระสงฆป์ นเขา้ มาดว้ ย 143 2. ครูใหนักเรียนเขยี นบอกเลาประสบการณการ จัดและถวายเครือ่ งไทยธรรมลงในกระดาษ A4 และนําสง ครูผสู อน แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู การจัดเครื่องไทยธรรมถวายพระควรคํานงึ ถึงส่งิ ใด 1 เครื่องไทยธรรม เครอ่ื งไทยทาน มีขอ ควรระวงั ดงั น้ี 1. ไมผิดวนิ ัยสงฆ • ตองเปนของทไี่ ดม าโดยบริสทุ ธ์ิ 2. ประหยดั และเปน ประโยชน • ไมถ วายสง่ิ ของมึนเมา ยาเสพตดิ ทุกชนิด 3. เหมาะแกก ารบริโภคใชส อยของพระสงฆ • ถวายของใหเหมาะสมกับกาลเวลาของสงฆ 4. ทกุ ขอที่กลาวมา • ไมถ วายส่งิ ของตองหา ม เชน อาหารดิบทุกชนดิ เน้อื สัตวทีเ่ จาะจงฆา เพอ่ื ถวาย กรณีผลไมมเี มล็ด ควรทาํ การปอกและแคะเมลด็ ออกกอน เปนตน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เครอ่ื งไทยธรรมหรือไทยทาน แปลวา สง่ิ ของ • ไมควรถวายวัตถอุ นามาส หรือส่งิ ที่พระพทุ ธเจา ทรงหามพระภิกษุจับตอง เชน สิง่ ท่ีเก่ยี วกบั สตรที ุกชนดิ รัตนะ 10 ประการ เครอ่ื งอาวธุ ท่ีควรใหห รือสงิ่ ของทเ่ี หมาะสมแกการนาํ ไปถวายพระ ดงั นน้ั การจดั เคร่อื งประโคมดนตรี ขาวเปลอื ก ผลไมท่ีเกดิ อยกู ับท่ี เปน ตน เครอ่ื งไทยธรรมถวายพระจึงควรระลึกเสมอวา ตอ งไมเปน สง่ิ ของท่ีขดั ตอ ทงั้ น้มี สี ่งิ ของบางประเภทสามารถประเคนพระสงฆไดต ลอดเวลา เชน วนิ ัยสงฆ ไมแสดงความฟมุ เฟอย เปนประโยชนแ ละควรแกการบรโิ ภคใชส อย ของพระสงฆ เคร่อื งด่ืม เครื่องยารักษาโรค น้าํ ตาล นา้ํ ผง้ึ น้าํ ออย เปนตน คมู ือครู 143
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู ําสนทนาถึงการกรวดน้ํา และตัง้ คาํ ถามเชิง 2.6 การกรวดนา้ำ วิเคราะหวา • การกรวดนํา้ มีวตั ถุประสงคเ พือ่ อะไร ๑) ความหมาย การกรวดนา�้ หมายถงึ การอทุ ศิ สว่ นกศุ ล อนั จะพงึ เกดิ จากการทา� บญุ เพราะเหตุใด ให้แกผ่ ลู้ ่วงลบั ไปแล้วดว้ ยวิธกี ารหล่ังนา้� พรอ้ มกับกลา่ วคา� อทุ ศิ (ค�ากรวดน�า้ ) (แนวตอบ เชน การกรวดนา้ํ เปน อบุ ายอยา งหนงึ่ ในการทําจิตใจใหสงบน่ิง เพราะใน ๒) วัตถุประสงค์และความส�าคัญ ในการกรวดน�้ามีวัตถุประสงค์และความส�าคัญ ขณะอทุ ิศสวนบุญกศุ ล การกรวดน้าํ จะทําให ดงั นี้ เรามีจิตใจจดจอ ไปยังบุคคลทีต่ องการอทุ ิศ ๑. เป็นประเพณีทางพระพุทธ‑ บุญกศุ ลให เปนตน ) ศาสนาทย่ี ดึ ถอื ปฏบิ ัติสบื ต่อกนั มา • การกรวดนาํ้ เพอ่ื อุทิศบุญกศุ ล ตางจากการ ๒. เป็นการแสดงออกซ่ึงความ แผเ มตตาอยางไร กตญั ญกู ตเวทขี องผทู้ ยี่ งั มชี วี ติ อยู่ ตอ่ ผมู้ พี ระคณุ (แนวตอบ การกรวดนาํ้ คอื การอุทิศสวนกศุ ล ท่ลี ่วงลับไปแลว้ ดวยวธิ หี ล่ังนาํ้ พรอ มกับกลา วคําอทุ ิศ แตบ ท ๓. เป็นการแสดงความเมตตา สวดแผเมตตาโดยทัว่ ไป จะกลาววา ขอสตั ว แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อุทิศ ท้ังหลายทง้ั ปวงจงเปนผูไมมเี วร ไมมีความ สว่ นกุศลไปให้ เบยี ดเบยี น ไมมที ุกข รกั ษาตนใหพ นจากทกุ ข หลังจากการทำาบุญ ก็มีการกรวดนำ้าอุทิศผลบุญส่วนกุศล ท้งั ส้ินเถิด) ใหแ้ ก่ญาติทีล่ ว่ งลับไปแล้ว ๓) วธิ ปี ฏบิ ตั ิ การกรวดนา้� ทถ่ี กู ตอ้ ง 2. ครใู หน กั เรยี นหาบทสวดมนตเ ตม็ ของ “ยถาใหผ ี ควรปฏบิ ัติ ดงั นี้ -สพั พีใหค น” ไดแก ยถา วารวิ หา ปูรา ๑. เตรยี มนา้� สะอาดใสภ่ าชนะทมี่ ขี นาดเลก็ เชน่ แกว้ นา้� คนโท หรอื ภาชนะเฉพาะ ปรปิ ูเรนตฺ ิ สาคร.ํ .. และสพฺพีติโย วิวชชฺ นฺตุ ส�าหรบั การกรวด๒น.้า� พอพระสงฆ์เริ่มสวดอนุโมทนา1 ซ่ึงจะเร่ิมด้วยค�าว่า “ยถา วาริวหา2” ให้เริ่ม สพพฺ โรโค วนิ สสฺ ต.ุ .. พรอ มคาํ แปล โดยบนั ทกึ ลง หล่ังน้�าอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว น้�าที่รินต้องให้ต่อเนื่องเป็นสาย และรินให้หมด ในสมุดเรียน นาํ สงครผู ูส อน เมอ่ื พระสงฆเ์ ร่มิ บทสวดมนต์ท่ีข้ึนต้นวา่ “สัพพตี โิ ย” นา� ไปเทราดลงบ๓น.พนนื้ า�้ ดทนิ 3รี่ ทิน่ีสถะา้ ออายดบู่ หนรบอื า้ ในนใทห่ีท้ใช่ีเห้ภมาาชะนสะมที่สเชะอน่ าโดคน(อตย้น่าไใมช้้กกรระะโถถนาง)ตรน้ อไงมร้บั เปเ็นสตรจ็้นแลว้ ๔. ขณะท่ีหล่ังน�้าต้องตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และกล่าวค�า กรวดน้�าไปพรอ้ มกันด้วย คา� อา่ น อิทงั เม ญาตนี ัง โหตุ สขุ ติ า โหนตุ ญาตะโย ค�าแปล ขอส่วนบุญน้ี จงส�าเร็จแก่ญาติท้ังหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของ ขา้ พเจา้ จงมีความสขุ 144 นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET บุคคลใดตอไปนปี้ ฏิบัติตนไดถ กู ตองขณะกรวดนาํ้ 1 อนุโมทนา แปลวา ความยินดตี าม ความพลอยยนิ ดี หมายถงึ การแสดง 1. พนาใชก ระโถนรองขณะกรวดนาํ้ ความชนื่ ชมยนิ ดีในบญุ หรอื ความดที ่ผี ูอนื่ ทาํ โดยอาจทาํ ไดดว ยการพูด เขยี น 2. ไพรวนั นาํ น้าํ ท่กี รวดแลวไปเทในหอ งนํา้ หนังสอื หรอื แสดงกิรยิ า เชน เมอื่ พระสงฆเจรญิ พระพุทธมนตและเจรญิ พร ก็กลา ว 3. พนาลเี ร่ิมกรวดนํา้ เม่ือพระสงฆส วดยถา วารวิ หา คําวาสาธุ เม่ือเห็นหรือไดยินคนทาํ ความดกี ็กลาวอนุโมทนาบญุ เปน ตน 4. ไพรสัณฑนง่ั คุยขาวการเมอื งกบั เพ่ือนขณะหล่ังนํา้ อทุ ิศสว นกศุ ล การอนโุ มทนาหรือการยินดใี นบญุ กศุ ลน้ถี อื เปน หน่ึงในบญุ กริ ิยาวัตถุ 10 วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การกรวดนาํ้ จะเรม่ิ หลงั่ นาํ้ อทุ ศิ สว นกศุ ล 2 ยถา วารวิ หา บททีเ่ รม่ิ ตนวา “ยถา” มชี ื่อเรียกวา บทอนโุ มทนารมั ภคาถา เมื่อพระสงฆเรม่ิ สวด “ยถา วารวิ หา” โดยนาํ้ ทีใ่ ชตอ งเปน นํา้ สะอาด หมายถงึ คาถาท่ีเร่ิมกอนการอนโุ มทนา กลาวคอื กอนทพ่ี ระสงฆจะอนุโมทนาใน ภาชนะทใ่ี ชก ็ตอ งเปนภาชนะสะอาด นํา้ ท่กี รวดแลว ตองนําไปเทท่ี บุญกุศลทอี่ บุ าสกอุบาสิกาไดทําแลว พระสงฆจะกลาวบทอนุโมทนารมั ภคาถานี้ โคนตน ไม หา มเทใสท ่สี กปรก และขณะกรวดนํา้ ตองสงบจติ สงบใจ เพ่อื ใหอ บุ าสกอุบาสกิ าไดเตรียมตวั ตงั้ ใจรับพรตอ ไป ต้งั ใจอทุ ิศผลบญุ กุศลไปใหแกผูล ว งลบั 3 เทราดลงบนพ้นื ดิน มูลเหตุที่มีการรินนํ้าลงดนิ ดว ยมีความเชอื่ วา น้าํ ท่ีกรวดนี้ พระแมธ รณจี ะรองรบั ไวโ ดยใชม วยผมเกบ็ รกั ษาไว เพอ่ื เปน ประจกั ษพ ยานวา ผนู นั้ ได ทําบุญสรา งกุศลมาแลว มากนอยเพียงใด 144 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 2.7 การทอดกฐนิ 1. ครูใหน ักเรยี นชว ยกันยกตัวอยางชนิดของกฐิน ๑) ความเป็นมาและความหมาย ค�าว่า กฐิน เป็นภาษาบาลี แปลว่า “ไม้สะดึง” และการทอดกฐินในประเทศไทย โดยออกมา เขยี นบนกระดานหนาช้นั ในสมยั กอ่ นการตดั เยบ็ จวี รเปน็ เรอื่ งใหญ่ เนอ่ื งจากไมม่ เี ครอื่ งทนุ่ แรง เชน่ จกั รเยบ็ ผา้ และไมม่ รี า้ น ขายจีวรสา� เรจ็ รูป การท�าจีวร สบง หรอื สังฆาฏแิ ต่ละผืนต้องอาศยั พระสงฆห์ ลายๆ รปู ช่วยกนั ท�า 2. ครกู ลาวนําเกี่ยวกับกฐิน และตั้งคําถามวา โดยขงึ ผา้ กับไมส้ ะดงึ ให้ตึงกอ่ นแลว้ จงึ ตัด เยบ็ ดังนน้ั ผา้ กฐิน กค็ ือ ผ้าท่ีสา� เร็จขน้ึ ไดเ้ พราะอาศยั • กฐนิ มคี วามหมายวา ไมสะดงึ ไมช นดิ น้มี ี ไม้สะดึง และถึงแม้ในปัจจุบันการท�าจีวรจะไม่ต้องอาศัยไม้สะดึงแล้วก็ตาม แต่ชื่อของผ้าชนิดน้ี ความเกยี่ วของกับผากฐินอยา งไร กย็ ังคงเรียกว่า “ผ้ากฐิน” อยู่ตามเดิม (แนวตอบ ไมส ะดงึ คือ ไมก รอบหรือไมแบบ สําหรับขงึ ผา ที่จะเย็บเปน จีวรในสมยั โบราณ เมื่อส�าเร็จเป็นผ้ากฐินแล้ว ก็จะน�าไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ผู้อยู่จ�าพรรษาตลอด ซึง่ ผาท่เี ยบ็ สําเรจ็ จากไมสะดงึ แบบน้จี ะ ๓ เดือน เรียกว่า “ทอดกฐิน” อันหมายถึง การน�าผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างน้อย เรียกวา ผา กฐิน) ๕ รูป โดยมิได้ตั้งใจจะถวายแด่พระสงฆ์รูปใดรูปหน่ึง สุดแท้แต่พระท่านจะมอบหมายกันเอง • การถวายกฐนิ มคี วามพิเศษแตกตางจาก สมัยก่อนน้ันผ้าที่น�าไปทอดกฐินต้องมีขนาดพอเหมาะส�าหรับตัดเย็บเป็นจีวร สบง หรือสังฆาฏิ การทําทานทั่วไปอยางไร อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ปัจจุบันน้ีใช้ผ้าส�าเร็จรูปแทน ซ่ึงเป็นการช่วยอ�านวยความสะดวกให้แก่ (แนวตอบ เชน การถวายกฐนิ ตอ งถวายเปน สงั ฆทานเทานน้ั ถวายใหพระสงฆรูปใด พระสงฆ์ คอื ๒)ท ่าวนัตไถมุปต่ ร้อะงสตงัดคเย์แบ็ ละหครวอื ายมอ้ มสด�าว้คยัญตนใเนองการทอดกฐิน1มีวัตถุประสงค์และความส�าคัญ รปู หนึ่งไมไ ด จาํ กัดเวลาวา ตอ งถวายภายใน 1 เดือนหลงั จากวนั ออกพรรษา พระสงฆ ดังนี้ ผรู บั กฐินตอ งเปน ผูจาํ พรรษาในวัดโดยไม ๑. การทอดกฐินถือว่าเป็นการท�าบุญท่ีมีอานิสงส์ยิ่งกว่าการท�าบุญอื่นๆ เพราะ ขาดพรรษา และจํานวนไมนอยกวา 5 รูป หน่ึงกฐินรบั ไดเ พยี งปล ะ 1 ครัง้ เปน พระ หาโอกาสทา� ไดย้ าก ไม่เหมือนกับการทา� บุญอย่างอืน่ ซ่ึงจะท�าเม่ือใดกไ็ ด้ บรมพทุ ธานญุ าตของพระพทุ ธเจา เปน ตน) ๒. เปน็ การอปุ ถมั ภพ์ ระสงฆ์ใหม้ ีเครือ่ งใช้ สบั เปล่ยี นจากของเดมิ ๓. เปน็ การสืบตอ่ ประเพณที างพระพุทธศาสนาใหต้ อ่ เนอื่ ง 3. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาขอ มลู เกยี่ วกบั ความเปน มา ๔. เปน็ การเปิดโอกาสใหพ้ ุทธศาสนิกชนไดม้ ีโอกาสทา� บญุ สรา้ งกศุ ลรว่ มกนั ของกฐินในสมยั พทุ ธกาลวา กฐินเกิดข้ึน จากมลู เหตุใด และเพราะเหตุใดพระพทุ ธเจา ๓) การปฏิบัติ การทอดกฐนิ มวี ิธปี ฏิบัติ ดังน้ี จงึ มีพระบรมพทุ ธานญุ าตใหพระสงฆร ับ ผาพระกฐินได ๑. ก�าหนดระยะเวลาการทอดกฐิน เริ่มต้ังแต่วันแรม ๑ ค�่า เดือน ๑๑ ไปจนถึง วนั ขนึ้ ๑๕ คา�่ เดอื น ๑๒ จะทอดกอ่ นหรอื หลงั จากนไี้ มไ่ ด้ สว่ นจะเปน็ วดั ใดในชว่ งระยะเวลาดงั กลา่ ว 4. ครสู มุ ใหนักเรียนท่เี คยทอดกฐินตามวัดตา งๆ ขน้ึ อย่กู ับความสะดวกของเจ้าภาพและวดั ออกมาเลาประสบการณแ ละวธิ ปี ฏบิ ัตใิ นการ ทอดกฐิน แลวเปด โอกาสใหเพอื่ นนกั เรยี น ๒. วดั หนึง่ ๆ จะรบั ผา้ กฐนิ หรอื มกี ารทอดกฐินไดเ้ พียงปีละครัง้ เดียวเทา่ นน้ั ซักถามเพิ่มเติม ๓. วัดทีจ่ ะรบั กฐนิ จะต้องมีพระภกิ ษสุ งฆ์อยูจ่ า� พรรษาในวดั นน้ั ตั้งแต่ ๕ รูปข้ึนไป ตลอด ๓ เดือน โดยไม่ขาดพรรษา และผ้ากฐินก็จะถวายแด่พระสงฆ์ท่ีอยู่ประจ�าวัดเดียวตลอด พรรษา ๔. ผู้เปน็ เจา้ ภาพทอดกฐนิ จะเปน็ บรรพชติ หรอื ฆราวาสเพศใดๆ ก็ได้ แต่ถา้ เป็น บรรพชติ ต้องเป็นบรรพชิตต่างวัดกัน คือ พระภิกษุสงฆจ์ ะทอดกฐนิ ในวดั ทต่ี นอยู่จา� พรรษามิได้ 145 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรยี นควรรู ครูใหนกั เรยี นศกึ ษาการทอดกฐินในประเทศไทย ไดแ ก กฐินหลวง 1 การทอดกฐิน เมอื่ วดั ไดรับการทอดกฐินแลว จะมีการนาํ ธงรปู จระเขม าปกไว กฐินตน กฐินพระราชทาน และกฐนิ ราษฎร โดยใหน กั เรียนระบุวา การทอด ท่หี นาวดั เพอื่ ผูพบจะไดพลอยอนโุ มทนาบุญ อยางไรก็ดี ธงจระเขม ขี อสันนษิ ฐาน กฐนิ ท้งั 4 แบบนี้ มีลกั ษณะสาํ คัญอยางไร และมคี วามแตกตางกนั อยา งไร 2 อยา ง ดังนี้ แลวบนั ทกึ สาระสําคัญ นํามาอภิปรายในชัน้ เรยี น • ความเช่อื ที่ 1 ในสมยั โบราณนิยมแหผา กฐนิ ไปทอดตามวดั ตางๆ โดย ใชเ รือเปน พาหนะ การเดนิ ทางไปตามลาํ นํา้ มักมอี นั ตรายจากสตั วนํ้าอยู เสมอ ดวยเหตุน้จี งึ คิดอบุ ายทําธงจระเขป กหนา เรือ เปน ทํานองประกาศ ใหจ ระเขรบั ทราบการทาํ บุญกศุ ล จะไดพลอยอนโุ มทนาและไมคิดทีจ่ ะทาํ อนั ตรายแกผ คู นในกระบวนเรอื • ความเช่อื ที่ 2 เนือ่ งจากถือกนั วาดาวจระเขเ ปนดาวสําคญั การเคล่อื น ขบวนทพั ในสมยั โบราณตอ งคอยดดู าวจระเขข้ึน ซง่ึ เปนเวลาจวนสวางแลว แตเดมิ ผจู ะไปทอดกฐนิ ตองเตรยี มเคร่อื งบรขิ ารและผาองคกฐนิ ไวอ ยา ง พรอมเพรียง แลว แหไ ปวัดในเวลาดาวจระเขขึน้ ไปสวา งเอาทีว่ ดั ตอ มาจึง มผี คู ิดทาํ ธงจระเข โดยถือวา ดาวจระเขเปนดาวบอกเวลาเคลื่อนองคกฐนิ คูม ือครู 145
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหน กั เรยี นชวยกนั ยกตัวอยางวา นอกจาก ๕. เคร่อื งกฐนิ ประกอบดว้ ย ผา้ กฐินและเคร่อื งบริวารกฐนิ ดงั น้ี การทอดผา กฐินแลว ยงั มีเครอ่ื งบรวิ ารกฐิน (๑) ผ้ากฐิน เป็นส่วนที่ส�าคัญท่ีสุดจะขาดเสียมิได้ ผ้ากฐินน้ันพระพุทธเจ้า สง่ิ ใดบางที่สามารถนํามาถวายเปน เคร่อื งบริวาร กฐินได โดยใหน กั เรียนชวยกนั ตอบในชน้ั เรยี น ทรงบญั ญตั ไิ วว้ า่ จะตอ้ งมขี นาดกวา้ งยาวเพยี งพอทพ่ี ระสงฆจ์ ะสามารถนา� มาตดั เยบ็ ทา� เปน็ ผา้ สบง จวี ร หรอื สงั ฆาฏิผนื ใดผนื หนง่ึ โดยพระสงฆช์ ว่ ยกนั ทา� เอง ผา้ กฐนิ จะเป็นผืนเกา่ หรอื ผืนใหม่ก็ได้ 2. ครใู หน กั เรยี นหาภาพผา กฐินตดิ ลงในสมดุ และ แตต่ อ้ งมสี สี นั เหมาะแกก่ ารทา� เปน็ เครอ่ื งนงุ่ หม่ ของบรรพชติ เชน่ สขี าว สเี หลอื ง หรอื สกี รกั เปน็ ตน้ เขยี นคาํ อธิบายใตภาพวาลกั ษณะสําคัญของ ส�าหรับปจั จุบนั นีน้ ยิ มตัดเยบ็ และยอ้ มสีให้เสรจ็ แล้วจึงนา� ไปถวายเป็นการสงเคราะห์พระสงฆ์มิให้ ผา กฐินและเคร่อื งบริวารกฐินมอี ะไรบา ง เกิดความยากลา� บาก เพราะต้องน�าผา้ ไปตดั เยบ็ ยอ้ มเป็นไตรจีวรเอง 3. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาพธิ กี รานกฐินวา เปนอยางไร (๒) เคร่ืองบริวารกฐิน เราจะเห็นได้ว่าเวลาทอดกฐินนั้นมีเครื่องไทยธรรม และมขี ้ันตอนการกรานกฐินอยางไร โดยบนั ทึก มากมายหลายอย่างท่ีน�าไปถวายพระ ซ่ึงตามความเป็นจริงแล้ว ส่ิงของที่ส�าคัญมากที่สุดในการ ลงในสมดุ จากนน้ั ครูสมุ ใหน กั เรียนออกมา ทอดกฐนิ อนั จะขาดเสยี มไิ ดก้ ค็ อื ผา้ กฐนิ สว่ นของอน่ื ๆ นน้ั เปน็ เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ จะมหี รอื ไมม่ กี ็ได้ นําเสนอหนา ช้ันเรยี น และนกั เรียนคนอืน่ ๆ แลว้ แตค่ วามนยิ ม เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ อาจจา� แนกเปน็ เครอื่ งมอื เครอ่ื งใชส้ า� หรบั การกอ่ สรา้ ง ภาชนะ บนั ทึกความรเู พ่มิ เติม สา� หรบั เกบ็ น้า� เช่น ถงั เหล็ก ถงั น�า้ โอ่ง โตะ๊ ตู้ ถว้ ย จาน ชาม ช้อน หลอดไฟฟ้า จตุปัจจัย เป็นตน้ ซง่ึ เจา้ ภาพจะจดั หาของสง่ิ ใดมาเปน็ เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ ก็ได้ ถา้ ของสงิ่ นนั้ ไมข่ ดั ตอ่ พระธรรมวนิ ยั หรอื 4. ครใู หนกั เรียนทํากิจกรรมที่ 6.3 จากแบบวัดฯ ไม่นา� ความเสียหายมาส่พู ระภกิ ษุสงฆ์และพระพุทธศาสนาแล้วย่อมกระทา� ได้ทง้ั สิน้ พระพุทธศาสนา ม.2 ๖. พระภิกษผุ ู้ได้รบั การถวายผ้ากฐิน เรียกวา่ “พระผ้คู รองกฐนิ ” ซงึ่ เมื่อพระภิกษุ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ ไดร้ บั ผา้ กฐนิ แลว้ ทา่ นจะเลอื กเอาผา้ ผนื ใดผนื หนง่ึ เปน็ ผา้ กฐนิ ยกขนึ้ ทา� พธิ ี สว่ นผา้ ทเี่ หลอื เรยี กวา่ พระพุทธศาสนา ม.2 กจิ กรรมท่ี 6.3 “ผ้าบริวารกฐิน” ส�าหรับเคร่ืองบริวารกฐินอื่นๆ หนว ยที่ 6 วนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาและศาสนพิธ� ที่ประชุมสงฆ์หรือเจ้าอาวาสจะแบ่งปันให้แก่ พระภกิ ษทุ กุ รปู ซง่ึ ถา้ เปน็ ของใช้ เชน่ เครอ่ื งมอื กิจกรรมท่ี ๖.๓ ใหนกั เรยี นลําดบั วธิ ีปฏิบตั ิศาสนพิธี พรอ มทั้งบอกวา เปน คะแนนเต็ม คะแนนท่ไี ด ช่างไม้ ถ้วย จาน ชาม ช้อน แกว้ น้�า เป็นตน้ ศาสนพธิ ใี ด (ส ๑.๒ ม.๒/๓) กจ็ ะตกเปน็ ของวดั เพอ่ื ประโยชนใ์ ชส้ อยสว่ นรวม ñð ๗. การถวายกฐิน มักนิยมน�า ๒…………….. เจาภาพจุดธปุ เทียนบชู าพระรตั นตรยั กลา วอาราธนาศลี และรับศีล ผ้ากฐินและเคร่ืองบริวารไปจัดเตรียมไว้ก่อน ๔…………….. ประเคนผากฐนิ ใหพ ระภิกษุรปู ใดรูปหนงึ่ ถวายเคร่ืองบริวาร พระสงฆสวดอนุโมทนา ที่พระอุโบสถหรือศาลาการเปรียญ ซ่ึงจะใช้ เป็นสถานท่ีในการประกอบพิธี เม่ือพระสงฆน์ ง่ั กรวดนาํ้ เรียบร้อยแล้ว ประธานในพิธี หรือเจ้าภาพ ๓…………….. วางผาไตรบนแขนท้ังสอง ๒ ขาง กลา วคําบชู าพระรัตนตรัยและคาํ ถวายผากฐนิ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วกลับมาน่ัง ๑…………….. เตรยี มเครอ่ื งกฐนิ ใหพ รอ ม นาํ ไปไวท พี่ ระอโุ บสถหรอื ศาลาการเปรยี ญที่ใชป ระกอบพธิ ี ประเพณที อดกฐนิ เปน็ ประเพณที ก่ี ระทาำ หลงั จากออกพรรษา ยังที่ท่จี ัดไว้ จากน้นั พิธีกรกลา่ วค�าอาราธนาศลี เปน็ การอปุ ถมั ภพ์ ระสงฆใ์ หม้ สี งิ่ ของเครอ่ื งใชส้ บั เปลย่ี นจาก ทายกทายิการ่วมกันรับศลี ศาสนพิธี……ก…า…ร…ท…อ…ด…ก…ฐ…ิน………….. ของเดมิ หลังจากท่ใี ชม้ าตลอดพรรษา ๑…………….. แจง เจา อาวาสหรอื พระภกิ ษสุ งฆผ มู หี นา ทนี่ มิ นตพ ระในวดั พรอ มแจง จาํ นวนพระสงฆ ที่ตนตอ งการ บอกวัน เวลา และสถานท่ี 146 เฉฉบลบั ย ๔…………….. กรวดนํา้ อทุ ศิ สวนกศุ ลใหแ กบรรพบรุ ษุ ที่ลว งลับไปแลว ๒…………….. เมอื่ พระสงฆม าพรอ มแลว ทายก ทายกิ า จดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั กราบพระสงฆ แลวอาราธนาศลี และรับศีล กลาวคาํ ถวายสังฆทาน ๓…………….. ประเคนของ เสร็จแลว พระจะอนโุ มทนาดว ยบทยถาและสัพพี ศาสนพิธี……ก…าร…ถ…ว…า…ย…ส…งั …ฆ…ท…า…น….. ๒…………….. พระสงฆส วดอนโุ มทนา เรมิ่ ตน ดว ยคาํ วา “ยถา วรวิ หา” หลงั่ นา้ํ โดยนาํ้ ทรี่ นิ ตอ งใหต อ เนอื่ ง เปนสาย ๑…………….. เตรียมนาํ้ ใสภ าชนะทมี่ ีขนาดเลก็ ๔…………….. นํานาํ้ ไปเทลงบนพนื้ ดนิ ท่สี ะอาดหรือในท่ีท่เี หมาะสม เชน โคนตน ไม กระถางตน ไม เปน ตน ๓…………….. รนิ น้ําใหห มดเม่อื พระสงฆเ ริ่มสวด “สพั พีตโิ ย” ศาสนพธิ ี……ก…าร…ก…ร…ว…ด…น……า้ํ ………….. ๕๖ เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดไมใ ช เครอ่ื งบรวิ ารกฐนิ ทีน่ ําไปถวายพรอมผาองคก ฐิน ครอู ธิบายเพิม่ เตมิ วา กรานกฐนิ เปน พิธีทพ่ี ระสงฆอ ยา งนอย 5 รูปกระทํารวมกัน 1. สัปทน 2. กานวม เม่ือพระสงฆร บั ผากฐนิ แลว จะประชมุ กนั ทาํ สงั ฆกรรม โดยยกผากฐินนั้นใหแก 3. ขา วเปลอื ก 4. เทยี นปาฏิโมกข พระสงฆรูปหนง่ึ พระสงฆรูปนั้นนาํ ผา ไปซกั ตัด เยบ็ และยอมใหเ สร็จภายในวันนนั้ โดยทําเปนผา สังฆาฏิ ผา อตุ ราสงค (จีวร) หรอื ผาอนั ตรวาสก (สบง) เสร็จแลว ก็ทาํ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะขาวเปลอื กเปนวัตถุอนามาสหรอื เปน “พินทุกปั ปะ” (การทําจุดเปนวงกลมทีม่ ุมจีวรดวยสเี ขยี วครามหรือดาํ คลํ้า) จากนนั้ อธิษฐาน วธิ กี ารท้ังหมดน้ีเรียกวา “กรานกฐนิ ” เมอื่ อธิษฐานแลวพระสงฆผ กู ราน ส่งิ ของที่พระพทุ ธเจา ทรงหามมใิ หพ ระสงฆจบั ตอ ง สวนขออื่นๆ เปน กฐินประกาศใหพ ระสงฆอนโุ มทนา เรียกวา “อนุโมทนากฐนิ ” เมอ่ื พระสงฆ เครือ่ งบรวิ ารกฐินได เพราะไมผิดพระวนิ ัยของสงฆ อนโุ มทนาแลวก็จะไดร ับอานิสงสก ฐิน คือ ไดร ับยกเวนพระวินยั บางประการ เชน ไปในที่ตางๆ โดยไมต องนําผาไตรจีวรติดตวั ไปครบสามผืนได เปนตน อยา งไรก็ดี ขอ 1. กานวม คอื กาสาํ หรบั รนิ น้าํ ชา ในปจ จุบนั ผากฐินสว นใหญเ ปนผาสาํ เรจ็ รูป กจิ ทต่ี องทําเบ้ืองตน คือ ซัก ตัด เย็บ ขอ 3. เทียนปาฏิโมกข คอื เทียนสาํ หรับจุดในเวลาที่พระภิกษสุ วด และยอม ก็ไมต องทํา จึงไมมีพระสงฆผ กู รานกฐนิ แตท ําเพียงพนิ ทุกัปปะ อธษิ ฐาน และอนุโมทนากฐิน พระปาฏโิ มกขหรอื คมั ภรี ท รี่ วมพระวินยั ของสงฆ 227 ขอ โดยให สวดในท่ปี ระชุมสงฆท ุกกึง่ เดอื น เรยี กวา สงฆทาํ อุโบสถ 146 คูม อื ครู ขอ 4. สปั ทน คอื รม ขนาดใหญ ทาํ ดวยผาหรอื แพรสตี า งๆ มรี ะบาย ลอมรอบและมีดา มยาว ซึ่งใชใ นการกนั้ นาค ผาไตร หรอื พระพทุ ธรปู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การถวายผา้ กฐนิ เจ้าภาพยกผา้ ไตรวางบนแขนท้ัง ๒ ขา้ ง นั่งคุกเข่าประนมมือหนั ไป 1. ครใู หต ัวแทนนักเรียนออกมากลาวคาํ ถวาย ทางพระพ1ุทธรูป แล้วกล่าวค�าบูชาพระรัตนตรัย คือ ตั้งนะโม ๓ จบ (ในบางแห่งจะมีการโยง ผา กฐินพรอ มคําแปล และใหน กั เรยี น 2-3 คน สายสญิ จน์ แลว้ กล่าวค�านมสั การพร้อมกัน) จากนน้ั จงึ หันหน้ามาทางพระสงฆ์ แลว้ กลา่ วคา� ถวาย ออกมาสาธติ การถวายผากฐนิ จากนัน้ เพ่อื น ผ้ากฐิน ดงั นี้ นกั เรียนในหองกลาวนมสั การและคํากลาว ถวายผากฐินพรอมกัน ค�าอ่าน อิมัง สะปะรวิ ารงั กะฐนิ ะจวี ะระทสุ สัง สังฆัสสะ โอโณชะยามะ (วา่ ๓ ครงั้ ) คา� แปล ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ขอนอ้ มถวายผา้ กฐนิ จวี รพรอ้ มทง้ั ของบรวิ ารน้ี แดพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ 2. ครูใหนักเรียนเขียนสรปุ ประโยชนทตี่ ัวนกั เรียน ไดรับจากการถวายผา กฐนิ และประโยชนท ่ี เม่ือกลา่ วคา� ถวายจบแลว้ ใหน้ �าผ้ากฐนิ ประเคนใหแ้ กพ่ ระภิกษุรปู ใดรูปหน่ึงหรอื จะวาง พระสงฆไ ดร บั จากการถวายผา กฐนิ โดยบนั ทกึ ไว้ตรงหน้าเฉยๆ ก็ได้ ต่อจากนี้ผู้มาร่วมพิธีช่วยกันถวายเครื่องบริวารแด่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูป ลงในสมดุ และนาํ สงครูผูสอน พระสงฆ์จะสวดอนุโมทนา ทายกทายิกากรวดน้�าต้ังใจอุทิศผลบุญให้แก่สรรพสัตว์ร่วมโลกเป็น อนั เสร็จพธิ ี 3. ครนู ําสนทนาเก่ยี วกบั การทอดผาปา และตง้ั คาํ ถามวา 2.8 การทอดผา้ ปา • เพราะเหตุใด จึงเกดิ ประเพณกี ารทอดผาปา มาแตคร้งั สมยั พทุ ธกาล ๑) ความเป็นมาและความหมาย ผ้าป่า หมายถึง ผ้าท่ีไม่มีเจ้าของ วางท้ิงอยู่ (แนวตอบ เพราะประชาชนเหน็ ความยาก ลาํ บากของพระสงฆทีต่ องหาผาตามปา ตามปา่ ปา่ ชา้ หรอื พาดอยตู่ ามกงิ่ ไม้ ประเพณกี ารทอดผา้ ปา่ มมี าตงั้ แตค่ รง้ั พทุ ธกาล โดยในสมยั นน้ั และยังตองเอาผา มาซกั ฟอก ยอมฝาด พพรระะสพาุทวธกอแงสคว์มงิไหดา้ทผรา้ งบองั นสุญกุ ลุ า2ตคใหอื ้พผระา้ ภทิกเ่ี ปษอ้ื ุสนงฝฆนุ่ ์รับผ้าไตรจีวรจากชาวบ้าน เพียงแต่ทรงอนุญาตให้ ตัดเย็บเอง ดว ยมูลเหตุนปี้ ระชาชนจงึ นาํ เศษผ้าจากกองขยะ หรือผ้าห่อซากศพซ่ึงเขา ผา ท่ีเปน จวี รสําเรจ็ รปู ไปทอดทิง้ ตามปา วางท้ิงไว้ตามป่าช้า เอามาซักฟอก ย้อมฝาด เพอื่ ใหพ ระสงฆช กั ผา ปา ไปทาํ เปน ผา ไตรจวี ร) ตัดเย็บ ท�าเป็นผ้ากาสาวพสั ตร๑์ 4. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาวา ผา ไตรจวี ร ผา กาสาวพสั ตร ภายหลังประชาชนเห็นความยาก และผา บงั สกุ ลุ มลี กั ษณะเชน ใด และแตกตาง ล�าบากของพระสงฆ์ในการน�าผ้าที่ผ่านการ กันอยา งไร ใชแ้ ล้วไปซักล้าง ย้อม และตดั เย็บใหม่ จงึ เอา ผา้ ดๆี ทา� เปน็ จวี รสา� เรจ็ รปู นา� ไปทอดทงิ้ ตามปา่ ปา่ ชา้ หรือกงิ่ ไม้ สดุ แทแ้ ตพ่ ระภกิ ษุสงฆร์ ปู ใด มาพบเข้ากช็ ักเอาไป ๒ แม้พระพุทธองค์เองก็ทรงปฏิบัติเช่นนี้ ดังมีเร่ืองเล่าไว้ใน การทอดผ้าป่าเป็นพิธีทำาบุญท่ีพุทธศาสนิกชนสามารถ อรรถกถาว่า คร้ังหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงน�าผ้าบังสุกุล ซ่ึงเป็นผ้าพัน กระทาำ ได้ตลอดปี ซากศพของนางปุณณทาสี น�ามาซักฟอกย้อมฝาดเป็นเคร่ืองนุ่งห่ม ส�าหรบั พระองค์ 147 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นักเรยี นควรรู ขอใด ไมใช ลกั ษณะสําคญั ของการทอดกฐนิ 1 สายสญิ จน คือ ดายดิบสีขาวทนี่ ํามาจบั ทบเปน 3 เสน หรือ 9 เสน โดยใช 1. วดั หน่ึงจะรบั ผา กฐินไดป ล ะ 1 ครง้ั ในพธิ กี รรมทางศาสนา สาํ หรบั พระถอื ขณะประนมมอื เจรญิ พระพทุ ธมนต เชน 2. การทอดกฐนิ สามารถทําไดต ลอดท้งั ป ในเวลาทําบญุ ท่บี าน นิยมใชส ายสิญจนว งรอบบานโดยเวียนขวา คือ วนใหอยทู าง 3. การทอดกฐินจะตองนําผา กฐินไปวางหนาพระสงฆอยางนอ ย 5 รปู ขวามอื แลว โยงมาวนขวาทฐี่ านพระพุทธรปู อกี รอบหน่ึงหรือ 3 รอบ จากน้นั จงึ โยง 4. วดั ทไี่ ดรบั การทอดกฐนิ แลว จะมีธงรูปจระเขป กไวท ่ีหนา วดั มาวางไวบ นพานรอง 2 บังสกุ ลุ มาจากภาษาบาลวี า ปสุ (อานวา ปง-ส)ุ แปลวา ฝุน และคําวา กลุ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. การทอดกฐินสามารถทาํ ไดเ พียงปล ะ 1 ครั้ง (อา นวา ก-ุ ละ) แปลวา เปอน คลุก บงั สกุ ลุ จงึ แปลวา คลุกฝนุ เปอ นฝนุ ซ่ึงเปน คําทีใ่ ชเ รียกผาทพี่ ระภิกษุชกั จากศพ หรอื ผาทท่ี อดไวหนา ศพ หรือผา ทท่ี อดไวบน เทานนั้ คอื ตงั้ แตวันแรม 1 คํ่า เดือน 11 ถงึ วนั ข้ึน 15 คา่ํ เดือน 12 ดายสายสญิ จน ในสมยั พทุ ธกาลพระภิกษตุ องแสวงหาผาที่เขาทิง้ แลวจากกองขยะ จะทอดกอนหรอื หลงั จากน้ีไมไ ด แตกตางจากการทอดผาปา ทสี่ ามารถทําได หรอื จากปาชามาทําจวี รใช ผา เหลานั้นสว นใหญจ ะเปอ นฝุนหรอื สกปรก จึงเรียกวา ตลอดท้ังป บังสกุ ุล คมู อื ครู 147
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู าํ อภิปรายเกย่ี วการทอดผาปา และต้ัง ๒) วตั ถปุ ระสงคแ์ ละความสา� คญั การทอดผา้ ปา่ มวี ตั ถปุ ระสงคแ์ ละความสา� คญั ดงั น้ี คําถามเชงิ วเิ คราะหวา • การทอดผาปาและการทอดกฐินมคี วาม ๑. ธ�ารงรกั ษาไวซ้ ึง่ ขนบประเพณอี นั ดงี าม เหมือนและแตกตา งกันอยางไร ๒. เพอื่ แสดงวา่ ผทู้ อดผา้ ปา่ มคี วามเลอ่ื มใสศรทั ธา มคี วามบรสิ ทุ ธทิ์ างใจทจ่ี ะทา� บญุ (แนวตอบ การทอดผาปา และผากฐินเหมือนกัน สรา้ งกุศล ขจดั ความตระหน่ถี ีเ่ หนยี ว ตรงทีน่ ยิ มจดั เครอ่ื งบริวาร เชน จตปุ จ จยั ๓. เพ่อื สร้างความสามัคคใี นหมพู่ ทุ ธศาสนกิ ชน ตา งๆ ถวายพรอมกบั ผา การทอดผา ปาเปน ๔. เพอ่ื ชว่ ยสงเคราะหม์ ใิ หพ้ ระภกิ ษสุ งฆต์ อ้ งเกดิ ความลา� บากในการเทย่ี วแสวงหา สังฆทานไมเ จาะจงพระสงฆร ูปใดรูปหน่งึ เหมอื นการทอดกฐนิ และสามารถทอดผาปา ผ้าบงั สุกุลมา๓ท)า� กเปา็นรเปคฏรอื่บิ งตั นิ ุ่งกหาม่รททอา่ดนผจา้ ะปไา่ด1ม้มวี ีเิธวลกี าาบรปา� เฏพบิ ็ญตั สิ ดมงัณนกี้ จิ อยา่ งเต็มที่ รวมกนั หลายคนเปนผา ปา สามัคคเี ชน เดียวกบั กฐนิ สามคั คี แตการทอดผาปาไมม ีการจํากัด ๑. การทอดผ้าป่า ไม่มีการจ�ากัดเวลา คอื ทอดได้ตลอดปี และจะทอดกี่คร้งั ก็ได้ เวลา ทอดกี่คร้ังก็ได และใชผาบงั สกุ ุลเปน แตต่ อ้ งมผี ้าบังสุกุลอยา่ งน้อย ๑ ผนื หลักสาํ คญั ในขณะทก่ี ารทอดกฐนิ จะกระทาํ ไดเพยี งปละ 1 ครงั้ ตงั้ แตว นั แรม 1 คํ่า ๒. นอกจากจะมผี า้ บงั สกุ ลุ เปน็ หลกั สา� คญั แลว้ เครอื่ งบรวิ ารผา้ ปา่ ยงั ประกอบดว้ ย เดือน 11 ไปจนถึง วันข้นึ 15 ค่าํ เดอื น 12 ปัจจยั ต่างๆ และเคร่อื งไทยธรรม กลา่ วคอื เครอื่ งบริวารจะเปน็ ของส่ิงใดกไ็ ด้ท่ีไมข่ ัดตอ่ พระธรรม จะทอดกอนหรือหลงั จากนไ้ี มไ ด) วินยั และไม่น�าความเสอ่ื มเสียมาสู่พระสงฆแ์ ละพระพุทธศาสนา เปน็ อนั ใช้ได้ทั้งสิน้ 2. ครใู หนกั เรียนยกตัวอยา งวาการทอดผา ปา ถูก ๓. การทอดผ้าปา่ เปน็ สงั ฆทาน ไมเ่ จาะจงว่าพระภกิ ษุสงฆ์รูปใดจะเป็นผู้รบั นาํ มาใชในกิจกรรมอะไรบาง เพ่ือขอความ ๔. การทอดผา้ ปา่ จะกระทา� เปน็ สว่ นตัวหรือรวมกนั หลายคนเปน็ ผ้าปา่ สามคั คีก็ได้ รวมมอื ใหก จิ กรรมน้นั ประสบความสําเรจ็ โดย ชว ยกนั ตอบในชั้นเรียน (แนวตอบ ผาปาหนงั สอื ผา ปาทุนการศึกษา ผา ปากองทุนเลา เรียนหลวง ผา ปาสมทบทุนงาน บญุ กศุ ลตา งๆ เชน สรา งพระอุโบสถ โรงอาหาร อาคารเรยี น เปน ตน ) 3. ครูนําตนผาปา มาต้ังในหอ งเรียนและใหน กั เรยี น รวมทาํ บุญ นอกจากการทอดผ้าปา่ จะช่วยให้เกดิ ความบริสุทธ์ทิ างใจแลว้ ยังช่วยสง่ เสริมความสามัคคใี นชุมชนอกี ดว้ ย 148 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดกลา วไม ถูกตอ งเก่ยี วกบั การทอดผาปา 1 ผา ปา มีชอ่ื เรยี กหลายอยางดว ยกัน ท้ังน้ีขนึ้ อยูกับลกั ษณะตา งๆ ในการจัด 1. ทอดไดตลอดท้ังปไมจ าํ กัดเวลา ผาปา ดังนี้ 2. ผาบงั สกุ ลุ ถือเปน ของสําคญั ท่ีสดุ ในการทอดผาปา 3. ควรเจาะจงพระภิกษุสงฆรปู ใดรูปหน่งึ เปนผรู บั • ผา ปา หางกฐนิ คือ ผา ปาทเ่ี จาภาพผูทอดกฐินนาํ ไปพรอ มกับองคก ฐนิ 4. การรวมกันเปน หมูคณะนําผา ปา ไปทอดท่วี ัด เรยี กวา ผา ปา สามัคคี ไปทอดตามวัดตา งๆ ท่ีขบวนกฐนิ ผาน หรอื ทอดที่วดั ท่ีทอดกฐิน วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการทอดผา ปา ถอื เปนสงั ฆทาน จึงไมควรเจาะจงใหพระภกิ ษสุ งฆร ูปใดรูปหนง่ึ เปน ผรู บั แตการทอดผา ปา • ผา ปา โยง คอื ผาปา ที่มหี ลายเจาภาพ แตล ะเจา ภาพจะจัดกองผาปา มา สามารถกระทําไดต ลอดทง้ั ปไ มจ าํ กัดเวลา แตกตางจากการทอดกฐนิ ท่ี จงึ มผี าปา หลายกอง บรรทกุ ยานพาหนะไปทอดตามวดั ตางๆ ในสมยั กอน ทําไดเ พียงปล ะ 1 ครงั้ และผา บงั สุกลุ หรือผา ปา ถอื เปน ของสําคัญทส่ี ุดใน เจา ภาพกองผา ปา แตล ะกองจะนาํ ผา ปา บรรทกุ เรอื พว งกนั ไปหลายเจา ภาพ การทอดผา ปา แตจ ะมเี คร่ืองบริวารอ่นื ๆ ทไี่ มข ดั ตอ พระธรรมวนิ ยั และ และหลายกองจึงเรียกวา ผา ปา โยง ไมสรา งความเส่ือมเสยี แกพ ระพุทธศาสนาก็ได สว นการแจกฎีกาบอกบุญ ไปยังผูมีจติ ศรทั ธาใหชวยกนั บริจาคเงิน แลว รว มกนั นาํ ผา ปา ไปทอดที่วัด • ผาปา สามคั คี คอื ผาปา ทีม่ ีการแจกใบฎีกา (ใบท่ที างวดั ประกาศเชญิ ชวน เรียกวา ผาปาสามคั คี ใหญาติโยมไปรวมบุญเนื่องในวันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา) บอกผูมี จิตศรัทธาชว ยกันบรจิ าคเงนิ มากนอ ยตามศรัทธา แลว รวมกนั นาํ ไปทอด ทว่ี ัด 148 คูมอื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ๕. การทา� พิธีทอดผา้ ปา่ เน่อื งจากในปัจจุบนั บ้านเมืองมคี วามเจริญมากขน้ึ จึงมี 1. หลงั จากรวบรวมเงินท่ีตนผา ปาเรียบรอ ยแลว การท�าเลียนแบบธรรมเนียมดั้งเดิม ด้วยการตัดกิ่งไม้น�าไปปักที่ศาลาการเปรียญ กุฏิ แล้ววาง ครสู ุมใหน กั เรียนออกมานํากลาวคําถวาย ผ้าบังสุกุลตลอดจนเคร่ืองบริวารอื่นๆ ทอดไว้บนก่ิงไม้นั้น เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ผาปาพรอมคาํ แปล เพอ่ื นนกั เรียนในหองกลา ว แล้วกลา่ วค�าถวายผา้ ปา่ ดังน้ี คําถวายพรอมกนั จากนั้นสงตัวแทนนกั เรยี น คา� อา่ น อิมานิ มะยงั ภันเต ปังสุกูละจวี ะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆสั สะ ไปทอดผา ปา ทวี่ ดั ใกลโรงเรียน โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภกิ ขสุ งั โฆ อมิ านิ ปังสุกูละจวี ะรานิ 2. ครใู หนักเรยี นบนั ทึกขน้ั ตอนการถวายผาปา สะปะริวารานิ ปะฏคิ คัณหาตุ อมั หากงั ทฆี ะรตั ตงั หิตายะ สุขายะ และวัตถปุ ระสงคสาํ คัญของการทอดผา ปา ค�าแปล ขา้ แตพ่ ระสงฆผ์ ู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอนอ้ มถวายผ้าบงั สกุ ลุ จวี ร ลงในสมดุ และสงครูผูสอน พรอ้ มดว้ ยของบรวิ ารเหล่านัน้ แดพ่ ระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้าบังสุกลุ จวี ร พร้อมดว้ ยของบรวิ ารเหลา่ นนั้ ของข้าพเจา้ ทัง้ หลาย เพ่อื ประโยชนแ์ ละ ขยายความเขา ใจ Expand ความสุขแกข่ ้าพเจ้าทง้ั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ 1. ครนู มิ นตพระสงฆมาเทศนาถึงวธิ ีปฏบิ ตั ิ เม่ือกล่าวค�าถวายผ้าป่าแล้ว เพก่ยีระวสกงบั ฆก์สุศวลดกอรรนมุโ1ขมอทงนกาารกทรอวดดผนา้ ้�าป่าเปป็นระอกันอเบสดร็ว้จยสกิ้น็ไพดิธ้ ี เก่ยี วกับศาสนพิธีตางๆ จากนั้นใหน กั เรียน แต่บางกรณกี ็อาจมพี ระธรรมเทศนาสน้ั ๆ สาธติ วธิ ีปฏบิ ตั ใิ นการถวายสงั ฆทานและ ถวายภตั ตาหาร แลวครูซกั ถามถงึ วธิ ีปฏบิ ตั ิ ในสังคมไทยได้มีการก�าหนดให้วันส�าคัญต่างๆ ทางพระพุทธศาสนาจ�านวนหลายวัน ในขั้นตอนตางๆ เพอ่ื ใหนักเรยี นปฏิบตั ไิ ด ให้ถือเป็นวันหยุดราชการ ทั้งน้ี เพ่ือให้เห็นคุณค่าความส�าคัญของเหตุการณ์ที่เก่ียวข้องกับ อยางถกู ตอ ง พระพทุ ธศาสนาในวนั นนั้ ๆ แลว้ ยงั เปน็ การเปดิ โอกาสใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยไดม้ เี วลาปฏบิ ตั ธิ รรม ประกอบศาสนกิจได้อย่างเต็มท่ีอีกด้วย นอกจากน้ีก็ยังมีศาสนพิธีต่างๆ ท่ีนักเรียนควรเรียนรู้ 2. ครใู หนักเรยี นเขยี นสรุปความสาํ คญั และ ท�าความเข้าใจ เพื่อจะได้ปฏิบัติตนในการเข้าร่วมศาสนพิธีดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็น วิธีปฏิบัตศิ าสนพิธีตางๆ ไดแก การทําบญุ ศาสนพิธีทเี่ ราคุน้ เคยกนั ดอี ย่แู ล้ว ไมว่ า่ จะเปน็ การทา� บุญตกั บาตร การถวายภัตตาหาร การถวาย ตักบาตร การถวายภตั ตาหาร การถวาย ผ้าอาบน้�าฝน การถวายเครื่องไทยธรรม เคร่ืองไทยทาน การกรวดน�้า การทอดกฐิน และการ สงั ฆทาน การถวายผา อาบนํา้ ฝน การจดั และ ทอดผา้ ป่า ถวายเครอ่ื งไทยธรรม เครือ่ งไทยทาน การกรวดน้าํ การทอดกฐนิ และการทอดผาปา ลงในสมดุ และสงครูผูส อน ตรวจสอบผล Evaluate ตรวจสอบจากการเขียนสรุปความสาํ คญั และ วิธีปฏบิ ตั ศิ าสนพิธีตา งๆ 149 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอใดเปนลกั ษณะสาํ คญั ของประเพณีการทอดผา ปา 1 กุศลกรรม หรือกุศลกรรมบถ มี 10 ประการ ไดแ ก งดเวนจากการฆาสัตวทมี่ ี 1. การทอดผาปาไมม กี ารจาํ กัดเวลา ชวี ติ ใหตาย งดเวน จากการลกั ขโมยสงิ่ ของและไมใ ชใ หผ ูอ่นื ลกั ขโมย ไมหลอกลวง 2. วัดตา งๆ รบั ทอดผา ปา ไดปล ะ 1 ครั้ง ใหผ ูอ น่ื ตอ งเสยี ทรัพยและช่ือเสียง งดเวน จากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย 3. มพี ระสงฆอยางนอย 5 รูปในการรับทอดผาปา งดเวน จากการพูดเทจ็ งดเวนจากการพดู สอ เสยี ด งดเวนจากการพูดจาหยาบคาย 4. ทอดในชว งแรม 1 คํา่ เดอื น 11 ถึง ขนึ้ 15 คาํ่ เดอื น 12 งดเวนจากการพูดเพอ เจอ ไมโลภอยากไดข องผอู ืน่ มาเปน ของตน ไมพยาบาท ปองรายเขา และเหน็ ชอบตามทาํ นองคลองธรรม วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. เพราะการทอดผา ปา ทาํ ไดตลอดป มมุ IT และทอดกี่คร้งั ก็ได นิยมทอดในชว งเทศกาลปใหม วนั ตรุษสงกรานต สว นขอ 2. ขอ 3. และขอ 4. เปน ลกั ษณะสาํ คัญของการทอดกฐนิ ศึกษาคน ควาเพิม่ เตมิ วา ทาํ บญุ อยางไรไดบญุ สูงสุด ไดที่ http://www.budsakaeo.org/boon.htm เว็บไซตส ํานกั งานพระพุทธศาสนาจงั หวัดสระแกว คูมือครู 149
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถูกตอ งในการตอบคาํ ถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรยี นรู้ ประจาํ หนว ยการเรยี นรู ๑. นกั เรยี นสามารถนา� หลกั ธรรมในวนั วสิ าขบชู าไปใชใ้ นการพฒั นาตนเองไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๒. วันธรรมสวนะหรือวันพระมีประโยชน์ต่อพุทธศาสนิกชนเช่นใด นักเรียนมีวิธีปฏิบัติตน แล 1. ตารางบนั ทกึ ความดขี องนกั เรยี นในชวี ติ ประจาํ วนั ในการฟงั ธรรมในวนั พระอยา่ งไร 2. ผังมโนทัศนส รปุ สาระสําคัญของวนั สาํ คัญทาง ๓. ในวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนา นักเรียนควรท่ีจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะได้ช่ือว่าเป็น พระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ี บอกมาอยา่ งนอ้ ย ๔ ขอ้ 3. บันทกึ การเขา รวมศาสนพธิ แี ละสิ่งทน่ี ักเรยี นพึง ๔. จงอธบิ ายขน้ั ตอนการทา� บญุ ถวายภตั ตาหารแดพ่ ระในงานมงคลตามทน่ี กั เรยี นเขา้ ใจ ๕. นกั เรยี นคดิ วา่ จา� เปน็ หรอื ไมท่ ค่ี นไทยจะตอ้ งศกึ ษาและทา� ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั วธิ ปี ฏบิ ตั ติ น ปฏิบตั ิในวันธรรมสวนะ 4. การเขียนสรปุ ความสาํ คญั และวธิ ีปฏบิ ตั ิ ในศาสนพธิ ี จงแสดงความคดิ เหน็ ศาสนพิธีตางๆ กิจกรรมสรา้ งสรรค์พั²นาการเรียนรู้ กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนช่วยกันจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ อาจจดั ใหม้ ีการอภิปรายถาม‑ตอบ หรือจัดกิจกรรมอื่นๆ ร่วมด้วยก็ได้ กจิ กรรมท่ี ๒ ครูเชิญพระธรรมวิทยากรจากวัดใกล้โรงเรียนมาบรรยาย รวมทั้งช้ีแนะการ ปฏบิ ตั ศิ าสนพธิ ตี า่ งๆ เชน่ การทา� บญุ ตกั บาตร การถวายภตั ตาหาร และการ ถวายสงั ฆทาน การถวายผา้ อาบนา้� ฝน การจดั เครอื่ งไทยธรรม ไทยทาน และ การกรวดน้�า ท้ังนีอ้ าจจัดใหม้ ีการถา่ ยภาพ และใหน้ ักเรียนร่วมกันอภปิ ราย กิจกรรมที่ ๓ นกั เรยี นบา� เพญ็ ประโยชน์ เชน่ การทา� ความสะอาดโรงเรยี น ถนนรอบโรงเรยี น ขดุ ลอกคูคลอง ท�าความสะอาดบริเวณวัด ปลกู ต้นไม้ บริจาคทานช่วยเหลือ คนยากจน นา� อาหารไปเลย้ี งเดก็ กา� พรา้ คนพกิ าร เปน็ ตน้ เนอื่ งในวนั สา� คญั ทางพระพทุ ธศาสนาตามโอกาสอันควร พทุ ธศาสนสุภาษิต Ê·¸Ú ¸Õ ÇÔµÚµí »ØÃÔÊÊÊÚ àʯþ€Úí : ÈÃÑ·¸Ò໹š ·Ã¾Ñ » ÃÐàÊÃÔ°¢Í§¤¹ã¹âÅ¡¹Õé 150 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนวยการเรียนรู 1. หลกั ธรรมที่เกีย่ วเนอ่ื งในวนั วสิ าขบชู า คอื อรยิ สจั 4 อนั ประกอบดว ย ทุกข สมทุ ัย นิโรธ และมรรค เราสามารถนํามาปรบั ประยุกตใ ชเพ่อื การพน ทุกขหรอื แกปญหาใน ชีวิตประจําวันได กลา วคอื เมื่อมปี ญ หาหรอื ความทกุ ขใ หพ ิจารณาสาเหตุอยา งมีสติ และหาวธิ ีการแกป ญ หาอยา งถกู ตอ งเหมาะสม ก็จะทาํ ใหเราแกป ญหาได 2. ประโยชนข องวนั ธรรมสวนะหรอื วนั พระ คอื ไดท าํ บญุ ไดฟ ง ธรรมจากพระสงฆ ทาํ ใหป ฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาไดถ กู ตอ ง วธิ ปี ฏบิ ตั ติ นในการฟง ธรรม คอื ตัง้ ใจฟง ดว ยความสาํ รวม คิดพิจารณาและวเิ คราะหตามเนอื้ หาธรรมะน้ันๆ เพ่ือใหเกดิ ความเขา ใจอยางถองแท 3. ทําบญุ ตกั บาตร ฟง พระธรรมเทศนา บําเพญ็ ประโยชนส าธารณประโยชน และเวียนเทียน 4. ข้ันตอนการทาํ บุญถวายภัตตาหารแดพระในงานมงคล มีดังน้ี 1) นิมนตพระสงฆต อ เจา อาวาส บอกวัน เวลา สถานที่ และจํานวนพระสงฆต ามทตี่ อ งการ โดยไมเจาะจงรูปใดรปู หน่ึง 2) จัดเตรียมภัตตาหารทีส่ ะอาด เปนของดี ประณีต หามาไดด ว ยความสุจรติ และไมเ ปนอาหารตอ งหามตามพุทธบัญญัติ เชน เนอ้ื 10 ชนิด ของดบิ เปน ตน 3). เมือ่ พระสงฆมาพรอม นาํ ภตั ตาหารมาตงั้ หนา พระสงฆ จากนัน้ จดุ ธปู เทยี นบชู าพระรัตนตรัย กลา วคําบูชาพระรัตนตรยั อาราธนาศลี สมาทานศีล 4) กลาวคําถวายภัตตาหาร จากนน้ั ประเคนภตั ตาหารแดพระสงฆ 5) เม่ือพระสงฆอนโุ มทนา เจาภาพกรวดน้ํา 5. จาํ เปน อยา งยิ่ง เพอ่ื ใหส ามารถปฏิบตั ิตนไดถูกตองตามระเบียบแบบแผนทางศาสนาที่มมี าตั้งแตสมยั พทุ ธกาล รวมทงั้ ยังเปนการสืบทอดประเพณที ดี่ งี าม และสรา ง ความเปน สริ มิ งคลแกผ ูปฏิบตั ิ 150 คมู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู ๗หน่วยการเรียนรู้ท่ ี การบรหิ ารจติ 1. อธบิ ายความหมายและความสาํ คญั ของ และการเจริญปญญา การบริหารจิตและการเจรญิ ปญ ญาได 2. บอกวธิ กี ารปฏิบัตแิ ละประโยชนของการ บริหารจิตตามแนวทางศาสนาทต่ี นนบั ถอื 3. นาํ วธิ กี ารบรหิ ารจติ ตามหลักอานาปานสติ และวิธีคดิ แบบโยนโิ สมนสิการไปใชใ นชีวติ ประจาํ วันได 4. สวดมนตและแผเ มตตาไดอยางถูกตอ ง รวมถงึ แปลความหมายของบทสวดมนตน น้ั ได ตวั ชวี้ ดั สมรรถนะของผูเ รยี น ● เห็นคุณค่าของการพัฒนาจิต เพื่อการเรียนรู้ 1. ความสามารถในการคิด และดาำ เนนิ ชวี ติ ดว้ ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร 2. ความสามารถในการแกปญ หา คือ วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม และ 3. ความสามารถในการใชทักษะชวี ิต วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือการ พฒั นาจติ ตามแนวทางของศาสนาทต่ี นนบั ถอื คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค (ส ๑.๑ ม.๒/๙) 1. รกั ชาติ ศาสน กษตั รยิ ● สวดมนต์ แผ่เมตตา บริหารจิตและเจริญ 2. ซ่อื สตั ยสจุ รติ ปัญญาด้วยอานาปานสติหรือตามแนวทาง 3. ใฝเ รยี นรู ของศาสนาท่ตี นนับถือ (ส ๑.๑ ม.๒/๑๐) สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ● พฒั นาการเรยี นรดู้ ว้ ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร ๒ วธิ ี คือ วิธคี ดิ แบบอบุ ายปลุกเร้าคณุ ธรรม และวธิ ีคิดแบบอรรถธรรมสัมพนั ธ์ ● สวดมนต์แปลและแผเ่ มตตา ¡ÒúÃËÔ ÒèµÔ ¤Í× ¡Òý¡ƒ ½¹ÍºÃÁ¨µÔ ãË´Œ §Õ ÒÁ ¹ÁØ‹ ¹ÇÅ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ÁÕ¤ÇÒÁ˹¡Ñ ṋ¹ Áèѹ¤§ á¢ç§áç ¼Í‹ ¹¤ÅÒ áÅÐʧºÊ¢Ø ÊÇ‹ ¹¡ÒÃà¨ÃÞÔ »Þ˜ ÞÒ ¤Í× ¡Òý¡ƒ ãËÃŒ ¨ŒÙ ¡Ñ ¤´Ô ÍÂÒ‹ §·àèÕ ÃÂÕ ¡¡¹Ñ ÇÒ‹ ครใู หนกั เรยี นนําสวดบทกราบพระรตั นตรยั “¤´Ô ໚¹ á¡»Œ ˜ÞËÒ໚¹” ¹¹èÑ àͧ บทพระพทุ ธคณุ พระธรรมคุณ พระสังฆคณุ และ ใหน ักเรยี นน่ังสมาธิประมาณ 5 นาที แลว ถาม ¡Òý¡ƒ ¨µÔ ãËàŒ »¹š ÊÁÒ¸ÁÔ ËÕ ÅÒÂÇ¸Ô Õ Ë¹§èÖ ã¹ËÅÒÂÇ¸Ô ¹Õ ¹Ñé นักเรยี นวา มีความเปลี่ยนแปลงเกิดข้นึ กับนกั เรยี น ¤Í× ¡ÒáÒí ˹´ÅÁËÒÂã¨à¢ÒŒ ÍÍ¡ «§Öè àÃÂÕ ¡ÇÒ‹ “Íҹһҹʵ”Ô อยางไรบา ง จากน้ันครอู ธิบายวิธีการนั่งสมาธิ àÁÍè× ¨µÔ ໹š ÊÁÒ¸áÔ ÅÇŒ ¨Ðà»¹š º¹Ñ ä´¡ÒŒ Çä»Ê»‹Ù Þ˜ ÞÒ ¤Í× ¨ÐÍÒ‹ ¹ เพ่ิมเตมิ เพ่ือใหน ักเรยี นนงั่ สมาธไิ ดอ ยางถกู ตอง ¨Ð¿§˜ ËÃÍ× È¡Ö ÉÒàÅÒ‹ àÃÂÕ ¹àÃÍè× §ã´ ¨Ð¤´Ô µÃµÔ ÃͧʧèÔ ã´ ¨Ð¡ÃзÒí ËÃÍ× ½¡ƒ »ÃÍ× ã¹àÃÍè× §ã´¡µç ÒÁ ¡¨ç Ðà¡´Ô ¤ÇÒÁäŒÙ ÇÒÁà¢ÒŒ ã¨áÅÐ ¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞä´ŒäÁ‹ÂÒ¡ ÇÔ¸Õ¡Òýƒ¡¨Ôµãˌ໚¹ÊÁҸԨ֧໚¹ ÊÔè§·èÕ¾Ö§ÈÖ¡ÉÒàÃÕ¹Ì٠à¾è×͹íÒä»»¯ÔºÑµÔãËŒà¡Ô´¤Ø³»ÃÐ⪹ á¡‹µ¹àͧµÍ‹ ä» เกร็ดแนะครู ครคู วรจดั กิจกรรมการเรียนรเู พ่ือใหนักเรยี นสามารถอธิบายความหมายและ ความสาํ คัญของการบรหิ ารจิตและการเจริญปญญา สามารถนําวิธีการบรหิ ารจติ ตามหลกั อานาปานสตแิ ละวิธคี ิดแบบโยนโิ สมนสกิ ารไปใชในชีวติ ประจําวัน ตลอดจนสวดมนตและแผเมตตาไดถ กู ตอ ง โดยเนนการพฒั นาทักษะการคดิ และ ทกั ษะการนาํ ไปใช ดงั น้ี • ใหน ักเรยี นแตละคนผลัดเปลี่ยนกันนําสวดมนต เชน บทกราบพระรัตนตรยั นมสั การพระพทุ ธเจา ไตรสรณคมน บทถวายพรพระ บทแผเ มตตา เปน ตน รวมถงึ สาธติ การจดุ ธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั และการกราบเบญจางคประดษิ ฐ ทถ่ี ูกตอ ง • ฝกใหน กั เรียนสวดมนตแปลในชน้ั เรียน โดยสามารถอธิบายถึงความหมาย ของบทสวดมนตน ้ัน • จดั ใหมีการปฏิบัติเดนิ จงกรม สวดมนต และฝก นัง่ สมาธิ คมู่ ือครู 151
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูใหนักเรยี นชวยกนั ยกตัวอยางประโยชนข อง ๑. การบริหารจิตและการเจรญิ ปญั ญา การบรหิ ารจติ หรือการนัง่ สมาธิ การบริหารจิต หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตใจให้ดีงาม นุ่มนวล มีความหนักแน่น มั่นคง (แนวตอบ เชน มสี ติสัมปชญั ญะ เกิดปญญา แข็งแกร่ง ผอ่ นคลาย และสงบสขุ ซงึ่ มกี ารฝกึ เพอื่ ใหบ้ รรลผุ ลดงั กลา่ วมากมาย หลายวธิ ี สว่ นการ เรียนหนงั สือไดดี มสี มาธิ เปน ตน) เจริญปญั ญานัน้ คอื การฝกึ ให้รู้จักคิด หรือทเี่ รียกวา่ “คดิ เป็น แกป้ ัญหาเปน็ ” น่ันเอง สา� รวจคน้ หา Explore การเจรญิ ปญั ญา หมายถงึ การส่งเสริมพฒั นาปญั ญาให้เกดิ ข้ึน ด้วยการฝึกอบรม (ภาวนา) ให้เกิดความรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง การใช้ปัญญาเป็นสิ่งส�าคัญอย่างย่ิงในสังคม 1. ครใู หน กั เรียนศกึ ษาเกยี่ วกบั การบริหารจิตจาก ปัจจุบัน เพราะเราต้องใช้ข้อมูลข่าวสาร (สารสนเทศ) เป็นพ้ืนฐานในการเลือก ตัดสินใจ และ หนังสอื สวดมนตห รือหนงั สือธรรมะทมี่ แี นวทาง แกป้ ญั หาทกุ ระดบั ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นการศกึ ษาเลา่ เรยี น การประกอบอาชพี ความเปน็ อยใู่ นครอบครวั เกย่ี วกบั การนงั่ สมาธิ เพอ่ื ใหก ารนงั่ สมาธไิ ดผ ลดี และการมีบทบาทช่วยเหลือสังคม ดังนั้น เพ่ือให้ตัดสินใจไม่ผิดพลาดและสามารถด�ารงชีวิตได้ ยง่ิ ข้นึ สัมพันธ์สอดคล้องกับสภาพการณ์ของสังคม การฝึกพัฒนาปัญญาและวิธีคิดตามหลักพระพุทธ ศาสนาจงึ เปน็ ความจา� เป็นอยา่ งยง่ิ ส�าหรับนกั เรียน 2. ครูใหน กั เรียนศกึ ษาการสวดมนตบทตางๆ พรอมความหมาย เชน บทกราบพระรัตนตรยั 1.1 ประโยชน์ของการบริหารจติ และการเจริญปญั ญา บทถวายพรพระ บทอาราธนาศลี เปน ตน เพ่อื ใหนักเรยี นเกดิ ความเขาใจและเขา ถึง ประโยชน์ของการบริหารจิตและการเจริญปัญญามีอยู่มากมาย ซึ่งในที่น้ีจะกล่าวเน้นเฉพาะ คําสอนของพระพุทธเจา มากข้ึน ประโยชน์ของการนา� ไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�าวนั ซง่ึ มดี ังน้ี ๑. ทา� ใหจ้ ติ ใจสบาย หายเครยี ด มคี วามสุขผ่องใส 3. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาการบรหิ ารจติ ในหนงั สอื เรยี น ๒. หายจากการวติ กหวาดกลวั หายกระวนกระวาย หนา 152-157 อธบิ ายความรู้ Explain ๓. หลับง่าย หลับสนิท ไม่ฝันร้าย สงั่ ตวั เองได้ เชน่ กา� หนดใหห้ ลบั ใหต้ นื่ ตามเวลา ที่ต้องการ 1. ครสู ุมใหน ักเรยี น 2-3 คน ออกมาอธิบาย ๔. มีความว่องไว กระฉับกระเฉง เกยี่ วกบั วธิ กี ารนงั่ สมาธทิ ถี่ กู ตอ ง จากนนั้ รู้จกั ตดั สนิ ใจเหมาะแกส่ ถานการณ์ ครตู ้ังคําถามใหน กั เรียนตอบวา เมอื่ นักเรียน ๕. มคี วามเพยี รพยายามแนว่ แนใ่ น นั่งสมาธอิ ยา งถูกตอ งแลว นกั เรยี นมคี วามรูสกึ จุดหมาย มีค๖ว. ามมสีใฝตสิส่ มััมปฤชทญัธ์ิสญูงะ1 มคี วามรเู้ ทา่ ทนั อยา งไรบา ง ปรากฏการณ์ ยับยั้งชง่ั ใจไดด้ ีเยี่ยม ๗. มีประสิทธิภาพในการท�างาน 2. ครใู หนักเรียนปฏิบตั ิการนัง่ สมาธใิ นหองเรียน เช่น เรียนหนังสือเก่ง ท�ากิจการงานทุกอย่าง ประมาณ 10 นาที จากนัน้ ใหนักเรียนบันทกึ ส�าเร็จด้วยดี ประโยชนข องสมาธิทสี่ ามารถนําไปใชในชวี ิต ๘. สง่ เสรมิ ความจา� และสมรรถภาพ ประจาํ วนั ได บุคคลที่มีสมาธิในการทำางานจะช่วยให้ทำางานได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ 3. ครใู หนกั เรยี นชวยกันวิเคราะหวา เพราะเหตใุ ด ทางสมอง การน่ังสมาธจิ ึงทําใหเกดิ สตปิ ญญา 152 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’52 ออกเก่ยี วกบั ประโยชนของการบริหารจิต ครแู นะนําเรอ่ื งการบริหารจติ วา กอนการนง่ั สมาธิควรรกั ษาจิตใจใหม คี วามสงบ จุดมงุ หมายของ “จติ ภาวนา” คอื ขอ ใด ในระดับหน่ึง เพราะหากจติ ใจฟงุ ซา น กระวนกระวาย จะไมส ามารถน่ังสมาธิได 1. การสวดออนวอนใหบ รรลผุ ล ซ่ึงเปน อุปสรรคสําคญั ทค่ี นจํานวนมากไมส ามารถนงั่ สมาธิได จึงควรเรม่ิ ตนดว ย 2. การสรา งความสงบในจิตใจ การเดนิ จงกรมและการสวดมนตอ อกเสยี ง อยา งไรกด็ ี การสวดมนตจ ะสวดเปน 3. การมีระเบียบวนิ ัย สํารวมกายวาจา ภาษาใดก็ไดตามแตส ะดวก ไมจําเปนตองสวดเปนภาษาบาลี เพยี งแตภาษาบาลี 4. การแผความดไี ปสมู วลมนุษย เปน ภาษาดง้ั เดมิ ท่ใี ชในการสบื ทอดพระพทุ ธศาสนา และเม่อื จติ ใจสงบไดระดบั หนง่ึ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เนือ่ งจากการบรหิ ารจติ หรอื “จิตภาวนา” จงึ จะสามารถนัง่ สมาธิไดอยางสงบและมปี ระสิทธผิ ลมากขนึ้ มจี ุดมุงหมายสําคัญ คอื ทาํ ใหจติ ใจเกดิ ความสงบ สบาย ผอนคลาย ไมเครยี ด ลดความวิตกกงั วล ชวยใหก ารเรยี นและการทํางานมี นกั เรียนควรรู ประสทิ ธิภาพมากย่งิ ข้นึ ดังน้นั คาํ ตอบที่ถกู ตอ งทสี่ ดุ จึงเปน ขอ 2. 1 สตสิ ัมปชัญญะ หมายถงึ ความระลกึ ไดและความรูสกึ ตวั ดว ยความรอบคอบ 152 ค่มู ือครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๙. เกือ้ กลู แกส่ ุขภาพทางกาย เช่น ชะลอความแก่ ทา� ให้ดอู ่อนกวา่ วยั 1. ครูใหนักเรียนระดมสมองวา กอ นการนัง่ สมาธิ ๑๐. รักษาโรคบางอย่างได้ เช่น โรคท้องผูกเร้ือรัง โรคกระเพาะอาหาร โรคความดัน นักเรยี นควรมกี ารเตรยี มตัวหรอื ปฏบิ ัตติ น โลหติ โรคหืดหอบ และโรคกายจิตอนื่ ๆ อยา งไรบาง เพราะเหตุใด 1.2 วิธีปฏิบัตใิ นการบรหิ ารจติ และการเจรญิ ปญั ญา 2. ครใู หน กั เรยี นในหอ งนาํ สวดมนตบ ทตา งๆ เชน บทกราบพระรัตนตรัย นมสั การพระรตั นตรัย วธิ ีปฏิบตั ิในการบริหารจิตและการเจรญิ ปัญญา มดี ังนี้ ไตรสรณคมน อาราธนาศลี แผเมตตา เปนตน ๑. เลอื กสถานที่ สถานท่จี ะตอ้ งให้เหมาะสมแกก่ ารฝกึ สมาธิ เช่น ต้องเปน็ ทไ่ี มอ่ บั ลม เพอ่ื ราํ ลกึ ถงึ คณุ พระรตั นตรยั และรักษาศีล จากนนั้ ใหน กั เรียนนัง่ สมาธิ 5 นาที ไม่อกึ ทกึ ปราศจากเสียงรบกวน ถา้ มหี อ้ งส�าหรับฝกึ สมาธิโดยเฉพาะย่ิงดี ๒. กา� หนดเวลา ควรเลอื กเวลาทเี่ หมาะสม แตถ่ า้ เปน็ เวลารบั ประทานอาหารอมิ่ ใหมๆ่ 3. ครใู หน กั เรียนศึกษาการตรสั รูข องพระพทุ ธเจา วา พระพทุ ธเจา สามารถตรสั รไู ดด ว ยพระองคเ อง หรอื เวลาท�า๓งา.นสมมาาจทนาเนหศนีล่ือยจแะลนว้ มิ นไมต1เ่ ์พหรมะามะาสใ�าหหศ้ รีลบั ฝหึกรสอื มถา้าธไิม่มีพระก็ตง้ั จิตงดเวน้ ด้วยตนเองกไ็ ด้ ดว ยวธิ กี ารใด และเพราะเหตุใด พระองค เพือ่ ให้จิตใจบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาด ซง่ึ เป็นการปูพืน้ ฐานที่ดีสา� หรบั การท�าสมาธิ จงึ สามารถตรัสรไู ดดวยวธิ กี ารน้นั ๔. นมสั การพระรตั นตรยั สวดรา� ลึกถึงคณุ ของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ดงั น้ี 4. ครูตัง้ ประเดน็ คาํ ถามใหนักเรียนชวยกันตอบ เพื่อฝกทกั ษะการคิด ดงั น้ี อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธงั ภะคะวันตงั อะภิวาเทมิ • การบรหิ ารจติ มีจุดมุงหมายตา งจากการ สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม ธมั มัง นะมสั สามิ เจริญปญ ญาอยา งไร สุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงั ฆัง นะมามิ (แนวตอบ การบรหิ ารจติ มคี วามมุงหมาย เพือ่ ใหจ ิตใจสงบ ดงี าม มีความสุข ไมลมื ตวั ๕. แผเ่ มตตา สง่ ความปรารถนาดีไปยงั สรรพสัตว์ท้งั หลาย โดยเรม่ิ จากการแผ่เมตตา ขาดสติ สว นการเจรญิ ปญ ญามคี วามมงุ หมาย ใหต้ นเองกอ่ น แลว้ จึงแผเ่ มตตาใหบ้ ิดา มารดา ปู่ ยา่ ตา ยาย จนถึงสรรพสตั ว์ การแผ่เมตตา เพอ่ื ใหด าํ รงชวี ิตอยา งชาญฉลาด มีความ จะสวดเป็นภาษาบาลหี รือภาษาไทยกไ็ ด้ หรือถา้ ไมส่ วดแตต่ ั้งจิตส่งความปรารถนาดีไปให้ก็ได้ รอบรู สามารถแยกแยะไดว า สงิ่ ใดดสี งิ่ ใดไมด ี หรือมโี ทษ จะไดก ระทําแตส่ิงท่ีดีและ ๖. ตดั กงั วล หมายถงึ ตดั หว่ ง ตดั กงั วลทกุ อยา่ งใหห้ มดสน้ิ อยา่ คดิ เรอื่ งงาน เรอ่ื งเรยี น ไมเขาไปของแวะกบั ส่งิ ไมดี) เรื่องญาติมิตร อย่าคดิ ถึงอดตี อนาคต ให้กา� หนดเฉพาะเร่ืองท่จี ะฝึกสมาธิขณะนเ้ี ด๋ียวน้เี ท่าน้ัน • เพราะเหตใุ ด จงึ ตองสมาทานศีลกอนปฏิบตั ิ การบรหิ ารจิตและเจริญปญญา การบริหารจิตมคี วามมุ่งหมายเพอ่ื ให้จติ ใจสงบดีงาม มคี วามสขุ ไม่ลมื ตวั ขาดสติ สว่ นการ (แนวตอบ เพ่อื ใหจ ิตใจบริสุทธิส์ ะอาด เจรญิ ปัญญาตามแนวทางของพระพุทธศาสนาใชเ้ พ่ือให้ดา� รงชวี ติ อยา่ งมคี วามสงบสุข ซง่ึ เปน การปูพ้นื ฐานทด่ี ใี นการทาํ สมาธ)ิ 1.3 การบรหิ ารจิตตามหลกั อานาปานสติ วธิ ฝี กึ สมาธมิ หี ลายวธิ ี แตว่ ธิ ที เ่ี หน็ วา่ เหมาะสมและสะดวกทจ่ี ะฝกึ ไดท้ กุ เพศทกุ วยั และทกุ โอกาส ก็คือ แบบอานาปานสติ (วธิ ีกา� หนดลมหายใจ) ท้ังนเ้ี พราะเหตุผล ดังน้ี ๑. ไม่ต้องหาอุปกรณ์อ่ืนใดมาฝึก เพราะทุกคนมีลมหายใจ หายใจออก‑หายใจเข้า ทุกเวลาอยูแ่ ลว้ ๒. ไม่ซบั ซ้อน เขา้ ใจงา่ ย ท�าได้งา่ ย พอลงมือทา� ก็ได้รับผลทนั ที ตัง้ แตต่ น้ เรือ่ ยไป 153 ขอ สอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับการบริหารจิต ครูควรเชิญวิทยากรมาใหความรูเก่ียวกับการบริหารจิตที่ถูกตอง เพราะการ บุคคลใดเตรียมตวั เพื่อการบริหารจิตไดดีที่สุด นง่ั สมาธนิ นั้ ถอื วา เปน เรอื่ งยากสาํ หรบั นกั เรยี นหลายๆ คน จงึ ตอ งมกี ารบอกวธิ กี ารปฏบิ ตั ิ 1. แกว นอนหลบั พกั ผอนมากอนเพ่อื เตรียมใจใหพรอม ใหเ ขา ใจอยางถองแท โดยใหว ิทยากรบอกเลา ประสบการณเ กีย่ วกับการนงั่ สมาธิ 2. เกง ถวายสังฆทานเพอ่ื เปน อามสิ บูชากอนที่จะปฏิบตั ิบูชา ของทาน จากนน้ั ใหมีการสาธติ การฝกน่ังสมาธติ ามหลกั อานาปานสติ 3. กลา มศี รทั ธา ตัดความวติ กกงั วล 4. เกด บริหารรางกายมากอ น นกั เรยี นควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เน่ืองจากการเตรียมตัวเพอ่ื การบริหารจติ 1 นมิ นต คอื การเชญิ พระสงฆม าประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา เชน งานแตง งาน งานขึน้ บา นใหม เปนตน โดยท่ัวไปในงานมงคลนิยมนมิ นตพ ระสงฆจํานวนคี่ เชน ไดด ที ี่สดุ น้นั เร่ิมแรกจะตองมคี วามศรทั ธาหรือความเชื่อกอ นวา การบริหาร การนมิ นตพ ระสงฆ 9 รปู พอ งกับคําวากาวหนา พระเกตุ 9 คุมกนั อันตรายตางๆ จติ สามารถทําใหจิตใจสงบ มีความสขุ ไมล ืมตวั และขาดสติ โดยความเชอื่ เปน ตน สว นในงานอวมงคลนยิ มนมิ นตพ ระสงฆจํานวนคู เชน การนิมนตพระสงฆ เหลา นน้ั จะตอ งตง้ั อยบู นฐานของเหตแุ ละผล นอกจากนี้ ยงั ตอ งตดั ความวติ ก 4 รูปในการสวดพระอภิธรรม เปน ตน กงั วลตา งๆ ใหห มดสนิ้ และกําหนดเฉพาะเรอ่ื งที่จะฝก สมาธเิ ทานนั้ สําหรับ การนอนหลับพกั ผอ น การถวายสงั ฆทาน และการบริหารรา งกาย ไมถือเปน ค่มู อื ครู 153 วธิ ีการเตรยี มตวั ทีด่ ที สี่ ุดกอนจะทาํ การบริหารจิต ดงั น้นั กลาจงึ เปน บคุ คลที่ มกี ารเตรียมตัวเพื่อการบริหารจติ ไดดที สี่ ดุ
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหนกั เรยี นยกตวั อยางวธิ ีกาํ หนดลมหายใจ ๓. เป็นหลักฝึกจิตอย่างหนึ่งในจ�านวนไม่ก่ีอย่างท่ีสามารถปฏิบัติต่อเนื่องตั้งแต่ต้นไป ตามหลักอานาปานสติ โดยใหอ อกมาเขยี นบน จนสา� เร็จข้ันสงู สุด ไมต่ ้องพะวงท่ีจะหาวิธอี ืน่ มาสับเปล่ยี นในระหว่างปฏบิ ตั ิ กระดาน จากน้ันใหนกั เรียนชว ยกันบอกเหตุผล ๔. ไม่กระทบตอ่ สขุ ภาพ กายก็ไม่เหน่ือย ตาก็ไม่เมือ่ ย ช่วยให้รา่ งกายพักผอ่ นอยา่ งดี วา เพราะเหตใุ ดจงึ กาํ หนดลมหายใจเชนน้นั ๕. ทสี่ า� คญั พระพทุ ธเจา้ ทรงใชเ้ วลาสว่ นมากในการปฏบิ ตั วิ ธิ นี ้ี และทรงแนะนา� ใหส้ าวก ปฏิบัตมิ ากกวา่ วิธีอื่น 2. ครูนาํ สนทนาเกยี่ วกับความแตกตางของการ การฝกึ สมาธติ ามหลกั อานาปานสติ นั่งสมาธใิ น 2 ลักษณะ คอื ทา นัง่ ขัดสมาธริ าบ มขี ั้นตอนการปฏบิ ตั ิ ดังน้ี และทา นงั่ ขัดสมาธเิ พชร จากนั้นครูนําภาพ ๑) ทา่ นงั่ ใหน้ งั่ บนพน้ื ในทา่ “สมาธ”ิ ทา น่ังขัดสมาธทิ ้งั 2 ลักษณะมาใหนกั เรยี นดู เสมือนพระพุทธรูปปางสมาธิ อาจท�าได้ ๒ ความแตกตาง แลวตัง้ คําถามวา การนงั่ ลกั ษณะ คอื ขัดสมาธิทงั้ 2 ลกั ษณะ มคี วามหมายและ (๑) นั่งขัดบัลลังก์ ท่ีเรียกว่า มเี หตุผลในการนั่งลักษณะนั้นอยา งไรบาง “ขดั สมาธริ าบ” โดยเอาขาขวาทบั ขาซา้ ย มอื ขวา ทับมือซ้าย ตวั ตง้ั ตรง 3. ครูใหนักเรียนศึกษาวธิ กี ารกําหนดลมหายใจวา (๒) น่งั ขดั สมาธิเพชร คอื นั่ง มวี ิธกี ารกาํ หนดจติ ตามหลักอานาปานสติ การฝึกสมาธิตามหลักอานาปานสติ เป็นวิธีที่สามารถทำา เอาขาซา้ ยทบั ขาขวา เทา้ ขวาทบั ขาซา้ ย มอื ขวา อยา งไร จากน้นั ใหน กั เรยี นเลือกวธิ ีการกําหนด ไดง้ ่าย สะดวก และเหมาะสมกบั ทกุ เพศ ทุกวัย ทับมอื ซา้ ย ตัวตง้ั ตรง ลมหายใจที่นกั เรียนมีความสนใจ พรอ มบอก เหตุผลพอสงั เขป ๒) วิธกี �าหนดลมหายใจ อาจทา� ไดห้ ลายวธิ ี ดังนี้ (๑) ให้นับลมหายใจเข้าออก การนับอาจท�าเป็นข้ันตอนตามล�าดับ คือ นับเป็น 4. ครูต้ังประเดน็ คําถามใหน ักเรยี นตอบ เพ่ือฝกทกั ษะการคิดวเิ คราะห เชน คู่ๆ ไป เชน่ หายใจเขา้ นับ ๑ หายใจออกนับ ๑ • นอกจากการนงั่ สมาธดิ ว ยทา นงั่ ขดั สมาธแิ ลว (๒) ใหก้ า� หนดเฉยๆ ไมต่ อ้ งนบั เชน่ เวลาหายใจเขา้ หายใจออก ไมว่ า่ ยาวหรอื สนั้ นกั เรยี นสามารถกาํ หนดลมหายใจตามหลัก อานาปานสตดิ วยวิธีใดไดบา ง เพราะเหตใุ ด ใหก้ า� หนดรวู้ า่ หายใจเขา้ หายใจออกยาวหรอื สนั้ ใชส้ ตกิ า� หนดลมหายใจเขา้ ออกรตู้ วั ทวั่ พรอ้ มไมเ่ ผลอ (แนวตอบ เชน การเดนิ จงกรม การนอนสมาธิ (๓) ใหส้ ังเกตอาการพองและยบุ ของท้อง ขณะหายใจเขา้ หายใจออก คือ เวลา การกําหนดลมหายใจเขาออกในทกุ ชวงเวลา เปนตน เพราะในบางคร้ังและบางคนไม หายใจเข้าท้องจะยุบลง ให้ใช้สติก�าหนดที่ท้องให้ทันกับการยุบของท้อง เวลาหายใจออกท้องจะ สามารถฝกสมาธดิ วยการนงั่ ได จึงควรฝก จิต พองขนึ้ ใหใ้ ชส้ ตกิ า� หนดใหท้ นั กบั การพองของทอ้ ง จะภาวนาในใจวา่ “ยบุ หนอ ‑ พองหนอ” ดว้ ยกไ็ ด้ ระดบั พน้ื ฐานดว ยการกําหนดลมหายใจ โดยกําหนดพทุ -โธในใจในทกุ ชว งเวลา (๔) ให้ภาวนาในใจวา่ “พทุ - โธ” ขณะหายใจเขา้ ออก คือ ขณะหายใจเข้าภาวนา และการเดนิ จงกรม เพื่อเปน การสงบจติ ใจ วา่ “พุท” ขณะหายใจออกภาวนาวา่ “โธ” หรอื หายใจเข้าวา่ “พทุ โธ” หายใจออกว่า “พุทโธ” ดังน้ี ขัน้ ตน กอนการนั่งสมาธิ) กไ็ ดต้ ามสะดวกและสมคั รใจ แตว่ ธิ แี รกอาจดกี วา่ เพราะมพี ยางคเ์ ดยี ว สามารถกา� หนดใหส้ อดคลอ้ ง กบั จงั หวะการหายใจไดด้ กี วา่ นอกจากคา� วา่ “พทุ โธ” แลว้ อาจเลอื กคา� ทเี่ หมาะสมใดๆ มาใชภ้ าวนา ในใจก็ได้ เช่น ค�าว่า “อรหัง” เป็นต้น นอกจากจะใช้ค�าเหล่าน้ีภาวนาก�ากับการก�าหนดลมหายใจ แล้ว จะใช้ค�าที่ภาวนานั้นเป็นจุดที่ให้สติก�าหนดโดยล�าพัง หรือให้ต้ังสติอยู่กับค�าภาวนานั้นจนจิต เป็นสมาธกิ ไ็ ด้ 154 บรู ณาการอาเซียน ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกบั การบรหิ ารจติ ครูใหนักเรียนไปศึกษาการฝก สมาธิของประเทศสมาชิกอาเซียนท่ีนบั ถอื เพื่อนๆ ไมย อมใหสีฟา เขา กลมุ ทาํ รายงาน เพราะมอบหมายใหท าํ สิ่งใด พระพุทธศาสนาเปน ศาสนาประจําชาติ เชน ลาว กัมพูชา เมยี นมา เปนตน ก็มักหลงลืมอยูเสมอ ดงั นั้น สฟี าควรตัดสินใจทําอยางไร วามคี วามเหมอื นหรือแตกตา งจากการฝก สมาธขิ องประเทศไทยอยางไร แลว นาํ 1. ขอทดสอบแทนการทํารายงาน ขอ มลู ทไ่ี ดมาอภปิ รายรวมกันในชัน้ เรียน 2. ขออนญุ าตคณุ ครูทํารายงานเดยี่ ว 3. พยายามฝกตนใหม สี ติสมั ปชญั ญะอยูเสมอ มมุ IT 4. พยายามขอเขาไปทาํ รายงานกบั เพือ่ นกลุม อ่นื วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการที่สฟี า มักหลงลมื อยูเ สมอ ศึกษาคนควาขอมูลเพ่ิมเตมิ เกีย่ วกับการฝก สมาธิเบอ้ื งตน ไดที่ เกิดจากการขาดสติสมั ปชญั ญะวาในขณะนัน้ สฟี า กาํ ลงั ทาํ อะไรอยู ทําให http://www.salatham.com เว็บไซตศาลาธรรม และ ลืมงานทไ่ี ดรบั มอบหมาย เพราะฉะนนั้ สีฟาควรพยายามฝก ตนใหม ี http://www.dhammathai.org เว็บไซตธรรมะไทย สตสิ มั ปชญั ญะดวยการบริหารจิตหรอื การนัง่ สมาธิ สว นขออ่นื ๆ เปนการแก ปญหาทีป่ ลายเหตุ ซ่งึ นอกจากจะไมไดช ว ยแกป ญหาแลว ยังจะเปน ปญ หา ในการทํางานรว มกับผูอ ื่นในอนาคตดว ย 154 คู่มือครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain สรุปแล้วไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม หลักการส�าคัญที่สุดก็คือ ต้องการฝึกให้มีสติอยู่กับ ครนู าํ สนทนาดว ยคาํ กลา วทว่ี า ทาน ศลี ภาวนา ตัวเราทกุ ขณะ เพราะขณะใดสตอิ ยกู่ ับตัว จติ จะตอ้ งเป็นสมาธเิ สมอ หรอื พูดอกี นัยหนึ่ง ถา้ สติเกิด เปน 3 กุศลกรรมของมนุษยที่ควรทําควบคูกันไป สมาธเิ กิด ถ้าสติไมเ่ กดิ สมาธกิ ไ็ มเ่ กดิ ถา้ สติมีเพียงชวั่ ขณะ สมาธกิ ็มีเพียงช่ัวขณะ ถา้ มสี ตติ ดิ ตอ่ จากนั้นครตู ัง้ คาํ ถามวา กนั ไปทกุ ขณะจติ นานๆ จิตจะเป็นสมาธนิ านๆ เช่นกัน • เพราะเหตุใด กอ นท่ีเราจะนง่ั สมาธิจงึ ควร ใหท านและรกั ษาศีลไปดวย (แนวตอบ เพราะการบริหารจิตและการเจรญิ ปญ ญาควรมพี ื้นฐานของความดเี ปน ท่ตี ั้งมา กอน การใหท าน เชน การบริจาคชว ยเหลอื ผอู นื่ เพอื่ ลดความตระหนถี่ เ่ี หนยี ว เกดิ ความ ใจกวา ง สว นการรกั ษาศลี นนั้ เปน การทาํ กศุ ล กรรมเพอ่ื ใหเ กดิ ความบรสิ ทุ ธใ์ิ นจติ ใจ เมอ่ื ทาน และศีลพรอมแลว จงึ จะสามารถนงั่ สมาธิ ดวยจิตที่สงบ ทาํ ใหเกดิ สตปิ ญ ญาดยี ่งิ ขึน้ ) ขยายความเขา้ ใจ Expand 1. ครใู หน กั เรยี นบนั ทกึ วธิ กี ารบริหารจิตตามหลกั อานาปานสตทิ นี่ ักเรยี นปฏิบัตใิ นชีวติ ประจาํ วนั โดยใหบอกวธิ กี ารเตรียมตวั กอ นการน่งั สมาธิ 1 ระหวา งน่งั สมาธิ และประโยชนทไี่ ดร ับลงใน กระดาษ A4 แลว นําสงครูผูส อน การเดนิ จงกรมเปน็ การบรหิ ารจิตอกี วิธหี น่งึ ทีใ่ ช้ควบคมุ จิตใหส้ งบน่งิ 2. ครูใหน กั เรียนศึกษาความหมายของ บทสวดมนตตางๆ และบันทึกความหมาย เร่อื งน่ารู้ พรอ มคําอธบิ ายลงในสมุดพอสงั เขป สมถกรรมฐาน 2 สมถกรรมฐาน คอื อุบายฝกึ จติ วธิ ีอบรมจิตใหส้ ะอาด สวา่ ง สงบ ผ่องใสจากนวิ รณ์ ไมเ่ ศร้าหมองหรือขนุ่ มัว การฝึกจิตจนไดบ้ รรลุฌานเป็นพระอรหันต์ ทำาให้ไดค้ วามสามารถพเิ ศษ เรียกวา่ อภิญญา ๖ อยา่ ง ดงั น้ี ตรวจสอบผล Evaluate 1. อทิ ธิวิธ ี คือ แสดงฤทธไ์ิ ด้ 2. เจโตปรยิ ญาณ คือ อา่ นใจคนอืน่ ออก 1. ตรวจสอบจากการเขยี นบนั ทกึ วธิ กี ารบรหิ ารจติ 3. ปุพเพนิวาสานุสสต ิ คือ ระลึกชาตไิ ด้ ตามหลักอานาปานสตทิ นี่ กั เรยี นปฏบิ ัตใิ น 4. ทิพพโสต คอื มีหทู ิพย์ ชวี ติ ประจาํ วัน 5. ทพิ พจกั ขุ คือ มีตาทพิ ย์ 2. ตรวจสอบจากการแปลความหมายและ 6. อาสวกั ขยญาณ คือ ร้จู ักทำากิเลสให้ส้ินไป คําอธิบายของบทสวดมนตในสมดุ ของนักเรียน 3. ตรวจสอบจากวธิ ีการสวดมนตและการนง่ั แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ 155 สมาธิของนักเรยี น พรอมประเมินวิธกี ารปฏบิ ตั ิ เพื่อใหน ักเรยี นนําไปปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเองได ถกู ตอง เกร็ดแนะครู เพราะเหตใุ ด จึงตองสมาทานศลี ทุกครง้ั กอ นฝกสมาธิ ครใู หนักเรยี นบริหารจติ ดวยการเดินจงกรม จากนั้นนง่ั สมาธิประมาณ 10 นาที 1. เพอ่ื ทําจติ ใจใหสะอาดบรสิ ทุ ธ์ิ แลว ใหเ ปรยี บเทยี บวา กอ นปฏบิ ตั กิ บั หลงั ปฏบิ ตั สิ มาธมิ คี วามรสู กึ แตกตา งกนั อยา งไร 2. เพอ่ื ใหการฝก สมาธิทาํ ไดอ ยา งถูกตอง 3. เพื่อใหการฝก สมาธิมีความศกั ดิ์สทิ ธ์ิมากข้ึน 4. เพอื่ รําลึกถึงคณุ ของพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ นักเรยี นควรรู วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะกอนการนัง่ สมาธิควรมีการปูพน้ื ฐาน 1 เดนิ จงกรม คาํ วา จงกรม มาจากภาษาบาลวี า จังกะมะ แปลวา การกาวยา ง ในการทําความดี ไดแ ก การทําทานเพอื่ ลดความตระหนแ่ี ละเห็นอกเหน็ ใจ นาํ มาใชใ นการเดนิ กาํ หนดสตใิ หอ ยกู บั การเคลอื่ นไหวของกาย เพอื่ ฝก ฝนใหม สี ตแิ ละ ผอู นื่ มากขนึ้ รวมถึงการรักษาศีลเพือ่ ทาํ จติ ใจใหส ะอาดบริสุทธ์ิ ดว ยเหตุน้ี เกดิ สมาธใิ นการเดนิ รูเทา ทนั กับอารมณป จจุบนั จึงตองมีการสมาทานศีลเพือ่ เปนพนื้ ฐานในการฝกสมาธใิ หไ ดผ ลดียงิ่ ขึ้น 2 นิวรณ คอื ธรรมอันกั้นจิตของบุคคลไวไ มใ หบ รรลุความดงี าม มี 5 ประการ ไดแก กามฉันทะ คอื ความพอใจในรปู รส กลิ่น เสยี ง สัมผัส พยาบาท คือ ความ ผูกใจเจ็บ ถนี มทิ ธะ คือ ความงว งเหงาหาวนอน อุทธจั จกุกกุจจะ คอื ความคิด ฟุง ซา น และวจิ กิ จิ ฉา คอื ความลงั เลสงสยั ในผลของการปฏิบตั ิ คู่มอื ครู 155
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage 1. ครูเขยี นบนกระดานวา “โยนิโส” และ ๒. การเจรญิ ปญั ญาโ´ยการคิ´แบบโยนโิ สมนสิการ “มนสิการ” จากนัน้ ถามนกั เรียนวา ทงั้ สองคําน้ี แปลวา อะไร เมื่อรวมกันแลวหมายถึงอะไร พระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนวา่ การศกึ ษาทแี่ ทจ้ รงิ จะเกดิ กต็ อ่ เมอื่ มนษุ ยร์ จู้ กั คดิ การรจู้ กั คดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์อย่างรอบคอบ รอบด้าน ท�าให้เกิดปัญญาแตกฉาน เรียกว่า โยนิโสมนสิการ ซ่ึงค�าว่า 2. ครูใหนักเรียนบอกวา เมื่อนักเรยี นจะวิจารณ โยนโิ สมนสิการ แยกเปน็ ๒ คา� คอื ค�าว่า “โยนิโส” แปลว่า ถกู ตอ้ ง แยบคาย และค�าวา่ “มนสกิ าร” ส่ิงใดสิ่งหนึ่ง จะมีวิธีคิดหรือกระบวนการคิด แปลวา่ ทา� ไว้ในใจ โยนโิ สมนสกิ าร จงึ หมายถึง การท�าไวใ้ นใจโดยแยบคาย กลา่ วคอื การคิดเป็น อยา งไร เพ่อื ใหเปน เหตเุ ปนผลมากทสี่ ดุ ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และคิดเช่ือมโยง ตีความ วเิ คราะหข์ ้อมลู เพอ่ื นา� ไปใช้ตอ่ ไป สา� รวจคน้ หา Explore การคิดแบบโยนิโสมนสิการ ครูใหนกั เรียนสบื คน ขอมลู เพ่มิ เตมิ เกี่ยวกับ การคดิ แบบโยนโิ สมนสิการ มี ๑๐ วิธี ดงั นี้ การเจรญิ ปญญาโดยการคิดแบบโยนิโสมนสิการ ๑. คดิ แบบแยกแยะส่วนประกอบ จากหนงั สอื เรยี นหนา 156-159 หรอื จากแหลง เรยี นรู ๒. คดิ แบบคุณโทษและทางออก อน่ื ๆ เชน หอ งสมดุ อนิ เทอรเ นต็ การสนทนาธรรม ๓. คดิ แบบสบื สาวเหตุปัจจยั กับพระภกิ ษุสงฆ เปนตน ทง้ั น้เี พอื่ ใหนกั เรียนมี ๔. คิดแบบอรรถสัมพนั ธ์ ความเขา ใจในกระบวนการคดิ แบบโยนิโสมนสกิ าร ๕. คดิ แบบแก้ปญั หา มากยงิ่ ขนึ้ ๖. คดิ แบบรู้เท่าทันธรรมดา ๗. คิดแบบคุณคา่ แท้ คณุ ค่าเทยี ม อธบิ ายความรู้ Explain ๘. คิดแบบปลุกเรา้ คณุ ธรรม ๙. คิดแบบอยู่ในปจั จุบัน 1. ครใู หนกั เรยี นแบงออกเปน 10 กลมุ จากนั้นให ๑๐. คิดแบบแยกประเดน็ จบั สลากเลอื กหวั ขอ การคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร กลุมละ 1 วิธี ไมซ้าํ กัน ตามหนงั สือเรียน ในทีน่ ้ีจะกลา่ วถึงเฉพาะวธิ ีคดิ แบบปลุกเร้าคุณธรรม และวิธคี ดิ แบบอรรถสัมพนั ธ์ ดงั น้ี หนา 156 แลวใหแตล ะกลมุ ออกมาอธบิ ายและ ยกตวั อยางการคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ ารตามวิธที ่ี 2.1 คดิ แบบปลุกเร้าคณุ ธรรม จบั สลากไดห นาชั้นเรยี น การคดิ แบบปลุกเร้าคณุ ธรรม (อุปปาทกมนสกิ าร) วิธคี ดิ แบบน้ี คือ ก1ารใชเ้ หตผุ ลหรืออบุ าย 2. ครซู กั ถามแตล ะกลมุ ทอี่ อกมาอธบิ ายวา การคดิ เพ่ือให้เกดิ การกระท�าท่เี ป็นกุศล หรือภาษาสมัยใหม่วา่ “คิดแบบสร้างสรรค”์ เร่อื งทค่ี ดิ จะเป็นเรอ่ื ง แบบโยนโิ สมนสกิ ารดว ยวธิ นี ั้นๆ มปี ระโยชน อะไรก็ได้ คือ เรอ่ื งดีก็ได้ เรอ่ื งไม่ดกี ็ได้ แตว่ ิธีคดิ จะตอ้ งนา� ไปส่กู ารกระทา� ท่ีดี อยางไรบา งกับการดําเนินชวี ิตประจาํ วนั ของ นักเรยี น ยกตัวอย่างเช่น ความตาย เมอ่ื พูดถงึ ความตาย คนมกั จะคิดไป ๒ ทาง ดังน้ี ๑. ถ้าคดิ ว่าเราทกุ คนเกดิ มาแล้วต้องตาย ชวี ิตนไ้ี มจ่ ีรงั ยัง่ ยนื บางคนตายตัง้ แตย่ งั เดก็ 3. ครใู หนกั เรยี นแตละคนบันทึกลักษณะของ การคดิ แบบโยนโิ สมนสิการทงั้ 10 วธิ ี บางคนตายตอนเปน็ หนมุ่ สาว บางคนกอ็ ยมู่ าจนแกเ่ ฒา่ แตท่ า้ ยทส่ี ดุ กต็ ายทกุ คน เมอ่ื คดิ เชน่ นแ้ี ลว้ พรอมบอกประโยชนของการคิดในแตล ะวิธี ก็เกิดความท้อถอย ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม อย่างนี้เรียกว่าคิดถึงความตายแล้วไม่ท�าอะไร พอสังเขปลงในสมุด แลว นําสงครผู ูสอน ความคิดไมช่ ่วยให้เกิดการสร้างสรรค์ หรอื ปลุกเร้าให้เกดิ การกระทา� ทเ่ี ป็นกุศล 156 เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเกยี่ วกับคุณธรรมวา ในปจ จุบันโลกมีการพัฒนาทางดา น ครมู อบหมายใหนกั เรียนศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกีย่ วกับวธิ คี ิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร วัตถุอยางรวดเร็ว ดงั นัน้ การพฒั นาจิตใจควบคูไปดวยจึงมคี วามสําคญั อยา งยิง่ ท้งั 10 วธิ ี จากนัน้ เขยี นสรุปเปน ผงั มโนทัศน แลวสง ครูผูสอน เพราะการพัฒนาทางดา นวัตถเุ พยี งอยา งเดียว ทําใหมนษุ ยและสังคมเกิดความ เหน็ แกต วั และเหน็ คา ของเงนิ มากกวา ความถกู ตอ ง ดว ยเหตนุ ้ี จงึ ควรพฒั นาจติ ใจ กิจกรรมทา ทาย ดว ยการเจรญิ วิปส สนากรรมฐาน เพอื่ ยกระดับจิตใจใหร เู ทา ทันโลก เทาทันกิเลส ซงึ่ จะทาํ ใหมนุษยล ดละความยดึ ม่นั ถือม่นั ในตัวตน มีความละอายใจตอ บาป ครใู หนักเรยี นยกตัวอยา งกรณศี ึกษาหรือหาขา ว เหตุการณท ่เี กิดข้นึ รูจักบาปบุญคณุ โทษ และกฎแหง กรรม ในสงั คม และสงผลกระทบตอตนเองหรือคนทัว่ ไป แลว ใหนกั เรียนนํา วธิ กี ารคิดแบบโยนโิ สมนสิการ 1 วิธี มาใชแกป ญ หาที่เกิดขึน้ นกั เรียนควรรู 1 คดิ แบบสรางสรรค เกดิ จากการเรียนรูและการฝก ฝน โดยเนนใหมีการพฒั นา ทางดา นความคดิ อยางมศี ักยภาพ คดิ ในหลายๆ มิติ เชน การคิดในแงบ วก คดิ สรา งสรรคส งิ่ แปลกใหมท ไ่ี มล อกเลยี นแบบผอู น่ื และสามารถนาํ ไปพฒั นาตอ ไปได 156 คู่มอื ครู
กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ หรือเมื่อคิดว่าชีวิตมีไม่นาน ไม่ถึงร้อยปีก็จะตาย เพราะฉะน้ันขณะท่ีเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ควร 1. ครใู หนกั เรียนรวมกนั อภิปรายและยกตัวอยา ง สนุกสนานให้เต็มที่ กอบโกยให้เต็มท่ี เพราะตายไปแล้วทรัพย์สมบัติที่มีเราไม่สามารถน�าติดตัว สุภาษิตทม่ี กี ารคดิ แบบอุบายปลุกเรา คุณธรรม ไปได้ คดิ อยา่ งนกี้ อ่ ใหเ้ กดิ การกระทา� แตจ่ ะออก พรอมทง้ั อธิบายความหมายและแงคิดของ มาในทางเป็นอกุศลหรือท�าชั่ว ไม่ใช่การกระทา� สุภาษิตนนั้ แบบสร้างสรรค์ ก็ไม่นับว่าเป็นการคิดแบบ ปลุกเรา้ คณุ ธรรม 2. ครูนําสนทนาถึงการคดิ แบบอบุ ายปลุกเรา ๒. ถา้ คดิ วา่ ชวี ติ ไมย่ ง่ั ยนื ไมถ่ งึ รอ้ ยปี คณุ ธรรม แลวตง้ั คาํ ถามเชิงวิเคราะหวา ก็ต้องตายทุกคนดังข้างต้น แล้วเกิดส�านึกว่า • เพราะเหตุใดวธิ กี ารคดิ แบบอบุ ายปลกุ เรา เรามเี วลาอยใู่ นโลกนไี้ มน่ าน เพราะฉะนนั้ ขณะท่ี คุณธรรม จงึ ชวยปรุงแตง จติ ใจของมนษุ ย ยังมีลมหายใจอยู่นี้ เราควรท�าคุณงามความดี ใหคดิ ไปในทางกศุ ล ใหม้ าก เพราะตายแลว้ ไมม่ โี อกาสทา� เราปลกุ เรา้ (แนวตอบ เพราะจติ ใจมนษุ ยแตกตางกัน ความรู้สึกเสมอว่า “เกิดมาทั้งทีควรท�าดีให้ได้ วาระจติ แตกตา งกัน เม่ือรบั รเู รอื่ งราว จะตายทง้ั ทที า� ดฝี ากไว”้ ถา้ คดิ เชน่ นี้ จงึ จะนบั วา่ เดยี วกนั กอ็ าจจะมคี วามคดิ และจติ ใจปรงุ แตง เป็นการคดิ แบบปลุกเร้าคณุ ธรรม ไปคนละอยา ง สุดแลว แตสามญั สํานกึ และ แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็มีตัวอย่างง่ายๆ วธิ คี ดิ แบบปลกุ เรา้ คณุ ธรรม สามารถนาำ มาประยกุ ตใ์ ชไ้ ดก้ บั ประสบการณของคนๆ นั้น โดยบางคนคดิ การทำางานทุกอย่าง เพราะจะทำาให้เราเร่งรัดทำางานให้ ไปในทางท่ดี งี าม บางคนคิดไปในทางโทษ ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสถึงบ่อยๆ คือ เหตุปรารภ แลว้ เสรจ็ ไมผ่ ดั วนั ประกันพรงุ่ เพราะฉะนัน้ จงึ ตอ งมกี ารคิดแบบอบุ ายปลุก เราคุณธรรม เพ่อื ชกั นาํ ความคดิ ใหเ ดินไปใน หรอื เรอ่ื งราวกรณอี ยา่ งเดยี วกนั คดิ มองไปอยา่ งหนงึ่ ทา� ใหเ้ กยี จครา้ น คดิ มองไปอกี อยา่ งหนงึ่ ทา� ให้ ทางดงี ามและแกไ ขนิสัยความเคยชนิ ของ เกิดความเพยี รพยายาม (ดังความในพระสูตร) ดังนี้ จติ ใจทสี่ ่งั สมไวแ ตเ ดมิ พรอ มกับสรางนสิ ัย ๑. ภกิ ษมุ งี านทจ่ี ะตอ้ งทา� เธอมคี วามคดิ อยา่ งนวี้ า่ เรามงี านทจี่ กั ตอ้ งทา� เมอื่ เราทา� งาน ความเคยชนิ ใหมๆ ที่ดงี ามใหแ กจิตใจ) ร่างกายก็จะเหน็ดเหน่ือย อย่ากระน้ันเลย เรานอน (เอาแรง) เสียก่อนเถิด คิดดังนี้แล้ว เธอก็ นอนเสีย ไม่เริ่มระดมความเพียร เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพ่ือเข้าถึงธรรมท่ียังไม่เข้าถึง 3. ครใู หน กั เรยี นเขยี นสรปุ ประโยชนข องการคดิ เพื่อประจักษ์แจ้งธรรมท่ียงั ไม่ประจกั ษ์แจ้ง... แบบปลุกเรา คุณธรรมวา สามารถพฒั นาจิตใจ ๒. อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษทุ า� งานเสรจ็ แลว้ เธอมคี วามคดิ อยา่ งนวี้ า่ เราไดท้ า� งานเสรจ็ แลว้ หรอื เปลยี่ นแปลงทศั นคติและสามญั สาํ นกึ ของ เม่ือเราท�างานร่างกายเหน็ดเหน่ือยแล้ว อย่ากระนั้นเลยเราจะนอน (พัก) ละ คิดดังน้ีแล้วเธอ มนุษยไ ดอยา งไรบา ง พรอ มเขียนอธิบายและ กน็ อนเสยี ... ยกตวั อยางประกอบ กรณเี ดยี วกนั ท้งั หมดนค้ี ดิ อีกอย่างหน่งึ กลบั ทา� ใหเ้ รม่ิ ระดมความเพยี ร ท่านเรยี กวา่ เรื่องที่จะ เรม่ิ ระดมความเพยี ร เชน่ ๑. (กรณีที่จะต้องทา� งาน) ...ภิกษุคิดว่า เรามีงานทีจ่ ะต้องท�าและขณะเมื่อเราท�างาน การมนสิการค�าสอนของพระพุทธะท้ังหลายก็จะท�าไม่ได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราเริ่มระดม ความเพียรเสียก่อนเถิด เพื่อจะได้บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง เพ่ือ ประจกั ษแ์ จ้งธรรมท่ียังไม่ประจักษ์แจ้ง คดิ ดังน้ีแลว้ ภกิ ษุน้นั จงึ เริ่มระดมความเพยี ร... 157 แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู การกระทําในขอ ใดเปน วธิ ีการคดิ แบบปลุกเราคุณธรรม ครยู กตวั อยา งวธิ ีคดิ แบบโยนิโสมนสิการใหนักเรยี นฟง เชน ชมพเู ปน คนไมสวย 1. สมหญงิ อทุ ิศรา งกายใหแ กส ภากาชาดเพอ่ื การศึกษาวิจัยกอนเสียชีวติ อว น และเตีย้ จงึ มักถกู เพื่อนลอ อยูสมํ่าเสมอ ชมพูนอยใจในปมดอยของตวั เองอยู 2. สมชายขยนั ทาํ งานเพอื่ สรางทรัพยส มบัติใหไดมากท่สี ดุ บอยคร้ัง แตแลว วนั หนึ่งชมพูไ ดเหน็ หญิงพิการกําลังนั่งขอทานอยางนาเวทนา ชมพู 3. สมโชคเดินทางทอ งเที่ยวรอบโลกเพอ่ื สรา งความสขุ ใหกับตนเอง เกิดความสงั เวชใจและคิดข้นึ มาไดว า ปมดอยของเรานน้ั เปรยี บไมไดเลยกับความ 4. สมทรงไมกระทําการอนั ใดทเี่ ปนการสรางภาระใหก ับตนเองและผอู ืน่ พกิ ารของบคุ คลทแ่ี ยกวา เรา ถงึ เราจะเกิดมาเปน คนไมส วย อว น และเต้ีย แตเ ราก็มี อวัยวะครบถว นสมบรู ณ ไมพิการ ดังน้ัน ชมพจู ึงมกี ําลงั ใจและเห็นคณุ คา ของตัวเอง วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เน่อื งจากวธิ กี ารคดิ แบบปลุกเรา คุณธรรม มากขึ้น เปน ตน จะเหน็ ไดวาการคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร คอื การคิดสรา งสรรคไ ป ในทางกศุ ล ซ่งึ การท่มี นษุ ยจะเดินไปสเู สน ทางดหี รอื เสนทางไมดีนน้ั วธิ คี ดิ แบบน้ี เปน การใชเหตผุ ลหรอื อบุ ายเพ่ือใหเ กดิ การกระทําท่ีเปนกศุ ล สาํ หรับความ มสี ว นสาํ คญั อยา งมาก นกั เรยี นควรนาํ วธิ คี ดิ เหลา นไ้ี ปใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั เพ่อื ใหม ี ตายนั้น การคิดแบบปลุกเรา คณุ ธรรมมกั จะเนนใหคิดอยูเสมอวามนุษยมี จติ ใจที่เบกิ บานและดาํ เนนิ ชีวติ อยางมคี วามสุข ชีวิตอยใู นโลกนไ้ี มนาน ดังนนั้ ควรจะทําความดใี หม ากๆ ดงั คาํ กลา วทีว่ า “เกดิ มาทงั้ ทีทาํ ดใี หได จะตายทง้ั ทีทาํ ความดฝี ากไว” ซ่ึงการท่ีสมหญิง บริจาครา งกายเพอ่ื การศึกษาวิจยั ถอื เปน การคิดแบบปลกุ เรา คณุ ธรรม คมู่ อื ครู 157
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครสู มุ ใหนกั เรยี นออกมาอธิบายและยกตัวอยาง ๒. (กรณที ท่ี า� งานเสรจ็ แลว้ ) ...ภกิ ษคุ ดิ วา่ เราไดท้ า� งานเสรจ็ แลว้ กแ็ ล ขณะเมอ่ื ทา� งาน การคดิ แบบอรรถสัมพันธว า มลี ักษณะอยางไร เรามไิ ด้สามารถมนสกิ ารค�าสอนของพระพุทธะทั้งหลาย อย่ากระนน้ั เลย เราเริ่มระดมความเพียร เถิด... 2. ครซู กั ถามนกั เรียนเกี่ยวกบั การคิดแบบ อรรถสัมพนั ธ โดยต้ังคาํ ถามวา เร่ืองเดียวกัน ถ้าคิดแบบไม่สร้างสรรค์กับคิดแบบสร้างสรรค์ ผลจากการคิดจะออกมาไม่ • ถามีคนมาถามนกั เรียนวา มาเรียนหนงั สอื เหมือนกัน ดังตัวอย่างข้างต้น “เร่ืองงาน” คนหนึ่งคิดว่าถ้าท�างาน ร่างกายก็จะเหน็ดเหน่ือย เพอ่ื อะไร หรือมาโรงเรยี นเพ่ืออะไร นกั เรียน สูน้ อนพกั ผ่อนดกี วา่ สบายดี ไม่ต้องเหนด็ เหน่อื ย ผลก็คอื กลายเป็นคนข้ีเกียจ ผัดวันประกนั พร่งุ ควรตอบคาํ ถามโดยใชความคดิ แบบ ขณะที่อีกคนคิดว่าเรามีงานต้องท�า การท�างานท�าให้เราได้ปีติช่ืนชมเมื่องานเสร็จ แถมยังได้รับ อรรถสัมพันธอ ยา งไร คา่ ตอบแทนจากน้า� พกั น�า้ แรงอันบริสทุ ธิม์ าเลย้ี งตนและครอบครวั อกี งานของเราถา้ ท�าไดอ้ ยา่ งดี (แนวตอบ เชน เพื่อตอ งการศึกษาหาความรู ก็จะเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลและอ�านวยประโยชน์แก่คนทั่วไป ด้วยคนเราไม่มีค่า ถ้าไม่สร้าง ไดสอบชงิ ทุนไปตา งประเทศ ไดส รางชือ่ เสยี ง ผลงานท่ดี ฝี ากไว้ อีกไมก่ ่ปี ีเราก็จะลาโลกแลว้ เกิดมาทงั้ ทตี อ้ งท�าดฝี ากไว้ ถา้ คดิ เช่นนจ้ี ะไมม่ วี ัน ใหกับโรงเรียนและประเทศชาติ ไดนําความรู เปน็ คนเฉ่ือยแฉะ ไม่เอาไหนแน่นอน ไปปรับปรงุ และพฒั นาประเทศ นําความรไู ป ทํานบุ ํารงุ พระศาสนา เปนตน ) 2.2 คิดแบบอรรถสัมพันธ ์ 3. ครใู หนกั เรียนทํากิจกรรมที่ 7.1 จากแบบวดั ฯ การคดิ แบบอรรถสัมพันธ์ หมายถงึ คดิ หลกั การให้สมั พันธก์ บั ความมุ่งหมาย คดิ เรอ่ื งอะไร พระพุทธศาสนา ม.2 ก็ตาม ถ้าคิดให้หลักการกับความมุ่งหมายสอดคล้องกัน ความคิดน้ันย่อมน�าไปสู่การกระท�าให้ ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝก ฯ ประสบความสา� เร็จ ไมเ่ ขวออกนอกทาง ยกตัวอย่างเช่น การบวช ถ้าหากถามว่า พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมที่ 7.1 ฝคกือกึารฝกบนาวอรชบสครลือมะโอตละนกไตียราวมสิคหยั �า1ลตมกั อาไบตบอร�าสเาพกิจญ็ขมาีวส2่มา(ณศกีลกาจิ รสบมเพวาือ่ชธิ หนวยท่ี 7 การบร�หารจต� และการเจร�ญปญญา กจิ กรรมตามตัวชว้ี ัด คะแนนเต็ม คะแนนท่ไี ด กจิ กรรมที่ ๗.๑ ใหนักเรียนเปรียบเทียบวิธีคิดแบบอุบายปลุกเราคุณธรรม ñð และวิธีคิดแบบอรรถสมั พันธ แลวบนั ทกึ ลงในตาราง ปญั ญา) เพราะฉะนนั้ “การบวชเรยี น” หรอื “บวช (ส ๑.๑ ม.๒/๙) หัวขอเปรยี บเทียบ การคดิ แบบอบุ ายปลุกเราคณุ ธรรม การคิดแบบอรรถสมั พนั ธ ฝกึ ฝนตน” คอื หลกั การของการบวช ถา้ บวชแลว้ ๑. ความหมาย …ก…า…ร…ใช…เ…ห…ต…ผุ …ล…ห…ร…อ…ื …อ…บุ …า…ย…เ…พ…อ่ื …ท…าํ…ใ…ห…เ ก……ดิ .. …ก…า…ร…ค……ิด…โ…ด…ย……ใ…ห…ห…ล……ัก…ก…า…ร……ม…ีค…ว…า…ม… …ก…า…ร…ก…ร…ะ…ท…าํ …ท…ดี่ …เี ป…น… …ก…ศุ …ล……เ…ป…น …ป…ร…ะ…โ…ย…ช…น.. …ส…ัม……พ…ัน……ธ…ก…ับ……ค…ว…า…ม…ม…ุ…ง…ห…ม…า…ย………ซ…่ึง… …ต…อ…ผ…ูอ…ื่…น……อ…า…จ……เร…ีย…ก……อ…ีก…อ…ย…า…ง…ห……น…ึ่ง…ว…า.. …ถ…า…ห…า…ก…ห…ล……ัก…ก…า…ร…แ…ล…ะ…ค…ว…า…ม…ม…ุง…ห…ม…า…ย… ไม่สละความเคยชินที่เคยท�าสมัยเป็นฆราวาส …ก…า…ร…ค…ดิ …แ…บ…บ……ส…ร…า…ง…ส…ร…ร…ค………………………….. …ส…อ…ด……ค…ล…อ…ง…ก……ัน……ค……ว…า…ม…ค…ิด…น……ั้น…ก…็จ…ะ… ไม่ว่าจะเป็นกิริยามารยาท การพูดจาปราศรัย ……………………………………………………………………….. …น…ํา…ไ…ป…ส…คู……วา…ม…ส……าํ เ…ร…จ็ ……………………………… เคยประพฤตอิ ยา่ งไรกท็ า� อยา่ งนน้ั อยา่ งนแี้ สดง ……………………………………………………………………….. …………………………………………………………………… ……………………………………………………………………….. …………………………………………………………………… เฉฉบลบั ย ๒. ตวั อยางในปจจบุ นั …ก…า…ร…ค…ดิ …ใ…น…เ…ร…ือ่ …ง…ช…วี …ติ …ค…น………เม…ื่อ…พ…ิจ……าร…ณ……า.. …ก…า…ร…ค…ดิ …เ…ร…อื่ …งก……าร…บ……วช…จ…ะ…ต…อ …ง…พ…จิ …า…ร…ณ…า… วา่ ผิดหลกั การของการบวช …ถ…ึง…ค…ว…า…ม…ต…า…ย…จ…ะ…เ…ห…็น…ว…า…ช…ีว…ิต…ค…น……ส…ั้น…น……ัก.. …ถ…งึ …จ…ดุ …ม…งุ…ห……ม…าย…ใ…น……ก…า…ร…บ…ว…ช…แ…ล…ะ…ห…ล…กั … ถ้าบวชแล้วอยู่เฉยๆ ไม่ใส่ใจฝึกฝนอบรม …ด…ัง…น…ั้น………เ…ว…ล…า…ท…่ีเ…ห…ล…ือ…อ…ย…ูน……้ีจ…ะ…ต…อ…ง…เ…ร…ง.. …ข…อ…ง…ก…า…ร…บ…ว…ช……เช…น ……ห…ล…กั…ข…อ…ง…ก…า…ร…บ…ว…ช… ตนตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ท�าอะไร …ท…ํา…ค…ว…า…ม…ด…ี …ท……ํา…ป…ร…ะ…โย……ช…น…แ…ก…ส…ัง…ค……ม…ใ…ห.. …ค…ือ……ส…ล……ะค……วา…ม…เ…ป…น…ฆ……ร…าว…า…ส……ด…งั…น……ั้น… …ได……ม …า…ก…ท…ีส่ …ดุ ………………………………………………….. …เ…ป…า…ห…ม…า…ย…ก…า…ร…บ…ว…ช…ค…ือ…ก……าร…ม……ุง…ศ…ึก…ษ…า… ……………………………………………………………………….. …แ…ล…ะ…ป…ฏ…ิบ…ตั……ิธ…ร…ร…ม…………………………………… ……………………………………………………………………….. …………………………………………………………………… ๓. ตวั อยา งใน …พ…ร…ะ…พ…ุท……ธ…เจ……า…ได……ต…ร…ัส……ย…ก…ต…ัว…อ…ย……า…ง…ใน….. …พ…ร…ะ…พ…ุท……ธ…เจ…า…เ…ค…ย…ต…ร…ัส……เป……ร…ีย…บ…เ…ท…ีย…บ… เสยี หายแกพ่ ระศาสนากจ็ รงิ แตไ่ มไ่ ดส้ รา้ งสรรค์ พระไตรปฎ ก …เร…ื่อ…ง……ก…า…ร…ท…ํา…ง…า…น…ว…า………ส…า…ม…า…ร…ถ…ค…ิด……ไ…ด.. …น…ัก……บ…ว…ช…ก…ับ…ค…น……ต…ัด…ไ…ม… …ค……น…ต…ัด…ไ…ม…ถ…า… การวเิ คราะหป์ ญั หาตา่ งๆ ดว้ ยหลกั เหตผุ ลจะทาำ ใหส้ ามารถ อะไรแก่พระศาสนา อย่างนี้ก็ผิดหลักการของ …๒……ด……า…น……ค……น…ท…่ีเ…ก…ีย…จ…ค……ร…า…น…ม…ัก…ค……ิด…ว…า.. …ไ…ม…ร…ูจ…ัก…แ…ก…น……ไ…ม…จ…ร…ิง…ก…็จ…ะ…ไ…ด…แ…ต…ก…่ิง…ไ…ม… …ก…า…ร…ท…ํา…ง…า…น…ต……อ…ง…เห…น……็ด…เ…ห…น…่ือ…ย…จ…ึง……ต…อ…ง.. …เ…ป…ล…ือ…ก…ไ…ม………เช…น……เด……ีย…ว…ก…ับ…พ……ร…ะส……ง…ฆ… พัฒนาความรูแ้ ละสติปญั ญาได้เปน็ อย่างดี การบวช …พ…ัก…ผ…อ…น……เอ…า…แ…ร…ง………แ…ต…ค…น…ข…ย…ัน……จ…ะ…ค…ิด…ว…า.. …ห…า…ก…ไ…ม…เ…ข…า…ใจ…ห……ล…ัก…ธ…ร…ร…ม…ท……ี่แ…ท…จ…ร…ิง…ก…็ …ต…อ…ง…ร…ีบ…ท…ํา…ง…า…น…ใ…ห…ส……ํา…เร…็จ………………………….. …ไ…ม…ส …า…ม…า…ร…ถ…บ…ร…ร…ล…ธุ…ร…ร…ม……ได…………………… 158 ……………………………………………………………………….. …………………………………………………………………… ๖๔ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET หลักธรรมในขอใดสนับสนนุ การคดิ แบบอรรถสัมพันธ 1 โลกยี วิสยั หมายความวา ยังเก่ยี วขอ งกับโลกหรอื เรอื่ งของโลก 1. ไตรวัฏฏ 2. ไตรสิกขา โดยมีความหมายตรงขา มกับโลกุตตระ ซงึ่ แปลวา พน โลก อยูเหนือวสิ ัยของโลก 3. ไตรลักษณ 4. ไตรสรณคมน 2 ไตรสิกขา หรอื สิกขา 3 หมายถงึ ขอปฏบิ ตั ิท่ีตอ งศึกษา 3 ประการ ไดแก อธสิ ีลสกิ ขา อธจิ ิตตสิกขา อธิปญญาสิกขา เรยี กสั้นๆ วา ศีล สมาธิ ปญญา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เนอื่ งจากวธิ ีคิดแบบอรรถสัมพันธ คือ ไตรสิกขาถือเปนพหุลธัมมีกถา หรอื คําสอนธรรมที่พระพทุ ธเจาทรงแสดงบอย และมพี ุทธพจนแ สดงตอเนื่องกันของกระบวนการศกึ ษาฝก อบรม การพิจารณาใหเขาใจความสัมพันธระหวา งหลกั การกับความมงุ หมาย เพอ่ื ใหไ ดผ ลตามความมงุ หมาย ทงั้ นใี้ นการกระทาํ ตามหลกั การใดๆ จะตอ ง มมุ IT เขา ใจความหมายและความมุงหมายของหลกั การน้ันๆ วา ปฏิบตั ิไปเพ่ือ อะไร และนาํ ไปสจู ุดหมายใด ซง่ึ ในแงป รมตั ถน ัน้ ขอ ปฏบิ ัติทตี่ องศึกษาใน ศกึ ษาคนควา เพมิ่ เตมิ เกี่ยวกบั การคดิ แบบอรรถสัมพนั ธ ไดท ่ี ไตรสกิ ขา (ศีล สมาธิ ปญญา) ตา งก็มจี ดุ หมายเดียวกันคอื นิพพาน http://www.dhammathai.org เวบ็ ไซตธรรมะไทย โดยแตล ะขอ ปฏบิ ตั จิ ะตอ งไปตอ เชอ่ื มกบั ขอ อนื่ ๆ จงึ จะบรรลจุ ดุ หมายสดุ ทา ยได ดงั นัน้ ไตรสิกขาจงึ เปน หลักธรรมที่สนับสนนุ การคดิ แบบอรรถสัมพันธ 158 คมู่ ือครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา้ ใจ Expand ถ้าถามว่า บวชมาเพ่ืออะไร เป็นการถามถึง “ความมุ่งหมาย” ของการบวช คนท่ีคิด 1. ครใู หน กั เรยี นเขยี นสรุปประโยชนของการ ไม่สัมพพรนั ะธพก์ ุทนั ธรเจะห้าตว่ารัสงหไวล้ใักนกพารระกสบั ูตเรป1ห้านห่ึงมใานยพรจะะไเตขรวปแลิฎะกออทกรนงอเลก่าทเปางรไียดบ้งเ่าทยียบคนที่บวชมาเหมือน เจริญปญ ญาโดยการคดิ แบบโยนิโสมนสกิ าร บุรุษคนหน่ึงถือขวานเข้าไปในป่าเพ่ือหาแก่นไม้ เน้ือความโดยสรุปว่า บุรุษคนท่ีหน่ึงถือเอากิ่ง และการนําไปประยุกตใชใ นชวี ิตประจาํ วนั และใบไม้ คิดว่าเป็นแกน่ ไม้ คนท่สี องถือเอาสะเก็ดไม้ คนท่สี ามถากเอาเปลือกไม้ คนทส่ี ่ีเอากระพ้ี ของนักเรยี น ลงในกระดาษ A4 แลวนาํ สง คนท่หี า้ ตัดเอาแก่นไม้ ครผู ูสอน บุรุษส่ีคนแรกไม่รูจ้ กั แกน่ ไม้จึงไม่ได้แก่น สว่ นคนท่หี ้ารจู้ ักวา่ แก่นไมค้ ืออะไรจงึ ไดแ้ กน่ คนที่บวชมาในพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่เข้าใจว่า เป้าหมายหรือความมุ่งหมาย 2. ครใู หน กั เรยี นเขยี นแผนผงั ความคดิ เปรยี บเทยี บ ทแ่ี ท้ของการบวชคืออะไร กจ็ ะไมส่ ามารถไดร้ บั ผลของการบวชเตม็ ที่ ลกั ษณะของการคิดแบบปลกุ เราคุณธรรมและ บางคนบวชมาแล้ว ได้รับความเคารพนับถือจากญาติโยม ยินดีในลาภสักการะท่ีเขาถวาย การคิดแบบอรรถสัมพันธ โดยเนน ประเด็น การใชป ระโยชนข องการคดิ ทง้ั 2 วธิ เี ปน สาํ คญั จัดทําลงในกระดาษ A4 แลว นาํ สง ครผู ูสอน ก็ภมู ใิ จวา่ ตนเป็น “พระดงั ” มีคนนบั ถือมาก พอใจอย่เู พยี งน้ี ไมพ่ ยายามฝกึ ฝนตนเพือ่ บรรลธุ รรม ตรวจสอบผล Evaluate สูงขึน้ ผูน้ ้กี ไ็ ดเ้ พียง “กงิ่ ใบของพระศาสนา” บางคนไม่พอใจแค่ช่ือเสียง ลาภสักการะที่ได้รับ พยายามรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ได้รับ 1. ตรวจสอบจากการเขียนสรปุ ประโยชนข องการ ความชมเชยว่าเป็น “พระเคร่ง” ก็พอใจอยู่แค่น้ัน ผู้น้ีก็ได้เพียง “สะเก็ดพระศาสนา” บางคน เจรญิ ปญญาโดยการคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร ไม่พอใจลาภสักการะ และความเคร่งครัดในศีล บ�าเพ็ญสมาธิจนได้ฌานระดับต่างๆ แล้วก็พอใจ และการนาํ ไปประยกุ ตใ ชในชวี ติ ประจาํ วนั เพียงแค่นัน้ ผนู้ ี้ก็ได้เพยี ง “เปลอื กพระศาสนา” บางคนไม่พอใจแค่น้ัน ตั้งหน้าต้ังตาบ�าเพ็ญวิปัสสนา จนได้บรรลุญาณ เป็นพระอริยบุคคล2 3 2. ตรวจสอบจากแผนผังความคิดเปรียบเทียบ ลกั ษณะของการคิดแบบอุบายปลุกเรา ระดบั ตน้ ๆ แลว้ พอใจเพยี งแคน่ ้ัน ผูน้ ้ีไดเ้ พียง “กระพีพ้ ระศาสนา” บางคนปฏบิ ัติจนไดบ้ รรลวุ ิมตุ ิ คุณธรรมและการคดิ แบบอรรถสมั พันธ (ความหลดุ พน้ จากกิเลสทงั้ หลาย) โดยสิน้ เชงิ ผ้นู ้ีนบั ว่าได้ “แก่นพระศาสนา” มองในแง่บุคคลธรรมดา ถ้าถามว่าหลักการของการศึกษาคืออะไร เป้าหมายคืออะไร ถา้ มองแบบแคบๆ กอ็ าจตอบวา่ การศกึ ษาคอื การเรยี น เปา้ หมายของการเรยี น คอื ประกาศนยี บตั ร หรอื ปรญิ ญาบตั ร เพยี งแคน่ ถ้ี อื วา่ เปน็ หลกั การและเปา้ หมายอยา่ งพนื้ ฐาน หลกั การของการศกึ ษา ทแี่ ท้จริง คือ การเรียนรเู้ พอ่ื พฒั นาตนใหม้ ีบุคลกิ ภาพและคุณลกั ษณะพึงประสงค์ เชน่ ความเป็น ผู้มีความเกง่ ความดี และมีความสุข เพ่อื จะเป็นกา� ลงั ในการพัฒนาประเทศชาติและสังคมตอ่ ไป การฝึกจติ ให้เป็นสมาธกิ ็เพอ่ื ผลคือ พฒั นาจติ ใหม้ คี ุณภาพ มคี วามดีงาม มีคณุ ธรรมที่ พงึ ประสงค์ การฝกึ วปิ สั สนากเ็ พอื่ ใหเ้ กดิ ปญั ญา ความรคู้ วามเขา้ ใจชวี ติ และรเู้ ทา่ ทนั ปรากฏการณ์ ทงั้ หลาย สว่ นการฝกึ ใหร้ จู้ กั คดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร กเ็ ปน็ การพฒั นาปญั ญาอยา่ งหนง่ึ เพราะฉะนน้ั การบรหิ ารจติ และการเจริญปัญญาตามแนวทางของพระพุทธศาสนา จงึ เปน็ การสรา้ งบุคลากรที่มี คณุ ภาพ สร้างคนเกง่ คนดี คนมคี วามสุขขึ้นมากๆ เพอื่ น�าความเจรญิ งอกงามและสันตสิ ุขมาสู่ตน และสงั คมส่วนรวมตอ่ ไป 159 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอ ใดเปนวิธีการคิดแบบอรรถสมั พันธ 1 พระสูตร หรือพระธรรมเทศนา คอื คาํ บรรยายธรรมตา งๆ ทต่ี รัสยักเยอ้ื งให 1. กติ ติคดิ หาสาเหตขุ องการเกดิ สรุ ยิ ปุ ราคาวา เกดิ จากอะไร ดว ยการคน จาก เหมาะกบั บคุ คลและโอกาส ตลอดจนบทประพันธ เร่ืองเลา และเรอ่ื งราวท่ีเกย่ี วของ กับหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา อินเทอรเนต็ จนพบคาํ ตอบ 2 วิปสสนา คือ การฝก อบรมปญญาใหเ กดิ ความเหน็ แจง ในสังขารทง้ั หลายวา 2. กรรณกิ ารตองการมีฐานะดี จึงตั้งใจศกึ ษาเลา เรียนและขยนั ทาํ งาน เปน ของไมเ ทีย่ ง เปนทุกข เปนอนตั ตา 3 พระอริยบุคคล คือ บคุ คลผปู ระเสรฐิ ทางพระพุทธศาสนา ถอื วาความเปน จนมีฐานะม่ันคงสมความปรารถนา พระอริยบคุ คลน้ันกําหนดไดดว ยการละกิเลสทีผ่ กู มัดสตั ว (สงั โยชน) ไวใ นภพ 3. กรกฎเสียใจมากท่แี มวตาย แตในทีส่ ดุ กค็ ดิ ไดวา เปน ธรรมดาท่เี กดิ มาแลว ใครละไดนอยกเ็ ปน พระอริยบคุ คลข้ันต่ํา เมอ่ื ละไดม ากก็เปน พระอริยบคุ คล ขน้ั สูงข้นึ ใครละไดท ง้ั หมดกเ็ ปน พระอรหันต ตอ งตาย จึงคลายความเสียใจได 4. กชกรขายผกั ไดไ มด ี เม่ือตรวจสอบพบวา เธอไมระวงั ในการเก็บทําให ค่มู อื ครู 159 ผกั ชํ้าเสยี หาย จึงแกไขปรบั ปรงุ จนขายผกั ไดด ีขนึ้ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เนอื่ งจากการคดิ แบบอรรถสัมพันธเ ปน การคดิ ทม่ี องไปสเู ปา หมายหรอื วตั ถปุ ระสงคอ ยา งถกู จรยิ ธรรม ซงึ่ กรรณกิ าร เปน เพียงบุคคลเดยี วท่ีมีการคดิ แบบมองไปสเู ปา หมายอยา งมจี รยิ ธรรม กลาวคือ กรรณิการม เี ปาหมายทจ่ี ะตอ งมีฐานะดี เธอจงึ มีความคิดท่ีจะ ตั้งใจศกึ ษาเลา เรยี นและขยนั ทาํ งานอยางเต็มท่ี เพอ่ื ท่ีเธอจะไดประสบ ความสาํ เรจ็ ตามเปาหมายทเ่ี ธอต้งั ไว
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถูกตอ งจากการตอบคาํ ถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรยี นรู้ ประจําหนวยการเรียนรู ๑. นกั เรยี นศกึ ษาบทสวดมนตแ์ ปล และนา� บทสวดมนตท์ ่ีไดศ้ กึ ษามาอธบิ ายวา่ มคี วามหมาย หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู อยา่ งไรบา้ ง และจะนา� ความรทู้ ่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาบทสวดมนต์ไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ อยา่ งไร ทา 1. การเขยี นบนั ทึกการบริหารจติ ตามหลัก ๒. นักเรียนคิดว่าพุทธมนต์มีความขลังหรือศักด์ิสิทธ์ิหรือไม่ หากต้องการให้มีมนต์ขลัง อานาปานสตทิ ่นี กั เรยี นปฏิบตั ิในชวี ติ ประจําวัน หรอื ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ จะตอ้ งทา� อยา่ งไร 2. การแปลความหมายและคาํ อธิบายของ ๓. จากค�ากล่าวท่วี ่า “การแผ่เมตตาเป็นการช�าระจิตใจให้บริสุทธ์”ิ นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่ บทสวดมนต เพราะเหตใุ ด 3. การเขยี นสรุปประโยชนข องการเจริญปญญา ๔. ปญั ญาคอื อะไร และมปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง ใหอ้ ธบิ ายพรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ โดยการคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร และการนาํ ไป ๕. การฝกึ ใหเ้ กดิ ปญั ญามวี ธิ กี ารอยา่ งไร ประยุกตใ ชในชวี ติ ประจําวัน กิจกรรมสร้างสรรค์พ²ั นาการเรยี นรู้ 4. แผนผังความคิดเปรยี บเทยี บลักษณะของ การคิดแบบอบุ ายปลกุ เรา คณุ ธรรมและการคดิ แบบอรรถสัมพันธ กจิ กรรมท ี่ ๑ ครูเชิญวิทยากรในท้องถ่ิน ซ่ึงอาจจะเป็นพระภิกษุหรือฆราวาส มาเล่า ประสบการณ์เกี่ยวกับการฝึกสมาธิของท่าน รวมท้ังให้ค�าแนะน�าและสาธิต การฝกึ ปฏิบตั ิสมาธติ ามหลักอานาปานสติ กจิ กรรมท่ ี ๒ ครูนิมนต์พระอาจารย์มาสอนวิธีการฝึกสมาธิตามหลักอานาปานสติ และ ใหน้ ักเรยี นฝกึ ปฏิบตั สิ มาธิ กจิ กรรมท ่ี ๓ ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น ๒ กลุ่ม โดยให้ศึกษาค้นคว้าท�ารายงานในหัวข้อ ต่อไปน้ี กลมุ่ ที่ ๑ ความหมายและประโยชน์ของปัญญา กลมุ่ ที่ ๒ การฝกึ ใหเ้ กดิ ปญั ญา พุทธศาสนสุภาษติ ʾàÚ ¾Êí ʧڦÀÙµÒ¹í ÊÒÁ¤Ú¤Õ Ç±Ø ²Ú ÊÔ Ò¸Ô¡Ò : ¤ÇÒÁ¾ÃÍŒ Áà¾ÃÕ§¢Í§»Ç§ª¹ ¼àŒÙ »¹š ËÁ‹Ù 处 ¤ÇÒÁà¨ÃÞÔ ãËÊŒ Òí àèç 160 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู 1. บทสวดมนตเ ปน การกลา วถึงพระรตั นตรัย โดยใหร ะลกึ ถงึ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ และใหยึดการปฏิบตั ติ นของพระพทุ ธเจา และพระสงฆม าเปน แนวทาง ในการปฏิบัติ เชน การศกึ ษา ความเพียร ความสันโดษ เปน ตน โดยในชีวติ จริง เราสามารถนาํ หลกั ธรรมมายึดถือปฏบิ ัติเพ่ือใหเราเปนคนดไี ด 2. พทุ ธมนตจ ะมคี วามขลงั หรอื ศักด์สิ ทิ ธ์กิ ต็ อเมอ่ื ผปู ฏิบตั ิตอ งมคี ณุ ธรรม ศลี ธรรม และยดึ ม่นั ในความดี 3. เหน็ ดวย เพราะการแผเมตตาเปน การสง ความปรารถนาดีไปยงั สรรพสัตวท้งั หลาย เปนการชว ยเหลอื และแบง ปนความดีใหกบั ผอู น่ื ทงั้ นก้ี ารท่เี ราไดเ ปนผใู หแ ละมอบ สิง่ ดีๆ ใหกับผอู ื่นนั้น ยอ มทาํ ใหจติ ใจของเราบริสุทธม์ิ ากย่ิงข้ึน 4. ปญญา คอื ความรอบรู มีประโยชนอยา งมาก คือ ปญญาสามารถนาํ ไปใชในการแกไ ขปญหา หรือนาํ ไปใชในการสรา งสรรคและพัฒนาความเจรญิ เชน การใชป ญ ญา ในการแกไ ขปญ หาความขดั แยง ทางการเมอื งโดยไมใ ชอารมณแ ละความรุนแรง เปน ตน 5. ต้งั ใจศกึ ษาเลา เรยี นวชิ าความรูทัง้ ทางโลกและทางธรรมใหมาก หม่ันคนควา เพมิ่ เตมิ ในเรอื่ งทีศ่ กึ ษามาแลว เพอื่ ใหเกดิ ความเขาใจทลี่ ุมลึกมากขน้ึ อกี ทง้ั ตองรจู ักนาํ ความรูทีม่ มี าคดิ วเิ คราะห วจิ ารณ อยางรอบคอบและรอบดา น ซึง่ จะทําใหเกดิ ปญญาแตกฉาน มคี วามเฉลยี วฉลาดมากขึ้น 160 คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู ๘หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ การปฏิบัตติ น 1. อธิบายประโยชนข องหลักธรรมคาํ สอนของ ตามหลกั ธรรม พระพุทธศาสนาได ทางพระพทุ ธศาสนา 2. ใชหลักธรรมทางศาสนาเปนหลักในการ ดําเนินชวี ิตได 3. ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมทางศาสนาทต่ี นนบั ถอื เพอื่ การอยรู วมกนั อยา งสันติสุขได ตัวช้ีวดั สมรรถนะของผูเรยี น ● วิเคราะห์การปฏิบัติตนตามหลักธรรมทาง 1. ความสามารถในการคดิ ศาสนาท่ีตนนับถือ เพื่อการดำารงตนอย่าง 2. ความสามารถในการแกปญหา เหมาะสมในกระแสความเปลย่ี นแปลงของโลก 3. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ติ และการอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสันตสิ ขุ (ส ๑.๑ ม.๒/๑๑) คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. รักชาติ ศาสน กษตั รยิ 2. อยูอยางพอเพยี ง สาระการเรียนรู้แกนกลาง กระตนุ้ ความสนใจ Engage ● การปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรม 1. ครใู หน ักเรยี นชว ยกนั ยกตัวอยางวา พระธรรม (ตามสาระการเรยี นรขู้ อ้ ๘) คําสั่งสอนของพระพุทธเจามีอะไรบา ง โดยออกมาเขยี นบนกระดานหนา ชนั้ เรยี น ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹¶Í× à»¹š ËÇÑ ã¨ÊÒí ¤ÞÑ ÊÒí ËÃºÑ ·¡Ø ÈÒÊ¹Ò (แนวตอบ เชน อรยิ สจั 4 พรหมวิหาร 4 ¾Ãо·Ø ¸ÈÒʹҡàç ª¹‹ à´ÂÕ Ç¡ºÑ ÈÒʹÒ͹è× ·ÁèÕ ¾Õ ÃиÃÃÁ¤Òí Ê͹ อทิ ธบิ าท 4 วุฒิธรรม 4 ขนั ธ 5 ทศิ 6 ¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ໚¹ËÑÇã¨ÊíÒ¤ÑÞÊíÒËÃѺ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹ สังคหวตั ถุ สาราณียธรรม 6 เปนตน) â´ÂËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁµÒ‹ §æ ä´¡Œ Í‹ à¡´Ô »ÃÐ⪹µ Í‹ ¡ÒèÃÃâÅ§Ê§Ñ ¤Á ãËÊŒ §ºÊ¢Ø ÀÒÂ㵡Œ ÃÐáʤÇÒÁà»ÅÂèÕ ¹á»Å§¢Í§âÅ¡ â´Â੾ÒÐ 2. ครูสมุ ถามคาํ ถามนกั เรียนวา ËÅÑ¡¸ÃÃÁ¡ÒÃÍ‹ÙËÇÁ¡¹Ñ ÍÂ‹Ò§Ê¹Ñ µÔ梯 • นักเรียนใชหลกั ธรรมใดบา งใน การดําเนนิ ชวี ิตและนาํ มาปฏบิ ตั อิ ยา งไร ´ÇŒ Âà˵¹Ø ËéÕ Å¡Ñ ¸ÃÃÁ¤Òí Ê͹¢Í§¾Ãо·Ø ¸ÈÒʹҨ§Ö ໹š ËÅ¡Ñ ¸ÃÃÁ·´èÕ §Õ ÒÁ Á¤Õ ÇÒÁ໹š àËµàØ »¹š ¼Å áÅÐÊÒÁÒö¾ÊÔ ¨Ù ¹ä ´Œ ´ÇŒ ¡Òû¯ºÔ µÑ Ô ¾·Ø ¸ÈÒʹ¡Ô ª¹·´èÕ ¨Õ §Ö ¤ÇÃÈ¡Ö ÉÒáÅл¯ºÔ µÑ µÔ ¹ µÒÁËÅ¡Ñ ¤Òí Ê͹ Í¹Ñ ¨Ð¹Òí ä»Ê¡‹Ù Òû¯ºÔ µÑ µÔ ¹ã¹·Ò§·¶èÕ ¡Ù µÍŒ § ´Õ§ÒÁ «Ö觨С‹ÍãËŒà¡Ô´»ÃÐ⪹µ‹Íµ¹àͧáÅÐÊѧ¤Á䴌㹠͹Ҥµ เกรด็ แนะครู การเรียนรูเ กย่ี วกบั การปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพอื่ ให นักเรียนตระหนกั ถงึ ความเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภวิ ัตนหรอื ยุคดจิ ทิ ลั ท่ีกระแส วฒั นธรรมตะวันตกแพรก ระจายเขา มาเปน จาํ นวนมาก จึงตองมีการนําหลักธรรม มาใชในการปรับตวั และปฏิบตั ิตนใหเหมาะสมกับกระแสการเปล่ียนแปลงของโลก โดยครคู วรจัดกจิ กรรม ดังนี้ • เขียนเรียงความเร่อื ง วธิ กี ารปฏิบตั ติ นใหเ หมาะสมกบั กระแสการเปล่ียนแปลง ของโลก เพอ่ื ใหน กั เรยี นสามารถนาํ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาปรบั ใชใ น การประพฤติปฏบิ ัตใิ หเหมาะสมกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก • จัดทาํ ผังมโนทศั นแสดงหลักการปฏบิ ัตติ นเพือ่ การอยรู ว มกันอยา งสันตสิ ุข • จดั ทําบนั ทกึ การนําหลกั ธรรมในการอยูร วมกนั อยางสันติสขุ มาปรบั ใชใ น ชีวติ ประจําวัน เพอ่ื ใหนักเรียนสามารถประยุกตใ ชห ลกั ธรรมพระพทุ ธศาสนา ในการดาํ เนินชีวติ และอยูรวมกบั ผูอื่นไดอยา งสันตสิ ุข คมู่ ือครู 161
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครนู าํ ขา วหรือบทความเกี่ยวกับการประพฤติตน ๑. การปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในกระแสความเปลี่ยนแปลง ทไ่ี มเ หมาะสมเพอ่ื แลกกบั การไดม าซง่ึ สนิ คา ฟมุ เฟอ ย ของโลก เชน การทุจริตคอรร ัปชันในหนา ท่กี ารงาน การเอารดั เอาเปรยี บผอู ่นื การเพมิ่ เวลาทํางาน ในปจั จบุ นั สงั คมมนษุ ยม์ กี ารเปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา วทิ ยาการสาขาตา่ งๆ เชน่ วทิ ยาศาสตร์ เปน ตน มาสนทนากบั นักเรียน แลว ชว ยกนั แสดง เทคโนโลยี มคี วามเจรญิ ก้าวหน้ามากขึ้นตามล�าดับ ท�าให้วิถีชวี ติ ของมนษุ ยม์ ีการเปล่ียนแปลงไป ความคดิ เหน็ วา เพราะเหตใุ ด บคุ คลในขา วจงึ ยอม อยา่ งมาก ตวั อยา่ งเชน่ การกนิ อยขู่ องมนษุ ยต์ ลอดจนสขุ ภาพอนามยั ไดร้ บั การพฒั นาใหด้ ขี นึ้ เรอ่ื ยๆ กระทําการดังกลาวเพอื่ แลกกับสิง่ ตา งๆ แม้ว่าความยากจนและความอดอยากจะยังมีอยู่ในดินแดนส่วนต่างๆ ของโลก แต่สภาพการณ์ สา� รวจคน้ หา Explore ปัจจุบันกด็ กี ว่าสมยั ก่อนมาก โดยเฉพาะการคมนาคมขนส่ง ถ้าเทยี บเวลานก้ี บั เมื่อ ๑๕๐ ปีที่แลว้ ความเร็วและความสะดวกสบายจะต่างกนั มาก ตัวอย่างเชน่ กอ่ นท่จี ะมีเครอ่ื งบิน การเดินทางโดย นักเรยี นศึกษาและสบื คนขอมูลเพ่มิ เตมิ เก่ียวกับ ใช้เรอื จากเมืองไทยไปทวีปยโุ รป อาจใช้เวลาเป็นแรมเดอื น แต่ปจั จบุ ันใชเ้ วลาเพียงไมก่ ีช่ วั่ โมง การปฏบิ ตั ติ นอยางเหมาะสมในกระแสความ ส่วนคอมพิวเตอร์ก็นับเป็นส่ิงมหัศจรรย์อีกส่ิงหน่ึงท่ีมนุษย์สร้างสรรค์และประดิษฐ์ข้ึนมา เปล่ียนแปลงของโลก จากหนงั สอื เรยี นหนา คอมพิวเตอร์นอกจากจะเป็นเครื่องทุน่ แรง และทุ่นสมองแล้ว ยังชว่ ยท�าใหโ้ ลกมีความเปน็ อันหนึ่ง 162-165 หรอื จากแหลง เรยี นรูอนื่ ๆ เชน หอ งสมดุ อนั เดยี วกนั มากขน้ึ กลา่ วคอื มกี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั ผา่ นระบบอนิ เทอรเ์ นต็ ทา� ใหส้ ามารถรบั รขู้ อ้ มลู อินเทอรเน็ต ผทู ม่ี คี วามรดู านหลกั ธรรม ญาติผูใหญ ท่ถี ูกตอ้ ง ชัดเจน รวดเรว็ อย่างทัว่ ถึงทุกมมุ โลก และในอนาคตอันใกล้น้ี การนา� หุ่นยนต์มาเป็น เปนตน เพอ่ื นําขอมลู มาอภิปรายและแลกเปลี่ยน เคร่อื งทนุ่ แรงให้มนษุ ย์จะกลายเป็นเร่ืองธรรมดาส�าหรับผูค้ นในสังคมเมอื ง เรยี นรซู ่ึงกันและกันในชนั้ เรียน วัตถุนจ้ีกา็ทก�าทใี่กหล้เก่าวิดมกาานรเี้เปปล็น่ียกนาแรปเปลลง่ียทนางแสปังลคงม1ทแาลงะวจัติตถใุใจนตสาังมคมมามนซุษึ่งมยีค์ วแาลมะสก�าาครัญเปไลม่ีย่นน้อแยปกลวง่าทกาางร อธบิ ายความรู้ Explain เปลยี่ นแปลงทางวตั ถุ โลกและสังคมมนุษย์ในกระแสความ 1. ครูใหน ักเรียนรวมกนั อภปิ รายถงึ ความหมาย เปล่ียนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน เรียกว่าอยู่ ของคําวา บรโิ ภคนิยม วตั ถนุ ิยม และทุนนิยม ในยุคแห่งการ “บริโภคนิยม” ซึ่งหมายถึง จากน้นั นกั เรยี นชว ยกันวเิ คราะหว า บริโภคนิยม การได้กินมากๆ กินดีๆ และใช้มากๆ ใช้ดีๆ วัตถุนิยม และทุนนิยมมีอทิ ธพิ ลตอความคิด มคี วามพอใจในความหรหู ราฟมุ่ เฟอื ย และการดาํ เนนิ ชวี ติ ของนักเรียนอยา งไร พฤตกิ รรมการบรโิ ภคของคนไทยในปจั จบุ นั มคี วามเปลยี่ นแปลงไปจากสมยั กอ่ นคอ่ นขา้ งมาก 2. ครูนาํ สนทนาถงึ ผลดแี ละผลเสียของการ จากอดตี ทปี่ ระเทศไทยยงั คงเปน็ สงั คมเกษตรกรรม แพรกระจายวัฒนธรรมตะวนั ตกเขา มาสู มกี ารบรโิ ภคเพอ่ื การยงั ชพี ตอ่ มาไดป้ รบั เปลยี่ น ประเทศไทย จากนนั้ ครูและนักเรยี นรว มกนั ทีละเล็กละนอ้ ยกลายเปน็ สงั คมอุตสาหกรรม ท่ี วเิ คราะหแ ละอภปิ รายเกย่ี วกบั ปจ จยั ทสี่ ง เสรมิ ให เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการด�ารงชีวิต กระแสวฒั นธรรมตะวนั ตกแพรกระจายเขามาสู การแพร่กระจายของวัฒนธรรมตะวันตก ทำาให้เกิดการ ท�าให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่มีความสะดวกสบาย ประเทศไทยอยางรวดเรว็ เปลยี่ นแปลงในสงั คมปจั จบุ นั (จากภาพ) การรบั เทคโนโลยี มากขึ้น การกอ่ สร้างจากสงั คมตะวันตก 162 เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครคู วรนาํ ภาพผูคนทมี่ ฐี านะยากจนและมคี วามอดอยากกบั ผคู นท่มี ีฐานะ ครใู หน กั เรยี นสืบคน ขอมูล คา นิยมการบรโิ ภคของคนไทยในปจจุบนั ร่ํารวยและใชชวี ติ ทีห่ รหู ราฟุมเฟอยมาเปรียบเทยี บใหนกั เรยี นดู แลวใหนกั เรียน ทนี่ าํ ไปสูการบรโิ ภคนิยม พรอมทง้ั วเิ คราะหข อดี ขอ เสียจากพฤติกรรม แสดงความคดิ เหน็ ที่มตี อ ภาพดังกลาว จากนั้นครสู รุปใหนักเรียนฟงถงึ ความ การบริโภคดังกลา ว สรปุ สาระสาํ คญั เพ่อื นาํ มาอภปิ รายในช้ันเรยี น ไมเ ทา เทียมกันท่ยี ังมอี ยูมากในสังคมโลก ซึง่ เราจะตอ งรจู ักปรับตัวเพอ่ื ใหส ามารถ ดาํ รงชีวติ อยูในสงั คมไดอยางสงบสุข กิจกรรมทาทาย นกั เรียนควรรู ครมู อบหมายใหน กั เรียนเขียนเรียงความเรอื่ ง พระพุทธศาสนากบั วธิ ี การแกป ญหาสงั คมบรโิ ภคนิยมของประเทศไทย ความยาวไมเกิน 1 การเปลี่ยนแปลงทางสงั คม คอื การที่ระบบสังคม กระบวนการ แบบอยาง 1 หนา กระดาษ A4 แลว นาํ สงครผู ูสอน เพือ่ คัดเลอื กผลงานท่ดี ีเยย่ี ม หรอื รปู แบบทางสงั คม เชน ขนบธรรมเนยี มประเพณี ระบบครอบครวั ระบบการ ใหมาอภิปรายหนา ช้นั เรยี น ปกครอง ไดเปล่ยี นแปลงไป ไมวา จะเปน ดานใดก็ตามการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมนี้ อาจจะเปนไปในทางกาวหนาหรือถดถอย เปน ไปไดอ ยางถาวรหรือชวั่ คราว โดยมี การวางแผนใหเ ปนไปหรอื เปน ไปเอง และเปนประโยชนห รือใหโ ทษกไ็ ดท ัง้ สิ้น 162 คูม่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ การรับอารยธรรมจากตะวันตก ค่านิยมท่ีเปล่ียนแปลงไป ล้วนเป็นปัจจัยให้พฤติกรรมของ 1. ครูนาํ สนทนาเก่ียวกับมัชฌิมาปฏิปทาหรือทาง มนษุ ยโ์ ดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในสงั คมเมอื ง มวี ถิ กี ารดา� เนนิ ชวี ติ และการบรโิ ภคทเ่ี คยเปน็ ไปเพอื่ ความ สายกลาง แลว ตั้งประเด็นคําถามใหนักเรยี น อยรู่ อด กลายเปน็ วิถีการด�าเนนิ ชวี ิตและบริโภคเพอื่ ความชอบของแตล่ ะบคุ คล และตามฐานะทาง ชว ยกนั ตอบวา ครอบครัวและสังคม โดยเฉพาะผู้คนในสังคมเมอื งทกุ วนั น้ี การบริโภคส่วนใหญใ่ ชจ้ ่ายในประเภท • ส่ิงสดุ ขวั้ 2 ทางท่พี ระพุทธเจา ทรงคน พบวา สนิ คา้ ฟุ่มเฟือย มีการซื้อและใชส้ นิ ค้าทมี่ าจากต่างประเทศเพือ่ การยอมรับทางสงั คม ไมส ามารถนําไปสูการหลุดพน คอื อะไรบาง (แนวตอบ สิง่ สดุ ขั้วขา งหน่ึง คือ การทรมาน 1.1 การปฏิบัตติ นของชาวพุทธ ตนเองและการอดอาหารเหลอื แตห นงั หมุ กระดกู ส่ิงสดุ ขว้ั อกี ขา งหนงึ่ คือ การปฏบิ ตั ติ นของเราตอ้ งอยภู่ ายใตก้ รอบหลกั ธรรมคา� สอนของพระพทุ ธศาสนา เนน้ ความสขุ การหมกมุนมวั เมากับความสขุ ทางเนอ้ื หนัง สงบทางจิตใจมากกว่าวัตถุ และสอนให้เดินทางสายกลาง และเรียกหลักน้ีว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” หรือทางเพศ) ก่อนทพี่ ระพทุ ธองคต์ รัสรู้ พระองคเ์ คยทดลองวิธกี ารต่างๆ ท่ีคนสมัยนน้ั เชื่อกนั เคยทรมานตวั เอง • มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางที่ เคยอดอาหารเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก น่ีเป็นส่ิงสุดข้ัวข้างหนึ่ง ส่วนส่ิงสุดข้ัวอีกข้างหนึ่งน้ันก็คือ พระพทุ ธเจา ทรงเทศนาไว อยใู นเหตกุ ารณใ ด การหมกมุ่นมัวเมากับความสุขทางเน้ือหนัง ทรงพบว่าท้ัง ๒ ทางนี้ไม่น�าไปสู่การตรัสรู้ จึงทรง ในพทุ ธประวตั ิ และการเทศนาครัง้ น้ันมี ทดลองปฏิบัติทางสายกลาง ปรากฏว่าได้ผล ทางสายกลางได้น�าไปสู่สัจธรรมของชีวิต นี่คือ สาระสําคัญอะไรบาง หลกั ทางสายกลางด้งั เดิม ซึ่งเราสามารถประยุกต์หลักดัง้ เดิมไดก้ ับทกุ อย่าง พระพุทธศาสนามิได้ (แนวตอบ มชั ฌมิ าปฏปิ ทาหรือทางสายกลาง ปฏิเสธความสุขทางกาย แต่เตือนใหร้ ะมดั ระวัง เพราะความสุขทางวตั ถุเปน็ สิง่ ไม่จีรัง พระพุทธเจา ตรัสไวใ นวนั อาสาฬหบชู า และผพู้อรื่นะพคุทวธาศมาหสรนูหารมาิไฟดุ่ม้ปเฏฟิเืสอธยคกว็ไมาม่มมีอ่ังะคไรั่งผิดหสา�ากหครวับามคนมทั่งคั่วั่งไปน้ัทนไี่ยดัง้มเปา็นจปากุถกุชาน1รอไมยู่่เบแียตด่ตเ้อบงียรนะตลนึก ซึ่งพระพุทธเจา แสดงธรรมปฐมเทศนา เสมอวา่ อาจเสอ่ื มสญู ไปไดว้ นั หนงึ่ พระพทุ ธศาสนามไิ ดเ้ ชดิ ชคู วามยากจน แตส่ อนวา่ ความยากจน ใหแ กปญจวคั คยี ใ นวันขนึ้ 15 ค่ํา เป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม และการที่จะ เดือน 8 พระองคท รงเทศนาเรือ่ งธมั มจัก- พ้นจากความยากจนให้มีฐานะข้ึนมานั้นก็ต้อง กปั ปวตั ตนสตู ร ซง่ึ มสี าระสําคญั เกี่ยวกบั เปน็ ไปโดยชอบ การปฏเิ สธสง่ิ สดุ ขวั้ 2 อยา ง แตใ หป ฏบิ ตั ติ าม พระพทุ ธศาสนาสอนเร่อื งสันโดษ สันโดษ2 มชั ฌมิ าปฏปิ ทา ซงึ่ เปน แนวทางในการปฏบิ ตั ิ เพื่อบรรลุถึงอรยิ มรรคมอี งค 8) มไิ ดแ้ ปลวา่ มกั นอ้ ย อยา่ งทค่ี นบางคนเขา้ ใจกนั แปลว่า ยินดีในสิ่งที่ตนหาได้อย่างชอบธรรม 2. ครใู หน กั เรียนยกตัวอยางเหตกุ ารณในชีวติ ความมักน้อยเป็นธรรมของผู้สละโลกถือบวช ประจาํ วนั ทน่ี กั เรยี นสามารถนาํ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา แตช่ าวบา้ นแสวงหาความสขุ ทางวตั ถใุ หม้ ากขน้ึ หรอื ทางสายกลางไปใชในการแกปญหาได ได้ หากเกิดจากความขยันหมั่นเพียรของตน โดยบนั ทกึ ลงในสมดุ แลวนําสงครผู สู อน และไมเ่ บยี ดเบยี นตนหรอื ผอู้ นื่ ผทู้ ที่ �างานพเิ ศษ 3 ตอนเย็นเพื่อให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีขึ้น มไิ ดท้ า� อะไรผดิ จากพทุ ธธรรมหากเดนิ สายกลาง พระสงฆเ์ ปน็ ผทู้ ม่ี วี ตั รปฏบิ ตั อิ ยา่ งสนั โดษในการดาำ เนนิ ชวี ติ พุทธศาสนิกชนทด่ี ีควรถอื เป็นแบบอย่าง 163 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นกั เรียนควรรู “...ในหมบู า นไกลๆ ที่ฉนั ไป เขามี TV ดู แตใ ชแ บตเตอร่ี เขาไมมไี ฟฟา 1 ปุถชุ น คอื คนธรรมดาหรือสามัญชนที่ยงั คงมกี เิ ลส ซง่ึ ยังไมไดเ ปน อรยิ บคุ คล แตถ า Sufffiiciency น้นั มี TV เขาฟุมเฟอย เปรียบเสมือนคนไมม สี ตางค หรอื พระอริยะ มี 2 จาํ พวก คือ อนั ธปุถุชน หมายถึง บุคคลผไู มม ีการเรียน ไปตดั Suit และยงั ใส Necktie Versace อนั นก้ี เ็ กนิ ไป...” การสอบสวน การฟง การทรงจาํ และการพิจารณาในขนั ธ ธาตุ และอายตนะ และ กลั ยาณปถุ ชุ น หมายถงึ บคุ คลผทู ไ่ี ดม กี ารเรยี น การสอบสวน การฟง การทรงจาํ พระราชดํารสั ในรัชกาลที่ 9 ขางตน ตรงกบั ขอ ใดมากที่สุด และการพจิ ารณาในขันธ ธาตุ และอายตนะ 1. ความสขุ ทางวัตถเุ ปนสงิ่ ไมจีรัง 2 สันโดษ เปน มงคลขอที่ 24 ในมงคล 38 ประการ หมายถึง ความยินดี หรือ 2. ความมักนอยเปน ธรรมของผสู ละโลก ความพอใจ ตามมี ตามได ตามกําลงั และความจําเปนของตน พรอมทง้ั มคี วาม 3. ความเพียงพอคือการรูจ ักประมาณตนวา แคไ หนพอเพียง ขยันหมนั่ เพียรหาเล้ยี งชีพดว ยความสจุ ริต 4. ความหรหู ราฟุม เฟอยกไ็ มมอี ะไรผิดสําหรับคนทั่วไปทย่ี ังเปนปุถชุ น 3 วัตรปฏิบตั ิ หมายถงึ การปฏบิ ัติส่งิ ที่พึงปฏิบัตอิ นั เปนกิจวตั รประจํา เปนหนาทบ่ี าง หรอื เปนธรรมเนียมปฏิบตั ิทด่ี ีงามซึ่งปฏบิ ตั กิ นั ตอมาในฝา ยพระ แนวตอบ ตอบขอ 3. เน่ืองจากพระราชดํารัสในขางตน นั้น กลา วถึงความ เชน การปฏิบตั ดิ แู ลพระอปุ ชฌาย การปลงอาบตั ิ การรักษามารยาทในการขบฉัน การปฏบิ ตั ิตามธรรมเนียมในการนุงหม เปน ตน พอเพียงของแตละบคุ คลที่มีไมเ หมอื นกัน ทั้งนี้จะตองมคี วามเหมาะสมกับ ฐานะความเปนอยูของตน ซ่งึ ตรงกับการเดินทางสายกลางหรอื มชั ฌมิ า ค่มู ือครู 163 ปฏปิ ทา โดยเราตองเตือนตวั เองอยูเสมอวา ตองรจู กั พอ รูจกั ประมาณตนวา แคไ หนพอเพยี ง ซง่ึ คนแตล ะคนก็มรี ะดับความพอเพยี งไมเหมอื นกนั ดังนนั้ ขอ 3. จึงเปน คาํ ตอบท่ถี ูกตอง
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครนู ําสนทนาถึงอริยทรัพย 7 วา เปนทรพั ย อยา่ งไรกต็ าม เราตอ้ งเตอื นตนเองอยเู่ สมอวา่ ตอ้ งรจู้ กั พอ รู้จักประมาณว่าแค่ไหนพอเพียง อันประเสรฐิ เปน ทรพั ยภายในทีจ่ ะติดตัวไป ซ่ึงคนแตล่ ะคนระดับความพอเพียงอาจไมเ่ หมือนกนั ตลอดชวี ิต จากน้นั ครตู ้งั ประเด็นคาํ ถามเพือ่ ฝก ทกั ษะการคิดของนกั เรียน ดงั น้ี พระพุทธศาสนาสอนให้คนแข่งขันกัน แต่แข่งขันในการท�าความดี มีความเอ้ือเฟื้อต่อผู้อ่ืน • อรยิ ทรัพย 7 มคี วามสาํ คัญในการดาํ เนินชีวติ มีการแข่งขันโดยชอบธรรม ไมเ่ อาเปรียบ ไมโ่ กง ไมท่ ุจริตซงึ่ กันและกนั ชัยชนะที่ได้จากการท�า ของนักเรยี นอยางไร และนกั เรยี นสามารถ ผดิ ศลี ธรรม มใิ ชส่ งิ่ ทจี่ ะไดร้ บั การสรรเสรญิ จากพระพทุ ธศาสนา การแกง่ แยง่ ประหตั ประหารกนั นน้ั นําไปประยกุ ตใ ชไดอยางไรบาง เกิดจากความโลภ พระพุทธศาสนาสอนให้ระงับและลดความโลภเพื่อความเป็นศัตรูในหมู่มนุษย์ (แนวตอบ อรยิ ทรัพย 7 เปน ทรัพยท่ชี วยใหชวี ติ จะไดน้ อ้ ยลง มคี วามเจรญิ กา วหนา เพราะเปน ทรพั ยท ่ไี มมี ใครเอาไปได โดยสามารถนําไปประยกุ ตใ ชก บั 1.2 อรยิ ทรัพย ์ 7 การศกึ ษาเลา เรียน การทํางานของตนเอง รวมถึงสามารถนําความรคู วามสามารถไป ในพระพุทธศาสนามีหลักธรรม ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในกระแสการ ชว ยเหลือผูอ่ืนตอไป) เปลยี่ นแปลงของโลก คอื หลักธรรมที่มีชื่อว่า “อรยิ ทรพั ย์” 2. ครูใหน ักเรยี นจบั คแู ลว ผลดั กันบอกอริยทรพั ย ในสงั คมบริโภคนิยม ผคู้ นตา่ งแข่งขันกันหาเงินเพอ่ื น�ามาซ้อื สิ่งต่างๆ เพอ่ื การอุปโภคบริโภค ท่แี ตละคนพงึ มี โดยใหยกตัวอยา งสถานการณ ซ่ึงการแข่งขันน้ีอาจส่งผลท�าให้เกิดความเครียดได้ เราควรหาหลักเพ่ือจะช่วยให้การแข่งขันน้ี ทแ่ี สดงถงึ อริยทรัพยข อนั้นๆ จากนนั้ ครูให ลดความเข้มข้นลง พระพุทธศาสนาได้ให้ค�าสอนเร่ืองน้ีแก่เรา เรียกว่า “อริยทรัพย์” หมายถึง นกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายและเสนอแนะแนวทาง ทรัพยอ์ นั ประเสรฐิ ทรัพยอ์ นั เป็นคณุ ธรรมประจ�าใจอย่างประเสรฐิ การพฒั นาตนเองใหม ีอริยทรัพยข ออนื่ ๆ ใหค รบท้ัง 7 ขอ ในทางพระพุทธศาสนามีการแบ่งทรัพย์ออกเป็นประเภทกว้างๆ ได้ ๒ ชนิด คือ ทรัพย์ ภายนอกและทรพั ยภ์ ายใน ทรพั ยภ์ ายนอก หมายถึง ทรัพย์สมบตั ิท่เี ป็นวตั ถทุ วั่ ๆ ไป เช่น เงนิ ทอง 3. ครใู หนกั เรียนชว ยกนั บอกความหมายของ บา้ นเรอื น ยานพาหนะ คําวา “หิร”ิ และ “โอตตัปปะ” วามคี วาม นักเรียนสามารถนำาหลักอริยทรัพย์มาประยุกต์ใช้ในการ ส่วนทรัพย์ภายใน หมายถึง อริยทรัพย์ แตกตางกนั อยา งไร และเม่อื รวมกันเปนคําวา ดำาเนินชีวติ โดยการเข้ารว่ มกิจกรรมเพื่อชว่ ยเหลือสังคม “หิริโอตตปั ปะ” หมายถึงอะไร โดยใหนกั เรียน ได้แก่ คุณสมบัติท่ีฝังแนน่ อยู่ภายในใจ จัดเป็น ยกตวั อยา งเหตกุ ารณข องบคุ คลทมี่ หี ริ โิ อตตปั ปะ ทรพั ยอ์ นั ประเสรฐิ ผมู้ ที รพั ยภ์ ายในยอ่ มหาทรพั ย์ ประกอบการอธิบาย ภายนอกได้ และย่อมสามารถพึ่งพาตนเองได้ ตลอดไป สว่ นทรพั ย์ภายใน หรืออริยทรัพย์ ซง่ึ 4. ครยู กตัวอยางเหตกุ ารณหรือเรอื่ งราว แลวให แปลวา่ ทรพั ยอ์ นั ประเสรฐิ มี ๗ อยา่ ง ดงั ตอ่ ไปนี้ นักเรยี นใชปญญาแยกแยะวาควรทําหรอื ไม ควรทํา เพราะเหตุใด เชน การหนีเรยี น การ (๑) ศรทั ธา หมายถงึ ความเชอ่ื ทม่ี ี ลอกขอสอบ การหลบั ในหอ งเรยี น การนินทา เหตผุ ล มน่ั ใจในหลกั ทถ่ี อื และในความดที ท่ี า� หรอื อาจารย การลอ ชือ่ พอ แมเ พอ่ื น การชวย หมายถงึ ความเลือ่ มใสศรทั ธาในพระธรรม ครูถือของ การพาคนแกข ามถนน การชวย งานบา นพอแม การติวหนงั สอื ใหเ พอื่ น เปนตน (๒) ศีล หมายถึง การรักษากาย วาจาให้เรยี บร้อย ประพฤติถูกตอ้ งดีงาม (๓) หิริ หมายถึง ความละอายใจ ต่อการท�าความช่วั 164 เบศรู ณรากษารฐกจิ พอเพยี ง ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET สุรีรตั นไปฟง ธรรมท่วี ดั กบั คณุ ยายเปนประจาํ ตั้งแตเ ดก็ จนถึงปจจุบนั “เงนิ ทองของมายา ขา วปลาสขิ องจรงิ ” คาํ พดู นี้มักปรากฏใหเห็นอยเู สมอ จงึ ทาํ ใหเธอเปน คนทม่ี คี วามเล่อื มใสในพระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา ในหนงั สอื หรือบทความเกย่ี วกบั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง จากคําพูดดังกลาว อยางแทจ ริง สรุ ีรัตนเ ปน ผูมอี ริยทรัพยในขอใด ครูใหน กั เรียนปฏิบัติ ดงั นี้ 1. ศีล - จาคะ 2. หิริ - ปญญา • รว มกันตีความ เพือ่ คน หาความหมาย ขอ คดิ และวตั ถปุ ระสงคของคาํ พดู 3. จาคะ - โอตตัปปะ ดังกลาว 4. ศรัทธา - พาหสุ จั จะ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. จากการที่สุรรี ตั นไ ปฟง ธรรมทว่ี ัดกบั • รว มกนั วิเคราะหวา เพราะเหตุใดคนสวนใหญในสงั คมปจ จบุ นั จึงใหความ คุณยายเปนประจําตัง้ แตเ ดก็ จนถึงปจ จุบัน จงึ ทําใหเ ธอเปน ผูทไ่ี ดย นิ ไดฟ ง สาํ คญั กบั “เงินทอง” มากกวา “ขา วปลา” และจะมแี นวทางใดบา งที่ทาํ ให ไดศ กึ ษาพระธรรมคาํ สอนตางๆ เปนอยา งมาก ซึ่งตรงกับอรยิ ทรพั ยข อ คนเหลานัน้ เปลี่ยนความคิดมาใหค วามสาํ คัญกับขาวปลามากข้ึน พาหสุ ัจจะ และการท่เี ธอเปน ผูท่มี ีความเล่อื มใสศรทั ธาในพระธรรมคําสอน ของพระพทุ ธเจาอยางแทจริง ตรงกับอรยิ ทรัพยข อ ศรทั ธา ดงั นั้น ขอ 4. 164 คมู่ ือครู จงึ เปน คําตอบทถ่ี กู ตอ ง
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain (๔) โอตตัปปะ หมายถงึ ความเกรงกลัวตอ่ ผลของการทา� ความชั่ว ครูใหนกั เรยี นทาํ กิจกรรมที่ 8.1 จากแบบวัดฯ (๕) พาหสุ จั จะ หมายถงึ ความเป็นผ้ไู ด้ศึกษาเลา่ เรยี นมาก เปน็ ผ้ไู ด้ยินไดฟ้ งั มาก พระพุทธศาสนา ม.2 (๖) จาคะ หมายถึง ความเสียสละ ความเออื้ เฟื้อเผือ่ แผ่ (๗) ปัญญา หมายถึง ความรูค้ วามเขา้ ใจถ่องแทใ้ นเหตุผล สามารถแยกแยะเหตุผล ใบงาน ✓แบบวัดฯ แบบฝกฯ ดชี ่ัวถกู ผดิ คณุ โทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ร้คู ดิ รูพ้ จิ ารณา และรูท้ จี่ ะจดั ทา� พระพทุ ธศาสนา ม.2 กิจกรรมที่ 8.1 ในทางพระพทุ ธศาสนาถอื วา่ ทรัพยภ์ ายในหรอื อรยิ ทรัพยม์ ีคณุ ค่ากวา่ ทรัพย์ภายนอก เพราะ ไมม่ ผี ูใ้ ดแยง่ ชิงไปได้ ไมส่ ญู หายไปดว้ ยภยั อนั ตรายต่างๆ ท�าใจให้ไม่อา้ งว้างยากจน และเป็นทนุ หนว ยที่ 8 การปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา สรา้ งทรพั ยภ์ ายนอกได้ดว้ ย กิจกรรมตามตวั ชี้วัด ๒. การปฏบิ ัตติ นเพอ่ื การอยรู่ ว่ มกันอยา่ งสันตสิ ุข กิจกรรมที่ ๘.๑ ใหน กั เรยี นศกึ ษาคน ควา หลกั อรยิ ทรพั ย แลว นาํ มาเขยี นลงใน คะแนนเตม็ คะแนนทไี่ ด การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขคือการอยู่ร่วมกันโดยปราศจากความรุนแรง คนเรามีความเห็น แผนภมู ิท่ีกําหนดให (ส ๑.๒ ม.๒/๑๑) ขดั แยง้ กนั ได้ แตไ่ มจ่ า� เปน็ ตอ้ งมคี วามรนุ แรง คอื มคี วามคดิ เหน็ ตา่ งกนั แตไ่ มท่ า� รา้ ยกนั การทา� รา้ ย ñð กันมไี ด้ ๓ ทาง ไดแ้ ก่ ทางกาย เชน่ ตีด้วยของแขง็ ยิงดว้ ยปนื ใชก้ า� ลังขวางทางเพ่ือไม่ใหไ้ ป ทางวาจา เชน่ ดา่ ดว้ ยถอ้ ยคา� หยาบคาย พดู ประชด พดู เสยี ดสี เปน็ ตน้ และทางใจ เชน่ แชง่ ในใจ แนวทางแกไขปญ หาการปฏบิ ัติตนในปจจุบัน คิดพยาบาท เป็นตน้ วธิ ีการแก้ปัญหาเกยี่ วกบั ความรนุ แรง มีดงั นี้ ใชห ลกั ธรรมอริยทรพั ย (ทรพั ยอ ันประเสริฐ) 2.1 ความรุนแรงกับความยตุ ธิ รรม ประกอบดวย สถานที่ใดก็ตามที่ไม่มีความยุติธรรมมักจะมีความรุนแรงเกิดข้ึน บางทีคนเราก็มีความเห็น ต่างกันว่าอย่างนี้ยุติธรรมหรือไม่ น�ามาซึ่งความล�าเอียง อันเป็นท่ีมาแห่งความไม่ยุติธรรม ศรทั ธา หมายถงึ …ค……วา…ม…เ…ช่อื…ท……่มี …ีเห…ต…ุผ…ล………….. โอตตปั ปะ หมายถงึ ……ค…ว…า…ม…เก…ร…ง…ก…ล…ัว…ต…อ …….. เฉฉบลับย มดี ้วยกัน ๔ ประการ หรือทเ่ี รียกวา่ อคติ ๔ ได้แก่ ทางความประพฤตทิ ผี่ ิด มี ๔ อยา่ ง ดงั นี้ …ม…ั่น…ใ…จ…ใน……ห…ล…กั …ท…ีถ่ …อื…แ…ล…ะ…ใ…น…ค…ว…า…ม…ด…ีท…ี่ท…ํา………….. …ผ…ล…ข…อ…ง…ก…า…ร…ท…าํ ค……วา…ม…ช…ว่ั …………………………………….. (๑) ฉันทาคติ คือ ความล�าเอียงเพราะชอบ หมายถงึ การกระทา� สง่ิ ทีไ่ ม่ควรทา� ด้วย ศลี หมายถงึ ……ก…า…ร…ร…ัก…ษ…า…ก…า…ย…ว…า…จ…า…………….. พาหสุ จั จะ หมายถงึ ……ค…ว…าม…เ…ป…น…ผ…ู…ได…ศ……ึก…ษ…า. ความชอบพอรกั ใคร่กัน เช่น การใหล้ าภใหย้ ศ หรอื การตดั สินความต่างๆ ด้วยอา� นาจความพอใจ …ใ…ห…เร…ีย…บ…ร…อ …ย…ป…ร…ะ…พ…ฤ…ต…ถิ…กู……ต…อ…ง…ด…ีง…าม……………….. …เล…า…เ…ร…ีย…น…ม…า…ก……เป…น…ผ…ูไ…ด…ย…ิน……ได…ฟ…ง…ม…า…ก…………….. รักใคร่ ย่อมทา� ให้เสยี ความเป็นธรรม หริ ิ หมายถงึ ……ค…ว…า…ม…ล…ะ…อา…ย…ใ…จ…ต…อ…ก…า…ร…ท…ํา…….. จาคะ หมายถงึ ……ค…ว…า…ม…เส……ีย…ส…ล…ะ…………………. …ค…ว…า…ม…ชวั่……………………………………………………………….. …ค…ว…า…ม…เอ…้ือ…เฟ……อ …เผ…อ่ื …แ…ผ… ……………………………………….. (๒) โทสาคติ คอื ความลา� เอยี งเพราะชงั หมายถงึ การกระทา� สงิ่ ทไ่ี มค่ วรทา� ดว้ ยความ เกลียดชังไม่ชอบกนั การไมใ่ ห้ลาภไมใ่ ห้ยศ การตัดสนิ ความตา่ งๆ ด้วยความเกลยี ดชัง ย่อมทา� ให้ ปญ ญา หมายถงึ …ค…ว…า…ม…ร…ู …ค…ว…าม…เ…ข…า ใ…จ…ถ…อ …ง…แ…ท…ใ …น…เ…ห…ต…ผุ …ล……ส…า…ม…าร…ถ…แ…ย…ก…แ…ย…ะ…เห……ต…ผุ …ล…ด……ชี วั่……ถ…กู …ผ…ดิ ……ค…ณุ ……โท……ษ. เสียความเปน็ ธรรม …ป…ร…ะ…โย…ช…น…… ม…ิใ…ช…ป…ร…ะ…โย…ช…น…… ร…คู……ดิ ……รพู……ิจ…าร…ณ……า……แล……ะร…ูท…จ่ี…ะ…จ…ัด…ท…าํ………………………………………………………………………………. (๓) โมหาคติ คือ ความล�าเอยี งเพราะหลงหรอื ความเขลา หมายถงึ การกระท�าสงิ่ ท่ี ๗๕ ไมค่ วรทา� ดว้ ยความโงเ่ ขลา เชน่ การใหล้ าภใหย้ ศหรอื ไมใ่ ห้ และการตดั สนิ ความตา่ งๆ ดว้ ยอา� นาจ ความโงเ่ ขลาย่อมท�าใหเ้ สยี ความเป็นธรรม ขยายความเขา้ ใจ Expand (๔) ภยาคติ คอื ความลา� เอยี งเพราะกลวั หมายถงึ การกระทา� สง่ิ ทไี่ มค่ วรทา� ดว้ ยความ ครูใหนกั เรียนเขียนเรียงความเรอื่ ง วิธีการ กลัว เช่น การใหล้ าภ ให้ยศ ตัดสินความด้วยอ�านาจแห่งความกลวั ยอ่ มทา� ใหเ้ สียความเปน็ ธรรม ปฏบิ ัติตนใหเ หมาะสมกบั กระแสการเปล่ยี นแปลง ของโลก โดยใหย กตวั อยา งหลกั ธรรมทางพระพทุ ธ- ศาสนาทีส่ ามารถนาํ มาใชเ ปน หลกั ในการดําเนิน ชวี ิตใหเ หมาะสมกบั กระแสการเปลีย่ นแปลง ดงั กลา วอยา งนอ ย 3 หลกั ธรรม ความยาวไมเ กนิ 1 หนากระดาษ A4 แลวนําสง ครูผูส อน ตรวจสอบผล Evaluate 165 ตรวจสอบจากเรยี งความเรอื่ ง วธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นให เหมาะสมกบั กระแสการเปลยี่ นแปลงของโลก แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด บูรณาการอาเซยี น อรพมิ ตดั สนิ ใจลาออกจากงาน เนอ่ื งจากไมพอใจทห่ี วั หนาใหค วาม ยุตธิ รรมกบั ลูกนองไมเทาเทียมกัน การกระทําของอรพมิ ตรงกบั อคติ 4 ครูอธบิ ายนักเรียนเกีย่ วกบั ความหลากหลายทางศาสนาของประเทศสมาชิก ในขอใด อาเซียน โดยอธบิ ายวา ประชากรในประเทศสมาชิกอาเซียนมกี ารนบั ถอื ศาสนา 1. ภยาคติ 2. โทสาคติ แตกตา งกันไป ทงั้ ศาสนาอสิ ลาม พระพทุ ธศาสนา และคริสตศาสนา ดงั น้นั 3. โมหาคติ 4. ฉันทาคติ เยาวชนไทยจะตองศึกษาประวตั ิ หลกั คําสอน และขอปฏิบัติของศาสนาตางๆ ใหเ ขา ใจอยา งถอ งแท เพ่ือใหสามารถปฏบิ ตั ติ วั ตอคนตางศาสนิกไดถูกตอง รวมทั้ง วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เนื่องจากโทสาคติเปนการกระทําส่งิ ที่ เพ่ือใหเกิดการยอมรบั ความแตกตา ง ตลอดจนเคารพและใหเกียรตผิ ูน ับถอื ศาสนา ตา งๆ จะไดส ามารถอยูรว มกนั ไดอยางสนั ติสขุ ซึ่งเรือ่ งของศาสนาถือเปนสวนหนึ่ง ไมค วรทาํ ดว ยความเกลียดชัง ไมช อบกนั การไมใหลาภยศ การตดั สินความ ของประชาสงั คมและวฒั นธรรมอาเซยี น อันเปนหน่งึ ในสามเสาหลักของประชาคม ตางๆ ดว ยความเกลยี ดชงั ยอ มทาํ ใหเสียความเปนธรรม ซง่ึ การกระทาํ อาเซียน ของอรพมิ นัน้ ทําไปเน่ืองดวยความเกลียดชงั และความไมพ อใจท่หี ัวหนา ไมม คี วามยุตธิ รรมใหแ กล กู นอ งทุกๆ คนอยางเทาเทียมกนั จึงทาํ ใหเธอ ตดั สินใจลาออก คมู่ อื ครู 165
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครยู กตวั อยางขา วความรุนแรงทเ่ี กิดขึ้นใน อคติ ๔ อยา่ งนจี้ ดั เปน็ อกุศลกรรม เป็นส่ิงท่ีควรหลีกเว้น ไมค่ วรประพฤติ บคุ คลใดหลีกเวน้ ประเทศไทยและตา งประเทศ แลว ใหนักเรียน อคติเหล่าน้ี บุคคลน้ันย่อมจะเป็นผู้เจริญด้วยเกียรติยศ มีผู้เคารพนับถือ มีผู้เช่ือฟังค�า และ ชว ยกันวิเคราะหสถานการณความรุนแรงดังกลาว มีผู้ยกย่องสรรเสริญ อคติ ๔ อย่างนี้เป็นอกุศลกรรม ท�าลายการปกครอง ผู้มีอ�านาจตัดสิน พรอมทงั้ เสนอแนะแนวทางการปฏบิ ัติตนเพื่อการอยู เพ่ือทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม พึงเว้นอคติ ๔ ต้องวินิจฉัยด้วยปัญญา กล้าแสดงเหตุผลผิดถูก รวมกนั อยางสนั ตสิ ขุ ตดั สนิ อยา่ งเทย่ี งธรรม จงึ จะไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธย์ิ ตุ ธิ รรม ผปู้ กครองทห่ี วงั ผลสา� เรจ็ ในการปกครอง หวงั ความเจรญิ ก้าวหน้าของหมคู่ ณะของสังคมส่วนรวม พึงประพฤติหลักเวน้ อคติเหล่าน้ี สา� รวจคน้ หา Explore นกั เรียนศกึ ษาและสืบคนขอมลู เพ่ิมเตมิ เกีย่ วกบั 2.2 ความรนุ แรงกับความไม่รู้ การปฏบิ ัตติ นเพ่ือการอยรู ว มกนั อยางสันติสขุ จาก หนงั สอื เรยี นหนา 165-169 หรอื จากแหลง เรยี นรอู น่ื ๆ ความรุนแรงในบางคร้ังเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้หรือความเข้าใจผิด ชาวพุทธท่ีดีต้องหม่ัน เชน หอ งสมดุ หรอื อนิ เทอรเน็ต เปนตน แสวงหาความร้เู พือ่ ปอ้ งกันมใิ ห้เกดิ ความรนุ แรง โดยปฏิบตั ิตนตามหลกั วุฑฒิธรรม ๔ หรือวฒุ ิ ๔ เพอ่ื นําขอ มลู มาอภปิ รายและแลกเปลีย่ นเรียนรู คือ ธรรมเป็นเหตุแห่งความเจริญ หมายถึง คุณธรรมที่เป็นเครื่องเพ่ิมพูนความเจริญงอกงาม ซึง่ กันและกันในชน้ั เรยี น มี ๔ ประการ ดงั น้ี ปญั ญาเป็นก(ัล๑ย) าสณปั มปติ ุรรสิ2สงั เสวะ แปลวา่ เสวนาสตั บุรุษ1 หมายถึง การคบหาทา่ นผู้ทรงธรรมทรง อธบิ ายความรู้ Explain (๒) สทั ธมั มสั สวนะ แปลวา่ การฟงั ธรรม หมายถงึ การฟงั คา� แนะนา� สง่ั สอนของสตั บรุ ษุ ดว้ ยความเคารพและน�าค�าทท่ี ่านสอนมาปฏบิ ัติตาม และเอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรยี น 1. ครสู ุมใหนักเรยี นยกตวั อยางสถานการณท ่ี (๓) โยนโิ สมนสิการ แปลว่า การท�าไว้ในใจโดยแยบคาย หมายถงึ ตรติ รอง พจิ ารณา เกย่ี วกบั ความรุนแรง อันมสี าเหตุมาจากความ ธรรมทีฟ่ งั แล้วดว้ ยปัญญา ใหร้ ู้วา่ สง่ิ ใดดี สิง่ ใด ไมยุติธรรมท่ีนกั เรยี นพบเจอมาดวยตนเอง ไมด่ ี สิง่ ใดควร สงิ่ ใดไมค่ วร และให้รู้วา่ ค�าสอน จากน้ันใหน ักเรียนรว มกันอภิปรายในประเด็น ของท่านนั้น ตนควรปฏิบัติตามได้มากน้อย เกยี่ วกับการนาํ หลักอคติ 4 มาปรบั ใชเ พอื่ ขจดั เพยี งไร เมอื่ ปฏบิ ตั แิ ลว้ เกดิ ผลอยา่ งไร สามารถ ความรนุ แรงจากความอยุตธิ รรม จบั สาระทจ่ี ะนา� ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ (๔) ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ แปลว่า 2. ครนู าํ สนทนาเกีย่ วกบั วุฑฒธิ รรม 4 หรอื การปฏบิ ตั ธิ รรมตามสมควรแก่ธรรม หมายถึง ธรรมเปนเหตแุ หง ความเจริญ แลวใหน กั เรียน สมควรแก่หน้าท่ี สมควรแก่เพศ และสมควร วิเคราะหต นเองตง้ั แตอดตี จนถึงปจจบุ นั วา แก่วยั 2ก.3ลา่ วพคือรหถมกู ตวอ้ หิ งาตราม 4ห3 ลกักบักาสรนั ตสิ ขุ นกั เรยี นมกี ารประยกุ ตใ ชห ลกั วฑุ ฒธิ รรมขอ ใดบา ง ในการดาํ เนนิ ชวี ติ ใหม คี วามเจรญิ กา วหนา มากขนึ้ การปฏิบัติตามหลักวุฑฒิธรรม ๔ ชว่ ยให้การเรียนรตู้ ่างๆ ความรุนแรงในบางครั้งเกิดจากการไม่มี จากนั้นใหนักเรียนจับคูแ ละเลาเหตุการณ มีประสิทธิภาพมากข้ึน จึงทำาให้สามารถเขียนอ่านได้ดีขึ้น นา�้ ใจ หรอื ไมม่ คี วามเปน็ มติ รตอ่ กนั พรหมวหิ าร ดงั กลา วใหเ พ่อื นฟง ตามไปด้วย และยังทำาให้เรยี นหนงั สือไดด้ ีด้วย ๔ หมายถงึ ธรรมประจ�าใจอันประเสริฐ 166 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET “ธโี ร จ สุขสํวาโส ญาตีนวํ สมาคโม” สอดคลอ งกบั หลักวุฑฒธิ รรม 4 1 สตั บรุ ุษ คือ คนที่มสี มั มาทฐิ ิ และเปน คนดที ่ีนา นับถือ เพราะมคี ณุ ธรรมและ ขอใดมากทีส่ ดุ ประพฤติตนอยูในกรอบของศลี ธรรมอันดีงาม 1. สัปปรุ ิสสงั เสวะ 2 กลั ยาณมิตร คอื มิตรท่ีดงี ามและนาคบหา เพราะเปน บัณฑติ ทีพ่ ึงนบั ถอื และ 2. สทั ธมั มสั สวนะ นําพาไปสูความเจริญในชีวติ 3. โยนโิ สมนสกิ าร 3 พรหมวิหาร 4 หลกั ธรรมขอน้ีทําใหผปู ฏิบัติเปน พรหม คือ ตามหลักธรรม 4. ธัมมานธุ ัมมปฏปิ ต ติ คาํ สอนในพระพทุ ธศาสนา มคี วามเชอ่ื วา ถา เราเอาชนะความโลภ ความเหน็ แกต วั ได วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เนอ่ื งจากพุทธศาสนสภุ าษิตท่วี า ธีโร จ กจ็ ะหลุดพน จากความทกุ ขเวทนา คอื หลุดพน จากการเวียนวายตายเกดิ ทําใหอยู สุขสวํ าโส ญาตนี ํว สมาคโม แปลวา อยรู ว มกบั ปราชญน ําสุขมาให ในสถานะพรหม คอื เปนผูประเสริฐและไมเกยี่ วขอ งกับกาม เหมอื นสมาคมกับญาติ มคี วามสอดคลองกบั หลักธรรมสัปปรุ สิ สงั เสวะ ซ่งึ เปนหนึ่งในหลักธรรมของวฑุ ฒิธรรม 4 โดยสปั ปุรสิ สังเสวะ หมายถึง การคบหาทานผทู รงธรรมทรงปญ ญาเปน กัลยาณมติ ร 166 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ พรหมวิหาร ๔ เป็นหลักธรรมที่ส�าคัญข้อหน่ึงที่จะช่วยให้คนเราอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข 1. ครแู ละนกั เรียนรวมกันอภิปรายในประเด็น มคี วามรัก ค(๑วา)มเเมอต้อื ตอาา1ทครอื ตอ่ คกวนัามดรงักั นใคี้ ร่ ปรารถนาใหผ้ อู้ ืน่ ไดร้ ับความสขุ พรหมวหิ าร 4 กบั การอยรู วมกนั ในสงั คมอยา ง (๒) กรณุ า คือ ความสงสาร คิดชว่ ยให้ผอู้ ื่นพ้นทุกข์ สงบสุข จากน้นั ครูตงั้ คาํ ถามเพ่ือใหน ักเรยี น (๓) อมเุุทบิตกาขาค2ือคือควาวมางยใินจดเปีดน็ ้วกยลเมาื่องผเูอ้ มน่ื อื่ มเหีคน็วาผมอู้ สน่ื ุขเป็นทุกข์หรอื เปน็ สขุ ก็รับวา่ ทุกอย่าง ฝกทกั ษะการคิดวเิ คราะห (๔) • ถาประชาชนทุกคนมพี รหมวิหาร 4 เปน เปน็ ไปตามกฎแห่งกรรมตามสมควรแกเ่ หตุ หลักธรรมประจําใจ จะสงผลตอประเทศ ชาติและสงั คมโลกอยา งไร เร่ืองนา่ รู้ (แนวตอบ หากประชาชนมพี รหมวิหาร 4 เปนธรรมประจําใจ จะทาํ ใหป ระเทศชาติ คณุ ประโยชนข์ องพรหมวิหาร 4 มคี วามเจริญกา วหนาเทาเทยี มกับนานา อารยประเทศและมีสันติสขุ เกิดขนึ้ อยา ง ๑. ผู้มีพรหมวิหาร ๔ ย่อมผูกมิตรไว้มาก เมื่อจะทำาอะไรหรือไปยังสถานท่ีใด ก็จะได้รับการต้อนรับจาก แทจ รงิ สาํ หรับสังคมโลกก็จะมีความสนั ติสขุ มติ รสหายด้วยดี เกดิ ขน้ึ เชน กัน เนอื่ งจากประชาชนหรอื ผนู าํ ประเทศตา งๆ จะมคี วามเหน็ ใจซงึ่ กนั และกนั ๒. เปน็ ผมู้ องการณไ์ กลและพจิ ารณาชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมเี หตมุ ผี ล จติ ใจมกั เยอื กเยน็ สขุ มุ ทำาสงิ่ ใดกไ็ มต่ ง้ั อยใู่ นความ คอยชวยเหลือประเทศเพ่อื นบา นหรอื ไม่ประมาท ประเทศตา งๆ ใหพ น ทกุ ข เชน ประชาชนไทย ชว ยกนั บริจาคเงนิ เพ่ือชวยเหลอื ผูประสบภัย ๓. ส่งเสริมใหเ้ กิดคุณธรรมอนื่ ๆ ตามมา ทางธรรมชาตใิ นตางประเทศ เปนตน ) ๔. ทำาให้สังคมเจรญิ ก้าวหนา้ และมีสันติสุข ๕. ถา้ ผู้นำาของประเทศใดมีพรหมวิหาร ๔ กจ็ ะสามารถช่วยเหลือประเทศเพื่อนบา้ นหรือแม้แต่ประเทศที่อยู่ 2. ครูใหนกั เรียนชวยกนั วเิ คราะหว า หากผนู าํ ห่างไกลออกไปให้พ้นทุกข์ได้ เช่น รัฐบาลไทยให้การช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจาก ชมุ ชนหรือประเทศมีความเปนอตั ตาธปิ ไตยสูง เหตกุ ารณ์แผ่นดินไหวทีป่ ระเทศเฮติ เปน็ ต้น จะสง ผลตอ ประชาชนในทอ งถนิ่ หรอื ในประเทศ อยางไร 2.4 อธปิ ไตย 3 กบั สันตสิ ุข (แนวตอบ หากผูน าํ ชมุ ชนหรือผูนาํ ประเทศ มีความเปนอัตตาธิปไตยสงู จะทําใหประชาชน การทผี่ ูม้ อี า� นาจในการตัดสินใจจะท�าอะไรลงไปน้ัน อาจยึดถือหลักอธปิ ไตย ๓ อนั หมายถงึ ในประเทศไดร ับความเดอื ดรอนยากลาํ บาก ความเปน็ ใหญ่ ภาวะท่ีถือเอาเปน็ ใหญ่ ความเป็นอสิ ระ จา� แนกออกเปน็ ๓ อย่าง ดงั นี้ สงั คมเกดิ ความวนุ วาย ระสาํ่ ระสาย เพราะผนู าํ จะกระทาํ กจิ การงานตา งๆ โดยยึด (๑) อตั ตาธิปไตย แปลว่า ความมีตนเป็นใหญ่ ถอื ตนเป็นใหญ่ กระท�าการด้วยปรารภ ผลประโยชนข องตวั เองเปน ทตี่ ้ัง ไมส นใจวา ตนเป็นประมาณ หมายถึง กิจการทบ่ี คุ คลพึงกระท�าโดยมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งอันตนจะพงึ ได้ ใครจะไดร บั ผลกระทบหรือผลเสียจาก พฤติกรรมของตนเอง) (๒) โลกาธิปไตย แปลวา่ ความมีโลกเป็นใหญ่ ถอื โลกเปน็ ใหญ่ กระท�าการด้วยปรารภ นิยมของโลกเป็นประมาณ หมายถึง กจิ การทีบ่ ุคคลพึงกระทา� โดยมุ่งใหผ้ อู้ นื่ สรรเสริญ หากไมท่ �า กก็ ลัวผ้อู ่ืนจ(ะ๓น)ินทธมัามนาัน่ ธคิปอืไตอย3้างแคปวลาวมา่ เหค็นวขาอมงมคีธนรหรมมู่มเปา็นกใเหปญน็ ใ่ หถญอื ่ธรรมเป็นใหญ่ กระท�าการดว้ ย ปรารภความถูกตอ้ ง เปน็ จริง สมควรตามธรรมเปน็ ประมาณ หมายถึง กิจการทบี่ คุ คลพงึ กระทา� โดยมงุ่ ความถกู ตอ้ งเปน็ จรงิ สมควรตามธรรม นนั่ คอื ธรรมาธปิ ไตย อา้ งเหตผุ ลอนั ถกู ตอ้ งเปน็ ใหญ่ 167 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นกั เรยี นควรรู “กฎของบา นหลงั นี้ มี 2 ขอ คือ ขอ 1. ไมวาอะไรจะเกดิ ขึ้น เจา ของบาน ถูกเสมอ ขอ 2. ถา ไมเขาใจ ใหย อนกลับไปดูท่ีขอ 1. อกี ครัง้ ” ขอ ความ 1 เมตตา คือ ความปรารถนาใหผ อู ่นื ไดร ับความสุข ทง้ั น้ีความสขุ เปน สิ่งที่ ดงั กลา วสอดคลอ งกบั หลกั ธรรมในขอ ใด ทกุ คนปรารถนา โดยความสขุ เกิดข้นึ ไดท ้ังกายและใจ ซ่งึ ความสุขของคฤหสั ถ 1. คณาธปิ ไตย 2. อัตตาธิปไตย มี 4 ประการ ไดแก ความสขุ อันเกิดจากการมที รพั ย ความสขุ อันเกดิ จากการใช 3. โลกาธิปไตย 4. ธัมมาธิปไตย จายทรพั ย ความสขุ อันเกดิ จากการไมเ ปน หน้ี และความสุขอันเกดิ จากการทํางาน ทป่ี ราศจากโทษ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เนอื่ งจากอัตตาธิปไตย แปลวา ความมีตน 2 อุเบกขา คนมกั เขา ใจกันวา หมายถงึ การวางเฉย ไมเขาไปยงุ เกยี่ ว แตอนั ทจี่ ริง หมายถงึ การทาํ ใจใหสงบนง่ิ ไมตื่นเตนไปตามโลก โดยเขาใจวา ทกุ ส่ิง เปน ใหญ ถอื ตนเปน ใหญ เปน กิจการท่บี ุคคลพงึ กระทําโดยมงุ ผล ทุกอยาง ลว นแตเกดิ จากเหตปุ จจัยจากการกระทําทงั้ สิ้น จึงสมควรท่ผี ูนัน้ จะไดรับ อยา งใดอยา งหนง่ึ อันทีต่ นพึงจะได ซ่ึงมีความสอดคลอ งกบั ขอความขางตน ความสุขหรอื ความทุกข ซง่ึ เปนเรอ่ื งธรรมดาของโลก ทีแ่ สดงใหเ หน็ ถึงการยดึ ตนเองเปน ใหญ โดยการตัง้ กฎในบานทเ่ี อ้อื อํานวย 3 ธมั มาธปิ ไตย คอื การยึดถือหลักการ หลกั เหตุผล หลกั ความจรงิ ความ ประโยชนตางๆ ใหกับเจาของบา นเปนอยางมาก ดังน้ัน ขอ 2. จึงเปน ถกู ตอง และความเปน ธรรม ในการบริหารจดั การตา งๆ โดยการจะทาํ สิง่ ใดนน้ั คาํ ตอบท่ีถูกตอง ใหยดึ ถือธรรมเปนหลัก ละเวน การยึดถือตน และกระแสเสียงคนสว นใหญ ท่ีไมเ ปนธรรม คูม่ อื ครู 167
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหน ักเรยี นรวมกนั อภิปรายและแสดงความ 2.5 กุศลวิตกกับสนั ติสขุ คิดเห็นวา นักเรียนมวี ธิ คี ดิ ทจ่ี ะทําใหจิตใจมี ความสุขหรือดาํ รงชวี ิตอยา งมีความสขุ ได กุศลวติ ก หมายถงึ การนกึ คดิ ในทางทีด่ ีงาม โดยมีเหตุผลในการตริ ตรกึ และนกึ ถึงเรื่องราว อยา งไรบาง ต่างๆ รู้เหตุแห่งความเสื่อมและเหตุแห่งความเจริญ ผู้ท่ีนึกแต่สิ่งดีงามจะช่วยให้สังคมลดความ (แนวตอบ เชน คิดแตในสง่ิ ท่ดี ี สง่ิ ทเี่ ปนกุศล รนุ แรงลง จ�าแนกออกเป็น ๓ อยา่ ง ดังนี้ คดิ ชวยเหลือผูอ น่ื ใหพ น จากความทกุ ข ไมค ิด อาฆาตหรอื ผกู ใจเจ็บผูอ่นื ไมคดิ วติ กกังวล (๑) เนกขัมมวติ ก หมายถึง ความนกึ คิดปลอดจากกาม คือ ความตริ ตรกึ นกึ ที่จะนา� มากจนเกินเหตุ หมัน่ คิดบวก มองโลกในแงดี กายและจิตของตนออกจากอ�านาจของวตั ถุกามและกเิ ลสกาม จนถงึ คดิ ท่จี ะออกบวชเปน็ นกั บวช ไมคดิ เบยี ดเบยี นใหผูอืน่ ไดร ับความเดอื ดรอ น ในศาสนา เปนตน) (๒) อพยาบาทวิตก หมายถงึ ความนกึ คดิ ปลอดจากพยาบาท คือ ความตริ ตรึก นึก 2. ครแู ละนกั เรยี นรว มกนั อภิปรายและวเิ คราะห ในทางท่ีจะไมผ่ กู โกรธ และไม่อาฆาตพยาบาทใคร เก่ยี วกับกศุ ลวติ กในประเด็นตอ ไปนี้ • เพราะเหตใุ ด เม่อื รา งกายเจบ็ ปว ย (๓) อวิหิงสาวิตก หมายถึง ความนึกคิด ปลอดจากการเบียดเบียน คือ ความตริ ไมแ ขง็ แรง จิตใจจึงหอเห่ยี วไปดวย ตรึก นึกในทางไม่เบยี ดเบียนประทษุ ร้ายกันและกนั (แนวตอบ เนอื่ งจากกายกบั จติ เปน สง่ิ ทสี่ มั พนั ธก นั ดังนนั้ เม่อื จิตมีสุขภาพดี คิดทําแตส ง่ิ ดีๆ ผลดีจากความตริ ตรกึ นกึ ในทางกุศลที่พึงเหน็ ได้ชัด คอื มจี ติ ปลอดโปรง่ แจม่ ใส คิดจะท�า และไมมีความเครยี ด รางกายกจ็ ะสดชน่ื อะไรก็ส�าเร็จได้ด้วยดี บุคลิกหน้าตาเบิกบานชวนให้คนอื่นยินดีคบหา เป็นมิตรสนิทสนม และ ซ่ึงในทางการแพทยมคี ํากลา วอยวู า “จิตท่ี สามารถปดิ กัน้ สิ่งท่ีไม่ดีไม่ใหเ้ กิดขึ้นแก่ตนและบคุ คลทเี่ กยี่ วกับตนได้ สดใส จะอยใู นรางกายท่ีแขง็ แรง” ในทาง กลบั กนั เม่ือมรี า งกายท่ีไมแ ขง็ แรง จติ ใจก็จะ 2.6 สงั คหวตั ถกุ ับสนั ตสิ ขุ ไมแ จม ใสเบิกบาน เพราะฉะนนั้ กายกบั จติ จงึ เปน สิง่ ท่สี ัมพันธกนั อยา งหลกี เลยี่ งไมไ ด) นักเรียนสามารถนำาหลักสังคหวัตถุมาประยุกต์ใช้ในการ สังคหวัตถุ แปลว่า วิธีในการสงเคราะห์ ดำาเนินชีวิต โดยการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้าน หมายถึง วิธีปฏิบัติเพ่ือยึดเหนี่ยวน�้าใจคนอ่ืน 3. ครูแบง กลมุ นกั เรยี นออกเปน 4 กลุม ตาม สง่ิ แวดล้อมในสงั คม ทีย่ ังไม่เคยรกั ใคร่นบั ถอื หรือท่ีรักใคร่นบั ถืออยู่ หลักธรรมของสงั คหวตั ถทุ ั้ง 4 ประการ จากนน้ั แล้วให้สนิทแนบแน่นยิ่งขึ้น กล่าวอย่างง่ายๆ ใหนกั เรียนดภู าพในหนังสอื เรียนหนา 168 แลว 168 สังคหวัตถุก็คือ เทคนิควิธีท่ีท�าให้คนรัก หรือ ชว ยกนั วเิ คราะหว า หลกั ธรรมของกลมุ ตนเองนนั้ มนตผ์ กู ใจคนนนั่ เอง มที ง้ั หมด ๔1ประการ ดงั นี้ สามารถนาํ มาอธบิ ายการทาํ งานเพอ่ื สว นรวมใน การแกไขปญหาดานสิ่งแวดลอ มในสงั คมตาม (๑) ทาน คือ การให้ การเสยี สละ ภาพดงั กลา วไดอยา งไร พรอ มทง้ั ใหแ ตล ะกลุม แบง่ ปนั ช่วยเหลือกนั ดว้ ยสงิ่ ของ ตลอดจนให้ ยกตวั อยา งการประยกุ ตใ ชห ลกั ธรรมของกลมุ ตน ความรูแ้ ละแนะนา� ส่งั สอน ในการดําเนินชวี ิตประจาํ วนั (๒) ปยิ วาจา คอื การกลา่ วคา� สภุ าพ ไพเราะ อ่อนหวาน สมานสามัคคี เพ่ือให้เกิด ไมตรีและความรักใคร่นับถือ ตลอดถึงถ้อยค�า แสดงประโยชนป์ ระกอบดว้ ยเหตผุ ลเปน็ หลกั ฐาน จูงใจให้นิยมยอมตาม ไม่พูดหยาบคาย หรือ ดุด่าวา่ เสยี ดสีให้เจบ็ ใจ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET สภุ าษิตขอ ใดมคี วามหมายสอดคลอ งกบั หลกั สงั คหวัตถุ 4 มากทส่ี ุด ครคู วรอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา กิเลสที่อยใู นใจคนมากทสี่ ุด ไดแ ก ราคะ คอื ความรัก 1. น้ําพึ่งเรือ เสือพ่ึงปา สวยรกั งาม โลภะ คอื ความโลภ โทสะ คอื ความโกรธและเกลยี ด โมหะ คือ 2. ชาเปนการ นานเปน คณุ ความหลงและความโง เพราะกเิ ลสชอบหมกั หมมอยใู นใจของคน จึงเรียกวา 3. รักยาวใหบ นั่ รกั สน้ั ใหตอ อาสวกเิ ลส แปลวา กิเลสท่ีหมักดองอยใู นจติ อยางไรกด็ ี วธิ ที ่ีจะกําจัดกเิ ลสไดน น้ั 4. พูดไปสองไพเบ้ีย นง่ิ เสยี ตาํ ลงึ ทอง คือ การทําทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา แนวตอบ ตอบขอ 1. เนือ่ งจากน้าํ พึ่งเรือ เสือพึง่ ปา เปน สุภาษิตท่มี ี ความหมายวา คนเรามีความจําเปนตองพึง่ พาอาศัยกัน ดงั น้ัน เมอื่ คนเรา นักเรยี นควรรู มคี วามจําเปน ท่จี ะตอ งพง่ึ พาอาศัยกัน ก็ควรมีหลกั ธรรมท่ใี ชในการยึดถอื ปฏบิ ตั ติ อกนั กลาวคอื ควรเปน หลกั ธรรมทีใ่ ชเปน เครื่องยึดเหน่ยี วน้าํ ใจของ 1 การให การใหทีจ่ ะไดบุญกศุ ลนนั้ ข้ึนอยูก ับการไดม าของทรพั ยส นิ วา ผอู ่นื ทย่ี ังไมเ คยรกั ใครน บั ถอื หรือท่ีรกั ใครนับถืออยแู ลว ใหส นิทสนมกนั มาก ไดม าอยางถูกตองหรือไม และใหท รัพยส นิ นน้ั กบั ผูใ ด รวมถงึ ความต้งั ใจขณะให ยิง่ ขนึ้ ซึ่งตรงกบั หลกั ของสังคหวัตถุ 4 เพราะถา คนเราสามารถยึดเหนี่ยว นอกจากน้ี การใหย ังมกี ารอภัยทาน คอื ใหอภัยบคุ คลทีท่ าํ ไมด กี บั เรา และ นาํ้ ใจของผอู ่ืนไดแ ลว ยอมสงผลใหเ ราสามารถทจี่ ะพึง่ พาอาศัยกันได ธรรมทาน คือ การสง่ั สอนและบอกแนวทางความเจรญิ ในทางธรรมแกผูอ ่ืน ตลอดไป สงผลใหสงั คมที่อาศยั อยูนน้ั มแี ตค วามสงบสุข 168 คมู่ อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain สาธารณประ(โ๓ย)ชนอตั์ แถลจะรสยิ นาับคสอื นกนุ าสรง่ปเรสะรพิมฤในตทปิ ราะงโศยลี ชธนร์รหมมาจยรถิยงึธรขรวมน1ขวายชว่ ยเหลอื กจิ การบา� เพญ็ ครูนําสนทนาเรอ่ื ง สาราณยี ธรรมกบั สันตสิ ขุ (๔) สมานัตตตา คือ ความเป็นผู้มีตนเสมอ หมายถึง ความเป็นผู้ท�าตนเสมอต้น แลวถามนักเรียนวา เสมอปลาย ความเป็นผวู้ างตนใหเ้ หมาะแกฐ่ านะของตน • หลักสาราณียธรรมสามารถนํามาใชใ นการ อยรู วมกนั ในโรงเรียนไดอ ยางไร 2.7 สาราณียธรรมกบั สันติสุข (แนวตอบ หลกั สาราณยี ธรรมเปนหลักธรรม ท่เี ปน เหตใุ หพ งึ ระลกึ ถงึ กัน เปนหลักการ สาราณียธรรม แปลว่า ธรรมหรือส่ิงที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน เป็นหลักการอยู่ร่วมกันท่ีมี อยรู ว มกนั ทีด่ ี ดังน้นั การนาํ หลกั ธรรมน้ี จุดหมายเพอื่ ตอ้ งการสอนใหค้ นสมัครสมานสามัคคีกนั มที ้งั หมด ๖ ประการ ดงั น้ี มาใชใ นการอยรู วมกนั ในโรงเรยี น สามารถ นาํ มาใชไดใ นหลายๆ กรณี เชน การทํางาน (๑) เมตตากายกรรม คอื การกระทา� ตอ่ กนั ดว้ ยเมตตา หมายถงึ ชว่ ยเหลอื กจิ ธรุ ะของ เปน หมูคณะทีต่ อ งเอือ้ เฟอ เผือ่ แผซ ึ่งกัน หมคู่ ณะดว้ ยความเต็มใจ และกัน ชวยเหลือเพื่อนรวมหอง เพอื่ นรว ม โรงเรียน ชวยครูอาจารยย กของ ชวยแบง ปน (๒) เมตตาวจีกรรม คือ พูดต่อกันด้วยเมตตา หมายถึง พูดจากันด้วยค�าพูดสุภาพ ความรแู ละทรัพยส ินในการทาํ กจิ กรรมตา งๆ อ่อนหวาน มปี ระโยชน์ ไมน่ ินทาว่ารา้ ยกันลบั หลัง รว มกัน รูจักกาลเทศะ เคารพกฎระเบยี บของ โรงเรยี นและกฎเกณฑของสงั คม เปนตน) (๓) เมตตามโนกรรม คือ คิดถึงกันด้วยเมตตา หมายถึง คิดแต่สิ่งท่ีเป็นความสุข ความเจริญ ขยายความเขา้ ใจ Expand (๔) สาธารณโภค ี คอื ลาภผลทไ่ี ดม้ าโดยชอบธรรม แม้เป็นของเล็กนอ้ ย ไมม่ ีคา่ อะไร 1. ครูใหน ักเรียนเขยี นผงั มโนทัศนหลักการปฏิบัติ มากมาย ก็มีแกใ่ จแบ่งกนั ใหค้ นอ่นื ได้กนิ ไดใ้ ช้ ตนเพ่อื การอยูรว มกันอยา งสันตสิ ุข โดยให ยกตัวอยา งหลกั ธรรมตางๆ ทสี่ ามารถนํามา (๕) สีลสามัญญตา คือ ความเปน็ ผู้มคี วามประพฤติเสมอกัน หมายถึง ประพฤติตาม ใชในการลดความรนุ แรงและสรา งสนั ติสุขใน ศลี ธรรม จารีตประเพณี ระเบียบข้อบงั คับและกฎเกณฑ์ของสงั คม ร้จู กั กาลเทศะ สังคม พรอมทั้งตกแตง ใหส วยงาม แลวนาํ สง ครูผสู อน (๖) ทฏิ ฐสิ ามญั ญตา คอื ความเปน็ ผมู้ คี วามคดิ เหน็ เสมอกนั หมายถงึ มคี วามคดิ เหน็ ลงรอยกันในหลกั การใหญๆ่ หรืออดุ มการณ์ของส่วนรวม 2. ครูใหนักเรียนเขียนบันทึกการนําหลักธรรม ในการอยูร วมกนั อยา งสนั ตสิ ขุ มาปรบั ใชใ น การศกึ ษาหลกั ธรรมคา� สอนของพระพทุ ธศาสนา เปน็ สง่ิ ทพี่ ทุ ธศาสนกิ ชนทกุ คนจะตอ้ ง ชีวิตประจําวันเปนเวลา 1 เดอื น นําสง ครผู สู อน ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อท่ีจะสามารถน�าไปปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในกระแสความ เปลย่ี นแปลงของโลก และการปฏบิ ตั ติ นเพอื่ การอยรู่ ว่ มกนั กบั ผอู้ น่ื ในสงั คม และเพอื่ สรา้ งสนั ตภิ าพ ตรวจสอบผล Evaluate ขึ้นในโลก หลักธรรมเป็นแก่นของพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนสามารถน�าไปปฏิบัติเพ่ือ ประโยชน์ของตัวเองและผู้อ่ืนในการอยู่ร่วมกัน พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนหลักธรรมไว้มากมาย 1. ตรวจสอบจากผังมโนทศั นหลักการปฏบิ ตั ิตน ดงั นนั้ เราตอ้ งศึกษาและทา� ความเขา้ ใจ แล้วน�ามาปรับใชใ้ นการดา� เนนิ ชีวิต เพอ่ื การอยูรวมกันอยางสันตสิ ุข การท่ีพุทธศาสนิกชนศึกษาหลักธรรมแล้วน�ามาปฏิบัติโดยสม�่าเสมอ จะท�าให้บุคคล 2. ตรวจสอบจากบนั ทึกการนําหลกั ธรรมใน ผนู้ ้นั เกดิ ความสงบสุขภายในจิตใจ มีการกระท�า คา� พดู และความคิดไปในทางทด่ี ี มีความรกั ใคร่ การอยูรว มกนั อยา งสนั ติสขุ มาปรับใชใ น สามัคคี ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น จะท�าให้เป็นท่ีรักของคนรอบข้าง สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมี ชวี ิตประจาํ วนั ความสุข 169 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรยี นควรรู หมบู านมติ รไมตรีไดรับโลป ระกาศเกยี รติคุณจากนายกรฐั มนตรใี หเปน 1 จรยิ ธรรม เปน คณุ สมบตั ขิ องความประพฤตทิ มี่ งุ หวงั ใหค นในสงั คมประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ หมบู านดีเดน เนื่องจากชาวบานในหมูบานมคี วามสามัคคใี นการทาํ กิจกรรม อยางถกู ตอ ง มีเสรีภาพภายในขอบเขตของมโนธรรม เปนหนา ทที่ ีส่ มาชิกในสงั คมพึง ตา งๆ ของทางราชการอยางดเี ย่ียม แสดงวาชาวบานปฏิบตั ติ ามหลักธรรมใด 1. อุบาสกธรรม 7 2. สัทธรรม 3 ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ อ ตนเอง ตอ ผอู นื่ และตอ สงั คม เพอื่ ใหเ กดิ ความเจรญิ รงุ เรอื งในสงั คม โดยโครงสรา งของแนวคดิ ดา นจริยธรรมประกอบดวยคุณธรรมหลายประการ ดังน้ี 3. สาราณียธรรม 6 4. ทศพิธราชธรรม 10 • ความรับผิดชอบ คือ ความมุงม่ันท่ีจะปฏิบัติหนาท่ีดวยความพากเพียรและ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เนื่องจากสาราณยี ธรรมเปนธรรมหรอื สง่ิ ที่ ความรอบคอบ • ความซ่ือสัตย คือ การประพฤติอยางเหมาะสมและตรงตอความเปนจริง เปน เหตุใหมนุษยพ งึ ระลึกถึงกัน เปน หลักการทท่ี าํ ใหส ามารถอยรู วมกัน ทง้ั กาย วาจา ใจ ไดเ ปนอยา งดี โดยมจี ดุ มงุ หมายเพอื่ ตอ งการสอนใหมีความสมัครสมาน • ความกตญั กู ตเวที คอื ความรสู าํ นกึ ในอปุ การคณุ หรอื บญุ คณุ ทผ่ี อู น่ื มตี อ เรา สามัคคกี ัน ซงึ่ ตรงกบั สถานการณของชาวบา นในหมบู า นมติ รไมตรที ม่ี ีความ • ความอตุ สาหะ คอื ความพยายามอยา งเขม แขง็ เพอ่ื ใหเ กดิ ความสาํ เรจ็ ในงาน สมคั รสมานสามัคคี รว มมอื รว มใจในการทาํ กิจกรรมการงานตา งๆ ของ • ความสามคั คี คอื ความรว มมอื กนั กระทาํ กจิ การใหส าํ เรจ็ ลลุ ว งดว ยดี โดยเหน็ ทางราชการไดอยางมปี ระสิทธิภาพและสําเรจ็ ลุลวงไปไดดวยดี ดังนน้ั ขอ 3. แกประโยชนส ว นรวมมากกวา สว นตน จึงเปน คําตอบที่ถูกตอ ง • ความเมตตาและกรณุ า คอื ความรกั ใครป รารถนาจะใหผ อู นื่ มสี ขุ และพน ทกุ ข 169• ความยุติธรรม คือ การปฏบิ ัติดวยความเทย่ี งตรง สอดคลองกบั ความเปน จริงและเหตุผล ไมมคี วามลําเอยี ง คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ตรวจสอบความถกู ตองจากการตอบคาํ ถาม ค าí ¶ามประจ าí หน่วยการเรยี นรู้ ประจาํ หนวยการเรยี นรู ๑. นกั เรยี นสามารถปฏบิ ตั ติ นอยา่ งเหมาะสมในกระแสความเปลย่ี นแปลงของโลกไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ๒. นกั เรยี นสามารถนา� หลกั ธรรมในการอยรู่ ว่ มกนั ของพระพทุ ธศาสนามาใชใ้ นชวี ติ ประจา� วนั 1. เรยี งความเรอ่ื ง วิธีการปฏิบัตติ นใหเหมาะสม ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง กบั กระแสการเปล่ยี นแปลงของโลก ๓. นักเรียนคิดว่าการด�าเนินชีวิตโดยยึดทางสายกลางในสังคมบริโภคนิยม ควรปฏิบัติตน 2. ผงั มโนทัศนหลกั การปฏิบัติตนเพือ่ การอยูรว มกัน อยา่ งไร อยา งสันติสขุ ๔. หลกั สาราณยี ธรรม ๖ เปน็ หลกั ธรรมเพอ่ื การอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ขุ ไดอ้ ยา่ งไร ๕. การศกึ ษาหลกั ธรรมคา� สอนของพระพทุ ธศาสนามปี ระโยชนต์ อ่ ตวั นกั เรยี นอยา่ งไร 3. บันทกึ การนาํ หลักธรรมในการอยูรวมกัน อยา งสนั ติสขุ มาปรบั ใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั กิจกรรมสร้างสรรค์พ²ั นาการเรียนรู้ กิจกรรมท ี่ ๑ เชิญวิทยากรผู้มีความรู้ในด้านหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาบรรยาย ให้นักเรยี นฟัง กิจกรรมที่ ๒ ศึกษาประวัติบุคคลท่ีประสบความส�าเร็จในชีวิต แล้วคิดว่าบุคคลเหล่าน้ัน ใช้หลักธรรมใดในการด�าเนินชีวิต น�าเสนอผลงานในห้องเรียนแล้วร่วมกัน อภิปราย กจิ กรรมท่ี ๓ นกั เรยี นหาภาพ ขา่ ว บทความทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสา� คญั ของความสามคั คี แล้วน�าไปตดิ ทปี่ ้ายนเิ ทศเป็นเวลา ๒ สปั ดาห์ พทุ ธศาสนสุภาษติ ¸Õâà ¨ 梯 ÊÇí ÒâÊ ÞÒµÕ¹Çí ÊÁÒ¤âÁ : Í‹ÙÃÇ‹ Á¡ºÑ »ÃÒªÞ ¹íÒÊØ¢ÁÒãËŒ àËÁÍ× ¹ÊÁÒ¤Á¡ºÑ ÞÒµÔ 170 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรียนรู 1. นกั เรียนตอ งปฏบิ ตั ิตนใหอยูภายใตก รอบหลกั ธรรมคําสอนของพระพุทธศาสนา เนน ความสงบสุขทางจิตใจมากกวาวัตถุ เชน การนาํ หลกั ธรรมมชั ฌิมาปฏปิ ทา และอริยทรัพยมาปรับใชในการดําเนินชวี ิตภายใตกระแสการเปลยี่ นแปลงของโลก เปนตน 2. นักเรยี นสามารถนาํ หลักธรรมในการอยูรว มกันอยางสันติสุขมาใชใ นชวี ติ ประจําวนั โดยตอ งศกึ ษาใหเกิดความรูค วามเขาใจในหลกั ธรรมตางๆ กอนนาํ มาปฏิบัติ เชน นําหลักธรรมสัปปรุ สิ สังเสวะจากหลักธรรมวฑุ ฒธิ รรม 4 มาปรบั ใชใ นการเลอื กคบผอู ืน่ โดยควรเลอื กคบหาผูท ่ที รงปญญาเปน กัลยาณมิตรกับตนเอง หรือการนําหลักธรรมสงั คหวตั ถุ 4 มาปรบั ใชเม่อื ตอ งการใหคนรอบขางรักใครแ ละสนใจเรามากข้นึ เปน ตน 3. นักเรยี นควรศึกษาหลักธรรมใหเขาใจ และนําหลักมัชฌิมาปฏปิ ทามาประยกุ ตใ ชเ พอ่ื ใหสอดคลอ งกับสังคมบริโภคนิยมท่มี สี งิ่ ย่วั ยตุ า งๆ มากมาย ดังนั้น จึงตอ งรูจ ักประมาณตนเอง ขยันหมนั่ เพียร ไมเบยี ดเบยี นผูอืน่ นอกจากนี้ ยงั ตอ งยึดหลักความสนั โดษ หรือการพงึ พอใจในสิ่งทีต่ นเองมีอยู เพอื่ ปองกันความเสอ่ื มตา งๆ ทอ่ี าจเกิดขน้ึ ไดกับตัวเรา 4. สาราณยี ธรรมเปน หลกั ธรรมท่ใี ชในการอยูรวมกันอยา งสนั ตสิ ุข มจี ุดมงุ หมายเพอ่ื สรา งความสามคั คี ไดแ ก การมีเมตตา การชว ยเหลอื ผอู ่นื การพูดจาไพเราะ ไมน ินทาวา รา ยผูอ นื่ การคิดแตส ิ่งทเี่ ปน สขุ คิดในทางสรา งสรรค การมีความเอ้ือเฟอ เผ่ือแผต อ กัน การปฏบิ ัติตนตามกฎระเบยี บของสังคม และมคี วามคิดในลักษณะ เดียวกบั คนสวนใหญ 5. ประโยชนท ไี่ ดรับจากการศึกษาหลักธรรมคาํ สอนของพระพุทธศาสนา เชน จะทําใหเ กิดความสงบสุขภายในจิตใจ มีการกระทํา คาํ พูด และความคดิ ไปในทางท่ดี ี มีความรักใครส ามคั คี ไมคิดรายตอผอู น่ื ซ่งึ จะทาํ ใหเ ปนที่รกั ของคนรอบขา ง และสามารถอยูร ว มกับผอู นื่ ไดอยางมคี วามสุข เปนตน 170 คมู่ อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สำ� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ºÃóҹ¡Ø ÃÁ ¨Òí ¹§¤ ·Í§»ÃÐàÊÃ°Ô . »ÃÐÇµÑ ÈÔ Òʵþ ·Ø ¸ÈÒʹÒã¹àÍàªÂÕ ÍÒ¤à¹Â. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ͧ¤¡ÒäŒÒ¢Í§¤ÃØ ØÊÀÒ, òõô÷. ÞÒ³ÇâôÁ, ¾ÃÐ (ʹ¸Ôì ¡¨Ô ¨Ú ¡ÒâÃ). ¤Á‹Ù Í× »¯ºÔ µÑ §Ô Ò¹ÈÒʹ¾¸Ô ÊÕ §Ñ ࢻ. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡¯Ø ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÑÂ, òõõò. ´¹Ñ äªÂâÂ¸Ò ¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃÔ¡Ѻ¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐÇѵÔÈÒʵÃ. ¡Ãا෾ ÁËÒ¹¤Ã : âÍà´Õ¹ÊâµÃ, òõôø. _______. ¾Ø·¸¸ÃÃÁ ¾Ø·¸ÊÒÇ¡ ¾Ø·¸ÊÒÇÔ¡Ò áÅЪÒǾط¸µÑÇÍ‹ҧ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : âÍà´Õ¹ÊâµÃ, òõõñ. _______. ¾¨¹Ò¹Ø¡ÃÁ¤íÒÈѾ·¾Ãоط¸ÈÒʹÒ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ºÃÔÉÑ· ÍÑ¡ÉÃà¨ÃÞÔ ·ÈÑ ¹ ͨ·. ¨íÒ¡Ñ´, òõõò. _______. Ç²Ñ ¹¸ÃÃÁáÅÐÍÒøÃÃÁÊÁÑ ¾¹Ñ ¸¢ ͧ͹·Ø Ç»Õ Í¹Ô à´ÂÕ ¡ºÑ ¹Ò¹Ò»ÃÐà·È. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : âÍà´Õ¹ÊâµÃ, òõõó. ´¹ÂÑ äªÂâÂ¸Ò (ºÃóҸ¡Ô ÒÃ). õó ¾ÃÐÁËÒ¡ÉµÑ ÃÂÔ ä ·Â ¸ ·Ã§¤Ãͧã¨ä·Â·§éÑ ªÒµ.Ô ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : âÍà´ÂÕ ¹ÊâµÃ, òõôó. ·ÇÕÇѲ¹ »Ø³±ÃÔ¡ÇÔÇѲ¹. “¾Ø·¸ÈÒʹҡѺÊѧ¤Á¡ÒÃàÁ×ͧã¹ÍØÉÒ¤à¹Â” ã¹ ÍÉØ Ò¤à¹Â· ÃèÕ Ñ¡. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÇÔ·ÂÒÅѸÃÃÁÈÒʵÃ, òõõó. à·¾Ãѵ¹ÃÒªÊ´Ø Ò à¨ŒÒ¿‡ÒÁËÒ¨¡Ñ ÃÊÕ ÔÃ¹Ô ¸Ã ÊÂÒÁºÃÁÃÒª¡ÁØ ÒÃ,Õ ÊÁà´¨ç ¾ÃÐ. ·ÈºÒÃÁÕ ã¹¾Ø·¸ÈÒʹÒà¶ÃÇÒ·. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡Ø¯ÃÒªÇÔ·ÂÒÅÑÂ, òõôó. _______. ¾Ø·¸»ÃÐÇµÑ ÊÔ §Ñ ࢻ áÅÐÈÒʹ¾Ô¸ÊÕ Ñ§à¢». ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡Ø¯ ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÂÑ , òõôö. ¾ÃËÁ¤Ø³ÒÀó, ¾ÃÐ (».Í.»ÂصâÚ µ). ¾¨¹Ò¹¡Ø ÃÁ¾·Ø ¸ÈÒʵà ©ººÑ »ÃÐÁÇŸÃÃÁ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÇÔ·ÂÒÅÂÑ ÁËÒ¨ØÌÒŧ¡Ã³ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÑÂ, òõõñ. ÃÒªº³Ñ ±µÔ Âʶҹ. ¾¨¹Ò¹¡Ø ÃÁÈ¾Ñ ·¾ ÃÐäµÃ»® ¡ ºÒÅ-Õ âÃÁ¹Ñ -ä·Â àÅÁ‹ ñ Í¡Ñ Éà Í. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªºÑ³±µÔ Âʶҹ, òõôõ. _______. ¾¨¹Ò¹¡Ø ÃÁÈѾ·¾ÃÐäµÃ»® ¡ ºÒÅÕ-âÃÁ¹Ñ -ä·Â àÅ‹Á ò ÍÑ¡Éà Í. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªºÑ³±ÔµÂʶҹ, òõõð. _______. ¾¨¹Ò¹¡Ø ÃÁÈѾ·¾ ÃÐäµÃ»®¡ ºÒÅ-Õ âÃÁѹ-ä·Â àÅÁ‹ ó Í¡Ñ Éà Í. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªº³Ñ ±ÔµÂʶҹ, òõõñ. ÃҪǪÔÃÒÀó, ¾ÃÐ (ÊÕ¹ÇÅ »ÚÚÒǪÔâà ».¸.ù). ·íÒÇµÑ ÃÊÇ´Á¹µ© ººÑ ¤³Ðʧ¦ Ç´Ñ ¾ÃÐવؾ¹Ï. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : âç¾ÁÔ ¾ ºÃÔÉ·Ñ Ê˸ÃÃÁÔ¡ ¨Òí ¡Ñ´, òõôõ. 171 ค่มู อื ครู 171
กระตนุ้ ความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ÃÒªÇÃÁعÕ, ¾ÃÐ (»ÃÐÂÙà ¸ÁÚÁ¨ÔµÚâµ). ͹طԹ¸ÃÃÁÐ ¸ÃÃÁÐÊíÒËÃѺ óöõ Çѹ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁÙŹԸԾط¸¸ÃÃÁ, òõóù. ǪÃÔ ÞÒ³ÇâÃÃÊ, ÊÁà´¨ç ¾ÃÐÁËÒÊÁ³à¨ÒŒ ¡ÃÁ¾ÃÐÂÒ. ¾·Ø ¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉµÔ (àÅÁ‹ ñ). ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡Ø¯ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÂÑ , òõôò. ÇªÔ Ò¡ÒÃáÅÐÁҵðҹ¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒ ¡ÃзÃÇ§È¡Ö ÉÒ¸¡Ô ÒÃ, ÊÒí ¹¡Ñ . µÇÑ ªÇéÕ ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÂÕ ¹ÃŒÙ ᡹¡ÅÒ§ ¡Å‹ØÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙŒÊ§Ñ ¤ÁÈÖ¡ÉÒ ÈÒÊ¹Ò áÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁ. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : âç¾ÁÔ ¾ª ÁØ ¹ÁØ Êˡó¡ ÒÃà¡ÉµÃá˧‹ »ÃÐà·Èä·Â, òõõñ. Ç·Ô Â ÇÈÔ ·àÇ·Â. »ÃªÑ ÞÒ·ÇÑè ä» : Á¹ÉØ Â âÅ¡ áÅФÇÒÁËÁÒ¢ͧªÇÕ µÔ . ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ºÃÉÔ ·Ñ Í¡Ñ ÉÃà¨ÃÔÞ·Ñȹ ͨ·. ¨Òí ¡´Ñ , òõõò. È¡Ö ÉÒ¸¡Ô ÒÃ, ¡ÃзÃǧ. »ÃÐÇѵԾÃÐÊÒÇ¡ àÅÁ‹ ñ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ͧ¤¡ÒäҌ ¢Í§¤ÃØ ØÊÀÒ, òõôò. _______. »ÃÐÇѵԾÃÐÊÒÇ¡ àÅ‹Á ò. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ͧ¤¡ÒäŒÒ¢Í§¤ØÃØÊÀÒ, òõôò. _______. ¤ÇÒÁÃÙŒàÃè×ͧ¾ÃÐäµÃ»®¡. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ͧ¤¡ÒäŒÒ¢Í§¤ØÃØÊÀÒ, òõôò. 欯 µÔ ÃÒ ¡Å¹Ôè à¡Éà (ºÃóҸ¡Ô ÒÃ). ÊÒÃÒ¹¡Ø ÃÁä·ÂÊÒí ËÃºÑ àÂÒǪ¹â´Â¾ÃÐÃÒª»ÃÐʧ¤ ã¹¾ÃкҷÊÁà´ç¨¾ÃÐ਌ÒÍÂÙ‹ËÑÇ ©ºÑºàÊÃÔÁ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ àÅ‹Á ø. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : â¤Ã§¡ÒÃÊÒÃҹءÃÁä·ÂÊíÒËÃѺàÂÒǪ¹â´Â¾ÃÐÃÒª »ÃÐʧ¤ã ¹¾ÃкҷÊÁà´ç¨¾ÃÐà¨ÒŒ ÍÂËÙ‹ ÑÇ, òõõð. ÊØªÕ¾ »ØÞÞÒ¹ØÀÒ¾. ¤Ø³ÅѡɳоÔàÈÉáË‹§¾Ãоط¸ÈÒʹÒ. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁÙŹ¸Ô ÁÔ ËÒÁ¡Ø¯ÃÒªÇ·Ô ÂÒÅÂÑ , òõôñ. ÊàØ ªÒǹ ¾ÅͪÁØ . ÊÁà´¨ç ¾ÃÐÁËÒÊÁ³à¨ÒŒ ¡ÃÁ¾ÃÐÂÒǪÃÔ ÞÒ³ÇâÃÃÊ. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÁËÒÁ¡Ø¯ÃÒªÇÔ·ÂÒÅÂÑ , òõôñ. àʰÂÕ Ã¾§É ÇÃó»¡. ºÒ§á§‹ÁÁØ à¡ÂÕè Ç¡ºÑ ¾·Ø ¸Í§¤. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ËÍÃѵ¹ªÑ ¡ÒþÔÁ¾, òõôô. _______. ¾Ø·¸ÈÒÊ¹Ò ·ÑȹÐáÅÐÇÔ¨Òó. ¾ÔÁ¾¤Ãéѧ·èÕ ó. ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã : ÁµÔª¹, òõóø. _______. ¾·Ø ¸ÊÒÇ¡ ¾Ø·¸ÊÒÇÔ¡Ò. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ¸ÃÃÁÊÀÒ, òõôô. ÊíÒÃÇ ¹¡Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹. ¸ÃÃÁÐ¨Ò¡à¨´ç µíÒ¹Ò¹ ÊºÔ ÊͧµÒí ¹Ò¹¤Ò¶Ò¾Ò褯 . ¡Ãا෾ ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªºÑ³±µÔ Âʶҹ, òõôø. _______. ¸ÃÃÁШҡº·ÊÇ´Á¹µ. ¡Ã§Ø à·¾ÁËÒ¹¤Ã : ÃÒªº³Ñ ±µÔ Âʶҹ, òõôø. 172 172 คู่มือครู
สรา้ งอนาคตเดก็ ไทย ดว้ ยนวตั กรรมการเรยี นรรู้ ะดบั โลก >> ราคาเลม่ นกั เรยี นโปรดดจู ากใบสง่ั ซอ้ื ของ อจท. คู่มือครู บร. พระพุทธศาสนา ม.2 บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกดั 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร 10200 โทร./แฟกซ.์ 02 6222 999 (อตั โนมตั ิ 20 คสู่ าย) 8 8 5 8 6 4 9 132 15306 .3- www.aksorn.com Aksorn ACT ราคาน้ี เปน็ ของฉบบั คมู่ อื ครเู ทา่ นน้ั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182