Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชา ผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธรถถัง เล่ม ๕

วิชา ผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธรถถัง เล่ม ๕

Published by qacavalry, 2021-10-18 11:27:07

Description: วิชา ผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธรถถัง เล่ม ๕
รหัสวิชา ๐๑๐๒๒๙๐๒๐๓
หลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธรถถัง
แผนกวิชาหลักยิงและตรวจการณ์ กศ.รร.ม.ศม.

Search

Read the Text Version

97 เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรวดเร็วในการยงิ และดารงไว้ซ่ึงความแม่นยาในการยงิ เลง็ จาลอง พลประจารถถงั จะตอ้ งปฏบิ ัตหิ น้าท่ีใหเ้ ป็นไปตามลาดบั ข้นั ของหวั ขอ้ คาสง่ั ยงิ ที่ไดร้ บั หัวขอ้ คาสัง่ ยิงแตล่ ะหัวข้อตอ้ งการให้พล ประจารถถงั ปฏบิ ัตโิ ดยเฉพาะ และปฏบิ ัติใหป้ ระสานสอดคล้องกนั อย่างใกล้ชิด ก. คำเตอื น พลประจารถทกุ นายของรถถงั คันที่ถกู กาหนดใหท้ าการยงิ หรือปรบั การยงิ เตรยี มพร้อมปฏบิ ตั ิภารกจิ พลประจารถประจา ณ ท่ีอยขู่ องตนเองและเตรยี มปฏบิ ตั ิตามคาสง่ั ยิง ผบ.รถ จะตอ้ งทวนคาสง่ั ยงิ ในแต่ละหวั ข้อคาส่งั ยงิ และเตอื นพลประจารถของตนเองว่า “พลยงิ ” ข. ชนดิ กระสนุ พลบรรจทุ ุกนายเลอื กชนิดกระสนุ ตามทถี่ ูกกาหนดต้ังชนวนเวลาถา้ มี บรรจกุ ระสุน เฉพาะรถถงั คันทตี่ อ้ งทาการยงิ สาหรับรถถงั คันท่ีไม่ได้ทาการยงิ ผบ.รถ จะออกคาสงั่ วา่ “ไม่ ต้องบรรจุ” กอ่ นท่จี ะทวนคาสั่งชนดิ กระสนุ พลบรรจคุ นั ทบ่ี รรจกุ ระสนุ เสร็จเรยี บรอ้ ยแล้ว รายงานว่า “พรอ้ ม” ค. ลักษณะเปำ้ หมำย ทวนคาสง่ั สัน้ ๆ ตามคาสัง่ ยงิ ของนอย.ใหพ้ ลประจารถทราบ ง. ทิศทำง พลยงิ รถถงั ทกุ คนั หมุนปอ้ มปนื ไปตามทิศทางของคาส่งั ยงิ จนกระทง่ั เขม็ ชีม้ มุ ทิศส่วน ใหญ่และส่วนย่อยตรงกบั คาสง่ั ยงิ จ. ระยะ พลยงิ ทุกคันตงั้ เครอ่ื งกาหนดมมุ ยงิ ประณีตหรือเครื่องกาหนดมมุ สงู ประจาปนื แล้วสง่ ให้ พลบรรจตุ ้งั เครือ่ งกาหนดมุมยิงประณตี ท่โี ครงเครอ่ื งปิดทา้ ยปืน แลว้ ยกปนื ขึน้ ลงจนกระทงั่ หวอดระดบั อยกู่ ึง่ กลาง เมื่อปนื วางทศิ ทางยิงและมุมยงิ เรยี บรอ้ ยแล้ว พลยงิ ตรวจสอบเครอื่ ง หนดมมุ ภาคของทศิ และหวอดระดับอกี ครง้ั แลว้ รายงานวา่ “พรอ้ ม” ฉ. กำรปฏบิ ัติ ผบ.รถ คันทท่ี าการยิงรายงานใหน้ อย.ทราบวา่ รถถงั ของตนพร้อม “หมำยเลข สำม พร้อม” หลงั จากท่ีนอย. ออกคาส่ังว่า “ตำมคำส่ังขำ้ พเจ้ำ” และไดร้ ับการรายงานจาก ผบ.รถ ทจี่ ะทาการยงิ วา่ พรอ้ มแลว้ นอย.จะออกคาสั่งวา่ “ยงิ ” พลยิงของรถถังทีท่ าการยงิ รายงานว่า “ระวงั ” แล้วล่ันไกออกไป นอย.รายงานไปยงั ผู้ตรวจการว่า “ยิงไปแลว้ ” หลังจาก ท่ีทาการยงิ กระสนุ นัดแรกออกไปแลว้ พลประจารถถงั แตล่ ะคัน จะปฏิบตั ติ ามคาสง่ั ยิงท่ี กาหนดไว้ในหวั ขอ้ คาสั่งยิงต่อไป ถา้ ไดร้ บั คาสัง่ ใหร้ ะดมยิงมากกว่า หน่ึงชุด พลบรรจจุ ะตอ้ งบรรจกุ ระสุนนดั ต่อไปหลงั จากยงิ ออกไปแล้วอย่างต่อเนอ่ื ง พลยงิ ตรวจสอบการวางทศิ ทางยงิ และมุมยงิ แล้วรายงานใหผ้ บ.รถ ทราบวา่ “พร้อม” คาสง่ั ยงิ ขัน้ ต่อมาจะเป็นผบ.รถเป็นผอู้ อกคาสัง่ ยงิ พลประจารถถงั ปฏิบัตกิ ารยงิ อยา่ งตอ่ เน่ืองและรวดเร็วจนกระท่ังครบตามจานวนนดั ของกระสนุ ทกี่ าหนด หลงั จากทท่ี าการยงิ กระสนุ นัดสดุ ท้ายออกไปแลว้ พลบรรจจุ ะเตรยี มการปฏบิ ัติต่อไป แตไ่ ม่ ต้องบรรจุกระสุน พลยงิ ตรวจสอบมมุ ทศิ และมุมยงิ อีกครง้ั ปดิ สวิทช์ล่ันไกแลว้ คอยฟงั คาสั่งยงิ ข้นั ต่อมา ผบ.รถ รายงานใหน้ อย. ทราบว่า “หมำยเลข... ยงิ จบ” หรอื รายงานการติดขดั ของ กระสนุ ถ้ามใี ห้นอย. ทราบ เช่น “กระสนุ ไม่ลัน่ ”

98 12. กำรปรับกำรยิงเลง็ จำลอง (Adjustment of Tank Indirect Fire) 12.1 กลา่ วทวั่ ไป การยิงเลง็ จาลองคอื การปรับเพอื่ นาเอาความแม่นยา และการรวมอานาจการยงิ ลงบนเป้าหมายใน ห้วงระยะเวลาทส่ี นั้ ทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะเปน็ ได้ เพื่อใหเ้ กดิ การทาลายอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพก่อนท่ีข้าศึกจะเขา้ ทกี่ าบงั หรือเคลอ่ื นยา้ ยออกไปจากการยงิ การยิงเป็นการปรบั การยงิ ควบเปา้ หมาย การยงิ ควบเปา้ หมายคือ การทา ให้เปา้ หมายอยรู่ ะหวา่ งตาบลระเบดิ ของกระสนุ สองนัด (หนา้ และหลังเปา้ หมาย) ห้วงควบนจ้ี ะถกู ลดลงมา จนกระท่งั ตกลงบนเป้าหมาย การยงิ เล็งจาลองของรถถังและปืนใหญส่ นาม(ตาม รส.6-135) ตง้ั อย่บู นพื้นฐาน ของการปรบั การยงิ เชน่ เดียวกนั โดยท่ขี อ้ ยกเวน้ สาหรบั รถถงั ทีย่ ิงเลง็ จาลอง คือรถถงั ทีท่ าการปรบั การยงิ จะมี เพยี งคนั เดียวท่ีใชแ้ นวอ้าง ต.-ม. ของผตู้ รวจการณ์ ในขณะท่พี น้ื ทกี่ ารยิงของปืนใหญส่ นามจะทาการปรบั การ ยิงดว้ ยปืนใหญส่ องกระบอก ในแนว ต.-ม. ของผตู้ รวจการณ์ การปรบั การยิงเลง็ จาลองมหี ลักพ้ืนฐานอยู่ 3 ประการ คอื ก. การนาตาบลระเบิดเข้าสแู่ นว ต.-ม. ข. การนาตาบลระเบิดเขา้ สหู่ ้วงควบ ค. การผ่าหว้ งควบจนกระทงั่ ตาบลระเบิดตกลงบนเปา้ หมาย 12.2 การตรวจผลการยงิ เลง็ จาลอง (Sensing, Indirect Fire) ผูต้ รวจการณจ์ ะตรวจผลการยงิ ท้ังทางทศิ และทางระยะแตล่ ะนดั ในใจโดยไม่ตอ้ งรายงานผลการ ตรวจผลการยิงเลง็ จาลองทาเชน่ เดียวกับการตรวจผลการยงิ เลง็ ตรง เมื่อทาการยงิ ด้วยปนื ใหญร่ ถถงั มากกวา่ 1 กระบอก การตรวจผลการยิงจะกระทาระหว่างตาบลระเบิดสองนัดท่ยี งิ ออกมา เพ่อื ใชเ้ ป็นตัวชว่ ยในการ ปรับแก้การยงิ ต่อไป 12.3 คาขอยิงข้นั ต่อมา (Subsequence Fire Request) การปรบั แกก้ ารยงิ ข้ันตอ่ มาคอื การเปลยี่ นแปลงขอ้ มลู การยงิ ใดๆ เพื่อทาใหก้ ารยิงตกลงบน เป้าหมาย หรอื บนจดุ ท่ีจะทาการปรับการยงิ ผู้ตรวจการณ์จะส่งการปรับแกก้ ารยงิ ไปในคาขอยิงขนั้ ตอ่ มาโดย ใช้หวั ขอ้ คาขอยิงเล็งจาลองด้วยทศิ ทางและระยะ ตามลาดับดังน้ี ก. การปรบั แกท้ างทศิ (Deviation Correction) การปรบั แกท้ างทิศเป็นการนาตาบลระเบิดเข้า มา สแู่ นว ต.-ม. ของผูต้ รวจการณ์ ผู้ตรวจการณว์ ดั มุมขา้ งจากตาบลระเบดิ ไปยงั เปา้ หมาย/จุดปรบั การยงิ เป็นมลิ แลว้ แปลงค่ามมุ มลิ เปน็ เมตรโดยใช้แฟคเตอรต์ .-ม.(ระยะ/1,000) คณู กับมมุ ท่ีวดั ได้ แลว้ ปรบั ผลลพั ธท์ ไี่ ดใ้ ห้ เปน็ จานวนเตม็ 10 ม. ตัวอยา่ งเชน่ ระยะต.-ม. = 3,300 ม. (หลา) ผู้ตรวจการณ์วัดมมุ ทางข้างไดข้ วา 30 มลิ แฟคเตอร์ต.-ม.มีค่า 3,30021/1,000 = 3.3 นาค่า 3.3 x 30 มลิ = 99 ปัดเป็นจานวนเตม็ 100 ม. ผลการปรับแก้คอื ซ้าย 100 ถา้ เวลามีนอ้ ยผตู้ รวจการอาจใช้แฟคเตอร์ต.-ม. 3.0 ก็ได้ ดงั นน้ั ค่าตัวแก้ทางทิศก็ คอื ซา้ ย 90 น้อยกว่าค่าแรก 10 ม.ซงึ่ เปน็ ค่าทย่ี อมรับไดใ้ นการปรับแก้

99 ข. การปรับแกท้ างระยะ (Range Correction) การปรับแก้ทางระยะเปน็ การแกร้ ะยะใหไ้ ดค้ า่ ตัว แกท้ น่ี ้อยทสี่ ุดและน้อยกวา่ 100 ม. หลังจากที่ตรวจตาบลระเบิดทก่ี ระทาตอ่ เป้าหมายทางระยะแล้ว ผู้ตรวจการจะแจง้ ใหน้ อย.ทราบว่า “เพมิ่ /ลด.......” ตามจานวนของระยะทป่ี รบั แกไ้ ปเพ่อื ใหถ้ กู เปา้ หมายหรอื สรา้ งหว้ งควบ เมอ่ื สรา้ งห้วงควบได้แลว้ ใหผ้ ่าหว้ งควบใหเ้ หมาะสมโดยใช้คา่ คร่ึงหนึ่งของระยะทต่ี ้องการเพ่ิม/ ลด ตวั อยา่ งเช่น ถ้าตรวจได้ว่า หลงั 400 และผตู้ รวจการณส์ ังเกตวา่ ถา้ ลด 100 กระสุนจะถูกเปา้ หมาย มากกว่า ลด 200 กอ็ าจทาไดใ้ นกรณที เ่ี ปน็ ผู้ตรวจการณท์ มี่ ปี ระสบการณม์ ากเพยี งพอ หัวข้อระยะตอ้ งสง่ ทกุ ครง้ั ทส่ี ่งคาขอยิงขัน้ ตอ่ มา ถา้ ไมม่ กี ารเปล่ียนแปลงทางระยะให้สง่ คาขอยงิ ว่า “ระยะเปำ้ หมำย/ระยะเดิม) 12.4 ชนดิ ของการควบคุม (Type of Control) ชนิดของการควบคมุ เปน็ หวั ข้อสดุ ทา้ ยของคาขอยงิ ขน้ั ตอ่ มาใช้เมอ่ื มีการเปลี่ยนแปลงที่จาเป็น เท่านั้น ถ้าไมม่ ีการเปลี่ยนแปลงกเ็ ว้นหวั ขอ้ นไี้ ด้ ก. ยิงหำผล (Fire for Effect) เพอ่ื ให้ได้ผลลัพธ์ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพต่อเปา้ หมายเปน็ พนื้ ทขี่ นาด ใหญ่ ขอแนะนาให้ทาการยงิ หาผลเมื่อผ่าหว้ งควบจนถึง 100 ม.(หลา) หรอื เม่ือผตู้ รวจการณ์ตรวจไดว้ ่า “เปำ้ หมำย” โดยจะใชค้ าขอยิงวา่ “เพ่ิม (ลด) 50, ยิงหำผล หรือ ระยะเดมิ , ยิงหำผล” ข. ยงิ หำผลซำ (Repeat Fire for Effect) เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลลัพธท์ ี่มปี ระสิทธภิ าพตอ่ เป้าหมายเปน็ พ้ืนท่ี ขนาดใหญห่ รือเป้าหมายกาลงั เคล่อื นท่ีออกไป ผ้ตู รวจการณ์อาจรอ้ งขอการยิงเพมิ่ เตมิ บนเป้าหมายเดมิ ตวั อย่างเชน่ “ขวำ 50, เพ่มิ 50 ยิงหำผลซำ้ หรอื ระยะเดิม, ยงิ หำผลซำ้ ” 12.5 การปรับแก้ขอ้ มลู การยงิ และคาสัง่ ยงิ ข้ันตอ่ มาในการยงิ เลง็ จาลอง (Correcting Firing data and Subsequent Fire Commands, Indirect fire) ก. กำรปรับแกข้ อ้ มูลกำรยงิ (Correcting Firing data) การปรบั แกก้ ารยงิ จะข้นึ อยกู่ ับการคานวณ ผลการยงิ ของผ้ตู รวจการณ์ นอย.จะกรุยการปรบั แกท้ างทิศและทางระยะเท่าทจ่ี าเปน็ และคานวณหาค่ามุมยงิ และมมุ ทิศใหม่ ข้อสังเกต: การกรุยการปรบั แกค้ รงั้ แรกจะกรยุ จากท่ตี ง้ั ของเป้าหมาย การปรบั แก้ข้นั ต่อมาจะกรุยจากการ ปรับแกน้ ดั สดุ ท้าย ใช้เข็มหมดุ หรอื ดินสอขนาดเล็กกรุยลงบนแผน่ ตารางทับเป้าหมาย โดยกรยุ และวงกลม ล้อมรอบไปตามลาดบั จากจดุ ทเ่ี รม่ิ กรุยครัง้ แรกวา่ เป็นหมายเลข 1 1)มมุ ยงิ (Quadrant Elevation) เม่อื ใชต้ ารางยงิ ในการคานวณการยิง ระยะท่ีจะทาการยงิ นอย. จะเปน็ ผ้คู านวณโดยวดั ระยะจากทต่ี งั้ ยิง (ศนู ย์กลางมว.) ไปยงั จุดของเป้าหมายทก่ี รุยครงั้ สุดท้ายแลว้ นาไปรวมกับผลรวมของค่าตัวแก้ทางระยะ (ถา้ มี) จากนั้นหาค่ามุมสูงจากตารางยิงแลว้ นาไปบวก/ลบกบั มุม พืน้ ทรี่ ะหว่างท่ีตง้ั ยิงกบั เปา้ หมาย (ใช้คา่ มุมพ้ืนท่เี ดยี วกบั ค่าเรมิ่ ต้นทค่ี านวณไดค้ รัง้ แรก) จะเปน็ คา่ มมุ ยิงนดั ใหม่

100 2)มุมทศิ (Deflection) นอย. จะคานวณระยะของกระสุนนดั ใหม่ที่กรยุ ตั้งฉากกบั แนว ป.-ม. (จากทีต่ งั้ ยงิ ไปยงั จดุ หาหลกั ฐานครั้งแรก) แลว้ นาแฟคเตอรร์ ะยะไปหารระยะทางขา้ งท่วี ดั ได้ นาไปบวกกบั 0 (ศนู ย)์ (ซา้ ย) หรอื ลบออกจาก3200 (ขวา) ตามทิศทางทจี่ ะต้องปรบั แก้ ค. คำสง่ั ยงิ ขันตอ่ มำ (Subsequent Fire Command) คาสง่ั ยิงข้ันต่อมาเป็นการออกคาสงั่ การ ควบคมุ การยิงหลงั จากไดป้ ฏิบัติการตามคาส่งั ยงิ ขน้ั แรกไปแล้ว นอย. จะออกคาสง่ั ยิงข้นั ตอ่ มา เพอื่ เปลยี่ นแปลงคาสง่ั ยงิ ขัน้ แรก หรือเปล่ียนแปลงคาสัง่ ยงิ ขนั้ ตอ่ มาท่ีออกไปแล้ว เพอ่ื “หยดุ ยิง” หรอื เพื่อปรบั แกก้ ารยงิ ตามทผี่ ูต้ รวจการณร์ ้องขอมา ในระหว่างการปรบั การยงิ ลาดับ ขั้นของหวั ขอ้ คาสั่งยงิ ขน้ั ตอ่ มาสาหรบั การยงิ เลง็ จาลองมหี ัวข้อเชน่ เดียวกบั คาสง่ั ยงิ ขน้ั แรก แต่ อย่างไรก็ตาม จานวนของหัวข้อคาส่งั ยงิ จะขึ้นอยกู่ ับการปรบั แกก้ ารยงิ ทีต่ ้องใช้ในการปรบั การ ยงิ หรอื เพอื่ ทาการยิงหาผล เม่ือหวั ขอ้ มุมทิศไม่มกี ารเปลี่ยนแปลงหรอื เมอ่ื หวั ขอ้ อื่นใดไม่ จาเป็นตอ้ งสัง่ เราสามารถเว้นหวั ขอ้ นั้นๆ ได้ ยกเว้นหัวขอ้ ระยะต้องสง่ั ทกุ คร้ังถงึ แมน้ ว่าจะไมม่ ี การเปลี่ยนแปลง ซงึ่ เปน็ สง่ิ ทจ่ี าเป็นสาหรบั พลยงิ เพื่อตรวจสอบมมุ สูงในทกุ ครง้ั กอ่ นทจ่ี ะทา การยิงเพอ่ื ให้แนใ่ จไดว้ ่ามุมยิงถกู ตอ้ ง 1) ตัวอย่างตอ่ ไปนี้ รถถังทกุ คนั จะปฏิบตั ติ ามหวั ขอ้ คาสง่ั ยงิ แตจ่ ะทาการยิงเฉพาะรถถงั คัน ทีถ่ กู กาหนดไว้ในหัวขอ้ คาส่ังเทา่ นนั้ คำสงั่ ยิงเริม่ แรก คำสง่ั ขอยิงขันตอ่ มำ คำสั่งยิงขนั ต่อมำ หมวด, หมายเลขสาม ขวา 40, เพ่ิม 200 มมุ ทศิ ขวา 2812 ปรับการยงิ มมุ ยงิ บวก 74 มุมทิศขวา 2832 ตามคาสง่ั ขา้ พเจ้า......ยิง มุมยงิ บวก 69 หนว่ ยทหาร ตามคาสัง่ ขา้ พเจ้า......ยงิ 2) ในการยงิ หาผลหรอื การเปล่ยี นแปลงขอ้ มลู ในหวั ข้อคาส่งั ยงิ เริ่มแรก เมอื่ รถถงั คันที่เป็น หลงั จบการยงิ ปรับ นอย. จะเปลย่ี นแปลงคาสง่ั ดงั น้ี .- คำส่ังหมวดระดมยงิ สองชดุ กำรเปลยี่ นชนิดกระสุนและชนวน คำสัง่ ยงิ ขนั ต่อมำ หมวด หมายเลขส่ี หมวดยิงเป็นรอบจากขวา ระเบดิ 2 นัด ระเบดิ ถว่ งเวลา 3 นดั ควัน 1 นัด มุมยงิ บวก 71 มุมทิศ ขวา 2815 มมุ ยงิ บวก 71 หน่วยทหาร มมุ ยงิ บวก 71 ตามคาสั่งขา้ พเจา้ ......ยงิ

101 ตามคาสง่ั ข้าพเจา้ ......ยงิ ข้อสังเกต: การยิงซา้ หรอื การปรบั แกค้ าสั่งยงิ ในการยงิ เล็งจาลองจะสิส้ ดุ ลงเช่นเดียวกบั การยิงเลง็ ตรง 12.6 การรายงานโดยผู้ตรวจการณ์ (Report by Obsever) เมอ่ื จบภารกจิ ยงิ ผู้ตรวจการณจ์ ะรายงานให้ทราบว่า “จบภารกิจ” และรายงานผลการยงิ ใหท้ ราบ ตัวอยา่ งเชน่ “จบภารกจิ , คาดว่าข้าศึกสญู เสยี ประมาณ 50, ข้าศกึ สว่ นที่เหลอื แยกย้ายกันหลบหนี” นอย.จะ ส่งั การต่อมว.รถถงั ว่า “จบภารกจิ ” เชน่ เดยี วกัน เพ่อื ใหม้ ว.รถถงั หมนุ ปืนกลบั ไปอยู่ท่ีมมุ ทศิ ศนู ย์ ยกลากลอ้ ง ปนื ข้ึนสงู สุดเพ่ือความปลอดภยั เมอื่ ออกคาสัง่ วา่ “หยุดยงิ ” ปนื ใหญ่ของรถถังทุกคันจะอยู่ในมมุ ทศิ และมมุ ยงิ ที่ทาการยงิ นัดสดุ ท้าย เพ่อื รอคาสงั่ ยงิ ใหม่ ตวั อย่ำงกำรปฏบิ ัตภิ ำรกจิ กำรยงิ เลง็ จำลอง การปฏบิ ัติ คาขอยงิ , คาสั่งยงิ หรือการ แผ่นภาพสถานการณ์ ผู้ตรวจการณ์ : คานวณ 1.ค้นหาเป้ าหมายและเลือก รถถงั ทใี่ ช้การไม่ได้เป็ นจดุ - “ม้าขาว จาก รามสูร, ภารกจิ ยงิ ” กง่ึ กลางพืน้ ท่เี ป้ าหมาย - “พิกัด 808898 , มุมภาค 5760, 2. กาหนดทต่ี ้งั เป้ าหมายบน ทหารราบหนึ่งหมวดในท่โี ล่งแจ้ง, แผนทขี่ องตนและคานวณมุม ปรับการยงิ ” ภาคตรวจการณ์-เป้ าหมาย 3. ส่งคาขอยงิ ระยะต.-ม. 4500 หลา

102 นายทหารอานวยการยงิ : 2. ความสูงของปม. 770 ม. แผ่นตารางทับ 1. บันทึกคาขอยงิ ข้นั แรกและ เป้ าหมาย กาหนดท่ตี ้งั ปม.แบบพกิ ดั หมุดเป้ าหมาย ตารางลงบนแผนทขี่ องตน 2. หาความสูงของปม.จากเส้น หมดุ จุดหาหลักฐาน ช้ันความสูงลบแผนท่ี 3. ปักหมดุ หมายท่ีต้งั ปม.จาก ผู้ตรวจการณ์ จุดพิกัดท่ีกรุยลงบนแผนทแี่ ละ สร้างดัชนีทศิ เหนือของปม. หมุดศูนย์กลางมว. 4. หมุนแผ่นตารางทบั ปม. จนกระท่งั แนวต.-ม.ตรงกบั ความสูง 840 ม, ดัชนีทศิ เหนือของปม.

103 การปฏิบัติ คาขอยงิ , คาส่ังยงิ หรือ แผ่นภาพสถานการณ์ การคานวณ แผ่นตารางทับ เป้ าหมาย นายทหารอานวยการยงิ : 1. ระยะป.-ม. = 7,000 หมุดเป้ าหมาย 1. วัดระยะจาก ศก. ของมว.ถ. ไป หลา (6,400 ม.) ยงั ปม. แล้วคณู ระยะ/1000 ด้วยค่า ค่า K = + 50 หลา K เพือ่ หาค่าตวั แก้ทางระยะ แล้วนา (สมมต)ิ ค่าตัวแก้ไปบวกกบั ระยะทีว่ ดั ได้จาก 7 x 50 = 350 หลา แผนที่ เป็ นการนาระยะบนแผนที่ 2. มมุ สูงของระยะยงิ กับระยะท่ีคานวณได้ไปเป็ นระยะ 7,350 หลา = 163.6 มิล หมดุ จุดหาหลักฐาน ยงิ 3. ทีต่ ้งั ยงิ สูง 840 ม. ความสูง 840 เป้ าหมาย หมายเหตุ: ในกรณีท่ีตารางยงิ บาง ปม.สูง 770 ม. ความสูง ผู้ตรวจการณ์ ชนิดมีระยะเป็ นหลาและเส้นช้ัน ต่าง หมดุ ท่ีต้งั ยงิ (ศก.มว.) ความสูงมีค่าเป็ นเมตรให้ทาการวดั = 840 - 770 = 70 ม. ค่าให้เป็ นท้งั หลาและเมตร จากสูตร ม = ก/(ร/1,000) 2. ใช้ตารางยงิ หาค่ามมุ สูงของระยะ = 70/6.4 = 10.9 มิล ยงิ ทีร่ ะยะ 7,350 หลา(ม.) 4. มุมสูงระยะยงิ +163.6 3. หาค่ามมุ พน้ื ท่รี ะหว่างท่ีต้งั ยงิ กับ มลิ มมุ พนื้ ท่ี – ปม.โดยใช้สูตรสัมพันธ์ของมิล 10.9 มลิ ก. ระยะปม.จริงเป็ นเมตร= 6,450 มมุ ยงิ = 163.6 – 10.9 /1,000= 6.4 = 152.7 หรือ 153 ข. เมื่อปม.อย่ตู ่ากว่าที่ต้งั ยงิ มุม มิล พืน้ ท่ีมีค่าเป็ นลบ (-) 4. นาค่ามุมพ้นื ท่ีไปบวกกบั มุมสูง ของระยะยงิ เพือ่ หามุมยงิ เนื่องจาก มมุ พ้นื ทมี่ คี ่าเป็ นลบให้นาไปลบ ออกจากมุมสูงของระยะยงิ การปฏบิ ัติ คาขอยงิ , คาส่ังยงิ หรือการ แผ่นภาพสถานการณ์ คานวณ

104 นายทหารอานวยการยงิ : 1. ระยะ (ปม. - จล.) แผ่นตารางทับ เป้ าหมาย 1. วัดระยะฉากจากแนว ป.-ม. 1.750 หลา หมดุ เป้ าหมาย 2. ใช้สูตรมลิ คานวณค่ามุม 2. ม = ก/(ร/1,000) ระหว่างแนวเส้นของจดุ หา = 1,750 / 7 = 250 มลิ หลักฐานและแนว ป.-ม. แฟค 3. 3,200 - 250 = เตอร์ระยะ = 7.0 (ระยะจริง มุมทิศขวา 2,950 มลิ หมดุ จุดหาหลกั ฐาน 7,000 ม.) 4. “มว.หมายเลขสาม, ปรับ แนวเส้นจดุ หาหลักฐาน ผู้ตรวจการณ์ 3. เมอ่ื ปม. อย่ขู วาของแนวเส้น การยงิ , ระเบิด, มมุ ทิศขวา ของจดุ หาหลักฐาน แปลงค่า 2,950, มุมยงิ +75, หน่วย มุมมลิ เป็ น มุมทิศโดยนาไปลบ ทหาร, ตามคาส่ังข้าพเจ้า ยงิ ” กับ 3200 5. “ยงิ ไปแล้ว” หมุดทต่ี ้งั ยงิ (ศก.มว.) 4. ออกคาสั่งยงิ ข้นั แรก ความสูง 840 เป้ าหมาย ข้อสังเกต: ถ. ทุกคนั ปฏบิ ัติ ตามแต่ไม่ต้องยงิ ยกเว้น ถ. คนั ทเ่ี ป็ นฐานของมว. จะทาการยงิ แล้วออกคาส่ังให้เร่ิมยงิ เมอ่ื ผบ.รถ รายงานว่าพร้อม 5. แจ้งให้ผ้ตู รวจการณ์ทราบว่า ยงิ ไปแล้ว ผ้ตู รวจการณ์: 1. การตรวจ:ใช้กล้องส่องสอง ตาตรวจได้ว่า“หลงั ,ซ.30” 2. คานวณการแก้ทางทิศโดยใช้ 2. สูตร ก = ร x ม สูตรมิล ฟตม.ของระยะ คือ 4.5 ก = 4.5 x 30 3. คานวณการแก้ทางระยะโดย ก = 135 ใช้การผ่าห้วงควบ ตาบลระเบิด ระยะ ต.-ม. 4,500 หลา 4.ส่งคาปรับแก้การยงิ ไปยงั 4. ขวา 140, ลด 400 แผ่นภาพสถานการณ์ นอย. ทางทศิ จานวนเต็ม 10 ทางระยะเตม็ 100 การปฏบิ ัติ คาขอยงิ , คาส่ังยงิ หรือการ

105 คานวณ นอย.: กรุยค่าการปรับแก้ของ แผ่นตารางทับ ผ้ตู รวจการณ์ลงบนแผ่นตาราง เป้ าหมาย ทับเป้ าหมายโดยเลือ่ นไป หมุด ทางขวาและลดลงมาด้านล่าง เป้ าเดิม ให้สัมพันธ์กับแนวดัชนีลูกศร ของแผ่นตารางและจดุ เดมิ ของ หมุด ปม.แล้วปักหมดุ หมายปม.ใหม่ เป้ าใหม่ ลงไปบนแผ่นตาราง ข้อสังเกต: แต่ละช่องเล็กของ หมุดจล. แผ่นตารางทับปม.ม่คี ่าเท่ากบั 100 หลา ของแผนท่ีมาตรา แนวเส้นจดุ หาหลักฐาน ส่วน 1:25,00 ผู้ตรวจการณ์ หมุดท่ีต้งั ยิง (ศก.มว.) ความสูง 840 เป้ าหมาย \\

106 การปฏบิ ัติ คาขอยงิ , คาส่ังยงิ แผ่นภาพสถานการณ์ หรือการคานวณ นอย.1.วดั ระยะไป 1,ระยะปม.ใหม่ ยงั ปม.ใหม่แล้วนาไป 6,750 หลา บวกค่าตัว แผ่นตาราง แผ่นตาราง หมดุ ปม. รวมกบั ค่าตวั แก้ทาง แก้ทางระยะ 350 หมุด ปม. ผ้ตู รวจการณ์ ระยะ เพื่อหาระยะ หลา=7,100 หลา ยงิ ใหม่ 2. เปิ ดตารางยงิ หา 2.มุมสูงของระยะยงิ หมดุ จล. หมดุ จล. ความสูง 840 มมุ สูงของระยะ = + 130.0 7,100 ม. ผ้ตู รวจการณ์ หมุด ศก.มว. 3. นาค่ามมุ สูงไป 3. บวกมุม พท. เดิม รวมกบั มุมพนื้ เดิม มุมยงิ = 130.0 - 10.9 หมดุ ศก.มว. ความสูง 840 = + 119.1 4. วดั ระยะฉากจาก 4. มมุ ทศิ = แนวจล.กบั ปม.ใหม่ 2,000 / 6.8 = 294 5. คานวณมุมทศิ = 3,200 – 294 โดยใช้สูตรมิล (ฟต มมุ ทศิ ขวา 2,906 ม.6.8) นอย.: 1. ออกคาส่ังยงิ ข้นั ต่อมา 2. แจ้งผ้ตู รวจ การณ์ว่ายงิ ไป แล้ว

107 การปฏบิ ัติ คาขอยงิ , คาสั่งยงิ หรือการ แผ่นภาพสถานการณ์ คานวณ 1. ใช้กล้องส่องสองตาตรวจผล การยงิ ได้ว่า “เป้ าหมาย” ดังน้ัน ไม่มกี ารปรับแก้ทางทิศ และทางระยะ 2. ส่งคาขอยงิ ข้นั ต่อมา ระยะปม., ยงิ หาผล ตาบล ระเบดิ ข้อสังเกต: ถ้าผู้ตรวจการณ์ จุดปรับการยงิ ตรวจผลการยงิ ไม่ได้ว่า “เป้ าหมาย” ให้ดาเนินการ ปรับแก้การยงิ ทางทิศและทาง ระยะต่อไป และนอย.จะต้อง กรุยหลักฐานนัดต่อไปที่ปรับ จากนัดสุดท้ายท่ีทาการยงิ เสมอ นอย. : ข้อสังเกต เมือ่ ผู้ตรวจการณ์ส่ง 1. หมวด, ระเบิด 3 นัด, 1. นอย. ตกลงใจใช้มว.ทาการระดมยงิ ต่อเป้ าหมาย ท้งั มว. 3 ชุด ไม่มกี ารเปลี่ยนแปลงมุมทศิ เน่ืองจาก คาตรวจผลมาว่า “เป้ าหมาย” มมุ ยงิ บวก 119.1 ตามคาสั่ง รถถงั ท้ังมว.ได้ปฏิบัตกิ ารปรับตามคนั ทเี่ ป็ นฐานในการ ปรับเรียบร้อยแล้ว ไม่จาเป็ นต้องปรับแก้ทางทิศ ข้าพเจ้า...ยงิ 1. ออกคาส่ังยงิ หาผลไปยงั มว. 2. หมวด ระดมยงิ 3 ชุด รถถัง เป้ าหมาย กข.151,เร่ิมยงิ 2. ส่งข้อความการปฏบิ ัตไิ ปให้ ผ้ตู รวจการณ์ทราบ

108 การปฏิบัติ คาขอยงิ , คาสั่งยงิ หรือการ แผ่นภาพสถานการณ์ คานวณ ผู้ตรวจการณ์ : 1. ตรวจผลการยงิ หาผลและ ย้ายการยงิ โดยส่งคาขอยงิ ข้นั ต่อมาเพื่อยงิ หาผลเพม่ิ เติม 2. ส่งคารายงานไปยงั นอย. เมื่อ จบภารกิจ ข้าศึกล้มตาย เป้ าหมายถูกทาลายหรือถกู ตดั ประมาณ 10 ราย ท่เี หลือแยก รอนกาลัง ย้ายกนั หลบหนีไป นอย. “จบภารกจิ ” มว.รถถงั เมื่อไดรับคาสั่งว่า “จบภารกจิ ” รถถังทุกคนั 1. บันทึกหลกั ฐานลงในใบ หมนุ ปื นกลบั ไปยงั มมุ ทิศศูนย์ (0) และยกปื นขนึ้ สูงสุด รายงานผลและกรุยเป้ าหมายลง บนแผนที่ 2. แจ้งให้มว.รถถงั ทราบว่าจบ ภารกจิ

109 วิชา การปรบั ทางปนื ปืนใหญร่ ถถัง ประกอบการสอน 56.25 แผนกวิชาหลักยงิ และตรวจการณ์ กองการศึกษา โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า ๒๕๔๔

110 การปรบั ทางปืน 1. กล่าวทวั่ ไป การปรบั ทางปืน เป็นการปรับการเล็งเพ่ือให้ตาบลกระสนุ ตกถูกตรงกบั จดุ เลง็ ของกล้องเลง็ ณ ระยะ ยงิ ทก่ี าหนด เพอ่ื ชดเชยความคลาดเคล่อื นของระบบอาวุธใหเ้ พมิ่ ความแมน่ ยาในการยิงเลง็ ตรงในทุกระยะยงิ การปรับทางปนื เป็นการยิงด้วยกระสนุ ๓ - ๕ นัด เพื่อหาค่าปานกลางมณฑลของกลุ่มกระสุน (ศนู ย์กลางของ การกระจายกลมุ่ กระสุน) MEAN POINT OF IMPACT (MPI) นามาปรบั ทางปืน ในขน้ั ตอนการปฏิบัติในการปรบั เสน้ เลง็ ยงิ เพ่ือปรบั ทางปืน จะต้องเล็งดว้ ยความประณีต และใช้การ ควบคมุ ปืนในทางทิศและทางสงู จากคันบังคับป้อมปนื ดว้ ยมอื โดยจะตอ้ งเคลอ่ื นจุดเล็งไปยงั ทิศทางเดียวกัน และจบการเลง็ สุดท้ายทจ่ี ุดเล็งจากล่างข้นึ บน ด้วยการใชเ้ ทคนคิ การเลง็ แบบรปู ตัว G เพ่ือชดเชยความ คลาดเคลือ่ นจากการขยบั เขย้อื นของป้อมปืน, ของเครอื่ งควบคมุ การยงิ และแรงผลักดนั จากการยงิ กระสุนทใ่ี ช้ ยงิ จะต้องเปน็ กระสนุ ชนิดเดยี วกัน มหี มายเลขงวดงานเดยี วกัน ถ้าปนื ยังเย็นอยู่การยิงนดั แรกใหถ้ อื วา่ เปน็ การ ยิงเพื่ออ่นุ ปนื ไมน่ บั ว่าเป็นกระสุนท่ีใช้ยิงปรับทางปืน เทคนคิ การเลง็ แบบรปู ตัว G 2. การเตรียมการ ก. เป้ายิงปรบั ทางปนื ใช้เปา้ ขนาด ๑๒ x ๑๒ ฟตุ หรือ ๑๐ x ๑๐ ฟุต ทาดว้ ยโครงไม้กรุดว้ ยผา้ หรอื สงั กะสี ทาสีพน้ื ดว้ ยสีขาว ปกั ให้ตงั้ ฉากกบั ทศิ ทางยิง ที่ระยะ ๑,๒๐๐ เมตร ( + ๒๐ เมตร ) มแี ผน่ เปา้ แปะ ติดหรอื วาดภาพไว้ ใช้เปน็ จดุ เล็งและวัดระยะ MPI อย่กู ลางเปา้ เลอื กใช้ตามความเหมาะสมและชนิดของรถถัง มีดงั นี้

111 ๑. เป้ารถถังแบบ ป. ( เป็นเปา้ สาย สพ. ตามคณุ ลกั ษณะเฉพาะของ ทบ. ไทย ) ใช้ยงิ ปรบั ทางปนื ทาด้วยกระดาษรปู สเี่ หล่ยี มจัตรุ สั ขนาด ๖ x ๖ ฟตุ ภายในมวี งกลมสดี า เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง ๘ น้ิว อยู่ตรงกลาง ลอ้ มรอบดว้ ยวงกลมเส้นสดี า ขนาด เส้นผา่ ศูนย์กลาง ๓๒ นิ้ว และ ๔๘ นิ้ว ขีอ ๒ วง วางซอ้ นรว่ มจดุ ศูนยก์ ลางเดยี วกนั ๖ ฟตุ ๔๘“ ๓๒“ ๘“ ๖ ฟุต เปา้ รถถังแบบ ป. ๒. เปา้ ที่ใช้สขี ดี เส้นกากบาท ๒ เสน้ ตัดกันเปน็ เคร่ืองหมายบวกอยกู่ ลางเป้าขนาด ๑๒ x ๑๒ ฟุต หรอื ๑๐ x ๑๐ ฟุต และ/หรือ จะวาดวงกลมรัศมี ๒๔ นิว้ หรอื ๓๖ นิว้ ตาม ต้องการก็ได้ เพือ่ ใช้เปน็ จุดเล็ง และวดั ระยะเพ่ือคานวณหาค่า MPI กบั วดั ระยะหา่ งของ MPI จากจดุ ตดั กากบาท เป้าขีดเส้นกากบาท ๓. เปา้ แบบ ST ๔ ใช้ยงิ ปรับทางปนื ของ ถ. M ๖๐ A ๓ ตาม FM ๑๗ - ๑๒ - ๓ แต่ รถถงั ชนิดอื่นสามารถนาไปใช้ยิงปรบั ทางปืนได้ เพราะงา่ ยตอ่ การเล็งได้อย่างประณตี ทาใหก้ ารเล็งยงิ กระสนุ ทกุ นดั เปน็ ไป ณ จดุ เดิมมากท่สี ุด เปน็ ภาพรปู แปดเหล่ียมดา้ นเทา่ ด้านละ ๖๐.๕ ซม. แบง่ ออกเปน็ ๔ สว่ น ทาสีขาวสลบั ดา 56.25

112 เป้าแบบ ST ๔ ข. นารถถงั เข้าทีต่ ้งั ยงิ พน้ื ทรี่ ะดบั และราบเรียบห่างจากเป้าปรบั ทางปนื และเปา้ ปรบั เส้นเลง็ ๑,๒๐๐ ม.+๒๐ม. ค. ปรบั เส้นเล็งปืนใหญแ่ ละปนื กลกับกล้องเลง็ ทกุ ชนิดของรถถงั และควรใชก้ ลอ้ งปรับเส้นเลง็ MBD (MUZZLE BORESIGHT DEVICE) ถ้ามี และจะต้องควบคมุ คันบังคบั ปอ้ มปืนด้วยมอื การเล็งใชเ้ ทคนคิ แบบ รูปตัว G ง. หาระยะจากที่ตัง้ ยิงไปยงั เป้าทใ่ี ช้ยงิ ปรบั ทางปนื ใหไ้ ด้ระยะทถ่ี ูกตอ้ งมากทีส่ ุด ๓. การยิงปรับทางปืน การยงิ ปรบั ทางปืน เพอื่ หาค่ามาปรบั ทางปืนของกระสุนแตล่ ะชนิดจะต้องใชก้ ระสนุ ชนดิ เดยี วกนั และ หมายเลขงวดงานเดียวกัน หากปนื ยงั เยง็ อยู่การยิงนัดแรกให้ถอื ว่าเป็นการยงิ เพือ่ อุ่นปนื ไม่นับวา่ เปน็ กระสนุ ยงิ ปรบั ทางปนื จานวนกระสนุ ทใี่ ชย้ งิ ๓ - ๕ นดั ถา้ เพอ่ื เปน็ การประหยัดควรพจิ ารณาใชก้ ระสุนทาการยงิ ๓ นดั แต่ถา้ ต้องการหาคา่ MPI ทลี่ ะเอียดและมกี ระสุนมากพอกใ็ ช้ยิง ๔ หรือ ๕ นัด ก. ต้งั ชนดิ กระสนุ ทใี่ ช้ยิงและระยะยงิ กบั ระบบเครอ่ื งควบคมุ การยิงของรถถัง และบรรจกุ ระสนุ เขา้ รังเพลงิ ข. ใชค้ นั บังคบั ป้อมปนื ดว้ ยมอื จัดภาพเลง็ ใหจ้ ดุ เลง็ ในกล้องเลง็ อยตู่ รงจดุ เล็งทกี่ ลางเปา้ ตามทกี่ าหนด อย่าง ประณตี โดยเคลอ่ื นภาพเลง็ ตามแบบรปู ตวั G ส้นิ สดุ การเลง็ จากลา่ งขึน้ บน ค. กรณียิงดว้ ยกระสุน ๓ นดั เริ่มปฏิบัตกิ ารยงิ กระสุนนดั แรกออกไป (ควรใช้การล่นั ไกด้วยเครื่องลน่ั ไกฉกุ เฉิน เพ่อื ไมใ่ หป้ นื เขยื้อนขณะลนั่ ไก) ง. จดั ภาพเลง็ อย่างประณตี การปฏบิ ัตเิ ช่นเดยี วกบั ยิงกระสนุ นดั แรก ยิงออกไปอกี ๒ นดั แลว้ หาคา่ ปานกลาง

113 มณฑลของกลมุ่ กระสุน (MPI) ๓ นัด มีหลายวธิ ีดังน้ี วิธที ่ี ๑ การแบง่ ส่วนระยะหา่ งของรกู ระสนุ ใช้ได้กบั ถ. ทุกชนดิ ๑. ลากเสน้ และวดั ระยะห่างจากรกู ระสุน ๒ นัด แลว้ แบ่งครง่ึ ออกเป็น ๒ ส่วน ๒. ลากเส้นจากก่งึ กลางของระยะหา่ งรกู ระสุนที่ ๑ และ ๒ ไปรกู ระสุนที่ ๓ แบ่งส่วนออกเป็น ๓ ส่วน เท่า ๆ กนั ๓. ระยะท่ี ๑/๓ คือ จุดปานกลางมณฑล (MPI) ของกระสนุ ๓ นัด ๔. สาหรบั รถถงั ทจ่ี ะตอ้ งคานวณหาค่า MPI และแปลงค่าจาก ซม. เปน็ มลิ เลียม เพือ่ ใชเ้ ป็นคา่ ตวั แก้ ในคอมพิวเตอร์ CCFs (COMPUTER CORRECTION FACTORS) จะต้องวัดระยะจากจดุ MPI ไป ยงั แกนแนวต้งั กับแกนแนวนอนได้เท่าไรนามาคานวณให้เปน็ มิลเลยี ม (จะกลา่ วในวิธีที่ ๓) แล้วจึง นาไปใส่ในเครอื่ งคอมพวิ เตอรข์ องเครอ่ื งควบคมุ การยงิ ๑/๒ MPI ๑/๓ ภาพการหา MPI กระสุน ๓ นัด วธิ ีท่ี ๒ วิธีคานวณแบบวดั ระยะทางแนวต้ังและทางแนวนอน ๑. การคานวณทางแนวตั้ง วัดระยะห่างจากรกู ระสุนวัดระยะห่างจากรกู ระสุนด้านใดดา้ นหนง่ึ เป็น หลัก ไปรกู ระสนุ ท่ี ๒ และ ๓ ได้เท่าไรนามารวมกัน แล้วหารด้วยกระสนุ ทใ่ี ชย้ ิง ๒. คานวณทางแนวนอน ปฏบิ ตั เิ ช่นเดียวกบั วดั ระยะทางแนวตงั้ แตว่ ัดทางแนวนอน ๓. นาค่าท่ีไดม้ าวดั จากรูกระสุนทีว่ ัดเป็นหลัก ไปทางแนวตงั้ และแนวนอน ลากเส้นตัดกันทใี่ ด ตรง จดุ ตัดกนั นน้ั เปน็ จุด MPI ๔. สาหรบั รถถังท่จี ะนาค่า MPI ทีไ่ ดไ้ ปแปลงค่าเปน็ CCFs และนาไปป้อนข้อมลู ในคอมพิวเตอร์ ให้ ปฏบิ ตั เิ ชน่ เดียวกบั วธิ ที ่ี ๑ ขอ้ ๔ ๑๔“ รูกระสุน ๑๐“ ๑๐ + ๑๔ = ๒๔ ซา้ ยสุด ๒๔ / ๓ = ๘ น้ิว วัดระยะทางแนวตัง้

114 ๕“ ๑๓“ รูกระสุน วดั ระยะทางแนวนอน ล่างสุด ๕ + ๑๓ = ๑๘ ๑๘ / ๓ = ๖ นิ้ว ๕“ MPI ๖“ ได้จุด MPI วดั ระยะจากค่าทไ่ี ดท้ างแนวตง้ั และแนวนอนตดั กันได้ MPI วิธีที่ ๓ วธิ ีคานวณแบบวัดระยะจากแกนแนวตงั้ และแกนแนวนอน วิธีคานวณแบบวัดจากแกนแนวตั้ง (AZ) หรอื (TR) และแกนแนวนอน (EL) น้ี เสน้ แกนแนวตงั้ กบั เสน้ แกนแนวนอน จะตดั กันกลางเป้าปรบั ทางปืนใชเ้ ปน็ จุดเลง็ ในการเล็งยงิ การวดั ระยะจะวัดจากแกนแนวตัง้ และ แนวนอนไปทีร่ ูกระสนุ ทุกนดั สาหรบั รถถงั เบา ๓๒ (STINGRAY) วธิ เี ดิม คา่ ทวี่ ดั ได้จากดา้ นขวาแนวตั้ง (TR) มคี า่ เปน็ R = บวก (+) ด้านซา้ ยแนวตัง้ เป็น L = ลบ (-) และวดั จากดา้ นบนแนวนอน (EL) มีคา่ เปน็ (+) ดา้ นล่างแนวนอน(EL) มีคา่ เปน็ ลบ (-) แตเ่ มอ่ื คานวณได้ค่า CCFs แลว้ ก่อนนาข้อมูลไปป้อนลงใน DFCS (DIGITAL FIRE CONTROL SYSTEM) จะตอ้ งเปลยี่ นค่าเครอื่ งหมายทีค่ านวณได้ของแกนแนวต้งั (TR) และ แกนแนวนอน (EL) เป็นด้าน ตรงกันข้ามเสยี กอ่ น กล่าวคอื ของ TR เปล่ียนจาก + เปน็ -, จาก – เป็น + และเปลย่ี นจาก R เป็น L, จาก L เป็น R และของ EL เปล่ยี นจาก + เป็น – และ จาก – เป็น + สาหรับรถถัง M ๖๐ A ๓ ค่าท่วี ดั ไดจ้ ากด้านขวาของแนวตัง้ (AZ) มีคา่ เปน็ ลบ (-) ดา้ นซ้ายแนวต้งั (AZ) มคี ่าเป็นบวก (+) และวดั จากดา้ ยบนแนวนอน (EL) มคี า่ เป็นลบ (-) ด้านล่างแนวนอน (EL) มคี ่าเปน้ บวก (+) การกาหนดดา้ นของแกนกบั เครอ่ื ง + และ – ของ ถ. M ๖๐ A ๓ นั้น ถ. เบา ๓๒ สามารถนามา กาหนดใชค้ านวณหาค่า MPI และ CCFs ไดเ้ ลย ซึ่งงา่ ยและไมต่ อ้ งนาผลลพั ธ์มาเปลีย่ นเป็นตรงกันข้ามเสียก่อน แตจ่ ะตอ้ งกาหนดแกนแนวตั้ง (TR) จากผลลพั ธค์ า่ CCFs ถ้าเป็นลบ (-) ให้เป็น R มีค่าเปน็ บวก (+) ให้เปน็ (L)

115 หาผลลพั ธน์ ้นั เพื่อนาไปป้อนใน DFCS สาหรบั ผลลัพธจ์ ากแกนแนวนอน (EL) ออกมาเปน็ ลบ (-) หรอื บวก (+) ใชค้ ่าทีไ่ ด้น้ปี ้อนใน DFCS ได้เลย ข้อสงั เกต การวัดคา่ ทางแนวต้ังไปทางด้านข้างของ ถ.เบา ๓๒ ใช้ตัวย่อว่า TR หรอื TRA (TRAVERSE) ถ. M ๖๐ A ๓ ใช้ตวั ย่อว่า AZ (AZIMUTH) ซ่ึงมีความหมายทางหลักยงิ เดียวกนั คือทิศทาง บางครั้งกใ็ ช้ DEF หรอื DEFL (DEFLECTION) สาหรบั การวัดค่าทางแนวนอนข้นึ หรือลง ใชย้ อ่ วา่ EL หรอื ELV (ELEVATION) เช่นเดยี วกัน ถ.เบา ๓๒ และ ถ. M ๖๐ A ๓ จะต้องนาค่าทไี่ ดเ้ ปน็ ค่าตัวแก้ (CCFs) นาไปปอ้ นขอ้ มลู หรอื ตง้ั กบั เครอื่ งคานวณคอมพวิ เตอร์ในระบบเครอื่ งควบคมุ การยิง การหาคา่ MPI ปฏบิ ตั ิดงั น้ี ๑. วดั ระยะจากแกนแนวตงั้ (AZ) (TR) ไปทีร่ กู ระสนุ ทงั้ ๓ รู (ซม.) นาค่าทไ่ี ดท้ ้งั ๓ รมู าบวกกัน แลว้ หารด้วย ๓ (จานวนกระสุนท่ใี ช้ยงิ ปรบั ทางปืน) จะได้ระยะค่าเฉล่ียของรูกระสนุ ทั้ง ๓ จากแกน แนวต้ัง ๒. วดั ระยะจากแกนแนวนอน (EL) ไปทรี่ กู ระสนุ ทงั้ ๓ รู (ซม.) นาค่าท่ีไดท้ ั้ง ๓ รมู าบวกกัน แลว้ หาร ด้วย ๓ (จานวนกระสุนทใี่ ชย้ งิ ปรบั ทางปนื ) จะไดร้ ะยะคา่ เฉลีย่ ของรกู ระสนุ ท้ัง ๓ จากแกน แนวนอน ขอ้ สงั เกต อัตราการกระจายของลูกกระสุนปนื ใหญร่ ถถัง วดั รกู ระสุนทเ่ี ป้าปรับทางปืนท่ีระยะ ๑๒๐๐ เมตร ทางทิศจากรซู า้ ยสุดไปรูขวาสดุ และทางสูง จากรูตา่ สดุ ไปรบู นสดุ จะตอ้ งไมเ่ กิน ๓๐ น้ิว (๐.๖๔ มิล) ถา้ เกนิ ๓๐ นวิ้ แกนใดแกนหน่งึ แสดงวา่ ปืนมีขอ้ ผิดพลาดในระบบ ใหแ้ จ้งช่างปอ้ มปืนประจาหนว่ ย ดาเนติ รวจสอบความ ถกู ตอ้ งของระบบอาวุธ AAC (ARMAMENT ACCURACY CHECK) เมือ่ ตรวจสอบหาสาเหตแุ ละแก้ไขแลว้ ให้ เริ่มปฏิบัตยิ งิ ปรบั ทางปืนใหม่ รูกระสนุ บนสุด ๓๐“ รูกระสนุ ขวาสุด ๓๐“ รูกระสุนซา้ ย สุด รูกระสุนล่างสุด อัตราการกระจายของกลมุ่ กระสุน ๓. วัดระยะท่คี านวณได้ตามข้อ ๑. และ ๒. จากแกนแนวตงั้ และแกนแนวนอน ลากเส้นตัดกนั จดุ ตดั กนั คือ MPI ๔. วัดระยะจากเสน้ ตดั กันท่เี ป็นจุดเลง็ ไปยังจดุ MPI ทีไ่ ด้ หากจดุ MPI อย่หู า่ งจดุ กเล็งไมเ่ กนิ ๓๖ น้วิ (๙๑.๔๔ ซม.) หรือ ๐.๗๕ มลิ เลยี ม (เดนิ ตาม รส.๑๗ - ๑๒ ไม่เกิน ๒๔ นิ้ว) สาหรบั ถ. M ๖๐ A ๓ ต้องอยู่ในรูปแปดเหลี่ยม ซงึ่ ไมต่ อ้ งดาเนินการในขอ้ ๕ ต่อไป ถือว่าปืนมคี วามแมน่ ยา สาหรบั รถถงั ทตี่ ้องการหาค่า CCFs หรือ ACFs (AMMUNITION CORRECTION FACTORS) หากเกิน

116 กวา่ ระยะทกี่ ล่าวมาใหป้ ฏบิ ตั ิขั้นตอนตอ่ ในข้อท่ี ๕ ตอ่ ไป แต่รถถงั ทไ่ี มต่ อ้ งการคานวณ หาคา่ CCFs หรอื ACFs ให้ปฏิบตั ิข้ันตอนในข้อ จ. ตอ่ ไป ๕. สาหรบั ถ.เบา ๓๒ และ ถ. M ๖๐ A ๓ หากจดุ MPI ระยะเกินกว่าท่กี าหนดหาค่า CCFs โดยนา ค่า MPI ท่ไี ด้มาแปลงจากระยะ หน่วย ซม. ใหเ้ ปน็ มมุ หน่วยมิลเลียม ๕.๑ นาระยะยิงที่ใชย้ งิ ปรบั ทางปนื คูณดว้ ย ๑/๑๐ แลว้ นาไปหารคา่ เฉล่ยี ทห่ี าไดจ้ ากข้อ ๑ (AZ) (TR) และข้อ ๒ (EL) ๕.๒ นาคา่ ทไี่ ดจ้ ากขอ้ ๕.๑ ไปคณู ด้วย ๑.๐๒ (เปน็ ค่าตัวแกท้ ี่จะใหม้ ุมมิลเลียมที่ถกู ตอ้ ง) จะได้คา่ CCFs ของ AZ (TR) และ (EL) โดยให้ปัดคา่ ตัวเลขหลงั จุดทศนยิ ม ๒ ตาแหน่งใหเ้ หลอื ตาแหนง่ เดยี ว ถา้ มากกว่า ๕ ใหป้ ัดเพิ่มขึน้ อีก ๑ ถา้ เท่ากบั ๔ หรือนอ้ ยกว่าใหม้ คี า่ คงเดมิ ขอ้ สังเกต สาหรบั ถ.เบา ๓๒ การหาคา่ CCFs แบบเดิมในขอ้ ๕.๑ จะนาค่าเฉล่ยี ทไี่ ดจ้ ากข้อ ๑ และ ๒ มาคูณ ดว้ ย ๑๐ แลว้ หารดว้ ยระยะยงิ (จะไดค้ า่ ผลลพั ธ์ เชน่ เดยี วกับการหาในข้อ ๕.๑ ท่กี ล่าวมาก่อนนั้น) แลว้ นาไป ปอ้ นข้อมลู ลงใน DFCS ซึ่งยังเปน็ คา่ มุมมิลเลยี มอย่างหยาบ ควรคานวณตอ่ ในขอ้ ๕.๒ คือ คูณดว้ ย ๑.๐๒ ซ่ึง จะได้ค่ามุมมลิ เลยี มทีถ่ ูกตอ้ ง ตวั อยา่ ง (หน่วยเปน็ ซม.) การวดั จากแกนแนวตั้ง (AZ) (TR) และ แกนแนวนอน (EL)

117 ๑. การหาค่า MPI และ CCFs ของ ถ.เบา ๓๒ (STRINGRAY) แบบเดิม ก. วดั ระยะจากแกนแนวต้ัง TR รกู ระสนุ ที่ ๑ ได้ - ๒๐ ซม. รูกระสนุ ท่ี ๒ ได้ + ๔๔ ซม. รกู ระสนุ ท่ี ๓ ได้ + ๕๕ ซม. รวม + ๗๙ ซม. - ค่า MPI ของ TR = + ๗๙ / ๓ = + ๒๖.๓๓๓ ซม. - เปล่ยี นระยะ ซม. เป็น มิลเลียม และเปลยี่ นเปน็ ค่า CCFs ๑. เอา ๑๐ ไปคูณ + ๒๖.๓๓๓ x ๑๐ = + ๒๖๓.๓๓ มลิ เลยี ม ๒. เอาระยะยงิ ไปหาร + ๒๖.๓๓๓ / ๑๒๐๐ = + ๐.๒๑๙ มิลเลียม ปดั เศษทศนยิ ม = + ๐.๒ = R ๐.๒ มิลเลียม ๓. คา่ CCFs ของ TR ใชป้ ้อนใน DFCS คอื – ๐.๒ = L ๐.๒ มลิ เลียม (ตอ้ งเปลีย่ นเคร่อื งหมาย + เปน็ – และจาก R เปน็ L ก่อน) ข. วัดระยะจากแนวนอน EL จากรกู ระสุนท่ี ๑ ได้ + ๔๒ ซม. จากรกู ระสนุ ท่ี ๒ ได้ + ๑๒๔ ซม. จากรกู ระสุนที่ ๑ ได้ + ๑๕๑ ซม. - ค่า MPI ของ EL = + ๓๑๗ / ๓ = + ๑๐๕.๖๖๖ ซม. - เปล่ยี นระยะ ซม. เป็น มิลเลียม และ เปลี่ยนเปน็ คา่ CCFs ๑. เอา ๑๐ ไปคูณ + ๑๐๕.๖๖๖ x ๑๐ = + ๑๐๕๖.๖๖ ซม. ๒. เอาระยะยงิ ไปหาร + ๑๐๕๖.๖๖ / ๑๒๐๐ = + ๐.๘๘ มลิ เลยี ม ปัดเศษทศนิยม = + ๐.๙ มลิ เลยี ม ๓. คา่ CCFs ของ EL ทใี่ ช้ป้อนใน DFCS คอื - ๐.๙ มิลเลยี ม ๒. การหาค่า MPI และ CCFs ของ ถ. M ๖๐ A ๓ สาหรบั ถ. เบา ๓๒ (STINGRAY) สามารถนาวธิ นี ี้ไปใชไ้ ด้ตามทกี่ ล่าวมาแลว้ ในหนา้ ที่ ๖ และ M ๔๑, M ๔๘ A ๕ และ M ๖๐ A ๑ สามารถนาวธิ คี านวณนี้มาไปใช้ได้ แตจ่ ะไม่เรยี กเปน็ CCFs โดยนาค่าท่ี คานวณได้ไป บวก หรอื ลบ กับคา่ ทีต่ งั้ แป้นปรับมาตรา ฯ คือ (๔) (M ๔๑ หรือ (๓)) ท่ตี ้ังไว้หลังจากปรับเส้น เลง็ กอ่ น เรยี กคา่ นว้ี ่า ACFs (AMMUNITION CORRECTION FACTORS) แลว้ นาไปปรบั ทเ่ี ส้นปรบั มาตรา ประจากล้องเลง็ ท้งั ทางทิศ (AZ) และทางสงู (EL) จากตัวอย่าง AZ EL หน่วย - วดั ระยะจากรูกระสุนท่ี ๑ ได้ + ๒๐ - ๔๒ ซม. - วัดระยะจากรกู ระสุนที่ ๒ ได้ - ๔๔ - ๑๒๔ ซม. - วดั ระยะจากรกู ระสุนท่ี ๓ ได้ - ๕๕ - ๑๕๑ ซม. รวม - ๗๙ - ๓๑๗ ซม. - หารดว้ ยกระสนุ ทใ่ี ชย้ งิ เปน็ ค่าเฉล่ีย - ๗๙ / ๓ - ๓๑๗ / ๓ = ๒๖.๓๓๓ = - ๑๐๕.๖๖๖ ซม.

118 แปลงค่าหน่วย ซม. เป็น มลิ เลียม - เอา ระยะยงิ x ๑ / ๑๐ = ๑๒๐๐ x ๑ / ๑๐ = ๑๒๐ - นา ๑๒๐ ไปหารค่าเฉลี่ย - ๒๖.๓๓๓ / ๑๒๐ - ๑๐๕.๖๖๖ / ๑๒๐ = ๐.๒๑๙ = - ๐.๘๘ มลิ เลยี ม - คณู ด้วย ๑.๐๒ - ๐.๒๑๙ x ๑.๐๒ - ๐.๘๘ x ๑.๐๒ = ๐.๒๒๓ = ๐.๘๙๗ - ค่า CCFs (ปัดจดุ ทศนิยม) - ๐.๒ - ๐.๙ มิลเลยี ม ถ. M ๖๐ A ๓ จะได้ค่า CCFs AZ = ๐.๒ มลิ เลยี ม และ EL = - ๐.๙ มลิ เลยี ม ไปตง้ั ท่ตี ู้คานวณ คอมพวิ เตอร์ (GCU) ของระบบเครือ่ งควบคมุ การยงิ เป็นค่า CCFs ใหม่ สาหรับ ถ.เบา ๓๒ (STINGRAY) ถา้ หาคา่ MPI และคานวณหาคา่ CCFs เชน่ เดียวกันนี้ กจ็ ะได้คา่ CCFs TR (AZ) = R ๐.๒ มลิ เลียม และ EL = - ๐.๙ มิลเลียม นาไปป้อนข้อมูลในเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ (DFCS) ของระบบเครื่องควบคุมการยงิ ได้ สาหรบั ถ. M ๔๑, M ๔๘ A ๕ และ M ๖๐ A ๑ คานวณเชน่ เดียวกันน้ี ก็จะได้คา่ ACFs ปรบั แก้ทาง ทิศ (AZ) = - ๐.๒ มิลเลยี ม และทางสงู (EL) = - ๐.๙ มิลเลยี ม ไปปรบั ที่แก้ทก่ี ลอ้ งเล็ง ถ. M ๔๑ ปรับแปน้ ปรบั AZ ท่ีขดี ๒.๘ EL ทขี่ ีด ๒.๑ สาหรับ ถ. M ๔๘ A ๕ และ M ๖๐ A ๑ ปรบั แป้นปรบั AZ ท่ีขดี ๓.๘ EL ทขี่ ดี ๓.๑

119 จ. การปรบั จุดเลง็ ไปทจ่ี ดุ MPI รถถงั ท่ีไมม่ เี คร่ืองควบคมุ การยงิ ดว้ ยคอมพวิ เตอร์ หรอื รถถงั มเี คร่ืองควบคมุ การยงิ ดว้ ย คอมพวิ เตอร์ แต่เครอื่ งไมม่ รี ะบบทจี่ ะตอ้ งต้ังหรอื ปอ้ นขอ้ มูล CCFs เขา้ ระบบ และไมม่ คี วามต้องการคานวณหา ค่า ACFs ไปปรบั ทมี่ าตราประจากลอ้ ง แต่ต้องการปฏบิ ัตโิ ดยการปรับจดุ เล็งในมาตราประจากลอ้ งเลง็ ไปทจี่ ดุ MPI ที่หาหรือคานวณได้ ดว้ ยวธิ ีใดวิธีหนง่ึ ในสามวธิ ีท่ีกลา่ วมา และไดจ้ ดุ MPI เกนิ กวา่ ระยะทกี่ าหนด ต้อง ดาเนินกรรมวิธีต่อไปแลว้ ทาการยิงกระสุนอีกหนึ่งนัด เพอ่ื ตรวจผลว่ากระสนุ นัดน้ียิงไปแล้วรกู ระสนุ จะตอ้ งอยู่ ไมเ่ กินระยะทีก่ าหนด จากจุดเล็งทเ่ี ป้า ถา้ ไม่เกนิ กจ็ ะไดค้ ่า ACFs ท่อี ่านไดจ้ ากแป้นปรบั มาตราประจากล้อง ข้ันตอนปฏบิ ัติดงั น้ี ๑. หลงั จากยงิ กระสุน ๓ นัด ดาเนนิ การหาหรอื คานวณได้จุด MPI แล้ว ใหด้ าเนนิ การวัดและทา จุด หรอื เสน้ เครื่องหมายบวก ทจ่ี ุด MPI ทเ่ี ปา้ ยงิ ปรบั ทางปืนให้สามารถมองและเลง็ ผา่ นกลอ้ ง เล็งได้อย่างชดั เจน ๒. จดั ภาพเลง็ ทจี่ ดุ เลง็ เดมิ ที่ใชย้ ิงกระสุน ๓ นดั อย่างประณตี ใชเ้ ทคนคิ การเล็งแบบรูปตวั G ๓. หมุนแปน้ ปรบั มาตราประจากล้องทง้ั ทางทศิ และทางสงู ใหจ้ ุดเล็งเคลื่อนไปเลง็ ทจี่ ุด MPI (หา้ ม เคลือ่ นปนื และปอ้ มปืนเป็นเดด็ ขาด) ๔. หมนุ ปอ้ มปนื และปนื กลบั มาเลง็ ทจ่ี ดุ เลง็ เดมิ อย่างประณตี แลว้ ยงิ กระสุนนัดที่ ๔ ออกไป ๕. ตรวจดรู ูกระสนุ นัดที่ ๔ ถ้ารกู ระสนุ อยูห่ า่ งจากจุดเล็งไมเ่ กิน ๓๖ นิ้ว (๙๑.๔ ซม.) หรอื อยใู่ นรปู แปดเหลย่ี ม (ใชเ้ ป้ารปู แปดเหล่ียม) ให้อานมาตราที่แปน้ ปรบั ท้ังทางทิศและทางสูงของกล้อง เลง็ ว่าอยทู่ ่ีขดี ใดแล้วบนั ทึกพร้อมชนดิ กระสนุ ท่ใี ชย้ ิงปรบั ทางปืนไว้เปน็ หลกั ฐานประจารถ ๖. หลงั จากนน้ั ใหท้ าการปรับจดุ เล็งของกลอ้ งเลง็ รอง และของ ผบ.รถ ไปทจ่ี ดุ เลง็ ที่เปา้ ปรบั ทาง ปืน อา่ นคา่ ขดี มาตราทแ่ี ป้นปรบั มาตราประจากลอ้ ง และบนั ทึกไวเ้ ปน็ หลักฐาน ACFs ปนื ไดร้ ับการปรบั ทางปนื ตามชนิดกระสนุ ทใ่ี ช้ยงิ เรียบร้อย เมือ่ ทาการปรบั เส้นเล็งใหม่ สามารถนา ค่าน้ีไปปรบั มาตราประจากล้องได้ ตามกระสุนชนิดทย่ี งิ ปรบั ทางปืนไว้ ๗. หากปรากฏว่า รูกระสุนนดั ท่ี ๔ วัดแล้วเกินกวา่ ๓๖ น้วิ จากจดุ เลง็ แจง้ ช่างปอ้ มปนื ประจา หน่วยตรวจสอบความถกู ตอ้ งของระบบอาวุธ (AAC) เมือ่ หาสาเหตุและแก้ไขเรียบร้อย จงึ นามา ปฏบิ ตั ิตามขนั้ ตอนการยงิ ปรับทางปืนใหม่ ฉ. การยงิ ปรบั ทางปืนใชส้ นามร่วมกับหน่วยอน่ื ในกรณสี นามที่ใช้ยงิ ใช้ร่วมกับหนว่ ยอ่นื ไมส่ ามารถเข้าไปในพืน้ ทีป่ กั เป้า เพื่อวดั ระยะหารู กระสนุ ทเ่ี ป้าได้ การหาคา่ MPI วิธีที่ ๑ การแบง่ ส่วนระยะห่างของรูกระสนุ มีความเหมาะสมทจี่ ะนามาใช้ โดย มองผา่ นกลอ้ งเล็งท่ีมกี าลังขยายมาก ๆ ไปทีเ่ ป้า กะระยะทมี่ องเหน็ รกู ระสนุ ทกุ นัด นามาบนั ทกึ ลงในกระดาษท่ี มรี ปู เปา้ ย่อสว่ นไว้ (กาหนดมาตราย่อสว่ นไว้ดว้ ย) วดั และคานวณค่า และปฏิบตั ติ ามข้นั ตอนที่กลา่ วมาแลว้ กจ็ ะ ได้ค่าทใี่ กลเ้ คยี งมาก สามารถบนั ทกึ เปน็ หลกั ฐานในการยิงปรับทางปนื ของกระสุนแตล่ ะชนิดได้ ๓. ค่าตวั แกม้ าตราฐานของแตล่ ะชนิดกระสุน คา่ ตัวแก้มาตราฐานของแตล่ ะชนดิ กระสนุ จะแตกตา่ งกัน ซง่ึ ไดม้ าจากการคานวณจากตารางทางขปี นะ วิธี และจากการยงิ ทดสอบกบั ฐานตดิ ต้ัง ค่าตัวแกน้ จ้ี ะใชต้ งั้ หลักจากปรับเสน้ เลง็ และเม่อื จะใช้ยิงกระสุนชนดิ ใด ต้องนาค่าตัวแก้ของกระสนุ ชนดิ น้ันมาตงั้ จะทาให้ปืนมีความแม่นยาในทกุ ระยะยิง ในสถานการณก์ ารรบ ผบ.หน่วย หรือ ผบ.รถ จะนาจากปจั จัย METT – T มาพจิ ารณากาหนดกระสุน พรอ้ มรบ และ ผบ.รถ จะพจิ ารณาต้งั ค่าตัวแกท้ ก่ี ระสุนทมี่ ผี ลการทาลายมาก

120 เมอื่ รถถังคันใดมกี ารยงิ ปรบั ทางปืนด้วยกระสุนชนดิ ใดชนดิ หน่งึ ค่า CCFs, ACFs, SCFs ของกระสนุ ชนิดนั้นจะมกี ารเปล่ยี นแปลง พลประจารถจะต้องบนั ทกึ แกค้ า่ ท่ีไดเปน็ คา่ ตวั แก้ใหม่ ก. คา่ ตัวแก้มาตราฐานของรถถัง M ๖๐ A ๓ ตาม FM ๑๗ - ๑๒ – ๓ ๑. ค่าตวั แก้คอมพวิ เตอร์ CCFs COMPUTER CORRECTION FACTORS Ammunition Azimuth Elevation COMMON ZERO ๐.๐ ๐.๐ - ๐.๓ APDS (SABOT M๓๙๒A๒/M๗๒๘) ๐.๐ ๐.๐ – ๐.๒ APDS (SABOT M๗๒๔ TPDS) ๐.๐ - ๐.๕ - ๐.๕ FSDS (SABOT M๗๓๕) ๐.๐ - ๐.๖ FSDS (SABOT M๗๗๔) ๐.๐ ๑.๐ FSDS (SABOT M๘๓๓) ๐.๓ HEAT (M๔๕๖, M๔๕๖A๑/A๒, M๔๙๐) ๐.๐ HEP/WP (M๓๙๓/M๔๑๖) ๐.๐ ๒. คา่ ตวั แก้ของกลอ้ งเลง็ M ๑๐๕ D SCFa SIGHT CORRECTION FACTORS Ammunition Azimuth Elevation APDS (SABOT M๓๙๒A๒/M๗๒๘) ๓.๐ ๒.๗ ๓๐ APDS (SABOT M๗๒๔ TPDS) ๓.๐ ๒.๘ ๒.๕ FSDS (SABOT M๗๓๕) ๓.๐ ๒.๕ ๒.๔ FSDS (SABOT M๗๗๔) ๓.๓ ๔.๐ FSDS (SABOT M๘๓๓) ๓.๓ HEAT (M๔๕๖, M๔๕๖A๑/A๒, M๔๙๐) ๓.๐ HEP/WP (M๓๙๓/M๔๑๖) ๓.๐

121 ข. ค่าตัวแกม้ าตราฐานของรถถงั M ๔๘ a ๕ และ M ๖๐ A ๑ ตาม FM ๑๗ - ๑๒ - ๒ ๑. คา่ ตัวแก้กล้องเลง็ M ๓๒ ACFs AMMUNITION CORRECTION FACTORS Zero Knob Deflection Elevation APDS - T (M๓๙๒A๒/M๗๒๘) ๓.๗ ๔.๐ APFSDS - T (M๗๓๕) ๓.๘ ๔.๐ APFSDS - T (M๘๓๓) ๓.๕ ๓.๗ APFSDS - T (M๗๗๔) ๓.๕ ๓.๘ HEAT - T (M๔๕๖A๑/M๔๙๐) ๓.๒ ๔.๐ HEP - T (M๓๙๒A๒) ๓.๗ ๔.๐ TPDS – T (M๓๙๓A๒) ๔.๐ ๔.๐ ๒. ค่าตัวแกก้ ล้องเลง็ M ๑๐๕ D SCFs SIGHT CORRECTION FACTORS Zero Knob Azimuth Elevation APDS - T (M๓๙๒A๒/M๗๒๘) ๐.๐ R ๐.๓ ๐.๐ APDS - T (M๗๒๘ TPDS) ๐.๐ R ๐.๒ R ๐.๕ APFSDS - T (M๗๓๕) ๐.๐ R ๐.๕ R ๐.๘ APFSDS - T (M๗๔๔) R ๐.๒ L ๑.๐ APFSDS - T (M๘๓๓) R ๐.๓ HEAT - T (M๔๕๖,M๔๕๖A๑/A๒,M๔๙๐) ๐.๐ HEP - T (M๓๙๒A๒) ๐.๐ R – RIGHT L - LEFT สรปุ การปรบั เสน้ และการปรบั ทางปืนเป็นกญุ แจสาคญั ทน่ี าไปสคู่ วามแม่นยาของปืนใหญร่ ถถงั เพอ่ื อย่รู อด และความสาเรจ็ ในสนามรบ พลประจารถถังตอ้ งฝกึ อยา่ งทจี่ ะรบ ดงั น้ันพลประจารถถงั ต้องมคี วามรู้และความ ชานาญในการปรบั เสน้ เลง็ และปรบั ทางปนื ระบบอาวธุ ของตนเองในทกุ เหตุการณแ์ ละทกุ สภาวะแวดลอ้ ม ๑. การปรบั ทางปืนเป็นการปรบั การเลง็ เพื่อใหต้ าบลกระสนุ ตกถูกตรงกบั จุดเลง็ ของกล้องเล็ง ณ ระยะทกี่ าหนดเพ่ือชดเชยความคลาดเคล่ือนของระบบอาวธุ ๒. การปฏบิ ตั ิการเลง็ ทุกครง้ั ในขนั้ ตอนการปรบั เส้นเลง็ และยงิ ปรบั ทางปนื จะตอ้ งใช้เทคนคิ การเลง็ แบบรปู ตวั G ๓. เปา้ ที่ใชย้ งิ ปรบั ทางปนื มีขนาด ๑๒ x ๑๒ ฟตุ หรอื ๑๐ x ๑๐ ฟุต ระยะของเป้าท่ีใช้ยิง ๑,๒๐๐ เมตร ( + ๒๐ เมตร ) หรอื ตามระยะของชนิดรถถังที่ใช้ปรบั เส้นเล็ง ๔. การยิงปรบั ทางปืนจะใชก้ ระสนุ ทาการยงิ ๓ - ๕ นัด แต่เพ่ือเปน็ การประหยัดจะใช้ยิง ๓ นัด ๕. การหาค่าจดุ ปานกลางมณฑลของกลมุ่ กระสนุ (MPI) มี ๓ วธิ ี ๑) วิธกี ารแบง่ ส่วนระยะห่างของรกู ระสนุ ๒) วธิ คี านวณแบบวดั ระยะ ทางแนวตง้ั และแนวนอน ๓) วธิ ีคานวณแบบวดั ระยะจากแกนแนวตัง้ และแกนแนวนอน

122 ๖. การคานวณหาค่า CCFs ของ ถ.เบา ๓๒ (STINGRAY) จะแตกต่างกับการคานวณของ ถ. M ๖๐ A ๓ แต่ผลลัพธ์จะเหมือนกนั จะผดิ กนั ท่กี ารกาหนดเครอื่ งหมาย บวก (+) และ ลบ (-) ของด้านในแตล่ ะด้าน เท่านนั้ ซ่ึง ถ.เบา ๓๒ สามารถนาวิธกี าหนดเคร่อื งหมาย และการคานวณของ ถ. M ๖๐ A ๓ มาใช้คานวณได้ ๗. การปรบั จุดเลง็ มาตราประจากล้องไปทีจ่ ดุ MPI ทีห่ าได้ในเปา้ เป็นการปรับทางปนื แบบหนง่ึ ทจี่ ะ ทาใหป้ นื สามารถเลง็ ยงิ ถกู เปา้ หมายทกุ ระยะ ซึ่งจะไดค้ า่ ACFs ไว้ใชต้ ง้ั หลังปรบั เส้นเล็งครง้ั ต่อไป การปรบั แบบน้ี ใช้กับรถถงั ทไี่ ม่มกี ารป้อยข้อมูล CCFs ลงในเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ของระบบเครอ่ื งควบคุมการยิง *********************************

123 พิสจู นฝ์ ่ายยานรบหมุ้ เกราะฝา่ ยสัมพนั ธมติ ร รปู รา่ ง/คุณลักษณะทีค่ วรจดจาของรถถัง เซน็ จูเล่ยี น (CENTURION RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มีลอ้ รบั สายพาน ล้อกดสายพานขา้ งละ 6 ล้อ ตามปกตจิ ะมีแผน่ เหลก็ บงั สายพานตดิ ตง้ั อยู่ มีชอ่ งว่าง ระหวา่ งลอ้ กดที่ 2 และ 3 แผ่นเหลก็ บงั สายพานตดั เฉียงเปน็ มมุ ทางดา้ นหลงั มองเห็นล้อกดที่ 6 ไดช้ ัดเจน  ตวั รถด้านขึ้นเปน็ เหล็กขึน้ รูปลาดเอียงแบบลมิ่  ฝาปิดปอ้ มพลขับเปดิ ออกไปทางดา้ นขวาของตวั รถ หม้อพักไอเสยี ขนาดใหญต่ ดิ ต้ังอยทู่ ง้ั สองข้างของ ดาดฟ้าดา้ นหลงั  ปอ้ มปนื รูปกลอ่ ง มกี ลอ่ งเกบ็ อปุ กรณ์ขนาดใหญ่ 2 กลอ่ ง และเครอ่ื งยงิ ลกู ระเบดิ ควนั 2 ชุด ติดตงั้ อยู่ ท้งั สองดา้ นของปอ้ มปืน  ติดตัง้ ปืนใหญ่ขนาด 105 มม. พร้อมหมอ้ ระบายแกส๊ ตกคา้ ง  ระยะยงิ หวังผลของปืนใหญ่รถถงั 1,800 ม.  ไม่มีประจาการเปน็ รถถงั หลกั ของประเทศองั กฤษแลว้

เซน็ จเู ลย่ี น 124 ด้านข้าง ดา้ นหนา้ ระบบพยุงตวั รถ ป้อมปืน ลากล้อง ปนื กล

125 รูปร่าง/คุณลักษณะที่ควรจดจาของรถถงั ชฟี เท็น (CHIEFTAIN RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มีลอ้ รบั สายพาน ล้อกดสายพานข้างละ 6 ล้อ แผ่นเหล็กบังสายพานดา้ นหลงั ตัดเปน็ มมุ แหลมตดิ ต้ังอยู่ แผน่ เหล็กบังสายพานไม่ไดป้ ิดบังทงั้ 6 ล้อ  ตวั รถดา้ นหนา้ ลาดเอียงแบบทรงกลม มีชุดแผน่ เหล็กกนั โคลนตดิ ตง้ั อยูด่ ้านหนา้ หอ้ งพลขบั อยู่กึ่งกลาง ของตวั รถ มกี ลอ่ งเกบ็ อปุ กรณ์ยาวติดตงั้ อยดู่ ้านซา้ ยและด้านหลงั ทางขวาของตวั รถ  ป้อมปืนขนาดใหญล่ าดเอียง ปืนใหญย่ ่นื ออกมาจากกง่ึ กลางของป้อมปืน เครอื่ งหาระยะตดิ ตั้งรวมอยู่ ในชอ่ งทางด้ายซา้ ยของแท่นรบั ปนื มฝี าปิดรูปทรงกลม  ติดตง้ั ปืนใหญข่ นาด 120 มม.มีหมอ้ ระบายแกส๊ ตกคา้ งและปลอกกระจายความรอ้ นหุ้มอยู่  ระยะยิงหวังผลของปนื ใหญ่รถถัง 3,000 ม. ชีฟเทน็ ดา้ นหน้า ด้านขา้ ง ระบบพยุงตัวรถ ป้อมปนื ลากลอ้ ง ไฟฉายและปืนกล

126 รปู ร่าง/คุณลักษณะทีค่ วรจดจาของรถถงั แชลเลน็ เจอร์ (CHALLENGER RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มลี อ้ รบั สายพาน ล้อกดสายพานขา้ งละ 6 ลอ้ มแี ผ่นเหลก็ บงั สายพานดา้ นหลงั ตัดเป็นมมุ แหลมตดิ ตั้งอยู่ แผ่นเหล็กบงั สายพานไมไ่ ดป้ ดิ บงั ลอ้ กดทั้ง 6 ลอ้  ตวั รถด้านหน้าเป็นรูปเหลย่ี มเชงิ มุม หอ้ งพลขับอยกู่ ึ่งกลางของตวั รถ  ปอ้ มปืนเป็นรูปทรงกลมเชงิ มุมมีแท่นรบั ปืนใหญต่ ิดตั้งอยู่ ป้อมปนื ด้านหนา้ ทาเปน็ ลาดเอยี งข้นึ ไมม่ ี เครอ่ื งอปุ กรณค์ ลุมปนื ใหญ่  ติดต้งั ปืนใหญ่ขนาด 120 มม.มหี มอ้ ระบายแก๊สตกค้างและปลอกกระจายความรอ้ นหุม้ อยู่  ระยะยิงหวงั ผลของปืนใหญ่รถถัง 3,200 ม. แชลเลน็ เจอร์ ดา้ นหน้า ดา้ นข้าง ระบบพยงุ ตัวรถ ป้อมปืน ลากลอ้ ง

127 รปู รา่ ง/คุณลกั ษณะท่ีควรจดจาของรถถงั สคอร์เพียน (SCORPION RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ไมม่ ลี ้อรับสายพาน ลอ้ กดสายพานข้างละ 5 ลอ้  ตวั รถรูปร่างคล้ายเรอื ดาดฟ้าดา้ นหนา้ ลาดเอียงตามทางยาว ดา้ นข้างเป็นมุมลาด มีเคร่ืองครอบทอ่ ไอ เสยี ไปตามดา้ นขวาของตวั รถ  ปอ้ มปืนขนาดเลก็ รปู ร่างมีมมุ ตามแนวก่ึงกลางจากด้านหลังของปอ้ มปนื มกี ลอ้ งเลง็ แบบ PASSIVE รูปทรงกลมอย่ทู างดา้ นขวาของปนื ใหญ่ เครอื่ งยงิ ลกู ระเบดิ แยกทอ่ ยงิ ออกจากกันติดต้ังทงั้ สองขา้ งของ ปอ้ มปืน  ปนื ใหญข่ นาด 76 มม. ลากลอ้ งสน้ั ไมม่ หี มอ้ ระบายแก๊สตกค้างหรอื ปลอกเบย่ี งแรงระเบดิ  ระยะยิงหวงั ผลของปืนใหญ่รถถงั 1,600 ม. สคอร์เพยี น ดา้ นหนา้ ด้านหนา้ ระบบพยงุ ตัวรถ ป้อมปืน ลากล้อง

128 รปู รา่ ง/คุณลักษณะทคี่ วรจดจาของยานรบ ซิมทิ าร์ (SCIMITAR RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ตวั รถรูปร่างคลา้ ยรถถงั สคอร์เพยี น ปืนใหญม่ ขี นาดกวา้ งปากลากลอ้ งเลง็ กว่า  ปืนขนาด 30 มม. ดคู ลา้ ยกบั แบ่งออกเป็นสองส่วน  ระยะยงิ หวงั ผลของปืน 2,000 ม. ซมิ ิทาร์ ดา้ นหนา้ ด้านขา้ ง ระบบพยุงตวั รถ ปอ้ มปืน ลากล้อง

129 รปู ร่าง/คณุ ลกั ษณะทคี่ วรจดจาของยานรบ สพารท์ าน (SPARTAN RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ระบบพยงุ ตวั รถและตวั รถคลา้ ยกบั รถถังสคอรเ์ พยี น  ไมม่ ีปอ้ มปืน สรา้ งปอ้ มขนาดเล็กสาหรบั ผบ.รถ อย่ทู างดา้ นซ้ายของตวั รถ  ตดิ ตง้ั ปืนกลขนาด 7.62 มม. ทป่ี อ้ มปืนของผบ.รถ  ระยะยงิ หวังผลของปนื กล 900 ม. สพาร์ทาน ดา้ นหน้า ดา้ นขา้ ง ระบบพยุงตวั รถ ปอ้ มปืน ลากลอ้ ง ไมม่ ี ไฟฉายและปืนกล

130 รปู ร่าง/คณุ ลกั ษณะทคี่ วรจดจาของยานรบ สไตรคเ์ คอร์ (STRIKER RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ระบบพยุงตวั รถและตัวรถคลา้ ยกบั ยานรบสพารท์ าน ตดิ ต้ังท่อยงิ จรวดบนดา้ นหลงั ของตัวรถ ซงึ่ ประกอบด้วยจรวดสวงิ ไฟร(์ SWINGFIRE) 5 ลูก  ระบบเครอื่ งยงิ จรวดนาวถิ ตี อ่ สูร้ ถถังแบบสวงิ ไฟร์  ระยะยงิ หวงั ผลของจรวดตอ่ สรู้ ถถัง 4,000 ม. สไตรคเ์ คอร์ ดา้ นหน้า ดา้ นขา้ ง ระบบพยุงตัวรถ ป้อมปืน ลากล้อง ไม่มี ปืนกล

131 รูปร่าง/คุณลกั ษณะทีค่ วรจดจาของยานรบ เอฟวี-432 (FV-432 RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ล้อกดสายพานข้างละ 5 ล้อ ลอ้ รบั สายพานขา้ งละ 2 ลอ้  ตวั รถเปน็ รปู สเ่ี หล่ยี มขนาดใหญ่ ด้านหน้าคลา้ ยเรือ ที่อาจตดิ ตั้งหรอื ไม่ติดต้งั แผน่ กันคลื่น ถา้ ไม่ติดตง้ั แผ่นกันคล่ืน ฝาปดิ ช่องทางเข้า-ออก ไปยังหอ้ งเคร่อื งยนตจ์ ะมองเหน็ ได้ รูปรา่ งคลา้ ยกบั รถสายพาน เอ็ม-113 ของสหรัฐฯ ทม่ี ีขนาดใหญ่กว่า  มหี มอ้ พกั ไอเสียขนาดใหญ่และทอ่ ไอเสียตดิ ตั้งอยทู่ างดา้ นซ้ายของตวั รถ  ติดตงั้ กลอ่ งระบบอปุ กรณ์สาหรบั สงคราม นชค.ขนาดใหญ่อยทู่ างด้านขวาของตัวรถ  ตดิ ตงั้ ปืนกลขนาด 7.62 มม. ที่ป้อมปนื ของผบ.รถ  ระยะยิงหวังผลของปืนกล 900 ม. เอฟวี 432 ด้านหน้า ด้านขา้ ง ระบบพยุงตวั รถ

132 รูปร่าง/คณุ ลักษณะท่ีควรจดจาของยานรบ วอร์ริเออร์ (WARRIOR RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มลี ้อรับสายพาน ล้อกดสายพานข้างละ 6 ล้อ มีชอ่ งวา่ งระหว่างล้อกดท่ี 3 และ 4  ตัวรถดา้ นหน้าทาเปน็ ลาดยาวเสมอ เครอื่ งยนตอ์ ยู่ดา้ นหน้าทางขวาของตัวรถ ห้องพลขบั อยู่ด้านหนา้ ซ้ายของตัวรถ หอ้ งพลประจารถอยู่ทางด้านหลงั คลา้ ยกับยานรบแบรดเลย์ เอ็ม 2/เอม็ 3 ของ สหรัฐฯ  ปอ้ มปนื ทาเป็นมมุ ตดิ ตง้ั อยเู่ หนือแนวล้อกดท่ี 4 และ 5  ตดิ ต้งั ปนื ใหญ่ขนาด 30 มม. บนดมุ รับปนื รปู ลมิ่  ระยะยงิ หวงั ผลของปืนใหญ่ 2,000 ม. วอร์ริเออร์ ปอ้ มปืน ด้านข้าง ระบบพยงุ ตวั รถ ลากลอ้ ง

133 รูปรา่ ง/คณุ ลกั ษณะทค่ี วรจดจาของรถเกราะ ฟอกซ์ (FOX RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ลอ้ ยางลยุ โคลน 4 ล้อ ขา้ งละ 2 ลอ้  หอ้ งพลขับอย่ตู รงกงึ่ กลางด้านหน้าของตวั รถ  หอ้ งเก็บอปุ กรณ์อยู่ระหว่างลอ้ ทง้ั สองข้างของตวั รถ  ทอ่ ไอเสียขนาดใหญ่อยูด่ า้ นหลงั ของรถ  ปอ้ มปนื เหมอื นกบั ปอ้ มปืนทอี่ อกแบบให้กับยานรบ ซมิ ทิ าร์ มีฝาปดิ ป้อมปืนดา้ นบน 2 ช่อง เปิดออก ทางด้านหลงั  ตดิ ตงั้ ปืนใหญข่ นาด 30 มม.  ระยะยงิ หวงั ผลของปืนใหญ่ 2,000 ม.

ฟอกซ์ 134 ดา้ นข้าง ด้านหนา้ ระบบพยุงตัวรถ ป้อมปืน ลากลอ้ ง ไฟฉาย

135 รปู ร่าง/คุณลักษณะทคี่ วรจดจาของรถถัง เลยี วพาร์ด 1เอ1/1เอ2 (LEOPARD 1A1/1A2 RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มลี อ้ รับสายพาน ล้อกดสายพานข้างละ 7 ล้อ ช่องว่างระหวา่ งลอ้ เทา่ ๆ กัน มีแผน่ เหลก็ บงั สายพาน รปู รา่ งคลา้ ยฟนั เลื่อย(รุน่ แรก ๆ อาจไม่ติดต้ัง)  ตัวรถด้านหน้าทาเปน็ มุมลาดเอียงทางด้านขา้ ง หม้อไอเสียรปู สเ่ี หลีย่ มมชี ่องเปน็ บานเกลด็ ตดิ ตง้ั อยู่ ทางด้านทา้ ยของตวั รถ  ตดิ ต้ังปืนใหญ่ขนาด 105 มม.หุ้มลากลอ้ งดว้ ยปลอกกระจายความร้อน ติดตัง้ ไฟฉายรปู กลอ่ ง(ถา้ มี) ด้านบนซ้ายของปืนใหญร่ ถถงั ดุมรบั ปนื ขนาดใหญ่รปู ทรงกลม  ปอ้ มปืนทาด้วยเหล็กหลอ่ ขอบดา้ นนอกเป็นรูปทรงกลม และมตี ะกรา้ เกบ็ ของอยูด่ า้ นทา้ ย

เลยี วพารด์ 1เอ1 / 1เอ2 136 ดา้ นข้าง ดา้ นหนา้ ระบบพยงุ ตวั รถ ป้อมปืน ลากลอ้ ง ไฟฉายและปนื กล

137 รูปรา่ ง/คุณลกั ษณะท่คี วรจดจาของรถถงั เลียวพาร์ด 1เอ3/1เอ4 (LEOPARD 1A1/1A2 RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มลี อ้ รับสายพานข้างละ 3 ลอ้ ล้อกดสายพานข้างละ 7 ล้อ ช่องวา่ งระหว่างลอ้ เท่าๆ กนั มแี ผน่ เหล็ก บังสายพานรปู ร่างคลา้ ยฟนั เลอ่ื ย  ตัวรถดา้ นหน้าทาเป็นมุมลาดเอยี งทางดา้ นขา้ ง หม้อไอเสียรปู สเ่ี หล่ยี มมีช่องเปน็ บานเกล็ดติดตงั้ อยู่ ทางด้านท้ายรถทง้ั สองขา้ ง ถ้าตดิ ต้ังไฟฉายจะมรี ปู ร่างสเี่ หลย่ี มผนื ผ้าซึง่ มสี วติ ช์แยกอยทู่ างดา้ นซา้ ยของ ปนื ใหญ่  ติดตัง้ ปืนใหญ่ขนาด 105 มม.พร้อมปลอกกระจายความรอ้ นหมุ้ อยู่  ระยะยิงหวังผลของปืนใหญ่ 2,400 ม.  รุ่น 1เอ4 จะตดิ ตั้งกลอ้ งตรวจการณ์มองเหน็ ไดร้ อบตวั สาหรับ ผบ.รถ ตดิ ต้ังอยทู่ างด้านขวาของป้อม ปนื เลียวพารด์ 1เอ3 / 1เอ4 ด้านหนา้ ดา้ นขา้ ง ระบบพยงุ ตวั รถ ปอ้ มปืน ลากลอ้ ง ไฟฉายและปนื กล

138 รูปรา่ ง/คุณลักษณะทีค่ วรจดจาของรถถงั เลียวพารด์ 2 (LEOPARD II RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มลี ้อรบั สายพาน ล้อกดสายพานข้างละ 7 ล้อ ชอ่ งว่างระหวา่ งล้อเทา่ ๆ กัน มแี ผน่ เหล็กบงั สายพาน รปู ร่างคลา้ ยฟนั เลอื่ ย  ตัวรถรูปเหล่ยี มพนื้ ผวิ เรยี บ ด้านข้างของตวั รถตัง้ ดิ่ง มชี ่องพดั ลมระบายอากาศทรงกลม 2 ชอ่ งอยู่บน ดาดฟา้ ดา้ นหลงั  ป้อมปนื มีผิวพ้ืนเรยี บซงึ่ ตัดออกไปทางด้านขวาของดุมรบั ปนื ฝาปิดป้อมรปู ทรงกลม 2 ช่องอยู่ดา้ นบน ของป้อม คุมรับปืนรปู สเี่ หล่ยี มผืนผา้ ขนาดเลก็  ตดิ ต้งั ปืนใหญข่ นาด 120 มม.(ลากลอ้ งเรยี บ) พรอ้ มปลอกกระจายความร้อนห้มุ อยู่ และมหี ม้อระบาย แกส็ ตกคา้ งรูปทรงกลม  ระยะยงิ หวังผลของปืนใหญ่ 3,000 ม. เลียวพารด์ 2 ด้านหนา้ ดา้ นขา้ ง ระบบพยงุ ตวั รถ ป้อมปืน ลากล้อง ไฟฉายและปนื กล

139 จากัวร์ 1 จากวั ร์ 2 ติดต้ังเครือ่ งยิงจรวดต่อสู้รถถัง แบบ TOW รูปร่าง/คุณลกั ษณะท่คี วรจดจาของรถถัง ย๊าดแพนเซอร์ 1 จากัวร์ (JPZ JAGUAR RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มีล้อรับสายพาน แผ่นเหลก็ บงั สายพานรปู ร่างคลา้ ยฟนั เลือ่ ย ลอ้ กดสายพานขา้ งละ 5 ลอ้  ท่อเครอื่ งยงิ จรวดนาวถิ แี บบ ฮอท (HOT) ติดตง้ั อยู่ด้านบนดา้ นซ้ายของหอ้ งพลประจารถ  มสี ลักยดึ อยู่บนพื้นทว่ี า่ งของแผ่นเกราะมองเห็นตวั สลักไดช้ ดั เจนบนเกราะของห้องพลประจารถ  ติดตง้ั ระบบจรวดนาวถิ แี บบฮอท(ระบบกลอ้ งเลง็ สาหรบั เล็งเกาะของจรวดแบบSubsonic)  ระยะยงิ หวังผลของระบบจรวด 4,000 ม.

เจพซี ี 1 จากัวร์ 140 ด้านขา้ ง ด้านหน้า ระบบพยงุ ตัวรถ ป้อมปืน ลากลอ้ ง ไม่มี

141 รปู ร่าง/คุณลักษณะท่ีควรจดจาของรถถงั ยา็ ดแพนเซอร์ คานูน (JAGDPANZER KANONE RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ลอ้ กดสายพานขา้ งละ 5 ล้อ ชอ่ งวา่ งแตล่ ะล้อเท่าๆ กัน ล้อรบั สายพานขา้ งละ 3 ล้อ  ตัวรถรูปร่างคล้ายกล่อง ไมม่ ปี อ้ มปนื ใหญห่ รอื ป้อมปืน ผบ.รถ, ดา้ นข้างของตัวรถทาเป็นลาดเอียงเขา้ ด้านใน  ตดิ ตงั้ ปนื ใหญ่ขนาด 90 มม. ยืน่ ออกมาทางก่งึ กลางด้านหนา้ ของตัวรถ มหี มร้ ะบายแกส๊ ตกคา้ งอยใู่ กล้ กับปากลากล้องปนื และมีปลอกยง้ั การถอยสองช้ัน  หอ้ งพลขบั อยูด่ า้ นบนซ้าย รถทงั้ คนั รปู ทรงต่า ย็าดแพนเซอร์ คานูน ด้านหน้า ดา้ นขา้ ง ระบบพยุงตัวรถ ปอ้ มปืน ไมม่ ี ลากลอ้ ง ไฟฉายและปนื กล ไม่มี

142 รูปร่าง/คุณลักษณะทค่ี วรจดจาของรถถงั เฟรกแพนเซอร์ เกปาร์ด (FLAKPANZER GEPARD RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ระบบพยุงตวั รถคลา้ ยกับรถถังเลียวพาร์ค  ป้อมปืนรปู ร่างคลา้ ยกลอ่ งติดตง้ั ลากล้องปนื ทง้ั สองขา้ งของป้อม จานเรดารต์ ิดตง้ั อยกู่ ่งึ กลางระหวา่ ง ปืนทง้ั สองกระบอกด้านบนของปอ้ มปนื ,หอ้ ง ผบ.รถ อยู่ก่งึ กลางปอ้ ม  ติดต้งั ปนื ใหญข่ นาด 35 มม.สองกระบอก  ระยะยิงหวงั ผล 4,000 ม. เอฟพีซี เกพารด์ ดา้ นหน้า ด้านขา้ ง ระบบพยุงตัวรถ ป้อมปืน ลากล้อง

143 รูปรา่ ง/คุณลักษณะท่คี วรจดจาของรถถัง โรแลนด์ (ROLAND RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  ระบบพยงุ ตวั รถและตัวรถคล้ายกบั ยานรบมาร์เดอร์  ท่อเครอื่ งยงิ จรวดตดิ ตงั้ ทง้ั สองขา้ งของปอ้ ม มีจานเรดาร์ 2 จาน จานแรกติดต้งั อยู่สงู ทางดา้ นหลงั จานท่ีสองตดิ ตัง้ อยู่ด้านหนา้ ระหว่างลาดด้านหนา้ ของเครอ่ื งยงิ จรวด  ติดตงั้ ระบบจรวดโรแลนด์  ระยะยงิ ของจรวด 6 กม.

โรแลนด์ 144 ดา้ นขา้ ง ดา้ นหนา้ ระบบพยงุ ตัวรถ ปอ้ มปืน ลากล้อง

145 รปู ร่าง/คณุ ลกั ษณะทค่ี วรจดจาของยานรบ มารเ์ ดอร์ (MARDER RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มลี ้อกดสายพานขา้ งละ 6 ล้อ ล้อรับสายพานขา้ งละ 3 ล้อ แผ่นบังสายพานรปู ร่างคล้ายฟันเลอ่ื ย  ตัวรถรปู รา่ งคล้ายเรอื ดาดฟ้าด้านหน้าเอยี งลง ห้องพลขับอยูท่ างด้านซ้าย ตวั รถด้านข้างเฉยี งออกและ มชี ่องยงิ ปนื เลก็ ยาวใกลท้ า้ ยรถขา้ งละ 2 ชอ่ งยิง ป้อมปืนกลขนาด 7.62 มม.ทางด้านท้ายของดาดฟ้า ควบคมุ การยงิ ด้วยเคร่ืองควบคมุ ระยะไกล(REMOTE)  ปอ้ มปนื ติดตง้ั อยใู่ นแนวกงึ่ กลางของยานรบ รปู ทรงสูง  ติดตง้ั ปืนใหญ่ขนาด 20 มม.  ระยะยิงหวงั ผล 1,600 ม. มารเ์ ดอร์ ด้านหนา้ ดา้ นขา้ ง ระบบพยงุ ตัวรถ ป้อมปืน ลากล้อง

146 รูปร่าง/คุณลักษณะท่คี วรจดจาของรถเกราะ สปาหแ์ พนเซอร์/ลคุ ซ์ (SPAHPANZER / LUCHS RECOGNITION FEATURES / CHARACTERISTICS)  มลี อ้ ยางขนาดใหญ่ข้างละ 4 ลอ้ ช่องทางเขา้ -ออก อยรู่ ะหวา่ งล้อคทู่ ี่ 2 และ 3 ดา้ นซา้ ยของตวั รถ  ตวั รถรปู รา่ งคล้ายเรอื มที อ่ 2 ท่อ ด้านทา้ ยรถใชส้ าหรับปฏบิ ัตกิ ารยทุ ธสะเทินนา้ สะเทนิ บก  ปอ้ มปนื รปู ร่างคลา้ ยกลอ่ ง ติดตัง้ ไฟฉายทางด้านซา้ ยของป้อมปนื ปืนไมไ่ ด้อยกู่ งึ่ กลางปอ้ ม  ตดิ ตง้ั ปนื ใหญข่ นาด 20 มม.  ระยะยงิ หวังผล 1,600 ม.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook