ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรับอากาศ คูมือผรู ับผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ (Air Conditioning System) ความสําคญั การปรับอากาศมีความสําคัญอยางย่ิงตอชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะประเทศไทยท่ีตั้งอยูในเขตซึ่งมี ภูมิอากาศแบบรอนช้ืน ภายในอาคารจําเปนตองมีการปรับอากาศ เพื่อใหเจาหนาท่ีหรือบุคลากรสามารถทํางาน ไดอยางมีประสิทธิภาพ เปนที่ทราบกันดีวาการปรับอากาศโดยระบบปรับอากาศมีการใชพลังงานและคาใชจาย ดานพลังงานทีส่ งู ระบบปรับอากาศ ประกอบดวยเคร่ืองจักรและอุปกรณจํานวนมาก อุปกรณเหลาน้ีหลายสวนสามารถ ปรับปรุงเพื่อใหมีประสิทธิภาพสูงขึ้นซึ่งจะชวยใหประหยัดพลังงานและลดคาใชจายสืบเน่ืองของระบบปรับ อากาศลงได อน่ึง การใชงานระบบปรับอากาศอยางมีประสิทธิภาพก็เปนอีกแนวทางหน่ึงที่สามารถลดการใช พลงั งานลงไดอ ยางมีประสทิ ธิผล วัตถุประสงค วัตถุประสงคหลักของบทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ ตองการใหผูเขารับการอบรมมีความรูเบื้องตนและ ทราบแนวทางการอนรุ ักษพ ลงั งานในระบบปรบั อากาศโดยวตั ถปุ ระสงคย อยของบทน้มี ดี งั ตอไปน้ี 1. รจู กั อปุ กรณและหลกั การทํางาน ของระบบปรับอากาศ 2. ทราบปจจยั ท่มี ีผลตอ การทํางานของระบบปรับอากาศ 3. เขาใจวธิ ตี รวจวดั และประเมินประสิทธภิ าพพลงั งานของระบบปรับอากาศ 4. ทราบมาตรการปรบั ปรงุ ประสิทธภิ าพการใชพลังงานของระบบปรบั อากาศ 4-1
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คูม อื ผูร บั ผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.1 บทนาํ การปรับอากาศเปนกระบวนการควบคุมสภาวะของอากาศเพื่อใหเปนไปตามความตองการ โดยท่ัวไป ปจจัยหรือพารามิเตอรของอากาศที่ตองควบคุมประกอบดวย อุณหภูมิ ความช้ืน ความสะอาด การกระจายลม และปริมาณลม การปรับอากาศมุงใหเกิดความรูสึกสบายตอผูอยูอาศัย อยางไรก็ตามในอุตสาหกรรม การปรับ อากาศอาจใชเพื่อควบคุมภาวะอากาศในกระบวนการผลติ สําหรับประเทศไทยซึ่งมีภูมิอากาศแบบรอนชื้น หนาท่ีหลักของระบบปรับอากาศ คือ การทําความเย็น หรอื การถายเทความรอนออกจากพน้ื ท่ดี วยวธิ กี ารดึงอากาศออกไปโดยตรง หรือดว ยการหมุนเวยี นอากาศภายใน หองผานคอยลเย็นโดยใชพัดลม นํ้ายาหรือสารทําความเย็นที่อยูในระบบปรับอากาศจะทําหนาท่ีเปนตัวกลางใน การขนถายความรอ นเพื่อออกไประบายท้ิงภายนอกผานคอยลรอ น โดยปกติไมวาจะเปนอาคารพาณิชยหรือโรงงานอุตสาหกรรม ระบบปรับอากาศมีการใชพลังงานท่ีสูง มาก การเพิ่มประสิทธิภาพการใชพลังงานของระบบปรับอากาศจึงสามารถประหยัดพลังงานและลดคาใชจาย โดยรวมไดเปน อยา งมาก 4.2 หลักการทาํ งานของระบบปรบั อากาศ สําหรับโรงงานและอาคารธุรกิจขนาดใหญ ระบบปรับอากาศท่ีนิยมติดตั้งและใชมักเปนระบบปรับ อากาศแบบรวมศูนย (Central Air-conditioning System) โดยเคร่ืองทําน้ําเย็น (Chiller) เปนแบบระบายความ รอ นดว ยน้าํ ซง่ึ มีประสิทธิภาพการทาํ งานสงู กวาแบบระบายความรอนดวยอากาศ (รปู ที่ 4.1) ดังแสดงในรูปท่ี 4.1 เครื่องทํานํ้าเย็นแบบอัดไอประกอบดวย คอมเพรสเซอร (Compressor) คอนเดนเซอร (Condenser) อีวาพอเรเตอร (Evaporator) และเอ็กแพนช่ันวาลว (Expansion Valve) โดยมีสารทํา ความเยน็ เชน R22 หรอื R134 a บรรจอุ ยภู ายในวงจรสารทาํ ความเย็น เม่ือปอนไฟฟาใหคอมเพรสเซอร คอมเพรสเซอรจะดูดไอสารทําความเย็นจากอีวาพอเรเตอรแลวอัด สง ไปทค่ี อนเดนเซอร ทอี่ ีวาพอเรเตอร สารทําความเย็นจะมคี วามดนั และอณุ หภมู ิต่ํา สารทําความเย็นจะดูดความ รอนจากนํ้าเย็นที่ไหลผานอีวาพอเรเตอรและระเหยกลายเปนไอ ในขณะเดียวกันที่คอนเดนเซอร สารทําความ เย็นจะมีความดันและอุณหภูมิสูง ความรอนจากสารทําความเย็นจะถายเทใหกับนํ้าหลอเย็นทําใหสารทําความ เย็นกลั่นตัวกลายเปนของเหลวที่ความดันสูง เม่ือสารทําความเย็นไหลผานเอ็กแพนช่ันวาลวความดันก็จะลดลง เทา กบั ความดนั ตาํ่ ที่ อวี าพอเรเตอร สารทาํ ความเยน็ กจ็ ะไหลครบ วฏั จักรสารทําความเย็น นํ้าหลอ เยน็ เม่ือไดร ับความรอนจากคอนเดนเซอรจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น เม่ือถูกเครื่องสูบนํ้าหลอเย็นสงไป ที่หอทําความเย็น (Cooling Tower) ก็จะถายเทความรอนใหกับอากาศโดยการระเหยน้ํา ทําใหน้ําที่เหลือเย็นลง แลว ไหลกลับไปรบั ความรอ นท่ีคอนเดนเซอรอีกทาํ ใหครบ วฏั จกั รนํ้าหลอ เย็น นํ้าเย็นเม่ือถายเทความรอนใหกับอีวาพอเรเตอรก็มีอุณหภูมิตํ่าลง เมื่อถูกเคร่ืองสูบน้ําเย็นสงไปท่ี เคร่ืองสงลมเย็น (Air Handling Unit) ก็จะถายเทความรอนใหกับอากาศทําใหน้ํารอนข้ึนแลวไหลกลับไปถายเท ความรอ นใหกบั อีวาพอเรเตอรอ ีกทําใหครบ วฏั จกั รนาํ้ เยน็ เคร่ืองสงลมเย็นจะดูดอากาศรอนจากหองปรับอากาศผานระบบทอลมไปถายเทความรอนใหกับน้ําเย็น ทาํ ใหอ ากาศมีอุณหภมู ิต่ําลงแลว สง กลบั ไปทีห่ อ งปรบั อากาศทําใหค รบ วฏั จักรลมเยน็ 4-2
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คมู อื ผรู บั ผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 รูปที่ 4.1 แผนภาพระบบปรบั อากาศ 4.3 อุปกรณห ลกั ในระบบปรบั อากาศ 4.3.1 เครือ่ งทาํ นํ้าเยน็ (Water Chiller) เคร่อื งทาํ น้ําเย็นแบบอดั ไอ ประกอบดวย คอมเพรสเซอร (Compressor) คอนเดนเซอร (Condenser) อีวา พอเรเตอร (Evaporator) และเอ็กแพนชั่นวาลว (Expansion Valve) มีสารทําความเย็น เชน R22 หรือ R134a บรรจอุ ยภู ายใน โดยทาํ หนาท่ีผลิตนา้ํ เย็นสงไปใหกับเคร่ืองสงลมเย็น เคร่ืองทํานํ้าเย็นใชคอมเพรสเซอรไดหลาย แบบ 4-3
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คูมอื ผรู บั ผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 ก) เคร่ืองทํานา้ํ เย็นขนาดใหญประมาณ 500 ตันความเยน็ (Ton) นิยมใชคอมเพรสเซอรแบบเซ็นทริฟว เกลิ (Centrifugal) ซึง่ จะมีประสิทธิภาพสงู เชน 0.6 kW/Ton ข) เครื่องทําน้ําเย็นขนาดกลางประมาณ 300 ตันความเย็น จะใชคอมเพรสเซอรแบบสกรู (Screw) ซ่ึง จะมีประสิทธิภาพปานกลาง เชน 0.8 kW/Ton และ ค) เคร่ืองทํานํ้าเย็นขนาดเล็กประมาณ 100 ตันความเย็นจะใชคอมเพรสเซอรลูกสูบ (Piston) ซ่ึงจะมี ประสทิ ธิภาพต่าํ เชน 1.0 kW/Ton ก) เครอื่ งทาํ นาํ้ เย็นแบบเซ็นทริฟว เกลิ (Centrifugal) ข) เคร่ืองทาํ น้าํ เย็นแบบสกรู (Screw) ค) เครอ่ื งทาํ นํ้าเย็นแบบลูกสูบ (Piston) รปู ที่ 4.2 เครอ่ื งทาํ นํ้าเย็นแบบตางๆ ในระบบปรบั อากาศ 4.3.2 เคร่ืองสบู นาํ้ (Water Pump) เปน อุปกรณห ลกั ในการขบั เคลอ่ื นของเหลวซ่ึงในท่ีนค้ี ือนํา้ โดยการปอ นพลังงานเชิงกลเขาไป ทําใหนํ้าที่ ถูกขับมีความดันสูงข้ึน ความดันดังกลาวจะทําหนาท่ีเอาชนะแรงเสียดทานท่ีเกิดข้ึนจากทอ ขอตอ วาลว และ อุปกรณตางๆ เพื่อใหไดอัตราการไหลตามท่ีตองการ การขับเคล่ือนเคร่ืองสูบน้ํานั้นอาจจะใชแรงจากคนหรือจะ อาศัยมอเตอรไฟฟาซ่ึงจะเปล่ียนพลังงานไฟฟาใหเปนพลังงานกล ในระบบปรับอากาศนั้นเคร่ืองสูบนํ้าจะ สามารถพบไดในทัง้ ระบบนาํ้ เยน็ และระบบนํ้าระบายความรอ น (ระบบน้ําหลอเย็น) เคร่ืองสูบนํ้าจะสามารถแบง ไดเ ปน 2 แบบใหญๆ คอื 4-4
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรบั อากาศ คมู ือผูรับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 ก) แบบ Positive Displacement เคร่ืองสูบนํ้าแบบน้ีจะอาศัยการกักน้ําในบริเวณท่ีมีปริมาตรจํากัด แลวอาศยั แรงดนั เพอ่ื ลดปรมิ าตรน้นั ลง สง ผลใหเ กิดการไหลขึ้น ตวั อยา งไดแก แบบลูกสูบ แบบโร ตารเี วน แบบไดอะแฟรม เคร่อื งสบู น้าํ ประเภทน้จี ะใหค วามดนั สูงและอตั ราการไหลตา่ํ ข) แบบ Rotodynamic เคร่ืองสูบนํ้าแบบนี้จะอาศัยหลักการเหวี่ยงของใบพัด เพื่อใหนํ้ามีความเร็ว เพ่มิ ขึน้ และพลังงานจลนท่ไี ดจ ะถูกเปลี่ยนใหอยใู นรปู ของความดันของน้ําที่เพิ่มข้ึน ซ่ึงจะสงผลให เกิดการไหลขึ้นเชนกัน ตัวอยาง ไดแก แบบหอยโขง ซ่ึงมีใชกันอยูอยางแพรหลายในที่อยูอาศัย อาคารพาณิชยแ ละโรงงานอุตสาหกรรม เคร่ืองสูบน้ําประเภทน้ีจะใหความดันตํ่าถึงปานกลาง และ อัตราการไหลสูง ก) เครอ่ื งสบู นาํ้ แบบโรตารเี วน Impeller Rotation Volute ข) เครื่องสบู น้าํ แบบหอยโขง รูปท่ี 4.3 เครอื่ งสบู น้ํา 4.3.3 หอทําความเยน็ (Cooling Tower) หอทําความเย็นเปนอุปกรณทางดานปลายทางของระบบนํ้าหลอเย็น ซ่ึงทําหนาท่ีลดอุณหภูมิของน้ําหลอเย็นสู บรรยากาศ ดงั นน้ั ปรมิ าณของน้ําหลอเย็นท่ีผานหอทําความเย็นจะมีปริมาณลดลง จากการระเหยและ Drift Loss จึงตองมีการเติมนํ้าจากแหลงนํ้าภายนอกเขาสูตัวหอทําความเย็นเพื่อรักษาปริมาณน้ําในระบบใหคงที่ หอทํา ความเย็นนั้นสามารถแบงตามลักษณะทิศทางการไหลระหวางอากาศและนํ้าจะสามารถแบงหอทําความเย็นได เปน 2 ชนิดคือ ก) แบบการไหลสวนทาง (Counter Flow) ข) แบบการไหลต้งั ฉาก (Cross Flow) 4-5
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คูมือผูร ับผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 ก) แบบการไหลสวนทาง (Counter Flow) ข) แบบการไหลตงั้ ฉาก (Cross Flow) รูปท่ี 4.4 หอทําความเย็นจาํ แนกตามการไหลของน้ําและอากาศ 4.3.4 เคร่อื งสงลมเยน็ (Air Handling Unit) เคร่ืองสงลมเย็นเปนอุปกรณทางดานปลายทางของระบบนํ้าเย็น ซ่ึงทําหนาท่ีแลกเปล่ียนความรอน ระหวางนํ้าเย็นท่ีมาจากเครื่องทํานํ้าเย็นกับอากาศสงผลใหอากาศที่ผานออกไปมีอุณหภูมิตํ่าลงและนําไปใชเพื่อ ปรับอากาศตอไป เครื่องสงลมเย็นเปนเครื่องชุดคอยลทําลมเย็นที่ประกอบดวย พัดลม คอยลทําความเย็น แดม เปอร และแผงกรองอากาศรวมอยูในตัวเครื่องเดียวกัน เครื่องสงลมเย็นขนาดใหญมักจะนิยมเรียกส้ัน ๆ วา AHU (Air Handling Unit) สําหรับเคร่ืองขนาดเล็ก จะเรียกวา FCU ( Fan Coil Unit) การติดตั้งเคร่ืองมักจะติดตั้งอยู ภายในอาคาร โดยถาเปนเครื่องขนาดเล็ก มักจะติดต้ังโดยการแขวนใตฝาเพดาน ยึดติดกับผนัง ต้ังพ้ืน หรือซอน ในฝาเพดาน สําหรับเครื่องขนาดใหญ มักจะจัดใหมีหองเครื่อง และนําเครื่องสงลมเย็นขนาดใหญมาต้ังภายใน หองนี้ หากมีการใชระบบทอลมในการสงลมเย็น ก็จะตอทอลมมาเขากับเครื่อง ทอลมที่ออกจากเครื่องเรียกวา ทอ ลมสง (Supply Air Duct) ทอ ลมทีน่ ําลมภายในหอ งกลบั มาทีเ่ ครื่อง เรยี กวา ทอ ลมกลบั (Return Air Duct ) 4-6
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู ือผรู ับผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 (ก) FCU (Fan Coil Unit) (ข) AHU (Air Handling Unit) รูปท่ี 4.5 เครอื่ งทําน้าํ เยน็ แบบตา งๆ ในระบบปรบั อากาศ 4.4 วฏั จักรการทําความเยน็ แบบอัดไอ โดยสวนใหญ ระบบปรับอากาศจะใชหนวยทําความเย็น (Refrigeration Unit) ท่ีทํางานโดยอาศัย หลักการของวัฏจักรการทําความเย็นแบบอัดไอ (Vapor Compression Cycle) จากรูปท่ี 4.6 วัฏจักรการทําความ เยน็ แบบอัดไอประกอบดว ยอุปกรณพ ้นื ฐาน 4 ตวั ไดแก 1. อีวาโปเรเตอรหรือคอยลเย็น (Evaporator) ทําหนาที่ดึงความรอนจากอากาศ (หรือนํ้าในกรณีของ เครื่องทํานํ้าเย็น) ท่ีเคล่ือนผานคอยลเย็น โดยสารทําความเย็นซ่ึงไหลอยูภายในคอยลเย็นจะเปล่ียนสถานะจาก ของผสมระหวางของเหลวและไอที่ความดันตํ่า อุณหภูมิต่ํา ไปเปนไอรอนย่ิงยวดท่ีความดันและอุณหภูมิ ใกลเคียงกนั 2. คอมเพรสเซอร (Compressor) ทําหนาท่ีเพิ่มความดันและอุณหภูมิของสารทําความเย็น คอมเพรสเซอรจะอัดไอสารทําความเย็นซ่ึงมีความดันและอุณหภูมิตํ่าใหมีความดันและอุณหภูมิสูงขึ้น เพื่อสง ตอไปยังคอนเดนเซอร คอมเพรสเซอรเปนอุปกรณท่ีทําใหสารทําความเย็นเกิดการไหลเวียนในระบบ และมี อุณหภูมสิ งู พอทจี่ ะระบายความรอนท้งิ สูสง่ิ แวดลอ ม 3. คอนเดนเซอรหรือคอยลรอน (Condenser) ทําหนาที่ระบายความรอนออกจากสารทําความเย็นที่มา จากคอมเพรสเซอร โดยสารทําความเย็นจะเปล่ียนสถานะจากไอท่ีความดันสูง อุณหภูมิสูง เปนของเหลวที่ความ ดันสูง อณุ หภูมสิ งู การระบายความรอนอาจใชว ิธรี ะบายความรอ นดวยอากาศหรอื นาํ้ ก็ได 4. วาลวลดความดัน (Expansion Valve) ทําหนาท่ีลดความดันของสารทําความเย็นที่มาจาก คอนเดนเซอร สารทําความเย็นจะเปล่ียนสถานะจากของเหลวความดันสูง อุณหภูมิสูง เปนของผสมระหวาง ของเหลวและไอท่คี วามดนั ตํ่า อณุ หภมู ติ าํ่ กอนไหลเขา สอู ีวาโปเรเตอรต อไป ไมวาจะเปนเคร่ืองปรับอากาศ ฮีตปม ตูเย็น ตูแช เคร่ืองทําน้ําแข็ง และอีกหลายอยาง จะมีหลักการ เดียวกนั หมด ดังแสดงในรปู ที่ 4.6 คือ อาศัยกฎธรรมชาติทาํ ใหสารเปลยี่ นแปลงสถานะ เชน ถา เปนของเหลวที่มี ความดันสูงอยู กท็ ําใหความดันลดลงถึงคา หน่ึง สารทาํ ความเย็นจะกลายเปนไอ วิธกี ารลดความดันก็ใหไหลผาน อุปกรณลดความดัน เชน ทอทองแดงขนาดเล็กเรียกวา หลอดรูเล็ก(Capillary tube) หรือวาลวลดความดัน (Expansion Valve) มวลท่ีกลายเปนไอสวนหนึ่ง เชน ในเครื่องปรับอากาศจะประมาณ 20-30% สารทําความเย็น จะตองเอาความรอนแฝงใสตัวเองจํานวนมาก ก็โดยการดูดจากมวลสวนที่ยังเปนของเหลวอยูประมาณ 70-80% 4-7
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คมู ือผูร บั ผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 ทําใหข องเหลวเย็นลงอยา งมาก (ไอก็เย็นตามไปดวย) ของเหลวท่ีเหลือซ่ึงเย็นน้ี คือ สวนที่ใชในการทําความเย็น โดยจะใหไหลเขาไปในเครื่องระเหย (Evaporator) หรือคอยลทําความเย็น ของเหลวที่เย็นนี้จะดูดความรอน จาํ นวน QL จากส่งิ ทตี่ องการทําใหเยน็ จนตัวเองกลายเปนไอไปหมด รปู ที่ 4.6 วัฏจักรการทําความเยน็ แบบอัดไอ โดยอาศัยกฎธรรมชาติ ในทางกลับกนั คอื ถา สารนั้นเปน ไออยู เมอื่ เพิม่ ความดันถงึ คาหนึ่ง สารทําความ เยน็ ตอ งกลายเปน ของเหลว การเพ่มิ ความดนั ก็โดยใชค อมเพรสเซอรอ ัด การอัด คอื การเพิ่มพลังงานใหก บั ไอ ไอ จะรอนข้ึนมาก จะยังเปลี่ยนเปนของเหลวไมได จึงตองปลอยไอรอนน้ีเขาไประบายความรอนออกทิ้งท่ี คอนเดนเซอร จนอุณหภูมิไอรอนลดลงถึงจุดจุดหนึ่ง ธรรมชาติจะบังคับใหเปล่ียนสถานะเปนของเหลว การ เปล่ียนสถานะจากไอเปน ของเหลวได จะตอ งคายความรอ นแฝงออกมามาก ซ่งึ ความรอนทั้งหมดทค่ี อนเดนเซอร นค้ี อื ที่ตองระบายท้งิ จํานวน QH ของเหลวความดันสูงก็จะไหลผา นอุปกรณลดความดนั อีกวนเวยี นเปน วัฏจกั ร จะเห็นวาระบบทําความเย็นเกิดขึ้นจากการเปล่ียนสถานะของสารทําความเย็น คือ ความดันสูงก็จะ กลายเปนของเหลวแมจะรอน (อุณหภูมิสูง) สําหรับความดันตํ่าก็จะกลายเปนไอไดแมจะเย็น (อุณหภูมิตํ่า) นั่น คือ ในวัฏจักรทําความเย็นจะมีสวนความดันตํ่าและสวนความดันสูง ซึ่งคอมเพรสเซอร คือ หัวใจในการดูดสาร ทําความเย็นจากความดันต่ําอัดใหเปนความดันสูง ซ่ึงเปนตัวสําคัญท่ีใชพลังงานสวนใหญ ถาตองการอัดมวล จํานวนเดียวกัน ความดันดานสูงยิ่งสูงก็จะใชพลังงานในการอัดยิ่งมาก หรือความดันดานตํ่าหรือความดันระเหย ยงิ่ ต่าํ ก็จะใชพ ลงั งานในการอดั ยิง่ มากเชน กนั 4.4.1 วฏั จักรการทําความเยน็ แบบอัดไอแบบอดุ มคติ วัฏจักรเครื่องทําความเย็นอุดมคติ เปนวัฏจักรที่เปนตนแบบของเคร่ืองทําความเย็นแบบอัดไอหรือ เครื่องปรับอากาศที่ใชกันอยูทุกวันนี้ วัฏจักรน้ีประกอบดวยกระบวนการยอนกลับไดภายในเกือบหมด ยกเวน เพียงกระบวนการเดียวท่ยี อนกลบั ไมไ ด คือ กระบวนการลดความดนั 4-8
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คมู ือผูรับผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 วฏั จักรนี้ประกอบดว ยกระบวนการตางๆ คือ 1-2 การอัดแบบยอนกลับไดโ ดยไมม ีการถายเทความรอนหรือกระบวนการไอเซนโทรปก 2-3 การถายเทความรอนในคอนเดนเซอร(หรือทําความรอนกรณีใชเปนฮีตปม) ไมมีความเสียด ทานภายในระบบ ความดันจงึ คงท่ี หรอื ยอนกลบั ไดภายใน (ภายนอกยอนกลับไมไ ด) 3-4 การลดความดันโดยไมมีการทํางาน จึงเปนกระบวนการยอนกลับไมได แตไมมีการถายเท ความรอน 4-1 การถายเทความรอน (ทําความเย็น) ในเคร่ืองระเหย ไมมีความเสียดทานภายในระบบ ความ ดนั จงึ คงท่ีหรือยอนกลบั ไดภายใน (ภายนอกยอ นกลบั ไมได) (ก) (ข) รปู ที่ 4.7 T-S และ P-h ไดอะแกรมของวฏั จักรเคร่ืองทําความเยน็ อดุ มคติ สมมุติทอท่ีตอระหวางอุปกรณหรือเครื่องท้ังหมดไมมีความเสียดทาน นั่นคือ ความดันคงท่ีขณะไหล ผา นทอ และสมมุตไิ มมกี ารถา ยเทความรอน จุดมุงหมายของวัฏจักรอุดมคตินี้เพ่ือใชในการวิเคราะหประสิทธิภาพ เมื่อมีการเปล่ียนแปลงภาวะ ตางๆในวัฏจักร หรือการเปล่ียนชนิดสารทําความเย็น และเปนการบอกถึงขอบเขตของประสิทธิภาพของเคร่ือง ทําความเย็นจริงท่ีใชกนั อยู จากวัฏจักรทางอุณหพลวัต รูปที่ 4.7 (ข) จะเห็นไดวามีตัวแปรท่ีสําคัญ 2 ตัวเทานั้น คือ PC และ PE สวน อีก 2 ตัวน้นั ซง่ึ ตางก็ขน้ึ กับมนั ซึ่งมีชอ่ื เรยี กอื่น ๆ ดงั ตอ ไปนี้ PC - ความดันดา นสูงหรือความดันในคอนเดนเซอร (High/Discharge/Head/ Condensing Pressure) PE - ความดนั ดานต่ําหรอื ความดนั ในเครือ่ งระเหย (Low/Suction/Back/ Evaporating Pressure) TC - อุณหภูมิอ่ิมตัวดานความดันสูง (Condensing Temperature or Saturated Discharge Temperature) คืออณุ หภูมอิ ม่ิ ตัว (Saturated Temperature) ทต่ี รงกบั ความดนั ดา นสูง (PC) TE - อุณหภูมิอ่ิมตัวดานความดันตํ่าหรือดานดูด (Evaporating Temperature or Saturated Suction Temperature) คอื อณุ หภูมิอ่ิมตวั ทต่ี รงกบั ความดนั ดา นต่ํา (PE) 4-9
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรับอากาศ คมู อื ผรู บั ผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 ตามท่ีกลาวมาแลววา ในทางปฏิบัติจะสะดวกกวาถากลาวถึง TC และ TE แทนการกลาวถึง PC และ PE ดังนั้น ตารางไอรอนย่ิงยวดหรือไอซูเปอรฮีทบางตาราง จึงนําดวยคาอุณหภูมิอ่ิมตัวแทนความดัน โดยความดัน พมิ พไ วใ นวงเลบ็ เราสามารถคํานวณสมรรถนะการทําความเย็นของวัฏจักรความเย็นแบบอัดไอโดยใชกฎขอที่หน่ึงของ เธอรโ มไดนามิกส โดยสมมุติใหมีสารทําความเย็นไหลผาน 1 หนวยมวล เชน 1 kg (กก.) ถาตองการพลังงานตอ หนว ยเวลา (kJ/s = kW) กเ็ อาอตั ราไหลของมวลคณู กบั พลงั งานตอ หนวยมวลนน้ั จากรูปท่ี 4.7 qL = h1 – h4 และท่ีอุปกรณล ดความดัน h4 = h3 qL = h1 – h3 ถา m = อัตราไหลของมวล QL = m qL = m (h1 – h3) ขนาดกําลงั ของมอเตอรท ฉ่ี ดุ คอมเพรสเซอร wC = h1 – h2 wC =m wC =m (h1 – h2) ความรอ นทต่ี อ งระบายท้งิ ทีค่ อนเดนเซอร qH = h3 – h2 QH =mqH =m ( h3 – h2) และ QH = QL + WC ประสิทธิภาพ (Coefficient of Performance) COP = QL / WC = qL / wC = (h1 – h3)/( h1 – h2 ) 4.4.2 วฏั จกั รเครื่องทาํ ความเย็นแบบอดั ไอทางปฏิบัติ ในทางปฏิบัติคอมเพรสเซอรท่ีใชในเคร่ืองปรับอากาศ มักจะเปนแบบหุมปดชิด (Hermetic Compressor) คอื ท้งั คอมเพรสเซอรและมอเตอรขับถูกหุมมิดชิดในกลองหรือถังโลหะ โดยไอสารทําความเย็นท่ี ไหลเขาคอมเพรสเซอรจะดูดความรอนท่ีถายออกจากมอเตอรและคอมเพรสเซอรเองกลับเขาไปสูสารทําความ เยน็ นนั่ ก็เปรียบเหมือนในกระบวนการ 1-2 ไมมกี ารถา ยเทความรอ นดังแสดงในรูปท่ี 4.7 และในทางปฏิบัติจะมี ความเสยี ดทาน จึงทําใหไมส มบรู ณ เม่อื ไมสมบรู ณแ ละก็ไมมกี ารถายเทความรอ น เอนโทรปจ ะเพิ่มข้ึน เชนเดียวกับเอนทัลป น่ันก็หมายถึงวา สภาวะท่ี 2’ จะรอน (มีอุณหภูมิสูง) กวาทาง ทฤษฎีท่ีสมบูรณหรืออุดมคติ (สภาวะท่ี 2) ดังนั้นกําลังที่ตองใชจริงในทางปฏิบัติ WC-ACTUAL ท่ีวัดออกมาไดก็จะ มากกวา กําลังทางทฤษฎที ่ีสมบรู ณ หรอื WC-ACTUAL= h2’- h1 4-10
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คูมอื ผูรับผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 นิยมใหน ิยาม ประสิทธิภาพของคอมเพรสเซอร ηC ดงั นี้ ηC = WC/ WC-ACTUAL = (h2- h1)/ (h2’- h1) T 2 2\" P 2 2\" TC 3 PC 3 TE 4 1S PE 4 1 h (ก) (ข) รปู ท่ี 4.8 T-S และ P-h ไดอะแกรมของวฏั จักรเครอื่ งทาํ ความเยน็ ทางปฏบิ ัติ 4.5 แผนภมู ิไซโครเมตรกิ อากาศท่ีอยูโดยรอบตัวเราประกอบดวย 2 สวน คือ 1) อากาศแหงและ 2) ไอนํ้า (หรือความช้ืน) เรา สามารถทราบคาสมบัติของอากาศชน้ื ไดจากการอานแผนภูมิไซโครเมตริก (Psychrometric Chart) แผนภูมิไซโครเมตริกยังสามารถใชเพ่ือแสดงสภาวะของอากาศที่เกิดข้ึนในกระบวนการปรับอากาศ ตางๆ และสามารถใชประเมินภาระการทําความเย็น (Cooling Load) ของระบบปรับอากาศ ซึ่งจะนําไปสูการ ประเมนิ คา ของพลังงานที่ใชข องระบบปรับอากาศไดต อ ไป จากรูปที่ 4.9 แผนภูมิไซโครเมตริกสามารถแสดงคาสมบตั ิท่สี ําคญั ของอากาศชืน้ ไดดงั น้ี 1. อุณหภูมิกระเปาะแหง (Dry-bulb Temperature) แสดงบนแกนนอนของแผนภูมิ อุณหภูมิกระเปาะ แหงสามารถวดั และอา นไดดวยเทอรโ มมิเตอรแบบธรรมดา 2. อุณหภูมิกระเปาะเปยก (Wet-bulb Temperature) แสดงบนเสนแนวทแยงของแผนภูมิ อุณหภูมิ กระเปาะเปย กสามารถวัดและอานไดจากเทอรโมมิเตอรที่มผี า หรือสําลชี บุ นํา้ หุมอยทู ่กี ระเปาะ 3. อุณหภูมิจุดกลั่นตัว (Dew-point Temperature) คือ คาของอุณหภูมิที่ทําใหไอน้ําเร่ิมกล่ันตัว อุณหภูมิจุดกลั่นตัวที่ภาวะหนึ่งๆ อานไดโดยการลากเสนแนวนอนจากสภาวะนั้นๆ ไปทางซายของแผนภูมิจน ตดั เสนโคง ความช้นื สัมพัทธ 100% และคาอณุ หภมู กิ ระเปาะแหงท่ีอา นได ณ จุดนั้นคอื อุณหภมู ิจดุ กลั่นตัว 4. ความชืน้ 4.1 ความชื้นสัมบูรณ (Absolute Humidity) หมายถึง มวลของไอน้ําตอหนึ่งหนวยปริมาตรอากาศ (กรมั /ลบ.ม.) 4.2 ความช้ืนจําเพาะหรือสัดสวนความชื้น (Humidity Ratio) หมายถึง มวลของไอน้ําตอมวลของ อากาศแหง หนึง่ หนวย (g/kg) แสดงบนแกนตัง้ ของแผนภมู ิ 4-11
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คูมือผรู ับผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.3 ความช้ืนสัมพัทธ (Relative Humidity) หมายถึง อัตราสวนของความดันไอท่ีปริมาณไอนํ้าจริง ในอากาศตอความดนั ไอทปี่ ริมาณไอนํา้ อ่มิ ตัวทอ่ี ณุ หภูมิเดียวกัน คาความชื้นสัมพัทธแสดงบน เสน โคง ของแผนภูมิ 5. เอนทาลป (Enthalpy) คือ ปริมาณพลังงานความรอนในอากาศ ซ่ึงสามารถอานไดจากเสนทแยงใน แผนภูมิที่มีความชันใกลเคียงกับเสนอุณหภูมิกระเปาะเปยก คาความรอนภายในของอากาศประกอบดวย 2 สวน คอื 5.1 ความรอนสัมผัส (Sensible Heat) การเปล่ียนแปลงอุณหภูมิกระเปาะแหงของอากาศท่ีความช้ืน จําเพาะคงท่ี 5.2 ความรอนแฝง (Latent Heat) การเปล่ียนแปลงปริมาณความช้ืนในอากาศท่ีอุณหภูมิกระเปาะ แหง คงท่ี ENTHALPY AT SATURATION GRAMS OF MOISTURE PER KILOGRAM OF DRY AIR SENSIBLE HEAT FACTOR DRY BULB ENTHALPY DEVIATION WET-BULB DEWPOINT OR SATURATION TEMP VOLUME ALIGNMENT RELATIVE HUMIDITY WET BULB CIRCLE DEWPOINT MOISTURE CONTENT DRY BULB TEMPERATURE รูปที่ 4.9 ก) คา สมบตั ขิ องอากาศช้ืนบนแผนภมู ไิ ซโครเมตริก 4-12
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ รูปที่ 4.9 ข) แผนภูมไิ ซโครเมตริกตาม กระบวนการปรบั อากาศในตารางท่ี 4.1 76 3 4-1
คูมือผรู บั ผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 2 1 5 4 13
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ 4-1
คมู อื ผูรบั ผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 14
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ 4-1
คมู อื ผูรบั ผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 15
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ 4-1
คมู อื ผูรบั ผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 16
ตอนที่ 3 บทที่ 4 ระบบปรบั อากาศ คูม ือผูรบั ผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.5.1 กระบวนการปรบั อากาศ กระบวนการปรับอากาศมีอยูหลายลักษณะข้ึนอยูกับจุดประสงคของการใชงาน ตารางที่ 4.1 และ แผนภมู ไิ ซโครเมตริกในรูปที่ 4.9 ข) แสดงกระบวนการปรับอากาศในลักษณะตา งๆ ตารางท่ี 4.1 กระบวนการปรับอากาศ ตาํ แหนงใน กระบวนการ วิธกี าร อุณหภมู ิกระเปาะ ความชืน้ เอนทาลป การเปลย่ี นแปลง รปู ที่ 4.9 ข แหง (oC) สมั พัทธ (%) (kJ/kg) เอนทาลป(kJ/kg) 1→2 การทาํ ความเย็น คอยลเย็น 40→30 40→70 88→78.5 9.5 2→3 การทาํ ความเย็น คอยลเ ยน็ ทําความเยน็ 30→15 70→93 78.5→40 38.5 และลดความชื้น และเกิดการกลน่ั ตวั 3+4→5 การผสมระหวาง กระเปาะแหง 35oC 27 56 59 19 อากาศ 2 สภาวะ กระเปาะเปย ก 24oC 7 อยรู ะหวาง 5 และ 6 และใชสัดสว นของ อากาศที่ไหล 5→6 การทาํ ความเย็น ตัวทําความเยน็ แบบ 27→21.5 56→90 59 0 แบบระเหย ระเหยเชิงพาณิชย (อณุ หภมู ิกระเปาะเปย ก คงท)่ี ประสิทธภิ าพ 80% 5→7 การทําความเย็น บนเสน อิ่มตัว 27→20.5 56→100 59 0 แบบระเหยและเกิด การกลั่นตัว ประโยชนสําคัญประการหน่ึงของแผนภูมิไซโครเมตริก คือ การใชคํานวณภาระการทําความเย็น หรือ ปริมาณความรอนท่ีตองดึงออกจากอากาศในพื้นท่ีปรับอากาศ ตัวอยางเชน จากตารางท่ี 4.1 อากาศที่ผาน กระบวนการทําความเย็นและลดความชื้น (2→3) ซึ่งเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นท่ีคอยลเย็นของ เครื่องปรับอากาศ อากาศจะเปลี่ยนสภาวะจากอุณหภูมิ 30oC ความชื้นสัมพัทธ 70% เปนอากาศท่ีอุณหภูมิ 15oC ความชื้นสัมพัทธ 93% ภาระการทําความเย็นท่ีเกิดขึ้นตออากาศ 1 kg คือ คาเอนทาลปที่เปล่ียนแปลงซ่ึงเทากับ 38.5 kJ/kg หากอัตราการไหลของอากาศที่ผานคอยลเย็นมีคาเทากับ 0.1 kJ/s หมายความวา เคร่ืองปรับอากาศ สามารถทําความเย็นหรอื ดงึ ความรอนออกไดใ นอัตรา 3.85 kJ/s หรือ 3.85 kW (เทียบเทา กับ 13,136 Btuh) คาอัตราการทําความเย็นหรือความสามารถในการทําความเย็นนี้ สามารถนําไปใชคํานวณปริมาณ พลังงานทใี่ ชและประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศตอ ไปได 4-17
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู อื ผูรับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.6 การตรวจวัดและประเมินสมรรถนะของระบบปรับอากาศ ในการประเมินสมรรถนะของเครื่องปรับอากาศและระบบปรับอากาศแบบอัดไอ เราตองทราบภาระ การทาํ ความเยน็ และความตอ งการใชพ ลังไฟฟา ของเครื่องปรบั อากาศหรือระบบปรับอากาศนัน้ ๆ 4.6.1 เครือ่ งปรับอากาศแบบหนว ยเดยี ว ในทางปฏิบัติการประเมินสมรรถนะของเครื่องปรับอากาศแบบหนวยเดียว เราจะวัดภาระการทําความ เย็นจากอากาศท่หี มุนเวียนผานคอยลเ ย็น และความตองการไฟฟาของคอมเพรสเซอรรวมกับพัดลมของอีวาโพเร เตอรและคอนเดนเซอร อยางไรก็ตาม ความตองการไฟฟาของพัดลมอีวาโพเรเตอรและคอนเดนเซอรจะมีคาต่ํา เมอ่ื เทยี บกับของคอมเพรสเซอร ก) การตรวจวัดภาระการทําความเย็น ภาระการทาํ ความเย็น (Cooling Load) ในท่นี ้ีหมายถึง ปรมิ าณหรืออตั ราของพลังงานความรอนที่ดูดซับ โดยคอยลเ ยน็ หรืออวี าโปเรเตอร ในพ้ืนทีป่ รบั อากาศหนึง่ ๆ ซ่ึงประกอบดวย 1. แหลง ความรอ นภายใน (Internal Heat Source) ไดแ ก คน ระบบแสงสวาง และอปุ กรณต า งๆ 2. แหลงความรอนภายนอก (External Heat Source) ไดแก การถายเทความรอนผานกรอบอาคาร เนื่องจากความแตกตางระหวางอุณหภูมิภายนอกและภายใน และการแผรังสีความรอนโดยตรงจากแสงอาทิตย ผานกรอบอาคารท่เี ปน กระจก 3. อากาศระบายและอากาศรว่ั ไหล (Ventilation and Infiltration Air) ไดแก อากาศภายนอกที่ปอนเขา มาในพื้นท่ีปรับอากาศเพื่อรักษาคุณภาพของอากาศ และอากาศภายนอกท่ีรั่วไหลเขามาตามรอยแยกของกรอบ อาคารหรอื วงกบประตูหนา ตา ง อตั ราการทําความเยน็ ท่คี อยลเย็นสาํ หรบั เครื่องปรบั อากาศแบบแยกสวน สามารถคํานวณไดจากสมการ ที่ (4.1) Q&L = m& a (hi − he ) (4.1) เมอื่ Q&L = อตั ราการทําความเยน็ , kW m& a = อตั ราการไหลเชงิ มวลของอากาศทผ่ี า นคอยลเ ยน็ , kg/s hi = เอนทาลปของอากาศทเ่ี ขาคอยลเย็น, kJ/kg he = เอนทาลปของอากาศที่ออกจากคอยลเ ย็น, kJ/kg อตั ราการไหลเชิงมวลของอากาศผานคอยลเย็นคาํ นวณไดจ าก m& a = ρaV&a = ρava Adiff (4.2) เมื่อ ρa = ความหนาแนน ของอากาศ, kg/m3 V&a = อตั ราการไหลเชิงปรมิ าตรของอากาศท่ีผานคอยลเ ย็น, m3/s 4-18
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู อื ผรู ับผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 va = ความเรว็ ของอากาศทหี่ ัวจายลม, m/s Adiff = พ้นื ที่ของหัวจายลม, m2 และจากสมการท่ี (4.1) และ (4.2) ขนาดการทําความเย็นในหนวยตันความเย็นของเครื่องปรับอากาศ แบบหนว ยเดยี วสามารถคาํ นวณไดจากสมการท่ี (4.3) และ (4.4) Q&L = 5.707 ×10−3 ×V&a × (hi − he ) (4.3) เมื่อ Q&L = ความสามารถในการทําความเยน็ , Ton of Refrigeration (TR) V&a = ปริมาณลมหมุนเวยี นผา นคอยลเยน็ , m3/min Q&L = 4.5×V&a × (hi − he ) (4.4) เมื่อ V&a = ปริมาณลมหมุนเวียนผา นคอยลเยน็ , ft3/min หมายเหตุ Q&L มหี นว ยเปน Ton of Refrigeration โดย 1 TR = 12,000 Btu/h = 3.517 kW สําหรับสมการที่ (4.1) ถึง (4.4) สามารถใชคํานวณภาระความเย็นของพัดลม (Fan Coil Unit) และ เคร่อื งสงลมเย็น (Air Handling Unit) ของระบบปรับอากาศแบบรวมศนู ยไ ดเ ชนกนั ข) การตรวจวดั ความตองการไฟฟา เราสามารถตรวจวัดความตองการไฟฟาของคอมเพรสเซอร (Ecomp) พัดลมท่ีอีวาโพเรเตอรและ คอนเดนเซอรไดจ ากเครื่องมอื วัดทางไฟฟา โดยตรงในขณะทีเ่ ครอ่ื งปรบั อากาศกาํ ลังทํางาน ดังน้ัน ในการวิเคราะหสมรรถนะของเครื่องปรับอากาศแบบหนวยเดียว รายการเคร่ืองมือวัดท่ีจําเปน ไดแก Power Meter หรือ kW Meter, Thermometer (เคร่ืองมือวัดอุณหภูมิ), Anemometer (เคร่ืองมือวัดความเร็ว อากาศ), Hygrometer (เครื่องมือวัดความชื้นสัมพัทธ) และPsychometric Chart (แผนภูมิอากาศ) โดยมีแนว ทางการเก็บขอมูล มีดังน้ี • บันทึกคาความเร็วลมผานหนาตัดของชองลมกลับ ในหนวย m/s โดยควรวัดหลาย ๆ จุดใหทั่วท้ัง หนาตัดแลว หาเปน คา เฉลย่ี • วัดขนาดพื้นที่หนาตัดของชองลมกลับ แลวนําไปคูณกับคาความเร็วลมเฉล่ียเพื่อหาปริมาณลม หมุนเวยี นผา นคอยลเ ยน็ ได • บันทึกคาอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธของลมจาย (Supply Air) เพ่ือนําไปหาคาเอนทาลปของลม จา ย (he) จากแผนภูมิ Psychometric • บันทกึ คา อุณหภูมแิ ละความชื้นสมั พัทธข องลมกลบั (Return Air) เพ่ือนาํ ไปหาคาเอนทาลปของลม กลับ (hi) จากแผนภูมิ Psychometric • บันทึกคาการใชก าํ ลังไฟฟา ของพดั ลมเปน kW ดว ย Power Meter 4-19
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คูมือผูร ับผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 ค) สมรรถนะการทาํ ความเยน็ ประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศแสดงในรูปของคาสมรรถนะการทําความเย็น (Coefficient of Performance, COP) ซึ่งนิยามดวย อัตราสวนของพลังงานความรอนที่ถูกดูดซับโดยคอยลเย็น (ปริมาณความเย็น ท่ีทาํ ได) ตอ พลงั งานไฟฟา ท่ีระบบใช COP = Q&L (4.5) Ecomp เมอ่ื Q&L = อัตราการทาํ ความเยน็ , kW Ecomp = ความตองการไฟฟาของเครือ่ งปรับอากาศ, kW คา COP สูงแสดงถึงประสิทธิภาพท่ีดีของระบบปรับอากาศ สําหรับคา COP ท่ีพิจารณาเฉพาะพลังงาน ที่ใชในคอมเพรสเซอร เปนเพียงคาท่ีแสดงประสิทธิภาพของการทําความเย็นเทานั้น สวนคาสมรรถนะของทั้ง ระบบ (System COP, SCOP) จะตองรวมพลังงานท่ีจายใหกับพัดลมและเคร่ืองสูบนํ้าดวย คา SCOP สูงหมายถึง ระบบปรับอากาศทีใ่ ชพลังงานนอ ย ในทางปฏิบัติ สมรรถนะของระบบปรับอากาศยังสามารถแสดงไดในรูปของ คาอัตราสวน ประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency Ratio, EER) และคากิโลวัตตตอตันความเย็น (kW/TR) โดยคา EER ซึ่งมีหนวยเปน บีทียูตอชั่วโมง/วัตต นิยมใชแสดงคาประสิทธิภาพการทําความเย็นของเครื่องชนิดไดเร็คเอ็กส แพนช่ันหรือเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก สวนคากิโลวัตตตอตันความเย็น นิยมใชแสดงคาประสิทธิภาพการทํา ความเย็นของเครื่องปรบั อากาศขนาดใหญ เชน ระบบนํ้าเย็น EER = 3.415⋅COP (4.6) เม่ือ COP = สมรรถนะการทาํ ความเย็นของเครอ่ื งปรบั อากาศ ตัวอยา งที่ 1 ในการตรวจวดั เครือ่ งปรบั อากาศแบบ Split type เคร่ืองหน่ึง บันทึกคาความเร็วลมกลับเฉลี่ยบริเวณ ชองลมกลับไดเ ทา กบั 0.5 m/s วดั ขนาดของชองลมกลบั ไดพ้ืนที่เทากับ 0.9 m2 คาอุณหภูมิและความช้ืนสัมพัทธ ของลมจายเทากับ 15.8oC และ 78.7%RH สําหรับลมกลับวัดได 25.1oC และ 58.2%RH คาการใชไฟของ เครอ่ื งปรับอากาศวดั ไดเ ทา กบั 2.4 kW คํานวณหาขนาดการทาํ ความเยน็ และสมรรถนะของเครอ่ื งปรับอากาศ วิธีการคาํ นวณ จากขอมูลของลมจายและลมกลับ นําไปพล็อตในแผนภูมิอากาศ จะไดคาเอนทัลปของลมจายเทากับ 38.1 kJ/kg สว นของลมกลบั เทา กับ 54.8 kJ/kg ปริมาณลมหมนุ เวยี นผา นคอยลเ ยน็ คิดเปน 0.5*60*0.9 = 27.0 ลบ.ม./นาที ขนาดทาํ ความเยน็ ของเคร่อื งสง ลมเยน็ ตัวนจี้ ะเทากับ Q&L = 5.707 ×10−3 ×V&a × (hi − he ) 4-20
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คูมอื ผรู บั ผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 QL = 5.708 x 10-3 x 27.0 x (54.8 – 38.1) = 2.6 TR หรือ 2.6 x 12000 = 30,879 Btu/h หรอื 30,879 x 0.2928 / 1000 = 9.05 kW (1 Btu/h = 0.2928 W) ประสิทธิภาพของเครอื่ งปรับอากาศ = 12.9 EER = (30,879)/(2.4 x 1000) = 3.77 COP = (9.05)/(2.4) 4.6.2 เคร่ืองทํานํา้ เยน็ เคร่ืองทําน้ําเย็น คือ เคร่ืองปรับอากาศท่ีผลิตครบชุดในตัวจากโรงงาน โดยทํานํ้าหรือนํ้าเกลือใหเย็น กอนแลวจึงใชปมสูบนํ้าหรือน้ําเกลือที่เย็นไปทําอากาศใหเย็นอีกทอดหนึ่ง อุณหภูมิโดยประมาณท่ีใชงานดัง แสดงตามรปู ที่ 4.1 สาํ หรบั เครื่องทาํ นาํ้ เย็น อตั ราการทาํ ความเยน็ สามารถคาํ นวณไดจาก Q& L = m& wcp,w (Tw,in − Tw,out ) (4.7) เมื่อ Q&L = อตั ราการทําความเยน็ , kW m& w = อตั ราการไหลเชิงมวลของนํ้าเยน็ , kg/s cp,w = คาความจคุ วามรอ นจาํ เพาะของน้าํ , kJ/kg.K Tw,in = อุณหภูมนิ ้ําเย็นทีเ่ ขา เครื่องทาํ น้าํ เยน็ , °C Tw,out = อุณหภูมนิ ้ําเย็นท่ีออกจากเคร่อื งทาํ นาํ้ เยน็ , °C อตั ราการไหลเชงิ มวลของนา้ํ เยน็ สามารถคํานวณไดจาก m& w = ρwV&w (4.8) เมื่อ ρw = ความหนาแนนของนา้ํ , kg/m3 V&w = อัตราการไหลเชิงปริมาตรของนํ้าเยน็ , m3/s ในกรณขี องน้ํา ρW = 1000 kg/m3 (8.333 lb/gallon) และ Cp,w = 4.187 kJ/kg.oC (1 Btu/lb.oF) ภาระการทาํ ความเยน็ ในหนวยองั กฤษ ตันความเย็น สามารถคํานวณไดจ าก Q& L = V&w (Tw,in − Tw,out ) (4.9) 24 เม่อื Q&L = อตั ราการทําความเย็น, TR V&w = อัตราการไหลเชิงปริมาตรของนํ้าเย็น, gpm Tw,in = อุณหภูมนิ ํ้าเย็นท่เี ขาเคร่ืองทํานํา้ เย็น, °F Tw,out = อุณหภมู นิ าํ้ เยน็ ทอ่ี อกจากเครอ่ื งทํานาํ้ เย็น, °F 4-21
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คมู อื ผูรับผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 จากสมการขางตน ในการวิเคราะหอัตราการทําความเย็นของเครื่องทําน้ําเย็น สิ่งที่จะตองทําการ ตรวจวดั ไดแก • อัตราการไหลเชิงปริมาตรของนํ้าเย็น โดยอานจากมิเตอร หรือใชเครื่องมือวัดแบบอุลตราโซนิค เพอื่ นาํ ไปคาํ นวณหาคาอัตราการไหลเชงิ มวลของน้ําเย็น • อุณหภูมินาํ้ เยน็ ดา นเขาของเครือ่ งทําน้ําเยน็ • อณุ หภูมินาํ้ เย็นดานออกของเครอื่ งทํานาํ้ เยน็ ตัวอยางท่ี 2 จากรูปท่ี 4.1 น้ําเย็นไหลเขาเคร่ืองทําน้ําเย็นวัดไดในอัตรา 480 gpm อุณหภูมินํ้าเขา 55oF และไหล ออก 45oF และวัดความตองการไฟฟาได 120 kW จงหาขนาดทําความเย็นและสมรรถนะการทําความเย็นของ เครอ่ื งทํานํา้ เย็น วธิ กี ารคาํ นวณ ขนาดทําความเยน็ Q& L = V&w (Tw,in − Tw,out ) 24 = 480*(55-45)/24 = 200 TR = 2,400,000 Btu/h (=200 x 12000) = 702.7 kW (= 2,400,000 x 0.2928 / 1000) ประสทิ ธิภาพของเครอ่ื งทาํ น้าํ เย็น EER = (2,400,000)/(120 x 1000) = 20.0 COP = (702.7 x 1000)/(120 x 1000) = 5.85 kW/Ton = (120)/(200) = 0.6 4.7 มาตรการการอนุรกั ษพ ลงั งานในระบบปรบั อากาศ แนวทางในการประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศดวยการลดปริมาณการใชพลังงาน และเพิ่ม ประสิทธภิ าพของระบบปรับอากาศ สามารถทาํ ไดห ลายประการดังตอ ไปนี้ 4.7.1 การเพิ่มอุณหภูมริ ะเหยดานดูดหรอื ความดนั ดานตํ่า (TE/PE) เราสามารถใชแผนภูมิ P-h ของวัฏจักรอุดมคติวิเคราะหใหเห็นวา อุณหภูมิระเหยหรืออุณหภูมิอิ่มตัว ดา นดดู หรือความดนั ดา นตาํ่ ยิ่งมีคาสูงประสทิ ธภิ าพซโี อพีย่ิงดี จากแผนภมู ิ P-h จะเห็นวา ประสิทธภิ าพท่ี TE ตา งๆดังน้ี COP = (h1 - h3) / (h2 - h1) สาํ หรับ TE (อณุ หภมู ริ ะเหยเดิม) COP' = (h1' - h3) / (h2' - h1') สาํ หรับ T’E (อณุ หภมู ริ ะเหยเพมิ่ ขึ้น) COP\" = (h1\" - h3) / (h2\" - h1\" ) สําหรบั T”E(อณุ หภูมิระเหยเพ่มิ ข้ึนมาก) 4-22
ตอนที่ 3 บทที่ 4 ระบบปรบั อากาศ คมู ือผูร บั ผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 P 3. 2” 2 ‘ 2 4” TE” 1” 4‘ TE’ 1‘ 4 TE 1 h รปู ท่ี 4.10 การเพมิ่ อุณหภูมริ ะเหยดา นดูดหรอื ความดันดา นตํ่า จากแผนภมู จิ ะเหน็ วา (h1 - h3)< (h1' - h3) < (h1\" - h3) และ (h2 - h1) > (h2' - h1' ) > ( h2\" - h1\" ) ประสิทธิภาพดีขึน้ เพราะ COP\" > COP'> COP นอกจากนี้ จากแผนภูมิยังเห็นไดวา อุณหภูมิคอมเพรสเซอรเย็นลง T2\" < T2'< T2 และปริมาตรจําเพาะ ของไอทคี่ อมเพรสเซอรด ดู เขา เล็กลง (ความหนาแนน มากขึ้น) v1\" < v1' < v1 ขนาดคอมเพรสเซอรเล็กลงได 4.7.2 การลดอุณหภมู ิควบแนน ความดันดา นสงู เราสามารถวิเคราะหไดเชนกันวา ถาลดอุณหภูมิควบแนนหรือความดันดานสูง ประสิทธิภาพ ซีโอพีย่ิง สูงข้นึ และความสามารถในการทาํ ความเยน็ ก็เพม่ิ ข้ึน จากแผนภมู ิ P-h จะเหน็ ไดวา COP = (h1 - h3) / (h2 - h1) สําหรับ TC (อุณหภมู คิ วบแนน เดมิ ) และ COP' = (h1 - h3') / (h2' - h1) สําหรบั T’C (อุณหภูมคิ วบแนน ลดลง) ซึง่ (h1 - h3') > (h1 - h3) และ (h2' - h1) < (h2 - h1) ดงั นั้น COP' > COP P 3. TC 2 3‘. TC’ 2‘ 4‘ 4 1h รูปท่ี 4.11 การลดอณุ หภูมคิ วบแนนความดันดานสูง 4-23
ตอนที่ 3 บทที่ 4 ระบบปรบั อากาศ คูมือผรู บั ผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.7.3 ระบบสง นา้ํ เย็นแบบปรมิ าตรแปรเปลย่ี น (Variable Water Volume (VWV) System) ในระบบปรับอากาศขนาดใหญจะใชน้ําเย็นเปนตัวกลางในการดูดความรอนท่ีหองปรับอากาศรวมกับ การใชเ คร่อื งสงลมเย็น แลว นําความรอนกลับไประบายทิ้งท่ีเคร่ืองทําน้ําเย็น ในการหมุนเวียนน้ําเย็นจะใชเครื่อง สบู นา้ํ ขบั ดวยมอเตอรไ ฟฟา ซงึ่ จะใชก าํ ลังไฟฟาตามสมการ Pp = γ QwH (4.10) ηmηP โดย Pp = กาํ ลงั ไฟฟาทมี่ อเตอรของเครอ่ื งสบู น้าํ , W γ = นํา้ หนกั จาํ เพาะของนาํ้ , N/m3 Qw = อัตราการไหลของนา้ํ เยน็ , m3/s H = ความดันรวมของน้ํา (Total Dynamic Head), m ηm = ประสทิ ธิภาพของมอเตอร ηP = ประสิทธิภาพของเครื่องสูบน้ํา จากสมการท่ี 4.10 เมอ่ื Qw และ H มีคาสูง ระบบจะตองการกําลังไฟฟาสูง ในระบบท่ีอัตราการไหลของ น้ําเย็นจะคงท่ี โดยไมข้ึนกับภาระการทําความเย็น ระบบน้ีเรียกวา ระบบปริมาตรคงที่ และเปนระบบที่ใช พลังงานมาก สวนระบบที่ใชวาลว 2 ทาง อัตราการไหลจะเปล่ียนไปตามภาระในการทําความเย็น เรียกวา ระบบ ปริมาตรน้ําแปรเปลี่ยน (ดังแสดงในรูปท่ี 4.13) ระบบนี้จะมีระบบควบคุมการทํางานของเครื่องสูบน้ําเพ่ือปรับ ลดความเรว็ รอบของเครอื่ งสบู น้าํ และสามารถประหยัดพลังงานไดเ มอ่ื ภาระในการทําความเย็นลดลง นอกจากน้ี การออกแบบระบบทอน้ําและอุปกรณตางๆ ในระบบทอนํ้าที่ดี จะชวยลด H ของเคร่ืองสูบนํ้า ซึ่งเปนการลด พลงั งานทใี่ ชก ับเคร่ืองสบู นํา้ ดวย 4-24
ตอนที่ 3 บทที่ 4 ระบบปรับอากาศ คมู อื ผรู บั ผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 Constant Volume Flow Flow quantities Coil 1 Coil 2 Coil 3 Coil 1 100 Units Coil 2 200 Chiller Coil 3 100 Plant Total 400 Constant Diverting Valve Chiller water pump Three-way valve control to a cooling coil T Chiller Pump T Chiller Pump C NO From other NC T coils 3-way mixing Coil To other valve coils Air Flow Note: Constant chilled water flow at all conditions Must use all pumps regardless of load Difficult to keep chillers on line at light load รปู ท่ี 4.12 Three-Way Valve Control of a Coil 4-25
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรบั อากาศ คูมือผูรับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 Variable Volume Flow Flow quantities Coil 1 Coil 2 Coil 3 Coil 1 10 Time (hrs) 18 Coil 2 90 12 14 16 70 Chiller Coil 3 160 150 Plant Simultaneous 60 100 90 80 80 flow 310 180 200 180 300 Throttling 70 80 100 Valve 350 370 360 Chiller water pump System with two-way control valves T Chiller 1 Pump 1 T Chiller 2 Pump 2 Start- Note: Stop • System chilled water flow decrease Bypass with load • Bypass valve modulates open to reduce DP Differential pressure controller P increase • Chiller #2 and pump shut down when bypass valve is nearly open T Coil 2-way Air Flow valve From other To other coils coils รูปท่ี 4.13 Two-Way Value with Pump Bypass 4-26
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คูมือผรู บั ผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.7.4 ระบบสง ลมเยน็ แบบปริมาตรแปรเปลี่ยน (Variable Air Volume (VAV) System) ในระบบสงลมเย็นจะใชอากาศเย็นเปนตัวกลางในการดูดความรอนในหองหรือโซนตางๆ โดยใชหัว จายลมดังแสดงในรูปที่ 4.14 จากน้ันจะนําความรอนกลับไปท้ิงท่ีเคร่ืองสงลมเย็น ในการหมุนเวียนลมเย็นจะใช พัดลมที่ขับเคล่ือนดวยมอเตอรไฟฟา เมื่อภาระการทําความเย็นของหองตางๆ ลดลง ระบบควบคุมจะปรับลด ความเร็วรอบของมอเตอรและปริมาณลมตาม ทาํ ใหเกดิ การประหยัดพลงั งาน Fan TT TT Cooling DT Coil Fan TC NC Cooling Air Reset Differential 220 Vac Controller Pressure Pickup 6-9 Vdc Hi C-1 Lo Terminal Unit VAV – Pressure Independent OP1 Zone ISA COM 24H 24G Sensor 24 Vdc T-1 รปู ท่ี 4.14 VAV System Control 4-27
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คูม ือผูร บั ผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.7.5 การใชท อ ความรอน (Heat Pipe) งานบางประเภท เชน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส อุตสาหกรรมยา ฯลฯ จําเปนตองมีการควบคุมทั้ง อุณหภูมิและความชื้นของอากาศไปพรอมกัน วิธีการด้ังเดิม ไดแก วิธีลดอุณหภูมิใหต่ําแลวใหความรอนซ้ํา (Overcool and Reheat) ซ่ึงมีหลักการทํางาน คือ คอยลเย็นจะลดอุณหภูมิของอากาศใหตํ่ากวาคาที่ตองการกอน เพื่อดึงความชื้นออกจนถึงระดับที่ตองการ จากนั้น จะใชขดลวดความรอนทําการเพ่ิมอุณหภูมิของอากาศเพื่อให ลมจา ยมีอุณหภมู สิ งู กลับข้นึ มาถงึ คาทต่ี อ งการ ทอความรอนเปนอุปกรณถายเทความรอนที่ไมตองใชพลังงานในการขับเคล่ือน สวนประกอบมีเพียง ทอทองแดงหรือทอโลหะอ่ืนปลายปดสองขาง ภายในบรรจุสารทําความเย็นปริมาณเล็กนอย สารทําความเย็นท่ี ปลายดานท่ีตํ่ากวาจะมีสถานะเปนของเหลว ทําหนาที่ดูดความรอนจากภายนอก ซึ่งจะทําใหสารทําความเย็น เปลี่ยนสถานะกลายเปน ไอลอยขึ้นไปสูปลายดา นทส่ี ูงกวาและคายความรอนสูภายนอก จากน้ัน สารทําความเย็น จะควบแนนกลายเปนของเหลวไหลกลบั ลงสูปลายดานทีต่ ํา่ กวา วนเวียนอยูอยา งน้ีเปน วฏั จักร เม่ือนําทอความรอนไปติดต้ังภายในเครื่องสงลมเย็น จะใชสําหรับนําความรอนจากอากาศที่เขาคอยล เย็นหรือลมกลับ (Return Air) ไปถายเทใหกับอากาศที่ออกจากคอยลเย็นหรือลมจาย (Supply Air) เพื่อควบคุม อุณหภูมิและความชื้นของอากาศในลักษณะท่ีคลายกับวิธีดั้งเดิม แตจะประหยัดพลังงานกวาเพราะไมตองลด อุณหภูมิทํางานของคอยลเย็นใหตํ่ากวาปกติ และไมตองใชขดลวดความรอนซึ่งตองการพลังงานไฟฟา ตัวอยาง การทาํ งานของทอ ความรอ นทต่ี ิดต้งั ในเครื่องสง ลมเยน็ แสดงไวในรูปท่ี 4.15 รูปที่ 4.15 การตดิ ตั้งทอความรอนในเคร่อื งสง ลมเยน็ 4.7.6 การปรบั ปรุงตัวอาคาร การปรับปรุงท่ีตัวอาคารเปนการลดภาระของการปรับอากาศลง อาจเปนการออกแบบอาคารใหมหรือ ปรับปรุงอาคารเกาโดยคํานึงถึงสิ่งตอไปน้ี (อยางไรก็ตาม การประหยัดพลังงานจะไดผลมากที่สุดถาคํานึงถึง ต้งั แตช ว งเร่ิมออกแบบ) • อาคารหนั ในทิศทางที่ถกู ตอง • ฉนวนที่ใชถูกตองและเหมาะสม • อดุ ชอ งรอยรวั่ ท้งั หมด 4-28
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู ือผูร ับผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 • ตดิ ต้งั ชุดปดประตู (Door Closer) ท่ปี ระตู • หนาตางตองมกี ารบงั แดดท่ีดี • ปรมิ าณอากาศจากภายนอกทเ่ี ขา มาในระบบปรบั อากาศตองไมเกินความตอ งการ • การออกแบบท่ีเหมาะสมจะทําใหสามารถลดขนาดของเครื่องปรับอากาศ ลดตนทุนในการติดต้ัง และลดคาใชจายในการเดนิ ระบบ 4.7.7 การเลือกใชอ ุปกรณท ่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ การเลอื กใชอ ุปกรณท ่ีมปี ระสิทธภิ าพอาจทาํ ไดห ลายแนวทาง เชน • เลอื กประเภทและขนาดใหถกู ตองตามประเภทของงาน • ใชม อเตอรป ระสทิ ธิภาพสูง • ใชอ ุปกรณป รบั ความเรว็ รอบในการควบคมุ ภาระทเ่ี ปลย่ี นแปลงของเครอ่ื งสูบนํ้าและพัดลม • จดั อุปกรณและการควบคุมตามพ้ืนที่หรือโซนท่แี ตกตางกนั (ไมค วรใหม ีพ้นื ที่คาบเกย่ี วกนั ) 4.7.8 การควบคมุ การทาํ งานทเี่ หมาะสม แนวทางการการควบคมุ การทาํ งานใหเหมาะสมอาจทําไดห ลายประการ เชน • ตงั้ คาอุณหภูมิใหถ กู ตอ งและเหมาะสม (อยาใหเยน็ เกินไป) • อยา เดินระบบถา ไมจ ําเปน • ติดต้งั อปุ กรณส งสญั ญาณชวยในการควบคุม • ใชอปุ กรณส งสญั ญาณทมี่ คี ณุ ภาพดี • ใชโปรแกรมควบคมุ เวลา 365 วนั สําหรับอุปกรณท่ีงายหรือเลก็ • สําหรับระบบที่มีความซับซอน ใชการควบคุมท่ีมีประสิทธิภาพสูง ในการตรวจสอบ บันทึกขอมูล ของระบบพรอมรายงานผล 4.7.9 การบํารงุ รกั ษาทเี่ หมาะสม อุปกรณท้ังหมดตองทําการดูแลรักษาเปนประจํา ซ่ึงความถ่ีในการดูแลตรวจสอบจะแตกตางกันไป ขน้ึ อยูกบั อปุ กรณ การบาํ รงุ รักษาที่ดคี วรจะตอ ง • ถูกตองตามความตอ งการของอปุ กรณ • ยดื อายุการใชงาน • ปอ งกันประสทิ ธภิ าพไมใ หตํา่ ลง • ใชพลังงานนอ ย โดยทว่ั ไปการบาํ รงุ รกั ษาข้นึ อยกู ับ • ชวงระยะเวลาท่กี ําหนดตามคาํ แนะนําของผูผลิต • จาํ นวนชว่ั โมงในการทาํ งาน • ผลการตรวจสอบ 4-29
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรับอากาศ คูมอื ผูรบั ผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.8 กรณีศึกษา กรณีศกึ ษาท่ี 1: การปรบั เพมิ่ อุณหภูมินาํ้ เยน็ จาก 7๐C เปน 10๐C (เพิ่มความดันและอณุ หภูมิสารทําความเยน็ ใน อีวาโปเรเตอร) และลดการเดนิ เครอ่ื งทํานา้ํ เย็นและปม นํา้ เย็นลงอยา งละ 1 ชดุ ในชวง 8:00–12:00 น. (การใชพ ลงั งานอยางเหมาะสม) โรงงานแหงหน่ึงมีระบบทําน้ําเย็นสําหรับการปรับอากาศ ประกอบดวยเครื่องทําน้ําเย็นแบบระบาย ความรอนดวยอากาศ (Air cooled water chiller) 2 ชุด แตละตัวมีคาพิกัด 55 kW และปมนํ้าเย็น (Chilled water pump) ขนาด 7.5 kW จํานวน 2 ชดุ เดนิ ใชงาน 8–9 ช่วั โมง/วนั 312 วนั /ป ต้ังอณุ หภมู นิ า้ํ เยน็ ที่ 7๐C จากการตรวจวัดพบวาในชวงเวลา 8:00–12:00 น. ภาระการทําความเย็นของระบบต่ํา แตโรงงานยังทํา การเดนิ เครอ่ื งทาํ นา้ํ เยน็ ทงั้ หมดตลอดเวลา ซ่งึ ทําใหสิ้นเปลอื งพลังงานไฟฟา เปน จํานวนมาก แนวคิดและขน้ั ตอนการดําเนินการ หยดุ เดินเคร่ืองทํานา้ํ เย็นและปม นํา้ เยน็ ลงอยางละ 1 ชดุ ในชวง 8:00–12:00 น. และปรับเพ่ิมอุณหภูมินํ้า เย็นจาก 7๐C เปน 10๐C โดยทดสอบวาระบบทําน้ําเย็นยังสามารถทํางานไดหรือไม ซึ่งจากการทดสอบพบวา มาตรการขา งตนสามารถดาํ เนินการไดโ ดยไมมผี ลกระทบตอ ผใู ชอ าคารในโรงงาน กอ นปรับปรุง รายละเอียด พิกดั พลังไฟฟา พลังไฟฟา ทีใ่ ช รายละเอียด พิกัดพลงั ไฟฟา พลงั ไฟฟาที่ใช (kW) (kW) (kW) (kW) 44.20 ปม นํา้ เย็น 1 7.5 5.90 เคร่อื งทาํ น้ําเยน็ 1 55 43.60 ปมนํ้าเยน็ 2 7.5 5.97 87.80 15.0 11.87 เครือ่ งทาํ นา้ํ เย็น 2 55 รวม รวม 110 ภาพเคร่ืองทํานาํ้ เยน็ สําหรบั ปรับอากาศและการตรวจวัดคา กระแสไฟฟา 4-30
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรบั อากาศ คมู ือผูรับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 หลงั ปรบั ปรงุ เดินเครื่องทํานํ้าเย็นเพียง 1 เครื่องในเวลา 08.00 – 12.00 น. หรือ 4 ช่ัวโมง/วัน คิดเปน 1,248 ชั่วโมง/ป ซง่ึ เคร่อื งทาํ นาํ้ เย็นและปม นํา้ ใชพ ลงั งานไฟฟา ดงั แสดงในตาราง รายละเอยี ด พิกดั พลังไฟฟา พลงั ไฟฟา ท่ใี ช รายละเอียด พกิ ัดพลังไฟฟา พลังไฟฟา ที่ใช (kW) (kW) (kW) (kW) ปม น้าํ เยน็ 1 7.5 5.97 ปมน้ําเย็น 2 7.5 0.0 เครอ่ื งทํานํ้าเย็น 1 55 64.4 15.0 5.97 รวม เครอ่ื งทํานาํ้ เยน็ 2 55 0.0 รวม 110 64.4 ภาพแสดงการตัง้ อุณหภูมนิ าํ้ เยน็ และการเดิน Comp. และ ปมนํ้าเย็นอยางละชดุ ภาพการตงั้ อณุ หภูมนิ าํ้ เย็นและการเดนิ Comp. และ ปม น้าํ เย็นอยา งละชุด 4-31
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรับอากาศ คูม ือผูรับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 การวิเคราะหท างเทคนิค 312 วัน/ป 99.67 kW (87.80+11.87=99.67) จาํ นวนวนั ทาํ งาน = 70.37 kW (64.4+9.97=70.73) 29.30 kW (99.67-70.37=29.30) พลงั ไฟฟา ทีใ่ ชเดิม = 1,000.00 ชม/ป 248.00 ชม/ป พลังไฟฟาทใ่ี ชใ หม = 2.695 บาท/kWh 1.1914 บาท/kWh พลงั ไฟฟา ที่ประหยดั ได = 0.4683 บาท/kWh 29.30 x 1,000 ช่วั โมงใชง านทีส่ ามารถหยดุ ได On Peak = 29,300.00 kWh/ป 29.30 x 248 ชั่วโมงใชง านท่สี ามารถหยดุ ได Off Peak = 7,266.40 kWh/ป 29,300 + 7,266.40 คา พลงั งานไฟฟาชว ง On Peak = 36,566.40 kWh/ป 29,300.00 x (2.695+0.4683) คา พลงั งานไฟฟาชว ง Off Peak = 92,684.69 บาท/ป 7,266.40 x (1.1914+0.4683) คา ปรับปรงุ ตน ทนุ การผลติ Ft = 12,060.04 บาท/ป (92,684.69+12,060.04) x 0.07 พลังงานไฟฟา ทีป่ ระหยัดไดชว ง On peak = 7,332.13 บาท/ป 92,684.69+12,060.04+7,332.13 = 112,076.86 บาท/ป พลงั งานไฟฟาที่ประหยัดไดช วง Off peak = = พลังงานไฟฟา ท่ีสามารถประหยัดได = = คิดเปน เงนิ ทส่ี ามารถประหยัดได On peak = = คิดเปน เงินทส่ี ามารถประหยัดได Off peak = = ภาษีมูลคาเพ่มิ ทปี่ ระหยดั ได = = รวมเงนิ ที่สามารถประหยัดได = = การวเิ คราะหผ ลความคุมคาทางการลงทุน เงินที่ประหยัดได = 112,076.86 บาท/ป 36,566.40 kWh/ป พลงั งานท่ปี ระหยดั ได = - บาท - ป เงนิ ลงทนุ = ระยะเวลาคนื ทุน = *ไมม ีการลงทนุ 4-32
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรับอากาศ คมู ือผรู บั ผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 กรณีศกึ ษาท่ี 2: การลดการใชเครอ่ื งปรบั อากาศในอาคาร มาตรการนี้เปนการลดการใชงานของเคร่ืองปรับอากาศเม่ือไมจําเปน เชน เวลาไมมีคนอยูหรือชวงพัก รับประทานอาหารกลางวันซึ่งพนักงานสวนใหญไมอยูในหอง มาตรการดังกลาวสามารถลดการใชพลังงานไฟฟาใน สวนของสํานักงานคอนขา งมาก อีกทัง้ ยังไมม กี ารการลงทนุ บริเวณสํานักงานของโรงงานแหงหนึ่งมีการใชระบบปรับอากาศ หลังจากเริ่มโครงการอนุรักษพลังงาน ไดมีการกําหนดใหปดเคร่ืองปรับอากาศในชวงเวลาพักเท่ียงระหวาง 12.00-13.00 และปรับลดเวลาปดเครื่องให เรว็ ขึ้นอีก 1 ชั่วโมง รวมเวลาการปด 2 ช่วั โมง โรงงานมเี ครื่องปรับอากาศแบบแยกสว นจาํ นวน 29 เคร่ือง กอ นปรับปรงุ โรงงานใชเคร่ืองปรับอากาศต้ังแต 8:00 และไมมีการปดกระทั่งเลิกงานเวลา 17:30 ทําใหมีการใช พลังงานทมี่ ากเกินความจําเปน เครอ่ื งปรบั อากาศที่ใชใ นสํานักงาน จากการตรวจวัดการใชพ ลังงานของเครือ่ งปรับอากาศทั้งหมดมกี ารใชพ ลงั งานดังนี้ ขนาด (Btu/h) kW ขนาด (Btu/h) kW 10640 1 18000 1.75 12000 1.5 20000 1.3 12000 0.95 22000 1.24 12000 0.93 22000 0.94 12000 1.21 22000 2.33 12000 2.3 22000 1.58 12500 1.01 30000 2.06 13000 1.26 30000 1.61 13000 1.05 30000 2.36 4-33
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คูมือผูรบั ผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 ขนาด (Btu/h) kW ขนาด (Btu/h) kW 13000 1.46 30000 4.34 13000 3.99 36000 2.66 18000 2.11 36000 3.15 18000 1.94 36000 2.3 18000 1.21 36000 3.66 48000 2.37 พลงั ไฟฟารวม 55.57 หลังปรับปรงุ การดําเนินการทําไดทันทีโดยการออกระเบียบใหมีการปดเครื่องปรับอากาศทั้ง 29 ชุดในชวงเวลาเท่ียง ถึงบา ยโมงและในชวงเย็นจะมีการปด เครอื่ งตอน 16:30 รวมเวลาปดเครอ่ื ง 2 ช่ัวโมงครึ่งตอ วัน การกาํ หนดใหป ด เคร่อื งท้ัง 29 เคร่ือง ลดการใชพ ลังงานรวม 55.57 kW การวิเคราะห = (พลังไฟฟารวมของเครอ่ื ง) x (ชวั่ โมงทาํ งานตอ ป) x พลังงานไฟฟา ท่ีใชของเครอ่ื งปรบั อากาศ (เปอรเ ซน็ ตก ารทํางานของเครอ่ื ง) เปอรเซน็ ตการทาํ งานของเคร่ือง = 0.8 x (ขอ มลู จากการตรวจวดั เครอ่ื งปรบั อากาศ) ช่วั โมงการหยุดทาํ งานของเคร่อื ง = 297 x 2.5 พลังงานไฟฟา ใชของเครื่องปรับอากาศ ผลประหยดั ตอ ป = 742.5 ช่ัวโมง/ป = 55.7 kW x 742.5 ช่วั โมง/ป x 0.8 = 33,085.8 kWh/ป = 33,085.8 kWh/ป x 2.5 บาท/kWh = 82,714.5 บาท/ป ความคมุ คาทางการลงทุน = 82,714.5 บาท/ป เงนิ ทป่ี ระหยดั ได = 33,085.8 kWh/ป พลังงานที่ประหยัดได = บาท เงินลงทนุ = - ป ระยะเวลาคืนทุน - *ไมมกี ารลงทนุ 4-34
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู ือผรู บั ผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 กรณศี กึ ษาท่ี 3: การปรับปรุงการทาํ งานของเคร่อื งทาํ นาํ้ เยน็ ของระบบปรับอากาศ จากการสาํ รวจโรงงานแหง หน่งึ พบวา โรงงานมีระบบทํานา้ํ เย็นซึง่ ประกอบดวยเครอ่ื งสง ลม 6 ชุด หอ ระบายความรอ น 2 ชดุ เครอ่ื งสูบน้าํ เยน็ 2 ชุด เครื่องสบู นํา้ ระบายความรอน 2 ชุด เคร่ืองทําน้ําเยน็ 2 ชดุ ซึ่งปกติ เปด ใชงานทั้งหมด โรงงานนีท้ าํ งาน 8 ชว่ั โมงตอวนั 25 วนั ตอ เดอื น และ 300 วันตอป กอ นปรบั ปรุง เครอ่ื งทาํ นาํ้ เยน็ ยงั ทาํ งานไดไมเหมาะสมเทาที่ควร เพราะ ขาดการบํารุงรักษาท่ีดี ทอมีการร่ัวและอุดตัน อณุ หภมู นิ ้าํ ทอ่ี อกจากเครื่องทาํ นํา้ เย็นตํ่าเกินไป แผนภาพการทํางานของระบบปรบั อากาศ (กอ นปรับปรงุ ) หลังปรับปรุง เพ่ือลดการสูญเสียพลังงานของเคร่ืองทํานํ้าเย็น ควรมีการปรับเพิ่มอุณหภูมินํ้าเย็นจากเคร่ืองทําน้ําเย็น ใหสูงขึ้นอีก จากการเก็บขอมูลพบวาเครื่องทํานํ้าเย็นสามารถลดการใชพลังงานลงไดจาก 121,080 kWh เหลือ 106,680 kWh ภายใน 15 วัน ซ่ึงเกิดจากการหยุดเคร่ืองทําน้ําเย็น 1 ชุด ต้ังแต 17:00 น. จนถึง 7:00 น. ของอีกวัน และปรับเพ่ิมอุณหภูมิน้ํา จาก 44°F เปน 46°F ดังน้ัน สามารถลดการใชพลังงานไฟฟาลงได 28,800 kWh / เดือน (เปน ขอมูลจากการวัดไฟฟาจริงของโรงงาน เนื่องจากมีการใชระบบการวัดแสดงปริมาณการใชไฟฟาผาน เครอ่ื งคอมพิวเตอรตรวจวัดไวต ลอดเวลา) 4-35
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู ือผูร บั ผดิ ชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 แผนภาพแสดงระบบการทํางานของ Air Chiller (หลงั ปรบั ปรงุ ) แสดงดังรูปขางลาง คาพลังงานไฟฟาที่ลดลงจากการปรับปรุงการทํางานของระบบปรับอากาศเทากับ 28,800 kWh/เดือน [(121,080-106,680) x 2] = 28,800 kWh กอนทาํ การปรับปรงุ หลังทาํ การปรับปรุง 140000 121080 120000 106680106680104280 106680 100000 84120 90000 K w .h 80000 60000 เฉลยี่ ใช = 102,140/เดอื น = 3,404.67/day 40000 20000 0 feb mar apr may june july aug sep oct nov dec การใชพ ลังงานไฟฟาของระบบปรับอากาศ Air Chiller หลังปรับปรุง 15 วนั มาตรการนี้เปนมาตรการบํารุงรักษาเครื่องทําน้ําเย็นใหมีประสิทธิภาพดีและลดการใชไฟฟาของระบบ ปรับอากาศ พลงั งานไฟฟา ทล่ี ดลง = พลังไฟฟาทร่ี ะบบ Chillerใช ตอเดอื น x 12 เดอื น = 28,800 kWh / เดอื น x 12 เดือน /ป = 345,600 kWh / ป 4-36
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู อื ผรู ับผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 คิดเปนคาไฟฟา (หนว ยละ 3 บาท) = 345,600 x 3 = 1,036,800 บาท/ป สามารถประหยดั พลังงานได = 345,600 / 11,628 x103 = 0.0297 ktoe/ป การวเิ คราะหผลความคมุ คา ทางการลงทนุ เงินท่ปี ระหยัดได = 1,036,800 บาท/ป พลังงานทป่ี ระหยดั ได = 345,600 kWh/ป เงินลงทนุ =- บาท ระยะเวลาคืนทุน =- ป *ไมมีการลงทนุ เน่ืองจากใชบ ุคลากรของทางโรงงานดาํ เนินการ บทสรปุ ระบบปรับอากาศเปนระบบที่มีใชงานท่ีแทบทุกสถานประกอบการไมวาจะเปนโรงงานหรืออาคาร อีก ท้ังเปนระบบที่มีสัดสวนการใชพลังงานท่ีสูง ระบบปรับอากาศมีหลากหลายประเภทและรูปแบบ ข้ึนอยูกับการ ออกแบบของวิศวกรผูออกแบบ สําหรับหนังสือเลมนี้ใหความสําคัญกับระบบปรับอากาศแบบรวมศูนยซ่ึงเปน ระบบปรบั อากาศขนาดใหญ ระบบปรับอากาศแบบรวมศูนยชนิดระบายความรอนดวยนํ้า ประกอบดวยอุปกรณหลักดังน้ี เคร่ืองทํา นํ้าเย็น เครื่องสงลมเย็น (AHU และ FCU) หอผึ่งลมเย็น เครื่องสูบน้ําเย็นและเคร่ืองสูบน้ําระบายความรอน ดัง แสดงในรปู ท่ี 4.1 ในระบบปรบั อากาศ อปุ กรณท่ีมีการใชพลังงานสงู ไดแ ก เคร่ืองทําน้ําเย็น เครื่องทํานํ้าเย็นทําหนาท่ีผลิต น้ําเย็น เพ่ือสงจายไปยังพ้ืนท่ีปรับอากาศตางๆ โดยเคร่ืองสูบน้ําเย็น การทําความเย็นของเคร่ืองทํานํ้าเย็นอาศัย หลักการวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอ ดังแสดงในรูปที่ 4.7 และ 4.8 กระบวนการทํางานของวัฏจักร ประกอบดว ย 1-2 การอัดแบบยอนกลับไดโดยไมม ีการถา ยเทความรอ นหรอื กระบวนการไอเซนโทรปก 2-3 การถายเทความรอนในคอนเดนเซอร(หรือทําความรอนกรณีใชเปนฮีตปม) ไมมีความเสียด ทานภายในระบบ ความดนั จงึ คงที่ หรือยอ นกลบั ไดภายใน (ภายนอกยอ นกลับไมไ ด) 3-4 การลดความดันโดยไมมีการทํางาน จึงเปนกระบวนการยอนกลับไมได แตไมมีการถายเท ความรอ น 4-1 การถายเทความรอน (ทําความเย็น) ในเครื่องระเหย ไมมีความเสียดทานภายในระบบ ความ ดนั จึงคงท่หี รอื ยอ นกลับไดภายใน (ภายนอกยอนกลบั ไมไ ด) 4-37
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คูมือผรู ับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 การประเมินสมรรถนะการทําความเย็นของเคร่ืองทํานํ้าเย็นที่ใชงานอยูจําเปนตองมีการจัดเก็บขอมูล โดยขอ มูลท่ตี อ งการประกอบดว ย อตั ราการไหลของน้าํ เยน็ ผา นเคร่ืองทํานํ้าเย็น และอุณหภูมิเขาและออกของน้ํา เยน็ ขอมูลทั้ง 3 คาน้ีสามารถใชคํานวณอัตราการทําความเย็นของเคร่ืองทํานํ้าเย็น (โดยใชสมการที่ 4.7 และ 4.8) ขอมูลท่ีตองการอีกตัวหนึ่งคือกําลังไฟฟาที่ใชในขณะนั้นๆ ของเคร่ืองทําน้ําเย็น ขอมูลทั้งหมดนี้มักมีการ แสดงผลผานจอแสดงผลของเครื่องทําน้ําเย็นรุนใหม เมื่อทราบอัตราการทําความเย็นและกําลังไฟฟาท่ีใชใน ขณะนั้นๆ เราสามารถคํานวณคา COP ของเคร่อื งทาํ นา้ํ เย็นได มาตรการอนุรกั ษพ ลงั งานในระบบปรบั อากาศมีมากมายหลายวิธี ซึ่งสามารถปรับใชใหเหมาะกับแตละ สถานะการณโดยพอสรปุ ไดดังน้ี - การเพมิ่ อุณหภูมินํ้าเย็นจา ยออกจากเครื่องทาํ น้ําเย็น (การเพ่ิมอณุ หภูมิระเหยของสารทําความเย็น) - การลดอุณหภูมินํ้าระบายความรอนเขาเครื่องทําน้ําเย็น (การลดอุณหภูมิควบแนนของสารทําความ เย็น) - การใชร ะบบสงนาํ้ เยน็ แบบปริมาตรแปรเปลยี่ น (Variable Water Volume: VWV) - การใชระบบสง ลมเย็นแบบปรมิ าตรแปรเปลยี่ น (Variable Air Volume: VAV) - การใชทอ ความรอ น (Heat Pipe) - การปรับปรุงตวั อาคาร - การเลือกใชอ ปุ กรณท ม่ี ีประสิทธิภาพสูง - การควบคุมการทาํ งานท่ีเหมาะสม - การบาํ รุงรักษาที่เหมาะสม 4-38
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรบั อากาศ คูมือผูรับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 4.9 เทคโนโลยีการอนรุ ักษพลงั งาน เทคโนโลยีการลดความช้ืนดวยฮที ไปป (Heat Pipe Dehumidification) 1. หลกั การทํางานของเทคโนโลยี (1) ฮที ไปป คือ อะไร ฮที ไปปคอื อุปกรณท ่ใี ชในการแลกเปลยี่ นความรอนหรือสงถายความรอนไดโดยไมต องใชพ ลงั งานจากภายนอก สว นประกอบของฮีทไปปจะเปนทอ โลหะท่ปี ดหัวทายภายในเปนสญุ ญากาศท่มี ีสารทํางาน (Working Fluid) บรรจอุ ยู ภายใน ซ่ึงมักจะเปน สารทาํ ความเย็น (Refrigerant) ฟรอี อน 22 หรอื 134a การทํางานของฮที ไปปอาศยั หลักการเปลีย่ น สถานะจากการระเหยและควบแนนรว มกับแรงโนมถวงของสารทาํ งาน โดยไมใ ชพลังงานจากภายนอก (Passive) กลาวคอื สารทํางานในทอดา นท่ีตํ่ากวาเมือ่ ไดรบั ความรอนกจ็ ะระเหยเปน ไอลอยข้ึนอกี ดานทีส่ งู กวาแลวคายความรอน ออก ทําใหไอของสารทํางานมอี ุณหภมู ลิ ดลงถึงจุดควบแนน แลวกลายเปน ของเหลวตกลงสดู า นทตี่ า่ํ กวาอกี ครั้ง และ ดวยเหตุนีจ้ งึ เรียกดา นที่อยูต่ํากวาวาดา นระเหย (Evaporation Section) และเรียกดานท่ีอยูส งู กวาวาดา นควบแนน (Condensation Section) ดังแสดงในรูปท่ี 1.1 A traditional heat pipe is a hollow C D cylinder filled with a vaporizable A B liquid. A. Heat is absorbed in the evaporating section. B. Fluid boils to vapor phase. C. Heat is released from the upper part of cylinder to the environment; vapor condenses to liquid phase. D. Liquid returns by gravity to the lower part of cylinder (evaporating section). รูปท่ี 1.1: แสดงโครงสรา งภายในของฮีทไปป (1) การใชฮที ไปปในการลดความช้ืน ฮที ไปปสามารถใชใ นการลดความชนื้ ในระบบปรบั อากาศ โดยการติดตั้งฮที ไปปครอมคอยลเ ย็น (Cooling Coil) ของ ระบบปรับอากาศ ฮีทไปปท ่ีติดตั้งจะแบงเปน 2 สวน สว นแรก เรยี กวา สว นใหค วามเยน็ เบ้ืองตน (Precool Heat Pipe Section) ซึง่ อยูทางชองลมเขากอนทท่ี ีจ่ ะผา นคอยลเย็น เมอ่ื อากาศรอนผานฮีทไปปส ว นนี้ อากาศรอนกจ็ ะถา ยเทความ รอ นใหแกฮที ไปป อากาศทีผ่ านไปยังคอยลเ ย็นจึงมีอุณหภูมลิ ดลงกวาปกติ ทําใหค อยลเ ย็นทาํ งานไดอยา งมี 4-39
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู อื ผรู ับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 ประสทิ ธภิ าพเน่ืองจากไอนา้ํ กล่ันตวั ไดมาก อุณหภมู ิของอากาศท่ีผา นคอยลเย็นจะเย็นกวาเคร่อื งปรับอากาศท่ัวไป (Overcooled Air) ในขณะท่ฮี ีทไปปส วนแรกรบั พลงั งานจากลมรอน สารทาํ ความเยน็ ภายในตวั ฮีทไปปจะระเหยและพาความรอ นท่ีไดรับ จากอากาศรอนน้นั ไปยังฮีทไปปส วนทีส่ อง (Reheat Heat Pipe Section) เมอื่ อากาศจากคอยลเย็นผา นฮีทไปปส วนทสี่ อง กจ็ ะไดร บั ความรอ นจากฮีทไปปสว นน้ี ทําใหอากาศทผ่ี านระบบมีอณุ หภมู ิที่พอเหมาะ ขนั้ ตอนท้ังหมดเกดิ ขึ้นโดยไมอาศัยพลังงานจากภายนอก และผลท่ไี ดคอื เครอ่ื งปรบั อากาศสามารถดงึ เอาความชน้ื จาก อากาศไดสูงถึง 50%-100% กวาปกติ Precool Reheat Increased Condensate รปู ท่ี 1.2: ระบบลดความชนื้ ดวยฮีทไปป (1) 2. การใชทดแทนเทคโนโลยเี ดมิ การควบคมุ ความช้นื ในระบบปรบั อากาศโดยทั่วไปจะใชค อยลเ ยน็ เพือ่ ทาํ หนา ที่ในการดึงความช้ืนออกจากอากาศ โดย อากาศภายนอกทร่ี อ นชื้นเม่ือผานคอยลเ ย็นกจ็ ะคายความรอ นสัมผัส (Sensible Heat) ทําใหอ ุณหภูมติ ่ําลง ถา คอยลเ ย็นมี อณุ หภูมิต่าํ กวาจุดกลนั่ ตัวของไอน้าํ (Dew Point) ไอนํ้าบางสวนจะคายความรอนแฝง (Latent Heat) พรอมทง้ั ควบแนน เปนหยดน้ํา ในกรณีน้ีอากาศท่ีผานการดึงความชื้นออกแลวจะเย็นจดั (Overcooled Air) ไมเหมาะสมท่ีจะสง ผา นเขา ไป ยังพื้นที่ทํางานได จึงตอ งใชขดลวดไฟฟาหรือทอ แกส รอนทําใหอุณหภมู ิสงู ขึน้ กวาเดมิ เพ่ือใหไ ดอากาศทอ่ี ุณหภมู ิสบาย (Comfortable Air) ทําใหตองใชพลงั งานสงู เพอ่ื ทาํ ใหอ ากาศเย็นและรอ นในภายหลงั ดังแสดงในรปู ที่ 2.1 และแผนภูมิ Psychrometric ในรูป 2.2 4-40
ตอนที่ 3 บทที่ 4 ระบบปรับอากาศ คูมือผูรับผดิ ชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 Oversized Cooling Coil Reheating Coil Hot & Over- Comfortable Very Humid Air Cooled Air Air 80°F 50°F/95%RH 60°F/65%RH Moisture Removed รปู ท่ี 2.1: แสดงการลดความช้ืนในระบบปรับอากาศทวั่ ไป (1) CCOONNVVEENNTTIIOONNAALL CCOOOOLLIINNGG WWIITTHH RREEHHEEAATTIINNGG 90% 80% 70% 60% 50% 80 COOLING COIL Δh 70 REHEAT Δh 40% 50 30% LA 40 60 EA 20% MOISTURE SA REMOVED Relative Humidity (%) BY COOLING SYSTEM WITH ELECTRIC HEATER 10% 40 50 60 70 80 90 100 110 120 Dry Bulb Temperature (°F) รูปที่ 2.2: แผนภมู ิ Psychrometric ของการลดความชื้นในระบบปรับอากาศทวั่ ไป (2) เมอื่ เปรียบเทียบกบั ระบบเดมิ การตดิ ต้ังฮที ไปปจึงสามารถลดความชน้ื ของอากาศ โดยไมต องใชพลังงานในการลด อณุ หภูมอิ ากาศใหเ ย็นกวาปกตเิ พ่ือดงึ ความชนื้ (Overcool) และไมตองใชไฟฟาหรือพลังงานความรอนในการเพม่ิ อณุ หภมู ขิ องอากาศ (Reheat) ใหเ ปน ไปตามทต่ี องการ ดงั แสดงในรูปที่ 2.3 และแผนภมู ิ Psychrometric ในรูป 2.4 4-41
ตอนท่ี 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู ือผรู บั ผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 60°F/65%RH 50°F/95%RH Over- Cooled Air Hot & 70°F Very Humid Air 80°F Standard Moisture Cooling Coil Removed รูปที่ 2.3: แสดงการลดความช้ืนดวยฮที ไปป (1) CCOOOOLLIINNGG WWIITTHH HHEEAATT PPIIPPEESS 90% 80% 70% 60% 50% 80 PRECOOL HEAT COOLING COIL Δh 40% PIPE Δh 70 30% REHEAT HEAT PIPE Δh 60 EA 20% MOISTURE 10% REMOVED 50 Relative Humidity (%) BY COOLING SYSTEM WITH HEAT PIPES LA SA 40 40 50 60 70 80 90 100 110 120 Dry Bulb Temperature (°F) รปู ท่ี 2.4: แผนภมู ิ Psychrometric ของการลดความช้นื ดวยฮีทไปป (2) 4-42
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คูมอื ผูรับผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 3. ศกั ยภาพการประหยัดพลงั งาน จากขอ มูลกรณีศึกษาการตดิ ตั้งในตางประเทศ (3) และกรณีศึกษาในประเทศไทย (4) การลดความช้ืนดว ยฮที ไปปส ามารถ ลดการใชพลังงานทใ่ี ชในกระบวนการลดความช้ืนของอากาศท่เี ติมเขาสูระบบปรบั อากาศ ไดประมาณ 30%-50% เมื่อ เทยี บกับระบบลดความชน้ื เดิมทที่ าํ ใหอากาศเย็นลงกวา ปกติ (Overcool) และใชพ ลังงานไฟฟา หรือพลังงานความรอ นใน การเพิม่ อุณหภมู ิของอากาศในภายหลงั (Reheat) ท้งั นศ้ี กั ยภาพการประหยัดพลงั งานสามารถแสดงใหเ ห็นไดดังกรณีตัวอยางการติดตงั้ ระบบลดความชื้นดว ยฮที ไปปกบั ระบบปรับอากาศของโรงพยาบาล (6) เพ่ือตอ งการควบคมุ สภาวะอากาศในพ้ืนทหี่ องผาตดั ใหอยทู ่ี 22 oC 50% RH โดย ระบบลดความชื้นดวยฮีทไปปสามารถใหผลประหยดั เมอ่ื เทยี บกับระบบเดมิ ที่ใชการทําความเย็นและการใชขดลวดให ความรอ นดวยไฟฟาขนาด 3.5 kW ดังนี้ Cooling Coil Cooling Coil Heat Pipe 5.5 ตนั 4.6 ตัน Electric Heater หอ งผา ตัด 3.5 kW 22 oC / 50% RH หอ งผา ตดั 22 oC / 50% RH 60.8/54.1 51/50 C 80.2/69.6 60.8/54.1 51/50 C 70.5/66.6 80.2/69.6 C C Reheat Reheat Precooled ระบบเดมิ ทใี่ ช Electric Heater ระบบทต่ี ดิ ตงั้ Heat Pipe 4-43
ตอนที่ 3 บทท่ี 4 ระบบปรับอากาศ คมู อื ผูรับผิดชอบดา นพลังงาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 รายละเอียด การปรับอากาศและควบคุมความช้ืน อากาศเขา (oFDB/oFWB) ระบบเดมิ ทีต่ ดิ ตั้ง Heater ระบบท่ตี ดิ ตง้ั Heat Pipe PRECOOL อากาศออก (oFDB/oFWB) - 80.2 / 69.6 ปรมิ าณการถา ยเทความรอน (Btu/h) กําลังไฟฟา ทใี่ ช (kW) - 70.5 / 66.6 อากาศเขา (oFDB/oFWB) COOLING COIL อากาศออก (oFDB/oFWB) - 11,807 (0.98 Ton) ขนาดทาํ ความเย็น (Btu/h) กาํ ลังไฟฟา ท่ใี ช (kW) -- อากาศเขา (oFDB/oFWB) REHEAT อากาศออก (oFDB/oFWB) 80.2 / 69.6 70.5 / 66.6 ขนาดทาํ ความรอน (Btu/h) กาํ ลงั ไฟฟา ทใ่ี ช (kW) 51 / 50 51 / 50 กําลังไฟฟา ท่ีใชร วม (kW) กาํ ลังไฟฟา ที่ประหยดั ได (kW) 66,511 (5.5 Ton) 54,704 (4.6 Ton) 6.6 5.5 51 / 50 51 / 50 60.8 / 54.1 60.8 / 54.1 11,807 (0.98 Ton) 11,807 (0.98 Ton) 3.5 - 10.1 5.5 - 4.6 (46%) พลงั งานที่ประหยดั ไดเทากับพลังงานที่ลดลงในการทําความเย็นและพลังงานทลี่ ดลงในการใหค วามรอนกบั อากาศ ซึ่ง รวมกันไดเทา กับ 4.6 kW หรือคิดเปนประมาณ 46% เมอ่ื เทยี บกับระบบเดิม 4. สภาพที่เหมาะสมกับการใชเทคโนโลยี เทคโนโลยีการลดความช้ืนดวยฮีทไปปเหมาะสาํ หรับโรงงานอุตสาหกรรมหรอื อาคารปรบั อากาศที่ตอ งการควบคุม ความชื้นในพ้นื ท่ีหรอื กระบวนการผลิตใหอยูใ นชวงความช้ืนสัมพทั ธ 40%-60%RH เพือ่ ทดแทนระบบควบคุมความชื้น เดิมทม่ี ีการใชพ ลงั งานสูง โดยสามารถออกแบบตดิ ตั้งฮีทไปปเ ขากับคอยลเ ยน็ ของเครอ่ื งเติมอากาศ (Fresh Air Unit) หรอื เคร่อื งสงลมเยน็ (Air Handling Unit) ระบบปรับอากาศไดท ันที่ และยกเลิกการใชข ดลวดความรอ นในการเพิ่ม อณุ หภมู ขิ องอากาศ ในกรณอี อกแบบตดิ ต้ังระบบปรับอากาศใหมการใชระบบฮที ไปปในการลดความชนื้ กจ็ ะชวยใหลดขนาดคอยลเย็นลงได เนอ่ื งจาก Cooling Load ทลี่ ดลง จากการ Precool อากาศดวยฮที ไปป 4-44
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรบั อากาศ คมู อื ผูรับผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 รปู ที่ 4.1: แสดงการตดิ ตง้ั ฮีทไปปกบั คอยลเ ยน็ ของเคร่อื งเตมิ อากาศ (1) 5. กลมุ เปา หมายการประยุกตใชเ ทคโนโลยี (3) (5) (6) กลุมของโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารท่สี ามารถประยุกตใชเทคโนโลยนี ้ี ไดแก • โรงงานผลติ ชน้ิ สว นเครื่องจกั ร • โรงงานผลิตชน้ิ สวนอิเลก็ ทรอนิกส • โรงงานผลติ อาหาร • โรงงานผลติ ยา • หอ งเกบ็ ผลิตภัณฑ • หองควบคมุ กระบวนการผลิต (Control Room) • หองเครื่องมือส่อื สาร (Communication Room) • หอ งผา ตดั ในโรงพยาบาล • หอ งพักของโรงแรม • ฯลฯ 6. ราคาของเทคโนโลยี จากขอมลู ของผูจาํ หนายในประเทศไทย ราคาเฉลย่ี ของอุปกรณรวมการติดตั้งของฮีทไปปซงึ่ ติดต้ังกบั คอยลเย็นของ เครื่องสง ลมเยน็ หรอื เคร่อื งเติมอากาศของระบบปรบั อากาศ จะอยทู ป่ี ระมาณ 15,000 บาทตอ ตนั ความเยน็ โดยมีอายุใช งานประมาณ 20 ป 4-45
ตอนท่ี 3 บทที่ 4 ระบบปรับอากาศ คูม ือผรู บั ผิดชอบดา นพลงั งาน (อาคาร) พ.ศ. 2553 7. ระยะเวลาคนื ทุนของเทคโนโลยี จากขอมลู จากกรณศี กึ ษาในตางประเทศ (3) และกรณศี กึ ษาการติดตงั้ ใชระบบลดความชื้นดวยฮีทไปปใ นประเทศไทย (4) เทคโนโลยีการลดความช้ืนดวยฮีทไปปสามารถใหผ ลประหยดั ซ่งึ มีระยะเวลาคืนทุนประมาณไมเกิน 1 ป 8. ผลกระทบตอ สง่ิ แวดลอ ม เนอ่ื งจากฮที ไปปเปน ทอปดและไมม สี วนเคล่อื นที่ มโี อกาสนอยมากที่จะเกิดการรั่วไหลของสารทําความเยน็ ออกสู สงิ่ แวดลอ ม อยางไรก็ตามผูผลติ สวนใหญในปจจุบนั ไดเปล่ยี นมาใชสารทําความเย็น R-134a ทดแทน R-22 ในการผลติ ฮที ไปป เพ่อื ใหเ ปน ไปตามพธิ สี ารมอนทรีออลในการควบคุมปรมิ าณการใชส ารทําความเยน็ ท่ีมีผลตอ การทําลายโอโซน ในช้ันบรรยากาศ 9. ความแพรห ลายและศักยภาพการขยายผลในประเทศไทย จากการตรวจสอบกบั ผูจาํ หนายและฐานขอ มลู โรงงานอาคารควบคมุ ของ พพ. ประมาณการวา มีการนาํ เทคโนโลยีการลด ความชื้นดวยฮีทไปปไ ปประยุกตใชแ ลวกบั สถานประกอบการประมาณไมเ กิน 4% ของจํานวนสถานประกอบการท่ี สามารถประยุกตใชเทคโนโลยีน้ไี ด (ประมาณ 101 แหงจาก 2,223 แหง) โดยเมอื่ พิจารณากลมุ เปา หมายการใชเทคโนโลยีนี้ ในกลมุ อุตสาหกรรมและอาคารทีม่ ศี กั ยภาพแลวพบวา เทคโนโลยีนี้ สามารถขยายผลในสถานประกอบการทีม่ กี ารใชพลังงานรวมกนั ประมาณ 472 ktoe ตามขอมลู การใชพ ลังงานของ ประเทศในป 2549 (7) และจากการประมาณการในกรณที ่ี 20% ของสถานประกอบการทีม่ ีศักยภาพเหลา นี้นาํ เทคโนโลยี ไปประยุกตใชจ ะทําใหเกดิ ผลประหยดั พลังงานใหก ับประเทศไดปล ะประมาณ 756 ลานบาท 10. ตัวอยา งกรณศี ึกษา (4) กรณีศกึ ษา: โรงงานบรษิ ัท กุลธร เคอรบ ี้ จํากัด (มหาชน) ประเภทโรงงาน: ผลิตคอมเพรสเซอร การใชเ ทคโนโลยี: ติดตั้งฮที ไปปทดแทนเคร่ืองลดความชื้นเดิมแบบ Desiccant ซ่ึงใช Steam Coil ในระบบ เตมิ อากาศเขาสรู ะบบปรับอากาศแบบสวนกลางในหองประกอบคอมเพรสเซอร เงนิ ลงทุน: 750,000 บาท (เครื่องเติมอากาศใหมพรอ มฮีทไปปขนาด 84,000 Btu/hr) ผลประหยัดพลังงาน: ไฟฟา 548,424 kWh/ป คาพลงั งานที่ประหยดั ได: 1,371,060 บาท/ป คาใชจ ายอื่นทปี่ ระหยดั ได: - ระยะเวลาคืนทุน: 0.55 ป 4-46
Search