Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมใบความรู้ ม.ต้น 1/2563

รวมใบความรู้ ม.ต้น 1/2563

Published by nissaa.nga, 2020-06-05 05:18:03

Description: รวมใบความรู้ ม.ต้น 1/2563

Search

Read the Text Version

1

ก คำนำ เอกสารรวบรวมใบความรู้ ประจาภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา ๒๕๖3 ของศูนย์การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอปราสาท จัดทาข้ึนเพ่ือใช้ในการจัดแผนการจัดการเรียนรู้แผนการ จัดการเรียนรรู้ ายวชิ า ตามแผนการลงทะเบยี น ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา ๒๕๖3 หลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้รายวิชาบังคับ รายวิชาเลือกบังคับและรายวิชาเลือกเสรี จานวน 6 วิชา ได้แก่ วิชาภาษาไทย (พท 21001) วิชาเศรษฐกิจพอเพียง (ทช21001) วิชาสุขศึกษา พลศึกษา (ทช21002) วิชาศิลปศึกษา (ทช 21003) วิชาการใช้พลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจาวัน 2 (พว22002) และวิชาโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการ เรยี นรู้ (ทร02006) ซ่ึงมรี ายละเอียดประกอบไปด้วย ใบความรู้ครัง้ ท่ี ๒ ถึงคร้งั ที่ ๑๙ ขอขอบคุณ คณะผู้บริหาร ข้าราชการครู ที่ให้ความรู้ คาแนะนาในคร้ังนี้ ประสบความสาเร็จเป็น รูปเล่มสมบูรณ์ คณะผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์สาหรับผู้นาไปใช้ในการจัด กจิ กรรมการเรียนร้ไู ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพตอ่ ไป คณะผ้จู ดั ทำ ศนู ย์กำรศึกษำนอกระบบและกำรศกึ ษำตำมอธั ยำศัยอำเภอปรำสำท

สำรบัญ ข เรอ่ื ง หนำ้ คำนำ ก สำรบัญ ข ใบควำมรู้ 1 ครง้ั ที่ 2 วิชาภาษาไทย : การฟงั และการดู 4 ครั้งที่ 3 วชิ าภาษาไทย : การพูด 7 ครั้งที่ 4 วิชาภาษาไทย : การอ่าน 14 คร้งั ท่ี 5 วชิ าภาษาไทย : การเขยี น 21 ครง้ั ที่ 6 วชิ าภาษาไทย : หลกั การใช้ภาษา 28 ครั้งท่ี 7 วชิ าภาษาไทย : วรรณคดี วรรณกรรม 32 ครั้งที่ 8 วชิ าเศรษฐกจิ พอเพียง : การวางแผนประกอบอาชีพแบบพอเพยี ง 39 คร้งั ที่ 9 วิชาเศรษฐกิจพอเพยี ง : สร้างเครอื ขา่ ยดาเนนิ ชีวิตแบบพอเพียง 41 ครง้ั ที่ 10 วิชาสุขศึกษา พลศึกษา : พัฒนาการของร่างกาย การดูแลสุขภาพ สารอาหารฯ 51 ครง้ั ท่ี 11 วิชาสุขศึกษา พลศึกษา : ยาแผนโบราณและสมุนไพร การป้องกันสารเสพตดิ ฯ 63 ครั้งที่ 12 วิชาศิลปศึกษา : ดนตรีไทย 74 ครั้งที่ 13 วิชาศลิ ปศกึ ษา : นาฏศิลป์ไทย 76 ครั้งท่ี 14 วชิ าการใช้พลงั งานไฟฟา้ ฯ 2 : การกาเนิดของไฟฟา้ และประเภทของไฟฟา้ 83 ครั้งท่ี 15 วิชาการใชพ้ ลังงานไฟฟ้าฯ 2 : สถานการณ์พลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทยฯ 86 ครั้งที่ 16 วชิ าการใช้พลงั งานไฟฟา้ ฯ 2 : เชอ้ื เพลงิ และพลงั งานทใ่ี ชใ้ นการผลิตไฟฟ้า 94 คร้งั ที่ 17 วิชาการใช้พลังงานไฟฟ้าฯ 2 : อปุ กรณ์ไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า 98 ครั้งท่ี 18 วิชาโครงงานฯ : หลักการ แนวคดิ ของโครงงานฯ 102 ครั้งท่ี 19 วิชาโครงงานฯ : ความหมายของโครงงานฯ 105 คณะผู้จดั ทำ

1 ใบควำมรู้ ครง้ั ท่ี ๒ วชิ ำภำษำไทย รหัสวิชำ พท21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนตน้ เร่อื ง กำรฟัง กำรดู 1.หลักเบอ้ื งต้นของกำรฟงั และกำรดู 1.1 ความหมายของการฟังและการดู การฟังและการดู หมายถึง การทีม่ นษุ ยร์ ับรู้เร่ืองราวตา่ งๆ จากแหล่งของเสยี งหรือภาพ หรือเหตุการณ์ ซง่ึ เปน็ การฟังจากผ้พู ูดโดยตรงหรอื ฟังและดผู ่านอปุ กรณ์ หรอื สง่ิ ต่างๆ แลว้ เกดิ การรบั รู้แลว้ นาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ โดย ต้องศึกษาจนเกิดความถูกตอ้ งวอ่ งไวได้ ประสทิ ธิภาพ 1.2 หลักการฟังและการดทู ่ีดี 1) ตอ้ งรูจ้ ุดมงุ่ หมายของการฟังและการดแู ละต้องจดบันทึกเพ่ือเตือนความจา 2) ตอ้ งฟงั และดูโดยปราศจากอคติ เพื่อการวเิ คราะหว์ ิจารณ์ท่ีตรงประเดน็ 3) ให้ความร่วมมือในการฟังและการดู ดว้ ยการรว่ มกจิ กรรม 2. จดุ มุ่งหมำยของกำรฟังและกำรดู 2.1 ฟงั และดูเพ่ือความรู้ ส่วนใหญเ่ ปน็ เรื่องทางวชิ าการเพ่ือพฒั นาสติปัญญาของตน 2.2ฟังและดเู พ่ือความเพลิดเพลิน ไดแ้ ก่ การฟงั เพลง ฟังดนตรี ดภู าพยนตร์ดูภาพสวยงาม ฟังนิทาน เป็นตน้ 2.3 ฟงั และดูเพ่ือความซาบซึ้งตอ้ งมีพื้นฐานในเร่ืองที่ฟงั และดู จึงจะเกดิ ประโยชน์ เช่น ฟังบทกลอน กวี นิพนธ์ดภู าพนามธรรมต่างๆ 3. กำรฟังและดเู พือ่ วิเครำะหเ์ รื่องจำกสำร เปน็ ทักษะต่อจากการฟังและดู แล้วสรปุ และจบั ใจความสาคญั แลว้ วเิ คราะห์วา่ สิ่งใดเปน็ ขอ้ เท็จจรงิ ส่ิงใด เป็นขอ้ คิดเห็น สิ่งใดเปน็ เหตุ สง่ิ ใดเปน็ ผล เพอ่ื จะใช้ข้อมลู ในการประเมนิ ค่าและการตัดสินใจ จดุ มงุ่ หมำยในกำรฟงั และดู การฟังและการดูเป็นทักษะทางภาษาท่ีสาคัญในการส่ือสารในชวี ติ ประจาวัน โดยอาจได้รับสารจากบคุ คล หรอื จากสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ต่าง ๆ ส่อื เหลา่ นี้อาจรบั สารด้วยวธิ กี ารฟงั หรือการดใู นลักษณะตอบโต้หรอื สอ่ื สารทาง เดียวกไ็ ด้ จดุ มุ่งหมายของการฟังและการดูมีดังน้ี 1. เพื่อตดิ ต่อสื่อสารในชีวิตประจาวัน เปน็ การฟังและการดทู ่ีตอ้ งใช้สตปิ ญั ญาและวิจารณญาณ ตลอดจน ทักษะในการตัดสนิ ใจ การแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ อย่างฉับไว 2. เพ่ือความเพลดิ เพลิน เป็นการฟงั และดูเพ่ือความสนุกสนาน ผอ่ นคลาย และคลอ้ ยตามไปกบั เรอ่ื งทฟ่ี งั และดู เชน่ ฟงั และดูดนตรี นิยาย ละคร บทร้อยกรอง โดยผูฟ้ งั และดูควรมคี วามรู้ในเรื่องท่ีฟังและดูพอสมควร 3. เพ่ือรบั ความรู้ เปน็ ทักษะทีผ่ ู้รับสารใช้มากทส่ี ดุ ในชวี ติ ประจาวัน เช่น ฟงั คาอบรมส่ังสอนของพ่อแม่ ฟงั ครูอธบิ าย ผู้ฟังต้องฝึกทกั ษะการจับใจความ และฝกึ การบนั ทึกช่วยจา 4. เพ่ือได้คติชวี ิตและความจรรโลงใจ เป็นการฟงั เพ่ือเกบ็ เก่ียวความร้แู ละประสบการณ์ เพื่อกลน่ั กรอง ความรู้ ความคิดเหล่านน้ั มาเป็นองค์ความรู้ เพ่ือเป็นความคิดและประสบการณ์ของตนเอง เพื่อใหเ้ กิดคุณคา่ ใน ชีวติ การฟังและการดทู มี่ ีการตง้ั จดุ มุ่งหมายไวเ้ บ้ืองตน้ จะทาให้ผู้รับสารพงุ่ จุดสนใจจากทีไ่ ด้รับไดด้ ยี ิง่ ขน้ึ และ สง่ ผลให้ผู้รบั สารมีสรรถภาพในการฟงั การดู เพิ่มมากขน้ึ (อ้างองิ : https://www.youtube.com/watch?v=HPO9mnr5kCU)

2 กำรจับใจควำมกำรสรปุ ประเด็น กำรจบั ใจควำม การจับใจความสาคญั เป็นการอา่ น/ฟังเพ่ือใหท้ ราบว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และผลเป็นอย่างไร แล้วจดบนั ทึกใจความสาคัญน้ันไว้หลักการจบั ใจความสาคญั มวี ธิ ีปฏิบตั ดิ งั น้ี 1. ตงั้ ใจอ่าน/ฟงั เร่ือง 2. คิดต้งั คาถาม และตอบคาถามจากเร่ือง ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เม่ือไหร่ ผลเป็นอย่างไร และให้ข้อคิด อย่างไร แลว้ เขยี นเป็นแผนภาพโครงเรือ่ ง 3. เขียนเรยี บเรียงสรปุ ใจความสาคญั ของเร่ืองดว้ ยสานวนภาษาของตนเอง 4. อ่านทบทวน เพ่ือตรวจสอบความเรียบรอ้ ย และความถูกต้องการสรุปประเดน็ ประเด็นคือ สาระสาคัญ ใจความสาคญั แกน่ ของเร่ือง ดังนั้นเราจึงตอ้ งฝึกทกั ษะในการจับประเด็นเพราะเราตอ้ ง สื่อสารและรบั สารจากผู้อ่ืน กำรจบั ประเด็นจะต้องปฏิบัติดังน้ี 1. การหาสาระของเร่ือง 2. การจบั ใจความสาคัญของเรื่อง 3. การสรุปใจความสาคญั ของเรอ่ื ง 4. การจบั หลกั คิด/แนวคดิ ของเรื่อง จากนน้ั หยิบเอาความคดิ หลักหรือประเดน็ สาคัญมากลา่ วย้าให้เด่นชดั โดยใชป้ ระโยคส้นั ๆ เรยี บเรียงให้เปน็ ระเบยี บส่ิงท่เี ราได้จากการฝกึ ทักษะจับประเดน็ คือ ทาใหเ้ ราได้ฝกึ หัดตัง้ คาถามตนเองทุกคร้ังท่ีอา่ นหนงั สือหรอื ฟงั เร่ืองราวตา่ งๆ ว่า * อะไร คือ ประเดน็ สาคัญของเร่อื งน้ี * หวั ใจของเรือ่ ง อย่ทู ี่ไหน * คนเขยี น/คนพดู เรื่องนี้ ตอ้ งการบอกอะไรกับเรา * สาระสาคญั ของเรื่อง อยู่ที่ไหน การใช้เทคนิค 5W1H ในการวเิ คราะหป์ ัญหา หรือจับใจความการสรปุ ประเด็น การใชเ้ ทคนิค 5W1H จะใชใ้ นขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลและทดสอบสมมุตฐิ านมีรายละเอยี ดดังนี้ ปญั หาคืออะไร หรือ อะไรคือปญั หา Who ใคร (ในเร่ืองนน้ั มีใครบ้าง) What ทาอะไร (แตล่ ะคนทาอะไรบา้ ง) Where ทไ่ี หน (เหตกุ ารณห์ รือสง่ิ ทที่ านนั้ อยู่ท่ีไหน) When เม่อื ไหร่ (เหตกุ ารณ์หรอื สิ่งท่ที านัน้ ทาเมื่อวัน เดือน ปี ใด) Why ทาไม (เหตใุ ดจงึ ไดท้ าส่ิงนนั้ หรือเกิดเหตุการณน์ ัน้ ๆ) How อยา่ งไร (เหตุการณ์หรือส่ิงทท่ี านนั้ ทาเปน็ อยา่ งไรบ้าง) มำรยำทในกำรฟัง มำรยำทในกำรฟังท่ีดี มดี ังนี้ 1.ฟงั ด้ายความสงบ 2.ฟังด้วยความตงั้ ใจ

3 3.ปรบมือเม่ือชอบใจ 4.มองหน้าผู้พดู 5.เมอื มขี อสงสัยควรถาม เมอ่ื ผู้พดู เปิดโอกาสใหถ้ าม ไม่ควรถามแทรกขณะท่ีผู้พดู กาลังพูดอยู่ 6.ไมส่ งเสยี งรบกานผูอ้ ืน่ 7.ไม่ควรแสดงทา่ ทางไมพ่ อใจเม่ือไม่ชอบใจ 8.ตง้ั ใจฟังตังแต่ต้นจนจบ 9.ไม่ควรแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม เชน่ โฮรอ้ ง 10.ไม่ควรเดินเข้าเดนิ ออกขณะท่ีผู้พดู กาลังพูดหากมีความจาเป็นควรทาความเคารพก่อน มำรยำทในกำรดู มำรยำทในกำรดู มีดังนี้ 1.ดอู ย่างสงบเรยี บรอ้ ยไมส่ งเสียงดังรบกวนผู้อ่ืน 2.ดอู ยา่ งตังใจ 3.ไม่คุยหรือเล่นในขณะทีด่ ู ไม่สงเสียงดังรบกวนผูอ้ นื่ 4.ปรบมอื เมอื่ จบการแสดง 5.ไปถึงสถานท่ีทีม่ ีการแสดงก่อนเวลา ประมาณ ๑๕ นาท่ี 6.ไมน่ าอาหาร-เครือ่ งด่ืมเข้ไปในงาน 7.ไม่ลุกเดนิ ไปมา

4 ใบควำมรู้ ครั้งท่ี 3 วิชำภำษำไทย รหัสวิชำ พท21001 ระดับมัธยมศกึ ษำตอนต้น เรอื่ ง กำรพดู กำรพูดขนั้ พื้นฐำน ความหมายของการพูด การพดู คือ การเปลง่ เสยี งออกมาเป็นถ้อยคา การพูดเป็นการสอ่ื ความหมายโดยใชเ้ สียงและภาษาท่าทาง เพอ่ื ถา่ ยทอดความรู้สึกความรู้ ความคดิ ความต้องการ ฯลฯของผู้สง่ สารไปยงั ผูร้ ับสาร ลกั ษณะสำคญั ของกำรพูด *** ใช้ทัง้ วจั นภาษาและอวจั นภาษาประกอบกัน ***เปน็ กระบวนการสอ่ื สารที่สัมพนั ธ์กบั การฟงั ***เปน็ การสอื่ สารสองทางต้องมที ้งั ผ้พู ูดและผู้ฟงั *** ความสามารถในการพดู แบ่งเปน็ ๓ ข้ัน คอื พูดได้ พูดเปน็ และพูดด/ี พูดเก่ง *** การพูดเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลทเ่ี กดิ จากการเรียนรู้ สามารถฝึกฝนและพัฒนาใหด้ ขี น้ึ ไดซ้ ึง่ แต่ละคน อาจใชเ้ วลาฝึกฝนไม่เทา่ กัน *** การพูดมีความสาคัญทงั้ ต่อบคุ คล ต่อสงั คม ต่อประเทศ องคป์ ระกอบของกำรพดู ( ผูพ้ ูด + สาร + เสยี ง/สือ่ อ่ืนๆ + ผฟู้ ัง + ผลของการสื่อสาร) ๑. ผ้พู ดู ๒.ผ้ฟู งั ๓. เน้อื หาสาระทพี่ ูด ๔. ส่อื /เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการส่ือสาร ๕. จุดมุ่งหมายหรือผลท่ีเกิดจากการพูด จดุ มงุ่ หมำยของกำรพดู ๑. การพดู เพื่อให้ความรู้ การเล่าเรอ่ื งราวต่างๆ การอธิบาย การสาธิต ๒. การพูดเพ่อื ให้ความบนั เทงิ ๓. การพูดเพื่อจรรโลงใจ เพื่อให้ไดค้ ตชิ ีวิต ๔. การพูดเพือ่ ชักจงู ใจหรอื โนม้ นา้ วใจ ประเภทของกำรพดู ๑. การพดู แบบไม่เป็นทางการ ๒. การพูดแบบเป็นทางการ ลักษณะของกำรพูดต่อหน้ำทชี่ มุ นุมชน ๑. การพูดแบบกะทนั หนั ๒. การพดู แบบท่องจา ๓. การพดู แบบอ่านจากต้นฉบบั ๔. การพูดแบบเตรยี มตวั ล่วงหน้า

5 ลักษณะผพู้ ูดท่ีดี ๑. ผพู้ ดู ต้องเตรยี มการพดู มาอยา่ งดี ๒. ผู้พูดต้องมีความสามารถในการสือ่ สาร ๓. ผูพ้ ดู ตอ้ งหมั่นฝกึ ซ้อมให้ชานาญ ๔. ผพู้ ดู ควรมคี วามมน่ั ใจและมีปฏภิ าณ ไหวพริบดี กำรเตรียมกำรพูด ๑. การกาหนดจดุ มุ่งหมายในการพดู ๒. การเลือกเรอื่ งทจี่ ะพดู - เลือกเร่ืองทผ่ี พู้ ูดสนใจและมีความร้ดู ี - เลือกเรอ่ื งท่ีผฟู้ ังสนใจ เหมาะสมกับวัย ความรู้ของผู้ฟงั - เลอื กเร่ืองที่มีขอบเขตจากดั และเหมาะสมกบั เวลาและกาลเทศะ ๓. การวางโครงเร่ือง ๔. การค้นคว้ารวบรวมข้อมูล ๕. การเรยี บเรียงเนือ้ หา ๖. การฝกึ ซอ้ ม ๗. ปรับปรงุ บุคลิกภาพในด้านตา่ งๆ ๗.๑ การแตง่ กาย ๗.๒ การเดนิ -การยืน-การนงั่ ๗.๓ การแสดงสหี น้า- การใช้เสยี ง ๗.๔ การแสดงท่าทาง ๗.๕ การใชส้ ายตา ๗.๖ การใชไ้ มโครโฟน ๗.๗ การใชภ้ าษา-การออกเสียง มำรยำทท่ีดีของกำรพูดในที่ประชมุ ชน - การแตง่ กายเรยี บร้อยเหมาะสมกบั กาลเทศะ -ใช้คาพดู สุภาพเรยี บร้อยนมุ่ นวล ไมใ่ ชอ้ ารมณ์ - ไม่กลา่ ววาจาเสียดแทง - ไม่พูดอวดตนข่มผอู้ ่ืน (ไม่พูดเรือ่ งส่วนตวั ) - ไม่ผูกขาดการสนทนาเพียงผู้เดยี ว - ยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื - ไม่พดู แทรกขณะที่ผอู้ ่นื กาลังพูดอยู่ -หากนาคาพูดของผู้อ่นื มาอา้ ง/กลา่ วถึงผูพ้ ดู ตอ้ งเอย่ ช่ือคนผนู้ ้นั ดว้ ย - ผพู้ ูดจะต้องไม่พูดสิ่งที่เปน็ การทาลาย ความนา่ เชอ่ื ถือของตนเอง - ผู้พูดต้องพูดตามหัวข้อที่กาหนดและรักษาเวลาอยา่ งเคร่งครัด กำรประเมนิ ผลกำรพดู (เพื่อนาไปปรับปรุงการพูดให้ดยี ิ่งข้นึ ) มี ๒ ระยะ ๑. ระหวา่ งท่ีกาลังพดู ผูพ้ ูดใชส้ ายตาสังเกตพฤติกรรมของผ้ฟู ัง ๒. เมื่อพดู จบแล้ว ผู้พดู ใชส้ ายตาสังเกตพฤติกรรม ปฏกิ ิริยาตอบสนองของผฟู้ ังหรือใช้แบบสอบถาม

6 ปญั หำกำรพดู ท่ีพบเป็นประจำ - การใชน้ า้ เสียงและจังหวะการพดู - การใชภ้ าษา / เรอื่ ง-เน้อื หาทพ่ี ดู / วิธีการพดู - ท่าทางการพดู ฯลฯ หลักกำรพูดเนอ่ื งในโอกำสต่ำงๆ ๑. การกล่าวทกั ทายผู้ฟัง - สวัสดี / เรียน / กราบเรียน - เรยี กตาแหนง่ แทนการใช้ “กราบเรยี น” ๒. การกลา่ วแนะนาตนเอง ๓. การกลา่ วอวยพร - ขอให้... - ขออานวยพรให้... - ขออานาจสงิ่ ศกั ดิส์ ิทธ์ิดลบันดาลให.้ .... ขั้นตอนกำรพดในทีป่ ระชุมชน ๑.ทักทายผ้ฟู ัง ๒.แนะนาตนเอง (กรณีไม่มีผู้ดาเนนิ รายการ) ๓.กลา่ วนาก่อนเข้าเรื่องท่ีต้องการพดู ๔.พดู เน้อื หาทีเ่ ตรยี มมาใหต้ ามโครงเรื่องทวี่ างไว้ เนือ้ เร่ืองจะไมว่ กวน และพูดต่อเนื่องเป็นลาดบั คนฟงั จะไม่สับสน ๕.ระหว่างทพ่ี ดู ควรใชส้ ายตา นา้ เสียงและทา่ ทางประกอบการพูด ท่เี หมาะสม ๖.เมือ่ พูดจบแลว้ ควรกลา่ วสรุปจบ กลา่ วทง้ิ ทา้ ยและกล่าวสวัสดี/ขอบคุณผู้ฟงั กอ่ นทจ่ี ะยุตกิ ารพูด ***ไม่ควรจบการพูดดว้ ยคาพูดเหลา่ นี้ -เวลาหมดพอดี พอแคน่ ้ี -ทีเ่ ตรยี มมาเนื้อหาหมดพอดี ไม่ร้วู า่ จะพูดอะไรต่อดี พอแค่น้ี -ขอบคุณที่อดทนฟัง หวงั ว่าคงจะได้อะไรกลับไปบา้ ง -ท้ายทีส่ ุดคงต้องขออภยั หากพดู อะไรผิดพลาดไป หวังว่าผู้ฟังจะให้อภยั -ในทา้ ยที่สดุ น้ีต้องขอขอบคุณทุกทา่ นทอ่ี ตุ สา่ หต์ ั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ฯลฯ *** เมือ่ พดู จบแล้วผู้พดู จะต้องประเมินผลการพดู ของตนเอง เพื่อนาไปปรับปรุงวธิ ีการพดู ของของตนใหด้ ี ย่งิ ขึ้น

7 ใบควำมรู้ ครั้งท่ี 4 วิชำภำษำไทย รหัสวิชำ พท21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนตน้ เรื่อง กำรอ่ำน การอ่าน เป็นทักษะท่ีจาเป็นต่อชีวิตคนเรามาก ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร เพศใด วัยใด ก็ต้องการที่จะ เพิ่มพูนความรู้ของตนเองอยู่เสมอ เพราะการอ่านน้ัน นอกจากท่ีจะอ่านเพ่ือเก็บความรู้แล้ว การอ่าน ยังให้ความ บันเทิงแก่ชีวิตอีกด้วย โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ซ่ึงต้องใช้การอ่านเป็นส่วนหน่ึงของชีวิตประจาวัน จึง จาเปน็ ต้องมีหลักการอ่านและทักษะการอ่าน นอกจากนี้ ยังจาเป็นต้องมีความรักในการอ่าน เพราะถ้ารักการอ่าน แลว้ จะทาให้เปน็ ผูท้ ีร่ ้มู าก หรือเปน็ “พหสู ตู ” หลกั การอา่ นหนงั สือนั้น เม่ือกล่าวโดยท่ัวไปแล้ว หนังสือแต่ละชนิดจะมีหลักการอ่านที่ไม่เหมือนกัน ต้อง พิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของการอ่านหนังสือแต่ละประเภท เช่น การอ่านหนังสือตาราวิชาการ จะต้องมีการอ่าน อย่างคร่าว ๆ และกลับมาอ่านซ้าอีกหลาย ๆ รอบ แล้วจึงจะสรุปประเด็น, การอ่านหนังสืออ้างอิง เป็นการอ่าน เฉพาะส่วน เพ่ือให้ได้คาตอบในสิ่งที่ตนเองอยากรู้ เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นการหนังสือประเภทใด ล้วนแล้วแต่ ก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อ่านได้ทั้งนั้น ผู้อ่านต้องมีความใจกับส่ิงที่อ่าน และฝึกฝนการอ่าน ตั้งใจอ่านอย่างมีสมาธิ แน่วแน่ นากลวีการอ่านต่าง ๆ มาปรบั ใช้ในชวี ติ ประจาวนั จงึ จะเปน็ กระบวนการอ่านท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ ควำมหมำยของกำรอำ่ น การอ่าน ตามพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศักราช ๒๕๔๒ ว่าไวว้ า่ “วา่ ตามตวั หนงั สือ, ถา้ ออกเสียงดว้ ย เรียกวา่ อ่านออกเสยี ง, ถ้าอ่านไม่ออกเสียง เรยี กว่า อ่านในใจ, สังเกตหรือพจิ ารณาดูเพื่อให้ เข้าใจ เชน่ อ่านสหี นา้ อ่านริมฝปี าก อา่ นใจ ; ตีความ เชน่ อ่านรหสั อ่านลายแทง ; คิด, นับ. (ไทยเดิม).” จะเห็นไดว้ า่ จากความหมายของการอ่านนัน้ ต้องการใหผ้ ู้อา่ นมคี วามเขา้ ใจ, รบั รู้เก่ยี วกับเรอ่ื งที่อ่านไป และการ อ่านนน้ั จะต้องมีการเก็บความรู้ เพ่ือใหร้ ูว้ า่ ผู้แตง่ ตอ้ งการส่ืออะไร การอา่ น คือ การรับรู้ความหมายจากถ้อยคาทตี่ ีพิมพอ์ ยูใ่ นส่งิ พิมพ์หรอื ในหนงั สือ เปน็ การรับรวู้ ่า ผู้เขียนคิดอะไรและพดู อะไร โดยเร่ิมต้นทาความเข้าใจถอ้ ยคาแต่ละคาเข้าใจวลี เขา้ ใจประโยค ซง่ึ รวมอยู่ใน ย่อหน้า เขา้ ใจแตล่ ะย่อหนา้ ซงึ่ รวมเปน็ เรื่องราวเดยี วกัน การอ่านเป็นการบรโิ ภคคาท่ีถูกเขียนออกมาเปน็ ตวั หนงั สอื หรอื สัญลกั ษณ์ การอา่ นโดยหลกั วทิ ยาศาสตร์ เริ่มจากการที่แสงตกกระทบทส่ี ื่อ และสะทอ้ นจาก ตวั หนังสอื ผา่ นทางเลนสน์ ัยน์ตา และประสาทตาเข้าสเู่ ซลล์สมองไปเปน็ ความคดิ (Idea) ความรับรู้ (Perception) และก่อใหเ้ กิดความจา (Memory) ทงั้ ความจาระยะส้ัน และความจาระยะยาว กระบวนกำรอ่ำน มี 4 ขน้ั ตอน คือ – ขั้นแรก การอา่ นออก อา่ นได้ หรืออา่ นออกเสียงไดถ้ กู ต้อง – ขัน้ ท่ีสอง การอา่ นแล้วเข้าใจ ความหมายของคา วลี ประโยค สรุปความได้ – ขัน้ ท่ีสามการอ่านแล้วร้จู กั ใช้ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์และออกความเหน็ ในทางทข่ี ัดแยง้ หรอื เห็นดว้ ย กับผเู้ ขยี นอย่างมเี หตผุ ล – ขัน้ สุดท้ายคือการอา่ นเพ่อื นาไปใช้ ประยุกตใ์ ช้ในเชงิ สรา้ งสรรค์ ดังน้ันผทู้ ่ีอ่านได้และอ่านเปน็ จะต้องใช้ กระบวนการท้งั หมดในการอา่ นทก่ี อ่ ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุด โดยการถ่ายทอดความหมายจากตัวอักษรออกมาเปน็ ความคดิ และจากการคิดทีไ่ ด้จากการอ่านผสมผสานกับประสบการณ์เดิม และสามารถความคิดนน้ั ไปใช้ประโยชน์ ต่อไป

8 จดุ มุง่ หมำยของกำรอำ่ น 1. อ่านเพอ่ื ความรู้ ได้แก่ การอา่ นจากหนังสือตาราทางวชิ าการ สารคดีทางวชิ าการ การวิจยั ประเภท ตา่ ง ๆ หรือการอา่ นผา่ นสื่ออีเลก็ ทรอนิกส์ ควรอ่านอย่างหลากหลาย เพราะความรใู้ นวชิ าหนงึ่ อาจนาไปชว่ ย เสริมในอีกวิชาหนึง่ ได้ 2. อา่ นเพ่อื ความบันเทิง ได้แก่ การอ่านจากหนงั สือประเภทสารคดที อ่ งเทีย่ ว นวนิยาย เรอื่ งส้ัน เร่อื ง แปล การ์ตูน บทประพนั ธ์ บทเพลง แมจ้ ะเปน็ การอา่ นเพื่อความบันเทงิ แต่ผ้อู ่านจะได้ความรู้ทส่ี อดแทรกอยใู่ น เรื่องด้วย 3. อา่ นเพอื่ ทราบข่าวสารความคิด ได้แก่ การอา่ นจากหนงั สอื ประเภทบทความ บทวิจารณ์ ขา่ ว รายงานการประชมุ ถ้าจะให้เกิดประโยชน์อยา่ งแท้จรงิ ต้องเลอื กอ่านใหห้ ลากหลาย ไมเ่ จาะจงอ่านเฉพาะสื่อ ท่ี นาเสนอตรงกับความคิดของตน เพราะจะทาให้ไดม้ ุมมอง ท่ีกวา้ งข้นึ ชว่ ยให้มเี หตุผลอ่ืน ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วเิ คราะห์ได้หลายมุมมองมากขน้ึ 4. อา่ นเพ่ือจุดประสงค์เฉพาะทางแต่ละครง้ั ได้แก่ การอ่านท่ีไม่ได้เจาะจง แต่เปน็ การอ่านในเรอ่ื งท่ตี น สนใจ หรอื อยากรู้ เชน่ การอ่านประกาศต่าง ๆ การอ่านโฆษณา แผน่ พบั ประชาสมั พันธ์ สลากยา ข่าวสงั คม ขา่ วบนั เทงิ ขา่ วกีฬา การอ่านประเภทน้มี ักใชเ้ วลาไมน่ าน สว่ นใหญเ่ ปน็ การอา่ นเพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามรแู้ ละนาไปใช้ หรือนาไปเป็นหวั ข้อสนทนา เชื่อมโยงการอ่าน สู่การวิเคราะห์ และคดิ วเิ คราะห์ บางครั้งกอ็ า่ นเพื่อใชเ้ วลาวา่ งให้ เกิดประโยชน์ ข้ันตอนก่อนลงมืออ่ำนหนงั สือ 1. สารวจตนเอง กล่าวคือ ก่อนที่ผู้อ่านจะเริ่มอ่านหนังสอื น้ัน ผู้อ่านจะต้องสารวจตนเองกอ่ นวา่ จะอา่ น หนงั สอื อะไร จดุ มุ่งหมายของการอ่านหนงั สือครัง้ นี้คอื อะไร อ่านแล้วได้อะไร และเมอ่ื ผู้อ่านสารวจตนเองเรยี บรอ้ ย แลว้ จึงตอ้ งลงมือหาหนังสือท่ีตนเองต้องการ ในข้อนเี้ ปน็ การกาหนดจุดมงุ่ หมายในการอ่านหนงั สอื 2. สารวจหนงั สือ กล่าวคอื ผู้อา่ นตอ้ งสารวจว่าหนงั สือเล่มนก้ี ลา่ วถงึ อะไร มีเน้ือความกล่าวถึงส่ิงที่ผ้อู ่าน ตอ้ งการจะทราบ หรือผอู้ ่านต้องการจะอ่านหรือไม่ โดยสามารถดไู ดจ้ าก สารบาญของหนังสอื ซ่ึงเป็นส่งิ ท่บี ่งบอก โครงเรือ่ งของหนังสือวา่ หนังสอื เลม่ นปี้ ระกอบดว้ ยเนื้อหาใดบา้ ง การอ่านหนังสือท่ีตรงกับจุดประสงค์ของผู้อา่ น นนั้ จะชว่ ยให้ผอู้ ่านย่นระยะในการอา่ นหนังสือมากขึ้น 3. สารวจสงิ่ แวดล้อม กลา่ วคือ หลกั จากทสี่ ารวจหนงั สือแล้ว ผู้อ่านจะต้องสารวจส่งิ แวดลอ้ มว่าสถานที่ และเวลานี้ เหมาะสมหรือไมส่ าหรับการอ่านหนังสือ ผู้อ่านแต่ละท่าน มีความเคยชินและความถนัดในสิ่งแวดลอ้ ม ของการอา่ นหนังสือไมเ่ หมือนกนั เช่น นักเรยี น นักศึกษา ส่วนใหญ่ชอบหนังสอื ในเวลากลางคืน หรือช่วงเวลากอ่ น นอน เนอื่ งจาก มคี วามเป็นสว่ นตวั มีสมาธิ ทาให้สามารถจดจาในรายละเอียดได้มากข้ึน, สนิ้ สดุ ภารกจิ ใน ชวี ิตประจาวัน เปน็ ต้น ลักษณะของกำรอ่ำนทีด่ ี 1. ไมน่ อนอ่านหนังสอื กล่าวคือ การนอนเป็นอริ ิยาบถที่เหมาะแกก่ ารพกั ผ่อนมากกวา่ การที่จะเก็บ เนอื้ หาสาระจากการอ่าน เพราะฉะนน้ั ถ้าเกิดว่าผอู้ ่านนอนอ่าน จะทาใหส้ ามารถเผลอหลบั ไปได้ทุกเวลา 2. ควรสรา้ งสมาธิกอ่ นอา่ น กลา่ วคอื ในขณะเวลาท่ีอ่านนั้นไม่ควรทจ่ี ะอยู่ในที่พลุกพลา่ นควรอย่ใู นที่ท่มี ี ความเงยี บ ไมส่ มควนดโู ทรทัศน์ หรือฟงั วิทยุในขณะอ่าน เพราะจะทาให้เสยี สมาธิในการอา่ น ทาให้ไมส่ ามารถเกบ็ สาระในการอา่ นได้ และไม่มีความพร้อมในการอา่ น เนื่องจากการอา่ นตอ้ งมสี มาธิอยา่ งมาก เพราะการอ่านทีด่ ี ผู้อ่านควรเนือ้ หาสาระจากการอา่ นให้ไดม้ ากท่สี ดุ และทาความเข้าใจ

9 3. ทกั ษะการอ่านและทักษะการเขียนเปน็ ของค่กู ัน กลา่ วคอื ในขณะท่ีผอู้ ่าน อ่านหนังสอื น้นั ควรจะมี กระดาษและปากกาหรือสมดุ บันทกึ เพ่ือบันทึกสาระสาคัญในขณะการอา่ น เพราะวา่ การบันทึกสาระสาคัญ ในขณะการอ่านนัน้ จะช่วยทาใหก้ ารอ่านมีประสทิ ธภิ าพมากข้ึน กลา่ วคือ จะทาใหผ้ ู้อา่ นนน้ั จดจาสาระ สาคัญของหนงั สือที่อ่านได้ดว้ ย นอกจากนี้ การเขยี นบันทกึ สาระสาคัญ หลังจากการอ่านหรือในขณะการ อ่านนั้นจะชว่ ยทบทวนในส่งิ ท่ีอา่ นมาทงั้ หมดไดอ้ ีกดว้ ย 4. การอ่านหนังสือที่ดตี อ้ งรทู้ ี่มา กล่าวคือ ผู้อ่านควรจดจาแหลง่ ทมี่ าของหนงั สือหรือข้อเขียนท่ีอ่าน บาง ท่ีอาจจะมีประโยชนต์ ่อการอ้างองิ นอกจากน้เี มื่อผู้อา่ นต้องการความร้แู บบต่อยอดแต่ไม่สามารถหาต้นฉบับ หนงั สอื ทผี่ อู้ า่ นอ่านได้ แต่ผอู้ ่านรจู้ ักจดจาหรอื สงั เกตแหล่งท่ีมาของหนังสอื รวมท้ังศกึ ษาภูมหิ ลงั ของหนังสอื ท้ังผู้ แต่งหรือท่ีมาของหนงั สือ จะทาให้ผอู้ ่านสามารถหาความรู้ตอ่ ยอดได้ 5. ผอู้ ่านท่ดี ีควรตดิ ตามและมีวิจารณญาณในการอ่าน กลา่ วคือ ผ้อู ่านท่ีดีควรตดิ ตามในสิง่ ทอี่ า่ น อาจจะ เพอ่ื วเิ คราะหส์ ิ่งที่อา่ นว่า มคี วามเป็นข้อคดิ เหน็ หรือข้อเท็จจริง และถ้าผู้อา่ นคดิ ตาม ผ้อู า่ นจะมคี วามสามารถใน การอา่ น การคิดตามอาจจะตัดสินไดว้ ่าขอ้ มูลน้ีเป็นข้อมูลที่ถกู ต้องหรอื ผดิ ประการใด 6. ผ้อู า่ นท่ดี ีควรรู้จักทบทวน กล่าวคือ หลงั จากทอ่ี า่ นหนังสอื แลว้ ผ้อู า่ นจะต้องหมั่นทบทวนในสง่ิ ทอ่ี า่ น อยู่เสมอ ประการหนึ่งกเ็ พื่อใหผ้ ้อู ่านนน้ั รู้สึกวา่ การอ่านหนังสือน้ันจะชว่ ยเพ่ิมพูนความร้ใู ห้กบั ผ้อู ่านได้ โดยทผ่ี อู้ า่ น จะตอ้ งหมัน่ ทบทวนซา้ ๆ หลาย ๆ คร้งั จนจาขึน้ ใจ 7. ในยุคปจั จบุ ัน เปน็ ยุคแห่งเทคโนโลยี สารสนเทศ และข้อมูลขา่ วสาร มขี ่าวสารตา่ ง ๆ เล่อื นไหลเขา้ มา ในกระแสของโลกอยา่ งมากมาย ท้งั ข้อมูลด้านดี และข้อมลู ดา้ นลบ ท่ที าใหผ้ ู้อ่านต้องอ่านและใช้ดุลพนิ จิ ในการ ตีความ การอ่านเรว็ มีความจาเปน็ อย่างย่งิ เพราะถา้ ยิ่งอ่านเร็วและสามารถเข้าใจได้เลย ก็จะทาใหเ้ ราสามารถตัก ตวงในส่ิงท่อี ่านไดม้ าก เพราะยุคน้คี นต้องมคี วามรู้มาก เป็นยคุ ทีต่ ้องแข็งขนั ต้องตักตวงไมว่ ่าจะเป็นส่ิงที่มีสาระ หรือมีความบนั เทิง การจะอ่านไดเ้ รว็ นั้นต้องฝึกหัดใหม้ าก ๆ และอ่านบ่อย ๆ 8. ผู้อ่านต้องมคี วามรพู้ ้นื ฐานในเรอ่ื งท่จี ะอ่านพอสมควร หรือมคี วามสนใจในเร่ืองท่จี ะอ่าน รวมทัง้ ควร เรยี นรู้ศัพท์ใหม่ ๆ ทเี่ กดิ จากการอ่าน เพราะเมอ่ื ผู้อ่านไม่มีความรู้พ้นื ฐาน หรือไม่มีความสนใจในเรอ่ื งทจ่ี ะอา่ นแลว้ จะทาให้การอา่ นนั้นไม่ประสบความสาเร็จ หรอื ประสบความสาเร็จน้อย 9. ผอู้ ่านต้องฝึกจับใจความ กลา่ วคอื ผูอ้ ่านอา่ นสงิ่ ใดส่งิ หน่ึงนนั้ ไม่วา่ จะเป็นสารคดี หรอื บนั เทิงคดี ลว้ น จะต้องมีใจความสาคญั อยู่ ดงั นน้ั ผูอ้ ่านจะต้องจับใจความสาคญั ของเร่ืองท่ีอา่ นให้ได้ 10. อ่านแล้วเลา่ ตอ่ กลา่ วคอื การอา่ น ถา้ อ่านอยา่ งเดียวโดยไมม่ ีการทบทวนหรือเล่าต่อ กอ็ าจจะทาให้ ผอู้ ่านลืมในสง่ิ ท่ีอ่านไปท้งั หมดได้ หรอื จาได้เพยี งบางอยา่ ง แต่เม่ือผู้อ่านไปเล่าตอ่ แล้ว ความรนู้ ัน้ กจ็ ะกลบั มา เหมือนกับเปน็ การทบทวนให้ผูอ้ ่านอีกคร้งั หนึง่ ประโยชนข์ องกำรอำ่ น 1. เป็นการสนองความต้องการของมนุษย์ 2. ทาให้มนุษยเ์ กิดความรู้ ทกั ษะต่าง ๆ ตลอดจนความกา้ วหน้าทางวชิ าชีพ 3. ทาให้มนุษยเ์ กิดความคิดสร้างสรรค์ ความเพลิดเพลนิ บันเทิงใจและเกิดความบันดาลใจ 4. เป็นการใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ 5. ทาให้มนุษย์ทันต่อเหตกุ ารณ์ความเคล่ือนไหวต่าง ๆ ของโลก 6. เปน็ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพของมนุษย์ 7. ชว่ ยใหม้ นษุ ยแ์ ก้ปัญหาสังคม การเมือง เศรษฐกจิ และปัญหาสว่ นตวั คุณสมบตั ิของนักอ่ำนทด่ี ี 1. มีนสิ ัยรกั การอา่ น 2. มจี ิตใจกวา้ งขวางพร้อมท่จี ะอ่านหนงั สือที่ดีมคี ุณคา่ ได้ทุกประเภท

10 3. มีเจตคติทด่ี ตี ่อการอา่ นและเรอ่ื งท่ีอ่าน 4. หม่ันหาเวลาหรอื จดั เวลาสาหรบั การอา่ นใหก้ ับตนเองทุกวนั อย่างสม่าเสมอ 5. เป็นคนรกั หนังสือและแสวงหาหนงั สือทด่ี ีอ่านอยเู่ สมอ 6. มคี วามสามารถในการเลอื กหนังสอื ที่ดีอ่าน 7. มคี วามอดทน มีอารมณห์ รอื มสี มาธิในการอ่าน 8. มสี ุขภาพกาย สขุ ภาพจติ ที่สมบรู ณ์ 9. มคี วามเบิกบาน แจ่มใส และปลอดโปรง่ อยเู่ สมอ 10. มีนสิ ัยใฝห่ าความรู้ ความคิด และประสบการณใ์ หม่ ๆ อยู่เสมอ 11. มีทกั ษะในการอ่านสรปุ ความ วเิ คราะหค์ วาม และวนิ ิจฉัยความ 12. มคี วามคิดหรอื มวี ิจารณญาณทีด่ ีต่อเร่ืองท่ีอ่านสามารถท่จี ะแยกแยะข้อเท็จจริง ความถกู ต้อง ความ เหมาะสมตา่ ง ๆ และสามารถเลือกนาไปใชป้ ระโยชน์ 13. มนี ิสยั ชอบจดบนั ทึกเรอ่ื งราวต่าง ๆ ทพ่ี บในการอ่านและเหน็ วา่ มีคณุ ค่า 14. มคี วามจาดี รู้จกั หาวิธีช่วยจา และเพ่ิมประสทิ ธภิ าพของการจา มนี ิสัยชอบเขา้ รา้ นหนังสอื และ หอ้ งสมดุ 15. นสิ ัยชอบเขา้ รา้ นหนังสือและห้องสมุด 16. มีโอกาสหรือหาโอกาสพูดคยุ กับผูร้ ักการอ่านดว้ ยกนั อยู่เสมอ เพื่อแลกเปลี่ยน ทรรศนะในการอ่าน ให้แตกฉานย่ิงขึน้ 17. มีนิสยั หม่นั ทบทวน ติดตาม คน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ วธิ อี ำ่ นหนงั สือทดี่ ี มีข้ันตอน ดงั น้ี 1. อา่ นท้ังยอ่ หน้า การฝึกอา่ นทั้งย่อหน้าควรปฏิบัติ ดังน้ี 1.1 พยายามจบั จดุ สาคญั ของเน้ือหาในย่อหนา้ นนั้ 1.2 พยายามถามตัวเองวา่ สามารถตงั้ ชื่อเรอ่ื งแตล่ ะย่อหน้าไดห้ รือไม่ 1.3 ดรู ายละเอยี ดนัน้ วา่ มีอะไรบา้ งที่สัมพนั ธ์กับจดุ สาคัญ มีอะไรบา้ งทไี่ ม่เกี่ยวข้อง และอะไรบ้างที่ เกย่ี วข้อง เกี่ยวข้องกนั อยา่ งไร 1.4 แต่ละเรือ่ งตดิ ต่อกันหรือไม่ และทราบได้อย่างไรว่าตดิ ต่อกนั 1.5. วิธกี ารเขียนของผเู้ ขียนมีอะไรบ้างที่เสรมิ จุดสาคัญเข้ากับจุดยอ่ ย 2. สารวจตารา หรอื หนงั สอื น้นั ๆ กอ่ นท่จี ะทาการอ่านจรงิ ดังน้ี 2.1 ดสู ารบัญ คานา เพือ่ ทราบว่าในเล่มนน้ั ๆ มเี นือ้ หาอะไรบา้ ง 2.2 ตรวจดบู ทที่จะอา่ นว่ามีหวั ขอ้ อะไรบ้าง 2.3 อ่านคานาของหนงั สอื และบทนาในแต่ละบทดว้ ย 2.4 พยายามตั้งคาถามแล้วคน้ หาคาตอบอย่างคร่าว ๆ 3. อา่ นเป็นบท ๆ หลังจากได้ทาการสารวจหนังสอื แล้ว ผู้อ่านจะไดค้ วามรเู้ ก่ียวกับผู้แต่ง ภูมิหลัง ตลอดจนความ มุ่งหมายในการแตง่ หนังสอื แล้วจงึ เริ่มอ่านหนงั สือเปน็ บท ๆ โดยปฏิบัติ ดังน้ี 3.1 อา่ นทลี ะบทโดยไมห่ ยุดจนจบบท อาจจะหยุดเพ่ือจดบนั ทกึ ใจความสาคญั บ้าง ในบางคร้ังก็ได้

11 3.2 อา่ นบทเดมิ อีกครัง้ เลือกอ่านเฉพาะหวั ข้อและประโยคแรกของแต่ละย่อหนา้ ถา้ อ่านแลว้ ยังไม่ เขา้ ใจ กอ็ ่านข้อความในแต่ละยอ่ หนา้ ใหม่ ถา้ อา่ นประโยคแรกแลว้ จาได้วา่ เนือ้ ความอะไรบ้างท่ผี า่ นไปยังยอ่ หน้าอนื่ ได้ 3.3 จดบนั ทึก เพือ่ ตอบคาถามทตี่ ง้ั ไว้ตอนแรก 4. การอ่านแบบข้ามหรอื อ่านแบบครา่ ว ๆ การอ่านแบบข้ามหรอื อ่านแบบคร่าว ๆ มิได้ให้ความเข้าใจอะไรมาก นัก จะใชไ้ ด้ดี ตอ่ เม่ือ 4.1 ตอ้ งการทราบข้อความบางอย่างเทา่ นั้น เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ความหมายของ คาใดคาหนึ่ง 4.2 ตอ้ งการทราบว่าควรอ่านท้งั หมดหรอื ไม่ ชว่ ยใหท้ ราบครา่ ว ๆ วา่ ในแตล่ ะบท เป็นอย่างไร เพราะ เป็นการอ่านเฉพาะหวั ข้อหรอื ข้อสรุปเทา่ น้ัน 5. สะสมประสบการณ์และคาศพั ท์ใหม้ ากทสี่ ุด การท่ผี ู้อ่านจะเข้าใจเร่ืองท่ีอา่ นไดด้ นี ั้นจาเป็นต้องอาศัยประสบการณเ์ ดมิ และความรู้ เก่ียวกับคาศัพทท์ ่ี สะสมไว้ เมือ่ อ่านเรื่องใหม่จึงสามารถนาเอาความรู้เดิมมาถ่ายโยงสมั พันธก์ บั ความรู้ใหม่ เพือ่ เพิม่ ความเขา้ ใจใน เรอื่ งท่ีอ่านไดด้ ีย่ิงข้ึน การสะสมประสบการณ์ความรู้และคาศัพทน์ นั้ สามารถทาไดโ้ ดยการอา่ น ปทานุกรม พจนานุกรม เพือ่ รู้ศัพทต์ ่าง ๆ และอา่ นให้มาก ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์และเพิ่มพนู ความรู้อยตู่ ลอดเวลา กำรเตรียมพร้อมเพือ่ กำรอำ่ น การอ่านจะดาเนินไปได้ดีเพยี งใดขึ้นอยู่กบั ส่งิ แวดลอ้ มทางกายภาพ และองคป์ ระกอบท่ีอย่ภู ายใน ร่างกาย การอ่านทา่ มกลางบรรยากาศและส่งิ แวดล้อมทเี่ หมาะสม จะนามาซง่ึ ประสิทธแิ ละประสทิ ธิผลในการอา่ น ทัง้ นีค้ วรคานึงถึง 1. การจดั สถานท่ีและสิ่งแวดล้อม สถานท่ีทเี่ หมาะกบั การอ่านควรมีความเงยี บสงบ ตัดสง่ิ ต่างๆ ท่ี รบกวนสมาธิออกไป มอี ุณหภมู ิและแสงสวา่ งท่ีเหมาะสม มโี ตะ๊ ท่ีมีความสูงพอเหมาะและเก้าอ้ีทนี่ ่ังสบายไม่นมุ่ หรอื แข็งจนเกินไป 2. การจัดทา่ ของการอ่าน ตาแหนง่ ของหนังสอื ควรอยู่หา่ งประมาณ 35-45 เซนติเมตร และหน้าหนังสอื จะต้องตรงอยู่กลางสายตา ควรนั่งใหห้ ลงั ตรงไม่ควรนอนอ่าน ทัง้ นี้เพื่อให้สมองได้รับเลอื ดไปหล่อเลยี้ งอย่างเต็มท่ี กจ็ ะทาให้เกิดการต่ืนตวั ต่อการรบั รู้ จดจา และอา่ นได้นาน 3. การจดั อุปกรณ์ชว่ ยในการอา่ น การอา่ นอาจมอี ุปกรณ์ที่จาเป็น เช่น กระดาษสาหรับบันทกึ ดนิ สอ ปากกา ดนิ สอสี 4. การจดั เวลาทีเ่ หมาะสม สาหรบั นกั ศกึ ษาที่ต้องมีการทบทวนบทเรยี นควรอ่านหนงั สือในช่วงท่ี เหมาะสมคือช่วงท่ีที่ไมด่ ึกมาก คือ ตง้ั แต่ 20.00 – 23.00 น. เนอ่ื งจากรา่ งกายยังไม่อ่อนล้าเกนิ ไปนัก หรืออ่าน ในตอนเชา้ 5.00-6.30 น. หลงั จากทีร่ ่างกายได้รบั การพักผอ่ นอย่างเพยี งพอ ท้ังนใ้ี นการอ่านแตล่ ะครั้งไม่ควร เกนิ 50 นาทแี ละใหเ้ ปลีย่ นแปลงอริ ยิ าบถสัก 10 นาทีก่อนลงมืออา่ นต่อไป 5. การเตรยี มตนเอง ไดแ้ ก่ การทาจติ ใจให้แจ่มใส มีความมุ่งม่นั มีความตั้งใจ และมสี มาธิในการอ่าน นอนหลับพกั ผ่อนให้เพยี งพอ มีสขุ ภาพสายตาทด่ี ี ตัดปญั หารบกวนจิตใจให้หมด การแบ่งเวลาให้ถูกตอ้ ง และมี ระเบียบวนิ ัยในชวี ิตโดยให้เวลาแตล่ ะวันฝึกอ่านหนงั สอื และพยายามฝกึ ทักษะใหม่ๆ ในการอ่าน เช่น ทกั ษะการ อา่ นเรว็ อย่างเขา้ ใจ เปน็ ตน้ กำรเลือกสรรวสั ดกุ ำรอำ่ น

12 การเลอื กสรรวัสดกุ ารอ่าน ขน้ึ อยู่กับจุดมุ่งหมายหรือวตั ถุประสงค์ของการอ่าน เช่น การอ่านเพื่อ การศึกษา การอ่านเพ่อื หาขอ้ มลู ประกอบการทางาน การอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน การอา่ นเพื่อฆ่าเวลา การรู้จัก เลือกวัสดุการอา่ นท่ีมีประโยชน์จะชว่ ยใหผ้ อู้ ่านไดร้ ับประโยชนต์ ามเป้าหมาย การเลือกสรรวัสดุการอ่านมี ความสัมพนั ธก์ ับการเลือกใชท้ รพั ยากรสารสนเทศในห้องสมุด เช่น 1. การอ่านเพื่อความรู้ เช่น ตาราวิชาการ 2. การอ่านเพื่อความบันเทงิ ใจ 3. การอ่านเพ่ือเป็นกาลงั ใจ เสริมสรา้ งปญั ญา เชน่ หนงั สือจิตวิทยา หนงั สือธรรมะ 4. การอ่านเพื่อใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ เมื่อเลือกวัสดุการอา่ นหรือหนังสอื ได้แลว้ กจ็ ะต้องกาหนดว่าต้องการอะไรข้อมลู ในลกั ษณะใดจาก หนงั สือเล่มนน้ั ขอบเขตของข้อมลู ในลกั ษณะกวา้ งหรือแคบแต่ลกึ ซงึ้ ท้ังน้เี พื่อกาหนดรปู แบบการอ่านเพื่อ ความตอ้ งการต่อไป เคลด็ ลบั 10 ประกำรที่ทำให้เปน็ คนอ่ำนเร็ว 1. เรมิ่ อา่ นในตอนเชา้ มีคาพูดท่ีวา่ คนเราสามารถมสี มาธแิ ละอา่ นได้นานข้ึนเป็นสองเทา่ เมื่อเริ่มการอ่าน ตงั้ แต่เชา้ ของวนั 2. อา่ นในสภาวะแวดล้อมท่ีเหมาะสม สรา้ งสภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสมโดยอยูใ่ หห้ า่ งจากส่ิงที่ทาให้ไขว้เขว นั่นหมายถงึ ยา้ ยไปอย่หู ้องที่เงียบ ๆ ปดิ ทวี ี วิทยแุ ละโทรศัพท์มือถือ หลกี เลยี่ งสถานทที่ ่ีใกลห้ น้าต่างหรือประตู เพราะเป็นที่ท่ีมีแนวโนม้ ทจ่ี ะมเี สยี งรบกวน คณุ ไมค่ วรปล่อยใหล้ กู อา่ นหนังสือในที่ทส่ี บายจนเกนิ ไป เชน่ บนเตยี ง นอนเพราะเป็นที่ทใ่ี จและกายเราตอ้ งการจะพกั ผ่อน ลกู ควรมคี วามรู้สึกตน่ื ตวั โดยนง่ั ที่โต๊ะอา่ นหนังสือ 3. อ่านคร่าว ๆ เพ่อื ใจความหลัก ใหล้ กู คณุ ทาความคุน้ เคยกบั โครงสร้างของสิ่งทีจ่ ะอ่าน อา่ นสารบญั ผา่ น ๆ มองหาหวั ข้อและการแบ่งบท เน่ืองจากสงิ่ เหล่านจี้ ะสามารถบอกได้วา่ ส่วนไหนควรอ่านโดยละเอยี ดและสว่ น ไหนสามารถอ่านแบบผ่าน ๆ ได้ ลกู คุณควรจะฝกึ ตคี วามใจความสาคัญของสิ่งท่อี ่านโดยดูจากประโยคแรกและ ประโยคสุดท้ายของย่อหนา้ 4. ใชต้ วั ช้ี ลูกคุณอาจใช้ นิว้ ปากกา หรือการด์ เปน็ ตวั ชี้ มันจะช่วยเพ่มิ ประสทิ ธิภาพของดวงตาโดยการใช้ ส่งิ ช้ีเพือ่ นาสายตาเวลาอา่ นระหวา่ งบรรทัดไดเ้ ร็วขึ้นและยงั ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจขอ้ มลู ได้เร็วขน้ึ 5. ฝกึ ฝนการอ่านหลายคาในคราวเดียว ถงึ แม้ว่าเราจะเคยถกู สอนให้อ่านทกุ คา ทกุ ตัวอักษรมากอ่ น แต่ มนั ไมใ่ ช่วธิ ีที่มปี ระสิทธิภายในการอ่านเพราะไม่ใชว่ ่าคาทุกคาจะสาคญั ลกู คณุ สามารถพัฒนาความเร็วในการอา่ น ไดอ้ ยา่ งมากดว้ ยการอ่านหลาย ๆ คาในบรรทดั ในคราวเดยี วกัน 6. เรียนรทู้ จี่ ะแยกแยะคาหลัก การเนน้ ความสนใจทีค่ าหลักในประโยคเป็นอีกทางหนงึ่ ท่ีจะช่วยให้ลกู พัฒนาความเรว็ ในการอ่าน ลูกคุณควรเรยี นรทู้ ี่จะอ่าน “คาเสริม” อย่างผ่าน ๆ เชน่ พวก คาเชอ่ื ม อย่างคาว่า และ, แต,่ ท้ัง ๆ ท่ี ฯลฯ และควรมองหาคาซ้า คาทตี่ วั อักษรหนา และคาทีบ่ ่งช้ีถึงความสาคญั ของแนวคดิ ของเรอื่ ง นั้น ๆ 7. จดโนต้ ลกู คณุ ควรเขยี นโน้ตสรปุ ความคิด ความเข้าใจคร่าว ๆ จากส่ิงทีอ่ า่ น วิธนี ้ที าให้ลกู คุณกลับมา อ่านจากโนต้ ไดโ้ ดยไม่ต้องไปอ่านซา้ ใหมท่ ้ังหมด 8. ฝกึ ตวั เอง ไม่ให้อา่ นซ้า คนส่วนใหญ่จะหยดุ และอา่ นประโยคหรอื ขอ้ ความเดิมซา้ เพือ่ ให้แน่ใจว่าพวก เขาเข้าใจความหมายอยา่ งถูกต้อง แต่การกระทาน้ีอาจทาใหต้ ิดเป็นนสิ ยั และจริง ๆ แล้วการอา่ นซ้าก็ไมจ่ าเป็น 9. หยุดพักเมือ่ เหน่ือย หากลูกคณุ อา่ นในเวลาที่พวกเขารูส้ ึกเหนือ่ ย มันจะทาใหก้ ารอา่ นและการทาความ เข้าใจของพวกเขาชา้ ลง และการอ่านนีจ้ ะจบลงอย่างเสยี เวลาเปลา่ เน่ืองจากเด็ก ๆ จะไมส่ ามารถจบั ใจความจาก

13 สิ่งท่อี า่ นได้ ดงั น้ันควรใหล้ ูกคุณหยุดพักจากการอ่านในระยะเวลาสน้ั ๆ และกลับไปอ่านใหมห่ ลงั จากได้พกั เพียงพอแล้ว 10. หม่ันฝึกฝน ท้ายท่ีสดุ ฝกึ เทคนิคต่าง ๆ เหลา่ น้เี พื่อคน้ หาว่าวธิ ีไหนที่เหมะกับลูกของคณุ ที่สดุ กำรอ่ำนจับใจควำม การอา่ นจบั ใจความ คือ การอ่านทม่ี งุ่ คน้ หาสาระของเรื่องหรือของหนังสือแตล่ ะเลม่ ท่ีเป็นส่วนใจความ สาคญั และส่วนขยายใจความสาคญั ของเรอื่ งใจความสาคัญของเร่ือง คือ ข้อความทีม่ ีสาระคลุมขอ้ ความอื่น ๆ ใน ยอ่ หนา้ นั้นหรอื เรื่องนนั้ ท้ังหมดขอ้ ความอ่นื ๆ เป็นเพยี งสว่ นขยายใจความสาคญั เท่านน้ั ข้อความหน่ึงหรือตอน หนึ่งจะมีใจความสาคัญท่สี ดุ เพียงหน่งึ เดยี ว นอกน้นั เป็นใจความรอง คาว่าใจความสาคัญน้ี ผู้รู้ไดเ้ รยี กไวเ้ ปน็ หลาย อย่าง เชน่ ขอ้ คดิ สาคญั ของเร่ือง แกน่ ของเรื่อง หรือ ความคดิ หลัก ของเรื่องแตจ่ ะเป็นอย่างไรกต็ าม ใจความ สาคัญกค็ ือสง่ิ ที่เป็นสาระทส่ี าคัญทีส่ ุดของเรื่องนัน่ เองใจความสาคัญส่วนมากจะมลี ักษณะเปน็ ประโยค ซ่ึงอาจ ปรากฏอยใู่ นสว่ นใดสว่ นหนึง่ ของย่อหน้าก็ได้จุดที่พบใจความสาคญั ของเรื่องในแต่ละย่อหน้ามากทีส่ ดุ คอื ประโยค ทอ่ี ยตู่ อนต้นยอ่ หน้า เพราะผเู้ ขียนมกั บอกประเดน็ สาคญั ไว้ก่อน แลว้ จึงขยายรายละเอียดใหช้ ัดเจน รองลงมาคือ ประโยคตอนทา้ ยย่อหน้าโดยผเู้ ขยี นจะบอกรายละเอยี ดหรือประเด็นย่อยก่อน แลว้ จงึ สรุปดว้ ยประโยคท่เี ปน็ ประเดน็ ไวภ้ ายหลังสาหรับจดุ ทพ่ี บใจความสาคัญยากข้ึนก็คือ ประโยคตอนกลางย่อหน้า ซึง่ ผอู้ ่านจะตอ้ งใช้ความ สงั เกตและพจิ ารณาให้ดี ส่วนจดุ ทห่ี าใจความสาคัญยากทสี่ ุดคอื ย่อหนา้ ท่ีไมม่ ีประโยคใจความสาคัญปรากฏชดั เจน อาจมปี ระโยค หรืออาจอยูร่ วมๆกันในย่อหนา้ ก็ได้ ซึ่งผู้อ่านจะต้องสรปุ ออกมาเอง แนวกำรอ่ำนจบั ใจควำม การอ่านจบั ใจความให้บรรลุจุดประสงค์ มีแนวทางดงั น้ี 1. ต้งั จุดม่งุ หมายในการอา่ นไดช้ ดั เจน เช่น อ่านเพื่อหาความรู้ เพอื่ ความเพลดิ เพลนิ หรือเพื่อบอกเจตนา ของผู้เขียน เพราะจะเป็นแนวทางกาหนดการอ่านได้อยา่ งเหมาะสม และจับใจความหรือคาตอบได้รวดเรว็ ย่งิ ขนึ้ 2. สารวจส่วนประกอบของหนงั สอื อยา่ งคร่าวๆ เชน่ ชื่อเร่ือง คานา สารบญั คาชแ้ี จงการใช้หนงั สือ ภาคผนวก ฯลฯ เพราะส่วนประกอบของหนงั สอื จะทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจเกยี่ วกบั เร่ืองหรือหนังสอื ที่อา่ นได้ กว้างขวางและรวดเรว็ 3. ทาความเข้าใจลกั ษณะของหนงั สือว่าประเภทใด เช่น สารคดี ตารา บทความ ฯลฯ ซงึ่ จะชว่ ยใหม้ ี แนวทางอ่านจบั ใจความสาคัญ ไดง้ ่าย 4. ใช้ความสามารถทางภาษาในดา้ นการแปลความหมายของคา ประโยค และข้อความต่าง ๆ อยา่ งถูกต้องรวดเรว็ 5. ใช้ประสบการณห์ รือภมู ิหลังเก่ียวกับเร่อื งที่อ่านมาประกอบจะทาความเข้าใจและจบั ใจความท่ีอ่านได้ งา่ ยและรวดเรว็ ขึ้น ขน้ั ตอนกำรอ่ำนจับใจควำม 1. อ่านผ่านๆโดยตลอด เพื่อให้รูว้ า่ เร่ืองที่อ่านวา่ ดว้ ยเรอ่ื งอะไร จุดใดเปน็ จุดสาคัญของเร่ือง 2. อ่านให้ละเอยี ด เพ่ือทาความเขา้ ใจอยา่ งชัดเจน ไมค่ วรหยุดอา่ นระหว่างเรื่องเพราะจะทา ให้ความเข้าใจไม่ตดิ ตอ่ กนั 3. อ่านซา้ ตอนท่ีไมเ่ ขา้ ใจ และตรวจสอบความเข้าใจบางตอนใหแ้ น่นอนถูกตอ้ ง 4. เรียบเรียงใจความสาคัญของเรือ่ งด้วยตนเอง

14 ใบควำมรู้ ครง้ั ที่ 5 วชิ ำภำษำไทย รหัสวิชำ พท21001 ระดับมัธยมศึกษำตอนต้น เรือ่ ง หลักกำรเขียน ควำมหมำยและควำมสำคัญของกำรเขียน กำรเขยี น การใชต้ ัวอกั ษรเป็นเครอ่ื งมือในการถ่ายทอดความรสู้ ึกนึกคิด เพื่อบอกเลา่ อธิบาย จงู ใจ แสดง ความคิดเหน็ ล้อเลยี น เสนอข่าวสารหรือติดต่อกจิ ธุระตา่ ง ๆ หลักกำรเขียน ควรเขยี นใหถ้ ูกตอ้ ง กระชับ ชัดเจน ด้วยถ้อยคาไพเราะ ชวนให้ตดิ ตาม แสดงความคดิ เห็น อย่างสมเหตสุ มผล มงุ่ ให้เกิดความรู้ กระบวนกำรคดิ กบั กระบวนกำรเขียน งานเขยี นทุกประเภทตอ้ งใชค้ วามคิดโดยคดิ ให้ตรงจุด จดั ลาดับ เรือ่ งราวให้เปน็ ระเบียบ และมีความคดิ หลักเพยี งความคิดเดยี ว กำรใชภ้ ำษำในกำรเขยี น กำรใชค้ ำในกำรเขยี น ตอ้ งเลอื กใชค้ าให้เหมาะสมตามกาลเทศะ เขา้ ใจง่าย ตรงความหมาย ถกู ต้องตาม จดุ ประสงค์การเขียนและหลีกเลยี่ งการใชค้ าแสลง กำรใชส้ ำนวนในกำรเขียน สานวน คือ ถ้อยคาเปรยี บเทยี บ สอ่ื ความหมายชัดเจนกว่าการกลา่ วโดยตรง เช่น งงเปน็ ไกต่ าแตก นา้ กลิ้งบนในบอน สซี อให้ควายฟัง ขิงกร็ าข่ากแ็ รง กำรใช้โวหำรในกำรเขียน โวหาร คือ ถ้อยคาทส่ี ละสลวย ถา่ ยทอดความรู้สึกและจนิ ตนาการ แบง่ เปน็ ๑. พรรณนาโวหาร คือ การเลา่ โดยละเอียดเพ่ือใหเ้ ห็นภาพ ๒. บรรยายโวหาร คือ การอธิบายอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้เข้าใจ ๓. อปุ มาโวหาร คอื การเปรียบเทียบเพื่อให้เหน็ ชดั เจน ๔. เทศนาโวหาร คอื การช้แี จง ส่งั สอน เพ่ือให้เหน็ คุณและโทษ ๕. สาธกโวหาร คอื การยกตวั อยา่ งเพ่ือให้เขา้ ใจเนอ้ื หา กำรเขียนในโอกำสต่ำง ๆ กำรเขยี นจดหมำยกิจธรุ ะ จดหมายกจิ ธุระ เป็นจดหมายตดิ ต่อธรุ กิจ มรี ปู แบบการเขียนค่อนขา้ งเป็น ทางการ สามารถใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายและเช่ือมสมั พนั ธท์ างธุรกิจ อีกทงั้ สะดวก ประหยดั เวลา/คา่ ใชจ้ า่ ย และมีข้อมลู สนิ ค้า โดยหัวใจสาคญั ของการเขยี นจดหมายกิจธุระ คือ การให้ข้อมูลชดั เจน ตรงกับวัตถปุ ระสงค์ ให้ เกียรตผิ รู้ บั ประเภทของจดหมำยกิจธุระ ไดแ้ ก่ ประเภทใหข้ ้อมลู เกี่ยวกบั กิจธรุ ะ เชน่ จดหมายเชญิ จดหมาย ขอบคุณ และประเภทโน้มน้าวใจ เช่น จดหมายเสนอขาย โครงสร้ำงของจดหมำยกจิ ธรุ ะ ไดแ้ ก่ สว่ นตน้ (เหตผุ ลในการเขยี นจดหมาย) สว่ นกลาง (รายละเอียด/ เอกสารแนบ) สว่ นท้าย (สรุปวัตถปุ ระสงค์) ข้อควรปฏบิ ัตใิ นกำรพิมพ์จดหมำยกจิ ธรุ ะ ควรใช้กระดาษสขี าวขนาดมาตรฐานเพยี งหน้าเดยี ว เว้น ขอบกระดาษ ๑.๕ น้วิ รักษาความสะอาด ตรวจรูปแบบ การสะกดคา และทาสาเนาทุกฉบับ

15 รูปแบบของจดหมำยกิจธรุ ะ กำรเขียนยอ่ ควำม ย่อควำม คือ การเลือกเฉพาะเนือ้ ความท่ีสาคญั ต้องมีชือ่ เรอ่ื ง คานา ตามประเภทของข้อความ เช่น ขา่ วเรอ่ื ง............................................จาก ..............................................ความวา่ จดหมาย.........................ของ.........................ถงึ ...................ลงวนั ที่.....................ความวา่ ประกาศของ..........................เรือ่ ง.....................แก.่ .....................เมื่อ....................ความว่า นอกจากน้หี ลกั การยอ่ ความยังต้องเปล่ยี นสรรพนามบุรุษท่ี ๑ และ ๒ ใหเ้ ป็น ๓ และควรเรยี บเรยี ง สาระสาคัญในแตล่ ะย่อหน้า ตามสานวนของผูย้ ่อเอง ตวั อย่างการย่อบทความทวั่ ไป ย่อความอยา่ งสั้นท่ีสดุ

16 ย่อความอยา่ งธรรมดา กำรเขยี นรำยงำนและโครงงำน รำยงำนกำรประชุม คือบันทึกความคิดเหน็ หรอื ผลการประชุมที่สมาชิกต้องศกึ ษาและปฏิบตั ติ าม โดย จะระบุชอ่ื การประชมุ เวลา วันท่ี สถานที่ ผูเ้ ข้าร่วม/ไม่เข้าร่วมประชมุ เนือ้ ความ และชอ่ื ผูจ้ ดรายงาน หลักกำรจดรำยงำนกำรประชุม ควรใชภ้ าษาระดับทางการ อาจจดทุกคาพูด จดเฉพาะประเด็นสาคัญ หรือจดเฉพาะเหตผุ ลก็ได้ แต่ตอ้ งจดมติทปี่ ระชมุ รว่ มด้วยเสมอ รำยงำนกำรประชุมตำมระเบยี บวำระ เปน็ การประชมุ ตามกาหนดปกติ เชน่ รายเดอื น รายไตรมาส

17 กำรเขียนรำยงำนโครงงำน โครงงำน คอื งานวจิ ยั ท่ีใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เพือ่ สร้างความรู้ใหม่ เริ่มจากการตง้ั คาถาม และคาดการณ์ คาตอบลว่ งหน้า แลว้ จึงทดลอง และสรปุ ผลการทดลองที่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน กำรเขยี นรำยงำนโครงงำนประกอบด้วย ช่ือโครงงาน ช่ือผู้จดั ทาและครูที่ปรึกษา ชอื่ โรงเรยี น วันท่ี บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ ที่มาและความสาคัญ วตั ถุประสงค์ สมมติฐาน เอกสาร วิธดี าเนินการ ผลการศึกษา สรปุ ผล ประโยชน์ทไี่ ด้รับ ข้อเสนอแนะ และเอกสารอ้างอิง กำรเขียนบรรยำยและพรรณนำ กำรเขียนบรรยำย การอธิบายเหตกุ ารณว์ ่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมอื่ ไหร่ อย่างไร ควรบรรยายตามลาดบั เหตกุ ารณ์ดว้ ย ถ้อยคาท่ีกะทดั รัด อาจแทรกบทพรรณนา ข้อคิดเห็น ความรเู้ พ่ิมเติมด้วย ตัวอยา่ งการเขียนบรรยายสถานท่ี กำรเขยี นพรรณนำ การเขียนท่ีมุง่ ให้เกิดจินตนาการดว้ ยถ้อยคาส่อื อารมณ์ทาให้เกดิ ภาพพจน์ ตัวอยา่ งการเขียนพรรณนา กำรเขียนเรยี งควำม ย่อหน้ำ ยอ่ หน้าประกอบด้วยหลายประโยคแตม่ ีใจความสาคัญเพียงอย่างเดยี ว ลักษณะของย่อหน้าท่ีดี ควรใช้ ภาษาในการเขยี นทเ่ี หมาะสม มเี อกภาพและสัมพันธภาพ

18 ข้อควำมหลำยย่อหนำ้ ใจความสาคัญของแต่ละยอ่ หน้าตอ้ งสอดคล้องกับใจความหลกั (เอกภาพ) และสมั พนั ธ์กนั ตามลาดบั เวลา หรือความสาคัญ (สมั พันธภาพ) กำรวำงโครงเร่อื งของเรยี งควำม การวางโครงเร่ืองโดยพจิ ารณาถงึ ใจความท่จี ะนามาขยาย อาจใช้วลี หรือประโยคก็ได้ แตต่ ้องใช้ รปู แบบเดียวกนั ทง้ั เร่ือง กำรเขยี นแสดงควำมคดิ เห็นและกำรเขียนโต้แย้ง กำรเขยี นแสดงควำมคิดเหน็ การแสดงความคิดเหน็ ตอ้ งมหี ลกั ฐาน ขอ้ เท็จจรงิ หรอื ความรปู้ ระกอบ ตวั อยา่ งการเขียนแสดงความคดิ เห็น กำรเขียนโต้แยง้ การเขียนแสดงความไม่เหน็ ด้วยโดยปราศจากอคติ ตวั อยา่ งการเขียนโต้แย้ง กำรเขียนวจิ ำรณ์ ผ้วู ิจารณ์ควรแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งเหมาะสม มีความรูใ้ นเร่ืองทีว่ ิจารณ์ และให้เกียรติผูถ้ กู วิจารณ์โดย ใช้ภาษาท่สี ุภาพ วจิ ารณ์ด้วยความเป็นกลาง เขยี นข้อเทจ็ จริงช้ใี หเ้ หน็ ประโยชน/์ โทษ และข้อมลู เปรยี บเทยี บเพื่อ ประเมนิ และเสนอแนะให้ผู้ถูกวิจารณน์ าไปปรบั ปรงุ ต่อไป

19 กำรแตง่ บทรอ้ ยกรอง – หนา้ ๕ คา วรรคหลัง ๒ คา (เฉพาะวรรคหลงั บาทท่ี ๔ มี ๔ คา) อาจมีคาสรอ้ ยท้ายบาทที่ ๑ และ ๓ – บงั คับคาเอก ๗ คา คาโท ๔ คา ใชค้ าตายแทนคาเอกได้ แผนบังคับโคลงส่ีสภุ ำพ โคลงส่ีสุภำพ บทหนง่ึ มี ๔ บาท บาทละ ๒ วรรค กำรคดั ลำยมอื การคัดลายมอื มี ๒ ลกั ษณะ คอื คดั ตวั บรรจง และคดั ตัวหวัดแกมบรรจง ซึ่งในการเขียนตัวอักษรต้อง เรมิ่ จากหัวหรือ สว่ นหลักก่อนแล้วลากไปจนจบปลาย ควรเขียนให้ชดั เจนและลงตาแหน่งใหถ้ ูกต้อง มำรยำทในกำรเขียน ควรเขียนในเรื่องที่ผู้เขยี นมีความรู้และเป็นประโยชนต์ ่อสังคม โดยปราศจากอคตสิ ่วนตวั บอกแหล่ง อ้างองิ ของข้อมูลเสมอ และไม่คัดลอกขอ้ ความหากไม่ไดร้ ับอนุญาต สรปุ การสร้างงานเขียนให้มีคุณค่า ต้องเขา้ ใจกระบวนการคดิ กระบวนการเขยี น ตลอดจนการใช้ภาษา การ จดั ลาดบั ความคดิ การเรียบเรียง การเขยี นในโอกาสตา่ ง ๆ การพฒั นางานเขียน และมารยาทในการเขียน กำรเขียนแผนภำพควำมคิด หรอื แผนท่ีควำมคิด (Mind Map) การเขียนแผนภาพความคิด คือ การถ่ายทอดความคดิ หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสมองลงกระดาษ โดย การใช้ภาพ สี เสน้ และการโยงใย แทนการจดยอ่ แบบเดมิ ท่ีเป็นบรรทัด ๆ เรียงจากบนลงล่าง ซ่งึ ในขณะเดียวกนั มันก็ชว่ ยเปน็ ส่อื นาข้อมูลจากภายนอก เช่น หนังสือ คาบรรยาย การประชมุ สง่ เข้าสมองให้เกบ็ รักษาไวไ้ ดด้ ี กว่าเดมิ ซา้ ยงั ช่วยใหเ้ กิดความคิดสร้างสรรค์ได้งา่ ยเข้า เนอ่ื งจะเหน็ เป็นภาพรวม และเปิดโอกาสใหส้ มองให้ เช่อื มโยงต่อขอ้ มลู หรือความคิดต่าง ๆ เขา้ หากันได้ง่ายกว่า “ใชแ้ สดงการเชื่อมโยงข้อมูลเก่ยี วกับเรอ่ื งใดเร่ืองหนึ่ง ระหว่างความคิดหลกั ความคิด รอง และความคิดย่อยท่เี ก่ียวขอ้ งสมั พันธ์กัน” ซึง่ ลักษณะการเขยี นผังความคดิ เทคนคิ การคดิ คือ นาประเด็นใหญ่ ๆ มาเป็นหลกั แล้วตอ่ ด้วยประเด็นรองในชั้นถัดไป ขั้นตอนกำรสรำ้ ง แผนภำพควำมคิด ๑. เขียน/วาดมโนทศั นห์ ลกั ตรงก่ึงกลางหน้ากระดาษ ๒. เขยี น/วาดมโนทศั นร์ องทสี่ มั พันธก์ ับมโนทัศน์หลักไปรอบ ๆ ๓. เขยี น/วาดมโนทศั นย์ อ่ ยที่สมั พนั ธ์กบั มโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่อย ๆ ๔. ใชภ้ าพหรอื สัญลกั ษณ์ส่ือความหมายเป็นตัวแทนความคดิ ให้มากทส่ี ดุ ๕. เขียนคาสาคญั (Key word) บนเส้นและเส้นตอ้ งเชอื่ มโยงกนั ๖. กรณใี ช้สี ทงั้ มโนทศั นร์ องและย่อยควรเป็นสเี ดียวกัน ๗. คดิ อย่างอิสระมากทสี่ ุดขณะทาเขยี นคาหลัก หรอื ข้อความสาคัญของเรื่องไวก้ ลาง โยงไปยัง ประเด็นรองรอบ ๆ ตามแต่ว่าจะมกี ป่ี ระเดน็ กฎกำรสร้ำง แผนภำพควำมคิด ๑. เร่ิมด้วยภาพสีตรงก่งึ กลางหน้ากระดาษ

20 ๒. ใชภ้ าพให้มากที่สดุ ใน Mind Map ของคุณ ตรงไหนทใ่ี ช้ภาพได้ใหใ้ ช้ก่อนคา หรอื รหสั เป็นการ ชว่ ยการทางานของสมอง ดงึ ดดู สายตา และชว่ ยความจา ๓. ควรเขียนคาบรรจงตัวใหญ่ๆ ถ้าเปน็ ภาษาองั กฤษให้ใชต้ ัวพมิ พใ์ หญ่ จะชว่ ยใหเ้ ราสามารถ ประหยัดเวลาได้ เมื่อยอ้ นกลับไปอ่านอกี คร้งั ๔. เขียนคาเหนอื เส้นใต้ แตล่ ะเส้นตอ้ งเชื่อมต่อกับเสน้ อน่ื ๆ เพ่ือให้ Mind Map มโี ครงสรา้ งพื้น ฐานรองรบั ๕. คาควรมลี กั ษณะเปน็ \"หนว่ ย\" เปดิ ทางให้ Mind Map คล่องตวั และยืดหยุ่นไดม้ ากขน้ึ ๖. ใช้สที ่ัว Mind Map เพราะสชี ว่ ยยกระดบั ความคดิ เพลนิ ตา กระตุน้ สมองซีกขวา ๗. เพ่ือใหเ้ กิดความคิดสรา้ งสรรค์ใหม่ ควรปล่อยใหส้ มองคิดมีอสิ ระมากท่ีสดุ เท่าทจี่ ะเป็นไปได้ วิธีกำรเขยี น ๑. เตรยี มกระดาษเปล่าทไ่ี ม่มเี สน้ บรรทัดและวางกระดาษภาพแนวนอน ๒. วาดภาพสีหรอื เขยี นคาหรือข้อความท่ีสือ่ หรือแสดงถึงเรื่องจะทา Mind Map กลาง หน้ากระดาษ โดยใช้สอี ย่างน้อย 3 สี และตอ้ งไม่ตกี รอบดว้ ยรปู ทรงเรขาคณิต ๓. คิดถงึ หวั เรอื่ งสาคัญทเ่ี ป็นส่วนประกอบของเรอ่ื งท่ีทา Mind Map โดยใหเ้ ขยี นเป็นคาที่มีลักษณะ เป็นหนว่ ย หรอื เปน็ คาสาคัญ (Key Word) สัน้ ๆ ท่ีมคี วามหมาย บนเส้นซ่งึ เส้นแต่ละเส้นจะต้องแตกออกมาจาก ศูนย์กลางไมค่ วรเกนิ 8 กิง่ ๔. แตกความคดิ ของหวั เรอ่ื งสาคญั แต่ละเร่ืองในขอ้ 3 ออกเปน็ ก่งิ ๆ หลายกิ่ง โดยเขียนคาหรือ วลี บนเสน้ ท่แี ตกออกไป ลักษณะของกงิ่ ควรเอนไมเ่ กิน 60 องศา ๕. แตกความคดิ รองลงไปที่เป็นสว่ นประกอบของแตล่ ะกง่ิ ในข้อ 4 โดยเขียนคาหรือวลเี ส้นทแ่ี ตก ออกไป ซึง่ สามารถแตกความคิดออกไปเรื่อย ๆ ๖. การเขียนคา ควรเขียนดว้ ยคาทีเ่ ป็นคาสาคัญ (Key Word) หรือคาหลัก หรือเปน็ วลีทม่ี ี ความหมายชดั เจน ๗. คา วลี สัญลกั ษณ์ หรือรูปภาพใดท่ีต้องการเน้น อาจใชว้ ิธีการทาให้เด่น เช่น การล้อมกรอบ หรอื ใสก่ ลอ่ ง เป็นตน้ ๘. ตกแตง่ Mind Map ที่เขยี นด้วยความสนุกสนานทั้งภาพและแนวคิดทเี่ ช่ือมโยงตอ่ กัน กำรนำไปใช้ ๑. ใชร้ ะดมพลังสมอง ๒. ใช้นาเสนอขอ้ มลู ๓. ใชจ้ ัดระบบความคดิ และช่วยความจา ๔. ใช้วเิ คราะห์เนอ้ื หาหรืองานตา่ ง ๆ ๕. ใช้สรปุ หรอื สร้างองค์ความรู้

21 ใบควำมรู้ ครั้งท่ี 6 วิชำภำษำไทย รหัสวิชำ พท21001 ระดับมัธยมศกึ ษำตอนตน้ เรอื่ ง ควำมหมำยของคำ พยำงค์ วลี ประโยค และกำร สะกดคำ ควำมหมำยของคำ พยำงค์ วลี ประโยค และกำร สะกดคำ กลุม่ คา คือ ข้อความท่เี กิดจากการนาคาต้ังแตส่ องคาขนึ้ ไปมาเรยี งติดต่อกัน ทาให้เกิดความหมายเพ่มิ ขน้ึ ตาม ความหมายของคาเดมิ ทน่ี ามารวมกัน แต่เปน็ ความหมายพอเปน็ ที่เข้าใจไดย้ ังไม่สมบรู ณเ์ ปน็ ประโยค และไมเ่ กดิ เป็นคาใหมช่ นิดใดชนิดหน่งึ คือ คาประสม คาซ้อน คาซ้า คาสมาส หรอื คาสนธิ ชนดิ ของกลุ่มคำ วลีหรือกลมุ่ คาในภาษาไทยจาแนกไดเ้ ป็น 7 ชนิด ตามชนิดของคาทป่ี รากฏในตาแหน่งต้นของวลี ดังน้ี 1. นามวลี เช่น นกขุนทอง ผา้ ทอพน้ื บ้าน หนองขาว พนักงานโรงงานผลิตหนอ่ ไมก้ ระป๋อง 2. สรรพนามวลี เชน่ เราทุกคน ท่านคณะกรรมการสภาประจาสถาบนั ราชภัฏ- กาญจนบุรี ขา้ เบ้อื งยุคล บาท 3. กรยิ าวลี เชน่ โต้แยง้ ทุ่มเถียง เหนด็ เหนื่อยเม่ือยล้า อดิ หนาระอาใจกาลังโค้งคารวะ 4. วิเศษณว์ ลี เช่น ก้องกงั วาน ที่ใชข้ ยายคานามในคาวา่ เสียงก้องกังวาน สดุ ที่จะพรรณนา ขยายคากรยิ า ว่า สวย ในคาวา่ สวยสดุ ทีจ่ ะพรรณนา 5. บพุ บทวลี เช่น ทา่ มกลางฝงู ชน จากคนบ้านไกล ตามคาสง่ั สอน 6. สันธานวลี เช่น ถงึ อยา่ งไรก็ตาม ในระหว่างที่ ถา้ หากว่า 7. อทุ านวลี เชน่ พทุ โธเ่ อย๋ ! ตาเถรตกน้า! อกอีแปน้ แตก! หนำ้ ท่ีของกลุ่มคำ กล่มุ คาที่ทาหน้าที่ตา่ งๆ ในประโยคเชน่ เดียวกับคาชนดิ ต่างๆ ดงั นี้ 1. กลุม่ คาทใี่ ชเ้ หมือนคานาม - สภาพเศรษฐกจิ ของพมา่ ตกอยใู่ นฐานะลาบากมาก (เป็นประธาน) - แนวปะการงั นั้นเป็นแหลง่ ท่ีน่าสนใจศึกษา (เป็นประธาน) 2. กลุม่ คาที่ใช้เหมือนสรรพนาม ทา่ นให้เกียรติแก่พวกเราทุกคน (เปน็ กรรม) คณะนักกีฬาเหลา่ น้นั จะออกเดนิ ทางวันนี้ (เปน็ ประธาน) 3. กลุ่มคาที่ใชเ้ หมอื นคากริยา - เขากาลงั นอนหลบั ปุ๋ยอยา่ งสบายบนเตยี งนอน (เปน็ ตัวแสดง) - เดก็ นอ้ ยนั่งเขย่าตวั ไปตามจังหวะเพลง (เปน็ ตัวแสดง) 4. กล่มุ คาทใี่ ช้เหมือนคาบพุ บท - เขานอนอ่านหนังสืออยู่แถวๆข้างหลังบ้าน ( เชอ่ื มคากรยิ ากับนาม) - เขากนั เงินส่วนหนึ่งสาหรบั เพ่ือหาเสียง ( เชือ่ มกลุม่ คานามกบั คากรยิ า) 5. กลมุ่ คาท่ใี ชเ้ หมือนคาวิเศษณ์ หล่อนเปน็ คนที่มีจติ ใจมัน่ คงเขม้ แข็งมาก ( เป็นตัวขยายนาม)

22 หลายต่อหลายครัง้ ทเี่ ขาทาให้เราผดิ หวัง (เปน็ ตวั ขยายกรยิ า) 6. เปน็ กลมุ่ คาท่ีใชเ้ หมือนคาสนั ธาน - เขายังอดทนสู้ตอ่ ไป ถึงแม้ว่ากาลังเขาจะถดถอยลงไปทุกวนั ( เชื่อมประโยคกับประโยค) - น้าในเขื่อนลดลงไปมาก เพราะฉะน้นั จงึ ควยชว่ ยกันประหยดั นา้ (เชื่อมประโยคกับประโยค) 7. กลุ่มคาทใ่ี ช้เหมือนคาอุทาน - อะไรกนั นักกนั หนา! จะเก็บเงินอีกแล้วหรือน่ี - โอย๊ ตายแล้ว! ลืมปิดแกส๊ ประโยคในภำษำไทย ประโยค คือ ถอ้ ยคาทีม่ ีความเกยี่ วข้องกันถูกต้องตามระเบยี บของภาษาและมเี นือ้ ความบรบิ ูรณ์ ประกอบดว้ ยภาคประธานและภาคแสดง 1. องค์ประกอบของประโยค คาท่นี ามาเรยี งกันจะเป็นประโยคไดก้ ็ต่อเมื่อมีภาคประธานและภาคแสดง นอกจากนี้ประโยคยงั มอี งค์ประกอบอน่ื ๆอีก เช่น แมวเล่นในสวน แยกได้ แมว(ประธาน) เล่น(อกรรมกรยิ า) ในสวน(ขยายกริยา) อารขี ายผลไม้ทุกวนั แยกได้ อาร(ี ประธาน) ขาย(สกรรมกริยา) ผลไม(้ กรรม) ทกุ วนั (ขยายกรยิ า) ภารโรงสมนกึ เปน็ คนดี แยกได้ ภารโรง(ประธาน) สมนึก(ขยายประธาน) เป็น(วิกตรรถกริยา) คน ดี(ขยายกรยิ า) 2. รูปประโยคหลักของไทย มี 4 แบบ 2.1 ประโยคประธาน หมายถึงประโยคที่เอาผูก้ ระทาขนึ้ ต้นประโยค เช่น แดงเตะตะกร้อ 2.2 ประโยคกรรม หมายถึง ประโยคท่ีเอาผู้กระทาข้ึนต้นประโยค เชน่ นกั เรียนถูกครูตาหนิ 2.3 ประโยคกรยิ า หมายถึง ประโยคที่เอากริยา เกดิ มี ปรากฏ ขน้ึ ตน้ ประโยค เช่น มีขา้ วในนา 2.4 ประโยคการิต หมายถึง ประธานของประโยคประโยคกรรมมีผรู้ บั ใช้แทรกเข้ามา เชน่ คณุ แม่ใหฉ้ ันรด น้าต้นไม้ (ประธานมผี ู้รับใช้) หนังสอื ถกู ครใู หน้ ักเรยี นอา่ น(กรรมมผี ู้รบั ใช้) เพื่อนให้ฉันทาการบ้าน(ประธานมีผรู้ ับ ใช)้ 3. การจาแนกประโยคตามเจตนาผสู้ ่งสาร มี 4 ชนิด 3.1 ประโยคบอกเลา่ หรอื ประโยคแจ้งให้ทราบ เช่น ธรรมะย่อมชนะอธรรม 3.2 ประโยคคาถาม จะมีคาทแ่ี สดงคาถามกากบั อยู่ 2 ลกั ษณะ คือ ต้องการคาตอบทีเ่ ปน็ เนือ้ ความ และ ต้องการเพียงการตอบรบั หรอื ปฏเิ สธเท่าน้นั 3.3 ประโยคปฏิเสธ จะมีคาว่า ไม่ ประกอบอยู่เพอื่ แสดงให้เห็นวา่ มีความหมายตรงกนั ข้ามกับประโยคบอก เลา่ เชน่ นิธโิ รจน์ไมข่ ้เี กียจเรียนหนงั สอื วนั นาไม่เคยกนิ สม้ ตา

23 3.4 ประโยคคาสงั่ และขอร้อง เป็นประโยคทีม่ ลี ักษณะส่งั ให้ทาหรือขอร้องใหป้ ฏิบตั ิ ซึ่งสามารถละประธาน ไวไ้ ด้ เพราะผู้สง่ สารและผูร้ ับสารตา่ งเขา้ ใจและทราบวา่ สัง่ หรือขอร้องใคร เช่น ห้ามเดินลัดสนาม โปรดทาความ เคาระประธานในพธิ ี กรุณาถอดรองเทา้ ก่อนเข้าหอ้ งเรยี น 4. ชนิดของประโยค ชนดิ ของประโยคในภาษาไทยแบ่งตามลักษณะ เป็น 3 ชนดิ คอื 4.1 ประโยคความเดียว(เอกรรถประโยค) คอื ประโยคที่มใี จความสาคัญเพยี งหน่ึง คือ มปี ระธานตัวเดยี ว กริยาสาคญั เพียงตวั เดียวและอาจมีกรรมหรือไม่มีกไ็ ด้ โดยมโี ครงสร้าง ประธาน+กรยิ า+(บทกรรม) เช่น เราเดนิ อย่างรวดเรว็ เจ้าหน้าท่ีซื้อปลาจากแหลง่ เพาะพนั ธ์ุ การเดนิ เป็นการออกกาลังกาย โปรดน่ังเงยี บ เม่ือคืนน้ีพายุพดั บา้ นพัง 4.2 ประโยคความรวม(อเนกรรถประโยค) คือ ประโยคท่ีเกิดจากประโยคความเดียว ตัง้ แต่ 2 ประโยคขน้ึ ไปมารวมกนั โดยมีสันธานเปน็ ตวั เช่อื ม โดยมโี ครงสรา้ ง ประโยคความเดียว+สันธาน+ประโยคความเดยี ว ประโยค ความรวมแบ่งเปน็ 5 ชนิด 4.2.1 ประโยคความรวมเชือ่ มความคลอ้ ยตามกัน(อันวยาเนกรรถประโยค) ได้แก่ และ และแล้ว แล้วจงึ ...ก็ แล้ว...ก็ ทง้ั ...และ กับ ครัน้ ...จึง เม่ือ....ก็ 4.2.2 ประโยคความรวมเชื่อมความขดั แย้งกนั (พยติเรกาเนกรรถประโยค) ได้แก่ แต่ แตท่ ว่า กว่า...ก็ แมว้ ่า... แต่...ก็ ถงึ ....ก็ 4.2.3 ประโยคความรวมเชอื่ มความใหเ้ ลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง(วิกลั ป์ปาเนกรรถประโยค) ได้แก่ หรือ หรอื ไม่ก็ มิฉะนน้ั ไม่เชน่ นัน้ ไม่...ก็ 4.2.4 ประโยคความรวมเช่ือมความเป็นเหตเุ ปน็ ผล(เหตวาเนกรรถประโยค) ได้แก่ จงึ ดังนั้น...จึง ฉะ นัน้ ...จึง เพราะฉะน้ัน...จงึ 4.3 ประโยคความซอ้ น (สังกรประโยค) คอื ประโยคทปี่ ระกอบด้วยประโยคหลักและประโยคย่อยซงึ่ เปน็ ประโยคซ้อนอยู่ในประโยคหลัก โดยมีสนั ธานเป็นตัวเช่อื ม องคป์ ระกอบของประโยคความซอ้ นมี 2 ชนดิ คือ ประโยคหลัก(มุขยประโยค) คือ ประโยคทเ่ี ปน็ ใจความสาคัญ ของประโยคใหญ่ และประโยคย่อย(อนปุ ระโยค) คือ ประโยคทีท่ าหน้าท่ีช่วยประโยคหลักให้มใี จความชดั เจน สมบรู ณม์ ากข้นึ โดยประโยคย่อยแบง่ เป็น 3 ชนดิ 4.3.1 นามานุประโยค คือประโยคย่อยทาหนา้ ท่ีเหมือนคานาม โดยจะทาหนา้ ท่เี ปน็ บทประธาน บท กรรม และสว่ นเติมเต็มของประโยคหลกั 4.3.2 คุณานุประโยค คอื ประโยคย่อยทาหนา้ ที่เหมือนวิเศษณ์ โดยจะทาหน้าท่ีขยายคานามหรือสรรพ นาม ในส่วนที่เป็นประธานหรือเป็นกรรมของประโยคหลัก สนั ธานเชื่อมประโยค(เป็นประพนั ธสรรพนาม) คือ ท่ี ซงึ่ อนั ผู้ ทาหนา้ ทเี่ ช่อื มประโยคและแทนคานามหรือสรรพนามท่อี ยู่ข้างหนา้ ปากกาทว่ี างบนโต๊ะซอ้ื มาจากญ่ีปุน่ ประโยคหลกั ปากกาซ้ือมาจากญ่ีป่นุ สนั ธาน ที่ (ประพนั ธสรรพนาม แทน ปากกา) ประโยคย่อย ปากกาวางบนโตะ๊ (ทาหน้าทข่ี ยาย คานาม “ปากกา” ซ่ึงทาหน้าทเี่ ปน็ ประธานของประโยคหลัก

24 4.3.3 วเิ ศษณานุประโยค คอื ประโยคย่อยทาหนาท่ีเหมือนวเิ ศษณ์ โดยจะทาหนา้ ท่ขี ยายกริยาหรือ วิเศษณ์ ในส่วนท่เี ปน็ กริยาหรอื วเิ ศษณข์ องประโยคหลัก สนั ธานเชอ่ื มประโยคได้แก่(ประพันธวเิ ศษณ์)ได้แก่ ที่ เม่ือ ระหวา่ งท่ี ต้งั แต่ จนกระท่ัง เพราะ ตาม ราวกับ ขณะท่ี โดย เป็นตน้ ทาหน้าท่เี ชอื่ มประโยค หลกั กำรเขียนสะกดคำ ๑. ต้งั ใจฟงั คาทคี่ รูบอกให้ชัดเจน โดยนกึ ถึงความหมายของคาควบคูก่ นั ไปดว้ ย เพ่ือจะไดเ้ ขยี นไดอ้ ย่าง ถกู ต้อง ๒. เขียนตวั หนงั สือใหช้ ัดเจน เช่น อย่าใหห้ ัวขาด หยักใหถ้ กู ที่ อยา่ เขยี นลายมอื ติดกัน ซ่งึ จะทาให้ ตัวอกั ษรคล้ายกนั ๓. เขยี นหนังสอื ตามหลกั ตัวอกั ษรไทย วางเครื่องหมาย สระ และวรรณยุกต์ให้ถกู ที่ ๔. อยา่ เขยี นหนงั สอื เลน่ หาง หรือเขยี นตัวหนงั สือเหมือนในหนังสือการ์ตูน ๕. เขียนให้ลายมือสมา่ เสมอ อย่าให้โย้ไปหน้าบ้างหลงั บ้าง ๖. อย่าเขยี นตวั เลก็ เกินไป อา่ นแล้วปวดสายตา ๗. อยา่ เขียน ลบ ขีด ฆ่า สกปรก นอกจากดไู มง่ ามแล้ว ยงั แสดงถึงการทางานไมเ่ ป็นระเบยี บ เรยี บรอ้ ยอีกดว้ ย ๘. ควรเขยี นดว้ ยหมึกสีเข้ม สีทนี่ ยิ มกันวา่ สภุ าพ คือ “ สนี า้ เงิน ” อย่าให้หมึกจางทาให้อา่ นไมช่ ดั ๙. เวน้ ช่องไฟ ( เว้นระยะระหว่างตัวอักษร ) ใหเ้ ทา่ กัน ๑๐. เขยี นสะกดการันต์ ให้ถกู ต้องตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ๑๑. เม่อื เขียนเสร็จแล้ว กอ่ นสง่ ครตู รวจตอ้ งตรวจทานดูความถูกต้องท้งั หมดอีกครั้งหนึง่ ก่อนเสมอ ๑๒. การประอักษร คาหรือพยางค์ จะประกอบดว้ ย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ เสยี งวรรณยกุ ต์ เปน็ อย่างน้อย ซึ่งมีวธิ กี ารเขียนได้ ๔ วธิ ี ๑๒.๑. การประสมสามส่วน ประกอบด้วย พยญั ชนะตน้ สระ และวรรณยกุ ต์ อาจเป็น วรรณยุกต์มี รูปหรอื ไม่มีรูปก็ได้ เช่น พอ่ เปน็ การประสมอักษรสามสว่ น พ : เป็นพยญั ชนะตน้ ออ : เปน็ สระ เปน็ วรรณยุกต์ รูปเอก เสียงโท ๑๒.๒. การประสมส่สี ว่ น ประกอบด้วย พยญั ชนะต้น สระ พยัญชนะท้ายพยางค์ และวรรณยุกต์ เช่น งิ้ว เป็นการประสมอักษรสี่สว่ น ง : เป็นพยญั ชนะตน้ อิ : เป็นสระ ว : เป็นพยัญชนะท้ายพยางค์ หรอื ตัวสะกด : เป็นวรรณยุกต์ รปู โท เสยี งตรี ๑๒.๓. การประสมสี่ส่วนพิเศษ ประกอบด้วย พยัญชนะต้น สระ พยัญชนะท้ายพยางค์ ทีไ่ ม่ออกเสยี ง หรือตัวการันต์ และวรรณยุกต์ เช่น เล่ห์ เป็นการประสมอักษรส่ีส่วนพิเศษ ล : เป็นพยญั ชนะต้น

25 เอ : เปน็ สระ ห์ : เป็นพยัญชนะท้ายพยางค์ ทีไ่ ม่ออกเสียงหรือตัวการันต์ เปน็ วรรณยุกต์ รูปเอก เสียงโท ๑๒.๔. การประสมหา้ สว่ น ประกอบดว้ ย พยญั ชนะตน้ สระ พยญั ชนะท้ายพยางค์ พยญั ชนะทา้ ย พยางค์ทีไ่ ม่ออกเสยี งหรือตวั การันต์ และวรรณยุกต์ เช่น ลักษณ์ เปน็ การประสมอักษรห้าส่วน ล : เปน็ พยญั ชนะต้น อะ : เป็นสระ ก : เป็นพยัญชนะทา้ ยพยางค์ หรอื พยัญชนะตัวสะกด ณ์ : เปน็ พยัญชนะท้ายพยางคท์ ีไ่ มอ่ อกเสยี งหรอื ตวั การนั ต์ - : เป็นวรรณยุกต์ไม่มรี ูป เสียงโท ๑๓. ตัวอยา่ งการเขียนคาภาษาไทย ๑๓.๑ คาท่ปี ระวิสรรชนีย์ และไม่ประวสิ รรชนยี ์ ๑๓.๑.๑. พยางคท์ า้ ยคาที่มเี สียง อะ จะต้องประวสิ รรชนยี ด์ ว้ ย เช่น ธรุ ะ สขุ ะ ศลิ ปะ พละ วรรณะ สาธารณะ ฯ ๑๓.๑.๒. คาไทยแทส้ ่วนมาก ประวสิ รรชนีย์ ตรงพยางคท์ ่ีออกเสียง อะ เต็มมาตรา เชน่ กะทดั รัด กะทนั หนั กะละมัง ขะมักเขม้น คะแนน มะละกอ สะอาด สะดวก สะเทือน อะลุม้ อล่วย ฯ ๑๓.๑.๓. คาที่มีอักษรควบกับ ร เม่ือออกเสียง อะ ส่วนมากประวสิ รรชนีย์ เช่น กระเบียดกระเสยี ร ตระกูล ฯ ๑๓.๑.๔. พยางค์ทอี่ อกเสยี ง อะ ซึ่งกร่อนมาจากคาอนื่ สว่ นมากประวิสรรชนยี ์ เชน่ ฉะน้ัน มาจาก ฉันนัน้ ฉะน้ี มาจาก ฉนั นี้ ชะเอม มาจาก เฌอเอม ตะปู มาจาก ตาปู ตะขาบ มาจาก ตวั ขาบ ตะขบ มาจาก ตน้ ขบ มะมว่ ง มากจาก หมากม่วง สะดอื มาจาก สายดอื ตะวนั มาจาก ตาวนั ๑๓.๑.๕. คาที่มาจากภาษาบาลี สนั สกฤต ไม่ต้องประวิสรรชนีย์ ตรงพยางค์ท่ีออกเสยี ง อะ ถึงแม้จะออกเสยี ง อะ เต็มมาตรา และ ไม่ใชพ่ ยางค์ทา้ ยคา เช่น กรณี อา่ นว่า กะ – ระ – นี สรณะ อา่ นว่า สะ – ระ – นะ

26 อรหนั ต์ อ่านวา่ อะ – ระ – หัน ธรุ กิจ อา่ นวา่ ทุ – ระ – กดิ สขุ ศกึ ษา อา่ นวา่ สกุ – ขะ – สกึ – สา วรรณคดี อา่ นวา่ วนั – นะ – คะ – ดี ศิลปศกึ ษา อา่ นวา่ สนิ – ละ – ปะ – สกึ – สา วัฒนธรรม อา่ นว่า วดั – ทะ – นะ – ทา ๑๓.๑.๖. คาท่ีออกเสยี ง อะ ไม่เต็มมาตรา หรอื คาท่เี ป็นอักษรนา ไมต่ อ้ งประวิสรรชนยี ์ ตรงพยางค์ท่ี ออกเสยี ง อะ เชน่ ขโมย ขมกุ ขมวั เฉพาะ ฉบบั ชนวนน ชนิด ชนัก ชวา ทลาย ทแยง เสบยี ง สบู่ สไบ สกดั ฯ ๑๓.๒. การใช้ บนั บรร ๑๓.๒.๑ บัน- ใช้เปน็ พยางค์หนา้ ของคาบางคา เช่น บันดาล บันได บันทึก บนั เทิง บันลือ ๑๓.๒.๒ บรร- ใชเ้ ปน็ พยางคห์ นา้ ของคาซึ่งแผลงมาจาก ประ เช่น บรรจง มาจาก ประจง บรรจบ มาจาก ประจบ บรรจุ มาจาก ประจุ บรรทัด มาจาก ประทดั บรรทุก มาจาก ประทุก บรรลัย มาจาก ประลยั บรรลุ มาจาก ประลุ บรรเลง มาจาก ประเลง ๑๓.๓. การใช้ อา- อาม- อมั - มหี ลกั การใช้ดงั นี้ ๑๓.๓.๑ อา - มวี ิธีใชด้ ังนี้ ๑๓.๓.๑.๑. ใช้เขียนคาไทยทวั่ ไป กา ขา ตา รา ฯ ๑๓.๓.๑.๒. เขยี นคาที่มาจากภาษาอ่นื ซง่ึ ไมใ่ ช่ภาษาบาลี สันสกฤตหรือภาษายโุ รป เชน่ กาปน่ั กายาน กามะหยี่ สาปัน้ ฯ ๑๓.๓.๑.๓. เขียนคาแผลงทั่วไป เชน่ เกดิ แผลงเปน็ กาเนิด ชะ แผลงเปน็ ชาระ เสียง แผลงเป็น สาเนียง ๑๓.๓.๒. อมั - มหี ลกั การใช้ดงั นี้ ๑๓.๓.๒.๑. เขียนคาทม่ี าจากภาษา บาลี สนั สกฤต และภาษายุโรปทใ่ี ช้ ม สะกด เช่น กมั ปนาท คัมภรี ์ สัมพันธ์ อัมพาต กรัม ฯ ๑๓.๓.๓. อาม - มหี ลกั การใชด้ ังน้ี ๑๓.๓.๓.๑. เขียนคาท่ีแผลงมาจากภาษาบาลี สนั สกฤต ซ่ึงขนึ้ ตน้ ด้วย อม เช่น

27 อมหิต แผลงเป็น อามหิต อมรินทร์ แผลงเป็น อามรินทร์ อมฤต แผลงเป็น อามฤต ๑๓.๔. การใช้ ส ศ ษ ๑๓.๔.๑ การใช้ ส ส ใช้เขียนคาไทยและคาที่มาจากภาษาอน่ื เชน่ คาไทยแท้ สอง เสื่อ เสา สาย เสยี คาทม่ี าจากภาษาอนื่ สริ ิ โอกาส พสั ดุ พิสดาร เกสร ๑๓.๔.๒. การใช้ ศ ๑. สว่ นมากใช้เขยี นคาท่ีมาจากสนั สกฤต เชน่ อัศจรรย์ อาศัย พฤศจิกายน อัศเจรยี ์ ศรี ษะ ๒. ใชเ้ ขยี นคาไทยแท้บางคา เชน่ ศอก ศกึ เศร้า พิศ เลิศ ๓. ใชเ้ ขียนคามาจากภาษาอื่นบางคา เช่น ไอศกรมี ฝรั่งเศส ๑๓.๔.๓. การใช้ ษ ๑. ส่วนมากแล้วใช้เขียนคามาจากภาษาสนั สกฤต เชน่ กฤษฎกี า เศรษฐี พิษณุ อภิเษก พฤษภาคม ฯ ๒. ใช้เขยี นคาไทยแทบ้ างคา เช่น ดาษ ดาษด่นื ฝีดาษ ๓. ใชเ้ ขยี นคาทม่ี าจากภาษาอน่ื บางคา เช่น องั กฤษ กระดาษ

28 ใบควำมรู้ ครั้งที่ 7 วิชำภำษำไทย รหัสวิชำ พท21001 ระดบั มธั ยมศึกษำตอนต้น เร่ือง วรรณคดี วรรณกรรม 1.หลกั กำรพจิ ำรณำคุณค่ำวรรณคดีและวรรณกรรม วรรณกรรม คืองานเขยี นทกุ ประเภทท่ถี ่ายทอดออกมาโดยใชศ้ ลิ ปะในการใช้ภาษา เชน่ เรื่องสัน้ นวนิยาย บทกลอน บทความ วรรณคดี คอื ผลงานสร้างสรรคท์ ไ่ี ด้รบั การยกย่องวา่ แต่งดี มศี ิลปะในการประพนั ธ์ศึกษาให้คุณค่าควรมี การอ่าน สืบทอดกันมาเป็นเวลานานวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมีจนวนมากซงึ่ อาจแบ่ง ประเภทตามจดุ มงุ่ หมายการแต่ง และลักษณะเน้อื หาไดด้ งั นี้ ๑.วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาผู้แต่งจะนาเร่ืองราวจากคัมภีร์ต่างๆในพระพุทธศาสนา มาแต่ง เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งสั่งสอนให้ประพฤติดีละเว้นความช่ัว เช่น ไตรภูมิพระร่วง พระมาลยั คาหลวง มหาชาติคาหลวง พระปฐมสมโพธิกถา นอกจากน้ี ยังมวี รรณคดีและวรรณกรรมท่ีมเี น้อื หา ๒.วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีเป็นสุภาษิตคาสอนผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายที่จะส่ังสอนา ให้ข้อหรือเสนอแนว ทางการคิดปฏิบัติตนในการดเนินชีวิตา เช่น อิศรญาณภาษิต สุภาษิตสอนหญิง เพลงยาวถวายโอวาทสวัสดิรักษา สภุ าษิตพระร่วง ๓. วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ของไทย เช่น ลิลิตโองการแช่ง เนื้อหาเกย่ี วกบั การสาบานตนของขา้ ราชบริพารว่าจะจงรักภกั ดีต่อพระมหากษัตริย์ กาพย์เห่เรือพระราชพิธีเสด็จมี เนื้อหากล่าวถึง พระราชด เนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค พระราชพิธีสิบสองเดือน มีเน้ือหาอธิบาย ประเพณีไทยในเดอื นต่างๆ เป็นต้น ๔. วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับประวัติศาสตร์ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายท่ีจะบันทึกเรื่องราวทาง ประวัติและสดุดีเกียรติของวีรบุรุษ วีรสตรี เช่น โคลงภาพพระราชพงศาวดารลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตยวนพ่าย พงศาวดารมอญ เชน่ ราชาธิราช ๕. วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการแสดงผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายจะให้เกิดความเพลิดเพลินและ ความจรรโลง ใจ วรรณคดีและวรรณกรรมประเภทนี้จะนามาแสดงเป็นมหรสพโขนละคร หุ่นกระบอก หนังใหญ่ เช่น รามเกยี รติ์ พระอภัยมณอี เิ หนา อณุ รุท ๖. วรรณคดีและวรรณกรรมที่บันทึกประสบการณ์และความรู้สึกระหว่างการเดินทางวรรณคดีและ วรรณกรรม ประเภทนี้มุ่งท่ีจะบันทึกเส้นทางการเดินทาง สิ่งท่ีได้พบเห็นไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติหรือวิถีชีวิตของผู้ ความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่งระหว่างการเดินทาง นิราศนรินทร์น์ ทางเช่น นิราศต่างๆ ของสุนทรภู่ นิราศลอนดอน ไกลบ้าน ๗. วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวขอ้ งกับการปลุกใจให้รักชาตกิ ารเมืองมจี ุดมุ่งหมายจะให้เกดิ ความรัก ชาติ จงรักภกั ดตี ่อพระมหากษตั รยิ ์ เช่น พระร่วง เลอื ดสุพรรณหวั ใจนกั รบ คณุ ค่ำของวรรณคดแี ละวรรณกรรม

29 วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นบันทึกทางสังคมและสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคน้ันๆผ่าตัว ละครท่ี สร้างตามจินตนาการของผู้แต่ง ไม่ว่าจะเป็นพระราชา สามัญชน หญิง ชายผู้อ่านจึงสามารถเรียนรู้ สัจ ธรรมของชีวิต คนดีคนช่ัว ได้จากลักษณะนิสัยของตัวละครเหล่าน้ัน ได้ข้อคิดในการดาเนินชีวิต เช่น ความดีย่อม ชนะความช่ัว อภัยและเอาใจรู้จักการให้ เขามาใส่ใจเรา ดังนั้นวรรณคดีและวรรณกรรมจึงให้ทั้งความเพลิดเพลิน บันเทงิ ใจและชว่ ยกล่อมเกลาจิตใจมนุษยใ์ หม้ คี วามดี งามอีกด้วย กำรพจิ ำรณำคุณคำ่ ของวรรณคดีและวรรณกรรม ๑.คุณค่าด้านวรรณศิลป์วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการประพันธ์หนังสือ ให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ โดยมากมกั เน้นพิจารณา เรือ่ งการแสดงออกโดยใช้ถ้อยคา สานวนโวหารไพเราะมีลักษณะเด่นในเชิงการประพันธ์ สามารถถ่ายทอดความคิดความรสู้ กึ ของกวไี ดจ้ ับใจผู้อ่านและผู้ฟังใหเ้ กิดความรูส้ ึกคล้อยตามไปกบั กวดี ้วย การพิจารณาคุณค่าดา้ นวรรณศลิ ป์มีดงั นว้ี รรณคดที ่ไี ดร้ ับยกย่องว่าดีเด่นต้องมีกลวิธีการประพันธ์ท่ีดีเย่ียม และให้คาเหมาะสมกับลักษณะหน้าท่ีของคา ถูกต้องตรงความหมาย เหมาะสมกับเนื้อเร่ืองและมีเสียงเสนาะ ซ จินตนาการตามเนื้อเรื่องได้ จะต้องเข้าใจสานวนโวหารและภาพพจน์ ได้ยินเสียงเสมือน ได้เห็นภาพเกิดอารมณ์ สะเทือนใจ ม ความรสู้ ึกคล้อยตาม ดงั น้ี ๑.๑ การใช้โวหาร ๑.๑.๑ บรรยายโวหารเปน็ การเล่าเรอื่ ง เลา่ เหตุการณท์ ่ีมเี วลาสถานที่ ซึ่งแสดงให้เหน็ ความ ตอ่ เนือ่ งกนั การบรรยายมจี ุดมงุ่ หมายให้ผู้อ่านเขา้ ใจว่าเรือ่ งราวนั้นๆเกดิ ขึ้นและดาเนนิ ไปอย่างไร เรอ่ื งราวดงั กล่าว อาจเกิดข้ึนจริง หรือเปน็ เรื่องทีเ่ กดิ จากจนิ ตนาการของกวกี ็ได้ ๑.๑.๒ พรรณนาโวหาร เป็นการใหร้ ายละเอยี ดของเร่ืองราว เพื่อให้ผู้อ่านเหน็ สภาพหรือลักษณะ ทลี่ ะเอยี ดลออและพรรณนาความรู้สกึ กระทบอารมณ์ความรู้สกึ ของผู้อ่านทั้งนก้ี ารพรรณนา ทาใหผ้ ้อู ่านผู้ฟัง มองเห็นภาพพรรณนาจึงมักแทรกอยู่ในการเล่าเร่ืองหรือการบรรยาย ๑.๑.๓ เทศนาโวหาร คอื โวหารท่มี ่งุ ในการส่งั สอน โน้มนา้ วจิตใจผูอ้ า่ นให้คล้อยตาม ๑.๑.๔ สาธกโวหาร คือ โวหารที่มีจดุ มงุ่ หมายเพื่อใหเ้ กิดความชดั เจนด้วยการยกตวั อยา่ ง ประกอบเพื่ออธิบายสนับสนนุ ความคิดเห็นใหน้ า่ เชอ่ื ถือ ๑.๑.๕ อปุ มาโวหาร คือ โวหารเปรียบเทียบสง่ิ หนง่ึ กบั อกี สงิ่ หนง่ึ อ่านเข้าใจมากข้ึนเพ่ือให้ผู้ ๑.๒ การใช้ภาพพจน์ภาพพจนห์ มายถึง การใชถ้ อ้ ยคาท่ีทาใหผ้ ู้อา่ นหรือผู้ฟังเกิดภาพขึน้ ในใจ ซง่ึ กวี สามารถเขยี นเพื่อให้เกดิ ภาพพจนด์ ว้ ยวิธตี ่างๆเปน็ การพลิกแพลงภาษาใหแ้ ปลกออกไปกว่าทเี่ ปน็ อยูป่ กติกนั เช่น ทาให้เกดิ ความรสู้ กึ และอารมณ์ต่างกับภาษาที่ใช้อยา่ งตรงไปตรงมา ดงั น้ี ๑.๒.๑ อปุ มา คือ การเปรยี บเทยี บสง่ิ หนง่ึ คลา้ ยหรอื เหมือนกับอีกส่ิงหน่ึง โดยมีการแสดงความ เปรียบเทียบ เชน่ เปรียบ ประดจุ ดุจ ดง่ั เหมอื น ราวกับ ราว เพียง เพ้ียง ฯลฯ ๑.๒.๒ อปุ ลักษณ์ คอื การเปรียบส่งิ หนง่ึ เป็นอีกสงิ่ หนึ่ง ซ่งึ แตกตา่ งจากการอุปมา ใชค้ าว่า เปน็ คือ ใน การเปรยี บ ๑.๒.๓ สัญลักษณค์ ือ การเปรียบเทียบส่ิงหนง่ึ แทนอีกสงิ่ หน่ึง โดยไม่มคี าแสดงความเปรียบ

30 ๑.๒.๔ อติพจน์ คือ การใชถ้ ้อยคาทก่ี ลา่ วผดิ ไปจากความเป็นจริง โดยกลา่ วถึงสง่ิ หน่ึง สิง่ ที่ดูเกินมากกวา่ ความจริง ๑.๒.๕ บุคคลวัต คอื การกล่าวถงึ สง่ิ ทไ่ี ม่มชี ีวิตจิตใจใหม้ ีการกระทาเหมือนมนุษย์ ๑.๒.๖ สทั พจน์ คือ การใช้คาเลยี นเสียงธรรมชาติ กำรเล่นคำ หมายถึง การนาถ้อยคามาเล่นพลิกแพลงให้เกิดความหมายพิเศษ เกิดภาพเกิดเสียงไพเราะ เป็นวิธกี ารที่ นยิ มใช้ในวรรณคดีเพือ่ ใหเ้ กดิ ศิลปะในการใชถ้ อ้ ยคา พ้องรปู มที ัง้ เลน่ คาพ้องเสียงคาหลากความหมาย การซ้าคา เป็นตน้ คาหลากความหมายคือ การใช้คาท่ีส่ือความหมายได้หลายอย่าง เช่น ถึงบางพลัดเหมือนพี่ลัดมาขัดเคือง ทัง้ พลดั เมอื งพลัดสมรมาร้อนรน การซ้าคา คือ อาการใช้คาเดียวกันซ้าๆ เพื่อเน้นความหมาย เช่น “ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุด คดิ ”รา่ ยยาวมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ัทรี : เจ้าพระยาพระคลงั (หน) การเลน่ เสยี งหมายถึง การน้าเสยี งสัมผัสพยญั ชนะ สมั ผัสสระ และเสียงวรรณยุกต์มาเล่นเพื่อให้เกิดความ ไพ แสดงความสามารถของกวี เลน่ เสียงสัมผสั พยัญชนะคือการใช้เสยี งพยัญชนะต้นเสยี งเดยี วกันหลายๆ พยางค์ในวรรคหรือบทเดียวกัน เชน่ “แถวโนน้ ก็แก้วเกดพกิ ลุ แกมกับกาหลง” รา่ ยยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑม์ ทั รี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน) เล่นเสียงสัมผัสสระคือ การใช้สัมผัสสระหลายพยางค์ติดกัน เช่น ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า ไม่เหมือน เราภมุ รนิ ถวลิ หา เลน่ เสียงวรรณยกุ ต์คือ การใชค้ าทีม่ ีเสียงวรรณยกุ ต์ตา่ งกนั เพื่อให้เกิดความไพเราะหรือเพ่ือเน้นความ เช่น ตอ้ ยตะรดิ ตดิ ต่ี ๒. คุณค่าด้านเน้ือหา หมายถึง ใจความของเรื่อง รายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในเหตกุ ารณ์ต่างๆของ วรรณคดแี ละวรรณกรรมเนอื้ หาจงึ ประกอบด้วย ฉาก ตวั ละคร เหตกุ ารณต์ า่ งๆ บทสนทนาของตัวละคร การ พิจารณาคุณ ด้านเน้ือหา จงึ ต้องพิจารณาองคป์ ระกอบเหล่านีว้ ่ามีครบถว้ นหรือไมส่ มจรงิ อย่างไร มีเหตผุ ลเพยี งใด มคี ุณคา่ ตอ่ ผู้อา่ น ในด้านเนื้อหานอกจากเน้อื เรื่องสนกุ สนานแล้วยังต้องมีความไพเราะของคาประพนั ธ์ดว้ ยเน้ือหา ทด่ี ีจะต้องอา่ นแล้วประทับใจในแงม่ มุ ใดแง่มุมหนึ่งการพจิ ารณาคณุ ค่าด้านเน้ือหา จะมุง่ ไปพจิ ารณาองค์ประกอบ ของเน้ือหาวา่ มคี ุณค่าหรืออย่างไร เช่น “ชายขา้ วเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่าพ่ึงเรือเสอื พ่ึงป่าอชั ฌาสยั นี้ เราก็จิต คดิ ดเู ล่าเขารักกใ็ จกันไว้ดีกว่าชงั ระวังการ” อศิ รญาณภาษติ : หมอ่ มเจา้ อิศรญาณ อิศรญาณภาษิตชใี้ หเ้ ห็นวา่ มนุษยค์ วรพ่ึงพาซึ่งกันและกนั เพราะไม่อาจอยู่คนเดียวในโลก รู้จกั เอาใจเขามาใสใ่ จเราเป็นส่งิ ดีทคี่ วรมใี หก้ ัน การ อา่ นวรรณคดแี ละวรรณกรรมนอกจากจะไดค้ วามรู้แลว้ ให้เกดิ ความเพลดิ เพลินยงั บนั เทงิ ใจ มีเน้อื เร่ืองสนุกสนาน ต่ืนเต้นโลดโผนและมีข้อคดิ เตือนใจอีกดว้ ย ๓. คุณค่าดา้ นแนวคิดตามฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒พ.ศ. แนวคดิ หมายถึงความคดิ ที่มี แนวทางปฏบิ ัติตวั คดิ ทางวรรณคดีและวรรณกรรมจงึ หมายถึง สารหรือความคิดทผ่ี ูเ้ ขียนตอ้ งการส่ือมาให้ผอู้ า่ น แนวทางปฏบิ ัติ อาจจะสื่อผ่านพฤติกรรมตัวละคร เน้ือหาหรือเหตุการณ์ต่างๆ โดยให้ผู้อ่านพิจารณาเรื่องท่ีออกมา เป็นแนวคดิ สาคัญ กลอนดอกสรอ้ ย เช่น พึงในป่าช้ามีแนวคิดสาคัญของเร่ือง คือ ความไม่แน่นอนของชีวิต มนุษย์

31 อาจหลีกหนีความตายไปได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ดังบทกลอนต่อไปนี้ “ซากเอ๋ยซากศพ อาจเป็นซากนักรบผู้ กลา้ หาญ” เชน่ ชาวบา้ นบางระจนั ขันรบาญ กับหมมู่ า่ นมาประทุษอยุธยา ๔.การสอนเร่ืองความกตญั ญูช่น “ทรลกั ษณ์อกตัญญตุ าเขา เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหนให้ทุกข์ร้อนงอนหง่อทรพล พระเวทมนตร์เส่ือมคลายทลาย ยศ”พระอภยั มณี : สุนทรภู่ ๔.คุณค่าด้านสังคมคือภาพสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนท่ีสะท้อนมาจากและวรรณกรรมโดยคดี กวี นิยมแทรกไว้ในเน้ือเร่ือง เช่น ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม ความเป็นอยู่การประกอบอาชีพ วรรณคดีและวรรณก เสมือนกระจกสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคสมัยซ่ึงเป็นหลักฐานที่บอกเล่าเร่ืองราวในอดีตแก่คนรุ่นหลังได้ ตัวอย่างคุณค่าด้านสังคมท่ีปรากฏในวรรณคดีเร่ืองช้างขุนแผนขุน “คร้ันรุ่งเช้าข้ึนพลันเป็นวันดีทองประศรีจัดเรือ กญั ญาใหญ่เอาขันหมากลงบรรทุกขลกุ ขลุ่ยไป หามโหรีใสท่ ้ายกัญญาขันหมากเอกเลือกเอาท่ีรูปสวยนุ่งยกห่มผวย จับผิวหน้าก็ออกเรือด้วยพลันทันเวลาครู่หนึ่งถึงท่าศรีประจันจึ่งจอดเรือเข้าหน้าสะพ านใหญ่ตาผลว่ิงไปเอาไม้ก้ัน เสียเงินทองใหข้ นึ้ ไปพลนั ขนขันหมากขึ้นบนบันไดยายเป้าเถ้าแก่อยูท่ บี่ ้านกน็ ับขานเงินตราแลผา้ ไหว้” 2.๑. ควำมเป็นมำของเพลงกลอ่ มเดก็ หรอื เพลงกล่อมลูก ความเป็นมาของเพลงกล่อมเด็กหรือเพลงกล่อมลูก เป็นวัฒนธรรมท้องถ่ินอย่างหนึ่งท่ีสะท้อนให้เห็นถึง ความเชอ่ื และคา่ นิยมของคนในทอ้ งถ่นิ ต่างๆ ทั้งในทกุ ชาตทิ กุ ภาษาในโลกก็จะมีบทเพลงกล่อมเด็ก สันนิษฐานว่า เพลงกล่อมลูกหรือเพลงกล่อมเด็กมีวิวัฒนาการของเพลงมาจากการเล่านิทานให้เด็กฟังก่อนนอนในลักษณะคา กลอนหรือเป็นเพลงกล่อม ซง่ึ จะเป็นกลอนชาวบ้านไมม่ ีแบบแผนแน่นอน จะมีเพียงแต่สัมผัสคล้องจอง ถ้อยคาท่ี ใช้ในบางคร้งั อาจจะไม่มีความหมายเน้ือเร่ืองก็จะเป็นเกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม หรือเร่ืองราวต่างๆที่เก่ียวกับ ชีวติ ความเป็นอยู่ ซึ่งสะท้อนให้เหน็ ความรัก ความหว่ งใย เพลงกล่อมลูกถือเป็นคติชาวบ้านท่ีใช้ภาษาเป็นส่ือ เป็นวรรณกรรมท่ีไม่มีการเขียนหรือบันทึกเป็นลาย ลักษณ์อักษรแต่อาศัยการท่องจาและบอกเล่าตกทอดจากรุ่นปู่รุ่นย่าสู่รุ่นพ่อรุ่นแม่ สืบทอดไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ความสาคัญของเพลงกล่อมเด็กเป็นเพลงท่ีทาให้พ่อแม่ได้มีความใกล้ชิดกับลูกได้ใช้เสียงในการสะท้อนให้เห็นการ สอนในเรอื่ งของภาษา สาเนียงใหต้ ิดหูกน่ นอนทาให้หลับง่าย ก่อนนอนของเด็กเป็นช่วงสาคัญและการให้เด็กหลับ อย่างมีความสุข หลับสนิท เด็กก็จะมีช่วงของการตื่นท่ีสดชื่น ไม่ร้องโยเย การท่ีแม่จะเล่าอะไรให้ลูกฟังหรือเอ้ือน เอ่ยจะเป็นสาเนยี งหรือการเล่าเรอื่ งราวทาใหเ้ กิดความอบอุน่ และความสขุ แกล่ กู ขณะกาลงั หลับและหลับสนิทอย่าง มีความสขุ

32 ใบควำมรู้ คร้งั ท่ี 8 วิชำเศรษฐกิจพอเพียง รหัสวชิ ำ ทช21001 ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนตน้ เรอ่ื ง กำรวำงแผนประกอบอำชพี แบบพอเพียง ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง จากแนวพระราชดารขิ องพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) ท่ที รงให้ แนวทางการดาเนนิ ชวี ติ แก่พสกนกิ รชาวไทยตลอดนานกวา่ 30 ปี คือ ใชจ้ ่าย 3 ส่วน และเกบ็ ออม 1 สว่ น ฉนั และ ครอบครวั ได้นามาปฏบิ ัติทาให้มคี วามเป็นอยดู่ ีขึ้น ภายใตป้ รชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ การนาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวัน ครอบครวั ของฉันอยูแ่ บบเศรษฐกจิ พอเพยี งตามแนวพระราชดารทิ พ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ทรง ดงั นี้ 1.พอมีพอกนิ ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบา้ ง ปลกู ไม้ผลไว้หลังบา้ น 2-3 ต้น พอทีจ่ ะมีไว้กนิ เองในครัวเรือน แบ่งใหเ้ พ่ือนบ้านบ้าง เหลือจึงขายไป 2.พออยู่พอใช้ ทาให้บา้ นน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กล่ินเหมน็ ใชแ้ ตข่ องท่เี ปน็ ธรรมชาติ รายจา่ ยลดลง สขุ ภาพจะดีขน้ึ (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล) คุณพ่อของฉนั และฉันมักเนน้ เกีย่ วกับเรอื่ งไฟฟ้าและนา้ ประปา ท่าน ให้พวกเราชว่ ยกันประหยดั ไม่วา่ จะอยู่ท่บี ้านหรือโรงเรียน ก็ควรปิดน้า ปดิ ไฟ เมื่อเลิกใช้งานทุกครง้ั 3.พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไมใ่ ครอ่ ยากใครม่ ีเช่นผอู้ ่ืน เพราะเราจะหลงติดกับวตั ถุ ชวี ิต โดยจะอยูใ่ นกิจกรรม “ออมวันนี้ เศรษฐวี นั หนา้ ” 4.เม่ือมีรายได้แตล่ ะเดอื น จะแบง่ ไว้ใชจ้ า่ ย 3 ส่วน เปน็ ค่าน้า คา่ ไฟ คา่ โทรศพั ท์ ค่าจิปาถะ ท่ีใชใ้ นครัวเรอื น รวมทัง้ คา่ เสอ้ื ผ้า เคร่ืองใชบ้ างอยา่ งที่ชารุด เปน็ ตน้ 5.ฉันจะยึดความประหยัด ตดั ทอนรายจา่ ยในทกุ ๆ วันทไี่ ม่จาเปน็ ลดละควาฟุ่มเฟือย การปฏิบตั ติ ามแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง  ยดึ หลกั พออยู่ พอกนิ พอใช้  ยึดความประหยดั ตัดทอนค่าใชจ้ ่าย ลดความฟุม่ เฟือย ในการดารงชีพ “ความเปน็ อยู่ที่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อตอ้ งประหยัดไปในทางทถ่ี ูกต้อง”  ยดึ ถอื การประกอบอาชีพดว้ ยความถกู ตอ้ งและสจุ รติ “ความเจริญของคนท้งั หลายย่อมเกิดมาจากการประพฤตชิ อบ และการหาเล้ียงชพี ชอบเปน็ สาคญั ”  ละเลกิ การแก่งแย่งผลประโยชนแ์ ละแขง่ ขนั ในการคา้ ขาย ประกอบอาชีพแบบต่อสูก้ นั อยา่ งรนุ แรง “ความสุขความเจรญิ อนั แท้จรงิ หมายถงึ ความสุข ความเจรญิ ทบ่ี ุคคลแสวงหามาได้ดว้ ยความเป็นธรรมท้ังใน เจตนาและการกระทา ไมใ่ ช่ไดม้ าดว้ ยความบังเอิญหรือดว้ ยการแกง่ แย่งเบียดบังจากผ้อู ่ืน”  มุง่ เน้นหาขา้ วหาปลา ก่อนมงุ่ เนน้ หาเงินหาทอง  ทามาหากินก่อนทามาคา้ ขาย  ภมู ิปญั ญาชาวบ้านและท่ดี นิ ทากิน คือทนุ ทางสงั คม  ต้งั สตทิ ีม่ นั่ คง รา่ งกายทแ่ี ข็งแรงปัญญาท่ีเฉียบแหลม

33 ข้อเสนอแนะ เศรษฐกจิ พอเพียงจะดาเนนิ ไปไดด้ ี ด้วยการ ประชาสัมพันธใ์ ห้ทุกคนปฏิบัตติ าม ท่ีขอให้อย่าลมื ที่จะปฏิบัตใิ น เร่อื ง ความขยัน ประหยัด ซ่ือสัตย์ อดทน ปฏิบัตติ นเปน็ คนดี ดาเนินชวี ิตแบบเรยี บงา่ ยใหพ้ อเพียง พอกิน และ พอใช้ โดยยดึ หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ถงึ เวลาแล้วท่ีพวกเราทุกคนควรรว่ มมือ รว่ มใจ กันปฏบิ ัติตามแนวพระราชดารเิ ศรษฐกจิ พอเพียงของใน หลวงตง้ั แต่ยังเดก็ แล้วจะติดเปน็ นิสยั ความพอเพียงไปตลอดชวี ิต สามารถนาไปพฒั นาตน พฒั นาประเทศชาติให้ เจรญิ กา้ วหน้า เป็นบคุ คลท่ีมีคณุ ภาพ เป็นคนดขี องสังคม การประยกุ ตป์ ลูกฝงั ใชเ้ ศรษฐกิจพอเพยี งในโรงเรยี น เร่ิมต้นจากการเสรมิ สรา้ งคนให้มีการเรยี นรู้ วชิ าการและทักษะต่างๆ ทีจ่ าเปน็ เพ่อื ให้สามารถ รเู้ ท่าทันการเปล่ียนแปลงในด้านตา่ งๆ พร้อมท้ังเสรมิ สร้างคุณธรรม จนมีความเข้าใจและตระหนักถึงคุณคา่ ของ การอยู่รว่ มกันของคนในสังคม และอย่รู ่วมกับระบบนิเวศนว์ ิทยาอยา่ งสมดุล เพ่ือจะไดม้ ีความเกรงกลวั และละอาย ต่อการประพฤติผิดมิชอบ ไม่ตระหนี่ เปน็ ผู้ให้ เก้ือกลู แบง่ ปนั มสี ติยง้ั คดิ พจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ ก่อนที่จะ ตัดสินใจ หรอื กระทาการใดๆ จนกระท่ังเกิดเปน็ ภมู ิคมุ้ กันที่ดีในการดารงชวี ิต โดยสามารถคิดและกระทาบน พนื้ ฐานของความมเี หตุมีผล พอเหมาะ พอประมาณกับสถานภาพ บทบาทและหนา้ ท่ีของแต่ละบคุ คล ในแต่ละ สถานการณ์ แลว้ เพียรฝึกปฏิบัติเช่นนี้ จนตนสามารถทาตนให้เปน็ พ่ึงของตนเองได้ และเปน็ ท่พี ่ึงของผู้อ่ืนได้ใน ท่สี ดุ เศรษฐกิจพื้นฐาน ประกอบด้วยลักษณะสาคัญคือ • เป็นเศรษฐกจิ ของคนทั้งมวล • มีชุมชนที่เข้มแขง็ เป็นพ้ืนฐานของเศรษฐกิจ • มคี วามเป็นบรู ณาการเขม้ แขง็ ไปพร้อม ๆ กนั หมด ทัง้ เรอ่ื งเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดลอ้ ม และ วัฒนธรรม • เติบโตบนพ้นื ฐานทเ่ี ข้มแขง็ ของเราเอง เชน่ ด้านเกษตร หตั ถกรรม อตุ สาหกรรม สมนุ ไพร อาหาร การท่องเทยี่ ว เปน็ ตน้ • มกี ารจดั การท่ดี ีเปน็ พื้นฐาน ส่งเสริมการเกดิ นวัตกรรมตา่ ง ๆ ใหส้ ามารถนามาใช้งานได้อยา่ งต่อเน่อื ง การพฒั นาประเทศตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาประเทศ มไิ ด้มแี บบอย่างตายตัวตามตารา หากแต่ตอ้ งเปน็ ไปตามสภาพภมู ิประเทศทาง ภมู ศิ าสตร์ สังคมวิทยา วฒั นธรรมชมุ ชน ที่มีความหลากหลาย ในขณะเดยี วกนั เราก็ต้องเขา้ ใจในการเปลี่ยนแปลง ของสังคมโลกท่เี กิดขน้ึ อย่างรวดเร็วตามอทิ ธิพลของกระแสโลกาภิวัฒน์ ควบคไู่ ปกับการพยายามหาแนวทางหรอื วิธกี ารที่จะดารงชีวติ ตามหลักการพนื้ ฐานของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ใหด้ าเนนิ ไปได้อย่างสมดุลและสอดคล้องกบั สภาพแวดล้อมในยุคโลกาภิวฒั น์ โดยอาศยั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงเปน็ ตวั สรา้ งภมู คิ ุม้ กันต่อผลกระทบทช่ี ุมชน อาจจะไดร้ ับ ไมใ่ ห้กระแสเหล่านนั้ มาทาลายเอกลกั ษณ์และวัฒนธรรมชมุ ชนจนต้องลม่ สลายไป

34 จากแนวพระราชดาริ เศรษฐกจิ พอเพียง เป็นแนวทางที่ใหป้ ระชาชนดาเนินตามวถิ แี หง่ การดารงชพี ท่ี สมบรู ณ์ ศานตสิ ุข โดยมีธรรมะเปน็ เคร่ืองกากับ และใจตนเปน็ ทีส่ าคญั ซึ่งก็คือ วถิ ชี วี ิตไทย ท่ยี ึดเส้นทางสายกลาง ของความพอดี ในหลกั ของการพงึ่ พาตนเอง 5 ประการ คอื • ความพอดดี ้านจิตใจ : เขม้ แข็ง พงึ่ ตนเองได้ มจี ติ สานึกท่ีดี เอ้ืออาทร ประณีประนอม คานงึ ถึงผลประโยชน์ ส่วนรวม • ความพอดีด้านสงั คม : มกี ารช่วยเหลอื เก้ือกูลกนั สรา้ งความเข้มแข็งให้แก่ชมุ ชน รู้จักผนกึ กาลงั และท่สี าคัญมี กระบวนการเรยี นรู้ท่ีเกิดจากฐานรากท่มี ัน่ คงและแขง็ แรง • ความพอดดี ้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม : รู้จักใชแ้ ละจัดการอย่างฉลาดและรอบคอบ เพือ่ ใหเ้ กดิ ความยง่ั ยืนสงู สุด ใช้ทรัพยากรท่ีมีอยใู่ นประเทศ เพื่อพฒั นาประเทศให้มน่ั คงเปน็ ข้นั เปน็ ตอนไป • ความพอดีด้านเทคโนโลยี : รูจ้ กั ใชเ้ ทคโนโลยที ี่เหมาะสมใหส้ อดคล้องกบั ความต้องการและควรพฒั นา เทคโนโลยีจากภมู ปิ ัญญาชาวบ้านของเราเอง และสอดคลอ้ งเปน็ ประโยชน์ตอ่ สภาพแวดล้อมของเราเอง • ความพอดดี ้านเศรษฐกจิ : เพิม่ รายได้ ลดรายจ่าย ดารงชวี ิตอย่างพอสมควร พออยู่ พอกินตามอัตภาพ และ ฐานะของตนเอง จะเหน็ ไดว้ ่าการพัฒนาเริ่มจาก การสร้างพืน้ ฐาน ความพอกนิ พอใช้ ของประชาชนในชาติเปน็ สว่ นใหญ่ ก่อน แล้วจงึ คอ่ ยเสรมิ สรา้ งความเจริญและฐานะทางเศรษฐกจิ . ตามลาดับ เพื่อจะไดเ้ กดิ สมดลุ ทางด้านต่าง ๆ หรือ เปน็ การดาเนนิ การไปอย่างเปน็ ข้นั เป็นตอน จากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหน่ึง โดยสร้างความพร้อมทางด้าน ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ท่ีไม่ใชเ่ ป็นการ “ ก้าวกระโดด ” ที่ต้องใช้ปัจจยั ภายนอกตา่ ง ๆ มาเป็นตวั กระต้นุ เพียง เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความทนั กันในชั่วขณะหน่งึ ซึ่งในที่สดุ ประชาชนไมส่ ามารถปรบั ตัวใหส้ อดคล้องกบั ความต้องการและ การแข่งขนั ดงั กลา่ วได้ กจ็ ะเกิดปัญหาตามมา ดังทปี่ ระเทศไทยไดป้ ระสบปญั หาเศรษฐกจิ เมอ่ื ปี 2540 ดา้ นเศรษฐกจิ …การประยกุ ตใ์ ช้ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง… …ระดบั บุคคลและครอบครัว… ดา้ นจติ ใจ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ใชช้ ีวิตอย่างพอควร คิดและวางแผนอยา่ งรอบคอบ มี ด้านสงั คม ภูมิคุ้มกันไม่เสีย่ งเกนิ ไป การเผ่อื ทางเลือกสารอง ดา้ นทรัพยากร ธรรมชาติและ มจี ติ ใจเขม้ แข็ง พ่งึ ตนเองได้ มีจติ สานึกท่ีดี เอื้ออาทรประนีประนอมนึกถึง สิง่ แวดล้อม ผลประโยชนส์ ว่ นรวมเป็นหลกั ด้านเทคโนโลยี ช่วยเหลอื เก้อื กลู กัน ร้รู กั สามัคคี สรา้ งความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชมุ ชน รจู้ กั ใชแ้ ละจดั การอย่างฉลาดและรอบคอบ เลอื กใชท้ รัพยากรท่มี ีอยู่อย่างคุ้มคา่ และ เกิดประโยชนอ์ ยา่ งสูงสดุ ฟนื้ ฟูทรพั ยากรเพื่อให้เกิดความยัง่ ยนื สงู สุด รจู้ กั ใชเ้ ทคโนโลยที ่ีเหมาะสม สอดคลอ้ งกับความต้องการและสภาพแวดลอ้ ม (ภูมิสังคม) พฒั นาเทคโนโลยจี ากภูมิปญั ญาชาวบา้ นเองก่อน ก่อให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก

35 ตวั อยา่ งการประยกุ ต์ใช้เศรษฐกิจพอเพยี งในระดับบคุ คลและครอบครวั ตวั อย่างการใชจ้ ่ายอยา่ งพอเพยี ง พอประมาณ : รายจ่ายสมดลุ กับรายรับ มีเหตุมผี ล : ใชจ้ า่ ยอย่างมีเหตุผล /มคี วามจาเปน็ /ไมใ่ ช้ส่ิงของเกนิ ฐานะ /ใช้ของอยา่ งคมุ้ ค่า ประหยดั มีภูมคิ ุ้มกัน : มเี งนิ ออม /แบง่ ปันผ้อู น่ื /ทาบุญ ความรคู้ ู่คุณธรรม : ประกอบอาชีพท่ีสุจริต ดว้ ยความขยันหม่ันเพียร ใชส้ ตปิ ัญญาในการตัดสนิ ใจ และดาเนินการตา่ งๆ เพ่ือให้เท่าทันตอ่ การเปลยี่ นแปลง การประยุกตใ์ ช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ระดับชุมชน ตัวอยา่ งกิจกรรมเศรษฐกจิ พอเพยี ง (ด้านเศรษฐกิจ) หลักปฏบิ ัติ ตวั อย่างกิจกรรม 1. รู้จกั การใชจ้ า่ ยของตนเอง –บันทึกบัญชรี ายรบั และรายจ่าย -ใชจ้ า่ ยอยา่ งมเี หตุมีผล -วิเคราะห์บัญชรี ายรับและรายจ่าย -อยา่ งพอประมาณ -แลกเปลี่ยนประสบการณ์ -ประหยดั เท่าทจี่ าเป็น -รับเปลยี่ นพฤตกิ รรมการบริโภคเพอ่ื ลด รายจา่ ยท่ีฟ่มุ เฟือย 2. รจู้ กั ออมเงนิ มีกลไกลดความเสีย่ ง -ออมวนั ละหน่ึงบาท –ระบบสวสั ดกิ าร –สัปดาหก์ ารออม –ระบบออมเงนิ -จัดตง้ั กล่มุ /สหกรณ์ออมทรัพย์ –ระบบสหกรณ์ –ระบบประกันตา่ งๆ 3. รูจ้ ักประหยดั -ปลูกผกั สวนครัวรวั้ กินได้ -ใชแ้ ละกนิ อย่างมีเหตุผลไม่ฟุม่ เฟือย -เล้ยี งปลา เลยี้ งไก่ ไว้กิน ไว้ขาย -ใช้พลงั งานเทา่ ทีจ่ าเปน็ -ใช้สินค้าที่ประหยัดพลงั งาน -ใช้ทรพั ยากรอย่างคุ้มค่า -รีไซเคลิ ขยะเพื่อนามาใช้ใหม่ -นาของเหลือใช้ มาทาใหเ้ กิดประโยชน์ 4. พึง่ ตนเองได้ทางเศรษฐกจิ โดยผลิต หรอื เนน้ การผลิตเพ่ือพ่งึ ตนเอง ใหพ้ อเพยี งกบั การ สรา้ งรายไดท้ ่ี บรโิ ภค และการผลติ ที่หลากหลาย เชน่ -ปลกู พืชผกั ผสมผสาน -สอดคล้องกับความต้องการ

36 หลักปฏบิ ัติ ตัวอย่างกจิ กรรม -สอดคล้องกับภูมสิ งั คม -ปลูกพืชสมนุ ไพรไทย -สอดคล้องกับภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ -ผลติ สินคา้ จากภมู ิปญั ญาท้องถิน่ -สอดคล้องกับทรัพยากรท้องถิ่น -จัดอบรมพฒั นาอาชีพในชุมชน ตัวอยา่ งกจิ กรรมเศรษฐกิจพอเพยี ง (ดา้ นสังคม) หลักปฏิบัติ ตวั อยา่ งกจิ กรรม 5. รู้จักช่วยเหลือสงั คมหรอื ชุมชน พัฒนาความรู้คู่คุณธรรม ผา่ นกิจกรรมรวมกลุ่ม › ปลูกจิตสานกึ สาธารณะ ตา่ งๆ › ปลกู ฝงั ความสามคั คี › ปลกู ฝังความเสียสละ › จัดกจิ กรรมลด ละ เลิก อบายมุข › เผยแพร่องค์ความรู้เศรษฐกิจ › จัดกจิ กรรมชว่ ยเหลอื ผู้ด้อยโอกาส › จดั ค่ายพัฒนาเยาวชน พอเพียง › จัดตัง้ ศูนยเ์ รยี นรู้ภายในชมุ ชน ตวั อยา่ งกิจกรรมเศรษฐกจิ พอเพียง (ดา้ นส่งิ แวดล้อม) หลกั ปฏิบตั ิ ตัวอย่างกจิ กรรม 6. สร้างสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติ พัฒนาความรูเ้ กย่ี วกบั ดนิ นา้ ปา่ เพื่อฟื้นฟู › ปลูกจิตสานึกรักษ์สงิ่ แวดล้อม รักษา › ฟ้ืนฟูแหลง่ เส่ือมโทรมในท้องถน่ิ › ฟ้นื ฟแู ละอนรุ ักษ์ทรัพยากรใน › โครงการชีววิถี › จัดอบรมการอนรุ ักษ์ ท้องถิน่ ทรพั ยากรธรรมชาติ › ฟน้ื ฟูดแู ลสถานท่ีท่องเทีย่ วใน › จดั ทาฝายแม้ว หลักปฏิบตั ิ ตวั อยา่ งกิจกรรมเศรษฐกจิ พอเพยี ง (ดา้ นวัฒนธรรม) ตัวอยา่ งกิจกรรม 7. สืบสานวฒั นธรรมไทย › ปลูกฝังมารยาทไทย › สรา้ งจติ สานึกรักษ์ไทยรักบา้ นเกิด › ส่งเสรมิ อาหารประจาท้องถ่ิน › ฟื้นฟแู ละอนรุ ักษ์อาหารประจา › ส่งเสรมิ การใชภ้ าษาประจาท้องถิ่น › ทานุบารงุ โบราณวัตถแุ ละ ท้องถน่ิ

37 หลักปฏิบัติ ตัวอยา่ งกจิ กรรม › ฟื้นฟแู ละอนุรักษ์ดนตรีไทยและ โบราณสถาน เพลงไทย › ฟืน้ ฟูและอนุรักษ์วัตถโุ บราณและ โบราณสถาน 8. สง่ เสริมพระพทุ ธศาสนา › ให้ความสาคัญกบั การรักษาศลี หรือสวด › ปลูกจิตสานึกความรักชาติ มนตเ์ ป็นประจา › ตระหนักถงึ คณุ ค่าของ › สง่ เสริมการฝึกอบรมสมาธิภาวนา พระพทุ ธศาสนา › รว่ มกันทะนบุ ารงุ ศาสนา › จงรักภักดตี อ่ พระมหากษัตริย์ › พฒั นาภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ › รณรงค์การใชส้ ินค้าไทย สรปุ ขอ้ สังเกตเกย่ี วกับการประยกุ ตใ์ ช้เศรษฐกจิ พอเพียง การประยกุ ตใ์ ชป้ รชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เกดิ ได้หลายด้านและหลายรูปแบบ ไมม่ สี ูตรสาเร็จแต่ละ คนจะต้องพิจารณา ปรับใช้ ตามความเหมาะสม ให้สอดคล้องกับ เง่ือนไขและสภาวะที่ตนเผชิญอยู่ ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง จะช่วยให้เรา “ฉุกคิด” ว่ามีทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้เกิดความยั่งยืน ม่ันคง และสมดุลในระยะยาว เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ประกอบไปดว้ ยอะไรบา้ งนนั้ เราได้สรปุ รวบยอดมาให้เข้าใจได้งา่ ยๆ พรอ้ มทง้ั นาภาพประกอบความเขา้ ใจ มาใหด้ ดู ว้ ยเพื่อความเขา้ ใจที่แจ่มแจ้งขึ้น ซง่ึ 3 หว่ ง 2 เงื่อนไข นั้น แท้จริง แล้ว เป็นบทสรปุ ของเศรษฐกิจพอเพียง น่ันเอง คือสรุปให้เขา้ ใจได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้ รปู ภาพเศรษฐกจิ พอเพียง 3 หว่ ง 2 เงอื่ นไข

38 3 ห่วง คือทางสายกลาง ประกอบไปดว้ ย ดังนี้ ห่วงท่ี 1 คอื พอประมาณ หมายถงึ พอประมาณในทุกอยา่ ง ความพอดไี ม่มากหรอื วา่ นอ้ ยจนเกินไปโดย ต้องไม่เบยี ดเบียนตนเอง หรือผอู้ น่ื ใหเ้ ดอื ดร้อน หว่ งที่ 2 คอื มีเหตุผล หมายถึง การตดั สินใจเกีย่ วกับระดบั ของความพอเพยี งนัน้ จะต้องเปน็ ไปอยา่ งมี เหตผุ ลโดยพจิ ารณาจากเหตุปัจจัยที่เก่ยี วขอ้ ง ตลอดจนคานึงถึงผลทค่ี าดว่าจะเกิดขนึ้ จากการกระทาน้ันๆ อย่าง รอบคอบ หว่ งท่ี 3 คอื มภี ูมิคุ้มกนั ท่ีดีในตวั เอง หมายถึง การเตรยี มตวั ให้พรอ้ มรบั ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ดา้ นการต่างๆ ท่ีจะเกิดขึ้นโดยคานึงถงึ ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ท่ีคาดว่าจะเกดิ ข้นึ ในอนาคตทั้งใกล้ และไกล 2 เงื่อนไข ตามแนวเศรษฐกจิ พอเพยี ง ได้แก่ เงือ่ นไขท่ี 1 เงอ่ื นไขความรู้ คือ มีความรอบร้เู กย่ี วกบั วิชาการตา่ งๆทเ่ี กีย่ วขอ้ งอยา่ งรอบด้าน ความ รอบคอบท่จี ะนาความร้เู หล่านน้ั มาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวงั ใน ขนั้ ตอนปฏิบตั ิ คุณธรรมประกอบด้วย มคี วามตระหนักในคุณธรรม มีความซอ่ื สตั ยส์ ุจริต และมคี วามอดทน มี ความเพยี ร ใช้สติปญั ญาในการดาเนนิ ชีวติ เงื่อนไขท่ี 2 เงอื่ นไขคุณธรรม คอื มคี วามตระหนักในคุณธรรม มคี วามซื่อสตั ย์สุจริตและมคี วามอดทน มี ความเพียร ใชส้ ติปัญญาในการดาเนนิ ชีวติ นั่นคอื สรุปรวบยอดของ เศรษฐกิจพอเพียง สรุปไดเ้ ป็น 3 ห่วง 2 เงอ่ื นไข ดงั ที่ไดก้ ล่าวมา หลายๆคนอ่านมาจนถึงบรรทดั น้ี แลว้ คงกระจ่างกันสกั ที เกีย่ วกบั เศรษฐกจิ พอเพียง แบบ 3 หว่ ง 2 เง่ือนไข ดงั ท่ีได้กลา่ วไปแล้วน้นั ควำมพอเพียงตำมแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง - ความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ ปรชั ญาท่ชี ี้แนวทางการดารงอยู่และปฏบิ ตั ิตนท่พี ระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยู่หวั ทรงมีพระราชดารัสแก่พสกนกิ รชาวไทยมาตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2517 เพ่อื ทีจ่ ะให้พสกนกิ รชาวไทยได้เข้าถึง สายกลางของชีวิต เพือ่ คงไว้ซ่ึงทฤษฎีของการพัฒนาทยี่ งั่ ยนื - จุดเด่น คอื แนวทางทส่ี มดุลโดยธรรมชาตสิ ามารถกา้ วทันสมยั สู่ความเปน็ สากลไดโ้ ดยปราศจากการต่อต้าน กระแสโลกาภิวัฒน์ซึ่งคนไทยจะสามารถเลย้ี งชีพโดยอยบู่ นพ้นื ฐานของความพอเพยี ง - ความพอเพยี งและการพึง่ ตนเอง คอื ทางสายกลางที่จะป้องกนั การเปล่ยี นแปลงความไม่มั่นคงในประเทศ และเป็นท่ีมาของนยิ าม 3 หว่ ง 2 เงือ่ นไข ซง่ึ ประกอบดว้ ย 1. ความพอประมาณ คอื ความพอดี ไม่มากเกนิ ไปและไมน่ อ้ ยเกนิ ไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเองและผ้อู ื่น 2. ความมเี หตุผล คือ การตัดสินใจเก่ยี วกับระดบั ของความพอเพยี งน้นั จะต้องเป็นไปอยา่ งมีเหตุผล โดย พิจารณาจากเหตุผลปจั จยั ที่เกีย่ วขอ้ งตลอดจนคานงึ ถึงผลกระทบทคี่ าดว่าจะเกดิ ขน้ึ จากการกระทานน้ั ๆ อย่าง รอบคอบ 3. มีภูมคิ ้มุ กันทีด่ ีในตัวเอง คอื การเตรียมตัวให้พร้อมรบั ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านตา่ ง ๆ โดย คานึงถึงความเปน็ ไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ http://sedthakitpopianggr2.blogspot.com/2016/06/blog-post.html ที่มา [email protected]

39 ใบควำมรู้ คร้งั ที่ 9 วิชำเศรษฐกิจพอเพียง รหัสวิชำ ทช21001 ระดับมัธยมศึกษำตอนต้น เร่อื ง สรา้ งเครอื ขา่ ยดาเนินชวี ิตแบบพอเพียง เครอื ข่ายดาเนนิ ชวี ติ แบบพอเพยี ง “...ในการพฒั นาประเทศน้นั จาเปน็ ตอ้ งทาตามลาดับข้นั เร่มิ ด้วยการสรา้ งพ้ืนฐาน คือ ความมีกนิ มใี ช้ของประชาชนกอ่ น ดว้ ยวิธีการทปี่ ระหยดั ระมัดระวงั แต่ถูกต้องตามหลักวชิ า เม่อื พ้นื ฐานเกิดขน้ึ มั่นคงพอควรแล้ว จึงค่อยสรา้ งเสริมความเจริญข้ันสูงขนึ้ ตามลาดับตอ่ ไป ...การถอื หลักทจี่ ะสง่ เสริมความเจรญิ ใหค้ ่อยเปน็ ไปตามลาดับ ดว้ ยความรอบคอบระมดั ระวังและประหยัดน้นั ก็เพอื่ ป้องกนั ความผดิ พลาดลม้ เหลว และเพอ่ื ให้บรรลุผลสาเร็จไดแ้ น่นอนบริบูรณ์” พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบตั รของมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๗ จากพระบรมราโชวาทและพระราชดารัสของพระองค์ นบั ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ เป็นตน้ มา จะพบวา่ พระองค์ท่านไดท้ รง เน้นยา้ แนวทางการพัฒนาที่อยบู่ นพ้นื ฐานของการพึ่งตนเอง ความพอมีพอกนิ พอมีพอใช้ การรูจ้ กั ความ พอประมาณ การคานึงถึงความมีเหตผุ ล การสรา้ งภมู ิคุ้มกันทีด่ ใี นตัว และทรงเตือนสติประชาชนคนไทยไม่ให้ ประมาท ตระหนกั ถึงการพัฒนาตามลาดับข้ันตอนที่ถูกต้องตามหลกั วชิ าการ ตลอดจนมีคณุ ธรรมเป็นกรอบในการ ดารงชีวิตซึ่งทงั้ หมดนเ้ี ป็นที่รู้กันภายใต้ชอ่ื วา่ เศรษฐกิจพอเพียง การขบั เคลื่อนเศรษฐกจิ พอเพยี ง มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างเครือข่ายเรียนรู้ ใหม้ ีการนาหลกั เศรษฐกจิ พอเพียงไป ใช้เป็นกรอบความคดิ เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติ ตลอดจนเป็นสว่ นหน่ึงของวิถชี วี ติ ของคนไทยในทุกภาคสว่ น วัตถปุ ระสงค์ของการขับเคล่ือนเพอื่ สร้างความร้คู วามเขา้ ใจที่ถูกต้อง เก่ยี วกบั หลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ ประชาชนทกุ คนสามารถนาหลักปรัชญาฯ ไปประยุกตใ์ ห้ได้อย่างเหมาะสม และปลกู ฝังปรบั เปลยี่ นกระบวนทัศน์ ในการดารงชวี ิตให้อยบู่ นพนื้ ฐานของเศรษฐกิจพอเพยี ง ตลอดจนนาไปสู่การปรบั แนวทางการพฒั นาใหอ้ ยูบ่ น พ้ืนฐานของเศรษฐกิจพอเพยี ง การขับเคลื่อนเศรษฐกจิ พอเพยี ง เป็นการเสรมิ พลงั ใหป้ ระเทศไทยสามารถพัฒนาไป ได้อย่างมนั่ คงภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ โดยใหค้ วามสาคญั กบั การสรา้ งฐานรากทางเศรษฐกจิ และสงั คมใหเ้ ขม้ แขง็ รกั ษาความสมดุลของทุนและทรัพยากรในมติ ิต่างๆ ตลอดจนสามารถปรบั ตัวพร้อมรับต่อการเปล่ยี นแปลงต่าง ๆ ได้อยา่ งเทา่ ทัน และนาไปสู่ความอยู่เย็นเปน็ สุขของประชาชนชาวไทย การขับเคลอ่ื นจะเปน็ ลักษณะเครอื ขา่ ยและระดมพลงั จากทุกภาคส่วน แบ่งเป็น ๒ เครอื ข่ายสนับสนนุ ไดแ้ ก่ ๑. เครือขา่ ยดา้ นประชาสงั คมและชมุ ชน ๒. เครอื ข่ายธุรกิจเอกชน นอกจากน้ีแลว้ ยงั มีเครือขา่ ยสนบั สนุนตามภารกิจ ได้แก่ ๑. เครือข่ายวชิ าการ ๒. เครอื ขา่ ยสร้างกระบวนการเรยี นรู้ ๓. เครือขา่ ยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์

40 การดาเนนิ การตามแนวทางหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งนัน้ นอกเหนือจากท่ีทรงทดลองและปฏบิ ตั ิจรงิ ใน สวนจิตรลดาฯ และโครงการพระราชดารติ ่าง ๆ แล้ว ไดม้ ีผสู้ นใจนามาใช้เป็นหลักในการดาเนนิ ชวี ติ ทั้งในประเทศ และตา่ งประเทศแล้วมากมาย ซ่งึ เราจาเป็นท่จี ะต้องเข้าไปศึกษาหาว่า ในแตล่ ะพ้ืนท่ีได้มผี ู้นาเอาปรัชญานี้ไปใช้ อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงที่นาไปใช้แล้วประสบความสาเร็จ การเผยแพรแ่ นวคดิ การบริหารจัดการตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง กจิ กรรมเศรษฐกิจพอเพียง การดาเนนิ ชีวติ แบบยึดทางสายกลาง ไมเ่ บียดเบียนตนเองผอู้ ื่นรวมท้งั ส่ิงแวดลอ้ มต้องอยดู่ ว้ ยกันอย่าง สมดลุ ไม่ดาเนินชีวติ ทีเ่ กนิ พอดี เชน่ เปน็ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสานไรน่ าสวนผสม วนเกษตร เกษตร อนิ ทรีย์ เกษตรชีวภาพ เกษตรกรรมธรรมชาติ ถ้าผลผลติ ทไ่ี ดจ้ ากการทาเกษตรมมี ากทาให้ลน้ ตลาดราคาอาจ ตกต่า กท็ าการแปรรูปผลผลติ นัน้ ๆ การเผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงในระดบั บุคคล/ครอบครัว โดยการประยกุ ตใ์ ช้เศรษฐกจิ พอเพยี งระดับบคุ คล/ครอบครวั จะเริ่มต้นจากการเสรมิ สร้างคนใหม้ ีการ เรียนรู้ วิชาการและทกั ษะต่าง ท่จี าเปน็ เพือ่ ให้สามารถรูเ้ ท่าทนั การเปลีย่ นแปลงในดา้ นต่าง ๆ พร้อมทง้ั เสรมิ สร้างคุณธรรมจนมีความเขา้ ใจและตระหนักถงึ คุณค่าของการอยรู ว่ มกันของคนในสังคม แลอยูร่ ว่ มกบั ระบบ นเิ วศวทิ ยาอย่างสมดลุ การนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวัน การดาเนินชวี ติ ในระบบเศรษฐกจิ พอเพยี งในระดับบคุ คล เปน็ ความสามารถในการดาเนินชีวิตอยา่ งไม่ เดือดรอ้ น มคี วามเป็นอยู่อยา่ งพอประมาณตนตามฐานะ ตามอัตภาพและที่สาคญั ไมห่ ลงใหลตามกรดะแสวัตถุ นยิ ม มอี ิสรภาพในการประกอบอาชีพ เดินทางสายกลาง ทากจิ กรรมทเ่ี หมาะสมกบั ตวั เอง และสามารถพ่งึ พา ตนเองได้ สว่ นเศรษฐกิจพอเพียงระดับเกษตรกรเป็นเศรษฐกิจเพ่ือการเกษตรทเ่ี นน้ การพึ่งพาตนเอง การเผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดบั ชุมชน ชมุ ชนพอเพยี ง ประกอบดว้ ย บุคคล/ครอบครวั ตา่ ง ๆ ทม่ี ีความพอเพียงแล้ว คือมีความรู้และคณุ ธรรม เปน็ กรอบในการดาเนนิ ชวี ิตจนสามารถพ่ึงตนเองได้ บุคคลเหล่านม้ี ารวมกลมุ่ กนั ทากิจกรรมตา่ ง ๆ ทส่ี อดคลอ้ ง เหมาะสมกับสถานภาพ ภมู ิสังคมของแตล่ ะชมุ ชน โดยพยายามใชท้ รัพยากรตา่ ง ๆ ท่ีมอี ย่ใู นชุมชนใหเ้ กิดประโยชน์ สูงสุด ผา่ นการร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมคิด ร่วมทา แลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ ับบุคคลหลายสถานภาพ ในส่ิงทีจ่ ะสร้าง ประโยชน์สุขของคนส่วนรวม และความกา้ วหนา้ ของชุมชนอย่างมเี หตุผล โดยอาศัยสติ ปัญญา ความสามารถของ ทกุ ฝ่ายท่ีเกี่ยวขอ้ ง เศรษฐกจิ พอเพียงระดับชุมชน/กล่มุ หรอื องค์กร เศรษฐกิจพอเพยี งแบบก้าวหนา้ จะเน้นที่ความพอเพยี งในระดับชุมชน/กลมุ่ หรือองค์กรเมอ่ื สมาชิกในแต่ ละครอบครวั หรอื องค์กรต่าง ๆ มีความพอเพียงในข้ันตอนพนื้ ฐานเปน็ เบอื้ งต้นแล้วกจ็ ะร่วมกลมุ่ กันเพื่อร่วมมือกนั สร้างประโยชนใ์ หแ้ ก่กลุ่มและสว่ นรวมบนพืน้ ฐานของการเบียดเบยี นกนั การแบ่งปนั ช่วยเหลือซ่งึ กนั และกันตาม กาลังและความสามารถของตนซงึ่ จะสามารถทาให้ชมุ ชนโดยรวมหรือเครอื ขา่ ยวสิ าหกิจนั้น ๆ เกิดความพอเพียงใน วิถีปฏิบัติอย่างแท้จริง http://tc21001.blogspot.com/2013/09/8.html ทม่ี า กศน.ตาบลท่าเสา อาเภอท่ามะกา

41 ใบควำมรู้ ครง้ั ท่ี 10 วชิ ำสุขศึกษำ พลศึกษำ รหัสวชิ ำ ทช21002 ระดับมัธยมศึกษำตอนตน้ เรื่อง พัฒนำกำรของรำ่ งกำย กำรดูแลสขุ ภำพ สำรอำหำร และโรคระบำด พัฒนำกำรของรำ่ งกำย ปัจจัยที่มผี ลต่อกำรเจริญเติบโตและพฒั นำกำรของมนษุ ย์ การเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการของมนุษย์ทุกวยั ตั้งแตเ่ กดิ จนตาย มีปัจจัยสาคญั ท่ีเกี่ยวข้องทั้ง 3 เร่ืองคือ พันธุกรรม ส่ิงแวดล้อม และโภชนาการ ทุกคนจึงควรเรียนรู้เพ่ือให้การเจริญเติบโตและพัฒนาการ เปน็ ไปตามวยั 1. พนั ธกุ รรม (Heredity) พันธุกรรม เป็นปัจจัยท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย์ เป็นลักษณะทาง ร่างกายที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานตามโครโมโซม ที่แสดงออกในลักษณะสีผิว สติปัญญา ชนิดเลือด เป็นต้น 2. สง่ิ แวดลอ้ ม สิ่งแวดลอ้ ม เป็นปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ การเจริญเติบโต และพฒั นาการของมนษุ ย์ต้ังแต่การปฏิสนธิในครรภ์จน กระทั้งคลอดออกมาเป็นทารกและเจริญเติบโตผ่านวัยต่าง ๆ ตามลาดับ สิ่งแวดล้อมเหล่าน้ี เช่น สุขภาพของ มารดาในขณะตง้ั ครรภ์ อาจมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ฐานะทางเศรษฐกจิ ส่งิ แวดลอ้ มทางสงั คม เป็นตน้ 3. โภชนำกำร การรับประทานอาหารโดยยึดหลกั โภชนาการ ทาใหไ้ ด้พลังงานและสารอาหารท่ีเหมาะสมกับวัย เป็นปัจจยั สาคญั ขอ้ หน่งึ ทส่ี ่งผลต่อการเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการของมนุษยท์ ุกเพศทกุ วยั พัฒนำกำรและกำรเปลย่ี นแปลงตำมวยั ด้ำนรำ่ งกำย จติ ใจ อำรมณ์ สังคมและสตปิ ัญญำ 3.1 วยั ทำรก วยั ทารกนับชว่ งอายรุ ะหว่างแรกเกิดจนถงึ 2 ขวบโดยแบง่ การพัฒนาการออกได้ 2 ระยะ คือ 1. วัยทารกแรกเกดิ มีพฒั นาการทางรา่ งกาย ทางอารมณ์ และด้านบุคลิกภาพ 2. วยั ทารก มพี ฒั นาการทางรา่ งกาย ทางอารมณ์ ทางภาษาและสตปิ ญั ญา ในวยั ทารกจะมีสงิ่ แวดลอ้ มและพันธกุ รรมกาหนดความแตกตา่ งกันของทารกแต่ละคนต้ังแต่เกิด 3.2 วยั เดก็ การแบง่ ชว่ งอายุของวยั เด็ก โดยประมาณแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ระยะไดแ้ ก่วยั เด็กตอนต้น อายุต้ังแต่ 2-5 ปี วัยเด็กตอนกลาง อายุต้ังแต่ 5-9 วัยเด็กตอนปลาย อายุตั้งแต่ 9-12 ปี ช่วงอายุในวัยเด็ก อยู่ระหว่าง 2-12 ปี โดยประมาณมีพัฒนาการเปน็ 3 ระยะดงั นี้ วัยเดก็ ตอนต้น มีพัฒนาการทางรา่ งกาย ทางอารมณ์ ทางสงั คม และทางภาษา วัยเดก็ ตอนกลาง มพี ัฒนาการทางร่างกาย ทางอารมณ์ ทางสงั คม และทางสตปิ ัญญา วยั เดก็ ตอนปลาย มพี ฒั นาการทางร่างกาย ทางอารมณ์ ทางสงั คม และทางสตปิ ัญญา พัฒนาการช่วงอายุในวัยเดก็ จะพบว่าเดก็ หญงิ มพี ฒั นาการทางร่างกายเร็วกว่าเด็กชาย 3.3 วยั รุ่น การแบ่งช่วงอายุของวัยรุ่นอยู่ระหว่าง 11-20 ปี โดยประมาณ การเจริญเจริญเติบโตทาง รา่ งกายของเดก็ ผชู้ ายและเด็กผู้หญิง เป็นช่วงระยะของการเข้าสู่วัยหนุ่มวัยสาว เด็กผู้หญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นเม่ืออายุ ประมาณ 11 ปีขึ้นไป เด็กผู้ชายจะเข้าสู่วัยรุ่นเม่ืออายุประมาณ 13 ปี วัยรุ่นเป็นช่วงของการปรับตัวจากวัย

42 เด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ ทาให้มีความเครียด ความขัดแย้งในความคิด อารมณ์ และจิตใจ หากเด็กวัยรุ่นได้รับรู้ เข้าใจกระบวนการพัฒนาท้ังในด้านร่างกายและจิตใจ จะไม่วิตกกังวลกับการเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดขึ้นกับตัวของ เขาเอง อีกทั้งยงั สามารถช่วยให้พวกเข้ารู้จักวิธีปรับตัวให้เข้ากับสังคม ไม่ก่อปัญหาให้เกิดเป็นเรื่องวุ่นวายรวมถึง การดแู ลรักษา และปอ้ งกันตนเองจากโรคตดิ ตอ่ ทางเพศสัมพนั ธช์ นิดต่าง ๆ กำรแบง่ ช่วงอำยุของวัยรุน่ ชว่ งวยั หญงิ ชำย 1. วัยเตรียมเข้าสวู่ ัยรนุ่ 11-13 ปี 13-15 ปี 2. วัยรนุ่ ตอนตน้ 13-15 ปี 15-17 ปี 3. วัยรุ่นตอนกลาง 15-18 ปี 17-19 ปี 4. วยั ร่นุ ตอนปลาย 18-21 ปี 19-20 ปี วัยรุ่น มีพัฒนาการทางร่างกายของเด็กหญิง และเด็กชายแตกต่างกัน คือเด็กหญิงจะมี พัฒนาการเรว็ กว่าเด็กชาย โดยแบ่งช่วงอายดุ งั นี้ 1. วัยเตรยี มเข้าสวู่ ัยรุ่น 2. วยั รุน่ ตอนตน้ 3. วัยรุน่ ตอนกลาง 4. วัยรุ่นตอนปลาย วัยรุ่นเป็นช่วงท่ีมีพัฒนาการท้ังในด้านร่างกายและจิตใจค่อนข้างเร็วกว่าวัยอ่ืน ๆ เป็นช่วงของ การปรับตัวจากวัยเดก็ ไปสวู่ ัยผูใ้ หญ่ โดยมกี ารเปล่ยี นแปลงในด้านต่าง ๆ ดงั น้ี 1. การเปลย่ี นแปลงทางด้านรา่ งกายจะเปน็ ไปอย่างชัดเจน 2. การเปลยี่ นแปลงทางด้านอารมณแ์ ละจติ ใจ 3. การเปลยี่ นแปลงทางด้านสังคม 4. การพฒั นาการทางสติปญั ญา 3.4 วยั ผู้ใหญ่ วัยผใู้ หญเ่ ปน็ ช่วงอายตุ ัง้ แต่ 21-60 ปี เปน็ วัยทม่ี พี ฒั นาการในดา้ นต่าง ๆ ได้มากจนถึงขีดสูงสุด อาทิ ด้านความสูง สติปัญญา มีการเปล่ียนแปลงด้านจิตใจความพอใน ค่านิยม และสนใจในเรื่องคู่ครองมาก เป็นวยั ทเ่ี ร่ิมเสอ่ื ความสามารถ สมรรถภาพทางเพศลดน้อยลง 3.5 วยั สูงอำยุ ช่วงอายุวัยชราจะเร่ิมนับตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ความชรามีความแตกต่างของบุคคล ในวัยอายุ เท่ากัน สมรรถภาพอาจแตกต่างกัน โดยท่ัวไป ร่างกายมีแต่ความทรุดโทรมมากกว่าความเจริญเติบโต สติปัญญาจะค่อยลดน้อยลง แต่เป็นวันที่มีความสุขุมรอบคอบมีเหตุผล อารมณ์จะแปรปรวนไม่คงท่ี เป็นวัยท่ีมี ความเมตตากรณุ าสงู กว่าวัยอน่ื ๆ กำรดแู ลสขุ ภำพให้ปลอดภยั สุขภำพทำงเพศ กำรคมุ กำเนดิ การวางแผนครอบครัวและการคุมกาเนิด (Family Planning and Birth Control) คือการท่ี คู่สมรส วางแผนในเร่ืองการมีบุตรว่าจะมีบุตรเมื่อใด จะมีบุตรก่ีคน แต่ละคนจะเว้นนานเท่าใดท้ังนี้เพ่ือให้เหมาะสมกับ

43 ความพร้อมและความตอ้ งการของคสู่ มรส สว่ นการคุมกาเนิดนั้นเป็นวิธีการเพ่ือมิ ให้เกิดการตั้งครรภ์ซึ่งมีอยู่หลาย วธิ ี 1.การใชถ้ ุงยางอนามยั 2.การรับประทานยาเมด็ คุมกาเนิด 3.การฝงั ยาเมด็ คุมกาเนดิ ใต้ผิวหนงั 4.การใส่หว่ งอนามัย 5.การฉีดยาคุมกาเนิด 6.การนบั ระยะปลอดภัย 6.การนับระยะปลอดภยั 7.การหล่งั อสุจิภายนอก 8. การผา่ ตัดทาหมัน 9.การคมุ กาเนิดดว้ ยยาเมด็ คุมกาเนดิ ฉุกเฉิน กำรทำแทง้ การทาแท้ง หมายถึง การทาให้การตั้งครรภส์ ิน้ สุดก่อนอายุครรภ์ 28 สปั ดาหส์ าหรบั ในประเทศไทยการ ทาแทง้ ยงั ไมเ่ ป็นเร่ืองที่ผิดกฎหมายไม่ว่าจะกระทาโดยแพทย์ปริญญาหรอื หมอเถ่ือนก็ตาม กฎหมายจะอนญุ าตให้ ทาแท้งได้ 2 กรณี คือ กรณถี ูกข่มขนื และกรณีตง้ั ครรภน์ นั้ เปน็ อัตราต่อสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ์ เทา่ นนั้ การทาแท้งโดยท่วั ไปของเดก็ วยั รนุ่ จะทาแท้งกับผูท้ ี่ไม่มีความรูด้ า้ นการแพทย์ท่ีแท้จริง จึงทาให้เกิดอนั ตรายกบั ผู้ มาทาแท้ง เชน่ เกดิ การตกเลือด หรอื ได้รับอันตรายอาจเกิดการตดิ เช้ือโรค จากเครื่องมือ อุปกรณท์ น่ี ามาใช้ เกดิ ความสกปรกจากการใชอ้ ุปกรณ์ สถานท่จี นทาใหม้ ารดาเป็นบาดทะยักได้ดว้ ยการแท้งบุตรทท่ี าให้เกดิ อนั ตรายตอ่ สุขภาพของผูเ้ ป็นแม่เนื่องจากมบี างสว่ นของทารกหรือรกหลงเหลอื อย่จู งึ ต้องนาสว่ นท่ีเหลอื ออกจากมดลกู ใหห้ มด โดยแพทยต์ ้องใช้เคร่ืองดดู หรือใช้วธิ ขี ูดจากโพรงมดลูก หรืออาจต้องใช้ฮอร์โมนทใ่ี หใ้ ห้มดลกู เกดิ การบบี ตัวขับส่วน ทีค่ ้างออกและในบางกรณี แพทย์ต้องใช้ยาปฏิชวี นะเพ่ือการรกั ษาหรือปอ้ งกันการติดเชื้อ กำรตดิ เช้ือ HIVS ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืนที่ได้รับเชื้อไวรัส HIV ในร่างกายรองลงมาเกิดจาการใช้ สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดทาให้ได้รับเช้ือ HIV จากเลือดท่ีสัมผัสหรือเลือดที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายบุคคลท่ีมี โอกาสได้รับเชื้อไวรัส HIV VS โดยไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์และไม่ได้ใช้เข็มฉีดยาใด ๆ ส่วนหน่ึงจะเกิดกับ บุคคลสว่ นหนงึ่ ทางการแพทย์ ทีม่ โี อกาสสมั พันธ์น้าเลือดน้าเหลือง ท่ีคัดหลั่งจากผู้ป่วยโดยไม่ได้ป้องกันตนเองโดย การใช้ถุงมือ กอ่ นสมั ผสั กับผ้ปู ว่ ยจึงมโี อกาสได้รับหรอื ติดเช้ือ HIV VS ได้การต้ังครรภ์เม่อื ไมม่ คี วามพรอ้ ม การมเี พศสัมพนั ธ์ก่อนวยั อันควร เป็นปัญหาของสงั คมไทยมากขนึ้ ดังนั้นจึงต้องให้คาแนะนาอบรมส่ังสอนให้พฤติกรรมตนอยู่ในกรอบของสังคมที่ดีไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่อง เพศสัมพันธ์ป้องกันตนเองไม่ปล่อยตัวให้มีเพศสัมพันธ์ในวัยที่ยังไม่สมควรให้ต้ังใจศึกษาเล่าและสามารถประกอบ อาชพี จนเลย้ี งตัวเองได้แล้วจงึ คิดมคี รอบครวั ภายหลงั 1.สอนความรู้เร่อื งเพศ เพศสัมพนั ธแ์ ละการคุมกาเนิดแก่เด็กนกั เรยี น นกั ศึกษาทก่ี าลังก้าวเขา้ สู่ วยั รนุ่ พร้องท้ังชใี้ ห้เห็นข้อดขี อ้ เสยี ของการมีเพศสัมพันธก์ ่อนวัยอนั ควร และการต้งั ครรภเ์ ม่อื ไม่พรอ้ ม โดยเน้นยา้ ใหเ้ หน็ ทดี่ ใี นอนาคตผลเสีย 2.สอนวัยรุ่นชายให้มีความรับผิดชอบและให้เกียรติผู้หญิง นอกจากน้ีเพศชายจะต้องให้เกียรติผู้หญิงและมีความ รับผิดชอบในการกระทาของตนเองปญั หาการทาแท้งส่วนใหญพ่ บวา่ ฝา่ ยชายไมย่ อมรับการต้ังครรภ์

44 3.ปลูกฝังค่านิยมในการรักนวลสงวนตัวตั้งแต่วัยเด็ก และเน้นย้ามากขึ้นในวัยรุ่น ได้แก่การแต่งกายให้สุภาพ ไม่ แต่งกายลอ่ แหลม ย่วั ยอุ ารมณ์เพศตรงขา้ มซงึ่ เป็นเหตุใหเ้ กดิ การข่มขนื กระทาชาเรา 4.สอนใหร้ ู้จกั การปฏเิ สธในสถานการณ์ทไ่ี ม่เหมาะสมไดแ้ ก่ปฏิเสธทีจ่ ะไปเทยี่ วต่อหลงั เลิกเรียน ปฏเิ สธทจ่ี ะไป ไหนๆกบั เพือ่ นชายตามลาพังไม่เปิดโอกาสให้เพศตรงข้ามถูกเน้ือต้องตวั เป็นต้น สำรอำหำร ปรมิ ำณควำมตอ้ งกำรสำรอำหำรตำมเพศ วยั และสภำพร่ำงกำย 1. ควำมต้องกำรสำรอำหำรในวยั เดก็ อาหารมีส่วนสาคัญอย่างมากในวัยเด็กท้ังในด้านการเจริญเติบโตของร่างกายและการพัฒนาการในด้าน ความสัมพันธ์ของระบบการเคล่ือนไหวของร่างกาย ตลอดจนในด้านจิตใจ และพฤติกรรมในการแสดงออกและ ปจั จยั ทมี่ สี ว่ นสาคัญทีท่ าให้เด็กไดร้ ับอาหารทถ่ี กู หลักทางโภชนาการ ได้แก่ 1.1. ครอบครัวท่คี อยดแู ลและเป็นตวั อยา่ งท่ีดี 1.2. ตวั เด็กเองทจี่ ะตอ้ งถกู ฝกึ ฝน 1.3. ส่ิงแวดล้อมทาให้เกิดการปฏิบัติอย่างคนข้างเคียง อาหารท่ีถูกหลักโภชนาการในวัยเด็กต้องการ อาหารครบท้ัง 3 ประเภท เพ่ือการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ส่ิงท่ีต้องคานึงถึงคือ อาหารท่ีให้เด็กควรได้รับ ได้แก่ 1) อาหารทใ่ี หโ้ ปรตนี ไดแ้ ก่ นม ไข่ เนอ้ื สัตว์ ตลอดจนโปรตีนจากพืช จาพวกถ่วั เขียว ถั่วเหลือง 2) อาหารที่ใหพ้ ลงั งาน ได้แก่ ข้าว แป้ง น้าตาล ไขมัน และน้ามันส่วนน้าอัดลม หรือขนมหวาน ลูกกวาด ต่าง ๆ ควรจากัดลง เพราะประโยชน์นอ้ ยมากและบางทีทาให้มีปัญหาเร่ืองฟนั ผุดว้ ย 3) อาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่ได้แก่ พวก ผัก ผลไม้ และอาหารท่ีมี ใยอาหารที่มีส่วนทาให้เก็บไม่ ท้องผกู 2. ควำมต้องกำรสำรอำหำรของเดก็ วยั เรยี น การเลือกอาหารเช้าที่เด็กวัยเรียนควรได้รับประทานและหาได้ง่าย คือ นมสด 1 กล่อง ข้าวหรือขนมปัง ไข่ อาจจะเปน็ ไขด่ าว ไข่ลวก หรือไข่เจียว ผลไมท้ ห่ี าได้งา่ ย เช่น กล้วยน้าว้า มะละกอ หรือส้ม เท่าน้ีเด็กก็จะได้รับ สารอาหารทีเ่ พียงพอแลว้ 3. ควำมตอ้ งกำรสำรอำหำรในวัยรุน่ วัยรุ่น เป็นวัยท่ีมีการเจริญเติบโตในด้านร่างกายอย่างมาก และมีการเปล่ียนแปลงทางอารมณ์และจิตใจ คอ่ นข้างสงู มีกิจกรรมตา่ ง ทั้งๆ ค่อนข้างมาก ซ่ึงจะต้องคานึงท้ังปริมาณและคุณภาพให้ถูกหลักโภชนาการ ปัจจัย ท่ีสาคัญ คอื 1. ครอบครัว ควรปลูกฝงั นิสัยการรบั ประทานอาหารท่ถี ูกหลัก 2. วัยรุ่น จะเริ่มมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองมากข้ึน การรับความรู้เกี่ยวกับโภชนาการ มีความจาเป็น เพ่ือให้เหน็ ความสาคัญของการรับประทานอาหารที่มคี ณุ ค่าทางโภชนาการอย่างสม่าเสมอ ซ่ึงจะมีผลดีต่อตัววัยรุ่น เองโดยตรง 3. สิง่ แวดลอ้ มในโรงเรียนหรอื สถานศึกษา อทิ ธิพลจากเพ่ือนฝูงมีส่วนที่ทาให้วัยรุ่นเลียนแบบกันเรื่องการ รับประทานอาหาร ตลอดจนการบริโภคสารอันตรายความต้องการอาหารท่ีให้โปรตีน พลังงาน และวิตามินต้อง เพียงพอสาหรบั วัยรุ่น วิตามนิ ตอ้ งเหมาะสมและโดยเฉพาะอย่างย่ิงอาหารที่มีเกลือแร่ประเภทแคลเซียมและเหล็ก ต้องเพยี งพอ 4. ควำมตอ้ งกำรสำรอำหำรในวัยผู้ใหญ่

45 วยั ผู้ใหญ่ถึงแม้จะหยุดเจริญเติบโตแล้ว ร่างกายยังต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วน เพื่อนาไปทานุบารุง อวัยวะ และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายให้คงสภาพการทางานที่มี สมรรถภาพต่อไป และปัจจัยสาคัญอย่างหนึ่งท่ี จะทาให้วัยผู้ใหญ่ยังคงแข็งแรง ได้แก่ การบริโภคอาหารท่ีถูกต้องตามหลักโภชนาการ การควบคุมอาหารในวัย ผู้ใหญ่ มดี งั นี้ 1. ใหบ้ ริโภคอาหารหลายชนดิ เนอื่ งจากไม่มอี าหารชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ ทใ่ี ห้คุณคา่ ทางโภชนาการได้ครบถว้ น 2. บริโภคอาหารในปรมิ าณทีพ่ อเหมาะ เพ่ือให้นา้ หนกั อย่ใู นเกณฑ์ท่ตี ้องการ 3. หลีกเล่ยี งการรับประทานทม่ี ีไขมนั มากเกนิ ไป 4. บริโภคอาหารทม่ี ีปริมาณของแปง้ และกากใยให้เพียงพอ 5. หลีกเลีย่ งการบรโิ ภคอาหารที่ปรุงดว้ ยปรมิ าณน้าตาลจานวนมาก 6. หลกี เลีย่ งการบริโภคอาหารเค็มมากเกินไป 7. หลกี เลี่ยงเครอ่ื งด่มื ทม่ี ีแอลกอฮอล์ 5. ความตอ้ งการสารอาหารของวัยชรา วยั ชรำ หมายถงึ ผทู้ ี่อยูใ่ นวัย 60 ปีข้นึ ไป สาหรับปัญหาเร่ืองอาหารการกินหรือโภชนาการในวัยนี้ ขอให้ รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่และควบคุมปริมาณ โดยดูจากการควบคุมน้าหนักตัวไม่ให้มากข้ึน และกรณี น้าหนกั เกนิ อยู่แลว้ ควรจะลดน้าหนักให้สมั พนั ธก์ บั ส่วนสูง ขอ้ แนะนาในการดูแลเรอ่ื งอาหารในผ้สู งู อายมุ ดี ังน้ี 1. โปรตีน ควรให้รับประทานไข่วันละ 1 ฟอง และด่ืมนมอย่างน้อยวันละ 1แก้วสาหรับโปรตีนจาก เนอ้ื สตั วค์ วรลดน้อยลง 2. ไขมัน ควรใชน้ า้ มนั ถ่ัวเหลืองหรือน้ามันข้าวโพด ในการปรุงอาหารเพราะเป็นน้ามันพืชท่ีมีกรดไลโนเล อกิ 3. คารโ์ บไฮเดรต คนสูงอายคุ วรรับประทานขา้ วลดลงและไม่ควรรบั ประทานน้าตาลในปริมาณท่มี าก 4. ใยอาหาร คนสูงอายุควรรับประทานอาหารท่ีเป็นพวกใยอาหารมากข้ึนเพ่ือช่วยป้องกันการท้องผูก ชว่ ยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลอื ดและลดอบุ ตั ิการณ์ของการเกิดมะเร็งลาไส้ใหญล่ งได้ 5. น้าด่ืม คนสูงอายุควรดื่มน้าปริมาณ 1 ลิตรตลอดท้ังวัน แต่ท้ังน้ีสามารถปรับเองได้ตามความต้องการ ของร่างกาย โดยสังเกตดูว่าถ้าปัสสาวะมีสีเหลืองอ่อน ๆ เกือบขาวแสดงว่าน้าในร่างกายเพียงพอแล้ว ส่วน เคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์รวมท้ังน้าชา กาแฟ ควรงดเว้นถ้าระบบย่อยอาหารในคนสูงอายุไม่ดี ท่านควรแบ่งเป็นม้ือ ย่อย ๆ แลว้ รบั ประทานทลี ะนอ้ ย แต่หลายมอ้ื จะดกี ว่า แต่อาหารหลกั ควรเปน็ มอ้ื เดยี ว 6. ความต้องการสารอาหารในสตรีตั้งครรภ์สตรีตั้งครรภ์ นอกจากต้องมีสารอาหารทั้ง 6 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้า ในอาหารท่ีรับประทานเป็นประจาให้ครบทุกประเภทแล้ว สตรตี งั้ ครรภ์ตอ้ งทราบอกี ว่า ควรทจ่ี ะเพม่ิ สารอาหารประเภทใด จงึ จะทาใหเ้ ด็ก ในครรภไ์ ดร้ บั ประโยชน์สงู สุด ดงั น้ี 1. อาหารทใ่ี ห้โปรตนี ได้แก่ ไข่ นม เนื้อสตั ว์ เครอ่ื งในสตั วแ์ ละถ่วั เมลด็ แหง้ 2. อาหารท่ีให้พลังงาน ได้แก่ ขา้ ว แปง้ น้าตาล ไขมันและนา้ มัน 3. อาหารท่ีให้วิตามินและเกลือแร่ สตรีต้ังครรภ์ต้องการอาหารท่ีมีวิตามินและเกลือแร่เพิ่มขึ้นควร รบั ประทานอาหารประเภทผกั และผลไมท้ กุ ๆวนั เช่น สม้ มะละกอ กลว้ ย สลบั กนั ไป วธิ ีกำรประกอบอำหำรเพอ่ื คงคณุ ค่ำของสำรอำหำร 1. หลักการปรุงอาหารท่ีถูกสุขลักษณะ เพื่อให้ได้อาหารที่สะอาด ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ มีหลักการปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ โดยคานึงถึงหลัก 3 ส คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ สะอาดปลอดภัยสงวน คณุ ค่า คอื การปรุงอาหารจะต้องปรุงดว้ ยวธิ กี ารปรงุ ประกอบเพ่ือสงวนคณุ คา่ ของอาหารให้มีประโยชน์เต็มท่ี 2. หลักการทาอาหารใหส้ ะดวกและรวดเรว็

46 มีวิธีการเตรียมอาหารพร้อมปรุงในวันหยุดที่เก็บไว้ในตู้เย็นแล้วนามาปรุงใหม่ได้โดยใช้เวลาน้อยแต่ได้ คณุ ค่ามาก 3. หลกั การเกบ็ อาหารใหส้ ะอาดปลอดภัย การเก็บอาหารตามหลกั การสุขาภบิ าลอาหาร มวี ัตถุประสงคเ์ พื่อยดื อายุของอาหารท่ใี ชบ้ ริโภค โดย จะต้องอยใู่ นสภาพท่ีสะอาดปลอดภยั ในการบริโภค หลักการในการเก็บอาหารให้คานงึ ถึงหลัก 3 ส. คอื สัดสว่ น เฉพาะ สง่ิ แวดล้อมเหมาะสม สะอาดปลอดภยั ในภาชนะบรรจทุ ่ถี กู สขุ ลักษณะ สะอาด ปลอดภัย มกี ารทาความ สะอาดสถานท่เี กบ็ อย่างสม่าเสมอไมเ่ กบ็ สารเคมีทเ่ี ปน็ พิษอ่ืน ๆ 4. อุณหภมู ิเทา่ ไหร่จงึ จะทาลายเช้ือโรคได้ เพ่ือความปลอดภัยในการบริโภคอาหารโดยเฉพาะอาหารเนื้อสัตว์ควรปรุงอาหารให้สุกเสมอ โดยท่ัวทุก สว่ นทอี่ ณุ หภูมสิ งู กวา่ 80 องศาเซลเซียสขนึ้ ไปหรือสุกเสมอ สะอาด ปลอดภยั 5. อุณหภูมิท่ีเหมาะสมในการเก็บอาหารสดประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเน้ือสัตว์สด สามารถเก็บไว้ใน อณุ หภูมติ ู้เยน็ ระหว่าง 5 - 7 องศาเซลเซยี ส ในขณะที่เนื้อสตั ว์สดทต่ี ้องการเกบ็ ไว้ใช้นาน (ไม่เกิน7วัน) ต้องเก็บไว้ ในอณุ หภูมติ ูแ้ ชแ่ ข็ง อุณหภูมิต่ากวา่ 0 องศาเซลเซียส เมื่อจะนามาใช้จาเป็นจะต้องนามาละลายในไมโครเวฟ แต่ ถ้าละลายในน้าเย็นจะต้องเปลี่ยนน้าทุก 30 นาที เพื่อให้อาหารยังคงความเย็นอยู่และน้าที่ใช้ละลายไม่เป็นแหล่ง สะสมของเชอื้ จลุ นิ ทรยี ท์ ่อี าจจะปนเป้อื นมา ทาใหม้ โี อกาสเพิ่มจานวนได้มากข้นึ จนอาจจะเกดิ เปน็ อนั ตรายได้ 6. ความสาคัญภาชนะบรรจุอาหารภาชนะบรรจุอาหารเป็นปัจจัยสาคัญท่ีเส่ียงต่อการปนเป้ือนเชื้อโรค สารเคมที ี่เปน็ พิษกบั อาหารท่พี ร้อมจะบรโิ ภค สามารถก่อให้เกดิ การปนเปือ้ นไดท้ ุกข้ันตอน ตงั้ แตข่ นั้ ตอนก โรคระบำด สำเหตุ อำกำร กำรป้องกนั และกำรรกั ษำโรคทเี่ ปน็ ปัญหำสำธำรณสขุ โรคติดต่อ หมายถึง โรคท่ีเกิดจากเชื้อโรคแล้วสามารถติดต่อจากคนไปสู่บุคคลอื่นได้หรืออาจติดต่อ ระหว่างคนสู่คน หรือสัตว์สู่คนได้ หรือติดต่อระหว่างสัตว์ด้วยกันเองได้ โดยมีพาหะ เช่น คน สัตว์ หรือมีตัวกลาง นาเชื้อโรค เปน็ ตน้ ลกั ษณะของโรคติดตอ่ 1. เชอ้ื โรคสามารถแพรก่ ระจายไปยังบคุ คลอ่ืนได้อย่างรวดเร็ว 2. การแพร่กระจายของโรคมกั เกิดจากพฤติกรรมของบุคคลหรอื ปัญหาสขุ าภิบาลสง่ิ แวดลอ้ ม 3. มอี ัตราการเจ็บป่วยคอ่ นขา้ งสูงและโอกาสท่จี ะเกิดโรคเปน็ ได้ทุกเพศทุกวัยโรคท่ีเป็นปัญหาสาธารณสุข ของประเทศ 1. โรคไข้เลอื ดออก โรคไข้เลือดออก คือ โรคติดเชื้อซ่ึงมีสาเหตุมาจาก ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) อาการของโรคนี้มีความ คลา้ ยคลงึ กับโรคไข้หวัดในชว่ งแรก จึงทาใหผ้ ู้ปว่ ยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด และทาให้ไม่ได้ รบั การรกั ษาทถ่ี ูกต้องในทนั ที โรคไขเ้ ลือดออก มีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับ ต้ังแต่ไม่มีอาการหรือ มีอาการเลก็ นอ้ ยไปจนถึงเกิดภาวะช็อก ซึ่งเป็นสาเหตุท่ที าใหผ้ ู้ป่วยเสียชีวิต อำกำร อาการของโรคนีค้ ลา้ ยคลงึ กบั โรคไขห้ วดั กล่าวคอื มีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเม่ือยกล้ามเนื้อ แต่แตกต่าง กนั ที่ไขจ้ ะสูงกว่ามาก โดยอาจมไี ขส้ ูงกวา่ 40 องศา เซลเซยี ส ผู้ปว่ ยจะมีหน้าแดงและปวดเม่ือยกล้ามเน้ือค่อนข้าง มากกวา่ หากทาการทดสอบ โดยการรัดต้นแขนดว้ ยสายรัด จะพบจดุ เลอื ดออก ผ้ปู ว่ ยอาจมีเลอื ดออกผิดปกติ เช่น เลือดกาเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรืออาการเลือดออกผิดปกติอื่น ๆ และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมาก ๆ อาจพบอาการซมึ เหงอื่ ออก มอื เทา้ เย็น ชพี จรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะ

47 ลดลง อาจถึงกับช็อกและเสียชีวิตได้ โดยอาการนา ของภาวะช็อกมักเริ่มจากการมีไข้ลดลง ควรรีบแจ้งแพทย์หรื อนา ผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทนั ที กำรรักษำ เน่ืองจากยังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเช้ือไวรัสเดงกี่ การรักษาโรคนี้จึงเป็นการรักษาตามอาการเป็นสาคัญ กล่าวคอื มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว และการป้องกันภาวะช็อก ยาลดไข้ท่ีใช้มีเพียงชนิดเดียว คือ ยาพาราเซตามอล (paracetamol) ขนาดยาที่ใช้ในผู้ใหญ่คือ พาราเซตามอลชนิดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม รับประทานคร้ังละ 1 - 2 เมด็ ทกุ 4 - 6 ชวั่ โมง โดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด ส่วนขนาดยาทใี่ ช้ในเดก็ คือ พาราเซตา มอลชนดิ นา้ 10 - 15 มลิ ลิกรมั ต่อนา้ หนักตวั 1 กิโลกรัมต่อคร้ัง ทุก 4 - 6 ช่ัวโมง โดยไม่ควรรับประทานเกินวัน ละ 5 ครั้ง ยาพาราเซตามอลน้ีเป็นยารับประทานตามอาการ ดังน้ัน หากไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันที การ ปอ้ งกันภาวะช็อกน้นั กระทาได้โดยการชดเชยนา้ ใหร้ า่ งกายเพื่อไม่ใหป้ ริมาตรเลือดลดต่าลงจนทาให้ความดันโลหิต ตก แพทย์จะพิจารณาให้สารน้าตามความรุนแรงของอาการ โดยอาจให้ผู้ป่วยดื่มเพียงสารละลายเกลือแร่ โอ อาร์ เอส หรอื ผู้ป่วยบางรายอาจไดร้ ับน้าเกลือเข้าทางหลอดเลือดดา ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจนเกิด ภาวะเสียเลอื ดอาจต้องได้รบั เลอื ดเพ่ิมเตมิ กำรป้องกนั 1. การป้องกันทางกายภาพ ได้แก่ ปดิ ภาชนะเกบ็ น้าด้วยฝาปดิ เช่น มีฝาปิดปาก โอ่งน้า ตุ่มน้า ถังเก็บน้า หรือถ้าไมม่ ฝี าปิดก็วางคว่าลง หากยังไม่ต้องการใช้ เพือ่ ปอ้ งกนั ไม่ให้กลายเป็นที่วางไข่ของยงุ ลาย 2. การป้องกันทางเคมี ได้แก่ เตมิ ทรายทม่ี ีฟอสเฟต ซง่ึ เป็นสารเคมีทอ่ี งคก์ ารอนามัยโลกแนะนาให้ใช้และ รับรองความปลอดภัย การปฏิบัติตัว ได้แก่ นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องท่ีมีมุ้งลวดเพ่ือป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดย จะต้องปฏิบตั ิเหมอื นกันท้งั กลางวนั และกลางคนื หากไมส่ ามารถนอนในมุ้งหรือนอนในห้องท่ีมีมุ้งลวดได้ ควรใช้ยา กันยงุ ชนดิ ทาผวิ ซ่งึ มีสาระสาคญั ทีส่ กัดจากธรรมชาติ เช่น น้ามันตะไคร้หอม น้ามันยูคาลิปตัส ซ่ึงมีความปลอดภัย สงู กว่ามาทาหรือหยดใสผ่ วิ หนังใชเ้ ปน็ ยากันยุงแต่ประสทิ ธิภาพจะต่ากว่า DEET 2. โรคมำลำเรีย ไข้มาลาเรียหรือไข้จับสั่น เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อปรสิตจาพวกโปรโตซัว ชื่อ พลาสโมเดียม ซ่ึงเกิด จากยงุ กน้ ปลอ่ งเป็นพาหะนาโรคมาสู่คน และเป็นโรคที่มสี ถิตกิ ารระบาดสูงมาก โดยเฉพาะในภาคใต้และในจังหวัด ท่ีเป็นปา่ เขาท่ีมีฝนตกชุกอยูบ่ ่อย ๆ สำเหตุ ยุงก้นปล่องเป็นพาหะนาโรคเมื่อยุงกัดคนท่ีเป็นไข้มาลาเรียแล้วไปกัดคนอ่ืนก็จะแพร่เช้ือให้กับคนอื่น ๆ ต่อไป อำกำร ผู้ท่ีได้รับเช้ือไข้มาลาเรียจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย มีไข้สูง หนาวสั่น อาเจียน และมีเหง่ือมาก บางรายทเ่ี ป็นชนิดรุนแรงมีไขส้ งู ขึน้ สมอง อาจมีอาการเพ้อ ชัก หมดสติหรือตายในท่ีสุด บางรายไม่ตายแต่เพ้อคล่ัง เสียสติ และความจาเสอ่ื ม กำรติดตอ่ ติดต่อโดยยุงก้นปล่องตัวเมียไปกัดและกินเลือดคนที่เป็นไข้มาลาเรียแล้วได้รับเชื้อมาลา เรียมาจากคนท่ี เป็นไข้ เชอื้ น้ันจะเจริญในตวั ยงุ ประมาณ 10 วัน ก็จะมีอาการไข้มาลาเรีย กำรป้องกัน 1. นอนในมุ้งอย่าให้ยุงกดั ได้ 2. ทาลายแหล่งเพาะพันธ์ยุ งุ เชน่ ภาชนะท่ีมนี ้าขังให้หมดไป 3. เม่อื เข้าป่าหรือแหลง่ ทมี่ ไี ข้มาลาเรียระบาด ระวังอยา่ ให้ยุงกัด โดยใช้ยากนั ยุงทา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook