Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู พระพุทธศาสนา ม.4

คู่มือครู พระพุทธศาสนา ม.4

Published by jirapatlca, 2020-01-07 23:24:39

Description: คู่มือครู พระพุทธศาสนา ม.4

Search

Read the Text Version

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Elaborate Evaluate Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore ครูใหนักเรียนศกึ ษาความรูเกยี่ วกับหนาที่ ชาวพทุ ธในดา นการปฏบิ ตั ิตนเปนชาวพทุ ธทดี่ ีตอ ๑. หนา้ ท่ีชาวพทุ ธ พระภกิ ษุ และการปฏบิ ัตติ นเปนสมาชิกทดี่ ขี อง ครอบครัวและสงั คม จากหนังสือเรยี น หนา 92-101 ๑.๑ การปฏิบตั ิตนเปน็ ชาวพุทธที่ดีตอ่ พระภิกษุ แลว สรปุ สาระสาํ คัญของความรูท่ตี นศกึ ษาโดย บนั ทกึ ลงในสมดุ เพอื่ เตรยี มการอธบิ ายความรตู อ ไป ๑) การเขา้ ใจในกจิ ของสงฆ ์ ชาวพทุ ธทด่ี คี วรเรยี นรแู้ ละเขา้ ใจในกจิ ของพระสงฆ์ ในพระพทุ ธศาสนาตามสมควร ในท่นี จ้ี ะกลา่ วถงึ กิจบางประการของสงฆ์ คือ การศกึ ษา การปฏิบัติ อธบิ ายความรู Explain และการเปน็ นักบวชทดี่ ี ดังน้ี ๑.๑) การศึกษาอบรม เมื่อพระสงฆ์บวชแล้วต้องได้รับการศึกษาอบรมทุกด้าน 1. ครสู นทนากับนักเรียนถงึ ความสอดคลอ งของ หลกั ไตรสกิ ขาอนั ประกอบดวย ศีล สมาธิ และ ตั้งแต่กิริยามารยาท การพูดจา การเคลื่อนไหวอิริยาบถ ตลอดถึงการกระท�าต่างๆ โดยมี ปญ ญา กบั กจิ ของสงฆด านการศกึ ษาอบรม พระอปุ ชั ฌายค์ อยใหค้ า� แนะน�าพร่�าสอน การฝึกอบรมนนั้ เนน้ ให้ครบสมบรู ณ์ใน ๓ ดา้ น ดงั น้ี แลว ใหนักเรยี นชวยกันสรปุ สาระสําคญั เกย่ี ว กบั กิจของสงฆด า นการศึกษาอบรมโดยแบง (๑) ดา้ นศีล ต้องควบคุมกาย วาจา ให้เปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย งดเวน้ จาก ออกเปน 3 ดา นตามหลกั ไตรสิกขา จากนน้ั ขอ้ หา้ มท่พี ระพุทธเจ้าทรงบญั ญตั ิไว้ ศีลของพระภกิ ษุสงฆม์ ีอยู่ ๒ ประเภท ดงั นี้ ใหต ัวแทนนักเรียนออกมานาํ เสนอผลการสรุป สาระสําคญั เก่ยี วกบั กิจของสงฆดานการศึกษา ๑. ศีลในปาฏิโมกข์ หมายถึง ศีลท่ีส�าคัญ ๒๒๗ ข้อ (ส�าหรับภิกษุ อบรมที่หนาชัน้ เรียนผานกิจกรรมการเรยี นรู สงฆ)์ และ ๓๑๑ ขอ้ (ส�าหรบั ภิกษุณีสงฆ)์ 1 ตา งๆ ดังตอไปนี้ 2. ครสู นทนากบั นักเรียนถงึ ความหมายของการ ๒. ศีลนอกปาฏิโมกข์ หมายถึง ศีลเล็กๆ น้อยๆ นอกเหนือจาก ๒๒๗ ข้อ และ ๓๑๑ ข้อข้างต้น เช่น ข้อ ศกึ ษาอบรมของสงฆ แลวตงั้ คาํ ถามเกยี่ วกับ การศึกษาอบรมของสงฆดา นสมาธิ เพอื่ ให บัญญัติเก่ียวกับมารยาทต่างๆ เพื่อความดีงาม ตวั แทนนักเรยี นตอบเปน การอธบิ ายความรู เชน ของสถาบันสงฆ์ เปน็ ต้น • การศึกษาอบรมของสงฆในขอ ศีลแตกตาง (๒) ด้านสมาธิ ต้องฝึกฝนจิตใจ จากศีลของฆราวาสอยางไรบาง ดว้ ยการฝึกสมาธวิ ิปัสสนา ซง่ึ อาจทา� ท้งั ๒ วธิ ี (แนวตอบ ศีลของฆราวาสหรือคฤหัสถท ัว่ ไปนัน้ ควบคกู่ นั ไป ดังนี้ ประกอบดว ย ศีล 5 และสาํ หรบั ผทู ีต่ อ งการ ฝก ฝนตนใหย ิ่งขึ้นไป ไดแก ศีล 8 สว นศีล ๑. ฝึกสมถภาวนา ได้แก่ ของพระภกิ ษุสงฆน ัน้ แบงออกไดเ ปน 2 การหาวิธีหรืออุปกรณ์เพื่อให้จิตยึดเหน่ียว ประเภท ไดแ ก ศีลในปาฏิโมกข ประกอบดวย เป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจิตก็จะสงบ ศลี 227 ขอ สาํ หรบั พระภิกษสุ งฆ ซ่ึงบัญญัติ ประเพณีนิยมประการหน่ึงของสังคมไทยก็คือ กุลบุตร สามารถขจดั สง่ิ มวั หมองที่เป็นอุปสรรคต่อการ ไวในพระไตรปฎ ก หมวดพระวนิ ยั และศีล เม่ือถึงวัยอันควร พึงเข้ารับการอุปสมบทเพื่อศึกษา พัฒนาจิต (ซ่ึงเรียกว่า นิวรณ์) ออกจากใจได้ นอกปาฏโิ มกข ประกอบดว ย ขอพึงปฏบิ ตั ิ ผลของการฝึกแบบน้ีเป้าหมายคือท�าจิตใจให้ ตา งๆ ของพระภิกษสุ งฆ เพ่อื ความดงี ามของ สถาบนั สงฆ) สงบ ข่มกิเลสได้ชั่วครั้งช่ัวคราว วิธีฝึกมี ๔๐ เกร็ดแนะครู หลกั ธรรมคาำ สอนของพระพทุ ธศาสนา วิธแี ตกต่างกันออกไป 92 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT การศกึ ษาอบรมซงึ่ เปน กจิ ของสงฆม ีสาระสําคญั อยางไรบาง ครคู วรมกี จิ กรรมการเรียนรูทส่ี ง เสริมใหน กั เรียนตระหนักถึงความสําคญั ของ การศกึ ษาเก่ยี วกบั กจิ ของสงฆ ซ่ึงเปนหนา ทข่ี องชาวพทุ ธ เชน การตั้งคําถาม แนวตอบ การศึกษาอบรมซงึ่ เปนกจิ ของพระภิกษสุ งฆมีสาระสาํ คญั “เพราะเหตุใด ชาวพทุ ธจึงตอ งมีความรคู วามเขาใจเกยี่ วกับกจิ ของสงฆ” การต้งั แบง ออกไดเปน 3 สวน ซง่ึ สอดคลอ งกบั หลักไตรสกิ ขา ไดแ ก ศลี การ ประเดน็ อภิปรายเกีย่ วกับความสาํ คญั ของพระสงฆ เปนตน ปฏิบตั ิตนตามศีลในปาฏโิ มกข คอื ศีล 227 ขอ และศีลนอกปาฏิโมกข ตา งๆ สมาธิ การฝก ปฏบิ ัติสมถภาวนา เพือ่ ควบคมุ จติ และวปิ ส สนา ภาวนา เพ่ือหลุดพนจากกิเลสทัง้ ปวง และปญญา การปฏบิ ตั นิ ใหถ ึงพรอม นกั เรยี นควรรู ในปญ ญาระดบั สุตะ เปน พหสู ูตทเี่ ขา ใจถองแทใ นพระธรรมคําสอน ตลอด จนความรทู วั่ ไปในทางโลก สามารถใหคําปรกึ ษาชว ยเหลือพทุ ธศาสนิกชน 1 ศลี นอกปาฏโิ มกข ในสว นของภิกษุณสี งฆทส่ี าํ คญั ไดแ ก ครธุ มั มปฏิคคหณปู - ได และปญ ญาระดับญาณ เปน ผูเ ขาใจในธรรมชาตขิ องโลกและชีวติ สมั ปทา คือ เงอ่ื นไขอยางเขม งวด 8 ประการ ทภ่ี ิกษุณีจะตอ งปฏิบัติตลอดชีวิต ลดละกเิ ลสตา งๆ จนหมดไปไดโดยสน้ิ เชิง เชน ตอ งเคารพภิกษุแมจ ะออนพรรษากวา ตองไมจ ําพรรษาในวดั ท่ไี มมีภิกษุ ตองทาํ อุโบสถและรบั โอวาทจากภิกษทุ ุกกงึ่ เดอื น และเม่ือออกพรรษาตองปวารณา ตนตอ ภิกษแุ ละภกิ ษณุ ีอน่ื ใหตักเตอื นตน เปน ตน 92 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู เรอ่ื งน่ารู้ 1. ครตู ้งั คําถามเกี่ยวกับการศกึ ษาอบรมของสงฆ ดา นสมาธิ เพอ่ื ใหต วั แทนนักเรียนตอบเปนการ ประเภทของสมาธิ อธบิ ายความรู เชน • วิปสสนาภาวนามีคุณคาตอการศกึ ษาอบรม สมาธมิ ี ๓ ประเภท ดงั น้ี สมาธิของสงฆอ ยา งไร ๑. ขณกิ สมาธิ หมายถงึ อาการทจ่ี ติ นง่ิ สงบเพยี งชว่ั ระยะเวลาสน้ั ๆ (แนวตอบ วิปส สนาภาวนาชวยใหส งฆ 2. อปุ จารสมาธิ หมายถงึ สมาธทิ ย่ี งั ไมส่ มบรู ณเ์ ตม็ ท่ี แตเ่ ปน็ สมาธริ ะดบั ทก่ี าำ จดั นวิ รณอ์ อกจากใจไดเ้ กอื บถงึ หยั่งรสู ภาวะตางๆ ตามความเปน จรงิ ใน ระดบั ฌาน ธรรมชาติ ดว ยการนาํ สมาธิทไี่ ดจ ากการฝก ๓. อัปปนาสมาธิ หมายถึง สมาธิแน่วแน่สมบูรณ์เต็มท่ี เป็นสมาธิระดับท่ีกำาจัดนิวรณ์ออกจากใจได้โดย ปฏบิ ตั สิ มถภาวนามาใชพ ิจารณา และชว ย สน้ิ เชงิ และเปน็ สมาธริ ะดบั ฌานชน้ั ตา่ งๆ ใหมสี มรรถภาพจติ เชน การไมย อ ทอตอ อุปสรรค การใฝสมั ฤทธส์ิ ูง และมคี ณุ ภาพ ๒. ฝึกวปิ ัสสนาภาวนา ได้แก่ การฝกึ ตามวิธกี ารในขอ้ ๑. น่ันเอง พอจติ จิต เชน การมคี วามสุขสบาย ผอ นคลาย) เป็นสมาธิหรือสงบระดับหนึ่งแล้ว ก็ใช้สมาธิน้ันเป็นพ้ืนฐานพิจารณาเห็นความไม่เท่ียงแท้ ความเป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตนแท้จริงของสรรพสิ่ง จนกระท่ังเกิดการหยั่งรู้สภาวะท้ังหลาย 2. ครูต้งั ประเดน็ ใหตัวแทนนกั เรียนอภิปราย ตามเป็นจริง จิตปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่น เป็นอิสระแท้จริงจากพันธะของกิเลส เป้าหมาย ความสัมพนั ธระหวา งการเปน พหสู ูตกับการ ของการฝึกจิตแบบนมี้ ุง่ ไปทีป่ ญั ญาความรู้แจง้ และละกเิ ลสไดเ้ ดด็ ขาด มญี าณของพระสงฆ เพ่อื เปนการอธิบาย ความรูเก่ยี วกับการศึกษาอบรมดา นปญญา จิตที่ผ่านการฝึกฝนด้วยวิธีการท้ัง ๒ วิธีข้างต้นน้ัน จะเป็นจิตที่สมบูรณ์ ของพระสงฆ เชน พหูสูตกบั ญาณ : ปญญา ใน ๓ ด้าน คือ มคี วามนมุ่ นวล อ่อนโยน เช่น เมตตากรณุ า ความเอ้อื เฟอื้ เผื่อแผ่ เห็นอกเหน็ ใจ ทางโลกและปญ ญาทางธรรมของสงฆ คนอื่น (มสี ขุ ภาพจิตด)ี มีความเข้มแขง็ เชน่ มีขันติ (ความอดทน) ความยบั ย้งั ชั่งใจ ความเพียร ความกลา้ หาญ การไมย่ อ่ ท้อตอ่ อุปสรรค ความใฝส่ มั ฤทธิ์สงู (มสี มรรถภาพจติ ดี) มีความสุขสบาย 3. ครูอธิบายนกั เรียนถงึ การเปนพหสู ตู หรอื เปน ผู ผ่อนคลาย โปร่งใส เช่น มีปตี ิโสมนัส ไมย่ ดึ มั่นถอื มน่ั ร้จู กั เข้าใจคนอ่นื และให้อภัยคนอนื่ (การมี คงแกเรียนของพระสงฆท่ีกลา วไดว า สขุ ภาพจติ ดี) เปน ปญญาในทางโลก คอื เปน ความรรู ะดบั โลกิยะทคี่ นท่ัวไปพงึ มจี ากการศึกษาเลาเรยี น (๓) ดา้ นปญั ญา พระสงฆจ์ ะตอ้ งศกึ ษาอบรมตนใหเ้ ปน็ ผมู้ ปี ญั ญา ใหส้ มกบั เป็น ดวยการฟง จาํ และคิดพจิ ารณาความรูตา งๆ ผ้นู า� ทางสตปิ ญั ญาของชาวบา้ น ปญั ญามี ๒ ระดบั ดังนี้ ที่มีประโยชน เพอ่ื สามารถใหคําแนะนํากบั ชาว บาน และเปน เครอ่ื งมือในการเผยแผพระธรรม ๑. ปัญญาระดับสุตะ คือ ความรู้ระดับโลกิยะท่ีคนท่ัวๆ ไปจะพึงมี เช่น คาํ สอนไดเปนอยา งดี สวนการมีญาณของ การศึกษาเล่าเรียนด้วยการฟัง การจ�าข้อม1ูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ พระสงฆ์ต้องเรียนรู้วิชาการ พระสงฆน น้ั กลา วไดวา เปนปญ ญาในทาง ด้านต่างๆ ที่จ�าเป็น จนกระทั่งเป็น “พหูสูต” (ผู้คงแก่เรียน) เพื่อที่จะได้ให้ค�าแนะน�าชาวบ้านได้ ธรรม ท่อี าจไมเกย่ี วขอ งกับการเปน พหูสตู และที่ส�าคัญความรู้เหล่าน้ีจะได้เป็นเครื่องมือหรือ “ส่ือ” ส�าหรับถ่ายทอดหลักค�าสอนทาง เนือ่ งจากญาณนั้นไดจ ากการฝกปฏิบัติ พระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี เช่น พระสงฆ์ที่มีความรู้เร่ืองวิทยาศาสตร์ ย่อมสามารถอธิบาย วปิ ส สนาภาวนาเทา นนั้ การมญี าณของพระสงฆ หลกั ธรรมของพระพุทธเจา้ ในแงว่ ิทยาศาสตรแ์ กน่ กั วิทยาศาสตร์ได้เป็นอยา่ งดี เป็นตน้ น้นั กลาวคือ เปนความเขา ใจในโลกและชวี ติ การละความโลภ โกรธ และหลงใหลดลงจน 9๓ กระทัง่ หมดไป กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ครอู าจมอบหมายใหนกั เรยี นสรุปสาระสาํ คัญของแนวทางการฝก 1 พหูสูต หรือพหสุ ตู แปลวา ผูไดยนิ ไดฟ ง มามาก หมายถึง การจําธรรมและ ปฏิบัติสมาธิทงั้ ระดบั สมถภาวนาและวปิ ส สนาภาวนา แลวนาํ แนวทางการ ศลิ ปวทิ ยามาก เปนผคู งแกเ รยี น มีองคป ระกอบ 5 ประการ เรียกวา พาหุสัจจะ ฝก ปฏิบตั สิ มาธริ ะดบั สมถภาวนาไปฝกปฏิบตั ิในชวี ติ ประจาํ วัน จากนน้ั ไดแ ก พหสุ สฺ ุตา คือ การไดย นิ ไดฟ ง มาก ธตา คอื การจําไวได วจสา ปรจิ ติ า คือ บนั ทึกผลของการปฏบิ ัตสิ ง ครูผสู อน การกลา วไดอยางคลองปาก มนสานุเปกขฺ ติ า คอื การจาํ ไดจ นเจนใจ และ ทฏิ ฐยิ า สุปฏิวทิ ฺธา คอื การคิดไดต ามหลักทฤษฎี กิจกรรมทาทาย มมุ IT ครอู าจมอบหมายใหนักเรียนศึกษาคน ควาเพ่ิมเตมิ ถงึ แนวทางการ ปฏบิ ัตสิ มาธทิ ั้งในระดับสมถภาวนาและวปิ สสนาภาวนา จากแหลงการ ศึกษาขอมูลเกี่ยวกับคณุ คาและแนวทางการเจรญิ สมาธแิ ละวปิ สสนาเพ่ิมเติม เรยี นรูท่ีครูเสนอแนะ แลว นาํ แนวทางการฝกปฏิบัติสมาธิท่เี หมาะสมกับ ไดท ี่ http://www.thammapedia.com/practice/patipatti_howto.php ตนเองไปฝกปฏบิ ัตใิ นชวี ิตประจําวนั จากน้ันบันทกึ ผลการศึกษาคน ควา เว็บไซตม ูลนธิ ิธรรมทานกุศลจิต และการฝก ปฏบิ ัติสงครผู ูสอน คมู อื ครู 93

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครูใหต ัวแทนนกั เรียนจับสลากคาํ ศัพทห รอื ๒. ปัญญาระดับญาณ คือ ความหย่ังรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ขอความสําคญั เก่ียวกบั กจิ ของสงฆดานการปฏบิ ัติ ปัญญาระดับนี้ไม่จ�าเป็นจะต้องต่อมาจากปัญญาระดับสุตะ หมายความว่า คนที่คงแก่เรียน และเปนนักบวชทด่ี ี ไดแก การศกึ ษาอบรมตน มีความรู้วิทยาการมากๆ ไม่จ�าเป็นจะต้องมีญาณหรือเกิดญาณได้ง่าย ชาวไร่ชาวนาท่ีมีวิถีชีวิต กัลยาณมิตร ศรัทธา การปฏิบัตติ นเปนแบบอยา ง อย่างเรียบง่าย อาจมีความรู้ระดับญาณได้ง่ายกว่านักปราชญ์ก็ได้ ปัญญาระดับญาณน้ีเกิดได้ การพฒั นาบคุ คลและสงั คมในทางพระพุทธศาสนา ทางเดยี วคอื ผา่ นการฝกึ วปิ สั สนากรรมฐาน ปญั ญาระดบั นว้ี ดั ไดด้ ว้ ยการเขา้ ใจโลกและชวี ติ การปลอ่ ย ความเขา ใจพระธรรมคาํ สอน การละความชั่ว การ วางความตดิ ยดึ ตามล�าดบั การลดละความโลภ โกรธ หลง ใหล้ ดลง จนกระทงั่ หมดไปโดยสนิ้ เชงิ มีจติ ใจไมเขม แข็ง การสง เสรมิ ความดี การสอน ธรรมไดเ หมาะสมกบั บุคคล ศาสนทายาท และ ๑.๒) การปฏิบัติและเป็นนักบวชที่ดี เม่ือฝึกฝนอบรมตนให้พร้อมทั้งด้านศีล พระธรรมวินัย แลวใหต วั แทนนกั เรยี นท่ไี ดสลากคาํ สมาธิ และปัญญาแล้ว พระสงฆ์ยงั จะต้องปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ท่สี า� คญั อกี ประการหน่งึ คือ การเผยแผ่ ศพั ทห รือขอความสาํ คญั เกี่ยวกบั กจิ ของสงฆด าน พระธรรมคา� สอนของพระพทุ ธเจา้ การเผยแผ่พระธรรมจะได้ผลดีนั้น พระสงฆ์ต้องท�าตนให้เป็น การปฏบิ ัติและเปน นกั บวชท่ีดตี างๆ จบั คกู ันตาม “กัลยาณมิตร” คือ เพื่อนที่แท้ ที่คอยช้ีแนะแนวทางให้พุทธศาสนิกด้วยความหวังดี ซึ่งขอกล่าว ความรูเกย่ี วกับการปฏบิ ัตแิ ละเปนนักบวชท่ีดที ต่ี น โดยสรปุ ๕ ประการ ดงั น้ี ศึกษามาใหถ ูกตอ ง จากนน้ั ตัวแทนนกั เรียนแตละคู ชวยกนั ต้งั คาํ ถามโดยใชค ําศัพทหรอื ขอ ความสาํ คญั (๑) สร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาและท�าตนเป็นตัวอย่างท่ีดี พระสงฆ์ ของคตู น เพื่อใหนักเรยี นคนอน่ื ชว ยกนั ตอบเปน การ ต้องพยายามชักชวนและชี้แจงให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้ม่ันใจในหลัก อธบิ ายความรู เชน ค�าสอนของพระพทุ ธศาสนา เช่น ถ้ามีบางคนเข้าใจว่าพระพทุ ธศาสนาสอนหลกั ธรรมทสี่ ูงเกินไป กว่าสามัญชนจะปฏบิ ตั ิได้ (เช่นสอนเร่ืองนิพพาน) กช็ ี้แจงให้เข้าใจว่า ทีจ่ รงิ แลว้ พระพุทธศาสนา • การสรางความเขาใจทถ่ี ูกตองในพระธรรม สอนธรรมะไว้ถึง ๓ ระดับ ไดแ้ ก่ ระดับพนื้ ฐาน เนน้ ไปทกี่ ารประสบความสา� เรจ็ การมีความสขุ คําสอนของพระพทุ ธเจา เปน บทบาทหนา ท่ี แบบชาวโลก การพง่ึ พาตนเองไดใ้ นทางเศรษฐกจิ ระดบั กลาง เนน้ ไปทค่ี วามมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม สําคญั ของพระสงฆอยางไร และ ระดับสูง เนน้ ไปทกี่ ารลดละกเิ ลสได้เดด็ ขาด ธรรมะคา� สอนของพระพทุ ธศาสนาจงึ เหมาะแก่ (แนวตอบ การสรางความเขา ใจท่ถี กู ตอ งใน คนทุกระดับ ใครพอใจหรือมีความสามารถปฏิบัติได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น แล้วค่อยพัฒนาให้ก้าว พระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจาเปน บทบาท สูงขึ้นไปตามล�าดับ หนาท่สี าํ คญั อยางยิ่งของพระสงฆ ซ่ึงเปนผทู ่ี ไดช่ือวาเปน พระสาวกสบื ทอดพระธรรม อน่ึง วิธีสร้างศรัทธาท่ีดีที่สุดก็คือ การสอนด้วยตัวอย่าง พระสงฆ์ท่ี คาํ สอนของพระตถาคต เพราะพทุ ธศาสนกิ ชน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ งดงามไปด้วยศีล สมบูรณ์ไปด้วยคุณธรรม มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อาจเกดิ ความเขา ใจท่คี ลาดเคล่ือนหรือ ถึงจะไมส่ ัง่ สอนอะไรใครมาก กท็ า� ใหผ้ พู้ บปะเสวนาดว้ ยเกดิ ความเลอ่ื มใสได้เป็นอยา่ งดี ไมถ ูกตองในหลักธรรมคําสอนตางๆ ได พระสงฆจ งึ ควรมบี ทบาทหนาท่ใี นการอธบิ าย (๒) สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเก่ียวกับพระพุทธศาสนา บางครั้ง ใหพ ทุ ธศาสนิกชนเกิดความรูค วามเขา ใจท่ี บางคนอาจจะไมเ่ ลอ่ื มใสศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา มิใชเ่ พราะพระพทุ ธศาสนาสอนไมด่ ี แตเ่ พราะ ถกู ตอ งในพระธรรมคาํ สอน อนั จะนาํ มาซึง่ ไมเ่ ขา้ ใจหรอื เข้าใจผิด จงึ สรปุ ว่าพระพุทธศาสนาไมด่ ี ไม่นา่ เล่อื มใสศรทั ธา เชน่ การกล่าวหาว่า ความมั่นคงของพระพุทธศาสนาสบื ไป) พระพุทธศาสนาสอนหลกั ธรรมทีข่ ัดกบั การพัฒนาคนและการพัฒนาสังคม เพราะพระพุทธศาสนา 94 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับการพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ตามแนวทาง ครอู าจนาํ วีดิทศั นหรือบทความเกี่ยวกบั พระสงฆท ม่ี ปี ระวตั คิ วามเปน มาและผล พระพทุ ธศาสนา งานสอดคลองกับหลักการปฏิบัตแิ ละเปน นกั บวชทดี่ ีของสงฆม าใหนกั เรยี นพจิ ารณา ในแนวทางพระพุทธศาสนา เราจะสรา งคณุ ภาพชีวิตไดอ ยา งไร เชน ทานพุทธทาสภิกขุ จาก http://www.buddhadasa.com/ เว็บไซตร วบรวม 1. มีสติ สมาธิ และปญญา ประวตั แิ ละผลงานของทา นพทุ ธทาสภกิ ขุ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย (ประยทุ ธ ปยตุ โฺ ต) 2. มมี ารยาทชาวพุทธ และสมาธิ จาก http://www.watnyanaves.net/th/web_page/papayutto เวบ็ ไซตวดั 3. ยดึ ไตรลกั ษณ และโยนิโสมนสิการ ญาณเวศกวนั และพระไพศาล วิสาโล จาก http://www.visalo.org/ เว็บไซต 4. ยึดทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนกิ ธรรม และฆราวาสธรรม พระไพศาล วิสาโล แลวอภปิ รายรวมกันถึงความสอดคลองของกิจของสงฆใ นดา น วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. มีสติ สมาธิ และปญญา หรอื หลัก การปฏบิ ัตแิ ละเปน นักบวชทดี่ ีกบั การปฏิบตั ติ นของพระอริยสงฆดังกลา ว จากนนั้ ไตรสกิ ขา ซ่งึ เปน แนวทางในการพัฒนาตนเองใหเจรญิ กา วหนาท้ังในทาง นกั เรียนบนั ทึกผลการอภปิ รายลงในสมดุ ทั้งนีเ้ พือ่ ใหนกั เรียนเกิดความรูความเขา ใจ โลกและในทางธรรม การพฒั นาตนเองในทางโลกนัน้ กลา วคอื การชว ย เก่ยี วกับกจิ ของสงฆในดา นการปฏิบตั แิ ละเปนนักบวชที่ดไี ดชดั เจนยิง่ ข้ึน สงเสริมใหป ระสบความสาํ เรจ็ ในการเรียนและการทาํ งาน รวมถึงการ ดาํ เนนิ ชีวติ โดยท่วั ไป 94 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู สอนให้มนุษย์ก�าจัดตัณหา (ความอยาก) โดยเขาให้เหตุผลว่า การจะพัฒนาอะไรได้นั้น ต้องเร้า ตวั แทนนกั เรียนแตละคูช วยกันต้งั คําถาม โดยใชคําศพั ทห รือขอ ความสาํ คญั ของคตู น ให้คนเกิดความอยาก ความต้องการ เมื่อต้องการมากๆ ก็จะกระท�าการหรือพัฒนาตนมากข้ึน เพื่อใหน ักเรียนคนอ่นื ชวยกันตอบ เปน การ อธิบายความรู เชน พระพทุ ธศาสนาสอนใหล้ ะความอยากกเ็ ทา่ กบั สอนใหค้ นงอมอื งอเทา้ ไมส่ รา้ งสรรคน์ ่นั เอง • เพราะเหตุใด พระสงฆจึงตองปฏิบัตติ นเปน พระสงฆ1 ์ผู้เผยแผ่ธรรมะจะต้องสามารถชี้แจงให้เกิดความเข้าใจให้ได้ว่า ดงั กลั ยาณมิตรของพทุ ธศาสนิกชน ความอยาก ที่เรียกว่า “ตัณหา” นั้น เป็นความโลภและทุจริต คนที่อยากด้วยอ�านาจความโลภ (แนวตอบ การปฏิบตั ิตนเปน ดงั กลั ยาณมิตร ของพระสงฆต อ พทุ ธศาสนกิ ชนนน้ั ชวย และทุจริต ย่อมจะกระท�าการอะไรเพ่ือตนเองและสร้างความเดือดร้อนแก่สังคมเป็นอย่างมาก ใหก ารเผยแผพระธรรมคาํ สอนไดผลดี เน่อื งจากพุทธศาสนิกชนเกิดความศรทั ธาใน ถ้ายิ่งเร้าให้คนเกิดความอยากชนิดนี้มากเท่าใด สังคมก็จะเต็มไปด้วยคนโลภ คนทุจริต คนท่ี พระสงฆทป่ี ฏิบัตติ นเสมอื นเพ่ือนท่ีแท ทค่ี อย ช้ีแนะแนวทางแกปญ หาหรือพัฒนาตนดวย เอารัดเอาเปรียบ สังคมหาความสงบสุขได้ยาก ความอยากอย่างน้ี (ตัณหา) พระพุทธเจ้าตรัส ความหวังด)ี สอนให้พยายามลดละให้มากท่สี ุดเท่าท่ีจะทา� ได้ แต่ความอยากสรา้ งสรรค์ เชน่ อยากท�าความดี • พระสงฆจ ะมบี ทบาทในการสง เสริมให พุทธศาสนกิ ชนมจี ติ ใจท่ีเขม แขง็ ละความ อยากช่วยเหลือคนอ่ืน อยากเรียนหนังสือให้มีความรู้มากๆ เพ่ือออกไปรับใช้ชาติ ท่านเรียกว่า ชั่วไดอยางไรบาง (แนวตอบ พระสงฆม บี ทบาทในการสงเสรมิ ให “ธรรมฉันทะ” คนทมี่ ีความอยากชนดิ นีเ้ ปน็ คนไมโ่ ลภ ไมท่ ุจรติ จะตงั้ หน้าตั้งตาทา� งานดว้ ยความ พทุ ธศาสนิกชนมจี ติ ใจทเี่ ขม แข็ง ละซึ่งความ ชว่ั ทง้ั ปวงได โดยเร่ิมจากการประพฤติปฏบิ ัติ ขยันหมั่นเพียร ด้วยความซ่ือสัตย์สุจริต ความอยากชนิดนี้เท่านั้นที่สนับสนุนส่งเสริมให้เกิด ตนใหเปนแบบอยาง กลา วคือ ปฏบิ ตั ติ าม หลกั ธรรมทตี่ นจะสอนได และการเทศนา การพัฒนาอย่างแท้จริง สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ “พระพุทธศาสนาสอนให้ก�าจัดความอยาก ธรรมสั่งสอนโดยตรง ทั้งนีพ้ ิจารณาตาม ความเหมาะสม เนื่องจากพทุ ธศาสนิกชน ทีเ่ รยี กวา่ ตณั หา แต่ใหพ้ ฒั นาความอยากท่ีเรียกวา่ ธรรมฉนั ทะ” ลว นไมอ ยากตกอยใู นอํานาจของความ ชวั่ หรือกเิ ลสตา งๆ แตบางครัง้ กอ็ ดที่จะ (๓) สอนให้ละความชั่ว ทําความช่วั ไมได เพราะความหลงผิดบาง หรือเพราะความท่มี จี ิตใจไมเขม แขง็ มั่นคง คนทุกคนชอบความดีเกลียดความชั่ว แต่ทั้งๆ เพียงพอบา ง) ท่ีชอบความดีเกลียดความชั่ว ในบางคร้ังบาง คนก็อดท�าความช่ัวไม่ได้ เพราะความหลงผิด บา้ ง เพราะจติ ใจขาดความเขม้ แขง็ เพยี งพอบา้ ง หน้าท่ีส�าคัญของพระสงฆ์อีกประการหนึ่งก็คือ พยายามหาวิธีให้คนละท�าความชั่วและให้พึง ท�าแตค่ วามดีให้ได้ สิ่งใดบอกให้เข้าใจไดก้ บ็ อก สิ่งใดบอกด้วยปากไม่ได้ผลก็ต้องท�าให้ดูเป็น ตัวอย่าง ดังกรณีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เดินไปเห็นเน้ือติดบ่วงนายพรานอยู่ จึงปล่อย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ไดส้ ง่ั สอนธรรมะ เนื้อตวั น้นั แลว้ เอาบ่วงผูกขาตนเองแทน เม่อื ให้บุคคลทำาความดีละเว้นความชั่ว และปฏิบัติตนเป็น นายพรานเจ้าของบ่วงมาพบเข้า จึงส�านึกว่า แบบอยา่ งของการเป็นนักบวชท่ีดี 9๕ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรยี นควรรู หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งสอดคลองกับธรรมฉนั ทะในทาง 1 ตณั หา คอื ความทะยานอยาก ความเสนห า แบงออกเปน 3 ประเภท ไดแ ก พระพทุ ธศาสนาอยา งไร กามตัณหา คือ ความอยากไดในอารมณอ นั นารักใคร ภวตัณหา คือ ความอยาก เปน น่ันน่ี และวภิ วตณั หา คือ ความไมอ ยากเปน น่ันน่ี อยากพนไปเสีย นอกจาก 1. การพฒั นาตนใหบ รรลเุ ปา หมายทช่ี อบดว ยแนวทางทถ่ี กู ตอ งเหมาะสม นตี้ ณั หายังเปน ช่อื ของธดิ าพญามาร 1 ใน 3 นาง (อีกสองนาง ไดแ ก นางอรดี 2. การประหยดั มธั ยสั ถใ ชจ า ยเทา ทจ่ี าํ เปน และเหมาะสมกบั รายไดข องตน และนางราคา) ทอ่ี าสาบดิ ามาประโลมพระพุทธเจา ดว ยอาการตา งๆ ในขณะที่ 3. การถอื หลกั สนั โดษ ไมอ ยากมี อยากได และอยากเปน ในสง่ิ ทเ่ี หมาะสม พระพุทธเจาประทับอยใู ตต นอชปาลนโิ ครธภายหลงั การตรัสรู 4. การพยายามพึ่งตนเองและปฏเิ สธความชว ยเหลือของผูอ่นื วิเคราะหค าํ ตอบ ความสอดคลองระหวางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มมุ IT กบั ธรรมฉนั ทะในทางพระพทุ ธศาสนา ไดแ ก การอยากได อยากมี และ อยากเปน ในสิ่งท่ีถกู ตองเหมาะสม และตนเองมคี วามสามารถและความ ศกึ ษาขอมูลเพม่ิ เติมเก่ยี วกับประวตั ิและผลงานของสมเด็จพระพฒุ าจารย (โต พรหมรังสี) ไดที่ http://www.watrakang.com/biography.php เว็บไซต เพียรพยายามเพียงพอในการบรรลุเปาหมายนัน้ ดังนนั้ คําตอบคอื ขอ 1. วดั ระฆังโฆสติ าราม คูม ือครู 95

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ตวั แทนนกั เรียนแตละคูช วยกนั ตงั้ คําถามโดยใช ท่านมาแสดงปริศนาธรรม มาสัง่ สอนตนใหง้ ดเวน้ การฆา่ สัตว์ตัดชวี ติ ซง่ึ นายพรานกย็ อมท�าตาม ศพั ทหรือขอ ความสําคัญของคูตน เพือ่ ใหน ักเรียน คนอื่นชวยกันตอบ เปน การอธิบายความรู เชน ค�าสงั่ สอนของสมเด็จพระพฒุ าจารย์ จงึ เลิกอาชพี การเป็นนายพรานนับตั้งแต่บัดนน้ั ดังนเ้ี ป็นต้น • คุณคาของการสอนธรรมไดเ หมาะสมกับ (๔) สนบั สนนุ ใหท้ า� ความด ี พระสงฆต์ อ้ งสรา้ งเสรมิ กา� ลงั ใจใหค้ นทา� ความดี บุคคลของพระสงฆค อื อะไร (แนวตอบ การสอนธรรมไดเ หมาะสม มีเทคนิควิธีแนะน�าท่ีเหมาะแก่บุคคล เพราะคนเรามีพื้นฐานและความสนใจไม่เหมือนกัน กบั บุคคลของพระสงฆมีคุณคาอยางยิง่ ตอพทุ ธศาสนกิ ชน กลาวคอื ชวยให ผู้สอนจึงต้องรู้จักปรับวิธีการแนะน�าส่ังสอนให้เหมาะแก่คนแต่ละคนว่าจะเป็นเรื่องใด ดังกรณี พทุ ธศาสนิกชนเขาใจหลกั ธรรมคาํ สอนของ พระพทุ ธองคไดอ ยา งชัดเจนแจม แจงยงิ่ ข้ึน ผู้ปฏิบัติสมาธิบ่นกับอาจารย์สอนสมาธิรูปหน่ึงว่า เขาหมดก�าลังใจปฏิบัติแล้ว ยิ่งปฏิบัติเท่าใด อันนําไปสกู ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตนตามเพอื่ แกป ญหาและพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของตนได ก็มีแต่ความฟุ้งซ่าน ไม่ได้ผลอะไรเลย อาจารย์ตอบว่า “อย่างนอ้ ยโยมก็ไดแ้ ลว้ คอื ไดค้ วามรวู้ า่ ทัง้ นีเ้ นอื่ งจากบุคคลตา งๆ ลวนมพี ืน้ ฐานและ ความสนใจแตกตา งกนั ไป การสอนพระธรรม จติ โยมฟงุ ซา่ น ถา้ ปฏบิ ตั ติ อ่ ไปเรอื่ ยๆ โยมกอ็ าจจะไดม้ ากกวา่ น ้ี ขอใหท้ า� ต่อไปเถอะ ความดมี ิใชว่ ่า จงึ ควรปรบั แนวทางวิธีการใหเ หมาะสมกับ พนื้ ฐานบคุ คล ตลอดจนโอกาสและหลักธรรม ท�าไดภ้ ายในวันสองวัน” อยา่ งนีเ้ ปน็ ต้น คาํ สอนดว ย) (๕) สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพไว้สืบทอดพระพุทธศาสนา ถึงพระพุทธเจ้า • คณุ ภาพของศาสนทายาทประกอบดว ย อะไรบาง ปจะฏเิบสดัต็จิสดืบับตข่อันกันธปมราินิพพพุทธานบรแิษลัท้ว1ทพ้ังหระลธารยรมโวดินยัยเฉพ(พาระะภพิกุทษธุบศราิษสัทนมาีห) นก้า็ยทังี่สคืบงทออยดู่ พเพรระาพะุทไดธศ้รับาสกนาาร (แนวตอบ ศาสนทายาทท่ีจะชว ยสืบทอด พระพุทธศาสนาในยง่ั ยืนสบื ไปน้นั ควรมี โดยตรงจึงต้องสร้างศาสนทายาทท่ีมีคุณภาพไว้ด้วย ศาสนทายาทที่มีคุณภาพจะต้องมีคุณสมบัติ คณุ ภาพหลายประการ ไดแ ก การมคี วาม รูความเขาใจในพระพุทธศาสนาแตล ะดา น ดงั นี้ คือ เปนอยา งดี การมีความประพฤติดตี ามหลัก แหงพระพุทธศาสนาจนไดรับผลดแี หง ความ ๑. มคี วามร้พู ระพทุ ธศาสนาดี ประพฤตินน้ั การมคี วามสามารถในการ ถา ยทอดพระธรรมคาํ สอน หลักการของ ๒. มีความประพฤติดี สามารถ พระพทุ ธศาสนาใหแกผ อู ่นื เขา ใจไดอยา ง ชัดเจน และการปกปองพระพทุ ธศาสนาได ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาจนได้รับผล เมอ่ื มีภยั ตา งๆ) แหง่ การปฏบิ ัติ ๓. มคี วามสามารถในการถา่ ยทอด คือ ช้ีแจงหลักการของพระพุทธศาสนาให้ คนอ่ืนเขา้ ใจได้ ๔. เม่ือเห็นว่ามีภัยเกิดข้ึนแก่ พระพทุ ธศาสนา พร้อมท่จี ะปกปอ้ ง การสร้างบุคลากรไว้สืบทอด พระพุทธศาสนานั้นจึงเปรียบได้ “ด่ังตระกูล พระสงฆเ์ ปน็ พทุ ธสาวกทม่ี หี นา้ ทส่ี ง่ั สอนธรรมแกช่ าวโลก ที่ไมม่ ที ายาทสบื ทอด แมจ้ ะมง่ั คง่ั มน่ั คงเพยี งใด และสืบทอดพระพุทธศาสนาใหด้ าำ รงอยตู่ อ่ ไป ในเบอื้ งตน้ ทส่ี ดุ กจ็ ะอยู่ไม่ได ้ เฉกเชน่ เดยี วกบั 96 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT บคุ คลใดกลา วไดวา เปน ศาสนทายาทท่มี คี ุณภาพของพระพทุ ธศาสนา ครูควรจดั กจิ กรรมการเรยี นรตู ามแนวทางการพฒั นานกั เรยี นใหม สี ัมมาทิฏฐิ 1. แจนถกเถียงกบั ศาสนกิ ชนในศาสนาอน่ื ได ไดแ ก การจดั สภาพแวดลอ มทเ่ี ออื้ ตอ การเรยี นรู และการปฏบิ ตั ติ นทเี่ หมาะสมของครู 2. จีนสอบไดค ะแนนดใี นวชิ าพระพทุ ธศาสนา ทําใหผ ูเรียนเกดิ ความศรทั ธาและความสนใจทจ่ี ะเรยี นรู การฝก ใหนักเรยี นคดิ 3. โจปฏบิ ัตติ นตามหลักเบญจศีล-เบญจธรรม ตามหลักโยนโิ สมนสิการ หรือการคิดในใจโดยแยบคาย 10 วิธี รวมถึงการฝก ฝน 4. เจงมสี วนรวมในการสรางพทุ ธศาสนสถานทใ่ี หญโ ต อบรมตนเองใหเปน กลั ยาณมติ รของนกั เรียน วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. โจปฏบิ ตั ติ นตามหลกั เบญจศลี -เบญจธรรม เนอื่ งดว ยสอดคลอ งกับคณุ สมบตั ิของศาสนทายาทที่มีคณุ ภาพในขอการ นกั เรยี นควรรู สามารถปฏิบัตติ นตามหลกั พระพทุ ธศาสนาได ซงึ่ เปนผลสบื เน่อื งมาจาก การมคี วามรคู วามเขาใจในหลกั พระพทุ ธศาสนาน่ันเอง 1 พทุ ธบริษทั หมายถงึ หมชู นทีน่ ับถอื พระพุทธศาสนา แบง ออกไดเ ปน 4 กลมุ ไดแก ภิกษุ ภิกษณุ ี อบุ าสก และอบุ าสิกา 96 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู พระพุทธศาสนา แม้จะมีค�าสอนท่ีดีวิเศษเพียงใด ถ้าขาดศาสนทายาทสืบทอดต่อๆ กันมา ก็ ครูสนทนากบั นกั เรียนเก่ียวกับการทาํ ทาน สูญสลายไปเช่นนั้น” ฉะนั้น พระสงฆ์ที่มองการณ์ไกลท่านจึงพยายามสร้างบุคลากรท่ีมีคุณภาพ และคุณสมบัติของทายกและปฏิคาหกที่นกั เรียน ไว้สบื ทอดพระพุทธศาสนาใหม้ ง่ั คงสถาพรตอ่ ไป ไดศึกษามา แลว สุม ตวั แทนนกั เรียน 2 คน โดย ใหนักเรียนทง้ั สองคนแบง บทบาทหนา ทร่ี บั ผิด ๒) คณุ สมบตั ขิ องทายกและปฏิคาหก ทายก หมายถึง ผู้ใหท้ าน ปฏคิ าหก ชอบในการเปนทายกหรอื ปฏิคาหก จากน้นั ครตู ง้ั คาํ ถามเกยี่ วกับคณุ สมบัตขิ องทายกและปฏคิ าหก หมายถึง ผูร้ ับทาน ใหนักเรียนทรี่ ับผดิ ชอบบทบาทหนาท่ีนัน้ ตอบ เพือ่ ในทางพระพุทธศาสนา ทานหรือการให้เป็นวิธีท�าบุญวิธีหน่ึง การให้น้ันนอกจาก เปนการอธิบายความรู เชน เป็นการช่วยเหลือผู้อนื่ แลว้ ยงั เปน็ การช่วยขดั เกลาจติ ใจผใู้ ห้ให้บรสิ ทุ ธิ์ผอ่ งใสไดด้ ้วย การใหแ้ บ่ง • “ใหแกผ ูทีค่ วรให” มคี วามหมายวา อยางไร ออกเปน็ ๓ ประเภท ดงั น้ี อธบิ ายพรอ มยกตัวอยา งประกอบพอสังเขป (แนวตอบ การใหห รือการทําทานท่ดี คี วรทาํ ๑. ใหว้ ตั ถุสง่ิ ของ เช่น เงิน อาหาร เสอ้ื ผา้ รวมถงึ การออกแรงกายช่วยเหลือผู้อ่ืนดว้ ย กับผทู ่คี วรไดรบั การทําทานกับผูทีไ่ มควร ๒. ให้ความร ู้ เช่น ช่วยทบทวนวิชาที่เพ่อื นขาดเรยี นเพราะเหตุจา� เป็น ชว่ ยเตือนสติ ชว่ ยให้ ไดร ับนอกจากจะไมม ปี ระโยชนแลวยงั อาจ ขอ้ มูลต่างๆ เปน็ ต้น เปน โทษอีกดวย เชน การใหเ งินแกคนท่ี ๓. ให้อภยั คอื ความต้ังใจงดเว้นไม่ประพฤตผิ ิดศีล รักษาศลี ๕ ใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ เกียจครา นไมท าํ การงาน ติดการพนนั ซึ่ง เปนผทู ่ไี มค วรไดร ับทาน เน่อื งจากเงินที่ การให้ท่ีดีน้ันต้องค�านึงถึงคุณสมบัติของผู้ให้ (ทายก) และผู้รับ (ปฏิคาหก) ด้วย เราทําทานไปนั้นกจ็ ะถกู นาํ ไปเลน การพนนั ไมไดเปน การชว ยเหลอื เขาอยา งแทจริง ดังนี้ เปนตน ) ๒.๑) ให้ทานแก่บุคคลท่ีควรให้ การให้ทานแก่คนที่ไม่ควรให้น้ัน นอกจากจะ ไม่เป็นประโยชน์แล้วยังอาจเป็นโทษด้วย เช่น คนที่ด่ืมเหล้าจนเมามายแล้วมาขอเงินเราเพื่อไป ซ้อื มาดมื่ เพ่มิ อีก อย่างน้ีไมค่ วรให้ เพอ่ื นท่เี ลน่ การพนันจนติดเป็นนิสัย มาขอเงินหรืออาหาร เราก็ไม่ควรให้ เพราะประพฤติตนไม่ถูกต้อง ตามท�านองคลองธรรม อีกท้ังยังไม่รู้จักที่จะ ประกอบสัมมาอาชีวะ หรือบุคคลท่ีมีร่างกาย แขง็ แรง แตม่ คี วามเกยี จคร้าน วานให้เราชว่ ย ยกของให้ เราก็ไม่ควรท�า แต่ถ้าเป็นคนเจ็บ ทุพพลภาพ คนชรา สตรีมีครรภ์ อย่างน้ีเรา ควรท�าให้ บุคคลเช่นไรท่ีเราควรให้ทานนั้น นักเรียนต้องใช้เหตุผลไตร่ตรองพินิจพิจารณา การบริจาคสง่ิ ของต่างๆ นอกจากเปน็ การชว่ ยเหลือผ้อู ่นื แลว้ ยงั แสดงถงึ ความเสียสละของผูใ้ ห้อีกด้วย เปน็ รายๆ ไป 9๗ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ครบู าอาจารยจ ดั ไดว าเปนทายกหรอื ไม อยางไร ครอู าจนาํ กรณีศกึ ษาเกย่ี วกบั ความเชอื่ เรื่องการทาํ บุญ-ทําทานท่ีไมส อดคลองกับ 1. เปน เพราะชว ยจัดหาอุปกรณทางการศกึ ษาใหน ักเรยี นทกุ คน หลักพระพทุ ธศาสนาในสงั คมไทยปจจบุ ันมาใหน กั เรยี นพิจารณารว มกัน เชน ความ 2. เปน เพราะชว ยถายทอดความรแู ละขัดเกลาอปุ นิสัยนกั เรยี นใหดีงาม เชอื่ เก่ยี วกบั ผลบญุ ทีจ่ ะไดรับหากทาํ บุญดว ยจํานวนเงินทีม่ าก ความเชื่อเกยี่ วกบั 3. ไมเปน เพราะไดรับผลตอบแทนจากการปฏิบัตหิ นา ที่นน้ั การไถหรือปลอยสตั ว และความเชอื่ เกีย่ วกบั การทําบุญหรอื พธิ กี รรมตา งๆ เพ่ือลาง 4. ไมเปน เพราะถอื เปน หนา ทกี่ ารงานทค่ี รอู าจารยตองปฏิบตั อิ ยแู ลว บาปหรอื แกกรรมชว่ั แลวอภิปรายรว มกันกับนกั เรยี นถงึ ความเขา ใจของคนบางสว น ในสงั คมทีค่ ลาดเคลอื่ นไปจากหลกั แหงพระพุทธศาสนา รวมถึงเสนอแนวทางการ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เปน เพราะชวยถา ยทอดความรูและ ปอ งกันและแกไขปญหาดังกลา ว ขดั เกลาอปุ นิสยั นกั เรียนใหดีงาม สอดคลอ งกบั การใหข องทายกในดา น มมุ IT การใหค วามรแู ละปญ ญาน่ันเอง ศึกษาความรูเ กี่ยวกับการทาํ บญุ ใหท านอยา งถกู ตองตามหลกั ทางพระพทุ ธ- ศาสนาเพ่มิ เติมไดท ่ี http://www.mbu.ac.th/pdf/การใหท านทาํ บญุ ท่ถี กู วธิ .ี pdf เวบ็ ไซตม หาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั คูมอื ครู 97

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครตู ง้ั คาํ ถามเกยี่ วกับคุณสมบัตขิ องทายกและ ๒.๒) ให้ในส่ิงที่ควรให้ ของที่เราให้ทานน้ันต้องเป็นของบริสุทธ์ิ และเราได้มา ปฏิคาหกใหนกั เรยี นที่รับผดิ ชอบบทบาท โดยชอบธรรม มิใชไ่ ปลกั ขโมยหรอื ฉ้อโกงเขามา และจะตอ้ งไมม่ พี ษิ มภี ยั มีแต่ประโยชนแ์ กผ่ ูร้ บั หนาที่น้นั ตอบ เพื่อเปนการอธิบายความรู เชน เช่น เราไม่ควรให้อาวุธหรือส่ิงเสพติดแก่ใคร เพราะการให้ส่ิงท่ีเป็นโทษแก่ผู้รับนั้น ไม่ถือว่าเป็น • การใหด ว ยจติ ใจอนั บรสิ ทุ ธ์ิ ผใู หพ งึ ไดร บั สงิ่ ใด ทาน แตเ่ ปน็ การท�ารา้ ยมากกว่า (แนวตอบ การใหด วยจติ ใจอันบริสทุ ธิ์ โดยการ ทําทานแกบ คุ คลที่ควรไดรับดว ยสง่ิ ทค่ี วรได ๒.๓) ให้ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ การให้ที่ดีจะต้องเกิดจากเจตนาที่บริสุทธิ์และ รบั มเี จตนาอนั บริสทุ ธิ์ทั้งกอ นและหลังการ เต็มใจให้ กล่าวคือ ก่อนให้ก็มีความยินดีที่จะให้และคิดว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ขณะท่ีให้ก็มี ให และคิดวา จะเปน ประโยชนแ กผรู ับอยางไม จิตผ่องใส ไม่คิดเสียดายหรือลังเลใจ และเมื่อให้ไปแล้วก็รู้สึกเบิกบานใจที่ได้ประกอบความดี ลังเลใจ พงึ มจี ติ ใจผองใสเบกิ บานจากการที่ ท�าคณุ ประโยชน์แก่เพือ่ นมนุษย์ ไดป ระกอบความดี ทาํ คุณประโยชนแกเ พ่ือน มนุษยท ่ีไดร ับความเดอื ดรอน) การให้ที่ดีน้ันจะต้องถึงพร้อมด้วยองค์ ๓ ข้างต้น ซ่ึงทางพระพุทธศาสนา • ผทู ี่ไดรบั การใหควรปฏิบตั ติ นอยางไร เรยี กวา่ “ทานสมบตั ิ ๓” ได้แก่ เขตสมบตั ิ คือ ผูร้ ับถึงพรอ้ ม ๑ เทยยสมบตั ิ คอื ของที่ใหถ้ งึ (แนวตอบ ผูที่ไดร ับทานควรสาํ นึกถึงบญุ คุณ พร้อม ๑ และจิตสมบตั ิ คือ เจตนาถึงพรอ้ ม ๑ ของผูให และท่ีสาํ คัญคือ นาํ สงิ่ ทีร่ บั ทานมา ใชใหเ กดิ ประโยชนตามความประสงคของ ๑.๒ การปฏบิ ตั ติ นเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครวั และสงั คม ผใู ห ตลอดจนเมอ่ื ชว ยเหลือตนเองไดแลว พงึ ตอบแทนผูใหดว ยวิธกี ารตา งๆ เชน ชวย ๑) การรักษาศีล ๘ ในพระพุทธศาสนา การรักษาศีลเป็นการท�าบุญอย่างหน่ึง เหลือทา นตอบสรรเสรญิ คุณงามความดขี อง ทา นใหผูอื่นรับรู และนําแบบอยางการปฏบิ ตั ิ นอกเหนือไปจากการให้และการเจริญภาวนา การรักษาศีลจัดเป็นการควบคุมร่างกายและวาจา ตนของทานมาใชใ นชวี ติ เปนตน ) ให้เป็นปกติ เพื่อเป็นพื้นฐานให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส โดยปกติชาวพุทธท่ีดีควรจะรักษาศีล ๕ จากนน้ั ครแู ละนักเรยี นชวยกันสรปุ ความรู แต่นอกจากน้ียังมีประเพณรี กั ษาศลี ๘ อยอู่ ีกอยา่ งหน่งึ โดยนยิ มรักษาศีล ๘ กันในวนั พระ คอื เกยี่ วกบั การปฏบิ ตั ติ นเปน ชาวพทุ ธทด่ี ตี อ พระภกิ ษุ วนั ข้ึน ๘ ค�า่ วันแรม ๘ ค�า่ วนั ขึน้ ๑๕ คา่� และวนั แรม ๑๕ คา�่ เพ่อื ใหเกดิ ความเขา ใจท่ถี ูกตอ งตรงกัน นักเรยี นบนั ทึกผลการสรปุ ความรลู งในสมุด ศลี ๘ มดี งั นี้ 2. ครสู นทนารวมกนั กับนักเรยี นถงึ การปฏบิ ตั ิ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี หมายถงึ เว้นจากการฆา่ สตั ว์ ตนเปนสมาชกิ ทีด่ ีของครอบครัวและสังคมท่ี ๒. อทนิ ฺนาทานา เวรมณี หมายถึง เวน้ จากการลักขโมย นกั เรียนไดศึกษามา แลวสมุ นักเรยี นใหอธบิ าย ๓. อพฺรหมฺ จรยิ า เวรมณี หมายถึง เว้นจากการกระท�าท่มี ิใช่พรหมจรรย์ ความรเู กย่ี วกบั การรักษาศลี 8 ในดา นลักษณะ 98 ๔. มสุ าวาทา เวรมณี หมายถงึ เวน้ จากการพูดเท็จ แนวทางการปฏบิ ัติ และรายละเอียดของศลี ๕. สรุ าเมรยมชฺชปมาทฏฐฺ าฺ นา เวรมณ ี หมายถงึ เวน้ จากน้�าเมา ในแตล ะขอ ๖. วิกาลโภชนา เวรมณ ี หมายถงึ เวน้ จากการบรโิ ภคอาหารต้ังแตเ่ วลาเท่ียงวนั ๗. นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี หมายถึง เว้นจากการฟ้อนร�า ขับรอ้ ง บรรเลงดนตร ี ดูการละเล่น การทดั ดอกไม้ ของหอม และ เคร่อื งลบู ไล้ ๘. อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี หมายถงึ เว้นจากท่นี อนอันสงู ใหญ่ เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกบั หนาทช่ี าวพุทธ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรบู ูรณาการวิชาหนา ท่ีพลเมือง วัฒนธรรม หนาทีท่ สี่ าํ คัญที่สดุ ของพทุ ธศาสนกิ ชนคอื ขอใด และการดาํ เนินชีวติ ในสงั คม เร่อื งการจดั ระเบยี บทางสังคม และโครงสรา งทางสงั คม 1. รกั ษาศลี ไทย โดยอธิบายใหนักเรียนเขา ใจถงึ คุณคาและประโยชนข องหลกั ศีลธรรมตอ การจัด 2. ศกึ ษาพระไตรปฎ ก ระเบยี บทางสงั คม หรือบรรทดั ฐานทางสังคม ซง่ึ ประกอบดว ย วิถปี ระชา จารตี 3. เผยแผพ ระพทุ ธศาสนา และกฎหมาย โดยหลักศลี ธรรมนัน้ เปน สว นหนง่ึ ของจารีตทีม่ ีสว นชวยใหสงั คมเกดิ 4. ทํานบุ ํารุงพระพทุ ธศาสนา ความสงบสุขได จากนน้ั ใหนักเรียนวเิ คราะหถ งึ แนวทางการปฏบิ ัตติ นตามหลกั ศีล 5 วเิ คราะหคําตอบ การเปนชาวพทุ ธท่ดี ีนั้นควรมีความรคู วามเขาใจใน หรอื ศลี 8 แลว นาํ ไปปฏบิ ัตใิ นการดําเนินชีวิตประจาํ วนั บันทกึ ผลของการปฏบิ ตั สิ ง หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาอยางถอ งแท และสามารถนาํ ไปประพฤติ ครูผสู อน ปฏบิ ตั ไิ ดในชวี ิตประจาํ วนั อนั จะทาํ ใหดําเนินชีวติ ไดอ ยา งสงบสขุ และมี สวนชวยใหส ังคมเจรญิ กาวหนาได อยา งไรก็ตามชาวพุทธยังมีหนาท่ีใน การเผยแผแ ละปกปองพระพุทธศาสนาตามแนวทางทีเ่ หมาะสมอกี ดว ย ดงั นัน้ คาํ ตอบคือ ขอ 1. 98 คูม อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ทง้ั น้ี ในการสมาทานศลี ให้เติม “สิกฺขาปท � สมาทิยาม”ิ ตอ่ ทา้ ยในทุกข้อ ครตู ั้งประเด็นใหน กั เรยี นอภปิ รายรว มกนั เก่ียว กบั การปฏบิ ัตติ นเปน สมาชิกท่ดี ขี องครอบครวั ตาม ทศิ ๖ สา� หร๒ับ)ก ากรปารฏปบิ ฏัติตบิ นตั เปติ ็นนชเาปวน็ พสุทมธทา่ดีชีกิ พทงึ ปด่ี ฏขี ิบอัตงติ คารมอหบลคกั ร“วั ทติศาเบมอื้ หงลบนกั ”ทศิ(อเปุบรอื้ มิ งทบิศ1น) ใคนือ หลกั ทศิ เบอ้ื งบนในทศิ 6 เชน พระสงฆ์ พระพทุ ธศาสนาไดใ้ หห้ ลกั ธรรมในการปฏบิ ตั ติ นระหวา่ งพระสงฆก์ บั คฤหสั ถ์ โดยพระสงฆ์ ความสาํ คัญของความสัมพนั ธในการ ในพระพทุ ธศาสนายอ่ มอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดงั น้ี อนเุ คราะหร ะหวา งพระภิกษสุ งฆกับคฤหัสถ ๑. หา้ มปรามจากความช่ัว คุณของพระสงฆแ ละแนวทางการปฏบิ ตั ิ ๒. ใหต้ งั้ อย่ใู นความดี เพอ่ื อปุ ถัมภพระสงฆ พทุ ธบริษทั : ภิกษุสงฆก บั ๓. อนเุ คราะห์ดว้ ยนา�้ ใจอนั งาม อุบาสกและอุบาสิกา ๔. ใหไ้ ดฟ้ งั ในสิง่ ท่ยี ังไม่เคยฟัง ๕. ทา� สง่ิ ท่เี คยฟงั แลว้ ใหแ้ จ่มแจง้ จากน้ันครูนํานกั เรียนสรุปผลการอภปิ ราย ๖. บอกทางสวรรค์คือความสุขความเจริญให้ โดยบนั ทึกผลการอภิปรายที่ถูกตอ งเหมาะสมใน ตารางแสดงความสมั พันธระหวางพระภกิ ษุสงฆก ับ พระสงฆ์น้ันเป็นหน่ึงในพระรัตนตรัย มีความส�าคัญในฐานะที่เป็นผู้สืบทอด อบุ าสกและอบุ าสกิ าบนกระดานหนา ช้ันเรียน พระศาสนา หากปราศจากพระสงฆ์แล้ว พระธรรมค�าสอนของพระพุทธองค์ก็จะเป็นเพียงสิ่ง นามธรรม ไม่ปรากฏเป็นจริงจังให้รู้เห็นได้ ดังน้ัน เราจึงควรปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์ให้เหมาะสม ตามหลกั ทิศ ๖ ดังน้ี ๑. จะทา� ในสิง่ ใดกท็ �าด้วยเมตตา ดว้ ยความปรารถนาดี ดว้ ยไมตรจี ติ เช่น ให้ความเคารพ ด้วยความเหมาะสมตามโอกาส และคอยชว่ ยเหลอื การงานของพระสงฆด์ ว้ ยความเตม็ ใจ ๒. จะพูดส่ิงใดก็พูดด้วยเมตตา ควรใช้ค�าพูดที่ถูกต้องเหมาะสม ไพเราะ ไม่หยาบ หรือ ดูหม่ิน เสยี ดสี ท้งั ตอ่ หน้าและลับหลัง ใช้สรรพนามแทนตนและพระสงฆ์ให้ถูกต้อง ๓. จะคิดส่งิ ใดกค็ ิดด้วยเมตตา เชน่ ไมค่ ดิ รา้ ยต่อท่าน ไม่มองทา่ นในแงร่ า้ ย ๔. ต้อนรับด้วยความเต็มใจ เวลาพบปะพระสงฆ์ในสถานท่ีต่างๆ ควรแสดงความเคารพ และตอ้ นรบั ท่านดว้ ยความเต็มใจ และเมอื่ นมิ นต์ท่านมาโปรดสตั ว์ท่ีเคหสถาน ก็ต้อนรับ ทา่ นดว้ ยความยนิ ด ี โดยการปฏิบัตติ ่อท่านด้วยความเหมาะสม ๕. อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย ๔ พระสงฆ์เป็นผู้สละเหย้าเรือน เพื่อมาสืบทอดพระศาสนา ไม่ได้ ประกอบอาชีพอะไร ดังน้ัน คฤหัสถ์จึงต้องอุปถัมภ์ท่านด้วยปัจจัย ๔ แต่ท้ังนี้ต้องไม่ ถวายส่งิ ของทไ่ี มเ่ หมาะสมแกผ่ ู้ทอ่ี ยู่ในสมณเพศ 99 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู การอนเุ คราะหคฤหัสถของพระภิกษสุ งฆใ นขอใดถอื วา ประเสรฐิ สูงสดุ 1 อปุ รมิ ทิศ แปลวา ทิศเบอื้ งบน หมายถงึ พระสงฆ เปน สวนหน่ึงของหลกั ทิศ 1. การรับนิมนตป ระกอบศาสนพิธี 6 นอกจากนปี้ ระกอบดวย ปุรัตถมิ ทสิ แปลวา ทิศเบ้อื งหนา หมายถึง บดิ ามารดา 2. การเปนพระอุปชฌายข องพระใหม ทกั ขิณทสิ แปลวา ทิศเบ้ืองขวา หมายถึง ครอู าจารย ปจ ฉิมทิส แปลวา ทศิ เบ้ือง 3. การบอกทางแหง ความสขุ ความเจริญ หลัง หมายถึง บุตรภรรยา อตุ ตรทิส แปลวา ทิศเบอ้ื งซา ย หมายถงึ มิตรสหาย 4. การอนเุ คราะหโรงเรียนใหจดั กจิ กรรมตางๆ และเหฏฐมิ ทสิ แปลวา ทิศเบอ้ื งลาง หมายถึง คนรับใชแ ละคนงาน วเิ คราะหค าํ ตอบ พระภกิ ษสุ งฆม หี นา ทหี่ ลกั ในการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ใหแ กค ฤหสั ถท งั้ ปวง ผา นทางการเทศนาธรรม การใหค าํ ปรกึ ษา ตลอดจน เบศรู ณรากษารฐกจิ พอเพยี ง การสอนพระพทุ ธศาสนาในโรงเรียน ทง้ั หมดน้จี งึ กลาวรวมไดวา พระสงฆ การใชช ีวติ ตามแนวปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ถอื เปนหน่ึงวิธใี นการปฏบิ ตั ติ น เปน ผบู อกทางแหง ความสขุ ความเจรญิ ของชวี ติ ดงั นน้ั คาํ ตอบคอื ขอ 3. เปนสมาชกิ ทดี่ ขี องครอบครวั เพราะชว ยสรา งความเขม แขง็ และมน่ั คงใหแ กค รอบครัว นักเรยี นจับคู แลว แลกเปล่ยี นความคิดเหน็ กันวา สามารถนําปรชั ญาเศรษฐกิจ พอเพียงไปประยุกตใ ชใ นครอบครัวไดอยา งไรบาง และจะมวี ธิ กี ารแนะนําสมาชิกใน ครอบครวั ใหเปน ผูรักในความพอเพยี งอยา งไร แลวออกมานําเสนอหนา ชนั้ เรียน คูม อื ครู 99

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครสู ุมถามนักเรียน 2-3 คน ถึงบทบาทหนาท่ี ๓) การปฏบิ ตั ติ นเปน็ สมาชกิ ทดี่ ขี องครอบครวั1ตามหลกั ทศิ เบอื้ งหลงั ใน การปฏบิ ตั ติ นในครอบครวั เชน นกั เรยี นชว ยเหลอื ทศิ ๖ ทศิ ๖ เปน็ หลกั คา� สอนทวี่ า่ ดว้ ยความเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธท์ างสงั คมระหวา่ งกลมุ่ ตา่ งๆ ในสงั คม งานบานของคณุ พอคุณแมอ ยา งไรบา ง นกั เรยี นมี แนวคดิ เกีย่ วกบั บทบาทหนาทีใ่ นครอบครวั ของตน ดจุ ทศิ ทอี่ ยรู่ อบตวั ทง้ั หมดมี ๖ ความสมั พนั ธ์ อยา งไร และแนวทางการปฏิบตั ิตนในครอบครัวยุค ในทน่ี จี้ ะกลา่ วเฉพาะความสมั พนั ธต์ ามทศิ เบอื้ งหลงั คอื ระหวา่ งสามภี รรยาพึงปฏบิ ตั ิ โลกาภิวตั น แลวอภิปรายรว มกนั ถึงการปฏิบัตติ น ที่เหมาะสมในครอบครัวตามสถานะของบตุ ร จาก ตอ่ กนั น้นั เช่ือมโยงความรูกบั การปฏบิ ตั ติ นเปนสมาชิกที่ สามพี งึ ปฏบิ ตั ติ อ่ ภรรยา ดงั น้ี ดขี องครอบครัวตามหลกั ทิศเบ้ืองหลังในทิศ 6 โดย ใหน ักเรยี นแสดงความคิดเหน็ ในประเด็นท่เี กยี่ วของ ๑. ยกย่องใหเ้ กยี รตสิ มฐานะ กบั ความสอดคลอ งของการปฏิบัติตนของนกั เรียน ๒. ไม่ดูหมิ่น กบั การปฏิบัตติ นเปนสมาชกิ ทด่ี ตี ามหลักทิศเบ้ือง ๓. ไมน่ อกใจ หลังในทศิ 6 เชน การปฏบิ ัติตนในครอบครัวของ ๔. มอบความเปน็ ใหญใ่ นบา้ นให้ นักเรยี นมีความสอดคลองกับการเปนสมาชกิ ทดี่ ี ๕. ใหข้ องก�านลั ตามโอกาส ตามหลักทศิ เบือ้ งหลังในทิศ 6 หรอื ไม อยางไร และภายหลังจากการศกึ ษาความรูแ ลว นักเรยี นมี สว่ นภรรยาพึงปฏบิ ตั ติ ่อสามี ดังนี้ แนวทางการปฏิบัติตนในครอบครัวอยางไรบา ง ๑. จัดงานบา้ นใหเ้ รยี บรอ้ ย จากน้นั ครนู าํ การสรุปความคดิ เหน็ ของนกั เรียน ๒. สงเคราะหญ์ าตมิ ติ รทัง้ สองฝ่ายด้วยดี เกย่ี วกบั แนวทางการปฏบิ ตั ิตนในครอบครัวตาม ๓. ไมน่ อกใจ หลักทศิ เบ้อื งหลังในทิศ 6 นักเรียนบันทกึ ขอสรปุ ลง ๔. รักษาทรัพยส์ มบตั ิท่หี ามาได้ ในสมดุ ๕. ขยนั ในงานท้ังปวง สามีและภรรยาพึงปฏิบัติต่อกันอย่างเหมาะสมตามหลัก ของทิศ ๖ อันจะเป็นการส่งเสริมให้สถาบันครอบครัว มีความรกั ความอบอนุ่ และความสุข ๑00 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดกลา วไดถ ูกตอ งเก่ียวกับหลักธรรมทศิ 6 ครูอาจใหต วั แทนนกั เรยี นทบ่ี ิดามารดาปฏิบตั ติ นสอดคลองกับหลกั ทิศเบอ้ื ง 1. มีแนวทางสอดคลองกับหลกั ของศาสนาขงจือ๊ หลังในทศิ 6 ออกมาแลกเปลีย่ นประสบการณกบั เพ่ือนนกั เรียนทีห่ นา ชัน้ เรียน แลว 2. มปี ระโยชนตอ การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ังค่งั อภปิ รายรวมกันถึงประโยชนของการปฏิบตั ติ นตามหลักทิศ 6 ตอ ครอบครัวอนั เปน 3. มีคุณคา ในการแกป ญหาทัง้ ปวงของชวี ติ สถาบนั ทางสังคมทส่ี ําคัญ จากนัน้ ใหน ักเรยี นวางแนวทางการปฏบิ ตั ิตนที่สอดคลอง 4. มีแนวคดิ สอดคลอ งกบั วชิ าภมู ิศาสตร กับหลักทิศ 6 และนาํ ไปประพฤติปฏบิ ัติ แลว บันทกึ การปฏิบตั ิและผลสง ครผู ูสอน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. แนวทางสอดคลอ งกบั หลักของศาสนา ขงจ๊ือ กลาวคือ เปน แนวทางในการปฏิบัตริ ะหวา งกนั ของคนในสังคม นักเรียนควรรู เชน แนวทางการปฏิบัติระหวางมิตรสหาย เพือ่ ความเปนมิตรภาพทย่ี งั่ ยนื แนวทางการปฏบิ ัติระหวางครอู าจารยก ับลกู ศิษย เพ่ือความเจริญกาวหนา 1 ครอบครวั หลกั การปฏบิ ตั ขิ องสมาชกิ ในครอบครวั นอกจากหลกั ทศิ 6 ทสี่ าํ คญั ทางความรูและการปฏิบตั ทิ ีเ่ หมาะสมแสดงถงึ ความกตัญูกตเวทตี อผู ไดแ ก ฆราวาสธรรม หลกั ธรรมสําหรบั การครองเรือน มี 4 ประการ คือ สัจจะ ทีใ่ หค วามรู พฒั นาทกั ษะชีวิต และกลอ มเกลาอปุ นสิ ยั ใจคอใหเปน คนดี ความจริง เชน ซ่ือสตั ยตอ กนั ทมะ ความฝก ฝน ปรบั ปรุงตน เชน รจู ักขมใจ เปน ตน ควบคุมอารมณ บงั คับตนเองปรบั ตัวเขากบั การงานและส่ิงแวดลอมใหไดดี ขันติ ความอดทน และจาคะ ความเสียสละ เผอ่ื แผ แบง ปน มีน้าํ ใจ 100 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๔) การเขา้ รว่ มกจิ กรรมและเปน็ สมาชกิ ขององคก์ รชาวพทุ ธ1 พทุ ธศาสนกิ ชน ครใู หต วั แทนนักเรยี นทม่ี ีประสบการณในการ เขา รว มกจิ กรรมและเปน สมาชกิ ขององคก รชาว ในประเทศไทย ได้รวมกลุ่มกันเพ่ือก่อต้ังชุมชน สมาคม มูลนิธิต่างๆ ที่เก่ียวกับการเผยแผ่ พุทธ ออกมาเลาประสบการณของตนท่หี นา ช้นั พระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนิกชนจึงควรเข้าร่วม เรียน แลวชวยกนั วเิ คราะหถ งึ ประโยชนทไี่ ดร ับท้ัง เป็นสมาชิกเพื่อท�ากิจกรรม พิธีกรรมทาง ในสวนบคุ คล สังคม และการสบื ทอดพระพุทธ- พระพุทธศาสนาตามโอกาสท่ีตนมี โดยช่วงวัย ศาสนา โดยใชความรเู กยี่ วกับการเขา รว มกิจกรรม เช่นนี้ควรหาโอกาสเข้าค่ายพุทธธรรมทั้งใน และเปน สมาชกิ ขององคก รชาวพุทธทต่ี นไดศกึ ษา โรงเรียน และมูลนิธิฯ สมาคม ชมรม วัด มาเปน แนวคดิ พ้ืนฐานของการวิเคราะห จากน้นั ทจี่ ดั ใหม้ กี ารเขา้ คา่ ยพทุ ธธรรม เพราะอยา่ งนอ้ ย ครูและนักเรยี นชว ยกนั สรปุ คณุ คา และแนวทางการ เราซ่ึงเป็นพุทธศาสนิกชนจะได้มีความรู้ความ เขารวมกจิ กรรมและเปน สมาชิกขององคก รชาว พุทธ นกั เรยี นบันทึกขอสรุปท่ีไดลงในสมุด เข้าใจว่าหน่วยงานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ขยายความเขา ใจ Expand ได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีต่อ พระพุทธศาสนาในแง่มุมใดบ้าง เพื่อเป็น ครใู หนักเรียนปฏบิ ตั ติ นเปน ชาวพุทธที่ดีตาม หนา ท่ชี าวพุทธในดานการปฏบิ ัตติ นเปน ชาวพทุ ธ ประสบการณ์ในชีวิต ถ้าวันหนึ่งเรามีความ การเขา้ คา่ ยพทุ ธธรรม เปน็ กจิ กรรมหนง่ึ ทช่ี ว่ ยกลอ่ มเกลา ที่ดีตอ พระภกิ ษุและการปฏิบตั ติ นเปนสมาชิกทด่ี ี พรอ้ มทจ่ี ะชว่ ยเผยแผห่ รอื เปน็ ผดู้ า� เนนิ กจิ กรรม จติ ใจพทุ ธศาสนกิ ชน และยงั ชว่ ยสบื ทอดพระพทุ ธศาสนา ของครอบครัวและสงั คม ซึ่งครูเปน ผกู าํ หนดระยะ ก็จะสามารถน�ามาปรับท�าให้ดีเหมาะสมได้ อีกดว้ ย เวลาการปฏบิ ัติ แลวจัดทําเปนบนั ทกึ ผลการปฏบิ ตั ิ ตนเปน ชาวพทุ ธที่ดี มีรายละเอียดประกอบดว ย เพ่ือความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย พุทธศาสนิกชนต้องเป็นผู้ท่ีให้ความสนใจ วนั ท่ี การปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติ รวมถงึ อาจมภี าพถายประกอบ ความเคล่ือนไหว หรือความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ท่ีอาจเข้ามาแทรกแซงก่อความเข้าใจผิดต่อ พระธรรมค�าสอนของพระพุทธองค์ การเข้าร่วมกิจกรรมขององค์กรชาวพุทธ การเข้าค่าย พุทธธรรม การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา จึงเป็นทางหน่ึงท่ีช่วยธ�ารงรักษาสืบทอด พระพทุ ธศาสนาได้นนั่ เอง ตรวจสอบผล Evaluate ò. Áารยาทชาวพทุ ธ 1. ครแู ละนกั เรยี นชวยกันตรวจบันทกึ ผลการ ปฏิบัติตนเปนชาวพทุ ธทด่ี ี โดยพจิ ารณาจาก ๒.๑ การปฏบิ ตั ติ นตอ่ พระภกิ ษทุ างกาย วา¨า และใ¨ทป่ี ระกอบ ความถูกตองตามหลกั การปฏบิ ัติตนของ ดว้ ยเÁตตา ชาวพุทธทด่ี แี ละความเหมาะสมกบั วัยและ ประสบการณ สถานภาพ และบทบาทหนา ที่ พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ท่ีสละเหย้าเรือน เพื่อมาศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่พระธรรมของ จากนน้ั ครูเสนอแนะใหนกั เรยี นปฏบิ ตั ิตนเปน พระพุทธเจ้า จึงนับว่ามีความส�าคัญต่อพระพุทธศาสนามาก เราควรปฏิบัติตนให้เหมาะสม ชาวพทุ ธทด่ี ีตอไป กบั ท่าน ดังนี้ 2. ครสู ังเกตพฤตกิ รรมการมสี ว นรว มในกจิ กรรม ๑0๑ การเรยี นรู เชน การแสดงความคดิ เหน็ การอภปิ ราย และการตอบคําถาม เปนตน กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ครูอาจใหนกั เรียนเขา รว มกิจกรรมหรือพิธกี รรมทางพระพุทธศาสนา 1 องคก รชาวพทุ ธ ทน่ี กั เรยี นสามารถมสี ว นรว มกบั กจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนา ตางๆ ตามโอกาสทเ่ี หมาะสม แลว บนั ทึกประสบการณการเขา รว มกิจกรรม ไดอ ยางเหมาะสม เชน ยวุ พุทธกิ สมาคมแหงประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ ของชาวพทุ ธซง่ึ มรี ายละเอยี ด เชน กจิ กรรมทต่ี นปฏบิ ตั ิ ระยะเวลา สถานท่ี ซ่งึ กอ ต้งั เมอ่ื วนั ที่ 14 มิถนุ ายน พ.ศ.2493 เปนสมาคมทรี่ ิเรม่ิ หลักสูตรตางๆ เชน และองคกรทจ่ี ัดกิจกรรม สิ่งที่ตนเองไดรับจากการเขารว มกจิ กรรมหรือ บรรพชาสามเณรภาคฤดูรอ น ยุวพทุ ธิกสมาคมแหงประเทศไทย ในพระบรม- พธิ ีกรรมดังกลา ว เปนตน ราชูปถมั ภ เปน องคก รสาธารณกศุ ลทมี่ ศี นู ยวิปส สนากรรมฐานเปด ใหผปู ระชาชน ท่วั ไปเขาอบรม ปฏบิ ัติธรรมทุกเดือนตลอดป โดยไมคดิ คาใชจา ยใดๆ เปน เวลา กิจกรรมทา ทาย รวม 20 ป ครอู าจใหน กั เรยี นจดั กจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนาตามโอกาสทเ่ี หมาะสม มมุ IT โดยวางแผนการจัดกจิ กรรมใหค รูพจิ ารณาลว งหนา แลวบันทกึ ผลการจดั กิจกรรมและประสบการณท ่ีตนไดร ับจากการจดั กิจกรรมทางพระพทุ ธ- ศึกษาคน ควาความรเู กยี่ วกับหลกั ธรรม แนวทางการปฏบิ ัติ และการมสี วนรวม ศาสนาซง่ึ มรี ายละเอยี ด เชน รายละเอยี ดของกิจกรรม ผลตอบรับของผูเขา ในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพม่ิ เติมไดท่ี http://www.morals.in.th/index.php รวมกิจกรรม รวมถงึ ภาพประกอบ เปนตน เวบ็ ไซตห นวยเผยแพรค ณุ ธรรม องคก ารพทุ ธศาสนิกสมั พนั ธแหง โลก คมู ือครู 101

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครสู นทนากับนกั เรียนเกย่ี วกบั มารยาทชาวพทุ ธ ในสว นของการปฏิบัตติ นตอ พระสงฆในโอกาส ตา งๆ แลวสุมนกั เรียน 2-3 คน ใหออกมาแสดงการ ๑) ทางกาย แสดงออกทางการกระท�าดว้ ยเมตตา เช่น ปฏิบตั ิตนตอ พระสงฆใ นโอกาสตา งๆ ตามมารยาท ชาวพทุ ธทหี่ นา ช้นั เรยี น ตัวอยา งเชน การสนทนา ๑. มีสัมมาคารวะ แสดงความเคารพท่ีเหมาะสมแก1่โอกาส เช่น ประนมมือไหว้ (อัญชลี) กบั พระสงฆ การปฏิสนั ถารตอพระสงฆ และการ รับรองพระสงฆ จากน้นั อธิบายใหนกั เรียนตระหนัก วันทา หรอื นมสั การ กราบดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ ลุกข้นึ ตอ้ นรบั ถึงคณุ คาและประโยชนใ นการปฏิบัติตนตอ พระสงฆ ๒. ไปเย่ียมเยือนท่านไม่ขาดสาย คือ หาโอกาสไปพบพระสงฆ์เป็นประจ�า เพ่ือสนทนา อยา งถูกตอ งเหมาะสม กลา วคอื พระสงฆเ ปน ผสู ละความสุขทางโลก เพื่อศกึ ษาและเผยแผ ซกั ถามปญั หา ขอคา� แนะน�าจากท่าน พระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา การปฏิบัติตน ๓. ฟังธรรม หรือฟังโอวาทจากท่านเสมอ และฟังเพ่ือน�ามาเป็นแนวทางปฏิบัติตน มิใช่หา อยางเหมาะสมตอ พระสงฆจ ะมสี ว นชว ยสงเสรมิ ให พระพุทธศาสนาเจรญิ วฒั นาสถาพรสบื ไป ทงั้ นก้ี าร ช่องจับผิดหรอื ตฉิ นิ นนิ ทา ปฏบิ ตั ติ นตอ พระสงฆไดอ ยา งถูกตอ งเหมาะสมนั้น ๔. มีความเลื่อมใสในพระทุกรูป ถือว่าพระสงฆ์แต่ละรูปเป็นตัวแทนของพระอริยสงฆ์ เป็น จะตองเริม่ จากการศึกษาหลักการและฝกปฏิบัตจิ น เกดิ ความชํานาญ ผสู้ บื ทอดพระศาสนาเท่ากนั ไมเ่ ลอื กเคารพนบั ถือเฉพาะราย ซงึ่ เปน็ เหตุใหม้ ีจิตอคติ ๕. อปุ ถัมภบ์ า� รุงท่านด้วยปจั จัยส่ ี ไดแ้ ก่ จวี ร อาหาร ทอี่ ยอู่ าศัย ยารกั ษาโรค ๖. ให้ความช่วยเหลือหรอื อา� นวยความสะดวกแกท่ า่ นในโอกาสสมควร เช่น เหน็ พระสงฆจ์ ะ เดินทางไปในทิศทางเดยี วกบั ตน เอารถรับทา่ นไปสง่ ยังที่หมาย เป็นตน้ ๗. พยายามดา� เนินตามแบบอยา่ งท่าน เช่น รักษาศีลตามความสามารถของตน เป็นต้น ๘. ต้อนรับท่านด้วยความเต็มใจ คือ เวลาพระสงฆ์มาหาตนด้วยธุระบางอย่าง ก็ต้อนรับ ทา่ นด้วยความเลอื่ มใส เตม็ ใจ จริงใจ มใิ ช่ท�าอยา่ งเสยี ไมไ่ ด้ สาํ รวจคน หา ๙. ปฏิบตั ิตนอย่ใู นศีลธรรมตามทพ่ี ระสงฆ์ช้ีแนะ Explore ๑๐. รักษาขนบธรรมเนียมประเพณ ี อนั มีรากฐานมาจากพระพทุ ธศาสนา ๑๑. รกั ษาสมบัติของสงฆ์ ครใู หนกั เรยี นศกึ ษาความรเู กย่ี วกับมารยาท ชาวพทุ ธในสว นของการปฏบิ ตั ิตนตอพระภิกษุ ๒) ทางวาจา คือ พูดกับพระสงฆ์ด้วยเมตตา มีความปรารถนาดีเป็นที่ตั้งทั้ง ทางกาย วาจา และใจทป่ี ระกอบดวยเมตตา และ การปฏสิ ันถารตอพระภกิ ษใุ นโอกาสตา งๆ จาก ต่อหน้าและลับหลัง เชน่ หนงั สอื เรยี น หนา 101-105 และแหลง การเรยี นรอู น่ื ๆ เชน เว็บไซต หนงั สอื ในหองสมุด และผทู ม่ี ี ๑. พูดไพเราะ ไมก่ ระโชกโฮกฮาก เสยี ดส ี แดกดนั หรอื ท�านองดูหมิน่ ความรคู วามชํานาญในการประกอบศาสนพิธี แลว ๒. ใชค้ า� พดู ถกู ตอ้ งเหมาะสมแกส่ ถานภาพของตนและพระสงฆ ์ เชน่ ใชส้ รรพนามแทนตนเอง สรปุ สาระสําคญั ลงในสมดุ และแทนพระสงฆร์ ะดบั ต่างๆ ไดถ้ ูกตอ้ ง ๓. ไมพ่ ูดล้อเลน่ กับพระสงฆ ์ หรือพดู ตลกโปกฮาดังเช่นพูดอยู่กบั เพื่อน ๔. เมอ่ื พดู กับพระผู้ใหญ ่ ควรประนมมอื พดู กับท่านทกุ ครง้ั อธบิ ายความรู Explain ๕. ไม่ชวนท่านคุยเรอื่ งที่ไม่เหมาะสมแก่พระสงฆ์ ๖. เวลาพูดถึงพระสงฆ์ลับหลัง พึงพูดด้วยความปรารถนาดี ไม่พึงนินทาหรือให้ร้ายป้ายสี ครใู หน กั เรยี นรวมกลุมกัน กลมุ ละ 3 คน แลว พระสงฆเ์ ด็ดขาด ใหนกั เรียนแตล ะกลมุ อภปิ รายกลมุ ยอยเกย่ี วกับ ๗. เวลาพดู ลบั หลงั พงึ ใชส้ รรพนามใหเ้ หมาะสม เชน่ “ทา่ น” “พระเดชพระคณุ ” “หลวงพ่อ” มารยาทชาวพุทธในสวนของการปฏิบัติตนตอ พระภิกษุทางกาย วาจา และใจทีป่ ระกอบดว ย ๑02 “ทา่ นเจา้ คุณ” ฯลฯ ไม่พึงใชค้ า� ว่า “แก” “เขา” เปน็ ต้น เมตตา เพอื่ ใหเ กดิ ความรคู วามเขา ใจทถ่ี กู ตอ งตรงกนั เกร็ดแนะครู บูรณาการเชอื่ มสาระ ครสู ามารถจดั กิจกรรมการเรยี นรูบรู ณาการกลมุ สาระการเรียนรู ภาษาไทย วชิ าหลกั ภาษา เร่อื งการใชภ าษาท่เี หมาะสมกับบคุ คล และการ ครูอาจตง้ั ประเดน็ อภปิ รายท่ชี วยกระตนุ ใหน กั เรียนเกดิ ความสนใจในการศกึ ษา ใชคาํ ราชาศัพท โดยใหนกั เรียนรวมกลมุ เพ่ือชวยกันศึกษาคนควา เก่ยี วกบั เก่ยี วกับการปฏิบตั ิตนตอพระภิกษทุ างกาย วาจา และใจท่ปี ระกอบดว ยเมตตา เชน การใชค าํ ทถ่ี ูกตอ งเหมาะสมกบั พระภกิ ษุสงฆท ี่มีสมณศกั ด์ิแตกตา งกนั ใน คฤหสั ถก บั ความเมตตาตอพระสงฆ หลกั การปฏิบตั ิตนตอ พระสงฆทางกาย วาจา โอกาสตางๆ จากแหลง การเรียนรูท ่คี รเู สนอแนะ เชน คําราชาศัพทท ใ่ี ชกบั และใจ และความเมตตา : ประสบการณในการปฏิบัติตนทเี่ หมาะสมตอพระสงฆ พระภิกษสุ งฆ http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_ แลว ครูนําสรุปผลการอภปิ ราย นักเรียนบันทึกผลการอภิปรายลงในสมดุ id=2067 เว็บไซตกระทรวงวฒั นธรรม จากนน้ั สง ตัวแทนของกลมุ ออกมานาํ เสนอผลงานการศึกษาคน ควา ที่หนาชน้ั เรียน นกั เรยี นควรรู 1 เบญจางคประดษิ ฐ การกราบดวยการตงั้ อวัยวะของรา งกายทงั้ 5 จดพนื้ คือ ศีรษะ (หนาผาก) ฝา มอื และหวั เขาท้งั สอง 102 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๓) ทางใจ พฤติกรรมท่ีแสดงออกทางกายและวาจา ไม่ว่าในด้านดีหรือไม่ดีต่อ 1. ตัวแทนของนกั เรียนแตละกลุมอธบิ ายความรู ในสว นที่ตนรับผดิ ชอบผานกจิ กรรมการเรยี นรู พระสงฆ์ ส่อถงึ เจตนาดหี รือไมด่ ภี ายในใจ แต่ถา้ เปน็ เพียงความคิดคา� นึงยงั ไม่แสดงออกทางกาย ตา งๆ ดังน้ี และวาจา รู้ได้ยากหรือไม่มีใครรู้ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ ตัวคนคนน้ันเองย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองดีว่า ก�าลังคิดอะไร ทางพระพุทธศาสนาถอื วา่ มโนกรรม (ความคดิ ค�านึง) เปน็ สง่ิ สา� คญั มาก เพราะถา้ 2. ครูใหตวั แทนของนกั เรยี นแตล ะกลุมท่ีรับผิด มมี ากเขา้ มีพลังแรงเขา้ ก็จะกอ่ ให้เกดิ พฤติกรรมทางกายและวาจา เพราะฉะนนั้ ท่านจึงสอนให้ ชอบในสวนของการปฏิบัตติ นตอ พระภกิ ษทุ าง หัดคิดค�านึงแต่ในเรื่องดีที่เป็นกุศล ไม่คิดในแง่ร้ายต่อใครๆ เม่ือได้ทราบว่าพระสงฆ์ท่านเป็น กายและวาจาทปี่ ระกอบดวยเมตตา วิเคราะห ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติเพ่ือความรู้แจ้ง ปฏิบัติชอบย่ิง เป็นผู้ธ�ารงพระศาสนาให้ด�ารง รว มกนั ถึงหลกั การและแนวทางการปฏบิ ัติตน อยู่ยาวนาน มีคุณค่าต่อพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนอย่างมาก ควรมีความเคารพท่าน ตอพระภกิ ษทุ างกายและวาจาทีป่ ระกอบดว ย ทางใจ ดงั น้ี เมตตา แลวครสู มุ ตวั แทนของนกั เรียนแตล ะ กลมุ ใหอ อกมานาํ เสนอผลการวิเคราะหหลกั ๑. คิดถึงทา่ นดว้ ยเมตตาจติ คือ แผ่ความรักความปรารถนาดตี อ่ ท่านดว้ ยใจไม่อคติ การและแนวทางการปฏิบตั ติ นตอพระภิกษุ ๒. คิดหาโอกาสท่ีจะสนับสนุนบ�ารุงท่านด้วยปัจจัยส่ี หรือพร้อมท่ีจะให้ความช่วยเหลือท่าน ทางกายและวาจาทหี่ นาช้ันเรียน จากนน้ั ครู เทา่ ทโี่ อกาสอา� นวย เสนอแนะเพิม่ เตมิ หรือปรบั ปรงุ เพอื่ ใหไ ดความ รูท่ีถูกตองสมบรู ณย ง่ิ ข้นึ หากปฏิบัติได้เช่นน้ีนับว่าเป็นผู้มีความเคารพต่อพระสงฆ์ทางจิตใจสมกับท่ีเป็น พทุ ธศาสนิกชนที่ดี 3. ครตู ั้งประเด็นใหต ัวแทนนกั เรยี นแตล ะกลมุ อภปิ รายรว มกนั เกย่ี วกับมารยาทชาวพุทธใน ๒.๒ การปฏสิ นั ถารตอ่ พระภกิ ษใุ นโอกาสต่างๆ สวนของการปฏิบัติตนตอพระภกิ ษทุ างใจที่ ประกอบดว ยเมตตา เชน เมตตาในมโนกรรม ปฏิสันถาร หมายถึง การทักทายปราศรัย หรือต้อนรับในโอกาสต่างๆ ในงานพิธีที่ต้อง กับมารยาทชาวพุทธ จติ ฺตํ ทนตฺ ํ สขุ าวหํ (จติ มีพระภิกษุประกอบในงานด้วย พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติตนในการปฏิสันถารต่อภิกษุสงฆ์ ทฝี่ กดแี ลวนาํ สุขมาให) การฝกจิตอันเปน ฐาน อย่างเหมาะสม ดงั น้ี ของมารยาทชาวพทุ ธ และมารยาททางจติ ใจ ของชาวพุทธกบั การปฏบิ ัตทิ ถี่ กู ตองเหมาะ ๑) การลุกขึ้นต้อนรับ การลุกข้ึนต้อนรับ มาจากค�าว่า “อุฏฐานะ” เป็นการ สม จากนั้นครนู ํานักเรียนสรุปผลการอภปิ ราย เก่ยี วกบั มารยาทชาวพทุ ธในสวนของการ แสดงความเคารพอย่างหนึ่ง เม่ือพระสงฆ์เดินมายังสถานท่ีพิธีน้ันๆ คฤหัสถ์ชายหญิงที่นั่งอยู่ใน ปฏบิ ตั ิตนตอ พระภกิ ษุทางใจทป่ี ระกอบดวย งานนั้นพงึ ปฏิบัติ ดังน้ี เมตตา นักเรียนบนั ทกึ ผลการอภิปรายลงใน สมดุ ๑.๑) ถ้านั่งเก้าอ้ีพึงลุกข้ึนยืนรับ เม่ือท่านเดินผ่านพึงยกมือไหว้แบบไหว้ พระรตั นตรยั เมอ่ื ทา่ นน่งั เรยี บร้อยแลว้ จงึ นง่ั ลงตามปกติ 4. ครูสนทนารวมกนั กบั นักเรยี นถงึ ความหมาย และความสาํ คญั ของการปฏสิ นั ถารตอ พระภกิ ษุ ๑.๒) ถา้ นงั่ กบั พนื้ ไมต่ อ้ งยนื รบั เมอ่ื ทา่ นเดนิ ผา่ นมาถงึ เฉพาะหนา้ พงึ ยกมอื ไหว้ ในโอกาสตางๆ ท่นี กั เรียนไดศ ึกษามา แลว หรือกราบสุดแท้แต่ความเหมาะสมในสถานทน่ี ้นั ใหน ักเรียนกลมุ เดมิ เตรยี มการสาธติ การ ปฏิสนั ถารตอพระภกิ ษใุ นโอกาสตา งๆ ไดแก ๑0๓ การลกุ ขน้ึ ตอนรับ การใหที่นั่งพระสงฆ การ รับรอง และการตามสง พระสงฆ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปนการปฏสิ นั ถารกบั พระสงฆท่ีถูกตอ งเหมาะสม ครูควรอธบิ ายใหน ักเรยี นตระหนักถงึ คุณคา ของการมคี วามรูความเขาใจการ 1. การไมกลา วถงึ พระสงฆล บั หลงั ปฏสิ นั ถารกบั พระสงฆใ นโอกาสตา งๆ อยา งถูกตองเหมาะสม ทัง้ ในดานสังคม 2. การใชคาํ ทถ่ี ูกตองเหมาะสมกับสมณศักด์ิ กลาวคอื การชว ยใหมีภาพลักษณที่ดที างสงั คม เมื่อปฏิสนั ถารกบั พระสงฆไดอ ยาง 3. การสนทนาดว ยจติ ใจที่เบกิ บาน ใบหนายิ้มแยมแจมใส เหมาะสม ยอ มเปนทช่ี ่ืนชมของผูพบเหน็ ทว่ั ไป โดยเฉพาะผูอ าวโุ ส เนือ่ งจากแสดง 4. การกลาวคําอาราธนาพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆก อ นสนทนาเสมอ ถึงการเปน ผูม ีความรแู ละมกี ิริยามารยาทท่ีไดร ับการอบรมมาเปน อยางดี ดา นปฏบิ ัติงาน กลา วคอื การปฏบิ ัติตนไดเ หมาะสมกบั พระสงฆช ว ยใหการประกอบ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. การใชคาํ ทถ่ี ูกตอ งเหมาะสมกบั สมณศักดิ์ พธิ ีการที่เก่ยี วของกับพระพุทธศาสนา เชน การนิมนตพระสงฆม าในงานมงคลหรอื อวมงคลตางๆ เปนไปอยางเรยี บรอ ย เปนตน ซ่งึ แสดงถงึ การเรยี นรทู ่ีมคี วามหมาย เปน การปฏสิ นั ถารกบั พระสงฆท ถ่ี กู ตอ งเหมาะสมทสี่ ดุ เนอ่ื งจากพระสงฆ เพอ่ื ใหน กั เรียนเกดิ ความสนใจในการศึกษาเกีย่ วกับการปฏิสนั ถารกับพระสงฆใ น แตละรปู มีสมณศักดิ์แตกตางกันไป โดยเฉพาะสมเดจ็ พระสังฆราช โอกาสตางๆ นกั เรยี นพึงใชค าํ ราชาศพั ทใ นการปฏสิ ันถารกับพระองคอยางถกู ตอ งเสมอ คูมือครู 103

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูสมุ นกั เรยี นทลี ะ 2 กลุม ใหอ อกมาสาธิตการ ๒) การใหท้ นี่ ง่ั พระสงฆ์ การใหท้ ่นี ง่ั พระสงฆ์ มาจากค�าว่า 1 ใชใ้ น ปฏิสันถารตอพระภิกษุในโอกาสตา ง ๆ ทห่ี นา “อาสนทาน” ชัน้ เรียนตามลําดบั ดงั นี้ เวลาพระสงฆม์ าในมณฑลพิธีซึ่งไมม่ ีท่วี ่าง การแสดงความเคารพแก่พระสงฆ์พึงปฏบิ ัติ ดงั นี้ • การลกุ ข้นึ ตอนรับ • การใหท ่นี ัง่ พระสงฆ ๒.๑) ถา้ สถานทช่ี มุ นมุ นนั้ นงั่ เกา้ อ ี้ เมอื่ พระสงฆม์ าในงานนนั้ ฆราวาสชายหญงิ • การรับรอง • การตามสงพระสงฆ พึงลุกขึ้นหลีกให้พระสงฆ์มาน่ังเก้าอ้ีแถวหน้า หรือขณะข้ึนรถประจ�าทางและนั่งอยู่เบาะหลัง 2. ครูใหน กั เรยี นกลมุ อนื่ พิจารณาเปรียบเทยี บการ ถ้ามีพระสงฆ์เดินทางไปด้วย พึงให้พระสงฆ์นั่ง แสดงถึงความมีสัมมาคารวะ มีวัฒนธรรมใน สาธิตของทง้ั สองกลุม แลว สอบถามขอ สงสยั หรอื เสนอแนะการปฏสิ นั ถารท่ีถูกตองเหมาะสม การนัง่ เพอื่ ใหเกดิ ความรูค วามเขาใจท่ีถกู ตอ งชัดเจน จากนนั้ ครใู หน กั เรยี นกลมุ อนื่ พจิ ารณาเปรยี บเทยี บ ๒.๒) ถา้ จ�าเป็นตอ้ งน่ังแถวเดยี วกบั พระสงฆ์ พึงน่งั เก้าอี้ด้านซ้ายมอื ทา่ นเสมอ การสาธติ ของท้งั สองกลุมตามลําดบั การสาธติ แลว สอบถามขอ สงสยั หรอื เสนอแนะการปฏสิ นั ถาร ๒.๓) สา� หรับสตรีเพศจะนง่ั อาสนะยาว เชน่ มา้ ยาวเดียวกนั กบั พระสงฆ์ ตอ้ งมี ทถ่ี กู ตอ งเหมาะสม เพอ่ื ใหเ กดิ ความรคู วามเขา ใจ ท่ีถกู ตองชดั เจน จากนัน้ นกั เรียนบนั ทึกสาระ บรุ ษุ เพศนง่ั คัน่ ในระหว่างกลาง จึงไมเ่ กิดโทษแก่พระสงฆ์ สาํ คญั เกี่ยวกับการปฏสิ นั ถารตอ พระภกิ ษุ ในโอกาสตางๆ ลงในสมดุ ๒.๔) ถ้าสถานที่ชุมนุมน้ันนั่งกับพ้ืน พึงจัดอาสนสงฆ์ให้เป็นส่วนหน่ึงต่างหาก จากฆราวาส เช่น ปูพรมผืนใหญ่เต็มหอ้ งควรจัดอาสนะเลก็ บนพรมนนั้ อกี ชั้นหนึง่ ๓) การรับรอง วัตถุทุกสิ่งท่ีใ2ช้ต้องมีฐานรองรับ เช่น ตึกต้องมีเสาเข็มเป็นฐาน รองรบั แต่สา� หรบั คนมคี ุณธรรมเป็นฐานรองรบั อันไดแ้ ก่ ๓.๑) เม่ือท่านมาถึงบ้านหรือสถานท่ีแล้ว ควรรับรองท่านด้วยอัธยาศัยไมตรี อันดี ด้วยใบหน้าอันยม้ิ แย้มแจ่มใสพอใจรับรอง เชน่ นิมนต์ให้น่งั ในทอ่ี นั สมควรซง่ึ ไดจ้ ัดไว้ ๓.๒) ถวายของรับรอง เช่น น�้าดม่ื น้า� ชา น�้าเย็น เปน็ ตน้ ๓.๓) ควรนัง่ สนทนากับทา่ นดว้ ยความพอใจ ไม่ควรปลอ่ ยให้ท่านนัง่ อยรู่ ูปเดียว อนึง่ การน่ังนนั้ พงึ น่ังเว้นโทษ ๖ อยา่ ง ดังน้ี ๑. ไม่นง่ั ตรงหน้า ๒. ไมน่ ่ังไกลนัก ๓. ไมน่ ั่งสงู กว่า ๔. ไม่นงั่ ข้างหลัง ๕. ไม่นั่งใกล้นัก ๖. ไมน่ ั่งเหนือลม ๔) การตามส่งพระสงฆ์ เม่ือพระสงฆ์ท่ีท่านมาเย่ียม หรือที่นิมนต์ท่านมาใน งานพธิ ีต่างๆ จะกลับ เจ้าภาพหรอื ผ้อู ยู่ในงานพธิ นี น้ั ๆ ควรปฏิบตั ิ ดังน้ี ๔.๑) ถา้ น่งั เก้าอพ้ี ึงลุกขึ้นยืน เมื่อทา่ นเดินผา่ นมาเฉพาะหนา้ ให้ยกมือไหว้ ๔.๒) ถ้าน่งั กบั พนื้ ไม่ตอ้ งยืน เมอื่ ทา่ นเดนิ ผา่ นมาเฉพาะหนา้ พงึ ไหว้หรือกราบ แสดงความเคารพตามความเหมาะสมแกส่ ถานท่ี ๑04 นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บคุ คลใดปฏบิ ตั ิตนตอ พระสงฆไ ดถกู ตองเหมาะสมตามหลกั การ 1 ทาน เปน หลกั ปฏบิ ัตทิ ส่ี าํ คญั ประการหนงึ่ ของพุทธศาสนกิ ชน เน่ืองจาก ปฏิสนั ถารตอ พระสงฆ สะทอ นถึงความมเี มตตากรุณา ทานจึงเปนขอธรรมหน่งึ ในหลักธรรมสําคัญทาง 1. เปล จดั รถไปรับและสงทานตามเวลาทีน่ มิ นต พระพทุ ธศาสนา เชน ทศพธิ ราชธรรม บารมี 10 บญุ กริ ยิ าวัตถุ 3 และ 10 2. ปท น่ังสนทนาตรงหนา พระสงฆเ มือ่ ทา นมาถึงบา น สังคหวัตถุ 4 และสัปปรุ ิสบญั ญัติ 3 3 ปุมใหพ ระสงฆน ่ังอยรู ปู เดยี วเพื่อความสงบทางจิตใจ 2 คณุ ธรรมเปน ฐานรองรบั ในการรบั รองพระสงฆแ ละบคุ คลทว่ั ไป ธรรมเนยี มไทย 4. ปอวางเกาอีส้ ําหรบั พระสงฆไวดา นหลังเพ่อื ความสะดวกในการ ถือวา เม่ือมีผมู าเยอื นถึงบา น เจาบา นควรตอ นรับเปน การแสดงมารยาทอันดงี าม ประกอบพิธีกรรม ของเจาบาน มารยาทเปนคุณธรรมทด่ี ที ี่ทกุ คนควรปฏิบัติ การตอ นรบั แขกจงึ ควร วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เปล จดั รถไปรบั และสงทานตามเวลาท่ี ปฏบิ ัตดิ วยไมตรีจติ มกี ิริยามารยาทที่ดีงาม เชน เมอ่ื แขกมาถึงบา น ควรเชอ้ื เชิญ นิมนต เปน การปฏบิ ัตติ นตอ พระสงฆไ ดถ กู ตองเหมาะสมตามหลกั การ เขาบา นดวยใบหนา ย้มิ แยม แจมใส และใหค วามเคารพตามควร จัดทนี่ ง่ั ในที่ ปฏสิ นั ถารตอ พระสงฆ โดยเพอ่ื อาํ นวยความสะดวกในการเดนิ ทางแกพ ระสงฆ อนั ควร จดั น้าํ และของวา งมารับรอง แนะนําใหรูจ กั กับสามี ภรรยา หรอื สมาชิกใน ครอบครัว เปน ตน 104 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand ๔.๓) ส�าหรับเจ้าภาพในงาน พึงเดินตามไปส่งท่านจนพ้นบริเวณงานหรือ ครใู หนกั เรยี นแตละกลมุ ฝกปฏิบัตเิ กีย่ วกบั จนกว่าจะขึ้นรถออกจากบริเวณงาน อน่ึง ก่อนที่ท่านจะจากไปพึงยกมือไหว้เพื่อแสดงความ การปฏสิ ันถารตอพระภิกษใุ นโอกาสตา งๆ จาก เคารพเปน็ การสง่ ทา่ น ความรคู วามเขาใจท่ีไดศกึ ษามา รวมถึงการ ศกึ ษาเพ่ิมเติมจากแหลงการเรียนรตู างๆ เชน พระพุทธศาสนามีความสําคัญตอการดําเนินชีวิตตามอยางวิถีไทยอยางไมสามารถ เว็บไซต ผชู าํ นาญการประกอบศาสนพธิ ี และ พระสงฆ แลวจดั ทาํ เปนสื่อเผยแพรค วามรูเกย่ี ว แยกออกจากกันไดอยางเด็ดขาด กระท่ังเปนที่ยอมรับวาเมืองไทยเปนเมืองแหงพุทธธรรมอยาง กบั การปฏิสันถารตอ พระภกิ ษุในโอกาสตางๆ ใน รูปแบบท่ีนกั เรยี นในชัน้ เรียนมคี วามสามารถและ แทจริง ดวยเหตุนี้ พุทธศาสนิกชนไทยจึงควรปฏิบัติตนตามหลักหนาท่ีชาวพุทธ คือ ทํานุบํารุง ความสนใจ เชน วีดทิ ัศน โปรแกรมการนาํ เสนอ (Powerpoint) หรือสมดุ ภาพแสดงการปฏิสนั ถาร พระพุทธศาสนาใหยืนยงสถาพรสืบไป อาจจะดวยวิธีหม่ันศึกษาหาความรูในหลักธรรมและนําไปใช ตอ พระภิกษใุ นโอกาสตางๆ โดยครอู าจเปนผู พานกั เรยี นไปประกอบศาสนพิธีในวันสาํ คญั ทาง ในการดํารงชีวิต ปฏิบัติตามหลักประเพณีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา หรือสงเสริมอุปถัมภ พระพทุ ธศาสนาหรือศาสนพธิ อี ่ืนๆ ในชว งเวลาท่ี เหมาะสม เพือ่ เปด โอกาสใหน ักเรียนแตล ะกลุม จัด พระภิกษุสงฆผูเปนผูสืบทอดพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังตองคอยเผยแผพระศาสนาใหรุงเรือง ทําส่ือเผยแพรค วามรู ยง่ิ ขน้ึ ไป ตลอดจนปกปอ งพระศาสนามิใหเ สอ่ื มหรอื ถอยลงสูค วามตกต่ําอกี ดว ย â¡¸í »Ú ÒÂ Í¨Ø ©Ú Ô¹àÚ · ตรวจสอบผล Evaluate ¾§Ö µÑ´¤ÇÒÁâ¡Ã¸´ŒÇ»˜ÞÞÒ 1. ครแู ละนักเรยี นชว ยกนั ตรวจส่ือเผยแพร (¾·Ø ¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉÔµ) ความรูการแสดงปฏสิ นั ถารตอพระภกิ ษใุ น โอกาสตางๆ ของนักเรียนแตละกลมุ โดย พจิ ารณาจากความถกู ตอ งเหมาะสมของการ ปฏบิ ตั ิ และการนําเสนอทีเ่ ขาใจงา ยและนา สนใจ จากน้นั นําส่ือเผยแพรค วามรูการแสดง ปฏิสนั ถารตอ พระภกิ ษใุ นโอกาสตางๆ ทดี่ ีของ นกั เรียนเผยแพรค วามรูในโรงเรยี นตามโอกาส และความเหมาะสม 2. ครูสังเกตพฤติกรรมการมีสว นรว มในกจิ กรรม การเรียนรู เชน การตอบคําถาม การทาํ งาน กลมุ และการปฏบิ ัติตนตามมารยาทชาวพทุ ธ ในการปฏิสนั ถารพระภิกษุในโอกาสตา งๆ เปน ตน ๑0๕ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ปจ จยั ใดไม เกยี่ วขอ งกบั การปฏิบตั ติ นตอพระสงฆ ครูควรอธบิ ายใหน กั เรียนเขาใจถงึ ความสําคัญของการฝก ปฏิบตั ติ ามความรู 1. สมณศกั ดิ์ เก่ียวกับการปฏิสนั ถารกับพระสงฆและการปฏิบตั ิตอพระสงฆทางกาย วาจา และใจ 2. สถานทป่ี ระกอบพิธกี รรม ทปี่ ระกอบดว ยเมตตาที่นกั เรียนไดศ กึ ษา เน่อื งจากความรทู น่ี กั เรยี นไดศ กึ ษานน้ั เปน 3. มูลคา ของเครือ่ งไทยธรรม เพียงหลักการหรอื แนวทาง การปฏบิ ัติไดอ ยางถูกตอ งและชาํ นาญนน้ั ตองอาศยั การ 4. กริ ยิ ามารยาทท่ีออนนอม ฝกปฏิบตั อิ ยา งสมา่ํ เสมอ ดังนน้ั นกั เรียนจึงควรมีสว นรว มในกิจกรรมทางพระพทุ ธ- วิเคราะหค ําตอบ การปฏบิ ตั ิตนทถ่ี กู ตองเหมาะสมตอ พระสงฆใ นโอกาส ศาสนาตา งๆ เพ่ือฝก ปฏิบัตจิ นเกดิ ความชํานาญ ตางๆ พงึ ประกอบดว ยปจ จยั สาํ คัญ ไดแก การต้ังจติ ใจไวใ นความ เมตตา การรักษากริ ยิ ามารยาทที่ออนนอม การใชคาํ ศัพทใ นการสนทนาท่ี มุม IT ถกู ตองเหมาะสมตามสมณศกั ดิ์ของทาน และการรบั รองทานอยา งเหมาะ สมตามสถานท่ปี ระกอบพิธกี รรม ไมเ ก่ียวขอ งกบั มูลคา หรอื ราคาของ ศกึ ษาคน ควาความรูเกี่ยวกบั คาํ ราชาศพั ทท ่ีใชสาํ หรับพระภกิ ษุเพ่มิ เตมิ ไดท ่ี http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=2067 เว็บไซตกระทรวง เคร่อื งไทยธรรม ดงั น้ันคาํ ตอบคอื ขอ 3. วัฒนธรรม คมู ือครู 105

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถกู ตอ งในการตอบคาํ ถาม คาปถระาจÓมหน่วยการเรยี นรู้ ประจําหนวยการเรียนรู ๑. การที่เป็นผู้มีศีล (รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘) มีประโยชน์ต่อตัวผู้ปฏิบัติ บุคคลรอบข้าง หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู และสงั คมอยา่ งไร 1. บนั ทกึ ผลการปฏบิ ัติตนเปน ชาวพุทธท่ดี ี ๒. การเขา้ ร่วมกจิ กรรมและเป็นสมาชกิ ขององค์กรชาวพุทธมขี ้อดอี ยา่ งไร 2. สื่อเผยแพรความรกู ารแสดงปฏสิ นั ถารตอ ๓. ในฐานะที่ยังเป็นนักเรียน จะสามารถมีส่วนร่วมในการธ�ารงรักษาและสืบทอดพระพุทธ- พระภิกษใุ นโอกาสตางๆ ศาสนาหรอื ศาสนาที่ตนนบั ถอื ได้อย่างไร 3. สมุดบันทึกของนกั เรียน ๔. การปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนหรือศาสนิกชนท่ีดีตามศาสนาท่ีตนนับถือมีข้อดีต่อตนเอง สงั คม และประเทศชาติอยา่ งไร ๕. นักเรียนควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัวและสังคม และ การปฏิบตั ติ นเชน่ นนั้ ส่งผลอย่างไร จงยกตวั อยา่ งประกอบการอธบิ าย กิจสรก้ารงรสมรรคพ์ ัฒนาการเรยี นรู้ กิจกรรมท่ ี ๑ นักเรียนแบ่งกลุ่มกันค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร มูลนิธิหรือชมรม กิจกรรมที ่ ๒ ที่เก่ียวเนื่องกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แล้วน�าข้อมูลที่ได้มาจัดป้าย นิเทศประชาสัมพันธ์ นักเรียนแบ่งกลุ่มกันแสดงบทบาทสมมติ เร่ืองการปฏิบัติตนอย่าง เหมาะสมตอ่ พระภิกษุในสถานการณ์ตา่ งๆ เช่น การลุกขึ้นต้อนรบั การ ให้ท่ีน่ังพระสงฆ์ เป็นต้น หลังจากทุกกลุ่มแสดงจบ ให้ช่วยกันสรุปข้อดี ของการปฏบิ ัติตนดงั กล่าว ๑06 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. การสงเสรมิ ใหชีวติ เจริญกา วหนา จากการไมป ฏบิ ตั ติ นในทางเสือ่ มเสีย มปี ระโยชนต อ บุคคลรอบขาง คอื การเปน บุคคลตวั อยางทีด่ ี มศี ีลธรรมคอยแนะนําหลกั การ ดําเนนิ ชีวิต สว นประโยชนตอ สงั คม คอื การมีสวนชวยใหสงั คมสงบสุข 2. การมโี อกาสไดป ฏิบตั กิ ิจกรรมและพธิ ีกรรมท่ีเหมาะสมตามกาลและวยั มคี วามเขา ใจในหลักธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนา และสามารถนอมนาํ ไปปฏิบัติไดใ น ชีวิตประจําวัน และทส่ี ําคญั คือ การมีสวนชว ยในการธาํ รงรักษาและสงเสรมิ พระพทุ ธศาสนาใหค งอยสู ืบไป 3. การศกึ ษาหลักธรรมคาํ สอนและนําไปปฏิบัติอยางสม่ําเสมอจนบงั เกดิ ผลแหงการปฏิบตั ินน้ั การเขารว มพิธกี รรมทางพระพุทธศาสนาตางๆ เชน พธิ ีกรรมในวันสาํ คัญ ทางพระพทุ ธศาสนา การบรรพชาอปุ สมบท รวมถงึ การเผยแผพ ระพุทธศาสนาอยางถกู ตอ งใหแ กศ าสนิกชนในศาสนาอืน่ ตลอดจนชวยใหเ กดิ ความเขาใจซึ่งกันและกัน ระหวา งศาสนิกชนตางศาสนา อันจะนํามาซึ่งสันติภาพไดใ นท่ีสุด 4. ประโยชนใ นระดบั บคุ คล คอื มชี วี ติ ทสี่ ขุ สงบ จากการเขา ใจธรรมชาตขิ องชวี ติ การไดร บั การยอมรบั จากสงั คม จากการเขา รว มกจิ กรรมและพธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา และปฏิบัติตนไดอยา งถกู ตองเหมาะสม ในระดับสงั คม คือ มคี วามสามัคคีกนั ในหมพู ุทธศาสนิกชนจากการพรอมเพรยี งกันปฏบิ ตั ิศาสนพิธี นําไปสูการชวยเหลอื ซ่งึ กนั และกนั ทีท่ ําใหส งั คมเขมแขง็ และเจริญกา วหนา และในระดบั ประเทศชาติ คือ กอ ใหเกิดความสงบสขุ พฒั นาประเทศชาติไดอ ยา งรวดเรว็ และย่ังยนื 5. การตั้งใจศกึ ษาเลาเรียน หมัน่ ทบทวนความรทู ี่ศกึ ษา เช่อื ฟงคาํ สอนของบิดามารดา ครอู าจารย และที่สําคัญคอื พระภกิ ษสุ งฆ ซงึ่ จะทําใหการเรียนและการดาํ เนินชีวิต ทง้ั ในปจ จุบนั และอนาคตอยใู นวิถที างท่ถี กู ตอ งดงี าม อันจะนาํ ไปสกู ารประสบความสําเร็จในชวี ิตทงั้ ทางโลกหรอื ทางธรรมได 106 คูมอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู 1. ปฏบิ ัติตนตามหลกั ธรรม คตธิ รรมท่ีเกยี่ ว เน่ืองกับวนั และเทศกาลสาํ คัญทาง พระพทุ ธศาสนาได 2. ปฏบิ ัติตนตามศาสนพธิ ีไดอ ยางถูกตอง 3. แสดงตนเปนพทุ ธมามกะไดอ ยา งถกู ตอง ๖ Ç¹Ñ ÊíÒคÑÞ˹Nj ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒ·Õè สมรรถนะของผูเรยี น ·า§¾รо·Ø ¸ÈาʹาáÅÐÈาʹ¾¸ิ Õ 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวิต 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค 1. ใฝเรียนรู 2. มงุ มนั่ ในการทํางาน 3. มจี ติ สาธารณะ ÇѲ¹¸ÃÃÁ·Ò§ÈÒʹҷèÕÊíÒ¤ÑÞÍ‹ҧ˹Öè§ ¤×Í ÈÒʹ¾Ô¸Õ ËÃ×;ԸաÃÃÁ·Ò§ÈÒÊ¹Ò ÊíÒËÃѺ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ªÒµÔä·ÂÁÕàÍ¡Åѡɳ¡ÒûÃСͺ¾Ô¸Õ¡ÃÃÁ·Ò§¾Ãоط¸ÈÒʹÒ໚¹¢Í§µ¹àͧ ÈÒʹ¾Ô¸ÕàËŋҹÕéáÁŒ¨Ð ครใู หน ักเรยี นพิจารณาภาพการปฏิบัติตนตาม ÁÔ㪋ᡋ¹á·Œ¢Í§ÈÒʹÒàËÁ×͹¡Ñº¾ÃиÃÃÁ¤íÒÊ͹ ᵋ¡çª‹ÇÂãËŒÊèÔ§·Õè໚¹á¡‹¹´íÒçÍ‹ÙáÅÐà¨ÃÔÞàµÔºâµ ศาสนพธิ ีที่หนาหนว ยการเรยี นรู แลวสอบถาม ä´©Œ ¹Ñ ¹¹éÑ ¹Í¡¨Ò¡¹ÈéÕ Òʹ¾¸Ô ÂÕ §Ñ ªÇ‹ ÂáÊ´§¶§Ö àÍ¡Å¡Ñ É³¢ ͧªÒµÔ áÅÐ໹š à¤ÃÍè× §ÃÇÁ¹Òíé ã¨ãˤŒ ¹µÒ‹ §ËÁ‹Ù ประสบการณข องนกั เรียน จากนน้ั ตั้งคําถามเพอ่ื µ‹Ò§¤³Ð µ‹Ò§¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡¹Ö¡¤Ô´à¢ŒÒÁÒÊÙ‹¨Ø´ÈÒʹ¸ÃÃÁÍѹà´ÕÂǡѹ ·éѧ¹ÕéÈÒʹ¾Ô¸ÕàËŋҹÕéÁѡ͋ÙËÇÁ¡Ñº กระตุนความสนใจใหน กั เรียนชวยกันตอบ เชน Ç¹Ñ ÊÒí ¤ÑÞ·Ò§¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ´Ñ§¹¹Ñé ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹·´Õè ¨Õ §Ö ¤ÇÃÈ¡Ö ÉÒ¤ÇÒÁ໚¹ÁҢͧÇѹÊíÒ¤ÞÑ ·Ò§ ¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ÇѲ¹¸ÃÃÁ·Ò§ÈÒÊ¹Ò à¾è×ÍãËŒÊÒÁÒö»¯ÔºµÑ Ôµ¹ä´ÍŒ ÂÒ‹ §¶Ù¡µÍŒ §àËÁÒÐÊÁ • เพราะเหตุใด เราจึงควรเขา รวมและปฏบิ ตั ิ ตนในศาสนพธิ ีซึง่ มใิ ชแ กน แทข องพระพุทธ- ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ศาสนา (แนวตอบ ศาสนพธิ ีทางพระพุทธศาสนา ส 1.2 ม.4/2, 3, 4 ■ ประเภทของศาสนพิธีในพระพุทธศาสนา (ศาสนพิธีเน่อื งด้วย มสี วนชว ยในการนอมนาํ จิตใจใหปฏิบัตติ น ■ ปฏิบัติตนถูกต้องตามศาสนพิธี พิธีกรรมตามหลักศาสนา พทุ ธบญั ญตั ,ิ ศาสนพธิ ที น่ี าำ พระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปเกย่ี วเนอ่ื ง) ตามหลักธรรมคําสอนไดจ ากความศรทั ธาใน การประกอบพธิ กี รรม นอกจากนยี้ ังเปน การ ที่ตนนบั ถอื ■ การแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ ทาํ นุบํารุงพระพทุ ธศาสนาอนั เปน เอกลกั ษณ ■ แสดงตนเป็นพุทธมามกะหรือแสดงตนเป็นศาสนิกชนของ ■ หลักธรรม คติธรรมท่ีเก่ียวเน่ืองกับวันสำาคัญและเทศกาลท่ี ของชาติอีกดวย) ศาสนาที่ตนนบั ถอื สาำ คญั ในพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาอน่ื ■ วิเคราะห์หลักธรรม คติธรรมท่ีเก่ียวเนื่องกับวันสำาคัญทาง ■ การปฏิบัติตนท่ีถูกต้องในวันสำาคัญและเทศกาลท่ีสำาคัญใน ศาสนา และเทศกาลทสี่ าำ คญั ของศาสนาทตี่ นนบั ถอื และปฏบิ ตั ิ พระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาอน่ื ตนได้อย่างถกู ต้อง เกรด็ แนะครู ครูควรจดั กิจกรรมการเรียนรูเพื่อใหนกั เรยี นสามารถปฏิบตั ติ นถกู ตองตาม ศาสนพิธี โดยเฉพาะการแสดงตนเปน พุทธมามกะ และวเิ คราะหและปฏิบัตติ นตาม หลักธรรม คติธรรมที่เกย่ี วเน่อื งกบั วนั สําคญั ทางพระพุทธศาสนาได โดยเนน การพฒั นาทกั ษะกระบวนการ เชน ทักษะการคดิ ทักษะการฝก ปฏบิ ตั ิ และ กระบวนการทํางานกลุม ดงั ตัวอยา งตอ ไปน้ี • ครูใหนักเรียนรวมกลุม เพ่อื ชวยกันศกึ ษาความรเู กีย่ วกบั หลักธรรมทเ่ี กยี่ วเน่อื ง ในวนั สาํ คัญทางพระพุทธศาสนาและการปฏบิ ตั ิตนจากแหลงการเรยี นรู ตางๆ แลว ชวยกันอธบิ ายความรผู า นกิจกรรมการเรยี นรูท คี่ รกู าํ หนด จากนั้นศกึ ษาคน ควาเพิม่ เติมเพื่อชวยกนั วิเคราะหหลกั ธรรมหรอื คตธิ รรมท่ี เก่ยี วเน่ืองในวันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนา และปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมหรอื คติธรรมดงั กลาวแลวบันทึกผลการปฏบิ ัติสงครผู ูสอน ค่มู ือครู 107

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนารว มกนั กบั นักเรยี นถึงประสบการณ ๑. วนั สÓคัญทางพระพทุ ธศาสนา การเขา รว มพิธีกรรมในวนั และเทศกาลสําคญั ทาง พระพุทธศาสนา แลว ใหนกั เรียนชวยกันวเิ คราะห ๑.๑ หลกั ธรรมท่ีเกี่ยวเนอ่ื งในวันสÓคัญทางพระพุทธศาสนาและ ถึงหลกั ธรรมและคติธรรมทเ่ี ก่ยี วเนื่องกบั วันและ การปฏบิ ัตติ น เทศกาลสําคัญทางพระพุทธศาสนาตา งๆ จากน้นั ครอู ธบิ ายถึงหลักธรรมและคติธรรมทั่วไปทเี่ กยี่ ว ๑) วันมาฆบูชา วันมาฆบูชาตรงกับวันเพญ็ เดือน ๓ ของทกุ ปี ถ้าปีใดมีเดือน เน่อื งกับวันและเทศกาลสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา ซ่งึ นักเรยี นท่ีเขา รว มสามารถเกดิ ความรคู วามเขา ใจ แปดสองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันเพ็ญเดือน ๔ เม่ือคร้ังพุทธกาลมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันนี้ ๔ และนอ มนาํ ไปสกู ารปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งถกู ตอ ง ประการ ดังนี้ สา� รวจคน้ หา Explore ๑. พพรระะสสาาววกกเ ห๑ล,๒่า๕น๐้นั ลอ้วงนคไ์ ดมร้ าับปเอระหชภิ มุ กิ กขันอุ โปุ ดสยมั ทปุกทอ1าง คคล์ ือ้ว นไเดป้รน็ บั พกราะรออรปุ หสันมตบ์ ทจากพระพุทธเจา้ ๒. ๓. พระสาวกเหลา่ นน้ั มาประชุมกนั โดยมิได้นัดหมายมากอ่ น ครใู หนักเรียนรวมกลมุ กัน กลมุ ละ 4 คน เพอ่ื ๔. พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ ชว ยกนั ศกึ ษาความรเู กยี่ วกบั วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธ- ศาสนา โดยแบง หนา ทีร่ ับผดิ ชอบในการศกึ ษาความ ในการประชุมกันในวันนั้น ถือเป็นเร่ืองอัศจรรย์ ๔ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง รดู วยการแบง สมาชิกในกลุม ออกเปน 2 คู แลว หลกั ธรรมเรียกวา่ “โอวาทปาฏิโมกข”์ ดงั นี้ ศึกษาจากหนงั สือเรยี น หนา 108-118 และแหลง การเรยี นรอู ่นื ที่ครูเสนอแนะ จากน้นั แลกเปลยี่ น ขอ้ หนึง่ ความรซู ึ่งกนั และกันกับคูข องตน เพื่อเตรียมการ “ขนั ต ิ คือ ความอดกลน้ั เป็นตบะสูงสุด พระพุทธเจ้าท้งั หลายกลา่ ววา่ พระนพิ พานเปน็ อธบิ ายใหเ พ่ือนนักเรียนอกี คหู นงึ่ ในกลุมจนเกิด ธรรมสงู สดุ คนท�ารา้ ยคนอน่ื ไม่ใช่บรรพชิต คนเบยี ดเบียนคนอื่นไมใ่ ช่สมณะ” ความรคู วามเขา ใจท่ีตรงกนั ขอ้ สอง “การไมท่ า� ชว่ั ทงั้ ปวง การทา� แตค่ วามด ี การทา� ใจใหบ้ รสิ ทุ ธ ์ิ นเี่ ปน็ คา� สอนของพระพทุ ธเจา้ ท้ังหลาย” อธบิ ายความรู้ Explain ข้อสาม “การไม่ว่าร้าย การไม่ท�าร้าย การส�ารวมในปาฏิโมกข์ การรู้จักประมาณในอาหาร ครูสนทนารวมกันกับนกั เรยี นแตละกลุมถึง การอยใู่ นทีส่ งัด การบ�าเพ็ญสมาธ ิ นเี่ ปน็ คา� สอนของพระพทุ ธเจา้ ทั้งหลาย” ความรูท่วั ไปเกย่ี วกับวนั มาฆบูชา แลวสมุ นกั เรียน 2 กลมุ ใหอธิบายความรหู ลักธรรมท่เี กย่ี วเนอื่ ง การปฏิบัติตนในวันมาฆบูชา ในตอนเช้าพุทธศาสนิกชนจะไปท�าบุญตักบาตรท่ีวัด กบั วนั มาฆบูชาและแนวทางการปฏิบัตติ นในวัน ฟังพระธรรมเทศนา บ�าเพ็ญสาธารณประโยชน์ และในตอนค่�าก็จะน�าดอกไม้ ธูปเทียนไปยังวัด มาฆบชู าท่ถี ูกตองเหมาะสมตามทไี่ ดศกึ ษามา กลุม ที่อยู่ใกล้บ้าน พอได้เวลาพระสงฆ์จะประชุมกัน ยืนหันหน้าตรงต่อพระพุทธรูป บรรดาฆราวาส ละ 1 หวั ขอ จากนนั้ ครนู าํ ในการสรปุ ความรขู อง ก็ยืนตั้งแถวให้เป็นระเบียบอยู่ด้านหลังพระสงฆ์ จากนั้นจุดธูปเทียน พระเถระชั้นผู้ใหญ่กล่าวน�า นกั เรยี นในชั้นเรียนเกย่ี วกับความสาํ คัญ หลกั ธรรม คา� บชู า เสร็จแล้วทา� ทกั ษิณาวรรต (เวียนขวา) รอบพระอุโบสถ หรอื สถูปเจดยี ์ ๓ รอบ การเดนิ คติธรรม และแนวทางการปฏบิ ตั ติ นในวนั มาฆบชู า เวยี นเทียนนต้ี อ้ งท�าใจให้สงบจรงิ ๆ ควรสา� รวมวาจาและละเวน้ การท�าอาการตลกคึกคะนองตา่ งๆ ในรปู แบบของตารางโดยใหนกั เรียนผลดั กันออกมา เขยี นรายละเอยี ดท่ถี กู ตองลงในตารางบนกระดาน 108 หนา ชน้ั เรยี น แลว นกั เรยี นบนั ทกึ ขอ สรปุ ทไ่ี ดล งในสมดุ เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ครอู าจสนทนารว มกนั กบั นกั เรยี นถงึ ประวตั คิ วามเปน มา ความสาํ คญั เหตกุ ารณ คตธิ รรมสาํ คญั ในโอวาทปาฏิโมกขท่ีพุทธศาสนิกชนควรยดึ ถอื คอื อะไร และการประกอบพิธีกรรมเนอื่ งในวันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาตา งๆ ท่นี ักเรยี น 1. สํารวมในปาฏิโมกข ประมาณในอาหาร อยูใ นท่ีสงัด ไดศ กึ ษามา แลว ครูอธบิ ายขอมลู ความรูเพ่มิ เติมเพอื่ ความถกู ตอ งชัดเจน ทั้งน้ีเพื่อ 2. อดทนอดกลัน้ ไมท าํ รา ยผอู ืน่ ไมเ บียดเบยี นผอู น่ื เปน การทบทวนความรูกอนการวิเคราะหถ งึ หลักธรรมหรอื คติธรรมที่เก่ยี วเนอ่ื งกบั 3. งดเวนความช่วั ทําความดี ทําใจใหบรสิ ทุ ธ์ิ วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา อนั นาํ ไปสกู ารปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งถกู ตอ งเหมาะสม 4. บําเพ็ญสมาธิ ไมท าํ ราย ไมวา รา ยผอู ื่น วิเคราะหค ําตอบ คตธิ รรมสาํ คัญอันอาจกลา วไดว า เปน หวั ใจแหง โอวาท- นกั เรียนควรรู ปาฏิโมกขท ่พี ทุ ธศาสนิกชนพึงยดึ ถือประพฤติปฏิบตั ใิ นชีวติ ประจําวัน ไดแก การงดเวนความชั่วท้ังปวง การทาํ ความดี และการทําใจใหบ รสิ ทุ ธิ์ 1 เอหภิ ิกขอุ ปุ สัมปทา การอุปสมบทดว ยพระวาจาวา “จงเปน ภิกษุมาเถดิ ” เปน วธิ ที ่พี ระพทุ ธเจาทรงบวชใหเอง นอกจากนกี้ ารอปุ สมบทท่ีสําคญั ญตั ตจิ ตตุ ถกมั ม- ดังนน้ั คาํ ตอบ คอื ขอ 3. อุปสัมปทา การอุปสมบทดวยญัตตจิ ตตุ ถกรรม เปนวธิ ที ที่ รงอนุญาตใหส งฆท าํ เม่ือ คณะสงฆเ ปนหมูใหญข ึ้นแลว และเปน วิธีใชส บื มาจนทกุ วนั น้ี 108 คมู่ ือครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ครูสนทนารว มกันกบั นกั เรียนถึงความรคู วาม เขา ใจเกยี่ วกบั พทุ ธประวตั แิ ละหลักธรรมหรือ คติธรรมทไ่ี ดจากการศกึ ษาพุทธประวตั ติ อน ตา งๆ แลว ตงั้ ประเด็นเกีย่ วกบั หลกั ธรรมหรอื คติธรรมทีเ่ กีย่ วเน่อื งกบั พุทธประวตั ใิ หนกั เรียน อภปิ รายรว มกัน เชน • ความสอดคลอ งของการฝกปฏิบัติกับ การแสวงหาความรคู วามจริง • การกอ ตง้ั และเผยแผพระพุทธศาสนา : หลักการและแนวทางทีส่ อดคลอ งกบั ระบอบ ประชาธปิ ไตย • พระอุปนิสัยของพระพทุ ธเจาท่ี พทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ยึดถือเปนแบบอยา งใน การดําเนินชวี ิต 1 พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก จำานวน ๑,๒๕๐ องค์ ซ่ึงมาประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมาย 109 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรียนควรรู ครูอาจมอบหมายใหนกั เรยี นศึกษาคน ควา รายละเอยี ดและภาพพุทธ- 1 โอวาทปาฏโิ มกข คําแปลของพระคาถาโอวาทปาฏโิ มกข คอื การไมทําความ ประวตั ิตอนท่ีนักเรยี นสนใจจากแหลงการเรยี นรทู ี่ครูเสนอแนะ แลวจดั ทํา ชัว่ ทั้งปวง การบําเพญ็ แตค วามดี การทําจติ ของตนใหผอ งใส น้ีเปนคาํ สอนของ เปนแผนภาพพทุ ธประวัตสิ งครผู ูสอน พระพทุ ธเจา ทงั้ หลาย ขันติ คอื ความอดกลัน้ เปนตบะอยางยิ่ง พระพุทธเจา ท้ัง หลายกลา ววา นพิ พานเปนบรมธรรม ผูท าํ รายคนอนื่ ไมช ื่อวาเปน บรรพชิต กจิ กรรมทาทาย ผเู บียดเบยี นคนอืน่ ไมช ื่อวา เปน สมณะ การไมก ลาวรา ย การไมท าํ รา ย ความ สํารวมในปาฏโิ มกข ความเปนผูรจู ักประมาณในอาหาร ท่ีนง่ั นอนอนั สงัด ครอู าจมอบหมายใหนกั เรยี นศึกษาคน ควารายละเอียดและภาพ ความเพียรในอธจิ ิตตน้เี ปนคาํ สอนของพระพทุ ธเจา ท้งั หลาย พุทธประวัตติ อนท่ีนักเรยี นสนใจจากแหลงการเรยี นรทู ี่ครเู สนอแนะ แลว วเิ คราะหหลักธรรมหรือคติธรรมทเ่ี กี่ยวเน่อื งกับพุทธประวัตติ อนดงั กลาว มมุ IT จากนนั้ จดั ทําเปน แผน ภาพวิเคราะหห ลกั ธรรมหรือคติธรรมจากพุทธ- ประวตั ิสง ครูผสู อน ศกึ ษาคนควาเก่ียวกบั พุทธประวตั ิตอนตางๆ พรอ มภาพประกอบเพิ่มเติม ไดท่ี http://www.buddhistelibrary.org/th/thumbnails.php?album=73 เวบ็ ไซตโ ครงการหองสมุดอเิ ลก็ ทรอนกิ สชาวพทุ ธ พุทธธรรมศกึ ษาสมาคม คูม่ ือครู 109

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครใู หน ักเรยี นกลมุ ทสี่ มัครใจอธบิ ายความ รูเกี่ยวกบั หลักธรรม คตธิ รรม และแนวทางการ ปฏบิ ตั ิตนในวันวิสาขบูชา โดยชว ยกนั ตอบคาํ ถามท่ี เมื่อเวียนครบ ๓ รอบแลว ใหนําเคร่ืองสักการบูชาไปปกในกระถางธูป ซึ่งทางวัด ครกู าํ หนด เชน ไดจัดเตรียมไว จากน้ันก็เขาไปในโบสถเพื่อทําวัตร สวดมนต และสดับตรับฟงพระธรรมเทศนา • หลกั ธรรมหรอื คติธรรมทเ่ี ก่ียวเนอื่ งกบั เรอื่ ง “พระโอวาทปาฏิโมกข” อยา งไรกต็ าม ถา พทุ ธศาสนกิ ชนทา นใด วันวิสาขบชู าคอื อะไร อธบิ ายพรอ มยก ไมสามารถไปรวมเวียนเทียนที่วัดได เพราะเจ็บปวยหรือไมสะดวก ตัวอยางประกอบพอสังเขป ดว ยประการทง้ั ปวง จะประกอบศาสนกจิ อยทู บ่ี า นก็ได โดยจดุ ธปู เทยี น (แนวตอบ หลกั ธรรมทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งกบั วนั วสิ าขบชู า บูชาพระ ทําจิตใจใหสงบ นอมระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ คอื อริยสัจ 4 หรือความจริงอนั ประเสริฐของ และพระสงั ฆคณุ ก็ยอ มไดชื่อวา เปนพทุ ธศาสนิกชนท่ดี เี ชนเดียวกัน ชีวติ 4 ประการ ไดแก ทุกข คือ สภาพที่ ๒) วนั วสิ าขบชู า วนั วสิ าขบชู า ทนอยไู ดย าก ความไมส บายกายไมส บายใจ เชน การสอบเพ่ือศกึ ษาตอไมได สมทุ ัย คือ ปจจุบันหนวยงานราชการตางๆ ไดรวมกันจัดงานใน ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ ถาปใดมีเดือน ๘ สาเหตทุ ่แี ทจ ริงของความทกุ ขน ้ัน มักเกิดจาก วันสําคัญทางศาสนาเพ่ือใหพุทธศาสนิกชนไดรวมกัน สองหนก็เลื่อนมาเปนวันเพ็ญเดือน ๗ วัน อํานาจของตัณหาตา ง ๆ เชน การไมตัง้ ใจ ทาํ บุญและสืบทอดพระพุทธศาสนา วิสาขบูชานี้ถือเปนวันคลายวันประสูติ วัน อานหนงั สอื อยา งจริงจังดว ยเหน็ วา ตนเรียน ตรัสรู และวันปรินิพพานของพระพุทธเจา เกง นาจะสามารถสอบเพอื่ ศกึ ษาตอ ได นิโรธ หลักธรรมที่เก่ียวเนื่องในวันวิสาขบูชา คือ คือ ความดบั แหงทุกข เชน การพน จากความ “หลักอริยสัจ ๔” เพราะเปนหัวใจสําคัญของ ทุกขเ ก่ียวกบั การสอบเพือ่ ศกึ ษาตอ ไมไ ด และ การตรสั รู ซ่ึงมีดงั น้ี มรรค คือ แนวทางแหง การดับทกุ ข เชน การ ๒.๑) ทกุ ข ความทุกขเ ปนสง่ิ ท่ีเกิดข้ึนกบั บุคคลทุกคนไมวาที่ใด สมยั ใด ตั้งใจและลงมอื ปฏิบตั อิ ยางจริงจงั ในการสอบ เพ่อื ศกึ ษาตอ ในสถาบันอืน่ ๆ เปน ตน ) ๒.๒) สมทุ ยั ความทกุ ขม สี าเหตุ คอื เกดิ จากตณั หาทงั้ ๓ ไดแ ก กามตณั หา • แนวทางการปฏบิ ัติตนในวันวสิ าขบชู า แตกตางจากวนั มาฆบูชาอยางไร ภวตัณหา และวิภวตณั หา (แนวตอบ แนวทางการปฏบิ ตั ติ นในวนั วสิ าขบชู า คลายคลงึ กบั วันมาฆบชู า กลา วคือ พงึ ไป ๒.๓) นิโรธ หมายความถึง ความดับแหงทุกข ทําบญุ ตกั บาตรท่วี ดั ฟงเทศน ฟงธรรม เวียน เทยี น และรกั ษาศีลตามความเหมาะสม สว น ๒.๔) มรรค คอื หนทางทจ่ี ะพาเราไปสูค วามดบั ทกุ ข การปฏิบัติตนในวันวิสาขบูชา การปฏิบัติตนในวันนี้ก็เชนเดียวกับวันมาฆบูชา คือ พุทธศาสนิกชนจะไปทําบุญตักบาตรที่วัด ฟงเทศน สนทนาธรรม เวียนเทียน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรอื อโุ บสถศีล ยอ ยท่อี าจมีความแตกตา งกนั บา ง คือ การ ๓) วันอฏั ฐมบี ชู า เวปนันอวฏันั ฐคมลบีา ยูชวานัตถรวงากยับพวันระแเรพมลิง๘พระคพาํ่ ุทเธดสอื รนรี ะ1๖พุทหธรศอื าเดสอืนนกิ ช๗น ระลึกถงึ พระพุทธเจา เนอื่ งจากวนั วิสาขบูชา เปนวันทีเ่ กย่ี วของกบั พระพทุ ธเจาโดยตรง) นับถัดจากวันวิสาขบูชาไป ๘ วนั จากนั้นครูและนักเรียนชวยกันสรุปความรทู ี่ได จากการศกึ ษาเกี่ยวกับหลกั ธรรม คตธิ รรมท่ีเกย่ี ว พจงึ ึงพรงึํายลดึึกหวลากัแธมรแรมตวพา รดะว พยุท“ธอเปัจปาผมูาททระง2”เพ(คียวบาพมรไมอปมรทะุกมอาทย)างดยงั ังปเจสฉดมิ็จพดัทบุ ธขโันอธวาปทรวินา ิพ“พเธาอนทงั้ ดหังลนา้ันย เน่ืองในวนั วิสาขบชู า และแนวทางการปฏบิ ตั ิตนใน ๑๑๐ พึงยังประโยชนตนและประโยชนทา นใหถึงพรอมดว ยความไมประมาทเถดิ ” วันวสิ าขบชู า นกั เรียนบนั ทึกผลการสรุปความรลู ง ในสมดุ ขอสอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกับการตรสั รูของพระพทุ ธเจา 1 ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ กระทาํ ทเี่ มอื งกสุ นิ ารา โดยเมอื่ ภกิ ษหุ มู 500 รปู พระพุทธเจา ทรงบรรลญุ าณใด ทีท่ ําใหตรัสรูอริยสัจ 4 ซ่ึงมพี ระมหากัสสปะเปนประธานเดินทางมาพรอมกัน ณ ที่ถวายพระเพลงิ 1. จตุ ปู ปาต ไฟกล็ กุ โชนขนึ้ เองโดยไมต อ งมใี ครจดุ หลงั จากทพ่ี ระเพลงิ เผาไหมพ ระพทุ ธสรรี ะ 2. อาสวักขย ดบั มอดลง บรรดากษตั รยิ จ ากแควน ตา งๆ จงึ ขอแบง พระบรมสารรี กิ ธาตุ เพอ่ื นาํ กลบั 3. อานาปานสติ มาสักการะยงั แควน ของตนแตก ็ถกู กษตั ริยม ลั ละเจาแควนน้นั ปฏิเสธ จงึ เตรยี ม 4. ปพุ เพนิวาสานสุ สติ ทําสงครามกัน ในทสี่ ุดโทณพราหมณไดเ ขา มายตุ คิ วามขัดแยงโดยเสนอใหแ บง พระบรมสารรี ิกธาตุออกเปน 8 สว นเทาๆ กนั แลวมอบใหก ษตั ริยแ ตละแควน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. อาสวกั ขย เปนญาณแหงความรูเปนเหตุ 2 อปั ปมาทะ ความไมป ระมาท ความเปนอยูอยางไมขาดสติ ความไมเผลอ สน้ิ อาสวะ ญาณหยั่งรูในธรรมเปนทีส่ ิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย หรือการ ตรัสรูอ รยิ สจั 4 ประการนน่ั เอง ซึ่งเปนความรูท ่ีพระพทุ ธเจาไดใ นยาม สุดทา ยแหงราตรีในวันตรสั รู ความไมเ ลินเลอเผลอสติ ความไมป ลอ ยปละละเลย ความระมัดระวังท่ีจะไม ทําเหตุแหงความผดิ พลาดเสียหายและไมละเลยโอกาสทจ่ี ะทําเหตแุ หงความดงี าม และความเจริญ ความมสี ตริ อบคอบ พงึ กระทาํ ใน 4 สถาน คอื การละกายทจุ ริต ประพฤติกายสจุ รติ การละวจที จุ รติ ประพฤติวจีสุจรติ การละมโนทจุ รติ ประพฤติ มโนสุจริต และการละความเห็นผิด ประกอบความเหน็ ท่ีถูก 110 คมู อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ การปฏิบัติตนในวันอัฏฐมีบูชา เม่ือวันแรม ๘ ค่�า เดือน ๖ ซึ่งนิยมเรียกกันว่า 1. ครูสุมนักเรยี น 2 กลมุ ใหแ บงหนาท่ีกันอธิบาย อัฏฐมี ได้เวียนมาบรรจบในแต่ละปี พุทธศาสนิกชนชาวไทยที่เคารพศรัทธาในพระพุทธองค์ ความรูเ ก่ียวกบั หลักธรรม คติธรรมที่เกย่ี วเนือ่ ง อย่างแรงกล้า โดยเฉพาะพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาของวัดหนึ่งๆ จะประกอบพิธีบูชาข้ึน ในวันอัฏฐมีบูชา และแนวทางการปฏิบัติตน เปน็ การเฉพาะภายในวดั เชน่ ทว่ี ดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ์ิ เปน็ ตน้ แตไ่ มม่ หี ลกั ฐานวา่ ไดเ้ รม่ิ ปฏบิ ตั ิ ในวนั อฏั ฐมบี ูชา ทหี่ นา ชน้ั เรยี น โดยการเรยี ง กันมาต้ังแต่เมื่อใด ในปัจจุบันน้ีก็ยังถือปฏิบัติอยู่ การประกอบพิธีอัฏฐมีบูชาน้ัน นิยมท�ากัน บัตรคาํ หรือแถบขอความสําคญั ท่ีเกย่ี วของกับ ในตอนคา่� และปฏิบตั ิอย่างเดียวกนั กบั การประกอบพธิ วี ิสาขบูชา จะต่างกนั แต่ท่คี �าบูชาเท่านนั้ วนั อฏั ฐมีบูชาตามลาํ ดับเหตุการณใ น พุทธประวัตหิ รอื ความสําคัญใหถ กู ตอ ง พรอม วันอัฏฐมีบูชาเพิ่งได้รับการจัดให้เป็นวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ทั้งอธบิ ายความรจู ากบตั รคําหรอื แถบขอ ความ เม่ือไม่นานมาน้ี และได้รับความสนใจจากชาวพุทธไม่มากเท่าวันสา� คัญ ๓ วันที่กล่าวมาแล้ว สาํ คญั ดังกลา ว ไดแก กส็่วไมน่ไใดห้กญ�า่มหีแนตด่พแรนะ่นสองนฆข์เป้ึน็นอยผู่กู้จับัดทผู้จ�าัดแลบะาไงมแ่ไหด่ง้จจัดัดเใปห็น้มพีเทิธศีใหนญ์แจ่โตงที่เสร่วียนกเวร่า่ืองเทที่พศนระ์แเบทบศสนัง์ใคนาวยันนนา1้ี • การถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระ ขณะท่ีบางแห่งก็เทศน์เร่ืองประวัติของพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นมาของพระพุทธศาสนา • อัปปมาทะ ตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานจนถึงปัจจุบัน เพ่ือเป็นเครื่องระลึกถึงพระคุณ • ปจ ฉมิ พุทธโอวาท ของพระพทุ ธเจา้ และเพอ่ื จะไดน้ า� มาใช้เป็นหลักดา� เนินชวี ิตใหถ้ ูกต้องตามท�านองคลองธรรม • สถานที่ประกอบพธิ ีกรรม • คาํ บูชาทีแ่ ตกตา งจากพธิ ีกรรมในวัน ๔) วันอาสาฬหบูชา วันอาสาฬหบูชาตรงกับวันเพ็ญเดือน ๘ วันนี้ถือเป็น วสิ าขบูชา • การไดร บั ความสนใจจากพทุ ธศาสนกิ ชน วันส�าคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ “ธัมมจัก- • เทศนแ บบสังคายนา กัปปวัตตนสูตร” โปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทั้งยังเป็นวันท่ีท่านโกณฑัญญะ • พุทธประวัติ ไดด้ วงตาเห็นธรรม และไดร้ ับการอปุ สมบทเปน็ พระอริยสงฆอ์ งค์แรกในพระพุทธศาสนา • การระลกึ ถงึ คุณของพระพุทธเจา จากนั้นครูใหนักเรยี นในช้ันเรยี นสอบถามเพ่อื ใจความส�าคญั ของธมั มจักกปั ปวัตตนสตู ร มีดงั นี้ ใหไ ดข อ มลู ความรูท่ีถกู ตอ งครบถว น แลว ชวยกันสรปุ ความรทู ไ่ี ดจ ากการศกึ ษาเกย่ี วกบั ตอนท ่ี ๑ ทรงแสดงหนทางสดุ โตง่ ๒ ขา้ งทบ่ี รรพชติ ผมู้ งุ่ การหลดุ พน้ จากกเิ ลสไมค่ วรปฏบิ ตั ติ าม หลกั ธรรม คตธิ รรมทเี่ กยี่ วเนอื่ งในวนั อฏั ฐมบี ชู า และแนวทางการปฏบิ ตั ิตนในวนั อัฏฐมีบชู า ไดแ้ ก ่ การหมกมนุ่ อยใู่ นกามสขุ หรอื ความสขุ ทางเนอ้ื หนงั เรยี กวา่ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค นกั เรยี นบนั ทกึ ผลการสรุปความรูลงในสมุด และการทรมานตนให้ล�าบาก เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค แล้วทรงแสดงหนทาง 2. ครสู นทนารวมกนั กับนักเรียนถึงความรทู ัว่ ไป เกยี่ วกบั วนั อาสาฬหบชู า เชน ความเปน มา ที่บรรพชิตควรด�าเนินตามเพื่อการหลุดพ้นจากกิเลส เพื่อพระนิพพาน เรียกว่า ความสําคัญ แลวสมุ นกั เรยี น 3 กลมุ ใหออก มาอธิบายความรเู กย่ี วกบั หลกั ธรรม คตธิ รรม มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ข้อปฏิบัติ ทางปฏิบัติ หรือทางด�าเนินสายกลาง ได้แก่ ทเี่ กีย่ วเนื่องในวันอาสาฬหบูชาท่หี นาชนั้ เรยี น กลมุ ละ 1 ตอน โดยการจบั สลากและอธิบาย อริยมรรคมอี งค์ ๘ ความรผู านกิจกรรมการเรียนรูตา งๆ ดังนี้ ตอนท ่ี ๒ ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ตอนที่ ๓ ทรงตรัสถึงลักษณะของการตรัสรู้ของพระองค์ คือ รู้ในอริยสัจ ๔ แต่ละข้อ ด้วยพระญาณท้ัง ๓ ได้แก่ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ซึ่งท�าให้พระองค์ พอพระราชหฤทัยว่าได้ตรัสรู้จริง และทรงหยั่งรู้ด้วยญาณว่าชาติน้ีเป็นชาติสุดท้าย ของพระองค์ จะไมม่ ีภพใหมเ่ กิดขนึ้ อีกแลว้ 111 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป’51 ออกเกยี่ วกบั พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา ในวนั อาสาฬหบชู า ครอู าจใหนกั เรียนท่มี ปี ระสบการณเขา รว มพิธกี รรมในวันอฏั ฐมบี ูชาออกมาแบง ในวนั อาสาฬหบูชา พระพทุ ธเจาทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรอ่ื งใด ปน ประสบการณของตนแกเพือ่ นนักเรียนท่ีหนาช้นั เรยี น แลวอภิปรายรว มกนั กบั 1. อนตั ตา และ นพิ พาน นกั เรียนถึงความสาํ คัญของวนั อฏั ฐมบี ชู า หลกั ธรรมหรือคติธรรมท่ีเกยี่ วเนอ่ื งกับ 2. ไตรลักษณ และ รัตนตรยั วนั ดงั กลาว เชน หลักไตรลกั ษณ ความไมป ระมาท ความสามคั คี การแกป ญหา 3. มัชฌมิ าปฏปิ ทา และ อริยสจั ดวยสนั ติวธิ ี จากนน้ั อาจมอบหมายใหนักเรียนเขา รว มพธิ ีกรรมในวนั อัฏฐมบี ชู าตาม 4. โพธปิ กขิยธรรม และ อปริหานิยธรรม สมควร พรอ มทง้ั นําหลักธรรมหรือคตธิ รรมไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาํ วนั วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. มชั ฌิมาปฏปิ ทา และ อริยสจั โดย นักเรียนควรรู พระพุทธเจา ทรงแสดงมัชฌมิ าปฏปิ ทา หรือทางสายกลาง และอริยสัจ 4 1 เทศนแ บบสังคายนา หรือเทศนแ จง ทน่ี ิยมในประเทศไทยปจ จุบนั ยดึ ถอื ประการ ในตอนท่ี 1 และตอนท่ี 2 ของธัมมจักกปั ปวัตตนสตู ร การเทศนโ ดยใชวธิ จี าํ ลองภาพเหตุการณพ ิธสี งั คายนาในครง้ั แรกเปนตนแบบ โดย แกปญจวัคคยี  ณ ปาอิสปิ ตนมฤคทายวัน กระทง่ั ทานโกณฑญั ญะได วิธีสังคายนาครัง้ แรกเปน สงั คายนาในรปู แบบพระไตรปฎ กมขุ ปาฐะ คอื สวดหรอื ดวงตาเหน็ ธรรม ทูลขอบวชเปนพระสงฆในพระพุทธศาสนาองคแ รก ทองจํานําสืบตอๆ กันมาดวยปากเปลา ค่มู ือครู 111

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครตู ัง้ คําถามเกย่ี วกบั มชั ฌิมาปฏปิ ทาหรอื ทางสายกลาง อริยสจั 4 และลําดับการตรสั รูข อง พระพุทธองค ใหนกั เรียนกลุม ทร่ี บั ผดิ ชอบการ อธิบายความรตู อนตาง ๆ ชว ยกันตอบ เชน • มชั ฌิมาปฏปิ ทาสอดคลอ งกบั มรรคมีองค แปดอยางไร (แนวตอบ มชั ฌมิ าปฏิปทา หรอื ทางสายกลาง ที่พระพุทธเจาทรงคน พบ อนั นาํ ไปสกู ารตรสั รู เปนพระสมั มาสมั พทุ ธเจา น้ัน เกิดจากการ ทรงทดลองปฏิบัตติ ามแนวทางของลัทธิความ เชอ่ื ตางๆ เพ่อื แสวงหาทางหลดุ พน จากทุกข ของชวี ิต ภายหลงั จากทรงเลกิ หมกมุน อยใู น กามสุขหรอื ความสุขทางเนื้อหนัง หรอื กามสขุ ัลลกิ ายโุ ยค และเสดจ็ ออกผนวช กลา วคอื การบําเพญ็ ตบะและโยคะ ตาม ลําดบั ซึง่ โยคะนัน้ พระองคทรงบาํ เพ็ญอยา ง เขม งวดจนถงึ ข้นั การบําเพ็ญทกุ กรกริ ยิ า แต กย็ ังทรงไมค น พบทางพน ทกุ ข จึงทรงเลกิ ปฏิบตั ิและหันมายึดทางสายกลางประกอบ การบาํ เพญ็ เพยี รทางจิตจนตรสั รใู นที่สดุ ทาง สายกลางดังกลาวนนั้ ไดแ ก มรรคมีองค 8 หรอื ทางอนั ประเสริฐของชวี ิต 8 ประการ เชน สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสมั มาวายามะ เปนตน ) 1 พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปญั จวัคคยี ์ 112 นักเรียนควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’53 ออกเกย่ี วกบั การเทศนาหลักธรรมอริยสจั 4 1 ปญจวคั คยี  พระพวก 5 ทีแ่ สวงหาทางหลดุ พน จากทุกขของชวี ติ ในสมัย พระพทุ ธเจาทรงสอนอริยสจั 4 ในวนั ใด พุทธกาล ซึง่ ตอ มาเปนพระอรหันตสาวกรนุ แรกของพระพุทธเจา ประกอบดว ย 1. วนั มาฆบูชา พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททยิ ะ พระมหานาม หรือมหานามะ และ 2. วนั วสิ าขบูชา พระอสั สชิ มีบทบาทสําคญั อยางย่งิ ในการกอตงั้ และเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาในชว ง 3. วนั อาสาฬหบูชา แรก และไดรับการยกยอ งจากพระพุทธเจา ใหเ ปน เอตทคั คะในหลายดาน เชน 4. วันจาตรุ งคสันนิบาต พระอัญญาโกณฑัญญะไดรบั การยกยองวา เปนเอตทัคคะในทางรตั ตัญู (รรู าตรี วิเคราะหค าํ ตอบ หลกั ธรรมอริยสัจ 4 เปน สวนหน่ึงของธมั มจกั กปั ป- นาน คือ บวชนาน รูเ ห็นเหตุการณม ากมาแตต น ) พระภัททยิ ะไดรับการยกยอง วตั ตนสตู รทพ่ี ระพุทธเจา ทรงเทศนาแกเ หลาปญจวัคคีย ภายหลงั วา เปน เอตทัคคะในบรรดาภิกษุผมู าจากตระกลู สูง และพระมหานามะ ไดรับการ การตรัสรูและเสวยวมิ ตุ ิสุข 7 สปั ดาห ณ ปา อิสิปตนมฤคทายวนั กระท่ัง ยกยอ งเปน เอตทคั คะในบรรดาผถู วายของประณีต โกณฑัญญะพราหมณ หัวหนา ปญ จวัคคยี  ไดด วงตาเหน็ ธรรมและทูล ขอบวชเปน พระสงฆอ งคแ รกในพระพทุ ธศาสนา ดงั นน้ั คาํ ตอบคอื ขอ 3. 112 คูม อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ การปฏิบัติตนในวันอาสาฬหบูชา ก่อนถึงวันอาสาฬหบูชา เจ้าอาวาสแต่ละวัด 1. ครใู หนกั เรยี นชวยกนั วิเคราะหถงึ ความ จะแจ้งให้พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาทราบล่วงหน้าว่า วันพระข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๘ แตกตางในแนวทางการปฏิบตั ิตนในวนั จะเปน็ วนั ประกอบพธิ อี าสาฬหบชู า เมอ่ื ถงึ วนั ขนึ้ ๑๔ คา่� เดอื น ๘ กอ่ นวนั อาสาฬหบชู า ๑ วนั อาสาฬหบูชา ซง่ึ ไดแก การระลึกถึงคุณของ พระภกิ ษุ สามเณร มรรคนายก พุทธศาสนิกชนที่ว่างเว้นจากหน้าที่การงานประจ�า ก็จะช่วยกัน พระธรรม การแสดงพระธรรมเทศนา ชื่อ ปดั กวาด ปลู าดเสนาสนะ จดั ตงั้ เครอื่ งสกั การะ จดั หาภาชนะใสน่ า�้ ดมื่ ประดบั ธงธรรมจกั ร ธงชาติ ธมั มจักกปั ปวตั ตนสูตร แลว สอบถามนักเรยี น และประทีปโคมไฟต่างๆ รอบพระอุโบสถ พระสถูปเจดีย์ เช่นเดียวกับวันวิสาขบูชา ครั้นถึง ถึงแนวทางการปฏิบัติตนท่ีถูกตองเหมาะสมใน วันอาสาฬหบูชา ตอนเช้าพุทธศาสนิกชนจะไปร่วมท�าบุญตักบาตรท่ีวัด ฟังเทศน์ และบ�าเพ็ญ วันอาสาฬหบชู า จากน้นั ใหน ักเรยี นชว ยกัน สาธารณประโยชน์ต่างๆ ตอนค�่าก็จะมีการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ หรือรอบพระสถูปเจดีย์ สรุปความรูท่ไี ดจ ากการศกึ ษาเก่ียวกับหลกั เสร็จแล้วเข้าไปท�าวัตรค�่าในพระอุโบสถ จากน้ันพระเถระช้ันผู้ใหญ่ขึ้นธรรมาสน์ แสดงพระธรรม ธรรม คตธิ รรมทีเ่ ก่ียวเนื่องในวันอาสาฬหบูชา เทศนา ช่ือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” และหลังจากจบพระธรรมเทศนา พุทธศาสนิกชนอาจ และแนวทางการปฏบิ ตั ติ นทีถ่ ูกตอ งเหมาะ สนทนาธรรมตอ่ ก็ได้ สมในวันดงั กลาว นกั เรยี นบันทกึ ขอ มูลความรู ที่สรุปไดลงในสมุด ๑.๒ หลกั ธรรมทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งในวนั ธรรมสวนะและเทศกาลสÓคญั 2. ครูสนทนารว มกันกบั นกั เรยี นถึงความรทู ว่ั ไป ๑) วันธรรมสวนะ วันธรรมสวนะหรือวันพระ คือ วันก�าหนดประชุมฟังธรรม เก่ียวกบั หลักธรรม คตธิ รรมทีเ่ ก่ียวเนือ่ งใน โดยถือว่าการฟังธรรมตามกาลท่ีก�าหนดไว้เป็นประจ�า ย่อมก่อใหเ้ กดิ ปัญญาและสิริมงคลแก่ผู้ฟัง วนั ธรรมสวนะที่นักเรยี นไดศึกษามา แลว ตัง้ ประเด็นใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ อภปิ รายกลุม วันก�าหนดฟังธรรมนี้ในเดือนหนึ่งมี ๔ วัน คือ วันขึ้นและแรม ๘ ค่�า วันจันทร์เพ็ญ และ ยอ ยเก่ยี วกบั หลกั ธรรม คติธรรมท่ีเกย่ี วเน่อื ง ในวนั ธรรมสวนะ เชน สนทนาอยา งไรให วันจันทรด์ ับ เกดิ ธรรม ธรรมสากจั ฉา : การสนทนาธรรม ตามกาลกับความสุขสงบของสังคม และการ หลกั ธรรมประการหนง่ึ ทเี่ กย่ี วเนอื่ ง สนทนาอยางสรางสรรค : แนวทางการแกไ ข ปญ หาอยา งสันตวิ ิธี จากน้ันใหนักเรียนแตละ ในวันธรรมสวนะ อันเป็นข้อหน่ึงในมงคล ๓๘ กลมุ สงตวั แทนออกมานาํ เสนอผลการอภปิ ราย ของกลมุ ตนทห่ี นาชนั้ เรยี น ครูเสนอแนะความ คือ “กาเลน ธัมมสากัจฉา” หมายความว่า รูหรอื ขอคดิ เห็นเพ่ิมเตมิ เพอ่ื ใหขอ มลู ความรู ถกู ตองครบถว นยง่ิ ข้ึน สนทนาธรรมตามกาล การสนทนาธรรม คือ การที่คน ต้ังแต่ ๒ คนขึ้นไป พูดกันถึงปัญหาเกี่ยวกับ ความดีความช่ัว ความควรไมค่ วร การสนทนา ท่จี ะเป็นการสนทนาธรรมน้นั เรยี กวา่ สนทนา ต้องเป็นเรอ่ื งทางธรรม มิใชเ่ รอ่ื งทางโลก เชน่ เร่ืองดีชั่ว บุญบาป ท�าอย่างไรจึงเป็นคนดี ในวันสำาคัญทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชน จะพรอ้ มใจรว่ มกนั ทาำ บุญตกั บาตรแด่พระสงฆ์ เป็นต้น 113 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บรู ณาการอาเซียน ขอ ใดแสดงความสัมพนั ธข องวันสําคัญทางพระพุทธศาสนากบั หลักธรรม ครสู ามารถจัดกจิ กรรมการเรียนรูบ ูรณาการอาเซยี นโดยสนทนารวมกนั กับ ไดอยางถูกตอง นกั เรียนถงึ การนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาของประเทศสมาชิกอาเซียน ในดา นการ เผยแผของพระพุทธศาสนา พัฒนาการหรือการเปลีย่ นแปลง นิกายตา งๆ เชน 1. วนั มาฆบูชา - อริยสจั 4 การนบั ถือพระพทุ ธศาสนา นกิ ายมหายาน ผสมผสานกบั ลัทธเิ ตา และขงจื๊อ 2. วนั อฏั ฐมบี ูชา - ไตรลกั ษณ ในประเทศเวียดนามและสิงคโปร และทส่ี าํ คญั ไดแก พธิ ีกรรมในวันสําคัญทาง 3. วนั วสิ าขบชู า - พรหมวหิ าร 4 พระพทุ ธศาสนา โดยวิเคราะหแ ละเปรียบเทียบกับพธิ ีกรรมในวันสําคัญทาง 4. วันอาสาฬหบูชา - อรยิ มรรคมีองคแ ปด พระพทุ ธศาสนาของไทย แลวใหน ักเรียนรวมกลุมกันสบื คน ขอ มูลจากแหลงการ เรยี นรทู ีค่ รเู สนอแนะ กลมุ ละ 1 ประเทศ จากนัน้ จดั ทาํ เปน รายงานหรอื สมดุ ภาพ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. วันอฏั ฐมบี ูชา - ไตรลักษณ เปน หลัก นําเสนอตอ ชัน้ เรียนตามความเหมาะสม เพอื่ ใหน กั เรียนเกดิ ความรคู วามเขา ใจใน ลกั ษณะทางสงั คมวัฒนธรรมทคี่ ลา ยคลงึ กนั ของประเทศสมาชิกอาเซียนตามกรอบ ธรรมท่ีสอดคลอ งสัมพนั ธก ับวันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาท่ีถูกตอ ง ความรวมมือประชาคมอาเซียน ในสว นของสงั คมและวฒั นธรรม เนื่องจากวนั อฏั ฐมีบูชาเปน วนั คลายวันถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระ ของพระพุทธเจาภายหลังการเสดจ็ ดับขนั ธป รินิพพาน หลกั ธรรมที่ คมู่ อื ครู 113 พุทธศาสนกิ ชนควรพงึ ระลึกถงึ เปนเบอื้ งตน ไดแก ความไมประมาท ความไมจรี ังย่ังยืนของชีวติ ตลอดจนสรรพสงิ่ ท้ังปวง อันเปนสวนหน่ึงของ หลักไตรลกั ษณทีป่ ระกอบดว ย อนจิ จัง ทกุ ขัง และอนัตตา

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหนกั เรียนชวยกนั วเิ คราะหถ ึงหลักการ การสนทนาธรรมจะไดผ้ ลดตี ามท่ตี ้องการพงึ ปฏบิ ตั ิ ดังนี้ สนทนาธรรมใหบ งั เกิดผลดี แลวสมุ นกั เรยี นใน แตล ะกลมุ 3 คน ใหแบงหนาท่กี นั อธบิ ายความ ๑.๑) มุ่งแสวงหาธรรมจริงๆ คือ มิใช่มาสนทนากันเพ่ือตีฝีปาก มาอวดภูมิรู้ รูเก่ียวกบั หลักการสนทนาธรรมใหไดผลดที ห่ี นา ชนั้ เรียน ซึง่ ประกอบดว ย ตัวเองและลองภูมิผู้อ่ืน แต่มาเพ่ือแสวงหาค�าตอบในส่ิงท่ียังเป็นปัญหา โดยการแลกเปลี่ยน • การไมด ูหมน่ิ ทง้ั ตนเองและผอู ืน่ • การมุงแสวงหาธรรมและยึดหลกั เหตผุ ล ความรคู้ วามคิดกับผอู้ น่ื • การมีมารยาทในการสนทนา ๑.๒) รักษามารยาทในการสนทนา คือ พูดจาด้วยน�้าเสียงที่สุภาพ ไม่พูดขัด 2. ครใู หต วั แทนนกั เรยี นทมี่ ปี ระสบการณในศาสน- พธิ ีวันธรรมสวนะเลาประสบการณของตน แลว เม่ือคู่สนทนายังพูดไม่จบ ไม่พูดก้าวร้าวเชิงดูหมิ่น ไม่พูดเสียดสี แต่พูดกันด้วยเหตุผลและ สอบถามนกั เรยี นในชัน้ เรียนถงึ ความสอดคลอง กบั แนวทางการปฏบิ ัติตนทต่ี นไดศ ึกษามา จาก ความถูกผิด น้ันใหนกั เรยี นในแตละกลมุ ผลัดกันอธิบาย ความรูเกย่ี วกบั แนวทางการปฏิบตั ติ นในวนั ๑.๓) ไม่ดหู มิ่นคูส่ นทนา คนทสี่ นทนากนั นนั้ ตา่ งฝา่ ยต่างกค็ ิดมาก่อนวา่ จะตอ้ ง ธรรมสวนะจนครบถว น แลวครแู ละนักเรียน ชวยกนั สรุปความรเู กีย่ วกบั หลกั ธรรม คติธรรม ได้ความเห็นบางอย่างจากอีกฝ่ายหนึ่ง ฉะนั้นควรตั้งใจฟังขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งพูดและเคารพ ท่ีเกี่ยวเน่อื งในวนั ธรรมสวนะ และแนวทาง การปฏิบัติตนในวันธรรมสวนะ นักเรยี นบันทึก ในความคิดเห็นของเขา คือ รับฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่ฟังแล้วก็แล้วไป ไม่สนใจท่ีจะ ความรูท่สี รุปลงในสมุด พิจารณาเหตุผลของเขา อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ ดูหมิ่นค่สู นทนา ตวั เองก็ไมไ่ ดอ้ ะไร ๑.๔) ไม่ดูหมิ่นตนเอง การดูหมิ่นผู้อื่น คือ การมีใจล�าเอียงว่าเขาจะต้องผิด เสมอ ส่วนการดูหมิ่นตัวเอง คือ การมีใจล�าเอียงว่าเขาจะต้องถูกเสมอและเราจะต้องผิดเสมอ คนดูหมิ่นผู้อ่ืนกับคนดูหม่ินตัวเองน้ันเสียประโยชน์ด้วยกันท้ังน้ัน การดูหมิ่นตัวเองท�าให้เรา ไม่กล้าคิดที่จะเห็นต่างไปจากเขา รู้สึกท่ีจะคล้อยตามกับเขาไปทุกเรื่อง ทั้งๆ ท่ีตัวเองมีความ สามารถ แต่ไม่กล้าคิด หรือแม้จะกล้าคิดแต่ก็ไม่กล้าพูด และเมื่อไม่พูดก็ไม่รู้ว่าคู่สนทนาจะ เหน็ ดว้ ยหรอื ขดั แยง้ กบั ความเห็นของตัวเองน้นั ท�าใหค้ วามคิดไมแ่ ตกฉาน ๑.๕) ยึดถือเหตุผลอย่ายึดถือบุคคล การท่ีเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ ความคดิ ของคูส่ นทนา ควรดทู ่ีเหตผุ ล อย่าไปดวู า่ เขาเปน็ ใคร มาจากไหน อยา่ เห็นคลอ้ ยตามคู่ สนทนาเพยี งเพราะว่าเขาเปน็ คนมชี อ่ื เสียงใครๆ ก็ยอมรบั คนมชี ือ่ เสียงกอ็ าจทา� ผิดได้เหมือนกัน อย่าเหน็ แย้งคู่สนทนาเพยี งเพราะว่าเขาเดก็ กวา่ เพราะบางกรณีเดก็ อาจมีเหตุผลดีๆ เหมอื นกนั การปฏบิ ตั ติ นในวนั ธรรมสวนะ พทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ปฏบิ ตั ิ คอื ในตอนเชา้ พระภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกา ประชุมพร้อมกันท่ีพระอุโบสถหรือศาลาการเปรียญ พระสงฆ์ ท�าวัตร สวดมนต์ เร่ิมด้วยนมัสการพระรัตนตรัย และสวดบทท�าวัตรเช้าไปจนจบ หหลรังือจศากีลน๘ั้น1 ฆราวาสก็ท�าวัตรสวดมน2ต์ (หรืออาจท�าพร้อมกับพระสงฆ์) จากนั้นก็มีการรับศีล ๕ เสร็จแล้วพระธรรมกถึกข้ึนธรรมาสน์แสดงธรรม ระหว่างฟังธรรมก็ประนมมือตั้งใจฟังด้วย ความเคารพเมื่อเทศนจ์ บ หวั หน้าอบุ าสก อุบาสกิ า น�ากลา่ วสาธกุ าร ๓ ครั้ง (สาธุ สาธุ สาธ)ุ เป็นอนั เสร็จพิธี 114 นักเรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ศลี 8 หรอื อุโบสถศลี สําหรบั ฝก ตนใหย่ิงขน้ึ ไปโดยอาจรกั ษาในบางโอกาส ครอู าจมอบหมายใหนักเรียนเขา รวมพิธกี รรมในวันสาํ คญั ทางพระพุทธ- เชน วนั สําคัญทางพระพุทธศาสนา หรือมีศรัทธาจะรกั ษาประจาํ ก็ไดดังเชน แมช ี ศาสนาในทอ งถิ่นของตนตามชว งเวลาท่ีเหมาะสม โดยปฏิบัติตามแนวทางท่ี มีรายละเอยี ดคลายคลึงกับศีล 5 แตป รบั รายละเอียดในขอ 3 คือ เวนจากประพฤติ ไดศ กึ ษามา แลวจัดทําเปนบันทึกผลการเขา รวมพธิ กี รรมสง ครผู ูสอน ผดิ พรหมจรรย เปน เวน จากรว มประเวณี และเพม่ิ ขอ 6 เวน จากบรโิ ภคอาหารใน เวลาวกิ าล คอื เท่ียงไปแลว ขอ 7 เวน จากฟอ นราํ ขับรอ ง บรรเลงดนตรี ดกู ารเลน กิจกรรมทา ทาย อันเปน ขา ศกึ ตอ พรหมจรรย การทดั ทรงดอกไม ของหอมและเคร่ืองลูบไล ซ่งึ ใช เปนเครอื่ งประดบั ตกแตง และขอ 8 เวนจากท่ีนอนอันสูงใหญ หรูหราฟุมเฟอ ย ครอู าจมอบหมายใหน ักเรียนเขา รวมพิธกี รรมในวนั สําคัญทางพระพุทธ- 2 พระธรรมกถกึ พระเถระผูเชย่ี วชาญการแสดงธรรม การสนทนาธรรม และ ศาสนาในทอ งถน่ิ ของตนตามชว งเวลาทีเ่ หมาะสม โดยปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม มคี ณุ ลกั ษณะธรรมเทศกธรรม หรือองคค ุณของธรรมกถกึ 5 ประการ คือ แสดง และแนวทางท่ีไดศ ึกษามา แลวจัดทําเปน บันทกึ ผลการปฏบิ ตั ิตนตาม ธรรมไปโดยลาํ ดบั ไมตัดลัดใหข าดความ อางเหตผุ ลใหผ ฟู งเขาใจ มจี ิตเมตตา หลกั ธรรมและการเขา รว มพิธีกรรมสงครูผสู อน ปรารถนาใหเ ปน ประโยชนแกผฟู ง ไมแสดงธรรมเพราะเหน็ แกล าภ และไมแ สดง ธรรมกระทบตนและผอู ่ืน 114 คมู่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒) วันเทศกาลส�าคัญ วนั เทศกาลสา� คญั ทเ่ี นอื่ งดว้ ยพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ วนั 1. ครสู นทนารวมกันกบั นักเรยี นถงึ ความรูทัว่ ไป เขา้ พรรษา วันออกพรรษา และวนั เทโวโรหณะ เก่ียวกบั เทศกาลสําคัญทางพระพทุ ธศาสนาที่ นักเรียนไดศึกษามา โดยเฉพาะในดานความ ๒.๑) วันเข้าพรรษา คือ วันท่ีพระสงฆ์อธิษฐานว่าจะอยู่ประจ�าในอาวาสตลอด เปนมาในพทุ ธประวัติ แลว สุมนักเรียน 2 กลุม ใหแ บงหนาทก่ี ันอธบิ ายความรูเกี่ยวกับการ ๓ เดือน โดยไม่ไปแรมคืนในที่อ่ืน วันเข้าพรรษา คือ วนั แรม ๑ คา�่ เดอื น ๘ หรอื วันถัดจาก ปฏิบัติตนของสงฆในวันเขา พรรษา และการ ปฏบิ ัตติ นของพุทธศาสนกิ ชนในวนั เขาพรรษา วนั อาสาฬหบูชา ตามประวตั กิ ลา่ ววา่ ในสมยั พทุ ธกาลพระภิกษุได้จารกิ ไปยงั ทตี่ า่ งๆ แม้ในฤดฝู น ตามลาํ ดับ โดยผา นทางกิจกรรมการเรียนรู ดังน้ี ท�าให้ไปเหยียบต้นข้าวของชาวบ้านเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบให้พระภิกษุอยู่ 2. ครใู หนกั เรียนกลุมทรี่ บั ผิดชอบการอธิบาย ประจา� ทตี่ ลอดเวลา ๓ เดือน ความรูในสว นของการปฏบิ ตั ติ นของสงฆใน วนั เขา พรรษาสง ตวั แทนออกมาอธิบายความ การปฏิบัติตนในวันเข้าพรรษา พิธีกรรมในวันเข้าพรรษา แบ่งแยกออกเป็น รทู ี่หนา ชน้ั เรยี น แลว ครอู ภิปรายรว มกนั กับ นักเรียนในช้นั เรียนถงึ ความสําคญั ของการ ๒ ส่วน ดงั นี้ เขา พรรษาในสว นของพระสงฆ ไดแ ก การได ศึกษาเลา เรียนพระธรรมคาํ สอนอยางจริงจงั ง่ายๆ คือ เมื่อถึงวันเข(้า๑พ) รพรธิษขี าองพพรระะภภิกกิ ษษุเสุพงียฆง์แเตด่ติมั้งทจีเิตดอียธวิษนฐั้นากนาวร่าเข“้าขพ้าพรรเษจ้าาจกักระอทย�าู่จก�าันพอรรยษ่าาง1 การฝกวตั รปฏบิ ตั ิของตนใหถูกตองเหมาะสม ตามพระวนิ ัย และการปรับปรุงตนเองเมือ่ มี ในอาวาสน้ี เป็นเวลา ๓ เดือน” หรือแม้จะมิได้ต้ังจิตอธิษฐาน ครั้นถึงวันเข้าพรรษาไม่จาริก พระรูปอ่ืนกลาวตักเตอื น เปน ตน ไปแรมคืนที่อ่ืน ก็ย่อมได้ช่ือว่าเข้าพรรษาหรืออยู่จ�าพรรษาแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้การเข้าพรรษา มพี ธิ ีรีตองมากขึน้ กลา่ วคอื เมอ่ื ถงึ วนั แรม ๑ ค่า� เดือน ๘ อนั เป็นวันเข้าพรรษา พระภกิ ษสุ งฆ์ จะประชุมกันในโบสถ์เพื่อท�าวัตรค่�า จากน้ันเจ้าอาวาสหรือสมภาร ซึ่งเป็นหัวหน้าของ พระภิกษุสงฆ์ในวัด ก็จะบอกกฎเกณฑ์ กติกา หรือวัตรปฏิบัติต่างๆ ท่ีพระภิกษุควรกระท�า ในระหว่างอยู่จ�าพรรษา รวมท้ังประกาศเขต อาวาสว่ามีอาณาเขตจดท่ีใดบ้าง เพ่ือป้องกัน มิให้พระภิกษุพลั้งเผลอออกไปจ�าพรรษา นอกเขตวัดทต่ี นอธิษฐานเขา้ พรรษา เสรจ็ แล้ว พระผู้น้อยจะกล่าวค�าขอขมาต่อพระผู้ใหญ่ มีใจความว่า “ขอให้ท่านจงอดโทษท้ังปวงที่ท�า ด้วยไตรทวาร (คือ กาย วาจา ใจ) เพราะ ความประมาทในท่านแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระผู้ใหญ่กล่าวตอบมีใจความว่า “อดโทษให้” เสร็จแล้วพระภิกษุทุกรูปกล่าวค�าอธิษฐาน เข้าพรรษา ดังนี้ พระภกิ ษสุ งฆท์ าำ วตั รปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั กอ่ นอธษิ ฐานเขา้ พรรษา 115 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู สิ่งท่พี ทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ปฏบิ ัตใิ นวนั เขา พรรษาคอื อะไร 1 จําพรรษา อานิสงสแ หงการจําพรรษาของพระภกิ ษมุ ี 5 ประการ คือ เทย่ี วไป 1. ถวายเทียนพรรษาและฟง ธรรม ไมตอ งบอกลา จารกิ ไปไมตอ งเอาไตรจวี รไปครบสาํ รับ ฉันคณโภชน (ฉนั เปนหมู 2. นําผาปาไปทอดทวี่ ัดใกลบาน คือ ภกิ ษตุ ้ังแต 4 รูปข้นึ ไป) และปรัมปรโภชน (โภชนะทหี ลัง คือ ภกิ ษรุ ับนิมนต 3. จดั งานบุญถวายภตั ตาหาร ในที่แหง หนงึ่ ดวยโภชนะท้งั 5 อยางใดอยางหนงึ่ แลว ไมไปฉันในทนี่ ิมนตนน้ั ไปฉัน 4. เดนิ ทางไปยงั ประเทศอินเดยี เสยี ในทอ่ี นื่ ท่เี ขานิมนตทีหลังซ่ึงพองเวลากัน) ได เก็บอดิเรกจวี รไดต ามปรารถนา และจวี รอนั เกิดขึ้นในที่น้นั เปนของไดแกพ วกเธอ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ถวายเทียนพรรษาและฟง ธรรม เปน มมุ IT สง่ิ สําคญั ทีพ่ ุทธศาสนกิ ชนพงึ ปฏิบัตใิ นวนั เขาพรรษา นอกจากน้ี พุทธศาสนิกชนทมี่ ีอายุครบบวชกค็ วรบวชเรียนพระธรรมคําสอนและ ศึกษาความรเู กี่ยวกับวันสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนาของไทย รวมถงึ จําพรรษา และการต้ังจติ อธษิ ฐานในการทําความดตี า งๆ เชน ความเปน มาและแนวปฏบิ ตั ติ นในพระราชพธิ ีและพธิ ีกรรมตา งๆ เพมิ่ เติมไดท ่ี การงดสิง่ เสพติด การงดเลนการพนัน หรอื การทําบญุ ตกั บาตร เปน ตน http://www.heritage.thaigov.net/religion/daytime/index1.htm เว็บไซตว นั สาํ คญั ในพระพทุ ธศาสนา หอมรดกไทย คู่มอื ครู 115

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูตัง้ คาํ ถามเก่ียวกับการปฏบิ ตั ิตนของ ค�าบาล ี “อิมสมฺ ึ อาวาเส อมิ � เตมาส� วสฺส� อุเปมิ” พทุ ธศาสนกิ ชนในวนั เขา พรรษา แลว ใหน กั เรยี น ค�าแปล ขา้ พเจ้าขออยจู่ �าพรรษาในอาวาสน้ีตลอดเวลา ๓ เดอื น กลมุ ท่ีรบั ผดิ ชอบการอธบิ ายความรูในสว นของ การปฏบิ ตั ติ นของพทุ ธศาสนกิ ชนชวยกนั ตอบ กลา่ วค�าอธษิ ฐาน ๓ ครัง้ เป็นอนั เสร็จสนิ้ พธิ สี งฆ์ในวนั เข้าพรรษา เพ่ือเปน การอธบิ ายความรู ตวั อยางขอ คาํ ถาม (๒) พธิ ขี องพทุ ธศาสนกิ ชน ในปจั จบุ นั นปี้ ระเพณเี ขา้ พรรษาเปน็ อกี ประเพณี เชน ท่สี �าคญั ย่ิง กล่าวคือ เมือ่ ถึงเทศกาลเขา้ พรรษา (กอ่ นวนั แรม ๑ ค่า� เดือน ๘) บดิ ามารดาหรือ • การปฏิบตั ติ นของพุทธศาสนิกชนใน ผปู้ กครองก็จะประกอบพิธีอุปสมบทให้แกบ่ ุตรหลานของตนทม่ี ีอายุครบบวช (๒๐ ปีบริบรู ณ)์ โดย วนั เขาพรรษาทแี่ ตกตา งจากวันสาํ คญั ทาง ถอื กนั วา่ ถา้ บตุ รหลานของตนไดบ้ วชเรยี นในพระพทุ ธศาสนาและอยจู่ า� พรรษาจะไดร้ บั อานสิ งสส์ งู สดุ พระพทุ ธศาสนาอื่นๆ ไดแกอ ะไรบา ง ครนั้ ถึงวนั เขา้ พรรษา พุทธศาสนกิ ชนจะทา� บุญตกั บาตร แห่เทียนพรรษา (แนวตอบ การนําบุตรหลานบรรพชาอปุ สมบท ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามไปยังวัดท่ีตนนับถือศรัทธา แล้วเชิญเทียนพรรษาเข้าไปตั้ง เปนภกิ ษสุ ามเณร การถวายเทียนพรรษา ในพระอุโบสถ จากน้ันก็มีการถวายผ้าอาบน�้าฝน จตุปัจจัยแก่พระภิกษุสามเณรและสดับตรับฟัง ผาอาบนาํ้ ฝน รวมถึงการปวารณาตนเปน พระธรรมเทศนา นอกจากนี้ พุทธศาสนิกชนบางท่านก็ปวารณาตัวต่อพระสงฆ์รับเป็นโยม โยมอปุ ฏ ฐาก ตลอดจนการอธษิ ฐานทาํ ความดี อุปัฏฐากจัดหาสิ่งของท่ีขาดเหลือถวายให้แก่ท่านเป็นการเฉพาะองค์ หรือรับเป็นโยมสงฆ์จัดหา ตางๆ เชน การงดสง่ิ เสพติด การหม่นั ส่ิงของถวายแด่พระภิกษุสามเณรทั่วท้ังวัด หรือบางท่านก็อธิษฐานกระท�าความดีต่างๆ เช่น ทาํ บญุ ทุกวนั หรอื การงดเวน การเบียดเบียน ท�าบุญตักบาตรทุกวัน งดเสพสุรา งดเล่นการพนัน หรือรับประทานแต่อาหารมังสวิรัติตลอด สตั วด ว ยการรบั ประทานมังสวิรตั ิ เปนตน ) ชว่ ง ๓ เดือนแหง่ การเข้าพรรษา เปน็ ต้น ๒.๒) วันออกพรรษา ตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๑๑ ถือเป็นวันสิ้นสดุ ระยะ 2. ครใู หน ักเรยี นกลมุ ที่สมัครใจ 2 กลุม แบง การจ�าพรรษา ๓ เดือน ในวันน้ีพระสงฆ์จะเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ หนาทีก่ นั อธิบายความรใู นสวนของวันออก ทีเ่ รียกว่า วันปวารณา หรอื มหาปวารณา พรรษาและวันเทโวโรหณะ ในสว นการปฏบิ ัติ ๒.๓) วันเทโวโรหณะ คือ วันคล้ายวันท่ีพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก ตนของพระสงฆ กลุมละ 1 วัน โดยการเขียน ในวนั ออกพรรษาหรอื วนั มหาปวารณา (ขนึ้ ๑๕ คา�่ เดอื น ๑๑) พทุ ธศาสนกิ ชนถอื เอาวนั รงุ่ ขน้ึ คอื รายละเอยี ดลงในตารางบนกระดานหนาชน้ั แรม ๑ คา�่ เดอื น ๑๑ เปน็ โอกาสพเิ ศษ พรอ้ มใจกนั ตกั บาตรเฉลมิ ฉลองเปน็ ประเพณสี บื มา เรยี กวา่ เรียน พรอ มท้งั อธบิ ายรายละเอยี ดประกอบ “ตกั บาตรเทโวโรหณะ” จากน้นั ครใู หน กั เรยี นในชนั้ เรยี นสอบถามหรือ เทศกาลท้ังสามน้ีส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ จึงขอยกหลักธรรม เพ่มิ เตมิ ขอ มูลความรเู พ่ือความถูกตอ งชดั เจน ทพ่ี ระสงฆพ์ ึงปฏบิ ตั ิ เรยี กว่า “อรยิ วงศ์ ๔” ไดแ้ ก่ ยิ่งข้ึน ๑. สันโดษดว้ ยจวี ร คอื พอใจดว้ ยจีวรทีม่ ีอยู่ ๒. สนั โดษดว้ ยบิณฑบาต คอื พอใจในอาหารทชี่ าวบา้ นถวาย ๓. เสนาสนะสนั โดษ คอื พอใจในทีพ่ ักอาศัย ๔. ภาวนาปหานารามตา คือ ยนิ ดใี นการท�าบุญและละอกศุ ล 116 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT พธิ ีกรรมในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาใดมีแนวคดิ ความเปน มา ครูควรอธิบายใหน ักเรยี นเขา ใจถึงความสาํ คญั ของวันเขา พรรษาในระดบั การ เชน เดยี วกับการตกั บาตรเทโว ปฏบิ ัติตนของพุทธศาสนกิ ชน กลา วคือ ชวงเวลาเขาพรรษาเปนโอกาสในการปฏิบัติ 1. การแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ ตนใหถ ูกตอ งเหมาะสมตามหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนา กระทัง่ ความดี 2. การชกั พระหรอื ลากพระ งามตามหลกั ศีลธรรมจริยธรรมทวั่ ไป เชน การตงั้ ใจเลิกด่ืมสุราหรือเสพส่ิงเสพติด 3. การถวายผาอาบน้ําฝน อ่นื ๆ การรักษาเบญจศลี หรอื ศีลอโุ บสถ และการปฏิบัตติ นเปนพุทธศาสนิกชนที่ 4. การประดษิ ฐบงั้ ไฟ ดโี ดยการอุปถัมภพระสงฆแ ละวดั ดว ยวธิ กี ารตาง ๆ แลวใหนักเรยี นวิเคราะหก าร วเิ คราะหค ําตอบ การตกั บาตรเทโวเน่ืองในวนั เทโวโรหณะเกดิ ขนึ้ จาก ปฏบิ ัตติ นเน่อื งในโอกาสเขา พรรษาของตนแลววางแผนและนําไปประพฤตปิ ฏิบตั ิ พทุ ธประวัตติ อนพระพุทธเจาเสดจ็ ลงจากเทวโลก จงึ เปน แนวคดิ เดียวกนั เพือ่ ปรบั ปรงุ หรอื พฒั นาชีวติ ตนเอง จากน้ันบันทึกการวางแผนการปฏิบัติ การนาํ ไป กับความเปน มาของการถวายผา อาบนํา้ ฝนจากการขอถวายผา อาบนาํ้ ฝน ปฏบิ ตั ิ และผลของการปฏิบตั ิสงครผู สู อน ใหแ กพ ระสาวกของนางวสิ าขามหาอุบาสิกาในพทุ ธประวัติ ดังน้ัน คําตอบคือ ขอ 3. 116 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ Explain เรอ่ื งน่ารู้ ครูสมุ นักเรยี น 1 กลมุ ใหชว ยกันอธบิ ายความ รเู กีย่ วกับแนวทางการปฏบิ ตั ติ นในวนั เทโวโรหณะ ขาวตม ลูกโยน ที่หนา ช้ันเรยี น จากน้ันครนู าํ ในการสรปุ ความรู เก่ียวกบั เทศกาลทางพระพุทธศาสนาของนักเรียน ข้าวต้มลูกโยน เป็นขนมไทยท่นี ิยมใชใ้ นพิธีตกั บาตรเทโวโรหณะ ทาำ โดยนำาขา้ วเหนียวไปผดั กับกะทิ ใสเ่ กลือ นกั เรียนบนั ทกึ ความรูลงในสมุด นำา้ ตาล ห่อด้วยใบมะพร้าวออ่ น หรือใบเตยไวห้ างยาว แลว้ จึงนำาไปต้มให้สุก การปฏิบัติตนในวันออกพรรษาและวันเทโวโรหณะ โดยปกติในวันออกพรรษาน้ี ขยายความเขา้ ใจ Expand พุทธศาสนิกชนจะไปร่วมท�าบุญตักบาตรกันท่ีวัด ซ่ึงบางวัดก็จัดท�าพิธีอย่างใหญ่โตมาก เรียกว่า ครูใหนักเรียนแตละกลุม ศึกษาคนควา เพิม่ เตมิ เกย่ี วกบั หลักธรรม คติธรรมที่เกีย่ วเน่ืองในวัน “ตกั บาตรเทโว” หคลา� วงั า่จาก“เททพ่ีโวร”ะพยทุ อ่ ธมอางจคาเ์กสด“จ็ เไทปโจวาโ� รพหรณรษะ”าโปแรปดลพวรา่ ะพกทาุ รธเมสดารจ็ ดลา1งใมนาสจวารกรเคทช์วนั้โลดกาวตดางึ มส์ และเทศกาลสําคญั ทางพระพุทธศาสนาจากแหลง ตา� นานกลา่ ววา่ การเรยี นรตู างๆ รวมถงึ การเขารว มพธิ ีกรรมในวนั สาํ คัญทางพระพุทธศาสนาที่จัดขนึ้ ในทองถนิ่ แลว พระพทุ ธองคก์ เ็ สดจ็ กลบั ลงมาสมู่ นษุ ยโลกในวนั นี้ คอื วนั มหาปวารณา (ขน้ึ ๑๕ คา่� เดอื น ๑๑) ชว ยกันวเิ คราะหหลกั ธรรมหรอื คติธรรมทีเ่ กย่ี ว เน่ืองในวันสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนาเสนอตอ ครูผู พทุ ธศาสนกิ ชนจงึ ถอื เปน็ โอกาสพเิ ศษพรอ้ มใจกันตกั บาตรเฉลมิ ฉลอง โดยจดั ทา� สอน จากน้นั นาํ ไปปรับใชใ นการดําเนินชวี ิตประจาํ วนั เปน รายบคุ คลตามระยะเวลาที่เหมาะสมแลว ขน้ึ ปีละ ๑ คร้งั เท่าน้นั จัดทาํ บนั ทึกการปฏบิ ตั ิตนตอ ไป การตักบาตรเทโวนี้อาจจะจัด ให้มีในวันข้ึน ๑๕ ค�่า เดือน ๑๑ หรือแรม ๑ ค่�า เดือน ๑๑ ก็ได้ และบางวัดก็จัดท�าพิธี ตักบาตรเทโวอย่างมโหฬาร กล่าวคือ เหล่า ตรวจสอบผล Evaluate ฆราวาสจะชะลอพระพุทธรูป ซ่ึงประดิษฐาน อยู่ในบษุ บก มลี อ้ เลอ่ื น และมบี าตรตงั้ อย่หู น้า ครูตรวจผลการวเิ คราะหหลักธรรมหรือ คตธิ รรมทเี่ กย่ี วเน่อื งในวันสาํ คญั ทางพระพทุ ธ- พระพุทธรูป น�าหน้าพระสงฆ์ผ่านไปรอบๆ ศาสนาของนักเรยี นแตล ะกลมุ และบันทึกการ ปฏิบัติตนตามหลกั ธรรมหรอื คตธิ รรมท่ีเก่ียวเน่อื ง บริเวณโบสถ์ หรือบริเวณท่ีก�าหนดไว้ เพื่อให้ ในวันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนาของนกั เรียนราย บคุ คล โดยพิจารณาถึงความถูกตอ งของหลักธรรม ทายก ทายกิ า ซง่ึ ยนื เรยี งรายกนั อยเู่ ปน็ ทวิ แถว หรอื คตธิ รรมทีว่ ิเคราะหแ ละปฏิบัติ การปฏบิ ัติ ตนและผลของการปฏบิ ัติตนตามหลกั ธรรมหรอื ได้ตักบาตร อาหารที่พุทธศาสนิกชนจัดมา คติธรรมดังกลาว แลว ใหน ักเรยี นเจา ของผลงานท่ี ดนี ําเสนอตอช้นั เรียน จากน้นั รวบรวมไวเ ปน แหลง ตกั บาตรเป็นพิเศษ นอกเหนอื จากขา้ ว กับขา้ ว การเรยี นรใู นชนั้ เรียน ของหวาน และผลไม้แล้ว ก็มีข้าวต้มลูกโยน หลังจากท�าบุญเสร็จแล้ว พุทธศาสนิกชนก็จะ พิธีตักบาตรเทโวโรหณะ ณ วัดสังกัสรัตนคีรี บริเวณ เขาสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจัดขึ้นอย่างย่ิงใหญ่ เขา้ ไปในโบสถ์ เพอื่ ฟงั พระธรรมเทศนา รักษา ศลี ๕ หรอื ศลี ๘ หรอื บา� เพญ็ สาธารณประโยชน์ เปน็ ประจำาทุกป ตามแต่อธั ยาศัย 11๗ ขอสอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอ สอบป ’52 ออกเกยี่ วกบั วนั เทโวโรหณะ 1 โปรดพระพทุ ธมารดา เกดิ จากพระดํารขิ องพระพุทธองคว า พระพุทธเจา ปาง วันเทโวโรหณะคือวันใด กอ นเม่อื กระทํายมกปาฏหิ ารยิ แลวเสด็จไปจาํ พรรษาทีใ่ ด แลวก็ทรงทราบดวย 1. วนั พระเจา เปด โลก พระอตีตังสนาญาณวา พระพทุ ธเจาทัง้ หลายเมอื่ ไดทรงทํายมกปาฏหิ ารยิ แ ลว 2. วันแรม 1 ค่ํา เดอื น 11 ยอ มเสดจ็ ขนึ้ ไปจาํ พรรษา ณ ดาวดงึ สส รุ าลยั เทวโลก แสดงธรรมโปรดพระพทุ ธมารดา 3. วนั หลังวนั ออกพรรษา 1 วนั สนองพระคณุ ดว ยกตญั กู ตเวทติ าธรรมอนั บรบิ รู ณอ ยใู นพระหฤทยั พระผมู พี ระภาค- 4. วันที่พระพุทธเจา เสดจ็ ลงจากดาวดึงส เจา กเ็ สด็จลกุ จากรตั นบัลลังกอ ันตั้งอยูเหนือยอดคัณฑามพพฤกษ เสด็จขนึ้ ไป วเิ คราะหคาํ ตอบ วันเทโวโรหณะ คือ วนั คลา ยวันที่พระพทุ ธเจาเสด็จ ประทับนงั่ บนปณ ฑกุ มั พลศิลาอาสนภ ายใตร ม ไมป าริชาติ ณ ดาวดงึ สส วรรค ลงมาจากสวรรคชน้ั ดาวดงึ ส หลงั จากเสดจ็ ไปโปรดพุทธมารดาในชว งเขา เทวโลก แลวทรงประกาศซึง่ พระคุณของพระมารดาอนั ยิง่ ใหญไพศาลสดุ จะคณนา พรรษา ตรงกบั วันขน้ึ 15 คํ่า เดือน 11 หรือวนั แรม 1 คาํ่ เดือน 11 ตาม ใหปรากฏในเทวสมาคม จากนั้นกท็ รงแสดงอภธิ รรม 7 พระคมั ภรี  โปรด พทุ ธประวัตบิ รรยายเหตกุ ารณข ณะเสดจ็ ลงจากเทวโลกไววา พระพทุ ธเจา พระพุทธมารดาตลอดไตรมาสใหเทพดาในโลกธาตุทปี่ ระชมุ ฟง ธรรมอยใู นท่นี ั้น ทรงเปดโลกทัง้ สาม ไดแ ก โลกมนุษย สวรรค และนรก เพ่ือใหมนษุ ยและ ไดบรรลุมรรคผลสดุ ทจ่ี ะประมาณ ในอวสานกาล พระพทุ ธมารดาไดบ รรลุ เทวดาทงั้ ปวงท่มี าเฝา รับเสดจ็ พระองค ไดเขาใจถงึ ผลของกรรมดีและช่ัว พระโสดาปต ตผิ ล สมพระประสงคข องพระผมู พี ระภาคเจา ทไ่ี ดท รงตง้ั พระทยั เสดจ็ ขนึ้ บาป-บญุ และการเวยี นวา ยตายเกิด นอกจากนี้เทวดายงั มาโปรยดอกไม มาสนองคุณพระพุทธมารดา เพื่อเปนสกั การะบชู า การเฝารับเสดจ็ พระพทุ ธเจาในพุทธประวัตขิ า งตน คู่มือครู 117 นํามาซึ่งพิธีตักบาตรเทโวโรหณะในปจ จบุ ัน ดังนน้ั คําตอบคือ ขอ.1-4.

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูสนทนารว มกันกับนักเรยี นเก่ยี วกับ ประสบการณการมสี ว นรว มในการประกอบศาสน- พธิ ที างพระพุทธศาสนา แลว ใหน กั เรียนชวยกนั ๒. ศาสนพธิ ี วเิ คราะหถ งึ ประเภทของศาสนพธิ ที างพระพทุ ธศาสนา ซึง่ ประกอบดวย ศาสนพธิ เี นื่องดวยพทุ ธบญั ญัติ ศาสนพธิ ีในพระพทุ ธศาสนาอาจแบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ดงั นี้ และศาสนพิธที ี่นาํ พระพทุ ธศาสนาเขาไปเกย่ี วของ ๒.๑ ศาสนพธิ เี นอ่ื งดว้ ยพทุ ธบญั ญตั ิ (และโดยอนโุ ลมพทุ ธบญั ญตั )ิ ๒.๒ ศาสนพธิ ที นี่ า� พระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ ง จากน้ันครอู ธบิ ายถงึ ความสาํ คัญของการมีความรู ๒.๑ ศาสนพิธีเน่อื งด้วยพุทธบญั ญัติ ความเขาใจเกี่ยวกับศาสนพิธีตางๆ เพ่ือการธาํ รง รักษาพระพทุ ธศาสนาและการมีสวนรวมไดอยาง ศาสนพิธีเนื่องด้วยพุทธบัญญัติ คือ พิธีที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น เพื่อสร้างความเปน็ ถูกตองเหมาะสม ระเบยี บเรยี บร๑อ้ )ยใพหเ้ิธกีแดิ สขน้ึดแงกตค่ นณเะปสน็ งฆพ์ ุทศาธสมนาพมธิ กเี นะ1อ่ื งมดีขว้ ้ันยตพอทุ นธดบงัญั นญ้ี ตั ทิ พ่ี งึ ศกึ ษามดี งั นี้ สา� รวจคน้ หา (๑) ให้ผู้จะแสดงตนเป็นพุทธมามกะนุ่งขาว ห่มขาว หรือแต่งเคร่ืองแบบของ Explore ตนเข้าไปยังบริเวณพิธี เมื่อพระสงฆ์เข้ามานั่งประจ�าท่ีแล้ว ให้เข้าไปคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชา ครจู ับคูใ หนักเรยี นตามตําแหนงท่นี ง่ั ในชั้นเรยี น จดุ ธปู เทียนและวางดอกไม้บูชาพระ กล่าววาจาบชู าพระรัตนตรัยว่า เพื่อใหชวยกันศกึ ษาความรเู ก่ียวกบั ศาสนพิธี ท้งั ในสว นของศาสนพิธเี น่อื งดว ยพทุ ธบัญญตั ิ และ อมิ นิ า สกกฺ าเรน พทุ ธฺ � ปเู ชม ิ ขา้ พเจา้ ขอบชู าพระพทุ ธเจา้ ดว้ ยเครอ่ื งสกั การะน ้ี (กราบ) ศาสนพธิ ีที่นาํ พระพุทธศาสนาเขาไปเกย่ี วขอ ง จาก อิมนิ า สกฺกาเรน ธมฺม� ปเู ชมิ ขา้ พเจ้าขอบูชาพระธรรมดว้ ยเครอื่ งสกั การะน้ ี (กราบ) แหลง การเรยี นรตู างๆ ไดแ ก หนงั สอื เรยี น หนา อิมนิ า สกฺกาเรน สงฆฺ � ปูเชม ิ ขา้ พเจา้ ขอบูชาพระสงฆด์ ว้ ยเครอื่ งสักการะน้ี (กราบ) 118-129 ใบความรทู ค่ี รจู ดั ทําขน้ึ จากการรวบรวม (๒) ถวายพานเครื่องสักการะแด่พระสงฆ์ แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ขอ มูลจากหนวยงานหรือองคก รทเ่ี กยี่ วของ รวมถงึ ๓ คร้ัง (ถา้ เปน็ การแสดงหมู่ หัวหนา้ เปน็ ผู้ถวายเครือ่ งสกั การะแทน) ผชู าํ นาญในการประกอบศาสนพธิ ีในทองถน่ิ จาก นัน้ อธิบายความรูแ กคขู องตนจนเกิดความรูค วาม (๓) เม่อื เสร็จแล้ว กลา่ วค�าปฏิญาณตนตอ่ หนา้ พระสงฆ์ ดงั นี้ เขาใจทีต่ รงกัน นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สฺส (๓ หน) ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผูม้ ีพระภาคอรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจ้าพระองค์น้นั (๓ หน) อธบิ ายความรู้ Explain เอสาห� ภนฺเต สจุ ริ ปรินิพฺพตุ มปฺ ิ ต� ภควนตฺ � สรณ � คจฉฺ ามิ ธมมฺ ญฺจ สงฺฆญจฺ พทุ ฺธมามโกต ิ ม� สงโฺ ฆ ธาเรตุ ครูสนทนารว มกนั กบั นกั เรยี นถึงความหมาย ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นั้น แม้ปรินิพพานไปนานแล้ว ของศาสนพิธเี นอ่ื งดวยพุทธบญั ญตั ิทีน่ ักเรยี นได ทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะท่ีพ่ึงท่ีระลึก ขอพระสงฆ์จงจ�าข้าพเจ้าว่าเป็น ศึกษามา แลวสมุ นักเรียน 1 คู เพือ่ ต้ังคาํ ถามพิธี แสดงตนเปน พุทธมามกะใหน ักเรียนคอู ่ืนตอบ เชน พทุ ธมามกะเถิด (ถ้าว่าพรอ้ มกันหลายคน คา� เอสาห� ชายใหว้ ่า เอเต มย � หญงิ ใหว้ า่ เอตา มย� • แนวคิดสาํ คัญท่ีปรากฏในพิธีแสดงตนเปน ค�า คจฺฉามิ ใหว้ า่ คจฉฺ าม ค�า พทุ ฺธมามโกติ ให้ว่า พทุ ฺธมามกาต ิ ค�า ม � ให้ว่า โน) พทุ ธมามกะคืออะไร (แนวตอบ การปฏญิ าณสว นทกี่ ลา ววา ขา แตพ ระ- สงฆผ เู จรญิ ขา พเจา ถงึ พระผมู พี ระภาคเจา 118 พระองคน นั้ แมป รนิ พิ พานไปนานแลว ทง้ั พระ- ธรรม และพระสงฆ เปน สรณะทพี่ ง่ึ ทรี่ ะลกึ ) บูรณาการเชอ่ื มสาระ นกั เรยี นควรรู ครูสามารถจดั กจิ กรรมการเรียนรบู รู ณาการวิชาหนาท่พี ลเมือง 1 พิธแี สดงตนเปน พุทธมามกะ มีความเปนมา กลาวคอื เมอ่ื ความนยิ มในการ วฒั นธรรม และการดําเนนิ ชวี ิตในสงั คม เร่อื งแนวทางการปฏบิ ัตติ นเปน บวชสามเณรลดลง พรอมกับการสง เด็กไปเรียนตา งประเทศมากข้ึน พระบาท- พลเมืองดีเพอ่ื ความสงบสุขของสังคม สิทธมิ นษุ ยชน รวมถงึ วชิ าศาสนา สมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยหู ัว (รัชกาลท่ี 5) ทรงพระราชปรวิ ติ กวา เดก็ ๆ จกั ศีลธรรม จรยิ ธรรม ในสวนของศาสนาอน่ื ๆ เรื่องพิธกี รรมท่เี ก่ียวขอ งกับ ไมม ีความรสู ึกทดี่ ีตอพระพทุ ธศาสนาจึงโปรดใหพระโอรสของพระองคทรงปฏิญาณ การปฏญิ าณตนเปน ศาสนิกชน โดยอธบิ ายใหนักเรียนเขา ใจถงึ พิธกี รรม พระองคเปน ผนู ับถือพระพทุ ธศาสนากอ น และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจา- การปฏิญาณตนเปนศาสนกิ ชนของศาสนาตางๆ ท่ีมแี นวคิดคลา ยคลึงกนั อยูหวั (รชั กาลที่ 6) ไดเปนพระองคแ รกทีป่ ฏิญาณพระองคต ามธรรมเนียมท่ีทรงตงั้ แลวมอบหมายใหนักเรียนชวยกนั ศกึ ษาคน ควา รายละเอยี ดของ ขน้ึ ใหมน น้ั และใชเ ปน ราชประเพณตี อ มาอกี หลายพระองค เชน พระเจา วรวงศเ ธอ พิธีกรรมการปฏิญาณตนเปน ศาสนกิ ชนของศาสนาอ่นื ๆ เชน ศาสนาครสิ ต พระองคเจาจมุ พฎพงศบริพัตร พระโอรสสมเดจ็ พระเจา นอ งยาเธอ เจาฟา กรม- ศาสนาอสิ ลาม และศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู แลว นาํ เสนอตอ ชนั้ เรยี น หลวงนครสวรรคว รพินิตกับหมอ มเจา องคอ ่ืนๆ กอ นจะไปศกึ ษาในยุโรปกไ็ ดแสดง เพ่อื อภิปรายรว มกันถึงแนวคดิ ลักษณะของพิธีกรรม ประโยชนและ พระองคเปน พุทธมามกะกอน โดยเหตุนี้จงึ เกิดเปน ประเพณีนยิ มแสดงตนเปน ความสาํ คัญ ตลอดจนวิเคราะหแ ละเปรยี บเทียบกบั พธิ กี ารแสดงตนเปน พุทธมามกะข้นึ สืบตอกันมาจนถึงปจจุบนั พุทธมามกะ ท้ังนี้เพ่อื ใหน ักเรยี นเขาใจถึงลกั ษณะการนบั ถอื ศาสนาสาํ คญั อืน่ ในประเทศไทย อันนําไปสกู ารอยรู ว มกันกบั ศาสนิกชนในศาสนาอ่ืนใน สังคมไดอยา งสันตสิ ขุ 118 คู่มือครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ (๔) จากน้ันพระสงฆ์ให้โอวาท เสร็จจากรับโอวาทแล้วให้กล่าวค�าอาราธนา 1. ครูสมุ นักเรียน 1 คู ใหออกมาผลดั กันอธิบาย ความรเู ก่ียวกบั พธิ ีเวียนเทียนคนละขั้นตอนที่ ศลี ๕ และรับศีล ๕ จากพระสงฆ์ หนา ช้นั เรียน แลว ครูเสนอแนะหรือปรับปรงุ เพือ่ ใหเ กดิ ความรูท่ถี กู ตองชดั เจน จากน้ันครู (๕) พระสงฆ์สวดอนุโมทนา ผู้แสดงตนเป็นพุทธมามกะพึงกรวดน้�า อุทิศส่วน สอบถามนักเรยี นในชั้นเรียนถึงประสบการณ การเขา รว มพธิ ีเวียนเทียนกบั ความถกู ตอ ง กศุ ลไปยงั สรรพสัตว์ทงั้ ปวง เสรจ็ แล้วกราบด้วยเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ ครัง้ เป็นอนั เสรจ็ พิธี เหมาะสมตามทีน่ ักเรียนไดศ กึ ษามา ดังน้ี • นักเรียนเขารว มพิธเี วยี นเทียนในวันสําคญั ๒) พิธีเวียนเทียน พิธีเวียนเทียนจะกระท�ากันในวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนา ทางพระพทุ ธศาสนาไดอ ยางถูกตองเหมาะ มรี ะเบยี บพิธี ดงั น้ี สมหรอื ไม อยางไร • แนวทางการแนะนําบุคคลในครอบครัวหรอื (๑) เมื่อได้เวลา ทางวัดจะตีระฆังสัญญาณให้พุทธบริษัท ทั้งภิกษุสงฆ์และ เพอ่ื นในการปฏบิ ตั ติ นในพิธีเวยี นเทียนเนือ่ ง ในวนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาใหถกู ตอง อุบาสกอุบาสิกาประชุมท่ีหน้าพระอุโบสถหรือลานพระเจดีย์ ทุกคนต่างถือดอกไม้ธูปเทียน เมื่อ เหมาะสม พร้อมกันแล้วพระภิกษุผู้เป็นประธานในพิธีน�าจุดธูปเทียนบูชา และน�ากล่าวค�าบูชาพระรัตนตรัย 2. ครูและนกั เรียนอภิปรายรวมกันถึงแนวทาง การปรบั ปรงุ หรอื พัฒนาการปฏิบตั ติ นที่ถกู (ตามแบบท่กี า� หนดไวส้ �าหรับวนั นั้นๆ) ท้งั หมดว่าตามผูเ้ ปน็ ประธานพิธีจนจบ ตอ งเหมาะสมในการเขา รวมพิธเี วยี นเทียนใน อนาคต นักเรยี นสรปุ ผลการอภปิ รายแนวทาง (๒) ประธานในพิธีเดินน�าแถวด้วยการประนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียน การปฏบิ ัติตนดงั กลาวลงในสมุด ขวา (เดินเอาข้างขวาของตนหันเข้าหาปูชนียสถานหรือปูชนียวัตถุ) ทุกคนเดินตาม เว้นระยะ หา่ งกันพอสมควร (๓) เดินรอบแรก ให้ร�าลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ด้วยการสวดพระพุทธคุณบทว่า อิตปิ โ ส ภควา... ในใจ (หรอื ถา้ ไมส่ วด ก็ใหน้ กึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ โดยไม่สง่ ใจไปคิดถงึ เรือ่ งอืน่ ก็ได้) (๔) เดินรอบท่ีสอง ให้สวด ร�าลึกถึงพระธรรมคุณ บทว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม... ไปจนจบ (๕) เดินรอบสุดท้าย ให้สวด พระสังฆคุณ บทวา่ สุปฏิปนโฺ น ภควโต สาวก สงฺโฆ... ไปจนจบ (๖) เดนิ ครบ ๓ รอบแลว้ ให้ นา� ดอกไมธ้ ปู เทยี นไปปกั ไว้ ณ ทบี่ ชู าทเี่ ตรยี มไว้ จากนั้นก็เข้าไปประชุมพร้อมกันท่ีภายใน พก�ารหะนอุโดบสสถวหดทรือ�าวศัตารล1เายก็นาพรรเป้อมรียกญัน ตเาสมรแ็จตแล่จ้วะ พิธีเวียนเทียนเป็นศาสนพิธีสำาคัญ ที่นิยมปฏิบัติกันใน ฟงั พระธรรมเทศนา ๑ กณั ฑ์ เป็นอนั เสร็จพิธี วนั สาำ คัญทางพระพุทธศาสนา 119 ขอ สอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอ สอบป ’52 ออกเก่ยี วกบั กุศลพิธี 1 ทาํ วัตร เมอ่ื ทาํ วัตรเยน็ เสรจ็ แลว ภิกษรุ ูปเดียวเปน ผูบอกวตั ร อาจใชว ธิ ี ขอ ใดเปน กศุ ลพธิ ี หมนุ เวยี นกนั ไปทลี ะรปู ขอความท่ีบอกวัตรเปน ภาษาบาลี มสี าระสําคัญกลาวถงึ 1. การเวียนเทยี น ปฏบิ ตั ิบูชา คาถาโอวาทปาฏโิ มกข คณุ านิสงสแ หง ขันตธิ รรม คาํ เตอื นใหใ สใจใน 2. การถวายสังฆทาน ธรรม ในเม่ือไดมีโอกาสเกดิ มาเปน มนุษยพบพระพุทธศาสนา ความไมป ระมาท 3. การทําบุญเล้ยี งพระ เรง เพยี รพยายามในทางธรรมเพ่ือนอมไปสูพระนพิ พาน และพน จากทคุ ติ แลว 4. การสวดมนตไ หวพระ กลา วถงึ พุทธกจิ ประจาํ วนั ลําดับกาลในพระพุทธประวัติ สง่ิ แทนพระองคภายหลัง วเิ คราะหคําตอบ กศุ ลพิธี หมายถึง พิธกี รรมตางๆ อันเก่ียวดวยการ พุทธปรินพิ พาน ช่ือ วัน เดอื น ป และดาวนกั ษัตร จบลงดวยคําเชอ้ื เชิญใหต ้งั อยูใน อบรมความดงี ามทางพระพุทธ ศาสนาเฉพาะตวั บุคคล คือ เรอื่ งสรา ง พระพทุ ธโอวาท บาํ เพ็ญปฏิบตั บิ ูชา เพอื่ บรรลุสมบัตทิ ง้ั ท่ีเปน โลกิยะและโลกุตตระ ความดีแกต นทางพระพุทธศาสนา พธิ ที ีส่ าํ คญั ไดแ ก พิธแี สดงตนเปน อยา งไรกต็ ามธรรมเนยี มนี้ปจ จบุ นั ไดเลอื นลางไปแลว พทุ ธมามกะ พิธีเวียนเทยี นเน่อื งในวันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนา พิธี รกั ษาอุโบสถศีล ตลอดจนการสวดมนตไ หวพ ระ ดังนน้ั คําตอบคอื ขอ 1. และขอ 4. คู่มือครู 119

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหนักเรียนคทู ่สี มคั รใจอธิบายความรูเ กีย่ ว ๓) พิธีถวายสังฆทาน สังฆทาน แปลว่า การให้แก่สงฆ์โดยไม่เจาะจงบุคคล กับความหมายและสาระสําคัญของพธิ ถี วาย สงั ฆทาน ซึง่ ไดแก การใหแ กพระสงฆโดยไม ความส�าคัญของสังฆทานอยู่ท่ีต้องต้ังใจถวายแก่สงฆ์จริงๆ ไม่เห็นแก่หน้าบุคคล ผู้รับจะเป็น เจาะจงวาจะเปนพระรปู ใด และการเกดิ ความ พระรปู ใดก็ตาม ผูถ้ วายตอ้ งตั้งใจถวายด้วยความเคารพ ตง้ั ใจถวายแกพ่ ระสงฆ์จรงิ ๆ ถา้ ผรู้ บั เป็น เล่ือมใสศรัทธาในการถวายเครอื่ งสังฆทานนัน้ พระเถระทรงคณุ ธรรม ทายกเกิดความเล่อื มใสโสมนสั วา่ ไดถ้ วายพระผู้ทรงคุณธรรม เชน่ นีน้ ับว่า แกพระสงฆท ง้ั พระเถระผูทรงคณุ ธรรมและพระ ไม่เป็นสังฆทาน หรือถ้าผู้รับเป็นพระผู้น้อย หรือถ้าเป็นพระบวชใหม่ ทายกเกิดโทมนัสเสียใจ ผูนอ ยเพง่ิ บวชใหม ท่ีได้พระเช่นนเ้ี ป็นตวั แทนสงฆม์ ารบั สงั ฆทาน อยา่ งนกี้ ็ไมน่ ับวา่ เป็นสังฆทานอีกเช่นกัน 2. ครูสุมนักเรยี น 3 คู ใหออกมาผลัดกันอธิบาย พิธีถวายสังฆทานมีข้นั ตอนการปฏิบัติ ดงั นี้ ความรูเกยี่ วกบั ขั้นตอนของพธิ ถี วายสังฆทาน ๓.๑) เตรียมภัตตาหารใส่ภาชนะให้เรียบร้อย จะถวายก่ีรูปก็ได้แล้วแต่ศรัทธา ทห่ี นา ชนั้ เรยี นตามกจิ กรรมการเรยี นรดู งั ตอ ไปนี้ และความสามารถ วิธีนิมนต์พระมารับสังฆทาน จะต้องต้ังใจอุทิศแก่พระสงฆ์ แล้วนิมนต์ภิกษุ • นกั เรียนคแู รกอธิบายถงึ การเตรยี มพิธีถวาย รูปใดรูปหน่ึงในขณะที่พบท่านก�าลังออกบิณฑบาตอยู่ก็ได้ (แต่อย่าเลือกรูปนั้นรูปนี้ จะเสีย สงั ฆทาน ท้ังในสว นของเคร่อื งสงั ฆทาน สงั ฆทาน รูปใดก็ได้ทพ่ี บกอ่ นถอื วา่ เปน็ ตัวแทนของสงฆ)์ หรอื จะไปนมิ นต์กบั เจา้ อาวาสหรือภกิ ษุ การนมิ นตพระสงฆ การเตรียมสถานท่ี ผ้มู หี นา้ ทร่ี บั นิมนตแ์ ทนสงฆก์ ็ได้ ๓.๒) สถานที่ ถ้าเป็นภายในบ้าน ควรจัดห้องใดห้องหนึ่งให้เรียบร้อย ถ้ามี พระพทุ ธรปู ควรต้ังทีบ่ ชู าพระพทุ ธรูปด้วย เม่ือพระสงฆม์ าถึงแลว้ ใหน้ �าภตั ตาหารมาต้งั ตรงหนา้ อาราธนาศีล รับศีล แล้วกล่าวค�าถวาย ถ้าถวายรวมกันหลายคนให้มีหัวหน้ากล่าวค�าถวายเป็น วรรคๆ แล้วให้ผอู้ ่นื วา่ ตาม จะว่าเฉพาะค�าบาลีหรอื ท้งั ค�าบาลแี ละค�าแปลก็ได้ การถวายสังฆทานต้องต้งั ใจถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ 120 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บุคคลใดปฏบิ ตั ิตนในพิธีถวายสงั ฆทานไดถ กู ตอ งเหมาะสมท่ีสุด ครอู าจใหน กั เรียนทม่ี ีประสบการณเกย่ี วกบั การถวายสงั ฆทานออกมาเลา 1. แกวถวายเครือ่ งสังฆทานโดยไมเ จาะจงพระรปู ใด ประสบการณของตนที่หนาชนั้ เรยี น แลว สนทนารว มกนั กบั นักเรียนถึงประโยชนแ ละ 2. ปน จดั เตรยี มเครื่องสงั ฆทานดวยตนเองจากของมีราคาแพง ความสําคญั ของการถวายสังฆทาน จากนั้นอธิบายใหนกั เรยี นเขาใจถึงลักษณะของ 3. ปา นถวายสังฆทานแกพ ระเถระชนั้ ผใู หญด วยเช่ือวา จะไดบญุ มาก เครื่องสงั ฆทานท่ีถกู ตองเหมาะสม กลาวคอื เครื่องสงั ฆทานน้ัน คือ เครอ่ื งอปุ โภค 4. กอยถวายสังฆทานเปน ประจาํ ดวยการซอื้ เครื่องสงั ฆทานสาํ เรจ็ รปู จาก บริโภคท่เี หมาะกับชวี ติ สมณะ ไมจําเปนตองเปน ถงั เหลอื งทว่ี างขายตามหนา รา น รา นคา ตา งๆ สงั ฆภัณฑเสมอไป นักเรยี นสามารถจัดเตรยี มขา วของเคร่อื งใชท ี่ซ้ือหามาจดั เปน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. แกว ถวายเคร่อื งสงั ฆทานโดยไมเ จาะจง สังฆทานได เชน สบู ยาสฟี น แปรงสฟี น ยาสระผม และใบมดี โกน เปนของจาํ เปน พระรปู ใด เปน บุคคลท่ีปฏบิ ัตติ นในพธิ ถี วายสังฆทานไดถ ูกตองเหมาะสม มากเพ่อื ใชโ กนศีรษะ เคร่ืองด่มื สมุนไพรพรอ มชง ผาอาบนา้ํ ฝน เลือกทเ่ี นอื้ หนาๆ ท่สี ุด สว นบคุ คลในตัวเลือกขอ อ่ืนๆ ปฏบิ ัตติ นไมเหมาะสม เชน การเลอื ก หรืออาจเลือกซือ้ เปน สบง (ผา นงุ ) หรอื จะเปน อังสะก็ได เพราะพระทานมกั จะมี ถวายเฉพาะพระเถระช้นั ผใู หญ การซ้ือเครื่องสงั ฆทานสาํ เร็จรปู ตามความ ผาอาบนา้ํ ฝนอยมู ากแลว จะขาดแคลนกค็ อื สบง อังสะ ถาถวายใหสามเณรกจ็ ัด สะดวกสบาย โดยไมค าํ นึงถึงคุณภาพสิ่งของเครอ่ื งสังฆทานนนั้ เหมือนพระเชน กัน 120 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ คา� ถวายสงั ฆทานมีดังนี้ 1. ครูใหนักเรยี นคูท่ีถูกสมุ อธบิ ายความรูเกยี่ วกบั ขัน้ ตอนของพธิ ถี วายสังฆทานที่หนาชั้นเรยี น ตั้งนโม ๓ จบ ตามกจิ กรรมการเรยี นรู ดงั ตอไปน้ี ค�ำอำ่ น อมิ านิ มย� ภนฺเต ภตตฺ าน ิ สปริวารานิ ภิกขฺ สุ งฺฆสสฺ โอโณชยาม นกั เรียนคตู อ มาใหชว ยกนั สาธิตการกลา ว สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขสุ งโฺ ฆ อิมานิ ภตตฺ านิ สปริวารานิ คําถวายสังฆทานและอธบิ ายคําแปล รวม ปฏคิ คฺ ณฺหาต ุ อมหฺ าก � ทฆี รตตฺ � หติ าย สุขาย ถงึ แสดงการถวายสงั ฆทานใหถ กู ตอ งครบถว น ค�ำแปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลายขอน้อมถวายภัตตาหารพร้อมด้วยเคร่ือง นักเรยี นคสู ดุ ทายอธบิ ายถงึ การกลา วคํา บรวิ ารเหลา่ นแ้ี ดพ่ ระสงฆ ์ ขอพระสงฆจ์ งรบั ภตั ตาหารพร้อมด้วยเคร่ืองบริวารเหล่าน้ี อนโุ มทนาของพระสงฆ การกรวดนํา้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพ่ือประโยชน์ เพ่ือความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนาน การรบั พร กระทงั่ เสรจ็ พิธี เทอญ 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพอื่ ใหไ ดความรเู กย่ี วกับ ๓.๓) ขณะกล่าวค�าถวาย พระสงฆ์จะประนมมือ พอผู้ถวายกล่าวจบ ก็จะรับ พธิ ีถวายสงั ฆทานท่ถี ูกตอ งชดั เจนย่งิ ข้นึ แลว “สาธุ” เสรจ็ แลว้ ผูถ้ วายพงึ ประเคนภัตตาหารและของบริวาร (ถ้าม)ี แด่พระสงฆ์ ใหตวั แทนนกั เรยี นคทู ส่ี มคั รใจออกมาปฏิบัติ ตนในการถวายสงั ฆทานใหถ กู ตอ งเหมาะสม ๓.๔) พระสงฆ์กล่าวค�าอนุโมทนา ขณะที่พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน (ในกรณีมี ตามที่ไดศ กึ ษามา หลายรูป) เริม่ อนโุ มทนาด้วยค�าขน้ึ ต้นวา่ ยถา วาริวหา ฯลฯ ผถู้ วายพึงกรวดนา้� โดยหล่ังน้า� ลง ยังภาชนะรองรับ เมื่อพระผู้เป็นประธานกล่าวอนุโมทนาบท ยถา วาริวหา ฯลฯ จบ ให้ผู้ถวาย 3. ครูใหนกั เรยี นชวยกันอธิบายความรูเกย่ี วกบั หล่ังน�า้ ที่เหลอื ให้หมด เมือ่ พระสงฆ์ทงั้ ปวงสวดรับพรอ้ มกนั ว่า “สพฺพีติโย...” ให้ผู้ถวายประนมมือ ความเปน มาของพิธถี วายผา อาบนาํ้ ฝนที่ได รับพรไปจนจบ เป็นอันเสรจ็ พิธี ศกึ ษามา โดยการต้งั คําถามใหน ักเรยี นชว ยกนั ตอบ เชน ๔) พธิ ถี วายผา้ อาบนา้� ฝน ในสมยั พทุ ธกาล พระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษสุ งฆ์ • นางวสิ าขามหาอุบาสกิ าเกี่ยวของกบั พธิ ถี วายผา อาบน้ําฝนอยา งไร ใไซชมึ่งผ้่มร้าวีผแม้าคเอร่ ื่นีย๓ผกลผวัด่าืนนเท“ุ่งไอา่ ตนารบ้นั จจคีวึงอืรเ”1ปผลยา้ ือังนยหงุ่ กา(าไอยดนั อ้อตานรบุญวนาา้�าสตกใน)หา้ใผงช้าว้ผหิส้าา่มอขา(าอบมตุนหร�้าาาฝอสนุบงคไามส)์ ่ิกแาเ2ลมทะื่อรผเาา้วบคลเลารมุพ่ือชงรเ้นัะขภน้าิกอษกจุจึง(กะสอรังาาฆบบาทนฏูล�้า)ิ (แนวตอบ ครง้ั พทุ ธกาล นางวสิ าขามหา- ให้พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีผ้าอาบน้�าฝน เม่ือพระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ชาวบ้านจึงได้น�า อบุ าสิกาเปนผทู ลู ขอพระพทุ ธเจาในการ ผา้ อาบนา�้ ฝนไปถวายพระสงฆ์ ประเพณกี ารถวายผา้ อาบนา้� ฝนจงึ ไดเ้ รมิ่ ตงั้ แตบ่ ดั นนั้ เปน็ ตน้ มา ถวายผาอาบนํ้าฝนแกพระสาวก เนอื่ งจาก นางเห็นพระสาวกตา งพากนั เปลอื ยกายอาบ ขนาดของผ้าอาบน้�าฝน ต้องท�าให้ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ คือ ยาวประมาณ นํ้า ดูไมเหมาะสมแกก ารเปนพระสาวกของ ๔ ศอกเศษ กวา้ งประมาณศอกคืบเศษ พระพทุ ธองค ซ่ึงพระพุทธเจากท็ รงอนุญาต ในกาลตอมาชาวบา นจงึ ไดนําผา อาบน้ําฝน ก�าหนดเวลาท่ีถวายผ้าอาบน้�าฝน เร่ิมตั้งแต่วันแรม ๑ ค�่า เดือน ๗ ถึงวันขึ้น ไปถวายพระสงฆและเปนประเพณีสบื ตอ มา ๑๕ ค�า่ เดอื น ๘ รวมระยะเวลา ๑ เดือน ก่อนเข้าพรรษา ซงึ่ เปน็ เวลาเรม่ิ ฤดฝู น แตส่ ่วนมาก จนถึงปจ จุบนั ) มกั นิยมถวายในวนั ขึ้น ๑๕ ค่�า เดอื น ๘ 121 ขอ สอบ O-NET นักเรยี นควรรู ขอสอบป ’52 ออกเก่ียวกับคําถวายสังฆทาน 1 ไตรจีวร แปลวา จีวร 3 หรือผา 3 ผนื ท่พี ระวินัยอนุญาตใหภิกษมุ ีไวใ ช ขา แตพ ระสงฆผ ูเ จรญิ ขา พเจา ท้งั หลาย ขอนอมถวาย …(1)… กบั ประจาํ ตัว คอื สงั ฆาฏิ ผาคลุมกันหนาวทพ่ี ระใชท าบบนจีวร อตุ ราสงค ผา หม เรียกสามัญในภาษาไทยวา จีวร และอันตรวาสก ผานุง เรยี กสามญั วา สบง ทง้ั บรวิ ารเหลา นี้ แกพ ระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษสุ งฆจ งรบั …(2)… กบั ทง้ั 2 นางวสิ าขามหาอบุ าสิกา ไดอ ุปถัมภบ าํ รงุ พระพทุ ธศาสนาในหลายดาน เชน บริวารเหลานี้ของขาพเจาทง้ั หลาย เพ่ือประโยชนและความสขุ แกข า พเจา การขายเครอื่ งประดบั ประจาํ ตัวท่ีไดรบั จากการแตง งาน ชือ่ วา มหาลดาปสาธน ทง้ั หลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ ซึ่งมคี าสูงย่ิง นาํ เงนิ มาสรา งวดั ถวายแดพระพุทธเจาและภกิ ษสุ งฆ คือ มิคารมาตุ- ปราสาท วดั บุพพาราม ณ นครสาวตั ถี นางวิสาขาจงึ ไดร ับยกยองจากพระศาสดา ขอความขางตน เปนคําถวายสงั ฆทานประเภทสามัญ คาํ ท่ีตองเตมิ ใน วา เปนเอตทัคคะในบรรดาทายิกาท้งั ปวง ชองวางที่ (1) และ (2) คอื ขอ ใด 1. อฐั บรขิ าร 2. ภตั ตาหาร 3. มตกภัตตาหาร 4. ภัตตาหารและนา้ํ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ภัตตาหาร จึงเปนคําถวายสังฆทาน ประเภทสามญั ทถี่ ูกตองครบถวน คู่มอื ครู 121

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหน ักเรยี นคตู า งๆ รวมกันเปน กลมุ กลุม ขัน้ ตอนของการปฏิบตั ิ มีดงั น้ี ละ 4 คน เพอ่ื เตรียมการแสดงบทบาทสมมติ ๔.๑) เม่ือถึงวันก�าหนด ทายกทายิกามาประชุมพร้อมกันที่โรงอุโบสถ ศาลา เก่ยี วกบั ขั้นตอนการปฏบิ ตั ิพิธีถวายผา อาบนํา้ ฝน เมอื่ นักเรยี นแตละกลุมเตรยี มความพรอ ม การเปรียญหรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแต่เหมาะสม ฟังพระธรรมเทศนาเก่ียวกับอานิสงส์ เรียบรอ ยแลวครูสอบถามนกั เรียนแตล ะกลุม การถวายผา้ อาบนา�้ ฝน ๑ กณั ฑ์ ถงึ ข้ันตอนและอุปสรรคในการเตรยี มการแสดง บทบาทสมมติ จากน้นั ใหนกั เรียนแตละกลมุ ๔.๒) เม่ือพระแสดงธรรมจบแล้ว หัวหน้าทายกทายิกาน�ากราบพระ ต้ังนโม ผลัดกนั ออกมาแสดงบทบาทสมมตพิ ธิ ีการถวาย ๓ จบ แลว้ น�ากลา่ วคา� ถวายผา้ อาบน�า้ ฝนซ่ึงตัง้ ไว้ ณ เบื้องหนา้ มีค�าถวายผ้าอาบนา้� ฝน ดงั นี้ ผา อาบนํา้ ฝนที่หนา ช้ันเรยี น ค�ำบำล ี อมิ าน ิ มย � ภนเฺ ต วสสฺ ิกสาฏิกาน ิ สปรวิ ารานิ, ภิกขฺ ุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, 2. ครใู หเพือ่ นนักเรยี นกลุมอ่ืนสงั เกตการณและ สาธ ุ โน ภนเฺ ต, ภิกขฺ ุสงฺโฆ, อิมาน ิ วสสฺ กิ สาฏกิ านิ สปริวาราน,ิ ปฏคิ ฺคณฺหาตุ สอบถามความรูเมื่อแตล ะกลุมแสดงบทบาท อมฺหาก � ทีฆรตตฺ � หติ าย สุขาย. สมมตเิ สร็จ แลว อภปิ รายรวมกนั เมือ่ แสดง คำ� แปล ขา้ แตพ่ ระสงฆผ์ เู้ จรญิ , ขา้ พเจา้ ทง้ั หลาย ขอนอ้ มถวายผา้ อาบนา�้ ฝนเหลา่ น้ี บทบาทสมมติครบทุกกลมุ ถึงความถูกตอ ง แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆจ์ งรับผ้าอาบน�้าฝนเหล่าน้ ี ของขา้ พเจา้ ทัง้ หลาย เหมาะสมในการแสดงของแตล ะกลุม และ เพอ่ื ประโยชน์เก้ือกลู เพอ่ื ความสุข แก่ขา้ พเจา้ ทัง้ หลาย สน้ิ กาลนาน เทอญ แนวทางการแกไ ขหรอื พัฒนาการทาํ งานกลุมใน กิจกรรมการเรียนรูตอ ไป ๔.๓) ขณะนั้นพระสงฆ์ทั้งหมดประนมมือ พอจบค�าถวาย พระสงฆ์รับ “สาธุ”1 พร้อมกัน เจ้าอาวาสหรือผู้แทนออกมารับผ้าแทนพระสงฆ์ หรือจะท�าสลากติดผ้าส�ารับหน่ึง 3. ครสู นทนารว มกันกับนกั เรียนถงึ ความหมาย ให้พระสงฆ์จับอีกส�ารับหนึ่ง โดยลงเลขติดกัน พระรูปใดจับได้เลขอะไร ของใคร ให้เจ้าของน�า ของกฐนิ และกรานกฐินที่นกั เรียนไดศกึ ษามา ผ้าอาบนา�้ ฝนถวายพระรปู น้ันก็ได้ แลว ใหนกั เรยี นคทู สี่ มคั รใจอธบิ ายความรูเ ก่ียว กับวัตถปุ ระสงคแ ละความเปน มาของพธิ ที อด 2 ๔.๔) เมื่อประเคนผ้าเสร็จแล้ว พระสงฆ์กล่าวค�าอนุโมทนา ทายกทั้งหมด กฐิน จากนัน้ ครอู ธิบายเพมิ่ เติมเพื่อใหไ ดความรู กรวดน�้า แล้วประนมมอื รบั พร เปน็ อันเสร็จพิธี ทีค่ รบถวนชัดเจนยิง่ ขึ้น ๕) พธิ ีทอดกฐนิ กฐิน แปลว่า “ไม้สะดงึ ” หมายถงึ ไมท้ เี่ อามาทา� โครงส�าหรับ ขึงเย็บจีวร เพราะสมัยพุทธกาลชาวบ้านมิได้น�าจีวรส�าเร็จรูปมาถวายพระภิกษุ หากแต่ถวาย ผ้าทั้งผืน พระภิกษุต้องน�ามาขึงกับไม้สะดึงและเย็บท�าจีวรเอง สังฆกรรมท่ีสงฆ์ตัดเย็บจีวร แลว้ มอบหมายใหพ้ ระรูปใดรูปหนึง่ ครองจวี รน้ี เรียกว่า “กรานกฐนิ ” ๕.๑) วัตถุประสงค์ของกฐิน พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับกฐินได้ กเ็ พ่อื ใหพ้ ระภิกษมุ โี อกาสได้เปลยี่ นผา้ จีวรที่เก่า ๕.๒) ต้นเหตุของกฐิน เริ่มด้วยพระภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป เดินทางไป เมืองสาวัตถีเพ่ือเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงเมืองสาเกตซึ่งอยู่ก่ึงกลางระหว่างเมืองปาฐากับเมือง สาวัตถี ก็ถึงวันเข้าพรรษาพอดี พระภิกษุเหล่านั้นจึงจ�าพรรษาที่เมืองสาเกต เมื่อออกพรรษา 122 นักเรียนควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เพราะเหตุใด พระพทุ ธเจาจงึ ทรงอนญุ าตใหพระสงฆร บั ผา กฐินได 1 สาธุ คือ สาธกุ าร ดว ยการเปลงวาจาวา สาธุ ซ่งึ แปลวา ดแี ลว ชอบแลว เพือ่ 1. ใชในการนงุ อาบนา้ํ ใหดูสาํ รวม เรียบรอย แสดงความเหน็ ชอบดวย ช่นื ชม หรอื ยกยอ งสรรเสรญิ นอกจากน้ยี งั ใชรวมกับคาํ วา 2. เยบ็ จวี รเองไมเบยี ดเบยี นพทุ ธศาสนกิ ชน ชน คือ สาธชุ น หมายถงึ คนดี คนมีศีลธรรม คนมสี ัมมาทฏิ ฐิ 3. พุทธศาสนกิ ชนไดอานิสงสใ หญห ลวง 2 กรวดน้าํ การตงั้ ใจอุทศิ บญุ กศุ ลใหแ กผ ลู วงลบั พรอ มไปกับหล่ังรินน้าํ เปน 4. มีโอกาสไดเปลย่ี นจีวรเกา เคร่อื งหมาย และเปนเคร่อื งรวมกระแสจิตท่ตี ง้ั ใจอทุ ิศนน้ั ใหแ นวแน โดยเรมิ่ รนิ น้าํ วิเคราะหค ําตอบ สาเหตทุ ีพ่ ระพุทธเจาทรงอนญุ าตใหพ ระสงฆร ับผา เมือ่ พระรปู หวั หนาเร่มิ สวดยถา... และรนิ นา้ํ หมดพรอมกับพระหวั หนาสวดจบ กฐนิ เน่อื งจากครงั้ พุทธกาลมีภกิ ษรุ ูปหนึง่ ตอ งเดินทางขามเมืองมาเฝา จากนน้ั พระทง้ั หมดเรม่ิ สวดพรอ มกนั ใหว างทกี่ รวดนาํ้ ลงแลว ประนมมอื รบั พรตอ ไป พระองคดวยจีวรเปย กปอนและขาดว่ิน จากจีวรทีเ่ กา และสภาพอากาศท่ี รนุ แรง พระพุทธเจาจงึ ทรงอนุญาตใหพระสงฆรับผา กฐินไดเ พอื่ ให พระภิกษมุ โี อกาสเปลีย่ นผา จวี รทเ่ี กา ดังนนั้ คําตอบคอื ขอ 4. 122 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ แลว้ จงึ เดนิ ทางตอ่ ตอ้ งบกุ นา�้ ลยุ โคลนไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ทจี่ วี รเปยี กปอนและขาด พระพทุ ธเจา้ ครูสอบถามนกั เรยี นถึงแนวคดิ ของพธิ กี ราน กฐนิ แลว สุม นักเรียน 1 คู เพอ่ื ใหชว ยกันอธิบาย ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์เปล่ียนผ้าจีวรใหม่ได้ โดยก�าหนดเอา ความรูเกีย่ วกบั พธิ กี รานกฐิน โดยแบง หนา ทร่ี ับ ผดิ ชอบกันเปนสว นของพระสงฆและสว นของ วันออกพรรษาเป็นวันเร่ิมต้น (คือ เร่ิมจาก พุทธศาสนกิ ชน สําหรับนักเรียนทีร่ บั ผดิ ชอบใน สวนของพระสงฆใหตอบคาํ ถาม ดังน้ี แรม ๑ คา่� เดือน ๑๑ ไปจนถึงวันขนึ้ ๑๕ ค�่า • พธิ ีกรานกฐนิ ตองมพี ระสงฆอ ยา งนอยกร่ี ูป ทเดออื ดนกฐ๑ิน1๒จ)ึงเกมดิีกขา� หึ้นนตั้งดแต๑บ่ ดัเดนือั้นนเตม็ ประเพณี และมีบทบาทหนา ที่อยางไรบาง (แนวตอบ พิธกี รานกฐนิ ตอ งมีพระสงฆอ ยา ง ๕.๓) พิธีกรานกฐิน เนื่อง นอย 5 รูป โดยพระสงฆรปู หนง่ึ เปนผูค รอง จวี ร สวนอีกส่ีรปู กลา วคาํ อนโุ มทนา ทั้งนี้เกดิ จากพระภิกษุที่จ�าพรรษามีจ�านวนมาก เพราะ จากการคัดเลือกของคณะสงฆว าจะให พระสงฆรูปใดเปน ครองกฐิน) ฉะน้ันจึงต้องคัดเลือกรูปใดรูปหนึ่งจากสงฆ์ • พระสงฆร ปู ทีไ่ ดร บั เลอื กเปนผกู รานกฐิน ท้ังหมดเป็นผู้ครองกฐิน ส่วนพระภิกษุที่เหลือ ตอ งมคี ุณสมบัตอิ ยา งไร (แนวตอบ พระสงฆร ูปทีไ่ ดร บั เลือกจากคณะ ท�าหน้าที่เป็นผู้อนุโมทนา การกรานกฐินเป็น สงฆใ หเปนผกู รานกฐนิ ตองมีคณุ สมบัติหลาย ประการ อาทิ รจู กั ถอนไตรจีวร คือ รูคาํ พิธีที่พระภิกษุอย่างน้อย ๕ รูปข้ึนไปกระท�า กลาวคาํ ถอนและวธิ ีการถอนจวี รผนื เกา ให ถูกตอ งตามพระวนิ ยั รจู ักอธษิ ฐานไตรจีวร ร่วมกัน (รูปหนึ่งครองจีวร อีกส่ีรูปอนุโมทนา) การทอดกฐิน เป็นศาสนพิธีสำาคัญท่ีชาวพุทธควรรู้และ คอื รคู ําอธษิ ฐานและวิธกี ารครองจีวรผนื ใหม จา� นวนน้อยกว่านั้นทา� ไม่ได้ ปฏิบัติตนอยา่ งเหมาะสมในการเขา้ รว่ มพธิ กี รรม และรจู กั มาติกา คอื รถู ึงสาเหตทุ ที่ ําใหห มด สิทธ์ิทจี่ ะไดรับอานสิ งสข องกฐนิ เปน ตน ) ๕.๔) คุณสมบัติของผู้กรานกฐิน พระภิกษุองค์ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้กรานกฐิน สว นนักเรยี นที่รับผิดชอบในสว นของ หรือครองกฐินจะต้องมีคุณสมบัติหลายประการ เช่น รู้จักถอนไตรจีวร คือ รู้วิธีกล่าวค�าถอน พุทธศาสนกิ ชนใหก ลา วคําถวายผากฐนิ และ ผ้าผืนเก่าให้ถูกต้องตามวินัยบัญญัติ รู้จักอธิษฐานไตรจีวร คือ รู้ว่าเวลาจะใช้ผ้าผืนใหม่ชนิดใด อธิบายคาํ แปล โดยครคู อยแนะนําใหนักเรียน จะต้องกล่าวค�าอธิษฐานอย่างไร รู้จักวิธีกรานกฐิน คือ เข้าใจข้ันตอนของการกรานกฐิน รู้จัก สามารถกลา วไดถกู ตอ งครบถวน จากน้นั ครแู ละ มาตกิ า คอื สาเหตทุ ่ที �าให้หมดสทิ ธิ์ที่จะไดร้ ับอานิสงส์กฐนิ เป็นต้น นกั เรียนชว ยกนั สรปุ ความรูเ ก่ียวกบั พิธที อดผา อาบ น้ําฝนและพธิ ที อดกฐิน นักเรยี นบันทกึ ความรทู ่ี ค�ำถวำยผำ้ กฐิน สรุปไดลงในสมดุ ค�ำบำล ี อิม� ภนฺเต สปริวาร� กฐนิ ทุสฺส� สงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ อิม � สปริวาร� กฐนิ ทสุ ฺส� ปฏิคฺคณหฺ าตุ, ปฏิคฺคเหตวฺ า จ อิมินา ทุสเฺ สน กฐนิ � อตถฺ รตุ, อมหฺ าก � ทฆี รตฺต � หติ าย สุขาย. คำ� แปล ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอถวายผ้ากฐิน กับท้ังบริวารนี้ แด่พระสงฆ์, ขอพระสงฆจ์ งรบั ผา้ กฐนิ กบั ทงั้ บรวิ ารน ้ี ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย รบั แลว้ จงกรานดว้ ยผา้ นี้ เพอื่ ประโยชน ์ เพอ่ื ความสขุ แกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลาย สนิ้ กาลนาน เทอญ 123 บรู ณาการเชื่อมสาระ นกั เรยี นควรรู ครสู ามารถจัดกจิ กรรมการเรียนรบู ูรณาการวิชาหนา ทพ่ี ลเมือง 1 ประเพณที อดกฐิน ในราชสํานกั ถือเปนพระราชกรณียกจิ ของพระมหากษตั รยิ  วฒั นธรรม และการดําเนนิ ชวี ติ ในสังคม เรอื่ งปจจยั ของวฒั นธรรมไทย ผทู รงเปน พทุ ธมามกะและเอกอัครพทุ ธศาสนูปถัมภก โดยจะเสด็จพระราชดาํ เนนิ โดยมอบหมายใหน กั เรียนศกึ ษาคน ควา ขอ มลู เก่ียวกบั กฐนิ หลวงทัง้ ถวายผา พระกฐินยังพระอารามหลวงสําคญั 16 พระอาราม เชน วดั พระเชตพุ น พระราชพิธีการถวายทางสถลมารคและชลมารค แลว นําภาพและขอมลู วิมลมังคลาราม วดั อรุณราชวราราม วดั ราชโอรสาราม กรงุ เทพมหานคร นําเสนอในช้นั เรยี น จากน้ันครสู รปุ สาระสาํ คญั รว มกบั กับนักเรียน เพอ่ื ให วัดนิเวศธรรมประวตั ิ วัดสุวรรณดาราราม จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา นกั เรียนเขา ใจถงึ ความสาํ คญั ของอทิ ธิพลทางพระพทุ ธศาสนาตอ ประเพณี วฒั นธรรมในสงั คมไทย ทง้ั ในระดับสถาบันพระมหากษตั รยิ แ ละประชาชน มมุ IT ท่วั ไป ศกึ ษาขอ มูลเพ่ิมเติมเกย่ี วกับการถวายกฐินในดา นความเปน มาของพิธี ประเภท ไดแก กฐนิ หลวงและกฐนิ ราษฎร ลาํ ดับขั้นตอน และอานสิ งสของการ ถวายกฐนิ ไดที่ http://www.lib.ru.ac.th/journal/nov/nov_thodkathin1.html เวบ็ ไซตสนเทศนารู สํานกั หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง คมู่ อื ครู 123

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครสู อบถามนกั เรียนถึงความหมายและ เรอื่ งนา่ รู้ จดุ ประสงคของพิธีปวารณา แลวสุม นักเรียน 3 คู ใหอ อกมาจับสลากคาํ หรือขอความสาํ คัญท่ี ชนดิ ของกฐิน เก่ยี วของกับพธิ ีปวารณา ไดแ ก วนั ปณรสี ปกษ วันจาตทุ สี เครือ่ งไทยธรรม พระธรรมเทศนา และ พระวนิ ยั ปฎิ กไมไ่ ดจ้ าำ แนกชนดิ ของกฐนิ ไว้ มกี ลา่ วแตเ่ พยี งเรอ่ื งการทาำ หรอื การรบั ผา้ มากรานกฐนิ ของพระสงฆ์ ความอาวโุ ส แลวตั้งคําถามเก่ียวกับพิธปี วารณาเพือ่ เท่านนั้ แตถ่ า้ พจิ ารณาตง้ั แต่โบราณมาถงึ ปัจจุบนั อาจแบง่ กฐนิ ออกได้เป็น ๒ ชนดิ คอื ใหนกั เรยี นทีร่ บั ผิดชอบคาํ หรือขอ ความท่ีเกย่ี วขอ ง ชวยกนั ตอบ จากนั้นครตู ั้งประเดน็ ใหนกั เรียน 1. จุลกฐินหรือกฐินแล่น คือ กฐินที่ต้องทำาอย่างรีบเร่งให้เสร็จด้วยมือภายในวันเดียว ซ่ึงต้องอาศัยความ อภิปรายรวมกนั ถงึ ความสอดคลองกันของพธิ ี รว่ มมือร่วมแรงของคนจำานวนมาก เรมิ่ ตัง้ แตเ่ กบ็ ฝา้ ยมาปั่น กรอเป็นด้าย ทอเป็นผา้ ตัดเยบ็ ย้อม และถวายให้พระสงฆ์ ปวารณากับหลักการของระบอบประชาธิปไตย เชน กมรีอาานนแิสงลสะม์อานกุโกมวทา่ นกาฐในิ หธ้เรสรรม็จดภาาหยรใอื นมรหะายกะฐเวนิ ลาจากเช้าวันหน่ึงจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันหน่ึง1จึงถือกันว่าการทำาจุลกฐิน การปวารณา : หลกั การของระบอบ ประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา 2. มหากฐิน คือ กฐินที่มีเครื่องบริวารมาก มีการรวบรวมจตุปัจจัยไทยธรรมและส่ิงของต่างๆ ท่ีจะนำาไป ทอดถวายตามวัดต่างๆ มากมาย ต้องใช้เวลาในการเตรียมงาน ไม่เร่งรีบเหมือนจุลกฐิน (ทั้งคาำ ว่า “จุลกฐิน” และ ความเสมอภาคตามหลักการของระบอบ “มหากฐิน” ไมม่ ีปรากฏในพระวินัยปิฎก) ประชาธปิ ไตยในพิธปี วารณา ๖) พิธีปวารณา2 การปวารณา หมายถึง การที่พระภิกษุสงฆ์เปิดโอกาสให้ การแกไ ขปญ หาหรือการพฒั นาตนเองตาม ระบอบประชาธิปไตยจากพิธปี วารณา ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยเดียวกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้โดยไม่ต้องเกรงใจกัน เม่ือ ผู้ใหญ่เห็นผู้น้อยประพฤติบกพร่องหรือเพียงแต่สงสัยว่าน่าจะมีความประพฤติบกพร่อง ผู้ใหญ่ก็ จากนั้นครูใหน กั เรยี นวิเคราะหถงึ ประโยชนและ ว่ากล่าวตักเตือนผู้น้อยได้ ในท�านองเดียวกันผู้น้อยก็สามารถตักเตือนผู้ใหญ่ได้เช่นกัน ถ้าหาก แนวทางการนําพธิ ปี วารณามาปรับใชในการดาํ เนิน เห็นผู้ใหญ่ประพฤติบกพร่องหรือสงสัยว่าน่าจะประพฤติบกพร่อง ทั้งน้ีการตักเตือนของหมู่สงฆ์ ชวี ติ รวมกบั ผอู ่ืนทัง้ ในระดับบุคคล ครอบครวั น้ันมีเจตนาบริสุทธ์ิเป็นท่ีต้ัง คือ มุ่งหมายให้เพ่ือนสหธรรมมิกปราศจากมลทิน จะได้รู้ว่าส่ิงใด โรงเรยี น ทอ งถิ่น ประเทศ ตลอดจนสังคมโลก ควรท�า ส่ิงใดไม่ควรท�า ฉะน้ัน การปวารณาจึงเป็นการร่วมสังฆกรรม และการปฏิบัติด้วยความ นักเรียนบันทกึ สาระสําคญั ลงในสมดุ เอื้ออาทรตอ่ กนั ของพระภิกษุสงฆท์ ี่จ�าพรรษาอยู่ในอาวาสเดยี วกัน โดยปกติภิกษุสงฆ์จะท�าการปวารณาในวันข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๑๑ เรียกว่า “วันปัณรสี” แต่ถ้าภิกษุสงฆ์ยังไม่พร้อมก็จะเลื่อนวันปวารณาออกไปอีก ๑ ปักษ์ ซ่ึงตรงกับ วันแรม ๑๔ ค่า� เดอื น ๑๑ เรียกว่า “วันจาตุทสี” ก็ได้ เมอื่ ถงึ วนั ปวารณา ภกิ ษุสงฆจ์ ะประชมุ กนั ในโบสถร์ บั ไทยธรรมจากอบุ าสก อบุ าสกิ า พระเถระชนั้ ผใู้ หญแ่ สดงพระธรรมเทศนา เสรจ็ แลว้ ภกิ ษุสงฆ์จะเรม่ิ ท�าการปวารณา โดยเรียงกันไปตามลา� ดับอาวุโส ค�าปวารณามีใจความวา่ “ ท่านท้ังหลาย ข้าพเจ้าขอปวารณาตอ่ สงฆ ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยไดฟ้ งั กด็ ี ดว้ ยสงสัยก็ดี ขอทา่ น ท้ังหลายจงอาศัยความกรณุ าวา่ กลา่ วต่อขา้ พเจ้า เมื่อข้าพเจ้าส�านึกไดจ้ ักกระท�าคนื เสีย” “ทา่ นทงั้ หลาย ขา้ พเจา้ ขอปวารณาตอ่ สงฆ ์ เปน็ ครง้ั ท ่ี ๒ ...................................................................................” “ทา่ นทงั้ หลาย ขา้ พเจา้ ขอปวารณาตอ่ สงฆ ์ เปน็ ครง้ั ท ี่ ๓ ...................................................................................” 124 นักเรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกับศาสนพธิ ี 1 ไทยธรรม หมายถึง ของควรให ของทาํ บุญตาง ๆ ของถวายพระ มีอาหาร ศาสนพิธีใดเปน เรื่องของพระสงฆลวนๆ ไมมีฆราวาสเกย่ี วของ เครอ่ื งนุงหม เปน ตน สวน ทกฺขเิ ณยโฺ ย แปลวา ผคู วรแกทกั ขิณา หมายถงึ 1. พิธีอปุ สมบท พระสงฆ เปน ผคู วรไดข องทําบญุ น้นั การถวายเครอ่ื งไทยธรรมยอมมอี านสิ งสผล 2. พิธีปวารณา อํานวยประโยชนสุขอยา งกวางขวางและตลอดกาลยาวนาน เหมอื นนามพี น้ื ดนิ อันดี 3. พิธมี หากฐิน พืชท่หี วา นไปยอ มผลติ ผลไพบูลย 4. พิธีรักษาอุโบสถศลี 2 ปวารณา การเรยี กพิธีปวารณาโดยผูทาํ ปวารณาแบงเปน 3 อยาง คือ สงั ฆ- วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. พิธีปวารณา เนือ่ งจากเปนศาสนพิธที ี่ ปวารณา ปวารณาที่ทําโดยสงฆ คอื มภี ิกษุ 5 รปู ขน้ึ ไป คณปวารณา ปวารณาที่ พระสงฆเปด โอกาสใหว า กลา วตกั เตอื นไดในเร่อื งของการปฏิบตั ิตนตาม ทาํ โดยคณะ คอื มภี กิ ษุ 2-4 รปู และปุคคลปวารณา ปวารณาท่ที าํ โดยบุคคล คือ พระวนิ ยั ในชว งเขา พรรษาโดยไมต อ งเกรงใจกนั โดยกระทําในวันออก มภี ิกษรุ ูปเดยี ว โดยนยั นก้ี ารทําปวารณาจึงมี 3 ลักษณะ คือ ปวารณาตอทช่ี ุมนมุ พรรษา ขน้ึ 15 คา่ํ เดอื น 11 หรอื อาจเลอ่ื นไปอกี 1 ปก ษเ ปน วนั แรม 14 คาํ่ ไดแ ก สงั ฆปวารณา ปวารณากนั เอง ไดแก คณปวารณา และอธษิ ฐานใจ ไดแก เดอื น 11 ก็ได ปคุ คลปวารณา 124 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๒.๒ ศาสนพิธที นี่ Óพระพุทธศาสนาเขา้ ไปเกยี่ วเนอ่ื ง 1. ครสู อบถามนักเรยี นถึงวัตถปุ ระสงคข อง พุทธศาสนิกชนในการประกอบพธิ ที ําบุญเลยี้ ง ศาสนพิธีท่ีจะกล่าวถึงในข้ันน้ีได้แก่ “พิธีท�าบุญเล้ียงพระ” การท�าบุญเล้ียงพระเป็นที่นิยม พระโดยแบง ออกเปน สว นของงานมงคลและ แพร่หลายในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทย กระท�ากันทั้งในงานมงคลและงานอวมงคล งาน งานอวมงคล แลว อภิปรายรว มกนั ถึงความ อวมงคลนั้นท�าเมื่อมีการตายเกิดขึ้นในครอบครัว งานมงคลนั้นท�ากันในโอกาสต่างๆ เช่น สําคญั ของพระพุทธศาสนาตอ ประเพณีและ ท�าบญุ ข้นึ บา้ นใหม่ ท�าบญุ แต่งงาน ทา� บญุ คลา้ ยวันเกิด ฯลฯ สว่ นผทู้ ี่ไม่ประสบโอกาสเหล่านี้เลย วัฒนธรรมทีเ่ กี่ยวของกบั ชีวติ ตง้ั แตเกิดจน แต่หากมีจิตศรัทธาที่จะขัดเกลากิเลสของตน และประสงค์จะท�าบุญเพื่อก่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตน ตาย จากนั้นแบงนักเรียนในแตละคอู อกเปน และครอบครวั ก็ท�าบญุ เลย้ี งพระได้ 2 กลุมใหญๆ ของช้ันเรียน เพอ่ื ใหช ว ยกนั อธิบายความรเู กีย่ วกบั การทาํ บญุ เลี้ยงพระใน ๑) การท�าบุญเล้ียงพระในงานมงคล ตามปกติมักนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญ งานมงคลและงานอวมงคลตามกจิ กรรมการ เรียนรดู งั ตอ ไปนี้ พระพุทธมนต์ในสถานที่ท่ีใช้ประกอบพิธีในตอนเย็น เรียกกันว่า “สวดมนต์เย็น” รุ่งข้ึนเช้า (หรือเวลาเพล) ก็ถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์เมื่อเย็นวานน้ัน เรียกกันว่า 2. ครูใหน ักเรียนกลมุ ท่ี 1 กําหนดคาํ หรอื เล้ยี งพระเช้า (ฉันเช้า) หรอื เล้ยี งพระเพล (ฉันเพล) บางคนมีเวลาน้อยร่นเวลามาทา� พรอ้ มกนั ใน ขอความสาํ คัญเกี่ยวกับการทําบญุ เลี้ยงพระใน วนั เดียวในตอนเช้าหรือตอนเพลตามความสะดวก โดยนิมนตพ์ ระสงฆม์ าเจริญพระพุทธมนตก์ ่อน งานมงคล เชน การนมิ นตพ ระสงฆม าเจรญิ จบแลว้ ถวายภตั ตาหารใหเ้ สร็จสิน้ ในช่วงเวลาเดยี วกนั พระพุทธมนต สวดมนตเย็น เลยี้ งพระเพล การจัดโตะหมูบูชา ประธานของหมูส งฆ การ ข้ันตอนในการปฏิบัตพิ ิธี มีดังน้ี วงดายสายสญิ จน การปูลาดอาสนะสําหรับ ๑.๑) อาราธนาพระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ นิยมกันว่าการนิมนต์พระสงฆ์ พระสงฆ เครือ่ งรับรองพระสงฆ ภาชนะ สําหรบั นํา้ มนต ประธานในพิธี อาราธนาศลี มาเจริญพระพุทธมนต์ จะนิมนต์ไม่ต�่ากว่า ๕ รูป จะเป็น ๗ รูปหรือ ๙ รูปก็ได้ รวมทั้ง อาราธนาพระปรติ ร มงคลสูตร และการ ไม่นิมนต์พระสงฆ์จ�านวนคู่ เว้นแต่งานมงคลสมรสมักนิมนต์พระจ�านวนคู่ จุดมุ่งหมาย คือ กรวดน้ํา เพอื่ ใหตวั แทนของนกั เรยี นกลุมท่ี 2 แบ่งให้ฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาวนิมนต์พระมาจ�านวนเท่าๆ กัน เมื่อรวมกันจึงเป็นจ�านวนคู่ ออกมาจบั สลากและรบั ผิดชอบหนาท่ใี นการ ส�าหรับพธิ ีหลวงมักนิยมอาราธนาพระสงฆม์ าเป็นจ�านวนค่เู สมอ อธิบายความรทู ่เี ก่ยี วของกับคาํ หรอื ขอ ความ สําคัญดังกลาว ๑.๒) เตรียมท่ตี ัง้ พระพทุ ธรปู พร้อมเคร่ืองบูชา เรียกสนั้ ๆ วา่ โตะ๊ บูชา ปจั จบุ นั นยิ มกันเป็นโต๊ะหมู่ เรียกวา่ “โต๊ะหมู่บชู า” ประกอบดว้ ยโตะ๊ ตวั เลก็ ๆ ๕ ตวั บา้ ง ๗ ตัวบา้ งหรือ ๙ ตัวบ้าง ถ้าหาโต๊ะหมู่บูชาไม่ได้จะใช้ต่ังหรือโต๊ะอะไรก็ได้ไม่สูงไม่ต่�าจนเกินไป แล้วใช้ผ้าขาวหรือ ผา้ สเี รยี บๆ แต่สะอาดปพู ืน้ แลว้ หาตัง่ หรอื โตะ๊ เล็กๆ อกี ตวั หนงึ่ ต้ังซ้อนเปน็ ท่ีตัง้ พระพุทธรปู ในการต้ังโต๊ะบูชาน้ีจะต้องตั้งหันหน้าโต๊ะออกมาทางเดียวกับพระสงฆ์ คือ ให้พระพุทธรูปหันพระพักตร์ออกทางเดียวกับพระสงฆ์โดยพระพุทธรูปจะต้ังทางด้านขวาของ แถวพระสงฆ์ คือ ให้พระพุทธรูปเป็นประธานหมู่สงฆ์ ตามความนิยมมักจะให้พระพุทธรูป ผินพระพักตร์ไปสู่ทิศเหนือหรือทิศตะวันออก แต่เร่ืองนี้หากสถานท่ีไม่อ�านวยจะผินพระพักตร์ไป ทางใดก็ได้ 125 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ครูอาจมอบหมายใหน ักเรียนสรปุ ขน้ั ตอนการทาํ บุญเล้ยี งพระในงาน ครอู าจอธิบายนักเรยี นเพิ่มเติมถงึ ศาสนพธิ ที ีน่ ําพระพุทธศาสนาเขาไปเกีย่ วเนอ่ื ง มงคลหรอื อวมงคลในรปู แบบความเรยี ง เพื่อจัดลาํ ดับความรูความเขาใจ ของคนไทยในพธิ อี ืน่ ๆ ซ่ึงแบงออกไดเ ปน 4 หมวด ไดแ ก หมวดกศุ ลพธิ ี วา ดว ย ของนกั เรยี นใหถ กู ตองครบถวนย่งิ ข้นึ พธิ บี ําเพ็ญกุศล หมวดบญุ พิธี วา ดวยพิธีทําบญุ หมวดทานพธิ ี วา ดว ยพธิ ีถวายทาน และหมวดปกิณกะ วา ดว ยพธิ เี บด็ เตลด็ เชน กุศลพิธี คือ พธิ กี รรมอันเก่ียวดว ยการ กจิ กรรมทาทาย อบรมความดีงามทางพระพทุ ธศาสนา ทัง้ ตัวบคุ คลและหมูค ณะ ไดแ ก การแสดง ตนเปนพทุ ธมามกะ พิธีเวยี นเทียนในวนั สําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา พิธรี ักษาอโุ บสถ ครอู าจมอบหมายใหน ักเรยี นสรุปข้ันตอนการทาํ บญุ เลี้ยงพระในงาน สวนพิธเี ขา พรรษา พธิ ีถือนิสสยั พิธีทาํ สามีจิกรรม พธิ ีทาํ วตั รสวดมนต พิธีกรรม มงคลและอวมงคลในรปู แบบตารางหรือผงั กราฟกตา งๆ ตามความ วันธรรมสวนะ พธิ สี งั ฆอุโบสถ และพธิ อี อกพรรษา เปนพธิ ีกรรมท่พี ระภิกษสุ งฆพ ึง สามารถและความสนใจ เพือ่ จดั ลําดบั ความรคู วามเขาใจของนกั เรียนให ปฏบิ ตั ิเพอื่ ความดงี ามในพระวินัย ทงั้ นี้เพ่อื ใหน ักเรยี นตระหนักถึงความสาํ คัญของ ถกู ตองครบถวนย่งิ ขน้ึ พระพุทธศาสนาในดา นการเปน รากฐานของประเพณีวัฒนธรรมไทย ค่มู อื ครู 125

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ Explain ครใู หนักเรยี นกลุม ที่ 1 ออกแบบกจิ กรรมการ ๑.๓) ดูแลรักษาและตกแต่งสถานที่บริเวณพิธี ควรดูแลบริเวณท่ีจะประกอบพิธี เรยี นรใู หแกน กั เรยี นกลุมที่ 2 โดยครูคอยชวยเหลือ ให้สะอาดเรียบร้อยเพ่ือให้เป็นสิริมงคล และผู้ที่มีก�าลังคนและก�าลังทรัพย์หากจะตกแต่งสถานท่ี ใหคําแนะนาํ เชน ให้มคี วามสวยงาม๑เ.พ๔ิม่ )ขวึ้นงกดย็ ้าง่ิ ยเปส็นายกสาริญดจี น์1การวางสายสิญจน์มีหลักอยู่ว่า ให้วงรอบร้ัวบ้าน สถ้าาไยมส่มิญีรจ้ัวนหร์ทือ่ีฐมาีแนตพ่กรวะ้าพงเุทกธินรไูปปบกน็ใหโต้วง๊ะเบฉูชพาาเะทอ่าานคา้ันรพแิธลีโด้วยโยรองมบาทห่ีภรือาปชัจนจะุบสัน�าหเจร้าับภทาพ�านบ�้าามงคนนต2จ์กะ็ไวดง้ นกั เรียนกลุมที่ 2 ทรี่ บั ผิดชอบคาํ หรือขอความ การโยงสายสิญจน์ควรโยงหลบป้องกันมิให้มีการเดินข้าม เมื่อวงภาชนะส�าหรับท�าน้�ามนต์ดีแล้ว สําคัญเกีย่ วกบั การทําบญุ เลย้ี งพระในงานมงคล ก็วางกลุ่มด้ายสายสิญจน์บนพานรองรับซึ่งต้ังไว้ใกล้ภาชนะส�าหรับท�าน้�ามนต์ การวงสายสิญจน์ ตอบคําถามที่ตนกําหนด ให้วงจากซ้ายไปขวาของสถานท่ีหรือวัตถุ อน่ึง หากมีความจ�าเป็นที่จะต้องผ่านสายสิญจน์ อยา่ ขา้ มกราย ให้สอดมือยกสายสิญจนข์ ึ้นแลว้ ก้มศรี ษะผ่านไป นักเรยี นกลุมที่ 2 เรียงลาํ ดบั คําหรอื ขอ ความ พระพุทธรูปน้ันจะ๑เ.ป๕็น) พอรัญะอเชะิญไรพกร็ไดะพ้แุทล้ธวรแูปตม่จาะตห้ังาบไดน้ โตแ๊ะตบ่ไูชมา่ใชค้พวรระทเค�าเรมื่อ่ือง3ใซก่ึงลเล้เว็กลเากจินะไปปรไะมก่เอหบมพาิธะี สําคัญเกยี่ วกับการทาํ บุญเลย้ี งพระในงานมงคล พระพทุ ธรูปถา้ มีครอบควรเอาครอบออก หากพระพุทธรปู มัวหมองดว้ ยธุลี ควรเช็ดให้สะอาดหรอื ใหถ กู ตอง แลวอธบิ ายแนวทางหรือรายละเอียดใน สรงน้�าเสยี กอ่ น ก่อนที่จะน�ามาตั้ง แตละขัน้ ตอน ๑.๖) ปูลาดอาสนะส�าหรับพระสงฆ์ บางคนนิยมยกพ้ืนอาสน์สงฆ์ให้สูงขึ้นโดย นกั เรียนกลมุ ที่ 2 แสดงบทบาทสมมติการ ใช้เตียงหรือม้าวางต่อกันเข้า (ในกรณีน้ีผู้เข้าพิธีจะนั่งเก้าอี้) ถ้าไม่สะดวกก็ปูลาดอาสนะบนพ้ืน ทําบญุ เลยี้ งพระในงานมงคล พรอ มทัง้ อธิบายราย ธรรมดา จะใช้เสื่อหรือพรมก็ได้ ทค่ี วรระวังคอื อยา่ ให้อาสนะพระสงฆก์ ับอาสนะของผเู้ ข้าร่วมพิธี ละเอยี ดของคาํ หรือขอ ความสําคัญท่เี กีย่ วกบั การ เป็นอันเดียวกัน แต่ถ้าแยกกันไม่ได้ ส�าหรับอาสนะพระสงฆ์น้ันควรปูทับด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง ทําบญุ เล้ยี งพระในงานมงคลประกอบ จงึ จะเหมาะ ๑.๗) เตรียมเครื่องรับรองพระสงฆ์ เช่น น้�าร้อน น�้าเย็น กระโถน (ไม่ควรจัด หมากพลู บหุ รี่ ถวาย เพราะสิง่ เหลา่ นี้ไมค่ วรแก่พระสงฆ์) ๑.๘) ตั้งภาชนะส�าหรับท�าน้�ามนต์ ถ้าไม่มีครอบน�้ามนต์ซึ่งเป็นของส�าหรับ ใส่น�า้ มนต์โดยเฉพาะ จะใชบ้ าตรของพระหรือขันนา�้ ท่ีมพี านรองรับแทนก็ได้ แต่ต้องไม่ใชข้ ันเงิน หรือทองค�า เพราะไม่ควรแก่การจับต้องของพระ ต่อไปก็หาน�้าสะอาดใส่ท่ีปากบาตรหรือขันน้�า ให้ติดเทียนข้ีผ้ึงแท้หนักหนึ่งบาทเป็นอย่างต่�า เมื่อเสร็จแล้วน�าไปไว้ทางหน้าโต๊ะบูชาให้ค่อน มาทางอาสนะพระสงฆ์ใกลก้ ับพระสงฆร์ ปู ทเ่ี ป็นหัวหนา้ ๑.๙) จุดธูปเทียนและด�าเนินพิธีตามล�าดับ เมื่อพระสงฆ์มาถึงแล้ว เจ้าภาพ ท�าการต้อนรับน�าพระสงฆ์ไปยังที่นั่ง เม่ือพระนั่งบนอาสนะแล้ว ประเคนเครื่องรับรองท่ีจัดไว้ 126 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT บุคคลใดจดั เตรียมพธิ ที าํ บุญเลีย้ งพระในงานมงคลไดอยา งถูกตอง 1 สายสิญจน ดา ยดบิ สีขาวท่ีนาํ มาจบั ทบเปน 3 เสน หรือ 9 เสน ใชในพิธที าง 1. สนเตรียมหมากพลไู วในเครอื่ งรับรองพระสงฆ ศาสนา เชน สําหรับพระสงฆถ อื ในเวลาสวดมนต หรือพราหมณใ ชใ นพระราชพธิ ี 2. สรอยนมิ นตพ ระสงฆม าเจรญิ พระพทุ ธมนต 6 รูป บางอยา ง 3. แสนวงดายสายสิญจนทีฐ่ านพระพทุ ธรปู บนโตะหมบู ชู า 2 นํา้ มนต นํา้ ท่ีเสกเพื่ออาบ กิน หรอื ประพรมเปนตน ถอื กนั วา เปนมงคล 4. สรวงเตรียมขันเงินและทองสําหรับใสน ํา้ มนตเพอื่ ความสริ ิมงคล 3 พระเคร่อื ง พระพทุ ธรปู องคเล็กๆ ท่ีนบั ถอื วาเปน เคร่อื งคุม ครองปอ งกัน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. แสนวงดา ยสายสญิ จนท ฐ่ี านพระพทุ ธรปู อนั ตราย ยอมาจากคาํ วา พระเคร่ืองราง บนโตะหมบู ชู า แลว โยงมาท่ีภาชนะทาํ นาํ้ มนต เพอ่ื ปองกันมใิ หผใู ดเดนิ ขา ม เปนการจดั เตรียมพธิ ที ําบญุ เล้ียงพระในงานมงคลไดอ ยาง ถกู ตอง สว นการกระทําของบคุ คลในตวั เลอื กขอ อน่ื เชน การนมิ นตพ ระ เปน จํานวนคู การเตรยี มหมากพลใู หพระสงฆน้นั ไมถ ูกตอ งเหมาะสม 126 คมู่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ พอได้เวลาอันควร เจ้าภาพจุดธูปเทียนท่ีโต๊ะบูชาด้วยตนเองโดยใช้ไม้ขีดไฟ (หรือเทียนชนวน) ครูตัง้ คาํ ถามเกยี่ วกับการทาํ บุญเล้ียงพระใน งานมงคลแลว สมุ นักเรียนในกลุม ที่ 1 ตอบ เพอ่ื อยา่ ต่อจากตะเกยี งหรอื ไฟอื่น เมอื่ เทยี นติดดแี ล้ว ใช้ธูป ๓ ดอก จดุ ตอ่ ท่เี ทียนจนตดิ ดีจึงปกั ลง เปนการอธบิ ายความรู ตวั อยางขอ คาํ ถามเชน ตรงๆ ในกระถางธปู • ความสําคัญของพระพทุ ธรูปตอ การทําบญุ เลี้ยงพระในงานมงคลมีแนวคิดอยางไร พระปริตร1 ต่อจากน้นั จงึ ดา� เนนิ พธิ ีการไปตามลา� ดับ คอื อาราธนาศีล รับศลี แล้วอาราธนา (แนวตอบ พระพุทธรปู ท่นี ํามาประดิษฐาน พออาราธนาพระปริตรจบแล้ว พระสงฆ์เริ่มสวดมนต์ ทุกคนที่อยู่ในพิธีนั่งประนมมือ บนโตะ หมบู ูชาแบบตางๆ เปรียบเสมือน พระพทุ ธเจา เปน องคประธานของหมูสงฆ ฟังพระสวดด้วยความเคารพ พอพระเริ่มสวดมงคลสูตรข้ึนต้นบท “อเสวนา...” เจ้าภาพลุกข้ึน ทม่ี าเจริญพระพุทธมนตใ นงานนั้น โดยมกั ผินพระพักตรไ ปทางทิศตะวนั ออกหรือทิศ จุดเทียนน�้ามนต์แล้วประเคนภาชนะส�าหรับท�าน�้ามนต์ต่อหัวหน้าสงฆ์เพ่ือท่านจะได้ท�าน�้ามนต์ เหนอื และต้ังอยทู างขวามอื ของแถว พระสงฆ ดงั นนั้ ผูจ ดั งานจงึ ควรดูแลรักษา ตอ่ ไป ความสะอาดของพระพทุ ธรูป รวมถึงจดั โตะ หมูบ ชู าใหเ รยี บรอยสวยงาม เพ่ือความเปน ๑.๑๐) เล้ยี งพระ ถ้าจัดงานวนั เดยี ว หลังจากพระเจริญพระพุทธมนต์เสรจ็ แลว้ สิริมงคลแกตนเองและผูมารว มในพิธีดว ย) ก็ให้ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เสร็จแล้วถวายไทยธรรม (ของท่ีเหมาะสมแก่การถวายพระ) • เพราะเหตใุ ดจงึ หา มผรู ว มพธิ ขี า มวง สายสิญจนท ่ลี อ มไว ต่อจากน้นั พระสงฆ์อนโุ มทนา ขณะพระวา่ บท “ยถา...” ใหเ้ ร่ิมกรวดนา้� ใหเ้ สรจ็ กอ่ นจบบทยถา… (แนวตอบ วงสายสญิ จนทลี่ อ มไวเปรียบ เหมอื นเขตประกอบพธิ ี รวมถงึ การปองกนั นพา�้อพพรระะพวทุ่าบธมทน“ตส2เ์ พป็นฺพอีตันิโยเส..ร.็จ” พใิธหี ้นั่งประนมมือรับพรตลอดไปจนจบ หลังจากน้ันรับการประพรม สิ่งไมด ีงามไมใหกลา้ํ กรายเขา มายงั พ้นื ที่ ประกอบพธิ ไี ด ผจู ัดพิธจี ึงวงสายสิญจนร อบ ถ้าจัดงานสองวัน (คือ เล้ียงพระในวันรุ่งขึ้น) ก็ให้จัดเตรียมเหมือนกับวันแรก บริเวณทีป่ ระกอบพิธีหรอื รอบฐานพระพุทธ- รปู บนโตะหมบู ชู าตามความเหมาะสมของ เม่ือพระมาถึง เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระแล้วอาราธนาศีลและรับศีลเหมือนวันแรก เสร็จแล้ว ลกั ษณะพื้นที่ อยางไรกต็ ามควรโยงดว ย คาํ นงึ ถึงมิใหมีการเดนิ ขาม สว นผรู วมพธิ ีเมื่อ ไม่ต้องอาราธนาพระปริตร พระสงฆ์จะเริ่มสวดถวายพรพระเอง ถ้ามีการตักบาตรก็เร่ิมตัก จาํ เปน ตอ งผา นวงสายสญิ จนน ัน้ ก็ควรกม ศีรษะผานไป ไมค วรกา วขา ม) ขณะพระสงฆ์สวดถึงบท “พาห�ุ” แล้วตักให้เสร็จก่อนพระสวดจบ พอสวดจบก็ประเคนให้พระฉัน • จดุ ประสงคข องการกรวดนา้ํ คอื อะไร ได้ทันที แล้วด�าเนินพิธีไปตามล�าดับดังกล่าว (แนวตอบ การกรวดนํ้ามจี ดุ ประสงคเ พ่ือให เจาภาพหรือผูจ ัดพธิ ีอุทศิ สวนบุญสว นกุศลให มาแล้ว แกผ ลู ว งลับ ทง้ั ทีเ่ ปนบรรพบุรุษและผูลวงลบั อน่ื ๆ ที่ตองการสวนบุญ โดยกระทําภายหลัง ๑.๑๑) การกรวดน�้า กระท�า การถวายภตั ตาหารและเครอื่ งไทยธรรมแก พระสงฆแลว) เม่ือพระฉันภัตตาหารเสร็จและถวายไทยธรรม แล้ว การกรวดน�้าเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ ผู้ตาย กระท�า ๑ วันทั้งในงานมงคลและงาน อวมงคล น้�าที่ใช้กรวดควรเป็นน�้าบรสิ ุทธ์ิ และ ใช้ภาชนะส�าหรับกรวดน้�าโดยเฉพาะ ถ้าหา ไม่ได้จะใช้แก้วน้�า หรือขันน�้าก็ได้ เมื่อพระ การกรวดนำ้า คือ เป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ ผู้เป็นประธานเริ่มสวดว่า “ยถา วาริวหา” ผูท้ ล่ี ่วงลบั จึงควรสาำ รวมใจให้ม่ันและเปน็ สมาธิ 12๗ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรียนควรรู ครูควรมอบหมายใหนักเรยี นฝกปฏิบัตกิ ารกลา วคําอาราธนาบทตางๆ 1 พระปรติ ร คําวา ปรติ ร มีความหมายวา คมุ ครองรกั ษา หรือเคร่ืองคุมครอง ในพธิ เี ลย้ี งพระในงานมงคลและอวมงคล พรอมทั้งศกึ ษาความหมาย ปอ งกัน มาจากพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจา ซงึ่ ตอ มาเปน บทพระพุทธมนต จากน้นั ทองบทอาราธนาทีต่ นชาํ นาญ คนละ 1 บท ตอครผู ูสอน ทีเ่ ช่อื วา ศกั ดสิ์ ทิ ธ์เิ ทา ทปี่ รากฏรวบรวมไวม ี 7 บท เชน มงคลสูตร เกิดจากชาว ชมพทู วปี ตางถกเถยี งและตกลงกันไมไ ดวา มงคลคืออะไร จึงพากันไปทลู ถาม กิจกรรมทา ทาย พระพุทธเจา ซึ่งพระพทุ ธองคก ็ไดใ หค ําตอบวา สิง่ อนั เปนมงคลในชีวติ มี 38 ประการ หรือมงคล 38 นน่ั เอง ซึ่งธรรมอนั เปนมงคลน้ี พระพุทธเจาตรัสวาไมว า ครูควรมอบหมายใหน ักเรยี นฝกปฏิบัติการกลาวคําอาราธนาบทตา งๆ มนษุ ยหรือเทวดาปฏิบตั กิ ล็ วนเปนสริ ิมงคลแกตวั ทง้ั สิ้น ในพิธีเลี้ยงพระในงานมงคลและอวมงคล พรอมทั้งศกึ ษาความหมาย 2 นํา้ พระพุทธมนต แสดงถงึ ความเชื่อของคนไทยเกย่ี วกบั บรสิ ุทธขิ์ องนา้ํ กับ จากนน้ั ทองบทอาราธนาที่ตนชํานาญ และอธบิ ายความหมายพอสงั เขป ความศกั ด์ิสทิ ธ์ขิ องพระพทุ ธมนต เนื่องจากความผกู พันของคนไทยกับน้ํา กลาวคือ คนละ 2 บท ตอครผู สู อน เราใชน าํ้ ทงั้ ในขณะมชี วี ติ และแมแ ตส นิ้ ชวี ติ กใ็ ชน า้ํ อกี เชน ในขณะตายแลว กย็ งั ใช อาบนา้ํ ศพ ดว ยเหตนุ คี้ นโบราณจงึ ไดม คี วามรสู กึ วา นาํ้ มบี ญุ คณุ มปี ระโยชนต อ ชวี ติ และเพราะมคี วามยดึ ม่ันในความรูสกึ สาํ นึกถึงส่งิ ที่มีพระคณุ ดังน้ันเมอื่ ฤดนู ํา้ หลาก หรอื เมือ่ คราวไดฤกษง ามยามดีกจ็ ะทําพิธขี อขมาหรอื แสดงการตอบแทนบญุ คุณ คมู่ อื ครู 127

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครใู หนกั เรียนกลุมที่ 2 กําหนดคําหรอื เจ้าภาพก็เร่ิมหลั่งน�้าอุทิศส่วนกุศล โดยจับภาชนะส�าหรับกรวดด้วยมือทั้งสอง แล้วรินน�้าให้ไหล ขอความสาํ คญั เก่ยี วกับการทําบญุ เลย้ี งพระใน ลงเปน็ สาย ไม่ใช่ไหลๆ หยดุ ๆ ขณะรนิ นา�้ ควรสา� รวมใจอทุ ศิ สว่ นกุศลแกญ่ าติผ้ลู ว่ งลบั ว่า งานอวมงคล เชน การทาํ บุญหนา ศพ การ ทําบญุ อฐั ิ การอาราธนาพระสงฆสวดพระพทุ ธ- “อทิ � เม าตนี � โหตุ, สุขิตา โหนฺต ุ าตโย” มนต สายสญิ จนห รอื ภษู าโยง และบงั สกุ ุล เพ่อื ใหต วั แทนของนกั เรียนกลุมท่ี 1 ออกมาจับ เม่ือพระเริม่ สวดบทอนโุ มทนาซ่ึงเริม่ ดว้ ยคา� วา่ “สพฺพตี โิ ย...” ควรรินน้า� ที่กรวดเทลง สลากและรบั ผดิ ชอบหนา ทใ่ี นการตอบคําถาม ในภาชนะท่ีรองรับให้หมด และประนมมือรับอนุโมทนา เมื่อพระสวดจบแล้ว น�าน�้าท่ีกรวดอุทิศ ที่เกยี่ วของกับคําหรอื ขอความสาํ คญั ดงั กลาวที่ ส่วนกศุ ลไปเทลงที่พนื้ ดนิ นอกอาคาร อยา่ เทลงกระโถน ใต้ถุนบ้าน หรอื ในที่สกปรก กลุมตนกําหนด เชน • การถวายผา บงั สกุ ุลในการทาํ บญุ เลยี้ งพระใน ๒) การท�าบุญเล้ียงพระในงานอวมงคล การท�าบุญงานอวมงคล หมายถึง งานอวมงคลมีข้นั ตอนโดยสงั เขปอยา งไร (แนวตอบ การถวายผา บังสกุ ุลมีเฉพาะในการ การทา� บญุ เกยี่ วกับเรือ่ งการตาย นยิ มทา� กันอยู่ ๒ อย่าง คือ ทา� บญุ หนา้ ศพท่ีเรยี กกันวา่ ทา� บญุ ทําบญุ เล้ยี งพระในงานอวมงคล โดยกระทาํ ๗ วนั ๕๐ วัน หรือ ๑๐๐ วันอยา่ งหน่งึ กับทา� บุญอฐั หิ รือท�าบญุ ปรารภการตายของบรรพบุรษุ หลังจากพระสงฆฉ นั ภัตตาหารเสรจ็ ผูจดั พิธี ในวันคล้ายกับวนั ตายของผลู้ ่วงลบั อกี อยา่ งหน่งึ หรือตัวแทนประเคนผา บังสกุ ุลท่ีประกอบดว ย จีวร สงั ฆาฏิ หรอื ผา กราบแดพ ระสงฆ ดวย การท�าบุญดังกล่าวส่วนใหญ่มีขั้นตอนและการปฏิบัติเหมือนกับการท�าบุญเล้ียงพระ การทอดวางไวเบอื้ งหนาพระสงฆบ นดาย ในงานมงคล แต่มีข้อแตกต่างทสี่ า� คัญ คือ สายสญิ จนหรือภษู าโยงจากศพหรอื โกศ) ๑. นิยมอาราธนาพระสงฆ์ ๘ รูป หรือ ๑๐ รูป และในการอาราธนานั้นให้ใช้ค�าว่า 2. ครูสนทนารวมกันกบั นักเรียนถงึ ความแตกตา ง ของการทําบญุ เลย้ี งพระในงานมงคลและงาน “ขออาราธนาสวดพระพทุ ธมนต”์ มใิ ช่ “เจริญพระพทุ ธมนต์” เหมอื นงานมงคล อวมงคล แลว สอบถามนกั เรยี นถงึ ความรูค วาม เขาใจเกีย่ วกับศาสนพธิ ีทีน่ ักเรยี นไดศ ึกษามา ๒. ไมต่ อ้ งวงสายสญิ จน ์ ไมต่ อ้ งตงั้ ภาชนะสา� หรบั ท�าน้า� มนต์ 1 จากนัน้ ใหน ักเรยี นชว ยกันสรปุ ความรูที่ไดจาก การศกึ ษาเกีย่ วกบั ศาสนพิธี นกั เรยี นบันทึกการ ๓. เตรยี มสายสิญจน์หรือภูษาโยงตอ่ จากศพหรอื โกฎใส่กระดกู เพอื่ ใช้บงั สุกุล สรปุ ความรลู งในสมดุ การปฏิบัติน้ัน เมื่อพระสงฆ์มาถึง การทำาบุญในงานอวมงคล เมื่อพระสงฆ์แสดงพระธรรม แล้วก็คล้ายกับงานมงคล ต่างกันเพียงว่าใน เทศนาจบ เจา้ ภาพจะประเคนเคร่อื งไทยธรรมถวาย งานอวมงคลหลังจากพระสงฆ์ฉันเสร็จ นิยม ให้มบี งั สุกุล แล้วจงึ ถวายเครือ่ งไทยธรรม (การ 128 บังสุกุล คือ การถวายผ้า เช่น จีวร สังฆาฏิ หรือผ้ากราบแด่พระสงฆ์) ทั้งนี้การถวายผ้า บงั สกุ ลุ นไี้ มต่ อ้ งประเคนเพยี งถวายไวเ้ ฉพาะหนา้ แต่ท�าโดยทอดผ้าวางไว้บนสายสิญจน์ หรือ ภูษาโยงจากศพตรงหน้าพระสงฆ์แต่ละรูปตาม ล�าดับ ผู้ทอดผ้าจะเป็นคนเดียวหรือหลายคน ก็ได้ นักเรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’53 ออกเกยี่ วกบั การทําบญุ งานมงคล 1 บงั สกุ ุล ผาบังสุกุล หรอื บงั สกุ ลุ จีวร ในปจ จุบันมกั ใชเปน คํากริยา หมายถึง การทําบุญในงานมงคล เม่อื พระสงฆนง่ั ประจาํ อาสนะแลว การท่พี ระสงฆช กั เอาผาซึง่ เขาทอดวางไวท่ศี พ ทห่ี บี ศพหรอื ท่ีสายโยงศพ ซง่ึ ใน เจาภาพจดุ ธูปเทยี นบชู าพระ จะมกี ารอาราธนาใดบา ง ความหมายเดิม หมายถึง ผาทเ่ี กลอื กกลัว้ ดวยฝุน ผาทไ่ี ดม าจากกองฝนุ ซึง่ เขาทงิ้ 1. อาราธนาศลี แลว ตลอดถึงผา หอคลมุ ศพทเ่ี ขาทิง้ ไวใ นปาชา ไมใ ชผ าทีช่ าวบา นถวาย 2. อาราธนาพระสงฆ 3. อาราธนาพระธรรม มมุ IT 4. อาราธนาพระปริตร วเิ คราะหค าํ ตอบ การทําบญุ ในงานมงคล หลังจากพระสงฆนั่งประจํา ศกึ ษาคน ควาขอมลู วนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาตาง ๆ และฟง บทสวดมนต อาสนะ เจาภาพจดุ ธูปเทียนบชู าพระแลว มีการอาราธนาศีล อาราธนา และคาํ อาราธนาเพมิ่ เตมิ ไดท่ี http://www.buddhajayanti.net/th/index.php พระปรติ รตามลาํ ดบั ดงั นัน้ คําตอบคอื ขอ 1. และขอ 4. เวบ็ ไซตศูนยป ระชาสัมพันธการจัดงานฉลองพทุ ธชยนั ตี 2,600 ป แหง การตรัสรขู อง พระพทุ ธเจา กรมประชาสมั พันธ 128 คูม่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา้ ใจ Expand เÊรÔÁÊารÐ ครใู หนกั เรยี นรวมกลมุ กัน กลุม ละ 4 คน เพื่อใหช วยกนั ศกึ ษาความรเู กย่ี วกับศาสนพิธี การกรวดนํา้ ในสว นของพธิ แี สดงตนเปน พทุ ธมามกะเพม่ิ เตมิ จากแหลงการเรยี นรอู ืน่ เชน หนังสอื หรือเว็บไซต การกรวดน้ำา หมายถึง การอุทิศส่วนกุศล อันพึงจะเกิดจากการทำาบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วโดยวิธีการ ของหนว ยงานที่เกีย่ วขอ งกบั การสง เสรมิ พระพุทธ- หล่ังน้าำ พรอ้ มกบั กลา่ วคำาอุทศิ (คาำ กรวดน้ำา) ศาสนา ผชู าํ นาญการประกอบพิธีกรรมทาง พระพุทธศาสนา รวมถงึ พระสงฆ แลว เขารว ม การกรวดนำา้ มีวัตถปุ ระสงค์และความสาำ คญั ดงั น้ี พิธกี ารแสดงตนเปนพุทธมามกะ หรือจัดทาํ ช้นิ ๑. เปน็ ประเพณที างพระพทุ ธศาสนาท่ยี ึดถอื ปฏบิ ตั ิสืบต่อกันมา งานเผยแพรค วามรูค วามเขาใจเก่ยี วกับแนวทาง ๒. เป็นการแสดงความกตัญูกตเวทขี องผู้ท่ยี ังมีชีวติ อย่ตู ่อผู้มีพระคณุ ที่ล่วงลบั ไปแล้ว การปฏิบัตติ นในพธิ แี สดงตนเปนพทุ ธมามกะตาม ๓. เปน็ การแสดงความเมตตาแก่ผู้ลว่ งลับไปแล้ว โดยผู้ที่ยังมชี ีวิตอยอู่ ทุ ิศส่วนกศุ ลไปให้ ความถนัดและความสนใจ เชน วดี ิทัศน โปรแกรม การนาํ เสนอ (Powerpoint) และสมดุ ภาพ เปน ตน สายโยง ตามการพิจารณาความเหมาะสมในการมอบหมาย ชิ้นงานหรอื ภาระงานของครผู ูสอน ในงานอวมงคลไม่มีการวงด้ายสายสิญจน์ และไม่ต้องตั้งภาชนะสำาหรับทำานำ้ามนต์ แต่มีสายโยงหรือภูษา โยงต่อจากศพ เพื่อใช้บังสุกุลในงานทำาบุญหน้าศพ สายโยงนี้ก็คือด้ายสายสิญจน์นั่นเอง แต่ไม่นิยมเรียกว่าสายสิญจน์ ตรวจสอบผล Evaluate เหมือนงานมงคล จะเรียกว่า สายโยง และการเดินสายโยงนี้มีหลักว่าจะโยงสูงกว่าพระพุทธรูปท่ีตั้งในพิธีไม่ได้ และจะ ปลอ่ ยใหล้ าดลงมากบั พน้ื ทเี่ ดนิ หรอื นง่ั กไ็ มไ่ ดด้ ว้ ย เพราะสายโยงนเี้ ปน็ สายทโ่ี ยงออกมาจากกระหมอ่ มของศพ จงึ ตอ้ งโยง ครูตรวจการปฏบิ ตั ติ นในพธิ แี สดงตนเปน ใหส้ งู พอสมควร พุทธมามกะของนักเรยี นแลวบันทกึ ลงในแบบ บันทึกผลการสงั เกต หรือช้ินงานเผยแพรค วาม การแต่งกายไปงานอวมงคล รแู นวทางการปฏิบัตติ นในพธิ ีแสดงตนเปน พทุ ธมามกะของนกั เรียน โดยพจิ ารณาความ การแตง่ กายไปงานอวมงคล ตามประเพณนี ยิ มชายแตง่ ชดุ สากลนยิ มสเี ขม้ สวมปลอกแขนทกุ ขท์ แ่ี ขนเสอ้ื ขา้ งซา้ ย ถูกตอ งเหมาะสม และความคลอ งแคลว ในการ เหนอื ขอ้ ศอก หรอื แตง่ กายชดุ ไทยพระราชทานสดี าำ ทง้ั ชดุ หรอื กางเกงสดี าำ หรอื สเี ขม้ เสอ้ื สขี าว หญงิ นงุ่ ผา้ ซน่ิ หรอื กระโปรง ปฏบิ ตั ิขั้นตอนตา งๆ ตามสมัยนยิ ม ควรเป็นสดี าำ ท้ังชดุ รองเทา้ ควรเปน็ รองเท้าหุ้มสน้ สดี าำ และไมค่ วรใส่เครอื่ งประดับใหม้ ากเกินเหตุ พระพุทธศาสนาไดกําหนดวันตางๆ ท่ีมีความสัมพันธเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา ข้ึนหลายวันใหชาวพุทธถือเปนวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา อาทิ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา วันอาสาฬหบูชา เปนตน ท้ังน้ีวันสําคัญเหลานี้นอกจากจะทําใหพุทธศาสนิกชน ไดระลึกถึงความสําคัญของพระพุทธศาสนา และพระพุทธเจาแลว ยังถือเปนโอกาสอันดีที่ พุทธศาสนิกชนจะไดปฏิบัติธรรม กระทําคุณความดีตามหลักคําสอนของพระพุทธองคอีกดวย ในวนั สาํ คัญดงั กลา วน้ี พทุ ธศาสนิกชนนยิ มไปวัดเพ่ือฟง ธรรม เวยี นเทียน หรือปฏิบตั ศิ าสนกจิ อน่ื ๆ ท่ีเหมาะสม ท้ังนี้กิจกรรมตางๆ ทางพระพุทธศาสนานี้เรียกวา ศาสนพิธี ดังนั้น ศาสนพิธีจึงเปน ส่ิงสําคัญที่พุทธศาสนิกชนควรศึกษาใหถองแท เพื่อจะไดเกิดความเขาใจและสามารถนําไปใชปฏิบัติ เพือ่ ไปรวมงานไดอยางถกู ตองเหมาะสม ÍµÚµÒ ËàÇ ªÔµí àÊÂÚâ 129 ª¹Ðµ¹¹èѹáËÅÐ´Õ (¾Ø·¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉµÔ ) ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู แนวคิดสําคัญจากการทาํ บญุ เลยี้ งพระในงานอวมงคลคอื อะไร ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนรทู ี่เนนพฒั นาใหนกั เรยี นมที กั ษะการคดิ และการฝก แนวตอบ แนวคิดสําคัญท่ไี ดจากการทําบญุ เล้ยี งพระในงานอวมงคล ปฏิบัติ กลาวคอื ครูควรใหน กั เรยี นวเิ คราะหแ ละอภิปรายถึงหลักธรรมทเ่ี กีย่ วเน่อื ง ซ่งึ ประกอบดวย งานทําบญุ หนา ศพ และงานทําบุญอัฐบิ รรพบรุ ุษผูลวง ในวันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาตา งๆ จากความรูเกีย่ วกับพุทธประวัตแิ ละ ลบั คือ การไมป ระมาทในการปฏบิ ัตดิ ีตอ กนั และกันในขณะท่ยี ังมีชวี ติ หลักธรรมที่นกั เรียนไดศึกษามา แลวนําไปประพฤตปิ ฏบิ ัตใิ นชีวิตประจาํ วนั ไดอยาง เนอ่ื งจากทุกชวี ิตอาจเผชิญกับความตายไดตลอดเวลา และไมสามารถ ถกู ตอ งเหมาะสม และมอบหมายใหนักเรยี นฝกปฏบิ ตั ติ นในพธิ กี รรมทางศาสนา เอือ้ เฟอ ชว ยเหลือกันไดด ังเชน ตอนมีชีวิตอยู โดยเฉพาะนักเรียนพงึ ปฏบิ ัติ ตางๆ โดยใชค วามรทู ไ่ี ดศึกษามา เชน การเขา รวมพิธีการเวียนเทยี น ทําบุญ ตนตามหลกั ทิศ 6 โดยเปนลูกท่ดี ขี องพอ แม เชื่อฟงคําส่ังสอน ตั้งใจศกึ ษา ตกั บาตรในวันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา ท้ังนี้ครเู ปน ผคู อยเสนอแนะเพ่มิ เตมิ เลา เรยี น ใชจา ยอยางประหยัด ชวยเหลืองานของทา นตามความสามารถ เพอื่ ใหน กั เรยี นเกิดความรคู วามเขาใจในหลักธรรมทีเ่ กี่ยวเนอื่ งในวนั สาํ คัญทาง ไมกอ ความเดอื ดรอนราํ คาญใหทาน ตลอดจนสรา งชื่อเสียง ความภาคภมู ิ พระพทุ ธศาสนาและสามารถปฏบิ ัติตนตามหลักธรรมดงั กลาว ตลอดจนปฏบิ ตั ติ น ใหแ กท า นและวงศตระกูลตามสมควร ในพธิ ีกรรมทางพระพุทธศาสนาไดอ ยา งถูกตอ งเหมาะสม คู่มอื ครู 129

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูตรวจสอบความถกู ตองในการตอบคําถาม คาปถระาจÓมหนว่ ยการเรยี นรู้ ประจาํ หนว ยการเรยี นรู ๑. ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้ามีใจความส�าคัญ คือ “ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท” หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู นักเรียนควรปฏิบัติอยา่ งไรจึงจะเปน็ ผู้ท่ีได้ชื่อวา่ ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท 1. ผลการวิเคราะหหลักธรรมหรือคติธรรม ๒. การเขา้ รว่ มพิธกี รรมทางศาสนาหรอื ศาสนพธิ ตี า่ งๆ มีความส�าคญั และมปี ระโยชน์อย่างไร ท่เี ก่ียวเนอ่ื งในวนั สําคญั ทางพระพุทธศาสนา ๓. การที่นักเรียนได้ศึกษาหลักธรรมที่เกี่ยวเนื่องในวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนามีประโยชน์ 2. บันทกึ การปฏบิ ตั ิตนตามหลกั ธรรมหรอื คตธิ รรม ต่อตวั นกั เรยี นเองอยา่ งไรบ้าง ทเี่ กย่ี วเน่อื งในวนั สําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา 3. การปฏบิ ตั ติ นในพิธแี สดงตนเปน พุทธมามกะ หรือชนิ้ งานเผยแพรค วามรูแนวทางการปฏบิ ัติ ตนในพิธแี สดงตนเปนพทุ ธมามกะ 4. สมุดบนั ทึกของนกั เรียน กิจสรก้ารงรสมรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ กิจกรรมท่ี ๑ นักเรียนเขียนเล่าประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าร่วมในศาสนพิธีหรือ กจิ กรรมท่ี ๒ พิธีกรรมต่างๆ ตามศาสนาท่ีตนนับถือ รวมถึงประโยชน์ท่ีได้รับจากการ เขา้ ร่วมศาสนพิธีหรือพธิ ีกรรมดังกลา่ ว ออกแบบและท�าแผ่นพับแนะน�าเก่ียวกับวันส�าคัญ ส�าหรับนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติให้รู้จักพระพุทธศาสนามากขึ้น เนื้อหาอาจประกอบด้วย เหตุการณ์ที่ส�าคัญท่ีเกิดข้ึนในวันนั้น การปฏิบัติตนในวันส�าคัญทาง พระพทุ ธศาสนาของพทุ ธศาสนิกชน ฯลฯ สง่ ครูผสู้ อน 130 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. การปฏิบัตติ นตามปจฉิมโอวาท คอื ความไมป ระมาท ในสถานภาพของนักเรยี นก็คอื การยังประโยชนข องตนเองใหถึงพรอมดว ยการตัง้ ใจศึกษาเลาเรียนและชวยแบง เบาภาระของบิดามารดาตามสมควร สว นการยังประโยชนแ กผอู น่ื น้นั นกั เรียนพงึ กระทําตามความสามารถ ความสนใจ และความเหมาะสม 2. การเขารวมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนามปี ระโยชนท ้ังทางตรงและทางออ ม กลา วคอื ประโยชนในทางตรง ไดแก การมีสว นชวยธาํ รงไวซ ่งึ พระพุทธศาสนาจากการเขา รวมพิธกี รรมตา งๆ เชน การถวายเครอ่ื งไทยธรรมแกพ ระสงฆ รวมถึงการมีสวนรว มกับกิจกรรมในทอ งถ่ินหรอื ศาสนิกในศาสนาเดียวกนั สวนประโยชนใ นทางออ มที่ สําคัญ ไดแก การนอมนาํ ใจสูพระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา และนาํ ไปสกู ารประพฤตปิ ฏิบตั ิไดอยางถูกตองเหมาะสม 3. มีสว นชวยใหต ระหนักถงึ คุณคา ของวนั สําคัญทางพระพทุ ธศาสนาในระดบั การดาํ เนินชวี ติ กลาวคอื เมื่อเกิดความรูค วามเขา ใจในหลกั ธรรมหรอื คตธิ รรมท่ีเก่ียวเนื่องกับ วันสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา ตลอดจนเทศกาลทางศาสนาอยา งถอ งแทแ ลว ก็จะสามารถนําหลกั ธรรมหรือคติธรรมนั้นไปปรับใชในชวี ิตท้งั ในสว นของการแกป ญ หาหรือ พฒั นาตนเองไดอ ยา งถูกตองเหมาะสม อนั นาํ ไปสูค วามสุขความเจริญทั้งชวี ติ สว นตวั และสังคมสวนรวมไดในทีส่ ุด 130 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. สามารถบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญ ญาตามหลัก สติปฏ ฐานได 2. ปฏบิ ัติตนในการพัฒนาชวี ิตดวยวธิ คี ิดแบบ โยนิโสมนสิการได สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแกป ญ หา 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ิต ๗˹Nj ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙ·Œ èÕ á¡ÅÒÐáºÒÃÃà¨ËÔ ÃÔ-Òû˜-¨Ôµ- Ò คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค 1. ใฝเ รยี นรู 2. อยอู ยา งพอเพยี ง 3. มงุ มนั่ ในการทํางาน Á¹ØÉÁÕʋǹ»ÃСͺÊíÒ¤ÑÞ ò ʋǹ ¤×Í Ã‹Ò§¡Ò¡Ѻ¨Ôµã¨ ʋǹËҧ¡Ò¹éѹàÃÒµŒÍ§àÍÒã¨ãÊ‹ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ´ÙáÅ ºíÒÃØ§àÅÕé§´Ù´ŒÇ¢ŒÒÇ»ÅÒÍÒËÒÃÍ‹ÙàÊÁÍ ¨Ö§à¨ÃÔÞàµÔºâµä´Œ ʋǹ¨Ôµã¨¹Ñ鹡経ͧËÒÍÒËÒÃÁÒ ครใู หนกั เรยี นพจิ ารณาภาพการเดินจงกรมที่ ºÒí Ã§Ø àÅÕé§´´Ù ŒÇÂઋ¹¡Ñ¹ ËÒäÁ‹áÅŒÇÍÒ¨à¡Ô´¡Òà “¾Ô¡Ò÷ҧ¨Ôµ” ä´Œ หนาหนวยการเรยี นรู แลว ต้ังคําถามถงึ ประโยชน และความสําคัญของการบริหารจิตทม่ี ีลักษณะ ¡Òýƒ¡ÊÁÒ¸àÔ »¹š ¡ÒÃãËŒÍÒËÒ÷ÕÁè ¤Õ Ø³ÀҾᡋ¨Ôµã¨ÍÂÒ‹ §Ë¹§èÖ ¨µÔ 㨷èäÕ ´ÃŒ Ѻ¡ÒúÒí ÃØ§Ã¡Ñ ÉÒ´ŒÇ กระตนุ ความสนใจใหน กั เรียนชวยกนั ตอบ เชน ÊÁÒ¸Ô Â‹ÍÁ¨ÐÁÕ¤ÇÒÁºÃÔÊØ·¸Ôì ÊÐÍÒ´ Áդس¸ÃÃÁ ÁÕ¤ÇÒÁࢌÁá¢ç§ ÁÕ»ÃÐÊÔ·¸ÔÀҾ㹡Ò÷íÒ§Ò¹ ÁÕ¤ÇÒÁ¼Í‹ ¹¤ÅÒ â»Ã‹§ àºÒ ʧºÊØ¢ ¤ÇÃá¡‹¡Òþ²Ñ ¹Ò§Ò¹·Ò§Êµ»Ô ˜ÞÞÒ ¤Í× ¨Ð͋ҹ¿§˜ ËÃÍ× È¡Ö ÉÒ • การบริหารจติ มคี ุณคา หรือประโยชนอ ยา งไร ÊèÔ§ã´ ¤´Ô äµÃµ‹ ÃͧÊÔè§ã´ ¡¨ç Ðà¡´Ô ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁà¢ÒŒ 㨠áÅФÇÒÁªíÒ¹ÒÞä´âŒ ´ÂäÁ‹ Ò¡ (แนวตอบ การบรหิ ารจติ มคี ณุ คา ในการ ระงบั นิวรณ หรอื คณุ คา ในทางธรรม อนั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู กนกลาง เปน จดุ มุง หมายสูงสดุ ของพระพทุ ธศาสนา โดยสามารถขจัดกิเลสท่ีปด กั้นจิตใจมิให ส ๑.๑ ม.๔/๑๙, ๒๐ ■ พฒั นาการเรยี นรดู ว ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร ๑๐ วธิ ี พัฒนาสงู ได อันนําไปสปู ญญาในการรแู จง ■ เห็นคุณคา เช่ือมั่น และมุงมั่นพัฒนาชีวิตดวยการพัฒนาชีวิต - วธิ คี ดิ แบบรเู ทา ทนั ธรรมดา (คดิ แบบสามญั ลกั ษณะ) ความจรงิ สูงสุด และมีประโยชนใ นระดบั - วธิ คี ดิ แบบเปน อยใู นขณะปจ จบุ นั การดําเนนิ ชวี ติ หรือในทางโลก ชว ยใหมี ดว ยการพฒั นาจติ และพฒั นาการเรยี นรดู ว ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ ส- คณุ ภาพในการเรียนรูส่ิงตางๆ อันนาํ ไปสู มนสิการ หรือการพัฒนาจิตตามแนวทางของศาสนาที่ตน ■ รแู ละเขาใจวิธีปฏิบัติและประโยชนของการบริหารจิตและเจริญ ปญญาในการแกปญหาและพฒั นาชีวิตให นบั ถือ ปญ ญา ประสบความสาํ เรจ็ ได) ■ สวดมนต แผเมตตา และบริหารจิตและเจริญปญญาตามหลัก - ฝก การบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญ ญาตามหลกั สตปิ ฏ ฐาน สติปฏ ฐานหรอื ตามแนวทางของศาสนาทตี่ นนับถือ - นาํ วธิ กี ารบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญ ญาไปใชใ นการพฒั นา การเรยี นรู คณุ ภาพชวี ติ และสงั คม เกร็ดแนะครู ครคู วรจัดกจิ กรรมการเรยี นรทู เี่ นน การพัฒนาทักษะกระบวนการ เชน ทกั ษะ การคิดแกป ญ หา ทักษะการฝก ปฏบิ ัติ และกระบวนการกลุม เพือ่ ใหนกั เรยี น เหน็ คณุ คา เชอ่ื มนั่ และมุงมนั่ พฒั นาชีวิตดวยการพัฒนาจติ และพัฒนาการเรยี นรู ดว ยวิธคี ดิ แบบโยนโิ สมนสิการ และบริหารจติ และเจรญิ ปญ ญาตามหลักสติปฏ ฐาน ดงั ตัวอยางตอไปน้ี • ครูใหนกั เรียนศกึ ษาความรเู กีย่ วกับการบรหิ ารจิตจากหนงั สอื เรยี นและแหลง การเรยี นรูท่คี รเู สนอแนะ แลว อธิบายความรูโ ดยการเขียนรายละเอยี ดลงใน ตารางและจัดทาํ ผังกราฟกบนกระดานหนาช้ันเรยี น จากนัน้ จับคูเพ่ือชว ย กนั ศกึ ษาคน ควาเพม่ิ เตมิ และเตรียมการสาธิตการบรหิ ารจิตดวยวธิ ีการนัง่ กาํ หนดหรือน่งั สมาธิ และการเดนิ จงกรม พรอ มทั้งฝกปฏิบตั ิในชวี ติ ประจาํ วนั เปนรายบุคคล แลว จัดทาํ เปน บนั ทึกการฝก ปฏบิ ัติตน คมู่ อื ครู 131

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Elaborate Evaluate Explore Explain สา� รวจคน้ หา Explore ครูสนทนารว มกันกบั นกั เรียนถึงความรูท ่วั ไป เกี่ยวกบั การบริหารจติ และประโยชนของการบริหาร ๑. การบริหารจิต จติ ท่นี กั เรียนเคยศกึ ษาและฝก ปฏิบัตมิ า โดยอาจ ใหนักเรียนทส่ี มคั รใจเลา ประสบการณก ารฝก การบริหารจิต คือ การฝึกจิตให้มีสมาธิ หรือการฝึกสมถกรรมฐาน “สมาธิ” หมายถึง บริหารจติ และผลท่ีไดรบั ของตน แลว ใหน กั เรยี น ความตั้งม่ันแห่งจิต หรือภาวะท่ีจิตมีเรื่องที่คิดเป็นหนึ่ง หรืออาการที่จิตแนบแน่นอยู่กับส่ิงใด ศึกษาความรเู ก่ยี วกับการบรหิ ารจติ ท้งั ในสว นของ สง่ิ หนง่ึ นานๆ ประโยชนของการบริหารจติ การบริหารจิตตาม ๑.๑ ประโยชน์ของการบรหิ ารจติ หลกั สตปิ ฏ ฐาน จากหนงั สือเรยี น หนา 127-137 และใบความรทู ่ีครจู ัดทําข้ึนโดยรวบรวมขอมูลจาก การบริหารจติ ดว้ ยการทำาสมาธิมปี ระโยชน์มากมาย ดังนี้ แหลง การเรียนรตู า ง ๆ เชน หนงั สอื เกี่ยวกับการ ๑) ประโยชนข์ องการบรหิ ารจติ ระดบั ชีวิตประจำาวัน เชน่ บริหารจติ ในหอ งสมดุ พระหรือผเู ช่ียวชาญดานการ ๑. ท�ำให้จิตใจสบำยหำยเครยี ด มคี วำมสุขผ่องใส บริหารจติ รวมถึงเว็บไซต อาทิ http://edltv.thai. ๒. หำยจำกกำรวติ กหวำดกลวั หำยกระวนกระวำย net/index.php?mod=Courses&lfi e=showcontent ๓. นอนหลับง่ำย หลับสนิทไม่ฝันร้ำย สั่งตัวเองได้ เช่น ก�ำหนดให้หลับได้ ตื่นตำมเวลำ &cid=223&sid=210 เว็บไซตโครงการจดั ทาํ เน้ือหา ทต่ี ้องกำร ระบบ e-Learning ของการศกึ ษาทางไกลผาน ๔. มีควำมว่องไวกระฉับกระเฉง รจู้ ักกำรตดั สินใจเหมำะแก่สถำนกำรณ์ ดาวเทียม มลู นธิ ิการศึกษาทางไกลผานดาวเทียม ๕. มีควำมเพียรพยำยำมแน่วแนใ่ นจุดหมำย มคี วำมใฝ่สัมฤทธสิ์ ูง ๖. มีสติสมั ปชัญญะรู้เทำ่ ทันปรำกฏกำรณ์ ยับย้งั ชง่ั ใจได้ดีเยี่ยม อธบิ ายความรู้ Explain ๗. มปี ระสทิ ธภิ ำพในกำรทำ� งำน เช่น เรยี นหนงั สอื เก่ง ท�ำกิจกำรงำนทุกอยำ่ งสำ� เร็จดี ๘. ส่งเสริมควำมจำ� และสมรรถนะทำงสมอง ครสู นทนารวมกนั กับนกั เรยี นถงึ ความรทู ัว่ ไป ๙. เกือ้ กูลแกส่ ภำพทำงกำย เช่น ชะลอควำมแก ่ คือ ดูออ่ นกว่ำวยั เกย่ี วกบั การบริหารจติ ท่นี ักเรียนศกึ ษามา แลว ตงั้ ๒) ประโยชน์ของสมาธใิ นการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ มดี งั ต่อไปน้ี คาํ ถามเกี่ยวกับความหมายของการบริหารจติ ให นักเรียนชว ยกันตอบ เชน • การบริหารจิตกบั สมาธิมคี วามเกย่ี วของ ๑. ทำ� ให้มีบคุ ลิกเขม้ แขง็ หนักแน่นมัน่ คง สัมพันธกนั อยางไร ๒. มคี วำมสงบเยือกเย็น ไม่ฉุนเฉียวเกร้ยี วกรำด (แนวตอบ สมาธเิ ปน ภาวะทเ่ี กิดข้นึ จากการฝก ๓. มคี วำมสุภำพนุ่มนวล ท่ำทีมีเมตตำ บรหิ ารจิตดวยวธิ ีการตา งๆ เปน ภาวะอาการ ๔. สดช่ืนผอ่ งใส ยิ้มแย้ม เบิกบำน ๕. สงำ่ องอำจ น่ำเกรงขำม ท่จี ิตแนบแนน อยูกบั ส่งิ ใดสง่ิ หน่งึ นานๆ จึงมี ๖. มเี สน่หด์ งึ ดูดใจ ประโยชนท ง้ั ในระดับชีวิตประจาํ วัน คอื ชวย ๗. มคี วำมมนั่ คงทำงอำรมณ์ สง เสริมใหเปน ผูม ีปญญาในการดําเนนิ ชีวิต ๘. กระฉบั กระเฉง กระปรีก้ ระเปรำ่ ไม่เซอื่ งซึม และมีคณุ คา อยา งยิ่งในระดับจดุ มุงหมายทาง ๙. พรอ้ มเผชิญเหตุกำรณ์ตำ่ งๆ สำมำรถแกไ้ ขสถำนกำรณ์คับขันได้ พระพุทธศาสนา คอื ชวยระงับกเิ ลสท่ขี ัด ๑๐. มองอะไรทะลุปรโุ ปรง่ รับรอู้ ะไรไดไ้ ว รู้จักตนเองและผู้อืน่ ตำมควำมจริง ขวางการพัฒนาจิตใหเกดิ ปญญาอันนําไปสู 132 การคน พบความจรงิ และการหลดุ พน จากทกุ ข ของชีวิตได) ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับการบริหารจิตตามหลกั สติปฏ ฐาน ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรียนรูทีเ่ นนการฝก ปฏบิ ัตแิ ละการนําไปประยกุ ตใชใน การบริหารจติ โดยวธิ อี านาปานสติ อยูในสตปิ ฏฐานใด ชีวติ ประจาํ วนั ของนักเรียน ท้ังในสวนของการบรหิ ารจิตตามหลกั สติปฎ ฐาน และ 1. กายานปุ สสนา การเจริญปญญาตามหลักโยนิโสมนสกิ าร โดยอาจนาํ กรณตี ัวอยา งของบุคคลที่ 2. เวทนานปุ สสนา บริหารจิตตามหลักสติปฎ ฐาน ซง่ึ มสี วนชว ยสงเสรมิ ใหป ระสบความสาํ เร็จในดาน 3. จติ ตานปุ ส สนา ตา งๆ และขาวของบคุ คลท่ีเจริญปญญาตามหลักโยนโิ สมนสิการ ซ่ึงมีสวนชว ย 4. ธมั มานปุ สสนา ใหส ามารถแกป ญหาหรอื พฒั นาตนเองไดอยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ ควรยดึ ถือเปน แบบอยาง เพ่ือใหนักเรียนตระหนกั ถงึ ประโยชนและคณุ คาของการบริหารจิตและ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. กายานปุ สสนา เปนการบริหารจิตดวย เจรญิ ปญ ญาในทางพระพุทธศาสนาและสามารถนาํ ความรูความเขาใจไปใชใหเ กดิ ประโยชนแกต นเองและสงั คมตอไป การพิจารณากาย โดยอานาปานสตเิ ปนการบริหารจิตจากการกําหนดลม หายใจเขา ออกโดยอาการตา งๆ ซ่ึงอาจภาวนายบุ หนอ-พองหนอ พุท-โธ หรอื ใชหมายเลขกาํ กับกไ็ ด 132 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหนักเรียนทสี่ มัครใจ 2-4 คน ออกมาชว ย กันอธบิ ายความรเู กี่ยวกับประโยชนข องสมาธิ ท่แี นบแน่นถึง๓ระ)ดปับร“ะอโยปั ปชนนาข์ สอมางธส”ิ ม1หาธรอืทิ สเ่ี มปาน็ ธจิระดุ ดหบั มฌาานยขผอไู้ งดศ้สมาาสธนิราะดบั รนะดีจ้ บัิตในจห้ี จมะสายงบเอแานสว่มแานธิ่ ในระดับชีวิตประจําวันทหี่ นา ช้นั เรียน โดยการ เขยี นรายละเอียดลงในตารางบนกระดานซึ่ง มาก สามารถระงับ “นิวรณ์” (กิเลสที่ปิดกั้นจิตมิให้พัฒนาสูงขึ้น) ได้หมด พร้อมจะนำาไปสู่ ครูกําหนดหัวขอสาํ คญั ไว เชน ประโยชนดา น ปญั ญาเห็นแจ้งความจริงสงู สุด อันเป็นจดุ หมายสงู สุดทางพระพทุ ธศาสนา สุขภาพจติ และประโยชนด านสุขภาพกาย หรอื ๑.๒ การบริหารจิตตามหลักสติปฏั ฐาน ประโยชนด า นจิตใจและอารมณแ ละประโยชน ดานบคุ ลิกภาพ แลวใหน ักเรยี นในชั้นเรียน ๑) ความหมายของสตปิ ฏั ฐาน สตปิ ฏั ฐาน คอื การใชส้ ตกิ าำ กบั ๔ เรอ่ื งดว้ ยกนั ชวยกนั วเิ คราะหถ ึงรายละเอียดและประโยชน ดังน้ี ๑.๑) กายานปุ ัสสนา คอื การพิจารณากาย2มีหลกั การ ดงั นี้ ในดา นอ่ืนๆ เพม่ิ เติม 2. ครสู มุ นกั เรยี น 1 คน ใหอธบิ ายความรเู กี่ยว กับประโยชนข องการบรหิ ารจิตในระดบั ทสี่ ูง ๑. อำนำปำนสต ิ คอื ไปในทีส่ งัด นง่ั ขัดสมำธิ ตั้งกำยตรง ใช้สติกำ� หนดลมหำยใจเข้ำออก กวา การดําเนนิ ชวี ติ ประจําวนั ไดแก ระดบั โดยอำกำรต่ำงๆ จุดมงุ หมายทางพระพุทธศาสนา โดยการใช คาํ ถาม แลวใหนกั เรยี นในชน้ั เรียนชวยกันเพิม่ ๒. ก�ำหนดอริ ิยำบถ คอื รขู้ ณะท่ียนื เดนิ นัง่ นอน หรอื รำ่ งกำยอยู่ในอำกำรอย่ำงไร ก็รูช้ ัด ในกำรทีเ่ ปน็ อยู่น้ัน เตมิ รายละเอยี ดของประโยชนข องการบริหาร ๓. สมั ปชญั ญะ คือ สร้ำงควำมรู้ตวั ท่ัวพร้อมในควำมเคลอ่ื นไหวทุกอยำ่ ง เช่น กำรก้ำวเดนิ จิตที่ชวยสง เสริมใหบ คุ คลบรรลุจุดหมายของ กำรเหลียวมอง กำรเหยียดมอื เหยียดเทำ้ กำรนุ่งหม่ กิน ดืม่ เคี้ยว อจุ จำระ ปสั สำวะ ศาสนาลงในตารางแสดงประโยชนของการ กำรตื่น กำรหลบั ฯลฯ ๔. ปฏิกูลมนสิกำร คือ พิจำรณำร่ำงกำยต้ังแต่ศีรษะจรดปลำยเท้ำ ให้เห็นควำมไม่สะอำด บรหิ ารจิตบนกระดานหนา ชัน้ เรยี น ทัง้ นคี้ ํานึง มีปฏกิ ลู มำกมำย ถึงความถกู ตอ งเหมาะสมตามหลักการใช ๕. ธำตุมนสิกำร คือ พิจำรณำร่ำงกำยของตน แยกส่วนประกอบเป็นธำตุ ๔ แต่ละอย่ำง ตารางในการแสดงรายละเอียดและความรู คอื ดนิ น้ำ� ลม ไฟ เกย่ี วกบั ระดบั ของประโยชนใ นการบริหารจติ ๖. นวสีวถิกำ คือ พิจำรณำซำกศพในสภำพต่ำงๆ ๙ ระยะ ตั้งแต่ตำยใหม่ๆ ไปจนถึง 3. ครูใหน ักเรียนชวยกันยกตัวอยา งประโยชนของ กระดูกผเุ ป็นจุณ ยอ้ นนกึ ถงึ ตวั เองว่ำจะตอ้ งเป็นเช่นน้นั เหมอื นกนั การบริหารจติ ในระดบั จดุ หมายของพระพุทธ- ๑.๒) เวทนานุปสั สนา คอื พจิ ารณาเวทนา เม่อื เกิดความรู้สกึ สุข ทุกข์ เฉยๆ ศาสนาจากพุทธประวตั ิ และประวัติพุทธสาวก พทุ ธสาวิกา เชน การตรสั รูข องพระพุทธเจา อย่างไรก็ใหร้ เู้ ท่าทันตามอาการท่ีเปน็ อยนู่ ั้น จากการบําเพญ็ เพยี รทางจิต ทําใหพ ระองค ๑.๓) จิตตานุปัสสนา คือ พิจารณาดูจิตของตนในขณะน้ันๆ ว่าอยู่ในภาวะ ทรงคน พบความจรงิ อนั ประเสรฐิ ของชวี ติ และ แนวทางดบั ทกุ ขข องชวี ติ เปน สมเดจ็ พระสมั มา- อยา่ งไร เช่น มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีราคะ ไมม่ ีโทสะ ไมม่ โี มหะ ฟ้งุ ซา่ น มีสมาธิ หลุดพ้น สัมพทุ ธเจา ผูต รัสรชู อบดว ยตนเองโดยแท ไมห่ ลุดพ้น โดยรูช้ ัดตามท่ีมนั เปน็ อยู่ในขณะน้ันๆ จากนน้ั ใหน ักเรียนชว ยกันสรุปสาระสําคัญของ ๑.๔) ธมั มานุปสั สนา คือ พจิ ารณาธรรมะต่างๆ ดังน้ี ประโยชนใ นการบรหิ ารจิต รวมถึงตวั อยา ง 133 ประโยชนข องการบริหารจติ ในระดบั จดุ หมาย ของพระพทุ ธศาสนาจากพทุ ธประวตั แิ ละประวตั ิ บคุ คลอื่นๆ ขางตน นกั เรียนบนั ทกึ ลงในสมุด ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกยี่ วกับจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน นกั เรยี นควรรู ขอใดคือความหมายของ “จิต” ในจิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน 1 อัปปนาสมาธิ สมาธแิ นวแน จิตตงั้ มั่นสนทิ เปน สมาธิในระดบั ฌาน สวน 1. ธรรม อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแนวแน สมาธทิ ี่ยังไมด ง่ิ ถงึ ทสี่ ดุ เปนขนั้ ทําใหกเิ ลสมี 2. อารมณ นวิ รณเ ปนตน ระงับ กอ นจะเปน อปั ปนา คอื ถึงฌาน 3. ความรูสึก 4. ความนกึ คิด 2 การพิจารณากาย เปนแนวทางสาํ คัญของการบริหารจติ ตามหลักสติปฎ ฐาน วเิ คราะหค ําตอบ จติ ตานปุ ส สนาสตปิ ฏฐาน คอื การพิจารณาจิตของ อยางไรกต็ ามการบรหิ ารในทางพระพทุ ธศาสนามหี ลายหลักการดวยกนั โดยท่ัวไป ตนเองในขณะนัน้ ๆ วา อยูในภาวะอยา งไร เชน ฟุง ซา น มสี มาธิ หรือโมโห เชน กสิณ แปลวา วตั ถอุ นั จงู ใจ หมายถงึ จงู ใจใหเ ขา ไปผกู อยู เปน ช่ือของกัมมัฏ- โดยใหรชู ดั ตามทเ่ี ปน อยูในขณะนัน้ ๆ ดังน้นั คาํ ตอบคอื ขอ 2. ฐานทใ่ี ชวตั ถสุ ําหรบั เพง เพอื่ จูงจติ ใหเ ปน สมาธิ มี 10 ชนดิ คอื ภูตกสณิ 4 ไดแ ก ปฐว-ี ดนิ อาโป-นาํ้ เตโช-ไฟ วาโย-ลม และวรรณกสณิ ไดแ ก นลี -ํ สเี ขยี ว ปต -ํ สเี หลอื ง โลหิต-ํ สีแดง โอทาต-ํ สขี าว อาโลโก-แสงสวา ง และอากาโส-ทว่ี าง คู่มอื ครู 133

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูสนทนารวมกนั กบั นักเรียนถึงความรูทวั่ ไป ๑. นิวรณ ์ คือ รชู้ ัดว่ำนวิ รณแ์ ต่ละอย่ำงมใี นใจหรือไม่ เชน่ มีกำมฉนั ทะ (ควำมใครใ่ นกำม) เกย่ี วกับการบรหิ ารจิตตามหลกั สตปิ ฏฐานท่ี พยำบำท (ควำมปองรำ้ ยในเขำ) เปน็ ตน้ แต่ละอย่ำงเกดิ ขึน้ ในจิตใจเรำไดอ้ ย่ำงไร ละได้ นกั เรียนไดศ กึ ษามา เชน ความหมาย ความ หรือไม่ ละได้ดว้ ยอำกำรอย่ำงไร โดยรู้ชดั ตำมควำมเปน็ จริงในขณะนน้ั ๆ สาํ คัญ และประเภท แลวครใู หนกั เรียนจัดทํา ผังกราฟกเก่ยี วกับการบริหารจติ ตามหลักสติ- ๒. ขนั ธ์ คือ กำ� หนดรู้ขันธ์หำ้ แต่ละอย่ำงคอื อะไร เกิดข้ึนไดอ้ ยำ่ งไร ดับได้อยำ่ งไร ปฏฐานในรูปแบบตา งๆ ตามความสนใจของ ๓. อำยตนะ คือ รู้ชัดอำยตนะภำยใน อำยตนะภำยนอกแต่ละอย่ำง รู้ชัดสังโยชน์ (กิเลส ตน เพ่ือเตรียมการอธบิ ายความรูตอ ไป ๔. โรพอ้ ชยรฌดั งใคจ1 ์) คทือ่เี กรดิ ู้ชขัดึ้นใเนพขรณำะะอนำ้นัศวยั ำ่อ ำโยพตชนฌะงนคัน้ ์ ๆ(อ งเกคิด์ปขร้ึนะกอยอำ่บงแไหรง่ ลกะำรไดตห้รัสรรือู้)ไ มเ่ไกดิดอ้ ขยึ้น่ำหงไรรือไม่ 2. ครูสอบถามนักเรยี นถึงการจัดทาํ ผังกราฟก เกี่ยวกับการบรหิ ารจติ ตามหลักสติปฏ ฐาน ใน เกดิ ขน้ึ อย่ำงไร เกดิ ขึ้นแล้วเจรญิ เตม็ ท่หี รอื ไมอ่ ย่ำงไร ประเดน็ ของการจดั ระบบความคิด การเลอื ก ๕. อรยิ สจั คอื รชู้ ดั อรยิ สจั สแ่ี ตล่ ะอยำ่ งตำมควำมเปน็ จรงิ วำ่ คอื อะไร เป็นอย่ำงไร ใชผ ังกราฟก และความรคู วามเขาใจในสาระ สําคญั ภายหลงั จากการจดั ทาํ ผงั กราฟกของ ๒) วธิ ีการบริหารจิตตามหลักสติปัฏฐาน มีดงั ต่อไปนี้ นกั เรยี น แลว สุมนกั เรียน 4 คน ใหออกมา ๒.๑) การนั�งกำาหนด คือ น่ังสมาธิ โดยน่ังตัวตรง เท้าขวาทับเท้าซ้าย ให้ อธบิ ายความรเู ก่ียวกับลักษณะของการบรหิ าร จติ ตามหลกั สตปิ ฏฐานทั้ง 4 ทห่ี นา ชั้นเรยี น น้ิวชี้และหัวแม่เท้าขวาวางบนขาซ้ายตามรอยพับขา ส่วนอีก ๓ นิ้วจะอยู่ในช่องขาซ้ายที่งอพับ โดยใชผ ังกราฟก ทตี่ นจดั ทําประกอบ ตาม ลาํ ดับดังตอ ไปน้ี เข้ามาไว้ก่อน แล้วยืดกายให้ตรง เหยียดแขนตรงไปหาเข่าให้มือกุมเข่าทั้ง ๒ ข้าง อย่าแหงน • กายานุปส สนา • เวทนานุปส สนา หน้าผากมาก แล้วยกมือซ้ายกลับมาวางหงายตรงระหว่างข้อเท้า แล้วยกมือขวาจากเข่ามาวาง • จิตตานุปสสนา • ธมั มานปุ ส สนา หงายทับลงบนมือซ้ายให้หัวแม่มือชนกันพอจรดกัน ท่านี้หลังจะตรง กระดูกสันหลังจะอยู่ในท่ี 3. ครเู สนอแนะขอควรปรับปรงุ หรอื พัฒนาในการ ของตนไมโ่ ค้งงอ แล้วเรมิ่ ทำาความรตู้ ัวว่าดูรปู นั่ง กาำ หนดว่า “น�งั หนอๆ” จัดทําผังกราฟกเพือ่ อธิบายความรูเกีย่ วกับการ บรหิ ารจติ ตามหลักสติปฏ ฐานใหสมบูรณยิ่งขน้ึ พึงหลับตาตั้งสติไว้ แกนกั เรยี นทงั้ 4 คน แลว ใหน ักเรยี นทส่ี มคั ร ใจนําเสนอผลงานการจัดทาํ ผงั กราฟกของตน ท่ีหน้าท้อง เมื่อหายใจเข้าลมจะเข้าไปในปอด ทห่ี นา ช้ันเรยี น จากนนั้ ครแู ละนักเรียนสรุป ความรแู ละสาระสําคญั โดยการชว ยกันจัดทํา ปอดจะแฟบลง ทำาให้หน้าท้องยุบลงด้วย ผงั กราฟก ความรูเก่ียวกบั การบริหารจิตตาม หลกั สตปิ ฏ ฐานท่ถี กู ตองเหมาะสมบนกระดาน ให้กำาหนดรู้อาการพอง-ยุบของท้องด้วยว่า นกั เรียนบันทกึ ลงในสมุด (ภาวนาในใจไม่ต้องออกเสียง) “พองหนอ ยุบหนอๆ ๆ” เพื่อให้รู้ปรมัตถสภาวะซ่ึงปรากฏ เองตามธรรมชาติ อย่าพยายามสูดลมแรง ใหป้ ลอ่ ยไปเองตามธรรมชาติ การนั่งกำาหนดแบบนี้ เป็นการปฏิบัติในสติปัฏฐานข้อแรก คือ กายา การนั่งกำาหนดจิตเป็นขั้นตอนหน่ึงในการบริหารจิต นปุ สั สนา สตปิ ฏั ฐาน กลา่ วคอื มสี ตสิ มั ปชญั ญะ ตามหลักสตปิ ฏั ฐาน กำาหนดรู้การกระทำาของร่างกาย ให้กำาหนดรู้ 13๔ เกร็ดแนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’53 ออกเกย่ี วกบั การพจิ ารณาเวทนาในสตปิ ฏฐาน ครูควรเตรยี มวดี ิทัศน ภาพ หรือสาธิตวธิ ีการบรหิ ารจิตตามหลกั สติปฎ ฐานทง้ั การฝกสตปิ ฏ ฐานข้นั พิจารณาเวทนาคอื อยา งไร ในสว นของการนงั่ กําหนดหรือการน่งั สมาธิ และการเดนิ จงกรม เพอ่ื ใชป ระกอบ 1. รูเทา ทนั ความรูสึก สุข ทกุ ข หรือเฉยๆ กจิ กรรมการเรียนรูใ นข้นั ตอนท่ีเหมาะสม เพอื่ กระตุนใหน ักเรยี นเกิดความสนใจใน 2. กาํ หนดรูว าอิรยิ าบถขณะนนั้ เปนอาการใด กิจกรรมการเรียนรู และมีความรคู วามเขา ใจวิธีการบรหิ ารจิตตามหลักสตปิ ฎ ฐาน 3. กาํ หนดรวู าขันธ 5 คืออะไร เกดิ ดับไดอ ยา งไร ถกู ตองชดั เจนยง่ิ ขึ้น อันจะนําไปสกู ารฝกปฏบิ ตั ใิ นชีวิตประจําวันที่จะสงผลดดี า น 4. พิจารณาดจู ติ ของตนวา มี ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม การศกึ ษาเลา เรียน การประกอบกิจกรรมตางๆ และการพัฒนาตนเอง ครอบครวั วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. รเู ทาทันความรูสกึ สุข ทกุ ข หรอื เฉยๆ รวมถึงสังคมตอไปในอนาคต เน่ืองจากความรูสึกดงั กลาว คอื เวทนา น่นั เอง การพิจารณาเวทนากค็ อื การรูเทา ทนั ความรสู กึ ตา งๆ นกั เรยี นควรรู 1 โพชฌงค ธรรมทีเ่ ปนองคแหงการตรัสรู หรือองคข องผตู รสั รูมี 7 ประการ คอื สติ ธมั มวจิ ยะ (การสอดสอ งเลอื กเฟน ธรรม) วริ ยิ ะ ปต ิ ปส สทั ธิ สมาธิ และอเุ บกขา 134 คู่มอื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครสู นทนารวมกันกบั นกั เรยี นถึงวธิ ีการบริหาร จิตตามหลักสติปฏ ฐานท่นี กั เรียนไดศึกษาและ อารมณป์ จั จุบนั ใหท้ นั ใหร้ วู้ ่าขณะนกี้ ำาลังดูนามอะไร หรอื ดรู ปู อะไรอยู่ นามรูปนน้ั เป็นอันเดยี วกัน ฝก ปฏิบัติมา ซ่งึ ไดแก การนั่งกาํ หนดหรอื การ หรือคนละอนั เชน่ พองกบั ยบุ ว่ามิใชเ่ ป็นรูปเดยี วกนั แต่เกดิ ตดิ ตอ่ กัน เป็นแต่ไม่เทยี่ ง บางคร้ัง นัง่ สมาธิ รวมถงึ การเดินจงกรม แลวสอบถามถึง กพ็ องเรว็ ยบุ เรว็ บางครง้ั กย็ บุ ลงไปนาน เปน็ ตน้ ประสบการณก ารฝกปฏบิ ตั แิ ละผลท่ีไดร ับ จากน้นั ครูใหนกั เรยี นจับคูกันตามความสมัครใจ เพ่อื ชว ย ๒.๒) การเดินจงกรม คือ กนั อธิบายความรูเ กยี่ วกับวธิ ีการบริหารจิตตาม การปฏิบัติกรรมฐานตามแบบสติปัฏฐานใน หมวดอิริยาบถปัพพะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า หลกั สตปิ ฏ ฐาน ทั้งในสว นของการนง่ั กาํ หนดหรือ “เมื่อเดินอยู่ก็ให้รู้ตัวว่าเดินอยู่” คือ มี การน่งั สมาธิ และการเดนิ จงกรม โดยสนทนาแลก เปลี่ยนความรซู ึง่ กันและกนั แลว ต้งั คําถามเตรยี ม สติสัมปชัญญะระลึกได้ก่อนทำาและขณะที่ยก ไวเพอ่ื ใหน ักเรียนคอู น่ื ชวยกันตอบ ครสู มุ นกั เรยี น เท้าก้าวไปแต่ละก้าวก็ให้รู้ตัวอยู่ว่า การท่ีก้าว ทีละคูใหออกมาถามคาํ ถามของคตู นแลว สมุ ให นักเรยี นคอู นื่ ในชนั้ เรียนชว ยกนั ตอบ ตวั อยางขอ เท้าไปได้หรือหยุดได้ หันกลับได้ ด้วยอำานาจ คําถามเชน ของธาตุท้ัง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุนำ้า ธาตุไฟ • วธิ ีการนัง่ สมาธเิ ปน การบรหิ ารจติ ตนตาม หลกั สติปฏ ฐานใด อธบิ ายพอสังเขป ธาตุลม ประชุมกันและเกื้อกูลกัน จึงทำาให้ การเดินจงกรมเป็นการปฏิบัติกรรมฐานตามแบบ (แนวตอบ การนั่งสมาธเิ ปน การบรหิ ารจิตตาม ร่างกายเคลื่อนไปได้ การเดินจงกรมจะช่วย สตปิ ัฏฐานอกี วิธีหนึ่งท่ีใชค้ วบคุมจิตให้สงบน่ิง หลกั สติปฏฐานในขอกายานปุ ส สนา คือ การ ปรบั อินทรียข์ องผู้ปฏิบัตวิ ิปัสสนาให้แกก่ ล้า การนง่ั สมาธอิ ยา่ งเดยี วจะเกดิ นวิ รณข์ อ้ ถนี มทิ ธะ (งว่ งเหงาหาวนอน) เม่ือเปล่ียน อิริยาบถเป็นเดินเสียบ้าง ก็ทำาให้เกิดวิริยะข้ึนมาพอดีกันกับสมาธิ ไม่ย่ิงหย่อนกัน ทำาให้สมาธิมี พจิ ารณากาย กลา วคือ อานาปานสติ โดย กาำ ลังมากขนึ้ ทา่ นวิปสั สนาจารยจ์ งึ สอนให้เดนิ นง่ั สลบั กนั ทาำ ให้อาหารยอ่ ยง่าย รา่ งกายแขง็ แรง การกาํ หนดอริ ยิ าบถของรางกายในการนงั่ การกําหนดลมหายใจเขา -ออก และการมี ไม่เจ็บไข้บ่อยๆ และเดนิ ไดท้ นเปน็ ชว่ั โมงโดยไมร่ สู้ กึ ออ่ นเพลยี เลย ด้วยอำานาจของวิริยะ สมาธิ สติสมั ปชญั ญะ รูในความเคลือ่ นไหวของ สตสิ มั ปชญั ญะ และศรทั ธา ทปี่ ระชมุ พรอ้ มกนั ดว้ ยดี ผปู้ ฏบิ ตั จิ งึ เกดิ ปญั ญาเหน็ แจง้ ในไตรลกั ษณ์ รางกาย รวมถงึ อารมณต า งๆ) • การเดนิ จงกรมมีสว นชว ยเก้ือหนุน คอื เห็นอนจิ จัง ทกุกาขรงัเดนอิ นจงัตกตรามใรนู้วค่ามัไมภม่รี ว์ ตี ิสวั ุทตธนิมรรค1ภาค ๓ กาำ หนดใหเ้ ดิน ๖ ระยะ ดงั น้ี การบริหารจิตดวยการนง่ั สมาธอิ ยางไร ๑. ยกสน้ เทำ้ ขน้ึ กำ� หนดในใจวำ่ ยกสน้ หนอ (แนวตอบ การเดินจงกรมกับการนัง่ สมาธมิ ี ๒. ยกเท้ำจะก้ำวไปข้ำงหน้ำ กำ� หนดในใจวำ่ ยกหนอ สว นชวยเกอื้ หนนุ ซ่ึงกันและกันในการบริหาร ๓. ยกเทำ้ ไปขำ้ งหน้ำ กำ� หนดในใจวำ่ ย่ำงหนอ จิต กลา วคือ การเดินจงกรมมีสวนชวยปรับ ๔. เม่ือลดเท้ำตำ่� ลงไปขำ้ งล่ำง (ยงั ไมถ่ ึงพื้น) กำ� หนดในใจว่ำ ลงหนอ อนิ ทรยี ข องผปู ฏิบตั วิ ปิ สสนาใหแ กก ลา ขจดั ๕. วำงเท้ำลงทำบพ้นื แล้ว กำ� หนดในใจว่ำ เหยียบหนอ หรอื ถกู หนอ นวิ รณในดานการงว งเหงาหาวนอนจึงเกดิ ๖. เมื่อจะยกเท้ำก้ำวไปข้ำงหน้ำอีกข้ำงหนึ่ง ต้องกดเท้ำข้ำงหนึ่งไว้กับพื้น ก�ำหนดในใจว่ำ เปนวิริยะขนึ้ จากอํานาจของวิริยะ สมาธิ กดหนอ สติสมั ปชญั ญะ และศรทั ธา ทถี่ งึ พรอมดวย 135 กัน มีสว นชว ยใหผ ปู ฏิบตั ิเกิดปญ ญาเหน็ แจง ในความไมจีรังย่ังยนื และความไมม ีตัวตน ของสงิ่ ตางๆ ตามหลักไตรลกั ษณนั่นเอง) ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกบั ความสัมพันธของสตปิ ฏ ฐานกับการรแู จงใน นักเรยี นควรรู อริยสัจ 1 คัมภรี ว ิสทุ ธิมรรค ปกรณพเิ ศษอธิบายศลี สมาธิ ปญ ญา ตามแนววสิ ุทธิ 7 การรูแจงในอรยิ สัจ 4 สัมพนั ธกบั สติปฏ ฐานขอใด (การชาํ ระสัตวใหบ รสิ ทุ ธิ์ดว ยการบาํ เพ็ญไตรสกิ ขาใหบ รบิ ูรณเปน ข้ันๆ ไปโดย 1. กายานุปสสนา ลาํ ดบั จนบรรลุจุดหมาย คือ พระนพิ พาน) พระพุทธโฆษาจารย พระอรรถกถา- 2. เวทนานุปส สนา จารยชาวอนิ เดียเปน ผูแตงทีม่ หาวหิ ารในเกาะลงั กา 3. จิตตานุปส สนา 4. ธัมมานปุ ส สนา วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ธัมมานุปสสนา คือ การพิจารณาธรรม มมุ IT ตางๆ ต้ังแตข น้ั ตน เชน นิวรณ ขันธ จนถงึ อรยิ สจั อยางถอ งแทช ดั เจน ศกึ ษาความรแู ละวธิ กี ารบริหารจติ ตามหลักสตปิ ฎ ฐานเพิ่มเติมไดท่ี http:// www.vipassanathai.org/home/ เวบ็ ไซตบ ทความธรรมะ ฝา ยวปิ ส สนาธุระ สว นธรรมนิเทศ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั คูม่ อื ครู 135

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครูอภิปรายรวมกนั กับนักเรียนถงึ ประโยชน เร่อื งนา่ รู้ และความสาํ คญั ของการบรหิ ารจิตตอการเรยี นรู พระพทุ ธรปู ปางจงกรมแก้ว1 คณุ ภาพชวี ิต และการพฒั นาสังคม แลวใหนักเรยี น คทู ี่สมคั รใจชวยกนั อธบิ ายความรูเก่ียวกบั การ พระพทุ ธรปู ปางจงกรมแกว้ ทาำ เปน็ รปู พระยนื ยกพระบาทซา้ ย พระหตั ถท์ ง้ั สองประสานพระเพลา พระหตั ถข์ วา บริหารจติ กับการเรียนรู คุณภาพชวี ติ และสงั คม ทับพระหัตถ์ซ้าย เม่ือพระองค์เสด็จจากอนิมิสเจดีย์ ทรงปรารถนาจะทำาปาฏิหาริย์เพ่ือระงับความสงสัยในหมู่เทวดา จากคาํ ศพั ทและขอความสําคัญท่ีเก่ยี วของซ่งึ ครู ทง้ั หลาย จงึ หยดุ ระหวา่ งทาง เนรมติ ทร่ี ตั นจงกรมขน้ึ ทางทศิ เหนอื ของตน้ มหาโพธ ์ิ แลว้ เสดจ็ จงกรม ณ ทน่ี น้ั เปน็ เวลา กาํ หนด ตามลําดับดังตอไปน้ี ๗ วนั • การมีสมาธขิ องจิต ๓) การบริหารจิตเพ่ือการเรียนรู้ คุณภาพชีวิต และสังคม การฝึกจิต • การศึกษาเลา เรยี นดี • ความสามารถในการแกป ญ หาชีวิต สตปิ ัฏฐานเกอื้ กูลแก่การเรยี นรู้ เพอื่ คณุ ภาพชวี ิตและสงั คม ดงั น้ี • ความพอใจในชวี ติ ความเปน อยตู ามภววสิ ยั • การมอี ารมณม นั่ คง ๑. ชว่ ยใหค้ วำมจำ� ดี กำรฝึกใหม้ สี ตอิ ยกู่ ับตวั ตลอดเวลำ ท�ำให้จติ มสี มำธ ิ ไม่ฟ้งุ ซ่ำน คนท ี่ • ความสามารถในการควบคมุ ตนเอง จิตมีสมำธิไม่ฟุ้งซ่ำน ย่อมจะมีควำมจ�ำดี สังเกตได้ง่ำยๆ คนที่ข้ีหลงขี้ลืม จ�ำอะไร • การสรา งสรรคสังคม ไมค่ ่อยได ้ มักจะไม่คอ่ ยไดฝ้ กึ สตมิ ำก่อน ๒. ช่วยให้เรียนหนังสือดี เวลำเรำตั้งใจท�ำอะไร จิตก็ย่อมมีสมำธิ แล้วก็จะท�ำสิ่งนั้นได้ดี มีประสิทธิภำพ กำรเรียนหนังสือขึ้นอยู่กับควำมตั้งใจเป็นส�ำคัญ เม่ือตั้งใจแล้วจิตก็จะ เป็นสมำธิ เรียนรู้เรื่อง เม่ือเรียนรู้เรื่องก็มีควำมอยำกรู้ยิ่งๆ ข้ึนไป ขวนขวำยใฝ่รู้ เพ่ิมเตมิ จดจอ่ อยใู่ นเรอ่ื งเรียน ใช้ควำมคดิ พินิจพิจำรณำในสงิ่ ทเ่ี รยี นมำกขน้ึ กลำยเป็น ว่ำบุคคลนั้นได้หลอมเอำหลักอิทธิบำทสี่ (ต้ังใจ-พำกเพียร-ใส่ใจท�ำ-เข้ำใจท�ำ) เข้ำมำ ในตัวโดยอัตโนมตั ิ ผทู้ ีฝ่ กึ สติปัฏฐำนประจ�ำ จงึ เปน็ คนเรยี นหนงั สอื ดกี ว่ำผ้ทู ่ีไมฝ่ ึก ๓. ช่วยให้มีคุณภำพในกำรเรียนรู้ส่ิงต่ำงๆ ได้ดี ผลกำรฝึกสมำธิโดยทั่วไปข้อหน่ึง ได้แก่ “ท�ำให้ญำณทัศนะสมบูรณ์” กล่ำวคือ ท�ำให้เรียนรู้ส่ิงต่ำงๆ ได้รวดเร็ว คนมีสติมักจะ ยั้งคิดอะไรได้ไว เกิดควำมเข้ำใจได้เพรำะย้ังคิดหรือย้ังท�ำนี้เอง กำรมีสติอยู่กับตัวและ ตง้ั สติในขณะทำ� พูด คิดนนั้ ท�ำใหเ้ กดิ ควำมรอู้ ะไรข้นึ ฉบั พลัน ช่วยใหแ้ ก้ปัญหำชวี ิตได้ ๔. ช่วยให้เป็นคนมีควำมสุขง่ำย มีทุกข์ยำก คนท่ีฝึกจิตให้มีสติ สมำธิเสมอน้ัน มักจะมี ควำมพอใจในภำวะควำมเป็นอยู่ของตน ไม่ฟุ้งซ่ำนอยำกได้อยำกมีในสิ่งท่ีไม่อยู่ในวิสัย คนเช่นน้ีมักเป็นคนมีควำมสุขง่ำย คือ พร้อมจะท�ำใจให้มีควำมสุขในภำวะน้ันๆ สถำนกำรณ์นั้นๆ ได้อย่ำงสบำย ไม่ด้ินรนอยำกจะมีควำมสุขด้วยควำมหรูหรำฟุ่มเฟือย เม่ือได้รับควำมทุกข์ส�ำหรับชีวิต (ซึ่งทุกคนจะต้องมี มำกบ้ำงน้อยบ้ำงแล้วแต่บุคคล) ก็จะมีสติระงับใจ ไม่ขยำยทุกข์ ไม่ตีโพยตีพำย คิดรู้ตำมเป็นจริงว่ำ ทุกคนเกิดมำแล้ว ย่อมมีควำมทุกข์ด้วยกันทุกคน เรำทุกข์แค่น้ีพอทนได้ คนอื่นท่ีทุกข์มำกกว่ำเรำก็มี เมื่อคิดเช่นนี้แลว้ เขำจะไม่รสู้ กึ วำ่ ทุกขย์ ำกขน้ึ หรือไม่เปน็ ทุกขเ์ ลยก็ได้ 136 นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ในแนวทางพระพทุ ธศาสนาเราสามารถนาํ มา 1 พระพุทธรูปปางจงกรมแกว เปนพระพทุ ธรูปปางหน่ึงที่แสดงอริ ิยาบถของ เปน หลักในการดําเนนิ ชีวติ ประจาํ วนั ไดอ ยา งไร การบรหิ ารจิต คอื การเดินจงกรม นอกจากนยี้ งั มสี รางสรรคข น้ึ ในหลายปาง เชน แนวตอบ ในแนวทางพระพทุ ธศาสนา เราสามารถพฒั นาคุณภาพชวี ิต ปางสมาธิเพชร พระพุทธรปู อยูในพระอริ ิยาบถประทับ (นัง่ ) ขัดสมาธไิ ขวพระชงฆ ของตนไดโดยการมีสติ สมาธิ และปญ ญา ดว ยวธิ กี ารบรหิ ารจติ และ (แขง) หงายฝา พระบาททงั้ สองขาง ฝา พระหตั ถวางหงายซอ นกนั บนพระเพลา เจริญปญ ญาตางๆ ทีส่ าํ คัญไดแก โยนโิ สมนสกิ าร เนอื่ งจากจะชวยใหเรา (ตกั ) พระหตั ถข วาทบั บนพระหตั ถซา ย จากพทุ ธประวตั ิภายหลงั จากทพี่ ระบรม- ดําเนนิ ชีวิตไดโ ดยสวสั ดภิ าพ สามารถเผชญิ กบั สถานการณต างๆ แกไ ข โพธสิ ัตวรับหญา คาจากโสตถยิ พราหมณแ ลว ทรงนาํ ไปปูตา งบลั ลังก ณ ควงไม ปญหาและพัฒนาตนเองไดอ ยางมปี ระสิทธิภาพและตามศกั ยภาพของ อสั สตั ถโพธพิ ฤกษ แลว ประทบั (นง่ั ) ขดั สมาธิ อธษิ ฐานวา “เนอื้ และเลอื ดในสรรี ะน้ี ตนเองอยางแทจรงิ นอกจากนย้ี งั มสี ว นชวยพัฒนาและสรางสรรคส งั คม แมจะเหอื ดแหง ไปหมดสิน้ จะเหลอื แตห นงั เอ็นและกระดกู ก็ตามที ถาเรายงั ไดอ กี ดวย ไมบรรลุอนตุ รสมั มาสัมโพธิญาณกจ็ กั ไมทาํ ลายบัลลังกนี้” และปางสมาธิ หรือ ปางตรสั รู พระพทุ ธรปู อยูในพระอริ ยิ าบถประทับ (นงั่ ) ขดั สมาธิ พระหตั ถท ้ังสอง วางหงายซอนกนั บนพระเพลา (ตกั ) พระหตั ถข วาทับพระหตั ถซ า ย พระชงฆ (แขง) ขวาทับพระชงฆซา ย จากพุทธประวตั ติ อนตรสั รู 136 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ครสู ุมนกั เรียน 3 คู ใหช วยกันสรปุ ความรู เกี่ยวกบั การบริหารจติ เพอ่ื การเรียนรู คุณภาพชวี ติ และสงั คม คูละ 1 ดาน แลว ใหน กั เรียนคูอื่นใน ชน้ั เรียนเสนอแนะเพ่มิ เตมิ จากน้ันครูและนกั เรียน ชว ยกนั สรปุ ความรูเก่ียวกับการบรหิ ารจติ ทไี่ ด ศกึ ษามา นกั เรยี นบันทึกลงในสมุด ขยายความเขา้ ใจ Expand ครูมอบหมายใหนักเรียนแตล ะคูศึกษาคน ควา เพิ่มเติมเก่ยี วกับวิธกี ารบรหิ ารจิตตามหลักสติปฏ - ฐาน ในสว นของการน่ังกําหนดหรือการน่งั สมาธิ และการเดินจงกรม จากแหลงการเรียนรทู คี่ รูเสนอ แนะ แลวฝกปฏิบตั ิรว มกนั จากน้ันนักเรยี นแตล ะ การฝกสมาธิ เป็นการบริหารจิตใจให้สงบ ก่อให้เกิดปัญญาที่จะนำาไปใช้ประโยชน์ในการทำางาน หรือปฏิบัติหน้าที่ คูแ บงหนาท่ีเตรียมการสาธติ การบรหิ ารจิตดวยวิธี ทส่ี ำาคญั ในชีวติ ประจำาวันได้ การนั่งกําหนดหรอื นัง่ สมาธิ และการเดินจงกรม ๕. ช่วยให้เป็นคนมีอำรมณ์ม่ันคง หนักแน่น อำรมณ์ของคนมักขึ้นลงตำมอ�ำนำจของกิเลส พรอมทงั้ ฝกปฏบิ ตั ิในชวี ิตประจาํ วันเปนรายบคุ คล ๓ ตระกูลใหญๆ่ คอื โลภ (อยำกได)้ โทสะ (อยำกทำ� ลำย) โมหะ (หลงงมงำย) เมื่อถกู ตามระยะเวลาท่คี รกู ําหนด แลวบันทกึ รายละเอียด โลกธรรมมำกระทบ ไม่วำ่ จะเป็นแง่บวก (ลำภ ยศ สรรเสริญ สขุ ) หรือแงล่ บ (เส่ือมลำภ การปฏิบัติและผลของการปฏิบัตสิ ง ครูผสู อน เสื่อมยศ นินทำ ทุกข์) ก็มักจะปล่อยให้อำรมณ์โลดแล่นไปตำมกระแส เวลำส่ิงท่ี นำ่ ปรำรถนำมำกห็ ลงระเรงิ ประมำทมวั เมำ เวลำสง่ิ ไมน่ ำ่ ปรำรถนำมำ กเ็ ปน็ ทกุ ขเ์ ปน็ รอ้ น ตรวจสอบผล Evaluate ตีโพยตีพำยจนขำดสติ อำกำรเหล่ำน้ีจะลดลงหรือหำยไปได้เม่ือบุคคลได้ฝึกสติปัฏฐำน ครูสุม นกั เรียน 3-4 คู เพื่อสาธิตการบรหิ าร เป็นประจ�ำ เขำจะเป็นคนทมี่ ัน่ คงหนกั แนน่ มสี ุขภำพจติ ท่ีดี จติ ดว ยวธิ ีการนั่งกําหนดหรือน่ังสมาธิ และการ ๖. สร้ำงควำมสวัสดีปลอดภัยให้กับตนเอง คนท่ีมีสติอยู่กับตัวเพรำะฝึกสติปัฏฐำนประจ�ำ จะมีควำมสำมำรถในกำรควบคุมตัวเองสูง จึงไม่เผลอตกเป็นเหยื่อของกิเลสย่ัวยุต่ำงๆ เดนิ จงกรม แลวนาํ บันทึกการฝก ปฏิบตั กิ ารบริหาร ไดง้ ่ำย จิตตามหลกั สติปฏ ฐานท่ดี ซี ึ่งครูคัดเลอื กไวล ว ง ๗. สร้ำงสรรค์สังคม กำรฝึกสติปัฏฐำนท�ำให้ผู้ปฏิบัติมีใจสดใส มองอะไรชัดเจน เกื้อกูล หนา มาใหนักเรียนพจิ ารณารว มกนั โดยพิจารณา ต่อกำรใช้ปัญญำ เป็นคนมีควำมสุขทำงใจ สุขภำพจิตดี พิจำรณำให้ลึกซ้ึงจะเห็นว่ำ จากความถูกตอ งเหมาะสมของการปฏบิ ตั ิ ความ คุณสมบัติข้อนี้ช่วยสร้ำงสรรค์สังคมได้ดี เพรำะปัญหำสังคมทุกวันน้ีมีสำเหตุมำจำก สอดคลอ งของการปฏบิ ตั ิและผลท่ีไดร ับ และ คนขำดสุขภำพจิตที่สมบูรณ์ จึงมีปัญหำอำชญำกรรม อบำยมุข ทุจริตคอร์รัปชัน ความสมา่ํ เสมอของการปฏิบัติ จากน้ันสนทนา มีควำมรุนแรง เอำรัดเอำเปรียบกัน แตถ่ ้ำบคุ คลมสี ขุ ภำพจติ ดี มีควำมมนั่ คงทำงอำรมณ์ กบั นกั เรยี นถงึ ประโยชนของการบรหิ ารจิตตอการ มำกๆ เพรำะไดป้ ฏบิ ัติสติปัฏฐำนเปน็ ประจำ� สงั คมยอ่ มสงบสขุ ดาํ เนนิ ชวี ติ ประจําวนั ในดา นตางๆ เชน การศกึ ษา 13๗ เลา เรียน การทาํ งานกลมุ และการมบี คุ ลกิ ภาพดี แลวรวบรวมบนั ทกึ การฝก ปฏบิ ตั ิการบริหารจติ ตาม หลักสตปิ ฏฐานท่ีดขี องนักเรยี นไวเปน แหลง การ เรียนรขู องชนั้ เรียน ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’53 ออกเก่ยี วกับหลักพระพทุ ธศาสนาเพ่ือการพัฒนาสงั คม เกร็ดแนะครู ในการประชุมสัมมนาเพอื่ แกป ญ หาความยากจน ไดม กี ารกําหนด ครูอาจตั้งประเดน็ ใหน ักเรยี นชว ยกันวิเคราะหเกยี่ วกบั ประโยชนข องการบริหาร แนวทางประชมุ โดยใหเ รมิ่ ตกลงกันวา ปญหาความยากจนคอื อยา งไร อะไร จติ ตามหลกั สติปฎ ฐานกบั การเรียนรู การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ และการพฒั นาสงั คม คอื สาเหตุ เปา หมายท่ีตองการหลังจากแกไ ขแลวจะเปน อยางไร และวิธีการ เชน การบรหิ ารจติ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา : การบาํ รุงรกั ษาสขุ ภาพทางใจ แกไขจะทําอยา งไรบา ง แนวทางน้ีตรงกบั หลกั พระพทุ ธศาสนาเรือ่ งใด การพฒั นาจิตใจของประชากรกับการพัฒนาสังคม หรือสมาธิกบั สรา งสันตภิ าพ ตามวถิ ีพุทธ หรอื นํากรณีตัวอยา งทค่ี วรไดรบั การแกไขปญหาหรอื การพฒั นาดวย 1. อริยสจั 4 การบริหารจติ แลวใหน กั เรยี นชว ยกนั สรปุ ผลการวิเคราะห ทงั้ นีเ้ พอ่ื ใหนกั เรยี นได 2. วภิ ชั ชวาท พัฒนาทกั ษะการคิดตา งๆ ท่ีสําคัญไดแก การคิดวิเคราะหแ ละการประเมินคา 3. อิทัปปจ จยตา อันจะนาํ ไปสูการฝก ปฏิบัติในชีวติ ประจําวันไดอยางถกู ตอง ตลอดจนตระหนกั ถึง 4. โยนิโสมนสิการ ประโยชนแ ละความสําคญั ของการบริหารจติ ตามหลักสติปฎ ฐาน หรอื อาจกลาวได วา การพัฒนาสุขภาพจติ ตามแนวทางพระพทุ ธศาสนาตอ การเรยี นรู การพัฒนา วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. อริยสจั 4 หลักแหง ความจรงิ อนั ประเสริฐ คุณภาพชวี ิต และการพัฒนาสงั คม ของชีวิต ชว ยใหม นุษยเ ขาใจชีวิต และแกไ ขปญหา ดับทุกขที่เผชิญได ดวยปญญา โดยในขั้นตอนการตกลงกนั วา ปญ หาความยากจนคอื อยา งไร เปรียบไดก บั ขัน้ ทุกข อะไรคอื สาเหตุ เปรียบไดกบั ขน้ั สมุทยั เปาหมายที่ ตอ งการหลงั จากแกไ ขแลวจะเปนอยางไร เปรยี บไดกับขัน้ นโิ รธ และ วิธกี ารแกไขจะทาํ อยา งไรบา ง เปรียบไดก ับขน้ั มรรคน่ันเอง คู่มอื ครู 137

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครนู ําขา วหรอื กรณีตวั อยา งทเ่ี กยี่ วขอ งกบั บุคคล ๒. การเจริ- ปั- - าตามหลกั โยนิโสมนสกิ าร ทีไ่ ดร บั ความเดอื ดรอนจากการขาดการคดิ แบบรูเทา ทนั ธรรมดาและการคดิ แบบเปนอยใู นขณะปจ จุบนั ความคิดของคนนั้นสำาคัญ บุคคลจะดีจะชั่วเริ่มที่ความคิดก่อน เม่ือคิดในเร่ืองใดบ่อยเข้า มาใหน ักเรียนพิจารณารวมกนั แลว สอบถาม มากเข้า กจ็ ะกลายเป็นค่านิยม ความเช่อื เจตคติ แล้วก็จะปรากฏออกมาเปน็ พฤตกิ รรมดีหรอื ชว่ั นักเรยี นถึงสาเหตทุ ่บี คุ คลไดรับความเดือดรอ นจาก ในภายหลัง เพราะฉะนั้น ความคิดเป็นกรรมอย่างหนึ่งเรียกว่า “มโนกรรม” ถือว่าสำาคัญกว่า การตัดสินใจกระทําการโดยขาดการคิดในลักษณะ กายกรรม และวจีกรรม ดงั พุทธวจนะในธรรมบทวา่ ดงั กลาว จากน้นั ครอู ธบิ ายใหนักเรยี นตระหนักถึง ประโยชนแ ละความสาํ คญั ของการเจริญปญญาตาม “ธรรม (สิ่ง) ท้งั หลำย มีใจเปน็ หวั หนำ้ มใี จเกดิ ข้นึ ก่อน สำ� เรจ็ ดว้ ยใจ ถำ้ คนเรำมีใจช่ัว หลกั โยนิโสมนสกิ าร กำรกระท�ำ กำรพูด ก็พลอยช่ัวไปด้วย เพรำะกำรท�ำช่ัวและพูดช่ัวน้ัน เขำย่อมถูกทุกข์ สา� รวจคน้ หา Explore ติดตำมมำ ดจุ ลอ้ หมนุ ตำมรอยเทำ้ โคตัวท่ีลำกเกวียนฉะนั้น” ครูใหนักเรียนรวมกลุม กนั กลมุ ละ 4 คน โดย เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจ้าจงึ ทรงแสดงวธิ ีคดิ ท่ดี ที ีถ่ กู เรียกวา่ “โยนิโสมนสิการ” ไว้ถึง ๑๐ การใหนกั เรียนคเู ดมิ รวมกลุม กับนักเรียนคอู ่นื ในช้ัน วธิ ี เพ่อื ใหฝ้ ึกคิดให้เกิดปญั ญา เกดิ ความรู้พร้อมรจู้ รงิ ในท่ีนี้ขอยกมาอธบิ าย ๒ วิธี ดงั นี้ เรียน เพ่ือแบงหนาที่กนั ศึกษาความรเู กี่ยวกับการ เจรญิ ปญญาตามหลกั โยนโิ สมนสกิ าร ทัง้ ในสวน ค๒ิด.๑แบ บคริดู้เทแ่าทบนั บธรรรเู้ มทด่าาทคนัือ ธครดิ รแมบบดไตาร ล(คักษิดณแ์ บ“บไตสราลมักษญั ณล์”1กั คษอื ณละัก)ษณะ ๓ ประการ ของการคดิ แบบรเู ทา ทันธรรมดา (คดิ แบบสามญั ลกั ษณะ) และการคดิ แบบเปนอยใู นขณะปจจบุ ัน ทปี่ รากฏแกส่ งั ขาร หรอื ส่งิ ผสมตา่ งๆ ทกุ ชนิด ทง้ั ทม่ี ีใจครอง เช่น คน สตั ว์ และไมม่ ีใจครอง จากหนังสอื เรียน หนา 138-141 และแหลง การ เชน่ ตน้ ไม้ ภูเขา สิ่งเหล่านผ้ี สมข้นึ จากองค์ประกอบของธาตุ ๔ คือ ดิน น้าำ ลม ไฟ เรยี นรอู ่ืนท่ีครูเสนอแนะ เชน เวบ็ ไซต อาทิ http:// www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_ ของผสมเหล่านี้เกิดมาแล้วก็แปรเปลี่ยน และดับสลายไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งไหนจีรัง id=588 เว็บไซตโ ยนโิ สมนสิการในทัศนะของพระ- ยัง่ ยืน หาตัวตนหรือหาเจา้ ของมิได้ ไม่อยู่ในอาำ นาจบังคับบัญชาของใคร ถึงเวลามนั ก็แปรเปล่ียน ธรรมปฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) หรอื พระพรหมคณุ าภรณ ดบั สลายไป ในปจ จบุ นั จากนน้ั กนั เตรยี มการนาํ เสนอความรตู าม ท่คี รกู าํ หนด เชน การแสดงบทบาทสมมติ หรือการ กล่าวอีกอย่างได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระท่านจึงสอนให้หัดคิด แตงนิทานประกอบภาพ เปน ตน หัดมองให้เห็นธรรมดาว่า “มันเป็นเช่นนี้เอง” เม่ือเห็นว่า “มันเป็นเช่นน้ีเอง” ก็จะรู้จัก “ปลง” คือ ไม่ยดึ มั่นถือมนั่ เกนิ กวา่ เหตุ เม่ือไม่ยดึ มั่นถอื มั่นเกินกว่าเหตกุ ็ไม่มคี วามทุกข์ ความจรงิ แลว้ ความทกุ ข์ใจ ความคบั แคน้ ใจ ความเศรา้ โศกเหลา่ นนี้ นั้ ไมม่ คี วามหมายอะไร สำาหรับคนที่เข้าใจธรรมะและปลงได้ คนที่ไมเ่ ข้าใจ ปลงไม่ได้ต่างหาก ทีจ่ ะเป็นจะตายวันละไมร่ ู้ อธบิ ายความรู้ Explain ก่ีรอ้ ยก่ีพนั หน พระพุทธศาสนาจึงสอนให้คิด ให้เข้าใจความเป็นไปของธรรมดาตั้งแต่ต้น เพ่ือเตรียมใจ ครสู นทนารวมกนั กบั นักเรียนถงึ ความหมาย และความสาํ คญั ของการเจริญปญ ญาตามหลัก ไว้ทันก่อนประสบเข้ากับตนเอง ไม่ใช่รอให้ถึงเวลาน้ันแล้วค่อยคิดแบบ “เห็นโลงศพ ค่อยหลั่ง โยนิโสมนสกิ ารทนี่ กั เรยี นไดศึกษามา แลว สุม นนา้า� งตกาีส” าไโมค่ฝตกึมไีใ2วนก้ สอ่ มนยั พถทุ งึ ธเวกลาาลเขา้ จรงิ ๆ มกั จะคดิ ไม่ทนั ตัง้ ตวั ไมท่ นั และอาจเสียสติได้ อยา่ งกรณี นกั เรยี น 2-3 กลุม ใหอ อกมานาํ เสนอความรเู ก่ียว กบั การคิดแบบรูเทา ทันธรรมดา (คดิ แบบสามญั 138 ลักษณะ) ทีห่ นาชัน้ เรยี น นักเรียนควรรู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั วธิ คี ดิ แบบสามญั ลักษณะ 1 ไตรลกั ษณ ลักษณะสามอาการท่ีเปน เคร่ืองกาํ หนดหมายใหร ูถงึ ความจริง วิธีคิดแบบสามญั ลักษณะคอื การคดิ แบบใด ของสภาวธรรมทง้ั หลายที่เปนอยางนนั้ ๆ 3 ประการ ไดแก อนิจจตา ความเปน 1. มชั ฌิมาปฏิปทา ของไมเท่ียง ทุกขตา ความเปน ทกุ ขห รอื ความเปน ของคงทนอยมู ิได และอนตั ตตา 2. ไตรลักษณ ความเปน ของมใิ ชต ัวตน โดยท่ัวไปอาจเรียกวา อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา ซงึ่ แปลวา 3. อานาปานสติ ไมเ ท่ียง เปน ทกุ ข เปนอนตั ตา ลักษณะเหลานเ้ี ปน ของแนน อน เปน กฎธรรมชาติ 4. ปฏิจจสมุปบาท มีอยตู ลอดเวลา จงึ เรียกไดวา สามญั ลกั ษณะ หรือธรรมนิยาม วิเคราะหค ําตอบ วิธคี ดิ แบบสามญั ลกั ษณะ คือ การคดิ แบบรเู ทา 2 นางกสี าโคตมี เดมิ เปนธิดาคนยากจนในนครสาวัตถี แตไ ดเปนลกู สะใภ ทันธรรมดา คือ ไตรลกั ษณ ท่ีประกอบดว ยลกั ษณะ 3 ประการ ไดแ ก ของเศรษฐใี นพระนครนน้ั นางมีบตุ รชายคนหนึ่ง อยมู าไมน านบุตรชายตาย นาง อนิจจงั ทุกขงั และอนัตตา ซึง่ อธบิ ายถงึ ความเท่ยี งแทแนนอนของสง่ิ มีความเสยี ใจมาก อมุ บุตรทต่ี ายแลว ไปในทต่ี า งๆ เพ่อื หายาแกใหฟ น จนไดไ ป ทั้งหลายน่นั เอง ดงั น้ันคําตอบคอื ขอ 2. พบพระพุทธเจา พระองคทรงสอนดวยอบุ ายและทรงประทานโอวาทแกน างจน บรรลุโสดาบันและบวชในสํานักนางภกิ ษุณี วันหนึ่งทานนัง่ พจิ ารณาเปลวประทปี ท่ี ตามอยูใ นพระอโุ บสถวาเปนเชนเดยี วกบั ชวี ิตของมนษุ ย จงึ ไดบ รรลุพระอรหตั พระกสี าโคตมีเถรีไดรบั ยกยองวา เปนเอตทคั คะในทางทรงจวี รเศรา หมอง 138 ค่มู อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ เสริมสาระ 1 ครูใหนักเรยี นกลุมทน่ี ําเสนอความรเู ก่ียว กับการคดิ แบบรูเ ทาทันธรรมดา (คิดแบบสามัญ โยนโิ สมนสกิ าร ลกั ษณะ) สนทนาและสอบถามกบั นักเรยี นกลมุ โยนโิ สมนสกิ าร คอื การคดิ อยา่ งวเิ คราะหว์ จิ ารณอ์ ยา่ งรอบคอบ ทาำ ใหเ้ กดิ ปญั ญาแตกฉาน ม ี ๑๐ วธิ ี ดงั น้ี อื่นในช้ันเรยี น เพอื่ ใหมีความรคู วามเขา ใจทถ่ี กู ๑. คดิ แบบแยกแยะสว่ นประกอบ ตอ ง จากนั้นครตู ั้งคําถามทีเ่ นนการเช่อื มโยงความ ๒. คดิ แบบคณุ โทษและทางออก รูความเขา ใจระหวา งการคิดแบบรเู ทาทันธรรมดา ๓. คดิ แบบสบื สาวเหตปุ จั จยั (คดิ แบบสามัญลกั ษณะ) กับแนวคิดอน่ื ๆ แลว สุม ๔. คดิ แบบสมั พนั ธก์ บั หลกั เปา้ หมาย ใหน กั เรียนในแตละกลมุ ตอบ ตวั อยา งขอ คาํ ถาม ๕. คดิ แบบแกป้ ญั หา เชน ๖. คดิ แบบรเู้ ทา่ ทนั ธรรมดา ๗. คดิ แบบคณุ คา่ แท ้ คณุ คา่ เทยี ม • หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งสอดคลอง ๘. คดิ แบบปลกุ เรา้ คณุ ธรรม กับการคิดแบบรเู ทา ทันธรรมดาในทาง ๙. คดิ แบบเปน็ อยใู่ นขณะปจั จบุ นั พระพทุ ธศาสนาอยางไร ๑๐. คดิ แบบแยกประเดน็ (แนวตอบ หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เนน การพัฒนาทยี่ ่ังยนื บนพน้ื ฐานของ สรปุ วิธคี ิดตามหลกั โยนิโสมนสกิ าร ความรูทางวิชาการและคุณธรรมจริยธรรม พระพุทธศาสนาได้สอนวิธีคิดเพ่ือให้คิดเป็น และคิดอย่างถูกวิธี เพ่ือท่ีจะได้ความรู้ท่ีถูกต้อง ซ่ึงเรียกวิธีคิด มใิ ชล ะเลยการพฒั นาหรอื หยุดน่งิ อยูกบั ท่ี แบบนว้ี า่ “โยนโิ สมนสกิ าร” ม ี ๑๐ วธิ ี โดยทง้ั ๑๐ วธิ นี ้ี สามารถสรปุ เปน็ วธิ คี ดิ ใหญๆ่ ได ้ ๔ แบบ ดงั น ้ี จึงสอดคลอ งกบั การคิดแบบรูเ ทา ทันธรรมดา 1. อปุ ายมนสกิ าร คอื คดิ ถกู วธิ ี เมอ่ื มวี ธิ คี ดิ แลว้ ตอ้ งรจู้ กั ใชว้ ธิ คี ดิ ใหเ้ หมาะสม เพราะวธิ คี ดิ แตล่ ะอยา่ ง ในหลกั โยนิโสมนสกิ ารทางพระพุทธศาสนา เหมาะสมกบั ปญั หาหรอื เรอ่ื งทแ่ี ตกตา่ งกนั กลา วคอื การมคี วามรคู วามเขา ใจในสงิ่ ตา งๆ 2. ปถมนสิการ คือ คิดมีระเบียบ คิดอย่างเป็นระบบต่อเน่ือง การมีระเบียบในการคิด หมายถึง ทเ่ี ปลยี่ นแปรไปเปนธรรมดา นาํ ไปสกู ารคิด การไมก่ า้ วกระโดดทางความคดิ คดิ อยา่ งมเี ปา้ หมาย ไมก่ ระโดดไปกระโดดมาทางความคดิ เพอื่ แกไ ขหรอื พฒั นาสง่ิ เหลา นน้ั ตามเหตแุ ละ 3. การณมนสิการ คอื คิดมีเหตผุ ล ดว้ ยการรจู้ กั เช่อื มโยงว่าเหตุอยา่ งนจ้ี ะก่อให้เกดิ ผลหรือนาำ ไปส่ผู ล ปจ จัย ทําใหบ รรลจุ ุดหมายและไมก อ ใหเ กิด อยา่ งไร หรอื ผลนม้ี าจากเหตอุ ะไร ความทกุ ข) ๔. อุปปาทกมนสิการ คือ คิดเป็นกุศล เป็นการคิดดี คิดเพ่อื ค้นหาส่งิ ท่เี ป็นแก่นสารสาระและเป็น ประโยชน ์ รจู้ กั แยกแยะกลน่ั กรองความรทู้ ไ่ี ดร้ บั และคดั สรรนาำ มาใชเ้ ฉพาะสว่ นทเ่ี ปน็ ประโยชนแ์ ละเหมาะสมกบั ตวั เรา วธิ คี ดิ แบบรเู้ ท่าทนั ธรรมดา แบง่ เปน็ ๒ ขน้ั ตอน ดงั น้ี ๑) ยอมรบั ความจรงิ คอื ใหย้ อมรบั ว่าความจริงมันเป็นเช่นนี้ มันเกดิ ขึน้ จรงิ ๆ และทุกคนก็จะพบพานอย่างนี้เหมือนๆ กัน ไม่มียกเว้น แม้ว่าขณะน้ีดูเหมือนว่าเราคนเดียว ที่ได้รับอย่างนี้ คนอื่นก็เห็นเขาสบายดีอยู่ ก็พึงคิดว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาก็จะตกอยู่ในสภาพ เดียวกับเราเหมือนกัน ๒) แก้ไขไปตามเหตุปัจจัย คือ รู้ว่าเป็นจริงอย่างน้ันก็ปฏิบัติให้สอดคล้องกับ การเปล่ียนแปลง ด้วยใจที่เป็นอิสระ เช่น เม่ืออายุมากขึ้น ร่างกายเปล่ียนแปลงไปตามกาล เวลา กค็ วรแตง่ เนือ้ แต่งตัวให้เหมาะสมกับวยั จะเสรมิ เตมิ แต่งบ้างก็พองาม ไมข่ ดั กับวัย อยา่ งน้ี ก็ไม่เปน็ ทุกข์ เป็นต้น 139 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู การกระทําของบคุ คลใดกลาวไดว า สอดคลองกบั การคดิ แบบสามญั 1 โยนโิ สมนสิการ หลกั การคิดและการเรียนรูในพระพุทธศาสนาทตี่ องการให ลกั ษณะมากที่สุด คนมวี ธิ ีการคดิ อยางถูกตอง เปน ระบบอนั จะนาํ ไปสูการเขาใจเรือ่ งตางๆ ตาม ความเปนจริง ไมต ดิ อยูกับรูปลักษณภ ายนอกหรอื มองดานใดดานหนึ่งเปน สาํ คัญ 1. พลบั ตระหนกั ถงึ ความไมจ รี งั ของสง่ิ ทง้ั ปวงจงึ ไมข วนขวายศกึ ษาเลา เรยี น แลว สรปุ วา มนั เปนอยา งทีเ่ หน็ ซ่งึ จะทาํ ใหคลาดเคล่ือนจากความจรงิ ได 2. สมเรยี นและทาํ งานไปพรอมกนั เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน 3. หมากลาออกจากโรงเรียนเพื่อแสวงหาทางดบั ทกุ ขของชีวติ มมุ IT 4. บว ยรเู ทาทนั โรคของตนจงึ ไมยอมไปตรวจรกั ษา ศึกษาคน ควาเกย่ี วกบั การคิดเปนตามพทุ ธวิธีผา นบทความทางพระพทุ ธศาสนา วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. สมเรยี นและทาํ งานไปพรอ มกันเพราะ เพ่ิมเตมิ ไดท่ี http://www.visalo.org/article/index.htm เว็บไซตพระไพศาล วิสาโล ครอบครัวมีฐานะยากจน เน่อื งจากสม ยอมรบั ความเปน จริงของชวี ิตที่ อาจแตกตางจากเพื่อนสวนใหญในวยั เดียวกนั ดวยความยากจนของ ศกึ ษาความรูเ ก่ยี วกับการพฒั นาการเรียนการสอน การศกึ ษา และคุณธรรม ครอบครวั และแกไขปญหาตามความเหมาะสม คอื การทํางานเพื่อหา จรยิ ธรรมเพ่มิ เตมิ ไดที่ http://www.vitheebuddha.com/main.php?url=about รายไดไปพรอมกบั การเรียน เว็บไซตโ รงเรียนวถิ พี ุทธ การศกึ ษาเพอ่ื ความเปนมนษุ ยที่สมบูรณ คูม่ ือครู 139

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู นทนารวมกนั กับนักเรยี นถึงความรทู ัว่ ไป ๒.๒ คดิ แบบเปนš อย่ãู นขณะปจ˜ จØบนั เก่ยี วกับการคิดแบบเปน อยูในขณะปจจุบนั โดย เปรียบเทยี บกบั การคิดแบบรูเทา ทันธรรมดา ชวี ติ คนเรานนั้ มอี ยชู่ วั่ ขณะจติ เดยี ว ไมไ่ ดย้ นื ยาวดงั ท่ีใครหลายคนเขา้ ใจ คนเราเกดิ แลว้ ตาย (คิดแบบสามัญลกั ษณะ) ทน่ี กั เรียนไดศ กึ ษามา ตายแล้วเกิดสืบต่อเน่ืองกันไปทุกขณะจิต ระยะเวลาระหว่างเกิดไปถึงตายน้ัน กินเวลาแค่เพียง แลว สุม นกั เรยี น 2-3 กลุม ใหออกมานาํ เสนอ ชวั่ ขณะจติ เดยี วเทา่ นน้ั ความรูเกย่ี วกับการคดิ แบบเปน อยใู นปจ จุบัน ขณะที่หนา ช้นั เรียน จากนน้ั ครูใหนกั เรียนกลุม ทั้งๆ ที่คนเราตายวันละไม่รู้ก่ีร้อยก่ีพันหน แต่ที่ไม่ตายจริงๆ ยังดำารงอยู่ได้นั้น ก็เพราะ ที่นําเสนอความรเู กีย่ วกับการคดิ แบบเปนอยูใ น เมื่อตายแล้ว ก็เกิดใหม่ทันที โดยมีความถี่สูง ติดต่อกันเป็นกระแสเดียว ก็เลยดูเสมือนไม่มีเกิด ปจ จบุ ันขณะสนทนาและสอบถามกับนกั เรยี น ไม่มีตาย ชีวิตจึงดำาเนินอยู่ได้ เปรียบเหมือนเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ตรงหน้าเรา เรานึกว่ามันเป็น กลมุ อืน่ ในช้นั เรยี น เพอื่ ใหมคี วามรูความเขา ใจ เปลวเดียว แท้ที่จริงแล้วมันมีไม่รู้กี่เปลวต่อก่ีเปลว ลุกแล้วดับอยู่อย่างน้ัน ท่ีสายตาเราเห็นเป็น ท่ีถูกตอง เปลวเดยี วก็เพราะความถขี่ องเปลวทล่ี กุ ดบั น้นั สูงมาก ฉันใดก็ฉนั นนั้ 2. ครูต้งั คาํ ถามท่เี นน การเชือ่ มโยงความรูความ เม่ือเข้าใจการตายการเกิดอย่างนี้ ก็จะเข้าใจถึงหลัก “อนัตตา” คือ ภาวะท่ีไร้ตัวตน เขาใจระหวางการคดิ แบบเปนอยูในปจ จบุ นั กล่าวคือ เขา้ ใจว่าเมือ่ เกดิ ดับๆ อยูอ่ ย่างน้ีตลอด แล้วจะหา “ตวั ตน” ได้ท่ีไหน ที่เราเรยี กกันวา่ ขณะกบั แนวคดิ อน่ื ๆ แลวสุม ใหนักเรียนใน “ตัวตน” นั้น เรานกึ วา่ มันมีเทา่ นน้ั เอง ทแ่ี ท้จริงแล้วมันไม่มี แตล ะกลมุ ตอบ ตัวอยา งขอคาํ ถามเชน • หลกั คาํ สอนเร่ือง ตัวกูของกู หรอื ตายกอน ชีวิตเรานั้นสั้นนิดเดียว เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักอยู่กับชีวิตอันส้ันนี้ให้คุ้มค่า การจะอยู่กับ ตาย ของทานพุทธทาสภกิ ขุสอดคลองกบั ชวี ิตอยา่ งคุม้ คา่ หรอื มชี วี ติ อย่างคุ้มคา่ คือ ตอ้ งรจู้ กั คดิ แบบอยู่ในขณะปจั จบุ ัน การคิดแบบเปนอยใู นปจ จบุ ันขณะอยา งไร (แนวตอบ หลักคําสอนเรือ่ ง ตัวกูของกู ความคิดชนิดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายถึง คิดในขณะเดียวที่กำาลังเกิดข้ึน คือ มีสติ หรือ ตายกอ นตาย ของทานพุทธทาสภกิ ขุ ตามทันสิ่งที่รับรู้เก่ียวข้อง หรือต้องทำาอยู่ในเวลาน้ันๆ แต่ละขณะ ทุกๆ ขณะ ถ้าจิตรับรู้สิ่งใด สอดคลองกับการคดิ แบบเปน อยูในปจ จบุ ัน ขณะ ในแนวคิดเรอ่ื งอนตั ตา ซง่ึ ชวยใหเขาใจ การฝกปฏิบัติสมาธิจะช่วยให้ผู้ฝกมีสติและรู้ตัวอยู่เสมอว่าตนกำาลังทำาอะไร กล่าวคือ เป็นการฝกให้มีสติตามทัน สิ่งที่ ความไมมตี วั ตนและสิ่งท้ังปวงอยางแทจ ริง เกิดข้ึนและเปน็ อยใู่ นปัจจบุ นั น่ันเอง ทาํ ใหเราไมย ดึ ติดทัง้ กบั เรอ่ื งราวในอดตี หรอื อนาคต เรื่องราวท่ีดี มคี วามสขุ หรอื 1๔๐ ความทกุ ข เน่ืองจากเปน ส่งิ ทีไ่ มจีรงั ย่ังยนื แปรเปลีย่ นไปไดท ุกขณะ หากแตใหค วาม สาํ คัญกบั ปจ จุบนั ขณะ มีสติสัมปชญั ญะใน การกระทําตา งๆ ตลอดจนการเคล่ือนไหว อริ ยิ าบถ สงผลใหม ีความสขุ ทํางานไดอยาง มปี ระสิทธภิ าพ และดาํ เนนิ ชีวิตอยางมคี ุณคา โดยแทจรงิ ) บรู ณาการอาเซยี น ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’53 ออกเกี่ยวกบั ประโยชนท่บี ุคคลพึงไดร บั จากสติปฏ ฐาน ครสู ามารถจัดกิจกรรมการเรยี นรูบ ูรณาการอาเซียนโดยการนาํ กรณตี ัวอยาง ขอ ใดคือประโยชนท บี่ คุ คลไดรบั จากการบริหารจิตตามหลักสตปิ ฏ ฐาน หรอื ขา วเก่ยี วกับปญหาความขัดแยง ระหวางประเทศสมาชิกอาเซยี นในดา นตา งๆ 1. ทําใหระลกึ ชาตไิ ด โดยเฉพาะท่ีมีสาเหตุสืบเนอ่ื งมาจากพฒั นาการทางประวัตศิ าสตรมาใหนกั เรยี น 2. ทําใหเชอื่ ในบาปบญุ คณุ โทษ พจิ ารณา เชน ปญ หาท่ีเกดิ จากนกั การเมืองนาํ ประวตั ศิ าสตรบางสวนมาใชโนม 3. ทาํ ใหร า งกายแข็งแรงมีสุขภาพดี นาวประชาชนและกอใหเ กิดความขัดแยงระหวางประเทศเพอ่ื สรางความนยิ ม 4. ทําใหม ีศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาเพมิ่ ขนึ้ ทางการเมอื งของตนเอง แลว สอบถามความคดิ เห็นของนกั เรยี นถงึ สาเหตุ สภาพ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2.-3. ประโยชนทบี่ คุ คลพึงไดร บั จากการ ปญหา ผลกระทบตอประชาชนและสงั คมระหวางประเทศ จากนัน้ อภิปรายรวม บริหารจิตตามหลกั สติปฏ ฐานในระดับการดาํ เนนิ ชวี ติ ประจาํ วันทสี่ ําคญั กันถงึ แนวทางการแกไขปญหาตามหลักโยนิโสมนสกิ าร เนนการคิดแบบรเู ทา ทัน ไดแก ทาํ ใหมีความสบายกายสบายใจ จิตใจผองใส ไมเครยี ด อนั จะสง ธรรมดา (คิดแบบสามญั ลกั ษณะ) และการคิดแบบเปน อยใู นขณะปจจบุ ัน เพือ่ สง ผลถึงสขุ ภาพดานรา งกายดวย นอกจากน้ียงั มชี ว ยสงเสริมใหบุคคลนั้นรู เสรมิ ความเปน พลเมอื งอาเซียนใหแกนกั เรียน และสอดคลองกับกรอบความรว มมอื และเขา ใจในความจรงิ แหง หลักธรรมคาํ สอนทางพระพุทธศาสนาตางๆ ของประชาคมอาเซียนทเี่ กีย่ วของกับสันติภาพ ดังเชน หลกั กรรม นอ มนําใจไปสกู ารประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมคํา สอนตางๆ เพื่อดับทกุ ขของชวี ิตได 140 คมู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain แล้วเกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจขึ้น จิตคอยคิดข้องวนเวียนอยู่กับภาพของสิ่งน้ันที่สร้างขึ้น ครตู ้งั ประเดน็ ใหนักเรยี นอภิปรายรวมกันเกี่ยว ในใจก็เป็นอันตกไปอยู่ในอดีต ตามไม่ทันหลงไปจากขณะปัจจุบันแล้ว หรือจิตหลุดลอยจากขณะ กับการคดิ ตามหลักโยนโิ สมนสกิ าร ทง้ั ในสวน ปัจจุบันเกาะเกี่ยวกับภาพสิ่งท่ียังไม่มาก็เป็นอันฟุ้งในอนาคต ท้ังน้ี การคิดแบบเป็นอยู่ในขณะ ของการคิดแบบรูเทา ทันธรรมดา (คิดแบบสามญั ปัจจุบันมิได้หมายถึงว่า ไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงอนาคต การนำาอดีตมาเป็นบทเรียนและวางแผน ลกั ษณะ) และการคดิ แบบเปน อยูใ นขณะปจ จบุ ัน ในอนาคตด้วยสติ ด้วยความรอบคอบนั้นแหละเรียกว่า คิดแบบอยู่ในปัจจุบัน พระท่านจึงสอน เชน ปลอยวางสรา งสขุ : การคดิ แบบพทุ ธเพ่อื ชีวติ ว่าการจะอยู่ในปัจจุบันให้ดีได้ จะต้องมีสติสัมปชัญญะในการเคล่ือนไหวทุกอย่าง และคนที่อยู่ ท่ีมคี ุณภาพ ด้วยสติสัมปชัญญะเป็นคนทำางานมีประสิทธิภาพ และเป็นคนมีความสุขอีกต่างหากด้วย ดังน้ี จากนนั้ ครแู ละนักเรยี นชว ยกนั สรปุ ความรทู ีไ่ ด จากการศึกษาเกย่ี วกบั การเจรญิ ปญญาตามหลกั โยนิโสมนสิการ นักเรียนบนั ทึกลงในสมุด การใชช้ วี ติ อยกู่ ย็ ่อมเปน็ ไปอยา่ งค้มุ ค่า เพราะมีสติกำาหนดรตู้ วั เองตลอดขณะเวลาท่ตี นอยู่นัน่ เอง ขยายความเขา้ ใจ Expand การบริหารจิต คือ การฝกฝนอบรมจิตใหดีงาม มีความนุมนวล แตหนักแนนมั่นคง แข็งแกรง ผอนคลาย และสงบสุข ซึ่งมีวิธีปฏิบัติฝกฝ1นเพ่ือบรรลุผลดังกลาวมากมาย ในทาง ครูใหน ักเรยี นแตละกลมุ ชว ยกนั สํารวจสภาพ ปญ หาในโรงเรียนหรอื ทอ งถ่ิน วางแผนและดาํ เนนิ พระพุทธศาสนาเรียกการบริหารจิตวา “สมถกรรมฐาน” หรือสมาธิภาวนา (ฝกจิตใหเกิดสมาธิ) การแกไขปญหาและพฒั นาโรงเรยี นหรอื ทอ งถ่นิ การฝกจิตใหเปนสมาธิ และเกิดปญญารูซึ่งสิ่งท้ังหลายตามสภาพเปนจริงน้ัน “สติปฏฐาน” ตามหลกั โยนโิ สมนสกิ าร โดยเนน การคดิ แบบรูเทา เปนหลักปฏิบัติที่พระพุทธเจาทรงสรรเสริญ และแนะนําใหเหลาสาวกของพระองคฝกปฏิบัติ ทันธรรมดา (คิดแบบสามญั ลกั ษณะ) และการคดิ เปนประจํา เพราะสติปฏฐานเนนการควบคุมจิตใหมีสติอยูกับตัว มีสัมปชัญญะ คือ ความรู แบบเปนอยใู นขณะปจจุบนั จากน้นั จดั ทาํ เปน เทาทันการเคล่ือนไหวท้ังหมดของเรา จึงสามารถนําไปประยุกตใชกับชีวิตประจําวันไดเปน บนั ทกึ การเจริญปญ ญาตามหลกั โยนิโสมนสกิ าร อยางดี สวนการเจริญปญญาน้ัน คือ การฝกใหรูจักคิด อยางที่เรียกวา คิดเปน ทําเปน เพ่ือแกปญ หาและพฒั นาโรงเรยี นหรอื ทอ งถ่ิน แกปญหาเปนน่ันเอง การฝกคิดอยางใดอยางหน่ึงใน ๑๐ วิธี เชน คิดแบบสามัญลักษณะ ใหรูเทาทันความไมเท่ียงแท ความเปนทุกข และความหาตัวตนมิไดของสิ่งทั้งหลาย หรือคิดแบบ ตรวจสอบผล Evaluate เปนอยูใ นขณะปจ จุบัน คือ ใหมีสตกิ ํากบั อยกู ับ “เรื่องทคี่ ิด กจิ ทที่ ํา คําทพ่ี ดู ” ไมอาลยั อาวรณถ ึง ส่ิงท่ีทําไปแลว และไมวิตกกังวลในส่ิงที่ยังมาไมถึงจนเกินเหตุ ก็เปนวิธีปฏิบัติท่ีสอดคลองกับ ครตู รวจการวางแผนและดําเนนิ การแกไ ข ปญ หาและพัฒนาโรงเรยี นหรอื ทองถน่ิ ตามหลกั หลักสติปฏฐานนั่นเอง ดังนั้น คนที่ไดรับการฝกฝน2อบรมทั้งดานสมาธิและวิปสสนา จะเปนคนมี โยนิโสมนสกิ าร โดยเนน การคิดแบบรูเ ทา ทัน ธรรมดา (คดิ แบบสามญั ลักษณะ) และการคดิ สขุ ภาพจิต สมรรถภาพจิต และสขุ ภาพจิตทส่ี มบรู ณ มีความเขาใจโลกและชวี ติ ไดถ กู ตอง แบบเปนอยูในขณะปจจบุ ัน จากการนาํ เสนอผล งานของตัวแทนนักเรียนแตละกลุม โดยพจิ ารณา ÊØâ¢ »Ø- Ú ÊÊÚ ÍØ¨Ú¨â จากความสอดคลอ งของสภาพปญ หาหรอื ความ ¡ÒÃÊѧè ÊÁº-Ø ¹Òí ÊØ¢ÁÒãËŒ ตองการในการพฒั นากบั การคิดตามหลักโยนิโส- มนสกิ าร การวางแผนและการดําเนนิ การอยางเปน (¾·Ø ¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉÔµ) ระบบ ตลอดจนผลท่ไี ดจ ากการดาํ เนนิ การดงั กลาว แลวรวบรวมไวเปน แหลง การเรยี นรูในชัน้ เรยี นหรอื 1๔1 หองสมดุ บูรณาการเช่อื มสาระ นกั เรยี นควรรู ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรโู ดยอธบิ ายใหน กั เรยี นเขา ใจถึง 1 สมถกรรมฐาน หรือสมถกัมมัฎฐาน กรรมฐาน คือสมถะ เปน การฝก จติ ให ประโยชนของการบรหิ ารจิตตามหลักสติปฏ ฐาน และการเจริญปญ ญาตาม สงบ ระดับพื้นฐานของกรรมฐาน สวนระดบั ทสี่ งู ข้ึนไปเรียกวา วิปส สนากรรมฐาน หลักโยนโิ สมนสิการ ในระดับการดําเนินชวี ติ ประจําวนั หรือทางโลก แลว หรือวปิ สสนากัมมัฎฐาน กรรมฐาน คือ วิปสสนา อันกอใหเกิดปญญา ความเห็น ใหนกั เรยี นชวยกนั วิเคราะหแ นวทางการปฏบิ ัติตนเพื่อการแกไขปญ หา แจง คอื เหน็ ตรงตอความเปน จรงิ ของสภาวธรรม ปญ ญาท่ีเห็นไตรลักษณอ ันให และการพฒั นาตนเองและครอบครวั ในดานตา งๆ เชน การพฒั นาการ ถอนความหลงผดิ รผู ดิ ในสงั ขารเสียได ศกึ ษาเรยี นรู การพัฒนาบุคลิกภาพ การพฒั นาจติ ใจและรางกาย และ 2 สขุ ภาพจิตทสี่ มบรู ณ ประกอบดวย คุณภาพจติ คอื การสรา งเสรมิ จิตใจ การพฒั นาครอบครัวและบคุ คลรอบขางอืน่ ๆ จากนัน้ สรปุ ผลการวเิ คราะห ใหดงี ามเจรญิ เพิ่มพนู ดวยคุณธรรม เปน จิตใจทีส่ ูง ประณีต เชน จิตที่ประกอบ แลวมอบหมายใหนกั เรยี นนาํ ไปประยุกตปฏิบัติในชีวิตประจาํ วัน ท้งั นเ้ี พอ่ื ดว ย เมตตา กรณุ า สมรรถภาพจติ คอื การฝกฝนพัฒนาจิตใจใหเขม แขง็ มัน่ คง ใหน กั เรียนเกิดประสบการณต รงจากการปฏบิ ัติดว ยตนเอง และการ มคี วามเพยี ร และความสามารถ เปนจติ ท่ีเหมาะแกการใชง าน อยางท่เี รยี กวา บูรณาการกลมุ สาระการเรียนรสู ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา วชิ าสุขศกึ ษา นุมนวล ควรแกง าน (กัมมนีย) โดยเฉพาะงานทางปญ ญา คอื การทจี่ ะคดิ พจิ ารณา เรอ่ื งการพฒั นาสขุ ภาพของตนเองและครอบครัว ตลอดจนการมีสวนรวม ใหเห็นความจริงแจม แจงชัดเจน และสขุ ภาพจิต คอื การทาํ จิตใจใหป ลอดโปรง ในการสง เสรมิ การพฒั นาสุขภาพในชมุ ชน ผองใส ปราศจากความขุนมวั เหยี่ วแหง หรือโศกเศรา ใหมีความสดชืน่ รา เริง สงบและเปนสขุ คมู่ อื ครู 141


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook