กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Elaborate Evaluate Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore ครูใหนักเรียนศกึ ษาความรูเกยี่ วกับหนาที่ ชาวพทุ ธในดา นการปฏบิ ตั ิตนเปนชาวพทุ ธทดี่ ีตอ ๑. หนา้ ท่ีชาวพทุ ธ พระภกิ ษุ และการปฏบิ ัตติ นเปนสมาชิกทดี่ ขี อง ครอบครัวและสงั คม จากหนังสือเรยี น หนา 92-101 ๑.๑ การปฏิบตั ิตนเปน็ ชาวพุทธที่ดีตอ่ พระภิกษุ แลว สรปุ สาระสาํ คัญของความรูท่ตี นศกึ ษาโดย บนั ทกึ ลงในสมดุ เพอื่ เตรยี มการอธบิ ายความรตู อ ไป ๑) การเขา้ ใจในกจิ ของสงฆ ์ ชาวพทุ ธทด่ี คี วรเรยี นรแู้ ละเขา้ ใจในกจิ ของพระสงฆ์ ในพระพทุ ธศาสนาตามสมควร ในท่นี จ้ี ะกลา่ วถงึ กิจบางประการของสงฆ์ คือ การศกึ ษา การปฏิบัติ อธบิ ายความรู Explain และการเปน็ นักบวชทดี่ ี ดังน้ี ๑.๑) การศึกษาอบรม เมื่อพระสงฆ์บวชแล้วต้องได้รับการศึกษาอบรมทุกด้าน 1. ครสู นทนากับนักเรียนถงึ ความสอดคลอ งของ หลกั ไตรสกิ ขาอนั ประกอบดวย ศีล สมาธิ และ ตั้งแต่กิริยามารยาท การพูดจา การเคลื่อนไหวอิริยาบถ ตลอดถึงการกระท�าต่างๆ โดยมี ปญ ญา กบั กจิ ของสงฆด านการศกึ ษาอบรม พระอปุ ชั ฌายค์ อยใหค้ า� แนะน�าพร่�าสอน การฝึกอบรมนนั้ เนน้ ให้ครบสมบรู ณ์ใน ๓ ดา้ น ดงั น้ี แลว ใหนักเรยี นชวยกันสรปุ สาระสําคญั เกย่ี ว กบั กิจของสงฆด า นการศึกษาอบรมโดยแบง (๑) ดา้ นศีล ต้องควบคุมกาย วาจา ให้เปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย งดเวน้ จาก ออกเปน 3 ดา นตามหลกั ไตรสิกขา จากนน้ั ขอ้ หา้ มท่พี ระพุทธเจ้าทรงบญั ญตั ิไว้ ศีลของพระภกิ ษุสงฆม์ ีอยู่ ๒ ประเภท ดงั นี้ ใหต ัวแทนนักเรียนออกมานาํ เสนอผลการสรุป สาระสําคญั เก่ยี วกบั กิจของสงฆดานการศึกษา ๑. ศีลในปาฏิโมกข์ หมายถึง ศีลท่ีส�าคัญ ๒๒๗ ข้อ (ส�าหรับภิกษุ อบรมที่หนาชัน้ เรียนผานกิจกรรมการเรยี นรู สงฆ)์ และ ๓๑๑ ขอ้ (ส�าหรบั ภิกษุณีสงฆ)์ 1 ตา งๆ ดังตอไปนี้ 2. ครสู นทนากบั นักเรียนถงึ ความหมายของการ ๒. ศีลนอกปาฏิโมกข์ หมายถึง ศีลเล็กๆ น้อยๆ นอกเหนือจาก ๒๒๗ ข้อ และ ๓๑๑ ข้อข้างต้น เช่น ข้อ ศกึ ษาอบรมของสงฆ แลวตงั้ คาํ ถามเกยี่ วกับ การศึกษาอบรมของสงฆดา นสมาธิ เพอื่ ให บัญญัติเก่ียวกับมารยาทต่างๆ เพื่อความดีงาม ตวั แทนนักเรยี นตอบเปน การอธบิ ายความรู เชน ของสถาบันสงฆ์ เปน็ ต้น • การศึกษาอบรมของสงฆในขอ ศีลแตกตาง (๒) ด้านสมาธิ ต้องฝึกฝนจิตใจ จากศีลของฆราวาสอยางไรบาง ดว้ ยการฝึกสมาธวิ ิปัสสนา ซง่ึ อาจทา� ท้งั ๒ วธิ ี (แนวตอบ ศีลของฆราวาสหรือคฤหัสถท ัว่ ไปนัน้ ควบคกู่ นั ไป ดังนี้ ประกอบดว ย ศีล 5 และสาํ หรบั ผทู ีต่ อ งการ ฝก ฝนตนใหย ิ่งขึ้นไป ไดแก ศีล 8 สว นศีล ๑. ฝึกสมถภาวนา ได้แก่ ของพระภกิ ษุสงฆน ัน้ แบงออกไดเ ปน 2 การหาวิธีหรืออุปกรณ์เพื่อให้จิตยึดเหน่ียว ประเภท ไดแ ก ศีลในปาฏิโมกข ประกอบดวย เป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจิตก็จะสงบ ศลี 227 ขอ สาํ หรบั พระภิกษสุ งฆ ซ่ึงบัญญัติ ประเพณีนิยมประการหน่ึงของสังคมไทยก็คือ กุลบุตร สามารถขจดั สง่ิ มวั หมองที่เป็นอุปสรรคต่อการ ไวในพระไตรปฎ ก หมวดพระวนิ ยั และศีล เม่ือถึงวัยอันควร พึงเข้ารับการอุปสมบทเพื่อศึกษา พัฒนาจิต (ซ่ึงเรียกว่า นิวรณ์) ออกจากใจได้ นอกปาฏโิ มกข ประกอบดว ย ขอพึงปฏบิ ตั ิ ผลของการฝึกแบบน้ีเป้าหมายคือท�าจิตใจให้ ตา งๆ ของพระภิกษสุ งฆ เพ่อื ความดงี ามของ สถาบนั สงฆ) สงบ ข่มกิเลสได้ชั่วครั้งช่ัวคราว วิธีฝึกมี ๔๐ เกร็ดแนะครู หลกั ธรรมคาำ สอนของพระพทุ ธศาสนา วิธแี ตกต่างกันออกไป 92 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT การศกึ ษาอบรมซงึ่ เปน กจิ ของสงฆม ีสาระสําคญั อยางไรบาง ครคู วรมกี จิ กรรมการเรียนรูทส่ี ง เสริมใหน กั เรียนตระหนักถึงความสําคญั ของ การศกึ ษาเก่ยี วกบั กจิ ของสงฆ ซ่ึงเปนหนา ทข่ี องชาวพทุ ธ เชน การตั้งคําถาม แนวตอบ การศึกษาอบรมซงึ่ เปนกจิ ของพระภิกษสุ งฆมีสาระสาํ คญั “เพราะเหตุใด ชาวพทุ ธจึงตอ งมีความรคู วามเขาใจเกยี่ วกับกจิ ของสงฆ” การต้งั แบง ออกไดเปน 3 สวน ซง่ึ สอดคลอ งกบั หลักไตรสกิ ขา ไดแ ก ศลี การ ประเดน็ อภิปรายเกีย่ วกับความสาํ คญั ของพระสงฆ เปนตน ปฏิบตั ิตนตามศีลในปาฏโิ มกข คอื ศีล 227 ขอ และศีลนอกปาฏิโมกข ตา งๆ สมาธิ การฝก ปฏบิ ัติสมถภาวนา เพือ่ ควบคมุ จติ และวปิ ส สนา ภาวนา เพ่ือหลุดพนจากกิเลสทัง้ ปวง และปญญา การปฏบิ ตั นิ ใหถ ึงพรอม นกั เรยี นควรรู ในปญ ญาระดบั สุตะ เปน พหสู ูตทเี่ ขา ใจถองแทใ นพระธรรมคําสอน ตลอด จนความรทู วั่ ไปในทางโลก สามารถใหคําปรกึ ษาชว ยเหลือพทุ ธศาสนิกชน 1 ศลี นอกปาฏโิ มกข ในสว นของภิกษุณสี งฆทส่ี าํ คญั ไดแ ก ครธุ มั มปฏิคคหณปู - ได และปญ ญาระดับญาณ เปน ผูเ ขาใจในธรรมชาตขิ องโลกและชีวติ สมั ปทา คือ เงอ่ื นไขอยางเขม งวด 8 ประการ ทภ่ี ิกษุณีจะตอ งปฏิบัติตลอดชีวิต ลดละกเิ ลสตา งๆ จนหมดไปไดโดยสน้ิ เชิง เชน ตอ งเคารพภิกษุแมจ ะออนพรรษากวา ตองไมจ ําพรรษาในวดั ท่ไี มมีภิกษุ ตองทาํ อุโบสถและรบั โอวาทจากภิกษทุ ุกกงึ่ เดอื น และเม่ือออกพรรษาตองปวารณา ตนตอ ภิกษแุ ละภกิ ษณุ ีอน่ื ใหตักเตอื นตน เปน ตน 92 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู เรอ่ื งน่ารู้ 1. ครตู ้งั คําถามเกี่ยวกับการศกึ ษาอบรมของสงฆ ดา นสมาธิ เพอ่ื ใหต วั แทนนักเรียนตอบเปนการ ประเภทของสมาธิ อธบิ ายความรู เชน • วิปสสนาภาวนามีคุณคาตอการศกึ ษาอบรม สมาธมิ ี ๓ ประเภท ดงั น้ี สมาธิของสงฆอ ยา งไร ๑. ขณกิ สมาธิ หมายถงึ อาการทจ่ี ติ นง่ิ สงบเพยี งชว่ั ระยะเวลาสน้ั ๆ (แนวตอบ วิปส สนาภาวนาชวยใหส งฆ 2. อปุ จารสมาธิ หมายถงึ สมาธทิ ย่ี งั ไมส่ มบรู ณเ์ ตม็ ท่ี แตเ่ ปน็ สมาธริ ะดบั ทก่ี าำ จดั นวิ รณอ์ อกจากใจไดเ้ กอื บถงึ หยั่งรสู ภาวะตางๆ ตามความเปน จรงิ ใน ระดบั ฌาน ธรรมชาติ ดว ยการนาํ สมาธิทไี่ ดจ ากการฝก ๓. อัปปนาสมาธิ หมายถึง สมาธิแน่วแน่สมบูรณ์เต็มท่ี เป็นสมาธิระดับท่ีกำาจัดนิวรณ์ออกจากใจได้โดย ปฏบิ ตั สิ มถภาวนามาใชพ ิจารณา และชว ย สน้ิ เชงิ และเปน็ สมาธริ ะดบั ฌานชน้ั ตา่ งๆ ใหมสี มรรถภาพจติ เชน การไมย อ ทอตอ อุปสรรค การใฝสมั ฤทธส์ิ ูง และมคี ณุ ภาพ ๒. ฝึกวปิ ัสสนาภาวนา ได้แก่ การฝกึ ตามวิธกี ารในขอ้ ๑. น่ันเอง พอจติ จิต เชน การมคี วามสุขสบาย ผอ นคลาย) เป็นสมาธิหรือสงบระดับหนึ่งแล้ว ก็ใช้สมาธิน้ันเป็นพ้ืนฐานพิจารณาเห็นความไม่เท่ียงแท้ ความเป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตนแท้จริงของสรรพสิ่ง จนกระท่ังเกิดการหยั่งรู้สภาวะท้ังหลาย 2. ครูต้งั ประเดน็ ใหตัวแทนนกั เรียนอภิปราย ตามเป็นจริง จิตปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่น เป็นอิสระแท้จริงจากพันธะของกิเลส เป้าหมาย ความสัมพนั ธระหวา งการเปน พหสู ูตกับการ ของการฝึกจิตแบบนมี้ ุง่ ไปทีป่ ญั ญาความรู้แจง้ และละกเิ ลสไดเ้ ดด็ ขาด มญี าณของพระสงฆ เพ่อื เปนการอธิบาย ความรูเก่ยี วกับการศึกษาอบรมดา นปญญา จิตที่ผ่านการฝึกฝนด้วยวิธีการท้ัง ๒ วิธีข้างต้นน้ัน จะเป็นจิตที่สมบูรณ์ ของพระสงฆ เชน พหูสูตกบั ญาณ : ปญญา ใน ๓ ด้าน คือ มคี วามนมุ่ นวล อ่อนโยน เช่น เมตตากรณุ า ความเอ้อื เฟอื้ เผื่อแผ่ เห็นอกเหน็ ใจ ทางโลกและปญ ญาทางธรรมของสงฆ คนอื่น (มสี ขุ ภาพจิตด)ี มีความเข้มแขง็ เชน่ มีขันติ (ความอดทน) ความยบั ย้งั ชั่งใจ ความเพียร ความกลา้ หาญ การไมย่ อ่ ท้อตอ่ อุปสรรค ความใฝส่ มั ฤทธิ์สงู (มสี มรรถภาพจติ ดี) มีความสุขสบาย 3. ครูอธิบายนกั เรียนถงึ การเปนพหสู ตู หรอื เปน ผู ผ่อนคลาย โปร่งใส เช่น มีปตี ิโสมนัส ไมย่ ดึ มั่นถอื มน่ั ร้จู กั เข้าใจคนอ่นื และให้อภัยคนอนื่ (การมี คงแกเรียนของพระสงฆท่ีกลา วไดว า สขุ ภาพจติ ดี) เปน ปญญาในทางโลก คอื เปน ความรรู ะดบั โลกิยะทคี่ นท่ัวไปพงึ มจี ากการศึกษาเลาเรยี น (๓) ดา้ นปญั ญา พระสงฆจ์ ะตอ้ งศกึ ษาอบรมตนใหเ้ ปน็ ผมู้ ปี ญั ญา ใหส้ มกบั เป็น ดวยการฟง จาํ และคิดพจิ ารณาความรูตา งๆ ผ้นู า� ทางสตปิ ญั ญาของชาวบา้ น ปญั ญามี ๒ ระดบั ดังนี้ ที่มีประโยชน เพอ่ื สามารถใหคําแนะนํากบั ชาว บาน และเปน เครอ่ื งมือในการเผยแผพระธรรม ๑. ปัญญาระดับสุตะ คือ ความรู้ระดับโลกิยะท่ีคนท่ัวๆ ไปจะพึงมี เช่น คาํ สอนไดเปนอยา งดี สวนการมีญาณของ การศึกษาเล่าเรียนด้วยการฟัง การจ�าข้อม1ูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ พระสงฆ์ต้องเรียนรู้วิชาการ พระสงฆน น้ั กลา วไดวา เปนปญ ญาในทาง ด้านต่างๆ ที่จ�าเป็น จนกระทั่งเป็น “พหูสูต” (ผู้คงแก่เรียน) เพื่อที่จะได้ให้ค�าแนะน�าชาวบ้านได้ ธรรม ท่อี าจไมเกย่ี วขอ งกับการเปน พหูสตู และที่ส�าคัญความรู้เหล่าน้ีจะได้เป็นเครื่องมือหรือ “ส่ือ” ส�าหรับถ่ายทอดหลักค�าสอนทาง เนือ่ งจากญาณนั้นไดจ ากการฝกปฏิบัติ พระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี เช่น พระสงฆ์ที่มีความรู้เร่ืองวิทยาศาสตร์ ย่อมสามารถอธิบาย วปิ ส สนาภาวนาเทา นนั้ การมญี าณของพระสงฆ หลกั ธรรมของพระพุทธเจา้ ในแงว่ ิทยาศาสตรแ์ กน่ กั วิทยาศาสตร์ได้เป็นอยา่ งดี เป็นตน้ น้นั กลาวคือ เปนความเขา ใจในโลกและชวี ติ การละความโลภ โกรธ และหลงใหลดลงจน 9๓ กระทัง่ หมดไป กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ครอู าจมอบหมายใหนกั เรยี นสรุปสาระสาํ คัญของแนวทางการฝก 1 พหูสูต หรือพหสุ ตู แปลวา ผูไดยนิ ไดฟ ง มามาก หมายถึง การจําธรรมและ ปฏิบัติสมาธิทงั้ ระดบั สมถภาวนาและวปิ ส สนาภาวนา แลวนาํ แนวทางการ ศลิ ปวทิ ยามาก เปนผคู งแกเ รยี น มีองคป ระกอบ 5 ประการ เรียกวา พาหุสัจจะ ฝก ปฏิบตั สิ มาธริ ะดบั สมถภาวนาไปฝกปฏิบตั ิในชวี ติ ประจาํ วัน จากนน้ั ไดแ ก พหสุ สฺ ุตา คือ การไดย นิ ไดฟ ง มาก ธตา คอื การจําไวได วจสา ปรจิ ติ า คือ บนั ทึกผลของการปฏบิ ัตสิ ง ครูผสู อน การกลา วไดอยางคลองปาก มนสานุเปกขฺ ติ า คอื การจาํ ไดจ นเจนใจ และ ทฏิ ฐยิ า สุปฏิวทิ ฺธา คอื การคิดไดต ามหลักทฤษฎี กิจกรรมทาทาย มมุ IT ครอู าจมอบหมายใหนักเรียนศึกษาคน ควาเพ่ิมเตมิ ถงึ แนวทางการ ปฏบิ ัตสิ มาธทิ ั้งในระดับสมถภาวนาและวปิ สสนาภาวนา จากแหลงการ ศึกษาขอมูลเกี่ยวกับคณุ คาและแนวทางการเจรญิ สมาธแิ ละวปิ สสนาเพ่ิมเติม เรยี นรูท่ีครูเสนอแนะ แลว นาํ แนวทางการฝกปฏิบัติสมาธิท่เี หมาะสมกับ ไดท ี่ http://www.thammapedia.com/practice/patipatti_howto.php ตนเองไปฝกปฏบิ ัตใิ นชวี ิตประจําวนั จากน้ันบันทกึ ผลการศึกษาคน ควา เว็บไซตม ูลนธิ ิธรรมทานกุศลจิต และการฝก ปฏบิ ัติสงครผู ูสอน คมู อื ครู 93
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครูใหต ัวแทนนกั เรียนจับสลากคาํ ศัพทห รอื ๒. ปัญญาระดับญาณ คือ ความหย่ังรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ขอความสําคญั เก่ียวกบั กจิ ของสงฆดานการปฏบิ ัติ ปัญญาระดับนี้ไม่จ�าเป็นจะต้องต่อมาจากปัญญาระดับสุตะ หมายความว่า คนที่คงแก่เรียน และเปนนักบวชทด่ี ี ไดแก การศกึ ษาอบรมตน มีความรู้วิทยาการมากๆ ไม่จ�าเป็นจะต้องมีญาณหรือเกิดญาณได้ง่าย ชาวไร่ชาวนาท่ีมีวิถีชีวิต กัลยาณมิตร ศรัทธา การปฏิบัตติ นเปนแบบอยา ง อย่างเรียบง่าย อาจมีความรู้ระดับญาณได้ง่ายกว่านักปราชญ์ก็ได้ ปัญญาระดับญาณน้ีเกิดได้ การพฒั นาบคุ คลและสงั คมในทางพระพุทธศาสนา ทางเดยี วคอื ผา่ นการฝกึ วปิ สั สนากรรมฐาน ปญั ญาระดบั นว้ี ดั ไดด้ ว้ ยการเขา้ ใจโลกและชวี ติ การปลอ่ ย ความเขา ใจพระธรรมคาํ สอน การละความชั่ว การ วางความตดิ ยดึ ตามล�าดบั การลดละความโลภ โกรธ หลง ใหล้ ดลง จนกระทงั่ หมดไปโดยสนิ้ เชงิ มีจติ ใจไมเขม แข็ง การสง เสรมิ ความดี การสอน ธรรมไดเ หมาะสมกบั บุคคล ศาสนทายาท และ ๑.๒) การปฏิบัติและเป็นนักบวชที่ดี เม่ือฝึกฝนอบรมตนให้พร้อมทั้งด้านศีล พระธรรมวินัย แลวใหต วั แทนนกั เรยี นท่ไี ดสลากคาํ สมาธิ และปัญญาแล้ว พระสงฆ์ยงั จะต้องปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ท่สี า� คญั อกี ประการหน่งึ คือ การเผยแผ่ ศพั ทห รือขอความสาํ คญั เกี่ยวกบั กจิ ของสงฆด าน พระธรรมคา� สอนของพระพทุ ธเจา้ การเผยแผ่พระธรรมจะได้ผลดีนั้น พระสงฆ์ต้องท�าตนให้เป็น การปฏบิ ัติและเปน นกั บวชท่ีดตี างๆ จบั คกู ันตาม “กัลยาณมิตร” คือ เพื่อนที่แท้ ที่คอยช้ีแนะแนวทางให้พุทธศาสนิกด้วยความหวังดี ซึ่งขอกล่าว ความรูเกย่ี วกับการปฏบิ ัตแิ ละเปนนักบวชท่ีดที ต่ี น โดยสรปุ ๕ ประการ ดงั น้ี ศึกษามาใหถ ูกตอ ง จากนน้ั ตัวแทนนกั เรียนแตละคู ชวยกนั ต้งั คาํ ถามโดยใชค ําศัพทหรอื ขอ ความสาํ คญั (๑) สร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาและท�าตนเป็นตัวอย่างท่ีดี พระสงฆ์ ของคตู น เพื่อใหนักเรยี นคนอน่ื ชว ยกนั ตอบเปน การ ต้องพยายามชักชวนและชี้แจงให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้ม่ันใจในหลัก อธบิ ายความรู เชน ค�าสอนของพระพทุ ธศาสนา เช่น ถ้ามีบางคนเข้าใจว่าพระพทุ ธศาสนาสอนหลกั ธรรมทสี่ ูงเกินไป กว่าสามัญชนจะปฏบิ ตั ิได้ (เช่นสอนเร่ืองนิพพาน) กช็ ี้แจงให้เข้าใจว่า ทีจ่ รงิ แลว้ พระพุทธศาสนา • การสรางความเขาใจทถ่ี ูกตองในพระธรรม สอนธรรมะไว้ถึง ๓ ระดับ ไดแ้ ก่ ระดับพนื้ ฐาน เนน้ ไปทกี่ ารประสบความสา� เรจ็ การมีความสขุ คําสอนของพระพทุ ธเจา เปน บทบาทหนา ท่ี แบบชาวโลก การพง่ึ พาตนเองไดใ้ นทางเศรษฐกจิ ระดบั กลาง เนน้ ไปทค่ี วามมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม สําคญั ของพระสงฆอยางไร และ ระดับสูง เนน้ ไปทกี่ ารลดละกเิ ลสได้เดด็ ขาด ธรรมะคา� สอนของพระพทุ ธศาสนาจงึ เหมาะแก่ (แนวตอบ การสรางความเขา ใจท่ถี กู ตอ งใน คนทุกระดับ ใครพอใจหรือมีความสามารถปฏิบัติได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น แล้วค่อยพัฒนาให้ก้าว พระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจาเปน บทบาท สูงขึ้นไปตามล�าดับ หนาท่สี าํ คญั อยางยิ่งของพระสงฆ ซ่ึงเปนผทู ่ี ไดช่ือวาเปน พระสาวกสบื ทอดพระธรรม อน่ึง วิธีสร้างศรัทธาท่ีดีที่สุดก็คือ การสอนด้วยตัวอย่าง พระสงฆ์ท่ี คาํ สอนของพระตถาคต เพราะพทุ ธศาสนกิ ชน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ งดงามไปด้วยศีล สมบูรณ์ไปด้วยคุณธรรม มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อาจเกดิ ความเขา ใจท่คี ลาดเคล่ือนหรือ ถึงจะไมส่ ัง่ สอนอะไรใครมาก กท็ า� ใหผ้ พู้ บปะเสวนาดว้ ยเกดิ ความเลอ่ื มใสได้เป็นอยา่ งดี ไมถ ูกตองในหลักธรรมคําสอนตางๆ ได พระสงฆจ งึ ควรมบี ทบาทหนาท่ใี นการอธบิ าย (๒) สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเก่ียวกับพระพุทธศาสนา บางครั้ง ใหพ ทุ ธศาสนิกชนเกิดความรูค วามเขา ใจท่ี บางคนอาจจะไมเ่ ลอ่ื มใสศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา มิใชเ่ พราะพระพทุ ธศาสนาสอนไมด่ ี แตเ่ พราะ ถกู ตอ งในพระธรรมคาํ สอน อนั จะนาํ มาซึง่ ไมเ่ ขา้ ใจหรอื เข้าใจผิด จงึ สรปุ ว่าพระพุทธศาสนาไมด่ ี ไม่นา่ เล่อื มใสศรทั ธา เชน่ การกล่าวหาว่า ความมั่นคงของพระพุทธศาสนาสบื ไป) พระพุทธศาสนาสอนหลกั ธรรมทีข่ ัดกบั การพัฒนาคนและการพัฒนาสังคม เพราะพระพุทธศาสนา 94 เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกับการพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ตามแนวทาง ครอู าจนาํ วีดิทศั นหรือบทความเกี่ยวกบั พระสงฆท ม่ี ปี ระวตั คิ วามเปน มาและผล พระพทุ ธศาสนา งานสอดคลองกับหลักการปฏิบัตแิ ละเปน นกั บวชทดี่ ีของสงฆม าใหนกั เรยี นพจิ ารณา ในแนวทางพระพุทธศาสนา เราจะสรา งคณุ ภาพชีวิตไดอ ยา งไร เชน ทานพุทธทาสภิกขุ จาก http://www.buddhadasa.com/ เว็บไซตร วบรวม 1. มีสติ สมาธิ และปญญา ประวตั แิ ละผลงานของทา นพทุ ธทาสภกิ ขุ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย (ประยทุ ธ ปยตุ โฺ ต) 2. มมี ารยาทชาวพุทธ และสมาธิ จาก http://www.watnyanaves.net/th/web_page/papayutto เวบ็ ไซตวดั 3. ยดึ ไตรลกั ษณ และโยนิโสมนสิการ ญาณเวศกวนั และพระไพศาล วิสาโล จาก http://www.visalo.org/ เว็บไซต 4. ยึดทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนกิ ธรรม และฆราวาสธรรม พระไพศาล วิสาโล แลวอภปิ รายรวมกันถึงความสอดคลองของกิจของสงฆใ นดา น วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. มีสติ สมาธิ และปญญา หรอื หลัก การปฏบิ ัตแิ ละเปน นักบวชทดี่ ีกบั การปฏิบตั ติ นของพระอริยสงฆดังกลา ว จากนนั้ ไตรสกิ ขา ซ่งึ เปน แนวทางในการพัฒนาตนเองใหเจรญิ กา วหนาท้ังในทาง นกั เรียนบนั ทึกผลการอภปิ รายลงในสมดุ ทั้งนีเ้ พือ่ ใหนกั เรียนเกิดความรูความเขา ใจ โลกและในทางธรรม การพฒั นาตนเองในทางโลกนัน้ กลา วคอื การชว ย เก่ยี วกับกจิ ของสงฆในดา นการปฏิบตั แิ ละเปนนักบวชที่ดไี ดชดั เจนยิง่ ข้ึน สงเสริมใหป ระสบความสาํ เรจ็ ในการเรียนและการทาํ งาน รวมถึงการ ดาํ เนนิ ชีวติ โดยท่วั ไป 94 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู สอนให้มนุษย์ก�าจัดตัณหา (ความอยาก) โดยเขาให้เหตุผลว่า การจะพัฒนาอะไรได้นั้น ต้องเร้า ตวั แทนนกั เรียนแตละคูช วยกันต้งั คําถาม โดยใชคําศพั ทห รือขอ ความสาํ คญั ของคตู น ให้คนเกิดความอยาก ความต้องการ เมื่อต้องการมากๆ ก็จะกระท�าการหรือพัฒนาตนมากข้ึน เพื่อใหน ักเรียนคนอ่นื ชวยกันตอบ เปน การ อธิบายความรู เชน พระพทุ ธศาสนาสอนใหล้ ะความอยากกเ็ ทา่ กบั สอนใหค้ นงอมอื งอเทา้ ไมส่ รา้ งสรรคน์ ่นั เอง • เพราะเหตุใด พระสงฆจึงตองปฏิบัตติ นเปน พระสงฆ1 ์ผู้เผยแผ่ธรรมะจะต้องสามารถชี้แจงให้เกิดความเข้าใจให้ได้ว่า ดงั กลั ยาณมิตรของพทุ ธศาสนิกชน ความอยาก ที่เรียกว่า “ตัณหา” นั้น เป็นความโลภและทุจริต คนที่อยากด้วยอ�านาจความโลภ (แนวตอบ การปฏิบตั ิตนเปน ดงั กลั ยาณมิตร ของพระสงฆต อ พทุ ธศาสนกิ ชนนน้ั ชวย และทุจริต ย่อมจะกระท�าการอะไรเพ่ือตนเองและสร้างความเดือดร้อนแก่สังคมเป็นอย่างมาก ใหก ารเผยแผพระธรรมคาํ สอนไดผลดี เน่อื งจากพุทธศาสนิกชนเกิดความศรทั ธาใน ถ้ายิ่งเร้าให้คนเกิดความอยากชนิดนี้มากเท่าใด สังคมก็จะเต็มไปด้วยคนโลภ คนทุจริต คนท่ี พระสงฆทป่ี ฏิบัตติ นเสมอื นเพ่ือนท่ีแท ทค่ี อย ช้ีแนะแนวทางแกปญ หาหรือพัฒนาตนดวย เอารัดเอาเปรียบ สังคมหาความสงบสุขได้ยาก ความอยากอย่างน้ี (ตัณหา) พระพุทธเจ้าตรัส ความหวังด)ี สอนให้พยายามลดละให้มากท่สี ุดเท่าท่ีจะทา� ได้ แต่ความอยากสรา้ งสรรค์ เชน่ อยากท�าความดี • พระสงฆจ ะมบี ทบาทในการสง เสริมให พุทธศาสนกิ ชนมจี ติ ใจท่ีเขม แขง็ ละความ อยากช่วยเหลือคนอ่ืน อยากเรียนหนังสือให้มีความรู้มากๆ เพ่ือออกไปรับใช้ชาติ ท่านเรียกว่า ชั่วไดอยางไรบาง (แนวตอบ พระสงฆม บี ทบาทในการสงเสรมิ ให “ธรรมฉันทะ” คนทมี่ ีความอยากชนดิ นีเ้ ปน็ คนไมโ่ ลภ ไมท่ ุจรติ จะตงั้ หน้าตั้งตาทา� งานดว้ ยความ พทุ ธศาสนิกชนมจี ติ ใจทเี่ ขม แข็ง ละซึ่งความ ชว่ั ทง้ั ปวงได โดยเร่ิมจากการประพฤติปฏบิ ัติ ขยันหมั่นเพียร ด้วยความซ่ือสัตย์สุจริต ความอยากชนิดนี้เท่านั้นที่สนับสนุนส่งเสริมให้เกิด ตนใหเปนแบบอยาง กลา วคือ ปฏบิ ตั ติ าม หลกั ธรรมทตี่ นจะสอนได และการเทศนา การพัฒนาอย่างแท้จริง สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ “พระพุทธศาสนาสอนให้ก�าจัดความอยาก ธรรมสั่งสอนโดยตรง ทั้งนีพ้ ิจารณาตาม ความเหมาะสม เนื่องจากพทุ ธศาสนิกชน ทีเ่ รยี กวา่ ตณั หา แต่ใหพ้ ฒั นาความอยากท่ีเรียกวา่ ธรรมฉนั ทะ” ลว นไมอ ยากตกอยใู นอํานาจของความ ชวั่ หรือกเิ ลสตา งๆ แตบางครัง้ กอ็ ดที่จะ (๓) สอนให้ละความชั่ว ทําความช่วั ไมได เพราะความหลงผิดบาง หรือเพราะความท่มี จี ิตใจไมเขม แขง็ มั่นคง คนทุกคนชอบความดีเกลียดความชั่ว แต่ทั้งๆ เพียงพอบา ง) ท่ีชอบความดีเกลียดความชั่ว ในบางคร้ังบาง คนก็อดท�าความช่ัวไม่ได้ เพราะความหลงผิด บา้ ง เพราะจติ ใจขาดความเขม้ แขง็ เพยี งพอบา้ ง หน้าท่ีส�าคัญของพระสงฆ์อีกประการหนึ่งก็คือ พยายามหาวิธีให้คนละท�าความชั่วและให้พึง ท�าแตค่ วามดีให้ได้ สิ่งใดบอกให้เข้าใจไดก้ บ็ อก สิ่งใดบอกด้วยปากไม่ได้ผลก็ต้องท�าให้ดูเป็น ตัวอย่าง ดังกรณีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เดินไปเห็นเน้ือติดบ่วงนายพรานอยู่ จึงปล่อย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ไดส้ ง่ั สอนธรรมะ เนื้อตวั น้นั แลว้ เอาบ่วงผูกขาตนเองแทน เม่อื ให้บุคคลทำาความดีละเว้นความชั่ว และปฏิบัติตนเป็น นายพรานเจ้าของบ่วงมาพบเข้า จึงส�านึกว่า แบบอยา่ งของการเป็นนักบวชท่ีดี 9๕ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรยี นควรรู หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งสอดคลองกับธรรมฉนั ทะในทาง 1 ตณั หา คอื ความทะยานอยาก ความเสนห า แบงออกเปน 3 ประเภท ไดแ ก พระพทุ ธศาสนาอยา งไร กามตัณหา คือ ความอยากไดในอารมณอ นั นารักใคร ภวตัณหา คือ ความอยาก เปน น่ันน่ี และวภิ วตณั หา คือ ความไมอ ยากเปน น่ันน่ี อยากพนไปเสีย นอกจาก 1. การพฒั นาตนใหบ รรลเุ ปา หมายทช่ี อบดว ยแนวทางทถ่ี กู ตอ งเหมาะสม นตี้ ณั หายังเปน ช่อื ของธดิ าพญามาร 1 ใน 3 นาง (อีกสองนาง ไดแ ก นางอรดี 2. การประหยดั มธั ยสั ถใ ชจ า ยเทา ทจ่ี าํ เปน และเหมาะสมกบั รายไดข องตน และนางราคา) ทอ่ี าสาบดิ ามาประโลมพระพุทธเจา ดว ยอาการตา งๆ ในขณะที่ 3. การถอื หลกั สนั โดษ ไมอ ยากมี อยากได และอยากเปน ในสง่ิ ทเ่ี หมาะสม พระพุทธเจาประทับอยใู ตต นอชปาลนโิ ครธภายหลงั การตรัสรู 4. การพยายามพึ่งตนเองและปฏเิ สธความชว ยเหลือของผูอ่นื วิเคราะหค าํ ตอบ ความสอดคลองระหวางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มมุ IT กบั ธรรมฉนั ทะในทางพระพทุ ธศาสนา ไดแ ก การอยากได อยากมี และ อยากเปน ในสิ่งท่ีถกู ตองเหมาะสม และตนเองมคี วามสามารถและความ ศกึ ษาขอมูลเพม่ิ เติมเก่ยี วกับประวตั ิและผลงานของสมเด็จพระพฒุ าจารย (โต พรหมรังสี) ไดที่ http://www.watrakang.com/biography.php เว็บไซต เพียรพยายามเพียงพอในการบรรลุเปาหมายนัน้ ดังนนั้ คําตอบคอื ขอ 1. วดั ระฆังโฆสติ าราม คูม ือครู 95
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ตวั แทนนกั เรียนแตละคูช วยกนั ตงั้ คําถามโดยใช ท่านมาแสดงปริศนาธรรม มาสัง่ สอนตนใหง้ ดเวน้ การฆา่ สัตว์ตัดชวี ติ ซง่ึ นายพรานกย็ อมท�าตาม ศพั ทหรือขอ ความสําคัญของคูตน เพือ่ ใหน ักเรียน คนอื่นชวยกันตอบ เปน การอธิบายความรู เชน ค�าสงั่ สอนของสมเด็จพระพฒุ าจารย์ จงึ เลิกอาชพี การเป็นนายพรานนับตั้งแต่บัดนน้ั ดังนเ้ี ป็นต้น • คุณคาของการสอนธรรมไดเ หมาะสมกับ (๔) สนบั สนนุ ใหท้ า� ความด ี พระสงฆต์ อ้ งสรา้ งเสรมิ กา� ลงั ใจใหค้ นทา� ความดี บุคคลของพระสงฆค อื อะไร (แนวตอบ การสอนธรรมไดเ หมาะสม มีเทคนิควิธีแนะน�าท่ีเหมาะแก่บุคคล เพราะคนเรามีพื้นฐานและความสนใจไม่เหมือนกัน กบั บุคคลของพระสงฆมีคุณคาอยางยิง่ ตอพทุ ธศาสนกิ ชน กลาวคอื ชวยให ผู้สอนจึงต้องรู้จักปรับวิธีการแนะน�าส่ังสอนให้เหมาะแก่คนแต่ละคนว่าจะเป็นเรื่องใด ดังกรณี พทุ ธศาสนิกชนเขาใจหลกั ธรรมคาํ สอนของ พระพทุ ธองคไดอ ยา งชัดเจนแจม แจงยงิ่ ข้ึน ผู้ปฏิบัติสมาธิบ่นกับอาจารย์สอนสมาธิรูปหน่ึงว่า เขาหมดก�าลังใจปฏิบัติแล้ว ยิ่งปฏิบัติเท่าใด อันนําไปสกู ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตนตามเพอื่ แกป ญหาและพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของตนได ก็มีแต่ความฟุ้งซ่าน ไม่ได้ผลอะไรเลย อาจารย์ตอบว่า “อย่างนอ้ ยโยมก็ไดแ้ ลว้ คอื ไดค้ วามรวู้ า่ ทัง้ นีเ้ นอื่ งจากบุคคลตา งๆ ลวนมพี ืน้ ฐานและ ความสนใจแตกตา งกนั ไป การสอนพระธรรม จติ โยมฟงุ ซา่ น ถา้ ปฏบิ ตั ติ อ่ ไปเรอื่ ยๆ โยมกอ็ าจจะไดม้ ากกวา่ น ้ี ขอใหท้ า� ต่อไปเถอะ ความดมี ิใชว่ ่า จงึ ควรปรบั แนวทางวิธีการใหเ หมาะสมกับ พนื้ ฐานบคุ คล ตลอดจนโอกาสและหลักธรรม ท�าไดภ้ ายในวันสองวัน” อยา่ งนีเ้ ปน็ ต้น คาํ สอนดว ย) (๕) สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพไว้สืบทอดพระพุทธศาสนา ถึงพระพุทธเจ้า • คณุ ภาพของศาสนทายาทประกอบดว ย อะไรบาง ปจะฏเิบสดัต็จิสดืบับตข่อันกันธปมราินิพพพุทธานบรแิษลัท้ว1ทพ้ังหระลธารยรมโวดินยัยเฉพ(พาระะภพิกุทษธุบศราิษสัทนมาีห) นก้า็ยทังี่สคืบงทออยดู่ พเพรระาพะุทไดธศ้รับาสกนาาร (แนวตอบ ศาสนทายาทท่ีจะชว ยสืบทอด พระพุทธศาสนาในยง่ั ยืนสบื ไปน้นั ควรมี โดยตรงจึงต้องสร้างศาสนทายาทท่ีมีคุณภาพไว้ด้วย ศาสนทายาทที่มีคุณภาพจะต้องมีคุณสมบัติ คณุ ภาพหลายประการ ไดแ ก การมคี วาม รูความเขาใจในพระพุทธศาสนาแตล ะดา น ดงั นี้ คือ เปนอยา งดี การมีความประพฤติดตี ามหลัก แหงพระพุทธศาสนาจนไดรับผลดแี หง ความ ๑. มคี วามร้พู ระพทุ ธศาสนาดี ประพฤตินน้ั การมคี วามสามารถในการ ถา ยทอดพระธรรมคาํ สอน หลักการของ ๒. มีความประพฤติดี สามารถ พระพทุ ธศาสนาใหแกผ อู ่นื เขา ใจไดอยา ง ชัดเจน และการปกปองพระพทุ ธศาสนาได ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาจนได้รับผล เมอ่ื มีภยั ตา งๆ) แหง่ การปฏบิ ัติ ๓. มคี วามสามารถในการถา่ ยทอด คือ ช้ีแจงหลักการของพระพุทธศาสนาให้ คนอ่ืนเขา้ ใจได้ ๔. เม่ือเห็นว่ามีภัยเกิดข้ึนแก่ พระพทุ ธศาสนา พร้อมท่จี ะปกปอ้ ง การสร้างบุคลากรไว้สืบทอด พระพุทธศาสนานั้นจึงเปรียบได้ “ด่ังตระกูล พระสงฆเ์ ปน็ พทุ ธสาวกทม่ี หี นา้ ทส่ี ง่ั สอนธรรมแกช่ าวโลก ที่ไมม่ ที ายาทสบื ทอด แมจ้ ะมง่ั คง่ั มน่ั คงเพยี งใด และสืบทอดพระพุทธศาสนาใหด้ าำ รงอยตู่ อ่ ไป ในเบอื้ งตน้ ทส่ี ดุ กจ็ ะอยู่ไม่ได ้ เฉกเชน่ เดยี วกบั 96 เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT บคุ คลใดกลา วไดวา เปน ศาสนทายาทท่มี คี ุณภาพของพระพทุ ธศาสนา ครูควรจดั กจิ กรรมการเรยี นรตู ามแนวทางการพฒั นานกั เรยี นใหม สี ัมมาทิฏฐิ 1. แจนถกเถียงกบั ศาสนกิ ชนในศาสนาอน่ื ได ไดแ ก การจดั สภาพแวดลอ มทเ่ี ออื้ ตอ การเรยี นรู และการปฏบิ ตั ติ นทเี่ หมาะสมของครู 2. จีนสอบไดค ะแนนดใี นวชิ าพระพทุ ธศาสนา ทําใหผ ูเรียนเกดิ ความศรทั ธาและความสนใจทจ่ี ะเรยี นรู การฝก ใหนักเรยี นคดิ 3. โจปฏบิ ัตติ นตามหลักเบญจศีล-เบญจธรรม ตามหลักโยนโิ สมนสิการ หรือการคิดในใจโดยแยบคาย 10 วิธี รวมถึงการฝก ฝน 4. เจงมสี วนรวมในการสรางพทุ ธศาสนสถานทใ่ี หญโ ต อบรมตนเองใหเปน กลั ยาณมติ รของนกั เรียน วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. โจปฏบิ ตั ติ นตามหลกั เบญจศลี -เบญจธรรม เนอื่ งดว ยสอดคลอ งกับคณุ สมบตั ิของศาสนทายาทที่มีคณุ ภาพในขอการ นกั เรยี นควรรู สามารถปฏิบัตติ นตามหลกั พระพทุ ธศาสนาได ซงึ่ เปนผลสบื เน่อื งมาจาก การมคี วามรคู วามเขาใจในหลกั พระพทุ ธศาสนาน่ันเอง 1 พทุ ธบริษทั หมายถงึ หมชู นทีน่ ับถอื พระพุทธศาสนา แบง ออกไดเ ปน 4 กลมุ ไดแก ภิกษุ ภิกษณุ ี อบุ าสก และอบุ าสิกา 96 คมู ือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู พระพุทธศาสนา แม้จะมีค�าสอนท่ีดีวิเศษเพียงใด ถ้าขาดศาสนทายาทสืบทอดต่อๆ กันมา ก็ ครูสนทนากบั นกั เรียนเก่ียวกับการทาํ ทาน สูญสลายไปเช่นนั้น” ฉะนั้น พระสงฆ์ที่มองการณ์ไกลท่านจึงพยายามสร้างบุคลากรท่ีมีคุณภาพ และคุณสมบัติของทายกและปฏิคาหกที่นกั เรียน ไว้สบื ทอดพระพุทธศาสนาใหม้ ง่ั คงสถาพรตอ่ ไป ไดศึกษามา แลว สุม ตวั แทนนกั เรียน 2 คน โดย ใหนักเรียนทง้ั สองคนแบง บทบาทหนา ทร่ี บั ผิด ๒) คณุ สมบตั ขิ องทายกและปฏิคาหก ทายก หมายถึง ผู้ใหท้ าน ปฏคิ าหก ชอบในการเปนทายกหรอื ปฏิคาหก จากน้นั ครตู ง้ั คาํ ถามเกยี่ วกับคณุ สมบัตขิ องทายกและปฏคิ าหก หมายถึง ผูร้ ับทาน ใหนักเรียนทรี่ ับผดิ ชอบบทบาทหนาท่ีนัน้ ตอบ เพือ่ ในทางพระพุทธศาสนา ทานหรือการให้เป็นวิธีท�าบุญวิธีหน่ึง การให้น้ันนอกจาก เปนการอธิบายความรู เชน เป็นการช่วยเหลือผู้อนื่ แลว้ ยงั เปน็ การช่วยขดั เกลาจติ ใจผใู้ ห้ให้บรสิ ทุ ธิ์ผอ่ งใสไดด้ ้วย การใหแ้ บ่ง • “ใหแกผ ูทีค่ วรให” มคี วามหมายวา อยางไร ออกเปน็ ๓ ประเภท ดงั น้ี อธบิ ายพรอ มยกตัวอยา งประกอบพอสังเขป (แนวตอบ การใหห รือการทําทานท่ดี คี วรทาํ ๑. ใหว้ ตั ถุสง่ิ ของ เช่น เงิน อาหาร เสอ้ื ผา้ รวมถงึ การออกแรงกายช่วยเหลือผู้อ่ืนดว้ ย กับผทู ่คี วรไดรบั การทําทานกับผูทีไ่ มควร ๒. ให้ความร ู้ เช่น ช่วยทบทวนวิชาที่เพ่อื นขาดเรยี นเพราะเหตุจา� เป็น ชว่ ยเตือนสติ ชว่ ยให้ ไดร ับนอกจากจะไมม ปี ระโยชนแลวยงั อาจ ขอ้ มูลต่างๆ เปน็ ต้น เปน โทษอีกดวย เชน การใหเ งินแกคนท่ี ๓. ให้อภยั คอื ความต้ังใจงดเว้นไม่ประพฤตผิ ิดศีล รักษาศลี ๕ ใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ เกียจครา นไมท าํ การงาน ติดการพนนั ซึ่ง เปนผทู ่ไี มค วรไดร ับทาน เน่อื งจากเงินที่ การให้ท่ีดีน้ันต้องค�านึงถึงคุณสมบัติของผู้ให้ (ทายก) และผู้รับ (ปฏิคาหก) ด้วย เราทําทานไปนั้นกจ็ ะถกู นาํ ไปเลน การพนนั ไมไดเปน การชว ยเหลอื เขาอยา งแทจริง ดังนี้ เปนตน ) ๒.๑) ให้ทานแก่บุคคลท่ีควรให้ การให้ทานแก่คนที่ไม่ควรให้น้ัน นอกจากจะ ไม่เป็นประโยชน์แล้วยังอาจเป็นโทษด้วย เช่น คนที่ด่ืมเหล้าจนเมามายแล้วมาขอเงินเราเพื่อไป ซ้อื มาดมื่ เพ่มิ อีก อย่างน้ีไมค่ วรให้ เพอ่ื นท่เี ลน่ การพนันจนติดเป็นนิสัย มาขอเงินหรืออาหาร เราก็ไม่ควรให้ เพราะประพฤติตนไม่ถูกต้อง ตามท�านองคลองธรรม อีกท้ังยังไม่รู้จักที่จะ ประกอบสัมมาอาชีวะ หรือบุคคลท่ีมีร่างกาย แขง็ แรง แตม่ คี วามเกยี จคร้าน วานให้เราชว่ ย ยกของให้ เราก็ไม่ควรท�า แต่ถ้าเป็นคนเจ็บ ทุพพลภาพ คนชรา สตรีมีครรภ์ อย่างน้ีเรา ควรท�าให้ บุคคลเช่นไรท่ีเราควรให้ทานนั้น นักเรียนต้องใช้เหตุผลไตร่ตรองพินิจพิจารณา การบริจาคสง่ิ ของต่างๆ นอกจากเปน็ การชว่ ยเหลือผ้อู ่นื แลว้ ยงั แสดงถงึ ความเสียสละของผูใ้ ห้อีกด้วย เปน็ รายๆ ไป 9๗ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ครบู าอาจารยจ ดั ไดว าเปนทายกหรอื ไม อยางไร ครอู าจนาํ กรณีศกึ ษาเกย่ี วกบั ความเชอื่ เรื่องการทาํ บุญ-ทําทานท่ีไมส อดคลองกับ 1. เปน เพราะชว ยจัดหาอุปกรณทางการศกึ ษาใหน ักเรยี นทกุ คน หลักพระพทุ ธศาสนาในสงั คมไทยปจจบุ ันมาใหน กั เรยี นพิจารณารว มกัน เชน ความ 2. เปน เพราะชว ยถายทอดความรแู ละขัดเกลาอปุ นิสัยนกั เรยี นใหดีงาม เชอื่ เก่ยี วกบั ผลบญุ ทีจ่ ะไดรับหากทาํ บุญดว ยจํานวนเงินทีม่ าก ความเชื่อเกยี่ วกบั 3. ไมเปน เพราะไดรับผลตอบแทนจากการปฏิบัตหิ นา ที่นน้ั การไถหรือปลอยสตั ว และความเชอื่ เกีย่ วกบั การทําบุญหรอื พธิ กี รรมตา งๆ เพ่ือลาง 4. ไมเปน เพราะถอื เปน หนา ทกี่ ารงานทค่ี รอู าจารยตองปฏิบตั อิ ยแู ลว บาปหรอื แกกรรมชว่ั แลวอภิปรายรว มกันกับนกั เรยี นถงึ ความเขา ใจของคนบางสว น ในสงั คมทีค่ ลาดเคลอื่ นไปจากหลกั แหงพระพุทธศาสนา รวมถึงเสนอแนวทางการ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เปน เพราะชวยถา ยทอดความรูและ ปอ งกันและแกไขปญหาดังกลา ว ขดั เกลาอปุ นิสยั นกั เรียนใหดีงาม สอดคลอ งกบั การใหข องทายกในดา น มมุ IT การใหค วามรแู ละปญ ญาน่ันเอง ศึกษาความรูเ กี่ยวกับการทาํ บญุ ใหท านอยา งถกู ตองตามหลกั ทางพระพทุ ธ- ศาสนาเพ่มิ เติมไดท ่ี http://www.mbu.ac.th/pdf/การใหท านทาํ บญุ ท่ถี กู วธิ .ี pdf เวบ็ ไซตม หาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั คูมอื ครู 97
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครตู ง้ั คาํ ถามเกยี่ วกับคุณสมบัตขิ องทายกและ ๒.๒) ให้ในส่ิงที่ควรให้ ของที่เราให้ทานน้ันต้องเป็นของบริสุทธ์ิ และเราได้มา ปฏิคาหกใหนกั เรยี นที่รับผดิ ชอบบทบาท โดยชอบธรรม มิใชไ่ ปลกั ขโมยหรอื ฉ้อโกงเขามา และจะตอ้ งไมม่ พี ษิ มภี ยั มีแต่ประโยชนแ์ กผ่ ูร้ บั หนาที่น้นั ตอบ เพื่อเปนการอธิบายความรู เชน เช่น เราไม่ควรให้อาวุธหรือส่ิงเสพติดแก่ใคร เพราะการให้ส่ิงท่ีเป็นโทษแก่ผู้รับนั้น ไม่ถือว่าเป็น • การใหด ว ยจติ ใจอนั บรสิ ทุ ธ์ิ ผใู หพ งึ ไดร บั สงิ่ ใด ทาน แตเ่ ปน็ การท�ารา้ ยมากกว่า (แนวตอบ การใหด วยจติ ใจอันบริสทุ ธิ์ โดยการ ทําทานแกบ คุ คลที่ควรไดรับดว ยสง่ิ ทค่ี วรได ๒.๓) ให้ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ การให้ที่ดีจะต้องเกิดจากเจตนาที่บริสุทธิ์และ รบั มเี จตนาอนั บริสทุ ธิ์ทั้งกอ นและหลังการ เต็มใจให้ กล่าวคือ ก่อนให้ก็มีความยินดีที่จะให้และคิดว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ขณะท่ีให้ก็มี ให และคิดวา จะเปน ประโยชนแ กผรู ับอยางไม จิตผ่องใส ไม่คิดเสียดายหรือลังเลใจ และเมื่อให้ไปแล้วก็รู้สึกเบิกบานใจที่ได้ประกอบความดี ลังเลใจ พงึ มจี ติ ใจผองใสเบกิ บานจากการที่ ท�าคณุ ประโยชน์แก่เพือ่ นมนุษย์ ไดป ระกอบความดี ทาํ คุณประโยชนแกเ พ่ือน มนุษยท ่ีไดร ับความเดอื ดรอน) การให้ที่ดีน้ันจะต้องถึงพร้อมด้วยองค์ ๓ ข้างต้น ซ่ึงทางพระพุทธศาสนา • ผทู ี่ไดรบั การใหควรปฏิบตั ติ นอยางไร เรยี กวา่ “ทานสมบตั ิ ๓” ได้แก่ เขตสมบตั ิ คือ ผูร้ ับถึงพรอ้ ม ๑ เทยยสมบตั ิ คอื ของที่ใหถ้ งึ (แนวตอบ ผูที่ไดร ับทานควรสาํ นึกถึงบญุ คุณ พร้อม ๑ และจิตสมบตั ิ คือ เจตนาถึงพรอ้ ม ๑ ของผูให และท่ีสาํ คัญคือ นาํ สงิ่ ทีร่ บั ทานมา ใชใหเ กดิ ประโยชนตามความประสงคของ ๑.๒ การปฏบิ ตั ติ นเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครวั และสงั คม ผใู ห ตลอดจนเมอ่ื ชว ยเหลือตนเองไดแลว พงึ ตอบแทนผูใหดว ยวิธกี ารตา งๆ เชน ชวย ๑) การรักษาศีล ๘ ในพระพุทธศาสนา การรักษาศีลเป็นการท�าบุญอย่างหน่ึง เหลือทา นตอบสรรเสรญิ คุณงามความดขี อง ทา นใหผูอื่นรับรู และนําแบบอยางการปฏบิ ตั ิ นอกเหนือไปจากการให้และการเจริญภาวนา การรักษาศีลจัดเป็นการควบคุมร่างกายและวาจา ตนของทานมาใชใ นชวี ติ เปนตน ) ให้เป็นปกติ เพื่อเป็นพื้นฐานให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส โดยปกติชาวพุทธท่ีดีควรจะรักษาศีล ๕ จากนน้ั ครแู ละนักเรยี นชวยกันสรปุ ความรู แต่นอกจากน้ียังมีประเพณรี กั ษาศลี ๘ อยอู่ ีกอยา่ งหน่งึ โดยนยิ มรักษาศีล ๘ กันในวนั พระ คอื เกยี่ วกบั การปฏบิ ตั ติ นเปน ชาวพทุ ธทด่ี ตี อ พระภกิ ษุ วนั ข้ึน ๘ ค�า่ วันแรม ๘ ค�า่ วนั ขึน้ ๑๕ คา่� และวนั แรม ๑๕ คา�่ เพ่อื ใหเกดิ ความเขา ใจท่ถี ูกตอ งตรงกัน นักเรยี นบนั ทึกผลการสรปุ ความรลู งในสมุด ศลี ๘ มดี งั นี้ 2. ครสู นทนารวมกนั กับนักเรยี นถงึ การปฏบิ ตั ิ ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี หมายถงึ เว้นจากการฆา่ สตั ว์ ตนเปนสมาชกิ ทีด่ ีของครอบครัวและสังคมท่ี ๒. อทนิ ฺนาทานา เวรมณี หมายถึง เวน้ จากการลักขโมย นกั เรียนไดศึกษามา แลวสมุ นักเรยี นใหอธบิ าย ๓. อพฺรหมฺ จรยิ า เวรมณี หมายถึง เว้นจากการกระท�าท่มี ิใช่พรหมจรรย์ ความรเู กย่ี วกบั การรักษาศลี 8 ในดา นลักษณะ 98 ๔. มสุ าวาทา เวรมณี หมายถงึ เวน้ จากการพูดเท็จ แนวทางการปฏบิ ัติ และรายละเอียดของศลี ๕. สรุ าเมรยมชฺชปมาทฏฐฺ าฺ นา เวรมณ ี หมายถงึ เวน้ จากน้�าเมา ในแตล ะขอ ๖. วิกาลโภชนา เวรมณ ี หมายถงึ เวน้ จากการบรโิ ภคอาหารต้ังแตเ่ วลาเท่ียงวนั ๗. นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี หมายถึง เว้นจากการฟ้อนร�า ขับรอ้ ง บรรเลงดนตร ี ดูการละเล่น การทดั ดอกไม้ ของหอม และ เคร่อื งลบู ไล้ ๘. อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี หมายถงึ เว้นจากท่นี อนอันสงู ใหญ่ เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกบั หนาทช่ี าวพุทธ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรบู ูรณาการวิชาหนา ท่ีพลเมือง วัฒนธรรม หนาทีท่ สี่ าํ คัญที่สดุ ของพทุ ธศาสนกิ ชนคอื ขอใด และการดาํ เนินชีวติ ในสงั คม เร่อื งการจดั ระเบยี บทางสังคม และโครงสรา งทางสงั คม 1. รกั ษาศลี ไทย โดยอธิบายใหนักเรียนเขา ใจถงึ คุณคาและประโยชนข องหลกั ศีลธรรมตอ การจัด 2. ศกึ ษาพระไตรปฎ ก ระเบยี บทางสงั คม หรือบรรทดั ฐานทางสังคม ซง่ึ ประกอบดว ย วิถปี ระชา จารตี 3. เผยแผพ ระพทุ ธศาสนา และกฎหมาย โดยหลักศลี ธรรมนัน้ เปน สว นหนง่ึ ของจารีตทีม่ ีสว นชวยใหสงั คมเกดิ 4. ทํานบุ ํารุงพระพทุ ธศาสนา ความสงบสุขได จากนน้ั ใหนักเรียนวเิ คราะหถ งึ แนวทางการปฏบิ ัตติ นตามหลกั ศีล 5 วเิ คราะหคําตอบ การเปนชาวพทุ ธท่ดี ีนั้นควรมีความรคู วามเขาใจใน หรอื ศลี 8 แลว นาํ ไปปฏบิ ัตใิ นการดําเนินชีวิตประจาํ วนั บันทกึ ผลของการปฏบิ ตั สิ ง หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาอยางถอ งแท และสามารถนาํ ไปประพฤติ ครูผสู อน ปฏบิ ตั ไิ ดในชวี ิตประจาํ วนั อนั จะทาํ ใหดําเนินชีวติ ไดอ ยา งสงบสขุ และมี สวนชวยใหส ังคมเจรญิ กาวหนาได อยา งไรก็ตามชาวพุทธยังมีหนาท่ีใน การเผยแผแ ละปกปองพระพุทธศาสนาตามแนวทางทีเ่ หมาะสมอกี ดว ย ดงั นัน้ คาํ ตอบคือ ขอ 1. 98 คูม อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ทง้ั น้ี ในการสมาทานศลี ให้เติม “สิกฺขาปท � สมาทิยาม”ิ ตอ่ ทา้ ยในทุกข้อ ครตู ั้งประเด็นใหน กั เรยี นอภปิ รายรว มกนั เก่ียว กบั การปฏบิ ัตติ นเปน สมาชิกท่ดี ขี องครอบครวั ตาม ทศิ ๖ สา� หร๒ับ)ก ากรปารฏปบิ ฏัติตบิ นตั เปติ ็นนชเาปวน็ พสุทมธทา่ดีชีกิ พทงึ ปด่ี ฏขี ิบอัตงติ คารมอหบลคกั ร“วั ทติศาเบมอื้ หงลบนกั ”ทศิ(อเปุบรอื้ มิ งทบิศ1น) ใคนือ หลกั ทศิ เบอ้ื งบนในทศิ 6 เชน พระสงฆ์ พระพทุ ธศาสนาไดใ้ หห้ ลกั ธรรมในการปฏบิ ตั ติ นระหวา่ งพระสงฆก์ บั คฤหสั ถ์ โดยพระสงฆ์ ความสาํ คัญของความสัมพนั ธในการ ในพระพทุ ธศาสนายอ่ มอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดงั น้ี อนเุ คราะหร ะหวา งพระภิกษสุ งฆกับคฤหัสถ ๑. หา้ มปรามจากความช่ัว คุณของพระสงฆแ ละแนวทางการปฏบิ ตั ิ ๒. ใหต้ งั้ อย่ใู นความดี เพอ่ื อปุ ถัมภพระสงฆ พทุ ธบริษทั : ภิกษุสงฆก บั ๓. อนเุ คราะห์ดว้ ยนา�้ ใจอนั งาม อุบาสกและอุบาสิกา ๔. ใหไ้ ดฟ้ งั ในสิง่ ท่ยี ังไม่เคยฟัง ๕. ทา� สง่ิ ท่เี คยฟงั แลว้ ใหแ้ จ่มแจง้ จากน้ันครูนํานกั เรียนสรุปผลการอภปิ ราย ๖. บอกทางสวรรค์คือความสุขความเจริญให้ โดยบนั ทึกผลการอภิปรายที่ถูกตอ งเหมาะสมใน ตารางแสดงความสมั พันธระหวางพระภกิ ษุสงฆก ับ พระสงฆ์น้ันเป็นหน่ึงในพระรัตนตรัย มีความส�าคัญในฐานะที่เป็นผู้สืบทอด อบุ าสกและอบุ าสกิ าบนกระดานหนา ช้ันเรียน พระศาสนา หากปราศจากพระสงฆ์แล้ว พระธรรมค�าสอนของพระพุทธองค์ก็จะเป็นเพียงสิ่ง นามธรรม ไม่ปรากฏเป็นจริงจังให้รู้เห็นได้ ดังน้ัน เราจึงควรปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์ให้เหมาะสม ตามหลกั ทิศ ๖ ดังน้ี ๑. จะทา� ในสิง่ ใดกท็ �าด้วยเมตตา ดว้ ยความปรารถนาดี ดว้ ยไมตรจี ติ เช่น ให้ความเคารพ ด้วยความเหมาะสมตามโอกาส และคอยชว่ ยเหลอื การงานของพระสงฆด์ ว้ ยความเตม็ ใจ ๒. จะพูดส่ิงใดก็พูดด้วยเมตตา ควรใช้ค�าพูดที่ถูกต้องเหมาะสม ไพเราะ ไม่หยาบ หรือ ดูหม่ิน เสยี ดสี ท้งั ตอ่ หน้าและลับหลัง ใช้สรรพนามแทนตนและพระสงฆ์ให้ถูกต้อง ๓. จะคิดส่งิ ใดกค็ ิดด้วยเมตตา เชน่ ไมค่ ดิ รา้ ยต่อท่าน ไม่มองทา่ นในแงร่ า้ ย ๔. ต้อนรับด้วยความเต็มใจ เวลาพบปะพระสงฆ์ในสถานท่ีต่างๆ ควรแสดงความเคารพ และตอ้ นรบั ท่านดว้ ยความเต็มใจ และเมอื่ นมิ นต์ท่านมาโปรดสตั ว์ท่ีเคหสถาน ก็ต้อนรับ ทา่ นดว้ ยความยนิ ด ี โดยการปฏิบัตติ ่อท่านด้วยความเหมาะสม ๕. อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย ๔ พระสงฆ์เป็นผู้สละเหย้าเรือน เพื่อมาสืบทอดพระศาสนา ไม่ได้ ประกอบอาชีพอะไร ดังน้ัน คฤหัสถ์จึงต้องอุปถัมภ์ท่านด้วยปัจจัย ๔ แต่ท้ังนี้ต้องไม่ ถวายส่งิ ของทไ่ี มเ่ หมาะสมแกผ่ ู้ทอ่ี ยู่ในสมณเพศ 99 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู การอนเุ คราะหคฤหัสถของพระภิกษสุ งฆใ นขอใดถอื วา ประเสรฐิ สูงสดุ 1 อปุ รมิ ทิศ แปลวา ทิศเบอื้ งบน หมายถงึ พระสงฆ เปน สวนหน่ึงของหลกั ทิศ 1. การรับนิมนตป ระกอบศาสนพิธี 6 นอกจากนปี้ ระกอบดวย ปุรัตถมิ ทสิ แปลวา ทิศเบ้อื งหนา หมายถึง บดิ ามารดา 2. การเปนพระอุปชฌายข องพระใหม ทกั ขิณทสิ แปลวา ทิศเบ้ืองขวา หมายถึง ครอู าจารย ปจ ฉิมทิส แปลวา ทศิ เบ้ือง 3. การบอกทางแหง ความสขุ ความเจริญ หลัง หมายถึง บุตรภรรยา อตุ ตรทิส แปลวา ทิศเบอ้ื งซา ย หมายถงึ มิตรสหาย 4. การอนเุ คราะหโรงเรียนใหจดั กจิ กรรมตางๆ และเหฏฐมิ ทสิ แปลวา ทิศเบอ้ื งลาง หมายถึง คนรับใชแ ละคนงาน วเิ คราะหค าํ ตอบ พระภกิ ษสุ งฆม หี นา ทหี่ ลกั ในการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ใหแ กค ฤหสั ถท งั้ ปวง ผา นทางการเทศนาธรรม การใหค าํ ปรกึ ษา ตลอดจน เบศรู ณรากษารฐกจิ พอเพยี ง การสอนพระพทุ ธศาสนาในโรงเรียน ทง้ั หมดน้จี งึ กลาวรวมไดวา พระสงฆ การใชช ีวติ ตามแนวปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ถอื เปนหน่ึงวิธใี นการปฏบิ ตั ติ น เปน ผบู อกทางแหง ความสขุ ความเจรญิ ของชวี ติ ดงั นน้ั คาํ ตอบคอื ขอ 3. เปนสมาชกิ ทดี่ ขี องครอบครวั เพราะชว ยสรา งความเขม แขง็ และมน่ั คงใหแ กค รอบครัว นักเรยี นจับคู แลว แลกเปล่ยี นความคิดเหน็ กันวา สามารถนําปรชั ญาเศรษฐกิจ พอเพียงไปประยุกตใ ชใ นครอบครัวไดอยา งไรบาง และจะมวี ธิ กี ารแนะนําสมาชิกใน ครอบครวั ใหเปน ผูรักในความพอเพยี งอยา งไร แลวออกมานําเสนอหนา ชนั้ เรียน คูม อื ครู 99
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครสู ุมถามนักเรียน 2-3 คน ถึงบทบาทหนาท่ี ๓) การปฏบิ ตั ติ นเปน็ สมาชกิ ทดี่ ขี องครอบครวั1ตามหลกั ทศิ เบอื้ งหลงั ใน การปฏบิ ตั ติ นในครอบครวั เชน นกั เรยี นชว ยเหลอื ทศิ ๖ ทศิ ๖ เปน็ หลกั คา� สอนทวี่ า่ ดว้ ยความเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธท์ างสงั คมระหวา่ งกลมุ่ ตา่ งๆ ในสงั คม งานบานของคณุ พอคุณแมอ ยา งไรบา ง นกั เรยี นมี แนวคดิ เกีย่ วกบั บทบาทหนาทีใ่ นครอบครวั ของตน ดจุ ทศิ ทอี่ ยรู่ อบตวั ทง้ั หมดมี ๖ ความสมั พนั ธ์ อยา งไร และแนวทางการปฏิบตั ิตนในครอบครัวยุค ในทน่ี จี้ ะกลา่ วเฉพาะความสมั พนั ธต์ ามทศิ เบอื้ งหลงั คอื ระหวา่ งสามภี รรยาพึงปฏบิ ตั ิ โลกาภิวตั น แลวอภิปรายรว มกนั ถึงการปฏิบัตติ น ที่เหมาะสมในครอบครัวตามสถานะของบตุ ร จาก ตอ่ กนั น้นั เช่ือมโยงความรูกบั การปฏบิ ตั ติ นเปนสมาชิกที่ สามพี งึ ปฏบิ ตั ติ อ่ ภรรยา ดงั น้ี ดขี องครอบครัวตามหลกั ทิศเบ้ืองหลังในทิศ 6 โดย ใหน ักเรยี นแสดงความคิดเหน็ ในประเด็นท่เี กยี่ วของ ๑. ยกย่องใหเ้ กยี รตสิ มฐานะ กบั ความสอดคลอ งของการปฏิบัติตนของนกั เรียน ๒. ไม่ดูหมิ่น กบั การปฏิบัตติ นเปนสมาชกิ ทด่ี ตี ามหลักทิศเบ้ือง ๓. ไมน่ อกใจ หลังในทศิ 6 เชน การปฏบิ ัติตนในครอบครัวของ ๔. มอบความเปน็ ใหญใ่ นบา้ นให้ นักเรยี นมีความสอดคลองกับการเปนสมาชกิ ทดี่ ี ๕. ใหข้ องก�านลั ตามโอกาส ตามหลักทศิ เบือ้ งหลังในทิศ 6 หรอื ไม อยางไร และภายหลังจากการศกึ ษาความรูแ ลว นักเรยี นมี สว่ นภรรยาพึงปฏบิ ตั ติ ่อสามี ดังนี้ แนวทางการปฏิบัติตนในครอบครัวอยางไรบา ง ๑. จัดงานบา้ นใหเ้ รยี บรอ้ ย จากน้นั ครนู าํ การสรุปความคดิ เหน็ ของนกั เรียน ๒. สงเคราะหญ์ าตมิ ติ รทัง้ สองฝ่ายด้วยดี เกย่ี วกบั แนวทางการปฏบิ ตั ิตนในครอบครัวตาม ๓. ไมน่ อกใจ หลักทศิ เบ้อื งหลังในทิศ 6 นักเรียนบันทกึ ขอสรปุ ลง ๔. รักษาทรัพยส์ มบตั ิท่หี ามาได้ ในสมดุ ๕. ขยนั ในงานท้ังปวง สามีและภรรยาพึงปฏิบัติต่อกันอย่างเหมาะสมตามหลัก ของทิศ ๖ อันจะเป็นการส่งเสริมให้สถาบันครอบครัว มีความรกั ความอบอนุ่ และความสุข ๑00 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดกลา วไดถ ูกตอ งเก่ียวกับหลักธรรมทศิ 6 ครูอาจใหต วั แทนนกั เรยี นทบ่ี ิดามารดาปฏิบตั ติ นสอดคลองกับหลกั ทิศเบอ้ื ง 1. มีแนวทางสอดคลองกับหลกั ของศาสนาขงจือ๊ หลังในทศิ 6 ออกมาแลกเปลีย่ นประสบการณกบั เพ่ือนนกั เรียนทีห่ นา ชัน้ เรียน แลว 2. มปี ระโยชนตอ การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ังค่งั อภปิ รายรวมกันถึงประโยชนของการปฏิบตั ติ นตามหลักทิศ 6 ตอ ครอบครัวอนั เปน 3. มีคุณคา ในการแกป ญหาทัง้ ปวงของชวี ติ สถาบนั ทางสังคมทส่ี ําคัญ จากนัน้ ใหน ักเรยี นวางแนวทางการปฏบิ ตั ิตนที่สอดคลอง 4. มีแนวคดิ สอดคลอ งกบั วชิ าภมู ิศาสตร กับหลักทิศ 6 และนาํ ไปประพฤติปฏบิ ัติ แลว บันทกึ การปฏิบตั ิและผลสง ครผู ูสอน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. แนวทางสอดคลอ งกบั หลักของศาสนา ขงจ๊ือ กลาวคือ เปน แนวทางในการปฏิบัตริ ะหวา งกนั ของคนในสังคม นักเรียนควรรู เชน แนวทางการปฏิบัติระหวางมิตรสหาย เพือ่ ความเปนมิตรภาพทย่ี งั่ ยนื แนวทางการปฏบิ ัติระหวางครอู าจารยก ับลกู ศิษย เพ่ือความเจริญกาวหนา 1 ครอบครวั หลกั การปฏบิ ตั ขิ องสมาชกิ ในครอบครวั นอกจากหลกั ทศิ 6 ทสี่ าํ คญั ทางความรูและการปฏิบตั ทิ ีเ่ หมาะสมแสดงถงึ ความกตัญูกตเวทตี อผู ไดแ ก ฆราวาสธรรม หลกั ธรรมสําหรบั การครองเรือน มี 4 ประการ คือ สัจจะ ทีใ่ หค วามรู พฒั นาทกั ษะชีวิต และกลอ มเกลาอปุ นสิ ยั ใจคอใหเปน คนดี ความจริง เชน ซ่ือสตั ยตอ กนั ทมะ ความฝก ฝน ปรบั ปรุงตน เชน รจู ักขมใจ เปน ตน ควบคุมอารมณ บงั คับตนเองปรบั ตัวเขากบั การงานและส่ิงแวดลอมใหไดดี ขันติ ความอดทน และจาคะ ความเสียสละ เผอ่ื แผ แบง ปน มีน้าํ ใจ 100 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๔) การเขา้ รว่ มกจิ กรรมและเปน็ สมาชกิ ขององคก์ รชาวพทุ ธ1 พทุ ธศาสนกิ ชน ครใู หต วั แทนนักเรยี นทม่ี ีประสบการณในการ เขา รว มกจิ กรรมและเปน สมาชกิ ขององคก รชาว ในประเทศไทย ได้รวมกลุ่มกันเพ่ือก่อต้ังชุมชน สมาคม มูลนิธิต่างๆ ที่เก่ียวกับการเผยแผ่ พุทธ ออกมาเลาประสบการณของตนท่หี นา ช้นั พระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนิกชนจึงควรเข้าร่วม เรียน แลวชวยกนั วเิ คราะหถ งึ ประโยชนทไี่ ดร ับท้ัง เป็นสมาชิกเพื่อท�ากิจกรรม พิธีกรรมทาง ในสวนบคุ คล สังคม และการสบื ทอดพระพุทธ- พระพุทธศาสนาตามโอกาสท่ีตนมี โดยช่วงวัย ศาสนา โดยใชความรเู กยี่ วกับการเขา รว มกิจกรรม เช่นนี้ควรหาโอกาสเข้าค่ายพุทธธรรมทั้งใน และเปน สมาชกิ ขององคก รชาวพุทธทต่ี นไดศกึ ษา โรงเรียน และมูลนิธิฯ สมาคม ชมรม วัด มาเปน แนวคดิ พ้ืนฐานของการวิเคราะห จากน้นั ทจี่ ดั ใหม้ กี ารเขา้ คา่ ยพทุ ธธรรม เพราะอยา่ งนอ้ ย ครูและนักเรยี นชว ยกนั สรปุ คณุ คา และแนวทางการ เราซ่ึงเป็นพุทธศาสนิกชนจะได้มีความรู้ความ เขารวมกจิ กรรมและเปน สมาชิกขององคก รชาว พุทธ นกั เรยี นบันทึกขอสรุปท่ีไดลงในสมุด เข้าใจว่าหน่วยงานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ขยายความเขา ใจ Expand ได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีต่อ พระพุทธศาสนาในแง่มุมใดบ้าง เพื่อเป็น ครใู หนักเรียนปฏบิ ตั ติ นเปน ชาวพุทธที่ดีตาม หนา ท่ชี าวพุทธในดานการปฏบิ ัตติ นเปน ชาวพทุ ธ ประสบการณ์ในชีวิต ถ้าวันหนึ่งเรามีความ การเขา้ คา่ ยพทุ ธธรรม เปน็ กจิ กรรมหนง่ึ ทช่ี ว่ ยกลอ่ มเกลา ที่ดีตอ พระภกิ ษุและการปฏิบตั ติ นเปนสมาชิกทด่ี ี พรอ้ มทจ่ี ะชว่ ยเผยแผห่ รอื เปน็ ผดู้ า� เนนิ กจิ กรรม จติ ใจพทุ ธศาสนกิ ชน และยงั ชว่ ยสบื ทอดพระพทุ ธศาสนา ของครอบครัวและสงั คม ซึ่งครูเปน ผกู าํ หนดระยะ ก็จะสามารถน�ามาปรับท�าให้ดีเหมาะสมได้ อีกดว้ ย เวลาการปฏบิ ัติ แลวจัดทําเปนบนั ทกึ ผลการปฏบิ ตั ิ ตนเปน ชาวพทุ ธที่ดี มีรายละเอียดประกอบดว ย เพ่ือความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย พุทธศาสนิกชนต้องเป็นผู้ท่ีให้ความสนใจ วนั ท่ี การปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติ รวมถงึ อาจมภี าพถายประกอบ ความเคล่ือนไหว หรือความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ท่ีอาจเข้ามาแทรกแซงก่อความเข้าใจผิดต่อ พระธรรมค�าสอนของพระพุทธองค์ การเข้าร่วมกิจกรรมขององค์กรชาวพุทธ การเข้าค่าย พุทธธรรม การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา จึงเป็นทางหน่ึงท่ีช่วยธ�ารงรักษาสืบทอด พระพทุ ธศาสนาได้นนั่ เอง ตรวจสอบผล Evaluate ò. Áารยาทชาวพทุ ธ 1. ครแู ละนกั เรยี นชวยกันตรวจบันทกึ ผลการ ปฏิบัติตนเปนชาวพทุ ธทด่ี ี โดยพจิ ารณาจาก ๒.๑ การปฏบิ ตั ติ นตอ่ พระภกิ ษทุ างกาย วา¨า และใ¨ทป่ี ระกอบ ความถูกตองตามหลกั การปฏบิ ัติตนของ ดว้ ยเÁตตา ชาวพุทธทด่ี แี ละความเหมาะสมกบั วัยและ ประสบการณ สถานภาพ และบทบาทหนา ที่ พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ท่ีสละเหย้าเรือน เพื่อมาศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่พระธรรมของ จากนน้ั ครูเสนอแนะใหนกั เรยี นปฏบิ ตั ิตนเปน พระพุทธเจ้า จึงนับว่ามีความส�าคัญต่อพระพุทธศาสนามาก เราควรปฏิบัติตนให้เหมาะสม ชาวพทุ ธทด่ี ีตอไป กบั ท่าน ดังนี้ 2. ครสู ังเกตพฤตกิ รรมการมสี ว นรว มในกจิ กรรม ๑0๑ การเรยี นรู เชน การแสดงความคดิ เหน็ การอภปิ ราย และการตอบคําถาม เปนตน กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ครูอาจใหนกั เรียนเขา รว มกิจกรรมหรือพิธกี รรมทางพระพุทธศาสนา 1 องคก รชาวพทุ ธ ทน่ี กั เรยี นสามารถมสี ว นรว มกบั กจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนา ตางๆ ตามโอกาสทเ่ี หมาะสม แลว บนั ทึกประสบการณการเขา รว มกิจกรรม ไดอ ยางเหมาะสม เชน ยวุ พุทธกิ สมาคมแหงประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ ของชาวพทุ ธซง่ึ มรี ายละเอยี ด เชน กจิ กรรมทต่ี นปฏบิ ตั ิ ระยะเวลา สถานท่ี ซ่งึ กอ ต้งั เมอ่ื วนั ที่ 14 มิถนุ ายน พ.ศ.2493 เปนสมาคมทรี่ ิเรม่ิ หลักสูตรตางๆ เชน และองคกรทจ่ี ัดกิจกรรม สิ่งที่ตนเองไดรับจากการเขารว มกจิ กรรมหรือ บรรพชาสามเณรภาคฤดูรอ น ยุวพทุ ธิกสมาคมแหงประเทศไทย ในพระบรม- พธิ ีกรรมดังกลา ว เปนตน ราชูปถมั ภ เปน องคก รสาธารณกศุ ลทมี่ ศี นู ยวิปส สนากรรมฐานเปด ใหผปู ระชาชน ท่วั ไปเขาอบรม ปฏบิ ัติธรรมทุกเดือนตลอดป โดยไมคดิ คาใชจา ยใดๆ เปน เวลา กิจกรรมทา ทาย รวม 20 ป ครอู าจใหน กั เรยี นจดั กจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนาตามโอกาสทเ่ี หมาะสม มมุ IT โดยวางแผนการจัดกจิ กรรมใหค รูพจิ ารณาลว งหนา แลวบันทกึ ผลการจดั กิจกรรมและประสบการณท ่ีตนไดร ับจากการจดั กิจกรรมทางพระพทุ ธ- ศึกษาคน ควาความรเู กยี่ วกับหลกั ธรรม แนวทางการปฏบิ ัติ และการมสี วนรวม ศาสนาซง่ึ มรี ายละเอยี ด เชน รายละเอยี ดของกิจกรรม ผลตอบรับของผูเขา ในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเพม่ิ เติมไดท่ี http://www.morals.in.th/index.php รวมกิจกรรม รวมถงึ ภาพประกอบ เปนตน เวบ็ ไซตห นวยเผยแพรค ณุ ธรรม องคก ารพทุ ธศาสนิกสมั พนั ธแหง โลก คมู ือครู 101
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครสู นทนากับนกั เรียนเกย่ี วกบั มารยาทชาวพทุ ธ ในสว นของการปฏิบัตติ นตอ พระสงฆในโอกาส ตา งๆ แลวสุมนกั เรียน 2-3 คน ใหออกมาแสดงการ ๑) ทางกาย แสดงออกทางการกระท�าดว้ ยเมตตา เช่น ปฏิบตั ิตนตอ พระสงฆใ นโอกาสตา งๆ ตามมารยาท ชาวพทุ ธทหี่ นา ช้นั เรยี น ตัวอยา งเชน การสนทนา ๑. มีสัมมาคารวะ แสดงความเคารพท่ีเหมาะสมแก1่โอกาส เช่น ประนมมือไหว้ (อัญชลี) กบั พระสงฆ การปฏิสนั ถารตอพระสงฆ และการ รับรองพระสงฆ จากน้นั อธิบายใหนกั เรียนตระหนัก วันทา หรอื นมสั การ กราบดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ ลุกข้นึ ตอ้ นรบั ถึงคณุ คาและประโยชนใ นการปฏิบัติตนตอ พระสงฆ ๒. ไปเย่ียมเยือนท่านไม่ขาดสาย คือ หาโอกาสไปพบพระสงฆ์เป็นประจ�า เพ่ือสนทนา อยา งถูกตอ งเหมาะสม กลา วคอื พระสงฆเ ปน ผสู ละความสุขทางโลก เพื่อศกึ ษาและเผยแผ ซกั ถามปญั หา ขอคา� แนะน�าจากท่าน พระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา การปฏิบัติตน ๓. ฟังธรรม หรือฟังโอวาทจากท่านเสมอ และฟังเพ่ือน�ามาเป็นแนวทางปฏิบัติตน มิใช่หา อยางเหมาะสมตอ พระสงฆจ ะมสี ว นชว ยสงเสรมิ ให พระพุทธศาสนาเจรญิ วฒั นาสถาพรสบื ไป ทงั้ นก้ี าร ช่องจับผิดหรอื ตฉิ นิ นนิ ทา ปฏบิ ตั ติ นตอ พระสงฆไดอ ยา งถูกตอ งเหมาะสมนั้น ๔. มีความเลื่อมใสในพระทุกรูป ถือว่าพระสงฆ์แต่ละรูปเป็นตัวแทนของพระอริยสงฆ์ เป็น จะตองเริม่ จากการศึกษาหลักการและฝกปฏิบัตจิ น เกดิ ความชํานาญ ผสู้ บื ทอดพระศาสนาเท่ากนั ไมเ่ ลอื กเคารพนบั ถือเฉพาะราย ซงึ่ เปน็ เหตุใหม้ ีจิตอคติ ๕. อปุ ถัมภบ์ า� รุงท่านด้วยปจั จัยส่ ี ไดแ้ ก่ จวี ร อาหาร ทอี่ ยอู่ าศัย ยารกั ษาโรค ๖. ให้ความช่วยเหลือหรอื อา� นวยความสะดวกแกท่ า่ นในโอกาสสมควร เช่น เหน็ พระสงฆจ์ ะ เดินทางไปในทิศทางเดยี วกบั ตน เอารถรับทา่ นไปสง่ ยังที่หมาย เป็นตน้ ๗. พยายามดา� เนินตามแบบอยา่ งท่าน เช่น รักษาศีลตามความสามารถของตน เป็นต้น ๘. ต้อนรับท่านด้วยความเต็มใจ คือ เวลาพระสงฆ์มาหาตนด้วยธุระบางอย่าง ก็ต้อนรับ ทา่ นด้วยความเลอื่ มใส เตม็ ใจ จริงใจ มใิ ช่ท�าอยา่ งเสยี ไมไ่ ด้ สาํ รวจคน หา ๙. ปฏิบตั ิตนอย่ใู นศีลธรรมตามทพ่ี ระสงฆ์ช้ีแนะ Explore ๑๐. รักษาขนบธรรมเนียมประเพณ ี อนั มีรากฐานมาจากพระพทุ ธศาสนา ๑๑. รกั ษาสมบัติของสงฆ์ ครใู หนกั เรยี นศกึ ษาความรเู กย่ี วกับมารยาท ชาวพทุ ธในสว นของการปฏบิ ตั ิตนตอพระภิกษุ ๒) ทางวาจา คือ พูดกับพระสงฆ์ด้วยเมตตา มีความปรารถนาดีเป็นที่ตั้งทั้ง ทางกาย วาจา และใจทป่ี ระกอบดวยเมตตา และ การปฏสิ ันถารตอพระภกิ ษใุ นโอกาสตา งๆ จาก ต่อหน้าและลับหลัง เชน่ หนงั สอื เรยี น หนา 101-105 และแหลง การเรยี นรอู น่ื ๆ เชน เว็บไซต หนงั สอื ในหองสมุด และผทู ม่ี ี ๑. พูดไพเราะ ไมก่ ระโชกโฮกฮาก เสยี ดส ี แดกดนั หรอื ท�านองดูหมิน่ ความรคู วามชํานาญในการประกอบศาสนพิธี แลว ๒. ใชค้ า� พดู ถกู ตอ้ งเหมาะสมแกส่ ถานภาพของตนและพระสงฆ ์ เชน่ ใชส้ รรพนามแทนตนเอง สรปุ สาระสําคญั ลงในสมดุ และแทนพระสงฆร์ ะดบั ต่างๆ ไดถ้ ูกตอ้ ง ๓. ไมพ่ ูดล้อเลน่ กับพระสงฆ ์ หรือพดู ตลกโปกฮาดังเช่นพูดอยู่กบั เพื่อน ๔. เมอ่ื พดู กับพระผู้ใหญ ่ ควรประนมมอื พดู กับท่านทกุ ครง้ั อธบิ ายความรู Explain ๕. ไม่ชวนท่านคุยเรอื่ งที่ไม่เหมาะสมแก่พระสงฆ์ ๖. เวลาพูดถึงพระสงฆ์ลับหลัง พึงพูดด้วยความปรารถนาดี ไม่พึงนินทาหรือให้ร้ายป้ายสี ครใู หน กั เรยี นรวมกลุมกัน กลมุ ละ 3 คน แลว พระสงฆเ์ ด็ดขาด ใหนกั เรียนแตล ะกลมุ อภปิ รายกลมุ ยอยเกย่ี วกับ ๗. เวลาพดู ลบั หลงั พงึ ใชส้ รรพนามใหเ้ หมาะสม เชน่ “ทา่ น” “พระเดชพระคณุ ” “หลวงพ่อ” มารยาทชาวพุทธในสวนของการปฏิบัติตนตอ พระภิกษุทางกาย วาจา และใจทีป่ ระกอบดว ย ๑02 “ทา่ นเจา้ คุณ” ฯลฯ ไม่พึงใชค้ า� ว่า “แก” “เขา” เปน็ ต้น เมตตา เพอื่ ใหเ กดิ ความรคู วามเขา ใจทถ่ี กู ตอ งตรงกนั เกร็ดแนะครู บูรณาการเชอื่ มสาระ ครสู ามารถจดั กิจกรรมการเรยี นรูบรู ณาการกลมุ สาระการเรียนรู ภาษาไทย วชิ าหลกั ภาษา เร่อื งการใชภ าษาท่เี หมาะสมกับบคุ คล และการ ครูอาจตง้ั ประเดน็ อภปิ รายท่ชี วยกระตนุ ใหน กั เรียนเกดิ ความสนใจในการศกึ ษา ใชคาํ ราชาศัพท โดยใหนกั เรียนรวมกลมุ เพ่ือชวยกันศึกษาคนควา เก่ยี วกบั เก่ยี วกับการปฏิบตั ิตนตอพระภิกษทุ างกาย วาจา และใจท่ปี ระกอบดว ยเมตตา เชน การใชค าํ ทถ่ี ูกตอ งเหมาะสมกบั พระภกิ ษุสงฆท ี่มีสมณศกั ด์ิแตกตา งกนั ใน คฤหสั ถก บั ความเมตตาตอพระสงฆ หลกั การปฏิบตั ิตนตอ พระสงฆทางกาย วาจา โอกาสตางๆ จากแหลง การเรียนรูท ่คี รเู สนอแนะ เชน คําราชาศัพทท ใ่ี ชกบั และใจ และความเมตตา : ประสบการณในการปฏิบัติตนทเี่ หมาะสมตอพระสงฆ พระภิกษสุ งฆ http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_ แลว ครูนําสรุปผลการอภปิ ราย นักเรียนบันทึกผลการอภิปรายลงในสมดุ id=2067 เว็บไซตกระทรวงวฒั นธรรม จากนน้ั สง ตัวแทนของกลมุ ออกมานาํ เสนอผลงานการศึกษาคน ควา ที่หนาชน้ั เรียน นกั เรยี นควรรู 1 เบญจางคประดษิ ฐ การกราบดวยการตงั้ อวัยวะของรา งกายทงั้ 5 จดพนื้ คือ ศีรษะ (หนาผาก) ฝา มอื และหวั เขาท้งั สอง 102 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๓) ทางใจ พฤติกรรมท่ีแสดงออกทางกายและวาจา ไม่ว่าในด้านดีหรือไม่ดีต่อ 1. ตัวแทนของนกั เรียนแตละกลุมอธบิ ายความรู ในสว นที่ตนรับผดิ ชอบผานกจิ กรรมการเรยี นรู พระสงฆ์ ส่อถงึ เจตนาดหี รือไมด่ ภี ายในใจ แต่ถา้ เปน็ เพียงความคิดคา� นึงยงั ไม่แสดงออกทางกาย ตา งๆ ดังน้ี และวาจา รู้ได้ยากหรือไม่มีใครรู้ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ ตัวคนคนน้ันเองย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองดีว่า ก�าลังคิดอะไร ทางพระพุทธศาสนาถอื วา่ มโนกรรม (ความคดิ ค�านึง) เปน็ สง่ิ สา� คญั มาก เพราะถา้ 2. ครูใหตวั แทนของนกั เรยี นแตล ะกลุมท่ีรับผิด มมี ากเขา้ มีพลังแรงเขา้ ก็จะกอ่ ให้เกดิ พฤติกรรมทางกายและวาจา เพราะฉะนนั้ ท่านจึงสอนให้ ชอบในสวนของการปฏิบัตติ นตอ พระภกิ ษทุ าง หัดคิดค�านึงแต่ในเรื่องดีที่เป็นกุศล ไม่คิดในแง่ร้ายต่อใครๆ เม่ือได้ทราบว่าพระสงฆ์ท่านเป็น กายและวาจาทปี่ ระกอบดวยเมตตา วิเคราะห ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติเพ่ือความรู้แจ้ง ปฏิบัติชอบย่ิง เป็นผู้ธ�ารงพระศาสนาให้ด�ารง รว มกนั ถึงหลกั การและแนวทางการปฏบิ ัติตน อยู่ยาวนาน มีคุณค่าต่อพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนอย่างมาก ควรมีความเคารพท่าน ตอพระภกิ ษทุ างกายและวาจาทีป่ ระกอบดว ย ทางใจ ดงั น้ี เมตตา แลวครสู มุ ตวั แทนของนกั เรียนแตล ะ กลมุ ใหอ อกมานาํ เสนอผลการวิเคราะหหลกั ๑. คิดถึงทา่ นดว้ ยเมตตาจติ คือ แผ่ความรักความปรารถนาดตี อ่ ท่านดว้ ยใจไม่อคติ การและแนวทางการปฏิบตั ติ นตอพระภิกษุ ๒. คิดหาโอกาสท่ีจะสนับสนุนบ�ารุงท่านด้วยปัจจัยส่ี หรือพร้อมท่ีจะให้ความช่วยเหลือท่าน ทางกายและวาจาทหี่ นาช้ันเรียน จากนน้ั ครู เทา่ ทโี่ อกาสอา� นวย เสนอแนะเพิม่ เตมิ หรือปรบั ปรงุ เพอื่ ใหไ ดความ รูท่ีถูกตองสมบรู ณย ง่ิ ข้นึ หากปฏิบัติได้เช่นน้ีนับว่าเป็นผู้มีความเคารพต่อพระสงฆ์ทางจิตใจสมกับท่ีเป็น พทุ ธศาสนิกชนที่ดี 3. ครตู ั้งประเด็นใหต ัวแทนนกั เรยี นแตล ะกลมุ อภปิ รายรว มกนั เกย่ี วกับมารยาทชาวพุทธใน ๒.๒ การปฏสิ นั ถารตอ่ พระภกิ ษใุ นโอกาสต่างๆ สวนของการปฏิบัติตนตอพระภกิ ษทุ างใจที่ ประกอบดว ยเมตตา เชน เมตตาในมโนกรรม ปฏิสันถาร หมายถึง การทักทายปราศรัย หรือต้อนรับในโอกาสต่างๆ ในงานพิธีที่ต้อง กับมารยาทชาวพุทธ จติ ฺตํ ทนตฺ ํ สขุ าวหํ (จติ มีพระภิกษุประกอบในงานด้วย พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติตนในการปฏิสันถารต่อภิกษุสงฆ์ ทฝี่ กดแี ลวนาํ สุขมาให) การฝกจิตอันเปน ฐาน อย่างเหมาะสม ดงั น้ี ของมารยาทชาวพทุ ธ และมารยาททางจติ ใจ ของชาวพุทธกบั การปฏบิ ัตทิ ถี่ กู ตองเหมาะ ๑) การลุกขึ้นต้อนรับ การลุกข้ึนต้อนรับ มาจากค�าว่า “อุฏฐานะ” เป็นการ สม จากนั้นครนู ํานักเรียนสรุปผลการอภปิ ราย เก่ยี วกบั มารยาทชาวพทุ ธในสวนของการ แสดงความเคารพอย่างหนึ่ง เม่ือพระสงฆ์เดินมายังสถานท่ีพิธีน้ันๆ คฤหัสถ์ชายหญิงที่นั่งอยู่ใน ปฏบิ ตั ิตนตอ พระภกิ ษุทางใจทป่ี ระกอบดวย งานนั้นพงึ ปฏิบัติ ดังน้ี เมตตา นักเรียนบนั ทกึ ผลการอภิปรายลงใน สมดุ ๑.๑) ถ้านั่งเก้าอ้ีพึงลุกข้ึนยืนรับ เม่ือท่านเดินผ่านพึงยกมือไหว้แบบไหว้ พระรตั นตรยั เมอ่ื ทา่ นน่งั เรยี บร้อยแลว้ จงึ นง่ั ลงตามปกติ 4. ครูสนทนารวมกนั กบั นักเรยี นถงึ ความหมาย และความสาํ คญั ของการปฏสิ นั ถารตอ พระภกิ ษุ ๑.๒) ถา้ นงั่ กบั พนื้ ไมต่ อ้ งยนื รบั เมอ่ื ทา่ นเดนิ ผา่ นมาถงึ เฉพาะหนา้ พงึ ยกมอื ไหว้ ในโอกาสตางๆ ท่นี กั เรียนไดศ ึกษามา แลว หรือกราบสุดแท้แต่ความเหมาะสมในสถานทน่ี ้นั ใหน ักเรียนกลมุ เดมิ เตรยี มการสาธติ การ ปฏิสนั ถารตอพระภกิ ษใุ นโอกาสตา งๆ ไดแก ๑0๓ การลกุ ขน้ึ ตอนรับ การใหที่นั่งพระสงฆ การ รับรอง และการตามสง พระสงฆ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ขอ ใดเปนการปฏสิ นั ถารกบั พระสงฆท่ีถูกตอ งเหมาะสม ครูควรอธบิ ายใหน ักเรยี นตระหนักถงึ คุณคา ของการมคี วามรูความเขาใจการ 1. การไมกลา วถงึ พระสงฆล บั หลงั ปฏสิ นั ถารกบั พระสงฆใ นโอกาสตา งๆ อยา งถูกตองเหมาะสม ทัง้ ในดานสังคม 2. การใชคาํ ทถ่ี ูกตองเหมาะสมกับสมณศักด์ิ กลาวคอื การชว ยใหมีภาพลักษณที่ดที างสงั คม เมื่อปฏิสนั ถารกบั พระสงฆไดอ ยาง 3. การสนทนาดว ยจติ ใจที่เบกิ บาน ใบหนายิ้มแยมแจมใส เหมาะสม ยอ มเปนทช่ี ่ืนชมของผูพบเหน็ ทว่ั ไป โดยเฉพาะผูอ าวโุ ส เนือ่ งจากแสดง 4. การกลาวคําอาราธนาพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆก อ นสนทนาเสมอ ถึงการเปน ผูม ีความรแู ละมกี ิริยามารยาทท่ีไดร ับการอบรมมาเปน อยางดี ดา นปฏบิ ัติงาน กลา วคอื การปฏบิ ัติตนไดเ หมาะสมกบั พระสงฆช ว ยใหการประกอบ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. การใชคาํ ทถ่ี ูกตอ งเหมาะสมกบั สมณศักดิ์ พธิ ีการที่เก่ยี วของกับพระพุทธศาสนา เชน การนิมนตพระสงฆม าในงานมงคลหรอื อวมงคลตางๆ เปนไปอยางเรยี บรอ ย เปนตน ซ่งึ แสดงถงึ การเรยี นรทู ่ีมคี วามหมาย เปน การปฏสิ นั ถารกบั พระสงฆท ถ่ี กู ตอ งเหมาะสมทสี่ ดุ เนอ่ื งจากพระสงฆ เพอ่ื ใหน กั เรียนเกดิ ความสนใจในการศึกษาเกีย่ วกับการปฏิสนั ถารกับพระสงฆใ น แตละรปู มีสมณศักดิ์แตกตางกันไป โดยเฉพาะสมเดจ็ พระสังฆราช โอกาสตางๆ นกั เรยี นพึงใชค าํ ราชาศพั ทใ นการปฏสิ ันถารกับพระองคอยางถกู ตอ งเสมอ คูมือครู 103
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูสมุ นกั เรยี นทลี ะ 2 กลุม ใหอ อกมาสาธิตการ ๒) การใหท้ นี่ ง่ั พระสงฆ์ การใหท้ ่นี ง่ั พระสงฆ์ มาจากค�าว่า 1 ใชใ้ น ปฏิสันถารตอพระภิกษุในโอกาสตา ง ๆ ทห่ี นา “อาสนทาน” ชัน้ เรียนตามลําดบั ดงั นี้ เวลาพระสงฆม์ าในมณฑลพิธีซึ่งไมม่ ีท่วี ่าง การแสดงความเคารพแก่พระสงฆ์พึงปฏบิ ัติ ดงั นี้ • การลกุ ข้นึ ตอนรับ • การใหท ่นี ัง่ พระสงฆ ๒.๑) ถา้ สถานทช่ี มุ นมุ นนั้ นงั่ เกา้ อ ี้ เมอื่ พระสงฆม์ าในงานนนั้ ฆราวาสชายหญงิ • การรับรอง • การตามสงพระสงฆ พึงลุกขึ้นหลีกให้พระสงฆ์มาน่ังเก้าอ้ีแถวหน้า หรือขณะข้ึนรถประจ�าทางและนั่งอยู่เบาะหลัง 2. ครูใหน กั เรยี นกลมุ อนื่ พิจารณาเปรียบเทยี บการ ถ้ามีพระสงฆ์เดินทางไปด้วย พึงให้พระสงฆ์นั่ง แสดงถึงความมีสัมมาคารวะ มีวัฒนธรรมใน สาธิตของทง้ั สองกลุม แลว สอบถามขอ สงสยั หรอื เสนอแนะการปฏสิ นั ถารท่ีถูกตองเหมาะสม การนัง่ เพอื่ ใหเกดิ ความรูค วามเขาใจท่ีถกู ตอ งชัดเจน จากนนั้ ครใู หน กั เรยี นกลมุ อนื่ พจิ ารณาเปรยี บเทยี บ ๒.๒) ถา้ จ�าเป็นตอ้ งน่ังแถวเดยี วกบั พระสงฆ์ พึงน่งั เก้าอี้ด้านซ้ายมอื ทา่ นเสมอ การสาธติ ของท้งั สองกลุมตามลําดบั การสาธติ แลว สอบถามขอ สงสยั หรอื เสนอแนะการปฏสิ นั ถาร ๒.๓) สา� หรับสตรีเพศจะนง่ั อาสนะยาว เชน่ มา้ ยาวเดียวกนั กบั พระสงฆ์ ตอ้ งมี ทถ่ี กู ตอ งเหมาะสม เพอ่ื ใหเ กดิ ความรคู วามเขา ใจ ท่ีถกู ตองชดั เจน จากนัน้ นกั เรียนบนั ทึกสาระ บรุ ษุ เพศนง่ั คัน่ ในระหว่างกลาง จึงไมเ่ กิดโทษแก่พระสงฆ์ สาํ คญั เกี่ยวกับการปฏสิ นั ถารตอ พระภกิ ษุ ในโอกาสตางๆ ลงในสมดุ ๒.๔) ถ้าสถานที่ชุมนุมน้ันนั่งกับพ้ืน พึงจัดอาสนสงฆ์ให้เป็นส่วนหน่ึงต่างหาก จากฆราวาส เช่น ปูพรมผืนใหญ่เต็มหอ้ งควรจัดอาสนะเลก็ บนพรมนนั้ อกี ชั้นหนึง่ ๓) การรับรอง วัตถุทุกสิ่งท่ีใ2ช้ต้องมีฐานรองรับ เช่น ตึกต้องมีเสาเข็มเป็นฐาน รองรบั แต่สา� หรบั คนมคี ุณธรรมเป็นฐานรองรบั อันไดแ้ ก่ ๓.๑) เม่ือท่านมาถึงบ้านหรือสถานท่ีแล้ว ควรรับรองท่านด้วยอัธยาศัยไมตรี อันดี ด้วยใบหน้าอันยม้ิ แย้มแจ่มใสพอใจรับรอง เชน่ นิมนต์ให้น่งั ในทอ่ี นั สมควรซง่ึ ไดจ้ ัดไว้ ๓.๒) ถวายของรับรอง เช่น น�้าดม่ื น้า� ชา น�้าเย็น เปน็ ตน้ ๓.๓) ควรนัง่ สนทนากับทา่ นดว้ ยความพอใจ ไม่ควรปลอ่ ยให้ท่านนัง่ อยรู่ ูปเดียว อนึง่ การน่ังนนั้ พงึ น่ังเว้นโทษ ๖ อยา่ ง ดังน้ี ๑. ไม่นง่ั ตรงหน้า ๒. ไมน่ ่ังไกลนัก ๓. ไมน่ ั่งสงู กว่า ๔. ไม่นงั่ ข้างหลัง ๕. ไม่นั่งใกล้นัก ๖. ไมน่ ั่งเหนือลม ๔) การตามส่งพระสงฆ์ เม่ือพระสงฆ์ท่ีท่านมาเย่ียม หรือที่นิมนต์ท่านมาใน งานพธิ ีต่างๆ จะกลับ เจ้าภาพหรอื ผ้อู ยู่ในงานพธิ นี น้ั ๆ ควรปฏิบตั ิ ดังน้ี ๔.๑) ถา้ น่งั เก้าอพ้ี ึงลุกขึ้นยืน เมื่อทา่ นเดินผา่ นมาเฉพาะหนา้ ให้ยกมือไหว้ ๔.๒) ถ้าน่งั กบั พนื้ ไม่ตอ้ งยืน เมอื่ ทา่ นเดนิ ผา่ นมาเฉพาะหนา้ พงึ ไหว้หรือกราบ แสดงความเคารพตามความเหมาะสมแกส่ ถานท่ี ๑04 นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บคุ คลใดปฏบิ ตั ิตนตอ พระสงฆไ ดถกู ตองเหมาะสมตามหลกั การ 1 ทาน เปน หลกั ปฏบิ ัตทิ ส่ี าํ คญั ประการหนงึ่ ของพุทธศาสนกิ ชน เน่ืองจาก ปฏิสนั ถารตอ พระสงฆ สะทอ นถึงความมเี มตตากรุณา ทานจึงเปนขอธรรมหน่งึ ในหลักธรรมสําคัญทาง 1. เปล จดั รถไปรับและสงทานตามเวลาทีน่ มิ นต พระพทุ ธศาสนา เชน ทศพธิ ราชธรรม บารมี 10 บญุ กริ ยิ าวัตถุ 3 และ 10 2. ปท น่ังสนทนาตรงหนา พระสงฆเ มือ่ ทา นมาถึงบา น สังคหวัตถุ 4 และสัปปรุ ิสบญั ญัติ 3 3 ปุมใหพ ระสงฆน ่ังอยรู ปู เดยี วเพื่อความสงบทางจิตใจ 2 คณุ ธรรมเปน ฐานรองรบั ในการรบั รองพระสงฆแ ละบคุ คลทว่ั ไป ธรรมเนยี มไทย 4. ปอวางเกาอีส้ ําหรบั พระสงฆไวดา นหลังเพ่อื ความสะดวกในการ ถือวา เม่ือมีผมู าเยอื นถึงบา น เจาบา นควรตอ นรับเปน การแสดงมารยาทอันดงี าม ประกอบพิธีกรรม ของเจาบาน มารยาทเปนคุณธรรมทด่ี ที ี่ทกุ คนควรปฏิบัติ การตอ นรบั แขกจงึ ควร วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เปล จดั รถไปรบั และสงทานตามเวลาท่ี ปฏบิ ัตดิ วยไมตรีจติ มกี ิริยามารยาทที่ดีงาม เชน เมอ่ื แขกมาถึงบา น ควรเชอ้ื เชิญ นิมนต เปน การปฏบิ ัตติ นตอ พระสงฆไ ดถ กู ตองเหมาะสมตามหลกั การ เขาบา นดวยใบหนา ย้มิ แยม แจมใส และใหค วามเคารพตามควร จัดทนี่ ง่ั ในที่ ปฏสิ นั ถารตอ พระสงฆ โดยเพอ่ื อาํ นวยความสะดวกในการเดนิ ทางแกพ ระสงฆ อนั ควร จดั น้าํ และของวา งมารับรอง แนะนําใหรูจ กั กับสามี ภรรยา หรอื สมาชิกใน ครอบครัว เปน ตน 104 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand ๔.๓) ส�าหรับเจ้าภาพในงาน พึงเดินตามไปส่งท่านจนพ้นบริเวณงานหรือ ครใู หนกั เรยี นแตละกลมุ ฝกปฏิบัตเิ กีย่ วกบั จนกว่าจะขึ้นรถออกจากบริเวณงาน อน่ึง ก่อนที่ท่านจะจากไปพึงยกมือไหว้เพื่อแสดงความ การปฏสิ ันถารตอพระภิกษใุ นโอกาสตา งๆ จาก เคารพเปน็ การสง่ ทา่ น ความรคู วามเขาใจท่ีไดศกึ ษามา รวมถึงการ ศกึ ษาเพ่ิมเติมจากแหลงการเรียนรตู างๆ เชน พระพุทธศาสนามีความสําคัญตอการดําเนินชีวิตตามอยางวิถีไทยอยางไมสามารถ เว็บไซต ผชู าํ นาญการประกอบศาสนพธิ ี และ พระสงฆ แลวจดั ทาํ เปนสื่อเผยแพรค วามรูเกย่ี ว แยกออกจากกันไดอยางเด็ดขาด กระท่ังเปนที่ยอมรับวาเมืองไทยเปนเมืองแหงพุทธธรรมอยาง กบั การปฏิสันถารตอ พระภกิ ษุในโอกาสตางๆ ใน รูปแบบท่ีนกั เรยี นในชัน้ เรียนมคี วามสามารถและ แทจริง ดวยเหตุนี้ พุทธศาสนิกชนไทยจึงควรปฏิบัติตนตามหลักหนาท่ีชาวพุทธ คือ ทํานุบํารุง ความสนใจ เชน วีดทิ ัศน โปรแกรมการนาํ เสนอ (Powerpoint) หรือสมดุ ภาพแสดงการปฏิสนั ถาร พระพุทธศาสนาใหยืนยงสถาพรสืบไป อาจจะดวยวิธีหม่ันศึกษาหาความรูในหลักธรรมและนําไปใช ตอ พระภิกษใุ นโอกาสตางๆ โดยครอู าจเปนผู พานกั เรยี นไปประกอบศาสนพิธีในวันสาํ คญั ทาง ในการดํารงชีวิต ปฏิบัติตามหลักประเพณีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา หรือสงเสริมอุปถัมภ พระพทุ ธศาสนาหรือศาสนพธิ อี ่ืนๆ ในชว งเวลาท่ี เหมาะสม เพือ่ เปด โอกาสใหน ักเรียนแตล ะกลุม จัด พระภิกษุสงฆผูเปนผูสืบทอดพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังตองคอยเผยแผพระศาสนาใหรุงเรือง ทําส่ือเผยแพรค วามรู ยง่ิ ขน้ึ ไป ตลอดจนปกปอ งพระศาสนามิใหเ สอ่ื มหรอื ถอยลงสูค วามตกต่ําอกี ดว ย â¡¸í »Ú ÒÂ Í¨Ø ©Ú Ô¹àÚ · ตรวจสอบผล Evaluate ¾§Ö µÑ´¤ÇÒÁâ¡Ã¸´ŒÇ»˜ÞÞÒ 1. ครแู ละนักเรยี นชว ยกนั ตรวจส่ือเผยแพร (¾·Ø ¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉÔµ) ความรูการแสดงปฏสิ นั ถารตอพระภกิ ษใุ น โอกาสตางๆ ของนักเรียนแตละกลมุ โดย พจิ ารณาจากความถกู ตอ งเหมาะสมของการ ปฏบิ ตั ิ และการนําเสนอทีเ่ ขาใจงา ยและนา สนใจ จากน้นั นําส่ือเผยแพรค วามรูการแสดง ปฏิสนั ถารตอ พระภกิ ษใุ นโอกาสตางๆ ทดี่ ีของ นกั เรียนเผยแพรค วามรูในโรงเรยี นตามโอกาส และความเหมาะสม 2. ครูสังเกตพฤติกรรมการมีสว นรว มในกจิ กรรม การเรียนรู เชน การตอบคําถาม การทาํ งาน กลมุ และการปฏบิ ัติตนตามมารยาทชาวพทุ ธ ในการปฏิสนั ถารพระภิกษุในโอกาสตา งๆ เปน ตน ๑0๕ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ปจ จยั ใดไม เกยี่ วขอ งกบั การปฏิบตั ติ นตอพระสงฆ ครูควรอธบิ ายใหน กั เรียนเขาใจถงึ ความสําคัญของการฝก ปฏิบตั ติ ามความรู 1. สมณศกั ดิ์ เก่ียวกับการปฏิสนั ถารกับพระสงฆและการปฏิบตั ิตอพระสงฆทางกาย วาจา และใจ 2. สถานทป่ี ระกอบพิธกี รรม ทปี่ ระกอบดว ยเมตตาที่นกั เรียนไดศ กึ ษา เน่อื งจากความรทู น่ี กั เรยี นไดศ กึ ษานน้ั เปน 3. มูลคา ของเครือ่ งไทยธรรม เพียงหลักการหรอื แนวทาง การปฏบิ ัติไดอ ยางถูกตอ งและชาํ นาญนน้ั ตองอาศยั การ 4. กริ ยิ ามารยาทท่ีออนนอม ฝกปฏิบตั อิ ยา งสมา่ํ เสมอ ดังนน้ั นกั เรียนจึงควรมีสว นรว มในกิจกรรมทางพระพทุ ธ- วิเคราะหค ําตอบ การปฏบิ ตั ิตนทถ่ี กู ตองเหมาะสมตอ พระสงฆใ นโอกาส ศาสนาตา งๆ เพ่ือฝก ปฏิบัตจิ นเกดิ ความชํานาญ ตางๆ พงึ ประกอบดว ยปจ จยั สาํ คัญ ไดแก การต้ังจติ ใจไวใ นความ เมตตา การรักษากริ ยิ ามารยาทที่ออนนอม การใชคาํ ศัพทใ นการสนทนาท่ี มุม IT ถกู ตองเหมาะสมตามสมณศกั ดิ์ของทาน และการรบั รองทานอยา งเหมาะ สมตามสถานท่ปี ระกอบพิธกี รรม ไมเ ก่ียวขอ งกบั มูลคา หรอื ราคาของ ศกึ ษาคน ควาความรูเกี่ยวกบั คาํ ราชาศพั ทท ่ีใชสาํ หรับพระภกิ ษุเพ่มิ เตมิ ไดท ่ี http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=2067 เว็บไซตกระทรวง เคร่อื งไทยธรรม ดงั น้ันคาํ ตอบคอื ขอ 3. วัฒนธรรม คมู ือครู 105
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถกู ตอ งในการตอบคาํ ถาม คาปถระาจÓมหน่วยการเรยี นรู้ ประจําหนวยการเรียนรู ๑. การที่เป็นผู้มีศีล (รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘) มีประโยชน์ต่อตัวผู้ปฏิบัติ บุคคลรอบข้าง หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู และสงั คมอยา่ งไร 1. บนั ทกึ ผลการปฏบิ ัติตนเปน ชาวพุทธท่ดี ี ๒. การเขา้ ร่วมกจิ กรรมและเป็นสมาชกิ ขององค์กรชาวพุทธมขี ้อดอี ยา่ งไร 2. สื่อเผยแพรความรกู ารแสดงปฏสิ นั ถารตอ ๓. ในฐานะที่ยังเป็นนักเรียน จะสามารถมีส่วนร่วมในการธ�ารงรักษาและสืบทอดพระพุทธ- พระภิกษใุ นโอกาสตางๆ ศาสนาหรอื ศาสนาที่ตนนบั ถอื ได้อย่างไร 3. สมุดบันทึกของนกั เรียน ๔. การปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนหรือศาสนิกชนท่ีดีตามศาสนาท่ีตนนับถือมีข้อดีต่อตนเอง สงั คม และประเทศชาติอยา่ งไร ๕. นักเรียนควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัวและสังคม และ การปฏิบตั ติ นเชน่ นนั้ ส่งผลอย่างไร จงยกตวั อยา่ งประกอบการอธบิ าย กิจสรก้ารงรสมรรคพ์ ัฒนาการเรยี นรู้ กิจกรรมท่ ี ๑ นักเรียนแบ่งกลุ่มกันค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร มูลนิธิหรือชมรม กิจกรรมที ่ ๒ ที่เก่ียวเนื่องกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แล้วน�าข้อมูลที่ได้มาจัดป้าย นิเทศประชาสัมพันธ์ นักเรียนแบ่งกลุ่มกันแสดงบทบาทสมมติ เร่ืองการปฏิบัติตนอย่าง เหมาะสมตอ่ พระภิกษุในสถานการณ์ตา่ งๆ เช่น การลุกขึ้นต้อนรบั การ ให้ท่ีน่ังพระสงฆ์ เป็นต้น หลังจากทุกกลุ่มแสดงจบ ให้ช่วยกันสรุปข้อดี ของการปฏบิ ัติตนดงั กล่าว ๑06 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. การสงเสรมิ ใหชีวติ เจริญกา วหนา จากการไมป ฏบิ ตั ติ นในทางเสือ่ มเสีย มปี ระโยชนต อ บุคคลรอบขาง คอื การเปน บุคคลตวั อยางทีด่ ี มศี ีลธรรมคอยแนะนําหลกั การ ดําเนนิ ชีวิต สว นประโยชนตอ สงั คม คอื การมีสวนชวยใหสงั คมสงบสุข 2. การมโี อกาสไดป ฏิบตั กิ ิจกรรมและพธิ ีกรรมท่ีเหมาะสมตามกาลและวยั มคี วามเขา ใจในหลักธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนา และสามารถนอมนาํ ไปปฏิบัติไดใ น ชีวิตประจําวัน และทส่ี ําคญั คือ การมีสวนชว ยในการธาํ รงรักษาและสงเสรมิ พระพทุ ธศาสนาใหค งอยสู ืบไป 3. การศกึ ษาหลักธรรมคาํ สอนและนําไปปฏิบัติอยางสม่ําเสมอจนบงั เกดิ ผลแหงการปฏิบตั ินน้ั การเขารว มพิธกี รรมทางพระพุทธศาสนาตางๆ เชน พธิ ีกรรมในวันสาํ คัญ ทางพระพทุ ธศาสนา การบรรพชาอปุ สมบท รวมถงึ การเผยแผพ ระพุทธศาสนาอยางถกู ตอ งใหแ กศ าสนิกชนในศาสนาอืน่ ตลอดจนชวยใหเ กดิ ความเขาใจซึ่งกันและกัน ระหวา งศาสนิกชนตางศาสนา อันจะนํามาซึ่งสันติภาพไดใ นท่ีสุด 4. ประโยชนใ นระดบั บคุ คล คอื มชี วี ติ ทสี่ ขุ สงบ จากการเขา ใจธรรมชาตขิ องชวี ติ การไดร บั การยอมรบั จากสงั คม จากการเขา รว มกจิ กรรมและพธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา และปฏิบัติตนไดอยา งถกู ตองเหมาะสม ในระดับสงั คม คือ มคี วามสามัคคีกนั ในหมพู ุทธศาสนิกชนจากการพรอมเพรยี งกันปฏบิ ตั ิศาสนพิธี นําไปสูการชวยเหลอื ซ่งึ กนั และกนั ทีท่ ําใหส งั คมเขมแขง็ และเจริญกา วหนา และในระดบั ประเทศชาติ คือ กอ ใหเกิดความสงบสขุ พฒั นาประเทศชาติไดอ ยา งรวดเรว็ และย่ังยนื 5. การตั้งใจศกึ ษาเลาเรียน หมัน่ ทบทวนความรทู ี่ศกึ ษา เช่อื ฟงคาํ สอนของบิดามารดา ครอู าจารย และที่สําคัญคอื พระภกิ ษสุ งฆ ซงึ่ จะทําใหการเรียนและการดาํ เนินชีวิต ทง้ั ในปจ จุบนั และอนาคตอยใู นวิถที างท่ถี กู ตอ งดงี าม อันจะนาํ ไปสกู ารประสบความสําเร็จในชวี ิตทงั้ ทางโลกหรอื ทางธรรมได 106 คูมอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู 1. ปฏบิ ัติตนตามหลกั ธรรม คตธิ รรมท่ีเกยี่ ว เน่ืองกับวนั และเทศกาลสาํ คัญทาง พระพทุ ธศาสนาได 2. ปฏบิ ัติตนตามศาสนพธิ ีไดอ ยางถูกตอง 3. แสดงตนเปนพทุ ธมามกะไดอ ยา งถกู ตอง ๖ Ç¹Ñ ÊíÒคÑÞ˹Nj ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒ·Õè สมรรถนะของผูเรยี น ·า§¾รо·Ø ¸ÈาʹาáÅÐÈาʹ¾¸ิ Õ 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวิต 4. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค 1. ใฝเรียนรู 2. มงุ มนั่ ในการทํางาน 3. มจี ติ สาธารณะ ÇѲ¹¸ÃÃÁ·Ò§ÈÒʹҷèÕÊíÒ¤ÑÞÍ‹ҧ˹Öè§ ¤×Í ÈÒʹ¾Ô¸Õ ËÃ×;ԸաÃÃÁ·Ò§ÈÒÊ¹Ò ÊíÒËÃѺ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ªÒµÔä·ÂÁÕàÍ¡Åѡɳ¡ÒûÃСͺ¾Ô¸Õ¡ÃÃÁ·Ò§¾Ãоط¸ÈÒʹÒ໚¹¢Í§µ¹àͧ ÈÒʹ¾Ô¸ÕàËŋҹÕéáÁŒ¨Ð ครใู หน ักเรยี นพิจารณาภาพการปฏิบัติตนตาม ÁÔ㪋ᡋ¹á·Œ¢Í§ÈÒʹÒàËÁ×͹¡Ñº¾ÃиÃÃÁ¤íÒÊ͹ ᵋ¡çª‹ÇÂãËŒÊèÔ§·Õè໚¹á¡‹¹´íÒçÍ‹ÙáÅÐà¨ÃÔÞàµÔºâµ ศาสนพธิ ีที่หนาหนว ยการเรยี นรู แลวสอบถาม ä´©Œ ¹Ñ ¹¹éÑ ¹Í¡¨Ò¡¹ÈéÕ Òʹ¾¸Ô ÂÕ §Ñ ªÇ‹ ÂáÊ´§¶§Ö àÍ¡Å¡Ñ É³¢ ͧªÒµÔ áÅÐ໹š à¤ÃÍè× §ÃÇÁ¹Òíé ã¨ãˤŒ ¹µÒ‹ §ËÁ‹Ù ประสบการณข องนกั เรียน จากนน้ั ตั้งคําถามเพอ่ื µ‹Ò§¤³Ð µ‹Ò§¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡¹Ö¡¤Ô´à¢ŒÒÁÒÊÙ‹¨Ø´ÈÒʹ¸ÃÃÁÍѹà´ÕÂǡѹ ·éѧ¹ÕéÈÒʹ¾Ô¸ÕàËŋҹÕéÁѡ͋ÙËÇÁ¡Ñº กระตุนความสนใจใหน กั เรียนชวยกันตอบ เชน Ç¹Ñ ÊÒí ¤ÑÞ·Ò§¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ´Ñ§¹¹Ñé ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹·´Õè ¨Õ §Ö ¤ÇÃÈ¡Ö ÉÒ¤ÇÒÁ໚¹ÁҢͧÇѹÊíÒ¤ÞÑ ·Ò§ ¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò ÇѲ¹¸ÃÃÁ·Ò§ÈÒÊ¹Ò à¾è×ÍãËŒÊÒÁÒö»¯ÔºµÑ Ôµ¹ä´ÍŒ ÂÒ‹ §¶Ù¡µÍŒ §àËÁÒÐÊÁ • เพราะเหตุใด เราจึงควรเขา รวมและปฏบิ ตั ิ ตนในศาสนพธิ ีซึง่ มใิ ชแ กน แทข องพระพุทธ- ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ศาสนา (แนวตอบ ศาสนพธิ ีทางพระพุทธศาสนา ส 1.2 ม.4/2, 3, 4 ■ ประเภทของศาสนพิธีในพระพุทธศาสนา (ศาสนพิธีเน่อื งด้วย มสี วนชว ยในการนอมนาํ จิตใจใหปฏิบัตติ น ■ ปฏิบัติตนถูกต้องตามศาสนพิธี พิธีกรรมตามหลักศาสนา พทุ ธบญั ญตั ,ิ ศาสนพธิ ที น่ี าำ พระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปเกย่ี วเนอ่ื ง) ตามหลักธรรมคําสอนไดจ ากความศรทั ธาใน การประกอบพธิ กี รรม นอกจากนยี้ ังเปน การ ที่ตนนบั ถอื ■ การแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ ทาํ นุบํารุงพระพทุ ธศาสนาอนั เปน เอกลกั ษณ ■ แสดงตนเป็นพุทธมามกะหรือแสดงตนเป็นศาสนิกชนของ ■ หลักธรรม คติธรรมท่ีเก่ียวเน่ืองกับวันสำาคัญและเทศกาลท่ี ของชาติอีกดวย) ศาสนาที่ตนนบั ถอื สาำ คญั ในพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาอน่ื ■ วิเคราะห์หลักธรรม คติธรรมท่ีเก่ียวเนื่องกับวันสำาคัญทาง ■ การปฏิบัติตนท่ีถูกต้องในวันสำาคัญและเทศกาลท่ีสำาคัญใน ศาสนา และเทศกาลทสี่ าำ คญั ของศาสนาทตี่ นนบั ถอื และปฏบิ ตั ิ พระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาอน่ื ตนได้อย่างถกู ต้อง เกรด็ แนะครู ครูควรจดั กิจกรรมการเรียนรูเพื่อใหนกั เรยี นสามารถปฏิบตั ติ นถกู ตองตาม ศาสนพิธี โดยเฉพาะการแสดงตนเปน พุทธมามกะ และวเิ คราะหและปฏิบัตติ นตาม หลักธรรม คติธรรมที่เกย่ี วเน่อื งกบั วนั สําคญั ทางพระพุทธศาสนาได โดยเนน การพฒั นาทกั ษะกระบวนการ เชน ทักษะการคดิ ทักษะการฝก ปฏบิ ตั ิ และ กระบวนการทํางานกลุม ดงั ตัวอยา งตอ ไปน้ี • ครูใหนักเรียนรวมกลุม เพ่อื ชวยกันศกึ ษาความรเู กีย่ วกบั หลักธรรมทเ่ี กยี่ วเน่อื ง ในวนั สาํ คัญทางพระพุทธศาสนาและการปฏบิ ตั ิตนจากแหลงการเรยี นรู ตางๆ แลว ชวยกันอธบิ ายความรผู า นกิจกรรมการเรยี นรูท คี่ รกู าํ หนด จากนั้นศกึ ษาคน ควาเพิม่ เติมเพื่อชวยกนั วิเคราะหหลกั ธรรมหรอื คตธิ รรมท่ี เก่ยี วเน่ืองในวันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนา และปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมหรอื คติธรรมดงั กลาวแลวบันทึกผลการปฏบิ ัติสงครผู ูสอน ค่มู ือครู 107
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครสู นทนารว มกนั กบั นักเรยี นถึงประสบการณ ๑. วนั สÓคัญทางพระพทุ ธศาสนา การเขา รว มพิธีกรรมในวนั และเทศกาลสําคญั ทาง พระพุทธศาสนา แลว ใหนกั เรียนชวยกันวเิ คราะห ๑.๑ หลกั ธรรมท่ีเกี่ยวเนอ่ื งในวันสÓคัญทางพระพุทธศาสนาและ ถึงหลกั ธรรมและคติธรรมทเ่ี ก่ยี วเนื่องกบั วันและ การปฏบิ ัตติ น เทศกาลสําคัญทางพระพุทธศาสนาตา งๆ จากน้นั ครอู ธบิ ายถึงหลักธรรมและคติธรรมทั่วไปทเี่ กยี่ ว ๑) วันมาฆบูชา วันมาฆบูชาตรงกับวันเพญ็ เดือน ๓ ของทกุ ปี ถ้าปีใดมีเดือน เน่อื งกับวันและเทศกาลสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา ซ่งึ นักเรยี นท่ีเขา รว มสามารถเกดิ ความรคู วามเขา ใจ แปดสองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันเพ็ญเดือน ๔ เม่ือคร้ังพุทธกาลมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันนี้ ๔ และนอ มนาํ ไปสกู ารปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งถกู ตอ ง ประการ ดังนี้ สา� รวจคน้ หา Explore ๑. พพรระะสสาาววกกเ ห๑ล,๒่า๕น๐้นั ลอ้วงนคไ์ ดมร้ าับปเอระหชภิ มุ กิ กขันอุ โปุ ดสยมั ทปุกทอ1าง คคล์ ือ้ว นไเดป้รน็ บั พกราะรออรปุ หสันมตบ์ ทจากพระพุทธเจา้ ๒. ๓. พระสาวกเหลา่ นน้ั มาประชุมกนั โดยมิได้นัดหมายมากอ่ น ครใู หนักเรียนรวมกลมุ กัน กลมุ ละ 4 คน เพอ่ื ๔. พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ ชว ยกนั ศกึ ษาความรเู กยี่ วกบั วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธ- ศาสนา โดยแบง หนา ทีร่ ับผดิ ชอบในการศกึ ษาความ ในการประชุมกันในวันนั้น ถือเป็นเร่ืองอัศจรรย์ ๔ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง รดู วยการแบง สมาชิกในกลุม ออกเปน 2 คู แลว หลกั ธรรมเรียกวา่ “โอวาทปาฏิโมกข”์ ดงั นี้ ศึกษาจากหนงั สือเรยี น หนา 108-118 และแหลง การเรยี นรอู ่นื ที่ครูเสนอแนะ จากน้นั แลกเปลยี่ น ขอ้ หนึง่ ความรซู ึ่งกนั และกันกับคูข องตน เพื่อเตรียมการ “ขนั ต ิ คือ ความอดกลน้ั เป็นตบะสูงสุด พระพุทธเจ้าท้งั หลายกลา่ ววา่ พระนพิ พานเปน็ อธบิ ายใหเ พ่ือนนักเรียนอกี คหู นงึ่ ในกลุมจนเกิด ธรรมสงู สดุ คนท�ารา้ ยคนอน่ื ไม่ใช่บรรพชิต คนเบยี ดเบียนคนอื่นไมใ่ ช่สมณะ” ความรคู วามเขา ใจท่ีตรงกนั ขอ้ สอง “การไมท่ า� ชว่ั ทงั้ ปวง การทา� แตค่ วามด ี การทา� ใจใหบ้ รสิ ทุ ธ ์ิ นเี่ ปน็ คา� สอนของพระพทุ ธเจา้ ท้ังหลาย” อธบิ ายความรู้ Explain ข้อสาม “การไม่ว่าร้าย การไม่ท�าร้าย การส�ารวมในปาฏิโมกข์ การรู้จักประมาณในอาหาร ครูสนทนารวมกันกับนกั เรยี นแตละกลุมถึง การอยใู่ นทีส่ งัด การบ�าเพ็ญสมาธ ิ นเี่ ปน็ คา� สอนของพระพทุ ธเจา้ ทั้งหลาย” ความรูท่วั ไปเกย่ี วกับวนั มาฆบูชา แลวสมุ นกั เรียน 2 กลมุ ใหอธิบายความรหู ลักธรรมท่เี กย่ี วเนอื่ ง การปฏิบัติตนในวันมาฆบูชา ในตอนเช้าพุทธศาสนิกชนจะไปท�าบุญตักบาตรท่ีวัด กบั วนั มาฆบูชาและแนวทางการปฏิบัตติ นในวัน ฟังพระธรรมเทศนา บ�าเพ็ญสาธารณประโยชน์ และในตอนค่�าก็จะน�าดอกไม้ ธูปเทียนไปยังวัด มาฆบชู าท่ถี ูกตองเหมาะสมตามทไี่ ดศกึ ษามา กลุม ที่อยู่ใกล้บ้าน พอได้เวลาพระสงฆ์จะประชุมกัน ยืนหันหน้าตรงต่อพระพุทธรูป บรรดาฆราวาส ละ 1 หวั ขอ จากนนั้ ครนู าํ ในการสรปุ ความรขู อง ก็ยืนตั้งแถวให้เป็นระเบียบอยู่ด้านหลังพระสงฆ์ จากนั้นจุดธูปเทียน พระเถระชั้นผู้ใหญ่กล่าวน�า นกั เรยี นในชั้นเรียนเกย่ี วกับความสาํ คัญ หลกั ธรรม คา� บชู า เสร็จแล้วทา� ทกั ษิณาวรรต (เวียนขวา) รอบพระอุโบสถ หรอื สถูปเจดยี ์ ๓ รอบ การเดนิ คติธรรม และแนวทางการปฏบิ ตั ติ นในวนั มาฆบชู า เวยี นเทียนนต้ี อ้ งท�าใจให้สงบจรงิ ๆ ควรสา� รวมวาจาและละเวน้ การท�าอาการตลกคึกคะนองตา่ งๆ ในรปู แบบของตารางโดยใหนกั เรียนผลดั กันออกมา เขยี นรายละเอยี ดท่ถี กู ตองลงในตารางบนกระดาน 108 หนา ชน้ั เรยี น แลว นกั เรยี นบนั ทกึ ขอ สรปุ ทไ่ี ดล งในสมดุ เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ครอู าจสนทนารว มกนั กบั นกั เรยี นถงึ ประวตั คิ วามเปน มา ความสาํ คญั เหตกุ ารณ คตธิ รรมสาํ คญั ในโอวาทปาฏิโมกขท่ีพุทธศาสนิกชนควรยดึ ถอื คอื อะไร และการประกอบพิธีกรรมเนอื่ งในวันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาตา งๆ ท่นี ักเรยี น 1. สํารวมในปาฏิโมกข ประมาณในอาหาร อยูใ นท่ีสงัด ไดศ กึ ษามา แลว ครูอธบิ ายขอมลู ความรูเพ่มิ เติมเพอื่ ความถกู ตอ งชัดเจน ทั้งน้ีเพื่อ 2. อดทนอดกลัน้ ไมท าํ รา ยผอู ืน่ ไมเ บียดเบยี นผอู น่ื เปน การทบทวนความรูกอนการวิเคราะหถ งึ หลักธรรมหรอื คติธรรมที่เก่ยี วเนอ่ื งกบั 3. งดเวนความช่วั ทําความดี ทําใจใหบรสิ ทุ ธ์ิ วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา อนั นาํ ไปสกู ารปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งถกู ตอ งเหมาะสม 4. บําเพ็ญสมาธิ ไมท าํ ราย ไมวา รา ยผอู ื่น วิเคราะหค ําตอบ คตธิ รรมสาํ คัญอันอาจกลา วไดว า เปน หวั ใจแหง โอวาท- นกั เรียนควรรู ปาฏิโมกขท ่พี ทุ ธศาสนิกชนพึงยดึ ถือประพฤติปฏิบตั ใิ นชีวติ ประจําวัน ไดแก การงดเวนความชั่วท้ังปวง การทาํ ความดี และการทําใจใหบ รสิ ทุ ธิ์ 1 เอหภิ ิกขอุ ปุ สัมปทา การอุปสมบทดว ยพระวาจาวา “จงเปน ภิกษุมาเถดิ ” เปน วธิ ที ่พี ระพทุ ธเจาทรงบวชใหเอง นอกจากนกี้ ารอปุ สมบทท่ีสําคญั ญตั ตจิ ตตุ ถกมั ม- ดังนน้ั คาํ ตอบ คอื ขอ 3. อุปสัมปทา การอุปสมบทดวยญัตตจิ ตตุ ถกรรม เปนวธิ ที ที่ รงอนุญาตใหส งฆท าํ เม่ือ คณะสงฆเ ปนหมูใหญข ึ้นแลว และเปน วิธีใชส บื มาจนทกุ วนั น้ี 108 คมู่ ือครู
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ครูสนทนารว มกันกบั นกั เรียนถึงความรคู วาม เขา ใจเกยี่ วกบั พทุ ธประวตั แิ ละหลักธรรมหรือ คติธรรมทไ่ี ดจากการศกึ ษาพุทธประวตั ติ อน ตา งๆ แลว ตงั้ ประเด็นเกีย่ วกบั หลกั ธรรมหรอื คติธรรมทีเ่ กีย่ วเน่อื งกบั พุทธประวตั ใิ หนกั เรียน อภปิ รายรว มกัน เชน • ความสอดคลอ งของการฝกปฏิบัติกับ การแสวงหาความรคู วามจริง • การกอ ตง้ั และเผยแผพระพุทธศาสนา : หลักการและแนวทางทีส่ อดคลอ งกบั ระบอบ ประชาธปิ ไตย • พระอุปนิสัยของพระพทุ ธเจาท่ี พทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ยึดถือเปนแบบอยา งใน การดําเนินชวี ิต 1 พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก จำานวน ๑,๒๕๐ องค์ ซ่ึงมาประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมาย 109 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรียนควรรู ครูอาจมอบหมายใหนกั เรยี นศึกษาคน ควา รายละเอยี ดและภาพพุทธ- 1 โอวาทปาฏโิ มกข คําแปลของพระคาถาโอวาทปาฏโิ มกข คอื การไมทําความ ประวตั ิตอนท่ีนักเรยี นสนใจจากแหลงการเรยี นรทู ี่ครูเสนอแนะ แลวจดั ทํา ชัว่ ทั้งปวง การบําเพญ็ แตค วามดี การทําจติ ของตนใหผอ งใส น้ีเปนคาํ สอนของ เปนแผนภาพพทุ ธประวัตสิ งครผู ูสอน พระพทุ ธเจา ทงั้ หลาย ขันติ คอื ความอดกลัน้ เปนตบะอยางยิ่ง พระพุทธเจา ท้ัง หลายกลา ววา นพิ พานเปนบรมธรรม ผูท าํ รายคนอนื่ ไมช ื่อวาเปน บรรพชิต กจิ กรรมทาทาย ผเู บียดเบยี นคนอืน่ ไมช ื่อวา เปน สมณะ การไมก ลาวรา ย การไมท าํ รา ย ความ สํารวมในปาฏโิ มกข ความเปนผูรจู ักประมาณในอาหาร ท่ีนง่ั นอนอนั สงัด ครอู าจมอบหมายใหนกั เรยี นศึกษาคน ควารายละเอียดและภาพ ความเพียรในอธจิ ิตตน้เี ปนคาํ สอนของพระพทุ ธเจา ท้งั หลาย พุทธประวัตติ อนท่ีนักเรยี นสนใจจากแหลงการเรยี นรทู ี่ครเู สนอแนะ แลว วเิ คราะหหลักธรรมหรือคติธรรมทเ่ี กี่ยวเน่อื งกับพุทธประวัตติ อนดงั กลาว มมุ IT จากนนั้ จดั ทําเปน แผน ภาพวิเคราะหห ลกั ธรรมหรือคติธรรมจากพุทธ- ประวตั ิสง ครูผสู อน ศกึ ษาคนควาเก่ียวกบั พุทธประวตั ิตอนตางๆ พรอ มภาพประกอบเพิ่มเติม ไดท่ี http://www.buddhistelibrary.org/th/thumbnails.php?album=73 เวบ็ ไซตโ ครงการหองสมุดอเิ ลก็ ทรอนกิ สชาวพทุ ธ พุทธธรรมศกึ ษาสมาคม คูม่ ือครู 109
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครใู หน ักเรยี นกลมุ ทสี่ มัครใจอธบิ ายความ รูเกี่ยวกบั หลักธรรม คตธิ รรม และแนวทางการ ปฏบิ ตั ิตนในวันวิสาขบูชา โดยชว ยกนั ตอบคาํ ถามท่ี เมื่อเวียนครบ ๓ รอบแลว ใหนําเคร่ืองสักการบูชาไปปกในกระถางธูป ซึ่งทางวัด ครกู าํ หนด เชน ไดจัดเตรียมไว จากน้ันก็เขาไปในโบสถเพื่อทําวัตร สวดมนต และสดับตรับฟงพระธรรมเทศนา • หลกั ธรรมหรอื คติธรรมทเ่ี ก่ียวเนอื่ งกบั เรอื่ ง “พระโอวาทปาฏิโมกข” อยา งไรกต็ าม ถา พทุ ธศาสนกิ ชนทา นใด วันวิสาขบชู าคอื อะไร อธบิ ายพรอ มยก ไมสามารถไปรวมเวียนเทียนที่วัดได เพราะเจ็บปวยหรือไมสะดวก ตัวอยางประกอบพอสังเขป ดว ยประการทง้ั ปวง จะประกอบศาสนกจิ อยทู บ่ี า นก็ได โดยจดุ ธปู เทยี น (แนวตอบ หลกั ธรรมทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งกบั วนั วสิ าขบชู า บูชาพระ ทําจิตใจใหสงบ นอมระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ คอื อริยสัจ 4 หรือความจริงอนั ประเสริฐของ และพระสงั ฆคณุ ก็ยอ มไดชื่อวา เปนพทุ ธศาสนิกชนท่ดี เี ชนเดียวกัน ชีวติ 4 ประการ ไดแก ทุกข คือ สภาพที่ ๒) วนั วสิ าขบชู า วนั วสิ าขบชู า ทนอยไู ดย าก ความไมส บายกายไมส บายใจ เชน การสอบเพ่ือศกึ ษาตอไมได สมทุ ัย คือ ปจจุบันหนวยงานราชการตางๆ ไดรวมกันจัดงานใน ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ ถาปใดมีเดือน ๘ สาเหตทุ ่แี ทจ ริงของความทกุ ขน ้ัน มักเกิดจาก วันสําคัญทางศาสนาเพ่ือใหพุทธศาสนิกชนไดรวมกัน สองหนก็เลื่อนมาเปนวันเพ็ญเดือน ๗ วัน อํานาจของตัณหาตา ง ๆ เชน การไมตัง้ ใจ ทาํ บุญและสืบทอดพระพุทธศาสนา วิสาขบูชานี้ถือเปนวันคลายวันประสูติ วัน อานหนงั สอื อยา งจริงจังดว ยเหน็ วา ตนเรียน ตรัสรู และวันปรินิพพานของพระพุทธเจา เกง นาจะสามารถสอบเพอื่ ศกึ ษาตอ ได นิโรธ หลักธรรมที่เก่ียวเนื่องในวันวิสาขบูชา คือ คือ ความดบั แหงทุกข เชน การพน จากความ “หลักอริยสัจ ๔” เพราะเปนหัวใจสําคัญของ ทุกขเ ก่ียวกบั การสอบเพือ่ ศกึ ษาตอ ไมไ ด และ การตรสั รู ซ่ึงมีดงั น้ี มรรค คือ แนวทางแหง การดับทกุ ข เชน การ ๒.๑) ทกุ ข ความทุกขเ ปนสง่ิ ท่ีเกิดข้ึนกบั บุคคลทุกคนไมวาที่ใด สมยั ใด ตั้งใจและลงมอื ปฏิบตั อิ ยางจริงจงั ในการสอบ เพ่อื ศกึ ษาตอ ในสถาบันอืน่ ๆ เปน ตน ) ๒.๒) สมทุ ยั ความทกุ ขม สี าเหตุ คอื เกดิ จากตณั หาทงั้ ๓ ไดแ ก กามตณั หา • แนวทางการปฏบิ ัติตนในวันวสิ าขบชู า แตกตางจากวนั มาฆบูชาอยางไร ภวตัณหา และวิภวตณั หา (แนวตอบ แนวทางการปฏบิ ตั ติ นในวนั วสิ าขบชู า คลายคลงึ กบั วันมาฆบชู า กลา วคือ พงึ ไป ๒.๓) นิโรธ หมายความถึง ความดับแหงทุกข ทําบญุ ตกั บาตรท่วี ดั ฟงเทศน ฟงธรรม เวียน เทยี น และรกั ษาศีลตามความเหมาะสม สว น ๒.๔) มรรค คอื หนทางทจ่ี ะพาเราไปสูค วามดบั ทกุ ข การปฏิบัติตนในวันวิสาขบูชา การปฏิบัติตนในวันนี้ก็เชนเดียวกับวันมาฆบูชา คือ พุทธศาสนิกชนจะไปทําบุญตักบาตรที่วัด ฟงเทศน สนทนาธรรม เวียนเทียน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรอื อโุ บสถศีล ยอ ยท่อี าจมีความแตกตา งกนั บา ง คือ การ ๓) วันอฏั ฐมบี ชู า เวปนันอวฏันั ฐคมลบีา ยูชวานัตถรวงากยับพวันระแเรพมลิง๘พระคพาํ่ ุทเธดสอื รนรี ะ1๖พุทหธรศอื าเดสอืนนกิ ช๗น ระลึกถงึ พระพุทธเจา เนอื่ งจากวนั วิสาขบูชา เปนวันทีเ่ กย่ี วของกบั พระพทุ ธเจาโดยตรง) นับถัดจากวันวิสาขบูชาไป ๘ วนั จากนั้นครูและนักเรียนชวยกันสรุปความรทู ี่ได จากการศกึ ษาเกี่ยวกับหลกั ธรรม คตธิ รรมท่ีเกย่ี ว พจงึ ึงพรงึํายลดึึกหวลากัแธมรแรมตวพา รดะว พยุท“ธอเปัจปาผมูาททระง2”เพ(คียวบาพมรไมอปมรทะุกมอาทย)างดยงั ังปเจสฉดมิ็จพดัทบุ ธขโันอธวาปทรวินา ิพ“พเธาอนทงั้ ดหังลนา้ันย เน่ืองในวนั วิสาขบชู า และแนวทางการปฏบิ ตั ิตนใน ๑๑๐ พึงยังประโยชนตนและประโยชนทา นใหถึงพรอมดว ยความไมประมาทเถดิ ” วันวสิ าขบชู า นกั เรียนบนั ทึกผลการสรุปความรลู ง ในสมดุ ขอสอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกับการตรสั รูของพระพทุ ธเจา 1 ถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ กระทาํ ทเี่ มอื งกสุ นิ ารา โดยเมอื่ ภกิ ษหุ มู 500 รปู พระพุทธเจา ทรงบรรลญุ าณใด ทีท่ ําใหตรัสรูอริยสัจ 4 ซ่ึงมพี ระมหากัสสปะเปนประธานเดินทางมาพรอมกัน ณ ที่ถวายพระเพลงิ 1. จตุ ปู ปาต ไฟกล็ กุ โชนขนึ้ เองโดยไมต อ งมใี ครจดุ หลงั จากทพ่ี ระเพลงิ เผาไหมพ ระพทุ ธสรรี ะ 2. อาสวักขย ดบั มอดลง บรรดากษตั รยิ จ ากแควน ตา งๆ จงึ ขอแบง พระบรมสารรี กิ ธาตุ เพอ่ื นาํ กลบั 3. อานาปานสติ มาสักการะยงั แควน ของตนแตก ็ถกู กษตั ริยม ลั ละเจาแควนน้นั ปฏิเสธ จงึ เตรยี ม 4. ปพุ เพนิวาสานสุ สติ ทําสงครามกัน ในทสี่ ุดโทณพราหมณไดเ ขา มายตุ คิ วามขัดแยงโดยเสนอใหแ บง พระบรมสารรี ิกธาตุออกเปน 8 สว นเทาๆ กนั แลวมอบใหก ษตั ริยแ ตละแควน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. อาสวกั ขย เปนญาณแหงความรูเปนเหตุ 2 อปั ปมาทะ ความไมป ระมาท ความเปนอยูอยางไมขาดสติ ความไมเผลอ สน้ิ อาสวะ ญาณหยั่งรูในธรรมเปนทีส่ ิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย หรือการ ตรัสรูอ รยิ สจั 4 ประการนน่ั เอง ซึ่งเปนความรูท ่ีพระพทุ ธเจาไดใ นยาม สุดทา ยแหงราตรีในวันตรสั รู ความไมเ ลินเลอเผลอสติ ความไมป ลอ ยปละละเลย ความระมัดระวังท่ีจะไม ทําเหตุแหงความผดิ พลาดเสียหายและไมละเลยโอกาสทจ่ี ะทําเหตแุ หงความดงี าม และความเจริญ ความมสี ตริ อบคอบ พงึ กระทาํ ใน 4 สถาน คอื การละกายทจุ ริต ประพฤติกายสจุ รติ การละวจที จุ รติ ประพฤติวจีสุจรติ การละมโนทจุ รติ ประพฤติ มโนสุจริต และการละความเห็นผิด ประกอบความเหน็ ท่ีถูก 110 คมู อื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ การปฏิบัติตนในวันอัฏฐมีบูชา เม่ือวันแรม ๘ ค่�า เดือน ๖ ซึ่งนิยมเรียกกันว่า 1. ครูสุมนักเรยี น 2 กลมุ ใหแ บงหนาท่ีกันอธิบาย อัฏฐมี ได้เวียนมาบรรจบในแต่ละปี พุทธศาสนิกชนชาวไทยที่เคารพศรัทธาในพระพุทธองค์ ความรูเ ก่ียวกบั หลักธรรม คติธรรมที่เกย่ี วเนือ่ ง อย่างแรงกล้า โดยเฉพาะพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาของวัดหนึ่งๆ จะประกอบพิธีบูชาข้ึน ในวันอัฏฐมีบูชา และแนวทางการปฏิบัติตน เปน็ การเฉพาะภายในวดั เชน่ ทว่ี ดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ์ิ เปน็ ตน้ แตไ่ มม่ หี ลกั ฐานวา่ ไดเ้ รม่ิ ปฏบิ ตั ิ ในวนั อฏั ฐมบี ูชา ทหี่ นา ชน้ั เรยี น โดยการเรยี ง กันมาต้ังแต่เมื่อใด ในปัจจุบันน้ีก็ยังถือปฏิบัติอยู่ การประกอบพิธีอัฏฐมีบูชาน้ัน นิยมท�ากัน บัตรคาํ หรือแถบขอความสําคญั ท่ีเกย่ี วของกับ ในตอนคา่� และปฏิบตั ิอย่างเดียวกนั กบั การประกอบพธิ วี ิสาขบูชา จะต่างกนั แต่ท่คี �าบูชาเท่านนั้ วนั อฏั ฐมีบูชาตามลาํ ดับเหตุการณใ น พุทธประวัตหิ รอื ความสําคัญใหถ กู ตอ ง พรอม วันอัฏฐมีบูชาเพิ่งได้รับการจัดให้เป็นวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ทั้งอธบิ ายความรจู ากบตั รคําหรอื แถบขอ ความ เม่ือไม่นานมาน้ี และได้รับความสนใจจากชาวพุทธไม่มากเท่าวันสา� คัญ ๓ วันที่กล่าวมาแล้ว สาํ คญั ดังกลา ว ไดแก กส็่วไมน่ไใดห้กญ�า่มหีแนตด่พแรนะ่นสองนฆข์เป้ึน็นอยผู่กู้จับัดทผู้จ�าัดแลบะาไงมแ่ไหด่ง้จจัดัดเใปห็น้มพีเทิธศีใหนญ์แจ่โตงที่เสร่วียนกเวร่า่ืองเทที่พศนระ์แเบทบศสนัง์ใคนาวยันนนา1้ี • การถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระ ขณะท่ีบางแห่งก็เทศน์เร่ืองประวัติของพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นมาของพระพุทธศาสนา • อัปปมาทะ ตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานจนถึงปัจจุบัน เพ่ือเป็นเครื่องระลึกถึงพระคุณ • ปจ ฉมิ พุทธโอวาท ของพระพทุ ธเจา้ และเพอ่ื จะไดน้ า� มาใช้เป็นหลักดา� เนินชวี ิตใหถ้ ูกต้องตามท�านองคลองธรรม • สถานที่ประกอบพธิ ีกรรม • คาํ บูชาทีแ่ ตกตา งจากพธิ ีกรรมในวัน ๔) วันอาสาฬหบูชา วันอาสาฬหบูชาตรงกับวันเพ็ญเดือน ๘ วันนี้ถือเป็น วสิ าขบูชา • การไดร บั ความสนใจจากพทุ ธศาสนกิ ชน วันส�าคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ “ธัมมจัก- • เทศนแ บบสังคายนา กัปปวัตตนสูตร” โปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทั้งยังเป็นวันท่ีท่านโกณฑัญญะ • พุทธประวัติ ไดด้ วงตาเห็นธรรม และไดร้ ับการอปุ สมบทเปน็ พระอริยสงฆอ์ งค์แรกในพระพุทธศาสนา • การระลกึ ถงึ คุณของพระพุทธเจา จากนั้นครูใหนักเรยี นในช้ันเรยี นสอบถามเพ่อื ใจความส�าคญั ของธมั มจักกปั ปวัตตนสตู ร มีดงั นี้ ใหไ ดข อ มลู ความรูท่ีถกู ตอ งครบถว น แลว ชวยกันสรปุ ความรทู ไ่ี ดจ ากการศกึ ษาเกย่ี วกบั ตอนท ่ี ๑ ทรงแสดงหนทางสดุ โตง่ ๒ ขา้ งทบ่ี รรพชติ ผมู้ งุ่ การหลดุ พน้ จากกเิ ลสไมค่ วรปฏบิ ตั ติ าม หลกั ธรรม คตธิ รรมทเี่ กยี่ วเนอื่ งในวนั อฏั ฐมบี ชู า และแนวทางการปฏบิ ตั ิตนในวนั อัฏฐมีบชู า ไดแ้ ก ่ การหมกมนุ่ อยใู่ นกามสขุ หรอื ความสขุ ทางเนอ้ื หนงั เรยี กวา่ กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค นกั เรยี นบนั ทกึ ผลการสรุปความรูลงในสมุด และการทรมานตนให้ล�าบาก เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค แล้วทรงแสดงหนทาง 2. ครสู นทนารวมกนั กับนักเรียนถึงความรทู ัว่ ไป เกยี่ วกบั วนั อาสาฬหบชู า เชน ความเปน มา ที่บรรพชิตควรด�าเนินตามเพื่อการหลุดพ้นจากกิเลส เพื่อพระนิพพาน เรียกว่า ความสําคัญ แลวสมุ นกั เรยี น 3 กลมุ ใหออก มาอธิบายความรเู กย่ี วกบั หลกั ธรรม คตธิ รรม มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ข้อปฏิบัติ ทางปฏิบัติ หรือทางด�าเนินสายกลาง ได้แก่ ทเี่ กีย่ วเนื่องในวันอาสาฬหบูชาท่หี นาชนั้ เรยี น กลมุ ละ 1 ตอน โดยการจบั สลากและอธิบาย อริยมรรคมอี งค์ ๘ ความรผู านกิจกรรมการเรียนรูตา งๆ ดังนี้ ตอนท ่ี ๒ ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ตอนที่ ๓ ทรงตรัสถึงลักษณะของการตรัสรู้ของพระองค์ คือ รู้ในอริยสัจ ๔ แต่ละข้อ ด้วยพระญาณท้ัง ๓ ได้แก่ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ซึ่งท�าให้พระองค์ พอพระราชหฤทัยว่าได้ตรัสรู้จริง และทรงหยั่งรู้ด้วยญาณว่าชาติน้ีเป็นชาติสุดท้าย ของพระองค์ จะไมม่ ีภพใหมเ่ กิดขนึ้ อีกแลว้ 111 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป’51 ออกเกยี่ วกบั พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา ในวนั อาสาฬหบชู า ครอู าจใหนกั เรียนท่มี ปี ระสบการณเขา รว มพิธกี รรมในวันอฏั ฐมบี ูชาออกมาแบง ในวนั อาสาฬหบูชา พระพทุ ธเจาทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรอ่ื งใด ปน ประสบการณของตนแกเพือ่ นนักเรียนท่ีหนาช้นั เรยี น แลวอภิปรายรว มกนั กบั 1. อนตั ตา และ นพิ พาน นกั เรียนถึงความสาํ คัญของวนั อฏั ฐมบี ชู า หลกั ธรรมหรือคติธรรมท่ีเกยี่ วเนอ่ื งกับ 2. ไตรลักษณ และ รัตนตรยั วนั ดงั กลาว เชน หลักไตรลกั ษณ ความไมป ระมาท ความสามคั คี การแกป ญหา 3. มัชฌมิ าปฏปิ ทา และ อริยสจั ดวยสนั ติวธิ ี จากนน้ั อาจมอบหมายใหนักเรียนเขา รว มพธิ ีกรรมในวนั อัฏฐมบี ชู าตาม 4. โพธปิ กขิยธรรม และ อปริหานิยธรรม สมควร พรอ มทง้ั นําหลักธรรมหรือคตธิ รรมไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาํ วนั วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. มชั ฌิมาปฏปิ ทา และ อริยสจั โดย นักเรียนควรรู พระพุทธเจา ทรงแสดงมัชฌมิ าปฏปิ ทา หรือทางสายกลาง และอริยสัจ 4 1 เทศนแ บบสังคายนา หรือเทศนแ จง ทน่ี ิยมในประเทศไทยปจ จุบนั ยดึ ถอื ประการ ในตอนท่ี 1 และตอนท่ี 2 ของธัมมจักกปั ปวัตตนสตู ร การเทศนโ ดยใชวธิ จี าํ ลองภาพเหตุการณพ ิธสี งั คายนาในครง้ั แรกเปนตนแบบ โดย แกปญจวัคคยี ณ ปาอิสปิ ตนมฤคทายวัน กระทง่ั ทานโกณฑญั ญะได วิธีสังคายนาครัง้ แรกเปน สงั คายนาในรปู แบบพระไตรปฎ กมขุ ปาฐะ คอื สวดหรอื ดวงตาเหน็ ธรรม ทูลขอบวชเปนพระสงฆในพระพุทธศาสนาองคแ รก ทองจํานําสืบตอๆ กันมาดวยปากเปลา ค่มู ือครู 111
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครตู ัง้ คําถามเกย่ี วกบั มชั ฌิมาปฏปิ ทาหรอื ทางสายกลาง อริยสจั 4 และลําดับการตรสั รูข อง พระพุทธองค ใหนกั เรียนกลุม ทร่ี บั ผดิ ชอบการ อธิบายความรตู อนตาง ๆ ชว ยกันตอบ เชน • มชั ฌิมาปฏปิ ทาสอดคลอ งกบั มรรคมีองค แปดอยางไร (แนวตอบ มชั ฌมิ าปฏิปทา หรอื ทางสายกลาง ที่พระพุทธเจาทรงคน พบ อนั นาํ ไปสกู ารตรสั รู เปนพระสมั มาสมั พทุ ธเจา น้ัน เกิดจากการ ทรงทดลองปฏิบัตติ ามแนวทางของลัทธิความ เชอ่ื ตางๆ เพ่อื แสวงหาทางหลดุ พน จากทุกข ของชวี ิต ภายหลงั จากทรงเลกิ หมกมุน อยใู น กามสุขหรอื ความสุขทางเนื้อหนัง หรอื กามสขุ ัลลกิ ายโุ ยค และเสดจ็ ออกผนวช กลา วคอื การบําเพญ็ ตบะและโยคะ ตาม ลําดบั ซึง่ โยคะนัน้ พระองคทรงบาํ เพ็ญอยา ง เขม งวดจนถงึ ข้นั การบําเพ็ญทกุ กรกริ ยิ า แต กย็ ังทรงไมค น พบทางพน ทกุ ข จึงทรงเลกิ ปฏิบตั ิและหันมายึดทางสายกลางประกอบ การบาํ เพญ็ เพยี รทางจิตจนตรสั รใู นที่สดุ ทาง สายกลางดังกลาวนนั้ ไดแ ก มรรคมีองค 8 หรอื ทางอนั ประเสริฐของชวี ิต 8 ประการ เชน สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสมั มาวายามะ เปนตน ) 1 พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปญั จวัคคยี ์ 112 นักเรียนควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’53 ออกเกย่ี วกบั การเทศนาหลักธรรมอริยสจั 4 1 ปญจวคั คยี พระพวก 5 ทีแ่ สวงหาทางหลดุ พน จากทุกขของชวี ติ ในสมัย พระพทุ ธเจาทรงสอนอริยสจั 4 ในวนั ใด พุทธกาล ซึง่ ตอ มาเปนพระอรหันตสาวกรนุ แรกของพระพุทธเจา ประกอบดว ย 1. วนั มาฆบูชา พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททยิ ะ พระมหานาม หรือมหานามะ และ 2. วนั วสิ าขบูชา พระอสั สชิ มีบทบาทสําคญั อยางย่งิ ในการกอตงั้ และเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาในชว ง 3. วนั อาสาฬหบูชา แรก และไดรับการยกยอ งจากพระพุทธเจา ใหเ ปน เอตทคั คะในหลายดาน เชน 4. วันจาตรุ งคสันนิบาต พระอัญญาโกณฑัญญะไดรบั การยกยองวา เปนเอตทัคคะในทางรตั ตัญู (รรู าตรี วิเคราะหค าํ ตอบ หลกั ธรรมอริยสัจ 4 เปน สวนหน่ึงของธมั มจกั กปั ป- นาน คือ บวชนาน รูเ ห็นเหตุการณม ากมาแตต น ) พระภัททยิ ะไดรับการยกยอง วตั ตนสตู รทพ่ี ระพุทธเจา ทรงเทศนาแกเ หลาปญจวัคคีย ภายหลงั วา เปน เอตทัคคะในบรรดาภิกษุผมู าจากตระกลู สูง และพระมหานามะ ไดรับการ การตรัสรูและเสวยวมิ ตุ ิสุข 7 สปั ดาห ณ ปา อิสิปตนมฤคทายวนั กระท่ัง ยกยอ งเปน เอตทคั คะในบรรดาผถู วายของประณีต โกณฑัญญะพราหมณ หัวหนา ปญ จวัคคยี ไดด วงตาเหน็ ธรรมและทูล ขอบวชเปน พระสงฆอ งคแ รกในพระพทุ ธศาสนา ดงั นน้ั คาํ ตอบคอื ขอ 3. 112 คูม อื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ การปฏิบัติตนในวันอาสาฬหบูชา ก่อนถึงวันอาสาฬหบูชา เจ้าอาวาสแต่ละวัด 1. ครใู หนกั เรยี นชวยกนั วิเคราะหถงึ ความ จะแจ้งให้พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาทราบล่วงหน้าว่า วันพระข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๘ แตกตางในแนวทางการปฏิบตั ิตนในวนั จะเปน็ วนั ประกอบพธิ อี าสาฬหบชู า เมอ่ื ถงึ วนั ขนึ้ ๑๔ คา่� เดอื น ๘ กอ่ นวนั อาสาฬหบชู า ๑ วนั อาสาฬหบูชา ซง่ึ ไดแก การระลึกถึงคุณของ พระภกิ ษุ สามเณร มรรคนายก พุทธศาสนิกชนที่ว่างเว้นจากหน้าที่การงานประจ�า ก็จะช่วยกัน พระธรรม การแสดงพระธรรมเทศนา ชื่อ ปดั กวาด ปลู าดเสนาสนะ จดั ตงั้ เครอื่ งสกั การะ จดั หาภาชนะใสน่ า�้ ดมื่ ประดบั ธงธรรมจกั ร ธงชาติ ธมั มจักกปั ปวตั ตนสูตร แลว สอบถามนักเรยี น และประทีปโคมไฟต่างๆ รอบพระอุโบสถ พระสถูปเจดีย์ เช่นเดียวกับวันวิสาขบูชา ครั้นถึง ถึงแนวทางการปฏิบัติตนท่ีถูกตองเหมาะสมใน วันอาสาฬหบูชา ตอนเช้าพุทธศาสนิกชนจะไปร่วมท�าบุญตักบาตรท่ีวัด ฟังเทศน์ และบ�าเพ็ญ วันอาสาฬหบชู า จากน้นั ใหน ักเรยี นชว ยกัน สาธารณประโยชน์ต่างๆ ตอนค�่าก็จะมีการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ หรือรอบพระสถูปเจดีย์ สรุปความรูท่ไี ดจ ากการศกึ ษาเก่ียวกับหลกั เสร็จแล้วเข้าไปท�าวัตรค�่าในพระอุโบสถ จากน้ันพระเถระช้ันผู้ใหญ่ขึ้นธรรมาสน์ แสดงพระธรรม ธรรม คตธิ รรมทีเ่ ก่ียวเนื่องในวันอาสาฬหบูชา เทศนา ช่ือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” และหลังจากจบพระธรรมเทศนา พุทธศาสนิกชนอาจ และแนวทางการปฏบิ ตั ติ นทีถ่ ูกตอ งเหมาะ สนทนาธรรมตอ่ ก็ได้ สมในวันดงั กลาว นกั เรยี นบันทกึ ขอ มูลความรู ที่สรุปไดลงในสมุด ๑.๒ หลกั ธรรมทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งในวนั ธรรมสวนะและเทศกาลสÓคญั 2. ครูสนทนารว มกันกบั นกั เรยี นถึงความรทู ว่ั ไป ๑) วันธรรมสวนะ วันธรรมสวนะหรือวันพระ คือ วันก�าหนดประชุมฟังธรรม เก่ียวกบั หลักธรรม คตธิ รรมทีเ่ ก่ียวเนือ่ งใน โดยถือว่าการฟังธรรมตามกาลท่ีก�าหนดไว้เป็นประจ�า ย่อมก่อใหเ้ กดิ ปัญญาและสิริมงคลแก่ผู้ฟัง วนั ธรรมสวนะที่นักเรยี นไดศึกษามา แลว ตัง้ ประเด็นใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ อภปิ รายกลุม วันก�าหนดฟังธรรมนี้ในเดือนหนึ่งมี ๔ วัน คือ วันขึ้นและแรม ๘ ค่�า วันจันทร์เพ็ญ และ ยอ ยเก่ยี วกบั หลกั ธรรม คติธรรมท่ีเกย่ี วเน่อื ง ในวนั ธรรมสวนะ เชน สนทนาอยา งไรให วันจันทรด์ ับ เกดิ ธรรม ธรรมสากจั ฉา : การสนทนาธรรม ตามกาลกับความสุขสงบของสังคม และการ หลกั ธรรมประการหนง่ึ ทเี่ กย่ี วเนอื่ ง สนทนาอยางสรางสรรค : แนวทางการแกไ ข ปญ หาอยา งสันตวิ ิธี จากน้ันใหนักเรียนแตละ ในวันธรรมสวนะ อันเป็นข้อหน่ึงในมงคล ๓๘ กลมุ สงตวั แทนออกมานาํ เสนอผลการอภปิ ราย ของกลมุ ตนทห่ี นาชนั้ เรยี น ครูเสนอแนะความ คือ “กาเลน ธัมมสากัจฉา” หมายความว่า รูหรอื ขอคดิ เห็นเพ่ิมเตมิ เพอ่ื ใหขอ มลู ความรู ถกู ตองครบถว นยง่ิ ข้ึน สนทนาธรรมตามกาล การสนทนาธรรม คือ การที่คน ต้ังแต่ ๒ คนขึ้นไป พูดกันถึงปัญหาเกี่ยวกับ ความดีความช่ัว ความควรไมค่ วร การสนทนา ท่จี ะเป็นการสนทนาธรรมน้นั เรยี กวา่ สนทนา ต้องเป็นเรอ่ื งทางธรรม มิใชเ่ รอ่ื งทางโลก เชน่ เร่ืองดีชั่ว บุญบาป ท�าอย่างไรจึงเป็นคนดี ในวันสำาคัญทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชน จะพรอ้ มใจรว่ มกนั ทาำ บุญตกั บาตรแด่พระสงฆ์ เป็นต้น 113 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บรู ณาการอาเซียน ขอ ใดแสดงความสัมพนั ธข องวันสําคัญทางพระพุทธศาสนากบั หลักธรรม ครสู ามารถจัดกจิ กรรมการเรียนรูบ ูรณาการอาเซยี นโดยสนทนารวมกนั กับ ไดอยางถูกตอง นกั เรียนถงึ การนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาของประเทศสมาชิกอาเซียน ในดา นการ เผยแผของพระพุทธศาสนา พัฒนาการหรือการเปลีย่ นแปลง นิกายตา งๆ เชน 1. วนั มาฆบูชา - อริยสจั 4 การนบั ถือพระพทุ ธศาสนา นกิ ายมหายาน ผสมผสานกบั ลัทธเิ ตา และขงจื๊อ 2. วนั อฏั ฐมบี ูชา - ไตรลกั ษณ ในประเทศเวียดนามและสิงคโปร และทส่ี าํ คญั ไดแก พธิ ีกรรมในวันสําคัญทาง 3. วนั วสิ าขบชู า - พรหมวหิ าร 4 พระพทุ ธศาสนา โดยวิเคราะหแ ละเปรียบเทียบกับพธิ ีกรรมในวันสําคัญทาง 4. วันอาสาฬหบูชา - อรยิ มรรคมีองคแ ปด พระพทุ ธศาสนาของไทย แลวใหน ักเรียนรวมกลุมกันสบื คน ขอ มูลจากแหลงการ เรยี นรทู ีค่ รเู สนอแนะ กลมุ ละ 1 ประเทศ จากนัน้ จดั ทาํ เปน รายงานหรอื สมดุ ภาพ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. วันอฏั ฐมบี ูชา - ไตรลักษณ เปน หลัก นําเสนอตอ ชัน้ เรียนตามความเหมาะสม เพอื่ ใหน กั เรียนเกดิ ความรคู วามเขา ใจใน ลกั ษณะทางสงั คมวัฒนธรรมทคี่ ลา ยคลงึ กนั ของประเทศสมาชิกอาเซียนตามกรอบ ธรรมท่ีสอดคลอ งสัมพนั ธก ับวันสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาท่ีถูกตอ ง ความรวมมือประชาคมอาเซียน ในสว นของสงั คมและวฒั นธรรม เนื่องจากวนั อฏั ฐมีบูชาเปน วนั คลายวันถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระ ของพระพุทธเจาภายหลังการเสดจ็ ดับขนั ธป รินิพพาน หลกั ธรรมที่ คมู่ อื ครู 113 พุทธศาสนกิ ชนควรพงึ ระลึกถงึ เปนเบอื้ งตน ไดแก ความไมประมาท ความไมจรี ังย่ังยืนของชีวติ ตลอดจนสรรพสงิ่ ท้ังปวง อันเปนสวนหน่ึงของ หลักไตรลกั ษณทีป่ ระกอบดว ย อนจิ จัง ทกุ ขัง และอนัตตา
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหนกั เรียนชวยกนั วเิ คราะหถ ึงหลักการ การสนทนาธรรมจะไดผ้ ลดตี ามท่ตี ้องการพงึ ปฏบิ ตั ิ ดังนี้ สนทนาธรรมใหบ งั เกิดผลดี แลวสมุ นกั เรยี นใน แตล ะกลมุ 3 คน ใหแบงหนาท่กี นั อธบิ ายความ ๑.๑) มุ่งแสวงหาธรรมจริงๆ คือ มิใช่มาสนทนากันเพ่ือตีฝีปาก มาอวดภูมิรู้ รูเก่ียวกบั หลักการสนทนาธรรมใหไดผลดที ห่ี นา ชนั้ เรียน ซึง่ ประกอบดว ย ตัวเองและลองภูมิผู้อ่ืน แต่มาเพ่ือแสวงหาค�าตอบในส่ิงท่ียังเป็นปัญหา โดยการแลกเปลี่ยน • การไมด ูหมน่ิ ทง้ั ตนเองและผอู ืน่ • การมุงแสวงหาธรรมและยึดหลกั เหตผุ ล ความรคู้ วามคิดกับผอู้ น่ื • การมีมารยาทในการสนทนา ๑.๒) รักษามารยาทในการสนทนา คือ พูดจาด้วยน�้าเสียงที่สุภาพ ไม่พูดขัด 2. ครใู หต วั แทนนกั เรยี นทมี่ ปี ระสบการณในศาสน- พธิ ีวันธรรมสวนะเลาประสบการณของตน แลว เม่ือคู่สนทนายังพูดไม่จบ ไม่พูดก้าวร้าวเชิงดูหมิ่น ไม่พูดเสียดสี แต่พูดกันด้วยเหตุผลและ สอบถามนกั เรยี นในชัน้ เรียนถงึ ความสอดคลอง กบั แนวทางการปฏบิ ัติตนทต่ี นไดศ ึกษามา จาก ความถูกผิด น้ันใหนกั เรยี นในแตละกลมุ ผลัดกันอธิบาย ความรูเกย่ี วกบั แนวทางการปฏิบตั ติ นในวนั ๑.๓) ไม่ดหู มิ่นคูส่ นทนา คนทสี่ นทนากนั นนั้ ตา่ งฝา่ ยต่างกค็ ิดมาก่อนวา่ จะตอ้ ง ธรรมสวนะจนครบถว น แลวครแู ละนักเรียน ชวยกนั สรุปความรเู กีย่ วกบั หลกั ธรรม คติธรรม ได้ความเห็นบางอย่างจากอีกฝ่ายหนึ่ง ฉะนั้นควรตั้งใจฟังขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งพูดและเคารพ ท่ีเกี่ยวเน่อื งในวนั ธรรมสวนะ และแนวทาง การปฏิบัติตนในวันธรรมสวนะ นักเรยี นบันทึก ในความคิดเห็นของเขา คือ รับฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่ฟังแล้วก็แล้วไป ไม่สนใจท่ีจะ ความรูท่สี รุปลงในสมุด พิจารณาเหตุผลของเขา อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ ดูหมิ่นค่สู นทนา ตวั เองก็ไมไ่ ดอ้ ะไร ๑.๔) ไม่ดูหมิ่นตนเอง การดูหมิ่นผู้อื่น คือ การมีใจล�าเอียงว่าเขาจะต้องผิด เสมอ ส่วนการดูหมิ่นตัวเอง คือ การมีใจล�าเอียงว่าเขาจะต้องถูกเสมอและเราจะต้องผิดเสมอ คนดูหมิ่นผู้อ่ืนกับคนดูหม่ินตัวเองน้ันเสียประโยชน์ด้วยกันท้ังน้ัน การดูหมิ่นตัวเองท�าให้เรา ไม่กล้าคิดที่จะเห็นต่างไปจากเขา รู้สึกท่ีจะคล้อยตามกับเขาไปทุกเรื่อง ทั้งๆ ท่ีตัวเองมีความ สามารถ แต่ไม่กล้าคิด หรือแม้จะกล้าคิดแต่ก็ไม่กล้าพูด และเมื่อไม่พูดก็ไม่รู้ว่าคู่สนทนาจะ เหน็ ดว้ ยหรอื ขดั แยง้ กบั ความเห็นของตัวเองน้นั ท�าใหค้ วามคิดไมแ่ ตกฉาน ๑.๕) ยึดถือเหตุผลอย่ายึดถือบุคคล การท่ีเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ ความคดิ ของคูส่ นทนา ควรดทู ่ีเหตผุ ล อย่าไปดวู า่ เขาเปน็ ใคร มาจากไหน อยา่ เห็นคลอ้ ยตามคู่ สนทนาเพยี งเพราะว่าเขาเปน็ คนมชี อ่ื เสียงใครๆ ก็ยอมรบั คนมชี ือ่ เสียงกอ็ าจทา� ผิดได้เหมือนกัน อย่าเหน็ แย้งคู่สนทนาเพยี งเพราะว่าเขาเดก็ กวา่ เพราะบางกรณีเดก็ อาจมีเหตุผลดีๆ เหมอื นกนั การปฏบิ ตั ติ นในวนั ธรรมสวนะ พทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ปฏบิ ตั ิ คอื ในตอนเชา้ พระภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกา ประชุมพร้อมกันท่ีพระอุโบสถหรือศาลาการเปรียญ พระสงฆ์ ท�าวัตร สวดมนต์ เร่ิมด้วยนมัสการพระรัตนตรัย และสวดบทท�าวัตรเช้าไปจนจบ หหลรังือจศากีลน๘ั้น1 ฆราวาสก็ท�าวัตรสวดมน2ต์ (หรืออาจท�าพร้อมกับพระสงฆ์) จากนั้นก็มีการรับศีล ๕ เสร็จแล้วพระธรรมกถึกข้ึนธรรมาสน์แสดงธรรม ระหว่างฟังธรรมก็ประนมมือตั้งใจฟังด้วย ความเคารพเมื่อเทศนจ์ บ หวั หน้าอบุ าสก อุบาสกิ า น�ากลา่ วสาธกุ าร ๓ ครั้ง (สาธุ สาธุ สาธ)ุ เป็นอนั เสร็จพิธี 114 นักเรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ศลี 8 หรอื อุโบสถศลี สําหรบั ฝก ตนใหย่ิงขน้ึ ไปโดยอาจรกั ษาในบางโอกาส ครอู าจมอบหมายใหนักเรียนเขา รวมพิธกี รรมในวันสาํ คญั ทางพระพุทธ- เชน วนั สําคัญทางพระพุทธศาสนา หรือมีศรัทธาจะรกั ษาประจาํ ก็ไดดังเชน แมช ี ศาสนาในทอ งถิ่นของตนตามชว งเวลาท่ีเหมาะสม โดยปฏิบัติตามแนวทางท่ี มีรายละเอยี ดคลายคลึงกับศีล 5 แตป รบั รายละเอียดในขอ 3 คือ เวนจากประพฤติ ไดศ กึ ษามา แลวจัดทําเปนบันทึกผลการเขา รวมพธิ กี รรมสง ครผู ูสอน ผดิ พรหมจรรย เปน เวน จากรว มประเวณี และเพม่ิ ขอ 6 เวน จากบรโิ ภคอาหารใน เวลาวกิ าล คอื เท่ียงไปแลว ขอ 7 เวน จากฟอ นราํ ขับรอ ง บรรเลงดนตรี ดกู ารเลน กิจกรรมทา ทาย อันเปน ขา ศกึ ตอ พรหมจรรย การทดั ทรงดอกไม ของหอมและเคร่ืองลูบไล ซ่งึ ใช เปนเครอื่ งประดบั ตกแตง และขอ 8 เวนจากท่ีนอนอันสูงใหญ หรูหราฟุมเฟอ ย ครอู าจมอบหมายใหน ักเรียนเขา รวมพิธกี รรมในวนั สําคัญทางพระพุทธ- 2 พระธรรมกถกึ พระเถระผูเชย่ี วชาญการแสดงธรรม การสนทนาธรรม และ ศาสนาในทอ งถน่ิ ของตนตามชว งเวลาทีเ่ หมาะสม โดยปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม มคี ณุ ลกั ษณะธรรมเทศกธรรม หรือองคค ุณของธรรมกถกึ 5 ประการ คือ แสดง และแนวทางท่ีไดศ ึกษามา แลวจัดทําเปน บันทกึ ผลการปฏบิ ตั ิตนตาม ธรรมไปโดยลาํ ดบั ไมตัดลัดใหข าดความ อางเหตผุ ลใหผ ฟู งเขาใจ มจี ิตเมตตา หลกั ธรรมและการเขา รว มพิธีกรรมสงครูผสู อน ปรารถนาใหเ ปน ประโยชนแกผฟู ง ไมแสดงธรรมเพราะเหน็ แกล าภ และไมแ สดง ธรรมกระทบตนและผอู ่ืน 114 คมู่ อื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๒) วันเทศกาลส�าคัญ วนั เทศกาลสา� คญั ทเ่ี นอื่ งดว้ ยพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ วนั 1. ครสู นทนารวมกันกบั นักเรยี นถงึ ความรูทัว่ ไป เขา้ พรรษา วันออกพรรษา และวนั เทโวโรหณะ เก่ียวกบั เทศกาลสําคัญทางพระพทุ ธศาสนาที่ นักเรียนไดศึกษามา โดยเฉพาะในดานความ ๒.๑) วันเข้าพรรษา คือ วันท่ีพระสงฆ์อธิษฐานว่าจะอยู่ประจ�าในอาวาสตลอด เปนมาในพทุ ธประวัติ แลว สุมนักเรียน 2 กลุม ใหแ บงหนาทก่ี ันอธบิ ายความรูเกี่ยวกับการ ๓ เดือน โดยไม่ไปแรมคืนในที่อ่ืน วันเข้าพรรษา คือ วนั แรม ๑ คา�่ เดอื น ๘ หรอื วันถัดจาก ปฏิบัติตนของสงฆในวันเขา พรรษา และการ ปฏบิ ัตติ นของพุทธศาสนกิ ชนในวนั เขาพรรษา วนั อาสาฬหบูชา ตามประวตั กิ ลา่ ววา่ ในสมยั พทุ ธกาลพระภิกษุได้จารกิ ไปยงั ทตี่ า่ งๆ แม้ในฤดฝู น ตามลาํ ดับ โดยผา นทางกิจกรรมการเรียนรู ดังน้ี ท�าให้ไปเหยียบต้นข้าวของชาวบ้านเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบให้พระภิกษุอยู่ 2. ครใู หนกั เรียนกลุมทรี่ บั ผิดชอบการอธิบาย ประจา� ทตี่ ลอดเวลา ๓ เดือน ความรูในสว นของการปฏบิ ตั ติ นของสงฆใน วนั เขา พรรษาสง ตวั แทนออกมาอธิบายความ การปฏิบัติตนในวันเข้าพรรษา พิธีกรรมในวันเข้าพรรษา แบ่งแยกออกเป็น รทู ี่หนา ชน้ั เรยี น แลว ครอู ภิปรายรว มกนั กับ นักเรียนในช้นั เรียนถงึ ความสําคญั ของการ ๒ ส่วน ดงั นี้ เขา พรรษาในสว นของพระสงฆ ไดแ ก การได ศึกษาเลา เรียนพระธรรมคาํ สอนอยางจริงจงั ง่ายๆ คือ เมื่อถึงวันเข(้า๑พ) รพรธิษขี าองพพรระะภภิกกิ ษษุเสุพงียฆง์แเตด่ติมั้งทจีเิตดอียธวิษนฐั้นากนาวร่าเข“้าขพ้าพรรเษจ้าาจกักระอทย�าู่จก�าันพอรรยษ่าาง1 การฝกวตั รปฏบิ ตั ิของตนใหถูกตองเหมาะสม ตามพระวนิ ัย และการปรับปรุงตนเองเมือ่ มี ในอาวาสน้ี เป็นเวลา ๓ เดือน” หรือแม้จะมิได้ต้ังจิตอธิษฐาน ครั้นถึงวันเข้าพรรษาไม่จาริก พระรูปอ่ืนกลาวตักเตอื น เปน ตน ไปแรมคืนที่อ่ืน ก็ย่อมได้ช่ือว่าเข้าพรรษาหรืออยู่จ�าพรรษาแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้การเข้าพรรษา มพี ธิ ีรีตองมากขึน้ กลา่ วคอื เมอ่ื ถงึ วนั แรม ๑ ค่า� เดือน ๘ อนั เป็นวันเข้าพรรษา พระภกิ ษสุ งฆ์ จะประชุมกันในโบสถ์เพื่อท�าวัตรค่�า จากน้ันเจ้าอาวาสหรือสมภาร ซึ่งเป็นหัวหน้าของ พระภิกษุสงฆ์ในวัด ก็จะบอกกฎเกณฑ์ กติกา หรือวัตรปฏิบัติต่างๆ ท่ีพระภิกษุควรกระท�า ในระหว่างอยู่จ�าพรรษา รวมท้ังประกาศเขต อาวาสว่ามีอาณาเขตจดท่ีใดบ้าง เพ่ือป้องกัน มิให้พระภิกษุพลั้งเผลอออกไปจ�าพรรษา นอกเขตวัดทต่ี นอธิษฐานเขา้ พรรษา เสรจ็ แล้ว พระผู้น้อยจะกล่าวค�าขอขมาต่อพระผู้ใหญ่ มีใจความว่า “ขอให้ท่านจงอดโทษท้ังปวงที่ท�า ด้วยไตรทวาร (คือ กาย วาจา ใจ) เพราะ ความประมาทในท่านแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระผู้ใหญ่กล่าวตอบมีใจความว่า “อดโทษให้” เสร็จแล้วพระภิกษุทุกรูปกล่าวค�าอธิษฐาน เข้าพรรษา ดังนี้ พระภกิ ษสุ งฆท์ าำ วตั รปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั กอ่ นอธษิ ฐานเขา้ พรรษา 115 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู สิ่งท่พี ทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ปฏบิ ัตใิ นวนั เขา พรรษาคอื อะไร 1 จําพรรษา อานิสงสแ หงการจําพรรษาของพระภกิ ษมุ ี 5 ประการ คือ เทย่ี วไป 1. ถวายเทียนพรรษาและฟง ธรรม ไมตอ งบอกลา จารกิ ไปไมตอ งเอาไตรจวี รไปครบสาํ รับ ฉันคณโภชน (ฉนั เปนหมู 2. นําผาปาไปทอดทวี่ ัดใกลบาน คือ ภกิ ษตุ ้ังแต 4 รูปข้นึ ไป) และปรัมปรโภชน (โภชนะทหี ลัง คือ ภกิ ษรุ ับนิมนต 3. จดั งานบุญถวายภตั ตาหาร ในที่แหง หนงึ่ ดวยโภชนะท้งั 5 อยางใดอยางหนงึ่ แลว ไมไปฉันในทนี่ ิมนตนน้ั ไปฉัน 4. เดนิ ทางไปยงั ประเทศอินเดยี เสยี ในทอ่ี นื่ ท่เี ขานิมนตทีหลังซ่ึงพองเวลากัน) ได เก็บอดิเรกจวี รไดต ามปรารถนา และจวี รอนั เกิดขึ้นในที่น้นั เปนของไดแกพ วกเธอ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ถวายเทียนพรรษาและฟง ธรรม เปน มมุ IT สง่ิ สําคญั ทีพ่ ุทธศาสนกิ ชนพงึ ปฏิบัตใิ นวนั เขาพรรษา นอกจากน้ี พุทธศาสนิกชนทมี่ ีอายุครบบวชกค็ วรบวชเรียนพระธรรมคําสอนและ ศึกษาความรเู กี่ยวกับวันสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนาของไทย รวมถงึ จําพรรษา และการต้ังจติ อธษิ ฐานในการทําความดตี า งๆ เชน ความเปน มาและแนวปฏบิ ตั ติ นในพระราชพธิ ีและพธิ ีกรรมตา งๆ เพมิ่ เติมไดท ่ี การงดสิง่ เสพติด การงดเลนการพนัน หรอื การทําบญุ ตกั บาตร เปน ตน http://www.heritage.thaigov.net/religion/daytime/index1.htm เว็บไซตว นั สาํ คญั ในพระพทุ ธศาสนา หอมรดกไทย คู่มอื ครู 115
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูตัง้ คาํ ถามเก่ียวกับการปฏบิ ตั ิตนของ ค�าบาล ี “อิมสมฺ ึ อาวาเส อมิ � เตมาส� วสฺส� อุเปมิ” พทุ ธศาสนกิ ชนในวนั เขา พรรษา แลว ใหน กั เรยี น ค�าแปล ขา้ พเจ้าขออยจู่ �าพรรษาในอาวาสน้ีตลอดเวลา ๓ เดอื น กลมุ ท่ีรบั ผดิ ชอบการอธบิ ายความรูในสว นของ การปฏบิ ตั ติ นของพทุ ธศาสนกิ ชนชวยกนั ตอบ กลา่ วค�าอธษิ ฐาน ๓ ครัง้ เป็นอนั เสร็จสนิ้ พธิ สี งฆ์ในวนั เข้าพรรษา เพ่ือเปน การอธบิ ายความรู ตวั อยางขอ คาํ ถาม (๒) พธิ ขี องพทุ ธศาสนกิ ชน ในปจั จบุ นั นปี้ ระเพณเี ขา้ พรรษาเปน็ อกี ประเพณี เชน ท่สี �าคญั ย่ิง กล่าวคือ เมือ่ ถึงเทศกาลเขา้ พรรษา (กอ่ นวนั แรม ๑ ค่า� เดือน ๘) บดิ ามารดาหรือ • การปฏิบตั ติ นของพุทธศาสนิกชนใน ผปู้ กครองก็จะประกอบพิธีอุปสมบทให้แกบ่ ุตรหลานของตนทม่ี ีอายุครบบวช (๒๐ ปีบริบรู ณ)์ โดย วนั เขาพรรษาทแี่ ตกตา งจากวันสาํ คญั ทาง ถอื กนั วา่ ถา้ บตุ รหลานของตนไดบ้ วชเรยี นในพระพทุ ธศาสนาและอยจู่ า� พรรษาจะไดร้ บั อานสิ งสส์ งู สดุ พระพทุ ธศาสนาอื่นๆ ไดแกอ ะไรบา ง ครนั้ ถึงวนั เขา้ พรรษา พุทธศาสนกิ ชนจะทา� บุญตกั บาตร แห่เทียนพรรษา (แนวตอบ การนําบุตรหลานบรรพชาอปุ สมบท ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามไปยังวัดท่ีตนนับถือศรัทธา แล้วเชิญเทียนพรรษาเข้าไปตั้ง เปนภกิ ษสุ ามเณร การถวายเทียนพรรษา ในพระอุโบสถ จากน้ันก็มีการถวายผ้าอาบน�้าฝน จตุปัจจัยแก่พระภิกษุสามเณรและสดับตรับฟัง ผาอาบนาํ้ ฝน รวมถึงการปวารณาตนเปน พระธรรมเทศนา นอกจากนี้ พุทธศาสนิกชนบางท่านก็ปวารณาตัวต่อพระสงฆ์รับเป็นโยม โยมอปุ ฏ ฐาก ตลอดจนการอธษิ ฐานทาํ ความดี อุปัฏฐากจัดหาสิ่งของท่ีขาดเหลือถวายให้แก่ท่านเป็นการเฉพาะองค์ หรือรับเป็นโยมสงฆ์จัดหา ตางๆ เชน การงดสง่ิ เสพติด การหม่นั ส่ิงของถวายแด่พระภิกษุสามเณรทั่วท้ังวัด หรือบางท่านก็อธิษฐานกระท�าความดีต่างๆ เช่น ทาํ บญุ ทุกวนั หรอื การงดเวน การเบียดเบียน ท�าบุญตักบาตรทุกวัน งดเสพสุรา งดเล่นการพนัน หรือรับประทานแต่อาหารมังสวิรัติตลอด สตั วด ว ยการรบั ประทานมังสวิรตั ิ เปนตน ) ชว่ ง ๓ เดือนแหง่ การเข้าพรรษา เปน็ ต้น ๒.๒) วันออกพรรษา ตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๑๑ ถือเป็นวันสิ้นสดุ ระยะ 2. ครใู หน ักเรยี นกลมุ ที่สมัครใจ 2 กลุม แบง การจ�าพรรษา ๓ เดือน ในวันน้ีพระสงฆ์จะเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ หนาทีก่ นั อธิบายความรใู นสวนของวันออก ทีเ่ รียกว่า วันปวารณา หรอื มหาปวารณา พรรษาและวันเทโวโรหณะ ในสว นการปฏบิ ัติ ๒.๓) วันเทโวโรหณะ คือ วันคล้ายวันท่ีพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก ตนของพระสงฆ กลุมละ 1 วัน โดยการเขียน ในวนั ออกพรรษาหรอื วนั มหาปวารณา (ขนึ้ ๑๕ คา�่ เดอื น ๑๑) พทุ ธศาสนกิ ชนถอื เอาวนั รงุ่ ขน้ึ คอื รายละเอยี ดลงในตารางบนกระดานหนาชน้ั แรม ๑ คา�่ เดอื น ๑๑ เปน็ โอกาสพเิ ศษ พรอ้ มใจกนั ตกั บาตรเฉลมิ ฉลองเปน็ ประเพณสี บื มา เรยี กวา่ เรียน พรอ มท้งั อธบิ ายรายละเอยี ดประกอบ “ตกั บาตรเทโวโรหณะ” จากน้นั ครใู หน กั เรยี นในชนั้ เรยี นสอบถามหรือ เทศกาลท้ังสามน้ีส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ จึงขอยกหลักธรรม เพ่มิ เตมิ ขอ มูลความรเู พ่ือความถูกตอ งชดั เจน ทพ่ี ระสงฆพ์ ึงปฏบิ ตั ิ เรยี กว่า “อรยิ วงศ์ ๔” ไดแ้ ก่ ยิ่งข้ึน ๑. สันโดษดว้ ยจวี ร คอื พอใจดว้ ยจีวรทีม่ ีอยู่ ๒. สนั โดษดว้ ยบิณฑบาต คอื พอใจในอาหารทชี่ าวบา้ นถวาย ๓. เสนาสนะสนั โดษ คอื พอใจในทีพ่ ักอาศัย ๔. ภาวนาปหานารามตา คือ ยนิ ดใี นการท�าบุญและละอกศุ ล 116 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT พธิ ีกรรมในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาใดมีแนวคดิ ความเปน มา ครูควรอธิบายใหน ักเรยี นเขา ใจถึงความสาํ คญั ของวันเขา พรรษาในระดบั การ เชน เดยี วกับการตกั บาตรเทโว ปฏบิ ัติตนของพุทธศาสนกิ ชน กลา วคือ ชวงเวลาเขาพรรษาเปนโอกาสในการปฏิบัติ 1. การแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ ตนใหถ ูกตอ งเหมาะสมตามหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนา กระทัง่ ความดี 2. การชกั พระหรอื ลากพระ งามตามหลกั ศีลธรรมจริยธรรมทวั่ ไป เชน การตงั้ ใจเลิกด่ืมสุราหรือเสพส่ิงเสพติด 3. การถวายผาอาบน้ําฝน อ่นื ๆ การรักษาเบญจศลี หรอื ศีลอโุ บสถ และการปฏิบัตติ นเปนพุทธศาสนิกชนที่ 4. การประดษิ ฐบงั้ ไฟ ดโี ดยการอุปถัมภพระสงฆแ ละวดั ดว ยวธิ กี ารตาง ๆ แลวใหนักเรยี นวิเคราะหก าร วเิ คราะหค ําตอบ การตกั บาตรเทโวเน่ืองในวนั เทโวโรหณะเกดิ ขนึ้ จาก ปฏบิ ัตติ นเน่อื งในโอกาสเขา พรรษาของตนแลววางแผนและนําไปประพฤตปิ ฏิบตั ิ พทุ ธประวัตติ อนพระพุทธเจาเสดจ็ ลงจากเทวโลก จงึ เปน แนวคดิ เดียวกนั เพือ่ ปรบั ปรงุ หรอื พฒั นาชีวติ ตนเอง จากน้ันบันทึกการวางแผนการปฏิบัติ การนาํ ไป กับความเปน มาของการถวายผา อาบนํา้ ฝนจากการขอถวายผา อาบนาํ้ ฝน ปฏบิ ตั ิ และผลของการปฏิบตั ิสงครผู สู อน ใหแ กพ ระสาวกของนางวสิ าขามหาอุบาสิกาในพทุ ธประวัติ ดังน้ัน คําตอบคือ ขอ 3. 116 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ Explain เรอ่ื งน่ารู้ ครูสมุ นักเรยี น 1 กลมุ ใหชว ยกันอธบิ ายความ รเู กีย่ วกับแนวทางการปฏบิ ตั ติ นในวนั เทโวโรหณะ ขาวตม ลูกโยน ที่หนา ช้ันเรยี น จากน้ันครนู าํ ในการสรปุ ความรู เก่ียวกบั เทศกาลทางพระพุทธศาสนาของนักเรียน ข้าวต้มลูกโยน เป็นขนมไทยท่นี ิยมใชใ้ นพิธีตกั บาตรเทโวโรหณะ ทาำ โดยนำาขา้ วเหนียวไปผดั กับกะทิ ใสเ่ กลือ นกั เรียนบนั ทกึ ความรูลงในสมุด นำา้ ตาล ห่อด้วยใบมะพร้าวออ่ น หรือใบเตยไวห้ างยาว แลว้ จึงนำาไปต้มให้สุก การปฏิบัติตนในวันออกพรรษาและวันเทโวโรหณะ โดยปกติในวันออกพรรษาน้ี ขยายความเขา้ ใจ Expand พุทธศาสนิกชนจะไปร่วมท�าบุญตักบาตรกันท่ีวัด ซ่ึงบางวัดก็จัดท�าพิธีอย่างใหญ่โตมาก เรียกว่า ครูใหนักเรียนแตละกลุม ศึกษาคนควา เพิม่ เตมิ เกย่ี วกบั หลักธรรม คติธรรมที่เกีย่ วเน่ืองในวัน “ตกั บาตรเทโว” หคลา� วงั า่จาก“เททพ่ีโวร”ะพยทุ อ่ ธมอางจคาเ์กสด“จ็ เไทปโจวาโ� รพหรณรษะ”าโปแรปดลพวรา่ ะพกทาุ รธเมสดารจ็ ดลา1งใมนาสจวารกรเคทช์วนั้โลดกาวตดางึ มส์ และเทศกาลสําคญั ทางพระพุทธศาสนาจากแหลง ตา� นานกลา่ ววา่ การเรยี นรตู างๆ รวมถงึ การเขารว มพธิ ีกรรมในวนั สาํ คัญทางพระพุทธศาสนาที่จัดขนึ้ ในทองถนิ่ แลว พระพทุ ธองคก์ เ็ สดจ็ กลบั ลงมาสมู่ นษุ ยโลกในวนั นี้ คอื วนั มหาปวารณา (ขน้ึ ๑๕ คา่� เดอื น ๑๑) ชว ยกันวเิ คราะหหลกั ธรรมหรอื คติธรรมทีเ่ กย่ี ว เน่ืองในวันสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนาเสนอตอ ครูผู พทุ ธศาสนกิ ชนจงึ ถอื เปน็ โอกาสพเิ ศษพรอ้ มใจกันตกั บาตรเฉลมิ ฉลอง โดยจดั ทา� สอน จากน้นั นาํ ไปปรับใชใ นการดําเนินชวี ิตประจาํ วนั เปน รายบคุ คลตามระยะเวลาที่เหมาะสมแลว ขน้ึ ปีละ ๑ คร้งั เท่าน้นั จัดทาํ บนั ทึกการปฏบิ ตั ิตนตอ ไป การตักบาตรเทโวนี้อาจจะจัด ให้มีในวันข้ึน ๑๕ ค�่า เดือน ๑๑ หรือแรม ๑ ค่�า เดือน ๑๑ ก็ได้ และบางวัดก็จัดท�าพิธี ตักบาตรเทโวอย่างมโหฬาร กล่าวคือ เหล่า ตรวจสอบผล Evaluate ฆราวาสจะชะลอพระพุทธรูป ซ่ึงประดิษฐาน อยู่ในบษุ บก มลี อ้ เลอ่ื น และมบี าตรตงั้ อย่หู น้า ครูตรวจผลการวเิ คราะหหลักธรรมหรือ คตธิ รรมทเี่ กย่ี วเน่อื งในวันสาํ คญั ทางพระพทุ ธ- พระพุทธรูป น�าหน้าพระสงฆ์ผ่านไปรอบๆ ศาสนาของนักเรยี นแตล ะกลมุ และบันทึกการ ปฏิบัติตนตามหลกั ธรรมหรอื คตธิ รรมท่ีเก่ียวเน่อื ง บริเวณโบสถ์ หรือบริเวณท่ีก�าหนดไว้ เพื่อให้ ในวันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนาของนกั เรียนราย บคุ คล โดยพิจารณาถึงความถูกตอ งของหลักธรรม ทายก ทายกิ า ซง่ึ ยนื เรยี งรายกนั อยเู่ ปน็ ทวิ แถว หรอื คตธิ รรมทีว่ ิเคราะหแ ละปฏิบัติ การปฏบิ ัติ ตนและผลของการปฏบิ ัติตนตามหลกั ธรรมหรอื ได้ตักบาตร อาหารที่พุทธศาสนิกชนจัดมา คติธรรมดังกลาว แลว ใหน ักเรยี นเจา ของผลงานท่ี ดนี ําเสนอตอช้นั เรียน จากน้นั รวบรวมไวเ ปน แหลง ตกั บาตรเป็นพิเศษ นอกเหนอื จากขา้ ว กับขา้ ว การเรยี นรใู นชนั้ เรียน ของหวาน และผลไม้แล้ว ก็มีข้าวต้มลูกโยน หลังจากท�าบุญเสร็จแล้ว พุทธศาสนิกชนก็จะ พิธีตักบาตรเทโวโรหณะ ณ วัดสังกัสรัตนคีรี บริเวณ เขาสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจัดขึ้นอย่างย่ิงใหญ่ เขา้ ไปในโบสถ์ เพอื่ ฟงั พระธรรมเทศนา รักษา ศลี ๕ หรอื ศลี ๘ หรอื บา� เพญ็ สาธารณประโยชน์ เปน็ ประจำาทุกป ตามแต่อธั ยาศัย 11๗ ขอสอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอ สอบป ’52 ออกเกยี่ วกบั วนั เทโวโรหณะ 1 โปรดพระพทุ ธมารดา เกดิ จากพระดํารขิ องพระพุทธองคว า พระพุทธเจา ปาง วันเทโวโรหณะคือวันใด กอ นเม่อื กระทํายมกปาฏหิ ารยิ แลวเสด็จไปจาํ พรรษาทีใ่ ด แลวก็ทรงทราบดวย 1. วนั พระเจา เปด โลก พระอตีตังสนาญาณวา พระพทุ ธเจาทัง้ หลายเมอื่ ไดทรงทํายมกปาฏหิ ารยิ แ ลว 2. วันแรม 1 ค่ํา เดอื น 11 ยอ มเสดจ็ ขนึ้ ไปจาํ พรรษา ณ ดาวดงึ สส รุ าลยั เทวโลก แสดงธรรมโปรดพระพทุ ธมารดา 3. วนั หลังวนั ออกพรรษา 1 วนั สนองพระคณุ ดว ยกตญั กู ตเวทติ าธรรมอนั บรบิ รู ณอ ยใู นพระหฤทยั พระผมู พี ระภาค- 4. วันที่พระพุทธเจา เสดจ็ ลงจากดาวดึงส เจา กเ็ สด็จลกุ จากรตั นบัลลังกอ ันตั้งอยูเหนือยอดคัณฑามพพฤกษ เสด็จขนึ้ ไป วเิ คราะหคาํ ตอบ วันเทโวโรหณะ คือ วนั คลา ยวันที่พระพทุ ธเจาเสด็จ ประทับนงั่ บนปณ ฑกุ มั พลศิลาอาสนภ ายใตร ม ไมป าริชาติ ณ ดาวดงึ สส วรรค ลงมาจากสวรรคชน้ั ดาวดงึ ส หลงั จากเสดจ็ ไปโปรดพุทธมารดาในชว งเขา เทวโลก แลวทรงประกาศซึง่ พระคุณของพระมารดาอนั ยิง่ ใหญไพศาลสดุ จะคณนา พรรษา ตรงกบั วันขน้ึ 15 คํ่า เดือน 11 หรือวนั แรม 1 คาํ่ เดือน 11 ตาม ใหปรากฏในเทวสมาคม จากนั้นกท็ รงแสดงอภธิ รรม 7 พระคมั ภรี โปรด พทุ ธประวัตบิ รรยายเหตกุ ารณข ณะเสดจ็ ลงจากเทวโลกไววา พระพทุ ธเจา พระพุทธมารดาตลอดไตรมาสใหเทพดาในโลกธาตุทปี่ ระชมุ ฟง ธรรมอยใู นท่นี ั้น ทรงเปดโลกทัง้ สาม ไดแ ก โลกมนุษย สวรรค และนรก เพ่ือใหมนษุ ยและ ไดบรรลุมรรคผลสดุ ทจ่ี ะประมาณ ในอวสานกาล พระพทุ ธมารดาไดบ รรลุ เทวดาทงั้ ปวงท่มี าเฝา รับเสดจ็ พระองค ไดเขาใจถงึ ผลของกรรมดีและช่ัว พระโสดาปต ตผิ ล สมพระประสงคข องพระผมู พี ระภาคเจา ทไ่ี ดท รงตง้ั พระทยั เสดจ็ ขนึ้ บาป-บญุ และการเวยี นวา ยตายเกิด นอกจากนี้เทวดายงั มาโปรยดอกไม มาสนองคุณพระพุทธมารดา เพื่อเปนสกั การะบชู า การเฝารับเสดจ็ พระพทุ ธเจาในพุทธประวัตขิ า งตน คู่มือครู 117 นํามาซึ่งพิธีตักบาตรเทโวโรหณะในปจ จบุ ัน ดังนน้ั คําตอบคือ ขอ.1-4.
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูสนทนารว มกันกับนักเรยี นเก่ยี วกับ ประสบการณการมสี ว นรว มในการประกอบศาสน- พธิ ที างพระพุทธศาสนา แลว ใหน กั เรียนชวยกนั ๒. ศาสนพธิ ี วเิ คราะหถ งึ ประเภทของศาสนพธิ ที างพระพทุ ธศาสนา ซึง่ ประกอบดวย ศาสนพธิ เี นื่องดวยพทุ ธบญั ญัติ ศาสนพธิ ีในพระพทุ ธศาสนาอาจแบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ดงั นี้ และศาสนพิธที ี่นาํ พระพทุ ธศาสนาเขาไปเกย่ี วของ ๒.๑ ศาสนพธิ เี นอ่ื งดว้ ยพทุ ธบญั ญตั ิ (และโดยอนโุ ลมพทุ ธบญั ญตั )ิ ๒.๒ ศาสนพธิ ที นี่ า� พระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ ง จากน้ันครอู ธบิ ายถงึ ความสาํ คัญของการมีความรู ๒.๑ ศาสนพิธีเน่อื งด้วยพุทธบญั ญัติ ความเขาใจเกี่ยวกับศาสนพิธีตางๆ เพ่ือการธาํ รง รักษาพระพทุ ธศาสนาและการมีสวนรวมไดอยาง ศาสนพิธีเนื่องด้วยพุทธบัญญัติ คือ พิธีที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น เพื่อสร้างความเปน็ ถูกตองเหมาะสม ระเบยี บเรยี บร๑อ้ )ยใพหเ้ิธกีแดิ สขน้ึดแงกตค่ นณเะปสน็ งฆพ์ ุทศาธสมนาพมธิ กเี นะ1อ่ื งมดีขว้ ้ันยตพอทุ นธดบงัญั นญ้ี ตั ทิ พ่ี งึ ศกึ ษามดี งั นี้ สา� รวจคน้ หา (๑) ให้ผู้จะแสดงตนเป็นพุทธมามกะนุ่งขาว ห่มขาว หรือแต่งเคร่ืองแบบของ Explore ตนเข้าไปยังบริเวณพิธี เมื่อพระสงฆ์เข้ามานั่งประจ�าท่ีแล้ว ให้เข้าไปคุกเข่าหน้าโต๊ะหมู่บูชา ครจู ับคูใ หนักเรยี นตามตําแหนงท่นี ง่ั ในชั้นเรยี น จดุ ธปู เทียนและวางดอกไม้บูชาพระ กล่าววาจาบชู าพระรัตนตรัยว่า เพื่อใหชวยกันศกึ ษาความรเู ก่ียวกบั ศาสนพิธี ท้งั ในสว นของศาสนพิธเี น่อื งดว ยพทุ ธบัญญตั ิ และ อมิ นิ า สกกฺ าเรน พทุ ธฺ � ปเู ชม ิ ขา้ พเจา้ ขอบชู าพระพทุ ธเจา้ ดว้ ยเครอ่ื งสกั การะน ้ี (กราบ) ศาสนพธิ ีที่นาํ พระพุทธศาสนาเขาไปเกย่ี วขอ ง จาก อิมนิ า สกฺกาเรน ธมฺม� ปเู ชมิ ขา้ พเจ้าขอบูชาพระธรรมดว้ ยเครอื่ งสกั การะน้ ี (กราบ) แหลง การเรยี นรตู างๆ ไดแ ก หนงั สอื เรยี น หนา อิมนิ า สกฺกาเรน สงฆฺ � ปูเชม ิ ขา้ พเจา้ ขอบูชาพระสงฆด์ ว้ ยเครอื่ งสักการะน้ี (กราบ) 118-129 ใบความรทู ค่ี รจู ดั ทําขน้ึ จากการรวบรวม (๒) ถวายพานเครื่องสักการะแด่พระสงฆ์ แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ขอ มูลจากหนวยงานหรือองคก รทเ่ี กยี่ วของ รวมถงึ ๓ คร้ัง (ถา้ เปน็ การแสดงหมู่ หัวหนา้ เปน็ ผู้ถวายเครือ่ งสกั การะแทน) ผชู าํ นาญในการประกอบศาสนพธิ ีในทองถน่ิ จาก นัน้ อธิบายความรูแ กคขู องตนจนเกิดความรูค วาม (๓) เม่อื เสร็จแล้ว กลา่ วค�าปฏิญาณตนตอ่ หนา้ พระสงฆ์ ดงั นี้ เขาใจทีต่ รงกัน นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สฺส (๓ หน) ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผูม้ ีพระภาคอรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจ้าพระองค์น้นั (๓ หน) อธบิ ายความรู้ Explain เอสาห� ภนฺเต สจุ ริ ปรินิพฺพตุ มปฺ ิ ต� ภควนตฺ � สรณ � คจฉฺ ามิ ธมมฺ ญฺจ สงฺฆญจฺ พทุ ฺธมามโกต ิ ม� สงโฺ ฆ ธาเรตุ ครูสนทนารว มกนั กบั นกั เรยี นถึงความหมาย ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นั้น แม้ปรินิพพานไปนานแล้ว ของศาสนพิธเี นอ่ื งดวยพุทธบญั ญตั ิทีน่ ักเรยี นได ทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะท่ีพ่ึงท่ีระลึก ขอพระสงฆ์จงจ�าข้าพเจ้าว่าเป็น ศึกษามา แลวสมุ นักเรียน 1 คู เพือ่ ต้ังคาํ ถามพิธี แสดงตนเปน พุทธมามกะใหน ักเรียนคอู ่ืนตอบ เชน พทุ ธมามกะเถิด (ถ้าว่าพรอ้ มกันหลายคน คา� เอสาห� ชายใหว้ ่า เอเต มย � หญงิ ใหว้ า่ เอตา มย� • แนวคิดสาํ คัญท่ีปรากฏในพิธีแสดงตนเปน ค�า คจฺฉามิ ใหว้ า่ คจฉฺ าม ค�า พทุ ฺธมามโกติ ให้ว่า พทุ ฺธมามกาต ิ ค�า ม � ให้ว่า โน) พทุ ธมามกะคืออะไร (แนวตอบ การปฏญิ าณสว นทกี่ ลา ววา ขา แตพ ระ- สงฆผ เู จรญิ ขา พเจา ถงึ พระผมู พี ระภาคเจา 118 พระองคน นั้ แมป รนิ พิ พานไปนานแลว ทง้ั พระ- ธรรม และพระสงฆ เปน สรณะทพี่ ง่ึ ทรี่ ะลกึ ) บูรณาการเชอ่ื มสาระ นกั เรยี นควรรู ครูสามารถจดั กจิ กรรมการเรียนรบู รู ณาการวิชาหนาท่พี ลเมือง 1 พิธแี สดงตนเปน พุทธมามกะ มีความเปนมา กลาวคอื เมอ่ื ความนยิ มในการ วฒั นธรรม และการดําเนนิ ชวี ิตในสงั คม เร่อื งแนวทางการปฏบิ ัตติ นเปน บวชสามเณรลดลง พรอมกับการสง เด็กไปเรียนตา งประเทศมากข้ึน พระบาท- พลเมืองดีเพอ่ื ความสงบสุขของสังคม สิทธมิ นษุ ยชน รวมถงึ วชิ าศาสนา สมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยหู ัว (รัชกาลท่ี 5) ทรงพระราชปรวิ ติ กวา เดก็ ๆ จกั ศีลธรรม จรยิ ธรรม ในสวนของศาสนาอน่ื ๆ เรื่องพิธกี รรมท่เี ก่ียวขอ งกับ ไมม ีความรสู ึกทดี่ ีตอพระพทุ ธศาสนาจึงโปรดใหพระโอรสของพระองคทรงปฏิญาณ การปฏญิ าณตนเปน ศาสนิกชน โดยอธบิ ายใหนักเรียนเขา ใจถงึ พิธกี รรม พระองคเปน ผนู ับถือพระพทุ ธศาสนากอ น และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจา- การปฏิญาณตนเปนศาสนกิ ชนของศาสนาตางๆ ท่ีมแี นวคิดคลา ยคลึงกนั อยูหวั (รชั กาลที่ 6) ไดเปนพระองคแ รกทีป่ ฏิญาณพระองคต ามธรรมเนียมท่ีทรงตงั้ แลวมอบหมายใหนักเรียนชวยกนั ศกึ ษาคน ควา รายละเอยี ดของ ขน้ึ ใหมน น้ั และใชเ ปน ราชประเพณตี อ มาอกี หลายพระองค เชน พระเจา วรวงศเ ธอ พิธีกรรมการปฏิญาณตนเปน ศาสนกิ ชนของศาสนาอ่นื ๆ เชน ศาสนาครสิ ต พระองคเจาจมุ พฎพงศบริพัตร พระโอรสสมเดจ็ พระเจา นอ งยาเธอ เจาฟา กรม- ศาสนาอสิ ลาม และศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู แลว นาํ เสนอตอ ชนั้ เรยี น หลวงนครสวรรคว รพินิตกับหมอ มเจา องคอ ่ืนๆ กอ นจะไปศกึ ษาในยุโรปกไ็ ดแสดง เพ่อื อภิปรายรว มกันถึงแนวคดิ ลักษณะของพิธีกรรม ประโยชนและ พระองคเปน พุทธมามกะกอน โดยเหตุนี้จงึ เกิดเปน ประเพณีนยิ มแสดงตนเปน ความสาํ คัญ ตลอดจนวิเคราะหแ ละเปรยี บเทียบกบั พธิ กี ารแสดงตนเปน พุทธมามกะข้นึ สืบตอกันมาจนถึงปจจุบนั พุทธมามกะ ท้ังนี้เพ่อื ใหน ักเรยี นเขาใจถึงลกั ษณะการนบั ถอื ศาสนาสาํ คญั อืน่ ในประเทศไทย อันนําไปสกู ารอยรู ว มกันกบั ศาสนิกชนในศาสนาอ่ืนใน สังคมไดอยา งสันตสิ ขุ 118 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ (๔) จากน้ันพระสงฆ์ให้โอวาท เสร็จจากรับโอวาทแล้วให้กล่าวค�าอาราธนา 1. ครูสมุ นักเรียน 1 คู ใหออกมาผลดั กันอธิบาย ความรเู ก่ียวกบั พธิ ีเวียนเทียนคนละขั้นตอนที่ ศลี ๕ และรับศีล ๕ จากพระสงฆ์ หนา ช้นั เรียน แลว ครูเสนอแนะหรือปรับปรงุ เพือ่ ใหเ กดิ ความรูท่ถี กู ตองชดั เจน จากน้ันครู (๕) พระสงฆ์สวดอนุโมทนา ผู้แสดงตนเป็นพุทธมามกะพึงกรวดน้�า อุทิศส่วน สอบถามนักเรยี นในชั้นเรียนถึงประสบการณ การเขา รว มพธิ ีเวียนเทียนกบั ความถกู ตอ ง กศุ ลไปยงั สรรพสัตว์ทงั้ ปวง เสรจ็ แล้วกราบด้วยเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ ครัง้ เป็นอนั เสรจ็ พิธี เหมาะสมตามทีน่ ักเรียนไดศ กึ ษามา ดังน้ี • นักเรียนเขารว มพิธเี วยี นเทียนในวันสําคญั ๒) พิธีเวียนเทียน พิธีเวียนเทียนจะกระท�ากันในวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนา ทางพระพทุ ธศาสนาไดอ ยางถูกตองเหมาะ มรี ะเบยี บพิธี ดงั น้ี สมหรอื ไม อยางไร • แนวทางการแนะนําบุคคลในครอบครัวหรอื (๑) เมื่อได้เวลา ทางวัดจะตีระฆังสัญญาณให้พุทธบริษัท ทั้งภิกษุสงฆ์และ เพอ่ื นในการปฏบิ ตั ติ นในพิธีเวยี นเทียนเนือ่ ง ในวนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาใหถกู ตอง อุบาสกอุบาสิกาประชุมท่ีหน้าพระอุโบสถหรือลานพระเจดีย์ ทุกคนต่างถือดอกไม้ธูปเทียน เมื่อ เหมาะสม พร้อมกันแล้วพระภิกษุผู้เป็นประธานในพิธีน�าจุดธูปเทียนบูชา และน�ากล่าวค�าบูชาพระรัตนตรัย 2. ครูและนกั เรียนอภิปรายรวมกันถึงแนวทาง การปรบั ปรงุ หรอื พัฒนาการปฏิบตั ติ นที่ถกู (ตามแบบท่กี า� หนดไวส้ �าหรับวนั นั้นๆ) ท้งั หมดว่าตามผูเ้ ปน็ ประธานพิธีจนจบ ตอ งเหมาะสมในการเขา รวมพิธเี วยี นเทียนใน อนาคต นักเรยี นสรปุ ผลการอภปิ รายแนวทาง (๒) ประธานในพิธีเดินน�าแถวด้วยการประนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียน การปฏบิ ัติตนดงั กลาวลงในสมุด ขวา (เดินเอาข้างขวาของตนหันเข้าหาปูชนียสถานหรือปูชนียวัตถุ) ทุกคนเดินตาม เว้นระยะ หา่ งกันพอสมควร (๓) เดินรอบแรก ให้ร�าลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ด้วยการสวดพระพุทธคุณบทว่า อิตปิ โ ส ภควา... ในใจ (หรอื ถา้ ไมส่ วด ก็ใหน้ กึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ โดยไม่สง่ ใจไปคิดถงึ เรือ่ งอืน่ ก็ได้) (๔) เดินรอบท่ีสอง ให้สวด ร�าลึกถึงพระธรรมคุณ บทว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม... ไปจนจบ (๕) เดินรอบสุดท้าย ให้สวด พระสังฆคุณ บทวา่ สุปฏิปนโฺ น ภควโต สาวก สงฺโฆ... ไปจนจบ (๖) เดนิ ครบ ๓ รอบแลว้ ให้ นา� ดอกไมธ้ ปู เทยี นไปปกั ไว้ ณ ทบี่ ชู าทเี่ ตรยี มไว้ จากนั้นก็เข้าไปประชุมพร้อมกันท่ีภายใน พก�ารหะนอุโดบสสถวหดทรือ�าวศัตารล1เายก็นาพรรเป้อมรียกญัน ตเาสมรแ็จตแล่จ้วะ พิธีเวียนเทียนเป็นศาสนพิธีสำาคัญ ที่นิยมปฏิบัติกันใน ฟงั พระธรรมเทศนา ๑ กณั ฑ์ เป็นอนั เสร็จพิธี วนั สาำ คัญทางพระพุทธศาสนา 119 ขอ สอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอ สอบป ’52 ออกเก่ยี วกบั กุศลพิธี 1 ทาํ วัตร เมอ่ื ทาํ วัตรเยน็ เสรจ็ แลว ภิกษรุ ูปเดียวเปน ผูบอกวตั ร อาจใชว ธิ ี ขอ ใดเปน กศุ ลพธิ ี หมนุ เวยี นกนั ไปทลี ะรปู ขอความท่ีบอกวัตรเปน ภาษาบาลี มสี าระสําคัญกลาวถงึ 1. การเวียนเทยี น ปฏบิ ตั ิบูชา คาถาโอวาทปาฏโิ มกข คณุ านิสงสแ หง ขันตธิ รรม คาํ เตอื นใหใ สใจใน 2. การถวายสังฆทาน ธรรม ในเม่ือไดมีโอกาสเกดิ มาเปน มนุษยพบพระพุทธศาสนา ความไมป ระมาท 3. การทําบุญเล้ยี งพระ เรง เพยี รพยายามในทางธรรมเพ่ือนอมไปสูพระนพิ พาน และพน จากทคุ ติ แลว 4. การสวดมนตไ หวพระ กลา วถงึ พุทธกจิ ประจาํ วนั ลําดับกาลในพระพุทธประวัติ สง่ิ แทนพระองคภายหลัง วเิ คราะหคําตอบ กศุ ลพิธี หมายถึง พิธกี รรมตางๆ อันเก่ียวดวยการ พุทธปรินพิ พาน ช่ือ วัน เดอื น ป และดาวนกั ษัตร จบลงดวยคําเชอ้ื เชิญใหต ้งั อยูใน อบรมความดงี ามทางพระพุทธ ศาสนาเฉพาะตวั บุคคล คือ เรอื่ งสรา ง พระพทุ ธโอวาท บาํ เพ็ญปฏิบตั บิ ูชา เพอื่ บรรลุสมบัตทิ ง้ั ท่ีเปน โลกิยะและโลกุตตระ ความดีแกต นทางพระพุทธศาสนา พธิ ที ีส่ าํ คญั ไดแ ก พิธแี สดงตนเปน อยา งไรกต็ ามธรรมเนยี มนี้ปจ จบุ นั ไดเลอื นลางไปแลว พทุ ธมามกะ พิธีเวียนเทยี นเน่อื งในวันสําคัญทางพระพทุ ธศาสนา พิธี รกั ษาอุโบสถศีล ตลอดจนการสวดมนตไ หวพ ระ ดังนน้ั คําตอบคอื ขอ 1. และขอ 4. คู่มือครู 119
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหนักเรียนคทู ่สี มคั รใจอธิบายความรูเ กีย่ ว ๓) พิธีถวายสังฆทาน สังฆทาน แปลว่า การให้แก่สงฆ์โดยไม่เจาะจงบุคคล กับความหมายและสาระสําคัญของพธิ ถี วาย สงั ฆทาน ซึง่ ไดแก การใหแ กพระสงฆโดยไม ความส�าคัญของสังฆทานอยู่ท่ีต้องต้ังใจถวายแก่สงฆ์จริงๆ ไม่เห็นแก่หน้าบุคคล ผู้รับจะเป็น เจาะจงวาจะเปนพระรปู ใด และการเกดิ ความ พระรปู ใดก็ตาม ผูถ้ วายตอ้ งตั้งใจถวายด้วยความเคารพ ตง้ั ใจถวายแกพ่ ระสงฆ์จรงิ ๆ ถา้ ผรู้ บั เป็น เล่ือมใสศรัทธาในการถวายเครอื่ งสังฆทานนัน้ พระเถระทรงคณุ ธรรม ทายกเกิดความเล่อื มใสโสมนสั วา่ ไดถ้ วายพระผู้ทรงคุณธรรม เชน่ นีน้ ับว่า แกพระสงฆท ง้ั พระเถระผูทรงคณุ ธรรมและพระ ไม่เป็นสังฆทาน หรือถ้าผู้รับเป็นพระผู้น้อย หรือถ้าเป็นพระบวชใหม่ ทายกเกิดโทมนัสเสียใจ ผูนอ ยเพง่ิ บวชใหม ท่ีได้พระเช่นนเ้ี ป็นตวั แทนสงฆม์ ารบั สงั ฆทาน อยา่ งนกี้ ็ไมน่ ับวา่ เป็นสังฆทานอีกเช่นกัน 2. ครูสุมนักเรยี น 3 คู ใหออกมาผลัดกันอธิบาย พิธีถวายสังฆทานมีข้นั ตอนการปฏิบัติ ดงั นี้ ความรูเกยี่ วกบั ขั้นตอนของพธิ ถี วายสังฆทาน ๓.๑) เตรียมภัตตาหารใส่ภาชนะให้เรียบร้อย จะถวายก่ีรูปก็ได้แล้วแต่ศรัทธา ทห่ี นา ชนั้ เรยี นตามกจิ กรรมการเรยี นรดู งั ตอ ไปนี้ และความสามารถ วิธีนิมนต์พระมารับสังฆทาน จะต้องต้ังใจอุทิศแก่พระสงฆ์ แล้วนิมนต์ภิกษุ • นกั เรียนคแู รกอธิบายถงึ การเตรยี มพิธีถวาย รูปใดรูปหน่ึงในขณะที่พบท่านก�าลังออกบิณฑบาตอยู่ก็ได้ (แต่อย่าเลือกรูปนั้นรูปนี้ จะเสีย สงั ฆทาน ท้ังในสว นของเคร่อื งสงั ฆทาน สงั ฆทาน รูปใดก็ได้ทพ่ี บกอ่ นถอื วา่ เปน็ ตัวแทนของสงฆ)์ หรอื จะไปนมิ นต์กบั เจา้ อาวาสหรือภกิ ษุ การนมิ นตพระสงฆ การเตรียมสถานท่ี ผ้มู หี นา้ ทร่ี บั นิมนตแ์ ทนสงฆก์ ็ได้ ๓.๒) สถานที่ ถ้าเป็นภายในบ้าน ควรจัดห้องใดห้องหนึ่งให้เรียบร้อย ถ้ามี พระพทุ ธรปู ควรต้ังทีบ่ ชู าพระพทุ ธรูปด้วย เม่ือพระสงฆม์ าถึงแลว้ ใหน้ �าภตั ตาหารมาต้งั ตรงหนา้ อาราธนาศีล รับศีล แล้วกล่าวค�าถวาย ถ้าถวายรวมกันหลายคนให้มีหัวหน้ากล่าวค�าถวายเป็น วรรคๆ แล้วให้ผอู้ ่นื วา่ ตาม จะว่าเฉพาะค�าบาลีหรอื ท้งั ค�าบาลแี ละค�าแปลก็ได้ การถวายสังฆทานต้องต้งั ใจถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ 120 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บุคคลใดปฏบิ ตั ิตนในพิธีถวายสงั ฆทานไดถ กู ตอ งเหมาะสมท่ีสุด ครอู าจใหน กั เรียนทม่ี ีประสบการณเกย่ี วกบั การถวายสงั ฆทานออกมาเลา 1. แกวถวายเครือ่ งสังฆทานโดยไมเ จาะจงพระรปู ใด ประสบการณของตนที่หนาชนั้ เรยี น แลว สนทนารว มกนั กบั นักเรียนถึงประโยชนแ ละ 2. ปน จดั เตรยี มเครื่องสงั ฆทานดวยตนเองจากของมีราคาแพง ความสําคญั ของการถวายสังฆทาน จากนั้นอธิบายใหนกั เรยี นเขาใจถึงลักษณะของ 3. ปา นถวายสังฆทานแกพ ระเถระชนั้ ผใู หญด วยเช่ือวา จะไดบญุ มาก เครื่องสงั ฆทานท่ีถกู ตองเหมาะสม กลาวคอื เครื่องสงั ฆทานน้ัน คือ เครอ่ื งอปุ โภค 4. กอยถวายสังฆทานเปน ประจาํ ดวยการซอื้ เครื่องสงั ฆทานสาํ เรจ็ รปู จาก บริโภคท่เี หมาะกับชวี ติ สมณะ ไมจําเปนตองเปน ถงั เหลอื งทว่ี างขายตามหนา รา น รา นคา ตา งๆ สงั ฆภัณฑเสมอไป นักเรยี นสามารถจัดเตรยี มขา วของเคร่อื งใชท ี่ซ้ือหามาจดั เปน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. แกว ถวายเคร่อื งสงั ฆทานโดยไมเ จาะจง สังฆทานได เชน สบู ยาสฟี น แปรงสฟี น ยาสระผม และใบมดี โกน เปนของจาํ เปน พระรปู ใด เปน บุคคลท่ีปฏบิ ัตติ นในพธิ ถี วายสังฆทานไดถ ูกตองเหมาะสม มากเพ่อื ใชโ กนศีรษะ เคร่ืองด่มื สมุนไพรพรอ มชง ผาอาบนา้ํ ฝน เลือกทเ่ี นอื้ หนาๆ ท่สี ุด สว นบคุ คลในตัวเลือกขอ อ่ืนๆ ปฏบิ ัตติ นไมเหมาะสม เชน การเลอื ก หรืออาจเลือกซือ้ เปน สบง (ผา นงุ ) หรอื จะเปน อังสะก็ได เพราะพระทานมกั จะมี ถวายเฉพาะพระเถระช้นั ผใู หญ การซ้ือเครื่องสงั ฆทานสาํ เร็จรปู ตามความ ผาอาบนา้ํ ฝนอยมู ากแลว จะขาดแคลนกค็ อื สบง อังสะ ถาถวายใหสามเณรกจ็ ัด สะดวกสบาย โดยไมค าํ นึงถึงคุณภาพสิ่งของเครอ่ื งสังฆทานนนั้ เหมือนพระเชน กัน 120 คมู่ อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ คา� ถวายสงั ฆทานมีดังนี้ 1. ครูใหนักเรยี นคูท่ีถูกสมุ อธบิ ายความรูเกยี่ วกบั ขัน้ ตอนของพธิ ถี วายสังฆทานที่หนาชั้นเรยี น ตั้งนโม ๓ จบ ตามกจิ กรรมการเรยี นรู ดงั ตอไปน้ี ค�ำอำ่ น อมิ านิ มย� ภนฺเต ภตตฺ าน ิ สปริวารานิ ภิกขฺ สุ งฺฆสสฺ โอโณชยาม นกั เรียนคตู อ มาใหชว ยกนั สาธิตการกลา ว สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขสุ งโฺ ฆ อิมานิ ภตตฺ านิ สปริวารานิ คําถวายสังฆทานและอธบิ ายคําแปล รวม ปฏคิ คฺ ณฺหาต ุ อมหฺ าก � ทฆี รตตฺ � หติ าย สุขาย ถงึ แสดงการถวายสงั ฆทานใหถ กู ตอ งครบถว น ค�ำแปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลายขอน้อมถวายภัตตาหารพร้อมด้วยเคร่ือง นักเรยี นคสู ดุ ทายอธบิ ายถงึ การกลา วคํา บรวิ ารเหลา่ นแ้ี ดพ่ ระสงฆ ์ ขอพระสงฆจ์ งรบั ภตั ตาหารพร้อมด้วยเคร่ืองบริวารเหล่าน้ี อนโุ มทนาของพระสงฆ การกรวดนํา้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพ่ือประโยชน์ เพ่ือความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนาน การรบั พร กระทงั่ เสรจ็ พิธี เทอญ 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพอื่ ใหไ ดความรเู กย่ี วกับ ๓.๓) ขณะกล่าวค�าถวาย พระสงฆ์จะประนมมือ พอผู้ถวายกล่าวจบ ก็จะรับ พธิ ีถวายสงั ฆทานท่ถี ูกตอ งชดั เจนย่งิ ข้นึ แลว “สาธุ” เสรจ็ แลว้ ผูถ้ วายพงึ ประเคนภัตตาหารและของบริวาร (ถ้าม)ี แด่พระสงฆ์ ใหตวั แทนนกั เรยี นคทู ส่ี มคั รใจออกมาปฏิบัติ ตนในการถวายสงั ฆทานใหถ กู ตอ งเหมาะสม ๓.๔) พระสงฆ์กล่าวค�าอนุโมทนา ขณะที่พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน (ในกรณีมี ตามที่ไดศ กึ ษามา หลายรูป) เริม่ อนโุ มทนาด้วยค�าขน้ึ ต้นวา่ ยถา วาริวหา ฯลฯ ผถู้ วายพึงกรวดนา้� โดยหล่ังน้า� ลง ยังภาชนะรองรับ เมื่อพระผู้เป็นประธานกล่าวอนุโมทนาบท ยถา วาริวหา ฯลฯ จบ ให้ผู้ถวาย 3. ครูใหนกั เรยี นชวยกันอธิบายความรูเกย่ี วกบั หล่ังน�า้ ที่เหลอื ให้หมด เมือ่ พระสงฆ์ทงั้ ปวงสวดรับพรอ้ มกนั ว่า “สพฺพีติโย...” ให้ผู้ถวายประนมมือ ความเปน มาของพิธถี วายผา อาบนาํ้ ฝนที่ได รับพรไปจนจบ เป็นอันเสรจ็ พิธี ศกึ ษามา โดยการต้งั คําถามใหน ักเรยี นชว ยกนั ตอบ เชน ๔) พธิ ถี วายผา้ อาบนา้� ฝน ในสมยั พทุ ธกาล พระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษสุ งฆ์ • นางวสิ าขามหาอุบาสกิ าเกี่ยวของกบั พธิ ถี วายผา อาบน้ําฝนอยา งไร ใไซชมึ่งผ้่มร้าวีผแม้าคเอร่ ื่นีย๓ผกลผวัด่าืนนเท“ุ่งไอา่ ตนารบ้นั จจคีวึงอืรเ”1ปผลยา้ ือังนยหงุ่ กา(าไอยดนั อ้อตานรบุญวนาา้�าสตกใน)หา้ใผงช้าว้ผหิส้าา่มอขา(าอบมตุนหร�้าาาฝอสนุบงคไามส)์ ่ิกแาเ2ลมทะื่อรผเาา้วบคลเลารมุพ่ือชงรเ้นัะขภน้าิกอษกจุจึง(กะสอรังาาฆบบาทนฏูล�้า)ิ (แนวตอบ ครง้ั พทุ ธกาล นางวสิ าขามหา- ให้พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีผ้าอาบน้�าฝน เม่ือพระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ชาวบ้านจึงได้น�า อบุ าสิกาเปนผทู ลู ขอพระพทุ ธเจาในการ ผา้ อาบนา�้ ฝนไปถวายพระสงฆ์ ประเพณกี ารถวายผา้ อาบนา้� ฝนจงึ ไดเ้ รมิ่ ตงั้ แตบ่ ดั นนั้ เปน็ ตน้ มา ถวายผาอาบนํ้าฝนแกพระสาวก เนอื่ งจาก นางเห็นพระสาวกตา งพากนั เปลอื ยกายอาบ ขนาดของผ้าอาบน้�าฝน ต้องท�าให้ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ คือ ยาวประมาณ นํ้า ดูไมเหมาะสมแกก ารเปนพระสาวกของ ๔ ศอกเศษ กวา้ งประมาณศอกคืบเศษ พระพทุ ธองค ซ่ึงพระพุทธเจากท็ รงอนุญาต ในกาลตอมาชาวบา นจงึ ไดนําผา อาบน้ําฝน ก�าหนดเวลาท่ีถวายผ้าอาบน้�าฝน เร่ิมตั้งแต่วันแรม ๑ ค�่า เดือน ๗ ถึงวันขึ้น ไปถวายพระสงฆและเปนประเพณีสบื ตอ มา ๑๕ ค�า่ เดอื น ๘ รวมระยะเวลา ๑ เดือน ก่อนเข้าพรรษา ซงึ่ เปน็ เวลาเรม่ิ ฤดฝู น แตส่ ่วนมาก จนถึงปจ จุบนั ) มกั นิยมถวายในวนั ขึ้น ๑๕ ค่�า เดอื น ๘ 121 ขอ สอบ O-NET นักเรยี นควรรู ขอสอบป ’52 ออกเก่ียวกับคําถวายสังฆทาน 1 ไตรจีวร แปลวา จีวร 3 หรือผา 3 ผนื ท่พี ระวินัยอนุญาตใหภิกษมุ ีไวใ ช ขา แตพ ระสงฆผ ูเ จรญิ ขา พเจา ท้งั หลาย ขอนอมถวาย …(1)… กบั ประจาํ ตัว คอื สงั ฆาฏิ ผาคลุมกันหนาวทพ่ี ระใชท าบบนจีวร อตุ ราสงค ผา หม เรียกสามัญในภาษาไทยวา จีวร และอันตรวาสก ผานุง เรยี กสามญั วา สบง ทง้ั บรวิ ารเหลา นี้ แกพ ระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษสุ งฆจ งรบั …(2)… กบั ทง้ั 2 นางวสิ าขามหาอบุ าสิกา ไดอ ุปถัมภบ าํ รงุ พระพทุ ธศาสนาในหลายดาน เชน บริวารเหลานี้ของขาพเจาทง้ั หลาย เพ่ือประโยชนและความสขุ แกข า พเจา การขายเครอื่ งประดบั ประจาํ ตัวท่ีไดรบั จากการแตง งาน ชือ่ วา มหาลดาปสาธน ทง้ั หลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ ซึ่งมคี าสูงย่ิง นาํ เงนิ มาสรา งวดั ถวายแดพระพุทธเจาและภกิ ษสุ งฆ คือ มิคารมาตุ- ปราสาท วดั บุพพาราม ณ นครสาวตั ถี นางวิสาขาจงึ ไดร ับยกยองจากพระศาสดา ขอความขางตน เปนคําถวายสงั ฆทานประเภทสามัญ คาํ ท่ีตองเตมิ ใน วา เปนเอตทัคคะในบรรดาทายิกาท้งั ปวง ชองวางที่ (1) และ (2) คอื ขอ ใด 1. อฐั บรขิ าร 2. ภตั ตาหาร 3. มตกภัตตาหาร 4. ภัตตาหารและนา้ํ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ภัตตาหาร จึงเปนคําถวายสังฆทาน ประเภทสามญั ทถี่ ูกตองครบถวน คู่มอื ครู 121
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหน ักเรยี นคตู า งๆ รวมกันเปน กลมุ กลุม ขัน้ ตอนของการปฏิบตั ิ มีดงั น้ี ละ 4 คน เพอ่ื เตรียมการแสดงบทบาทสมมติ ๔.๑) เม่ือถึงวันก�าหนด ทายกทายิกามาประชุมพร้อมกันที่โรงอุโบสถ ศาลา เก่ยี วกบั ขั้นตอนการปฏบิ ตั ิพิธีถวายผา อาบนํา้ ฝน เมอื่ นักเรยี นแตละกลุมเตรยี มความพรอ ม การเปรียญหรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแต่เหมาะสม ฟังพระธรรมเทศนาเก่ียวกับอานิสงส์ เรียบรอ ยแลวครูสอบถามนกั เรียนแตล ะกลุม การถวายผา้ อาบนา�้ ฝน ๑ กณั ฑ์ ถงึ ข้ันตอนและอุปสรรคในการเตรยี มการแสดง บทบาทสมมติ จากน้นั ใหนกั เรียนแตละกลมุ ๔.๒) เม่ือพระแสดงธรรมจบแล้ว หัวหน้าทายกทายิกาน�ากราบพระ ต้ังนโม ผลัดกนั ออกมาแสดงบทบาทสมมตพิ ธิ ีการถวาย ๓ จบ แลว้ น�ากลา่ วคา� ถวายผา้ อาบน�า้ ฝนซ่ึงตัง้ ไว้ ณ เบื้องหนา้ มีค�าถวายผ้าอาบนา้� ฝน ดงั นี้ ผา อาบนํา้ ฝนที่หนา ช้ันเรยี น ค�ำบำล ี อมิ าน ิ มย � ภนเฺ ต วสสฺ ิกสาฏิกาน ิ สปรวิ ารานิ, ภิกขฺ ุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, 2. ครใู หเพือ่ นนักเรยี นกลุมอ่ืนสงั เกตการณและ สาธ ุ โน ภนเฺ ต, ภิกขฺ ุสงฺโฆ, อิมาน ิ วสสฺ กิ สาฏกิ านิ สปริวาราน,ิ ปฏคิ ฺคณฺหาตุ สอบถามความรูเมื่อแตล ะกลุมแสดงบทบาท อมฺหาก � ทีฆรตตฺ � หติ าย สุขาย. สมมตเิ สร็จ แลว อภปิ รายรวมกนั เมือ่ แสดง คำ� แปล ขา้ แตพ่ ระสงฆผ์ เู้ จรญิ , ขา้ พเจา้ ทง้ั หลาย ขอนอ้ มถวายผา้ อาบนา�้ ฝนเหลา่ น้ี บทบาทสมมติครบทุกกลมุ ถึงความถูกตอ ง แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆจ์ งรับผ้าอาบน�้าฝนเหล่าน้ ี ของขา้ พเจา้ ทัง้ หลาย เหมาะสมในการแสดงของแตล ะกลุม และ เพอ่ื ประโยชน์เก้ือกลู เพอ่ื ความสุข แก่ขา้ พเจา้ ทัง้ หลาย สน้ิ กาลนาน เทอญ แนวทางการแกไ ขหรอื พัฒนาการทาํ งานกลุมใน กิจกรรมการเรียนรูตอ ไป ๔.๓) ขณะนั้นพระสงฆ์ทั้งหมดประนมมือ พอจบค�าถวาย พระสงฆ์รับ “สาธุ”1 พร้อมกัน เจ้าอาวาสหรือผู้แทนออกมารับผ้าแทนพระสงฆ์ หรือจะท�าสลากติดผ้าส�ารับหน่ึง 3. ครสู นทนารว มกันกับนกั เรียนถงึ ความหมาย ให้พระสงฆ์จับอีกส�ารับหนึ่ง โดยลงเลขติดกัน พระรูปใดจับได้เลขอะไร ของใคร ให้เจ้าของน�า ของกฐนิ และกรานกฐินที่นกั เรียนไดศกึ ษามา ผ้าอาบนา�้ ฝนถวายพระรปู น้ันก็ได้ แลว ใหนกั เรยี นคทู สี่ มคั รใจอธบิ ายความรูเ ก่ียว กับวัตถปุ ระสงคแ ละความเปน มาของพธิ ที อด 2 ๔.๔) เมื่อประเคนผ้าเสร็จแล้ว พระสงฆ์กล่าวค�าอนุโมทนา ทายกทั้งหมด กฐิน จากนัน้ ครอู ธิบายเพมิ่ เติมเพื่อใหไ ดความรู กรวดน�้า แล้วประนมมอื รบั พร เปน็ อันเสร็จพิธี ทีค่ รบถวนชัดเจนยิง่ ขึ้น ๕) พธิ ีทอดกฐนิ กฐิน แปลว่า “ไม้สะดงึ ” หมายถงึ ไมท้ เี่ อามาทา� โครงส�าหรับ ขึงเย็บจีวร เพราะสมัยพุทธกาลชาวบ้านมิได้น�าจีวรส�าเร็จรูปมาถวายพระภิกษุ หากแต่ถวาย ผ้าทั้งผืน พระภิกษุต้องน�ามาขึงกับไม้สะดึงและเย็บท�าจีวรเอง สังฆกรรมท่ีสงฆ์ตัดเย็บจีวร แลว้ มอบหมายใหพ้ ระรูปใดรูปหนึง่ ครองจวี รน้ี เรียกว่า “กรานกฐนิ ” ๕.๑) วัตถุประสงค์ของกฐิน พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับกฐินได้ กเ็ พ่อื ใหพ้ ระภิกษมุ โี อกาสได้เปลยี่ นผา้ จีวรที่เก่า ๕.๒) ต้นเหตุของกฐิน เริ่มด้วยพระภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป เดินทางไป เมืองสาวัตถีเพ่ือเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงเมืองสาเกตซึ่งอยู่ก่ึงกลางระหว่างเมืองปาฐากับเมือง สาวัตถี ก็ถึงวันเข้าพรรษาพอดี พระภิกษุเหล่านั้นจึงจ�าพรรษาที่เมืองสาเกต เมื่อออกพรรษา 122 นักเรียนควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เพราะเหตุใด พระพทุ ธเจาจงึ ทรงอนญุ าตใหพระสงฆร บั ผา กฐินได 1 สาธุ คือ สาธกุ าร ดว ยการเปลงวาจาวา สาธุ ซ่งึ แปลวา ดแี ลว ชอบแลว เพือ่ 1. ใชในการนงุ อาบนา้ํ ใหดูสาํ รวม เรียบรอย แสดงความเหน็ ชอบดวย ช่นื ชม หรอื ยกยอ งสรรเสรญิ นอกจากน้ยี งั ใชรวมกับคาํ วา 2. เยบ็ จวี รเองไมเบยี ดเบยี นพทุ ธศาสนกิ ชน ชน คือ สาธชุ น หมายถงึ คนดี คนมีศีลธรรม คนมสี ัมมาทฏิ ฐิ 3. พุทธศาสนกิ ชนไดอานิสงสใ หญห ลวง 2 กรวดน้าํ การตงั้ ใจอุทศิ บญุ กศุ ลใหแ กผ ลู วงลบั พรอ มไปกับหล่ังรินน้าํ เปน 4. มีโอกาสไดเปลย่ี นจีวรเกา เคร่อื งหมาย และเปนเคร่อื งรวมกระแสจิตท่ตี ง้ั ใจอทุ ิศนน้ั ใหแ นวแน โดยเรมิ่ รนิ น้าํ วิเคราะหค ําตอบ สาเหตทุ ีพ่ ระพุทธเจาทรงอนญุ าตใหพ ระสงฆร ับผา เมือ่ พระรปู หวั หนาเร่มิ สวดยถา... และรนิ นา้ํ หมดพรอมกับพระหวั หนาสวดจบ กฐนิ เน่อื งจากครงั้ พุทธกาลมีภกิ ษรุ ูปหนึง่ ตอ งเดินทางขามเมืองมาเฝา จากนน้ั พระทง้ั หมดเรม่ิ สวดพรอ มกนั ใหว างทกี่ รวดนาํ้ ลงแลว ประนมมอื รบั พรตอ ไป พระองคดวยจีวรเปย กปอนและขาดว่ิน จากจีวรทีเ่ กา และสภาพอากาศท่ี รนุ แรง พระพุทธเจาจงึ ทรงอนุญาตใหพระสงฆรับผา กฐินไดเ พอื่ ให พระภิกษมุ โี อกาสเปลีย่ นผา จวี รทเ่ี กา ดังนนั้ คําตอบคอื ขอ 4. 122 คมู่ อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ แลว้ จงึ เดนิ ทางตอ่ ตอ้ งบกุ นา�้ ลยุ โคลนไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ทจี่ วี รเปยี กปอนและขาด พระพทุ ธเจา้ ครูสอบถามนกั เรยี นถึงแนวคดิ ของพธิ กี ราน กฐนิ แลว สุม นักเรียน 1 คู เพอ่ื ใหชว ยกันอธิบาย ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์เปล่ียนผ้าจีวรใหม่ได้ โดยก�าหนดเอา ความรูเกีย่ วกบั พธิ กี รานกฐิน โดยแบง หนา ทร่ี ับ ผดิ ชอบกันเปนสว นของพระสงฆและสว นของ วันออกพรรษาเป็นวันเร่ิมต้น (คือ เร่ิมจาก พุทธศาสนกิ ชน สําหรับนักเรียนทีร่ บั ผดิ ชอบใน สวนของพระสงฆใหตอบคาํ ถาม ดังน้ี แรม ๑ คา่� เดือน ๑๑ ไปจนถึงวันขนึ้ ๑๕ ค�่า • พธิ ีกรานกฐนิ ตองมพี ระสงฆอ ยา งนอยกร่ี ูป ทเดออื ดนกฐ๑ิน1๒จ)ึงเกมดิีกขา� หึ้นนตั้งดแต๑บ่ ดัเดนือั้นนเตม็ ประเพณี และมีบทบาทหนา ที่อยางไรบาง (แนวตอบ พิธกี รานกฐนิ ตอ งมีพระสงฆอ ยา ง ๕.๓) พิธีกรานกฐิน เนื่อง นอย 5 รูป โดยพระสงฆรปู หนง่ึ เปนผูค รอง จวี ร สวนอีกส่ีรปู กลา วคาํ อนโุ มทนา ทั้งนี้เกดิ จากพระภิกษุที่จ�าพรรษามีจ�านวนมาก เพราะ จากการคัดเลือกของคณะสงฆว าจะให พระสงฆรูปใดเปน ครองกฐิน) ฉะน้ันจึงต้องคัดเลือกรูปใดรูปหนึ่งจากสงฆ์ • พระสงฆร ปู ทีไ่ ดร บั เลอื กเปนผกู รานกฐิน ท้ังหมดเป็นผู้ครองกฐิน ส่วนพระภิกษุที่เหลือ ตอ งมคี ุณสมบัตอิ ยา งไร (แนวตอบ พระสงฆร ูปทีไ่ ดร บั เลือกจากคณะ ท�าหน้าที่เป็นผู้อนุโมทนา การกรานกฐินเป็น สงฆใ หเปนผกู รานกฐนิ ตองมีคณุ สมบัติหลาย ประการ อาทิ รจู กั ถอนไตรจีวร คือ รูคาํ พิธีที่พระภิกษุอย่างน้อย ๕ รูปข้ึนไปกระท�า กลาวคาํ ถอนและวธิ ีการถอนจวี รผนื เกา ให ถูกตอ งตามพระวนิ ยั รจู ักอธษิ ฐานไตรจีวร ร่วมกัน (รูปหนึ่งครองจีวร อีกส่ีรูปอนุโมทนา) การทอดกฐิน เป็นศาสนพิธีสำาคัญท่ีชาวพุทธควรรู้และ คอื รคู ําอธษิ ฐานและวิธกี ารครองจีวรผนื ใหม จา� นวนน้อยกว่านั้นทา� ไม่ได้ ปฏิบัติตนอยา่ งเหมาะสมในการเขา้ รว่ มพธิ กี รรม และรจู กั มาติกา คอื รถู ึงสาเหตทุ ที่ ําใหห มด สิทธ์ิทจี่ ะไดรับอานสิ งสข องกฐนิ เปน ตน ) ๕.๔) คุณสมบัติของผู้กรานกฐิน พระภิกษุองค์ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้กรานกฐิน สว นนักเรยี นที่รับผิดชอบในสว นของ หรือครองกฐินจะต้องมีคุณสมบัติหลายประการ เช่น รู้จักถอนไตรจีวร คือ รู้วิธีกล่าวค�าถอน พุทธศาสนกิ ชนใหก ลา วคําถวายผากฐนิ และ ผ้าผืนเก่าให้ถูกต้องตามวินัยบัญญัติ รู้จักอธิษฐานไตรจีวร คือ รู้ว่าเวลาจะใช้ผ้าผืนใหม่ชนิดใด อธิบายคาํ แปล โดยครคู อยแนะนําใหนักเรียน จะต้องกล่าวค�าอธิษฐานอย่างไร รู้จักวิธีกรานกฐิน คือ เข้าใจข้ันตอนของการกรานกฐิน รู้จัก สามารถกลา วไดถกู ตอ งครบถวน จากน้นั ครแู ละ มาตกิ า คอื สาเหตทุ ่ที �าให้หมดสทิ ธิ์ที่จะไดร้ ับอานิสงส์กฐนิ เป็นต้น นกั เรียนชว ยกนั สรปุ ความรูเ ก่ียวกบั พิธที อดผา อาบ น้ําฝนและพธิ ที อดกฐิน นักเรยี นบันทกึ ความรทู ่ี ค�ำถวำยผำ้ กฐิน สรุปไดลงในสมดุ ค�ำบำล ี อิม� ภนฺเต สปริวาร� กฐนิ ทุสฺส� สงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ อิม � สปริวาร� กฐนิ ทสุ ฺส� ปฏิคฺคณหฺ าตุ, ปฏิคฺคเหตวฺ า จ อิมินา ทุสเฺ สน กฐนิ � อตถฺ รตุ, อมหฺ าก � ทฆี รตฺต � หติ าย สุขาย. คำ� แปล ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอถวายผ้ากฐิน กับท้ังบริวารนี้ แด่พระสงฆ์, ขอพระสงฆจ์ งรบั ผา้ กฐนิ กบั ทงั้ บรวิ ารน ้ี ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย รบั แลว้ จงกรานดว้ ยผา้ นี้ เพอื่ ประโยชน ์ เพอ่ื ความสขุ แกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลาย สนิ้ กาลนาน เทอญ 123 บรู ณาการเชื่อมสาระ นกั เรยี นควรรู ครสู ามารถจัดกจิ กรรมการเรียนรบู ูรณาการวิชาหนา ทพ่ี ลเมือง 1 ประเพณที อดกฐิน ในราชสํานกั ถือเปนพระราชกรณียกจิ ของพระมหากษตั รยิ วฒั นธรรม และการดําเนนิ ชวี ติ ในสังคม เรอื่ งปจจยั ของวฒั นธรรมไทย ผทู รงเปน พทุ ธมามกะและเอกอัครพทุ ธศาสนูปถัมภก โดยจะเสด็จพระราชดาํ เนนิ โดยมอบหมายใหน กั เรียนศกึ ษาคน ควา ขอ มลู เก่ียวกบั กฐนิ หลวงทัง้ ถวายผา พระกฐินยังพระอารามหลวงสําคญั 16 พระอาราม เชน วดั พระเชตพุ น พระราชพิธีการถวายทางสถลมารคและชลมารค แลว นําภาพและขอมลู วิมลมังคลาราม วดั อรุณราชวราราม วดั ราชโอรสาราม กรงุ เทพมหานคร นําเสนอในช้นั เรยี น จากน้ันครสู รปุ สาระสาํ คญั รว มกบั กับนักเรียน เพอ่ื ให วัดนิเวศธรรมประวตั ิ วัดสุวรรณดาราราม จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา นกั เรียนเขา ใจถงึ ความสาํ คญั ของอทิ ธิพลทางพระพทุ ธศาสนาตอ ประเพณี วฒั นธรรมในสงั คมไทย ทง้ั ในระดับสถาบันพระมหากษตั รยิ แ ละประชาชน มมุ IT ท่วั ไป ศกึ ษาขอ มูลเพ่ิมเติมเกย่ี วกับการถวายกฐินในดา นความเปน มาของพิธี ประเภท ไดแก กฐนิ หลวงและกฐนิ ราษฎร ลาํ ดับขั้นตอน และอานสิ งสของการ ถวายกฐนิ ไดที่ http://www.lib.ru.ac.th/journal/nov/nov_thodkathin1.html เวบ็ ไซตสนเทศนารู สํานกั หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง คมู่ อื ครู 123
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครสู อบถามนกั เรียนถึงความหมายและ เรอื่ งนา่ รู้ จดุ ประสงคของพิธีปวารณา แลวสุม นักเรียน 3 คู ใหอ อกมาจับสลากคาํ หรือขอความสาํ คัญท่ี ชนดิ ของกฐิน เก่ยี วของกับพธิ ีปวารณา ไดแ ก วนั ปณรสี ปกษ วันจาตทุ สี เครือ่ งไทยธรรม พระธรรมเทศนา และ พระวนิ ยั ปฎิ กไมไ่ ดจ้ าำ แนกชนดิ ของกฐนิ ไว้ มกี ลา่ วแตเ่ พยี งเรอ่ื งการทาำ หรอื การรบั ผา้ มากรานกฐนิ ของพระสงฆ์ ความอาวโุ ส แลวตั้งคําถามเก่ียวกับพิธปี วารณาเพือ่ เท่านนั้ แตถ่ า้ พจิ ารณาตง้ั แต่โบราณมาถงึ ปัจจุบนั อาจแบง่ กฐนิ ออกได้เป็น ๒ ชนดิ คอื ใหนกั เรยี นทีร่ บั ผิดชอบคาํ หรือขอ ความท่ีเกย่ี วขอ ง ชวยกนั ตอบ จากนั้นครตู ั้งประเดน็ ใหนกั เรียน 1. จุลกฐินหรือกฐินแล่น คือ กฐินที่ต้องทำาอย่างรีบเร่งให้เสร็จด้วยมือภายในวันเดียว ซ่ึงต้องอาศัยความ อภิปรายรวมกนั ถงึ ความสอดคลองกันของพธิ ี รว่ มมือร่วมแรงของคนจำานวนมาก เรมิ่ ตัง้ แตเ่ กบ็ ฝา้ ยมาปั่น กรอเป็นด้าย ทอเป็นผา้ ตัดเยบ็ ย้อม และถวายให้พระสงฆ์ ปวารณากับหลักการของระบอบประชาธิปไตย เชน กมรีอาานนแิสงลสะม์อานกุโกมวทา่ นกาฐในิ หธ้เรสรรม็จดภาาหยรใอื นมรหะายกะฐเวนิ ลาจากเช้าวันหน่ึงจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันหน่ึง1จึงถือกันว่าการทำาจุลกฐิน การปวารณา : หลกั การของระบอบ ประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา 2. มหากฐิน คือ กฐินที่มีเครื่องบริวารมาก มีการรวบรวมจตุปัจจัยไทยธรรมและส่ิงของต่างๆ ท่ีจะนำาไป ทอดถวายตามวัดต่างๆ มากมาย ต้องใช้เวลาในการเตรียมงาน ไม่เร่งรีบเหมือนจุลกฐิน (ทั้งคาำ ว่า “จุลกฐิน” และ ความเสมอภาคตามหลักการของระบอบ “มหากฐิน” ไมม่ ีปรากฏในพระวินัยปิฎก) ประชาธปิ ไตยในพิธปี วารณา ๖) พิธีปวารณา2 การปวารณา หมายถึง การที่พระภิกษุสงฆ์เปิดโอกาสให้ การแกไ ขปญ หาหรือการพฒั นาตนเองตาม ระบอบประชาธิปไตยจากพิธปี วารณา ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยเดียวกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้โดยไม่ต้องเกรงใจกัน เม่ือ ผู้ใหญ่เห็นผู้น้อยประพฤติบกพร่องหรือเพียงแต่สงสัยว่าน่าจะมีความประพฤติบกพร่อง ผู้ใหญ่ก็ จากนั้นครูใหน กั เรยี นวิเคราะหถงึ ประโยชนและ ว่ากล่าวตักเตือนผู้น้อยได้ ในท�านองเดียวกันผู้น้อยก็สามารถตักเตือนผู้ใหญ่ได้เช่นกัน ถ้าหาก แนวทางการนําพธิ ปี วารณามาปรับใชในการดาํ เนิน เห็นผู้ใหญ่ประพฤติบกพร่องหรือสงสัยว่าน่าจะประพฤติบกพร่อง ทั้งน้ีการตักเตือนของหมู่สงฆ์ ชวี ติ รวมกบั ผอู ่ืนทัง้ ในระดับบุคคล ครอบครวั น้ันมีเจตนาบริสุทธ์ิเป็นท่ีต้ัง คือ มุ่งหมายให้เพ่ือนสหธรรมมิกปราศจากมลทิน จะได้รู้ว่าส่ิงใด โรงเรยี น ทอ งถิ่น ประเทศ ตลอดจนสังคมโลก ควรท�า ส่ิงใดไม่ควรท�า ฉะน้ัน การปวารณาจึงเป็นการร่วมสังฆกรรม และการปฏิบัติด้วยความ นักเรียนบันทกึ สาระสําคญั ลงในสมดุ เอื้ออาทรตอ่ กนั ของพระภิกษุสงฆท์ ี่จ�าพรรษาอยู่ในอาวาสเดยี วกัน โดยปกติภิกษุสงฆ์จะท�าการปวารณาในวันข้ึน ๑๕ ค่�า เดือน ๑๑ เรียกว่า “วันปัณรสี” แต่ถ้าภิกษุสงฆ์ยังไม่พร้อมก็จะเลื่อนวันปวารณาออกไปอีก ๑ ปักษ์ ซ่ึงตรงกับ วันแรม ๑๔ ค่า� เดอื น ๑๑ เรียกว่า “วันจาตุทสี” ก็ได้ เมอื่ ถงึ วนั ปวารณา ภกิ ษุสงฆจ์ ะประชมุ กนั ในโบสถร์ บั ไทยธรรมจากอบุ าสก อบุ าสกิ า พระเถระชนั้ ผใู้ หญแ่ สดงพระธรรมเทศนา เสรจ็ แลว้ ภกิ ษุสงฆ์จะเรม่ิ ท�าการปวารณา โดยเรียงกันไปตามลา� ดับอาวุโส ค�าปวารณามีใจความวา่ “ ท่านท้ังหลาย ข้าพเจ้าขอปวารณาตอ่ สงฆ ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยไดฟ้ งั กด็ ี ดว้ ยสงสัยก็ดี ขอทา่ น ท้ังหลายจงอาศัยความกรณุ าวา่ กลา่ วต่อขา้ พเจ้า เมื่อข้าพเจ้าส�านึกไดจ้ ักกระท�าคนื เสีย” “ทา่ นทงั้ หลาย ขา้ พเจา้ ขอปวารณาตอ่ สงฆ ์ เปน็ ครง้ั ท ่ี ๒ ...................................................................................” “ทา่ นทงั้ หลาย ขา้ พเจา้ ขอปวารณาตอ่ สงฆ ์ เปน็ ครง้ั ท ี่ ๓ ...................................................................................” 124 นักเรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกับศาสนพธิ ี 1 ไทยธรรม หมายถึง ของควรให ของทาํ บุญตาง ๆ ของถวายพระ มีอาหาร ศาสนพิธีใดเปน เรื่องของพระสงฆลวนๆ ไมมีฆราวาสเกย่ี วของ เครอ่ื งนุงหม เปน ตน สวน ทกฺขเิ ณยโฺ ย แปลวา ผคู วรแกทกั ขิณา หมายถงึ 1. พิธีอปุ สมบท พระสงฆ เปน ผคู วรไดข องทําบญุ น้นั การถวายเครอ่ื งไทยธรรมยอมมอี านสิ งสผล 2. พิธีปวารณา อํานวยประโยชนสุขอยา งกวางขวางและตลอดกาลยาวนาน เหมอื นนามพี น้ื ดนิ อันดี 3. พิธมี หากฐิน พืชท่หี วา นไปยอ มผลติ ผลไพบูลย 4. พิธีรักษาอุโบสถศลี 2 ปวารณา การเรยี กพิธีปวารณาโดยผูทาํ ปวารณาแบงเปน 3 อยาง คือ สงั ฆ- วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. พิธีปวารณา เนือ่ งจากเปนศาสนพิธที ี่ ปวารณา ปวารณาที่ทําโดยสงฆ คอื มภี ิกษุ 5 รปู ขน้ึ ไป คณปวารณา ปวารณาที่ พระสงฆเปด โอกาสใหว า กลา วตกั เตอื นไดในเร่อื งของการปฏิบตั ิตนตาม ทาํ โดยคณะ คอื มภี กิ ษุ 2-4 รปู และปุคคลปวารณา ปวารณาท่ที าํ โดยบุคคล คือ พระวนิ ยั ในชว งเขา พรรษาโดยไมต อ งเกรงใจกนั โดยกระทําในวันออก มภี ิกษรุ ูปเดยี ว โดยนยั นก้ี ารทําปวารณาจึงมี 3 ลักษณะ คือ ปวารณาตอทช่ี ุมนมุ พรรษา ขน้ึ 15 คา่ํ เดอื น 11 หรอื อาจเลอ่ื นไปอกี 1 ปก ษเ ปน วนั แรม 14 คาํ่ ไดแ ก สงั ฆปวารณา ปวารณากนั เอง ไดแก คณปวารณา และอธษิ ฐานใจ ไดแก เดอื น 11 ก็ได ปคุ คลปวารณา 124 คู่มอื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๒.๒ ศาสนพิธที นี่ Óพระพุทธศาสนาเขา้ ไปเกยี่ วเนอ่ื ง 1. ครสู อบถามนักเรยี นถึงวัตถปุ ระสงคข อง พุทธศาสนิกชนในการประกอบพธิ ที ําบุญเลยี้ ง ศาสนพิธีท่ีจะกล่าวถึงในข้ันน้ีได้แก่ “พิธีท�าบุญเล้ียงพระ” การท�าบุญเล้ียงพระเป็นที่นิยม พระโดยแบง ออกเปน สว นของงานมงคลและ แพร่หลายในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทย กระท�ากันทั้งในงานมงคลและงานอวมงคล งาน งานอวมงคล แลว อภิปรายรว มกนั ถึงความ อวมงคลนั้นท�าเมื่อมีการตายเกิดขึ้นในครอบครัว งานมงคลนั้นท�ากันในโอกาสต่างๆ เช่น สําคญั ของพระพุทธศาสนาตอ ประเพณีและ ท�าบญุ ข้นึ บา้ นใหม่ ท�าบญุ แต่งงาน ทา� บญุ คลา้ ยวันเกิด ฯลฯ สว่ นผทู้ ี่ไม่ประสบโอกาสเหล่านี้เลย วัฒนธรรมทีเ่ กี่ยวของกบั ชีวติ ตง้ั แตเกิดจน แต่หากมีจิตศรัทธาที่จะขัดเกลากิเลสของตน และประสงค์จะท�าบุญเพื่อก่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตน ตาย จากนั้นแบงนักเรียนในแตละคอู อกเปน และครอบครวั ก็ท�าบญุ เลย้ี งพระได้ 2 กลุมใหญๆ ของช้ันเรียน เพอ่ื ใหช ว ยกนั อธิบายความรเู กีย่ วกบั การทาํ บญุ เลี้ยงพระใน ๑) การท�าบุญเล้ียงพระในงานมงคล ตามปกติมักนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญ งานมงคลและงานอวมงคลตามกจิ กรรมการ เรียนรดู งั ตอ ไปนี้ พระพุทธมนต์ในสถานที่ท่ีใช้ประกอบพิธีในตอนเย็น เรียกกันว่า “สวดมนต์เย็น” รุ่งข้ึนเช้า (หรือเวลาเพล) ก็ถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์เมื่อเย็นวานน้ัน เรียกกันว่า 2. ครูใหน ักเรียนกลมุ ท่ี 1 กําหนดคาํ หรอื เล้ยี งพระเช้า (ฉันเช้า) หรอื เล้ยี งพระเพล (ฉันเพล) บางคนมีเวลาน้อยร่นเวลามาทา� พรอ้ มกนั ใน ขอความสาํ คัญเกี่ยวกับการทําบญุ เลี้ยงพระใน วนั เดียวในตอนเช้าหรือตอนเพลตามความสะดวก โดยนิมนตพ์ ระสงฆม์ าเจริญพระพุทธมนตก์ ่อน งานมงคล เชน การนมิ นตพ ระสงฆม าเจรญิ จบแลว้ ถวายภตั ตาหารใหเ้ สร็จสิน้ ในช่วงเวลาเดยี วกนั พระพุทธมนต สวดมนตเย็น เลยี้ งพระเพล การจัดโตะหมูบูชา ประธานของหมูส งฆ การ ข้ันตอนในการปฏิบัตพิ ิธี มีดังน้ี วงดายสายสญิ จน การปูลาดอาสนะสําหรับ ๑.๑) อาราธนาพระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ นิยมกันว่าการนิมนต์พระสงฆ์ พระสงฆ เครือ่ งรับรองพระสงฆ ภาชนะ สําหรบั นํา้ มนต ประธานในพิธี อาราธนาศลี มาเจริญพระพุทธมนต์ จะนิมนต์ไม่ต�่ากว่า ๕ รูป จะเป็น ๗ รูปหรือ ๙ รูปก็ได้ รวมทั้ง อาราธนาพระปรติ ร มงคลสูตร และการ ไม่นิมนต์พระสงฆ์จ�านวนคู่ เว้นแต่งานมงคลสมรสมักนิมนต์พระจ�านวนคู่ จุดมุ่งหมาย คือ กรวดน้ํา เพอื่ ใหตวั แทนของนกั เรยี นกลุมท่ี 2 แบ่งให้ฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาวนิมนต์พระมาจ�านวนเท่าๆ กัน เมื่อรวมกันจึงเป็นจ�านวนคู่ ออกมาจบั สลากและรบั ผิดชอบหนาท่ใี นการ ส�าหรับพธิ ีหลวงมักนิยมอาราธนาพระสงฆม์ าเป็นจ�านวนค่เู สมอ อธิบายความรทู ่เี ก่ยี วของกับคาํ หรอื ขอ ความ สําคัญดังกลาว ๑.๒) เตรียมท่ตี ัง้ พระพทุ ธรปู พร้อมเคร่ืองบูชา เรียกสนั้ ๆ วา่ โตะ๊ บูชา ปจั จบุ นั นยิ มกันเป็นโต๊ะหมู่ เรียกวา่ “โต๊ะหมู่บชู า” ประกอบดว้ ยโตะ๊ ตวั เลก็ ๆ ๕ ตวั บา้ ง ๗ ตัวบา้ งหรือ ๙ ตัวบ้าง ถ้าหาโต๊ะหมู่บูชาไม่ได้จะใช้ต่ังหรือโต๊ะอะไรก็ได้ไม่สูงไม่ต่�าจนเกินไป แล้วใช้ผ้าขาวหรือ ผา้ สเี รยี บๆ แต่สะอาดปพู ืน้ แลว้ หาตัง่ หรอื โตะ๊ เล็กๆ อกี ตวั หนงึ่ ต้ังซ้อนเปน็ ท่ีตัง้ พระพุทธรปู ในการต้ังโต๊ะบูชาน้ีจะต้องตั้งหันหน้าโต๊ะออกมาทางเดียวกับพระสงฆ์ คือ ให้พระพุทธรูปหันพระพักตร์ออกทางเดียวกับพระสงฆ์โดยพระพุทธรูปจะต้ังทางด้านขวาของ แถวพระสงฆ์ คือ ให้พระพุทธรูปเป็นประธานหมู่สงฆ์ ตามความนิยมมักจะให้พระพุทธรูป ผินพระพักตร์ไปสู่ทิศเหนือหรือทิศตะวันออก แต่เร่ืองนี้หากสถานท่ีไม่อ�านวยจะผินพระพักตร์ไป ทางใดก็ได้ 125 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ครูอาจมอบหมายใหน ักเรียนสรปุ ขน้ั ตอนการทาํ บุญเล้ยี งพระในงาน ครอู าจอธิบายนักเรยี นเพิ่มเติมถงึ ศาสนพธิ ที ีน่ ําพระพุทธศาสนาเขาไปเกีย่ วเนอ่ื ง มงคลหรอื อวมงคลในรปู แบบความเรยี ง เพื่อจัดลาํ ดับความรูความเขาใจ ของคนไทยในพธิ อี ืน่ ๆ ซ่ึงแบงออกไดเ ปน 4 หมวด ไดแ ก หมวดกศุ ลพธิ ี วา ดว ย ของนกั เรยี นใหถ กู ตองครบถวนย่งิ ข้นึ พธิ บี ําเพ็ญกุศล หมวดบญุ พิธี วา ดวยพิธีทําบญุ หมวดทานพธิ ี วา ดว ยพธิ ีถวายทาน และหมวดปกิณกะ วา ดว ยพธิ เี บด็ เตลด็ เชน กุศลพิธี คือ พธิ กี รรมอันเก่ียวดว ยการ กจิ กรรมทาทาย อบรมความดีงามทางพระพทุ ธศาสนา ทัง้ ตัวบคุ คลและหมูค ณะ ไดแ ก การแสดง ตนเปนพทุ ธมามกะ พิธีเวยี นเทียนในวนั สําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา พิธรี ักษาอโุ บสถ ครอู าจมอบหมายใหน ักเรยี นสรุปข้ันตอนการทาํ บญุ เลี้ยงพระในงาน สวนพิธเี ขา พรรษา พธิ ีถือนิสสยั พิธีทาํ สามีจิกรรม พธิ ีทาํ วตั รสวดมนต พิธีกรรม มงคลและอวมงคลในรปู แบบตารางหรือผงั กราฟกตา งๆ ตามความ วันธรรมสวนะ พธิ สี งั ฆอุโบสถ และพธิ อี อกพรรษา เปนพธิ ีกรรมท่พี ระภิกษสุ งฆพ ึง สามารถและความสนใจ เพือ่ จดั ลําดบั ความรคู วามเขาใจของนกั เรียนให ปฏบิ ตั ิเพอื่ ความดงี ามในพระวินัย ทงั้ นี้เพ่อื ใหน ักเรยี นตระหนักถึงความสาํ คัญของ ถกู ตองครบถวนย่งิ ขน้ึ พระพุทธศาสนาในดา นการเปน รากฐานของประเพณีวัฒนธรรมไทย ค่มู อื ครู 125
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain อธบิ ายความรู้ Explain ครใู หนักเรยี นกลุม ที่ 1 ออกแบบกจิ กรรมการ ๑.๓) ดูแลรักษาและตกแต่งสถานที่บริเวณพิธี ควรดูแลบริเวณท่ีจะประกอบพิธี เรยี นรใู หแกน กั เรยี นกลุมที่ 2 โดยครูคอยชวยเหลือ ให้สะอาดเรียบร้อยเพ่ือให้เป็นสิริมงคล และผู้ที่มีก�าลังคนและก�าลังทรัพย์หากจะตกแต่งสถานท่ี ใหคําแนะนาํ เชน ให้มคี วามสวยงาม๑เ.พ๔ิม่ )ขวึ้นงกดย็ ้าง่ิ ยเปส็นายกสาริญดจี น์1การวางสายสิญจน์มีหลักอยู่ว่า ให้วงรอบร้ัวบ้าน สถ้าาไยมส่มิญีรจ้ัวนหร์ทือ่ีฐมาีแนตพ่กรวะ้าพงเุทกธินรไูปปบกน็ใหโต้วง๊ะเบฉูชพาาเะทอ่าานคา้ันรพแิธลีโด้วยโยรองมบาทห่ีภรือาปชัจนจะุบสัน�าหเจร้าับภทาพ�านบ�้าามงคนนต2จ์กะ็ไวดง้ นกั เรียนกลุมที่ 2 ทรี่ บั ผิดชอบคาํ หรือขอความ การโยงสายสิญจน์ควรโยงหลบป้องกันมิให้มีการเดินข้าม เมื่อวงภาชนะส�าหรับท�าน้�ามนต์ดีแล้ว สําคัญเกีย่ วกบั การทําบญุ เลย้ี งพระในงานมงคล ก็วางกลุ่มด้ายสายสิญจน์บนพานรองรับซึ่งต้ังไว้ใกล้ภาชนะส�าหรับท�าน้�ามนต์ การวงสายสิญจน์ ตอบคําถามที่ตนกําหนด ให้วงจากซ้ายไปขวาของสถานท่ีหรือวัตถุ อน่ึง หากมีความจ�าเป็นที่จะต้องผ่านสายสิญจน์ อยา่ ขา้ มกราย ให้สอดมือยกสายสิญจนข์ ึ้นแลว้ ก้มศรี ษะผ่านไป นักเรยี นกลุมที่ 2 เรียงลาํ ดบั คําหรอื ขอ ความ พระพุทธรูปน้ันจะ๑เ.ป๕็น) พอรัญะอเชะิญไรพกร็ไดะพ้แุทล้ธวรแูปตม่จาะตห้ังาบไดน้ โตแ๊ะตบ่ไูชมา่ใชค้พวรระทเค�าเรมื่อ่ือง3ใซก่ึงลเล้เว็กลเากจินะไปปรไะมก่เอหบมพาิธะี สําคัญเกยี่ วกับการทาํ บุญเลย้ี งพระในงานมงคล พระพทุ ธรูปถา้ มีครอบควรเอาครอบออก หากพระพุทธรปู มัวหมองดว้ ยธุลี ควรเช็ดให้สะอาดหรอื ใหถ กู ตอง แลวอธบิ ายแนวทางหรือรายละเอียดใน สรงน้�าเสยี กอ่ น ก่อนที่จะน�ามาตั้ง แตละขัน้ ตอน ๑.๖) ปูลาดอาสนะส�าหรับพระสงฆ์ บางคนนิยมยกพ้ืนอาสน์สงฆ์ให้สูงขึ้นโดย นกั เรียนกลมุ ที่ 2 แสดงบทบาทสมมติการ ใช้เตียงหรือม้าวางต่อกันเข้า (ในกรณีน้ีผู้เข้าพิธีจะนั่งเก้าอี้) ถ้าไม่สะดวกก็ปูลาดอาสนะบนพ้ืน ทําบญุ เลยี้ งพระในงานมงคล พรอ มทัง้ อธิบายราย ธรรมดา จะใช้เสื่อหรือพรมก็ได้ ทค่ี วรระวังคอื อยา่ ให้อาสนะพระสงฆก์ ับอาสนะของผเู้ ข้าร่วมพิธี ละเอยี ดของคาํ หรือขอ ความสําคัญท่เี กีย่ วกบั การ เป็นอันเดียวกัน แต่ถ้าแยกกันไม่ได้ ส�าหรับอาสนะพระสงฆ์น้ันควรปูทับด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง ทําบญุ เล้ยี งพระในงานมงคลประกอบ จงึ จะเหมาะ ๑.๗) เตรียมเครื่องรับรองพระสงฆ์ เช่น น้�าร้อน น�้าเย็น กระโถน (ไม่ควรจัด หมากพลู บหุ รี่ ถวาย เพราะสิง่ เหลา่ นี้ไมค่ วรแก่พระสงฆ์) ๑.๘) ตั้งภาชนะส�าหรับท�าน้�ามนต์ ถ้าไม่มีครอบน�้ามนต์ซึ่งเป็นของส�าหรับ ใส่น�า้ มนต์โดยเฉพาะ จะใชบ้ าตรของพระหรือขันนา�้ ท่ีมพี านรองรับแทนก็ได้ แต่ต้องไม่ใชข้ ันเงิน หรือทองค�า เพราะไม่ควรแก่การจับต้องของพระ ต่อไปก็หาน�้าสะอาดใส่ท่ีปากบาตรหรือขันน้�า ให้ติดเทียนข้ีผ้ึงแท้หนักหนึ่งบาทเป็นอย่างต่�า เมื่อเสร็จแล้วน�าไปไว้ทางหน้าโต๊ะบูชาให้ค่อน มาทางอาสนะพระสงฆ์ใกลก้ ับพระสงฆร์ ปู ทเ่ี ป็นหัวหนา้ ๑.๙) จุดธูปเทียนและด�าเนินพิธีตามล�าดับ เมื่อพระสงฆ์มาถึงแล้ว เจ้าภาพ ท�าการต้อนรับน�าพระสงฆ์ไปยังที่นั่ง เม่ือพระนั่งบนอาสนะแล้ว ประเคนเครื่องรับรองท่ีจัดไว้ 126 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT บุคคลใดจดั เตรียมพธิ ที าํ บุญเลีย้ งพระในงานมงคลไดอยา งถูกตอง 1 สายสิญจน ดา ยดบิ สีขาวท่ีนาํ มาจบั ทบเปน 3 เสน หรือ 9 เสน ใชในพิธที าง 1. สนเตรียมหมากพลไู วในเครอื่ งรับรองพระสงฆ ศาสนา เชน สําหรับพระสงฆถ อื ในเวลาสวดมนต หรือพราหมณใ ชใ นพระราชพธิ ี 2. สรอยนมิ นตพ ระสงฆม าเจรญิ พระพทุ ธมนต 6 รูป บางอยา ง 3. แสนวงดายสายสิญจนทีฐ่ านพระพทุ ธรปู บนโตะหมบู ชู า 2 นํา้ มนต นํา้ ท่ีเสกเพื่ออาบ กิน หรอื ประพรมเปนตน ถอื กนั วา เปนมงคล 4. สรวงเตรียมขันเงินและทองสําหรับใสน ํา้ มนตเพอื่ ความสริ ิมงคล 3 พระเคร่อื ง พระพทุ ธรปู องคเล็กๆ ท่ีนบั ถอื วาเปน เคร่อื งคุม ครองปอ งกัน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. แสนวงดา ยสายสญิ จนท ฐ่ี านพระพทุ ธรปู อนั ตราย ยอมาจากคาํ วา พระเคร่ืองราง บนโตะหมบู ชู า แลว โยงมาท่ีภาชนะทาํ นาํ้ มนต เพอ่ื ปองกันมใิ หผใู ดเดนิ ขา ม เปนการจดั เตรียมพธิ ที ําบญุ เล้ียงพระในงานมงคลไดอ ยาง ถกู ตอง สว นการกระทําของบคุ คลในตวั เลอื กขอ อน่ื เชน การนมิ นตพ ระ เปน จํานวนคู การเตรยี มหมากพลใู หพระสงฆน้นั ไมถ ูกตอ งเหมาะสม 126 คมู่ อื ครู
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ พอได้เวลาอันควร เจ้าภาพจุดธูปเทียนท่ีโต๊ะบูชาด้วยตนเองโดยใช้ไม้ขีดไฟ (หรือเทียนชนวน) ครูตัง้ คาํ ถามเกยี่ วกับการทาํ บุญเล้ียงพระใน งานมงคลแลว สมุ นักเรียนในกลุม ที่ 1 ตอบ เพอ่ื อยา่ ต่อจากตะเกยี งหรอื ไฟอื่น เมอื่ เทยี นติดดแี ล้ว ใช้ธูป ๓ ดอก จดุ ตอ่ ท่เี ทียนจนตดิ ดีจึงปกั ลง เปนการอธบิ ายความรู ตวั อยางขอ คาํ ถามเชน ตรงๆ ในกระถางธปู • ความสําคัญของพระพทุ ธรูปตอ การทําบญุ เลี้ยงพระในงานมงคลมีแนวคิดอยางไร พระปริตร1 ต่อจากน้นั จงึ ดา� เนนิ พธิ ีการไปตามลา� ดับ คอื อาราธนาศีล รับศลี แล้วอาราธนา (แนวตอบ พระพุทธรปู ท่นี ํามาประดิษฐาน พออาราธนาพระปริตรจบแล้ว พระสงฆ์เริ่มสวดมนต์ ทุกคนที่อยู่ในพิธีนั่งประนมมือ บนโตะ หมบู ูชาแบบตางๆ เปรียบเสมือน พระพทุ ธเจา เปน องคประธานของหมูสงฆ ฟังพระสวดด้วยความเคารพ พอพระเริ่มสวดมงคลสูตรข้ึนต้นบท “อเสวนา...” เจ้าภาพลุกข้ึน ทม่ี าเจริญพระพุทธมนตใ นงานนั้น โดยมกั ผินพระพักตรไ ปทางทิศตะวนั ออกหรือทิศ จุดเทียนน�้ามนต์แล้วประเคนภาชนะส�าหรับท�าน�้ามนต์ต่อหัวหน้าสงฆ์เพ่ือท่านจะได้ท�าน�้ามนต์ เหนอื และต้ังอยทู างขวามอื ของแถว พระสงฆ ดงั นนั้ ผูจ ดั งานจงึ ควรดูแลรักษา ตอ่ ไป ความสะอาดของพระพทุ ธรูป รวมถึงจดั โตะ หมูบ ชู าใหเ รยี บรอยสวยงาม เพ่ือความเปน ๑.๑๐) เล้ยี งพระ ถ้าจัดงานวนั เดยี ว หลังจากพระเจริญพระพุทธมนต์เสรจ็ แลว้ สิริมงคลแกตนเองและผูมารว มในพิธีดว ย) ก็ให้ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เสร็จแล้วถวายไทยธรรม (ของท่ีเหมาะสมแก่การถวายพระ) • เพราะเหตใุ ดจงึ หา มผรู ว มพธิ ขี า มวง สายสิญจนท ่ลี อ มไว ต่อจากน้นั พระสงฆ์อนโุ มทนา ขณะพระวา่ บท “ยถา...” ใหเ้ ร่ิมกรวดนา้� ใหเ้ สรจ็ กอ่ นจบบทยถา… (แนวตอบ วงสายสญิ จนทลี่ อ มไวเปรียบ เหมอื นเขตประกอบพธิ ี รวมถงึ การปองกนั นพา�้อพพรระะพวทุ่าบธมทน“ตส2เ์ พป็นฺพอีตันิโยเส..ร.็จ” พใิธหี ้นั่งประนมมือรับพรตลอดไปจนจบ หลังจากน้ันรับการประพรม สิ่งไมด ีงามไมใหกลา้ํ กรายเขา มายงั พ้นื ที่ ประกอบพธิ ไี ด ผจู ัดพิธจี ึงวงสายสิญจนร อบ ถ้าจัดงานสองวัน (คือ เล้ียงพระในวันรุ่งขึ้น) ก็ให้จัดเตรียมเหมือนกับวันแรก บริเวณทีป่ ระกอบพิธีหรอื รอบฐานพระพุทธ- รปู บนโตะหมบู ชู าตามความเหมาะสมของ เม่ือพระมาถึง เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระแล้วอาราธนาศีลและรับศีลเหมือนวันแรก เสร็จแล้ว ลกั ษณะพื้นที่ อยางไรกต็ ามควรโยงดว ย คาํ นงึ ถึงมิใหมีการเดนิ ขาม สว นผรู วมพธิ ีเมื่อ ไม่ต้องอาราธนาพระปริตร พระสงฆ์จะเริ่มสวดถวายพรพระเอง ถ้ามีการตักบาตรก็เร่ิมตัก จาํ เปน ตอ งผา นวงสายสญิ จนน ัน้ ก็ควรกม ศีรษะผานไป ไมค วรกา วขา ม) ขณะพระสงฆ์สวดถึงบท “พาห�ุ” แล้วตักให้เสร็จก่อนพระสวดจบ พอสวดจบก็ประเคนให้พระฉัน • จดุ ประสงคข องการกรวดนา้ํ คอื อะไร ได้ทันที แล้วด�าเนินพิธีไปตามล�าดับดังกล่าว (แนวตอบ การกรวดนํ้ามจี ดุ ประสงคเ พ่ือให เจาภาพหรือผูจ ัดพธิ ีอุทศิ สวนบุญสว นกุศลให มาแล้ว แกผ ลู ว งลับ ทง้ั ทีเ่ ปนบรรพบุรุษและผูลวงลบั อน่ื ๆ ที่ตองการสวนบุญ โดยกระทําภายหลัง ๑.๑๑) การกรวดน�้า กระท�า การถวายภตั ตาหารและเครอื่ งไทยธรรมแก พระสงฆแลว) เม่ือพระฉันภัตตาหารเสร็จและถวายไทยธรรม แล้ว การกรวดน�้าเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ ผู้ตาย กระท�า ๑ วันทั้งในงานมงคลและงาน อวมงคล น้�าที่ใช้กรวดควรเป็นน�้าบรสิ ุทธ์ิ และ ใช้ภาชนะส�าหรับกรวดน้�าโดยเฉพาะ ถ้าหา ไม่ได้จะใช้แก้วน้�า หรือขันน�้าก็ได้ เมื่อพระ การกรวดนำ้า คือ เป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ ผู้เป็นประธานเริ่มสวดว่า “ยถา วาริวหา” ผูท้ ล่ี ่วงลบั จึงควรสาำ รวมใจให้ม่ันและเปน็ สมาธิ 12๗ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรียนควรรู ครูควรมอบหมายใหนักเรยี นฝกปฏิบัตกิ ารกลา วคําอาราธนาบทตางๆ 1 พระปรติ ร คําวา ปรติ ร มีความหมายวา คมุ ครองรกั ษา หรือเคร่ืองคุมครอง ในพธิ เี ลย้ี งพระในงานมงคลและอวมงคล พรอมทั้งศกึ ษาความหมาย ปอ งกัน มาจากพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจา ซงึ่ ตอ มาเปน บทพระพุทธมนต จากน้นั ทองบทอาราธนาทีต่ นชาํ นาญ คนละ 1 บท ตอครผู ูสอน ทีเ่ ช่อื วา ศกั ดสิ์ ทิ ธ์เิ ทา ทปี่ รากฏรวบรวมไวม ี 7 บท เชน มงคลสูตร เกิดจากชาว ชมพทู วปี ตางถกเถยี งและตกลงกันไมไ ดวา มงคลคืออะไร จึงพากันไปทลู ถาม กิจกรรมทา ทาย พระพุทธเจา ซึ่งพระพทุ ธองคก ็ไดใ หค ําตอบวา สิง่ อนั เปนมงคลในชีวติ มี 38 ประการ หรือมงคล 38 นน่ั เอง ซึ่งธรรมอนั เปนมงคลน้ี พระพุทธเจาตรัสวาไมว า ครูควรมอบหมายใหน ักเรยี นฝกปฏิบัติการกลาวคําอาราธนาบทตา งๆ มนษุ ยหรือเทวดาปฏิบตั กิ ล็ วนเปนสริ ิมงคลแกตวั ทง้ั สิ้น ในพิธีเลี้ยงพระในงานมงคลและอวมงคล พรอมทั้งศกึ ษาความหมาย 2 นํา้ พระพุทธมนต แสดงถงึ ความเชื่อของคนไทยเกย่ี วกบั บรสิ ุทธขิ์ องนา้ํ กับ จากนน้ั ทองบทอาราธนาที่ตนชํานาญ และอธบิ ายความหมายพอสงั เขป ความศกั ด์ิสทิ ธ์ขิ องพระพทุ ธมนต เนื่องจากความผกู พันของคนไทยกับน้ํา กลาวคือ คนละ 2 บท ตอครผู สู อน เราใชน าํ้ ทงั้ ในขณะมชี วี ติ และแมแ ตส นิ้ ชวี ติ กใ็ ชน า้ํ อกี เชน ในขณะตายแลว กย็ งั ใช อาบนา้ํ ศพ ดว ยเหตนุ คี้ นโบราณจงึ ไดม คี วามรสู กึ วา นาํ้ มบี ญุ คณุ มปี ระโยชนต อ ชวี ติ และเพราะมคี วามยดึ ม่ันในความรูสกึ สาํ นึกถึงส่งิ ที่มีพระคณุ ดังน้ันเมอื่ ฤดนู ํา้ หลาก หรอื เมือ่ คราวไดฤกษง ามยามดีกจ็ ะทําพิธขี อขมาหรอื แสดงการตอบแทนบญุ คุณ คมู่ อื ครู 127
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครใู หนกั เรียนกลุมที่ 2 กําหนดคําหรอื เจ้าภาพก็เร่ิมหลั่งน�้าอุทิศส่วนกุศล โดยจับภาชนะส�าหรับกรวดด้วยมือทั้งสอง แล้วรินน�้าให้ไหล ขอความสาํ คญั เก่ยี วกับการทําบญุ เลย้ี งพระใน ลงเปน็ สาย ไม่ใช่ไหลๆ หยดุ ๆ ขณะรนิ นา�้ ควรสา� รวมใจอทุ ศิ สว่ นกุศลแกญ่ าติผ้ลู ว่ งลบั ว่า งานอวมงคล เชน การทาํ บุญหนา ศพ การ ทําบญุ อฐั ิ การอาราธนาพระสงฆสวดพระพทุ ธ- “อทิ � เม าตนี � โหตุ, สุขิตา โหนฺต ุ าตโย” มนต สายสญิ จนห รอื ภษู าโยง และบงั สกุ ุล เพ่อื ใหต วั แทนของนกั เรียนกลุมท่ี 1 ออกมาจับ เม่ือพระเริม่ สวดบทอนโุ มทนาซ่ึงเริม่ ดว้ ยคา� วา่ “สพฺพตี โิ ย...” ควรรินน้า� ที่กรวดเทลง สลากและรบั ผดิ ชอบหนา ทใ่ี นการตอบคําถาม ในภาชนะท่ีรองรับให้หมด และประนมมือรับอนุโมทนา เมื่อพระสวดจบแล้ว น�าน�้าท่ีกรวดอุทิศ ที่เกยี่ วของกับคําหรอื ขอความสาํ คญั ดงั กลาวที่ ส่วนกศุ ลไปเทลงที่พนื้ ดนิ นอกอาคาร อยา่ เทลงกระโถน ใต้ถุนบ้าน หรอื ในที่สกปรก กลุมตนกําหนด เชน • การถวายผา บงั สกุ ุลในการทาํ บญุ เลยี้ งพระใน ๒) การท�าบุญเล้ียงพระในงานอวมงคล การท�าบุญงานอวมงคล หมายถึง งานอวมงคลมีข้นั ตอนโดยสงั เขปอยา งไร (แนวตอบ การถวายผา บังสกุ ุลมีเฉพาะในการ การทา� บญุ เกยี่ วกับเรือ่ งการตาย นยิ มทา� กันอยู่ ๒ อย่าง คือ ทา� บญุ หนา้ ศพท่ีเรยี กกันวา่ ทา� บญุ ทําบญุ เล้ยี งพระในงานอวมงคล โดยกระทาํ ๗ วนั ๕๐ วัน หรือ ๑๐๐ วันอยา่ งหน่งึ กับทา� บุญอฐั หิ รือท�าบญุ ปรารภการตายของบรรพบุรษุ หลังจากพระสงฆฉ นั ภัตตาหารเสรจ็ ผูจดั พิธี ในวันคล้ายกับวนั ตายของผลู้ ่วงลบั อกี อยา่ งหน่งึ หรือตัวแทนประเคนผา บังสกุ ุลท่ีประกอบดว ย จีวร สงั ฆาฏิ หรอื ผา กราบแดพ ระสงฆ ดวย การท�าบุญดังกล่าวส่วนใหญ่มีขั้นตอนและการปฏิบัติเหมือนกับการท�าบุญเล้ียงพระ การทอดวางไวเบอื้ งหนาพระสงฆบ นดาย ในงานมงคล แต่มีข้อแตกต่างทสี่ า� คัญ คือ สายสญิ จนหรือภษู าโยงจากศพหรอื โกศ) ๑. นิยมอาราธนาพระสงฆ์ ๘ รูป หรือ ๑๐ รูป และในการอาราธนานั้นให้ใช้ค�าว่า 2. ครูสนทนารวมกันกบั นักเรียนถงึ ความแตกตา ง ของการทําบญุ เลย้ี งพระในงานมงคลและงาน “ขออาราธนาสวดพระพทุ ธมนต”์ มใิ ช่ “เจริญพระพทุ ธมนต์” เหมอื นงานมงคล อวมงคล แลว สอบถามนกั เรยี นถงึ ความรูค วาม เขาใจเกีย่ วกับศาสนพธิ ีทีน่ ักเรยี นไดศ ึกษามา ๒. ไมต่ อ้ งวงสายสญิ จน ์ ไมต่ อ้ งตงั้ ภาชนะสา� หรบั ท�าน้า� มนต์ 1 จากนัน้ ใหน ักเรยี นชว ยกันสรปุ ความรูที่ไดจาก การศกึ ษาเกีย่ วกบั ศาสนพิธี นกั เรยี นบันทึกการ ๓. เตรยี มสายสิญจน์หรือภูษาโยงตอ่ จากศพหรอื โกฎใส่กระดกู เพอื่ ใช้บงั สุกุล สรปุ ความรลู งในสมดุ การปฏิบัติน้ัน เมื่อพระสงฆ์มาถึง การทำาบุญในงานอวมงคล เมื่อพระสงฆ์แสดงพระธรรม แล้วก็คล้ายกับงานมงคล ต่างกันเพียงว่าใน เทศนาจบ เจา้ ภาพจะประเคนเคร่อื งไทยธรรมถวาย งานอวมงคลหลังจากพระสงฆ์ฉันเสร็จ นิยม ให้มบี งั สุกุล แล้วจงึ ถวายเครือ่ งไทยธรรม (การ 128 บังสุกุล คือ การถวายผ้า เช่น จีวร สังฆาฏิ หรือผ้ากราบแด่พระสงฆ์) ทั้งนี้การถวายผ้า บงั สกุ ลุ นไี้ มต่ อ้ งประเคนเพยี งถวายไวเ้ ฉพาะหนา้ แต่ท�าโดยทอดผ้าวางไว้บนสายสิญจน์ หรือ ภูษาโยงจากศพตรงหน้าพระสงฆ์แต่ละรูปตาม ล�าดับ ผู้ทอดผ้าจะเป็นคนเดียวหรือหลายคน ก็ได้ นักเรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’53 ออกเกยี่ วกบั การทําบญุ งานมงคล 1 บงั สกุ ุล ผาบังสุกุล หรอื บงั สกุ ลุ จีวร ในปจ จุบันมกั ใชเปน คํากริยา หมายถึง การทําบุญในงานมงคล เม่อื พระสงฆนง่ั ประจาํ อาสนะแลว การท่พี ระสงฆช กั เอาผาซึง่ เขาทอดวางไวท่ศี พ ทห่ี บี ศพหรอื ท่ีสายโยงศพ ซง่ึ ใน เจาภาพจดุ ธูปเทยี นบชู าพระ จะมกี ารอาราธนาใดบา ง ความหมายเดิม หมายถึง ผาทเ่ี กลอื กกลัว้ ดวยฝุน ผาทไ่ี ดม าจากกองฝนุ ซึง่ เขาทงิ้ 1. อาราธนาศลี แลว ตลอดถึงผา หอคลมุ ศพทเ่ี ขาทิง้ ไวใ นปาชา ไมใ ชผ าทีช่ าวบา นถวาย 2. อาราธนาพระสงฆ 3. อาราธนาพระธรรม มมุ IT 4. อาราธนาพระปริตร วเิ คราะหค าํ ตอบ การทําบญุ ในงานมงคล หลังจากพระสงฆนั่งประจํา ศกึ ษาคน ควาขอมลู วนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาตาง ๆ และฟง บทสวดมนต อาสนะ เจาภาพจดุ ธูปเทียนบชู าพระแลว มีการอาราธนาศีล อาราธนา และคาํ อาราธนาเพมิ่ เตมิ ไดท่ี http://www.buddhajayanti.net/th/index.php พระปรติ รตามลาํ ดบั ดงั นัน้ คําตอบคอื ขอ 1. และขอ 4. เวบ็ ไซตศูนยป ระชาสัมพันธการจัดงานฉลองพทุ ธชยนั ตี 2,600 ป แหง การตรัสรขู อง พระพทุ ธเจา กรมประชาสมั พันธ 128 คูม่ อื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา้ ใจ Expand เÊรÔÁÊารÐ ครใู หนกั เรยี นรวมกลมุ กัน กลุม ละ 4 คน เพื่อใหช วยกนั ศกึ ษาความรเู กย่ี วกับศาสนพิธี การกรวดนํา้ ในสว นของพธิ แี สดงตนเปน พทุ ธมามกะเพม่ิ เตมิ จากแหลงการเรยี นรอู ืน่ เชน หนังสอื หรือเว็บไซต การกรวดน้ำา หมายถึง การอุทิศส่วนกุศล อันพึงจะเกิดจากการทำาบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วโดยวิธีการ ของหนว ยงานที่เกีย่ วขอ งกบั การสง เสรมิ พระพุทธ- หล่ังน้าำ พรอ้ มกบั กลา่ วคำาอุทศิ (คาำ กรวดน้ำา) ศาสนา ผชู าํ นาญการประกอบพิธีกรรมทาง พระพุทธศาสนา รวมถงึ พระสงฆ แลว เขารว ม การกรวดนำา้ มีวัตถปุ ระสงค์และความสาำ คญั ดงั น้ี พิธกี ารแสดงตนเปนพุทธมามกะ หรือจัดทาํ ช้นิ ๑. เปน็ ประเพณที างพระพทุ ธศาสนาท่ยี ึดถอื ปฏบิ ตั ิสืบต่อกันมา งานเผยแพรค วามรูค วามเขาใจเก่ยี วกับแนวทาง ๒. เป็นการแสดงความกตัญูกตเวทขี องผู้ท่ยี ังมีชีวติ อย่ตู ่อผู้มีพระคณุ ที่ล่วงลบั ไปแล้ว การปฏิบัตติ นในพธิ แี สดงตนเปนพทุ ธมามกะตาม ๓. เปน็ การแสดงความเมตตาแก่ผู้ลว่ งลับไปแล้ว โดยผู้ที่ยังมชี ีวิตอยอู่ ทุ ิศส่วนกศุ ลไปให้ ความถนัดและความสนใจ เชน วดี ิทัศน โปรแกรม การนาํ เสนอ (Powerpoint) และสมดุ ภาพ เปน ตน สายโยง ตามการพิจารณาความเหมาะสมในการมอบหมาย ชิ้นงานหรอื ภาระงานของครผู ูสอน ในงานอวมงคลไม่มีการวงด้ายสายสิญจน์ และไม่ต้องตั้งภาชนะสำาหรับทำานำ้ามนต์ แต่มีสายโยงหรือภูษา โยงต่อจากศพ เพื่อใช้บังสุกุลในงานทำาบุญหน้าศพ สายโยงนี้ก็คือด้ายสายสิญจน์นั่นเอง แต่ไม่นิยมเรียกว่าสายสิญจน์ ตรวจสอบผล Evaluate เหมือนงานมงคล จะเรียกว่า สายโยง และการเดินสายโยงนี้มีหลักว่าจะโยงสูงกว่าพระพุทธรูปท่ีตั้งในพิธีไม่ได้ และจะ ปลอ่ ยใหล้ าดลงมากบั พน้ื ทเี่ ดนิ หรอื นง่ั กไ็ มไ่ ดด้ ว้ ย เพราะสายโยงนเี้ ปน็ สายทโ่ี ยงออกมาจากกระหมอ่ มของศพ จงึ ตอ้ งโยง ครูตรวจการปฏบิ ตั ติ นในพธิ แี สดงตนเปน ใหส้ งู พอสมควร พุทธมามกะของนักเรยี นแลวบันทกึ ลงในแบบ บันทึกผลการสงั เกต หรือช้ินงานเผยแพรค วาม การแต่งกายไปงานอวมงคล รแู นวทางการปฏิบัตติ นในพธิ ีแสดงตนเปน พทุ ธมามกะของนกั เรียน โดยพจิ ารณาความ การแตง่ กายไปงานอวมงคล ตามประเพณนี ยิ มชายแตง่ ชดุ สากลนยิ มสเี ขม้ สวมปลอกแขนทกุ ขท์ แ่ี ขนเสอ้ื ขา้ งซา้ ย ถูกตอ งเหมาะสม และความคลอ งแคลว ในการ เหนอื ขอ้ ศอก หรอื แตง่ กายชดุ ไทยพระราชทานสดี าำ ทง้ั ชดุ หรอื กางเกงสดี าำ หรอื สเี ขม้ เสอ้ื สขี าว หญงิ นงุ่ ผา้ ซน่ิ หรอื กระโปรง ปฏบิ ตั ิขั้นตอนตา งๆ ตามสมัยนยิ ม ควรเป็นสดี าำ ท้ังชดุ รองเทา้ ควรเปน็ รองเท้าหุ้มสน้ สดี าำ และไมค่ วรใส่เครอื่ งประดับใหม้ ากเกินเหตุ พระพุทธศาสนาไดกําหนดวันตางๆ ท่ีมีความสัมพันธเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา ข้ึนหลายวันใหชาวพุทธถือเปนวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา อาทิ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา วันอาสาฬหบูชา เปนตน ท้ังน้ีวันสําคัญเหลานี้นอกจากจะทําใหพุทธศาสนิกชน ไดระลึกถึงความสําคัญของพระพุทธศาสนา และพระพุทธเจาแลว ยังถือเปนโอกาสอันดีที่ พุทธศาสนิกชนจะไดปฏิบัติธรรม กระทําคุณความดีตามหลักคําสอนของพระพุทธองคอีกดวย ในวนั สาํ คัญดงั กลา วน้ี พทุ ธศาสนิกชนนยิ มไปวัดเพ่ือฟง ธรรม เวยี นเทียน หรือปฏิบตั ศิ าสนกจิ อน่ื ๆ ท่ีเหมาะสม ท้ังนี้กิจกรรมตางๆ ทางพระพุทธศาสนานี้เรียกวา ศาสนพิธี ดังนั้น ศาสนพิธีจึงเปน ส่ิงสําคัญที่พุทธศาสนิกชนควรศึกษาใหถองแท เพื่อจะไดเกิดความเขาใจและสามารถนําไปใชปฏิบัติ เพือ่ ไปรวมงานไดอยางถกู ตองเหมาะสม ÍµÚµÒ ËàÇ ªÔµí àÊÂÚâ 129 ª¹Ðµ¹¹èѹáËÅÐ´Õ (¾Ø·¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉµÔ ) ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู แนวคิดสําคัญจากการทาํ บญุ เลยี้ งพระในงานอวมงคลคอื อะไร ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนรทู ี่เนนพฒั นาใหนกั เรยี นมที กั ษะการคดิ และการฝก แนวตอบ แนวคิดสําคัญท่ไี ดจากการทําบญุ เล้ยี งพระในงานอวมงคล ปฏิบัติ กลาวคอื ครูควรใหน กั เรยี นวเิ คราะหแ ละอภิปรายถึงหลักธรรมทเ่ี กีย่ วเน่อื ง ซ่งึ ประกอบดวย งานทําบญุ หนา ศพ และงานทําบุญอัฐบิ รรพบรุ ุษผูลวง ในวันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาตา งๆ จากความรูเกีย่ วกับพุทธประวัตแิ ละ ลบั คือ การไมป ระมาทในการปฏบิ ัตดิ ีตอ กนั และกันในขณะท่ยี ังมีชวี ติ หลักธรรมที่นกั เรียนไดศึกษามา แลวนําไปประพฤตปิ ฏบิ ัตใิ นชีวิตประจาํ วนั ไดอยาง เนอ่ื งจากทุกชวี ิตอาจเผชิญกับความตายไดตลอดเวลา และไมสามารถ ถกู ตอ งเหมาะสม และมอบหมายใหนักเรยี นฝกปฏบิ ตั ติ นในพธิ กี รรมทางศาสนา เอือ้ เฟอ ชว ยเหลือกันไดด ังเชน ตอนมีชีวิตอยู โดยเฉพาะนักเรียนพงึ ปฏบิ ัติ ตางๆ โดยใชค วามรทู ไ่ี ดศึกษามา เชน การเขา รวมพิธีการเวียนเทยี น ทําบุญ ตนตามหลกั ทิศ 6 โดยเปนลูกท่ดี ขี องพอ แม เชื่อฟงคําส่ังสอน ตั้งใจศกึ ษา ตกั บาตรในวันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา ท้ังนี้ครเู ปน ผคู อยเสนอแนะเพ่มิ เตมิ เลา เรยี น ใชจา ยอยางประหยัด ชวยเหลืองานของทา นตามความสามารถ เพอื่ ใหน กั เรยี นเกิดความรคู วามเขาใจในหลักธรรมทีเ่ กี่ยวเนอื่ งในวนั สาํ คัญทาง ไมกอ ความเดอื ดรอนราํ คาญใหทาน ตลอดจนสรา งชื่อเสียง ความภาคภมู ิ พระพทุ ธศาสนาและสามารถปฏบิ ัติตนตามหลักธรรมดงั กลาว ตลอดจนปฏบิ ตั ติ น ใหแ กท า นและวงศตระกูลตามสมควร ในพธิ ีกรรมทางพระพุทธศาสนาไดอ ยา งถูกตอ งเหมาะสม คู่มอื ครู 129
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูตรวจสอบความถกู ตองในการตอบคําถาม คาปถระาจÓมหนว่ ยการเรยี นรู้ ประจาํ หนว ยการเรยี นรู ๑. ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้ามีใจความส�าคัญ คือ “ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท” หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู นักเรียนควรปฏิบัติอยา่ งไรจึงจะเปน็ ผู้ท่ีได้ชื่อวา่ ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท 1. ผลการวิเคราะหหลักธรรมหรือคติธรรม ๒. การเขา้ รว่ มพิธกี รรมทางศาสนาหรอื ศาสนพธิ ตี า่ งๆ มีความส�าคญั และมปี ระโยชน์อย่างไร ท่เี ก่ียวเนอ่ื งในวนั สําคญั ทางพระพุทธศาสนา ๓. การที่นักเรียนได้ศึกษาหลักธรรมที่เกี่ยวเนื่องในวันส�าคัญทางพระพุทธศาสนามีประโยชน์ 2. บันทกึ การปฏบิ ตั ิตนตามหลกั ธรรมหรอื คตธิ รรม ต่อตวั นกั เรยี นเองอยา่ งไรบ้าง ทเี่ กย่ี วเน่อื งในวนั สําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา 3. การปฏบิ ตั ติ นในพิธแี สดงตนเปน พุทธมามกะ หรือชนิ้ งานเผยแพรค วามรูแนวทางการปฏบิ ัติ ตนในพิธแี สดงตนเปนพทุ ธมามกะ 4. สมุดบนั ทึกของนกั เรียน กิจสรก้ารงรสมรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ กิจกรรมท่ี ๑ นักเรียนเขียนเล่าประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าร่วมในศาสนพิธีหรือ กจิ กรรมท่ี ๒ พิธีกรรมต่างๆ ตามศาสนาท่ีตนนับถือ รวมถึงประโยชน์ท่ีได้รับจากการ เขา้ ร่วมศาสนพิธีหรือพธิ ีกรรมดังกลา่ ว ออกแบบและท�าแผ่นพับแนะน�าเก่ียวกับวันส�าคัญ ส�าหรับนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติให้รู้จักพระพุทธศาสนามากขึ้น เนื้อหาอาจประกอบด้วย เหตุการณ์ที่ส�าคัญท่ีเกิดข้ึนในวันนั้น การปฏิบัติตนในวันส�าคัญทาง พระพทุ ธศาสนาของพทุ ธศาสนิกชน ฯลฯ สง่ ครูผสู้ อน 130 แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. การปฏิบัตติ นตามปจฉิมโอวาท คอื ความไมป ระมาท ในสถานภาพของนักเรยี นก็คอื การยังประโยชนข องตนเองใหถึงพรอมดว ยการตัง้ ใจศึกษาเลาเรียนและชวยแบง เบาภาระของบิดามารดาตามสมควร สว นการยังประโยชนแ กผอู น่ื น้นั นกั เรียนพงึ กระทําตามความสามารถ ความสนใจ และความเหมาะสม 2. การเขารวมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนามปี ระโยชนท ้ังทางตรงและทางออ ม กลา วคอื ประโยชนในทางตรง ไดแก การมีสว นชวยธาํ รงไวซ ่งึ พระพุทธศาสนาจากการเขา รวมพิธกี รรมตา งๆ เชน การถวายเครอ่ื งไทยธรรมแกพ ระสงฆ รวมถึงการมีสวนรว มกับกิจกรรมในทอ งถ่ินหรอื ศาสนิกในศาสนาเดียวกนั สวนประโยชนใ นทางออ มที่ สําคัญ ไดแก การนอมนาํ ใจสูพระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา และนาํ ไปสกู ารประพฤตปิ ฏิบตั ิไดอยางถูกตองเหมาะสม 3. มีสว นชวยใหต ระหนักถงึ คุณคา ของวนั สําคัญทางพระพทุ ธศาสนาในระดบั การดาํ เนินชวี ติ กลาวคอื เมื่อเกิดความรูค วามเขา ใจในหลกั ธรรมหรอื คตธิ รรมท่ีเก่ียวเนื่องกับ วันสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา ตลอดจนเทศกาลทางศาสนาอยา งถอ งแทแ ลว ก็จะสามารถนําหลกั ธรรมหรือคติธรรมนั้นไปปรับใชในชวี ิตท้งั ในสว นของการแกป ญ หาหรือ พฒั นาตนเองไดอ ยา งถูกตองเหมาะสม อนั นาํ ไปสูค วามสุขความเจริญทั้งชวี ติ สว นตวั และสังคมสวนรวมไดในทีส่ ุด 130 คู่มอื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. สามารถบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญ ญาตามหลัก สติปฏ ฐานได 2. ปฏบิ ัติตนในการพัฒนาชวี ิตดวยวธิ คี ิดแบบ โยนิโสมนสิการได สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแกป ญ หา 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ิต ๗˹Nj ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙ·Œ èÕ á¡ÅÒÐáºÒÃÃà¨ËÔ ÃÔ-Òû˜-¨Ôµ- Ò คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค 1. ใฝเ รยี นรู 2. อยอู ยา งพอเพยี ง 3. มงุ มนั่ ในการทํางาน Á¹ØÉÂÁÕʋǹ»ÃСͺÊíÒ¤ÑÞ ò ʋǹ ¤×Í Ã‹Ò§¡Ò¡Ѻ¨Ôµã¨ ʋǹËҧ¡Ò¹éѹàÃÒµŒÍ§àÍÒã¨ãÊ‹ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ´ÙáÅ ºíÒÃØ§àÅÕé§´Ù´ŒÇ¢ŒÒÇ»ÅÒÍÒËÒÃÍ‹ÙàÊÁÍ ¨Ö§à¨ÃÔÞàµÔºâµä´Œ ʋǹ¨Ôµã¨¹Ñ鹡経ͧËÒÍÒËÒÃÁÒ ครใู หนกั เรยี นพจิ ารณาภาพการเดินจงกรมที่ ºÒí Ã§Ø àÅÕé§´´Ù ŒÇÂઋ¹¡Ñ¹ ËÒäÁ‹áÅŒÇÍÒ¨à¡Ô´¡Òà “¾Ô¡Ò÷ҧ¨Ôµ” ä´Œ หนาหนวยการเรยี นรู แลว ต้ังคําถามถงึ ประโยชน และความสําคัญของการบริหารจิตทม่ี ีลักษณะ ¡Òýƒ¡ÊÁÒ¸àÔ »¹š ¡ÒÃãËŒÍÒËÒ÷ÕÁè ¤Õ Ø³ÀҾᡋ¨Ôµã¨ÍÂÒ‹ §Ë¹§èÖ ¨µÔ 㨷èäÕ ´ÃŒ Ѻ¡ÒúÒí ÃØ§Ã¡Ñ ÉÒ´ŒÇ กระตนุ ความสนใจใหน กั เรียนชวยกนั ตอบ เชน ÊÁÒ¸Ô Â‹ÍÁ¨ÐÁÕ¤ÇÒÁºÃÔÊØ·¸Ôì ÊÐÍÒ´ Áդس¸ÃÃÁ ÁÕ¤ÇÒÁࢌÁá¢ç§ ÁÕ»ÃÐÊÔ·¸ÔÀҾ㹡Ò÷íÒ§Ò¹ ÁÕ¤ÇÒÁ¼Í‹ ¹¤ÅÒ â»Ã‹§ àºÒ ʧºÊØ¢ ¤ÇÃá¡‹¡Òþ²Ñ ¹Ò§Ò¹·Ò§Êµ»Ô ˜ÞÞÒ ¤Í× ¨Ð͋ҹ¿§˜ ËÃÍ× È¡Ö ÉÒ • การบริหารจติ มคี ุณคา หรือประโยชนอ ยา งไร ÊèÔ§ã´ ¤´Ô äµÃµ‹ ÃͧÊÔè§ã´ ¡¨ç Ðà¡´Ô ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁà¢ÒŒ 㨠áÅФÇÒÁªíÒ¹ÒÞä´âŒ ´ÂäÁ‹ Ò¡ (แนวตอบ การบรหิ ารจติ มคี ณุ คา ในการ ระงบั นิวรณ หรอื คณุ คา ในทางธรรม อนั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู กนกลาง เปน จดุ มุง หมายสูงสดุ ของพระพทุ ธศาสนา โดยสามารถขจัดกิเลสท่ีปด กั้นจิตใจมิให ส ๑.๑ ม.๔/๑๙, ๒๐ ■ พฒั นาการเรยี นรดู ว ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร ๑๐ วธิ ี พัฒนาสงู ได อันนําไปสปู ญญาในการรแู จง ■ เห็นคุณคา เช่ือมั่น และมุงมั่นพัฒนาชีวิตดวยการพัฒนาชีวิต - วธิ คี ดิ แบบรเู ทา ทนั ธรรมดา (คดิ แบบสามญั ลกั ษณะ) ความจรงิ สูงสุด และมีประโยชนใ นระดบั - วธิ คี ดิ แบบเปน อยใู นขณะปจ จบุ นั การดําเนนิ ชวี ติ หรือในทางโลก ชว ยใหมี ดว ยการพฒั นาจติ และพฒั นาการเรยี นรดู ว ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ ส- คณุ ภาพในการเรียนรูส่ิงตางๆ อันนาํ ไปสู มนสิการ หรือการพัฒนาจิตตามแนวทางของศาสนาที่ตน ■ รแู ละเขาใจวิธีปฏิบัติและประโยชนของการบริหารจิตและเจริญ ปญญาในการแกปญหาและพฒั นาชีวิตให นบั ถือ ปญ ญา ประสบความสาํ เรจ็ ได) ■ สวดมนต แผเมตตา และบริหารจิตและเจริญปญญาตามหลัก - ฝก การบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญ ญาตามหลกั สตปิ ฏ ฐาน สติปฏ ฐานหรอื ตามแนวทางของศาสนาทตี่ นนับถือ - นาํ วธิ กี ารบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญ ญาไปใชใ นการพฒั นา การเรยี นรู คณุ ภาพชวี ติ และสงั คม เกร็ดแนะครู ครคู วรจัดกจิ กรรมการเรยี นรทู เี่ นน การพัฒนาทักษะกระบวนการ เชน ทกั ษะ การคิดแกป ญ หา ทักษะการฝก ปฏบิ ัติ และกระบวนการกลุม เพือ่ ใหนกั เรยี น เหน็ คณุ คา เชอ่ื มนั่ และมุงมนั่ พฒั นาชีวิตดวยการพัฒนาจติ และพัฒนาการเรยี นรู ดว ยวิธคี ดิ แบบโยนโิ สมนสิการ และบริหารจติ และเจรญิ ปญ ญาตามหลักสติปฏ ฐาน ดงั ตัวอยางตอไปน้ี • ครูใหนกั เรียนศกึ ษาความรเู กีย่ วกับการบรหิ ารจิตจากหนงั สอื เรยี นและแหลง การเรยี นรูท่คี รเู สนอแนะ แลว อธิบายความรูโ ดยการเขียนรายละเอยี ดลงใน ตารางและจัดทาํ ผังกราฟกบนกระดานหนาช้ันเรยี น จากนัน้ จับคูเพ่ือชว ย กนั ศกึ ษาคน ควาเพม่ิ เตมิ และเตรียมการสาธิตการบรหิ ารจิตดวยวธิ ีการนัง่ กาํ หนดหรือน่งั สมาธิ และการเดนิ จงกรม พรอ มทั้งฝกปฏิบตั ิในชวี ติ ประจาํ วนั เปนรายบุคคล แลว จัดทาํ เปน บนั ทึกการฝก ปฏบิ ัติตน คมู่ อื ครู 131
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Elaborate Evaluate Explore Explain สา� รวจคน้ หา Explore ครูสนทนารว มกันกบั นกั เรียนถึงความรูท ่วั ไป เกี่ยวกบั การบริหารจติ และประโยชนของการบริหาร ๑. การบริหารจิต จติ ท่นี กั เรียนเคยศกึ ษาและฝก ปฏิบัตมิ า โดยอาจ ใหนักเรียนทส่ี มคั รใจเลา ประสบการณก ารฝก การบริหารจิต คือ การฝึกจิตให้มีสมาธิ หรือการฝึกสมถกรรมฐาน “สมาธิ” หมายถึง บริหารจติ และผลท่ีไดรบั ของตน แลว ใหน กั เรยี น ความตั้งม่ันแห่งจิต หรือภาวะท่ีจิตมีเรื่องที่คิดเป็นหนึ่ง หรืออาการที่จิตแนบแน่นอยู่กับส่ิงใด ศึกษาความรเู ก่ยี วกับการบรหิ ารจติ ท้งั ในสว นของ สง่ิ หนง่ึ นานๆ ประโยชนของการบริหารจติ การบริหารจิตตาม ๑.๑ ประโยชน์ของการบรหิ ารจติ หลกั สตปิ ฏ ฐาน จากหนงั สือเรยี น หนา 127-137 และใบความรทู ่ีครจู ัดทําข้ึนโดยรวบรวมขอมูลจาก การบริหารจติ ดว้ ยการทำาสมาธิมปี ระโยชน์มากมาย ดังนี้ แหลง การเรียนรตู า ง ๆ เชน หนงั สอื เกี่ยวกับการ ๑) ประโยชนข์ องการบรหิ ารจติ ระดบั ชีวิตประจำาวัน เชน่ บริหารจติ ในหอ งสมดุ พระหรือผเู ช่ียวชาญดานการ ๑. ท�ำให้จิตใจสบำยหำยเครยี ด มคี วำมสุขผ่องใส บริหารจติ รวมถึงเว็บไซต อาทิ http://edltv.thai. ๒. หำยจำกกำรวติ กหวำดกลวั หำยกระวนกระวำย net/index.php?mod=Courses&lfi e=showcontent ๓. นอนหลับง่ำย หลับสนิทไม่ฝันร้ำย สั่งตัวเองได้ เช่น ก�ำหนดให้หลับได้ ตื่นตำมเวลำ &cid=223&sid=210 เว็บไซตโครงการจดั ทาํ เน้ือหา ทต่ี ้องกำร ระบบ e-Learning ของการศกึ ษาทางไกลผาน ๔. มีควำมว่องไวกระฉับกระเฉง รจู้ ักกำรตดั สินใจเหมำะแก่สถำนกำรณ์ ดาวเทียม มลู นธิ ิการศึกษาทางไกลผานดาวเทียม ๕. มีควำมเพียรพยำยำมแน่วแนใ่ นจุดหมำย มคี วำมใฝ่สัมฤทธสิ์ ูง ๖. มีสติสมั ปชัญญะรู้เทำ่ ทันปรำกฏกำรณ์ ยับย้งั ชง่ั ใจได้ดีเยี่ยม อธบิ ายความรู้ Explain ๗. มปี ระสทิ ธภิ ำพในกำรทำ� งำน เช่น เรยี นหนงั สอื เก่ง ท�ำกิจกำรงำนทุกอยำ่ งสำ� เร็จดี ๘. ส่งเสริมควำมจำ� และสมรรถนะทำงสมอง ครสู นทนารวมกนั กับนกั เรยี นถงึ ความรทู ัว่ ไป ๙. เกือ้ กูลแกส่ ภำพทำงกำย เช่น ชะลอควำมแก ่ คือ ดูออ่ นกว่ำวยั เกย่ี วกบั การบริหารจติ ท่นี ักเรียนศกึ ษามา แลว ตงั้ ๒) ประโยชน์ของสมาธใิ นการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ มดี งั ต่อไปน้ี คาํ ถามเกี่ยวกับความหมายของการบริหารจติ ให นักเรียนชว ยกันตอบ เชน • การบริหารจิตกบั สมาธิมคี วามเกย่ี วของ ๑. ทำ� ให้มีบคุ ลิกเขม้ แขง็ หนักแน่นมัน่ คง สัมพันธกนั อยางไร ๒. มคี วำมสงบเยือกเย็น ไม่ฉุนเฉียวเกร้ยี วกรำด (แนวตอบ สมาธเิ ปน ภาวะทเ่ี กิดข้นึ จากการฝก ๓. มคี วำมสุภำพนุ่มนวล ท่ำทีมีเมตตำ บรหิ ารจิตดวยวธิ ีการตา งๆ เปน ภาวะอาการ ๔. สดช่ืนผอ่ งใส ยิ้มแย้ม เบิกบำน ๕. สงำ่ องอำจ น่ำเกรงขำม ท่จี ิตแนบแนน อยูกบั ส่งิ ใดสง่ิ หน่งึ นานๆ จึงมี ๖. มเี สน่หด์ งึ ดูดใจ ประโยชนท ง้ั ในระดับชีวิตประจาํ วัน คอื ชวย ๗. มคี วำมมนั่ คงทำงอำรมณ์ สง เสริมใหเปน ผูม ีปญญาในการดําเนนิ ชีวิต ๘. กระฉบั กระเฉง กระปรีก้ ระเปรำ่ ไม่เซอื่ งซึม และมีคณุ คา อยา งยิ่งในระดับจดุ มุงหมายทาง ๙. พรอ้ มเผชิญเหตุกำรณ์ตำ่ งๆ สำมำรถแกไ้ ขสถำนกำรณ์คับขันได้ พระพุทธศาสนา คอื ชวยระงับกเิ ลสท่ขี ัด ๑๐. มองอะไรทะลุปรโุ ปรง่ รับรอู้ ะไรไดไ้ ว รู้จักตนเองและผู้อืน่ ตำมควำมจริง ขวางการพัฒนาจิตใหเกดิ ปญญาอันนําไปสู 132 การคน พบความจรงิ และการหลดุ พน จากทกุ ข ของชีวิตได) ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับการบริหารจิตตามหลกั สติปฏ ฐาน ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรียนรูทีเ่ นนการฝก ปฏบิ ัตแิ ละการนําไปประยกุ ตใชใน การบริหารจติ โดยวธิ อี านาปานสติ อยูในสตปิ ฏฐานใด ชีวติ ประจาํ วนั ของนักเรียน ท้ังในสวนของการบรหิ ารจิตตามหลกั สติปฎ ฐาน และ 1. กายานปุ สสนา การเจริญปญญาตามหลักโยนิโสมนสกิ าร โดยอาจนาํ กรณตี ัวอยา งของบุคคลที่ 2. เวทนานปุ สสนา บริหารจิตตามหลักสติปฎ ฐาน ซง่ึ มสี วนชว ยสงเสรมิ ใหป ระสบความสาํ เร็จในดาน 3. จติ ตานปุ ส สนา ตา งๆ และขาวของบคุ คลท่ีเจริญปญญาตามหลักโยนโิ สมนสิการ ซ่ึงมีสวนชว ย 4. ธมั มานปุ สสนา ใหส ามารถแกป ญหาหรอื พฒั นาตนเองไดอยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ ควรยดึ ถือเปน แบบอยาง เพ่ือใหนักเรียนตระหนกั ถงึ ประโยชนและคณุ คาของการบริหารจิตและ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. กายานปุ สสนา เปนการบริหารจิตดวย เจรญิ ปญ ญาในทางพระพุทธศาสนาและสามารถนาํ ความรูความเขาใจไปใชใหเ กดิ ประโยชนแกต นเองและสงั คมตอไป การพิจารณากาย โดยอานาปานสตเิ ปนการบริหารจิตจากการกําหนดลม หายใจเขา ออกโดยอาการตา งๆ ซ่ึงอาจภาวนายบุ หนอ-พองหนอ พุท-โธ หรอื ใชหมายเลขกาํ กับกไ็ ด 132 คมู่ อื ครู
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูใหนักเรียนทสี่ มัครใจ 2-4 คน ออกมาชว ย กันอธบิ ายความรเู กี่ยวกับประโยชนข องสมาธิ ท่แี นบแน่นถึง๓ระ)ดปับร“ะอโยปั ปชนนาข์ สอมางธส”ิ ม1หาธรอืทิ สเ่ี มปาน็ ธจิระดุ ดหบั มฌาานยขผอไู้ งดศ้สมาาสธนิราะดบั รนะดีจ้ บัิตในจห้ี จมะสายงบเอแานสว่มแานธิ่ ในระดับชีวิตประจําวันทหี่ นา ช้นั เรียน โดยการ เขยี นรายละเอียดลงในตารางบนกระดานซึ่ง มาก สามารถระงับ “นิวรณ์” (กิเลสที่ปิดกั้นจิตมิให้พัฒนาสูงขึ้น) ได้หมด พร้อมจะนำาไปสู่ ครูกําหนดหัวขอสาํ คญั ไว เชน ประโยชนดา น ปญั ญาเห็นแจ้งความจริงสงู สุด อันเป็นจดุ หมายสงู สุดทางพระพทุ ธศาสนา สุขภาพจติ และประโยชนด านสุขภาพกาย หรอื ๑.๒ การบริหารจิตตามหลักสติปฏั ฐาน ประโยชนด า นจิตใจและอารมณแ ละประโยชน ดานบคุ ลิกภาพ แลวใหน ักเรยี นในชั้นเรียน ๑) ความหมายของสตปิ ฏั ฐาน สตปิ ฏั ฐาน คอื การใชส้ ตกิ าำ กบั ๔ เรอ่ื งดว้ ยกนั ชวยกนั วเิ คราะหถ ึงรายละเอียดและประโยชน ดังน้ี ๑.๑) กายานปุ ัสสนา คอื การพิจารณากาย2มีหลกั การ ดงั นี้ ในดา นอ่ืนๆ เพม่ิ เติม 2. ครสู มุ นกั เรยี น 1 คน ใหอธบิ ายความรเู กี่ยว กับประโยชนข องการบรหิ ารจิตในระดบั ทสี่ ูง ๑. อำนำปำนสต ิ คอื ไปในทีส่ งัด นง่ั ขัดสมำธิ ตั้งกำยตรง ใช้สติกำ� หนดลมหำยใจเข้ำออก กวา การดําเนนิ ชวี ติ ประจําวนั ไดแก ระดบั โดยอำกำรต่ำงๆ จุดมงุ หมายทางพระพุทธศาสนา โดยการใช คาํ ถาม แลวใหนกั เรยี นในชน้ั เรียนชวยกันเพิม่ ๒. ก�ำหนดอริ ิยำบถ คอื รขู้ ณะท่ียนื เดนิ นัง่ นอน หรอื รำ่ งกำยอยู่ในอำกำรอย่ำงไร ก็รูช้ ัด ในกำรทีเ่ ปน็ อยู่น้ัน เตมิ รายละเอยี ดของประโยชนข องการบริหาร ๓. สมั ปชญั ญะ คือ สร้ำงควำมรู้ตวั ท่ัวพร้อมในควำมเคลอ่ื นไหวทุกอยำ่ ง เช่น กำรก้ำวเดนิ จิตที่ชวยสง เสริมใหบ คุ คลบรรลุจุดหมายของ กำรเหลียวมอง กำรเหยียดมอื เหยียดเทำ้ กำรนุ่งหม่ กิน ดืม่ เคี้ยว อจุ จำระ ปสั สำวะ ศาสนาลงในตารางแสดงประโยชนของการ กำรตื่น กำรหลบั ฯลฯ ๔. ปฏิกูลมนสิกำร คือ พิจำรณำร่ำงกำยต้ังแต่ศีรษะจรดปลำยเท้ำ ให้เห็นควำมไม่สะอำด บรหิ ารจิตบนกระดานหนา ชัน้ เรยี น ทัง้ นคี้ ํานึง มีปฏกิ ลู มำกมำย ถึงความถกู ตอ งเหมาะสมตามหลักการใช ๕. ธำตุมนสิกำร คือ พิจำรณำร่ำงกำยของตน แยกส่วนประกอบเป็นธำตุ ๔ แต่ละอย่ำง ตารางในการแสดงรายละเอียดและความรู คอื ดนิ น้ำ� ลม ไฟ เกย่ี วกบั ระดบั ของประโยชนใ นการบริหารจติ ๖. นวสีวถิกำ คือ พิจำรณำซำกศพในสภำพต่ำงๆ ๙ ระยะ ตั้งแต่ตำยใหม่ๆ ไปจนถึง 3. ครูใหน ักเรียนชวยกันยกตัวอยา งประโยชนของ กระดูกผเุ ป็นจุณ ยอ้ นนกึ ถงึ ตวั เองว่ำจะตอ้ งเป็นเช่นน้นั เหมอื นกนั การบริหารจติ ในระดบั จดุ หมายของพระพุทธ- ๑.๒) เวทนานุปสั สนา คอื พจิ ารณาเวทนา เม่อื เกิดความรู้สกึ สุข ทุกข์ เฉยๆ ศาสนาจากพุทธประวตั ิ และประวัติพุทธสาวก พทุ ธสาวิกา เชน การตรสั รูข องพระพุทธเจา อย่างไรก็ใหร้ เู้ ท่าทันตามอาการท่ีเปน็ อยนู่ ั้น จากการบําเพญ็ เพยี รทางจิต ทําใหพ ระองค ๑.๓) จิตตานุปัสสนา คือ พิจารณาดูจิตของตนในขณะน้ันๆ ว่าอยู่ในภาวะ ทรงคน พบความจรงิ อนั ประเสรฐิ ของชวี ติ และ แนวทางดบั ทกุ ขข องชวี ติ เปน สมเดจ็ พระสมั มา- อยา่ งไร เช่น มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีราคะ ไมม่ ีโทสะ ไมม่ โี มหะ ฟ้งุ ซา่ น มีสมาธิ หลุดพ้น สัมพทุ ธเจา ผูต รัสรชู อบดว ยตนเองโดยแท ไมห่ ลุดพ้น โดยรูช้ ัดตามท่ีมนั เปน็ อยู่ในขณะน้ันๆ จากนน้ั ใหน ักเรียนชว ยกันสรุปสาระสําคัญของ ๑.๔) ธมั มานุปสั สนา คือ พจิ ารณาธรรมะต่างๆ ดังน้ี ประโยชนใ นการบรหิ ารจิต รวมถึงตวั อยา ง 133 ประโยชนข องการบริหารจติ ในระดบั จดุ หมาย ของพระพทุ ธศาสนาจากพทุ ธประวตั แิ ละประวตั ิ บคุ คลอื่นๆ ขางตน นกั เรียนบนั ทกึ ลงในสมุด ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกยี่ วกับจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน นกั เรยี นควรรู ขอใดคือความหมายของ “จิต” ในจิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน 1 อัปปนาสมาธิ สมาธแิ นวแน จิตตงั้ มั่นสนทิ เปน สมาธิในระดบั ฌาน สวน 1. ธรรม อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแนวแน สมาธทิ ี่ยังไมด ง่ิ ถงึ ทสี่ ดุ เปนขนั้ ทําใหกเิ ลสมี 2. อารมณ นวิ รณเ ปนตน ระงับ กอ นจะเปน อปั ปนา คอื ถึงฌาน 3. ความรูสึก 4. ความนกึ คิด 2 การพิจารณากาย เปนแนวทางสาํ คัญของการบริหารจติ ตามหลักสติปฎ ฐาน วเิ คราะหค ําตอบ จติ ตานปุ ส สนาสตปิ ฏฐาน คอื การพิจารณาจิตของ อยางไรกต็ ามการบรหิ ารในทางพระพทุ ธศาสนามหี ลายหลักการดวยกนั โดยท่ัวไป ตนเองในขณะนัน้ ๆ วา อยูในภาวะอยา งไร เชน ฟุง ซา น มสี มาธิ หรือโมโห เชน กสิณ แปลวา วตั ถอุ นั จงู ใจ หมายถงึ จงู ใจใหเ ขา ไปผกู อยู เปน ช่ือของกัมมัฏ- โดยใหรชู ดั ตามทเ่ี ปน อยูในขณะนัน้ ๆ ดังน้นั คาํ ตอบคอื ขอ 2. ฐานทใ่ี ชวตั ถสุ ําหรบั เพง เพอื่ จูงจติ ใหเ ปน สมาธิ มี 10 ชนดิ คอื ภูตกสณิ 4 ไดแ ก ปฐว-ี ดนิ อาโป-นาํ้ เตโช-ไฟ วาโย-ลม และวรรณกสณิ ไดแ ก นลี -ํ สเี ขยี ว ปต -ํ สเี หลอื ง โลหิต-ํ สีแดง โอทาต-ํ สขี าว อาโลโก-แสงสวา ง และอากาโส-ทว่ี าง คู่มอื ครู 133
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ครูสนทนารวมกนั กบั นักเรียนถึงความรูทวั่ ไป ๑. นิวรณ ์ คือ รชู้ ัดว่ำนวิ รณแ์ ต่ละอย่ำงมใี นใจหรือไม่ เชน่ มีกำมฉนั ทะ (ควำมใครใ่ นกำม) เกย่ี วกับการบรหิ ารจิตตามหลกั สตปิ ฏฐานท่ี พยำบำท (ควำมปองรำ้ ยในเขำ) เปน็ ตน้ แต่ละอย่ำงเกดิ ขึน้ ในจิตใจเรำไดอ้ ย่ำงไร ละได้ นกั เรียนไดศ กึ ษามา เชน ความหมาย ความ หรือไม่ ละได้ดว้ ยอำกำรอย่ำงไร โดยรู้ชดั ตำมควำมเปน็ จริงในขณะนน้ั ๆ สาํ คัญ และประเภท แลวครใู หนกั เรียนจัดทํา ผังกราฟกเก่ยี วกับการบริหารจติ ตามหลักสติ- ๒. ขนั ธ์ คือ กำ� หนดรู้ขันธ์หำ้ แต่ละอย่ำงคอื อะไร เกิดข้ึนไดอ้ ยำ่ งไร ดับได้อยำ่ งไร ปฏฐานในรูปแบบตา งๆ ตามความสนใจของ ๓. อำยตนะ คือ รู้ชัดอำยตนะภำยใน อำยตนะภำยนอกแต่ละอย่ำง รู้ชัดสังโยชน์ (กิเลส ตน เพ่ือเตรียมการอธบิ ายความรูตอ ไป ๔. โรพอ้ ชยรฌดั งใคจ1 ์) คทือ่เี กรดิ ู้ชขัดึ้นใเนพขรณำะะอนำ้นัศวยั ำ่อ ำโยพตชนฌะงนคัน้ ์ ๆ(อ งเกคิด์ปขร้ึนะกอยอำ่บงแไหรง่ ลกะำรไดตห้รัสรรือู้)ไ มเ่ไกดิดอ้ ขยึ้น่ำหงไรรือไม่ 2. ครูสอบถามนักเรยี นถึงการจัดทาํ ผังกราฟก เกี่ยวกับการบรหิ ารจติ ตามหลักสติปฏ ฐาน ใน เกดิ ขน้ึ อย่ำงไร เกดิ ขึ้นแล้วเจรญิ เตม็ ท่หี รอื ไมอ่ ย่ำงไร ประเดน็ ของการจดั ระบบความคิด การเลอื ก ๕. อรยิ สจั คอื รชู้ ดั อรยิ สจั สแ่ี ตล่ ะอยำ่ งตำมควำมเปน็ จรงิ วำ่ คอื อะไร เป็นอย่ำงไร ใชผ ังกราฟก และความรคู วามเขาใจในสาระ สําคญั ภายหลงั จากการจดั ทาํ ผงั กราฟกของ ๒) วธิ ีการบริหารจิตตามหลักสติปัฏฐาน มีดงั ต่อไปนี้ นกั เรยี น แลว สุมนกั เรียน 4 คน ใหออกมา ๒.๑) การนั�งกำาหนด คือ น่ังสมาธิ โดยน่ังตัวตรง เท้าขวาทับเท้าซ้าย ให้ อธบิ ายความรเู ก่ียวกับลักษณะของการบรหิ าร จติ ตามหลกั สตปิ ฏฐานทั้ง 4 ทห่ี นา ชั้นเรยี น น้ิวชี้และหัวแม่เท้าขวาวางบนขาซ้ายตามรอยพับขา ส่วนอีก ๓ นิ้วจะอยู่ในช่องขาซ้ายที่งอพับ โดยใชผ ังกราฟก ทตี่ นจดั ทําประกอบ ตาม ลาํ ดับดังตอ ไปน้ี เข้ามาไว้ก่อน แล้วยืดกายให้ตรง เหยียดแขนตรงไปหาเข่าให้มือกุมเข่าทั้ง ๒ ข้าง อย่าแหงน • กายานุปส สนา • เวทนานุปส สนา หน้าผากมาก แล้วยกมือซ้ายกลับมาวางหงายตรงระหว่างข้อเท้า แล้วยกมือขวาจากเข่ามาวาง • จิตตานุปสสนา • ธมั มานปุ ส สนา หงายทับลงบนมือซ้ายให้หัวแม่มือชนกันพอจรดกัน ท่านี้หลังจะตรง กระดูกสันหลังจะอยู่ในท่ี 3. ครเู สนอแนะขอควรปรับปรงุ หรอื พัฒนาในการ ของตนไมโ่ ค้งงอ แล้วเรมิ่ ทำาความรตู้ ัวว่าดูรปู นั่ง กาำ หนดว่า “น�งั หนอๆ” จัดทําผังกราฟกเพือ่ อธิบายความรูเกีย่ วกับการ บรหิ ารจติ ตามหลักสติปฏ ฐานใหสมบูรณยิ่งขน้ึ พึงหลับตาตั้งสติไว้ แกนกั เรยี นทงั้ 4 คน แลว ใหน ักเรยี นทส่ี มคั ร ใจนําเสนอผลงานการจัดทาํ ผงั กราฟกของตน ท่ีหน้าท้อง เมื่อหายใจเข้าลมจะเข้าไปในปอด ทห่ี นา ช้ันเรยี น จากนนั้ ครแู ละนักเรียนสรุป ความรแู ละสาระสําคญั โดยการชว ยกันจัดทํา ปอดจะแฟบลง ทำาให้หน้าท้องยุบลงด้วย ผงั กราฟก ความรูเก่ียวกบั การบริหารจิตตาม หลกั สตปิ ฏ ฐานท่ถี กู ตองเหมาะสมบนกระดาน ให้กำาหนดรู้อาการพอง-ยุบของท้องด้วยว่า นกั เรียนบันทกึ ลงในสมุด (ภาวนาในใจไม่ต้องออกเสียง) “พองหนอ ยุบหนอๆ ๆ” เพื่อให้รู้ปรมัตถสภาวะซ่ึงปรากฏ เองตามธรรมชาติ อย่าพยายามสูดลมแรง ใหป้ ลอ่ ยไปเองตามธรรมชาติ การนั่งกำาหนดแบบนี้ เป็นการปฏิบัติในสติปัฏฐานข้อแรก คือ กายา การนั่งกำาหนดจิตเป็นขั้นตอนหน่ึงในการบริหารจิต นปุ สั สนา สตปิ ฏั ฐาน กลา่ วคอื มสี ตสิ มั ปชญั ญะ ตามหลักสตปิ ฏั ฐาน กำาหนดรู้การกระทำาของร่างกาย ให้กำาหนดรู้ 13๔ เกร็ดแนะครู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’53 ออกเกย่ี วกบั การพจิ ารณาเวทนาในสตปิ ฏฐาน ครูควรเตรยี มวดี ิทัศน ภาพ หรือสาธิตวธิ ีการบรหิ ารจิตตามหลกั สติปฎ ฐานทง้ั การฝกสตปิ ฏ ฐานข้นั พิจารณาเวทนาคอื อยา งไร ในสว นของการนงั่ กําหนดหรือการน่งั สมาธิ และการเดนิ จงกรม เพอ่ื ใชป ระกอบ 1. รูเทา ทนั ความรูสึก สุข ทกุ ข หรือเฉยๆ กจิ กรรมการเรียนรูใ นข้นั ตอนท่ีเหมาะสม เพอื่ กระตุนใหน ักเรยี นเกิดความสนใจใน 2. กาํ หนดรูว าอิรยิ าบถขณะนนั้ เปนอาการใด กิจกรรมการเรียนรู และมีความรคู วามเขา ใจวิธีการบรหิ ารจิตตามหลักสตปิ ฎ ฐาน 3. กาํ หนดรวู าขันธ 5 คืออะไร เกดิ ดับไดอ ยา งไร ถกู ตองชดั เจนยง่ิ ขึ้น อันจะนําไปสกู ารฝกปฏบิ ตั ใิ นชีวิตประจําวันที่จะสงผลดดี า น 4. พิจารณาดจู ติ ของตนวา มี ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม การศกึ ษาเลา เรียน การประกอบกิจกรรมตางๆ และการพัฒนาตนเอง ครอบครวั วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. รเู ทาทันความรูสกึ สุข ทกุ ข หรอื เฉยๆ รวมถึงสังคมตอไปในอนาคต เน่ืองจากความรูสึกดงั กลาว คอื เวทนา น่นั เอง การพิจารณาเวทนากค็ อื การรูเทา ทนั ความรสู กึ ตา งๆ นกั เรยี นควรรู 1 โพชฌงค ธรรมทีเ่ ปนองคแหงการตรัสรู หรือองคข องผตู รสั รูมี 7 ประการ คอื สติ ธมั มวจิ ยะ (การสอดสอ งเลอื กเฟน ธรรม) วริ ยิ ะ ปต ิ ปส สทั ธิ สมาธิ และอเุ บกขา 134 คู่มอื ครู
กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครสู นทนารวมกันกบั นกั เรยี นถึงวธิ ีการบริหาร จิตตามหลักสติปฏ ฐานท่นี กั เรียนไดศึกษาและ อารมณป์ จั จุบนั ใหท้ นั ใหร้ วู้ ่าขณะนกี้ ำาลังดูนามอะไร หรอื ดรู ปู อะไรอยู่ นามรูปนน้ั เป็นอันเดยี วกัน ฝก ปฏิบัติมา ซ่งึ ไดแก การนั่งกาํ หนดหรอื การ หรือคนละอนั เชน่ พองกบั ยบุ ว่ามิใชเ่ ป็นรูปเดยี วกนั แต่เกดิ ตดิ ตอ่ กัน เป็นแต่ไม่เทยี่ ง บางคร้ัง นัง่ สมาธิ รวมถงึ การเดินจงกรม แลวสอบถามถึง กพ็ องเรว็ ยบุ เรว็ บางครง้ั กย็ บุ ลงไปนาน เปน็ ตน้ ประสบการณก ารฝกปฏบิ ตั แิ ละผลท่ีไดร ับ จากน้นั ครูใหนกั เรยี นจับคูกันตามความสมัครใจ เพ่อื ชว ย ๒.๒) การเดินจงกรม คือ กนั อธิบายความรูเ กยี่ วกับวธิ ีการบริหารจิตตาม การปฏิบัติกรรมฐานตามแบบสติปัฏฐานใน หมวดอิริยาบถปัพพะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า หลกั สตปิ ฏ ฐาน ทั้งในสว นของการนง่ั กาํ หนดหรือ “เมื่อเดินอยู่ก็ให้รู้ตัวว่าเดินอยู่” คือ มี การน่งั สมาธิ และการเดนิ จงกรม โดยสนทนาแลก เปลี่ยนความรซู ึง่ กันและกนั แลว ต้งั คําถามเตรยี ม สติสัมปชัญญะระลึกได้ก่อนทำาและขณะที่ยก ไวเพอ่ื ใหน ักเรียนคอู น่ื ชวยกันตอบ ครสู มุ นกั เรยี น เท้าก้าวไปแต่ละก้าวก็ให้รู้ตัวอยู่ว่า การท่ีก้าว ทีละคูใหออกมาถามคาํ ถามของคตู นแลว สมุ ให นักเรยี นคอู นื่ ในชนั้ เรียนชว ยกนั ตอบ ตวั อยางขอ เท้าไปได้หรือหยุดได้ หันกลับได้ ด้วยอำานาจ คําถามเชน ของธาตุท้ัง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุนำ้า ธาตุไฟ • วธิ ีการนัง่ สมาธเิ ปน การบรหิ ารจติ ตนตาม หลกั สติปฏ ฐานใด อธบิ ายพอสังเขป ธาตุลม ประชุมกันและเกื้อกูลกัน จึงทำาให้ การเดินจงกรมเป็นการปฏิบัติกรรมฐานตามแบบ (แนวตอบ การนั่งสมาธเิ ปน การบรหิ ารจิตตาม ร่างกายเคลื่อนไปได้ การเดินจงกรมจะช่วย สตปิ ัฏฐานอกี วิธีหนึ่งท่ีใชค้ วบคุมจิตให้สงบน่ิง หลกั สติปฏฐานในขอกายานปุ ส สนา คือ การ ปรบั อินทรียข์ องผู้ปฏิบัตวิ ิปัสสนาให้แกก่ ล้า การนง่ั สมาธอิ ยา่ งเดยี วจะเกดิ นวิ รณข์ อ้ ถนี มทิ ธะ (งว่ งเหงาหาวนอน) เม่ือเปล่ียน อิริยาบถเป็นเดินเสียบ้าง ก็ทำาให้เกิดวิริยะข้ึนมาพอดีกันกับสมาธิ ไม่ย่ิงหย่อนกัน ทำาให้สมาธิมี พจิ ารณากาย กลา วคือ อานาปานสติ โดย กาำ ลังมากขนึ้ ทา่ นวิปสั สนาจารยจ์ งึ สอนให้เดนิ นง่ั สลบั กนั ทาำ ให้อาหารยอ่ ยง่าย รา่ งกายแขง็ แรง การกาํ หนดอริ ยิ าบถของรางกายในการนงั่ การกําหนดลมหายใจเขา -ออก และการมี ไม่เจ็บไข้บ่อยๆ และเดนิ ไดท้ นเปน็ ชว่ั โมงโดยไมร่ สู้ กึ ออ่ นเพลยี เลย ด้วยอำานาจของวิริยะ สมาธิ สติสมั ปชญั ญะ รูในความเคลือ่ นไหวของ สตสิ มั ปชญั ญะ และศรทั ธา ทปี่ ระชมุ พรอ้ มกนั ดว้ ยดี ผปู้ ฏบิ ตั จิ งึ เกดิ ปญั ญาเหน็ แจง้ ในไตรลกั ษณ์ รางกาย รวมถงึ อารมณต า งๆ) • การเดนิ จงกรมมีสว นชว ยเก้ือหนุน คอื เห็นอนจิ จัง ทกุกาขรงัเดนอิ นจงัตกตรามใรนู้วค่ามัไมภม่รี ว์ ตี ิสวั ุทตธนิมรรค1ภาค ๓ กาำ หนดใหเ้ ดิน ๖ ระยะ ดงั น้ี การบริหารจิตดวยการนง่ั สมาธอิ ยางไร ๑. ยกสน้ เทำ้ ขน้ึ กำ� หนดในใจวำ่ ยกสน้ หนอ (แนวตอบ การเดินจงกรมกับการนัง่ สมาธมิ ี ๒. ยกเท้ำจะก้ำวไปข้ำงหน้ำ กำ� หนดในใจวำ่ ยกหนอ สว นชวยเกอื้ หนนุ ซ่ึงกันและกันในการบริหาร ๓. ยกเทำ้ ไปขำ้ งหน้ำ กำ� หนดในใจวำ่ ย่ำงหนอ จิต กลา วคือ การเดินจงกรมมีสวนชวยปรับ ๔. เม่ือลดเท้ำตำ่� ลงไปขำ้ งล่ำง (ยงั ไมถ่ ึงพื้น) กำ� หนดในใจว่ำ ลงหนอ อนิ ทรยี ข องผปู ฏิบตั วิ ปิ สสนาใหแ กก ลา ขจดั ๕. วำงเท้ำลงทำบพ้นื แล้ว กำ� หนดในใจว่ำ เหยียบหนอ หรอื ถกู หนอ นวิ รณในดานการงว งเหงาหาวนอนจึงเกดิ ๖. เมื่อจะยกเท้ำก้ำวไปข้ำงหน้ำอีกข้ำงหนึ่ง ต้องกดเท้ำข้ำงหนึ่งไว้กับพื้น ก�ำหนดในใจว่ำ เปนวิริยะขนึ้ จากอํานาจของวิริยะ สมาธิ กดหนอ สติสมั ปชญั ญะ และศรทั ธา ทถี่ งึ พรอมดวย 135 กัน มีสว นชว ยใหผ ปู ฏิบตั ิเกิดปญ ญาเหน็ แจง ในความไมจีรังย่ังยนื และความไมม ีตัวตน ของสงิ่ ตางๆ ตามหลักไตรลกั ษณนั่นเอง) ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’51 ออกเก่ียวกบั ความสัมพันธของสตปิ ฏ ฐานกับการรแู จงใน นักเรยี นควรรู อริยสัจ 1 คัมภรี ว ิสทุ ธิมรรค ปกรณพเิ ศษอธิบายศลี สมาธิ ปญ ญา ตามแนววสิ ุทธิ 7 การรูแจงในอรยิ สัจ 4 สัมพนั ธกบั สติปฏ ฐานขอใด (การชาํ ระสัตวใหบ รสิ ทุ ธิ์ดว ยการบาํ เพ็ญไตรสกิ ขาใหบ รบิ ูรณเปน ข้ันๆ ไปโดย 1. กายานุปสสนา ลาํ ดบั จนบรรลุจุดหมาย คือ พระนพิ พาน) พระพุทธโฆษาจารย พระอรรถกถา- 2. เวทนานุปส สนา จารยชาวอนิ เดียเปน ผูแตงทีม่ หาวหิ ารในเกาะลงั กา 3. จิตตานุปส สนา 4. ธัมมานปุ ส สนา วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. ธัมมานุปสสนา คือ การพิจารณาธรรม มมุ IT ตางๆ ต้ังแตข น้ั ตน เชน นิวรณ ขันธ จนถงึ อรยิ สจั อยางถอ งแทช ดั เจน ศกึ ษาความรแู ละวธิ กี ารบริหารจติ ตามหลักสตปิ ฎ ฐานเพิ่มเติมไดท่ี http:// www.vipassanathai.org/home/ เวบ็ ไซตบ ทความธรรมะ ฝา ยวปิ ส สนาธุระ สว นธรรมนิเทศ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั คูม่ อื ครู 135
กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครูอภิปรายรวมกนั กับนักเรียนถงึ ประโยชน เร่อื งนา่ รู้ และความสาํ คญั ของการบรหิ ารจิตตอการเรยี นรู พระพทุ ธรปู ปางจงกรมแก้ว1 คณุ ภาพชวี ิต และการพฒั นาสังคม แลวใหนักเรยี น คทู ี่สมคั รใจชวยกนั อธบิ ายความรูเก่ียวกบั การ พระพทุ ธรปู ปางจงกรมแกว้ ทาำ เปน็ รปู พระยนื ยกพระบาทซา้ ย พระหตั ถท์ ง้ั สองประสานพระเพลา พระหตั ถข์ วา บริหารจติ กับการเรียนรู คุณภาพชวี ติ และสงั คม ทับพระหัตถ์ซ้าย เม่ือพระองค์เสด็จจากอนิมิสเจดีย์ ทรงปรารถนาจะทำาปาฏิหาริย์เพ่ือระงับความสงสัยในหมู่เทวดา จากคาํ ศพั ทและขอความสําคัญท่ีเก่ยี วของซ่งึ ครู ทง้ั หลาย จงึ หยดุ ระหวา่ งทาง เนรมติ ทร่ี ตั นจงกรมขน้ึ ทางทศิ เหนอื ของตน้ มหาโพธ ์ิ แลว้ เสดจ็ จงกรม ณ ทน่ี น้ั เปน็ เวลา กาํ หนด ตามลําดับดังตอไปน้ี ๗ วนั • การมีสมาธขิ องจิต ๓) การบริหารจิตเพ่ือการเรียนรู้ คุณภาพชีวิต และสังคม การฝึกจิต • การศึกษาเลา เรยี นดี • ความสามารถในการแกป ญ หาชีวิต สตปิ ัฏฐานเกอื้ กูลแก่การเรยี นรู้ เพอื่ คณุ ภาพชวี ิตและสงั คม ดงั น้ี • ความพอใจในชวี ติ ความเปน อยตู ามภววสิ ยั • การมอี ารมณม นั่ คง ๑. ชว่ ยใหค้ วำมจำ� ดี กำรฝึกใหม้ สี ตอิ ยกู่ ับตวั ตลอดเวลำ ท�ำให้จติ มสี มำธ ิ ไม่ฟ้งุ ซ่ำน คนท ี่ • ความสามารถในการควบคมุ ตนเอง จิตมีสมำธิไม่ฟุ้งซ่ำน ย่อมจะมีควำมจ�ำดี สังเกตได้ง่ำยๆ คนที่ข้ีหลงขี้ลืม จ�ำอะไร • การสรา งสรรคสังคม ไมค่ ่อยได ้ มักจะไม่คอ่ ยไดฝ้ กึ สตมิ ำก่อน ๒. ช่วยให้เรียนหนังสือดี เวลำเรำตั้งใจท�ำอะไร จิตก็ย่อมมีสมำธิ แล้วก็จะท�ำสิ่งนั้นได้ดี มีประสิทธิภำพ กำรเรียนหนังสือขึ้นอยู่กับควำมตั้งใจเป็นส�ำคัญ เม่ือตั้งใจแล้วจิตก็จะ เป็นสมำธิ เรียนรู้เรื่อง เม่ือเรียนรู้เรื่องก็มีควำมอยำกรู้ยิ่งๆ ข้ึนไป ขวนขวำยใฝ่รู้ เพ่ิมเตมิ จดจอ่ อยใู่ นเรอ่ื งเรียน ใช้ควำมคดิ พินิจพิจำรณำในสงิ่ ทเ่ี รยี นมำกขน้ึ กลำยเป็น ว่ำบุคคลนั้นได้หลอมเอำหลักอิทธิบำทสี่ (ต้ังใจ-พำกเพียร-ใส่ใจท�ำ-เข้ำใจท�ำ) เข้ำมำ ในตัวโดยอัตโนมตั ิ ผทู้ ีฝ่ กึ สติปัฏฐำนประจ�ำ จงึ เปน็ คนเรยี นหนงั สอื ดกี ว่ำผ้ทู ่ีไมฝ่ ึก ๓. ช่วยให้มีคุณภำพในกำรเรียนรู้ส่ิงต่ำงๆ ได้ดี ผลกำรฝึกสมำธิโดยทั่วไปข้อหน่ึง ได้แก่ “ท�ำให้ญำณทัศนะสมบูรณ์” กล่ำวคือ ท�ำให้เรียนรู้ส่ิงต่ำงๆ ได้รวดเร็ว คนมีสติมักจะ ยั้งคิดอะไรได้ไว เกิดควำมเข้ำใจได้เพรำะย้ังคิดหรือย้ังท�ำนี้เอง กำรมีสติอยู่กับตัวและ ตง้ั สติในขณะทำ� พูด คิดนนั้ ท�ำใหเ้ กดิ ควำมรอู้ ะไรข้นึ ฉบั พลัน ช่วยใหแ้ ก้ปัญหำชวี ิตได้ ๔. ช่วยให้เป็นคนมีควำมสุขง่ำย มีทุกข์ยำก คนท่ีฝึกจิตให้มีสติ สมำธิเสมอน้ัน มักจะมี ควำมพอใจในภำวะควำมเป็นอยู่ของตน ไม่ฟุ้งซ่ำนอยำกได้อยำกมีในสิ่งท่ีไม่อยู่ในวิสัย คนเช่นน้ีมักเป็นคนมีควำมสุขง่ำย คือ พร้อมจะท�ำใจให้มีควำมสุขในภำวะน้ันๆ สถำนกำรณ์นั้นๆ ได้อย่ำงสบำย ไม่ด้ินรนอยำกจะมีควำมสุขด้วยควำมหรูหรำฟุ่มเฟือย เม่ือได้รับควำมทุกข์ส�ำหรับชีวิต (ซึ่งทุกคนจะต้องมี มำกบ้ำงน้อยบ้ำงแล้วแต่บุคคล) ก็จะมีสติระงับใจ ไม่ขยำยทุกข์ ไม่ตีโพยตีพำย คิดรู้ตำมเป็นจริงว่ำ ทุกคนเกิดมำแล้ว ย่อมมีควำมทุกข์ด้วยกันทุกคน เรำทุกข์แค่น้ีพอทนได้ คนอื่นท่ีทุกข์มำกกว่ำเรำก็มี เมื่อคิดเช่นนี้แลว้ เขำจะไม่รสู้ กึ วำ่ ทุกขย์ ำกขน้ึ หรือไม่เปน็ ทุกขเ์ ลยก็ได้ 136 นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ในแนวทางพระพทุ ธศาสนาเราสามารถนาํ มา 1 พระพุทธรูปปางจงกรมแกว เปนพระพทุ ธรูปปางหน่ึงที่แสดงอริ ิยาบถของ เปน หลักในการดําเนนิ ชีวติ ประจาํ วนั ไดอ ยา งไร การบรหิ ารจิต คอื การเดินจงกรม นอกจากนยี้ งั มสี รางสรรคข น้ึ ในหลายปาง เชน แนวตอบ ในแนวทางพระพทุ ธศาสนา เราสามารถพฒั นาคุณภาพชวี ิต ปางสมาธิเพชร พระพุทธรปู อยูในพระอริ ิยาบถประทับ (นัง่ ) ขัดสมาธไิ ขวพระชงฆ ของตนไดโดยการมีสติ สมาธิ และปญ ญา ดว ยวธิ กี ารบรหิ ารจติ และ (แขง) หงายฝา พระบาททงั้ สองขาง ฝา พระหตั ถวางหงายซอ นกนั บนพระเพลา เจริญปญ ญาตางๆ ทีส่ าํ คัญไดแก โยนโิ สมนสกิ าร เนอื่ งจากจะชวยใหเรา (ตกั ) พระหตั ถข วาทบั บนพระหตั ถซา ย จากพทุ ธประวตั ิภายหลงั จากทพี่ ระบรม- ดําเนนิ ชีวิตไดโ ดยสวสั ดภิ าพ สามารถเผชญิ กบั สถานการณต างๆ แกไ ข โพธสิ ัตวรับหญา คาจากโสตถยิ พราหมณแ ลว ทรงนาํ ไปปูตา งบลั ลังก ณ ควงไม ปญหาและพัฒนาตนเองไดอ ยางมปี ระสิทธิภาพและตามศกั ยภาพของ อสั สตั ถโพธพิ ฤกษ แลว ประทบั (นง่ั ) ขดั สมาธิ อธษิ ฐานวา “เนอื้ และเลอื ดในสรรี ะน้ี ตนเองอยางแทจรงิ นอกจากนย้ี งั มสี ว นชวยพัฒนาและสรางสรรคส งั คม แมจะเหอื ดแหง ไปหมดสิน้ จะเหลอื แตห นงั เอ็นและกระดกู ก็ตามที ถาเรายงั ไดอ กี ดวย ไมบรรลุอนตุ รสมั มาสัมโพธิญาณกจ็ กั ไมทาํ ลายบัลลังกนี้” และปางสมาธิ หรือ ปางตรสั รู พระพทุ ธรปู อยูในพระอริ ยิ าบถประทับ (นงั่ ) ขดั สมาธิ พระหตั ถท ้ังสอง วางหงายซอนกนั บนพระเพลา (ตกั ) พระหตั ถข วาทับพระหตั ถซ า ย พระชงฆ (แขง) ขวาทับพระชงฆซา ย จากพุทธประวตั ติ อนตรสั รู 136 คมู่ ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ครสู ุมนกั เรียน 3 คู ใหช วยกันสรปุ ความรู เกี่ยวกบั การบริหารจติ เพอ่ื การเรียนรู คุณภาพชวี ติ และสงั คม คูละ 1 ดาน แลว ใหน กั เรียนคูอื่นใน ชน้ั เรียนเสนอแนะเพ่มิ เตมิ จากน้ันครูและนกั เรียน ชว ยกนั สรปุ ความรูเก่ียวกับการบรหิ ารจติ ทไี่ ด ศกึ ษามา นกั เรยี นบันทึกลงในสมุด ขยายความเขา้ ใจ Expand ครูมอบหมายใหนักเรียนแตล ะคูศึกษาคน ควา เพิ่มเติมเก่ยี วกับวิธกี ารบรหิ ารจิตตามหลักสติปฏ - ฐาน ในสว นของการน่ังกําหนดหรือการน่งั สมาธิ และการเดินจงกรม จากแหลงการเรียนรทู คี่ รูเสนอ แนะ แลวฝกปฏิบตั ิรว มกนั จากน้ันนักเรยี นแตล ะ การฝกสมาธิ เป็นการบริหารจิตใจให้สงบ ก่อให้เกิดปัญญาที่จะนำาไปใช้ประโยชน์ในการทำางาน หรือปฏิบัติหน้าที่ คูแ บงหนาท่ีเตรียมการสาธติ การบรหิ ารจิตดวยวิธี ทส่ี ำาคญั ในชีวติ ประจำาวันได้ การนั่งกําหนดหรอื นัง่ สมาธิ และการเดินจงกรม ๕. ช่วยให้เป็นคนมีอำรมณ์ม่ันคง หนักแน่น อำรมณ์ของคนมักขึ้นลงตำมอ�ำนำจของกิเลส พรอมทงั้ ฝกปฏบิ ตั ิในชวี ิตประจาํ วันเปนรายบคุ คล ๓ ตระกูลใหญๆ่ คอื โลภ (อยำกได)้ โทสะ (อยำกทำ� ลำย) โมหะ (หลงงมงำย) เมื่อถกู ตามระยะเวลาท่คี รกู ําหนด แลวบันทกึ รายละเอียด โลกธรรมมำกระทบ ไม่วำ่ จะเป็นแง่บวก (ลำภ ยศ สรรเสริญ สขุ ) หรือแงล่ บ (เส่ือมลำภ การปฏิบัติและผลของการปฏิบัตสิ ง ครูผสู อน เสื่อมยศ นินทำ ทุกข์) ก็มักจะปล่อยให้อำรมณ์โลดแล่นไปตำมกระแส เวลำส่ิงท่ี นำ่ ปรำรถนำมำกห็ ลงระเรงิ ประมำทมวั เมำ เวลำสง่ิ ไมน่ ำ่ ปรำรถนำมำ กเ็ ปน็ ทกุ ขเ์ ปน็ รอ้ น ตรวจสอบผล Evaluate ตีโพยตีพำยจนขำดสติ อำกำรเหล่ำน้ีจะลดลงหรือหำยไปได้เม่ือบุคคลได้ฝึกสติปัฏฐำน ครูสุม นกั เรียน 3-4 คู เพื่อสาธิตการบรหิ าร เป็นประจ�ำ เขำจะเป็นคนทมี่ ัน่ คงหนกั แนน่ มสี ุขภำพจติ ท่ีดี จติ ดว ยวธิ ีการนั่งกําหนดหรือน่ังสมาธิ และการ ๖. สร้ำงควำมสวัสดีปลอดภัยให้กับตนเอง คนท่ีมีสติอยู่กับตัวเพรำะฝึกสติปัฏฐำนประจ�ำ จะมีควำมสำมำรถในกำรควบคุมตัวเองสูง จึงไม่เผลอตกเป็นเหยื่อของกิเลสย่ัวยุต่ำงๆ เดนิ จงกรม แลวนาํ บันทึกการฝก ปฏิบตั กิ ารบริหาร ไดง้ ่ำย จิตตามหลกั สติปฏ ฐานท่ดี ซี ึ่งครูคัดเลอื กไวล ว ง ๗. สร้ำงสรรค์สังคม กำรฝึกสติปัฏฐำนท�ำให้ผู้ปฏิบัติมีใจสดใส มองอะไรชัดเจน เกื้อกูล หนา มาใหนักเรียนพจิ ารณารว มกนั โดยพิจารณา ต่อกำรใช้ปัญญำ เป็นคนมีควำมสุขทำงใจ สุขภำพจิตดี พิจำรณำให้ลึกซ้ึงจะเห็นว่ำ จากความถูกตอ งเหมาะสมของการปฏบิ ตั ิ ความ คุณสมบัติข้อนี้ช่วยสร้ำงสรรค์สังคมได้ดี เพรำะปัญหำสังคมทุกวันน้ีมีสำเหตุมำจำก สอดคลอ งของการปฏบิ ตั ิและผลท่ีไดร ับ และ คนขำดสุขภำพจิตที่สมบูรณ์ จึงมีปัญหำอำชญำกรรม อบำยมุข ทุจริตคอร์รัปชัน ความสมา่ํ เสมอของการปฏิบัติ จากน้ันสนทนา มีควำมรุนแรง เอำรัดเอำเปรียบกัน แตถ่ ้ำบคุ คลมสี ขุ ภำพจติ ดี มีควำมมนั่ คงทำงอำรมณ์ กบั นกั เรยี นถงึ ประโยชนของการบรหิ ารจิตตอการ มำกๆ เพรำะไดป้ ฏบิ ัติสติปัฏฐำนเปน็ ประจำ� สงั คมยอ่ มสงบสขุ ดาํ เนนิ ชวี ติ ประจําวนั ในดา นตางๆ เชน การศกึ ษา 13๗ เลา เรียน การทาํ งานกลมุ และการมบี คุ ลกิ ภาพดี แลวรวบรวมบนั ทกึ การฝก ปฏบิ ตั ิการบริหารจติ ตาม หลักสตปิ ฏฐานท่ีดขี องนักเรยี นไวเปน แหลง การ เรียนรขู องชนั้ เรียน ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’53 ออกเก่ยี วกับหลักพระพทุ ธศาสนาเพ่ือการพัฒนาสงั คม เกร็ดแนะครู ในการประชุมสัมมนาเพอื่ แกป ญ หาความยากจน ไดม กี ารกําหนด ครูอาจตั้งประเดน็ ใหน ักเรยี นชว ยกันวิเคราะหเกยี่ วกบั ประโยชนข องการบริหาร แนวทางประชมุ โดยใหเ รมิ่ ตกลงกันวา ปญหาความยากจนคอื อยา งไร อะไร จติ ตามหลกั สติปฎ ฐานกบั การเรียนรู การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ และการพฒั นาสงั คม คอื สาเหตุ เปา หมายท่ีตองการหลังจากแกไ ขแลวจะเปน อยางไร และวิธีการ เชน การบรหิ ารจติ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา : การบาํ รุงรกั ษาสขุ ภาพทางใจ แกไขจะทําอยา งไรบา ง แนวทางน้ีตรงกบั หลกั พระพทุ ธศาสนาเรือ่ งใด การพฒั นาจิตใจของประชากรกับการพัฒนาสังคม หรือสมาธิกบั สรา งสันตภิ าพ ตามวถิ ีพุทธ หรอื นํากรณีตัวอยา งทค่ี วรไดรบั การแกไขปญหาหรอื การพฒั นาดวย 1. อริยสจั 4 การบริหารจติ แลวใหน กั เรยี นชว ยกนั สรปุ ผลการวิเคราะห ทงั้ นีเ้ พอ่ื ใหนกั เรยี นได 2. วภิ ชั ชวาท พัฒนาทกั ษะการคิดตา งๆ ท่ีสําคัญไดแก การคิดวิเคราะหแ ละการประเมินคา 3. อิทัปปจ จยตา อันจะนาํ ไปสูการฝก ปฏิบัติในชีวติ ประจําวันไดอยางถกู ตอง ตลอดจนตระหนกั ถึง 4. โยนิโสมนสิการ ประโยชนแ ละความสําคญั ของการบริหารจติ ตามหลักสติปฎ ฐาน หรอื อาจกลาวได วา การพัฒนาสุขภาพจติ ตามแนวทางพระพทุ ธศาสนาตอ การเรยี นรู การพัฒนา วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. อริยสจั 4 หลักแหง ความจรงิ อนั ประเสริฐ คุณภาพชวี ิต และการพัฒนาสงั คม ของชีวิต ชว ยใหม นุษยเ ขาใจชีวิต และแกไ ขปญหา ดับทุกขที่เผชิญได ดวยปญญา โดยในขั้นตอนการตกลงกนั วา ปญ หาความยากจนคอื อยา งไร เปรียบไดก บั ขัน้ ทุกข อะไรคอื สาเหตุ เปรียบไดกบั ขน้ั สมุทยั เปาหมายที่ ตอ งการหลงั จากแกไ ขแลวจะเปนอยางไร เปรยี บไดกับขัน้ นโิ รธ และ วิธกี ารแกไขจะทาํ อยา งไรบา ง เปรียบไดก ับขน้ั มรรคน่ันเอง คู่มอื ครู 137
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครนู ําขา วหรอื กรณีตวั อยา งทเ่ี กยี่ วขอ งกบั บุคคล ๒. การเจริ- ปั- - าตามหลกั โยนิโสมนสกิ าร ทีไ่ ดร บั ความเดอื ดรอนจากการขาดการคดิ แบบรูเทา ทนั ธรรมดาและการคดิ แบบเปนอยใู นขณะปจ จุบนั ความคิดของคนนั้นสำาคัญ บุคคลจะดีจะชั่วเริ่มที่ความคิดก่อน เม่ือคิดในเร่ืองใดบ่อยเข้า มาใหน ักเรียนพิจารณารวมกนั แลว สอบถาม มากเข้า กจ็ ะกลายเป็นค่านิยม ความเช่อื เจตคติ แล้วก็จะปรากฏออกมาเปน็ พฤตกิ รรมดีหรอื ชว่ั นักเรยี นถึงสาเหตทุ ่บี คุ คลไดรับความเดือดรอ นจาก ในภายหลัง เพราะฉะนั้น ความคิดเป็นกรรมอย่างหนึ่งเรียกว่า “มโนกรรม” ถือว่าสำาคัญกว่า การตัดสินใจกระทําการโดยขาดการคิดในลักษณะ กายกรรม และวจีกรรม ดงั พุทธวจนะในธรรมบทวา่ ดงั กลาว จากน้นั ครอู ธบิ ายใหนักเรยี นตระหนักถึง ประโยชนแ ละความสาํ คญั ของการเจริญปญญาตาม “ธรรม (สิ่ง) ท้งั หลำย มีใจเปน็ หวั หนำ้ มใี จเกดิ ข้นึ ก่อน สำ� เรจ็ ดว้ ยใจ ถำ้ คนเรำมีใจช่ัว หลกั โยนิโสมนสกิ าร กำรกระท�ำ กำรพูด ก็พลอยช่ัวไปด้วย เพรำะกำรท�ำช่ัวและพูดช่ัวน้ัน เขำย่อมถูกทุกข์ สา� รวจคน้ หา Explore ติดตำมมำ ดจุ ลอ้ หมนุ ตำมรอยเทำ้ โคตัวท่ีลำกเกวียนฉะนั้น” ครูใหนักเรียนรวมกลุม กนั กลมุ ละ 4 คน โดย เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจ้าจงึ ทรงแสดงวธิ ีคดิ ท่ดี ที ีถ่ กู เรียกวา่ “โยนิโสมนสิการ” ไว้ถึง ๑๐ การใหนกั เรียนคเู ดมิ รวมกลุม กับนักเรียนคอู ่นื ในช้ัน วธิ ี เพ่อื ใหฝ้ ึกคิดให้เกิดปญั ญา เกดิ ความรู้พร้อมรจู้ รงิ ในท่ีนี้ขอยกมาอธบิ าย ๒ วิธี ดงั นี้ เรียน เพ่ือแบงหนาที่กนั ศึกษาความรเู กี่ยวกับการ เจรญิ ปญญาตามหลกั โยนโิ สมนสกิ าร ทัง้ ในสวน ค๒ิด.๑แบ บคริดู้เทแ่าทบนั บธรรรเู้ มทด่าาทคนัือ ธครดิ รแมบบดไตาร ล(คักษิดณแ์ บ“บไตสราลมักษญั ณล์”1กั คษอื ณละัก)ษณะ ๓ ประการ ของการคดิ แบบรเู ทา ทันธรรมดา (คดิ แบบสามญั ลกั ษณะ) และการคดิ แบบเปนอยใู นขณะปจจบุ ัน ทปี่ รากฏแกส่ งั ขาร หรอื ส่งิ ผสมตา่ งๆ ทกุ ชนิด ทง้ั ทม่ี ีใจครอง เช่น คน สตั ว์ และไมม่ ีใจครอง จากหนังสอื เรียน หนา 138-141 และแหลง การ เชน่ ตน้ ไม้ ภูเขา สิ่งเหล่านผ้ี สมข้นึ จากองค์ประกอบของธาตุ ๔ คือ ดิน น้าำ ลม ไฟ เรยี นรอู ่ืนท่ีครูเสนอแนะ เชน เวบ็ ไซต อาทิ http:// www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_ ของผสมเหล่านี้เกิดมาแล้วก็แปรเปลี่ยน และดับสลายไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งไหนจีรัง id=588 เว็บไซตโ ยนโิ สมนสิการในทัศนะของพระ- ยัง่ ยืน หาตัวตนหรือหาเจา้ ของมิได้ ไม่อยู่ในอาำ นาจบังคับบัญชาของใคร ถึงเวลามนั ก็แปรเปล่ียน ธรรมปฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) หรอื พระพรหมคณุ าภรณ ดบั สลายไป ในปจ จบุ นั จากนน้ั กนั เตรยี มการนาํ เสนอความรตู าม ท่คี รกู าํ หนด เชน การแสดงบทบาทสมมติ หรือการ กล่าวอีกอย่างได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระท่านจึงสอนให้หัดคิด แตงนิทานประกอบภาพ เปน ตน หัดมองให้เห็นธรรมดาว่า “มันเป็นเช่นนี้เอง” เม่ือเห็นว่า “มันเป็นเช่นน้ีเอง” ก็จะรู้จัก “ปลง” คือ ไม่ยดึ มั่นถือมนั่ เกนิ กวา่ เหตุ เม่ือไม่ยดึ มั่นถอื มั่นเกินกว่าเหตกุ ็ไม่มคี วามทุกข์ ความจรงิ แลว้ ความทกุ ข์ใจ ความคบั แคน้ ใจ ความเศรา้ โศกเหลา่ นนี้ นั้ ไมม่ คี วามหมายอะไร สำาหรับคนที่เข้าใจธรรมะและปลงได้ คนที่ไมเ่ ข้าใจ ปลงไม่ได้ต่างหาก ทีจ่ ะเป็นจะตายวันละไมร่ ู้ อธบิ ายความรู้ Explain ก่ีรอ้ ยก่ีพนั หน พระพุทธศาสนาจึงสอนให้คิด ให้เข้าใจความเป็นไปของธรรมดาตั้งแต่ต้น เพ่ือเตรียมใจ ครสู นทนารวมกนั กบั นักเรียนถงึ ความหมาย และความสาํ คญั ของการเจริญปญ ญาตามหลัก ไว้ทันก่อนประสบเข้ากับตนเอง ไม่ใช่รอให้ถึงเวลาน้ันแล้วค่อยคิดแบบ “เห็นโลงศพ ค่อยหลั่ง โยนิโสมนสกิ ารทนี่ กั เรยี นไดศึกษามา แลว สุม นนา้า� งตกาีส” าไโมค่ฝตกึมไีใ2วนก้ สอ่ มนยั พถทุ งึ ธเวกลาาลเขา้ จรงิ ๆ มกั จะคดิ ไม่ทนั ตัง้ ตวั ไมท่ นั และอาจเสียสติได้ อยา่ งกรณี นกั เรยี น 2-3 กลุม ใหอ อกมานาํ เสนอความรเู ก่ียว กบั การคิดแบบรูเทา ทันธรรมดา (คดิ แบบสามญั 138 ลักษณะ) ทีห่ นาชัน้ เรยี น นักเรียนควรรู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั วธิ คี ดิ แบบสามญั ลักษณะ 1 ไตรลกั ษณ ลักษณะสามอาการท่ีเปน เคร่ืองกาํ หนดหมายใหร ูถงึ ความจริง วิธีคิดแบบสามญั ลักษณะคอื การคดิ แบบใด ของสภาวธรรมทง้ั หลายที่เปนอยางนนั้ ๆ 3 ประการ ไดแก อนิจจตา ความเปน 1. มชั ฌิมาปฏิปทา ของไมเท่ียง ทุกขตา ความเปน ทกุ ขห รอื ความเปน ของคงทนอยมู ิได และอนตั ตตา 2. ไตรลักษณ ความเปน ของมใิ ชต ัวตน โดยท่ัวไปอาจเรียกวา อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา ซงึ่ แปลวา 3. อานาปานสติ ไมเ ท่ียง เปน ทกุ ข เปนอนตั ตา ลักษณะเหลานเ้ี ปน ของแนน อน เปน กฎธรรมชาติ 4. ปฏิจจสมุปบาท มีอยตู ลอดเวลา จงึ เรียกไดวา สามญั ลกั ษณะ หรือธรรมนิยาม วิเคราะหค ําตอบ วิธคี ดิ แบบสามญั ลกั ษณะ คือ การคดิ แบบรเู ทา 2 นางกสี าโคตมี เดมิ เปนธิดาคนยากจนในนครสาวัตถี แตไ ดเปนลกู สะใภ ทันธรรมดา คือ ไตรลกั ษณ ท่ีประกอบดว ยลกั ษณะ 3 ประการ ไดแ ก ของเศรษฐใี นพระนครนน้ั นางมีบตุ รชายคนหนึ่ง อยมู าไมน านบุตรชายตาย นาง อนิจจงั ทุกขงั และอนัตตา ซึง่ อธบิ ายถงึ ความเท่ยี งแทแนนอนของสง่ิ มีความเสยี ใจมาก อมุ บุตรทต่ี ายแลว ไปในทต่ี า งๆ เพ่อื หายาแกใหฟ น จนไดไ ป ทั้งหลายน่นั เอง ดงั น้ันคําตอบคอื ขอ 2. พบพระพุทธเจา พระองคทรงสอนดวยอบุ ายและทรงประทานโอวาทแกน างจน บรรลุโสดาบันและบวชในสํานักนางภกิ ษุณี วันหนึ่งทานนัง่ พจิ ารณาเปลวประทปี ท่ี ตามอยูใ นพระอโุ บสถวาเปนเชนเดยี วกบั ชวี ิตของมนษุ ย จงึ ไดบ รรลุพระอรหตั พระกสี าโคตมีเถรีไดรบั ยกยองวา เปนเอตทคั คะในทางทรงจวี รเศรา หมอง 138 ค่มู อื ครู
กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู้ เสริมสาระ 1 ครูใหนักเรยี นกลุมทน่ี ําเสนอความรเู ก่ียว กับการคดิ แบบรูเ ทาทันธรรมดา (คิดแบบสามัญ โยนโิ สมนสกิ าร ลกั ษณะ) สนทนาและสอบถามกบั นักเรยี นกลมุ โยนโิ สมนสกิ าร คอื การคดิ อยา่ งวเิ คราะหว์ จิ ารณอ์ ยา่ งรอบคอบ ทาำ ใหเ้ กดิ ปญั ญาแตกฉาน ม ี ๑๐ วธิ ี ดงั น้ี อื่นในช้ันเรยี น เพอื่ ใหมีความรคู วามเขา ใจทถ่ี กู ๑. คดิ แบบแยกแยะสว่ นประกอบ ตอ ง จากนั้นครตู ั้งคําถามทีเ่ นนการเช่อื มโยงความ ๒. คดิ แบบคณุ โทษและทางออก รูความเขา ใจระหวา งการคิดแบบรเู ทาทันธรรมดา ๓. คดิ แบบสบื สาวเหตปุ จั จยั (คดิ แบบสามัญลกั ษณะ) กับแนวคิดอน่ื ๆ แลว สุม ๔. คดิ แบบสมั พนั ธก์ บั หลกั เปา้ หมาย ใหน กั เรียนในแตละกลมุ ตอบ ตวั อยา งขอ คาํ ถาม ๕. คดิ แบบแกป้ ญั หา เชน ๖. คดิ แบบรเู้ ทา่ ทนั ธรรมดา ๗. คดิ แบบคณุ คา่ แท ้ คณุ คา่ เทยี ม • หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งสอดคลอง ๘. คดิ แบบปลกุ เรา้ คณุ ธรรม กับการคิดแบบรเู ทา ทันธรรมดาในทาง ๙. คดิ แบบเปน็ อยใู่ นขณะปจั จบุ นั พระพทุ ธศาสนาอยางไร ๑๐. คดิ แบบแยกประเดน็ (แนวตอบ หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เนน การพัฒนาทยี่ ่ังยนื บนพน้ื ฐานของ สรปุ วิธคี ิดตามหลกั โยนิโสมนสกิ าร ความรูทางวิชาการและคุณธรรมจริยธรรม พระพุทธศาสนาได้สอนวิธีคิดเพ่ือให้คิดเป็น และคิดอย่างถูกวิธี เพ่ือท่ีจะได้ความรู้ท่ีถูกต้อง ซ่ึงเรียกวิธีคิด มใิ ชล ะเลยการพฒั นาหรอื หยุดน่งิ อยูกบั ท่ี แบบนว้ี า่ “โยนโิ สมนสกิ าร” ม ี ๑๐ วธิ ี โดยทง้ั ๑๐ วธิ นี ้ี สามารถสรปุ เปน็ วธิ คี ดิ ใหญๆ่ ได ้ ๔ แบบ ดงั น ้ี จึงสอดคลอ งกบั การคิดแบบรูเ ทา ทันธรรมดา 1. อปุ ายมนสกิ าร คอื คดิ ถกู วธิ ี เมอ่ื มวี ธิ คี ดิ แลว้ ตอ้ งรจู้ กั ใชว้ ธิ คี ดิ ใหเ้ หมาะสม เพราะวธิ คี ดิ แตล่ ะอยา่ ง ในหลกั โยนิโสมนสกิ ารทางพระพุทธศาสนา เหมาะสมกบั ปญั หาหรอื เรอ่ื งทแ่ี ตกตา่ งกนั กลา วคอื การมคี วามรคู วามเขา ใจในสงิ่ ตา งๆ 2. ปถมนสิการ คือ คิดมีระเบียบ คิดอย่างเป็นระบบต่อเน่ือง การมีระเบียบในการคิด หมายถึง ทเ่ี ปลยี่ นแปรไปเปนธรรมดา นาํ ไปสกู ารคิด การไมก่ า้ วกระโดดทางความคดิ คดิ อยา่ งมเี ปา้ หมาย ไมก่ ระโดดไปกระโดดมาทางความคดิ เพอื่ แกไ ขหรอื พฒั นาสง่ิ เหลา นน้ั ตามเหตแุ ละ 3. การณมนสิการ คอื คิดมีเหตผุ ล ดว้ ยการรจู้ กั เช่อื มโยงว่าเหตุอยา่ งนจ้ี ะก่อให้เกดิ ผลหรือนาำ ไปส่ผู ล ปจ จัย ทําใหบ รรลจุ ุดหมายและไมก อ ใหเ กิด อยา่ งไร หรอื ผลนม้ี าจากเหตอุ ะไร ความทกุ ข) ๔. อุปปาทกมนสิการ คือ คิดเป็นกุศล เป็นการคิดดี คิดเพ่อื ค้นหาส่งิ ท่เี ป็นแก่นสารสาระและเป็น ประโยชน ์ รจู้ กั แยกแยะกลน่ั กรองความรทู้ ไ่ี ดร้ บั และคดั สรรนาำ มาใชเ้ ฉพาะสว่ นทเ่ี ปน็ ประโยชนแ์ ละเหมาะสมกบั ตวั เรา วธิ คี ดิ แบบรเู้ ท่าทนั ธรรมดา แบง่ เปน็ ๒ ขน้ั ตอน ดงั น้ี ๑) ยอมรบั ความจรงิ คอื ใหย้ อมรบั ว่าความจริงมันเป็นเช่นนี้ มันเกดิ ขึน้ จรงิ ๆ และทุกคนก็จะพบพานอย่างนี้เหมือนๆ กัน ไม่มียกเว้น แม้ว่าขณะน้ีดูเหมือนว่าเราคนเดียว ที่ได้รับอย่างนี้ คนอื่นก็เห็นเขาสบายดีอยู่ ก็พึงคิดว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาก็จะตกอยู่ในสภาพ เดียวกับเราเหมือนกัน ๒) แก้ไขไปตามเหตุปัจจัย คือ รู้ว่าเป็นจริงอย่างน้ันก็ปฏิบัติให้สอดคล้องกับ การเปล่ียนแปลง ด้วยใจที่เป็นอิสระ เช่น เม่ืออายุมากขึ้น ร่างกายเปล่ียนแปลงไปตามกาล เวลา กค็ วรแตง่ เนือ้ แต่งตัวให้เหมาะสมกับวยั จะเสรมิ เตมิ แต่งบ้างก็พองาม ไมข่ ดั กับวัย อยา่ งน้ี ก็ไม่เปน็ ทุกข์ เป็นต้น 139 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู การกระทําของบคุ คลใดกลาวไดว า สอดคลองกบั การคดิ แบบสามญั 1 โยนโิ สมนสิการ หลกั การคิดและการเรียนรูในพระพุทธศาสนาทตี่ องการให ลกั ษณะมากที่สุด คนมวี ธิ ีการคดิ อยางถูกตอง เปน ระบบอนั จะนาํ ไปสูการเขาใจเรือ่ งตางๆ ตาม ความเปนจริง ไมต ดิ อยูกับรูปลักษณภ ายนอกหรอื มองดานใดดานหนึ่งเปน สาํ คัญ 1. พลบั ตระหนกั ถงึ ความไมจ รี งั ของสง่ิ ทง้ั ปวงจงึ ไมข วนขวายศกึ ษาเลา เรยี น แลว สรปุ วา มนั เปนอยา งทีเ่ หน็ ซ่งึ จะทาํ ใหคลาดเคล่ือนจากความจรงิ ได 2. สมเรยี นและทาํ งานไปพรอมกนั เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน 3. หมากลาออกจากโรงเรียนเพื่อแสวงหาทางดบั ทกุ ขของชีวติ มมุ IT 4. บว ยรเู ทาทนั โรคของตนจงึ ไมยอมไปตรวจรกั ษา ศึกษาคน ควาเกย่ี วกบั การคิดเปนตามพทุ ธวิธีผา นบทความทางพระพทุ ธศาสนา วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. สมเรยี นและทาํ งานไปพรอ มกันเพราะ เพ่ิมเตมิ ไดท่ี http://www.visalo.org/article/index.htm เว็บไซตพระไพศาล วิสาโล ครอบครัวมีฐานะยากจน เน่อื งจากสม ยอมรบั ความเปน จริงของชวี ิตที่ อาจแตกตางจากเพื่อนสวนใหญในวยั เดียวกนั ดวยความยากจนของ ศกึ ษาความรูเ ก่ยี วกับการพฒั นาการเรียนการสอน การศกึ ษา และคุณธรรม ครอบครวั และแกไขปญหาตามความเหมาะสม คอื การทํางานเพื่อหา จรยิ ธรรมเพ่มิ เตมิ ไดที่ http://www.vitheebuddha.com/main.php?url=about รายไดไปพรอมกบั การเรียน เว็บไซตโ รงเรียนวถิ พี ุทธ การศกึ ษาเพอ่ื ความเปนมนษุ ยที่สมบูรณ คูม่ ือครู 139
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู นทนารวมกนั กับนักเรยี นถึงความรทู ัว่ ไป ๒.๒ คดิ แบบเปนš อย่ãู นขณะปจ˜ จØบนั เก่ยี วกับการคิดแบบเปน อยูในขณะปจจุบนั โดย เปรียบเทยี บกบั การคิดแบบรูเทา ทันธรรมดา ชวี ติ คนเรานนั้ มอี ยชู่ วั่ ขณะจติ เดยี ว ไมไ่ ดย้ นื ยาวดงั ท่ีใครหลายคนเขา้ ใจ คนเราเกดิ แลว้ ตาย (คิดแบบสามัญลกั ษณะ) ทน่ี กั เรียนไดศ กึ ษามา ตายแล้วเกิดสืบต่อเน่ืองกันไปทุกขณะจิต ระยะเวลาระหว่างเกิดไปถึงตายน้ัน กินเวลาแค่เพียง แลว สุม นกั เรยี น 2-3 กลุม ใหออกมานาํ เสนอ ชวั่ ขณะจติ เดยี วเทา่ นน้ั ความรูเกย่ี วกับการคดิ แบบเปน อยใู นปจ จุบัน ขณะที่หนา ช้นั เรียน จากนน้ั ครูใหนกั เรียนกลุม ทั้งๆ ที่คนเราตายวันละไม่รู้ก่ีร้อยก่ีพันหน แต่ที่ไม่ตายจริงๆ ยังดำารงอยู่ได้นั้น ก็เพราะ ที่นําเสนอความรเู กีย่ วกับการคดิ แบบเปนอยูใ น เมื่อตายแล้ว ก็เกิดใหม่ทันที โดยมีความถี่สูง ติดต่อกันเป็นกระแสเดียว ก็เลยดูเสมือนไม่มีเกิด ปจ จบุ ันขณะสนทนาและสอบถามกับนกั เรยี น ไม่มีตาย ชีวิตจึงดำาเนินอยู่ได้ เปรียบเหมือนเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ตรงหน้าเรา เรานึกว่ามันเป็น กลมุ อืน่ ในช้นั เรยี น เพอื่ ใหมคี วามรูความเขา ใจ เปลวเดียว แท้ที่จริงแล้วมันมีไม่รู้กี่เปลวต่อก่ีเปลว ลุกแล้วดับอยู่อย่างน้ัน ท่ีสายตาเราเห็นเป็น ท่ีถูกตอง เปลวเดยี วก็เพราะความถขี่ องเปลวทล่ี กุ ดบั น้นั สูงมาก ฉันใดก็ฉนั นนั้ 2. ครูต้งั คาํ ถามท่เี นน การเชือ่ มโยงความรูความ เม่ือเข้าใจการตายการเกิดอย่างนี้ ก็จะเข้าใจถึงหลัก “อนัตตา” คือ ภาวะท่ีไร้ตัวตน เขาใจระหวางการคดิ แบบเปนอยูในปจ จบุ นั กล่าวคือ เขา้ ใจว่าเมือ่ เกดิ ดับๆ อยูอ่ ย่างน้ีตลอด แล้วจะหา “ตวั ตน” ได้ท่ีไหน ที่เราเรยี กกันวา่ ขณะกบั แนวคดิ อน่ื ๆ แลวสุม ใหนักเรียนใน “ตัวตน” นั้น เรานกึ วา่ มันมีเทา่ นน้ั เอง ทแ่ี ท้จริงแล้วมันไม่มี แตล ะกลมุ ตอบ ตัวอยา งขอคาํ ถามเชน • หลกั คาํ สอนเร่ือง ตัวกูของกู หรอื ตายกอน ชีวิตเรานั้นสั้นนิดเดียว เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักอยู่กับชีวิตอันส้ันนี้ให้คุ้มค่า การจะอยู่กับ ตาย ของทานพุทธทาสภกิ ขุสอดคลองกบั ชวี ิตอยา่ งคุม้ คา่ หรอื มชี วี ติ อย่างคุ้มคา่ คือ ตอ้ งรจู้ กั คดิ แบบอยู่ในขณะปจั จบุ ัน การคิดแบบเปนอยใู นปจ จบุ ันขณะอยา งไร (แนวตอบ หลักคําสอนเรือ่ ง ตัวกูของกู ความคิดชนิดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายถึง คิดในขณะเดียวที่กำาลังเกิดข้ึน คือ มีสติ หรือ ตายกอ นตาย ของทานพุทธทาสภกิ ขุ ตามทันสิ่งที่รับรู้เก่ียวข้อง หรือต้องทำาอยู่ในเวลาน้ันๆ แต่ละขณะ ทุกๆ ขณะ ถ้าจิตรับรู้สิ่งใด สอดคลองกับการคดิ แบบเปน อยูในปจ จบุ ัน ขณะ ในแนวคิดเรอ่ื งอนตั ตา ซง่ึ ชวยใหเขาใจ การฝกปฏิบัติสมาธิจะช่วยให้ผู้ฝกมีสติและรู้ตัวอยู่เสมอว่าตนกำาลังทำาอะไร กล่าวคือ เป็นการฝกให้มีสติตามทัน สิ่งที่ ความไมมตี วั ตนและสิ่งท้ังปวงอยางแทจ ริง เกิดข้ึนและเปน็ อยใู่ นปัจจบุ นั น่ันเอง ทาํ ใหเราไมย ดึ ติดทัง้ กบั เรอ่ื งราวในอดตี หรอื อนาคต เรื่องราวท่ีดี มคี วามสขุ หรอื 1๔๐ ความทกุ ข เน่ืองจากเปน ส่งิ ทีไ่ มจีรงั ย่ังยนื แปรเปลีย่ นไปไดท ุกขณะ หากแตใหค วาม สาํ คัญกบั ปจ จุบนั ขณะ มีสติสัมปชญั ญะใน การกระทําตา งๆ ตลอดจนการเคล่ือนไหว อริ ยิ าบถ สงผลใหม ีความสขุ ทํางานไดอยาง มปี ระสิทธภิ าพ และดาํ เนนิ ชีวิตอยางมคี ุณคา โดยแทจรงิ ) บรู ณาการอาเซยี น ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’53 ออกเกี่ยวกบั ประโยชนท่บี ุคคลพึงไดร บั จากสติปฏ ฐาน ครสู ามารถจัดกิจกรรมการเรยี นรูบ ูรณาการอาเซียนโดยการนาํ กรณตี ัวอยาง ขอ ใดคือประโยชนท บี่ คุ คลไดรบั จากการบริหารจิตตามหลักสตปิ ฏ ฐาน หรอื ขา วเก่ยี วกับปญหาความขัดแยง ระหวางประเทศสมาชิกอาเซยี นในดา นตา งๆ 1. ทําใหระลกึ ชาตไิ ด โดยเฉพาะท่ีมีสาเหตุสืบเนอ่ื งมาจากพฒั นาการทางประวัตศิ าสตรมาใหนกั เรยี น 2. ทําใหเชอื่ ในบาปบญุ คณุ โทษ พจิ ารณา เชน ปญ หาท่ีเกดิ จากนกั การเมืองนาํ ประวตั ศิ าสตรบางสวนมาใชโนม 3. ทาํ ใหร า งกายแข็งแรงมีสุขภาพดี นาวประชาชนและกอใหเ กิดความขัดแยงระหวางประเทศเพอ่ื สรางความนยิ ม 4. ทําใหม ีศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาเพมิ่ ขนึ้ ทางการเมอื งของตนเอง แลว สอบถามความคดิ เห็นของนกั เรยี นถงึ สาเหตุ สภาพ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2.-3. ประโยชนทบี่ คุ คลพึงไดร บั จากการ ปญหา ผลกระทบตอประชาชนและสงั คมระหวางประเทศ จากนัน้ อภิปรายรวม บริหารจิตตามหลกั สติปฏ ฐานในระดับการดาํ เนนิ ชวี ติ ประจาํ วันทสี่ ําคญั กันถงึ แนวทางการแกไขปญหาตามหลักโยนิโสมนสกิ าร เนนการคิดแบบรเู ทา ทัน ไดแก ทาํ ใหมีความสบายกายสบายใจ จิตใจผองใส ไมเครยี ด อนั จะสง ธรรมดา (คิดแบบสามญั ลกั ษณะ) และการคิดแบบเปน อยใู นขณะปจจบุ ัน เพือ่ สง ผลถึงสขุ ภาพดานรา งกายดวย นอกจากน้ียงั มชี ว ยสงเสริมใหบุคคลนั้นรู เสรมิ ความเปน พลเมอื งอาเซียนใหแกนกั เรียน และสอดคลองกับกรอบความรว มมอื และเขา ใจในความจรงิ แหง หลักธรรมคาํ สอนทางพระพุทธศาสนาตางๆ ของประชาคมอาเซียนทเี่ กีย่ วของกับสันติภาพ ดังเชน หลกั กรรม นอ มนําใจไปสกู ารประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมคํา สอนตางๆ เพื่อดับทกุ ขของชวี ิตได 140 คมู ือครู
กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain แล้วเกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจขึ้น จิตคอยคิดข้องวนเวียนอยู่กับภาพของสิ่งน้ันที่สร้างขึ้น ครตู ้งั ประเดน็ ใหนักเรยี นอภิปรายรวมกันเกี่ยว ในใจก็เป็นอันตกไปอยู่ในอดีต ตามไม่ทันหลงไปจากขณะปัจจุบันแล้ว หรือจิตหลุดลอยจากขณะ กับการคดิ ตามหลักโยนโิ สมนสกิ าร ทง้ั ในสวน ปัจจุบันเกาะเกี่ยวกับภาพสิ่งท่ียังไม่มาก็เป็นอันฟุ้งในอนาคต ท้ังน้ี การคิดแบบเป็นอยู่ในขณะ ของการคิดแบบรูเทา ทันธรรมดา (คิดแบบสามญั ปัจจุบันมิได้หมายถึงว่า ไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงอนาคต การนำาอดีตมาเป็นบทเรียนและวางแผน ลกั ษณะ) และการคดิ แบบเปน อยูใ นขณะปจ จบุ ัน ในอนาคตด้วยสติ ด้วยความรอบคอบนั้นแหละเรียกว่า คิดแบบอยู่ในปัจจุบัน พระท่านจึงสอน เชน ปลอยวางสรา งสขุ : การคดิ แบบพทุ ธเพ่อื ชีวติ ว่าการจะอยู่ในปัจจุบันให้ดีได้ จะต้องมีสติสัมปชัญญะในการเคล่ือนไหวทุกอย่าง และคนที่อยู่ ท่ีมคี ุณภาพ ด้วยสติสัมปชัญญะเป็นคนทำางานมีประสิทธิภาพ และเป็นคนมีความสุขอีกต่างหากด้วย ดังน้ี จากนนั้ ครแู ละนักเรยี นชว ยกนั สรปุ ความรทู ีไ่ ด จากการศึกษาเกย่ี วกบั การเจรญิ ปญญาตามหลกั โยนิโสมนสิการ นักเรียนบนั ทึกลงในสมุด การใชช้ วี ติ อยกู่ ย็ ่อมเปน็ ไปอยา่ งค้มุ ค่า เพราะมีสติกำาหนดรตู้ วั เองตลอดขณะเวลาท่ตี นอยู่นัน่ เอง ขยายความเขา้ ใจ Expand การบริหารจิต คือ การฝกฝนอบรมจิตใหดีงาม มีความนุมนวล แตหนักแนนมั่นคง แข็งแกรง ผอนคลาย และสงบสุข ซึ่งมีวิธีปฏิบัติฝกฝ1นเพ่ือบรรลุผลดังกลาวมากมาย ในทาง ครูใหน ักเรยี นแตละกลมุ ชว ยกนั สํารวจสภาพ ปญ หาในโรงเรียนหรอื ทอ งถ่ิน วางแผนและดาํ เนนิ พระพุทธศาสนาเรียกการบริหารจิตวา “สมถกรรมฐาน” หรือสมาธิภาวนา (ฝกจิตใหเกิดสมาธิ) การแกไขปญหาและพฒั นาโรงเรยี นหรอื ทอ งถ่นิ การฝกจิตใหเปนสมาธิ และเกิดปญญารูซึ่งสิ่งท้ังหลายตามสภาพเปนจริงน้ัน “สติปฏฐาน” ตามหลกั โยนโิ สมนสกิ าร โดยเนน การคดิ แบบรูเทา เปนหลักปฏิบัติที่พระพุทธเจาทรงสรรเสริญ และแนะนําใหเหลาสาวกของพระองคฝกปฏิบัติ ทันธรรมดา (คิดแบบสามญั ลกั ษณะ) และการคดิ เปนประจํา เพราะสติปฏฐานเนนการควบคุมจิตใหมีสติอยูกับตัว มีสัมปชัญญะ คือ ความรู แบบเปนอยใู นขณะปจจุบนั จากน้นั จดั ทาํ เปน เทาทันการเคล่ือนไหวท้ังหมดของเรา จึงสามารถนําไปประยุกตใชกับชีวิตประจําวันไดเปน บนั ทกึ การเจริญปญ ญาตามหลกั โยนิโสมนสกิ าร อยางดี สวนการเจริญปญญาน้ัน คือ การฝกใหรูจักคิด อยางที่เรียกวา คิดเปน ทําเปน เพ่ือแกปญ หาและพฒั นาโรงเรยี นหรอื ทอ งถ่ิน แกปญหาเปนน่ันเอง การฝกคิดอยางใดอยางหน่ึงใน ๑๐ วิธี เชน คิดแบบสามัญลักษณะ ใหรูเทาทันความไมเท่ียงแท ความเปนทุกข และความหาตัวตนมิไดของสิ่งทั้งหลาย หรือคิดแบบ ตรวจสอบผล Evaluate เปนอยูใ นขณะปจ จุบัน คือ ใหมีสตกิ ํากบั อยกู ับ “เรื่องทคี่ ิด กจิ ทที่ ํา คําทพ่ี ดู ” ไมอาลยั อาวรณถ ึง ส่ิงท่ีทําไปแลว และไมวิตกกังวลในส่ิงที่ยังมาไมถึงจนเกินเหตุ ก็เปนวิธีปฏิบัติท่ีสอดคลองกับ ครตู รวจการวางแผนและดําเนนิ การแกไ ข ปญ หาและพัฒนาโรงเรยี นหรอื ทองถน่ิ ตามหลกั หลักสติปฏฐานนั่นเอง ดังนั้น คนที่ไดรับการฝกฝน2อบรมทั้งดานสมาธิและวิปสสนา จะเปนคนมี โยนิโสมนสกิ าร โดยเนน การคิดแบบรูเ ทา ทัน ธรรมดา (คดิ แบบสามญั ลักษณะ) และการคดิ สขุ ภาพจิต สมรรถภาพจิต และสขุ ภาพจิตทส่ี มบรู ณ มีความเขาใจโลกและชวี ติ ไดถ กู ตอง แบบเปนอยูในขณะปจจบุ ัน จากการนาํ เสนอผล งานของตัวแทนนักเรียนแตละกลุม โดยพจิ ารณา ÊØâ¢ »Ø- Ú ÊÊÚ ÍØ¨Ú¨â จากความสอดคลอ งของสภาพปญ หาหรอื ความ ¡ÒÃÊѧè ÊÁº-Ø ¹Òí ÊØ¢ÁÒãËŒ ตองการในการพฒั นากบั การคิดตามหลักโยนิโส- มนสกิ าร การวางแผนและการดําเนนิ การอยางเปน (¾·Ø ¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉÔµ) ระบบ ตลอดจนผลท่ไี ดจ ากการดาํ เนนิ การดงั กลาว แลวรวบรวมไวเปน แหลง การเรยี นรูในชัน้ เรยี นหรอื 1๔1 หองสมดุ บูรณาการเช่อื มสาระ นกั เรยี นควรรู ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรโู ดยอธบิ ายใหน กั เรยี นเขา ใจถึง 1 สมถกรรมฐาน หรือสมถกัมมัฎฐาน กรรมฐาน คือสมถะ เปน การฝก จติ ให ประโยชนของการบรหิ ารจิตตามหลักสติปฏ ฐาน และการเจริญปญ ญาตาม สงบ ระดับพื้นฐานของกรรมฐาน สวนระดบั ทสี่ งู ข้ึนไปเรียกวา วิปส สนากรรมฐาน หลักโยนโิ สมนสิการ ในระดับการดําเนินชวี ติ ประจําวนั หรือทางโลก แลว หรือวปิ สสนากัมมัฎฐาน กรรมฐาน คือ วิปสสนา อันกอใหเกิดปญญา ความเห็น ใหนกั เรยี นชวยกนั วิเคราะหแ นวทางการปฏบิ ัติตนเพื่อการแกไขปญ หา แจง คอื เหน็ ตรงตอความเปน จรงิ ของสภาวธรรม ปญ ญาท่ีเห็นไตรลักษณอ ันให และการพฒั นาตนเองและครอบครวั ในดานตา งๆ เชน การพฒั นาการ ถอนความหลงผดิ รผู ดิ ในสงั ขารเสียได ศกึ ษาเรยี นรู การพัฒนาบุคลิกภาพ การพฒั นาจติ ใจและรางกาย และ 2 สขุ ภาพจิตทสี่ มบรู ณ ประกอบดวย คุณภาพจติ คอื การสรา งเสรมิ จิตใจ การพฒั นาครอบครัวและบคุ คลรอบขางอืน่ ๆ จากนัน้ สรปุ ผลการวเิ คราะห ใหดงี ามเจรญิ เพิ่มพนู ดวยคุณธรรม เปน จิตใจทีส่ ูง ประณีต เชน จิตที่ประกอบ แลวมอบหมายใหนกั เรยี นนาํ ไปประยุกตปฏิบัติในชีวิตประจาํ วัน ท้งั นเ้ี พอ่ื ดว ย เมตตา กรณุ า สมรรถภาพจติ คอื การฝกฝนพัฒนาจิตใจใหเขม แขง็ มัน่ คง ใหน กั เรียนเกิดประสบการณต รงจากการปฏบิ ัติดว ยตนเอง และการ มคี วามเพยี ร และความสามารถ เปนจติ ท่ีเหมาะแกการใชง าน อยางท่เี รยี กวา บูรณาการกลมุ สาระการเรียนรสู ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา วชิ าสุขศกึ ษา นุมนวล ควรแกง าน (กัมมนีย) โดยเฉพาะงานทางปญ ญา คอื การทจี่ ะคดิ พจิ ารณา เรอ่ื งการพฒั นาสขุ ภาพของตนเองและครอบครัว ตลอดจนการมีสวนรวม ใหเห็นความจริงแจม แจงชัดเจน และสขุ ภาพจิต คอื การทาํ จิตใจใหป ลอดโปรง ในการสง เสรมิ การพฒั นาสุขภาพในชมุ ชน ผองใส ปราศจากความขุนมวั เหยี่ วแหง หรือโศกเศรา ใหมีความสดชืน่ รา เริง สงบและเปนสขุ คมู่ อื ครู 141
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182