Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู พระพุทธศาสนา ม.4

คู่มือครู พระพุทธศาสนา ม.4

Published by jirapatlca, 2020-01-07 23:24:39

Description: คู่มือครู พระพุทธศาสนา ม.4

Search

Read the Text Version

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู นอกจากการกวาดลานวัด ตักน้�าใช้ น�้าฉัน อาบช�าระกายให้สะอาดแล้ว ท่านยัง นักเรียนกลุมท่รี บั ผิดชอบชวยกนั ตอบคําถาม เชน ปฏิบัติเจริญภาวนาตั้งแต่เย็นจนพลบค่�า แล้วจึงเทศนาส่ังสอนอบรมสติปัญญาให้กับสานุศิษย์ • คตเิ ตอื นตนเองหรอื ศษิ ยานุศษิ ยของหลวงปู เป็นระยะเวลาพอสมควร ท่านจะเข้าห้องเพื่อสวดมนต์ไหว้พระ น่ังสมาธิ แล้วพักผ่อนต้ังแต่ มัน่ ภูรทิ ตั โต ที่สอดคลองกับหลักกรรมของ พระพทุ ธศาสนาคอื อะไร ๕ ทุ่ม แลว้ ตน่ื ตอนตี ๓ เพอื่ ทา� กิจในวนั ตอ่ ไป ทา่ นมคี ติเตอื นตนเองหรอื ศษิ ยานศุ ษิ ยว์ า่ (แนวตอบ ตน ดี ปลายกด็ ี คร้นั ผดิ มาแตต น ปลายก็ไมด )ี “ดีใดไม่มโี ทษ ดนี นั้ ช่อื ว่าเลิศ” • ทรรศนะของหลวงปมู ั่น ภรู ทิ ัตโต ที่มีตอ “ได้สมบตั ิทั้งปวงไม่ประเสรฐิ เทา่ ได้ตน เพราะตนเองเป็นทเี่ กดิ แห่งสมบตั ิทั้งปวง” การจัดขบวนแหพระสงฆน ั้นเปนอยางไร (แนวตอบ การจดั ขบวนแหพ ระสงฆนน้ั ไม “เมื่อมีวัตรก็ชอ่ื ว่ามศี ลี เพราะศลี เป็นเบื้องตน้ ของการปฏิบตั ”ิ ถกู ตอ ง เปน ความคดิ ทผี่ ดิ จากประเพณที ดี่ งี าม โดยผิดท้ังฝายฆราวาสและพระสงฆ ถาพระ “ต้นดี ปลายก็ดี ครน้ั ผดิ มาแตต่ ้น ปลายก็ไม่ดี” ทถี่ กู หามไมป ว ย ไมช ราอาพาธ กผ็ ดิ พระวนิ ยั เปน อาบตั ิ สวนญาตโิ ยมฆราวาสทส่ี ง เสรมิ นอกจากนั้น มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ท�าการรวบรวมค�ากลอนอบรม ความผดิ นน้ั กพ็ ลอยรบั โทษดว ย ไมได เปนกศุ ล หากแตทาํ ใหบ ญุ เกา กห็ ดหาย และเตอื นสตญิ าตโิ ยมไวใ้ นหนงั สือ บรู พาจารย์ ความว่า บญุ ใหมกไ็ มได เปนการกระทาํ ท่เี ปลา ประโยชน) “สาละแวก ปลาแดกใสต่ ุม้ ปลาเก่ากะบ่ได้ ปลาใหมก่ ะบ่ได้ เอาบุญหยงั ฮึ พ่อออกแมอ่ อก มื้อวานน้”ี มีความหมาย คือ การที่ญาติโยมตั้งขบวนหามขบวนแห่พระอย่างน้ัน เป็นการ อันไม่สมควร ไม่ถูกต้อง ไม่เคารพสถานท่ีและครูอาจารย์ เป็นความผิดแผกแหวกแนวประเพณี ของนักปฏิบัติ ผิดท้ังฝ่า1ยโยมและฝ่ายพระ พระผู้ถูกหามไม่ป่วย ไม่ชราอาพาธ ก็ผิดพระวินัย พระกเ็ ปน็ โทษ เปน็ อาบัติ เป็นบาปเปน็ กรรม ฝ่ายญาติโยมเป็นผู้ส่งเสริมความผิด ท�าให้พระผิดพระวินัย ญาติโยมก็พลอยได้ รับโทษด้วยกัน ฉะนั้นการที่ญาติโยมคิดว่าเป็นการท�าบุญเอากุศลในคร้ังน้ีเลยไม่ได้อะไร บุญเก่า ก็หดหาย บุญใหม่ก็ไม่ได้ เป็นการกระท�าอนั เปลา่ ประโยชน์ พระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺโต มรณภาพเม่ือวันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ที่วดั ปา่ สุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ๒) คณุ ธรรมทีค่ วรถอื เปน็ แบ2บอยำ่ ง ๒.๑) ปฏิบัติตนตำมสมณวิสัย กล่าวคือ ไม่ว่าท่านจะจาริกไปยังท่ีแห่งใดก็ตาม ทา่ นกจ็ ะอบรมสง่ั สอนศีลธรรมให้กับประชาชนในท้องถ่ินนน้ั ๆ ทง้ั ในประเทศไทยและประเทศลาว เพ่ือให้ประชาชนเป็นคนดีมีศีลธรรม อนั เปน็ ลักษณะพงึ ปฏบิ ัติของพระสงฆ์ 53 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู “ตน ดี ปลายกด็ ี คร้ันผดิ มาแตต น ปลายก็ไมด ”ี คตเิ ตือนตนเอง 1 อาบตั ิ การประพฤตไิ มถกู ตองตามพุทธบญั ญัตเิ ก่ยี วกับความประพฤติ ความ และศษิ ยานศุ ิษยของหลวงปูมนั่ ภูรทิ ตั โตนสี้ อดคลองกับหลกั ธรรมใด เปน อยู ขนบธรรมเนยี มและการดาํ เนินกิจการตา งๆ ของภิกษุสงฆ แบง ออกได แนวตอบ คตเิ ตอื นตนเองของหลวงมน่ั ภรู ทิ ตั โตนสี้ อดคลอ งกบั หลกั ธรรม เปน 2 ระดบั คือ อาทิกัมมิกะ หรือปาราชกิ วา ดว ยสกิ ขาบทท่ีเกยี่ วกบั อาบตั หิ นกั ทางพระพุทธศาสนาหลายขอ ทส่ี าํ คัญไดแ ก อริยมรรคมีองคแ ปด ของฝา ยภิกษุสงฆต ัง้ แตปาราชิกถงึ อนยิ ต และปาจติ ตีย วา ดว ยสิกขาบททเ่ี ก่ียวกบั โดยเฉพาะการมสี ัมมาทฐิ ิ สัมมาสังกัปปะ และสมั มากมั มนั ตะ คือ ความ อาบัตเิ บาตงั้ แตนสิ สคั คยิ ปาจติ ตียถึงเสขิยะ รวมตลอดทัง้ ภกิ ขนุ วี ิภงั คท ัง้ หมด เหน็ ชอบ ดาํ ริชอบ และกระทําชอบตามลาํ ดับ กลา วคอื เมือ่ มคี วามคิด 2 สมณวสิ ยั แปลวา วสิ ยั ของสมณะ หมายถึง ลักษณะทีเ่ ปนอยขู องสมณะ เห็นทีถ่ ูกตอง การกระทาํ ทถี่ ูกตอ งต้งั แตต น แลว ผลที่ไดย อ มถกู ตอ งเสมอ ลกั ษณะท่เี ปนอยขู องผสู งบ คมู ือครู 53

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนกลุมทีร่ บั ผดิ ชอบชวยกันตอบคําถาม ใส่ใจการศึกษามา๒ต้ัง.๒แ)ต ่ยเอังำเยใจาใวส์ว่กัยำรโศดึกยเษขำ้าแศลึกะษปาฏอิบักัตษิตรำธมรพรมร1ะธอรักรษมรวขินอัยมแทต่า่ยนังเเปล็น็กผู้ใแฝล่หะสาคามวาามรถรู้ เชน เรียนรจู้ ดจา� ได้เรว็ นอกจากนี้ทา่ นยังใส่ใจศึกษาพระธรรมวินัยแล้วนา� ไปปฏิบัตอิ ย่างเคร่งครัด • นอกจากหลวงปมู นั่ ภรู ทิ ัตโต จะเอาใจใส และศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยจนแตกฉานแลว ๒.๓) มคี วำมเพียรในกำรส่ังสอน ทา่ นใชค้ วามพยายามหมน่ั เพียรพร่�าสอนศษิ ย์ ยังสง เสรมิ พระพทุ ธศาสนาในแนวทางใด ไใหมห่้ฉวลน่ัาไดหดว้วตยอ่ กโลารกฝธรึกรฝมนอมบนั่ รคมงใจนิตพใจระตธารมรหมลวนิักยัสมโถดวยิปทัสา่ นสไนดาท้ า� ใตหน้ศใิษหยเ้ ป์เนป็ ท็นฏิผฐู้มาีในจคุเดต2็ดแิ เกดศ่ ่ียษิ วยาอนดศุ ทษิ นย์ (แนวตอบ หลวงปมู น่ั ภรู ิทตั โต มคี วามเพยี ร ท้งั ปวง พยายามในการส่ังสอนศิษยใ หหม่ันฝกฝน อบรมจิตใจตามหลักสมถวิปสสนา ใหมี ๓.๔ สุชพี ปุญญานุภาพ จติ ใจอดทนมั่นคงตอ พระธรรมวินยั และ ทา นยังปฏิบตั ิตนเปน แบบอยางใหแกศ ิษย ๑) ประวตั ิ อาจารยส์ ชุ ีพ ปุญญานุภาพ เกิดเมอ่ื วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ อีกดวย) ณ ตา� บลบางไทรปา่ อา� เภอบางเลน จงั หวดั นครปฐม ทา่ นมีพ่นี ้องร่วมทอ้ ง ๑๒ คน โดยทา่ นเป็น 2. ครตู ้งั คาํ ถามเก่ียวกบั ประวตั ิและคุณธรรมที่ คนที่ ๑๑ แต่เหลือรอดอยู่เพียงคนเดียวคือตัวท่าน นอกนั้นถึงแก่กรรมต้ังแต่เยาว์วัย ท่านจึง ควรถอื เปน แบบอยา งของอาจารยส ชุ พี ปญุ ญา- ไดร้ บั การตงั้ ชอื่ วา่ “บญุ รอด” นามสกลุ เดมิ ของทา่ นคอื สงวนเชอื้ สว่ นชอ่ื สชุ พี ปญุ ญานภุ าพน้ี นุภาพใหนกั เรยี นกลมุ ทีร่ ับผิดชอบชวยกันตอบ ได้เปลี่ยนมาใช้หลังจากท่ีท่านได้ลาสิกขาจากสมณเพศแล้ว โดยดัดแปลงมาจากฉายาตอนเป็น สวนนักเรียนกลมุ อื่นบันทึกคําตอบทีถ่ ูกตอ งลง พระภิกษวุ า่ “สชุ ีโว” มาเปน็ “สชุ ีพ” ในสมดุ เชน • ความรคู วามสามารถของอาจารยสชุ ีพ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้ท่ีใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ปญุ ญานุภาพ ทไ่ี ดร บั การยอมรบั นับถอื อยเู่ สมอ ทา่ นจึงประสบความส�าเร็จในการศึกษาทางธรรม และมีความรูก้ ว้างขวางท้งั ในภาษาไทย จนถึงปจจุบันน้นั เกดิ จากการศกึ ษาดานใด ภาษาต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างย่ิง ความรู้ความสามารถทางด้านศาสนาก็เป็นท่ียอมรับ บา ง นบั ถอื จนถงึ ปจั จบุ ัน (แนวตอบ การศึกษาของทานอาจารยส ชุ ีพ ปุญญานภุ าพ อาจจําแนกไดเปน 2 ดาน การศกึ ษาของทา่ นอาจจา� แนกได้ ๒ ด้าน ดงั นี้ คือ การศกึ ษาดา นภาษา ในชวงเวลาทีท่ าน อปุ สมบท 15 ป ไดใชเ วลาวางจากศาสนกจิ ๑. การศึกษาด้านภาษา ในช่วงท่ีท่านอุปสมบทต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นไป เป็นเวลา ศึกษาภาษาองั กฤษและภาษาสันสกฤตจาก ๑๕ ปี ทา่ นได้ใช้เวลาที่วา่ งจากศาสนกจิ ศกึ ษาภาษาอังกฤษและภาษาสนั สกฤตจากสวามี สวามสี ัตยานนั ทบรุ ี นักปราชญช าวอินเดีย สัตยานันทบุรี นักปราชญ์ชาวอินเดียจนเชี่ยวชาญ ทำาให้ท่านมีความรอบรู้และสามารถ จนเกิดความเชย่ี วชาญ สามารถแสดงธรรม แสดงธรรมเปน็ ภาษาองั กฤษแกช่ าวต่างประเทศได้เป็นทา่ นแรก เปน ภาษาองั กฤษไดเ ปน ทา นแรก และการ ศึกษาดานพระพทุ ธศาสนา ทานสําเร็จ ๒. การศึกษาดา้ นพระพทุ ธศาสนา ทา่ นสาำ เรจ็ เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมือ่ พ.ศ. ๒๔๘๒ เปรียญธรรม 9 ประโยค ณ สาํ นกั เรียนวัด ณ สาำ นกั เรียนวดั เทพศริ ินทราวาส กรุงเทพมหานคร เมอ่ื อุปสมบทเปน็ พระภกิ ษุไดเ้ พยี ง เทพศริ นิ ทราวาส เม่อื อุปสมบทเปน พระภิกษุ ๒ พรรษา ไดเพยี ง 2 พรรษา) 54 นักเรยี นควรรู บูรณาการเชอื่ มสาระ ครสู ามารถจดั กจิ กรรมการเรยี นรบู รู ณาการกลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทย 1 อกั ษรธรรม หมายถึง อักษรทกี่ ลุม ชนทางเหนอื และตะวนั ออกเฉียงเหนือ วิชาหลักภาษา เรอื่ งอิทธพิ ลของภาษาตางประเทศและภาษาถิน่ และ ของไทยใชจดบนั ทกึ บางครัง้ ทางภาคเหนือเรยี กวา อักษรตัวเมือง ลกั ษณะตวั หลกั การสรา งคําในภาษาไทย โดยอธบิ ายอทิ ธิพลของภาษาบาลสี นั สกฤต อักษรใกลเ คยี งกับอักษรมอญ พมา เปนอักษรทใ่ี ชบนั ทึกเรอ่ื งราวทางพระพุทธ- ตอการสรา งคาํ ในภาษาไทยจากตัวอยางช่ือของอาจารยสุชพี ซ่งึ มาจาก ศาสนาเปน สว นใหญ ดงั น้นั จึงถอื วา เปน อักษรศักดิส์ ทิ ธ์ิ บญุ รอดและสุชีโว ทีม่ ีความหมายเดยี วกัน คือ ผมู ีชีวิตรอด แลว อาจให 2 ทฏิ ฐานุคติ การดําเนินตามส่งิ ที่ไดเหน็ แบบอยาง ตวั อยา ง การทาํ ตามอยา ง นักเรยี นอธบิ ายความหมายชอื่ ของตนเองและเพอ่ื นนักเรียนท่ีมาจากภาษา หรอื ทางดาํ เนินตามทไี่ ดม องเหน็ เชน พระผูใหญปฏิบตั ติ นชอบกเ็ ปนทิฏฐานุคติ บาลีและสันสกฤตมาอยา งนอ ย 5 คน ของพระผนู อ ย เปน ตน 54 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ทา่ นอุปสมบทเป็นพระภิกษรุ ะหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๘๐ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๙ เปน็ เวลา ๑๙ ปี นกั เรียนกลุม ท่ีรับผิดชอบชวยกันตอบคาํ ถาม ไดร้ บั สมณศกั ด์สิ ูงสุดเป็นพระศรวี สิ ุทธิญาณ เชน อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้ที่มีคุณธรรม และความประพฤติดีงาม สมควร • อุปนสิ ัยของอาจารยสชุ พี ปุญญานุภาพ เป็นผู้ใหญ่ท่ีมีผู้น้อยเคารพนับถือ ตลอดจนถือเป็นแบบอย่างในการด�าเนินชีวิต ท่านด�ารงตน อาจกลาวไดว า เปน ผแู กไ ขปญหาความ ตามค�าสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด และใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็น ขัดแยง ดวยสนั ตวิ ิธีอยา งไร แนวทางในการท�างานและปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ท่านมักกล่าวแก่ศิษย์และผู้ใกล้ชิดอยู่เสมอว่า (แนวตอบ อาจารยสชุ ีพ ปุญญานุภาพ ดาํ รง “ใครเขาจะทะเลาะเบาะแว้งติเตียนกันอย่างไรก็ตาม เราก็ควรด�ารงตนเป็นผู้ใหญ่พิจารณา ตนตามหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาอยา ง เรอ่ื งราวตา่ งๆ ใหร้ อบดา้ น ไมเ่ ขา้ ไปทะเลาะกบั ใคร” ทา่ นมที า่ ทปี ระนปี ระนอมอยเู่ สมอ ไมห่ กั ลา้ ง เครงครัด และมีคํากลา วของทา นกบั ศิษย ผู้ใด ไม่ท�าให้ผู้อื่นเสียใจหรือเสียหน้า และเป็นท่ีพ่ึงในทางความคิดความเห็นของศิษย์และ เก่ียวกบั ความขัดแยง วา ไมว าใครจะทะเลาะ เพื่อนรว่ มงานอยเู่ สมอ เบาะแวง กนั อยา งไร ขอใหเ ราดาํ รงตนเปน ผใู หญพ จิ ารณาเรอื่ งนน้ั ใหรอบดา น นอกจาก อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้อุทิศตนเพ่ือความเจริญทางพระพุทธศาสนา นีท้ า นยงั มีทาทปี ระนปี ระนอมอยูเ สมอ ไม มาเป็นเวลานาน นับตัง้ แตท่ า่ นอปุ สมบทและอยู่ในชวี ิตฆราวาส ในเวลาตอ่ มาท่านได้มสี ่วนริเริ่ม หักลา งทาํ ใหผอู ืน่ เสียใจ ทาํ ใหเปนท่ีพง่ึ ใน งานส�าคัญหลายเรื่อง เชน่ การพัฒนาสภาการศกึ ษามหามกุฏราชวทิ ยาลยั เปน็ มหาวทิ ยาลยั สงฆ์ ทางความคิดของศิษยและผใู กลช ดิ เสมอ) การเผยแผ่หลักธรรมทางนวนิยาย การก่อตั้งและส่งเสริมโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ในประเทศไทย และการก่อตั้งและส่งเสริมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย และองค์การ • อาจารยสชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ มีบทบาทใน พทุ ธศาสนกิ สมั พนั ธแ์ หง่ โลก การพฒั นาพระพุทธศาสนาทีส่ าํ คัญอยา งไร บา ง นั บ ตั้ ง แ ต ่ บั ด น้ั น เ ป ็ น ต ้ น ม า (แนวตอบ อาจารยส ุชพี ปญุ ญานภุ าพ อทุ ศิ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ก็ได้มีบทบาท ตนเพอ่ื ความเจริญกาวหนาของพระพทุ ธ- ส�าคัญในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในนามของ ศาสนามาเปนเวลานาน ทานไดรเิ รม่ิ องคก์ ารฯ อยเู่ สมอ เชน่ การประชมุ ทางวชิ าการ งานสําคัญในหลายเรอ่ื ง เชน การพัฒนา การตอบปัญหาธรรมะ การอภิปราย และ สภาการศึกษามหามกฏุ ราชวิทยาลยั เปน การจัดกิจกรรมการสอนวิปัสสนาโดยพระภิกษุ มหาวทิ ยาลัยสงฆ การกอ ตงั้ และสง เสริม ชาวตา่ งประเทศ แต่เนอื่ งจากอุปนิสยั ของท่าน ยุวพุทธิกสมาคมแหง ประเทศไทย และ เป็นผู้ถ่อมตัว สันโดษ และไม่ใส่ใจในลาภยศ องคก ารพทุ ธศาสนกิ สมั พนั ธแหงโลก) สรรเสริญ เช่นปุถุชนท่ัวไป ท่านจึงมักท�างาน อยู่เบ้ืองหลังความส�าเร็จของหน่วยงานและ • ส่ือสําหรับเผยแผพระพุทธธรรมแนวใหม ไมเ่ ดน่ ดงั เปน็ ทรี่ จู้ กั เชน่ ผทู้ ที่ า� งานออกหนา้ ทวั่ ไป อาจารยส์ ชุ พี ปญุ ญานภุ าพ ผอู้ ทุ ศิ ตนเพอ่ื พระพทุ ธศาสนา ของอาจารยส ชุ พี ปญุ ญานภุ าพ เกดิ ข้นึ จาก แนวคดิ ใด 55 (แนวตอบ แนวคดิ ในการแตง นยิ ายอิงธรรมะ จากการแปลนยิ ายกามนติ วาสิฏฐี โดย ทา นคิดวาหากนาํ เรอ่ื งราวในพระสตู รตางๆ ในพระไตรปฎกมาแตงเปนนิยายกจ็ ะได ประโยชนทั้งในดานประวัติศาสตรพระพุทธ- ศาสนา และหลกั ธรรมฝายเถรวาท) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครมู อบหมายใหน ักเรยี นอา นนวนยิ ายอิงธรรมะทีแ่ ตงโดยอาจารยส ุชพี ครูอาจใหนักเรยี นชวยกนั วเิ คราะหถงึ ความสอดคลอ งของแนวทางในการทํางาน ปุญญานุภาพ เชน ใตร มกาสาวพัสตร อาทิตยขนึ้ ทางตะวันตก และการปฏบิ ตั ติ นของอาจารยส ชุ พี ปญุ ญานภุ าพ กบั หลกั ธรรมทน่ี กั เรยี นเคยศกึ ษามา หรือกองทพั ธรรม มาอยา งนอ ย 1 เร่อื ง แลว สรปุ สาระสาํ คัญสงครูผสู อน มุม IT กิจกรรมทา ทาย ศกึ ษาคนควาขอ มูลเกีย่ วกับประวตั คิ วามเปนมาและการดาํ เนินงานขององคก าร ครูมอบหมายใหนกั เรียนอา น สรุปสาระสําคญั และวเิ คราะหแ นวคดิ พุทธศาสนกิ สมั พนั ธแ หง โลกเพิ่มเตมิ ไดท ่ี http://www.wfbhq.org/ เวบ็ ไซต จากนวนยิ ายองิ ธรรมะท่ีแตงโดยอาจารยสุชีพ ปุญญานภุ าพ เชน องคการพทุ ธศาสนิกสัมพันธแหงโลก (พ.ส.ล.) ใตรม กาสาวพัสตร อาทิตยข้นึ ทางตะวันตก หรือกองทพั ธรรม มาอยางนอ ย 1 เรื่อง แลวบันทึกเปนผลการศกึ ษาวเิ คราะหสงครูผูสอน คูมอื ครู 55

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Engaae Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู นกั เรียนกลมุ ท่ีรับผิดชอบชวยกันตอบคาํ ถาม ๒) คณุ ธรรมทค่ี วรถือเปน็ แบบอย่ำง เชน ๒.๑) เป็นผู้ใฝ่รู้เป็นอย่ำงยิ่ง อาจารย์สุชีพเป็นเปรียญ ๙ ต้ังแต่อายุพรรษา • การไดรับสมญานามวาเปน ตูพระไตรปฎ ก ยังน้อย เป็นผู้ฝักใฝ่ศึกษาพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ได้น�าเอา เดนิ ได ของอาจารยส ุชพี ปุญญานุภาพ เกดิ หลกั ธรรมมารจนา1เปน็ นยิ ายอิงธรรมะหลายเลม่ อันเปน็ แนวทางใหมแ่ ห่งการประยุกต์ธรรม เช่น จากคณุ ธรรมที่ควรถือเปนแบบอยางใด ใต้รม่ กาสาวพสั ตร์ เชงิ ผาหมิ พานต์ ฯลฯ (แนวตอบ สมัยพุทธกาลพระอานนทไดรับการ ยกยองจากพระพุทธเจา ใหเ ปน เอตทัคคะใน ด้วยความเป็นผู้ใฝ่รู้ท�าให้ท่านได้อ่านงานเขียนของปราชญ์ตะวันตกมามาก 5 ดา น หน่งึ ในน้ันคอื การมีคติ หมายถึง มี ได้อา่ นนยิ ายอิงธรรมะของนายคาร์ล เยลเลรูป เร่ือง The Prilgrim Kamanita (กามนติ วาสฏิ ฐี) แนวแหงการจาํ พทุ ธวจนะทด่ี ี ซง่ึ แนวในการ ได้เห็นนักปราชญ์ตะวันตกแต่งนิยายอิงธรรมะ โดยน�าเอาข้อมูลจากคัมภีร์พระพุทธศาสนา จาํ ของทาน คือ การสรุปเน้อื หา หรือแตง มาปะตดิ ปะต่อแตง่ เรอ่ื งขึ้น ทา่ นมาคิดวา่ ถา้ หากจะแตง่ เรอ่ื งท�านองเดียวกนั โดยเอาพระสตู รต่างๆ เปน ฉันทเพื่อใหจ าํ งา ย) ขยายความเขา ใจ Expand จากพระไตรปิฎกมาเป็นข้อมูลจะได้ประโยชน์สองด้าน คือ ด้านประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา และหลกั ธรรมฝ่ายเถรวาท จึงได้แต่ง “ใต้ร่มกาสาวพัสตร์” และเลม่ อื่นๆ ข้ึนเป็นสอ่ื ส�าหรบั สอน ครูใหนักเรียนศึกษาคนควา เพม่ิ เติมเกยี่ วกบั พระพุทธธรรมแนวใหม่ท่ีได้รับความนยิ มโดยท่ัวไป ประวัตแิ ละผลงานของพทุ ธสาวก พทุ ธสาวกิ า ๒.๒) เป็นพหูสูต ทา่ นมีเทคนิคการจ�าพุทธวจนะได้ดเี ยยี่ ม ทา่ นไดศ้ ึกษาคน้ คว้า หรอื ศาสนกิ ชนตัวอยางที่ตนสนใจจากแหลง การ เรยี นรอู นื่ นอกจากหนงั สอื เรยี น จากนั้นวิเคราะห พระไตรปิฎกจนแตกฉาน และใช้ความรู้น้ันแต่งหนังสือ พระไตรปิฎกฉบับประชาชน แสดงถึง ขอคิดและแบบอยา งการดําเนินชวี ติ ทไี่ ดจากการ ความปราดเปรอื่ งในทางพระพทุ ธศาสนาอย่างยอดเยย่ี ม ศึกษาประวัตแิ ละผลงานของทานน้ัน แลว จดั ทาํ เปนบทวิเคราะหค วามยาวไมตา่ํ กวา 1 กระดาษ การที่ท่านเป็นพหูสูต ทรงจ�าพุทธวจนะได้มากมาย ดังสมญานามยกย่อง A4 พรอมบัตรคําหรอื แถบประโยคขอคิดหรอื แบบ ว่าเป็น “ตู้พระไตรปิฎกเดินได้” เพราะท่านมีเทคนิควิธีในการจดจ�า ท่านเล่าว่า พระอานนท์ อยา งการดาํ เนินชีวติ หลักท่ไี ดจากการศกึ ษา พุทธอนุชานั้นได้รับการยกย่องใน “เอตทัคคะ” (ความเป็นเลิศกว่าผู้อ่ืน) ๕ ประการ หนึ่งใน ๕ ประการนั้นคือ “มีคติ” หมายถึง มีแนวแห่งการจ�าพุทธวจนะได้ดี ท่านอาจารย์สุชีพ ก็คิด หาวธิ จี �าพุทธวจนะตามแนวทางพระอานนท์ คอื ท่านจะสรุปเนอ้ื หาโดยใชอ้ ักษรย่อ หรือโดยแตง่ ตรวจสอบผล Evaluate เป็นฉนั ทเ์ พ่ือใหจ้ �าได้ ๒.๓) เป็นครูที่ดี สมัยบวชอยู่ อาจารย์สุชีพเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงและ ครูคัดเลอื กบทวิเคราะหขอ คิดและแบบอยาง การดําเนนิ ชวี ิตทไ่ี ดจากการศึกษาประวตั แิ ละผล นกั แสดงปาฐกถาชน้ั ยอด เมอื่ ลาสกิ ขามาแลว้ กเ็ ปน็ อาจารยส์ อนทม่ี หาวทิ ยาลยั สงฆ์(มหามกฏุ ราช- งานของพทุ ธสาวก พุทธสาวิกา หรือศาสนิกชน วิทยาลัย) จนกระทงั่ สน้ิ ชวี ิต ทา่ นเป็นครทู ม่ี ีจติ วญิ ญาณของความเป็นครอู ย่างแท้จริง คอื ต้งั ใจ ตวั อยา ง และบัตรคําหรือแถบประโยคของนกั เรยี น ประสิทธิประสาทความรู้ มีความสุขใจที่ได้ให้ความรู้แก่ศิษย์ ความเป็นครูของท่านมิใช่อยู่ใน ท่ดี ี แลว นํามาใหน กั เรยี นชว ยกนั ตรวจอกี ครง้ั ชั้นเรียน หากอยู่นอกช้ันเรียนด้วย กระท่ังอยู่ท่ีบ้านก็มีผู้ไปปรึกษาขอความรู้และค�าแนะน�าจาก โดยพิจารณาจากความถูกตอ งเหมาะสมของบท ท่านเสมอมิได้ขาด เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์สุชีพจึงมี “ศิษย์” ที่เคารพนับถือในตัวท่านทั่วไป วเิ คราะหแ ละบตั รคาํ หรือแถบประโยค จากนนั้ ทุกร่นุ ทุกวยั ก็วา่ ได้ จัดแสดงบตั รคาํ หรอื แถบประโยคในบริเวณที่ เหมาะสมในชน้ั เรียน 56 นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนสามารถนาํ แบบอยา งการประพฤตปิ ฏิบตั ติ นของอาจารยส ชุ พี 1 กาสาวพสั ตร ผา ทย่ี อ มดว ยรสฝาด ผา ยอ มนา้ํ ฝาด คอื ผา เหลอื งสาํ หรบั พระ ปญุ ญานุภาพ ในขอ ใดมาใชเ พอื่ พฒั นาผลการเรียนของตน ปจ จุบันนิยมใชใ นความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง หลกั ธรรมคําสอนของ 1. การมจี ิตวญิ ญาณแหงความเปน ครู พระพทุ ธเจา เชน ใตรมกาสาวพัสตร เปน ตน 2. การมีแนวแหง การจาํ พุทธวจนะท่ีดี 3. การปฏิบตั ิตนเปน ดัง่ ตพู ระไตรปฎ กเดินได มุม IT 4. การศึกษาเปรียบเทียบขอความรูตางๆ เพื่อใหไ ดความรูใ หม วิเคราะหค ําตอบ การพฒั นาผลการเรยี นของนักเรยี นตองอาศยั หลกั ศึกษาพระไตรปฎกฉบบั ประชาชนของอาจารยส ชุ ีพ ปุญญานภุ าพเพ่ิมเติมไดท ่ี การเรยี นรูตงั้ แตข ้นั พืน้ ฐาน คือ การจําเน้ือหาสาระสําคญั ตลอดจนราย http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/ เวบ็ ไซตลานพระพทุ ธศาสนา ละเอยี ดของวิชาตางๆ ไดด ี ดงั นั้นการมแี นวแหง การจําพทุ ธวจนะทดี่ ีของ อาจารยสชุ พี ปญุ ญานุภาพ จงึ เปน แบบอยางในการประพฤตปิ ฏิบตั ิเพื่อ พฒั นาผลการเรียนได ดังน้นั คาํ ตอบคือ ขอ 2. 56 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๔. ชาดก เรอ่ื งราวของพระโพธิสัตว1์ท่ีบ�าเพ็ญบารมี เพื่อจะไปเสวยชาติเป็นพระพุทธเจ้า ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับทศชาตชิ าดก ของพระพทุ ธเจา แลว ใหน กั เรยี นดภู าพพระเวสสนั ดร ชำดก คอื พระราชทานชางปจ จยั นาเคนทรจ ากหนงั สือเรียน หนา 57 จากนั้นต้ังคาํ ถามเพอ่ื กระตุน ความสนใจ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั เลา่ ไวใ้ นสตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทก- ใหนกั เรียนชวยกนั ตอบ เชน นิกาย มีท้งั หมด ๕๔๗ เรอ่ื ง แต่ในช้นั นี้จะขอ • นักเรยี นคดิ วาการประทานพระชายา เสนอเพยี ง ๑ เรอื่ ง คือ เวสสันดรชาดก พระโอรสธิดา รวมถึงชา งปจ จยั นาเคนทร คบู า นคูเมอื งของพระเวสสันดรเพือ่ บําเพ็ญ เวสสนั ดรชาดก ทานบารมีเปน พระพทุ ธเจาน้ันเหมาะสม หรอื ไม อยางไร พระโพธสิ ตั วถ์ ือกา� เนิดเป็นพระเวสสันดร พระราชโอรสพระเจ้าสัญชัย กษัตริย์ผู้ครอง นครเชตุดร แคว้นสีพี เพื่อบ�าเพ็ญทานบารมี สาํ รวจคน หา Explore พ ร ะ อ ง ค ์ ไ ด ้ พ ร ะ ร า ช ท า น ช ้ า ง ป ั จ จั ย นา ค แ ก ่ พราหมณ์ท้ังแปดแห่งเมืองกลิงครัฐ เพื่อช่วย พระเวสสันดรพระราชทานช้างปัจจัยนาค หรือปัจจัย ครูใหนกั เรยี นรวมกลมุ กัน กลุมละ 3-4 คน ใหฝ้ นตกตอ้ งตามฤดกู าล บรรเทาความอดอยาก นาเคนทร์ เพอ่ื หวงั ชว่ ยเหลอื ประชาชนในเมอื งกลงิ ครฐั เพื่อแบงหนาท่ีกนั ศึกษาเวสสนั ดรชาดกจากหนงั สอื ของชาวเมือง ซ่ึงเป็นเหตุให้พระองค์ต้อง เรยี น หนา 57-61 และจากแหลง การเรยี นรอู น่ื เชน ถูกเนรเทศออกจากเมืองตามแรงผลักดันของ หนังสอื เวสสนั ดรชาดกสาํ นวนตา งๆ แลว ผลดั กนั ประชาชน เลา ตอนท่ีตนทศ่ี ึกษามาใหเ พือ่ นรว มกลมุ ฟง พระนางมัทรี กบั พระราชโอรสและพระธดิ า คอื ชาลีและกณั หา ได้ตามเสด็จไปด้วย ไปอยู่ อธบิ ายความรู Explain ในอาศรมในปา่ ตลอดเวลาทท่ี รงบา� เพญ็ พรตอยู่ในป่า พระเวสสนั ดรทรงคิดเสมอทีจ่ ะหาทางช่วย ครตู งั้ คาํ ถามเก่ียวกบั เวสสันดรชาดกแลว สุมให พระชายา พระโอรสธิดากลับไปยังบ้านเมืองตามเดิม เพราะไม่อยากให้ทั้ง ๓ พระองค์ประสบ นกั เรยี นแตล ะกลมุ ชว ยกนั ตอบ เชน ความลา� บากเหมอื นกับพระองค์ • สาเหตทุ ่ที าํ ใหพระเวสสนั ดรถกู เนรเทศออก เรื่องนา่ รู้ จากเมอื งเชตุดรคอื อะไร (แนวตอบ พระเวสสนั ดรเปน พระราชโอรส เวสสันดรชาดก ของพระเจา สญั ชยั กษตั รยิ ผ คู รองกรงุ เชตดุ ร แควนสีพี ถกู เนรเทศออกจากเมอื ง มูลเหตุท่ีตรัสเร่ืองเวสสันดรชาดก เกิดจากเม่ือคร้ังท่ีพระพุทธองค์เสด็จกรุงกบิลพัสด์ุเพ่ือทรงเย่ียมพระราชบิดา เนือ่ งจากพระองคบําเพ็ญทานบารมีโดย โดยขณะท่ปี ระทับอย่ทู ่นี ิโครธาราม บรรดาญาติได้เข้ามาเฝ้าแต่ก็มีใจกระด้างถือตน ไม่ยอมน้อมไหว้ พระพุทธองค์จึง ทรงแสดงให้เกิดฝนโบกขรพรรษ ภิกษุท้งั หลายเม่ือเห็นเหตุดังน้นั จึงทูลถามถึงเหตุอัศจรรย์ท่เี กิดข้นึ พระพุทธองค์จึง ตรสั วา่ ฝนนเ้ี คยตกมาแลว้ ครง้ั หนง่ึ เมอ่ื ครง้ั พระองคย์ งั เปน็ พระโพธสิ ตั วแ์ ละเสวยพระชาตเิ ปน็ พระเวสสนั ดร พระราชทานชางปจจัยนาเคนทรสงิ่ สําคัญคู บานคูเมืองใหแกพ ราหมณท ั้งแปดจากกลงิ ค- รัฐ โดยตองการชว ยเหลอื ชาวกลิงครัฐใหฝน ฟาตกตอ งตามฤดกู าลพน จากความอดอยาก 57 ลมตาย ชาวเมอื งเชตุดรจึงไมพอใจกดดันให พระราชบิดาตองจําใจเนรเทศพระองคพรอม ดวยพระชายาและโอรสธดิ าออกจากเมือง) ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู ขอ คดิ ท่ีไดจากการบําเพ็ญทานบารมขี องพระเวสสันดรแตถูกมองวา เปน 1 พระโพธิสตั ว แปลวา ผขู อ งอยูในโพธ์ิ คือ ผจู กั ไดต รสั รเู ปน พระพุทธเจาใน คนไมร บั ผิดชอบหรอื เหน็ แกตวั คืออะไร เบ้ืองหนา ซ่งึ มหายานแบงโพธสิ ตั วอ อกเปน 2 ประเภท คือ พระฌานโิ พธิสัตว เปน พระโพธิสตั วผ ูบาํ เพญ็ บารมีบริบูรณครบถว นแลว และสําเรจ็ เปน พระธยานโิ พธิสตั ว 1. ความจรงิ เปน ส่ิงไมตาย หรอื พระโพธสิ ัตวใ นสมาธิโดยยับย้ังไวย ังไมเ สดจ็ เขาสพู ุทธภูมิ เพ่อื จะโปรดสรรพ 2. การทาํ ดแี ตเดนมักเปนภัย สัตวตอไปอกี ไมมีทส่ี นิ้ สุด พระธยานโิ พธสิ ัตวน้ีเปนทพิ ยบุคคลทีม่ ีลักษณะดงั หนงึ่ 3. ความเช่ือมัน่ ในการทําความดี เทพยดา มคี ณุ ชาติทางจิตเขาสภู ูมิธรรมขน้ั สูงสุดและทรงไวซ ึ่งพระโพธิญาณอยา ง 4. การทําความดมี ักมีมารมาผจญ มน่ั คง จงึ มสี ภาวะท่ีสงู กวาพระโพธสิ ตั วท ัว่ ไป พระฌานิโพธิสตั วท ่สี ําคญั เชน วเิ คราะหคาํ ตอบ พระเวสสันดรทรงบาํ เพ็ญทานบารมโี ดยการใหช าง พระอวโลกเิ ตศวรโพธิสัตว พระมญั ชศุ รโี พธสิ ตั ว และพระมานษุ ิโพธิสตั ว เปน ปจ จัยนาเคนทรแ กพ ราหมณท ั้งแปดจากกลงิ ครัฐ เพื่อชว ยเหลอื ชาวแควน พระโพธิสัตวท อี่ ยใู นสภาพมนษุ ยทัว่ ไป หรอื เปน สงิ่ มชี ีวติ ในรปู แบบอ่ืนๆ ยังตองฝก นั้นใหพ น จากความอดอยากยากแคน เน่อื งจากฝนไมต กตองตามฤดกู าล อบรมตนเอง และทําหนา ที่ชว ยเหลอื ผอู นื่ ไปพรอมๆ กัน เปนผูที่กาํ ลังบาํ เพญ็ ส่ังสม สว นชาวแควน ของพระองคเ องน้นั ทรงเหน็ วา มีความเปน อยูทสี่ งบสุข มี บารมีอันยงิ่ ใหญเพือ่ พระโพธญิ าณอันประเสริฐ ถาตามมติของฝา ยเถรวาทก็คอื ความอุดมสมบูรณเ พยี งพอแลว จึงโดนเนรเทศท้งั ครอบครวั ออกจากเมอื ง ผทู ่ยี ังเวียนวายอยใู นวฏั สงสารเพื่อบาํ เพญ็ ทศบารมี 10 ประการใหบ ริบรู ณ การกระทําพระองคจ ึงแสดงถึงความเชือ่ มน่ั ในความดีอยา งยิ่งยวด ดงั น้ัน เหมอื นเมอ่ื คร้ังสมเดจ็ พระผูม พี ระภาคไดทรงกระทํามาในอดตี คาํ ตอบคอื ขอ 3. คูมอื ครู 57

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครูตัง้ คําถามเกีย่ วกบั เวสสันดรชาดกแลวสุมให พอดีมีพราหมณ์เฒ่านามชูชก1 ได้บุกป่ามาขอกัณหา ชาลี โดยพราหมณ์ผู้นี้เป็น นกั เรยี นแตละกลุมชว ยกันตอบ เชน ชาวเมืองกลิงครัฐ เนื่องจากให้เพื่อนพราหมณ์คนหน่ึงยืมเงิน คร้ันไปทวงก็ปรากฏว่าพราหมณ์ เพ่ือนกันน้ันได้ใช้เงินจ�านวนน้ันหมดแล้ว พราหมณ์เพ่ือนกันจึงยกนางอมิตดา บุตรสาวของตน • ชูชกคือใคร และมาขอพระโอรสธดิ า ให้ชชู ก ชูชกกด็ ีใจไม่คิดทจ่ี ะทวงหนอี้ กี ต่อไป กณั หาและชาลจี ากพระเวสสนั ดรไดอยา งไร อธบิ ายพอสงั เขป เม่ือนางอมติ ดาไปอยกู่ ับสามี นางก็ปรนนิบตั ิสามีอย่างดไี มข่ าดตกบกพรอ่ ง จนเลา่ ลอื เปน็ (แนวตอบ ชชู กเปน พราหมณเ ฒา จาก ท่ีอิจฉาแก่เพ่ือนบ้านที่มักไม่สนใจท�ากิจบ้านงานเรือน เป็นเหตุให้เหล่าสามีดุด่าทุบตีท่ีบรรดา กลิงครัฐถกู ภรรยา คอื นางอมติ ดาบังคบั ให ภรรยาของพวกตนไม่รู้จักเอาอย่างนางอมิตดา เมื่อนางอมิตดาไปตักน้�า พวกหญิงทั้งหลายจึง มาขอกัณหาชาลี พระโอรสธดิ าของ รุมด่า เยาะเย้ยเสียดสีให้อับอาย นางจึงบังคับให้ชูชกสามีแก่ไปขอสองกุมาร คือ กัณหา ชาลี พระเวสสันดรไปชวยงานบานของนาง มาเป็นข้ารับใช้ ตนจะได้ไม่ถูกพวกหญิงชาวบ้านเยาะเย้ยถากถางอีกต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เน่อื งจากนางไมอ ยากถกู หญิงชาวบา นที่ ชูชกจึงเดินทางมุ่งหน้าไปยังเขาวงกต อันเป็นสถานที่บ�าเพ็ญพรตของพระเวสสันดร และกล่าว รษิ ยาพูดจาดูถกู เยาะเยย ถากถาง ชูชก อ้างกับพรานเจตบุตร ผู้เฝ้าทางและอัจจุตฤๅษีว่าตนถือสารมาทูลเชิญพระเวสสันดรกลับเมือง จึงเดนิ ทางไปยังเขาวงกตท่พี ระเวสสันดร ท้ังสองหลงเชื่อจงึ ชีบ้ อกทางไปส่อู าศรมพระเวสสันดร บาํ เพ็ญพรตอยูโดยใชอ ุบายหลอกพราน เจตบุตร ผเู ฝา ทางและอัจจตุ ฤๅษวี า ตนนํา เมื่อชูชกเอ่ยปากขอสองกุมาร พระโพธิสัตว์จึงประทานให้ตามท่ีขอ โดยต้ังค่าสินไถ่ไว้ สารมาทูลเชิญพระเวสสนั ดรกลับเมอื ง สงู มาก คอื ชาลีมีค่าเป็นทองพนั แท่ง กณั หาเป็นทองร้อยแทง่ รวมช้างม้ารถทาสหญิงชายอย่าง จงึ เดนิ ทางไปพบพระเวสสันดรและทลู ขอ ละรอ้ ย ชูชกพอรูว้ ่ากุมารท้ังสองมีราคาสงู เช่นนน้ั กเ็ ปล่ียนใจ ไม่พาไปหาภรรยา กลับพาไปเมอื ง พระโอรสธิดาไดส าํ เร็จ) เชตุดร แคว้นสีพี พระเจ้าปู่คือพระเจ้าแคว้นสีพีทรงไถ่สองกุมารน้ันไว้ เป็นอันว่าสองกุมารได้ กลบั มายังเมืองมาตุภูมิตามเดิม หลังจากประทานสองกุมารให้ชูชกได้ไม่นาน ก็มีพราหมณ์แต่งตัวสะอาดสะอ้าน ท่าทาง ภูมิฐาน ปรากฏตัวขึ้นมาทันที เอ่ยปากขอนางมัทรี พระโพธิสัตว์ทรงนึกอยู่ในใจว่าพราหมณ์ คนนคี้ งมใิ ชค่ นธรรมดา อยๆู่ กป็ รากฏตวั มาขอนางมทั รี จงึ เอย่ ปากประทานใหต้ ามทข่ี อ ทนั ใดนน้ั พราหมณ์แปลงก็ส�าแดงภาวะแท้จริงของตนใหป้ รากฏ กล่าววา่ “เราคอื ทา้ วสกั กเทวราช มาทีน่ ่ี เพอื่ ชว่ ยใหพ้ ระโพธสิ ตั วบ์ า� เพญ็ ทานถงึ ขนั้ ปรมตั ถบารมี เพอ่ื จะไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในอนาคต ขออนโุ มทนาด้วย” วา่ แลว้ ก็หายวับไปกับตา จากน้ันไม่นาน พระเจ้าแคว้นสีพีก็ได้ส่งกองทัพมาอัญเชิญพระเวสสันดรเสด็จนิวัติ พระนคร รับสบื ทอดสมบตั ิจากพระราชบิดา ปกครองประเทศให้สงบสขุ รม่ เย็นตลอดพระชนมชพี มักจะมีผู้เข้าใจผิดว่า พระเวสสันดรเป็นผู้ไม่รับผิดชอบครอบครัวและบ้านเมือง ถึงกับ บริจาคชายา และพระโอรสธิดาให้เป็นทาน คล้ายกับตัดภาระการดูแลครอบครัวในฐานะที่เป็น 58 เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชือ่ มสาระ ครสู ามารถจดั กิจกรรมการเรียนรูโดยใหน กั เรียนศกึ ษาเวสสนั ดรชาดก ครอู าจสอบถามความคิดเห็นเกีย่ วกับแนวทางการปฏบิ ัติของนักเรยี นโดยสมมติ เพ่ิมเติมจากแหลงการเรียนรูอ่ืนๆ แลวชว ยกันวเิ คราะหข อ คดิ ท่ไี ด คณุ คา ใหน กั เรยี นเปน พระเวสสนั ดร พระนางมทั รี พระกณั หาและพระชาลี ชชู ก นางอมติ ดา ดานวรรณศลิ ป ตลอดจนวเิ คราะหแ ละวิจารณต ามหลักการวจิ ารณเ บ้อื งตน พระเจาสัญชัย และตอ งเผชิญกบั เหตุการณต า งๆ ดงั ท่ีปรากฏในชาดก พรอ ม จากนัน้ ชวยกันจดั ปา ยนิเทศเผยแพรค วามรู ตกแตง ใหส วยงาม เปน การจดั ยกเหตุผลประกอบ กจิ กรรมการเรยี นรบู ูรณาการกลุมสาระการเรยี นรภู าษาไทย วิชาวรรณคดี และวรรณกรรม เร่อื งคุณคา ของวรรณคดีและวรรณกรรมดา นวรรณศลิ ป นกั เรียนควรรู และหลักการวิจารณเ บ้ืองตน 1 ชชู ก เปน ตวั อยา งทดี่ ขี องบคุ คลทม่ี คี วามโลภ ขอ คดิ สาํ คญั ทว่ี เิ คราะหจ ากชชู ก ไดแก ของไมค คู วรยอมมปี ญหา โดยตําราหิโตปเทศ (หนงั สือทกี่ ลา วถงึ เรือ่ ง ของสนั ดานคนดว ยวิธีเลา นิทานซอนนิทาน) กลาววา “…ความรเู ปนพิษ เพราะเหตุ ที่ไมใ ช อาหารเปน พิษ เพราะเหตุไฟธาตุไมย อย ปราสาทเปนพษิ สําหรบั ทุคคตะ เมียสาวเปน เพราะผัวแก ฉะนั้นไมควรริเปน ววั แกท ่ีคิดจะเคยี้ วหญาออ น...” 58 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู หัวหน้าครอบค1รัว แสดงถึงความเป็นคนเห็นแก่ตัว และเอาตัวรอดเพียงคนเดียว กระทั่งช้าง ครูต้งั คาํ ถามเกีย่ วกบั เวสสนั ดรชาดกแลว สุม ให ปัจจัยนาเคนทร์ช้างคู่บ้านคู่เมือง ก็ยังถือวิสาสะบริจาคให้แก่พราหมณ์ท้ังแปดแห่งเมืองกลิงครัฐ นักเรียนแตละกลมุ ชวยกันตอบ เชน แสดงถงึ ความไมร่ ับผิดชอบตอ่ สว่ นรวม • หลงั จากพระเวสสันดรพระราชทาน ความเข้าใจผิดและการกล่าวหาในท�านองน้ีมีมาช้านาน จนกระทั่งเชื่อกันส่วนมาก พระโอรสธิดาใหช ูชกแลวเกิดเหตกุ ารณใ ด วแ่าสพดฤงถตึงิกทรรามนขบอารงมพีระพเรวะสเสวันสดสัรนไดมร่คไวดร้ทเรองาบเย�าี่ยเพงอ็ญยท่าางนบแาตร่จมรีจิงๆนถแึงขล้ัน้วหสาูงเสปุด็นคเือช่น“นป้ันรไมมัต่ ถชบาาดรกมนี2”้ี ขน้ึ บา ง ด้วยการประทานชายา พระโอรสธิดาให้เป็นทาน ซ่ึงแทนท่ีจะเป็นการเห็นแก่ตัว เอาตัวรอด (แนวตอบ ชชู กเกิดเปล่ยี นใจไมพ าพระโอรส เพยี งคนเดียว กลับแสดงถึงความเปน็ ผเู้ สยี สละอย่างยง่ิ ยวด ด้วยเหตผุ ลดังต่อไปน้ี ธดิ ากลับไปใหน างอมติ ดา เนื่องจาก พระเวสสนั ดรตง้ั คา สินไถพ ระโอรสธดิ าไวส ูง ๑. พระเวสสันดรเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ต้ังปณิธานเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพ่ือที่จะได้ มาก ชชู กจงึ พาพระโอรสธดิ าของพระเวสสนั ดร สามารถช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งปวงให้พ้นจากความทุกข์ คือ การเวียนว่ายตายเกิดใน ไปยังเมอื งเชตดุ ร แควน สพี ี จนพระเจาปู วัฏสงสาร การเคล่ือนไหวของพระโพธิสัตว์ทุกขั้นตอนเป็นการเคล่ือนไหวแห่งมหากรุณา ของกณั หา ชาลี ทรงไถกมุ ารท้งั สองไว ใน ต่อชาวโลกท้ังน้ัน แทนที่จะถูกมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ตรงข้ามกลับเป็นการเสียสละ ทสี่ ุดกัณหา ชาลีกไ็ ดก ลับสูบานเกดิ เมือง อันย่งิ ใหญ่เพ่อื ประโยชนแ์ กม่ วลมนษุ ย์ นอนตามเดมิ ทางดา นพระเวสสนั ดร กไ็ ดพบกับพราหมณท ่ปี รากฏตัวขน้ึ ทลู ขอ ๒. พระเวสสันดรบริจาคช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้เป็นทานแก่พราหมณ์ท้ังแปดจากแคว้น พระชายามทั รี พระเวสสนั ดรทรงพจิ ารณา กลิงครัฐ ก็เพราะความกรุณาสงสารชาวเมืองกลิงครัฐ ท่ีต้องเผชิญกับภาวะข้าวยาก แลว จงึ พระราชทานพระนางมทั รี หมากแพง ทรงเห็นว่าเมืองเชตุดรของพระองค์ ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีความอุดม ใหต ามท่ีพราหมณผนู นั้ ขอ พราหมณจึง สมบูรณอ์ ยู่แล้ว ถึงจะไมม่ ชี ้างปจั จัยนาเคนทร ์ บา้ นเมอื งก็อยูไ่ ดอ้ ย่างอดุ มสมบรู ณ์ แต่ถ้า สําแดงภาวะแทจ ริงของตนแลวกลา ววา ตน ชาวเมอื งกลิงครัฐไม่ได้ช้างปจั จยั นาเคนทร์ ฝนก็ไม่ตกตอ้ งตามฤดกู าล ผู้คนคงอดอยาก มาชวยพระเวสสันดรผูเ ปนพระโพธสิ ัตวไ ด ล้มตายเป็นจำานวนมาก ถ้าคนเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่บ้านเมืองของตน คงจะไม่ให้ช้าง บาํ เพ็ญทานถงึ ขัน้ ปรมตั ถบารมจี ักไดเปน ท่ีมีคุณค่ามหาศาลแก่บ้านเมืองอ่ืน แต่เพราะพระเวสสันดรโพธิสัตว์เป็นผู้เห็นแก่สัตว์โลก พระพทุ ธเจาในอนาคต) ทัง้ ปวง จงึ ประทานชา้ งใหแ้ กช่ าวเมืองกลงิ ครฐั ไป ๓. เม่ือครั้งถูกเนรเทศจากเมือง พระเวสสันดรไม่ต้องการให้พระชายาและพระโอรสธิดาไป ตกระกำาลำาบากด้วย ทรงหาทางส่งพระชายาและพระโอรสธิดากลับยังเมืองเชตุดรเสมอ เพียงยังคงรอโอกาสเหมาะเทา่ น้นั เอง เมื่อทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ชูชก ก็ทรงมองออกว่าเป็นคนงก จึงวางแผนด้วยความ ชาญฉลาดเพื่อสง่ พระโอรสธดิ ากลับเมอื ง ดว้ ยการตัง้ คา่ ไถส่ องกมุ ารไวส้ ูงมาก พราหมณ์ชูชกพอเห็นเงินมากมายมหาศาลก็ลืมนางอมิตดา นึกถึงพระเจ้ากรุงเชตุดร แควน้ สีพขี ึน้ มาทนั ที จึงจงู สองกมุ ารมงุ่ หนา้ ไปยงั เมืองเชตดุ ร กรงุ สพี ี เพื่อเก็บค่าไถ่สองกมุ าร 59 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู ชูชกเปนตัวอยางของผูไดรบั ความเดอื ดรอนจากอกศุ ลมูลใด 1 ชา งปจ จัยนาเคนทร หรอื ชางปจจัยนาค เปนลูกนางชา งอากาศจารนิ ี 1. โลภะ โทสะ (ชางท่ีทองเท่ยี วไปในอากาศ) นางชา งผูเปนมารดาทอ งเทีย่ วมาถงึ แควน สีพีไดนาํ 2. โมหะ โลภะ ลกู ชางเผอื กขาวผอ งมาไวใ นโรงชา งตน ของพระเจากรุงสญั ชยั ในวนั เดียวกบั ที่ 3. อจิ ฉา ริษยา พระเวสสันดรประสตู ิแลว นางชางผเู ปน มารดาก็จากไป ชางปจ จัยนาเคนทรจงึ เปน 4. ตัณหา ราคะ ชางคูบุญบารมขี องพระเวสสันดรโดยแท 2 ปรมตั ถบารมี แปลวา บารมียอดเยยี่ ม บารมีสงู สุด เชน การสละชีวติ เปน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. โมหะ โลภะ เนื่องจากชชู กเปนคนทีห่ ลง ทานบารมี สําหรบั ทานขัน้ รองเรยี กวา อปุ บารมี เปนบารมขี นั้ จวนสูงสดุ คอื บารมี ท่ีบําเพญ็ ยิง่ กวาบารมตี ามปกติ แตก ็ยังไมถ งึ ทสี่ ุดทจ่ี ะเปนปรมัตถบารมี เชน การ ในคําพูดและการกระทาํ ของนางอมติ ดาผูเปน ภรรยาจนไปขอสอง สละทรัพยภ ายนอกเปนทานบารมี เปนตน พระกุมาร จากนั้นเม่ือพระเวสสันดรพระราชทานพระกณั หา พระชาลที ่ี ตง้ั คา สินไถส งู ใหแลว ก็เกดิ ความโลภ ไมนาํ กลับไปใหนางอมิตดากลบั นํา ไปใหพระเจา สัญชยั ผเู ปนพระเจา ผูแ ทนดวยหวงั คา สนิ ไถน ้นั ในทส่ี ุด พระเจาสญั ชัยกป็ รนเปรอชชู กดวยอาหารจนตาย คมู อื ครู 59

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครตู ้งั คําถามเกี่ยวกับเวสสนั ดรชาดกแลวสุมให เสริมสาระ นกั เรยี นแตล ะกลมุ ชวยกันตอบ เชน ชาดก เป็นเรือ่ งราวของพระพุทธเจา้ ทม่ี มี าในชาติก่อนๆ โดยมหาเวสสนั ดรชาดก เปน็ หนงึ่ ในสบิ ชาตสิ ุดทา้ ย • เพราะเหตุใดการพระราชทานสิง่ สําคญั ก่อนที่พระองค์จะมาประสูติเป็นพระพุทธเจ้า และเป็นชาติท่ีบำาเพ็ญบารมีอันย่ิงใหญ่ครบ ๑๐ ประการ ซึ่งแต่ละชาติ ตา งๆ ของพระเวสสนั ดรจงึ ถือเปนการ พระองค์ทรงบำาเพญ็ บารมแี ตกต่างกัน ดังนี้ บําเพ็ญทานจนถงึ ขนั้ ปรมตั ถบารมี (แนวตอบ พระเวสสนั ดรเปนพระโพธสิ ตั ว พระชาติท่ี ชอ่ื ชาดก พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ บาํ เพ็ญทานบารมีเพือ่ บรรลปุ ณิธานตรสั รเู ปน พระเตมยี ์กุมาร พระพุทธเจา โปรดใหชาวโลกทั้งปวงพน จาก ๑ เตมียชาดก (เต) ความทุกข การพระราชทานสง่ิ สาํ คญั ตา งๆ บาำ เพ็ญเนกขัมมะบารมี จงึ มิใชการเหน็ แกต ัวแตเปนการเสยี สละ ๒ มหาชนกชาดก (ชะ) พระชนกกมุ าร อยางยิ่งยวดเพ่ือมวลมนุษยทั้งปวง ดงั เชน การพระราชทานชางปจจัยนาเคนทรใหแก ๓ สวุ รรณสามชาดก (ส)ุ บำาเพญ็ วริ ิยะบารมี พราหมณท ง้ั แปดจากกลิงครัฐดว ยทรงเหน็ วา พระสวุ รรณสาม ชาวเมอื งของพระองคอยอู ยา งมคี วามสุขแลว ๔ เนมิราชชาดก (เน) บาำ เพญ็ เมตตาบารมี แตหากไมพ ระราชทานชา งปจ จยั นาเคนทร พระเนมิราชกุมาร ชาวกลิงครัฐอาจอดอยากลม ตายจํานวนมาก ๕ มโหสถชาดก (มะ) บำาเพญ็ อธษิ ฐานบารมี เพราะฝนฟาไมตกตอ งตามฤดูกาล ตลอด มโหสถกุมาร จนชวงเวลาทีพ่ ระองคถ ูกเนรเทศออกจาก ๖ ภูรทิ ตั ชาดก (ภู) บำาเพญ็ ปญั ญาบารมี เมือง พระองคทรงคดิ หาหนทางใหพ ระชายา พญานาค ชอ่ื ภูรทิ ตั และพระโอรสธิดากลบั สเู มอื งอยตู ลอดเวลา ๗ จันทกุมารชาดก (จะ) บำาเพ็ญศีลบารมี เพราะไมต องการใหมาตกระกาํ ลาํ บากกบั พระจนั ทกุมาร พระองค เพียงแตยงั ไมมหี นทางหรือโอกาสท่ี ๘ นารทชาดก (นา) บำาเพ็ญขันตบิ ารมี เหมาะสมจนกระทง่ั ชชู กมาขอพระสองกมุ าร) พระพรหมนารทกมุ าร ๙ วธิ ุรชาดก (ว)ิ บำาเพ็ญอเุ บกขาบารมี • อกศุ ลมูลใดเปน เหตุแหงความตายของชูชก พระวธิ รุ บณั ฑติ (แนวตอบ โลภะ หรือความโลภ ชูชกเมอื่ เหน็ ๑๐ เวสสันดรชาดก (เว) บาำ เพ็ญสจั จะบารมี วาพระเวสสนั ดรทรงตัง้ คา ไถต วั พระโอรส พระเวสสนั ดร ธดิ าท้งั สองไวส งู มากจึงลืมภรรยาตนเอง บาำ เพ็ญทานบารมี กลับไปเขา เฝาพระเจา สัญชัยแหง กรงุ เชตุดร ดว ยหวังคาไถน้นั พระเจาสัญชัยจงึ ดํารไิ ด เพราะความตะกละตะกลาม เม่ือชูชกได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระเจ้าสัญชัย วา ชชู กเปน คนโลภ ทรงพระราชทานอาหาร รบั ประทานอาหารไมร่ จู้ กั ประมาณ จนธาตุก�าเริบตายในทส่ี ุด เลย้ี งอยางดีจนชูชกธาตุกําเรบิ ตายในทสี่ ดุ ) ท้ังหมดนี้เป็นการวางแผนด้วยปัญญา เพ่ือผลักดันให้ลูกท้ังสองกลับยังพระนคร เป็นความกรณุ าอันย่ิงใหญท่ ่ีไมเ่ ห็นแก่ตัวของพระเวสสนั ดร 60 เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’53 ออกเกีย่ วกบั ทศชาติชาดก ครูอาจใหน ักเรียนรวมกลุมเพอื่ ชวยกนั ศกึ ษาความรเู ก่ียวกับทศชาติอื่นๆ พระโพธสิ ัตวชาติสดุ ทายของทศชาติคอื องคใด นอกเหนอื จากเวสสนั ดรชาดก แลวชว ยกันจัดทําการนําเสนอความรูร ปู แบบตางๆ 1. พระเตมยี  ตามทีค่ รกู าํ หนด เชน สมุดภาพประกอบคาํ อธบิ าย การแสดงละคร หรอื โปรแกรม 2. พระมโหสถ การนําเสนอ (Powerpoint) จากนั้นผลัดกันนําเสนอผลงานทหี่ นา ช้นั เรียน ครแู ละ 3. พระมหาชนก นกั เรยี นชวยกนั สรปุ หลักธรรมคาํ สอนและแนวคิดที่ไดจากการศึกษาทศชาตชิ าดก 4. พระเวสสนั ดร วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. พระเวสสนั ดร เปน พระชาติสุดทา ยของ มุม IT พระโพธสิ ตั ว โดยพระเวสสันดรทรงบาํ เพ็ญทานบารมีอยางย่งิ ยวดจนถงึ ขนั้ ปรมตั ถบารมี อนั นําไปสูการตรสั รูเปน พระสมั มาสัมพุทธเจา ใน ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั ทศชาตชิ าดกไดท ี่ http://www.learntripitaka.com/ อนาคตชาติ Chadok/index.html เว็บไซตพ ระไตรปฎ กออนไลน 60 คมู อื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain พระเวสสันดรแสดงอานิสงส์ของทานอย่างเดียวก็จริง แต่ก็มีคุณธรรม1ข้ออ่ืน ครูตงั้ คําถามเกย่ี วกบั เวสสันดรชาดกแลวสุมให มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย เช่น เมตตากรุณา ความอดทน ความเพียร ปัญญา ตลอดจนความ นักเรียนแตละกลมุ ชวยกันตอบ เชน เสียสละ พระเวสสันดรนั้นเป็นผู้อดทนต่อความล�าบากต่างๆ นานา มุ่งหน้าเพ่ือบ�าเพ็ญคุณ ความดี ด้วยความพากเพียร เพื่อสะสมบารมี ให้ทานด้วยสติปัญญา และมีเมตตากรุณาเป็น • คุณธรรมอืน่ ๆ ของพระเวสสนั ดรไดแ ก พ้ืนฐาน ทรงยอมล�าบากไม่เห็นแก่ความสุขส่วนพระองค์ หวังจะหาทางช่วยเหลือสัตวโลกให้ อะไรบางและปรากฏในตอนใดชองชาดก พน้ จากทุกข์ในสงั สารวัฏ ก็เพราะมนี �้าพระทัยเป่ียมด้วยความเสยี สละเปน็ อยา่ งย่งิ (แนวตอบ พระเวสสนั ดรบาํ เพญ็ ทานบารมเี ปน สําคญั แตก็ทรงมีคณุ ธรรมอื่นๆ ดวย เชน เม่ือพิจารณาถึงการดํารงชีวิตขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พุทธสาวก ความเมตตากรุณา จากการพระราชทานชาง ปจจัยนาเคนทรใ หพราหมณท ง้ั แปดจาก พทุ ธสาวกิ า และชาวพทุ ธตัวอยา ง ตลอดจนพระโพธิสตั วจากนิทานชาดกเรอ่ื งตางๆ นแ้ี ลว จะเหน็ กลงิ ครัฐ การมีปญ ญา จากการตงั้ คาสินไถ พระโอรสธิดาไวส ูงดว ยทรงดาํ ริวา ชชู กเปน ไดวาแตละทานลวนมีจริยาวัตรทางการดําเนินชีวิตท่ีงดงาม และมีคุณธรรมเปนหลักในการ คนโลภจกั ตอ งนําพระโอรสธิดาไปไถแ ก พระเจา สญั ชยั ผเู ปน พระเจา ปขู องพระโอรสธดิ า ดํารงตน ดังน้ัน ในฐานะท่ีเปนพุทธศาสนิกชน นักเรียนควรนําคุณธรรมและคติขอคิดท่ีไดจากการ เปนแน จนในที่สุดพระโอรสธิดาก็ไดกลับคนื สพู ระนคร) ศึกษามาเปนแนวทางท่ีจะนําไปใชเปนหลักในการปฏิบัติตนและดําเนินชีวิต เพราะนอกจากที่จะ ไดร บั การยกยอ งวา เปน ผมู ีคณุ ธรรมแลว ยังจะชวยธาํ รงสังคมใหม คี วามสงบสุขอกี ดวย ขยายความเขา ใจ Expand ¡ÁÚÁØ¹Ò ÇµµÚ µÕ âÅâ¡ ครใู หน กั เรยี นแตละกลุมศึกษาคนควา เพิ่มเตมิ ÊѵÇ⏠šÂÍ‹ Á໹š 仵ÒÁ¡ÃÃÁ เกีย่ วกับเวสสนั ดรชาดกและขอคิดจากชาดก จาก แหลง การเรยี นรอู ่ืนๆ เชน พระสงฆ พระไตรปฎก (¾Ø·¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉÔµ) แลว จดั ทาํ เปน แผน พับใหรายละเอยี ดและขอ คดิ ทนี่ ักเรยี นควรรจู ากเวสสนั ดรชาดก ตกแตงให สวยงาม ตรวจสอบผล Evaluate ครแู ละนกั เรียนชว ยกนั ตรวจแผนพบั เวสสนั ดร ชาดกของแตล ะกลมุ โดยพิจารณาจากความถกู ตอง เหมาะสมของขอมลู ความสวยงามและนาสนใจ ของการนาํ เสนอ รวมถงึ การจัดทาํ แผน พบั จากนัน้ จัดแสดงแผนพับทด่ี ไี วบรเิ วณทเ่ี หมาะสม ภายในชั้นเรยี น 61 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ครมู อบหมายใหนกั เรยี นศกึ ษาทศชาตชิ าดกอื่นเพม่ิ เตมิ มาอยา งนอ ย ครูอาจใชส ือ่ การเรียนรปู ระเภทตางๆ ประกอบการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู 1 ชาดก จากนั้นสรปุ เร่อื งยอ และสาระสาํ คัญสงครผู สู อน เวสสนั ดรชาดก เชน วีดิทศั นเวสสันดรชาดกจากเวบ็ ไซต เวสสนั ดรชาดกฉบับ การต นู เพ่อื ใหนกั เรียนเกิดความสนใจและเขาใจไดชดั เจนย่ิงขึน้ กจิ กรรมทาทาย นกั เรียนควรรู ครมู อบหมายใหน ักเรียนศกึ ษาทศชาตชิ าดกอน่ื เพม่ิ เติมมาอยางนอ ย 1 ชาดก จากนน้ั สรปุ เรอ่ื งยอ สาระสาํ คญั และวเิ คราะหห ลกั ธรรมหรอื ขอ คดิ 1 คณุ ธรรม พระนางมทั รใี นพระเวสสนั ดรชาดกที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ควรนาํ ทไ่ี ดสง ครผู สู อน เปนแบบอยางหลายประการ เชน การเปนแบบอยางของภรรยาท่ดี ี ซอ่ื สัตยแ ละ จงรกั ภกั ดีตอสามี รวมถึงการเปน แมท่รี ักและเปนหวงลูกเสมอื นเปนแกวตาดวงใจ คูมือครู 61

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถูกตองในการตอบคาํ ถาม คาปถระาจÓมหน่วยการเรียนรู้ ประจาํ หนวยการเรยี นรู ๑. การวิเคราะห์พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าขณะบ�าเพ็ญทุกกรกิริยาและจนกระท่ังถึงการ หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ตรัสรู้มีความส�าคัญหรือให้แง่คิดอะไรบ้างแก่ผู้ที่ศึกษา และเพราะเหตุใดจึงจ�าเป็นต้องมี การวเิ คราะห์ ไมส่ ามารถตคี วามไปตามตัวอักษรหรอื ข้อความไดท้ งั้ หมด 1. เสน เวลาหรอื ผังกราฟกแสดงพทุ ธประวัติ ตอนการตรสั รแู ละการกอต้งั พระพุทธศาสนา ๒. จากการศึกษาเร่ืองพุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา และศาสนิกชนตัวอย่างใน หน่วยน้ีแล้ว นักเรียนคิดว่ามีคุณธรรมใดบ้างที่สามารถน�ามาประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษา 2. บทวเิ คราะหขอคิดและแบบอยางการดาํ เนนิ ชวี ิต เลา่ เรียนได้ และสามารถน�าไปประยุกต์ใชไ้ ด้อยา่ งไร จงยกตัวอยา่ งประกอบการอธิบาย ทไี่ ดจากการศกึ ษาประวตั ิและผลงานของ พุทธสาวก พุทธสาวกิ า หรอื ศาสนกิ ชนตัวอยาง ๓. การศกึ ษา “ชาดก” ซ่งึ เปน็ พระชาติในอดตี ของพระพุทธเจา้ มคี วามส�าคัญอย่างไร และบตั รคําหรือแถบประโยค ๔. จากการศกึ ษาเรื่อง “เวสสนั ดรชาดก” นกั เรยี นไดม้ มุ มองหรือข้อคดิ อะไรบ้าง ๕. จงสรปุ ประวตั ิและผลงานของศาสนกิ ชนตวั อยา่ งจากเร่ืองทศ่ี กึ ษามา ๑ ท่าน 3. แผนพับเวสสันดรชาดก กิจสรกา้ รงรสมรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ กจิ กรรมท่ี ๑ จัดป้ายนิเทศเก่ียวกับพุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา หรือ กจิ กรรมที่ ๒ ชาดกตามท่ีไดศ้ กึ ษาในหน่วยน้ี ออกแบบและจัดท�าสมดุ ภาพโดยเลอื กเร่อื งท่ีเกยี่ วกับพทุ ธประวตั ิ ประวัติ กิจกรรมที ่ ๓ พุทธสาวก พุทธสาวิกา หรือชาดก ท่ีได้ศึกษาในหน่วยน้ี พร้อมทั้ง สรปุ ขอ้ คิดท่ีได้จากการศึกษาพทุ ธประวัติ ประวตั พิ ทุ ธสาวก พทุ ธสาวิกา หรอื ชาดกเรื่องนัน้ แบ่งกลุ่มศึกษาเร่ืองราวประวัติของบุคคลที่เป็นตัวอย่างของศาสนิกชน ท่ีดีท่านอ่ืนๆ ในระดับชุมชนหรือในระดับประเทศ พร้อมทั้งวิเคราะห์ คณุ ธรรมท่สี ามารถนา� มาใชเ้ ป็นแบบอยา่ งในการด�าเนนิ ชีวิต 62 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนวยการเรยี นรู 1. การวเิ คราะหพ ทุ ธประวตั ติ อนนี้ใหแ งคดิ ในเรือ่ งการใชปญ ญาในการแสวงหาความรูตา งๆ สว นเหตุท่ีการศกึ ษาพุทธประวัตจิ าํ เปนตอ งมกี ารวเิ คราะหตคี วาม เพราะ พทุ ธประวัติมีเร่อื งอทิ ธิปาฏหิ าริยท ี่เกนิ ความสามารถของมนษุ ยป ุถชุ น ซึ่งอาจแบงเปน 2 ลักษณะใหญๆ ไดว า เปนเหตุการณท ่เี กิดขึ้นจรงิ ดว ยพระบุญญาบารมีของ พระพทุ ธองค หรอื เปน การรจนาของพระเถระในอดตี เชงิ เปรียบเทยี บกบั สญั ลักษณ 2. การเปน ผูใฝรแู ละใชปญญาแกปญหาตา งๆ ในพทุ ธประวตั ิ ตอนการตรัสรู ชวยสง เสรมิ ใหเ กิดอปุ นสิ ยั รกั การเรียนรใู นวิชาการ และการใชปญญาวิเคราะหหาแกไ ขปญ หา ทถี่ ูกตอ งเหมาะสม เมื่อตองเผชญิ กบั ปญหาชวี ิตทัง้ การเรียนหรือการดาํ เนนิ ชวี ิตอนื่ ๆ รวมถงึ ความเพยี รพยายามและความอดทน 3. การศึกษาชาดกมปี ระโยชนอยา งยง่ิ ในการใหข อ คิดและนอ มนําใจใหศ รัทธาในพระพุทธศาสนาและพระพทุ ธองค เชน พระเวสสันดรชาดกใหข อ คิดในการประกอบ กจิ การงานหรอื การเรยี นตางๆ ควรมีจุดหมายทช่ี ดั เจนและดาํ เนินการเพ่ือใหบรรลุจดุ หมายนนั้ อยา งมงุ ม่ันกจ็ ะประสบความสาํ เรจ็ ไดใ นทสี่ ุด 4. การศกึ ษาเวสสนั ดรชาดกไดข อคิดสาํ คัญเกี่ยวกบั ความเสยี สละเพ่ือประโยชนสวนรวม ดงั ท่พี ระเวสสนั ดรพระราชทานสิ่งสาํ คัญตา งๆ กระทั่งพระชายาและพระโอรสธิดา ใหเปนทานโดยคิดถงึ ประโยชนข องผูอนื่ เปน หลัก นอกจากนย้ี งั ใหข อคิดเก่ยี วกบั ความมนั่ คงในการปฏบิ ตั สิ ่งิ ท่ีถูกตองดีงามอกี ดวย 5. หลวงปมู ่ัน ภรู ทิ ัตโต เกิดทีจ่ งั หวัดอุบลราชธานี เมื่อ พ.ศ. 2413 ในวัยเด็กไดศกึ ษาเลาเรยี นอักษรตา งๆ จากอาและเกดิ ความเขา ใจ อา นออกเขยี นไดอ ยางรวดเรว็ ตอ มาเมื่อบวชเปน สามเณรและภิกษสุ งฆก็จําวดั ในจงั หวัดอบุ ลราชธานี และมุงมนั่ ฝกปฏิบตั วิ ิปสสนาธรุ ะกับพระอาจารยเ สาร กนฺตสโี ลมาโดยตลอด นอกจากน้ียงั ปฏบิ ตั ิ ตนเปนแบบอยา งท่ีดีในการถอื วัตรปฏบิ ัติอยา งเครง ครัด อกี ท้ังเทศนาสง่ั สอนอบรมสติปญญาและความเขาใจท่ถี ูกตองในพระพุทธศาสนาแกศ ษิ ยและศาสนกิ ชนตลอด ชวี ติ ของทา น จงึ เปน แบบอยา งทีด่ ขี องสมณสงฆผ มู ีวตั รปฏิบัติทดี่ ีงาม ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินยั รวมถงึ อบรมส่ังสอนศษิ ยานศุ ิษยอ ยางสมํ่าเสมอ 62 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. อธบิ ายความหมายของพระรตั นตรยั และ คณุ คา ของพระพทุ ธได 2. อธิบายหลักธรรมในกรอบอริยสจั 4 ได 3. ปฏิบัตติ นตามหลักธรรมในกรอบ อริยสจั 4 ได สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชทักษะชีวิต ๓ ËÅÑก¸รรม˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃŒÙ·èÕ คุณลักษณะอนั พึงประสงค ·า§¾รо·Ø ¸Èาʹา 1. ซ่ือสตั ยส ุจรติ ËÅÑ¡¸ÃÃÁ¢Í§¾Ãоط¸ÈÒʹҹéѹÁÕÁÒᵋ´Ñé§à´ÔÁ¡‹Í¹·èÕ¾Ãоط¸à¨ŒÒ¨Ð»ÃÐÊÙµÔ ¾Ãоط¸Í§¤ 2. มวี ินยั 3. ใฝเรยี นรู ໚¹à¾Õ§¼ŒÙ¤Œ¹¾ºËÅÑ¡¸ÃÃÁ áŌǹíÒÁÒÊÑè§Ê͹ÁÇÅÁ¹ØÉà¾è×ÍãËŒà¡Ô´¤ÇÒÁʧºÊØ¢¢éÖ¹ã¹âÅ¡ ´Ñ§¹éѹ 4. อยอู ยางพอเพยี ง ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒËÅÑ¡¸ÃÃÁ¤íÒÊ͹¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ¨Ö§à»š¹ÊèÔ§ÊíÒ¤ÑÞÊíÒËÃѺ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹·Ø¡¤¹ à¾ÃÒÐ 5. มุงมนั่ ในการทํางาน ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹·Õè´Õ‹ÍÁ»¯ÔºÑµÔµ¹µÒÁá¹Ç·Ò§¢Í§¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò áÅСÒ÷Õè¨Ð»¯ÔºÑµÔµÒÁá¹Ç·Ò§ ä´Œ¶Ù¡µÍŒ §¡µç ÍŒ §È¡Ö ÉÒËÅÑ¡¸ÃÃÁãËŒà¢ÒŒ 㨶١µÍŒ §´ŒÇÂઋ¹¡¹Ñ กระตนุ ความสนใจ Engage ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ครูใหนกั เรียนพิจารณาภาพทห่ี นา หนว ยการ เรยี นรู แลวตั้งคําถามเกยี่ วกับพระรัตนตรยั โดย ส ๑.๑ ม.4/ ๑๓ ■ พระรตั นตรยั (วเิ คราะหค์ วามหมายและคณุ คา่ ของพทุ ธะ) เฉพาะในสวนของพระพทุ ธใหน ักเรียนชว ยกนั ตอบ ■ วิเคราะห์หลักธรรมในกรอบอริยสัจ ๔ หรือหลักคำาสอนของ ■ อริยสจั ๔ เชน ศาสนาทีต่ นนบั ถือ - ทุกข ์ (ขนั ธ์ ๕) • ภาพหนาหนว ยการเรยี นรูแ สดงถึง - สมทุ ยั (หลักกรรม, วติ ก ๓) ความหมายและคุณคาของพระรัตนตรยั - นโิ รธ (ภาวนา ๔) อยางไรบา ง อธิบายพอสังเขป - มรรค (พระสัทธรรม ๓, ปัญญาวุฒิธรรม ๔, พละ ๕, (แนวตอบ จากภาพหนา หนวยการเรียนรู แสดงถึงคุณคา ของพระรตั นตรัยท้งั 3 องค อุบาสกธรรม ๕ และมงคล ๓๘) ประกอบ ไดแก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ผา นทางวิถชี วี ติ ของพระสงฆ) เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู พื่อใหน กั เรียนสามารถวิเคราะหห ลกั ธรรมใน กรอบอริยสัจ 4 ตลอดจนปฏิบัตติ นตามหลกั ธรรมไดอยา งถกู ตอ งเหมาะสม โดยเนน การพัฒนาทักษะกระบวนการตา งๆ เชน ทกั ษะการคิด ทกั ษะการฝกปฏบิ ตั ิ และ กระบวนการกลมุ ดงั ตอ ไปน้ี • ครูใหน ักเรียนศกึ ษาความรเู ก่ียวกบั พระรัตนตรัยในสว นของพระพทุ ธจาก หนงั สือเรียนและแหลง การเรียนรอู ื่นๆ แลว ใหนักเรยี นอธบิ ายความหมายของ พระรัตนตรัยและคณุ คาของพระพุทธ จากนั้นศกึ ษาคนควาเพม่ิ เติมแลว จัดทําเปน ใบความรูคณุ คาของพระพุทธ • ครูใหนักเรยี นชว ยกนั ศกึ ษาความรหู ลักธรรมในกรอบอริยสจั 4 จากหนังสอื เรียน แลว ต้งั ประเด็นอภปิ รายและขอคาํ ถามเพ่อื ใหน กั เรยี นอธบิ ายความ รู จากนนั้ มอบหมายใหน กั เรียนศกึ ษาคน ควาเพิม่ เตมิ จากแหลง การเรียนรู อน่ื แลวจัดทําเปนบนั ทกึ การศึกษาคนควา พรอมทงั้ นําหลักธรรมทศี่ กึ ษาไป ปฏบิ ัติในชวี ติ ประจาํ วนั แลว จดั ทาํ เปนบนั ทึกการปฏิบัติตนตามหลักธรรมใน กรอบอริยสัจ 4 คมู อื ครู 63

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Elaborate Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูใหน กั เรียนพิจารณาภาพทหี่ นาหนวยการ ๑. พระรัตนตรยั เรยี นรู แลว ต้ังคาํ ถามเกย่ี วกบั พระรัตนตรัย โดย เฉพาะในสว นของพระพทุ ธใหนกั เรียนชว ยกันตอบ ๑.๑ ความหมายของพระรตั นตรัย เชน พระรัตนตรัย แปลวา่ แกว้ อันประเสรฐิ ๓ ดวง ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ • พระพุทธในพระรัตนตรัยมีคณุ คาอยางไร ซ่ึงเปน็ องค์ประกอบส�าคญั ของพระพุทธศาสนา (แนวตอบ คุณคา ของพระพทุ ธเจา แบงออกได เปน 3 ประการ ไดแก พระปญ ญาคณุ คือ ๑) พระพุทธ หมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซ่ึงทรงเป็นศาสดา ปญ ญาทีท่ าํ ใหพ ระองคตรสั รูการเกิดแหง ทกุ ข และการดบั ทุกข พระวิสุทธคิ ณุ คือ ความ ของศาสนา กลา่ วคอื ทรงเปน็ ผคู้ น้ พบหลกั ธรรมโดยการตรสั รเู้ อง และนา� มาสอนใหผ้ อู้ นื่ ปฏบิ ตั ติ าม บรสิ ทุ ธปิ์ ราศจากกเิ ลสเครือ่ งเศราหมองทั้ง โดยทรงประกาศพระศาสนาและเผยแผธ่ รรมให้มนษุ ย์ได้เห็นสจั จะของชวี ิต ปวง และพระกรณุ าคณุ คอื ความกรุณาของ พระองคท่ตี องการใหส ัตวโลกหลุดพนจาก ๒) พระธรรม หมายถึง ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ พระธรรมน้ีเป็น ทุกขข องชวี ติ ) ความจริงท่ีมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์มิได้ทรงคิดข้ึนเอง แต่พระองค์ทรงค้นพบ แล้วน�ามาส่ังสอน สาํ รวจคน หา Explore ชาวโลก ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาความรเู กย่ี วกบั พระรตั นตรยั ๓) พระสงฆ์ หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้า ซ่ึงเป็นผู้ปฏิบัติและเผยแผ่ธรรม ในดานความหมายและคุณคาของพระพทุ ธจาก หนังสือเรียน หนา 64-67 และแหลง การเรยี นรอู ่ืน แก่มวลมนษุ ย์ เชน หนังสือพระไตรปฎ กฉบับประชาชนและหนังสอื อืน่ ๆ ในหองสมดุ เว็บไซตท ่เี ผยแพรความรเู กีย่ วกบั ๑.๒ คุณค่าของพระพุทธ พทุ ธคณุ และพทุ ธประวัติ เปนตน พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณมากมายหลายประการ โดยพิสดารมี ๙ ประการ เรียกว่า อธบิ ายความรู Explain นวรหคุณ อันได้แก่ อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปรุ ิสทัมมสารถิ สัตถาเทวมนุสานัง พุทโธ ภควา แตถ่ า้ กล่าวโดยสรปุ พระพุทธเจ้าทรงมพี ระคุณ ครใู หน ักเรยี นท่ีสมคั รใจออกมาอธบิ ายเกี่ยว อยู่ ๓ ประการ ดงั นี้ กบั ความหมายของพระรัตนตรัยและองคป ระกอบ ท้ังสาม ไดแ ก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ท่ี ๑) พระปัญญาคุณ หมายถึง การท่ีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงมีพระปรีชาญาณ ตนศกึ ษามาทห่ี นาช้ันเรยี น แลว ใหน ักเรยี นเขียน ขอความรทู ่ีถกู ตอ งไวบ นกระดาน จากนน้ั ครใู ห อนั ลกึ ซง้ึ คมั ภรี ภาพ ยากหาผใู้ ดเท1ยี มได้ พระองคท์ รงแสวงหาปญั ญามาแตเ่ ปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ นกั เรียนชว ยกนั วเิ คราะหความสมั พันธข ององค ทรงเอาใจใสศ่ ลิ ปศาสตร์ ๑๘ แขนง จนมคี วามรคู้ วามเชย่ี วชาญยงิ่ กวา่ ราชกมุ ารอนื่ ๆ นอกจากน้ี ประกอบท้ังสามแหงพระรตั นตรยั นักเรียนบันทึก พระองค์ยังทรงพยายามคิดค้นและท�าความเข้าใจในทุกสิ่งท่ีได้พบเสมอ ดังที่ทรงพิจารณาว่า ขอมลู และผลการวเิ คราะหล งในสมดุ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่มนุษย์ธรรมดาอาจจะมองว่าเป็นสัจธรรมนั้นเป็นเร่ืองใหญ่ จะต้องศึกษาค้นคว้าให้พบต้นเหตุ จุดแก้ และวิธีการแก้ เหตุผลประการหน่ึงท่ีเกิดข้ึนในพระทัย ขณะทที่ รงครนุ่ คดิ ถงึ เรอื่ งนค้ี อื “ทกุ อยา่ งมคี กู่ นั มมี ดื กม็ สี วา่ ง มรี อ้ นกม็ เี ยน็ ดงั นน้ั เมอื่ มที กุ ข์ กต็ ้องมีทางแกท้ กุ ข”์ ดังนนั้ เพื่อค้นหาความรู้ความเขา้ ใจปัญหาน้ี พระองคจ์ งึ ทรงตัดสนิ พระทัย เสดจ็ ออกผนวชโดยทา� ทกุ กรรมวธิ ที คี่ นสมยั นนั้ เชอ่ื วา่ จะทา� ใหเ้ กดิ ปญั ญารแู้ จง้ และทา� ใหพ้ น้ ทกุ ข์ได้ 64 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอ ใดคือพระปญญาคุณในพทุ ธประวตั ชิ วงทแ่ี ตกตา งจากขอ อื่น ครอู าจอธิบายนักเรยี นเพมิ่ เตมิ ถงึ ความสอดคลองระหวางนวรหคณุ หรอื 1. การศึกษาศิลปศาสตร 18 แขนง พทุ ธคณุ 9 ทนี่ กั เรยี นเคยศึกษามากับคุณคา ของพระพุทธท่ีประกอบดว ย 2. การพจิ ารณาการเกดิ แก และตาย พระวสิ ทุ ธคิ ุณ พระปญ ญาคุณ และพระกรุณาคณุ 3. การแสวงหาทางหลุดพนจากทุกข 4. การใฝศึกษาเรยี นรูศาสตรต างๆ อยูเสมอ นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การแสวงหาทางหลดุ พนจากทกุ ข แสดงถึงพระปญ ญาคุณเม่ือเจาชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ออกผนวช สวนตัวเลือก 1 ศลิ ปศาสตร 18 แขนง ตาํ ราวาดว ยวิชาความรูตางๆ มี 18 ประการ จาก ขอ 1. 2. และ 4. เปนพระปญญาคุณในชว งทพ่ี ระองคเปนคฤหัสถ หลักฐานคัมภรี โลกนติ แิ ละธรรมนติ ิ เชน สตุ ิ ความรทู ว่ั ไป สงั ขยา การคาํ นวณ นีติ การปกครอง อิตหิ าสา ตาํ นานหรอื ประวัตศิ าสตร มายา ตาํ ราพชิ ัยสงคราม และ สัททา หลักภาษาหรอื ไวยากรณ เปน ตน 64 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู แตส่ ดุ ทา้ ยทรงหนั มาบา� เพญ็ เพยี รทางจติ เมอื่ จติ สงบความแจม่ แจง้ กป็ รากฏในพระทยั ทรงคน้ พบ 1. ครสู ุมนกั เรียน 5 คน เพือ่ ใหอ ธบิ ายความ คา� ตอบของปญั หาทคี่ า้ งพระทยั มาเปน็ เวลานาน เปน็ คา� ตอบทช่ี ดั แจง้ ปราศจากความเคลอื บแคลง รูเก่ียวกบั พระปญญาคุณอันเปน คณุ คาของ สงสยั ใดๆ การคน้ พบอนั นเ้ี นอ่ื งดว้ ยพระปญั ญา พระพุทธในพระรัตนตรัย คนละ 1 ตอน โดย ของพระองคเ์ องทง้ั สน้ิ ใหน ักเรยี นจบั สลากคําหรือขอ ความตอนที่ตน ตอ งอธิบาย ไดแก ศิลปศาสตร 18 แขนง เกิด ๒) พระวิสุทธิคุณ หมายถึง แก และตาย การผนวช การแสวงหาทางหลดุ พน และการบาํ เพญ็ เพยี รทางจิต จากน้ันให ความบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสเคร่ืองเศร้าหมอง นักเรียนผลัดกันอธิบายความรเู ก่ียวกบั ท้ังปวง โดยเฉพาะกิเลสท่ีส�าคัญ คือ โลภ พระปญญาคณุ ตามลําดับเหตกุ ารณใ น โกรธ หลง ความบริสุทธ์ิปราศจากกเิ ลสทัง้ ปวง พทุ ธประวตั ิ ครูและนักเรยี นอภปิ รายรวมกัน เป็นผลจากการได้หยั่งรู้ความจริงอันสูงสุดของ นกั เรยี นบนั ทกึ ความรทู ไ่ี ดล งในสมดุ พระพุทธเจ้า ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นว่า ชีวิตของพระพุทธเจ้าเป็นชีวิตท่ีบริสุทธิ์สะอาด 2. ครูใหน กั เรยี นชว ยกันวิเคราะหพระวสิ ทุ ธคิ ุณ อย่างแท้จริง แม้กระทั่งสมัยยังเป็นเจ้าชาย คอื ความบริสทุ ธิ์ปราศจากกเิ ลสเครื่องเศรา สทิ ธตั ถะ พระองคท์ รงมพี ระจรยิ าวตั รอนั งดงาม เม่ือคร้ังดำารงเพศฆราวาส เจ้าชายสิทธัตถะทรงมี หมองทั้งปวง ของพระพุทธเจาในชว งที่ทรง มีน้�าพระทัยดีงาม ใครได้คบหาสมาคมก็มี พระปรชี าญาณและความรใู้ นศลิ ปศาสตรแ์ ทบทกุ แขนง เปนเจา ชายสทิ ธัตถะและตรสั รเู ปนสมเดจ็ แต่ความสบายใจ ดังค�าที่พระญาติคนหน่ึงกล่าวถึงพระองค์ด้วยความชื่นชมว่า “ใครได้เป็น พระสัมมาสมั พุทธเจา พระมารดา ใครได้เป็นพระบดิ า ใครไดเ้ ปน็ พระชายาของคนดเี ชน่ เจา้ ชายพระองคน์ ้ี คนนน้ั ยอ่ ม มคี วามเยน็ ใจเปน็ แนแ่ ท”้ ๑ แตเ่ มอ่ื เทยี บกบั ความบรสิ ทุ ธใ์ิ นฐานะทพี่ ระองคท์ รงเปน็ พระพทุ ธเจา้ แล้ว 65 ความบริสุทธิ์เช่นนั้นเป็นเพียงเร่ืองเล็กน้อย เพราะความบริสุทธิ์อันแท้จริง คือ การได้ตรัสรู้เป็น พระพทุ ธเจ้า พระวิสทุ ธคิ ณุ อาจมองไดจ้ ากลักษณะตา่ งๆ ดงั น้ี ๒.๑) พระองค์ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองท้ังปวง พระองค์ไม่ทรงกระท�า ชวั่ แมเ้ ลก็ นอ้ ย ทง้ั ทางกาย วาจา ใจ ไมม่ คี วามชวั่ ทป่ี ด บงั ซอ่ นเรน้ ไมม่ เี หตทุ ผ่ี ใู้ ดจะยกมาตา� หนไิ ด้ ดังท่ีคร้ังหน่ึงพระองค์ตรัสกับพระโมคคัลลานะว่า “โมคคัลลานะ เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีอาชีวะ บริสุทธ์ิ มีธรรมเทศนาบริสุทธ์ิ มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ (หมายถึงการอธิบายขยายความ) มีความรู้ และความเห็นบริสุทธิ์ จึงกล้าปฏิญาณว่าตนบริสุทธิ์ เราไม่ต้องคิดหวังให้สาวกช่วยระมัดระวัง ปกปดความเสียหายใหเ้ ราในเรอื่ งเหลา่ น้ี” ๒ ๑ พระธัมมปทัฏฐกถาแปลภาค ๑ ยมกวรรค. (กรงุ เทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๒๖), หน้า ๑๑๕. ๒ อังคตุ ตรนิกาย ปัญจกนิบาติ พระไตรปฎิ ก เลม่ ๒๒. ขอ้ ๑๐๐, หน้า ๑๒๕ - ๑๒๖. ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู ลกั ษณะของพระวิสุทธคิ ุณทนี่ ําไปสกู ารตรสั รเู ปน สมเดจ็ พระสัมมา- ครูอาจอธบิ ายนกั เรียนเพิ่มเติมถึงพระปญ ญาคุณของพระพทุ ธเจา ทท่ี ําให สมั พุทธเจา คืออะไร อธิบายพอสงั เขป พระองคต รัสรูว า พระพทุ ธเจาในขณะเปนพระสิทธตั ถะทรงทดลองปฏบิ ตั ิตาม แนวตอบ ลกั ษณะของผูปราศจากกเิ ลสเครอ่ื งเศรา หมองทัง้ ปวงทําให แนวทางความเชอ่ื ตางๆ เพ่ือแสวงหาทางพน ทกุ ขของคนในชมพูทวปี สมยั น้ันท่ี พระสทิ ธัตถะตรสั รูเปนสมเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา ไดใ นที่สดุ กลาวคอื สาํ คัญไดแก การบําเพ็ญโยคะ คอื การฝกปฏบิ ตั โิ ยคะที่สาํ นกั ของอาฬารดาบส พระองคไ มท รงกระทําช่ัวทั้งทางกาย วาจา และใจ ภายหลังการตรัสรูจึง กาลามโคตร กบั อทุ ทกดาบส รามบตุ ร ตามลาํ ดบั จนสําเร็จฌานสมาบตั ิชั้นตางๆ ไมจาํ เปน ตอ งปดบงั ซอ นเรน สงิ่ ใด อยางไรกต็ ามลักษณะของผูป ราศจาก แตกท็ รงเหน็ วายงั ไมใ ชห นทางตรัสรู จึงทรงบําเพ็ญตบะ คอื การทรมานรา งกาย กิเลสนป้ี รากฏตง้ั แตพ ระองคย ังไมท รงออกผนวชแลว ดว ยวิธีการตางๆ ในข้นั เร่มิ ตน เชน การเปลือยกายตากลมและฝน การฉนั มูลโค จนถงึ การบําเพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า หรือการกระทําอนั ยากยง่ิ ไดแ ก การกดั ฟน การกล้นั ลมหายใจ และการอดอาหารจนเกือบส้ินชวี ติ ก็ยังไมพบทางตรัสรู พระองคจ งึ ทรงใช ปญญาพจิ ารณาแนวทางตางๆ ที่เคยปฏิบัติมาและพบวาเปน ทางที่สดุ โตงเกินไป ดงั น้นั จงึ ทรงหันมายดึ การบาํ เพญ็ เพียรทางจติ ตามทางสายกลาง จนกระท่ังตรัสรู เปนสมเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจาไดใ นทีส่ ดุ คมู ือครู 65

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูสุมนกั เรียน 2 คน ใหอธิบายถึงขอความทีว่ า ๒.๒) ทรงท�ำได้ตำมทีส่ อน หมายถึง สอนเขาอยา่ งใด พระองคก์ ็ทรงปฏบิ ตั ิได้ “ทรงสอนเขาอยา งใด พระองคกท็ รงปฏิบัติ อย่างนั้นด้วย เพ่ือให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในคุณค่าค�าสอน พระคุณน้ีมีพระพุทธวจนะตรัส ไดอยางน้ัน” และ “ทรงบรสิ ุทธพ์ิ ระทยั ใน รบั รองไว้วา่ “พระผูม้ ีพระภาคเจา้ นัน้ ร้เู องแล้ว จึงแสดงธรรมเพอ่ื ใหค้ นอ่ืนรูต้ าม ฝึกฝนตนดีแล้ว การสอน ไมประสงคอามิสตอบแทน” ทห่ี นา จึงแสดงธรรมใหผ้ ู้อ่ืนฝกึ ตาม สงบระงับตนแล้ว จงึ แสดงธรรมเพือ่ ให้ผู้อน่ื สงบระงับ ข้ามพน้ ทุกข์ ช้ันเรยี น แลว อภปิ รายรว มกนั กบั นกั เรียนถงึ ได้เองแล้ว จึงแสดงธรรมใหผ้ ู้อืน่ ขา้ มพ้น เป็นผู้ดับเยน็ เองแลว้ จงึ แสดงธรรมให้ผู้อื่นดับเย็น” ๓ พระวิสทุ ธิคุณของพระพทุ ธเจา นักเรียนบนั ทึก ผลการอภิปรายลงในสมดุ ๒.๓) ทรงบรสิ ุทธ์พิ ระทัยในกำรสอน หมายถงึ พระองคม์ ุ่งหวงั ประโยชนแ์ ก่เขา อยา่ งเดยี ว ไม่ทรงประสงคอ์ ามสิ ตอบแทนใดๆ ทรงหวงั เพยี งใหผ้ ู้สดับธรรมแลว้ เกดิ ความรู้ความ 2. ครใู หนักเรียนอภิปรายรว มกันถงึ พระกรณุ าคุณ เข้าใจในธรรม น�าไปปฏิบัติเป็นแนวทางการด�าเนินชีวิตเท่าน้ัน คร้ังหนึ่งมีสีหเสนาบดี ผู้เป็น ของพระพุทธเจาในประเดน็ พระกรุณาคณุ ของ สาวกของนิครนถนาฏบตุ ร ขออนญุ าตศาสดาของตนเพือ่ ไปเฝา้ พระพุทธเจา้ แตไ่ ม่ไดร้ ับอนุญาต พระพทุ ธเจาในชว งกอ นและหลังการตรัสรู แตท่ ่ีสดุ สหี เสนาบดกี ็แอบไปเขา้ เฝ้าพระพุทธเจ้าจนได้ เมื่อไดซ้ ักถามสนทนาธรรมกันแล้ว กเ็ กดิ ความเล่ือมใส ขอกราบทูลบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่พระองค์กลับตรัสเตือนให้คิดดู ให้ดีเสียก่อน เพราะเสนาบดีเป็นคนมีชื่อเสียง และอีกประการพระองค์อาจถูกศาสดาของ สีหเสนาบดีต�าหนิได้ว่าแย่งชิงสาวกของผู้อ่ืน ดังนี้เสนาบดีมีความรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะ เมื่อสมัยที่ตนเป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตร พวกเดียรถีย์พากันดีใจมากท่ีคนส�าคัญระดับ เสนาบดีได้มานับถือศาสนาของตน แต่พระพุทธเจ้ากลับท�าตรงกันข้ามท้ังๆ ท่ีเขามีความจ�านง แน่วแน่ว่าจะประกาศตนเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา พระองค์กลับตรัสเตือนให้คิดดูให้ดี เสียก่อน๔ จากเหตุการณ์น้ี แสดงว่าพระพุทธองค์ทรงมีความบริสุทธ์ิอย่างแท้จริง ท้ังทางกาย วาจา และใจ ความบรสิ ุทธดิ์ ังน้จี ะหาท่ีใดเสมอเหมือนมไิ ดอ้ กี แล้ว ๓) พระกรุณำคุณ หมายถึง ความสงสารสัตว์โลกผู้ตกอยู่ในห้วงแหง่ ความทกุ ข์ และคิดชว่ ยเหลือผ้อู นื่ ให้พน้ ทุกข์ พระกรณุ าอนั ยง่ิ ใหญน่ มี้ ิใช่จา� กดั เฉพาะแตม่ นุษยเ์ ทา่ น้นั 1ยังแผ่ ไปถงึ สตั วเ์ ดยี รจั ฉานดว้ ย เชน่ สมยั ยงั เปน็ พระราชกมุ ารนอ้ ย ทรงเหน็ นกทเ่ี จา้ ชายเทวทตั ยงิ บนิ มาตกต่อพระพักตร์ ทรงเกิดความสงสารคิดจะช่วยเหลือสัตว์เคราะห์ร้าย จึงเกิดทะเลาะโต้เถียง กับเจ้าชายเทวทัต แต่ตกลงกันไม่ได้จนเรื่องเข้าสู่ศากยสภาให้พิจารณาตัดสิน ในท่ีสุดเจ้าชาย สทิ ธตั ถะกช็ นะ ชว่ ยเหลอื ชวี ติ สตั วน์ อ้ ยไดส้ า� เรจ็ ดว้ ยเหตผุ ลวา่ “ผใู้ ดเปน็ ผใู้ หช้ วี ติ นกควรเปน็ สทิ ธิ ของผนู้ น้ั สว่ นผใู้ ดพยายามทา� ลายชวี ติ จะมาอา้ งสทิ ธเิ ปน็ เจา้ ของชวี ติ หาไดไ้ ม”่ ๕ ๓ ทฆี นิกำย ปกฏิกวรรค พระไตรปฎิ ก เลม่ ๑๑. ข้อ ๓๐, หนา้ ๔๖. ๔ วินัยปิฎกมหำวรรค พระไตรปิฎก เลม่ ๕. ขอ้ ๗๘-๙๑. หนา้ ๑๐๐. ๕ เสถยี ร์ พันธรงั ษ.ี พุทธประวตั ิมหำยำน. (กรงุ เทพฯ : แพร่พทิ ยา, ๒๕๒๕), หน้า ๓๗-๔๐. 66 นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ลกั ษณะของพระวสิ ทุ ธคิ ณุ ในการทที่ รงทาํ ไดต ามทีส่ อนสอดคลอ งกบั 1 เจา ชายเทวทตั หรอื เจาชายเทวทัตต เปน ราชบุตรของพระเจาสปุ ปพุทธะ พุทธศาสนสุภาษติ บทใด ผเู ปน เชฏฐภาดาหรอื พช่ี ายของพระนางพมิ พา พระชายาของเจา ชายสทิ ธตั ถะ 1. ผูไมประมาทยอมไมตาย เจา ชายเทวทตั ออกบวชพรอ มกบั เหลา เจา ชายศากยะ เชน พระอนรุ ทุ ธ พระอานนท 2. พดู อยา งไร ทําไดอ ยา งน้ัน รวมถึงกัลบกอบุ าลี และบาํ เพญ็ ฌานจนไดโ ลกิยอภญิ ญา ตอ มามีความมกั ใหญ 3. ความสํารวมในท่ีทั้งปวง เปนดี อยากเปนพระศาสดาแทนพระพทุ ธเจา ไดย ุยงพระเจาอชาตศัตรแู ละคบคดิ กัน 4. การใหธ รรมะเปนทาน ยอ มชนะการใหท ั้งปวง พยายามประทุษรายพระพทุ ธเจา จนพระพุทธเจา ทรงหอ พระโลหิต รวมถงึ กอ ความ วิเคราะหคาํ ตอบ พระวสิ ทุ ธคิ ุณในการที่ทรงทาํ ไดต ามท่ีสอนของ วนุ วายในหมสู งฆจนถงึ ข้ันสังฆเภท (ความแตกแยกในหมสู งฆ) จากผลกรรมของ พระพทุ ธเจา คอื ทรงสามารถปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมคําสอนของ พระองคส ง ผลใหส้นิ พระชนมโดยถกู ธรณีสบู ในทส่ี ุด พระองคได เพ่ือใหป ระชาชนเกดิ ความเช่ือมั่นในคณุ คา ของหลักธรรม คาํ สอนนน้ั สอดคลอ งกบั พุทธศาสนสุภาษิตทว่ี า ยถาวาที ตถาการี พูด อยา งไร ทาํ ไดอยา งนนั้ ดังนน้ั คาํ ตอบคือ ขอ 2. 66 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ส่วนพระกรุณาคุณท่ีแผ่ไปยังหมู่มนุษย์นั้น ก็มิได้จ�ากัดชาติช้ันวรรณะ พระองค์ ครอู ภิปรายรวมกนั กับนกั เรียนถงึ ทรงโปรดคนทุกประเภท ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เช่น คร้ังหน่ึงพวกโจรได้ขโมยเงินในบ้านคหบดี พระกรุณาคุณของพระพทุ ธเจา ในการเผยแผ เมืองสาวัตถีคนหน่ึง ขณะขนเงินหนีด้วยความรีบร้อน ถุงเงินถุงหนึ่งได้หล่นอยู่ท่ีคันนาชาวนา พระธรรมคาํ สอนใหส ตั วโลกท้งั หลาย จากน้ัน คนหนึ่ง รุ่งเช้าชาวนาออกไปไถนาโดยไม่รู้ว่ามีถุงเงินตกอยู่ตรงนั้น พระพุทธเจ้าหย่ังรู้ว่าจะเกิด นกั เรยี นบนั ทกึ ความรเู กี่ยวกับพระกรุณาคุณของ อะไรข้ึน จึงเสด็จพร้อมด้วยพระอานนท์ไปยังท่ีนาน้ัน ทรงด�าเนินผ่านถุงเงิน พลางรับส่ังดังๆ พระพทุ ธเจาลงในสมุด พอให้ได้ยินถงึ ชาวนาผู้น้ันวา่ ขยายความเขา ใจ Expand “อานนท์ เธอเห็นอสรพษิ ไหม” “เห็นพระเจ้าข้า พษิ รา้ ยกาจเสยี ดว้ ย” พระอานนทต์ อบ ครูมอบหมายใหนกั เรยี นศึกษาคนควาคณุ คา เม่ือพระพุทธองค์เสด็จเลยผ่านไป ชาวนาจึงฉวยท่อนไม้เดินเข้าไปหมายจะตีงู ของพระพทุ ธหรือพุทธคุณ ไดแก พระปญ ญาคุณ แตก่ ลับพบถงุ เงินเข้า ดว้ ยความโลภไมต่ อ้ งการให้ผูอ้ ่นื รู้ จึงเกล่ยี ดินกลบไว้ แล้วไปไถนาต่อ พระวิสทุ ธคิ ณุ และพระกรุณาคณุ ที่ปรากฏใน รุ่งเช้าคหบดีชวนพรรคพวกออกตามโจร มาพบถุงเงินซ่อนอยู่ในนาของชาวนา พทุ ธประวตั ิตอนอ่นื มาคนละ 1 ประการ จาก คนน้ัน จึงจับตัวส่งศาล ศาลพิพากษาประหารชีวิต ชาวนาผู้เคราะห์ร้ายนั้นได้แต่ร้องอยู่แค่ว่า แหลงการเรียนรู เชน พระไตรปฎก หนังสือใน “อานนท์ เธอเห็นอสรพิษไหม” “เห็นพระเจ้าข้า พิษร้ายกาจเสียด้วย” ความทราบถึงพระเจ้า หอ งสมดุ เว็บไซต และพระสงฆ แลวจัดทาํ เปน ปเสนทิโกศล จึงรับส่ังยับย้ังโทษประหารไว้ก่อน แล้วเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเร่ือง ใบความรูทป่ี ระกอบดว ย ขอความเหตุการณใ น ชาวนาน้นั พระองคท์ รงเลา่ ความจริงใหพ้ ระเจ้าปเสนทโิ กศลทราบขอ้ เท็จจรงิ พระองคจ์ งึ รบั สั่งให้ พุทธประวตั ิที่นกั เรยี นศึกษาคน ความา การอธิบาย ปล่อยชาวนาผู้น้นั เป็นอิสระ๖ นับวา่ เขารอดตายไดด้ ้วยพระกรณุ าคุณของพระพทุ ธองคน์ นั่ เอง คณุ คา ของพระพทุ ธทปี่ รากฏในพทุ ธประวตั ติ อนนนั้ พึงทราบด้วยว่า พระวิสุทธิคุณและพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้านั้นเป็น โดยอาจมีภาพประกอบและตกแตง ใหส วยงาม “ความดี” เฉพาะพระองค์ ความดีน้ีจะแผ่ไปยังคนอ่ืนได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพลังแห่ง พระกรณุ าคุณเปน็ ตวั เสริม ฉะน้นั หากขาดพระคุณข้อนี้เสยี แล้ว พระพทุ ธเจา้ กค็ งเสวยสุขล�าพงั ตรวจสอบผล Evaluate พระองค์ ไม่ได้ตัดสินพระทัยแสดงธรรมแก่ใคร และเราทั้งหลายก็คงไม่ได้มีโอกาสได้รับเอา พระพุทธศาสนามาเป็นหลกั ยดึ แหง่ จิตใจดังที่เปน็ อย่ทู ุกวันน้ีไดเ้ ลย 1. ครูคัดเลือกใบความรคู ณุ คาของพระพทุ ธ ที่ดขี องนักเรียน แลว นํามาใหน กั เรียนชว ย เรื่องน่ารู้ กนั ตรวจอีกครงั้ โดยพิจารณาจากความถูก ตองครบถวนของเนื้อหาพทุ ธประวัติและการ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล อธบิ ายถงึ คณุ คา ของพระพุทธ จากนน้ั รวบรวม ใบความรูท่ดี ไี วเปนแหลง การเรียนรใู นชั้นเรยี น พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าโกศล ผู้ครองเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ในสมัยทรง พระเยาว์ได้ศึกษาศิลปวิทยาในสำานักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักกสิลา ซ่งึ เป็นศิษย์ร่วมสำานักเดียวกันกับเจ้าชาย 2. ครูสังเกตพฤตกิ รรมการมีสว นรวมในกิจกรรม มหาลจิ ฉว ี แหง่ แควน้ วชั ช ี และพนั ธลุ ะเสนาบดแี หง่ นครกสุ นิ ารา เมอ่ื สาำ เรจ็ การศกึ ษาแลว้ จงึ ไดเ้ สดจ็ กลบั นครสาวตั ถ ี และ การเรียนรู เชน การตอบคําถาม การแสดง ไดค้ รองราชสมบตั ติ อ่ จากพระบดิ า ความคดิ เห็นและการทํางานกลมุ เปนตน ๖ พระธัมมปทฏั ฐกถาแปล ภาค ๓ พาลวรรค. (กรุงเทพฯ : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๗), หน้า ๒๐๐. 67 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครูอาจใหน กั เรยี นสรปุ สาระสาํ คัญของคุณคา ของพระพุทธในดา น ครูอาจอธิบายนกั เรียนเพิม่ เตมิ ถึงพระกรณุ าคุณของพระพทุ ธเจาในขณะท่ีทรง พระปญญาคุณ พระวสิ ทุ ธิคุณ และพระกรุณาคณุ ที่ไดศึกษามาลงในสมดุ พักผอ นพระอิริยาบถหลงั การตรัสรูเปนเวลา 7 สปั ดาห พระองคทรงพิจารณาถึง หลักธรรมที่ตรสั รวู า มีความลึกซง้ึ ยากเกนิ กวา สัตวโลกผมู ีกิเลสครอบงาํ จะเขาใจได กิจกรรมทาทาย จึงทรงคิดวา จะไมเ ผยแผหลักธรรมคําสอนในขัน้ ตน ตอ มาเมอ่ื พระองคท รงพิจารณา ระดับสติปญ ญาของมนุษยท้งั 4 ระดบั ไดแก อคุ ฆฏติ ัญู ผรู เู ขา ใจไดฉ บั พลนั ครอู าจใหนักเรียนจดั ทาํ ผงั กราฟกแสดงคุณคา ของพระพทุ ธในดาน เพยี งแคพระองคท รงยกหัวขอขึ้นแสดง วิปจิตญั ู ผูรูเขา ใจไดเมอ่ื พระองคทรง พระปญญาคณุ พระวสิ ทุ ธคิ ณุ และพระกรุณาคณุ ทไ่ี ดศึกษามาลงในสมุด ขยายความ เนยยะ ผูท ี่พระองคส ามารถจะแนะนําตอได และปทปรมะ ผูที่จาํ ไดแ ต ถอยคาํ ไมสามารถเขา ใจได พระองคจ งึ ตัดสินพระทัยออกเผยแผพ ระศาสนา เนื่อง ดวยยงั มีมนุษยผ มู ีระดบั สตปิ ญญาทีจ่ ะเขาใจพระธรรมทพ่ี ระองคทรงคนพบได (การ เปรยี บบคุ คลกบั ดอกบวั 4 เหลา เกดิ จากพระอรรถกถาจารยร จนาเสรมิ ขน้ึ ในภายหลงั ) คูมือครู 67

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครตู ง้ั คําถามเกีย่ วกับหลกั ธรรมอรยิ สัจ 4 โดย ๒. อริยสจั ๔ เช่ือมโยงกับความรูเดิมของนกั เรียนเพื่อกระตุน อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงของอริยบุคคล เพราะผู้ใดรู้อริยสัจ ความสนใจ แลวใหน กั เรียนชว ยกันตอบ เชน ด้วยปัญญา ผู้นั้นถือเป็นผู้ประเสริฐทันที อริยสัจเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ค�าสอนของ • พระปญญาคณุ ของพระพทุ ธเจา ชว ยให พระองคตรสั รหู ลักธรรมใด พระพุทธองค์ท้งั หมดจะสร1ุปไว้ในอรยิ สัจไดท้ ง้ั นั้น อรยิ สัจประกอบดว้ ยองค์ ๔ ดังนี้ สาํ รวจคน หา Explore ๑. ทกุ ข์ ๒. สมทุ ยั ครูใหน ักเรยี นศึกษาความรหู ลักธรรมใน ๓. นโิ รธ ๔. มรรค กรอบอรยิ สัจ 4 คนละ 1 หวั ขอ โดยใหนกั เรียน นับหมายเลข 1-4 ทลี ะคน จากนนั้ นักเรยี นแตละ ๒.๑ ทุกข์ (ธรรมทค่ี วรรู้) หมายเลขศกึ ษาหวั ขอที่ตนรบั ผดิ ชอบจากหนงั สอื เรียน หนา 68-81 ดังน้ี ทกุ ข์ คือ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ไดแ้ ก่ ความจรงิ ว่าดว้ ยความทุกข์ ความทุกข์น้ี แม้ว่าในบางกรณีจะขจัดให้หมดไปได้ แต่ก็สามารถมีมาใหม่ได้อีกเสมอ ดังนั้น เราจึงต้อง หมายเลข 1 ศึกษาหลกั ธรรมในขอทุกข (ธรรม ไมป่ ระมาท และพร้อมท่ีจะเผชญิ หน้ากับค2วามจริงขอ้ น้ี ดงั น้ี ทุกขจ์ งึ เปน็ ธรรมขอ้ ทค่ี วรรู้ ธรรมที่ ทีค่ วรละ) ควรรนู้ ัน้ มีมากมาย เชน่ หลกั ธรรม “ขนั ธ์ ๕” ดังนี้ หมายเลข 2 ศึกษาหลักธรรมในขอ สมุทยั ๑) ขนั ธ์ ๕ เปน็ การแสดงองคป์ ระกอบของชวี ติ วา่ มอี ะไรบา้ ง ในทางพระพทุ ธศาสนา (ธรรมทค่ี วรร)ู มนุษย์ประกอบด้วยองค์ประกอบส�าคัญใหญ่ๆ ๒ อย่าง คือ ส่วนที่เป็นรูปธรรมและส่วนท่ีเป็น หมายเลข 3 ศกึ ษาหลักธรรมในขอ นโิ รธ นามธรรม ซ่ึงรวมเรียกสั้นๆ ว่า “นามรูป” นามรูปนั้นแยกย่อยออกเป็น ๕ ส่วน เรียกว่า (ธรรมท่คี วรบรรล)ุ “เบญจขันธ”์ ไดแ้ ก่ หมายเลข 4 ศึกษาหลักธรรมในขอมรรค ๑.๑) รูปขนั ธ์ คอื ส่วนท่เี ป็นร่างกายทัง้ หมด และพฤตกิ รรมท้ังหมดของร่างกาย (ธรรมทค่ี วรเจรญิ ) อันประกอบดว้ ยธาตุทัง้ ๔ ไดแ้ ก่ อธบิ ายความรู Explain ๑. ปฐวธี าต ุ คอื ธาตดุ นิ มลี กั ษณะแขง็ แผไ่ ปหรอื กนิ เนอ้ื ท ่ี ปฐวธี าตภุ ายใน เชน่ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เอน็ กระดกู มา้ ม หวั ใจ ไสใ้ หญ ่ อาหารใหม ่ อาหารเกา่ ครสู นทนากบั นักเรยี นเก่ียวกับอรยิ สจั 4 แลว ต้ัง คําถามเพ่ือใหนกั เรียนชวยกันอธิบายความรูค วาม ๒. อาโปธาตุ คือ ธาตุน้�า มีลักษณะเอิบอาบ อาโปธาตุภายใน เช่น เสลด หนอง เลือด เขาใจเกย่ี วกบั อริยสัจ 4 เชน เหงื่อ มนั นา้� ลาย นา�้ มกู ๓. เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ มีลักษณะร้อน เตโชธาตุภายใน เช่น ไฟที่ท�าให้กายอบอุ่น • เพราะเหตใุ ด ผทู ่เี ขาใจอริยสจั 4 อยา ง ไฟที่ทา� ให้กายกระวนกระวาย ไฟที่เผาอาหารใหย้ อ่ ย ถองแทดวยปญ ญาจงึ ถือวา เปนผูประเสรฐิ ๔. วาโยธาตุ คือ ธาตุลม มีลักษณะพัดไปมา วาโยธาตุภายใน เช่น ลมพัดลงเบ้ืองต่�า (แนวตอบ เพราะอริยสัจ 4 เปนความจรงิ อัน ได้แก่ ประเสรฐิ ของชวี ติ ซึง่ ประกอบดว ย ทกุ ข ลมในท้อง ลมในไส้ ลมหายใจ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค เปน หัวใจของพระพุทธ- 68 ศาสนา คําสอนของพระพุทธเจาลวนสรปุ ๑.๒) เวทนาขนั ธ์ คอื ความรสู้ กึ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ตอ่ สงิ่ ทร่ี บั รนู้ นั้ เวทนามอี ยู่ ๓ ประการ ไวใ นอริยสจั 4 ไดทง้ั สิ้น ผทู เี่ ขา ใจในหลัก อรยิ สจั 4 อยา งถอ งแทด วยปญญาจงึ เปน ขอสอบ O-NET อริยบุคคลหรอื บคุ คลทีป่ ระเสริฐ) ขอ สอบป ’53 ออกเกีย่ วกบั ขันธ 5 การรบั รู รูป รส กลิน่ เสียง สัมผัส ในขันธ 5 คอื ขอ ใด นักเรยี นควรรู 1. จติ 2. เวทนา 1 ทุกข ในไตรลักษณหมายถงึ สภาพทีท่ นอยไู ดย าก สภาพท่คี งทนอยไู มได 3. สงั ขาร เพราะถกู บีบค้นั ดว ยความเกิดขนึ้ และความดับสลาย เนอ่ื งจากตอ งเปนไปตามเหตุ 4. วญิ ญาณ ปจ จยั ทีไ่ มข้ึนตอ ตวั มนั เอง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. วิญญาณ คอื การรบั รูผ า นประสาท 2 ขนั ธ แปลวา กอง พวก หมวด หรือหมู ใชเ รยี กวา รปู ธรรมและนามธรรมของ สัมผสั ตา งๆ ไดแ ก การรับรูทางสายตา หรือการมองเหน็ การรบั รูทางหู มนุษยว า ขันธ 5 หรือเบญจขนั ธ นอกจากน้ยี ังพบในพุทธประวัตติ อนปรนิ ิพพานวา หรอื การไดยิน การรบั รทู างจมกู หรือการไดก ลิ่น การรับรูท างล้ิน หรือ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ซึง่ เปนอนุปาทิเสสนิพพาน คือ นพิ พานไมม อี ปุ าทิเหลือ การล้ิมรส การรบั รทู างกาย หรอื การสมั ผสั ทางกาย และการรบั รทู างใจ ดบั กเิ ลสไมมเี บญจขันธเ หลอื คือ สิ้นท้ังกิเลสและชวี ติ หมายถงึ พระอรหันตสนิ้ หรอื การคดิ ชวี ติ นพิ พานในแงทีเ่ ปน ภาวะดับภพ สว นสอปุ าทิเสสนิพพาน คือ นิพพานทย่ี งั มี อปุ าทิเหลือ คอื ดบั กเิ ลสแตย งั มีเบญจขนั ธเ หลือ หมายถงึ นิพพานของพระอรหนั ต ผยู ังมีชีวิตอยู นพิ พานในแงที่เปนภาวะดับกิเลส 68 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๑. สุขเวทนา คอื ความร้สู ึกสบายใจ 1. ครูสนทนารว มกนั กับนกั เรียนถงึ หลกั ธรรม ๒. ทกุ ขเวทนา คอื ความรู้สกึ ไมส่ บายใจ ตา งๆ ในกรอบอรยิ สจั 4 ทน่ี กั เรยี นไดศกึ ษา ๓. อเุ บกขาเวทนา คือ ความรู้สกึ เฉยๆ มา แลวครใู หนักเรยี นทีไ่ ดห มายเลข 1 ชว ยกนั อธบิ ายความหมายของทกุ ขและหลักธรรมขนั ธ ๑.๓) สัญญาขันธ์ คอื การกา� หนดหมายรสู้ ง่ิ ใดสิง่ หน่ึง การแยกแยะว่าอะไรเปน็ 5 โดยเฉพาะในขอรปู ขนั ธ โดยยกตัวอยา ง อะไร มิได้แปลว่าคา� มน่ั สญั ญาดงั ในภาษาสามัญ ประกอบพอเขา ใจ ๑.๔) สังขารขันธ์ คอื สภาพที่ปรงุ แตง่ จิตให้ดี (กุศล) ให้ชว่ั (อกศุ ล) หรอื เป็น 2. ครสู มุ นกั เรยี นทไ่ี ดห มายเลข 1 ใหตอบคําถาม กลางๆ ไมด่ ไี ม่ช่วั (อพั ยากฤต) โดยมเี จตนาเป็นตัวน�า เปน็ ท่ีมาของการกระท�าทง้ั ทางกาย วาจา เกีย่ วกับคาํ ศัพทในหลกั ธรรมขันธ 5 เพอ่ื และใจ อธบิ ายความรู เชน • เวทนาในทางพระพุทธศาสนาแตกตา งจาก ๑.๕) วญิ ญาณขนั ธ์ คอื การรับร้ผู า่ นประสาทสัมผสั ตา่ งๆ อนั ไดแ้ ก่ ความหมายโดยทั่วไปอยางไร (แนวตอบ เวทนาในความหมายโดยทั่วไป ภาพแสดงวญิ ญาณ ๖ โสตวิญญาณ คือ หมายถงึ ความสังเวชสลดใจ ความรสู กึ เจบ็ การรับรู้ทางหู หรอื การไดย้ ิน ปวด ทรมาน สว นในทางพระพทุ ธศาสนา จักขุวิญญาณ คือ ชวิ หาวิญญาณ คือ เวทนา คอื ความรูสึกทเ่ี กิดขึ้นตอสิ่งท่รี บั รู การรับรู้ทางสายตา หรอื การมองเห็น การรบั รูท้ างลิน้ หรือการลม้ิ รส ประกอบดว ย สุขเวทนา ความรสู ึกสบายใจ มโนวิญญาณ คือ ทุกขเวทนา ความรูสกึ ไมสบายใจ และ ฆานวญิ ญาณ คือ การรบั รู้ทางใจ หรอื การคิด อเุ บกขาเวทนา ความรสู ึกเฉยๆ) การรับรู้ทางจมูก หรือการไดก้ ลิน่ • สัญญาในหลักธรรมขนั ธ 5 มคี วามหมาย กายวญิ ญาณ คอื แตกตา งจากความหมายโดยสามญั อยางไร การรับรทู้ างกาย หรอื การสัมผสั (แนวตอบ สญั ญาในหลกั ธรรมขนั ธ 5 ทางกาย หมายถึง การกาํ หนดหมายรสู งิ่ ใดสิ่งหนงึ่ การแยกแยะไดวา อะไรเปน อะไร สวนสญั ญา ในความหมายโดยสามัญนั้นหมายถงึ คาํ มัน่ หรอื ขอ ตกลงระหวางบุคคล) ๒.๒ สมุทยั (ธรรมทค่ี วรละ) 69 สมุทัย คอื ความจริงว่าดว้ ยเหตแุ หง่ ทุกข์ หรือต้นตอของความทกุ ข์ท้ังหมด ดงั น้ี สมทุ ยั จึงเปน็ ธรรมท๑คี่ )วรลหะลเักพรการะรเปม็น1ธกรรรมรมท่ีใหคโ้ ือทษกดารงั กเชรน่ะทห�าลกั ใธนรทรมาตงธ่อรไปรมน้ี หมายถึง การกระท�าที่ ประกอบด้วยเจตนา จงใจ การกระท�าที่ปราศจากเจตนาไม่จัดเป็นกรรม แต่จะเรียกว่า “กิริยา” คือ เปน็ การเคล่ือนไหวธรรมดา ไมม่ ผี ลทางจริยธรรม ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกับหลักธรรมขันธ 5 ครอู าจตง้ั ประเด็นใหนักเรียนอภิปรายรวมกันเกย่ี วกบั การรับผลของกรรมทกี่ อ ถาเราเห็นวัตถุสิ่งหนึ่งแลวจําไดว าสิง่ นนั้ คือดอกกุหลาบสีแดง ขั้นตอนน้ี ขนึ้ โดยมิไดเจตนา เพ่ือใหน ักเรยี นเขาใจเรอ่ื งกรรมที่กอ ขึน้ โดยมไิ ดเ จตนา แตผูกอ กรรมกย็ ังตองรับผลของกรรมนนั้ บางสวน เปรยี บเทียบไดก บั การละเมดิ กฎหมาย คือสวนใดของขันธ 5 โดยผกู ระทําไมไดม เี จตนา แตผลู ะเมิดกย็ งั ตอ งรับโทษตามบทบัญญัตแิ หง กฎหมาย 1. เวทนา 2. สังขาร นกั เรยี นควรรู 3. สญั ญา 4. วิญญาณ 1 กรรม ประเภทของกรรมจําแนกออกเปน 3 หมวดหมู ไดแก หมวดท่ี 1 วาดว ยปากกาล คือ จําแนกตามเวลาทใี่ หผล เชน ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. สัญญา คือ การกําหนดหมายรูสิง่ ใด กรรมใหผ ลในปจ จบุ นั คอื ในภพนี้ หมวดที่ 2 วา โดยกจิ คอื จาํ แนกการใหผ ลตามหนา ท่ี เชน ชนกกรรม กรรมแตงใหเ กดิ หรอื กรรมที่เปน ตวั นําไปเกิด และหมวดท่ี 3 ส่งิ หน่งึ การแยกแยะไดวา อะไรเปนอะไร วา โดยปากทานปรยิ าย คอื จําแนกตามลําดับความแรงในการใหผ ล เชน ครุกรรม กรรมหนัก ใหผ ลกอ น คูม อื ครู 69

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู ุมนักเรียนท่ไี ดห มายเลข 1 ใหตอบคําถาม 1 นั่นคือ “นิยาม ๕” หมายถึง เกย่ี วกับคําศัพทใ นหลกั ธรรมขนั ธ 5 เพ่ืออธิบาย มีหลักธรรมประการหนึ่งท่ีเก่ียวข้องกับหลักกรรม ความรู เชน • สังขารมคี วามหมายโดยท่วั ไปและมีความ กฎธรรมชาติ หรือระเบียบของธรรมชาติ ๕ ประการ ได้แก่ หมายในทางพระพุทธศาสนาอยางไรบา ง (แนวตอบ สงั เวชในความหมายโดยทั่วไปคอื ๑. อตุ นุ ยิ าม คอื กฎธรรมชาตทิ เี่ กย่ี วกบั ลม ฟา้ อากาศ ฤดกู าล เปน็ ตน้ ความรูสกึ เศราสลดหดหูตอผไู ดรบั ความทกุ ข ๒. พชี นิยาม คอื กฎธรรมชาตเิ กย่ี วกับการสบื พนั ธ์ุ หรอื ผูตาย หรอื ผูท่ีตนเคารพนับถือประพฤติ ๓. จิตตนิยาม คอื กฎธรรมชาติเก่ยี วกับการทา� งานของจิต ตนไมเ หมาะสม สวนความหมายในทาง ๔. กรรมนิยาม คอื กฎธรรมชาตเิ กย่ี วกบั พฤติกรรมมนษุ ย์ พระพุทธศาสนาคอื สภาพท่ีปรงุ แตงจิตให ๕. ธรรมนยิ าม คอื กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลของสง่ิ ทงั้ ปวง เปน กศุ ล หรืออกศุ ล หรือเปน กลาง โดยมี เจตนาเปนตัวนาํ เปนที่มาของการกระทาํ ท้ัง หลักธรรมในนิยาม ๕ ท่เี กีย่ วข้องกบั หลกั กรรมน่นั คือ “กรรมนิยาม” หรอื เรียกอีก ทางกาย วาจา และใจ) อยา่ งหนึง่ ว่า “กฎแห่งกรรม” อนั หมายถงึ กระบวนการกระทา� และการให้ผลของการกระทา� ของ • ในทางพระพทุ ธศาสนาวิญญาณมี มนุษย์ ซ่ึงมหี ลักกวา้ งๆ ว่า ความหมายวาอยา งไร แตกตางจาก ความหมายโดยทว่ั ไปอยา งไร “คนหว่านพชื เช่นใด ยอ่ มได้ผลเชน่ นน้ั ” (แนวตอบ วิญญาณในทางพระพทุ ธศาสนา “ผู้ทา� กรรมดี ยอ่ มได้รบั ผลดี ผ้ทู �ากรรมชวั่ ย่อมได้รับผลช่ัว” หมายถึง การรบั รผู า นประสาทสัมผสั ตา งๆ ความข้อน้ีชี้ว่า กรรมนิยามหรือกฎแห่งกรรมแห่งปัจจัยสัมพันธ์ เป็นเหตุเป็นผล อนั ไดแ ก การมองเหน็ การไดย ิน การไดกลนิ่ สอดคล้องต้องกัน เหตุมีเช่นไร ผลย่อมมีเช่นนั้น เปรียบเสมือนเอาเมล็ดพืชพันธุ์ใดเพาะลง การล้มิ รส การสมั ผัสทางกาย และการรบั รู ในดิน กย็ ่อมออกมาเป็นพชื เชน่ นนั้ ทางใจหรอื การคิด แตกตา งจากความหมาย แต่เรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรมนั้นละเอียดและซับซ้อนในตัวเอง บางครั้ง โดยท่วั ไปท่หี มายถึง ส่ิงทเ่ี ชอื่ วามอี ยใู นกาย ก็ข้นึ อยกู่ ับเง่ือนไขอย่างอน่ื เช่น กาลเวลาดว้ ย กรรมท่กี ระทา� ลงไปไม่วา่ ดหี รอื ช่ัว มกั ไม่ปรากฏ เมอื่ มชี ีวิต เม่อื ตายจะออกจากกายลองลอย ผลทันใจมนุษย์ คนจึงมักเข้าใจว่ากรรมที่ท�าน้ันไม่มีผลจริง หรือบางคนท�าดีไม่เห็นว่าตนได้ดี ไปหาที่เกิดใหม) คนท�าชั่วกลับไม่ได้รับการลงโทษทางศีลธรรมแต่อย่างใด ก็เกิดลังเลสงสัยว่า ท�าดีได้ดี ท�าช่ัว จากนัน้ ครใู หนักเรยี นบันทกึ ความรทู ่ีไดจ าก ได้ช่วั จรงิ หรอื ไม่ หลกั ธรรมในอรยิ สัจ 4 ขอ ทกุ ขล งในสมุด ความเข้าใจผิดเก่ียวกับกรรมและการให้ผลของกรรมของคนส่วนมากอย่างหน่ึง คือ คนมักเข้าใจกันว่า ท�ากรรมชนิดใดจะต้องได้ผลกรรมเช่นน้ัน ความจริงแล้วผลของกรรม 2. ครูสนทนารวมกนั กบั นักเรียนท่ีไดห มายเลข 2 ไม่จ�าเป็นต้องเหมือนกับกรรมโดยสิ้นเชิง อาจเป็นอย่างอื่นท่ีสอดคล้องหรือเหมาะสมกันก็ได้ ถึงความหมายของสมทุ ยั แลวใหตัวแทนของ อีกประการหนึ่ง ความเป็นไปในชีวิตไม่ว่าดีหรือร้าย ใช่ว่าจะเป็นผลจากกรรมเก่าเสียท้ังหมด นกั เรียนทไ่ี ดหมายเลข 2 อธิบายหลกั กรรมใน แตอ่ าจจะเกิดจากสาเหตอุ ื่นๆ ก็ได้ เช่น คนปว่ ยกระเสาะกระแสะไมห่ ายก็ใชว่ ่าเป็นผลของกรรม อรยิ สจั 4 ขอ สมทุ ัย ดงั น้ี เก่าแต่อย่างเดียว แต่อาจเกิดจากการไม่บ�ารุงรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์ก็ได้ หรืออาจเป็นผลของ • ความหมายของกรรมกบั กริ ิยา กรรมใหม่ในชาติน้กี ็ได้ • หลกั ธรรมนิยาม 5 • กฎแหงกรรม 70 นักเรียนควรรู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั หลักกรรม 1 หลกั ธรรม ทเ่ี กยี่ วขอ งกบั หลกั กรรมทน่ี กั เรยี นควรรเู พมิ่ เตมิ ไดแ ก ไตรวฏั ฏ คอื กฎแหงกรรมอยใู นหลักธรรมใด วงจร 3 สว นของปฏจิ จสมปุ บาทหมุนเวียนสบื ทอดตอ ๆ กนั ไป ทาํ ใหเ กิดวงจรแหง 1. นยิ าม 5 ทกุ ข ไดแก กเิ ลส กรรม และวิบาก 2. ขนั ธ 5 3. พละ 5 เบศูรณรากษารฐกจิ พอเพียง 4. วมิ ุตติ 5 วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. นยิ าม 5 ซ่งึ ประกอบดว ย อุตนุ ิยาม คอื “หวา นพืชเชน ใด ยอมไดผ ลเชนน้นั ” เปน คาํ กลา วท่สี ะทอ นใหเ ห็นความเชือ่ ใน กฎธรรมชาติเกยี่ วกับภูมิอากาศ พชี นิยาม คือ กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั การ เรื่องกฎแหง กรรม ซ่งึ สอนใหคนคิดไตรตรองอยา งถี่ถว นกอ นลงมือกระทําใดๆ สืบพนั ธุ จติ ตนิยาม คือ กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั การทาํ งานของจิต กรรม- นยิ าม คอื กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ย และธรรมนยิ าม นกั เรยี นเขียนความเรยี ง คําขวัญ หรอื คําประพนั ธใ นหัวขอ “พอเพยี งเมื่อใด คือ กฎธรรมชาติเก่ยี วกบั ความเปน เหตเุ ปนผลของส่ิงท้ังปวง สขุ ใจเมอื่ น้นั ” เสรจ็ แลวนํามารวมกนั จัดปายนเิ ทศ นาํ ไปตดิ ไวหนาชัน้ เรียน หรือ บอรดกลางของโรงเรียน 70 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ตามหลกั จูฬกมั มวิภงั คสตู ร๗ ได้ก�าหนดสง่ิ ท่เี ปน็ ผลของกรรมเกา่ ไว้ ดงั น้ี ตัวแทนของนกั เรยี นทีไ่ ดหมายเลข 2 อธิบาย หลักธรรมในอริยสัจ 4 ขอสมุทยั ดงั น้ี ๑. ความประณตี สวยงามหรือไมส่ วยงามของรปู ร่างทีม่ มี าโดยก�าเนิด ๒. การเกิดในตระกลู สงู หรอื ตระกลู ตา่� • ความเขา ใจทถี่ กู ตอ งเรื่องผลของกรรม ๓. ความรา่� รวยหรอื ยากจน • ผลของกรรมเกาตามจูฬกัมมวิภงั คสตู ร ๔. ความสามารถทางสติปญั ญา หรือความโงเ่ ขลาทม่ี มี าแต่กา� เนดิ • ผลของกรรมในระดบั จิต ๕. ความสมบูรณห์ รือความอ่อนแอของร่างกาย • ผลของกรรมในระดบั บคุ ลกิ ภาพและ ๖. ความยืนยาวหรือสั้นของอายุ อปุ นิสัย อยา่ งไรกด็ ี การใหผ้ ลของกรรม สามารถพจิ ารณาได้ ๓ ระดับ ดังน้ี ๑.๑) ระดับภายในจิตใจหรือคุณภาพของจิต เช่น คิดท�าความชั่ว ย่อมได้รับ ผลชั่วทางจิตใจ คือ สภาพจิตใจตกต�่า มัวหมอง ชั่วร้าย หยาบกระด้าง ถ้าคิดแต่ในทางที่ดี กย็ ่อมมีจติ ใจสะอาด สรา้ งคุณภาพและสมรรถภาพท่ีดีให้แก่จิต ๑.๒) ระดับบุคลิกภาพและอุปนิสัย กรรมท่ีกระท�าจะปรุงแต่งลักษณะความ ประพฤติ การแสดงออก ท่าที การวางตัว บุคลิกลักษณะหรืออุปนิสัย ผลของกรรมระดับนี้ สบื เนื่องจากระดบั ท่หี นึ่ง คอื เมอื่ คณุ ภาพจิตสงู หรือต่�า ก็แสดงออกทางบคุ ลกิ ท่าทาง อปุ นิสัย ใจคอ เรือ่ งนา่ รู้ ผลของกรรมระดบั ผลทางสงั คม การทาำ ดจี ะไดผ้ ลเตม็ ทห่ี รอื ไมใ่ นระดบั ทเ่ี ปน็ ผลทางสงั คมนน้ั ขน้ึ อยกู่ บั วา่ มคี วามพรอ้ มดงั นห้ี รอื ไม่ ๑. ทำาดีถูกท่หี รือไม่ การกระทำาอย่างเดียวกันในสถานท่หี น่งึ อาจได้รับการยอมรับและประสบความสำาเร็จ แตใ่ นอกี สถานทห่ี นง่ึ อาจไดร้ บั ผลตรงขา้ ม ๒. บคุ ลกิ รปู รา่ งเหมาะสมหรอื ไม่ คนทม่ี บี คุ ลกิ รปู รา่ งด ี กบั คนทบ่ี คุ ลกิ ไมเ่ หมาะสมหรอื พกิ าร กระทาำ อยา่ ง เดยี วกนั กอ็ าจไดร้ บั การยอมรบั หรอื ประสบผลสาำ เรจ็ ตา่ งกนั ๓. ทำาดีถูกกาลเวลาหรือไม่ ในยามท่สี ังคมยกย่องคนดี ประณามคนช่วั ผ้ทู ำาความดีย่อมได้รับการยกย่อง แตใ่ นยคุ ทส่ี งั คมเสอ่ื มคณุ ธรรม ผทู้ ท่ี าำ ดซี อ่ื สตั ยส์ จุ รติ อาจถกู หาวา่ เปน็ คนผดิ ได้ 4. ทาำ ดเี ตม็ ทห่ี รอื ไม่ การกระทาำ นน้ั เปน็ การกระทาำ ความดจี รงิ หรอื ไม ่ ไดพ้ ยายามทส่ี ดุ แลว้ หรอื ไม่ ถา้ ทาำ ถกู และเตม็ ทย่ี อ่ มไดร้ บั ผลดเี ตม็ ทแ่ี นน่ อน แตถ่ า้ สกั แตว่ า่ ทาำ ยอ่ มไดผ้ ลตรงขา้ ม (คาำ อธบิ ายถอื ตามนยั สมั โมหวโิ นทนแี ปล) ๗ พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เลม่ ที่ ๑๔. หนา้ ๕๗๙ - ๕๙๗. 7๑ บรู ณาการเชือ่ มสาระ เกร็ดแนะครู ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรยี นรูบรู ณาการกลุม สาระการเรยี นรู ครูอาจอธบิ ายนกั เรยี นเพ่ิมเตมิ เก่ยี วกบั สาระสําคัญของจฬู กัมมวิภงั คสตู รวา สุขศกึ ษาและพลศึกษา วชิ าสุขศกึ ษา เร่ืองกระบวนการสรา งเสริมและ พระสตู รนเี้ กดิ ขึ้นในสมยั พทุ ธกาลขณะพระพทุ ธเจา ทรงประทับอยพู ระวิหารเชตวนั ดาํ รงประสทิ ธิภาพการทาํ งานของระบบอวัยวะในรางกาย โดยใหนกั เรยี น สภุ มาณพไดถามพระพุทธเจาวา อะไรเปนเหตุใหมนษุ ยนนั้ เกดิ มาแตกตางกันใน วเิ คราะหแนวทางการปฏิบัตติ นเพือ่ พัฒนาประสิทธภิ าพทางรา งกายและ ดานตางๆ เชน สติปญ ญา รางกาย ชาตกิ าํ เนิด พระพุทธองคทรงตรัสตอบวา “ดกู ร จิตใจของตนเอง โดยใชค วามรูเก่ียวกับระดบั ของผลกรรมในระดับภายใน มาณพ สัตวท ัง้ หลายมีกรรมเปนของตน เปนทายาทแหงกรรม มีกรรมเปนกาํ เนิด จติ ใจหรอื คณุ ภาพของจติ และระดบั บุคลิกภาพและอปุ นิสยั ท่ไี ดศึกษามา มกี รรมเปนเผา พันธุ มกี รรมเปนที่พึ่งอาศัย กรรมยอ มจาํ แนกสัตวใ หเ ลวและ ประณีตได” จากนัน้ ใหยกตวั อยา งประกอบเพ่ืออธิบายสภุ มาณพ เชน คนทม่ี อี ายุยืน เพราะไมฆ าสตั ว ในทางกลบั กนั คนท่ีมีอายุสั้น เพราะฆา สัตว คนท่ีมีโรคนอ ย เพราะ ไมเบียดเบยี นสตั ว ในทางกลับกนั คนทมี่ ีโรคมาก เพราะเบยี ดเบยี นสตั ว เปนตน คูม อื ครู 71

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหนักเรียนหมายเลข 2 ทย่ี งั ไมไดอ ธบิ าย ๑.๓) ระดับภายนอกหรือผลทางสังคม ผลของการกระท�าระดับนี้ คือ สิ่งท่ี หลักกรรมมีสว นรวมในการจัดกจิ กรรมการ มองเห็นในชีวิตประจ�าวัน เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ อันเป็นผลที่เขาได้รับในสังคมที่ เรยี นรู โดยใหออกมาชว ยกันเขยี นความรู เขาอยู่ ผลภายนอกน้ีทางพระพุทธศาสนาไม่ถือว่าเป็นผลโดยตรงของการท�าดีท�าช่ัว หากเป็น เกย่ี วกบั หลักธรรมวติ ก 3 ท่ตี นศกึ ษามาใน เพียงผลพลอยได้ ท่ีอาจจะมีหรือไม่ก็ได้ หรืออาจจะมีตรงข้ามก็ได้ เช่น คนบางคนกระท�าช่ัว ตารางหนาชนั้ เรยี น แลว อธิบายใหเ พอื่ น แต่อาจมีลาภ ยศ สรรเสริญ ผู้ที่มองเฉพาะผลภายนอกจะเห็นว่าคนผู้นี้ท�าช่ัวแต่กลับได้ดี นกั เรียนเขา ใจ จากนนั้ ครใู หนกั เรยี นบันทึก ความจริงแล้วบุคคลผู้น้ีต้องได้รับผลกรรม ๒ ระดับข้างต้นดังกล่าวแล้ว คือ เขามีคุณภาพจิต ความรูท่ไี ดจากหลกั ธรรมในอรยิ สจั 4 ขอ อนั ตา่� ทราม มีความทุกขท์ างใจ และมีจิตเศรา้ หมองอยา่ งแนน่ อน สมุทัยลงในสมดุ ๒) วิตก ๓ วิตก หมายถึง การคิด การใคร่ครวญ เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิต 2. ครูสนทนารว มกนั กับนกั เรียนท่ไี ดห มายเลข 3 ถึงความหมายของนิโรธ แลว ตงั้ ประเด็นให มี ๒ ดา้ น ดงั น้ี นักเรยี นทไ่ี ดห มายเลข 3 อภปิ รายรวมกนั ๒.๑) กศุ ลวติ ก คือ ความนึกคิดท่ีดงี าม มี ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ดงั ตอไปน้ี • ภาวนากับการพัฒนาในทางพระพุทธศาสนา ๑. เนกขมั มวิตก คอื ความนึกคดิ ท่ปี ลอดจากกาม เปน็ ความคิดท่ีไม่ยึดติดกบั อะไร ๒. อพยาบาทวติ ก คอื ความนกึ คดิ ทปี่ ระกอบดว้ ยเมตตา ไมม่ งุ่ รา้ ย ๓. อวิหิงสาวิตก คือ ความนึกคิดท่ีปลอดจากการเบยี ดเบยี น ไม่คิดร้าย ไม่มุ่งท�าลาย ๒.๒) อกศุ ลวิตก คอื ความนึกคดิ ที่ไมด่ ี เปน็ อกศุ ล มี ๓ ประการ ได้แก่ ๑. กามวติ ก คือ ความนึกคดิ ทย่ี ึดติดกบั ความล่มุ หลงทางเนอื้ หนัง ๒. พยาบาทวิตก คือ ความนึกคดิ ที่ประกอบด้วยความพยาบาทมงุ่ ร้าย ๓. วิหงิ สาวิตก คอื ความคดิ ในทางเบียดเบียนและท�าร้าย 1 ๒.๓ นโิ รธ (ธรรมทค่ี วรบรรล)ุ นโิ รธ คือ ความจรงิ วา่ ดว้ ยความทุกข์ เม่อื ความทุกข์เกดิ จากสาเหตุ ถ้าเราดบั สาเหตุเสีย ความทกุ ข์นน้ั ยอ่ มดบั ไปดว้ ย ปญั หากห็ มดสิน้ เหลือแตค่ วามสงบสุข ดงั นั้น นิโรธจงึ เปน็ ธรรมที่ ควรบรรลุ ในพระพทุ ธศาสนามธี รรมทคี่ วรบรรลมุ ากมาย เชน่ หลกั ธรรม “ภาวนา ๔” ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑) ภาวนา ๔ ภาวนา คือ การท�าให้เกิดให้มีขึ้น หรือท่ีเรียกว่า “การพัฒนา” ซ่ึงมที ้งั หมด ๔ ประการ ดังน้ี ๑.๑) กายภาวนา คอื การพฒั นากาย ความหมายอย่างแคบ หมายถึง ผู้ท่ีมี สุขภาพพลานามัยแข็งแรงปราศจากโรค มีความเป็นอยู่ถูกสุขลักษณะ ความหมายอย่างกว้าง 7๒ เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บุคคลในขอ ใดกลาวไดว าเปนผูปฏิบตั ติ นตามกศุ ลวิตก ครอู าจตัง้ ประเดน็ ใหน กั เรียนอภปิ รายรวมกันถงึ ผลของกรรมในระดับตา งๆ 1. วิภาวางเฉยเมอ่ื เพ่อื นถูกดําเนินคดีในความผดิ ที่เขากอ ขนึ้ เชน แนวคิดผลของกรรมในระดับทางสังคมของพระพุทธศาสนา กรรมและผลของ 2. วินัยชว ยเหลือเพื่อนท่ถี กู ดําเนินคดีในความผิดทเี่ พ่อื นเขากอขน้ึ กรรมตอจิตใจ บคุ ลิกภาพและอุปนิสัย เปนตน 3. วิไลช้แี นะใหเพอื่ นเขา ใจความผิดทกี่ อขึน้ อันเปน เหตุใหถูกดาํ เนนิ คดี 4. วิชัยขอความชวยเหลอื จากผมู ีอาํ นาจใหเพอ่ื นเขาพนจากคดที ีเ่ พ่ือนเขา นักเรียนควรรู กอขนึ้ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. วิภาวางเฉยเมอ่ื เพือ่ นถกู ดาํ เนินคดใี น 1 นโิ รธ ความดับกเิ ลสหรอื ภาวะไรก ิเลสและไมม ีทุกขเกดิ ขน้ึ แบงออกไดเ ปน 5 ความผิดท่ีเขากอข้ึน สอดคลองกบั กศุ ลวิตก ขออวหิ งิ สาวติ ก คือ ความ ลกั ษณะ เรียกวา นิโรธ 5 ในลักษณะขัน้ ตน ทีน่ ักเรยี นควรรู ไดแ ก วกิ ขมั ภนนโิ รธ นกึ คดิ ท่ปี ลอดจากการเบยี ดเบยี น ไมคิดรา ย ไมม งุ ทําลาย และปลอยให หมายถงึ ดบั ดว ยขม ไว คอื การดบั กเิ ลสของทา นผบู าํ เพญ็ ฌานถงึ ปฐมฌาน ตทงั คนโิ รธ เปนไปตามครรลองธรรม หมายถงึ ดบั ดว ยองคน น้ั ๆ คือ ดับกเิ ลสดวยธรรมที่เปน คูป รบั หรอื ธรรมท่ีตรงขาม สมจุ เฉทนโิ รธ หมายถงึ ดบั ดว ยตดั ขาด คอื ดบั กเิ ลสเสรจ็ สนิ้ เดด็ ขาดดว ยโลกตุ ตรมรรค 72 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain หมายถึง บุคคล ผรู้ ูจ้ ักเกี่ยวขอ้ งสมั พันธก์ ับสง่ิ แวดลอ้ มภายนอกอยา่ งคมุ้ คา่ และเกดิ ประโยชน์ เชน่ ครตู ้ังประเดน็ ใหน กั เรียนทีไ่ ดห มายเลข 3 รู้จกั เกี่ยวขอ้ งกบั ปจั จยั ๔ โดยเสพวัตถุเหลา่ น้ดี ้วย “คุณค่าแท”้ มิใช่ “คณุ คา่ เทียม” คือ ใชว้ ัตถุ อภปิ รายรวมกัน ดังตอ ไปนี้ เพ่ือให้ชีวิตด�ารงอยู่ได้ เพื่อท�าประโยชน์แก่ตน และผ้อู ่ืน มิใช่ฟงุ้ เฟ้อวิง่ ตามวตั ถุเสยี จนตกเป็น • ความสอดคลอ งของการคิดแบบคุณคา แท- ธาตวุ ตั ถุ คุณคา เทยี มกบั กายภาวนา ๑.๒) ศีลภาวนา คือ การ • การปฏบิ ัตติ นตามศีลภาวนาในดานหยาบ พฒั นาศลี โดยรกั ษาศลี ทา� ตนเปน็ ผมู้ พี ฤตกิ รรม และดา นละเอยี ด ทางสังคมที่เจริญแล้ว ไม่ก่อพิษภัยแก่สังคม ไม่เอารัดเอาเปรียบเพ่ือนมนุษย์ ท้ังในด้าน • ความแตกตา งระหวางคุณภาพจติ กบั หยาบ คือ ปล้น ฆ่า ท�าลายชีวิต ทรัพย์สิน สมรรถภาพจิตตามจติ ภาวนา และด้านละเอียด คือ เอาเปรียบโดยวิธีที่แฝง มากบั ระบบบรโิ ภคนิยมและบรรษัทข้ามชาติ การบรโิ ภคปจั จยั ๔ ควรพจิ ารณาถงึ ประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ๑.๓) จิตภาวนา คือ การ แทจ้ รงิ พัฒนาจิต หมายถึง ผู้ที่มีจิตใจพัฒนาแล้ว มีจติ อันอบรมดแี ล้ว สมบรู ณด์ ว้ ยคุณภาพจติ สมรรถภาพจติ และสุขภาพจติ ผู้ท่ีมีคุณภาพจิตสมบูรณ์ คือ คนท่ีมีคุณธรรมอันดีงามในชีวิต เช่น มี “สงั คหวัตถุ ๔” อันไดแ้ ก่ ๑. ทาน หมายถงึ การแบ่งปนั เออ้ื เฟอเผื่อแผ่ เสยี สละ ๒. ปย วาจา หมายถงึ พดู จาไพเราะ นมุ่ นวล นา่ ฟงั ไมว่ า่ รา้ ย ยแุ ยง หรอื ปา้ ยสี ๓. อตั ถจรยิ า หมายถงึ รจู้ กั ทา� ประโยชนแ์ กส่ งั คม โดยไมเ่ หน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นตนและพวกพอ้ ง ๔. สมานตั ตตา หมายถงึ ทา� ตนเสมอตน้ เสมอปลาย ร่วมสุข รว่ มทุกข์ ร่วมรับร้ ู และร่วม แก้ไข ตลอดจนวางตนเหมาะสมแก่ฐานะ ภาวะ บุคคล เหตุการณ์ และส่ิงแวดล้อม ไดถ้ ูกต้องตามธรรม ส่วนผู้มีสมรรถภาพจิตสมบูรณ์ คือ ผู้ท่ีมีคุณธรรมเป็นท่ีเข้มแข็งแห่งชีวิต สามารถสร้างความส�าเร็จแก่ตนได้ เช่น มี “อิทธิบาท ๔” คือ ฉันทะ (ความพอใจท�า) วิริยะ (ความพากเพียรทา� ) จติ ตะ (ความตัง้ ใจท�า) และวมิ งั สา (ความเขา้ ใจทา� รู้จกั ไตร่ตรอง) 7๓ กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครอู าจใหน ักเรยี นวิเคราะหแ นวทางการปฏิบตั ิตนตามหลักธรรม ครูควรอธบิ ายใหน กั เรียนเขา ใจถงึ ความสาํ คัญของอรยิ สจั อันเปน พระธรรมหลกั สังคหวตั ถุ 4 เพือ่ การพัฒนาคณุ ภาพจิต และหลกั ธรรมอทิ ธิบาท 4 ของธรรมอื่นๆ ในพระพุทธศาสนาทัง้ ปวง แลว มอบหมายใหน กั เรียนศกึ ษาความรู เพื่อพฒั นาสมรรถภาพจิต เก่ียวกบั หลกั ธรรมอืน่ ๆ ในหลักอรยิ สัจแตละประการ ไดแก ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ และ มรรค จากนั้นนํามาวเิ คราะหรว มกันในช้ันเรียนถงึ ความสอดคลอ งของหลักธรรม กิจกรรมทาทาย คาํ สอนตางๆ ในกรอบของอรยิ สจั แลวสรุปผลการวเิ คราะหจ ดั ทําเปนผงั ความคดิ หลกั ธรรมในอรยิ สจั ครูอาจใหนักเรียนสืบคนหลักธรรมเพอื่ การพัฒนาคณุ ภาพจติ และ มมุ IT สมรรถภาพจติ เพ่ิมเติมจากหนังสอื เรียน แลววเิ คราะหแนวทางการ ปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรมเหลา นนั้ ศึกษาเพมิ่ เตมิ เก่ยี วกบั พระพทุ ธศาสนากับการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมใน ปจ จบุ นั ไดท ี่ http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_ id=740&articlegroup_id=161 เวบ็ ไซตม หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คูม อื ครู 73

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูตงั้ ประเดน็ ใหน ักเรียนทีไ่ ดห มายเลข 3 1 อภิปรายรว มกนั ดังตอไปน้ี ผู้ที่มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ คือ ผู้ที่มีจิตหนักแน่นม่ันคง ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ • แนวทางในการพัฒนาตนเองตามหลกั ปญญา ภาวนา อันไดแ้ ก่ ไดล้ าภ เสอ่ื มลาภ ได้ยศ เสือ่ มยศ สรรเสริญ นินทา ความทกุ ข์ ความสุข มองโลก จากนนั้ ครใู หน ักเรียนบันทึกความรูท่ไี ดจ าก หลักธรรมในอริยสัจ 4 ขอ นิโรธลงในสมดุ ตามวิถีแห่งความเป็นจริงไปตามกระแสแห่ง 2. ครสู นทนารว มกันกับนกั เรียนท่ีไดห มายเลข โลกธรรม มีความยดึ ม่นั ถือม่นั น้อย 4 ถงึ ความหมายของมรรค แลว ตงั้ ประเด็น อภปิ รายและคําถามใหนกั เรียนท่ีไดหมายเลข 4 ๑.๔) ปญั ญาภาวนา คอื การ ชวยกนั อธบิ ายความรู ดังน้ี • พระสัทธรรม 4 กับการเดินทางสคู วามเขาใจ พัฒนาปัญญา ท�าตนเป็นผู้มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน ในพระธรรมคาํ สอนอยา งถองแท หมน่ั ศกึ ษาหาความรู้ และสามารถใชค้ วามรนู้ นั้ แกไ้ ขปญั หาชวี ติ ของตนและทา� ประโยชนแ์ กส่ งั คม ไดอ้ ยา่ งสงู หมายเปน็ ผมู้ ปี ญั ญาทเี่ ปน็ อสิ ระจาก การครอบง�าของกิเลส มองรู้สิ่งทั้งหลายตาม ความเปน็ จรงิ วนิ จิ การณต์ า่ งๆ ดว้ ยปญั ญาบรสิ ทุ ธ์ิ การศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเอง ถอื เปน็ การพฒั นา ปราศจากผลประโยชน์ส่วนตนเคลือบแฝงและ ใชป้ ญั ญาสรา้ งความยตุ ธิ รรมแกส่ งั คม ปัญญา อ๒ยา่.๔งห นมง่ึ รรค2 (ธรรมทคี่ วรเจริÞ) มรรค คือ ความจริงวา่ ดว้ ยทางแหง่ ความดับทกุ ข์ ถา้ ใครปฏิบัติตามก็จะลดความทกุ ข์หรือ ปัญหาได้ ดังน้ัน มรรคจึงเป็นธรรมที่ควรเจริญ หมายถึง การพัฒนา การท�าให้เกิดขึ้น ในทาง พระพทุ ธศาสนามหี ลักธรรมที่ควรเจรญิ มากมาย เช่นหลกั ธรรมดงั ตอ่ ไปน้ี ๑)3พระสัทธรรม ๓ สัทธรรม หมายถึง ธรรมอันดี ธรรมท่ีแท้หรือสัจธรรม ธรรมของสัตบุรษุ มที ง้ั ส้นิ ๓ ประการ ดงั น้ี ๑.๑) ปริยัติสัทธรรม คือ ค�าส่ังสอนของพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธวจนะ ท่บี นั ทกึ ไว้ในพระไตรปฎกทัง้ หมด อันจะตอ้ งศกึ ษาเลา่ เรยี นให้เกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจอย่างถกู ตอ้ ง ๑.๒) ปฏิบัติสัทธรรม คือ การปฏิบัติตามหลักทฤษฎีต่างๆ ท่ีได้เรียนรู้มา ซึ่งถือว่าส�าคัญมาก เพราะพระพุทธศาสนามิได้เป็นเพียงทฤษฎีหรือปริยัติเท่าน้ัน แต่เน้นท่ีการ ลงมอื ปฏบิ ัตเิ ป็นสา� คญั การปฏิบัติในที่นี้ ได้แก่ ปฏบิ ัติตามหลกั อรยิ มรรคมีองค์ ๘ น่นั เอง ๑.๓) ปฏิเวธสัทธรรม คือ ผลอันพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติตามหลัก อริยมรรคมีองค์ ๘ ถ้าจะเปรียบการเรียนรู้และการปฏิบัติของบุคคลเหมือนกับการเดินทาง ปริยัติสัทธรรมเปรียบได้กับการศึกษาแผนท่ีให้รู้ท่ีหมาย และวิธีการเดินทาง ปฏิบัติสัทธรรม 74 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT หลกั พระสัทธรรม 3 เปรยี บเทยี บไดก บั การเดินทางสจู ุดหมายอยา งไร 1 สุขภาพจิตสมบูรณ ในดานการสาธารณสขุ กรมสขุ ภาพจิต ไดดาํ เนินการ แนวตอบ หลักพระสัทธรรม 3 อนั ประกอบดว ย ปรยิ ัตสิ ัทธรรม ปฏิบัติ สรางแบบทดสอบดชั นีชีว้ ดั สขุ ภาพจิตคนไทยฉบับสมบรู ณขน้ึ ใน พ.ศ.2550 มขี อ สัทธรรม และปฏิเวธสัทธรรม เทยี บไดก บั การศกึ ษาเสนทางและวางแผน คาํ ถาม 55 ขอ ตวั อยา งขอคําถามในแบบทดสอบ เชน ทา นรูสกึ วาชวี ิตของทา นมี การเดินทาง การเดินทางตามแผนการทว่ี างไว และการเดนิ ทางถึงจุด แตค วามทกุ ข ทานรสู ึกเหน็ ใจเม่ือผอู ืน่ มที กุ ข และทา นเคยประสบกับความยงุ ยาก หมายที่ตัง้ ไวต ามลําดับ จงึ เรียกไดว า เปน ธรรมของสัตบรุ ษุ ท่บี ุคคลพึงถือ และสิ่งยดึ เหน่ียวสงู สดุ ในจติ ใจชวยใหทา นผา นพน ไปได บุคคลทว่ั ไปสามารถทาํ เปน แนวทางการปฏบิ ัตเิ พ่อื ใหประสบความสาํ เรจ็ ในชีวิต แบบทดสอบสุขภาพจิตของตนเองไดท ี่ http://www.dmh.go.th/test/thaihap- new/asheet.asp?qid=1 เว็บไซตกรมสขุ ภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ 2 มรรค ทางอนั ประเสรฐิ 8 ประการ ใหถ ึงความดับทกุ ข เปนสว นหน่งึ ของ โพธปิ ก ขิยธรรม ธรรมอันเกอ้ื หนนุ อริยมรรคนําไปสูการตรัสรู ประกอบดว ย สตปิ ฏ- ฐาน 4 สมั มปั ปธาน 4 อทิ ธบิ าท 4 อนิ ทรยี  5 พละ 5 โพชฌงค 7 และมรรคมอี งค 8 3 สตั บรุ ษุ หมายถงึ คนสงบ คนดี คนมศี ลี ธรรม คนทป่ี ระกอบดว ยสปั ปรุ สิ ธรรม 74 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู เปรียบได้กับการลงมือเดินทางจากจุดเร่ิมต้นไปสู่จุดหมายด้วยความแน่วแน่ และปฏิเวธสัทธรรม ครตู ั้งประเด็นอภิปรายและคําถามใหน กั เรียน ทไ่ี ดหมายเลข 4 ชวยกันอธบิ ายความรู ดงั น้ี เปรยี บไดก้ ับการบรรลถุ ึงจุดหมายแล้วน่นั เอง • การคบหาสัตบุรษุ และบัณฑติ จะนํานกั เรยี น ๒) ปัญญาวุฒิธรรม ๔ ปญั ญาวุฒิธรรม หมายถงึ ธรรมที่พาไปส่คู วามเจริญ ไปสคู วามเจริญตามหลกั ธรรมปญญา วุฒธิ รรม 4 ไดอยางไร ปญั ญา มี ๔ ประการ ดังน้ี (แนวตอบ การคบหาสตั บุรษุ และบัณฑิตผูท่ี มคี วามรูและความดี จะชว ยถายทอดความ ๒.๑) คบหาสัตบุรุษและบัณฑิต คือ รู้จักไปมาหาสู่คบหากับคนดี คนมีความรู้ รคู วามเขาใจทงั้ ในการเรียน การดาํ รงชวี ติ และการประกอบอาชพี ดว ยเจตนาดี รวมถงึ เพราะสัตตบุรุษและบัณฑิตน้ี จะถ่ายทอดวิชาที่เป็นประโยชน์ในการประกอบอาชีพ ให้ความรู้ คอยยับยั้งเมือ่ เราคดิ จะทําสิง่ ที่ไมถ ูกตอง) แก่เราด้วยเจตนาดี ยับย้ังเราเม่ือเราคิดหรือเร่ิมจะท�าความชั่ว ดังน้ัน เราจะต้องพิจารณาและ ความสอดคลองของปญ ญาวฒุ ิธรรม 4 ขอ เอาใจใสเลา เรียนและใชเ หตผุ ลไตรต รองกบั หัวใจ แน่ใจว่าผ้ทู ่ีเราจะไปคบหาดว้ ยนั้น เป็นบุคคลประเภทใด ถา้ เราไม่แน่ใจว่าใครเปน็ อย่างไร ก็ควร นักปราชญ เชอ่ื ฟงั คา� แนะน�าจากผ้หู วงั ดกี อ่ น เช่น บดิ ามารดา ครูอาจารย์ หรอื ญาติผใู้ หญท่ ี่เคารพนบั ถอื ๒.๒) เอาใจใส่เล่าเรียนหาความจริง คอื หมัน่ หาความร้ดู ว้ ยความต้ังใจจริงและ เอาใจใส่ โดยเร่ิมจากศึกษาในสิ่งท่ีเราถนัดและสนใจ การหาความรู้น้ัน ควรฝึกฝนด้วยตนเอง ให้มากที่สุด ถ้าเราคอยแต่ถามเพ่ือนหรือให้เพื่อนท�าให้ทุกอย่างแล้ว แม้ส�าเร็จการศึกษาออกไป ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เพราะไม่เคยท�าอะไรด้วยตนเอง หรือถ้าเรียนแต่ทฤษฎี ไม่รู้จัก ทดลองน�ามาปฏิบัติแล้ว ความรู้ทมี่ ีอยูก่ ็ไม่เป็นประโยชน์อะไร ไม่สามารถน�ามาเป็นเคร่อื งมอื การ ทา� งานหาเลี้ยงชพี ได้ ๒.๓) ใชเ้ หตผุ ลไตรต่ รอง ใช้ความคิดที่ถูกวิธีด้วยเหตุผล ความคิดอ่านของเรา จะกว้างขวางเมื่อฟังมากอ่านมาก การรับฟัง ความเห็นหลายๆ ด้าน ย่อมท�าให้เรามีความ คิดแตกฉานออกไป ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อันมี ส่วนช่วยให้ได้รับความรู้จริงที่ถูกต้อง ท้ังนี้ การท่ีได้อ่านมากฟังมากก็มิได้หมายความว่า เราจะได้ความจริงหรือมีความรู้ท่ีถูกต้องเสมอ ไป ความเขลาของเราอาจท�าให้เชื่ออะไรง่ายๆ ก็ได้ แต่ถ้าเราไม่เผลอไม่หลง ใช้สติปัญญา พิจารณาไตร่ตรองว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ดู เหตุผลและวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน สุดท้ายย่อมรู้ เม่ืออยู่ในวัยเรียน หน้าท่ีของบุคคลคือต้ังใจศึกษา ความจริงแทไ้ ด้ เลา่ เรยี น ขวนขวายหาความรู้ 75 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู การรบั ขอ มลู ขา วสารหรอื ประเดน็ ทางสงั คมในปจ จบุ ันควรปฏิบัติตนตาม ครคู วรอธบิ ายใหน กั เรียนเขา ใจถงึ ความสาํ คัญของการใชเ หตุผลไตรตรอง แนวทางในขอใด เรอื่ งราวตางๆ ที่นักเรยี นพบเห็นหรือไดย นิ ไดฟง มาในโลกยคุ โลกาภวิ ตั น โดยอาจ สนทนาเกี่ยวกบั ขาวหรอื ประเดน็ ทางสังคมเพื่อฝกทักษะการคิดอยางมวี จิ ารณญาณ 1. รวบรวมขอ มลู ใหม ากที่สดุ ตามลําดบั ข้ันตอน คือ ตงั้ เปา หมายและระบปุ ระเด็นในการคิด วเิ คราะหข อ มลู 2. ลาํ ดบั ความสําคญั ของขอมูล จาํ แนกขอ เทจ็ จริงและความคิดเหน็ และเลือกขอมูลท่จี ะนาํ มาใช จากนน้ั ใชห ลกั 3. เพกิ เฉยตอขอมลู จากทุกแหลง เหตุผลพจิ ารณาขอ มูลเพ่อื หาแนวทางไปสูเปา หมายหรอื คําตอบท่ีต้งั ไว 4. วเิ คราะหข อมูลโดยปราศจากอคติ วเิ คราะหคําตอบ การรับขอมูลขา วสารหรอื ประเด็นทางสังคมในปจ จบุ นั มุม IT ซ่งึ มคี วามซับซอนและมกี ารเปล่ียนแปลงอยา งรวดเรว็ นั้น พึงใชปญ ญา ไตรตรองเหตผุ ล วเิ คราะหข อ มลู ตางๆ ทไี่ ดรบั ฟงหรือรเู หน็ มาดวยใจ ศึกษาคนควาความรเู กยี่ วกับหลกั ธรรมเพ่อื การพัฒนาปญ ญาในทางพระพทุ ธ- เปน กลาง ปราศจากอคติ จะชว ยใหท ราบเรอ่ื งราวทีแ่ ทจ รงิ ได ดังน้ัน ศาสนาเพ่ิมเตมิ ไดท ่ี http://apps.qlf.or.th/member/blog/detail.aspx?id=120 เวบ็ ไซตส ง เสริมสงั คมแหงการเรยี นรแู ละคุณภาพเยาวชน (สสค.) คาํ ตอบคือ ขอ 4. คูม ือครู 75

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครตู ั้งประเดน็ อภิปรายและคําถามใหนักเรียนที่ ๒.๔) ปฏิบัติตนตามคลองธรรม คือ ไม่น�าความรู้ที่ได้มาไปใช้ในทางทุจริต ไดห มายเลข 4 ชว ยกันอธบิ ายความรู ดังนี้ ความรู้น้ันถ้าไม่ถูกควบคุมด้วยคุณธรรมแล้วจะเป็นอันตรายยิ่ง ยิ่งรู้มากยิ่งก่ออันตรายได้มาก • เพราะเหตุใด ผทู ่มี คี วามรูความสามารถจึง ตองคุณธรรมคอยกํากบั พฤตกิ รรมตางๆ ย่ิงโจรมีความรู้ความเช่ียวชาญเท่าไร ความเลวร้ายท่ีจะเกิดจากน้�ามือโจรนั้นย่อมมีมากขึ้น (แนวตอบ เพราะผทู ี่มคี วามรูความสามารถ นนั้ อาจใชค วามรูความสามารถของตนไป เท่านั้น นอกจากน้ีต้องไม่น�าความรู้มาก่อประโยชน์แก่ตน โดยไม่ค�านึงถึงความเดือดร้อนของ ในทางทผ่ี ิด หรอื ทางทุจริต อันจะนาํ มาซึง่ ความเดอื ดรอ นตอ สังคมสว นรวมไดมาก ผู้อืน่ อีกด้วย 1 โดยผทู ม่ี ีความรคู วามสามารถย่งิ มากเทา ไร พลังหรือก�าลังท่ีควรยึดเป็นหลักในการปฏิบัติธรรม แตปราศจากคณุ ธรรมคอยกํากบั การกระทํา ๓) พละ ๕ พละ หมายถึง ผนู นั้ ก็มีโอกาสสรางความเดือดรอ นใหแกสวน รวมไดม ากเทา นน้ั ) และในการดา� เนินชีวติ มอี ยู่ ๕ ประการ ดงั น้ี • ศรทั ธาตามหลักธรรมพละ 5 ขดั กบั หลกั ๓.๑) ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่นต่อหลักค�าสอนของพระพุทธองค์ หากปฏิบัติ ศรทั ธาในทางพระพทุ ธศาสนาหรือไม อยางไร ตามแล้วจะเกิดประโยชน์สุข ศรัทธาจึงถือเป็นจุดเร่ิมต้น กล่าวคือ การมีศรัทธาในพุทธธรรม (แนวตอบ ศรทั ธาตามหลักธรรมพละ 5 คอื ศรัทธาในหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจา จะเป็นจุดเร่ิมต้นให้เราศึกษาและปฏิบัติตามค�าสอนของพระพุทธองค์ แต่การจะปลงใจยอมรับว่า ซ่ึงเปนจุดเร่ิมตนของการนอมนําใจไปสูการ ทําความเขา ใจในหลกั ธรรมตางๆ และนาํ ไป หลักค�าสอนนั้นดีหรือไม่อยู่ท่ีการลงมือปฏิบัติจริง มิใช่ศรัทธาอีกต่อไป ศรัทธาจึงเป็นเพียงพลัง ประพฤตปิ ฏิบัตใิ หบ รรลจุ ุดมงุ หมาย ศรทั ธา ตามหลักธรรมพละ 5 นจ้ี งึ ไมข ดั กับหลกั ใหเ้ ราเร่ิมตน้ หากไมม่ คี วามเช่อื เป็นจดุ เริม่ ต้นแลว้ กจ็ ะไม่มีการทดลองดวู า่ ดจี ริงหรอื ไม่ ศรัทธา ศรทั ธาในทางพระพุทธศาสนาแตอ ยางใด) จึงมีประโยชนท์ ี่ชว่ ยใหก้ ารเริ่มตน้ ทกุ อย่างมีพลังและความหวงั ๓.๒) วิริยะ คือ ความพยายามที่จะประกอบแต่ความดี ละเว้นความชั่ว การ ท�าความดีบางคร้ังอาจเป็นของยาก เพราะมีส่ิงเย้ายวนให้หันเหไปสู่ความช่ัวมากมาย แต่ถ้าเรา มีศรัทธามากเท่าใด ความเพียรของเราก็ย่อมจะแกร่งกล้าขึ้นเท่านั้น วิริยะจึงมีประโยชน์ที่ท�าให้ การงานสา� เรจ็ ลุล่วงไปไดด้ ้วยดี ๓.๓) สติ คอื ความระลกึ ได้ มีความจ�า ไม่เผลอ ไม่เลินเล่อ ไม่เลื่อนลอย คือ มีความระมัดระวังต่ืนตัวอยู่เสมอ ได้ด้วย การปฏิบัติธรรมสติ เป็นสิ่งท่ีคอยเตือนและ ยับย้ังตัวเองมิให้กระท�าความชั่ว แต่มุ่งกระท�า ความดี หากมีศรทั ธาและวริ ิยะยอ่ มไม่เพียงพอ เพราะถ้าไม่มีสติคอยเตือนให้รู้จักพิจารณา อย่างรอบคอบแล้ว กอ็ าจจะเกิดความผดิ พลาด วิริยะ สติ และสมาธิ เป็นพลังส่วนหน่ึงที่ส่งเสริมให้ ในการกระท�าได้ สติจึงมีประโยชน์ที่คอยก�ากับ บคุ คลประสบความสาำ เรจ็ ไดใ้ นชวี ติ มิใหช้ วี ติ หลงผดิ และมคี วามเกยี จครา้ น 76 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครอู าจนาํ กรณตี วั อยางเกี่ยวกบั บุคคลท่มี ีความรคู วามสามารถ แตไ มม คี ณุ ธรรม ครูมอบหมายใหนักเรยี นศึกษาคน ควา ขอ มลู การนับถือศาสนาของ คอยกาํ กบั การกระทํา ไมป ฏิบตั ติ นตามคลองธรรม มาใหนกั เรียนพิจารณารว มกัน ประเทศสมาชกิ อาเซียน แลว จัดทาํ เปนบนั ทกึ การศึกษาคน ควา แลว ตงั้ คาํ ถามถึงความสาํ คัญของคณุ ธรรมในการควบคุมพฤติกรรมของบคุ คลน้ัน เพอื่ ใหนักเรียนตระหนักถงึ ความสําคญั ของการเปนคนเกง และเปนคนดีควบคกู นั ไป กิจกรรมทาทาย นักเรียนควรรู ครูมอบหมายใหน กั เรียนศึกษาคน ควา แนวทางการปฏบิ ตั ติ นตาม หลกั ธรรมคําสอนของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาอ่ืนท่ีตนนบั ถือ เพื่อการอยู 1 การปฏบิ ตั ธิ รรม จากการศกึ ษาของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช- รว มกันในกลมุ ประเทศสมาชิกอาเซียนไดอ ยา งสนั ตสิ ขุ แลวจัดทาํ เปน บนั ทกึ วทิ ยาลัยพบวา หลักธรรมทพ่ี ทุ ธศาสนิกชนสวนใหญใ นปจ จุบันยึดถอื ปฏิบตั ิ ไดแ ก การศกึ ษาคน ควา หลกั เบญจศีลและเบญจธรรม โดยเช่อื วา จะสามารถควบคุมพฤติกรรม พัฒนา รางกายและจิตใจของตนเองใหส ุจริต สง ผลใหส ังคมสว นรวมเกดิ ความสงบสุข ภายใตก ฎระเบยี บวนิ ัยและกฎเกณฑของสังคมได 76 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๓.๔) สมาธิ คือ ความต้งั จติ มน่ั สามารถบังคบั จติ ใจให้แน่วแนอ่ ยู่กับเรอ่ื งหนึง่ ครูตั้งประเด็นอภปิ รายและคําถามใหนกั เรยี น ที่ไดหมายเลข 4 ชว ยกันอธบิ ายความรู ดังน้ี ได้นานๆ ไม่วอกแวก ฟุ้งซ่าน สมาธิมีความส�าคัญต่อการปฏิบัติธรรมเพ่ือให้บรรลุถึงความสุข • วริ ยิ ะและสตใิ นฐานะเคร่ืองชว ยประคอง สุดยอดหรือนิพพานเป็นอย่างยิ่ง ดุจดังการใช้เลนส์นูนที่รวมแสงอาทิตย์มายังจุดเดียวกัน ความศรัทธา สามารถก่อให้เกิดการเผาไหม้ได้ ก�าลังต่างๆ ของคนกเ็ ชน่ กนั ถา้ ดงึ สมาธใิ หม้ าจดจอ่ อยสู่ ง่ิ เดยี ว • ความหมายและคณุ คา ของสมาธิและปญญา ตามหลักธรรมพละ 5 ย่อมท�าใหเ้ กิดพลงั ไดอ้ ย่างมหาศาล สมาธจิ ึงเป็นประโยชนท์ ่ีเปน็ บอ่ เกดิ แหง่ พลังในการทา� งาน • แนวทางการปฏบิ ัติตนตามหลักธรรม ๓.๕) ปญั ญา คอื ความรูช้ ดั เขา้ ใจสิ่งใดสง่ิ หน่งึ อย่างถอ่ งแท้ ร้ซู ้งึ ความเป็นจริง อบุ าสกธรรม 5 ขอมศี รัทธาและรักษาศีล ของชีวิต รู้ว่ากิเลสตัณหาเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ รู้ว่ากิเลสตัณหาน้ันดับได้ และหากดับแล้ว บุคคลก็จะพบความสุขสูงสุด ปัญญาจึงมีประโยชน์ท่ีช่วยให้สามารถเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ได้อย่างถกู ต้อง ๔) อุบาสกธรรม ๕ อุบาสกธรรม หมายถึง หลักธรรมประจ�าใจของผู้นับถือ และใกลช้ ดิ พระพุทธศาสนา มี ๕1 ประการ ดังน้ี ๔.๑) มีศรัทธา คือ มีความเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเลื่อมใสว่า ค�าสอนของพระพุทธเจ้าน่าจะดีจริง และเป็นแรงจูงใจให้เข้าไปพิจารณาค�าสอน ท้ังน้ีหลังจากใช้ ปัญญาและเหตุผลไตร่ตรองด้วยตนเองแล้วจึงยอมรับและเช่ือ อนึ่งเมื่อเช่ือพระปัญญาและการ ตรัสรู้ของพระพทุ ธเจา้ แลว้ กต็ อ้ งเช่ือหลกั ค�าสอนของพระพทุ ธเจา้ ด้วย ๔.๒) รักษาศีล คือ เปน็ คนมีจิตใจเปน็ ปกติ ไมถ่ ูกครอบงา� ด้วยความโลภ ความ โกรธ ความหลง อันจะชักน�าให้ประพฤติผิด กระท�าชั่ว คนเราเม่ือจิตเป็นปกติ การกระท�า ทั้งกาย วาจา และใจ ก็จะท�าแต่สิ่งสุจริต แต่ ถา้ มคี วามโลภ ความโกรธ ความหลง อยา่ งใด อยา่ งหน่ึงแลว้ จติ ยอ่ มไมเ่ ปน็ ปกติ การกระทา� ทง้ั กาย วาจา และใจ กเ็ ปน็ ทจุ รติ ไปดว้ ย แตเ่ ปน็ สิ่งท่ีอยู่ข้างใน รู้เห็นได้แต่ตัวเอง จึงมุ่งให้คน รักษาศีลทางกาย วาจา อันสังเกตได้ก่อน แม้ว่าใจจะไม่เป็นศีล แต่ถ้าไม่กระท�าความชั่ว ไม่กล่าวชั่ว ก็ย่อมดีกว่าไม่มีศีลเลย ถ้ามีศีล การทาำ บญุ ตกั บาตรเปน็ สง่ิ ทอ่ี บุ าสกและอบุ าสกิ าพงึ ปฏบิ ตั ิ ทางใจ และสงบจากความโลภ โกรธ หลงได้ เปน็ ประจาำ จึงนบั เปน็ ศีลแท้ 77 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู นักเรยี นสามารถไดชือ่ วา เปนอบุ าสก อุบาสกิ าที่ดตี ามหลกั ครูอาจใชค ําถามเพือ่ กระตนุ ความสนใจของนักเรียนกบั หลกั ธรรมทางพระพทุ ธ- อบุ าสกธรรม 5 ไดหรอื ไม อยา งไร ศาสนาตา งๆ เชน นกั เรียนเช่อื ในหลักธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา หรอื ไม เพราะเหตใุ ด พทุ ธศาสนกิ ชนควรศรทั ธาในหลกั ธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา หรอื ไม 1. ได เพราะเปน หลกั ธรรมที่สามารถปฏบิ ัติไดในชีวิตประจําวัน เพราะเหตุใด เปน ตน 2. ได เพราะผา นพิธีการประกาศตนเปน พทุ ธศาสนกิ ชน หรอื นักเรยี นควรรู พทุ ธมามกะแลว 3. ไมได เพราะเปนเพียงปุถชุ นท่ยี ังมีกเิ ลสครอบงาํ จิตใจอยหู ลาย 1 ศรทั ธา เปนภาษาสนั สกฤต สว นในภาษาบาลี คอื สัทธา ในทางพระพุทธ- ศาสนา หมายถงึ ความเชือ่ สิง่ ทคี่ วรเชือ่ ความเชอื่ ที่ประกอบดวยเหตผุ ล ความ ประการ ม่นั ใจในความจรงิ ความดี ส่งิ ดีงาม และในการทําความดไี มตน่ื ตมู ไปตามลักษณะ 4. ไมไ ด เพราะยังไมไดบวชเรียนหลักธรรมคาํ สอนตามพระไตรปฎก อาการภายนอก อาจแบงออกไดเปน 4 ประเภท คือ กมั มสัทธา เชอื่ กรรม วิปาก- สัทธา เชือ่ ผลของกรรม กัมมสั สกตาสัทธา เช่อื วา สตั วมีกรรมเปนของตวั ทาํ ดไี ดด ี อยา งแทจ ริง ทําชว่ั ไดช วั่ และตถาคตโพธสิ ัทธา เช่อื ปญญาตรัสรขู องพระตถาคต วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. ได เพราะเปน หลกั ธรรมทสี่ ามารถปฏบิ ัติ คมู ือครู 77 ไดใ นชีวติ ประจําวัน เชน ขอมศี รัทธา คือ เชอ่ื ม่นั ในหลักธรรมคําสอนของ พระพทุ ธเจาจากการทดลองปฏบิ ตั ิตนตามนัน้ และขอรักษาศีล คือ การ ปฏบิ ตั ติ นตามหลักเบญจศลี ยอมทาํ ใหช วี ติ และจิตใจมีแตค วามสุขสงบ

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู ครูต้งั ประเดน็ อภิปรายและคาํ ถามใหน กั เรยี นท่ี ๔.๓) ไม่เช่ือโชคลาง เช่ือหลักกรรม คือ เช่ือในกฎแห่งกรรมว่าท�าอย่างไร ไดหมายเลข 4 ชวยกันอธิบายความรู ดังน้ี ได้ผลอย่างน้ัน ไม่หลงเช่ือโชคลาง หมอดู ไม่หวังรวยทางลัด เชื่อว่าสิ่งดีๆ ย1่อมได้มาจากการ กระท�าของตน ไม่เช่ือวา่ ความรู้ความเจรญิ เกดิ มาจากความขลงั ของสิ่งศกั ดส์ิ ิทธ์ิ แตเ่ ชื่อวา่ ความ • แนวทางการปฏบิ ัติตนตามหลักธรรมอุบาสก- สุขความเจริญเกิดจากความขยันหมั่นเพียร ความใฝ่รู้ การประหยัด การหลีกเล่ียงอบายมุข ธรรม 5 ขอไมเ ช่อื โชคลาง เชื่อหลักกรรม ไม ท้ังปวง อย่างไรก็ดี แม้ความเช่ือโชคลางอาจเกิดข้ึนกับเราบ้างเป็นครั้งคราว แต่ต้องใช้ปัญญา แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพทุ ธศาสนา และเหตผุ ลไตร่ตรองอยเู่ สมอ ไม่ปลอ่ ยให้ถล�าเข้าไปในความเชอื่ นนั้ เกนิ ไป และเอาใจใสทาํ นบุ าํ รุงพระพุทธศาสนา ๔.๔) ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา คือ ยึดมั่นในการท�าบุญ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา เปน็ ตน้ วา่ บญุ กิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ดงั น้ี ๑. การบริจาคทาน ๒. การรกั ษาศีล ๓. การเจริญภาวนา หรือสา� รวจใจใหแ้ นว่ แน ่ ๔. การอ่อนนอ้ มถ่อมตนตอ่ ผู้ใหญ่ เป็นสมาธิ ๕. การช่วยเหลือขวนขวายในกจิ กรรมงานของผูอ้ ่ืน ๖. การให้สว่ นบุญ ๗. การอนโุ มทนาสว่ นบญุ หรอื การแสดงความยนิ ด ี ๘. การฟังธรรม ทไี่ ดร้ บั สว่ นแบง่ ความดขี องผอู้ น่ื ๙. การแสดงธรรม ๑๐. ก ารทา� ความคดิ เหน็ ของตนใหถ้ กู ตอ้ งตามทา� นองคลองธรรม ๔.๕) เอาใจใส่ท�านุบ�ารุงพระพุทธศาสนา คือ เข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ พิธีกรรมทางศาสนา หมั่นรักษาศีล ท�าบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม บูรณปฏิสังขรณ์ ศาสนสถาน อุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์สามเณรให้ปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างสะดวก หรือช่วยเหลือ เผยแผ่หลักธรรมให้แพร่หลายมากข้ึน เพราะถ้าเราละเลยไม่ช่วยกันเอาใจใส่ท�านุบ�ารุงให้เจริญ รุ่งเรืองแล้ว พระพุทธศาสนากย็ ่อมเส่อื มโทรมลงเร่อื ยๆ เร่อื งนา่ รู้ กาลามสตู ร (เกสปตุ ตสูตร) พระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนชนชาวกาลามะวา่ ไมใ่ หเ้ ชอ่ื งมงายไรเ้ หตผุ ลตามหลกั ๑๐ ขอ้ คอื ๑. อยา่ ปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการฟงั ตามกนั มา ๒. อยา่ ปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการถอื สบื ตอ่ กนั มา ๓. อยา่ ปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการเลา่ ลอื ๔. อยา่ ปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการอา้ งตาำ รา ๕. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะตรรกะ ๖. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะการอนมุ าน ๗. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะการตรกึ ตรอง ๘. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะเขา้ ไดก้ บั ทฤษฎขี องตน ๙. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะมองเหน็ รปู ลกั ษณะนา่ เชอ่ื ๑๐. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะทา่ นเปน็ ครขู องเรา 78 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรียนสามารถปฏิบัติตนเพื่อการทํานบุ ํารงุ พระพุทธศาสนาตามหลกั 1 ความขลงั ของส่ิงศักดสิ์ ทิ ธิ์ ผูท่เี ช่อื ในความขลงั ของสิง่ ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิในทาง อุบาสกธรรม 5 ไดอ ยางไรบา ง พระพุทธศาสนาเรียกวา สลี ัพพตปรามาส คอื ความยึดมน่ั ถอื วา บุคคลจะบรสิ ทุ ธ์ิ แนวตอบ การปฏิบัตติ นเพื่อทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาตามหลักอบุ าสก- หลุดพนไดด วยศีลและวตั ร (คือถอื วา เพียงประพฤติศีลและวตั รใหเ ครงครัดก็พอท่ี ธรรม 5 เปนสงิ่ ทพ่ี งึ ปฏิบตั ิอยางสม่าํ เสมอ ไดแ ก การเขารวมพธิ กี รรม จะบรสิ ทุ ธิห์ ลุดพน ได ไมต อ งอาศยั สมาธแิ ละปญ ญากต็ าม ถอื ศลี และวัตรท่งี มงาย) สําคญั ทางพระพุทธศาสนา การปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ความถือศลี พรต โดยสกั วาทําตามๆ กนั ไปอยา งงมงาย หรือโดยนยิ มวา ขลงั วา และแนะนาํ เพ่อื นใหป ฏิบตั ิตาม เพอื่ เปนการรกั ษาและเผยแผพ ระพุทธ- ศักดิ์สิทธิ์ ไมเขา ใจความหมายและความมุงหมายทีแ่ ทจ ริง ความเชื่อถอื ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ศาสนา รวมถงึ เขา รว มกจิ กรรมการบูรณปฏิสงั ขรณพุทธสถานตามกาํ ลงั ดว ยเขาใจวาจะมไี ดดวยศีลหรอื พรตอยา งนัน้ อยา งนลี้ ว งธรรมดาวสิ ัย ความสามารถ มุม IT ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนากบั ไสยศาสตรใ นทศั นะของพระสงฆไ ดท ่ี http://www.visalo.org/article/budBudAndSai.htm เว็บไซตพระไพศาล วิสาโล 78 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๕) มงคล หมายถึง ธรรมท่ีน�ามาซึ่งความสุข ความเจริญ มีหลักบางประการ ครูตั้งประเดน็ อภปิ รายและคําถามใหน กั เรียน ท่ไี ดหมายเลข 4 ชวยกนั อธิบายความรู ดงั น้ี ดงั น้ี ๕.๑) สงเคราะหบ์ ตุ ร คอื คณุ ธรรมของบดิ ามารดาทต่ี อ้ งบา� รงุ เลย้ี งดบู ตุ รใหเ้ จรญิ • การสงเคราะหบุตรของบิดามารดาทสี่ ําคัญ ตามหลกั ธรรมมงคลคอื อะไรบาง ทั้งด้านร่างกายและจติ ใจ มีหลกั ๕ ประการ ดังน้ี (แนวตอบ การสงเคราะหบ ตุ รของบิดามารดา ท่ีสําคญั ตามหลกั ธรรมมงคล แบงออกเปน ๑. ห้ามไม่ให้ท�าชั่ว คือ ห้ามและป้องกันกีดกันบุตรไม่ให้กระท�าชั่ว และให้ห่างไกลจาก 5 ประการ ไดแก การหา มไมใหท ําความช่วั บุคคลหรือส่ิงอันตรายเป็นโทษด้วย ท้ังน้ีต้องใช้วิธีการท่ีละมุนละม่อมไม่ก่อให้เกิดความ ใหต ้ังม่นั อยใู นความดี ใหศ กึ ษาศลิ ปวทิ ยา ขัดแยง้ กัน หาภรรยาหรือสามีที่เหมาะสมให และมอบ ทรพั ยม รดกใหในเวลาอันสมควร ๒. ให้ต้ังอยู่ในความดี คือ ให้บุตรประพฤติดีมีศีลธรรม มุ่งในแง่ท�าให้จิตใจของบุตรมี คณุ ภาพ โดยบดิ ามารดาอาจสงเคราะห์บุตรได้ด้วยวธิ ีการตา่ งๆ ดังน้ี • แนวการสงเคราะหสามแี ละภรรยาตาม หลักธรรมมงคล ● ทา� ตนเป็นตัวอย่างท่ดี ีแก่บตุ ร ● หาหนังสอื ธรรมะทเ่ี หมาะแกว่ ยั ให้บุตร ● พาบุตรไปหาพระสงฆท์ ่ีวดั เพ่ือศกึ ษาหาความรู้ทางศาสนา ● จัดการให้บุตรชายได้บวชเรียนเป็นสามเณรหรือพระภิกษุ เพ่ือให้การศึกษาธรรม สมบรู ณย์ ิง่ ข้ึน ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา คือ ส่งเสริมให้บุตรได้เล่าเรียนมีความรู้สูงสุดเท่าที่ก�าลังของตนจะ อ�านวย ๔. หาภรรยาหรือสามีท่ีเหมาะสมให้ คือ พยายามให้บุตรได้คู่ครองท่ีดี โดยเป็นธุระจัดงาน แต่งงานให้บุตร เป็นที่ปรึกษาให้ค�าแนะน�าแก่บุตรในเร่ืองความรัก โดยไม่ให้ความรู้สึก รักชอบสว่ นตัวเปน็ ตัวตดั สนิ ๕. มอบทรัพย์มรดกให้ในเวลาอันสมควร คือ มอบทรัพย์มรดกให้โดยดูโอกาสให้บุตรอยู่ใน วัยโตพอจะรู้ค่าสมบัติที่บิดามารดาหาไว้ให้เสียก่อน เพราะเขาอาจไม่รักษาทรัพย์มรดก ไว้ได้ หรือถา้ บตุ รมีความประพฤติช่วั ลุ่มหลงในอบายมุขกค็ วรรอใหเ้ ขากลบั ตวั เสยี กอ่ น ๕.๒) สงเคราะหภ์ รรยา (สาม)ี ในทนี่ หี้ มายถงึ ผเู้ ปน็ สามกี ต็ อ้ งสงเคราะห์ภรรยา และผู้เป็นภรรยาก็ต้องสงเคราะหส์ ามี ดังน้ี ๑. ยกยอ่ งให้เกยี รติสมฐานะ ๒. ไมด่ หู ม่นิ ๓. ไม่นอกใจ ๔. มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้ ๕. ให้ของกา� นลั ตามโอกาส 79 บูรณาการเชื่อมสาระ เกรด็ แนะครู ครูสามารถมอบหมายใหนักเรียนศึกษาคน ควากฎหมายที่เกยี่ วขอ งกบั ครอู าจใหนกั เรียนชว ยกันลาํ ดับความสาํ คัญของการสงเคราะหบ ตุ รจากบิดา บุคคลในครอบครัว และวเิ คราะหความสอดคลอ งกบั หลกั ธรรมมงคลใน มารดา พรอมทั้งอธบิ ายเหตุผลประกอบ ขอ การสงเคราะหบตุ รและการสงเคราะหภ รรยา (สามี) ในทางพระพทุ ธ- ศาสนา เพ่อื ใหนักเรียนเขาใจคุณคาของหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา มมุ IT ทช่ี ว ยใหสมาชิกในครอบครัวอยูร วมกันไดอ ยางสงบสุข และเปน การจดั กิจกรรมการเรยี นรบู ูรณาการวชิ าหนา ทพี่ ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดําเนิน ศึกษาความรเู กี่ยวกับหลกั การและแนวทางการปฏิบตั ติ นของสมาชิกครอบครัว ชีวิตในสงั คม ในเรื่องกฎหมายทเี่ กีย่ วของกบั บคุ คลและครอบครวั ในทางโลก ไดแ ก กฎหมายท่ีเกีย่ วขอ งกบั ครอบครัว เพิ่มเตมิ ไดที่ http://www. library.coj.go.th/indexarticle2.php?Idmain=20&&No=20&&Title=%A4%C3%C D%BA%A4%C3%D1%C7&&page= เวบ็ ไซตหอ งสมดุ อเิ ล็กทรอนกิ สศาลยุตธิ รรม ศูนยว ิทยบริการศาลยตุ ธิ รรม สาํ นักงานศาลยุตธิ รรม คูมอื ครู 79

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครูตัง้ ประเดน็ อภิปรายและคาํ ถามใหน กั เรียนที่ สามีและภรรยาควรให้เกียรติกัน ไว้เน้ือเช่ือใจกัน ไดหมายเลข 4 ชว ยกันอธิบายความรู ดงั นี้ และปรึกษาร่วมกันเม่ือเกิดปัญหาต่างๆ เพ่ือท่ีชีวิตคู่ จะไดม้ คี วามสขุ • สนั โดษในทางพระพุทธศาสนาแตกตางจาก ความเขาใจโดยท่วั ไปอยางไร และประกอบ สว่ นภรรยาพงึ ปฏบิ ัตติ ่อสามี ดังนี้ ดว ยแนวทางอยางไรบา ง (แนวตอบ สนั โดษในทางพระพุทธศาสนาตาม ๑. จดั งานบ้านให้เรียบรอ้ ย หลกั ธรรมมงคล คอื การรจู กั ยับย้งั ความ ๒. สงเคราะห์ญาตมิ ติ รทัง้ สองฝา่ ยด้วยดี ปรารถนาของตนใหอ ยใู นขอบเขตทีเ่ หมาะ ๓. ไมน่ อกใจ สมตามทํานองคลองธรรม มใิ ชการอยเู ฉยๆ ๔. รักษาทรพั ยส์ มบัตทิ ่หี ามาได้ โดยมทิ ําอะไร ไมข วนขวาย ไมกระตือรอื รน ๕. ขยันในงานทง้ั ปวง ท่จี ะสรางความเจรญิ ใหแ กชีวิต แบงออกได เปน 3 ประการ ไดแ ก ความยินดีตามท่ีไดม า ๕.๓) สันโดษ คือ การรู้จักที่จะยับย้ังความปรารถนาของตนให้อยู่ในขอบเขต โดยชอบ ความยนิ ดีตามกําลงั ท่ตี นมอี ยู และ ที่เหมาะสม ความสันโดษมิได้หมายถึงการอยู่เฉยๆ ไม่ท�าอะไร ไม่ขวนขวาย ไม่กระตือรือร้น ความยินดตี ามสมควรแกภาวะความเปน อยู ท่ีจะสร้างชีวิตให้เจริญ แต่หมายถึงความยินดีในส่ิงท่ีตนมีอยู่ และไม่ด้ินรนเกินเหตุเพ่ือแสวงหา ของตน) ส่งิ ตา่ งๆ โดยไม่ถกู ท�านองคลองธรรม จากนน้ั ครใู หนักเรียนบันทึกความรทู ี่ไดจ าก สันโดษมี ๓ ประการ ดังนี้ หลกั ธรรมในอริยสจั 4 ขอมรรคลงในสมุด ๑. ยถาลาภสนั โดษ คือ ความยินดีตามท่ีได้มาโดยชอบ ไดม้ าเท่าไรกย็ ินดีเทา่ น้ัน ๒. ยถาพลสนั โดษ คอื ความยนิ ดตี ามกา� ลงั ตนทมี่ อี ย ู่ ไมส่ า� คญั ตนผดิ และไมด่ ถู กู ตวั เอง ๓. ยถาสารุปปสันโดษ คือ ความยินดีตามสมควรแก่ภาวะความเป็นอยู่ของตน ยินดี ในความเปน็ อยู่ปัจจบุ นั และอาจขวนขวายใหด้ ขี ึน้ เทา่ ท่ีจะเปน็ ไปได้ 80 บรู ณาการอาเซียน ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT การกระทาํ ของบคุ คลในขอ กลา วไดว า เปน ผมู สี นั โดษในทางพระพทุ ธศาสนา ครสู นทนารวมกนั กับนักเรียนถึงการนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาในประเทศสมาชกิ 1. สมอาสาชว ยเหลอื งานครเู พราะอยากไดค ะแนนดี อาเซยี น ซงึ่ ไดแ ก ประเทศเวยี ดนาม กมั พชู า เมยี นมา ลาว และบางสว นในประเทศ 2. ชมพไู มอานหนงั สือสอบ เพราะคิดวา ถึงอยางไรกไ็ มสามารถทํา อนื่ ๆ ในดา นลกั ษณะการยอมรบั นบั ถอื นกิ ายสาํ คญั ความเหมอื นและความแตกตา ง คะแนนไดด ี ในดา นตางๆ กบั การนบั ถือของไทยจากความรทู ่ีนักเรียนไดศ ึกษามา แลวครนู าํ 3. กลว ยพอใจในคะแนนสอบ เพราะเขาใจถึงความสามารถในการเรียน เสนอกรณีตัวอยางเกีย่ วกับความขัดแยงภายในประเทศหรอื ระหวา งประเทศสมาชิก วิชานข้ี องตน อาเซยี นท่ปี ระชากรสวนใหญน บั ถือพระพทุ ธศาสนากับศาสนาอน่ื ๆ จากนน้ั 4. เงาะขาดเรยี นบอ ย เพราะตอ งเรียนกวดวิชาทกุ วัน เพ่อื ใหไ ดคะแนน อภปิ รายรวมกันกบั นกั เรียนถงึ แนวทางการแกไ ขปญหาตามหลกั ธรรมคําสอนทาง สอบมากข้ึน พระพุทธศาสนาเพ่อื สง เสรมิ การแกไ ขปญ หาความขัดแยงโดยสนั ติวิธี แลวสรปุ สาระ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. กลวยพอใจในคะแนนสอบ เพราะเขาใจ สําคัญและแนวคดิ ท่ีไดจากการอภปิ รายรว มกนั ทงั้ นี้เพื่อสงเสรมิ ใหน ักเรียนสามารถ ถงึ ความสามารถในการเรียนวิชานข้ี องตน แสดงถึงความยนิ ดีในส่ิงได นาํ หลกั ธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนามาใชใ นวเิ คราะหแ นวทางการแกไขปญ หา รบั เทา กบั ความสามารถท่ตี นมี ทัง้ น้ีกลว ยไดพยายามตั้งใจเรียนและอา น ความขัดแยง โดยสนั ติวิธีสอดคลอ งกบั กรอบความรว มมือประชาคมอาเซียน หนังสอื ทบทวนเพ่อื เตรียมสอบวชิ านอ้ี ยางเต็มความสามารถแลว 80 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand หลักธรรมของพระพุทธเจาเปนหลักความจริงที่พระพุทธองคทรงคนพบแลว 1. ครมู อบหมายใหน กั เรยี นสบื คน ขอ มลู หลกั ธรรม นํามาเผยแผแกมวลมนุษย เพ่ือใหมนุษยเขาใจความจริงในชีวิต ท้ังนี้หลักธรรมสามารถใหผลแก ในกรอบอรยิ สัจ 4 เพม่ิ เตมิ จากหนังสอื เรยี น แลว จัดทําเปน บนั ทึกการศกึ ษาคนควา ที่ ผูปฏิบัติตามสมควรแกการปฏ1ิบัติ การทําความเขาใจในหลักธรรมคําสอนตางๆ ของพระพุทธองค ประกอบดว ย ผังมโนทศั นหลกั ธรรมในกรอบ อริยสัจ 4 รายละเอียดของหลกั ธรรมตางๆ อาทิ พระรัตนตรัย อริยสัจ ๔ ยอมทําใหเขาใจหลักการดําเนินชีวิต และสามารถนําหลักธรรมน้ัน ในกรอบอรยิ สัจ 4 และแนวทางการปฏบิ ตั ิตน มาประยกุ ตใ ชเ ปน เครอื่ งมอื นาํ ทางใหด าํ เนนิ ชวี ติ ไดอ ยา งถกู ตอ งและดงี าม ดงั นน้ั พทุ ธศาสนกิ ชนท่ีดี ตามหลักธรรมในกรอบอริยสัจ 4 จึงควรศึกษาหลักธรรมตางๆ ใหชัดเจนเพ่ือนําไปปฏิบัติ เพราะถาหากไมเขาใจหลักธรรมดีแลว การปฏบิ ัติก็อาจคลาดเคลอ่ื นไปได 2. ครูใหน กั เรียนปฏิบตั ติ นตามหลกั ธรรมใน กรอบอรยิ สจั 4 ตามแนวทางทีต่ นวางไว เปน ¸ÁÁÚ ¨ÒÃÕ ÊØ¢í àÊµÔ เวลา 1 เดือน โดยจดั ทําบนั ทึกการปฏิบตั ติ น ¼Ù»Œ ÃоĵԸÃÃÁ‹ÍÁÍÂً໹š 梯 ตามหลักธรรมในกรอบอรยิ สัจ 4 ทปี่ ระกอบ ดวยขอมูลตา งๆ เชน วันท่ี การปฏิบัติตน (¾·Ø ¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉÔµ) ความสอดคลองกบั หลกั ธรรม ขอ คดิ หรอื ผลที่ ไดร ับจากการปฏบิ ตั ิ และแนวทางการปรบั ปรงุ การปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรม ตรวจสอบผล Evaluate 8๑ 1. ครคู ดั เลอื กบนั ทึกการศกึ ษาคนควาหลกั ธรรม ในกรอบอรยิ สจั 4 ท่ีดีของนกั เรยี น แลวนาํ มา ใหนกั เรียนชว ยกันตรวจอกี ครง้ั โดยพิจารณา จากความถกู ตอ งครบถว นของผังมโนทศั นและ รายละเอียดของหลกั ธรรม รวมถึงแนวทางการ ปฏบิ ัติตามหลักธรรม แลวนาํ ผลงานท่ีดจี ัด แสดงบนปา ยนิเทศของชัน้ เรียน 2. ครตู รวจบันทกึ การปฏบิ ตั ิตนตามหลักธรรม ในกรอบอรยิ สจั 4 ของนกั เรียน โดยพิจารณา จากการปฏบิ ตั ติ นท่ถี กู ตองเหมาะสมตาม หลักธรรม ขอคิดหรือผลทไ่ี ดร บั จากการปฏบิ ตั ิ รวมถึงความครอบคลุมและสมํ่าเสมอของการ ปฏบิ ัติ 3. ครูสังเกตพฤตกิ รรมการมสี วนรว มในกิจกรรม การเรียนรู เชน การตอบคาํ ถาม การอภปิ ราย และความคิดเห็น เปนตน ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’53 ออกเกีย่ วกับหลักอริยสจั 4 ครอู าจใหน กั เรยี นชว ยกันวิเคราะหหลักการปฏบิ ัตติ นของบตุ รตอบดิ ามารดา ในการประชมุ สมั มนาเพอ่ื แกป ญหาความยากจน ไดม กี ารกําหนด หลงั จากการศึกษาเร่อื งการสงเคราะหบ ุตร แนวทางประชุมโดยใหเร่ิมตกลงกนั วา ปญ หาความยากจนคอื อยา งไร อะไร นกั เรียนควรรู คอื สาเหตุ เปา หมายทีต่ อ งการหลังจากแกไ ขแลว จะเปน อยา งไร และวิธกี าร แกไขจะทาํ อยางไรบา ง แนวทางนต้ี รงกบั หลักพระพุทธศาสนาในเร่ืองใด 1 อริยสจั 4 เปนหลกั ธรรมสงู สดุ ของพระพทุ ธศาสนามีสาระสาํ คญั เก่ียวกบั ความจริงของชวี ิต และทีส่ ําคัญคือ การแกป ญ หาและการดับทกุ ขของชวี ิต ดวย 1. อรยิ สัจ 4 การคิดแกป ญ หาตามหลกั อริยสจั 4 ไดแ ก ขนั้ ทกุ ข คอื การระบุถงึ ปญ หาท่ี 2. วภิ ัชชวาท ตอ งการแกไข ข้ันสมทุ ัย คือ การวเิ คราะหถ ึงสาเหตขุ องปญหาและต้ังสมมติฐาน 3. อทิ ัปปจจยตา ขน้ั นิโรธ คอื การกาํ หนดเปา หมายและวธิ กี ารแกปญ หาอยางละเอยี ด และขนั้ มรรค 4. โยนิโสมนสิการ คอื การดาํ เนนิ ตามวธิ ีการแกปญหาและสรปุ ผลการแกปญ หา วเิ คราะหค าํ ตอบ การแกไ ขปญ หาความยากจนตามแนวทางทกี่ าํ หนดวา ปญ หาความยากจนคอื อยางไร คือ ทุกข กาํ หนดสภาพปญ หาหรือราย คมู ือครู 81 ละเอียดของปญหาทัง้ หมด อะไรคือสาเหตุ คอื สมุทยั วเิ คราะหหาสาเหตุ ทีแ่ ทจริงของปญหานัน้ ๆ เปา หมายทตี่ องการหลงั จากแกไ ขแลว จะเปน อยางไร คอื นิโรธ สภาพสิ้นปญหา และวธิ ีการแกไ ขจะทําอยางไรบาง คอื มรรค วธิ กี ารแกไขปญ หานนั้ ๆ ดังน้นั คําตอบคือ ขอ 1.

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถกู ตอ งในการตอบคําถาม คาปถระาจÓมหนว่ ยการเรียนรู้ ประจาํ หนว ยการเรียนรู ๑. ถ้ามีคนมาถามนักเรียนว่า “ท�าดีได้ดี ท�าช่ัวได้ช่ัว จริงหรือ” นักเรียนจะอธิบายให้เขาฟัง หลักฐานแสดงผลการเรียนรู ตามหลกั ของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร 1. ใบความรูค ณุ คาของพระพทุ ธ ๒. ผู้ทมี่ ีสขุ ภาพจิตสมบรู ณ์ในทางพระพุทธศาสนาหมายความวา่ อย่างไร จงอธบิ าย 2. บันทึกการศึกษาคนควา หลักธรรมในกรอบ ๓. หลักธรรมในข้อใดบ้างที่นักเรียนสามารถน�ามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองในด้านการ อรยิ สัจ 4 เรยี นได้ 3. บนั ทึกการปฏิบัติตนตามหลักธรรมในกรอบ ๔. การปฏิบัติตนตามหลักของมงคล ๓๘ ในเร่ืองการสงเคราะห์บุตร และการสงเคราะห์ อรยิ สจั 4 ภรรยา (สามี) จะก่อให้เกิดผลดีต่อครอบครัวผู้ปฏิบัติอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ ๕. การศกึ ษาเรือ่ งอรยิ สจั ๔ มปี ระโยชน์ตอ่ ตวั ผศู้ ึกษาอย่างไรบ้าง ให้อธบิ ายเหตุผล กิจสรกา้ รงรสมรรค์พัฒนาการเรียนรู้ กจิ กรรมที่ ๑ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระรัตนตรัย และสรุปลงใน ๑ หน้า กิจกรรมที่ ๒ กระดาษส่งครูผู้สอน กจิ กรรมที่ ๓ ศึกษาคุณของพระพุทธ (๙ ประการ) หรือนวรหคุณเพิ่มเติม แล้วสรุป เปน็ ผงั มโนทัศน์ พรอ้ มตกแตง่ ใหส้ วยงามสง่ ครผู สู้ อน นักเรียนหาข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับการกระท�าท้ังด้านดีและไม่ดี และวเิ คราะหถ์ ึงสาเหตุของผลการกระทา� นน้ั ๆ ตามหลักอรยิ สจั ๔ 8๒ แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรียนรู 1. การกระทําท่ปี ระกอบดว ยเจตนายอ มเปนกรรม สงผลตอ ผกู ระทาํ ไมชา กเ็ รว็ ดังคาํ กลา วท่วี า “สวรรคอยใู นอก นรกอยใู นใจ” และกรรมท่ีทําจะปรุงแตง ลักษณะความ ประพฤติ การแสดงออก และทา ที 2. ผูที่มีคณุ ธรรมอันดีงามในการดําเนินชวี ติ เชน มสี ังคหวัตถุ 4 อันไดแก ทาน คอื การแบง ปน เอื้อเฟอ เผ่ือแผ ปย วาจา คือ การพูดจาไพเราะออ นหวาน มสี าระ ไม กอ ใหเ กิดความเดือดรอนแกผ ูอ่ืน อตั ถจรยิ า คือ การทําประโยชนแ กสงั คม ไมเ ห็นแกต นเองและพวกพอง และสมานตั ตตา คอื การทาํ ตนเสมอตนเสมอปลายในทกุ สถานการณ ตลอดจนการวางตนอยา งเหมาะสมกบั ฐานะดว ย 3. ภาวนา 4 เปน หลักการการพัฒนาในทางพระพทุ ธศาสนา ประกอบดว ย กายภาวนา คือ การพฒั นากายใหแขง็ แรงปราศจากโรคภัย การสัมพนั ธกบั ส่ิงแวดลอ มภายนอก อยางคมุ คา และเกดิ ประโยชนท ีเ่ ปน “คุณคา แท” ศีลภาวนา คือ การรักษาศีล ไมป ฏบิ ตั ติ นใหเปน ท่เี ดือดรอนของบุคคลอนื่ ในสังคม จติ ภาวนา คอื การพฒั นาจิตให เปนผูท่มี ีคุณภาพจิตสมบูรณ มีคุณธรรมอนั ดีงามในการดํารงชีวิต และเปน ผมู ีสมรรถภาพจติ สมบูรณ มคี ณุ ธรรมอนั สามารถสรางความสาํ เรจ็ ใหแกช วี ิตตนเองได และ ปญ ญาภาวนา คอื การพฒั นาปญญา ปราศจากกเิ ลสครอบงาํ เปนผูใฝเ รยี นรแู ละสามารถใชความรนู ้นั ในการแกป ญหาและกอ ใหเ กิดประโยชนแ กตนเองและผอู น่ื ได 4. การพฒั นาตนตามหลกั ของมงคล 38 ในเรื่องการสงเคราะหบ ุตร การสงเคราะหสามี และการสงเคราะหภรรยายอมทาํ ใหเกดิ ความสุขความเจริญแกส มาชิกในครอบครัว เน่อื งจากปฏบิ ตั ติ ามธรรมทนี่ าํ มาซึ่งความสขุ ความเจรญิ เชน การทีบ่ ดิ ามารดาส่งั สอนบตุ รมิใหก ระทาํ ความชว่ั ยอมไมนําความเดอื ดรอ นมาสคู รอบครัว 5. การศกึ ษาเร่ืองอรยิ สัจ 4 มีประโยชนอ ยางยิง่ ตอ ตวั ผศู กึ ษา กลาวคอื ชวยใหเกิดความรูความเขาใจในธรรมชาติของชวี ิตที่ตองประสบกบั ความทุกขแ ละรูวธิ ีการหลดุ พน จากทุกขน น้ั โดยใชสติปญญาไตรตรองเหตแุ ละผลอยางรอบคอบ และลงมอื แกไ ขปญหาที่กอ ใหเกดิ ทกุ ขท ี่สาเหตทุ แี่ ทจ ริง ผูท่ีศกึ ษาอรยิ สจั 4 และมคี วามรูความเขา ใจ อยา งชัดเจนจงึ กลา วไดว าเปนผูป ระเสรฐิ เน่ืองจากมคี วามสามารถในการแกปญหาชีวิตและสามารถดาํ รงชวี ิตไดอยางสงบสขุ 82 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู 1. อธบิ ายแนวทางการปฏบิ ัติตนหลักธรรม คาํ สอนทางพระพุทธศาสนาได 2. อภปิ รายคณุ คาและความสาํ คญั ของ พระไตรปฎกได สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใชท ักษะชีวติ 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ๔˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹Ã·ŒÙ èÕ ¾áÅ·Ø Ð¾¸รÈÐäาµÊร»¹®ÊกÀØ าÉÔµ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. มีวินยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มุงมนั่ ในการทาํ งาน ¾ÃÐäµÃ»®¡à»š¹¤ÑÁÀÕÏ·ÕèºÃèØËÅÑ¡¸ÃÃÁ¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ »ÃСͺ´ŒÇ¾ط¸ÈÒÊ¹ÊØÀÒÉÔµ กระตนุ ความสนใจ Engage Ê͹ã¨ÁÒ¡ÁÒ «è֧Ōǹ໚¹»ÃÐ⪹ã¹¡ÒùíÒä»ãªŒà»š¹á¹Ç·Ò§¡ÒôíÒçªÕÇÔµ ໚¹à¤Ã×èͧàµ×Í¹ÊµÔ ครใู หน กั เรียนพิจารณาภาพพระไตรปฎ กที่หนา 㹡ÒáÃзíÒã´æ ä´Œ ´Ñ§¹éѹ㹰ҹзÕè໚¹¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹ ¨Ö§¤ÇÃÈÖ¡ÉÒ¾ÃÐäµÃ»®¡Íѹ¶×Íä´ŒÇ‹Ò หนว ยการเรยี นรู แลว ตั้งคําถามกระตนุ ความสนใจ ໚¹ËÑÇ㨢ͧ¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò à¾è×ÍãˌࢌÒã¨ËÅÑ¡¸ÃÃÁ¤íÒÊ͹¢Í§¾Ãоط¸ÈÒʹÒä´Œ´ÕÂÔè§¢Öé¹ à¢ŒÒ㨠ท่เี ชอ่ื มโยงกับความรแู ละประสบการณเดิมเกีย่ วกบั ¾Ãо·Ø ¸ÈÒʹÒÁÒ¡¢éÖ¹ áÅÐÁÕËÅ¡Ñ ¡ÒôíÒà¹¹Ô ªÇÕ Ôµ·Õ´è ÂÕ §Ôè ¢Öé¹ พระไตรปฎกและพุทธศาสนสภุ าษติ ของนกั เรียน ใหนักเรียนชวยกนั ตอบ เชน ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง • พระไตรปฎ กมีหลักธรรมคําสอนทเ่ี ปนคติ ส ๑.๑ ม.4/๑๓, ๑5 ■ พทุ ธศ�สนสภุ �ษติ ขอ คิดในการดําเนนิ ชวี ิตไวอ ยางไรบาง ■ วิเคร�ะห์หลักธรรมในกรอบอริยสัจ ๔ หรือหลักคำ�สอน - จติ ตฺ ำ ทนตฺ ำ สขุ �วห ำ : จติ ทฝ่ี ก ดแี ลว้ น�ำ สขุ ม�ให้ อธิบายพรอมยกตัวอยา งประกอบพอสงั เขป - น อจุ จฺ �วจ ำ ปณฑฺ ติ � ทสสฺ ยนตฺ ิ : บณั ฑติ ยอ่ มไมแ่ สดง (แนวตอบ คตขิ อ คดิ ในการดําเนินชวี ติ จาก ของศ�สน�ที่ตนนบั ถือ อ�ก�รขน้ึ ๆ ลงๆ พระไตรปฎกที่สาํ คญั สวนหน่ึง คือ ■ วิเคร�ะห์คุณค่�และคว�มสำ�คัญของก�รสังค�ยน�พระไตร- - นตถฺ ิ โลเก อนนิ ทฺ โิ ต : คนทไ่ี มถ่ กู นนิ ท�ไมม่ ใี นโลก พุทธศาสนสภุ าษติ ซ่ึงสวนใหญเ ปน - โกธ ำ ฆตวฺ � สขุ ำ เสต ิ : ฆ�่ คว�มโกรธไดย้ อ่ มอยเู่ ปน็ สขุ พระพุทธพจนของพระพุทธเจา รวมถงึ ของ ปฎ กหรือคัมภรี ์ของศ�สน�ท่ตี นนับถอื และก�รเผยแผ่ ■ วธิ กี �รศกึ ษ�และคน้ คว�้ พระไตรปฎ ก พระสาวกองคตา งๆ ตลอดจนคําสอนที่ พระเถระในสมยั ตอ มาไดรจนาไว) เกร็ดแนะครู ครูควรจดั กจิ กรรมการเรียนรทู ี่เนน การพัฒนาทกั ษะกระบวนการตางๆ เชน ทักษะการคิด ทกั ษะการฝกปฏิบตั ิ กระบวนการสืบสอบ และกระบวนการกลุม เพ่อื ใหนกั เรยี นสามารถวิเคราะหพุทธศาสนสภุ าษิตทก่ี ําหนด และคุณคา และความ สําคัญของพระไตรปฎก ดังตอไปน้ี • ครูใหน ักเรยี นรวมกลมุ เพื่อแบง หนาที่กนั ศึกษาพทุ ธศาสนสุภาษิตทก่ี าํ หนด จากหนังสอื เรยี นและแหลงการเรียนรูอื่น แลว เพอ่ื ชวยกนั อธบิ ายความรู จากน้นั ศกึ ษาขอ มลู เพ่ิมเตมิ แลวจดั ทําเปนแนวทางการปฏบิ ตั ติ นตาม พทุ ธศาสนสภุ าษติ • ครูใหนักเรยี นศึกษาความรเู กี่ยวกับการศกึ ษาพระไตรปฎ ก แลว สรุปแนวทาง การศกึ ษาที่หนา ชั้นเรยี น จากนัน้ ศกึ ษาพระไตรปฎ กและจดั ทาํ บทความเก่ียว กบั คณุ คา และความสําคญั ของพระไตรปฎ ก คูมือครู 83

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Elaborate Evaluate Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore ครใู หน ักเรียนรวมกลุม กัน กลมุ ละ 4 คน เพื่อ ชวยกันศึกษาความรูเ ก่ยี วกับพุทธศาสนสภุ าษติ ๑. พทุ ธศาสนสภุ าษติ โดยกาํ หนดใหเ ปน กลุม บา น และใหนักเรยี นแตละ กลมุ บานกาํ หนดหมายเลขใหก บั สมาชกิ ตั้งแต ๑.๑ จติ ตฺ ™ ทนตฺ ™ สขุ าวห™ : จิตที่ฝกึ ดแี ลว้ นÓสขุ มาให้ 1-4 เพ่ือแบง หนา ทก่ี นั รบั ผิดชอบศึกษาพทุ ธศาสน- คนเรามีองค์ประกอบสองอ1ย่าง คือ จิตกับกาย โดยทั้งสองมีความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน สภุ าษิตคนละ 1 บท ดงั นี้ เช่น เมื่อร่างกายเจ็บป่วย จิตใจก็ย่อมหม่นหมองไปด้วย หรือเม่ือจิตใจเครียด ร่างกาย อาทิ หมายเลข 1 ศกึ ษาพทุ ธศาสนสุภาษติ จิตฺตํ ทนตฺ ํ สุขาวหํ จิตทฝี่ กดีแลวนาํ สุข กระเพาะ ท้อง ก็เจ็บป่วยไปด้วย อย่างไรก็ตาม จิตใจย่อมสำาคัญกว่าร่างกาย เพราะไม่ว่าอะไร มาให จะเกดิ ขน้ึ กับเรา ในท่สี ุดจิตใจจะเปน็ ตัวท่รี บั ทุกข์รับสขุ มคี ำาโบราณว่า “คับท่ีอยู่ได้ คบั ใจอยู่ยาก” หมายความวา่ ความไม่สะดวกทางกายนน้ั เราพอทนได้ แต่ถ้าจิตใจไมส่ ะดวกแลว้ เราทนไม่ได้ หมายเลข 2 ศึกษาพทุ ธศาสนสุภาษิต น อุจฺ ในพระพุทธศาสนามีคำากล่าวในพระธรรมบทว่า “ธรรมทั้งปวงมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ จาวจํ ปณฺฑิตา ทสสฺ ยนตฺ ิ บณั ฑิต สาำ เร็จด้วยใจ” จงึ แสดงให้เหน็ วา่ จิตใจเป็นส่ิงสำาคัญ ยอมไมแ สดงอาการขน้ึ ๆ ลงๆ จิตใจคนโดยท่ัวไปมักไม่อยู่น่ิง คิดเร่ืองนั้นเร่ืองน้ีอยู่เสมอ และเปล่ียนเรื่องคิดได้เร็วด้วย หมายเลข 3 ศกึ ษาพทุ ธศาสนสภุ าษติ นตฺถิ โล ในเวลาไม่ถงึ หนง่ึ วนิ าที จติ อาจคดิ ถงึ เรื่องท่หี า่ งจากตัวไดถ้ งึ พนั ถึงหม่นื กโิ ลเมตร การฝึกจติ คือ เก อนินทฺ ิโต คนท่ไี มถ ูกนนิ ทาไมม ี การพยายามควบคุมจติ มิใหจ้ ติ ฟงุ้ ซา่ นจนเกนิ ไป และท่สี าำ คญั คือเพอ่ื ให้จิตยดึ มนั่ อยู่กับสิง่ ที่ดงี าม ในโลก หมายเลข 4 ศกึ ษาพทุ ธศาสนสุภาษติ โกธํ ฆตฺ ควบคุมจติ มิใหก้ ระทำาความช่ัว เมือ่ ควบคุมจติ ได้แลว้ รา่ งกายกจ็ ะถกู ควบคุมเอง วา สุขํ เสติ ฆาความโกรธไดยอม อยูเ ปนสขุ อนึ่ง จิตท่ีฝึกดีแล้วย่อมไม่หวั่นไหวง่ายๆ แม้มีคนชักชวนไปในทางท่ีเสื่อม ก็ย่อม โดยนกั เรียนแตละหมายเลขแยกยายกนั ไป ศึกษาพทุ ธศาสนสภุ าษติ บทที่ตนไดร บั มอบหมายที่ ไม่โอนอ่อนตาม ดังนั้น จิตที่ฝึกให้เดินไปตามทำานองคลองธรรมก็จะนำาความสุขมาให้ จิตที่ กลมุ ผูเช่ยี วชาญซ่งึ มใี บความรูพ ุทธศาสนสภุ าษติ บท ฝึกดีแล้วเมื่อเผชิญกับภยันตรายหรือส่ิงเลวร้ายต่างๆ ในชีวิต ก็จะไม่หว่ันไหว ไม่ต่ืนตระหนก ตางๆ จากเน้อื หาในหนังสือเรยี น หนา 84-88 รวม ควบคมุ ตนเองใหส้ ามารถสกู้ บั เหตกุ ารณ์ได้ และเมอื่ ไดล้ าภ ยศ หรอื สงิ่ ดงี ามมา กจ็ ะมสี ติ ไมป่ ระมาท ถงึ แหลง การเรยี นรอู น่ื จากนัน้ กลบั เขากลุมบา นของ ไมห่ ลงระเริงจนเกินไป ตนเพื่ออธิบายความรู แลวสนทนาสอบถามจนเกิด ความรูความเขาใจท่ตี รงกนั ทัง้ กลมุ มนษุ ยเ์ ราถกู หลอ่ หลอมโดยสง่ิ แวดลอ้ มไมม่ ากกน็ อ้ ย สง่ิ แวดลอ้ มในทน่ี ห้ี มายถงึ ครอบครวั โรงเรยี น สังคม เพื่อนบา้ น ตลอดจนดนิ ฟ้าอากาศ แตจ่ ิตมนษุ ย์นนั้ อศั จรรย์ สามารถฝนื กระแส อธบิ ายความรู ของสิ่งแวดล้อมไดร้ ะดับหนึ่ง เดก็ ทีเ่ กดิ และเตบิ โตในหมโู่ จรก็มีไม่นอ้ ยท่ีไมเ่ ปน็ โจรไปดว้ ย ดงั น้นั เราต้องพยายามควบคุมตนเอง โดยมีหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียว Explain อย่างไรกต็ าม ต้องไมล่ มื ว่าการฝกึ ควบคุมจติ มิใช่เร่ืองงา่ ย ตอ้ งคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป หัดควบคมุ ตนเอง ครตู ัง้ คาํ ถามใหนกั เรยี นแตล ะกลมุ อธิบายความ ทีละเรื่อง เร่ิมจากง่ายไปสู่ยาก พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “ชนะสงครามพันครั้ง ชนะคนพันคน รูโ ดยการสุมถาม ตัวอยา งขอ คาํ ถามเชน ยงั สู้ชนะตนแมค้ รง้ั เดียวไมไ่ ด้” • “จติ เปนนายกายเปนบา ว” แสดงถงึ ความ สมั พนั ธข องจติ กบั กายของมนษุ ยอ ยางไร (แนวตอบ มนษุ ยประกอบดวย กายกับจิตใจ ซึ่งมีความสัมพนั ธกันอยา งแยกจากกนั ไมได 84 และมอี ทิ ธิพลซึ่งกนั และกัน) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ครคู วรสนทนารว มกนั กบั นกั เรยี นถงึ พลงั ของจติ ใจ โดยอาจใหน กั เรยี นยกตวั อยา ง จติ ฺตํ ทนฺตํ สขุ าวหํ สอดคลองกับสาํ นวนในขอใด ประสบการณของตนทส่ี ามารถควบคุมหรือใชจ ิตนาํ กายจนประสบความสาํ เร็จใน 1. แพเปน พระ ชนะเปน มาร กจิ กรรมตา งๆ เชน การหายจากโรคภยั ดว ยการมกี าํ ลงั ใจทเ่ี ขม แขง็ และการมงุ มนั่ 2. หวานนอกขมใน ตงั้ ใจเรยี นจนสามารถสอบผา นไดใ นวชิ าทไี่ มถ นดั จากนน้ั ใหน กั เรยี นชว ยกนั สรปุ ผล 3. หนาเนือ้ ใจเสือ การอภิปรายเกยี่ วกับพลังของจิตใจตอการกระทําส่งิ ตา งๆ ใหประสบความสาํ เร็จ 4. สองจิตสองใจ วเิ คราะหค ําตอบ จิตฺตํ ทนฺตํ สขุ าวหํ แปลวา จติ ที่ฝก ดีแลว นาํ สุขมาให หมายถึง การฝกควบคมุ จติ ทม่ี กั ไมอยูนิ่งอยกู บั เร่อื งใดใหมีสมาธแิ ละ นักเรยี นควรรู ปญญาได สอดคลอ งกับสาํ นวนแพเปนพระ ชนะเปนมาร ซงึ่ หมายถงึ การเอาชนะคนอ่ืนตอ งแพแ กก เิ ลสตาง ๆ สวนการเอาชนะกิเลสนัน้ ตอ ง 1 จิตใจ ในวชิ าจติ วทิ ยาถอื วา มีความสาํ คัญตอ การดําเนินชีวิตของมนษุ ย คลายคลงึ กับแนวคดิ ในพระพุทธศาสนา กลา วคอื การศึกษาจติ จะชวยใหเราเขา ใจ ยอมแพค นอ่ืนได แลว จะชนะตนเองไดใ นท่สี ุด ดังน้ันคาํ ตอบคือ ขอ 1. ความรสู กึ นึกคิดของเราและพฤติกรรมของคนในสังคมตอ การกระทาํ ท่ีเกิดขน้ึ จึงทําใหส ามารถใชเ ปน แนวทางในการประเมินเหตุการณตา งๆ ได 84 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๑.๒ น อุจจฺ าวจ ํ ปณฺฑติ า ทสฺสยนตฺ ิ : บัณฑติ ยอ่ มไม่แสดง ครสู ุม นกั เรียนจากกลุมตางๆ ใหอธิบาย อาการขน้ึ ๆ ลงๆ พุทธศาสนสุภาษติ น อุจจฺ าวจํ ปณฺฑติ า ทสสฺ ยนฺ ติ บัณฑติ ยอ มไมแ สดงอาการขน้ึ ๆ ลงๆ โดย บณั ฑิต หมายถึง ผู้มีปัญญา และผดู้ ำาเนนิ ชวี ิตโดยยดึ หลักความดงี าม ผเู้ ป็นบัณฑติ ยอ่ ม ใหน กั เรียนจากกลมุ ตางๆ จับสลากคําศพั ท ไมแ่ สดงอาการข้นึ ๆ ลงๆ คอื ไม่เปล่ียนใจหรอื เปลี่ยนความคิดความเหน็ บ่อยๆ คนท่เี ปน็ บณั ฑิต หรอื ขอความท่ีตนตอ งชว ยกนั ตอบคาํ ถาม เชน มีใจหนักแน่นท่ีจะกระทำาสิ่งที่ตนเห็นว่าดีงามถูกต้อง ไม่เปลี่ยนใจไปตามกระแส บัณฑิตมั่นใจใน ลกั ษณะของบัณฑิต ความคดิ เหน็ ของบณั ฑิต ตนเอง มีความคดิ เหน็ เป็นของตนเอง โดยยดึ ธรรมะเปน็ หลัก มิใชว่ า่ ฟังคนนพี้ ดู กเ็ หน็ ด้วยกบั เขา อัตตาธิปไตย โลกาธปิ ไตย ธรรมาธปิ ไตย ผีเขา ผี ต่อมาฟังอีกคนพูดก็เปล่ียนใจมาเห็นด้วยกับเขาอีก ทั้งนี้ที่บัณฑิตไม่เปล่ียนความคิดเห็นง่ายๆ ออก หลกั วิชาการ และทางสายกลาง เป็นเพราะบณั ฑิตมที ้ังหลักวิชาความรแู้ ละหลักธรรม สวนตัวอยา งขอ คําถาม เชน แม้ว่าการเป็นตัวของตัวเองและมีความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งดี แต่ถ้ามากเกินไปก็จะกลาย • จากการศกึ ษาพุทธศาสนสภุ าษิตบทนี้ เป็นคนดื้อรนั้ ดูถกู คนอ่ืน และเอาแตค่ วามคดิ ของตัว บางทเี ราก็ตอ้ งรบั ฟังคนอ่ืนบา้ ง แลว้ ใช้สติ บัณฑิตควรมีลักษณะเชนไร ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ อาศัยหลักทางวิชาการและหลักธรรมช่วย คนที่ไม่มีหลัก (แนวตอบ บัณฑติ คอื ผูมีปญ ญา และดําเนิน ก็เหมอื นขอนไม้ จะขึ้นลงกเ็ ป็นไปตามกระแสนา้ำ บัณฑิตย่อมไม่ยึด อตั ตาธิปไตย คอื ตวั เองเปน็ ชวี ติ ตามแนวทางท่ดี ีงาม ไมแ สดงอาการ ใหญ่ ไม่ยึด โลกาธิปไตย คือ ความเห็นของชาวโลกเป็นใหญ่ แต่ต้องยึด ธรรมาธิปไตย คือ ขึน้ ๆ ลงๆ คอื ไมเปลย่ี นแปลงความคดิ เห็น ยึดธรรมเปน็ ใหญ่ ของตนบอยครัง้ โดยยดึ ความถูกตอ งตาม หลกั วชิ าและหลักธรรม สว นคนทเ่ี ปลี่ยน คนท่ีไม่มีหลัก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือข้ึนๆ ลงๆ ย่อมไม่มีคนเช่ือถือ ดังคำาพังเพย ไปเปล่ียนมา หรอื ชอบมอี าการขนึ้ ๆ ลงๆ เรียกวา่ “ผเี ขา้ ผอี อก” คือ เด๋ียวกด็ ี เดี๋ยวกร็ า้ ย ไมม่ ีอะไรแนน่ อน สอดคลองกบั คาํ พังเพยไทยวา “ผเี ขาผอี อก” น้นั เปน คนหลกั ลอย ไมนา เชอื่ ถือ การที่พัฒนาตนใหเ้ ป็นคนหนักแน่น ไมแ่ สดงอาการขน้ึ ๆ ลงๆ มีขอ้ เสนอแนะ ดงั นี้ • แนวทางการพัฒนาตนเปน บณั ฑติ คืออะไร ๑. ต้องมีสิ่งยึดเหน่ียวจิตใจท่ีช่วยตัดสินใจว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรดีอะไรชั่ว เช่น (แนวตอบ การพัฒนาตนเปนบัณฑิตมแี นวทาง พระรตั นตรยั กฎแห่งกรรม บาปบุญคุณโทษ ฯลฯ อันเป็น “หลกั ทางธรรม” ที่สาํ คญั คือ มหี ลกั ธรรมในจติ ใจ สามารถ แยกแยะสิง่ ท่ีดีหรอื สง่ิ ทช่ี ั่วออกจากกันได ๒. รู้หลักวิชาที่อธิบายความเป็นไปของโลก สังคม และมนุษย์ ทั้งหมดน้ีอาจรวมเรียกว่า มคี วามรใู นหลกั วิชาการทางโลก ชว ยให “หลักวทิ ยาศาสตร์” การร้วู ่าอะไรคืออะไร ส่งิ น้ที าำ ไมจึงเกิด ทาำ ไมจึงไม่เกดิ ถ้าจะทาำ ให ้ สามารถตดั สนิ ใจแสดงความเห็น ลงมือ เกิดต้องทำาอย่างไร ถ้าไม่ให้เกิดต้องทำาอย่างไร การมีความรู้เหล่านี้จะช่วยให้เราตัดสิน กระทาํ การ หรอื แกปญหาไดถกู ตองยิง่ ขน้ึ มี สิง่ ตา่ งๆ ไดห้ นักแนน่ มากข้นึ แนวคิดตามทางสายกลาง ไมคดิ วา ตนฉลาด หรอื โงจ นเกนิ ไป และมสี มาธิ ชวยใหส ตไิ ม ๓. ยึดหลักทางสายกลาง คือ อย่านึกว่าตนฉลาดเกินไป หรือโง่เกินไป ต้องพยายาม ตนื่ ตูมกับปญ หาหรอื ส่ิงตา งๆ ที่ประสบใน ยุติธรรมกับตัวเอง จะทาำ ให้เรามคี วามมัน่ ใจในระดับที่พอควรได้ การดําเนินชวี ติ ) ๔. เจริญสมาธิ จะช่วยให้เรามีสต ิ นิ่ง ไม่ตนื่ ตูม ความเป็นคนขน้ึ ๆ ลงๆ ก็จะลดนอ้ ยลง 85 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’53 ออกเก่ียวกับพทุ ธศาสนสุภาษิตทเ่ี ก่ยี วขอ งกับ ครูอาจสนทนารว มกนั กบั นักเรียนถึงสาระสําคญั ของการพัฒนาตนเองใหเปน พระมหาชนกชาดก บณั ฑติ ตามพุทธศาสนสภุ าษติ น อจุ จฺ าวจํ ปณฑฺ ิตา ทสสฺ ยนฺติ บัณฑติ ยอมไมแ สดง อาการขน้ึ ๆ ลงๆ กลา วคอื ผูท จ่ี ะเปน บณั ฑติ ในทางพระพทุ ธศาสนาตอ งยึดหลัก พระมหาชนกเปนผูม ีความเพยี รตรงกับพทุ ธศาสนสุภาษติ ขอ ใด ทางธรรม หลกั ทางวชิ าการ หรอื หลกั วทิ ยาศาสตร ทางสายกลาง และฝก สมาธอิ ยเู สมอ 1. สนตฺ ุฐ ี ปรมํ ธนํ 2. อิณาทานํ ทกุ ขฺ ํ โลเก มุม IT 3. ปฏริ ปู การี ธุรวา อุฐ าตา วนิ ทเฺ ต ธนํ 4. วายเมเถว ปุริโส ยาว อตถฺ สสฺ นิปฺปทา ศกึ ษาความรูพ ุทธศาสนสภุ าษติ เก่ียวกบั การพัฒนาปญ ญาและอืน่ ๆ เพ่ิมเติม ไดท ่ี http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/พทุ ธศาสนสุภาษติ เวบ็ ไซต วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. วายเมเถว ปรุ ิโส ยาว อตถฺ สฺส นปิ ปฺ คลงั ปญ ญาไทย สมาคมผดู ูแลเว็บไทย สาํ นักงานกองทุนสนับสนุนการสรางเสริม สุขภาพ (สสส.) และภาคี ทา แปลวา เกดิ เปนคนควรจะพยายามจนกวา จะประสบความสาํ เร็จ สอดคลอ งกับความเพียรของพระมหาชนกทีป่ รากฏในชาดกมากทส่ี ดุ คูมอื ครู 85

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู ครใู หน ักเรยี นชว ยกนั จบั คคู าํ ศพั ทหรอื ขอความ ๑.๓ นตฺถ ิ โลเก อนินทฺ โิ ต : คนทีไ่ มถ่ กู นนิ ทาไม่มใี นโลก ที่เกี่ยวของกับพทุ ธศาสนสุภาษติ นตถฺ ิ โลเก อนนิ ฺทิ โต คนท่ไี มถูกนินทาไมมใี นโลก ที่ครูเขยี นไวบ น ในทางพระพุทธศาสนามีคำาสอนเร่ือง “โลกธรรม ๘” คือ มีส่ิง ๘ ส่ิงท่ีเป็นธรรมดาของ กระดาน เชน ติเตียน-นนิ ทา อจิ ฉา-แกแ คน ปลอย วาง-เพกิ เฉย แกไ ข-ปรับปรงุ จากนน้ั ใหตวั แทน โลกมนุษย์ ทัง้ ๘ สิง่ นีจ้ ดั เปน็ คูไ่ ด้ ๔ คู่ ดงั นี้ นกั เรียนอธิบายคคู ําศพั ทต ามประเดน็ คําถามทคี่ รู กาํ หนด เชน ได้ลาภ เสอ่ื มลาภ ได้ยศ เสือ่ มยศ สรรเสรญิ ติเตยี น ความสขุ ความทกุ ข์ • เพราะเหตใุ ด ในทางพระพุทธศาสนาคาํ สรรเสริญกบั คาํ ตําหนิตเิ ตียนจงึ เปนธรรมดา สง่ิ ทง้ั ๘ นเ้ี กดิ ขน้ึ กบั มนษุ ยท์ กุ คน คาำ วา่ “ตเิ ตยี น” ในทน่ี ก้ี ค็ อื “นนิ ทา” นน่ั เอง พจนานกุ รม ของมนษุ ยในโลก ฉบับราชบัณฑิตยสถานบอกวา่ “นนิ ทา” หมายถึง การติเตยี นลับหลงั แต่ศพั ทเ์ ดมิ ในภาษาบาลี (แนวตอบ ในทางพระพทุ ธศาสนามีหลกั ธรรม มิไดจ้ าำ กัดความไวเ้ พียงแค่นน้ั โลกธรรม 8 ท่ีอธบิ ายถงึ ส่ิงท่ีเปนธรรมดาของ โลกมนุษย 8 ประการ ไดแ ก ไดล าภ-เล่อื ม ในคาถาพระธรรมบทมคี ำาสอนว่า ลาภ ไดย ศ-เสอื่ มยศ สรรเสริญ-ตเิ ตยี น ความ สขุ -ความทุกข ซง่ึ ทั้งหมดนีล้ ว นเกิดขนึ้ กบั “การนินทาหรือการสรรเสริญน้ีมีมาแต่โบราณ มิใช่เพียงวันนี้ คนย่อมนินทา แม้ผู้นั่งน่ิง มนุษยท ุกคน โดยเฉพาะเม่อื มีผูสรรเสริญก็ ยอ มมีผตู เิ ตียน ซงึ่ ในทางพระพทุ ธศาสนา แมผ้ พู้ ดู มาก แมพ้ ูดพอประมาณ ผู้ไม่ถกู นินทาไม่มใี นโลก บรุ ษุ ผู้ถกู นินทาโดยส่วนเดียว หรือ การติเตียนก็มีความหมายเดียวกับการนนิ ทา น่ันเอง) ถกู สรรเสรญิ โดยสว่ นเดียวไมเ่ คยมี จะไมม่ ี และเด๋ียวนก้ี ็ไม่มี” 1 • การนินทาเปนสัญชาตญาณของมนษุ ยผูมี จะเห็นว่าไม่มีใครหนีการถูกนินทาได้ การนินทาน้ันเกิดได้หลายทาง คนข้ีอิจฉานินทาเก่ง ลักษณะเชนไร (แนวตอบ การนินทาเปน สัญชาตญาณของ เพราะสู้เขาไม่ได้ก็หาทางทำาลายเขา คนบางคนพูดมาก ไม่ค่อยทำางาน ได้นินทาคนแล้วมี มนษุ ยผ ทู ี่อิจฉาผูอืน่ เนอ่ื งจากไมสามารถ แขงขันกบั เขาไดใ นดา นความรูความสามารถ ความสุข คนบางคนนินทาเพราะคิดว่าเม่ือทำาให้คนอื่นต่ำาลง ตนจะได้ดูสูงขึ้น บางคนอาจ การทาํ งาน หรืออน่ื ๆ มนุษยทีม่ ีความสุข จากการที่ไดนินทาผอู ่นื มนุษยท ีค่ ิดวาตนเอง นินทาเพราะแก้แค้นจริงๆ แล้วการนินทาเป็นสัญชาตญาณอย่างหน่ึงของมนุษย์ปุถุชน มากบ้าง จะสงู ขึ้นเมือ่ นนิ ทาผูอ น่ื ใหต กตํ่าลง รวมถึง มนุษยที่นนิ ทาจากความแคน ทีต่ นถกู ผอู ื่น น้อยบา้ งตา่ งกนั ไป กระทาํ ) เรือ่ งนา่ รู้ คำ�สอนเรื่องก�รนนิ ท�ในโคลงโลกนติ ิ ในโคลงโลกนิติไดใ้ หค้ �ำ สอนเกีย่ วกบั เรือ่ งก�รนนิ ท�ไว้ดังนี้ “ห้ามเพลงิ ไว้อย่าให้ มคี วัน หา้ มสุรยิ แสงจนั ทร์ ส่องไซร้ หา้ มอายุใหห้ ัน คืนเลา่ ห้ามด่ังน้ไี วไ้ ด้ จึ่งห้ามนินทา” อันหม�ยคว�มว�่ ก�รนินท�เป็นสงิ่ ปกติของโลกมนุษย ์ ไมส่ �ม�รถห้�มได้ 86 บรู ณาการเชอ่ื มสาระ ครสู ามารถจดั กจิ กรรมการเรยี นรบู รู ณาการกลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทย นักเรยี นควรรู วชิ าวรรณคดแี ละวรรณกรรม เรื่องขอคดิ จากวรรณคดีและวรรณกรรม โดยมอบหมายใหนักเรียนสบื คนวรรณคดีหรอื วรรณกรรมทใ่ี หขอคิดเปน 1 อิจฉา ในทางพระพุทธศาสนาหมายถงึ ความปรารถนา ความอยากได สว น สํานวน สภุ าษิต คาํ พงั เพย หรือคาํ ประพันธ ทม่ี เี น้อื หาสาระเกี่ยวขอ งกบั ริษยา หมายถึง ความไมอ ยากใหค นอ่ืนไดดี การเห็นเขาไดดีแลวทนอยไู มได หรอื พุทธศาสนสภุ าษติ ทงั้ 4 บท แลว วเิ คราะหค วามสอดคลอ งและจัดทําเปน การเห็นผอู นื่ ไดด แี ลว ไมสบายใจ บันทึกการศึกษาคน ควา มุม IT ศกึ ษาคน ควาเพ่ิมเติมเกี่ยวกบั พทุ ธศาสนสุภาษติ บทความ และทศั นะ พระพทุ ธศาสนากบั สงั คมไทยไดที่ http://www.visalo.org/ เว็บไซตพ ระไพศาล วสิ าโล 86 คูม อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain เมื่อหนนี นิ ทาไม่พ้นควรทำาตัวอย่างไร มขี อ้ แนะนาำ ดังนี้ ครูต้ังคําถามใหต ัวแทนนกั เรียนแตล ะกลมุ อธิบายความรู ตวั อยา งขอ คําถามเชน ๑. ถา้ คำานินทาเปน็ เร่อื งเล็กนอ้ ย ไม่ทาำ ใหค้ นเขา้ ใจผดิ มาก ไม่ทาำ ให้เราเสยี หายมาก ก็ทำาใจ ปลงบา้ ง อย่าเสยี เวลาโดยเปล่าประโยชน์ • อตั ตากบั ความโกรธของมนุษยส ัมพันธกนั อยา งไร ๒. ถ้าคำานินทาเป็นเร่ืองใหญ่ ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่าคำานินทานั้นเป็นจริงหรือไม่ ถ้าจริง (แนวตอบ มนษุ ยป ถุ ุชนลวนมีอัตตา หรอื และเราเป็นบุคคลสาธารณะก็ต้องยอมรับ ถ้าไม่จริงก็ต้องช้ีแจงให้คนใกล้ชิดและคน ความคดิ ที่วา ตนเปน คนสําคญั ซึ่งยงิ่ มีอตั ตา ท่ัวไปทราบ หาหนทางทำาความเขา้ ใจกับผู้นนิ ทา เขาอาจไดข้ อ้ มูลผดิ ๆ มาก็ได้ มากเทาไร เมือ่ มีคนแสดงความคิด ความเห็น ท่ตี างจากตนกอ็ าจเกิดความโกรธ ๓. ดตู ัวเองว่าเป็นคนชอบนนิ ทาและชอบเสวนากบั คนชอบนนิ ทาหรอื ไม ่ การที่ตนชอบนนิ ทา ไดงายและรุนแรงมากเทาน้นั ) คนอนื่ จะถูกคนอน่ื นนิ ทาบ้าง กไ็ มใ่ ช่เร่ืองแปลกอะไร ควรทำาตวั ใหน้ นิ ทาน้อยลง ขยายความเขา ใจ Expand ๔. อย่าทำาตัวให้เสี่ยงท่ีจะถูกนินทา เช่น ไม่ข้องเก่ียวกับอบายมุขท้ังปวง และไม่จำาเป็น ก็อยา่ ยกยอตวั เองให้เกนิ สมควร จะมีคนหมัน่ ไส ้ แล้วกน็ ินทา ๑.๔ โกธ ํ ฆตวฺ า สขุ ํ เสต ิ : ฆ่าความโกรธได้ย่อมอย่เู ปน็ สุข ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาเพม่ิ เตมิ เกยี่ ว กับคาํ หรือขอความสาํ คัญที่จะชว ยใหนกั เรียนเกิด ความโกรธเป็นธรรมชาติอย่างหน่ึงของคนที่ยังเป็นปุถุชนท้ังหลาย บางคนก็รุนแรง ความเขา ใจในพุทธศาสนสุภาษติ บทที่ศกึ ษาไป บางคนก็ไมร่ ุนแรง คนทีย่ งั มี “อัตตา” สงู กย็ ิ่งโกรธรุนแรง คนท่ีมี “อตั ตา” สูง คือ คนทีค่ ดิ วา่ เป็น ไดดียง่ิ ขน้ึ ไดแก ธรรมทั้งปวงมีใจเปนหวั หนา มี ใจเปนใหญ สําเร็จดว ยใจ การควบคุมจติ การ คนสาำ คัญ ใครแตะต้องไม่ได้ มคี นเชอ่ื ว่า “โกรธง่าย หายเร็ว” คือ คนที่โกรธงา่ ย แม้จะรนุ แรง หลอหลอมความเปนมนษุ ย บัณฑติ อัตตาธปิ ไตย โลกาธิปไตย ธรรมาธิปไตย ผเี ขา ผอี อก หลักทาง แต่ก็หายเรว็ สว่ นคนท่ีเกบ็ กดความโกรธไว้ เม่ือถึงเวลากจ็ ะระเบิดความโกรธออกมาอย่างรวดเร็ว ธรรม หลักวชิ าการ หลักวิทยาศาสตร ทางสาย ความโกรธเกิดจากการกระทำาที่เราถูกละเมิดโดยเราเห็นว่าไม่เป็นธรรม ละเมิดตัวเรา กลาง การฝก สมาธิ โลกธรรม 8 ติเตยี น สรรเสริญ นนิ ทา อตุ ตา อกศุ ลธรรม นิวาโต ตวั กูของกู การ ชอื่ เสยี งของเรา ทรพั ย์สินของเรา หรอื ละเมิดคนทีเ่ รารกั นบั ถือและบูชา ในทางธรรมความโกรธ ระงับความโกรธ และไตรสกิ ขา จากแหลงการ เป็นหนึ่งในสามของอกุศลกรรมท่ีทำาให้เราไม่อาจเข้าใกล้อุตมธรรมของพระศาสนา เนื่องจาก เรยี นรูอน่ื นอกจากหนงั สอื เรียน แลว จดั ทําเปน ความโกรธทำาลายสติปัญญา และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำาให้ความสามารถ เหตุผล ความคิด แนวทางการปฏิบตั ิตนตามพุทธศาสนสภุ าษติ ทั้ง และความรอบคอบของเราลดน้อยลงหรอื หมดไปเลยได้ คนบางคนตงั้ ใจยัว่ ใหเ้ ราโกรธ เพ่อื ให้เรา 4 บท สงครผู สู อน ขาดเหตุผล เถียงสู้เขาไม่ได้ ทนายความหลายคนก็ใช้วิธีน้ีเม่ือสู้ความในศาล ความโกรธจึงเป็น จุดออ่ นให้ผู้อ่ืนทำารา้ ยเราได้ วิธีที่จะยับยั้งความโกรธน้ัน ประการแรกเราต้องดูว่าเขาต้ังใจยั่วยุเราหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเขา ตรวจสอบผล ตงั้ ใจกเ็ ป็นการง่ายท่ีเราจะตั้งสตไิ ดแ้ ละไม่โกรธ บางคนบอกว่ากอ่ นจะโกรธ ใหน้ บั หนง่ึ ถึงสิบก่อน Evaluate มีหลักธรรมข้อหนึ่งในมงคล ๓๘ คือ นิวาโต แปลว่า ไม่พอง ไม่เบ่ง ถ้าเราคิดว่า เราคือคน 1. ครูและนกั เรยี นชวยกนั ตรวจแนวทางการ ธรรมดาคนหนึ่ง มิได้ใหญ่โตหรือเก่งกาจอะไร ความโกรธก็จะเกิดได้ยากขึ้น ท่านพุทธทาสภิกขุ ปฏิบัติตนตามพทุ ธศาสนสุภาษติ โดยพจิ ารณา เคยสอนวา่ “อยา่ คิดวา่ เป็นตวั กู ของกู แล้วอะไรๆ ก็จะดีข้นึ มาก” จากความสอดคลอ งกบั พุทธศาสนสุภาษิต 87 และความเหมาะสมของการปฏบิ ตั ใิ นการ ดาํ เนินชีวติ ประจาํ วันของนกั เรยี น 2. ครสู งั เกตพฤติกรรมการมสี ว นรว มในกิจกรรม การเรียนรู เชน การทาํ งานกลมุ เปนตน ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’53 ออกเก่ียวกับพระไตรปฎ ก เกรด็ แนะครู ขอ ใดไมถูกตอง ครูอาจอธบิ ายนักเรียนถึงหลกั การหรอื แนวทางการลดอัตตา หรอื ความสาํ คญั 1. พระไตรปฎ กพฒั นามาจากพระธรรมวินยั ตนเองในทางพระพทุ ธศาสนา เชน หลักสงั โยชน 10 ท่ีประกอบดว ย สกั กายทฏิ ฐิ 2. การบันทึกพระไตรปฎกเปน ลายลักษณอักษรครง้ั แรกใชภาษามคธ ความยดึ ถือวา กายกบั ใจน้ีเปน ของตน วิจิกจิ ฉา ความลงั เล เนื่องจากความสงสยั 3. พระไตรปฎกไดร ับการเผยแผไปยังประเทศตา งๆ พรอ มกบั คณะ หรอื ความกลัว สีลัพพตปรามาส ความงมงายเขา ใจผดิ ตอ ศีลและพรต กามราคะ ความกําหนดั ในกามปฏฆิ ะ ความหงดุ หงิดขดั เคอื ง รปู ราคะ ความพงึ พอใจในรส พระธรรมทตู ของความสงบสขุ ท่ีเกดิ มาจากการเพงรปู อรปู ราคะ ความพึงพอใจในรสของความ 4. การสงั คายนาพระไตรปฎ กครง้ั แรกทาํ ในสมยั พทุ ธกาลโดยพระอานนท สงบสุขท่เี กดิ มาจากการเพง สิง่ ที่ไมม รี ปู มานะ ความรูสกึ ยดึ ถือตวั ตนโดยเปรยี บ เทียบกบั ผูอืน่ อทุ ธจั จะ จติ หวน่ั ไหวไปกับสงิ่ ท่มี ากระทบ และอวชิ ชา ความรูสกึ วามี เปน หวั หนา ตัวตน มขี องตน วเิ คราะหคําตอบ การสงั คายนาพระไตรปฎกครงั้ แรกทําภายหลังจาก การเสด็จดับขันธปรินพิ พานของพระพุทธเจา ได 3 เดอื น โดยมพี ระมหา- กัสสปะเปน ประธาน โดยสอบถามพระธรรมจากพระอานนทและพระวินัย จากพระอุบาลี สว นการสงคณะพระธรรมทตู ไปยงั ประเทศตา งๆ เกดิ ขน้ึ ภายหลังจากการสังคายนาคร้ังที่ 3 โดยพระราชประสงคของพระเจา อโศกมหาราช ซง่ึ ยงั ไมมีพระไตรปฎ กมเี พียงพระธรรมวินัยเทานัน้ ดังนนั้ คําตอบคือ ขอ 3. และขอ 4. คมู อื ครู 87

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Elaborate Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสอบถามนักเรยี นถงึ ความรเู กย่ี วกับ ความโกรธทำาให้เกิดความทุกข์ มีลักษณะเหมือนไฟเผาผลาญส่ิงที่ดีงามในตัวเราให้หมด พระไตรปฎกในดา นตางๆ ไดแ ก ความหมาย ส้ินได้ บางทีความโกรธครง้ั เดียวอาจทำาลายอนาคตของเราใหส้ ิ้นไปได้ ปถุ ุชนคงไม่มีใครที่ไม่เคย ความเปน มา ความสาํ คัญ และสาระสาํ คัญ โกรธ ดุจดังท่ีไม่เคยถูกนินทา เราต้องพยายามหาวิธีฆ่า หรือระงับความโกรธ เพ่ือชีวิตจะได้ ตวั อยา งขอ คําถามเชน เป็นสุข การพยายามลดความโกรธทำาได้ไม่ง่าย เหตุผลและความคิดเพียงลำาพังไม่ช่วยมาก ในเรื่องน้ี เราต้องอาศัยไตรสิกขาเป็นเครื่องนำาทาง เริ่มต้นด้วยการทำาและพูดแต่สิ่งที่ดีงาม • สาระสาํ คัญของพระไตรปฎกในการเปน ประกอบกับบำาเพ็ญสมาธิและเจริญภาวนาเพ่ือทำาให้ใจสงบ จากน้ีปัญญาที่แท้จริงก็จะเกิดข้ึน คมั ภีรท่สี ําคัญสูงสุดของพระพุทธศาสนาคอื ความโกรธก็จะค่อยลดลงตามกาลเวลา อะไร (แนวตอบ พระไตรปฎ กรวบรวมหลกั ธรรมคาํ ๒. พระไตรปิฎก สอนของพระพุทธเจา ไวเปนหมวดหมู ชวยให ผูท่ีศึกษาเกดิ ความรคู วามเขาใจในพระธรรม การศกึ ษาพระไตรปฎิ ก คําสอนไดอยางถกู ตอ ง ชัดเจน นอกจากนี้ยัง มบี ทบญั ญตั เิ กีย่ วกบั การปฏบิ ัติตนของ การศกึ ๑ษ)า คศ้นึกควษ้าาพพระรไะตไรตปริฎปกิฎอกาจภทาำาษไดาด้ บงั าตลอ่ 1ไี ปผนู้ต้ี ้องการศึกษาค้นคว้าเพ่ือให้ได้ความรู้ที่ พระสงฆ ทีเ่ รียกวา พระวนิ ยั ชว ยสง เสริมให พระสงฆผูเปนพระสาวกของพระพทุ ธศาสนา ถูกต้องควรมีความรู้ภาษาบาลี เพ่ือใช้ศึกษาจากฉบับภาษาบาลีโดยตรง แต่ถ้าไม่มีความรู้ภาษา มวี ิถชี วี ิตที่ถูกตอง ดีงาม อนั นาํ มาซึ่งความ บาลี ก็สามารถศึกษาได้จากฉบับภาษาไทย เจรญิ แหงพระศาสนาอีกดว ย) ๒) ศึกษาจากพระไตรปิฎกฉบับแปล เน่ืองจากพระไตรปิฎกที่บันทึกเป็น สาํ รวจคน หา Explore ภาษาบาลีได้มีฉบับแปลแล้วหลายสำานวน ผู้ท่ีใคร่ศึกษาพึงศึกษาค้นคว้าได้จากหนังสือ หรือ ครูสนทนากบั นักเรียนถึงแนวทางการศึกษา CD-ROM หรอื จาก Internet ซง่ึ สามารถค้นควา้ หาความรไู้ ด้ตามต้องการ พระไตรปฎ กของฆราวาส แลว ใหน กั เรียนศกึ ษา ความรเู ก่ียวกับการศึกษาพระไตรปฎ ก จาก สำาหรับนักเรียนนักศึกษา การจะไปตามค้นจากพระไตรปิฎกฉบับจริงคงไม่สะดวก หนังสอื เรียน หนา 88-89 พึงอาศัยหนังสอื พระไตรปิฎกฉบับแปล ย่อความ ท่ผี รู้ ทู้ ัง้ หลายได้เขยี นไว้ เช่น อธบิ ายความรู Explain ๑. พระไตรปิฎกฉบับสำ�หรับประช�ชน ของ สุชีพ ปุญญ�นุภ�พ เป็นหนังสือที่สรุปเน้ือห� พระไตรปิฎกไว้ค่อนข้�งสมบูรณ์ มีดรรชนีค้นคำ� ค้นเร่ืองท้�ยเล่ม ซึ่งช่วยให้สะดวกใน ครูสมุ นกั เรยี น 4-5 คน เพ่ือใหชวยกันสรปุ ก�รคน้ คว�้ ความรเู กย่ี วกับการศกึ ษาพระไตรปฎ กทตี่ นศึกษา มาในรปู แบบตางๆ เชน ตาราง หรือผงั มโนทศั น ๒. คำ�บรรย�ยพระไตรปิฎก ของ เสฐียรพงษ์ วรรณปก เปน็ หนังสอื สรุปเนอื้ ห�พระไตรปิฎก ท่ีกระดานหนา ชน้ั เรยี น แลว อภปิ รายรวมกันกบั และเพ่มิ เตมิ ดว้ ยเนื้อห�เกี่ยวกบั พระสตู รนั้นๆ เช่น แก่นของชีวติ ต�มนยั พุทธศ�สน�คือ นกั เรียนเก่ียวกบั แนวทางการศกึ ษาพระไตรปฎ กที่ อะไร เทวด�มจี ริงหรอื ไม่ ฯลฯ ถูกตอง นกั เรียนบันทึกผลการอภิปรายลงในสมดุ ๓. พจน�นกุ รมพทุ ธศ�สน ์ ฉบบั ประมวลศพั ท ์ ของพระธรรมปฎิ ก (ประยทุ ธ ์ ปยตุ โฺ ต)* เปน็ หนงั สอื รวมค�ำ ศพั ทธ์ รรมะพรอ้ มค�ำ อธบิ �ยยอ่ ๆ นกั เรยี นส�ม�รถอ�่ นและไดค้ ว�มรเู้ กย่ี วกบั หลกั ธรรม ในเบอ้ื งตน้ เปน็ ก�รว�งพน้ื ฐ�นใหม้ น่ั คงกอ่ นจะศกึ ษ�เพม่ิ เตมิ จ�กพระไตรปฎิ กฉบบั จริง *พระธรรมปิฎก (ประยทุ ธ์ ปยตุ โฺ ต) ไดร้ ับพระราชทานสมณศกั ดเ์ิ ป็นพระพรหมคณุ าภรณ์ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๔๗ 88 และเปน็ สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ เม่อื วนั ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ นกั เรียนควรรู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเก่ียวกบั คัมภีรประกอบพระไตรปฎ ก 1 ภาษาบาลี หมายถงึ ภาษาอนั รกั ษาไวซ ่ึงพุทธพจน เปนภาษาทพี่ ระสาวกใช คมั ภรี ท ่อี ธิบายพระไตรปฎ กเรียกวา อะไร ในการจําและจารกึ รกั ษาพุทธพจนแตเ ดิมมา อันเปนหลกั ของพระพุทธศาสนาฝาย 1. ฎกี า เถรวาท สนั นษิ ฐานวา เปน ภาษาทใี่ ชก นั ในแควน มคธสมยั พุทธกาล จึงอาจเรยี กวา 2. อรรถกถา ภาษามคธ 3. ปกรณพิเศษ 4. สัททาวิเสส มมุ IT วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. อรรถกถา เปน คัมภรี ที่อธิบายความใน พระไตรปฎก รวมถึงปกรณท พี่ ระอาจารยทงั้ หลายแตงแกอรรถแหงบาลี ศกึ ษาคนควา เกี่ยวกบั พระไตรปฎกเพ่มิ เตมิ ไดท่ี http://www.dhammahome. com/front/tipitaka/list.php เวบ็ ไซตมลู นธิ ศิ ึกษาและเผยแพรพ ระพทุ ธศาสนา 88 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand เร่ืองน่ารู้ ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาพระไตรปฎ ก ฉบับตางๆ เชน พระไตรปฎ กฉบบั สําหรบั พระไตรปฎก ประชาชนของอาจารยสชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ พระไตรปฎกออนไลนข องมหาวิทยาลยั สงฆตา งๆ พระไตรปฎ ก คอื คมั ภรี ท์ บ่ี รรจหุ ลกั ค�ำ สอนของพระพทุ ธศ�สน� โดย ไตร แปลว�่ ส�ม สว่ น ปฎ ก แปลว�่ ตามแนวทางทไี่ ดศกึ ษามา จากน้ันจัดทําเปน ตะกร�้ หรอื คมั ภรี ก์ ไ็ ด ้ แบง่ เปน็ ๓ หมวด คอื พระวนิ ยั ปฎ ก พระสตุ ตนั ตปฎ ก (พระสตู ร) และพระอภธิ รรมปฎ ก บทความเกย่ี วกับคณุ คาและความสาํ คัญของ ๑. พระวนิ ยั ปฎ ก ว�่ ดว้ ยสกิ ข�บทในพระป�ฏโิ มกขข์ องภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ี มที ง้ั หมด ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ พระไตรปฎก ๒. พระสุตตันตปฎก ว่�ด้วยพระธรรมเทศน�ของพระพุทธเจ้� (มีของพระส�วกบ้�งบ�งส่วน) ท่ีตรัสแก่ บุคคลต่�งๆ ต่�งก�ละและโอก�ส ในรูปของคำ�สนทน�โต้ตอบ คำ�บรรย�ยยกหัวข้อธรรม ร้อยแก้ว ร้อยกรอง หรือ ตรวจสอบผล Evaluate ผสมระหว�่ งรอ้ ยแกว้ กบั รอ้ ยกรอง มที ง้ั หมด ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ ๓. พระอภธิ รรมปฎ ก ว�่ ดว้ ยก�รอธบิ �ยหลกั ธรรมต�่ งๆ ในด�้ นวชิ �ก�รลว้ นๆ ไมเ่ กย่ี วกบั เหตกุ �รณแ์ ละบคุ คล ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกยี่ วกบั แนวทางการ มที ง้ั หมด ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ ์ ศกึ ษาพระไตรปฎก และอภิปรายรวมกนั ถงึ คณุ คา ส�ำ หรบั ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จ�กก�รศกึ ษ�พระไตรปฎ กพอจะสรปุ ไดด้ งั น้ี และความสําคัญของพระไตรปฎ ก โดยนกั เรียน ๑. รหู้ ลกั ธรรมทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระพทุ ธศ�สน� แตละคนอภิปรายจากบทความของตน จากนน้ั ๒. ไดห้ ลกั ในก�รด�ำ รงชวี ติ ตรวจบทความคณุ คา และความสําคญั ของ ๓. รวู้ ธิ สี อนของพระพทุ ธเจ�้ พระไตรปฎกของนกั เรียนท่ีมเี นื้อหาสาระถกู ตอง ๔. รคู้ ว�มเปน็ ไปในสมยั พทุ ธก�ล และสอดคลองกบั ผลการอภิปรายในชัน้ เรยี น ในสมัยพุทธกาล คําสอนของพระพุทธเจาเปนที่รูจักกันในนาม พระธรรมวินัย แตเมื่อหลังพุทธปรินิพพาน พระธรรมวินัยไดแยกออกเปนปฎก ๓ คือ พระวินัยปฎก พระสุตตันตปฎก และพระอภิธรรมปฎก ถายทอดสืบกันมาโดยมุขปาฐะวิธี และไดรับการบันทึก เปนลายลักษณอักษรเมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ ทั้งนี้ ในพระไตรปฎกประกอบดวยคําสอนมากมาย รวมถึงพุทธศาสนสุภาษิต อันเปนวาจาท่ีพระพุทธองคทรงประทานแกมวลมนุษยชาติ เพื่อใหคติ แงค ิดในการดําเนินชวี ิตใหเ กดิ ความสขุ จึงถือวาพุทธศาสนสภุ าษติ มีคุณคา แกก ารศกึ ษาอยางย่ิง »Ò»Ò¹í ͡óí ÊØ¢í ¡ÒÃäÁ·‹ íÒºÒ»¹íÒÊØ¢ÁÒãËŒ (¾Ø·¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉµÔ ) 89 ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การทําสังคายนาพระไตรปฎก ครูอาจมอบหมายใหน ักเรยี นศึกษาพระไตรปฎกในสว นของพระวินยั ปฎ ก การสงั คายนาพระไตรปฎ กครง้ั ใด เริ่มจารกึ เปนลายลกั ษณอ กั ษรภาษา พระอภิธรรมปฎ ก หรือพระสตุ ตนั ตปฎ ก ซง่ึ มหี ลกั ธรรมคําสอนในพุทธประวัตติ อน ตา งๆ ตามความสนใจของนักเรียน จากนั้นสรปุ สาระสําคญั และวเิ คราะหแนวทาง บาลี และทําท่ใี ด การปฏิบัติตนตามหลกั ธรรมคาํ สอนนน้ั ลงในสมุดสงครูผสู อน เพือ่ ใหนักเรียน 1. ครัง้ ที่ 2 อนิ เดยี สามารถศึกษาความรูจากพระไตรปฎก และตระหนกั ถงึ ความสําคญั ในฐานะที่ 2. ครงั้ ที่ 3 อนิ เดยี เปนแหลงรวบรวมพระธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจา และประวัตศิ าสตรของ 3. ครัง้ ที่ 4 ศรีลงั กา พระพุทธศาสนา 4. ครง้ั ท่ี 5 ศรลี ังกา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ครั้งท่ี 5 ศรลี งั กา โดยใน พ.ศ.450 พระสงฆใ นลงั กาตางเห็นพอ งตองกนั วา พระพุทธวจนะที่ถา ยทอดกัน มาดวยวธิ ที อ งจําน้ันอาจผิดพลาดคลาดเคลอ่ื นไดในภายภาคหนา จงึ ได ทาํ การสงั คายนาเพอ่ื จารกึ พระพทุ ธวจนะเปน ลายลกั ษณอ กั ษรลงในใบลาน ณ อาโลกเลณสถาน มตเลณชนบท โดยมีพระเจาวัฏฏคามณีอภยั ทรงใหการอุปถมั ภ ภาษาท่ใี ชในการจารึกคร้งั แรกน้ไี ดแก บาลี ซึง่ แปลวา ภาษาทีร่ ักษาพระพทุ ธพจน คมู อื ครู 89

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถกู ตองในการตอบคาํ ถาม คาปถระาจÓมหนว่ ยการเรยี นรู้ ประจําหนว ยการเรยี นรู ๑. จงยกตัวอย่างพุทธศาสนสุภาษิตมา ๑ บท (นอกเหนือจากหนังสือเรียน) ท่เี ป็นพุทธศาสน- หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู สุภาษิตท่ีนักเรียนใช้เป็นคติในการดำาเนินชีวิตประจำาวัน โดยยกตัวอย่างประกอบการ อธบิ ายด้วย 1. แนวทางการปฏบิ ตั ิตนตามพุทธศาสนสุภาษติ 2. บทความคณุ คาและความสาํ คัญของ ๒. จากพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “โกธำ ฆตฺวา สุขำ เสติ” นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร จงอธบิ าย พระไตรปฎ ก 3. สมุดบนั ทึกของนักเรียน ๓. จากคำาถามข้อ ๒. นักเรียนมีวิธีการระงับความโกรธอย่างไร และการระงับความโกรธได้ มีข้อดีอยา่ งไร ๔. การศึกษาพระไตรปฎิ กมีประโยชนอ์ ย่างไร ๕. นักเรียนสามารถนำาความรู้ที่ได้จากการศึกษาพุทธศาสนสุภาษิตไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจาำ วนั อยา่ งไร จงอธบิ ายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ กิจสรกา้ รงรสมรรค์พฒั นาการเรียนรู้ กิจกรรมที่ ๑ แบ่งกลุ่มแล้วเลือกวาดภาพประกอบที่ส่ือให้เห็นถึงพุทธศาสนสุภาษิต กจิ กรรมท่ี ๒ ทั้ง ๔ ท่ีได้ศึกษา เสร็จแล้วส่งตัวแทนกลุ่มออกมานำาเสนอหน้าช้ัน กิจกรรมท่ี ๓ ใหเ้ พอ่ื นๆ ทายว่าเป็นพุทธศาสนสภุ าษติ อะไร และชว่ ยกนั สรปุ ประโยชน์ ท่ไี ดจ้ ากการปฏบิ ตั ติ นตามพทุ ธศาสนสภุ าษติ นน้ั ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนๆ ๒ คน ทำานิทานภาพ โดยนำาหัวข้อมาจาก พุทธศาสนสุภาษิตท้ัง ๔ เร่ืองที่ได้ศึกษา พร้อมระบายสีตกแต่งให้ สวยงามสง่ ครผู สู้ อน แบง่ กลุ่มแล้วชว่ ยกันกำาหนดหัวข้อพระไตรปิฎกทกี่ ลุ่มสนใจ หลงั จากนัน้ ช่วยกันศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎก (ฉบับแปล) ทำาเป็น รายงานส่งครผู ูส้ อน 90 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. พทุ ธศาสนสุภาษิตบทท่ีใชเปนคติในการดําเนินชวี ิตประจําวัน ไดแก อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ตนเปน ทพี่ ่ึงของตน เชน ในการเรียนเราไมส ามารถพ่งึ พาเพื่อนไดทกุ เร่ือง โดยเฉพาะในการทดสอบตางๆ เราจึงตอ งต้ังใจเรียน หม่ันทบทวนความรู และสืบคน ความรเู พมิ่ เตมิ ซง่ึ จะทําใหเ ราสอบผานและมีคะแนนหรอื เกรดดไี ด 2. เห็นดว ย เนอ่ื งจากความโกรธไมสามารถทําใหเราตดั สินใจหรือแกปญหาชวี ติ ไดอ ยางถูกตอ ง เพราะเราจะมีอารมณห ุนหันพลันแลน ไมใ ชป ญญาไตรต รองถึงความเปน ไปของสิง่ ตา งๆ ท่ีเกิดขึ้นอยางแทจ รงิ ซ่งึ ในบางครงั้ กเ็ กิดจากการยุยงของคนไมหวงั ดเี ทา นน้ั 3. การระงบั ความโกรธสามารถทําไดโดยการยึดหลักไตรสกิ ขา ประกอบดว ย ศลี สมาธิ ปญญา กลาวคอื ปฏบิ ัติตนใหถ กู ตองตามหลักศีลธรรม กฎระเบยี บตา งๆ ของ สังคม การฝกสมาธใิ หจติ ใจมคี วามมน่ั คง การใชป ญญาอันประกอบดวยความรแู ละคุณธรรมในการตัดสนิ ใจ ชว ยใหเราดาํ เนนิ การไดอ ยา งถกู ตองเหมาะสม 4. การศกึ ษาพระไตรปฎกชวยใหเราเขาใจในหลักธรรมคําสอนตางๆ ของพระพทุ ธเจามากขน้ึ อนั นําไปสกู ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ิทีถ่ ูกตองเหมาะสมในชวี ติ ประจาํ วัน เพื่อให เกดิ ประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลทัง้ ในการเรียน การทาํ งาน ตลอดจนการประกอบกิจการอ่นื ๆ นอกจากนี้อาจกลาวไดว าเปน การปกปองและเผยแผพ ระพุทธศาสนาใน ทางออมไดอีกดวย เน่อื งจากศาสนิกชนในศาสนาอื่นอาจเกดิ ความศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาจากการประพฤติปฏิบัตติ ามทํานองคลองธรรมของเราน่นั เอง 5. การประพฤตปิ ฏิบัติตนตามพุทธศาสนสุภาษติ ที่ไดศ ึกษาเปน แนวทางการใชป ระโยชนที่ดีทสี่ ุด เน่ืองจากหลักธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจา ลวนตอ งการใหพ ทุ ธศาสนิกชน นาํ ไปใชใ นการดาํ เนนิ ชีวิต อันจะนํามาซึ่งความสขุ สงบท้งั ในสว นตัวและสว นรวมได เชน การไมทาํ ตนใหถ ูกนินทา หรอื การไมสนใจผทู ี่นนิ ทาเรือ่ งอันไมเ ปน ความจริง จะชวยปอ งกันมิใหเกดิ ความขัดแยงระหวางกนั รวมถึงอาจนําไปสูก ารแกป ญหาอยางสันติไดใ นที่สุด 90 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. อธบิ ายแนวทางการปฏิบัตติ นเปน พทุ ธศาสนกิ ชนท่ดี ีตอพระภิกษุ สมาชกิ ใน ครอบครัวและคนรอบขา ง 2. ปฏิบตั ิตนเปน พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ีตอพระภิกษุ สมาชิกในครอบครวั และคนรอบขา ง สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ติ ๕˹Nj ¡ÒÃàÃÕ¹÷ŒÙ èÕ ËáŹÐมŒาา·รªÕè าา·Çªา¾ÇØ·¾·Ø ¸¸ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค 1. รักชาติ ศาสน กษัตริย 2. ใฝเ รียนรู 3. มจี ิตสาธารณะ »ÃÐà·Èä·ÂÁ¾Õ Ãо·Ø ¸ÈÒʹÒ໹š ÈÒʹһÃШíÒªÒµÔ «Ö§è ໹š àÇÅҡNjҾ¹Ñ »·‚ ¾èÕ Ãо·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò กระตนุ ความสนใจ Engage 䴌ࢌÒÁÒ¼ÊÁ¼ÊÒ¹¡ÅÁ¡Å×¹¡ÑºÇÔ¶ÕªÕÇÔµ¤ÇÒÁ໚¹ÍÂÙ‹¢Í§¤¹ä·Â ¨¹äÁ‹ÊÒÁÒöá¡ÍÍ¡¨Ò¡¡Ñ¹ä´Œ ครใู หนักเรียนพจิ ารณาภาพทหี่ นา หนวยการ ´ŒÇÂà˵عÕé¤ÇÒÁà¨ÃÔÞËÃ×ͤÇÒÁàÊè×ÍÁ¢Í§¾Ãоط¸ÈÒʹÒ‹ÍÁÁռšÃзºµ‹ÍÊѧ¤Áä·Â เรยี นรู แลวสนทนาถึงความรเู ก่ียวกับหนาท่ีและ ´Ñ§¹éѹ 㹰ҹзèÕàÃÒ໚¹ªÒǾط¸¨Ö§ÁÕ˹ŒÒ·èÕ·Õè¨Ð·íҹغíÒÃØ§¾Ãоط¸ÈÒʹÒãËŒà¨ÃÔÞÁÑ蹤§Ê×ºä» มารยาทของชาวพุทธในการปฏบิ ัตติ นตอ พระสงฆ «è֧˹ŒÒ·ÕèªÒǾط¸ ¡ç¤×Í ËÁÑè¹ÈÖ¡ÉÒËÒ¤ÇÒÁÃÙŒ »¯ÔºÑµÔµÒÁËÅÑ¡¸ÃÃÁ »ÃÐླվԸաÃÃÁ·Ò§ÈÒÊ¹Ò ท่ีนักเรยี นเคยไดศ กึ ษามา จากนั้นต้ังคําถามเพ่ือ à¼Âá¼¾‹ ÃÐÈÒÊ¹Ò áÅл¡»Í‡ §¾ÃÐÈÒÊ¹Ò กระตนุ ความสนใจเกีย่ วกบั ความสําคัญของการ ปฏิบตั ิตนตามหนาทีแ่ ละมารยาทของชาวพทุ ธตอ ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง พระสงฆใ หนกั เรียนชว ยกันตอบ เชน ส ๑.2 ม.4/๑ ■ ปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธท่ีดีต่อพระภิกษุ (การเข้าใจในกิจของ • เพราะเหตใุ ด พทุ ธศาสนิกชนจึงควรปฏิบตั ิ ■ ปฏบิ ัติตนเปน็ ศาสนิกชนทด่ี ีต่อสาวก สมาชิกในครอบครัวและ พระภิกษุ, คุณสมบัติของทายกและปฏิคาหก, การปฏิบัติ ตนอยา งเหมาะสมตอพระภกิ ษุสงฆ ตนต่อพระภิกษุทางกาย วาจา และใจท่ีประกอบด้วยเมตตา, (แนวตอบ พระภกิ ษุสงฆเปนสาวกของ คนรอบขา้ ง การปฏสิ นั ถารทเ่ี หมาะสมตอ่ พระภกิ ษใุ นโอกาสตา่ งๆ) พระพทุ ธเจา ทม่ี บี ทบาทหนา ทสี่ าํ คญั ในการ ชวยสืบทอดพระธรรมคําสอนมาจนถึง ■ ปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัว (การรักษาศีล ๘, ปจ จบุ นั พทุ ธศาสนกิ ชนจงึ ควรปฏบิ ตั ติ นอยา ง การเป็นชาวพุทธท่ีดีตามหลักทิศเบ้ืองบนในทิศ ๖, การเข้า เหมาะสมตอ พระภกิ ษสุ งฆใ นโอกาสตา งๆ) ร่วมกิจกรรมและเป็นสมาชิกขององค์กรชาวพุทธ, การปฏิบัติ ตนเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัวตามหลักทิศเบ้ืองหลังใน ทศิ ๖) เกร็ดแนะครู ครคู วรจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท ่เี นน พฒั นาทกั ษะกระบวนการทีส่ าํ คัญ เชน ทกั ษะการคิด ทักษะการฝกปฏบิ ัติ และกระบวนการกลุม เพื่อใหนกั เรยี นสามารถ ปฏิบตั ติ นเปนพทุ ธศาสนิกชนทดี่ ีตอ พระภกิ ษุ สมาชกิ ในครอบครวั และคนรอบขาง ดังน้ี • ครูใหน ักเรียนศึกษาความรูเก่ยี วกับหนาที่ชาวพุทธจากหนงั สอื เรยี น แลวสรปุ สาระสําคญั เพอ่ื เปน ตวั แทนในการอธิบายความรู จากน้นั วางแผนและปฏบิ ัติ ตนเปนชาวพทุ ธทด่ี ีแลว บนั ทกึ ผลการปฏบิ ัตสิ ง ครูผูสอน • ครใู หนกั เรียนศึกษาความรูเก่ยี วกับมารยาทชาวพุทธจากหนังสือเรียนและ แหลงการเรียนรอู น่ื แลว รวมกลมุ เพื่ออธิบายแลกเปลีย่ นความรู จากนั้นฝก ปฏิบัตติ นตามมารยาทชาวพทุ ธแลวชว ยกันจัดทาํ สอื่ เผยแพรค วามรเู กี่ยวกับ การปฏสิ ันถารตอ พระภิกษใุ นโอกาสตา งๆ คมู ือครู 91


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook