กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู นอกจากการกวาดลานวัด ตักน้�าใช้ น�้าฉัน อาบช�าระกายให้สะอาดแล้ว ท่านยัง นักเรียนกลุมท่รี บั ผิดชอบชวยกนั ตอบคําถาม เชน ปฏิบัติเจริญภาวนาตั้งแต่เย็นจนพลบค่�า แล้วจึงเทศนาส่ังสอนอบรมสติปัญญาให้กับสานุศิษย์ • คตเิ ตอื นตนเองหรอื ศษิ ยานุศษิ ยของหลวงปู เป็นระยะเวลาพอสมควร ท่านจะเข้าห้องเพื่อสวดมนต์ไหว้พระ น่ังสมาธิ แล้วพักผ่อนต้ังแต่ มัน่ ภูรทิ ตั โต ที่สอดคลองกับหลักกรรมของ พระพทุ ธศาสนาคอื อะไร ๕ ทุ่ม แลว้ ตน่ื ตอนตี ๓ เพอื่ ทา� กิจในวนั ตอ่ ไป ทา่ นมคี ติเตอื นตนเองหรอื ศษิ ยานศุ ษิ ยว์ า่ (แนวตอบ ตน ดี ปลายกด็ ี คร้นั ผดิ มาแตต น ปลายก็ไมด )ี “ดีใดไม่มโี ทษ ดนี นั้ ช่อื ว่าเลิศ” • ทรรศนะของหลวงปมู ั่น ภรู ทิ ัตโต ที่มีตอ “ได้สมบตั ิทั้งปวงไม่ประเสรฐิ เทา่ ได้ตน เพราะตนเองเป็นทเี่ กดิ แห่งสมบตั ิทั้งปวง” การจัดขบวนแหพระสงฆน ั้นเปนอยางไร (แนวตอบ การจดั ขบวนแหพ ระสงฆนน้ั ไม “เมื่อมีวัตรก็ชอ่ื ว่ามศี ลี เพราะศลี เป็นเบื้องตน้ ของการปฏิบตั ”ิ ถกู ตอ ง เปน ความคดิ ทผี่ ดิ จากประเพณที ดี่ งี าม โดยผิดท้ังฝายฆราวาสและพระสงฆ ถาพระ “ต้นดี ปลายก็ดี ครน้ั ผดิ มาแตต่ ้น ปลายก็ไม่ดี” ทถี่ กู หามไมป ว ย ไมช ราอาพาธ กผ็ ดิ พระวนิ ยั เปน อาบตั ิ สวนญาตโิ ยมฆราวาสทส่ี ง เสรมิ นอกจากนั้น มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ท�าการรวบรวมค�ากลอนอบรม ความผดิ นน้ั กพ็ ลอยรบั โทษดว ย ไมได เปนกศุ ล หากแตทาํ ใหบ ญุ เกา กห็ ดหาย และเตอื นสตญิ าตโิ ยมไวใ้ นหนงั สือ บรู พาจารย์ ความว่า บญุ ใหมกไ็ มได เปนการกระทาํ ท่เี ปลา ประโยชน) “สาละแวก ปลาแดกใสต่ ุม้ ปลาเก่ากะบ่ได้ ปลาใหมก่ ะบ่ได้ เอาบุญหยงั ฮึ พ่อออกแมอ่ อก มื้อวานน้”ี มีความหมาย คือ การที่ญาติโยมตั้งขบวนหามขบวนแห่พระอย่างน้ัน เป็นการ อันไม่สมควร ไม่ถูกต้อง ไม่เคารพสถานท่ีและครูอาจารย์ เป็นความผิดแผกแหวกแนวประเพณี ของนักปฏิบัติ ผิดท้ังฝ่า1ยโยมและฝ่ายพระ พระผู้ถูกหามไม่ป่วย ไม่ชราอาพาธ ก็ผิดพระวินัย พระกเ็ ปน็ โทษ เปน็ อาบัติ เป็นบาปเปน็ กรรม ฝ่ายญาติโยมเป็นผู้ส่งเสริมความผิด ท�าให้พระผิดพระวินัย ญาติโยมก็พลอยได้ รับโทษด้วยกัน ฉะนั้นการที่ญาติโยมคิดว่าเป็นการท�าบุญเอากุศลในคร้ังน้ีเลยไม่ได้อะไร บุญเก่า ก็หดหาย บุญใหม่ก็ไม่ได้ เป็นการกระท�าอนั เปลา่ ประโยชน์ พระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺโต มรณภาพเม่ือวันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ที่วดั ปา่ สุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ๒) คณุ ธรรมทีค่ วรถอื เปน็ แบ2บอยำ่ ง ๒.๑) ปฏิบัติตนตำมสมณวิสัย กล่าวคือ ไม่ว่าท่านจะจาริกไปยังท่ีแห่งใดก็ตาม ทา่ นกจ็ ะอบรมสง่ั สอนศีลธรรมให้กับประชาชนในท้องถ่ินนน้ั ๆ ทง้ั ในประเทศไทยและประเทศลาว เพ่ือให้ประชาชนเป็นคนดีมีศีลธรรม อนั เปน็ ลักษณะพงึ ปฏบิ ัติของพระสงฆ์ 53 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู “ตน ดี ปลายกด็ ี คร้ันผดิ มาแตต น ปลายก็ไมด ”ี คตเิ ตือนตนเอง 1 อาบตั ิ การประพฤตไิ มถกู ตองตามพุทธบญั ญัตเิ ก่ยี วกับความประพฤติ ความ และศษิ ยานศุ ิษยของหลวงปูมนั่ ภูรทิ ตั โตนสี้ อดคลองกับหลกั ธรรมใด เปน อยู ขนบธรรมเนยี มและการดาํ เนินกิจการตา งๆ ของภิกษุสงฆ แบง ออกได แนวตอบ คตเิ ตอื นตนเองของหลวงมน่ั ภรู ทิ ตั โตนสี้ อดคลอ งกบั หลกั ธรรม เปน 2 ระดบั คือ อาทิกัมมิกะ หรือปาราชกิ วา ดว ยสกิ ขาบทท่ีเกยี่ วกบั อาบตั หิ นกั ทางพระพุทธศาสนาหลายขอ ทส่ี าํ คัญไดแ ก อริยมรรคมีองคแ ปด ของฝา ยภิกษุสงฆต ัง้ แตปาราชิกถงึ อนยิ ต และปาจติ ตีย วา ดว ยสิกขาบททเ่ี ก่ียวกบั โดยเฉพาะการมสี ัมมาทฐิ ิ สัมมาสังกัปปะ และสมั มากมั มนั ตะ คือ ความ อาบัตเิ บาตงั้ แตนสิ สคั คยิ ปาจติ ตียถึงเสขิยะ รวมตลอดทัง้ ภกิ ขนุ วี ิภงั คท ัง้ หมด เหน็ ชอบ ดาํ ริชอบ และกระทําชอบตามลาํ ดับ กลา วคอื เมือ่ มคี วามคิด 2 สมณวสิ ยั แปลวา วสิ ยั ของสมณะ หมายถึง ลักษณะทีเ่ ปนอยขู องสมณะ เห็นทีถ่ ูกตอง การกระทาํ ทถี่ ูกตอ งต้งั แตต น แลว ผลที่ไดย อ มถกู ตอ งเสมอ ลกั ษณะท่เี ปนอยขู องผสู งบ คมู ือครู 53
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1. นกั เรียนกลุมทีร่ บั ผดิ ชอบชวยกันตอบคําถาม ใส่ใจการศึกษามา๒ต้ัง.๒แ)ต ่ยเอังำเยใจาใวส์ว่กัยำรโศดึกยเษขำ้าแศลึกะษปาฏอิบักัตษิตรำธมรพรมร1ะธอรักรษมรวขินอัยมแทต่า่ยนังเเปล็น็กผู้ใแฝล่หะสาคามวาามรถรู้ เชน เรียนรจู้ ดจา� ได้เรว็ นอกจากนี้ทา่ นยังใส่ใจศึกษาพระธรรมวินัยแล้วนา� ไปปฏิบัตอิ ย่างเคร่งครัด • นอกจากหลวงปมู นั่ ภรู ทิ ัตโต จะเอาใจใส และศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยจนแตกฉานแลว ๒.๓) มคี วำมเพียรในกำรส่ังสอน ทา่ นใชค้ วามพยายามหมน่ั เพียรพร่�าสอนศษิ ย์ ยังสง เสรมิ พระพทุ ธศาสนาในแนวทางใด ไใหมห่้ฉวลน่ัาไดหดว้วตยอ่ กโลารกฝธรึกรฝมนอมบนั่ รคมงใจนิตพใจระตธารมรหมลวนิักยัสมโถดวยิปทัสา่ นสไนดาท้ า� ใตหน้ศใิษหยเ้ ป์เนป็ ท็นฏิผฐู้มาีในจคุเดต2็ดแิ เกดศ่ ่ียษิ วยาอนดศุ ทษิ นย์ (แนวตอบ หลวงปมู น่ั ภรู ิทตั โต มคี วามเพยี ร ท้งั ปวง พยายามในการส่ังสอนศิษยใ หหม่ันฝกฝน อบรมจิตใจตามหลักสมถวิปสสนา ใหมี ๓.๔ สุชพี ปุญญานุภาพ จติ ใจอดทนมั่นคงตอ พระธรรมวินยั และ ทา นยังปฏิบตั ิตนเปน แบบอยางใหแกศ ิษย ๑) ประวตั ิ อาจารยส์ ชุ ีพ ปุญญานุภาพ เกิดเมอ่ื วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ อีกดวย) ณ ตา� บลบางไทรปา่ อา� เภอบางเลน จงั หวดั นครปฐม ทา่ นมีพ่นี ้องร่วมทอ้ ง ๑๒ คน โดยทา่ นเป็น 2. ครตู ้งั คาํ ถามเก่ียวกบั ประวตั ิและคุณธรรมที่ คนที่ ๑๑ แต่เหลือรอดอยู่เพียงคนเดียวคือตัวท่าน นอกนั้นถึงแก่กรรมต้ังแต่เยาว์วัย ท่านจึง ควรถอื เปน แบบอยา งของอาจารยส ชุ พี ปญุ ญา- ไดร้ บั การตงั้ ชอื่ วา่ “บญุ รอด” นามสกลุ เดมิ ของทา่ นคอื สงวนเชอื้ สว่ นชอ่ื สชุ พี ปญุ ญานภุ าพน้ี นุภาพใหนกั เรยี นกลมุ ทีร่ ับผิดชอบชวยกันตอบ ได้เปลี่ยนมาใช้หลังจากท่ีท่านได้ลาสิกขาจากสมณเพศแล้ว โดยดัดแปลงมาจากฉายาตอนเป็น สวนนักเรียนกลมุ อื่นบันทึกคําตอบทีถ่ ูกตอ งลง พระภิกษวุ า่ “สชุ ีโว” มาเปน็ “สชุ ีพ” ในสมดุ เชน • ความรคู วามสามารถของอาจารยสชุ ีพ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้ท่ีใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ปญุ ญานุภาพ ทไ่ี ดร บั การยอมรบั นับถอื อยเู่ สมอ ทา่ นจึงประสบความส�าเร็จในการศึกษาทางธรรม และมีความรูก้ ว้างขวางท้งั ในภาษาไทย จนถึงปจจุบันน้นั เกดิ จากการศกึ ษาดานใด ภาษาต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างย่ิง ความรู้ความสามารถทางด้านศาสนาก็เป็นท่ียอมรับ บา ง นบั ถอื จนถงึ ปจั จบุ ัน (แนวตอบ การศึกษาของทานอาจารยส ชุ ีพ ปุญญานภุ าพ อาจจําแนกไดเปน 2 ดาน การศกึ ษาของทา่ นอาจจา� แนกได้ ๒ ด้าน ดงั นี้ คือ การศกึ ษาดา นภาษา ในชวงเวลาทีท่ าน อปุ สมบท 15 ป ไดใชเ วลาวางจากศาสนกจิ ๑. การศึกษาด้านภาษา ในช่วงท่ีท่านอุปสมบทต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นไป เป็นเวลา ศึกษาภาษาองั กฤษและภาษาสันสกฤตจาก ๑๕ ปี ทา่ นได้ใช้เวลาที่วา่ งจากศาสนกจิ ศกึ ษาภาษาอังกฤษและภาษาสนั สกฤตจากสวามี สวามสี ัตยานนั ทบรุ ี นักปราชญช าวอินเดีย สัตยานันทบุรี นักปราชญ์ชาวอินเดียจนเชี่ยวชาญ ทำาให้ท่านมีความรอบรู้และสามารถ จนเกิดความเชย่ี วชาญ สามารถแสดงธรรม แสดงธรรมเปน็ ภาษาองั กฤษแกช่ าวต่างประเทศได้เป็นทา่ นแรก เปน ภาษาองั กฤษไดเ ปน ทา นแรก และการ ศึกษาดานพระพทุ ธศาสนา ทานสําเร็จ ๒. การศึกษาดา้ นพระพทุ ธศาสนา ทา่ นสาำ เรจ็ เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมือ่ พ.ศ. ๒๔๘๒ เปรียญธรรม 9 ประโยค ณ สาํ นกั เรียนวัด ณ สาำ นกั เรียนวดั เทพศริ ินทราวาส กรุงเทพมหานคร เมอ่ื อุปสมบทเปน็ พระภกิ ษุไดเ้ พยี ง เทพศริ นิ ทราวาส เม่อื อุปสมบทเปน พระภิกษุ ๒ พรรษา ไดเพยี ง 2 พรรษา) 54 นักเรยี นควรรู บูรณาการเชอื่ มสาระ ครสู ามารถจดั กจิ กรรมการเรยี นรบู รู ณาการกลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทย 1 อกั ษรธรรม หมายถึง อักษรทกี่ ลุม ชนทางเหนอื และตะวนั ออกเฉียงเหนือ วิชาหลักภาษา เรอื่ งอิทธพิ ลของภาษาตางประเทศและภาษาถิน่ และ ของไทยใชจดบนั ทกึ บางครัง้ ทางภาคเหนือเรยี กวา อักษรตัวเมือง ลกั ษณะตวั หลกั การสรา งคําในภาษาไทย โดยอธบิ ายอทิ ธิพลของภาษาบาลสี นั สกฤต อักษรใกลเ คยี งกับอักษรมอญ พมา เปนอักษรทใ่ี ชบนั ทึกเรอ่ื งราวทางพระพุทธ- ตอการสรา งคาํ ในภาษาไทยจากตัวอยางช่ือของอาจารยสุชพี ซ่งึ มาจาก ศาสนาเปน สว นใหญ ดงั น้นั จึงถอื วา เปน อักษรศักดิส์ ทิ ธ์ิ บญุ รอดและสุชีโว ทีม่ ีความหมายเดยี วกัน คือ ผมู ีชีวิตรอด แลว อาจให 2 ทฏิ ฐานุคติ การดําเนินตามส่งิ ที่ไดเหน็ แบบอยาง ตวั อยา ง การทาํ ตามอยา ง นักเรยี นอธบิ ายความหมายชอื่ ของตนเองและเพอ่ื นนักเรียนท่ีมาจากภาษา หรอื ทางดาํ เนินตามทไี่ ดม องเหน็ เชน พระผูใหญปฏิบตั ติ นชอบกเ็ ปนทิฏฐานุคติ บาลีและสันสกฤตมาอยา งนอ ย 5 คน ของพระผนู อ ย เปน ตน 54 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ทา่ นอุปสมบทเป็นพระภิกษรุ ะหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๘๐ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๙ เปน็ เวลา ๑๙ ปี นกั เรียนกลุม ท่ีรับผิดชอบชวยกันตอบคาํ ถาม ไดร้ บั สมณศกั ด์สิ ูงสุดเป็นพระศรวี สิ ุทธิญาณ เชน อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้ที่มีคุณธรรม และความประพฤติดีงาม สมควร • อุปนสิ ัยของอาจารยสชุ พี ปุญญานุภาพ เป็นผู้ใหญ่ท่ีมีผู้น้อยเคารพนับถือ ตลอดจนถือเป็นแบบอย่างในการด�าเนินชีวิต ท่านด�ารงตน อาจกลาวไดว า เปน ผแู กไ ขปญหาความ ตามค�าสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด และใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็น ขัดแยง ดวยสนั ตวิ ิธีอยา งไร แนวทางในการท�างานและปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ท่านมักกล่าวแก่ศิษย์และผู้ใกล้ชิดอยู่เสมอว่า (แนวตอบ อาจารยสชุ ีพ ปุญญานุภาพ ดาํ รง “ใครเขาจะทะเลาะเบาะแว้งติเตียนกันอย่างไรก็ตาม เราก็ควรด�ารงตนเป็นผู้ใหญ่พิจารณา ตนตามหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาอยา ง เรอ่ื งราวตา่ งๆ ใหร้ อบดา้ น ไมเ่ ขา้ ไปทะเลาะกบั ใคร” ทา่ นมที า่ ทปี ระนปี ระนอมอยเู่ สมอ ไมห่ กั ลา้ ง เครงครัด และมีคํากลา วของทา นกบั ศิษย ผู้ใด ไม่ท�าให้ผู้อื่นเสียใจหรือเสียหน้า และเป็นท่ีพ่ึงในทางความคิดความเห็นของศิษย์และ เก่ียวกบั ความขัดแยง วา ไมว าใครจะทะเลาะ เพื่อนรว่ มงานอยเู่ สมอ เบาะแวง กนั อยา งไร ขอใหเ ราดาํ รงตนเปน ผใู หญพ จิ ารณาเรอื่ งนน้ั ใหรอบดา น นอกจาก อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้อุทิศตนเพ่ือความเจริญทางพระพุทธศาสนา นีท้ า นยงั มีทาทปี ระนปี ระนอมอยูเ สมอ ไม มาเป็นเวลานาน นับตัง้ แตท่ า่ นอปุ สมบทและอยู่ในชวี ิตฆราวาส ในเวลาตอ่ มาท่านได้มสี ่วนริเริ่ม หักลา งทาํ ใหผอู ืน่ เสียใจ ทาํ ใหเปนท่ีพง่ึ ใน งานส�าคัญหลายเรื่อง เชน่ การพัฒนาสภาการศกึ ษามหามกุฏราชวทิ ยาลยั เปน็ มหาวทิ ยาลยั สงฆ์ ทางความคิดของศิษยและผใู กลช ดิ เสมอ) การเผยแผ่หลักธรรมทางนวนิยาย การก่อตั้งและส่งเสริมโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ในประเทศไทย และการก่อตั้งและส่งเสริมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย และองค์การ • อาจารยสชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ มีบทบาทใน พทุ ธศาสนกิ สมั พนั ธแ์ หง่ โลก การพฒั นาพระพุทธศาสนาทีส่ าํ คัญอยา งไร บา ง นั บ ตั้ ง แ ต ่ บั ด น้ั น เ ป ็ น ต ้ น ม า (แนวตอบ อาจารยส ุชพี ปญุ ญานภุ าพ อทุ ศิ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ก็ได้มีบทบาท ตนเพอ่ื ความเจริญกาวหนาของพระพทุ ธ- ส�าคัญในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในนามของ ศาสนามาเปนเวลานาน ทานไดรเิ รม่ิ องคก์ ารฯ อยเู่ สมอ เชน่ การประชมุ ทางวชิ าการ งานสําคัญในหลายเรอ่ื ง เชน การพัฒนา การตอบปัญหาธรรมะ การอภิปราย และ สภาการศึกษามหามกฏุ ราชวิทยาลยั เปน การจัดกิจกรรมการสอนวิปัสสนาโดยพระภิกษุ มหาวทิ ยาลัยสงฆ การกอ ตงั้ และสง เสริม ชาวตา่ งประเทศ แต่เนอื่ งจากอุปนิสยั ของท่าน ยุวพุทธิกสมาคมแหง ประเทศไทย และ เป็นผู้ถ่อมตัว สันโดษ และไม่ใส่ใจในลาภยศ องคก ารพทุ ธศาสนกิ สมั พนั ธแหงโลก) สรรเสริญ เช่นปุถุชนท่ัวไป ท่านจึงมักท�างาน อยู่เบ้ืองหลังความส�าเร็จของหน่วยงานและ • ส่ือสําหรับเผยแผพระพุทธธรรมแนวใหม ไมเ่ ดน่ ดงั เปน็ ทรี่ จู้ กั เชน่ ผทู้ ที่ า� งานออกหนา้ ทวั่ ไป อาจารยส์ ชุ พี ปญุ ญานภุ าพ ผอู้ ทุ ศิ ตนเพอ่ื พระพทุ ธศาสนา ของอาจารยส ชุ พี ปญุ ญานภุ าพ เกดิ ข้นึ จาก แนวคดิ ใด 55 (แนวตอบ แนวคดิ ในการแตง นยิ ายอิงธรรมะ จากการแปลนยิ ายกามนติ วาสิฏฐี โดย ทา นคิดวาหากนาํ เรอ่ื งราวในพระสตู รตางๆ ในพระไตรปฎกมาแตงเปนนิยายกจ็ ะได ประโยชนทั้งในดานประวัติศาสตรพระพุทธ- ศาสนา และหลกั ธรรมฝายเถรวาท) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครมู อบหมายใหน ักเรยี นอา นนวนยิ ายอิงธรรมะทีแ่ ตงโดยอาจารยส ุชพี ครูอาจใหนักเรยี นชวยกนั วเิ คราะหถงึ ความสอดคลอ งของแนวทางในการทํางาน ปุญญานุภาพ เชน ใตร มกาสาวพัสตร อาทิตยขนึ้ ทางตะวันตก และการปฏบิ ตั ติ นของอาจารยส ชุ พี ปญุ ญานภุ าพ กบั หลกั ธรรมทน่ี กั เรยี นเคยศกึ ษามา หรือกองทพั ธรรม มาอยา งนอ ย 1 เร่อื ง แลว สรปุ สาระสาํ คัญสงครูผสู อน มุม IT กิจกรรมทา ทาย ศกึ ษาคนควาขอ มูลเกีย่ วกับประวตั คิ วามเปนมาและการดาํ เนินงานขององคก าร ครูมอบหมายใหนกั เรียนอา น สรุปสาระสําคญั และวเิ คราะหแ นวคดิ พุทธศาสนกิ สมั พนั ธแ หง โลกเพิ่มเตมิ ไดท ่ี http://www.wfbhq.org/ เวบ็ ไซต จากนวนยิ ายองิ ธรรมะท่ีแตงโดยอาจารยสุชีพ ปุญญานภุ าพ เชน องคการพทุ ธศาสนิกสัมพันธแหงโลก (พ.ส.ล.) ใตรม กาสาวพัสตร อาทิตยข้นึ ทางตะวันตก หรือกองทพั ธรรม มาอยางนอ ย 1 เรื่อง แลวบันทึกเปนผลการศกึ ษาวเิ คราะหสงครูผูสอน คูมอื ครู 55
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Engaae Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู นกั เรียนกลมุ ท่ีรับผิดชอบชวยกันตอบคาํ ถาม ๒) คณุ ธรรมทค่ี วรถือเปน็ แบบอย่ำง เชน ๒.๑) เป็นผู้ใฝ่รู้เป็นอย่ำงยิ่ง อาจารย์สุชีพเป็นเปรียญ ๙ ต้ังแต่อายุพรรษา • การไดรับสมญานามวาเปน ตูพระไตรปฎ ก ยังน้อย เป็นผู้ฝักใฝ่ศึกษาพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ได้น�าเอา เดนิ ได ของอาจารยส ุชพี ปุญญานุภาพ เกดิ หลกั ธรรมมารจนา1เปน็ นยิ ายอิงธรรมะหลายเลม่ อันเปน็ แนวทางใหมแ่ ห่งการประยุกต์ธรรม เช่น จากคณุ ธรรมที่ควรถือเปนแบบอยางใด ใต้รม่ กาสาวพสั ตร์ เชงิ ผาหมิ พานต์ ฯลฯ (แนวตอบ สมัยพุทธกาลพระอานนทไดรับการ ยกยองจากพระพุทธเจา ใหเ ปน เอตทัคคะใน ด้วยความเป็นผู้ใฝ่รู้ท�าให้ท่านได้อ่านงานเขียนของปราชญ์ตะวันตกมามาก 5 ดา น หน่งึ ในน้ันคอื การมีคติ หมายถึง มี ได้อา่ นนยิ ายอิงธรรมะของนายคาร์ล เยลเลรูป เร่ือง The Prilgrim Kamanita (กามนติ วาสฏิ ฐี) แนวแหงการจาํ พทุ ธวจนะทด่ี ี ซง่ึ แนวในการ ได้เห็นนักปราชญ์ตะวันตกแต่งนิยายอิงธรรมะ โดยน�าเอาข้อมูลจากคัมภีร์พระพุทธศาสนา จาํ ของทาน คือ การสรุปเน้อื หา หรือแตง มาปะตดิ ปะต่อแตง่ เรอ่ื งขึ้น ทา่ นมาคิดวา่ ถา้ หากจะแตง่ เรอ่ื งท�านองเดียวกนั โดยเอาพระสตู รต่างๆ เปน ฉันทเพื่อใหจ าํ งา ย) ขยายความเขา ใจ Expand จากพระไตรปิฎกมาเป็นข้อมูลจะได้ประโยชน์สองด้าน คือ ด้านประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา และหลกั ธรรมฝ่ายเถรวาท จึงได้แต่ง “ใต้ร่มกาสาวพัสตร์” และเลม่ อื่นๆ ข้ึนเป็นสอ่ื ส�าหรบั สอน ครูใหนักเรียนศึกษาคนควา เพม่ิ เติมเกยี่ วกบั พระพุทธธรรมแนวใหม่ท่ีได้รับความนยิ มโดยท่ัวไป ประวัตแิ ละผลงานของพทุ ธสาวก พทุ ธสาวกิ า ๒.๒) เป็นพหูสูต ทา่ นมีเทคนิคการจ�าพุทธวจนะได้ดเี ยยี่ ม ทา่ นไดศ้ ึกษาคน้ คว้า หรอื ศาสนกิ ชนตัวอยางที่ตนสนใจจากแหลง การ เรยี นรอู นื่ นอกจากหนงั สอื เรยี น จากนั้นวิเคราะห พระไตรปิฎกจนแตกฉาน และใช้ความรู้น้ันแต่งหนังสือ พระไตรปิฎกฉบับประชาชน แสดงถึง ขอคิดและแบบอยา งการดําเนินชวี ติ ทไี่ ดจากการ ความปราดเปรอื่ งในทางพระพทุ ธศาสนาอย่างยอดเยย่ี ม ศึกษาประวัตแิ ละผลงานของทานน้ัน แลว จดั ทาํ เปนบทวิเคราะหค วามยาวไมตา่ํ กวา 1 กระดาษ การที่ท่านเป็นพหูสูต ทรงจ�าพุทธวจนะได้มากมาย ดังสมญานามยกย่อง A4 พรอมบัตรคําหรอื แถบประโยคขอคิดหรอื แบบ ว่าเป็น “ตู้พระไตรปิฎกเดินได้” เพราะท่านมีเทคนิควิธีในการจดจ�า ท่านเล่าว่า พระอานนท์ อยา งการดาํ เนินชีวติ หลักท่ไี ดจากการศกึ ษา พุทธอนุชานั้นได้รับการยกย่องใน “เอตทัคคะ” (ความเป็นเลิศกว่าผู้อ่ืน) ๕ ประการ หนึ่งใน ๕ ประการนั้นคือ “มีคติ” หมายถึง มีแนวแห่งการจ�าพุทธวจนะได้ดี ท่านอาจารย์สุชีพ ก็คิด หาวธิ จี �าพุทธวจนะตามแนวทางพระอานนท์ คอื ท่านจะสรุปเนอ้ื หาโดยใชอ้ ักษรย่อ หรือโดยแตง่ ตรวจสอบผล Evaluate เป็นฉนั ทเ์ พ่ือใหจ้ �าได้ ๒.๓) เป็นครูที่ดี สมัยบวชอยู่ อาจารย์สุชีพเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงและ ครูคัดเลอื กบทวิเคราะหขอ คิดและแบบอยาง การดําเนนิ ชวี ิตทไ่ี ดจากการศึกษาประวตั แิ ละผล นกั แสดงปาฐกถาชน้ั ยอด เมอื่ ลาสกิ ขามาแลว้ กเ็ ปน็ อาจารยส์ อนทม่ี หาวทิ ยาลยั สงฆ์(มหามกฏุ ราช- งานของพทุ ธสาวก พุทธสาวิกา หรือศาสนิกชน วิทยาลัย) จนกระทงั่ สน้ิ ชวี ิต ทา่ นเป็นครทู ม่ี ีจติ วญิ ญาณของความเป็นครอู ย่างแท้จริง คอื ต้งั ใจ ตวั อยา ง และบัตรคําหรือแถบประโยคของนกั เรยี น ประสิทธิประสาทความรู้ มีความสุขใจที่ได้ให้ความรู้แก่ศิษย์ ความเป็นครูของท่านมิใช่อยู่ใน ท่ดี ี แลว นํามาใหน กั เรยี นชว ยกนั ตรวจอกี ครง้ั ชั้นเรียน หากอยู่นอกช้ันเรียนด้วย กระท่ังอยู่ท่ีบ้านก็มีผู้ไปปรึกษาขอความรู้และค�าแนะน�าจาก โดยพิจารณาจากความถูกตอ งเหมาะสมของบท ท่านเสมอมิได้ขาด เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์สุชีพจึงมี “ศิษย์” ที่เคารพนับถือในตัวท่านทั่วไป วเิ คราะหแ ละบตั รคาํ หรือแถบประโยค จากนนั้ ทุกร่นุ ทุกวยั ก็วา่ ได้ จัดแสดงบตั รคาํ หรอื แถบประโยคในบริเวณที่ เหมาะสมในชน้ั เรียน 56 นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนสามารถนาํ แบบอยา งการประพฤตปิ ฏิบตั ติ นของอาจารยส ชุ พี 1 กาสาวพสั ตร ผา ทย่ี อ มดว ยรสฝาด ผา ยอ มนา้ํ ฝาด คอื ผา เหลอื งสาํ หรบั พระ ปญุ ญานุภาพ ในขอ ใดมาใชเ พอื่ พฒั นาผลการเรียนของตน ปจ จุบันนิยมใชใ นความหมายเชิงนามธรรม หมายถึง หลกั ธรรมคําสอนของ 1. การมจี ิตวญิ ญาณแหงความเปน ครู พระพทุ ธเจา เชน ใตรมกาสาวพัสตร เปน ตน 2. การมีแนวแหง การจาํ พุทธวจนะท่ีดี 3. การปฏิบตั ิตนเปน ดัง่ ตพู ระไตรปฎ กเดินได มุม IT 4. การศึกษาเปรียบเทียบขอความรูตางๆ เพื่อใหไ ดความรูใ หม วิเคราะหค ําตอบ การพฒั นาผลการเรยี นของนักเรยี นตองอาศยั หลกั ศึกษาพระไตรปฎกฉบบั ประชาชนของอาจารยส ชุ ีพ ปุญญานภุ าพเพ่ิมเติมไดท ่ี การเรยี นรูตงั้ แตข ้นั พืน้ ฐาน คือ การจําเน้ือหาสาระสําคญั ตลอดจนราย http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/ เวบ็ ไซตลานพระพทุ ธศาสนา ละเอยี ดของวิชาตางๆ ไดด ี ดงั นั้นการมแี นวแหง การจําพทุ ธวจนะทดี่ ีของ อาจารยสชุ พี ปญุ ญานุภาพ จงึ เปน แบบอยางในการประพฤตปิ ฏิบตั ิเพื่อ พฒั นาผลการเรียนได ดังน้นั คาํ ตอบคือ ขอ 2. 56 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๔. ชาดก เรอ่ื งราวของพระโพธิสัตว1์ท่ีบ�าเพ็ญบารมี เพื่อจะไปเสวยชาติเป็นพระพุทธเจ้า ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับทศชาตชิ าดก ของพระพทุ ธเจา แลว ใหน กั เรยี นดภู าพพระเวสสนั ดร ชำดก คอื พระราชทานชางปจ จยั นาเคนทรจ ากหนงั สือเรียน หนา 57 จากนั้นต้ังคาํ ถามเพอ่ื กระตุน ความสนใจ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั เลา่ ไวใ้ นสตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทก- ใหนกั เรียนชวยกนั ตอบ เชน นิกาย มีท้งั หมด ๕๔๗ เรอ่ื ง แต่ในช้นั นี้จะขอ • นักเรยี นคดิ วาการประทานพระชายา เสนอเพยี ง ๑ เรอื่ ง คือ เวสสันดรชาดก พระโอรสธิดา รวมถึงชา งปจ จยั นาเคนทร คบู า นคูเมอื งของพระเวสสันดรเพือ่ บําเพ็ญ เวสสนั ดรชาดก ทานบารมีเปน พระพทุ ธเจาน้ันเหมาะสม หรอื ไม อยางไร พระโพธสิ ตั วถ์ ือกา� เนิดเป็นพระเวสสันดร พระราชโอรสพระเจ้าสัญชัย กษัตริย์ผู้ครอง นครเชตุดร แคว้นสีพี เพื่อบ�าเพ็ญทานบารมี สาํ รวจคน หา Explore พ ร ะ อ ง ค ์ ไ ด ้ พ ร ะ ร า ช ท า น ช ้ า ง ป ั จ จั ย นา ค แ ก ่ พราหมณ์ท้ังแปดแห่งเมืองกลิงครัฐ เพื่อช่วย พระเวสสันดรพระราชทานช้างปัจจัยนาค หรือปัจจัย ครูใหนกั เรยี นรวมกลมุ กัน กลุมละ 3-4 คน ใหฝ้ นตกตอ้ งตามฤดกู าล บรรเทาความอดอยาก นาเคนทร์ เพอ่ื หวงั ชว่ ยเหลอื ประชาชนในเมอื งกลงิ ครฐั เพื่อแบงหนาท่ีกนั ศึกษาเวสสนั ดรชาดกจากหนงั สอื ของชาวเมือง ซ่ึงเป็นเหตุให้พระองค์ต้อง เรยี น หนา 57-61 และจากแหลง การเรยี นรอู น่ื เชน ถูกเนรเทศออกจากเมืองตามแรงผลักดันของ หนังสอื เวสสนั ดรชาดกสาํ นวนตา งๆ แลว ผลดั กนั ประชาชน เลา ตอนท่ีตนทศ่ี ึกษามาใหเ พือ่ นรว มกลมุ ฟง พระนางมัทรี กบั พระราชโอรสและพระธดิ า คอื ชาลีและกณั หา ได้ตามเสด็จไปด้วย ไปอยู่ อธบิ ายความรู Explain ในอาศรมในปา่ ตลอดเวลาทท่ี รงบา� เพญ็ พรตอยู่ในป่า พระเวสสนั ดรทรงคิดเสมอทีจ่ ะหาทางช่วย ครตู งั้ คาํ ถามเก่ียวกบั เวสสันดรชาดกแลว สุมให พระชายา พระโอรสธิดากลับไปยังบ้านเมืองตามเดิม เพราะไม่อยากให้ทั้ง ๓ พระองค์ประสบ นกั เรยี นแตล ะกลมุ ชว ยกนั ตอบ เชน ความลา� บากเหมอื นกับพระองค์ • สาเหตทุ ่ที าํ ใหพระเวสสนั ดรถกู เนรเทศออก เรื่องนา่ รู้ จากเมอื งเชตุดรคอื อะไร (แนวตอบ พระเวสสนั ดรเปน พระราชโอรส เวสสันดรชาดก ของพระเจา สญั ชยั กษตั รยิ ผ คู รองกรงุ เชตดุ ร แควนสีพี ถกู เนรเทศออกจากเมอื ง มูลเหตุท่ีตรัสเร่ืองเวสสันดรชาดก เกิดจากเม่ือคร้ังท่ีพระพุทธองค์เสด็จกรุงกบิลพัสด์ุเพ่ือทรงเย่ียมพระราชบิดา เนือ่ งจากพระองคบําเพ็ญทานบารมีโดย โดยขณะท่ปี ระทับอย่ทู ่นี ิโครธาราม บรรดาญาติได้เข้ามาเฝ้าแต่ก็มีใจกระด้างถือตน ไม่ยอมน้อมไหว้ พระพุทธองค์จึง ทรงแสดงให้เกิดฝนโบกขรพรรษ ภิกษุท้งั หลายเม่ือเห็นเหตุดังน้นั จึงทูลถามถึงเหตุอัศจรรย์ท่เี กิดข้นึ พระพุทธองค์จึง ตรสั วา่ ฝนนเ้ี คยตกมาแลว้ ครง้ั หนง่ึ เมอ่ื ครง้ั พระองคย์ งั เปน็ พระโพธสิ ตั วแ์ ละเสวยพระชาตเิ ปน็ พระเวสสนั ดร พระราชทานชางปจจัยนาเคนทรสงิ่ สําคัญคู บานคูเมืองใหแกพ ราหมณท ั้งแปดจากกลงิ ค- รัฐ โดยตองการชว ยเหลอื ชาวกลิงครัฐใหฝน ฟาตกตอ งตามฤดกู าลพน จากความอดอยาก 57 ลมตาย ชาวเมอื งเชตุดรจึงไมพอใจกดดันให พระราชบิดาตองจําใจเนรเทศพระองคพรอม ดวยพระชายาและโอรสธดิ าออกจากเมือง) ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู ขอ คดิ ท่ีไดจากการบําเพ็ญทานบารมขี องพระเวสสันดรแตถูกมองวา เปน 1 พระโพธิสตั ว แปลวา ผขู อ งอยูในโพธ์ิ คือ ผจู กั ไดต รสั รเู ปน พระพุทธเจาใน คนไมร บั ผิดชอบหรอื เหน็ แกตวั คืออะไร เบ้ืองหนา ซ่งึ มหายานแบงโพธสิ ตั วอ อกเปน 2 ประเภท คือ พระฌานโิ พธิสัตว เปน พระโพธิสตั วผ ูบาํ เพญ็ บารมีบริบูรณครบถว นแลว และสําเรจ็ เปน พระธยานโิ พธิสตั ว 1. ความจรงิ เปน ส่ิงไมตาย หรอื พระโพธสิ ัตวใ นสมาธิโดยยับย้ังไวย ังไมเ สดจ็ เขาสพู ุทธภูมิ เพ่อื จะโปรดสรรพ 2. การทาํ ดแี ตเดนมักเปนภัย สัตวตอไปอกี ไมมีทส่ี นิ้ สุด พระธยานโิ พธสิ ัตวน้ีเปนทพิ ยบุคคลทีม่ ีลักษณะดงั หนงึ่ 3. ความเช่ือมัน่ ในการทําความดี เทพยดา มคี ณุ ชาติทางจิตเขาสภู ูมิธรรมขน้ั สูงสุดและทรงไวซ ึ่งพระโพธิญาณอยา ง 4. การทําความดมี ักมีมารมาผจญ มน่ั คง จงึ มสี ภาวะท่ีสงู กวาพระโพธสิ ตั วท ัว่ ไป พระฌานิโพธิสตั วท ่สี ําคญั เชน วเิ คราะหคาํ ตอบ พระเวสสันดรทรงบาํ เพ็ญทานบารมโี ดยการใหช าง พระอวโลกเิ ตศวรโพธิสัตว พระมญั ชศุ รโี พธสิ ตั ว และพระมานษุ ิโพธิสตั ว เปน ปจ จัยนาเคนทรแ กพ ราหมณท ั้งแปดจากกลงิ ครัฐ เพื่อชว ยเหลอื ชาวแควน พระโพธิสัตวท อี่ ยใู นสภาพมนษุ ยทัว่ ไป หรอื เปน สงิ่ มชี ีวติ ในรปู แบบอ่ืนๆ ยังตองฝก นั้นใหพ น จากความอดอยากยากแคน เน่อื งจากฝนไมต กตองตามฤดกู าล อบรมตนเอง และทําหนา ที่ชว ยเหลอื ผอู นื่ ไปพรอมๆ กัน เปนผูที่กาํ ลังบาํ เพญ็ ส่ังสม สว นชาวแควน ของพระองคเ องน้นั ทรงเหน็ วา มีความเปน อยูทสี่ งบสุข มี บารมีอันยงิ่ ใหญเพือ่ พระโพธญิ าณอันประเสริฐ ถาตามมติของฝา ยเถรวาทก็คอื ความอุดมสมบูรณเ พยี งพอแลว จึงโดนเนรเทศท้งั ครอบครวั ออกจากเมอื ง ผทู ่ยี ังเวียนวายอยใู นวฏั สงสารเพื่อบาํ เพญ็ ทศบารมี 10 ประการใหบ ริบรู ณ การกระทําพระองคจ ึงแสดงถึงความเชือ่ มน่ั ในความดีอยา งยิ่งยวด ดงั น้ัน เหมอื นเมอ่ื คร้ังสมเดจ็ พระผูม พี ระภาคไดทรงกระทํามาในอดตี คาํ ตอบคอื ขอ 3. คูมอื ครู 57
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครูตัง้ คําถามเกีย่ วกบั เวสสันดรชาดกแลวสุมให พอดีมีพราหมณ์เฒ่านามชูชก1 ได้บุกป่ามาขอกัณหา ชาลี โดยพราหมณ์ผู้นี้เป็น นกั เรยี นแตละกลุมชว ยกันตอบ เชน ชาวเมืองกลิงครัฐ เนื่องจากให้เพื่อนพราหมณ์คนหน่ึงยืมเงิน คร้ันไปทวงก็ปรากฏว่าพราหมณ์ เพ่ือนกันน้ันได้ใช้เงินจ�านวนน้ันหมดแล้ว พราหมณ์เพ่ือนกันจึงยกนางอมิตดา บุตรสาวของตน • ชูชกคือใคร และมาขอพระโอรสธดิ า ให้ชชู ก ชูชกกด็ ีใจไม่คิดทจ่ี ะทวงหนอี้ กี ต่อไป กณั หาและชาลจี ากพระเวสสนั ดรไดอยา งไร อธบิ ายพอสงั เขป เม่ือนางอมติ ดาไปอยกู่ ับสามี นางก็ปรนนิบตั ิสามีอย่างดไี มข่ าดตกบกพรอ่ ง จนเลา่ ลอื เปน็ (แนวตอบ ชชู กเปน พราหมณเ ฒา จาก ท่ีอิจฉาแก่เพ่ือนบ้านที่มักไม่สนใจท�ากิจบ้านงานเรือน เป็นเหตุให้เหล่าสามีดุด่าทุบตีท่ีบรรดา กลิงครัฐถกู ภรรยา คอื นางอมติ ดาบังคบั ให ภรรยาของพวกตนไม่รู้จักเอาอย่างนางอมิตดา เมื่อนางอมิตดาไปตักน้�า พวกหญิงทั้งหลายจึง มาขอกัณหาชาลี พระโอรสธดิ าของ รุมด่า เยาะเย้ยเสียดสีให้อับอาย นางจึงบังคับให้ชูชกสามีแก่ไปขอสองกุมาร คือ กัณหา ชาลี พระเวสสันดรไปชวยงานบานของนาง มาเป็นข้ารับใช้ ตนจะได้ไม่ถูกพวกหญิงชาวบ้านเยาะเย้ยถากถางอีกต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เน่อื งจากนางไมอ ยากถกู หญิงชาวบา นที่ ชูชกจึงเดินทางมุ่งหน้าไปยังเขาวงกต อันเป็นสถานที่บ�าเพ็ญพรตของพระเวสสันดร และกล่าว รษิ ยาพูดจาดูถกู เยาะเยย ถากถาง ชูชก อ้างกับพรานเจตบุตร ผู้เฝ้าทางและอัจจุตฤๅษีว่าตนถือสารมาทูลเชิญพระเวสสันดรกลับเมือง จึงเดนิ ทางไปยังเขาวงกตท่พี ระเวสสันดร ท้ังสองหลงเชื่อจงึ ชีบ้ อกทางไปส่อู าศรมพระเวสสันดร บาํ เพ็ญพรตอยูโดยใชอ ุบายหลอกพราน เจตบุตร ผเู ฝา ทางและอัจจตุ ฤๅษวี า ตนนํา เมื่อชูชกเอ่ยปากขอสองกุมาร พระโพธิสัตว์จึงประทานให้ตามท่ีขอ โดยต้ังค่าสินไถ่ไว้ สารมาทูลเชิญพระเวสสนั ดรกลับเมอื ง สงู มาก คอื ชาลีมีค่าเป็นทองพนั แท่ง กณั หาเป็นทองร้อยแทง่ รวมช้างม้ารถทาสหญิงชายอย่าง จงึ เดนิ ทางไปพบพระเวสสันดรและทลู ขอ ละรอ้ ย ชูชกพอรูว้ ่ากุมารท้ังสองมีราคาสงู เช่นนน้ั กเ็ ปล่ียนใจ ไม่พาไปหาภรรยา กลับพาไปเมอื ง พระโอรสธิดาไดส าํ เร็จ) เชตุดร แคว้นสีพี พระเจ้าปู่คือพระเจ้าแคว้นสีพีทรงไถ่สองกุมารน้ันไว้ เป็นอันว่าสองกุมารได้ กลบั มายังเมืองมาตุภูมิตามเดิม หลังจากประทานสองกุมารให้ชูชกได้ไม่นาน ก็มีพราหมณ์แต่งตัวสะอาดสะอ้าน ท่าทาง ภูมิฐาน ปรากฏตัวขึ้นมาทันที เอ่ยปากขอนางมัทรี พระโพธิสัตว์ทรงนึกอยู่ในใจว่าพราหมณ์ คนนคี้ งมใิ ชค่ นธรรมดา อยๆู่ กป็ รากฏตวั มาขอนางมทั รี จงึ เอย่ ปากประทานใหต้ ามทข่ี อ ทนั ใดนน้ั พราหมณ์แปลงก็ส�าแดงภาวะแท้จริงของตนใหป้ รากฏ กล่าววา่ “เราคอื ทา้ วสกั กเทวราช มาทีน่ ่ี เพอื่ ชว่ ยใหพ้ ระโพธสิ ตั วบ์ า� เพญ็ ทานถงึ ขนั้ ปรมตั ถบารมี เพอ่ื จะไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในอนาคต ขออนโุ มทนาด้วย” วา่ แลว้ ก็หายวับไปกับตา จากน้ันไม่นาน พระเจ้าแคว้นสีพีก็ได้ส่งกองทัพมาอัญเชิญพระเวสสันดรเสด็จนิวัติ พระนคร รับสบื ทอดสมบตั ิจากพระราชบิดา ปกครองประเทศให้สงบสขุ รม่ เย็นตลอดพระชนมชพี มักจะมีผู้เข้าใจผิดว่า พระเวสสันดรเป็นผู้ไม่รับผิดชอบครอบครัวและบ้านเมือง ถึงกับ บริจาคชายา และพระโอรสธิดาให้เป็นทาน คล้ายกับตัดภาระการดูแลครอบครัวในฐานะที่เป็น 58 เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชือ่ มสาระ ครสู ามารถจดั กิจกรรมการเรียนรูโดยใหน กั เรียนศกึ ษาเวสสนั ดรชาดก ครอู าจสอบถามความคิดเห็นเกีย่ วกับแนวทางการปฏบิ ัติของนักเรยี นโดยสมมติ เพ่ิมเติมจากแหลงการเรียนรูอ่ืนๆ แลวชว ยกันวเิ คราะหข อ คดิ ท่ไี ด คณุ คา ใหน กั เรยี นเปน พระเวสสนั ดร พระนางมทั รี พระกณั หาและพระชาลี ชชู ก นางอมติ ดา ดานวรรณศลิ ป ตลอดจนวเิ คราะหแ ละวิจารณต ามหลักการวจิ ารณเ บ้อื งตน พระเจาสัญชัย และตอ งเผชิญกบั เหตุการณต า งๆ ดงั ท่ีปรากฏในชาดก พรอ ม จากนัน้ ชวยกันจดั ปา ยนิเทศเผยแพรค วามรู ตกแตง ใหส วยงาม เปน การจดั ยกเหตุผลประกอบ กจิ กรรมการเรยี นรบู ูรณาการกลุมสาระการเรยี นรภู าษาไทย วิชาวรรณคดี และวรรณกรรม เร่อื งคุณคา ของวรรณคดีและวรรณกรรมดา นวรรณศลิ ป นกั เรียนควรรู และหลักการวิจารณเ บ้ืองตน 1 ชชู ก เปน ตวั อยา งทดี่ ขี องบคุ คลทม่ี คี วามโลภ ขอ คดิ สาํ คญั ทว่ี เิ คราะหจ ากชชู ก ไดแก ของไมค คู วรยอมมปี ญหา โดยตําราหิโตปเทศ (หนงั สือทกี่ ลา วถงึ เรือ่ ง ของสนั ดานคนดว ยวิธีเลา นิทานซอนนิทาน) กลาววา “…ความรเู ปนพิษ เพราะเหตุ ที่ไมใ ช อาหารเปน พิษ เพราะเหตุไฟธาตุไมย อย ปราสาทเปนพษิ สําหรบั ทุคคตะ เมียสาวเปน เพราะผัวแก ฉะนั้นไมควรริเปน ววั แกท ่ีคิดจะเคยี้ วหญาออ น...” 58 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู หัวหน้าครอบค1รัว แสดงถึงความเป็นคนเห็นแก่ตัว และเอาตัวรอดเพียงคนเดียว กระทั่งช้าง ครูต้งั คาํ ถามเกีย่ วกบั เวสสนั ดรชาดกแลว สุม ให ปัจจัยนาเคนทร์ช้างคู่บ้านคู่เมือง ก็ยังถือวิสาสะบริจาคให้แก่พราหมณ์ท้ังแปดแห่งเมืองกลิงครัฐ นักเรียนแตละกลมุ ชวยกันตอบ เชน แสดงถงึ ความไมร่ ับผิดชอบตอ่ สว่ นรวม • หลงั จากพระเวสสันดรพระราชทาน ความเข้าใจผิดและการกล่าวหาในท�านองน้ีมีมาช้านาน จนกระทั่งเชื่อกันส่วนมาก พระโอรสธิดาใหช ูชกแลวเกิดเหตกุ ารณใ ด วแ่าสพดฤงถตึงิกทรรามนขบอารงมพีระพเรวะสเสวันสดสัรนไดมร่คไวดร้ทเรองาบเย�าี่ยเพงอ็ญยท่าางนบแาตร่จมรีจิงๆนถแึงขล้ัน้วหสาูงเสปุด็นคเือช่น“นป้ันรไมมัต่ ถชบาาดรกมนี2”้ี ขน้ึ บา ง ด้วยการประทานชายา พระโอรสธิดาให้เป็นทาน ซ่ึงแทนท่ีจะเป็นการเห็นแก่ตัว เอาตัวรอด (แนวตอบ ชชู กเกิดเปล่ยี นใจไมพ าพระโอรส เพยี งคนเดียว กลับแสดงถึงความเปน็ ผเู้ สยี สละอย่างยง่ิ ยวด ด้วยเหตผุ ลดังต่อไปน้ี ธดิ ากลับไปใหน างอมติ ดา เนื่องจาก พระเวสสนั ดรตง้ั คา สินไถพ ระโอรสธดิ าไวส ูง ๑. พระเวสสันดรเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ต้ังปณิธานเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพ่ือที่จะได้ มาก ชชู กจงึ พาพระโอรสธดิ าของพระเวสสนั ดร สามารถช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งปวงให้พ้นจากความทุกข์ คือ การเวียนว่ายตายเกิดใน ไปยังเมอื งเชตดุ ร แควน สพี ี จนพระเจาปู วัฏสงสาร การเคล่ือนไหวของพระโพธิสัตว์ทุกขั้นตอนเป็นการเคล่ือนไหวแห่งมหากรุณา ของกณั หา ชาลี ทรงไถกมุ ารท้งั สองไว ใน ต่อชาวโลกท้ังน้ัน แทนที่จะถูกมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ตรงข้ามกลับเป็นการเสียสละ ทสี่ ุดกัณหา ชาลีกไ็ ดก ลับสูบานเกดิ เมือง อันย่งิ ใหญ่เพ่อื ประโยชนแ์ กม่ วลมนษุ ย์ นอนตามเดมิ ทางดา นพระเวสสนั ดร กไ็ ดพบกับพราหมณท ่ปี รากฏตัวขน้ึ ทลู ขอ ๒. พระเวสสันดรบริจาคช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้เป็นทานแก่พราหมณ์ท้ังแปดจากแคว้น พระชายามทั รี พระเวสสนั ดรทรงพจิ ารณา กลิงครัฐ ก็เพราะความกรุณาสงสารชาวเมืองกลิงครัฐ ท่ีต้องเผชิญกับภาวะข้าวยาก แลว จงึ พระราชทานพระนางมทั รี หมากแพง ทรงเห็นว่าเมืองเชตุดรของพระองค์ ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีความอุดม ใหต ามท่ีพราหมณผนู นั้ ขอ พราหมณจึง สมบูรณอ์ ยู่แล้ว ถึงจะไมม่ ชี ้างปจั จัยนาเคนทร ์ บา้ นเมอื งก็อยูไ่ ดอ้ ย่างอดุ มสมบรู ณ์ แต่ถ้า สําแดงภาวะแทจ ริงของตนแลวกลา ววา ตน ชาวเมอื งกลิงครัฐไม่ได้ช้างปจั จยั นาเคนทร์ ฝนก็ไม่ตกตอ้ งตามฤดกู าล ผู้คนคงอดอยาก มาชวยพระเวสสันดรผูเ ปนพระโพธสิ ัตวไ ด ล้มตายเป็นจำานวนมาก ถ้าคนเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่บ้านเมืองของตน คงจะไม่ให้ช้าง บาํ เพ็ญทานถงึ ขัน้ ปรมตั ถบารมจี ักไดเปน ท่ีมีคุณค่ามหาศาลแก่บ้านเมืองอ่ืน แต่เพราะพระเวสสันดรโพธิสัตว์เป็นผู้เห็นแก่สัตว์โลก พระพทุ ธเจาในอนาคต) ทัง้ ปวง จงึ ประทานชา้ งใหแ้ กช่ าวเมืองกลงิ ครฐั ไป ๓. เม่ือครั้งถูกเนรเทศจากเมือง พระเวสสันดรไม่ต้องการให้พระชายาและพระโอรสธิดาไป ตกระกำาลำาบากด้วย ทรงหาทางส่งพระชายาและพระโอรสธิดากลับยังเมืองเชตุดรเสมอ เพียงยังคงรอโอกาสเหมาะเทา่ น้นั เอง เมื่อทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ชูชก ก็ทรงมองออกว่าเป็นคนงก จึงวางแผนด้วยความ ชาญฉลาดเพื่อสง่ พระโอรสธดิ ากลับเมอื ง ดว้ ยการตัง้ คา่ ไถส่ องกมุ ารไวส้ ูงมาก พราหมณ์ชูชกพอเห็นเงินมากมายมหาศาลก็ลืมนางอมิตดา นึกถึงพระเจ้ากรุงเชตุดร แควน้ สีพขี ึน้ มาทนั ที จึงจงู สองกมุ ารมงุ่ หนา้ ไปยงั เมืองเชตดุ ร กรงุ สพี ี เพื่อเก็บค่าไถ่สองกมุ าร 59 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู ชูชกเปนตัวอยางของผูไดรบั ความเดอื ดรอนจากอกศุ ลมูลใด 1 ชา งปจ จัยนาเคนทร หรอื ชางปจจัยนาค เปนลูกนางชา งอากาศจารนิ ี 1. โลภะ โทสะ (ชางท่ีทองเท่ยี วไปในอากาศ) นางชา งผูเปนมารดาทอ งเทีย่ วมาถงึ แควน สีพีไดนาํ 2. โมหะ โลภะ ลกู ชางเผอื กขาวผอ งมาไวใ นโรงชา งตน ของพระเจากรุงสญั ชยั ในวนั เดียวกบั ที่ 3. อจิ ฉา ริษยา พระเวสสันดรประสตู ิแลว นางชางผเู ปน มารดาก็จากไป ชางปจ จัยนาเคนทรจงึ เปน 4. ตัณหา ราคะ ชางคูบุญบารมขี องพระเวสสันดรโดยแท 2 ปรมตั ถบารมี แปลวา บารมียอดเยยี่ ม บารมีสงู สุด เชน การสละชีวติ เปน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. โมหะ โลภะ เนื่องจากชชู กเปนคนทีห่ ลง ทานบารมี สําหรบั ทานขัน้ รองเรยี กวา อปุ บารมี เปนบารมขี นั้ จวนสูงสดุ คอื บารมี ท่ีบําเพญ็ ยิง่ กวาบารมตี ามปกติ แตก ็ยังไมถ งึ ทสี่ ุดทจ่ี ะเปนปรมัตถบารมี เชน การ ในคําพูดและการกระทาํ ของนางอมติ ดาผูเปน ภรรยาจนไปขอสอง สละทรัพยภ ายนอกเปนทานบารมี เปนตน พระกุมาร จากนั้นเม่ือพระเวสสันดรพระราชทานพระกณั หา พระชาลที ่ี ตง้ั คา สินไถส งู ใหแลว ก็เกดิ ความโลภ ไมนาํ กลับไปใหนางอมิตดากลบั นํา ไปใหพระเจา สัญชยั ผเู ปนพระเจา ผูแ ทนดวยหวงั คา สนิ ไถน ้นั ในทส่ี ุด พระเจาสญั ชัยกป็ รนเปรอชชู กดวยอาหารจนตาย คมู อื ครู 59
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครตู ้งั คําถามเกี่ยวกับเวสสนั ดรชาดกแลวสุมให เสริมสาระ นกั เรยี นแตล ะกลมุ ชวยกันตอบ เชน ชาดก เป็นเรือ่ งราวของพระพุทธเจา้ ทม่ี มี าในชาติก่อนๆ โดยมหาเวสสนั ดรชาดก เปน็ หนงึ่ ในสบิ ชาตสิ ุดทา้ ย • เพราะเหตุใดการพระราชทานสิง่ สําคญั ก่อนที่พระองค์จะมาประสูติเป็นพระพุทธเจ้า และเป็นชาติท่ีบำาเพ็ญบารมีอันย่ิงใหญ่ครบ ๑๐ ประการ ซึ่งแต่ละชาติ ตา งๆ ของพระเวสสนั ดรจงึ ถือเปนการ พระองค์ทรงบำาเพญ็ บารมแี ตกต่างกัน ดังนี้ บําเพ็ญทานจนถงึ ขนั้ ปรมตั ถบารมี (แนวตอบ พระเวสสนั ดรเปนพระโพธสิ ตั ว พระชาติท่ี ชอ่ื ชาดก พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ บาํ เพ็ญทานบารมีเพือ่ บรรลปุ ณิธานตรสั รเู ปน พระเตมยี ์กุมาร พระพุทธเจา โปรดใหชาวโลกทั้งปวงพน จาก ๑ เตมียชาดก (เต) ความทุกข การพระราชทานสง่ิ สาํ คญั ตา งๆ บาำ เพ็ญเนกขัมมะบารมี จงึ มิใชการเหน็ แกต ัวแตเปนการเสยี สละ ๒ มหาชนกชาดก (ชะ) พระชนกกมุ าร อยางยิ่งยวดเพ่ือมวลมนุษยทั้งปวง ดงั เชน การพระราชทานชางปจจัยนาเคนทรใหแก ๓ สวุ รรณสามชาดก (ส)ุ บำาเพญ็ วริ ิยะบารมี พราหมณท ง้ั แปดจากกลิงครัฐดว ยทรงเหน็ วา พระสวุ รรณสาม ชาวเมอื งของพระองคอยอู ยา งมคี วามสุขแลว ๔ เนมิราชชาดก (เน) บาำ เพญ็ เมตตาบารมี แตหากไมพ ระราชทานชา งปจ จยั นาเคนทร พระเนมิราชกุมาร ชาวกลิงครัฐอาจอดอยากลม ตายจํานวนมาก ๕ มโหสถชาดก (มะ) บำาเพญ็ อธษิ ฐานบารมี เพราะฝนฟาไมตกตอ งตามฤดูกาล ตลอด มโหสถกุมาร จนชวงเวลาทีพ่ ระองคถ ูกเนรเทศออกจาก ๖ ภูรทิ ตั ชาดก (ภู) บำาเพญ็ ปญั ญาบารมี เมือง พระองคทรงคดิ หาหนทางใหพ ระชายา พญานาค ชอ่ื ภูรทิ ตั และพระโอรสธิดากลบั สเู มอื งอยตู ลอดเวลา ๗ จันทกุมารชาดก (จะ) บำาเพ็ญศีลบารมี เพราะไมต องการใหมาตกระกาํ ลาํ บากกบั พระจนั ทกุมาร พระองค เพียงแตยงั ไมมหี นทางหรือโอกาสท่ี ๘ นารทชาดก (นา) บำาเพ็ญขันตบิ ารมี เหมาะสมจนกระทง่ั ชชู กมาขอพระสองกมุ าร) พระพรหมนารทกมุ าร ๙ วธิ ุรชาดก (ว)ิ บำาเพ็ญอเุ บกขาบารมี • อกศุ ลมูลใดเปน เหตุแหงความตายของชูชก พระวธิ รุ บณั ฑติ (แนวตอบ โลภะ หรือความโลภ ชูชกเมอื่ เหน็ ๑๐ เวสสันดรชาดก (เว) บาำ เพ็ญสจั จะบารมี วาพระเวสสนั ดรทรงตัง้ คา ไถต วั พระโอรส พระเวสสนั ดร ธดิ าท้งั สองไวส งู มากจึงลืมภรรยาตนเอง บาำ เพ็ญทานบารมี กลับไปเขา เฝาพระเจา สัญชัยแหง กรงุ เชตุดร ดว ยหวังคาไถน้นั พระเจาสัญชัยจงึ ดํารไิ ด เพราะความตะกละตะกลาม เม่ือชูชกได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระเจ้าสัญชัย วา ชชู กเปน คนโลภ ทรงพระราชทานอาหาร รบั ประทานอาหารไมร่ จู้ กั ประมาณ จนธาตุก�าเริบตายในทส่ี ุด เลย้ี งอยางดีจนชูชกธาตุกําเรบิ ตายในทสี่ ดุ ) ท้ังหมดนี้เป็นการวางแผนด้วยปัญญา เพ่ือผลักดันให้ลูกท้ังสองกลับยังพระนคร เป็นความกรณุ าอันย่ิงใหญท่ ่ีไมเ่ ห็นแก่ตัวของพระเวสสนั ดร 60 เกรด็ แนะครู ขอสอบ O-NET ขอสอบป ’53 ออกเกีย่ วกบั ทศชาติชาดก ครูอาจใหน ักเรียนรวมกลุมเพอื่ ชวยกนั ศกึ ษาความรเู ก่ียวกับทศชาติอื่นๆ พระโพธสิ ัตวชาติสดุ ทายของทศชาติคอื องคใด นอกเหนอื จากเวสสนั ดรชาดก แลวชว ยกันจัดทําการนําเสนอความรูร ปู แบบตางๆ 1. พระเตมยี ตามทีค่ รกู าํ หนด เชน สมุดภาพประกอบคาํ อธบิ าย การแสดงละคร หรอื โปรแกรม 2. พระมโหสถ การนําเสนอ (Powerpoint) จากนั้นผลัดกันนําเสนอผลงานทหี่ นา ช้นั เรียน ครแู ละ 3. พระมหาชนก นกั เรยี นชวยกนั สรปุ หลักธรรมคาํ สอนและแนวคิดที่ไดจากการศึกษาทศชาตชิ าดก 4. พระเวสสนั ดร วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. พระเวสสนั ดร เปน พระชาติสุดทา ยของ มุม IT พระโพธสิ ตั ว โดยพระเวสสันดรทรงบาํ เพ็ญทานบารมีอยางย่งิ ยวดจนถงึ ขนั้ ปรมตั ถบารมี อนั นําไปสูการตรสั รูเปน พระสมั มาสัมพุทธเจา ใน ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั ทศชาตชิ าดกไดท ี่ http://www.learntripitaka.com/ อนาคตชาติ Chadok/index.html เว็บไซตพ ระไตรปฎ กออนไลน 60 คมู อื ครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain พระเวสสันดรแสดงอานิสงส์ของทานอย่างเดียวก็จริง แต่ก็มีคุณธรรม1ข้ออ่ืน ครูตงั้ คําถามเกย่ี วกบั เวสสันดรชาดกแลวสุมให มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย เช่น เมตตากรุณา ความอดทน ความเพียร ปัญญา ตลอดจนความ นักเรียนแตละกลมุ ชวยกันตอบ เชน เสียสละ พระเวสสันดรนั้นเป็นผู้อดทนต่อความล�าบากต่างๆ นานา มุ่งหน้าเพ่ือบ�าเพ็ญคุณ ความดี ด้วยความพากเพียร เพื่อสะสมบารมี ให้ทานด้วยสติปัญญา และมีเมตตากรุณาเป็น • คุณธรรมอืน่ ๆ ของพระเวสสนั ดรไดแ ก พ้ืนฐาน ทรงยอมล�าบากไม่เห็นแก่ความสุขส่วนพระองค์ หวังจะหาทางช่วยเหลือสัตวโลกให้ อะไรบางและปรากฏในตอนใดชองชาดก พน้ จากทุกข์ในสงั สารวัฏ ก็เพราะมนี �้าพระทัยเป่ียมด้วยความเสยี สละเปน็ อยา่ งย่งิ (แนวตอบ พระเวสสนั ดรบาํ เพญ็ ทานบารมเี ปน สําคญั แตก็ทรงมีคณุ ธรรมอื่นๆ ดวย เชน เม่ือพิจารณาถึงการดํารงชีวิตขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พุทธสาวก ความเมตตากรุณา จากการพระราชทานชาง ปจจัยนาเคนทรใ หพราหมณท ง้ั แปดจาก พทุ ธสาวกิ า และชาวพทุ ธตัวอยา ง ตลอดจนพระโพธิสตั วจากนิทานชาดกเรอ่ื งตางๆ นแ้ี ลว จะเหน็ กลงิ ครัฐ การมีปญ ญา จากการตงั้ คาสินไถ พระโอรสธิดาไวส ูงดว ยทรงดาํ ริวา ชชู กเปน ไดวาแตละทานลวนมีจริยาวัตรทางการดําเนินชีวิตท่ีงดงาม และมีคุณธรรมเปนหลักในการ คนโลภจกั ตอ งนําพระโอรสธิดาไปไถแ ก พระเจา สญั ชยั ผเู ปน พระเจา ปขู องพระโอรสธดิ า ดํารงตน ดังน้ัน ในฐานะท่ีเปนพุทธศาสนิกชน นักเรียนควรนําคุณธรรมและคติขอคิดท่ีไดจากการ เปนแน จนในที่สุดพระโอรสธิดาก็ไดกลับคนื สพู ระนคร) ศึกษามาเปนแนวทางท่ีจะนําไปใชเปนหลักในการปฏิบัติตนและดําเนินชีวิต เพราะนอกจากที่จะ ไดร บั การยกยอ งวา เปน ผมู ีคณุ ธรรมแลว ยังจะชวยธาํ รงสังคมใหม คี วามสงบสุขอกี ดวย ขยายความเขา ใจ Expand ¡ÁÚÁØ¹Ò ÇµµÚ µÕ âÅâ¡ ครใู หน กั เรยี นแตละกลุมศึกษาคนควา เพิ่มเตมิ ÊѵÇâ Å¡ÂÍ‹ Á໹š 仵ÒÁ¡ÃÃÁ เกีย่ วกับเวสสนั ดรชาดกและขอคิดจากชาดก จาก แหลง การเรยี นรอู ่ืนๆ เชน พระสงฆ พระไตรปฎก (¾Ø·¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉÔµ) แลว จดั ทาํ เปน แผน พับใหรายละเอยี ดและขอ คดิ ทนี่ ักเรยี นควรรจู ากเวสสนั ดรชาดก ตกแตงให สวยงาม ตรวจสอบผล Evaluate ครแู ละนกั เรียนชว ยกนั ตรวจแผนพบั เวสสนั ดร ชาดกของแตล ะกลมุ โดยพิจารณาจากความถกู ตอง เหมาะสมของขอมลู ความสวยงามและนาสนใจ ของการนาํ เสนอ รวมถงึ การจัดทาํ แผน พบั จากนัน้ จัดแสดงแผนพับทด่ี ไี วบรเิ วณทเ่ี หมาะสม ภายในชั้นเรยี น 61 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ครมู อบหมายใหนกั เรยี นศกึ ษาทศชาตชิ าดกอื่นเพม่ิ เตมิ มาอยา งนอ ย ครูอาจใชส ือ่ การเรียนรปู ระเภทตางๆ ประกอบการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู 1 ชาดก จากนั้นสรปุ เร่อื งยอ และสาระสาํ คัญสงครผู สู อน เวสสนั ดรชาดก เชน วีดิทศั นเวสสันดรชาดกจากเวบ็ ไซต เวสสนั ดรชาดกฉบับ การต นู เพ่อื ใหนกั เรียนเกิดความสนใจและเขาใจไดชดั เจนย่ิงขึน้ กจิ กรรมทาทาย นกั เรียนควรรู ครมู อบหมายใหน ักเรียนศกึ ษาทศชาตชิ าดกอน่ื เพม่ิ เติมมาอยางนอ ย 1 ชาดก จากนน้ั สรปุ เรอ่ื งยอ สาระสาํ คญั และวเิ คราะหห ลกั ธรรมหรอื ขอ คดิ 1 คณุ ธรรม พระนางมทั รใี นพระเวสสนั ดรชาดกที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ควรนาํ ทไ่ี ดสง ครผู สู อน เปนแบบอยางหลายประการ เชน การเปนแบบอยางของภรรยาท่ดี ี ซอ่ื สัตยแ ละ จงรกั ภกั ดีตอสามี รวมถึงการเปน แมท่รี ักและเปนหวงลูกเสมอื นเปนแกวตาดวงใจ คูมือครู 61
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถูกตองในการตอบคาํ ถาม คาปถระาจÓมหน่วยการเรียนรู้ ประจาํ หนวยการเรยี นรู ๑. การวิเคราะห์พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าขณะบ�าเพ็ญทุกกรกิริยาและจนกระท่ังถึงการ หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู ตรัสรู้มีความส�าคัญหรือให้แง่คิดอะไรบ้างแก่ผู้ที่ศึกษา และเพราะเหตุใดจึงจ�าเป็นต้องมี การวเิ คราะห์ ไมส่ ามารถตคี วามไปตามตัวอักษรหรอื ข้อความไดท้ งั้ หมด 1. เสน เวลาหรอื ผังกราฟกแสดงพทุ ธประวัติ ตอนการตรสั รแู ละการกอต้งั พระพุทธศาสนา ๒. จากการศึกษาเร่ืองพุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา และศาสนิกชนตัวอย่างใน หน่วยน้ีแล้ว นักเรียนคิดว่ามีคุณธรรมใดบ้างที่สามารถน�ามาประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษา 2. บทวเิ คราะหขอคิดและแบบอยางการดาํ เนนิ ชวี ิต เลา่ เรียนได้ และสามารถน�าไปประยุกต์ใชไ้ ด้อยา่ งไร จงยกตัวอยา่ งประกอบการอธิบาย ทไี่ ดจากการศกึ ษาประวตั ิและผลงานของ พุทธสาวก พุทธสาวกิ า หรอื ศาสนกิ ชนตัวอยาง ๓. การศกึ ษา “ชาดก” ซ่งึ เปน็ พระชาติในอดตี ของพระพุทธเจา้ มคี วามส�าคัญอย่างไร และบตั รคําหรือแถบประโยค ๔. จากการศกึ ษาเรื่อง “เวสสนั ดรชาดก” นกั เรยี นไดม้ มุ มองหรือข้อคดิ อะไรบ้าง ๕. จงสรปุ ประวตั ิและผลงานของศาสนกิ ชนตวั อยา่ งจากเร่ืองทศ่ี กึ ษามา ๑ ท่าน 3. แผนพับเวสสันดรชาดก กิจสรกา้ รงรสมรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ กจิ กรรมท่ี ๑ จัดป้ายนิเทศเก่ียวกับพุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา หรือ กจิ กรรมที่ ๒ ชาดกตามท่ีไดศ้ กึ ษาในหน่วยน้ี ออกแบบและจัดท�าสมดุ ภาพโดยเลอื กเร่อื งท่ีเกยี่ วกับพทุ ธประวตั ิ ประวัติ กิจกรรมที ่ ๓ พุทธสาวก พุทธสาวิกา หรือชาดก ท่ีได้ศึกษาในหน่วยน้ี พร้อมทั้ง สรปุ ขอ้ คิดท่ีได้จากการศึกษาพทุ ธประวัติ ประวตั พิ ทุ ธสาวก พทุ ธสาวิกา หรอื ชาดกเรื่องนัน้ แบ่งกลุ่มศึกษาเร่ืองราวประวัติของบุคคลที่เป็นตัวอย่างของศาสนิกชน ท่ีดีท่านอ่ืนๆ ในระดับชุมชนหรือในระดับประเทศ พร้อมทั้งวิเคราะห์ คณุ ธรรมท่สี ามารถนา� มาใชเ้ ป็นแบบอยา่ งในการด�าเนนิ ชีวิต 62 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนวยการเรยี นรู 1. การวเิ คราะหพ ทุ ธประวตั ติ อนนี้ใหแ งคดิ ในเรือ่ งการใชปญ ญาในการแสวงหาความรูตา งๆ สว นเหตุท่ีการศกึ ษาพุทธประวัตจิ าํ เปนตอ งมกี ารวเิ คราะหตคี วาม เพราะ พทุ ธประวัติมีเร่อื งอทิ ธิปาฏหิ าริยท ี่เกนิ ความสามารถของมนษุ ยป ุถชุ น ซึ่งอาจแบงเปน 2 ลักษณะใหญๆ ไดว า เปนเหตุการณท ่เี กิดขึ้นจรงิ ดว ยพระบุญญาบารมีของ พระพทุ ธองค หรอื เปน การรจนาของพระเถระในอดตี เชงิ เปรียบเทยี บกบั สญั ลักษณ 2. การเปน ผูใฝรแู ละใชปญญาแกปญหาตา งๆ ในพทุ ธประวตั ิ ตอนการตรัสรู ชวยสง เสรมิ ใหเ กิดอปุ นสิ ยั รกั การเรียนรใู นวิชาการ และการใชปญญาวิเคราะหหาแกไ ขปญ หา ทถี่ ูกตอ งเหมาะสม เมื่อตองเผชญิ กบั ปญหาชวี ิตทัง้ การเรียนหรือการดาํ เนนิ ชวี ิตอนื่ ๆ รวมถงึ ความเพยี รพยายามและความอดทน 3. การศึกษาชาดกมปี ระโยชนอยา งยง่ิ ในการใหข อ คิดและนอ มนําใจใหศ รัทธาในพระพุทธศาสนาและพระพทุ ธองค เชน พระเวสสันดรชาดกใหข อ คิดในการประกอบ กจิ การงานหรอื การเรยี นตางๆ ควรมีจุดหมายทช่ี ดั เจนและดาํ เนินการเพ่ือใหบรรลุจดุ หมายนนั้ อยา งมงุ ม่ันกจ็ ะประสบความสาํ เรจ็ ไดใ นทสี่ ุด 4. การศกึ ษาเวสสนั ดรชาดกไดข อคิดสาํ คัญเกี่ยวกบั ความเสยี สละเพ่ือประโยชนสวนรวม ดงั ท่พี ระเวสสนั ดรพระราชทานสิ่งสาํ คัญตา งๆ กระทั่งพระชายาและพระโอรสธิดา ใหเปนทานโดยคิดถงึ ประโยชนข องผูอนื่ เปน หลัก นอกจากนย้ี งั ใหข อคิดเก่ยี วกบั ความมนั่ คงในการปฏบิ ตั สิ ่งิ ท่ีถูกตองดีงามอกี ดวย 5. หลวงปมู ่ัน ภรู ทิ ัตโต เกิดทีจ่ งั หวัดอุบลราชธานี เมื่อ พ.ศ. 2413 ในวัยเด็กไดศกึ ษาเลาเรยี นอักษรตา งๆ จากอาและเกดิ ความเขา ใจ อา นออกเขยี นไดอ ยางรวดเรว็ ตอ มาเมื่อบวชเปน สามเณรและภิกษสุ งฆก็จําวดั ในจงั หวัดอบุ ลราชธานี และมุงมนั่ ฝกปฏิบตั วิ ิปสสนาธรุ ะกับพระอาจารยเ สาร กนฺตสโี ลมาโดยตลอด นอกจากน้ียงั ปฏบิ ตั ิ ตนเปนแบบอยา งท่ีดีในการถอื วัตรปฏบิ ัติอยา งเครง ครัด อกี ท้ังเทศนาสง่ั สอนอบรมสติปญญาและความเขาใจท่ถี ูกตองในพระพุทธศาสนาแกศ ษิ ยและศาสนกิ ชนตลอด ชวี ติ ของทา น จงึ เปน แบบอยา งทีด่ ขี องสมณสงฆผ มู ีวตั รปฏิบัติทดี่ ีงาม ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินยั รวมถงึ อบรมส่ังสอนศษิ ยานศุ ิษยอ ยางสมํ่าเสมอ 62 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. อธบิ ายความหมายของพระรตั นตรยั และ คณุ คา ของพระพทุ ธได 2. อธิบายหลักธรรมในกรอบอริยสจั 4 ได 3. ปฏิบัตติ นตามหลักธรรมในกรอบ อริยสจั 4 ได สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชทักษะชีวิต ๓ ËÅÑก¸รรม˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃŒÙ·èÕ คุณลักษณะอนั พึงประสงค ·า§¾รо·Ø ¸Èาʹา 1. ซ่ือสตั ยส ุจรติ ËÅÑ¡¸ÃÃÁ¢Í§¾Ãоط¸ÈÒʹҹéѹÁÕÁÒᵋ´Ñé§à´ÔÁ¡‹Í¹·èÕ¾Ãоط¸à¨ŒÒ¨Ð»ÃÐÊÙµÔ ¾Ãоط¸Í§¤ 2. มวี ินยั 3. ใฝเรยี นรู ໚¹à¾Õ§¼ŒÙ¤Œ¹¾ºËÅÑ¡¸ÃÃÁ áŌǹíÒÁÒÊÑè§Ê͹ÁÇÅÁ¹ØÉÂà¾è×ÍãËŒà¡Ô´¤ÇÒÁʧºÊØ¢¢éÖ¹ã¹âÅ¡ ´Ñ§¹éѹ 4. อยอู ยางพอเพยี ง ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒËÅÑ¡¸ÃÃÁ¤íÒÊ͹¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ¨Ö§à»š¹ÊèÔ§ÊíÒ¤ÑÞÊíÒËÃѺ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹·Ø¡¤¹ à¾ÃÒÐ 5. มุงมนั่ ในการทํางาน ¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹·Õè´Õ‹ÍÁ»¯ÔºÑµÔµ¹µÒÁá¹Ç·Ò§¢Í§¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò áÅСÒ÷Õè¨Ð»¯ÔºÑµÔµÒÁá¹Ç·Ò§ ä´Œ¶Ù¡µÍŒ §¡µç ÍŒ §È¡Ö ÉÒËÅÑ¡¸ÃÃÁãËŒà¢ÒŒ 㨶١µÍŒ §´ŒÇÂઋ¹¡¹Ñ กระตนุ ความสนใจ Engage ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ครูใหนกั เรียนพิจารณาภาพทห่ี นา หนว ยการ เรยี นรู แลวตั้งคําถามเกยี่ วกับพระรัตนตรยั โดย ส ๑.๑ ม.4/ ๑๓ ■ พระรตั นตรยั (วเิ คราะหค์ วามหมายและคณุ คา่ ของพทุ ธะ) เฉพาะในสวนของพระพทุ ธใหน ักเรียนชว ยกนั ตอบ ■ วิเคราะห์หลักธรรมในกรอบอริยสัจ ๔ หรือหลักคำาสอนของ ■ อริยสจั ๔ เชน ศาสนาทีต่ นนบั ถือ - ทุกข ์ (ขนั ธ์ ๕) • ภาพหนาหนว ยการเรยี นรูแ สดงถึง - สมทุ ยั (หลักกรรม, วติ ก ๓) ความหมายและคุณคาของพระรัตนตรยั - นโิ รธ (ภาวนา ๔) อยางไรบา ง อธิบายพอสังเขป - มรรค (พระสัทธรรม ๓, ปัญญาวุฒิธรรม ๔, พละ ๕, (แนวตอบ จากภาพหนา หนวยการเรียนรู แสดงถึงคุณคา ของพระรตั นตรัยท้งั 3 องค อุบาสกธรรม ๕ และมงคล ๓๘) ประกอบ ไดแก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ผา นทางวิถชี วี ติ ของพระสงฆ) เกรด็ แนะครู ครคู วรจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู พื่อใหน กั เรียนสามารถวิเคราะหห ลกั ธรรมใน กรอบอริยสัจ 4 ตลอดจนปฏิบัตติ นตามหลกั ธรรมไดอยา งถกู ตอ งเหมาะสม โดยเนน การพัฒนาทักษะกระบวนการตา งๆ เชน ทกั ษะการคิด ทกั ษะการฝกปฏบิ ตั ิ และ กระบวนการกลมุ ดงั ตอ ไปน้ี • ครูใหน ักเรียนศกึ ษาความรเู ก่ียวกบั พระรัตนตรัยในสว นของพระพทุ ธจาก หนงั สือเรียนและแหลง การเรียนรอู ื่นๆ แลว ใหนักเรยี นอธบิ ายความหมายของ พระรัตนตรัยและคณุ คาของพระพุทธ จากนั้นศกึ ษาคนควาเพม่ิ เติมแลว จัดทําเปน ใบความรูคณุ คาของพระพุทธ • ครูใหนักเรยี นชว ยกนั ศกึ ษาความรหู ลักธรรมในกรอบอริยสจั 4 จากหนังสอื เรียน แลว ต้งั ประเด็นอภปิ รายและขอคาํ ถามเพ่อื ใหน กั เรยี นอธบิ ายความ รู จากนนั้ มอบหมายใหน กั เรียนศกึ ษาคน ควาเพิม่ เตมิ จากแหลง การเรียนรู อน่ื แลวจัดทําเปนบนั ทกึ การศึกษาคนควา พรอมทงั้ นําหลักธรรมทศี่ กึ ษาไป ปฏบิ ัติในชวี ติ ประจาํ วนั แลว จดั ทาํ เปนบนั ทึกการปฏิบัติตนตามหลักธรรมใน กรอบอริยสัจ 4 คมู อื ครู 63
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Elaborate Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูใหน กั เรียนพิจารณาภาพทหี่ นาหนวยการ ๑. พระรัตนตรยั เรยี นรู แลว ต้ังคาํ ถามเกย่ี วกบั พระรัตนตรัย โดย เฉพาะในสว นของพระพทุ ธใหนกั เรียนชว ยกันตอบ ๑.๑ ความหมายของพระรตั นตรัย เชน พระรัตนตรัย แปลวา่ แกว้ อันประเสรฐิ ๓ ดวง ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ • พระพุทธในพระรัตนตรัยมีคณุ คาอยางไร ซ่ึงเปน็ องค์ประกอบส�าคญั ของพระพุทธศาสนา (แนวตอบ คุณคา ของพระพทุ ธเจา แบงออกได เปน 3 ประการ ไดแก พระปญ ญาคณุ คือ ๑) พระพุทธ หมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซ่ึงทรงเป็นศาสดา ปญ ญาทีท่ าํ ใหพ ระองคตรสั รูการเกิดแหง ทกุ ข และการดบั ทุกข พระวิสุทธคิ ณุ คือ ความ ของศาสนา กลา่ วคอื ทรงเปน็ ผคู้ น้ พบหลกั ธรรมโดยการตรสั รเู้ อง และนา� มาสอนใหผ้ อู้ นื่ ปฏบิ ตั ติ าม บรสิ ทุ ธปิ์ ราศจากกเิ ลสเครือ่ งเศราหมองทั้ง โดยทรงประกาศพระศาสนาและเผยแผธ่ รรมให้มนษุ ย์ได้เห็นสจั จะของชวี ิต ปวง และพระกรณุ าคณุ คอื ความกรุณาของ พระองคท่ตี องการใหส ัตวโลกหลุดพนจาก ๒) พระธรรม หมายถึง ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ พระธรรมน้ีเป็น ทุกขข องชวี ติ ) ความจริงท่ีมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์มิได้ทรงคิดข้ึนเอง แต่พระองค์ทรงค้นพบ แล้วน�ามาส่ังสอน สาํ รวจคน หา Explore ชาวโลก ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาความรเู กย่ี วกบั พระรตั นตรยั ๓) พระสงฆ์ หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้า ซ่ึงเป็นผู้ปฏิบัติและเผยแผ่ธรรม ในดานความหมายและคุณคาของพระพทุ ธจาก หนังสือเรียน หนา 64-67 และแหลง การเรยี นรอู ่ืน แก่มวลมนษุ ย์ เชน หนังสือพระไตรปฎ กฉบับประชาชนและหนังสอื อืน่ ๆ ในหองสมดุ เว็บไซตท ่เี ผยแพรความรเู กีย่ วกบั ๑.๒ คุณค่าของพระพุทธ พทุ ธคณุ และพทุ ธประวัติ เปนตน พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณมากมายหลายประการ โดยพิสดารมี ๙ ประการ เรียกว่า อธบิ ายความรู Explain นวรหคุณ อันได้แก่ อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปรุ ิสทัมมสารถิ สัตถาเทวมนุสานัง พุทโธ ภควา แตถ่ า้ กล่าวโดยสรปุ พระพุทธเจ้าทรงมพี ระคุณ ครใู หน ักเรยี นท่ีสมคั รใจออกมาอธบิ ายเกี่ยว อยู่ ๓ ประการ ดงั นี้ กบั ความหมายของพระรัตนตรัยและองคป ระกอบ ท้ังสาม ไดแ ก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ท่ี ๑) พระปัญญาคุณ หมายถึง การท่ีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงมีพระปรีชาญาณ ตนศกึ ษามาทห่ี นาช้ันเรยี น แลว ใหน ักเรยี นเขียน ขอความรทู ่ีถกู ตอ งไวบ นกระดาน จากนน้ั ครใู ห อนั ลกึ ซง้ึ คมั ภรี ภาพ ยากหาผใู้ ดเท1ยี มได้ พระองคท์ รงแสวงหาปญั ญามาแตเ่ ปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ นกั เรียนชว ยกนั วเิ คราะหความสมั พันธข ององค ทรงเอาใจใสศ่ ลิ ปศาสตร์ ๑๘ แขนง จนมคี วามรคู้ วามเชย่ี วชาญยงิ่ กวา่ ราชกมุ ารอนื่ ๆ นอกจากน้ี ประกอบท้ังสามแหงพระรตั นตรยั นักเรียนบันทึก พระองค์ยังทรงพยายามคิดค้นและท�าความเข้าใจในทุกสิ่งท่ีได้พบเสมอ ดังที่ทรงพิจารณาว่า ขอมลู และผลการวเิ คราะหล งในสมดุ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่มนุษย์ธรรมดาอาจจะมองว่าเป็นสัจธรรมนั้นเป็นเร่ืองใหญ่ จะต้องศึกษาค้นคว้าให้พบต้นเหตุ จุดแก้ และวิธีการแก้ เหตุผลประการหน่ึงท่ีเกิดข้ึนในพระทัย ขณะทที่ รงครนุ่ คดิ ถงึ เรอื่ งนค้ี อื “ทกุ อยา่ งมคี กู่ นั มมี ดื กม็ สี วา่ ง มรี อ้ นกม็ เี ยน็ ดงั นน้ั เมอื่ มที กุ ข์ กต็ ้องมีทางแกท้ กุ ข”์ ดังนนั้ เพื่อค้นหาความรู้ความเขา้ ใจปัญหาน้ี พระองคจ์ งึ ทรงตัดสนิ พระทัย เสดจ็ ออกผนวชโดยทา� ทกุ กรรมวธิ ที คี่ นสมยั นนั้ เชอ่ื วา่ จะทา� ใหเ้ กดิ ปญั ญารแู้ จง้ และทา� ใหพ้ น้ ทกุ ข์ได้ 64 เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอ ใดคือพระปญญาคุณในพทุ ธประวตั ชิ วงทแ่ี ตกตา งจากขอ อื่น ครอู าจอธิบายนักเรยี นเพมิ่ เตมิ ถงึ ความสอดคลองระหวางนวรหคณุ หรอื 1. การศึกษาศิลปศาสตร 18 แขนง พทุ ธคณุ 9 ทนี่ กั เรยี นเคยศึกษามากับคุณคา ของพระพุทธท่ีประกอบดว ย 2. การพจิ ารณาการเกดิ แก และตาย พระวสิ ทุ ธคิ ุณ พระปญ ญาคุณ และพระกรุณาคณุ 3. การแสวงหาทางหลุดพนจากทุกข 4. การใฝศึกษาเรยี นรูศาสตรต างๆ อยูเสมอ นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การแสวงหาทางหลดุ พนจากทกุ ข แสดงถึงพระปญ ญาคุณเม่ือเจาชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ออกผนวช สวนตัวเลือก 1 ศลิ ปศาสตร 18 แขนง ตาํ ราวาดว ยวิชาความรูตางๆ มี 18 ประการ จาก ขอ 1. 2. และ 4. เปนพระปญญาคุณในชว งทพ่ี ระองคเปนคฤหัสถ หลักฐานคัมภรี โลกนติ แิ ละธรรมนติ ิ เชน สตุ ิ ความรทู ว่ั ไป สงั ขยา การคาํ นวณ นีติ การปกครอง อิตหิ าสา ตาํ นานหรอื ประวัตศิ าสตร มายา ตาํ ราพชิ ัยสงคราม และ สัททา หลักภาษาหรอื ไวยากรณ เปน ตน 64 คูม ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู แตส่ ดุ ทา้ ยทรงหนั มาบา� เพญ็ เพยี รทางจติ เมอื่ จติ สงบความแจม่ แจง้ กป็ รากฏในพระทยั ทรงคน้ พบ 1. ครสู ุมนกั เรียน 5 คน เพือ่ ใหอ ธบิ ายความ คา� ตอบของปญั หาทคี่ า้ งพระทยั มาเปน็ เวลานาน เปน็ คา� ตอบทช่ี ดั แจง้ ปราศจากความเคลอื บแคลง รูเก่ียวกบั พระปญญาคุณอันเปน คณุ คาของ สงสยั ใดๆ การคน้ พบอนั นเ้ี นอ่ื งดว้ ยพระปญั ญา พระพุทธในพระรัตนตรัย คนละ 1 ตอน โดย ของพระองคเ์ องทง้ั สน้ิ ใหน ักเรยี นจบั สลากคําหรือขอ ความตอนที่ตน ตอ งอธิบาย ไดแก ศิลปศาสตร 18 แขนง เกิด ๒) พระวิสุทธิคุณ หมายถึง แก และตาย การผนวช การแสวงหาทางหลดุ พน และการบาํ เพญ็ เพยี รทางจิต จากน้ันให ความบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสเคร่ืองเศร้าหมอง นักเรียนผลัดกันอธิบายความรเู ก่ียวกบั ท้ังปวง โดยเฉพาะกิเลสท่ีส�าคัญ คือ โลภ พระปญญาคณุ ตามลําดับเหตกุ ารณใ น โกรธ หลง ความบริสุทธ์ิปราศจากกเิ ลสทัง้ ปวง พทุ ธประวตั ิ ครูและนักเรยี นอภปิ รายรวมกัน เป็นผลจากการได้หยั่งรู้ความจริงอันสูงสุดของ นกั เรยี นบนั ทกึ ความรทู ไ่ี ดล งในสมดุ พระพุทธเจ้า ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นว่า ชีวิตของพระพุทธเจ้าเป็นชีวิตท่ีบริสุทธิ์สะอาด 2. ครูใหน กั เรยี นชว ยกันวิเคราะหพระวสิ ทุ ธคิ ุณ อย่างแท้จริง แม้กระทั่งสมัยยังเป็นเจ้าชาย คอื ความบริสทุ ธิ์ปราศจากกเิ ลสเครื่องเศรา สทิ ธตั ถะ พระองคท์ รงมพี ระจรยิ าวตั รอนั งดงาม เม่ือคร้ังดำารงเพศฆราวาส เจ้าชายสิทธัตถะทรงมี หมองทั้งปวง ของพระพุทธเจาในชว งที่ทรง มีน้�าพระทัยดีงาม ใครได้คบหาสมาคมก็มี พระปรชี าญาณและความรใู้ นศลิ ปศาสตรแ์ ทบทกุ แขนง เปนเจา ชายสทิ ธัตถะและตรสั รเู ปนสมเดจ็ แต่ความสบายใจ ดังค�าที่พระญาติคนหน่ึงกล่าวถึงพระองค์ด้วยความชื่นชมว่า “ใครได้เป็น พระสัมมาสมั พุทธเจา พระมารดา ใครได้เป็นพระบดิ า ใครไดเ้ ปน็ พระชายาของคนดเี ชน่ เจา้ ชายพระองคน์ ้ี คนนน้ั ยอ่ ม มคี วามเยน็ ใจเปน็ แนแ่ ท”้ ๑ แตเ่ มอ่ื เทยี บกบั ความบรสิ ทุ ธใ์ิ นฐานะทพี่ ระองคท์ รงเปน็ พระพทุ ธเจา้ แล้ว 65 ความบริสุทธิ์เช่นนั้นเป็นเพียงเร่ืองเล็กน้อย เพราะความบริสุทธิ์อันแท้จริง คือ การได้ตรัสรู้เป็น พระพทุ ธเจ้า พระวิสทุ ธคิ ณุ อาจมองไดจ้ ากลักษณะตา่ งๆ ดงั น้ี ๒.๑) พระองค์ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองท้ังปวง พระองค์ไม่ทรงกระท�า ชวั่ แมเ้ ลก็ นอ้ ย ทง้ั ทางกาย วาจา ใจ ไมม่ คี วามชวั่ ทป่ี ด บงั ซอ่ นเรน้ ไมม่ เี หตทุ ผ่ี ใู้ ดจะยกมาตา� หนไิ ด้ ดังท่ีคร้ังหน่ึงพระองค์ตรัสกับพระโมคคัลลานะว่า “โมคคัลลานะ เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีอาชีวะ บริสุทธ์ิ มีธรรมเทศนาบริสุทธ์ิ มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ (หมายถึงการอธิบายขยายความ) มีความรู้ และความเห็นบริสุทธิ์ จึงกล้าปฏิญาณว่าตนบริสุทธิ์ เราไม่ต้องคิดหวังให้สาวกช่วยระมัดระวัง ปกปดความเสียหายใหเ้ ราในเรอื่ งเหลา่ น้ี” ๒ ๑ พระธัมมปทัฏฐกถาแปลภาค ๑ ยมกวรรค. (กรงุ เทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๒๖), หน้า ๑๑๕. ๒ อังคตุ ตรนิกาย ปัญจกนิบาติ พระไตรปฎิ ก เลม่ ๒๒. ขอ้ ๑๐๐, หน้า ๑๒๕ - ๑๒๖. ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู ลกั ษณะของพระวิสุทธคิ ุณทนี่ ําไปสกู ารตรสั รเู ปน สมเดจ็ พระสัมมา- ครูอาจอธบิ ายนกั เรียนเพิ่มเติมถึงพระปญ ญาคุณของพระพทุ ธเจา ทท่ี ําให สมั พุทธเจา คืออะไร อธิบายพอสงั เขป พระองคต รัสรูว า พระพทุ ธเจาในขณะเปนพระสิทธตั ถะทรงทดลองปฏบิ ตั ิตาม แนวตอบ ลกั ษณะของผูปราศจากกเิ ลสเครอ่ื งเศรา หมองทัง้ ปวงทําให แนวทางความเชอ่ื ตางๆ เพ่ือแสวงหาทางพน ทกุ ขของคนในชมพูทวปี สมยั น้ันท่ี พระสทิ ธัตถะตรสั รูเปนสมเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา ไดใ นที่สดุ กลาวคอื สาํ คัญไดแก การบําเพ็ญโยคะ คอื การฝกปฏบิ ตั โิ ยคะที่สาํ นกั ของอาฬารดาบส พระองคไ มท รงกระทําช่ัวทั้งทางกาย วาจา และใจ ภายหลังการตรัสรูจึง กาลามโคตร กบั อทุ ทกดาบส รามบตุ ร ตามลาํ ดบั จนสําเร็จฌานสมาบตั ิชั้นตางๆ ไมจาํ เปน ตอ งปดบงั ซอ นเรน สงิ่ ใด อยางไรกต็ ามลักษณะของผูป ราศจาก แตกท็ รงเหน็ วายงั ไมใ ชห นทางตรัสรู จึงทรงบําเพ็ญตบะ คอื การทรมานรา งกาย กิเลสนป้ี รากฏตง้ั แตพ ระองคย ังไมท รงออกผนวชแลว ดว ยวิธีการตางๆ ในข้นั เร่มิ ตน เชน การเปลือยกายตากลมและฝน การฉนั มูลโค จนถงึ การบําเพญ็ ทกุ กรกริ ยิ า หรือการกระทําอนั ยากยง่ิ ไดแ ก การกดั ฟน การกล้นั ลมหายใจ และการอดอาหารจนเกือบส้ินชวี ติ ก็ยังไมพบทางตรัสรู พระองคจ งึ ทรงใช ปญญาพจิ ารณาแนวทางตางๆ ที่เคยปฏิบัติมาและพบวาเปน ทางที่สดุ โตงเกินไป ดงั น้นั จงึ ทรงหันมายดึ การบาํ เพญ็ เพียรทางจติ ตามทางสายกลาง จนกระท่ังตรัสรู เปนสมเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจาไดใ นทีส่ ดุ คมู ือครู 65
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูสุมนกั เรียน 2 คน ใหอธิบายถึงขอความทีว่ า ๒.๒) ทรงท�ำได้ตำมทีส่ อน หมายถึง สอนเขาอยา่ งใด พระองคก์ ็ทรงปฏบิ ตั ิได้ “ทรงสอนเขาอยา งใด พระองคกท็ รงปฏิบัติ อย่างนั้นด้วย เพ่ือให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในคุณค่าค�าสอน พระคุณน้ีมีพระพุทธวจนะตรัส ไดอยางน้ัน” และ “ทรงบรสิ ุทธพ์ิ ระทยั ใน รบั รองไว้วา่ “พระผูม้ ีพระภาคเจา้ นัน้ ร้เู องแล้ว จึงแสดงธรรมเพอ่ื ใหค้ นอ่ืนรูต้ าม ฝึกฝนตนดีแล้ว การสอน ไมประสงคอามิสตอบแทน” ทห่ี นา จึงแสดงธรรมใหผ้ ู้อ่ืนฝกึ ตาม สงบระงับตนแล้ว จงึ แสดงธรรมเพือ่ ให้ผู้อน่ื สงบระงับ ข้ามพน้ ทุกข์ ช้ันเรยี น แลว อภปิ รายรว มกนั กบั นกั เรียนถงึ ได้เองแล้ว จึงแสดงธรรมใหผ้ ู้อืน่ ขา้ มพ้น เป็นผู้ดับเยน็ เองแลว้ จงึ แสดงธรรมให้ผู้อื่นดับเย็น” ๓ พระวิสทุ ธิคุณของพระพทุ ธเจา นักเรียนบนั ทึก ผลการอภิปรายลงในสมดุ ๒.๓) ทรงบรสิ ุทธ์พิ ระทัยในกำรสอน หมายถงึ พระองคม์ ุ่งหวงั ประโยชนแ์ ก่เขา อยา่ งเดยี ว ไม่ทรงประสงคอ์ ามสิ ตอบแทนใดๆ ทรงหวงั เพยี งใหผ้ ู้สดับธรรมแลว้ เกดิ ความรู้ความ 2. ครใู หนักเรียนอภิปรายรว มกันถงึ พระกรณุ าคุณ เข้าใจในธรรม น�าไปปฏิบัติเป็นแนวทางการด�าเนินชีวิตเท่าน้ัน คร้ังหนึ่งมีสีหเสนาบดี ผู้เป็น ของพระพุทธเจาในประเดน็ พระกรุณาคณุ ของ สาวกของนิครนถนาฏบตุ ร ขออนญุ าตศาสดาของตนเพือ่ ไปเฝา้ พระพุทธเจา้ แตไ่ ม่ไดร้ ับอนุญาต พระพทุ ธเจาในชว งกอ นและหลังการตรัสรู แตท่ ่ีสดุ สหี เสนาบดกี ็แอบไปเขา้ เฝ้าพระพุทธเจ้าจนได้ เมื่อไดซ้ ักถามสนทนาธรรมกันแล้ว กเ็ กดิ ความเล่ือมใส ขอกราบทูลบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่พระองค์กลับตรัสเตือนให้คิดดู ให้ดีเสียก่อน เพราะเสนาบดีเป็นคนมีชื่อเสียง และอีกประการพระองค์อาจถูกศาสดาของ สีหเสนาบดีต�าหนิได้ว่าแย่งชิงสาวกของผู้อ่ืน ดังนี้เสนาบดีมีความรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะ เมื่อสมัยที่ตนเป็นสาวกของนิครนถนาฏบุตร พวกเดียรถีย์พากันดีใจมากท่ีคนส�าคัญระดับ เสนาบดีได้มานับถือศาสนาของตน แต่พระพุทธเจ้ากลับท�าตรงกันข้ามท้ังๆ ท่ีเขามีความจ�านง แน่วแน่ว่าจะประกาศตนเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา พระองค์กลับตรัสเตือนให้คิดดูให้ดี เสียก่อน๔ จากเหตุการณ์น้ี แสดงว่าพระพุทธองค์ทรงมีความบริสุทธ์ิอย่างแท้จริง ท้ังทางกาย วาจา และใจ ความบรสิ ุทธดิ์ ังน้จี ะหาท่ีใดเสมอเหมือนมไิ ดอ้ กี แล้ว ๓) พระกรุณำคุณ หมายถึง ความสงสารสัตว์โลกผู้ตกอยู่ในห้วงแหง่ ความทกุ ข์ และคิดชว่ ยเหลือผ้อู นื่ ให้พน้ ทุกข์ พระกรณุ าอนั ยง่ิ ใหญน่ มี้ ิใช่จา� กดั เฉพาะแตม่ นุษยเ์ ทา่ น้นั 1ยังแผ่ ไปถงึ สตั วเ์ ดยี รจั ฉานดว้ ย เชน่ สมยั ยงั เปน็ พระราชกมุ ารนอ้ ย ทรงเหน็ นกทเ่ี จา้ ชายเทวทตั ยงิ บนิ มาตกต่อพระพักตร์ ทรงเกิดความสงสารคิดจะช่วยเหลือสัตว์เคราะห์ร้าย จึงเกิดทะเลาะโต้เถียง กับเจ้าชายเทวทัต แต่ตกลงกันไม่ได้จนเรื่องเข้าสู่ศากยสภาให้พิจารณาตัดสิน ในท่ีสุดเจ้าชาย สทิ ธตั ถะกช็ นะ ชว่ ยเหลอื ชวี ติ สตั วน์ อ้ ยไดส้ า� เรจ็ ดว้ ยเหตผุ ลวา่ “ผใู้ ดเปน็ ผใู้ หช้ วี ติ นกควรเปน็ สทิ ธิ ของผนู้ น้ั สว่ นผใู้ ดพยายามทา� ลายชวี ติ จะมาอา้ งสทิ ธเิ ปน็ เจา้ ของชวี ติ หาไดไ้ ม”่ ๕ ๓ ทฆี นิกำย ปกฏิกวรรค พระไตรปฎิ ก เลม่ ๑๑. ข้อ ๓๐, หนา้ ๔๖. ๔ วินัยปิฎกมหำวรรค พระไตรปิฎก เลม่ ๕. ขอ้ ๗๘-๙๑. หนา้ ๑๐๐. ๕ เสถยี ร์ พันธรงั ษ.ี พุทธประวตั ิมหำยำน. (กรงุ เทพฯ : แพร่พทิ ยา, ๒๕๒๕), หน้า ๓๗-๔๐. 66 นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ลกั ษณะของพระวสิ ทุ ธคิ ณุ ในการทที่ รงทาํ ไดต ามทีส่ อนสอดคลอ งกบั 1 เจา ชายเทวทตั หรอื เจาชายเทวทัตต เปน ราชบุตรของพระเจาสปุ ปพุทธะ พุทธศาสนสุภาษติ บทใด ผเู ปน เชฏฐภาดาหรอื พช่ี ายของพระนางพมิ พา พระชายาของเจา ชายสทิ ธตั ถะ 1. ผูไมประมาทยอมไมตาย เจา ชายเทวทตั ออกบวชพรอ มกบั เหลา เจา ชายศากยะ เชน พระอนรุ ทุ ธ พระอานนท 2. พดู อยา งไร ทําไดอ ยา งน้ัน รวมถึงกัลบกอบุ าลี และบาํ เพญ็ ฌานจนไดโ ลกิยอภญิ ญา ตอ มามีความมกั ใหญ 3. ความสํารวมในท่ีทั้งปวง เปนดี อยากเปนพระศาสดาแทนพระพทุ ธเจา ไดย ุยงพระเจาอชาตศัตรแู ละคบคดิ กัน 4. การใหธ รรมะเปนทาน ยอ มชนะการใหท ั้งปวง พยายามประทุษรายพระพทุ ธเจา จนพระพุทธเจา ทรงหอ พระโลหิต รวมถงึ กอ ความ วิเคราะหคาํ ตอบ พระวสิ ทุ ธคิ ุณในการที่ทรงทาํ ไดต ามท่ีสอนของ วนุ วายในหมสู งฆจนถงึ ข้ันสังฆเภท (ความแตกแยกในหมสู งฆ) จากผลกรรมของ พระพทุ ธเจา คอื ทรงสามารถปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมคําสอนของ พระองคส ง ผลใหส้นิ พระชนมโดยถกู ธรณีสบู ในทส่ี ุด พระองคได เพ่ือใหป ระชาชนเกดิ ความเช่ือมั่นในคณุ คา ของหลักธรรม คาํ สอนนน้ั สอดคลอ งกบั พุทธศาสนสุภาษิตทว่ี า ยถาวาที ตถาการี พูด อยา งไร ทาํ ไดอยา งนนั้ ดังนน้ั คาํ ตอบคือ ขอ 2. 66 คูมอื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain ส่วนพระกรุณาคุณท่ีแผ่ไปยังหมู่มนุษย์นั้น ก็มิได้จ�ากัดชาติช้ันวรรณะ พระองค์ ครอู ภิปรายรวมกนั กับนกั เรียนถงึ ทรงโปรดคนทุกประเภท ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เช่น คร้ังหน่ึงพวกโจรได้ขโมยเงินในบ้านคหบดี พระกรุณาคุณของพระพทุ ธเจา ในการเผยแผ เมืองสาวัตถีคนหน่ึง ขณะขนเงินหนีด้วยความรีบร้อน ถุงเงินถุงหนึ่งได้หล่นอยู่ท่ีคันนาชาวนา พระธรรมคาํ สอนใหส ตั วโลกท้งั หลาย จากน้ัน คนหนึ่ง รุ่งเช้าชาวนาออกไปไถนาโดยไม่รู้ว่ามีถุงเงินตกอยู่ตรงนั้น พระพุทธเจ้าหย่ังรู้ว่าจะเกิด นกั เรยี นบนั ทกึ ความรเู กี่ยวกับพระกรุณาคุณของ อะไรข้ึน จึงเสด็จพร้อมด้วยพระอานนท์ไปยังท่ีนาน้ัน ทรงด�าเนินผ่านถุงเงิน พลางรับส่ังดังๆ พระพทุ ธเจาลงในสมุด พอให้ได้ยินถงึ ชาวนาผู้น้ันวา่ ขยายความเขา ใจ Expand “อานนท์ เธอเห็นอสรพษิ ไหม” “เห็นพระเจ้าข้า พษิ รา้ ยกาจเสยี ดว้ ย” พระอานนทต์ อบ ครูมอบหมายใหนกั เรยี นศึกษาคนควาคณุ คา เม่ือพระพุทธองค์เสด็จเลยผ่านไป ชาวนาจึงฉวยท่อนไม้เดินเข้าไปหมายจะตีงู ของพระพทุ ธหรือพุทธคุณ ไดแก พระปญ ญาคุณ แตก่ ลับพบถงุ เงินเข้า ดว้ ยความโลภไมต่ อ้ งการให้ผูอ้ ่นื รู้ จึงเกล่ยี ดินกลบไว้ แล้วไปไถนาต่อ พระวิสทุ ธคิ ณุ และพระกรุณาคณุ ที่ปรากฏใน รุ่งเช้าคหบดีชวนพรรคพวกออกตามโจร มาพบถุงเงินซ่อนอยู่ในนาของชาวนา พทุ ธประวตั ิตอนอ่นื มาคนละ 1 ประการ จาก คนน้ัน จึงจับตัวส่งศาล ศาลพิพากษาประหารชีวิต ชาวนาผู้เคราะห์ร้ายนั้นได้แต่ร้องอยู่แค่ว่า แหลงการเรียนรู เชน พระไตรปฎก หนังสือใน “อานนท์ เธอเห็นอสรพิษไหม” “เห็นพระเจ้าข้า พิษร้ายกาจเสียด้วย” ความทราบถึงพระเจ้า หอ งสมดุ เว็บไซต และพระสงฆ แลวจัดทาํ เปน ปเสนทิโกศล จึงรับส่ังยับย้ังโทษประหารไว้ก่อน แล้วเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเร่ือง ใบความรูทป่ี ระกอบดว ย ขอความเหตุการณใ น ชาวนาน้นั พระองคท์ รงเลา่ ความจริงใหพ้ ระเจ้าปเสนทโิ กศลทราบขอ้ เท็จจรงิ พระองคจ์ งึ รบั สั่งให้ พุทธประวตั ิที่นกั เรยี นศึกษาคน ความา การอธิบาย ปล่อยชาวนาผู้น้นั เป็นอิสระ๖ นับวา่ เขารอดตายไดด้ ้วยพระกรณุ าคุณของพระพทุ ธองคน์ นั่ เอง คณุ คา ของพระพทุ ธทปี่ รากฏในพทุ ธประวตั ติ อนนนั้ พึงทราบด้วยว่า พระวิสุทธิคุณและพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้านั้นเป็น โดยอาจมีภาพประกอบและตกแตง ใหส วยงาม “ความดี” เฉพาะพระองค์ ความดีน้ีจะแผ่ไปยังคนอ่ืนได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพลังแห่ง พระกรณุ าคุณเปน็ ตวั เสริม ฉะน้นั หากขาดพระคุณข้อนี้เสยี แล้ว พระพทุ ธเจา้ กค็ งเสวยสุขล�าพงั ตรวจสอบผล Evaluate พระองค์ ไม่ได้ตัดสินพระทัยแสดงธรรมแก่ใคร และเราทั้งหลายก็คงไม่ได้มีโอกาสได้รับเอา พระพุทธศาสนามาเป็นหลกั ยดึ แหง่ จิตใจดังที่เปน็ อย่ทู ุกวันน้ีไดเ้ ลย 1. ครูคัดเลือกใบความรคู ณุ คาของพระพทุ ธ ที่ดขี องนักเรียน แลว นํามาใหน กั เรียนชว ย เรื่องน่ารู้ กนั ตรวจอีกครงั้ โดยพิจารณาจากความถูก ตองครบถวนของเนื้อหาพทุ ธประวัติและการ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล อธบิ ายถงึ คณุ คา ของพระพุทธ จากนน้ั รวบรวม ใบความรูท่ดี ไี วเปนแหลง การเรียนรใู นชั้นเรยี น พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าโกศล ผู้ครองเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ในสมัยทรง พระเยาว์ได้ศึกษาศิลปวิทยาในสำานักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักกสิลา ซ่งึ เป็นศิษย์ร่วมสำานักเดียวกันกับเจ้าชาย 2. ครูสังเกตพฤตกิ รรมการมีสว นรวมในกิจกรรม มหาลจิ ฉว ี แหง่ แควน้ วชั ช ี และพนั ธลุ ะเสนาบดแี หง่ นครกสุ นิ ารา เมอ่ื สาำ เรจ็ การศกึ ษาแลว้ จงึ ไดเ้ สดจ็ กลบั นครสาวตั ถ ี และ การเรียนรู เชน การตอบคําถาม การแสดง ไดค้ รองราชสมบตั ติ อ่ จากพระบดิ า ความคดิ เห็นและการทํางานกลมุ เปนตน ๖ พระธัมมปทฏั ฐกถาแปล ภาค ๓ พาลวรรค. (กรุงเทพฯ : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๗), หน้า ๒๐๐. 67 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครูอาจใหน กั เรยี นสรปุ สาระสาํ คัญของคุณคา ของพระพุทธในดา น ครูอาจอธิบายนกั เรียนเพิม่ เตมิ ถึงพระกรณุ าคุณของพระพทุ ธเจาในขณะท่ีทรง พระปญญาคุณ พระวสิ ทุ ธิคุณ และพระกรุณาคณุ ที่ไดศึกษามาลงในสมดุ พักผอ นพระอิริยาบถหลงั การตรัสรูเปนเวลา 7 สปั ดาห พระองคทรงพิจารณาถึง หลักธรรมที่ตรสั รวู า มีความลึกซง้ึ ยากเกนิ กวา สัตวโลกผมู ีกิเลสครอบงาํ จะเขาใจได กิจกรรมทาทาย จึงทรงคิดวา จะไมเ ผยแผหลักธรรมคําสอนในขัน้ ตน ตอ มาเมอ่ื พระองคท รงพิจารณา ระดับสติปญ ญาของมนุษยท้งั 4 ระดบั ไดแก อคุ ฆฏติ ัญู ผรู เู ขา ใจไดฉ บั พลนั ครอู าจใหนักเรียนจดั ทาํ ผงั กราฟกแสดงคุณคา ของพระพทุ ธในดาน เพยี งแคพระองคท รงยกหัวขอขึ้นแสดง วิปจิตญั ู ผูรูเขา ใจไดเมอ่ื พระองคทรง พระปญญาคณุ พระวสิ ทุ ธคิ ณุ และพระกรุณาคณุ ทไ่ี ดศึกษามาลงในสมุด ขยายความ เนยยะ ผูท ี่พระองคส ามารถจะแนะนําตอได และปทปรมะ ผูที่จาํ ไดแ ต ถอยคาํ ไมสามารถเขา ใจได พระองคจ งึ ตัดสินพระทัยออกเผยแผพ ระศาสนา เนื่อง ดวยยงั มีมนุษยผ มู ีระดบั สตปิ ญญาทีจ่ ะเขาใจพระธรรมทพ่ี ระองคทรงคนพบได (การ เปรยี บบคุ คลกบั ดอกบวั 4 เหลา เกดิ จากพระอรรถกถาจารยร จนาเสรมิ ขน้ึ ในภายหลงั ) คูมือครู 67
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครตู ง้ั คําถามเกีย่ วกับหลกั ธรรมอรยิ สัจ 4 โดย ๒. อริยสจั ๔ เช่ือมโยงกับความรูเดิมของนกั เรียนเพื่อกระตุน อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงของอริยบุคคล เพราะผู้ใดรู้อริยสัจ ความสนใจ แลวใหน กั เรียนชว ยกันตอบ เชน ด้วยปัญญา ผู้นั้นถือเป็นผู้ประเสริฐทันที อริยสัจเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ค�าสอนของ • พระปญญาคณุ ของพระพทุ ธเจา ชว ยให พระองคตรสั รหู ลักธรรมใด พระพุทธองค์ท้งั หมดจะสร1ุปไว้ในอรยิ สัจไดท้ ง้ั นั้น อรยิ สัจประกอบดว้ ยองค์ ๔ ดังนี้ สาํ รวจคน หา Explore ๑. ทกุ ข์ ๒. สมทุ ยั ครูใหน ักเรยี นศึกษาความรหู ลักธรรมใน ๓. นโิ รธ ๔. มรรค กรอบอรยิ สัจ 4 คนละ 1 หวั ขอ โดยใหนกั เรียน นับหมายเลข 1-4 ทลี ะคน จากนนั้ นักเรยี นแตละ ๒.๑ ทุกข์ (ธรรมทค่ี วรรู้) หมายเลขศกึ ษาหวั ขอที่ตนรบั ผดิ ชอบจากหนงั สอื เรียน หนา 68-81 ดังน้ี ทกุ ข์ คือ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ไดแ้ ก่ ความจรงิ ว่าดว้ ยความทุกข์ ความทุกข์น้ี แม้ว่าในบางกรณีจะขจัดให้หมดไปได้ แต่ก็สามารถมีมาใหม่ได้อีกเสมอ ดังนั้น เราจึงต้อง หมายเลข 1 ศึกษาหลกั ธรรมในขอทุกข (ธรรม ไมป่ ระมาท และพร้อมท่ีจะเผชญิ หน้ากับค2วามจริงขอ้ น้ี ดงั น้ี ทุกขจ์ งึ เปน็ ธรรมขอ้ ทค่ี วรรู้ ธรรมที่ ทีค่ วรละ) ควรรนู้ ัน้ มีมากมาย เชน่ หลกั ธรรม “ขนั ธ์ ๕” ดังนี้ หมายเลข 2 ศึกษาหลักธรรมในขอ สมุทยั ๑) ขนั ธ์ ๕ เปน็ การแสดงองคป์ ระกอบของชวี ติ วา่ มอี ะไรบา้ ง ในทางพระพทุ ธศาสนา (ธรรมทค่ี วรร)ู มนุษย์ประกอบด้วยองค์ประกอบส�าคัญใหญ่ๆ ๒ อย่าง คือ ส่วนที่เป็นรูปธรรมและส่วนท่ีเป็น หมายเลข 3 ศกึ ษาหลักธรรมในขอ นโิ รธ นามธรรม ซ่ึงรวมเรียกสั้นๆ ว่า “นามรูป” นามรูปนั้นแยกย่อยออกเป็น ๕ ส่วน เรียกว่า (ธรรมท่คี วรบรรล)ุ “เบญจขันธ”์ ไดแ้ ก่ หมายเลข 4 ศึกษาหลักธรรมในขอมรรค ๑.๑) รูปขนั ธ์ คอื ส่วนท่เี ป็นร่างกายทัง้ หมด และพฤตกิ รรมท้ังหมดของร่างกาย (ธรรมทค่ี วรเจรญิ ) อันประกอบดว้ ยธาตุทัง้ ๔ ไดแ้ ก่ อธบิ ายความรู Explain ๑. ปฐวธี าต ุ คอื ธาตดุ นิ มลี กั ษณะแขง็ แผไ่ ปหรอื กนิ เนอ้ื ท ่ี ปฐวธี าตภุ ายใน เชน่ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เอน็ กระดกู มา้ ม หวั ใจ ไสใ้ หญ ่ อาหารใหม ่ อาหารเกา่ ครสู นทนากบั นักเรยี นเก่ียวกับอรยิ สจั 4 แลว ต้ัง คําถามเพ่ือใหนกั เรียนชวยกันอธิบายความรูค วาม ๒. อาโปธาตุ คือ ธาตุน้�า มีลักษณะเอิบอาบ อาโปธาตุภายใน เช่น เสลด หนอง เลือด เขาใจเกย่ี วกบั อริยสัจ 4 เชน เหงื่อ มนั นา้� ลาย นา�้ มกู ๓. เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ มีลักษณะร้อน เตโชธาตุภายใน เช่น ไฟที่ท�าให้กายอบอุ่น • เพราะเหตใุ ด ผทู ่เี ขาใจอริยสจั 4 อยา ง ไฟที่ทา� ให้กายกระวนกระวาย ไฟที่เผาอาหารใหย้ อ่ ย ถองแทดวยปญ ญาจงึ ถือวา เปนผูประเสรฐิ ๔. วาโยธาตุ คือ ธาตุลม มีลักษณะพัดไปมา วาโยธาตุภายใน เช่น ลมพัดลงเบ้ืองต่�า (แนวตอบ เพราะอริยสัจ 4 เปนความจรงิ อัน ได้แก่ ประเสรฐิ ของชวี ติ ซึง่ ประกอบดว ย ทกุ ข ลมในท้อง ลมในไส้ ลมหายใจ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค เปน หัวใจของพระพุทธ- 68 ศาสนา คําสอนของพระพุทธเจาลวนสรปุ ๑.๒) เวทนาขนั ธ์ คอื ความรสู้ กึ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ตอ่ สงิ่ ทร่ี บั รนู้ นั้ เวทนามอี ยู่ ๓ ประการ ไวใ นอริยสจั 4 ไดทง้ั สิ้น ผทู เี่ ขา ใจในหลัก อรยิ สจั 4 อยา งถอ งแทด วยปญญาจงึ เปน ขอสอบ O-NET อริยบุคคลหรอื บคุ คลทีป่ ระเสริฐ) ขอ สอบป ’53 ออกเกีย่ วกบั ขันธ 5 การรบั รู รูป รส กลิน่ เสียง สัมผัส ในขันธ 5 คอื ขอ ใด นักเรยี นควรรู 1. จติ 2. เวทนา 1 ทุกข ในไตรลักษณหมายถงึ สภาพทีท่ นอยไู ดย าก สภาพท่คี งทนอยไู มได 3. สงั ขาร เพราะถกู บีบค้นั ดว ยความเกิดขนึ้ และความดับสลาย เนอ่ื งจากตอ งเปนไปตามเหตุ 4. วญิ ญาณ ปจ จยั ทีไ่ มข้ึนตอ ตวั มนั เอง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. วิญญาณ คอื การรบั รูผ า นประสาท 2 ขนั ธ แปลวา กอง พวก หมวด หรือหมู ใชเ รยี กวา รปู ธรรมและนามธรรมของ สัมผสั ตา งๆ ไดแ ก การรับรูทางสายตา หรือการมองเหน็ การรบั รูทางหู มนุษยว า ขันธ 5 หรือเบญจขนั ธ นอกจากน้ยี ังพบในพุทธประวัตติ อนปรนิ ิพพานวา หรอื การไดยิน การรบั รทู างจมกู หรือการไดก ลิ่น การรับรูท างล้ิน หรือ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ซึง่ เปนอนุปาทิเสสนิพพาน คือ นพิ พานไมม อี ปุ าทิเหลือ การล้ิมรส การรบั รทู างกาย หรอื การสมั ผสั ทางกาย และการรบั รทู างใจ ดบั กเิ ลสไมมเี บญจขันธเ หลอื คือ สิ้นท้ังกิเลสและชวี ติ หมายถงึ พระอรหันตสนิ้ หรอื การคดิ ชวี ติ นพิ พานในแงทีเ่ ปน ภาวะดับภพ สว นสอปุ าทิเสสนิพพาน คือ นิพพานทย่ี งั มี อปุ าทิเหลือ คอื ดบั กเิ ลสแตย งั มีเบญจขนั ธเ หลือ หมายถงึ นิพพานของพระอรหนั ต ผยู ังมีชีวิตอยู นพิ พานในแงที่เปนภาวะดับกิเลส 68 คูม ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๑. สุขเวทนา คอื ความร้สู ึกสบายใจ 1. ครูสนทนารว มกนั กับนกั เรียนถงึ หลกั ธรรม ๒. ทกุ ขเวทนา คอื ความรู้สกึ ไมส่ บายใจ ตา งๆ ในกรอบอรยิ สจั 4 ทน่ี กั เรยี นไดศกึ ษา ๓. อเุ บกขาเวทนา คือ ความรู้สกึ เฉยๆ มา แลวครใู หนักเรยี นทีไ่ ดห มายเลข 1 ชว ยกนั อธบิ ายความหมายของทกุ ขและหลักธรรมขนั ธ ๑.๓) สัญญาขันธ์ คอื การกา� หนดหมายรสู้ ง่ิ ใดสิง่ หน่ึง การแยกแยะว่าอะไรเปน็ 5 โดยเฉพาะในขอรปู ขนั ธ โดยยกตัวอยา ง อะไร มิได้แปลว่าคา� มน่ั สญั ญาดงั ในภาษาสามัญ ประกอบพอเขา ใจ ๑.๔) สังขารขันธ์ คอื สภาพที่ปรงุ แตง่ จิตให้ดี (กุศล) ให้ชว่ั (อกศุ ล) หรอื เป็น 2. ครสู มุ นกั เรยี นทไ่ี ดห มายเลข 1 ใหตอบคําถาม กลางๆ ไมด่ ไี ม่ช่วั (อพั ยากฤต) โดยมเี จตนาเป็นตัวน�า เปน็ ท่ีมาของการกระท�าทง้ั ทางกาย วาจา เกีย่ วกับคาํ ศัพทในหลกั ธรรมขันธ 5 เพอ่ื และใจ อธบิ ายความรู เชน • เวทนาในทางพระพุทธศาสนาแตกตา งจาก ๑.๕) วญิ ญาณขนั ธ์ คอื การรับร้ผู า่ นประสาทสัมผสั ตา่ งๆ อนั ไดแ้ ก่ ความหมายโดยทั่วไปอยางไร (แนวตอบ เวทนาในความหมายโดยทั่วไป ภาพแสดงวญิ ญาณ ๖ โสตวิญญาณ คือ หมายถงึ ความสังเวชสลดใจ ความรสู กึ เจบ็ การรับรู้ทางหู หรอื การไดย้ ิน ปวด ทรมาน สว นในทางพระพทุ ธศาสนา จักขุวิญญาณ คือ ชวิ หาวิญญาณ คือ เวทนา คอื ความรูสึกทเ่ี กิดขึ้นตอสิ่งท่รี บั รู การรับรู้ทางสายตา หรอื การมองเห็น การรบั รูท้ างลิน้ หรือการลม้ิ รส ประกอบดว ย สุขเวทนา ความรสู ึกสบายใจ มโนวิญญาณ คือ ทุกขเวทนา ความรูสกึ ไมสบายใจ และ ฆานวญิ ญาณ คือ การรบั รู้ทางใจ หรอื การคิด อเุ บกขาเวทนา ความรสู ึกเฉยๆ) การรับรู้ทางจมูก หรือการไดก้ ลิน่ • สัญญาในหลักธรรมขนั ธ 5 มคี วามหมาย กายวญิ ญาณ คอื แตกตา งจากความหมายโดยสามญั อยางไร การรับรทู้ างกาย หรอื การสัมผสั (แนวตอบ สญั ญาในหลกั ธรรมขนั ธ 5 ทางกาย หมายถึง การกาํ หนดหมายรสู งิ่ ใดสิ่งหนงึ่ การแยกแยะไดวา อะไรเปน อะไร สวนสญั ญา ในความหมายโดยสามัญนั้นหมายถงึ คาํ มัน่ หรอื ขอ ตกลงระหวางบุคคล) ๒.๒ สมุทยั (ธรรมทค่ี วรละ) 69 สมุทัย คอื ความจริงว่าดว้ ยเหตแุ หง่ ทุกข์ หรือต้นตอของความทกุ ข์ท้ังหมด ดงั น้ี สมทุ ยั จึงเปน็ ธรรมท๑คี่ )วรลหะลเักพรการะรเปม็น1ธกรรรมรมท่ีใหคโ้ ือทษกดารงั กเชรน่ะทห�าลกั ใธนรทรมาตงธ่อรไปรมน้ี หมายถึง การกระท�าที่ ประกอบด้วยเจตนา จงใจ การกระท�าที่ปราศจากเจตนาไม่จัดเป็นกรรม แต่จะเรียกว่า “กิริยา” คือ เปน็ การเคล่ือนไหวธรรมดา ไมม่ ผี ลทางจริยธรรม ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกับหลักธรรมขันธ 5 ครอู าจตง้ั ประเด็นใหนักเรียนอภิปรายรวมกันเกย่ี วกบั การรับผลของกรรมทกี่ อ ถาเราเห็นวัตถุสิ่งหนึ่งแลวจําไดว าสิง่ นนั้ คือดอกกุหลาบสีแดง ขั้นตอนน้ี ขนึ้ โดยมิไดเจตนา เพ่ือใหน ักเรยี นเขาใจเรอ่ื งกรรมที่กอ ขึน้ โดยมไิ ดเ จตนา แตผูกอ กรรมกย็ ังตองรับผลของกรรมนนั้ บางสวน เปรยี บเทียบไดก บั การละเมดิ กฎหมาย คือสวนใดของขันธ 5 โดยผกู ระทําไมไดม เี จตนา แตผลู ะเมิดกย็ งั ตอ งรับโทษตามบทบัญญัตแิ หง กฎหมาย 1. เวทนา 2. สังขาร นกั เรยี นควรรู 3. สญั ญา 4. วิญญาณ 1 กรรม ประเภทของกรรมจําแนกออกเปน 3 หมวดหมู ไดแก หมวดท่ี 1 วาดว ยปากกาล คือ จําแนกตามเวลาทใี่ หผล เชน ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. สัญญา คือ การกําหนดหมายรูสิง่ ใด กรรมใหผ ลในปจ จบุ นั คอื ในภพนี้ หมวดที่ 2 วา โดยกจิ คอื จาํ แนกการใหผ ลตามหนา ท่ี เชน ชนกกรรม กรรมแตงใหเ กดิ หรอื กรรมที่เปน ตวั นําไปเกิด และหมวดท่ี 3 ส่งิ หน่งึ การแยกแยะไดวา อะไรเปนอะไร วา โดยปากทานปรยิ าย คอื จําแนกตามลําดับความแรงในการใหผ ล เชน ครุกรรม กรรมหนัก ใหผ ลกอ น คูม อื ครู 69
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู ุมนักเรียนท่ไี ดห มายเลข 1 ใหตอบคําถาม 1 นั่นคือ “นิยาม ๕” หมายถึง เกย่ี วกับคําศัพทใ นหลกั ธรรมขนั ธ 5 เพ่ืออธิบาย มีหลักธรรมประการหนึ่งท่ีเก่ียวข้องกับหลักกรรม ความรู เชน • สังขารมคี วามหมายโดยท่วั ไปและมีความ กฎธรรมชาติ หรือระเบียบของธรรมชาติ ๕ ประการ ได้แก่ หมายในทางพระพุทธศาสนาอยางไรบา ง (แนวตอบ สงั เวชในความหมายโดยทั่วไปคอื ๑. อตุ นุ ยิ าม คอื กฎธรรมชาตทิ เี่ กย่ี วกบั ลม ฟา้ อากาศ ฤดกู าล เปน็ ตน้ ความรูสกึ เศราสลดหดหูตอผไู ดรบั ความทกุ ข ๒. พชี นิยาม คอื กฎธรรมชาตเิ กย่ี วกับการสบื พนั ธ์ุ หรอื ผูตาย หรอื ผูท่ีตนเคารพนับถือประพฤติ ๓. จิตตนิยาม คอื กฎธรรมชาติเก่ยี วกับการทา� งานของจิต ตนไมเ หมาะสม สวนความหมายในทาง ๔. กรรมนิยาม คอื กฎธรรมชาตเิ กย่ี วกบั พฤติกรรมมนษุ ย์ พระพุทธศาสนาคอื สภาพท่ีปรงุ แตงจิตให ๕. ธรรมนยิ าม คอื กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลของสง่ิ ทงั้ ปวง เปน กศุ ล หรืออกศุ ล หรือเปน กลาง โดยมี เจตนาเปนตัวนาํ เปนที่มาของการกระทาํ ท้ัง หลักธรรมในนิยาม ๕ ท่เี กีย่ วข้องกบั หลกั กรรมน่นั คือ “กรรมนิยาม” หรอื เรียกอีก ทางกาย วาจา และใจ) อยา่ งหนึง่ ว่า “กฎแห่งกรรม” อนั หมายถงึ กระบวนการกระทา� และการให้ผลของการกระทา� ของ • ในทางพระพทุ ธศาสนาวิญญาณมี มนุษย์ ซ่ึงมหี ลักกวา้ งๆ ว่า ความหมายวาอยา งไร แตกตางจาก ความหมายโดยทว่ั ไปอยา งไร “คนหว่านพชื เช่นใด ยอ่ มได้ผลเชน่ นน้ั ” (แนวตอบ วิญญาณในทางพระพทุ ธศาสนา “ผู้ทา� กรรมดี ยอ่ มได้รบั ผลดี ผ้ทู �ากรรมชวั่ ย่อมได้รับผลช่ัว” หมายถึง การรบั รผู า นประสาทสัมผสั ตา งๆ ความข้อน้ีชี้ว่า กรรมนิยามหรือกฎแห่งกรรมแห่งปัจจัยสัมพันธ์ เป็นเหตุเป็นผล อนั ไดแ ก การมองเหน็ การไดย ิน การไดกลนิ่ สอดคล้องต้องกัน เหตุมีเช่นไร ผลย่อมมีเช่นนั้น เปรียบเสมือนเอาเมล็ดพืชพันธุ์ใดเพาะลง การล้มิ รส การสมั ผัสทางกาย และการรบั รู ในดิน กย็ ่อมออกมาเป็นพชื เชน่ นนั้ ทางใจหรอื การคิด แตกตา งจากความหมาย แต่เรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรมนั้นละเอียดและซับซ้อนในตัวเอง บางครั้ง โดยท่วั ไปท่หี มายถึง ส่ิงทเ่ี ชอื่ วามอี ยใู นกาย ก็ข้นึ อยกู่ ับเง่ือนไขอย่างอน่ื เช่น กาลเวลาดว้ ย กรรมท่กี ระทา� ลงไปไม่วา่ ดหี รอื ช่ัว มกั ไม่ปรากฏ เมอื่ มชี ีวิต เม่อื ตายจะออกจากกายลองลอย ผลทันใจมนุษย์ คนจึงมักเข้าใจว่ากรรมที่ท�าน้ันไม่มีผลจริง หรือบางคนท�าดีไม่เห็นว่าตนได้ดี ไปหาที่เกิดใหม) คนท�าชั่วกลับไม่ได้รับการลงโทษทางศีลธรรมแต่อย่างใด ก็เกิดลังเลสงสัยว่า ท�าดีได้ดี ท�าช่ัว จากนัน้ ครใู หนักเรยี นบันทกึ ความรทู ่ีไดจ าก ได้ช่วั จรงิ หรอื ไม่ หลกั ธรรมในอรยิ สัจ 4 ขอ ทกุ ขล งในสมุด ความเข้าใจผิดเก่ียวกับกรรมและการให้ผลของกรรมของคนส่วนมากอย่างหน่ึง คือ คนมักเข้าใจกันว่า ท�ากรรมชนิดใดจะต้องได้ผลกรรมเช่นน้ัน ความจริงแล้วผลของกรรม 2. ครูสนทนารวมกนั กบั นักเรียนท่ีไดห มายเลข 2 ไม่จ�าเป็นต้องเหมือนกับกรรมโดยสิ้นเชิง อาจเป็นอย่างอื่นท่ีสอดคล้องหรือเหมาะสมกันก็ได้ ถึงความหมายของสมทุ ยั แลวใหตัวแทนของ อีกประการหนึ่ง ความเป็นไปในชีวิตไม่ว่าดีหรือร้าย ใช่ว่าจะเป็นผลจากกรรมเก่าเสียท้ังหมด นกั เรียนทไ่ี ดหมายเลข 2 อธิบายหลกั กรรมใน แตอ่ าจจะเกิดจากสาเหตอุ ื่นๆ ก็ได้ เช่น คนปว่ ยกระเสาะกระแสะไมห่ ายก็ใชว่ ่าเป็นผลของกรรม อรยิ สจั 4 ขอ สมทุ ัย ดงั น้ี เก่าแต่อย่างเดียว แต่อาจเกิดจากการไม่บ�ารุงรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์ก็ได้ หรืออาจเป็นผลของ • ความหมายของกรรมกบั กริ ิยา กรรมใหม่ในชาติน้กี ็ได้ • หลกั ธรรมนิยาม 5 • กฎแหงกรรม 70 นักเรียนควรรู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั หลักกรรม 1 หลกั ธรรม ทเ่ี กยี่ วขอ งกบั หลกั กรรมทน่ี กั เรยี นควรรเู พมิ่ เตมิ ไดแ ก ไตรวฏั ฏ คอื กฎแหงกรรมอยใู นหลักธรรมใด วงจร 3 สว นของปฏจิ จสมปุ บาทหมุนเวียนสบื ทอดตอ ๆ กนั ไป ทาํ ใหเ กิดวงจรแหง 1. นยิ าม 5 ทกุ ข ไดแก กเิ ลส กรรม และวิบาก 2. ขนั ธ 5 3. พละ 5 เบศูรณรากษารฐกจิ พอเพียง 4. วมิ ุตติ 5 วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. นยิ าม 5 ซ่งึ ประกอบดว ย อุตนุ ิยาม คอื “หวา นพืชเชน ใด ยอมไดผ ลเชนน้นั ” เปน คาํ กลา วท่สี ะทอ นใหเ ห็นความเชือ่ ใน กฎธรรมชาติเกยี่ วกับภูมิอากาศ พชี นิยาม คือ กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั การ เรื่องกฎแหง กรรม ซ่งึ สอนใหคนคิดไตรตรองอยา งถี่ถว นกอ นลงมือกระทําใดๆ สืบพนั ธุ จติ ตนิยาม คือ กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั การทาํ งานของจิต กรรม- นยิ าม คอื กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ย และธรรมนยิ าม นกั เรยี นเขียนความเรยี ง คําขวัญ หรอื คําประพนั ธใ นหัวขอ “พอเพยี งเมื่อใด คือ กฎธรรมชาติเก่ยี วกบั ความเปน เหตเุ ปนผลของส่ิงท้ังปวง สขุ ใจเมอื่ น้นั ” เสรจ็ แลวนํามารวมกนั จัดปายนเิ ทศ นาํ ไปตดิ ไวหนาชัน้ เรียน หรือ บอรดกลางของโรงเรียน 70 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ตามหลกั จูฬกมั มวิภงั คสตู ร๗ ได้ก�าหนดสง่ิ ท่เี ปน็ ผลของกรรมเกา่ ไว้ ดงั น้ี ตัวแทนของนกั เรยี นทีไ่ ดหมายเลข 2 อธิบาย หลักธรรมในอริยสัจ 4 ขอสมุทยั ดงั น้ี ๑. ความประณตี สวยงามหรือไมส่ วยงามของรปู ร่างทีม่ มี าโดยก�าเนิด ๒. การเกิดในตระกลู สงู หรอื ตระกลู ตา่� • ความเขา ใจทถี่ กู ตอ งเรื่องผลของกรรม ๓. ความรา่� รวยหรอื ยากจน • ผลของกรรมเกาตามจูฬกัมมวิภงั คสตู ร ๔. ความสามารถทางสติปญั ญา หรือความโงเ่ ขลาทม่ี มี าแต่กา� เนดิ • ผลของกรรมในระดบั จิต ๕. ความสมบูรณห์ รือความอ่อนแอของร่างกาย • ผลของกรรมในระดบั บคุ ลกิ ภาพและ ๖. ความยืนยาวหรือสั้นของอายุ อปุ นิสัย อยา่ งไรกด็ ี การใหผ้ ลของกรรม สามารถพจิ ารณาได้ ๓ ระดับ ดังน้ี ๑.๑) ระดับภายในจิตใจหรือคุณภาพของจิต เช่น คิดท�าความชั่ว ย่อมได้รับ ผลชั่วทางจิตใจ คือ สภาพจิตใจตกต�่า มัวหมอง ชั่วร้าย หยาบกระด้าง ถ้าคิดแต่ในทางที่ดี กย็ ่อมมีจติ ใจสะอาด สรา้ งคุณภาพและสมรรถภาพท่ีดีให้แก่จิต ๑.๒) ระดับบุคลิกภาพและอุปนิสัย กรรมท่ีกระท�าจะปรุงแต่งลักษณะความ ประพฤติ การแสดงออก ท่าที การวางตัว บุคลิกลักษณะหรืออุปนิสัย ผลของกรรมระดับนี้ สบื เนื่องจากระดบั ท่หี นึ่ง คอื เมอื่ คณุ ภาพจิตสงู หรือต่�า ก็แสดงออกทางบคุ ลกิ ท่าทาง อปุ นิสัย ใจคอ เรือ่ งนา่ รู้ ผลของกรรมระดบั ผลทางสงั คม การทาำ ดจี ะไดผ้ ลเตม็ ทห่ี รอื ไมใ่ นระดบั ทเ่ี ปน็ ผลทางสงั คมนน้ั ขน้ึ อยกู่ บั วา่ มคี วามพรอ้ มดงั นห้ี รอื ไม่ ๑. ทำาดีถูกท่หี รือไม่ การกระทำาอย่างเดียวกันในสถานท่หี น่งึ อาจได้รับการยอมรับและประสบความสำาเร็จ แตใ่ นอกี สถานทห่ี นง่ึ อาจไดร้ บั ผลตรงขา้ ม ๒. บคุ ลกิ รปู รา่ งเหมาะสมหรอื ไม่ คนทม่ี บี คุ ลกิ รปู รา่ งด ี กบั คนทบ่ี คุ ลกิ ไมเ่ หมาะสมหรอื พกิ าร กระทาำ อยา่ ง เดยี วกนั กอ็ าจไดร้ บั การยอมรบั หรอื ประสบผลสาำ เรจ็ ตา่ งกนั ๓. ทำาดีถูกกาลเวลาหรือไม่ ในยามท่สี ังคมยกย่องคนดี ประณามคนช่วั ผ้ทู ำาความดีย่อมได้รับการยกย่อง แตใ่ นยคุ ทส่ี งั คมเสอ่ื มคณุ ธรรม ผทู้ ท่ี าำ ดซี อ่ื สตั ยส์ จุ รติ อาจถกู หาวา่ เปน็ คนผดิ ได้ 4. ทาำ ดเี ตม็ ทห่ี รอื ไม่ การกระทาำ นน้ั เปน็ การกระทาำ ความดจี รงิ หรอื ไม ่ ไดพ้ ยายามทส่ี ดุ แลว้ หรอื ไม่ ถา้ ทาำ ถกู และเตม็ ทย่ี อ่ มไดร้ บั ผลดเี ตม็ ทแ่ี นน่ อน แตถ่ า้ สกั แตว่ า่ ทาำ ยอ่ มไดผ้ ลตรงขา้ ม (คาำ อธบิ ายถอื ตามนยั สมั โมหวโิ นทนแี ปล) ๗ พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เลม่ ที่ ๑๔. หนา้ ๕๗๙ - ๕๙๗. 7๑ บรู ณาการเชือ่ มสาระ เกร็ดแนะครู ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรยี นรูบรู ณาการกลุม สาระการเรยี นรู ครูอาจอธบิ ายนกั เรยี นเพ่ิมเตมิ เก่ยี วกบั สาระสําคัญของจฬู กัมมวิภงั คสตู รวา สุขศกึ ษาและพลศึกษา วชิ าสุขศกึ ษา เร่ืองกระบวนการสรา งเสริมและ พระสตู รนเี้ กดิ ขึ้นในสมยั พทุ ธกาลขณะพระพทุ ธเจา ทรงประทับอยพู ระวิหารเชตวนั ดาํ รงประสทิ ธิภาพการทาํ งานของระบบอวัยวะในรางกาย โดยใหนกั เรยี น สภุ มาณพไดถามพระพุทธเจาวา อะไรเปนเหตุใหมนษุ ยนนั้ เกดิ มาแตกตางกันใน วเิ คราะหแนวทางการปฏิบัตติ นเพือ่ พัฒนาประสิทธภิ าพทางรา งกายและ ดานตางๆ เชน สติปญ ญา รางกาย ชาตกิ าํ เนิด พระพุทธองคทรงตรัสตอบวา “ดกู ร จิตใจของตนเอง โดยใชค วามรูเก่ียวกับระดบั ของผลกรรมในระดับภายใน มาณพ สัตวท ัง้ หลายมีกรรมเปนของตน เปนทายาทแหงกรรม มีกรรมเปนกาํ เนิด จติ ใจหรอื คณุ ภาพของจติ และระดบั บุคลิกภาพและอปุ นิสยั ท่ไี ดศึกษามา มกี รรมเปนเผา พันธุ มกี รรมเปนที่พึ่งอาศัย กรรมยอ มจาํ แนกสัตวใ หเ ลวและ ประณีตได” จากนัน้ ใหยกตวั อยา งประกอบเพ่ืออธิบายสภุ มาณพ เชน คนทม่ี อี ายุยืน เพราะไมฆ าสตั ว ในทางกลบั กนั คนท่ีมีอายุสั้น เพราะฆา สัตว คนท่ีมีโรคนอ ย เพราะ ไมเบียดเบยี นสตั ว ในทางกลับกนั คนทมี่ ีโรคมาก เพราะเบยี ดเบยี นสตั ว เปนตน คูม อื ครู 71
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหนักเรียนหมายเลข 2 ทย่ี งั ไมไดอ ธบิ าย ๑.๓) ระดับภายนอกหรือผลทางสังคม ผลของการกระท�าระดับนี้ คือ สิ่งท่ี หลักกรรมมีสว นรวมในการจัดกจิ กรรมการ มองเห็นในชีวิตประจ�าวัน เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ อันเป็นผลที่เขาได้รับในสังคมที่ เรยี นรู โดยใหออกมาชว ยกันเขยี นความรู เขาอยู่ ผลภายนอกน้ีทางพระพุทธศาสนาไม่ถือว่าเป็นผลโดยตรงของการท�าดีท�าช่ัว หากเป็น เกย่ี วกบั หลักธรรมวติ ก 3 ท่ตี นศกึ ษามาใน เพียงผลพลอยได้ ท่ีอาจจะมีหรือไม่ก็ได้ หรืออาจจะมีตรงข้ามก็ได้ เช่น คนบางคนกระท�าช่ัว ตารางหนาชนั้ เรยี น แลว อธิบายใหเ พอื่ น แต่อาจมีลาภ ยศ สรรเสริญ ผู้ที่มองเฉพาะผลภายนอกจะเห็นว่าคนผู้นี้ท�าช่ัวแต่กลับได้ดี นกั เรียนเขา ใจ จากนนั้ ครใู หนกั เรยี นบันทึก ความจริงแล้วบุคคลผู้น้ีต้องได้รับผลกรรม ๒ ระดับข้างต้นดังกล่าวแล้ว คือ เขามีคุณภาพจิต ความรูท่ไี ดจากหลกั ธรรมในอรยิ สจั 4 ขอ อนั ตา่� ทราม มีความทุกขท์ างใจ และมีจิตเศรา้ หมองอยา่ งแนน่ อน สมุทัยลงในสมดุ ๒) วิตก ๓ วิตก หมายถึง การคิด การใคร่ครวญ เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิต 2. ครูสนทนารว มกนั กับนกั เรียนท่ไี ดห มายเลข 3 ถึงความหมายของนิโรธ แลว ตงั้ ประเด็นให มี ๒ ดา้ น ดงั น้ี นักเรยี นทไ่ี ดห มายเลข 3 อภปิ รายรวมกนั ๒.๑) กศุ ลวติ ก คือ ความนึกคิดท่ีดงี าม มี ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ดงั ตอไปน้ี • ภาวนากับการพัฒนาในทางพระพุทธศาสนา ๑. เนกขมั มวิตก คอื ความนึกคดิ ท่ปี ลอดจากกาม เปน็ ความคิดท่ีไม่ยึดติดกบั อะไร ๒. อพยาบาทวติ ก คอื ความนกึ คดิ ทปี่ ระกอบดว้ ยเมตตา ไมม่ งุ่ รา้ ย ๓. อวิหิงสาวิตก คือ ความนึกคิดท่ีปลอดจากการเบยี ดเบยี น ไม่คิดร้าย ไม่มุ่งท�าลาย ๒.๒) อกศุ ลวิตก คอื ความนึกคดิ ที่ไมด่ ี เปน็ อกศุ ล มี ๓ ประการ ได้แก่ ๑. กามวติ ก คือ ความนึกคดิ ทย่ี ึดติดกบั ความล่มุ หลงทางเนอื้ หนัง ๒. พยาบาทวิตก คือ ความนึกคดิ ที่ประกอบด้วยความพยาบาทมงุ่ ร้าย ๓. วิหงิ สาวิตก คอื ความคดิ ในทางเบียดเบียนและท�าร้าย 1 ๒.๓ นโิ รธ (ธรรมทค่ี วรบรรล)ุ นโิ รธ คือ ความจรงิ วา่ ดว้ ยความทุกข์ เม่อื ความทุกข์เกดิ จากสาเหตุ ถ้าเราดบั สาเหตุเสีย ความทกุ ข์นน้ั ยอ่ มดบั ไปดว้ ย ปญั หากห็ มดสิน้ เหลือแตค่ วามสงบสุข ดงั นั้น นิโรธจงึ เปน็ ธรรมที่ ควรบรรลุ ในพระพทุ ธศาสนามธี รรมทคี่ วรบรรลมุ ากมาย เชน่ หลกั ธรรม “ภาวนา ๔” ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑) ภาวนา ๔ ภาวนา คือ การท�าให้เกิดให้มีขึ้น หรือท่ีเรียกว่า “การพัฒนา” ซ่ึงมที ้งั หมด ๔ ประการ ดังน้ี ๑.๑) กายภาวนา คอื การพฒั นากาย ความหมายอย่างแคบ หมายถึง ผู้ท่ีมี สุขภาพพลานามัยแข็งแรงปราศจากโรค มีความเป็นอยู่ถูกสุขลักษณะ ความหมายอย่างกว้าง 7๒ เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT บุคคลในขอ ใดกลาวไดว าเปนผูปฏิบตั ติ นตามกศุ ลวิตก ครอู าจตัง้ ประเดน็ ใหน กั เรียนอภปิ รายรวมกันถงึ ผลของกรรมในระดับตา งๆ 1. วิภาวางเฉยเมอ่ื เพ่อื นถูกดําเนินคดีในความผดิ ที่เขากอ ขนึ้ เชน แนวคิดผลของกรรมในระดับทางสังคมของพระพุทธศาสนา กรรมและผลของ 2. วินัยชว ยเหลือเพื่อนท่ถี กู ดําเนินคดีในความผิดทเี่ พ่อื นเขากอขน้ึ กรรมตอจิตใจ บคุ ลิกภาพและอุปนิสัย เปนตน 3. วิไลช้แี นะใหเพอื่ นเขา ใจความผิดทกี่ อขึน้ อันเปน เหตุใหถูกดาํ เนนิ คดี 4. วิชัยขอความชวยเหลอื จากผมู ีอาํ นาจใหเพอ่ื นเขาพนจากคดที ีเ่ พ่ือนเขา นักเรียนควรรู กอขนึ้ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. วิภาวางเฉยเมอ่ื เพือ่ นถกู ดาํ เนินคดใี น 1 นโิ รธ ความดับกเิ ลสหรอื ภาวะไรก ิเลสและไมม ีทุกขเกดิ ขน้ึ แบงออกไดเ ปน 5 ความผิดท่ีเขากอข้ึน สอดคลองกบั กศุ ลวิตก ขออวหิ งิ สาวติ ก คือ ความ ลกั ษณะ เรียกวา นิโรธ 5 ในลักษณะขัน้ ตน ทีน่ ักเรยี นควรรู ไดแ ก วกิ ขมั ภนนโิ รธ นกึ คดิ ท่ปี ลอดจากการเบยี ดเบยี น ไมคิดรา ย ไมม งุ ทําลาย และปลอยให หมายถงึ ดบั ดว ยขม ไว คอื การดบั กเิ ลสของทา นผบู าํ เพญ็ ฌานถงึ ปฐมฌาน ตทงั คนโิ รธ เปนไปตามครรลองธรรม หมายถงึ ดบั ดว ยองคน น้ั ๆ คือ ดับกเิ ลสดวยธรรมที่เปน คูป รบั หรอื ธรรมท่ีตรงขาม สมจุ เฉทนโิ รธ หมายถงึ ดบั ดว ยตดั ขาด คอื ดบั กเิ ลสเสรจ็ สนิ้ เดด็ ขาดดว ยโลกตุ ตรมรรค 72 คูมอื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain อธบิ ายความรู Explain หมายถึง บุคคล ผรู้ ูจ้ ักเกี่ยวขอ้ งสมั พันธก์ ับสง่ิ แวดลอ้ มภายนอกอยา่ งคมุ้ คา่ และเกดิ ประโยชน์ เชน่ ครตู ้ังประเดน็ ใหน กั เรียนทีไ่ ดห มายเลข 3 รู้จกั เกี่ยวขอ้ งกบั ปจั จยั ๔ โดยเสพวัตถุเหลา่ น้ดี ้วย “คุณค่าแท”้ มิใช่ “คณุ คา่ เทียม” คือ ใชว้ ัตถุ อภปิ รายรวมกัน ดังตอ ไปนี้ เพ่ือให้ชีวิตด�ารงอยู่ได้ เพื่อท�าประโยชน์แก่ตน และผ้อู ่ืน มิใช่ฟงุ้ เฟ้อวิง่ ตามวตั ถุเสยี จนตกเป็น • ความสอดคลอ งของการคิดแบบคุณคา แท- ธาตวุ ตั ถุ คุณคา เทยี มกบั กายภาวนา ๑.๒) ศีลภาวนา คือ การ • การปฏบิ ัตติ นตามศีลภาวนาในดานหยาบ พฒั นาศลี โดยรกั ษาศลี ทา� ตนเปน็ ผมู้ พี ฤตกิ รรม และดา นละเอยี ด ทางสังคมที่เจริญแล้ว ไม่ก่อพิษภัยแก่สังคม ไม่เอารัดเอาเปรียบเพ่ือนมนุษย์ ท้ังในด้าน • ความแตกตา งระหวางคุณภาพจติ กบั หยาบ คือ ปล้น ฆ่า ท�าลายชีวิต ทรัพย์สิน สมรรถภาพจิตตามจติ ภาวนา และด้านละเอียด คือ เอาเปรียบโดยวิธีที่แฝง มากบั ระบบบรโิ ภคนิยมและบรรษัทข้ามชาติ การบรโิ ภคปจั จยั ๔ ควรพจิ ารณาถงึ ประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ๑.๓) จิตภาวนา คือ การ แทจ้ รงิ พัฒนาจิต หมายถึง ผู้ที่มีจิตใจพัฒนาแล้ว มีจติ อันอบรมดแี ล้ว สมบรู ณด์ ว้ ยคุณภาพจติ สมรรถภาพจติ และสุขภาพจติ ผู้ท่ีมีคุณภาพจิตสมบูรณ์ คือ คนท่ีมีคุณธรรมอันดีงามในชีวิต เช่น มี “สงั คหวัตถุ ๔” อันไดแ้ ก่ ๑. ทาน หมายถงึ การแบ่งปนั เออ้ื เฟอเผื่อแผ่ เสยี สละ ๒. ปย วาจา หมายถงึ พดู จาไพเราะ นมุ่ นวล นา่ ฟงั ไมว่ า่ รา้ ย ยแุ ยง หรอื ปา้ ยสี ๓. อตั ถจรยิ า หมายถงึ รจู้ กั ทา� ประโยชนแ์ กส่ งั คม โดยไมเ่ หน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นตนและพวกพอ้ ง ๔. สมานตั ตตา หมายถงึ ทา� ตนเสมอตน้ เสมอปลาย ร่วมสุข รว่ มทุกข์ ร่วมรับร้ ู และร่วม แก้ไข ตลอดจนวางตนเหมาะสมแก่ฐานะ ภาวะ บุคคล เหตุการณ์ และส่ิงแวดล้อม ไดถ้ ูกต้องตามธรรม ส่วนผู้มีสมรรถภาพจิตสมบูรณ์ คือ ผู้ท่ีมีคุณธรรมเป็นท่ีเข้มแข็งแห่งชีวิต สามารถสร้างความส�าเร็จแก่ตนได้ เช่น มี “อิทธิบาท ๔” คือ ฉันทะ (ความพอใจท�า) วิริยะ (ความพากเพียรทา� ) จติ ตะ (ความตัง้ ใจท�า) และวมิ งั สา (ความเขา้ ใจทา� รู้จกั ไตร่ตรอง) 7๓ กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครอู าจใหน ักเรยี นวิเคราะหแ นวทางการปฏิบตั ิตนตามหลักธรรม ครูควรอธบิ ายใหน กั เรียนเขา ใจถงึ ความสาํ คัญของอรยิ สจั อันเปน พระธรรมหลกั สังคหวตั ถุ 4 เพือ่ การพัฒนาคณุ ภาพจิต และหลกั ธรรมอทิ ธิบาท 4 ของธรรมอื่นๆ ในพระพุทธศาสนาทัง้ ปวง แลว มอบหมายใหน กั เรียนศกึ ษาความรู เพื่อพฒั นาสมรรถภาพจิต เก่ียวกบั หลกั ธรรมอืน่ ๆ ในหลักอรยิ สัจแตละประการ ไดแก ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ และ มรรค จากนั้นนํามาวเิ คราะหรว มกันในช้ันเรียนถงึ ความสอดคลอ งของหลักธรรม กิจกรรมทาทาย คาํ สอนตางๆ ในกรอบของอรยิ สจั แลวสรุปผลการวเิ คราะหจ ดั ทําเปนผงั ความคดิ หลกั ธรรมในอรยิ สจั ครูอาจใหนักเรียนสืบคนหลักธรรมเพอื่ การพัฒนาคณุ ภาพจติ และ มมุ IT สมรรถภาพจติ เพ่ิมเติมจากหนังสอื เรียน แลววเิ คราะหแนวทางการ ปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรมเหลา นนั้ ศึกษาเพมิ่ เตมิ เก่ยี วกบั พระพทุ ธศาสนากับการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมใน ปจ จบุ นั ไดท ี่ http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_ id=740&articlegroup_id=161 เวบ็ ไซตม หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คูม อื ครู 73
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูตงั้ ประเดน็ ใหน ักเรียนทีไ่ ดห มายเลข 3 1 อภิปรายรว มกนั ดังตอไปน้ี ผู้ที่มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ คือ ผู้ที่มีจิตหนักแน่นม่ันคง ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ • แนวทางในการพัฒนาตนเองตามหลกั ปญญา ภาวนา อันไดแ้ ก่ ไดล้ าภ เสอ่ื มลาภ ได้ยศ เสือ่ มยศ สรรเสริญ นินทา ความทกุ ข์ ความสุข มองโลก จากนนั้ ครใู หน ักเรียนบันทึกความรูท่ไี ดจ าก หลักธรรมในอริยสัจ 4 ขอ นิโรธลงในสมดุ ตามวิถีแห่งความเป็นจริงไปตามกระแสแห่ง 2. ครสู นทนารว มกันกับนกั เรียนท่ีไดห มายเลข โลกธรรม มีความยดึ ม่นั ถือม่นั น้อย 4 ถงึ ความหมายของมรรค แลว ตงั้ ประเด็น อภปิ รายและคําถามใหนกั เรียนท่ีไดหมายเลข 4 ๑.๔) ปญั ญาภาวนา คอื การ ชวยกนั อธบิ ายความรู ดังน้ี • พระสัทธรรม 4 กับการเดินทางสคู วามเขาใจ พัฒนาปัญญา ท�าตนเป็นผู้มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน ในพระธรรมคาํ สอนอยา งถองแท หมน่ั ศกึ ษาหาความรู้ และสามารถใชค้ วามรนู้ นั้ แกไ้ ขปญั หาชวี ติ ของตนและทา� ประโยชนแ์ กส่ งั คม ไดอ้ ยา่ งสงู หมายเปน็ ผมู้ ปี ญั ญาทเี่ ปน็ อสิ ระจาก การครอบง�าของกิเลส มองรู้สิ่งทั้งหลายตาม ความเปน็ จรงิ วนิ จิ การณต์ า่ งๆ ดว้ ยปญั ญาบรสิ ทุ ธ์ิ การศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเอง ถอื เปน็ การพฒั นา ปราศจากผลประโยชน์ส่วนตนเคลือบแฝงและ ใชป้ ญั ญาสรา้ งความยตุ ธิ รรมแกส่ งั คม ปัญญา อ๒ยา่.๔งห นมง่ึ รรค2 (ธรรมทคี่ วรเจริÞ) มรรค คือ ความจริงวา่ ดว้ ยทางแหง่ ความดับทกุ ข์ ถา้ ใครปฏิบัติตามก็จะลดความทกุ ข์หรือ ปัญหาได้ ดังน้ัน มรรคจึงเป็นธรรมที่ควรเจริญ หมายถึง การพัฒนา การท�าให้เกิดขึ้น ในทาง พระพทุ ธศาสนามหี ลักธรรมที่ควรเจรญิ มากมาย เช่นหลกั ธรรมดงั ตอ่ ไปน้ี ๑)3พระสัทธรรม ๓ สัทธรรม หมายถึง ธรรมอันดี ธรรมท่ีแท้หรือสัจธรรม ธรรมของสัตบุรษุ มที ง้ั ส้นิ ๓ ประการ ดงั น้ี ๑.๑) ปริยัติสัทธรรม คือ ค�าส่ังสอนของพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธวจนะ ท่บี นั ทกึ ไว้ในพระไตรปฎกทัง้ หมด อันจะตอ้ งศกึ ษาเลา่ เรยี นให้เกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจอย่างถกู ตอ้ ง ๑.๒) ปฏิบัติสัทธรรม คือ การปฏิบัติตามหลักทฤษฎีต่างๆ ท่ีได้เรียนรู้มา ซึ่งถือว่าส�าคัญมาก เพราะพระพุทธศาสนามิได้เป็นเพียงทฤษฎีหรือปริยัติเท่าน้ัน แต่เน้นท่ีการ ลงมอื ปฏบิ ัตเิ ป็นสา� คญั การปฏิบัติในที่นี้ ได้แก่ ปฏบิ ัติตามหลกั อรยิ มรรคมีองค์ ๘ น่นั เอง ๑.๓) ปฏิเวธสัทธรรม คือ ผลอันพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติตามหลัก อริยมรรคมีองค์ ๘ ถ้าจะเปรียบการเรียนรู้และการปฏิบัติของบุคคลเหมือนกับการเดินทาง ปริยัติสัทธรรมเปรียบได้กับการศึกษาแผนท่ีให้รู้ท่ีหมาย และวิธีการเดินทาง ปฏิบัติสัทธรรม 74 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT หลกั พระสัทธรรม 3 เปรยี บเทยี บไดก บั การเดินทางสจู ุดหมายอยา งไร 1 สุขภาพจิตสมบูรณ ในดานการสาธารณสขุ กรมสขุ ภาพจิต ไดดาํ เนินการ แนวตอบ หลักพระสัทธรรม 3 อนั ประกอบดว ย ปรยิ ัตสิ ัทธรรม ปฏิบัติ สรางแบบทดสอบดชั นีชีว้ ดั สขุ ภาพจิตคนไทยฉบับสมบรู ณขน้ึ ใน พ.ศ.2550 มขี อ สัทธรรม และปฏิเวธสัทธรรม เทยี บไดก บั การศกึ ษาเสนทางและวางแผน คาํ ถาม 55 ขอ ตวั อยา งขอคําถามในแบบทดสอบ เชน ทา นรูสกึ วาชวี ิตของทา นมี การเดินทาง การเดินทางตามแผนการทว่ี างไว และการเดนิ ทางถึงจุด แตค วามทกุ ข ทานรสู ึกเหน็ ใจเม่ือผอู ืน่ มที กุ ข และทา นเคยประสบกับความยงุ ยาก หมายที่ตัง้ ไวต ามลําดับ จงึ เรียกไดว า เปน ธรรมของสัตบรุ ษุ ท่บี ุคคลพึงถือ และสิ่งยดึ เหน่ียวสงู สดุ ในจติ ใจชวยใหทา นผา นพน ไปได บุคคลทว่ั ไปสามารถทาํ เปน แนวทางการปฏบิ ัตเิ พ่อื ใหประสบความสาํ เรจ็ ในชีวิต แบบทดสอบสุขภาพจิตของตนเองไดท ี่ http://www.dmh.go.th/test/thaihap- new/asheet.asp?qid=1 เว็บไซตกรมสขุ ภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ 2 มรรค ทางอนั ประเสรฐิ 8 ประการ ใหถ ึงความดับทกุ ข เปนสว นหน่งึ ของ โพธปิ ก ขิยธรรม ธรรมอันเกอ้ื หนนุ อริยมรรคนําไปสูการตรัสรู ประกอบดว ย สตปิ ฏ- ฐาน 4 สมั มปั ปธาน 4 อทิ ธบิ าท 4 อนิ ทรยี 5 พละ 5 โพชฌงค 7 และมรรคมอี งค 8 3 สตั บรุ ษุ หมายถงึ คนสงบ คนดี คนมศี ลี ธรรม คนทป่ี ระกอบดว ยสปั ปรุ สิ ธรรม 74 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู เปรียบได้กับการลงมือเดินทางจากจุดเร่ิมต้นไปสู่จุดหมายด้วยความแน่วแน่ และปฏิเวธสัทธรรม ครตู ั้งประเด็นอภิปรายและคําถามใหน กั เรียน ทไ่ี ดหมายเลข 4 ชวยกันอธบิ ายความรู ดงั น้ี เปรยี บไดก้ ับการบรรลถุ ึงจุดหมายแล้วน่นั เอง • การคบหาสัตบุรษุ และบัณฑติ จะนํานกั เรยี น ๒) ปัญญาวุฒิธรรม ๔ ปญั ญาวุฒิธรรม หมายถงึ ธรรมที่พาไปส่คู วามเจริญ ไปสคู วามเจริญตามหลกั ธรรมปญญา วุฒธิ รรม 4 ไดอยางไร ปญั ญา มี ๔ ประการ ดังน้ี (แนวตอบ การคบหาสตั บุรษุ และบัณฑิตผูท่ี มคี วามรูและความดี จะชว ยถายทอดความ ๒.๑) คบหาสัตบุรุษและบัณฑิต คือ รู้จักไปมาหาสู่คบหากับคนดี คนมีความรู้ รคู วามเขาใจทงั้ ในการเรียน การดาํ รงชวี ติ และการประกอบอาชพี ดว ยเจตนาดี รวมถงึ เพราะสัตตบุรุษและบัณฑิตน้ี จะถ่ายทอดวิชาที่เป็นประโยชน์ในการประกอบอาชีพ ให้ความรู้ คอยยับยั้งเมือ่ เราคดิ จะทําสิง่ ที่ไมถ ูกตอง) แก่เราด้วยเจตนาดี ยับย้ังเราเม่ือเราคิดหรือเร่ิมจะท�าความชั่ว ดังน้ัน เราจะต้องพิจารณาและ ความสอดคลองของปญ ญาวฒุ ิธรรม 4 ขอ เอาใจใสเลา เรียนและใชเ หตผุ ลไตรต รองกบั หัวใจ แน่ใจว่าผ้ทู ่ีเราจะไปคบหาดว้ ยนั้น เป็นบุคคลประเภทใด ถา้ เราไม่แน่ใจว่าใครเปน็ อย่างไร ก็ควร นักปราชญ เชอ่ื ฟงั คา� แนะน�าจากผ้หู วงั ดกี อ่ น เช่น บดิ ามารดา ครูอาจารย์ หรอื ญาติผใู้ หญท่ ี่เคารพนบั ถอื ๒.๒) เอาใจใส่เล่าเรียนหาความจริง คอื หมัน่ หาความร้ดู ว้ ยความต้ังใจจริงและ เอาใจใส่ โดยเร่ิมจากศึกษาในสิ่งท่ีเราถนัดและสนใจ การหาความรู้น้ัน ควรฝึกฝนด้วยตนเอง ให้มากที่สุด ถ้าเราคอยแต่ถามเพ่ือนหรือให้เพื่อนท�าให้ทุกอย่างแล้ว แม้ส�าเร็จการศึกษาออกไป ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เพราะไม่เคยท�าอะไรด้วยตนเอง หรือถ้าเรียนแต่ทฤษฎี ไม่รู้จัก ทดลองน�ามาปฏิบัติแล้ว ความรู้ทมี่ ีอยูก่ ็ไม่เป็นประโยชน์อะไร ไม่สามารถน�ามาเป็นเคร่อื งมอื การ ทา� งานหาเลี้ยงชพี ได้ ๒.๓) ใชเ้ หตผุ ลไตรต่ รอง ใช้ความคิดที่ถูกวิธีด้วยเหตุผล ความคิดอ่านของเรา จะกว้างขวางเมื่อฟังมากอ่านมาก การรับฟัง ความเห็นหลายๆ ด้าน ย่อมท�าให้เรามีความ คิดแตกฉานออกไป ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อันมี ส่วนช่วยให้ได้รับความรู้จริงที่ถูกต้อง ท้ังนี้ การท่ีได้อ่านมากฟังมากก็มิได้หมายความว่า เราจะได้ความจริงหรือมีความรู้ท่ีถูกต้องเสมอ ไป ความเขลาของเราอาจท�าให้เชื่ออะไรง่ายๆ ก็ได้ แต่ถ้าเราไม่เผลอไม่หลง ใช้สติปัญญา พิจารณาไตร่ตรองว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ดู เหตุผลและวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน สุดท้ายย่อมรู้ เม่ืออยู่ในวัยเรียน หน้าท่ีของบุคคลคือต้ังใจศึกษา ความจริงแทไ้ ด้ เลา่ เรยี น ขวนขวายหาความรู้ 75 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู การรบั ขอ มลู ขา วสารหรอื ประเดน็ ทางสงั คมในปจ จบุ ันควรปฏิบัติตนตาม ครคู วรอธบิ ายใหน กั เรียนเขา ใจถงึ ความสาํ คัญของการใชเ หตุผลไตรตรอง แนวทางในขอใด เรอื่ งราวตางๆ ที่นักเรยี นพบเห็นหรือไดย นิ ไดฟง มาในโลกยคุ โลกาภวิ ตั น โดยอาจ สนทนาเกี่ยวกบั ขาวหรอื ประเดน็ ทางสังคมเพื่อฝกทักษะการคิดอยางมวี จิ ารณญาณ 1. รวบรวมขอ มลู ใหม ากที่สดุ ตามลําดบั ข้ันตอน คือ ตงั้ เปา หมายและระบปุ ระเด็นในการคิด วเิ คราะหข อ มลู 2. ลาํ ดบั ความสําคญั ของขอมูล จาํ แนกขอ เทจ็ จริงและความคิดเหน็ และเลือกขอมูลท่จี ะนาํ มาใช จากนน้ั ใชห ลกั 3. เพกิ เฉยตอขอมลู จากทุกแหลง เหตุผลพจิ ารณาขอ มูลเพ่อื หาแนวทางไปสูเปา หมายหรอื คําตอบท่ีต้งั ไว 4. วเิ คราะหข อมูลโดยปราศจากอคติ วเิ คราะหคําตอบ การรับขอมูลขา วสารหรอื ประเด็นทางสังคมในปจ จบุ นั มุม IT ซ่งึ มคี วามซับซอนและมกี ารเปล่ียนแปลงอยา งรวดเรว็ นั้น พึงใชปญ ญา ไตรตรองเหตผุ ล วเิ คราะหข อ มลู ตางๆ ทไี่ ดรบั ฟงหรือรเู หน็ มาดวยใจ ศึกษาคนควาความรเู กยี่ วกับหลกั ธรรมเพ่อื การพัฒนาปญ ญาในทางพระพทุ ธ- เปน กลาง ปราศจากอคติ จะชว ยใหท ราบเรอ่ื งราวทีแ่ ทจ รงิ ได ดังน้ัน ศาสนาเพ่ิมเตมิ ไดท ่ี http://apps.qlf.or.th/member/blog/detail.aspx?id=120 เวบ็ ไซตส ง เสริมสงั คมแหงการเรยี นรแู ละคุณภาพเยาวชน (สสค.) คาํ ตอบคือ ขอ 4. คูม ือครู 75
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครตู ั้งประเดน็ อภิปรายและคําถามใหนักเรียนที่ ๒.๔) ปฏิบัติตนตามคลองธรรม คือ ไม่น�าความรู้ที่ได้มาไปใช้ในทางทุจริต ไดห มายเลข 4 ชว ยกันอธบิ ายความรู ดังนี้ ความรู้น้ันถ้าไม่ถูกควบคุมด้วยคุณธรรมแล้วจะเป็นอันตรายยิ่ง ยิ่งรู้มากยิ่งก่ออันตรายได้มาก • เพราะเหตุใด ผทู ่มี คี วามรูความสามารถจึง ตองคุณธรรมคอยกํากบั พฤตกิ รรมตางๆ ย่ิงโจรมีความรู้ความเช่ียวชาญเท่าไร ความเลวร้ายท่ีจะเกิดจากน้�ามือโจรนั้นย่อมมีมากขึ้น (แนวตอบ เพราะผทู ี่มคี วามรูความสามารถ นนั้ อาจใชค วามรูความสามารถของตนไป เท่านั้น นอกจากน้ีต้องไม่น�าความรู้มาก่อประโยชน์แก่ตน โดยไม่ค�านึงถึงความเดือดร้อนของ ในทางทผ่ี ิด หรอื ทางทุจริต อันจะนาํ มาซึง่ ความเดอื ดรอ นตอ สังคมสว นรวมไดมาก ผู้อืน่ อีกด้วย 1 โดยผทู ม่ี ีความรคู วามสามารถย่งิ มากเทา ไร พลังหรือก�าลังท่ีควรยึดเป็นหลักในการปฏิบัติธรรม แตปราศจากคณุ ธรรมคอยกํากบั การกระทํา ๓) พละ ๕ พละ หมายถึง ผนู นั้ ก็มีโอกาสสรางความเดือดรอ นใหแกสวน รวมไดม ากเทา นน้ั ) และในการดา� เนินชีวติ มอี ยู่ ๕ ประการ ดงั น้ี • ศรทั ธาตามหลักธรรมพละ 5 ขดั กบั หลกั ๓.๑) ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่นต่อหลักค�าสอนของพระพุทธองค์ หากปฏิบัติ ศรทั ธาในทางพระพทุ ธศาสนาหรือไม อยางไร ตามแล้วจะเกิดประโยชน์สุข ศรัทธาจึงถือเป็นจุดเร่ิมต้น กล่าวคือ การมีศรัทธาในพุทธธรรม (แนวตอบ ศรทั ธาตามหลักธรรมพละ 5 คอื ศรัทธาในหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจา จะเป็นจุดเร่ิมต้นให้เราศึกษาและปฏิบัติตามค�าสอนของพระพุทธองค์ แต่การจะปลงใจยอมรับว่า ซ่ึงเปนจุดเร่ิมตนของการนอมนําใจไปสูการ ทําความเขา ใจในหลกั ธรรมตางๆ และนาํ ไป หลักค�าสอนนั้นดีหรือไม่อยู่ท่ีการลงมือปฏิบัติจริง มิใช่ศรัทธาอีกต่อไป ศรัทธาจึงเป็นเพียงพลัง ประพฤตปิ ฏิบัตใิ หบ รรลจุ ุดมงุ หมาย ศรทั ธา ตามหลักธรรมพละ 5 นจ้ี งึ ไมข ดั กับหลกั ใหเ้ ราเร่ิมตน้ หากไมม่ คี วามเช่อื เป็นจดุ เริม่ ต้นแลว้ กจ็ ะไม่มีการทดลองดวู า่ ดจี ริงหรอื ไม่ ศรัทธา ศรทั ธาในทางพระพุทธศาสนาแตอ ยางใด) จึงมีประโยชนท์ ี่ชว่ ยใหก้ ารเริ่มตน้ ทกุ อย่างมีพลังและความหวงั ๓.๒) วิริยะ คือ ความพยายามที่จะประกอบแต่ความดี ละเว้นความชั่ว การ ท�าความดีบางคร้ังอาจเป็นของยาก เพราะมีส่ิงเย้ายวนให้หันเหไปสู่ความช่ัวมากมาย แต่ถ้าเรา มีศรัทธามากเท่าใด ความเพียรของเราก็ย่อมจะแกร่งกล้าขึ้นเท่านั้น วิริยะจึงมีประโยชน์ที่ท�าให้ การงานสา� เรจ็ ลุล่วงไปไดด้ ้วยดี ๓.๓) สติ คอื ความระลกึ ได้ มีความจ�า ไม่เผลอ ไม่เลินเล่อ ไม่เลื่อนลอย คือ มีความระมัดระวังต่ืนตัวอยู่เสมอ ได้ด้วย การปฏิบัติธรรมสติ เป็นสิ่งท่ีคอยเตือนและ ยับย้ังตัวเองมิให้กระท�าความชั่ว แต่มุ่งกระท�า ความดี หากมีศรทั ธาและวริ ิยะยอ่ มไม่เพียงพอ เพราะถ้าไม่มีสติคอยเตือนให้รู้จักพิจารณา อย่างรอบคอบแล้ว กอ็ าจจะเกิดความผดิ พลาด วิริยะ สติ และสมาธิ เป็นพลังส่วนหน่ึงที่ส่งเสริมให้ ในการกระท�าได้ สติจึงมีประโยชน์ที่คอยก�ากับ บคุ คลประสบความสาำ เรจ็ ไดใ้ นชวี ติ มิใหช้ วี ติ หลงผดิ และมคี วามเกยี จครา้ น 76 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครอู าจนาํ กรณตี วั อยางเกี่ยวกบั บุคคลท่มี ีความรคู วามสามารถ แตไ มม คี ณุ ธรรม ครูมอบหมายใหนักเรยี นศึกษาคน ควา ขอ มลู การนับถือศาสนาของ คอยกาํ กบั การกระทํา ไมป ฏิบตั ติ นตามคลองธรรม มาใหนกั เรียนพิจารณารว มกัน ประเทศสมาชกิ อาเซียน แลว จัดทาํ เปนบนั ทกึ การศึกษาคน ควา แลว ตงั้ คาํ ถามถึงความสาํ คัญของคณุ ธรรมในการควบคุมพฤติกรรมของบคุ คลน้ัน เพอื่ ใหนักเรียนตระหนักถงึ ความสําคญั ของการเปนคนเกง และเปนคนดีควบคกู นั ไป กิจกรรมทาทาย นักเรียนควรรู ครูมอบหมายใหน กั เรียนศึกษาคน ควา แนวทางการปฏบิ ตั ติ นตาม หลกั ธรรมคําสอนของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาอ่ืนท่ีตนนบั ถือ เพื่อการอยู 1 การปฏบิ ตั ธิ รรม จากการศกึ ษาของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช- รว มกันในกลมุ ประเทศสมาชิกอาเซียนไดอ ยา งสนั ตสิ ขุ แลวจัดทาํ เปน บนั ทกึ วทิ ยาลัยพบวา หลักธรรมทพ่ี ทุ ธศาสนิกชนสวนใหญใ นปจ จุบันยึดถอื ปฏิบตั ิ ไดแ ก การศกึ ษาคน ควา หลกั เบญจศีลและเบญจธรรม โดยเช่อื วา จะสามารถควบคุมพฤติกรรม พัฒนา รางกายและจิตใจของตนเองใหส ุจริต สง ผลใหส ังคมสว นรวมเกดิ ความสงบสุข ภายใตก ฎระเบยี บวนิ ัยและกฎเกณฑของสังคมได 76 คูม ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๓.๔) สมาธิ คือ ความต้งั จติ มน่ั สามารถบังคบั จติ ใจให้แน่วแนอ่ ยู่กับเรอ่ื งหนึง่ ครูตั้งประเด็นอภปิ รายและคําถามใหนกั เรยี น ที่ไดหมายเลข 4 ชว ยกันอธบิ ายความรู ดังน้ี ได้นานๆ ไม่วอกแวก ฟุ้งซ่าน สมาธิมีความส�าคัญต่อการปฏิบัติธรรมเพ่ือให้บรรลุถึงความสุข • วริ ยิ ะและสตใิ นฐานะเคร่ืองชว ยประคอง สุดยอดหรือนิพพานเป็นอย่างยิ่ง ดุจดังการใช้เลนส์นูนที่รวมแสงอาทิตย์มายังจุดเดียวกัน ความศรัทธา สามารถก่อให้เกิดการเผาไหม้ได้ ก�าลังต่างๆ ของคนกเ็ ชน่ กนั ถา้ ดงึ สมาธใิ หม้ าจดจอ่ อยสู่ ง่ิ เดยี ว • ความหมายและคณุ คา ของสมาธิและปญญา ตามหลักธรรมพละ 5 ย่อมท�าใหเ้ กิดพลงั ไดอ้ ย่างมหาศาล สมาธจิ ึงเป็นประโยชนท์ ่ีเปน็ บอ่ เกดิ แหง่ พลังในการทา� งาน • แนวทางการปฏบิ ัติตนตามหลักธรรม ๓.๕) ปญั ญา คอื ความรูช้ ดั เขา้ ใจสิ่งใดสง่ิ หน่งึ อย่างถอ่ งแท้ ร้ซู ้งึ ความเป็นจริง อบุ าสกธรรม 5 ขอมศี รัทธาและรักษาศีล ของชีวิต รู้ว่ากิเลสตัณหาเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ รู้ว่ากิเลสตัณหาน้ันดับได้ และหากดับแล้ว บุคคลก็จะพบความสุขสูงสุด ปัญญาจึงมีประโยชน์ท่ีช่วยให้สามารถเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ได้อย่างถกู ต้อง ๔) อุบาสกธรรม ๕ อุบาสกธรรม หมายถึง หลักธรรมประจ�าใจของผู้นับถือ และใกลช้ ดิ พระพุทธศาสนา มี ๕1 ประการ ดังน้ี ๔.๑) มีศรัทธา คือ มีความเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเลื่อมใสว่า ค�าสอนของพระพุทธเจ้าน่าจะดีจริง และเป็นแรงจูงใจให้เข้าไปพิจารณาค�าสอน ท้ังน้ีหลังจากใช้ ปัญญาและเหตุผลไตร่ตรองด้วยตนเองแล้วจึงยอมรับและเช่ือ อนึ่งเมื่อเช่ือพระปัญญาและการ ตรัสรู้ของพระพทุ ธเจา้ แลว้ กต็ อ้ งเช่ือหลกั ค�าสอนของพระพทุ ธเจา้ ด้วย ๔.๒) รักษาศีล คือ เปน็ คนมีจิตใจเปน็ ปกติ ไมถ่ ูกครอบงา� ด้วยความโลภ ความ โกรธ ความหลง อันจะชักน�าให้ประพฤติผิด กระท�าชั่ว คนเราเม่ือจิตเป็นปกติ การกระท�า ทั้งกาย วาจา และใจ ก็จะท�าแต่สิ่งสุจริต แต่ ถา้ มคี วามโลภ ความโกรธ ความหลง อยา่ งใด อยา่ งหน่ึงแลว้ จติ ยอ่ มไมเ่ ปน็ ปกติ การกระทา� ทง้ั กาย วาจา และใจ กเ็ ปน็ ทจุ รติ ไปดว้ ย แตเ่ ปน็ สิ่งท่ีอยู่ข้างใน รู้เห็นได้แต่ตัวเอง จึงมุ่งให้คน รักษาศีลทางกาย วาจา อันสังเกตได้ก่อน แม้ว่าใจจะไม่เป็นศีล แต่ถ้าไม่กระท�าความชั่ว ไม่กล่าวชั่ว ก็ย่อมดีกว่าไม่มีศีลเลย ถ้ามีศีล การทาำ บญุ ตกั บาตรเปน็ สง่ิ ทอ่ี บุ าสกและอบุ าสกิ าพงึ ปฏบิ ตั ิ ทางใจ และสงบจากความโลภ โกรธ หลงได้ เปน็ ประจาำ จึงนบั เปน็ ศีลแท้ 77 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู นักเรยี นสามารถไดชือ่ วา เปนอบุ าสก อุบาสกิ าที่ดตี ามหลกั ครูอาจใชค ําถามเพือ่ กระตนุ ความสนใจของนักเรียนกบั หลกั ธรรมทางพระพทุ ธ- อบุ าสกธรรม 5 ไดหรอื ไม อยา งไร ศาสนาตา งๆ เชน นกั เรียนเช่อื ในหลักธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา หรอื ไม เพราะเหตใุ ด พทุ ธศาสนกิ ชนควรศรทั ธาในหลกั ธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา หรอื ไม 1. ได เพราะเปน หลกั ธรรมที่สามารถปฏบิ ัติไดในชีวิตประจําวัน เพราะเหตุใด เปน ตน 2. ได เพราะผา นพิธีการประกาศตนเปน พทุ ธศาสนกิ ชน หรอื นักเรยี นควรรู พทุ ธมามกะแลว 3. ไมได เพราะเปนเพียงปุถชุ นท่ยี ังมีกเิ ลสครอบงาํ จิตใจอยหู ลาย 1 ศรทั ธา เปนภาษาสนั สกฤต สว นในภาษาบาลี คอื สัทธา ในทางพระพุทธ- ศาสนา หมายถงึ ความเชือ่ สิง่ ทคี่ วรเชือ่ ความเชอื่ ที่ประกอบดวยเหตผุ ล ความ ประการ ม่นั ใจในความจรงิ ความดี ส่งิ ดีงาม และในการทําความดไี มตน่ื ตมู ไปตามลักษณะ 4. ไมไ ด เพราะยังไมไดบวชเรียนหลักธรรมคาํ สอนตามพระไตรปฎก อาการภายนอก อาจแบงออกไดเปน 4 ประเภท คือ กมั มสัทธา เชอื่ กรรม วิปาก- สัทธา เชือ่ ผลของกรรม กัมมสั สกตาสัทธา เช่อื วา สตั วมีกรรมเปนของตวั ทาํ ดไี ดด ี อยา งแทจ ริง ทําชว่ั ไดช วั่ และตถาคตโพธสิ ัทธา เช่อื ปญญาตรัสรขู องพระตถาคต วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. ได เพราะเปน หลกั ธรรมทสี่ ามารถปฏบิ ัติ คมู ือครู 77 ไดใ นชีวติ ประจําวัน เชน ขอมศี รัทธา คือ เชอ่ื ม่นั ในหลักธรรมคําสอนของ พระพทุ ธเจาจากการทดลองปฏบิ ตั ิตนตามนัน้ และขอรักษาศีล คือ การ ปฏบิ ตั ติ นตามหลักเบญจศลี ยอมทาํ ใหช วี ติ และจิตใจมีแตค วามสุขสงบ
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู ครูต้งั ประเดน็ อภิปรายและคาํ ถามใหน กั เรยี นท่ี ๔.๓) ไม่เช่ือโชคลาง เช่ือหลักกรรม คือ เช่ือในกฎแห่งกรรมว่าท�าอย่างไร ไดหมายเลข 4 ชวยกันอธิบายความรู ดังน้ี ได้ผลอย่างน้ัน ไม่หลงเช่ือโชคลาง หมอดู ไม่หวังรวยทางลัด เชื่อว่าสิ่งดีๆ ย1่อมได้มาจากการ กระท�าของตน ไม่เช่ือวา่ ความรู้ความเจรญิ เกดิ มาจากความขลงั ของสิ่งศกั ดส์ิ ิทธ์ิ แตเ่ ชื่อวา่ ความ • แนวทางการปฏบิ ัติตนตามหลักธรรมอุบาสก- สุขความเจริญเกิดจากความขยันหมั่นเพียร ความใฝ่รู้ การประหยัด การหลีกเล่ียงอบายมุข ธรรม 5 ขอไมเ ช่อื โชคลาง เชื่อหลักกรรม ไม ท้ังปวง อย่างไรก็ดี แม้ความเช่ือโชคลางอาจเกิดข้ึนกับเราบ้างเป็นครั้งคราว แต่ต้องใช้ปัญญา แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพทุ ธศาสนา และเหตผุ ลไตร่ตรองอยเู่ สมอ ไม่ปลอ่ ยให้ถล�าเข้าไปในความเชอื่ นนั้ เกนิ ไป และเอาใจใสทาํ นบุ าํ รุงพระพุทธศาสนา ๔.๔) ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา คือ ยึดมั่นในการท�าบุญ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา เปน็ ตน้ วา่ บญุ กิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ดงั น้ี ๑. การบริจาคทาน ๒. การรกั ษาศีล ๓. การเจริญภาวนา หรือสา� รวจใจใหแ้ นว่ แน ่ ๔. การอ่อนนอ้ มถ่อมตนตอ่ ผู้ใหญ่ เป็นสมาธิ ๕. การช่วยเหลือขวนขวายในกจิ กรรมงานของผูอ้ ่ืน ๖. การให้สว่ นบุญ ๗. การอนโุ มทนาสว่ นบญุ หรอื การแสดงความยนิ ด ี ๘. การฟังธรรม ทไี่ ดร้ บั สว่ นแบง่ ความดขี องผอู้ น่ื ๙. การแสดงธรรม ๑๐. ก ารทา� ความคดิ เหน็ ของตนใหถ้ กู ตอ้ งตามทา� นองคลองธรรม ๔.๕) เอาใจใส่ท�านุบ�ารุงพระพุทธศาสนา คือ เข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ พิธีกรรมทางศาสนา หมั่นรักษาศีล ท�าบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม บูรณปฏิสังขรณ์ ศาสนสถาน อุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์สามเณรให้ปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างสะดวก หรือช่วยเหลือ เผยแผ่หลักธรรมให้แพร่หลายมากข้ึน เพราะถ้าเราละเลยไม่ช่วยกันเอาใจใส่ท�านุบ�ารุงให้เจริญ รุ่งเรืองแล้ว พระพุทธศาสนากย็ ่อมเส่อื มโทรมลงเร่อื ยๆ เร่อื งนา่ รู้ กาลามสตู ร (เกสปตุ ตสูตร) พระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนชนชาวกาลามะวา่ ไมใ่ หเ้ ชอ่ื งมงายไรเ้ หตผุ ลตามหลกั ๑๐ ขอ้ คอื ๑. อยา่ ปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการฟงั ตามกนั มา ๒. อยา่ ปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการถอื สบื ตอ่ กนั มา ๓. อยา่ ปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการเลา่ ลอื ๔. อยา่ ปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการอา้ งตาำ รา ๕. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะตรรกะ ๖. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะการอนมุ าน ๗. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะการตรกึ ตรอง ๘. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะเขา้ ไดก้ บั ทฤษฎขี องตน ๙. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะมองเหน็ รปู ลกั ษณะนา่ เชอ่ื ๑๐. อยา่ ปลงใจเชอ่ื เพราะทา่ นเปน็ ครขู องเรา 78 นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรียนสามารถปฏิบัติตนเพื่อการทํานบุ ํารงุ พระพุทธศาสนาตามหลกั 1 ความขลงั ของส่ิงศักดสิ์ ทิ ธิ์ ผูท่เี ช่อื ในความขลงั ของสิง่ ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิในทาง อุบาสกธรรม 5 ไดอ ยางไรบา ง พระพุทธศาสนาเรียกวา สลี ัพพตปรามาส คอื ความยึดมน่ั ถอื วา บุคคลจะบรสิ ทุ ธ์ิ แนวตอบ การปฏิบัตติ นเพื่อทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาตามหลักอบุ าสก- หลุดพนไดด วยศีลและวตั ร (คือถอื วา เพียงประพฤติศีลและวตั รใหเ ครงครัดก็พอท่ี ธรรม 5 เปนสงิ่ ทพ่ี งึ ปฏิบตั ิอยางสม่าํ เสมอ ไดแ ก การเขารวมพธิ กี รรม จะบรสิ ทุ ธิห์ ลุดพน ได ไมต อ งอาศยั สมาธแิ ละปญ ญากต็ าม ถอื ศลี และวัตรท่งี มงาย) สําคญั ทางพระพุทธศาสนา การปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ความถือศลี พรต โดยสกั วาทําตามๆ กนั ไปอยา งงมงาย หรือโดยนยิ มวา ขลงั วา และแนะนาํ เพ่อื นใหป ฏิบตั ิตาม เพอื่ เปนการรกั ษาและเผยแผพ ระพุทธ- ศักดิ์สิทธิ์ ไมเขา ใจความหมายและความมุงหมายทีแ่ ทจ ริง ความเชื่อถอื ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ศาสนา รวมถงึ เขา รว มกจิ กรรมการบูรณปฏิสงั ขรณพุทธสถานตามกาํ ลงั ดว ยเขาใจวาจะมไี ดดวยศีลหรอื พรตอยา งนัน้ อยา งนลี้ ว งธรรมดาวสิ ัย ความสามารถ มุม IT ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนากบั ไสยศาสตรใ นทศั นะของพระสงฆไ ดท ่ี http://www.visalo.org/article/budBudAndSai.htm เว็บไซตพระไพศาล วิสาโล 78 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๕) มงคล หมายถึง ธรรมท่ีน�ามาซึ่งความสุข ความเจริญ มีหลักบางประการ ครูตั้งประเดน็ อภปิ รายและคําถามใหน กั เรียน ท่ไี ดหมายเลข 4 ชวยกนั อธิบายความรู ดงั น้ี ดงั น้ี ๕.๑) สงเคราะหบ์ ตุ ร คอื คณุ ธรรมของบดิ ามารดาทต่ี อ้ งบา� รงุ เลย้ี งดบู ตุ รใหเ้ จรญิ • การสงเคราะหบุตรของบิดามารดาทสี่ ําคัญ ตามหลกั ธรรมมงคลคอื อะไรบาง ทั้งด้านร่างกายและจติ ใจ มีหลกั ๕ ประการ ดังน้ี (แนวตอบ การสงเคราะหบ ตุ รของบิดามารดา ท่ีสําคญั ตามหลกั ธรรมมงคล แบงออกเปน ๑. ห้ามไม่ให้ท�าชั่ว คือ ห้ามและป้องกันกีดกันบุตรไม่ให้กระท�าชั่ว และให้ห่างไกลจาก 5 ประการ ไดแก การหา มไมใหท ําความช่วั บุคคลหรือส่ิงอันตรายเป็นโทษด้วย ท้ังน้ีต้องใช้วิธีการท่ีละมุนละม่อมไม่ก่อให้เกิดความ ใหต ้ังม่นั อยใู นความดี ใหศ กึ ษาศลิ ปวทิ ยา ขัดแยง้ กัน หาภรรยาหรือสามีที่เหมาะสมให และมอบ ทรพั ยม รดกใหในเวลาอันสมควร ๒. ให้ต้ังอยู่ในความดี คือ ให้บุตรประพฤติดีมีศีลธรรม มุ่งในแง่ท�าให้จิตใจของบุตรมี คณุ ภาพ โดยบดิ ามารดาอาจสงเคราะห์บุตรได้ด้วยวธิ ีการตา่ งๆ ดังน้ี • แนวการสงเคราะหสามแี ละภรรยาตาม หลักธรรมมงคล ● ทา� ตนเป็นตัวอย่างท่ดี ีแก่บตุ ร ● หาหนังสอื ธรรมะทเ่ี หมาะแกว่ ยั ให้บุตร ● พาบุตรไปหาพระสงฆท์ ่ีวดั เพ่ือศกึ ษาหาความรู้ทางศาสนา ● จัดการให้บุตรชายได้บวชเรียนเป็นสามเณรหรือพระภิกษุ เพ่ือให้การศึกษาธรรม สมบรู ณย์ ิง่ ข้ึน ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา คือ ส่งเสริมให้บุตรได้เล่าเรียนมีความรู้สูงสุดเท่าที่ก�าลังของตนจะ อ�านวย ๔. หาภรรยาหรือสามีท่ีเหมาะสมให้ คือ พยายามให้บุตรได้คู่ครองท่ีดี โดยเป็นธุระจัดงาน แต่งงานให้บุตร เป็นที่ปรึกษาให้ค�าแนะน�าแก่บุตรในเร่ืองความรัก โดยไม่ให้ความรู้สึก รักชอบสว่ นตัวเปน็ ตัวตดั สนิ ๕. มอบทรัพย์มรดกให้ในเวลาอันสมควร คือ มอบทรัพย์มรดกให้โดยดูโอกาสให้บุตรอยู่ใน วัยโตพอจะรู้ค่าสมบัติที่บิดามารดาหาไว้ให้เสียก่อน เพราะเขาอาจไม่รักษาทรัพย์มรดก ไว้ได้ หรือถา้ บตุ รมีความประพฤติช่วั ลุ่มหลงในอบายมุขกค็ วรรอใหเ้ ขากลบั ตวั เสยี กอ่ น ๕.๒) สงเคราะหภ์ รรยา (สาม)ี ในทนี่ หี้ มายถงึ ผเู้ ปน็ สามกี ต็ อ้ งสงเคราะห์ภรรยา และผู้เป็นภรรยาก็ต้องสงเคราะหส์ ามี ดังน้ี ๑. ยกยอ่ งให้เกยี รติสมฐานะ ๒. ไมด่ หู ม่นิ ๓. ไม่นอกใจ ๔. มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้ ๕. ให้ของกา� นลั ตามโอกาส 79 บูรณาการเชื่อมสาระ เกรด็ แนะครู ครูสามารถมอบหมายใหนักเรียนศึกษาคน ควากฎหมายที่เกยี่ วขอ งกบั ครอู าจใหนกั เรียนชว ยกันลาํ ดับความสาํ คัญของการสงเคราะหบ ตุ รจากบิดา บุคคลในครอบครัว และวเิ คราะหความสอดคลอ งกบั หลกั ธรรมมงคลใน มารดา พรอมทั้งอธบิ ายเหตุผลประกอบ ขอ การสงเคราะหบตุ รและการสงเคราะหภ รรยา (สามี) ในทางพระพทุ ธ- ศาสนา เพ่อื ใหนักเรียนเขาใจคุณคาของหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา มมุ IT ทช่ี ว ยใหสมาชิกในครอบครัวอยูร วมกันไดอ ยางสงบสุข และเปน การจดั กิจกรรมการเรยี นรบู ูรณาการวชิ าหนา ทพี่ ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดําเนิน ศึกษาความรเู กี่ยวกับหลกั การและแนวทางการปฏิบตั ติ นของสมาชิกครอบครัว ชีวิตในสงั คม ในเรื่องกฎหมายทเี่ กีย่ วของกบั บคุ คลและครอบครวั ในทางโลก ไดแ ก กฎหมายท่ีเกีย่ วขอ งกบั ครอบครัว เพิ่มเตมิ ไดที่ http://www. library.coj.go.th/indexarticle2.php?Idmain=20&&No=20&&Title=%A4%C3%C D%BA%A4%C3%D1%C7&&page= เวบ็ ไซตหอ งสมดุ อเิ ล็กทรอนกิ สศาลยุตธิ รรม ศูนยว ิทยบริการศาลยตุ ธิ รรม สาํ นักงานศาลยุตธิ รรม คูมอื ครู 79
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Elaborate Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ครูตัง้ ประเดน็ อภิปรายและคาํ ถามใหน กั เรียนที่ สามีและภรรยาควรให้เกียรติกัน ไว้เน้ือเช่ือใจกัน ไดหมายเลข 4 ชว ยกันอธิบายความรู ดงั นี้ และปรึกษาร่วมกันเม่ือเกิดปัญหาต่างๆ เพ่ือท่ีชีวิตคู่ จะไดม้ คี วามสขุ • สนั โดษในทางพระพุทธศาสนาแตกตางจาก ความเขาใจโดยท่วั ไปอยางไร และประกอบ สว่ นภรรยาพงึ ปฏบิ ัตติ ่อสามี ดังนี้ ดว ยแนวทางอยางไรบา ง (แนวตอบ สนั โดษในทางพระพุทธศาสนาตาม ๑. จดั งานบ้านให้เรียบรอ้ ย หลกั ธรรมมงคล คอื การรจู กั ยับย้งั ความ ๒. สงเคราะห์ญาตมิ ติ รทัง้ สองฝา่ ยด้วยดี ปรารถนาของตนใหอ ยใู นขอบเขตทีเ่ หมาะ ๓. ไมน่ อกใจ สมตามทํานองคลองธรรม มใิ ชการอยเู ฉยๆ ๔. รักษาทรพั ยส์ มบัตทิ ่หี ามาได้ โดยมทิ ําอะไร ไมข วนขวาย ไมกระตือรอื รน ๕. ขยันในงานทง้ั ปวง ท่จี ะสรางความเจรญิ ใหแ กชีวิต แบงออกได เปน 3 ประการ ไดแ ก ความยินดีตามท่ีไดม า ๕.๓) สันโดษ คือ การรู้จักที่จะยับย้ังความปรารถนาของตนให้อยู่ในขอบเขต โดยชอบ ความยนิ ดีตามกําลงั ท่ตี นมอี ยู และ ที่เหมาะสม ความสันโดษมิได้หมายถึงการอยู่เฉยๆ ไม่ท�าอะไร ไม่ขวนขวาย ไม่กระตือรือร้น ความยินดตี ามสมควรแกภาวะความเปน อยู ท่ีจะสร้างชีวิตให้เจริญ แต่หมายถึงความยินดีในส่ิงท่ีตนมีอยู่ และไม่ด้ินรนเกินเหตุเพ่ือแสวงหา ของตน) ส่งิ ตา่ งๆ โดยไม่ถกู ท�านองคลองธรรม จากนน้ั ครใู หนักเรียนบันทึกความรทู ี่ไดจ าก สันโดษมี ๓ ประการ ดังนี้ หลกั ธรรมในอริยสจั 4 ขอมรรคลงในสมุด ๑. ยถาลาภสนั โดษ คือ ความยินดีตามท่ีได้มาโดยชอบ ไดม้ าเท่าไรกย็ ินดีเทา่ น้ัน ๒. ยถาพลสนั โดษ คอื ความยนิ ดตี ามกา� ลงั ตนทมี่ อี ย ู่ ไมส่ า� คญั ตนผดิ และไมด่ ถู กู ตวั เอง ๓. ยถาสารุปปสันโดษ คือ ความยินดีตามสมควรแก่ภาวะความเป็นอยู่ของตน ยินดี ในความเปน็ อยู่ปัจจบุ นั และอาจขวนขวายใหด้ ขี ึน้ เทา่ ท่ีจะเปน็ ไปได้ 80 บรู ณาการอาเซียน ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT การกระทาํ ของบคุ คลในขอ กลา วไดว า เปน ผมู สี นั โดษในทางพระพทุ ธศาสนา ครสู นทนารวมกนั กับนักเรียนถึงการนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาในประเทศสมาชกิ 1. สมอาสาชว ยเหลอื งานครเู พราะอยากไดค ะแนนดี อาเซยี น ซงึ่ ไดแ ก ประเทศเวยี ดนาม กมั พชู า เมยี นมา ลาว และบางสว นในประเทศ 2. ชมพไู มอานหนงั สือสอบ เพราะคิดวา ถึงอยางไรกไ็ มสามารถทํา อนื่ ๆ ในดา นลกั ษณะการยอมรบั นบั ถอื นกิ ายสาํ คญั ความเหมอื นและความแตกตา ง คะแนนไดด ี ในดา นตางๆ กบั การนบั ถือของไทยจากความรทู ่ีนักเรียนไดศ ึกษามา แลวครนู าํ 3. กลว ยพอใจในคะแนนสอบ เพราะเขาใจถึงความสามารถในการเรียน เสนอกรณีตัวอยางเกีย่ วกับความขัดแยงภายในประเทศหรอื ระหวา งประเทศสมาชิก วิชานข้ี องตน อาเซยี นท่ปี ระชากรสวนใหญน บั ถือพระพทุ ธศาสนากับศาสนาอน่ื ๆ จากนน้ั 4. เงาะขาดเรยี นบอ ย เพราะตอ งเรียนกวดวิชาทกุ วัน เพ่อื ใหไ ดคะแนน อภปิ รายรวมกันกบั นกั เรียนถงึ แนวทางการแกไ ขปญหาตามหลกั ธรรมคําสอนทาง สอบมากข้ึน พระพุทธศาสนาเพ่อื สง เสรมิ การแกไ ขปญ หาความขัดแยงโดยสนั ติวิธี แลวสรปุ สาระ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. กลวยพอใจในคะแนนสอบ เพราะเขาใจ สําคัญและแนวคดิ ท่ีไดจากการอภปิ รายรว มกนั ทงั้ นี้เพื่อสงเสรมิ ใหน ักเรียนสามารถ ถงึ ความสามารถในการเรียนวิชานข้ี องตน แสดงถึงความยนิ ดีในส่ิงได นาํ หลกั ธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนามาใชใ นวเิ คราะหแ นวทางการแกไขปญ หา รบั เทา กบั ความสามารถท่ตี นมี ทัง้ น้ีกลว ยไดพยายามตั้งใจเรียนและอา น ความขัดแยง โดยสนั ติวิธีสอดคลอ งกบั กรอบความรว มมือประชาคมอาเซียน หนังสอื ทบทวนเพ่อื เตรียมสอบวชิ านอ้ี ยางเต็มความสามารถแลว 80 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand หลักธรรมของพระพุทธเจาเปนหลักความจริงที่พระพุทธองคทรงคนพบแลว 1. ครมู อบหมายใหน กั เรยี นสบื คน ขอ มลู หลกั ธรรม นํามาเผยแผแกมวลมนุษย เพ่ือใหมนุษยเขาใจความจริงในชีวิต ท้ังนี้หลักธรรมสามารถใหผลแก ในกรอบอรยิ สัจ 4 เพม่ิ เตมิ จากหนังสอื เรยี น แลว จัดทําเปน บนั ทึกการศกึ ษาคนควา ที่ ผูปฏิบัติตามสมควรแกการปฏ1ิบัติ การทําความเขาใจในหลักธรรมคําสอนตางๆ ของพระพุทธองค ประกอบดว ย ผังมโนทศั นหลกั ธรรมในกรอบ อริยสัจ 4 รายละเอียดของหลกั ธรรมตางๆ อาทิ พระรัตนตรัย อริยสัจ ๔ ยอมทําใหเขาใจหลักการดําเนินชีวิต และสามารถนําหลักธรรมน้ัน ในกรอบอรยิ สัจ 4 และแนวทางการปฏบิ ตั ิตน มาประยกุ ตใ ชเ ปน เครอื่ งมอื นาํ ทางใหด าํ เนนิ ชวี ติ ไดอ ยา งถกู ตอ งและดงี าม ดงั นน้ั พทุ ธศาสนกิ ชนท่ีดี ตามหลักธรรมในกรอบอริยสัจ 4 จึงควรศึกษาหลักธรรมตางๆ ใหชัดเจนเพ่ือนําไปปฏิบัติ เพราะถาหากไมเขาใจหลักธรรมดีแลว การปฏบิ ัติก็อาจคลาดเคลอ่ื นไปได 2. ครูใหน กั เรียนปฏิบตั ติ นตามหลกั ธรรมใน กรอบอรยิ สจั 4 ตามแนวทางทีต่ นวางไว เปน ¸ÁÁÚ ¨ÒÃÕ ÊØ¢í àÊµÔ เวลา 1 เดือน โดยจดั ทําบนั ทึกการปฏิบตั ติ น ¼Ù»Œ ÃоĵԸÃÃÁ‹ÍÁÍÂً໹š 梯 ตามหลักธรรมในกรอบอรยิ สัจ 4 ทปี่ ระกอบ ดวยขอมูลตา งๆ เชน วันท่ี การปฏิบัติตน (¾·Ø ¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉÔµ) ความสอดคลองกบั หลกั ธรรม ขอ คดิ หรอื ผลที่ ไดร ับจากการปฏบิ ตั ิ และแนวทางการปรบั ปรงุ การปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรม ตรวจสอบผล Evaluate 8๑ 1. ครคู ดั เลอื กบนั ทึกการศกึ ษาคนควาหลกั ธรรม ในกรอบอรยิ สจั 4 ท่ีดีของนกั เรยี น แลวนาํ มา ใหนกั เรียนชว ยกันตรวจอกี ครง้ั โดยพิจารณา จากความถกู ตอ งครบถว นของผังมโนทศั นและ รายละเอียดของหลกั ธรรม รวมถึงแนวทางการ ปฏบิ ัติตามหลักธรรม แลวนาํ ผลงานท่ีดจี ัด แสดงบนปา ยนิเทศของชัน้ เรียน 2. ครตู รวจบันทกึ การปฏบิ ตั ิตนตามหลักธรรม ในกรอบอรยิ สจั 4 ของนกั เรียน โดยพิจารณา จากการปฏบิ ตั ติ นท่ถี กู ตองเหมาะสมตาม หลักธรรม ขอคิดหรือผลทไ่ี ดร บั จากการปฏบิ ตั ิ รวมถึงความครอบคลุมและสมํ่าเสมอของการ ปฏบิ ัติ 3. ครูสังเกตพฤตกิ รรมการมสี วนรว มในกิจกรรม การเรียนรู เชน การตอบคาํ ถาม การอภปิ ราย และความคิดเห็น เปนตน ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’53 ออกเกีย่ วกับหลักอริยสจั 4 ครอู าจใหน กั เรยี นชว ยกันวิเคราะหหลักการปฏบิ ัตติ นของบตุ รตอบดิ ามารดา ในการประชมุ สมั มนาเพอ่ื แกป ญหาความยากจน ไดม กี ารกําหนด หลงั จากการศึกษาเร่อื งการสงเคราะหบ ุตร แนวทางประชุมโดยใหเร่ิมตกลงกนั วา ปญ หาความยากจนคอื อยา งไร อะไร นกั เรียนควรรู คอื สาเหตุ เปา หมายทีต่ อ งการหลังจากแกไ ขแลว จะเปน อยา งไร และวิธกี าร แกไขจะทาํ อยางไรบา ง แนวทางนต้ี รงกบั หลักพระพุทธศาสนาในเร่ืองใด 1 อริยสจั 4 เปนหลกั ธรรมสงู สดุ ของพระพทุ ธศาสนามีสาระสาํ คญั เก่ียวกบั ความจริงของชวี ิต และทีส่ ําคัญคือ การแกป ญ หาและการดับทกุ ขของชวี ิต ดวย 1. อรยิ สัจ 4 การคิดแกป ญ หาตามหลกั อริยสจั 4 ไดแ ก ขนั้ ทกุ ข คอื การระบุถงึ ปญ หาท่ี 2. วภิ ัชชวาท ตอ งการแกไข ข้ันสมทุ ัย คือ การวเิ คราะหถ ึงสาเหตขุ องปญหาและต้ังสมมติฐาน 3. อทิ ัปปจจยตา ขน้ั นิโรธ คอื การกาํ หนดเปา หมายและวธิ กี ารแกปญ หาอยางละเอยี ด และขนั้ มรรค 4. โยนิโสมนสิการ คอื การดาํ เนนิ ตามวธิ ีการแกปญหาและสรปุ ผลการแกปญ หา วเิ คราะหค าํ ตอบ การแกไ ขปญ หาความยากจนตามแนวทางทกี่ าํ หนดวา ปญ หาความยากจนคอื อยางไร คือ ทุกข กาํ หนดสภาพปญ หาหรือราย คมู ือครู 81 ละเอียดของปญหาทัง้ หมด อะไรคือสาเหตุ คอื สมุทยั วเิ คราะหหาสาเหตุ ทีแ่ ทจริงของปญหานัน้ ๆ เปา หมายทตี่ องการหลงั จากแกไ ขแลว จะเปน อยางไร คอื นิโรธ สภาพสิ้นปญหา และวธิ ีการแกไ ขจะทําอยางไรบาง คอื มรรค วธิ กี ารแกไขปญ หานนั้ ๆ ดังน้นั คําตอบคือ ขอ 1.
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถกู ตอ งในการตอบคําถาม คาปถระาจÓมหนว่ ยการเรียนรู้ ประจาํ หนว ยการเรียนรู ๑. ถ้ามีคนมาถามนักเรียนว่า “ท�าดีได้ดี ท�าช่ัวได้ช่ัว จริงหรือ” นักเรียนจะอธิบายให้เขาฟัง หลักฐานแสดงผลการเรียนรู ตามหลกั ของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร 1. ใบความรูค ณุ คาของพระพทุ ธ ๒. ผู้ทมี่ ีสขุ ภาพจิตสมบรู ณ์ในทางพระพุทธศาสนาหมายความวา่ อย่างไร จงอธบิ าย 2. บันทึกการศึกษาคนควา หลักธรรมในกรอบ ๓. หลักธรรมในข้อใดบ้างที่นักเรียนสามารถน�ามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองในด้านการ อรยิ สัจ 4 เรยี นได้ 3. บนั ทึกการปฏิบัติตนตามหลักธรรมในกรอบ ๔. การปฏิบัติตนตามหลักของมงคล ๓๘ ในเร่ืองการสงเคราะห์บุตร และการสงเคราะห์ อรยิ สจั 4 ภรรยา (สามี) จะก่อให้เกิดผลดีต่อครอบครัวผู้ปฏิบัติอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง ประกอบ ๕. การศกึ ษาเรือ่ งอรยิ สจั ๔ มปี ระโยชน์ตอ่ ตวั ผศู้ ึกษาอย่างไรบ้าง ให้อธบิ ายเหตุผล กิจสรกา้ รงรสมรรค์พัฒนาการเรียนรู้ กจิ กรรมที่ ๑ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระรัตนตรัย และสรุปลงใน ๑ หน้า กิจกรรมที่ ๒ กระดาษส่งครูผู้สอน กจิ กรรมที่ ๓ ศึกษาคุณของพระพุทธ (๙ ประการ) หรือนวรหคุณเพิ่มเติม แล้วสรุป เปน็ ผงั มโนทัศน์ พรอ้ มตกแตง่ ใหส้ วยงามสง่ ครผู สู้ อน นักเรียนหาข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับการกระท�าท้ังด้านดีและไม่ดี และวเิ คราะหถ์ ึงสาเหตุของผลการกระทา� นน้ั ๆ ตามหลักอรยิ สจั ๔ 8๒ แนวตอบ คาํ ถามประจําหนว ยการเรียนรู 1. การกระทําท่ปี ระกอบดว ยเจตนายอ มเปนกรรม สงผลตอ ผกู ระทาํ ไมชา กเ็ รว็ ดังคาํ กลา วท่วี า “สวรรคอยใู นอก นรกอยใู นใจ” และกรรมท่ีทําจะปรุงแตง ลักษณะความ ประพฤติ การแสดงออก และทา ที 2. ผูที่มีคณุ ธรรมอันดีงามในการดําเนินชวี ติ เชน มสี ังคหวัตถุ 4 อันไดแก ทาน คอื การแบง ปน เอื้อเฟอ เผ่ือแผ ปย วาจา คือ การพูดจาไพเราะออ นหวาน มสี าระ ไม กอ ใหเ กิดความเดือดรอนแกผ ูอ่ืน อตั ถจรยิ า คือ การทําประโยชนแ กสงั คม ไมเ ห็นแกต นเองและพวกพอง และสมานตั ตตา คอื การทาํ ตนเสมอตนเสมอปลายในทกุ สถานการณ ตลอดจนการวางตนอยา งเหมาะสมกบั ฐานะดว ย 3. ภาวนา 4 เปน หลักการการพัฒนาในทางพระพทุ ธศาสนา ประกอบดว ย กายภาวนา คือ การพฒั นากายใหแขง็ แรงปราศจากโรคภัย การสัมพนั ธกบั ส่ิงแวดลอ มภายนอก อยางคมุ คา และเกดิ ประโยชนท ีเ่ ปน “คุณคา แท” ศีลภาวนา คือ การรักษาศีล ไมป ฏบิ ตั ติ นใหเปน ท่เี ดือดรอนของบุคคลอนื่ ในสังคม จติ ภาวนา คอื การพฒั นาจิตให เปนผูท่มี ีคุณภาพจิตสมบูรณ มีคุณธรรมอนั ดีงามในการดํารงชีวิต และเปน ผมู ีสมรรถภาพจติ สมบูรณ มคี ณุ ธรรมอนั สามารถสรางความสาํ เรจ็ ใหแกช วี ิตตนเองได และ ปญ ญาภาวนา คอื การพฒั นาปญญา ปราศจากกเิ ลสครอบงาํ เปนผูใฝเ รยี นรแู ละสามารถใชความรนู ้นั ในการแกป ญหาและกอ ใหเ กิดประโยชนแ กตนเองและผอู น่ื ได 4. การพฒั นาตนตามหลกั ของมงคล 38 ในเรื่องการสงเคราะหบ ุตร การสงเคราะหสามี และการสงเคราะหภรรยายอมทาํ ใหเกดิ ความสุขความเจริญแกส มาชิกในครอบครัว เน่อื งจากปฏบิ ตั ติ ามธรรมทนี่ าํ มาซึ่งความสขุ ความเจรญิ เชน การทีบ่ ดิ ามารดาส่งั สอนบตุ รมิใหก ระทาํ ความชว่ั ยอมไมนําความเดอื ดรอ นมาสคู รอบครัว 5. การศกึ ษาเร่ืองอรยิ สัจ 4 มีประโยชนอ ยางยิง่ ตอ ตวั ผศู กึ ษา กลาวคอื ชวยใหเกิดความรูความเขาใจในธรรมชาติของชวี ิตที่ตองประสบกบั ความทุกขแ ละรูวธิ ีการหลดุ พน จากทุกขน น้ั โดยใชสติปญญาไตรตรองเหตแุ ละผลอยางรอบคอบ และลงมอื แกไ ขปญหาที่กอ ใหเกดิ ทกุ ขท ี่สาเหตทุ แี่ ทจ ริง ผูท่ีศกึ ษาอรยิ สจั 4 และมคี วามรูความเขา ใจ อยา งชัดเจนจงึ กลา วไดว าเปนผูป ระเสรฐิ เน่ืองจากมคี วามสามารถในการแกปญหาชีวิตและสามารถดาํ รงชวี ิตไดอยางสงบสขุ 82 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู 1. อธบิ ายแนวทางการปฏบิ ัติตนหลักธรรม คาํ สอนทางพระพุทธศาสนาได 2. อภปิ รายคณุ คาและความสาํ คญั ของ พระไตรปฎกได สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใชท ักษะชีวติ 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ๔˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹Ã·ŒÙ èÕ ¾áÅ·Ø Ð¾¸รÈÐäาµÊร»¹®ÊกÀØ าÉÔµ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. มีวินยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มุงมนั่ ในการทาํ งาน ¾ÃÐäµÃ»®¡à»š¹¤ÑÁÀÕ÷ÕèºÃèØËÅÑ¡¸ÃÃÁ¢Í§¾Ãоط¸à¨ŒÒ »ÃСͺ´ŒÇ¾ط¸ÈÒÊ¹ÊØÀÒÉÔµ กระตนุ ความสนใจ Engage Ê͹ã¨ÁÒ¡ÁÒ «è֧Ōǹ໚¹»ÃÐ⪹㹡ÒùíÒä»ãªŒà»š¹á¹Ç·Ò§¡ÒôíÒçªÕÇÔµ ໚¹à¤Ã×èͧàµ×Í¹ÊµÔ ครใู หน กั เรียนพิจารณาภาพพระไตรปฎ กที่หนา 㹡ÒáÃзíÒã´æ ä´Œ ´Ñ§¹éѹ㹰ҹзÕè໚¹¾Ø·¸ÈÒʹԡª¹ ¨Ö§¤ÇÃÈÖ¡ÉÒ¾ÃÐäµÃ»®¡Íѹ¶×Íä´ŒÇ‹Ò หนว ยการเรยี นรู แลว ตั้งคําถามกระตนุ ความสนใจ ໚¹ËÑÇ㨢ͧ¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò à¾è×ÍãˌࢌÒã¨ËÅÑ¡¸ÃÃÁ¤íÒÊ͹¢Í§¾Ãоط¸ÈÒʹÒä´Œ´ÕÂÔè§¢Öé¹ à¢ŒÒ㨠ท่เี ชอ่ื มโยงกับความรแู ละประสบการณเดิมเกีย่ วกบั ¾Ãо·Ø ¸ÈÒʹÒÁÒ¡¢éÖ¹ áÅÐÁÕËÅ¡Ñ ¡ÒôíÒà¹¹Ô ªÇÕ Ôµ·Õ´è ÂÕ §Ôè ¢Öé¹ พระไตรปฎกและพุทธศาสนสภุ าษติ ของนกั เรียน ใหนักเรียนชวยกนั ตอบ เชน ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง • พระไตรปฎ กมีหลักธรรมคําสอนทเ่ี ปนคติ ส ๑.๑ ม.4/๑๓, ๑5 ■ พทุ ธศ�สนสภุ �ษติ ขอ คิดในการดําเนนิ ชวี ิตไวอ ยางไรบาง ■ วิเคร�ะห์หลักธรรมในกรอบอริยสัจ ๔ หรือหลักคำ�สอน - จติ ตฺ ำ ทนตฺ ำ สขุ �วห ำ : จติ ทฝ่ี ก ดแี ลว้ น�ำ สขุ ม�ให้ อธิบายพรอมยกตัวอยา งประกอบพอสงั เขป - น อจุ จฺ �วจ ำ ปณฑฺ ติ � ทสสฺ ยนตฺ ิ : บณั ฑติ ยอ่ มไมแ่ สดง (แนวตอบ คตขิ อ คดิ ในการดําเนินชวี ติ จาก ของศ�สน�ที่ตนนบั ถือ อ�ก�รขน้ึ ๆ ลงๆ พระไตรปฎกที่สาํ คญั สวนหน่ึง คือ ■ วิเคร�ะห์คุณค่�และคว�มสำ�คัญของก�รสังค�ยน�พระไตร- - นตถฺ ิ โลเก อนนิ ทฺ โิ ต : คนทไ่ี มถ่ กู นนิ ท�ไมม่ ใี นโลก พุทธศาสนสภุ าษติ ซ่ึงสวนใหญเ ปน - โกธ ำ ฆตวฺ � สขุ ำ เสต ิ : ฆ�่ คว�มโกรธไดย้ อ่ มอยเู่ ปน็ สขุ พระพุทธพจนของพระพุทธเจา รวมถงึ ของ ปฎ กหรือคัมภรี ์ของศ�สน�ท่ตี นนับถอื และก�รเผยแผ่ ■ วธิ กี �รศกึ ษ�และคน้ คว�้ พระไตรปฎ ก พระสาวกองคตา งๆ ตลอดจนคําสอนที่ พระเถระในสมยั ตอ มาไดรจนาไว) เกร็ดแนะครู ครูควรจดั กจิ กรรมการเรียนรทู ี่เนน การพัฒนาทกั ษะกระบวนการตางๆ เชน ทักษะการคิด ทกั ษะการฝกปฏิบตั ิ กระบวนการสืบสอบ และกระบวนการกลุม เพ่อื ใหนกั เรยี นสามารถวิเคราะหพุทธศาสนสภุ าษิตทก่ี ําหนด และคุณคา และความ สําคัญของพระไตรปฎก ดังตอไปน้ี • ครูใหน ักเรยี นรวมกลมุ เพื่อแบง หนาที่กนั ศึกษาพทุ ธศาสนสุภาษิตทก่ี าํ หนด จากหนังสอื เรยี นและแหลงการเรียนรูอื่น แลว เพอ่ื ชวยกนั อธบิ ายความรู จากน้นั ศกึ ษาขอ มลู เพ่ิมเตมิ แลวจดั ทําเปนแนวทางการปฏบิ ตั ติ นตาม พทุ ธศาสนสภุ าษติ • ครูใหนักเรยี นศึกษาความรเู กี่ยวกับการศกึ ษาพระไตรปฎ ก แลว สรุปแนวทาง การศกึ ษาที่หนา ชั้นเรยี น จากนัน้ ศกึ ษาพระไตรปฎ กและจดั ทาํ บทความเก่ียว กบั คณุ คา และความสําคญั ของพระไตรปฎ ก คูมือครู 83
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Elaborate Evaluate Explore Explain สาํ รวจคน หา Explore ครใู หน ักเรียนรวมกลุม กัน กลมุ ละ 4 คน เพื่อ ชวยกันศึกษาความรูเ ก่ยี วกับพุทธศาสนสภุ าษติ ๑. พทุ ธศาสนสภุ าษติ โดยกาํ หนดใหเ ปน กลุม บา น และใหนักเรยี นแตละ กลมุ บานกาํ หนดหมายเลขใหก บั สมาชกิ ตั้งแต ๑.๑ จติ ตฺ ™ ทนตฺ ™ สขุ าวห™ : จิตที่ฝกึ ดแี ลว้ นÓสขุ มาให้ 1-4 เพ่ือแบง หนา ทก่ี นั รบั ผิดชอบศึกษาพทุ ธศาสน- คนเรามีองค์ประกอบสองอ1ย่าง คือ จิตกับกาย โดยทั้งสองมีความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน สภุ าษิตคนละ 1 บท ดงั นี้ เช่น เมื่อร่างกายเจ็บป่วย จิตใจก็ย่อมหม่นหมองไปด้วย หรือเม่ือจิตใจเครียด ร่างกาย อาทิ หมายเลข 1 ศกึ ษาพทุ ธศาสนสุภาษติ จิตฺตํ ทนตฺ ํ สุขาวหํ จิตทฝี่ กดีแลวนาํ สุข กระเพาะ ท้อง ก็เจ็บป่วยไปด้วย อย่างไรก็ตาม จิตใจย่อมสำาคัญกว่าร่างกาย เพราะไม่ว่าอะไร มาให จะเกดิ ขน้ึ กับเรา ในท่สี ุดจิตใจจะเปน็ ตัวท่รี บั ทุกข์รับสขุ มคี ำาโบราณว่า “คับท่ีอยู่ได้ คบั ใจอยู่ยาก” หมายความวา่ ความไม่สะดวกทางกายนน้ั เราพอทนได้ แต่ถ้าจิตใจไมส่ ะดวกแลว้ เราทนไม่ได้ หมายเลข 2 ศึกษาพทุ ธศาสนสุภาษิต น อุจฺ ในพระพุทธศาสนามีคำากล่าวในพระธรรมบทว่า “ธรรมทั้งปวงมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ จาวจํ ปณฺฑิตา ทสสฺ ยนตฺ ิ บณั ฑิต สาำ เร็จด้วยใจ” จงึ แสดงให้เหน็ วา่ จิตใจเป็นส่ิงสำาคัญ ยอมไมแ สดงอาการขน้ึ ๆ ลงๆ จิตใจคนโดยท่ัวไปมักไม่อยู่น่ิง คิดเร่ืองนั้นเร่ืองน้ีอยู่เสมอ และเปล่ียนเรื่องคิดได้เร็วด้วย หมายเลข 3 ศกึ ษาพทุ ธศาสนสภุ าษติ นตฺถิ โล ในเวลาไม่ถงึ หนง่ึ วนิ าที จติ อาจคดิ ถงึ เรื่องท่หี า่ งจากตัวไดถ้ งึ พนั ถึงหม่นื กโิ ลเมตร การฝึกจติ คือ เก อนินทฺ ิโต คนท่ไี มถ ูกนนิ ทาไมม ี การพยายามควบคุมจติ มิใหจ้ ติ ฟงุ้ ซา่ นจนเกนิ ไป และท่สี าำ คญั คือเพอ่ื ให้จิตยดึ มนั่ อยู่กับสิง่ ที่ดงี าม ในโลก หมายเลข 4 ศกึ ษาพทุ ธศาสนสุภาษติ โกธํ ฆตฺ ควบคุมจติ มิใหก้ ระทำาความช่ัว เมือ่ ควบคุมจติ ได้แลว้ รา่ งกายกจ็ ะถกู ควบคุมเอง วา สุขํ เสติ ฆาความโกรธไดยอม อยูเ ปนสขุ อนึ่ง จิตท่ีฝึกดีแล้วย่อมไม่หวั่นไหวง่ายๆ แม้มีคนชักชวนไปในทางท่ีเสื่อม ก็ย่อม โดยนกั เรียนแตละหมายเลขแยกยายกนั ไป ศึกษาพทุ ธศาสนสภุ าษติ บทที่ตนไดร บั มอบหมายที่ ไม่โอนอ่อนตาม ดังนั้น จิตที่ฝึกให้เดินไปตามทำานองคลองธรรมก็จะนำาความสุขมาให้ จิตที่ กลมุ ผูเช่ยี วชาญซ่งึ มใี บความรูพ ุทธศาสนสภุ าษติ บท ฝึกดีแล้วเมื่อเผชิญกับภยันตรายหรือส่ิงเลวร้ายต่างๆ ในชีวิต ก็จะไม่หว่ันไหว ไม่ต่ืนตระหนก ตางๆ จากเน้อื หาในหนังสือเรยี น หนา 84-88 รวม ควบคมุ ตนเองใหส้ ามารถสกู้ บั เหตกุ ารณ์ได้ และเมอื่ ไดล้ าภ ยศ หรอื สงิ่ ดงี ามมา กจ็ ะมสี ติ ไมป่ ระมาท ถงึ แหลง การเรยี นรอู น่ื จากนัน้ กลบั เขากลุมบา นของ ไมห่ ลงระเริงจนเกินไป ตนเพื่ออธิบายความรู แลวสนทนาสอบถามจนเกิด ความรูความเขาใจท่ตี รงกนั ทัง้ กลมุ มนษุ ยเ์ ราถกู หลอ่ หลอมโดยสง่ิ แวดลอ้ มไมม่ ากกน็ อ้ ย สง่ิ แวดลอ้ มในทน่ี ห้ี มายถงึ ครอบครวั โรงเรยี น สังคม เพื่อนบา้ น ตลอดจนดนิ ฟ้าอากาศ แตจ่ ิตมนษุ ย์นนั้ อศั จรรย์ สามารถฝนื กระแส อธบิ ายความรู ของสิ่งแวดล้อมไดร้ ะดับหนึ่ง เดก็ ทีเ่ กดิ และเตบิ โตในหมโู่ จรก็มีไม่นอ้ ยท่ีไมเ่ ปน็ โจรไปดว้ ย ดงั น้นั เราต้องพยายามควบคุมตนเอง โดยมีหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียว Explain อย่างไรกต็ าม ต้องไมล่ มื ว่าการฝกึ ควบคุมจติ มิใช่เร่ืองงา่ ย ตอ้ งคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป หัดควบคมุ ตนเอง ครตู ัง้ คาํ ถามใหนกั เรยี นแตล ะกลมุ อธิบายความ ทีละเรื่อง เร่ิมจากง่ายไปสู่ยาก พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “ชนะสงครามพันครั้ง ชนะคนพันคน รูโ ดยการสุมถาม ตัวอยา งขอ คาํ ถามเชน ยงั สู้ชนะตนแมค้ รง้ั เดียวไมไ่ ด้” • “จติ เปนนายกายเปนบา ว” แสดงถงึ ความ สมั พนั ธข องจติ กบั กายของมนษุ ยอ ยางไร (แนวตอบ มนษุ ยประกอบดวย กายกับจิตใจ ซึ่งมีความสัมพนั ธกันอยา งแยกจากกนั ไมได 84 และมอี ทิ ธิพลซึ่งกนั และกัน) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ครคู วรสนทนารว มกนั กบั นกั เรยี นถงึ พลงั ของจติ ใจ โดยอาจใหน กั เรยี นยกตวั อยา ง จติ ฺตํ ทนฺตํ สขุ าวหํ สอดคลองกับสาํ นวนในขอใด ประสบการณของตนทส่ี ามารถควบคุมหรือใชจ ิตนาํ กายจนประสบความสาํ เร็จใน 1. แพเปน พระ ชนะเปน มาร กจิ กรรมตา งๆ เชน การหายจากโรคภยั ดว ยการมกี าํ ลงั ใจทเ่ี ขม แขง็ และการมงุ มนั่ 2. หวานนอกขมใน ตงั้ ใจเรยี นจนสามารถสอบผา นไดใ นวชิ าทไี่ มถ นดั จากนน้ั ใหน กั เรยี นชว ยกนั สรปุ ผล 3. หนาเนือ้ ใจเสือ การอภิปรายเกยี่ วกับพลังของจิตใจตอการกระทําส่งิ ตา งๆ ใหประสบความสาํ เร็จ 4. สองจิตสองใจ วเิ คราะหค ําตอบ จิตฺตํ ทนฺตํ สขุ าวหํ แปลวา จติ ที่ฝก ดีแลว นาํ สุขมาให หมายถึง การฝกควบคมุ จติ ทม่ี กั ไมอยูนิ่งอยกู บั เร่อื งใดใหมีสมาธแิ ละ นักเรยี นควรรู ปญญาได สอดคลอ งกับสาํ นวนแพเปนพระ ชนะเปนมาร ซงึ่ หมายถงึ การเอาชนะคนอ่ืนตอ งแพแ กก เิ ลสตาง ๆ สวนการเอาชนะกิเลสนัน้ ตอ ง 1 จิตใจ ในวชิ าจติ วทิ ยาถอื วา มีความสาํ คัญตอ การดําเนินชีวิตของมนษุ ย คลายคลงึ กับแนวคดิ ในพระพุทธศาสนา กลา วคอื การศึกษาจติ จะชวยใหเราเขา ใจ ยอมแพค นอ่ืนได แลว จะชนะตนเองไดใ นท่สี ุด ดังน้ันคาํ ตอบคือ ขอ 1. ความรสู กึ นึกคิดของเราและพฤติกรรมของคนในสังคมตอ การกระทาํ ท่ีเกิดขน้ึ จึงทําใหส ามารถใชเ ปน แนวทางในการประเมินเหตุการณตา งๆ ได 84 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๑.๒ น อุจจฺ าวจ ํ ปณฺฑติ า ทสฺสยนตฺ ิ : บัณฑติ ยอ่ มไม่แสดง ครสู ุม นกั เรียนจากกลุมตางๆ ใหอธิบาย อาการขน้ึ ๆ ลงๆ พุทธศาสนสุภาษติ น อุจจฺ าวจํ ปณฺฑติ า ทสสฺ ยนฺ ติ บัณฑติ ยอ มไมแ สดงอาการขน้ึ ๆ ลงๆ โดย บณั ฑิต หมายถึง ผู้มีปัญญา และผดู้ ำาเนนิ ชวี ิตโดยยดึ หลักความดงี าม ผเู้ ป็นบัณฑติ ยอ่ ม ใหน กั เรียนจากกลมุ ตางๆ จับสลากคําศพั ท ไมแ่ สดงอาการข้นึ ๆ ลงๆ คอื ไม่เปล่ียนใจหรอื เปลี่ยนความคิดความเหน็ บ่อยๆ คนท่เี ปน็ บณั ฑิต หรอื ขอความท่ีตนตอ งชว ยกนั ตอบคาํ ถาม เชน มีใจหนักแน่นท่ีจะกระทำาสิ่งที่ตนเห็นว่าดีงามถูกต้อง ไม่เปลี่ยนใจไปตามกระแส บัณฑิตมั่นใจใน ลกั ษณะของบัณฑิต ความคดิ เหน็ ของบณั ฑิต ตนเอง มีความคดิ เหน็ เป็นของตนเอง โดยยดึ ธรรมะเปน็ หลัก มิใชว่ า่ ฟังคนนพี้ ดู กเ็ หน็ ด้วยกบั เขา อัตตาธิปไตย โลกาธปิ ไตย ธรรมาธปิ ไตย ผีเขา ผี ต่อมาฟังอีกคนพูดก็เปล่ียนใจมาเห็นด้วยกับเขาอีก ทั้งนี้ที่บัณฑิตไม่เปล่ียนความคิดเห็นง่ายๆ ออก หลกั วิชาการ และทางสายกลาง เป็นเพราะบณั ฑิตมที ้ังหลักวิชาความรแู้ ละหลักธรรม สวนตัวอยา งขอ คําถาม เชน แม้ว่าการเป็นตัวของตัวเองและมีความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งดี แต่ถ้ามากเกินไปก็จะกลาย • จากการศกึ ษาพุทธศาสนสภุ าษิตบทนี้ เป็นคนดื้อรนั้ ดูถกู คนอ่ืน และเอาแตค่ วามคดิ ของตัว บางทเี ราก็ตอ้ งรบั ฟังคนอ่ืนบา้ ง แลว้ ใช้สติ บัณฑิตควรมีลักษณะเชนไร ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ อาศัยหลักทางวิชาการและหลักธรรมช่วย คนที่ไม่มีหลัก (แนวตอบ บัณฑติ คอื ผูมีปญ ญา และดําเนิน ก็เหมอื นขอนไม้ จะขึ้นลงกเ็ ป็นไปตามกระแสนา้ำ บัณฑิตย่อมไม่ยึด อตั ตาธิปไตย คอื ตวั เองเปน็ ชวี ติ ตามแนวทางท่ดี ีงาม ไมแ สดงอาการ ใหญ่ ไม่ยึด โลกาธิปไตย คือ ความเห็นของชาวโลกเป็นใหญ่ แต่ต้องยึด ธรรมาธิปไตย คือ ขึน้ ๆ ลงๆ คอื ไมเปลย่ี นแปลงความคดิ เห็น ยึดธรรมเปน็ ใหญ่ ของตนบอยครัง้ โดยยดึ ความถูกตอ งตาม หลกั วชิ าและหลักธรรม สว นคนทเ่ี ปลี่ยน คนท่ีไม่มีหลัก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือข้ึนๆ ลงๆ ย่อมไม่มีคนเช่ือถือ ดังคำาพังเพย ไปเปล่ียนมา หรอื ชอบมอี าการขนึ้ ๆ ลงๆ เรียกวา่ “ผเี ขา้ ผอี อก” คือ เด๋ียวกด็ ี เดี๋ยวกร็ า้ ย ไมม่ ีอะไรแนน่ อน สอดคลองกบั คาํ พังเพยไทยวา “ผเี ขาผอี อก” น้นั เปน คนหลกั ลอย ไมนา เชอื่ ถือ การที่พัฒนาตนใหเ้ ป็นคนหนักแน่น ไมแ่ สดงอาการขน้ึ ๆ ลงๆ มีขอ้ เสนอแนะ ดงั นี้ • แนวทางการพัฒนาตนเปน บณั ฑติ คืออะไร ๑. ต้องมีสิ่งยึดเหน่ียวจิตใจท่ีช่วยตัดสินใจว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรดีอะไรชั่ว เช่น (แนวตอบ การพัฒนาตนเปนบัณฑิตมแี นวทาง พระรตั นตรยั กฎแห่งกรรม บาปบุญคุณโทษ ฯลฯ อันเป็น “หลกั ทางธรรม” ที่สาํ คญั คือ มหี ลกั ธรรมในจติ ใจ สามารถ แยกแยะสิง่ ท่ีดีหรอื สง่ิ ทช่ี ั่วออกจากกันได ๒. รู้หลักวิชาที่อธิบายความเป็นไปของโลก สังคม และมนุษย์ ทั้งหมดน้ีอาจรวมเรียกว่า มคี วามรใู นหลกั วิชาการทางโลก ชว ยให “หลักวทิ ยาศาสตร์” การร้วู ่าอะไรคืออะไร ส่งิ น้ที าำ ไมจึงเกิด ทาำ ไมจึงไม่เกดิ ถ้าจะทาำ ให ้ สามารถตดั สนิ ใจแสดงความเห็น ลงมือ เกิดต้องทำาอย่างไร ถ้าไม่ให้เกิดต้องทำาอย่างไร การมีความรู้เหล่านี้จะช่วยให้เราตัดสิน กระทาํ การ หรอื แกปญหาไดถกู ตองยิง่ ขน้ึ มี สิง่ ตา่ งๆ ไดห้ นักแนน่ มากข้นึ แนวคิดตามทางสายกลาง ไมคดิ วา ตนฉลาด หรอื โงจ นเกนิ ไป และมสี มาธิ ชวยใหส ตไิ ม ๓. ยึดหลักทางสายกลาง คือ อย่านึกว่าตนฉลาดเกินไป หรือโง่เกินไป ต้องพยายาม ตนื่ ตูมกับปญ หาหรอื ส่ิงตา งๆ ที่ประสบใน ยุติธรรมกับตัวเอง จะทาำ ให้เรามคี วามมัน่ ใจในระดับที่พอควรได้ การดําเนินชวี ติ ) ๔. เจริญสมาธิ จะช่วยให้เรามีสต ิ นิ่ง ไม่ตนื่ ตูม ความเป็นคนขน้ึ ๆ ลงๆ ก็จะลดนอ้ ยลง 85 ขอ สอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอ สอบป ’53 ออกเก่ียวกับพทุ ธศาสนสุภาษิตทเ่ี ก่ยี วขอ งกับ ครูอาจสนทนารว มกนั กบั นักเรียนถึงสาระสําคญั ของการพัฒนาตนเองใหเปน พระมหาชนกชาดก บณั ฑติ ตามพุทธศาสนสภุ าษติ น อจุ จฺ าวจํ ปณฑฺ ิตา ทสสฺ ยนฺติ บัณฑติ ยอมไมแ สดง อาการขน้ึ ๆ ลงๆ กลา วคอื ผูท จ่ี ะเปน บณั ฑติ ในทางพระพทุ ธศาสนาตอ งยึดหลัก พระมหาชนกเปนผูม ีความเพยี รตรงกับพทุ ธศาสนสุภาษติ ขอ ใด ทางธรรม หลกั ทางวชิ าการ หรอื หลกั วทิ ยาศาสตร ทางสายกลาง และฝก สมาธอิ ยเู สมอ 1. สนตฺ ุฐ ี ปรมํ ธนํ 2. อิณาทานํ ทกุ ขฺ ํ โลเก มุม IT 3. ปฏริ ปู การี ธุรวา อุฐ าตา วนิ ทเฺ ต ธนํ 4. วายเมเถว ปุริโส ยาว อตถฺ สสฺ นิปฺปทา ศกึ ษาความรูพ ุทธศาสนสภุ าษติ เก่ียวกบั การพัฒนาปญ ญาและอืน่ ๆ เพ่ิมเติม ไดท ่ี http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/พทุ ธศาสนสุภาษติ เวบ็ ไซต วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. วายเมเถว ปรุ ิโส ยาว อตถฺ สฺส นปิ ปฺ คลงั ปญ ญาไทย สมาคมผดู ูแลเว็บไทย สาํ นักงานกองทุนสนับสนุนการสรางเสริม สุขภาพ (สสส.) และภาคี ทา แปลวา เกดิ เปนคนควรจะพยายามจนกวา จะประสบความสาํ เร็จ สอดคลอ งกับความเพียรของพระมหาชนกทีป่ รากฏในชาดกมากทส่ี ดุ คูมอื ครู 85
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Elaborate Evaluate Engaae Explain Explain อธบิ ายความรู ครใู หน ักเรยี นชว ยกนั จบั คคู าํ ศพั ทหรอื ขอความ ๑.๓ นตฺถ ิ โลเก อนินทฺ โิ ต : คนทีไ่ มถ่ กู นนิ ทาไม่มใี นโลก ที่เกี่ยวของกับพทุ ธศาสนสุภาษติ นตถฺ ิ โลเก อนนิ ฺทิ โต คนท่ไี มถูกนินทาไมมใี นโลก ที่ครูเขยี นไวบ น ในทางพระพุทธศาสนามีคำาสอนเร่ือง “โลกธรรม ๘” คือ มีส่ิง ๘ ส่ิงท่ีเป็นธรรมดาของ กระดาน เชน ติเตียน-นนิ ทา อจิ ฉา-แกแ คน ปลอย วาง-เพกิ เฉย แกไ ข-ปรับปรงุ จากนน้ั ใหตวั แทน โลกมนุษย์ ทัง้ ๘ สิง่ นีจ้ ดั เปน็ คูไ่ ด้ ๔ คู่ ดงั นี้ นกั เรียนอธิบายคคู ําศพั ทต ามประเดน็ คําถามทคี่ รู กาํ หนด เชน ได้ลาภ เสอ่ื มลาภ ได้ยศ เสือ่ มยศ สรรเสรญิ ติเตยี น ความสขุ ความทกุ ข์ • เพราะเหตใุ ด ในทางพระพุทธศาสนาคาํ สรรเสริญกบั คาํ ตําหนิตเิ ตียนจงึ เปนธรรมดา สง่ิ ทง้ั ๘ นเ้ี กดิ ขน้ึ กบั มนษุ ยท์ กุ คน คาำ วา่ “ตเิ ตยี น” ในทน่ี ก้ี ค็ อื “นนิ ทา” นน่ั เอง พจนานกุ รม ของมนษุ ยในโลก ฉบับราชบัณฑิตยสถานบอกวา่ “นนิ ทา” หมายถึง การติเตยี นลับหลงั แต่ศพั ทเ์ ดมิ ในภาษาบาลี (แนวตอบ ในทางพระพทุ ธศาสนามีหลกั ธรรม มิไดจ้ าำ กัดความไวเ้ พียงแค่นน้ั โลกธรรม 8 ท่ีอธบิ ายถงึ ส่ิงท่ีเปนธรรมดาของ โลกมนุษย 8 ประการ ไดแ ก ไดล าภ-เล่อื ม ในคาถาพระธรรมบทมคี ำาสอนว่า ลาภ ไดย ศ-เสอื่ มยศ สรรเสริญ-ตเิ ตยี น ความ สขุ -ความทุกข ซง่ึ ทั้งหมดนีล้ ว นเกิดขนึ้ กบั “การนินทาหรือการสรรเสริญน้ีมีมาแต่โบราณ มิใช่เพียงวันนี้ คนย่อมนินทา แม้ผู้นั่งน่ิง มนุษยท ุกคน โดยเฉพาะเม่อื มีผูสรรเสริญก็ ยอ มมีผตู เิ ตียน ซงึ่ ในทางพระพทุ ธศาสนา แมผ้ พู้ ดู มาก แมพ้ ูดพอประมาณ ผู้ไม่ถกู นินทาไม่มใี นโลก บรุ ษุ ผู้ถกู นินทาโดยส่วนเดียว หรือ การติเตียนก็มีความหมายเดียวกับการนนิ ทา น่ันเอง) ถกู สรรเสรญิ โดยสว่ นเดียวไมเ่ คยมี จะไมม่ ี และเด๋ียวนก้ี ็ไม่มี” 1 • การนินทาเปนสัญชาตญาณของมนษุ ยผูมี จะเห็นว่าไม่มีใครหนีการถูกนินทาได้ การนินทาน้ันเกิดได้หลายทาง คนข้ีอิจฉานินทาเก่ง ลักษณะเชนไร (แนวตอบ การนินทาเปน สัญชาตญาณของ เพราะสู้เขาไม่ได้ก็หาทางทำาลายเขา คนบางคนพูดมาก ไม่ค่อยทำางาน ได้นินทาคนแล้วมี มนษุ ยผ ทู ี่อิจฉาผูอืน่ เนอ่ื งจากไมสามารถ แขงขันกบั เขาไดใ นดา นความรูความสามารถ ความสุข คนบางคนนินทาเพราะคิดว่าเม่ือทำาให้คนอื่นต่ำาลง ตนจะได้ดูสูงขึ้น บางคนอาจ การทาํ งาน หรืออน่ื ๆ มนุษยทีม่ ีความสุข จากการที่ไดนินทาผอู ่นื มนุษยท ีค่ ิดวาตนเอง นินทาเพราะแก้แค้นจริงๆ แล้วการนินทาเป็นสัญชาตญาณอย่างหน่ึงของมนุษย์ปุถุชน มากบ้าง จะสงู ขึ้นเมือ่ นนิ ทาผูอ น่ื ใหต กตํ่าลง รวมถึง มนุษยที่นนิ ทาจากความแคน ทีต่ นถกู ผอู ื่น น้อยบา้ งตา่ งกนั ไป กระทาํ ) เรือ่ งนา่ รู้ คำ�สอนเรื่องก�รนนิ ท�ในโคลงโลกนติ ิ ในโคลงโลกนิติไดใ้ หค้ �ำ สอนเกีย่ วกบั เรือ่ งก�รนนิ ท�ไว้ดังนี้ “ห้ามเพลงิ ไว้อย่าให้ มคี วัน หา้ มสุรยิ แสงจนั ทร์ ส่องไซร้ หา้ มอายุใหห้ ัน คืนเลา่ ห้ามด่ังน้ไี วไ้ ด้ จึ่งห้ามนินทา” อันหม�ยคว�มว�่ ก�รนินท�เป็นสงิ่ ปกติของโลกมนุษย ์ ไมส่ �ม�รถห้�มได้ 86 บรู ณาการเชอ่ื มสาระ ครสู ามารถจดั กจิ กรรมการเรยี นรบู รู ณาการกลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทย นักเรยี นควรรู วชิ าวรรณคดแี ละวรรณกรรม เรื่องขอคดิ จากวรรณคดีและวรรณกรรม โดยมอบหมายใหนักเรียนสบื คนวรรณคดีหรอื วรรณกรรมทใ่ี หขอคิดเปน 1 อิจฉา ในทางพระพุทธศาสนาหมายถงึ ความปรารถนา ความอยากได สว น สํานวน สภุ าษิต คาํ พงั เพย หรือคาํ ประพันธ ทม่ี เี น้อื หาสาระเกี่ยวขอ งกบั ริษยา หมายถึง ความไมอ ยากใหค นอ่ืนไดดี การเห็นเขาไดดีแลวทนอยไู มได หรอื พุทธศาสนสภุ าษติ ทงั้ 4 บท แลว วเิ คราะหค วามสอดคลอ งและจัดทําเปน การเห็นผอู นื่ ไดด แี ลว ไมสบายใจ บันทึกการศึกษาคน ควา มุม IT ศกึ ษาคน ควาเพ่ิมเติมเกี่ยวกบั พทุ ธศาสนสุภาษติ บทความ และทศั นะ พระพทุ ธศาสนากบั สงั คมไทยไดที่ http://www.visalo.org/ เว็บไซตพ ระไพศาล วสิ าโล 86 คูม อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain เมื่อหนนี นิ ทาไม่พ้นควรทำาตัวอย่างไร มขี อ้ แนะนาำ ดังนี้ ครูต้ังคําถามใหต ัวแทนนกั เรียนแตล ะกลมุ อธิบายความรู ตวั อยา งขอ คําถามเชน ๑. ถา้ คำานินทาเปน็ เร่อื งเล็กนอ้ ย ไม่ทาำ ใหค้ นเขา้ ใจผดิ มาก ไม่ทาำ ให้เราเสยี หายมาก ก็ทำาใจ ปลงบา้ ง อย่าเสยี เวลาโดยเปล่าประโยชน์ • อตั ตากบั ความโกรธของมนุษยส ัมพันธกนั อยา งไร ๒. ถ้าคำานินทาเป็นเร่ืองใหญ่ ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่าคำานินทานั้นเป็นจริงหรือไม่ ถ้าจริง (แนวตอบ มนษุ ยป ถุ ุชนลวนมีอัตตา หรอื และเราเป็นบุคคลสาธารณะก็ต้องยอมรับ ถ้าไม่จริงก็ต้องช้ีแจงให้คนใกล้ชิดและคน ความคดิ ที่วา ตนเปน คนสําคญั ซึ่งยงิ่ มีอตั ตา ท่ัวไปทราบ หาหนทางทำาความเขา้ ใจกับผู้นนิ ทา เขาอาจไดข้ อ้ มูลผดิ ๆ มาก็ได้ มากเทาไร เมือ่ มีคนแสดงความคิด ความเห็น ท่ตี างจากตนกอ็ าจเกิดความโกรธ ๓. ดตู ัวเองว่าเป็นคนชอบนนิ ทาและชอบเสวนากบั คนชอบนนิ ทาหรอื ไม ่ การที่ตนชอบนนิ ทา ไดงายและรุนแรงมากเทาน้นั ) คนอนื่ จะถูกคนอน่ื นนิ ทาบ้าง กไ็ มใ่ ช่เร่ืองแปลกอะไร ควรทำาตวั ใหน้ นิ ทาน้อยลง ขยายความเขา ใจ Expand ๔. อย่าทำาตัวให้เสี่ยงท่ีจะถูกนินทา เช่น ไม่ข้องเก่ียวกับอบายมุขท้ังปวง และไม่จำาเป็น ก็อยา่ ยกยอตวั เองให้เกนิ สมควร จะมีคนหมัน่ ไส ้ แล้วกน็ ินทา ๑.๔ โกธ ํ ฆตวฺ า สขุ ํ เสต ิ : ฆ่าความโกรธได้ย่อมอย่เู ปน็ สุข ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาเพม่ิ เตมิ เกยี่ ว กับคาํ หรือขอความสาํ คัญที่จะชว ยใหนกั เรียนเกิด ความโกรธเป็นธรรมชาติอย่างหน่ึงของคนที่ยังเป็นปุถุชนท้ังหลาย บางคนก็รุนแรง ความเขา ใจในพุทธศาสนสุภาษติ บทที่ศกึ ษาไป บางคนก็ไมร่ ุนแรง คนทีย่ งั มี “อัตตา” สงู กย็ ิ่งโกรธรุนแรง คนท่ีมี “อตั ตา” สูง คือ คนทีค่ ดิ วา่ เป็น ไดดียง่ิ ขน้ึ ไดแก ธรรมทั้งปวงมีใจเปนหวั หนา มี ใจเปนใหญ สําเร็จดว ยใจ การควบคุมจติ การ คนสาำ คัญ ใครแตะต้องไม่ได้ มคี นเชอ่ื ว่า “โกรธง่าย หายเร็ว” คือ คนที่โกรธงา่ ย แม้จะรนุ แรง หลอหลอมความเปนมนษุ ย บัณฑติ อัตตาธปิ ไตย โลกาธิปไตย ธรรมาธิปไตย ผเี ขา ผอี อก หลักทาง แต่ก็หายเรว็ สว่ นคนท่ีเกบ็ กดความโกรธไว้ เม่ือถึงเวลากจ็ ะระเบิดความโกรธออกมาอย่างรวดเร็ว ธรรม หลักวชิ าการ หลักวิทยาศาสตร ทางสาย ความโกรธเกิดจากการกระทำาที่เราถูกละเมิดโดยเราเห็นว่าไม่เป็นธรรม ละเมิดตัวเรา กลาง การฝก สมาธิ โลกธรรม 8 ติเตยี น สรรเสริญ นนิ ทา อตุ ตา อกศุ ลธรรม นิวาโต ตวั กูของกู การ ชอื่ เสยี งของเรา ทรพั ย์สินของเรา หรอื ละเมิดคนทีเ่ รารกั นบั ถือและบูชา ในทางธรรมความโกรธ ระงับความโกรธ และไตรสกิ ขา จากแหลงการ เป็นหนึ่งในสามของอกุศลกรรมท่ีทำาให้เราไม่อาจเข้าใกล้อุตมธรรมของพระศาสนา เนื่องจาก เรยี นรูอน่ื นอกจากหนงั สอื เรียน แลว จดั ทําเปน ความโกรธทำาลายสติปัญญา และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำาให้ความสามารถ เหตุผล ความคิด แนวทางการปฏิบตั ิตนตามพุทธศาสนสภุ าษติ ทั้ง และความรอบคอบของเราลดน้อยลงหรอื หมดไปเลยได้ คนบางคนตงั้ ใจยัว่ ใหเ้ ราโกรธ เพ่อื ให้เรา 4 บท สงครผู สู อน ขาดเหตุผล เถียงสู้เขาไม่ได้ ทนายความหลายคนก็ใช้วิธีน้ีเม่ือสู้ความในศาล ความโกรธจึงเป็น จุดออ่ นให้ผู้อ่ืนทำารา้ ยเราได้ วิธีที่จะยับยั้งความโกรธน้ัน ประการแรกเราต้องดูว่าเขาต้ังใจยั่วยุเราหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเขา ตรวจสอบผล ตงั้ ใจกเ็ ป็นการง่ายท่ีเราจะตั้งสตไิ ดแ้ ละไม่โกรธ บางคนบอกว่ากอ่ นจะโกรธ ใหน้ บั หนง่ึ ถึงสิบก่อน Evaluate มีหลักธรรมข้อหนึ่งในมงคล ๓๘ คือ นิวาโต แปลว่า ไม่พอง ไม่เบ่ง ถ้าเราคิดว่า เราคือคน 1. ครูและนกั เรยี นชวยกนั ตรวจแนวทางการ ธรรมดาคนหนึ่ง มิได้ใหญ่โตหรือเก่งกาจอะไร ความโกรธก็จะเกิดได้ยากขึ้น ท่านพุทธทาสภิกขุ ปฏิบัติตนตามพทุ ธศาสนสุภาษติ โดยพจิ ารณา เคยสอนวา่ “อยา่ คิดวา่ เป็นตวั กู ของกู แล้วอะไรๆ ก็จะดีข้นึ มาก” จากความสอดคลอ งกบั พุทธศาสนสุภาษิต 87 และความเหมาะสมของการปฏบิ ตั ใิ นการ ดาํ เนินชีวติ ประจาํ วันของนกั เรยี น 2. ครสู งั เกตพฤติกรรมการมสี ว นรว มในกิจกรรม การเรียนรู เชน การทาํ งานกลมุ เปนตน ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’53 ออกเก่ียวกับพระไตรปฎ ก เกรด็ แนะครู ขอ ใดไมถูกตอง ครูอาจอธบิ ายนักเรียนถึงหลกั การหรอื แนวทางการลดอัตตา หรอื ความสาํ คญั 1. พระไตรปฎ กพฒั นามาจากพระธรรมวินยั ตนเองในทางพระพทุ ธศาสนา เชน หลักสงั โยชน 10 ท่ีประกอบดว ย สกั กายทฏิ ฐิ 2. การบันทึกพระไตรปฎกเปน ลายลักษณอักษรครง้ั แรกใชภาษามคธ ความยดึ ถือวา กายกบั ใจน้ีเปน ของตน วิจิกจิ ฉา ความลงั เล เนื่องจากความสงสยั 3. พระไตรปฎกไดร ับการเผยแผไปยังประเทศตา งๆ พรอ มกบั คณะ หรอื ความกลัว สีลัพพตปรามาส ความงมงายเขา ใจผดิ ตอ ศีลและพรต กามราคะ ความกําหนดั ในกามปฏฆิ ะ ความหงดุ หงิดขดั เคอื ง รปู ราคะ ความพงึ พอใจในรส พระธรรมทตู ของความสงบสขุ ท่ีเกดิ มาจากการเพงรปู อรปู ราคะ ความพึงพอใจในรสของความ 4. การสงั คายนาพระไตรปฎ กครง้ั แรกทาํ ในสมยั พทุ ธกาลโดยพระอานนท สงบสุขท่เี กดิ มาจากการเพง สิง่ ที่ไมม รี ปู มานะ ความรูสกึ ยดึ ถือตวั ตนโดยเปรยี บ เทียบกบั ผูอืน่ อทุ ธจั จะ จติ หวน่ั ไหวไปกับสงิ่ ท่มี ากระทบ และอวชิ ชา ความรูสกึ วามี เปน หวั หนา ตัวตน มขี องตน วเิ คราะหคําตอบ การสงั คายนาพระไตรปฎกครงั้ แรกทําภายหลังจาก การเสด็จดับขันธปรินพิ พานของพระพุทธเจา ได 3 เดอื น โดยมพี ระมหา- กัสสปะเปน ประธาน โดยสอบถามพระธรรมจากพระอานนทและพระวินัย จากพระอุบาลี สว นการสงคณะพระธรรมทตู ไปยงั ประเทศตา งๆ เกดิ ขน้ึ ภายหลังจากการสังคายนาคร้ังที่ 3 โดยพระราชประสงคของพระเจา อโศกมหาราช ซง่ึ ยงั ไมมีพระไตรปฎ กมเี พียงพระธรรมวินัยเทานัน้ ดังนนั้ คําตอบคือ ขอ 3. และขอ 4. คมู อื ครู 87
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Elaborate Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูสอบถามนักเรยี นถงึ ความรเู กย่ี วกับ ความโกรธทำาให้เกิดความทุกข์ มีลักษณะเหมือนไฟเผาผลาญส่ิงที่ดีงามในตัวเราให้หมด พระไตรปฎกในดา นตางๆ ไดแ ก ความหมาย ส้ินได้ บางทีความโกรธครง้ั เดียวอาจทำาลายอนาคตของเราใหส้ ิ้นไปได้ ปถุ ุชนคงไม่มีใครที่ไม่เคย ความเปน มา ความสาํ คัญ และสาระสาํ คัญ โกรธ ดุจดังท่ีไม่เคยถูกนินทา เราต้องพยายามหาวิธีฆ่า หรือระงับความโกรธ เพ่ือชีวิตจะได้ ตวั อยา งขอ คําถามเชน เป็นสุข การพยายามลดความโกรธทำาได้ไม่ง่าย เหตุผลและความคิดเพียงลำาพังไม่ช่วยมาก ในเรื่องน้ี เราต้องอาศัยไตรสิกขาเป็นเครื่องนำาทาง เริ่มต้นด้วยการทำาและพูดแต่สิ่งที่ดีงาม • สาระสาํ คัญของพระไตรปฎกในการเปน ประกอบกับบำาเพ็ญสมาธิและเจริญภาวนาเพ่ือทำาให้ใจสงบ จากน้ีปัญญาที่แท้จริงก็จะเกิดข้ึน คมั ภีรท่สี ําคัญสูงสุดของพระพุทธศาสนาคอื ความโกรธก็จะค่อยลดลงตามกาลเวลา อะไร (แนวตอบ พระไตรปฎ กรวบรวมหลกั ธรรมคาํ ๒. พระไตรปิฎก สอนของพระพุทธเจา ไวเปนหมวดหมู ชวยให ผูท่ีศึกษาเกดิ ความรคู วามเขาใจในพระธรรม การศกึ ษาพระไตรปฎิ ก คําสอนไดอยางถกู ตอ ง ชัดเจน นอกจากนี้ยัง มบี ทบญั ญตั เิ กีย่ วกบั การปฏบิ ัติตนของ การศกึ ๑ษ)า คศ้นึกควษ้าาพพระรไะตไรตปริฎปกิฎอกาจภทาำาษไดาด้ บงั าตลอ่ 1ไี ปผนู้ต้ี ้องการศึกษาค้นคว้าเพ่ือให้ได้ความรู้ที่ พระสงฆ ทีเ่ รียกวา พระวนิ ยั ชว ยสง เสริมให พระสงฆผูเปนพระสาวกของพระพทุ ธศาสนา ถูกต้องควรมีความรู้ภาษาบาลี เพ่ือใช้ศึกษาจากฉบับภาษาบาลีโดยตรง แต่ถ้าไม่มีความรู้ภาษา มวี ิถชี วี ิตที่ถูกตอง ดีงาม อนั นาํ มาซึ่งความ บาลี ก็สามารถศึกษาได้จากฉบับภาษาไทย เจรญิ แหงพระศาสนาอีกดว ย) ๒) ศึกษาจากพระไตรปิฎกฉบับแปล เน่ืองจากพระไตรปิฎกที่บันทึกเป็น สาํ รวจคน หา Explore ภาษาบาลีได้มีฉบับแปลแล้วหลายสำานวน ผู้ท่ีใคร่ศึกษาพึงศึกษาค้นคว้าได้จากหนังสือ หรือ ครูสนทนากบั นักเรียนถึงแนวทางการศึกษา CD-ROM หรอื จาก Internet ซง่ึ สามารถค้นควา้ หาความรไู้ ด้ตามต้องการ พระไตรปฎ กของฆราวาส แลว ใหน กั เรียนศกึ ษา ความรเู ก่ียวกับการศึกษาพระไตรปฎ ก จาก สำาหรับนักเรียนนักศึกษา การจะไปตามค้นจากพระไตรปิฎกฉบับจริงคงไม่สะดวก หนังสอื เรียน หนา 88-89 พึงอาศัยหนังสอื พระไตรปิฎกฉบับแปล ย่อความ ท่ผี รู้ ทู้ ัง้ หลายได้เขยี นไว้ เช่น อธบิ ายความรู Explain ๑. พระไตรปิฎกฉบับสำ�หรับประช�ชน ของ สุชีพ ปุญญ�นุภ�พ เป็นหนังสือที่สรุปเน้ือห� พระไตรปิฎกไว้ค่อนข้�งสมบูรณ์ มีดรรชนีค้นคำ� ค้นเร่ืองท้�ยเล่ม ซึ่งช่วยให้สะดวกใน ครูสมุ นกั เรยี น 4-5 คน เพ่ือใหชวยกันสรปุ ก�รคน้ คว�้ ความรเู กย่ี วกับการศกึ ษาพระไตรปฎ กทตี่ นศึกษา มาในรปู แบบตางๆ เชน ตาราง หรือผงั มโนทศั น ๒. คำ�บรรย�ยพระไตรปิฎก ของ เสฐียรพงษ์ วรรณปก เปน็ หนังสอื สรุปเนอื้ ห�พระไตรปิฎก ท่ีกระดานหนา ชน้ั เรยี น แลว อภปิ รายรวมกันกบั และเพ่มิ เตมิ ดว้ ยเนื้อห�เกี่ยวกบั พระสตู รนั้นๆ เช่น แก่นของชีวติ ต�มนยั พุทธศ�สน�คือ นกั เรียนเก่ียวกบั แนวทางการศกึ ษาพระไตรปฎ กที่ อะไร เทวด�มจี ริงหรอื ไม่ ฯลฯ ถูกตอง นกั เรียนบันทึกผลการอภิปรายลงในสมดุ ๓. พจน�นกุ รมพทุ ธศ�สน ์ ฉบบั ประมวลศพั ท ์ ของพระธรรมปฎิ ก (ประยทุ ธ ์ ปยตุ โฺ ต)* เปน็ หนงั สอื รวมค�ำ ศพั ทธ์ รรมะพรอ้ มค�ำ อธบิ �ยยอ่ ๆ นกั เรยี นส�ม�รถอ�่ นและไดค้ ว�มรเู้ กย่ี วกบั หลกั ธรรม ในเบอ้ื งตน้ เปน็ ก�รว�งพน้ื ฐ�นใหม้ น่ั คงกอ่ นจะศกึ ษ�เพม่ิ เตมิ จ�กพระไตรปฎิ กฉบบั จริง *พระธรรมปิฎก (ประยทุ ธ์ ปยตุ โฺ ต) ไดร้ ับพระราชทานสมณศกั ดเ์ิ ป็นพระพรหมคณุ าภรณ์ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๔๗ 88 และเปน็ สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ เม่อื วนั ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ นกั เรียนควรรู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเก่ียวกบั คัมภีรประกอบพระไตรปฎ ก 1 ภาษาบาลี หมายถงึ ภาษาอนั รกั ษาไวซ ่ึงพุทธพจน เปนภาษาทพี่ ระสาวกใช คมั ภรี ท ่อี ธิบายพระไตรปฎ กเรียกวา อะไร ในการจําและจารกึ รกั ษาพุทธพจนแตเ ดิมมา อันเปนหลกั ของพระพุทธศาสนาฝาย 1. ฎกี า เถรวาท สนั นษิ ฐานวา เปน ภาษาทใี่ ชก นั ในแควน มคธสมยั พุทธกาล จึงอาจเรยี กวา 2. อรรถกถา ภาษามคธ 3. ปกรณพิเศษ 4. สัททาวิเสส มมุ IT วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. อรรถกถา เปน คัมภรี ที่อธิบายความใน พระไตรปฎก รวมถึงปกรณท พี่ ระอาจารยทงั้ หลายแตงแกอรรถแหงบาลี ศกึ ษาคนควา เกี่ยวกบั พระไตรปฎกเพ่มิ เตมิ ไดท่ี http://www.dhammahome. com/front/tipitaka/list.php เวบ็ ไซตมลู นธิ ศิ ึกษาและเผยแพรพ ระพทุ ธศาสนา 88 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand เร่ืองน่ารู้ ครูมอบหมายใหนกั เรียนศึกษาพระไตรปฎ ก ฉบับตางๆ เชน พระไตรปฎ กฉบบั สําหรบั พระไตรปฎก ประชาชนของอาจารยสชุ ีพ ปญุ ญานภุ าพ พระไตรปฎกออนไลนข องมหาวิทยาลยั สงฆตา งๆ พระไตรปฎ ก คอื คมั ภรี ท์ บ่ี รรจหุ ลกั ค�ำ สอนของพระพทุ ธศ�สน� โดย ไตร แปลว�่ ส�ม สว่ น ปฎ ก แปลว�่ ตามแนวทางทไี่ ดศกึ ษามา จากน้ันจัดทําเปน ตะกร�้ หรอื คมั ภรี ก์ ไ็ ด ้ แบง่ เปน็ ๓ หมวด คอื พระวนิ ยั ปฎ ก พระสตุ ตนั ตปฎ ก (พระสตู ร) และพระอภธิ รรมปฎ ก บทความเกย่ี วกับคณุ คาและความสาํ คัญของ ๑. พระวนิ ยั ปฎ ก ว�่ ดว้ ยสกิ ข�บทในพระป�ฏโิ มกขข์ องภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ี มที ง้ั หมด ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ พระไตรปฎก ๒. พระสุตตันตปฎก ว่�ด้วยพระธรรมเทศน�ของพระพุทธเจ้� (มีของพระส�วกบ้�งบ�งส่วน) ท่ีตรัสแก่ บุคคลต่�งๆ ต่�งก�ละและโอก�ส ในรูปของคำ�สนทน�โต้ตอบ คำ�บรรย�ยยกหัวข้อธรรม ร้อยแก้ว ร้อยกรอง หรือ ตรวจสอบผล Evaluate ผสมระหว�่ งรอ้ ยแกว้ กบั รอ้ ยกรอง มที ง้ั หมด ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ ๓. พระอภธิ รรมปฎ ก ว�่ ดว้ ยก�รอธบิ �ยหลกั ธรรมต�่ งๆ ในด�้ นวชิ �ก�รลว้ นๆ ไมเ่ กย่ี วกบั เหตกุ �รณแ์ ละบคุ คล ครสู นทนากบั นกั เรยี นเกยี่ วกบั แนวทางการ มที ง้ั หมด ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ ์ ศกึ ษาพระไตรปฎก และอภิปรายรวมกนั ถงึ คณุ คา ส�ำ หรบั ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จ�กก�รศกึ ษ�พระไตรปฎ กพอจะสรปุ ไดด้ งั น้ี และความสําคัญของพระไตรปฎ ก โดยนกั เรียน ๑. รหู้ ลกั ธรรมทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระพทุ ธศ�สน� แตละคนอภิปรายจากบทความของตน จากนน้ั ๒. ไดห้ ลกั ในก�รด�ำ รงชวี ติ ตรวจบทความคณุ คา และความสําคญั ของ ๓. รวู้ ธิ สี อนของพระพทุ ธเจ�้ พระไตรปฎกของนกั เรียนท่ีมเี นื้อหาสาระถกู ตอง ๔. รคู้ ว�มเปน็ ไปในสมยั พทุ ธก�ล และสอดคลองกบั ผลการอภิปรายในชัน้ เรยี น ในสมัยพุทธกาล คําสอนของพระพุทธเจาเปนที่รูจักกันในนาม พระธรรมวินัย แตเมื่อหลังพุทธปรินิพพาน พระธรรมวินัยไดแยกออกเปนปฎก ๓ คือ พระวินัยปฎก พระสุตตันตปฎก และพระอภิธรรมปฎก ถายทอดสืบกันมาโดยมุขปาฐะวิธี และไดรับการบันทึก เปนลายลักษณอักษรเมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ ทั้งนี้ ในพระไตรปฎกประกอบดวยคําสอนมากมาย รวมถึงพุทธศาสนสุภาษิต อันเปนวาจาท่ีพระพุทธองคทรงประทานแกมวลมนุษยชาติ เพื่อใหคติ แงค ิดในการดําเนินชวี ิตใหเ กดิ ความสขุ จึงถือวาพุทธศาสนสภุ าษติ มีคุณคา แกก ารศกึ ษาอยางย่ิง »Ò»Ò¹í ͡óí ÊØ¢í ¡ÒÃäÁ·‹ íÒºÒ»¹íÒÊØ¢ÁÒãËŒ (¾Ø·¸ÈÒʹÊÀØ ÒÉµÔ ) 89 ขอสอบ O-NET เกรด็ แนะครู ขอสอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การทําสังคายนาพระไตรปฎก ครูอาจมอบหมายใหน ักเรยี นศึกษาพระไตรปฎกในสว นของพระวินยั ปฎ ก การสงั คายนาพระไตรปฎ กครง้ั ใด เริ่มจารกึ เปนลายลกั ษณอ กั ษรภาษา พระอภิธรรมปฎ ก หรือพระสตุ ตนั ตปฎ ก ซง่ึ มหี ลกั ธรรมคําสอนในพุทธประวัตติ อน ตา งๆ ตามความสนใจของนักเรียน จากนั้นสรปุ สาระสําคญั และวเิ คราะหแนวทาง บาลี และทําท่ใี ด การปฏิบัติตนตามหลกั ธรรมคาํ สอนนน้ั ลงในสมุดสงครูผสู อน เพือ่ ใหนักเรียน 1. ครัง้ ที่ 2 อนิ เดยี สามารถศึกษาความรูจากพระไตรปฎก และตระหนกั ถงึ ความสําคญั ในฐานะที่ 2. ครงั้ ที่ 3 อนิ เดยี เปนแหลงรวบรวมพระธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจา และประวัตศิ าสตรของ 3. ครัง้ ที่ 4 ศรีลงั กา พระพุทธศาสนา 4. ครง้ั ท่ี 5 ศรลี ังกา วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. ครั้งท่ี 5 ศรลี งั กา โดยใน พ.ศ.450 พระสงฆใ นลงั กาตางเห็นพอ งตองกนั วา พระพุทธวจนะที่ถา ยทอดกัน มาดวยวธิ ที อ งจําน้ันอาจผิดพลาดคลาดเคลอ่ื นไดในภายภาคหนา จงึ ได ทาํ การสงั คายนาเพอ่ื จารกึ พระพทุ ธวจนะเปน ลายลกั ษณอ กั ษรลงในใบลาน ณ อาโลกเลณสถาน มตเลณชนบท โดยมีพระเจาวัฏฏคามณีอภยั ทรงใหการอุปถมั ภ ภาษาท่ใี ชในการจารึกคร้งั แรกน้ไี ดแก บาลี ซึง่ แปลวา ภาษาทีร่ ักษาพระพทุ ธพจน คมู อื ครู 89
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถกู ตองในการตอบคาํ ถาม คาปถระาจÓมหนว่ ยการเรยี นรู้ ประจําหนว ยการเรยี นรู ๑. จงยกตัวอย่างพุทธศาสนสุภาษิตมา ๑ บท (นอกเหนือจากหนังสือเรียน) ท่เี ป็นพุทธศาสน- หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู สุภาษิตท่ีนักเรียนใช้เป็นคติในการดำาเนินชีวิตประจำาวัน โดยยกตัวอย่างประกอบการ อธบิ ายด้วย 1. แนวทางการปฏบิ ตั ิตนตามพุทธศาสนสุภาษติ 2. บทความคณุ คาและความสาํ คัญของ ๒. จากพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “โกธำ ฆตฺวา สุขำ เสติ” นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร จงอธบิ าย พระไตรปฎ ก 3. สมุดบนั ทึกของนักเรียน ๓. จากคำาถามข้อ ๒. นักเรียนมีวิธีการระงับความโกรธอย่างไร และการระงับความโกรธได้ มีข้อดีอยา่ งไร ๔. การศึกษาพระไตรปฎิ กมีประโยชนอ์ ย่างไร ๕. นักเรียนสามารถนำาความรู้ที่ได้จากการศึกษาพุทธศาสนสุภาษิตไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจาำ วนั อยา่ งไร จงอธบิ ายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ กิจสรกา้ รงรสมรรค์พฒั นาการเรียนรู้ กิจกรรมที่ ๑ แบ่งกลุ่มแล้วเลือกวาดภาพประกอบที่ส่ือให้เห็นถึงพุทธศาสนสุภาษิต กจิ กรรมท่ี ๒ ทั้ง ๔ ท่ีได้ศึกษา เสร็จแล้วส่งตัวแทนกลุ่มออกมานำาเสนอหน้าช้ัน กิจกรรมท่ี ๓ ใหเ้ พอ่ื นๆ ทายว่าเป็นพุทธศาสนสภุ าษติ อะไร และชว่ ยกนั สรปุ ประโยชน์ ท่ไี ดจ้ ากการปฏบิ ตั ติ นตามพทุ ธศาสนสภุ าษติ นน้ั ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนๆ ๒ คน ทำานิทานภาพ โดยนำาหัวข้อมาจาก พุทธศาสนสุภาษิตท้ัง ๔ เร่ืองที่ได้ศึกษา พร้อมระบายสีตกแต่งให้ สวยงามสง่ ครผู สู้ อน แบง่ กลุ่มแล้วชว่ ยกันกำาหนดหัวข้อพระไตรปิฎกทกี่ ลุ่มสนใจ หลงั จากนัน้ ช่วยกันศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎก (ฉบับแปล) ทำาเป็น รายงานส่งครผู ูส้ อน 90 แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู 1. พทุ ธศาสนสุภาษิตบทท่ีใชเปนคติในการดําเนินชวี ิตประจําวัน ไดแก อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ตนเปน ทพี่ ่ึงของตน เชน ในการเรียนเราไมส ามารถพ่งึ พาเพื่อนไดทกุ เร่ือง โดยเฉพาะในการทดสอบตางๆ เราจึงตอ งต้ังใจเรียน หม่ันทบทวนความรู และสืบคน ความรเู พมิ่ เตมิ ซง่ึ จะทําใหเ ราสอบผานและมีคะแนนหรอื เกรดดไี ด 2. เห็นดว ย เนอ่ื งจากความโกรธไมสามารถทําใหเราตดั สินใจหรือแกปญหาชวี ติ ไดอ ยางถูกตอ ง เพราะเราจะมีอารมณห ุนหันพลันแลน ไมใ ชป ญญาไตรต รองถึงความเปน ไปของสิง่ ตา งๆ ท่ีเกิดขึ้นอยางแทจ รงิ ซ่งึ ในบางครงั้ กเ็ กิดจากการยุยงของคนไมหวงั ดเี ทา นน้ั 3. การระงบั ความโกรธสามารถทําไดโดยการยึดหลักไตรสกิ ขา ประกอบดว ย ศลี สมาธิ ปญญา กลาวคอื ปฏบิ ัติตนใหถ กู ตองตามหลักศีลธรรม กฎระเบยี บตา งๆ ของ สังคม การฝกสมาธใิ หจติ ใจมคี วามมน่ั คง การใชป ญญาอันประกอบดวยความรแู ละคุณธรรมในการตัดสนิ ใจ ชว ยใหเราดาํ เนนิ การไดอ ยา งถกู ตองเหมาะสม 4. การศกึ ษาพระไตรปฎกชวยใหเราเขาใจในหลักธรรมคําสอนตางๆ ของพระพทุ ธเจามากขน้ึ อนั นําไปสกู ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ิทีถ่ ูกตองเหมาะสมในชวี ติ ประจาํ วัน เพื่อให เกดิ ประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลทัง้ ในการเรียน การทาํ งาน ตลอดจนการประกอบกิจการอ่นื ๆ นอกจากนี้อาจกลาวไดว าเปน การปกปองและเผยแผพ ระพุทธศาสนาใน ทางออมไดอีกดวย เน่อื งจากศาสนิกชนในศาสนาอื่นอาจเกดิ ความศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาจากการประพฤติปฏิบัตติ ามทํานองคลองธรรมของเราน่นั เอง 5. การประพฤตปิ ฏิบัติตนตามพุทธศาสนสุภาษติ ที่ไดศ ึกษาเปน แนวทางการใชป ระโยชนที่ดีทสี่ ุด เน่ืองจากหลักธรรมคาํ สอนของพระพุทธเจา ลวนตอ งการใหพ ทุ ธศาสนิกชน นาํ ไปใชใ นการดาํ เนนิ ชีวิต อันจะนํามาซึ่งความสขุ สงบท้งั ในสว นตัวและสว นรวมได เชน การไมทาํ ตนใหถ ูกนินทา หรอื การไมสนใจผทู ี่นนิ ทาเรือ่ งอันไมเ ปน ความจริง จะชวยปอ งกันมิใหเกดิ ความขัดแยงระหวางกนั รวมถึงอาจนําไปสูก ารแกป ญหาอยางสันติไดใ นที่สุด 90 คูม ือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. อธบิ ายแนวทางการปฏิบัตติ นเปน พทุ ธศาสนกิ ชนท่ดี ีตอพระภิกษุ สมาชกิ ใน ครอบครัวและคนรอบขา ง 2. ปฏิบตั ิตนเปน พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ีตอพระภิกษุ สมาชิกในครอบครวั และคนรอบขา ง สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ติ ๕˹Nj ¡ÒÃàÃÕ¹÷ŒÙ èÕ ËáŹÐมŒาา·รªÕè าา·Çªา¾ÇØ·¾·Ø ¸¸ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค 1. รักชาติ ศาสน กษัตริย 2. ใฝเ รียนรู 3. มจี ิตสาธารณะ »ÃÐà·Èä·ÂÁ¾Õ Ãо·Ø ¸ÈÒʹÒ໹š ÈÒʹһÃШíÒªÒµÔ «Ö§è ໹š àÇÅҡNjҾ¹Ñ »·‚ ¾èÕ Ãо·Ø ¸ÈÒÊ¹Ò กระตนุ ความสนใจ Engage 䴌ࢌÒÁÒ¼ÊÁ¼ÊÒ¹¡ÅÁ¡Å×¹¡ÑºÇÔ¶ÕªÕÇÔµ¤ÇÒÁ໚¹ÍÂÙ‹¢Í§¤¹ä·Â ¨¹äÁ‹ÊÒÁÒöá¡ÍÍ¡¨Ò¡¡Ñ¹ä´Œ ครใู หนักเรียนพจิ ารณาภาพทหี่ นา หนวยการ ´ŒÇÂà˵عÕé¤ÇÒÁà¨ÃÔÞËÃ×ͤÇÒÁàÊè×ÍÁ¢Í§¾Ãоط¸ÈÒʹÒ‹ÍÁÁռšÃзºµ‹ÍÊѧ¤Áä·Â เรยี นรู แลวสนทนาถึงความรเู ก่ียวกับหนาท่ีและ ´Ñ§¹éѹ 㹰ҹзèÕàÃÒ໚¹ªÒǾط¸¨Ö§ÁÕ˹ŒÒ·èÕ·Õè¨Ð·íҹغíÒÃØ§¾Ãоط¸ÈÒʹÒãËŒà¨ÃÔÞÁÑ蹤§Ê×ºä» มารยาทของชาวพุทธในการปฏบิ ัตติ นตอ พระสงฆ «è֧˹ŒÒ·ÕèªÒǾط¸ ¡ç¤×Í ËÁÑè¹ÈÖ¡ÉÒËÒ¤ÇÒÁÃÙŒ »¯ÔºÑµÔµÒÁËÅÑ¡¸ÃÃÁ »ÃÐླվԸաÃÃÁ·Ò§ÈÒÊ¹Ò ท่ีนักเรยี นเคยไดศ กึ ษามา จากนั้นต้ังคําถามเพ่ือ à¼Âá¼¾‹ ÃÐÈÒÊ¹Ò áÅл¡»Í‡ §¾ÃÐÈÒÊ¹Ò กระตนุ ความสนใจเกีย่ วกบั ความสําคัญของการ ปฏิบตั ิตนตามหนาทีแ่ ละมารยาทของชาวพทุ ธตอ ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง พระสงฆใ หนกั เรียนชว ยกันตอบ เชน ส ๑.2 ม.4/๑ ■ ปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธท่ีดีต่อพระภิกษุ (การเข้าใจในกิจของ • เพราะเหตใุ ด พทุ ธศาสนิกชนจึงควรปฏิบตั ิ ■ ปฏบิ ัติตนเปน็ ศาสนิกชนทด่ี ีต่อสาวก สมาชิกในครอบครัวและ พระภิกษุ, คุณสมบัติของทายกและปฏิคาหก, การปฏิบัติ ตนอยา งเหมาะสมตอพระภกิ ษุสงฆ ตนต่อพระภิกษุทางกาย วาจา และใจท่ีประกอบด้วยเมตตา, (แนวตอบ พระภกิ ษุสงฆเปนสาวกของ คนรอบขา้ ง การปฏสิ นั ถารทเ่ี หมาะสมตอ่ พระภกิ ษใุ นโอกาสตา่ งๆ) พระพทุ ธเจา ทม่ี บี ทบาทหนา ทสี่ าํ คญั ในการ ชวยสืบทอดพระธรรมคําสอนมาจนถึง ■ ปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัว (การรักษาศีล ๘, ปจ จบุ นั พทุ ธศาสนกิ ชนจงึ ควรปฏบิ ตั ติ นอยา ง การเป็นชาวพุทธท่ีดีตามหลักทิศเบ้ืองบนในทิศ ๖, การเข้า เหมาะสมตอ พระภกิ ษสุ งฆใ นโอกาสตา งๆ) ร่วมกิจกรรมและเป็นสมาชิกขององค์กรชาวพุทธ, การปฏิบัติ ตนเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัวตามหลักทิศเบ้ืองหลังใน ทศิ ๖) เกร็ดแนะครู ครคู วรจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท ่เี นน พฒั นาทกั ษะกระบวนการทีส่ าํ คัญ เชน ทกั ษะการคิด ทักษะการฝกปฏบิ ัติ และกระบวนการกลุม เพื่อใหนกั เรยี นสามารถ ปฏิบตั ติ นเปนพทุ ธศาสนิกชนทดี่ ีตอ พระภกิ ษุ สมาชกิ ในครอบครวั และคนรอบขาง ดังน้ี • ครูใหน ักเรียนศึกษาความรูเก่ยี วกับหนาที่ชาวพุทธจากหนงั สอื เรยี น แลวสรปุ สาระสําคญั เพอ่ื เปน ตวั แทนในการอธิบายความรู จากน้นั วางแผนและปฏบิ ัติ ตนเปนชาวพทุ ธทด่ี ีแลว บนั ทกึ ผลการปฏบิ ัตสิ ง ครูผูสอน • ครใู หนกั เรียนศึกษาความรูเก่ยี วกับมารยาทชาวพุทธจากหนังสือเรียนและ แหลงการเรียนรอู น่ื แลว รวมกลมุ เพื่ออธิบายแลกเปลีย่ นความรู จากนั้นฝก ปฏิบัตติ นตามมารยาทชาวพทุ ธแลวชว ยกันจัดทาํ สอื่ เผยแพรค วามรเู กี่ยวกับ การปฏสิ ันถารตอ พระภิกษใุ นโอกาสตา งๆ คมู ือครู 91
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182