๔๑ ๒.๑.๔ ศิลปะแบบไพรกเมง ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ราวคร่ึงแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๓ หมายถึง ศิลปะที่มีลักษณะ ใกล้เคียงกับศิลปะแบบไพรกเมงในประเทศกัมพูชา ปราสาทที่สาคัญ ในศิลปะแบบไพรกเมง ได้แก่ ปราสาทภูมิโพน อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ทับหลังบางแผ่นของปราสาทเขาน้อย อาเภออรัญ ประเทศ จังหวัดสระแก้ว รวมทั้งทับหลังจากปราสาทบ้านน้อย อาเภอวฒั นานคร จังหวัดสระแกว้ เป็นตน้ สาหรับประติมากรรมน้ัน ได้แก่ รูปพระคณปติจากปราสาท เขาพนมรุ้ง อาเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ รูปพระอรรถนารีศวร รูปพระสรุ ยิ เทพจากเมอื งโบราณศรเี ทพ อาเภอศรีเทพ จงั หวดั เพชรบูรณ์ ภาพสลักบนใบเสมาบนภพู ระอังคาร จังหวดั บรุ ีรมั ย์ เป็นต้น ภาพ : ทับหลงั จากปราสาทบ้านนอ้ ย อาเภอวฒั นานคร จังหวัดสระแกว้ ที่มา : ถ่ายเมือ่ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร.
๔๒ ภาพ : พระสุริยเทพ ศิลปะแบบไพรกเมง พบท่ีเมืองโบราณศรีเทพ อาเภอศรีเทพ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ ท่ีมา : ถา่ ยเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๑ ณ พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร. ๒.๑.๕ ศิลปะแบบกาพงพระ ราวคร่ึงหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ราวกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ หมายถึง ศิลปะท่ีมีความคล้ายคลึง กับศลิ ปะแบบกาพงพระในประเทศกมั พชู า เน่อื งจากไม่ได้ค้นพบปราสาท ในศิลปะแบบกาพงพระในประเทศไทย ยกเว้นทับหลังซ่ึงไม่ทราบท่ีมา อย่างแน่ชัดเพียงแผ่นเดียว ซ่ึงปัจจุบันตั้งแสดงในพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ จังหวดั อบุ ลราชธานี เท่าน้นั
๔๓ สาเหตุดังกล่าวสืบเน่ืองมาจากในระยะน้ีเป็นช่วงท่ีประเทศกัมพูชา เป็นจลาจลแบ่งออกเป็นเจนละบกและเจนละน้า ฉะนั้นร่องรอยการสร้าง สถาปัตยกรรมจึงมิได้ปรากฏแพร่หลาย คงพบแต่ประติมากรรม ดังเช่น ประติมากรรมสัมฤทธิ์จากอาเภอประโคนชัย ประติมากรรม จากบ้านฝ้าย อาเภอลาปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และประติมากรรม พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสาริด อาเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา เปน็ ต้น ภาพ : ทับหลังไม่ทราบที่มา ศลิ ปะแบบกาพงพระ ท่ีมา : ถ่ายเม่ือวนั ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ อบุ ลราชธาน.ี
๔๔ ภาพ : ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสาริด พบที่บ้านโตนด อาเภอโนนสูง จังหวดั นครราชสีมา ท่มี า : ถา่ ยเม่อื วนั ท่ี ๑๒ มกราคม ๒๕๕๑ ณ พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร. ๓.๒. ส มั ย หั ว เ ลี้ ย ว หั ว ต่ อ ( Khmer Transition Period) นับระยะเวลาตั้งแต่เจ้าชายเขมรพระองค์หน่ึงเสด็จกลับมาจากแคว้นจาว กะ (ชวา) เพ่ือทรงกอบกู้เอกราชของอาณาจักรเขมรโดยทรงรวบรวม แคว้นเจนละบกและเจนละน้าให้เป็นอาณาจักรอันเดียวกันได้สาเร็จ อีกทง้ั ยงั ทรงประกาศตนเป็นอิสระจากชวาและทรงสถาปนาลัทธิเทวราชา เหนือบริเวณเทือกเขาพนมกุเลน เป็นท่ีต้ัง “มเหนทรบรรพต” ทรงพระนามว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ งานศิลปกรรมในระยะน้ี มเี พียง ๑ รปู แบบ ดังนี้ ๓.๒.๑ ศิลปะแบบกุเลน ราวคร่ึงหลังของพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ – ราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ หมายถึง ศิลปะซึ่งมีความสัมพันธ์ กับศิลปะแบบกุเลนในประเทศกัมพูชา เนื่องจากไม่พบสถาปัตยกรรม
๔๕ ใ น ศิ ล ป ะ แ บ บ กุ เ ล น เ ล ย ด้ ว ย เ ห ตุ ที่ ร ะ ย ะ เ ว ล า นี้ เ ป็ น ช่ ว ง เ ว ล า ท่ีประเทศกัมพูชาเพ่ิงจะฟ้ืนตัวข้ึนใหม่ ดังน้ันจึงได้พบศิลปะแบบกุเลน เป็นจานวนน้อยมาก ประติมากรรมสาคัญคงได้แก่ รูปพระอรรถนารีศวร ซ่ึงค้นพบ ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ จงั หวดั อบุ ลราชธานี เป็นต้น ภาพ : พระอรรถนารศี วร พบในเขตจงั หวัดอบุ ลราชธานี ทม่ี า : ถ่ายเมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ อบุ ลราชธาน.ี
๔๖ ๓.๓. สมัยเมืองพระนคร (Angkorian Period) นับระยะเวลา ตงั้ แต่อาณาจกั รเขมรต้ังราชธานที ีเ่ มืองยโศธรปุระ (Yaśodharapura) หรือเมืองพระนคร (Angkor) ซ่ึงพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ ทรงสร้างขึ้น ในราวกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๑๕ ลงไปจนถงึ การส้นิ สดุ ของเมืองพระนคร หลวง หรือเมืองนครธม (Angkor Thom) ท่ีพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ ทรงสถาปนาข้ึนเปน็ ราชธานีของอาณาจักรเขมรในปพี ุทธศกั ราช ๑๗๒๔ งานศิลปกรรมในระยะนแี้ บง่ ออกเป็น ๙ รูปแบบ ดงั น้ี ๓.๓.๑ ศิลปะแบบพระโค ราวคร่ึงแรกของพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ หมายถึง ศิลปะที่มีความเก่ียวเนื่องกับศิลปะแบบพระโคในประเทศ กัมพูชา หลักฐานที่เป็นองค์ประกอบสาคัญทางสถาปัตยกรรม ได้แก่ ทับหลังแผ่นหน่ึงของปราสาทอิฐ จากปราสาทพนมวัน อาเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา และทับหลังจากสถานพระนารายณ์ จังหวัดนครราชสีมา ซ่ึงปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พมิ าย จังหวัดนครราชสีมา ส่วนประติมากรรมในศิลปะแบบพระโค พบได้น้อยมาก ในดินแดนประเทศไทย ประติมากรรมรูปสิงห์ทวารบาลรูปหน่ึง จากวัดโพธ์ิยอ้ ย อาเภอนางรอง จังหวัดบรุ ีรมั ย์
๔๗ ภ า พ : ทั บ หลั งศิ ล ป ะ แ บ บ พ ร ะ โค จา ก ส ถา น พ ร ะ น า ร า ย ณ์ อ า เภ อ เมื อ ง จงั หวดั นครราชสมี า ท่ีมา : ถา่ ยเม่ือวนั ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พมิ าย. ๓.๓.๒ ศิลปะแบบบาแค็ง ราวกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ หมายถึง ศิลปะที่มีความเก่ียวพันกับศิลปะแบบบาแค็งในประเทศกัมพูชา องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่สาคัญในศิลปะแบบบาแค็ง ได้แก่ ทับหลังรูปวิษณุอนันตศายินปัทมนาภะจากปราสาทวัดศรีสวาย อาเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย และทับหลังรูปครุฑวาหนะจากปราสาทอิฐ ของปราสาทพนมวนั จงั หวัดนครราชสมี า เปน็ ตน้ สาหรับประติมากรรมในศิลปะแบบบาแค็ง ได้แก่ ประติมากรรม ศิลาจากปราสาทพนมวัน อาเภอเมอื ง จงั หวัดนครราชสมี า เป็นตน้
๔๘ ภาพท่ี : ทับหลังครุฑวาหนะ ศลิ ปะแบบบาแคง็ จากปราสาทพนมวนั จังหวดั นครราชสีมา ท่ีมา : ถ่ายเมื่อวนั ท่ี ๑๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘ ณ พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ พิมาย. ๓.๓.๓ ศิลปะแบบเกาะแกร์ ราวคร่ึงหลังของพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ หมายถึง ศิลปะท่ีมีความคล้ายคลึงกับศิลปะแบบเกาะแกร์ในกัมพูชา ปราสาทที่สาคัญในศิลปะแบบเกาะแกร์ ได้แก่ ปราสาทอิฐที่ปราสาท เขาพนมรุ้ง อาเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทเ มืองแขก และปราสาทโนนกู่ อาเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทสังข์ ศิลป์ ชัย อา เ ภ อสั งขะ จังหวัด สุ ริน ท ร์ รวมท้ั งทั บหลังจาก เขตจงั หวัดสระแกว้ เปน็ ต้น ส่วนประติมากรรมในศิลปะแบบเกาะแกร์ได้แก่ เทวรูป จากปราสาทอิฐของปราสาทเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ทับหลัง และเสมาประดับกรอบประตู จากปราสาทเมืองแขก และประติมากรรม จากปราสาทโนนกู่ จังหวดั นครราชสีมา เปน็ ตน้
๔๙ ภาพ : ปรางค์อิฐ อทุ ยานประวตั ิศาสตรพ์ นมรุง้ อาเภอเฉลิมพระเกยี รติ จังหวัดบรุ รี ัมย์ ท่ีมา : ถ่ายเม่ือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ ณ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง จังหวดั บุรีรมั ย.์ ภาพท่ี ๑๓ ทับหลังมหิษาสุรมรรทินี ศิลปะแบบเกาะแกร์ จากปราสาทเมืองแขก จังหวัดนครราชสีมา ทม่ี า : ถ่ายเม่ือวนั ท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พมิ าย.
๕๐ ๓.๓.๔ ศิลปะแบบแปรรูป ราวปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ – ราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ หมายถึง ศิลปะที่มีลักษณะใกล้เคียง กับศิลปะแบบแปรรูปในประเทศกัมพูชา ปราสาทท่ีสาคัญในศิลปะ แบบแปรรูป ได้แก่ “ปรางค์แขก” หรือเทวาลัยกลางเมืองลพบุรี และทับหลงั รปู ครฑุ วาหนะจากจังหวดั ปราจนี บุรี เป็นต้น ส่วนประติมากรรมในศิลปะแบบแปรรูปได้แก่ รูปพระพรหม จากปราสาทพนมรุ้ง ตาบลตาเป๊ก อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวดั บรุ รี ัมย์ เป็นตน้ ภาพท่ี ๑๔ พระพรหม พบทปี่ ราสาทพนมรุ้ง อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบรุ ีรมั ย์ ทม่ี า : ถา่ ยเมอ่ื วันท่ี ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๘ ณ พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พมิ าย.
๕๑ ๓.๓.๕ ศิลปะแบบบันทายศรี ราวคร่ึงแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๖ หม า ย ถึ ง ศิ ล ป ะ ที่ มี ค วามสั มพั น ธ์กั บศิ ล ป ะ แ บบ บัน ท า ย ศ รี ในประเทศกัมพูชาสถาปัตยกรรมสาคัญ ของศิลปะแบบบันทายศรี ได้แก่ ปราสาทบ้านใหม่ไทยเจริญ อาเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ทับหลังของปราสาทอิฐท่ีวัดปรางค์ทอง อาเภอเมือง และปรางค์พระโค อาเภอโชคชยั จังหวัดนครราชสมี า เป็นตน้ ส า ห รับป ระ ติ ม ากรรมใ น ศิลป ะ แบบบัน ท าย ศรีได้ แ ก่ เศียรของประติมากรรมรูปบุรุษจากปราสาทเขาพนมรุ้ง อาเภอนางรอง จงั หวดั บุรีรมั ย์ ภาพ : ปรางค์พระโค ศิลปะแบบบันทายศรี อาเภอโชคชยั จังหวดั นครราชสีมา ท่มี า : ถ่ายเม่อื วันท่ี ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ ปรางคพ์ ระโค จังหวัดนครราชสมี า.
๕๒ ๓.๓.๖ ศิลปะแบบเกลียง (คลัง) ราวครึ่งหลังของพุทธศตวรรษ ท่ี ๑๖ หมายถึง ศิลปะที่มีความคล้ายคลึงกับศิลปะแบบเกลียง ในประเทศกัมพูชา องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่สาคัญในศิลปะ แบบเกลียง ได้แก่ ทับหลังบางแผ่นของระเบียงคดและโคปุระ ของกาแพงปราสาทเมืองต่า อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้ง “โรงช้างเผือก” ณ ปราสาทพนมรุ้ง อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จงั หวดั บุรีรมั ย์ เปน็ ต้น ส่วนประติมากรรมในศิลปะแบบเกลียง ได้แก่ รูปพระวิษณุ จากกนู่ อ้ ย เมอื งนครจาปาศรี อาเภอนาดนู จังหวดั มหาสารคาม ภาพ : ทบั หลงั ของโคปุระปราสาทเมืองต่า อาเภอประโคนชัย จังหวัดบรุ ีรมั ย์ ที่มา : ถ่ายเมื่อวันท่ี ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ ปราสาทเมอื งต่า จงั หวดั บุรีรมั ย.์
๕๓ ๓.๓.๗ ศิลปะแบบบาปวนราว ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ หมายถึง ศิลปะซ่ึงมีความเกี่ย วเนื่ องกับศิลปะ แบบบา ป วน ในประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ดีศิลปะแบบบาปวนเริ่มต้นอายุ เวลาภายหลังจากศิลปะแบบบาปวนในประเทศกัมพูชาเล็กน้อย โดยให้เร่ิมต้นต้ังแต่รัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ ผู้สถาปนา ราชวงศม์ หธิ รปรุ ะในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย ปราสาทท่ีสาคัญในศิลปะแบบบาปวน ได้แก่ ปราสาทบ้านพลวง อาเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ปรางค์น้อยของปราสาทพนมรุ้ง อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทเมืองต่า อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทสระกาแพงใหญ่ อาเภออทุ ุมพรพิสัย จงั หวัดศรีสะเกษ ปราสาทตาเมือนธม อาเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และปราสาทสด๊กก๊อกธม อาเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เป็นต้น สาหรับประติมากรรมในศิลปะแบบบาปวนได้แก่ รูปพระวิษณุ และรูปพระอุมา จากปราสาทพนมรุ้ง อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จงั หวัดบุรีรมั ย์ เป็นตน้
๕๔ ภาพ : ปราสาทเมอื งต่า อาเภอประโคนชยั จงั หวดั บรุ ีรัมย์ ที่มา : ถ่ายเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ ณ ปราสาทเมืองต่า อาเภอประโคนชัย จงั หวดั บุรรี ัมย์. ๓.๓.๘ ศลิ ปะแบบนครวดั ราวคร่ึงหลังของพุทธศตวรรษ ท่ี ๑๗ – ราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ หมายถึง ศิลปะที่มีลักษณะคล้ายคลึง กับศิลปะแบบนครวัดในประเทศกัมพูชา โบราณสถานที่สาคัญ ในศิลปะแบบนครวัด ได้แก่ ปราสาทพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ปรางค์องค์ใหญ่และปรางค์สองพ่ีน้องเมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ปราสาทนารายณ์เจงเวง อาเภอเมอื ง จงั หวัดสกลนคร ปราสาทประธาน ของปราสาทพนมรุ้ง อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทบ้านระแงง อาเภอศรีขรภูมิ ปราสาทยายเหงา อาเภอสังขะ
๕๕ จังหวัดสุรินทร์ ปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ และปราสาทกู่สวนแตง อาเภอพทุ ไธสง จังหวดั บุรีรมั ย์ เป็นตน้ ส่วนประติมากรรมในศิลปะแบบนครวัด ได้แก่ รูปพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร จากปราสาทตาเมือนธม อาเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ รูปพระศิวะจากอาเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พระพุทธรูปทรง เคร่ืองประทับยืนและพระพุทธรูปทรงเคร่ืองนาคปรก ทั้งจาก ภาคกลางและภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภาพ : ปราสาทพิมาย อาเภอพิมาย จังหวัดนครราชสมี า ท่ีมา : ถ่ายเมอื่ วนั ท่ี ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ ปราสาทพิมาย จังหวดั นครราชสีมา.
๕๖ ๓.๓.๙ ศิลปะแบบบายน ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ หมายถึง ศิลปะซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับศิลปะแบบบายนในประเทศกัมพูชา สถาปัตยกรรมท่ีสาคัญในศิลปะแบบบายน ได้แก่ ปราสาทวัดเจ้าจันทร์ อาเภอศรีสัชนาลัย ศาลตาผาแดง ปราสาทวัดพระพายหลวง และปราสาทวัดศรีสวาย อาเภอเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย ปรางค์สามยอด อาเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ศาสนสถานท่ีเนินทางพระ อาเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ปราสาทเมอื งสิงห์ อาเภอไทรโยค จงั หวดั กาญจนบุรี โบราณสถานสระโกสินารายณ์ อาเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ปราสาทวัดกาแพงแลง อาเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ปรางค์พรหมทัต และปรางค์หินแดงบริเวณปราสาทหินพิมาย อาเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บรรณาลัยของปราสาทเขาพนมรุ้ง อาเภอนางรอง จงั หวดั บรุ รี ัมย์ กูบ่ า้ นแดงอาเภอวาปปี ทุม จังหวัดมหาสารคาม นอกจากนี้ ยังมีโบราณสถานซ่ึงเรียกว่า “วหนิคฤหะ” หรือ “ธรรมศาลา” ดังเช่น ปราสาทหนองปล่อง อาเภอนางรอง และกุฏิฤษี อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทตาเมือน อาเภอกาบเชงิ จังหวดั สรุ ินทร์ ส่วนสถาปัตยกรรมซึ่งหมายถึง “อโรคยศาลา” เป็นต้นว่า กู่แก้ว อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กู่สันตรัตน์ อาเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ปรางค์กู่อาเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ปราสาทกาแพงน้อย อาเภอเมือง ปราสาทบ้านสมอ อาเภอปรางค์กู่
๕๗ จังหวัดศรีสะเกษ ปราสาทตาเมือนโต๊ด อาเภอพนมดงรัก ปราสาท เฉนียงและปราสาทบ้านช่างปี่ อาเภอศรีขรภูมิ ปราสาทจอมพระ อาเภอจอมพระ ปราสาทบ้านปราสาท อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทโคกปราสาท อาเภอปะคา ปรา สาทน้อย (กุฏิฤษี) บ้านโคกเมือง และปราสาทกุฏิฤษี (หนองบัวราย) อาเภอประโคนชัย จังหวัดบรุ ีรัมย์ กู่พราหมณจ์ าศลี อาเภอประทาย ปรางค์บ้านพลสงคราม อาเภอโนนสูง และปรางค์ครบุรี อาเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เป็นตน้ ภาพ : อโรคยศาลา กพู่ ราหมณจ์ าศีล อาเภอประทาย จงั หวัดนครราชสีมา ที่มา : ถา่ ยเมอ่ื วันท่ี ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๘ ณ กพู่ ราหมณ์จาศีล จงั หวัดนครราชสีมา.
๕๘ สาหรับประติมากรรมในศิลปะแบบบายน ได้แก่ ประติมากรรม จากศาลตาผาแดง อาเภอเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย รูปพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและรูปนาง ปรัชญาปารมิตา จากปราสาทเมืองสิงห์ อาเภอไทรโยค จังหวัด กาญจนบุรี พระพุทธรูปนาคปรก พระรูปเหมือนของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ รวมท้ังประติมากรรมสาริดจากปราสาทพิมาย อาเภอพิมาย จังหวัด นครราชสีมา เปน็ ตน้ ภาพ : พระพทุ ธรูปนาคปรก พบทป่ี ราสาทพมิ าย อาเภอเมือง จงั หวดั นครราชสมี า ทม่ี า : ถา่ ยเมอื่ วนั ที่ ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๘ ณ พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พิมาย.
๕๙ ภาพ : พระรูปเหมอื นพระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๗ พบท่ปี รางคพ์ รหมทตั ภายในบริเวณปราสาทพมิ าย จังหวดั นครราชสีมา ทีม่ า : ถา่ ยเมอ่ื วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย.
๖๐ รอ่ งรอยอารยธรรมเขมรในภาคอสี าน (พอสังเขป) ผูช้ ว่ ยศาสตราจารยพ์ ิทักษ์ชัย จตั ุชยั ๙ อารยธรรมเขมร เป็นอิทธิพลทางศิลปกรรมและการเมือง ของอาณาจักรเขมรโบราณที่กระจายอยู่ในบริเวณประเทศ กัมพูชา และส่งไปยังประเทศลาวและประเทศไทยในปัจจุบัน อายุราวพุทธ ศตวรรษท่ี ๑ ๒ – ๑ ๘ รวมถึ งเ ป็ น รูปแบบงาน ศิลปกรรม ในประเทศไทยที่ส่งอิทธิพลไปยังงานศิลปกรรมท่ีอยู่ในประเทศกัมพูชา ในช่วงระยะเวลาหน่ึงด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจเรียกรูปแบบงานศิลปกรรมนวี้ า่ “ศลิ ปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย” กไ็ ด้ ในส่วนของประเทศไทยมักเรียกอารยธรรมดังกล่าวนี้ว่า “อารยธรรมขอม” ท้ังน้ีเนื่องจากคาว่าขอมปรากฏเฉพาะในเอกสาร ฝ่ายไทย โดยเป็นการแผลงหรือกร่อนคา จากคาว่า “ขแมร์กรอม” ซึ่งหมายถึง เขมรต่า หรือบริเวณดินแดนท่ีอยู่ยังเบ้ืองล่าง ของเทอื กเขาพนมดงรกั ๙ ผู้ชว่ ยศาสตราจารยพ์ ทิ ักษช์ ัย จัตุชยั รองผูอ้ านวยการสานกั ศลิ ปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา
๖๑ อารยธรรมเขมรในภาคอีสาน กอ่ นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ อารยธรรมเขมรปรากฏข้ึนในบริเวณของประเทศไทยนับต้ังแต่ ราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ท้ังน้ีแม้ว่าจะไม่ปรากฏร่องรอย ของสถาปัตยกรรมก็ตามแต่ก็มีการค้นพบประติมากรรมท่ีสาคัญ ในศิลปะแบบพนมดา ซึ่งเป็นประติมากรรมในศาสนาฮินดูรุ่นแรก ของเมืองโบราณศรีเทพ อาเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบกับการพบจารึกบ้านวังไผ่ พบที่บ้านวังไผ่ อาเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ไม่ระบุศักราช ระบุพระนามพระเจ้าภววรมันซึ่งสันนิษฐานว่าคือ พระเจ้าภววรมันท่ี ๑ กษัตริย์เขมรสมัยก่อนเมืองพระนครท่ีเสด็จข้ึนครองราชย์ราวพุทธ ศตวรรษที่ ๑๒ ใ น ช่ ว ง ร ะ ย ะ เ ว ล า ใ ก ล้ เ คี ย ง กั น มี ก า ร ค้ น พ บ จ า รึ ก พ ร ะ เ จ้ า มเหนทรวรมนั (เจ้าชายจิตรเสน) จานวน ๑๕ หลัก (ประเทศสาธารณรัฐ ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวพบจานวน ๓ หลัก และ ราชอาณาจักรกัมพูชา พบจานวน ๒ หลัก) อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต กระจายอยู่โดยทั่วไปของภาคอีสานและภาคตะวันออก ได้แก่ จารึกปากน้ามูล ๑ จารึกปากน้ามูล ๒ จารึกวัดสุปัฏนาราม ๑ จารึกถ้าภูหมาใน จารึกปากโดมน้อย (พบในเขตจังหวัดอุบลราชธานี) จารึกวัดศรีเมืองแอม (พบที่วัดศรีเมืองแอม อาเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น) จารึกถ้าเป็ดทองด้านใน จารึกถ้าเป็ดทองด้านนอก
๖๒ จารึกผนังถ้าเป็ดทอง (พบท่ีถ้าเป็ดทอง อาเภอปะคาจังหวัดบุรีรัมย์) จารึกฐานรูปเคารพแหล่งโบราณคดีดอนขุมเงิน (พบที่แหล่งโบราณคดี ดอนขุมเงิน จังหวัดร้อยเอ็ด) จารึกช่องสระแจง (พบในบริเวณปราสาท ช่องสระแจง จังหวัดสระแก้ว) จารึกสุรินทร์ (วัดชุมพล) และจารึกบ้าน ตุงลุง (พบใหม่ที่ตาบลโขงเจียม อาเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี) โดยท้ังหมดมีเน้ือความคล้ายคลึงกันท่ีได้จารึกเก่ียวกับพระราชประวัติ การสรา้ งศิวลึงค์ และดนิ แดนที่พระองคท์ รงมีชัยชนะซึ่งแสดงใหเ้ หน็ ได้ว่า บ ริ เ ว ณ ภ า ค อี ส า น ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย อ ยู่ ภ า ย ใ ต้ อิ ท ธิ พ ล ของพระเจ้ามเหนทรวรมัน กษัตริย์แห่งอาณาจักรเขมรโบราณ ที่มีศูนย์กลางทางการเมืองอยู่บริเวณท่ีราบลุ่มโตนเลสาบ โดยพระองค์ ท ร ง มี พ ร ะ ร า ช อ า น า จ เ ห นื อ ดิ น แ ด น ภ า ค อี ส า น เ กื อ บ ทั้ ง ภู มิ ภ า ค มาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐาน ทางโบราณคดีด้านงานศิลปกรรมของอารยธรรมเขมรท่ีเก่าแก่ที่สุด คือ ทับหลังศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก (ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ภายใน วัดสุปฏั นาราม จงั หวัดอุบลราชธานี) ทับหลงั ศิลปะ แบบ กาพงพระ (ไม่ทราบท่ี มาอย่างแน่ชัด และปัจจุบันจัดแสดง อยู่ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี) ราวครึ่งหลัง ของพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒
๖๓ ภาพ : ศิลาจารึกปากโดมน้อย พบที่ริมฝ่ังแม่น้ามูล ปากลาโดมน้อย อาเภอสิรินธร จงั หวัดอบุ ลราชธานี ทมี่ า : หนังสือโบราณคดีเขอื่ นปากมลู , กรมศลิ ปากร ๒๕๓๕. นอกจากน้ี ในบริเวณพ้ืนที่อีสานใต้ยังพบประติมากรรมสัมฤทธ์ิ จากอาเภอประโคนชัย ประติมากรรมจากบ้านฝ้าย อาเภอลาปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และประติมากรรมจากบ้านโตนด อาเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา อายุราวคร่ึงหลังของพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ - ราวกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ รวมถึงรูปพระอรรถนารีศวร ศิลปะแบบกุเลน ที่ค้นพบในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ราวครึ่งหลัง ของพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ - ราวต้นพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕
๖๔ ภาพ : ทับหลงั ศลิ ปะแบบสมโบรไ์ พรกุก วดั สปุ ฏั นารามวรวหิ าร จังหวัดอุบลราชธานี ท่ีมา : ถ่ายเม่ือวันท่ี ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ ณ พิพิธภัณฑ์วัดสุปัฏนารามวรวิหาร จังหวัด อบุ ลราชธาน.ี ภาพ : พระอรรถนารศี วร พบในเขตจงั หวัดอบุ ลราชธานี ท่มี า : ถ่ายเม่อื วันท่ี ๒๖ ตลุ าคม ๒๕๕๖ ณ พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ อุบลราชธานี.
๖๕ อี ก ทั้ ง ยั ง ป ร า ก ฏ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ท า ง ส ถ า ปั ต ย ก ร ร ม ที่ ส า คั ญ ได้แก่ ทับหลังแผ่นหนึ่งของปราสาทอิฐ จากปราสาทพนมวัน อาเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา และทับหลังจากสถานพระนารายณ์ จังหวัดนครราชสีมา (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จังหวัดนครราชสีมา) ทับหลังรูปครุฑวาหนะ ศิลปะแบบบาแค็ง จากปราสาทอิฐของปราสาทพนมวัน จังหวัดนครราชสีมา ราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ปราสาทท่ีสาคัญในศิลปะแบบเกาะแกร์ ได้แก่ ปราสาทอิฐท่ีปราสาทเขาพนมรุ้ง อาเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทเมืองแขกและปราสาทโนนกู่ อาเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทสังข์ศิลป์ชัย อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ส่วนประติมากรรม ในศิลปะแบบเกาะแกร์ ได้แก่ เทวรูปจากปราสาทอิฐของปราสาท เขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เทวรูปจากปราสาทเมืองแขก และปราสาท โนนกู่ จังหวัดนครราชสีมา เป็นสาคัญ สถาปัตยกรรมสาคัญ ของศิลปะแบบบันทายศรี ราวคร่ึงแรกของพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ได้แก่ ปราสาทบ้านใหม่ไทยเจริญ อาเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ทับหลังของปราสาทอิฐที่วัดปรางค์ทอง อาเภอเมือง และปรางค์พระโค อาเภอโชคชยั จงั หวดั นครราชสมี า เป็นตน้
๖๖ ซ่ึงหลักฐานทางโบราณคดีต่าง ๆ สอดคล้องกับจารึกที่พบ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ท่ีปรากฏพระนามกษัตริย์เขมร สมัยเมืองพระนคร เช่น จารึกโนนสัง (พบท่ีบ้านบึงแก จังหวัดยโสธร) ระบุพระนามพระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑ จารึกปราสาทหินพนมวัน ๑ (พบที่ปราสาทพนมวัน จังหวัดนครราชสีมา) และจารึกเพนียด (พบท่ีเมืองเพนียด จังหวัดจันทบุรี) ระบุพระนามพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ จารึกบ้านพุทรา (พบท่ีบ้านพุทรา จังหวัดนครราชสีมา) และจารึก บ้านตาดทอง (พบที่บ้านตาดทอง จังหวัดยโสธร) ซ่ึงทั้ง ๒ หลัก ระบุพระนาม รุทรโลก พระนามของพระเจ้าหรรษวรมันท่ี ๑ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ รวมถึงจารึกปราสาทพนมรุ้ง (พบท่ีปราสาท พนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์) จารึกเมืองเสมา (พบท่ีเมืองโบราณเสมา จังหวัดนครราชสีมา) จารึกปราสาทภูมิโปน ๑ และ ๒ (พบท่ีปราสาท ภูมิโปน จังหวัดสุรินทร์) ระบุพระนามพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ ๔ และพระนามพระเจ้าชยั วรมันท่ี ๕ ทั้งน้ี จารึกหลักหน่ึงท่ีน่าสนใจ คือ จารึกกรอบประตูโคปุระท่ี ๔ ของปราสาทพระวิหาร ท่ีระบุพระนาม “ศรีสุริยวรมันท่ี ๑” โดยจารึก หลักน้ีกล่าวถึงกลุ่มชนที่อยู่อาศัยบริเวณแถบน้ีว่า “ชนพ้ืนเมือง” หรือ “คนผิวดา” หรือ “พวกกบฏ” ซ่ึงแสดงให้เห็นว่ากลุ่มชนแถบน้ี เป็นคนละกลุ่มกับ“ขแมร์กรอม” หรือกลุ่มเขมรต่าที่อาศัยอยู่บริเวณ ทรี่ าบล่มุ โตนเลสาบ (ประเทศกมั พชู าในปัจจุบัน)
๖๗ อารยธรรมเขมรในภาคอสี าน หลังพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ในช่วงหลังพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ (คร่ึงแรกของพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ จนถึงราวครึ่งหลังของพุทธศตวรรษท่ี ๑๘) อารยธรรมเขมร ได้เจริญรุ่งเรืองในบริเวณพื้นท่ีภาคอีสานเป็นอย่างมาก ท้ังนี้ เน่อื งมาจากราชวงศม์ หิธรปรุ ะ นบั ต้ังแตร่ ัชกาลพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๖ ท่มี ี พระราชอานาจในบริเวณเหนือเทือกเขาพนมดงรัก หรือบริเวณพื้นที่ อีสานใต้ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย) ได้แผ่ขยาย อทิ ธิพลทางการเมอื งไปครอบคลมุ บรเิ วณพน้ื ท่รี าบลุม่ โตนเลสาบ โดยมีปราสาทที่สาคัญในศิลปะแบบบาปวน ได้แก่ ปราสาท บ้านพลวง อาเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ปรางค์น้อยของปราสาท เขาพนมรุ้ง อาเภอนางรอง ปราสาทเมืองต่า อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทสระกาแพงใหญ่ อาเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ปราสาทพนมวัน อาเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทตาเมอื นธม อาเภอกาบเชิง จังหวัดสรุ นิ ทร์ เป็นต้น ต่อมา ศิลปะแบบนครวัด ราวคร่ึงหลังของพุทธศตวรรษ ที่ ๑๗ – ราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับศิลปะแบบนครวัด ในประเทศกัมพูชา โดยโบราณสถานที่สาคัญในศิลปะแบบนครวัด ได้แก่ ปราสาทนารายณ์เจงเวง อาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ปราสาทพิมาย อาเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทประธาน ของปราสาทพนมรุ้ง อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์
๖๘ ปราสาทศรีขรภูมิ (ปราสาทบ้านระแงง) อาเภอศรีขรภูมิ ปราสาท ยายเหงา อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทกู่สวนแตง อาเภอพทุ ไธสง จงั หวัดบุรรี ัมย์ และ ปรางค์กู่ จงั หวดั ศรสี ะเกษ เป็นต้น ส่วนประติมากรรมในศิลปะแบบนครวัด ได้แก่ รูปพระโพธิสัตว์ โลเกศวรจากปราสาทตาเมือนธม อาเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ รูปพระศิวะจากอาเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พระพุทธรูป ท ร ง เ ค รื่ อ ง ป ร ะ ทั บ ยื น แ ล ะ พ ร ะ พุ ท ธ รู ป ท ร ง เ ค รื่ อ ง น า ค ป ร ก ท้ังจากภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ศิลปะแบบบายน อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ซ่ึงมีลักษณะ ใกล้เคียงกับศิลปะแบบบายนในประเทศกัมพูชา สถาปัตยกรรมท่ีสาคัญ ในศิลปะแบบบายน ได้แก่ ปรางค์พรหมทัต และปรางค์หินแดง บริเวณปราสาทหินพิมาย อาเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บรรณาลัยของปราสาทเขาพนมรุ้ง อาเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ และกู่บา้ นแดง อาเภอวาปปี ทมุ จงั หวดั มหาสารคาม เปน็ ต้น นอกจากนี้ ยังมีโบราณสถานศิลปะแบบบายน ที่เรียกว่า “ธรรมศาลา” และ “อโรคยศาลา” อีกด้วย
๖๙ ธรรมศาลา โบราณสถานที่เรียกว่า “ธรรมศาลา” หรือ “วหนิคฤหะ” ดังเช่น ปราสาทหนองปล่อง อาเภอนางรอง และกุฏิฤษี อาเภอประโคน ชยั จังหวัดบรุ ีรมั ย์ และปราสาทตาเมอื น อาเภอกาบเชิง จงั หวัดสรุ ินทร์ จา ก ข้อค ว า ม ใ น จา รึ ก ป ร า ส า ท พ ร ะ ข ร ร ค์ ใ น ป ร ะ เ ท ศ กั ม พู ช า กล่าวถึง “พระเจ้าชัยวรรมันท่ี ๗ ได้สถาปนา “พระชัยพุทธมหานาถ” ไว้ตามเมืองต่าง ๆ และยังระบุถึงการสร้าง “บ้านมีไฟ” หรือ “ธรรมศาลา” หรือ “วหนิคฤหะ” เป็นอาคารท่ีพักของคนเดินทาง ซึ่งในเอกสารจดหมายเหตุจิวตากวน ก็ได้ปรากฏข้อความว่า “บนเส้นทางสายใหญ่มอี าคารท่ีพานกั ของคนเดนิ ทาง” หม่อมเจ้าสุภัทรดิส ดิสกุล ได้ทรงอธิบายความเรื่อง “วหนิคฤหะ” ไว้ว่า “วหนิคฤหะเป็นอาคารไม้ แต่มีปราสาทสร้างด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่เป็นท่ีสังเกต คือ มีปราสาทเป็นท่ีประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร ซ่ึงเป็นที่พึ่งบูชาของผู้เดินทางต้ังอยู่ในห้อง ทางทิศตะวันตก ปราสาทแบบน้มี ขุ คอ่ นข้างยาวออกไปทางทิศตะวนั ออก มีหน้าต่างหลายบานเฉพาะผนังทางทิศใต้ของมุข อาคารศิลาแลงแห่งน้ี บางคร้ังก็แสดงให้เห็นว่านาแท่งศิลาเก่ามาใช้ในการก่อสร้างใหม่ เพราะยังคงมีลวดลายเก่าสลักอยู่ และบางคร้ังก็มีรูปพระพุทธรูป ปางสมาธิน่ังอยู่ในซุ้ม (เรือนแก้ว) หลายองค์ต้ังอยู่บน (สัน) หลังคา ของมุขที่ยื่นออกมาทางด้านทิศตะวันออกด้วย ไม่ปรากฏว่าได้ค้นพบ
๗๐ กาแพงล้อมรอบ มุขน้ันยาวมีเน้ือที่มากจนทาให้สงสัยว่าจะให้ ผเู้ ดินทางเข้าพักภายในมุขนั้นด้วยหรอื ไม่” ยอรช์ เซเดส์ ไดต้ ีความคาว่า บ้านมีไฟ หมายถงึ ที่พกั คนเดนิ ทาง ซ่ึงมีจานวนทั้งหมด ๑๒๑ แห่ง ต้ังอยู่ห่างกันประมาณแห่งละ ๑๕ กิโลเมตร บนเส้นทางท่ีเรียกว่า “ราชมรรคา” ซึ่งเป็นเส้นทาง สายหลักในราชอาณาจักรจากเมืองพระนครหลวง จานวน ๓ สาย โ ด ย ส า ย ห นึ่ ง ต ร ง ไ ป ยั ง เ มื อ ง วิ ชั ย ปุ ร ะ ซึ่ ง เ ป็ น เ มื อ ง ห ล ว ง ของราชอาณาจักรจาม สายหน่ึงตรงมายังเมืองพิมาย และอีกสายหน่ึง ตรงไปยงั บริเวณภาคกลางของประเทศไทย ลักษณะของธรรมศาลาสร้างขึ้นด้วยหินศิลาแลง เป็นวัสดุหลัก ในการก่อสร้าง เป็นส่วนประกอบโครงสร้างบริเวณกรอบหน้าต่าง กรอบประตู หน้าบันและประติมากรรมประดับปราสาท หลังคา และตัวเรือนเป็นกองหิน
๗๑ อโรคยศาลา อโรคยศาล ถูกสร้างข้ึนในสมัยของพระเจ้าชัยวรรมันที่ ๗ แห่งเมืองพระนครหลวง อาณาจักรขอมโบราณ ในจารึกปราสาท ตาพรหม กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างอโรคยศาลา (โรงพยาบาล) จานวน ๑๐๒ แห่ง ท่ัวราชอาณาจักร จากข้อความ ในบทท่ี ๑๗ กล่าวว่า “พระองค์ทรงสถาปนาอโรคยศาลา พร้อมทั้ง สคุ ตาลยั (วัด) และพระสุคตไภษชั ยนี้ ในปศี ักราชที่แทนดว้ ย จนั ทร์ (๑) ใจ (๑) ท้องฟ้า (๐) และกาย (๘) (มหาศักราช ๑๑๐๘)” จากข้อความ กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรรมันท่ี ๗ สถาปนาอโรคยศาลา และสุคตาลัย ในปราสาท อโรคยศาลา เดิมสันนิษฐานว่ามีสถานะเป็นโรงพยาบาล ซ่ึงมีข้อสังเกตว่า อโรคยศาลา มาจากคาบาลีที่แปลว่า ศาลาไร้โรค หมายถึง สถานบาบัดรักษาโรคด้วยสมุนไพร หรือบริเวณที่รักษาโรค ด้วยการนวดแผนโบราณด้วยตารารักษาในสมัยน้ันให้ผู้เจ็บป่วยได้ ทุเลาอาการลงไป ส่วนสุคตาลัย หมายถึง บริเวณศาสนสถาน ประจาอโรคยศาล เป็นท่ีประดษิ ฐานพระไภษชั ยครุ ุ ศาสนสถานบริเวณอโรคยศาลา หรือ “สุคตาลัย” มีผัง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหันไปทางทิศตะวันออก ล้อมรอบด้วยกาแพงแก้ว มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือนอกกาแพงมีสระน้ารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านทิศตะวันออกของกาแพงแก้วมีซุ้มโคปุระ (ซุ้มกาแพง)
๗๒ ตาแหน่งกึ่งกลางภายในโคปุระนี้ประดิษฐานประติมากรรมรูปเคารพ พระโพธิสตั ว์อวโลกเิ ตศวร ภายในลานช้ันในมีปราสาทประธานที่สร้างด้วยศิลามีมุขยื่นยาว ออกมาทางด้านหน้า ส่วนใหญ่ผนังมุขด้านทิศใต้จะเจาะช่องหน้าต่าง ภายในประดิษฐานรูปเคารพ ๓ องค์ คือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา พระโพธิสัตว์สูรยประภา และพระโพธิสัตว์จันทรประภา ช้ันประดับ ของหลังท่ีมุมจะใช้นาคปักประดับ โดยส่วนใหญ่เท่าท่ีพบทับหลัง และเสาประดับกรอบประตูจะไม่ได้มีการแกะสลักใด ๆ บริเวณ ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ในลานช้ันในเป็นท่ีต้ังของอาคารที่เรียกว่า บรรณาลัย จากการสารวจทางโบราณคดีพบว่าบรรณาลัยของศาสนสถาน ประจาอโรคยศาลานั้น ประดษิ ฐานประดษิ ฐานพระยมและพระกาฬ
๗๓ ภาพ : พระไภษัชยคุรุ จากปรางคบ์ ้านปรางค์ อาเภอหว้ ยแถลง จงั หวัดนครราชสมี า ทมี่ า : ถา่ ยเม่ือวันที่ 10 พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘ ณ พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ ขอนแก่น. ภาพ : พระยมทรงกระบอื จากกู่พันนา อาเภอสว่างแดนดนิ จังหวดั สกลนคร ทม่ี า : พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแกน่ .
๗๔ ปัจจุบันพ้ืนท่ีภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยสารวจ พบศาสนสถานประจาอโรคยศาลอยูป่ ระมาณ ๓๓ แหง่ โดย “อโรคยศาลา” ท่ีต้ังอยู่ในบริเวณภาคอีสาน ได้แก่ กู่แก้ว อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กู่สันตรัตน์ อาเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ปรางค์กู่ อาเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ปราสาทกาแพงน้อย อาเภอเมือง ปราสาทบ้านสมอ อาเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ปราสาทตาเมียนโตจ อาเภอกาบเชิง ปราสาทเฉนียง และปราสาทบ้านช่างป่ี อา เภอศรีขรภูมิ ปราสาทจอมพระ อาเภอจอมพระ ปราสาทบ้านปราสาท อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทโคกปราสาท อาเภอปะคา ปราสาทน้อย (กุฏิฤษี) บ้านโคกเมือง และปราสาทกุฏิฤษี (หนองบัวราย) อาเภอประโคนชัย จังหวดั บรุ รี มั ย์ กู่พราหมณจ์ าศลี อาเภอประทาย ปรางค์บ้านพลสงคราม อาเภอโนนสูง และปรางค์ครบุรี อาเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เปน็ ตน้ สาหรับประติมากรรมในศิลปะแบบบายน ได้แก่ พระพุทธรูป นาคปรก พระรูปเหมอื นของพระเจา้ ชัยวรมันที่ ๗ รวมทั้งประตมิ ากรรม สมั ฤทธิจ์ ากปราสาทพิมาย อาเภอพมิ าย จังหวัดนครราชสีมา เปน็ ตน้
๗๕ รอ่ งรอยวัฒนธรรมและศิลปกรรมแบบเขมร ในจังหวัดสกลนคร นายพจนวราภรณ์ เขจรเนตร๑๐ ร่องรอยวัฒนธรรมและศิลปกรรมแบบเขมรในจังหวัดสกลนคร ปรากฏได้ท่ัวไปในบริเวณพนื้ ท่ีอาเภอเมืองสกลนคร อาเภอพรรณานคิ ม และอาเภอสว่างแดนดิน ในรูปแบบของเมืองโบราณ ชุมชนโบราณ ตั้งอยู่บนพ้ืนที่สูงและพื้นท่ีราบลุ่ม ประกอบด้วย ศาสนสถานในรูป ของ “ปราสาทหิน” ในความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ รวมไปถึงระบบสาธารณูปโภค อาทิ บ่อน้าหรือบาราย สะพานหิน ฝายทดน้า เป็นต้น นอกจากน้ียังประกอบด้วยโบราณวัตถุ อันทรงคุณค่า อาทิ เทวรูป พระพุทธรูป พระพิมพ์ เครื่องใช้ ในพิธีกรรม รวมไปถึงพานิชยศิลป์เครื่องถ้วยเขมรมีแหล่งผลิตจาก เตากุเลน ประเทศกัมพูชา เตาบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ และเคร่ืองถ้วย จนี ผลติ จากเตาหนานอัน เตาเต๋อฮั้ว ประเทศจนี เป็นตน้ จากร่องรอยหลักฐานดังกล่าวเป็นประจักษ์พยานแสดงให้เห็นถึง ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ชุ ม ช น วั ฒ น ธ ร ร ม เ ข ม ร ลุ่ ม น้ า ห น อ ง ห า ร ในแอ่งสกลนครกับชุมชนโบราณลุ่มน้ามูลในแอ่งโคราชหลายรูปแบบ ทั้งทางด้านระบบความเช่ือ วัฒนธรรมและสังคม รวมไปถึงเศรษฐกิจ การติดต่อค้าขายแลกเปล่ียนภายในและกับต่างประเทศ จากศูนย์กลาง อา ณ า จัก รเ ขม รที่ เ มื อ งพ ระ น ค ร ฝั่ง รา ชอา ณ า จักร กั ม พู ช า ๑๐ นักวิชาการศกึ ษา สถาบนั ภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
๗๖ ผ่านเมืองรายทางเข้าสู่สกลนคร ในช่วงราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยช่วงเวลาดังกล่าวนี้ตรงกับศิลปะเขมร สมยั บาปวน นครวัดและบายนทั้งสิ้น ปราสาทหินศิลปกรรมแบบเขมร ในจงั หวดั สกลนคร ปราสาทหิน เป็นอาคารท่ีมีเรือนยอดสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพอื่ ใชเ้ ป็นศาสนสถาน มกั ก่อสร้างดว้ ยวสั ดุหลายชนิด เชน่ อิฐ หินทราย หินแม่แลงและไม้ บางปราสาทมีแผนผังอาคารประกอบด้วย ส่วนสาคัญต่าง ๆ อาทิ โคปุระ กาแพงแก้ว บรรณาลัย และปราสาท ประธาน เป็นต้น และบางปราสาทพบเฉพาะปราสาทประธานหลังเดียว หรือมากกว่าสามหลังตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน โดยภายในเรือนธาตุ ของปราสาทมีลักษณะเป็นห้องส่ีเหล่ียมเรียกว่า “ห้องวิมาน” หรือ “ครรภคฤห” สาหรับเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพทางศาสนา และลทั ธคิ วามเช่ือ ส่วนภายนอกตัวอาคารมกั ประดับตกแตง่ ด้วยลวดลาย จาหลกั ตา่ ง ๆ นอกจากผงั ตวั อาคารแล้วรอบนอกยงั ประกอบดว้ ยบาราย หรือตะพัง อันเป็นองค์ประกอบสาคัญเปรียบเสมือนมหาสมทุ รท่ีล้อมรอบ เขาพระสุเมรุและเพื่อใช้สาหรับประกอบพิธีกรรมรวมไปถึงอุปโภค ในชุมชนในบรเิ วณใกล้เคยี งอกี ดว้ ย
๗๗ จังหวัดสกลนครมีปราสาทหินต้ังกระจายอยู่ในส่วนของพื้นที่ อาเภอเมืองสกลนคร อาเภอพรรณานิคมและอาเภอสว่างแดนดิน โดยที่ค้นพบแล้วและคงสภาพลักษณะอาคารหรือปราสาทมีมากกว่า ๕ แห่ง ท้ังน้ี ยังไม่นับรวมแหล่งที่พบแท่นประดิษฐานรูปเคารพ ทางศาสนาและนอกจากน้ีในบางแห่งยังพบว่า ถูกรื้อค้นทาลายจนส้ิน สภาพไม่อาจสันนิษฐานรูปแบบลักษณะได้ ปราสาทหินท่ีปรากฏ ใ น จั ง ห วั ด ส ก ล น ค ร ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ป ร า ส า ท ใ น ศ า ส น า พ ร า ห ม ณ์ ลิทธิไศวะ และศาสนพุทธ ลัทธิวัชรยานหรือตันตระยาน ในส่วนนี้ จะนาเสนอเฉพาะท่มี ีความสาคัญและน่าสนใจ ดังนี้ ปราสาทดมุ หรือพระธาตุดุม ปราสาทดุมหรือพระธาตุดุม ต้ังอยู่ ภายในวัดพระธาตุดุม บ้านธาตุดุม ตาบลธาตุเชิงชุม อาเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ห่างจากตัวเมืองสกลนครมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๒ กิโลเมตร สภาพโดยรอบมีลักษณะเป็นพ้ืนที่ราบลุ่ม มีลักษณะ เป็นปราสาทสามหลัง วางตัวเรียงกันในแนวทิศเหนือไปยังทิศใต้ หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ประกอบด้วยปราสาทอิฐตั้งอยู่บน ฐานศิลาแลง มีร่องรอยการก่ออิฐหลงเหลือเพียงปราสาทท่ีต้ังอยู่ ตรงกลางเพียงหลังเดียว ส่วนปราสาทอีก ๒ หลัง ด้านซ้ายและขวา พังทลายไปหมดแล้ว นอกจากน้ีบริเวณที่ต้ังปราสาทขนาบด้วยคูน้า
๗๘ รู ป สี่ เ ห ลี่ ย ม ผื น ผ้ า ว า ง ตั ว ต า ม แ น ว ทิ ศ ต ะ วั น อ อ ก แ ล ะ ทิ ศ ต ะ วั น ต ก สว่ นคนู า้ ดา้ นทิศตะวนั ตกของปราสาทคงถกู ถมไปแลว้ ศาสนสถานแห่งน้ีคงสร้างข้ึนเน่ืองในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวะ นิกาย ต่อมาได้ถูกทิ้งให้ร้างไปและได้รับการบูรณะในช่วงประมาณ พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ - ๒๔ ดังปรากฏหลักฐานท่ีเห็นได้ชัดจากจารึก “พระธาตุดุม” เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถงึ การดัดแปลงปราสาทเกา่ ให้เป็นพระธาตุในชื่อ “พระมหาธาตุเชียงดุม” รวมไปถึงพระพุทธรูป บุเงิน ศิลปะลาว - ล้านชา้ งดว้ ย ตามความเชื่อพ้ืนบ้านระบุว่า ภายหลังจากท่ีพระสมณโคดม พุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดชาวเมืองหนองหานหลวงแล้ว ได้เสด็จออกจาก เมืองมาถึงบริเวณท่ีต้ังของพระธาตุดุม ครั้งนั้น ลูกดุมจีวรของพระสมณ โคดมหลุดกระเด็นไปตกอยู่บริเวณหนึ่ง ชาวเมืองเห็นเป็นนิมิต อันเป็นมงคลจึงสร้างพระธาตุขึ้นครอบเรียก “ธาตุดุม” สืบมา นอกจากนี้แล้วยังปรากฏนิทานแบบมุขปาฐ กล่าวถึงการไปสู่ขอ หญิงสาวเมืองหน่ึง หากบิดาฝ่ายหญิงมีการกาหนดให้ฝ่ายชาย เวลาในการเดินทางมาเพยี งหนึ่งวันหน่งึ คืน โดยฝ่ายชายบรรทกุ สินสอด ใส่เกวียนเพื่อไปสู่ขอฝ่ายหญิงที่ตนรักหากแต่ไปถึงกลางทางดุมเกวียน เกิดชารดุ จงึ ตอ้ งตดั ใจพรอ้ มฝังสนิ สอดแลว้ สร้างเจดยี ค์ รอบทบั เอาไว้ ก ร ม ศิ ล ป า ก ร ป ร ะ ก า ศ ขึ้ น ท ะ เ บี ย น โ บ ร า ณ ส ถ า น ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนท่ี ๗๕ วันท่ี ๘ มีนาคม ๒๔๘๕
๗๙ และประกาศขอบเขตโบราณสถานจานวน ๗ ไร่ ๘๙ ตารางวา ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๙ ตอนที่ ๑๗๒ วันท่ี ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ปราสาทภายในองค์พระธาตเุ ชงิ ชุม ปราสาทภายในองค์พระธาตุเชิงชุม ตั้งอยู่ ณ วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร ตาบลธาตุเชิงชุม อาเภอเมืองสกลนคร ตัวปราสาทหันหน้า ไปทางด้านทิศตะวันออก มีโครงสร้างหลักเป็นศิลาแลงโดยปรากฏ เฉพาะโครงสร้างภายในเรือนธาตุเท่านั้น โดยพบว่า ทับซ้อนกัน ๒ ระยะ ระยะแรกมีลักษณะเป็นปราสาทหินก่อดว้ ยศิลาแลง กรอบประตู ทาด้วยหินทราย มีความสูงประมาณ ๘.๕ เมตร ฐานกว้างด้านละ ๔ เมตร ท่ีกรอบประตูด้านทิศตะวันออกพบจารึกอักษรขอมโบราณ กล่าวถึงการแบ่งเขตการปกครองท่ีดินแก่หัวหน้าหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้าน และการกัลปนา ทาส สัตว์เลี้ยง พืช ที่นา กาหนดอายุจากจารึกทาให้ ทราบว่า พระธาตุยุคแรกถูกสร้างขึ้นอยู่ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ทาหนา้ ท่เี ป็นศาสนสถานประจาเมอื งโบราณสกลนคร ท้ังนี้พบหลักฐานสาคัญ คือ เทวรูปพระอิศวร แสดงให้เห็นว่า ปราสาทภายในองค์พระธาตุเชิงชุมสร้างข้ึนเน่ืองในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะนิกาย ก่อนจะถูกท้ิงร้างไป ระยะต่อมาในช่วงประมาณ
๘๐ พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ - ๒๔ จึงก่อครอบด้วยเจดีย์ทรงปราสาทยอด ตามรูปแบบศลิ ปะลาว – ล้านช้าง ดังรปู ลกั ษณ์ท่ปี รากฏในปัจจบุ นั นอกจากน้ีการก่อสร้างพระธาตุเชิงชุมยังมีมาในตานาน อุรังคนิทานว่า เม่ือสมัยคร้ังพุทธกาล พระพุทธเจ้า (สมณโคดม) เสด็จมายังเมืองหนองหารหลวง อันมีพญาสุวรรณภิงคารเป็นเจ้าเมือง ครั้งน้ันพระพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระพุทธบาท พร้อมกับแสดง พุทธปาฎิหาริย์ให้ดวงแก้วมณีลอยออกจากพระโอษฐ์ เม่ือพญา สุวรรณภิงคารเห็นดังนั้นจึงเกิดความปิติโสมนัส ถึงกับจะชักพระขรรค์ เพื่อตัดพระเศียรของตนบูชารอยพระพุทธบาทนั้น แต่พระมเหสีนารายณ์ เจงเวงห้ามไว้ จึงได้ถอดมงกุฎทองคาหนักแสนตาลึงเป็นพุทธบูชา พร้อมกับก่ออุโมงค์ครอบสถานท่ีชุมนุมแห่งรอยพระพุทธบาทน้ัน เม่ือเสร็จแล้วให้นามว่า พระเจดีย์พุทธบาทโฮมชุม หรือ เชิงชุม ตามตานานระบุว่า ณ สถานท่ีประดิษฐานพระธาตุเชิงชุมนี้ เป็ น พุ ท ธป ระ เพ ณีของพ ระพุ ทธเจ้าในภั ทรกัป น้ีต้องมาป ระ ทั บรอย พระบาทไว้ทุก ๆ พระองค์ ตั้งแต่พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสะโป พระโคตโม และพระศรีอริยเมตตรัยโย พระพุทธเจ้า ที่จะตรัสรู้ ในอนาคตต้องมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ เหมอื นกนั ๑๑ ๑๑ ประสาท ต้องโพนทอง,”ประวัติองค์พระธาตเุ ชิงชุม จังหวดั สกลนคร”อนสุ รณ์พิธีถวายผา้ พระกฐนิ พระราชทาน,๒๕๔๕,หนา้ ๑๓ – ๑๔
๘๑ ก ร ม ศิ ล ป า ก ร ป ร ะ ก า ศ ข้ึ น ท ะ เ บี ย น โ บ ร า ณ ส ถ า น ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนท่ี ๗๕ วันท่ี ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศขอบเขตโบราณสถานจานวน ๓ ไร่ ๔๗ ตารางวา ในราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๙๙ ตอนที่ ๑๕๕ วนั ที่ ๒๑ ตลุ าคม ๒๕๒๕ ปราสาทนารายณ์เจงเวง หรอื พระธาตุนารายณเ์ จงเวง ปราสาทนารายณ์เจงเวง หรือพระธาตุนารายณ์เจงเวง ตั้งอยู่ที่ บ้านนาเวง ตาบลธาตุเชิงชุม อาเภอเมืองสกลนคร ตั้งอยู่บน เนินลาดตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยปราสาท หินทรายมีฐานศิลาแลง ปราสาทมีมุขย่ืนออกมาทางทิศตะวันออก ซ่ึงเป็นทางเข้าสู่ห้องครรภคฤหะ ส่วนอีก ๓ ด้าน ทาเป็นประตูหลอก ถัดข้ึนไปเป็นส่วนยอด ประกอบด้วยช้ันวิมานซ้อนลดหล่ันกัน แต่ละช้ันประดับตกแต่งด้วยซุ้มบัญชร บรรพ์แถลงและนาคปัก๑๒โดยรอบ ป ร ะ ส า ท แ ก ะ ส ลั ก เ รื่ อ ง ร า ว ข อ ง เ ท พ เ จ้ า ใ น ศ า ส น า พ ร า ห ม ณ์ และวรรณกรรมเร่ืองรามายณะ นับเป็นปราสาทที่สวยและสมบูรณ์ท่ีสุด ในพ้นื ทอ่ี สี านตอนบนเพยี งแห่งเดียว จากลวดลายสลักที่ใช้ประดับปราสาทท้ังตามหน้าบันและทับหลัง แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของศิลปะเขมรแบบบาปวน จึงอาจกาหนดอายุ ๑๒ รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรอื ง, ศิลปะเขมร (กรุงเทพฯ : มตชิ น, ๒๕๕๗), หนา้ ๑๒๘.
๘๒ ของปราสาทนารายณ์เจงเวงไว้ในช่วงปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ถงึ ตน้ พุทธศตวรรษที่ ๑๗๑๓ อนึ่ง ตามตานานพื้นถิ่นกล่าวว่า พระธาตุนารายณ์เจงเวง สร้างข้ึนพร้อมกับพระธาตุภูเพ็ก โดยฝีมือผู้หญิงชาวเมืองหนองหาร หลวง มีนางนารายณ์เจงเวง ชายาของพญาสุวรรณภิงคาร เป็นผู้นา ในการสร้าง โดยเป็นสถานท่ีบรรจุพระอังคารธาตุของพระสมณโคดม พทุ ธเจ้า กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจา นุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันท่ี ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศ ขอบเขตโบราณสถานจานวน ๓ ไร่ ๓ งาน ๖๐ ตารางวา ในราชกิจจา นุเบกษา เลม่ ๙๙ ตอนท่ี ๑๕๕ วันท่ี ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ ปราสาทภูเพ็ก หรือพระธาตภุ เู พก็ ปราสาทภูเพ็ก หรือพระธาตุภูเพ็ก ตั้งอยู่ บนยอดเขาภูเพ็ก บ้านภูเพ็ก ตาบลนาหัวบ่อ อาเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เ ป็ น ป ร า ส า ท หิ น ท ร า ย ข น า ด ใ ห ญ่ ที่ ยั ง ก่ อ ส ร้ า ง ไ ม่ เ ส ร็ จ ส ม บู ร ณ์ ก่อได้เพียงผนังเรือนธาตุถึงระดับคานทับหลังของปราสาท มีทางเข้า สู่เรือนธาตุทางด้านทิศตะวันออกพียงด้านเดียว ส่วนอีกสามด้าน เป็นประตูหลอก นอกจากน้ียังประกอบด้วยมุขกระสันเช่ือมกับมณฑป ในผังรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้า ฐานล่างสุดเป็นฐานบัวคว่าบัวหงาย ๑๓ เรื่องเดียวกัน.
๘๓ เนื่องจากเป็นปราสาทที่ยังก่อไม่สาเร็จและไม่มีลวดลายท่ีสามารถ ใช้เปรียบเทียบเพื่อกาหนดอายุได้ นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่า น่าจะสรา้ งขนึ้ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ เช่นเดียวกบั ศาสนสถาน อื่น ๆ ท่อี ยู่ในพ้นื ที่ใกลเ้ คียง อน่ึง ตามตานานพ้ืนถิ่นกล่าวว่า ตามตานานพื้นถิ่นกล่าวว่า สร้างข้ึนพร้อมกับพระธาตุนารายณ์ เจงเวง เพื่อประดิษฐาน พระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า โดยฝ่ายชายชาวเมืองหนองหารหลวง มีพญาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหานหลวง เป็นผู้นาแต่สร้าง ไม่สาเร็จ ก ร ม ศิ ล ป า ก ร ป ร ะ ก า ศ ข้ึ น ท ะ เ บี ย น โ บ ร า ณ ส ถ า น ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศขอบเขตโบราณสถานจานวน ๑๙ ไร่ ๑ งาน ๔๓ ตารางวา ในราชกจิ จานุเบกษา เล่ม ๙๘ ตอนที่ ๑๐๔ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๔ ปราสาทบ้านพนั นา หรอื กูแ่ ก้วพนั นา ปราสาทบ้านพันนา หรือกู่แก้วพันนา ตั้งอยู่ บ้านพันนา ตาบลสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เป็นศาสนสถานประจาโรงพยาบาล หรือท่ีเรียกว่า “อโรคยศาล” เป็นกลุ่มอาคารใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลัก ในการก่อสร้าง องค์ประกอบผังอาคารประกอบด้วย ปราสาทประธาน และบรรณาลัย ตั้งอยู่ภายในกาแพงศิลาแลง มีทางเข้าออกผ่านโคปุระ
๘๔ ด้านทิศตะวันออก นอกกาแพงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีสระน้า รูปทรงส่ีเหลยี่ มผนื ผ้า กรดุ ้วยศิลาแลง๑๔ กรมศิลปากรขุดแต่งในปี พ.ศ.๒๕๔๒ พบโบราณวัตถุท่ีสาคัญ ได้แก่ เศียรรูปเคารพ ชิ้นส่วนพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทรงครุฑ พระยมทรงกระบือ และยังพบชิ้นส่วนท่อนพระกรของพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวรอีกด้วย จากหลักฐานต่าง ๆ ท่ีพบบ่งบอกได้ว่า ป ร า ส า ท แ ห่ ง น้ี ส ร้ า ง ขึ้ น ต า ม ค ติ ค ว า ม เ ช่ื อ ท า ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า แบบมหายาน ก ร ม ศิ ล ป า ก ร ป ร ะ ก า ศ ข้ึ น ท ะ เ บี ย น โ บ ร า ณ ส ถ า น ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศขอบเขตโบราณสถานจานวน ๔ ไร่ ๑ งาน ๓๓ ตารางวา ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๙ ตอนที่ ๑๗๒ วันท่ี ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ โบราณสถานวัดศรีธาตกุ าราม โบราณสถานวัดศรีธาตุการาม มีลักษณะคล้ายฐานอาคาร ท า เ ป็ น บั ว ค ว่ า บั ว ห ง า ย ก่ อ ด้ ว ย ศิ ล า แ ล ง รู ป ส่ี เ ห ล่ี ย ม ผื น ผ้ า ขนาดความกว้าง ๗ เมตร ยาว ๒๑ เมตร สูงประมาณ ๒ - ๒.๕๐ เมตร หนั หนา้ ไปในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดา้ นบนตัวอาคาร ทางด้านทิศตะวันตกมีเจดีย์ก่อด้วยอิฐแบบลาวแต่พังทลายลงมากแล้ว ๑๔ พชั นี จนั ทรสาขา, รอ้ ยรอยเก่าสกลนคร (รอ้ ยเอ็ด : บรษิ ัท รงุ่ ศลิ ปก์ ารพิมพ์ จากดั (๑๙๗๗), ๒๕๕๕), หน้า ๑๒๓.
๘๕ และนอกจากน้ีเยื้องไปทางด้านทิศตะวันตกประมาณ ๑๐ เมตร ปรากฏใบเสมาสลักจากหินทรายสีแดงปักไว้ ๓ ใบ โดยใบหน่ึง มีการแกะสลักเป็นรูปธรรมจักรอยู่บนแกนกลางสถูป ซ่ึงเป็นวัตถุ ท่ีเก่ียวเน่ืองกับวัฒนธรรมทวารวดี แต่เนื่องจากโบราณสถานแห่งนี้ ยังไม่ได้รับการขุดแต่งและบูรณะ จึงยังไม่ทราบรูปทรงที่แน่ชัด แต่เม่ือพิจารณาจากรูปทรงของอาคารท่ีก่อด้วยศิลาแลงสามารถกาหนด อายุเบ้ืองต้นว่า สร้างขึ้นในวัฒนธรรมเขมร รวมพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ - ๑๘ และได้รับการต่อเติมเจดีย์แบบลาวเข้าไปในราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ - ๒๓๑๕ ก ร ม ศิ ล ป า ก ร ป ร ะ ก า ศ ข้ึ น ท ะ เ บี ย น โ บ ร า ณ ส ถ า น ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๒๙ ง วันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๕ พื้นทป่ี ระมาณ ๔ ไร่ ๓ งาน ๔๘ ตารางวา ๑๕ พัชนี จนั ทรสาขา, ร้อยรอยเก่าสกลนคร (ร้อยเอ็ด : บริษทั รุ่งศลิ ปก์ ารพิมพ์ จากดั (๑๙๗๗), ๒๕๕๕), หน้า ๑๒๓.
๘๖ ร่องรอยชุมชนโบราณ และระบบระบบสาธารณูปการแบบเขมร ในจงั หวัดสกลนคร แหล่งที่ตั้งชุมชนโบราณในจังหวัดสกลนครพบกระจายทั่วไป ในบริเวณพ้ืนที่ราบลุ่มน้าสงครามและท่ีราบลุ่มหนองหาน ปรากฏ ร่องรอยของระบบสาธารณูปการ อาทิ บาราย สะพาน ถนนและฝาย เป็นต้น จากการศึกษาและสารวจพบว่า ชุมชนโบราณในวัฒนธรรม เขมรท่ีพบในจังหวัดสกลนคร มีการทับซ้อนต่อเนื่องมาตั้งแต่ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กระท่ังเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ในสมัยวัฒนธรรม ทวารวดี โดยมีอยู่ ๒ ลกั ษณะทีเ่ ดน่ ชดั คอื ๑. ชุมชนท่ีมีคูน้าคันดินล้อมรอบและมีระบบสาธารณูปการ เป็นชุมชนที่ปรากฏคูน้าคันดิน ศาสนสถานประจาชุมชน บารายและ สะพาน เห็นได้จากตัวเมืองโบราณสกลนคร ๒. ชุมชนท่ีพบเพียงสระน้าบารายและมีระบบสาธารณูปการ เปน็ ชุมชนทป่ี รากฏศาสนสถานประจาชมุ ชนและร่องรอยของบารายแต่ไม่ ปรากฏคูน้าคันดินล้อมรอบ เห็นได้จากชุมชนที่อยู่ภายนอกตัวเมือง โบราณสกลนคร อาทิ ชุมชนโบราณบริเวณบ้านธาตุนาเวง ชุมชนโบราณบริเวณบ้านธาตดุ มุ เปน็ ตน้ ปัจจุบันร่องรองรอยของชุมชนและร ะบบสาธารณูปการ ในสมัยโบราณสิ้นสภาพลงไปมาก โดยท่ัวไปมักพบสาเหตุหลัก ๒ ประการ สาเหตุหลักจากธรรมชาติ ประกอบกับขาดการทานุบารุง
๘๗ เป็นเวลานาน และสาเหตุรองลงมาคือ การจงใจรื้อทาลายในอดีต การขุดค้นเพื่อหาของมีค่าในอดีตและปัจจุบัน บางแห่งพบว่า ตกอยู่ในครอบครองของเอกชน โดยในส่วนนี้น้ีผู้เขียนนาเสนอ เฉพาะร่องรอยชุมชนโบราณ และระบบระบบสาธารณูปการแบบเขมร ภายในและรอบนอกเมืองโบราณสกลนครเท่านั้นเน่ืองจากยังคงปรากฏ รอ่ งรอยหลักฐานอยคู่ ่อนข้างสมบูรณ์ เมืองโบราณสกลนคร เมืองโบราณสกลนคร เป็นเมืองโบราณอยู่ในผังรูปส่ีเหลี่ยม ตามแบบอิทธิพลวัฒนธรรมเขมร ตั้งอยู่ที่ราบริมฝั่งด้านทิศตะวันตก เฉียงใต้ของหนองหานหรือด้านทิศตะวันตกของเทือกเขาภูพาน อยู่สูงจากระดับน้าทะเลประมาณ ๑๖๖ เมตร ปรากฏผังเมือง เป็นรูปส่ีเหล่ียมขนาดกว้างประมาณ ๑,๓๕๐ เมตร (ทิศเหนือ - ใต้) ยาวประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร (ทิศตะวันออก - ตะวันตก) กว้างไม่น้อยกว่า ๔๐ เมตร บางตอนด้านทิศใต้และทิศเหนือกว้าง ๑๐๐ - ๓๐๐ เมตร ประกอบด้วยคันดินสองชั้นคั่นด้วยคูน้าลึก ถึงระดับกักเก็บน้า แนวคันดินชั้นนอกกว้างว่าชั้นในเป็นสองเท่า และมีความต่อเนื่อง ใช้ประโยชน์ในการป้องกันโดยมีช่องทางน้า เช่ือมต่อกับหนองหานและหนองสนมใช้หล่อเล้ียงคูเมืองและประโยชน์ ในการคมนาคม๑๖ ภายในตัวเมืองมีพื้นที่ประมาณ ๒.๕ ตาราง ๑๖ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๑๐๐ - ๑๐๑.
๘๘ กิโลเมตร เป็นพื้นท่ีสูงต่าไม่เท่ากันบริเวณศูนย์กลางเมืองมีลักษณะ เปน็ ท่ีดอน นอกจากนี้เมืองโบราณสกลนครยังปรากฏการสร้างศาสนสถาน สาหรับเมือง (ปราสาทหินในองค์พระธาตุเชิงชุม) ที่พบหลักฐานสาคัญ คือ “จารึกวัดพระธาตุเชิงชุม” ปรากฏบนกรอบประตูหินทราย ทางเข้าภายในเรือนธาตุหรือครรภคฤหะทางด้านทิศตะวันออก เน้ือหาโดยสังเขปกล่าวถึง การแบ่งเขตการปกครองท่ีดินแก่หัวหน้า หมู่บ้าน๑๗แต่ละหมู่บ้าน รวมไปถึงการอุทิศกัลปนา คน สัตว์ พืชผล ท่ีดิน ให้กับเทวสถาน ปรากฏชื่อหมู่บ้านสาคัญ คือ “ชระเลง” และ “พนุรพิเนาว์”๑๘ โดยจากการพิจารณาองค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ และความเหมาะสมหลายประการมีความน่าจะเป็นไปได้ว่า บ้านชระเลง ตั้งอยู่ภายในบริเวณเขตคูเมืองโบราณสกลนคร ส่วนบ้านพนุรพิเนาว์ เ ป็ น ชุ ม ช น ตั้ ง อ ยู่ น อ ก เ มื อ ง ท า ง ด้ า น ทิ ศ ต ะ วั น ต ก เ ฉี ย ง ใ ต้ ใ น บ ริ เ ว ณ ที่ต้ังของพระธาตุนารายณ์เจงเวง นอกจากน้ียังปรากฏตาแหน่ง ของบุคคลคือ “กาเสตง” และ “โขลญพล” นับเป็นหลักฐานสาคัญ ท่ีแสดงให้เห็นถึง การปกครอง ระบบความเช่ือ โดยหอสมุดแห่งชาติ กาหนดอายุจากตัวอกั ษรทีม่ ีในจารึกอยู่ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ๑๗ อา้ งจาก : ฐานข้อมูลจารกึ ในประเทศไทย ศูนย์มานษุ ยวิทยาสริ นิ ธร (องคก์ รมหาชน) คาค้นหา “จารึกวดั พระธาตุเชิงชมุ ” เว็บไซต์ http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=433 ๑๘ ท่มี ีความหมายวา่ “บ้านเนินมะตมู ” (อ้างจาก : ฐานขอ้ มลู จารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธร (องค์กรมหาชน) คาคน้ หา “จารึก วัดพระธาตุเชงิ ชุม” เว็บไซต์ http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/inscribe_detail.php?id=433)
๘๙ นอกจากศาสนสถานประจาเมืองแล้ว ยังประกอบไปด้วย บาราย (ตระพังทองหรือสระพังทอง) แหล่งน้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ในตัวเมืองอีกด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏ ศาสนสถาน คือ ปราสาทนารายณ์เจงเวง ปราสาทดุม และระบบสาธารณูปการ คือ สะพานขอม บารายประจาชุมชน (สระน้า) รวมไปถึงแนวถนน โบราณออกไปยังภายนอกตัวเมืองอีกด้วย ปัจจุบันสภาพของคูน้าคันดิน เมืองโบราณสกลนครพอเหลือสภาพให้เห็นเพียงแนวคูคันดินช้ันนอก ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือท่ีพุ่งลงสู่หนองหารเท่าน้ัน ทั้งนี้ สร้างคูน้า คันดิน นอกจากจะมีประโยชน์ในการใช้ป้องกันเมืองแล้วยังสันนิษฐาน ว่า ใช้เพ่ือป้องกันน้าท่ีไหลจากเทือกเขาภูพาน โดยใช้คูน้าและคันดิน เบนกระแสน้าใหไ้ หลลงสูห่ นองหาร
๙๐ ภาพ : ภาพถ่ายทางอากาศ อาเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เม่ือ พุทธศักราช ๒๔๘๙ โดย ปีเตอร์ วิลเลี่ยมส์ ฮันท์ แสดงให้เห็นถึงร่องรอยคูน้าคันดิน อันเป็นลักษณะ การวางผงั เมืองในวัฒนธรรมเขมร ของเมอื งโบราณหนองหาน (หนองหานน้อย) ภาพ : สานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศลิ ปากร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109