Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Kursmaterial German Phonetics_1_2021

Kursmaterial German Phonetics_1_2021

Published by Korakoch Attaviriyanupap, 2021-05-30 13:36:45

Description: Kursmaterial German Phonetics_1_2021

Search

Read the Text Version

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 93 ความหมายในภาษาเยอรมนั ภาษาบางภาษามีโครงสรา้ งพยางคท์ ่ีไมซ่ บั ซอ้ น เช่น มีแตพ่ ยางคเ์ ปิด ไม่มี พยญั ชนะควบ ก็จะมีแตโ่ ครงสรา้ งพยางคเ์ ป็น KV เม่ือผทู้ ่ีพดู ภาษานีต้ อ้ งไปพดู ภาษาอ่ืนท่ีมีโครงสรา้ ง พยางคซ์ บั ซอ้ นมากกว่านีก้ ็จะยากในการออกเสียง ตวั อย่างเช่นภาษาไทยเรานนั้ มีโครงสรา้ งพยางคท์ ่ี ซบั ซอ้ นท่ีสดุ เป็น KKVK คือ มีพยญั ชนะควบเพียงสองเสียง ซง่ึ ปรากฏในพยญั ชนะตน้ เท่านนั้ และยงั มี เพียงไม่ก่ีเสียงเท่านนั้ ท่ีนาํ มาควบกนั ได้ ในขณะท่ีภาษาในตระกูลเยอรมนั นิค เช่น ภาษาองั กฤษ ดทั ช์ รวมทงั้ ภาษาเยอรมนั นนั้ เป็นภาษาท่ีไดช้ ่ือว่ามีโครงสรา้ งพยางคซ์ บั ซอ้ น ส่ิงท่ีถือเป็นลกั ษณะโดดเด่น ประการหน่ึงของภาษาเยอรมันก็คือจะมี “การปรากฏของพยัญชนะซ้อนกันหลายเสียง” (Konsonantenhäufung) ทงั้ ในตาํ แหน่งพยญั ชนะตน้ และพยญั ชนะทา้ ย เช่น ในคาํ ว่า streng [] และ (des) Herbsts [] โครงสรา้ งพยางคใ์ นภาษาเยอรมนั จะมีตงั้ แตโ่ ครงสรา้ งแบบง่ายท่ีสดุ คอื มี แตแ่ กนพยางค์ (เช่น คาํ วา่ Ei) ไปจนถึงพยางคท์ ่ีมีโครงสรา้ งซบั ซอ้ นมากๆ โดยจะมีมากสดุ คือ พยญั ชนะ ตน้ 3 เสียงควบ และพยญั ชนะทา้ ย 5 เสียงควบ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงมีเสียงท่ีเพ่ิมมาจากการผนั คาํ ลงทา้ ย ตา่ งๆ เช่น ในคาํ ว่า Strumpf, schimpfst เป็นตน้ อยา่ งไรก็ตามการท่ีภาษาเยอรมนั สามารถมีพยญั ชนะ ควบหลายตัวพรอ้ มกันไดน้ ั้นมิไดห้ มายความว่าจะนาํ เสียงพยัญชนะใดมาเรียงและควบกันอย่างไรก็ได้ (ตวั อย่างเช่น เราไม่สามารถเรียงเป็น mbop ได้ เป็นตน้ ) โดยท่วั ไปนนั้ การสรา้ งพยางคจ์ ะเกิดขึน้ ตาม หลกั เกณฑท์ ่ีเราเรยี กว่า “ลาํ ดบั ชนั้ ของพลงั เสียง” (Sonoritätshierarchie) กลา่ วคือ แกนของพยางคจ์ ะ เกิดจากเสยี งท่ีมีพลงั เสียงมากท่ีสดุ จนอาจเรยี กเป็นตาํ แหน่งสดุ ยอดของคล่ืนเสียงก็ได้ ย่ิงเสียงใดมีพลงั เสียงนอ้ ยมากเท่าไร เสียงนนั้ ก็จะอย่หู ่างจากแกนพยางคอ์ อกไปมากเท่านนั้ โดยท่วั ไปเราจดั ลาํ ดบั ของ เสียงต่างๆ ท่ีมีพลงั เสียงแตกตา่ งกนั ท่ีเคล่ือนออกจากแกนกลางของพยางค์ (กล่าวคือ พลงั เสียงมากอยู่ ใกลแ้ กนพยางค์ ย่งิ พลงั เสียงนอ้ ยเทา่ ไรก็จะอยหู่ ่างไกลจากแกนพยางคม์ ากขนึ้ ) ดงั นี้ Plosiv – Frikativ – Nasal – Liquid (Lateral/Vibrant) – Vokal – Approximant – Liquid – Nasal – Frikativ – Plosiv •• ตารางต่อไปนีเ้ ป็นการแสดงตวั อย่างคาํ ท่ีประกอบดว้ ยพยางคเ์ ดียวท่ีต่างมีโครงสรา้ งแตกต่างกัน ออกไป แตส่ อดคลอ้ งกบั หลกั เกณฑก์ ารสรา้ งพยางคท์ ่ีอิงกบั พลงั เสียงดงั กล่าวขา้ งตน้ กล่าวคือ มีเสียงสระ ซ่งึ มีพลงั เสียงสงู สดุ อย่ตู รงกลาง ถดั ออกไปเป็นเสียงกล่มุ ท่ีเป็นเสียงก่ึงสระ เสียงขา้ ง เสียงรวั ซ่ึงลว้ นมี คณุ สมบตั ิใกลเ้ สียงสระ ถดั ไปเป็นเสียงนาสกิ ซง่ึ ก็ยงั คงมีพลงั เสียงสงู แลว้ จึงไลต่ อ่ ไปเป็นเสียงพยญั ชนะ เสยี ดแทรก สว่ นเสียงพยญั ชนะระเบดิ นนั้ ถือวา่ มีพลงั เสยี งนอ้ ยท่ีสดุ เพราะลมถกู กกั มากท่ีสดุ ก็จะอยไู่ กล ออกไปท่ีรมิ ขอบทงั้ สองทิศทาง

94 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ ตารางท่ี 13 ลาํ ดบั ชนั้ ของพลงั เสยี ง PFNLVLNFP a)          roh b)          See c)          früh d)          Schnee e)          Helm Kern f)          Knie g)          h)          quer Kraft i)          Pfriem Pflicht j)          zart ernst k          zwingst l)          m)          n)          อย่างไรก็ตาม พยางคใ์ นภาษาต่างๆ รวมทั้งในภาษาเยอรมันมิไดม้ ีโครงสรา้ งตามหลกั ของพลงั เสียง ดงั กล่าวขา้ งตน้ ไปทงั้ หมด ดงั จะเห็นไดว้ ่า ในภาษาเยอรมนั มีคาํ บางคาํ ท่ีมีโครงสรา้ งพยางคแ์ ตกต่างออกไปบา้ ง โดยท่ีเสียงพยญั ชนะเสียดแทรกอยู่ไกลแกนพยางคม์ ากกว่าพยญั ชนะระเบิด เช่น โครงสรา้ งของพยางคใ์ นคาํ ว่า Sprung []ลกั ษณะเช่นนีอ้ าจปรากฏทงั้ ในลาํ ดบั การเรยี งเสียงพยญั ชนะในตาํ แหน่งพยญั ชนะตน้ หรอื ตาํ แหน่ง พยญั ชนะทา้ ยก็ได้ เช่น ในคาํ วา่ Kopf [],Schatz [],hübsch []Strumpf [],Stolz []ดงั นนั้ จงึ อาจกล่าวไดว้ ่า โครงสรา้ งของพยางคน์ นั้ เป็นลกั ษณะเฉพาะของแต่ละภาษา ไม่จาํ เป็นตอ้ งยึดตามกฎพลงั เสียง ดงั กลา่ วขา้ งตน้ เสมอไปแตว่ า่ ในแตล่ ะภาษาจะมีโครงสรา้ งบางแบบท่ีปรากฏบอ่ ยและจดั ว่าเป็นโครงสรา้ งยอดนิยม ไป อย่างไรก็ตามจะเห็นไดว้ ่า เสียงท่ีมีพลงั เสียงมาก (Sonoranten) มกั อย่ใู กลแ้ กนพยางคม์ ากกว่าเสียงท่ีมีถกู กกั มากกวา่ หรอื มีพลงั เสียงนอ้ ยกวา่ (Obstruenten)อยดู่ ี ดงั นนั้ เราพบวา่ มีการสลบั ตาํ แหน่งระหวา่ งพยญั ชนะระเบดิ กับพยัญชนะเสียดแทรกบ่อย แต่โอกาสท่ีจะใหเ้ สียงเหล่านีม้ าอยู่ใกลแ้ กนพยางคม์ ากกว่าเสียงท่ีมีพลังเสียง มากกวา่ อยา่ งเชน่ ]นนั้ มีนอ้ ยกวา่ เพราะยากท่ีจะออกเสยี งคาํ อยา่ ง*rfposnเป็นตน้ เร่ืองจาํ นวนของพยญั ชนะท่ีปรากฏเป็นพยญั ชนะควบทงั้ ในตาํ แหน่งพยญั ชนะตน้ และพยญั ชนะทา้ ยก็ เป็นเร่ืองท่ีมีขอ้ จาํ กดั เช่นกนั ตวั อย่างเช่น ในภาษาเยอรมนั จะมีพยญั ชนะควบในตาํ แหน่งพยญั ชนะตน้ ไม่เกิน 3 เสียง และมกั ประกอบดว้ ยเสียงเสียดแทรก ตามดว้ ยเสียงพยัญชนะท่ีเวลาเปล่งเสียงลมถูกกัก (Obstruenten หมายถึงเสียงพยญั ชนะระเบิดและพยญั ชนะเสียดแทรก) ซ่ึงเป็นเสียงไม่กอ้ ง ตามดว้ ยเสียงพยญั ชนะขา้ งหรือ พยญั ชนะรวั เช่น ในคาํ วา่ Sprache, schreiben, streng เป็นตน้ ในขณะท่ีพยญั ชนะควบท่ีใชเ้ สียงพยญั ชนะท่ีลม ถกู กกั นาํ และมีพยญั ชนะถกู กกั ท่ีเสียงกอ้ งปรากฏอย่ดู ว้ ยจะมีนอ้ ยมาก ตวั อย่างเช่นเสียง [kv]และ[v] ในคาํ ว่า Qual[] และ schwach[] แมว้ า่ โดยท่วั ไปแลว้ พยางคม์ กั มีเสยี งสระเป็นแกนกลาง แตเ่ สยี งพยญั ชนะบางตวั ก็สามารถทาํ หนา้ ท่ี นีไ้ ดเ้ ช่นเดียวกนั ทงั้ นีเ้ สยี งพยญั ชนะท่ีจะทาํ หนา้ ท่ีเป็นแกนในการสรา้ งพยางคไ์ ดน้ นั้ จะตอ้ งเป็นพยญั ชนะท่ีมี พลงั เสียงมากพอ หรอื ใกลเ้ คียงกบั เสียงสระมากกว่าเสียงพยญั ชนะตวั อ่ืนๆ เราจงึ พบว่า ส่วนใหญ่แลว้ เสียง พยญั ชนะท่ีจะทาํ ใหเ้ กิดพยางคไ์ ด้ (silbische Konsonanten) จงึ ตอ้ งเป็นพยญั ชนะท่ีอยใู่ นตาํ แหน่งใกลเ้ สียง

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 95 สระในตารางขา้ งตน้ ในภาษาเยอรมนั ปรากฏอยู่ 3 เสียง คือ พยญั ชนะขา้ ง [] และพยญั ชนะนาสิก [], [] โดยท่วั ไปพยางคท์ ่ีมีเสียงพยญั ชนะทาํ หนา้ ท่ีเป็นแกนพยางคเ์ ช่นนีม้ กั เป็นพยางคท์ ่ีไม่เนน้ และเดมิ เป็นเสียง สระท่ีไมเ่ นน้ คอื เป็นเสยี ง [] + [], [] หรอื [] อยกู่ ่อน แลว้ จงึ ถกู ทอนเสยี งลงไปอีกโดยใชเ้ พียงเสียงพยญั ชนะ เป็นแกนพยางค์ เวลาเขียนสทั อกั ษรจะทาํ เคร่ืองหมายขีดไวใ้ ตเ้ สียงพยญั ชนะนัน้ เพ่ือบอกใหร้ ูว้ ่าเป็น พยญั ชนะท่ีเป็นพยางคน์ ่นั เอง เชน่ ในคาํ วา่ Segel [] , haben [] ระดบั เสียงสงู ต่าํ (Tonhöhenverlauf) ก็อาจจดั วา่ เป็นคณุ สมบตั ิสาํ คญั ของพยางคเ์ ช่นกนั อย่างไร ก็ตามสถานะของระดบั เสียงสงู ต่าํ ในแต่ละพยางคจ์ ะแตกต่างกนั ไปในแต่ละภาษา เช่น ในภาษาเยอรมนั ไม่ไดท้ าํ ใหค้ วามหมายเปล่ียนแปลง โดยส่วนใหญ่จึงมกั จดั ว่าระดบั เสียงเป็นส่วนหน่ึงของสทั สมั พนั ธ ลักษณ์ เพราะอาจทําให้ทาํ นองเสียงเปล่ียนแต่ไม่เป็นหน่วยเสียง เพราะไม่มีหน้าท่ีในการทาํ ให้ ความหมายเปล่ียนแปลง แต่ในภาษาท่ีมีวรรณยกุ ต์ หรือภาษาท่ีพยางคแ์ ต่ละพยางคม์ ีระดบั เสียงกาํ กบั ซง่ึ เรียกเป็นภาษาเยอรมนั ว่า Tonsprache อย่างเช่นกรณีของภาษาไทยนนั้ มกั จดั ว่าระดบั เสียงสงู ต่าํ หรอื วรรณยกุ ตน์ นั้ เป็นหน่วยเสียงดว้ ย ซง่ึ ในภาษาเยอรมนั จะมีคาํ เรยี กวา่ เป็น Toneme (ระดบั เสยี งท่ีเป็น Phonem) เน่ืองจากสามารถทาํ ใหค้ วามหมายเปล่ียนแปลงได้ ตวั อย่างเช่น ในคาํ วา่ คา ข่า คา่ คา้ ขา เป็นตน้ 10.1.2 ตาํ แหน่งการปรากฏของหน่วยเสียงในพยางค์ หน่วยเสียงต่างๆ อาจปรากฏเพียงเฉพาะในบรบิ ทเท่านนั้ ซ่งึ การมองภาพเสียงต่างๆ ในบริบทของพยางค์ จะช่วยใหเ้ ราอธิบายตาํ แหน่งการปรากฏของหน่วยเสียงไดช้ ดั เจนขนึ้ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้  หน่วยเสียงพยญั ชนะนาสกิ // จะปรากฏเฉพาะในตาํ แหนง่ ทา้ ยของพยางคเ์ ทา่ นนั้ และจะปรากฏ เฉพาะในตาํ แหน่งพยญั ชนะทา้ ยของสระเสียงสนั้ เท่านนั้ การจาํ กฎเกณฑก์ ารปรากฏของหน่วยเสียง เป็นโครงสรา้ งของพยางคจ์ ะทาํ ใหเ้ ราระบุบริบทการใชเ้ สียงนัน้ ไดช้ ัดเจนกว่าการบอกเพียงแค่ว่า หน่วยเสียง // ไม่ปรากฏหนา้ สระ เพราะเม่ือใดก็ตามท่ีพยางคส์ องพยางคม์ าตอ่ กนั จะเกิดการเช่ือม เสียงระหวา่ งพยางคแ์ รกท่ีลงทา้ ยดว้ ยหน่วยเสยี งนีก้ บั สระท่ีตามมาจนฟังเหมือนวา่ เป็นพยญั ชนะตน้ ของพยางคท์ ่ีสองได้ เราจะไม่เรียกเสียงนีว้ ่าเป็นพยญั ชนะตน้ ท่ีเป็นตาํ แหน่งตน้ คาํ (Anlaut) แตถ่ ือ เป็นตาํ แหน่งเสียงท่ีเช่ือมหรอื อยตู่ รงกลางระหว่างพยางคส์ องพยางค์ (Inlaut) ซง่ึ เกิดจากเช่ือมเสียง พยญั ชนะทา้ ยของพยางคห์ นา้ เทา่ นนั้ ไมไ่ ดเ้ ป็นพยญั ชนะตน้ ท่ีแทจ้ รงิ  ในการบรรยายบริบทการปรากฏของหน่วยเสียง // ก็เช่นกัน หากเราจะบอกเพียงว่าเสียงนีไ้ ม่ ปรากฏหลงั เสียงสระ ก็อาจไม่ถกู ตอ้ งนกั เพราะอนั ท่ีจรงิ เม่ือพยางคต์ ่างๆ มาปรากฏรว่ มกนั ในคาํ ๆ หนง่ึ แลว้ เราอาจพบวา่ มีเสยี ง [h] ตามหลงั สระมาก็ได้ ดงั เช่นในคาํ ว่า behalten, dahinter แตจ่ ะตอ้ ง บอกวา่ เสยี งนีป้ รากฏเฉพาะในตาํ แหนง่ ตน้ พยางค์ (Onset) เท่านนั้ จะเห็นไดว้ า่ // ในคาํ ตวั อย่างทงั้ สองคาํ ขา้ งตน้ นีม้ ิไดเ้ ป็นพยัญชนะทา้ ยของสระท่ีอยู่ขา้ งหนา้ แต่เป็นพยัญชนะตน้ ของพยางคท์ ่ี

96 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ ตามมา ซง่ึ ไมว่ ่าจะแยกคาํ นีต้ ามพยางคห์ รอื ตามหลกั ไวยากรณเ์ ราก็จะแยกตวั อกั ษร h ไวก้ บั สว่ นท่ี สองอยดู่ ี ในขณะท่ีในคาํ วา่ Sehorgan เราจะแยกตวั อกั ษร h ไวก้ บั พยางคห์ นา้ ไมว่ า่ จะแยกตามหลกั ไวยากรณห์ รือตามหลกั การออกเสียง เม่ือเป็นเช่นนนั้ เวลาออกเสียงก็จะไม่ปรากฏเสียงของหน่วย เสียง // ออกมาเลย เพราะมไิ ดเ้ ป็นพยญั ชนะตน้ ของสระท่ีตามมาน่นั เอง  โดยปกติแลว้ คาํ ในภาษาเยอรมนั นนั้ จะมีหน่วยเสียงสระ ไม่ว่าจะเป็นเสียงสนั้ และยาว อยา่ งนอ้ ย หน่ึงเสียงเป็นแกนพยางค์ (ยกเวน้ กรณีการใชพ้ ยญั ชนะทาํ หนา้ ท่ีเป็นแกนพยางค)์ โดยอาจมีเสียง พยญั ชนะอยแู่ วดลอ้ มเสียงสระดว้ ยทงั้ ในตาํ แหนง่ พยญั ชนะตน้ และพยญั ชนะทา้ ย หรอื เป็นคาํ ซง่ึ เป็น พยางคเ์ ปิดทงั้ เปิดหนา้ และเปิดทา้ ย อยา่ งเช่นคาํ ว่า Ei, oh, Au ก็ได้ หรอื จะเป็นคาํ ท่ีมีพยญั ชนะตน้ แตไ่ มม่ ีพยญั ชนะทา้ ยก็ได้ อย่างเช่นคาํ ว่า die, See อยา่ งไรก็ตามในภาษาเยอรมนั มาตรฐานนนั้ จะ ไม่มีคาํ ใดท่ีจะลงทา้ ยดว้ ยสระเสียงสนั้ โดยไม่มีพยญั ชนะมาปิดทา้ ย เช่น จะไม่มีพยางคท์ ่ีออกเสียง เป็น *[], *[], *[] เม่ือใดก็ตามท่ีเป็นสระเสยี งสนั้ ซง่ึ เป็นคาํ พยางคเ์ ดียวจงึ ตอ้ งมีโครงสรา้ งพยางค์ เป็นพยางคป์ ิดเทา่ นนั้ เชน่ ในคาํ วา่ bis, bin, dann เป็นตน้  หน่วยเสียง /r/ ในภาษาเยอรมนั มีหลายหน่วยเสียงย่อย ไดแ้ ก่ []ท่ีเรียกว่า Reibe-R [] ท่ีเรียกว่า Zäpfchen-R และ[]ท่ีเรยี กว่า Zungenspitze-R หน่วยเสียงยอ่ ยทงั้ หมดนีส้ ามารถแทนท่ีกนั ไดโ้ ดยอิสระ โดยไม่ทาํ ใหค้ าํ เกิดการเปล่ียนแปลงความหมาย ในขณะท่ีบางภาษามีการแยกหน่วยเสียงระหว่างเสียง สามเสียงนี้ หรอื สองในสามเสียงนี้ นอกจากนี้ หน่วยเสียง เสียง /r/ ในภาษาเยอรมนั ยงั มีรูปการแปรเสียง อีกรูปหน่งึ หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ มีเสียงสระเป็นหน่วยเสยี งยอ่ ยของหน่วยเสียงนีด้ ว้ ย ซง่ึ ก็คือเสียง [] น่นั เอง อย่างไรก็ตามหน่วยเสียงย่อยนีจ้ ะปรากฏแทนท่ีเสียง “r” เฉพาะในตาํ แหน่งทา้ ยคาํ หรือหนา้ พยญั ชนะท่ี ตามหลงั สระเสียงยาว เช่น Bier, Uhr, Tür และไมถ่ ือวา่ เป็นการออกเสียงผิดไม่ว่าจะออกเป็นเสียงสระ [] หรอื ออกเป็นเสียง r ตวั ใดตวั หน่งึ แต่การออกเสียงเป็นตวั ใดอาจเป็นตวั บ่งบอกใหร้ ูว้ า่ ผพู้ ดู มาจากทอ้ งถ่ินใด อยา่ งเช่นผทู้ ่ีมาจากทางตอนใตข้ องเยอรมนั ออสเตรยี และสวิตเซอรแ์ ลนดม์ กั พบว่าออกเสียงrมากกวา่ เป็นตน้ ดงั นนั้ หากจะกล่าวว่าหน่วยเสียงย่อยทงั้ หมดของหน่วยเสียง /r/มีเสียงใดบา้ ง หรือจะบรรยายว่าเสียง “r” ใน ภาษาเยอรมนั ออกอยา่ งไรไดบ้ า้ งก็จะสามารถแสดงเป็นภาพไดด้ งั นี้

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 97 // ออกเป็นเสียงพยญั ชนะ ออกเป็นเสียงสระ [] ออกเสยี งท่ีป่มุ เหงือก ออกเสียงท่ีลนิ้ ไก่ [] พยญั ชนะรวั พยญั ชนะเสยี ดแทรก [] [] ภาพท่ี 21 หนว่ ยเสียงย่อยของหน่วยเสยี ง /r/ 11.2 การเปล่ียนแปลงของเสียงเมื่อปรากฏร่วมกับเสียงอน่ื ๆ การศกึ ษาเร่อื งเสียงและการออกเสียงนนั้ ไม่สามารถจะพิจารณาคณุ สมบตั ิของเสียงเป็นเสียงเด่ียวๆ ไดต้ ลอดเวลา เพราะเม่ือเสียงตา่ งๆ แตล่ ะเสียงไปปรากฏรว่ มกบั เสียงอ่ืนในรูปของคาํ และประโยคตา่ งๆ แลว้ ก็ อาจทาํ ใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงของเสยี งไดน้ ่นั เองในบทนีจ้ ะกลา่ วถึงการเปล่ยี นแปลงของเสียงในบรบิ ทท่ีสาํ คญั ๆของ การออกเสียงในภาษาเยอรมนั 11.2.1 การสูญของเสียง เม่ือพดู ภาษาเยอรมนั เรว็ ๆโดยเฉพาะในสถานการณท์ ่ีไมเ่ ป็นทางการซง่ึ ไมจ่ าํ เป็นตอ้ งพดู ใหช้ ดั ถอ้ ยชดั คาํ ไปหมดทกุ คาํ นนั้ จะปรากฏวา่ บอ่ ยครงั้ จะมีเสยี งบางเสียงหายไปการตดั เสียงบางเสยี งออกไปนนั้ ในทางภาษาศาสตร์ จะเรยี กวา่ “การสญู เสียเสียง” (Elision) สาํ หรบั เจา้ ของภาษาแลว้ หากออกเสียงทกุ เสียงชดั เจนไปหมดก็ อาจเป็นกลายเป็นผทู้ ่ีพดู ไม่เป็นธรรมชาติ และทาํ ใหผ้ ฟู้ ังรูส้ กึ วา่ จงใจทาํ จนฟังดเู หมือนเสแสรง้ ได้ เพราะ ในความเป็นจรงิ นนั้ เม่ือพดู เรว็ ๆ ก็อาจไม่จาํ เป็นตอ้ งออกเสียงพยญั ชนะบางตวั ใหช้ ดั เจนเท่ากนั หมดก็ได้ และไม่จาํ เป็นตอ้ งลากเสียงสระเสียงยาวใหย้ าวจนแตกต่างอย่างชดั เจนกับสระเสียงสนั้ ก็ได้ เพราะมี บริบทท่ีช่วยใหเ้ ขา้ ใจความหมายไดช้ ัดเจนขึน้ อย่างไรก็ตามการตดั ทอนเสียงนั้นเป็นกระบวนการท่ี เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติและมักไม่เกิดเม่ือผู้พูดจะต้องพูดคําแต่ละคาํ ให้ชัดเจน ดังนั้นผู้เรียน ภาษาเยอรมนั เป็นภาษาต่างประเทศจะตอ้ งแยกแยะความแตกต่างระหว่างการท่ีเสียงบางเสียงหายไป ดว้ ยวา่ การท่ีตนพดู เสียงไมค่ รบทกุ เสยี งนนั้ เป็นไปตามธรรมชาติ เน่ืองจากพดู เรว็ และไมเ่ ป็นทางการตาม กระบวนการนีห้ รือว่าเป็นการท่ีผพู้ ดู ไม่สามารถออกเสียงตา่ งๆ ไดช้ ดั เจน หรือละเลยในการออกเสียงให้ ถกู ตอ้ ง

98 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ สาํ หรบั กระบวนการตดั เสียงหรอื ลดเสียงพยญั ชนะบางเสียงไปนนั้ ในภาษาเยอรมนั จะพบบ่อย ในกรณีตอ่ ไปนี้ • เม่ือหนว่ ยเสียง /t/ ปรากฏในตาํ แหน่งพยญั ชนะท่ีอยตู่ รงกลางของพยญั ชนะควบ 3 ตวั ก็อาจถกู ตดั เสียงออกไปได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงหลงั เสียง // และ // หนา้ เสียง // และ // เช่น ในคาํ ว่า Glanz [] กลายเป็น [] erhältst [] กลายเป็น [] และ schriftlich [] กลายเป็น [] เป็นตน้ . • เม่ือเสียงพยญั ชนะสองตวั มาอย่ตู ิดกนั โดยท่ีตวั หน่ึงเป็นพยญั ชนะทา้ ยของพยางคแ์ รกและอีก ตวั หน่ึงเป็นพยญั ชนะตน้ ของพยางคท์ ่ีสอง อนั ท่ีจริงจะตอ้ งออกเสียงใหค้ รบทงั้ สองครงั้ เพราะ เป็นเสน้ แบง่ พยางค์ แตเ่ ม่ือพดู เรว็ ๆ โดยปกตแิ ลว้ มกั จะตดั เสยี งตวั ท่ีสองออกไปเพราะเสียงท่ีพดู ออกมาจะเช่ือมสองพยางคเ์ ขา้ กนั เองตามธรรมชาติ โดยไมจ่ าํ เป็นตอ้ งออกเสียงพยญั ชนะนนั้ ๆ ซา้ํ อีกครงั้ เช่น คาํ วา่ Bettuch [] จะออกเป็น [], enttarnen [] ออกเป็น [] เป็นตน้ เราเรยี กรอยตอ่ พยางคเ์ ช่นนีเ้ ป็นภาษาเยอรมนั วา่ Silbengelenk - บอ่ ยครงั้ ท่ีพยางคท์ ่ีไมเ่ นน้ จะเป็นสระ Schwa [] ซง่ึ ถือวา่ เป็นสระท่ีเกิดจาการลดรูปมาจากสระ เสียงสนั้ ตวั เตม็ คือ [] อยแู่ ลว้ อยา่ งไรก็ตามเสยี งสระซง่ึ เป็นสระลดรูปเสยี งนีอ้ าจถกู ละทิง้ ไปอีก ได้ เช่น จาก unten [] เป็น [] , eben [] เป็น [] , การมีพยางคท์ ่ีไมเ่ นน้ สอง พยางคต์ ิดกันท่ีถูกลดรูปลงเหลือเป็น [] ติดกัน อาจทาํ ให้เกิดการลดรูปอีกชั้นหน่ึงทั้งสอง ตาํ แหนง่ จนกลายเป็นการออกเสียงพยญั ชนะท่ีทาํ หนา้ ท่ีเป็นแกนพยางค์ (silbische Konsonanten) สองตวั ตดิ กนั เลยก็เป็นได้ ดงั ตวั อยา่ งเช่นในคาํ วา่ (die) ungebetenen (Gäste) [] ท่ี กลายเป็น [] เป็นตน้ เสียง []จะถกู ตดั ทิง้ ไปบอ่ ยเช่นกนั เม่ือปรากฏในตาํ แหน่งทา้ ยคาํ (Wortauslaut) ดว้ ย โดยเฉพาะในกรณีของคาํ ท่ีเป็นหน่วยคาํ ลงทา้ ยเพ่ือผนั คาํ กรยิ าและคาํ คณุ ศพั ท์ ดงั ตวั อยา่ งเช่น จาก ich mache [] เป็น [] größere [] เป็น [] เป็นตน้ อย่างไรก็ตาม การท่ีจะลดเสียงไดห้ รือไม่นนั้ ย่อมขึน้ อย่กู บั ความสาํ คญั ทางไวยากรณ์ ดว้ ย ดงั จะเห็นไดว้ ่ารูปกรยิ าของ ich นนั้ เฉพาะในภาษาพดู มกั มีการละเสียง [] อย่บู อ่ ยๆ ซ่งึ เกิดขึน้ ไดเ้ พราะไม่ไปซา้ํ รูปกับคาํ กริยารูปอ่ืนๆ เท่านัน้ ในกรณีของคาํ ลงทา้ ยคาํ คุณศพั ทเ์ รา มกั จะลดรูปไดเ้ ฉพาะกรณีท่ีพยางคท์ ่ีลงทา้ ยดว้ ย ไม่ใช่พยางคส์ ดุ ทา้ ยเท่านนั้ เพราะมิฉะนนั้ จะ กลายเป็นว่าไมไ่ ดผ้ นั คาํ คณุ ศพั ทไ์ ป เช่น กรณีของ ungebetene (Gäste) [] ไม่ ว่าจะออกเสียงเร็วและไม่เป็นทางการเพียงไร ก็ยังจะตอ้ งออกเสียงสระ [] ตวั หลัง คือเป็น [ ] ในขณะท่ีหากผนั คาํ ลงทา้ ยเป็น [] จะลดรูปสระใหเ้ หลือแตพ่ ยญั ชนะแทนไดด้ งั ตวั อยา่ งขา้ งตน้

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 99 11.2.2 การกลมกลืนเสียง ในขณะท่ีพดู เสียงพยญั ชนะต่างๆ อาจไดร้ บั อิทธิพลจากเสียงอ่ืนท่ีอย่รู อบขา้ งจนทาํ ใหเ้ สียงนนั้ กลายเป็นเสียงอ่ืนไปได้ โดยอาจเกิดการเปล่ียนแปลงในดา้ นคุณสมบตั ิอย่างใดอย่างหน่ึงท่ีสาํ คญั อนั ไดแ้ ก่ ความกอ้ งหรอื ไมก่ อ้ งของเสยี ง ตาํ แหน่งท่ีเกิด หรอื ลกั ษณะของเสียงท่ีเกิดน่นั เอง เพ่ือใหเ้ สียงตา่ งๆ เกิดความกลมกลืนกนั การท่ีเสียงหน่ึงเปล่ียนเป็นอีกเสียงหน่ึงเน่ืองจากอิทธิพลของเสียงรอบขา้ งเรยี กว่า “การกลมกลืนเสียง” (Assimilation) ซง่ึ เป็นกระบวนการท่ีเกิดขนึ้ ตามธรรมชาติอนั เน่ืองมาจากการเปลง่ เสียง หลายเสียงออกมาติดๆ กันน่ันเอง การกลมกลืนเสียงท่ีเห็นได้ชัด คือ การกลมกลืนของเสียงนาสิก (Nasalassimilation) ซ่งึ จะเกิดขึน้ เม่ือเสียงนาสิก ตามหลงั หรือนาํ หนา้ เสียงอ่ืนๆ ท่ีเป็นเสียงซ่งึ มีพลงั เสียง นอ้ ยกว่า เป็น Obstruenten (ไดแ้ ก่เสียงพยัญชนะระเบิด และพยัญชนะเสียดแทรก) แลว้ มีการ เปล่ียนแปลงไปเพ่ือใหเ้ ขา้ กบั เสียงท่ีอย่ขู า้ งหนา้ หรอื ขา้ งหลงั นนั้ ตวั อย่างเช่น การเปล่ียนแปลงของเสียง นาสกิ [] ในคาํ ว่า Haken [] legen [] และ Puppen [] เม่ือเสียงสระในพยางคไ์ ม่ เนน้ ถกู ตดั ทอนไปจนเหลอื เป็นพยญั ชนะซง่ึ ทาํ หนา้ ท่ีเป็นแกนพยางคแ์ ลว้ เสียงนาสกิ ซง่ึ มีตาํ แหนง่ การเกิด เสียงอย่ทู ่ีป่ มุ เหงือกนี้ จะมาอย่ใู นตาํ แหน่งท่ีติดกบั เสียงพยญั ชนะระเบดิ คือ กลายเป็น [] , [] และ [] ซง่ึ จะมีผลใหเ้ สียงนาสิกนนั้ เปล่ียนแปลงไป โดยเปล่ียนฐานกรณใ์ นการเปลง่ เสียง กลา่ วคือ เม่ือไปตามหลงั เสียงพยัญชนะระเบิดท่ีเกิดในตาํ แหน่งเพดานอ่อน คือ ก็จะกลายเป็นเสียงนาสิกท่ี ตาํ แหน่งเพดานอ่อน [] แทน คือ กลายเป็น [] , [] สว่ นเม่ือไปตามหลงั เสียงพยญั ชนะระเบิด ท่ีเกิดในตาํ แหน่งรมิ ฝีปาก [p] เสียงนาสกิ ก็จะกลายเป็นเสียงนาสิกท่ีเกิดในตาํ แหน่งรมิ ฝีปาก [m] แทน เช่น จาก [] เป็น [] เป็นตน้ การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขนึ้ นีเ้ ป็นการท่ีเสียงท่ีตามมาเคล่ือนเสียง ไปอย่ใู นตาํ แหน่งเดียวกนั กบั ฐานกรณข์ องเสียงพยญั ชนะท่ีอยู่ขา้ งหนา้ เราเรียกลกั ษณะการกลมกลืน เสียงเช่นนีว้ ่า progressive Assimilation เสียงท่ีเปล่ียนไปนนั้ มิไดเ้ ปล่ียนแปลงในเร่อื งความกอ้ งไมก่ อ้ ง หรือเร่ืองลกั ษณะการออกเสียง แต่เปล่ียนแปลงคุณสมบตั ิในดา้ นฐานกรณ์หรือตาํ แหน่งท่ีเกิดเสียง เท่านนั้ แตห่ ากว่าเกิดการเปล่ียนแปลงในอีกทิศทางหน่งึ ท่ีตรงกนั ขา้ มกนั กล่าวคือ เม่ือเสียงพยญั ชนะท่ี ตามมาเป็นตวั ทาํ ใหเ้ สียงพยญั ชนะท่ีอยขู่ า้ งหนา้ เปล่ียนแปลงคณุ สมบตั จิ นกลายเป็นอีกเสียงหน่งึ ไป เรา จะเรยี กกระบวนการนนั้ วา่ regressive Assimilation ตวั อย่างเช่น เม่ือเสียงนาสิกท่ีมีฐานกรณเ์ ป็นป่ มุ เหงือก คอื [] ตามมาดว้ ยเสยี งเสยี ดแทรกซง่ึ เกิดในตาํ แหน่งใกลร้ มิ ฝีปาก คือ [] เป็นเสียงเสียดแทรกไม่ กอ้ งท่ีเกิดในตาํ แหน่งรมิ ฝีปาก-ป่ มุ เหงือก เสียงนาสิกนนั้ ก็จะเคล่ือนไปขา้ งหนา้ กลายเป็นเสียงนาสิกท่ีมี ฐานกรณอ์ ยทู่ ่ีรมิ ฝีปาก คือ [] แทน เช่น ในคาํ วา่ sanft [] กลายเป็น [] แตถ่ า้ ตามมาดว้ ย เสียงพยญั ชนะระเบิดซ่ึงเกิดในตาํ แหน่งเพดานอ่อน คือ [] เสียงนาสิกนนั้ ก็จะเคล่ือนไปขา้ งหลงั กลายเป็นเสียงนาสกิ ท่ีมีฐานกรณอ์ ยทู่ ่ีเพดานแขง็ คอื [] แทน เช่น ในคาํ ว่า ungenau [] , Henkel [] เป็นตน้

100 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 11.2.3 การลดรูปของเสียงสระ สระต่างๆ ในภาษาเยอรมนั ท่ีอยู่ในพยางคท์ ่ีไม่เนน้ อาจสญู เสียคณุ สมบตั ิบางประการไปจน กลายเป็นเสียง Schwa // ได้ เชน่ เดยี วกบั หน่วยเสียง // ท่ีตามหลงั สระเสยี งยาว ท่ีสามารถลดรูปเสยี งไป เรอ่ื ยๆ จนเหลือเพียง // ได้ ตารางขา้ งลา่ งนีเ้ ป็นตวั อยา่ งความเป็นไปไดท้ ่ีเกิดขนึ้ ในการท่ีเสียงสระท่ีอย่ใู น พยางคท์ ่ีไม่เนน้ สามารถถูกลดทอนเสียงไปเร่ือยๆ จนถึงขนั้ หายไปเลย ดงั ตวั อย่างของคาํ พยางคเ์ ดียว สองคาํ คือ den และ mir ตารางท่ี 14 ตวั อย่างระดบั การลดรูปของเสียงสระ (Pörings/Schmitz 1999: 130) ระดบั การลดรูปของเสยี งสระของคาํ วา่ den และ mir 0123 4 [] den [] [] [] [] mir [] [] [] [] ระดบั 0 คือระดบั ท่ีออกเสียงคาํ สองคาํ นีอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งชดั เจนตามกฎการออกเสียงทงั้ สองคาํ ซง่ึ เป็นสระเสียงยาว เม่ือเขา้ ไปอยู่ในบริบทของภาษาพูดหากสองคาํ นีจ้ ะออกเต็มเสียงเช่นนีก้ ็เม่ืออยู่ใน หนา้ ท่ีซง่ึ จะตอ้ งเนน้ เป็นพิเศษเท่านนั้ (เช่น ในประโยค Ich meine den da, nicht die hier หรอื Das sagt er mir, nicht dir) ในบรบิ ทอ่ืนๆ ทงั้ สองคาํ อาจถกู ลดทอนรูปลงไปไดอ้ ีก ขนึ้ อยกู่ บั ความเรว็ ในการ พดู หรือการเนน้ คาํ ท่ีอย่ขู า้ งๆ ทาํ ใหค้ าํ ซ่งึ สาํ คญั นอ้ ยกว่าคาํ นีอ้ อกไม่เต็มเสียง เสียงท่ีสระซ่ึงเป็นแกน พยางคท์ ่ีเปลง่ ออกมาก็จะสนั้ ลงจนเปล่ียนเป็นเสียง Schwa ทงั้ สองเสียง คือ [] และ [] ได้ ในกรณีของ คาํ ว่า den ซ่งึ พยญั ชนะทา้ ยตามมาเป็นพยญั ชนะทา้ ยท่ีสามารถเป็นแกนพยางคไ์ ดด้ ว้ ย รูปของพยางค์ อาจถกู ลดทอนจนเสียงสระหายไปเลยก็ได้ กลายเป็น [] ดงั ปรากฏในระดบั ท่ี 4 ในตาราง ในการเรียนภาษาเยอรมนั ผูเ้ รียนจึงควรรูจ้ กั หลกั การเปล่ียนแปลงของเสียงท่ีปรากฏในบริบท ต่างๆ ดว้ ย เพ่ือจะช่วยใหส้ ามารถเขา้ ใจไดว้ ่าเวลาผพู้ ดู ท่ีเป็นเจา้ ของภาษาพดู เรว็ ๆ นนั้ เสียงต่างๆ อาจ กลายเป็นเสียงอ่ืน หรอื หายไประหวา่ งทางได้ ผเู้ รยี นจงึ ควรฝึกฟังตวั อยา่ งการพดู ท่ีมีความเรว็ แตกตา่ งกนั ไปดว้ ยเพ่ือปรบั ทกั ษะในการฟังของตนใหจ้ บั ความไดด้ ีขนึ้ แมผ้ พู้ ดู จะพดู เรว็ จนลดทอนเสียงบางเสียงไป และพฒั นาการพูดของตนใหเ้ ป็นธรรมชาติขึน้ เม่ือเวลาท่ีพดู ประโยคท่ีพูดเป็นประจาํ และเป็นประโยค สนั้ ๆ ก็ควรรูจ้ กั ลดทอนเสียงบางเสียงลงบา้ ง ขอ้ ดีอีกประการหน่งึ ก็คือการท่ีรูว้ ่าเราจะตดั ทอนเสียงใดได้ บา้ งย่อมสมั พนั ธก์ บั ความรูแ้ ละทกั ษะของผเู้ รียนในการท่ีจะตอ้ งรูว้ ่าคาํ ใดในประโยคเป็นคาํ ท่ีเนน้ คาํ ใด หา้ มเนน้ พยางคใ์ ดของคาํ ใดเป็นพยางคเ์ นน้ พยางคใ์ ดไม่เนน้ ดว้ ย เพราะการลดรูปเสียงสระต่างๆ จะ เกิดขนึ้ เองตามธรรมชาตเิ ม่ือเราเนน้ คาํ และพยางคต์ า่ งๆ ไดถ้ กู ตอ้ ง ฯลฯ ในขณะท่ีการเนน้ ผิดจะทาํ ใหต้ ดั ทอนเสยี งผิดและทาํ ใหอ้ อกเสียงผดิ ไปหมดดว้ ย

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 101 11.3 การเน้นพยางค์ ในระดบั เหนือจากหนว่ ยเสยี งและระดบั พยางคข์ นึ้ ไปนนั้ ระบบภาษาของมนษุ ยย์ งั มีความแตกตา่ ง กนั ในแงอ่ ่ืนๆ ดว้ ย โดยเฉพาะในเร่อื งของความยาวของคาํ เน่ืองจากภาษาบางภาษามกั ประกอบดว้ ยคาํ พยางคเ์ ดียว ในขณะท่ีคาํ ในบางภาษาจะมีคาํ หลายพยางคเ์ ป็นส่วนใหญ่ ตวั อย่างเช่น ภาษาไทยและ ภาษาเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตส้ ่วนใหญ่เป็นภาษาคาํ โดดและมีคาํ พืน้ ฐานเป็นคาํ พยางคเ์ ดียวเสียเป็น สว่ นมาก ในขณะท่ีภาษายโุ รปสว่ นใหญ่จะเป็นคาํ หลายพยางค์ คาํ ๆ หน่ึงอาจมีถึงหา้ พยางค์ ดว้ ยเหตนุ ี้ จึงมักมีกฎเกณฑท์ ่ีจะกาํ หนดใหพ้ ยางคแ์ ต่ละพยางคอ์ อกเสียงไม่เท่ากันเพราะมีบทบาทไม่เท่ากัน ภาษาเยอรมนั ซง่ึ เป็นอีกภาษาหน่งึ ท่ีมีคาํ สว่ นใหญ่เป็นคาํ หลายพยางค์ จงึ มีกฎเกณฑม์ ากาํ หนดว่าในคาํ ซ่งึ มีหลายพยางคน์ นั้ จะตอ้ งมีอย่างนอ้ ยหน่ึงพยางคท์ ่ีเป็นพยางคท์ ่ีเนน้ กล่าวคือตอ้ งออกเสียงเขม้ ขน้ กวา่ พยางคอ์ ่ืนๆ น่นั เอง เราเรยี กการทาํ เช่นนีว้ ่าเป็น “การเนน้ พยางค”์ (Silbenbetonung) หรอื “การเนน้ พยางคใ์ นคาํ ” (Wortakzentuierung) เพราะคาํ เป็นหน่วยท่ีใหญ่กวา่ พยางค์ คาํ หลายพยางคจ์ ึงตอ้ งมี พยางคท์ ่ีเนน้ (betonte Silbe) กบั พยางคท์ ่ีไมเ่ นน้ (unbetonte Silbe) ประกอบกนั เป็นเหมือนจงั หวะจะ โคนของคาํ นั้นๆ เม่ือใดท่ีออกเสียงพยางคเ์ นน้ ผูพ้ ูดจะตอ้ งออกเสียงใหช้ ัดเจน หรือออกแรงมากกว่า โดยท่ัวไปจึงมักพบว่าพยางคท์ ่ีเนน้ นั้นมักจะยาวกว่า เสียงดังกว่า หรือออกแรงพูดมากกว่าน่ันเอง ในขณะท่ีพยางคไ์ ม่เนน้ มกั เป็นพยางคเ์ สียงสนั้ และไม่ตอ้ งออกเสียงชดั มาก การออกเสียงเนน้ พยางคผ์ ิด อาจทาํ ใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจขอ้ ความท่ีตอ้ งการส่ือไดย้ ากลาํ บากขึน้ นอกจากนีก้ ารเนน้ พยางคท์ ่ีถกู ตอ้ งยงั เป็น พืน้ ฐานท่ีจะทาํ ใหท้ าํ นองเสยี งของประโยคท่ีพดู ถกู ตอ้ งดว้ ย ผทู้ ่ีเรยี นภาษาเยอรมนั เป็นภาษาตา่ งประเทศ จงึ ควรศกึ ษาและออกเสียงเนน้ พยางคใ์ หถ้ กู ตอ้ งดว้ ยจงึ จะส่ือสารกบั ผทู้ ่ีเป็นเจา้ ของภาษาไดด้ ีขนึ้ และเป็น ธรรมชาตมิ ากขนึ้ ในระดบั คาํ นนั้ จะใชเ้ ครอ่ื งหมาย [] เป็นตวั กาํ กบั หนา้ พยางคท์ ่ีเป็นพยางคเ์ นน้ คาํ บางคาํ อาจมี ลกั ษณะทางเสียงจนถงึ ระดบั พยางคเ์ หมือนกนั ทกุ ประการ แตก่ ารเนน้ พยางคต์ า่ งกนั อาจกลายเป็นคาํ คน ละคาํ ซ่งึ มีความหมายแตกต่างกนั ไดด้ ว้ ย ตวั อย่างเช่น คาํ วา่ Au'gust และ 'August (คาํ แรกหมายถึง “เดือนสิงหาคม” ส่วนคาํ หลงั เป็นช่ือคน) หรือคาํ ว่า per'fekt กบั คาํ ว่า 'Perfekt (แปลว่า “สมบรู ณแ์ บบ” กบั ”กาล Perfekt ในภาษาเยอรมนั ”) เป็นตน้ การเนน้ พยางคย์ งั มีความสาํ คญั ในเชิงไวยากรณด์ ว้ ย ดงั จะเห็นไดว้ ่าคาํ กริยาท่ีเป็นกริยาแยกได้ (trennbare Verben) นนั้ จะตอ้ งเนน้ พยางคแ์ รก ในขณะท่ี คาํ กรยิ าท่ีแยกไมไ่ ด้ (untrennbare Verben) จะไมเ่ นน้ ท่ีพยางคแ์ รก แต่เนน้ ท่ีรากคาํ (Stamm) ของ คาํ กริยาแทน ดงั นั้นกรณีท่ีคาํ อุปสรรค (Präfix) เป็นตวั ท่ีอาจจะแยกไดห้ รือแยกไม่ไดก้ ็ได้ โดยมี ความหมายแตกตา่ งกนั นนั้ การออกเสียงก็เป็นตวั บง่ ชีส้ าํ คญั ประการหน่ึงเช่นกนั เพราะทาํ ใหเ้ กิดเป็นคาํ 2 คาํ ท่ีมีความหมายแตกตา่ งกนั ตวั อย่างเช่น คาํ วา่ übersetzen [] ท่ีเป็นกรยิ าแยกไดจ้ ะเนน้ พยางคแ์ รก และมีความหมายว่า “ขา้ มฟาก” (Er setzt ans andere Ufer über) ในขณะท่ี über'setzen [] ท่ีเป็นกรยิ าแยกไมไ่ ดจ้ ะออกเสียงเนน้ พยางคท์ ่ีเป็นรากศพั ท์ และมีความหมายวา่ “แปล” (Er übersetzt ein Buch) เป็นตน้

102 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ การเนน้ พยางคใ์ นภาษาเยอรมนั นนั้ จะเนน้ ท่ีพยางคซ์ ง่ึ มีสระเป็นแกนพยางค์ ยกเวน้ สระ Schwa ทงั้ สองตวั คือ [] และ [] และพยางคท์ ่ีมีพยญั ชนะเป็นแกนพยางคซ์ ่งึ เป็นพยางคท์ ่ีลดรูปมากจาก [] ตามดว้ ยเสียงพยญั ชนะตวั นนั้ ๆ น่นั เอง ในคาํ ท่ีเป็นคาํ มลู หรอื คาํ ท่ีไมไ่ ดเ้ กิดจากการนาํ คาํ หลายๆ คาํ มา รวมกนั โดยท่วั ไปแลว้ มกั จะเนน้ ท่ีพยางคส์ ดุ ทา้ ยหรือพยางคก์ ่อนสดุ ทา้ ย ส่วนหน่วยคาํ เติมวิภตั ิปัจจยั ตา่ งๆ เช่น คาํ เติมหนา้ คาํ กรยิ าท่ีแยกไม่ได้ (be, emp- ฯลฯ) และคาํ ลงทา้ ยต่างๆ (-e, -en, -est ฯลฯ) ตลอดจนหน่วยคาํ ท่ีใชเ้ พ่ือสรา้ งคาํ ใหม่ (-ig, -keit ฯลฯ) จะเป็นคาํ ท่ีไมเ่ นน้ ในกรณีเป็นคาํ ประสมคอื เกิดจาก การนาํ คาํ ท่ีมีความหมายอยา่ งนอ้ ยสองคาํ มารวมกนั นนั้ โดยท่วั ไปมกั จะเนน้ ท่ีคาํ แรกหากเป็นการผสมคาํ แบบท่ีคาํ แรกขยายความคาํ ท่ีสอง (เช่น 'Kaufhaus เป็นตน้ ) แตถ่ า้ ทงั้ สองคาํ มีความหมายเท่าเทียมกนั ก็ อาจเน้นทั้งสองคาํ หรือเน้นคาํ หลัง (เช่น Schleswig-Holstein เป็นตน้ ) กฎการเน้นพยางคใ์ น ภาษาเยอรมนั มีรายละเอียดมาก โดยอาจจาํ แนกเป็นกลมุ่ คาํ ประเภทตา่ งๆ ได้ ในท่ีนีจ้ ะกลา่ วถึงกฎท่ีสาํ คญั ท่ีสดุ ก่อน จากนนั้ จะยกตวั อยา่ งกฎการเนน้ พยางคท์ ่ีสาํ คญั ๆ บางประการพรอ้ มตวั อยา่ งประกอบ ส่ิงสาํ คญั ประการแรกซง่ึ เป็นพืน้ ฐานสาํ หรบั การท่ีจะเนน้ พยางคไ์ ดถ้ กู ตอ้ งก็คือ การท่ีจะตอ้ งรูว้ ่า สว่ นประกอบใดของคาํ หรอื พยางคใ์ ดของคาํ เป็นรากศพั ท์ (Wortstamm) เน่ืองจากรากศพั ทเ์ ป็นสว่ นของ คาํ ท่ีบอกความหมายดังนั้นจึงมีความสาํ คัญและมักเป็นพยางคท์ ่ีเนน้ สังเกตไดว้ ่ารากคาํ ต่างๆ นั้น โดยท่วั ไปจะมีพยางคเ์ ดียวแลว้ จงึ กลายเป็นคาํ ท่ีมีหลายพยางคโ์ ดยการท่ีเติมคาํ เติมหนา้ และคาํ ลงทา้ ยลง ไป จนเกิดเป็นคาํ ตา่ งๆ ได้ นอกจากนีบ้ างครงั้ รากศพั ทก์ ็ยงั อาจมีรูปรา่ งหนา้ ตาแตกตา่ งกนั ไปได้ อนั เกิดจาก การเปล่ียนแปลงเสียงสระท่ีอยใู่ นแกนพยางคข์ องคาํ นนั้ ๆ ดว้ ย (เช่น zieh-en, Zucht, ge-zog-en) ตวั อยา่ ง ตอ่ ไปนี้ แสดงใหเ้ ห็นโครงสรา้ งของคาํ ตา่ งๆ ท่ีเกิดจากการตอ่ เตมิ รากคาํ heil, ruhm และ klein ออกไป หนว่ ยคาํ เติมหนา้ พยางคท์ ่ีเป็นรากศพั ท์ หน่วยคาํ เตมิ ทา้ ย ge- heil- -en zu- -heil- -t -heil- -en ge- heil- be- heil- -bar Ruhm -sam- -er Ruhm- rühm- -es rühm- -en rühmt- -t rühmt- -lich Klein -heit -en klein- klein- -er Klein- -lich -ig- -keit

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 103 กฎเกณฑเ์ ก่ียวกบั การเนน้ พยางคท์ ่ีสาํ คญั มีดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ในคาํ ท่ีเป็นคาํ มูลจะเน้นพยางค์ท่ีเป็นรากศัพท์ หรือพยางค์แรกของรากศัพท์ เช่น Lage, herrlich, zerfallen, Bildnis 2. กรณีของคาํ กรยิ าท่ีมีหน่วยคาํ เตมิ หนา้ (Präfixe) ใหพ้ ิจารณาว่ากรยิ านนั้ ๆ เป็นกรยิ าแยกไดห้ รอื แยกไม่ได้ หากเป็นกรยิ าแยกได้ (trennbare Verben) จะเนน้ ท่ีพยางคซ์ ง่ึ เป็นหน่วยคาํ เตมิ หนา้ เช่น abfahren, ankommen, nachholen หากคาํ กรยิ านนั้ เป็นกรยิ าแยกไม่ได้ (คือ มีหน่วยคาํ เตมิ หนา้ เป็น be-, emp-, ent-, er-, ge-, ver-, zer-) ในการออกเสียงจะยงั คงเนน้ ท่ีพยางคซ์ ง่ึ เป็น รากคาํ กรยิ านนั้ ๆ เช่น verfahren, bekommen, empfangen, entnehmen, erlernen, gefallen, vermachen, zerbrechen คาํ นามท่ีสรา้ งมาจากคาํ กรยิ า หรอื มีรากศพั ทเ์ ดียวกนั จะออกเสียงเนน้ ตามแบบเดยี วกบั คาํ กรยิ า เชน่ Abfahrt, Ankunft, Empfang, Verfahren 3. เน่ืองจากคาํ กรยิ าท่ีมีหน่วยคาํ เติมหนา้ เป็น durch, hinter, über, unter, wider อาจเป็นไดท้ งั้ กรยิ าแยกได้ และกรยิ าแยกไม่ได้ ขึน้ อย่กู บั ความหมายของคาํ กริยานนั้ ๆ เช่น übersetzen ท่ีเป็นกรยิ าแยกได้ แปลว่า “นาํ ไปไว/้ ขา้ มไปอีกฟากหน่งึ ”(Er setzt mit der Fähre über = เขานง่ั เรอื ขา้ มฟากขา้ มไปอกี ฟากหน่งึ ) เป็น กรยิ าแยกได้ จะเนน้ ท่ีหน่วยคาํ เตมิ หนา้ เป็น übersetzen แต่ übersetzen ซง่ึ มีความหมายว่า “แปล”เป็น คาํ กรยิ าแยกไมไ่ ด้ (เช่น Er übersetzt gern Romane = เขาชอบแปลนยิ าย)จะตอ้ งออกเสียงโดยเนน้ ท่ีราก ศพั ทข์ องคาํ กรยิ าเป็นübersetzen. 4. กรณีท่ีเป็นคาํ ประสมในลักษณะท่ีคาํ หน่ึงขยายความอีกคาํ หน่ึงท่ีเรียกว่า determinative Zusammensetzungen พยางคเ์ นน้ หลกั จะอย่ทู ่ีส่วนซง่ึ เป็นสว่ นขยาย โดยปกติแลว้ คาํ ประสม ลกั ษณะนีใ้ นภาษาเยอรมนั จะมีโครงสรา้ งเป็น คาํ ขยาย + คาํ หลกั ดงั นนั้ พยางคท์ ่ีเนน้ ของคาํ ประเภทนีจ้ งึ เป็นพยางคเ์ นน้ ของคาํ ๆ แรกน่นั เอง เช่น hellblau, Schuhhaus, Waschmaschine 5. หากเป็นคาํ ประสมท่ีเป็นเพียงคาํ เรียงลาํ ดับกันโดยมิไดม้ ีตวั ใดเป็นตัวขยาย แต่ทั้งสองตัวมี ความหมาย มีหนา้ ท่ีสาํ คญั เท่าเทียมกนั ซ่งึ เรียกว่า kopulative Zusammensetzungen จะเนน้ ท่ี พยางคเ์ นน้ ของคาํ หลงั เชน่ grüngelb, Nord-West-Wind. 6. เนน้ พยางคฺท์ ่ีเป็น ur-, -ei และ -ier(en) ในคาํ ท่ีมีพยางคเ์ หลา่ นี้ เช่น Urenkel, Eselei, dirigieren. 7. ในคาํ ท่ีขนึ้ ตน้ ดว้ ยหนว่ ยคาํ เตมิ หนา้ miss- จะเนน้ ท่ีพยางคน์ ี้ แตถ่ า้ หากวา่ เป็นหน่วยคาํ เตมิ หนา้ คาํ กรยิ าจะไม่เนน้ เพราะถือว่าเป็นคาํ กรยิ าแบบแยกไม่ได้ ยกเวน้ ว่ามีหน่วยคาํ เติมหนา้ อ่ืนมาก แทรกระหว่าง miss- กับรากศพั ทข์ องคาํ กริยานัน้ ๆ เช่น Missbehagen, missbilligen, Missheirat, missachten 8. ในคาํ ท่ีขึน้ ตน้ ดว้ ยหน่วยคาํ เติมหนา้ un- นนั้ จะเนน้ พยางคท์ ่ีเป็น un- เสมอในกรณีท่ีมีคาํ ท่ีมี ความหมายตรงขา้ มกนั ท่ีไมม่ ี -un ดว้ ย (เช่น unbetont vs. betont) เฉพาะคาํ ท่ีไม่มีคาํ ตรงขา้ ม

104 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ ในลกั ษณะนี้ คือเป็นคาํ ท่ีไม่มีรูปท่ีไม่มี un- เท่านนั้ อาจจะเนน้ ท่ีพยางคท์ ่ีเป็นรากศพั ทไ์ ด้ (เช่น จะพดู ว่า unabdingbar หรอื unabdingbar ก็ได้ เพราะไม่มีคาํ ว่า abdingbar) ดงั นนั้ สาํ หรบั ผเู้ รยี นภาษาเยอรมนั เป็นภาษาตา่ งประเทศนนั้ จงึ ควรจาํ ไปเลยวา่ ใหเ้ นน้ พยางคท์ ่ีเป็น un- 9. หน่วยคาํ ลงทา้ ย -haft, -keit, -reich, -voll, -isch, -ig, -ung เม่ือนาํ มาประกอบคาํ ท่ีมาจาก ภาษาต่างประเทศจะไม่ออกเสียงเนน้ โดยปกติจะเนน้ ท่ีพยางคเ์ กือบสดุ ทา้ ย หรือใกลพ้ ยางค์ สดุ ทา้ ยแทน เชน่ vokalisch, mosaikartig, madonnenhaft. 10. ในคาํ จากภาษาต่างประเทศจะเนน้ พยางคส์ ดุ ทา้ ยท่ีเป็นสระเสียงยาว โดยท่วั ไปจะสงั เกตไดว้ ่า สระเหลา่ นนั้ เป็นเสียงยาวเพราะเขียนดว้ ยสระสองตวั หรอื มากกวา่ สองตวั ตดิ กนั (ee, eu, eau, ou, ei, ie) เช่น Philsophie, Idee, Tableau 11. คาํ ลงทา้ ย -or และ -ik ปกตจิ ะเป็นพยางคท์ ่ีไมส่ ามารถจะเนน้ ได้ ยกเวน้ กรณีท่ีพยางคท์ ่ีนาํ หนา้ เป็นสระเสยี งยาว และกรณีท่ีมีคาํ ลงทา้ ย -en ตามหลงั เชน่ Faktor, Faktoren 12. ในคาํ ท่ีมาจากภาษาตา่ งประเทศจะไมเ่ นน้ พยางคท์ ่ีเป็นคาํ ลงทา้ ยเหลา่ นี้ -um,-as, -es, -is, -os, -us, -ax, -ex, -ix, -yx, -ans, -asch, -yr, -ak, -ens, -iker: เชน่ Forum, Ilias, Korpus, Suffix, Musiker 11.4 การเน้นคาํ ในประโยคและการหยุด การเนน้ คาํ ในประโยค (Satzakzetuierung) หมายถึงการเนน้ คาํ บางคาํ ในถอ้ ยคาํ หน่ึงๆ ใน ถอ้ ยคาํ แตล่ ะชดุ ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยกลมุ่ คาํ ตา่ งๆ นนั้ จะมีการออกเสียงเนน้ คาํ สาํ คญั ๆ อยเู่ สมอ โดยปกติ แลว้ พยางคท์ ่ีเนน้ จะมีลกั ษณะดงั นีค้ ือ - ทาํ นองเสยี งสงู กวา่ หรอื ต่าํ กวา่ พยางคท์ ่ีอยรู่ อบขา้ ง - มกั จะเสยี งดงั กวา่ พยางคอ์ ่ืนๆ เสมอ - อาจพดู ชา้ กวา่ หรอื ลากเสียงยาวกว่าพยางคอ์ ่ืนๆ เล็กนอ้ ย (อาจไม่ไดอ้ อกเสียงยาวกว่าจรงิ ๆ แต่ ฟังดแู ลว้ เหมือนยาวกวา่ พยางคอ์ ่ืนเน่ืองจากเนน้ เสียงน่นั เอง) ท่ีเป็นเช่นนีก้ ็เพราะพยางคท์ ่ีและคาํ ท่ีเนน้ จะออกเสียงชดั เจนกว่าพยางคแ์ ละคาํ ท่ีไม่เนน้ น่นั เอง โดยปกติแลว้ คาํ ท่ีเนน้ มกั จะมีหนา้ ท่ีสาํ คญั ในประโยคเสมอ กล่าวคือ มกั เป็นคาํ ท่ีใหข้ อ้ มลู จึงพบว่าคาํ

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 105 ประเภทท่ีเนน้ ไดจ้ ึงมกั เป็นคาํ ท่ีมีความหมายในเชิงคาํ ศพั ท์ เช่น คาํ นาม คาํ กรยิ า คาํ คณุ ศพั ท์ หรือคาํ วิเศษณ์ ดงั ตวั อยา่ งในประโยคตอ่ ไปนี้ (คาํ ท่ีขีดเสน้ ใตค้ ือคาํ ท่ีเนน้ ) - Kommst du mit ins Haus? - Das mögen wir nicht! - Hier ist es ja kalt! - Links ist der Eingang zum Laden. ในทางตรงกันขา้ ม คาํ ท่ีทาํ หนา้ ท่ีทางไวยากรณ์ แต่มิไดใ้ หค้ วามหมายในเชิงคาํ ศพั ท์ หรือให้ ขอ้ มูลเพ่ิมเติมใดๆ ต่อใจความสาํ คญั ในถอ้ ยคาํ หรือประโยค อย่างเช่น คาํ นาํ หนา้ คาํ นาม คาํ บุพบท คาํ สนั ธาน หรอื คาํ สรรพนาม เป็นตน้ คาํ เหล่านีโ้ ดยปกตมิ กั จะเป็นคาํ ท่ีไม่เนน้ จะเนน้ เฉพาะกรณียกเวน้ คือ ตอ้ งการยา้ํ ขอ้ มลู นนั้ เป็นพิเศษเพ่ือไมใ่ หเ้ ขา้ ใจผิด โดยปกตแิ ลว้ คาํ ท่ีทาํ หนา้ ท่ีเป็นกรรมและสว่ นขยายอ่ืนๆ ของคาํ กรยิ ามกั จะเป็นขอ้ มลู สาํ คญั ของ ประโยคและไดร้ บั การเนน้ เป็นพิเศษ คาํ เหล่านีม้ กั จะอย่ใู นตาํ แหน่งทา้ ยๆ ของประโยค เช่น ในวลี Mit der Bahn kommen? จะเนน้ ท่ีคาํ วา่ Bahn วลี Einen Brief erhalten เนน้ ท่ีคาํ ว่า Brief เป็นตน้ กรณีท่ี เป็นนามวลี คือ เป็นคาํ นามท่ีมีสว่ นขยายนนั้ โดยปกตจิ ะเนน้ ท่ีคาํ สดุ ทา้ ย เช่น der starke August – August der Starke, das Auto meines Bruders กรณีท่ีขอ้ ความหรอื ประโยคยาวมากจงึ อาจมีการเนน้ คาํ ไดห้ ลายคาํ จนทาํ ใหก้ ลายเป็นกลมุ่ ของ คาํ ท่ีเป็นช่วงๆ มีการเนน้ และไม่เนน้ คาํ ต่างๆ สลบั กันไป โดยท่ีในแต่ละกล่มุ คาํ มกั จะมีคาํ เนน้ อยู่อย่าง นอ้ ยหน่ึงคาํ โดยในประโยคตวั อย่าง จะขีดเสน้ ใตพ้ ยางคท์ งั้ หมดท่ีเนน้ ไว้ สว่ นคาํ เนน้ ท่ีสาํ คญั ท่ีสดุ ซง่ึ ถือ เป็นคาํ เนน้ ของประโยคจะใสเ่ ครอ่ื งหมาย \" กาํ กบั ไวด้ า้ นหนา้ โดยท่วั ไปมกั จะเป็นคาํ เนน้ สดุ ทา้ ย เช่น Sie redet laut mit Helga und \"Hans แต่ไม่เสมอไป กรณีท่ีเป็นการถามคาํ ถามซา้ํ เพ่ือความแน่ใจ (Nachfrage) จะเนน้ ท่ีปจุ ฉาสรรพนามแทน เช่น \"Womit müssen wir fahren? เป็นตน้ การเนน้ คาํ บางคาํ ในวลี ถอ้ ยคาํ หรือประโยคหน่ึงๆ จึงอาจแสดงใหเ้ ห็นถึงการยา้ํ ความเพ่ือให้ เห็นความแตกต่าง (Kontrast) กล่าวคือ ผูพ้ ูดตอ้ งการยา้ํ ขอ้ มลู หน่ึงเพ่ือส่ือว่าไม่ใช่ขอ้ มลู อีกตวั หน่ึง หลกั การนีส้ อดคลอ้ งกบั การเนน้ พยางคใ์ นคาํ นามท่ีเป็นคาํ นามประสมซง่ึ มกั เนน้ ท่ีคาํ ท่ีอยขู่ า้ งหนา้ เพราะ เป็ นส่วนขยายให้แตกต่างไปจากคํานามประสมท่ีมีคําหลักเป็ นคําเดียวกัน เช่น Hausschuhe, Turnschuhe การท่ีเราจะกลา่ วถอ้ ยคาํ วา่ Keine Hausschuhe, sondern Turnschuhe เราจึงตอ้ งเนน้ ท่ี พยางคท์ ่ีเป็นสว่ นขยายนีเ้ พ่ือยา้ํ ใหเ้ ห็นความแตกตา่ ง บางครงั้ ประโยคท่ีมีโครงสรา้ งประโยคและคาํ ตา่ งๆ เหมือนกนั และเรยี งลาํ ดบั คาํ เหมือนกนั ทกุ ประการก็อาจเนน้ คาํ หลกั ของประโยคแตกตา่ งกนั ไดด้ ว้ ยเม่ือผู้ พดู ตอ้ งการเนน้ ขอ้ มลู ท่ีสาํ คญั ท่ีสดุ ดงั ตวั อยา่ งประโยคตอ่ ไปนี้ Der Gärtner hat den Grafen erstochen. (und nicht der Butler) Der Gärtner hat den Grafen erstochen. (und nicht die Gräfin)

106 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ Der Gärtner hat den Grafen erstochen. (und nicht erschlagen) จากประโยคตวั อย่างขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ ่าทกุ ประโยคมีใจความเหมือนกนั ซง่ึ แปลไดว้ า่ “คนสวน แทงท่านเคาทต์ าย” แตก่ ารเนน้ คาํ วา่ Gärtner ในประโยคแรก เป็นการเนน้ ว่า “คนสวน” ไม่ใช่ “คนใช”้ ท่ี เป็นคนฆ่า การเนน้ คาํ ว่า Grafen ในประโยคท่ีสองเป็นการเนน้ ว่า “ท่านเคาท”์ เป็นผูท้ ่ีถูกฆ่า ไม่ใช่ “ภรรยาของทา่ นเคาท”์ สว่ นประโยคสดุ ทา้ ยเนน้ ท่ีคาํ วา่ erstochen นนั้ เป็นการยา้ํ วา่ “ถกู แทงตาย” ไมใ่ ช่ “ถกู ตตี าย” การเนน้ ในลกั ษณะท่ีตอ้ งการยา้ํ วา่ ขอ้ มลู ท่ีผพู้ ดู ตอ้ งการส่ือนนั้ เป็นอย่างหน่ึง ไม่ใช่อีกอย่างหน่ึง จึงเป็นกรณีพิเศษ และทาํ ใหส้ ามารถเนน้ คาํ ทุกประเภทได้ รวมทงั้ คาํ ท่ีปกติจะไม่เนน้ ดงั กล่าวไวแ้ ลว้ ขา้ งตน้ ดว้ ย ดงั ตวั อยา่ งในประโยคตอ่ ไปนี้ Soll ich dir helfen? Wie heißt diese Pflanze? Das Heft liegt hinter dem Schrank. ในประโยคแรกเป็นการถามเนน้ ว่า “ฉนั ” หรอื “ไม่ใช่คนอ่ืน” ประโยคท่ีสองเป็นการเนน้ ว่าตน้ ไม้ หรอื พืชท่ีอยตู่ รงหนา้ “นี”้ ไมใ่ ช่ตน้ อ่ืน สว่ นประโยคสดุ ทา้ ยเป็นการเนน้ วา่ สมดุ เลม่ ท่ีกลา่ วถงึ นนั้ อยู่ “หลงั ” ตู้ ไมไ่ ดอ้ ยู่ “หนา้ ” “บน” หรอื “ใต”้ ตู้ ดงั นีเ้ ป็นตน้ การหยุด (Pausierung) มีหนา้ ท่ีในการกาํ กบั จงั หวะของถอ้ ยคาํ หรอื ประโยคท่ีพดู ออกมา เพราะ เป็นการจดั ระเบยี บขอ้ ความท่ีพดู ออกมาโดยจดั แบง่ เป็นช่วงๆ ท่ีมีเนือ้ หาเป็นท่ีเขา้ ใจไดไ้ มใ่ หต้ ดิ กนั เกินไป และช่วยใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจเนือ้ ความท่ีส่ือสารไดด้ ีขึน้ การหยดุ ท่ีเห็นไดช้ ดั ท่ีสดุ คือการหยดุ ระหว่างประโยค ตา่ งๆ ซง่ึ ในภาษาเขียนเองก็มีเครอ่ื งหมาย . หรอื , กาํ กบั ใหเ้ ห็นเสมอ เชน่ Schwarze Wolken kommen, und es regnete. ย่ิงพดู ชา้ มากเท่าไรจาํ นวนและความยาวของการหยดุ ก็จะย่ิงมากขนึ้ เท่านนั้ หลายๆ ครงั้ จงึ พบว่า อนั ท่ีจรงิ คนท่ีพดู ชา้ กบั คนท่ีพดู เรว็ อาจไม่ไดพ้ ดู คาํ และพยางคใ์ นจงั หวะความเรว็ ท่ีแตกตา่ ง กนั นกั แตอ่ าจมีการหยดุ นอ้ ยครงั้ กวา่ และช่วงระยะเวลาในการหยดุ ภายในถอ้ ยคาํ ตา่ งๆ ไมเ่ ท่ากนั น่นั เอง ขอ้ ความต่อไปนีเ้ ป็นตวั อย่างขอ้ ความท่ีกาํ กับตวั ท่ีเนน้ และจงั หวะท่ีหยดุ ไว้ โดยคาํ ท่ีขีดเสน้ ใตห้ มายถึง พยางคท์ ่ีเนน้ คาํ หรือพยางคไ์ หนตอ้ งเน้นเป็นพิเศษเน่ืองจากเป็นคาํ เนน้ หลักของประโยคดว้ ยจะมี เครอ่ื งหมาย \" กาํ กบั ไวห้ นา้ คาํ สว่ นการหยดุ ใช้ เครอ่ื งหมาย / เป็นสญั ลกั ษณก์ าํ กบั Plötzlich stand ein \"Mensch vor mir, / auf dem Kopfe einen steilen \"Hut, / an den Füßen zerrissene \"Schuhe, / in der Hand einen dicken \"Stock, / im Munde eine erloschene Zi\"garre, / in finsteres \"Schweigen gehüllt.

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 107 11.5 การขึน้ ลงเสียงเป็ นทาํ นอง ภาษาเยอรมนั นบั ว่าเป็นภาษาท่ีไม่ไดม้ ีระดบั เสียงระดบั เดียว (monoton) แต่จะมีช่วงของทาํ นอง เสียงซง่ึ เคล่ือนท่ีขนึ้ ลงไปมาอย่างเห็นไดช้ ดั การขนึ้ ลงเสียงเป็นทาํ นอง (Melodisierung) ดงั กลา่ วนี้ มีหนา้ ท่ี สาํ คญั คอื ชีใ้ หเ้ ห็นวา่ พยางคท์ ่ีเนน้ ในประโยคอยทู่ ่ีใดบา้ ง แสดงใหเ้ ห็นวา่ ขอ้ ความท่ีพดู นนั้ จบแลว้ หรอื ยงั และ บง่ บอกอารมณข์ องผพู้ ดู การขนึ้ ลงเสียงเป็นทาํ นองนนั้ จึงเป็นการกาํ หนดความหมายของถอ้ ยคาํ ท่ีพดู วิธี หน่ึงโดยการใชท้ าํ นองของเสียงพดู เป็นส่ือน่นั เอง โดยปกตขิ อ้ ความหน่ึงจะประกอบไปดว้ ยกลมุ่ ของคาํ ตา่ งๆ ท่ีมาวางเรยี งกนั จึงประกอบไปดว้ ยเสียงขนึ้ ลงเป็นจงั หวะถ่ีห่างตามตาํ แหน่งของพยางคต์ ่างๆ ท่ีเนน้ ใน ประโยค โดยท่วั ไปแลว้ อาจกล่าวไดว้ ่าทาํ นองเสียงนนั้ มีอยู่ 3 แบบ กล่าวคือ แบบท่ีขึน้ -ลงไม่มากนกั ตดิ ตอ่ กนั ไปเรอ่ื ยๆ ซง่ึ เป็นทาํ นองเสียงท่ีบง่ บอกวา่ ส่งิ ท่ีพดู นนั้ ยงั ไมจ่ บ (→) สว่ นอีก 2 แบบนนั้ ถือว่าเป็น ตวั บ่งบอกว่าถอ้ ยคาํ ท่ีพูดนัน้ สมบูรณใ์ นตวั เอง และจบแลว้ ทาํ นองเสียงท่ีถือว่าสาํ คญั และมีบทบาท สาํ คญั ในการส่ือสารโดยส่วนใหญ่จึงหมายถึงเฉพาะ “ทาํ นองจบ” (Endlauf) ของถอ้ ยคาํ หรือประโยค นนั้ ๆ ซ่งึ หมายถึงท่วงทาํ นองของเสียงนบั ตงั้ แต่คาํ เนน้ คาํ สดุ ทา้ ยในประโยคไปจนถึงจบประโยคน่นั เอง ลกั ษณะของทาํ นองจบท่ีสาํ คญั ในภาษาเยอรมนั มีสองแบบคอื จบแบบเสียงขนึ้ สงู และจบแบบเสียงลงต่าํ ขนึ้ อยกู่ บั ชนิดหรอื ประเภทของประโยคนนั้ ๆ ประโยคในภาษาเยอรมนั จะจบแบบเสียงลงต่าํ (Melodiefall) หมายถึงการท่ีลดเสียงลงต่าํ ลง โดยลงพยางคส์ ดุ ทา้ ยใหต้ ่าํ ลง โดยท่วั ไปมกั เป็นการพดู ท่ีใหข้ อ้ มลู ทงั้ นีอ้ าจจะยกเสยี งพยางคเ์ นน้ ตวั สดุ ทา้ ย ใหส้ งู ขึน้ เล็กนอ้ ยแลว้ ค่อยปล่อยใหเ้ สียงตกลงจนถึงระดบั ต่าํ สุดก็ได้ หากปล่อยใหต้ กลงมากก็จะแสดง อารมณม์ ากกวา่ กรณีท่ีเสียงลงต่าํ จากระดบั ท่ีพดู อยเู่ พียงเลก็ นอ้ ย เราจะพบประโยคภาษาเยอรมนั ท่ีจบดว้ ย ทาํ นองเสียงลงต่าํ ในกรณีตอ่ ไปนี้  การบอกเลา่ หรอื ประโยคท่ีเป็นความบอกเลา่ ธรรมดา (Aussage) เชน่ Das ist schön. Das finde ich gut. Es gibt keine bessere Möglichkeit. In Kürze erreichen wir Frankfurt.  การออกคาํ ส่งั หรอื เรยี กรอ้ งใหผ้ ฟู้ ังทาํ อะไร (Aufforderung) เชน่ Sehen Sie! Mach bitte die Tür zu! Sag ihm, er möchte mich abholen! Lass mich in Ruhe! Kommen Sie herein!

108 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ  ถอ้ ยคาํ ท่ีบอกขอ้ มลู หรอื แสดงการตดั สนิ ใจในเรอ่ื งนนั้ ๆ โดยอาจมีคาํ เรยี กช่ือผฟู้ ัง เพ่ือสรา้ ง สถานการณใ์ นการส่อื สาร หรอื สรา้ งความสมั พนั ธด์ ว้ ย (Sachliche oder entscheidende Äußerung sowie Kontaktwörter) เชน่ Ich brauche eure Hilfe. Ihr da hinten, in der letzten Reihe. Frau Fischer, ich muss mich entschuldigen.  คาํ ถามท่ีตอ้ งการคาํ ตอบท่ีเป็นขอ้ มลู ซง่ึ ตงั้ คาํ ถามดว้ ยการใชป้ จุ ฉาสรรพนาม (Fragen mit Fragewort) เชน่ Wie spät ist es? Wann sind Sie geboren? Wo wohnen Sie?  คาํ ถามเพ่ือใหผ้ ตู้ อบเลือก (Alternativfragen) เชน่ Hat er ja oder nein gesagt? Trinken Sie Weißwein oder Rotwein? Suchen Sie eine Wohnung oder ein Haus? Ist der Zug oder der Bus günstiger? ประโยคในภาษาเยอรมนั จะจบแบบเสียงขนึ้ สงู (Melodieanstieg ) กลา่ วคือ มกั จะออกเสียง พยางคอ์ ่ืนๆ ก่อนหนา้ พยางคจ์ บคอ่ นขา้ งต่าํ แลว้ ยกเสียงพยางคจ์ บขนึ้ สงู โดยปกตจิ ะใชใ้ นกรณีตอ่ ไปนี้  คาํ ถามใหต้ อบวา่ ใชห่ รอื ไม่ (Entscheidungsfragen หรอื Ja-Nein-Fragen) เชน่ Rauchen Sie? Kommst du mit? Hat er das Buch dabei? Ist das der Rhein? Fließt der Donau durch Österreich? Soll das Professor Vogel sein? Weißt du das nicht?  ถอ้ ยคาํ ท่ีกลา่ วท่ีเป็นมิตร และถอ้ ยคาํ ตลอดจนคาํ ถามท่ีสภุ าพมากๆ (sehr freundliche, sehr höfliche Äußerungen) เช่น Einen Moment bitte. Warum lachen Sie denn?

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 109 Wozu, sagt sie, gehört das? Wozu soll das gut sein?  คาํ ถามยา้ํ เพ่ือความแนใ่ จ (Nachfrage) เชน่ Um drei? Wo war das gewesen?  คาํ ถามแบบท่ีขนึ้ ตน้ ดว้ ยปจุ ฉาสรรพนาม แตถ่ ามแบบน่ิมนวลหรอื ตอ้ งการเช่ือมโยงกบั สง่ิ ท่ีพดู มาก่อนหนา้ นี้ (verbindliche, liebenswürdige Fragen mit Fragewort) เชน่ Und wo ist der Fahrkartenschalter? Und wofür ist das gut? เน่ืองจากส่ิงท่ีสาํ คัญท่ีสุดของทํานองเสียงในถ้อยคาํ และประโยคต่างๆ ก็คือ ทํานองจบ (Endlauf) ดงั กล่าวขา้ งตน้ การเขียนกาํ กบั ทาํ นองเสียงของประโยคภาษาเยอรมนั จึงเพียงพอท่ีจะเขียน เพียงเคร่ืองหมายลกู ศรชีข้ ึน้ หรือชีล้ ง แต่หากจะเขียนใหล้ ะเอียดกว่านีจ้ ะสามารถทาํ ไดโ้ ดยการท่ีเขียน แนวว่ิงของทาํ นองเสียงท่ีเรยี กเป็นภาษาเยอรมนั ว่า Melodieverlauf หรอื Kontur ใหเ้ ห็นชดั เจนว่าในการ พดู ประโยคหน่ึงอาจเรม่ิ จากระดบั เสียงใดแลว้ ขนึ้ เสียงช่วงใดบา้ ง (สว่ นใหญ่เป็นคาํ เนน้ หลกั ) แลว้ ไปจบ ลงอยา่ งไร จนเห็นเป็นเสน้ ซง่ึ ถือวา่ เป็นเสน้ กาํ กบั ดนตรใี นประโยคตา่ งๆ ก็ได้ เราเรยี กเสน้ ท่ีบง่ บอกทาํ นอง เสียงของถอ้ ยคาํ หรอื ประโยคท่ีพดู ซง่ึ เหมือนทาํ นองดนตรนี ีว้ า่ Konturlinie ซง่ึ ถือเป็นแบบอย่างของเสียง (Tonmuster) ดงั ตวั อยา่ งประโยคตอ่ ไปนี้

110 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ บทท่ี 12 ปัญหาการออกเสยี งภาษาเยอรมันของผู้เรียนชาวไทย ปัญหาการออกเสียงเป็นปรากฏการณท์ ่ีมกั เกิดขนึ้ ในการเรยี นภาษาตา่ งประเทศของผเู้ รยี นท่ีเป็น ผใู้ หญ่ โดยปกติปัญหามกั เป็นผลมาจากความแตกต่างระหว่างระบบเสียงท่ีแตกต่างกนั ระหว่างระบบ เสียงของภาษาแม่กบั ระบบเสียงของภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างในระดบั เสียงแต่ละ เสียงไปจนถึงความแตกตา่ งในระดบั สทั สมั พนั ธ์ ในบทนีจ้ ะนาํ เสนอ ปัญหาในการออกเสียงของคนไทย ซง่ึ ไดม้ าจากการเก็บขอ้ มลู เชิงประจกั ษ์จากหญิงไทยท่ีอาศยั อย่ใู นสวิตเซอรแ์ ลนด์ โดยเรม่ิ จากนาํ เสนอ ผลการศกึ ษาเปรยี บตา่ งภาษาเยอรมนั กบั ภาษาไทยในระดบั หน่วยเสยี ง จากนนั้ จึงมีการจดั หมวดหม่กู าร ออกเสียงผดิ และในตอนทา้ ยจะเป็นการอภปิ รายในประเดน็ ท่ีวา่ การออกเสยี งภาษาเยอรมนั ของผเู้ รยี นท่ี พดู ภาษาไทยเป็นภาษาแม่นนั้ จะเรียกว่าเป็น “ภาษาเยอรมนั แบบไทยๆ” ไดห้ รือไม่ ทงั้ นี้ การดตู วั อย่าง ขอ้ ผิดพลาดของผู้เรียนภาษาเยอรมันกลุ่มนีส้ ามารถนาํ มาเป็นใช้ประโยชนใ์ นการเรียนของผูเ้ รียน ภาษาเยอรมนั ในระดบั อดุ มศึกษาไดเ้ ช่นกนั ผเู้ รียนควรระวงั ไม่ใหเ้ กิดการออกเสียงผิดๆ เหล่านี้ ทงั้ นี้ เนือ้ หาในบทนีม้ าจากบทความวิชาการเรอ่ื ง “Thailändisches Deutsch? Ausspracheabweichungen bei thailändischen Immigrantinnen in der Deutschschweiz“ (Attaviriyanupap 2008) 12.1 การเปรียบเทยี บระบบเสียงภาษาเยอรมันกับระบบเสียงภาษาไทย การเปรียบเทียบระบบเสียงภาษาเยอรมันกับระบบภาษาไทยในครัง้ นีเ้ น้นการศึกษา เปรียบเทียบในระดับหน่วยเสียงเป็นหลัก อันไดแ้ ก่ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และระดับเสียง ตามมาดว้ ยเรื่องโครงสรา้ งของพยางคเ์ นื่องจากเป็นส่วนที่ทาํ ใหผ้ ูเ้ รียนชาวไทยมีปัญหาในการ ออกเสียงมาก 12.1.1 เสียงสระ Thailändisch (Tingsabadh/Abramson 1999:148) 12.1.1.1 สระเดย่ี ว แตล่ ะสญั ลกั ษณป์ ระกอบดว้ ย 2 เสียง คือ สระเสยี งสนั้ และสระเสยี งยาว Deutsch (Hall 2000: 26) ภาพท่ี 22 สระเด่ียวในภาษาเยอรมนั กบั ภาษาไทย

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 111 เม่ือนาํ มาเทียบกันจะเห็นไดว้ ่าภาษาไทยมีเสียงสระคลา้ ยกับสระเด่ียวในภาษาเยอรมนั อย่มู าก พอสมควร โดยมีจาํ นวนสระใกลเ้ คยี งกนั ขอ้ แตกตา่ งท่ีเห็นไดช้ ดั ประการแรกคือการท่ีสระเสียงสนั้ กบั สระ เสียงยาวในภาษาไทยนนั้ เป็นคสู่ มมาตรกนั มากคือมีเสียงสนั้ -ยาวเป็นคๆู่ ท่ีออกเสียงในตาํ แหน่งเดียวกนั ชดั เจน ตวั อย่างเช่น คาํ ว่า ฟัง [] กับ ฟาง [] ในขณะท่ีสระเสียงสนั้ กบั สระเสียงยาวใน ภาษาเยอรมนั มกั มีตาํ แหนง่ หา่ งกนั เลก็ นอ้ ย อนั เป็นผลมาจากความตงึ ของกลา้ มเนือ้ ขอ้ แตกตา่ งประการ ท่ีสองคือการท่ีภาษาเยอรมนั มีสระหนา้ ท่ีรมิ ฝีปากห่อกลม ในขณะท่ีภาษาไทยสระท่ีเวลาออกเสียงแลว้ ลนิ้ อยใู่ นระดบั ความสงู ใกลเ้ คียงกนั จะไมเ่ ป็นสระหนา้ แตเ่ คล่อื นมาตรงกลาง และออกเสียงโดยรมิ ฝีปาก ไมห่ อ่ กลม อนั ไดแ้ ก่เสียง [], [], [] และ [] น่นั เอง เสียง [] (Schwa) ถือเป็นเสียงสระท่ีมีฐานะพิเศษในภาษาเยอรมนั เน่ืองจากจะปรากฏเฉพาะใน พยางคท์ ่ีไมเ่ นน้ เท่านนั้ แมว้ า่ เสยี งนีจ้ ะคลา้ ยกบั เสยี งสระเออะในภาษาไทย แตจ่ ะไมอ่ อกเสียงเนน้ เหมือน ในภาษาไทย และไม่มีคทู่ ่ีเป็นสระเสียงยาว เหมือนสระเออะกบั สระเออในภาษาไทย อยา่ งไรก็ตามเสียง นีใ้ นภาษาเยอรมนั สามารถออกเป็นเสียง ก็ได้ เพราะฉะนนั้ จึงไม่นบั เป็นหน่วยเสียง แตท่ ่ีใสไ่ วใ้ นภาพท่ี 1 นนั้ เป็นเพราะเป็นเสียงท่ีไมม่ ีในภาษาไทย และเป็นเสียงท่ีผเู้ รยี นท่ีเป็นคนไทยมกั ออกไมถ่ กู ตอ้ ง เสยี ง [] ซง่ึ ในภาษาเยอรมนั จะออกเม่ือเป็นคาํ ลงทา้ ยท่ีเขียนดว้ ย -er (เชน่ ในคาํ วา่ Butter) เสียง นีไ้ ม่มีในภาษาไทยเช่นกัน ในภาษาเยอรมนั ไม่นบั เป็นหน่วยเสียงเช่นกนั เพราะเป็นเพียงการท่ีไม่ออก เสียงพยญั ชนะ [r] ใหก้ ลายเป็นเสียงสระเท่านนั้ ในตาํ ราภาษาเยอรมนั จึงมกั เรียกว่าเป็น เสียง r ท่ี กลายเป็นเสียงสระ (vokalisiertes R) หรอื บางครงั้ เม่ือปรากฏหลงั เสียงสระตวั อ่ืนก็จะเรยี กว่าเป็นสระ ประสมกบั สระนี้ (-Diphthong) 12.1.1.2 สระประสม ภาษาเยอรมนั (Kohler 1999: 87) ภาษาไทย (Tingsabadh/Abramson 1999: 148) ภาพท่ี 23 สระประสมในภาษาเยอรมนั และภาษาไทย ภาษาเยอรมนั มีสระประสมทงั้ หมด 3 ตวั คือ [] ,[], [] ในขณะท่ีในภาษาเยอรมนั และใน บางภาษาอาจนบั ว่าทงั้ สามเสียงนีเ้ ป็นสระประสม แต่ในภาษาไทยซ่งึ มีเสียงนีเ้ ช่นกนั ไม่นบั ว่าเป็นสระ

112 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ ประสม แตถ่ ือว่าเป็นสระกบั พยญั ชนะทา้ ย และถอดสทั อกั ษรเป็น [], [] และ [] แทน89 และถือวา่ สระประสมนนั้ คือ เสียง [], [] และ [] สระประสมในภาษาเยอรมนั ถือวา่ เป็นสระท่ีเล่ือนจากเสียง ต่าํ ขนึ้ สงู แตส่ ระประสมในภาษาไทยเป็นสระท่ีเล่ือนจากเสียงสงู ลงต่าํ สระประสมในภาษาเยอรมนั จะไม่ มีคเู่ สียงท่ีเป็นสระเสยี งสนั้ กบั สระเสยี งยาว แตใ่ นภาษาไทยมี คอื สระเอียะ เอีย เอือะ เอือ อวั ะ อวั สรุปไดว้ า่ ภาษาเยอรมนั และภาษาไทยมีจาํ นวนหนว่ ยเสยี งสระใกลเ้ คียงกนั โดยท่ีภาษาไทยมีสระเด่ียว 18 หนว่ ยเสียง และสระประสม 3 หน่วยเสียง สว่ นภาษาเยอรมนั มาตรฐานมีหน่วยเสียงสระเด่ียว 16 หน่วย เสียง และสระประสม 3 หน่วยเสียง อย่างไรก็ตามในสว่ นของระบบเสียงสระนนั้ พบว่าภาษาเยอรมนั และ ภาษาไทยมีขอ้ แตกตา่ งท่ีชดั เจน 3 ประการ ดงั นีค้ ือ  ข้อแตกต่างสําคัญอยู่ท่ีเสียงสระหน้าสูงและกลางท่ีมีการห่อริมฝี ปากกลมใน ภาษาเยอรมนั อนั ไดแ้ ก่ เสียง [], [], [] และ [] ในขณะท่ีภาษาไทยเสียงท่ี คลา้ ยกนั จะเป็นสระกลางท่ีรมิ ฝีปากไมห่ ่อ คอื เป็นเสยี ง [], [], [], []  ความเกร็งของกลา้ มเนือ้ ไม่มีบทบาทในระบบเสียงสระของภาษาไทย สระเด่ียวใน ภาษาไทยทุกเสียงมีค่สู นั้ -ยาวท่ีออกเสียงโดยไม่มีความแตกต่างกนั ในดา้ นความเกร็ง ของกลา้ มเนือ้ แต่ในภาษาเยอรมนั พบว่าความเกร็งของกลา้ มเนือ้ มีความสมั พนั ธ์กับ เสียงสระว่าจะเป็นเสียงสนั้ หรอื เสียงยาว นอกเหนือจากเสียง [] ซง่ึ มีทงั้ เสียงสนั้ และ เสยี งยาวแลว้ สระเสยี งยาวตวั อ่ืนๆ ลว้ นเป็นสระเกรง็ สว่ นสระเสียงสนั้ เป็นสระคลาย  สระประสมในภาษาเยอรมนั ทงั้ สามตวั ในภาษาไทยไม่นบั ว่าเป็นสระประสม แต่ถือว่า เป็นพยางคท์ ่ีมีโครงสรา้ งเป็นสระเด่ยี วตามดว้ ยพยญั ชนะทา้ ย 12.1.2 เสียงพยัญชนะ เม่ือเทียบกับภาษาอ่ืนๆ จาํ นวนมากในโลกแลว้ ภาษาเยอรมนั และภาษาไทยถือไดว้ ่าเป็นภาษาท่ีมี จาํ นวนหน่วยเสียงพยญั ชนะขนาดปานกลาง ทงั้ สองภาษามีหน่วยเสียงพยญั ชนะ 21 หน่วยเสียง อยา่ งไรก็ตาม หนว่ ยเสยี งในแตล่ ะภาษามีความแตกตา่ งกนั ดงั จะเห็นไดจ้ ากตารางตอ่ ไปนี้ 9 การพิสจู นส์ ถานะของเสียงสระวา่ เป็นสระประสมในภาษาไทยหรอื ไม่นนั้ สามารถทาํ ไดโ้ ดยการใสพ่ ยญั ชนะทา้ ยเตมิ ลงไป หากเติมไมไ่ ด้ แสดงวา่ สระนนั้ ๆ มีพยญั ชนะทา้ ยอยแู่ ลว้ เพราะในภาษาไทยไม่สามารถมีพยญั ชนะทา้ ยเกิน 1 เสยี ง ซง่ึ ในกรณีของเสยี ง [], [] , [] ในภาษาไทย จะไมส่ ามารถเตมิ เสียงพยญั ชนะใดๆ เขา้ ไปขา้ งทา้ ยได้ จงึ แสดงวา่ ไมใ่ ชส่ ระประสม.

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 113 ตารางท่ี 15 พยญั ชนะในภาษาเยอรมนั ป่มุ เหงือก หลงั ป่ มุ เพดาน เพดานออ่ น ชอ่ งวา่ งระหว่าง เหงือก แข็ง เสน้ เสยี ง รมิ ฝีปาก รมิ ฝีปาก-    ฟัน                ระเบิด           เสียดแทรก           นาสิก            รวั        ขา้ ง      ก่งึ สระ     รมิ ฝีปาก- ป่มุ เหงือก  ตารางท่ี 16 พยญั ชนะในภาษาไทย ฟัน    รมิ ฝีปาก          ระเบิด ไม่มีลม       หลงั ป่ มุ เพดาน เพดานออ่ น ชอ่ งวา่ งระหว่าง มีลม       เหงือก แขง็ เสน้ เสยี ง         เสียดแทรก            นาสิก        รวั    ขา้ ง        ก่ึงสระ                   แมว้ ่า [] และ [] จะเป็นเพียงหน่วยเสียงเสรมิ กนั แตห่ น่วยเสียงย่อยทงั้ สองนีไ้ ม่มีในภาษาไทย จงึ บรรจไุ วใ้ นตารางขา้ งตน้ ดว้ ย ในขณะท่ีหน่วยเสียงย่อยทงั้ หลายของหน่วยเสียง [] ไม่ไดใ้ สไ่ ว้ เพราะ สาํ หรบั ผเู้ รียนชาวไทยนนั้ ไม่สาํ คญั จะเลือกออกเสียงใดก็ได้ ส่วนเสียงพยญั ชนะกักเสียดแทรกซ่ึงเป็น พยญั ชนะผสมมิไดใ้ ส่ไวใ้ นตารางนีเ้ พราะอาจถือไดว้ ่าเป็นการผสมหน่วยเสียงพยญั ชนะท่ีมีอย่แู ลว้ เขา้ ดว้ ยกนั ในภาษาเยอรมนั มีพยญั ชนะกกั เสียดแทรกคือ [] (เช่น Pferd), [ ] (เช่น Zahn), [ ] (z. B. Matsch) และ [] (เชน่ Gin). สาํ หรบั ภาษาไทยนนั้ ตาํ ราบางเลม่ อาจจดั เสียง [] และ [] ซ่งึ ในตารางขา้ งตน้ จดั ใหเ้ ป็นเสียง พยญั ชนะระเบิดท่ีเพดานแข็ง ใหเ้ ป็นเสียงพยญั ชนะกกั เสียดแทรกท่ีเกิดในตาํ แหน่งหลงั ป่ มุ เหงือก [] และ [] (เช่น ในงานของ Tingsabadh/Amramson 1999 หรอื Kummer 1994) เสียงพยญั ชนะทงั้ สอง เสียงนีเ้ วลาออกเสียงจะมีเสียงคลา้ ยเสียงเสียดแทรกปนออกมาดว้ ย จึงเป็นเหตใุ หห้ ลายคนจัดว่าเป็น พยญั ชนะกกั เสียดแทรก อย่างไรก็ตาม หากเทียบกบั เสียงพยญั ชนะกกั เสียดแทรกในภาษาเยอรมนั แลว้ จะเห็นไดช้ ดั ว่าเสียงในภาษาไทยนนั้ ออกเสียงเบากว่ามาก อีกทงั้ ภาษาไทยเองเป็นภาษาท่ีมิไดม้ ีเสียง พยญั ชนะเสียดแทรกมากนกั นอกจากนี้ ไม่ว่าจะจดั ใหเ้ ป็นพยญั ชนะระเบดิ หรอื พยญั ชนะกกั เสียดแทรก ก็ไมม่ ีผลตอ่ การจดั ระบบหนว่ ยเสยี งภาษาไทยแตอ่ ยา่ งใด โดยเฉพาะในการเปรยี บเทียบกบั ภาษาเยอรมนั ใน ท่ีนีจ้ งึ จดั เป็นพยญั ชนะระเบิดตามท่ี Hudak (1987; 1994) หรอื กาญจนา นาคสกลุ (2545) จดั ไว้ โดยท่ี เสียงหนง่ึ เป็นแบบมีลม และอีกเสยี งหนง่ึ เป็นแบบไมม่ ีลม

114 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ สว่ นเสียงพยญั ชนะระเบดิ ตวั อ่ืนๆ ซง่ึ มีสองลกั ษณะคือ แบบมีลม และไมม่ ีลมนนั้ แมว้ ่าเสียงตา่ งๆ เหลา่ นี้ อนั ไดแ้ ก่ [], [], [], [], [], [] จะปรากฏในภาษาเยอรมนั เช่นกนั แตใ่ นภาษาเยอรมนั การ ออกเสียงลมดว้ ยหรือไม่นนั้ ไม่ไดท้ าํ ใหค้ วามหมายของคาํ เปล่ียนไป ในภาษาเยอรมนั จึงจดั ว่าเป็นเพียง หน่วยเสียงย่อยของหน่วยเสียงเดียวกนั ไมส่ ามารถหาคเู่ ปรยี บเทียบท่ีมีความหมายต่างกนั ระหว่างเสียง สองแบบนีไ้ ด้ แตใ่ นภาษาไทย เสียงพยญั ชนะกกั แบบมีลมกบั แบบไมม่ ีลมเป็นหน่วยเสียงสองเสียง เพราะ สามารถหาค่เู ปรียบเทียบท่ีมีความหมายแตกต่างกนั ได้ เช่น กรณีของคาํ ว่า ป่ า กบั ผา่ คาํ ว่า ตา กบั ทา หรอื คาํ วา่ ไก่ กบั ไข่ เป็นตน้ เม่ือเทียบกับภาษาเยอรมันแล้ว จะเห็นได้ว่าภาษาไทยมีพยัญชนะเสียงก้องน้อยกว่ามาก โดยเฉพาะในกรณีของพยญั ชนะเสียดแทรก ภาษาไทยไม่มีพยญั ชนะเสียดแทรกท่ีเป็นเสียงกอ้ งเลย ในขณะท่ีหลายภาษาในเอเชีย เช่น ภาษาญ่ีป่ นุ ภาษาเกาหลี หรอื ภาษาลาว ไม่มีการแยกระหว่างเสียง [] กบั [] โดยถือเป็นหน่วยเสียงเดียวกนั แต่ภาษาไทยนนั้ มีหน่วยเสียงแยกเป็นสองหน่วยเสียงคือ [] และ [] อย่างชดั เจน เช่น กรณีของคาํ ว่า ลด กบั รด อย่างไรก็ตามในภาษาพดู นนั้ พบวา่ มีแนวโนม้ ท่ีคน ไทยมกั พดู เสียงพยญั ชนะขา้ ง [] แทนเสียงพยญั ชนะรวั [] อย่เู สมอ ซง่ึ เหตทุ ่ีเป็นเช่นนีอ้ าจถือไดว้ ่าเป็น ปัจจยั ทางสงั คม ทงั้ นีเ้ พราะภาษาถ่ินของไทยบางภาษานนั้ ไมม่ ีหน่วยเสียง /r/ ในขณะท่ีคนไทยท่ีประสงค์ จะออกเสียงใหช้ ดั เจน โดยเฉพาะเวลาท่ีตอ้ งพดู ใหช้ า้ และชดั ก็จะตอ้ งออกเสียงทงั้ สองนีใ้ หแ้ ยกออกจากกนั อย่างชดั เจน สถาบนั การศึกษาและส่ือมวลชนจะเนน้ ฝึกคนใหอ้ อกเสียง [r] ใหช้ ดั Hudak (1987: 32) กลา่ ววา่ สถานะของหน่วยเสียง /l/ และ /r/ ภาษาไทยกาํ ลงั อยใู่ นกระบวนการเปล่ียนแปลง เป็นไปไดว้ า่ ในอนาคตอาจกลายเป็นหน่วยเสียงเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบนั ยงั ถือว่าเป็นหน่วยเสียงสอง เสียงท่ีแยกออกจากกนั โดยเดด็ ขาด และในภาษาเขียนก็มีตวั อกั ษรแทนเสยี งแยกเป็น ล และ ร ดว้ ย ขอ้ แตกตา่ งท่ีสาํ คญั ระหว่างระบบเสียงภาษาไทยกบั ภาษาเยอรมนั ในสว่ นท่ีเก่ียวกบั ระบบเสียง พยญั ชนะนนั้ สามารถสรุปไดด้ งั นี้ - พยัญชนะบางเสียงมีแต่ในภาษาไทย แต่พยัญชนะบางเสียงมีแต่ในภาษาเยอรมัน เสียง พยญั ชนะท่ีมีแตใ่ นภาษาเยอรมนั ไดแ้ ก่ [], [], [], [], [], [] และ [] สว่ นพยญั ชนะท่ีมีแต่ ในภาษาไทยไดแ้ ก่ [], [] และ [] แมว้ า่ ในภาษาไทยจะมีเสียงท่ีคลา้ ยกบั [], [], [], [], [], [] และ [] แตว่ า่ ไมเ่ หมือนกนั - แมว้ ่าเสียง [], [] และ [] จะพบทงั้ ในภาษาเยอรมนั และภาษาไทย แต่สถานะนนั้ ตา่ งกนั ขณะท่ีสามเสยี งนีเ้ ป็นหนว่ ยเสียงในภาษาไทย สามารถทาํ ใหค้ าํ มีความหมายแตกตา่ งออกไปได้ แตใ่ นภาษาเยอรมนั ทงั้ สามเสยี งนีเ้ ป็นเพียงหน่วยเสียงยอ่ ยของเสียง [], [] และ [] เทา่ นนั้

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 115 12.1.3 ระดบั เสียงสูงต่าํ (เสียงวรรณยกุ ต)์ แมว้ ่าระดบั เสียงสงู ต่าํ นนั้ โดยท่วั ไปจะจดั อย่ใู นสว่ นท่ีเป็นสมั พนั ธลกั ษณ์ (Pompino-Marschall 1995: 224) แตใ่ นภาษาไทยนนั้ ในแตล่ ะพยางคน์ นั้ จะมีระดบั เสียงสงู ต่าํ เฉพาะกาํ กบั อยู่ และมีผลตอ่ ความหมาย ของคาํ ดว้ ย จงึ ตอ้ งจดั วา่ เป็นหน่วยเสยี งดว้ ย ซง่ึ สว่ นนีไ้ มม่ ีในภาษาเยอรมนั ภาษาไทยจัดเป็นภาษาท่ีเรียกว่าภาษามีวรรณยุกต์ กล่าวคือพยางคท์ ุกพยางคจ์ ะมีระดบั เสียง เฉพาะ โดยในภาษาไทยมีทงั้ สนิ้ 5 ระดบั เสียง แตล่ ะระดบั เสียงทาํ ใหค้ วามหมายของคาํ เปล่ียนไปได้ เรา สามารถหาคเู่ ทียบเสยี งพิสจู นค์ วามหมายท่ีเปล่ียนไปได้ คาํ ๆ หน่ึงท่ีมีโครงสรา้ งพยางคเ์ หมือนกนั จงึ อาจผนั เปล่ยี นความหมายไปไดต้ ามเสียงวรรณยกุ ตท์ ่ีเปล่ียนไปได้ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ ระดบั เสียง ตวั อยา่ งคาํ สามญั คา เอก ขา่ โท ขา้ , ฆา่ , คา่ ตรี คา้ จตั วา ขา คาํ บางคาํ ท่ีเสยี งเหมือนกนั ยงั อาจมีไดห้ ลายความหมายอีกดว้ ย โดยในภาษาเขียนนนั้ อาจมองเห็น ความแตกตา่ งทางความหมายไดจ้ ากตวั อกั ษรท่ีปรากฏ ดงั ตวั อยา่ งของคาํ วา่ ขา้ , ฆา่ , คา่ เป็นตน้ 12.1.4 โครงสร้างพยางค์ โครงสรา้ งพยางคข์ องแต่ละภาษานนั้ เป็นตวั กาํ หนดความเป็นไปไดใ้ นการปรากฏรว่ มกนั ของหน่วย เสียงตา่ งๆ ภาษาเยอรมนั และภาษาไทยนนั้ มีความแตกตา่ งกนั เป็นอยา่ งมากในแง่มมุ นี้ ในขณะท่ีหน่วยเสียงพยญั ชนะทกุ หน่วยเสียงในภาษาไทยสามารถปรากฏในตาํ แหน่งตน้ พยางค์ ได้ แตม่ ีเพียงบางเสียงเท่านนั้ ท่ีปรากฏในตาํ แหน่งทา้ ยพยางคไ์ ด้ ไดแ้ ก่ [], [], [], [], [], [], [], [] และ [] นอกจากนี้ กรณีท่ีพยญั ชนะทา้ ยเป็นเสียงพยญั ชนะระเบดิ ยงั มีลกั ษณะพิเศษอีกประการหน่ึง คือ ในการออกเสียงพยญั ชนะระเบดิ ในตาํ แหน่งนีจ้ ะไมม่ ีการปลอ่ ยเสียงใหร้ ะเบดิ ออกมา เพียงแตก่ กั ลม ไวต้ ามตาํ แหน่งท่ีเกิดเสียงพยญั ชนะนนั้ ๆ ในภาษาไทยจึงเรยี กกรณีเช่นนีว้ ่าเป็น พยญั ชนะกกั โดยถือว่า พยญั ชนะกกั เป็นหน่วยเสียงย่อยของพยญั ชนะระเบดิ น่นั เอง การไมป่ ลอ่ ยเสียงระเบิดออกมายงั ทาํ ใหไ้ ม่ มีการแยกความแตกตา่ งระหวา่ งเสียงกอ้ งและไมก่ อ้ งตลอดจนเสียงมีลมและไม่มีลม เพราะไม่มีการเปลง่ เสียงออกมาจรงิ ๆ น่นั เอง และการพยายามสรา้ งความแตกตา่ งในสว่ นนีก้ ็มิไดม้ ีผลตอ่ ความหมายของคาํ แตอ่ ยา่ งใด ในตาํ แหน่งพยญั ชนะทา้ ยจงึ มีเพียงเสียง [], [] และ [] เท่านนั้ ภาษาเยอรมนั มไิ ดม้ ีขอ้ จาํ กดั เก่ียวกบั ตาํ แหน่งของเสียงพยญั ชนะแบบเดียวกบั ภาษาไทย แทบทกุ เสียงสามารถปรากฏในตาํ แหน่งตน้ และทา้ ยพยางคไ์ ด้ อย่างไรก็ตามมีขอ้ ยกเวน้ บางประการเช่นกัน

116 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ ประการแรกคือ เสียง [] จะปรากฏเฉพาะหนา้ เสียงสระในพยางคท์ ่ีเป็นพยางคเ์ นน้ หรือเป็นตวั แบ่ง พยางคเ์ ท่านนั้ นอกจากนีใ้ นตาํ แหน่งพยญั ชนะทา้ ยนนั้ ภาษาเยอรมนั จะไม่มีพยญั ชนะเสียงกอ้ ง ดว้ ย เหตนุ ีเ้ สียงพยญั ชนะระเบดิ และพยญั ชนะเสียดแทรก [], [], [], [] และ [] จงึ ไม่ปรากฏในตาํ แหน่ง ทา้ ยพยางค์ ภาษาไทยมีโครงสรา้ งพยางคท์ ่ีไม่ซบั ซอ้ น โดยมีโครงสรา้ งท่ีเป็นไปไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ คือ V, VK, KV, KKV, KVK และ KKVK นอกจากนีแ้ ตล่ ะพยางคย์ งั มีเสียงวรรณยกุ ตก์ าํ กบั ดว้ ย จึงเห็นไดว้ า่ การผสมเสียง ต่างๆ เขา้ เป็นพยางคใ์ นภาษาไทยนนั้ มีขอ้ จาํ กดั มากกว่าในภาษาเยอรมนั คือ มีพยญั ชนะทา้ ยไดเ้ พียง เสียงเดียวเท่านนั้ สว่ นพยญั ชนะตน้ มีไดไ้ มเ่ กิน 2 ตาํ แหน่ง โดยเป็นการท่ีเสียงพยญั ชนะระเบิด ไม่กอ้ ง นาํ เสียง [] หรือ [] เท่านั้น โดยมีโครงสรา้ งเสียงพยัญชนะตน้ ได้ 12 แบบ ดังนี้ คือ ] ในทางตรงกนั ขา้ ม ภาษาเยอรมนั มีโครงสรา้ งพยางคใ์ นสว่ นท่ีเก่ียวกบั เสียงพยญั ชนะซบั ซอ้ นมาก เพราะมกั มีการใชพ้ ยญั ชนะควบกนั หลายเสียง โดยในตาํ แหน่งตน้ พยางคน์ นั้ มีตงั้ แต่ 0–3 เสียง และใน ตาํ แหนง่ พยญั ชนะทา้ ยนนั้ มีไดต้ งั้ แต่ 0–5 เสียง เม่ือพยญั ชนะท่ีมีโครงสรา้ งซบั ซอ้ นมาเรยี งตดิ กนั จงึ ทาํ ให้ ออกเสียงยาก เพราะตอ้ งออกเสียงทกุ เสียงใหค้ รบ ดงั ตวั อย่างเช่นในคาํ วา่ Herbststurm เรยี กไดว้ า่ อาจ ทาํ ใหเ้ กิดการติดขดั ในการออกเสียงไดท้ ีเดียว คาํ ท่ีมีโครงสรา้ งพยางคซ์ บั ซอ้ นจึงเป็นปัญหาหนกั สาํ หรบั ผเู้ รยี นภาษาเยอรมนั ท่ีเป็นคนไทย นอกเหนือจากหน่วยเสียงในภาษาเยอรมันท่ีไม่ปรากฏในภาษาไทยแล้วความซับซ้อนของ โครงสรา้ งพยางคจ์ ึงเป็นปัญหาสาํ คญั สาํ หรบั ผูเ้ รียนชาวไทย ปัญหาเก่ียวกับการออกเสียงเหล่านีส้ ่วน ใหญ่สามารถคาดการณล์ ว่ งหนา้ ได้ เพราะสมั พนั ธก์ บั ระบบเสียงภาษาไทยและระบบเสียงภาษาเยอรมนั นอกจากนีจ้ ากการเก็บขอ้ มูลเชิงประจักษ์ยงั ทาํ ใหส้ ามารถเก็บหลกั ฐานการออกเสียงผิดท่ีเป็นระบบ เฉพาะของผเู้ รยี นภาษาไทยไดด้ ว้ ย 12.2 คลังข้อมลู ทใ่ี ช้ศึกษา ขอ้ มลู ภาษาเยอรมนั มาตรฐานของหญิงไทยในเขตสวิสเยอรมนั ท่ีนาํ มาใชว้ ิเคราะหใ์ นครงั้ นีเ้ ป็น ขอ้ มลู ท่ีผเู้ ขียนเป็นผเู้ ก็บรวบรวมเอง โดยท่ีในระหว่างเดือนมิถนุ ายนถึงตลุ าคม 2547 ผเู้ ขียนไดพ้ ดู คยุ ก่ึง สมั ภาษณก์ บั หญิงไทยท่ีแตง่ งานกบั ชายสวิสเยอรมนั และอาศยั อย่ใู นเขตเมืองเบริ น์ เพ่ือเก็บขอ้ มลู การใช้ ภาษาเยอรมนั มาตรฐานของพวกเขา ผูเ้ ขียนมิไดจ้ ัดทาํ แบบสอบถามเพ่ือเก็บคาํ หรือลกั ษณะรูปแบบ ประโยคแบบใดโดยเฉพาะ แตพ่ ยายามใหไ้ ดข้ อ้ มลู ภาษาท่ีเป็นธรรมชาตมิ ากท่ีสดุ ในการเก็บขอ้ มลู แตล่ ะ ครงั้ ผูเ้ ขียนพาผูท้ ่ีไม่เขา้ ใจภาษาไทยติดตามไปดว้ ยอย่างนอ้ ยหน่ึงคน เพ่ือเป็นตัวแปรในการสรา้ ง สถานการณธ์ รรมชาตทิ ่ีผบู้ อกภาษาตอ้ งพดู เป็นภาษาเยอรมนั มาตรฐาน ผเู้ ขียนบนั ทกึ ขอ้ มลู โดยใชเ้ ครอ่ื ง มินิดิสก์ (SONY Net MD Walkman MZ-N710) แลว้ นาํ ขอ้ มลู ท่ีเป็นคาํ พดู ของผบู้ อกภาษาท่ีเป็น

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 117 ภาษาเยอรมนั ทงั้ หมดมาถอดเทป เฉพาะสว่ นท่ีผบู้ อกภาษาเป็นผพู้ ดู ผเู้ ขียนเก็บขอ้ มลู รวม 10 ครงั้ และ ไดข้ อ้ ความคาํ พดู ภาษาเยอรมนั มาตรฐานของผบู้ อกภาษาจาํ นวนรวม 16 คน ท่ีมีอายรุ ะหวา่ ง 27–44 ปี ทุกคนกาํ ลงั เรียนภาษาเยอรมนั มาตรฐานอย่ใู นชนั้ เรียนใดชนั้ เรียนหน่ึงหรือเคยเขา้ ชนั้ เรียนภาษาเยอรมนั มาตรฐานมาก่อนในช่วงท่ีเพ่ิงมาใชช้ ีวิตในสวิตเซอรแ์ ลนด์ แต่ละคนอาศยั อย่ใู นสวิตเซอรแ์ ลนดย์ าวนาน แตกตา่ งกนั คือ ระหวา่ ง 7 เดอื น ถึง 15 ปี (นบั จนถงึ วนั สมั ภาษณ)์ บางคนเคยเรยี นภาษาองั กฤษมาก่อน แตบ่ างคนเรยี นภาษาเยอรมนั เป็นภาษาตา่ งประเทศภาษาแรก มีเพียงคนเดียวท่ีมีความรูภ้ าษาฝร่งั เศส เล็กนอ้ ย ความยาวและจาํ นวนคาํ ของผบู้ อกภาษาแตล่ ะคนมีความแตกตา่ งกนั ไปตงั้ แต่ 128 ไปจนถึง 2,404 คาํ เน่ืองจากการศกึ ษาครงั้ นีม้ ิไดเ้ ป็นการศกึ ษาเชิงปรมิ าณ จงึ ไมม่ ีการนบั จาํ นวนขอ้ ผิดพลาดแต่ ประการใด เพียงแตย่ กตวั อยา่ งใหเ้ ห็นภาพเท่านนั้ 12.3 การออกเสียงภาษาเยอรมันผิดอย่างเป็ นระบบโดยหญิงไทยในสวติ เซอรแ์ ลนด์ 12.3.1 ปัญหาในส่วนทเี่ กี่ยวกับเสียงสระ ในส่วนของการออกเสียงสระเป็นเสียงสนั้ -ยาวนนั้ ในคลงั ขอ้ มลู พบว่าไม่ไดเ้ ป็นปัญหาท่ีโดดเด่น มากนกั อาจเป็นเพราะผพู้ ดู สว่ นใหญ่เรยี นรูภ้ าษาโดยวิธีทางธรรมชาตเิ ป็นสว่ นใหญ่ และภาษาไทยเองมี การแยกแยะระหว่างเสียงสระสนั้ -ยาว เม่ือรูจ้ กั ศพั ทค์ าํ ใดจึงออกเสียงสนั้ หรอื ยาวไดถ้ กู ตอ้ ง แต่เสียงท่ี พบวา่ มีปัญหาชดั เจนคือเสียงสระหนา้ ท่ีเวลาออกเสียงแลว้ ตอ้ งห่อรมิ ฝีปากกลม คือ [], [], [], [] เพราะภาษาไทยมีเสียงใกลเ้ คียงกนั แตป่ ากไม่ห่อกลม คือ [], [], [], [] ซง่ึ หากออกเสียงเช่นนีแ้ ม้ จะไม่ถกู ตอ้ งแต่ยงั ไม่ทาํ ใหเ้ กิดเสียงสระใหม่ในภาษาเยอรมนั ทาํ ใหข้ อ้ ผิดพลาดไม่ชดั เท่ากับกรณีท่ีผู้ บอกภาษาออกเป็นเสียงสระหลงั ท่ีริมฝีปากห่อกลมแทน เน่ืองจากกลายเป็นเหมือนคาํ ภาษาเยอรมนั ท่ี เป็นเสียงสระอ่ืนแทน ดงั ตวั อยา่ งเช่น ออกเป็น [] ในคาํ ว่า Gemüse และ [] ใน คาํ วา่ persönlich เสียงสระอีกสองเสียงท่ีไม่มีในภาษาไทยและอาจก่อใหเ้ กิดปัญหาสาํ หรบั คนไทยในการออกเสียง ได้ คือ เสียง [] และ [] สาํ หรบั หญิงไทยท่ีอยู่ในสวิตเซอรแ์ ลนดน์ นั้ อาจไม่มีปัญหากับเสียงนีม้ ากนัก เพราะคนสวิสเองมกั ออกเป็นเสียง [] และ [] ซง่ึ ฟังคลา้ ยภาษาไทยมากกวา่ อยา่ งไรก็ตามคนไทยมกั ออกเสยี งเนน้ มากเกินไป หรอื เนน้ ผิดพยางคท์ าํ ใหเ้ สียงท่ีออกมานนั้ ไมต่ รงกบั ชาวสวสิ ผเู้ ป็นเจา้ ของภาษา อยดู่ ี โดยมกั ออกเป็นเสียง [] หรอื ออกเป็นเสียง [] แตเ่ ป็นแบบเนน้ แทน การเรียนรูภ้ าษาเยอรมนั ในเขตท่ีพูดภาษาเยอรมนั ของสวิตเซอรแ์ ลนดซ์ ่ึงผูค้ นใชภ้ าษาถ่ินใน ชีวิตประจาํ วนั ย่อมไม่สามารถหลีกเล่ียงอิทธิพลจากภาษาถ่ินของสวิตเซอรแ์ ลนดไ์ ด้ ในคลงั ขอ้ มลู นีพ้ บ อิทธิพลของภาษาเยอรมนั แบบเมืองเบริ น์ เช่นกนั โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงกรณีของการออกเสียงสระ [], [] และ [] คลา้ ยภาษาไทย คือ ตาํ แหน่งลิน้ จะอยู่ต่าํ กว่าตาํ แหน่งลิน้ ในภาษาเยอรมนั นอกจากนี้ ภาษาเยอรมนั แบบเมืองเบริ น์ จะนิยมแปลงเสียง [] ใหก้ ลายเป็นเสียงสระแทนซง่ึ คลา้ ยกบั เสียง [] ใน

118 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ ภาษาไทย ทาํ ใหค้ นไทยออกเสียงไดง้ ่ายกวา่ และมกั นิยมออกเสียงแบบนีใ้ นภาษามาตรฐานไปดว้ ย เช่น ในคาํ วา่ selber ออกเป็น [] 12.3.2 ปัญหาในส่วนทเี่ กี่ยวกับเสียงพยัญชนะ ปัญหาท่ีดจู ะหนกั กว่าเสียงสระสาํ หรบั ผบู้ อกภาษานนั้ คือปัญหาในสว่ นท่ีเก่ียวกบั เสียงพยญั ชนะ เพราะสว่ นใหญ่มกั นาํ ระบบเสียงภาษาไทยไปแทนท่ีเสยี งในภาษาเยอรมนั ปัญหาการออกเสียงท่ีพบอาจ จดั หมวดหมไู่ ดเ้ ป็น 4 กลมุ่ ดงั นี้ คอื  เสยี งพยญั ชนะภาษาเยอรมนั ท่ีไมส่ ามารถออกเสยี งได้  เสยี งพยญั ชนะทา้ ยหายไปหรอื ออกเสยี งผดิ เพีย้ นไป  เสยี งพยญั ชนะควบออกไมค่ รบ  เสียงพยญั ชนะทา้ ยตามหลงั สระประสมหายไป 12.3.2.1 การไมส่ ามารถออกเสียงพยัญชนะภาษาเยอรมันบางเสยี ง เสยี งพยญั ชนะท่ีผบู้ อกภาษาไมส่ ามารถออกเสียงได้ สว่ นใหญ่เป็นเสียงท่ีไม่ปรากฏในภาษาไทย อนั ไดแ้ ก่ [], [], [], [], [] โดยมกั ออกเป็นเสียงคลา้ ยกนั ท่ีพบในภาษาไทยแทน เป็นตน้ ว่า ออกเป็น เสยี ง [] และ [] แทนเสยี ง [] และ [] สว่ นเสียง [] นนั้ มกั ออกเป็นเสียง [] ในภาษาไทยซง่ึ เป็นเสียง ก่ึงสระแทน กรณีของพยญั ชนะกกั เสียดแทรกนนั้ ส่วนใหญ่จะไดย้ ินเพียงเสียงพยญั ชนะเด่ียวแทน เช่น [] แทนท่ีจะเป็น [] เป็นตน้ เสียง [] และ [] เป็นเสียงท่ีปรากฏบ่อยในภาษาเยอรมนั มาตรฐาน รวมทงั้ ในคลงั ขอ้ มลู นีด้ ว้ ย ใน สว่ นนีอ้ าจแบง่ กลมุ่ ของผบู้ อกภาษาไดเ้ ป็น 3 กลมุ่ คือ กลมุ่ ท่ีออกไมไ่ ดท้ งั้ สองเสยี ง กลมุ่ ท่ีออกไดแ้ ตเ่ สียง [] และกลุ่มท่ีออกเสียงไดท้ ั้งสองเสียง แต่มิไดอ้ อกเสียงอย่างถูกตอ้ งทุกครงั้ กรณีท่ีออกเสียงไม่ได้ โดยท่วั ไปแลว้ มกั จะใช้ [] แทนทงั้ เสียง [] และ [] จึงอาจกลา่ วไดว้ า่ ขนั้ ตอนการเรยี นรูเ้ ก่ียวกบั การ ออกเสียงน่าจะเป็นดงั นีค้ ือ เร่ิมจากเสียง [] แลว้ คอ่ ยออกเป็นเสียง [] และเสียง [] เป็นเสียงสดุ ทา้ ย การท่ีผบู้ อกภาษาเรยี นรูเ้ สียง [] ไดเ้ รว็ กว่านนั้ อาจเป็นอิทธิพลจากภาษาถ่ินสวิสก็ได้ เน่ืองจากในภาษา ถ่ินนนั้ จะไมม่ ีเสียง [] มีแตเ่ สยี ง [] เม่ือไดย้ ินไดฟ้ ังบอ่ ยกวา่ จงึ เรยี นรูท้ ่ีจะออกเสียงนีไ้ ดเ้ รว็ กวา่ 12.3.2.2 การทเี่ สียงพยัญชนะทา้ ยหายไปหรือออกเสียงผดิ เพยี้ นไป ปัญหาการออกเสยี งภาษาเยอรมนั ท่ีพบบอ่ ยในกลมุ่ ผบู้ อกภาษานนั้ มีดว้ ยกนั 3 กรณีคือ  การท่ีเสียงพยญั ชนะท่ีสามารถเป็นเสียงพยญั ชนะทา้ ยพยางคใ์ นภาษาไทยไดน้ นั้ มีเพียง 8 เสียง เท่านนั้ คือ [] นอกจากนีพ้ ยญั ชนะระเบิดเม่ืออย่ใู นตาํ แหน่งพยญั ชนะ

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 119 ทา้ ยในภาษาไทยยงั จะออกเป็นเสียงพยญั ชนะกกั คือ [] อีกดว้ ย910 ทาํ ใหผ้ บู้ อกภาษา สว่ นใหญ่ออกเสียงพยญั ชนะระเบิดในตาํ แหน่งทา้ ยพยางคข์ องภาษาเยอรมนั แลว้ เจา้ ของภาษา ฟังไมไ่ ดย้ ิน หรอื ไมช่ ดั เจนวา่ ออกเสยี งพยญั ชนะทา้ ยใดกนั แน่  เสียงพยญั ชนะเสียดแทรก [] เป็นเสียงท่ีมีในภาษาไทย แตไ่ มป่ รากฏในตาํ แหน่งทา้ ยพยางค์ เม่ือปรากฏในตาํ แหน่งทา้ ยพยางคข์ องภาษาเยอรมนั บางครงั้ ผบู้ อกภาษาจงึ ไมอ่ อกเสียงนี้ โดย จะออกเสียงเป็นพยญั ชนะกกั ท่ีมีตาํ แหนง่ เกิดเดยี วกนั คอื เสียง []  เสยี งพยญั ชนะขา้ ง [] ก็เป็นเสยี งท่ีปรากฏในทงั้ สองภาษา แตใ่ นภาษาไทยไมป่ รากฏในตาํ แหนง่ ท้ายพยางคเ์ ช่นกัน แต่จะออกเสียงเป็นพยัญชนะนาสิกท่ีมีตาํ แหน่งเกิดเดียวกันแทน คือ ออกเป็นเสียง [] หรือมิฉะนนั้ ก็กลายเป็นเสียง [] ในภาษาไทย ซง่ึ คลา้ ยกบั การเปล่ียนเป็น สระ [] ในภาษาเยอรมนั ในการศึกษาเก่ียวกับปัญหาการออกเสียงของกล่มุ ผูบ้ อกภาษากล่มุ นี้ พบว่าลกั ษณะการออกเสียง ผดิ เพีย้ นของหญิงไทยแทบทกุ คนนนั้ เป็นระบบ ซง่ึ สามารถสรุปออกมาไดด้ งั ตารางตอ่ ไปนี้ ตารางท่ี 17 ลกั ษณะการออกเสียงพยญั ชนะทา้ ยของคนไทยท่ีผิดเพีย้ นไปจากตน้ แบบภาษาเยอรมนั เสยี งพยญั ชนะทา้ ยในภาษาเยอรมนั      เสียงพยญั ชนะทา้ ยท่ีออกโดยคนไทยท่ีพบในคลงั ขอ้ มลู       เพ่ือใหไ้ ดภ้ าพการออกเสียงพยญั ชนะทา้ ยท่ีผิดเพีย้ นไปจากตน้ แบบภาษาเยอรมนั อยา่ งเป็นระบบ ในตารางตอ่ ไปนีจ้ งึ เป็นการยกตวั อยา่ งคาํ ท่ีออกเสยี งผิดเพีย้ นท่ีพบในคลงั ขอ้ มลู มาไวด้ ว้ ยกนั 10 ลกั ษณะการกกั ลมไวไ้ มป่ ลอ่ ยใหร้ ะเบิดออกมานนั้ แมใ้ นภาษาเยอรมนั จะมีปรากฏบา้ ง แตก่ ็เฉพาะในกรณีท่ีเม่ือพดู เรว็ และมีพยางคอ์ ่ืนๆ ตอ่ ทา้ ยมาทนั ที แต่เม่ือใดก็ตามท่ีพยญั ชนะระเบิดนนั้ อย่ทู า้ ยคาํ ดว้ ย ก็จะตอ้ งออกเสยี งอยา่ งชดั เจน

120 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ ตารางท่ี 18 ตวั อย่างการออกเสยี งพยญั ชนะทา้ ยของคนไทยท่ีผิดเพีย้ นไปจากตน้ แบบภาษาเยอรมนั กรณีการออกเสยี งผดิ คาํ ภาษาเยอรมนั ที่ คาํ ทอี่ อกเสยี งโดยผูบ้ อก กรณีการออกเสยี งผดิ คาํ ภาษาเยอรมนั ที่ คาํ ทอี่ อกเสยี งโดยผูบ้ อก เป็นคาํ เปา้ หมาย ภาษา เป็นคาํ เปา้ หมาย ภาษา  Chef   April   scharf   bezahl   have   einmal   live   gäll    alles   Hotel    bis   normal    muss, musst   schnell    nass   sälber    office   viel    service   zweimal   Fisch   einmal mängisch   Hotel Tisch  Möbel  ich  Pilze  mich  schnell  mach  Spital viermal will zweimal 12.3.2.3 การออกเสียงพยัญชนะควบทไี่ ม่ครบ ในภาษาไทยมีพยญั ชนะควบไดไ้ ม่เกิน 2 เสียง และมีเพียงไม่ก่ีเสียงเท่านนั้ ท่ีใชเ้ ป็นพยญั ชนะ ควบได้ คือ [] นอกจากนีใ้ นระบบเสียงภาษาไทย ยงั ไมม่ ีเสียงพยญั ชนะควบท่ีอยใู่ นตาํ แหน่งพยญั ชนะทา้ ยอีกดว้ ย ดงั นนั้ จึงเป็นการยากสาํ หรบั คนไทยท่ีจะ ออกเสียงควบในตาํ แหน่งทา้ ยพยางค์ ซง่ึ มกั เกิดขนึ้ ในภาษาเยอรมนั อยเู่ สมอๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในคาํ กรยิ า หลายรูปท่ีเม่ือเตมิ หน่วยคาํ ลงทา้ ยเขา้ ไป เช่น เม่ือเตมิ -t หรอื -st เขา้ ไปผนั คาํ กรยิ า และจากขอ้ มลู ท่ีพบ ในคลงั ขอ้ มลู นีจ้ ะพบวา่ พยญั ชนะควบทงั้ ตาํ แหนง่ พยญั ชนะตน้ และตาํ แหน่งพยญั ชนะทา้ ยจะถกู ตดั ทอน ลดรูปลงใหเ้ หลือเพียงเสียงพยญั ชนะเสียงเดียว โดยเฉพาะในตาํ แหน่งพยญั ชนะทา้ ย ดงั นนั้ จึงอาจไม่ได้ ออกเสียงหน่วยคาํ ลงทา้ ยคาํ กรยิ าใหไ้ ดย้ ินเลยก็เป็นได้ เช่น แทนท่ีจะออกเสียงเป็น [] (kommt - บรุ ุษท่ี 3 เอกพจน์ หรอื บรุ ุษท่ี 2 พหพู จน)์ อาจกลายเป็น [] ซง่ึ ดเู หมือนเป็นเพียงรากคาํ กรยิ า เท่านนั้ นอกจากนี้ เม่ือมีปัญหาในการออกเสยี งพยญั ชนะท่ีควบกนั หลายตวั หลายครงั้ ผบู้ อกภาษาอาจใชว้ ิธีเติม เสียงสระเขา้ ไปตรงกลาง นอกจากนีป้ ัญหาการออกเสียงการมีการซา้ํ ซอ้ นกันหลายกรณีจนทาํ ใหค้ าํ ๆ กลายเป็นอีกคาํ หน่ึงซ่ึงแตกต่างกันโดยสิน้ เชิง เช่น กรณีของการออกเสียงคาํ ว่า manchmal เป็น [ หรือถึงขนั้ เป็นคาํ ว่า [] ดว้ ยซา้ํ ไป โดยในกรณีหลงั มีอิทธิพลจากภาษาองั กฤษ เขา้ แทรกซอ้ นเพ่ิมอีก (ใชภ้ าษาองั กฤษ first แทนคาํ ว่า erst) อย่างไรก็ตามในตวั อย่างท่ีพบในคลงั ขอ้ มลู

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 121 พบวา่ มีการละหรอื ลดรูปพยญั ชนะบางตวั ไปมากกว่าเติมเสียงสระเขา้ ไป ดงั ตวั อย่างคาํ ตอ่ ไปนี้ ซง่ึ จะวงเล็บ ตวั สะกดท่ีผบู้ อกภาษามกั ไมอ่ อกเสยี งไว้ เช่น aben(d); ang(st)/angs(t); bestimm(t); Dien(s)tag, fa(s)t, fün(f); gan(z), gel(d), gesun(d); ha(l)b; jeman(d); jet(zt)/jetz(t); Kin(d); Kop(f); Luf(t); Momen(t); of(t); Schwe(s)ter; Spit(z)name; Wal(d). 12.3.2.4 การไม่ออกเสียงพยัญชนะทา้ ยหลังสระประสม ปัญหานีอ้ นั ท่ีจรงิ เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหาท่ีในภาษาไทยไม่มีพยญั ชนะทา้ ยเกิน 1 เสียง เม่ือเสียงสระ ประสมในภาษาเยอรมนั ทงั้ 3 เสียง คือ [], [] และ [] ถกู จดั วา่ เป็นเสียงสระตามดว้ ยพยญั ชนะก่ึง สระ คือ เป็น [], [] และ [] ทาํ ใหภ้ าษาไทยจดั โครงสรา้ งเสียงเหลา่ นีเ้ ป็นพยางคท์ ่ีมีพยญั ชนะทา้ ย แลว้ การเพ่ิมพยญั ชนะทา้ ยเขา้ ไปหลงั พยางคเ์ หลา่ นีอ้ ีกจึงเป็นการขดั กบั ระบบเสียงในภาษาไทย หลาย ครงั้ จึงพบว่าผบู้ อกภาษาชาวไทยมกั ไมอ่ อกเสียงพยญั ชนะท่ีตามหลงั เสียง ในภาษาเยอรมนั ดงั ตวั อยา่ ง ตอ่ ไปนี้ - หลงั []: au(ch); Bau(ch); Hau(s); verkau(ft), - หลงั []: Arbei(t); ei(n); hei(ß); hei(ßt); kei(n); lei(d); mei(n); nei(n); Schwei(z); viellei(cht); wei(t); wei(ß); wei(ßt); Zei(t), - หลงั []: Deu(tsch); Freu(nd); Berndeu(tsch); neu(n) การออกเสียงไม่ถกู ตอ้ งนนั้ หลายครงั้ ยงั รวมหลายๆ ปัญหาเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั เช่นกรณีของการออก เสียงคาํ วา่ nicht เป็น [] ออกเสียงคาํ วา่ muss หรอื musst เป็น [] ดงั นีเ้ ป็นตน้ 12.4 ภาษาเยอรมันแบบไทยๆ การท่ีหญิงไทยในเขตท่ีพดู ภาษาเยอรมนั พดู ภาษาเยอรมนั แลว้ ผฟู้ ังท่ีเป็นเจา้ ของภาษาฟังไมเ่ ขา้ ใจ บอ่ ยครงั้ นนั้ เป็นปรากฏการณท์ ่ีเกิดขนึ้ เสมอๆ โดยท่ีพวกเขาเหลา่ นนั้ สว่ นใหญ่มกั รูต้ วั ดี การท่ีเป็นเช่นนีจ้ ะ เป็นเพราะพวกเขาพดู ภาษาเยอรมนั สาํ เนียงไทย การเปรยี บเทียบระบบเสยี งภาษาเยอรมนั กบั ระบบเสียง ภาษาไทยพรอ้ มกบั ตวั อย่างจากคลงั ขอ้ มลู ท่ีนาํ เสนอในบทความนีช้ ีใ้ หเ้ ห็นแลว้ ว่าปัญหาการออกเสียง เหล่านีล้ ว้ นเป็นไปอย่างมีระบบและสามารถคาดการณไ์ ดล้ ่วงหนา้ จึงตอ้ งถือว่าเป็นลกั ษณะเฉพาะของ ผเู้ รยี นภาษาเยอรมนั ชาวไทย ซง่ึ อาจพบในกลมุ่ ผเู้ รยี นภาษาเยอรมนั ชาวไทยคนอ่ืนๆ ดว้ ย จนอาจกลา่ ว ไดว้ า่ ผเู้ รยี นเหลา่ นนั้ พดู “ภาษาเยอรมนั แบบไทยๆ” นอกจากนีป้ ัญหาเหลา่ นีย้ งั อาจเกิดขนึ้ เวลาท่ีคนไทย พดู ภาษาต่างๆ ภาษาประเทศอ่ืนๆ ท่ีคลา้ ยกบั ภาษาเยอรมนั ดว้ ย (เช่น ภาษาองั กฤษ) ผเู้ ขียนเองไดท้ าํ การทดลองใหเ้ จา้ ของภาษาจาํ นวน 5 คน (คนสวิส 3 คน และคนเยอรมนั 2 คน) ฟังภาษาเยอรมนั ของผู้ บอกภาษาท่ีผูเ้ ขียนบนั ทึกไว้ แลว้ กรอกขอ้ ความท่ีหายไป ซ่ึงผลปรากฏว่ามีหลายคาํ ท่ีเจา้ ของภาษา เหลา่ นนั้ ฟังไมเ่ ขา้ ใจ ทงั้ ท่ีสามารถยอ้ นฟังบทสนทนาแตล่ ะบทไดห้ ลายรอบ แตห่ ลงั จากการทดลองในครงั้

122 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ นี้ เจา้ ของภาษาเลา่ ใหผ้ เู้ ขียนฟังวา่ เม่ือใดก็ตามท่ีไดย้ ินเสียงคนพดู ภาษาเยอรมนั ท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยกบั ผู้ บอกภาษาในการวิจยั ของผเู้ ขียน พวกเขามกั จะทราบทนั ทีวา่ เป็นคนไทย การเปรียบเทียบระบบเสียงของภาษาทั้งสองนี้ ตลอดจนการนาํ เสนอตัวอย่างการออกเสียง ผดิ เพีย้ นแบบตา่ งๆ ในครงั้ นีจ้ งึ ควรจะนาํ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการเรยี นการสอนภาษาเยอรมนั สาํ หรบั คนไทย กลมุ่ อ่ืนๆ ดว้ ย ผสู้ อนไมค่ วรจะทาํ ตวั ใหต้ นเคยชินกบั ขอ้ บกพรอ่ งตา่ งๆ เหลา่ นี้ แตค่ วรท่ีจะเขม้ งวดและม่งุ แกไ้ ขปัญหาต่างๆ เหล่านีข้ องผูเ้ รียนใหต้ รงจุด ในการวิจยั ครงั้ นีเ้ ป็นการเก็บขอ้ มลู จากกล่มุ ผูเ้ รียนท่ีไม่ คนุ้ เคยกบั การเรียนในชนั้ เรยี นจึงอาจมีปัญหาในการออกเสียงมากกว่ากรณีของนกั เรียนหรอื นกั ศกึ ษาท่ี เรียนภาษาเยอรมนั ในสถาบนั การศึกษา เน่ืองจากผเู้ รียนท่ีมีการศึกษาสงู กว่าก็มิอาจมองขา้ มปัญหา ตา่ งๆ เหลา่ นีไ้ ด้ หากตอ้ งการท่ีจะออกเสยี งภาษาเยอรมนั ใหใ้ กลเ้ คยี งเจา้ ของภาษามากท่ีสดุ

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 123 ตอนที่ 3 แบบฝึ กหัดสาํ หรับทบทวนความรู้

124 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 125 แบบฝึ กหดั ที่ 1 I. Transkribieren Sie die folgenden Wörter in phonetischer Umschrift: Rad Menge Achtung Stiefmutter Eisenbahn Raucher südlich König Milchtopf ziehen Hexe Vieh Sonntag Genie Schwanz Übungsbuch Tasche Häuschen II. Versuchen Sie, den folgenden Text in phonetischer Schrift umzuschreiben. 1 Ich ging im Walde 2 So für mich hin, 3 Und nichts zu suchen, 4 Das war mein Sinn. 5 Im Schatten sah ich 6 Ein Blümchen stehn, 7 Wie Sterne leuchtend, 8 Wie Äuglein schön. 9 Ich wollt es brechen, 10 Da sagt' es fein: 11 Soll ich zum Welken 12 Gebrochen sein? (Johann Wolfgang von Goethe: Gefunden)

126 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ แบบฝึ กหดั ที่ 2 I. Beschreiben Sie die Konsonanten im Deutschen anhand der Stimmhaftigkeit, Artikulationsstelle und Artikulationsart. Geben Sie dazu auch jeweils drei Beispielwörter. Zeichen Artikulationsbeschreibung Beispiele Stimmhaftigkeit Artikulationsort Artikulationsart Papst, Opa, Typ Ball, aber, Ebbe  stlimmloser bilabialer Plosiv  Stimmhafter bilabialer Plosiv                       II. Geben Sie zu den folgenden Lauten jeweils das Zeichen für das stimmhafte Gegenstück an: [] [] [] [] [] []

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 127 III. Ordnen Sie die folgenden Ausdrücke einander zu (z. B. 2) Zähne = f) dental): 1) Lippe 2) Zähne 3) Zahndamm 4) harter Gaumen 5) weicher Gaumen 6) Zäpfchen 7) Glottis a) glottal b) uvular c) velar d) palatal e) alveolar f) dental g) (bi-)labial IV. Welche Angaben sind zur artikulatorischen Beschreibung von Vokalen notwendig? V. Geben Sie zu den folgenden Vokalen jeweils das Zeichen für das gerundete Gegenstück an: [] [] [] [] VI. Unterstreichen Sie alle langen Vokale im folgenden Text. Über sieben Brücken musst du gehn Sieben dunkle Jahre überstehn Sieben mal wirst du die Asche sein Aber einmal auch der helle Schein. VII. Transkribieren Sie den folgenden Text. Ich kam in diese Welt herein, Mich baß zu amüsieren, Ich wollte gern was Rechtes sein Und mußte mich immer genieren. Oft war ich hoffnungsvoll und froh, Und später kam es doch nicht so. Nun lauf ich manchen Donnerstag Hiernieden schon herummer, Wie ich mich drehn und wenden mag, ‘s ist immer der alte Kummer. Bald klopft vor Schmerz und bald vor Lust Das rote Ding in meiner Brust. (Wilhelm Busch)

128 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ แบบฝึ กหดั ที่ 3 I. Wie sehen passende phonetische Zeichen zu den folgenden Beschreibungen aus? stimmloser velarer Frikativ stimmhafter bilabialer Nasal stimmloser glottaler Plosiv langer gespannter gerundeter hoher Hintervokal II. Was unterscheidet die beiden Laute? [] und [] [] und [] [] und [] [] und [] [] und [] III. Welcher Laut gehört nicht in die jeweilige Reihe? Begründen Sie Ihre Antwort. [], [], [], [] [], [], [], [] [], [], [], [] [], [], [], [] [], [], [], [] IV. Geben Sie 2 Beispiele mit verschiedenen Schreibungen für []. V. Geben Sie 2 unterschiedliche Schreibungen für den Laut []. VI. Geben Sie jeweils ein Beispielwort mit einem Lateral im Anlaut und im Auslaut. VII. Nennen Sie 4 deutsche Frikative, die es im Thailändischen nicht gibt. VIII. Welche Wörter wurden hier transkribiert? [] [  ] IX. Wann wird <ch> als [x] gesprochen? Geben Sie Beispiele dazu. X. Schreiben Sie die phonetische Transkription des folgenden Satzes Wenn die Muse Muße hat, muss sie meistens Mus essen. XI. Schreiben Sie die phonetische Transkription der angegebenen Wörter Ehepaar [ ] charmant [ ] faszinieren [ ] Eigelb [ ] ringsum [ ] Küsschen [ ] braunäugig [ ] Halskette [ ]

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 129 แบบฝึ กหดั ที่ 4 1) Nennen Sie 2 gerundete Vordervokale im Deutschen. 2) Nennen Sie alle Frikative im Deutschen. 3) Nennen Sie alle Diphthonge und geben Sie dazu jeweils ein Beispiel. 4) Geben Sie 2 Beispiele mit verschiedenen Schreibungen für []. 5) Der Laut [s] wird im Deutschen mit <s>, <ss> oder <ß> geschrieben. Geben Sie jeweils ein Beispiel dafür. 6) Sind [] und [] zwei verschiedene Phoneme im Deutschen? Begründen Sie Ihre Antwort. 7) Geben Sie jeweils ein Beispielwort für folgende Silbentypen. nackte/offene Silbe bedeckte / geschlossene Silbe 8) Geben Sie Beispielwörter für folgende Silbenstrukturen: KV KVK KVKK KKVKK KKKVKK 9) Schreiben Sie die phonetische Schrift und den Hauptakzent der folgenden Wörter: beachtlich Philosophie Klischee Genossenschaft 10)Warum ist das [a] bei kann kurz und bei Kahn lang?

130 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ แบบฝึ กหดั ที่ 5 I. Sind Rat und Rad ein Minimalpaar? Begründen Sie Ihre Antwort. II. Was ist „Auslautverhärtung“? Erklären Sie den Begriff und geben Sie 2 Beispiele dafür. III. Was ist „progressive Assimilation“? Erklären Sie den Begriff und geben Sie 2 Beispiele dafür. IV. Markieren Sie in den folgenden Wörtern die Silbe mit dem prägenden Wortakzent! Keimling, Entnahme, Klapper, Gewerbe, beleuchten, entziffern, ärmlich, Genossenschaft, Bericht, Verzeichnis, scherzhaft, missverstehen, gefrieren Ursache, halbieren, Bummelei, Urheber, transportieren, Urteil, amtieren, Fischerei, lackieren, ursächlich, Brauerei, Urwald, praktizieren, Zauberei Missgeburt, missgönnen, missgebildet, missgriff, (du) misstraust (mir), (er) missbraucht (ihn), misstönig, Misskredit, missverstehen, missachten untreu, Unsinn, Unmench, unaussprechlich, ungeheuer, Unschuld, unaufschiebbar, ungekocht, unhandlich, Untat, ungepflegt, Unvermögen Manie, Klischee, Tableau, Melodie, Kommando, Genie, Belgien, Akademie, Girlande, Elan, Faktorei, Profi, Philosophie, Milieu, Organ, mondän respektvoll, chemisch, pyramidenförmig, ozonreich, episodenhaft, allergisch, phrasenhaft, Vagheit, pomphaft, apathisch, panikartig, charaktervoll Kriterium, Museum, Trias, Pathos, Chaos, Luxus, Eukalyptus, Präfix, Index, Kodex, Allasch, Gulasch, Kognak, Präsens, Kritiker Alligator, Klassik, Lektoren, Musik, Vektor, Traktor, Inquisitoren, Direktor, Taktik, Republik, Kritik, Alligatoren, Stilistik, Plastik Seebad, Schaufensterschmuck, Sitzfläche, Sprachtheorie, Hauptakzentstelle, fahrtüchtig, Atomkraftwerk, Straßenbahnschienen, tiefgekühlt, himmelblau Schwarzweißfilm, rotgrünblind, Inhalt-Form-Beziehung, Ost-West-Gespräch, blau-weiß, Leipzig-Halle-Airport, Goethe-Schiller-Denkmal V. Erklären Sie, wie der Endlauf der folgenden Satztypen sein soll. Geben Sie dazu jeweils einen Beispielsatz. a) Entscheidungsfrage b) W-Frage c) Nachfrage d) Aussage e) Aufforderung

กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 131 ตอนที่ 4 แบบฝึ กหัดออกเสยี ง (พร้อมแผ่นซดี ปี ระกอบ)

132 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 133 การออกเสียงสระและพยญั ชนะแต่ละเสียง [] [] Kamm Ratten CD Track 001 Stadt/statt kann kam (kommen) rasten (= ausruhen) raten/Raten All Staat Kahn [] = a + K rasten (rasen) a+ K + K Aal [] = a (+ K) a (+ h + K) a+a+K CD Track 002 Nase Straße Abend Sprache Aber Daniel (Name) Atmung sagen Karin (Name) fragen Ahnen Gabel Adel Schwaben (Region) Asien Aachen (Stadt) CD Track 003 Alltag Sachschaden Banane abfahren Vaterland Jahrgang Badewanne Saarland Salat Radfahrer Adam Marmelade CD Track 004 Aber hallo! Nanananana! Was soll denn das! Das kann doch nicht wahr sein! Lass das! Das ist ja allerhand! Mach das ja nicht noch mal! Das war's mal wieder! Ich hab's einfach satt! So ein Saftladen! CD Track 005 Es war an einem langen Samstag. Hans traf Gabi an der S-Bahn. Sie hatten sich mit Anna im Café Adler verabredet. Als sie kamen, saß Anna schon da und trank ein Mineralwasser. Gabi nahm eine warme Schokolade, Hans einen Bananenkuchen. Dann sagte Hans: „Ich lade die Damen ein.“ Er fragte die Bedienung: „Was macht das alles zusammen?“ „Acht Mark achtzig“, antwortete sie „haben Sie es passend?“

134 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ [] [] offen Komma CD Track 006 schoss (schießen) sollen Ofen wollen Koma Sonne Schoß Gott Sohlen Whole [] = o + K dem Sohne o+ K + K Boot [] = o (+ K) o + h (+ K) o + o (+ K) CD Track 007 ob doch Oma Koffer Not von Oder Osten Ohne Olga Ostern Cottbus Schon optisch Dom Volker tot/Tod Bonn Brot Topf Oper Hof CD Track 008 obwohl Ostersonntag Rosenkohl sofort Vollmond Oberpostdirektion Holzofenbrot Oktober CD Track 009 Sonne, Mond und Sterne, ich hab dich ja so gerne. Hab Sonne im Herzen, ob´s stürmt oder schneit, ob der Himmel voll Wolken und die Erde voll Streit. Ringelringel Rosen, süße Aprikosen. CD Track 010 Woher kommt Otto? Otto kommt aus Bonn. Sein Onkel Rolf wohnt in Coburg. Dort gibt es einen großen Bauernhof, wo Rolf Brot holt. Es kostet dort noch vier Mark, obwohl es sonst sechs kostet. Es lohnt sich also. Rolfs großer Sohn Robert arbeitet ab Oktober bei der Post. Otto und Robert wollen zu Ostern nach Polen fahren.

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 135 [] [] Flucht Mutter CD Track 011 Butter Rum flucht (fluchen) Fluss Mut Hund Bruder Sucht Ruhm Fuß [] = u + K Huhn u+ K + K Sucht [] = u (+ K ) u + h (+ K) CD Track 012 uns unten Uhr Ulm Ufer umsonst Urlaub Untergang Ufo Umgang Rudi Luft Schule Stunde Nun Ulla Juli lustig Blume Schluss Zug Stuhl CD Track 013 zusammen Umzug Zukunft Grundschule Zustellung unzumutbar Geburtsurkunde Bundesgesundheitsministerium Untersuchung Kunterbunt Gute Unterhaltung! CD Track 014 Die letzte Stunde in der Grundschule ist Turnunterricht. Unruhig schauen Uli und Ute zur Uhr hinauf. Im Juni und Juli suchen sie nach der Schule unten am Ufer des Flusses Blumen. Da ruft Ute: „Unser Bus zum Fluss hinunter fuhr gerade weg!“ „Da musst du eben zu Fuß gehen“, sagt Uli, „nur Mut, Ute!“ „Unter diesen Umständen habe ich keine Lust“, murmelt Ute und sucht ihre Turnschuhe.

136 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ [] [] Hütte füllen CD Track 015 wüsste Lücke Hüte Ypsilon Fühlen Nymphe Wüste Lüge [] = ü + K + K Typ y+K+K Hygiene ü+K y+K [] = ü (+ K) ü + h (+ K) y (+ K) CD Track 016 übrig Lydia Üben Bücher Rüdiger Lüneburg Übermüden Unterkunft Lübeck üppig Rudi Küche Üblich Rücken Kühe pflücken Rügen Pflügen CD Track 017 Frühstück überfüllt Überglücklich Psychoanalyse Physikübung Synchronübertragung Fünfundfünfzig Nymphen pflücken mit ihren Füßen grüne Nüsse CD Track 018 „Du lügst übrigens“, begrüßt die Pyschologin den Physiker beim Frühstück, „die Hütte ist hellgrün, nicht dunkelgrün.“ Müde geht die Psychologin in die Küche. Wütend kommt sie zurück. „Keinen Würfelzucker gibt es in dieser düsteren Hütte. Nur Bücher, nichts als Bücher.“ Sie drückt ihren Rücken gegen die Tür und macht fünf Minuten Gymnastik. Zum Glück überwindet sie so ihre Müdigkeit. Dann geht sie zu ihrem Physiker und küsst den kühlen Typ.

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 137 [] [] in Mitte CD Track 019 Widder Lippe Ihn still Miete binnen wieder/wider wirr Liebe Stiel/Stil/stiehl Bienen Wir [] i (+ K) [] i + K + K i + e (+ K) i+K i + h (+ K) i + e + h (+ K) CD Track 020 ich bin Ihnen singen Igel billig Mir Inland Ina irre Bier Interesse Kiel Fritz Siehst Vieh CD Track 021 vierundvierzig Siebenlinge Gewinnspiel frisieren Bierwirt Sieglinde Filterpapier Winfried Liebling Kinderspiel Nicht immer ist Frieden in Familien mit vielen Kindern. Wir lieben wilde Tiere. CD Track 022 „Ich liebe Dich“, schrieb Siegfried seiner Freundin Brigitte. Sie wohnt in Kiel, er in Wien. Viele Kilometer liegen zwischen ihnen. „Ich will ihn wiedersehen“, rief Brigitte, und schnell wie der Wind lief sie mit dem Brief hinaus. Ein Taxi bringt sie zum Bahnhof. Im Intercity nach Wien findet sie vier Pfennige. Die will sie Siegfried mitbringen als Zeichen ihrer Liebe.

138 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ [] [] vs. [] [] CD Track 023 Brüder Für Bruder Hüte Fuhr Grüße Hut Schüler Gruß Füße Schule Fuß CD Track 024 Güte spülen Gute führen Spulen schlügen Fuhren Schlugen CD Track 025 Mütter drücken Mutter nützen Drucken würde Nutzen Gründe Wurde Nüsse Grund Küsse Nuss Kuss CD Track 026 Küstenüberflutung Physikunterricht Fütterung Fürstentum Rückenübung Unglücksstunde Würzburg fünfhundertfünfundfünfzig Lüneburg Lückenbüßer CD Track 027 Über fünfhundert Bürger besuchten die Blumenausstellung. Der fünfhunderste Gast war ein Schüler der Blumenfachschule. Er wurde mit einem Rundflug über die Blumenausstellung beglückt. Über Rundfunk durfte er seine Mutter, seinen Bruder und die Mitschüler grüßen. Ein bunter Hut mit duftenden Blüten wurde ihm durch den Bürgermeister überreicht.

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 139 [] [] vs. [] [] vier Tier CD Track 028 spielen liegen Für vielen Tür Riege Spülen Stiele/Stile Lügen Fühlen Rüge Stühle CD Track 029 dienen Biene Dünen sieden Bühne Ziege Süden Kiel Züge Kühl CD Track 030 Brillen Kissen Brüllen (ver-)missen Küssen Kiste Müssen Gericht Küste Nisse Gerüchte Nüsse CD Track 031 Viel Vergnügen Küchentisch Bildhübsch Drüseninfektion Übergewicht Rüdiger Fürstin Tübingen Überfliegen Überlingen Analytikerin Thüringen Mich müssen Sie im Frühling viel in blühenden Wiesen küssen. Diese Frühlingslieder sind für glückliche Mütter mit vielen Kindern.

140 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ [] [] Hölle öffnen CD Track 032 löschen möchten Höhle Götter Öfen östlich Lösen Österreich Mögen Löffel Goethe Köpfe Öl Töchter Vögel Römer [] ö + K Hören ö+K+K Flöte [] ö (+ K) o + e (+ K) ö + h (+ K) CD Track 033 Ölgötze höchstes Können köstliche Brötchen Ölige Stöcke schöne Töchter größere Söhne böse Küche störende Löcher Zwölf Römerinnen und Römer möchten ihre Vögel wöchentlich füttern. CD Track 034 Die Bevölkerung von Österreich möchte höhere Löhne. Wöchentlich werden die Ölpreise erhöht. Sie können die größeren Ölöfen kaum noch benutzen. Öfters hört man Ökonomen sagen, ein König könnte das Problem möglicherweise lösen. CD Track 035 Sah ein Knab´ ein Röslein stehen, Röslein auf der Heiden, war so jung und morgenschön, lief er schnell, es nah zu sehn, sah´s mit vielen Freuden. Röslein, Röslein, Röslein rot, Röslein auf der Heiden. (Johann Wolfgang von Goethe)

กรกช อตั ตวริ ยิ ะนภุ าพ 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั 141 [] [] [] Welt wählt Bett quälen CD Track 036 setzen Käse Äpfel Nähte Weht retten Mädchen Beten Mächte ähnlich Sehen Bäche Bären Ehe kämmen kämen Reden Meer/mehr [] [] Beeren e+K+K ä (+ K) Kehren e+K ä + h (+ K) ä+K [] ä+K+K e (+ K) e + e (+ K) e + h (+ K) [] [] aber der CD Track 037 einer lieber Tage verkauft Kommen Brüder Belasten eher Gefallen Klingel Beruf Dusche [] = e [] = er, r in einer in einer unbetonten unbetonten Silbe Silbe CD Track 038 bitter Lager Bitte weiter Lage länger Weite lauter Länge Flieger Laute Fliege CD Track 039 CD Track 040 Hättest du heute Zeit? Peter Schneider interessierte sich Ich würde gerne segeln gehen. für eine Tänzerin. Auch Elke wollte kommen, Er fand sie sehr bezaubernd! mit Carsten, ihrem Onkel. Vor ungefähr vier Tagen Ich werde belegte Brote besorgen, verführte er sie: und du könntest Getränke holen: in seinem Viertürer. Apfelsaft und Sprudel.

142 414205 สทั ศาสตรภ์ าษาเยอรมนั กรกช อตั ตวิรยิ ะนภุ าพ [] vs [] [] vs [] CD Track 041 lösen Möhre Lessen stößt Meere hör Stehst Söhne Heer/her Bösen Sehne Besen Kellner Kölner Mächte möchte Kennen können Wärter Wörter Helle Hölle Fällig völlig [] [] lösen schön CD Track 042 Größe fördern Losen Böden Schon Öfen Große Höhe Fordern Vögel Boden Ofen Hohe Vogel [] [] Blöcke Töchter CD Track 043 Körbe Köpfe Block Tochter Korb Kopf CD Track 044 Die Höhlenmenschen lebten fröhlich in den Höhlen der Berge. Ihre Götter waren die Mächte der Natur. Sie hörten den Vögeln zu und lernten, Flöten zu bauen. Die Hölzer dazu fanden sie an größeren Seen. Die größeren Söhne und Töchter machten daraus Flöten. Ihre Flötentöne klangen schöner als ihre fröhlichsten Wörter.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook