นสิ ติ ทกุ คนตอ งอา นประมวล การสอนอยา งละเอยี ดใหเ ขา ใจ กฎกตกิ าของการเรยี น หากมปี ญ หาใดๆ นิสติ จะไม สามารถอา งไดว า ไมท ราบ ช่ือ ...................................................................................................... หมู ................................................ ลาํ ดับท่ี .............................
ประมวลการสอน ภาคปลาย ปก ารศึกษา 2562 1. คณะ ศลิ ปศาสตรแ ละวิทยาศาสตร ภาควชิ า ศิลปศาสตร สาขาวชิ า ภาษาไทย 2. รหสั วชิ า 01361101 ชอื่ วชิ า (ไทย) การใชภาษาไทยเบอ้ื งตน จาํ นวนหนว ยกติ 3(3-0) (องั กฤษ) Introductory Thai Usage 3. วนั เวลาเรยี น 9-10.30 10.30-12 13-14.30 14.30-16 702 700 M,W LH3-210 LH3-210 825+866 815 LH3-304 LH3-304 Tu,Th 701 703 LH2-203 LH2-203 4. อาจารยผ สู อน - รศ. ดร. ม.ล.จรลั วไิ ล จรญู โรจน [email protected] (ผูจดั การรายวชิ า/ประจําหมู 700, 701, 703) - ผศ.กาญจนา โรจนพานชิ 0297270109 ตอ 3600-4 ตอ7224 - อ.ปท มา เหมือนสมยั [email protected] (ประจาํ หมู 702) - อ.ดร.ภทั รา ปณ ฑะแพทย [email protected] (ประจาํ หมู 815, 825, 866) 5. คาํ อธบิ ายรายวชิ า การฟง การอานอยางมีประสิทธิภาพ การพูดแนะนําตัว การพูดนําเสนอผลงาน และการเขยี นรายงานวชิ าการ
6. กตกิ าในการเรยี นการสอนและการสอบ - การลา การขออนญุ าตสอบ การถอนรายวชิ า ตอ งติดตอ กับผจู ดั การ รายวชิ าเทานน้ั - การลากิจตองสงใบลาลวงหนาเทา น้นั / การลาปวย อนุญาตใหล าเฉพาะ การเจ็บปวยที่ตองรักษาตัวเปนผูปวยในของโรงพยาบาลและตองย่ืนใบลาพรอม ใบรับรองแพทยเพือ่ ขออนญุ าตสอบภายในหนงึ่ สปั ดาหหลงั จากวนั สอบ (นับรวม วันหยดุ ราชการ) - นิสติ ท่ไี ดรับการอนุมัติใหส อบยอ นหลังตอ งสอบดวยขอสอบอตั นัย - นิสิตจะตองตรวจสอบผลคะแนน หากมีขอของใจใหติดตอภายใน 7 วัน นบั จากการประกาศคะแนน มิฉะนน้ั จะถอื วา นสิ ติ ยอมรบั วา ผลคะแนนถูกตองแลว - หากมีขอของใจเก่ียวกับคะแนนหรือผลการเรียนหลังจากสอบปลายภาค แลว ใหนิสิตย่ืนคํารองอยางเปนทางการถึงคณบดีคณะศิลปศาสตรและ วิทยาศาสตรเพื่อขอดูคะแนน - มติของคณะผูสอนในการวินิจฉัยความจําเปนของการลา หรือการอนุมัติ ใหสอบถือเปน เดด็ ขาด - หามใชอุปกรณสือ่ สาร/อา นหนงั สอื วชิ าอื่น/พูดคยุ /และทาํ กิจกรรมอ่นื ๆใน หองเรยี นกอนไดรบั อนญุ าต - รายวิชาน้ีไมมีการเช็กชื่อเขาชั้นเรียน แตเปนหนาที่ท่ีนิสิตจะตองเขาเรียน อยางสม่ําเสมอ ดังนั้นในการสอบจึงอาจมีขอสอบที่ถามเกี่ยวกับการเรียนการ สอนในหอ งเรียนทีน่ สิ ิตไมส ามารถไดร ับขอ มูลไดจ ากการอา นหนงั สือเอง 7. เกณฑก ารประเมนิ ผลการเรยี น
8. เคา โครงรายวชิ า 45 ชวั่ โมง ภาพรวม ทักษะการใชภ าษา หลักภาษา ความรูพ นื้ ฐาน ฟง พูด อา น เขยี น วรรณยุกต สาํ นวนภาษา ฟง บรรยาย การใชภ าษา หนงั สือนอก ใจความสาํ คัญ การทับศพั ท ความสภุ าพ ในโอกาส เวลา และยอหนา รปู และเสียงสระ ตางๆ 9. การวดั ผลสมั ฤทธ์ิ 100 คะแนน พูด (ปฎบิ ตั ิ 10) กลางภาค 40 (80 ขอ) ปลายภาค 50 (100 ขอ) 10. ตารางกจิ กรรม บทเรยี น 40 (80 ขอ ) นอกเวลา 10 (20 ขอ ) week date 700 701 702 703 แนะนํารายวชิ า 815 866 1 11 ธ.ค. 12 ธ.ค. ความรูพืน้ ฐานภาษาไทย การพดู (กาญจนา) รปู และเสยี งสระ 2 16 17 ธ.ค. คําที่มักสะกดผิด แนะนาํ รายวิชา 18 19 ธ.ค. ความรูพ ื้นฐานภาษาไทย การพดู (กาญจนา) 3 23 24 ธ.ค. รปู และเสียงสระ 25 26 ธ.ค. คาํ ทีม่ กั สะกดผดิ 4 6 7 ม.ค. 8 9 ม.ค. 5 13 14 ม.ค. 15 16 ม.ค. 6 20 21 ม.ค. 22 23 ม.ค.
week date 700 701 702 703 815 866 7 ชดเชย สาํ นวนทม่ี ักใชผิด สํานวนท่มี กั ใชผิด สอบกลางภาค 8 3 4 ก.พ. 5 6 ก.พ. 9 10 11 ก.พ. วรรณยกุ ต วรรณยกุ ต 12 13 ก.พ. 10 17 18 ก.พ.. 19 20 ก.พ. 11 24 25 ก.พ. ทบั ศัพทองั กฤษดว ยอกั ษรไทย จับใจความ 26 27 ก.พ. 12 2 3 มี.ค. ทับศพั ทภาษาไทยดว ยอกั ษร 13 4 5 ม.ี ค. 14 9 10 ม.ี ค. โรมนั ทับศพั ทองั กฤษดว ยอักษรไทย 15 11 12 มี.ค. 16 17 มี.ค. การทบั ศัพทสนั สกฤตดว ยอกั ษร ทับศพั ทภ าษาไทยดวยอกั ษร 18 19 มี.ค. โรมนั โรมนั 23 24 ม.ี ค. 25 26 ม.ี ค. จับใจความ การทบั ศัพทส ันสกฤตดว ย อกั ษรโรมัน สอบปลายภาค 11. เอกสารทใ่ี ช เอกสารคาํ สอน : 01361101 ภาคปลาย 2562 Application : พจนานกุ รมราชบัณฑติ ยสถาน / อานอยางไรเขยี นอยา งไร ขอ มลู จาก www.royin.go.th : หลักเกณฑการทบั ศพั ทภาษาองั กฤษ / หลกั เกณฑการถอดอักษรไทยเปน อกั ษรโรมนั แบบถา ยเสียง
หนงั สอื นอกเวลา : เรอ่ื งเลา จากยอดภเู ขานา้ํ แขง็ โดยผเู ขยี น ดาวเดยี วดาย ราคา 175 บาท นิสิตจะตองอานหนังสือนอกเวลาดวยตนเอง จะไมมีการ เรียนเก่ียวกับหนังสือนอกเวลาในช้ันเรียน และจะสอบ หนงั สือนอกเวลารวมกบั การสอบปลายภาค นิสิตสามารถซ้ือจากรานหนังสือชั้นนํา เชน ราน se-ed รานนายอินทร ราน kinokuniya (สั่งออนไลนจากราน หนังสือดังกลาวจะไดราคาถูกกวา 175 บาท/เลม แตควร ส่ังซ้ือพรอมกนั หลายคน เพ่ือชวยกันหารคาสง) หรือขอยืม จากสํานกั หอสมดุ กําแพงแสน ลงนาม.............................................................. (รศ. ดร. ม.ล. จรลั วิไล จรญู โรจน)
สารบั 1 10 ความรูพนื้ ฐานเก่ียวกบั ภาษาไทย 20 รูปและเสยี งในภาษาไทย 41 การพูดในโอกาสตา งๆ 50 คําท่ีมกั สะกดผิด 58 สํานวนทีม่ ักใชผ ิด 65 แบบฝกหดั ทบทวนสําหรับสอบกลางภาค 88 วรรณยุกต 123 การทับศัพท 137 ใจความสาํ คญั และยอหนา แบบฝกหัดทบทวนสาํ หรบั สอบปลายภาค
1 บทนาํ โดย รองศาสตราจารย ดร. ม.ล. จรลั วไิ ล จรญู โรจน ทาํ ไมตอ งเรยี นภาษาไทย ภาษากับความคิดมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซ้ึง ความเคยชินด้าน ภาษาเป็นความเคยชนิ ที่ฝังลึกทสี่ ุด ปรับเปลีย่ นยากทส่ี ุด โดยเฉพาะอย่างย่ิง ภาษาท่ีเปน็ ภาษาแม่ (native language) คนท่เี ข้าใจประเดน็ น้ีจะมองคนอื่น ผ่านภาษาเพราะเข้าใจดีว่าจะเห็นความคิดจริงๆท่ีอยู่ลึกท่ีสุดได้มากกว่าการ มองผ่านสง่ิ อืน่ (เราเองก็ใช้หลกั การน้มี องคนอนื่ ได้เชน่ กัน) และเพราะภาษากับความคิดมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง การ ปรับความคิดของเราเองจะส่งผลต่อภาษาท่ีเราใช้ และถ้าเราปรับภาษาที่ เราใช้ ความคดิ เรากจ็ ะเปล่ียนตามไปอยา่ งชา้ ๆดว้ ย ดังนั้นไม่ว่าเราจะเรียนวิชาเอกภาษาอะไร (หรือแม้แต่ไม่ใช่วิชาเอก ด้านภาษา) แต่ถ้าเราเป็นคนไทย เราคิดด้วยภาษาไทย เราใช้ภาษาไทยใน ชีวิตประจําวนั ภาษาท่ีจะมีผลต่อตัวเรามากท่ีสุดก็คือภาษาไทย เราอาจใช้
2 ภาษาอื่นเพื่อทํางานหารายได้ แต่ภาษาไทยเป็นภาษาที่เราใช้ในชีวิตจะมี ปฏสิ มั พันธ์กับผ้อู ืน่ เปน็ ภาษาท่คี นอ่ืนใช้ตัดสินว่าเราวา่ เราเป็นคนอย่างไร มีผใู้ ช้ pantip.com รายหน่ึงต้งั กระทู้ดงั นี้ อุบาทว พ่ึงรูวาแฟนเงินเดือนแค 17000 บาท ท้ังที่อายุ 32 ปแลว อยากเลิกกบั มนั มากๆ ตอนเชาแฟนอาบน้ําไปทํางาน เราแอบเห็นsmsเงินเขาที่มือถือเคา 17355บาท พออาบนา้ํ เสร็จเราดาไปวา ไอช่ัว ไหนบอกเงินเดือน3หมื่น มัน ทําหนาเจ่ือนๆสารภาพวาถาบอกเงินเดือนนอย กลัวเราจะไมคบ เราก็สงสัย ทําไมอยหู อราคาแค 4000 ตอนนอ้ี ยากเลิกมากๆ ไมนาใหม ัน yesไปหลายครั้งเลย จนก็จน อายุ 32รายไดแค 17000 ตอ เดือน ผลก็คือมีผู้เข้ามาให้ความเห็นมากมาย แต่ส่วนมากนอกจากไม่ เข้าข้างเจ้าของกระทู้แล้วก็ยังด่าว่าด้วยถ้อยคํารนุ แรง โจมตีว่าเจา้ ของกระทู้ เห็นแก่เงิน โดยแทบไม่มีใครสนใจประเด็นที่ว่าเจ้าของกระทู้ถูกคนรัก หลอกลวงเลย ขอนิสิตลองสมมตุ ติ ัวเองเป็นเจ้าของกระทู้ แลว้ เขียนกระทู้น้ขี ้ึนใหม่ ดว้ ยภาษาท่ีทําใหต้ นเองเปน็ ฝ่ายถูก เพื่อไดร้ บั ความเห็นใจจากผูอ้ า่ น ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... ......................................................................................................................
3 ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... นอกจากนั้นการมีความรู้ภาษาไทยดีก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า “สอบ วิชาภาษาไทยได้คะแนนสูง” แต่อย่างเดียว แต่เป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่า เรามีความใฝ่รู้ แปลว่าเราช่างสังเกต แปลว่าเราใส่ใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เพราะความรู้ภาษาไทยในระดับพ้ืนฐานหาได้รอบๆตัวเราซึ่งอยู่ในประเทศ ไทย การเขียนผิด ใช้คําผิดความหมาย (ในกรณีของคําทั่วไป ไม่ใช่คํายากๆ ในวรรณคดี) จงึ แสดงถึงความไม่ใส่ใจ ไม่ชา่ งสังเกต คนไทยจํานวนมากเข้าใจผิดว่าภาษาไทยเรียนยาก กว่า ภาษาต่างประเทศ แท้ที่จริงแล้วภาษาทุกภาษามีส่วนทั้งที่ยากและง่าย เพียงแต่เมื่อคนไทยเรียนภาษาไทยนั้น เราเรียนในฐานะ “เจ้าของภาษา” หมายความว่าต่อให้ไม่ต้องเรียนในห้องเรียนเลย เราก็ฟังพูดอ่านเขียน ภาษาไทยได้อยู่แล้ว การมาเรียนภาษาของเราเองในมหาวิทยาลัยจึงถือว่า เป็นการเรียนข้ันสูง เป็นการเรยี นเพ่ือให้เราใชภ้ าษาได้ดีกว่ามาตรฐาน จึง เปรียบเทียบไม่ได้กับการเรียนภาษาต่างประเทศซ่ึงไม่ใช่ภาษาของเรา เพราะเป้าหมายของการเรียนภาษาต่างประเทศมักจะเป็นการศึกษาระดับ ต้น คือมีเป้าหมายเพียงการสื่อสารได้
4 ให้นิสิตฟังคลิปเกี่ยวกับส่ิงที่เกิดข้ึนกับภาษาฟิลิปิโน (Filipino) ซึ่ง เป็นภาษาประจําชาติของประเทศฟิลปิ ปินส์ แล้วสรปุ ส้นั ๆ ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... รจู ักกับภาษาไทย ภาษาเกือบทุกภาษาในโลกเกิดและวิวัฒนาการตามธรรมชาติ มิได้ เกิดขึ้นมาจากการท่ีใครคนใดคนหน่ึงประดิษฐ์ขึ้นมา ภาษาไทยก็เช่นกัน
5 ภาษาไทยเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ได้มีใครคนใดคนหน่ึงสร้างข้ึน แต่คน ไทยจํานวนมากเข้าใจผิดว่าพ่อขุนรามคําแหงสร้างภาษาไทยขึ้น ท่ีจริงแล้ว พ่อขนุ รามคาํ แหงเพยี งแค่ประดิษฐ์อกั ษรไทยข้นึ เทา่ นัน้ เอง ก่อนท่ีพ่อขุนรามคําแหงจะประดิษฐ์ตัวอักษรไทยข้ึน คนไทยที่มี การศึกษาสามารถเขียนและอ่านภาษาไทยได้ด้วยการใช้ตัวอักษรของภาษา อน่ื มาเขียนภาษาไทย เชน่ อักษรของภาษาขอม (เขมร) ตอ่ ไปน้ี ตา มี ปู นา ɳ មី បួ ʇ ภาษาไทย(Thai) เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลไท (Tai) เช่นเดียวกับ ภาษาอีกหลายๆภาษาเช่น นุง โท้ ไทใหญ่ ไทดํา แสก ไทโซ่ง ลื้อ พ่าเก่ ลาว ฯลฯโดยท่ีในตระกูลภาษาไทนี้มีเพียงภาษาไทยกับภาษาลาวที่เป็น ภาษาราชการของประเทศ ภาษาอืน่ ๆในตระกลู ไทล้วนแต่อยู่ในฐานะภาษา ของชนกลุ่มน้อย ทําใหเ้ รามกั ไมค่ ่อยรูจ้ ักภาษาเหล่าน้ี ภาษาในตระกูลเดียวกันจะมีลักษณะคล้ายกันในด้านต่างๆเพราะ วิวัฒนาการมาจากภาษาด้ังเดิมเดียวกันในอดีต เช่นเดียวกับที่ภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ดัชต์ สเปน อิตาเลียน บาลี สันสกฤต ฮินดี ฯลฯ อยู่ใน ตระกลู อินโดยโุ รเปียนด้วยกนั และมีความคล้ายคลึงกนั ดังตวั อยา่ งต่อไปนี้ องั กฤษ บาล/ี สนั สกฤต เยอรมนั ความหมาย wit, wise ตร/ี ไตร drei สาม wissen รู้, ฉลาด นาสิก Nase จมกู name Name ช่อื ตารา Stern ดาว
6 องั กฤษ บาล/ี สนั สกฤต เยอรมนั ความหมาย mortal, murder Mord ตาย นว neu ใหม่ middle mitte กลาง มาส Monat, Mond เดือน, จนั ทร์ วาตะ Wind ลม การท่ีพบคําภาษาบาลี สันสกฤต เขมร จีน มากมายในภาษาไทย เกิดจากการขอยมื คํา ไมใ่ ชเ่ พราะมาจากตระกูลเดียวกัน ภาษาเขมรอยู่ใน ตระกูลภาษามอญ-เขมร สว่ นภาษาจนี อยู่ในตระกลู ภาษาจีน-ทเิ บต ภายในตระกูลภาษาหนึ่งๆ จะมีตระกูลย่อยๆลงไปอีก (เหมือนกับ ท่ีคนในตระกูลเดียวกันแบ่งย่อยเป็นหลายครอบครัว) และโดยท่ัวไปแล้ว ภาษาในตระกูลย่อยเดียวกันก็มักจะมีความคล้ายคลึงกันมากกว่าท่ีจะคล้าย กบั ภาษาตา่ งตระกูลย่อยในตระกูลใหญเ่ ดยี วกัน ระหว่างภาษานุง ไทดํา ไทหย่า ภาษาใดเป็นญาติใกล้ชิดที่สุดของ ภาษาไทย ภาษาใดเปน็ ญาตทิ ห่ี ่างท่ีสุด ....................................................... ภาษาในตระกูลไทแม้จะไม่ค่อยได้เป็นภาษาราชการของประเทศ แต่ก็นับว่ามีความก้าวหน้าในตัวภาษาค่อนข้างมาก เพราะหลายภาษาใน ตระกลู ไทมีตวั อักษรของตัวเองดังต่อไปน้ี (นิสติ จะยังเหน็ อักษรล้านนาใช้ใน ปา้ ยต่างๆหลายจังหวัดในภาคเหนือ)
7 เมอ่ื เปรยี บเทียบภาษาไทยกับภาษาอ่ืนๆ... ดา้ นการมีวรรณยกุ ต์ จาก 527 ภาษา 220, 42% 307, 58% มีวรรณยุกต์ ไม่มวี รรณยุกต์
ดา้ นการมีลกั ษณนาม 8 จาก 400 ภาษา 140, 35% 260, 65% ไม่มีลกั ษณนาม มลี ักษณนาม ดา้ นการมีกาล (tense) จาก 1131 ภาษา 152, 13% 979, 87% ไม่มี tense มี tense
9 ด้านการเรยี งคาํ VOS, 13, OVS, 3, 1% จาก 402 ภาษา OSV, 1, 0% 3% VSO, 37, SOV, 180, 9% 45% SVO, 168, 42% ด้านจาํ นวนระยะของคาํ ชีเ้ ฉพาะ ไมม่ รี ะยะ, 7, 3% 5 ระยะ, 4, 2% จาก 234 ภาษา 2 ระยะ, 4 ระยะ, 8, 127, 54% 3% 3 ระยะ, 88, 38%
10 รปู และเสียงในภาษาไทย การสะกดคาํ ในหนงั สอื เรยี นภาษาไทย แปลงจากสเตตสั ของ Jaralvilai Dao Charunrochana 16 ก.พ.2560
11 มีใครคนนึงมากระซิบถามใน inbox ว่าหนังสอื เรียนภาษาไทย (ตาม ภาพ) ท่ีแชร์ๆกันว่ามันผิดนั้นมันผิดยังไงหรือ เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยเก่ง ภาษาไทย ดูไม่ออกว่ามันผิดตรงไหน แม้จะดูรู้ว่ามันมีอะไรแปลกๆก็ตามก็ เลยขออนุญาตคนคนน้ันว่าจะตั้งสเตตัสตอบก็แล้วกัน คนอ่ืนๆที่ไม่รู้จะได้รู้ ไปด้วย คืออย่างนี้ค่ะ ภาษาไทยเราเป็นภาษาท่ีมีการวางตําแหน่งสระ ค่อนข้างซับซ้อนอยู่สักหน่อย เราจะเอาสระวางไว้ท้ัง หน้า หลัง บน ล่าง ของพยญั ชนะ ตามแต่วา่ เป็นสระอะไร เชน่ กา -- สระอา อยหู่ ลัง เกยี -- สระเอยี อยู่หนา้ บน และ หลงั กี -- สระอี อยู่บน กู -- สระอู อยลู่ ่าง เกอ -- สระเออ อยู่หน้าและหลงั เก -- สระเอ อยหู่ นา้ แต่ถ้าถามว่าในการออกเสียงจริงๆของคนเรา (ทุกชาติทุกภาษา) เราออกเสียงอะไรก่อน บอกได้เลยค่ะว่าออกเสียงพยัญชนะต้นก่อน ตาม ด้วยสระ และพยัญชนะท้าย (ถ้ามี) ก็ตามหลังมา ดังตัวอย่างคลื่นเสียง พยางค์ “เน” ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็น “เน” ใน “เนรคุณ” หรือ “เนติบัณฑิต” หรือ “ne” ในภาษา Esperanto ที่แปลว่า “ไม่” ก็ออกมาเป็นคล่ืนเสียงแบบเดียวกันนี้ ดังนั้นเราคงต้องยอมรับว่าภาษาอังกฤษเค้ามีระบบการเขียนตําแหน่งของ สระ-พยัญชนะที่ตรงกับธรรมชาติการออกเสียงจริงมากกว่าภาษาไทย เพราะจะเรียง พยัญชนะต้น - สระ - พยัญชนะท้าย ในการเขียนเสมอ ตรง ตามคลน่ื เสียง แต่ภาษาไทยนน้ั สระสามารถมรี ปู เขยี นที่วางไว้หน้าบ้าง หลงั บา้ ง บนบ้าง ลา่ งบา้ ง
12 หากเราจะออกเสียงการสะกด (ไม่ว่าภาษาอะไร) เราจึงควรออก เสียงเรียงลําดับตามการออกเสียงจริง คือ พยัญชนะต้น - สระ - พยัญชนะ ท้าย แม้ว่ารูปเขียนในภาษาของเราอาจจะเอาสระวางไว้เกลื่อนกลาดรอบ พยัญชนะก็ตาม เชน่ เก -- กอ เอ เก ไมใ่ ช่ เอ กอ เก โก -- กอ โอ โก ไมใ่ ช่ โอ กอ โก แก -- กอ แอ แก ไมใ่ ช่ แอ กอ แก ทนี่ ้ี ... กม็ าถงึ คําถามวา่ แล้วทาํ ไมเราไม่ควรสะกด “เงาะ” วา่ “งอ เอ อา อะ” ละ่ เพราะเรามองเหน็ สว่ นทเ่ี ปน็ สระของคํานว้ี ่า เปน็ เ-าะ นี่นะ การจะเร่ืองนไี้ ดต้ อ้ งร้กู ่อนวา่ รปู สระกับเสียงสระตา่ งกนั อย่างไรค่ะ ระบบเสียงปัจจุบันของภาษาไทยเรามีสระท้ังหมด 21 หน่วยเสียง และเราก็มี \"รูป\" ในการเขียนสระทั้งหมด 21 รูป อืมมมม ฟังดูดีนะคะ เพราะเหมือนกับเราจะใช้รูปสระกับเสียงสระตรงกันแบบ 1:1 ได้เลย ก็คง งา่ ยๆ ไม่ซับซอ้ นอะไร แต่... ไม่งา่ ยคะ่ 21 รปู ของเรามนั เปน็ แบบนี้ค่ะ ะ เรยี กวา่ วิสรรชนีย์ ั เรียกว่า ไมห้ ันอากาศ
13 ็ เรียกว่า ไมไ้ ต่คู้ (เลข 8 ไทยตัวเลก็ ๆ) า เรียกว่า ลากข้าง ิ เรียกวา่ พินทอุ์ ิ หรือ พนิ ทุอิ ่ เรียกวา่ ฝนทอง (หน้าตาเหมือนไม้เอก) ํ เรยี กวา่ นิคหิต (กลมๆเล็กๆ) \" เรียกวา่ ฟันหนู หรอื มูสกิ ทันต์ (เหมือนไม้เอกสองตวั เรียงตดิ กนั ) ุ เรยี กวา่ ตีนเหยียด หรือ ลากตนี (เหมือนสระอ)ุ ู เรยี กวา่ ตีนคู้ (เหมอื นสระอู) เ เรียกว่า ไมห้ น้า ใ เรียกวา่ ไม้ม้วน ไ เรียกวา่ ไม้มลาย โ เรยี กวา่ ไมโ้ อ อ เรียกวา่ ตวั ออ ย เรยี กว่า ตัวยอ ว เรียกวา่ ตัววอ ฤ เรียกว่า ตัวรึ ฤๅ เรยี กว่า ตัวรือ ฦ เรยี กว่า ตวั ลึ (ปจั จุบันเลกิ ใชแ้ ล้ว) ฦๅ เรยี กว่า ตัวลอื (ปจั จบุ นั เลิกใชแ้ ล้ว) จํานวน 21 เท่ากัน แต่รูปกับเสียงไม่ได้สัมพันธ์กันแบบ 1:1 อธิบายง่ายๆคือ ให้มอง 21 รูปน้ีเหมือน \"เลโก้\" (ตัวต่อของเล่นเด็ก) คือเรา มักจะตอ้ งเอาเลโกม้ ากกว่า 1 ชิ้นมาประกอบกันเข้าให้กลายเป็นรูปรา่ งต่างๆ แต่กม็ ีบางทที ่ีเราอาจจะใชเ้ ลโก้ชนิ้ เดียวมาใชไ้ ดเ้ ลย
14 มาดูตวั อย่างกนั ก่อนวา่ สระอะไรบา้ งท่ีประกอบด้วยเลโก้ (รูปสระ) ชน้ิ เดียว สระอา ใช้แค่ ลากข้าง สระอิ ใช้แค่ พินท์ุอิ สระเอ ใช้แค่ ไม้หนา้ สระอู ใช้แค่ ตีนคู้ สระทใี่ ช้เลโก้ (รูปสระ) สองช้ินมาประกอบก็เชน่ สระอี ใชพ้ นิ ท์ุอิ + ฝนทอง สระแอ ใชไ้ มห้ นา้ + ไม้หน้า สระเออ ใช้ไมห้ น้า + ตวั ออ สระทใ่ี ช้เลโก้ (รปู สระ) สามช้ินมาประกอบกเ็ ช่น สระแอะ ใช้ไมห้ นา้ + ไม้หน้า + วสิ รรชนีย์ สระเอาะ ใช้ไม้หนา้ + ลากขา้ ง + วสิ รรชนยี ์ สระท่ใี ช้เลโก้ (รูปสระ) สช่ี นิ้ มาประกอบกเ็ ชน่ สระเอีย ใช้ไมห้ น้า + พนิ ทุอ์ ิ + ฝนทอง + ตัวยอ สว่ นสระท่ีใช้เลโก้ (รปู สระ) ห้าช้นิ มาประกอบก็เช่น สระเอือะ ใชไ้ มห้ น้า + พินท์ุอิ + ฝันหนู + ตวั ออ + วสิ รรชนีย์ สระท่ปี ระกอบดว้ ยเลโก้ 0 ชิ้นกม็ นี ะ สระ อะ, โอะ, ออ (ในบางกรณี) ไง คน น่ีสระโอะ [คอ – โอะ – นอ คน] แตไ่ มใ่ ชเ้ ลโกส้ กั ตัว ธนา(คาร) นสี่ ระอะ (ตรงพยางค์แรกอา่ นวา่ ธะ) ก็ไม่ใชเ้ ลโก้1 พร นสี่ ระออ [พอ – ออ – รอ พอน] นก่ี ไ็ ม่ใช้เลโก้สักตัว 1 ธ ใน ธนาคาร จึงมีสระอะ แบบ “ไมป่ ระวิสรรชนยี ์” (ไม่มีรปู วิสรรชนยี )์ แต่ ทะ ใน ทะเล มีสระอะ แบบ “ประวสิ รรชนีย์”
15 ดังนั้น... การเรียกเครื่องหมายเช่น เ ว่า \"สระเอ\" หรือเรียก ะ ว่า \"สระอะ\" ตลอดเวลาจึงไม่ถูกต้อง (แม้ว่าเราจะเรียกแบบลําลองว่าอย่างน้ัน กันทั่วเมืองก็ตาม) เราจะเรียกมันว่าสระเอ สระอะ ได้ก็ต่อเม่ือมันทําหน้าท่ี เป็นสระเอ และสระอะ จริงๆ เชน่ ใน เก เร เบ เว หรอื กะ จะ ตะ ปะ เม่ือไรที่มันมีหน้าตาแบบ เ หรือ ะ แต่ไม่ได้ทําหน้าที่สระเอหรือ สระอะ เราควรเรียกมันตามช่ือของรูปว่า \"ไม้หน้า\" และ \"วิสรรชนีย์\" เช่น เราควรพูดว่า \"เวลาท่ีเราเติมวิสรรชนีย์ลงไปท้ายคํา มันมักจะทําให้เสียงสระส้ัน ลง เช่น แก กลายเป็น แกะ โก กลายเป็น โกะ\" (อย่าพูดว่าเติมสระอะ เพราะในทนี่ ้ี ะ ไม่ไดท้ ําหนา้ ที่ออกเสียง อะ) นี่คือสาเหตุว่าเวลาเราเจอคําว่า \"เสือ\" เราควรสะกดว่า \"สอ เอือ เสือ\" ไปเลย เพราะสระในคํานี้คือสระ \"เอือ\" (อันสร้างมาจากเลโก้รูป ไม้ หนา้ +พนิ ทอุ์ ิ + ฟนั หนู + ตวั ออ) ไม่ใช่ \"สระเอ + สระอือ + ตัวออ\" เคยได้ข่าวมาว่าหนังสือจากแหลง่ เดียวกับในภาพน่ีให้เด็กสะกดเสอื ว่า \"เอ สอ อือ ออ เสือ\" ด้วยนะคะ คือนอกจากไม่รวบ \"ตัวเลโก้\" ออกมา เปน็ \"เสียงสระ\" แล้วกย็ ังกระจายตวั เลโกไ้ ปตามที่ตา่ งๆ ไมเ่ อามารวมไว้ตรง ตาํ แหนง่ สระทีถ่ ูกต้องด้วย ! ในสเตตัสต้นทาง ลองคลิกไปอ่านดู พบบางคนมา comment ว่า ควรจะลองให้โรงเรียนสอนภาษาไทยแนวใหมด่ ู อย่าไปปิดก้นั แล้วกบ็ อกว่า เคยเห็นคนท่เี รียนแนวนม้ี า ก็โตอ่านหนังสือออกได้ ไม่เถียงค่ะ เด็กท่ีเรียนมาแบบน้ีอ่านหนังสือออกแน่ แต่เราไม่ควร หวังแค่ให้เด็กอ่านหนังสือออก เพราะเราไม่ทราบว่าโตขึ้นเขาจะชอบอะไร เรียนอะไร หากเขาไม่ได้เรียนสูงๆในด้านภาษาอาจจะไม่มีปัญหาอะไรนัก
16 แต่ถ้าเขาเกิดอยากจะเรียนในด้านภาษาอย่างลึกซึ้งล่ะ... บอกเลยว่าเด็กที่ แค่อ่านออกมักจะมีปัญหาในการเรียนภาษาไทยระดับสูงค่ะ เพราะพื้นไม่ แนน่ อ่านออกโดยไมเ่ ขา้ ใจหลกั การจริงของภาษา ผู้เขียนหนังสือเรียนนี้เค้าก็ไม่ได้ทําผิดกฎหมายอะไร เค้าแค่หวังดี อยากจะให้เด็กสะกดตาม “รปู ” แตก่ ลบั ไปสับสนระหว่างรูปกบั เสยี ง ถ้าอยากสะกดตามรูป ก็ตอ้ งบอกว่า “เงาะ” เขยี นด้วย “ไม้หนา้ งอ ลากขา้ ง วิสรรชนยี ์” ถา้ จะสะกดตามเสยี ง ก็ต้องบอกวา่ “เงาะ” คือ “งอ เอาะ” แต่ถา้ บอกวา่ “เอ งอ อา อะ” น่ีมันไม่ใช่สักทาง มวั่ กันไปหมด เพาะ มีเสียงสระ ........................ เขียนด้วยรปู สระจํานวน ............รปู คือ ............................................................... อ่านสะกดว่า ...................... เส่อื ม มเี สียงสระ ........................ เขียนด้วยรปู สระจาํ นวน ............รูป คือ ............................................................ อ่านสะกดวา่ ......................... เป๊ียะ มเี สยี งสระ ........................ เขียนดว้ ยรปู สระจํานวน ............รปู คอื ............................................................ อ่านสะกดวา่ ......................... สูบ มีเสียงสระ ...................... เขียนดว้ ยรูปสระจาํ นวน ............ รูป คอื ................................................................ อ่านสะกดว่า ......................... โตะ๊ มเี สียงสระ ........................ เขียนดว้ ยรูปสระจํานวน ............ รูป คอื ................................................................ อา่ นสะกดวา่ ......................... ลอ็ ก มีเสยี งสระ ........................ เขียนดว้ ยรูปสระจํานวน ............ รปู คอื ................................................................ อ่านสะกดว่า ......................... เป็ด มีเสียงสระ ........................ เขียนดว้ ยรปู สระจํานวน ............ รูป คอื ................................................................ อ่านสะกดว่า .........................
17 บัว มีเสียงสระ ........................ เขียนด้วยรูปสระจํานวน ............ รูป คอื ................................................................ อา่ นสะกดวา่ ......................... มพี ยญั ชนะท้ายหรือไม่ ............................ ท่เี หน็ “ว” คอื ........................... เลีย มเี สียงสระ ........................ เขียนดว้ ยรปู สระจํานวน ............ รปู คอื ................................................................ อ่านสะกดว่า ......................... มีพยัญชนะทา้ ยหรือไม่ ............................ ทีเ่ หน็ “ย” คือ ........................... รูปสระที่เปลย่ี นไป จากแบบฝึกหัดท่ีผ่านมา เราจะพบว่าเราบอกได้อย่างง่ายดายว่าคํา ไหนมสี ระอะไร เหน็ -า (ลากขา้ ง) ตวั เดยี วก็เป็นสระอา เห็น เ- (ไม้หน้า) -า (ลากข้าง) -ะ (วิสรรชนีย์) ปรากฏด้วยกันก็ เป็นสระเอาะ แล้วคําวา่ พร คน กนั ฯลฯ ล่ะ เป็นสระอะไร รูปสระหายไปไหน สระภาษาไทยของเรานั้นเมื่อเติมพยัญชนะท้าย จะส่งผลต่อรูปสระ สว่ นมากให้มกี ารลดรูปหรือเปลยี่ นรูปไป ! ไมม่ ี พ.ท้าย มี พ.ทา้ ย เปลย่ี นไหม? อย่างไร? 1 อิ อนิ 2 อี อีน 3 อุ อนุ 4 อู อูน 5 เอะ เอน็ 6 เอ เอน
18 ไมม่ ี พ.ทา้ ย มี พ.ทา้ ย เปล่ียนไหม? อย่างไร? 7 แอะ แอน็ 8 แอ แอน 9 อึ อนึ 10 ออื อนื 11 เออะ - 12 เออ เทอม เอนิ 13 อะ อัน 14 อา อาน 15 โอะ อน 16 โอ โอน 17 เอาะ อ็อน 18 ออ ออน 19 เอียะ - เอยี เอียน 20 อวั ะ - อวั อวน 21 เอือะ - เออื เอือน ในการสะกดตาม “เสียง” เราจึงต้องสะกดด้วยเสยี งสระนั้น เช่น คน : คอ โอะ นอ คน พร : พอ ออ รอ พร เดิน : ดอ เออ นอ เดิน เทอม : ทอ เออ มอ เทอม
19 สวย : สอ อัว ยอ สวย ปัน : ปอ อะ นอ ปนั วยั : วอ อะ ยอ วยั สมั : สอ อะ มอ สัม ท่ีจริงแล้วภาษาไทยไม่มี “เสียง” สระ ไอ และ สระ อํา ส่ิงที่เรา คิดว่าเป็นสระไอน้ันจริงๆคือ สระ อะ ท่ีมี ย เป็นพยัญชนะท้าย และท่ี เราคิดว่าเป็นสระอํานั้นจริงๆคือ สระ อะ ที่มี ม เป็นพยัญชนะท้าย (เรื่องน้ี จะเรยี นอกี ครงั้ ในหวั ขอ้ วรรณยกุ ต)์ แต่ภาษาไทยเรามี “รูปเขียน” ที่เป็นเหมือน “ทางลัด” แทนที่จะ เขียน นัย (วิสรรชนีย์ที่ลดรูปเป็นไม้หันอากาศ + ย) ก็เขียนว่า ไน หรือ ใน ได้ด้วย และแทนที่จะเขียน สัม (วิสรรชนีย์ที่ลดรูปเป็นไม้หันอากาศ + ม) ก็เขียนวา่ สาํ ได้ด้วย แต่ด้วยความนิยม ทําให้ปัจจุบันน้ีตามโรงเรียนต่างๆมักแยกอ่าน สะกดคําเดยี วกนั ที่เขียนคนละแบบ สาํ มกั อ่านสะกดกันวา่ สอ อํา สัม มักอา่ นสะกดกนั ว่า สอ อะ มอ ไน/ใน มักอ่านสะกดกันวา่ นอ ไอ/ใอ2 นยั มักอ่านสะกดกนั ว่า นอ อะ ยอ 2 ในอดตี ไ- กบั ใ- ออกเสียงแตกตา่ งกัน แตป่ จั จบุ นั ออกเสียงเหมอื นกัน เรายงั สามารถพบภาษาไทบางภาษาในประเทศไทยที่ออกเสียงสระสองตวั น้ี แตกตา่ งกัน เชน่ ภาษาผู้ไท แถบจงั หวดั นครพนม มุกดาหาร ฯลฯ
20 การพดู แนะนาํ ตวั โดย ผูชว ยศาสตราจารยก าญจนา โรจนพานชิ ความรูทวั่ ไปเกย่ี วกับการพดู การพูด มีความสําคัญต่อชีวิตมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ ณ ท่ีใด ประกอบกิจการงานใด หรือคบหาสมาคมกับผู้ใดก็ต้องส่ือสารด้วยการพูด เสมอจึงมักพบว่า ผู้ท่ีประสบความสําเร็จในกิจธุระการงาน การคบหา สมาคมกับผู้อ่ืนตลอดจนการทําประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมล้วนแต่เป็นคนท่ี มปี ระสทิ ธภิ าพในการพูดทง้ั สิน้ สว่ นหน่งึ ของการพูดสามารถสอนและฝึกได้ อาจกล่าวได้ว่า การพูดเป็น \"ศาสตร์\" มีหลักการและกฎเกณฑ์ เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะถึงขั้นเป็นที่พอใจอีกส่วนหนึ่งเป็น “ศิลป์” คือ ความสามารถพิเศษหรือศิลปะเฉพาะตัวของผู้พูดแต่ละบุคคล บางคนมี ความสามารถท่ีจะทําผ้ฟู ังให้น่งิ อยู่กับที่จิตใจจดจอ่ อยู่กับการฟังเรือ่ งที่พูด ผู้ พูดบางคนสามารถพูดให้คนฟังหวั เราะได้ตลอดเวลาศิลปะเฉพาะตัวน้เี ป็นส่ิง ที่ลอกเลียนกันได้ยากแต่อาจพัฒนาข้ึนได้ในแต่ละบุคคลซึ่งการพูดที่มี ประสิทธิภาพเกดิ จากการสงั เกตวธิ ีการที่ดีและมโี อกาสฝกึ ฝน องคป ระกอบของการพูด ธรรมชาตขิ องการพดู โดยท่วั ไปมอี งคป์ ระกอบดงั นี้ 1. ผู้พดู ผู้พูดทําหน้าท่ีส่งสารผ่านสื่อไปให้ผู้ฟัง ดังน้ัน ผู้พูด จะตอ้ งมีความสามารถใช้ท้งั ศาสตร์และศิลปะของตนเอง ถ่ายทอดความรู้สึก นึกคิดไปสผู่ ฟู้ งั ใหไ้ ด้อยา่ งสมบูรณ์ครบถ้วน ความสามารถของผพู้ ูดท่ีจะทําให้ ฟังได้เข้าใจมากน้อยแค่ไหนน้ันย่อมข้ึนอยู่กับผู้พูดมีความสามารถในการใช้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150