Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เทอม2

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เทอม2

Published by jatuphon288, 2021-07-22 03:19:20

Description: ilovepdf_merged

Search

Read the Text Version

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ แผนฯ ที่ 3 การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 3 การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ระยะเวลา 3 ช่ัวโมง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชวี้ ดั ว 2.3 ป.6/3 ออกแบบการทดลองและทดลองดว้ ยวิธที เี่ หมาะสมในการอธบิ ายวิธีการและผลของการต่อ เซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรม ป.6/4 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์และ การประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจาวัน 2. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1) อธบิ ายวิธีการและผลของการตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรมได้ (K) 2) ออกแบบการทดลองและทดลองตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรมได้ (P) 3) นาความร้เู รอื่ งการต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรมมาใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจาวนั ได้ (A) 3. สาระการเรียนรู้ การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรม 4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด เมื่อนาเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกัน โดยให้ข้ัวบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หน่ึงต่อกับข้ัวลบของอีกเซลล์ หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรม ทาให้มีพลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกับเคร่ืองใช้ไฟฟ้า ซึ่งการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจาวัน เช่น การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย 5. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 1) ความสามารถในการสื่อสาร 1) การสงั เกต 1) มวี ินัย 2) ความสามารถในการคดิ 2) การทดลอง 2) ใฝ่เรยี นรู้ 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา 3) การพยากรณ์ 3) ม่งุ มนั่ ในการทางาน 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ 4) การลงความเหน็ จากข้อมูล 5) การจดั กระทาและสอ่ื ความหมาย ขอ้ มูล 150

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ แผนฯ ท่ี 3 การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม 6) การตคี วามหมายข้อมลู และลง สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน ขอ้ สรปุ 7) การสรา้ งแบบจาลอง 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้  แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนิค : 5Es Instructional Model ชัว่ โมงท่ี 1 ข้นั นา ข้นั กระตุ้นความสนใจ 1. ทบทวนความร้เู ดมิ ของนักเรียน โดยสมุ่ นกั เรียนออกมา 2 คน ให้ดูบตั รภาพตอ่ วงจรไฟฟ้า และเขียนแผนภาพ วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ยทีห่ น้ากระดาน 2. นกั เรยี นดูแผนภาพวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ยทหี่ น้ากระดาน แลว้ ให้บอกวา่ 2 ภาพนี้ต่างกนั อยา่ งไร 3. นกั เรียนตอบคาถามทิ้งท้ายจากชั่วโมงที่แล้วว่า วงจรไฟฟ้าท่ีมีการใช้ถ่านไฟฉาย 1 ก้อนกับ 2 ก้อน หลอดไฟ สว่างเท่ากันหรือไม่ เพราะเหตใุ ด (แนวคาตอบ ตอบตามความคิดเห็นนักเรยี น) 4. นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นว่า หากเพิ่มจานวนถ่านไฟฉายมากข้ึนจะมีผลต่อความสว่างของหลอดไฟ หรือไม่ 5. ครูสนทนากับนักเรียนเพ่ือนาเข้าสู่กิจกรรมการเรียนรู้ว่า เราจะหาคาตอบได้ว่า หากเพิ่มจานวนถ่านไฟฉาย มากข้ึนจะมีผลต่อความสว่างของหลอดไฟหรอื ไม่ จากกิจกรรมต่อไปน้ี (หมายเหตุ : ครเู รม่ิ ประเมินนกั เรยี น โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล) ขน้ั สอน ขน้ั สารวจค้นหา 1. นักเรยี นแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน แลว้ ศกึ ษาข้ันตอนการทากจิ กรรมท่ี 3 การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบ อนุกรม ในหนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 38 2. นักเรยี นปฏิบัติกิจกรรมท่ี 3 การต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนกุ รม ตอนที่ 1 โดยปฏิบตั ิดังน้ี 1) ส่งตัวแทนกลุ่มมารบั วัสดุ-อปุ กรณใ์ นการทากจิ กรรม ดงั น้ี - หลอดไฟฟ้าพร้อมฐาน 1 ชุด - กระบะใส่ถา่ นไฟฉาย 4 อัน - สวติ ช์ 1 อัน - ถ่านไฟฉาย 4 ก้อน - สายไฟฟา้ พร้อมหวั หนบี ปากจระเข้ 2 เสน้ 151

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ แผนฯ ที่ 3 การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนกุ รม 2) ร่วมกันออกแบบวิธีการทดลองในการต่อถ่านไฟฉาย 2 ก้อน ให้มีลักษณะต่อเรียงกันมา 3 ลักษณะ เพือ่ ทาใหห้ ลอดไฟสว่างขึ้น โดยใช้อุปกรณ์ ได้แก่ หลอดไฟฟ้าพร้อมฐาน ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน สายไฟฟ้า พร้อมหวั หนบี ปากจระเข้ กระบะใสถ่ า่ นไฟฉาย และสวติ ช์ 3) วาดภาพลกั ษณะการตอ่ ถา่ นไฟฉายลงในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 59 4) ช่วยกันคาดคะเนผลว่า การต่อถ่านไฟฉายในลักษณะที่ออกแบบไว้ เมื่อนามาต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้า สามารถทาใหห้ ลอดไฟฟ้าสามารถสวา่ งได้หรือไม่ แล้วบันทกึ ผล 5) ทาการตอ่ วงจรไฟฟา้ ตามท่อี อกแบบไว้ เพ่อื ตรวจสอบผลคาดคะเน และบนั ทึกผล (หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมนิ นักเรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม) ข้ันอธิบายความรู้ 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการทากิจกรรมว่า ลักษณะการต่อวงจรที่ใช้ถ่ายไฟฉาย 2 ก้อน เรียงกันท้ัง 3 ลกั ษณะเป็นอยา่ งไร และเมือ่ ตอ่ วงจรไฟฟา้ ตามที่ออกแบบไว้ผลเป็นอย่างไร 2. นักเรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ - ถ้าต่อถ่านไฟฉาย โดยนาข้ัวบวกต่อกับข้ัวลบ แล้วนามาต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้า หลอดไฟฟ้าจะเป็น อยา่ งไร (แนวคาตอบ หลอดไฟสว่าง) - ถ้าต่อถ่านไฟฉาย โดยนาขั้วบวกต่อกับขั้วบวก แล้วนามาต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้า หลอดไฟฟ้าจะเป็น อยา่ งไร (แนวคาตอบ หลอดไฟไม่สวา่ ง) - ถ้าต่อถ่านไฟฉาย โดยนาข้ัวลบต่อกับข้ัวลบ แล้วนามาต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้าหลอดไฟฟ้าจะเป็น อย่างไร (แนวคาตอบ หลอดไฟไม่สว่าง) 3. นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทากิจกรรมว่า เมื่อนาถ่านไฟฉายมาเรียงต่อกัน โดยให้ข้ัวบวกของเซลล์ไฟฟ้า เซลล์หนง่ึ ตอ่ กับข้ัวลบของอกี เซลลห์ นงึ่ เรียงตอ่ กัน แลว้ นาไปตอ่ เข้ากับวงจรไฟฟ้า จะทาให้หลอดไฟฟ้าสว่าง ได้ แต่ถ้านาถ่านไฟฉายมาเรียงต่อกัน โดยให้ข้ัวบวกต่อกับข้ัวบวก หรือขั้วลบต่อกับข้ัวลบ แล้วนามาต่อเข้า กับวงจรไฟฟ้า หลอดไฟฟา้ จะไม่สว่าง 152

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 3 การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรม ชว่ั โมงที่ 2 ข้นั สอน (ตอ่ ) ข้นั สารวจคน้ หา 1. ทบทวนความรู้เดิมช่ัวโมงท่ีแล้ว โดยครูต่อวงจรไฟฟ้าโดยใช้ถ่ายไฟฉาย 3 ก้อน ให้หันข้ัวบวกเข้าหาขั้วบวก และหันข้ัวลบเข้าหาข้ัวลบ จากน้ันครูให้นักเรียนร่วมกันสังเกต หาข้อผิดพลาดของการต่อวงจรไฟฟ้าว่า เพราะเหตใุ ดวงจรไฟฟ้าทต่ี ่อหลอดไฟจงึ ไมส่ วา่ ง แล้วลงมือแก้ปญั หา 2. นักเรียนตอบคาถามว่า จากการทากิจกรรม จานวนถ่านไฟฉายที่เพ่ิมขึ้นมีผลต่อความสว่างของหลอดไฟ หรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวคาตอบ สว่างมากขึ้น เพราะมีพลังงานไฟฟ้าในวงจรมากข้นึ ) 3. นกั เรยี นปฏิบตั ิกจิ กรรมท่ี 3 การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนกุ รม ตอนท่ี 2 โดยปฏบิ ัติ ดังน้ี 1) แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมารับอุปกรณ์ทากจิ กรรมท่ี 3 การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม ตอนที่ 2 ดงั น้ี - หลอดไฟฟา้ พร้อมฐาน 1 ชุด - กระบะใส่ถ่านไฟฉาย 4 อัน - สวิตช์ 1 อนั - ถา่ นไฟฉาย 4 ก้อน - สายไฟฟา้ พร้อมหัวหนบี ปากจระเข้ 2 เสน้ 2) ร่วมกันระบุปัญหา แล้วต้ังสมมติฐานเก่ียวกับความสัมพันธ์ของจานวนถ่านไฟฉายที่เรียงต่อกันกับ ความสว่างของหลอดไฟฟา้ บันทกึ ผลลงในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 60 3) ร่วมกันออกแบบการทดลองเก่ียวกับการต่อถ่านไฟฉายในวงจรไฟฟ้า เพื่อทาให้หลอดไฟฟ้าสว่างมาก ที่สุด 4) ทาการทดลองตามวิธีท่ีออกแบบไว้ เพ่ือตรวจสอบสมติฐาน จากนั้นวาดภาพการต่อถ่านไฟฉายใน วงจรไฟฟา้ ตามการทดลองและสังเกตความสว่างของหลอดไฟ แลว้ บนั ทกึ ผล 5) ร่วมกนั อภิปรายสรุปผลเกย่ี วกับวธิ กี ารและผลของการตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม และสรปุ ผลของกลุ่ม (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรยี น โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ ) ข้ันอธิบายความรู้ 1. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการทากิจกรรม 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม เป็นการนาเซลล์ไฟฟ้าหลายๆ เซลล์ มาต่อเรียงกัน เพยี งแถวเดยี ว ทาให้กระแสไฟฟา้ เดินทางไปทิศทางเดียว 3. นักเรยี นตอบคาถามวา่ เพราะเหตใุ ด เม่ือเพิ่มจานวนเซลลไ์ ฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า หลอดไฟจงึ สว่างเพมิ่ ข้ึน (แนวคาตอบ หลอดไฟสว่างเพิ่มข้ึนเพราะการต่อเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์จะทาให้มีพลังงานในวงจรมากกว่า การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ เพยี งเซลลเ์ ดียว) 153

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ แผนฯ ท่ี 3 การต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรม 4. นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทากิจกรรมท่ี 3 การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมว่า การเพิ่มจานวนถ่านไฟฉาย 4 ก้อน ในวงจรไฟฟ้า เป็นการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม ทาให้ในวงจรไฟฟ้ามีพลังงานไฟฟ้ามากข้ึนและ ปริมาณกระแสไฟฟา้ ที่ไหลผ่านหลอดไฟมีมากข้นึ ด้วย ส่งผลทาให้หลอดไฟฟ้ามีความสวา่ งมาก 5. นักเรียนทากิจกรรมหนูตอบได้ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 95 หรือทาในแบบฝึกหัด วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 61 (หมายเหตุ : ครูเริม่ ประเมนิ นกั เรยี น โดยการสังเกตพฤติกรรมการรายบคุ คล) ช่วั โมงท่ี 3 ขัน้ สอน (ตอ่ ) ขั้นขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนดูถ่านไฟฉายขนาด 1.5 V และ 9 V ท่ีครูเตรียมมาให้ จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น วา่ ใช้ถา่ นแบบใดต่อกับวงจรไฟฟ้าแล้วจะทาให้หลอดไฟสว่างมากกวา่ 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า เซลล์ไฟฟ้ามีอยู่หลายแบบหลายขนาด ซึ่งแต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งาน แตกตา่ งกนั แต่ในเซลล์ไฟฟ้าทกุ แบบจะมีข้ัวไฟฟา้ 2 ขวั้ คอื ขั้วบวกและขว้ั ลบ 3. ให้นักเรยี นยกตวั อยา่ งอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทใี่ ช้เซลลไ์ ฟฟ้าหลายเซลล์ 4. ครูสนทนากับนักเรียนว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชนิดใช้เซลล์ไฟฟ้าจานวนแตกต่างกัน ให้นักเรียนทากิจกรรม เพ่อื เรยี นรเู้ ก่ียวกับการตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ หลายๆ เซลล์ในอุปกรณไ์ ฟฟ้าในชวี ิตประจาวนั 5. นกั เรยี นทากจิ กรรม “รวมพลังเซลล์ไฟฟา้ ” โดยปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1) นักเรียนแต่ละคนคือเซลล์ไฟฟ้า 1 เซลล์ มีพลังงานไฟฟ้า 1.5 V ด้านขวามือคือข้ัวบวก ด้านซ้ายมือคือ ข้ัวลบ 2) ครูจะสุ่มหยิบบัตรเงื่อนไขขึ้นมา 1 ชิ้น แล้วให้นักเรียนรวมกลุ่มกันให้มีพลังงานรวมมากพอท่ีจะทาให้ อปุ กรณไ์ ฟฟา้ สามารถทางานได้ โดยต้องจับมอื ให้ถูกข้วั และถา้ มีสมาชิกในห้องคนใดไม่มีกลุ่ม ทุกคนจะ ถูกลบคะแนนไปคนละ 1 คะแนน 6. นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทากิจกรรมว่า การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมจะทาให้ผลรวมแรงดันไฟฟ้า (โวลต์) หรือพลังงานไฟฟ้าในวงจรเพิ่มขึ้น เม่ือเราต่อเซลล์ไฟฟ้าท่ีมีกาลังน้อยกว่าเคร่ืองใช้ไฟฟ้าจะไม่ สามารถทางานได้ ถ้าต่อเซลล์ไฟฟ้าที่มีกาลังพอดี ก็จะทาให้เคร่ืองใช้ไฟฟ้าทางานได้ดี แต่ ถ้าเราต่อ เซลลไ์ ฟฟา้ ท่มี กี าลังมากกว่าเครอื่ งใช้ไฟฟา้ อาจทางานหรอื เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ อาจเสยี หายได้ 7. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า เราไม่ควรนาเซลล์ไฟฟ้าเก่ามาใช้ร่วมกับเซลล์ไฟฟ้าใหม่ เพราะจะเป็นสาเหตุทาให้ กระแสไฟฟา้ ในวงจรลดลงได้ เนื่องจากกระแสไฟฟ้ารวมของวงจรจะมีค่าเท่ากับกระแสไฟฟ้าของเซลล์ไฟฟ้า ท่ตี ่าทสี่ ุด 154

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 3 การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนกุ รม 8. ครูตั้งประเด็นให้นักเรียนอภิปรายว่า เซลล์ไฟฟ้าท่ีใช้หมดแล้วควรทาอย่างไร จนได้ข้อสรุปว่า เซลล์ไฟฟ้า เป็นหน่ึงในขยะอันตราย เพราะมีส่วนผสมของสารเคมี หากต้องการท้ิง ควรแยกออกจากขยะประเภทอื่นๆ แลว้ ทาสญั ลักษณ์บอกวา่ เป็นขยะอันตราย เพ่อื ให้หน่วยงานทรี่ ับผิดชอบจะไดน้ าไปกาจัดอย่างถูกวธิ ี (หมายเหตุ : ครเู รม่ิ ประเมนิ นักเรยี น โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ ) ขนั้ สรุป 1. นกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ ความร้จู ากกิจกรรมไดว้ ่า เมอ่ื นาเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกัน โดยให้ขั้วบวกของ เซลล์ไฟฟ้าเซลล์หนึ่งต่อกับข้ัวลบของอีกเซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรม ทาให้มีพลังงานไฟฟ้าเหมาะสม กับเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า ซงึ่ การต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รมสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน เช่น การต่อ เซลล์ไฟฟา้ ในไฟฉาย ขนั้ ประเมิน ข้ันตรวจสอบผล 1. ตรวจบันทึกผลกิจกรรมที่ 3 การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม ในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 60 2. ครูตรวจกจิ กรรมหนูตอบได้ ในสมดุ ประจาตวั นกั เรียนหรือในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เล่ม 1 หน้า 61 7. การวัดและประเมินผล รายการวัด วิธกี าร เคร่อื งมอื เกณฑ์ - แบบฝึกหดั - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 1) กิจกรรมท่ี 3 - ตรวจแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ป.6 - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ วทิ ยาศาสตร์ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 60 - สมดุ ประจาตวั นักเรียน - คุณภาพอยใู่ นระดับดี แบบอนุกรม เลม่ 1 หน้า 60 หรอื แบบฝึกหัด ผ่านเกณฑ์ วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 2) กิจกรรมหนูตอบได้ - ตรวจสมดุ ประจาตวั เลม่ 1 หนา้ 61 - คณุ ภาพอยูใ่ นระดับดี ผ่านเกณฑ์ นกั เรียน หรอื - แบบสังเกตพฤติกรรม การทางานรายบุคคล แบบฝึกหดั - แบบสังเกตพฤติกรรม วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 การทางานกล่มุ เล่ม 1 หน้า 61 3) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล 4) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม การทางานกล่มุ การทางานกลมุ่ หมายเหตุ : แบบสังเกตพฤตกิ รรมประเมนิ รายเทอม 155

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 3 การต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรม 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรยี นรู้ 1) หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 2) แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 3) วสั ดุ-อุปกรณท์ ่ีใชใ้ นกิจกรรมที่ 3 การต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม 4) บัตรภาพตอ่ วงจรไฟฟ้า 5) บตั รเง่อื นไข 6) สมุดประจาตวั นักเรยี น 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรยี น 2) อนิ เทอร์เน็ต 156

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้  แผนฯ ที่ 3 การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม บตั รภาพต่อวงจรไฟฟ้ า 157

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ แผนฯ ท่ี 3 การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรม บตั รเงอื่ นไข ไฟฉาย พดั ลมพกพา  ปริมาณการใชพ้ ลงั งานไฟฟ้า 12 V ปรมิ าณการใช้พลังงานไฟฟ้า 6 V รีโมตเครอ่ื งปรับอากาศ รถบงั คับ ปรมิ าณการใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ 3 V ปรมิ าณการใช้พลังงานไฟฟา้ 9 V วิทยุ นาฬิกาปลุก ปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้า 4.5 V ปริมาณการใชพ้ ลงั งานไฟฟ้า 1.5 V 158

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 3 การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม แบบบนั ทึกหลังแผนการจดั การเรยี นรู้  ด้านความรู้  ด้านสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน  ด้านคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์  ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์  ดา้ นอ่ืน ๆ (พฤติกรรมเด่นหรือพฤติกรรมทม่ี ีปญั หาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ้ามี))  ปญั หา/อุปสรรค  แนวทางการแก้ไข ลงชื่อ..............................................ผู้บนั ทกึ (................................................) ความเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาหรือผู้ทีไ่ ด้รบั มอบหมาย ขอ้ เสนอแนะ ลงช่ือ................................................ (................................................) ตาแหนง่ ................................................. 159

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 4 การต่อหลอดไฟแบบอนกุ รมและแบบขนาน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ ระยะเวลา 3 ชว่ั โมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วดั ว 2.3 ป.6/5 ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีทเ่ี หมาะสมในการอธบิ ายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบ อนกุ รมและแบบขนาน ป.6/6 ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรูข้ องการต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน โดยบอก ประโยชน์ ข้อจากดั และการประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั 2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) อธิบายวิธีการและผลของการตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรมและขนานได้ (K) 2) ออกแบบการทดลองและทดลองตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานได้ (P) 3) ยกตวั อย่างการนาความรู้ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนานมาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (A) 3. สาระการเรียนรู้ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน 4. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รม เม่อื ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงออกทาให้หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือดับท้ังหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟา้ แบบขนาน เม่อื ถอดหลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหน่งึ ออก หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือยังสว่างได้ การต่อ หลอดไฟฟ้าแตล่ ะแบบสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การต่อหลอดไฟฟ้าหลายดวงในบ้านต้องต่อหลอดไฟฟ้า แบบขนาน เพ่อื เลอื กใช้หลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหนึ่งได้ตามต้องการ 5. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1) ความสามารถในการ 1) การสงั เกต 1) มวี ินยั ส่อื สาร 2) การทดลอง 2) ใฝเ่ รยี นรู้ 2) ความสามารถในการคดิ 3) ทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มูล 3) มงุ่ มน่ั ในการทางาน 3) ความสามารถในการ 4) ทกั ษะการตีความหมายข้อมลู และ แก้ปญั หา ลงข้อสรุป 4) ความสามารถในการใช้ ทกั ษะชวี ิต 160

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้  แนวคิด/รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนิค : 5Es Instructional Model ชว่ั โมงที่ 1 ขน้ั นา ขั้นกระตุ้นความสนใจ 1. ครสู ่มุ นักเรยี นออกมา 5-6 คน ใหม้ าต่อหลอดไฟฟา้ ตามแผนภาพวงจรไฟฟ้า 2. นกั เรียนในช้ันเรียนสังเกตความแตกต่างของวงจรไฟฟ้าทง้ั 2 แบบ 3. นักเรียนร่วมกันอภิปรายวา่ การตอ่ หลอดไฟฟ้าท้ัง 2 แบบน้แี ตกตา่ งกนั อยา่ งไร 4. นกั เรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ - นักเรยี นเคยเห็นการต่อหลอดไฟฟา้ แบบนี้ในชีวติ ประจาวันหรอื ไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ตอบตามความคิดเห็นของนกั เรยี น) - การต่อหลอดไฟทใี่ ชป้ ระดับเปน็ การต่อวงจรไฟฟา้ แบบใด และมีวิธกี ารต่ออยา่ งไร (แนวคาตอบ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบคร่อมกัน) 5. ครสู นทนากับนักเรียนเพ่ือโยงเข้าสู่กิจกรรมการเรียนรู้ว่า ถ้านักเรียนอยากรู้ว่าการต่อหลอดไฟฟ้าทั้ง 2 แบบ แตกต่างกันอย่างไร และไฟประดบั เป็นการตอ่ แบบใด เราจะไดเ้ รยี นรู้จากกิจกรรมตอ่ ไปนี้ (หมายเหตุ : ครเู รมิ่ ประเมินนักเรยี น โดยการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล) ข้ันสอน ข้ันสารวจคน้ หา 1. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน แล้วศึกษาขั้นตอนการทากิจกรรมที่ 4 การต่อหลอดไฟฟ้าแบบ อนกุ รมและแบบขนาน ในหนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 100-101 2. นกั เรยี นปฏบิ ัติกจิ กรรมที่ 4 การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน ตอนที่ 1 โดยปฏิบตั ิดังนี้ 1) สง่ ตวั แทนกลุ่มมารบั วสั ดุ-อปุ กรณใ์ นการทากจิ กรรมท่ี 4 การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน ตอนท่ี 1 ดังน้ี - ถ่านไฟฉาย 4 กอ้ น - กระบะใสถ่ า่ นไฟฉาย 4 อนั - หลอดไฟฟา้ พร้อมฐาน 4 ชุด - สายไฟฟ้าพร้อมหัวหนบี ปากจระเข้ 4 เส้น 2) ให้แต่ละกลุ่มออกแบบวงจรไฟฟ้าที่ทาให้หลอดไฟฟ้า 2 ดวงสว่าง มา 2 วงจร โดยแต่ละวงจรต้องมี ลักษณะการต่อท่ีแตกต่างกัน จากนั้นวาดภาพวงจรไฟฟ้าท่ีออกแบบในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 63 161

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ แผนฯ ท่ี 4 การต่อหลอดไฟแบบอนกุ รมและแบบขนาน 3) ช่วยกันคาดคะเนว่า หากถอดหลอดไฟฟ้าดวงหนึ่งออกจากวงจรไฟฟ้าในแต่ละแบบท่ีออกแบบไว้ จะเกดิ ผลอยา่ งไรและบนั ทกึ ผล 4) ตรวจสอบผลการคาดคะเน โดยต่อวงจรไฟฟ้าท้ัง 2 วงจร ตามท่ีได้ออกแบบไว้ จากน้ันถอดหลอดไฟฟ้า ดวงหนึ่งออกจากวงจรไฟฟา้ ในแตล่ ะแบบ สงั เกตและบนั ทึกผล 5) รว่ มกนั อภปิ รายผลการทากิจกรรมจนไดข้ ้อสรปุ ของกลุ่ม (หมายเหตุ : ครูเร่มิ ประเมินนักเรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม) ชัว่ โมงท่ี 2 ขน้ั สอน (ต่อ) ขั้นสารวจค้นหา 1. ทบทวนความรู้เดิมชัว่ โมงทแ่ี ล้ว โดยตอบคาถามต่อไปนี้ - ถ้าต่อหลอดไฟฟ้าแบบเรยี งตอ่ กนั แล้วถอดหลอดไฟฟ้าดวงหน่งึ ออก ผลจะเป็นอยา่ งไร (แนวคาตอบ หลอดไฟทเ่ี หลือจะดับหมด) - เพราะเหตใุ ด เมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงหน่งึ ออก หลอดไฟฟ้าทเ่ี หลอื ก็จะดบั (แนวคาตอบ ตอบตามความคดิ เหน็ ของนกั เรียน) 2. นักเรียนปฏบิ ตั ิกิจกรรมที่ 4 การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน ตอนท่ี 2 โดยปฏบิ ตั ิ ดังน้ี 1) สบื ค้นขอ้ มลู เก่ยี วกบั การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน แล้วร่วมกันอภิปรายถึงผลท่ีเกิดข้ึน จากนนั้ บันทกึ ข้อมูลในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 64 ดงั นี้ - วงจรไฟฟ้าแต่ละแบบที่ไดอ้ อกแบบไวใ้ นตอนที่ 1 เป็นการต่อหลอดไฟฟ้าแบบใด - กระแสไฟฟ้าท่ไี หลผา่ นหลอดไฟฟา้ ในแต่ละแบบเปน็ อย่างไร และส่งผลอย่างไรตอ่ วงจรไฟฟ้า (หมายเหตุ : ครูเริม่ ประเมนิ นกั เรยี น โดยการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่ ) ข้นั อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรียนแต่ละกล่มุ นาเสนอผลการทากิจกรรมและผลการอภิปรายถึงผลทีเ่ กิดข้นึ 2. ครูนาการต่อหลอดไฟฟ้าในขั้นกระตุ้นความสนใจมาให้นักเรียนสังเกตอีกคร้ัง จากนั้นให้นักเรียนอธิบาย ลกั ษณะการต่อวงจรไฟฟา้ และจาแนกว่าเป็นการตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบใด 3. นักเรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ - การต่อหลอดไฟฟ้าแบบเรยี งต่อกนั เป็นการต่อหลอดไฟฟ้าแบบใด (แนวคาตอบ การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรม) - การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละดวงคร่อมกัน เปน็ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบใด (แนวคาตอบ การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบขนาน) 162

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 4 การต่อหลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน - เพราะเหตุใดเมื่อต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม ถ้าถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออก หลอดไฟฟ้า ทเ่ี หลือจึงดบั หมด (แนวคาตอบ เพราะเมื่อถอดหลอดไฟฟ้าออกดวงใดดวงหน่ึง จะทาให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ทาใหว้ งจรไฟฟา้ ไม่ครบวงจร ไฟที่เหลอื จงึ ดับ) - เพราะเหตุใดเมื่อต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน ถ้าถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงออก หลอดไฟฟ้า ทเ่ี หลือจึงไมด่ บั เหมือนการต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรม) (แนวคาตอบ กระแสไฟฟา้ แยกผา่ นแตล่ ะเส้นทางตามสายไฟฟา้ ที่ผา่ นหลอดไฟฟา้ แต่ละดวง) 4. นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทากิจกรรมว่า การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเป็นการต่อหลอดไฟฟ้า แบบเรียงต่อกัน โดยกระแสไฟฟ้าที่ผ่านหลอดไฟฟ้าแต่ละดวงจะมีปริมาณเดียวกัน เม่ือถอดหลอดไฟฟ้า ดวงใดดวงหนึ่งออก จะทาให้หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือดับท้ังหมด เพราะทาให้วงจรไฟฟ้าไม่ครบวงจรและไม่มี กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เป็นการต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละดวงคร่อมกัน ทาให้ กระแสไฟฟ้าแยกผ่านแตล่ ะเสน้ ทางตามสายไฟฟา้ ทีผ่ า่ นหลอดไฟฟ้าแต่ละดวง เม่ือถอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึง ออกจะไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเส้นน้ัน แต่เส้นทางอ่ืนยังมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ ทาให้หลอดไฟฟ้าที่เหลือ ยงั คงสว่างอยู่ 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาข้อมูลเก่ียวกับการต่อวงจรไฟฟ้าแบบต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน จากน้ันวาดภาพกิจกรรมหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีนาความรู้ เร่ือง การต่อหลอดไฟฟ้าแบบต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ ในชวี ิตประจาวัน โดยทาลงในกระดาษแขง็ ขนาด A4 แล้วตกแตง่ ให้สวยงาม 6. นักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอภาพกิจกรรมหรืออุปกรณ์ท่ีนาความรู้ เรื่อง การต่อหลอดไฟฟ้าแบบต่างๆ ไปใช้ ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวัน 7. นักเรียนตอบคาถามท้าทายการคิดขนั้ สงู ว่า การตอ่ หลอดไฟฟา้ ในบา้ นนิยมตอ่ แบบใด เพราะอะไร (แนวคาตอบ การต่อแบบขนาน เพราะเม่อื หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่งึ เสยี หลอดไฟฟ้าดวงอน่ื ยังใช้งานได้) 8. นักเรียนทากิจกรรมหนูตอบได้ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 101 บันทึกลงในสมุด ประจาตวั นักเรียนหรือทาในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 65 (หมายเหตุ : ครูเร่มิ ประเมนิ นกั เรยี น โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล) ชั่วโมงท่ี 3 ขั้นสอน(ต่อ) ขน้ั ขยายความรู้ 1. นักเรยี นแบง่ กล่มุ กลมุ่ ละ 4-5 คน (ใช้กลมุ่ เดมิ ) เพ่อื ทากิจกรรม ชา่ งไฟ ชา่ งคดิ โดยปฏบิ ัติ ดงั นี้ 1) แต่ละกลมุ่ ส่งตวั แทนจับสลากสถานการณง์ านชา่ งไฟ กล่มุ ละ 1 แผน่ 163

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แผนฯ ที่ 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน 2) นกั เรยี นทาความเขา้ ใจกบั สถานการณท์ ี่กาหนดให้ แล้วเขียนแผนภาพการต่อวงจรไฟฟ้าตาม สถานการณ์ท่ีได้รบั ลงในใบงานที่ 3.1 การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน 3) แตล่ ะกล่มุ ส่งตวั แทนออกมารบั วัสดุ-อุปกรณส์ าหรบั ต่อหลอดไฟฟ้าตามสถานการณ์ท่ไี ดร้ ับ 4) ร่วมกันต่อหลอดไฟฟ้าตามสถานการณ์ท่ีได้รับ จากน้ันทดสอบเปิดไฟและตรจสอบว่า การต่อ หลอดไฟฟา้ ของนกั เรียนสามารถใชง้ านได้หรือไม่ ถา้ มีข้อผิดพลาดให้แก้ไขให้ถูกต้อง 5) แต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการทากจิ กรรมในประเดน็ ต่อไปนี้ - ใช้การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบใด พร้อมเหตผุ ล - มวี ธิ กี ารต่อหลอดไฟฟ้าอย่างไร 2. ครูต้ังประเด็นปัญหาว่า การต่อหลอดไฟประดับเป็นการต่อวงจรไฟฟ้าแบบใด จากน้ันให้นักเรียนร่วมกัน อภปิ รายจนไดข้ ้อสรปุ ว่า การต่อหลอดไฟประดบั เปน็ การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม 3. ครูอธิบายเพม่ิ เตมิ วา่ ถ้าต่อหลอดไฟประดับจานวนไม่เกิน 50 ดวง ให้ต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม แต่ถ้า ต่อ หลอดไฟประดับจานวนมากกว่า 50 ดวงข้ึนไปใช้วิธีการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน โดย แบ่งเป็นชุดๆ ชุดละประมาณ 50 ดวงต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมแล้วมาต่อขนานเนื่องจากถ้าเกิดมีหลอด ไฟฟ้าดวงใดดวงหน่งึ เสียหลอดไฟฟ้าก็จะดับเฉพาะชุดนั้นหลอดไฟฟ้าชุดอน่ื ยังสวา่ งอยู่ (หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมินนักเรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม) ขนั้ สรุป 1. นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้จากกิจกรรมได้ว่า การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม เม่ือถอดหลอดไฟฟ้าดวงใด ดวงหน่ึงออก ทาให้หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือดับท้ังหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เมื่อถอดหลอดไฟฟ้า ดวงใดดวงหน่ึงออก หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือยังสว่างได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถนาไปใช้ประโยชน์ ได้ เช่น การต่อหลอดไฟฟ้าหลายดวงในบ้านต้องต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานเพื่อเลือกใช้หลอดไฟฟ้าดวงใด ดวงหนงึ่ ได้ตามต้องการ ขน้ั ประเมิน ขนั้ ตรวจสอบผล 1. ตรวจบันทกึ ผลกจิ กรรมท่ี 4 การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 63-64 2. ครูตรวจกจิ กรรมหนตู อบได้ ในสมุดประจาตัวนกั เรยี นหรือในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 65 3. ตรวจใบงานที่ 3.1 การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน 164

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ แผนฯ ท่ี 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน 7. การวัดและประเมินผล รายการวดั วิธีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์ 1) กิจกรรมท่ี 4 - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ฯ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การต่อหลอดไฟฟ้า วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 ป.6 เลม่ 1 หน้า 63-64 แบบอนกุ รมและแบบ หนา้ 63-64 ขนาน 2) ใบงานที่ 3.1 - ตรวจใบงานท่ี 3.1 - ใบงานท่ี 3.1 - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ การตอ่ หลอดไฟฟ้า การต่อหลอดไฟฟ้าแบบ การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบ แบบอนุกรมและ อนุกรมและแบบขนาน อนกุ รมและแบบขนาน แบบขนาน 3) กจิ กรรมหนตู อบได้ - ตรวจสมดุ ประจาตัว - สมดุ ประจาตวั นักเรยี น - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ นกั เรยี น หรือแบบฝึกหัด หรอื แบบฝึกหัด วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 65 หน้า 65 4) พฤติกรรม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - คุณภาพอยูใ่ นระดบั ดี การทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์ 5) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรมการ - แบบสังเกตพฤติกรรม - คณุ ภาพอยู่ในระดบั ดี การทางานกลุ่ม ทางานกลุม่ การทางานกลมุ่ ผา่ นเกณฑ์ หมายเหตุ : แบบสังเกตพฤตกิ รรมประเมนิ รายเทอม 8. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 ส่ือการเรียนรู้ 1) หนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 3) วสั ดุ-อปุ กรณ์ท่ใี ช้ในกจิ กรรมท่ี 4 การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนาน 4) วัสดุ-อุปกรณ์ทใี่ ช้ในกิจกรรม ช่างไฟ ช่างคดิ 5) ใบงานที่ 3.1 การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน 6) บตั รภาพแผนภาพการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน 7) สลากสถานการณ์งานชา่ งไฟ 8) สมดุ ประจาตัวนักเรียน 8.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หอ้ งเรยี น 2) อินเทอรเ์ น็ต 165

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนกุ รมและแบบขนาน ใบงานท่ี 3.1 การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนาน คาช้แี จง : ใหน้ กั เรยี นเขยี นสถานการณ์และเขียนแผนภาพการตอ่ หลอดไฟฟ้าตามสถานการณท์ ี่ได้รับ สถานการณ์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… แผนภาพการต่อหลอดไฟฟา้ 166

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า เฉลย แผนฯ ท่ี 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนกุ รมและแบบขนาน ใบงานที่ 3.1 การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน คาชแี้ จง : ให้นกั เรยี นเขยี นสถานการณ์และเขยี นแผนภาพการต่อหลอดไฟฟ้าตามสถานการณท์ ่ีได้รบั สถานการณ์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… แผนภาพการตอ่ หลอดไฟฟ้า 167

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า  แผนฯ ท่ี 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนกุ รมและแบบขนาน บตั รภาพแผนภาพการต่อหลอดไฟฟ้ าแบบอนุกรมและแบบขนาน 168

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า  แผนฯ ที่ 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนุกรมและแบบขนาน สลากสถานการณง์ านช่างไฟ ตอ้ งการต่อหลอดไฟฟ้า จานวน 3 ดวง เพ่อื ใชใ้ นบ้าน ต้องการต่อไฟประดับตน้ คริสตม์ าสจานวน 6 ดวง ต้องการต่อหลอดไฟฟา้ จานวน 4 ดวง โดยทีส่ ามารถถอดหลอดไฟฟ้าดวงใด ดวงหน่งึ ออกได้ โดยท่ีหลอดไฟฟ้าดวงทีเ่ หลอื ยังสว่างอยู่ ต้องการต่อหลอดไฟฟ้าแขวนไวท้ ่ีหน้าต่าง 4 ดวง โดยท่ีสามารถถอดดวงใด ดวงหนง่ึ ออกได้ โดยท่ีหลอดไฟฟ้าดวงทีเ่ หลือยังสวา่ งอยู่ ตอ้ งการต่อหลอดไฟฟ้าจานวน 3 ดวง ไว้บนหัวเตยี ง แต่เพือ่ ความปลอดภยั ถ้ามหี ลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงเสยี แล้วให้เปน็ วงจรไฟฟ้าเปิดทนั ที ต้องการต่อหลอดไฟฟา้ จานวน 6 ดวง โดยถ้าถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวง หนง่ึ ออกไฟจะยงั สว่างอยู่ 3 ดวง 169

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แผนฯ ที่ 4 การตอ่ หลอดไฟแบบอนกุ รมและแบบขนาน แบบบนั ทกึ หลังแผนการจัดการเรยี นรู้  ดา้ นความรู้  ด้านสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น  ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์  ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์  ดา้ นอ่นื ๆ (พฤติกรรมเด่นหรือพฤตกิ รรมท่ีมปี ัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี))  ปญั หา/อปุ สรรค  แนวทางการแกไ้ ข ลงชื่อ..............................................ผบู้ นั ทกึ (................................................) ความเหน็ ของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาหรอื ผู้ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ขอ้ เสนอแนะ ลงชื่อ................................................ (................................................) ตาแหนง่ ................................................. 170

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ แผนฯ ท่ี 5 ตวั นำไฟฟำ้ และฉนวนไฟฟำ้ แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 5 ตัวนาไฟฟา้ และฉนวนไฟฟ้า หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า ระยะเวลา 3 ช่ัวโมง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชวี้ ดั – 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1) ระบตุ วั นำไฟฟ้ำและฉนวนไฟฟำ้ ได้ (K) 2) เลอื กใช้วัสดุในกำรต่อหลอดไฟฟ้ำให้สว่ำงได้ (P) 3) นำควำมรู้เกยี่ วกบั เร่ืองพลังงำนไฟฟ้ำมำประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวนั ได้ (A) 3. สาระการเรียนรู้ ตวั นำไฟฟำ้ เปน็ วสั ดทุ ่กี ระแสไฟฟำ้ ผ่ำนได้ ส่วนฉนวนไฟฟ้ำเป็นวัสดทุ ่กี ระแสไฟฟำ้ ผ่ำนไมไ่ ด้ 4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด เม่ือนำวัสดุบำงชนดิ มำตอ่ เขำ้ กับวงจรไฟฟ้ำ จะทำให้หลอดไฟฟ้ำสว่ำง เรียกว่ำ ตัวนำไฟฟ้ำ และเมื่อนำวัสดุ บำงชนดิ ต่อเข้ำกบั วงจรไฟฟำ้ จะทำใหห้ ลอดไฟฟำ้ ไม่สว่ำง เรียกวำ่ ฉนวนไฟฟ้ำ 5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) ควำมสำมำรถในกำรส่ือสำร 1) กำรสงั เกต 1) มีวนิ ยั 2) ควำมสำมำรถในกำรคดิ 2) กำรจำแนกประเภท 2) ใฝเ่ รยี นรู้ 3) ควำมสำมำรถในกำรแกป้ ัญหำ 3) กำรทดลอง 3) มุง่ มั่นในกำรทำงำน 4) ควำมสำมำรถในกำรใชท้ ักษะ 4) กำรลงควำมเห็นจำกข้อมูล ชีวิต 5) กำรตีควำมหมำยและลงข้อสรุป 5) ควำมสำมำรถในกำรใช้ เทคโนโลยี 171

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ แผนฯ ที่ 5 ตัวนำไฟฟ้ำและฉนวนไฟฟำ้ 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้  แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนิค : 5Es Instructional Model ช่วั โมงท่ี 1 ข้นั นำ ขน้ั กระตุ้นความสนใจ 1. นักเรียนตอบคำถำมเพือ่ ทบทวนควำมรเู้ ดมิ วำ่ สำยไฟฟำ้ มหี นำ้ ท่ีอย่ำงไรบำ้ งในวงจรไฟฟ้ำ (แนวคำตอบ ทำหน้ำที่เชอื่ มตอ่ ระหวำ่ งแหลง่ กำเนิดไฟฟำ้ กบั อปุ กรณ์ไฟฟำ้ หรือเครื่องใชไ้ ฟฟำ้ เขำ้ กัน) 2. ให้นักเรยี นสงั เกตลักษณะของสำยไฟฟ้ำวำ่ มีองคป์ ระกอบใดบำ้ ง จำกน้ันร่วมกันอภปิ รำยแสดงควำมคิดเห็นว่ำ ทำไมกระแสไฟฟ้ำถงึ สำมำรถไหลผ่ำนสำยไฟฟ้ำไปได้ 3. นักเรียนร่วมกับสรุปผลกำรอภิปรำยว่ำ กระแสไฟฟ้ำไหลผ่ำนสำยไฟฟ้ำได้ เพรำะทองแดงเป็นวัสดุที่ยอมให้ กระแสไฟฟำ้ ไหลผ่ำนได้ 4. นักเรียนดูภำพในหนังสือเรียนวิทยำศำสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้ำ 106 จำกน้ันให้นักเรียนบอกว่ำส่ิงของในภำพ นำไฟฟ้ำหรือไม่ 5. ครูสนทนำกับนักเรียนเพื่อเชื่อมโยงเข้ำสู่กิจกรรมกำรเรียนรู้ว่ำ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติกำรนำไฟฟ้ำแตกต่ำง กัน วัสดุชนิดใดบ้ำงเป็นตัวนำไฟฟ้ำ และวัสดุชนิดใดบ้ำงเป็นฉนวนไฟฟ้ำ นักเรียนคิดว่ำ ตัวนำไฟฟ้ำและ ฉนวนไฟฟ้ำมีสมบัติต่ำงกนั อย่ำงไร (หมำยเหตุ : ครูเร่ิมประเมนิ นักเรียน โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล) ข้นั สอน ขัน้ สารวจค้นหา 1. นกั เรียนแบง่ กลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน สง่ ตวั แทนกลมุ่ ออกไปรบั ใบงำนท่ี 3.2 วัสดุใดนำไฟฟำ้ จำกนั้น ศึกษำข้ันตอนกำรทำกจิ กรรมในใบงำน 2. นกั เรยี นปฏิบัติกจิ กรรมวัสดใุ ดนำไฟฟำ้ โดยปฏิบัติ ดังนี้ 1) สง่ ตวั แทนกล่มุ มำรับวัสดุ-อปุ กรณ์ในทำกิจกรรมวสั ดุใดนำไฟฟ้ำ - ถำ่ นไฟฉำย 1 ก้อน - กระบะใส่ถำ่ นไฟฉำย 1 อัน - หลอดไฟฟ้ำพรอ้ มฐำน 1 ชดุ - สำยไฟฟ้ำพร้อมหัวหนบี ปำกจระเข้ 3 เสน้ - วัสดสุ ำหรับทดสอบ ไดแ้ ก่ ไม้จ้มิ ฟัน เหรียญบำท หนังยำง ตะปู หลอดดูดพลำสติก ลวดทองแดง 2) สังเกตวัสดุทนี่ ำมำใช้ในกำรทดสอบ คอื ไม้จ้ิมพัน เหรียญบำท หนังยำง ตะปู หลอดดดู พลำสตกิ ลวดทองแดง และคำดคะเนวำ่ วสั ดุชนิดใดบำ้ งเป็นตวั นำไฟฟ้ำ และวัสดุชนิดใดบำ้ งเป็นฉนวนไฟฟ้ำ พร้อมบนั ทกึ ผลลงในใบงำนท่ี 3.2 วัสดุใดนำไฟฟำ้ 172

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ แผนฯ ท่ี 5 ตวั นำไฟฟ้ำและฉนวนไฟฟำ้ 3) ทดสอบวัสดุเพ่ือตรวจสอบผลกำรคำดคะเน โดยกำรตอ่ หลอดไฟฟ้ำเข้ำกบั วงจรไฟฟ้ำ แล้วนำหัวหนีบ ปำกจระเขข้ ำ้ งหน่ึงหนีบกับปลำยไม้จม้ิ ฟัน และนำหัวหนบี ปำกจระเขอ้ ีกขำ้ งหนีบปลำยไม้จิ้มฟนั อีกด้ำน จำกน้นั สงั เกตหลอดไฟฟ้ำสวำ่ งหรือไม่ และบันทึกผล 4) ทำกำรทดสอบซ้ำ ข้อ 3) โดยกำรเปล่ียนวัสดุจนครบตำมลำดับ และบันทึกผล (หมำยเหตุ : ครเู ริม่ ประเมนิ นักเรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานกล่มุ ) ขั้นอธิบายความรู้ 1. นักเรยี นตอบคำถำมต่อไปน้ี - วสั ดุแต่ละชนิดสำมำรถนำไฟฟำ้ ได้เหมอื นกนั หรอื ไม่ (แนวคำตอบ ไม่เหมือนกนั เพรำะสมบตั ิของวสั ดทุ นี่ ำไฟฟ้ำไดน้ ้ันต้องสำมำรถถ่ำยโอนพลงั งำน ไฟฟ้ำผำ่ นวัสดไุ ด้) - จำกกจิ กรรม วัสดทุ นี่ ำไฟฟ้ำมีอะไรบำ้ ง และลกั ษณะของวัสดุทน่ี ำไฟฟำ้ เหมอื นกนั อย่ำงไร (แนวคำตอบ เหรียญบำท ตะปู ลวดทองแดง วสั ดุทัง้ 3 ชนิดเป็นโลหะ) 2. นักเรยี นร่วมกนั สรุปผลกำรทำกจิ กรรมวำ่ จำกกิจกรรม เหรียญบำท ตะปู ลวดทองแดง ซ่ึงเป็นวัสดุประเภท โลหะและเป็นตัวนำไฟฟ้ำ เพรำะวัสดุยอมให้กระแสไฟฟ้ำไหลผ่ำนได้ ส่วนไม้จิ้มฟัน หนังยำง หลอดดูด พลำสติก เป็นฉนวนไฟฟ้ำเพรำะไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้ำไหลผ่ำน เม่ือต่อเข้ำกับวงจรไฟฟ้ำหลอดไฟฟ้ำจึง ไม่สว่ำง 3. ครูอธิบำยเพ่ิมเติมกับนักเรียนว่ำ วัสดุท่ีมีสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้ำและเป็นฉนวนไฟฟ้ำ สำมำรถนำไปใช้ ประโยชน์ในกำรผลิตเคร่ืองใช้ต่ำงๆ ได้ เช่น สำยไฟฟ้ำจะประกอบด้วยทองแดงท่ีนำไฟฟ้ำได้ และมีวัสดุ ที่เป็นฉนวนไฟฟ้ำหุ้มลวดทองแดงเพ่ือป้องกันไฟรว่ั ไฟดดู ชว่ั โมงที่ 2 ข้ันสอน (ตอ่ ) ข้นั อธิบายความรู้ 1. ทบทวนควำมรเู้ ดิมช่ัวโมงที่แลว้ โดยใหน้ ักเรียนสงั เกตเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำรอบๆ ตัว แล้วตอบคำถำมตอ่ ไปน้ี - นักเรยี นคดิ ว่ำ เครื่องใช้ไฟฟ้ำสำมำรถทำงำนไดอ้ ย่ำงไร (แนวคำตอบ เสียบปล๊ักแล้วเปิดใช้งำน จะมีกระแสไฟฟ้ำไหลผ่ำนเครื่องใช้ไฟฟ้ำ ทำให้ เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้ำทำงำนได้) - ปลั๊กไฟมีหน้ำทอี่ ยำ่ งไร (แนวคำตอบ ทำหน้ำที่เชือ่ มต่อระหว่ำงแหลง่ กำเนิดไฟฟ้ำกับเครื่องใชไ้ ฟฟ้ำเข้ำด้วยกัน) 2. นกั เรยี สแกน QR Code เร่อื ง รู้จกั เต้ำเสียบเต้ำรบั ในหนงั สอื เรยี นวทิ ยำศำสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หนำ้ 106 173

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 5 ตวั นำไฟฟำ้ และฉนวนไฟฟำ้ 3. นกั เรียนแต่ละคนเขียนสรปุ ควำมรูเ้ ก่ยี วกับเรือ่ งทีไ่ ด้เรียนรจู้ ำกบทที่ 2 ในรูปแบบต่ำงๆ เช่น แผนผังควำมคิด แผนภำพ ลงในสมดุ ประจำตัวนักเรียน 4. นักเรียนทุกคนศึกษำแผนผังควำมคิด สรุปสำระสำคัญ ประจำบทท่ี 2 จำกหนังสือเรียนวิทยำศำสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนำ้ 108 เพอื่ ตรวจสอบกำรเขยี นสรปุ ควำมร้ทู น่ี ักเรยี นทำไวใ้ นสมดุ ประจำตัวนกั เรยี น 5. นักเรียนทำกิจกรรมพัฒนำกำรเรียนรู้จำกหนังสือเรียนวิทยำศำสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้ำ 109 บันทึกลงใน กระดำษ A4 หรอื สมุดประจำตวั นกั เรยี น 6. นักเรยี นทำกิจกรรมฝึกทักษะในหนังสอื เรียนวิทยำศำสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้ำ 110 บันทึกลงในสมุดประจำตัว นักเรียน หรือทำในแบบฝกึ หดั วทิ ยำศำสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้ำ 66-71 7. นกั เรียนทำกจิ กรรมทำ้ ทำยกำรคดิ ขั้นสงู ในแบบฝึกหัดวิทยำศำสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หนำ้ 72 (หมำยเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรยี น โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานการรายบุคคล) ขั้นสอน (ต่อ) ชัว่ โมงที่ 3 ขัน้ ขยายความรู้ 1. ทบทวนควำมรู้เดิม โดยให้นักเรยี นยกตวั อยำ่ งของเล่น ของใช้ ในชีวิตประจำวนั ทนี่ ำควำมรเู้ รื่อง วงจรไฟฟำ้ ไปใช้ 2. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน ร่วมกันออกแบบสิ่งประดิษฐ์ของเล่น ของใช้ หรือเกม โดยต้อง มีกำรต่อวงจรไฟฟ้ำอย่ำงง่ำยเข้ำไปในผลงำน บันทึกลงในกระดำษ A4 และส่งตัวแทนนำเสนอแนวคิด หนำ้ ช้ันเรียน 3. นกั เรยี นทำกิจกรรมสรำ้ งสรรค์ผลงำน โดยปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี 1) ส่งตัวแทนออกมำรับวัสดุ-อปุ กรณ์ ดงั นี้ - ไม้สำหรับทำตัวรถ เช่น ไมไ้ อศกรมี - ถ่ำนไฟฉำย - มอเตอร์ - กระบะใส่ถ่ำนไฟฉำย - สวิตช์ - สำยไฟฟ้ำ - ใบพดั - กำวร้อน - ลอ้ รถของเล่น/ฝำขวดนำ้ 2) ร่วมกนั ออกแบบผลงำนรถหมนุ ใบพดั โดยใชอ้ ุปกรณต์ ำมที่กำหนดให้ และให้รถสำมำรถเคลื่อนทไ่ี ด้ 3) ปฏิบตั ติ ำมขั้นตอนทีอ่ อกแบบไว้ 4) ทดลองเปดิ สวิตช์ ถำ้ เปดิ แล้วไมเ่ คล่ือนที่ ลองเช่ือมสำยไฟฟ้ำใหม่ 5) ให้แต่ละกลุ่มนำรถหมุนใบพัดของกลุ่มตนเองไปแข่งขัน รถกลุ่มใดเข้ำถึงเส้นชัยก่อนนำเสนอเป็น กลมุ่ แรก และกลุม่ ถดั ไปตำมลำดับ 6) แตล่ ะกลมุ่ ส่งตวั แทนนำเสนอผลงำนท่ีหนำ้ ชน้ั เรียน พรอ้ มอธิบำยวิธีกำรสร้ำงผลงำน กำรตอ่ วงจรไฟฟ้ำ 174

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 5 ตัวนำไฟฟ้ำและฉนวนไฟฟำ้ ขน้ั สรปุ 1. นักเรียนร่วมกันสรุปควำมรู้จำกกิจกรรมว่ำ วงจรไฟฟ้ำอย่ำงง่ำยประกอบด้วยแหล่งกำเนิดไฟฟ้ำ สำยไฟฟ้ำ และเคร่อื งใช้ไฟฟำ้ หรืออปุ กรณไ์ ฟฟ้ำที่ต่อเข้ำกันเป็นวงจรปิด ซึ่งวงจรฟ้ำนั้นมี 2 แบบ คือ แบบอนุกรมและ แบบขนำน ข้นั ประเมนิ ข้นั ตรวจสอบผล 1. นักเรียนแต่ละคนทำทบทวนท้ำยหน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 3 แรงไฟฟ้ำและวงจรไฟฟ้ำ ในแบบฝึกหัด วทิ ยำศำสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้ำ 73-77 2. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยกำรเรียนรู้ที่ 3 แรงไฟฟ้ำและวงจรไฟฟ้ำ เพื่อตรวจสอบควำมรู้ ของนกั เรยี นหลงั ทำกิจกรรม 3. ครูตรวจแผนผงั ควำมคิด สรปุ สำระสำคัญ ประจำบทท่ี 2 4. ครตู รวจกจิ กรรมพฒั นำกำรเรียนรู้ในกระดำษ A4 หรอื สมดุ ประจำตัวนกั เรยี น 5. ครูตรวจกิจกรรมฝึกทักษะในสมุดประจำตัวนักเรียน หรือทำในแบบฝึกหัดวิทยำศำสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้ำ 66-71 6. ครูตรวจกิจกรรมทำ้ ทำยกำรคดิ ขั้นสงู ในแบบฝึกหดั วิทยำศำสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้ำ 72 7. ครูประเมนิ ผลงำนรถหมนุ ใบพดั ในกจิ กรรมสร้ำงสรรคผ์ ลงำน 8. ครตู รวจทบทวนทำ้ ยหนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี 3 แรงไฟฟ้ำและวงจรไฟฟ้ำ ในแบบฝึกหัดวิทยำศำสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้ำ 73-77 9. ครูตรวจแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยกำรเรียนรู้ที่ 3 แรงไฟฟ้ำและวงจรไฟฟ้ำ เพ่ือตรวจสอบควำมรู้ ของนักเรียนหลงั ทำกิจกรรม 7. การวัดและประเมินผล รายการวดั วิธีการ เครอื่ งมอื เกณฑ์ - แบบประเมินผลงำน - คุณภำพอยใู่ นระดับดี 1) ผลงำนรถหมนุ ใบพัด - ประเมนิ ผลงำน - ใบงำนที่ 3.2 ผ่ำนเกณฑ์ 2) ใบงำนท่ี 3.2 วสั ดุ - ตรวจใบงำนที่ 3.2 วัสดุใดนำไฟฟำ้ - รอ้ ยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ ใดนำไฟฟ้ำ วัสดุใดนำไฟฟ้ำ - สมุดประจำตวั นักเรยี น - รอ้ ยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ 3) สรุปสำระสำคัญ - ตรวจสมดุ ประจำตวั ประจำบทที่ 2 นักเรียน 4) กจิ กรรมพฒั นำกำร - ตรวจกระดำษ A4 หรอื - กระดำษ A4 หรอื สมดุ - รอ้ ยละ 60 ผ่ำนเกณฑ์ เรยี นรู้ สมุดประจำตวั นักเรยี น ประจำตัวนักเรียน 175

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ แผนฯ ที่ 5 ตัวนำไฟฟำ้ และฉนวนไฟฟำ้ รายการวดั วธิ ีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์ - รอ้ ยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ 5) กิจกรรมฝกึ ทักษะ - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ บทที่ 2 หรอื แบบฝึกหัด แบบฝกึ หดั วิทยำศำสตร์ - ร้อยละ 60 ผ่ำนเกณฑ์ วทิ ยำศำสตรฯ์ ป.6 ฯ ป.6 เล่ม 1 หนำ้ 66- - ร้อยละ 60 ผำ่ นเกณฑ์ เลม่ 1 หน้ำ 66-71 71 - คุณภำพอยู่ในระดบั ดี 6) กิจกรรมท้ำทำยกำร - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝกึ หัดวทิ ยำศำสตร์ ผ่ำนเกณฑ์ คิดขั้นสงู วิทยำศำสตร์ฯ ป.6 ฯ ป.6 เล่ม 1 หนำ้ 72 - คณุ ภำพอยใู่ นระดบั ดี ผำ่ นเกณฑ์ เล่ม 1 หน้ำ 72 7) ทบทวนทำ้ ยหน่วย - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝกึ หดั วทิ ยำศำสตร์ กำรเรียนรทู้ ี่ 3 วทิ ยำศำสตร์ฯ ป.6 ฯ ป.6 เลม่ 1 หนำ้ 73- เล่ม 1 หน้ำ 73-77 77 8) ทดสอบ หลงั เรียน - ตรวจแบบทดสอบหลัง - แบบทดสอบหลงั เรยี น หนว่ ยกำรเรียนรู้ที่ 3 เรียนหน่วยกำรเรียนรู้ หน่วยกำรเรียนรูท้ ่ี 3 ที่ 3 9) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม กำรทำงำนรำยบคุ คล กำรทำงำนรำยบุคคล กำรทำงำนรำยบุคคล 10) พฤติกรรม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม กำรทำงำนกลุ่ม กำรทำงำนกลมุ่ กำรทำงำนกลุ่ม หมำยเหตุ : แบบสังเกตพฤติกรรมประเมินรายเทอม 8. ส่ือ/แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนงั สือเรียนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 2) แบบฝกึ หัดวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 3) วสั ดุ-อปุ กรณ์ทใ่ี ชใ้ นกิจกรรมวสั ดใุ ดนำไฟฟำ้ 4) วสั ดุ-อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในกิจกรรมสร้ำงสรรคผ์ ลงำน 5) ใบงำนท่ี 3.2 วัสดุใดนำไฟฟำ้ 6) QR Code เรือ่ ง รูจ้ กั เตำ้ รับเต้ำเสยี บ 7) กระดำษ A4 8) สมุดประจำตัวนกั เรยี น 8.2 แหล่งการเรยี นรู้ 1) ห้องเรียน 2) อินเทอร์เน็ต 176

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงไฟฟา้ และวงจรไฟฟ้า แผนฯ ท่ี 5 ตัวนำไฟฟำ้ และฉนวนไฟฟำ้ ใบงานที่ 3.2 วสั ดุใดนาไฟฟ้า คาชแ้ี จง : ใหน้ ักเรียนปฏบิ ัติตำมขั้นตอนและบันทึกผลลงในใบงำน วสั ดทุ ่ใี ช้ในการทดลอง การคาดคะเน ผลการทดสอบ หลอดไฟสวา่ ง หลอดไฟไมส่ ว่าง 1.ไม้จมิ้ ฟนั 2.เหรียญบำท 3.หนังยำง 4.ตะปู 5.หลอดดูดพลำสติก 6.ลวดทองแดง สรปุ ผลการทากจิ กรรม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 177

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ แผนฯ ท่ี 5 ตัวนำไฟฟำ้ และฉนวนไฟฟำ้ ใบงานท่ี 3.2 เฉลย วสั ดุใดนาไฟฟา้ ผลการทดสอบ คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนปฏิบตั ิตำมขน้ั ตอนและบนั ทกึ ผลลงในใบงำน หลอดไฟสว่าง หลอดไฟไม่สวา่ ง วสั ดทุ ่ใี ช้ในการทดลอง การคาดคะเน  1.ไมจ้ ม้ิ ฟนั ฉนวนไฟฟ้ำ 2.เหรียญบำท นำไฟฟ้ำ  3.หนังยำง ฉนวนไฟฟำ้  4.ตะปู นำไฟฟ้ำ  5.หลอดดูดพลำสติก ฉนวนไฟฟำ้  6.ลวดทองแดง นำไฟฟ้ำ  สรปุ ผลการทากจิ กรรม …………………จ…ำก…ก…จิ …ก…รร…ม…เ…ห…รยี …ญ…บ…ำ…ท…ต…ะ…ป…ู ล…ว…ดท…อ…ง…แด…ง…ซ…ง่ึ …เป…น็ …ว…ัส…ดปุ…ร…ะ…เภ…ท…โล…ห…ะ…แ…ละ…เ…ป…น็ ต…วั …น…ำ…… ……ไ…ฟ…ฟ…ำ้ …เพ…ร…ำะ…ว…ัส…ด…ุยอ…ม…ให…ก้…ร…ะ…แส…ไ…ฟ…ฟ…้ำไ…ห…ลผ…่ำ…น…ได…้ …สว่…น…ไ…ม้จ…ิ้ม…ฟ…นั …ห…น…ัง…ยำ…ง…ห…ล…อ…ด…ดูด…พ…ล…ำ…สต…กิ ……เป…น็ … ฉนวนไฟฟำ้ เพรำะไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้ำไหลผำ่ น เม่ือตอ่ เข้ำกับวงจรไฟฟำ้ หลอดไฟฟ้ำจงึ ไม่สว่ำง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 178

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟา้ แผนฯ ท่ี 5 ตัวนำไฟฟ้ำและฉนวนไฟฟำ้ แบบบันทกึ หลงั แผนการจัดการเรียนรู้  ด้ำนควำมรู้  ดำ้ นสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น  ด้ำนคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์  ดำ้ นควำมสำมำรถทำงวิทยำศำสตร์  ด้ำนอ่นื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมท่ีมปี ญั หำของนกั เรยี นเปน็ รำยบุคคล (ถ้ำมี))  ปญั หำ/อุปสรรค  แนวทำงกำรแก้ไข ลงช่ือ..............................................ผบู้ นั ทกึ (................................................) ความเหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษาหรือผู้ท่ีได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงช่ือ................................................ (................................................) ตำแหน่ง................................................. 179

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 4 แสงและเงา แผนฯ ที่ 1 การเกิดเงามดื และเงามวั แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 1 การเกิดเงามืดและเงามวั หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 4 แสงและเงา ระยะเวลา 4 ช่วั โมง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด ว 2.3 ป.6/7 อธิบายการเกดิ เงามดื เงามัวจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ป.6/8 เขียนแผนภาพรงั สขี องแสงแสดงการเกดิ เงามดื เงามัว 2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1) อธบิ ายการเกดิ เงามดื เงามวั ได้ (K) 2) เขียนแผนภาพรังสขี องแสงแสดงการเกิดเงามดื เงามวั (P) 3) นาความรู้เรอื่ งการเกดิ เงาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ได้ (A) 3. สาระการเรียนรู้ การเกิดเงามืดเงามัว 4. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด เม่ือนาวัตถุทึบแสงมาก้ันแสงจะเกิดเงาบนฉากรับแสงที่อยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้ายวัตถุท่ีทาให้เกิด เงา เงามวั เปน็ บรเิ วณทีม่ ีแสงบางส่วนตกลงบนฉาก สว่ นเงามืดเป็นบรเิ วณทีไ่ มม่ แี สงตกลงบนฉากเลย 5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1) ความสามารถในการสื่อสาร 1) การสงั เกต 1) มีวนิ ัย 2) ความสามารถในการคิด 2) การทดลอง 2) ใฝเ่ รียนรู้ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 3) การลงความเห็นจากข้อมลู 3) มุ่งมน่ั ในการทางาน 4) ความสามารถในการใช้ทักษะ 4) การตคี วามหมายข้อมลู และ ชีวติ ลงข้อสรุป 5) การหาความสมั พนั ธข์ องสเปซกับ เวลา 190

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 แสงและเงา แผนฯ ท่ี 1 การเกดิ เงามดื และเงามวั 6. กจิ กรรมการเรียนรู้  แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนคิ : 5Es Instructional Model ช่ัวโมงท่ี 1 1. ครูให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 แสงและเงา แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 10 ข้อ (หมายเหตุ : ครูตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อประเมินความรู้เดิมและเข้าใจผู้เรียน เพ่ือใช้ในการจัด กิจกรรม) ขนั้ นา ขนั้ กระตุน้ ความสนใจ 1. ใหน้ ักเรยี นสังเกตภาพในหนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 112 แล้วบอกวา่ เห็นอะไรบา้ งในภาพน้ี (แนวคาตอบ เชน่ เหน็ คน 2 คน ลูกบาสเกตบอล และเงา) 2. นกั เรียนตอบคาถามต่อไปน้ี - เงาเกิดข้นึ ได้อยา่ งไร (แนวคาตอบ ตอบตามความคดิ เหน็ ของนักเรียน) - การเกิดเงามีประโยชนต์ อ่ ชีวติ ประจาวันหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ตอบตามความคิดเห็นของนักเรียน) 3. นักเรียนอ่านกิจกรรม ชวนอ่านชวนคิดก่อนเรียนตอน ไดโนเสาร์ตัวโต ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 114 แล้วตอบคาถามชวนตอบ ตอ่ ไปนี้ - เงา คอื บริเวณมืดท่ีเกิดขึ้นหลังวตั ถุ โดยจะมีทั้งเงามดื และเงามัว นักเรยี นคดิ ว่า เงามดื และเงามัว เกดิ ขนึ้ ได้อยา่ งไร (แนวคาตอบ เม่อื แสงเดนิ ทางเป็นเส้นตรง แลว้ นาวตั ถุมากั้นแสงไม่สามารถเดินทางผ่านวัตถไุ ด้หรือ เดินทางผ่านได้บางสว่ น ทาให้เกิดเงามืดและเงามัว) 4. ครูแจกบัตรภาพจิกซอว์ให้คนละ 1 ช้ิน จากนั้นให้นักเรียนตามหาเพ่ือนท่ีได้บัตรภาพเดียวกัน นามาต่อกัน จนเปน็ ภาพท่ีสมบูรณ์ 5. นักเรยี นสงั เกตภาพจิกซอว์ที่ต่อสาเร็จแลว้ ว่า ในภาพมีเงามืดและเงามวั หรือไม่ ถ้ามีคอื บริเวณใด 6. ครูสนทนากับนักเรียนว่า ถ้านักเรียนอยากรู้ว่าเงามืดและเงามัวคืออะไร นักเรียนจะได้เรียนรู้จากกิจกรรม ต่อไปน้ี (หมายเหตุ : ครูเร่มิ ประเมนิ นักเรียน โดยการสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล) 191

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 แสงและเงา แผนฯ ท่ี 1 การเกิดเงามืดและเงามัว ขัน้ สอน ขน้ั สารวจคน้ หา 1. นักเรยี นแบง่ กลุ่มโดยใชก้ ลมุ่ เดิมในขั้นกระตุ้นความสนใจ แล้วศกึ ษาขน้ั ตอนการทากิจกรรมท่ี 1 การเกิดเงามืด และเงามวั ในหนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 116 2. นกั เรยี นปฏบิ ตั ิกจิ กรรมท่ี 1 การเกดิ เงามดื และเงามวั โดยปฏบิ ตั ิดงั น้ี 1) ส่งตัวแทนกล่มุ มารบั วัสดุ-อุปกรณใ์ นการทากจิ กรรมที่ 1 การเกดิ เงามดื และเงามวั ดงั นี้ - ไมเ้ สียบลกู ชิ้น 1 อนั - ไฟฉาย 1 กระบอก - ดนิ น้ามนั 1 กอ้ น - กระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ 1 แผน่ 2) ปั้นดินน้ามันให้เป็นทรงกลมขนาดเท่าลูกปิงปอง และเสียบเข้ากับปลายไม้เสียบลูกช้ินด้านหน่ึง จากน้ัน ปั้นดินน้ามันเป็นฐาน เพื่อเสียบเข้ากับไม้เสียบลูกชิ้นอีกด้านหนึ่งติดไว้กับพื้นโต๊ะ 3) ให้สมาชิก 2 คน ช่วยกันถือกระดาษขาวแผ่นใหญ่เป็นฉากรับแสงไว้ด้านหลังดินน้ามันลูกทรงกลม ท่ีอยู่บนโตะ๊ 4) ทาให้ห้องมืด แล้วให้สมาชิก 1 คน ถือและเปิดไฟฉายส่องไปท่ีดินน้ามันท่ีเสียบกับไม้เสียบลูกช้ิน สังเกตเงามดื และเงามัวทเี่ กดิ ขึ้น แลว้ บันทกึ ผลลงในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 80 5) เลอื่ นแผ่นกระดาษสขี าวแผน่ ใหญเ่ ข้าใกล้หรอื ออกห่างจากดินน้ามัน สงั เกตและบันทกึ ผล 6) เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดและเงามัว จากนั้นร่วมกันอภิปรายและสรุปความแตกต่าง ระหวา่ งการเกิดเงามืดและเงามัว (หมายเหตุ : ครเู รม่ิ ประเมินนกั เรียน โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่ ) ขั้นสอน (ตอ่ ) ช่ัวโมงท่ี 2 ขัน้ อธบิ ายความรู้ 1. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการทากจิ กรรม 2. นกั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ี - เงามดื เกิดขนึ้ ได้อยา่ งไร (แนวคาตอบ แสงไม่สามารถผา่ นวตั ถุท่กี ัน้ ได้ ทาใหบ้ รเิ วณน้นั มดื สนิท) - เงามวั เกิดข้นึ ไดอ้ ย่างไร (แนวคาตอบ แสงสามารถผา่ นวัตถไุ ด้บางส่วน ทาให้บรเิ วณน้ันมืดไม่สนทิ ) - หากฉากรับอยูใ่ กลว้ ัตถุ เงามืดและเงามวั จะมีลักษณะอยา่ งไร (แนวคาตอบ เงามืดจะมขี นาดใหญแ่ ต่เงามัวจะมขี นาดเล็กลง) 3. นักเรยี นสแกน QR Code ลักษณะของเงา และศึกษาข้อมูลการเกิดเงาเพิม่ เติมจากแหล่งเรยี นร้ตู า่ งๆ 192

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 4 แสงและเงา แผนฯ ที่ 1 การเกดิ เงามดื และเงามวั 4. นักเรียนรว่ มกนั สรปุ ผลการทากิจกรรมว่า เมื่อนาวัตถุต่างๆ ขวางก้ันทางเดินแสงไว้ แสงจึงไม่สามารถเดินทาง ไปถึงหรือไปถึงได้เพียงบางส่วน ทาให้เกิดเงา โดยลักษณะของเงาท่ีเกิดข้ึนแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ เงามืด และเงามัว ขนาดของเงามืดและเงามัวเปลี่ยนแปลงได้ข้ึนอยู่กับระยะห่างของวัตถุกับแหล่งกาเนิดแสง และระยะห่างของวัตถุกับฉากรบั แสง 5. นกั เรยี นตอบคาถามว่า ชนิดของวัตถุมีผลต่อการเกิดเงาหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ชนดิ ของวัตถุมผี ลตอ่ การเกิดเงา วตั ถทุ บึ แสงจะทาให้เกิดเงามืดเงามัว วัตถุที่เป็นตัวกลางโปร่งใส และโปร่งแสงจะทาให้เกดิ เงามวั ) 6. นักเรียนนาภาพจิกซอว์มาติดลงในใบงานที่ 4.1 เงามืดเงามัว พร้อมชี้บอกบริเวณใดคือเงามืดเงามัว และเขียนอธบิ ายการเกดิ เงา 7. นักเรียนทากิจกรรมหนูตอบได้ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 72 หรือทาในแบบฝึกหัด วิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 81 (หมายเหตุ : ครเู ริม่ ประเมนิ นกั เรียน โดยการสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล) ชั่วโมงท่ี 3 ขนั้ สอน (ต่อ) ขั้นสารวจคน้ หา 1. ทบทวนความรู้เดิมช่ัวโมงท่ีแล้ว โดยให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาอธิบายลักษณะเงามืดและเงามัว ในแผนภาพรังสขี องแสงแสดงการเกิดเงามืดและเงามวั จากกจิ กรรมท่ี 1 การเกิดเงามดื และเงามัว 2. นกั เรยี นสง่ ตัวแทนกลุ่มออกมาจับสลากโจทยก์ ารเกดิ เงามดื และเงามวั และรับวัสดุ-อุปกรณ์สาหรับทากิจกรรม ลักษณะเงามืดและเงามวั ตามสลากโจทย์ทจี่ ับได้ 3. แต่ละกลุ่มปฏิบัติตามโจทย์ท่ีได้รับ แล้วเขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดและเงามัวลงใน กระดาษปรู๊ฟ (หมายเหตุ : ครูเร่มิ ประเมินนกั เรยี น โดยการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ ) ขั้นอธิบายความรู้ 1. นักเรยี นแต่ละกลุม่ นาเสนอผลการทากิจกรรมการทดลอง 2. นักเรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี - ถา้ แหล่งกาเนิดแสงมีขนาดเล็กเปน็ จุด ลักษณะเงามดื และเงามัวจะเปน็ อย่างไร (แนวคาตอบ จะเกิดเงามืดเท่านั้น) - ถา้ แหล่งกาเนิดแสงมีขนาดเลก็ หรอื เทา่ กับวตั ถุ ลกั ษณะเงามดื และเงามัวจะเปน็ อย่างไร (แนวคาตอบ เงามัวลอ้ มรอบเงามดื ) 193

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4 แสงและเงา แผนฯ ท่ี 1 การเกิดเงามดื และเงามวั - ถ้าแหล่งกาเนิดแสงมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุ แล้ววางฉากหลังหากจากวัตถุ ลักษณะเงามืดและเงามัว จะเป็นอยา่ งไร (แนวคาตอบ จะเกิดเฉพาะเงามวั เทา่ นน้ั เพราะเงามดื มีลกั ษณะเปน็ จุด) 3. ครูเปิด PowerPoint เร่ือง แสงและเงาให้นักเรียนดู จากนั้นให้นักเรียนยกตัวอย่างการเกิดเงาไปใช้ ประโยชน์ในชวี ิตประจาวัน 4. ให้นักเรียนแต่ละคนเขียนสรุปความรู้เกี่ยวกับเรื่องท่ีได้เรียนรู้จากบทท่ี 1 ในรูปแบบต่างๆ เช่น แผนผงั ความคิด แผนภาพ ลงในสมดุ ประจาตวั นักเรยี น 5. นักเรียนทกุ คนศึกษาแผนผงั ความคิด สรปุ สาระสาคัญ ประจาบทที่ 1 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 120 เพ่อื ตรวจสอบการเขยี นสรปุ ความรู้ท่ีนกั เรียนทาไว้ในสมุดประจาตัวนกั เรยี น 6. นักเรยี นทากจิ กรรมพัฒนาการเรยี นร้ใู นหนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 121 บันทึกลงในสมุด ประจาตวั นกั เรยี น 7. นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 122 บันทึกลงใน สมดุ ประจาตัวนักเรยี น หรือทาในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 82-84 8. นกั เรียนทากจิ กรรมทา้ ทายการคิดข้ันสงู ในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 85 (หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรยี น โดยการสงั เกตพฤติกรรมการรายบุคคล) ชว่ั โมงที่ 4 ขัน้ สอน ข้ันขย(ตา่อยค) วามเขา้ ใจ 1. ครูทาใหห้ ้องเรียนมืดสนิท แล้วให้ตัวแทนนักเรียน 1 คน เอามือประสานกันทาเหมือนนกบิน และให้อีกคนมา ถือและเปดิ ไฟฉาย ส่องไปที่มือของนักเรียนที่กาลังทานกบิน จากน้ันครูให้นักเรียนท่ีทานกบินเดินเข้ามาใกล้ๆ ไฟฉายเรือ่ ย ๆ 2. ครูต้ังประเด็นปัญหาให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นว่า ลักษณะของเงาจากมือท่ีเกิดขึ้น มีลักษณะอย่างไร และเม่ือนักเรียนคนที่ทามือเป็นรูปนกบินเดินเข้ามาใกล้ไฟฉายผลเป็นอย่าง เพราะอะไร ถึงเปน็ เช่นน้นั 3. ครูสนทนากับนักเรียนว่า เราสามารถนาความรู้เรื่อง แสงและการเกิดเงามาใช้ประโยชน์ได้หลายเร่ือง เช่น การบอกเวลาโดยใชน้ าฬิกาแดด การเลน่ หนงั ตะลงุ แสดงละครเงา ซงึ่ วนั นี้ครจู ะให้นักเรียนแสดงละครเงา 4. นักเรยี นแบ่งกลุ่ม ออกเปน็ กลมุ่ ละ 4-5 คน เพื่อทากจิ กรรมสรา้ งสรรคผ์ ลงาน โดยปฏิบตั ิ ดงั นี้ 1) แต่ละกลมุ่ ส่งตวั แทนออกมารับอุปกรณ์ดงั น้ี - กล่องกระดาษ - เทปกาว 2 หนา้ - ดินสอหรอื ปากกา - ไฟฉาย - ไม้เสียบลูกช้ิน - กรรไกรหรือคตั เตอร์ 194

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 แสงและเงา แผนฯ ที่ 1 การเกดิ เงามดื และเงามวั - กระดาษสขี าวบางๆ เช่นกระดาษไข กระดาษลอกลาย กระดาษว่าว 2) นกั เรียนแต่งนทิ านเรื่องสน้ั กลุม่ ละ 1 เรอ่ื ง และออกแบบตัวละครบนั ทึกลงในใบงานที่ 4.2 ละครเงา 3) นกั เรยี นสรา้ งตัวละครโดยเลือกใชว้ สั ดตุ ่างๆ ทค่ี านึงถงึ ลักษณะเงาทจี่ ะเกิดขึน้ แล้วนาไม้เสยี บลกู ชนิ้ มาติด กบั ตวั ละคร หรืออาจใชว้ สั ดอุ ื่นๆ สร้างตัวละครแทนการใช้กระดาษ 4) นากระดาษลังที่เตรยี มมาทาโรงละคร วาดโครงร่างของโรงละครตรงโถงกลางของโรงละครใหว้ าดขนาดเทา่ ประมาณขนาดของกระดาษ A4 5) ใช้คตั เตอรต์ ดั ตามรอยทว่ี าดไว้โดยตดั เฉพาะสว่ นบนที่โครงสร้างหลงั คาโรงละครและโถงกลางของโรงละคร นากระดาษสขี าวมาติดที่ช่องวา่ งตรงโถงกลางของโรงละคร แลว้ ระบายสตี กแตง่ โรงละครโถงกลางของโรง ละครเพ่ือเปน็ ฉากรบั เงา 6) ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มซ้อมละครเงาก่อนนาเสนอ 7) จากนนั้ ใหแ้ ต่ละออกมาแสดงละครเงา ข้ันสรุป 1. นกั เรียนร่วมกนั สรุปความรู้จากกจิ กรรมว่า เมอื่ นาวตั ถทุ ึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉากรับแสงที่อยู่ด้านหลัง วัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้ายวัตถุที่ทาให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณท่ีมีแสงบางส่วนตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็น บริเวณทไี่ ม่มีแสงตกลงบนฉากเลย ข้นั ประเมิน ข้ันตรวจสอบผล 1. นักเรียนแต่ละคนทาทบทวนท้ายหน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 แสงและเงา ในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 86-91 2. นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 แสงและเงา เพื่อตรวจสอบความรู้ของนักเรียน หลังทากจิ กรรม 3. ครตู รวจกจิ กรรมท่ี 1 การเกิดเงามืดและเงามวั ในแบบฝึกหดั วิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 80 4. ครูตรวจใบงานที่ 4.1 เงามดื และเงามวั 5. ครูตรวจแผนผังความคิด สรุปสาระสาคญั ประจาบทที่ 1 ในสมุดประจาตวั นักเรยี น 6. ครตู รวจกิจกรรมพัฒนาการเรยี นรู้ในสมุดประจาตัวนกั เรียน 7. ครูตรวจกิจกรรมหนตู อบได้ในสมุดประจาตัวนักเรียน หรอื ทาในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 81 8. ครูตรวจกิจกรรมฝึกทักษะในสมุดประจาตัวนักเรียน หรือทาในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 82-84 9. ครูตรวจกิจกรรมทา้ ทายการคิดข้ันสูง ในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 85 195

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 แสงและเงา แผนฯ ที่ 1 การเกิดเงามดื และเงามัว 10. ครตู รวจใบงานท่ี 4.2 ละครเงา 11. ครูประเมินผลงานละครเงา ในกจิ กรรมสร้างสรรคผ์ ลงาน 12. ครูตรวจทบทวนท้ายหนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 แสงและเงา ในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 86-91 13. ครูตรวจแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 แสงและเงา เพ่ือตรวจสอบความรู้ของนักเรียน หลงั ทากิจกรรม 7. การวัดและประเมินผล รายการวดั วิธีการ เครอ่ื งมือ เกณฑ์ 1) ผลงานละครเงา - ประเมนิ ผลงาน - แบบประเมนิ ผลงาน - คณุ ภาพอยใู่ นระดับดี 2) กจิ กรรมที่ 1 - ตรวจแบบฝึกหดั - แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตรฯ์ ผ่านเกณฑ์ การเกดิ เงามดื และ วิทยาศาสตรฯ์ ป.6 ป.6 เล่ม 1 หนา้ 80 เงามวั เล่ม 1 หน้า 80 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 3) ใบงานที่ 4.1 - ตรวจใบงานที่ 4.1 - ใบงานที่ 4.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ เงามดื และเงามวั เงามืดและเงามวั เงามืดและเงามัว - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 4) ใบงานที่ 4.2 - ตรวจใบงานท่ี 4.2 - ใบงานท่ี 4.2 ละครเงา ละครเงา ละครเงา - สมดุ ประจาตวั นกั เรียน - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 5) สรุปสาระสาคญั - ตรวจสมุดประจาตวั ประจาบทที่ 1 นกั เรยี น 6) กจิ กรรมหนูตอบได้ - ตรวจสมดุ ประจาตัว - สมดุ ประจาตวั หรือ - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ หรอื แบบฝึกหัด แบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ฯ วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 ป.6 เลม่ 1 หนา้ 81 เล่ม 1 หนา้ 81 7) กจิ กรรมพัฒนาการ - ตรวจสมุดประจาตวั - สมดุ ประจาตัวนักเรียน - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ เรียนรู้ นกั เรียน 196

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 แสงและเงา วธิ กี าร เคร่อื งมือ เกณฑ์ แผนฯ ท่ี 1 การเกิดเงามดื และเงามวั - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - ตรวจสมุดประจาตวั - สมดุ ประจาตวั หรือ รายการวัด หรอื แบบฝกึ หดั แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ฯ 8) กจิ กรรมฝึกทกั ษะ วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 ป.6 เลม่ 1 หนา้ 82-84 เลม่ 1 หน้า 82-84 บทท่ี 1 - แบบฝึกหดั วิทยาศาสตรฯ์ - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - ตรวจแบบฝกึ หดั ป.6 เล่ม 1 หน้า 85 9) กจิ กรรมท้าทายการ วิทยาศาสตรฯ์ ป.6 คิดข้นั สงู เลม่ 1 หนา้ 85 10) ทบทวนทา้ ยหน่วย - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ฯ - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การเรียนรทู้ ่ี 4 วิทยาศาสตร์ฯ ป.6 ป.6 เล่ม 1 หน้า 86-91 - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ เลม่ 1 หน้า 86-91 11) ทดสอบหลงั เรียน - แบบทดสอบหลังเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 - ตรวจแบบทดสอบหลัง หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 เรยี น หนว่ ยการเรียนรู้ ท่ี 4 12) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - คุณภาพอยใู่ นระดับดี การทางานรายบคุ คล ผ่านเกณฑ์ การทางานรายบคุ คล การทางานรายบคุ คล - แบบสังเกตพฤติกรรม - คณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี 13) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม หมายเหตุ : แบบสังเกตพฤติกรรมประเมนิ รายเทอม 197

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 แสงและเงา แผนฯ ท่ี 1 การเกิดเงามดื และเงามัว 8. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 2) แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 3) วสั ดุ-อปุ กรณ์ทใี่ ชใ้ นกจิ กรรมท่ี 1 การเกดิ เงามืดเงามวั 4) วัสดุ-อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในกจิ กรรมสร้างสรรค์ผลงาน 5) วัสดุ-อปุ กรณท์ ่ีใช้ในกิจกรรมลกั ษณะเงามืดและเงามัว 6) QR Code ลกั ษณะของเงา 7) PowerPoint เรอื่ ง แสงและเงา 8) ใบงานที่ 4.1 เงามดื และเงามวั 9) ใบงานท่ี 4.2 ละครเงา 10) บตั รภาพจกิ ซอว์ 11) สลากโจทยก์ ารเกิดเงามืดและเงามวั 12) สมดุ ประจาตวั นกั เรยี น 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) หอ้ งเรียน 2) อนิ เทอรเ์ น็ต 198

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 4 แสงและเงา แผนฯ ท่ี 1 การเกิดเงามดื และเงามวั ใบงานที่ 4.1 เงามดื และเงามวั คาชแ้ี จง : ให้นกั เรียนระบุตาแหน่งเงามืดและเงามัว แล้วอธิบายการเกิดเงามดื และเงามัว สาหรับตดิ จิกซอว์ เงามืดและเงามวั เกดิ ขน้ึ ได้ อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 199

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 4 แสงและเงา แผนฯ ท่ี 1 การเกดิ เงามดื และเงามวั ใบงานที่ 4.1 เฉลย เงามืดและเงามัว คาชแ้ี จง : ใหน้ กั เรียนระบุตาแหน่งเงามืดและเงามัว แลว้ อธิบายการเกิดเงามดื และเงามัว สาหรบั ตดิ จกิ ซอว์ เงามืดและเงามวั เกดิ ขึน้ ได้ อย่างไร เมื่อนาวัตถุทึบแสงมาก้ันแสงจะเกิดเงาบนฉากรับแสงที่อยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามี ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……ร…ูป…ร…่าง…ค…ล…า้ ย…ว…ัต…ถุท…ีท่ …า…ให…้เ…กิด…เ…งา…เ…ง…าม…ัว…เป…็น…บ…ร…ิเว…ณ…ท…่ีม…ีแส…ง…บ…า…งส…่ว…น…ตก…ล…ง…บ…น…ฉา…ก…ส…่ว…น…เง…าม…ืด…เ…ป…็น… ……บ…ร…ิเว…ณ…ท…ี่ไ…ม่ม…ีแ…ส…ง…ตก…ล…ง…บน…ฉ…า…ก…เล…ย………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 200

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 แสงและเงา แผนฯ ท่ี 1 การเกิดเงามืดและเงามัว ใบงานท่ี 4.2 ละครเงา คาช้แี จง : ใหน้ ักเรียนแต่งนิทานส้นั ๆ กลุ่มละ 1 เรื่อง จากนั้นให้สรา้ งตัวละคร อปุ กรณ์ และฉากประกอบดว้ ยวัสดุ ทแี่ ตล่ ะกล่มุ เลือกเอง นทิ านเร่ือง.................................................. เนอ้ื เรื่อง ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. นทิ าน..เ.ร..่ือ...ง....................................................................................................................................................................................................................... เนอ้ื เร.ือ่...ง......................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. ออกแ.บ...บ...ต..วั...ล..ะ..ค...ร.......................................................................................................................................................... 201

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 4 แสงและเงา แผนฯ ที่ 1 การเกดิ เงามืดและเงามวั ใบงานท่ี 4.2 เฉลย ละครเงา คาช้แี จง : ให้นักเรียนแต่งนิทานส้ันๆ กลุ่มละ 1 เรื่อง จากน้ันใหส้ ร้างตัวละคร อุปกรณ์ และฉากประกอบดว้ ยวสั ดุ ท่แี ตล่ ะกลมุ่ เลอื กเอง นิทานเรอื่ ง.................................................. เนือ้ เรื่อง ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. นทิ าน..เ.ร..ือ่...ง....................................................................................................................................................................................................................... เนอื้ เร.อ่ื...ง......................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. ออกแ.บ...บ...ต..วั...ล..ะ..ค...ร.......................................................................................................................................................... 202

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 แสงและเงา  แผนฯ ที่ 1 การเกิดเงามืดและเงามัว บตั รภาพจิกซอว์ 203

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 แสงและเงา  แผนฯ ที่ 1 การเกิดเงามืดและเงามวั บตั รภาพจิกซอว์ 204

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 แสงและเงา  แผนฯ ที่ 1 การเกิดเงามืดและเงามวั บตั รภาพจิกซอว์ 205

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4 แสงและเงา แผนฯ ที่ 1 การเกดิ เงามืดและเงามวั สลากโจทยก์ ารเกิดเงามืดและเงามวั โจทย์ : แหลง่ กาเนิดแสงมีขนาดเลก็ เป็นจุด โจทย์ : แหลง่ กาเนดิ แสงมีขนาดเลก็ กว่าวตั ถุ  วสั ดุ-อปุ กรณ์ วัสดุ-อปุ กรณ์ - ไมเ้ สียบลกู ชน้ิ 1 อัน - ไม้เสียบลูกช้ิน 1 อัน - ไฟฉาย 1 กระบอก - ไฟฉาย 1 กระบอก - ดนิ นา้ มนั 1 กอ้ น (ปน้ั ขนาดเท่าลกู ปงิ ปอง) - ลกู บาสเกตบอล - กระดาษสขี าวแผน่ ใหญ่ 1 แผ่น - กระดาษสขี าวแผน่ ใหญ่ 1 แผน่ - กระดาษแขง็ เจาะรู โจทย์ : แหลง่ กาเนิดแสงมีขนาดเท่ากบั วตั ถุ โจทย์ : แหล่งกาเนิดแสงมีขนาดใหญ่กวา่ วตั ถุ และวางฉากหลังไว้ใกลว้ ตั ถุ วัสดุ-อปุ กรณ์ - ไม้เสียบลกู ชิน้ 1 อนั วสั ดุ-อุปกรณ์ - ไฟฉาย 1 กระบอก - ไม้เสียบลูกช้ิน 1 อัน - ดินน้ามนั 1 ก้อน (ปน้ั ขนาดเท่ากบั - ไฟฉาย 1 กระบอก แหลง่ กาเนิดแสง) - ดินนา้ มัน 1 ก้อน (ปน้ั ขนาดเท่าลกู ปงิ ปอง) - กระดาษสีขาวแผน่ ใหญ่ 1 แผ่น - กระดาษสขี าวแผน่ ใหญ่ 1 แผ่น - กระดาษแข็งเจาะรู โจทย์ : แหล่งกาเนดิ แสงมขี นาดใหญ่กว่าวตั ถุ และวางฉากหลงั ไว้ไกลวตั ถุ วสั ดุ-อุปกรณ์ - ไม้เสยี บลูกช้ิน 1 อัน - ไฟฉาย 1 กระบอก - ดนิ น้ามนั 1 ก้อน (ปั้นขนาดเท่าลกู ปิงปอง) - กระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ 1 แผน่ - กระดาษแข็งเจาะรู 206

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 แสงและเงา แบบบนั ทกึ หลังแผนการจัดการเรยี นรู้ แผนฯ ท่ี 1 การเกิดเงามืดและเงามวั  ด้านความรู้  ด้านสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น  ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์  ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์  ด้านอน่ื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมทีม่ ีปญั หาของนักเรียนเปน็ รายบุคคล (ถ้ามี))  ปญั หา/อปุ สรรค  แนวทางการแก้ไข ลงชื่อ..............................................ผบู้ นั ทกึ (................................................) ความเหน็ ของผู้บริหารสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ไี ด้รบั มอบหมาย ขอ้ เสนอแนะ ลงชื่อ................................................ (................................................) ตาแหนง่ ................................................. 207

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 7 ปรากฏการณท์ างธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบัติภยั แผนฯ ท่ี 1 การเกิดลมบก ลมทะเล และลมมรสมุ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 1 การเกดิ ลมบก ลมทะเล และลมมรสมุ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและธรณพี ิบตั ภิ ยั ระยะเวลา 4 ชัว่ โมง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชว้ี ดั ว 3.2 ป.6/4 เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม รวมทั้งอธิบายผลท่ีมีต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมจาก แบบจาลอง ป.6/5 อธิบายผลของมรสมุ ตอ่ การเกิดฤดขู องประเทศไทยจากข้อมลู ที่รวบรวมได้ 2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1) เปรียบเทยี บการเกิดลมบก ลมทะเล และลมมรสุมได้ (K) 2) อธิบายผลของลมบก ลมทะเล และลมมรสมุ ที่มีต่อส่ิงมีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ มได้ (K) 3) อธบิ ายผลของลมมรสุมต่อการเกิดฤดูของประเทศไทยได้ (K) 4) สรา้ งแบบจาลองการเกดิ ลมบก ลมทะเล หรือลมมรสมุ ได้ (P) 5) ยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากการเกดิ ลมบก ลมทะเล และลมมรสุมในชวี ติ ประจาวันได้ (A) 3. สาระการเรยี นรู้ การเกิดลมบก ลมทะเล และลมมรสุม ผลของลมบก ลมทะเล และผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ผลของ ลมมรสุมต่อการเกิดฤดูของประเทศไทย 4. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด ลมบก ลมทะเล และลมมรสุม เกิดจากพื้นดินและพ้ืนน้ามีอุณหภูมิอากาศเหนือพื้นดินและพ้ืนน้าแตกต่างกัน จึงเกิดการเคลอ่ื นทีข่ องอากาศจากบริเวณท่ีมีอุณหภูมติ ่าเข้าไปแทนทอี่ ากาศบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง ลมบกและลมทะเล เป็นลมประจาถิ่นที่พบบริเวณชายฝ่ัง โดยลมบกเกิดเวลากลางคืน จึงทาให้มีลมพัดจากชายฝั่งไปสู่ทะเล ชาวประมง จึงใช้ประโยชน์จากลมบกในการออกเรือ ส่วนลมทะเลเกิดเวลากลางวัน ทาให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่ชายฝ่ัง ชาวประมงจึงใช้ประโยชน์จากลมทะเลในการนาเรือกลับเข้าฝั่ง ส่วนลมมรสุมเป็นลมประจาฤดูที่เกิดบริเวณเขตร้อน ของโลกเท่าน้ัน ซ่ึงเป็นบริเวณกว้างระดับภูมิภาค โดยมีหลักการเช่นเดียวกับการเกิดลมบก ลมทะเล ซึ่งลมมรสุม เกดิ จากอุณหภมู ขิ องอากาศเหนือพื้นทวปี และพนื้ มหาสมุทรแตกตา่ งกัน ลมมรสมุ ที่พดั ผ่านประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งลม มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะส่งผลให้ประเทศไทยเกิดฤดูฝน ส่วนลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจะส่งผลให้ประเทศไทย 106

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ปรากฏการณท์ างธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ตั ิภยั แผนฯ ท่ี 1 การเกดิ ลมบก ลมทะเล และลมมรสุม เกิดฤดูหนาว ส่วนช่วงเปลี่ยนมรสุมประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แสงอาทิตย์เกือบต้ังตรงและต้ังตรง ประเทศไทยในเวลาเท่ยี งวนั ทาให้ได้รบั ความร้อนจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ อากาศจงึ ร้อนอบอ้าวทาให้เกิดฤดรู ้อน 5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) ความสามารถในการส่ือสาร 1) การสงั เกต 1) มีวนิ ยั 2) ความสามารถในการคิด 2) การวดั 2) ใฝ่เรียนรู้ 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา 3) การทดลอง 3) มุ่งมั่นในการทางาน 4) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 4) การตงั้ สมมติฐาน 5) การลงความเห็นจากข้อมูล 6) การจัดกระทาและสอื่ ความหมาย ขอ้ มลู 7) การตีความหมาย ข้อมูลและ ลงขอ้ สรุป 8) การสรา้ งแบบจาลอง 6. กจิ กรรมการเรียนรู้  แนวคิด/รปู แบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนคิ : 5Es Instructional Model ชั่วโมงท่ี 1 ขน้ั นา 1. นักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตแิ ละธรณีพิบัตภิ ัยแบบปรนยั 4 ตัวเลือก จานวน 10 ขอ้ (หมายเหตุ : ครตู รวจแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อประเมนิ ความรเู้ ดิมและเข้าใจผเู้ รยี นเพอื่ ใชใ้ นการจัดกจิ กรรม) 107


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook