ประวตั ศิ าสตร์การตรวจเงินแผ่นดินไทย
๐๐๖ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงนิ แผ่นดินไทย
คา� นา�“...เพราะเงินแผ่นดินนั้น คือ เงินของประชาชนท้ังชาติ...” ความบางตอนของพระราชด�ารัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่ีทรงพระราชทานให้แก่ส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน นับเป็นถ้อยค�าท่ีเปี่ยมด้วยความหมายของค�าว่า เงินแผ่นดิน อย่างแท้จริงคนตรวจเงินแผ่นดินทุกคนล้วนยึดม่ันในพระราชด�ารัสนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการงานตรวจเงินแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์และเทยี่ งธรรมมาโดยตลอดในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันสถาปนาส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดินปีที่ ๑๐๐ ส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้จัดท�าหนังสือท่ีระลึกชุด ‘หนึ่งศตวรรษส�านักงานการตรวจเงินแผ่นดินหนึ่งร้อยปีมีเรื่องบอกเล่า’ เพื่อเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์การตรวจเงินแผ่นดินไทย และพัฒนาการขององค์กรตรวจเงินแผน่ ดนิ ในรอบ ๑๐๐ ปี ทผ่ี า่ นมาหนังสือที่ระลึกชุดนี้ประกอบด้วย ๓ เล่ม ได้แก่ เล่มท่ี ๑ ล�าดับเหตกุ ารณส์ า� คญั ในงานตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ไทย เลม่ ที่ ๒ ประวตั ศิ าสตร์การตรวจเงินแผ่นดินไทย และ เล่มท่ี ๓ พัฒนาการตรวจเงินแผ่นดินและผลงานเด่น โดยคณะผู้จัดท�าหนังสือมุ่งหวังให้หนังสือทรี่ ะลึกชดุ นเ้ี ปน็ อนุสรณ์บนั ทกึ เรื่องราวความเป็นมาของสา� นกั งานการตรวจเงินแผ่นดินต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพ่ือสร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนตรวจเงินแผ่นดิน ตลอดจนเพ่ือให้ประชาชนไดต้ ระหนกั ในคุณค่าของเงินแผน่ ดิน ๐๐๗
ส า ร บั ญหน้า ๐๑๑บทท่ี ๑บทนา�วิวัฒนาการของเงนิ แผน่ ดินก่อนรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู วัหนา้ ๐๒๑บทที่ ๒การตรวจเงนิ แผ่นดินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วัหน้า ๐๔๙บทท่ี ๓การตรวจเงินแผน่ ดนิในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวัหน้า ๐๖๕บทที่ ๔การตรวจเงนิ แผ่นดินในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยูห่ ัว
หนา้ ๐๗๙ บทท่ี ๕ การตรวจเงนิ แผ่นดนิ ภายใต้พระราชบัญญัติ วา่ ด้วยคณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ พ.ศ. ๒๔๗๖ หน้า ๑๐๙ บทที่ ๖ การตรวจเงนิ แผ่นดนิภายใต้พระราชบัญญัติการตรวจเงินแผน่ ดนิ พ.ศ. ๒๕๒๒ หน้า ๑๑๙ บทที่ ๗ การตรวจเงินแผ่นดนิ ภายใต้พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการตรวจเงนิ แผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ หน้า ๑๔๑ ภาคผนวก
๐๑๐ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงนิ แผ่นดินไทย
บทท่ี ๑ บทนา� ววิ ฒั นาการของเงินแผน่ ดนิก่อนรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั• การบริหารราชการแผ่นดินไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม ‘เงินแผ่นดิน’ คือ ปัจจัยส�าคัญในการพัฒนาประเทศ ค�าว่า ‘เงินแผ่นดิน’ จึงเกี่ยวข้องกับการบริหารการเงินการคลังของ แผน่ ดนิ มาตงั้ แตส่ มยั กรงุ สโุ ขทยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา กรงุ ธนบรุ ี เรอื่ ยมาจนกระทง่ั กรุงรตั นโกสินทร์ ในบทน้ี จะเริ่มต้นด้วยวิวัฒนาการของเงินแผ่นดินตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก่อนที่จะมีการปฏิรูปการคลังขน้ึ ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เงินแผ่นดินในสมัยโบราณเกี่ยวข้องเชื่อมโยงจนแทบจะแยกไม่ออกจากค�าว่า ‘คลังหลวง’ หรือเงินในท้องพระคลัง เนื่องจากแตโ่ บราณมา เมอื่ รฐั เกบ็ รายไดจ้ ากราษฎร หรอื รายไดจ้ ากการคา้ ขายของราชส�านกั รายไดเ้ หล่านจ้ี ะถกู ส่งเขา้ บญั ชที อ้ งพระคลัง ในสมยั สโุ ขทัย (พ.ศ. ๑๗๘๑ - ๑๙๘๑) การบรหิ ารการเงนิการคลังแผ่นดินยังมิได้จัดตั้งหน่วยงานท่ีท�าหน้าท่ีนี้โดยเฉพาะในหนังสือคลังหลวงแห่งประเทศไทย (๒๕๕๑) กล่าวถึงท่ีมาของเงินแผ่นดินในสมัยสุโขทัยไว้ว่า รายได้หลักของราชธานีสุโขทัยมาจากภาษี ๒ ประเภท คือ จงั กอบและภาษขี ้าว ทง้ั นก้ี ารเรยี กเก็บจงั กอบใชว้ ธิ ี ‘สบิ ชกั หนง่ึ ’ หรอื ‘สบิ หยบิ หนง่ึ ’ คอื เกบ็ ในอตั รารอ้ ยละสบิ ๐๑๑
ตามภาษาปัจจุบัน และจังกอบนั้นไม่จ�าเป็นต้องช�าระเป็นเงินสดเสมอไป อาจเป็นสงิ่ ของหรือสัตวก์ ไ็ ด้ เน่ืองจากระบบการเงนิ ในสมยั นั้นยงั ไมส่ มบรู ณ์ รฐั บาลสมยั สโุ ขทยั จะจดั ตง้ั ดา่ นเกบ็ จงั กอบสา� หรบั สนิ คา้ ทวั่ ไปในสถานทท่ี สี่ ะดวกแกผ่ ชู้ า� ระ เชน่ ทางบกจะตงั้ ทป่ี ากทางหรอื ทางทจ่ี ะเขา้ เมอื ง ทางนา้� ตงั้ ทใี่ กลท้ า่ แมน่ า�้หรือเป็นที่ทางร่วมสายน้�า ด่านเก็บจังกอบเรียกว่า ‘ขนอน’ ขนอนในสมัยสุโขทัยนี้มหี ลายประเภท เรยี กชอ่ื ตามสถานทตี่ งั้ เชน่ ขนอนบก ขนอนนา้� ขนอนชน้ั นอก ขนอนช้นั ใน และขนอนตลาด เป็นตน้ แมว้ า่ ระบบการเงนิ การคลงั ในสมยั สโุ ขทยั ยงั ไมส่ มบรู ณ์ แตเ่ งนิ ตราทใ่ี ชห้ มนุ เวยี นในราชอาณาจกั รนนั้ มอี ยหู่ ลายประเภท ไดแ้ ก่ (ก) เบยี้ เปน็ เปลอื กหอยทะเลใชเ้ ปน็ เงนิปลกี (ข) เงินก�าไล ลกั ษณะเป็นวง มตี ราประทับ ๔ ตรา และรอยบาก ๒ รอย (ค) เงินคุบทที่ �าจากโลหะผสม และภายหลงั ววิ ฒั นาการเปน็ (ง) เงนิ พดดว้ ง ท่มี ีตราประทบัตัง้ แต่ ๒ ตราขน้ึ ไป เช่น ตราราชสีห์ ชา้ ง ราชวตั ร จักร ช่อดอกไม้ วัว หอยสงั ข์ (ก) (ข) (ค) (ง) ตอ่ มาในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา (พ.ศ. ๑๙๙๓ - ๒๓๑๐) เงนิ แผน่ ดนิ คอื เงนิ รายได้ • ภาพ (ก) เปน็ เบี้ยทท่ี า� จากของรัฐท่ีมาจาก ส่วยสาอากร หรือที่ปัจจุบันเราเรียกว่า ภาษีอากร ประกอบด้วย เปลือกหอยทะเลจงั กอบ อากร สว่ ย และ ฤชา ซง่ึ ในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว ราชสา� นกั อยธุ ยาไดจ้ ดั ระเบยี บ (ข) เงนิ กา� ไล (ค) เงินคุบการปกครองฝ่ายพลเรือนเป็น ๔ แผนก เรียกว่า จตุสดมภ์ ประกอบดว้ ย (๑) กรม และ (ง) เงินพดดว้ งเมือง (๒) กรมวัง (๓) กรมพระคลงั และ (๔) กรมนา โดยกรมพระคลงั ท�าหน้าท่ี ภาพจาก :รักษาราชทรัพย์ผลประโยชน์ของบ้านเมือง มีขุนคลังเป็นหัวหน้าบังคับบัญชา และ www.emuseum.treasury.go.thมีพระคลงั สินคา้ เป็นท่เี กบ็ และรักษาสว่ ยสาอากร๐๑๒ ประวตั ศิ าสตร์การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ไทย
จนกระท่ังในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) พระองคท์ รงปฏริ ูประบบบริหารราชการแผ่นดินโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ปรับปรุงแก้ไขระบบราชการและวางระเบียบการคลัง จัดการส่วยสาอากรให้รัดกุม ทนั สมยั ทรงโปรดใหต้ ราพระราชบญั ญตั ทิ า� เนยี บราชการ และแบง่ ราชการออกเปน็ ฝ่ายทหารและพลเรือน ฝ่ายทหารมีสมุหพระกลาโหม เป็นหัวหน้าด�ารงต�าแหน่ง อัครมหาเสนาบดี ฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายก เป็นหัวหน้าด�ารงต�าแหน่งอัครมหา เสนาบดีเช่นเดยี วกัน• เงินพดดว้ งและประกบัดินเผา เงินแผ่นดินสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยาภาพจาก :www.emuseum.treasury.go.th ๐๑๓
นอกจากน้ีทรงโปรดให้มีต�าแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์อีก ๔ ต�าแหน่ง คือ (๑)เสนาบดกี รมเมอื ง บังคบั บญั ชาการรกั ษาพระนครและความนครบาล (๒) เสนาบดีกรมวัง บังคับบัญชาการทเ่ี กีย่ วกบั พระราชสา� นกั และพจิ ารณาคดคี วามของราษฎร(๓) เสนาบดกี รมพระคลัง บังคบั บัญชาเกยี่ วกับการจดั การรักษาพระราชทรพั ยท์ ี่ได้จากสว่ ยสาอากรและบงั คบั บญั ชากรมทา่ ซง่ึ เกยี่ วกบั การตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั ตา่ งประเทศและยังท�าหน้าท่ีเก่ียวกับกรมพระคลังสินค้าการค้าส�าเภาของหลวงด้วย และ (๔)เสนาบดีกรมนา บังคับบัญชาการเกี่ยวกับเร่ืองนาและสวน การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธญั ญาหาร ส่วยสาอากร ในอดีต สว่ ยสาอากร คือ ท่มี าของเงนิ แผน่ ดนิ สว่ ยสาอากรท่วี า่ นป้ี ระกอบด้วย จังกอบ อากร สว่ ย และฤชา ๑) จกอบ หรอื จังกอบ คอื ค่าผา่ นด่านท่ีเรียกเกบ็ จากสินค้าทผ่ี ่านจุดเก็บภาษี โดย เรยี กเก็บจากการชกั ส่วนสินคา้ หรอื เรียกเก็บตามขนาดของยานพาหนะ เชน่ ภาษีปากเรือ ที่เรยี กเกบ็ ตามความกวา้ งของเรือ ๒) อากร แบง่ ออกเปน็ สองประเภท คอื อากรทเ่ี กบ็ จากการประกอบอาชพี ของราษฎร เช่น อากรสมพัตสร (เก็บจากการปลูกพืชล้มลุก) อากรสวนใหญ่ (เก็บจากการปลูกพืช ไม้ยนื ต้น) อากรหางข้าว (เกบ็ จากการทา� นา) ส่วนอากรอกี ประเภท คือ อากรที่เรียกเกบ็ จาก การไดร้ บั สิทธใิ นการประกอบกิจการบางอย่าง เช่น อากรสุรา อากรบ่อนเบย้ี ๓) สว่ ย คอื ภาษที เ่ี รยี กเกบ็ จากไพรท่ ไี่ มเ่ ขา้ ทา� งานราชการตามทกี่ า� หนด โดยอาจเปน็ สิ่งของทห่ี าได้จากทอ้ งถ่นิ เชน่ ดบี ุก ทอง หรอื จา่ ยเปน็ เงนิ ๔) ฤชา คือ ค่าธรรมเนยี มทร่ี ัฐเรยี กเกบ็ จากราษฎรที่ใช้บรกิ ารของรัฐ เชน่ ออกโฉนด ตราสาร ยืน่ ฟอ้ งรอ้ งคดีความ กรุงศรีอยุธยาติดต่อค้าขายทางเรือกับชาวต่างชาติเป็นจ�านวนมาก ชาติทเ่ี ขา้ มาท�าการคา้ กับอาณาจกั รอยธุ ยา ได้แก่ จนี โปรตเุ กส สเปน ฮอลนั ดา ญี่ปุ่นอังกฤษ เดนมาร์ก และฝรงั่ เศส ซงึ่ การค้าขายกับตา่ งชาตลิ ว้ นอยู่ในการควบคุมดูแลของกรมพระคลงั สนิ ค้า ซงึ่ เป็นหนว่ ยงานหลวงที่คา้ ขายผูกขาดสนิ คา้ บางชนิดทเี่ ปน็สินค้าต้องห้ามไม่ให้พ่อค้าและราษฎรซ้ือขายกันโดยตรง นอกจากนี้ กรมพระคลังสินค้ายังมีหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเรือสินค้าต่างชาติ ค่าภาษีสินค้า และคา่ ธรรมเนียมเข้าออก๐๑๔ ประวัตศิ าสตรก์ ารตรวจเงินแผน่ ดนิ ไทย
• เจ้าพระยาโกษาธบิ ด ี(ปาน) หรือ โกษาปานผซู้ ึ่งด�ารงตา� แหน่งเสนาบดีกรมพระคลังสมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชภาพจาก :www.wikipedia.org การเงนิ การคลัง และการคา้ ในสมัยกรงุ ศรีอยุธยาเป็นหน้าทีข่ องฝา่ ยพลเรือน ซงึ่ ตา� แหนง่ เจ้าพระยาโกษาธิบดจี ะทา� หนา้ ที่เปน็ ขุนคลังคอยทา� การเกบ็ รักษาทรัพย์ รับจา่ ยเงินแผน่ ดนิ ตลอดจนตดิ ตอ่ คา้ ขายกับชาวต่างประเทศ สุนทรี เตียสมุทร (๒๕๑๓ : ๙) ต้ังข้อสังเกตไว้ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา การควบคมุ การเงนิ แผน่ ดนิ เปน็ อา� นาจของฝา่ ยพลเรอื น โดยมสี มหุ นายกเปน็ หวั หนา้ และมขี นุ คลงั ตา� แหนง่ โกษาธบิ ดเี ปน็ เจา้ หนา้ ทดี่ า� เนนิ การทา� หนา้ ทเ่ี กย่ี วกบั การรกั ษา ทรัพย์สิน การรับจ่ายเงินผลประโยชน์ของแผ่นดิน ส่วนอ�านาจส่ังจ่ายหรือส่ังเก็บ ภาษอี ากรซงึ่ เป็นรายไดห้ รอื ผลประโยชน์ของแผ่นดินนนั้ เป็นอา� นาจโดยเฉพาะของ พระเจ้าแผ่นดิน สมุหนายก หัวหน้าฝ่ายพลเรือน หรือโกษาธิบดีเป็นเพียงแค่ ผปู้ ฏิบตั ิการตามพระราชกระแสรบั ส่งั เท่าน้นั ๐๑๕
ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยาท�าให้กรุงศรีอยุธยามีเงินแผ่นดินหรือเงินในท้องพระคลังมากพอที่จะพัฒนาบ้านเมือง จนชาวต่างชาติได้บันทึกถึงความมงั่ คั่งของพระคลงั ในสมยั อยุธยาไว้วา่ ...พระมหากษัตรยิ ์มพี ระราชทรัพย์อยู่ ๘ หรือ ๑๐ ท้องพระคลงั ทีม่ ที รัพยส์ ินอนั ลา้� ค่าย่ิงกวา่ ทอ้ งพระคลังอน่ื ๆ ในห้องหรือทอ้ งพระคลังแห่งหน่ึงมีไหเปน็ อนั มากตั้งเรียงสลับซับซ้อนอยู่จนถึงหลังคา เต็มไปด้วยเงินเหรียญบาทและทองค�าแท่งสว่ นใหญเ่ ปน็ นาก (Tambac) อนั เป็นสว่ นผสมของโลหะหลายชนดิ ถลงุ ให้บริสุทธข์ิ น้ึซ่ึงในประเทศสยามถอื กันว่ามีคา่ กวา่ ทองค�าเสยี อกี แมจ้ ะไมส่ กุ ใสเท่าก็ตาม... ท้องพระคลังอีกแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยดาบญี่ปุ่น ตีด้วยเหล็กเน้ือดี อาจฟันแท่งเหลก็ ให้ขาดสะบั้นไดโ้ ดยง่ายดาย แล้วก็ไมก้ ฤษณา กะลา� พกั ชะมดเชียง และเครื่องกระเบ้อื งชุดลายครามจากเมอื งจีนเป็นอนั มาก กบั ผา้ แพรพรรณอย่างดีทา� ในชมพู-ทวปี และในยุโรป และเครอ่ื งกระเบอ้ื งเคลอื บชนดิ บางลางชนดิ ซ่ึงเม่ือใสย่ าพิษลงไปแลว้ กจ็ ะแตกทันที สรุปแลว้ เราไม่อาจทีจ่ ะบอกไดถ้ ูกต้องวา่ มีสงิ่ อันล้�าคา่ หาไดย้ ากและนา่ เห็นน่าชมเชยมากมายสักเท่าไรในทอ้ งพระคลงั อน่ื ๆ อกี ... (ทม่ี า : หนงั สอื คลังหลวงแหง่ ประเทศไทย) อย่างไรก็ดี แม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะสามารถจัดเก็บรายได้เป็นเงินแผ่นดินเขา้ ทอ้ งพระคลงั เปน็ จา� นวนมาก แตใ่ นความเปน็ จรงิ ราชสา� นกั กลบั ไดร้ บั ผลประโยชน์จากรายได้ทเี่ กบ็ มาไมเ่ ต็มเมด็ เต็มหน่วย เนอ่ื งจากเกดิ การรั่วไหลเปน็ จ�านวนมาก สาเหตขุ องการรวั่ ไหลของเงนิ แผน่ ดนิ มาจากการทจุ รติ ของเจา้ พนกั งานในสมยันนั้ ซงึ่ ใชว้ ธิ กี ารฉอ้ โกงหลวงหลายรปู แบบ มหี ลกั ฐานปรากฏในกฎหมายสมยั อยธุ ยากฎหมายอาญาหลวง อาญาราษฎร์ บทที่ ๒ ว่า ผู้ใดบังอาจลักพระราชทรัพย์ในพระคลังหลวง นอกพระคลังหลวง ให้ลงโทษ ๘ สถาน คือ (๑) บ่ันคอริบเรือน (๒)เอามะพรา้ วหา้ วยัดปาก (๓) รบิ ราชบาตรแล้วเอาตัวลงหญ้าชา้ ง (๔) ไหมจตุรคณูแล้วเอาตัวออกจากราชการ (๕) ไหมทวีคณู (๖) ทวนด้วยลวดหนัง ๕๐ ที ๒๕ ทีแล้วใสค่ รุไว้ (๗) จ�าไว้แลว้ ถอดเสียเป็นไพร่ และ (๘) ภาคทณั ฑ์ไว้ นอกจากนี้ กฎหมายอาญาหลวงบทที่ ๑๒๓ ยังมสี �านวนกลา่ วดว้ ยวา่ “แกว้ ฤาจะร้หู มอง ทองฤาจะรู้เศร้า พระราชทรพั ย์ของพระผู้เป็นเจา้ จิรังกาล นานชา้ เทา่ ใดบส่ ญู ” ซงึ่ เปน็ ท่มี าของข้อความทว่ี ่า เงนิ หลวงนน้ั ตกน�า้ ไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ หลังจากท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีเรม่ิ ตน้ แผน่ ดนิ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เมอ่ื วนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ การบรหิ ารราชการแผ่นดินยังคงยึดตามแบบอย่างกรุงศรีอยุธยา โดยการเงิน การคลัง และการค้ายังอยู่ในอ�านาจของกรมพระคลังที่มีต�าแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง หรือ โกษาธิบดีเป็นผู้ควบคมุ บรหิ ารการเงินการคลังของแผ่นดนิ๐๑๖ ประวตั ศิ าสตรก์ ารตรวจเงนิ แผ่นดนิ ไทย
• เงนิ พดดว้ งประทบั ตราจกั ร เปน็ ตราประจ�าแผน่ ดิน และประทบั ตราบัวอณุ าโลมเปน็ตราประจ�ารัชกาลท่ ี ๑เงนิ แผ่นดนิ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธ-ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชภาพจาก :www.emuseum.treasury.go.th อย่างไรก็ดี การท่ีสยามยังขาดกลไกการบริหารการคลังที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกบั ชว่ งกอ่ รา่ งสรา้ งกรงุ รตั นโกสนิ ทรท์ ตี่ อ้ งใชจ้ า่ ยเงนิ แผน่ ดนิ เปน็ จา� นวนมาก ทา� ใหร้ ชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั รชั กาลท่ี ๒ ประสบปญั หาเงนิ ไมพ่ อทอ้ งพระคลัง ดงั ท่ปี รากฏหลกั ฐานว่า “เม่ือแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั นั้น พระราชทรัพย์ขดั สน เงนิ ทอ้ งพระคลงั จะแจกขา้ ราชการไม่พอ ต้องลดก่ึงและแบ่ง ๓ แตใ่ ห้ ๒ แทบทุกปี เงินไม่มีต้องเอาผา้ ตใี ห้ก็มีบ้าง ส่วนหนง่ึ ได้รับทูลเกลา้ ฯ ถวายจากกรมหมื่นเจษฎา- บดินทร์มาแจกเบ้ียหวัด แล้วจึงเก็บเงินค้างใช้คืน เพราะคร้ังน้ันกรมหม่ืนเจษฎา- บดนิ ทรค์ า้ สา� เภามีก�าไรมาก” (ท่มี า : หนังสือคลงั หลวงแห่งประเทศไทย) ตอ่ มาในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) รัชกาลท่ี ๓ พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยท่ีจะปรับปรุงเศรษฐกิจสยาม เน่ืองจาก ราชสา� นกั มคี วามจา� เปน็ ตอ้ งใชจ้ า่ ยเงนิ มากกวา่ ในแผน่ ดนิ กอ่ นๆ พระองคท์ รงพยายาม หาวิธีเพิ่มรายได้ให้กับแผ่นดินด้วย โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างระบบ ผกู ขาดการเกบ็ ภาษอี ากร อนญุ าตใหเ้ จา้ ภาษนี ายอากรจดั เกบ็ ภาษอี ากรจากราษฎร โดยตรง แตล่ ะปเี จา้ ภาษนี ายอากรจะเสนอรายไดส้ งู สดุ ในการจดั เกบ็ ภาษอี ากรแตล่ ะชนดิ ใหแ้ กร่ ฐั บาล เมอื่ ไดร้ บั อนญุ าตจากรฐั บาลแลว้ เจา้ ภาษจี ดั แบง่ สง่ เงนิ รายไดแ้ กร่ ฐั บาล เป็นรายเดือนจนครบก�าหนดท่ีได้ประมูลไว้ นับเป็นการเร่ิมระบบเจ้าภาษีนายอากร นับแตน่ ้นั มา การเกบ็ ภาษใี นสมยั นน้ั ผรู้ บั ผกู ขาดการจดั เกบ็ ภาษี เรยี กวา่ ‘เจา้ ภาษนี ายอากร’ ซง่ึ ราชการอนญุ าตใหเ้ จา้ ภาษนี ายอากรไปจดั ตง้ั สถานทเ่ี กบ็ ภาษเี อง สถานทซ่ี งึ่ ไดร้ บั อนุญาตใหจ้ ัดเก็บภาษนี เี้ รียกว่า ‘โรงภาษ’ี ๐๑๗
• เงินพดด้วงประทบั ตราจักร เป็นตราประจา� แผ่นดนิ และประทบั ตราครฑุ เปน็ ตรา ประจ�าพระองคร์ ชั กาลที่ ๒ เงนิ แผ่นดนิ ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย ภาพจาก : www.emuseum.treasury.go.th รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) สยาม • เงินพดด้วง ตราปราสาทเรมิ่ เปดิ ประตกู ารคา้ กบั ชาตติ ะวนั ตก เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๙๘ โดยรฐั บาลสยามไดล้ งนาม เปน็ ตราประจา� พระองค์ของในสนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ ซง่ึ เปน็ สนธสิ ญั ญาทางการคา้ และเศรษฐกจิ ทท่ี �าใหส้ ยามตอ้ ง รัชกาลที่ ๓ยกเลิกการค้าแบบผูกขาดโดยพระคลังสินค้า ยกเลิกการเก็บภาษีเบิกร่องหรือ เงินแผ่นดนิ ในรชั สมัยคา่ ปากเรือ จดั ตง้ั โรงภาษหี รือศลุ กสถาน (Custom House) เพือ่ จัดเก็บอตั ราภาษี พระบาทสมเด็จขาเข้าในอัตราร้อยชักสาม และภาษีขาออกตามท่ีระบุไว้ท้ายสัญญา ผลของการ พระนัง่ เกลา้ เจ้าอยหู่ วัเปดิ ประเทศครง้ั นน้ั ทา� ใหส้ ยามตอ้ งปรบั ตวั ใหท้ นั เพอ่ื รบั มอื กบั การเปลยี่ นแปลงของ ภาพจาก :เศรษฐกจิ และการเมอื งโลก โดยเฉพาะการขยายตวั ของลทั ธลิ า่ อาณานคิ มจากชาติ www.royalthaimint.netตะวนั ตกท่นี �าโดยองั กฤษและฝร่งั เศส ในเวลานน้ั ผลประโยชนท์ เ่ี ปน็ รายไดข้ องแผน่ ดนิ แบง่ ออกเปน็ ๖ ประเภท ไดแ้ ก่(๑) สว่ ยสาอากร (๒) อากรคา่ นา (๓) คา่ ภาคหลวงจากการใหส้ มั ปทาน (๔) ภาษีศุลกากรและภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้า (๕) ค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากเรือก�าปั่นยุโรป และ (๖) ค่าปรบั เป็นพนิ ัยหลวงและการยึดทรพั ย์ (สนุ ทรี เตยี สมทุ ร ๒๕๑๓: ๑๑) เงนิ แผน่ ดนิ ทั้ง ๖ ประเภท เม่อื เก็บมาแลว้ จะตอ้ งนา� ข้นึ ทูลเกลา้ ฯ ถวาย และลงบญั ชเี ขา้ ทอ้ งพระคลงั โดยคา่ ใชจ้ า่ ยสา� คญั ของสยามในสมยั นนั้ ไดแ้ ก่ คา่ ใชจ้ า่ ยสาธารณะ เงนิ ปพี ระบรมวงศานวุ งศ์ ขา้ ราชการทหารและพลเรอื น การจดั ซอ้ื อาวธุยทุ ธภณั ฑ์ เครอื่ งแบบทหาร ค่าซ่อมเรือพระทนี่ ง่ั และเรอื ก�าปน่ั รบ คา่ ขดุ ลอกคลองคา่ สรา้ งปอ้ มปราการ คา่ ใชจ้ า่ ยในงานโยธาทงั้ ในพระนครและหวั เมอื ง ซงึ่ คา่ ใชจ้ า่ ยเหล่าน้ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องเป็นผู้ทรงสั่งจ่ายจากเงินในท้องพระคลังดงั กล่าว ขณะที่เจา้ พระยาพระคลังจะทา� หน้าทีค่ วบคมุ การเบกิ จา่ ย การเกบ็ รกั ษาทรพั ย์สนิ ของแผน่ ดนิ ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์๐๑๘ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงินแผ่นดนิ ไทย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความส�าคัญกับเงินแผ่นดิน เปน็ อยา่ งมาก เหน็ ไดจ้ ากพระราชปรารภในประกาศพมิ พโ์ ฆษณาพกิ ดั ภาษอี ากร เมอ่ื วันพุธ เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่�า ปขี าล ฉศก เวลาราตรีกาล ซึ่งเทียบแลว้ คือ ปี พ.ศ. ๒๓๙๗ ซงึ่ เปน็ ปที พ่ี ระองคเ์ สดจ็ ขนึ้ ครองราชย์ ในประกาศฉบบั ดงั กลา่ วมใี จความวา่ “...ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ขนุ มหาสทิ ธโิ วหาร แต่งคา� ประกาศแกร่ าษฎร ทง้ั ปวงใหร้ ทู้ ว่ั กนั วา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทกุ ๆ พระองค์ ซง่ึ ไดเ้ สดจ็ ขนึ้ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั คิ รอบครองแผน่ ดนิ อาณาประชาราษฎรมาแตก่ อ่ น กไ็ ดอ้ าศรยั ใชเ้ งนิ ภาษอี ากรตา่ งๆ ทเ่ี รยี กวา่ พระราชทรพั ย์ เปนกา� ลงั ราชการแผน่ ดนิ ถา้ ไมม่ เี งนิ ภาษี อากรแลว้ ก็ไม่อาจจะดา� รงรักษาแผน่ ดนิ ใหเ้ ปน็ ศขุ ได.้ ..” (ท่มี า : เล่ือน ช่มุ กมล. ๒๕๐๔. การตรวจสอบบญั ชกี ารเงนิ ของรัฐ และหลักการตรวจและควบคุมการเงิน) การปรบั ตวั ของสยาม กับ เงินแผน่ ดนิ ในรชั กาลที่ ๔ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายมากขึ้น และได้น�าเงินเหรียญของตนมาแลกกับเงินพดด้วงจากรัฐบาลไทยเพ่ือน�าไปซื้อสินค้าจากราษฎร แต่ด้วยเหตุท่ีเงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงท�าให้มีปริมาณไม่เพียงพอกบั ความตอ้ งการ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความไมส่ ะดวกและการคา้ ของประเทศเสยี ประโยชน์ พระองคจ์ งึ มพี ระราชด�าริท่ีจะเปลี่ยนรูปเงนิ ตราของไทยจากเงินพดดว้ งเปน็ เงนิ เหรียญ ปี พ.ศ. ๒๔๐๐ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหค้ ณะทตู ไทยไปเจรญิ สมั พนั ธไมตรีกับสมเดจ็ พระนางเจ้าวกิ ตอเรยี ทป่ี ระเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าวกิ ตอเรีย ไดจ้ ัดสง่ เครอื่ งทา� เหรียญเงินขนาดเล็กเขา้ มาถวายเปน็ ราชบรรณาการ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั จงึ โปรดเกล้าฯ ให้จดั ท�าเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกกันว่า ‘เหรียญเงินบรรณาการ’ ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้ส่ังซ้ือเคร่ืองจักรท�าเงินจากบริษัท เทเลอร์ เข้ามาในปลายปี พ.ศ. ๒๔๐๑ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯใหส้ รา้ งโรงงานผลติ เหรยี ญกษาปณข์ นึ้ ทหี่ นา้ พระคลงั มหาสมบตั ิ ในพระบรมมหาราชวงั พระราชทานนามวา่‘โรงกระสาปณส์ ิทธกิ าร’ จงึ นับวา่ มีการใชเ้ หรียญกษาปณแ์ บบสากลนยิ มขนึ้ เปน็ ครงั้ แรก ตอ่ มาแมไ้ ดป้ ระกาศให้ใชเ้ งินตราแบบเหรียญแล้วกย็ งั โปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงนิ พดด้วงอยู่ เพียงแตไ่ มม่ กี ารผลติ เพิม่ เติม ๐๑๙
๐๒๐ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงนิ แผ่นดินไทย
บทท่ี ๒ การตรวจเงนิ แผน่ ดินในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๒.๑ การปฏริ ูปการคลงั สยาม การตรวจเงินแผ่นดินของประเทศไทยเร่ิมต้นข้ึนคร้ังแรกใน รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) เมอื่ ครั้งท่ปี ระเทศไทยยังใชช้ อ่ื ว่า ‘สยาม’ ใน รชั สมยั ของพระองค์ สยามพฒั นาประเทศใหเ้ กดิ ความทนั สมยั เพอ่ื รับมอื กับการเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คมและการเมอื งโลก เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ขน้ึ ครอง- ราชย์นั้น พระองค์มีพระชนมพรรษาเพียง ๑๖ พรรษาเท่าน้ัน มสี มเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) เปน็ ผสู้ �าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๑๖ ในเวลาน้นั จากการส�ารวจบัญชเี งินพระคลังขา้ งใน ปรากฏ มีเงนิ เหลอื อยู่ในท้องพระคลงั เพียง ๕๔๗,๕๕๒.๑๒ บาท และเมือ่ หกั คา่ ใชจ้ า่ ยในรชั กาลกอ่ นทยี่ งั ไมล่ งบญั ชเี บกิ ออก ๓๑๗,๖๐๓.๑๒ บาท จงึ มเี งนิ เหลอื ในพระคลงั ขา้ งในจรงิ ๆ เพยี ง ๒๒๙,๙๔๙ บาท ท้ังนี้ไม่ปรากฏหลักฐานเงินเหลือในพระคลังมหาสมบัติ แต่พบว่า• พระบาทสมเดจ็ รายได้ของพระคลังมหาสมบัติในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ เป็นจ�านวนเงินพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวเสด็จขน้ึ ครองราชย์เม่อื วนั ที่ ๑ ตุลาคม ๒,๙๖๗,๖๐๔ บาท และจากเงนิ จา� นวนนถี้ กู นา� ไปใชใ้ นพระราชพธิ ีพ.ศ. ๒๔๑๑ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ถงึ ๒๑๕,๙๙๖.๓๗ภาพจาก : บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๗.๒๘ ของรายได้พระคลังมหาสมบัติwww.britishempire.co.uk (สุชาดา เลขไวฑูรย์, ๒๕๒๕) ๐๒๑
ข้อมูลข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า หลังสิ้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า • พระบาทสมเด็จเจา้ อยหู่ วั ราชสา� นกั เผชญิ ภาวะวกิ ฤตกิ ารคลงั โดยเงนิ ในทอ้ งพระคลงั เหลอื นอ้ ยมาก พระจลุ จอมเกล้าอยู่หวัดงั ทปี่ รากฏหลกั ฐานในพระราชหตั ถเลขาของรชั กาลท่ี ๕ ซง่ึ ทรงมไี ปถงึ สมเดจ็ พระมหา ในพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส วดั บวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร ฉบบั ลง คร้งั ท ่ี ๒วันที่ ๒๘ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๒ ความตอนหน่ึงว่า เมอ่ื วันท่ี ๑๖ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๑๖ “…ในเวลาครึง่ ปีตอ่ มา เงินภาษีอากรกล็ ดเกือบหมดทกุ อย่าง ลดลงไปเป็นลา� ดับจนถงึ ปมี ะแม ตรศี ก (พ.ศ. ๒๔๑๔) เงนิ แผน่ ดนิ ทเ่ี คยไดอ้ ยปู่ ลี ะ ๕๐,๐๐๐ - ๖๐,๐๐๐ชัง่ นั้น เหลือจ�านวนอยู่ ๔๐,๐๐๐ ช่งั แต่ไมไ่ ดต้ วั เงนิ กี่มากนอ้ ย แตเ่ งินเบีย้ หวดั ปลี ะ๑๑,๐๐๐ ช่ัง ก็วิ่งตาแตก ได้เงินในคลงั มหาสมบัติ ซ่ึงเปน็ ของเจา้ หน้าทวี่ ง่ิ มาหาเปน็พืน้ นอกนัน้ ก็ปลอ่ ยคา้ ง ท่ีไดเ้ งนิ ตวั จริงมีประมาณ ๒๐,๐๐๐ ชัง่ เทา่ นน้ั ... เงินไมพ่ อจา่ ยราชการ ตอ้ งเปน็ หนตี้ ง้ั แตง่ านพระบรมศพมาจนปมี ะแมนี้ (พ.ศ. ๒๔๑๔) เปน็ เงนิ๑๐๐,๐๐๐ ชง่ั เพราะเหตเุ ชน่ น้ี หมอ่ มฉนั จงึ นงิ่ อยไู่ มไ่ ด้ จบั จดั การคลงั มหาสมบตั .ิ ..” ช่วงต้นรัชสมัยของพระองค์ เงินแผ่นดินท่ีน�ามาใช้จ่ายในการบริหารประเทศมาจากการเกบ็ ภาษอี ากร โดยแตล่ ะงวดนน้ั เจา้ ภาษนี ายอากรและกรมตา่ งๆ จะตอ้ งสง่เงนิ ตอ่ ใหก้ รมพระคลงั มหาสมบตั เิ ปน็ ฝา่ ยเกบ็ รกั ษา แตใ่ นทางปฏบิ ตั หิ าเปน็ เชน่ นนั้ ไม่เพราะตามธรรมเนยี มทปี่ ฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มา ราชสา� นกั อนญุ าตใหก้ รมตา่ งๆ ทค่ี วบคมุภาษีอากรมีสิทธิท่ีจะน�าเงินภาษีอากรที่จัดเก็บมาแล้ว เอาไว้ใช้จ่ายได้ก่อนส�าหรับราชการแผน่ ดนิ ของตน และทกุ กรมทกุ หนว่ ยงานตา่ งทา� เชน่ นมี้ าโดยตลอด เชน่ กรมพระคลังสินค้า หักเงินภาษีอากรซ้ือของใช้ในราชการของตนก่อนส่งเงินเข้ากรมพระคลงั มหาสมบตั ิ เชน่ เดยี วกบั ทางหวั เมอื ง ทางการอนญุ าตใหเ้ จา้ เมอื งหกั เงนิ สว่ ยหรอืยมื เจ้าภาษอี ากรมาใช้ในราชการก่อนได้ นอกจากนี้ ทง้ั เจา้ นาย เสนาบดี และขนุ นางผบู้ งั คบั บญั ชาการเกบ็ ภาษอี ากรยงั ไดร้ บั พระราชทานสว่ นแบง่ จากเงนิ ภาษอี ากรนน้ัดว้ ย โดยถอื เป็นผลประโยชน์ตอบแทนการท�างาน ทเี่ รียกว่า ‘สิบลด’ ซ่งึ เปน็ ส�านวนเรียกเงินพระราชทานจ�านวนหนึ่งท่ีมอบแก่เสนาบดีและขุนนางผู้ควบคุมดูแลการท�าภาษอี ากร ดงั นนั้ การเกบ็ รกั ษาเงนิ รายไดแ้ ผน่ ดนิ จงึ ไมถ่ กู แบง่ แยกกนั ชดั เจนระหวา่ งเงนิ ราชการกบั เงนิ ทเ่ี ปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นตนของเจา้ นายและขนุ นาง ทา� ใหห้ ลายครงั้ท้ังเจ้านายและขุนนางต่างใช้เงินแผ่นดินไปตามอ�าเภอใจ หรือใช้จ่ายเงินเกินกว่าจ�านวนทต่ี นไดร้ ับ (วิมลพรรณ ปตี ธวชั ชยั , ๒๕๔๗) นกั ประวตั ศิ าสตรเ์ ศรษฐกจิ ไทย ตง้ั ขอ้ สงั เกตไวน้ า่ สนใจวา่ กอ่ นทส่ี ยามจะปฏริ ปูการคลังน้ัน การบริหารการคลังแผ่นดินขาดผู้รับผิดชอบท่ีชัดเจน แม้จะมีกรมพระคลังมหาสมบัติ แต่ยังขาดระเบียบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินท่ีแน่นอน ทั้งยังระบบการจดั เกบ็ ภาษที ใ่ี ชร้ ะบบเจา้ ภาษนี ายอากรผกู ขาดการจดั เกบ็ เปน็ เหตใุ หท้ ง้ั เจา้ ภาษีนายอากรและขนุ นางทรี่ บั ผดิ ชอบเรอ่ื งการจดั เกบ็ นน้ั ยกั ยอก ฉอ้ โกงเงนิ หลวง รฐั เกบ็ภาษอี ากรไมเ่ ตม็ เมด็ เตม็ หนว่ ย สง่ ผลกระทบตอ่ รายไดแ้ ละรายจา่ ย จนทา� ใหเ้ กดิ วกิ ฤติการคลงั เสมอ ครน้ั เมอื่ พระองคม์ พี ระชนมายคุ รบ ๒๐ พรรษาแลว้ ทรงบรรลพุ ระราชนติ ภิ าวะและเรม่ิ พระราชกรณยี กจิ ในการปรบั ปรงุ แกไ้ ขการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ใหท้ นั สมยัโดยพระองคม์ พี ระราชประสงคท์ จ่ี ะควบคมุ การใชจ้ า่ ยเงนิ แผน่ ดนิ ดว้ ยสายพระเนตรทย่ี าวไกล พระองคท์ รงตระหนกั ถงึ การปฏริ ปู การคลงั แผน่ ดนิ เสยี ใหม่ โดยในเวลานน้ัทปี่ รกึ ษาทางการคลัง คอื เซอรเ์ อ็ดเวิร์ด คกุ (Sir Edward Cook) ใหข้ ้อคิดเห็นวา่๐๒๒ ประวัติศาสตร์การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ไทย
๐๒๓
“การสร้างระบบการคลังของชาติโดยสมบูรณ์ในขณะนั้น จะเป็นกุญแจส�าคัญอนั จะนา� ไปสู่การพัฒนาประเทศได”้ พระองค์ทรงพระราชวินิจฉัยปญั หาทางการคลงั ของสยามและทรงชี้ให้เห็นถึงเหตุผลของการปรบั ปรุงการบรหิ ารงานคลังและปฏิรูปการคลังแผน่ ดนิ ดงั น้ี ๑. การจดั เก็บภาษอี ากรไมม่ ีการจัดระบบใหถ้ กู ต้อง การเงินของประเทศได้ถูกแบ่งไปอยู่ที่เจา้ นายและขนุ นางผมู้ ีอา� นาจ โดยอ�านาจการจดั เก็บภาษอี ากรกระจายไปอยูต่ ามกรมต่างๆ เช่น กรมพระคลงั มหาสมบัติ กรมพระกลาโหม กรมมหาดไทยกรมนา และกรมพระคลังสินค้า เป็นต้น แล้วแต่เจ้ากรมผู้บังคับบัญชากรมนั้นๆจะจัดเก็บตามประสงค์ ไม่เป็นระเบียบแบบแผนอันเดียวกันที่จะพึงปฏิบัติเย่ียงอารยประเทศ นอกจากนภ้ี าษอี ากรทก่ี รมตา่ งๆ จดั เกบ็ ได้ ซงึ่ จะตอ้ งมอบเงนิ สว่ นหนงึ่ใหก้ รมพระคลงั มหาสมบตั ิ กป็ รากฏวา่ ใหบ้ า้ งไมใ่ หบ้ า้ ง กรมพระคลงั มหาสมบตั เิ ปน็เพยี งแตเ่ จา้ พนกั งานรบั เงนิ หลวง ไมม่ อี า� นาจบงั คบั หรอื เรยี กรอ้ งใหก้ รมตา่ งๆ ปฏบิ ตั ิตามแต่อยา่ งใด เพราะไม่มีระเบียบบญั ญตั กิ ฎหมายวางไว้ใหท้ �าเชน่ นั้นได้ ท�าใหเ้ งนิผลประโยชนข์ องแผ่นดินรั่วไหลไปทางอืน่ เสียเปน็ อนั มาก ๒. ระบบเจา้ ภาษนี ายอากรไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ตามทร่ี ฐั บาลไดใ้ หเ้ จา้ ภาษนี ายอากรรับผูกขาดการเก็บภาษีอากรชนิดต่างๆ และน�าเงินส่งรัฐเพื่อเป็นรายได้น�ามาทะนุบ�ารุงประเทศนั้น ปรากฏว่าในระยะแรกเจ้าภาษีนายอากรก็น�าเงินส่งราชการเต็มตามจา� นวนและตรงเวลา นานวันไปเจา้ ภาษีนายอากรมกั บดิ พลวิ้ ผัดผอ่ น ไมส่ ่งเงนิ ตามกา� หนด และสง่ ให้ไม่ครบตามจ�านวน อกี ท้งั ยงั รีดนาทาเรน้ ราษฎรให้ไดร้ บัความเดือดร้อน เกิดระบบการยักยอก ฉ้อโกงเงินหลวงของเจ้าหน้าท่ีและเจ้าภาษีนายอากร จ�านวนเงินที่รัฐควรจะได้ก็ไม่ครบตามจ�านวนท่ีพึงได้ เป็นผลกระทบต่อเงนิ รายจา่ ยของแผ่นดิน จนเกือบจะไม่พอใชใ้ นกิจการต่างๆ ๓. การจัดท�าบัญชีของกรมพระคลังมหาสมบัติไม่เรียบร้อย นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกจนถงึ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ -เจ้าอยูห่ ัว การท�าบัญชรี ับและจ่ายเงนิ ของกรมพระคลังมหาสมบตั ิ มิไดม้ ปี รากฏไว้เป็นแบบอย่างและเป็นหลักฐานให้ตรวจสอบได้ จึงไม่ทราบแน่นอนว่าในแต่ละปีรฐั ไดร้ บั เงนิ เทา่ ไร และจา่ ยราชการไปเทา่ ไร มกี า� ไรหรอื ขาดทนุ เมอ่ื พระคลงั มหาสมบตั ิแตล่ ะคนดบั สญู ไป บญั ชนี นั้ กส็ ญู หายไปหมด ไมม่ กี ารจดั แจงเรยี บเรยี งบญั ชไี วส้ า� หรบัแผ่นดนิ เม่ือส้นิ ปกี ม็ ไิ ด้นา� งบบัญชขี ้นึ ทูลเกลา้ ฯ ถวายใหท้ รงทราบเปน็ บญั ชีข้างทไ่ี ว้สา� หรบั ทรงตรวจดตู วั เงนิ แผน่ ดนิ วา่ มเี งนิ มากนอ้ ยเพยี งใด ดว้ ยเหตนุ แี้ มใ้ นคลงั หลวงจะมีการเก็บรักษาเงินทุนส�ารองเผื่อไว้ในยามฉุกเฉิน แต่เพราะขาดการบันทึกบัญชีทเี่ ปน็ ระบบ จงึ ไม่มีหลกั ฐานปรากฏไว้ ๒.๒ หอรษั ฎากรพพิ ัฒน์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นว่าราชการแผ่นดินโดยเดด็ ขาดแลว้ พระองคท์ รงปฏิรปู การคลังโดยโปรดเกลา้ ฯ ให้ ตัง้ หอรษั ฎากร-พพิ ัฒน์ ขึ้นเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ภายในพระบรมมหาราชวัง เพ่อื ใชเ้ ปน็ ทที่ �าการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ และให้มีเจ้าพนักงานบาญชีกลางส�าหรับรวบรวมบญั ชเี งนิ ผลประโยชนแ์ ผน่ ดนิ และตรวจตราการเกบ็ ภาษอี ากรซงึ่ กระทรวงตา่ งๆ เปน็เจ้าหน้าที่เก็บนั้น ให้รู้ว่าเป็นจ�านวนเงินเท่าใด และเร่งเรียกเงินของแผ่นดินในด้าน๐๒๔ ประวัติศาสตรก์ ารตรวจเงินแผน่ ดินไทย
ภาษอี ากรใหส้ ง่ เขา้ พระคลงั มหาสมบตั ติ ามกา� หนด พรอ้ มกนั นนั้ ไดท้ รงตราพระราช- บญั ญัตสิ �าหรับหอรัษฎากรพิพฒั น์ จลุ ศกั ราช ๑๒๓๕ การปฏิรูปการคลังนับเป็นการควบคุมรายได้รัฐให้เข้าสู่ท้องพระคลังอย่าง เตม็ เมด็ เตม็ หนว่ ย ทา� ใหผ้ รู้ บั ผดิ ชอบในการจดั เกบ็ ภาษอี ากรทปี่ ฏบิ ตั หิ นา้ ทห่ี ละหลวม ขาดความรัดกุม ต่างต้องปรับปรุงตัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบ�าราบปรปักษ์ ควบคุมดูแลหอรัษฎากรพิพัฒน์ จัดให้มีเจ้าพนักงาน บาญชีกลางรวบรวมพระราชทรัพย์ข้ึนในท้องพระคลังท้ังปวง โดยให้ต้ังส�านักงาน อยทู่ หี่ อรษั ฎากรพพิ ฒั น์ พระบรมมหาราชวงั ใหม้ แี บบธรรมเนยี มทเี่ จา้ ภาษนี ายอากร ต้องปฏิบัติในการรับประมูลผูกขาดการจัดเก็บภาษีนายอากร ให้มีเจ้าจ�านวนภาษี ของพระคลังท้ังปวงมาท�างานในออฟฟิศเป็นประจ�า เพ่ือตรวจตราเงินภาษีอากร ท่เี จา้ ภาษนี ายอากรนา� สง่ ตอ่ พระคลงั แตล่ ะแห่งโดยครบถว้ นตามงวดที่ก�าหนดให้• ตวั อยา่ งประกาศหอรษั ฎากรพิพัฒน์ทป่ี ระกาศลงในราชกิจจานุเบกษาทม่ี า :ส�าเนาภาพจากราชกิจจานุเบกษา ๐๒๕
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยาบา� ราบปรปกั ษ์ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ามหามาลา กรมพระยาบา� ราบปรปกั ษ์ (๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๓๖๒ - ๑ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๒๙) พระนามเดมิ เจา้ ฟ้าชายกลาง เปน็ พระราชโอรส พระองค์กลางในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลท่ี ๒ ประสูติแต่สมเด็จ พระราชชายานารี เจ้าฟ้ากณุ ฑลทพิ ยวดี หลงั ทรงสา� เรจ็ การศกึ ษา ทรงเขา้ รบั ราชการในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับราชการกรมวัง ดูแลภายใน พระบรมมหาราชวงั และพจิ ารณาตดั สนิ คดคี วาม กรมพระคชบาล และกรมสงั ฆการธี รรมการ (ปัจจุบันคือกรมการศาสนา) ได้รับพระราชทานพระอิสริยยศและทรงได้รับสถาปนาข้ึนเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมหมื่นบ�าราบปรปักษ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ และในปี พ.ศ. ๒๔๑๐ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดกลา้ ฯ ใหบ้ งั คบั บญั ชากรมพระภษู ามาลา คลงั วเิ ศษคลงั ขา้ งใน ทรงเปน็ ทไี่ วว้ างพระราชหฤทยั มพี ระบรมราชโองการใหเ้ ลอื่ นขน้ึ เปน็ สมเดจ็ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมขนุ บา� ราบปรปกั ษ์ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ประชุมพระ บรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการพรอ้ มกนั สมมตใิ หเ้ ปน็ ผสู้ า� เรจ็ ราชการในพระราชสา� นกั และวา่ พระคลังทั้งปวง รวมท้ังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้ส�าเร็จราชการกรมมหาดไทย สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี ว่าราชการหัวเมืองต่างๆ และเกี่ยวข้องกับชาวต่างประเทศ รวมทัง้ ทรงเป็นประธานของพระบรมวงศานวุ งศ์ และเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ทรงได้รับการเลื่อน พระอสิ รยิ ยศเปน็ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยาบา� ราบปรปกั ษ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบ�าราบปรปักษ์ ทรงเป็น ตน้ ราชสกลุ มาลากุล๐๒๖ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงนิ แผน่ ดินไทย
นอกจากหอรัษฎากรพิพัฒน์ท�าหน้าท่ีเป็นส�านักงานกลางรักษาผลประโยชน์ เกี่ยวกับภาษีอากรและการใช้จ่ายเงินแผ่นดินแล้ว หอรัษฎากรพิพัฒน์ยังท�างาน ร่วมกับ สภาที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) ซึ่งสภาน้ีท�าหน้าที่ ถวายคา� ปรกึ ษาและความคดิ เหน็ ตา่ งๆ แกพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ถ้าคา� ปรกึ ษาหรอื ความคดิ เหน็ น้นั ท่ีประชมุ มีมติเห็นชอบก็จะตราออกเปน็ กฎหมาย ใช้บงั คับได้ เพราะประธานทีป่ ระชมุ คอื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว สภาท่ีปฤกษาราชการแผน่ ดนิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตรา ‘พระราชบัญญัติเคาน์ซิลออฟสเตด คือ ท่ีปฤกษาราชการแผ่นดิน’ ขึ้น เม่ือวันที่ ๑๔มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๑๗ โดยพระราชบญั ญัติฉบับนีไ้ ดจ้ ดั ตั้งคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดนิ ข้ึนในลกั ษณะเดยี วกบั ‘สภาทปี่ รึกษาแห่งรัฐ’ (Council of State หรือ Conseil d’État) ของกลุ่มประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป ซึ่งใช้ระบบประมวลกฎหมาย เช่น ประเทศฝร่ังเศส เบลเยียมเนเธอรแ์ ลนด์ ลกั เซมเบิรก์ อิตาลี เปน็ ต้น ‘เคาน์ซิลออฟสเตด’ หรอื คณะทป่ี รกึ ษาราชการแผน่ ดินนมี้ ีอา� นาจหน้าที่ ๒ ประการ คือ ๑) เปน็ ทปี่ รึกษาของพระองคใ์ นการบริหารราชการแผน่ ดิน และการรา่ งกฎหมาย และ ๒) พจิ ารณาเรือ่ งทร่ี าษฎรได้รบั ความเดอื ดร้อน เมอ่ื แรกต้ังสภาท่ีปฤกษา ประกอบดว้ ยสมาชกิ จ�านวน ๑๒ คน ท�าหนา้ ที่ถวายคา� ปรกึ ษาและความคิดเห็นต่างๆ ด้านนิติบัญญัติ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปน็ ประธานในทปี่ ระชมุ เมอ่ื ขอ้ ราชการใดเปน็ ทเ่ี หน็ ชอบของเสยี งสว่ นใหญใ่ นทปี่ ระชมุ กใ็ ห้ออกเปน็ กฎหมายบงั คบั ใชต้ อ่ ไป สมาชกิ สภาทปี่ ฤกษาราชการแผน่ ดนิ เมอื่ แรกแตง่ ตง้ั จา� นวน๑๒ คน ประกอบดว้ ย (๑) พระยาราชสุภาวดี (๒) พระยาศรพี ิพฒั น์ (๓) พระยาราชวรานกุ ลู(๔) พระยากระสาปนกิจโกศล (๕) พระยาภาสกรวงศ์ (๖) พระยามหาอ�ามาตย์ (๗) พระยาอภยั รณฤทธิ์ (๘) พระยาราไชย (๙) พระยาเจริญราชไมตรี (๑๐) พระยาพิพิธโภไคย (๑๑)พระยากลาโหมราชเสนา และ (๑๒) พระยาราชโยธา ผลงานรา่ งกฎหมายทสี่ า� คญั ของเคานซ์ ลิ ออฟสเตด ไดแ้ ก่ การออกพระราชบญั ญตั เิ กษยี ณอายุลูกทาสลูกไทย ประกาศเมอื่ วันท่ี ๑๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๑๗ เพอื่ กา� หนดค่าตวั ลกู ทาสให้สูงสุดตอนเป็นเด็ก แลว้ มีคา่ ตวั ลดลงทกุ ปีจนหลุดพ้นเป็นไทไดจ้ นหมดประเทศ เม่ือวนั ที่ ๓๑มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ ๐๒๗
๒.๓ ออฟฟศิ หลวง ภายหลังท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางระเบียบส�าหรับปรับปรุงการคลังของประเทศโดยตราเป็นพระราชบัญญัติส�าหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ไปแล้วน้ัน พระองค์มีพระราชด�าริว่าการภาษีอากรอันเป็นเงินผลประโยชน์ก้อนใหญ่ส�าหรับการใช้จ่ายในราชการท�านุบ�ารุงบ้านเมืองและใช้จ่ายเบี้ยหวัดเงินเดือนข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนนั้น พระคลังมหาสมบัติยังจัดการไม่รัดกุมเรยี บร้อย เงินผลประโยชน์ยังกระจัดกระจายเปน็ จ�านวนมาก เป็นเหตุให้เงนิ ยังไม่พอใช้จ่ายในราชการและท�านุบ�ารุงบ้านเมืองให้สมดุล พระองค์จึงทรงปรึกษากับสภาทปี่ ฤกษาราชการแผน่ ดนิ (Council of State) พรอ้ มดว้ ยเสนาบดี โดยเหน็ ชอบทจ่ี ะตราพระราชบญั ญัติกรมพระคลงั มหาสมบตั ิ จลุ ศักราช ๑๒๓๗ วา่ ด้วยกรมต่างๆ ซ่งึ จะเบิกจา่ ย สง่ เงินของทางราชการ จุดเริ่มต้นของการตรวจเงินแผ่นดินไทยปรากฏในข้อ ๗ ของพระราชบัญญัติกรมพระคลงั มหาสมบตั ิ จลุ ศกั ราช ๑๒๓๗ วา่ ดว้ ยกรมตา่ งๆ ซง่ึ จะเบกิ จา่ ย สง่ เงนิ ของทางราชการ ซ่งึ บญั ญตั ไิ ว้ว่า ...ขอ้ ๗ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ จะโปรดตง้ั ออฟฟศิ หลวงทภ่ี าษาองั กฤษเรียกว่า ออดิตออฟฟิศ เปนท่ีประชุมตรวจบาญชี รวมเงินท่ีรับจ่ายใช้ทั่วท้ังแผ่นดินทกุ หมทู่ กุ กรมทกุ รายทกุ พนกั งานผเู้ ปนพนกั งานรบั ราชการในตา� แหนง่ ออฟฟศิ หลวงนเี้ ปนกรมแผนก ๑ ตา่ งหากจากกรมขนึ้ แตเ่ จา้ พนกั งานในกรมออฟฟศิ หลวงตอ้ งฟงับังคับของเจา้ พนกั งานใหญท่ ี่ ๑ ท่ีภาษาอังกฤษเรยี กว่า ออดิเตอเยเนอราล ฤาท่ี ๒ซงึ่ มอี า� นาจวา่ การสทิ ธขิ าดในกรมออฟฟศิ หลวง ไมต่ อ้ งฟงั บงั คบั ผอู้ น่ื ถา้ เจา้ พนกั งานในกรมน้ีตรวจบาญชีรายรับรายเบิกจ่ายฉบับใดเคล่ือนคลาด ไม่ถูกถ้วนจ�านวนเงินก็ให้ท�าเรื่องราวรายผิด ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า รีโปต ทูลเกล้าฯ ถวายในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั พร้อมดว้ ยเคาน์ซิล ไม่ตอ้ งยน่ื เรือ่ งราวแกผ่ ูอ้ ่นื รายละเอียดเก่ียวกับการตรวจเงินแผ่นดินในกฎหมายฉบับดังกล่าว ปรากฏในหมวดมาตราท่ี ๘ ว่าด้วยออฟฟิศหลวงในพระบรมมหาราชวงั ที่ภาษาองั กฤษเรียกว่า ออดิตออฟฟศิ หมวดมาตราที่ ๘ มที งั้ หมด ๑๖ ขอ้ โดยบญั ญตั สิ าระสา� คญั ตง้ั แตเ่ รอื่ งความเปน็อสิ ระในการตรวจสอบ หนา้ ทผ่ี ตู้ รวจสอบซงึ่ ในอดตี เรยี กวา่ อนิ สเปกเตอ (Inspector)การถวายรายงานผลการตรวจสอบ ช่วงเวลาที่จะเขา้ ท�าการตรวจสอบ ตลอดจนวธิ ีการตรวจสอบ ท่ีมา : สา� เนาภาพถา่ ยจาก ราชกจิ จานุเบกษา๐๒๘ ประวตั ิศาสตร์การตรวจเงินแผ่นดนิ ไทย
• พระท่ีน่งั จักรีมหาปราสาท เมอื่ แรกตงั้ ออฟฟศิ หลวง ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ ท่ี า� การออฟฟศิ หลวงทที่ �าการของออฟฟศิ หลวง ตงั้ อยู่ ณ พระทน่ี งั่ ดา� รงสวสั ดอ์ิ นญั วงศ์ ซงึ่ เปน็ พระราชมณเฑยี รสถานใกลท้ ป่ี ระทบัในสมยั พระบาทสมเด็จ ในพระบรมมหาราชวัง ในสมัยน้ัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงลงตรวจบัญชีด้วยพระองค์เองที่ออฟฟิศน้ีทุกวัน ทรงรับหน้าที่ส่วนการตรวจภาพจาก : บัญชีต่างกระทรวงมาทรงทา� เองwww.exteen.com พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระเจา้ น้องยาเธอ พระองคเ์ จา้ เทวญั อไุ ทยวงศ์ (ในเวลาตอ่ มาทรงดา� รงพระยศเป็นสมเด็จ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ) เปน็ เจา้ พนกั งานผตู้ รวจใหญ่ หรอื ออดิเตอเยเนอราล (Auditor General) โดยทรงท�าหน้าที่หัวหนา้ พนักงานตรวจเงนิ รบั และทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ พระองคเ์ จา้ กฤษดาภนิ หิ าร (ในเวลาตอ่ มา ทรงดา� รงพระยศเปน็ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื นเรศรว์ รฤทธ)์ิ เปน็ เจา้ พนกั งาน ผตู้ รวจรอง หรอื ดปิ ตุ ี ออดเิ ตอเยเนอราล (Deputy Auditor General) รบั หนา้ ทหี่ วั หนา้ พนักงานตรวจเงินจา่ ย การทา� หนา้ ทต่ี รวจสอบของออฟฟศิ หลวงในอดตี นนั้ เจา้ หนา้ ทผี่ ตู้ รวจสอบจะเรยี ก วา่ อนิ สเปกเตอ ปรากฏเนอ้ื ความตามขอ้ ๓ ของหมวดมาตราท่ี ๘ ทบ่ี ญั ญตั ไิ วว้ า่ ขอ้ ๓ เจ้าพนักงานใหญผ่ ้ตู รวจจะใชอ้ ินสเปกเตอ คือ ผู้ท่สี า� หรับไปตรวจตรา การต่างๆ แลเสมียนสักเท่าไรจะภอแก่การก็ให้กราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ สุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้ง ถ้าผทู้ ่สี า� หรบั ไปตรวจการไดร้ ับตราตั้งของ เจา้ พนกั งานใหญผ่ ตู้ รวจไปตรวจการสง่ิ หนง่ึ สง่ิ ใดแลว้ เจา้ พนกั งานใหญผ่ ตู้ รวจตอ้ ง รบั ผดิ ชอบทกุ อย่าง ฯะ ๐๒๙
๐๓๐ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงนิ แผ่นดินไทย
• พระทน่ี งั่ จกั รมี หาปราสาทพระทนี่ งั่ ภายในพระบรมมหาราชวงั ก่อสร้างเมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๔๑๙ ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั พระทีน่ งั่ จกั รีมหาปราสาท นับเป็นพระที่นั่งท่ีมีความโดดเดน่ เนอ่ื งจากมีสถาปัตยกรรมผสมผสานระหวา่ งสถาปตั ยกรรมไทยและยุโรป ในอดตี ออฟฟซิ หลวงเคยตงั้ อย่ทู ่พี ระท่นี ่งั ด�ารงสวสั ดิ์อนัญวงศ์ ซ่ึงเป็นพระทนี่ ง่ั ในหมู่พระทนี่ ง่ั จกั รมี หาปราสาทองคห์ นงึ่ ๐๓๑
ท้ังน้ีเนื้อความตามข้อ ๙ บัญญัติให้ อินสเปกเตอ หรือ เจ้าพนักงานผู้ตรวจมกี �าหนดจะต้องตรวจ ๔ อยา่ ง กลา่ วคอื (๑) สอบดว้ ยคิดเลข บวก หัก คูณ หารอย่าใหพ้ ล้งั อยา่ งหนงึ่ (๒) สอบจา� นวนเงินถูกตอ้ งกบั คา� ยอมใหจ้ า่ ย ฤาจะไม่ถูกต้องกนั อยา่ งหนง่ึ (๓) สอบเงนิ ราคากบั สง่ิ ของจะภอสมควรกนั ฤาไมส่ มควรกนั อยา่ งหนง่ึและ (๔) ตรวจของในบาญชนี ัน้ สอบสวนวา่ ไดร้ ับมาใช้ในการแผน่ ดนิ จรงิ ฤาไม่จรงิอยา่ งหน่ึง ในระหวา่ งการทา� หนา้ ทตี่ รวจสอบ เนอื้ ความตามขอ้ ๑๐ บญั ญตั ใิ ห้ เจา้ พนกั งานผู้ตรวจมีสมุดบาญชีส�าหรับจดหมายราคาของต่างๆ ถ้าได้สืบรู้ราคาของส่ิงหน่ึงสิง่ ใด เมือ่ ไร กใ็ หจ้ ดหมายลงไวใ้ นบาญชใี หแ้ น่นอน และกรณที ่สี งสัยในราคาสิง่ ของกฎหมายบัญญัติให้...กราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ โปรดให้ต่อก็ต้องต่อว่าตามรับสั่ง ใหร้ าคาตกลงตามสมควร (ขอ้ ๑๑) จะเห็นได้ว่า กฎหมายการตรวจเงินแผ่นดินฉบับแรกท่ีปรากฏเน้ือความตามหมวดมาตราท่ี ๘ น้ันใหอ้ า� นาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานผตู้ รวจ หรอื อินสเปกเตอ ไว้อย่างกว้างขวางและเป็นอิสระ เนื่องจากสามารถกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวได้โดยตรง ดังที่ปรากฏเนื้อความตามข้อ ๑๒ กรณีท่ีไม่ได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการใหท้ า� การตรวจสอบ โดยบัญญัติไว้ว่า ขอ้ ๑๒ ถา้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนกั งานผู้ตรวจ ฤาเสมียนคนใช้คนใดคนหนง่ึ ซงึ่ ถอื ตราของเจา้ พนกั งานผตู้ รวจไปตรวจดสู งิ่ ของ สนิ คา้ ซงึ่ เกยี่ วขอ้ งเป็นรายของข้ึนในแผ่นดิน ฤาจะไปดูการแห่งหน่ึงแห่งใด แลจะไปตรวจบาญชีทเี่ กี่ยวข้องรายเงนิ แผ่นดนิ ทกุ หมูท่ ุกกรมทกุ พนกั งาน ต้องยอมให้ตรวจสอบ ถา้ ผู้ใดไม่ใหต้ รวจบาญชี เจ้าพนักงานผตู้ รวจต้องกราบทูลแต่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัวให้ทรงทราบการผดิ แลชอบของผู้น้นั สุดแลว้ แตจ่ ะทรงพระกรุณาโปรด ฯะ หลงั จากทเี่ จา้ พนกั งานผตู้ รวจทา� การตรวจสอบเรยี บรอ้ ยแลว้ กรณที พ่ี บวา่ เกดิความผดิ พลาด เนอื้ ความตามขอ้ ๑๔ บญั ญตั ิให้ ถา้ เจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบบาญชีจา� นวนเงินรายหน่ึงรายใดผดิ ไป แต่เงินทีพ่ ลั้งนนั้ เปน็ เงนิ เลก็ น้อย ผรู้ บั เงินยอมใช้เงินหลวงเตม็ ตามจา� นวนแล้ว การกเ็ ปน็ เสร็จกัน อยา่ งไรกด็ ี หากพบวา่ เกดิ ความผดิ พลาดและมคี วามเสยี หายจา� นวนมาก รวมทงั้มีโอกาสเกิดการทุจริต กฎหมายบัญญัติให้ ถ้ารายเงินที่พล้ังน้ันเป็นจ�านวนมากฤาเปน็ ข้อส�าคัญ ผูน้ ั้นไมย่ อมใช้เงนิ หลวงตามจา� นวน ฤาเจ้าพนกั งานผตู้ รวจมคี วามสงไสยวา่ ผยู้ ืน่ บาญชีน้นั แกลง้ จะฉ้อเบกิ เงนิ หลวง ก็ใหถ้ วายคา� นบั บังคมทลู พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวใหท้ รงทราบ สดุ แลว้ แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหช้ า� ระ กล่าวได้ว่า กฎหมายว่าด้วยเร่ืองออฟฟิศหลวง นับเป็นกฎหมายที่ช่วยป้องกันการทจุ รติ เงนิ แผน่ ดนิ โดยการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ นบั เปน็ กลไกสา� คญั ในการปอ้ งกนั การฉอ้ ราษฎรบ์ งั หลวง ดว้ ยเหตนุ กี้ ารทา� หนา้ ทต่ี รวจเงนิ แผน่ ดนิ จงึ จา� เปน็ ตอ้ งอาศยั ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นส�าคัญ โดยกฎหมายการตรวจเงินแผ่นดินฉบับแรกข้อ ๕ บัญญัติเร่ืองการถวายค�าสาบานแด่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ดังนี้ ขอ้ ๕ เจ้าพนักงานผ้ตู รวจใหญ่ ฤาท่ี ๒ ท้งั สองนายนต้ี อ้ งสาบาลถวายความซ่ือสัจแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความจริงใจว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะรับราชการตรวจบาญชีสอบสวนจ�านวนเงินแลสิ่งของในแผ่นดินท่ัวพระราชอาณาจักรจะตรวจตราโดยเลอียดไม่ให้พลาดพลั้งเสียประโยชน์แผ่นดินได้ แลจะตั้งใจท�าให้เตม็ กา� ลงั เต็มปญั ญาของข้าพระพุทธเจา้ ทุกเรื่องทกุ ราย ฯะ๐๓๒ ประวตั ศิ าสตร์การตรวจเงินแผ่นดินไทย
บรรพชนคนตรวจเงนิ แผ่นดนิ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ ออดเิ ตอเยเนอราล คนแรก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ (๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๐๑ - ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๖) พระนามเดิม พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กบั สมเดจ็ พระปยิ มาวดี ศรพี ชั รนิ ทรมาตา (เจา้ จอมมารดาเปย่ี ม ในรชั กาลท่ี ๔) เมอ่ื ทรงพระเยาว์ ทรงไดร้ บั การศกึ ษาขน้ั ตน้ เขยี นอา่ นภาษาไทยในส�านกั พระองค์เจ้าหญงิ มณี ทรงศึกษาภาษามคธ แลว้ เข้าช้นั มธั ยมศึกษาในสา� นกั พระยาปรยิ ตั ธิ รรมธาดา (เปย่ี ม) ผนวชเปน็ สามเณร ไปประทบั อยวู่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร ทรงศึกษาพระธรรมวินัยในส�านักสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเล่าเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนหลวง ท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งข้ึนภายในกรมทหารมหาดเล็ก ในพระบรมมหาราชวัง กระทัง่ ลาผนวช พระองคเ์ รม่ิ รบั ราชการคร้ังแรกท่ี ออฟฟิศหลวง โดยได้รบั โปรดเกล้าฯ ให้เป็น ออดเิ ตอเยเนอราล คนแรก ด้วยพระชันษาเพียง ๑๗ ปี โปรดเกล้าฯ ให้ทรงด�ารงต�าแหน่งไปรเวตสเิ กรตารีฝรั่ง (ราชเลขานกุ ารฝ่ายตา่ งประเทศ) ท�าหน้าทดี่ แู ลงานตา่ งประเทศ ทรงมบี ทบาทส�าคัญด้านการทูต เป็นผู้เจรจาข้อพิพาทกบั ฝรั่งเศส ครง้ั วกิ ฤติการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ทรงเสนอให้มีการตั้งสถานทูตในต่างประเทศ ที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทรงว่าราชการเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศทั้งในรชั กาลที่ ๕ และรชั กาลท่ี ๖ เป็นเวลา ๓๗ ปี จนไดช้ ื่อวา่ เปน็องค์บิดาแหง่ การตา่ งประเทศของไทย นอกเหนือจากการงานด้านการต่างประเทศ ได้ทรงงานท่ีส�าคัญตลอดพระชนม์ชีพอกี หลายดา้ น เชน่ ไดท้ รงดา� รงตา� แหนง่ นายกสภาการคลงั ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ สมยั พระบาทสมเดจ็พระมงกุฏเกล้าเจา้ อยูห่ ัว รัชกาลที่ ๖ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าเทวญั อไุ ทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการทรงเปน็ ต้นราชสกุลเทวกุล ๐๓๓
บรรพชนคนตรวจเงินแผ่นดิน สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรว์ รฤทธ์ิ ดิปุตี ออดิเตอเยเนอราล คนแรก สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ พระนามเดมิ พระองคเ์ จา้ กฤษดา- ภนิ หิ าร (๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๘ - ๑๐ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๖๘) เปน็ พระราชโอรสในพระบาท สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั กับเจา้ จอมมารดากล่ิน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาข้ึน เป็น กรมหมนื่ นเรศรว์ รฤทธ์ิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๘ โดยในปีเดียวกนั น้ัน พระองคไ์ ดร้ บั โปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าพนักงานผู้ตรวจรอง หรือ ดิปุตี ออดิเตอเยเนอราล ในออฟฟิศหลวง ต่อมาทรง วา่ ราชการกรมพระนครบาล ซง่ึ ในขณะนั้นเรียกชือ่ ว่า ‘คอมมิตตี กรมพระนครบาล’ พระองค์ ทรงเปน็ ผูป้ รบั ปรงุ และจัดระเบียบกิจการต�ารวจกรมกองตระเวน ตามแบบอย่างของสงิ คโปร์ หลงั จากไดท้ รงตามเสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประพาสสงิ คโปร์ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ตอ่ มาไดพ้ ัฒนามาเปน็ กจิ การต�ารวจไทย ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอย่หู วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ สถาปนาใหเ้ ปน็ กรมพระนเรศรว์ รฤทธิ์ และทรงราชการเปน็ สมหุ มนตรี และเสนาบดกี ระทรวง มรุ ธาธร สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจา้ กฤษดาภินหิ าร กรมพระนเรศรว์ รฤทธิ์ ทรงเป็น ต้นราชสกุลกฤดากร๐๓๔ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงนิ แผน่ ดินไทย
บรรพชนคนตรวจเงินแผ่นดนิ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ พระนามเดิม พระองคเ์ จา้ สวัสดปิ ระวัติ(๗ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๐๓ - ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๘) เปน็ พระราชโอรสล�าดบั ท่ี ๔๙ ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ประสูติแต่ทา้ วทรงกันดาล (เจ้าจอมมารดาหนุ่ ) พระองคเ์ จา้ สวสั ดปิ ระวตั ิ ทรงเรมิ่ ตน้ รบั ราชการในออฟฟศิ หลวง เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๑๘ ดว้ ยพระชันษาเพียง ๑๕ ปี ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๒๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหด้ า� รงตา� แหน่งไปรเวตสิเกรตารีไทย (ราชเลขาธกิ าร) ก�ากับดแู ลกรมพระอาลักษณ์ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๓๕ กรมพระอาลักษณ์ได้รับการยกฐานะข้ึนเป็นกระทรวง เรยี กวา่ กระทรวงมรุ ธาธร และโปรดเกลา้ ฯ ใหก้ รมพระคลงั ขา้ งท่ี ซงึ่ เดมิ อยใู่ นสงั กดักระทรวงพระคลังมหาสมบัตมิ าขน้ึ กับกระทรวงมุรธาธร ต่อมาทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ด�ารงตา� แหนง่ อธิบดีกรมพระคลังข้างทีอ่ กี ต�าแหน่งหน่ึง ในช่วงปลายรัชกาล ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ประพาสยุโรป เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์เป็น กรมพระสมมตอมรพันธ์ ทรงด�ารงต�าแหน่งสมุหมนตรี และเปน็ เสนาบดที ่ปี รึกษา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ กรมพระสมมตอมรพันธ์ ทรงเป็นต้นราชสกลุ สวสั ดกิ ุล ๐๓๕
๐๓๖ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงนิ แผ่นดินไทย
• ลายพระราชหัตถเลขา นับต้งั แตเ่ ริม่ ตง้ั ออฟฟิศหลวง พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวเสดจ็ของพระบาทสมเดจ็ พระราชดา� เนนิ ทรงงานทอี่ อฟฟศิ หลวงทกุ วนั อยา่ งไรกด็ ี ดว้ ยเหตทุ พ่ี ระราชกรณยี กจิพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ด้านต่างๆ ของพระองค์เพ่ิมมากขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้น�าราชการเกยี่ วกับการใช้จ่าย อน่ื ๆ มาปฏิบัตทิ ่อี อฟฟิศแห่งน้ีด้วย ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจา้ น้องยา-เงินแผน่ ดนิ เธอ พระองคเ์ จา้ เทวญั อไุ ทยวงศ์ หวั หนา้ พนกั งานออฟฟศิ หลวงปฏบิ ตั งิ านในทา� นองสา� เนาภาพจาก : เดียวกับเป็นราชเลขานุการในราชการอย่างอ่ืนเพ่ิมเติมขึ้นจากการตรวจบัญชีคลังหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ด้วยภายหลังได้ทรงจัดตั้งเป็นพนักงานราชเลขานุการ ท้ังน้ี การตรวจบัญชีคลัง ยังเปน็ ส่วนหนง่ึ ของพนักงานราชเลขานุการ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๒๐ พระองค์ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มทบออดติ ออฟฟิศ เข้ากับกรมราชเลขานุการ และยังคงเรียกออฟฟิศนี้ว่าออฟฟิศหลวง จนกระทงั่ ปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหย้ กเลกิ ออดติ ออฟฟศิ ปรากฏ ในพระบรมราชวนิ ิจฉยั ร. ที่ ๙๗/๔๒ ณ วนั อาทิตย์ เดอื น ๘ ข้ึน ๗ ค่�า ปมี ะโรงศก ๑๒๔๒ ดังความตอนหนึง่ ว่า “ถึงท่านกลาง...เพราะกฎหมายออดิตออฟฟิศเปนกฎหมายดี แต่ผู้ที่จะท�า ได้บอกฉนั ตรงแล้วว่าทา� ไม่ไดต้ ามกฎหมาย ๑ ฉนั จงึ เห็นวา่ ออดิตออฟฟิศต้องเลกิ คงไวแ้ ตอ่ อฟฟศิ อาลักษณ์ทส่ี �าหรับคดั เขียนหนังสือราชการต่างๆ มิใช่การคลัง ฤาถ้าจะเกี่ยวกับการคลังบ้างก็เพียงคัด ส�าเนาบานแผนกแลรบั บาญชีเดอื นปี ทเ่ี จา้ พนกั งานยื่นถวายมารวบรวมไว้เทา่ น้ัน ๒ การที่จะจ่ายเงิน เจ้าพนักงานผู้จ่ายส่งฎีกามาบาญชีกลาง บาญชีกลาง ต้องเปน ออฟฟิศหลวง ตรวจฎีกาสอบ น�ามาฎีกาเข้ามาให้สั่ง เสร็จอยู่ใน เจา้ พนกั งานบาญชกี ลาง ซงึ่ วา่ ดงั นถี้ กู ตามกฎหมาย เพราะออดติ ออฟฟศิ ไมไ่ ดเ้ ปน ผ้จู า่ ยเงิน เปนแตผ่ ตู้ รวจราคาตรวจบาญชีเท่านน้ั ” นอกจากนพ้ี ระองค์ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ ‘เลกิ เงนิ เดอื นออดติ ออฟฟศิ ใหย้ กเปนเงนิ เดือนในไปรเวตสเิ กรตารีออฟฟศิ ’ กล่าวได้ว่า การท�างานตรวจเงินแผ่นดินในยุคเริ่มต้นภายใต้การท�าหน้าท่ี ออฟฟิศหลวงมีอันต้องสิ้นสุดลงโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมทบเป็นส่วน หนึ่งของกรมราชเลขานุการ ก่อนที่จะยกเลิกออดิตออฟฟิศ อย่างไรก็ดี กฎหมาย ตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ฉบบั ท่ี ๒ เกดิ ขน้ึ หลงั จากยกเลกิ ออดติ ออฟฟศิ ได้ ๑๐ ปี ซง่ึ ในเวลา ตอ่ มาไดม้ กี ารตราพระราชบญั ญตั พิ ระธรรมนญู หนา้ ทรี่ าชการในกระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ ร.ศ. ๑๐๙ โดยบญั ญตั ิอา� นาจหน้าท่ีของกรมตรวจไว้ ๐๓๗
• ตา� แหน่งพนักงานออฟฟิศ ไปรเวตสเิ กรตารหี ลวง ท่มี า : ส�าเนาภาพถ่ายจาก ราชกจิ จานเุ บกษา ๒.๔ กรมตรวจ การตรวจเงนิ แผ่นดนิ ไทยเปลย่ี นแปลงเปน็ คร้ังที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ หลังจากมีการปรับปรุงการบริหารประเทศ โดยยกฐานะกรมบางหน่วยข้ึนเป็นกระทรวงส�าหรับกรมพระคลังมหาสมบัติซ่ึงเป็นหน่วยงานส�าคัญในการควบคุมเงินแผ่นดินไดร้ บั การปรบั ปรงุ ยกฐานะขน้ึ เปน็ กระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ ตามพระราชบญั ญตั ิพระธรรมนูญ น่าที่ราชการกระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ เมอื่ วันที่ ๗ ตุลาคม ร.ศ.๑๐๙ (พ.ศ. ๒๔๓๓) เนตรทราย ต้งั ขจรศกั ดิ์ (๒๕๓๘ : ๑๐๒) ตง้ั ขอ้ สังเกตว่า พระราชบญั ญัติน้ีมีความส�าคัญอย่างย่ิง เพราะบัญญัติให้ต้ังกรมตรวจข้ึนในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพ่ือท�าหน้าท่ีตรวจเงิน ตรวจราคา ตรวจรายงานการรับจ่ายและรักษาเงินแผ่นดินฤาราชสมบตั ิทัง้ ปวง๐๓๘ ประวตั ศิ าสตรก์ ารตรวจเงินแผ่นดินไทย
ทั้งนี้พระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้ยกเลิกพระราชบัญญัติส�าหรับกรมพระคลัง มหาสมบตั ิแลวา่ ด้วยกรมต่างๆ ซง่ึ เบกิ เงนิ ส่งเงนิ พ.ศ. ๒๔๑๘ เพียงแต่บัญญตั ิไว้ ท้ายพระราชบัญญัติว่า ข้อความใดในพระราชบัญญัติเดิมซ่ึงมิได้แก้ไขใน พระราชบัญญัตินี้ ใหค้ งเปน็ ไปตามเดมิ ทุกข้อทกุ ประการ อยา่ งไรกด็ ี หลงั จากตราพระราชบญั ญตั พิ ระธรรมนญู นา่ ทรี่ าชการกระทรวง พระคลังมหาสมบัติ ร.ศ. ๑๐๙ แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระกรณุ าทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ราพระราชบญั ญตั กิ รมตรวจ ๑๖ มาตรา ร.ศ. ๑๐๙ โดยประกาศใช้เม่อื วนั ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ ซึง่ กฎหมายฉบบั นไ้ี ดบ้ ญั ญัติ เนอื้ หาการทา� งานตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ทงั้ หมด ๑๖ มาตรา โดยในมาตราสดุ ทา้ ย มาตรา ที่ ๑๖ บัญญตั ิไวว้ า่ เมือ่ ได้ตั้งพระราชบัญญตั นิ แ้ี ลว้ ใหเ้ ลกิ พระราชบญั ญัตพิ ระคลงั มหาสมบัติ หมวดมาตราท่ี ๘ วา่ ดว้ ยออฟฟศิ หลวงในพระบรมมหาราชวงั ที่ภาษา องั กฤษเรียกว่า ออดติ ออฟฟิศ ๑๖ ขอ้ น้นั เสีย (เนตรทราย ตง้ั ขจรศกั ดิ์ ๒๕๓๘ : ๑๐๒)• พระราชบญั ญัติ พระธรรมนูญ นา่ ทีร่ าชการ กระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิทมี่ า :สา� เนาภาพถ่ายจากราชกิจจานเุ บกษา ๐๓๙
พระราชบญั ญตั กิ รมตรวจ ๑๖ มาตรา ทเ่ี ผยแพรใ่ น ราชกจิ จานเุ บกษา ท่มี า : ส�าเนาภาพถ่ายจาก ราชกจิ จานุเบกษา ทีม่ า : ส�าเนาภาพถ่ายจาก ราชกจิ จานุเบกษา๐๔๐ ประวัติศาสตร์การตรวจเงินแผน่ ดนิ ไทย
การตรวจและควบคมุ เงนิ แผน่ ดนิ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๓๓ - ๒๔๕๓ (สน้ิ รชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) น้นั มกี ารเปล่ียนแปลงจากเดิมเล็กนอ้ ย ซ่ึงเนตรทราย ต้งั ขจรศักด์ิ (๒๕๓๘) สรปุ ใหเ้ หน็ สาระส�าคญั ของการเปลย่ี นแปลง ดงั น้ี ในแง่ความเป็นอิสระ กลา่ วได้วา่ กรมตรวจมีความส�าคัญและความเป็นอสิ ระ ลดลงจากเดิม กล่าวคือ การรายงานผลการตรวจสอบ การใช้อินสเปกเตอ หรือ ผู้ตรวจสอบต้องเสนอเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติก่อน เสนาบดีฯ จะทูล เกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกทอดหน่ึง ดังน้ัน เสนาบดีกระทรวง พระคลังมหาสมบัติจงึ มอี า� นาจสง่ั การ ว่ากล่าวตอ่ กรมตรวจไดโ้ ดยตรง การเขา้ ตรวจกรมตา่ งกระทรวงตอ้ งขออนญุ าตตอ่ เสนาบดฯี ในกรมนน้ั กอ่ นจงึ จะ เข้าตรวจสอบได้ ท้ังนี้หากอธิบดีกรมตรวจรายงานข้อผิดพลาดนั้นต่อเสนาบดี กระทรวงพระคลมั หาสมบตั แิ ลว้ เสนาบดฯี มไิ ดว้ า่ กลา่ วตกั เตอื นหรอื จดั การอนั ใดตอ่ ไป อธิบดกี รมตรวจสามารถทลู เกล้าฯ ถวายรายงานต่อพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ไดโ้ ดยตรง (ดูเน้ือความทีบ่ ญั ญตั ใิ นมาตรา ๑๕)• มาตรา ๑๕ ของพระราช-บญั ญตั ิกรมตรวจ ๑๖มาตรา มีความส�าคัญในแง่การคานอ�านาจกันระหวา่ งเสนาบดกี ระทรวงพระคลงัมหาสมบตั ิ กบั อธบิ ดกี รมตรวจในเรอ่ื งการรายงานผลการตรวจสอบทมี่ า :ส�าเนาภาพถ่ายจากราชกจิ จานเุ บกษา ส�าหรับอ�านาจหน้าที่ในการตรวจสอบนั้น กฎหมายกรมตรวจ ๑๖ มาตรา บัญญัติให้กรมตรวจต้องแจ้งให้กรมพระคลังกลางเป็นผู้ออกหนังสือเรียกให้ โดย กรมตรวจมอี า� นาจในการตรวจการและตรวจบญั ชเี ฉพาะกรมในกระทรวงพระคลงั มหาสมบัติ ส่วนกรมตา่ งกระทรวงตรวจไดเ้ ฉพาะปีละครั้งเทา่ นนั้ วิธีการตรวจสอบ เนตรทราย ตั้งขจรศักด์ิ (๒๕๓๘ : ๑๐๔) ชี้ให้เห็นว่า การตรวจสอบยคุ กรมตรวจเป็นการตรวจลักษณะตรวจกอ่ นจ่าย (Pre Audit) และ ตรวจหลังจ่าย (Post Audit) ส่วนใหญ่เน้นการตรวจสอบก่อนจ่ายเป็นหลัก โดยเฉพาะการตรวจสอบฎีกาซึ่งเบิกเงินแผ่นดิน เมื่อกรมตรวจได้ตรวจราคาแล้ว กรมสารบาญชีจะไมต่ รวจอีก ๐๔๑
การจดั โครงสรา้ งกรมตรวจนน้ั เสนาบดกี ระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ริ บั ผดิ ชอบบังคับบัญชากรมตรวจ มีรองเสนาบดีท�าการแทนเสนาบดีเวลาไม่อยู่ และมีอธิบดีรับผิดชอบในกรมตรวจท่วั ไป มรี องอธิบดี นายเวร ๒ คน คือ (๑) เวรตรวจบาญชีสา� หรบั ตรวจบาญชฎี กี าตา่ งๆ และ (๒) เวรตรวจราคาสา� หรบั ตรวจราคา นอกจากนนั้มีสารวัดเสมียนเอก เสมียนโท เสมยี นสามญั เมอื่ แรกตง้ั กรมตรวจ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาพิพธิ โภไคยสวรรย์เปน็ อธิบดีกรมตรวจคนแรก มีนายสนองราชบรรหาร เป็นรองอธบิ ดี • รายช่อื ขา้ ราชการ กรมตรวจเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ท่ีมา : สา� เนาภาพถา่ ยจาก ราชกิจจานุเบกษา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ปรากฏหลักฐานเร่ืองการรวมกรมตรวจเข้ากับกรมสารบาญชเี ปน็ กรมตรวจแลสารบาญชี โดยหลกั ฐานดงั กลา่ วเปน็ แจง้ ความกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งมีเนื้อความว่า ด้วยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มิศเตอร์ซีริเวตตคาแนค รับราชการในต�าแหน่ง อธิบดีพิเศษ กรมตรวจแลสารบาญชี กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ๐๔๒ ประวัตศิ าสตร์การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ไทย
• แจ้งความกระทรวง พระคลังมหาสมบตั ิ โปรดเกล้าฯ แตง่ ต้งั อธิบดีกรมตรวจแลสารบาญชี เมือ่ ป ี พ.ศ. ๒๔๔๑ท่มี า :สา� เนาภาพถ่ายจากราชกิจจานุเบกษา นอกจากนี้ หลังปี พ.ศ. ๒๔๔๑ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ ช่ือต�าแหน่งอธิบดี กรมตรวจได้ถกู เรียกรวมเปน็ อธบิ ดีกรมตรวจแลสารบาญชี ตั้งแต่ มสิ เตอร์ ชาร์ล รเิ วตต คาแนค (พ.ศ. ๒๔๔๑ - ๒๔๔๕) พระองคเ์ จา้ กติ ยิ ากรวรลกั ษณ์ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระจนั ทบรุ นี ฤนาถ (พ.ศ. ๒๔๔๕ - ๒๔๕๐) และ พระราชวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ รัชนแี จม่ จรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (พ.ศ. ๒๔๕๐ - ๒๔๕๘)• รายช่อื ขา้ ราชการ กรมตรวจกรมสารบาญช ีเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๔๕ โดยมีพระเจ้าลกู ยาเธอ กรมหม่นื จนั ทบุรีนฤนารถ เปน็ อธบิ ดกี รมตรวจ กรมสารบาญชีทม่ี า :ส�าเนาภาพถา่ ยจากราชกิจจานุเบกษา ๐๔๓
• แจ้งความกระทรวงพระคลัง มหาสมบัติด้วยทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให ้ พระเจ้า ลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากติ ิยา กรวรลักษณ์ เป็นอธบิ ดี กรมตรวจแลกรมสารบาญชี ท่ีมา : สา� เนาภาพถ่ายจาก ราชกจิ จานุเบกษา • แจง้ ความกระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ดิ ว้ ยทรงพระกรณุ า โปรดเกลา้ ฯ ให้พระบวรวงษเ์ ธอ พระองค์เจ้ารชั นแี จ่มจรัส เปน็ อธบิ ดกี รมตรวจแล กรมสารบาญชี ทีม่ า : ส�าเนาภาพถ่ายจาก ราชกิจจานเุ บกษา๐๔๔ ประวัติศาสตร์การตรวจเงินแผน่ ดนิ ไทย
บรรพชนคนตรวจเงินแผ่นดนิ มสิ เตอรช์ ารล์ เจมส์ รเิ วตต คาแนค (Charles James Rivett Carnac) มสิ เตอรช์ ารล์ เจมส์ รเิ วตต คาแนค เปน็ ชาวองั กฤษ เขา้ มารบั ตา� แหนง่ ทปี่ รกึ ษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นอธิบดีกรมตรวจแลสารบาญชี มิสเตอร์คาแนคนับเป็นที่ปรึกษาทางการคลังท่ีส�าคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ท่านไดด้ �ารงตา� แหนง่ สา� คญั ในกระทรวงพระคลังมหาสมบตั ิ เชน่ทปี่ ฤกษา กองที่ปรกึ ษากระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ ๐๔๕
บรรพชนคนตรวจเงินแผน่ ดิน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจา้ กติ ยิ ากรวรลักษณ์ กรมพระจนั ทบรุ ีนฤนาถ อธบิ ดกี รมตรวจแลสารบาญชี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากติ ยิ ากรวรลักษณ์ กรมพระจนั ทบุรนี ฤนาถ พระนามเดิม พระองค์เจา้ กิตยิ ากรวรลักษณ์ (๘ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔) เป็นพระราชโอรสองคท์ ี่ ๑๒ ใน พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว กับเจา้ จอมมารดาอว่ ม พระองคท์ รงเรมิ่ การศกึ ษาทส่ี า� นกั ของพระยาศรสี นุ ทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยางกรู ) ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ ไดเ้ สดจ็ ไปศกึ ษาต่อทโ่ี รงเรียนพระต�าหนักสวนกหุ ลาบ จากนั้นจงึ เสดจ็ ไปศึกษาตอ่ ณ ประเทศองั กฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ นับเป็นพระราชโอรสรนุ่ แรกในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ท่ีได้เสด็จไปศกึ ษาตา่ ง ประเทศ ทรงส�าเร็จสาขา Oriental Studies จากสถาบันตะวันออก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เม่ือเสด็จ กลบั พระนคร ทรงรับราชการในกรมราชเลขานกุ าร จากนนั้ มาทรงงานในตา� แหนง่ อธิบดกี รมศึกษาธกิ าร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมเป็น กรมหมื่น จนั ทบรุ นี ฤนาถ และในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหด้ า� รงตา� แหนง่ อธบิ ดกี รมตรวจแลสารบาญชี ในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้เป็น กรมพระจนั ทบรุ ี นฤนาถ และในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ดา� รงต�าแหนง่ เสนาบดกี ระทรวงพาณชิ ย์ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระจนั ทบุรี นฤนาถ ทรงปรีชาสามารถในด้านการคลังและการเศรษฐกิจ ทรงพระด�าริจัดต้ังคลังออมสินให้ราษฎรได้น�า เงินฝากเพื่อให้ปลอดจากโจรภัยและอัคคีภัยและส่งเสริมการออมทรัพย์ ทรงจัดต้ังกรมพาณิชย์และสถิติ พยากรณ์ และจัดการตั้งสหกรณ์ ทรงร่างกฎหมายวางระเบียบวิธีการศุลกากร และทรงแก้ไขปรับปรุงภาษี สรรพากร รวบรวมหนว่ ยงานจัดเก็บภาษีใหม้ ารวมอย่ใู นบังคบั บญั ชากระทรวงเดียวกนั ทรงจดั ใหส้ รุ าและฝน่ิ เป็นสิ่งผกู ขาดของรฐั บาล เพอ่ื เตรียมการทจี่ ะบงั คับใหก้ ารสูบฝนิ่ เปน็ ส่งิ ต้องหา้ มในเวลาตอ่ มา ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระจนั ทบุรนี ฤนาถ ทรงได้ รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นอภิรัฐมนตรี ท่ีปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดิน และทรงเป็นกรรมการ ราชบัณฑิตยสถาน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงเป็นต้นราชสกุล กิติยากร๐๔๖ ประวัติศาสตรก์ ารตรวจเงินแผน่ ดินไทย
บรรพชนคนตรวจเงินแผน่ ดิน พระราชวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมืน่ พทิ ยาลงกรณ์ อธบิ ดีกรมตรวจแลสารบาญชี พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ์ (๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๑๙ - ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๘) เปน็ พระโอรสในกรมพระราชวงั บวรวิไชยชาญ (พระองคเ์ จ้ายอดยง่ิ ยศ พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ) กับเจ้าจอมมารดาเล่ยี ม (เล็ก) ทรงเขา้ ศกึ ษาทโี่ รงเรยี นพระตา� หนกั สวนกุหลาบ ตอ่ มาศึกษาภาษาองั กฤษจนถงึ ปี พ.ศ. ๒๔๓๖จงึ เขา้ รบั ราชการในตา� แหนง่ นายเวร กระทรวงธรรมการ ขณะพระชนั ษาได้ ๑๖ ปี และได้เลื่อนเป็นผชู้ ่วยในกรมศึกษาธกิ ารใน ทรงรับหน้าทพี่ เิ ศษเป็นข้าหลวงสอบไล่วิชาหนงั สอื ไทย ทรงเปน็ กรรมการพิเศษร่างพระราชบัญญัติพิจารณาความแพ่ง และทรงได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ประพาสยโุ รปปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสตามเสด็จด้วย และทรงศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เปน็ เวลา ๒ ปี เสด็จกลบั จากประเทศองั กฤษเมือ่ ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ จากนน้ั ไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปน็ อธบิ ดกี รมตรวจแลสารบาญชี เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ทรงดา� รงตา� แหนง่เปน็ อธิบดกี รมตรวจแลสารบาญชีจนกระท่ังปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ์ ด�ารงต�าแหน่งอุปนายกกรรมการหอพระสมุดส�าหรับพระนคร ซ่ึงต่อมาได้รวมเข้ากับกรมศิลปากร ต่อมาได้เปล่ียนจากหอสมุดส�าหรับพระนครเป็น‘ราชบณั ฑติ ยสภา’ พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารชั นีแจม่ จรสั กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงเป็นตน้ ราชสกุลรชั นี ๐๔๗
๐๔๘ ประวตั ิศาสตรก์ ารตรวจเงนิ แผ่นดินไทย
บทท่ี ๓ การตรวจเงนิ แผ่นดินในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หวั• พระบาทสมเด็จ ๓.๑ กรรมการตรวจรายรับรายจ่ายของแผน่ ดนิพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั ภาพจาก : พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั รชั กาลท่ี ๕ ทรงหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ วางรากฐานการบริหารการคลังของแผ่นดินไว้อย่างชัดเจน เป็น ระเบยี บเรยี บร้อย มีการต้ังหอรัษฎากรพพิ ฒั น์ เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ตอ่ มาไดส้ ถาปนาเปน็ กระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ใิ นปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ขณะเดียวกันการควบคุมและตรวจเงินแผ่นดินเริ่มต้นท่ี ออฟฟศิ หลวง ในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ และปรบั ปรุงเป็นกรมตรวจ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญ น่าท่ีราชการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร.ศ. ๑๐๙ และ พระราชบัญญัติ กรมตรวจ ๑๖ มาตรา พ.ศ. ๒๔๓๓ ก่อนที่กรมตรวจและกรม สารบาญชีจะมีอธิบดีเป็นคนเดียวกันโดยใช้ชื่อกรมว่า กรมตรวจ แลสารบาญชี เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๖ ทรง ขน้ึ ครองราชยเ์ มอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๕๓ พระองคท์ รงปรบั ปรงุ การบรหิ าร การคลังของแผ่นดินตามค�าแนะน�าของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทีเ่ สนอให้ตง้ั คณะกรรมการตรวจรายรับรายจา่ ยของแผน่ ดิน คณะกรรมการตรวจรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน หรือ กรม ตรวจพระราชทรัพย์สามารถตรวจพบข้อบกพร่องและเสนอ แนวทางปรับปรุงท่ีเกิดประโยชน์ในการบริหารงานคลังแผ่นดินไว้ หลายประการ รวมทัง้ ช่วยขจัดการร่วั ไหลได้มากขึน้ ดว้ ย ๐๔๙
รายช่อื คณะกรรมการตรวจรายรับรายจา่ ยของแผ่นดนิ ๑. พระองคเ์ จ้าพร้อมพงศ์อธิราช (หม่อมเจ้าพรอ้ ม) อธบิ ดีกรมศลุ กากร เป็นประธานกรรมการ ๒. พระยากัลยาณไมตรี (Jens Iverson Westengard) ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เปน็ กรรมการ ๓. นายวิลเลียมสัน (W.J.F. Williamson) ที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เป็นกรรมการ ๔. นายเกรแฮม (Graham) ทปี่ รึกษากระทรวงเกษตราธริ าช เป็นกรรมการ ๕. พระยารัษฎากรโกมล เจ้าหนา้ ที่กรมสรรพากรใน เป็นกรรมการ คณะกรรมการท�าหน้าที่พิจารณาป้องกันมิให้รายได้รั่วไหล ตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จ�าเป็น รวมท้ังหาลทู่ างเพม่ิ พูนรายได ้ เมอ่ื มโี อกาสอนั ควร. ๓.๒ กรมตรวจเงนิ แผน่ ดนิ • พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรนี ฤนาถ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระจนั ทบรุ นี ฤนาถ ทรงกราบบงั คมทลู พระบาทสมเดจ็ อดตี อธบิ ดกี รมตรวจแลพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หัว โดยมใี จความสา� คัญตอนหน่ึงว่า สารบาญชี และ เสนาบดีกระทรวง “...เห็นว่าควรมีกรมข้ึนในกระทรวงพระคลังอีกกรมหน่ึง ขนานนามว่า พระคลงั มหาสมบัติกรมตรวจเงินแผ่นดิน มีหน้าที่ตรวจตราเงินแผ่นดิน และเงินที่รัฐบาลมีหน้าที่ พระองค์มสี ่วนส�าคัญรบั ผดิ ชอบ ทง้ั มีนา่ ท่แี นะน�าระเบยี บราชการของกรมสารบาญชแี กบ่ รรดากระทรวง ในการผลักดนั ใหเ้ กิดทม่ี นี า่ ทเ่ี กบ็ จา่ ยหรอื รกั ษาเงนิ แผน่ ดนิ แลชว่ ยเหลอื เสนาบดกี ระทรวงพระคลงั ในการ กรมตรวจเงนิ แผน่ ดนิพิจารณาเพ่ิมตา� แหน่งราชการ รวมเปน็ นา่ ทอ่ี นั ส�าคญั ๔ ประการ เปน็ กรม มีอธบิ ดี ภาพจาก :เปน็ หัวนา่ ” หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อย่หู วั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศต้ังกรมตรวจเงินแผ่นดินขึ้นในกระทรวงพระคลังฯ อีกกรมหน่ึง เม่ือวันที่ ๑๘กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๘ พร้อมท้ังทรงโปรดเกล้าฯ แต่งต้ัง นายอีมิลิโอ ฟลอริโอ(Emilio Florio) หรือนายอ.ี ฟลอริโอ เปน็ อธบิ ดีกรมตรวจเงนิ แผ่นดินคนแรก ท้ังนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสนในหน้าที่ของกรมตรวจเงินแผ่นดินท่ีจัดต้ังขึ้นมาใหม่ และหน้าที่ของกรมตรวจแลสารบาญชีท่ีมีมาแต่เดิม จึงโปรดให้เปลี่ยนนามกรมตรวจแลสารบาญชเี สียใหม่ เป็นกรมบาญชีกลาง๐๕๐ ประวัตศิ าสตรก์ ารตรวจเงินแผ่นดนิ ไทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216