1 แบบฝึกพฒั นาการอ่านรู้เร่ืองและสอื่ สารไดต้ ามแนวการวัดผลนานาชาติ (PISA) สาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๒ สถานการณ์ท่ี 1 คาชีแ้ จง ใหน ักเรยี นอานถอยความ และตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี กลอนดอกสรอ้ ยราพงึ ในปา่ ช้า ประวตั ิทม่ี าของเร่อื ง กลอนดอกสรอยราํ พึงในปุาชามาจากบทกวนี ิพนธแ เรื่อง Elegy Writen in a Country Churchyard ของทอมสนั เกรยแ (Thormas Gray) กวีอังกฤษ ผูม ีชีวิตอยูในชวงกลาง (กลางคริสตแศตวรรษที่ 18) Elegy หมายถงึ โคลงทกี่ ลาว ไวอ าลยั หรือคร่ําครวญถึงผูทจี่ ากไป โดยพระยาอุปกติ ศิลปะสาร (น่ิม กาญจนชีวะ) ไดป ระพนั ธจแ ากตน ฉบบั แปลของเสถียรโกเศศ เปน็ กลอนดอกสรอ ย จํานวน 33 บท คุณค่า มงุ แสดงความจรงิ เกีย่ วกับชีวติ โดยเสนอแนวคิดหลกั วา มนุษยแทุกผู ทกุ นาม ไมว า จะเป็นบคุ คลสาํ คัญหรอื สามัญชน ไมมีผใู ดหลีกหนคี วามตายไปได ลกั ษณะคาประพนั ธ์ กลอนดอกสรอ ย ซ่ึงมีลักษณะเหมือนกลอนสภุ าพ เพยี งแตขึน้ ตนดว ย เอเย ลงทายดว ย เอย คณะ 1 บท มี 8 วรรค ความเอยเ ความรู เปน็ เครอื่ งชูช้ที างสวา งไสว หมดโอกาสทีจ่ ะชต้ี อนีไ้ ป ละหว งใยอยากรูล งสดู ิน อนั ความยากหากใหไ รศกึ ษา ยนปใญญาความรูอยูแคถ นิ่ หมกทุกขขแ ลุกแตกจิ คดิ หากิน กระแสวิญญาณงนั เพียงน้ันเอย
2 คาถามที่ 1 ถอ ยความนี้ผูเ ขียนตองการนําเสนอเรอ่ื งใดมากทส่ี ดุ 1. หมดโอกาสทจ่ี ะทํางาน 2. การศกึ ษาเพื่อใหเรามีความรู 3. เปน็ เครอ่ื งมือชี้นาํ ทางสวางไสว 4. ทําใหห มดทุกขแแ ละทํามาหากินได คาถามท่ี 2 ขอใดคือคําท่ีมาจากภาษาบาลี 1. หวงใย 2. โอกาส 3. วญิ ญาณ 4. สวางไสว คาถามที่ 3 จากถอ ยความขา งตน ขอ ความตอ ไปนี้เปน็ ความจริงหรอื ไมเ ปน็ ความจริง ขอความเปน็ ความจรงิ จงเขยี นเคร่ืองหมาย X ในชอ ง “ใช” ขอความไมเปน็ ความจรงิ จงเขยี นเครื่องหมาย X ในชอ ง “ไมใ ช ขอ้ ความ ใช่ ไม่ใช่ 1. ครูคือผูใหความรู 2. ความรูเปน็ เครอื่ งช้ีนําทางไปสคู วามกา วหนา 3. ความยากจนทําใหไ มไดร ับการศกึ ษา 4. ปใญญาและความรูเกิดจากการศกึ ษา 5. ความรคู กู บั ปญใ หา 6. เม่ือทาํ มาหากนิ ไดก ท็ าํ ใหค นหมดทกุ ขแ 7. วญิ ญาณเป็นคําสมาสระหวางคาํ วาวิญโู + อาน 8. การศกึ ษาทําใหเ ราสรางฐานะ 9. ทุกขแเป็นภาษาสนั สกฤต 10. สวา งไสวเปน็ คาํ ตรงขามกบั คาํ วายากไร
3 คาถามที่ 4 จากถอ ยความขา งตน นกั เรยี นคิดว่าความร้เู กิดจากประสบการณใ์ ชห่ รือไมใ่ ช่ ใหเลือกวงกลมลอมรอบขอความ “ใช” “ไมใช” ทก่ี ําหนดใหแ ลว บอกเหตผุ ล จาํ นวน 2 ขอ ใช่ ไม่ใช่ 1. ...................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... ........................................................................................................................................... คาถามที่ 5 การดารงชีวติ อยไู่ ดเ้ พราะความรู้ นักเรยี นคิดเห็นอยางไรกบั คําพูดขา งตน ทําไมจึงคดิ เชน นน้ั ใหใ ชเหตผุ ลประกอบ คําอธบิ าย 1. ใหน กั เรียนเลือกทําเครื่องหมายวงกลม ลอ มรอบขอ ความขางลา งนี้ เพยี ง 1 ขอความ ความคิดเหน็ คล้อยตาม ความคิดเหน็ โต้แยง้ ความคิดเห็นคลอ้ ยตามและโตแ้ ย้ง 2. ใหนักเรียนเขยี นอธิบายเหตุผล จาํ นวน 2 ขอ ท่ีสอดคลอ งความคิดการเลือกในขอ 1 ความคดิ เห็นคลอยตาม ความคดิ เห็นโตแ ยง 1…............................................................. 1…............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2............................................................... 2............................................................... .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
4 แบบฝึกการอา่ นรเู้ รอ่ื งและสอ่ื สารไดต้ ามแนวการประเมนิ ผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 สถานการณ์ท่ี 2 คาชแ้ี จง ใหนักเรียนอา นถอยความ และตอบคาํ ถามตอไปนี้ จารึกท่ีเป็นวรรณคดี ในระยะหลังทมี่ นี กั วชิ าการหลายคนตงั้ ประเด็นปใญหาเรอื่ งสมัยทีส่ รา ง และผูส รา งศลิ า จารกึ หลกั นวี้ านาจะเป็นผลงานหลังสมยั พอขุนรามคําแหงมหาราช บางวา เป็นสมยั พญาลิไทยผู ทรงเปน็ พระนดั ดา (หลานปูุ) ของพอ ขุนรามคําแหงมหาราช และบางกว็ าเป็นผลงานในสมัย รชั กาลท่ี 4 แหงกรุงรัตนโกสนิ ทรแนีเ้ อง อยา งไรก็ตาม เมื่อพจิ ารณาเป็นฐานะท่ีเปน็ วรรณคดเี รอ่ื งหนึง่ เราจะเหน็ วา ไมวา ผู บนั ทึกเหตุการณแในจารกึ นั้นจะเปน็ พอ ขนุ รามคําแหงมหาราชหรือเปน็ ผูใดกต็ าม ผบู นั ทกึ ตอ ง เป็นผทู ี่มีความภมู ใิ จ ความชนื่ ชม และความปลื้มปิติ ซ่ึงลวนแตเป็นความประทบั ใจตอ เร่อื งราว ของ พอ ขุนรามคาํ แหงมหาราช และเหตุการณแรชั สมยั ของพระองคแ เมืองสโุ ขทยั ท่ีปรากฏตาม จารกึ คือ ภาพของเมอื งท่ีนาอยู เพราะพระมหากษัตรยิ แทรงเป็นผกู ลา หาญและทรงธรรม ชาวเมอื งมั่นคงในพระพทุ ธศาสนา และบา นเมืองอดุ มสมบรู ณแ ขอความทีว่ า “เม่อื กูโตข้ึนไดส ิบเกา เขา ขุนสามชนเจาเมืองฉอดมาตเี มอื งตาก พอ กูไป รบขนุ สามชน หวั ซา ยขนุ สามชนขับมา หัวขวาสามชนเกล่อื นเขา ไพรฟูาหนาใส พอ กหู นี ญญายพายจแจน ” (ดานท่ี 1 บรรทัดท่ี 3-7) คือ การบันทกึ เร่ืองราวเม่ือมกี ารตอสูก บั เจา เมอื ง ฉอด ไพรพลของพอขนุ ศรอี นิ ทราทิตยแพากันหนีแตกพาย แตพอ ขนุ รามคําแหงไมท รงหนี ผู บันทกึ เหตกุ ารณแ ในฐานะเจา ชายผแู กลวกลาองคนแ น้ั เลา วา “กบู หนี กขู ชี่ า งเบกพล กูขับเขา กอ นพอ กูตอชางดวยขุนสามชน ตนกูพงุ ชางขนุ สามชนตวั ชือ่ สมาสเมอื งแพ ขนุ สามชนพาย (ดานท่ี 1 บรรทดั ที่ 7-9) แสดงใหเ หน็ วา ความภาคภูมิใจในวีรกรรม ซง่ึ กวีบนั ทกึ ไวใน ประวตั ิศาสตรแตอนน้ี ความภาคภูมใิ จในฐานะที่เปน็ บตุ รท่ดี ีก็ปรากฏเมือ่ กวกี ลา วถึงการปฏิบัติ ตนตอ บดิ ามาดา เชน “เมื่อช่วั พอกู กูบําเรอแกพ อกู กบู ําเรอแกแ มกู กูไดต วั เนื้อตวั ปลา กูเอา หมากสมหมากหวาน อนั ใดกินอรอ ยกนิ ดี กูเอามาแกพ อ กู” (ดานท่ี 1 บรรทัดที่ 10-13)
5 คาถามที่ 1 ถอยความน้ีผูบันทึกตอ งการนาํ เสนอเรอื่ งใดมากท่สี ดุ 1. เพ่อื แสดงความภูมใิ จ ประทบั ใจในสมัยพอ ขุนรามคําแหง 2. เพื่ออวดความสามารถของตนเอง 3. เพื่อแสดงความม่งั ค่งั ในสมยั สโุ ขทัย 4. เพ่อื ใหเ หน็ เหตกุ ารณแที่เกิดขึ้น คาถามท่ี 2 พระมหากษัตริยทแ ่ีทรงเปน็ ผูก ลา หาญและทรงธรรม ในที่นห้ี มายถงึ ใคร 1. พอขุนศรอี ินทราทติ ยแ 2. พอขนุ ผาเมือง 3. พญาลิไทย 4. พอขุนรามคาํ แหง คาถามท่ี 3 จากถอยความขา งตน ขอ ความตอไปนี้เป็นความจรงิ หรือไมเปน็ ความจริง ขอความเป็นความจริง จงเขียนเคร่อื งหมาย X ในชอง “ใช” ขอความไมเ ป็นความจรงิ จงเขียนเครอื่ งหมาย X ในชอง “ไมใ ช ข้อความ ใช่ ไมใ่ ช่ 1. ผบู นั ทึกมคี วามประทบั ใจตอเร่ืองราวในเหตุการณแ 2. การตอสูในคร้ังนี้ขุนสามชนพาย หมายถึง ขุนสามชนแพ 3. คาํ วา “หนีญญายพายจะแจน” หมายถึง ชลุ มุนวุนวาย 4. ภาพเมืองท่นี าอยู หมายถึงเมืองสโุ ขทยั 5. หลักศิลาจารึกสรางในสมยั พญาลิไทย 6. เจา ชายผูแกลวกลา หมายถึง พอขนุ รามคําแหง 7. พอ ขนุ รามคําแหงตอสกู บั เจาเมืองฉอดเพ่อื ชงิ อํานาจ 8. ชางเบกพล คือ ชอื่ ชางทรงของพอ ขนุ รามคําแหง 9. ในสมัยพอ ขุนรามคําแหงบา นเมืองอดุ มสมบูรณแ 10. กูเป็นสรรพนามบุรษุ ที่ 1 ทีต่ องใชในสมัยสโุ ขทัยจนถึงปใจจบุ นั
6 คาถามที่ 4 จากถอยความขา งตนนกั เรยี นคิดวา หลกั ศิลาจารึกคือเรือ่ งราวทบ่ี นั ทึกเหตกุ ารณ์ ใหเ ลอื กวงกลมลอมรอบขอความ “ใช่” “ไมใ่ ช่” ทก่ี าํ หนดให แลว บอกเหตุผล จาํ นวน 2 ขอ ใหใ ชขอ มลู จากเนือ้ เรอื่ งสนับสนุนคําตอบของนกั เรยี น ใช่ ไม่ใช่ 1...................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 2...................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... คาถามที่ 5 หลักศิลาจารึก สอนความเปน็ มาทางประวตั ศิ าสตร์ นักเรยี นคดิ เห็นอยางไรกับคาํ พดู ขา งตน ทําไมจงึ คดิ เชน นัน้ ใหใชเหตุผลประกอบคาํ อธิบาย 1. ใหน ักเรยี นเลือกทําเคร่ืองหมายวงกลม ลอ มรอบขอ ความขางลา งน้ี เพียง 1 ขอ ความ ความคิดเห็นคล้อยตาม ความคดิ เหน็ โต้แยง้ ความคดิ เห็นคล้อยตามและโตแ้ ยง้ 2. ใหน ักเรียนเขยี นอธิบายเหตุผล จํานวน 2 ขอ ท่ีสอดคลองความคิดการเลือกในขอ 1 ความคดิ เหน็ คลอยตาม ความคิดเหน็ โตแ ยง 1…............................................................. 1…............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2............................................................... 2............................................................... .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
7 แบบฝึกการอา่ นรู้เรอ่ื งและสอ่ื สารไดต้ ามแนวการประเมนิ ผลนานาชาติ (PISA) สาหรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 สถานการณ์ที่ 3 คาช้แี จง ใหน ักเรียนอา นถอยความ และตอบคาํ ถามตอไปน้ี จารึกท่ีเป็นวรรณคดี โชคดี ท่มี ีภาษาไทย “ภาษาเปน็ เคร่อื งแสดงความคดิ เหน็ และเป็นความงาม ภาษาไทยเป็นสมบัติที่คนไทย ตองหวงแหนและรกั ษาไว โดยเฉพาะในการออกเสียงและการใชค าํ การออกเสยี งวรรณยุกตแ ทเี่ พย้ี นไป กบั การใชภ าษาที่ฟุมเฟือยและไมตรงกับความหมาย ทําใหภาษาเสอ่ื มไป คนไทย มภี าษาใชเ อง เปน็ มรดกท่ีมีคาจากบรรพบุรุษ นบั เปน็ สง่ิ ที่ประเสรฐิ อยางย่ิงท่ีเราตองรกั ษาไว” “การอานออกเขยี นไดเ ป็นประโยชนใแ นการตดิ ตอทาํ กจิ การงานตางๆ ทําใหส ามารถ เรยี นรูวิทยาการใหม และทาํ ใหถ า ยทอดความรแู ละคณุ ธรรมใหผอู นื่ ได”
8 พระราชดารสั ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั พระราชดาํ รัสองคแท่ี 1 .........ภาษาไทยนัน้ เป็นเครื่องมอื อยางหนึง่ ของชาติ ภาษาท้ังหลายเป็นเครื่องมือ ของมนุษยชแ นดิ หน่งึ คือ เป็นทางสาํ หรับแสดงความคดิ เห็นอยางหนง่ึ เป็นส่ิงทสี่ วยงาม อยางหนึ่ง เชน ในทางวรรณคดี เปน็ ตน ฉะนั้นจึงจาํ เปน็ ตอ งรักษาเอาไวใ หด ี ประเทศไทยน้นั มภี าษาของเราเอง ซง่ึ ตอ งหวงแหน ประเทศใกลเคียงของเราหลายประเทศมีภาษาของตนเอง แตวาเขาไมคอยแข็งแรง เขาตอ งพยายามหาทางท่ีจะสรา งภาษาของตนไวใหมั่นคง เราโชคดีท่ีมี ภาษาของตนเองแตโบราณกาล จงึ สมควรอยา งยิ่งท่จี ะรกั ษาไว ปใญหาเฉพาะในดานรักษาภาษา นี้ ก็มีหลายประการ อยางหน่ึงตอ งรกั ษาใหบริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือ ออกเสียงใหถกู ตอ งชัดเจน อกี อยา งหนงึ่ ตองรักษาใหบรสิ ทุ ธ์ิในวิธีใช หมายความวา วธิ ีใชค าํ มาประกอบเป็นประโยค นบั เปน็ ปญใ หาที่สําคัญ ปใญหาท่สี าม คือ ความร่าํ รวยในคาํ ของภาษาไทย ซ่ึงพวกเรานึกวา ไมรํา่ รวยพอ จึงตองมีการบัญญัตศิ พั ทแใหมมาใช......การบญั ญตั ิศพั ทใแ หมก ็เปน็ ส่ิงสาํ คญั เหมอื นกนั ...... พระราชดํารสั ในโอกาสเสดจ็ พระราชดําเนนิ พระราชทานกระแสพระราชดาํ ริ เร่อื ง ปใญหาการใชคําในการประชมุ ทางวชิ าการ ของ ชุมนมุ ภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตรแ จฬุ าลงกรณมแ หาวิทยาลัย เม่อื 29 กรกฎาคม 2505
9 คาถามที่ 1 จากถอยความที่อาน มรดกทมี่ คี าของไทย คือ ขอ ใดตอ ไปนี้ 1. วรรณคดี 2. ภาษาไทย 3. โบราณคดี 4. ประเพณี วัฒนธรรม คาถามที่ 2 การรักษาภาษาใหบ รสิ ุทธใิ์ นการออกเสยี งหมายถึงขอใด 1. ใชภ าษาทับศัพทแ 2. บญั ญตั คิ าํ ศัพทแใหมม าใช 3. ออกเสยี งใหถ ูกตองชดั เจน 4. หาคําศัพทแจากภาษาอ่ืนมาเพิ่ม คาถามที่ 3 จากถอ ยความขางตน ขอความตอ ไปน้ีเป็นความจรงิ หรือไมเ ป็นความจริง ขอความเปน็ ความจรงิ จงเขยี นเคร่อื งหมาย X ในชอง “ใช” ขอความไมเปน็ ความจริง จงเขียนเคร่ืองหมาย X ในชอง “ไมใ ช ขอ้ ความ ใช่ ไม่ใช่ 1. ภาษาไทยเป็นสมบตั ขิ องคนไทยท่ตี องหวงแหนและรักษาไว 2. เราตอ งพยายามสรา งภาษาของตนเองใหมน่ั คง โดยการใชคําศพั ทแ ฟุมเฟอื ย 3. ภาษาเปน็ เครือ่ งมือของมนษุ ยชแ นดิ หนึ่ง 4. การออกเสยี งวรรณยกุ ตทแ ี่เพี้ยนไป ไมเ ป็นปใญหาในการใชภาษา 5. การออกเสยี งภาษาใหถูกตองชัดเจน คอื การรกั ษาภาษาใหบริสุทธิ์ 6. การบัญญัติศัพทใแ หมมาใชแสดงออกถงึ ความรํ่ารวยคําในภาษา 7. การบัญญตั ศิ ัพทแใหมมาใชถือเปน็ สง่ิ สําคญั 8. ภาษาเปน็ เครื่องมอื ในการชมความงามของธรรมชาติ 9. คนรนุ ใหมแสดงความทันสมัย โดยการใชภาษาแสลง 10. การเดินทางเขาปาุ แลวลมื มีดพรา เหมือกับการใชภาษา ไมถูกตอง
10 คาถามที่ 4 จากถอ ยความขา งตน นกั เรียนคิดวา คนไทยรักษาภาษาไทยไว้เป็นมรดกท่ีมีค่าจากบรรพบรุ ุษได้หรอื ไม่ ใหเลอื กวงกลมลอมรอบขอความ “ได้” “ไม่ได”้ ท่กี าํ หนดให แลว บอกเหตุผล จาํ นวน 2 ขอ ใหใชข อ มูลจากเนื้อเรอื่ งสนับสนุนคําตอบของนักเรยี น ได้ ไมใ่ ช่ 1...................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 2...................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... คาถามท่ี 5 เราโชคดที มี่ ภี าษาตนเอง สมควรทีจ่ ะรักษาไว้ นักเรียนคิดเห็นอยางไรกบั คาํ พดู ขางตน ทําไมจงึ คิดเชน นัน้ ใหใชเ หตผุ ลประกอบคาํ อธบิ าย 1. ใหนักเรยี นเลือกทําเคร่ืองหมายวงกลม ลอมรอบขอ ความขางลา งน้ี เพยี ง 1 ขอ ความ ความคดิ เห็นคลอ้ ยตาม ความคิดเหน็ โต้แยง้ ความคิดเห็นคลอ้ ยตามและโต้แยง้ 2. ใหน กั เรียนเขียนอธิบายเหตผุ ล จํานวน 2 ขอ ท่ีสอดคลอ งความคิดการเลือกในขอ 1 ความคิดเห็นคลอยตาม ความคดิ เห็นโตแยง 1…............................................................. 1…............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2............................................................... 2............................................................... .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
11 แบบฝกึ การอ่านรู้เร่ืองและสอ่ื สารไดต้ ามแนวการประเมนิ ผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 สถานการณ์ท่ี 4 คาชีแ้ จง ใหน ักเรียนอา นถอยความ และตอบคาํ ถามตอไปนี้ บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา อนั ชาตใิ ดไรชางชํานาญศิลป เหมือนนารินไรโฉมบรรโลมสงา ใครใครเห็นไมเปน็ ทีจ่ ําเรญิ ตา เขาจะพากันเยยใหอ บั อาย ศิลปกรรมนาํ ใจใหส รางโศก ชวยบรรเทาทุกขใแ นโลกใหเ หือดหาย จาํ เรญิ ตาพาใจใหสบาย อกี รางกายก็จะพลอยสุขสราญ คาถามที่ 1 ถอ ยความนี้ ผปู ระพนั ธเแ นือ้ เรือ่ งตอ งการนาํ เสนอเร่อื งใดมากท่ีสุด 1. หญงิ สาวที่ไมม ีความงาม 2. ผูหญงิ ท่ีไมเ ป็นทต่ี องตาตองใจของใคร 3. ศิลปะชว ยทาํ ใหค วามทุกขแหมด 4. ศิลปะสงผลใหรางกายแขง็ แรง คาถามที่ 2 ถอยความใดเป็นสํานวนเปรยี บเทียบ 1. อนั ชาตใิ ดไรชางชํานาญศิลป 2. เหมอื นนารนิ ไรโ ฉมบรรโลมสงา 3. ใครใครเห็นไมเปน็ ทีจ่ ําเริญตา 4. ชว ยบรรเทาทุกขแในโลกใหเ หอื ดหาย ไกงามเพราะขนคนงามเพราะแตง หมายถึง คนเราจะสวยไดกด็ ว ยการรูจกั แตงตัว
12 คาถามที่ 3 จากถอ ยความขางตน ขอ ความตอไปน้ีเปน็ ความจริงหรอื ไมเ ป็นความจรงิ ขอความเป็นความจริง จงเขยี นเครอื่ งหมาย x ในชอง “ใช” ขอความไม่เปน็ ความจรงิ จงเขยี นเคร่อื งหมาย x ในชอ ง “ไมใช” ขอ ความ ใช ไมใ ช 1. ศลิ ปะชวยทําใหห มดความทกุ ขแ ทําใหจิตใจของเรามีความสขุ 2. ทะเลคือศิลปะท่ีมนุษยแจัดสรางขึน้ เพอ่ื ความสวยงาม 3. ศลิ ปกรรมชว ยทําใหจ ิตใจของคนเราคลายความเศราได 4. ศิลปะชว ยทาํ ใหคนเรามีสุขภาพกายและสขุ ภาพใจทดี่ ี 5. “ชาตใิ ดท่ปี ราศจากชางศลิ ป” แสดงวาชาตินั้นๆ ไมมกี ารเรยี นวิชาศิลปะ 6. “สรา ง” และ “จําเรญิ ” เปน็ คาํ ยมื ท่ยี ืมมาจากภาษาบาลแี ละสันสกฤต 7. จากถอ ยความขา งตนตรงกับสาํ นวนเปรียบเทยี บวา “จะดูชา งใหด หู างจะดนู าง ใหด แู ม” 8. เปรียบเสมอื นหญงิ สาวทีไ่ มม ีความงามไมเปน็ ทีต่ องตาตอ งใจของใคร 9. หากเรามรี า งกายทไ่ี มแ ข็งแรงเราควรใชศิลปะบาํ บัดรกั ษา จะทําใหเกิดผลเร็ว 10. “จําเริญ” เปน็ คําท่ีออกเสยี งเพ้ียนมาจากคําวา “เจริญ” แบง่ เวลาใหถ้ ูกนะเพอ่ื น หากเราไมร่ ้เู วลาเรยี นหรอื มัว แต่ห่วงเล่นมากกว่าเรียน จะทาให้เราหมดอนาคตนะ.....
13 คาถามท่ี 4 จากถอ ยความขา งตน ศิลปกรรมชว่ ยทาใหจ้ ติ ใจผ่องใสได้หรือไม่ ใหเลือกวงกลมลอมรอบขอความ “ได” “ไมได” ท่ีกําหนดให แลวบอกเหตุผล จํานวน 2 ขอ ใหใ ชข อ มลู จากเนอื้ เร่ืองสนบั สนุนคาํ ตอบของนักเรยี น ได้ ไม่ได้ 1...................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 2...................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ลองใชป้ ระสบการณ์ทนี่ ักเรียนเคยพบเห็น มาตอบคาถามก็ได้นะคะ........
คาถามท่ี 5 14 *ห งิ จะงามใช่วา่ งามทีใ่ บหน้า ดวงดาราหรอื จะงามเพราะตวั หนอ หากมใี ช่แสงอาทติ ย์ท่ีถกั ทอ สะทอ้ นพอปดบังเงาเจา้ ดวงเดอื น* http://www.klonthaiclub.com/index.php?topic=9584.0 นกั เรียนคิดเห็นอยางไรกบั คาํ พูดขางตน ทําไมจงึ คิดเชน นั้น ใหใ ชเหตผุ ลประกอบ คําอธิบาย 1. ใหนกั เรียนเลอื กทําเคร่ืองหมายวงกลม ลอ มรอบขอความขา งลา งนี้ เพยี ง 1 ขอความ ความคิดเห็นคล้อยตาม ความคิดเหน็ โต้แย้ง ความคิดเหน็ คลอ้ ยตามและโต้แย้ง 2. ใหน กั เรียนเขยี นอธบิ ายเหตผุ ล จํานวน 2 ขอ ท่ีสอดคลองความคิดการเลือกในขอ 1 ความคิดเหน็ คลอยตาม ความคิดเหน็ โตแ ยง 1…............................................................. 1…............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2............................................................... 2............................................................... .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
15 แบบฝกึ การอา่ นรู้เรอื่ งและสอ่ื สารได้ตามแนวการประเมนิ ผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 สถานการณ์ที่ 5 คาชี้แจง ใหน กั เรียนอานถอ ยความ และตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี เคยสงสัยไหมวา ทาํ ไมใครๆถึงไดคะย้ันคะยอใหคุณพยายามด่ืมนาํ้ (อยางนอ ย 8 แกว ตอ วนั )กนั นกั เหตผุ ลกเ็ พราะ นํา้ เป็นสารอาหารท่ีจาํ เป็นสาํ หรบั ชีวติ เซลลแทกุ เซลลลแ วนมนี าํ้ เป็นสว นประกอบ ถา นบั รวม ๆ กันแลว ในรางกายเรามนี ้ําอยถู งึ 55-75%ของนํ้าหนกั ตัว ดังนนั้ ถารางกายขาดน้าํ เพยี งแค 10 วนั เรากต็ ายแลว (ขณะท่ีคุณสามารถขาดอาหารไดถึง 70 วนั ) น้าํ ในรางกายเราสวนใหญมาจากน้าํ ท่ีเราด่ืม รวมทั้งในอาหาร ท่ีเรากนิ และเกิดจากกระบวนการเมตาโบลซิ ม่ึ ซง่ึ ทํางานอยู ตลอดเวลา ประมาณ 2 ใน 3 ของน้าํ ในรางกายจะอยใู นเซลลแ และอีกสวนท่เี หลือจะอยูในเลือดและของเหลวตางๆ นาํ้ ทาํ หนาท่สี ําคัญๆหลายอยา ง เชน ชวยยอยและดดู ซมึ อาหาร สําเลียงสารอาหาร และของเสียไปตามกระแสเลือด ชว ยในการสรางปฏิกิริยาทางเคมขี องรางกาย ชวยหลอล่นื และรองรับการเคล่ือนไหวของเอ็นขอ ตางๆ และชว ยรกั ษาระดบั ของอุณหภูมใิ นรางกาย อยางไรก็ตาม รา งกายของเราไมก ักเก็บนํ้าเอาไว แตล ะวันจะมกี ารสูญเสยี นาํ้ ตลอดเวลา โดยการขับถา ยทางปใสสาวะ อจุ จาระ ทางผวิ หนงั และทางปอด เฉล่ยี มกี ารสญู เสยี น้าํ ประมาณ 2.65ลติ รตอ วนั เพราะเหตนุ จี้ ึงควรดื่มน้ําทดแทนสว นที่เสยี ไป อยางนอยไมต ่ํากวา 8 แกว ตอ วัน ปใญหาอยทู ี่วา คนสว นใหญด่มื น้าํ ไมเ พียงพอตอ ความตอ งการ เพราะมกั ดืม่ นํ้ากต็ อ เมื่อ รสู ึกกระหาย ความจริงแลวเม่อื คณุ กระหาย นั่นหมายความวารางกายถึงข้ันเกิดภาวะขาดน้ํา เป็นสญั ญาณและอาการของภาวะขาดนํา้ คือ รสู ึกกระหาย ปใสสาวะนอ ยลง และปใสสาวะ เหลืองเขม (โดยทั่วไปปสใ สาวะสอี อนจะดีกวา ) ทองผูก เหนอ่ื ย ออนเพลีย ปวดหัว
16 เวยี นหัว หนามดื ตาลาย เป็นตะคริว อณุ หภมู ริ า งกายสูง และความดันเลอื ดสูงขึน้ มรี ายงานการวจิ ัยชิ้นใหมที่พบวา การดื่มนา้ํ ใหเพียงพอจะชวยลดความเส่ียงตอ การเปน็ มะเร็งกระเพาะปใสสาวะดวย อยา ลมื วา นํ้าทําใหกระบวนการทกุ อยา งในรางกายทาํ หนาทีไ่ ดอ ยา งราบรื่น ฉะนั้น Drink up ด่มื น้าํ ซะ
17 คาถามท่ี 1 ถอ ยความน้ีผูเ ขียนตองการนาํ เสนอเรือ่ งใดมากท่ีสุด 1. นาํ้ มีหนา ทีห่ ลายอยาง 2. น้าํ ชวยในการขบั ถา ยของเสีย 3. นํ้าเป็นสารอาหารทจ่ี ําเป็นสําหรับชีวติ 4. นํ้าชวยยอ ยอาหารที่เรารับประทานเขา ไป คาถามท่ี 2 ขอใดเปน็ ประโยคความเดยี ว 1. ประชาดื่มน้ําวนั ละ 8 แกว 2. นดิ รดนํ้าผกั ที่ปลูกในสวนทกุ วัน 3. ฉันใชน้ําประปาในการหงุ ตม อาหาร 4. น้ําไมไดม ีความจําเป็นตอ มนุษยแแ ละสตั วแ คาถามที่ 3 จากถอ ยความขา งตน ขอ ความตอ ไปน้ีเปน็ ความจริงหรอื ไมเปน็ ความจรงิ ขอความเปน็ ความจรงิ จงเขยี นเครอื่ งหมาย X ในชอง “ใช” ขอความไมเป็นความจรงิ จงเขียนเครอื่ งหมาย X ในชอง “ไมใช ข้อความ ใช่ ไมใ่ ช่ 1. เราตองดืม่ นาํ้ อยางนอยวนั ละ 8 แกว 2. นํา้ ในรา งกายของคนเราจะอยูในเลอื ดมากกวาในเซลลแ 3. เราควรดื่มน้ําเมอื่ รสู ึกกระหายเทานนั้ 4. น้ําทาํ หนาท่สี ําคญั คอื ชว ยยอยและดดู ซมึ อาหาร 5. รางกายของเราจะสญู เสยี น้ําดวยการขบั ถาย ทางปใสสาวะ ทางผวิ หนัง ทางปอด 6. น้ําทําใหก ระบวนการทุกอยางในรางกายทาํ หนาท่ี ไดอยา งราบรืน่ 7. เราควรด่ืมน้ําหลังรับประทานอาหารมาก ๆ เพ่อื ชว ย ในการยอยอาหาร 8. รางกายของเราขาดน้ําไดนานเกนิ 10 วนั 9. ถา ปใสสาวะของเรามีสีเหลืองเขมแสดงวารา งกายของเรา อยูใ นภาวะขาดน้ํา 10. การด่ืมน้ํามาก ๆจะเส่ียงตอการเปน็ มะเร็งกระเพาะปใสสาวะ
18 คาถามท่ี 4 จากถอ ยความขา งตน นกั เรยี นคดิ วา นักเรียนปฏบิ ตั ติ ามได้หรือไม่ ใหเ ลอื กวงกลมลอมรอบขอความ “ได” “ไมไ ด” ท่ีกาํ หนดให แลว บอกเหตผุ ล จาํ นวน 2 ขอ ใหใชขอ มลู จากเน้ือเรอ่ื งสนับสนนุ คาํ ตอบของนักเรยี น ได้ ไมไ่ ด้ 1...................................................................................................................................... 2...................................................................................................................................... คาถามที่ 5 นา้ เปน็ สิ่งจาเป็นต่อร่างกาย นกั เรียนคดิ เหน็ อยางไรกับคาํ พูดขา งตน ทําไมจงึ คดิ เชนน้นั ใหใชเหตุผลประกอบคาํ อธิบาย 1. ใหนักเรยี นเลือกทําเคร่ืองหมาย วงกลมลอ มรอบ ขอ ความขางลา งน้ี เพียง 1 ขอ ความ ความคดิ เหน็ คลอ้ ยตาม ความคดิ เหน็ โต้แย้ง ความคดิ เหน็ คล้อยตามและโตแ้ ย้ง 2. ใหนกั เรยี นเขยี นอธิบายเหตุผล จํานวน 2 ขอ ท่ีสอดคลอ งความคดิ การเลือกในขอ 1 ความคิดเหน็ คลอยตาม ความคิดเหน็ โตแยง 1…............................................................. 1…............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2............................................................... 2............................................................... .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
19 แบบฝึกการอา่ นรู้เรื่องและสอื่ สารไดต้ ามแนวการประเมินผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 สถานการณท์ ่ี 6 คาชีแ้ จง ใหน กั เรียนอานถอยความ และตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี เลอื กน้ามนั หมหู รอื นา้ มันพืช โดย pimchanok แมไขมันจะไมใชส ง่ิ ท่ีรา งกายตองการมากนกั แต\"ไขมนั \" กค็ อื 1 ใน 5 ของหมอู าหาร ท่ีจาํ เปน็ ตอ รางกาย (นอกเหนอื คารแโบไฮเดรต โปรตีน เกลือแร วิตามนิ ) ดงั น้นั จึงหลีกเลี่ยงไมได ทีจ่ ะตองใหค วามสาํ คญั ตอการเลือกไขมันหรอื นา้ํ มันเพือ่ บรโิ ภคในแตละวัน น้ามันหมู เร่มิ กลับมาอยูในความสนใจของผบู รโิ ภคในการนํามาประกอบอาหารอกี ครงั้ หลังจากมีกระแสถกเถียงกันระหวา งน้าํ มันหมกู ับนํ้ามันพชื บรรจุขวดผานกรรมวิธี เราควรบริโภค นา้ํ มนั ประเภทไหนกนั แน กลมุ ทเี่ ช่อื วา นํ้ามนั หมูดีตอสขุ ภาพมากกวา นาํ้ มันพืช มเี หตผุ ลสําคญั ยนื ยันความเชอ่ื ของตนวา นํ้ามนั หมูมีกรรมวิธีการผลิตทปี่ ลอดภัยปราศจากการใชสารเคมี เพราะไดมาจากไขมัน สตั วแโดยตรง ใกลเ คยี งธรรมชาติท่สี ุด ใหความหอมในการปรงุ อาหารไดด กี วา แตกตางจากนาํ้ มนั พชื ผานกรรมวิธี ที่ตองท้ังกล่นั (Refined) ฟอกสี (Bleached) และแตงกลน่ิ (Deodozied) และเม่อื นํามาปรงุ อาหารจะเกดิ การแตกตวั เป็นสารอนุมูลอิสระ ซง่ึ เปน็ อันตรายตอ รา งกายได สวนกลุมทเ่ี ช่ือวา น้ํามนั พืชดีตอ สุขภาพมากกวา ก็ยืนยนั วาไขมันพืชเปน็ ไขมันไมอ ิม่ ตัว มคี อเลสเตอรอลนอ ยกวา ไขมนั สตั วแ และขอกลาวหาท่วี าแมนํ้ามนั พชื จะไมเป็นไขที่อุณหภมู ิ 25 องศาเซลเซียส แตเ ม่ือเขา ไปอยูในรางกายทอี่ ุณหภมู ิ 37 องศาเซลเซยี สจะกลายเป็น กาวเหนียว เกาะตดิ ลําไส ไมสามารถลา งออกได และเปน็ สาเหตุของโรคไขมนั อุดตันนั้น กเ็ ปน็ คํากลาวอางทีไ่ มมหี ลักฐานยนื ยนั สานักโภชนาการ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข ระบวุ า เราควรบริโภคนํ้ามัน อยา งหลากหลายในปริมาณเพยี งเลก็ นอย เพ่อี หลีกเลี่ยงภาวะไขมนั อุดตนั ในเสนเลือด โดยประมาณวา ในจาํ นวนพลังงาน 2,000 กโิ ลแคลอรี ท่ีรา งกายมนุษยตแ องการตอ วนั นัน้ ควรจะเปน็ ไขมันไดไมเกิน 25-30% ดาน ดร.เนตรนภสิ วัฒนสุชาติ ผเู ชย่ี วชาญเฉพาะดานโภชนาการ สถาบนั คน ควาและพัฒนา ผลิตภณั ฑแอาหาร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตรแ ไดอ ธบิ ายวา ไมวาจะเป็นน้ํามันพชื หรือนาํ้ มันหมู ตา งก็เปน็ ไขมันที่ไมควรบริโภคจํานวนมาก แตกค็ งเปน็ ส่งิ ทหี่ ลีกเล่ียงไมได ดงั นนั้
20 ทางทดี่ ีไมควรเลอื กบรโิ ภคนํา้ มันชนิดใดชนดิ หนึ่งเพยี งชนิดเดยี ว เพราะ นํ้ามนั พชื มหี ลาย ประเภท อาทิ นาํ้ มันรําขาว นา้ํ มนั ถัว่ เหลอื ง นํ้ามันปาลมแ เป็นตน นา้ํ มันแตล ะประเภทก็มคี ณุ สมบัตทิ ี่ เหมาะสมกับการปรุงอาหารทีแ่ ตกตางกัน ขณะที่ นํา้ มัน จากสตั วแ อาทิ น้ํามนั หมู ก็ไมไ ดเ ลวรา ย เปน็ นา้ํ มันทางเลือกท่ีสามารถรับประทานไดเ ปน็ คร้งั คราว ขอเพยี งพิจารณาการรับประทานไขมนั ให เหมาะสมกับพลงั งานทร่ี างกายตอ งการในแตละ วัน กจ็ ะไมเ ป็นการสะสมไขมนั อันจะนําไปสู โรคภยั ตา ง ๆ ได ขณะที่ สถาบนั อาหาร ไดแ นะนาํ การเลอื กใชนํ้ามันใหเ หมาะสมกับชนดิ และประเภท ของการปรงุ อาหาร เชน การผัด ซึ่งจะใชน้าํ มนั เพียงเลก็ นอย สามารถจะใชนํ้ามันชนิดใดกไ็ ด เชน นาํ้ มนั รําขา ว นาํ้ มนั ถว่ั เหลือง นาํ้ มนั ทานตะวนั น้าํ มันขาวโพด นํ้ามันเมล็ดฝูาย สว นการทอดอาหารที่ใชน ้ํามนั ปรมิ าณมาก และใชความรอนสูงในการประกอบอาหาร เพือ่ ใหไ ดอ าหารรสชาติดี กรอบ อรอย เชน ทอดไก ทอดปลา ทอดกลว ยแขก ทอดปาทองโกเ หรอื ทอดโดนัท ควรใช น้ํามันที่มกี รดไขมนั อ่ิมตวั สูง เชน น้ํามันปาลมแ หรอื นํ้ามันหมู เพราะหาก ไปใช นํา้ มันราํ ขาว น้าํ มนั ถ่ัวเหลือง ซึง่ เปน็ น้ํามนั พืชท่มี กี รดไขมนั ไมอ่ิมตัวสูง จะกอใหเ กิดควันไดง าย เหมน็ หืน และเกดิ ความหนดื จากสารพิษ \"โพลเี มอรแ\" ที่จะเกิดขึ้นตามมา สวนการทํานา้ํ สลดั ประเภทตาง ๆ ตองใชน าํ้ มนั พชื ที่ไมแ ข็งตวั ใน อุณหภมู ติ า่ํ เปน็ น้าํ มันท่ีมีกรดไขมนั ไมอ ่ิมตวั สงู เชน นํ้ามนั มะกอก ไมว าจะเป็นนาํ้ มันชนิดไหน เพ่อื สขุ ภาพทดี่ ขี องรา งกายควรเลือกรับประทานน้ํามนั ใหแ ตเพียงนอย ทมี่ า: หนังสือพมิ พแประชาชาติธรุ กิจ ภาพประกอบจากอินเทอรแเน็ต
21 คาถามท่ี 1 จากถอ ยความน้ี ผเู ขียนตองการนาํ เสนอเรอ่ื งใด 1. น้าํ มันหมูดีตอ สขุ ภาพมากกวา นา้ํ มันพืช 2. นาํ้ มันพืชมคี อเลสเตอรอลนอยกวาน้าํ มันหมู 3. เลือกใชนาํ้ มนั ใหเหมาะกบั ชนดิ และประเภทของการปรงุ อาหาร 4. ควรเลือกใชน า้ํ มันใหเหมาะกบั ชนดิ และประเภทของการปรงุ อาหาร คาถามท่ี 2 ประโยคในขอ ใดเป็นประโยคความรวม 1. น้ํามนั หมูไดจ ากไขมนั สัตวโแ ดยตรง 2. ในแตละวันควรเลอื กบริโภคน้ํามันใหน อยท่สี ดุ 3. ไขมันพขื มคี อเรสเตอรอลนอ ยกวา ไขมันสัตวแ 4. การทอดปาทอ งโกเ หรือโดนทั ควรใชน ํามันทม่ี กี รดไขมันอม่ิ ตัวสงู คาถามที่ 3 จากถอยความขางตน ขอความตอ ไปน้ีเปน็ ความจรงิ หรือไมเ ปน็ ความจรงิ ขอความเปน็ ความจริง จงเขียนเครอ่ื งหมาย X ในชอง “ใช” ขอ ความไมเปน็ ความจรงิ จงเขียนเคร่อื งหมาย X ในชอ ง “ไมใช ขอ้ ความ ใช่ ไมใ่ ช่ 1. นํา้ มันหมูมกี รรมวิธกี ารผลิตทป่ี ราศจากสารเคมี 2. นํา้ มนั ทม่ี กี รดไขมันอ่ิมตวั สงู ไมค วรนํามาปรุงอาหาร 3. ใน 1 วัน รางกายมนุษยแตองการไขมันไมเ กิน 25-30 % 4. เราควรใชน้ํามนั พชื ในการปรงุ อาหารประเภททอด 5. คนที่เปน็ โรคไขมันอุดตนั ในเสน เลือด เพราะรับประทาน นํ้ามันหมูมาก 6. นาํ้ มนั พชื หรอื นํ้ามันหมูตา งกเ็ ป็นไขมนั ทีไ่ มค วรบริโภคมากเกนิ ไป 7. สารอนมุ ูลอสิ ระเกิดจากการนาํ น้าํ มนั พืชมาปรุงอาหาร 8. นาํ้ มนั งามีกรรมวิธีในการผลิตแตกตา งจากนํ้ามันหมู 9. ไขมนั เปน็ หมูอาหารท่มี ีความจําเปน็ ตอ รา งกายมากท่สี ุด 10. ผัดกะเพราเป็นอาหารท่คี วรรับประทาน เพราะใชน ํ้ามนั นอยในการปรงุ
22 คาถามท่ี 4 จากถอ ยความขา งตน นักเรยี นคิดวา การปรุงอาหารใหอ้ ร่อยข้นึ อยกู่ ับการเลอื กใชน้ ามันใช่หรือไม่ ใหเ ลอื กวงกลมลอมรอบขอความ “ใช” “ไมใช” ที่กาํ หนดให แลว บอกเหตผุ ล จาํ นวน 2 ขอ ใหใชข อมูลจากเนอ้ื เรอ่ื งสนบั สนุนคําตอบของนกั เรยี น ใช่ ไม่ใช่ 1...................................................................................................................................... 2...................................................................................................................................... คาถามท่ี 5 การปรุงอาหารด้วยนา้ มนั หมู อรอ่ ยกวา่ นา้ มนั พชื นกั เรียนคิดเห็นอยางไรกบั คาํ พดู ขางตน ทําไมจงึ คิดเชน นั้น ใหใชเหตุผลประกอบคาํ อธิบาย 1. ใหน ักเรยี นเลือกทําเคร่ืองหมายวงกลม ลอมรอบขอความขา งลา งนี้ เพียง 1 ขอความ ความคดิ เหน็ คล้อยตาม ความคดิ เห็นโตแ้ ยง้ ความคดิ เหน็ คล้อยตามและโต้แย้ง 2. ใหนกั เรียนเขยี นอธิบายเหตผุ ล จํานวน 2 ขอ ที่สอดคลองความคิดการเลือกในขอ 1 ความคดิ เห็นคลอ ยตาม ความคดิ เหน็ โตแยง 1…............................................................. 1…............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2............................................................... 2............................................................... .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
23 แบบฝกึ การอ่านรูเ้ ร่ืองและสอื่ สารได้ตามแนวการประเมินผลนานาชาติ (PISA) สาหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 สถานการณท์ ่ี 7 คาชแี้ จง ใหนักเรยี นอานถอยความ และตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี คณุ รจู้ กั ออร์แกนกิ ดีแค่ไหน? โดย pimchanok พดู ถึง \"ออรแแ กนิก\" หลายคนคงนกึ ถึงอาหารสขุ ภาพทมี่ ีทั้งความสด สะอาด อรอย และรูเ พยี งวามคี ุณคาทางโภชนาการทส่ี ูง แต รูหรอื ไมวาในปใจจบุ ันออรแแ กนิกยังสามารถทาํ เงนิ ใหแ กผูผ ลิตที่สนใจสินคา ออรแแกนิกไดอ ยางมากมายมหาศาล ดว ยการประยุกตแเป็นอาหารแปรรูป หรอื สนิ คาอปุ โภคบรโิ ภคที่เป็นผลิตภัณฑแออรแแ กนกิ อาทเิ ชน เนอ้ื สัตวแ นม เคร่ืองสําอาง เสือ้ ยดื กระเปา ผา เป็นตน ผักออรแ์ กนิก ผกั ออรแแกนิกหรอื ผักเกษตรอนิ ทรยี แถือเปน็ อีกหน่งึ ทางเลอื กที่ดีตอคนรกั สุขภาพ เพราะ ผักออรแแ กนกิ นน้ั มากดว ยคณุ ประโยชนแ คุมคาสมราคา ปลูกข้ึนมาโดยไมผ านการใสย าฆาแมลง ปยุ เคมี หรอื ฮอรแโมนสงั เคราะหแเขามาปนเปอื้ น ซง่ึ บอยคร้ัง ยังเขา ใจกันผดิ วาผักออรแแกนิกผัก ปลอดสาร ผกั อนามัย และผักไฮโดรโปนกิ สแ เปน็ ผักชนดิ เดยี วกัน มวี ธิ ีการปลูกทีเ่ หมือนกนั ขอ แจงวา ผกั ออรแแกนิกจะไมใชส ารเคมีใดๆ เลย เพียงแตมกี ารดัดแปลงวธิ ีการปลกู เชน ปุย ในดิน การบํารงุ ดิน ความชนื้ น้าํ อากาศ ฯลฯ เพอ่ื ใหพืชเติบโตดวยวิธแี บบธรรมชาติ 100% ไมเ ปน็ พิษ
24 ตอสงิ่ แวดลอม และเนนใหผ ลผลิตตา งๆ ออกตามฤดูกาล ขณะทผี่ กั ปลอดสารจะใชสารเคมี ระหวางการปลกู แตจะไมใ ชส ารเคมกี ําจดั ศตั รูพืช และเมื่อถึงชวงเก็บเก่ียวผลผลิตจะเวน การให สารเคมี จึงจดั วา เป็นผกั ที่ปลอดภัยจากสารเคมีที่ใชฆา แมลง ผกั อนามัยกใ็ ชว ิธีปลกู ทีค่ ลายกับผกั ปลอดสาร เชน กนั แตตา งกนั ทผ่ี ักอนามยั มีการใชส ารเคมปี ูองกนั และปราบศตั รูพืช สว นผักไฮโดร โปนกิ สแ เป็นผกั ท่ีไรดิน ใชวัสดุในการปลูก เชน นาํ้ ทราย กรวด ดินเผา เปน็ ตน ซ่ึงพืชจําเป็นตอ ง พง่ึ พาสารเคมี ไมวาจะทางนาํ้ หรอื ทางใบ ผลผลิตท่ไี ดอาจจะมสี ารพิษตกคางอยูบาง แตจะไมเกนิ มาตรฐานท่กี รมวชิ าการเกษตรกําหนดเทา นนั้ เอง ใครทีช่ น่ื ชอบการทานเนื้อ นม ไข อยูเป็นประจาํ กไ็ มควรพลาดที่จะสรางสรรคเแ มนูใน จาน ใหม ผี กั ผลไมอ อรแแ กนกิ เสรมิ อยูดวย เพราะนอกจากจะไดร ับทั้งวิตามิน เกลอื แร เอนไซมแ แลว ยังสามารถชว ยลดอตั ราเส่ียง โรคมะเรง็ โรคหวั ใจและความดนั ได ผลิตภัณฑ์ออรแ์ กนกิ ปจใ จุบนั สนิ คา ออรแแกนิกไมไ ดม เี ฉพาะกลุมอาหารเทาน้นั แตข ยายไลนสแ ินคาทต่ี รงตอ ความตองการของตลาดมากขน้ึ เชน สินคา ประเภท ชา กาแฟ ผาฝาู ย ท่ีนําไปทาํ เส้อื ผาเด็กออ น สนิ คา บริการเชน ธุรกจิ สปา รานอาหาร และเครื่องสําอาง สินคาสาํ หรบั ทาํ ความสะอาดบาน เชน นํ้ายาลางพืน้ หอ งนํา้ นาํ้ ยาถพู ืน้ น้ํายาซักผา นํ้ายาซกั ชุดชั้นใน นาํ้ ยาลา งจาน และนาํ้ ยาใช สาํ หรบั เครือ่ งครวั เปน็ ตน ซ่งึ ขบวนการผลิตท้ังหมดลว นแลว แตใชวตั ถุดิบท่เี ป็นออรแแกนกิ 100% และปลอดภัย ไรสารสังเคราะหทแ ี่อันตรายตอ สุขภาพ ทั้งนส้ี ินคาท่ีสามารถขอ ปดิ ฉลาก แบงเป็น 2 ประเภท คือ สนิ คา ทมี่ ีสวนผสมเป็นออรแแกนิก100% และสินคาที่มสี วนผสมเปน็ ออรแแกนิกไมน อ ยกวา รอยละ 95 สวนผลิตภัณฑแใดมีสวนประกอบท่เี ป็นออรแแกนกิ เพียง 70-95% จะไมส ามารถติดฉลากวา เปน็ ผลติ ภณั ฑอแ อรแแ กนกิ แตส ามารถระบุปรมิ าณสวนประกอบออรแแกนกิ บนฉลาก ได เชน ตัวอยางตรารบั รอง แมวา สนิ คาออรแแ กนกิ ในปใจจบุ นั ยังไมส ามารถเขา ถึงผบู รโิ ภคไดทกุ กลุม แตเ ราก็สามารถ เลือกส่งิ ท่ดี ี มีประโยชนแใหกบั ตวั เองได การกินอาหารและ ใชผลติ ภณั ฑทแ ่ีเป็นออรแแกนิก จงึ เป็น อกี ทางเลือกหน่ึงท่ีเหมาะกับคนทกุ บาน เพราะนอกจากจะสง ผลดี ตอสุขภาพของทกุ คนแลว ยงั สามารถดงึ ใหคนเขา มามสี วนชว ยดานสิ่งแวดลอ ม เกษตรกร และพฒั นาสงั คมเศรษฐกิจ อยางยงั่ ยนื ไดโ ดยปรยิ าย ทม่ี า: หนงั สอื พิมพมแ ติชนภาพประกอบจากอนิ เทอรแเน็ต
25 คาถามท่ี 1 สาระสาํ คัญของถอยความน้ี คือขอใด 1. ผลิตภัณฑอแ อรแแ กนิกปลอดสารเคมี 2. ปลูกผักออรแแกนกิ เสรมิ รายไดลดรายจาย 3. ผักปลอดสารพษิ ไมแตกตา งจากผักออรแแ กนิก 4. ใชสินคาออรแแกนิกปลอดภัยตอชีวติ และสิ่งแวดลอ ม คาถามท่ี 2 ประโยคขอใดมีคาํ ที่มาจากภาษาเขมร 1. สารเคมมี สี วนในการทําลายหนาดิน 2. ผักออรแแ กนกิ มากดว ยคุณประโยชนแ 3. สนิ คาออรแแกนิกสงผลดีตอ สิ่งแวดลอ ม 4. ผลติ ภัณฑอแ อรแแกนกิ เป็นทางเลอื กหนึง่ ท่ีเหมาะกับคนทกุ บาน
26 คาถามท่ี 3 จากถอ ยความขา งตน ขอความตอไปนี้เปน็ ความจรงิ หรือไมเ ป็นความจริง ขอความเป็นความจรงิ จงเขยี นเคร่อื งหมาย X ในชอง “ใช” ขอความไมเ ป็นความจริง จงเขยี นเครอ่ื งหมาย X ในชอ ง “ไมใ ช ข้อความ ใช่ ไมใ่ ช่ 1. รับประทาน ขนม ผกั ผลไม ออรแแกนกิ ลดอตั ราเส่ียงโรคมะเรง็ โรคหัวใจ 2. การปลูกผกั ออรแแ กนกิ ทําใหสุขภาพของเกษตรกรดขี ึน้ 3. การปลกู ผักโดยใชป ยุ จากทอ งตลาด คอื การปลกู ผักออรแแกนิก 4. ผลิตภณั ฑอแ อรแแกนกิ มจี ําหนา ยตามรานคาท่วั ไป 5. ผกั ออรแแ กนกิ ใหคณุ คาดานวติ ามิน เกลือแร เอนไซมแ 6. การปลกู ผกั ออรแแ กนกิ เป็นการทําลายสงิ่ แวดลอ ม 7. เกษตรกรสวนใหญของประเทศนยิ มผลิตสินคา ออรแแ กนิก 8. คนไทยมีอัตราเส่ียงเปน็ โรคมะเร็งมาก เนือ่ งจากบริโภคสนิ คา ทีใ่ ช สารเคมี 9. ผบู รโิ ภคสว นใหญไมนิยมรับประทานผกั ออรแแ กนิก เพราะมีราคา แพงกวาผกั ท่ัวไป 10. เราควรปลกู ผักออรแแกนกิ ไวรับประทานเอง เพื่อลดรายจา ย
27 คาถามที่ 4 จากถอยความขางตน นกั เรยี นคิดวา ปลูกผกั ออร์แกนกิ ไวร้ บั ประทานเองไดห้ รือไม่ ใหเ ลือกวงกลมลอมรอบขอความ “ได” “ไมได” ที่กําหนดให แลวบอกเหตุผล จํานวน 2 ขอ ใหใชขอ มูลจากเน้ือเร่ืองสนบั สนุนคําตอบของนกั เรียน ได้ ไม่ได้ 1...................................................................................................................................... 2...................................................................................................................................... คาถามที่ 5 กนิ ผักออร์แกนิก ปลอดภัยจากโรคมะเร็ง นกั เรยี นคิดเห็นอยางไรกบั คําพูดขา งตน ทําไมจึงคดิ เชนนั้น ใหใชเหตผุ ลประกอบ คาํ อธบิ าย 1. ใหน กั เรียนเลอื กทําเครื่องหมายวงกลม ลอมรอบขอความขา งลา งนี้ เพยี ง 1 ขอ ความ ความคดิ เห็นคลอ้ ยตาม ความคิดเหน็ โตแ้ ยง้ ความคิดเห็นคล้อยตามและโต้แย้ง 2. ใหน ักเรยี นเขยี นอธบิ ายเหตผุ ล จํานวน 2 ขอ ที่สอดคลอ งความคดิ การเลือกในขอ 1 ความคดิ เหน็ คลอ ยตาม ความคิดเหน็ โตแยง 1…............................................................. 1…............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2............................................................... 2............................................................... .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
28 แบบฝึกการอา่ นรเู้ ร่อื งและสอ่ื สารไดต้ ามแนวการประเมินผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 สถานการณ์ที่ 8 คาช้ีแจง ใหนกั เรยี นอานถอยความ และตอบคาํ ถามตอไปนี้ ฟักขา้ ว..(Gac fruit) สมนุ ไพรประหลาด มหัศจรรย์ ฟกั ขา้ ว(Gac fruit) เปน็ สมุนไพรทีใ่ ชต า นโรคมะเร็ง มีขนาดลําตนเทากับแขน ผลมีขนาด เทากับลกู มะขวดิ เป็นไมเ ถาเล้อื ยฟกใ ขา วเป็นผลไม ทีม่ ีประโยชนตแ อสุขภาพดวงตาและภูมคิ มุ กัน (สารตานอนมุ ูลอสิ ระ) เยอื่ เมลด็ ของฟใกขาวมีปริมาณเบตา แคโรทนี มากกวาแครอท 10 เทา มีไลโคพีนมากกวามะเขือเทศ 70 เทา และมีกรดไขมันประมาณรอยละ 10 ของมวล การกนิ เบตา แคโรทีนจากฟกใ ขา วพบวาดูดซึมในรา งกายไดดเี พราะละลายไดในกรดไขมันดงั กลาว ฟกใ ขาวนัน้ ชวยบํารุงสายตา แตตอ งกนิ สวนมาจากเยื่อเมล็ดจะใหป ระสทิ ธภิ าพสงู ฟกั ขา้ วมถี ิน่ กําเนิดในประเทศจนี พมา ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซียและฟลิ ิปปินสแ เป็นพชื ทชี่ าวเวียดนามใชประกอบอาหารมาก ในชนบทมีปลกู กันเกอื บทกุ บาน ฟใกขาวเป็นไมเถา เลื้อยพนั มีมอื เกาะ ใบเป็นใบเด่ียว เรียงแบบสลบั ใบรปู หัวใจหรอื รูปไข กวางยาวเทากัน ประมาณ 6-15 เซนติเมตร ขอบใบหยกั เวา ลึกเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอกเปน็ ดอกเด่ียวพบท่ีซอกใบ ตนแยกเพศอยคู นละตน กลีบดอกสขี าวแกมเหลอื ง ตรงกลางมสี ีนาํ้ ตาลแกมมวง ใบประดบั มีขน ผลออ นมีสีเขียวอมเหลอื ง เจริญไดเองโดยไมต องถูกผสม เมอื่ ผลสกุ จะมีสแี ดง ขยายพนั ธแโุ ดยใช เมล็ด
29 หรือแยกรากปลกู ฟกใ ขาวเริ่มมดี อกหลังแยกรากปลกู ประมาณ 2 เดือน เรม่ิ ผลิดอกราวเดอื น พฤษภาคมและใหดอกจนถึงราวเดอื นสิงหาคม ผลสุกใชเ วลาประมาณ 20 วนั ทป่ี ระเทศเวียดนามมกั ปลูกฟกใ ขา วพาดพนไมร ะแนงขางบาน และเก็บเฉพาะผลสุก มาประกอบอาหาร แตเ น่ืองจากฟกใ ขา วใหผลดที ่ีสดุ ในชว งฤดูหนาว ชาวเวียดนามจงึ ใชป ระกอบ อาหารในเทศกาลปีใหม และงานมงคลสมรสเทา นั้น ฟกใ ขา วมเี ปลือกหนา ผลสุกเนื้อในหนามีสีสม ภายในมเี ยื่อสแี ดงใหเ มล็ดเกาะ เนื้อผลสกุ กนิ ได ที่ประเทศเวียดนามใชเยื่อสแี ดงและเมล็ด (มี นํา้ มัน) เป็นยา http://www.elib-online.com/doctors50/food_momordica001.html .. คาถามท่ี 1 จากถอ ยความนีก้ ลาวถึงฟกใ ขา วในดา นใดมากทีส่ ุด 1. ใชเปน็ ยาสมุนไพร 2. วิธกี ารปลกู ฟกใ ขา ว 3. ใชปลกู เปน็ ไมดอกไมป ระดับ 4. ใชเปน็ ผักสาํ หรับประกอบอาหาร คาถามท่ี 2 ขอใดไมถ ูกตอ ง 1. ฟใกขาว ชว ยบํารุงสายตา 2. ฟใกขาว เปน็ ไมเถาเล้ือย 3. ฟใกขา ว มสี ารตานอนุมูลอสิ ระ 4. ฟใกขาว เป็นอาหารทีน่ ยิ มของชาวมาเลเซีย
30 คาถามที่ 3 จากถอ ยความขางตน ขอความตอไปนี้เป็นความจรงิ หรือไมเป็นความจริง ขอความเป็นความจรงิ จงเขยี นเครื่องหมาย X ในชอง “ใช” ขอ ความไมเปน็ ความจริง จงเขียนเครือ่ งหมาย X ในชอ ง “ไมใช ข้อความ ใช่ ไม่ใช่ 1. ฟกใ ขาว มีถ่นิ กาํ เนดิ ในเวียดนาม 2. นาํ้ มันในฟใกขา วมีประโยชนทแ างยา 3. การรับประทานแครอท และมะเขอื เทศ ชว ยบํารงุ สายตา 4. ฟใกขาวจะออกลกู ท้ังปี 5. ฟกใ ขาวเปน็ ไมยืนตน เน้อื แขง็ 6. ชาวเวียดนามใชฟ ใกขา วประกอบอาหารในเทศกาลสําคญั 7. ฟกใ ขา วใหว ติ ามินเอมากกวา แครอท 8. เนื้อของฟใกขา วมีคณุ คาทางโภชนาการสูงสุด 9. ประหลาด เปน็ คาํ ควบกลา้ํ แท 10. แครอท เป็นภาษาถิน่ คาถามท่ี 4 จากถอยความขา งตน นักเรยี นคิดวา ฟกั ขา้ ว จัดเปน็ พชื ทม่ี คี ณุ ค่าตอ่ มนษุ ยไ์ ดห้ รือไม่ ใหเลอื กวงกลมลอมรอบขอความ “ได” “ไมไ ด” ที่กําหนดให แลวบอกเหตผุ ล จาํ นวน 2 ขอ ใหใชขอมลู จากเนื้อเรื่องสนบั สนุนคําตอบของนักเรยี น ได้ ไมไ่ ด้ 1...................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………….………… 2...................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………….
คาถามท่ี 5 31 ฟักขา้ ว สมุนไพรประหลาด มหศั จรรย์ นกั เรียนคิดเห็นอยางไรกบั คาํ พดู ขา งตน ทําไมจงึ คดิ เชนน้ัน ใหใชเหตุผลประกอบ คําอธบิ าย 1. ใหน ักเรียนเลอื กทําเครื่องหมายวงกลม ลอ มรอบขอความขา งลา งน้ี เพียง 1 ขอ ความ ความคดิ เหน็ คล้อยตาม ความคดิ เหน็ โตแ้ ยง้ ความคิดเห็นคล้อยตามและโต้แยง้ 2. ใหนกั เรยี นเขียนอธิบายเหตผุ ล จํานวน 2 ขอ ทีส่ อดคลองความคิดการเลอื กในขอ 1 ความคดิ เหน็ คลอ้ ยตาม ความคิดเห็นโตแ้ ย้ง 1…............................................................. 1…............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2............................................................... 2............................................................... .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
32 แบบฝกึ การอา่ นร้เู รือ่ งและสอื่ สารไดต้ ามแนวการประเมินผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 สถานการณ์ที่ 9 คาชี้แจง ใหน ักเรียนอานถอยความ และตอบคําถามตอไปน้ี บนั ทกึ ท่องโลก : พระราชนพิ นธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ วันอาทติ ยแที่ 21 พฤศจิกายน 2536 “ ขาพเจา เองยงั มคี วามรูสึกวา การสัมผัสสิง่ ใดส่งิ หน่ึง(รวมทั้งสถานท่ี)ดว ย “อินทรยี แทัง้ 6” คือ ตา หู จมกู ล้นิ กายและใจ ยังมีความสําคญั ตอ ความรูสึก ทําใหเกิดความรทู ่แี ทจ รงิ รัฐบาลนิวซีแลนดสแ ามารถจดั ใหข าพเจาไปแอนตารแกติกาได แตต อ งเป็นเดอื นพฤศจกิ ายน ซ่ึงเป็น ตน ฤดูรอ นของเขา ถงึ แมจะรสู ึกวา ระยะเวลาน้ีเปน็ ชวงท่ีขาพเจา นา จะทํางานชวยบานเมอื ง มากกวาจะไปตา งประเทศ แตเ มอื่ ไดค ยุ กับทา นเอกอัครราชทูตแลว ก็รสู กึ วา การเดนิ ทางเชน นี้ เป็นสิ่งทด่ี งึ ดูดใจ และทน “ความเยายวน” นไ้ี มไหว....... “การผจญภัย” ครงั้ ยิ่งใหญข องขา พเจาจึงเกดิ ข้ึน แมว าจะเทียบไมไดกับนกั สํารวจ เชน อามนั เสน หรอื กปั ตันสกอ็ ต (นกั สาํ รวจองั กฤษ) แมน กั วิทยาศาสตรแของชาติตางๆ ท่ีทํางานอยู ณ ท่ีนน้ั ในปใจจุบันจะมที ่ีพักที่ดีกวาเกา แตกน็ ับวายังยากสาํ หรบั ขาพเจา ซงึ่ เคยอยูแตใ นท่ี อากาศอบอนุ และสบายในการเดนิ ทางไปแสวงหาความรูแ ละประสบการณแทแ่ี อนตารแกติกา.....”
33 คาถามท่ี 1 จากถอยความทอ่ี า น ประโยคใดทม่ี ีคาํ สมาสทุกคาํ 1. ราชทูต ราชสุดา 2. ขา พเจา ผจญภัย 3. ทองเที่ยว ราชนิพนธแ 4. รฐั บาล พฤศจกิ ายน คาถามที่ 2 จากถอ ยความที่อาน ประโยคใดที่แสดงวามกี ารพูดโนมนาว 1. “การผจญภัย” ครง้ั ยิ่งใหญของขา พเจาจึงเกดิ ข้นึ 2. รัฐบาลนิวซแี ลนดสแ ามารถจดั ใหข าพเจาไปแอนตารกแ ติกาได 3. ระยะน้เี ปน็ ชว งท่ีขาพเจา นาจะทํางานชวยบานเมอื งมากกวาจะไปตา งประเทศ 4. เม่ือไดค ยุ กบั ทานเอกอคั รราชทูตแลว กร็ ูส ึกวาการเดินทางเชนน้ีเป็นส่งิ ท่ดี ึงดดู ใจ อานและทําความเขา ใจ กอ นตอบคําถามนะคะ.....
34 คาถามท่ี 3 จากถอ ยความขา งตน ขอความตอไปน้ีเปน็ ความจรงิ หรอื ไมเ ป็นความจริง ขอความเปน็ ความจรงิ จงเขียนเครือ่ งหมาย X ในชอง “ใช” ขอ ความไมเ ป็นความจรงิ จงเขียนเครอ่ื งหมาย X ในชอง “ไมใ ช ขอ ความ ใช ไมใช 1. ขา พเจา ในถอ ยความท่ีอานหมายถึงสมเดจ็ พระเทพราชสดุ าฯ 2. แตละคนมีอนิ ทรียแทงั้ หกไมเทา กัน 3. คําวา “บานเมอื ง” จากถอ ยความที่อานหมายถึงประเทศแอนตารกตกิ า 4. การพดู โนม นา วไดด ีสามารถทําใหผ ูฟ งใ คลอยตามได 5. การผจญภยั ครงั้ ยง่ิ ใหญของสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯในครั้งนี้ เก่ยี วกบั เรอ่ื งการเดินทางท่ีลาํ บาก 6. สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ เสดจ็ พระราชดําเนนิ ไปเพอื่ ความสนุก 7. แอนตารกแ ตกิ ามอี ากาศทเ่ี ย็นสบายในเดอื นพฤศจิกายน 8. พระราชนพิ นธแของสมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าสรปุ ไดวา พระองคทแ า น ทรงโปรดในสถานที่ท่ีไดเ สดจ็ 9. คาํ วา “พูดคุย” คําราชาศัพทแคอื ประภาษ 10. สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ ทรงโปรดทพ่ี ักของนักสาํ รวจทม่ี ีอยู
35 คาถามท่ี 4 จากถอ ยความขางตน การสมั ผัสสงิ่ ใดสง่ิ หน่ึงดว้ ยอินทรยี ์ทงั้ หก มคี วามสาคั ตอ่ ความรูส้ กึ ทาใหเ้ กดิ ความร้ทู แี่ ท้จรงิ แกท่ กุ คนเท่ากนั ไดห้ รือไม่ ใหเลือกวงกลมลอมรอบขอความ “ได” “ไมไ ด” ท่ีกาํ หนดให แลวบอกเหตผุ ล จาํ นวน 2 ขอ ใหใชข อ มูลจากเน้อื เรื่องสนับสนนุ คําตอบของนักเรยี น ได้ ไมไ่ ด้ 1...................................................................................................................................... ....................................................................................................................................... 2...................................................................................................................................... ....................................................................................................................................... .......................................................................................................................................
36 คาถามท่ี 5 “ อนิ ทรยี ท์ ้ังหก คอื ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ แต่ละคนมเี หมือนกนั แตไ่ ม่เท่ากัน ” นักเรียนคดิ เห็นอยางไรกบั คําพดู ขางตน ทําไมจงึ คิดเชน นั้น ใหใ ชเหตุผลประกอบคาํ อธบิ าย 1. ใหน กั เรยี นเลอื กทําเครื่องหมายวงกลม ลอ มรอบขอ ความขางลางนี้ เพียง 1 ขอความ ความคิดเหน็ คลอ้ ยตาม ความคิดเห็นโตแ้ ย้ง ความคดิ เหน็ คลอ้ ยตามและโตแ้ ย้ง 2. ใหน กั เรยี นเขียนอธิบายเหตผุ ล จํานวน 2 ขอ ท่ีสอดคลอ งความคดิ การเลือกในขอ 1 ความคิดเหน็ คลอ ยตาม ความคดิ เห็นโตแ ยง 1. ............................................................. 1. ............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. ................................................................. ................................................................. 2.................................................................. 2.................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
37 แบบฝกึ การอา่ นรเู้ ร่ืองและสอื่ สารไดต้ ามแนวการประเมนิ ผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 สถานการณท์ ่ี 10 คาชี้แจง ใหนกั เรียนอานถอยความ และตอบคาํ ถามตอไปน้ี บนั ทึกเหตุการณ์ : จารกึ บนแผ่นศิลา หรอื ศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง พอ กูชื่อศรอี ินทราทติ ยแ แมกูชอ่ื นางเสือง พีก่ ชู ื่อบานเมอื ง ตูมีนองทอ งเดยี วหาคน ผูชายสาม ผูหญงิ โสง พี่เผือผอู ายตายจากเผอื เตียมแตยังเลก็ เมือ่ กูขนึ้ ใหญไดส ิบเกา เขา ขุนสามชนเจาเมอื งฉอดมาทเมอื งตาก พอ กูไปรบขุนสามชน หัวซายขนุ สามชนขบั มา หวั ขวาขนุ สามชนเกลื่อนเขา ไพรฟูาหนา ใสพอ กหู นีญญายพายจแจน กูบห นี กูขี่ชางเบกพล กูขบั เขากอ นพอกู กูตอชา งดวยขนุ สามชน ตนกพู งุ ชางขนุ สามชนตัวช่อื มาสเมอื งแพ ขุนสามชนพายหนี พอ กูจงึ ขนึ้ ชือ่ กชู ื่อพระรามคาํ แหง เพอื่ กูพงุ ชา งขนสามชน เมอ่ื ชว่ั พอกู กูบําเรอแกพ อกู กูบําเรอแกแ มก ู กูไดต วั เนือ้ ตัวปลา กเู อามาแกพอกู กไู ดห มากสม หมากหวานอันใดกนิ อรอยกนิ ดี กเู อามาแกพ อกู กูไปตีหนงั วงั ชา งได กเู อามาแกพ อกู กูไปทบานทเมืองไดช า งไดง วง ไดปใ่วไดนาง ไดเงอื นไดท อง กูเอามาเวนแกพ อกู พอกตู ายยังพกี่ ู กูพร่ําบาํ เรอแกพ่ีกดู ่ังบําเรอแกพ อกู พี่กตู ายจ่งึ ไดเ มอื งแกกูทัง้ กลม
38 คาถามท่ี 1 จากถอยความท่ีอาน ‘ไพรฟาู หนา ใสพอกูหนญี ญา ยพายจแจน .... กบู ห นี’ ควรเติมคําในขอใดลงไปในชอ งวาง เพือ่ ใหเป็นประโยคความรวม 1. ซึง่ 2. แต 3. อนั 4. ท่ี คาถามที่ 2. จากถอยความที่อาน นกั เรียนไดแ นวคดิ ในขอ ใดเพอ่ื นําไปใชแ กปญใ หาในชวี ติ 1. เมื่อพอกตู ายจงึ่ ไดเมืองแกก ูท้ังกลม 2. เมื่อช่วั พอกู กูบําเรอแกพ อกู กบู าํ เรอแกแ มก ู 3. ไพรฟาู หนาใสพอกหู นีญญายพายจแจน กูบหนี 4. กขู ช่ี า งเบกพล กขู ับเขา กอนพอกู กตู อชางดวยขนุ สามชน คาถามที่ 3 จากถอ ยความขางตน ขอ ความตอ ไปนี้เป็นความจรงิ หรอื ไมเ ป็นความจรงิ ขอ ความเปน็ ความจรงิ จงเขียนเครอื่ งหมาย X ในชอง “ใช” ขอ ความไมเ ป็นความจริง จงเขยี นเครอ่ื งหมาย X ในชอ ง “ไมใ ช ขอ ความ ใช ไมใ ช 1. “ตูพ่นี องทอ งเดยี วกันหาคน” ตู ในท่ีน้หี มายถงึ เราทง้ั หลายท้ังผูพูดและ ผูฟงใ 2. พอ ขุนรามคําแหงตอ งออกรบตั้งแตอ ายุยางเขา สิบเกาปี 3. พอขุนรามคาํ แหงออกรบเพราะตองการอํานาจและเปน็ ใหญ 4. “พอ ขุนรามคาํ แหง” พระนามน้ีไดร ับการขนานเม่ือรบชนะขุนสามชน 5. คําวา “บําเรอ” หมายถึง ปรนเปรอ บํารงุ รกั ษา 6. “ตวั เนือ้ ตัวปลา” หมายถึง สตั วแนํ้าทง้ั หมด 7. “พกี่ ูตายจ่ึงไดเ มอื งแกกูท้งั กลม” แสดงใหเ ห็นวา พอขุนรามคาํ แหงเป็นคน ทรี่ ักและเคารพพ่ี 8. ศลิ าจารึกพอ ขนุ รามคาํ แหงอานแลวทําใหเกดิ ความภาคภมู ใิ จ 9. บานเมืองอุดมสมบูรณแ คือ บานเมืองไมเปน็ เมอื งข้นึ ของใคร 10. พระมหากษัตริยใแ นสมัยสโุ ขทัยตอ งรบเกงทุกพระองคแ
39 คาถามที่ 4 จากถอ ยความขางตน “พอ่ ขนุ รามคาแหงขึ้นครองราชย์กอ่ นพีไ่ ด้หรอื ไม่” ใหเ ลอื กวงกลมลอมรอบขอความ “ได” “ไมไ ด” ที่กําหนดให แลว บอกเหตผุ ล จาํ นวน 2 ขอ ใหใ ชข อ มูลจากเน้อื เร่อื งสนบั สนนุ คาํ ตอบของนักเรียน ได้ ไม่ได้ 1.............................................................................................................................. ............................................................................................................................. 2.............................................................................................................................. .............................................................................................................................
40 คาถามท่ี 5 “ก”ู ทใ่ี ชในสมยั พอ ขนุ รามคําแหง สามารถนํามาใชใ นสมยั ปใจจุบันได นักเรียนคดิ เห็นอยางไรกบั คําพดู ขา งตน ทําไมจึงคดิ เชน น้นั ใหใชเหตผุ ลประกอบ คาํ อธิบาย 1. ใหน ักเรียนเลอื กทําเครื่องหมายวงกลม ลอมรอบขอความขา งลางน้ี เพยี ง 1 ขอความ ความคดิ เหน็ คลอ้ ยตาม ความคดิ เห็นโตแ้ ย้ง ความคดิ เห็นคลอ้ ยตามและโตแ้ ยง้ 2. ใหนักเรยี นเขียนอธิบายเหตผุ ล จํานวน 2 ขอ ที่สอดคลอ งความคิดการเลือกในขอ 1 ความคิดเหน็ คลอ ยตาม ความคิดเหน็ โตแยง 1. ............................................................. 1. ............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2.................................................................. 2.................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
41 แบบฝึกการอ่านรเู้ ร่ืองและสอื่ สารไดต้ ามแนวการประเมินผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 สถานการณท์ ี่ 11 คาชแ้ี จง ใหนกั เรียนอา นถอ ยความ และตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี บันทึกเหตกุ ารณป์ ระทับใจ ของ นางสาว อุไรลักษณ์ บุ รตั น์ “จากความขีล้ มื ของขาพเจา ทําใหไ ดร ูวาในโลกน้กี ็ยังมคี นดเี หลอื อยบู นโลก ซ่งึ เขาคน นัน้ ขา พเจา ไมเ คยรจู กั มากอน แตเขาก็ทําใหข าพเจาไมส ามารถลืมเขาไดเ ลยตลอดชวี ิต เรื่องมันมีอยูวา เมื่อประมาณ 5 ปี ทแี่ ลว ตอนน้นั ขาพเจา เรยี นอยปู ี 2 ท่ีมหาวิทยาลัย แหง หนงึ่ ทางภาคอสี าน วันท่เี กิดเหตุขาพเจาจาํ ไดแ มนยํา ซึ่งตรงกบั วนั ท่ี 2 ธนั วาคม 2548 เวลาประมาณ 12.00 น. หลังจากกลบั จากเรียนขาพเจา จอดรถจกั รยานยนตแ แลว กไ็ ขกญุ แจ เขาไปภายในหองพัก พอเก็บของเสรจ็ ขา พเจา รสู กึ หิวเลยจะออกไปซ้ืออะไรกินหนา หอพกั พอจะหยบิ เงินจากกระเปาแตก ห็ าไมเ จอ แตย งั ไมรูว า กระเปาเงินของตนเองหาย คิดวานาจะ ลืมวางไว ท่ีใดทห่ี นงึ่ ของหองจึงเดนิ หาอยนู าน คนทุกซอกทุกมุมภายในหอง ตามล้ินชกั เก็บของ ก็ไมเ จอ เพราะขา พเจาเองชอบหลงวางไวอยูเปน็ ประจํา หาไดระยะหนึง่ ก็ไมเจอ ก็พยายามนกึ วา ..เอ เราไปวางไวทไ่ี หนนา พยายามนกึ อยนู านก็นกึ ไมอ อก ขา พเจากงั วลใจมากเพราะภายใน กระเปา มเี งนิ อยปู ระมาณ 3,000 บาท ซ่งึ เงินจํานวนนีแ้ มเพง่ิ โอนมาให เงนิ จํานวนนต้ี อ งใชจาย จํานวนหนง่ึ และตอ งจายคาหอดวย ซ่งึ กาํ หนดจายเงนิ คาหอพกั กอนวันท่ี 5 ของทุกเดือน พอ เวลาประมาณ12.30 น. คิดวา มันหายแนน อน จงึ จะไปขอยืมเงนิ เพอื่ นมาไวใ ชจา ยกอ น แลว คอยโทรบอกแมว า เงินหาย เม่ือขา พเจาเดินไปทร่ี ถเพ่อื จะไปหาเพื่อน และตอนนั้นเองขาพเจา มองไปเห็นกระดาษ ใบหนึง่ มขี อ ความวา \"คณุ ลมื กระเปาเงินไวทร่ี ถ ตดิ ตอ รบั กระเปาเงินที่ หอ ง 2201 นะครับ หรือถาผมไมอ ยูโทรติดตอขอรบั กระเปา เงนิ ไดท่ี 083-210xxxx ขา พเจา ดีใจมาก ตอนนัน้ ทเี่ หน็ ขอความหนา ตะกรา รถเขยี นโนตขอ ความไว จึงโทรศพั ทภแ ายในหองขึ้นไป ที่หอ ง 2201 ไดยินเสียงผูชายรับโทรศพั ทแ พดู วา \" สวสั ดคี รับ \" ขาพเจาจงึ พดู วา\"มาติดตอ ขอรับกระเปา เงินคนื คะ\" ไดร ับเสยี งตอบมาวา \"ออไดค รับ\" ขาพเจา จึงขึ้นไปขอรบั กระเปา เงินคืน เขาถามขา พเจากอนรบั กระเปา เงินคืนวา \"กระเปาของคุณสอี ะไร\" ขาพเจา ตอบไปวา \"สฟี าู ลายโดเรมอน\" เขามคี วามรอบคอบดี เพราะตอนทเ่ี ขาเขียนโนตไวท่ีหนารถ คนอื่นอาจ
42 จะมาอานแลว สวมรอยมารบั กระเปาเงินแทนตวั จริงได หลงั จากกลบั จากวันพอ ขาพเจาตอบ แทนความดีของเขาดว ยการซ้ือขนมโมจิมาฝากเพ่ือเป็นการขอบคุณ เรือ่ งนอี้ าจจะเป็นอทุ าหรณหแ รอื ตัวอยา งสําหรับเพ่ือนๆ ไดวา ใหทกุ คนมีความระมดั ระวงั และรอบคอบมากกวา น้ี ทุกคนอาจไมไ มโ ชคดเี หมือนขาพเจาหรือถามเี หตุการณแแบบนเี้ กิดขน้ึ กบั ขาพเจาอีก อาจจะไมโ ชคดีเหมือนคร้ังน้ี สุดทา ยตอ งขอขอบคณุ เขามากๆ ขาพเจา อยากนาํ ความดขี องเขามาเลา ใหเพ่ือนๆไดรับรู วาในสังคมเราก็มคี นดมี นี ้ําใจแบบเขาอยู ******************************************* https://www.l3nr.org/posts/392882 คาถามที่ 1 ถอยความนี้ ผูแตง ตอ งการนําเสนอเรอ่ื งใดมากที่สดุ 1. ความขีล้ มื 2. ความรบั ผดิ ชอบ 3. ความรอบคอบ 4. ความซ่ือสตั ยแ คาถามท่ี 2 ขอ ใดไมถ กู ตอ ง 1. ชายที่เกบ็ กระเปาสตางคแไดพ ักอยหู อง 2201 2. ผูเขียนซ้อื ขนมโมจิมาฝากชายใจดีเพื่อแสดงความขอบคณุ 3. ผูเขียนและเพอ่ื นขน้ึ ไปรับกระเปา สตางคแท่หี อ งชายใจดี 4. ผเู ขยี นเป็นคนข้ีหลงขี้ลืม
43 คาถามท่ี 3 จากถอ ยความขางตน ขอ ความตอ ไปนี้เปน็ ความจรงิ หรือไมเ ปน็ ความจรงิ ขอความเปน็ ความจรงิ จงเขียนเครอ่ื งหมาย x ในชอ ง “ใช” ขอความไม่เปน็ ความจริง จงเขียนเครอื่ งหมาย x ในชอ ง “ไมใช” ข้อความ ใช่ ไมใ่ ช่ 1. ผเู ขยี นบันทึกเหตุการณปแ ระทบั ใจนเ้ี มอื่ พ.ศ. 2553 2. ผเู ขยี นทาํ กระเปา สตางคแหลน จากตะกรา รถจกั รยานยนตแ 3. เงนิ ในกระเปามีประมาณ 3,000 บาท 4. แมของผูเขียนโอนเงนิ ใหผเู ขียนผานธนาคาร 5. คา เชาหอจะเก็บเงินทุกวันที่ 5 ของเดือน 6. กระเปา ของผแู ตงเปน็ ลายโปเกมอนสีฟาู 7. บนั ทกึ ขอความของชายใจดอี ยูใ นตะกรา หนารถจกั รยานยนตแ 8. ผเู ขยี นและชายใจดีเชา อยูหอพักคนละแหง 9. ผูแตงขอยมื เงนิ เพ่ือนเพ่อื จายคา เชา หอพกั 10. ผแู ตง คนหากระเปา สตางคนแ านครง่ึ ชวั่ โมงจงึ แนใจวากระเปาหาย
44 คาถามที่ 4 จากถอ ยความขางตน อาจมีผู้สวมรอยไปรับกระเปา๋ สตางค์แทนเจา้ ของ ใหเ ลือกวงกลมลอมรอบขอความ “ได” “ไมได” ทก่ี ําหนดให แลวบอกเหตุผล จํานวน 2 ขอ ใหใชขอ มูลจากเนอื้ เร่อื งสนับสนุนคําตอบของนักเรียน ได้ ไม่ได้ 1.............................................................................................................................. ............................................................................................................................. 2.............................................................................................................................. .............................................................................................................................
คาถามท่ี 5 45 เกบ็ กระเปา๋ เงนิ ในงานบุ กฐินทวี่ ดั ได้ แล้วหาเจ้าของไม่พบควรนาเงินนัน้ ไป บริจาคให้วัดนะโยม นักเรียนคิดเห็นอยางไรกับคาํ พดู ขางตน ทําไมจึงคดิ เชน น้ัน ใหใชเหตผุ ลประกอบคําอธิบาย 1. ใหนกั เรียนเลือกทําเครื่องหมายวงกลม ลอ มรอบขอ ความขา งลางนี้ เพียง 1 ขอ ความ ความคดิ เห็นคลอ้ ยตาม ความคดิ เห็นโต้แยง้ ความคดิ เหน็ คล้อยตามและโตแ้ ยง้ 2. ใหนกั เรียนเขยี นอธิบายเหตผุ ล จํานวน 2 ขอ ท่ีสอดคลอ งความคดิ การเลือกในขอ 1 ความคดิ เห็นคลอยตาม ความคิดเห็นโตแ ยง 1. ............................................................. 1. ............................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. 2.................................................................. 2.................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. .................................................................. ..................................................................
46 แบบฝกึ การอา่ นรเู้ รอื่ งและสอื่ สารได้ตามแนวการประเมินผลนานาชาติ (PISA) สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 สถานการณ์ท่ี 12 คาช้แี จง ใหน ักเรียนอานถอยความ และตอบคาํ ถามตอไปน้ี บทสนทนา ลกู ผูช าย...ตัวเกือบจริง: ชมยั ภร บางคมบาง (แสงกระจาง) ประกอบการเรียน รายวิชาพนื้ ฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 บทท่ี 4 ........หลงั จากกนิ ขา วกลางวนั แบบไมอ รอ ยทส่ี ดุ ในโลกแลว อาจารยกแ ท็ ําโทษโดยใหเ รา สามคนเดนิ เก็บขยะในโรงเรียน นกั เรยี นรนุ พี่รุนนอ ง รุนเพือ่ น มองแลวกอ็ มยม้ิ กนั ใหญ ผมกไ็ มวา อะไรมาเจบ็ ใจนดิ เดยี วตอนทนี่ อ งกอยเดนิ มาพอดี ก็เด็กคนน้ผี มแอบชอบเขาอยูนีน่ า พอเห็นเขา เทา น้นั หวั ใจผมกห็ ลน วบู ไปอยทู ตี่ าตมุ เลยทีเดียว ผมรบี หลบเขา หลังเจาหนุม เจาหนมุ มนั รําคาญกผ็ ลกั ผมเซไป ผมก็เลยไปชนเจาดาว เทานน้ั แหละเปน็ เร่อื งทนั ที เพราะเจา ดาวตัวมันเลก็ ผมไปชนมนั เขา มนั กก็ ระเด็นไปชนถังขยะ ตอ จากถังขยะก็ไมม ใี ครใหชนแลว มันก็เลยลมตึง เจา ดาวเสยี หลกั ลมตามถังขยะไปอีกทีหนึ่ง ลองนกึ ภาพเอาเองกแ็ ลว กันวา มนั จะโกลาหลขนาดไหน แคเ ดนิ เก็บขยะ คนเห็นบา งไม เหน็ บาง ผมกอ็ ายใครตอ ใครอยูแลว น่มี าถงั ขยะลม แถมดว ยเจาดาวลม ตาม และผมยงั เปน็ จําเลยทาํ เจาดาวลมอีก ผมกเ็ ลยกลายเปน็ เปูาเดน ไมแ ตน องกอ ยเทา น้นั ที่เห็นผม คนท้งั โรงเรยี นเลยครับ ไมเ วนแมแ ตครูและภารโรง ผมรีบเขา ไปชวยเจา ดาว จัดการหิ้วปกี มันข้นึ มา มองไปก็เห็นสายตาของนองกอยยิ้มเยาะ อยู ผมกย็ ่ิงประสาท “นายประภานนทแ” นน่ั เป็นเสียงของอาจารยพแ ิเชษฐแ อาจารยแฝุายปกครองทเ่ี ขาลอื กันวา ดุกวาเสอื ผมอยาก กระโดดหลบหลังเจา หนมุ แตก ็ไมสามารถทําได ผมทําไดอยางเดียวคือ เดินเซื่องๆออกไปหาจา ของเสียงเหี้ยมน้ัน
47 “นน่ั เพื่อนผหู ญิงนะ” อาจารยแชไี้ ปทเ่ี จาดาวทยี่ นื ทําหนาพิลึกพลิ ่ัน “เธอไปแกลงเขาอยางน้ันไดอ ยา งไร” “ผมไมไ ดแกลงนะครับ” ผมรบี ปฏิเสธ ไมตอ งปฏิเสธเลย ลกู ผชู ายทาํ ผิดแลว ตองรบั ผิด แคแกลง ผชู ายดว ยกันก็ผิดแลว น่ยี งั แกลง เพื่อนผหู ญิงอกี อาจารยแเทวบี อกวา เธอแกลงดุจดาว ถงึ ไดถูกทําโทษ แลวน่รี ะหวา งการทํา โทษ ยงั แกลงเขาตออีก” ผมโดนขอหาฉกรรจแลว นๆ “กไ็ ดครบั ลกู ผชู ายตองรบั ผดิ ” ผมนกึ อยใู นใจ แอน อกขึน้ รบั ผดิ “ผมผดิ ครับ” ผมตะโกนออกไปเตม็ เสยี ง นอกจากเกบ็ ขยะคนเดยี วในวนั น้นั แลว ในตอนเยน็ ผมยังตองชว ยงานอาจารยแพิเชษฐใแ น เรอื นตน ไมอีกเปน็ เวลาเดือนหน่งึ เตม็ ๆ เช่ือไหมครับ อาจารยพแ เิ ชษฐทแ ่วี าดเุ ป็นเสอื แกชอบตน ไมเสียจริงๆ ใหผ มยกตน ไมเขา ยก ตนไมอ อก ยกดนิ ยกปุย ยกบา ยกบอ ยกอะไรนกั ไมร ู ลากสายยาง เปิดนํ้า หยอดฮอรโแ มน หยด เกสร โอ฿ย ! สารพัดแหละครับ จนค่าํ ยา่ํ เย็น พอกลบั ไปถึงบาน แมก ็ยืนหนา ควํ่ารออยู ผมกไ็ ม กลา บอกวาผมถกู ทําโทษ เอาแตบ อกวา ผมมกี ารบานตองทําที่โรงเรียนทกุ วนั จนพไี่ กไ ปกระซิบ บอกแมวาอะไรก็ไมร ู แมถงึ ไดเ ลิกวาผม ผมมารอู ีกทีหนึ่งวา เจา ดาวแหละไปรายงานพี่ไก พี่ไกก ็ เลยไปรายงานแม ทกุ อยา งก็เลยสงบดี เปน็ อนั วาเขารูก ันหมดแลววา ผมถูกทําโทษ นับตงั้ แตผมถกู ทําโทษ ผมมนึ ตงึ กบั เจา ดาว เพราะมันเปน็ ตนเหตุใหผมอายผูหญิงท่ผี ม แอบชอบ มนั เคยตามผมมาทเ่ี รือนตนไม แตผมไลมนั กลับไป “แกไมตองมายงุ ” มนั ทําหนา มุย “แกไมเ ป็นลกู ผชู าย ไลผ ูหญิง” “แลว แกละเป็นลูกผหู ญงิ หรอื เปลา ไอบ า เอ฿ย”
48 มนั โมโหท่ีผมไปตถี กู ขนดหางมัน มันก็เลยกระแทกเทาปาฺ บๆจากไป อาจารยพแ ิเชษฐมแ า จากไหนไมร ู มายืนอยูขา งหลังผม พดู กับผมเบาๆวา “ประภานนทแ ครรู ูนะวาเราไมไดอ ยากวาผูห ญงิ ถงึ ขนาดน้นั แตตอนเราอายุเทานี้ เรามัก ทาํ อะไรไมถกู เพื่อนผหู ญงิ บางคนกด็ เู ป็นผหู ญิง บางคนกด็ ูเป็นเหมอื นเพ่อื นผชู าย เราแยกออก จากกนั ไมไ ด บางเวลาเรากอ็ ยากจะจบี ผหู ญงิ บางเวลาเรากอ็ ยากจะปฏิบตั ติ อผหู ญิงเหมอื น ผูชาย” ผมมองหนาอาจารยพแ ิเชษฐแดว ยความแปลกใจ อาจารยแทีว่ าดุเปน็ เสือเอาเขา จริงแลว ก็ไม เลวนกั หรอก “จรงิ ครับ บางทีผมก็ไมรวู าจะทําอยางไรดี เปน็ ผูชายนล่ี ําบากนะครับ” อาจารยแพิเชษฐแหวั เราะ “ผูห ญิงเขาก็เปน็ เหมือนเราน่นั แหละ ตา งคนตางลําบาก คอยๆดูไป เดย๋ี วมันกจ็ ะดีไปเอง ไมตอ งรบี รอ นเปน็ ลกู ผูช ายหรอก แลวก็ไมตอ งหนีท่ีจะเปน็ ” วาแลวอาจารยแพิเชษฐแก็หัวเราะหึๆ คําสอนและเสยี งหวั เราะของอาจารยพแ ิเชษฐแทาํ ใหผม ดขี น้ึ มากเลยครับ เวลาจะพดู เป็นลูกผูชายก็เลยตองคดิ แลวคดิ อกี แลวก็คอยๆเป็นแบบอาจารยแ วา
49 คาถามท่ี 1 จากถอ ยความที่อา น เรื่องราวทเ่ี กดิ ข้นึ ท้งั หมดเพราะสาเหตุใด 1. ประภานนทเแ ป็นคนใจรอ น 2. ประภานนทไแ มเ ป็นลกู ผูชาย 3. ประภานนทแแ กลง เพอ่ื นผหู ญงิ ช่ือดจุ ดาว 4. อาจารยแฝาุ ยปกครองเขา ใจผดิ คดิ วาประภานนทแแ กลง ดุจดาว คาถามท่ี 2 จากถอยความทอี่ าน นักเรียนสรุปไดวา อยางไร 1. วยั รุน เลือดรอน 2. วยั รุนเขมแขง็ เดด็ เด่ยี ว 3. วัยรนุ ตอ งกลา หาญ ยุตธิ รรม 4. วัยรนุ ตองคอยๆเรียนรูและปรบั ตนใหเ หมาะสมกบั วัย ไมจาํ เปน็ ตองรีบรอน คาถามที่ 3 จากถอยความขางตน ขอ ความตอไปนี้เปน็ ความจริงหรอื ไมเป็นความจริง ขอความ เป็นความจรงิ จงเขยี นเครอ่ื งหมาย x ในชอ ง “ใช” ขอ ความ ไม่เปน็ ความจรงิ จงเขียนเครอื่ งหมาย x ในชอ ง “ไมใช” ขอ ความ ใช ไมใ ช 1. ลูกผชู ายหมายถึงผูชายท่ีมีความรับผดิ ชอบ ซอ่ื สัตยแ ยุติธรรม เขมแข็ง 2. ลกู ผชู ายตองมองคนในแงดแี ละมีความรบั ผดิ ชอบ 3. คณุ ธรรมท่อี าจารยพแ ิเชษฐแขาดไปคือความเปน็ กลั ยาณมติ รท่คี รพู ึงมตี อศิษยแ 4. วัยรนุ จะตองคอ ยๆเรยี นรูแ ละปรบั ตนใหเ หมาะสมกบั วยั ไมจ ําเป็นตองรบี รอน 5. แมค วามผดิ ทีเ่ ราไมไ ดก ระทาํ แตเพอ่ื แสดงความเป็นลูกผชู ายเรากต็ องรับผิด 6. ประภานนทโแ กรธดุจดาวทง้ั ที่ดุจดาวไมไดทําอะไรผิดเลย การกระทําเชนน้ีตรง กับสาํ นวนวา แพเ ปน็ พระชนะเปน็ มาร 7. การพดู จาหยาบคาย ไมม สี มบัตผิ ดู ีจะมใี นวัยรนุ ทุกคน 8. คนที่ขาดความรับผิดชอบ คดโกง ออนแอ ไมยตุ ธิ รรม ไมใ ชล ูกผูชาย 9. กัลยาณมิตรเป็นคําสมาสที่มีการสนธิ 10. ยตุ ิ+ธรรม เป็น ยตุ ิธรรม คือคาํ สมาส
50 คาถามที่ 4 จากถอ ยความขา งตน “ลูกผชู้ ายทาผดิ ได้หรอื ไม่” ใหเ ลอื กวงกลมลอมรอบขอความ “ได” “ไมไ ด” ท่กี าํ หนดใหแลว บอกเหตุผล จาํ นวน 2 ขอ ใหใชข อมลู จากเนอื้ เรื่องสนบั สนุนคําตอบของนกั เรยี น ได้ ไม่ได้ 1....................................................................................................................................... ........................................................................................................................................ 2....................................................................................................................................... ........................................................................................................................................
Search