วิธกี าร ข้อเด่น ข้อดอ้ ย การเขียนตอบ ไมเ่ หมาะสมกบั กลุม่ ผู้ให้ข้อมูลท่มี ี การสอบถาม ประหยัดค่าใช้จา่ ย ความรู้นอ้ ย หรืออ่านหนงั สอื ไม่ออก ผ้ตู อบมกั ให้ความรว่ มมือ และยนิ ดี มกั มอี ตั ราการตอบกลบั ต่า ใหข้ ้อมูล เนื่องจากสามารถปกปดิ หากคาถามไมช่ ัดเจน เข้าใจยาก สถานะได้ ผตู้ อบอาจตอบผิดประเดน็ ช่วยลดความลาเอียงที่เกดิ จากการ เลือกถามคาถามทต่ี า่ งกันในการ สมั ภาษณ์ จากขอ้ เด่นและข้อดอ้ ยของเทคนิควธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ตา่ ง ๆ ปัจจบุ ันนกั วิจยั /นกั พฒั นา หลักสูตรจึงอาจเลอื กใช้วธิ ีผสม (mixed method) ดังน้ัน ในระยะหลงั จึงมกั พบว่า งานวิจัยหรอื การ พัฒนาหลกั สตู รช้ินหน่ึง ๆ อาจเลือกใชเ้ ทคนคิ วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มากกว่า 1 วิธี 5. การสนทนากลมุ่ การสนทนากลมุ่ เป็นเทคนิควธิ ีการรวบรวมขอ้ มูลวธิ ีหนงึ่ ซ่ึงเป็นการเก็บขอ้ มูลจากแหล่ง ปฐมภูมิ เป็นการรวบรวมข้อมูลจากการนั่งสนทนาของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล (Key Informant) เป็นกลุ่ม โดยผ้เู ขา้ ร่วมการสนทนากลุ่มจะถูกคัดเลือกจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรง หรอื เป็นผู้สามารถใหข้ ้อมูลท่ี ต้องการได้ ดังน้ัน ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มจึงจะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะหลาย ๆ ประการที่คล้ายคลึงกัน (Homogeneity) โดยกลุ่มคนเหล่านี้ จะถูกเชิญให้มาร่วมวงสนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติ ใน บรรยากาศท่ีเหมาะสม โดยมีจานวนสมาชิกอย่รู ะหว่าง 8-10 คน (บางตาราระบจุ านวน 6-12 คน) องค์ประกอบของการสนทนากล่มุ มดี งั นี้ 1) ประเดน็ ทีต่ ้องการสนทนา ซ่งึ จะทาใหส้ ามารถรับทราบความคดิ เห็นในแงม่ ุมตา่ ง ๆ 2) แนวคาถามที่จะต้องกาหนดไวล้ ่วงหนา้ และจะตอ้ งมีการจดั เป็นหมวดหมู่ และลาดับ กอ่ นหลัง เพือ่ ป้องกันความสับสนในการสนทนา 3) การคัดเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม โดยจะคดั เลือกผู้ท่ีมีประสบการณ์ตรง และมีภูมิ หลงั คลา้ ย ๆ กนั หรือใกล้เคียงกัน เพอื่ ประโยชนใ์ นการแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ ระหวา่ งสมาชิกในกลุ่ม 4) บคุ ลากรท่ีจะดาเนนิ การสนทนากลุ่ม ประกอบดว้ ย พิธีกร ที่จะทาหน้าท่ีถามคาถาม และนาการพูดคุย รวมทั้งควบคุมการ สนทนาให้เป็นไปตามวตั ถุประสงค์ กระตนุ้ ใหส้ มาชกิ ไดแ้ สดงความคิดเห็นอย่างทัว่ ถงึ เทา่ เทียมกนั 42
ผู้จดบันทึกการสนทนา ซ่ึงจะจดท้ังคาพูด อากัปกริยา ท่าทาง อารมณ์ รวมท้ังการบันทึกผงั การน่ังของสมาชกิ ผู้เขา้ ร่วมสนทนาด้วย ผู้ช่วยดาเนินรายการ เป็นผู้คอยอานวยความสะดวกให้แก่กลุ่มผู้สนทนา ทุกด้าน อาทิ การบริการน้า อาหารว่าง รวมท้ังคอยควบคุมไม่ให้กลุ่มผู้สนทนาได้รับการรบกวนจาก ภายนอก 5) อปุ กรณท์ ใ่ี ช้ในการสนทนากลุ่ม ประกอบด้วย เครอ่ื งบันทกึ เสยี ง โดยจะต้องเตรยี มสารองแบตเตอรี่ให้เพยี งพอ สถานท่ีสาหรับการสนทนา ซึ่งจะต้องเป็นสถานที่ที่สมาชิกรู้จัก มีความ สะดวกสบาย เงียบสงบไมพ่ ลุกพลา่ นหรอื มีเสยี งรบกวน ของท่ีระลึก เพื่อตอบแทนสมาชิกที่เข้าร่วมกลุ่มสนทนา ซ่ึงจะแจกให้หลัง เสร็จการสนทนาแลว้ อาหารว่าง น้าด่มื ระหว่างการสนทนา รวมทง้ั อุปกรณ์เสริมการพูดคยุ อาทิ รปู ภาพ เอกสาร หนังสอื ฯลฯ ระยะเวลาทเี่ หมาะสม คอื ไมค่ วรเกนิ กวา่ 2 ชัว่ โมงโดยประมาณ การดาเนินการสนทนากลุ่ม 1) เชิญสมาชิกเข้าห้องที่จัดเตรียมไว้ หากเป็นห้องท่ีใหญ่ และสมาชิกน่ังห่างกัน อาจ ตอ้ งมีระบบเสยี งเข้ามาชว่ ยใหก้ ารสนทนาเป็นไปอยา่ งราบรนื่ ชัดเจน 2) ควรมีปา้ ยช่ือ (อาจเปน็ ช่ือจริงหรือชื่อสมมุติก็ได้) สาหรับสมาชกิ ทุกคน โดยวางป้าย ชอื่ ไว้ดา้ นหนา้ เพ่ือให้สามารถเรยี กชื่อกนั ได้ 3) เร่ิมต้นด้วยการแนะนาตนเองและทีมงาน โดยพิธีกรจะช้ีแจงวัตถุประสงค์การ สนทนา พรอ้ มทง้ั แจ้งด้วยว่าจะมีการบันทึกเสยี งไว้ดว้ ย 4) สร้างบรรยากาศ สร้างความคนุ้ เคย และเรมิ่ คาถามตามลาดับที่เตรยี มไว้ 5) เปิดโอกาสให้สมาชิกมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยพิธีกรต้องคอยกระตุ้นให้ สมาชกิ ได้แสดงความเห็นอย่างทั่วถงึ รวมทั้งคอยจากดั เวลาสาหรบั สมาชกิ บางรายทใี่ ช้เวลามากเกินไป ในการแสดงความคิดเห็นหรอื คอบครอบงาความคดิ ผอู้ ่ืน 6) เม่ือได้พูดคุยจนครบประเด็น และถึงเวลาที่ต้องยุติ (ไม่ควรเกิน 2 ช่ัวโมง) พิธีกร กลา่ วยุติการสนทนา กลา่ วขอบคุณ และแจกของทรี่ ะลึกแกผ่ ูเ้ ข้าร่วมสนทนากลุ่ม 43
6. การทดสอบ การทดสอบ เปน็ เทคนิควิธีการรวบรวมข้อมูลจากแหลง่ ปฐมภูมิ ใชว้ ัดความสามารถดา้ น สติปัญญาของกลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบ อาจจะใช้แบบทดสอบหรือข้อสอบที่มีอยู่แล้วหรือ สร้างใหมเ่ ป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมลู เชน่ ขอ้ สอบแบบอัตนยั ขอ้ สอบแบบปรนยั เป็นต้น เคร่อื งมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นสิ่งที่ช่วยให้นักวิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรได้ข้อมูล ตรงกับสิ่งทตี่ ้องการศึกษาและข้อมลู มีความครบถ้วนถกู ตอ้ ง เครื่องมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลมี หลายชนิด แต่ละชนิดจะมีลักษณะและช่ือท่ีใช้เรียกแตกต่างกันไป เช่น แบบสังเกต แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ เป็นตน้ ซึ่งจะขอกล่าวถึงเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่สอดคล้อง กบั วิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมูลที่นาเสนอไปขา้ งตน้ คือ แบบสงั เกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบ บนั ทกึ ประเด็นการสนทนา และแบบทดสอบ 1. แบบสงั เกต แบบสังเกต (Observation form) เป็นเครื่องมือการวิจัยประเภทหนึ่งท่ีถูกนามาใช้เพ่ือ การเกบ็ รวบรวมข้อมูลที่ได้จากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ หู ตา จมูก ล้นิ และกาย (การสัมผัส ดว้ ยร่างกาย) ในการเก็บรวบรวมข้อมลู อย่างเป็นระบบ เพื่อนามาใชอ้ ธิบายเหตุการณ์ พฤติกรรม หรือ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เกิดข้ึนภายในหน่วยวิจัยที่กาลังศึกษา สาหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ หรือการวิจัยประเภทผสม (Mixed Method) โดยท่ัวไป การสังเกตจะต้องดาเนินการในลักษณะท่ีผู้ ถูกสังเกตไม่รู้ตัว เพื่อการหลกี เลี่ยงการแสดงข้อมลู พฤตกิ รรม หรือปรากฏการณ์ที่ไม่เป็นไปตามปกติ หรือเป็นธรรมชาติ ในการใช้เครื่องมอื ประเภทน้ี ผู้ทท่ี าหน้าท่ีสังเกตควรแสวงหาโอกาสทีเ่ หมาะสมใน การเข้าไปสังเกตเพ่ือให้ผลลัพธ์ท่ีได้ถูกต้องและใกล้เคียงสภาพธรรมชาติ หรือความเป็นปกติให้มาก ทส่ี ุด เครือ่ งมอื ท่ีใช้เพือ่ การสังเกต สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ชนดิ คือ 1) แบบสังเกตแบบไร้โครงสร้าง (Unstructured Observation Form) เป็นแบบ สังเกตที่ไม่มีโครงสร้างหรือรูปแบบแน่นอนตายตัว แต่มักขึ้นอยู่กับประสบการณ์และตัวผู้สังเกตเอง โดยอาจมลี กั ษณะเป็นหัวขอ้ หรอื ประเด็นเพ่อื การสังเกตแบบง่าย ๆ 2) แบบสังเกตแบบมีโครงสรา้ ง (Structured Observation Form) เปน็ แบบสังเกตท่ี มีโครงสร้างหรือรูปแบบแน่นอนตายตัว โดยอาจมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) แบบมาตราประมาณคา่ (Rating Scale) หรือแบบคาถามปลายเปิด กไ็ ด้ ตามความเหมาะสม 44
ตวั อยา่ งแบบสังเกตแบบมโี ครงสรา้ งประเภทตรวจสอบรายการ แบบสงั เกตพฤติกรรมของผเู้ รยี นในการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคา (การทดลองขน้ั หนึ่งตอ่ หน่ึง) ตามโครงการพัฒนาแบบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขียนคา สถาบนั กศน.ภาคเหนอื .............................................................. สถานศกึ ษา : กศน.อาเภอ........................................................... จงั หวัด..................................................... กศน.ตาบล/ศศช................................................................................................................. .......................... ผู้เรยี นคนที่ ...... : ชื่อ-สกุล.......................................................................................................................... เรอ่ื งที่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………… สงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้ : วันที่..............เดือน....................................................พ.ศ.............................. เรอ่ื งท่ี............ : .......................................................................................................................................... ที่ ประเด็นสงั เกต ความถข่ี องพฤติกรรม บันทกึ ข้อสงั เกต 1 ทาหน้าฉงนหรือสงสยั หรือขมวดควิ้ รอยขดี แสดง ความ จานวนครงั้ ถี่ 2 แสดงอาการเงยี บผิดปกติ 3 มขี อ้ สงสยั และซักถาม 4 แสดงอาการเกาศีรษะ 5 มีความกระตอื รอื ร้น สนใจเน้อื หา 2. แบบสมั ภาษณ์ แบบสัมภาษณ์ (Interview Form) เป็นเครื่องมือการวิจัยอีกประเภทหนึ่งท่ีถูกนามาใช้ เพ่ือการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสนทนา ซึ่งอาจเป็นการถามและตอบกันโดยตรงแบบ เผชิญหน้า (face-to-face interview) หรือผ่านทางโทรศัพท์ (telephone interview) ก็ได้ ทั้งนี้ ผู้ ถามจะมฐี านะเป็นผู้สมั ภาษณ์ (Interviewer) ส่วนผู้ตอบจะมฐี านะเปน็ ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ (Interviewee) 45
แบบสัมภาษณ์ สามารถแบ่งออกได้เปน็ 3 แบบ ไดแ้ ก่ 1) แบบสัมภาษณ์ชนดิ มีโครงสร้าง (Structured Interview) เป็นแบบสัมภาษณ์ใช้กับ การสัมภาษณ์ที่มีการกาหนดโครงสร้างของขอ้ คาถามต่าง ๆ ท่ีต้องการเก็บข้อมูลไว้ล่วงหน้าแล้ว โดย มกั จะจัดพิมพ์ไว้เป็นแบบสัมภาษณ์ เพื่อให้ผูส้ ัมภาษณใ์ ชป้ ระกอบการซักถามผู้ถูกสัมภาษณ์ทุก ๆ คน ด้วยข้อคาถามชุดเดียวกันตามท่ีกาหนดไว้ในแบบสัมภาษณ์ โดยผู้สัมภาษณ์จะเป็นผู้ทาหน้าท่ีจด บันทึกคาตอบท้ังหมดของผู้ถูกสัมภาษณ์ลงในแบบสัมภาษณ์ด้วยตนเองหรืออาจใช้การอัดเทป ประกอบเม่ือยุติการสัมภาษณ์แล้ว ถ้าการจดบันทึกไม่ชัดเจนหรือบันทึกไม่ทันผู้สัมภาษณ์จะกลับมา เปดิ เทปเพ่อื เพ่มิ เตมิ ให้ถูกตอ้ ง 2) แบบสัมภาษณ์ชนิดไร้โครงสรา้ ง (Unstructured Interview) เป็นแบบสัมภาษณ์ที่ ใชก้ บั การสมั ภาษณท์ ี่ไม่มีโครงสร้างหรอื ไมม่ ีการสร้างข้อคาถามทต่ี อ้ งการจะเก็บข้อมลู ไว้กอ่ นหนา้ แต่ อาจจัดทาไว้เพียงเป็นประเด็นหรือแนวข้อคาถามอย่างคร่าว ๆ ซึ่งไม่มีรูปแบบที่แน่นอนไว้เพื่อให้ผู้ สัมภาษณ์ใช้เป็นแนวทางในการพูดคุยหรือซักถามกับผู้ถูกสัมภาษณ์ ด้วยเหตุน้ี ผู้ถูกสัมภาษณ์แต่ละ คนอาจจะได้รับข้อคาถามในลักษณะที่มีความยืดหยุ่นแตกต่างกัน แต่ทุกคาถามก็ยังคงจะต้องอยู่ ภายใต้ประเด็นเดียวกนั ซึ่งผวู้ ิจยั ต้องการเกบ็ ข้อมูล ดว้ ยเหตนุ ี้ ผสู้ ัมภาษณจ์ ึงจาเปน็ จะต้องมีความรใู้ น เรอื่ งที่กาลงั ทาวิจัย และความสามารถในการต้ังคาถามให้ตรงประเด็นที่ผู้วิจัยต้องการเกบ็ ขอ้ มูล และ ในทานองเดียวกับการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผู้สัมภาษณ์จะเป็นผู้ทาหน้าท่ีจดบันทึกคาตอบ ทัง้ หมดของผถู้ ูกสัมภาษณล์ งในแบบสมั ภาษณ์ด้วยตนเองหรือใช้เครอื่ งบันทึกเสียงชว่ ย 3) แบบสัมภาษณ์ ชนิดก่ึงโครงสร้าง (Semi-structured Interview) เป็นแบบ สัมภาษณ์ที่ใช้กับการสัมภาษณ์ที่มีลักษณะการสัมภาษณ์ที่อย่รู ะหว่างการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง กับการสัมภาษณ์แบบไร้โครงสร้าง ดังน้ัน แบบสัมภาษณ์สาหรับการสัมภาษณ์แบบน้ี จึงมักไม่มี รูปแบบที่แน่นอน แต่จะมีลักษณะผสมผสานระหว่างโครงสร้างข้อคาถามและการกาหนดประเด็น คาถามไว้ล่วงหน้า โดยการสัมภาษณ์แบบก่ึงโครงสร้างนี้ นิยมใช้กับการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งต้องการ ความยืดหยุ่นของข้อประเด็นคาถามเพื่อการเก็บข้อมูล ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งเน้ือหาสาระท่ีครอบคลุม ประเด็นศกึ ษาอย่างครบถ้วน ส่วนประกอบของแบบสัมภาษณ์ โดยทั่วไป แบบสัมภาษณ์ สามารถแบ่งออกได้ เปน็ 4 สว่ น ดังตอ่ ไปนี้ สว่ นนา เปน็ ข้อมูลเกยี่ วกับโครงการ/หลักสูตร ได้แก่ ชอื่ โครงการ/ช่ือหลกั สูตร เป็นตน้ ส่วนผู้สัมภาษณ์ เป็นข้อมูลเกี่ยวกบั ผู้สัมภาษณ์ และสภาพทั่วไปของการสัมภาษณ์ ไดแ้ ก่ ช่อื สกลุ ของผ้สู ัมภาษณ์ วัน/เวลา/สถานที่ ทใี่ ช้สมั ภาษณ์ 46
ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกสัมภาษณ์ เช่น ช่ือ สกุลของผู้ถูก สมั ภาษณ์ (ในกรณีที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ยนิ ยอม) หรือสถานของผู้ถกู สัมภาษณ์ เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส ศาสนา อาชพี รายได้ และระยะเวลาในการทางาน เป็นตน้ ส่วนคาถาม เป็นส่วนของข้อคาถาม (ในกรณีท่ีเป็นการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง) หรือประเด็นหรือแนวข้อคาถามอย่างคร่าว ๆ (ในกรณที ่ีเปน็ การสมั ภาษณ์แบบไร้โครงสร้าง) และเน้ือ ทเ่ี พ่ือการจดบันทกึ ผลการสัมภาษณ์ ตวั อย่างแบบสัมภาษณแ์ บบมีโครงสร้าง แบบสมั ภาษณ์ (สว่ นนา) ชื่อโครงการวิจยั : การพฒั นารูปแบบการจัดการศึกษาข้นั พื้นฐานนอกระบบของ กศน.ตาบล ทม่ี ี ประสทิ ธิภาพ โดยใช้ Mobile Learning (ส่วนผู้สมั ภาษณ์) ชื่อ-สกลุ ผสู้ มั ภาษณ.์ ...................................................วัน/เดอื น/ปี ทส่ี มั ภาษณ.์ ............................... เวลา: …………………………………………………………สถานที่:.................................................................. (สว่ นผ้ถู ูกสัมภาษณ)์ ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ :..........................................................สถานะ:.......................................................... ระดบั การศึกษา:...................................................อายุงาน:.............................................................. (สว่ นคาถาม) คาถามในการสัมภาษณ์ (กรณที ีเ่ ป็นการสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสร้าง) 1. ท่านกาหนดนโยบายในการจัดการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานนอกระบบของ กศน.ตาบล โดยใช้ Mobile Learning อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ในการเตรยี มความพรอ้ มของบุคลากรในการจดั การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานนอกระบบของ กศน.ตาบล โดยใช้ Mobile Learning ท่านดาเนินการอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………… อน่ึง ในการพัฒนาแบบสัมภาษณ์ในปัจจุบัน ไม่นิยมการเว้นที่ว่างไว้เพื่อการจด บันทึกผลการสัมภาษณ์ แต่จะใช้เทปบันทึกเสียง หรือเคร่ืองบันทึก MP3 บันทึกการสัมภาษณ์แทน การจดบันทึก แลว้ นาผลการบนั ทึกเสียงมาทาการถอดเป็นข้อความอีกครัง้ หนึ่ง ดงั น้ัน แบบสมั ภาษณ์ ในระยะหลังจึงมีลกั ษณะท่ีสัน้ ง่าย และบรรจไุ วแ้ ตเ่ ฉพาะประเดน็ คาถามเท่านนั้ 47
3. แบบสอบถาม แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือทนี่ ิยมนามาใช้เพ่ือการเก็บรวบรวมข้อมูล มากที่สุด แบบสอบถามจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับแบบทดสอบ แต่จะเป็นการใช้เพ่ือตรวจสอบ ความคิด ความเห็น ข้อเท็จจริง หรือการปฏิบัติของผู้ตอบแบบสอบถาม ด้วยเหตุน้ี แบบสอบถามจึง เป็นคาถามท่ีไม่ต้องการคาตอบถูกหรือผิด แต่เป็นการมุ่งเน้นการวัดระดับความคิด ความเห็น ข้อเท็จจริง หรือการปฏิบัติ ซึ่งอาจมีต้ังแต่ 2 ระดับ ไปจนถึงหลายระดับ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่า สังเกตว่า ระดับของการวัดในแบบสอบถามมักจะมีลักษะเป็นเลขคี่ เช่น 3 หรือ 5 หรือ 7 หรือ 9 ระดบั เปน็ ต้น ในทานองเดียวกันแบบสอบถาม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะตามประเภทของ คาถามทใี่ ชใ้ นแบบสอบถาม คือ 1) แบบสอบถามปลายเปิด (Open-ened Questionnaire) เป็นแบบสอบถามที่มี ลักษณะของการต้ังคาถาม โดยเปิดโอกาสใหผ้ ู้ตอบแบบสอบถามได้แสดงความคิด ความเห็นได้อย่าง อสิ ระ เพอ่ื ใหน้ ักวิจัย/นกั พฒั นาหลักสูตรสามารถนาคาตอบซง่ึ สะท้อนความคดิ ความเหน็ หรือทัศนะ ของผู้ตอบแบบสอบถาม ไปวิเคราะห์เนื้อหาสาระ (Context analysis) เพ่ือสรปุ เป็นผลการวิจัยหรือ เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนาหลักสูตร ข้อดีของการใช้แบบสอบถามปลายเปิด คือ การไม่ปิดกั้น คาตอบ หรือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ตอบแบบสอบถามสามารถแสดงความคิดและความเห็นได้โดย อสิ ระ โดยปราศจากขอ้ จากดั หรือการช้ีนา อย่างไรก็ตาม ในบรบิ ทแบบไทย ๆ ซ่ึงไม่นิยมแสดงความ คิดเห็นอยา่ งเป็นทางการ ผ้วู ิจยั หรือนักพัฒนาหลักสูตรอาจไมส่ ามารถเก็บรวบรวมขอ้ มูลใด ๆ ได้โดย การใช้แบบสอบถามแบบปลายเปิด เน่ืองจากผู้ตอบแบบสอบถามมักไม่นิยมตอบแบบสอบถาม ลักษณะน้ี แต่ในหลาย ๆ กรณี ผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรอาจสามารถใช้แบบสอบถามปลายเปิด เพื่อทาการสารวจข้อมูลเบื้องต้น (pre-survey) แล้วจึงนามาวิเคราะห์ จัดหมวดหมู่ และพัฒนาเป็น แบบสอบถามปลายปิด เพื่อใช้เก็บขอ้ มูลจริงต่อไป ซงึ่ แมว้ า่ การสารวจข้อมลู เบอ้ื งตน้ นี้ จะต้องใชเ้ วลา ไปบา้ ง แต่ขอ้ มูลท่ไี ด้จากการวจิ ัยหรือข้อมลู ทจี่ ะนาไปพฒั นาหลกั สตู รจะมีคุณภาพมากย่ิงขนึ้ ด้วย ตัวอย่างแบบสอบถามปลายเปิด จงแสดงความคดิ เหน็ ตามความรูค้ วามเขา้ ใจของท่าน 1. ความรคู้ วามสามารถของตนเองในการประกอบอาชพี (นอกเหนอื จากอาชีพการเกษตร) ไดแ้ ก่ ......................................................................................................................................................... 2. ทรัพยากรของตนเองและของชมุ ชนทีจ่ ะชว่ ยส่งเสรมิ เพ่มิ ผลผลิตในการประกอบอาชพี อะไรบ้าง ......................................................................................................................................................... 48
2) แบบสอบถามปลายปิด (Close-ened Questionnaire) เป็นแบบสอบถามที่มี ลักษณะของการคาถามท่ีผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรได้จัดเตรยี มคาตอบไว้ให้ผู้ตอบแบบสอบถาม เลอื กตอบเรยี บร้อยแล้ว ดังน้ัน ผู้ตอบแบบสอบถามจึงทาหน้าท่เี พียงตัดสินว่า คาตอบหรอื ตวั เลือกใด น่าจะเหมาะสม ถูกต้อง หรือตรงกับข้อเทจ็ จริงมากท่ีสุด ดงั นัน้ ผู้ตอบแบบสอบถามจึงมักเต็มใจตอบ คาถามในลักษณะน้ี อย่างไรก็ตาม การสร้างแบบสอบถามแบบปลายปิดจะมีข้อจากัดตรงที่ต้องใช้ เวลาในการสร้างนานกว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการสร้างแบบสอบถามแบบปลายเปิด เน่ืองจาก นักวิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้า ท้ังประเด็นคาถามและคาตอบให้ ชัดเจน และตรงกับข้อเท็จจริงมากที่สุด และในบางกรณี การใช้แบบสอบถามปลายปิดก็เป็นการปิด กนั้ ความคดิ และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบแบบสอบถามแสดงเหตุผลประกอบ ทาใหข้ ้อมูลทเ่ี กบ็ รวบรวม ไดข้ าดความมีเหตุมีผลไป โดยทั่วไป แบบสอบถามปลายปิด สามารถออกแบบได้ 3 ประเภท ตามลักษณะ คาถามและคาตอบทีใ่ ชใ้ นแบบสอบถาม ดงั น้ี (1) แบบสอบถามประเภทเลือกตอบ (Multiple Choices) เป็นการประยุกต์ข้อ คาถามชนิดท่ีมีคาตอบให้เลือกหลายคาตอบในลักษณะเดียวกับคาถามในข้อสอบแบบปรนัยหลาย ตัวเลือก โดยตัวเลือกอาจมีได้ตั้งแต่ 2 ตัวเลือก ไปจนถึงหลายตัวเลือกตามความจาเป็น ผู้ตอบ แบบสอบถามจึงทาหนา้ ท่เี พียงการตัดสอบใจเลือกคาตอบที่เหมาะสมที่สดุ ท่ีอาจมีเพียงตัวเลือกเดียว หรือหลายตัวเลอื กกไ็ ด้ ตวั อย่างคาถามแบบมีคาตอบให้เลือกหลายคาตอบ คาชีแ้ จง: โปรดทาเครอ่ื งหมาย ลงในช่อง หนา้ ตัวเลอื กทตี่ รงกับความเป็นจริงเก่ียวกบั ตวั ท่าน การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน ระดับ ประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนตน้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชพี หลกั สตู ร.................................................................................................... การศึกษาเพ่อื พฒั นาทักษะชวี ติ โครงการ............................................................................................. การศกึ ษาเพ่อื พฒั นาสงั คมชมุ ชน โครงการ........................................................................................... ผูใ้ ห้ข้อมลู (นาย/ นาง/ นางสาว)............................................................................อาย.ุ .........................ปี เลขทบ่ี ัตรประชาชน - - - - อาชีพ ลกู จา้ ง รับราชการ คา้ ขาย เกษตรกร ทหาร ธรุ กิจส่วนตวั ว่างงาน อน่ื ๆ ......................................................... การศึกษาระดบั ชน้ั ตา่ กว่าประถมศกึ ษา ประถมศึกษา ม.ตน้ ม.ปลาย อนุปริญญา ปริญญาตรขี ึ้นไป 49
(2) แบบสอบถามประเภทจัดลาดับ (Ranking) เป็นแบบสอบถามท่ีออกแบบข้อ คาถาม เพ่ือให้ผู้ตอบแบบสอบถามตัดสินใจจัดลาดับตัวเลือกต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตร กาหนดไว้แล้ว ตามเกณฑ์ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น ตามลาดับความต้องการ ความสาคัญ ขนาด หรอื ปรมิ าณ เป็นต้น ดว้ ยการระบตุ วั เลขลงในชอ่ งวา่ งท่กี าหนด ตวั อยา่ งแบบสอบถามประเภทจัดลาดับ กรุณาใส่หมายเลขเพ่อื เรยี งลาดับอาชีพทีท่ ่านสนใจและต้องการฝกึ ทกั ษะ( 1=ต้องการมากท่ีสดุ และ9 ต้องการ น้อยท่สี ุด) หมวดเกษตรกรรม หมวดคหกรรม ............. เพาะเห็ด .............เบเกอร่ี .............เล้ยี งสัตว์ ระบุ....................... .............การทาอาหารวา่ ง .............แปรรปู ผลิตผลทางการเกษตร .............การทาขนมไทย .............การทาปุ๋ยหมัก .............การทาเครื่องดมื่ สมนุ ไพร .............อ่ืน ๆ .................................. .............การตัดเย็บเส้อื ผา้ สตรี/ ชาย ............การตัดผมชาย .............การตัดผม – เสริมสวย .............การเยบ็ ปกั ถกั ร้อย .............การถักโครเชท์ .............อ่ืน ๆ .................................. (3) แบบสอบถามประเภทมาตราประมาณคา่ (Rating Scale) เป็นแบบสอบถามท่ี ออกแบบข้อคาถามเพื่อให้ผู้ตอบแบบสอบถามประเมินข้อคาถามออกมาเป็นมาตราส่วนตามระดับ ความคิดเห็น ระดับความต้องการหรือระดับการปฏิบัติ เป็นต้น โดยผู้วิจัยหรอื นักพัฒนาหลักสูตรได้ กาหนดมาตรส่วนของคาตอบไว้เรียบรอ้ ยแลว้ ซ่งึ มาตราสว่ นที่กาหนดโดยทว่ั ไปมักมีลักษณะเป็นเลขคี่ เพือ่ ให้มีค่ากลางจดุ สมดลุ 50
ตวั อยา่ งแบบสอบถามประเภทประมาณค่า คาชแ้ี จง โปรดทาเครื่องหมาย ในช่องทต่ี รงกบั ระดับความพึงพอใจของทา่ น ท่ี รายการ ระดับความพึงพอใจ มาก มาก ปาน น้อย นอ้ ย ทส่ี ุด ทสี่ ุด กลาง 1 ดา้ นหลักสูตร 1.1 ท่านมสี ว่ นรว่ มในการเสนอปัญหาความ ต้องการในการจดั กิจกรรมคร้ังนี้ 1.2 ท่านมีสว่ นร่วมในการวางแผนจัดกิจกรรมการ เรียนรแู้ ละกาหนดหลกั สูตร 1.3 เนือ้ หาหลกั สตู รสอดคล้องกบั ปญั หาตรงกบั ความต้องการของทา่ น ปัจจุบันแบบสอบถามประเภทมาตราประมาณค่า ได้ถูกพัฒนาให้มีลักษณะของใน หลาย ๆ รูปแบบ เพ่ือใหเ้ หมาะสมกับการใช้งาน เช่น (Likert Rating Scale) มาตราประมาณค่าแบบ ออสกูด ฯลฯ แต่ลกั ษณะของมาตราประมาณค่าที่เรานยิ มนามาใชใ้ หเ้ กบ็ รวบรวมข้อมลู ของ กศน. คือ มาตราประมาณคา่ แบบลเิ คิรท์ 4. แบบบนั ทึกประเดน็ การสนทนา แบบบันทึกประเด็นการสนทนา เป็นเคร่ืองมือท่ีนามาใช้เพื่อการเกบ็ รวบรวมข้อมูลที่ได้ จากการสนทนากลุ่ม (Focus group) โดยจะต้องมีการกาหนดแนวคาถามเพอื่ การสนทนา แนวคาถามเพ่ือการสนทนาอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกบั แบบสัมภาษณ์ กล่าวคือ สามารถ แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ แนวคาถามเพื่อการสนทนาแบบมีโครงสร้าง แนวคาถามเพ่ือการสนทนา แบบกึ่งโครงสร้าง และแนวคาถามเพ่ือการสนทนาแบบไร้โครงสร้าง โดยแนวคาถามเพื่อการสนทนา จะเป็นแบบใด มักข้นึ กับผู้นาการสนทนาเป็นหลัก และด้วยการเอ้ืออานวยของเทคโนโลยีในปัจจุบัน แนวคาถามเพื่อการสนทนาท่ีใช้งานในปัจจุบันก็มักไม่นิยมเว้นท่ีไว้จดบันทึกผลการสนทนามากนัก หรอื ไม่มเี ลย แต่จะใชเ้ ครื่องบันทกึ เสียงเปน็ เครอื่ งมอื ในการจดบันทึกเปน็ หลัก 51
ตวั อยา่ งประเด็นคาถามในการสนทนากลุ่ม ประเดน็ คาถามในการสนทนากล่มุ การวิจัยเร่อื ง การพฒั นารูปแบบการจดั การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานนอกระบบของ กศน.ตาบล ที่มปี ระสทิ ธิภาพ โดยใช้ Mobile Learning สถาบนั กศน.ภาคเหนอื ......................................................................................................................................................... ประเด็นคาถาม 1. ในการจัดการศึกษาข้ันพื้นฐานนอกระบบโดยใช้ Mobile Learning ท่านได้วิเคราะห์ผู้เรียน อยา่ งไร 2. การวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา (เนื้อหา: ง่าย/ ปานกลาง/ยาก) โดยใช้ Mobile Learning ท่านดาเนินการอยา่ งไร 3. การวเิ คราะห์การจัดการเรยี นรู้โดยใช้ Mobile Learning ท่านดาเนินการอย่างไร 3.1 เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง 3.2 พบกลมุ่ 3.3 สอนเสริม/ โครงงาน/ อ่ืน ๆ 4. การจัดทาแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ท่านดาเนินการอย่างไร 5. การออกแบบการจดั กระบวนการเรยี นรู้ (ออกแบบกจิ กรรม) 6. การกาหนดแนวทางการวัดผลและประเมนิ ผลท่านดาเนินการอย่างไร 6.1 วิธีการวัดผลและประเมนิ ผล 6.2 การสร้างเคร่ืองมือวัดผล (เช่น แบบทดสอบ ใบงาน ฯลฯ) 5. แบบทดสอบ แบบทดสอบ (Testing Items Form) เปน็ เคร่ืองมือที่ใช้เพอื่ การวดั ระดับสติปัญญาหรือ ความรู้ความสามารถทางสติปัญญา (Intellectual Ability) ของกลุ่มตัวอย่าง หรอื ผู้ถูกทดสอบ ทั้งที่ เก่ียวกับความรู้ ความจา หรือความเข้าใจ ในลักษณะเดียวกับแบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ ความจา หรือความเขา้ ใจของนักเรยี น นักศกึ ษา ในการประยุกตใ์ ช้แบบทดสอบในลักษณะของเคร่ืองมือท่ใี ชใ้ น การวิจัยน้ัน ข้อคาถามแต่ละข้อจะถูกเรียบเรียงขึ้นมาเป็นชุด โดยมีการต้ังเกณฑ์ หรือขอบเขตของ คาตอบที่ถูกต้องเอาไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน เพ่ือให้สามารถตัดสินได้ว่า คาตอบท่ีกลุ่มตัวอย่างหรือผู้ ถูกทดสอบตอบนั้นถกู หรือผดิ และผลของการวดั จะออกมาในรปู แบบของคา่ คะแนน แนวการสร้างแบบทดสอบที่นิยมใช้กันมากที่สุด สามารถแบ่งออกตามลักษณะของ จุดมงุ่ หมายในการสร้างเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 52
1) แบ บ ทดสอบป ระเภทอัตนัย (Subjective Test Item) ในทานองเดียวกับ แบบทดสอบประเภทอัตนัยท่ีใช้ประเมินความรู้ของผู้เรียน แบบทดสอบประเภทอัตนัยเพื่อการวิจัย หรือการพัฒนาหลักสูตร เป็นแบบทดสอบท่ีมีลักษณะเป็นข้อคาถามชนิดที่ต้องการให้กลุ่มตัวอย่าง หรอื ผ้ถู ูกทดสอบเขียนคาตอบด้วยตนเอง แบบทดสอบประเภทอัตนัยเพอ่ื การเก็บข้อมูล สามารถแบ่ง ออกได้ 3 ชนิด คือ (1) แบบทดสอบประเภทอัตนัยชนิดไม่จากัดความยาวของคาตอบ (Essay- extended response) เป็นแบบทดสอบเพ่ือการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรท่ีเปิดโอกาสให้กลุ่ม ตัวอย่างหรอื ผู้ถูกทดสอบสามารถเขยี นคาตอบไดอ้ ยา่ งอิสระตามความรหู้ รือความเขา้ ใจของตน โดยไม่ มีการกาหนดความยาวของคาตอบ ตวั อย่างคาถามในแบบทดสอบประเภทอตั นยั ชนดิ ไม่จากัดความยาวของคาตอบ -ในฐานะผสู้ อนทรี่ ับผิดชอบการสง่ เสรมิ การรู้หนงั สอื สาหรับกลุ่มเป้าหมายท่ีเปน็ ชนเผ่า ทา่ นได้ นาความรู้ ทกั ษะ และเทคนิคการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก-สะกดคาไปใช้อยา่ งไร จงอธบิ าย (2) แบบทดสอบประเภทอัตนัยชนิดจากัดความยาวของคาตอบ (Essay-restricted response) เป็นแบบทดสอบเพื่อการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรท่ีกาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูก ทดสอบจะตอ้ งเขยี นคาตอบภายใต้เง่อื นไขบางอย่างทีผ่ ู้วิจัยหรอื นักพฒั นาหลกั สตู รกาหนดไว้ ตวั อยา่ งคาถามในแบบทดสอบประเภทอตั นยั ชนิดจากัดความยาวของคาตอบ -ในฐานะผสู้ อนทีร่ ับผิดชอบการสง่ เสริมการรูห้ นงั สือสาหรบั กล่มุ เปา้ หมายท่ีเปน็ ชนเผ่า และท่าน ผา่ นการอบรมการสอนภาษาไทยแบบแจกลกู – สะกดคา ขอให้ท่านระบุประเด็นสาคัญของการ สอนภาษาไทยแบบแจกลกู -สะกดคามาให้ครบถว้ น (3) แบบทดสอบประเภทอัตนัยชนิดตอบอย่างสั้นหรือแบบเติมคา (Shot answer or Complettion) เป็นแบบทดสอบเพ่ือการวิจัยท่ีกาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบจะต้อง เขียนคาตอบส้ัน ๆ เพียงประโยคเดียว หรือเติมคาลงในช่องว่างเพื่อให้ได้ใจความท่ีถูกต้อง สมบูรณ์ มากทีส่ ุด ตวั อย่างคาถามในแบบทดสอบประเภทอตั นยั ชนดิ ตอบอยา่ งสน้ั หรอื แบบเติมคา -ตามนยั แห่งมาตรา 15 การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ 1)...........................................2)...............................................และ3)............................................. 53
2) แบบทดสอบประเภทปรนยั (Objective Test Item) เปน็ การประยุกตแ์ บบทดสอบ ประเภทปรนัยที่ใช้ในการประเมนิ ความรู้ของผู้เรียนมาใช้เพื่อประเมนิ ความรู้ ความเปน็ ปรนัยสาหรับ แบบทดสอบ หมายถึง การที่ผู้อา่ นเข้าใจคาถามตรงกัน และผใู้ หค้ ะแนนสามารถให้คะแนนได้ตรงกัน ดังน้ัน แบบทดสอบประเภทปรนัย จึงมีลักษณะเป็นข้อคาถามท่ีกาหนดโครงสร้างทั้งในส่วนของข้อ คาถามและคาตอบไว้แล้ว เพ่ือให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบตัดสินใจเพียงเลือกคาตอบตาม โครงสร้างของข้อคาถามและคาตอบท่ีผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรกาหนดมาให้ แบบทดสอบแบบ ปรนัยเพ่ือการเกบ็ ข้อมลู สามารถแบ่งออกได้ 3 ชนดิ คอื (1) แบบทดสอบประเภทปรนัยชนิดถูก -ผิด (True-False Test Item) เป็น แบบทดสอบเพื่อการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรที่กาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบทา เครอ่ื งหมาย (ถูก) หรือ (ผิด) ตามความรู้หรือความเข้าใจของกลุ่มตวั อยา่ งหรือผถู้ กู ทดสอบ ตัวอย่างคาถามในแบบทดสอบแบบปรนัยชนดิ ถูก-ผิด จงทาเครอ่ื งหมาย หนา้ ขอ้ ความท่ีท่านเห็นวา่ ถูก และ หน้าขอ้ ความท่ีท่านเห็นวา่ ผิด ......................1) คาที่ขีดเส้นใต้ นพรตั น์สะกดด้วยมาตราสะกด แมก่ ด ......................2) จาก อ่านว่า จอ-อา-จา-จา-กอ-จาก (2) แบบทดสอบประเภทปรนัยชนิดจับคู่ (Matching Test Item) เป็นแบบทดสอบ เพ่ือการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรท่ีกาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบทาการจับคู่ประเด็น คาตอบด้านซ้ายมือและด้านขวามือที่มีความเกี่ยวข้องกัน ตามประเด็นเน้ือหาสาระ เพื่อเป็นการ ทดสอบความร้หู รือความเข้าใจของกล่มุ ตัวอยา่ งหรอื ผถู้ กู ทดสอบ ตวั อยา่ งคาถามในแบบทดสอบแบบปรนยั ชนดิ จบั คู่ จงจบั คคู่ าที่มคี วามเกยี่ วข้องกนั โดยเขียนตวั อักษรของขอ้ ดา้ นขวามอื ใส่ในท่ีว่างหนา้ ขอ้ ด้านซ้ายมือ ................................1) ครู กศน.ตาบล ก) จดั ทาแผนปฏบิ ัตกิ ารประจาปี ................................2) ผเู้ รยี น ข) มีสว่ นรว่ มในการออกแบบการเรียนรู้ ค) มีสถานะเป็นนิติบุคคล 3) แบบทดสอบประเภทปรนยั ชนิดหลายตัวเลือก (Multiple-Choise Test Item) เป็น แบบทดสอบเพื่อการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรที่กาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอ บเลือก คาตอบทถี่ ูกตอ้ งที่สุดเพียงตวั เลอื กเดียวหรือหลาย ๆ ตัวเลือก ตามประเด็นเน้อื หาสาระเพอ่ื ใช้ทดสอบ ความรู้หรอื ความเขา้ ใจของกลุ่มตวั อย่างหรอื ผู้ถูกทดสอบจากกล่มุ คาตอบหลาย ๆ คาตอบทผ่ี วู้ ิจยั หรือ นักพัฒนาหลักสูตรได้กาหนดไว้ให้สาหรับคาถามแต่ละข้อ ซึ่งโดยทั่วไปคาถามแต่ละข้อ อาจจะมี คาตอบท่เี ป็นตวั เลือกประมาณ 4-5 ตัวเลอื ก 54
ตวั อย่างคาถามในแบบทดสอบแบบปรนยั ชนิดหลายตวั เลอื ก จงเลอื กคาตอบทีถ่ กู ต้องเพยี งตวั เลือกเดยี ว 1. ข้อใดเขียนผดิ ก. สวดมนต์ ข. นิมนต์ ค. ทาวตั ร์ ง. อาสนะ ดงั นั้น วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูลและเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ เครือ่ งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต้องสอดคล้องกับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น ถ้า วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นการสัมภาษณ์ผู้มาใช้บริการของ กศน.ตาบล ซ่ึงเป็นการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลจากผใู้ หข้ อ้ มูลทอ่ี ่านออก เขียนได้ และอ่านไมอ่ อก เขยี นไม่ได้ เครอื่ งมือทเี่ หมาะสมจึงเป็นแบบ สมั ภาษณ์ความพึงพอใจการบริการของ กศน.ตาบล หากใช้สอบถามอาจประสบขอ้ จากดั ในเร่อื งของ การอ่าน การเขยี นของผใู้ ชบ้ รกิ าร ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีการและเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล อาจพิจารณาได้ดัง ตวั อยา่ ง วธิ กี าร เคร่อื งมอื การนาเครอ่ื งมือไปใช้ เก็บรวบรวมข้อมลู 1. การสังเกต แบบสังเกต ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูล โดยสงั เกตพฤตกิ รรมของ คนหรือสัตว์ แล้วบนั ทกึ ในแบบสังเกต ซ่งึ ควร กาหนดรายการท่จี ะสงั เกตเอาไว้ การสงั เกตจะ ได้ผลดี ถ้าทาโดยผถู้ กู สงั เกตไม่รูต้ วั จะไดข้ อ้ มูล เชิงคุณภาพ แตส่ ามารถแปลงเป็นขอ้ มูลเชงิ ปริมาณได้ ในกรณีที่เป็นการสงั เกตสภาพทาง ภมู ิศาสตร์ หรือโครงสรา้ งทางวัตถุ เชน่ ศึกษา สภาพชุมชน การจัดร้านคา้ หรอื การจดั สานกั งาน ผู้สังเกตจะบันทึกสิ่งที่สงั เกตพบหรอื เห็นลงใน แบบสังเกต และมักมกี ารบนั ทกึ แผนท่ี หรอื แผนผังดว้ ย 2. การสมั ภาษณ์ แบบสมั ภาษณ์ ใช้ในการรวบรวมข้อมลู โดยการสนทนา สอบถาม ปากเปล่า โดยมกี ารบันทกึ ขอ้ มูลในแบบสมั ภาษณ์ ซงึ่ ควรกาหนดประเด็นการสัมภาษณ์ไวล้ ว่ งหนา้ 55
วธิ ีการ เครอ่ื งมือ การนาเคร่ืองมือไปใช้ เก็บรวบรวมขอ้ มูล ข้อมลู ทีไ่ ด้เป็นทั้งขอ้ มูลเชิงปรมิ าณและข้อมลู เชิง คณุ ภาพ 3. การสอบถาม แบบสอบถาม ใช้ในการรวบรวมข้อมูลทีเ่ ปน็ ความคดิ เหน็ ความ ต้องการ สภาพปัญหา เปน็ ต้น โดยใหผ้ ู้ตอบเขียน หรอื เลอื กคาตอบ ซงึ่ คาตอบนไี้ มม่ ีถูกหรือผิด อาจจะถามนกั ศกึ ษา ครู ผู้บรหิ าร ผนู้ าชมุ ชน หรือคนในชมุ ชน ข้อมลู ทีไ่ ด้เปน็ ท้ังขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณและขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ 4. การสนทนากล่มุ แบบบนั ทกึ ประเดน็ ใชใ้ นการรวบรวมความคดิ เห็นกลุ่มเลก็ (ไม่เกิน (Focus Group) การสนทนา 15 คน) เกีย่ วกบั เรื่องใดเร่ืองหน่ึง ซง่ึ ควรกาหนด ประเด็นการสนทนาไวล้ ว่ งหนา้ เชน่ การเชญิ นักศกึ ษาและครูมาสนทนาเก่ียวกับปัญหาการใช้ ชุดวิชาและหาแนวทางแก้ไข จะได้ข้อมลู เชิง คณุ ภาพ 5. การทดสอบ แบบทดสอบ ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู ทเี่ ปน็ การวดั ความสามารถดา้ นสติปญั ญา อาจจะใช้ แบบทดสอบหรอื ข้อสอบทม่ี ีอยู่แลว้ หรอื สรา้ งใหม่ โดยให้ผู้ให้ข้อมลู เขยี นคาตอบ จะไดข้ ้อมูลเชงิ ปรมิ าณ เชน่ ขอ้ สอบแบบอตั นยั ขอ้ สอบแบบ ปรนยั เปน็ ตน้ นอกเหนอื จากวิธีการเก็บรวบรวบข้อมูลทกี่ ล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีเทคนิควธิ ีการเกบ็ รวบรวม ขอ้ มลู ทหี่ นว่ ยงาน/สถานศึกษา กศน.นิยมใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูลชมุ ชน คอื การจัดเวทปี ระชาคม ประชาคม คอื การรวมตัวของสมาชิกในชุมชนเพื่อรว่ มกันทากิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนด้วย ตนเอง เป็นเวทีของการพูดคุย แลกเปล่ียนถกแถลง (ไม่ใช่โต้เถียง) เก่ียวกับข้อมูล เช่น การแก้ไข ปัญหาในชุมชน การวางแผนพัฒนาชุมชน การกาหนดข้อตกลงร่วมกัน โดยกระบวนการมีส่วนร่วม ของประชาชนท่ีมีวัตถุประสงค์หรือสนใจในเร่ืองเดียวกัน เป็นการรวมตัวกันตามสถานการณ์หรือ สภาพปญั หาท่เี กดิ ขึน้ มี 2 ลักษณะ คือ 1) อยา่ งเปน็ ทางการ โดยการจดั เวทีหรอื การจดั ประชมุ 2) อยา่ งไม่เปน็ ทางการ เชน่ การสนทนากลุ่มเลก็ ในศาลาวดั การพบปะพูดคุยอาจเป็นครัง้ คราว 56
วิธีการและเทคนิคการจดั เวทีประชาคมหม่บู า้ น/ตาบล วงจรขนั้ ตอนการดาเนินการ 1. ข้นั เตรียมการ วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้จัดและทีมงานดาเนินงานเวทีประชาคม เข้าใจถึงสภาพปัญหา ของหมู่บ้าน ตาบล ชมุ ชน ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และความสมั พันธ์ของผ้คู น ในชุมชน เพ่อื นาไปสกู่ ารจดั เวทปี ระชาคม ระดบั หมบู่ ้าน ตาบล โดยมขี ั้นตอนดงั นี้ 1.1 ศกึ ษาขอ้ มลู ชุมชน โดยการศึกษาข้อมูลท่ีเก่ียวข้องในชุมชน จากหน่วยงานต่าง ๆ หรือศึกษาข้อมูล ด้านลึกเพ่ิมเติมจากชาวบ้าน กลุ่มผู้นาที่เป็นทางการและไม่เป็น โดยทางการ โดยการพูดคุย ร่วม กิจกรรมขอ้ มูลอื่น ๆ ท่จี ะเปน็ ประโยชน์ในการจดั เวทีประชาคม 1.2 การกาหนดทมี ดาเนินงาน 1.2.1 ทีมดาเนินงาน ควรมีผู้นาชุมชนเข้าร่วมด้วย เรียนรู้เรื่องประชาคมต้ังแต่ เร่ิมแรกในอนาคต ในอนาคตผู้นาเหล่าน้ีอาจจะเป็นผู้จัดเวทีประชาคมได้เอง จานวนของทีม ดาเนินงาน จะมีจานวนมากน้อยกับขนาดของเวที (จานวนกล่มุ เป้าหมายที่เข้าร่วมเวที) อาจจะเริ่ม ตั้งแต่ 30 คน หรือมากกว่าน้แี ลว้ แตค่ วามเหมาะสม 1.2.2 ผ้ดู าเนินการในการจัดเวที ควรประกอบดว้ ย 1) ผกู้ ระตุ้นนา ทาหน้าท่หี ลกั ในการดาเนินการตามประเด็นที่ไดเ้ ตรียมมา และปรับตามสถานการณ์ 57
2) ผู้สร้างบรรยากาศทาหน้าที่ช่วยและเก็บตกจากผู้กระตุ้นหลักของทีม หลงลมื หรือพลาด รวมทั้งเป็นผู้สร้างบรรยากาศให้ต่นื ตวั ไม่น่าเบอื่ 3) ผ้สู ังเกตการณ์ ทาหน้าทส่ี ังเกตพฤติกรรมของผรู้ ่วมเวที ให้ข้อเสนอแนะ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ และสรา้ งสรรคบ์ รรยากาศ 4) ผอู้ านวยความสะดวก ทาหน้าทีใ่ นด้านการบรหิ ารอุปกรณ์ ที่ผ้เู ขา้ รว่ ม เวทีตอ้ งการตามขัน้ ตอนของเทคนคิ ทีใ่ ช้ 1.3 การกาหนดวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์จะถูกกาหนดจากผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลชุมชน มาเป็น แนวทางในการกาหนด 1.4 การกาหนดกลมุ่ เปา้ หมาย โดยใช้ข้อมูล และผลวิเคราะห์ ซงึ่ จานวนกลมุ่ เป้าหมายควรอยู่ระหว่าง 30–50 คน ผู้ท่ีเข้าร่วมเวทีควรประกอบด้วย กรรมการหมู่บ้าน ผู้แทนกลุ่มต่าง ๆ ผู้อาวุโส ผู้นาท้องถิ่น ผู้นา ธรรมชาติ อาสาสมคั ร ผู้มีส่วนได้สว่ นเสีย สมาชิก อบต. 1.5 ระยะเวลาในการจดั เวทีประชาคม พิจารณาตามความเหมาะสม อาจจะเป็นเพียง 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วัน สุดแล้ว แล้วแตป่ ระเด็นในการพดู คยุ เวลาในการประกอบอาชีพ 1.6 ประเดน็ เน้อื หาในการจัดเวทีประชาคมทีส่ าคญั ๆ คือ 1) การคน้ หาความคาดหวังของชุมชน 2) การเรียนรชู้ มุ ชนรว่ มกนั 3) การคน้ หาปัญหาของชมุ ชนและแนวโน้มของอนาคต 4) การคน้ หาโอกาสทเ่ี อือ้ ตอ่ การพัฒนาชมุ ชน 5) การค้นหาเพ่ือนรว่ มพัฒนาท้งั ในและนอกชุมชน 6) การกาหนดเป้าหมายการพัฒนา 7) การวางแผน วางโครงการ และกจิ กรรม 8) การแบง่ งานเพ่อื การปฏบิ ัติ ให้เปน็ ตามเป้าหมายการพัฒนาท่ีกาหนด สาหรบั เทคนคิ ทใี่ ช้ในการจดั เวทีประชาคม ทมี งานตอ้ งเลือกเทคนคิ ตามความ เหมาะสมของชุมชนนั้น 58
2. ขนั้ ดาเนนิ การ กิจกรรม วิธกี าร/เทคนิค สอ่ื /อุปกรณ์ หมายเหตุ 1. สรา้ งความคุ้นเคย - ปรับใช้ตามความ - ส่อื ท่ีใช้ในการประกอบ เกม เพลงอน่ื ๆ เทา่ ที่ 1.1 แนะนาตวั เหมาะสม เช่นเกมที่ จาเป็น ผู้เข้าร่วม เสริมสรา้ งความคนุ้ เคย - ปากกาเคมี - บตั รคา ประชมุ ต่างๆ เพลงการปรบมอื - กระดาน/ฟลปิ ชาร์ท - เทปกาว 1.2 ละลาย การพดู คยุ ฯลฯ - ปากกาเคมี พฤติกรรม - บัตรคา - กระดาษปรุฟ๊ /ฟลปิ 2. แจง้ วตั ถุประสงค์และ - พดู คุย ชาร์ท - เทปกาว ขอ้ ตกลงรว่ มกันในการ - เขยี นใส่บตั รคา - ปากกาเคมี ประชุม - นาเสนอบตั รคาตดิ - บตั รคา - กระดาษปรฟุ๊ /ฟลปิ แผ่นกระดาษปรุฟ๊ /ฟลิป ชาร์ท -เทปกาว ชาร์ท -ผอู้ าวุโส /ปราชญ์ ชาวบ้าน - สรุปรวมเปน็ ขอ้ ตกลง ของที่ประชมุ 3. กาหนดความ - แบง่ กลุ่มยอ่ ยเพอ่ื ระดม คาดหวัง สมอง หาความคาดหวัง ของกลุ่มโดยเขยี นลงใน บัตรคา - สรปุ ผลรวมผลความคิด ของกลุ่มยอ่ ยเปน็ ของท่ี ประชมุ ใหญ่ 4. การให้การศึกษา - สะทอ้ นภาพรวมของ -อาจให้วาดแผนที่ ภาพรวมชุมชน ชมุ ชน ชุมชนในดา้ นต่างๆ เช่น โดยปราชญ์ ชาวบ้านอาวโุ สเลา่ โครงสรา้ งพ้ืนฐาน กลมุ่ ใหฟ้ ัง องคก์ ร การประกอบ อาชพี ทรัพยากร ประเพณี วัฒนธรรม ความผกู พันธ์ ของชุมชน 59
กจิ กรรม วิธีการ/เทคนิค ส่ือ/อุปกรณ์ หมายเหตุ สภาพปัญหา โดยใช้ -เพ่อื หาปญั หา ชุมชนทกุ แง่มมุ ทั้ง เทคนคิ การกระตุ้นที่ ดา้ นศรษฐกจิ สงั คม การเมือง เหมาะสม การปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม 5. ค้นหาความปัญหา - ใช้ระดมสมอง - ปากกาเคมี ร่วมกัน - ให้มีอาสาสมัครรวบรวม - บัตรคา 6. ค้นหาความหวงั และ โอกาส ความคิดจากการระดม - กระดาษปรุฟ๊ /ฟลปิ 7. คน้ หาส่งิ ดใี นชุมชน สมองเพอื่ สรปุ ต่อท่ี ชารท์ 8. ค้นหาเพ่อื นร่วม พฒั นา ประชุมใหญข่ องเวที - เทปกาว - นาเสนอโดยจัดลาดบั ความสาคัญของปัญหา - ผ้เู ข้ารว่ มเวทตี ้อง - ปากกาเคมี กาหนดปัญหา - บตั รคา - กระดาน/ฟลปิ ชารท์ - เทปกาว - ให้ผู้รว่ มประชุมเสนอสง่ิ - กระดาษปร๊ฟุ /ฟลปิ ดที ี่มีอยู่ในชมุ ชนวา่ มี ชาร์ท อะไรบา้ ง -ปากกาเคมี -เทปกาว - ชี้แจง กระตุ้น ให้ช่วย - ปากกาเคมี คน้ หา - กระดาษปรฟุ๊ /ฟลิป - สรปุ ประเดน็ ลงใน ชารท์ กระดาษปร๊ฟุ /ฟลปิ ชารท์ -เทปกาว 9. กาหนดเปา้ หมายการ - ผเู้ ข้าร่วมประชุมรว่ ม - ปากกาเคมี -สามารถกาหนด วสิ ัยทัศนแ์ ละ พฒั นา กาหนดเปา้ หมายการ - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ ยุทธศาสตรก์ าร พัฒนาได้เลย พฒั นา โดยคานึงถงึ ปัจจยั ชารท์ -ผู้ดาเนนิ การต้อง กระตุ้นเพือ่ ใหเ้ กดิ เชงิ บวก -เทปกาว 10.ร่วมกนั วางแผน - ผเู้ ข้าร่วมเวทีร่วมกัน - บอรด์ ภาพรวมของ วางโครงการ กาหนดแผนโครงการ ชุมชนท้งั หมด 60
กจิ กรรม วิธีการ/เทคนิค สือ่ /อุปกรณ์ หมายเหตุ และกิจกรรม เขยี นลงใน - ปากกาเคมี โอกาสดีๆในการ แก้ปญั หา กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ ชารท์ - กระดาษปรฟุ๊ /ฟลิป จดั หมวดหมู่โครงการ ชาร์ท กิจกรรม ออกเป็น 3 - เทปกาว ประเภท 1) ประเภทดาเนนิ การ เองได้ 2) ประเภทตอ้ ง ดาเนินการร่วมกบั ผู้อ่นื 3) ประเภทรฐั เปน็ ผู้ดาเนนิ การให้ โดย ผ้ดู าเนนิ การและผู้รว่ ม เวทีสรุปแผน โครงการ และกจิ กรรมทจี่ ะ ดาเนินการให้บรรลุผล 10. เลือกกลมุ่ แกนเพอ่ื - เปดิ โอกาสให้ที่ประชุม - ปากกาเคมี รบั ผิดชอบดาเนนิ การ เลือกกล่มุ แกนรับผิดชอบ - กระดาษปรุฟ๊ /ฟลิป ตามโครงการ ปฏบิ ตั ิการตามโครงการท่ี ชาร์ท กาหนด - เทปกาว 3. ข้ันการประเมินและติดตามผล 3.1 ผู้ดาเนินการและผู้เข้าร่วมเวที ร่วมกันสรุปผลการจัดเวทีประชาคม และประเมิน จดุ เด่น จุดด้อย ข้อบกพรอ่ ง ส่งิ ที่ควรปรับปรุงแก้ไขสาหรับการจัดเวทีครั้งต่อไป ตลอดจนนาผลงานท่ี ปรากฏในระหว่างการจัดเวทีประชาคม จัดเข้าแฟ้มข้อมูล และแสดงผลการดาเนินการเวทีประชาคม ใหผ้ ู้เข้าร่วมประชาคมหรือผูท้ ส่ี นใจทราบ 3.2 เจา้ หน้าที่ ผ้นู าชุมชน ผู้นาท้องถิ่น และผู้เกี่ยวข้อง ประสานทกุ ภาคสว่ น องคก์ รต่าง ๆ เพือ่ สนับสนนุ การปฏิบัติงานของกล่มุ แกนท่รี ับผดิ ชอบโครงการนั้น ๆ และเพ่ือเป็นการการให้กาลงั ใจ แก่กลุ่มแกนดว้ ย พร้อมชว่ ยเหลอื แก้ไขปญั หาอุปสรรคทีเ่ กดิ ขน้ึ ระหวา่ งดาเนนิ การ 61
3.3 เจ้าหน้าที่ ผู้นาท้องถ่ิน ผู้นาชมุ ชน ช่วยกันกระตุ้นให้เกิดการจัดเวทีประชาคมคร้ัง ต่อ ๆ ไป ส่งิ ทีค่ วรคานงึ ในการจัดเวทีประชาคม 1. ก่อนดาเนินการจัดเวทีประชาคม ในแต่ละกิจกรรม ผู้ดาเนินการและทีมงานจะต้อง ศึกษาชุมชนให้ชัดเจนทุกแง่มุม ซึ่งจะนาไปสู่การกาหนดประเด็นเน้ือหา วิธีการ และเทคนิคท่ีใช้ให้ ถูกตอ้ งเหมาะสม 2. การเลอื กวิธีการ และเทคนิคการจัดเวทีประชาคม สามารถปรบั ประยุกต์ใช้ใหเ้ หมาะสม กับความถนดั ความสามารถของผู้จัดและกลุ่มเป้าหมายได้ 3. กระบวนการจัดเวทีประชาคม ไม่ว่าจะดาเนินการในระดับใดจะต้องยึดขั้นตอนตาม กระบวนการพัฒนาชุมชน 5 ข้ันตอน คือ 1) การศึกษาชุมชน 2) ให้การศึกษาชุมชน 3) การวางแผน 4) การดาเนินการ และ 5) การติดตามประเมนิ ผล (โดยต้องยดึ หลกั การมสี ่วนร่วม) 4. ต้องใช้ทีมงานหลายคนในการจัดเวทีประชาคม 5. ใช้ระยะเวลาในการดาเนินการนาน การวิเคราะหข์ อ้ มลู จากการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐานชุมชนด้านสังคมและวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขในสังคม ด้วย เครื่องมือเก็บรวบรวบข้อมูลและเทคนิควิธีการต่าง ๆ แล้วทาการวิเคราะห์และนาเสนอข้อมูลแต่ละ ดา้ นในเชิงปริมาณและคุณภาพ สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมลู ลงในตารางวิเคราะห์ข้อมูล สภาพปัญหา/ ความต้องการ สาเหตุ และแนวทางแก้ไข เพ่ือนาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการจัดทาและพัฒนา หลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ืองในข้ันตอนต่อไป ซึ่งจะขอใช้ตัวอย่างในการ นาเสนอการรวบรวมและวเิ คราะห์ข้อมลู พืน้ ฐาน ดงั น้ี 62
กรณตี ัวอยา่ งการรวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มูลพน้ื ฐาน ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการเก็บรวบรวมข้อมูลของ กศน.ตาบลบ้านแลง โดยใช้ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างหลากหลาย ได้แก่ การจัดเวทีประชาคม การสนทนากลุ่ม การ สอบถาม การสมั ภาษณ์ การทดสอบการรหู้ นังสือ เป็นต้น โดยจัดเกบ็ ข้อมลู จากหลายแหล่ง อาทิ ประชาชน นักศึกษา กศน. ผ้นู าชมุ ชน หนว่ ยงานภาคีเครอื ขา่ ยทั้งภาครฐั และเอกชน ไดท้ งั้ ข้อมลู ท่ี เปน็ ข้อมูลปฐมภมู ิ และข้อมูลทุติยภูมิ ตามขอ้ มลู ทีจ่ ะนาเสนอตอ่ ไปนี้ ข้อมลู พน้ื ฐานของตาบลบา้ นแลง 1. สภาพท่ัวไป 1.1 ทต่ี งั้ องค์การบรหิ ารส่วนตาบลบ้านแลง ต้ังอย่ทู างทศิ เหนือของอาเภอเมืองลาปาง ระยะทางห่างจากท่ีว่าอาเภอเมืองลาปาง ประมาณ 33 กิโลเมตร ตามถนนทางหลวงสายลาปาง-งาว และถนนทางหลวงสายลาปาง-กิ่วลม เลขท่ี 294 หมู่ที่ 2 บ้านสบมาย ตาบลบ้านแลง อาเภอเมือง จงั หวดั ลาปาง 1.2 เนอื้ ท่ี พนื้ ทขี่ องตาบลบา้ นแลงมีประมาณ 329,885 ตารางกโิ ลเมตรหรือประมาณ 206,178 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 28.52 ของพ้ืนที่ทั้งอาเภอ (อาเภอเมืองลาปาง มีพื้นที่ 1,156,623 ตารางกิโลเมตร) แยกเปน็ ลักษณะดังต่อไปนี้ 1. พ้ืนท่ีป่าสงวนแห่งชาติ(ป่าแม่ยางและป่าแม่อาง) ประมาณ 176,687 ไร่ คิด เป็นรอ้ ยละ 86 ของจานวนพื้นทีท่ ั้งตาบล 2. พ้ืนท่ีสวนป่า ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ประมาณ 20,522 ไร่ คดิ เปน็ ร้อยละ 10 ของจานวนพืน้ ทที่ ้งั หมด 3. พ้นื ทีเ่ พาะปลูกและการเกษตร ประมาณ 7,169 ไร่ คดิ เป็นรอ้ ยละ 3 ของพน้ื ที่ท้ัง ตาบล 4. พ้ืนที่ท่ีอยู่อาศัยและสาธารณะประโยชน์ ประมาณ 1,800 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 1 ของจานวนพนื้ ทท่ี ้ังตาบล โดยตาบลบ้านแลงมีอาณาเขตติดตอ่ ดงั ต่อไปนี้ 63
ทศิ เหนือ ติดต่อตาบลบ้านดง อาเภอแมเ่ มาะ ตาบลเมืองมาย (บ้านแม่เบินและบ้าน ไผง่ าม) ตาบลบ้านสา อาเภอแจห้ ่ม รวมระยะทางทศิ เหนือ ประมาณ 14 กิโลเมตร ทิศตะวันออก ติดต่อตาบลบ้านดง อาเภอแม่เมาะจังหวัดลาปาง รวมระยะทางทิศ ตะวันออกประมาณ 17 กิโลเมตร ทิศใต้ ติดต่อตาบลบ้านเสด็จ (บ้านทรายมูล บ้านจาค่า) อาเภอเมืองลาปางรวม ระยะทางทศิ ใต้ประมาณ 9 กิโลเมตร ทิศตะวันตก ติดต่อตาบลบุญนาคพัฒนา (บ้านบุญนาค บ้านแลง) อาเภอเมือง จงั หวัดลาปาง รวมระยะทาง 9 กิโลเมตร 1.3 ภมู ปิ ระเทศ ลักษณะภูมิประเทศตาบลบ้านแลง มีลักษณะเป็นที่ราบสูง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่า สงวนแห่งชาติ ร้อยละ 86 และเขตป่าเศรษฐกิจขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ร้อยละ 10 และมีพื้นที่เหลอื ร้อยละ 3-4 เป็นพน้ื ทกี่ ารเกษตรและท่ีอย่อู าศัยมีแม่น้าลาห้วยที่สาคญั ไหลผา่ น ได้แก่ แมน่ า้ วงั ลาหว้ ยแม่มาย ลาห้วยแมอ่ าง ลาห้วยแม่ปง ข้อมลู พน้ื ฐานประชากร สถาบันทางสังคม จานวนประชากร ชือ่ หมบู่ า้ น หมู่ ชาย หญงิ รวม ค ัรวเ ืรอน ท่ี ก ุ่ลมอาชีพ (ก ่ลุม) ผู้ไ ่ม ู้รห ันง ืสอ (คน) ภูมิ ัปญญาท้อง ิ่ถน วัด โรงเ ีรยน สถา ีนอนา ัมย อบต. บา้ นหัวทุง่ 1 247 288 585 162 20 11 1111 บ้านสบมาย 2 478 500 978 315 1 กลุ่มทอผา้ 11 11 บ้านศรีปรดี า 3 410 392 802 268 จกั สาน 11 บ้านแมอ่ าง 4 392 405 797 236 1 กลุ่มผ้าบตู กิ 1 บา้ นคง 1 บา้ นแตะ 5 391 391 782 218 23 เคร่อื งใช้ใน บ้านปจู่ ้อย การเกษตร 6 208 186 394 115 1 19 ไม้กวาดจาก ดอกหญ้า 7 162 127 289 70 18 64
จานวนประชากร สถาบันทางสงั คม ชื่อหมู่บา้ น หมู่ ชาย หญิง รวม ค ัรวเรือน ท่ี ก ุล่มอา ีชพ (กลุ่ม) ผู้ไ ่ม ู้รห ันง ืสอ (คน) ภู ิม ัปญญาท้อง ่ิถน วัด โรงเ ีรยน สถา ีนอนา ัมย อบต. บ้านแมฮ่ าง 8 429 442 871 232 20 1 นา้ ลอ้ ม บ้านหาดเช่ียว 9 305 334 689 164 1 17 การทาปลาส้ม 1 บา้ นวังยาม 10 174 173 347 92 บ้านหลวง 11 511 478 889 253 1 จักสาน 11 รวม 3,707 3,716 7,423 2,125 5 97 10 6 1 1 ลักษณะกลุ่มประชากรรายหมู่บา้ น ลักษณะกลมุ่ ประชากร รวม เพศ จานวน ร้อยละของประชากรท้งั หมด 1. เดก็ เลก็ 0-5 ปี 2. คนชรา 60 ปีข้ึนไป ชาย หญงิ (คน) 3. คนตกงาน 4. คนทางานในหมู่บ้าน 8 10 18 3.00 5. คนทางานต่างถน่ิ ช่ัวคราว 6. คนยา้ ยถ่ินเกนิ 6 เดือน 36 53 89 14.83 7. เดก็ ในวัยเรยี น 8. คนอายุ 15 - 59 ปี 8 7 15 2.50 133 119 252 42.00 21 22 43 7.17 19 28 47 7.83 56 57 113 18.83 166 173 339 56.50 2. ลักษณะทางการเมืองและการปกครอง ชุมชนตาบลบ้านแลงเปน็ ชมุ ชนขนาดกลาง มีลักษณะทางการเมอื งการปกครองท่ี คอ่ นขา้ งเขม้ แข็ง มีองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ินทมี่ ีวสิ ัยทศั น์กว้างไกลในดา้ นการศึกษา จากการสังเกต และสัมภาษณ์กล่มุ เป้าหมายแบบไม่เป็นทางการพบว่า ผู้นาชุมชนส่วนใหญ่ให้ความสนใจการพัฒนา 65
หมู่บ้าน ตาบล เป็นอย่างมาก เห็นได้จากการประชุมหมู่บ้าน ตาบล หรือเข้าร่วมประชุมสภาองคก์ าร บริหารส่วนตาบล หรือแม้แต่การพบปะพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ ทุกคนจะพูดคุยหารือแสดงความ คิดเหน็ กันอย่างหลากหลายในเร่ืองที่เกย่ี วกบั การพัฒนาชุมชนเสยี เป็นสว่ นใหญ่ เช่น การพฒั นาอาชีพ ของแต่ละหมู่บ้าน การพัฒนาโรงเรียน เข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียน ให้การสนับสนุนกิจกรรมโรงเรียน การดูแลรกั ษาทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ได้แก่ สวนป่าชุมชน ซ่ึงค่อนข้างสมบูรณ์ด้วยไม้สาคัญ ทางเศรษฐกจิ เข่ือนกิ่วลมซึง่ เป็นสถานทที่ ่องเท่ียวที่น่าสนใจ ทรัพยากรดินขาวซึ่งเป็นแร่ธาตุท่สี าคญั ที่ มีอย่ใู นชุมชนคอ่ นข้างมากเหลา่ นี้ เป็นต้น ซง่ึ ผู้นาชุมชนเล่าว่า ในการประชุมหมู่บ้าน ตาบล หรือการ จัดกิจกรรมชุมชนต่าง ๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่จะให้ความร่วมมือ มีส่วนร่วมทุกครั้งเพราะทุกคนคิดว่า หมบู่ า้ นตาบลของตนเองเป็นเพียงตาบลเล็ก ๆ อยไู่ กลเมอื ง ประชาชนยังต้องการพัฒนาหลายด้าน จึง ตอ้ งร่วมมือกนั พฒั นาหมูบ่ ้านให้ทัดเทียมหมู่บ้านตาบลอ่ืน หากมกี ารประชมุ หรือจดั กิจกรรมในชุมชน จงึ มีประชาชนมาร่วมมือคอ่ นข้างมาก แสดงถึงความร่วมมือ ความเป็นอนั หน่ึงอันเดียวกันของชุมชน ผู้นาชมุ ชนทต่ี อ้ งการการพัฒนาตนเองอยา่ งชดั เจน นอกจากน้ันองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ผู้นาชุมชนทุกหมู่บ้านตาบลจะให้ ความสาคญั ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นแนวทางในการดาเนินงาน มีกฎเกณฑ์ ระเบียบ แบบแผน และหลักการในการปฏิบัตคิ ่อนขา้ งชดั เจน เชน่ สร้างกฎเกณฑ์ในการดแู ลรกั ษาปา่ ต้นน้าลา ธาร กาหนดบทลงโทษทางสังคม จนสามารถลดจานวนการลกั ลอบตัดไม้ในสวนป่าชุมชนให้หมดไปได้ ในส่วนของการไปใช้สิทธิการเลือกต้ังไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้แทนในระดับท้องถ่ิน หรอื ระดับชาติ อบต. และผู้นาชุมชนทุกหมู่บ้านจะให้ความสาคัญโดยการรณรงค์การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยจัดให้มี การแข่งขันการใช้สิทธิเลือกต้ังของประชาชนในแต่ละหมู่บ้าน ทาให้ประชาชนในพื้นท่ีเกิดการตื่นตัว ออกไปใชส้ ทิ ธกิ นั คอ่ นข้างสูง เม่อื เปรียบเทียบกับพน้ื ทตี่ าบลอ่ืน จะเห็นได้ว่า องค์การบริหารส่วนตาบล ผู้นาชุมชนและประชาชนในพื้นท่ีตาบลน้ี มีรปู แบบและภาพลักษณ์ของการเมืองการปกครองทีเ่ ข้มแข็ง ยึดหลักและการปกครองของระบอบ ประชาธิปไตยเป็นแนวทางในการดาเนินงาน การมีสว่ นร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนเกือบ ทกุ ดา้ น มกี ฎเกณฑ์ ระเบยี บแบบแผน และหลกั การปฏบิ ัตงิ านค่อนข้างชัดเจน 3. ลักษณะทางสงั คม ลกั ษณะทางสังคมของหมู่บ้านเป็นสงั คมเกษตรกรรมทีม่ ีการพ่ึงพาอาศัยกันในด้าน การผลิต เมื่อมีการปลูกข้าวหรือเก่ียวข้าวจะมาช่วยเหลือกันในลักษณะการลงแขก ไม่เพียงแต่การ ช่วยเหลือกันในการประกอบอาชีพเท่าน้ัน งานในลักษณะอ่ืน ๆ เช่น ปลูกบ้าน สร้างวัด พัฒนา โรงเรยี น ก็จะมาช่วยเหลือกัน ความสมั พันธข์ องคนในชุมชนนี้จึงเป็นไปแบบระบบเครอื ญาติ 66
นอกจากนัน้ ในแต่ละหมู่บ้านมีการรวมกลุ่มหรือจัดต้ังกลุ่ม ในการปฏิบัติงานพัฒนา และการประกอบอาชีพ ทั้งท่ีเป็นกลุ่มตามธรรมชาติหรือแบบไม่เป็นทางการ และกลุ่มแบบเป็น ทางการ เชน่ กลุ่มเกษตรกร กลุม่ ฌาปนกิจสงเคราะห์ กลุ่มแมบ่ ้าน กลุ่มออมทรพั ย์ กลมุ่ อาชพี ต่าง ๆ ได้แก่ กลมุ่ ทาดอกไม้ประดษิ ฐ์ กลมุ่ ปลูกถว่ั เหลือง กลมุ่ ไมก้ วาด กลมุ่ เพาะเห็ด เป็นตน้ จากการศึกษาและสงั เกตสภาพแวดลอ้ มชุมชนพบวา่ สว่ นใหญ่ในแต่ละหมู่บ้านมีวัด และสถานประกอบพิธีทางศาสนาเกือบทุกหมู่บ้าน เป็นวัดและสานักสงฆ์ 8 แห่ง โบสถ์คริสต์ 2 แห่ง กลุ่มผู้นาเล่าว่า ในอดีตประชาชนในแตล่ ะหมู่บา้ น จะร่วมแรงร่วมใจกนั สรา้ งวัดเป็นของหมู่บา้ นของ ตนด้วย แรงศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพราะวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเขา มกี ารจัดกิจกรรม ทางศาสนาร่วมกัน และใช้สถานทีน่ ้ีจดั กจิ กรรมประเพณีต่าง ๆ เช่น กิจกรรมตานก๋วยสลาก กิจกรรม วันสงกรานต์ รดน้าดาหัวผู้สูงอายุ นอกจากนั้นยงั ใช้เป็นสถานทปี่ ระชุมหมู่บ้าน จัดกิจกรรมอบรม ฝึก อาชีพของกลมุ่ ตา่ ง ๆ เป็นทนี่ ัดหมายกนั ส่งเงนิ สัจจะกลุม่ ออมทรพั ย์ เป็นตน้ นอกจากน้ัน ในชุมชนน้ียังมีกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภูมิปัญญาด้านการจักสานรวมตัวกัน จัดต้ังเป็นกลุ่มอาชีพจักสาน เพ่ือใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในการสร้างรายได้เสริมให้กับตัวเองและ ต้องการพัฒนาอาชพี จักสานให้เป็นแหล่งเรียนรู้ภมู ิปัญญาของชมุ ชนและเปน็ แหล่งศกึ ษาดูงานอาชพี จัก สานของตาบล แต่ก็ยังมีผู้สูงอายุอีกจานวนไม่น้อย อยู่ในเกือบทุกครัวเรือนและบางครัวเรือนมีจานวน หลายคน ท่ีลูกหลานดูแลไม่ท่ัวถึง ยังขาดความรักและการเอาใจใส่ของคนในครอบครัว ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการดูแลตนเอง มีปัญหาท้งั ทางด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต การรวมกลมุ่ ผู้สูงอายุ เพ่ือการดูแลสุขภาพร่วมกัน จึงเป็นเป้าหมายที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันเพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย ผู้สูงอายุเหล่านี้ รวมถึงประชากรกลุ่มอื่น ๆ ท่ีได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ได้รับ การส่งเสริมสนับสนุนใหไ้ ดร้ บั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตทีด่ ขี ึน้ แสดงให้เหน็ ว่า ประชาชนในชุมชนบา้ นแลงเป็นชุมชนท่มี ีลักษณะความสัมพันธ์ทาง สังคมที่แน่นแฟ้ม แบบระบบเครือญาติ ที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แบ่งปันกันทั้งทางด้านแรงงาน และผลประโยชน์ มีแหล่งเรยี นรภู้ มู ปิ ัญญาด้านจักสานจากการรวมกลุ่มของผู้สงู อายุ มีการรวมกลุม่ กัน ท้ังแบบตามธรรมชาติและแบบเป็นทางการ ในการปฏิบัติงานและการประกอบอาชีพ โดยมีสถาบัน ทางศาสนาเป็นศูนย์รวมแห่งการพัฒนาจิตใจ และพัฒนาสังคมด้านต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่ม ผูส้ ูงอายุที่ขาดความรู้ความเข้าใจในด้านการดูแลสุขภาพ และต้องการพัฒนาอาชีพ จักสานเพื่อ เปน็ รายไดเ้ สรมิ รวมท้ังอนุรักษภ์ ูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินใหค้ งอยู่ตอ่ ไป 4. ลกั ษณะทางการศกึ ษา ในด้านการศึกษาในพื้นที่ตาบลบ้านแลง มีโรงเรียนทั้งหมด 5 แห่ง ประกอบด้วย โรงเรยี นประถมศึกษา 3 แหง่ ตั้งอยูใ่ นหมทู่ ่ี 1 หมู่ท่ี 3 และหมู่ที่ 4 โรงเรยี นมธั ยมขยายโอกาส 1 แห่ง 67
ตงั้ อยู่ในหมทู่ ี่ 2 และโรงเรียนมัธยมประจาตาบลอีก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในหมู่ท่ี 11 มศี ูนย์พฒั นาเด็กเล็ก 6 แห่ง ใน 6 หมู่บ้าน ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี 1 แห่ง ศูนย์การเรียนชุมชนตาบล 1 แห่ง ตั้งอยู่ หมทู่ ี่ 1 ในเขตบริเวณท่ีทาการองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลบา้ นแลง จากการศึกษาพบวา่ แมจ้ ะมีโรงเรียนกระจายอยู่ในพืน้ ท่ีหมู่บา้ นตาบลถึง 5 หมู่บา้ น แต่เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศของตาบลยังเป็นป่าและเป็นที่ราบสูง เขตติดต่อระหว่างหมู่บ้าน ห่างไกลกัน และในอดีตการคมนาคมไม่สะดวก ทาให้ประชาชนผู้อาศัยในหมู่บ้านท่ไี มม่ ีโรงเรยี น ขาด โอกาสในการศึกษา และด้วยฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวส่วนใหญ่ยากจน ต้องเป็นแรงงานใน ภาคการเกษตรของครอบครวั จึงไม่มีโอกาสเรียนต่อ บางรายจบการศึกษาระดบั ประถมศึกษามานาน แต่ขาดโอกาสในการเขยี นและการอา่ นหนังสืออยา่ งตอ่ เน่อื ง ทาใหล้ มื หนังสือ ชุมชนนจ้ี ึงมีจานวนผไู้ ม่ รหู้ นงั สือค่อนขา้ งสูง จานวนผู้จบชัน้ ประถมศึกษาท่ีได้เรียนต่อในระดับทส่ี ูงข้ึนมคี ่อนข้างน้อย ทา ให้มีจานวนผู้ขาดโอกาสทางการศึกษาในแต่ละหมู่บ้านเกือบทุกหมู่บ้าน ในปัจจุบันถนนเชื่อมต่อ ระหว่างหมู่บ้านเป็นถนนลาดยาง การคมนาคมสะดวกข้ึน เยาวชนทุกคนในทุกหมู่บ้านมีโอกาสได้ ศึกษาในระบบโรงเรียน ส่วนผู้พลาดโอกาสทางการศึกษาในอดีต ทั้งผู้ไม่รู้หนังสือและผู้ไมไ่ ด้ศึกษาต่อ ในระดับมธั ยม จะมีการส่งเสรมิ สนับสนุนการจัดกิจกรรมการศกึ ษาแตล่ ะระดับให้สอดคล้องกับความ ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยมีศูนย์การเรียนชุมชนเป็นศูนย์กลางในการบริการจัดการศึกษาใน ชุมชน ในการจัดกิจกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ ประชาชนในตาบลและกลุ่มอาชีพที่ พอมีอยู่ในบางหมู่บ้านยังขาดโอกาสการพัฒนาในด้านนี้ เนื่องจากตาบลน้ีเป็นตาบลที่อยู่ห่างไกล ในอดีตการคมนาคม ไม่สะดวก ทาให้หน่วยงานภาครฐั ที่เก่ียวข้องเข้าถึงชุมชนได้น้อย การฝึกอบรม ด้านอาชีพจึงมีน้อยและไม่ต่อเน่ือง เป็นเพียงการฝึกอบรมให้เรียนรู้เพื่อลดรายจ่ายหรือบริโภค ไม่ สามารถเพิ่มรายได้เป็นกอบเป็นกาหรือจาหน่ายขายส่งได้ แต่ผู้นาเล่าว่าหลังจากท่ีมีองค์กรปกครอง สว่ นท้องถ่ินเกิดขึ้นแบบเปน็ ทางการมคี รูประจาศนู ย์การเรียนไปประจาอยู่ในพื้นที่ ประชาชนได้รับรู้ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการศึกษาและให้ความสนใจเข้ามารับบริการ เสนอความต้องการทางด้าน พัฒนาอาชีพเพิ่มขึ้น และเริ่มมีกลมุ่ อาชพี เพิม่ ขน้ึ มาเป็นลาดับ สรุปได้ว่าชุมชนตาบลบ้านแลงได้รับการบริการทางด้านการศึกษา ทั้งในระบบ โรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ปัจจุบันเยาวชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนทุกคน ส่วนผู้พลาดโอกาสทางการศึกษาในอดีต ท้ังผู้ไม่รู้หนังสือและผู้ไม่ได้ศึกษาต่อ ได้เข้ารับบริการ การศึกษาสายสามัญ ในศูนย์การเรียนชุมชนเพิ่มข้ึนเป็นลาดับ สาหรับผู้ไม่รู้หนังสือและผู้จบระดับ ประถมศกึ ษา ครศู ูนย์การเรียนชมุ ชนจะส่งเสรมิ ให้เข้ามารับบริการในศูนยก์ ารเรียนชุมชนและจัดการ เรียนการสอนให้ในพื้นที่หมู่บ้านของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ส่วนการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ ประชาชนเริ่มให้ความสนใจเข้ารับบริการ เสนอความต้องการในการพัฒนาอาชีพจากศูนย์การเรยี น 68
ชุมชนโดยการประสานงานของครูศูนย์การเรียนชุมชน การสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตาบล และหน่วยงานเครือข่ายในพ้ืนท่ี 5. ลกั ษณะทางเศรษฐกิจของชุมชน จากการศึกษา พบว่า ประชาชนท่ีอาศัยในชุมชนตาบลบ้านแลงส่วนใหญ่ประกอบ อาชีพเกษตรกรรมเปน็ อาชีพหลัก ซ่ึงเป็นอาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรษุ สืบทอดต่อกันมาถึงลูกหลานใน ปจั จุบัน คือ การทานาปลูกขา้ ว ทาไรอ่ ้อย สบั ปะรด ถ่ัวลสิ ง และข้าวโพด ทาสวนมะม่วง ลาไย และ มะขาม สาหรับประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านหาดเชี่ยว หมู่ท่ี 9 ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขื่อนก่ิวลม นอกเหนือจากอาชีพเกษตรกรรมดังกล่าวแล้ว จะมีรายได้จากการจับสัตว์น้าบริเวณเขื่อน เช่น ปลา กุ้ง และการทาแพและเรอื หางยาวท่องเทย่ี ว รอบ ๆ บริเวณเข่ือน นอกจากนัน้ จะมีประชาชนอีกกลุ่ม หน่งึ ประกอบอาชีพค้าขายและรบั จา้ งท่วั ไป รายได้โดยเฉล่ยี ของประชากรในตาบลประมาณ 15,000.- บาทต่อคนต่อปี กลมุ่ ผู้นาเล่าว่า ประชาชนสว่ นใหญ่มีปัญหาในเร่ืองของที่ดนิ ทากนิ เพราะพ้ืนท่สี ่วน ใหญ่เป็นทีร่ าบสูงมีที่ราบลุม่ น้อย ขาดแหลง่ น้าในการทาเกษตร ถ้าคดิ เฉลี่ยพื้นที่ทาการเกษตร มีเพยี ง ร้อยละ 3.5 ของพ้ืนท่ตี าบลทั้งหมด แม้วา่ พน้ื ที่ตาบลจะตง้ั อยู่ใกลเ้ ข่ือนก่ิวลม แต่ไม่ได้ต้ังอยู่ลา่ งเข่ือน จึงไม่สามารถนาน้าจากเข่ือนมาใช้ในการทาการเกษตรได้ ต้องอาศัยน้าฝนและแหล่งน้าผิวดินตาม ธรรมชาติ และปัจจุบันมีแม่น้าลาคลองหลายแห่งท่ีมีสภาพตื้นเขิน มีวัชพืชปกคลุมบริเวณผิวน้าเป็น จานวนมาก ย่ิงก่อให้เกิดปัญหาการไร้ที่ทากินมากขึ้น ทาให้มีประชากรวัยแรงงานว่างงานจานวน ค่อนขา้ งมาก และพร้อมทจี่ ะเข้ารบั การฝกึ ฝนเรยี นรเู้ ข้าส่กู ารพฒั นาอาชีพหากมีโอกาส จากการท่ีประชาชนของตาบลทุกหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ร่วมกันด้วยความสัมพันธ์อัน แน่นแฟ้นแบบระบบเครือญาติ จึงก่อให้เกิดกลุ่มทางเศรษฐกิจขึ้นอย่างหลากหลายท้ังแบบเป็น ทางการและไม่เป็นทางการ เชน่ กล่มุ ยุวเกษตร กลุม่ ทาดอกไม้ประดษิ ฐ์ หมู่ท่ี 1 กลุ่มผู้ผสมปุ๋ยเคมีไว้ ใช้ในไร่นา กลุ่มผู้ปลูกถวั่ เหลืองในฤดูแลง้ หมทู่ ี่ 2 กลุ่มทอผา้ กลุม่ สบั ปะรด กลุ่มยุวเกษตรและกลุ่ม เกษตรกรทานา กลุ่มผู้ใช้ป๋ยุ ในนาขา้ ว หมู่ 3 กลุ่มจักสาน หมู่ท่ี 4 กลุ่มไม้กวาด หมู่ท่ี 6 กล่มุ ไม้กวาด กลุ่มเพาะเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ กลุ่มเพาะเห็ดหอม หมู่ท่ี 7 กลุ่มเล้ียงปลาดุก กลุ่มสับปะรดหมู่ที่ 8 และกลุ่มปุ๋ยชวี ภาพตาบลบ้านแลง เปน็ ตน้ จากการสนทนากลุ่มแม่บ้านหมู่ที่ 2 พบว่า ในพ้ืนที่บ้าน หมู่ 2 มีกลุ่มอาชีพหลาย กลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาชีพทางการเกษตร และมีการดาเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีกลุ่มอาชีพ อุตสาหกรรมในครัวเรือนเพียง 1 กลุ่ม คือ กลุ่มอาชีพทอผ้า มีการรวมตัวของแม่บ้านผู้มีทักษะฝีมือ การทอผ้าจากบรรพบุรุษ ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มต้ังแต่ ปี 2549 โดยครู กศน.ตาบล เป็นผู้ประสานงานใช้ งบประมาณของ กศน.สนับสนนุ การฝึกอบรมอาชีพทอผา้ เพ่ือฝึกทกั ษะความชานาญโดยใชภ้ ูมิปัญญา 69
ท้องถ่นิ ท่ีมอี ยู่ต่อยอดความรใู้ หม่ เพอ่ื การมีงานทาและเพม่ิ รายได้และรักษาไวซ้ ึ่งภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่นให้ คงอยู่ตลอดไป ปัจจุบันมีสมาชิกลุ่มเพียง 10 คน ประธานกลุ่มเล่าว่า หลังจากการรวมกลุ่มและ ฝกึ อบรมการทอผ้าด้วยลายใหม่ ๆ เชน่ ลายตัวอักษร ลายน้าไหล ฯลฯ มีการส่ังทอจากแหล่งตา่ ง ๆ เช่น โรงเรียน อบต. กลุ่มแม่บ้าน เพ่ือใช้ผ้าทอในการตัดเสื้อทีมขององค์กร ในการเผยแพร่อนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมท้องถ่ิน ตอ่ มากจิ กรรมการทอผ้าส่งหน่วยงานต่าง ๆ เรม่ิ ลดลงเน่ืองจาก จานวน การส่ังมากกว่าจานวนการผลิต เม่ือผลิตสินค้าไม่ทัน ลูกค้าต้องหาแหล่งผลิตอื่นแทน ขณะเดียวกัน ความตอ้ งการลวดลายใหม่ ๆ ก็เพิ่มมากขน้ึ ทาให้ยอดขายผ้าทอของกลุ่มลดลงและมกี ารทอผ้าขาย เฉพาะเมื่อมีคนสั่งและทอไว้เพ่ือนาไปขายในงานแสดงสินค้าต่าง ๆ บ้าง และสมาชิกในกลุ่มได้ให้ ข้อมูลเพ่ิมเติมว่า ทุกคนยังคงรักในอาชีพการทอผ้าและอยากจะพัฒนาฝีมือการทอผ้าลายใหม่ ๆ ตามความต้องการของตลาด แต่ขาดโอกาสในการให้คาแนะนาสนับสนุนส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง และที่ สาคญั อยากอนุรกั ษ์ภมู ิปัญญานใี้ ห้เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนแห่งนี้สืบไป หากมหี น่วยงานใดให้การ สนับสนุนงบประมาณในการฝึกทักษะเพ่ิมเติม จัดหาวิทยากรท่ีมีความรู้ในการพัฒนาทักษะการทอ ลายต่าง ๆ และให้ความรู้เก่ียวกับการประชาสัมพันธ์ การตลาด เพ่ิมเติมสมาชิกกลุ่มก็พร้อมที่จะ พฒั นาอาชพี ทอผา้ นอี้ ย่างตอ่ เนื่องและมีแนวคิดที่จะถ่ายทอดภมู ิปัญญานใี้ ห้แกล่ ูกหลานต่อไป นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มจักสาน เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หมู่ 3 จานวน 17 คน ที่มีพื้นฐานความรู้ ภูมิปัญญาด้านการจักสาน มีทรัพยากรไม้ไผ่เป็นทุนท่ีมีอยู่ในชุมชนอยู่แล้ว เป็นการรวมกลุ่มกัน เพือ่ จักสานผลิตภัณฑข์ องใช้ในชีวติ ประจาวนั และใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชน์เป็นการสร้างเสริม รายได้แก่ตนเองและครอบครัว โดยเริ่มจากการขายในชุมชนและหมู่บ้านใกล้เคียง ได้แก่ ตะกร้า กล่องใส่ข้าว ภาชนะน่ึงข้าว ฝาชี กระจาด เป็นต้น เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาด้านการจักสานของ ชมุ ชน มนี กั ศึกษา กศน.ในตาบลเขา้ มาเรยี นร้เู พอื่ ทาโครงงาน ในรายวชิ าทักษะการประกอบอาชีพ ซ่ึง ครู กศน. ได้ใช้กลุ่มจักสานนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนให้แก่นักศึกษา กศน. และ เป็นแหลง่ ศกึ ษาดูงานด้านภูมิปัญญาท้องถน่ิ ของตาบลดว้ ย จากการสารวจความตอ้ งการพัฒนาอาชีพ ของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในชุมชน ในเวทีประชาคมที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มจักสาน ต้องการเรียนรู้ การ พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์จักสานให้ทันสมัย เป็นที่ต้องการของตลาดมากข้ึน เนื่องจากมีรายการ ส่ังซ้ือผลิตภณั ฑ์ในรูปแบบตา่ ง ๆ มากข้ึน และตอ้ งการที่จะเรียนร้เู พิ่มเติมเก่ยี วกับการรักษาคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น จึงเสนอความต้องการในการฝึกทักษะการแปรรูป ผลิตภัณฑ์จักสานเพ่ือพัฒนาอาชีพของตนเอง และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถ่ินในชุมชนให้เป็นแหล่ง เรียนรชู้ ุมชนทก่ี ว้างขวางมากย่ิงข้ึน 70
6. ลักษณะทางทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม จากการศึกษาข้อมูลพ้ืนที่และลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ของที่ตั้งชุมชนพบว่า พื้นท่ีส่วน ใหญ่เป็นเขตป่าสงวน ถึง รอ้ ยละ 86 เป็นพื้นท่ีสวนป่า อ.อ.ป. ร้อยละ 10 และมีพ้ืนท่ีส่วนที่เหลือ รอ้ ยละ 3-4 เปน็ พ้ืนทก่ี ารเกษตรและทอ่ี ยูอ่ าศยั จากการสนทนากลมุ่ กบั ผู้นาชมุ ชน เล่าว่า ชุมชนสว่ น ใหญใ่ ห้ความสาคัญในการการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้มากขึ้นเน่ืองจากในอดีตพ้ืนท่ีป่าไม้ เคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยไม้สาคัญทางเศรษฐกิจมากมายประชาชนส่วนใหญ่ใช้พื้นที่ป่าไม้เป็น แหล่งหาของป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ ผักหวาน ฯลฯ เพ่ือการบริโภค และขายเป็นรายได้อีกทางหน่ึง เนื่องจากรายได้หลักจากอาชีพเกษตรกร ซึ่งมีพ้ืนท่ีทาการเกษตรเพียง ร้อยละ 3 ของพ้ืนที่ทั้งหมด มีไม่เพียงพอในการเล้ียงดูครอบครัว ทาให้ประชาชนในพื้นท่ีต้องหารายได้ โดยการลักลอบตัดไม้ จากป่าไม้เป็นอีกอาชีพหน่งึ สภาพป่าไม้ที่เคยอุดมสมบูรณจ์ ึงถูกทาลายไป จนทาให้ประชาชนในพ้นื ท่ี หลายหมู่บา้ นไดร้ ับผลกระทบจากน้าท่วม บ้านเรือน พนื้ ท่ีการเกษตร ตลอดจนชีวติ และทรพั ยส์ นิ ของ พอ่ แม่ ลกู หลานและญาติพ่ีน้องของตนเองต้องสูญเสียอย่างมากมายอนั เน่ืองมาจากการลกั ลอบตัดไม้ ของประชาชนทั้งในพืน้ ท่ีและนอกพ้นื ท่ี และจากการศึกษาสภาพป่าชุมชน พบว่า ปัจจุบันไม้ที่พบใน ป่าชุมชนส่วนใหญ่เป็นไม้ไผ่ ซ่ึงประชาชนยังใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่ในการสร้างรายได้ เช่น การขุด หน่อไม้ขาย การใช้ไม้ไผ่เป็นวัตถุดิบในการจักสานเคร่ืองใช้ในครัวเรือนและจาหน่ายเป็นรายได้เสริม ของครอบครวั อีกทางหนง่ึ จากผลกระทบดังกล่าวทาให้คนในชุมชนตื่นตัว หาทางป้องกันแก้ไขปญั หาท่ีเกิดข้ึนดังกล่าว โดยการวางกฎกติกาของชุมชน ร่วมกันดูแลรักษาป่าไม้และเห็นพ้องต้องกันว่าควรมีการรณรงค์ให้ ประชาชนทุกคนในพ้ืนท่ีได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดข้ึนและร่วมกันสอดส่องดูแลพ้ืนท่ีป่าไม้มากข้ึน เพ่ืออนรุ กั ษ์ปา่ ไมต้ น้ นา้ ลาธารอันเป็นทรัพยากรธรรมชาติ เพือ่ การดารงชีพของคนในชุมชนให้คงอยู่ ชั่วลกู หลานต่อไป จากตัวอย่างข้อมูลพื้นฐานของตาบลบ้านแลงท่ีจะนาเสนอข้างต้น ได้ทาการ วเิ คราะห์และสรุปข้อมูลท่เี ป็นสภาพปัญหา/ความต้องการ สาเหตุ และแนวทางแก้ไข ตามตาราง วเิ คราะห์ข้อมูลตอ่ ไปนี้ 71
ตารางวเิ คราะหข์ อ้ มลู ปัญหา/ความตอ้ งการ สาเหตุ แนวทางแก้ไข ด้านการศึกษา - ในสมยั ก่อนพนื้ ทีห่ ่างไกล มี - จดั กิจกรรมส่งเสริมการรหู้ นังสือให้ จานวนประชาชนผไู้ มร่ ู้ การคมนาคมไมส่ ะดวก ครอบคลมุ ทกุ พ้นื ท่ี เชน่ พฒั นา หนงั สือค่อนขา้ งมากและ โรงเรยี นมนี อ้ ย จงึ ทาให้ขาด หลักสตู รส่งเสรมิ การรู้หนงั สือของ ประชาชนทจ่ี บ โอกาสทางการศึกษา สถานศกึ ษาให้สอดคลอ้ งกับสภาพ ประถมศึกษาเรียนต่อ - สภาพทางเศรษฐกจิ ของ การรหู้ นงั สือของกลุ่มเป้าหมาย คอ่ นขา้ งนอ้ ย (มาจาก ครอบครัว ทาให้ไมม่ ีโอกาส - กระตุน้ /สง่ เสริมสนบั สนุนและจดั ข้อมูลหน้า 68) เรยี น และบางรายเคยเรยี นมา การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานตามความ นานและไม่มีโอกาสได้อ่าน ต้องการในพ้ืนที่ โดยใช้ กศน.ตาบล เขยี นหนังสืออย่างต่อเนือ่ ง เปน็ ศนู ยก์ ลางการจัดการเรยี นรู้อย่าง ทาให้ลมื หนงั สือได้ ตอ่ เน่อื งในแตล่ ะระดบั ดา้ นเศรษฐกิจ - การผลติ สินค้าไมส่ อดคลอ้ ง - จดั กจิ กรรมส่งเสรมิ และพฒั นา กลมุ่ อาชพี ทีม่ ีปัญหา/ความ กบั ความต้องการของตลาด อาชพี อย่างตอ่ เนื่องเพอื่ การมีรายได้ ต้องการในการพฒั นา - ขาดการส่งเสรมิ สนับสนุนการ และการมงี านทาโดยมีเนอ้ื หาที่ ทกั ษะฝีมือ และขาดความรู้ จัดกิจกรรมพัฒนาทกั ษะอาชพี เกี่ยวขอ้ งกับการฝกึ ทักษะฝีมอื ให้ ในเรื่องการประชาสมั พันธ์ อยา่ งต่อเนือ่ ง ทันสมัยสอดคล้องกบั ความต้องการ การตลาด ไดแ้ ก่ กลมุ่ ทอผา้ ของตลาด และการบรหิ ารจัดการ บ้านสบมาย (มาจากขอ้ มลู การตลาด หนา้ 69 - 70) ดา้ นสิง่ แวดล้อม การลักลอบตัดไม้ทาลายปา่ - พ้นื ทท่ี าการเกษตรมนี ้อย - สง่ เสริมสนบั สนนุ การประกอบ อาชพี เสรมิ เพม่ิ รายได้ ของประชาชน (มาจาก - รายได้จากอาชีพเกษตรไม่ - จดั กิจกรรมใหค้ วามรแู้ ละอนรุ ักษ์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม ข้อมลู หนา้ 71) เพียงพอ ในชุมชน - ประชาชนยงั ขาดจิตสานกึ ใน การดูแลรกั ษาป่าไม้ 72
ปญั หา/ความตอ้ งการ สาเหตุ แนวทางแก้ไข ด้านสงั คม วฒั นธรรม - ขาดการดแู ลเอาใจใส่จากคน - สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจแกช่ ุมชน 1) ผู้สูงอายุไม่ได้รบั การ ในครอบครวั ครอบครัว กล่มุ เป้าหมาย โดยการจดั ดูแลด้านสุขภาพกายและ - ขาดความร้คู วามเขา้ ใจในการ กจิ กรรมพฒั นาทกั ษะชีวิต หรือ สุขภาพจติ (มาจากขอ้ มูล ดูแลดแู ลสุขภาพตัวเอง พัฒนาสังคมและชมุ ชน ไดแ้ ก่ หนา้ 67) โครงการครอบครัวอบอุ่นการอบรม ใหค้ วามรู้ดา้ นการดแู ลสุขภาพ ผ้สู ูงอายุ การสอนราไทเก๊กเพอ่ื สขุ ภาพผู้สูงวัย 2) ผสู้ ูงอายตุ ้องการพัฒนา - เพอื่ รวมกลุ่มใช้เวลาวา่ งใหเ้ กิด - สง่ เสริมการพัฒนาอาชีพหรือฝกึ อาชีพด้านการจักสานใหม้ ี ประโยชน์และมรี ายไดเ้ สรมิ ทักษะอาชีพแกก่ ลมุ่ ผู้สงู อายตุ าม รูปแบบท่ีทันสมยั ตรงตาม - มรี ายการสงั่ ซ้อื ผลิตภัณฑใ์ น ความสนใจ ความตอ้ งการของตลาด รูปแบบต่าง ๆ มากขน้ึ และ (มาจากขอ้ มูลหน้า 70) ต้องการท่ีจะเรยี นรเู้ พิม่ เติม เก่ยี วกบั การรักษาคณุ ภาพของ ผลิตภัณฑ์ใหม้ อี ายกุ ารใช้งาน ยาวนานข้ึน - เพ่อื การอนุรกั ษภ์ ูมิปัญญา ท้องถนิ่ จากน้ันดาเนินการวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลด้านต่าง ๆ เพื่อกาหนด หลกั สูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสตู รการศึกษาต่อเน่อื งของสถานศึกษา โดยใช้แบบวเิ คราะห์ความ สอดคล้องของข้อมูลตา่ ง ๆ เพื่อกาหนดหลักสูตรรายวิชาเลือกหรอื หลักสูตรการศกึ ษาต่อเนอ่ื งของ สถานศึกษา ตามตารางตอ่ ไปนี้ 73
แบบวเิ คราะห์ความสอดคลอ้ งของข้อมลู ต่าง ๆ เพอื่ กาหนดหลักสูตรรายวชิ าเลือกหรอื หลักสตู รการศึกษาตอ่ เนอื่ งของสถานศึกษา นโยบายรัฐบาล/ วสิ ัยทศั น์ของ สภาพทาง สภาพขอ้ มูล สรปุ ความสอดคลอ้ ง นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน./ กายภาพ พื้นฐาน นามาสู่รายวิชา สานกั งาน กศน. (ระบเุ ฉพาะสภาพ กศน. ท่เี กย่ี วขอ้ ง) (ระบสุ ภาพขอ้ มลู 1. ช่อื หลักสตู ร จงั หวัด/ แตล่ ะดา้ น) การศึกษา นโยบายรฐั บาล สถานศึกษา/ ตอ่ เนอื่ ง ยุทธศาสตร์ วสิ ยั ทัศนข์ อง สภาพทางการ จงั หวัด/อาเภอ ศึกษา หลักสูตรสง่ เสริมการรู้ กระทรวงศกึ ษาธิการ จานวนประชาชนผู้ หนังสอื ไทย สาหรบั 6 ยุทธศาสตร์ ไม่รหู้ นังสือ กลมุ่ เป้าหมายผู้อา่ นไม่ ขอ้ 1 พัฒนา คอ่ นข้างมากและ ออก เขียนไมไ่ ด้ หลกั สตู ร กระบวนการ ประชาชนทจี่ บ 2. ชอื่ หลักสตู ร เรยี นการสอน และการ ประถมศึกษาเรยี น วัดประเมินผล ตอ่ คอ่ นขา้ งนอ้ ย การศึกษา ขอ้ 3 ผลติ และ เนอ่ื งจาก ตอ่ เนื่อง พฒั นากาลงั คน รวมทง้ั - ในสมัยกอ่ นพ้ืนที่ หลกั สูตรสง่ เสรมิ การรู้ งานวิจัยท่ีสอดคล้อง ห่างไกล มี หนังสือไทย สาหรับ กบั ความตอ้ งการของ การคมนาคมไม่ กลุ่มเปา้ หมายผู้ลืม การพฒั นาประเทศ สะดวก โรงเรยี นมี หนังสอื ขอ้ 4 ขยายโอกาสใน น้อย จงึ ทาให้ขาด การเขา้ ถึงบรกิ าร โอกาสทาง การศึกษาและเรยี นรู้ การศกึ ษา อยา่ งต่อเน่อื ง - สภาพทาง เศรษฐกจิ ของ นโยบายสานักงาน ครอบครัว ทาใหไ้ ม่ กศน. มโี อกาสเรียน และ ยุทธศาสตร์และ บางรายเคยเรียนมา นานและไมม่ ีโอกาส จุดเน้นการ ไดอ้ ่านบ่อยทาให้ ดาเนินงาน ลมื หนังสือได้ สานักงาน กศน. 74
นโยบายรัฐบาล/ วิสัยทศั นข์ อง สภาพทาง สภาพขอ้ มูล สรุปความสอดคลอ้ ง นโยบายสานกั งาน สานักงาน กศน./ กายภาพ พน้ื ฐาน นามาส่รู ายวิชา สานกั งาน กศน. (ระบเุ ฉพาะสภาพ กศน. ท่ีเกยี่ วขอ้ ง) (ระบุสภาพข้อมลู จังหวดั / แต่ละด้าน) ประจาปงี บประมาณ สถานศกึ ษา/ 2560 วสิ ยั ทัศน์ของ สภาพทาง 3. ชอ่ื หลกั สูตร -จุดเน้นการ จงั หวัด/อาเภอ ดาเนินงาน กศน. เศรษฐกจิ การศึกษา ตามยุทธศาสตร์ วสิ ัยทศั น์ของ กระทรวงศกึ ษาธิการ จังหวัดลาปาง กลมุ่ อาชีพท่ีมี ตอ่ เนือ่ ง 6 ยุทธศาสตร์ “ลาปาง เมืองน่า ขอ้ 1 (1.1) และ อยู่ นครแห่ง ปัญหา/ความ หลักสตู รวชิ าชีพระยะ (1.3) ความสขุ ” ขอ้ 3 (3.2) ตอ้ งการในการ ส้ัน หลักสตู รการทอ ข้อ 4 (4.3) และ (4.4) พฒั นาทักษะฝีมือ ผา้ -ภารกิจต่อเนือ่ ง ข้อ 1 ด้านการจดั และขาดความรใู้ น 4. ชอื่ หลกั สตู ร การศึกษาและการ เรยี นรู้ เร่อื งการ รายวิชาเลอื ก ข้อ 2 ด้านหลักสตู ร สอ่ื รูปแบบการ ประชาสัมพันธ์ รายวิชาการทอผา้ เรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล งาน การตลาด ไดแ้ ก่ บรกิ ารทางวิชาการ กลุ่มทอผา้ บ้านสบ หมายเหตุ รายละเอียด มาย เนอื่ งจาก ยุทธศาสตร์และ จุดเนน้ การ - การผลติ สนิ ค้าไม่ ดาเนินงาน กศน. ประจาปงี บประมาณ สอดคลอ้ งกับความ ต้องการของตลาด - ขาดการส่งเสริม สนบั สนนุ การจดั กจิ กรรมพัฒนา ทักษะอาชพี อย่าง ตอ่ เน่ือง สภาพทาง 5. ชื่อหลักสูตร ส่งิ แวดลอ้ ม การศกึ ษา การลักลอบตัดไม้ ตอ่ เนื่อง ทาลายป่าของ หลักสูตรการศกึ ษา ประชาชน เพื่อพฒั นาทกั ษะชีวิต เนื่องจาก “การอบรมดา้ นการ - ประชาชนยังขาด อนรุ ักษ์ จิตสานึกในการดูแล ทรัพยากรธรรมชาติ 75
นโยบายรัฐบาล/ วิสัยทัศน์ของ สภาพทาง สภาพขอ้ มูล สรปุ ความสอดคล้อง นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน./ กายภาพ พนื้ ฐาน นามาสู่รายวชิ า สานักงาน กศน. (ระบเุ ฉพาะสภาพ กศน. ทเี่ กีย่ วขอ้ ง) (ระบุสภาพข้อมลู และสิง่ แวดล้อมใน จังหวัด/ แต่ละด้าน) ชุมชน” 2560 ดังภาคผนวก สถานศึกษา/ 6. ช่ือหลักสตู ร วิสัยทัศนข์ อง จังหวัด/อาเภอ การศึกษา ตอ่ เนือ่ ง รกั ษาปา่ ไม้ หลักสูตรการศกึ ษา เพ่ือพัฒนาทักษะชวี ิต สภาพทางสังคม/ “การอบรมด้านการ ดูแลสขุ ภาพของ วฒั นธรรม ผู้สงู อายุ” ผู้สงู อายุไม่ได้รับ 7. ช่อื หลักสูตร การศกึ ษา การดแู ลด้าน ต่อเนอ่ื ง สขุ ภาพกายและ หลักสูตรวิชาชีพระยะ สัน้ หลกั สูตรการจกั สขุ ภาพจิต สานผลติ ภัณฑ์จากไม้ ไผ่ เน่อื งจาก 8. ช่อื หลักสูตร - ขาดการดูแลเอา รายวิชาเลอื ก รายวิชาการจักสาน ใจใสจ่ ากคนใน ผลติ ภัณฑ์จากไมไ้ ผ่ ครอบครัว - ขาดความร้คู วาม เข้าใจในการดูแล ดแู ลสุขภาพตัวเอง - ลักษณะภูมิ สภาพทางสังคม/ ประเทศตาบลบ้าน วัฒนธรรม แลง มลี กั ษณะเป็น ผูส้ ูงอายตุ อ้ งการ ที่ราบสงู พ้ืนท่ีส่วน พฒั นาอาชพี ดา้ น ใหญเ่ ป็นปา่ สงวน การจกั สานให้มี แหง่ ชาติ และเขต รูปแบบท่ที นั สมัย ป่าเศรษฐกิจของ ตรงตามความ องค์การ ต้องการของตลาด อุตสาหกรรมป่าไม้ เนอื่ งจาก (อ.อ.ป.) มแี มน่ า้ - เพอ่ื รวมกลมุ่ ใช้ ลาห้วยทสี่ าคัญ เวลาวา่ งใหเ้ กิด ไหลผา่ น ได้แก่ ประโยชน์และมี แม่น้าวัง ลาห้วย รายได้เสรมิ 76
นโยบายรัฐบาล/ วิสัยทศั นข์ อง สภาพทาง สภาพข้อมลู สรปุ ความสอดคล้อง นโยบายสานกั งาน สานักงาน กศน./ กายภาพ พ้นื ฐาน นามาสรู่ ายวิชา สานกั งาน กศน. (ระบเุ ฉพาะสภาพ กศน. ทเี่ กีย่ วข้อง) (ระบสุ ภาพขอ้ มูล จงั หวัด/ แตล่ ะด้าน) สถานศกึ ษา/ แมม่ าย ลาหว้ ยแม่ วสิ ยั ทัศน์ของ อาง ลาหว้ ยแม่ปง - มีรายการส่ังซ้อื จงั หวัด/อาเภอ - ลกั ษณะสภาพ ผลติ ภัณฑ์ใน ทางภูมิศาสตร์ของ รปู แบบตา่ ง ๆ มาก ทตี่ ัง้ ชมุ ชนพบว่า ขน้ึ และตอ้ งการท่ี พืน้ ท่ใี นหลาย จะเรยี นรูเ้ พมิ่ เติม หมู่บ้านยงั เป็นเขต เกย่ี วกบั การรักษา ป่าสงวน และพน้ื ที่ คุณภาพของ เพาะปลูกทางการ ผลติ ภณั ฑ์ให้มอี ายุ เกษตรน้อย คิด การใช้งานยาวนาน เปน็ รอ้ ยละ 3 ของ ขนึ้ ท้งั ตาบล - เพ่ือการอนุรักษ์ - สภาพป่าชุมชน ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ในปัจจบุ นั ไม้ทพ่ี บ ในปา่ ชมุ ชนสว่ น ใหญเ่ ปน็ ไมไ้ ผ่ ซึ่ง ประชาชนยังใช้ ประโยชน์จากไม้ ไผ่ในการสร้าง รายได้ เช่น การ ขดุ หน่อไม้ขาย การใชไ้ ม้ไผเ่ ป็น วัตถุดิบในการจกั สานเครอื่ งใชใ้ น ครวั เรือนและ จาหนา่ ยเป็น รายได้เสรมิ ของ ครอบครวั 77
จากการวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลด้านต่าง ๆ เพ่ือกาหนดหลักสูตรรายวิชา เลือกหรอื หลักสตู รการศึกษาต่อเน่อื งของสถานศึกษา กอ่ นการร่างหลักสตู ร สงิ่ สาคัญอีกประการหน่ึง คือการเขียนความเป็นมา หรือการเขียนข้อมูลพ้ืนฐานและเหตุผลความจาเป็นในการจัดหลักสูตร ซึ่ง นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องเขียนเพ่ือแสดงให้เห็นว่าจัดหลักสูตรน้ีเพ่ือแก้ปัญหาหรือสนองตอบความ ตอ้ งการหรือตอ้ งการพัฒนาใคร ในเร่อื งใด การเขยี นความเปน็ มา ในการเขียนความเป็นมาหรือหลักการเหตุผลของหลักสูตร ให้เขียนถึงความสาคัญและ ความจาเปน็ ในการจดั ทาหรือพฒั นาหลกั สูตรน้ีวา่ มคี วามสาคัญและความจาเป็นอย่างไร โดยการเขียน อาจแบง่ เปน็ 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนแรก: ให้เขียนถึงความสาคัญและความจาเป็นของเรื่องตามหลักสูตรว่ามีความ สอดคล้องกับนโยบาย วิสัยทัศน์ของรัฐหรือของหน่วยงานในแต่ละระดับอย่างไร โดยพิจารณานา ข้อมูลท่ีไดร้ วบรวมไว้จากแบบวิเคราะหค์ วามสอดคลอ้ งของข้อมลู ตา่ ง ๆ (หน้า 74 - 75) และ/หรอื นา ข้อมลู สถานการณ์ สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมปัจจุบันท่ีเกี่ยวขอ้ งมาขยายความ เชือ่ มโยงให้เห็น ถึงความสาคญั และความจาเป็นเก่ียวกบั เรื่องตามหลักสูตรให้มีความชัดเจน เหน็ คุณค่าหรือประโยชน์ ที่จะเกดิ ขน้ึ แกก่ ลุ่มเป้าหมาย ชมุ ชนและสังคมโดยรวม สว่ นที่สอง: เขียนใหเ้ ห็นถึงสภาพชุมชน สังคมของกลุ่มเปา้ หมายว่าเป็นอย่างไร โดยนา ข้อมูลท่ีได้รวบรวมไว้จากแบบวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลต่าง ๆ เลือกข้อมูลในด้านที่ เกีย่ วขอ้ งนามาเขียนรายละเอียดสภาพชมุ ชนว่ามีทรัพยากร ทนุ ทางสังคม ภมู ิปญั ญาที่เป็นความรเู้ ดิม อะไรบ้างท่ีจะเอื้อหรือสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ได้ต่อเนื่อง มีสภาพปัญหาและความ ตอ้ งการพัฒนาในเร่อื งอะไรบา้ ง ซ่ึงเนื้อหารายละเอียดนี้จะเปน็ ข้อมลู สาคญั ท่ีจะนาไปใชใ้ นการกาหนด เน้ือหาในหลักสูตรได้ หากมรี ายละเอียดของข้อมูลความตอ้ งการการพัฒนามากเทา่ ใดกจ็ ะไดข้ ้อมลู มา กาหนดเนื้อหาในหลักสตู รมากเท่าน้ัน ท้ังนแ้ี สดงใหเ้ หน็ ว่าหลักสตู รนีส้ อดคล้องกับความต้องการของ กลมุ่ เปา้ หมายอยา่ งแท้จริง ส่วนที่สาม: เป็นข้อสรุปว่า สถานศึกษาได้จัดทาหลักสูตรน้ีเพ่ือส่งเสริมให้เรียนรู้ หรือ สนองตอบนโยบาย และความต้องการของประชาชนกล่มุ เปา้ หมายอยา่ งไร ต่อไปนเี้ ป็นตัวอยา่ งการเขียนความเป็นมา หรือข้อมลู พืน้ ฐานและความจาเปน็ ในการ จัดหลักสูตร ของหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง หลักสูตรวิชาชีพระยะส้ัน หลักสูตรการจักสาน ผลติ ภณั ฑจ์ ากไมไ้ ผ่ 78
ข้อมลู พนื้ ฐานและความจาเป็นในการจดั หลกั สูตร นโยบายจุดเน้นการดาเนินงานสานักงาน กศน.ปีงบประมาณ 2560 ได้กาหนดภารกิจ ต่อเนื่องด้านการจัดการศึกษาอาชีพเพ่ือการมีงานทาที่สอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนและ ศักยภาพของแต่ละพ้ืนที่โดยมีจุดเน้นการดาเนินงานการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองการ เปล่ียนแปลงและความต้องการของประชาชน ชมุ ชน สังคมในรูปแบบที่หลากหลาย การส่งเสริม ให้ประชาชนรู้จักใช้ประโยชน์ของทรัพยากรที่มอี ย่ใู นชมุ ชนอย่างประหยดั และเพิม่ คุณคา่ สามารถ ประกอบอาชีพเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมในครอบครัวได้ การประกอบอาชีพจักสาน ผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่เป็นผลิตภัณฑ์หัตถกรรมที่พบได้ในแต่ละชุมชนของประเทศท่ัวทุกภาค ส่วนใหญ่ จะเป็นเคร่ืองใชใ้ นครัวเรอื นและเคร่ืองใช้รองรับพืชผลทางการเกษตร เชน่ กระบุง กระดง้ ตะกร้า เข่ง เป็นต้น ซึ่งเป็นส่ิงจาเป็นที่ใช้ในชีวิตประจาวัน สามารถทาเองหรือหาซ้ือได้ในราคาไม่แพง สาหรับในแตล่ ะทอ้ งถ่ินท่ีมีแหล่งวตั ถุดิบในการจักสาน สว่ นใหญ่มักจะทากนั ในเวลาว่างหรอื หลัง ฤดเู ก็บเกีย่ ว สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนในทอ้ งถิน่ ได้อกี ทางหนง่ึ จากการศึกษาข้อมูลชุมชนตาบลบ้านแลงพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ การเกษตรเป็นอาชีพหลัก มีการรวมกลุ่มอาชีพที่หลากหลาย ท้ังท่ีเป็นกลุ่มตามธรรมชาติหรือ แบบไมเ่ ป็นทางการและกลุม่ แบบเป็นทางการ เช่น กลมุ่ เกษตรกร กลุม่ ผู้สูงอายุ กลมุ่ แม่บ้าน กลุ่ม ออมทรัพย์ กลุ่มอาชพี ต่าง ๆ ได้แก่กลุ่มปลูกถั่วเหลือง กลุ่มไม้กวาด กลุ่มทอผ้า กลุ่มจักสาน เป็น ต้น จากข้อมูลการจัดเวทีประชาคมด้านสังคม พบว่าชุมชนมีภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านจักสานเป็น กลุ่มผู้สูงอายุที่มีการรวมตัวกันจัดต้ังเป็นกลุ่มอาชีพที่ใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาของตนเองและ ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน คือ ไม้ไผ่ เพ่ือใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในการสร้างงานสร้างอาชีพ ให้แก่ตนเอง และตอ้ งการอนุรกั ษ์ภูมปิ ัญญาด้านจกั สานให้คงอยู่ แตใ่ นการดาเนินงานกลุ่มอาชีพ จักสานที่ผ่านมา ยังประสบปัญหาในด้านการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานให้ ยาวนานข้ึนและรูปแบบผลิตภัณฑ์ไม่ทันสมัย ตามความต้องการของตลาด สมาชกิ กลุ่มจึงมีความ ต้องการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ท่ีทันสมัย ให้มีคุณภาพ และมีความหลากหลายตรงกับความ ต้องการของตลาด เพื่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านจักสานให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน สรา้ งงานสรา้ งรายได้ให้แกค่ นในชุมชนต่อไป ดังนั้น สถานศึกษา/กศน.ตาบลบ้านแลงจงึ ได้จดั ทาหลักสตู ร “การจักสานผลิตภัณฑจ์ าก ไม้ไผ่” ขึ้นเพ่ือตอบสนองความต้องการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมาย และส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่ ประชาชนได้ใช้ศักยภาพและทรัพยากรทมี่ ีอยู่ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าในการสร้างรายได้และการมี งานทารวมถงึ การอนุรักษภ์ มู ิปัญญาท้องถิ่นใหค้ งอยูอ่ ยา่ งยัง่ ยืน 79
สาหรับการเขียนความเป็นมาของหลักสูตรรายวิชาเลือก หลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 จะต้องพิจารณาเพิม่ เติมในสว่ นของข้อมูลที่ ได้จากการสารวจข้อมูลรายบคุ คลของนกั ศึกษาที่ลงทะเบยี นเรยี นในภาคเรียนน้ัน วา่ มคี วามสนใจ และต้องการเรียนรู้ในเรือ่ งใด ดว้ ยเหตุผลใด เพื่อนามาเป็นขอ้ มลู ในการพิจารณากาหนดรายวิชา เลือกที่สอดคล้องกับสภาพ ปัญหา ความต้องการ ความสนใจของผู้เรียนรายบุคคลหรือรายกลุ่ม หรือรายชุมชน ตอ่ ไปนี้เปน็ ตวั อยา่ งการเขยี นความเป็นมาของหลักสูตรรายวิชาเลอื ก รายวชิ าการจัก สานผลิตภัณฑจ์ ากไม้ไผ่ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทผี่ ้เู รียนมคี วามสนใจในเรื่องเก่ียวกับการจัก สานผลติ ภัณฑจ์ ากไม้ไผ่ ซง่ึ ชุมชนของผเู้ รียนมีทรพั ยากรไมไ้ ผ่ และภมู ปิ ัญญาดา้ นการจักสาน 80
ความเปน็ มา นโยบายจุดเน้นการดาเนินงานสานักงาน กศน.ปีงบประมาณ 2560 ได้กาหนด ภารกิจต่อเน่ือง ด้านการจัดการศึกษาอาชีพเพ่ือการมีงานทาที่สอดคล้องกับศักยภาพของ ผเู้ รียนและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ โดยมีจุดเน้นการดาเนินงานการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ี ตอบสนองการเปล่ียนแปลงและความต้องการของประชาชน ชุมชน สังคมในรูปแบบที่ หลากหลาย การส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักใช้ประโยชน์ของทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนอย่าง ประหยัดและเพ่ิมคุณค่า สามารถประกอบอาชีพเป็นอาชพี หลักหรืออาชีพเสริมในครอบครัว ได้ การประกอบอาชีพจักสานผลติ ภณั ฑไ์ มไ้ ผ่ เป็นผลิตภณั ฑ์หัตถกรรมท่ีพบได้ในแต่ละชุมชน ของประเทศทั่วทุกภาค ส่วนใหญ่จะเป็นเคร่ืองใช้ในครัวเรือนและเครื่องใช้รองรับพืชผลทาง การเกษตร เช่น กระบุง กระด้ง ตะกร้า เข่ง เป็นต้น ซึ่งเป็นส่ิงจาเป็นท่ีใช้ในชีวิตประจาวัน สามารถทาเองหรอื หาซื้อได้ในราคาไมแ่ พงสาหรับในแต่ละท้องถิ่นที่มีแหล่งวัตถุดิบในการจัก สาน ส่วนใหญ่มักจะทากันในเวลาว่างหรือหลังฤดูเก็บเก่ียว สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ ใหก้ ับประชาชนในทอ้ งถ่ินได้อกี ทางหนงึ่ จากการศกึ ษาชมุ ชนและขอ้ มูลสภาพปัญหาความต้องการการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายท่ีลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนท่ี 2/2559 พบว่าคนในชุมชนส่วนใหญ่ ประกอบอาชพี ทางการเกษตรเป็นอาชีพหลัก และมรี ายไดเ้ สรมิ จากการรบั จ้าง การหาของป่า หตั ถกรรมและอุตสาหกรรมในครวั เรือนเช่น การทาไมก้ วาด การจกั สาน เนอื่ งจากในปา่ ชมุ ชน ส่วนใหญ่มีไม้ไผ่เป็นทรัพยากรท่ีประชาชนยังใช้ประโยชน์ในการสร้างรายได้ เช่นการขุด หน่อไม้ไปขาย การทาไม้กวาด การจักสาน เป็นต้น นอกจากนี้การจักสานยังเป็นภูมิปัญญา ทอ้ งถิ่นของกลุ่มผู้สูงอายุในชมุ ชนท่ีรวมกล่มุ กันจัดต้ังเป็นกลุ่มอาชีพจักสาน เพื่อสร้างรายได้ ใหแ้ ก่ตนเอง ท้ังยังเป็นแหล่งเรียนรูภ้ ูมิปัญญาท้องถน่ิ ดา้ นการจกั สานของชุมชน และจากการ สรุปข้อมูลความต้องการการเรียนรู้รายบุคคล พบว่าผู้เรียนมีความสนใจและต้องการเรียนรู้ การประกอบอาชพี จักสานเพ่ืออนุรักษ์ ต่อยอดองค์ความรภู้ ูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการจักสาน ของชุมชนและสร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ตนเอง โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนให้เกิด ประโยชน์ แต่ยังขาดความรู้พ้นื ฐาน และทกั ษะฝีมือด้านการจักสาน สถานศึกษา/กศน.ตาบลบ้านแลง จึงได้จัดทาหลักสูตรรายวิชาเลือกหลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551รายวิชา“การจักสาน ผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่” ข้ึนเพ่ือตอบสนองความต้องการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือกลุ่มสนใจได้ เรียนรู้ สามารถนาไปใช้ประโยชนใ์ นการพัฒนาตนเอง การประกอบอาชพี หลักและอาชีพเสริม เพอ่ื สรา้ งรายได้ใหแ้ ก่ตนเองและครอบครัว รวมทงั้ การอนรุ กั ษ์สืบทอดภูมปิ ญั ญาในทอ้ งถิ่นให้ คงอยู่สบื ไป 81
จะเห็นได้ว่า จากการวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลพ้ืนฐานด้านต่าง ๆ เพื่อ กาหนดหลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ืองของสถานศึกษา ข้อมูลบางด้าน สามารถนามากาหนดหลักสูตรได้ทงั้ หลกั สูตรรายวิชาเลอื กหรือหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง ซึ่งการ จัดทาและพัฒนาหลกั สูตรใด ต้องพิจารณาว่าจะพัฒนาหลักสูตรนน้ั เพื่อพัฒนากล่มุ เปา้ หมายใด ถ้าเป็นการพัฒนากลุ่มเป้าหมายท่ีเป็นนักศึกษา กศน. หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ก็ต้องพัฒนาเป็นหลักสูตรรายวิชาเลือก แต่ถ้าเป็นการ พฒั นาหลกั สตู ร เพ่อื พัฒนากลุม่ เปา้ หมายประชาชน กต็ อ้ งพฒั นาเป็นหลกั สูตรการศึกษาตอ่ เน่อื ง ขอ้ สังเกตทสี่ าคญั อีกประการหนึง่ ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ส่วนใหญค่ รู กศน. มกั จะจัดเก็บข้อมลู เพอื่ นามาจัดทาแผนปฏบิ ัตกิ ารประจาปีอยแู่ ล้ว ดังนน้ั ในการจัดทา และพัฒนาหลกั สูตร จงึ มิใช่เป็นการจัดเกบ็ รวบรวมข้อมูลใหม่ แตห่ ากเป็นการนาขอ้ มลู ท่ไี ด้ วิเคราะหแ์ ล้วจากแผนปฏบิ ตั กิ ารประจาปี มาจัดทาและพัฒนาหลกั สตู รทีส่ อดคล้องกบั บริบท และความตอ้ งการของกล่มุ เป้าหมายและชมุ ชน เว้นแต่วา่ ข้อมลู ทีไ่ ด้มานัน้ ไมส่ มบูรณ์ ก็ สามารถเกบ็ รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม หรอื ทบทวนขอ้ มลู ใหมอ่ กี ครง้ั ส า ห รับ ก า ร น าข้ อ มู ล แ ล ะ ร าย ชื่ อ ห ลั ก สู ต ร ที่ ก า ห น ด ไว้ ใ น แ บ บ วิ เ ค ร า ะห์ ค ว า ม สอดคล้องของข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ เพ่ือกาหนดหลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสูตรการศึกษา ตอ่ เนื่องของสถานศึกษา ไปจัดทาร่างหลักสตู ร จะกล่าวโดยละเอียดในตอนท่ี 3 การร่างหลกั สตู ร ของคู่มอื การพฒั นาหลักสูตรฯ เลม่ นี้ 82
ตอนที่ 3 การร่างหลกั สูตร ในตอนที่ 3 การร่างหลักสูตรน้ี จะเป็นการดาเนินการจัดทาและพัฒนาหลักสูตร ตาม กระบวนการพัฒนาหลักสูตรในตอนท่ี 1 หน้า 5 ขั้นท่ี 2 – 4 คือ กาหนดหลักการ/จุดมุ่งหมายของ หลักสูตร เลือกและจัดเนื้อหาประสบการณ์ในหลักสูตร กาหนดแนวทางการประเมินผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน/ประเมินหลักสูตร โดยนาผลการวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐานมาร่างหลักสูตรรายวิชาเลือก หรือหลักสูตรการศกึ ษาต่อเน่ือง กอ่ นนาร่างหลกั สูตรดังกล่าวไปเขยี นหลักสูตรตามองค์ประกอบของ หลักสตู รรายวิชาเลอื กหรอื หลักสตู รการศกึ ษาต่อเน่ือง ต่อไป สาหรับการร่างหลักสูตรในตอนนี้ จะขอใช้ตัวอย่างจากการวิเคราะห์ความสอดคล้องของ ข้อมูลด้านต่าง ๆ เพ่ือกาหนดหลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ืองของ สถานศึกษา ในตอนท่ี 2 หน้า 72 - 73 เพ่ือเป็นแนวทางในการร่างหลักสูตร โดยจะเลือกพัฒนา หลักสูตรรายวิชาเลือก รายวิชาการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ และหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง หลักสตู รวชิ าชพี ระยะสั้น หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑจ์ ากไม้ไผ่ ซ่ึงจะเปน็ การใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน เพือ่ พัฒนาหลกั สูตรรายวชิ าเลอื ก สาหรับกลมุ่ เปา้ หมายนกั ศึกษา กศน. หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบ ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง สาหรับ กลุ่มเป้าหมายประชาชนท่วั ไป โดยจะดาเนินการตามกระบวนการพัฒนาหลกั สตู รขั้นตอนท่ี 2 – 4 คือ กาหนดหลักการ/จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เลือกและจัดเนื้อหาประสบการณ์ในหลักสูตร กาหนด แนวทางการประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและแนวทางการประเมนิ หลักสูตร ดงั ตอ่ ไปน้ี
การกาหนดหลกั การและจดุ ม่งุ หมายของหลักสูตร หลักการ เป็นเป้าหมายปลายทางของหลักสูตรนั้น จะบอกให้รู้ว่าหลกั สูตรนั้น ๆ จัดข้ึนเพ่ือ อะไร ซ่งึ จะกาหนดไวใ้ นลกั ษณะเชิงปรชั ญาของหลักสูตร จดุ มุ่งหมาย แสดงความคาดหวังของหลักสูตรว่าผู้ที่เรียนจบหลักสูตรน้ีแล้วจะมคี ุณลักษณะ อยา่ งไร สาหรับหลักสูตรรายวิชาเลือก จะไม่กาหนดหลักการและจุดมุ่งหมาย เนื่องจากหลักสูตร รายวิชาเลือก เป็นส่วนหน่ึงของหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ซึ่งได้กาหนดหลักการและจดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู รแกนกลางไวแ้ ลว้ ต่อไปนเี้ ป็นตัวอย่างการกาหนดหลักการและจดุ มุ่งหมายของหลกั สูตรการศึกษาต่อเน่อื ง หลกั สตู ร วิชาชพี ระยะส้นั หลักสตู รการจักสานผลติ ภัณฑจ์ ากไมไ้ ผ่ 1. การกาหนดหลักการ พิจารณาว่า หลักสูตรนี้จัดขึ้นเพ่ืออะไร โดยการพิจารณาจากผล การวิเคราะห์ข้อมูลพืน้ ฐานในแต่ละดา้ นว่ามที ี่มา เหตผุ ลความจาเป็นอย่างไรในการจัดทาและพัฒนา หลักสูตรนี้ สาหรับหลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ ได้พิจารณาจากข้อมูลด้านสังคม/ วัฒนธรรมท่ีระบุว่า “ผู้สูงอายุต้องการพัฒนาอาชีพด้านการจักสานให้มีรูปแบบที่ทันสมัย ตรงตาม ความต้องการของตลาด” นอกจากน้ีจะต้องพิจารณาปรัชญาการศึกษา จิตวิทยา และทฤษฎีการ เรียนรู้มาเป็นองค์ประกอบในการจัดหลักสูตร ซ่ึงจากการพิจารณาได้แนวทางในการกาหนดหลักการ ดังน้ี 1) จัดหลกั สตู รเพ่อื ให้ผูส้ ูงอายไุ ด้รวมกลุม่ ใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์และมีรายได้เสริม 2) จัดหลักสตู รเพ่อื การอนรุ กั ษภ์ ูมิปญั ญาทอ้ งถ่ิน 3) การจัดหลักสูตรวชิ าชพี ควรพิจารณาเลือกใช้ทฤษฎีการเรียนร้ทู ี่เน้นใหผ้ ู้เรียนเรียนรู้ จากการปฏิบัติจริง น่ันคอื ทฤษฎีการเรียนรู้ของจอหน์ ดิวอี้ (John Dewey) 4) การจัดหลักสูตรสาหรับผู้ใหญ่ควรมีความยืดหยุ่นทั้งเนื้อหาสาระ และเวลาในการ จัดการเรียนรู้ เม่ือได้แนวทางในการกาหนดหลักการของหลักสูตร ดังนั้น หลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง หลักสูตรวิชาชีพระยะส้ัน หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ สามารถกาหนดหลักการของ หลกั สูตรได้ดงั นี้ 84
หลกั การ 1. เปน็ หลักสตู รเพื่อส่งเสริมให้ผ้สู งู อายุได้รวมกลุม่ ใช้เวลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชน์ 2. เปน็ หลักสูตรเพอ่ื สง่ เสรมิ อาชีพท่ีสามารถสรา้ งรายไดไ้ ด้จรงิ 3. เปน็ หลกั สตู รท่ีส่งเสริมการอนรุ ักษภ์ ูมิปัญญาดา้ นการจักสาน 4. เป็นหลักสตู รทส่ี ง่ เสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการลงมอื ปฏิบตั ิจริง 5. เป็นหลกั สตู รทม่ี โี ครงสรา้ งยดื หยุ่นทง้ั ดา้ นสาระ เวลา และการจัดการเรยี นรู้ 6. เปน็ หลกั สตู รทีส่ ามารถนาความรู้และประสบการณท์ ีไ่ ดร้ ับไปประยุกต์ใชใ้ นการ ประกอบอาชีพ 2. การกาหนดจุดมงุ่ หมาย พิจารณาวา่ ผู้ท่เี รียนจบหลกั สตู รนแ้ี ลว้ จะมคี ณุ ลักษณะอยา่ งไร สาหรับหลักสูตรน้ีเป็นหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น จะต้องพิจารณาถึงคุณลักษณะของผู้ที่จะประกอบ อาชีพน้ัน ๆ และควรพิจารณาจากอัตลกั ษณ์ของสถานศึกษาควบคู่กันไปด้วย ซึ่งจากการพิจารณาได้ แนวทางในการกาหนดจดุ มงุ่ หมาย ดงั น้ี 1) ในการประกอบอาชีพใดก็ตาม สิ่งท่ีต้องคานึงถึงก็คือ คุณลักษณะของผู้ท่ีจะ ประกอบอาชีพน้ัน ๆ ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับอาชีพ ทักษะการประกอบอาชีพ การบริหาร จัดการในการประกอบอาชพี คุณธรรมในการประกอบอาชพี เป็นต้น 2) พจิ ารณาอัตลักษณ์ของสถานศกึ ษาในด้านท่ีเกย่ี วข้องกับการประกอบอาชีพ เช่น ใฝ่ เรียนรคู้ ู่คุณธรรม เม่อื ได้แนวทางในการกาหนดจดุ มุ่งหมายของหลกั สูตร ดังน้นั หลกั สตู รการศึกษาต่อเนื่อง หลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ สามารถกาหนดจุดมุ่งหมายของ หลกั สูตรได้ดงั นี้ จุดมุ่งหมาย หลักสูตรนีใ้ ห้ความรู้และประสบการณ์เพ่อื ใหผ้ จู้ บหลกั สตู รมีคณุ ลักษณะดงั นี้ 1. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และทกั ษะการประกอบอาชีพจักสานผลิตภัณฑจ์ ากไมไ้ ผ่ 2. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และทักษะการบริหารจัดการในอาชีพจกั สานผลติ ภัณฑ์จากไม้ไผ่ 3. มีคุณธรรมในการประกอบอาชีพ 4. มีเจตคตทิ ดี่ ีต่อการประกอบอาชีพจักสานผลิตภัณฑจ์ ากไมไ้ ผ่ 5. มที ักษะในการแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง 85
การเลอื กและจดั เน้ือหาประสบการณห์ ลักสูตร ในขน้ั ตอนน้จี ะดาเนนิ การ ดงั น้ี 1. เลือกและจัดเน้ือหาและประสบการณ์ท่ีช่วยเอื้อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะตามท่ีคาดหวังไว้ใน จุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร โดยเนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย ขอบเขตเนื้อหาความรู้ท่จี ะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผ้เู รียนจะไดร้ ับจากการได้ลง มือทาหรือปฏิบัติ และกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเป็นแนวทางหรือวิธีการท่ีจะช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้ เนื้อหาและประสบการณต์ ่าง ๆ 2. จัดทาโครงสร้างหลักสตู ร ประกอบดว้ ยรายวชิ า หรอื หัวเรอ่ื งของเนื้อหา และเวลาเรียน 3. จัดทาคาอธบิ ายของเนอื้ หาของแต่ละรายวชิ า หรอื แต่ละหัวเร่อื ง สาหรับคู่มือฯ เล่มน้ี จะยกตัวอย่างการเลือกและจัดเนื้อหาประสบการณ์หลักสูตรของ หลักสูตรรายวิชาเลือก รายวิชาการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง หลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ โดยใช้แบบวิเคราะห์เน้ือหากับ ขอ้ มูลพ้นื ฐานด้านต่าง ๆ ดงั นี้ แบบวิเคราะห์เนอ้ื หาหลกั สตู รกับขอ้ มูลพน้ื ฐานด้านต่าง ๆ ชอ่ื หลักสูตร การจักสานผลติ ภัณฑ์จากไมไ้ ผ่ วสิ ัยทัศนข์ อง เน้อื หา นโยบายรฐั บาล/ สานักงาน กศน./ สภาพทาง สภาพข้อมลู นโยบายสานกั งาน สานกั งาน กศน. กายภาพ พืน้ ฐาน จงั หวดั /สถานศึกษา/ กศน. วสิ ยั ทัศนข์ องจงั หวดั / อาเภอ 1. หวั เรื่องหลัก ระบุเฉพาะนโยบาย ระบเุ ฉพาะวสิ ยั ทศั นท์ ี่ ระบุเฉพาะสภาพ ระบสุ ภาพขอ้ มลู 1.1 หัวเรอ่ื งยอ่ ย ท่ีเกี่ยวขอ้ ง เกยี่ วขอ้ ง สอดคลอ้ ง ที่เก่ียวขอ้ งกบั แตล่ ะด้านที่ 1.2 หวั เรอ่ื งยอ่ ย สอดคล้องกับเน้อื หา กับเนอ้ื หา เน้อื หา เก่ยี วข้อง 1.3 หวั เรอื่ งยอ่ ย สอดคลอ้ งกับ เนื้อหา 2. หัวเรอ่ื งหลกั ระบเุ ฉพาะนโยบาย ระบุเฉพาะวสิ ยั ทัศนท์ ่ี ระบุเฉพาะสภาพ ระบุสภาพข้อมูล 2.1 หัวเร่ืองยอ่ ย ท่ีเกีย่ วข้อง เกย่ี วขอ้ ง สอดคลอ้ ง ที่เกีย่ วข้อง แต่ละดา้ นท่ี 2.2 หัวเรอ่ื งยอ่ ย สอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หา กับเนอ้ื หา สอดคล้องกบั เกย่ี วข้อง 2.3 หัวเร่ืองยอ่ ย เนือ้ หา สอดคล้องกบั เนือ้ หา หมายเหตุ กาหนดเน้อื หาให้ครอบคลมุ สภาพ/ปญั หา ความต้องการทกุ ๆ ดา้ น 86
ตัวอยา่ งการวเิ คราะหเ์ นือ้ หาหลกั สูตรกับข้อมลู พน้ื ฐานดา้ นต่าง ๆ แบบวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาหลกั สตู รกบั ขอ้ มูลพ้นื ฐานด้านต่าง ๆ ชื่อหลักสตู ร การจักสานผลติ ภณั ฑจ์ ากไมไ้ ผ่ วิสัยทัศนข์ อง เนอื้ หา นโยบายรฐั บาล/ สานกั งาน กศน./ สภาพทาง สภาพข้อมูล นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน. กายภาพ พ้ืนฐาน (ระบเุ พาะสภาพ (ระบุสภาพ กศน. จงั หวดั / ท่เี กี่ยวข้อง) สถานศกึ ษา/ ขอ้ มลู แต่ละด้าน) วิสัยทัศนข์ อง จังหวดั /อาเภอ 1. ชอ่ งทางการตัดสินใจ นโยบายรฐั บาล - - ลักษณะภูมิ สภาพทางสังคม/ เลอื กประกอบอาชีพการจัก ยทุ ธศาสตร์ ประเทศตาบล วัฒนธรรม สานผลิตภัณฑจ์ ากไมไ้ ผ่ กระทรวงศึกษาธิการ บา้ นแลง มี ผูส้ ูงอายุต้องการ วเิ คราะห์ความเปน็ ไป 6 ยทุ ธศาสตร์ ลักษณะเป็นท่ี พัฒนาอาชีพดา้ น ไดจ้ ากข้อมูลดังนี้ ขอ้ 1 พัฒนา ราบสงู พ้ืนที่ส่วน การจักสานใหม้ ี 1) ขอ้ มลู ตนเอง หลักสตู ร กระบวนการ ใหญเ่ ปน็ ป่าสงวน รูปแบบทที่ ันสมัย 2) ขอ้ มลู วิชาการ เรยี นการสอน และ แหง่ ชาติ และเขต ตรงตามความ 3) ขอ้ มูลทางสังคม การวัดประเมินผล ป่าเศรษฐกจิ ของ ตอ้ งการของ ส่ิงแวดล้อม ข้อ 3 ผลิตและ องค์การ ตลาด เน่ืองจาก พฒั นากาลังคน อตุ สาหกรรมปา่ - เพ่ือรวมกลุ่มใช้ รวมทั้งงานวจิ ยั ท่ี ไม้ (อ.อ.ป.) มี เวลาว่างให้เกดิ สอดคล้องกับความ แม่นา้ ลาหว้ ยท่ี ประโยชน์และมี ตอ้ งการของการ สาคัญไหลผา่ น รายได้เสรมิ พัฒนาประเทศ ไดแ้ ก่ แม่น้าวัง - มีรายการส่งั ซ้ือ ขอ้ 4 ขยายโอกาส ลาหว้ ยแมม่ าย ผลติ ภณั ฑ์ใน ในการเขา้ ถึงบรกิ าร ลาหว้ ยแม่อาง ลา รูปแบบต่าง ๆ การศึกษาและเรียนรู้ หว้ ยแม่ปง มากขึน้ และ อย่างต่อเน่อื ง - ลักษณะสภาพ ต้องการที่จะ ทางภมู ิศาสตร์ เรียนรู้เพ่ิมเติม นโยบายสานักงาน ของท่ีตงั้ ชุมชน เกย่ี วกบั การรกั ษา กศน. พบว่า พ้ืนท่ใี น คุณภาพของ ยทุ ธศาสตรแ์ ละ หลายหมบู่ า้ นยงั ผลติ ภณั ฑ์ใหม้ ี เป็นเขตปา่ สงวน อายุการใชง้ าน 87
วิสยั ทัศนข์ อง เนอ้ื หา นโยบายรัฐบาล/ สานักงาน กศน./ สภาพทาง สภาพขอ้ มลู นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน. กายภาพ พ้ืนฐาน 2. ความรู้ทั่วไปเกยี่ วกับไม้ (ระบุเพาะสภาพ (ระบสุ ภาพ ไผ่ กศน. จงั หวดั / ที่เกีย่ วขอ้ ง) 2.1 ชนิดของไม้ไผ่ทใ่ี ช้ใน สถานศกึ ษา/ ข้อมูลแต่ละด้าน) การจกั สาน วสิ ัยทัศน์ของ 2.2 ข้อสงั เกตในการนาไม้ ไผม่ าทาเครอ่ื งจักสาน จังหวัด/อาเภอ 3. ความรู้ทั่วไปเกยี่ วกับ จดุ เน้นการ และพ้ืนที่ ยาวนานขึ้น การจักสานไม้ไผ่ 3.1 ศัพท์ช่างสาน ดาเนนิ งาน เพาะปลูก - เพื่อการอนุรักษ์ 3.2 ลายเคร่ืองสาน 3.3 อุปกรณใ์ นการจักสาน สานักงาน กศน. ทางการเกษตร ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ ไมไ้ ผ่ 4. การจกั สานไม้ไผ่ ประจาปีงบประมาณ - นอ้ ย คิดเปน็ ร้อย ผู้สงู อายุตอ้ งการ 4.1 การจักตอก 4.2 การสาน การเข้าขอบ 2560 ละ 3 ของท้ัง พฒั นาอาชีพดา้ น และการมัดขอบ 4.3 วิธกี ารสานลานลาย -จดุ เน้นการ ตาบล การจักสานใหม้ ี ต่าง ๆ 1) ลายขัด ดาเนนิ งาน กศน. - สภาพป่าชุมชน รปู แบบทท่ี นั สมัย 2) ลายชะลอม 3) ลายวงพระจันทร์ (ลาย ตามยุทธศาสตร์ ในปจั จุบนั ไม้ที่ ตรงตามความ หวั สุ่ม) 4) ลายเวียนก้นหอย กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พบในปา่ ชุมชน ตอ้ งการของ 5) ลายตาหลว่ิ 6 ยุทธศาสตร์ ส่วนใหญเ่ ป็นไม้ ตลาด ข้อ 1 (1.1) และ - ไผ่ ซึ่งประชาชน - เพอ่ื การอนุรักษ์ (1.3) ยงั ใช้ประโยชน์ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ ข้อ 3 (3.2) จากไมไ้ ผ่ในการ ข้อ 4 (4.3) และ สร้างรายได้ เช่น (4.4) การขุดหน่อไม้ -ภารกิจตอ่ เนอ่ื ง ขาย การใช้ไม้ไผ่ ขอ้ 1 ด้านการจดั - เป็นวตั ถดุ บิ ใน - มีรายการสั่งซ้ือ การศึกษาและการ การจักสาน ผลติ ภัณฑใ์ น เรียนรู้ เครื่องใช้ใน รูปแบบตา่ ง ๆ ข้อ 2 ด้านหลกั สตู ร ครัวเรอื นและ มากข้นึ และ สอ่ื รปู แบบการ จาหน่ายเป็น ตอ้ งการทจ่ี ะ เรียนรู้ การวัดและ รายได้เสริมของ เรยี นรู้เพ่มิ เติม ประเมินผล งาน ครอบครวั เกย่ี วกับการรกั ษา บริการทางวิชาการ คณุ ภาพของ ผลิตภณั ฑ์ให้มี อายกุ ารใชง้ าน ยาวนานข้ึน 88
วิสัยทัศน์ของ เนื้อหา นโยบายรฐั บาล/ สานักงาน กศน./ สภาพทาง สภาพข้อมูล นโยบายสานักงาน สานักงาน กศน. กายภาพ พืน้ ฐาน 4.4 การขึ้นรปู เคร่ืองสาน (ระบเุ พาะสภาพ (ระบุสภาพ ประเภทต่าง ๆ กศน. จังหวัด/ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง) 1) การสานตะกร้า สถานศกึ ษา/ ข้อมูลแต่ละดา้ น) 2) การสานชะลอม วิสัยทัศนข์ อง 3) การสานกระเป๋า 4) การสานกล่องกลอ่ งใส่ จงั หวัด/อาเภอ กระดาษทชิ ชู่ 5) การสานถาดผลไม้ทรง - - เพอ่ื รวมกลมุ่ ใช้ สเี่ หลีย่ ม ทรงกลม และทรงรี เวลาว่างใหเ้ กิด 4.5 การยอ้ มสผี ลติ ภัณฑ์ ประโยชน์และมี จากไม้ไผ่ รายได้เสริม 4.4 เทคนคิ การเกบ็ รกั ษา ผลิตภัณฑ์ 5. การบริหารจัดการใน การประกอบอาชพี 5.1 การบริหารจดั การการ ผลิต 1) การสารวจแหลง่ เงินทุน และแหล่งวัตถดุ บิ ใน ท้องถ่ิน 2) การกาหนดมาตรฐาน ผลิตภณั ฑ์ และการควบคุม คุณภาพผลผลติ 3) คณุ ธรรมในการ ประกอบอาชีพ (ความ รบั ผิดชอบ ความซื่อสัตย์ สุจรติ ความขยัน อดทน ฯลฯ) 89
เน้อื หา นโยบายรฐั บาล/ วสิ ยั ทศั นข์ อง สภาพทาง สภาพข้อมูล นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน./ กายภาพ พืน้ ฐาน 5.2 การบรหิ ารจัดการ สานักงาน กศน. (ระบุเพาะสภาพ (ระบุสภาพ การตลาด กศน. ทีเ่ กย่ี วข้อง) 5.2.1 การจัดการการตลาด จงั หวัด/ ขอ้ มลู แตล่ ะด้าน) 1) หลกั การจัดการ สถานศึกษา/ การตลาด วสิ ยั ทัศน์ของ 2) ขอ้ มลู ทางการตลาด จังหวดั /อาเภอ (วิธีการหาขอ้ มูล การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การ วิเคราะหข์ ้อมูล และการนา ข้อมลู ไปใช้) 3) การวางแผนผลิตสนิ ค้า 4) ช่องทางการจาหนา่ ย 5) การขายและการสง่ เสริม การขาย 5.2.2 การทาบัญชี 1) ความหมายและ ประโยชน์ของการทาบัญชี 2) บัญชีตน้ ทุนในการ ประกอบอาชีพ 3) การคานวณต้นทุน-กาไร ในการผลิต -วิธกี ารคดิ กาไร-ขาดทุนใน การประกอบอาชีพ -การกาหนดราคาขาย 5.3 ปญั หาอุปสรรคในการ ประกอบอาชีพ 5.3.1 ปัญหาดา้ น กระบวนการผลติ 90
วสิ ัยทศั นข์ อง เนื้อหา นโยบายรฐั บาล/ สานกั งาน กศน./ สภาพทาง สภาพข้อมลู นโยบายสานักงาน สานักงาน กศน. กายภาพ พื้นฐาน 5.3.1 ปญั หาด้านการตลาด (ระบเุ พาะสภาพ (ระบสุ ภาพ 6. การจัดทาโครงการ กศน. จงั หวดั / ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง) ประกอบอาชีพ สถานศึกษา/ ขอ้ มลู แต่ละดา้ น) 6.1 ความสาคัญของ วสิ ยั ทศั นข์ อง โครงการประกอบอาชีพ 6.2 ประโยชน์ของโครงการ จงั หวัด/อาเภอ ประกอบอาชีพ 6.3. องคป์ ระกอบของ - - เพื่อรวมกลมุ่ ใช้ โครงการประกอบอาชีพ เวลาว่างใหเ้ กิด 6.4 การเขียนโครงการ ประโยชน์และมี 6.5 การประเมินความ รายได้เสริม เหมาะสมและสอดคล้อง ของโครงการ - เพอื่ รวมกลุ่มใช้ 7. การศกึ ษากรณีตัวอยา่ ง เวลาวา่ งใหเ้ กิด กรณีตัวอยา่ งผู้ ประโยชน์และมี ประกอบอาชีพจกั สาน รายได้เสริม ผลิตภัณฑจ์ ากไม้ไผ่ ใน ประเด็น ดังน้ี 1) ช่องทางการประกอบ อาชพี 2) ทักษะการประกอบ อาชพี 3) การบรหิ ารจัดการใน การประกอบอาชพี 91
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198