หลกั สูตรโค้ชเพอื่ การรู้คดิ ตา้ นทจุ ริต ส�ำ นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๑
หลักสูตรโคช้ เพอ่ื การรคู้ ดิ ตา้ นทุจรติ พิมพ์ครัง้ ท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ จ�ำ นวนพิมพ์ ๑๘๗ เล่ม ผู้จดั พมิ พ ์ สำ�นักงานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ พิมพ์ท่ี ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำ กัด สาขา ๔ ๑๔๕ , ๑๔๗ ถ.เล่ยี งเมอื งนนทบุรี ต.ตลาดขวัญ อ.เมอื ง จ.นนทบรุ ี ๑๑๐๐๐ โทร. ๐ ๒๕๒๕ ๔๘๐๗-๙ , ๐ ๒๕๒๕ ๔๘๕๓-๔ โทรสาร ๐ ๒๕๒๕ ๔๘๕๕ E-mail : [email protected] www.co-opthai.com
ค�ำ น�ำ ยุทธศาสตรช์ าติวา่ ด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ได้ก�ำ หนดประเด็นยุทธศาสตรท์ ่ี ๑ สร้างสงั คมท่ีไมท่ นตอ่ การทุจริต ประกอบดว้ ย กลยทุ ธท์ ่ี ๑ ปรับฐาน ความคิดทกุ ช่วงวยั ตง้ั แตป่ ฐมวัยเปน็ ต้นไปให้สามารถแยกระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ สว่ นรวม กลยทุ ธท์ ี่ ๒ สง่ เสรมิ ใหม้ รี ะบบและกระบวนการกลอ่ มเกลาทางสงั คมเพอื่ ตา้ นทจุ รติ กลยทุ ธท์ ่ี ๓ ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องมือต้านทุจริต และกลยุทธ์ที่ ๔ เสริมพลัง การมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน และบรู ณาการทกุ ภาคสว่ นเพอ่ื ตอ่ ตา้ นการทจุ รติ จากกลยทุ ธท์ ่ี ๑ คณะกรรมการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) จงึ ไดม้ คี �ำ สง่ั แตง่ ตง้ั คณะอนกุ รรมการ จดั ทำ�หลกั สูตรหรือชุดการเรียนรู้และสอ่ื ประกอบการเรียนรู้ ด้านการปอ้ งกันการทจุ ริต ซึง่ ประกอบดว้ ย ผทู้ รงคณุ วฒุ ดิ า้ นการใหก้ ารศกึ ษาและการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ ขนึ้ เพอื่ ศกึ ษา วเิ คราะห์ และรวบรวมขอ้ มลู กำ�หนดแนวทางและขอบเขตในการจัดทำ�หลักสูตร ยกร่างและจัดทำ�เน้ือหาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้ และสอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ รวมทง้ั พจิ ารณาใหค้ วามเหน็ เพมิ่ เตมิ ก�ำ หนดแผนหรอื แนวทางการน�ำ หลกั สตู ร ไปใชใ้ นหน่วยงานที่เกีย่ วขอ้ ง และดำ�เนินการอ่นื ๆ ตามทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย คณะอนกุ รรมการจดั ท�ำ หลกั สตู รหรอื ชดุ การเรยี นรแู้ ละสอื่ ประกอบการเรยี นรดู้ า้ นการปอ้ งกนั การ ทจุ รติ ไดร้ ว่ มกนั สรา้ งชดุ หลกั สตู รตา้ นทจุ รติ ศกึ ษา : Anti-Corruption Education ประกอบดว้ ย ๕ หลกั สตู ร ดงั น ี้ ๑. หลักสตู รการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน (รายวชิ าเพมิ่ เตมิ การป้องกันการทุจรติ ) ๒. หลักสตู รอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ๓. หลักสตู รตามแนวทางรบั ราชการ กลมุ่ ทหาร และตำ�รวจ ๔. หลักสูตรสร้างวิทยากรผู้นำ�การเปล่ียนแปลงสู่สังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต และ ๕. หลักสูตรโค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต ชุดหลักสูตรดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการนำ�ไปทดลองใช้ เพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สำ�หรับการใช้ในกลุ่มเป้าหมายต่อไป นอกจากน้ี คณะอนกุ รรมการจดั ท�ำ หลกั สตู รหรอื ชดุ การเรยี นรแู้ ละสอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ ดา้ นการปอ้ งกนั การทจุ รติ ยงั ไดค้ ดั เลอื กสอ่ื การเรยี นรู้ จากแหลง่ ตา่ งๆ ทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศ รวม ๕๐ ชน้ิ เพอื่ ใชใ้ นการเรยี นร ู้ ซ่งึ คณะรฐั มนตรีมมี ตเิ ห็นชอบตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ เมอ่ื วนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2561 โดย ให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง นำ�หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปปรับใช้ในโครงการหรือหลักสูตรฝึกอบรม ของขา้ ราชการ บคุ ลากรของรฐั หรือพนกั งานรฐั วสิ าหกิจทบ่ี รรจใุ หม่ หลักสูตรโค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต จัดทำ�โดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาและการฝึกอบรม ในคณะอนุกรรมการจัดทำ�หลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกัน การทุจริต สาระการเรียนรู้ประกอบด้วย (๑) การสร้างโค้ช (๒) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม (๓) ความไม่ทนและความอายตอ่ การทจุ ริต (๔) การประยุกตโ์ มเดล STRONG : จิตพอเพียงต้านทจุ ริต (๕) การฝกึ ปฏบิ ัติการเปน็ วทิ ยากร
คณะกรรมการ ป.ป.ช. หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงหน่วยงาน ภาคเอกชน ทีป่ ระสงคจ์ ะสรา้ งโค้ชตา้ นทจุ ริต จะน�ำ หลกั สตู รโคช้ เพ่ือการรู้คิดตา้ นทจุ ริต ในชดุ หลักสตู ร ตา้ นทุจริตศกึ ษา (Anti-Corruption Education) ไปปรับใชใ้ นโครงการหรือหลักสูตรฝกึ อบรม ขยายผล การปลกู ฝงั วธิ คี ดิ ปอ้ งกนั การทจุ รติ อยา่ งเปน็ อตั โนมตั ิ เพอื่ รว่ มกนั สรา้ งประเทศไทยใสสะอาด ไทยทงั้ ชาติ ต้านทุจรติ พลต�ำ รวจเอก (วชั รพล ประสารราชกิจ) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. 30 พฤศจิกายน ๒๕๖๑
สารบัญ หนา้ รายละเอยี ดหลักสตู รโคช้ เพ่อื การรู้คดิ ต้านทจุ ริต ๑ ส่วนท่ี ๑ การสรา้ งโคช้ ๓ ตารางวเิ คราะห์ชุดวิชาการสร้างโค้ช ๓ วิชาที่ ๑.๑ เร่อื ง แนวคดิ หลกั การโค้ชเพอื่ การรู้คิดตา้ นทจุ รติ ๕ วชิ าท่ี ๑.๒ เรื่อง กลไกและกระบวนการโค้ช ๑๔ วิชาที่ ๑.๓ เรอ่ื ง เรยี นรู้ผเู้ รยี น ๒๑ วิชาท่ี ๑.๔ เรื่อง เทคนิคส�ำ คัญในการโค้ช ๒๗ วชิ าที่ ๑.๕ เร่ือง การประเมินผลการเรยี นรทู้ ี่เสรมิ พลังตา้ นทุจริต ๓๓ สว่ นที่ ๒ การเรียนรูด้ ้านการป้องกนั การทจุ ริต ๔๒ ตารางวิเคราะห์ชดุ วชิ าด้านการปอ้ งกนั การทจุ ริต ๔๒ วชิ าที่ ๒.๑ เรอ่ื ง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ๔๔ วิชาที่ ๒.๒ เรอ่ื ง ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริต ๗๒ วิชาท่ี ๒.๓ เรื่อง การประยกุ ต์หลักความพอเพยี งด้วยโมเดล STRONG : ๙๙ จติ พอเพียงต้านทจุ ริต วชิ าท่ี ๒.๔ เรื่อง การฝึกปฏบิ ตั กิ ารเป็นวิทยากร ๑๑๔ ภาคผนวก เรอ่ื งแตง่ ตงั้ คณะอนกุ รรมการจดั ท�ำ หลกั สตู รหรอื ชดุ การเรยี นรแู้ ละสอ่ื ประกอบการเรยี นร ู้ ๑๒๖ ด้านการป้องกันการทจุ รติ รายช่ือผูจ้ ดั ทำ�หลกั สตู รโค้ชเพื่อการร้คู ิดต้านทุจรติ ๑๓๐
รายละเอียดหลกั สูตรโค้ชเพ่อื การร้คู ดิ ต้านทุจริต ชอ่ื หลกั สตู ร โค้ชเพื่อการรคู้ ดิ ตา้ นทจุ ริต หลักการและเหตุผล ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ได้กำ�หนดยุทธศาสตร์ท่ี ๑ สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต อันมีกลยุทธ์ว่าด้วยเรื่องของการ ปรับฐานความคิดทุกช่วงวัยตั้งแต่ปฐมวัยให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ สว่ นรวม สง่ เสรมิ ใหม้ รี ะบบและกระบวนการกล่อมเกลาทางสงั คมเพ่ือต้านทจุ รติ ประยกุ ตห์ ลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องมือต้านทุจริต และเสริมพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน (community) และบูรณาการทุกภาคส่วนเพ่ือต่อต้านการทุจริตท่ีได้กำ�หนดแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับ และตอ้ งมกี ารขยายผลไปในทกุ ภาคสว่ น จงึ จ�ำ เปน็ อยา่ งยงิ่ ทจี่ ะตอ้ งมกี ารสรา้ งโคช้ ทม่ี คี วามสามารถและ ทักษะเพือ่ เป็นตวั แทนของสำ�นกั งาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองคค์ วามรู้ และประสบการณ์เกย่ี วกบั การ คดิ แยกแยะผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ความไมท่ นและความอายตอ่ การทจุ รติ และ หลกั การจิตพอเพียงต้านทจุ รติ ดว้ ยเทคนิคและวธิ กี ารท่เี หมาะสม จะชว่ ยให้ทกุ ภาคสว่ นมคี วามตระหนกั รู้ และเหน็ ความส�ำ คัญของปัญหาการทจุ ริตคอร์รปั ชนั อนั จะน�ำ ไปสู่การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมและ เกิดค่านยิ มตา้ นทจุ ริตใหเ้ กดิ ข้นึ ในสังคมไทย วัตถุประสงค์ ๑. เพ่อื สร้างโคช้ ดา้ นการรู้คดิ ตา้ นทุจรติ ๒. เพือ่ พฒั นาศกั ยภาพของผูส้ อนเกีย่ วกบั บทบาทในการเปน็ โค้ชให้กับผเู้ รยี น โดยสามารถ กระตนุ้ การรู้คดิ อย่างตอ่ เน่อื ง เพอื่ ดึงศกั ยภาพของผู้เรียน ๓. เพอื่ เพม่ิ พนู ทกั ษะของผสู้ อนใหส้ ามารถน�ำ นวตั กรรมและเทคโนโลยมี าประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ สอ่ื ในการเรยี นการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๔. เพือ่ ใหผ้ ู้เขา้ ร่วมหลกั สตู รเป็นแบบอยา่ งทีด่ ีในด้านการต้านทุจริต ขอบเขตเนอื้ หา ประกอบดว้ ย ๒ ส่วน สว่ นที่ ๑ การสรา้ งโคช้ วิชาที่ ๑ แนวคิดหลักการโคช้ เพื่อการรู้คดิ ตา้ นทจุ ริต วชิ าท่ี ๒ กลไกและกระบวนการโคช้ วชิ าท่ี ๓ เรยี นรู้ผูเ้ รยี น วชิ าท่ี ๔ เทคนิคสำ�คัญในการโค้ช วิชาท่ี ๕ การประเมินผลการเรยี นรทู้ เี่ สรมิ พลงั ตา้ นทจุ ริต สว่ นที่ ๒ การเรียนรูด้ า้ นการป้องกันการทจุ รติ วชิ าที่ ๑ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม วิชาท่ี ๒ ความไม่ทนและความอายตอ่ การทจุ รติ วิชาที่ ๓ การประยกุ ต์หลักความพอเพยี งดว้ ยโมเดล STRONG : จติ พอเพยี งตา้ นทจุ รติ วิชาท่ี ๔ การฝึกปฏบิ ัตกิ ารเปน็ วทิ ยากร หลักสตู รโคช้ เพื่อการรคู้ ิดต้านทจุ รติ 1
ระยะเวลาหลกั สตู ร ๔ วนั ๓ คืน กล่มุ เป้าหมาย บุคลากรของส�ำ นกั งาน ป.ป.ช. บคุ ลากรภาครัฐและรัฐวสิ าหกิจ ส่อื การเรยี นรู้ เอกสารประกอบการบรรยาย สอ่ื การเรยี นรอู้ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ วทิ ยากรผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละปราชญ์ ชาวบ้านผนู้ �ำ ชมุ ชน การวัดและประเมินผล ๑. รอ้ ยละผลการทดสอบและวดั ประเมนิ ผลกอ่ นและหลังการเรยี นรู้กอ่ นและหลังบทเรียน (Pre & Post Test) ๒. ร้อยละของจ�ำ นวนช่วั โมงทเ่ี ข้ารบั การอบรม ๓. การผ่านการฝึกทดลองปฏบิ ัติการภาคสนาม 2 หลกั สตู รโคช้ เพอ่ื การรคู้ ดิ ต้านทจุ ริต
ส่วนที่ ๑ เรอื่ ง การสร้างโค้ช ตารางวิเคราะห์ชุดวชิ าการสร้างโค้ช ท่ี เรอื่ ง เนอื้ หา ชวั่ โมง กระบวนการ วัด/ประเมนิ ๑ แนวคิดหลักการโค้ช ๑. ความเปน็ มาของการโค้ชเพื่อ ๓ ๑. การบรรยายให้ ๑ . ร้ อ ย ล ะ ผ ล ก า ร เพื่อการรู้คิดต้าน การรู้คิด ความรู้ ทดสอบและวัด ทุจริต ๒. ความหมายของการโคช้ เพ่ือ ๒. การยกตวั อยา่ ง ประเมินผลก่อน การรคู้ ดิ และวิเคราะห์ และหลังการเรียน ๓. เป้าหมายของการโค้ชเพื่อการ กรณีศกึ ษา รู้ ก่ อ น แ ล ะ ห ลั ง รคู้ ดิ ๓. การท�ำ กิจกรรม บทเรยี น (Pre & ๔. หลกั การโค้ชเพือ่ การร้คู ิด กลุ่ม Post Test) ๕. ทักษะเสริมการโคช้ ใหม้ ี ๔. การอภิปรายกลุ่ม ๒. รอ้ ยละของ ประสิทธภิ าพ ๕. การฝึกทดลอง จำ�นวนชั่วโมง ปฏิบตั ิการภาค ทีเ่ ข้ารบั การอบรม สนาม ๓. การผ่านการฝกึ ท ด ล อ ง ป ฏิ บั ติ การภาคสนาม ๒ กลไกและกระบวน ๑. กลไกของการโคช้ ๓ ๑. การบรรยายให้ ๑. ร้อยละผลการ การโคช้ ๒. กระบวนการโคช้ ความรู้ ทดสอบและวัด ๓. หลักการพัฒนาโคช้ และผ้เู รียน ๒. การยกตัวอย่าง ประเมินผลก่อน อย่างยง่ั ยนื และวเิ คราะห์ แ ล ะ ห ลั ง ก า ร กรณศี กึ ษา เรียนรู้ก่อนและ ๓. การทำ�กิจกรรม ห ลั ง บ ท เ รี ย น กลุม่ (Pre & Post ๔. การอภิปรายกลุ่ม Test) ๕. การฝกึ ทดลอง ๒. ร้อยละของ ปฏบิ ตั กิ ารภาค จำ�นวนชวั่ โมง สนาม ทีเ่ ข้ารับการอบรม ๓. การผ่านการฝกึ ท ด ล อ ง ป ฏิ บั ติ การภาคสนาม ๓ เรยี นร้ผู ู้เรียน ๑. เรยี นรผู้ ้เู รียนด้วยจรติ ๖ ๓ ๑. การบรรยายให้ ๑. รอ้ ยละผลการ ๒. เรียนรผู้ ูเ้ รียนตาม Generation ความรูห้ ลกั สตู ร ทดสอบและวัด โค้ชเพ่อื การรูค้ ิด ประเมินผลก่อน ต้านทุจรติ แ ล ะ ห ลั ง ก า ร ๒. การวเิ คราะห์ เรียนรู้ก่อนและ กรณศี กึ ษา การ ห ลั ง บ ท เ รี ย น ทำ�กจิ กรรมกลุ่ม (Pre & Post การอภปิ ราย Test) กลมุ่ ๒. รอ้ ยละของ หลักสตู รโค้ชเพอ่ื การรูค้ ิดต้านทุจริต 3
ท่ี เรอื่ ง เนื้อหา ช่วั โมง กระบวนการ วัด/ประเมิน ๓. การถอดบทเรียน จ�ำ นวนชัว่ โมง (lesson - ทเ่ี ข้ารับการอบรม learned) ๓. การผา่ นการฝกึ ท ด ล อ ง ป ฏิ บั ติ การภาคสนาม ๔ เทคนิคสำ�คัญในการ ๑. การสื่อสารเชิงบวก (positive ๓ ๑. การบรรยายให้ ๑. ร้อยละผลการ โคช้ communication) ความรู้หลกั สูตร ทดสอบและวัด ๒. ค�ำ ถามท่ที รงพลัง (power โค้ชเพ่ือการรูค้ ดิ ประเมินผลก่อน questions) ต้านทุจรติ แ ล ะ ห ลั ง ก า ร ๓. การสะทอ้ นคิด (reflection) ๒. การวิเคราะห์ เรียนรู้ก่อนและ ๔. การเรยี นรู้ยคุ ใหม่ด้วยการน�ำ กรณศี กึ ษา การ ห ลั ง บ ท เ รี ย น นวตั กรรมมาใชใ้ นการโค้ช ท�ำ กิจกรรมกลุ่ม (Pre & Post ๕. การถอดบทเรยี น (lesson - การอภิปราย Test) learned) กลมุ่ ๒. ร้อยละของ ๓. การถอดบทเรยี น จ�ำ นวนชัว่ โมง (lesson - ทเี่ ขา้ รับการอบรม learned) ๓. การผ่านการฝกึ ท ด ล อ ง ป ฏิ บั ติ การภาคสนาม ๕ การประเมินผลการ หลักการประเมนิ ผลการเรียนรทู้ ี่ ๓ ๑. การบรรยายให้ ๑. รอ้ ยละผลการ เรียนรู้ท่ีเสริมพลัง เสรมิ พลังต้านทจุ ริต คอื วิธกี าร ความรู้ ทดสอบและวัด ต้านทจุ ริต วัด และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ ๒. การยกตวั อยา่ ง ประเมินผลก่อน (authentic assessment) และวิเคราะห์ แ ล ะ ห ลั ง ก า ร ๑) ใช้ผปู้ ระเมนิ หลายๆ ฝา่ ย กรณศี กึ ษา เรียนรู้ก่อนและ ๒) ใชว้ ิธีการและเคร่ืองมอื หลายๆ ๓. การท�ำ กิจกรรม ห ลั ง บ ท เ รี ย น ชนดิ กลมุ่ (Pre & Post ๓) วดั และประเมินหลายๆ คร้งั ๔. การอภปิ รายกลมุ่ Test) ในช่วงเวลาการเรยี นรู้ ๕. การฝึกทดลอง ๒. ร้อยละของ ๔) สะทอ้ นผลการประเมินสกู่ าร ปฏิบัตกิ ารภาค จ�ำ นวนชว่ั โมง ปรับปรุงและพัฒนา ผู้เรียน สนาม ทเ่ี ขา้ รบั การอบรม รวมทง้ั การจัดการเรียนการ ๓. การผ่านการฝึก สอนอย่างต่อเน่ือง ท ด ล อ ง ป ฏิ บั ติ การภาคสนาม 4 หลกั สูตรโคช้ เพือ่ การร้คู ดิ ต้านทุจริต
ส่วนท่ี ๑ เรือ่ ง การสร้างโคช้ การสร้างโค้ช วิชาท่ี ๑.๑ เรอื่ ง แนวคดิ หลักการโคช้ เพอื่ การรู้คดิ ต้านทุจรติ เวลา ๓ ชัว่ โมง เรอ่ื ง : แนวคิดหลกั การโค้ชเพอื่ การรู้คิดเพื่อการต่อต้านทุจรติ สาระสำ�คญั การสร้างโค้ชที่มีความสามารถและทักษะในการเรียนการสอนด้วยเทคนิคและวิธีการท่ี เหมาะสมเพื่อเป็นตวั แทนของส�ำ นักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับ เรอื่ งคา่ นยิ มการตา้ นทจุ รติ ไปสผู่ เู้ รยี น จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามตระหนกั รู้ และเหน็ ความส�ำ คญั ของปญั หา การทจุ รติ คอร์รปั ชนั อนั จะนำ�ไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมและเกดิ ค่านยิ มต้านทจุ รติ “ชว่ ยกนั สร้าง ชมุ ชน/สังคมดีให้กบั บ้านเมืองส่งต่ออนาคตท่ีดใี ห้ลกู หลานอย่างยัง่ ยืน” วตั ถุประสงค์ ๑. เพือ่ สร้างโค้ชด้านการรคู้ ิดต้านทจุ ริต ๒. เพอ่ื พฒั นาศกั ยภาพของผสู้ อนเกย่ี วกบั บทบาทในการเปน็ โคช้ ใหก้ บั ผเู้ รยี น โดยสามารถ กระตุ้นการรู้คดิ อยา่ งตอ่ เน่ือง เพ่อื ดึงศกั ยภาพของผู้เรียน ๓. เพอ่ื เพมิ่ พนู ทกั ษะของผสู้ อนใหส้ ามารถน�ำ นวตั กรรมและเทคโนโลยมี าประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ สอ่ื ในการเรียนการสอนได้อยา่ งเหมาะสม ขอบเขตเน้ือหา แนวคดิ หลกั การโคช้ เพอ่ื การรคู้ ดิ เพอื่ การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ประกอบดว้ ยรายละเอยี ดเนอื้ หา หลัก ไดแ้ ก่ ๑. ความเปน็ มาของการโคช้ เพอ่ื การรคู้ ดิ การโค้ชเพื่อการรู้คดิ (cognitive coaching) เป็นบทบาทของผู้สอน ในโลกแหง่ การเรียนร้ยู คุ ใหมท่ พ่ี ฒั นามาจากบทบาทการสอน (teaching) ที่ผสู้ อนทำ�หนา้ ท่ีให้ขอ้ มูล เนอื้ หาสาระ ใหค้ �ำ ตอบทถี่ กู ตอ้ ง ใชส้ อื่ สารทางเดยี ว ก�ำ หนดทศิ ทางการเรยี น ก�ำ หนดงานใหผ้ เู้ รยี น ก�ำ หนดวตั ถปุ ระสงค์ กำ�หนดกิจกรรมการเรียนรแู้ ละเกณฑก์ ารวัดประเมนิ ผลการเรียนรู้ อนงึ่ ค�ำ วา่ “ผโู้ ค้ช” ในหนงั สือเล่มน้ี หมายถงึ ผู้สอนท่ใี ช้การโคช้ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรยี นร้ไู ด้เต็มตามศกั ยภาพ ๒. ความหมายของการโค้ชเพอ่ื การรู้คิด การโคช้ เพอ่ื การรคู้ ิด หมายถึง กระบวนการฝึกสอน โดยผูส้ อน ซงึ่ ทำ�หนา้ ทีเ่ ป็นโค้ช ดงึ ศกั ยภาพของผเู้ รยี นดา้ นความรคู้ วามสามารถ การคดิ ตลอดจนคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามทก่ี �ำ หนดไว้ การโค้ช (coaching) เปน็ กลไกเพือ่ เสริมสรา้ งและพัฒนาผเู้ รยี น ใหม้ ีความรู้ ความสามารถ การคิดขน้ั สงู หลักสตู รโค้ชเพ่อื การรู้คดิ ต้านทจุ รติ 5
(higher – order thinking) มีวธิ ีการเรียนรู้ (learning how to learn) การตรวจสอบประเมินตนเอง ก�ำ หนดทิศทางการพัฒนาตนเองได้ ๓. เป้าหมายของการโคช้ เพอ่ื การรคู้ ิด การโคช้ เพอื่ การรูค้ ิด มเี ปา้ หมายหลักเพอื่ พัฒนาศักยภาพด้านการคดิ ของผู้เรียน การใคร่ครวญตรวจสอบตนเองเพื่อนำ�ไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ไม่ใช่เป็นการอบรมส่ังสอนโดยตรง แตเ่ ปน็ การใช้เทคนคิ วิธกี ารตา่ งๆ ๔. หลักการโค้ชเพ่อื การรคู้ ดิ หลักการโคช้ (coaching) กระบวนการทช่ี ว่ ยให้ผเู้ รียนทไี่ ด้รบั การโคช้ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม การเรยี นรไู้ ดบ้ รรลเุ ปา้ หมาย อยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล และมคี วามผกู พนั อยกู่ บั การเรยี นรู้ สรา้ งโอกาสใหผ้ เู้ รยี น ไดใ้ ชค้ วามคดิ และหาค�ำ ตอบทถ่ี ูกตอ้ ง เพอ่ื พัฒนาศักยภาพ ไมใ่ ช่การบอกค�ำ ตอบใหก้ บั ผู้เรียน การโคช้ เพอ่ื การรูค้ ดิ เปน็ มากกวา่ การสอน (teaching) ๕. ทักษะเสรมิ การโคช้ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพ มอี งคป์ ระกอบ ๒ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) ทกั ษะทางสงั คม (soft skills) เปน็ ทกั ษะทางสงั คม และความฉลาดทางอารมณท์ แ่ี สดงออกผา่ นทาง EQ ซงึ่ อยทู่ างสมองซกี ขวา เปน็ ความสามารถทางสงั คม การจดั การตนเอง การควบคมุ อารมณ์ การมองบวก การติดต่อส่ือสาร และความเป็นมิตร และ ๒) ทกั ษะ ดา้ นความรูท้ างวชิ าการ (hard skills) จะต้องมคี วามรู้ ความสามารถทกี่ �ำ หนดโดยเชาว์ปญั ญา (IQ) ซ่งึ อยู่ทางสมองซีกซ้าย วิธีการฝกึ อบรม ๑. การบรรยายให้ความรู้หลกั สูตรโค้ชเพือ่ การร้คู ดิ ต้านทุจรติ ๒. การยกตัวอยา่ งและวิเคราะห์กรณศี กึ ษา ๓. การทำ�กิจกรรมกล่มุ ๔. การอภปิ รายกลมุ่ ๕. การฝึกทดลองปฏบิ ตั กิ ารภาคสนาม สื่อการเรยี นรู้ ๑. เอกสารประกอบการบรรยาย ๒. ส่อื การเรยี นร้อู ิเลก็ ทรอนกิ ส์ ๓. วิทยากรผทู้ รงคุณวุฒแิ ละปราชญ์ชาวบา้ นผนู้ ำ�ชุมชน การวัดและประเมินผล ๑. รอ้ ยละผลการทดสอบและวดั ประเมนิ ผลกอ่ นและหลงั การเรยี นรกู้ อ่ นและหลงั บทเรยี น (Pre & Post Test) ๒. ร้อยละของจำ�นวนชว่ั โมงทเ่ี ข้ารับการอบรม ๓. การผา่ นการฝกึ ทดลองปฏบิ ตั ิการภาคสนาม 6 หลักสตู รโค้ชเพอ่ื การร้คู ดิ ต้านทจุ ริต
ส่วนที่ ๑ เร่อื ง การสรา้ งโค้ช เนอ้ื หาโดยสังเขป วชิ าที่ ๑.๑ เรือ่ ง แนวคดิ หลกั การโค้ชเพื่อการรูค้ ิดตา้ นทจุ ริต เวลา ๓ ชัว่ โมง รายละเอียดเนื้อหา ๑. แนวคดิ หลกั การโค้ชเพ่ือการรู้คดิ ความเป็นมาของการโคช้ เพ่ือการร้คู ดิ การโค้ชเพื่อการร้คู ิด (cognitive coaching) เปน็ บทบาทของผูส้ อน ในโลกแห่งการเรียนรู้ ยคุ ใหม่ ทพ่ี ัฒนามาจากบทบาทการสอน (teaching) ท่ีผู้สอนท�ำ หนา้ ท่ีให้ขอ้ มูล เน้อื หาสาระ ให้ค�ำ ตอบ ทถ่ี กู ตอ้ ง ใชส้ อ่ื สารทางเดยี ว ก�ำ หนดทศิ ทางการเรยี น ก�ำ หนดงานใหผ้ เู้ รยี น ก�ำ หนดวตั ถปุ ระสงค์ ก�ำ หนด กิจกรรมการเรียนรู้และเกณฑ์การวัดประเมินผลการเรียนรู้ อน่ึงคำ�ว่า “ผูโ้ คช้ ” ในหนงั สือเลม่ นหี้ มายถึง ผู้สอนทีใ่ ชก้ ารโค้ชใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ได้เต็มตามศกั ยภาพ นอกจากน้ีการโค้ชเพ่ือการรู้คิดยังเป็นมากกว่าการเป็นผู้เอื้ออำ�นวยความสะดวกในการ เรียนรู้ (facilitator) ท่ีผู้สอนมีบทบาทกระตุ้นให้มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระตุ้นให้คิดและตั้ง ค�ำ ถามสือ่ สารสองทางมีปฏสิ มั พนั ธ์กับผสู้ อนและผ้เู รียน รวมท้ังประสานงานในกจิ กรรมการเรยี นรู้ ให้ผู้ เรียนสามารถกำ�หนดวัตถปุ ระสงค์และทิศทางการเรยี นรู้ เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนกำ�หนดกิจกรรมการเรียนรู้ และเกณฑก์ ารวดั ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การโคช้ เพอื่ การรคู้ ดิ มงุ่ เนน้ การฝกึ (training) หรอื กระบวนการ พัฒนาผเู้ รยี นแตล่ ะคน (individual) ใหม้ คี วามรู้ความสามารถ การคิด และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ซง่ึ แตกตา่ งจากการปฏบิ ตั แิ บบด้ังเดมิ ทผ่ี ้สู อนเปน็ ผู้ท�ำ หนา้ ทจี่ ัดการเรยี นรูใ้ หก้ ับผู้เรยี นทง้ั ช้นั เรยี น ด้วยวธิ ีการเดียวกนั ภายในระยะเวลาท่เี ทา่ กนั การโค้ชเพ่ือการร้คู ดิ ม่งุ ให้ผู้โคช้ ใช้วธิ กี ารฝกึ สอนที่หลากหลาย ตามความแตกต่างระหวา่ ง บคุ คล จดุ อ่อน และจุดแข็งของผู้เรยี นแต่ละคน ซง่ึ มคี วามตอ้ งการพัฒนาทีแ่ ตกตา่ งกนั ผู้เรยี นเกดิ การ พัฒนาได้เต็มตามศักยภาพ ความหมายของการโค้ชเพอ่ื การรคู้ ดิ การโคช้ หมายถงึ การเป็นค่คู ดิ ของผู้ไดร้ ับการโค้ชในกระบวนการพัฒนาท่สี ร้างสรรค์ และ กระตุ้นให้ผูไ้ ดร้ ับการโคช้ ไดน้ ำ�ศักยภาพของตนเองออกมาใช้ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ที ั้งชีวติ สว่ นตวั และอาชีพ การโคช้ เน้นการลงมอื ปฏบิ ัตดิ ้วยตนเองเพือ่ ให้เกดิ การพัฒนาและการเปลีย่ นแปลงด้านดีทีเ่ ป็นรปู ธรรม การโคช้ เพ่อื การรูค้ ิด หมายถึง กระบวนการฝึกสอน โดยผสู้ อน ซ่งึ ทำ�หนา้ ท่ีเป็นโค้ช ดงึ ศกั ยภาพของผเู้ รยี นดา้ นความรคู้ วามสามารถ การคดิ ตลอดจนคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามทกี่ �ำ หนด ไว้ การโค้ช (coaching) เปน็ กลไกเพ่อื เสรมิ สรา้ งและพฒั นาผเู้ รยี น ให้มีความรู้ ความสามารถ การคิดขน้ั สูง (higher – order thinking) มวี ิธีการเรียนรู้ (learning how to learn) การตรวจสอบประเมินตนเอง ก�ำ หนดทศิ ทางการพฒั นาตนเองได้ เป้าหมายของการโคช้ เพอ่ื การร้คู ดิ การโค้ชเพ่อื การรคู้ ิด มเี ปา้ หมายหลักเพ่อื พัฒนาศกั ยภาพดา้ นการคิดของผู้เรียน การใครค่ รวญตรวจสอบตนเองเพ่อื น�ำ ไปสกู่ ารพัฒนาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ไมใ่ ชเ่ ปน็ การอบรมสั่งสอนโดยตรง หลกั สตู รโค้ชเพอ่ื การรู้คิดต้านทุจริต 7
แตเ่ ป็นการใชเ้ ทคนคิ วิธกี ารต่างๆ เชน่ การตั้งคำ�ถาม การให้ข้อมลู ย้อนกลับ การใหค้ �ำ แนะน�ำ การใหห้ ลักคดิ วิธีการคิด วิธีการเรียนรู้ ที่ทำ�ให้ผู้เรียนเกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ (inspiration) และนำ�ไปสู่การ แสวงหาความรู้ การฝึกฝนทักษะ และการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมคณุ ธรรมจรยิ ธรรม และใหค้ วามสำ�คญั กับกระบวนการเรียนรแู้ ละผลลพั ธ์ของการเรียนรู้ หลกั การโค้ชเพือ่ การรูค้ ิด หลกั การโค้ช (coaching) กระบวนการท่ชี ว่ ยให้ผ้เู รยี นทไ่ี ด้รับการโค้ช ปฏิบัตกิ จิ กรรม การเรยี นรไู้ ดบ้ รรลเุ ปา้ หมาย อยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล และมคี วามผกู พนั อยกู่ บั การเรยี นรู้ สรา้ งโอกาสใหผ้ เู้ รยี น ได้ใชค้ วามคิด และหาค�ำ ตอบทีถ่ ูกต้อง เพ่อื พัฒนาศกั ยภาพ ไม่ใชก่ ารบอกค�ำ ตอบให้กับผ้เู รยี น การโค้ช เพื่อการรคู้ ดิ เป็นมากกว่าการสอน (teaching) การโค้ชเพ่อื การรู้คดิ มลี กั ษณะดังต่อไปนี้ ๑. กระต้นุ ผเู้ รียนใหเ้ กิดความต้องการ แรงจูงใจ ความปรารถนา ทักษะและกระบวนการ คิด ท่ีจะนำ�ไปสกู่ ารเรยี นรู้เพื่อการเปลยี่ นแปลงท่ีดขี ้นึ (transformative learning) ๒. ตงั้ ค�ำ ถามผเู้ รยี นดว้ ยเทคนคิ ตา่ งๆ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งกระบวนการคดิ ทนี่ �ำ ไปสกู่ ารวางแผน การแก้ปญั หา และการสร้างสรรค์ ๓. สนับสนุนผู้เรียนให้มีการกำ�หนดเป้าหมายของการพัฒนาตนเอง รวมทั้งการวางแผน และการประเมนิ ผลความสำ�เร็จ ๔. สังเกตและประเมนิ พัฒนาการด้านตา่ งๆ ของผูเ้ รียนทีเ่ ป็นจุดเน้นของการโคช้ ในแต่ละครั้ง ๕. ประยุกต์เทคนิคการสอนต่างๆ มาใช้ในการโค้ชผู้เรียน ให้เหมาะสมกับธรรมชาติและ ความตอ้ งการของแต่ละคนในลกั ษณะการสร้างเคร่อื งมอื ชว่ ยเหลือผู้เรียน (scaffolding) ชี้แนะและ ช่วยเหลอื อย่างเหมาะสม ๖. สง่ เสรมิ ผูเ้ รียนใหม้ คี วามเชอ่ื มัน่ ความมุ่งมั่นในการปฏบิ ตั ิที่นำ�ไปสกู่ ารพฒั นาทด่ี ขี ้นึ ๗. ดำ�รงรักษาสิ่งที่ดีๆ ของผู้เรียน และให้การสนับสนุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ ตัดสนิ วิพากษ์ วจิ ารณ์ จับผดิ ๘. ประเมนิ ผลการโคช้ ดว้ ยวธิ กี ารทหี่ ลากหลายตามสภาพจรงิ และน�ำ สารสนเทศมาพฒั นา ผเู้ รยี นอยา่ งต่อเน่ือง ๙. การด�ำ เนนิ การโคช้ บนพน้ื ฐานของการเคารพในศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ ความแตกตา่ ง ทางวัฒนธรรม ความเชื่อของผูร้ ับการโคช้ เชน่ คนอเมริกันตรงไปตรงมา กลา้ แสดงออก มคี วามยุติธรรม มีความเปน็ ประชาธิปไตย ต่อสู้เพอ่ื สทิ ธขิ องตน ไม่ละเมดิ สทิ ธคิ นอนื่ คนญ่ปี ุ่น มคี วามซื่อสตั ย์ มรี ะเบียบ วนิ ยั มคี วามภกั ดตี อ่ องคก์ รมคี วามสามารถท�ำ งานเปน็ กลมุ่ สว่ นใหญม่ คี วามประหยดั มคี วามภมู ใิ จทเี่ กดิ เปน็ ชาวญีป่ ุ่น ตาราง ๑ บทบาท teacher , facilitator และ cognitive coaching บทบาทของผสู้ อน บทบาทผู้เออ้ื อ�ำ นวยความสะดวก บทบาทการโค้ชเพอ่ื การรู้คิด (teacher) ในการเรียนรู้ (facilitator) (cognitive coaching) ๑. ให้ข้อมูล เนื้อหาสาระ ๑. กระตุ้นใหม้ กี ารอภิปรายแลกเปลยี่ น ๑. พัฒนาความสามารถในการรับรู้ ๒. ใหค้ ำ�ตอบที่ถูกตอ้ ง เรยี นรู้ การคิด และการตัดสินใจ ๓. สอ่ื สารทางเดียว ๒. กระตุน้ ให้คิดและตั้งค�ำ ถาม ๒. สร้างความรู้ใหมจ่ ากการคิดไตรต่ รอง และทิศทางการเรียน ๓. ส่ือสารสองทางมีปฏสิ มั พันธ์ และการสะทอ้ นคดิ (reflective think- ๔. กำ�หนดงานให้ผเู้ รียน กับผู้สอนและผูเ้ รยี น ing) ๕. ก�ำ หนดวัตถปุ ระสงค์ ๔. ประสานงานในกิจกรรมการเรียนรู้ ๓. แลกเปลีย่ นความรู้ ความคิด กบั ผู้เรียน 8 หลกั สูตรโค้ชเพอ่ื การรคู้ ิดต้านทุจริต
บทบาทของผู้สอน บทบาทผ้เู อื้ออ�ำ นวยความสะดวก บทบาทการโค้ชเพือ่ การรู้คิด (teacher) ในการเรยี นรู้ (facilitator) (cognitive coaching) ๖. กำ�หนดกิจกรรมการเรียนรู้ ๕. ผเู้ รียนสามารถก�ำ หนดวัตถปุ ระสงค์ ๔. ใช้สนุ ทรยี สนทนา (dialogue) และเกณฑก์ ารวัดประเมินผล และทศิ ทางการเรียนรู้ เพอ่ื การเรยี นรสู้ กู่ ารเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ ๖. เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนกำ�หนดกจิ กรรม (transformative learning) การเรียนรแู้ ละเกณฑ์การวดั ๕. ใช้ค�ำ ถามทีท่ รงพลัง (power ques- ประเมินผลการเรยี นรู้ tions) ๖. ถอดบทเรยี น (lesson learned) ๗. ผเู้ รยี นวางแผนพัฒนาการเรียนรขู้ อง ตนเอง ทักษะเสริมการโค้ชให้มีประสทิ ธภิ าพ มอี งคป์ ระกอบ ๒ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) ทักษะทางสังคม (soft skills) เป็นทักษะทางสงั คม และความฉลาดทางอารมณท์ แี่ สดงออกผา่ นทาง EQ ซง่ึ อยทู่ างสมองซกี ขวา เปน็ ความสามารถทางสงั คม การจัดการตนเอง การควบคุมอารมณ์ การมองบวก การตดิ ต่อสอ่ื สาร และความเป็นมติ ร และ ๒) ทกั ษะ ด้านความรทู้ างวชิ าการ (hard skills) จะตอ้ งมีความรู้ ความสามารถท่กี ำ�หนดโดยเชาว์ปัญญา (IQ) ซึง่ อยทู่ างสมองซีกซา้ ย ๑. ทักษะทางสงั คม (soft skills) ผสู้ อนท่ีจะเปน็ โคช้ ทีด่ ี ควรมี soft skills ในการโคช้ ดังท่ีกลา่ วมาขา้ งต้น ซงึ่ เป็นสิ่งท่ีส�ำ คญั และ จำ�เป็นต่อการโค้ชเพราะทำ�ให้ผู้เรียนเปิดใจรับฟังผู้โค้ช เกิดการรู้คิด พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการปฏิบัติ และ ปฏิบัติตามคำ�แนะนำ� หรือข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ทำ�ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงท่ีดีขึ้น ท้ังในด้านความรู้ ความสามารถ การคิด และคุณลักษณะต่างๆ ส�ำ หรบั การโคช้ เพอื่ การรู้คดิ ควรมีทักษะ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ มบี ุคลกิ ภาพทีด่ ี บุคลิกภาพ คอื ภาพทปี่ ระทบั ใจผู้เรียนและชวนใหต้ ิดตามบทเรยี น เช่น การแต่งกายอยา่ งสภุ าพเรียบร้อย การย้ิมแย้มแจ่มใส การพดู ดว้ ยคำ�สุภาพ และให้เกยี รติผู้รบั การโคช้ เป็นตน้ บคุ ลิกภาพที่ดีของผโู้ ค้ชท�ำ ใหเ้ กิดความเจริญใจของผเู้ รยี น ๑.๒ มมี ารยาททางสงั คม เคารพสทิ ธขิ องบุคคล เช่น การกลา่ วค�ำ ขอบคณุ คำ�ขอโทษ กับผเู้ รียน การสนทนาพูดคุยดว้ ยภาษาสภุ าพ เป็นต้น การทผี่ ู้โค้ชมีมารยาททางสงั คมทีด่ ี เปน็ การสอนผู้ เรียนให้มมี ารยาททางสงั คมที่ดีตามไปดว้ ย เสมือนลูกไมห้ ล่นไมไ่ กลตน้ ๑.๓ ส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ การสอ่ื สารเปน็ หัวใจสำ�คญั ของการโค้ช การสื่อสารท่ดี ี จะตอ้ งมคี วามชดั เจน กระชบั ถกู ต้อง สุภาพ สรา้ งสรรค์ เช่ือถอื ได้ และมคี วามสมบรู ณ์ การส่อื สารแบบ ดกู าลเทศะ อาจไมพ่ ดู อยา่ งทค่ี ดิ สอ่ื สารตรงไปตรงมา คดิ อะไรพดู อยา่ งนนั้ สอื่ สารออ้ ม สอ่ื สารเปน็ ทางการ สอ่ื สารเป็นกันเอง ๑.๔ มีความสามารถในการใช้ภาษา โดยการใช้ภาษาทางบวกในการโค้ช ท่ีทำ�ให้ผู้เรียน เกดิ ก�ำ ลงั ใจ เกิดความเชื่อมั่นและความภาคภมู ใิ จในตนเอง ๑.๕ มมี นุษยสมั พนั ธ์ดี สัมพนั ธภาพทด่ี ีเปน็ ปจั จัยทำ�ให้การโค้ชประสบความสำ�เร็จ เพราะ การโคช้ เป็นเรอ่ื งของความสมัครใจและร่วมมือรว่ มใจระหว่างผ้โู ค้ชและผูเ้ รียนเปน็ ส�ำ คัญ ซึง่ ไม่สามารถ ใช้อ�ำ นาจในการบังคับได้ หลกั สูตรโค้ชเพ่อื การรคู้ ดิ ต้านทุจรติ 9
๑.๖ การบรหิ ารเวลา การวางแผนการท�ำ งานในเวลาทม่ี อี ยนู่ น้ั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ทม่ี อี ยู่ อยา่ งจ�ำ กดั ดว้ ยการท�ำ สงิ่ ตา่ งๆ ทลี ะอยา่ ง การท�ำ งานหลายๆ อยา่ งพรอ้ มกนั มผี ลเสยี ตอ่ คณุ ภาพของงาน การมีสตอิ ยูก่ บั งานทป่ี ฏบิ ตั ิ ณ ปัจจุบนั คอื สิง่ ทด่ี ที ส่ี ดุ ไม่ยดึ ติดอยู่กับอดีต และไม่ฟงุ้ ซา่ นกับอนาคต ๑.๗ การตง้ั คำ�ถามและการฟงั เปน็ ทกั ษะพื้นฐานส�ำ คญั ทผี่ ้โู คช้ จะตอ้ งมีการต้ังคำ�ถามที่มี ประสิทธภิ าพจะช่วยกระต้นุ การคดิ ข้นั สูงของผูเ้ รยี นไดเ้ ปน็ อย่างดี คำ�ถามทมี่ ีพลงั (power questions) มุ่งถามให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา ตลอดจนคำ�ถามที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยและเกิด คำ�ถามในการเรียนรู้ต่อไป ส่วนการฟังน้ันเป็นการเคารพผู้รับการโค้ช เปิดโอกาสให้กับตนเองได้เรียนรู้ และเป็นทกั ษะทที่ �ำ ให้ ผูโ้ ค้ชเขา้ ใจแนวความคดิ และวิธีการคดิ ของผู้รับการโคช้ การฟังให้เข้าใจ และจับ ประเด็นส�ำ คัญได้ จะเป็นข้อมลู สารสนเทศทดี่ สี ำ�หรบั การใหค้ ำ�แนะน�ำ ชีแ้ นะ ในขณะทที่ ำ�การโค้ช ๑.๘ การคิด การโค้ชเพือ่ การรูค้ ดิ มีความจำ�เปน็ อย่างยง่ิ ทผี่ ูโ้ คช้ จะต้องมที ักษะดา้ นการคดิ เพราะถ้าผู้โค้ชมีทักษะการคิดแล้วจะสามารถกระตุ้นให้ผู้รับการโค้ช มีทักษะการคิดตามไปด้วย ทักษะ การคดิ ท่สี ำ�คญั ไดแ้ ก่ การคิดวเิ คราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การคดิ แก้ปญั หา การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ การคดิ อย่างเป็นระบบ การคิดสรา้ งสรรค์ ทกั ษะการคดิ เปน็ สิ่งทตี่ อ้ งได้รับการกระตนุ้ และพัฒนา อยา่ งตอ่ เนือ่ ง โดยใช้การต้ังคำ�ถาม การสงั เกต การสะทอ้ นคิด (reflection) ๑.๙ การแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ เปน็ ทกั ษะส�ำ คญั ส�ำ หรับการโค้ชเพ่อื การร้คู ิด ผเู้ รียน ซง่ึ เปน็ ผรู้ บั การโคช้ จะตอ้ งไดร้ บั การกระตนุ้ การคดิ แกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ซงึ่ นอกจากจะท�ำ ใหส้ ามารถ แก้ปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนไดแ้ ล้ว ยังกอ่ ใหเ้ กดิ นวัตกรรมอกี ด้วยหากผูโ้ คช้ เองมีทกั ษะการแกป้ ัญหาอย่าง สรา้ งสรรคแ์ ล้ว ยอ่ มทำ�การโคช้ ใหผ้ เู้ รียนมีทักษะการแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ไดอ้ ยา่ งแนน่ อน Soft Skills มบี คุ ลกิ ภาพทด่ี ี ของการโคช้ เพ่อื การร้คู ิด มีมารยาท ส่อื สารอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ มคี วามสามารถในการใชภ้ าษา มีมนุษยสัมพันธ์ดี การบรหิ ารเวลา การตง้ั ค�ำ ถามและการฟงั การคดิ การแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ แผนภาพ ๑ ทกั ษะทางสงั คม (soft skills) ของการโค้ชเพือ่ การรคู้ ิด ที่มา การโคช้ เพ่อื การรูค้ ิด (Cognitive Coaching) รองศาสตราจารย์ ดร.วิชยั วงษ์ใหญ่ และอาจารย์ ดร.มารตุ พฒั ผล 10 หลักสูตรโค้ชเพ่ือการรคู้ ิดต้านทจุ ริต
การพฒั นาตนเองเกยี่ วกบั soft skills ผโู้ ค้ชที่มปี ระสิทธิภาพมีการพัฒนาตนเองเกย่ี วกบั soft skills ตา่ งๆ เพ่ือใหก้ ารโคช้ บรรลคุ วามส�ำ เร็จ ซง่ึ มีแนวทางดังต่อไปน้ี ๑. การตระหนักรวู้ ่าเป็นส่วนหนงึ่ ของทมี ผโู้ ค้ชควรตระหนักอยเู่ สมอวา่ ตนเองเป็น ส่วนหนึ่งของทีมผูโ้ ค้ช (ผู้สอนคนอน่ื ๆ) ซึ่งผสู้ อนทกุ คน คอื ทีมโค้ช ท่จี ะชว่ ยกนั พฒั นาผเู้ รียนใหบ้ รรลุ เป้าหมายของการเรยี นรู้ความเปน็ ทีมมีลักษณะเปน็ ทีมเรยี นรู้ (team learning) ทม่ี กี ารวิเคราะห์ เปา้ หมาย ด�ำ เนินการ และประเมินผลดว้ ยความรบั ผิดชอบต่อความส�ำ เร็จรว่ มกนั ๒. การมวี ินยั ในตนเอง เคารพ อดทน โคช้ ตอ้ งพัฒนาตนเองในดา้ นความมวี นิ ัยในตนเอง (self - discipline) ซง่ึ ประกอบดว้ ยการน�ำ ตนเอง (self - direction) การควบคมุ ตนเอง (self - control) และการกำ�กับตนเอง (self - regulation) ความเคารพบุคคลอื่นซ่ึงทำ�ให้การทำ�หน้าที่โค้ชเป็นไปด้วย ความเทา่ เทียมกันระหว่างผโู้ ค้ชและผเู้ รียน ผู้โคช้ และผู้เรยี นร่วมเรยี นรซู้ ึง่ กันและกัน นอกจากน้ีผู้โคช้ ยงั ตอ้ งพฒั นาตนเองในดา้ นความอดทนและความใจเยน็ เพราะการโคช้ แตล่ ะครงั้ อาจตอ้ งใชค้ วามพยายาม มากเป็นพเิ ศษ ดงั นั้นหากผ้โู คช้ ขาดความอดทน และใจรอ้ น จะท�ำ ใหก้ ารโค้ชไม่ประสบความสำ�เรจ็ ๓. ทักษะแลกเปล่ียน เรียนรู้กับบุคคลรอบข้าง โค้ชควรพัฒนาตนเองในการแลกเปล่ียน เรียนรกู้ ับบคุ คลอนื่ เพื่อเป็นการจดั การความรูท้ ไี่ ดร้ บั จากการโคช้ เช่น การแลกเปล่ยี นความสำ�เร็จ ในการโคช้ ผเู้ รยี น เทคนคิ การจงู ใจผเู้ รยี น เปน็ ตน้ ทกั ษะการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ มที กั ษะยอ่ ย ประกอบดว้ ย ทกั ษะการนำ�เสนอ ทักษะการส่ือสาร ทักษะการแสดงความคดิ เหน็ ทักษะการฟงั ๔. การดำ�เนนิ ชวี ติ อยา่ งมีสตแิ ละปัญญา การพัฒนาตนเองด้านนี้มคี วามสำ�คญั มาก โค้ชต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ท่ีมีสติและปัญญาอยู่ตลอดเวลา สติ คือ การรู้ตัว รู้เท่าทันความคิดและ อารมณ์ของตนเอง ส่วนปญั ญา คือ การคดิ เปน็ ท่ีอยูบ่ นพนื้ ฐานของการมีเหตุผล และการมุง่ ประโยชน์ ตอ่ สว่ นรวม การพฒั นาสตแิ ละปญั ญานน้ั สามารถท�ำ ไดท้ กุ เวลา ทกุ สถานท่ี และทกุ กจิ กรรมโดยไมจ่ �ำ เปน็ ต้องละทง้ิ หน้าท่กี ารงานแต่อย่างใด นอกจากการพฒั นาตนเองทางดา้ นทกั ษะดงั กลา่ วแลว้ โคช้ ยงั ตอ้ งมคี ณุ ลกั ษณะเพมิ่ เตมิ อกี ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. การยอมรบั (acceptance) ผโู้ ค้ชควรใหก้ ารยอมรับความหลากหลายของผ้เู รยี น ทงั้ ทางกายภาพ และทางความคดิ การยอมรับผเู้ รียนท�ำ ใหผ้ ู้เรียนรสู้ ึกว่าตนเองเป็นคนสำ�คัญ ๒. ความเขา้ ใจ (understanding) ผโู้ คช้ ควรเปดิ ใจรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผเู้ รยี น เคารพ สทิ ธิ มองผเู้ รยี นด้วยใจทีม่ ีเมตตาโดยไม่ด่วนสรุปและตดั สินผ้เู รียน เอาใจของผเู้ รยี นมาเป็นใจของตนเอง ให้มาก ๓. ความจริงใจ (sincerity) ผู้โคช้ มคี วามจรงิ ใจในการพัฒนาผเู้ รียนทุกคนโดยไม่หวงั สิง่ ตอบแทนใดๆ นอกจากการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี นคุณลักษณะ และคุณภาพดา้ นต่างๆ ทเี่ ป็นรากฐาน ของการด�ำ เนนิ ชวี ิตในอนาคต ๔. มีจรยิ ธรรม (ethics) ดว้ ยการประพฤตติ นเป็นแบบอยา่ งเปน็ ครทู ่ดี ี คดิ พูด ทำ� ในสิ่ง ทตี่ รงกนั รกั และเมตตาผเู้ รยี นอยา่ งเสมอภาค สง่ิ ส�ำ คญั ประการหนง่ึ ทต่ี อ้ งมี คอื การใหค้ วามยตุ ธิ รรมกบั ผู้เรยี นทุกคน เพราะความยุติธรรมเปน็ พื้นฐานของคณุ ธรรมดา้ นอ่ืนๆ ๕. มีความมั่นคงทางอารมณ์ (maturity) สามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้ การ แสดงออกทางอารมณด์ ว้ ยการมีอารมณ์ดีย้มิ แย้มแจม่ ใส สนกุ สนานรา่ เริง เบิกบาน ช่วยท�ำ ใหจ้ ติ ใจของ ผู้เรยี นแช่มชน่ื เออ้ื ตอ่ การโค้ชมากขน้ึ ๖. มีความยืดหยุ่น (flexibility) โดยการไม่ยึดติดกับกฎระเบียบ หรือกรอบกติกามาก หลักสตู รโคช้ เพ่อื การรู้คดิ ตา้ นทจุ รติ 11
จนเกนิ ไป ท�ำ ใหผ้ เู้ รยี นไมต่ งึ เครยี ดผอ่ นคลาย และมคี วามสขุ เมอื่ อยกู่ บั ผโู้ คช้ และผเู้ รยี นสามารถรบั รแู้ ละ เปลีย่ นแปลงตนเองไปสูเ่ ปา้ หมายได้ ๗. การประเมนิ ทเ่ี สรมิ พลงั (empowerment evaluation) เปน็ การประเมนิ ทเี่ นน้ การ ปรับปรงุ และพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ผูเ้ รียนมีความสุขจากการไดร้ บั การสะท้อนผลการประเมนิ สามารถใช้ สารสนเทศน�ำ ไปพัฒนาเรียนรู้ตอ่ ยอดได้ ๒. ทักษะด้านความรทู้ างวชิ าการ (hard skills) นอกจากผู้โค้ชจะตอ้ งมี “จรณ” หรอื soft skills แลว้ ยงั ตอ้ งมที ักษะเชงิ วชิ าการ หรอื วิชา (hard skills) อีกดว้ ย ซ่งึ ทงั้ soft skills และ hard skills เป็นปัจจยั เออ้ื ใหก้ ารโคช้ ด�ำ เนนิ ไปอย่าง ราบรื่นและประสบความสำ�เรจ็ ทักษะเชงิ วิชาการ หรือวิชา (hard skills) ทผี่ ้โู ค้ชต้องมีดังตอ่ ไปน้ี ๑. ความรเู้ ก่ียวกับการวิจยั (research knowledge) - การวิจัยเพือ่ พฒั นาการเรียนร้ขู องผู้เรยี น - การวจิ ยั เพ่ือพฒั นาวธิ กี ารโคช้ ท่ีมีประสิทธภิ าพ - การวจิ ยั และพัฒนานวตั กรรม ๒. ความรู้เก่ียวกับเทคโนโลยี (technological knowledge) - การเข้าถงึ และร้เู ท่าทนั เทคโนโลยี - การน�ำ เทคโนโลยีมาใชใ้ หเ้ หมาะกบั การโคช้ - การน�ำ เทคโนโลยีมาใชก้ ับการจดั การเรยี นรู้ ๓. ความรใู้ นวิธีการสอน (pedagogical knowledge) - การคัดสรรวิธีการจัดการเรยี นรทู้ เี่ หมาะกับผูเ้ รยี นและบรบิ ทของพน้ื ท่ี - การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ท่ตี อบสนองความสนใจ และผลลัพธก์ ารเรียนรู้ - การประเมนิ ผลการเรียนรตู้ ามสภาพจรงิ - การใหผ้ ลยอ้ นกลบั เชงิ สร้างสรรค์ ๔. ความรเู้ กยี่ วกับสาระทส่ี อน รวมทง้ั ความรใู้ หม่ๆ (content knowledge) - การบูรณาการสาระส�ำ คัญ (main concept) ทเี่ หมาะกับความสามารถของผเู้ รียนแตล่ ะคน - การปรับ (modify) สาระส�ำ คญั ให้งา่ ย ผู้เรยี นทุกคนสามารถเขา้ ถึงได้ สรุปแผนภาพองคป์ ระกอบของความรูท้ างวิชาการของผโู้ ค้ชดงั แผนภาพต่อไปนี้ Research Technological knowledge Knowlwdge Hard Skill Pedagogical Content knowledge Knowlwdge 12 หลกั สตู รโคช้ เพอื่ การรูค้ ดิ ต้านทุจริต
การใชส้ ปั ปุรสิ ธรรม ๗ ในการด�ำ เนินการโคช้ เนอ่ื งจากการโคช้ เปน็ กระบวนการทอ่ี าศยั ความสมั พนั ธส์ ว่ นบคุ คล การรบั ฟงั และการยอม ปฏบิ ัตติ ามเพ่อื การปรบั ปรงุ พัฒนา ดงั นัน้ ผโู้ ค้ชจงึ จำ�เป็นต้องเปน็ คนดี มีคุณธรรม และมีความเกง่ ใน เชงิ วชิ าการซึ่งหลกั ธรรมสัปปรุ ิสธรรม ๗ คอื หลักธรรมท่ชี ว่ ยช้แี นวทางใหผ้ ู้โค้ช สามารถปฏิบัติการโคช้ ได้ประสบความสำ�เร็จ และเกดิ การพัฒนาที่ย่งั ยืน ดังนี้ ๑. รูจ้ กั เหตุ สามารถคดิ ไตร่ตรองตามความเปน็ จรงิ รู้ถึงสาเหตทุ ่ีเกดิ ๒. ร้จู ักการคาดผล สามารถคาดการณถ์ ึงสิง่ ท่จี ะเกิดขน้ึ ๓. รูจ้ ักตน ส�ำ รวจวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของตน และพฒั นาจุดแข็งมาใชป้ ระโยชน์ ๔. รจู้ ักประมาณ การร้จู ักประมาณตนในการด�ำ เนนิ ชีวิต ๕. รู้จักกาล สามารถบริหารเวลาของตนเองและองคก์ รไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ ๖. รู้จักชมุ ชน เขา้ ใจและเรียนรูส้ งั คม น�ำ มาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ๗. รูจ้ กั บุคคล การวางตน การเข้าสงั คม ได้อยา่ งเหมาะสม จากการทีไ่ ดก้ ลา่ วถงึ จรณทักษะ (soft skills) ทกั ษะเชงิ วิชาการ (hard skills) และการใช้ สปั ปรุ ิสธรรม ๗ ของการโคช้ สามารถแสดงเป็นองค์ประกอบของการโค้ชเพอื่ การรู้คดิ ไดด้ ังแผนภาพ ตอ่ ไปน้ี วิชา จรณ สปั ปรุ ิสธรรม ๗ หลกั สตู รโคช้ เพือ่ การรูค้ ดิ ต้านทจุ รติ 13
ส่วนท่ี ๑ เรื่อง การสรา้ งโคช้ โค้ชเพอื่ การรู้คดิ ต้านทุจรติ วิชาท่ี ๑.๒ เร่ือง กลไกและกระบวนการโคช้ เวลา ๓ ชวั่ โมง เรือ่ ง : กลไกและกระบวนการของการโค้ชเพอื่ การร้คู ดิ เพื่อการตอ่ ตา้ นการทุจรติ สาระสำ�คญั การสร้างโค้ชท่ีมีความสามารถและทักษะในการเรียนการสอนด้วยเทคนิคและวิธีการที่ เหมาะสมเพอ่ื เป็นตวั แทนของส�ำ นกั งาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณเ์ ก่ียวกับ เรอ่ื งคา่ นยิ มการตา้ นทจุ รติ ไปสผู่ เู้ รยี น จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามตระหนกั รู้ และเหน็ ความส�ำ คญั ของปญั หา การทจุ ริตคอรร์ ปั ชนั อันจะน�ำ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเกดิ คา่ นยิ มต้านทจุ ริต “ชว่ ยกนั สร้าง ชุมชน/สังคมดีใหก้ ับบา้ นเมืองสง่ ตอ่ อนาคตท่ีดใี ห้ลูกหลานอยา่ งยั่งยนื ” วตั ถุประสงค์ ๑. เพอ่ื สร้างโคช้ ดา้ นการรู้คิดตา้ นทุจรติ ๒. เพอ่ื พฒั นาศกั ยภาพของผสู้ อนเกย่ี วกบั บทบาทในการเปน็ โคช้ ใหก้ บั ผเู้ รยี น โดยสามารถ กระตุ้นการรู้คดิ อยา่ งตอ่ เน่ือง เพื่อดงึ ศกั ยภาพของผเู้ รยี น ๓. เพอื่ เพมิ่ พนู ทกั ษะของผสู้ อนใหส้ ามารถน�ำ นวตั กรรมและเทคโนโลยมี าประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ สอ่ื ในการเรยี นการสอนไดอ้ ย่างเหมาะสม ขอบเขตเนือ้ หา ๑. กลไกของการโคช้ การโค้ชมกี ลไกทน่ี �ำ ไปสกู่ ระบวนการโคช้ และความส�ำ เร็จของการโค้ช ไดแ้ ก่ ๑. สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรยี น (inspiring your learners) ๒. ให้ก�ำ ลังใจสนบั สนุนผู้เรียน (encouraging your learners) ๓. แกไ้ ขปรบั ปรุงข้อผดิ พลาดให้ผเู้ รยี น (correcting your learners) ๔. สร้างความทา้ ทายให้ผูเ้ รียน (challenging your learners) ๕. ภาวะผนู้ �ำ ทางวิชาการ (academic leadership) ๖. สุนทรียสนทนา (dialogue) ๗. การถอดบทเรยี น (lesson learned) ๘. ความผูกพันของผเู้ รยี นกับผู้โค้ช (engagement) ๙. การตงั้ ค�ำ ถามกระตุ้นการคดิ (thinking questions) 14 หลกั สูตรโค้ชเพอ่ื การรู้คดิ ตา้ นทจุ รติ
๒. กระบวนการโคช้ ขน้ั ตอนของการโคช้ ทีจ่ ะบรรลเุ ป้าหมาย ประกอบดว้ ย ๑) การกำ�หนดเป้าหมาย ๒) การตรวจสอบสภาพจรงิ ๓) การก�ำ หนดทางเลอื ก ๔) การตัดสนิ ใจ และ ๕) การประเมินผลการโค้ช ๓. หลกั การพฒั นาโค้ชและผ้เู รยี นอยา่ งยัง่ ยืน ขั้นตอนการพัฒนาโค้ชและผู้เรียนอย่างยังยืน คือการเรียนรู้ที่ส่งผลให้ผู้เรียนมีการ เปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม เปน็ การสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ การเรยี นรตู้ า่ งจากการรบั รู้ ไมใ่ ชเ่ พยี งรบั ทราบ ตอ้ งเกดิ การปรบั เปลย่ี นการปฏบิ ตั ิ ดว้ ยโมเดล KUSAB ซง่ึ เปน็ หลกั การหนงึ่ ในการฝกึ ปฏบิ ตั ใิ นการพฒั นา ทรพั ยากรมนุษย์ K knowledge ความรู้ U understanding ความเขา้ ใจ S skill ทักษะ ความชำ�นาญ ความคล่องแคลว่ A attitude ทัศนคติ การให้คุณคา่ ความชอบ B behavior พฤติกรรม วธิ กี ารฝกึ อบรม ๑. การบรรยายใหค้ วามรู้หลักสตู รโคช้ เพื่อการรูค้ ดิ ต้านทุจรติ ๒. การยกตวั อยา่ งและวิเคราะห์กรณศี ึกษา ๓. การทำ�กิจกรรมกลมุ่ ๔. การอภปิ รายกลมุ่ ๕. การฝึกทดลองปฏบิ ตั กิ ารภาคสนาม สอ่ื การเรยี นรู้ ๑. เอกสารประกอบการบรรยาย ๒. สือ่ การเรยี นรูอ้ ิเลก็ ทรอนิกส์ ๓. วิทยากรผทู้ รงคณุ วุฒ ิ และปราชญ์ชาวบ้านผนู้ ำ�ชมุ ชน การวดั และประเมินผล ๑. รอ้ ยละผลการทดสอบและวดั ประเมนิ ผลกอ่ นและหลงั การเรยี นรกู้ อ่ นและหลงั บทเรยี น (Pre & Post Test) ๒. รอ้ ยละของจ�ำ นวนชวั่ โมงทเ่ี ข้ารบั การอบรม ๓. การผา่ นการฝึกทดลองปฏิบัติการภาคสนาม หลกั สูตรโคช้ เพอ่ื การรู้คดิ ตา้ นทุจรติ 15
สว่ นท่ี ๑ เรอื่ ง การสรา้ งโคช้ เน้ือหาโดนสงั เขป วิชาที่ ๑.๒ เรื่อง กลไกและกระบวนการโคช้ เวลา ๓ ชัว่ โมง รายละเอยี ดเน้ือหา ๑. กลไกของการโค้ช การโค้ชมีกลไกทีน่ ำ�ไปส่กู ระบวนการโค้ชและความสำ�เร็จของการโค้ชดงั ต่อไปนี้ ๑. สร้างแรงบนั ดาลใจให้กับผ้เู รียน (inspiring your learners) ผโู้ ค้ชต้องใช้กลวธิ ี เทคนิค ตา่ งๆ ในการสรา้ งแรงบนั ดาลใจใหก้ บั ผู้เรยี น ท�ำ ใหผ้ เู้ รียนสนใจอยากเรียนรู้ กำ�หนดเปา้ หมายของการเรียนรู้ และอยากปฏิบัติกจิ กรรมตา่ งๆ ดว้ ยเหตุผลวา่ เป็นส่งิ ท่ีมีความสำ�คัญและมีประโยชน ์ ๒. ให้กำ�ลังใจสนับสนุนผู้เรียน (encouraging your learners) ผู้โค้ชมีความจริงใจในการ ชมเชยผ้เู รยี น เมือ่ ผเู้ รียนทำ�สงิ่ ตา่ งๆ ไดส้ �ำ เร็จ และให้ก�ำ ลังใจเมือ่ ประสบกับความล้มเหลว โดยใช้คำ�ถาม เพื่อการรคู้ ิดในการพฒั นาและปรับปรุง โดยไม่วิพากษ์ วิจารณ์ ๓. แกไ้ ขปรบั ปรงุ ขอ้ ผิดพลาดให้ผเู้ รียน (correcting your learners) ผูโ้ คช้ ท่ีมีประสบการณส์ ูง จะสามารถเสนอแนะแนวทางการแกไ้ ขปรบั ปรงุ ขอ้ ผดิ พลาดใหก้ บั ผเู้ รยี นได้ โดยใชค้ �ำ ถามหรอื การใหผ้ เู้ รยี น คดิ หาแนวทางดว้ ยตนเอง การเสนอแนวความคิด โดยไม่ลงมือทำ�ให้ เพราะทำ�ให้ผเู้ รยี นไมไ่ ด้เรยี นรู้ ๔. สรา้ งความท้าทายให้ผเู้ รียน (challenging your learners) ผ้โู คช้ จำ�เปน็ ต้องทำ�ใหผ้ ูเ้ รยี น เกดิ ความรสู้ กึ ทา้ ทายในการเรยี นรู้ เพราะเมอ่ื ผเู้ รยี นเกดิ ความรสู้ กึ วา่ สง่ิ ทเ่ี ขาจะตอ้ งเรยี นรนู้ น้ั เปน็ สงิ่ ทที่ า้ ทาย ความรคู้ วามสามารถของเขา จะท�ำ ใหเ้ กิดความมงุ่ มนั่ ความอุตสาหพยายามในการทจี่ ะเรยี นรู้ใหส้ ำ�เรจ็ ๕. ภาวะผนู้ ำ�ทางวชิ าการ (academic leadership) ผู้โค้ชที่จะท�ำ การโคช้ ได้ดนี ้นั จ�ำ เปน็ ต้อง มภี าวะผนู้ �ำ ทางวชิ าการ คอื การมคี วามรใู้ นเนอื้ หาสาระทตี่ นเองจดั การเรยี นรู้ และมคี วามสามารถในการ นำ�ความคดิ รวบยอด หรือ concept ของความรนู้ นั้ มาใชใ้ นการปฏิบัตจิ ริง ๖. สนุ ทรยี สนทนา (dialogue) เปน็ การสอ่ื สารกบั ผเู้ รยี น ดว้ ยจติ ใจทบี่ รสิ ทุ ธ์ิ ใชเ้ หตผุ ลหรอื ปญั ญา ในการพดู โดยไมใ่ ชอ้ ารมณห์ รอื ความรสู้ กึ รบั ฟงั ผเู้ รยี นดว้ ยใจทเี่ ปน็ กลางปราศจากอคติ ไมด่ ว่ นสวนกลบั ไม่ดว่ นสรปุ สุนทรยี สนทนาเปน็ ปัจจัยของการเรยี นรสู้ กู่ ารเปล่ียนแปลง (transformative learning) ๗. การถอดบทเรยี น (lesson learned) เปน็ การสงั เคราะห์องค์ความร้ทู ่ีเกดิ จากการปฏิบตั ิจรงิ เกี่ยวกับการโค้ช เช่น เทคนิคการตง้ั คำ�ถาม วธิ ีการจงู ใจ วิธกี ารให้ผลย้อนกลบั แก่ผ้เู รียน เปน็ ต้น ผลจากการถอดบทเรียนจะทำ�ให้ผู้โค้ชมีองค์ความรู้ที่มาจากการปฏิบัติ หรือเรียกว่า ปัญญาปฏิบัติ และ สามารถน�ำ ไปเรียนรูต้ ่อยอด ๘. ความผกู พนั ของผเู้ รยี นกบั ผโู้ คช้ (engagement) การโคช้ เปน็ ความผกู พนั สว่ นบคุ คล คอื เป็นสิ่งทไ่ี ม่สามารถออกค�ำ ส่งั หรอื บงั คับให้ปฏิบัตติ ามได้ ผเู้ รยี นทมี่ คี วามผูกพนั กับผู้โค้ช จะรับฟังคำ�โคช้ (คำ�แนะนำ�) และนำ�ไปปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง 16 หลกั สตู รโค้ชเพือ่ การรคู้ ิดต้านทุจรติ
๙. การตง้ั ค�ำ ถามกระตนุ้ การคดิ (thinking questions) เปน็ หวั ใจทสี่ �ำ คญั ของการโคช้ เพราะ การโค้ชท่ดี จี ะตอ้ งใชค้ �ำ ถามกระต้นุ ใหผ้ ูเ้ รยี นคดิ และพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเนื่อง การโคช้ ทด่ี ีเป็นมากกวา่ การใหค้ �ำ ตอบทถ่ี กู ตอ้ ง หากแตอ่ ยทู่ ก่ี ารดงึ ศกั ยภาพของผเู้ รยี นออกมา แลว้ ใหเ้ ขาพฒั นาดว้ ยตวั ของเขาเอง เต็มตามศกั ยภาพ ตาราง ๒ ตัวอยา่ งคำ�ถามจำ�แนกตามระดับการคิด สาระส�ำ คัญ ระดบั การคิด/ตัวอยา่ งคำ�ถาม การทุจรติ ความรู้ ความเข้าใจ การน�ำ ไปใช้ การวิเคราะห์ การ การ ประเมินค่า สร้างสรรค์ การทจุ รติ คอื การทุจริตท�ำ ให้ เรามีวธิ ีการ การทจุ รติ ก่อ ท่านคิดวา่ คน เรามวี ิธีใหม่ๆ อะไร เกิดผลเสยี ตอ่ หลีกเล่ยี งและ ใหเ้ กดิ ผลเสีย ทุจรติ แต่ทำ�ให้ ในการปอ้ งกนั ท่าน/สงั คม ปอ้ งกนั ตนเอง ตอ่ ตวั ทา่ น ประเทศชาติ การทุจริต อย่างไร ใหห้ า่ งไกล และครอบครัว พฒั นา เป็น อยา่ งไร จากการทุจริต อยา่ งไร ความคดิ ทีถ่ ูก อย่างไร ต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด ๒. กระบวนการโคช้ ขั้นตอนของการโคช้ ทจ่ี ะบรรลเุ ป้าหมาย ประกอบดว้ ย ๑) การก�ำ หนดเป้าหมาย ๒) การตรวจสอบสภาพจริง ๓) การกำ�หนดทางเลือก ๔) การตัดสนิ ใจ ๕) การประเมินผลการโคช้ มีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ ๑. การกำ�หนดเปา้ หมาย (goal) การก�ำ หนดเปา้ หมายของการโคช้ ผเู้ รยี นแตล่ ะบคุ คล มงุ่ เนน้ ผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้ ทงั้ ดา้ น การรู้คดิ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ วธิ กี ารต้ังเป้าหมายควรก�ำ หนดพฤตกิ รรม การเรียนรู้ของผเู้ รียน ในลกั ษณะที่เป็นรปู ธรรม สามารถสังเกตไดห้ รือวัดได้ เชน่ - ผเู้ รียนสามารถระบสุ ระในภาษาองั กฤษได้ - ผเู้ รียนบวกเลขสองหลกั ได้ - ผู้เรียนทำ�งานรว่ มกบั ผอู้ ่ืนได้ - ผู้เรยี นใชค้ วามพยายามในการปฏิบตั ิงาน - ผู้เรียนช่วยเหลอื แบ่งปนั ความรกู้ บั เพื่อนๆ การก�ำ หนดเปา้ หมายของการโคช้ ทมี่ คี วามชดั เจนและเปน็ รปู ธรรมส�ำ หรบั ผเู้ รยี นแตล่ ะคน จะชว่ ยท�ำ ใหก้ ารโค้ชมีประสทิ ธภิ าพมากข้นึ กลา่ วคอื ทำ�ใหผ้ ้โู ค้ชทท่ี �ำ หนา้ ทโี่ ค้ชมองเห็นเปา้ หมายใน การโคช้ ของตนเองดว้ ย อีกท้ังยงั ชว่ ยท�ำ ให้การประเมินผลการโคช้ ทำ�ได้งา่ ยและตรงประเด็น ๒. การตรวจสอบสภาพจรงิ (reality) การทบทวนสภาพจรงิ เกย่ี วกบั คณุ ภาพของผเู้ รยี นทเี่ ปน็ อยใู่ นปจั จบุ นั วา่ เปน็ อยา่ งไร มคี วามตอ้ งการพฒั นาหรอื ตอ้ งไดร้ บั การโคช้ ในประเดน็ ใด ซง่ึ วธิ กี ารตรวจสอบอาจเปน็ การพจิ ารณา หลักสตู รโค้ชเพอื่ การร้คู ิดต้านทจุ รติ 17
ผลการเรยี นรทู้ ผ่ี า่ นมา พฤตกิ รรมการเรยี นรทู้ ส่ี งั เกตพบ หรอื ใชว้ ธิ กี ารซกั ถามแบบไมเ่ ปน็ ทางการ ผลของ การตรวจสอบสภาพจรงิ จะเปน็ ขอ้ มลู สารสนเทศส�ำ หรบั การก�ำ หนดทางเลอื กวธิ กี ารโคช้ อกี ทงั้ การตรวจสอบ สภาพจริงช่วยยนื ยนั ความถกู ตอ้ งของเป้าหมายการโคช้ ไดอ้ ีกด้วย ๓. การก�ำ หนดทางเลอื ก (option) การก�ำ หนดเทคนคิ วธิ กี ารโคช้ บนพน้ื ฐานของสภาพจรงิ และตอบสนองเปา้ หมายของ การโค้ช เช่น การเลอื กใช้เทคนคิ สร้างความไวว้ างใจ ดว้ ยการย้ิมแย้มแจม่ ใส พูดดว้ ยคำ�สุภาพ ไพเราะ ออ่ นหวาน หรอื เทคนคิ การตงั้ คำ�ถามทีก่ ระตุ้นให้ผู้เรียนคิด แสวงหาค�ำ ตอบ ค้นหาทางเลือก การตัดสินใจ และการแกป้ ัญหา เปน็ ตน้ การก�ำ หนดทางเลอื กในการโค้ช ควรมีความสอดคลอ้ งกบั สภาพความตอ้ งการไดร้ บั การโคช้ ของผเู้ รยี นแตล่ ะคน ซง่ึ มคี วามแตกตา่ งกนั ตลอดจนสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องผเู้ รยี น สภาพอารมณ์ ในขณะนน้ั (จริตในการเรยี นรู้ หรอื ลีลาการเรียนร)ู้ การก�ำ หนดทางเลอื กของการโคช้ ทถ่ี กู ตอ้ ง ชว่ ยสนบั สนนุ ใหก้ ารโคช้ ประสบความส�ำ เรจ็ คอื การเรยี นรู้และการคดิ ของผ้เู รยี น ๔. การตดั สินใจ (will, way, forward) will คือ การตง้ั เปา้ หมาย การม่งุ มัน่ ในการโค้ชเพ่ือใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ way คอื แนวทางการปฏบิ ตั ทิ นี่ �ำ ไปสคู่ วามส�ำ เรจ็ โดยมเี ปา้ หมายทชี่ ดั เจน และก�ำ หนด ข้นั ตอนการประสบความส�ำ เรจ็ (milestone) ทจี่ ะบรรลใุ นแตล่ ะข้ัน forward คือ การทบทวนผลการปฏิบัติ รวมท้ังการเรยี นรแู้ ละพฒั นาตอ่ ยอด การตัดสินใจเลือกทางเลือกท่ีดีที่สุดสำ�หรับการโค้ช และลงมือปฏิบัติการโค้ชเพื่อการ บรรลเุ ปา้ หมาย คอื การเรยี นรูแ้ ละการคิดของผ้เู รียน เกณฑก์ ารตดั สนิ ใจทางเลือกท่ดี ีที่สุดมดี งั น้ี - เกิดประโยชนส์ ูงสุดตอ่ ผ้เู รียน - ตอบโจทย์ความตอ้ งการของผ้เู รียน - เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นคดิ และตดั สนิ ใจ - โค้ชแล้วผ้เู รยี นมคี วามสุขในการเรียนรู้ - โค้ชแล้วผเู้ รียนเกิดก�ำ ลังใจและพลงั การเรยี นรู้ ๕. การประเมินผลการโคช้ (evaluation) การประเมินผลการโคช้ มแี นวคดิ เพอื่ ตรวจสอบว่าผู้เรยี นทีไ่ ดร้ ับการโคช้ มีพัฒนาการ ทดี่ ขี น้ึ หรอื ไม่ ดว้ ยวธิ กี ารประเมนิ ตามสภาพจรงิ เปน็ รายบคุ คล เชน่ การทดสอบ การซกั ถาม การประเมนิ ผลงาน การสังเกตพฤติกรรม การสอบถามจากเพอื่ นๆ ร่วมชั้นเรียน เปน็ ต้น แลว้ น�ำ ผลการประเมิน มาพฒั นาผเู้ รยี นอย่างตอ่ เน่อื ง ๓. หลักการพัฒนาโคช้ และผู้เรยี นอยา่ งยั่งยนื หลักการพฒั นาโคช้ และผ้เู รียนอยา่ งยังยืนมีหลกั การทสี่ �ำ คญั คอื ๑) หลกั การเสริมสรา้ งความเชือ่ ถอื และศรทั ธา ในการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยม์ หี ลกั การทสี่ �ำ คญั คอื จะตอ้ งใหผ้ ทู้ เ่ี ขา้ รบั การพฒั นาและ ฝกึ อบรม รวมท้ังผทู้ ่ีเกีย่ วข้องทกุ ฝ่าย มคี วามเช่ือถอื และศรทั ธาเกดิ ขึ้นก่อน เม่อื ทุกฝา่ ยเกิดความเชือ่ ถอื และศรทั ธาแลว้ กจ็ ะท�ำ ใหก้ ารพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยป์ ระสบความส�ำ เรจ็ ตามเปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ ตามทต่ี อ้ งการได้ เชน่ ความเชอ่ื ถอื และศรทั ธาทมี่ ตี อ่ หนว่ ยงานทเี่ ปน็ ผดู้ �ำ เนนิ งาน ความเชอื่ ถอื และศรทั ธา ในช่อื เสยี งและประสบการณ์ของวทิ ยากร เปน็ ตน้ 18 หลกั สตู รโค้ชเพื่อการรูค้ ดิ ต้านทุจริต
๒) หลักการรักษาระดับความสนใจให้อยใู่ นระดบั ที่สูงอย่เู สมอ ในการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ มหี ลกั การทสี่ �ำ คญั คอื จะตอ้ งท�ำ ใหผ้ ทู้ เ่ี ขา้ รบั การพฒั นา และฝึกอบรมท่ีก�ำ ลงั ด�ำ เนินการอยู่น้ัน ใหอ้ ยู่ในระดับทสี่ ูงเพอ่ื ใหผ้ ูท้ เ่ี ข้ารบั การพฒั นาและฝึกอบรม เกดิ ความสนในในเรอื่ งท่ีกำ�ลังรบั ร้แู ละรบั ฟงั โดยเฉพาะวิทยาการ ควรท่ีจะมีความสามารถในการสร้าง ความสนใจผทู้ ร่ี บั การพฒั นาและฝกึ อบรม เชน่ มกี ารใหท้ �ำ กจิ กรรมตา่ งๆ มกี ารใชเ้ ทคนคิ หรอื วธิ กี ารใหมๆ่ ในการพัฒนาและฝกึ อบรม เปน็ ต้น ๓) หลกั การเสรมิ สรา้ งภาวะสมอง ในการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ มหี ลกั การทสี่ �ำ คญั คอื จะตอ้ งท�ำ ใหผ้ ทู้ เี่ ขา้ รบั การพฒั นา และฝึกอบรมไดม้ กี ารเสรมิ สร้างภาวะสมองด้วยการฝกึ ให้รจู้ ักคดิ ฝกึ ให้มีการปฏิบตั ิ ฝกึ ใหม้ กี ารโต้ตอบ หรอื ฝกึ ใหเ้ กดิ การมสี ว่ นรว่ ม ซงึ่ วธิ ีการฝึกตา่ งๆ เหล่าน้ี จะท�ำ ใหผ้ ทู้ ี่เขา้ รบั การพฒั นาและฝึกอบรมเกิดความรู้ ความสามารถเพ่ิมมากขึ้น และเปน็ การเสริมสรา้ งภาวะสมองของผู้ทเี่ ขา้ รบั การพัฒนาและฝึกอบรมดว้ ย ๔) หลกั การเสริมสร้างภาพพจน์ทดี่ ใี นหวั ขอ้ ต่างๆ ในการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ มหี ลกั การทสี่ �ำ คญั คอื จะตอ้ งท�ำ ใหผ้ ทู้ เี่ ขา้ รบั การพฒั นา และฝึกอบรม ไดร้ ับรู้และเข้าใจถงึ ความส�ำ คัญ ประโยชน์ และความจ�ำ เปน็ ทีจ่ ะต้องเรยี นรู้ในเรือ่ ง หัวขอ้ และเนือ้ หาตา่ งๆ ทีก่ ำ�หนดไว้ในหลกั สตู รของการพัฒนาและฝกึ อบรม จึงเป็นหลกั การส�ำ คัญทว่ี า่ การพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยจ์ ะตอ้ งยดึ หลกั การเพอื่ เสรมิ สรา้ งภาพพจนท์ ดี่ ใี นหวั ขอ้ ตา่ งๆ ใหก้ บั ผทู้ เี่ ขา้ รบั การพัฒนาและฝกึ อบรม ๕) หลกั การเสรมิ สรา้ งความเข้าใจ ในการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ มหี ลกั การทส่ี �ำ คญั คอื จะตอ้ งท�ำ ใหผ้ รู้ บั การพฒั นาและ ฝึกอบรม เกิดความเขา้ ใจ สามารถน�ำ ความรู้ต่าง ๆ ทไี่ ดร้ บั ไปใช้ในการปฏิบตั งิ านหรอื ประยกุ ตใ์ หเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ไปได้ กลา่ วคอื ผทู้ ร่ี บั การพฒั นาและฝกึ อบรม เมอื่ ไดค้ วามรจู้ ากการพฒั นาและฝกึ อบรมแลว้ จะต้องมีความเข้าใจได้ด้วยว่าจะนำ�ความรู้ท่ีได้น้ัน ไปใช้หรือประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้อย่างไร ท�ำ ไมถงึ ตอ้ งท�ำ เชน่ นน้ั ดงั นนั้ จงึ เปน็ หลกั การส�ำ คญั ทวี่ า่ จะตอ้ งเสรมิ สรา้ งความเขา้ ใจใหเ้ กดิ ขน้ึ กบั ผทู้ ่ี เข้ารบั การพฒั นาและฝึกอบรมดว้ ย ๖) หลักการเน้นหรือยาํ้ ในการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ มหี ลกั การทส่ี �ำ คญั คอื จะตอ้ งท�ำ ใหผ้ ทู้ เ่ี ขา้ รบั การพฒั นา และฝกึ อบรม สามารถทจี่ ะจดจ�ำ จากสงิ่ ทไี่ ดร้ บั จากการพฒั นาและฝกึ อบรมใหไ้ ด้ การทจี่ ะท�ำ ใหส้ งิ่ ทไี่ ดร้ บั จากการพฒั นาและฝกึ อบรมสามารถจดจ�ำ ไดด้ นี นั้ วธิ กี ารหนง่ึ ทนี่ ยิ มใชก้ นั กค็ อื การเนน้ หรอื การยา้ํ นน่ั เอง ยกตัวอย่างเชน่ การท่ีบุคคลบางคนร้องเพลงบางเพลงไดท้ ้งั ๆ ท่ไี ม่เคยเห็นเนอ้ื เพลงน้ันเลย ท้ังน้ี อาจจะ เป็นเพราะบุคคลผู้น้ันได้ยินและได้ฟังเพลงนั้นบ่อยๆ จึงทำ�ให้จดจำ�เนื้อเพลงและร้องเพลงน้ันได้ในที่สุด นีค่ ือหลักการส�ำ คัญที่วา่ จะตอ้ งมกี ารเนน้ หรอื ย้าํ กบั ผทู้ ี่เขา้ รับการพัฒนาและฝึกอบรม จากหลักการท่สี �ำ คญั ในขนั้ ตอนการพฒั นาโค้ชและผู้เรียนอยา่ งยังยนื คือการเรียนรทู้ ี่ สง่ ผลใหผ้ ้เู รยี นมกี ารเปล่ียนแปลงพฤติกรรม เปน็ การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ การเรยี นรู้ต่างจากการรับรู้ ไม่ใชเ่ พียงรบั ทราบ ตอ้ งเกิดการปรบั เปลีย่ นการปฏบิ ตั ิ ดว้ ยโมเดล KUSAB K knowledge ความรู้ U understanding ความเขา้ ใจ S skill ทกั ษะ ความช�ำ นาญ ความคล่องแคล่ว A attitude ทัศนคติ การให้คุณคา่ ความชอบ B behavior พฤตกิ รรม หลักสูตรโค้ชเพื่อการรคู้ ิดตา้ นทุจริต 19
๑. ความรู้ (knowledge) การพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยจ์ ะตอ้ งครอบคลมุ ปจั จยั ท�ำ ใหผ้ รู้ บั การพฒั นาและฝกึ อบรม มคี วามรใู้ นหวั ขอ้ เนอื้ หาสาระหรอื หลกั สตู รทเ่ี ขา้ รบั การพฒั นาและฝกึ อบรม และสามารถทจ่ี ะน�ำ มาใชใ้ ห้ เกิดประโยชนใ์ นการปฏิบัตงิ านได้ ๒. ความเข้าใจ (understanding) การพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ จะตอ้ งครอบคลมุ ปจั จยั ทที่ �ำ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การพฒั นาและฝกึ อบรม มคี วามเขา้ ใจวา่ ความรทู้ ไี่ ดร้ บั จากการพฒั นาและฝกึ อบรม มคี วามจ�ำ เปน็ อยา่ งไร ท�ำ ไมตอ้ งปฏบิ ตั เิ ชน่ นน้ั สามารถน�ำ ไปใช้ไดอ้ ย่างไร กลา่ วได้ว่า นอกจากจะร้ใู นเรอ่ื งนน้ั ๆ แลว้ จะตอ้ งมคี วามเข้าใจเร่อื งนนั้ ๆ ด้วย ๓. ทกั ษะ (skill) การพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ จะต้องครอบคลมุ ปัจจัยที่จะทำ�ให้ผูเ้ ขา้ รับการพัฒนาและ ฝึกอบรม มที กั ษะ มีความสามารถท่ีจะปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ย่างถูกหลกั ถูกวิธี และถูกตอ้ ง จะเป็นการลด ความสญู เสยี และปญั หาตา่ งๆ ขององคก์ าร เพอื่ จะท�ำ ใหเ้ กดิ ผลจากการปฏบิ ตั งิ านทด่ี แี ละมปี ระสทิ ธภิ าพ ต่อองคก์ ารมากทสี่ ดุ ๔. ทศั นคติ (attitude) การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ จะตอ้ งครอบคลุมปัจจัยทจ่ี ะท�ำ ใหผ้ ู้เข้ารับการพฒั นาและ ฝกึ อบรมมีความเข้าใจในองคก์ าร หน่วยงาน เพื่อนร่วมงาน และการปฏิบตั งิ านมากขึ้น กลา่ วคอื เม่อื บุคลากรมที ัศนคตทิ ่ดี ตี ่องาน เพ่อื นร่วมงาน หน่วยงาน และองค์การแล้ว จะท�ำ ใหป้ ัญหาต่างๆ ในองค์การลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้ง ระบบการทำ�งาน การบริหารจัดการ ตลอดจนปญั หาทเี่ กิดจากการกำ�หนดนโยบายขององคก์ ารต่างๆ เหล่าน้ี ก็จะลดลงไปได้ในท่ีสุด ๕. พฤติกรรม (behavior) การพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์ จะตอ้ งครอบคลุมปัจจัยที่จะทำ�ใหผ้ ู้เข้ารับการพัฒนาและ ฝึกอบรม มีพฤติกรรมหรือการแสดงออกที่เป็นไปตามความต้องการขององค์การ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองของ พฤตกิ รรมสว่ นบคุ คล พฤตกิ รรมในการปฏบิ ตั งิ าน และพฤตกิ รรมทเี่ กดิ จากวฒั นธรรมองคก์ าร เมอื่ มกี าร พัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ในองคก์ ารแลว้ จะทำ�ใหผ้ ู้รับการพัฒนาและฝึกอบรม มพี ฤตกิ รรมที่ถูกทค่ี วร ถูกต้องเหมาะสม และในที่สดุ กจ็ ะเป็นวัฒนธรรมขององค์การและเอกลกั ษณ์ขององคก์ ารต่อไป เทคนคิ ทีใ่ ช้ในการดำ�เนินการ ๑. ทำ�ให้เขาได้คิดระลึกถึงสิ่งที่ทำ�มาในอดีตที่ส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบันและส่งต่อ ในอนาคต (ในกรณีท่ีไม่มีการเปลี่ยนแปลงตนเองเมื่อมองเห็นตัวเองชัดขึ้น ก็จะสามารถเลือกที่จะ เปลย่ี นแปลงตนเองต่อไป) ๒. ทำ�ใหเ้ ขาไดเ้ รียนรู้ เขา้ ใจ ในอุปสรรคที่ทำ�ใหไ้ มเ่ กดิ การเปล่ยี นแปลงอยา่ งแทจ้ ริง เพ่ือเอาชนะได้อย่างประสบความสำ�เร็จ ๓. สร้างความม่ันใจในตนเอง ชมตนเอง ทำ�ให้เกดิ ความกลา้ ในการเปลี่ยนแปลงตนเอง เกดิ ความเชือ่ ใหม่ๆ กระท�ำ ฝึกฝน จนเปน็ พฤตกิ รรมประจ�ำ ของแต่ละบคุ คล ๔. การฝกึ ฝน น�ำ เรอื่ งทต่ี นเองอยากเปลยี่ นแปลงไปฝกึ ฝน ปฏบิ ตั จิ นเปน็ นสิ ยั และวถิ ชี วี ติ ก้าวขา้ มอุปสรรคจนเป็นอุปนสิ ัยใหม่ของตนเอง 20 หลกั สูตรโคช้ เพ่ือการรู้คิดตา้ นทจุ ริต
ส่วนท่ี ๑ เรื่อง การสร้างโค้ช โคช้ เพ่ือการร้คู ดิ ตา้ นทจุ รติ วิชาที่ ๑.๓ เรอ่ื ง เรยี นรผู้ ู้เรียน เวลา ๓ ชว่ั โมง เร่อื ง : เรียนรู้ผู้เรียน สาระส�ำ คญั การสร้างโค้ชที่มีความสามารถและทักษะในการเรียนการสอนด้วยเทคนิคและวิธีการท่ี เหมาะสม เพ่ือเปน็ ตวั แทนของสำ�นักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณเ์ กย่ี วกบั เรอ่ื งคา่ นยิ มการตา้ นทจุ รติ ไปสผู่ เู้ รยี น จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามตระหนกั รู้ และเหน็ ความส�ำ คญั ของปญั หา การทจุ ริตคอร์รปั ชัน อนั จะน�ำ ไปสกู่ ารเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและเกดิ ค่านยิ มตา้ นทจุ ริต “ช่วยกนั สร้าง ชมุ ชน/สังคมดีใหก้ ับบา้ นเมืองส่งตอ่ อนาคตทดี่ ีใหล้ ูกหลานอย่างยง่ั ยืน” วตั ถุประสงค์ ๑. เพ่ือสรา้ งโค้ชด้านการรคู้ ดิ ต้านทุจรติ ๒. เพอื่ พฒั นาศกั ยภาพของผสู้ อนเกย่ี วกบั บทบาทในการเปน็ โคช้ ใหก้ บั ผเู้ รยี น โดยสามารถ กระตุ้นการรคู้ ดิ อยา่ งตอ่ เนื่อง เพือ่ ดึงศกั ยภาพของผเู้ รียน ๓. เพอื่ เพมิ่ พนู ทกั ษะของผสู้ อนใหส้ ามารถน�ำ นวตั กรรมและเทคโนโลยมี าประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ สือ่ ในการเรยี นการสอนได้อยา่ งเหมาะสม ขอบเขตเนอื้ หา โดยธรรมชาตขิ องผเู้ รยี นยอ่ มมคี วามแตกตา่ งกนั ทงั้ ดา้ นจติ ใจ อารมณ์ สตปิ ญั ญา ความสนใจ ความเชอื่ รวมถงึ ประสบการณ์ในแตล่ ะบุคคลด้วย การโค้ชเพ่ือการร้คู ดิ ต้านทจุ รติ น้นั โค้ชจึงจำ�เปน็ ต้อง เรียนร้ธู รรมชาติของผเู้ รยี นในแตล่ ะประเภท และสามารถน�ำ เทคนคิ วิธตี ลอดจนเครอ่ื งมือตา่ งๆ มาใช้ให้ เหมาะสมและสามารถถา่ ยทอดการรูค้ ิดต้านทจุ ริตไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพสงู สดุ โดยรายละเอยี ดเนอื้ หา ของหลกั การเรียนร้ผู ู้เรียน ประกอบดว้ ย ๒ หวั ขอ้ ดังนี้ ๑. เรยี นรู้ผ้เู รียนดว้ ยจริต ๖ การโค้ชเป็นกระบวนการที่จะต้องให้ความสำ�คัญกับท้ังโค้ชและผู้เรียน ซึ่งการดึง ศักยภาพของผู้เรียนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรู้คิดต้านทุจริตนั้น เป็นผลมาจากการสังเกตและ เรียนร้ผู ูเ้ รียนเป็นสำ�คญั การน�ำ เอา หลักจริต ๖ มาใช้ในการกำ�หนดประเภทและอธิบายลักษณะของ ผเู้ รยี น จะชว่ ยใหโ้ คช้ สามารถเลอื กวธิ กี ารทเี่ หมาะสมในการถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ ผา่ นตวั แทนของสตั วท์ มี่ ี ลักษณะนิสัยตา่ งๆ ทงั้ ๖ ลักษณะ เพอ่ื ให้สามารถนำ�ไปใชไ้ ด้เปน็ การทัว่ ไปและง่ายต่อการเข้าใจ หลกั สูตรโคช้ เพ่อื การร้คู ิดตา้ นทจุ รติ 21
๒. เรยี นรูผ้ เู้ รยี นตาม Generation ในปจั จุบนั หนว่ ยงานหรือองคก์ ารตา่ งๆ ไดใ้ หค้ วามสำ�คญั เรอ่ื ง Generation มากขึน้ การแบง่ กลมุ่ คนตามชว่ งอายุ ตาม Generation จะเปน็ การอธบิ ายวา่ Generation คอื อะไร มพี ฤตกิ รรม และความสนใจในส่ิงใดบ้าง เพ่อื ให้เปน็ เครือ่ งมอื ส�ำ หรบั การโคช้ ในการท�ำ ความเข้าใจและปรับใชเ้ ทคนคิ ให้เหมาะสมกบั ผ้เู รียน วธิ ีการฝกึ อบรม ๑. การบรรยายใหค้ วามรหู้ ลักสตู รโค้ชเพื่อการรคู้ ิดต้านทจุ ริต ๒. การวิเคราะห์กรณศี ึกษา การท�ำ กจิ กรรมกลุ่ม การอภปิ รายกล่มุ ๓. การถอดบทเรยี น (lesson - learned) ส่ือการเรยี นรู้ เอกสารประกอบการบรรยาย ชดุ ฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้ บทเรยี นส�ำ เรจ็ รปู แบบสอื่ ผสม เกมส์ การต์ ูน นิทาน ฯลฯ การวดั และประเมินผล ๑. รอ้ ยละผลการทดสอบและวดั ประเมนิ ผลกอ่ นและหลงั การเรยี นรกู้ อ่ นและหลงั บทเรยี น (Pre & Post Test) ๒. รอ้ ยละของจำ�นวนช่ัวโมงที่เข้ารับการอบรม ๓. การผ่านการฝกึ ทดลองปฏบิ ัติการภาคสนาม 22 หลกั สตู รโคช้ เพื่อการรู้คดิ ตา้ นทจุ รติ
สว่ นท่ี ๑ เรื่อง การสรา้ งโคช้ โคช้ เพ่ือการรคู้ ดิ ต้านทุจริต วิชาท่ี ๑.๓ เรอ่ื ง เรียนรผู้ เู้ รยี น เวลา ๓ ช่วั โมง รายละเอียดเนือ้ หา โดยธรรมชาติของผู้เรียนย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งด้านจิตใจ อารมณ์ สติปัญญา ความ สนใจความเชอื่ รวมถงึ ประสบการณใ์ นแตล่ ะบคุ คลดว้ ย การโคช้ เพอื่ การรคู้ ดิ ตา้ นทจุ รติ นน้ั โคช้ จงึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งเรยี นรธู้ รรมชาตขิ องผเู้ รยี นในแตล่ ะประเภท และสามารถน�ำ เทคนคิ วธิ ตี ลอดจนเครอื่ งมอื ตา่ งๆ มาใช้ ใหเ้ หมาะสมตามและสามารถถ่ายทอดการรู้คิดตา้ นทุจรติ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพสงู สุด โดยรายละเอียด เนอื้ หาของหลักการเรียนรผู้ ู้เรยี น ประกอบดว้ ย ๒ หัวขอ้ ดงั นี้ ๑. เรยี นรู้ผู้เรียนด้วยจริต ๖ การโคช้ เปน็ กระบวนการทจี่ ะตอ้ งใหค้ วามส�ำ คญั กบั ทงั้ โคช้ และผเู้ รยี น ซงึ่ การดงึ ศกั ยภาพ ของผ้เู รยี นใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพสงู สดุ ในการร้คู ิดตา้ นทจุ รติ นั้น เปน็ ผลมาจากการสังเกตและเรยี นรู้ ผเู้ รียนเป็นส�ำ คัญ เนือ้ หาของวิชาที่ ๑.๓ น้ี จงึ เป็นการน�ำ เอา หลักจรติ ๖ มาใช้ในการก�ำ หนดประเภท และอธิบายลักษณะของผู้เรียนเพื่อให้โค้ชสามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ผา่ นตวั แทนของสตั ว์ทีม่ ีลกั ษณะนิสยั ตา่ งๆ ทั้ง ๖ ลักษณะ เพอ่ื ให้สามารถนำ�ไปใชไ้ ด้เปน็ การทั่วไปและ ง่ายต่อการเข้าใจ จรติ ๖ โค้ชเรียนรแู้ ละสงั เกตผู้เรียน ธรรมชาตขิ องผู้เรียนดว้ ยหลกั จรติ ทั้ง ๖ จริต หรอื จริยา แปลว่า ความประพฤติ พน้ื เพของจติ อปุ นสิ ยั หรอื แบบประเภทใหญแ่ หง่ พฤตกิ รรมของคน โดยจรติ ในการเรยี นรู้ จรติ ของผู้เรยี นแต่ละคนมีความแตกตา่ งกัน ซ่ึงมีอยู่ ๖ แบบ ได้แก่ ผู้เรียน บทบาทโค้ช กระทงิ ชอบความเรว็ ชอบใหส้ รุป ไม่ชอบเยนิ่ เยอ้ พดู เร็ว สื่อสารรวดเร็ว ชัดเจน ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม (โทสะจริต) พูดเสียงดัง กระชับ ไมข่ ยายรายละเอยี ดมากจนเกนิ ไป หมีโคอาล่า งว่ งเหงาหาวนอน ชอบหลบั ขาดความคลอ่ งแคล่ว ตอ้ งกระตนุ้ ใหต้ นื่ ตวั กระตนุ้ ใหก้ ระฉบั กระเฉง สรา้ ง (โมหะจรติ ) ความสนกุ สนานและท้าทาย กระต่าย ต่ืนเต้น เชื่อง่าย ตัดสินใจเช่ืออย่างเดียวโดยไม่ได้ อธิบายให้เหตุผล ยกตัวอย่างสนับสนุน แสดง (ศรัทธาจรติ ) พจิ ารณาถถ่ี ้วน ตัวอย่างประกอบให้เห็นจริง ชี้นำ�ให้เกิดการปฏิบัติ ชีใ้ ห้เห็นถงึ ประโยชน์ สงิ โต ใฝ่รู้ ชา่ งสงสัย ชอบซกั ถาม ชอบคิด พิจารณาดว้ ย ให้กำ�ลังใจ เสรมิ แรงทางบวก ชมเชย กระตุ้นใหเ้ กิด (พทุ ธจริต) เหตผุ ลอยา่ งลกึ ซงึ้ ชอบใชป้ ญั ญาพจิ ารณาตามความ การตดั สินใจ สง่ เสริมให้ใชเ้ หตผุ ล เปน็ จรงิ ไม่เชือ่ อะไรโดยไมม่ เี หตผุ ลรองรับ หลกั สูตรโค้ชเพ่อื การรู้คดิ ตา้ นทุจรติ 23
ลิง ผเู้ รยี น บทบาทโค้ช (วติ กจริต) นกยงู ลงั เล คิดเรอ่ื งน้ที ีเรอ่ื งนนั้ ที เปลย่ี นไปเปล่ยี นมา ไม่ ให้กำ�ลงั ใจ เสริมแรงทางบวก ชมเชย กระตุ้นใหเ้ กดิ (ราคะจรติ ) สามารถยึดเกาะกับเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งได้นานๆ ไม่ การตัดสนิ ใจ สง่ เสรมิ ให้ใช้เหตผุ ล ตัดสินใจ ชอบความสวยงาม ความสภุ าพออ่ นหวาน เรยี บรอ้ ย ใช้ภาษาสภุ าพ ให้ความส�ำ คัญกับอารมณแ์ ละความ มองภาพรวม ร้สู ึก ๒. เรียนร้ผู เู้ รยี นตาม Generation ในปจั จบุ ัน หน่วยงานหรอื องค์การตา่ งๆ ไดใ้ หค้ วามสำ�คัญ เร่อื ง Generation มากข้นึ การแบง่ กลมุ่ คนตามชว่ งอายุ ตาม Generation จะเปน็ การอธบิ ายวา่ Generation คอื อะไร มพี ฤตกิ รรม และความสนใจในส่ิงใดบา้ ง เพ่อื ใหเ้ ป็นเครอ่ื งมอื ส�ำ หรับการโคช้ ในการท�ำ ความเข้าใจและปรับใช้เทคนิค ใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียน Generation Generation คอื ยคุ สมัยของกลมุ่ คนตามชว่ งอายุ ซงึ่ หมายถึงชว่ งเวลาเฉลีย่ ระหวา่ งการมี ลกู คนแรกของแม่กบั การมีลูกคนแรกของลกู ดงั นั้นในแต่ละ Generation ก็จะหา่ งกันประมาณ ๒๐ กวา่ ปี ซ่ึงในเรอื่ ง Generation นี้มีคนศึกษากันมากมายโดยเฉพาะสายทางด้านสงั คมศาสตร์ ท่ีจะศกึ ษาท้ังใน ด้านพฤตกิ รรม สังคม การใช้ชีวติ ความคิดตา่ งๆ ฯลฯ หรอื แมแ้ ตใ่ นดา้ นการตลาดเองกใ็ หค้ วามสนใจกบั เรื่องนี้ไมน่ ้อย เนอ่ื งจากพฤติกรรมต่างๆ ส่งผลต่อการบริโภคอย่างเหน็ ไดช้ ดั ในประเทศสหรฐั อเมริกาได้แบ่ง Generation ไวถ้ งึ ๗ Generation ดว้ ยกัน คือ ๑) Lost Generation ๒) Greatest Generation ๓) Baby Boomers ๔) Generation Jones ๕) Generation X ๖) Generation Y ๗) New Silent Generation อย่างไรก็ตาม การแบ่งโดยทวั่ ไปจะมเี พยี ง ๔ Generation คอื Baby Boomer, Generation X, Generation Y และ Generation Z ในแตล่ ะกลุ่มของ Generation มคี วามแตกต่างกนั หลายด้าน ท้งั ในดา้ นความคดิ ค่านยิ ม ลักษณะนสิ ัย ตลอดจนพฤตกิ รรมต่างๆ ทีแ่ สดงออกมาได้อยา่ งชัดเจน สาเหตทุ ี่คนแต่ละชว่ งวยั มคี วามคดิ และพฤติกรรมต่างกันเป็นเพราะว่าสภาพสังคมในช่วงน้ันๆ เป็นปัจจัยท่ีหล่อหลอมความคิดและทำ�ให้ เกดิ พฤตกิ รรมเหลา่ นน้ั ขน้ึ มา เชน่ ในสมยั กอ่ นมคี า่ นยิ มวา่ คนทรี่ บั ราชการจะดดู ี เปน็ อาชพี ทม่ี เี กยี รติ จงึ สง่ ผล ให้ปัจจุบันรุ่นพ่อรุ่นแม่มักสนับสนุนให้ลูกรับราชการ ท้ังๆ ที่ในปัจจุบันมีอาชีพท่ีสร้างความม่ันคงได้อีก หลายอาชีพ Baby Boomers หรือ Gen B กลมุ่ Baby Boomer คอื กลมุ่ คนทเี่ กดิ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๕๐๗ โดยมอี ายปุ ระมาณ ๔๙ ปขี ึน้ ไป หากนบั จากอายุแล้วกจ็ ะเห็นได้วา่ เปน็ กลุม่ ทีเ่ ร่มิ เขา้ ส่วู ัยผูส้ งู อายุแล้วนั่นเอง 24 หลกั สตู รโค้ชเพือ่ การรคู้ ิดต้านทจุ รติ
สาเหตทุ เ่ี รียกคนกลุม่ นี้วา่ Baby Boomers น้นั มีผลมาจากชว่ งสงครามโลกคร้งั ท่ี ๒ ผู้ชาย ต้องถกู ไปเกณฑท์ หาร พอสงครามจบลงก็กลบั มาแต่งงานและมีลกู กันเป็นจ�ำ นวนมาก ดงั น้ันคน Gen B สว่ นใหญจ่ งึ เกดิ มาภายหลงั ชว่ งสงครามโลกครงั้ ที่ ๒ สงบลงนน่ั เอง ดว้ ยเหตนุ ้จี งึ เรยี กว่า Boom เพราะ เดก็ เกดิ ใหมม่ จี �ำ นวนมาก พอ่ แมข่ องคนกลมุ่ นเี้ จอแตเ่ รอื่ งล�ำ บากทงั้ เรอ่ื งสงคราม การเมอื งและเศรษฐกจิ ท�ำ ใหค้ รอบครวั ใชช้ วี ติ กนั อยา่ งแรน้ แคน้ ดว้ ยเหตนุ ค้ี นกลมุ่ Gen B จงึ มลี กั ษณะนสิ ยั อดทน จรงิ จงั เพราะ อยู่ทันชว่ งทไี่ ด้เหน็ ความล�ำ บากของพอ่ แม่ ในดา้ นการทำ�งานกลุ่ม Gen B ถือว่าเป็นคนท่ีสูง้ านมากทีส่ ุด มคี วามจงรกั ภกั ดตี อ่ องค์กร ด้วยความบริสุทธ์ใิ จ มีความอดทน ใหค้ วามสำ�คัญกับงาน มุ่งม่ันท�ำ จนกว่าจะประสบความสำ�เร็จ ชอบ พสิ ูจน์ความสามารถของตนเอง เนอื่ งจากเป็น Generation ที่จำ�นวนประชากรเยอะ ต้องแขง่ ขัน กนั ทำ�งาน หางานทำ� จึงจะเห็นได้ว่าคน Gen B ยอมทำ�งานหนักเพ่อื ได้เห็นตัวเองประสบความสำ�เรจ็ วางรากฐานใหก้ บั ครอบครวั ในอนาคต โดยอาจคาดหวงั วา่ ไมอ่ ยากใหค้ นรนุ่ ตอ่ ไปยากล�ำ บากเหมอื นตวั เอง และข้อดขี องคน Gen B ท่ผี ูบ้ ริหารในองคก์ รชอบมากทสี่ ุดคอื ไม่คอ่ ยเปลย่ี นงาน ในส่วนของพฤติกรรม การใช้ชวี ิตก็เปน็ ไปอยา่ งเรยี บงา่ ย ไมห่ วือหวา รกั ครอบครัว Generation X หรอื Gen X Gen X คือ กลุ่มคนท่ีมอี ายุลดหลั่นลงมาอกี ช่วงหนงึ่ เกิดประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๘-๒๕๒๒ อายุ ๓๔-๔๘ ปี คนกลุ่มน้ีเกิดมาในชว่ งที่ไมล่ ำ�บากเทา่ รนุ่ Baby boomers และยังเปน็ ช่วงของสนั ติภาพ สภาวะโลกสงบเรยี บรอ้ ย หลายๆ ประเทศเรม่ิ มคี วามมง่ั คงั่ ดงั นน้ั การใชช้ วี ติ ของคนรนุ่ นจี้ งึ เรมิ่ มเี ทคโนโลยี เข้ามาเก่ยี วข้องบ้างเลก็ นอ้ ย เช่น คอมพวิ เตอร์ วิดโี อเกม วอลค์ แมน เป็นต้น ในดา้ นการทำ�งาน ยคุ น้เี รมิ่ มที ัศนคติในการท�ำ งานเปลี่ยนไป โดยมองวา่ งานไมใ่ ชท่ ุกอย่าง ของชวี ติ คน Gen X มคี วามทะเยอทะยานกจ็ รงิ แตก่ ร็ สู้ กึ วา่ ชวี ติ ควรอสิ ระ ดงั นนั้ การท�ำ งานจงึ ท�ำ ไปตาม หนา้ ที่ หากทำ�แล้วไมก่ า้ วหน้าก็เปล่ยี นงาน ไมไ่ ดภ้ ักดตี ่อองค์กรเหมอื นคนรุน่ ก่อน แต่สงิ่ ท่เี ปน็ เสนห่ ข์ อง คนกล่มุ นีค้ อื หันมาใหค้ วามสำ�คัญกับครอบครวั มากขน้ึ มองวา่ ครอบครวั สำ�คญั ที่สดุ จะเหน็ ไดว้ า่ คนรนุ่ พอ่ แม่หรือญาติผใู้ หญ่มกั จะรกั คนในครอบครวั ท�ำ อะไรกค็ ิดถึงครอบครวั ห่วงลูกหลาน นอกจากนี้ส่ิงที่ แตกต่างอกี อยา่ งของคน Gen X คอื ร้จู ักการพักผ่อน หาความสุขใหต้ ัวเองมากขน้ึ อยา่ งไรก็ตาม แม้ว่าคนรนุ่ น้ีจะเตบิ โตมาในยุคที่เรม่ิ มเี ทคโนโลยี แต่ก็พบวา่ พฤติกรรม การใช้เทคโนโลยีไมไ่ ด้ใช้พร่าํ เพรอ่ื หรอื เน้นความสนุก แตเ่ ขาเนน้ ใช้เพอื่ การทำ�งาน ในทางทีม่ ีประโยชน์ ใช้อย่างเหมาะสมพอดีกับความจำ�เป็น อาจเป็นไปได้ว่าสมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ได้เข้าถึงทุกครัวเรือน เหมือนปัจจบุ นั น้ี Generation Y หรือ Gen Y ปจั จบุ ันเป็นยุคของคนเจน Y หรือคนรนุ่ ใหม่นัน่ เอง โดยคนเจน Y คอื คนที่เกดิ ระหวา่ งปี พ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๔๓ หรือมอี ายปุ ระมาณ ๑๓-๓๓ ปี หากนบั ดอู ายุแลว้ กพ็ บวา่ คนกลุ่มนีเ้ ปน็ ลูกของคนท่ี เกดิ Gen X ชว่ ง พ.ศ.นี้ คอื ชว่ งทวี่ วิ ฒั นาการดา้ นเทคโนโลยเี รมิ่ เขา้ มา และพฒั นาขนึ้ เรอื่ ยๆ จากรนุ่ แรกๆ คอมพิวเตอร์มีราคาสูงถงึ ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ บาทตอ่ เครื่อง บา้ นใครมคี อมพวิ เตอร์ใช้ถือวา่ มฐี านะ ทางบา้ นดที เี ดยี ว แตเ่ มอ่ื เวลาผา่ นไปเทคโนโลยมี มี ากขน้ึ ท�ำ ใหร้ าคาเรมิ่ ถกู ลงจนปจั จบุ นั ใครๆ ตา่ งกค็ รอบครอง คอมพวิ เตอร์ ตลอดจนอปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกสท์ ั้งมือถือ สมาร์ทโฟน โทรทัศนแ์ อลซดี ี ไอแพด เกมส์ ฯลฯ ไดอ้ ย่างง่ายดายข้ึน ดงั นนั้ คน Gen Y จงึ เกิดมาพร้อมกับยคุ เทคโนโลยที ่เี พยี บพร้อมท้ังอปุ กรณไ์ อทีและ อินเทอร์เน็ต เขา้ ถงึ ข้อมลู ต่างๆ ได้งา่ ยและรวดเร็ว หลักสตู รโค้ชเพ่อื การรคู้ ิดต้านทุจรติ 25
ดว้ ยสภาพแวดลอ้ มทเี่ กดิ มาทา่ มกลางเทคโนโลยี ท�ำ ใหค้ นรนุ่ Generation Y มคี วามสามารถ ดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยเี พอื่ จะใชท้ �ำ งาน ตดิ ตอ่ สอ่ื สาร แตใ่ นขณะเดยี วกนั การใหค้ วามส�ำ คญั กบั สงั คมรอบขา้ ง ก็น้อยลง โดยไปเพมิ่ ความสำ�คญั ในโลกไซเบอร์แทน นอกจากน้ลี ักษณะนสิ ัยของคนกลุ่มนยี้ งั ใจร้อน กล้าแสดงออก กล้าแสดงความคดิ เห็น มีความคิดเปน็ ตวั ของตวั เอง ชอบความทา้ ทาย ไมช่ อบการขู่เขญ็ บังคับ หากเจอพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ชอบบังคับหรือไม่เข้าใจในตัวตนก็มักจะมีอาการไม่พอใจ มีค่านิยมท่ี ต่างจากคนรนุ่ กอ่ นท้ังในเรอ่ื งการดำ�เนินชวี ิตและการท�ำ งาน ในด้านการท�ำ งานคน Gen Y ถือวา่ เปน็ กำ�ลงั ส�ำ คญั ขององค์กรยคุ ใหมเ่ ลยกว็ า่ ได้ เพราะ คนกลุม่ นี้เน้นการท�ำ งานเชงิ รกุ ใช้ทักษะทางความคิด มรี ะบบการจัดการทีด่ ีในแบบฉบับของคน Gen Y แม้นิสัยจะไม่ชอบงานหนักแต่รับรองเถอะว่าการใช้ความคิดบวกกับการต่อสู้กับความท้าทาย มีความ สามารถในการสบื ค้นข้อมูลและนำ�เสนอข้อมูล ท�ำ ให้ผลงานของคน Gen Y เขา้ ตาไมม่ ากก็นอ้ ย แตใ่ น เร่ืองความภักดีต่อองค์กรอาจสู้คนรุ่น Baby Boomer ไม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ย่ิงทำ�งานเก่งย่ิงต้องการ ความกา้ วหนา้ หากทเี่ ดมิ ท�ำ แลว้ รสู้ กึ ไมข่ ยบั ไปไหนหรอื ไมม่ คี นเปดิ โอกาสใหแ้ สดงความคดิ เหน็ คน Gen Y ก็พร้อมทจี่ ะหาท่ีทำ�งานใหมท่ ันที Generation Z หรือ Gen Z Gen Z หรอื Silent Generation การสอื่ สารระหวา่ งคนกลมุ่ นสี้ ว่ นใหญเ่ ปน็ การสอ่ื สารผา่ น ขอ้ ความบนหน้าจอมอื ถือ หรอื คอมพวิ เตอรแ์ ทนการพูด สมารท์ โฟนเปน็ อวยั วะของชาว Gen Z โทรศพั ทม์ ือถอื ทง้ั กล่มุ สมาร์ทโฟน หรือแทบ็ เลต็ ถือวา่ เปน็ อวยั วะท่ี ๓๓ โดยไดม้ ีการให้ลักษณะของ Gen Z วา่ Digital in their DNA โลกดิจทิ ัลส�ำ หรับคนร่นุ นจ้ี งึ สำ�คญั ยิง่ กวา่ ตวั เงนิ Gen Z รับขอ้ มูลขา่ วสารมากมาย อย่างรวดเรว็ ทัง้ ข่าวทนั โลก และวเิ คราะหส์ ถิติเรือ่ งต่างๆ เพื่อคาดการณอ์ นาคต เปน็ ผลให้ตดั สินใจ ท�ำ อะไรอยา่ งรวดเรว็ ไมช่ อบรอคอย แตก่ เ็ ปน็ คนทก่ี ลวั อนาคตดว้ ย เรยี นอะไรดไี มต่ กงาน อาชพี อะไรมนั่ คง คน Gen Z เปิดกวา้ งทางความคิดและวัฒนธรรมทีแ่ ตกตา่ งมากขน้ึ เพราะเพยี งลัดนวิ้ เดียว กส็ ามารถคยุ กบั เพอ่ื นตา่ งชาตทิ มี่ จี ากอกี ซกี โลกได้ แมว้ า่ จะตา่ งพน้ื ฐานวฒั นธรรมกอ็ าจมคี วามชอบความ บนั เทิงเดยี วกนั ซง่ึ การเชือ่ มโลกแบบน้ี ท�ำ ให้ Gen Z มคี วามรสู้ ึกเปดิ กว้างในการยอมรบั ความแตกต่าง ได้ง่ายมากขึ้น มแี นวโน้มท่จี ะปรับทัศนคตไิ ด้ดี ไมแ่ บ่งแยกชนช้ัน สีผิว ศาสนา หรอื ประเพณีที่แตกตา่ ง แต่กอ็ าจจะยงิ่ เทิดทนู ความเป็นทนุ นิยมมากข้นึ ด้วยชีวติ ดจิ ทิ ัลทร่ี วดเร็วท�ำ ให้เดก็ รนุ่ Gen Z มีความอดทนรอคอยตา่ํ ชอบท�ำ งานหลายๆ อย่างพร้อมกัน ตอ้ งการค�ำ อธิบายมากขนึ้ ต้องมเี หตผุ ล ตอ้ งร้สู กึ ว่าได้เขา้ ใจกับทุกเรอ่ื งในชวี ิต อยากมี ส่วนร่วมในครอบครัว ต้องการตัดสินใจชีวิตตัวเอง ดังน้ันจึงกล้าคิดและกล้าถามมากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน หมดยุคของการทว่ี ยั รนุ่ Gen Z (และ Gen Y ตอนปลาย) จะยอมรบั เหตผุ ลแค่ว่า “ไมต่ อ้ งยงุ่ หรอก เรอ่ื งของผใู้ หญ”่ แลว้ ผใู้ หญจ่ งึ ควรเปดิ โอกาสให้ Gen Z คดิ และแสดงความคดิ เหน็ เรอ่ื งในครอบครวั ดว้ ย หากกดี กนั หรอื ไมอ่ ธบิ ายอะไรจะระเบดิ ไดง้ ่ายๆ หรอื หากไมพ่ อใจค�ำ อธบิ าย เขากจ็ ะไปหาค�ำ อธบิ ายจาก อนิ เทอรเ์ นต็ ซง่ึ อาจจะมที ั้งดแี ละรา้ ยปะปนกนั ไป ดงั นัน้ ควรเปิดโอกาสให้ไดค้ ิด สอนการแสดงเหตุผล อย่างถกู ต้อง อธบิ ายอยา่ งตรงไปตรงมาดีกว่า การเรียนรู้ของ Gen Z เน้นผ่านเทคโนโลยสี มัยใหม่มากขน้ึ ถ้าสามารถจัดหอ้ งเรียนโดย น�ำ เอาเทคโนโลยมี าเสรมิ กบั กจิ กรรม ใหแ้ รงจงู ใจ มกี ารแขง่ ขนั มรี างวลั จะชว่ ยใหช้ าว Gen Z กระตอื รอื รน้ ในการเรยี นรมู้ ากขนึ้ Gen Z ไม่เหมาะกบั การเรียนแบบบรรยายมากๆ แตส่ นใจในข้อมูลแนวกราฟ ภาพ สถติ ิชัดเจน เนน้ ข้อมูลสัน้ ๆ ท่เี ข้าใจง่ายๆ เพราะมีแนวโน้มวา่ ชาว Gen Z จะเริม่ ตน้ จดจ�ำ ข้อมูลได้ดจี าก ขอ้ มูลส้นั ๆ เหลา่ นี้ ตามแบบฉบบั โลกออนไลน์ทข่ี อ้ มลู ไหลเร็ว 26 หลักสตู รโค้ชเพื่อการรู้คิดตา้ นทจุ ริต
สว่ นท่ี ๑ เร่ือง การสร้างโค้ช โคช้ เพื่อการรคู้ ิดตา้ นทจุ ริต วิชาที่ ๑.๔ เรอ่ื ง เทคนิคสำ�คัญในการโค้ช เวลา ๓ ชั่วโมง เรอ่ื ง : เทคนคิ ส�ำ คญั ในการโค้ช สาระสำ�คัญ การสร้างโค้ชที่มีความสามารถและทักษะในการเรียนการสอนด้วยเทคนิคและวิธีการท่ี เหมาะสมเพอ่ื เปน็ ตัวแทนของสำ�นักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองคค์ วามรู้ และประสบการณ์เกีย่ วกบั เรอ่ื งคา่ นยิ มการตา้ นทจุ รติ ไปสผู่ เู้ รยี น จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามตระหนกั รู้ และเหน็ ความส�ำ คญั ของปญั หา การทุจรติ คอร์รปั ชัน อันจะนำ�ไปสกู่ ารเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมและเกดิ คา่ นยิ มต้านทจุ รติ “ชว่ ยกนั สรา้ ง ชุมชน/สงั คมดีให้กับบา้ นเมืองส่งต่ออนาคตท่ดี ีใหล้ กู หลานอยา่ งย่งั ยืน” วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพ่ือสร้างโค้ชดา้ นการร้คู ิดต้านทุจริต ๒. เพอ่ื พฒั นาศกั ยภาพของผสู้ อนเกยี่ วกบั บทบาทในการเปน็ โคช้ ใหก้ บั ผเู้ รยี น โดยสามารถ กระตนุ้ การรู้คิดอยา่ งตอ่ เนื่อง เพ่ือดึงศักยภาพของผูเ้ รยี น ๓. เพอ่ื เพม่ิ พนู ทกั ษะของผสู้ อนใหส้ ามารถน�ำ นวตั กรรมและเทคโนโลยมี าประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ ส่ือในการเรียนการสอนได้อยา่ งเหมาะสม ขอบเขตเนื้อหา แนวคดิ หลกั การโคช้ เพอ่ื การรคู้ ดิ เพอ่ื การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ประกอบดว้ ยรายละเอยี ดเนอ้ื หา หลกั ๕ ประการ ดังน้ี ๑. การส่อื สารเชงิ บวก (positive communication) การใชก้ ารสื่อสารเชงิ บวก ในระหว่างการสะท้อนผลการประเมนิ ไปสู่ผูเ้ รียน เพื่อให้ ผู้เรียนเกดิ แรงบนั ดาลใจ และความมงุ่ ม่ันในการพัฒนาตนเอง ๒. ค�ำ ถามทที่ รงพลงั (power questions) คำ�ถามท่ีทรงพลัง เป็นคำ�ถามกระตุ้นการคิด และนำ�ไปสู่การเรียนรู้ เป็นคำ�ถามท่ี สอดคลอ้ งกับจุดมุง่ หมายของการเรียนรู้ เปน็ คำ�ถามแบบเปดิ การต้ังใจฟัง เปดิ โอกาสรบั ฟัง รอคอยการ รบั ฟงั อย่างจริงจัง หลักสูตรโค้ชเพอ่ื การร้คู ดิ ต้านทุจริต 27
๓. การสะทอ้ นคดิ (reflection) การสะทอ้ นคิด หมายถึง การใหผ้ ู้เรยี นคดิ ไตรต่ รอง ทบทวน (reflective thinking) พจิ ารณาส่งิ ต่างๆ อยา่ งรอบคอบมีเหตุผล ดว้ ยสตแิ ละปญั ญา เป็นวิธีการทบทวนประสบการณ์จากการ ปฏิบัตขิ องตนเอง เพอ่ื นำ�ไปสู่การเรียนรู้ การสร้างความรู้ การคน้ พบจดุ เด่น และจุดท่ีต้องปรบั ปรงุ แกไ้ ข เกดิ การพฒั นาอยา่ งต่อเนอ่ื ง ๔. การเรยี นรยู้ ุคใหม่ดว้ ยการน�ำ นวัตกรรมมาใช้ในการโคช้ นวัตกรรม (innovation) เป็นการนำ�ความเปล่ียนแปลงใหม่ๆ ซ่ึงอาจจะเป็นแนวคิด แนวทาง ระบบ รูปแบบ วธิ ีการ กระบวนการส่ือและเทคนิคตา่ งๆ ท่ีน�ำ มาใช้ เพอ่ื เปน็ ตวั กลางหรอื ช่องทาง ในการถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ ทักษะ และประสบการณจ์ ากแหล่งความรไู้ ปสู่ผู้เรยี น ท�ำ ใหผ้ ้เู รยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในเรอ่ื งทเ่ี รยี นไดก้ ระจา่ งชดั เจนยง่ิ ขน้ึ อนั จะน�ำ ไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมและเกดิ คา่ นยิ มตา้ นทจุ รติ อาทิ ชดุ การเรยี นการสอน ชดุ ฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้ บทเรยี นส�ำ เรจ็ รปู แบบสอื่ ผสม เกมส์ การต์ ูน นิทาน หนงั สอื อ่านเพ่มิ เตมิ ๕. การถอดบทเรียน (lesson - learned) การถอดบทเรยี น (lesson - learned) เปน็ วิธกี ารหน่ึงของการจัดการความรู้ โดยเป็น กระบวนการดงึ เอาความรจู้ ากการท�ำ งานออกมาใชเ้ ปน็ ทนุ ในการท�ำ งานเพอ่ื ยกระดบั ใหด้ ยี งิ่ ขนึ้ การถอด บทเรียนจึงเป็นการสกัดความรู้ท่ีมีอยู่ในตัวคนออกมาเป็นบทเรียน และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันของผู้ร่วม กระบวนการ ซึง่ ผลที่ได้จากการถอดบทเรียน ท�ำ ใหไ้ ดบ้ ทเรยี นในรปู แบบชดุ ความรทู้ เ่ี ปน็ รูปธรรม และ เกดิ การเรยี นรรู้ ว่ มกนั ของผเู้ ขา้ รว่ มกระบวนการอนั น�ำ มาซงึ่ การปรบั วธิ คี ดิ และเปลย่ี นแปลงวธิ กี ารท�ำ งาน ท่ีสรา้ งสรรคม์ ีพลงั และมคี ณุ ภาพมากยิ่งขนึ้ วธิ ีการฝึกอบรม ๑. การบรรยายใหค้ วามรู้หลักสูตรโคช้ เพ่ือการร้คู ิดตา้ นทุจริต ๒. การวเิ คราะหก์ รณีศึกษา การท�ำ กิจกรรมกลุ่ม การอภิปรายกลุ่ม ๓. การถอดบทเรียน (lesson - learned) สือ่ การเรียนรู้ เอกสารประกอบการบรรยาย ชุดฝึกทกั ษะการเรยี นรู้ บทเรยี นสำ�เร็จรูปแบบสื่อผสม เกมส์ การต์ ูน นทิ าน ฯลฯ การวัดและประเมินผล ๑. รอ้ ยละผลการทดสอบและวดั ประเมินผลกอ่ นและหลังการเรียนร้กู อ่ นและหลังบทเรยี น (Pre & Post Test) ๒. ร้อยละของจ�ำ นวนช่วั โมงท่เี ขา้ รบั การอบรม ๓. การผ่านการฝกึ ทดลองปฏิบัตกิ ารภาคสนาม 28 หลกั สูตรโค้ชเพื่อการร้คู ิดตา้ นทุจรติ
ส่วนที่ ๑ เร่อื ง การสรา้ งโคช้ เนอ้ื หาโดยสงั เขป วชิ าท่ี ๑.๔ เรื่อง เทคนคิ สำ�คัญในการโคช้ เวลา ๓ ชวั่ โมง รายละเอียดเนอ้ื หา เทคนิคส�ำ คญั ในการโค้ช ประกอบด้วย ๕ ประการ ดงั นี้ ๑. การสอ่ื สารเชิงบวก (positive communication) การใช้การส่อื สารเชิงบวก ในระหวา่ งการสะท้อนผลการประเมินไปสผู่ เู้ รียน เพอื่ ให้ผเู้ รยี น เกิดแรงบันดาลใจ และความมงุ่ ม่ันในการพัฒนาตนเอง ดงั น้ี ๑) ใหค้ วามเอาใจใสต่ อ่ ผเู้ รยี น ใหค้ วามส�ำ คญั กบั ผเู้ รยี นในฐานะทเี่ ปน็ มนษุ ย์ มเี กยี รติ และศกั ดิศ์ รที ่ีตอ้ งใหค้ วามเคารพ ให้ความสำ�คัญกบั มติ ิทางด้านจติ ใจ ๒) ใช้ภาษากายท่ีมีประสิทธิภาพ ในการส่ือสารอารมณ์ความรู้สึก ถึงความห่วงใย ความรักและความปรารถนาดตี อ่ ผู้เรยี น ๓) ใช้ภาษาเชงิ บวก หลีกเล่ียงค�ำ ตำ�หนิ ๔) การสื่อสารในแนวราบ เป็นการสอื่ สารด้วยภาษาท่ีมคี วามเทา่ เทียมกนั ระหว่าง ผโู้ คช้ และผเู้ รยี น ท�ำ ใหผ้ เู้ รยี นไมม่ คี วามหวาดกลวั และพรอ้ มทจี่ ะไดร้ บั ค�ำ แนะน�ำ จากผโู้ ค้ช ๕) การชื่นชมเห็นคุณค่า (appreciation skills) เป็นทักษะสำ�คัญของผู้โค้ชที่ทำ� หน้าท่ีโค้ช การชื่นชมและเห็นคุณค่าเป็นการส่ือสารระหว่างผู้โค้ชและผู้เรียน อยา่ งสรา้ งสรรค์ ท�ำ ใหก้ ารโคช้ มปี ระสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขนึ้ ทง้ั ยงั เปน็ การเสรมิ สรา้ ง สมั พนั ธภาพท่ีดี ๖) การตดิ ตามพฒั นาการของผเู้ รยี น โคช้ ใหค้ วามเอาใจใสพ่ ฒั นาการการเรยี นรขู้ อง ผเู้ รยี น ท�ำ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรสู้ กึ วา่ ตนเองเปน็ บคุ คลทม่ี คี ณุ คา่ เปน็ ความหวงั ของ ผูโ้ ค้ช เป็นการเสรมิ แรงทางบวกใหก้ บั ผเู้ รยี นอย่างสมา่ํ เสมอ ๒. ค�ำ ถามทท่ี รงพลงั (power questions) ค�ำ ถามทท่ี รงพลงั เปน็ ค�ำ ถามกระตนุ้ การคดิ และน�ำ ไปสกู่ ารเรยี นรู้ เปน็ ค�ำ ถามทสี่ อดคลอ้ ง กบั จดุ มุ่งหมายของการเรียนรู้ เปน็ คำ�ถามแบบเปิด การต้งั ใจฟงั เปิดโอกาสรบั ฟัง รอคอยการรับฟงั อยา่ ง จริงจัง โดยโคช้ ต้องมีกลยทุ ธก์ ารต้ังค�ำ ถามท่ที รงพลงั และมีกลยทุ ธก์ ารตอบสนองตอ่ คำ�ตอบของผู้เรยี น ดงั น้ี หลกั สูตรโคช้ เพอื่ การรู้คดิ ตา้ นทุจริต 29
กลยุทธ์การตั้งค�ำ ถามทท่ี รงพลงั กลยทุ ธก์ ารตอบสนองตอ่ ค�ำ ตอบของผูเ้ รียน ๑. วางแผนการต้ังคำ�ถามล่วงหน้า โดยเป็นคำ�ถามที่ตอบ ๑. ผู้โคช้ ต้ังข้อตกลงเบือ้ งต้นกับตนเองวา่ คำ�ตอบของ สนองจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้ความสำ�คัญกับการถาม ผู้เรียนเป็นสิ่งท่ีมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นคำ�ตอบท่ีถูกหรือผิด ผู้ ในเชิงวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ ค่า คดิ วจิ ารณญาณ คิดเป็นระบบ คิดแก้ปญั หา และคดิ สรา้ งสรรค์ โคช้ จะให้ความสนใจกบั ทุกค�ำ ตอบ ๒. หลีกเลี่ยงการใช้คำ�ถามท่ีชี้นำ�คำ�ตอบ (leading ques- ๒. ไม่ขัดจังหวะการตอบคำ�ถามของผู้เรียนโดยไม่จำ�เป็น tions) เพราะจะทำ�ใหผ้ ู้เรียนไม่ตอ้ งใช้ความคดิ โดยเปิดโอกาสให้ตอบคำ�ถามได้อย่างเต็มที่ และถ้าสิ่งท่ี ผู้เรียนตอบน้ันมีประเด็นที่น่าสนใจ ผู้โค้ชอาจตั้งคำ�ถาม ตอ่ เนอ่ื งไปได้ ๓. เว้นระยะเวลาใหผ้ ้เู รยี นคิดหาคำ�ตอบ โดยการตั้งค�ำ ถาม ๓. แสดงท่าทางให้ความสนใจกับคำ�ตอบของผู้เรียน ไม่ว่า แตล่ ะค�ำ ถามจะตอ้ งเวน้ ชว่ งระยะเวลาทเี่ หมาะสม เพอ่ื ให้ คำ�ตอบน้ันจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม การแสดงท่าทางให้ ผู้เรียนได้คดิ แสวงหาค�ำ ตอบ ความสนใจดงั กลา่ ว เปน็ การใหแ้ รงเสรมิ กบั ผเู้ รยี นใหต้ อบ ค�ำ ถามไดม้ ากๆ ๔. ไมย่ �ำ้ ค�ำ ถาม การย�้ำ ค�ำ ถามหรอื การถามซ�ำ้ จะท�ำ ใหผ้ เู้ รยี น ๔. ไม่ด่วนสรุปตัดสินคำ�ตอบของผู้เรียน ว่าเป็นคำ�ตอบท่ีไม่ ขาดความสนใจในคำ�ถามของผู้โค้ช เพราะเกิดการเรียน ถูกต้อง หรือเป็นคำ�ตอบท่ีไม่เข้าท่า แต่ผู้โค้ชควรให้คำ� รู้ว่าผู้โค้ชจะต้องถามซ้ำ�ๆ ดังน้ันจึงไม่จำ�เป็นต้องสนใจ แนะนำ�หรือแสดงความคิดเห็นของตนเองเพ่ิมเติม เพ่ือ คำ�ถามของผูโ้ คช้ ทำ�ให้ผเู้ รยี นมคี วามเขา้ ใจท่ีถกู ตอ้ ง ๕. ถามด้วยคำ�ถามที่ชัดเจน (clear) มีความเฉพาะเจาะจง ๕. ถ้าผู้เรียนไม่ตอบคำ�ถามใดๆ ผู้โค้ชควรต้ังคำ�ถามใหม่ที่ (specific) ง่ายกว่าคำ�ถามเดิม และเมื่อผู้เรียนตอบคำ�ถามที่ง่ายนั้น ได้แลว้ จึงกลับมาถามคำ�ถามเดิมท่ผี ู้เรยี นไม่ตอบอกี คร้ัง ๖. ถามทีละหน่งึ ค�ำ ถาม ไม่ถามหลายค�ำ ถามในครัง้ เดยี วกัน เพราะท�ำ ใหค้ �ำ ถามลดความส�ำ คญั ลง และยงั ท�ำ ใหผ้ เู้ รยี น เกดิ ความสบั สนอกี ด้วย ๗. ใช้คำ�ถามท่ีหลากหลาย ได้แก่ คำ�ถามปลายปิดคำ�ถาม ปลายเปดิ ตลอดจนการเชอื่ มโยงสาระทถ่ี ามใหส้ อดคลอ้ ง กับสถานการณใ์ นชีวิตจรงิ เปน็ เร่ืองใกล้ตัวผู้เรียน ซงึ่ จะ ทำ�ใหผ้ ู้เรียนใหค้ วามสนใจคำ�ถามมากย่งิ ขึ้น ทั้งนี้ คำ�ถามที่ทรงพลังมี ๕ ประเภท ดังนี้ ๑. คำ�ถามกระตนุ้ ใหม้ ีจดุ หมายในการคดิ (focus questions) เป็นคำ�ถามที่ใชถ้ ามเพอ่ื ให้ ผเู้ รยี นก�ำ หนดจดุ มงุ่ หมายในการคดิ อยา่ งเฉพาะเจาะจง ซงึ่ การก�ำ หนดจดุ มงุ่ หมายในการคดิ เปน็ สง่ิ ส�ำ คญั ของกระบวนการใช้ความคิด ๒. ค�ำ ถามกระตนุ้ ความปรารถนา (passion questions) เปน็ ค�ำ ถามทที่ �ำ ใหผ้ เู้ รยี นก�ำ หนด เปา้ หมายทางการเรียนร้ขู องตนเอง หรอื ความปรารถนาที่จะเรยี นรู้ ๓. ค�ำ ถามทีเ่ สริมพลงั (empowerment questions) เปน็ ค�ำ ถามที่ทำ�ให้ผ้เู รยี นเกดิ ความ เชื่อม่ันในศกั ยภาพของตนเอง ทัง้ ดา้ นการคิด การกระท�ำ และการตดั สินใจ 30 หลักสูตรโค้ชเพ่อื การร้คู ดิ ต้านทจุ ริต
๔. คำ�ถามกระตุ้นแรงบันดาลใจ (inspiration questions) เป็นคำ�ถามที่ท�ำ ใหผ้ ูเ้ รียนเกิด แรงบนั ดาลใจในการทีจ่ ะคิด และกระทำ�ส่ิงตา่ งๆ ใหป้ ระสบความสำ�เร็จ โดยไมต่ ้องอาศยั แรงจูงใจ จากภายนอก ๕. คำ�ถามเชงิ ลึก (depth questions) เป็นคำ�ถามทีท่ ำ�ให้ผเู้ รยี นใชค้ วามคดิ วเิ คราะห์ คิด วพิ ากษค์ ดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ คดิ อย่างเป็นระบบ คดิ แกป้ ญั หา รวมทงั้ การสะท้อนคิด (reflection) ๓. การสะท้อนคดิ (reflection) การสะทอ้ นคดิ หมายถงึ การใหผ้ เู้ รยี นคดิ ไตรต่ รอง ทบทวน (reflective thinking) พจิ ารณา สง่ิ ตา่ งๆ อยา่ งรอบคอบมเี หตผุ ล ดว้ ยสตแิ ละปญั ญา เปน็ วธิ กี ารทบทวนประสบการณจ์ ากการปฏบิ ตั ขิ อง ตนเอง เพอื่ นำ�ไปสกู่ ารเรยี นรู้ การสร้างความรู้ การคน้ พบจดุ เดน่ และจุดท่ตี ้องปรบั ปรงุ แกไ้ ข เกดิ การ พฒั นาอย่างตอ่ เนือ่ ง การสะท้อนคิด เป็นกระบวนการช่วยให้เกิดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ คิดผ่าน ประสบการณ์ท่ีมีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก ช่วยให้เกิดการหย่ังรู้และค้นพบตนเอง การเขียนบันทึก การสะท้อนคิดยังชว่ ยใหค้ ้นพบข้อมูลเชิงประจักษท์ นี่ ำ�ไปสกู่ ารคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสะท้อนคดิ มีประโยชน์ชว่ ยพัฒนาการเรียนรู้ ๖ ขัน้ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) สรา้ งความตระหนกั ใชส้ ถานการณ์กระตนุ้ ความร้สู ึกและความคดิ ๒) ทบทวนและตระหนกั ถงึ ความร้สู กึ บันทกึ และแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ๓) ทบทวนข้อเท็จจรงิ เขียนบันทึก และน�ำ ไปแลกเปล่ียนเรยี นรู้ ๔) หาขอ้ มลู วิเคราะห์ เพอื่ ท�ำ ความเขา้ ใจเหตุการณน์ ้ัน ๕) ปรบั เปลยี่ นการเรยี นรู้ ปรับมุมมอง ความคดิ ซ่ึงเป็นผลมาจากการเรยี นรู้ ๖) การนำ�ความรู้จากการสะทอ้ นคิดไปประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ใหม่ การสะทอ้ นคดิ เปน็ กระบวนการประมวลผลทางสมองเรยี กวา่ Mental Model เรม่ิ จากการ รับข้อมูลผา่ นประสาทสัมผสั ตา่ งๆ นำ�ไปส่กู ารสงั เกตขอ้ มลู และประสบการณ์ การเลอื กขอ้ มูล การแปล ระบบความหมายประมวลผลข้อมูล การกำ�หนดสมมติฐานการสรุปและเกิดการยอมรับและความเชื่อ นอกจากนก้ี ารสะทอ้ นคดิ ยงั ชว่ ยใหเ้ กดิ การคดิ ทเี่ ปน็ ระบบ ทมี่ องเหน็ ความเปน็ องคร์ วมซงึ่ ถอื วา่ เปน็ ระบบ ใหญ่ และส่วนท่เี ป็นองค์ประกอบต่างๆ คอื ระบบย่อย มคี วามสมั พนั ธ์เชอื่ มโยงกัน กระบวนการสะทอ้ น คิดของ Mental Model แสดงได้ดงั แผนภาพต่อไปน้ี หลกั สูตรโค้ชเพื่อการรูค้ ดิ ต้านทจุ รติ 31
๔. การเรียนรยู้ คุ ใหมด่ ้วยการน�ำ นวตั กรรมมาใชใ้ นการโคช้ นวตั กรรม (innovation) เปน็ การน�ำ ความเปลย่ี นแปลงใหมๆ่ ซง่ึ อาจจะเปน็ แนวคดิ แนวทาง ระบบ รปู แบบ วิธกี าร กระบวนการสอื่ และเทคนิคต่างๆ ท่ีนำ�มาใช้ เพ่อื เปน็ ตัวกลางหรอื ช่องทางในการ ถ่ายทอดองคค์ วามรู้ ทกั ษะ และประสบการณจ์ ากแหล่งความรไู้ ปส่ผู ้เู รียน ท�ำ ให้ผเู้ รียนมีความรู้ ความเข้าใจในเรือ่ งทีเ่ รยี นไดก้ ระจา่ งชัดเจนยิ่งข้ึน อนั จะน�ำ ไปสูก่ ารเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมและ เกิดค่านิยมต้านทุจรติ อาทิ ชุดการเรยี นการสอน ชุดฝกึ ทักษะการเรยี นรู้ บทเรยี นสำ�เรจ็ รปู แบบสื่อผสม เกมส์ การต์ นู นิทาน หนงั สืออา่ นเพมิ่ เตมิ ๕. การถอดบทเรียน (lesson - learned) การถอดบทเรยี น เปน็ วธิ กี ารหนงึ่ ของการจดั การความรู้ โดยเปน็ กระบวนการดงึ เอาความรู้ จากการทำ�งานออกมาใช้เปน็ ทนุ ในการทำ�งานเพือ่ ยกระดบั ให้ดีย่ิงขึ้น การถอดบทเรยี น จงึ เปน็ การสกัด ความรู้ที่มีอยู่ในตัวคนออกมาเป็นบทเรียน และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันของผู้ร่วมกระบวนการ ซึ่งผลที่ได้ จากการถอดบทเรยี น ท�ำ ใหไ้ ดบ้ ทเรยี นในรปู แบบชดุ ความรทู้ เี่ ปน็ รปู ธรรม และเกดิ การเรยี นรรู้ ว่ มกนั ของ ผูเ้ ขา้ ร่วมกระบวนการอนั นำ�มาซงึ่ การปรบั วธิ คี ดิ และเปลี่ยนแปลงวิธีการท�ำ งานทส่ี รา้ งสรรค์มพี ลังและมี คณุ ภาพมากยงิ่ ขน้ึ โดยวิธกี ารถอดบทเรยี น ประกอบด้วย ๑) การถอดบทเรยี นดว้ ยการเรียนรจู้ ากเพือ่ น ( Peer Assist - PA) เปน็ การเรยี นรกู้ ่อนการท�ำ กจิ กรรมโดยเปน็ การเรยี นรจู้ ากเขา เขาเรยี นรูจ้ ากเรา ท้ังเราและเขาเรียนรู้ร่วมกัน และส่ิงที่เราร่วมกันสร้าง (เกิดความรู้ใหม่) โดยมี ลักษณะเป็นการประชุม /ประชมุ เชงิ ปฏิบตั ิการ ๒) การถอดบทเรียนแบบเล่าเร่ือง (Story Telling) เป็นการเรียนรู้ก่อนหรือระหว่างการทำ�กิจกรรม ด้วยการให้ผู้มีความรู้จากการ ปฏบิ ตั ปิ ลดปลอ่ ยความรทู้ ี่ซ่อนเรน้ อยใู่ นตัวตนออกมาแลกเปล่ยี นความรู้ โดย ผเู้ ลา่ จะเลา่ ความรสู้ กึ ทฝี่ งั ลกึ อยใู่ นตวั ทเี่ กดิ จากการปฏบิ ตั ิ ซง่ึ ผฟู้ งั สามารถตคี วาม ไดโ้ ดยอสิ ระ และเมอื่ เกดิ การเปลย่ี นแปลงผลการตคี วามแลว้ จะท�ำ ใหไ้ ดค้ วามรทู้ ่ี สามารถบนั ทกึ ไวเ้ ปน็ ชดุ ความรู้ ซง่ึ การถอดบทเรยี นในลกั ษณะนจี้ ะเปน็ การสกดั ความรจู้ ากเรอื่ งทเ่ี ลา่ ออกมาวา่ มคี ณุ คา่ และสามารถน�ำ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งไร ๓) การถอดบทเรียนหลงั ปฏิบัติการ (After Action Review: AAR) AAR เป็นการจับความรู้ท่ีเกิดข้ึนส้ันๆ ภายหลังการทำ�กิจกรรมแล้วนำ�ไปสู่การ วางแผนในครั้งต่อไป ท�ำ ใหค้ นรสู้ ึกต่ืนตัวและมีความรูส้ ึกผูกพนั กบั งาน ซง่ึ AAR สามารถด�ำ เนนิ การไดท้ งั้ ระหวา่ งการท�ำ กจิ กรรมเพอ่ื ปรบั ปรงุ /แกไ้ ขระหวา่ งการ ทำ�งานหรือ “การทำ�ไป คิดไป แก้ไขไป” และภายหลังสิ้นสุดแต่ละกจิ กรรม เพอื่ น�ำ ไปวางแผนกจิ กรรมคร้งั ตอ่ ไป 32 หลกั สูตรโคช้ เพื่อการร้คู ดิ ต้านทจุ รติ
ส่วนที่ ๑ เร่ือง การสรา้ งโค้ช โค้ชเพ่อื การรูค้ ดิ ต้านทุจรติ วิชาท่ี ๑.๕ เรื่อง การประเมินผลการเรียนรทู้ ีเ่ สริมพลงั ต้านทจุ ริต เวลา ๓ ชวั่ โมง เร่ือง : การประเมนิ ผลการเรียนรู้ที่เสรมิ พลังต้านทจุ ริต สาระส�ำ คัญ การประเมินผลการเรียนรู้ โดยข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลที่ดีจะทำ�ให้ผู้สอนสามารถ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการดำ�เนินการเพ่ือการเรียนรู้ท่ีดีขึ้น อันจะนำ�ไปสู่การเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมและเกดิ คา่ นยิ มตา้ นทจุ รติ “ชว่ ยกนั สรา้ งชมุ ชน/สงั คมดใี หก้ บั บา้ นเมอื งสง่ ตอ่ อนาคตทดี่ ใี ห้ ลูกหลานอยา่ งย่งั ยืน” วตั ถปุ ระสงค์ ๑. เพ่ือวัดและประเมนิ โคช้ ด้านการร้คู ดิ ตา้ นทจุ รติ ๒. เพ่ือน�ำ ผลการประเมินมาพฒั นาศกั ยภาพของผสู้ อน ขอบเขตเนอ้ื หา หลักการประเมินผลการเรียนรู้ท่ีเสริมพลังต้านทุจริต คือ วิธีการวัด และประเมินผลตาม สภาพจรงิ (authentic assessment) มหี ลักการ ๔ ข้อ ดงั น้ี ๑) ใช้ผู้ประเมินหลายๆ ฝ่าย เชน่ ผู้เรยี น เพ่ือน ตนเอง ผู้ปกครอง ผูเ้ กย่ี วขอ้ ง ๒) ใช้วธิ กี ารและเครือ่ งมอื หลายๆ ชนดิ เชน่ การสงั เกต การปฏิบัตจิ รงิ การทดสอบ ๓) วัดและประเมินหลายๆ คร้ัง ในช่วงเวลาการเรียนรู้ ได้แก่ ก่อนเรียน ระหว่าง เรียน หลังเรยี น ติดตามผล ๔) สะทอ้ นผลการประเมนิ สกู่ ารปรบั ปรงุ และพฒั นา ผเู้ รยี น รวมทงั้ การจดั การเรยี น การสอนอยา่ งตอ่ เนือ่ ง วธิ กี ารฝกึ อบรม ๑. การบรรยายใหค้ วามรู้หลกั สูตรโคช้ เพ่ือการรคู้ ิดต้านทจุ ริต ๒. การยกตวั อย่างและวเิ คราะห์กรณีศึกษา ๓. การท�ำ กจิ กรรมกลุ่ม ๔. การอภิปรายกล่มุ หลักสูตรโคช้ เพอ่ื การรู้คดิ ตา้ นทุจริต 33
๕. การฝึกทดลองปฏิบตั กิ ารภาคสนาม ส่อื การเรยี นรู้ ๑. เอกสารประกอบการบรรยาย ๒. สื่อการเรยี นรู้อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ๓. วิทยากรผทู้ รงคุณวุฒ ิ และปราชญช์ าวบา้ นผนู้ ำ�ชุมชน การวัดและประเมนิ ผล ๑. รอ้ ยละผลการทดสอบและวดั ประเมนิ ผลกอ่ นและหลงั การเรยี นรกู้ อ่ นและหลงั บทเรยี น (Pre & Post Test) ๒. รอ้ ยละของจำ�นวนช่วั โมงท่เี ข้ารบั การอบรม ๓. การผา่ นการฝกึ ทดลองปฏบิ ัตกิ ารภาคสนาม 34 หลักสตู รโค้ชเพื่อการรคู้ ดิ ตา้ นทุจริต
สว่ นท่ี ๑ เร่ือง การสร้างโค้ช เน้ือหาโดยสังเขป วิชาที่ ๑.๕ เรื่อง การประเมินผลการเรยี นรูท้ ่ีเสริมพลังต้านทุจริต เวลา ๓ ชวั่ โมง รายละเอยี ดเนอื้ หา หลักการประเมินผลการเรียนรู้ที่เสริมพลัง คือ วิธีการวัด และประเมินผลตามสภาพจริง (authentic assessment) มหี ลกั การ ๔ ขอ้ ดังนี้ ๑) ใชผ้ ้ปู ระเมินหลายๆ ฝา่ ย เชน่ ผ้เู รยี น เพอ่ื น ตนเอง ผู้ปกครอง ผ้เู ก่ียวข้อง ๒) ใชว้ ิธีการและเคร่ืองมอื หลายๆ ชนิด เช่น การสงั เกต การปฏบิ ัตจิ รงิ การทดสอบ ๓) วัดและประเมนิ หลายๆ คร้ัง ในช่วงเวลาการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ ก่อนเรียน ระหว่างเรียน หลงั เรยี น ติดตามผล ๔) สะทอ้ นผลการประเมนิ สกู่ ารปรับปรุงและพฒั นา ผเู้ รียน รวมทั้งการจัดการเรียน การสอนอยา่ งตอ่ เนอื่ ง จากหลักการประเมินผลการเรียนรู้ที่เสริมพลัง ท้ัง ๔ ข้อ ดังกล่าว สามารถสรุปได้ดัง แผนภาพต่อไปนี้ แผนภาพ ๘ รูปแบบการประเมนิ ผลการเรยี นรูท้ ี่เสริมพลงั การประเมนิ ในศตวรรษท่ี ๒๑ กระบวนทัศน์การประเมินผลการเรยี นรูใ้ นศตวรรษท่ี ๒๑ เป็นแนวความคิดในการประเมิน ผลการเรียนร้ทู ่เี น้นการประเมนิ เพ่ือการปรบั ปรุงและพัฒนา (assessment for improvement) โดย แบ่งแนวทางการประเมนิ ออกเป็น ๓ แนวทาง ไดแ้ ก่ ๑) การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (assessment for learning) ๒) การประเมนิ ขณะเรียนรู้ (assessment as learning) และ ๓) การประเมินผลการเรยี นรู้ (assessment of learning) หลักสูตรโคช้ เพอื่ การรู้คิดต้านทุจริต 35
๑) การประเมนิ เพ่อื การเรียนรู้ (assessment for learning) กระบวนการรวบรวมหลกั ฐานขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษต์ า่ งๆ ตามสภาพจรงิ เกย่ี วกบั การเรยี นรขู้ อง ผเู้ รยี น เพอื่ ระบแุ ละวนิ จิ ฉยั ปญั หาการเรยี นรู้ และใหข้ อ้ ตชิ มทม่ี คี ณุ ภาพแกผ่ เู้ รยี น เพอื่ ปรบั ปรงุ การเรยี น รู้ให้ดีขึ้น โดยใช้วิธีการประเมินท่ีหลากหลาย และเพื่อให้เข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างรอบ ดา้ น อันจะน�ำ ไปส่กู ารปรับการเรยี นและเปลีย่ นการสอนให้มปี ระสิทธภิ าพยงิ่ ขน้ึ การประเมนิ เพือ่ พัฒนา การเรียนรู้ ผู้สอนและผู้เรียนใช้ข้อมูลสารสนเทศทางการประเมินเป็นข้อมูลป้อนกลับ เพ่ือการวินิจฉัย ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน การปรับปรุงวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการทำ�งานของผู้เรียน และพัฒนาผู้เรียน เป็นรายบุคคลที่ควบคุมกำ�กับและปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ วางแผนการเรียนในขั้นตอนต่อไปให้บรรลุผล ส�ำ เรจ็ และคน้ หาการปรบั ปรงุ วธิ กี ารเรยี นรเู้ พอ่ื ไปสเู่ ปา้ หมายการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ซงึ่ ผสู้ อนท�ำ หนา้ ท่ี ใหข้ อ้ มลู ทม่ี คี ณุ ค่าตอ่ การเรียนร้แู กผ่ ู้เรียน ประกอบดว้ ยการใหข้ อ้ มูลกระตนุ้ การเรียนรู้ (feed - up) การใหข้ ้อมูลย้อนกลับ (feedback) และการใหข้ ้อมูลเพ่ือการเรียนรู้ต่อยอด (feed - forward) การให้ขอ้ มลู กระตนุ้ การเรยี นรู้ (feed - up) เปน็ การใหข้ อ้ มลู พืน้ ฐานของการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ จดุ ประสงค์ การเรยี นรู้ วธิ กี ารเรียนรู้ กระบวนการเรยี นรู้ สอื่ การเรยี นรู้ แหล่งการเรียนรู้ภาระงาน (job and task) ตลอดจนวธิ กี ารวดั และเกณฑก์ ารประเมนิ ผลทผ่ี สู้ อนตอ้ งแจง้ ใหผ้ เู้ รยี นทราบกอ่ นที่ จะเรม่ิ การเรยี นการสอน นอกจากนีผ้ ู้สอนยังต้องสร้างแรงจงู ใจในการเรยี นรู้ท่ีเนน้ แรงจงู ใจภายใน (inner motivation) ชแ้ี จงให้ ผู้เรยี นเหน็ คณุ คา่ ในสง่ิ ทจี่ ะเรยี น การให้ข้อมูลกระตุ้นการเรยี นรมู้ คี วามสำ�คัญมาก เพราะผ้เู รียนไดท้ ราบ ข้อมลู ทสี่ �ำ คัญกอ่ นทจี่ ะเริม่ เรียน มแี รงจูงใจและอยากเรยี นรู้ เหน็ เปา้ หมายการเรยี นรู้ และภาระงาน ท่ีต้องปฏิบัติ การให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เป็นการให้ข้อมูลในระหว่างและภายหลังท่ีผู้เรียนได้ ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ หรือการทำ�งานต่างๆ เกี่ยวกับผลการเรียนรู้ของผู้เรียน คุณภาพของผลงาน พฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรม และคา่ นิยมอันพงึ ประสงค์ มีจุดมุง่ หมายเพอื่ ใหผ้ ู้เรียนทราบจุดแขง็ และ จดุ ทต่ี อ้ งปรบั ปรงุ แกไ้ ขของตนเอง การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ทดี่ ี ผสู้ อนควรใชก้ ารสอ่ื สารเชงิ บวก (positive communication) ทีท่ �ำ ให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนรู้ ปรับปรุงแกไ้ ขและพฒั นาตนเอง มแี รงบันดาลใจ ในการเรยี นรู้ การใหข้ อ้ มลู เพื่อการเรยี นร้ตู ่อยอด (feed - forward) เป็นการให้ขอ้ มูลเพ่อื ให้ผู้เรยี นเรียน รู้ดว้ ยตนเอง (self - learning) เพิม่ เติมภายหลงั การจัดการเรียนการสอน มงุ่ เนน้ การช้แี นะแนวทางและ วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนรายบุคคล เพ่ิมแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ให้กำ�ลังใจผู้เรียน และ เสรมิ พลังของการเรยี นรู้ใหก้ ับผูเ้ รียน ผเู้ รยี นไดท้ บทวนตนเองและสามารถน�ำ ไปพัฒนาการเรียนรู้ตอ่ ไป ๒) การประเมินขณะเรยี นรู้ (assessment as learning) กระบวนการรวบรวมหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนขณะเรียน รู้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้ของตน สามารถวางแผนการเรียนรู้ กำ�กับการเรียนรู้ วินิจฉัย ประเมนิ และปรับปรุงการเรยี นรูข้ องตน การใหผ้ เู้ รียนออกแบบแผนการเรียนรู้ ฝกึ ให้ผเู้ รยี นคดิ ทบทวน เกี่ยวกับการเรยี นรู้ และกลยุทธ์ในการเรยี นรู้ จะชว่ ยให้ผเู้ รียนพัฒนาการเรยี นรขู้ องตนเองอยา่ งตอ่ เนอื่ ง การประเมินลักษณะนี้ มีจุดเน้นคือการให้ผู้เรียนได้ใช้การประเมินตนเองและการประเมิน เพ่ือน เปน็ กระบวนการเรียนรชู้ นิดหน่ึง การประเมนิ ทเ่ี กดิ ขึน้ เป็นระยะๆ ในระหว่างการทำ�กจิ กรรม การเรยี นรู้ ผเู้ รยี นจะไดป้ ระเมนิ ตนเองและแสวงหาแนวทางพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง อกี ทง้ั ยงั มโี อกาส การประเมินเพื่อนร่วมชั้นเรียนและให้ข้อเสนอแนะเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ท่ีมีประโยชน์ต่อผู้เรียนหลาย ประการ ไดแ้ ก่ ๑) กระตนุ้ คณุ ลกั ษณะความรบั ผดิ ชอบในการเรยี นรขู้ องตนเอง ๒) ไดเ้ รยี นรวู้ ธิ กี ารประเมนิ ตนเอง การประเมนิ เพอ่ื น การรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื และการใหข้ อ้ เสนอแนะเกยี่ วกบั การเรยี นร ู้ ๓) เปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รียนตงั้ คำ�ถามเก่ยี วกับการเรียนร้ขู องตนเอง และพยายามตอบค�ำ ถามน้นั ดว้ ยตนเอง 36 หลักสูตรโคช้ เพื่อการรูค้ ิดตา้ นทจุ ริต
๔) ผู้เรยี นได้ใช้ผลการประเมินตนเองทง้ั ทเ่ี ปน็ ทางการและไม่เป็นทางการในการกำ�หนดเปา้ หมายการเรยี นรู้ ส�ำ หรบั ตนเอง ๕) กระตุ้นผูเ้ รยี นใหส้ ะท้อนผลการเรยี นรู้ให้กับตนเอง (self - reflection) ส�ำ หรับการ ประเมินตนเองโดยผเู้ รียนน้นั ผ้เู รียนควรต้ังค�ำ ถามตรวจสอบการเรยี นรขู้ องตนเองดังตอ่ ไปนี้ ๑) จุดมงุ่ หมาย ของการเรียนร้ขู องเราคืออะไร ๒) เราไดค้ วามรอู้ ะไรบ้างจากการเรยี นร้ใู นครั้งน้ี ๓) มวี ธิ กี ารเรยี นรใู้ นเร่อื งน้ี อยา่ งไร ๔) มีความเข้าใจสาระสำ�คญั ทเี่ รียนน้ีวา่ อยา่ งไร ๕) มีเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ของเราอย่างไร และประสบความส�ำ เรจ็ ตามเกณฑน์ นั้ หรอื ไม ่ ๖) จะมวี ธิ กี ารยกระดบั ผลการเรยี นรขู้ องเราในการเรยี นครงั้ ตอ่ ไป อย่างไร ซง่ึ ค�ำ ถามทงั้ ๖ ประการนี้ สามารถปรับใช้กบั การประเมินโดยเพื่อนได้ด้วย การพฒั นาผูเ้ รียนใหม้ คี วามสามารถในการประเมนิ ตนเองและการประเมินเพอ่ื น ขณะเรยี นรู้ ผูส้ อนควรเปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นร่วมอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั ผลการเรียนรู้ (learning outcomes) ทผี่ สู้ อนก�ำ หนดไว้ ผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการก�ำ หนดเกณฑก์ ารประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ การให้ข้อมูลย้อนกลับ ต่อผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการตั้งคำ�ถามช้ีแนะทางปัญญา (cognitive guided questions) เพื่อให้ผู้เรียนใชก้ ระบวนการคดิ ตา่ งๆ ในการประเมินตนเองและแสวงหาแนวทาง การพัฒนาตนเอง ซงึ่ เป็นการส่งเสรมิ คุณลกั ษณะการเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชวี ิตของผู้เรียนอีกด้วย ๓) การประเมินผลการเรียนรู้ (assessment of learning) กระบวนการรวบรวมหลกั ฐานขอ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์ตา่ งๆ เมอ่ื สิน้ สดุ กระบวนการเรยี นรู้ เพอื่ ตดั สนิ คณุ คา่ ในการบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคห์ รอื ผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้ เปน็ การประเมนิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ซงึ่ แสดงถงึ มาตรฐานทางวชิ าการในเชงิ สมรรถนะและคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ สารสนเทศดงั กลา่ ว นำ�ไปใช้ในการก�ำ หนดระดับคะแนนให้ผ้เู รยี น รวมทัง้ ใช้ในการปรบั ปรงุ หลกั สตู รและการเรียนการสอน การประเมนิ ผลการเรยี นรมู้ วี ตั ถปุ ระสงคส์ �ำ คญั เพอ่ื ตดั สนิ ผลการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น โดยผสู้ อน เปน็ ผทู้ มี่ บี ทบาทหลกั ในการประเมนิ โดยการประเมนิ จะมลี กั ษณะเปน็ การประเมนิ รวบยอด (summative assessment) ท่ีใช้วตั ถปุ ระสงคห์ รอื ผลลพั ธก์ ารเรียนรเู้ ป็นมาตรฐานการประเมิน ตลอดจนใชว้ ธิ กี าร และเครอ่ื งมือประเมนิ ที่มคี ุณภาพเชื่อถือได้ มคี วามเป็นทางการมากกว่าการประเมนิ เพื่อการเรยี นรู้ (assessment for learning) และการประเมินขณะเรียนรู้ (assessment as learning) บทบาทของผสู้ อนในการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย ๑) เปน็ พเี่ ลย้ี งโดยการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับเชงิ สร้างสรรค์ตอ่ ผเู้ รียนเพือ่ พัฒนาผลการเรียนรู ้ ๒) เปน็ ผู้ชี้แนะโดยการวนิ ิจฉัยจุดบกพรอ่ ง ในการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นและน�ำ มาสกู่ ารดแู ลชว่ ยเหลอื ใหเ้ กดิ การเรยี นร ู้ ๓) บนั ทกึ ผลการประเมนิ ทส่ี ะทอ้ น ความกา้ วหนา้ ทางการเรียนรขู้ องผูเ้ รยี นอย่างเป็นระบบ ๔) สอื่ สารผลการประเมนิ ไปยงั ผ้เู กีย่ วข้องทุกฝ่าย เช่น ผู้เรยี น ผู้บรหิ าร ผปู้ กครอง เป็นตน้ และ ๕) เปน็ ผู้จดั การคณุ ภาพ โดยนำ�ผลการประเมนิ มาปรบั ปรุง และพฒั นาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอน ซง่ึ ผู้สอนควรใช้การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ควบคกู่ บั การประเมนิ เพอื่ การเรยี นรู้ และการประเมนิ ขณะการเรยี นรู้ เพอ่ื ใหม้ ผี ลการประเมนิ ทหี่ ลากหลาย สามารถใช้พัฒนาผู้เรยี นไดอ้ ยา่ งต่อเนอ่ื ง รวมทง้ั ใช้เปน็ สารสนเทศจากการประเมนิ เป็นแนวทาง ในการปรบั ปรุงและพฒั นาการเรยี นการสอนของผู้สอนอยา่ งต่อเน่อื ง การประเมินตนเองเพอ่ื ตรวจสอบความพรอ้ มในการเปน็ โคช้ ผสู้ อนสามารถประเมนิ ตนเองเกยี่ วกบั ความพรอ้ มทจี่ ะเปน็ ผโู้ คช้ ไดจ้ ากประเดน็ การประเมนิ ๕ ระดับ ดังตอ่ ไปนี้ ระดบั ที่ ๑ ไม่สนใจ ไม่ใสใ่ จ คนเราก็เหมือนๆ กนั ระดับท่ี ๒ สนใจ แต่ไมย่ อมรับ ยงั เชอ่ื ว่าวธิ ีคดิ ของตนเองดีกวา่ ระดับท่ี ๓ สนใจและยอมรับในความแตกต่าง แตย่ งั ไม่อยากท�ำ หลกั สตู รโคช้ เพ่ือการรูค้ ดิ ต้านทุจรติ 37
ระดับท่ี ๔ สนใจและอยากเรียนรู้เพ่อื ปรับปรงุ ตนเอง วธิ ีคดิ การติดตอ่ สอ่ื สารใหเ้ ข้ากบั สงั คมวัฒนธรรมน้ัน ระดับที่ ๕ สนใจอยากเรยี นรู้ มองเชิงรกุ และสามารถน�ำ ความแตกต่างมาสรา้ งพลังรว่ ม (synergy) แบบประเมินความมวี นิ ัย คำ�ช้แี จง ๑. แบบประเมนิ น้ีมีผู้ประเมนิ ๓ ฝา่ ย คอื ตนเอง เพ่อื น และครู ข้อมลู การประเมินมาจาก ๓ ฝ่าย เพอ่ื พิจารณาในการตัดสินผลการประเมนิ ๒. จงเขียนระดับคะแนนลงในช่องผลการประเมิน ดังนี้ ๑ คะแนน หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมเม่อื ได้รับคำ�สัง่ ๒ คะแนน หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมเมอ่ื ไดร้ บั การกระตนุ้ ๓ คะแนน หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมดว้ ยตนเอง แบบประเมนิ จติ อาสา คำ�ชแ้ี จง ๑. แบบประเมนิ นีม้ ผี ูป้ ระเมนิ ๓ ฝา่ ย คือ ตนเอง เพ่ือน และครู ข้อมลู การประเมนิ มาจาก ๓ ฝา่ ย เพ่อื พิจารณาในการตดั สินผลการประเมนิ ๒. จงเขียนระดบั คะแนนลงในช่องผลการประเมิน ดังน้ี ๑ คะแนน หมายถงึ แสดงพฤติกรรมเมอื่ ได้รับการรอ้ งขอ ๒ คะแนน หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมเมือ่ ได้รับการกระตุน้ ๓ คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมดว้ ยตนเอง 38 หลกั สตู รโค้ชเพื่อการรู้คดิ ต้านทจุ รติ
แบบประเมินการแก้ปญั หา กลมุ่ ท่ี.......ชอื่ ผเู้ รยี น ๑. ……………………………………………........................................................ ๒. …………………………………………........................................................... ๓. ……………………………………………........................................................ ๔. ……………………………………………..................... ................................... คำ�ช้ีแจง บันทึกการปฏิบัติงานของผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มตามเกณฑ์ท่ีระบุ โดยเขียนเลขระบุระดับ คณุ ภาพ ๑ คะแนน หมายถึง ลงมือปฏบิ ตั ิไดเ้ มื่อมีตวั อย่าง ๒ คะแนน หมายถึง ลงมือปฏบิ ัตไิ ดเ้ มื่อได้รบั ค�ำ แนะนำ� ๓ คะแนน หมายถึง ลงมือปฏิบัตอิ ยา่ งเปน็ ระบบได้ดว้ ยตนเอง หลักสตู รโค้ชเพือ่ การรคู้ ิดต้านทจุ รติ 39
งานวดั ร้านเลน่ เกมแหง่ หนึง่ ในงานวัด การเล่นเกมนีเ้ รมิ่ ดว้ ยหมุนวงลอ้ ถา้ วงลอ้ หยุดท่ีเลขคู่ ผเู้ ลน่ จะไดห้ ยบิ ลกู หนิ ในถงุ วงลอ้ และลูกหินในถุง แสดงไดด้ งั รปู ขา้ งล่างนี้ ผู้เลน่ จะได้รับรางวลั เม่ือหยิบไดล้ กู หินสดี �ำ ถา้ สมพรเล่นเกม ๑ ครั้ง ความเปน็ ไปได้ที่สมพร จะไดร้ บั รางวลั เป็นอย่างไร ก. เป็นไปไมไ่ ดท้ ี่จะได้รบั รางวัล ข. เป็นไปไดน้ อ้ ยมากทจ่ี ะได้รบั รางวลั ค. จะไดร้ บั รางวลั ประมาณ ๕๐% ง. เป็นไปได้มากท่จี ะได้รบั รางวัล จ. ไดร้ บั รางวลั แนน่ อน 40 หลักสูตรโคช้ เพ่อื การรูค้ ิดตา้ นทจุ ริต
บรรณานกุ รม รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย วงษใ์ หญ่ และอาจารย์ ดร.มารุต พัฒผล ๒๕๕๗. การโคช้ เพื่อการรูค้ ดิ (Cognitive Coaching) บริษัทจรัลสนิทวงศก์ ารพิมพ์ จ�ำ กดั . หลกั สตู รโค้ชเพือ่ การรู้คดิ ต้านทุจริต 41
สว่ นที่ ๒ เรือ่ ง การเรยี นร้ดู า้ นการป้องกนั การทุจรติ ตารางวเิ คราะหช์ ดุ วิชาด้านการปอ้ งกันการทจุ ริต ท่ี เร่ือง เน้อื หา ชว่ั โมง กระบวนการ วดั / ประเมิน ๑ ก า ร คิ ด แ ย ก แ ย ะ ๑.๑ สาเหตขุ องการทจุ รติ ฯ ๖ การบรรยาย สอบเน้ือหา ระหว่างประโยชน์ ๑.๒ ความหมายของการขัดกันระหวา่ งผล การคิดวิเคราะห์ (๒๐ คะแนน) ส่วนตนและประโยชน์ ประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ กรณีศึกษา สว่ นรวม ส่วนรวม รูปแบบของการขัดกนั ก า ร ทำ � กิ จ ก ร ร ม ระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผล กลุ่ม การอภปิ ราย ประโยชน์สว่ นรวม กลุ่ม ๑.๓ กฎหมายท่เี กีย่ วขอ้ งกับการขดั กนั ฯ ๑.๔ วิธีคดิ แบบ Analog thinking (ฐาน ๑๐) / Digital thinking (ฐาน๒) ๑.๕ บทบาทของรฐั / เจ้าหน้าทีข่ องรัฐ (มาตรฐานทางจรยิ ธรรมของ เจ้าหนา้ ที่ของรัฐ) ๑.๖ กรณีตัวอย่างการคิดแยกแยะ ระหว่างประโยชนส์ ว่ นตนและ ประโยชนส์ ่วนรวม ๒ ความอายและความไม่ ๒.๑ การทุจรติ ๓ การบรรยาย การ สอบเนื้อหา ทนตอ่ การทุจริต - ความหมาย/รูปแบบการทุจรติ คิดวิเคราะห์กรณี (๒๐ คะแนน) - สาเหตุการเกดิ การทุจรติ ศกึ ษา - สถานการณ์การทจุ รติ ใน ก า ร ทำ � กิ จ ก ร ร ม ประเทศไทย กลุ่ม การอภิปราย - ผลกระทบจากการทจุ ริตต่อการ กลมุ่ พฒั นาประเทศ - ทศิ ทางการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ - กรณีตวั อย่างผลทเี่ กิดจากการทจุ ริต ๒.๒ ความอายตอ่ การทจุ รติ - ความเป็นพลเมอื ง - แนวคดิ เกยี่ วกบั ความอายตอ่ การ ทจุ รติ ๒.๓ ความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต - แนวคิดเกยี่ วกบั ความไม่ทนตอ่ การ ทจุ ริต ๒.๔ ตัวอยา่ งความอายและความไม่ทนต่อ การทุจริต การแสดงออกถงึ การไม่ ทนต่อการทุจริต 42 หลกั สูตรโคช้ เพื่อการรูค้ ิดต้านทจุ รติ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140