เอกสารประกอบการบรรยายรายวชิ า “การเมืองการปกครองไทย” (Thai Politics & Government) หลักสตู ร รัฐศาสตรบณั ฑิต (โครงการความรว่ มมือทางวิชาการ ฯ) วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภฎั สวนสุนนั ทา โดย อาจารย์ วัลลภ พิรยิ วรรธนะ ---------------------- ประวตั ศิ าสตร์การเมืองการปกครองไทย การศึกษาค้นคว้าเรื่องใดก็ตามจาเป็นต้องอาศัยหลักการ 3 ประการ คือ ทฤษฎีหรือกรอบแนวคิด ข้อมลู เชิงประวตั ิศาสตร์และข้อมูลเชิงประจกั ษ์ เปน็ ฐานเช่อื มโยงเหตุการณ์ที่ผา่ นมากับความเป็นปจั จบุ นั ก่อนท่ีจะศึกษาถึงเน้ือหาของการเมืองการปกครอง เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอๆในทางวิชาการเมื่อ พดู ถงึ คาว่า ตานาน พงศาวดาร และประวัติศาสตร์ แตบ่ างเป็นคาที่เราได้ยินแต่อาจไม่เข้าใจในความหมายหรือ ที่มาของคาจาพวกนี้ว่ามคี วามเป็นมาอยา่ งไร จงึ จาเปน็ ต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับคาศัพท์ในเร่ืองท่ีศึกษาน้ันให้ เข้าใจเสียก่อนว่าหมายถึงอะไร มีท่ีมาอย่างไร ตามภาษาศาสตร์เรียกว่า “นิรุกติศาสตร์” หมายความว่าเป็น การศึกษาท่มี าของคาและความหมายของคา. เพราะหากเราไม่เข้าใจที่มาและความหมายของคาแล้วก็อาจเป็น อุปสรรคของกระบวนการสื่อระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร ถ้าหากพ้ืนฐานความเข้าใจคนละอย่างในคาพูด เดยี วกันกท็ าให้กระบวนการสือ่ สารน้ันลม้ เหลว ดังน้นั ท้ังผู้ส่งสารกับผู้ท่ีรับสารจะต้องมีความเข้าใจที่ตรงกันใน สาระหรอื รหสั ท่ีตดิ ตอ่ หรอื โตต้ อบกัน จากคน้ คว้าตา่ งๆ จะมีแหล่งท่ีมาไดด้ ังนี้ ตานาน คือ หนังสือท่ีเปน็ ผลงานทางดา้ นประวัติศาสตร์ของไทยที่เก่าแก่ท่ีสุดควบคู่กับ“พงศาวดาร” โดยท่วั ไปตานานแบ่งเป็น 3 ลกั ษณะ คือ เป็นเรื่องราวของวงศ์ตระกูลหรือตัวบุคคล เป็นเรื่องราวของการสร้าง บ้านสรา้ งเมือง และเปน็ เรอื่ งราวของพุทธศาสนาหรอื พทุ ธสถาน ดังน้ันตานานก็เป็นเสมือนผลงานทางประวัติศาสตร์ท่ีเป็นหลักฐานเก่ียวกับบ้านเมืองหรือผู้ปกครอง เป็นหลกั ฐานท่ีอ้างถงึ สทิ ธอิ ันชอบธรรมในการเปน็ ผ้ปู กครองที่สืบทอดกนั มาโดยบรรพชน ตานานที่เป็นท่ีรู้จักกันก็มีเช่น ตานานมูลศาสนา เขียนเป็นภาษาไทยยวน เน้ือหาของตานานนี้เป็น เรอ่ื งราวของพุทธศาสนาท่ีกาเนิดข้ึนในอินเดียและเผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยตานานอ่ืนๆที่มีความสาคัญใน ลักษณะเดียวกันนี้ก็มี เช่น จามเทวีวงศ์ ชินกาลมาลีปกรณ์ ตานานเมืองนครศรีธรรมราช และตานานพระธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช ตานานพราหมณเ์ มอื งนครศรีธรรมราช พงศาวดาร (Chronicle) คือหนังสือท่ีเป็นประวัติศาสตร์ไทยท่ีเก่าแก่ที่สุดควบคู่กับ “ตานาน” พงศาวดารมาจากคา 2 คา คือ พงศ์ และ อวตาร โดยพงศาวดารจะเขียนเป็นภาษาไทย งานเขียนของ นกั ปราชญ์ประจาราชสานัก พงศาวดารจงึ เปน็ งานเขยี นที่เน้นใหค้ วามสาคญั ของพระมหากษตั ริย์ พงศาวดารมักจะพบในงานเขียนของอาณาจักรอยธุ ยา ซ่ึงสะทอ้ นให้เห็นถึงอานาจของอาณาจักรซ่ึงมี ลักษณะการรวมอานาจไว้ที่ศูนย์กลางที่เมืองหลวงและองค์มหากษัตริย์ เช่น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ สมเด็จพระนพรตั น,์ พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม (British Misaim) พงศาวดาร ฉบับพระ ราชหตั ถเลขา จดหมายเหตุ (Annals) เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทหน่ึง มีลักษณะเป็นการบันทึก เร่ืองราวหรือเหตกุ ารณ์ที่ผ้บู ันทกึ เห็นว่าสาคัญพอเปน็ สงั เขปโดยยึดวนั เดือนปีเปน็ หลักสาคัญ
-2- ประวตั ิศาสตร์ (History) คาว่า \"ประวัติศาสตร์\" ในภาษาไทย เกิดจากการสมาสคาศัพท์ภาษาบาลี \"ประวัติ\" (ปวตฺติ) ซึ่งหมายถึง เรื่องราวความเป็นไป และคาศัพท์ภาษาสันสกฤต \"ศาสตร์\" (ศาสฺตฺร) ซ่ึงแปลว่า ความรู้ สาหรับศัพท์ \"ประวัติศาสตร์\" ในภาษาไทยถูกบัญญัติขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รชั กาลที่ 6) เพ่ือเทียบเคียงกับคาวา่ \"History\" ในภาษาอังกฤษและเพ่ือให้มีความหมายครอบคลุมมากกว่าคา วา่ \"พงศาวดาร\" (Chronicle) ทีใ่ ชก้ ันมาแตเ่ ดิม ความหมายของประวัติศาสตร์ในภาษาละติน คือ Historia ภาษาสเปนและอิตาลี คือ Histrio ภาษา กรีก คือ Histor ความหมายเดิมหมายถึง “ถัก” หรือ “ทอ” เฮโรโดตุส (Herodotus) ปราชญ์ชาวกรีกคนแรก ท่ีใช้คาว่า “Historial” ในการเรียกช่ือเรื่องราวที่เขาสืบค้น ซ่ึงได้รับยกย่องและขนานนามว่า “บิดาแห่งวิชา ประวตั ิศาสตรแ์ ละวชิ ามานษุ ยวิทยา” 1 สกุ จิ นิมานาเหมนิ ทร์ ให้ความเปน็ วา่ มาจากคาในภาษาสนั สกฤติ คอื “ประวรรัตติ” และ “ศาสตร์” มารวมเป็นคาผสม เพ่ือบัญญัติข้ึนแทนคาว่า “พงศาวดาร” หลังการเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสม บูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบที่พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ หรือเรียกกันโดยท่ัวไปว่า “ระบอบ ประชาธปิ ไตย”2 อาร์. จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) อธิบายว่าประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวน ... โดยมีจุดมุ่งหมายจะศึกษาเกี่ยวกับ ... พฤติการณ์ของมนุษยชาติท่ีเกิดข้ึนในอดีต (history is a kind of research or inquiry ... action of human beings that have been done in the past.) อี. เอช. คาร์ (E. H. Carr) อธิบายว่าประวัติศาสตร์คือกระบวนการอันต่อเน่ืองของการปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งนกั ประวัตศิ าสตร์กับขอ้ มลู ของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต (What is history?, is that it is a continuous process of interaction between the present and the past.) อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาเรื่องเก่ียวกับการเมืองการปกครองจาเป็นต้องเครื่องมือท่ีจะช่วยให้เข้าใจ มากข้ึน คือ ประการแรกต้องมีทฤษฎี หรือกรอบความคิด ประการท่ีสองต้องมีข้อมูลท้ังเชิงประวัติศาสตร์และ เชิงประจักษ์ ประการท่ีสามคือการวิเคราะห์สรุป จึงจาเป็นต้องทราบความเป็นมาสิ่งที่เราจะศึกษาเสียก่อน เพราะหากเราไม่ทราบความเป็นมา เราก็อาจมีความเข้าใจท่ีคลาดเคลื่อนได้ เพราะที่ส่ิงท่ีเราเช่ือจะถูกลบล้าง ดว้ ยขอ้ มลู ทเ่ี ป็นความจริง นยิ ามศพั ท์การเมอื งการปกครอง การเมืองในทางรัฐศาสตร์มีความหมายท่ีกว้าง มิให้อาจนิยามได้อย่างชัดเจนให้มีความแน่นอนและ ชัดเจน ดังจะเห็นได้จากการที่มีความเห็นท่ีหลากหลายของนักปรัชญาเมธีต่างๆ ท่ีพยายามให้คาอธิบายถึง ลกั ษณะหรือองค์ประกอบของการเมือง3 เช่น เพลโต (Plato) ใหค้ วามเห็นว่าการเมืองเป็นเร่ืองเก่ียวกับแสวงหาความยุติธรรม เพื่อการดารงชีวิตอยู่ ที่ดีงาม การศึกษาการเมืองจึงเป็นการศึกษาเพ่ือค้นหาเหตุผลเพื่อสรุปเป็นแนวคิด และเป็นแนวทางในการ ปฏิบัตทิ างการเมืองโดยเฉพาะการมรี ปู แบบทดี่ ีของรฐั ใหก้ ับมนุษยใ์ นสงั คม อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การเมืองมีความเกี่ยวพันกับอานาจ และอานาน้ันคืออานาจทาง การเมือง มีความแตกต่างจากอานาจอ่ืน โดยต้องมีองค์อธิปัตย์เป็นผู้ใช้อานาจทางการเมือง คุณลักษณะทาง การเมืองจงึ ประกอบดว้ ย อานาจ (Authority) และการปกครอง (Ruling) 1 ดนยั ไชยโยธา.ประวตั ิศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมไทย.กรุงเทพฯ:โอเดียนสโตร.์ 2550.หนา้ 2. 2 เฉลิม มลลา.พฤตกิ รรมการสอนประวตั ศิ าสตร์ 2:การวางแผนการสอนประวตั ศิ าสตร.์ กรุงเทพฯ:คณุ พิมพ์อกั ษร.2527.หน้า91 3 สุรพล สยุ ะพรหม.การเมอื งกับการปกครองของไทย.กรงุ ทพฯ:มหาจุฬาบรรณาคาร.(พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2).2552.หนา้ 1-3.
-3- “รัฐศาสตร์” ในภาษาไทยบางคร้ังใช้ว่า“การเมือง”หรือ“การปกครอง” ซึ่งความแตกต่างระหว่าง รัฐศาสตร์กับการเมืองที่ใช้ในภาษาไทย คือ“รัฐศาสตร์” เป็นเรื่องวิชาการมีการจัดระบบหมวดหมู่อย่างชัดแจ้ง ซึ่งคาว่า “การเมือง” (Politics) ใช้ใน 2 ความหมายใหญ่ คือ เป็นกิจกรรมของมนุษย์ และมีความหมายเอน เอียงไปในทานองเป็นเรอ่ื งขดั แย้งด้วยเรอ่ื งประโยชน์ส่วนตัว “การเมือง” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า “polis” แปลว่า “นครรัฐ” อันเป็นการรวมตัวกัน ทางการเมอื งแบบหนึ่ง ซง่ึ ใหญ่กวา่ ระดับครอบครวั หรือเผ่าพนั ธุ์ นครรฐั ในกรกี โบราณ ได้แก่ เอเธนส์ และสปาร์ ตา เปน็ ตน้ โดยมผี ู้ให้คานิยามไว้มากมาย เชน่ แฮโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) กล่าว่า “การเมือง” เป็นเร่ืองของ “อิทธิพล” เขาได้ เขียนในหนงั สือ ชื่อ “การเมือง” ใครได้อะไร ? เมอ่ื ใดและอย่างไร ซึ่งการได้อะไรหมายถึงวัตถุหรืออวัตถุเป็นส่ิง ที่มีจากัดและเป็นสิ่งท่ีคนอยากได้ เช่น ทรัพย์สิน เงินทอง และความมีเกียรติ สวัสดิภาพความปลอดภัย ความ ม่ันคง ความสะดวกสบาย หรอื ความสขุ กายใจ4 จริโชค(บรรพต) วีระสัย กล่าวว่า การเมือง สามารถแจกแจงเป็นรูปธรรมได้ คือ 5 P กับ 1 E หมายถึง 1) Power=อานาจ,2) Public=มหาชน,3)Policy=นโยบาย, 4) Personal=บุคคล5) Participation= มีความเกยี่ วขอ้ งกับสว่ นรวม และ Event=เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ เชน่ เหตกุ ารณเ์ ส้อื เหลอื งเส้อื แดงในปจั จบุ ัน เชดอล โวลีน (shedol Volin) ผู้เป็นอาจารย์ของ ศ.ดร.จิรโชค (บรรพต)วีระสัย5 กล่าวว่า การเมืองประกอบด้วย 3 ประการหลัก ไดแ้ ก่ ก) การแขง่ ขนั เพือ่ ชงิ ผลประโยชน์ ในระดบั บุคคลกับบุคคล กลุ่มตอ่ กลุ่มบุคคล สังคมต่อสังคม ข) แสดงให้ปรากฏใน (1) ภาวะผันผวนเปลี่ยนแปลง คือ สภาพท่ีไม่ปกติเป็นเรื่องที่ไม่เหมือนเดิม เช่น ประท้วง หรือการเรยี กรอ้ งตา่ ง ๆ จนผิดปกติ (2) ทรัพยากรท่ีประสงค์มีจากัด ได้แก่ ตาแหน่ง และการขาดแคลนด้านต่าง ๆ ท่ี จะชว่ ยอานวยความสุขหรอื ความสะดวกสบายให้แก่พลเมือง จึงต้องมีการแขง่ ขนั กันสูง (3) เป็นกจิ กรรมเก่ยี วกับการแสวงหาผลประโยชนซ์ ่ึงมีผลกระทบต่อคนหมู่มากไม่ วา่ จะเป็นผลบวกหรือผลทางลบ หรือตอ่ สงั คม ค) มีผลกระทบต่อสาธารณะ หรือต่อส่วนรวม คือ การแสวงหาผลประโยชน์ในระดับต่าง ๆ เช่น ระดับหมู่บ้าน ในสมาคมหรือองค์กรต่าง ๆ แต่ถ้ากิจกรรมการน้ันยังไม่เข้าชั้นเป็นสภาพทางการเมือง ตราบเท่าที่ยังไม่มีผลกระทบอย่างสาคัญของสังคมหรือของคนส่วนใหญ่ กิจกรรมท่ีเข้าข่ายท่ีมีผลกระทบท้ัง เลอื กตง้ั ทางตรงหรือทางออ้ ม ท้งั บวกหรอื ลบต่อคนจานวนมาก สาหรับคาว่า “Government” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า “kybernates” ซึ่งมีความหมาย ว่า “ผู้ถือหางเสือ” จึงทาให้เกิดการเปรียบเปรียบเทียบว่าการเมืองการปกครอง โดยเฉพาะรัฐบาลเป็นเสมือน เรอื ท่ไี ม่หยดุ นิ่ง จงึ มคี าพูดกล่าววา่ “รฐั นาวา” เป็นคาเปรยี บเทียบในการเรยี ก “รัฐบาล” รัฐศาสตร์มงุ่ ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ การเมืองคือหัวใจของรัฐศาสตร์ “แก่นแท้ของรัฐศาสตร์ คอื ตัวมนษุ ย์...การกล่าวถึงการเมืองการปกครองของมนุษย์ ก็คือการกล่าวถึงความเช่ือ การกระทาและค่านิยม ของมนษุ ย์...รัฐศาสตร์ คือ การศึกษาวา่ เพราะเหตใุ ดมนุษยจ์ ึงคิดสร้างการปกครองของมนุษย์ขึ้น... การเมือง คือ สถานการณ์และผลที่เกิดจากการกระทาของมนุษย์...”6 ถ้าเราแยกคาว่าการเมืองการ ปกครองออกเป็นส่วนๆ ก็จะพบว่า การ หมายถึง งาน หรือ สิ่งหรือเรื่องที่ทา, ถ้าอยู่หน้าคานามจะ 4 เพ่งิ อ้าง.หน้า 7 5 เพ่ิงอ้าง.หน้า 6 6 วิวัฒน์ เอี่ยมไพรวัน.วฒั นธรรมทางการเมือง.หลกั พน้ื ฐานทางรฐั ศาสตร์.กรงุ เทพฯ:อรุณการพมิ พ.์ 2548.หนา้ 84.
-4- หมายความว่า เร่ือง, ธุระ, หน้าท่ี เมือง เป็นคาเก่าโบราณ หมายถึง แดน หรือ ประเทศ การเมือง คือ กิจการบ้านเมืองทั่วๆไป โดยเริ่มตั้งแต่การก่อต้ังชุมชน การก่อสร้างเมือง เผ่าชนที่มาก่อต้ังเมือง และการ สงครามระหวา่ งเผา่ ชนท่มี ากอ่ ตง้ั เมือง ซึ่งเป็นงานทเ่ี ก่ยี วกบั รัฐและการบริหารประเทศ7 ปกครอง หมายถงึ การดแู ล การค้มุ ครอง ระวงั รกั ษา และการบริหาร สามารถสรปุ ได้วา่ การเมืองการปกครอง เป็นเรื่องท่ีเกี่ยวกับการจัดสรรสิ่งท่ีมีคุณค่าโดยสิทธิอานาจ (authoritative allocation of values) หรอื ใหค้ วามหมายอยา่ งกว้างวา่ “การเมืองการปกครอง”คือ“กิจกรรม ของมนุษย์” เพือ่ หาวถิ ีแห่งการอยูร่ ว่ มกันทดี่ ี แนวคิดและหลักการปกครองประเทศ (The conception and the principle Government local ) “ ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของรัฐ-ชาติทั่วทั้งรัฐ และมีการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ ความเท่า เทียมและความเป็นเอกภาพ แต่การปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นนั้นมีลักษณะคับแคบ เก่ียวกันกับความ ต่างระหว่างเขต และลัทธิแบ่งแยกดินแดน” “ ประชาธิปไตย...อาจเป็นได้ทั้งการรวมศูนย์และการกระจาย อานาจ...แต่การกระจายอานาจเป็นวิธีท่ีช่วยให้การศึกษาเรียนรู้เร่ืองประชาธิปไตยทาได้ลึกซ้ึงกว่าวิธีของการ รวมศูนย์อานาจ” “ ประเทศหน่ึงอ้างตนเองเป็นประชาธิปไตย แต่ส่วนใหญ่การบริหารโดยเฉพาะการปกครอง ทอ้ งถิน่ กลบั ขาดลักษณะที่เป็นประชาธิปไตย อยา่ งน้ตี ้องถอื วา่ การอา้ งดังกล่าวนา่ สงสยั เป็นอยา่ งยง่ิ “8 การปกครองประเทศ การปกครองประเทศชาติ เป็นการปกครองบุคคลทอ่ี ยอู่ าศยั มีภูมิลาเนาในดินแดนท่ีได้กาหนดไว้ เปน็ อาณาเขตของประเทศ9 การปกครองประเทศชาติ หมายถึง การปกครองประชาชน การปกครองดินแดนท่ีกาหนดให้เป็น รัฐอาณาเขตน้ันเป็นเพียงการกาหนดขอบเขตการใช้อานาจปกครอง10 บุคคลที่ดารงชีพอยู่บนดินแดนในอาณา เขตของประเทศใดประเทศหนึ่งเรียกว่า “ประชากร” (Population) มีความหมายไม่เหมือนกับพลเมือง (Citizen) ซึ่งพลเมืองมีความหมายแคบกว่า เพราะเป็นบคุ คลท่ีสญั ชาติตามกฎหมายวา่ ด้วยสัญชาติของประเทศ นั้น เป็นเจ้าของประเทศโดยตรง มิใช่เป็นเพียงผู้อยู่อาศัย พลเมืองจึงมีสิทธิและหน้าที่มากกว่าประชากรคน อื่นๆ11ซ่ึงมิได้มีสัญชาติของประเทศนั้น ความเจริญและความเส่ือมของประเทศย่อมกาหนดทิศทางอนาคตของ พลเมอื งและประชากรทวั่ ๆไป ระบอบการปกครอง (Regime of Government) ระบอบการปกครอง หมายถึง แนวความคิดรวบยอด หรือลัทธิการเมืองที่นามาใช้เป็นหลักใน การปกครองรัฐ การวางระบบการเมือง การกาหนดสิทธิเสรีภาพของประชาชน12 ฯลฯ ระบอบการปกครอง 7 ดนัย ไชยโยธา.การเมอื งการปกครองของไทย.2548.หนา้ 19. 8 ธเนศวร์ เจริญเมอื ง, “100 ปี การปกครองท้องถน่ิ ไทย พ.ศ.2440-2540”,(พมิ พ์ครง้ั ที่ 6),กรงุ เทพฯ,โครงการจัดพิมพ์คบไฟ ,2550.หนา้ 37. 9 อาณา หมายถงึ อานาจการปกครอง (พจนานกุ รมฉบับบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.2525. หน้า.940. 10 สจุ ินต์ ทงั สุบตุ ร.การเมืองและการปกครอง : พลงั การเมอื ง.2513.หน้า 265. 11 สุจินต์ ทังสบุ ุตร.อา้ งแล้ว.หนา้ 267. 12 ณฐั กร วิทิตานนท.์ หลกั รฐั ธรรมนูญเบ้อื งต้น.2553.หนา้ 17-19.
-5- ประเทศต่างๆ ในโลกปัจจุบัน อาจแบ่งเป็น 2 ระบอบใหญ่ ได้แก่ ระบอบประชาธิปไตย และระบอบเผด็จการ ในที่นจ้ี ะกลา่ วถึงเฉพาะระบอบประชาธิปไตยซงึ่ เป็นหวั ใจหลักของการปกครองท้องถน่ิ ระบอบประชาธปิ ไตย ได้แปลความมาจากภาษาอังกฤษว่า Democracy ซ่ึงมีรากศัพท์มาจาก ภาษากรีก 2 คา คือ Demos แปลว่า พลเมือง หรือประชาชน ส่วนคาว่า Kratos แปลว่า การปกครอง หรือรัฐบาล13 หรืออานาจปกครอง ตามรูปศัพท์คาว่า ประชาธิปไตย หมายถึง ระบอบการ ปกครองที่ถือปวงชนเป็นใหญ่ การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่14 ซ่ึงประชาธิปไตยจึงมีวัฒนาการมาจาก “การ ปกครองตนเอง” (Self Government) ซ่ึงเป็นหัวใจของประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องมีหลักการสาคัญ 5 ประการ ต่อไปนี้ 1. หลักอานาจสูงสุดเป็นของประชาชน (Popular Sovereignty) เป็นเจ้าของอานาจ อธิปไตย ประชาชนจึงมสี ทิ ธิตั้งรฐั บาลไดโ้ ดยผา่ นกระบวนการเลอื กต้ัง 2. หลักสิทธิเสรีภาพต่างๆ ของประชาชน (Bill of Rights) ต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐ โดยที่รฐั บาลจะไมล่ ว่ งลา้ สทิ ธเิ สรีภาพหรอื กระทาการใดๆ อนั เปน็ การรบกวนสิทธิเสรีภาพของประชาชน 3. หลกั ความสงู สุดของกฎหมาย ผมู้ ีอานาจต้องถกู ฎหมายจากดั อานาจไว้ เป้าหมาย วิธีการ และรากฐานในการดาเนินการใดๆ ก็ตามของรัฐ จะต้องชอบด้วยกฎหมาย (Government of Law, not of Men) คือ ตอ้ งมีหลกั “นิติธรรม” (Rule of Law) 4. หลักความเสมอภาค เน้นความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคน โดยให้ได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายเท่าเทยี มกัน (Equal Protection under Law) โดยไมเ่ ลอื กปฏบิ ัติ 5. หลักการเสียงข้างมาก (Majority Rule) ในทุกๆ เรื่องในประชาธิปไตยเป็นการปกครอง ดว้ ยเสยี งขา้ งมาก แต่ก็ตอ้ งรับฟงั และใหค้ วามเปน็ ธรรมกับเสียงขา้ งน้อย อนึ่ง ประชาธิปไตยยังขน้ึ อยกู่ บั การใหค้ ุณคา่ ทางความคิด เชน่ ล๊อก และ รุสโซ มีความเห็นว่า “อานาจอธิปไตยต้องเป็นของปวงชน” ความต้องการของ ประชาชนเป็นสิ่งที่รฐั บาลจะตอ้ งทาตาม หากรัฐบาลปฏิบัติการใดที่ประชาชนไม่พอใจ ประชาชนย่อมมีสิทธิล้ม ลา้ งอานาจปกครองของรัฐบาลน้นั ได้ อับราฮัม ลินคอน (Abraham Lincoin) ประธานาธิบดีคนท่ี 1615 ของสหรัฐอเมริกาท่ีมี วาทะกรรมเปน็ ทป่ี ระทบั ใจและเป็นอมตะตลอดการกลา่ ว่า “…ประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่จะต้องทาให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายแห่งการเป็น รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพ่ือประชาชน…”(“…Democracy is government of the people, by people and for the people…”) บคุ คลท่ีอยใู่ นอานาจการปกครอง ซึ่งแบง่ ประเภทได้ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ประชากร (Population) หมายถึง บุคคลทุกคนท่ีอาศัยอยู่ในรัฐอาณาเขตประเทศ พลเมอื ง (Citizen) ได้แก่ บคุ คลทีถ่ ือสัญชาตติ ามกฎหมายของประเทศนนั้ 2. ประชาชน (People) คอื พลเมืองของประเทศ มีความหมายตรงกับคาว่า “พลเมือง” ซึ่ง เป็นศัพทท์ ใ่ี ช้แทนกันได้ 3. คนต่างด้าว (Foreigner) หมายถึง บุคคลท่ีเป็นประชากรของประเทศแต่มิได้เป็น พลเมืองหรือประชาชนของประเทศ พิจารณาได้ 2 ลกั ษณะ ดังนี้ 13 คาว่ารัฐบาล มาจากภาษาอังกฤษว่า “Government” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า “kybernates” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ถือหางเสือ” อ้างถึงใน จิรโชค (บรรพต)วีระสัย.”รัฐศาสตร์ท่ัวไป” กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์รามคาแหง.2540,หน้า 4 (จงึ ทาใหเ้ กิดการเปรียบเทยี บวา่ รัฐบาลเปน็ เสมือนนายทา้ ยที่ควบคุมบงั คบั เรือ- ผ้เู รียบเรยี ง) 14 ราชบณั ฑิตยสถาน,พจนานกุ รมฉบบั บณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2542.หนา้ 656. 15 อบั ราฮัม ลินคอน ดารงตาแหน่งตั้งแต่ 4 มีนาคม ค.ศ.1861 (พ.ศ.2404) -15 เมษายน ค.ศ.1865 (พ.ศ.2408)
-6- 3.1 ลักษณะที่เป็นผทู้ อี่ ยู่ในบังคบั ของประเทศอื่น มสี ญั ชาตอิ ่นื อยู่ในรัฐอาณาเขตของอีก ประเทศเปน็ การช่ัวคราว หรือ 3.2 ลักษณะท่ีหมายถึงผู้ที่อยู่อาศัยในอาณาเขตและไม่ถือสัญชาติอ่ืน อีกท้ังไม่ถือ สญั ชาตขิ องประเทศนั้นดว้ ยยอมเปน็ คนไร้สัญชาติ มีลักษณะดงั นี้ การปกครอง บคุ คล ประชากร คนตา่ งด้าว พลเมือง ชาวตา่ งประเทศ คนไร้สญั ชาติ ประชาชน ท่ีมา : สจุ ินต์ ทงั สุบุตร.อ้างแล้ว.หนา้ 268. ประวตั กิ ารเมืองการปกครองของไทย ประเทศไทยมีการบนั ทกึ ประวตั ิศาสตร์เป็นลายลักษณอ์ กั ษรตั้งแต่งสมัยสุโขทัยประวัติศาสตร์การเมือง การปกครองของไทยก็เร่ิมตั้งแต่สมัยสุโขทัยเช่นกัน การเมืองการปกครองสมัยสุโขทัย(1781-1921) อาณาจักร สุโขทัยมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 3 ยุด คือ ยุดแรก ปกครองแบบพ่อปกครองลูก คานาหน้าพระนาม พระมหากษัตริย์จะมีคาว่า “พ่อขุน” นาหน้า ลักษณะเด่น -มีพลเมืองน้อยปกครองง่าย มีความใกล้ชิดกัน ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์ ยุคกลาง ปกครองแบบจักรพรรดิ คานาหน้าพระนามของ พระมหากษัตริย์จะมีคาว่า “พญา” นาหน้า ลักษณะเด่น มีประชากรเพิ่มมากข้ึน ผู้ปกครองมีอานาจเด็ดขาด มากข้ึน ยุคปลาย ปกครองแบบธรรมราชา คานาหน้าพระนามของพระมหากษัตริย์จะมีคาว่า “พระมหาธรรม ราชาท่ี”นาหน้า ลักษณะเด่น -นาเอาหลักธรรมของศาสนาพุทธในเร่ืองการเป็นผู้นาผู้ปกครองมา ใช้ควบคุม พฤตกรรมพระมหากษตั ริย์ คือ “ทศพธิ ราชธรรม” (www.school.net.th/: 17 ก.ย.51) ประเทศไทยเปน็ ชาตทิ ี่เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมา ที่ยาวนานชาติหน่ึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาประวัติการเมืองการปกครองของไทย จึงเร่ิมต้ังแต่ที่ไทยได้ต้ังอาณาจักรท่ีมั่นคงข้ึนในปี พ.ศ.1781 โดยอาณาจักรแรกของไทย คือ อาณาจักรสุโขทัย ซ่ึงสถาปนาข้ึนโดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์ พระร่วง การเมืองการปกครองของไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง การปกครองเม่ือวันท่ี 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 เป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเป็นการ ปกครองทีอ่ านาจสูงสดุ เป็นของพระมหากษตั รยิ แ์ ตเ่ พียงพระองคเ์ ดียว ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ การเมอื งการปกครองของไทย แบ่งออกได้ 4 สมัย ดังน้ี (อ้างอิงจาก www.parliamentjunior.in.th : 17 ก.ย. 51)
-7- 1. สมัยสโุ ขทัย ( พ.ศ. 1792 - พ.ศ. 1981 ) ในสมัยสุโขทยั การปกครองเปน็ แบบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์ เนือ่ งจากอานาจสงู สุดในการปกครอง รวมอยู่ทพี่ ่อขนุ พระองค์เดยี ว โดยพอ่ ขนุ ไม่จาเปน็ ต้องรับผดิ ชอบต่อประชาชน ในสมยั สุโขทัยได้มีการจาลอง ลกั ษณะครอบครัวมาใช้ในการปกครอง ทาใหล้ ักษณะการใช้อานาจของพ่อขนุ เกอื บทุกพระองค์ เป็นการใช้ อานาจแบบให้ความเมตตาและใหเ้ สรีภาพแก่ราษฎรตามสมควร ลักษณะทางการเมืองการปกครอง ในสมยั สุโขทัย พ่อขนุ แหง่ กรุงสโุ ขทยั ทรงเป็นประมขุ และทรงปกครองประชาชนในลักษณะ “บิดา ปกครองบตุ ร” คอื ถอื วา่ พระองคเ์ ป็นพ่อทใี่ ห้สทิ ธแิ ละเสรภี าพและมีความใกล้ชดิ กับประชาชน มหี น้าที่ให้ ความคุม้ ครองป้องกันภัยและส่งเสรมิ ความสุขให้ประชาชน ประชาชนในฐานะทเ่ี ป็นบุตรมหี น้าทใ่ี ห้ความเคารพ และเช่อื ฟงั พ่อขุน พ่อขนุ กับประชาชนในรปู แบบของการปกครองแบบบิดาปกครองบุตร ก่อให้เกิดความสัมพนั ธอ์ นั ดี ระหว่างกัน กล่าวคือ ประชาชนมสี ิทธถิ วายฎีกา หรอื รอ้ งทุกขโ์ ดยตรงต่อพอ่ ขุน เช่น ในสมัยพ่อขุนรามคาแหง มหาราช ไดม้ กี ระด่งิ แขวนไว้ท่ีประตวู งั ถ้าประชาชนตอ้ งการถวายฎีกาก็จะไปสัน่ กระดิ่ง พระองค์ก็จะเสด็จ ออกมาทรงชาระความให้ ในการจดั การปกครองอาณาจักรสโุ ขทัยซึ่งมีกรงุ สโุ ขทัยเป็นราชธานี หรือเปน็ เมืองหลวงอานาจในการ วนิ ิจฉยั ส่ังการจะอยทู่ ี่เมืองหลวง ซงึ่ เปน็ ที่ประทับของพระมหากษัตรยิ ์ พระมหากษัตรยิ ์แห่งกรุงสุโขทัยทรงดาเนนิ การปกครองประเทศดว้ ยพระองคเ์ อง โดยมีพระบรมวงศานุ วงศแ์ ละข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผ้ชู ว่ ยเหลือ ในการปกครองต่างพระเนตรพระกรรณ และรบั ผิดชอบโดยตรงต่อ พระองค์ อาณาจักรสุโขทยั ได้ขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกวา้ งขวาง โดยเฉพาะในสมยั ของพอ่ ขุนรามคาแหง มหาราช ทพี่ ระองค์ได้ทรงรวบรวมหัวเมืองน้อยใหญเ่ ขา้ มาไวใ้ นปกครองมากมาย จงึ ยากท่จี ะปกครองหวั เมอื ง ตา่ ง ๆ เหล่านั้นดว้ ยพระองคเ์ องได้อยา่ งท่ัวถึง การปกครองเมืองต่าง ๆ ในสมัยสโุ ขทยั อาจแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1. การปกครองส่วนกลาง ส่วนกลาง ไดแ้ ก่ เมอื งหลวงและเมืองลกู หลวง เมอื งหลวง คือ สุโขทยั อย่ใู นความปกครองของพระมหากษัตรยิ โ์ ดยตรง เมอื งลกู หลวง เปน็ เมืองหนา้ ด่านที่อยู่รายล้อมเมืองหลวงท้งั 4 ทิศ เมืองเหลา่ น้ีพระมหากษตั ริยจ์ ะทรงแต่งตั้ง ให้พระราชโอรสไปปกครอง ซ่ึงได้แก่ (1) ทศิ เหนอื เมืองศรสี ชั นาลยั (สวรรคโลก) (2) ทิศตะวันออก เมอื งสองแคว (พษิ ณุโลก) (3) ทศิ ใต้ เมืองสระหลวง (พจิ ิตร) (4) ทศิ ตะวันตก เมอื งกาแพงเพชร (ชากังราว) ในสมยั สโุ ขทยั เรยี กเมืองหลวงและเมืองลกู หลวงรวมกนั ว่า ราชธานี 2. การปกครองหัวเมอื ง หวั เมอื ง หมายถงึ เมืองที่อย่รู อบนอกอาณาเขตของเมืองหลวง ซ่งึ มอี ยู่ 2 ลักษณะ คอื 2.1 หวั เมืองชัน้ นอก หวั เมืองชัน้ นอกเป็นเมืองท่ีอยหู่ า่ งไกลกรุงสุโขทัย หรอื อยรู่ อบนอกอาณาเขตของเมอื งหลวง 2.2 หวั เมืองประเทศราช หวั เมอื งประเทศราชเปน็ เมอื งภายนอกพระราชอาณาจกั ร เมืองเหล่านีม้ ีกษัตริยข์ องตนเองปกครอง
-8- แตย่ อมรบั ในอานาจของกรงุ สุโขทัย พระมหากษัตริยแ์ ห่งกรงุ สุโขทัยเปน็ เพยี งเจ้าคุ้มครอง โดยหวั เมืองเหล่านี้ จะตอ้ งสง่ เครือ่ งราชบรรณาการมาถวาย และสง่ ทหารมาช่วยรบเมือ่ ทางกรงุ สโุ ขทัยมีคาส่งั ไปร้องขอ ในสมัยพ่อขุนรามคาแหง กรงุ สุโขทยั มหี ัวเมืองประเทศราชจานวนมาก เชน่ เมืองเซ่า นา่ น เวียงจนั ทน์ นครศรธี รรมราช ยะโฮร์ หงสาวดี เปน็ ตน้ ในสมยั พ่อขุนรามคาแหง เม่ือ พ.ศ.1826 ไดท้ รงประดษิ ฐ์อักษรไทยขึ้น โดยใชอ้ กั ษรมอญและอักษร ขอม รวมทั้งอักษรไทยเก่าแก่บางอย่างเป็นตัวอย่าง ทาให้ชาติไทยมีอักษรไทยใชเ้ ปน็ วัฒนธรรมของเราเอง ในสมยั สโุ ขทยั นอกจากจะมีความสมั พันธ์อันดีกับเมืองอสิ ระทางเหนือแลว้ ยังมกี ารค้าขายติดต่อกับ ตา่ งประเทศดว้ ย เชน่ จนี มอญ มลายู ลงั กา และอนิ เดยี สมยั สุโขทัยจงึ เปน็ สมยั ท่เี ริ่มมชี าวตา่ งประเทศเข้ามา ประกอบการต่าง ๆ เช่น ชาวจนี เขา้ มาทาเคร่ืองสังคโลก และเปน็ สมัยท่ีมีการสนับสนุนการค้าโดยไมเ่ ก็บภาษี ศุลกากร หรอื “จกอบ” เพอ่ื เป็นแรงจงู ใจสาหรับการคา้ ขายระหวา่ งประเทศมากขึน้ นอกจากน้ี พ่อขนุ รามคาแหงยังทรงศรัทธาในหลักปฏิบัติทเ่ี ครง่ ครัดของพระภิกษุ ในพระพทุ ธศาสนา นกิ ายหินยานทม่ี ีความเจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ในประเทศลงั กา โดยไดท้ รงนมิ นตพ์ ระภกิ ษสุ งฆล์ ัทธิลังกาวงศม์ าประจา ท่ีกรุงสุโขทยั เพอ่ื เผยแพรพ่ ระพุทธศาสนาลัทธใิ หม่ และในเวลาไมน่ านนัก พระพทุ ธศาสนาลทั ธลิ งั กาวงศ์ก็มี ความเจริญในสุโขทัย ประชาชนพากนั ยอมรบั นับถือและกลายมาเปน็ ศาสนาประจาชาติไทยในท่สี ุด การนาพระพุทธศาสนาเข้ามา และพ่อขุนรามคาแหงได้ทรงทาตัวอย่าง ให้ประชาชนเห็นถึงความ เคารพของพระองค์ท่ีมีต่อพระภิกษุและหลักธรรม ทาให้ศาสนากลายเป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวจิตใจ ก่อให้เกิด ศลี ธรรมจรรยาและระเบียบวนิ ัยแก่ประชาชน ทาให้มีความสามัคคีปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดความ สงบเรียบร้อยในบา้ นเมือง เพราะท้งั พ่อขนุ และประชาชนมหี ลักยึดและปฏิบตั ใิ นทางธรรม พระมหาธรรมราชาลิไทย พ่อขุนของสุโขทยั ในสมัยตอ่ มา ไดท้ รงนพิ นธ์หนงั สือไทยเร่ืองเกี่ยวกับศาสนา ชื่อ “ไตรภูมิพระร่วง” และในหนังสือเร่ืองน้ีเอง ได้กล่าวถึง “ทศพิธราชธรรม” อันเป็นหลักธรรมของ พระมหากษตั ริย์ไทยตั้งแตน่ น้ั เปน็ ต้นมา อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ต่อมาก็ค่อย ๆ เสื่อม อานาจ โดยบรรดาหัวเมืองประเทศราชต่าง ๆ เริ่มแยกตัวเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อสุโขทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัว เมืองเผ่าไทยทางใต้ คอื กรงุ ศรีอยุธยา ได้แผ่อานาจเข้ามามีอิทธิพลเหนือกรุงสุโขทัย ในที่สุด อาณาจักรไทยยุค สโุ ขทยั กต็ อ้ งอยู่ภายใต้อทิ ธพิ ลของกรงุ ศรีอยุธยา 2. การสถาปนาอาณาจกั รกรุงศรอี ยธุ ยา กรุงศรีอยุธยาก่อกาเนิดข้ึนเป็น ราชธานีเม่ือวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ.1893 ตรงกับศุกร์ขึ้น 6 ค่า เดือน 5 ปีขาลปี พ.ศ.1893 แต่มีข้อถกเถียงกันมากว่า การถือกาเนิดของกรุง ศรีอยุธยาน้ัน มิได้เกิดขึ้นอย่าง ปัจจุบันทันด่วนเสียทีเดียว มีหลักฐานว่าก่อนท่ีพระเจ้าอู่ทองจะสร้างเมืองข้ึนที่ตาบลหนองโสน บริเวณนี้เคยมี ผู้คนอาศัยมาก่อนแล้ว วัดสาคัญอย่างวัดมเหยงค์ วัดอโยธยา และวัดใหญ่ชัยมงคล ล้วนเป็นวัดเก่าที่มีมาก่อน สรา้ งกรุงศรอี ยุธยาท้งั สนิ้ โดยเฉพาะทวี่ ดั พนัญเชงิ วัดท่ีประดิษฐาน หลวงพ่อโต พระ พุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ แบบอทู่ อง พงศาวดารเก่าระบวุ ่า สรา้ งข้นึ กอ่ น การสร้างพระนครศรีอยุธยาถึง 26 ปี วัดเหล่านี้ ต้ังอยู่ตามแนว ฝั่งตะวันออกของแม่น้าป่าสัก นอก เกาะเมืองอยุธยาท่ีมีการขุดพบคูเมืองเก่าด้วย ทาให้เชื่อกันว่าบริเวณน้ีน่า จะเปน็ เมืองเกา่ ท่มี ชี อื่ อย่ใู นศลิ าจารึกกรงุ สโุ ขทัยว่า อโยธยาศรรี ามเทพ นครอโยธยาศรีรามเทพนคร ปรากฏช่ือ เป็นเมืองแฝดละโว้อโยธยา มาตั้งแต่ช่วงราวปี พ.ศ.1700 เป็นต้นมา คร้ันก่อนปี พ.ศ.1900 พระเจ้าอู่ทองซึ่ง ครองเมืองอโยธยาอยู่ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของกษัตริย์ทางฝ่ายสุพรรณภูมิซึ่งครองความเป็นใหญ่ อยอู่ ีกฟากหนงึ่ ของแม่น้าเจา้ พระยา หลังจากที่พ่อตาของสมเด็จพระเจ้าอยู่ทองเสียชีวิต สมเด็จพระเจ้าอู่ทองก็ ได้เปน็ ผู้ครองอาณาจักรสุพรรณภูมิแทน ท้ังท่ีขุนหลวงพระงั่ว ซ่ึงเป็นน้องชายของพ่อตาก็ยังอยู่ ทาให้อโยธยา
-9- และสุพรรณภูมิจึงรวมตัวกันข้ึน โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ครั้นเมื่อเกิดโรคระบาด พระเจ้าอู่ทอง จึงอพยพผู้คนจากเมืองอโยธยาเดิมข้ามแม่น้าป่าสักมาต้ังเมืองใหม่ท่ีตาบลหนองโสน หรือที่รู้จัก กันว่า บึง พระราม ในปัจจุบัน กรุงศรีอยุธยาจึงก่อเกิดเป็นราชธานีขึ้นใน ปี พ.ศ.1893 พระเจ้าอู่ทอง (เดิมช่ือ “ราม” เป็นชื่อที่พ่อขุนรามคาแหงพระราชทานให้เมื่อคร้ังไปร่วมรบกับเมืองนครศรีธรรมราช) เสด็จฯเสวยราชย์เป็น สมเด็จพระรามาธิบดี ที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยของพระองค์นับได้ว่าเป็นยุคของการก่อร่าง สร้างเมือง และวางรูปแบบการปกครองขึ้นมาใหม่ ทรงแบ่งการบริหารราชการออก เป็น 4 กรม ประกอบด้วย เวยี ง วัง คลัง และ นา หรือทเ่ี รยี กกันว่า จตุสดมภ์ ระบบที่ทรงวางไว้แต่แรกเร่ิมนี้ปรากฏว่าได้สืบทอดใช้กันมา ตลอด 400 กวา่ ปขี องกรงุ ศรอี ยธุ ยา ปจั จัยที่มตี ่อการสถาปนากรุงศรีอยุธยา วเิ คราะห์ได้ดังนี้ 1. บรรดาอาณาจักรที่มีอยู่ในขณะน้ีมีอานาจทางการเมืองและเศรษฐกิจไม่เท่าเทียมกัน ปัจจัย ทางภมู ิรัฐศาสตร์ อยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีความได้เปรียบทางสภาพภูมิศาสตร์ คือต้ังอยู่ท่ีบริเวณแม่น้า 3 สาย มาบรรจบกนั มีแม่นา้ เจ้าพระยา แม่น้าป่าสัก และแม่น้าลพบุรี ทาให้อยุธยามีสภาพเป็นเกาะมีแม่น้าล้อมรอบ ถนนรอบเกาะยาวประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นท่ีราบลุ่มเหมาะแก่การทาการเพาะปลูกข้าว และยังอยู่ใกล้ทะเล พอสมควร ทาให้สามารถทาการค้าต่างประเทศไดโ้ ดยสะดวก 2. กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ในทาเลท่ีใกล้เมืองท่าชายฝ่ังทะเล ทาให้สามารถทาการค้าได้สะดวกเป็น ชอ่ งทางหารายไดใ้ หแ้ ก่รัฐมาก ภายหลังได้มีการซื้ออาวุธปืนจากพ่อค้าชาวตะวันตกซึ่งเป็นการค้าอย่างหนึ่ง ซ่ึง เปน็ แหล่งที่มาของอานาจทางการเมอื งอยา่ งหน่ึง(ลิขิต ธีรเวคิน:2540:27) 3. ปจั จัยทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ พื้นที่ที่ตั้งอยู่ของกรุงศรีอยุธยามีแม่น้าไหลผ่านสามสาย ได้แก่ แม่น้าเจ้าพระยา แม่น้าป่าสัก และแม่น้าลพบุรี ซ่ึงเป็นแหล่งของทรัพยากรน้าท่ีสามารถทาการาเพาะปลูกได้ดี กอปรกบั การพัฒนาเทคนคิ การปลูกขา้ วทมี่ ีศกั ยภาพเหนือกว่านครรัฐหรืออาณาจักรอ่ืนๆ ทาให้กรุงศรีอยุธยามี ความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกจิ เหนอื กว่า 4. ปัจจัยด้านยุทธศาสตร์ ลักษณะที่ต้ังของกรุงศรีอยุธยาเป็นเกาะมีแม่น้าล้อมรอบทาให้สะดวก ในการป้องกันตัวเมืองและเป็นท่ีมั่นต้ังรับข้าศึก และเม่ือถึงฤดูฝนจะมีน้าหลากทาให้บริเวณรอบๆ มีน้าท่วมขัง เปน็ อปุ สรรคสาคัญในการทีข่ ้าศกึ จะตง้ั ทัพได้ 5. ปัจจัยทางวัฒนธรรม ดินแดนลุ่มแม่น้าเจ้าพระยาตอนล่างเป็นแหล่งท่ีมีความเจริญด้านพุทธ ศาสนาและศิลปวัฒนธรรมสมัยทวารวดีและขอมมาก่อนแล้ว ปรากฏหลักฐานเช่นซากของวัดวาอารามหลาย แห่งกอ่ นท่ีพระเจ้าอทู่ องมาสรา้ งเมอื ง เชน่ วดั พนัญเชิงทีม่ ีการสร้างก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี 26 ปี (ดนัย ไชยโยธา:2548) 6. ในขณะน้ันเกิดช่องว่างทางการเมือง โดยอานาจอิทธิพลของขอมและอาณาจักรสุโขทัย ออ่ นแอและเสอ่ื มลง เป็นโอกาสของนครรัฐอย่างกรุงศรีอยุธยาเติบโตและเข้มแข็ง อีกท้ังได้รับความร่วมมือและ การสนบั สนนุ ของรฐั ขา้ งเคียงท่ีมีความสัมพันธท์ างเครือญาติ เช่น เมืองละโว้ เมอื งสุพรรณภูมิ เป็นตน้ 7. ผู้ปกครองของกรุงศรีอยุธยาได้มีการวางโครงสร้างของรัฐที่มีความก้าวหน้าและสลับซับซ้อน ซ่ึงทาให้สามารถควบคุมและระดมไพร่พลเพื่อการสงครามได้ดี และการบังคับใช้กฎหมาย อีกท้ังการพัฒนา ระบบราชการเป็นการเพ่มิ พนู อานาจใหก้ ับกรุงศรีอยุธยาขยายอาณาเขตออกไป 8. สถาบันกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาได้ถูกสร้างให้มีความศักดิ์สิทธิสูงเป็นที่เกรงขาม ด้วยการ เลือกคตคิ วามเชื่อแบบเทวาราช หรอื เทวาสิทธิ์ ตามหลักของพราหมณ์จากขอม ผสมกบั แนวคิดของพุทธศาสนา นิกายเถรวาทลังกาวงศ์ทาให้หลักการเทวราชาเปล่ียนแปลงไปบ้าง แต่ก็ทาให้การปกครองดาเนินไปอย่างมี เอกภาพ เกิดความม่ันคงในอานาจท่ีจะปกป้องตนเองและแผ่ขยายออกไป ทาให้เกิดศูนย์รวมอานาจท่ีเข้มแข็ง
- 10 - ซ่ึงได้สืบทอดมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อสถาบันกษัตริย์รับหลักของเทวราชามาใช้ ความสัมพันธ์ระหว่าง พระมหากษัตริย์กับประชาชนที่ใกล้ชิดกันเหมือนระบบพ่อปกครองลูกของสมัยสุโขทัยก็หมดสิ้นไป ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพระมหากษัตรยิ ์กลายเป็นเทพเจา้ กบั มนุษย์ (ดนยั ไชยโยธา.2548:59) แผนทสี่ งั เขปแสดงอาณาจักรอยธุ ยาและอาณาอื่นท่ีใกลเ้ คยี งสมยั พระเจ้าอทู่ อง ทีม่ า : ดนยั ไชยโยธา.การเมืองการาปกครองของไทย.2547.หนา้ 58 การเมืองการปกครองสมยั อยุธยาตอนต้น ในการการศกึ ษาประวตั ิศาสตรเ์ รือ่ งอาณาจักรกรงุ ศรอี ยธุ ยาเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะ อาณาจักรกรุงศรีอยุธยามีความเป็นมายาวนานกว่าพสร่ีระ้อเจยา้ปอี ูท่(พอ.งศ.1893-2310) ซึ่งมีระบบการเมือง สังคม และ เศรษฐกิจ และความเช่ือท่ีน่าสนใจ มีผู้กล่าวว่าถ้าไม่เข้าใจอาณาจักรศรีอยุธยาดีพอสมควรแล้ว ก็ไม่จะเข้าใจ กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้ ดังน้ัน ในโอกาสนี้จะกล่าวถึงอาณาอยุธยาในเรื่องของการเมืองการปกครองเพ่ือ ศกึ ษาถึงความเป็นมาและมีลักษณะอย่างไรเปน็ สาคญั การปกครองในสมัยอยุธยาไม่ใช้รูปแบบพ่อปกครองลูก ได้เปล่ียนเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากขอม ซึ่งขอมได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียถือว่ากษัตริย์มีพระราชอานาจเด็ดขาดเต็มท่ี เม่ือมีพระบรมราชโองการใด ๆ ใครจะวิจารณ์หรือโต้แย้งไม่ได้ เพราะฐานะของกษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เปรียบเสมือนสมมติเทพ ไม่ใช่ฐานะของพ่อกับลูกเฉกเช่นสมัยสุโขทัย (การต้ังช่ือที่พระมหากษัตริย์มอบให้กับ
- 11 - เจ้าเมืองประเทศราช ควรแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบท่ี 1 แสดงลักษณะทางศาสนา เช่น ศรีธรรมราชา” หรือ “พระเจ้าทรงธรรม”ไม่ได้หมายความผู้ตั้งตาแหน่งสูงกว่าแต่เป็นการยกย่องทางศาสนา และแบบท่ี 2 แสดงถึง อานาจทางการเมืองผู้ให้มีฐานะสูงกว่าผู้รับการแต่งตั้ง ถือเป็นประเพณีจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น พระ เจ้าเชียงใหม่จากกรงุ เทพฯ(อุดม เชยกีวงศ์.2517:37) การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชถือว่ากษัตริย์เป็นเจ้าของทุกส่ิงทุกอย่างในพระ ราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินหรือแม้กระทั่งชีวิต (เจ้ามหาชีวิต) แม้กษัตริย์จะมีอานาจมากมายแต่ก็ใช้ ภายใต้อิทธพิ ลของพทุ ธศาสนา ซึง่ เร่ิมข้ึนในสมัยสโุ ขทัยอันเป็นหลักธรรมของพระมหากษตั ริย์ ได้แก่ ก. ทศพิธราชธรรม (ธรรม 10 ประการ) 1. ทาน การให้ 2. สีล ความประพฤตดิ ีสงั วรรักษากาย วาจา ใหป้ ราศจากโทษครหา 3. บริจฺจาค การบรจิ าค เสยี สละเพ่ือส่วนรวม 4. อาชฺชว ความเท่ยี งตรง (ความยตุ ิธรรม) ดารงอยใู่ นความสุจริต 5. มทมฺ ว ความละมนุ ละไม สภุ าพอ่อนโยน ไมด่ ื้อดงึ ถือพระองค์ 6. ตปํ การขจดั เผาผลาญความชว่ั ขจดั ความเกียจคร้าน 7. อกโฺ กธ ความไมโ่ กรธ โดยวสิ ัยท่คี วรโกรธ 8. อสิงหา ความไม่เบยี ดเบยี นให้ราษฎรตอ้ งทุกข์ยาก 9. ขนตฺ ิ ความอดทน สามารรถควบคมุ จิตให้ตงอยตู่ ามปกติ 10. อวิโรธน ความไมป่ ระพฤตผิ ิดธรรม ไมผ่ ดิ จากทถี่ ูกทีค่ วร ข. ธรรมะ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1. พิจารณาความชอบหรือความผิดแห่งผู้กระทาให้เป็นประโยชน์และมิได้เป็นประโยชน์แก่ พระองค์ 2. รักษาพระนครและชอบขัณฑสีมาใหส้ ขุ เกษมโดยยตุ ธิ รรม 3. ทะนบุ ารงุ บุคคลผู้มีศีลสัตย์ 4. เพม่ิ พนู พระราชทรัพยโ์ ดยยตุ ิธรรม ค. จกั รวรรดวิ ตั ร 12 ประการ ได้แก่ 1) พระราชทานโอวาทและอนเุ คราะห์ข้าราชการและราษฎร 2) ผูกไมตรีกับประเทศอ่ืน,3)สงเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์ตามสมควร 4)เกื้อกูลพราหมณ์ คฤหัสถ์ คฤบดีชน,5) อนุเคราะห์ราษฎรในชนบท,6) ควรอุปการะสมณพราหมณ์ผู้มีศีล,7)ควรจัดรักษาฝูงเน้ือและนกให้สูญพันธ์ุ,8) ควรหา้ มชนทัง้ หลายไม่ให้ทากิจกรรมที่ไมป่ ระกอบดว้ ยธรรม,9)พระราชทานทรัพย์เจือจานแก่คนขัดสน,10)ควร เสด็จเข้าไปใกล้สมณพราหมณ์ ตรัสถามบุญบาป กุศล อกุศล,11)เว้นกาหนดในกามโดยอาการไม่ชอบธรรม ห้ามใจไม่ให้เกดิ อธรรม12)เว้นความเจตนา ห้ามจติ ไมใ่ ห้ปรารถนาลาภทไี่ ม่ควรจะได้ ระบบการเมืองสมยั อยธุ ยาตอนต้น กรงุ ศรอี ยธุ ยาได้รบั อทิ ธพิ ลจากสุโขทยั และขอม โดยนามาประยุกต์และปรับปรุงใช้มีรูปแบบ โดยการ ปกครองแนวเดียว ตั้งแต่สมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ถึงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 2 (เจ้าสามพระยา) มรี ปู แบบการเมืองปกครอง 3 ฝา่ ย คือ ฝา่ ยบริหาร ฝา่ ยนิติบัญญัติ และฝา่ ยตุลาการ ดงั น้ี ก. ฝ่ายบริหาร พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระราชอานาจในการการบริหารราชแผ่นดินเป็นพระเจ้า แผ่นดินอย่างบสมบูรณ์แบบ ดังข้อความในพระอัยการลักษณะเบ็ดเสร็จประกาศใช้เม่ือ 1902 กาหนดให้ กาหนดให้แผ่นท่ัวแว่นแคว้นเป็นที่ท่ีพระมหากษัตริย์ให้ราษฎรอยู่อาศัย ห้ามซื้อขายแก่กัน ส่วนรูปแบบการ ปกครองและการบรหิ ารมดี ังนี้
- 12 - 1. การปกครองส่วนกลาง คือ การปกครองในราชธานี ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากขอม ในรูปแบบ ที่เรยี กว่า “จตสุ ดมภ์16” และหวั เมืองชนั้ ใน ดังน้ี 1.1 จตสุ ดมภ์ ประกอบดว้ ย 1.1.1 เมือง หรือ เวียง มีขุนเมือง (ขุนเวียง) เป็นผู้รับผิดชอบมีหน้าท่ีปกครองดูแล ท้องทีแ่ ละราษฎร รกั ษาความสงบเรียบรอ้ ย ปราบปรามโจรผรู้ ้าย และลงโทษผกู้ ระทาผิด 1.1.2 วัง มีขุน เป็นผู้รับผิดชอบมีหน้าที่เกี่ยวกับงานในราชสานักและพระราชพิธี ต่างๆ รวมทัง้ พิจารณาพพิ ากษาคดีต่างๆ ของราษฎรด้วย 1.1.3 คลัง มขี นุ คลงั เป็นผู้รับผิดชอบมีหน้าท่ีเก็บและรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน อนั ได้รบั จากภาษีอาการ นอกจากน้นั ยงั ทาหน้าท่ีเก่ียวกับการตา่ งประเทศอีกดว้ ย 1.1.4 นา มีขุนนา เป็นผู้รับผิดชอบมีหน้าที่ดูแลการทาไร่ทานา รักษาเสบียงอาหาร สาหรับพระนคร ออกสิทธิที่นาและเก็บหางข้าวข้ึนฉางหลวง คือ ใครทานาได้ก็ต้องแบ่งเอาข้าวมาส่งข้ึนฉาง หลวงไว้ใช้ ทมี่ า : ดนัย ไชยโยธา .เร่อื งเดมิ .หนา้ 130 1.2 หวั เมืองช้ันใน เรียกว่าเมืองลูกหลวง เป็นป้อมปราการช้ันในสาหรับป้องกันราชธานี อย่หู า่ งจากเมืองหลวงประมาณ 50 กิโลเมตร ใชเ้ วลาเดนิ ทาง 2 วนั 1.2.1 ทิศเหนอื ได้แก่ เมืองละโว้ (ลพบุร)ี 1.2.2 ทศิ ใต้ ได้แก่ เมืองพระประแดง (นครเขื่อนขนั ธ์) 1.2.3 ทศิ ตะวนั ออก ไดแ้ ก่ เมืองนครนายก 1.2.4 ทิศตะวนั ตก ไดแ้ ก่ เมอื งสุพรรณภูมิ (สพุ รรณบุรี) 2. การปกครองสว่ นภูมิภาค คือ การปกครองพระราชอาณาเขต ซ่ึงได้รับแบบแผนมาจากครั้ง กรงุ สโุ ขทัย แบ่งหวั เมอื งออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 2.1 หัวเมืองช้ันใน เป็นเมืองท่ีอยู่ห่างจากเมืองหน้าด่านออกไป พระมหากษัตริย์ทรง แต่งตงั้ เจ้านายหรือขนุ นางไปปกครองขึ้นตรงต่อเมืองหลวง มีหวั เมอื งสาคัญดงั นี้ 2.1.1 ทศิ เหนือ ได้แก่ เมอื งพรหม เมืองอนิ ทรบ์ รุ ี เมอื งสิงห์บรุ ี 2.1.2 ทิศตะวนั ออก ได้แก่ เมืองปราจนี บุรี เมอื งชลบรุ ีเมืองพระรถ (พนัสนิคม) 2.1.3 ทิศใต้ ได้แก่ เมืองเพชรบุรี 2.1.4 ทิศตะวนั ตก ได้แก่ เมอื งราชบรุ ี 16 การปรกครองของกรุงศรีอยุธยาเป็นเอาแบบอยา่ งของขอมอยา่ งแทจ้ ริง แตเ่ อาคาวา่ “ขุน” สมยั สุโขทยั มาใชก้ บั หวั หนา้ กรม จตุสดมภ์
- 13 - ทม่ี า : ดนยั ไชยโยธา.เรื่องเดิม.หนา้ 132. 2.2 เมืองพระยามหานคร หรือ หัวเมืองช้ันนอก คือ เมืองใหญ่ที่อยู่ห่างจากหัวเมือง ชั้นในออกไป ไดแ้ ก่ 2.2.1 ทศิ เหนอื ไดแ้ ก่ เมอื งคลองแคว (พิษณโุ ลก) 2.2.2 ทศิ ตะวันออก ไดแ้ ก่ เมอื งโคราดบุรี (นครราชสีมา) เมืองจันทบรุ ี 2.2.3 ทิศใต้ ได้แก่ เมืองไชยา (สุราษฎร์ธานี),เมืองนครศรีธรรมราช เมือง พทั ลุง เมอื งสงขลา และเมอื งถลาง 2.2.4 ทศิ ตะวนั ตก ไดแ้ ก่ เมืองตะนาวศรี เมืองทะทวาย เมอื งเชียงกราน 2.3 เมืองประเทศราช หรอื เมอื งขน้ึ คือ เมืองที่เป็นร่วมเป็นพันธมิตรซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ได้แก่ กมั พชู า มะละกา และยะโฮร์ ท่มี า : ดนยั ไชยโยธา.เร่ืองเดมิ .หนา้ 131
- 14 - ข. ฝา่ ยนติ บิ ัญญตั ิ พระมหากษตั ริย์ ทรงมีพระราชอานาจในการบัญญัติกฎหมายออกมาใช้บังคับให้ ราษฎรได้ยึดถือปฏิบัติ เป็นกฎหมายท่ีพยายามให้ความเป็นธรรมแก่สังคม มีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับ เหตุการณ์อยตู่ ลอดเวลา ดงั นี้ 1. สมยั สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 (อทู่ อง) มกี ารตรากฎหมาย 10 ฉบับ ได้แก่ 1.1 กฎหมายลักษณะพยาน ตราเมอ่ื พ.ศ.1894 1.2 กฎหมายลักษณะอาญาหลวง ตราเมอื่ พ.ศ.1895 1.3 กฎหมายลกั ษณะรับฟอ้ ง ตราเม่ือ พ.ศ.1899 1.4 กฎหมายลักษณะลกั พา ตราเม่อื พ.ศ.1899 1.5 กฎมายอาญาราษฎร์ ตราเมื่อ พ.ศ.1901 1.6 กฎหมายลกั ษณะโจร ตราเม่ือ พ.ศ.1903 1.7 กฎหมายลักษณะเบ็ดเสรจ็ ว่าดว้ ยท่ดี ิน ตราเม่อื พ.ศ.1903 1.8 กฎหมายลกั ษณะโจร (เพิ่มเตมิ )(วา่ ด้วยสมโจร) ตราเมื่อ พ.ศ.1910 1.9 กฎหมายลักษณะผัวเมีย ตราเมื่อ พ.ศ.1904 1.10 กฎหมายลักษณะผวั เมีย (เพิ่มเตมิ ) ตราเมื่อ พ.ศ.1905 2. สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 มีเพียงฉบับเดียว คือ กฎหมายลักษณะอาญาหลวง เพิ่มเตมิ ตราเมอ่ื พ.ศ.1976 ค. ฝ่ายตุลาการ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อานาจตุลาการโดยผ่านคณะตุลาการ โดยโปรดเกล้า ฯ ต้ัง ศาล 4 ประเภท ได้แก่ 1. ศาลกรมเวยี ง พิจารณาพพิ ากษาคดีทร่ี ้ายแรงเปน็ อาญาแผน่ ดนิ 2. ศาลกรมวัง พจิ ารณาและพิพากษาคดีที่ราษฎรฟ้องรอ้ งกนั เอง 3. ศาลกรมนา พจิ ารณาและพิพากษาคดีเก่ียวกับท่นี า โค กระบือ 4. ศาลกรมคลงั พจิ ารณาและพิพากษาคดีเก่ียวกับสมบัติของแผน่ ดนิ การพิจารณาคดีและพิพากษาคดี ใช้บุคคล 2 จาพวก ทาหน้าที่ พวกแรกเรียกว่า “ลูกขุน ณ ศาลา” เป็นข้าราชการมีหน้าท่ีรับฟ้อง บังคับคดีและลงโทษ พวกท่ี 2 เรียกว่า “ลูกขุน ณ ศาลาหลวง” เป็น พราหมณ์ผู้เชยี่ วชาญในพระธรรมศาสตร์ จานวน 12 คน ทาหน้าทีต่ รวจสานวนและตัดสนิ ชี้ขาด วิธีพิจารณามขี นั้ ตอนว่าผู้จะฟ้องตอ้ งไปรอ้ งตอ่ จา่ ศาล เม่ือจ่าศาลจดถ้อยคาแล้วให้พนักงานประทับรับ ฟ้องนาข้ึนปรึกษาลูกขุน ณ ศาลาหลวงว่าคดีน้ีสมควรจะพิจารณาคดีหรือไม่ แล้วจึงส่งสานวนฟ้องกับตัวโจทย์ ไปยังศาลน้นั ๆ ตุลาการจะออกหมายเรยี กจาเลยมาใหก้ ารแลว้ ส่งคาให้การไปใหล้ ูกขุน ณ ศาลาหลวงช้ี 2 สถาน คือ ข้อใดรับกันในสานวน และข้อใดต้องสืบพยาน ถ้าต้องสืบพยานตุลาการจะสืบพยาน สืบเสร็จแล้วจึงให้ ลูกขุน ณ ศาลาชี้ว่าใครผิดใครถูก และลูกขุน ณ ศาลาก็ทาหน้าท่ีบังคับคดีและลงโทษผู้ทาผิด ถ้าคดีมีปัญหา มากตัดสินยากหรือคู่กรณีไม่พอใจไม่ยอมรับคาตัดสินก็ให้นาข้ึนกราบบังคมทูล ดังพระอัยการลักษณะตุลาการ บัญญัติว่า “...อน่ึงถ้าความน้ันข้องขัดจะพิพากษาบังคับบัญชายากไซร้ ให้ขุนกาลชุมนุมจัตุสดมภ์ให้ช่วยว่า ถ้า พิพากษามิได้ให้เอากราบบังคมทูลพระพุทธิเจ้าอยู่หัวจะตรัสเอง..” (บังอร ปิยะพันธุ์.ประศาสตร์ไทย : การ ปกครอง สังคม เศรษฐกิจ และความสมั พนั ธก์ ับต่างประเทศสมยั สุโขทยั จนถงึ พ.ศ.2475.กรงุ เทพฯ :2547,หน้า 95.) การเมืองการปกครองในสมยั อยุธยาตอนกลาง การเมืองการปกครองของกรุงศรีอยุธยาได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่ในสมัยสมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ ดว้ ยมาจากสาเหตุหลัก ๆ 2 ประการ ดังนี้
- 15 - 1. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเคยเสด็จไปครองเมอื งพษิ ณุโลก (สองแคว) ทาให้พระองค์ทรงรู้ถึง ขนบธรรมเนียมประเพณีและการปกครองของกรุงสุโขทัยนั้นมีความเป็นมาอย่างไรจึงได้ศึกษาเป็นบทเรียนว่า ส่วนใดท่ีเปน็ ข้อดแี ละส่วนใดเป็นข้อบกพรอ่ ง 2. อาณาจักรสุโขทัยได้เป็นเมืองในอาณาเขตของอยุธยา และกรุงศรีอยุธยาได้นครธมราชธานี ขอมใน พ.ศ.1976 โดยได้ขุนนางของสุโขทัย พวกขอม พราหมณ์ เจ้านาย ท้าวพระยา ผู้มีประสบการณ์ในการ ปกครองมาไว้ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจานวนมาก จึงเป็นสาเหตุให้มีการปฏิรูปการเมืองการปกครองของกรุงศรี อยุธยา โดยเลอื กเอาส่วนท่ีเป็นจดุ แข็งมาปรบั ปรุงประยกุ ตใ์ ช้ในกรุงศรอี ยุธยา การเมืองการปกครองสมัยอยธุ ยาตอนกลาง ก. การปกครองสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์องค์ท่ี 8 แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ (พ.ศ. 1991-2031) ได้จัดระเบียบการเมืองการปกครองของกรุงศรีอยุธยาให้มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพใน การบริหาร โดยมีการแบ่งราชการออกเป็น 2 ฝ่าย และแบ่งอานาจหน้าที่ให้เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหาร ราชการ ดงั นี้ 1. การกปกครองส่วนกลาง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงประทับอยู่ท่ีกรุงศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ.1991-2006 เป็นเวลา 15 ปี การบริหารราชการแผ่นดินศูนย์กลางจึงอยู่ท่ีกรุงศรีอยุธยา หลังจาก พ.ศ.2006 พระองค์ได้ยา้ ยไปประทบั อยู่ท่เี มืองพษิ ณุโลกเป็นเวลาถึง 25 ปี ทาให้ศูนย์กลางการบริหาร ราชการแผ่นดินจึงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองพิษณุโลก จึงเป็นเหตุให้เมืองพิษณุโลกจึงเป็นเมืองหลวงของกรุงศรี อยธุ ยาต้งั แต่ปี พ.ศ.2006-2031 ส่วนท่กี รงุ ศรีอยธุ ยาไดโ้ ปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ปกครอง ในฐานเมอื งลูกหลวง จนถงึ แผ่นดนิ สมเด็จพระบรมราชาธิราช 3 ไดข้ ึ้นครองราชย์ จงึ ได้ย้ายเมืองหลวงจากเมือง พษิ ณโุ ลกกลับมายังกรงุ ศรีอยธุ ยาตามเดมิ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถได้โปรดเกล้า ฯ ปรับปรุงการจัดระเบียบ ราชการสว่ นกลาง แบง่ เปน็ 2 ฝ่าย ดงั น้ี 1.1 ฝ่ายทหาร มีอัครเสนาบดีตาแหน่ง “สมุหกลาโหม” มีอานาจและหัวหน้าและ ตรวจราชการในส่วนที่เก่ียวข้องกับกิจการฝ่ายทหารทั่งราชอาณาจักร มีหน้าท่ีวางแผนการรบในสงคราม เตรียมกาลังในยามปกติ เกณฑ์ผู้คนและจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์สาหรับในการสงคราม และที่จาเป็นต่อกิจการ ของฝ่ายทหาร นอกจากน้ันยังรับผิดชอบกรมต่างๆอีกหลายกรม เช่น กรมพระตารวจมีหน้าท่ีจัดเตรียม กาลงั คน เพ่อื คอยดูแลความสงบเรียบร้อยของบา้ นเมืองยามปกติ เป็นต้น 1.2 ฝ่ายพลเรือน มีสมุหนายกเป็นอัครเสนาบดี มีอานาจหน้าที่บังคับบัญชาและตรวจ ราชการในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับฝ่ายพลเรือนทั้งหมด และควบคุมดูแลกรมจตุสดมภ์ แต่ก็คงให้กรมทั้ง 4 กรมมี หนา้ ทรี่ ับผิดชอบเช่นเดิม แต่ก็เปลยี่ นช่อื เรียกใหม่จากเดิม และเปลย่ี นแปลงเสนาจตุสดมภใ์ หม่ ดังนี้ 1.2.1 กรมเวยี ง เรยี กว่า นครบาล ตาแหนง่ ขุนเวียง เปล่ียนเปน็ พระยายมราช 1.2.2 กรมวงั เรียกว่า ธรรมาธิกรณ์ ตาแหน่ง ขุนวัง เปลีย่ นเป็น เจ้าพระยาธรรมาธิบดี 1.2.3 กรมคลังเรียกวา่ โกษาธิบดี ตาแหน่ง ขุนคลงั เปล่ียนเปน็ พระยาธรรมราชา 1.2.4 กรมนา เรียกวา่ เกษตราธกิ าร ตาแหน่งขนุ นา เปล่ียนเป็น พระยาพหลเทพ
- 16 - ทม่ี า : ดนัย ไชยโยธา.เร่ืองเดิม.หนา้ 33 2. การปกครองส่วนภูมิภาค สมเด็จพระบรมไจรโลกนาถได้ทรงยกเลิกเมืองหน้าด่านหรือ เมืองลกู หลวง แลว้ โปรดเกล้า ฯ ให้จดั การปกครองในสว่ นภูมิภาค ดงั น้ี 2.1 หวั เมืองชน้ั ใน ยกเลิกเมอื งลูกหลวง เปลยี่ นเป็น “เมืองจัตวา” ผู้ครองเมืองเรียกว่า “ผู้รั้งเมือง” หรือกรมการชั้นผู้น้อย (จ่าเมืองแพ่งและศุภมาตรา) ไม่เรียกเจ้าเมือง เป็นหัวหน้าในการปกครอง ข้ึนตรงต่อราชธานี ไม่มีอานาจเด็ดขาด จะต้องรอรับคาส่ังจากราชธานีโดยใกล้ชิด ได้แก่ เมืองราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ (ปราณบุรี) สมุทรสงคราม นครชัยศรี สุพรรณบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ปราจีนบุรี และนครนายก โดยพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังขุนนางจากรุงศรีอยุธยาไปทาหน้าที่อยู่ในตาแหน่ง คราวละ 3 ปี 2.2 หัวเมืองช้ันนอก มีการกาหนดฐานเป็นเมืองชั้นเอก ชั้นโท และช้ันตรี ตามลาดับ ความสาคัญและขนาดของเมือง ในหัวเมืองชั้นนอกอาจมีเมืองเล็กๆขึ้นอยู่ด้วย พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ัง เจ้านายในพระราชวงศ์หรือขุนนางผู้ใหญ่ออกไปปกครอง โดยมีอานาจบังคับบัญชาสิทธ์ิขาดในการบริหาร ราชการภายในเมืองอย่างเต็มท่ี การจัดหัวเมืองขั้นนอกเป็นการจัดเช่นเดียวกับรูปแบบของราชธานี คือ มี กรมการตาแหน่งพลเทียบเท่าสมุหกลาโหม มีกรมการมหาดไทยเทียบเท่าสมุหนายก มีพนักงานเวียง วัง คลัง นา เช่นเดียวกับราชธานี เชน่ เมอื งพิษณโุ ลก เมอื งนครศรธี รรมราช มีฐานะเปน็ เมืองเอก เมืองจันทบุรีเป็นเมือง ชนั้ โท และเมืองชมุ พรเปน็ เมืองชน้ั ตรี เป็นต้น 2.3 เมืองประเทศราช คือ หัวเมืองที่ทางกรุงศรีอยุธยาใช้กาลังเข้ายึดครองได้ หรือหัว เมืองเหลา่ นน้ั ไดส้ วามิภักด์ิ เมืองเหล่านี้ อาจมมี เี ชื้อชาตภิ าษาแตกต่างจากไทยบ้าง เช่น ทวาย ตะนาวศรี มะละ กา เปน็ ตน้ เมืองเหล่านมี้ ีเจา้ เมอื งของเมอื งนั้นปกครองกันเอง แต่ผู้ที่จะเป็นเจ้าเมืองปกครองจะต้องรายงานให้ พระมหากษัตริย์ของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาทราบ และจะทรงแต่งต้ังอย่างเป็นทางการให้ครองเมืองมีอานาจ สิทธิขาดในการปกครองทุกประการ ในทุก ๆ 3 ปี จะต้องส่งบรรณาการถวายดอกไม่เงินดอกไม้ทองและเครื่อง ราชบรรณาการท่ีกาหนด กรณีท่ีกรุงศรีอยุธยาเกิดศึกสงครามจะต้องส่งกาลังไพร่พลและเสบียงอาหารไปช่วย กรงุ ศรีอยธุ ยา
- 17 - 2.4 การปกครองทอ้ งถิน่ ปรากฏหนงั สอื หลายฉบบั ได้กล่าวไวว้ ่าในสมัยสมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ ได้มีการจดั ราชการปกครองทอ้ งถิน่ ขน้ึ ซ่ึงเป็นไปในลักษณะของการปกครองท้องท่ี โดยแบ่งท้องที่ เป็น 4 ระดบั 17 ไดแ้ ก่ 1. บ้าน (หม่บู ้าน) มผี ใู้ หญบ่ า้ นซึ่งไดร้ บั การแต่งตง้ั จากเจา้ เมืองใหเ้ ปน็ ผปู้ กครอง 2. ตาบล คอื บ้านหลายๆ บ้านรวมกนั มีกานันเปน็ ผปู้ กครอง มบี รรดาศกั ดเ์ิ ป็น “พัน” 3. แขวง (เทยี บเท่าอาเภอในปจั จบุ นั ) คอื ตาบลหลายๆตาบลรวมกัน มหี มน่ื แขวงเปน็ ผปู้ กครอง 4. เมือง คือ แขวง หลายๆ แขวงรวมกัน ผู้ปกครอง เรียกว่า “ผู้รั้งเมือง” เหมือนกับเมืองจัตวา ของหัวเมืองชนั้ ใน ท่ีมา : ดนยั ไชยโยธา.เรอื่ งเดิม.หน้า 136 3. การปรับปรุงกฎหมายเก่าหลายฉลบั และตรากฎหมายใหมด่ งั นี้ 3.1 กฎหมายวา่ ด้วยการเทียบศกั ดินา 3.2 กฎหมายลักษณะอาญาศกึ ขบถ 3.3 กฎหมายลกั ษณะอาญาหลวง 3.4 กฎหมายว่าด้วยกฎมณเฑยี รบาล กฎหมายว่าด้วยการเทยี บศักดินา มีความเห็นว่าจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น ศิลาจารึก สุโขทัย และจดหมายเหตุของจีนกล่าวว่าระบบศักดินาได้มีมานานแล้วไม่ใช่เพ่ิงเกิดขึ้นในสมัยของสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถ แต่พระองคท์ รงนามาปรบั ปรุงแก้ไขเพมิ่ เติมวางหลักเกณฑ์เท่านั้น ในสมัยก่อนข้าราชการและ พระบรมวงศานุวงศ์ไม่มีเงินเดือนหรือเงินปี จึงใช้วิธีพระราชทานที่ดินให้สุดแต่มากน้อยตามฐานะที่เป็นจริง เพราะแผ่นดินท่ัวอาณาจักรเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็มิได้มีที่ดินตามท่ีกาหนด สาหรับศักดินาก็เป็น เครื่องมือกาหนดฐานะของบุคคลและยังมีผลในทางด้านอ่ืนๆ ด้วย (มาตยา อิงคนารถและคณะ.2547:63) เช่น 17 ดเู พิม่ เพิม่ ในกฎหมายตราสามดวง เลม่ 1. 229-223,231 และ237 และสมเด็จพระบรมวงศเ์ ธอเจา้ พระยาดารงราชานุภาพ,, ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ. http://www.bloggang.com/mainblogคุรสุ ภา.2515.
- 18 - 1) การปรับไหม ผู้ที่ทาผิดอย่างเดียวกันในคดีเดียวกัน ถ้ามีศักดินาสูงกว่าจะเสียค่าปรับ มากกว่าผู้มีศักดินาต่ากว่า หรือไหมให้แก่กันในคดีเดียวกัน ถ้าเป็นไพร่ทาผิดต่อไพร่จะเสียค่าปรับตามศักดินา ไพร่ ถ้าไพร่ทาผดิ ตอ่ ขนุ นางให้เอาศักดิขนุ นางมาปรบั ไพร่ ถ้าขุนนางทาผิดต่อไพร่ให้ปรบั ตามศักดินาของขนุ นาง 2) การตัง้ ทนายสคู้ ดี ผู้มีศักดนิ า 400 ข้นึ ไปจงึ จะแตง่ ทนายว่าความแทนตัวเองได้ 3) การกาหนดที่นั่งเข้าเฝ้า เม่ือพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน ผู้มีศักดินา 10,000 ถงึ 800 ต้องเขา้ เฝ้า นอกนนั้ ไมบ่ งั คับตาแหนง่ ท่นี ง่ั จะสงู ตา่ ใกล้หรอื ไกล ใหจ้ ัดตามลาดบั ศักดินา ความเห็นในเรือ่ งของศักดนิ า วา่ แทจ้ ริงแล้วหมายถึงอะไรกนั แน่ โดยมีให้ความเหน็ ไวห้ ลากหลายเช่น (1) หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช “...การวัดศักดินาของคนในประเทศนั้นใช้มาตราวัด ที่ดินคือ ไร่ เป็นเครื่องมือวัด ทั้งน้ีทาให้น่าคิดไปว่าระบบศักดินาของไทยน้ัน ในระยะแรกอาจเกี่ยวกับการถือ ที่ดินเป็นสาคัญเช่นเดียวกับระบบฟิวดัลของฝร่ัง...ดังนั้นศักดินานั้นอาจแปลแต่เพี ยงว่านาแห่งแห่งศักดิ์ก็ได้ เพ่ือใหเ้ ห็นแตกตา่ งกันทเี่ ปน็ เนอื้ ท่ดี นิ ...” มีผู้คัดต้านว่า ตัวเลขของศักดินาเป็นเครื่องกาหนดสิทธิและอานาจใน การปกครองที่ดินนน้ั ไม่นา่ เป็นไปได้ เพราะสมยั กรงุ ศรีอยุธยาท่ดี ินมไิ ด้มคี า่ แตแ่ รงงานคนห่างหากทม่ี ีคา่ ท่สี ดุ (2) จิตร ภูมิศักด์ิ เชื่อว่า ระบบศักดินาเป็นระบบจัดขึ้นเพ่ือให้ชนชั้นสูงและพระภิกษุได้ ครอบครองปัจจัยในการผลิตคือท่ีดิน ซ่ึงเป็นสมบัติที่มีค่าอย่างยิ่งในสังคมท่ีมีรากฐานทางเศรษฐกิจอยู่ที่ การเกษตร ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินจริงๆ เป็นคนส่วนน้อย และผู้ที่ได้เพียงสิทธิในการครอบครองทาผลประโยชน์ เทา่ นน้ั คือไพร่ซ่ึงเป็นคนสว่ นใหญข่ องสังคม (3) ฉตั รทพิ ย์ นาถสุภา นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ศักดินาผู้เป็นเจ้าของท่ีดินขนาดใหญ่ขูด รดี ชาวนา โดยให้ชาวนารบั ช่วงทดี่ นิ ไปนานา แลว้ บงั คับใหม้ อบผลผลติ แก่ตน ตอ้ งถูกเกณฑ์แรงงานโดนไม่ได้รับ ค่าตอบแทน (4) ดาเนริ เลขะกุล กรรมการชาระประวัติศาสตร์ กล่าวว่า ทาเนียบศักดินาเป็นกฎหมายที่ ตราข้นึ เพอ่ื กาหนดศกั ดนิ าหรือคา่ ของพลเรือนแตล่ ะคนว่า บคุ คลชนั้ ใดมศี กั ดนิ าเปน็ ทพ่ี น้ื ที่จานวนกี่ไร่ จากผูท้ ่ีใหค้ วามหมายมาอาจสรปุ ไดวา่ เป็นระบบเศรษฐกิจศกั ดนิ าในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ น่าจะหมายถงึ กรรมสิทธใ์ิ นการถอื ทนี่ า กาหนดตามชน้ั ของขุนนาง ก) ยศ หมายถึง ฐานะหรือช้ันของข้าราชการ การกาหนดยศได้รับอิทธิพลจากเขมร จาก สูงไปหาต่า คือ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยา พระยา (ออกญา) จหมื่น หลวง (ออกหลวง) ขุน (ออกขุน) จ่า หม่นื พัน ข) ราชทนิ นาม หมายถึง นามท่ีไดร้ บั พระราชทานให้ใชค้ ู่กบั ตาแหน่งสว่ นใหญม่ าจากภาษาสนั สกฤต ค) ตาแหน่ง หมายถึง หน้าท่ีประจาที่ขุนนางผู้นั้นปฏิบัติอยู่ เช่น เสนาบดี ปลัดทูลฉลอง จางวาง เจ้ากรม ปลดั กรม สมหุ บ์ ัญชี เป็นตน้ ง) ศกั ดนิ า หมายถงึ เกณฑก์ าหนดกรรมสิทธ์ท่นี าตามยศของแต่ละบคุ คล ตัวอย่าง ขุนนางที่มียศ เจ้าพระยา ราชทินนาม คือ จักรี ตาแหน่ง คือ อัครเสนาบดีสมุหนายก มศี กั ด-ิ นา 10,000 เรยี กว่า เจา้ พระยาจกั รอี คั รเสนาบดสี หนายก ศักดนิ า 10,000 กฎหมายลักษณะอาญาศึกขบถ เป็นกฎหมายท่ีระบุถึงความผิดต่อกรณีท่ีมีผู้คิดแย่งชิงอานาจ จากพระมหากษัตรยิ ์ซึ่งมีบทลงโทษรุนแรง ไดก้ าหนดโทษไว้ 3 สถาน มอี ตั ราโทษดงั น้ี ก) สถานหน่ึงใหร้ บิ ราชบาทย์ ฆ่าเสียให้สนิ้ โคตร ข) สถานหนึ่งให้ริบราชบาทย์ ฆ่าเสยี เจ็ดชั่วโคตร ค) สถานท่หี น่ึงใหร้ บิ ราชบาทย์ แล้วฆ่าเสียโคตรอย่าให้เลี้ยงต่อไปอีกเลย ให้ประหารชีวิตให้ ได้ใน 7 วัน จึงให้ส้ินชีวิต เมื่อประหารน้ันอย่าให้โลหิตและศพตกลงในแผ่นดินท่าน ให้ใส่แพลอยเสียตาม กระแสน้า
- 19 - กฎหมายลักษณะอาญาหลวง เป็นกฎหมายที่กาหนดฐานความผิดอาญาต่างๆ เช่น “...ผู้ใด โลภนักมกั ทาใจใฝส่ ูงใหเ้ กนิ ศกั ด์ิ กระทาใหล้ ้นพ้นล้าเหลอื บรรดาศักดอ์ิ ันท่านให้แกต่ น แลมิจาพระราชนิยมพระ เข้าอยู่หัว แลถ้อยคามิควรเจรจามาเจรจาเข้าในระวางราชาศัพท์แลสิ่งของมิควรเอามาประดับ เอามาทาเป็น เครอ่ื งประดับทา่ นวา่ ผ้นู ้ันทะนงองอาจ ให้ลงโทษ 8 สถาน จากหนกั ไปหาเบา ดงั นี้ สถานหนง่ึ ให้ฟันคอรบิ เรอื น สถานหนง่ึ ใหเ้ อามะพร้าวห้าวยัดปาก สถานหน่ึง ใหร้ บิ ราชบาทย์ แลว้ เอาตัวลงหญา้ ชา้ ง สถานหนึ่ง ให้ไหมจตรุ คณู เอาตัวออกจากราชการ สถานหนง่ึ ให้ไหมทวีคูณ สถานหนง่ึ ให้ทวนด้วยลวดหนงั 50 ที 25 ที ใส่กรุไว้ สถานหนง่ึ ให้จาแลว้ ถอดเสยี เปน็ ไพร่ สถานหนึง่ ใหภ้ าคทณั ฑ์ไว้ ฯลฯ กฎมณเฑียรบาล หมายถงึ พระราชกาหนดที่ใชภ้ ายในพระราชสานัก แบง่ เปน็ 3 แผนก 1. แผนกตารา ซ่ึงว่าด้วยตาแหน่งหน้าที่ราชการ พระราชานุกิจ ซ่ึงพระเจ้าแผ่นทรงประพฤติ ปฏบิ ตั ิตามกาหนด 2. แผนกพระธรรมนูญ วา่ ดว้ ยตาแหนง่ หน้าที่ราชการ รวมถึงการจดั ตาแหนง่ ของพระราชวงศ์ 3. แผนกพระราชกาหนด เป็นบทบัญญัติสาหรับพระราชสานัก รวมถึงระเบียบการปกครอง ในราชสานกั เชน่ ววิ าทโต้เถยี งกันในวัง มีโทษสาขื่อไว้ 3 วัน ด่ากันในวัง มีโทษโบยด้วยหวาย 50 ที ถีบประตู วงั มีโทษให้ตดั เทา้ (ตีน) กินเหล้าในวังให้เอาร้อนๆกรอกปาก เปน็ ต้น กระบวนการยตุ ธิ รรม แบ่งหน้าที่เกยี่ วกบั ศาลเปน็ 2 ฝา่ ย ดังนี้ 1. ฝา่ ยรับฟอ้ ง เป็นผูพ้ ิจารณา (สอบสวน) ตลอดจนปรบั ไหมอยใู่ นอานาจของขุนนาง 2. ฝ่ายตรวจสานวนและตัดสินคดีความตามกฎหมายว่าด้วยใครผิดใครถูกเป็นหน้าท่ีของ พราหมณ์ชาวตา่ งประเทศท่เี ช่ียวชาญพระธรรมศาสตร์ การแบ่งหน้าท่ีในกระบวนการยุติธรรมเพื่อเป็นการอานวยความยุติธรรมให้แก่คู่กรณี เพราะไดแ้ ยกอานาจการสอบสวนและพิจารณาคดีออกจากอานาจการตัดสินคดี ข. การปกครองสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 กษตั ริยอ์ งค์ที่ 10 แหง่ ราชวงศส์ ุพรรณภูมิ (พ.ศ.2231- 2246) ได้มีการจัดระบบโครงสร้างของการบริหารใหม่ เพราะได้เห็นข้อบกพร่องในทางการทหาร จึงมีการจัด ระเบียบและปรับปรุงแก้ไขส่วนท่ีบกพร่องปัจจัยท่ีทาให้ต้องการมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ส่วนการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายกฎหมายเก่าซ่ึงมีต้ังแต่สมัยของพระเจ้าอู่ทองและการตรากฎหมาย ข้นึ มาใหม่สมยั นมี้ ีไมม่ าก ปจั จยั ทที่ าให้ตอ้ งปรบั ปรงุ โครงสร้างการบรหิ าร แบ่ง 3 ประการ ดังนี้ ประการแรก ได้รับแนวคิดจากชาวโปรตุเกส ซ่ึงเป็นชาติแรกที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยาโดยมา รับจ้างในการกองทัพช่วยรบกับพม่า พร้อมได้นารูปแบบทางการมาเป็นแบบอย่าง รวมทั้งนาอาวุธปืนและ กระสุนดินดามาใชใ้ นกองทัพดว้ ย ประการท่สี อง ทรงดารวิ ่าการแยกทหารออกจากฝา่ ยพลเรอื นจากกนั เป็นเพียงทฤษฎี (บังอร ปิยะ พันธ์.ุ 2538:105) ในทางปฏิบัตยิ ังคงรวมกนั โดยเฉพาะผู้มีอานาจคือสมุหกลาโหม ซ่ึงฝ่ายทหารจะได้เปรียบกว่า ฝ่ายพลเรือนยามบ้านเมืองสงบก็ฝึกหัดการรบ แต่ฝ่ายพลเรือนเวลาเกิดสงครามก็ถูกเกณฑ์ไปเข้ากองทัพ ยาม สงบก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานไม่มีเวลาหยุดพัก ผู้คนก็มักหลบหนีไปอยู่ป่าดง บางพวกไปอยู่กับมูลนายอาศัย บารมีมูลนายเบียดบังคนไว้ใช้ส่วนตัว จาเป็นต้องปรับปรุงวิธีการการระดมพลให้มีความรัดกุมย่ิงขึ้น และ สามารถเรยี กระดมพลไดม้ ากข้ึน
- 20 - ประการท่ีสาม การเกิดสงครามกับแคว้นใกล้เคียงบ่อยคร้ังโดยทารงเหนือ สาเหตุหน่ึงท่ีพระองค์ ไม่ได้ประทับอยู่ที่เมืองสองแคว (พิษณุโลก) แต่ได้เสด็จมาประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาทาให้หัวเมืองทางเหนือไม่ ปลอดภยั ซ่งึ แคว้นล้านนาได้ยกทพั มารบกวนหวั เมืองทางเหนือบ่อยคร้ังมาก จากปัจจัยดังกล่าวจะเห็นว่าพระองค์จึงจาเป็นต้องปรับปรุงการทหารให้มีความรัดกุมเพ่ือสะดวก และรวดเร็วในการระดมไพร่พลให้กับกองทัพ เพราะกาลังคนทีความสาคัญมากทุกคร้ังเม่ือมีการรบชนะจะมี การกวาดต้อนเชลยกลับทุกครั้งเพ่ือใช้เป็นกาลังของตนเองให้เข้มแข็ง การปรับปรุงการทหารคร้ังโดยการทา “สารบญั ชี” คอื การสารวจสามะโนครัวแล้วจดบนั ทกึ เป็นหลกั ฐานว่าเมืองใดมีชายฉกรรจ์จานวนเท่าใด โตยต้ัง กรมสุรัสวดีหรือสสั ดีขน้ึ แบ่งเปน็ 3 หน่วยงาน ไดแ้ ก่ 1.พระสุรัสวดกี ลาง ทาหนา้ ท่บี ัญชาการท่ัวไปและทาบญั ชใี นเขตราชธานแี ละหัวเมอื งช้นั ใน 2.พระสุรสั วดขี วา ทาหน้าท่ีดูแลเกย่ี วกับบัญชพี ลเมอื งฝา่ ยเหนือ 3.พระสุรัสวดี ทาหนา้ ทีด่ แู ลเกย่ี วกบั บัญชีพลหัวเมอื งฝา่ ยใต้ ทั้งนี้ มูลนายจะต้องทา “เถียรหางว่าว” หรือบัญชีหางว่าว” ไพร่ในสังกัดของตนนาไปรายงาน ตอ่ พระสุรสั วดี ส่วนไพรท่ ี่ไม่มีสังกดั หาทะเบยี นอยู่ไมไ่ ดจ้ ะมคี วามผิด พลเมืองทีม่ ีรายช่ือในบญั ชีหางว่าวของมูล นายแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1.ไพร่หลวง ได้แก่ชายไทยที่เป็นพลเมืองจะถูกเกณฑ์มาเป็นทหารเม่ืออายุครบตามเกณฑ์ท่ี กาหนด 2. พวกตา่ งชาติ ทีไ่ มม่ ีสทิ ธเิ ป็นไพร่หลวง แต่มชี ื่อในบัญชีหางวา่ วในฐานะอืน่ เช่น พวกโยธา ชายฉกรรจท์ ่ีเปน็ คนไทย มหี น้าท่ดี งั ต่อไปนี้ 1. อายุครบ 18 ปี ต้องข้ึนทะเบียนเป็นไพร่สม พออายุครบ 20 ปี ต้องเข้ารับราชการเป็นไพร่ หลวงและอยู่ในราชการจนถึงอายุ 60 ปี จึงพ้นพันธะ แต่ถ้ามีบุตรชายและส่งรับราชการ 3 คน ผู้เป็นบิดาก็พ้น ราชการกอ่ นอายุ 60 ปีได้ 2. ชายฉกรรจ์ทกุ คนจะตอ้ งมีสงั กดั กรมใดกรมหน่ึง ลกู หลานผสู้ ืบสกุลจะต้องอยู่ในสังกัดเดียวกัน เม่อื จะขอยา้ ยสังกัดตอ้ งไดร้ บั อนุญาตก่อน 3. ยามบ้านเมอื งสงบไพร่หลวงจะเขา้ ประจาการปีละ 6 เดือน เรียกว่าเข้าเวร และต้องหาเสบียง ของตนเอง การเขา้ เวรนจี้ ะเข้าเวรครั้ง 1 เดือน และเว้นไป 1 เดือนแล้วออกไปทามาหากิน 1 เดือน จึงกลับเข้า เข้าเวรอกี 1 เดอื น สลับกนั ไปจนครบ 6 เดอื นตอ่ ปี 4. ชายฉกรรจ์ที่อยู่หัวเมืองชั้นนอก ซึ่งอยู่ห่างไกลในยามปกติไม่การคนรับราชการมากเหมือน ราชธานี จึงใช้วิธีการส่วยแทนการเข้าเวร โดนนาของท่ีทางราชการต้องการ เช่น ดินประสิว มูลค้างคาว (ใช้ ผสมทาดนิ ปืน) หรือแรด่ ีบกุ และอ่นื ๆ ทกี่ าหนด การปรับปรุงดา้ นนกระบวนการยตุ ิธรรม ด้านการพิจารณาคดีความได้มีการจัดระเบียบการใหม่ โดยให้ขุนนางมีอานาจตัดสินคดี โดยให้ พราหมณ์เปน็ เพียงท่ีปรึกษาตรวจสานวน แต่ไม่มีอานาจในการตัดสินคดีความ ผู้ท่ีจะแต่งทนายความฟ้องคดีได้ ต้องมีศักดินา 400 ไร่ขึ้นไป ถ้ามีศักดินาต่ากว่า 400 ไร่ ต้องไปให้การที่ศาลด้วยตนเอง นอกจากน้ันยังได้แบ่ง ประเภทของศาลเปน็ 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ศาลความอาญา ขึ้นกับกรมวัง 2. ศาลความแพง่ ขึ้นกับกรมวงั 3. ศาลนครบาล ข้นึ กับกรมนครบาล 4. ศาลการกระทรวง หมายถงึ คดีเกิดข้นึ เก่ียวข้องกบั กรมใดก็ใหก้ รมน้ันพิจารณา สาหรับศาลตามหัวเมืองอนุโลมให้ใช้วิธีการเดียวกับในราชธานี โดยให้คณะลูกขุนมีอานาจใน การตัดสินคดีความได้ ไม่ต้องส่งสานวนให้เมืองหลวงตรวจ เน่ืองจากหัวเมืองจะอยู่ไกลการส่งสานวนจึงไม่
- 21 - สะดวกเพราะการเดินทางต้องใช้เวลานาน แต่กรณีท่ปี รับไหมผ้แู พ้ให้สง่ คาพพิ ากษาไปให้หัวเมืองใกล้เคียงเป็นผู้ ปรับ ถ้าคู่ความไม่พอใจในคาตัดสินอาจอุทธรณ์เข้ามายังกรมท่ีเป็นต้นสังกัดบังคับบัญชาหัวเมืองนั้นได้ (บังอร ปยิ ะพนั ธุ์.25438:106) ในสมยั ของพระรามาธิบดที ี่ 2 เป็นการปรบั ปรงุ การทหาร เปน็ จุดกาเนิดการสัสดี สรปุ ไดว้ า่ กรุงศรอี ยุธยาใสมัยน้ีกาลังจะเติบโตเป็นนครแห่งพ่อค้าวาณิชอันรุ่งเรือง เพราะเส้นทาง คมนาคมอันสะดวก ท่ีเรือสินค้าน้อยใหญ่จะเข้ามาจอด เทียบท่าได้ แต่พร้อม ๆ กับความรุ่งเรืองและความ เปลี่ยนแปลง สงครามก็ เกิดขนึ้ ชว่ งเวลาน้ัน ล้านนา ที่มีพระมหากษัตริย์คือราชวงศ์เม็งราย ครองสืบต่อกันมา กาลังเจริญรุ่งเรืองข้ึนมาเป็นคู่แข่งสาคัญของกรุงศรี อยุธยา พระเจ้าติโลกราชซ่ึงได้ขยายอาณาเขตลงมาจนได้ เมืองแพร่และ น่านก็ทรงดาริที่จะขยายอาณาเขตลงมาอีก เวลานั้นเจ้านายทางแคว้น สุโขทัยที่ถูกลดอานาจ ด้วยการปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเกิดความไม่พอใจอยุธยา จึงได้ชักนาให้พระเจ้าติ โลกราชยกทัพ มายึดเมืองศรีสัชนาลัยซ่ึงอยู่ในอานาจของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องเสด็จ กลับไปประทบั อยูท่ ีเ่ มอื ง สระหลวงหรอื พิษณโุ ลก เพอ่ื ทาสงครามกับเชยี งใหม่ สงครามยืดเย้ือยาว นานอยู่ถึง 7 ปี ในทส่ี ุดอยุธยากย็ ดึ เมืองศรีสัชนาลัยกลับคืนมาได้ ตลอดรัชกาลอันยาวนานของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 2 กรุงศรีอยุธยาได้เจริญอย่างต่อเนื่องอยู่นานถึง 81 ปี การค้ากับต่างประเทศก็ เจริญก้าวหน้าไปอย่างกว้างขวาง วัฒนธรรมก็เฟื่องฟูทั้งทางศาสนาและประเพณีต่าง ๆ แต่หลังรัชกาลสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ 2 การแย่งชิงอานาจภายใน ก็ทาให้กรุงศรีอยุธยาอ่อนแอลง ขณะเดียวกันที่พม่ากลับเข้มแข็ง ขน้ึ ความเปลี่ยนแปลงทัง้ ภายในและภายนอกราชอาณาจักรได้ทาใหเ้ กดิ สงครามครั้งใหญ่อย่างหลีกเลยี่ งไมไ่ ด้ การการเมืองการปกครองสมยั อยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยพระเพทราชา กษัตริย์องค์ท่ี 28 ราชวงศ์บ้านพลูหลวง (พ.ศ.2231-2246) ได้มีการ ปรับปรุงการปกครองใหม่ขึ้นอีกคร้ังหน่ึง สาเหตุอันเน่ืองมาจากเกิดการขบถขึ้นหลายครั้ง และอานาจของสมุ หกลาโหมกม็ มี ากเกนิ ไปจนเป็นที่ท้ายพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงพยายามลดอานาจโดย ให้สมุหนายกปกครองบังคับบัญชาฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนทางหัวเมืองทางเหนือท้ังหมด และให้สมุหกลา โหมปกครองบังคับบัญชาเฉพาะฝ่ายทหารและพลเรือนหัวเมืองทางใต้ทั้งหมด เพื่อเป็นการคานอานาจของสมุ หกลาโหมซึ่งเดิมต้ังแต่สมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นผู้มีอานาจในการควบคุมฝ่ายทหารทั้งหมด นอกจากนน้ั ยังได้มีการต้งั ทาเนียบขุนนางวงั หนา้ ขนึ้ เพม่ิ เตมิ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่พระราชโอรสคือขุน หลวงสรศักด์ิซ่ึงดารงตาแหน่งวังหน้า การปรับปรุงดังกล่าวเป็นที่น่าสังเกตว่าทรงทาเพื่อความม่ันคงของ ราชอาณาจักรด้วยการลดทอนอานาจของสมุหกลาโหม ตามแผนภูมิการระเบียบรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา ดังนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ ทม่ี า : ดนัย ไชยโยธา.เร่ืองเดมิ .หน้า 137
- 22 - จากแผนภูมิแสดงถึงการจัดสรรอานาจของสมุหนายกจะคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือท้ังหมดยังต้องบังคับ บัญชากรมจตสุ ดมภใ์ นส่วยกลางอีกด้วย ส่วนพระโกษาธิบดีซ่ึงเป็นเสนากรมคลังนอกจากจะดูแลเก่ียวกับเรื่อง รายได้ของแผ่นดินและการติดค้าขายกับต่างประเทศแล้ว ยังต้องบังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลตะวันออทั้ง กจิ การทหารและพลเรือนดว้ ย ในรัชสมัยของสมเดจ็ พระบรมโกศ กษตั ริยอ์ งค์ท่ี 31 แห่งราชวงศ์บา้ นพลูหลวง (พ.ศ.2275-2301) ได้โปรดเกล้า ฯ ปรับปรุงระเบียบการปกครองอีกคร้ัง โดยให้โอนอานาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ของสมหก ลาโหมไปขนึ้ กบั เสนาบดกี รมคลังแทน สนั นิษฐานวา่ สมุหกลาโหมอาจกระทาความผิดบางประการจึงถูกลดทอน อานาจลง ต้ังแต่นั้นมาแบบแผนการปกครองราชการอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาได้ดาเนินต่อไปจนกระท่ังเสียกรุง ในสมัยของพระเจ้าเอกทัศเม่ือวันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 เมื่อได้ก่อต้ังสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้วก็ คงยังใช้รปู แบบการปกครองของกรงุ ศรอี ยธุ ยาในสมัยต้นๆ จงึ ได้มกี ารปรับปรุงแกไ้ ขใหม่ การเมืองของกรงุ ศรอี ยธุ ยา ก.เหตกุ ารณ์ทางการเมอื งโดยย่อ นบั แตไ่ ดม้ ีการสถาปนากรศุ รอี ยธุ ยาเป็นราชธานีเป็นศูนย์กลางปกครองใน พ.ศ.1893 จนกระทั่ง ต้องสิ้นสลายฐานะการเป็นส่วนกลางการปกครองใน พ.ศ.2310 มีการติดต่อสัมพันธ์กับนานาประเทศ และมี เหตุการณ์ทางการเมืองภายในซ่ึงเป็นเร่ืองการแย่งชิงราชบัลลังก์ในกลุ่มชนช้ันปกครองได้แก่ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง เป็นเหตุให้มีการยึดอานาจเป็นผลสาเร็จบ้าง และไม่สาเร็จบ้าง ส่วนที่ยึดอานาจสาเร็จก็ได้ ครองราชบัลลงั กน์ านมากน้อยก็ขนึ้ อยู่กับฐานอานาจหรือขุมกาลังของตนท่ีมีอยู่ บ้างก็ถูกปลงพระชนม์หรือถูก ถอดจากราชสมบัติ มกี ารเปล่ียนแปลงราชวงศ์ข้นึ ปกครองถึง 5 ราชวงศ์ สาเหตขุ องการแยง่ ชงิ ราชบลั ลังก์ มีสาเหตมุ าจากปญั หาการสบื ราชสมบตั มิ ิได้เป็นไปตามปกติ กรณี ท่พี ระมหากษัตริย์องค์ใดครองราชย์ขณะทรงพระเยาว์หรือไม่มีพระปรีชาสามารถหรือขาดกาลังผู้คนสนับสนุน กม็ ักจะถกู เจ้านายหรือกลุ่มขนุ นางชว่ งชิงราชบัลลงั ก์ได้โดยง่าย ในช่วงต้นของกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.1893-2172) และตอนกลาง (พ.ศ.2112-2231) ได้เกิดการแย่งชิงราชบัลลังก์ข้ึนหลายครั้ง ทั้งในราชวงศ์เดียวกันและต่าง ราชวงศก์ นั เช่น กรณสี มเดจ็ พระเจ้าทองลั่น แหง่ ราชวงศส์ ุพรรณภมู ถิ กู ลอบปลงพระชนม์ ขณะครองราชย์ได้ 7 วัน (พ.ศ.1931-1931) ทาให้สมเด็จพระราเมศวร แห่งราชวงศ์อู่ทองข้ึนครองราชย์ (พ.ศ.1931-1934) ได้ขึ้น ครองราชย์เปน็ ครัง้ ที่ 2 กรณีในราชวงศ์สุโขทัยมีพระกษัตริย์ถูกลอบปลงพระชนม์ถึง 3 พระองค์ ได้แก่ พระศรี เสาวภาคย์ ครองราชยไ์ ด้ (พ.ศ.2153-2153) สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช (พ.ศ.2171-2172) และสมเด็จพระอาทิตย์ วงศ์ (พ.ศ.2172-2172 ปัญหาการแย่งชิงราชบัลลังก์ไม่เคยได้มีการแก้ไขอย่างเด็ดขาด ตามราชประเพณีในสมัยกรุงศรี อยุธยาตอนตน้ การสบื ราชสมบัติจะสถาปนาพระราชโอกาสองค์โตให้ดารงตาแหนง่ รบั ทายาทหรืออุปราช และมี การสง่ พระราชโอรสองค์อื่นๆ ไปครองเมืองลูกหลวง แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต แล้วผดู้ ารงตาแหนง่ อุปราชจะได้สบื ราชสมบัติ เพราะบรรดาโอรสองค์อ่ืนๆ มียกกองทัพของตนเข้ามายังกรุงศรี อยธุ ยาเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ ดังน้ัน การสืบอานาจทางการเมืองจึงขึ้นอยู่กับการใช้กาลังตัดสิน ในตอนต้นจะ เหน็ ไดจ้ ากการแยง่ ชิงกันระหว่างราชวงศ์อูท่ องกับราชวงสพุ รรณภมู ิ เหตุการณท์ ส่ี าคญั ทางการเมอื งของกรงุ ศรีอยุธยาตอนตน้ ถงึ ตอนปลาย มดี ังนี้ สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี 1 ครองราชย์อยู่ได้เพียง 19 ปี ก็เสด็จสวรรคต หลังจากรัชสมัยของพระองค์ ผู้ได้สร้างราชธานีแห่งน้ีข้ึนจาก ความสัมพันธ์ของสองแว่นแคว้น กรุงศรีอยุธยาได้กลายเป็นเวทีแห่งการ แก่งแยง่ ชงิ อานาจระหวา่ งสองราชวงศค์ อื ละโว้-อโยธยา และราชวงศ์สพุ รรณภูมิ
- 23 - สมเดจ็ พระราเมศวร โอรสของสมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี 1 ขึน้ ครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา ขุนหลวง พะง่ัวจากราชวงศ์สุพรรณภูมิผู้มีศักดิ์เป็นอาก็แย่งชิงอานาจได้สาเร็จ ข้ึนครองราชย์เป็นสมเด็จพระบรม ราชาธริ าช เม่อื สนิ้ รชั กาลของสมเดจ็ พระบรมราชาธิราช สมเดจ็ พระ ราเมศวรก็กลบั มาชงิ ราชสมบัตกิ ลับคนื มีการแย่งชงิ อานาจผลดั กันขน้ึ เปน็ ใหญร่ ะหว่างสองราชวงศ์นี้อยู่ ถึง 40 ปี จนสมเด็จพระนครอินทร์ ซ่ึงเป็นใหญ่อยู่ทางสุพรรณภูมิและ สัมพันธ์แน่นแฟ้นอยู่กับสุโขทัย แย่งชิงอานาจกลับคืนมาได้สาเร็จ พระองค์ สามารถรวมท้ังสองฝ่ายให้เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันได้อย่างแท้จริง ในช่วงของการแก่งแย่งอานาจกันเองน้ันกรุง ศรีอยุธยาก็ พยายามแผ่อานาจไปตีแดนเขมรอยู่บ่อยคร้ัง จนกระทั่งปี พ.ศ.1974 หลัง สถาปนากรุงศรีอยุธยา ได้แล้วราว 80 ปี สมเด็จเจ้าสามพระองค์ พระ โอรสของสมเด็จพระนครอินทร์ ก็ตีเขมรได้สาเร็จ เขมรสูญเสีย อานาจจนต้องย้ายเมืองหลวงจากเมืองพระนครไปอยู่เมืองละแวกและพนมเปญในท่ีสุด ผลของชัยชนะคร้ังนี้ ทาให้มีการกวาดต้อนเชลยศึกกลับมาจานวนมากและทาให้อิทธิพลของเขมรในอยุธยาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็น เรือ่ งปกตทิ ผี่ ู้ชนะมกั รบั เอาวัฒนธรรมของผ้แู พม้ าใช้ กรุงศรีอยุธยาหลังสถาปนามาได้กว่าครึ่งศตวรรษก็เร่ิมเป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรอย่างแท้จริง มีอาณาเขตอันกว้างขวางด้วยการ ผนวกเอาสุโขทัยและสุพรรณภูมิเข้าไว้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกบั จีน และวดั วาอารามตา่ ง ๆ ไดร้ บั การบูรณะขึ้นมาใหม่ หลังรัชกาลสมเด็จเจ้าสามพระยา แล้ว กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซ่ึงเป็น ชว่ ง เวลาที่อาณาเขตได้แผ่ขยายออกไปอยา่ งกว้างขวาง มีการตดิ ต่อค้าขาย กบั บ้านเมืองภายนอก รวมทั้งมีการ ปฏิรูปการปกครองบ้านเมืองข้ึน พระองค์ทรงยกเลิกการปกครองที่กระจายอานาจให้เมืองลูก หลวงปกครอง อยา่ งเปน็ อิสระ มาเป็นการรวบอานาจไว้ทพ่ี ระมหากษตั ริย์ แล้วทรงแบง่ เมืองตา่ ง ๆ รอบนอกออกเป็น หัวเมือง ช้ันใน หวั เมอื งชน้ั นอก ซ่งึ เมืองเหล่านดี้ ูแลโดยขุนนางท่ีพระมหากษตั ริย์ทรงแตง่ ตัง้ นอกจากน้ีก็ยังได้ทรงสร้างระบบศักดินาข้ึน อันเป็นการให้ กรรมสิทธ์ิถือท่ีนาได้มากน้อยตามยศ พระมหากษตั รยิ ์มีสทิ ธ์ิท่ีจะ เพิ่ม หรือ ลด ศักดินาแกใ่ ครก็ได้ และหากใครทาผดิ ก็ตอ้ งถกู ปรับไหมตามศักดินา ในเวลาน้นั เอง กรุงศรีอยุธยาทเี่ จรญิ มาไดถ้ งึ รอ้ ยปีก็กลายเป็น เมืองที่งดงามและมีระเบียบแบบแผน วัดต่าง ๆ ที่ได้ก่อสร้างข้ึนอย่าง วิจิตรบรรจงเกิดข้ึนนับร้อย พระราชวังใหม่ได้ก่อสร้างขึ้นอย่างใหญ่โตก ว้าง ขวาง ส่วนท่ีเป็นพระราชวงั ไม้เดิมไดก้ ลายเปน็ วดั พระศรีสรรเพช็ ญ์ วดั คูเ่ มืองทสี่ าคัญ กรุงศรีอยุธยากาลังจะเติบโตเป็นนครแห่งพ่อค้าวาณิชอันรุ่งเรือง เพราะเส้นทางคมนาคมอันสะดวก ท่ีเรือสินค้าน้อยใหญ่จะเข้ามาจอด เทียบท่าได้ แต่พร้อม ๆ กับความรุ่งเรืองและความเปลี่ยนแปลง สงครามก็ เกดิ ข้นึ ชว่ งเวลานนั้ ล้านนา ทีม่ ีพระมหากษัตริยค์ ือราชวงศเ์ มง็ ราย ครองสืบต่อกันมา กาลังเจริญรุ่งเรืองข้ึนมา เป็นค่แู ขง่ สาคัญของกรุงศรี อยุธยา พระเจ้าติโลกราชซึ่งได้ขยายอาณาเขตลงมาจนได้เมืองแพร่และ น่านก็ทรง ดารทิ ีจ่ ะขยายอาณาเขตลงมาอีก เวลาน้ันเจ้านายทางแคว้น สุโขทัยท่ีถูกลดอานาจด้วยการปฏิรูปการปกครอง ของสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถเกิดความไม่พอใจอยุธยา จึงได้ชักนาให้พระเจ้าติโลกราชยกทัพ มายึดเมือง ศรีสัชนาลยั ซ่งึ อยูใ่ นอานาจของกรุงศรอี ยธุ ยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องเสด็จกลับไปประทับอยู่ที่เมือง สระหลวงหรือพิษณุโลก เพื่อทา สงครามกับเชียงใหม่ วงครามยืดเย้ือยาว นานอยู่ถึง 7 ปี ในท่ีสุดอยุธยาก็ยึดเมืองศรีสัชนาลัยกลับคืนมาได้ ตลอดรัชกาลอันยาวนานของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ และ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 2 กรุงศรีอยุธยาได้เจริญ อยา่ งตอ่ เนื่องอยู่นานถงึ 81 ปี การค้ากับต่างประเทศก็เจริญก้าวหน้าไปอย่างกว้างขวาง วัฒนธรรมก็เฟื่องฟูทั้ง ทางศาสนาและประเพณตี า่ ง ๆ แต่หลังรชั กาลสมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี 2การแย่งชิงอานาจภายใน ก็ทาให้กรุงศรี อยุธยาออ่ นแอลง ขณะเดียวกนั ท่ีพม่ากลบั เขม้ แข็งขึ้น ความเปลี่ยนแปลงท้ังภายในและภายนอกราชอาณาจักร ได้ทาใหเ้ กิด สงครามคร้ังใหญ่อย่างหลกี เลย่ี งไม่ได้ ประวตั ิศาสตรห์ นา้ ใหม่ อนั อาจจะเรียก ไดว้ ่ายุคแหง่ ความคับเข็ญยุ่งเหยิงนี้ เร่ิมต้นด้วยการมาถึงของ ชาวตะวัน ตกพร้อม ๆ กับการรุกรานจากพม่า เม่ือวาสโก ตากามา ชาวโปรตุเกสเดินเรือผ่านแหลมกูดโฮปได้
- 24 - สาเร็จในราว พ.ศ.2000 กองเรือของโปรตเุ กสก็ทยอยกนั มายงั ดินแดนฝ่ัง ทวีปเอเชีย ในปี พ.ศ.2054 อัลฟองโซ เดอ อัลบูเควิก ชาวโปรตเุ กสก็ยดึ มะละกาได้สาเร็จ ส่งคณะฑูตของเขามายังสยาม คือ ดูอารต์ เฟอร์นันเดซ ซ่ึง ถือเป็นชาวตะวันตกคนแรกท่ีมาถึงแผ่นดินสยาม ชาวโปรตุเกสมาพร้อมกับวิทยาการสมัยใหม่ ความรู้เกี่ยวกับ การ สร้างป้อมปราการ อาวุธปืน ทาให้สมัยต่อมาพระเจ้าไชยราชาธิราชก็ยก ทัพไปตีล้านนาได้สาเร็จ กรุงศรี อยธุ ยาเป็นใหญ่ขน้ึ ในขณะที่พม่าเองในยุคของ พระเจ้า ตะเบ็งชะเวตี้ ก็กาลังแผ่อิทธิพลลงมาจนยึดเมืองมอญ ที่หงสาวดีได้สาเร็จ อยุธยากับพม่าก็เกิดการเผชิญหน้ากันขึ้น เม่ือพวกมอญจากเชียง กรานที่ไม่ยอมอยู่ใต้ อานาจพม่าหนีมาพ่ึงฝ่ังไทย พระเจ้าไชยราชาธิราช ยกกองทัพไปขับไล่พม่ายึดเมืองเชียงกรานคืนมาได้สาเร็จ ความขัดแย้งระหวา่ งอยุธยากับพม่าก็เปิดฉากขน้ึ หลังพระเจ้าไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคตเพราะถูกปลงพระชนม์ แผ่นดินอยุธยาก็อ่อนแอลงด้วยการ แย่งชิงอานาจ พระยอดฟ้าซึ่งมีพระชนม์เพียง 11 พรรษาข้ึนครองราชย์ได้ไม่ทันไรก็ถูกปลงพระชนม์อีก ในท่ี สุดก็ถึงแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พม่าสบโอกาสยกทัพผ่านด่านเจดีย์ 3 องค์ เข้ามาปิดล้อมกรุงศรี อยธุ ยา สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดินากองทพั ออกรับสู้ ในชว่ งนีเ้ องทีห่ น้า ประวัตศิ าสตร์ได้บันทึกวีรกรรมของวีร สตรีพระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระศรี สุริโยทัย ที่ปลอมพระองค์ออกรบด้วย และได้ไสช้างเข้าขวางสมเด็จพระ มหาจักรพรรดิที่กาลังเพล่ียงพล้า จนถูกฟันสิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง ทุกวัน นี้อนุสาวรีย์เชิดชูวีรกรรมของ พระองค์ยงั คงต้งั เดน่ เปน็ สงา่ อยใู่ จกลาง เมืองพระนครศรีอยธุ ยา ครงั้ นั้นเม่อื พม่ายดึ พระนครไม่สาเรจ็ เพราะไม่ชานาญภูมิ ประเทศ กองทัพพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ต้อง ยกทพั กลบั ไปในทส่ี ุด ฝ่ายไทยก็ตระเตรียมการป้องกันพระนครเพื่อตั้งรับการรุกราน ของพม่าที่จะมีมาอีก การ เตรียมกาลงั ผคู้ น การคล้องชา้ งเพอ่ื จดั หาช้างไว้ เปน็ พาหนะสาคัญในการทาศึกครั้งนี้ทาให้มีการพบช้างเผือกถึง 7 เชือก เป็นช้างคู่บุญบารมีสูงสุดของพระมหากษัตริย์ สงครามยืดเยื้อยาวนานอยู่นับสิบปี พระเจ้าบุเรงนอง ผู้นาพม่าคนใหม่อ้างเหตุการณ์ต้องการช้างเผือกท่ีสมเด็จพระมหาจักรพรรดิมีอยู่ถึง 7 เชือก ยกทัพมาทา สงครามกับ กรุงศรีอยุธยาอีกคร้ัง ไทยเสียกรุงแก่พม่าเป็นครั้งแรกใน พ.ศ.2112 ช้างเผือกอัน เป็นสาเหตุของ สงครามก็ถูกกวาดต้อนไปพร้อมกับผู้คนจานวนมาก พระนเรศวรและพระเอกาทศรถ พระโอรสของพระมหา ธรรมราชาท่ีพมา่ ตั้งให้ เป็นกษตั รยิ ป์ กครองอยุธยาต่อไปในฐานะเมืองประเทศราชก็ทรงถูกบังคบั ให้ตอ้ งไปด้วย กรุงศรอี ยุธยาเป็นเมืองขึ้นของพม่าในครั้งนี้อยู่ถึง 15 ปี เมื่อสมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพแล้ว กองทัพพมา่ นาโดย พระมหาอุปราชก็คุมทัพลงมาปราบ สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตั้งท่ี ตาบลหนองสาหร่าย จงั หวดั สุพรรณบรุ ี สมเดจ็ พระนเรศวรทรงทายุทธหัตถีจนไดร้ ับชยั ชนะ พระมหาอุปราชถูกฟัน สิ้นพระชนม์ขาด คอช้าง เปน็ ผลใหก้ องทพั พม่าตอ้ งแตกพ่ายกลับไป ยุคสมยั ของสมเด็จพระนเรศวร กรงุ ศรอี ยธุ ยาเป็นปึกแผน่ มั่นคง ศัตรูทางพม่าอ่อนแอลง ขณะเดียวกัน เขมรก็ถูกปราบปรามจนสงบ ความ มั่นคงทางเศรษฐกิจจึงเกิดข้ึนตามมา อันส่งผลให้กรุงศรีอยุธยากลายเป็น อาณาจักรที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด ตามคากล่าวของชาวยุโรปท่ีหลั่งไหลเข้ามา ติดต่อค้าขายในช่วงเวลา ดงั กล่าว นบั ต้ังแตส่ มัยพระนเรศวรเป็นต้นมากรุงศรีอยุธยาก็กลายเป็นศูนย์กลางการค้าท้ังในและนอกประเทศ มีผู้คนเดินทาง เข้ามาติดต่อค้าขายเป็นจานวนมากต่างก็ชื่นชมเมืองท่ีโอบล้อมไปด้วยแม่ น้าลาคลอง ผู้คน สัญจรไปมาโดยใชเ้ รือเป็นพาหนะ จงึ พากนั เรยี กพระนครแห่งน้วี า่ “เวนิชตะวนั ออก” หลังจากโปรตุเกสเข้ามาติดต่อค้าขายเป็นชาติแรกแล้ว ฮอลันดา ญ่ีปุ่นและอังกฤษก็ตามเข้ามา ทั้งนี้ไม่ นับจนี ซึง่ ค้าขายกบั กรุงศรีอยธุ ยา อยู่กอ่ นแล้ว ชนชาติตา่ ง ๆ เหลา่ นีไ้ ดร้ ับการจัดสรรทดี่ ินให้อยู่เป็นย่าน เฉพาะ ดงั ปรากฏชอ่ื บา้ นโปรตเุ กส บ้านญ่ปี นุ่ และบา้ นฮอลันดามาจน ปจั จบุ ัน บันทึกของชาวฝร่ังเศสคนหนึ่งซ่ึงบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ได้คัด ลอกมา เล่าถึงพระนครศรีอยุธยาใน สมัยนั้นไว้ว่า เป็นพระนครท่ีมีผู้คนต่างชาติต่างภาษารวมกันอยู่ ดูเหมือนเป็น ศูนย์กลางการค้าขายในโลก ได้ ยนิ ผคู้ นพูดภาษาต่าง ๆ ทกุ ภาษา
- 25 - ในบรรดาชาวต่างชาติที่มาค้าขายกับอยุธยาในยุคแรกนั้น ญี่ปุ่น กลับเป็นชาติที่มีอิทธิพลมากท่ีสุด ยา มาดะ นางามาซะ ชาวญปี่ ุ่นได้รบั ความไวว้ างใจถึงขนั้ ได้ดารงตาแหน่งขุนนางในราชสานักของพระเอกาทศ รถ มียศเรยี กว่า ออกญาเสนาภิมุข ตอ่ มาไดก้ ่อความยงุ่ ยากขน้ึ จด หมดอิทธพิ ลไปในที่สุด แม้จะมชี นชาติตา่ ง ๆ เขา้ มาค้าขายดว้ ยมากมาย แตก่ รงุ ศรี อยุธยาก็ดเู หมือนจะผูกพันการค้ากับจีนไว้ อย่างเหนียวแน่น จีนเองก็ส่ง เสริมให้อยุธยาผลิตเคร่ืองป้ันดินเผาโดยเฉพาะเคร่ืองสังคโลก เพ่ือส่งออกไปยัง ตะวนั ออกกลางและหม่เู กาะในแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ การคา้ ขายต่าง ๆ เหล่าน้ีทาให้กรุงศรีอยุธยามีการเก็บภาษีท่ี เรียกว่า ขนอน มีด่านขนอนซ่ึงเป็นด่าน เก็บภาษีอยู่ตามลาน้าใหญ่ท้ัง 4 ทิศ และยังมีขนอนบกคอยเก็บภาษีที่มาทางบกอีกต่างหาก นอกเหนือจาก ความเปน็ เมอื งทา่ แล้ว อยธุ ยายังเปน็ ชมุ ทางการ ค้าภายในอกี ด้วย ตลาดกว่า 60 แห่งในพระนคร มีท้ังตลาดน้า ตลาดบก และยังมีย่านต่าง ๆ ท่ีผลิตสินค้าด้วยความชานาญเฉพาะด้าน มีย่านที่ ผลิตน้ามันงา ย่านทามีด ย่าน ปน้ั หมอ้ ยา่ นทาแป้งหอมธปู กระแจะ ฯลฯ คูคลองต่าง ๆ ในอยุธยาไดส้ ร้างสงั คมชาวนา้ ขึ้นพร้อมไปกับวิถี ชีวิตแบบเกษตรกรรม เมื่อถึงหน้าน้าก็ มีการเล่นเพลงเรือเป็นที่สนุกสนาน เม่ือเสร็จหน้านาก็มีการทอดกฐิน ลอยกระทง งานร่ืนเริงต่าง ๆ ของ ชาวบา้ นมกั ทาควบคู่ไปกับพิธีการของชาววัง เช่น พระราชพิธีจองเปรียญตาม พระประทีป ซ่ึงต่อมาเปล่ียนช่ือ เป็นลอยกระทงทรงประทีป พระราชพิธี สงกรานต์ พระราชพิธีแรกนาขวัญ พิธีกรรมเหล่าน้ีสะท้อนวิถีชีวิตของ ชาว อยธุ ยาท่ีผกู พนั อย่กู บั ธรรมชาติแม่น้าลาคลองอยา่ งเหนียวแน่น อยุธยาเจริญขึ้นมาโดยตลอด การค้าสร้างความม่ังค่ังให้พระคลัง ท่ีมีสิทธิ์ซ้ือสินค้าจากเรือสินค้า ตา่ งประเทศทกุ ลาไดก้ อ่ นโดยไมเ่ สียภาษี ความม่งั คัง่ ของราชสานักนาไปสู่การสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ การทานุ บารุงศาสนาและการก่อสรา้ งพระราชวงั ให้ใหญ่โตสง่างาม ในสายตาของชาวต่างประเทศแล้ว กรุงศรีอยุธยาเป็นมหานคร อันยิ่งใหญ่ ที่มีพระราชวังเป็น ศูนย์กลาง โยสเซาเต็น พ่อค้าชาวฮอลันดาที่ เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ บันทึกไว้ว่า กรุงศรีอยุธยาเป็นครท่ีใหญ่โตโอ่อ่าวิจิตรพิสดาร และพระมหากษัตริย์ สยามเป็นบุคคลที่ร่ารวย ที่สดุ ในภาคตะวนั ออกน้ี พระนครแห่งน้ี ภายนอกอาจดูสงบงดงามและร่มเย็นจากสายตา ของคนภายนอก แต่แท้จริงแล้ว บัลลังก์แห่งอานาจภายในของกรุงศรี อยุธยาไม่เคยสงบ เม่ือสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคต การแย่งชิง อานาจได้ ดาเนินมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปี พ.ศ.2172 ราชวงศ์สุโขทัยที่ครองราชย์ สืบต่อกันมาต้ังแต่สมัยของ พระมหาธรรมราชาก็ถูกโค่นล้ม พระเจ้า ปราสาททองเสด็จข้ึนครองราชย์ และสถาปนาราชวงศ์ปราสาททอง ขึ้นใหม่ แม้จะครองบัลลังก์จากการโค่นล้มราชวงศ์อ่ืนลง ยุคสมัยของ พระองค์และสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชท่ียาวนานถึง 60 ปีน้ัน กลับ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด พระเจ้า ปราสาททองทรงมุ่งพัฒนาบ้านเมืองทั้งทางด้านศิลปกรรมและการค้ากับต่างประเทศ ทรงโปรดให้สร้างวัดไชย วัฒนารามริมฝั่ง แม่น้าเจ้าพระยาขึ้นด้วยคติเขาพระสุเมรุจาลอง อันเป็นแบบอย่างที่ได้รับ อิทธิพลมาจาก ปราสาทขอม พร้อมกันน้ีก็ได้มีการคิดค้นรูปแบบทางศิลปกรรมใหม่ ๆ ข้ึน เช่นพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง พระพทุ ธรปู ทรงเคร่ืองแบบ อยุธยาอันงดงามกไ็ ด้รับการฟน้ื ฟูขนึ้ มาในสมยั น้ี ทางด้านการค้ากับต่างประเทศ หลังจากที่โปรตุเกสเข้ามาค้า ขายกับกรุงศรีอยุธยาจนทาให้เมือง ลิสบอนของโปรตุเกสกลายเป็นศูนย์ กลางการค้าเคร่ืองเทศและพริกไทยในยุโรปนานเกือบศตวรรษแล้ว ฮอลันดาจึงเร่ิมเข้ามาสร้างอิทธิพลแข่ง กรุงศรีอยุธยาสร้างไมตรีด้วยการให้สิทธิพิเศษบางอย่างแก่พวก ดัตช์ เพ่ือถ่วงดุลกับชาวโปรตุเกสท่ีเริม่ กา้ วรา้ วและเรียกร้องสิทธพิ เิ ศษเพ่ิมขนึ้ ทุกขณะ พอถงึ สมัยพระเจา้ ปราสาททอง การค้าของฮอลันดาเจริญรุ่งเรือง ข้ึนมาก จึงเร่ิมแสดงอิทธิพลบีบค้ัน ไทย ประกอบกับพระคลังในสมัยน้ันได้ ดาเนินการผูกขาดสินค้าหลายชนิด รวมทั้งหนังสัตว์ที่เป็นสินค้าหลัก ของ ชาวดตั ช์ ทาให้เกิดความไม่พอใจถึงขน้ั จะใชก้ าลงั กันขน้ึ ถงึ สมยั ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฮอลันดา
- 26 - กค็ ุกคามหนัก ข้ึน ในท่ีสุดก็เข้ายึดเรือสินค้าของพระนารายณ์ท่ีชักธงโปรตุเกสในอ่าวตัง เก๋ีย ต่อมาไม่นานก็นา เรอื 2 ลาเขา้ มาปดิ อา่ วไทย เรยี กรอ้ งไมใ่ หจ้ ้างชาว จนี ญ่ีป่นุ และญวนในเรือสนิ คา้ ของอยุธยา เพ่ือปิดทางไม่ให้ อยุธยาค้า ขายแข่งด้วย มีการเจรจากันในท้ายท่ีสุด ซึ่งผลจากการเจรจาน้ีทาให้ ฮอลันดาได้สิทธ์ิผูกขาดหนัง สัตว์อย่างเดิม เพ่ือถ่วงดุลอานาจกับฮอลันดท่ีนับวันจะเพิ่มข้ึนทุกขณะ สมเด็จพระนารายณ์จึงหัน ไปเอาใจ อังกฤษกับฝรั่งเศสแทน ในช่วงน้ีเองความสัมพันธ์ระหว่างกรุงสยามกับฝรั่งเศสเจริญรุ่งเรืองอย่างท่ีสุด ผู้หนึ่งท่ี ก้าวเขา้ มาในช่วงน้ีและตอ่ ไปจะไดม้ ี บทบาทอย่างมากในราชสานกั สยามคือคอนแสตนตนิ ฟอลคอน ฟอลคอนเป็นชาวกรีกท่ีเข้ามารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ราวกลาง รัชสมัย และ เจริญกา้ วหนา้ จนข้นึ เปน็ พระยาวิชาเยนทรใ์ นเวลาอนั รวดเร็ว เวลาเดยี ว กนั กับทฟี่ อลคอนก้าวขึ้นมามีอานาจใน ราชสานักไทย ฝรั่งเศสในราชสานักกของ พระเเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่เข้ามาติดต่อการค้าและเผยแพร่ศาสนาก็ พยายามเกล้ียกล่อม ให้สมเด็จพระนารายณ์หันมาเข้ารีตนิกกายโรมันคาทอลิกตามอย่างประเทศฝรั่งเศส ในชว่ งเวลานไี้ ดม้ กี ารส่งคณะทูตสยามเดินทางไปฝรั่งเศสเพอื่ เจรญิ สมั พันธไมตรี ทางฝรัง่ เศสเองก็ส่งคณะทูตเข้า มาในสยามบ่อยครง้ั โดยมจี ดุ ประสงค์หลักคือชัก ชวนให้พระนารายณ์ทรงเข้ารีต ฟอลคอนเองซึ่งเปล่ียนมานับ ถือนิกาย โรมันคาทอลิกตามภรรยา ไดด้สมคบกับฝร่ังเศสคิดจะเปลี่ยนแผ่นดินสยามให้เป็น เมืองขึ้นของ ฝร่ังเศส ดงั เชน่ ใน พ.ศ. 2228 โดยราชทูตเชอวาเลีย เดอโชมองต ปี พ.ศ. 2230 โดยลาลแู บร์ กก็ ลบั ไม่ประสบความสาเร็จในการเปลี่ยนให้พระเจ้าแผ่นดินสยามหันมา เข้ารีต ไม่นานชาวสยามก็เร่ิมชิงชังฟอลคอนมากข้ึน อิทธิพลของฟอลคอนที่มีต่อราชสานักสยามก็เพ่ิมมากขึ้น ทุกวัน ปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ทรงประชวนหนักไม่สามารถว่าราชกาลได้ มีรับส่ังให้ฟอลคอนรีบ ลาออกจากราชการและไป เสียจากเมืองไทย แต่ก็ช้าไปด้วยเกิดความวุ่นวายข้ึนเสียก่อน พระเพทราชาและ คณะผู้ไม่พอใจฝรั่งเศสจับฟอลคอนไปประหารชีวิต เม่ือสมเด็จพระนารายณ์เสด็จ สวรรคตในเดือนต่อมา พระเพทราชากเ็ สดจ็ ขนึ้ เถลิงราชสมบัตแิ ทน การเข้ามาของยุโรปจานวนมากในสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จ พระนารายณ์ นอกจากจะทาให้บ้านเมืองมีความม่ังค่ังแล้ว ยังก้าวหน้าไปด้วยวิทยาการสมัยใหม่ท้ังทางด้านสถาปัตยกรรม การแพทย์ ดาราศาสตร์ การทหาร มีการ ก่อสร้างอาคาร ป้อมปราการ พระท่ีนั่งในพระราชวังเพิ่มเติมด้วย เทคโนโลยีแบบ ตะวันตก นอกจากนี้ภาพวาดของชาวตะวันตกยังแสดงให้เห็นว่ามีการส่องกล้องดู ดาวในสมัย สมเด็จพระนารายณด์ ้วย เมื่อส้ินรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ความขัดแย้งภายในเนื่องจากการแย่งชิงราช สมบัติเกิดขึ้นอยู่ ตลอดเวลา ทาให้การติดต่อกับต่างประเทศซบเซาลงไป ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเพทราชาจนถึงพระเจ้าท้าย สระ มีการกอ่ สรา้ งส่ิงใหม่ๆเพียงไม่ก่ีอย่าง คร้ันถึงสมัยพระเจ้าบรมโกศ บ้านเมืองก็กลับเจริญรุ่งเรืองข้ึนมาอีกคร้ังในช่วง ระยะเวลาหนึ่ง จน กล่าวได้ว่ายุคสมัยของพระองค์นับเป็นยุคทองของศิลปวิทยา การอย่างแท้จริงก่อนท่ีกรุงศรีอยุธยาจะตกต่าไป จนถงึ กาลลม่ สลาย ในรัชกาลนี้ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระราชวังและวัดวาอารามต่างๆ ศิลปกรรม เฟ่ืองฟูข้ึนมาอย่าง มากท้งั ในดา้ นลวดลายปนู ปนั้ การลงรกั ปดิ ทอง การช่างประดบั มกุ การแกะสลกั ประตไู ม้ ทางด้านวรรณคดีก็มี กวีเกิดขึ้นหลายคน ที่โดเด่นและ เป็นที่รู้จักคือ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร ผู้นิพนธ์กาพย์เห่เรือ ส่วนการมหรสพก็มี การฟื้น ฟูบทละครนอกละครในข้ึนมาเล่นกันอย่างกว้างขวาง กรุงศรีอยุธยาถูกขับกล่อม ด้วยเสียงดนตรีและ ความรนื่ เรงิ อยตู่ ลอดเวลา กรงุ ศรอี ยธุ ยาในสมยั ของพระเจา้ บรมโกศจนถึงสมัยของพระเจา้ เอกทศั นน์ ัน้ คล้ายกับพลุท่ีจุดขึ้นสว่าง โร่บนท้องฟ้าชั่วเวลาเพียงไม่นานแล้วก็ดับวูบลงทันที วันกรุงแตกเม่ือ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 เล่ากันว่าใน กาแพงเมอื งมผี ู้คนหนพี มา่ มาแออดั อยู่นับแสนคน ปรากฏว่าได้ถูกพม่าฆ่าตายไปเสียกว่าครึ่ง ท่ีเหลือก็หนีไปอยู่ ตามป่าตามเขา พม่าได้ปล้นสะดม เผาบ้านเรือน พระราชวังและวัดวาอารามต่างๆจนหมดส้ิน นอกจากนี้ยัง
- 27 - หลอมเอาทองทอ่ี งคพ์ ระและกวาดต้อนผู้คนกลับ ไปจานวนมาก อารยะธรรมท่ีส่ังสมมากว่า 400 ปี ของกรุงศรี อยุธยาก็ถกู ทาลาย ลงอย่างราบคาบเมอื่ ส้ินสงกรานต์ปีน้นั หลังจากกรุงแตกแล้วพม่าก็มิได้เข้ามาปกครองสยามอย่างเต็มตัว คงทิ้งให้สุก้ี พระนายกองต้ังอยู่ท่ี ค่ายโพธิ์สามต้นเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย สภาพบ้าน เมืองหลังจากเสียแก่พม่าแล้วก็มีชุมนุมเกิดข้ึนตามหัว เมอื งตา่ ง ได้แก่ ชมุ นุม เจ้าฝางชุมนมุ เจา้ ตากชุมนมุ เจา้ พิษณุโลกชุมนมุ เจ้านครศรีธรรมราช ท่ีต่างก็ซ่องสุมผู้คนเพื่อเตรียม แผนการใหญ่ ในบรรดาชุมนุมใหญ่น้อยเหล่านี้ ชุมนุมพระเจ้าตากได้เติบโตเข้มแข็งขึ้นเมื่อ ยึดได้เมืองจันทบุรี กองทัพพระเจ้าตากใช้เวลาหลายเดือนในการรวบรวมผู้ คนตระเตรียมเรือรบ แล้วจึงเดินทัพทางทะเลขึ้นมา จนถึงเมืองธนบุรี เข้ายึด เมืองธนบุรีได้แล้ว ไม่นานก็ตีค่ายพม่าท่ีโพธิ์สามต้นแตกในวันท่ี 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 นบั รวมเวลาในการกอบกูเ้ อกราชไมถ่ ึงหนึง่ ปี สมดังคาทีว่ า่ \"กรงุ ศรีอยธุ ยาไม่สิ้นคนดี\" ข. สรุปการแยง่ ชิงราชบลั ลงั ก์เพ่อื ครองอานาจของกษตั ริย์สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา มี 24 ครงั้ คร้ังท่ี 1 พ.ศ.1913 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพระงั่ว หรือพ่อง่ัว) เจ้าเมือง สพุ รรณบุรีซึ่งเปน็ พีพ่ ระเหสขี องพระเจา้ อู่ทอง ยดึ อานาจจากพระราเมศวร ผู้เป็นหลาน โดยให้พระราเมศวรไป ครองเมอื งลพบุรี ตามตานานว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าเมืองละโว้มาก่อน เป็นการแย่งชิงระหว่างราชวงศ์สุพรรณ ภูมิกับอ่ทู อง ครั้งที่ 2 พ.ศ.1931 สมเด็จพระราเมศวร เจ้าเมืองลพบุรี สังหารพระเจ้าทองลั่นซึ่งเป็นพระ ราชโอรสของสมแจพระบรมราชาที่ 1(ขุนหลวงพะงว่ั ) ครองราชยไ์ ด้เพียง 7 วัน แย่งชงิ ราชบัลลังกค์ นื สาเรจ็ คร้ังที่ 3 พ.ศ.1952 สมเดจ็ พระมหาเสนายึดอานาจจากสมเด็จพระราชา แล้วถวายราชสมบัติ ให้แกเ่ จ้านครอินทร์ หรือสมเดจ็ นครนิ ทราชาธริ าช เจา้ เมืองสพุ รรณบุรี ระหวา่ งราชวงศ์สพุ รรณภูมกิ บั อูท่ อง คร้ังที่ 4 พ.ศ.1967 สมเด็จเจ้าอ้ายเจ้าเมืองสุพรรณภูมิ และเจ้าย่ีพระยาเจ้าเมืองแพรกศรี ราชา (เมอื งสรรค์บรุ )ี ซ่งึ พระราชโอรสของสมเดจ็ นครินราธริ าชท้ังสองพระองค์ ได้สู้รบกันเพ่ือแย่งชิงอานาจจน เสียชีวิตท้ังคู่ ราชสมบัติจึงเป็นของเจ้าสามพระยาเจ้าเมืองชัยนาท จึงสถาปนาพระยศเป็นสมเด็จพระบรม ราชาธริ าชท่ี 2 แยง่ ชงิ กนั ระหว่างราชวงศส์ ุพรรณภมู ดิ ว้ ยกนั เอง คร้ังที่ 5 พ.ศ.2077 พระไชยราชา สาเร็จโทษพระรัษฐาธิราชผู้มีพระชนม์เพียง 5 พรรษา ซึ่ง เป็นพระราชโอรสของพระบรมราชาหนอ่ พุทธางกรู รชั กาลท่ี 11 ราชวงศส์ พุ รรณภมู ิด้วยกนั คร้งั ท่ี 6 พ.ศ.2091 แม่ยั่วศรีสุดาจันทร์ซึ่งเป็นมเหสีของไชยราชาร่วมกับขุนวรวงศาธิราชแย่ง สมบตั จิ ากพระยอดฟา้ พระโอรสของตนเอง18ขณะมีพระชมายเุ พยี ง 12 พรรษา ครั้งที่ 7 พ.ศ.2091 ขุนนางประกอบด้วยขุนพิเรนทรเทพขุนอินทรเทพ หลวงศรียศ หม่ืนราช เสน่หานอกราชการ ทาการชิงราชสมบัติคืนจากขุนวงศาธิราชซึ่งครองอานาจได้ 42 วัน นาไปถวายสมเด็จพระ มหาจักรพรรดิ สาเร็จโทษขุนวงศาธิราชด้วยการโยนให้สุนัขกิน ส่วนท้าวศรีสุดาจันทร์ถูกฆ่าด้วยดาบแล้วโยน ลงแม่น้า สว่ นพระศรีสินรัชทายาทของพระไชยราชาขุนพิเรนทราเทพได้ชบุ เลยี้ งเอาไว้ ครั้งท่ี 8 พ.ศ.2104 พระศรีศิลป์ (ศรีสิน) ราชบุตรสมเด็จพระไชยาธิราชกับท้าวศรีสุดาจันทร์ เมอ่ื โตขน้ึ ได้กอ่ กบฏแยง่ ชงิ อานาจคนื จากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแต่ก่อการไม่สาเร็จถูกปราบได้และถูกสาเร็จ โทษ สาเหตุของการก่อการคร้ังนี้ เปน็ ที่ชัดเจนว่าพระศรีศิลป์มีความพยายามที่จะแย่งอานาจคืนท่ีตนเองมีสิทธิ กลบั มาใหไ้ ด้ 18 ทา้ วศรีสุดาจนั ทรเ์ ปน็ นางสนมเอกของสมเด็จพระไชยราชาธิราช มีพระราชบุตร 2 พระองค์ คือ พระยอดฟ้า และพระศรีสิน มีบรรดาศักดิ์เป็นแม่ย่ัวเมืองตามกฎมณเฑียร พงศวดารกล่าวว่าท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นชู้กับขุนวรวงศาธิราช ระหว่างที่เป็น ผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระไชยราชาธิราชท่ีไปทัพรบกับพม่าที่เชียงกราน(แม่สอด) จนต้ังท้อง นางสัญญาว่าจะยกบัลลังก์ของพร พะยอดฟ้าซ่ึงเป็นราชบุตรให้กับชายชู้ คร้ันเม่ือพระไชยราชาเสด็จกลับพระนครก็ถูกวางยาพิษประชวรอยู่ 5 วัน จึงสวรรคต และพระยอดฟ้าขึ้นเสวยราชสมบตั ิเพียง 2 เดือน (จิตรสิงห์ ปยิ ะชาต.ิ กบฎกรงุ ศรอี ยะยา.กรงุ เทพฯ:ยิปกรุป๊ .2551.หนา้ 78-82)
- 28 - ครั้งท่ี 9 พ.ศ.2106 สุลต่านเจ้าเมืองปัตตานีเข้าปล้นพระราชวังสมเด็จพระจักพรรดิต้องเสด็จ หนีไปประทับท่ีเกาะมหาพราหมณ์ พงศวดารกล่าวว่าพญาตานีศรีสุลต่านมาดฟาร์ชาส์เจ้าเมืองปัตตานีได้ยก ทัพเรือ 200 ลา เข้ามาช่วยกรุงศรีอยุธยารบกับพม่า แต่ได้ทีกลับเป็นกบฏในที่สุดถูกปราบอย่างราบคาบ และ ถูกประหารทัง้ หมด ครั้งที่ 10 พ.ศ.2124 เกิดกบฏไพร่ญาณพิเชียร ซึ่งมีหลายความเห็นว่าเป็นสามัญชนธรรมดา บา้ งหรอื วา่ เป็นขุนนางบา้ ง แตก่ ก็ ข็ นานนามในครงั้ น้ีว่าเป็น “กบฏไพร่” ซึ่งตามพงศวาดารกล่าวว่า “ญาณประ เชียรเรยี นศาสตราคม คดิ เปน็ ขบถ คนท้ังปวงสมัครเขา้ มาดว้ ยมาก และยกมาจากเมือลพบุรี”19 แต่การก่อการ คร้ังนีไ้ ด้รับความพา่ ยแพเ้ พราะได้ถกู ชาวอมรวดี (คาดว่าเปน็ ฝร่งั ) ใชอ้ าวุธปืนยิงตาย ครง้ั ที่ 11 พ.ศ.2153 พระศรีเสาวภาคย์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ของสมเด็จพระเอกาทศรถ มพี ระเนตรเสยี ขา้ งหนง่ึ ไดถ้ ูกพระศรีสิน ซ่ึงเป็นพระโอรสต่างมารดาปลงพระชนม์ด้วยท่อนจันทน์ (เดิมพระศรี สนิ บวชเป็นพระมบี รรดาศกั ดเ์ิ ป็นพระพิมลธรรม) ได้กาลังซึ่งเป็นศิษย์และญาติโยมเข้ายึดอานาจได้สาเร็จ และ ราชาพิเษกเป็นพระเจ้าทรงธรรม นับเป็นครง้ั แรกของการแยง่ ชงิ ราชสมบตั ขิ องราชวงศส์ โุ ขทยั คร้ังท่ี 12 พ.ศ.2155 ชาวญ่ีปุ่นในกรุงศรีอยุธยาทาการยึดวังหลวงก่อนจะถูกปราบและถูกฆ่า ตายเปน็ จานวนหนง่ึ ครัง้ ที่ 13 พ.ศ.2173 สมเด็จพระเจา้ ปราสาททองชงิ อานาจจากสมเดจ็ พระเชษฐาธิราชกุมาร ครง้ั ท่ี 14 พ.ศ.2173-2174 เกดิ กบฏเมอื งนครศรธี รรมราช สงขลา และปัตตานี ในรัชกาลของ สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง คร้ังที่ 15 พ.ศ.2199 สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาราชอนุชาสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้ รว่ มกบั พระนารายณซ์ ง่ึ เป็นพระอนุชาของสมเด็จเจ้าฟ้าไชยแยง่ ชิงราชสมบัตแิ ละสาเร็จโทษสมเด็จเจ้าฟ้าไชย ครั้งที่ 16 พ.ศ.2199 นับเป็นคร้ังท่ี 2 ในเดียวปีกันสมเด็จพระนารายณ์ได้ยึดอานาจจาก สมเด็จพระศรีธรรมราชาผู้เป็นอาขณะครองราชย์ได้เพียง 2 เดือน 20 วัน ทั้งท่ีได้ร่วมกันแย่งชิงราชบัลลังก็มา จากเจา้ ฟา้ ไชย และได้สาเรจ็ พระศรธี รรมราชา ณ ท่ีเดยี วกบั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ไชย ณ โคกพระยา คร้ังที่ 17 พ.ศ.2199 นับเป็นครั้งท่ี 3 เกิดการแย่งชิงราชบัลลังก์ข้ึนอีกโดยเจ้าฟ้าพระไตรภู วนาทิตย์ ราชโอรสต่างพดระมารดาของเจ้าปราสาททองร่วมกับขุนนางเก่า เตรียมการเพื่อเข้ายึดอานาจจาก สมเดจ็ พระนารายณ์ แต่ไม่สาเร็จถูกปราบลงไดส้ าเร็จ คร้งั ที่ 18 พ.ศ.2229 พวกแขกมกั กะสนั ก่อการยดึ อานาจ แตถ่ กู ปราบโดยขุนนางฝรง่ั กบั แขก ครง้ั ท่ี 19 พ.ศ.2231 สมเดจ็ พระเพทราชายดึ อานาจจากสมเด็จพระนารายณ์ ครง้ั ท่ี 20 พ.ศ.2232-2241 หัวเมืองนครศรีธรรมราช และนครราชสีมาได้ก่อการกบฏ เพราะ เห็นวา่ พระเพทราชาขนึ้ ครองราชบลั ลงั กโ์ ดยการแยง่ ชงิ มาจากสมเดจ็ พระนารายณ์ (มีการร่าลือว่าพระเจ้าเสือผู้ เปน็ ราชบตุ รร่วมมอื กับพระเพทราช) พระเพทราชาสถาปนาราชวงศ์ใหม่เป็นราชวงศ์บ้านพลูหลวง หัวเมืองท้ัง สองจึงไม่ยอมรับอานาจของศูนย์กลาง การแข็งเมืองคร้ังน้ีทาให้พระเพทราชาต้องส่งกองทัพหลายคร้ังแต่ก็ ปราบไดต้ ้องใช้เวลาถึง 3 ปี 19 การเกดิ กบฏคร้ังนี้ขณะท่สี มเด็จพระมหาธรรมราชา รัชกาลท่ี 17 (ต้นราชวงศ์สุโขทัย) เป็นกษัตริย์ที่ปกครองกรุงศรีอยุธยา ภายใตอ้ านาจฐานะเมอื งขน้ึ ของพม่าในการเสียกรงุ ศรอี ยธุ ยาเมอื่ พ.ศ.2112 บ้านเมอื งระสา่ ระสายพินาศจากการทาสงครามกบั บุเรงนอง เจา้ เมอื งหงสาวดี และถูกริบสมบัติไปหมด ผู้คนก็แตกฉานซ่านเซ็นซุ่มซ่อนอยู่ในป่าดง บุเรนองได้ต้ังขุนนางพม่ามา กากับโดยบังคับให้ใช้กฎหมายธรรมเนียมต่างๆแบบหงสาวดี นานถึง 15 ปี ต่อมาสมเด็จพระเนรศวรได้ประกาศอิสรภาพเมื่อ พ.ศ.2127 หลงั จากไดร้ ับเอกราชได้ 6 ปี สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็สวรรคต -ระหว่างที่กรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ได้มีเหตุการณ์ ใน พ.ศ.2113 คือ กรุงศรีอยุธยาก็ถูกเขมรยกกองทัพเข้า รุกรานเพราะเห็นว่ากรุงศรีอยุธยามีความมีความอ่อนแอมาก และก่อกวนอีก 2 คร้ัง คือ พ.ศ.2118 และ พ.ศ.2121 ในแต่ละ ครง้ั ไดก้ วาดตอ้ นผูค้ นไปเป็นจานวนมาก
- 29 - ครั้งที่ 21 พ.ศ.2237 เกิดกบฏธรรมเถียร ผู้นาก่อนการกบฎเป็นข้าหลวงเดิมของเจ้าฟ้าอภัย ทศ พระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ ปลอมตัวเป็นเจ้าฟ้าอภัยทศหลอกลวงชาวบ้านให้เข้าเป็นพวกท่ีแขวง นครนายกและบริเวณสระบุรีถึงลพบุรี แม้กองกาลังของธรรมเถียรจะมีกาลังคนมากแต่ก็ขาดประสิทธิภาพ ทา ให้เมืองหลวงท่ีมีอาวุธเหนือกว่าปราบลงได้ สาเหตุทางการเมืองคร้ังนี้เน่ืองมาจากผู้ก่อการไม่พอใจพระเพท ราชาซ่ึงเป็นขุนนางในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มีความไม่เหมาะสม เพราะยังมีผู้ที่เหมาะสมท่ีขึ้น ครองราชย์ไดอ้ กี หลายคน เชน่ พระอภัยทศพระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ ครั้งท่ี 22 พ.ศ.2241 เกิดกบฏบุญกว้าง ข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเก่ียวเนื่องกับการปราบปราม เมืองนครราชสีมาก่อนหน้าน้ี ซึ่งเมื่อสมเด็จพระเพทราชายกทัพมาปราบปรามการแข็งเมืองของเมือง นครราชสีมาที่มีพระยายามราช (สังข์) ขุนนางเก่าของสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าเมืองอยู่ เมื่อตีเมืองได้ได้ตั้ง เจ้าเมืองคนใหม่ท่ีอ่อนแอ ทาให้มีผู้อ้างตัวเป็นผู้นา บุญกว้างเป็นคนท่ีมีความรู้วิชาการดี อาศัยไสยศาสตร์กา หราบเจ้าเมอื งและคนอนื่ ๆ และสามารถยึดเมืองนครราชสีมาได้ เหตุการณ์สะท้อนให้เห็นถึงความเปล่ียนแปลง ของชนชั้นถูกปกครองรอบนอกเร่ิมจะลุกข้ึนมาเรียกร้องกับผู้ปกครองของตนเอง ท่ีผ่านมาไพร่ไม่เคยมีบทบาท ในการลุกขนึ้ ตอ่ สู้เพอ่ื ตนเอง คร้งั ที่ 23 พ.ศ.2276 สมเด็จพระเจ้าอยู่บรมโกศยึดอานาจจากสมเด็จเจ้าฟ้าอภัย ด้วยเจ้าฟ้า อภัยเป็นพระโอรสของพระเจา้ ทา้ ยสระได้ขึน้ เสวยราชสมบตั ิ แตถ่ า้ นับตามสิทธิแล้วพระเจ้าบรมโกศซึ่งเป็นพระ นุชาของพระเจา้ ทา้ ยสระจะต้องขึ้นครองราชย์ แต่ก่อนท่ีพระเจ้าท้ายสระจะสวรรคตมีพระราชประสงค์ท่ีจะให้ เจ้าฟ้าอภัยขึ้นครองราชย์ เพราะเจ้าฟ้ากรมพระสุเรนทรพิทักษ์โอรสองค์ใหญ่ไม่ประสงค์ครองราชย์ต้องการ ออกผนวช จึงทาใหเ้ กิดศึกแย่งชิงราชสมบัติเกิดข้ึน ในเบื้องต้นพระเจ้าบรมโกศสู้ไม่ได้แต่ขุนชานาญชาญณรงค์ เข้ามาช่วยรบจนได้รับชัยชนะ ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ และได้สาเร็จโทษเจข้าฟ้าอภัยและ พวก กรณีท่ีเกิดการแยง่ ชงิ ราชบลั ลังก์ในครง้ั นท้ี าใหก้ รงุ ศรอี ยุธยามีความออ่ นแอ และมคี วามขัดแย้งกันระหว่าง เจ้านายทรงกรมตา่ งๆ ครัง้ ท่ี 24 พ.ศ.2301 เกิดกบฏเจา้ สามกรม หลังจากท่สี มเด็จพระบรมโกศได้ครองราชย์แล้วจึง ไดป้ รับปรงุ การปกครองดว้ ยการแต่งเจ้านายทรงกรมต่างๆ เพิ่มข้ึนจากเดิมมี 3 กรม เป็น 12 กรม แต่ละกรมมี อานาจในการปกครองไพร่ของตนเอง โดยนัยเพ่ือเป็นการคานอานาจซึ่งกันและกัน แต่ก็ทาให้การขยายกรมที่ คมุ ไพร่กระจายไปอยู่ตามกรมต่าง ๆ ยากต่อการระดมพลเพื่อต่อสู้กับข้าศึกภายนอก เมื่อไม่มีการแต่งตั้งเจ้าวัง หน้าทาให้บรรดาพระราชโอรสที่คิดตัวตนเองมีสิทธิได้ครองราชย์กันท้ังส้ิน จึงเกิดกลุ่มการเมืองข้ึน กลุ่มแรกมี เจา้ ฟ้าธรรมมาธิเบศธ์ กรมขนุ เสนาพทิ กั ษ์ ผสู้ นับสนุนมีเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์มีพระมารดาเป็นมเหสีสมเด็จ พระบรมโกศ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อนุรกั ษม์ นตรี และเจา้ ฟา้ กรมขนุ พรพนิ ติ ซ่งึ มีความสัมพันธ์ทารงเครือญาติ โดยอีก กล่มุ เรียกกันวา่ กลมุ่ เจา้ สามกรม มีกรมหม่นื จิตรสนุ ทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหม่ืนเสพภักดี ซ่ึงมีมารดา เป็นสนมเอกและสนมเท่านั้น เม่ือสมเด็จพระบรมโกศไม่ได้แต่งตั้งวังหน้า ทาให้เกิดความระแวงระหว่างสอง กลุ่มจึงเป็นศัตรูทางการเมือง มีแนวโน้มที่จะแต่งตั้งพระราชนัดดาโอรสของพระเจ้าท้ายเป็นวังหน้าคือเจ้าฟ้า กรมขุนสุเรนสุนทรพิทักษ์ซึ่งทรงผนวชอยู่ กลุ่มเจ้าสามกรมจึงวางแผนลอบปลงพระชนม์ แต่สมเด็จกรมหลวง อุทมุ พรปราบปรามไดส้ าเรจ็ ผู้ก่อการถูกลงโทษ แต่เจา้ ฟ้ากรมขนุ สเุ รนสุนทรพทิ ักษ์ ขอให้ลงโทษสถานเบา จากการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างสองราชวงศ์ในระยะแรก คือ ราชวงศ์อู่ทอง กับราชวงศ์ สพุ รรณภูมิ มาส่กู ารแยง่ ของราชวงศส์ โุ ขทัย และเกดิ ราชวงศ์ใหมข่ นึ้ มาอกี 2 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์ปราสาททอง และราชวงศ์บ้านพลูหลวง ซงึ่ เปน็ ราชวงศส์ ดุ ทา้ ยของกรุงศรีอยุธยา พระราชวงศ์และพระนามของพระมหากษัตริย์ของกรงุ ศรอี ยุธยา พ.ศ.1893-1912 ราชวงศ์อู่ทอง 1. สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 (พระเจา้ อทู่ อง)
- 30 - 2. สมเดจ็ พระราเมศวร (ครองราชย์ 2 ครง้ั ) พ.ศ.1912-1913 และ พ.ศ.1931-1,938 3. สมเดจ็ พระราชาธิราช (ถูกถอดจากราชสมบัต)ิ พ.ศ.1938-1952 ราชวงศส์ พุ รรณภูมิ 4. สมเดจ็ พระบรมราชาท่รี าชท่ี 1 (ขุนหลวงพะงวั่ (พอ่ ง่ัว)) พ.ศ.1913-พ.ศ.1931 5. สมเด็จพระเจ้าทองจนั (ทองลัน) (ถกู ปลงพระชนม)์ (7วัน) พ.ศ.1931-1931 6. สมเด็จพระนครินทราธิราช (เจา้ นครอนิ ทร์) พ.ศ.1925-1967 7. สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พ.ศ.1967-1991 8. สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ.1991-2031 9. สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ 3 พ.ศ.2031-2034 10. สมเด็จพระรามาธิบดที ี่ 2 (พระเชษฐา) พ.ศ.2034-2072 11. สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 4 (หน่อพทุ ธางกรู ) พ.ศ.2072-2076 12. พระรษั ฎาธิราช (ถูกปลงพระชนม์) พ.ศ.2076-2077 13. สมเดจ็ พรไชราชาธริ าช พ.ศ.2077-2089 14. พระยอดฟ้าหรอื แกว้ ฟ้า (ถกู ปลงพระชนมโ์ ดยท้าวสดุ าจันนก์ ับชู้) พ.ศ.2089-2091 15. ขนุ วรวงศาธริ าช (ถูกขนุ นางกาจัด ครองราชได้ 42 วนั ) พ.ศ.2091-2091 16. สมเด็จพระมหาจกั พรรดิ พ.ศ.2091-2111 17. สมเด็จพระมหินทราธริ าช พ.ศ.2111-2112 ราชวงศ์สุโขทัย 18. สมเด็จพระมหาธรรมราชาธริ าช พ.ศ.2112-2133 19. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พ.ศ.2133-2148 20. สมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ.2148-2153 21. พระศรีเสาวภาคย์ (ถกู ปลงพระชนม)์ พ.ศ.2153-2153 22. สมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรม พ.ศ.2153-2171 23. สมเด็จพระเชษฐาธิราช (ถูกปลงพระชนม์) พ.ศ.2171-2172 24. สมเด็จพระอาทติ ยวงศ์ (ถูกถอดจากราชสมบตั ิและถกู ปลงพระชนม์)พ.ศ.2172-2172 ราชวงศ์ปราสาทอง 25. สมเด็จเจา้ ปราสาททอง พ.ศ.2172-2199 26. สมเดจ็ เจ้าฟา้ ชัย (ถกู ปลงพระชนม์) พ.ศ.2199-2199 27. สมเดจ็ พระศรีสธุ รรมราชา (ถกู ปลงพระชนม์) พ.ศ.2199-2199 28. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ.2199-2231 ราชวงศ์บ้านพลหู ลวง 29. สมเดจ็ พระเพทราชา พ.ศ.2231-2246 30. สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ท่ี 8 (พรพะเจา้ เสือ) พ.ศ.2246-2251 31. สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พ.ศ.2251-2275 32. สมเดจ็ พระเจา้ อยู่บรมโกศ พ.ศ.2275-2301 33. สมเดจ็ พระเจา้ อทุ ุมพร (ขุนหลวงหาวดั สละราชสมบัตทิ รงผนวช) พ.ศ.2301-2301 34. สมเดจ็ พระท่ีน่ังสรุ ิยาศน์อมรินทร์ (พระเจา้ เอกทศั ) พ.ศ.2301-2310 3. สมัยธนบรุ ี (พ.ศ.2310 - พ.ศ.2325)
- 31 - การปกครองในสมัยธนบุรี ไม่ได้มีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงไปจากรูปแบบเดิมท่ีใช้อยู่ในสมัยอยุธยา เน่ืองจากขณะน้ันเป็นระยะที่ไทยกาลังรวบรวมอาณาจักรขึ้นใหม่ พระเจ้ากรุงธนบุรี (ตากสิน) ทรงมีพระราช ภาระในการปราบปรามบรรดาชมุ นมุ อสิ ระต่าง ๆ ที่เกดิ ขน้ึ หลังกรงุ ศรีอยุธยาแตก ลกั ษณะทางเศรษฐกจิ ในขณะท่สี มเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชข้ึนครองราชสมบัติน้ัน บ้านเมืองกาลังประสบความตกต่าทาง เศรษฐกิจอยา่ งทสี่ ดุ ขาดแคลนข้าวปลาอาหาร เกิดความอดอยากยากแค้น จึงมีการปล้นสะดมแย่งชิงอาหารอยู่ ท่วั ไป การทาไรท่ านาตอ้ งหยุดชะงกั โดยสิ้นเชิง ในชว่ งปี พ.ศ.2311-2319 ข้าวปลาอาหารฝืดเคืองมากมิหนาซ้า ยังเกิดภัยธรรมชาติซ้าเติม ทาให้ภาวะเศรษฐกิจท่ีเลวร้ายอยู่แล้วกลับทรุดหนักลงไปอีก กล่าวคือ ได้เกิดมีหนู ระบาดออกมากินข้าวในยุ้งฉาง ความขาดแคลนในระยะน้ันได้ทวีความรุนแรงถึงกับมีผู้คนล้มตายเป็นจานวน มากกว่าเมือ่ ครง้ั ที่พมา่ เขา้ ตกี รุงศรีอยุธยาเสียอกี สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชได้ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์ด้วยกุศโลบายอันแยบคาย ทั้งในระยะส้ัน และ ระยะยาว ดังตอ่ ไปน้ี 1) ทรงสละพระราชทรัพย์ซื้อข้าวสารราคาแพงท่ีต่างชาตินามาขาย แล้วนาไปขายให้ราษฎรใน ราคาถูก และทรงแจกเสื้อผ้า อาหารแก่ผู้ยากไร้ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซ่ึงได้ผลดีอย่างย่ิงในการสร้างขวัญ และกาลังใจใหแ้ ก่ประชาชน ซึง่ ภาวะจิตใจกาลงั ตกตา่ สดุ ขดี จากสภาวะบา้ นแตกสาแหรกขาด 2) ทรงเรง่ รดั การทานา เพื่อให้มีข้าวบริโภคเพียงพอ โดยการเกณฑ์ข้าราชการทานาปรัง (การทา นานอกฤดูกาล) ในเวลาเดียวกันก็ป่าวประกาศให้ราษฎรดักหนูในนามามอบให้ทางราชการ เพ่ือกาจัดการ ระบาดของหนูนาให้หมดไปโดยรวดเร็ว ทรงวางแผนระระยาว เพิ่มเนื้อท่ีปลูกข้าวใกล้พะนคร โดยทรงให้ ปรับปรุงพ้ืนท่ีนอกกาแพงเมืองท้ัง 2 ฟาก ซึ่งเคยเป็นสวนเป็นป่า ให้เป็นทะเลตม พอเสร็จศึกพม่าราวกลางปี พ.ศ. 2319 กท็ รงบญั ชาใหก้ องทพั ลงมอื ทานาในท่ีซงึ่ ตระเตรยี มไว้นน้ั เศรษฐกิจในสมัยธนบุรีเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา (คือทาพอมีพอกินในแต่ละ ครอบครัว) การทานาเป็นอาชีพหลัก นอกจากน้ันก็มีการปลูกฝ้าย ยาสูบ อ้อย ผัก และผลไม้กันทั่วไป เม่ือ บ้านเมืองพ้นจากภาวะสงครามไม่มีข้าศึกมารบกวน ประชาชนก็มีเวลาตั้งหน้าประกอบการอาชีพ ทาให้ฐานะ ความเป็นอยูข่ องครอบครัวดีขึ้น บ้านเมืองจึงสามารถกลับฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ส่งผลให้เกิด ธรุ กิจการผลติ และการติดตอ่ คา้ ขายขยายกว้างออกไปเกิดบริเวณชุมชนตามแหล่งผลิตต่างๆ เพ่ิมขึ้น และค่อยๆ เตบิ โตเปน็ บา้ นเมืองขนาดใหญ่ ในการสรา้ งพ้ืนฐานทางเศรษฐกจิ น้ันได้ทรงดาเนินการในด้านตา่ งๆ ดงั นี้ 1) การสร้างงานดา้ นการเกษตร เพื่อเร่งรัดการผลิตอาหารได้เพียงพอสาหรับการบริโภค ในข้นั แรกได้ทรงใชแ้ รงงานคนไทยโดยระดมกาลังจากกองทัพ แต่หลังจากท่ีทรงปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ไว้ได้ ในอานาจ จึงได้แรงงานจากเชลยที่กวาดต้อนมาได้ เช่น แรงงานจากเชลยชาวลาว เชลยชาวเขมรใช้ในการ เพาะปลูกเพิ่มขน้ึ รวมไปถึงแรงงานชาวจีนซึ่งไดร้ ับการสนบั สนุนให้เข้ามาประกอบอาชีพในราชอาณาจกั รดว้ ย 2) การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในหัวเมือง เมื่อแรงงานในส่วนกลางมีมากข้ึน จึง ทรงใชแ้ รงงานเหลา่ น้นั ไปสรา้ งความเจริญให้แก่หัวเมือง เช่น ให้คนลาวไปต้ังบ้านเรือนทาการเพาะปลูกท่ีเมือง สระบุรี ราชบุรี เพชรบุรี จันทบุรี ให้ชาวจีนบางกลุ่มไปประกอบอาชีพทาไร่ เช่น ไร่อ้อย ไร่พริกไทย ตามหัว เมืองชายทะเลด้านตะวันออก และอาชีพทาเหมืองทางภาคใต้ ธุรกิจขนาดใหญ่เหล่าน้ีทาให้เกิดความ เจริญเติบโตของเมือง มชี มุ ชนขนาดใหญ่เกิดขน้ึ ตามแห่งผลิตต่างๆ ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพซ่ึงทากันอยู่เดิมก็ เริม่ เปลี่ยนเปน็ เศรษฐกิจเชิงพาณชิ ย์ ทาให้เกดิ มโี รงสีข้าว โรงงานน้าตาล และเหมอื งดบี กุ ข้นึ มา 3) การเปิดรับความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเห็น ความสาคญั ของความรทู้ ตี่ อ้ งใชใ้ นการพฒั นาชาตบิ า้ นเมอื ง เช่น ความรู้ทางด้านการค้าขายและทางช่าง จึงทรง สนบั สนนุ ใหช้ าวจนี เขา้ มาช่วยเหลอื กิจการในด้านเหลา่ น้ี เปน็ ต้นว่า การต่อเรือ การเดินเรือ การต้ังโรงงานแปร รูปสนิ คา้ เกษตรกรรม เช่น โรงสี โรงเลื่อยจักร โรงงานนา้ ตาล ปรากฏว่าความรูแ้ ละเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ ทา
- 32 - ให้ผลผลิตจากชนบทเข้าสู่เมืองมากข้ึน และส่งเสริมให้ธุรกิจเชิงพาณิชย์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว 4) การส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงส่งเสริมทางด้าน การค้าขาย โดยส่งเรือสาเภาไปคา้ ขายยงั ประเทศจีน อินเดีย และประเทศใกล้เคียง สาหรับส่ิงของที่บรรทุกเรือ สาเภาหลวงไปขาย มี ดีบุก พริกไทย คร่ัง ขี้ผ้ึง ไม้หอม ฯลฯ และเมื่อขายสินค้าหมดแล้วก็จะซ้ือสินค้า ต่างประเทศท่ีต้องการใช้ในประเทศ เช่น ผ้าลายและถ้วยชามมาขายให้แก่ประชาชนอีกต่อหนึ่ง แต่ยังใช้ระบบ การคา้ ขายแบบเดยี วกับสมยั อยุธยา คือ อยู่ภายใตก้ ารดูแลของพระคลงั สินคา้ หรือกรมทา่ ลกั ษณะทางสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในสมัยธนบุรี กล่าวได้ว่า มีการควบคุมกันอย่างเข้มงวด เพราะ บ้านเมืองตกอยใู่ นภาวะสงคราม ตอ้ งสรู้ บกับพม่าข้าศกึ อยตู่ ลอดเวลา การเกณฑพ์ ลเรือนเข้ารับราชการไพร่โดย การสักเลก อันเป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณน้ัน ได้มีการกวดขันเป็นพิเศษในสมัยนี้ โดยเฉพาะการลงทะเบียน ชายฉกรรจ์เป็น ไพร่หลวง ทั้งน้ีเพ่ือป้องกันการหลีกเล่ียงและหลบหนี แต่โดยเหตุที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชทรงเป็นผู้นาที่สามารถและเป่ียมด้วยความเมตตา ราษฎรจึงยินยอมพร้อมใจกันเสียสละพัฒนาชาติ บา้ นเมืองอย่างเต็มความสามารถ ทาให้สังคมไทยกลบั คืนสสู่ ภาพปกติภายในเวลาอนั รวดเร็ว ในปลายรัชสมยั ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ บันทึกไว้ว่า สมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระสติฟ่นั เฟอื นไป เข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบัน และจะให้พระสงฆ์กราบไหว้ พระองค์ซ่ึงเป็นคฤหัสถ์ บ้านเมืองเกิดความระส่าระสาย นอกจากน้ีราษฎรท่ัวไปยังได้รับความเดือดร้อนจาก ข้าราชการที่ทุจริตกดขี่ข่มเหงหาประโยชน์ส่วนตัว เป็นเหตุให้ละท้ิงบ้านเรือนหนีเข้าป่าไปเป็นจานวนมาก คนร้ายกลมุ่ หนง่ึ ที่กรงุ เก่า (กรงุ ศรอี ยธุ ยา) จึงถอื โอกาสคบคิดกนั ปลกุ ป่ันยุยงราษฎรให้กระด้างกระเด่ืองต่อพระ เจ้ากรุงธนบุรี และก่อการกบฏเข้าปล้นจวนผู้รักษากรุงเก่า ฆ่าผู้รักษากรุงเก่าและคณะกรมการเมือง สมเด็จ พระเจา้ ตากสินมหาราชทรงมรี ับส่งั ให้พระยาสรรคข์ ึ้นไปสอบสวน แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้ากับพวกกบฏ และ ยกพวกมาปล้นพระราชวงั ท่กี รุงธนบุรี ในเดือนมนี าคม พ.ศ. 2324 บงั คับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชออก ผนวชและคมุ พระองคไ์ ว้ทพ่ี ระอุโบสถวดั อรณุ ราชวราราม แล้วพระยาสรรค์ก็ตั้งตนเป็นผู้สาเร็จราชการแผ่นดิน แทน ทางฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซ่ึงไปราชการทัพเมืองเขมรและกาลังจะยกเข้าตีเมืองเสียมราฐ เมื่อทราบข่าวเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี จึงรีบยกทัพกลับ ขณะนั้นเป็นเดือนเมษายน พ.ศ. 2325 เมื่อมาถึงก็ได้ สอบสวนเรือ่ งราวความยงุ่ ยากทเี่ กิดข้ึน และให้ประชุมข้าราชการ ท่ีประชุมลงความเห็นว่าให้สาเร็จโทษสมเด็จ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชเสีย ตลอดรชั สมัยของพระองค์ สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราชต้องทรงตรากตราในการสูร้ บ เพื่อดารงความ เป็นเอกราชและขยายขอบเขตแผ่นดินไทย จนสามารถขยายเป็นอาณาจักรใหญ่ในแหลมทองนี้ นับได้ว่า พระองค์ทรงเป็นนักรบอย่างแท้จริง มิได้ทรงมีโอกาสแม้แต่จะเสวยสุขสงบแม้ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ ในตอน ปลายรชั กาล พระยาสรรค์ไดก้ ่อกบฏ บา้ นเมืองเกดิ ความว่นุ วาย จนเปน็ เหตุใหท้ รงถกู สาเร็จโทษ20 4. สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รูปแบบการปกครองของกรุงศรีอยุธยาคงใช้อยู่เร่ือยมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทั่งใน สมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว รัชกาลที่ 5 จงึ ได้มกี ารปฏิรปู การปกครองขน้ึ อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าการปรับปรุงระเบียบแบบแผนการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการวางแนวรากฐานเตรียมพร้อมไว้สาหรับการปฏิรูปมาต้ังแต่สมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั รชั กาลท่ี 4 โดยพระองคไ์ ดท้ รงสนับสนนุ ให้มีการศึกษาอารยธรรมตะวันตก เป็นเหตุให้ ไดร้ บั ทราบถงึ ความเจรญิ ก้าวหน้าในหลกั การปกครองของชาติตะวันตกและนามาปรบั ปรุงการปกครองของไทย 20 ทมี่ าwww.parliamentjunior.in.th/เขา้ ถงึ เมื่อธนั วาคม 2556.
- 33 - ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคแห่งการล่าอาณานิคมของชาวตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝร่ังเศส ทาให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยต้องตกเป็นอาณานิคมของประเทศท้ัง สอง ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มิได้เป็นอาณานิคมของชาติใด ประเทศมหาอานาจต่าง ๆ จึงแข่งขัน กนั เพอื่ เขา้ มามอี ิทธพิ ลเหนือประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงดาเนินนโยบายทางการทูตเพื่อมิให้ประเทศ มหาอานาจฝา่ ยใดฝ่ายหนึ่งถอื เปน็ ข้ออา้ งในการยดึ ครองประเทศไทย โดยการเรง่ พัฒนาประเทศให้มีความเจริญ ในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว และศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจในภาษา วัฒนธรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ ของ ชาติตะวันตก อันจะทาให้การเจรจากับประเทศเหล่าน้ันดีข้ึน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมี แนวความคิดทม่ี ีประโยชนต์ ่อการปกครองอยา่ งยิ่ง 2 ประการ คือ 1) การศกึ ษาภาษาตา่ งประเทศ พระองค์ทรงศึกษาภาษาองั กฤษอย่างจริงจัง เพ่ือจะได้ใช้ เจรจากับประเทศมหาอานาจ กับส่งเสริมให้ข้าราชการได้ศึกษาหาความรู้ให้สามารถเข้าใจภาษาต่างประเทศ จะได้ไม่เสยี เปรยี บชาวต่างประเทศ 2) การบริหารราชการแผ่นดิน พระองค์ทรงจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาช่วยราชการ ดา้ นต่าง ๆ เช่น ครฝู กึ ทหาร ครูสอนภาษาอังกฤษ ผู้จัดการท่าเรือ ผู้อานวยการศุลกากร เป็นต้น เพ่ือพัฒนาให้ ประเทศไทยมีความเจริญในด้านต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็ฝึกให้ข้าราชการไทยได้มีความรู้ความสามารถในการ ปฏิบัติราชการต่อไปด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครอง เพราะทรงเห็นว่า เป็นหนทางหน่งึ ทจ่ี ะรกั ษาเอกราชของบ้านเมืองไว้ได้ในช่วงการขยายลัทธิจักรวรรดินิยมของชาติตะวันตก การ ปรับปรุงการปกครองให้ทันสมัย ทาให้ชาวต่างชาติเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญแล้ว สามารถ ปกครองดแู ลพฒั นาบา้ นเมอื งได้ นอกจากน้ี ยังทาให้เศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีข้ึน ประเทศชาติ มีรายไดใ้ นการทานุบารงุ บ้านเมอื งมากข้นึ ทาให้สายตาของชาวต่างชาติมองประเทศไทยต่างจากประเทศเพ่ือน บ้านอ่นื ๆ และด้วยการวางวเิ ทโศบายทางการทตู กบั ชาตติ ะวันตกอย่างเหมาะสม ยอมรับว่าชาวยุโรปเป็นชาติที่ เจริญให้เกียรติและยกย่อง พร้อมกับเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติบางอย่าง เพื่อให้เห็นว่าไทยไม่ใช่ชนชาติป่าเถื่อน เช่นให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า นอกจากนั้น ยังยอมผ่อนปรนอย่างชาญฉลาด แม้จะเสียผลประโยชน์ หรือดินแดนไปบา้ ง แตก่ เ็ ป็นส่วนน้อยยงั สามารถรักษาส่วนใหญไ่ ว้ได้ คงความเป็นชาติที่มีเอกราชมาได้ตลอด พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวมแี นวความคดิ ในการปฏิรูปการปกครองอยู่ 3 ประการ คอื 1) การรวมอานาจเขา้ สูส่ ่วนกลางมากข้ึน ทง้ั นเ้ี พ่ือมิให้ชาติตะวันตกอ้างเอาดินแดนไปยึดครองอีก ถ้าอานาจของรัฐบาลกลางแผ่ไปถึงอาณาเขตใดก็เป็นการยืนยันว่าเป็นอาณาเขตของประเทศไทย 2) การศาลและกฎหมายท่ีมีมาตรฐาน จากการยอมเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในรัชกาลท่ี 4 เปน็ เพราะประเทศอาณานิคมอ้างว่าศาลไทยไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชดาริที่ จะปรับปรงุ การศาลยุตธิ รรมและกฎหมายไทยใหเ้ ป็นสากลมากขนึ้ 3) การพัฒนาประเทศ พระองค์ทรงริเริ่มนาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพ่ือพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เชน่ สร้างถนน ขุดคูคลอง จัดใหม้ กี ารปกครอง ไฟฟ้า ไปรษณีย์ โทรเลข รถไฟ เป็นตน้ การปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ก่อให้เกิดการจัดระเบียบการ ปกครองทีส่ าคญั จาแนกได้ 3 สว่ น คือ 1) การปกครองสว่ นกลาง การปรับปรุงการบริหารราชการในส่วนกลางของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คอื ทรงยกเลกิ ตาแหนง่ อคั รเสนาบดี 2 ตาแหน่ง คอื สมหุ กลาโหม และสมุหนายก รวมท้ังจตุสดมภ์ โดยแบ่งการบริหารราชการออกเป็นกระทรวงตามแบบอารยประเทศ และให้มีเสนาบดีเป็นผู้ว่าการแต่ละ กระทรวง กระทรวงทต่ี ั้งข้ึนทัง้ หมด เม่อื พ.ศ.2435 มี 12 กระทรวง คือ
- 34 - (1) มหาดไทย รับผดิ ชอบหวั เมืองฝา่ ยเหนือและเมืองลาว (2) กลาโหม รับผิดชอบหัวเมอื งฝา่ ยใต้ หวั เมืองฝ่ายตะวันออก ตะวันตก และเมอื งมลายู (3) ต่างประเทศ รบั ผิดชอบเกย่ี วกับการต่างประเทศ (4) วงั รับผิดชอบเกย่ี วกับกิจการในพระราชวงั (5) เมืองหรือนครบาล รับผดิ ชอบเกี่ยวกบั การตารวจและราชทณั ฑ์ (6) เกษตราธิการ รบั ผดิ ชอบเก่ยี วกับการเพาะปลกู เหมืองแร่ ป่าไม้ (7) คลัง รับผิดชอบเก่ียวกับภาษอี ากรและงบประมาณแผ่นดนิ (8) ยุตธิ รรม รับผดิ ชอบเกย่ี วกับการชาระคดีและการศาล (9) ยุทธนาธิการ รับผิดชอบเก่ยี วกบั การทหาร (10) ธรรมการ รับผิดชอบเก่ยี วกบั การศกึ ษา การสาธารณสขุ และสงฆ์ (11) โยธาธิการ รับผิดชอบเก่ียวกับการก่อสร้าง ถนน คลอง การช่าง ไปรษณีย์โทรเลข และรถไฟ (12) มรุ ธาธิการ รบั ผิดชอบเก่ยี วกับการรักษาตราแผน่ ดนิ และงานระเบียบสารบรรณ ภายหลังได้ยุบกระทรวงยุทธนาธิการไปรวมกับกระทรวงกลาโหม และยุบกระทรวงมุรธาธิ การไปรวมกับกระทรวงวัง คงเหลือเพียง 10 กระทรวง เสนาบดีทุกกระทรวงมีฐานะเท่าเทียมกัน และประชุม รว่ มกนั เปน็ เสนาบดีสภา ทาหน้าที่ปรึกษาและชว่ ยบรหิ ารราชการแผ่นดินตามที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมาย เพราะอานาจสูงสดุ เด็ดขาดเปน็ ของพระมหากษตั รยิ ต์ ามระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงแต่งตั้ง \"สภาที่ปรึกษาในพระองค์\" ซึ่งต่อมาได้ เปลี่ยนเป็น \"รัฐมนตรีสภา\" ประกอบด้วย เสนาบดี หรือผู้แทน กับผู้ท่ีโปรดเกล้าฯ แต่งต้ัง รวมกันไม่น้อยกว่า 12 คน จุดประสงค์เพ่ือให้เป็นที่ปรึกษาและคอยทัดทานอานาจพระมหากษัตริย์ แต่การปฏิบัติหน้าท่ีของสภา ดังกล่าวไม่ได้บรรลุจุดประสงค์ที่ทรงหวังไว้ เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ไม่กล้าโต้แย้งพระราชดาริ คณะที่ปรึกษา สว่ นใหญม่ กั พอใจทจ่ี ะปฏิบตั ติ ามมากกว่าที่จะแสดงความคดิ เห็น นอกจากน้ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงแต่งตั้ง\"องคมนตรีสภา\"ข้ึนอีก ประกอบด้วยสมาชิกเม่ือแรกต้ังถึง 49 คน มีท้ังสามัญชน ตั้งแต่ชั้นหลวงถึงเจ้าพระยา และพระราชวงศ์ องคมนตรีสภาน้ีอยู่ในฐานะรองจากรัฐมนตรีสภา เพราะข้อความที่ปรึกษา และตกลงกันในองคมนตรีสภาแล้ว จะตอ้ งนาเขา้ ทีป่ ระชมุ รัฐมนตรีสภาก่อนแลว้ จึงจะเสนอเสนาบดกี ระทรวงต่าง ๆ 2) การปกครองสว่ นภมู ภิ าค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดาริให้ยกเลิกการปกครองหัวเมือง และให้เปล่ยี นแปลงเปน็ การปกครองสว่ นภมู ภิ าคโดยโปรดเกลา้ ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.116 ขนึ้ เพื่อจดั การปกครองเปน็ มณฑล เมอื ง อาเภอ ตาบล และหม่บู า้ น ดงั น้ี (1) มณฑลเทศาภิบาล ประกอบด้วยเมืองต้ังแต่ 2 เมืองขึ้นไป มีสมุหเทศาภิบาล ท่ี พระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ต้ังไปปกครองดูแลตา่ งพระเนตรพระกรรณ (2) เมือง ประกอบด้วยอาเภอหลายอาเภอ มีผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้รับผิดชอบ ขึ้นตรงต่อ ขา้ หลวงเทศาภบิ าล (3) อาเภอ ประกอบดว้ ยทอ้ งท่ีหลาย ๆ ตาบล มนี ายอาเภอเปน็ ผ้รู ับผิดชอบ (4) ตาบล ประกอบด้วยท้องที่ 10-20 หมู่บ้าน มีกานันซ่ึงเลือกต้ังมาจากผู้ใหญ่บ้านเป็น ผ้รู ับผดิ ชอบ (5) หมู่บ้าน ประกอบด้วยบ้านเรือนประมาณ 10 บ้านขึ้นไป มีราษฎรอาศัยประมาณ 100 คน เปน็ หน่วยปกครองท่เี ลก็ ท่สี ุด มีผู้ใหญบ่ ้านเป็นผูร้ ับผิดชอบ
- 35 - ต่อมาในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว ไดย้ กเลิก มณฑลเทศาภบิ าล และเปลยี่ น เมอื ง เป็น จงั หวัด 3) การปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดให้มีการบริหารราชกา รส่วนท้องถิ่นในรูป สุขาภิบาล ซึ่งมีหน้าท่ีคล้ายเทศบาลในปัจจุบัน เป็นคร้ังแรกเม่ือ พ.ศ.2440 โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราช กาหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) ขึ้นบังคับใช้ในกรุงเทพฯ ต่อมาใน ร.ศ.124 (พ.ศ. 2448) ได้ ขยายไปที่ท่าฉลอม ปรากฏว่าดาเนนิ การไดผ้ ลดเี ปน็ อยา่ งมาก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไดโ้ ปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั จิ ดั การสุขาภบิ าล ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) ขึ้น โดยแบง่ สขุ าภิบาลออกเป็น 2 ประเภท คอื สขุ าภบิ าลเมอื งและสขุ าภบิ าลตาบล ทอ้ งถิ่นใดเหมาะสมท่ีจะจัดตั้งเป็นสุขาภิบาลประเภทใด ก็ให้ ประกาศตั้งสุขาภิบาลในทอ้ งถ่ินน้นั แม้ว่าการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์จะเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พระราชกรณียกิจบาง ประการของพระมหากษัตริย์ก็ถือได้ว่าเป็นการปูพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั ทีไ่ ด้ทรงดาเนนิ การดังตอ่ ไปน้ี 1) การเลิกทาส ทรงประกาศเลิกทาสเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2417 นโยบายการเลิก ทาสของพระองค์นั้นเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคทัดเทียมกัน อันเป็นหลักการสาคัญ ของระบอบประชาธิปไตย 2) การสนับสนุนการศึกษา ทรงจัดต้ังโรงเรียนเพ่ือสนับสนุนให้คนไทยได้มีโอกาสเล่า เรียน ศึกษาหาความรู้ ต้ังทุนพระราชทาน ส่งผู้มีความสามารถไปศึกษาต่อต่างประเทศ จากการสนับสนุน การศึกษาอย่างกว้างขวางน้ี นับได้ว่าเป็นรากฐานของการเปล่ียนแปลงแนวความคิดในการปกครองประเทศสู่ ระบอบประชาธปิ ไตยในเวลาต่อมา 3) การปฏริ ปู การปกครอง ทรงเปดิ โอกาสให้ข้าราชการมีส่วนรับผิดชอบในการบริหาร มากข้นึ ทรงสนับสนนุ การปกครองทอ้ งถ่ินด้วยการจัดต้ังสุขาภิบาล ทาให้ประชาชนธรรมดามีส่วนและมีโอกาส เรียนรู้ประสบการณ์การบริหารการปกครอง ตามหลักการประชาธิปไตยท่ีต้องการให้ประชาชนมีส่วนในการ ปกครองบา้ นเมอื ง เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวเสด็จขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 2394 น้ันพระองค์ทรง ตระหนักว่าถึงเวลาท่ีประเทศไทยจะต้องยอมเปิดสันติภาพกับประเทศตะวันตกในลักษณะใหม่ และปรับปรุง บ้านเมืองให้ก้าวหน้าเยี่ยงอารยประเทศ ทั้งน้ีเพราะเพ่ือนบ้านกาลังถูกคุกคามด้วยลัทธิจักรวรรดินิยม จึงทรง เปล่ียนนโยบายต่างประเทศของไทยมาเป็นการยอมทาสนธิสัญญาตามเงื่อนไขของประเทศตะวันตก และ พยายามรักษาไมตรีนนั้ ไว้เพือ่ ความอยูร่ อดของประเทศ ต่อมา ทรงมีพระราชประสงค์อย่างแรงกล้าท่ีจะปฏิรูปประเทศไทยให้เจริญทัดเทียมกับประเทศ ตะวันตก ปัจจัยท่ีจะนาไปสู่จุดหมายได้คือ คน เงิน และการบริหารที่ดี ทรงมีพระราชดาริว่า หนทางแห่ง ความกา้ วหน้าของชาติจะมีมาได้ก็ต้องอาศัยการศึกษาเป็นปัจจัย จึงทรงต้ังพระราชหฤทัยเด็ดเด่ียวว่า เยาวชน รุ่นใหม่ทั้งของราชวงศ์และบุตรขุนนางจะต้องได้รับการศึกษาอย่างดีกว่ารุ่นพระองค์เอง ในระยะแรกอิทธิพล ของประเทศตะวันตกที่มีต่อประเทศไทยคือ ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึง โปรดให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ หม่อมเจ้าเจ๊ก นพวงศ์ กับพระยาชัยสุรินทร์ (ม.ร.ว. เทวหน่ึง สิริวงศ์) ไป เรียนท่ีประเทศอังกฤษเป็นพวกแรก นับว่าเป็นครั้งแรกท่ีทรงส่งนักเรียนหลวงไปเรียนถึงยุโรป ต่อมาก็ส่งพระ ราชโอรสและนักศึกษาไปศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเดนมาร์ก และ ประเทศรัสเชีย ก่อนหน้าน้นั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั ทรงคดั เลอื กหม่อมเจ้า 14 คน ไปเรียน หนังสอื ท่สี งิ คโปร์ 2 ปี ระหวา่ ง พ.ศ. 2413 - พ.ศ. 2415 ในโอกาสท่พี ระองคเ์ สดจ็ พระราชดาเนินไปสิงค์โปร์ใน ปี พ.ศ. 2413 น่ันเป็นการเตรียมคนท่ีจะเข้ามาช่วยแบ่งเบา พระราชภาระในการปรับปรุงประเทศ การเตรียม
- 36 - ปจั จัยการเงนิ เปน็ การเตรียมพร้อมประการหนึ่ง ถ้าขาดเงินจะดาเนินกิจการใดให้สาเร็จสมความมุ่งหมายคงจะ เป็นไปไดย้ าก พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า การจัดการเงินแบบเก่ามีางร่ัวไหลมาพวก เจา้ ภาษีนายอากรไมส่ ง่ เงนิ เข้าพระคลังครบถ้วนตามจานวนท่ีประมูลได้พระองค์จึงทรงจัดการเร่ืองการเงินของ แผ่นดินหรือการคลังทันทีท่ีพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะ มีอานาจในการปกครองแผ่นดินเต็มที่ เร่ิมด้วยให้ตรา พระราชบัญญัติตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ จ.ศ. 1235 (พ.ศ. 2416) มีพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติในปี จ.ศ. 1237 (พ.ศ. 2418) เพื่อจะได้ใช้จ่ายทุนบารุงประเทศ ต่อมาทรงให้จัดทางบประมาณจัดสรรเงินให้แต่ กระทรวงต่างๆ เป็นสัดส่วน แต่ยังไม่ทรงทันได้ปรับปรุงการปกครองประเทศให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงต้ัง พระราชหฤทัยไว้ ก็มีกลุ่มเจ้านายและข้า ราชการทาหนังสือกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปล่ียนแปลงการ ปกครองราชการแผ่นดินเม่ือ ร.ศ. 103 (พ.ศ.2427) ทั้งนี้อาจจะวิเคราะห์ได้ว่า ท่ีพระองค์ยังไม่ทรงปรับปรุงงบ การบริหารประเทศก่อน พ.ศ. 2428 เพราะมีเหตุการณ์สาคัญเกิดข้ึน คือ วิกฤติการณ์วังหน้า เมื่อพ.ศ. 2417 การที่ทรงต้ังหอรัษฎากรพิพัฒน์ให้รวมเงินมาอยู่ที่เดียวกัน กระทบกระเทือนต่อเจ้านาย เละข้าราชการ โดยเฉพาะกรมพระราชวังบวร สถานมงคล กรมหมื่นไชยชาญ วิกฤติการณ์วังหน้าเป็นเร่ืองของความขัดแย้ง ระหว่างวังหลวงกับวังหน้า แสดงถึงปฏิกิริยาโต้ตอบ การริเร่ิมดึงอานาจเข้าสู่ศูนย์กลางคือสถาบันกษัตริย์ เห็น ไดช้ ดั เจน ว่าเมอื่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล กรมหมืนวิไชยชาญ ทิวงคต ในปี พ.ศ. 2428 พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงปรับปรุงการบริหารการปกครองส่วนกลางเป็น 12 กรม (ต่อมาเรียกว่า กระทรวง) ในปี พ.ศ. 2432 ความต้องการทจ่ี ะเปลยี่ นแปลงการปกครองของประเทศไทยให้เป็นไปตามระบอบ ประชาธิปไตย ได้เริ่มมีมาแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีความเคล่ือนไหวมา ตลอดจนถงึ วันทเ่ี ปลย่ี นแปลงการปกครอง 24 มิถนุ ายน 2475 แนวความคิดและความเคลือ่ นไหวตา่ ง ๆ ได้แก่ 1. การเรยี กร้องต้องการรฐั ธรรมนญู ของกลุม่ เจา้ นายและขา้ ราชการใน ร.ศ.103 2. รา่ งรฐั ธรรมนญู แผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั 3. บทความเกยี่ วกบั อดุ มการณป์ ระชาธิปไตยของเทยี นวรรณ 4. ความพยายามที่จะเปลยี่ นแปลงการปกครองของกลมุ่ กบฏ ร.ศ.130 5. แนวพระราชดาริและการเตรียมการเรอื่ งระบอบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว และพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ วั การเรยี กรอ้ งต้องการรัฐธรรมนูญของกลุ่มเจ้านายและข้าราชการใน ร.ศ.103 ร.ศ. 103 ตรงกับ พ.ศ. 2427 เป็นปีที่ 17 ของการครองราชย์ชองพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้มีเจ้านายและข้าราชการ จานวนหน่ึงท่ีรับราชการ ณ สถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอน และกรุง ปารีส ได้ร่วมกันลงชื่อในเอกสารกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103 ทลู เกลา้ ฯ ถวาย ณ วันพฤหสั บดี แรม 8 ค่า เดือน 2 ปีวอก ฉอศอ ศักราช 124 ตรงกับวันที่ 9 เดือน มกราคม พ.ศ.2427 เจ้านายและขา้ ราชการทีจ่ ดั ทาหนังสอื กราบบังคมทลู ความเหน็ ครง้ั น้นั มพี ระนามช่ือปรากฏอยทู่ า้ ย เอกสาร ได้แก่ 1. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมนื่ นเรศรว์ รฤทธ์ิ (พระเจา้ บรมวงเธอกรมพระนเรศร์ วรฤทธิ์ ) 2. พระเจา้ น้องยาเธอพระองค์เจ้าโสณบณั ฑติ (พระเจา้ บรมวง เธอกรมหมนื่ พทิ ยลาภพฤฒธิ าดา) 3. สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดโิ สภณ (สมเด็จกรมพระสวสั ดิว์ ัฒน วศิ ิษฏ์) 4. พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ (พระวรวงศ์เธอพระองค์เจา้ ปฤษฎางค์) 5. นายนกแกว้ คชเสนี {พระยามหาโยธา) 6. หลวงเดชนายเวร(สุน่ สาตราภัย ตอ่ มาเล่อื นบรรดาศักดเ์ิ ป็นพระยาอภยั พิพิธ) 7. บุศย์ เพญ็ กุล (จมืน่ ไวยวรนาถ)
- 37 - 8. ขุนปฏภิ าณพิจติ ร(หุน่ ) 9. หลวงวิเสศสาลี (นาค) 10.นายเปลย่ี น 11.สัปเลฟเตอร์แนนสะอาด สาระสาคัญของคากราบบังคมทูล นี้อย่สู ามข้อ กล่าวคือ 1. ภัยอันตรายจะมาถงึ บ้านเมือง เนืองจากการปกครองในขณะน้ัน 2. การทจ่ี ะรักษาบ้านเมืองให้พ้นอนั ตราย ตอ้ งอาศัยความเปล่ียนแปลงบารงุ รกั ษาบา้ นเมืองแนว เดยี วกบั ท่ีญปี ่นุ ได้ทาตามแนวการปกครองของประเทศในยุโรป 3. การที่จะจัดการตามข้อ 2 ให้สาเรจ็ ตอ้ งลงมือจัดใหเ้ ป็นจริงทุกประการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดารัสตอบ ความเห็นของคณะท่ีกราบบังคม ทลู จะให้เปลยี่ นแปลงการปกครองว่า พระองค์ทรงตระหนักในอันตรายที่กล่าวมานั้นและไม่ต้องห่วงว่าพระองค์ จะทรง “ขัดขวางในการที่จะเสียอานาจซ่ึงเรียกว่า แอบโซลูด พระองค์ทรงกล่าวต่อไปว่าเมื่อพระองค์ทรง ครองราชสมบัตใิ หม่ๆ ทรงไม่มีอานาจอันใดเลย ขณะพระองค์ทรงมีอานาจบริบูรณ์ ในเวลาท่ีทรงมีอานาจน้อย ก็มีความลาบาก เวลานี้มีอานาจมากก็มีความลาบาก พระองค์จึงทรงปรารถนาอานาจปานกลาง ได้ทรง ครองราชย์มาถึง 17-18 ปี ได้ทรงศึกษาเหตุการณ์บ้านเมืองอ่ืนอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่ี เหมอื นคางคกในกะลาครอบหรอื ทรวอย่เู ฉยๆ ไม่ได้ทรงทาอะไรเลย ท่ีเรียกร้องให้มีรัฐบาล (คอเวอนเมนต์) ก็มี เสนาบดีเป็นรัฐบาลแล้ว แต่ยังไม่ดี ส่ิงที่พระองค์ทรงต้องการคือ “คอเวอนเมนตรีฟอม” หมายถึงให้พนักงาน ของราชการแผ่นดนิ ทกุ ๆ กรมทาการให้ได้เต็มท่ี ให้ได้ประชุมปรึกษากัน ติดต่อกันง่ายและเร็ว อีกประการหน่ึง ทรงหาผู้ทากฎหมายสละท่ีปรึกษากฎหมายการกระทาทั้งสองประการต้องได้สาเร็จก่อน การอ่ืนๆ ก็จะสาเร็จ ตลอด แท้จริงแล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราโชบายที่จะทรงปรับปรุง การบริหารราชการแผ่นดินมาต้ังแต่พระองค์ทรงมีอานาจในการปกครองอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ใน พ.ศ.2417 ได้ทรงสถาปนาสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาท่ีปรึกษาในพระองค์เป็นองค์กใหม่ช่วยบริหารประเทศ โดยทรงมีพระราชดาริว่า ราชการบ้านเมืองที่จะเกิดขึ้นใหม่และที่ค่ังค้างมาแต่เดิมน้ัน ไม่สามารถท่ีจะทรง จัดการให้สาเร็จโดยลาพังพระองค์เอง” ถ้ามีผู้ช่วยกัน คิดหลายปัญญาแล้ว การท่ีรกร้างมาแต่เดิม ก็จะปลด เปล้ืองไปทีละน้อยๆ ความดีความเจริญก็ยังเกิดแก่บ้านเมือง... สภาท่ีปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) มีสมาชิกเป็นผู้มีบรรดาศักด์ิช้ันพระยา 2 นาย ทาหน้าท่ีประชุมปรึกษาข้อราชการและออกพระราช กาหนดกฎหมายตามพระบรมราชโองการ หรืออาจจะกราบบังคมทูลเสนอความคิดเห็นในการออกกฎหมาย ใหม่ ส่วนสภาทป่ี รกึ ษาในพระองค์ (Privy Council) สมาชิกของสภานี้คือ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ ระดับต่างๆ มี 49 นาย ทาหน้าที่ถวายคาปรึกษาข้อราชการ และเสนอความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งอาจจะนาไป อภิปรายในสภาท่ีปรึกษาราชการแผ่นดิน แต่ปรากฏว่าสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาใน พระองค์ไม่ได้มผี ลงานหรือจะเรยี กวา่ ประสบความลม้ เหลว สมาชกิ ท้ังสองสภาไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นตาม วิถที างอันควร อาจเปน็ เพราะขาดความรู้ความสามารถ และหรอื ไมก่ ล้าท่จี ะออกความคิดเห็นซ่ึงไม่ใช่ลักษณะท่ี เคยทามากอ่ น การเมอื งการปกครองสมัยรัชกาลท่ี 6 การวางรากฐานประชาธิปไตย ในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที่ 6 ได้มีการส่งเสริมการศึกษาให้แพร่หลาย มี การจัดตั้งโรงเรียนข้ึนหลายแห่ง และสนับสนุนให้ทุนหลวงโดยส่งนักเรียนไปเรียนในต่างประเทศ มีการศึกษา ภาคบังคับ โดยกาหนดว่าเด็กที่มีอายุครบเกณฑ์ 7 ปี ต้องเข้ารับการศึกษาขั้นประถมศึกษา ทาให้ประชาชนมี
- 38 - การศึกษาเพิ่มขึ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงนิยมระบอบ ประชาธปิ ไตย โดยไดท้ รงตง้ั \"เมืองสมมุตดิ ุสิตธานี\" ข้ึนในบริเวณวังพญาไท จาลองรูปแบบการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยขึ้นใช้ในเมืองสมมุตินั้น โดยโปรดเกล้าฯ ให้มีรัฐธรรมนูญการปกครองลักษณะนคราภิบาล ซึ่ง เปรียบเสมอื นรฐั ธรรมนญู ของเมอื ง และใหข้ ้าราชบริพารสมมุติตนเองเป็นราษฎรของดุสิตธานี มีการจัดต้ังสภา การเมืองและเปิดโอกาสให้ราษฎรสมมุติใช้สิทธิใช้เสียงแบบประชาธิปไตย เป็นเสมือนการฝึกหัดการปกครอง แบบประชาธิปไตย พระบาสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว การวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าจะจัดการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงให้ สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างมาก ประจักษ์พยานท่ีสาคัญก็คือทรงยอมรับการวิจารณ์จากนักเขียนและ นักหนังสือพิมพ์ ท่ีเขียนบทความกล่าวโจมตีรัฐบาล จนดูเหมือนว่าประเทศของเรา มีการ ปกครองแบบ ประชาธิปไตยอย่างเต็มที่แล้ว พระองค์ได้วางแผนให้ข้าราชการของพระองค์รู้จักการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย โดยจัดสร้างนครจาลองข้ึนเพื่อฝึกฝนให้ข้าราชบริพารของพระองค์ ให้ได้รู้จักและเข้าใจการ ปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ในวันข้างหนา้ นครจาลองนี้ได้พระราชทานนามว่า ดุสิตธานี เพราะเดิมต้ังอยู่ใน เขตพระราชวังดุสิต ภายหลังได้ย้ายมาอยู่ท่ี พระราชวังพญาไท (โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า) ภายในดุสิตธานี จะจาลองสถานที่สาคัญต่าง ๆ ไว้ อาทิ ที่ทาการรัฐบาล วัดวาอาราม บ้านเรือนราษฎร ที่ทาการไปรษณีย์ การ ไฟฟ้า ประปาและมีเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติงานครบท้ังหมด ในนครจาลองนี้จัดให้มีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมือง มี ประชาชนทีอ่ าศัยอยูใ่ นนครดสุ ติ ธานี เรียกวา่ ทวยนาคร โดยทวยนาคร จะทาหน้าท่ีเลือกตั้ง ผู้แทนราษฎร เข้า ไปเป็นกรรมการในคณะนคราภิบาล เรียกว่า เชษฐบุรุษ ซึ่ง เชษฐบุรุษ จะเลือกตั้งคณะรัฐบาลบริหารนครนี้ เรียกว่า คณะนคราภิบาล มีการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ทวยนาครในดุสิตธานี ซ่ึงเรียกว่า ธรรมนูญ ลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล พระพุทธศักราช 2461 และมีการประกาศใช้ กฎธานิโยปการ ซึ่งเป็น บทบญั ญตั ิวา่ ดว้ ยการเก็บภาษีอากร ภาษีทีด่ นิ ค่านา้ ประปา ค่าไฟ ฯลฯ เพ่อื นาไปทานบุ ารงุ นครดสุ ติ ธานี เหตกุ ารณ์สาคญั ทางการเมอื ง เหตุการณ์ ร.ศ. 130 เมื่อรัชกาลท่ี 6 ขึ้นครองราชย์ มีคณะบุคคลกลุ่มหน่ึง ประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรอื และพลเรอื น ต้องการทจ่ี ะเปล่ียนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย โดยมี ร.อ. ขุนทวยหาญ พิทกั ษ์ (นายแพทย์เหล็ง ศรจี นั ทร์ ) เปน็ หวั หน้า คณะปฏวิ ตั ิรุ่นนี้มีช่ือเรียกกันในเวลาต่อมาว่า คณะปฏิวัติ ร.ศ. 130 คณะปฏวิ ัติได้กาหนดจะทาการปฏิวัติในพระราชพิธีสัจปานกาลถือน้าพิพัฒน์สัตยาตามธรรมเนียม ที่เคย ปฏิบัติมาทุกปี แต่ทาไม่สาเร็จเพราะมีสมาชิกในคณะปฏิวัตินาข่าวมาบอกแก่รัฐบาล ทาให้ คณะปฏิวัติ ถูก จับกุม เหตุการณ์ครั้งน้ีจึงเรียกว่า กบฎ ร.ศ. 130 ผู้นาข่าวมาแจ้งรัชกาลที่ 6 คือ ร.อ. หลวงสินาดโยธารักษ์ (ยทุ ธ หรือ แต้ม คงอย)ู่ ภายหลงั ได้เล่ือนข้ึนเป็น พ.อ. พระยากาแพงรามภัคดี ต่อมาภายหลังผูกคอตายในห้อง ขงั เม่ือคราวถกู จบั กุมในคดกี บฏบวรเดช เมอ่ื พ.ศ. 2476 ผูน้ าในคณะปฏิวตั ิ ร.ศ. 130 ถูกศาลตัดสินให้ประหาร ชีวิต รวม 3 คน แต่รัชกาลท่ี 6 ทรงพระราชทานอภัยโทษ และถูกปล่อยตัวท้ังหมดภายหลังการปรับปรุง กฎหมายและการศาล จัดระเบียบการศาลใหม่ เม่ือ พ.ศ. 2455 โดยให้แยกหน้าท่ีราชการในกระทรวงยุติธรรม ออกเป็น ฝ่ายธุรการ และฝ่ายตุลาการ และให้ศาลฎีกามาสังกัดกระทรวงยุติธรรม และ ได้โปรดให้ต้ังตาแหน่ง อธิบดีศาลฎีกา ขึน้ ไดม้ ีการสง่ เสริมการศึกษาให้แพร่หลาย มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่ง และสนับสนุนให้ ทุนหลวงโดยส่งนักเรียนไปเรียนในต่างประเทศมีการศึกษาภาคบังคับ โดยกาหนดว่าใครอายุครบเกณฑ์ 7 ปี ต้องเข้ารับการศึกษาข้ันประถมศึกษา ทาให้ประชาชนมีการศึกษาเพิ่มข้ึน พระบาสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจา้ อยหู่ ัวทรงแสดงใหเ้ หน็ ว่าพระองคท์ รงนยิ มระบอบประชาธปิ ไตย โดยได้ทรงจดั ต้งั เมืองสมมุติดุสิตธานีขึ้นใน บริเวณวังพญาไท จาลองรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นใช้ในเมืองสมมุตินั้น โดยโปรดเกล้าฯ ให้ มีรัฐธรรมนูญการปกครองลักษณะนคราภิบาลซ่ึงเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของเมือง และให้ข้าราชบริพาร
- 39 - สมมุติตนเองเป็นราษฎรของดุสิตธานี มีการจัดต้ังสภาการเมืองและเปิดโอกาสให้ราษฎรสมมุติใช้สิทธ์ิใช้เสียง แบบประชาธิปไตย เปน็ เสมือนการฝึกหดั การปกครองแบบประชาธปิ ไตย การปกครอง การปรับปรุงการระเบียบบริหารราชการส่วนกลางแยกกรมทหารเรือเดิมออกจากกระทรวงกลาโหม ต้ังเป็นกระทรวงทหารเรือ จัดต้ังกระทรวงมุรธาธรขึ้นมาใหม่ ต้ังสภาเผยแผ่พาณิชย์ (ต่อมาเป็นกระทรวง พาณิชย์) รวบรวมกรมช่างสิบหมู่ จัดต้ังเป็น กรมศิลปากร ปรับปรุงกระทรวงโยธาธิการแล้วเปลี่ยนช่ือ เป็น กระทรวงคมนาคม โอนกรมธรรมการไปข้ึนกับกระทรวงวัง แล้วเปลี่ยนชื่อกระทรวงธรรมกา เป็น กระทรวงศึกษาธิการ รวมกระทรวงนครบาลเข้ากับกระทรวงมหาดไทย สร้างสนามบินดอนเมือง และตั้ง เป็นกองบิน ขึ้นเมื่อวันท่ี 27 มีนาคม พ.ศ. 2457 ให้มีฐานะเทียบเท่า กรม สังกัดกองทัพบก ต่อมาได้ขยายงาน มาเป็นกรมอากาศยานและได้แปรสภาพเปน็ กองทัพอากาศในปัจจุบนั การปรับปรุงการระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคโปรดให้รวมมณฑลที่อยู่ใกล้กันจัดตั้งเป็น ภาค ในแต่ละภาคมีอุปราชเป็นผู้ปกครอง มีอานาจตรวจตราเหนือ สมุหเทศาภิบาลในภาคน้ันๆ และยังทา หน้าท่ีเป็นสมุหเทศาภิบาลประจามณฑลซ่ึงตั้งเป็นสานักงานภาคน้ันด้วย ตาแหน่งอุปราช และ สมุหเทศาภิบาล ข้ึนตรงต่อพระมหากษัตริย์ ไม่ต้องข้ึนต่อกระทรวงมหาดไทย ส่วนกรุงเทพฯ ซึ่งมีศักดิ์เสมอ ด้วยมณฑลหนึง่ นนั้ ใหม้ ีสมหุ เทศาภบิ าล เป็นหัวหน้าข้นึ ตรงต่อกระทรวงมหาดไทย โปรดให้เปล่ียนการเรียกชื่อ คาว่า “ เมอื ง เป็น คาว่า “จังหวดั ” นอกจากน้ันยังได้แบ่งเขตการปกครองให้พื้นที่ด้านตะวันออกแม่น้าเจ้าพระยาเป็นจังหวัดพระนคร และให้พนื้ ท่ีดา้ นตะวนั ตกเปน็ จังหวดั ธนบรุ ี การเมืองการปกครองสมัยรัชกาลท่ี 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่นักหนังสือพิมพ์ ใน ระหว่างเสด็จเยีย่ มเยียนสหรฐั อเมรกิ า เมอื่ พ.ศ.2474 ว่า พระองค์ทรงเตรียมการท่ีจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แก่ประชาชน เพราะทรงเห็นว่าคนไทยมีการศึกษาดีข้ึน มีความคิดอ่าน และสนใจทางการเมืองมากขึ้น เมื่อ เสด็จกลับมา พระองค์ทรงมอบให้พระศรีวิสารวาจา ท่ีปรึกษากฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ และนายเร มอน สตเี วนส์ ท่ปี รกึ ษากระทรวงการตา่ งประเทศ พจิ ารณาร่างรัฐธรรมนูญข้ึน แต่ดาเนินการไม่ทันแล้วเสร็จ ก็มีการ ปฏิวัติข้ึนเม่ือวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์มาเป็นการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (www.parliamentjunior.in.th) การเปล่ียนแปลงการปกครองของไทย มีความคิดและความเคลื่อนไหวเพื่อการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตย เร่ิมปรากฏให้เห็นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ ร.ศ. 103 (พ.ศ. 2427) และมเี หตกุ ารณ์อ่ืนอันเป็นแรงผลักดันมากขึ้น สืบสานความคิดมาเป็นการยึดอานาจการปกครอง ของประเทศในวันที่ 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475 ความคิดและความเคลื่อนไหวเพ่ือการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย มีมาจากประชาชนในยุโรป และอเมริกา ต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ 23 การปกครองของอังกฤษซึ่งค่อยๆ ดาเนินไปสู่ระบบรัฐสภาแห่งเสรี ประชาธิปไตย โดยไม่ต้องมีการปฏิวัติเสียเลือดเน้ือ การเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองของอเมริกาจาก อังกฤษใน พ.ศ. 2319 (ค.ศ. 1776) และการปฏิวัติในประเทศฝร่ังเศสใน พ.ศ. 2332 (ค.ศ.1789) หลังจากนั้น ความคิดแบบประชาธิปไตยก็แพร่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ประเทศไทยก็ได้รับแนวความคิดเรื่องการปกครอง ประเทศระบอบประชาธิปไตยด้วยการตดิ ตอ่ กับประเทศในยโุ รปและอเมริกา การติดต่อกับต่างประเทศในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เร่ิมตั้งแต่มีพระราชไมตรีทางการค้ากับประเทศ อังกฤษ เม่ือ พ.ศ. 2367 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาพวกมิชชันนารีจากประเทศ
- 40 - สหรฐั อเมริกาเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในประเทศไทย คนไทยเร่ิมศึกษาภาษาอังกฤษ ศึกษาวิทยาการต่างๆ โดยเฉพาะพระภิกษเุ จา้ ฟา้ มงกุฎ กลมุ่ พระบรมวงศานวุ งศ์ และกลุ่มขา้ ราชการก็ศกึ ษาวิชาการต่างๆ ด้วย ดังน้ัน สังคมไทยบางกลุ่มจงึ ได้มีค่านิยมโลกทัศนต์ ามวทิ ยาการตะวนั ตก ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ได้โปรดให้รวมกระทรวงธรรมการไว้ในกระทรวงศึกษาธิการแล้ว เปลี่ยนช่ือเป็น กระทรวงธรรมการ ยกเลิกกระทรวงมุรธาธรโดยโอนงานไปอยู่รวมกับกรมราชเลขาธิการ รวม กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงคมนาคมจัดเป็นกระทรวงเดียวกันเรียกชื่อว่า กระทรวงพาณิชย์และ คมนาคม รวมกระทรวงทหารเรือเข้ากับกระทรวงกลาโหม มีการจัดต้ังสภาท่ีปรึกษาราชการ ได้แก่อภิรัฐมนตรี สภา เพ่ือเปน็ ทีป่ รกึ ษาราชการทง้ั ปวงในพระองค์ สมาชิกของสภานล้ี ้วนเป็นพระบรมวงศา นุวงศ์ช้ันผู้ใหญ่ สภา นก้ี าหนดให้มีการประชุมสปั ดาห์ละ 1 ครง้ั ในวนั ศุกร์ โดยมี รชั กาลที่ 7 เป็นประธาน มีการประชุมคร้ังแรกเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2468 ณ พระทนี่ ่ังบรมพิมานสมาชิกอภิรัฐมนตรสี ภาประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ จานวน 5 ท่าน ได้แก่ สมเด็จพระปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตประชานาทสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาทองคมนตรี สภา จัดตั้งเม่ือ 2 กนั ยายน 2470 มีคณะกรรมการจานวน 40 คนเรียกว่า สภากรรมการองคมนตรี เปิดประชุม สภาคร้ังแรกเม่ือ 30 พฤศจิกายน 2470 โดยมี กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ์เป็นประธานสภา องคมนตรีสภานี้กล่าว กันวา่ จะโปรดใหท้ าหน้าทเี่ ปน็ รฐั สภา เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมาเสนาบดีสภา สภาน้ีเดิม เคยมีอยู่แล้ว ประกอบด้วยสมาชิกผู้เป็นเสนาบดีบังคับบัญชาราชการกระทรวงต่าง ๆ มีหน้าที่สาหรับทรง ปรึกษาหารือราชการ อนั กาหนดไวใ้ ห้ เปน็ หนา้ ทใี่ นกระทรวงน้ัน ๆ ในการประชมุ รชั กาลที่ 7 ทรงเป็นประธาน นอกจากทง้ั 3 สภานแี้ ลว้ ยังมี สภาปอ้ งกนั พระราชอาณาจักร สาหรับทาหน้าท่ี พิจารณาและทาความตกลง ใน นโยบายวิธีป้องกันพระราชอาณาจักรและประสานงาน ในราชการของกระทรวงฝ่ายทหารและฝ่ายพล เรือน สภาการคลงั มีหน้าท่ีตรวจตราวนิ จิ ฉัยเงนิ งบประมาณของแผ่นดินและรกั ษาผลประโยชน์ทางการเงินของ ประเทศ และวินิจฉัยการคลังเสนอต่อพระมหากษัตริย์สภาทั้งหมดนี้ได้ถูกยกเลิกไป หลังเปลี่ยนแปลงการ ปกครองเปน็ ประชาธปิ ไตย ระเบียบบรหิ ารราชการสว่ นภูมภิ าค รัชกาลท่ี 7 โปรดให้ยกเลิกภาคที่จัดตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการรวมมณฑลหลายมณฑลเข้าเป็น มณฑลเดียวกัน เช่น รวมมณฑลมหาราษฎร์กับมณฑลพายัพเป็น มณฑลพายัพ รวมมณฑลอุบลราชธานีกับ มณฑลร้อยเอด็ ไปอยู่ใน มณฑลนครราชสมี า ยุบมณฑลปตั ตานรี วมกับ มณฑลนครศรีธรรมราช ยุบมณฑลนคร ชัยศรีรวมกับมณฑลราชบุรี ยุบมณฑลนครสวรรค์รวมกับมณฑลอยุธยา นอกจากน้ียังโปรดให้ยุบจังหวัดต่าง ๆ เช่น ยุบจังหวัดสุโขทัยไปรวมกับจังหวัดสวรรคโลก ยุบจังหวัดกาฬสินธ์ุไปรวมกับจังหวัดมหาสารคาม จังหวัด ตา่ ง ๆ ที่ถูกยุบไปมีดงั น้ี สโุ ขทัย หล่มสัก ธญั ญบุรี กาฬสนิ ธุ์ หลงั สวน ตะก่ัวป่า สายบุรี พระประแดงและมีนบุรี จานวนมณฑลเดิมมี 14 มณฑล ลดเหลือ 10 มณฑล และจังหวัดเดิม มี 79 จังหวัดลดเหลือ 70 จังหวัด การ เปลี่ยนแปลงการปกครอง เม่ือ 24 มิถุนายน 2475มูลเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบรู ณาญาสิทธิราชเป็นระบอประชาธิปไตย 1. ความไม่พร้อมในการเป็นพระมหากษัตริย์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์ไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อเป็นพระมหากษัตริย์ จึงไม่กล้าตัดสินใจ ท้ังท่ีมีอานาจสิทธ์ิขาด โดย สมบูรณแ์ บบในการปกครองระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราช แตอ่ านาจตา่ ง ๆ ตกอยู่กับคณะอภิรัฐมนตรีสภา อาทิ การยับย้ังการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ให้แก่ประชาชน แล้วเปล่ียนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย เนื่อง ในโอกาสกรงุ เทพมหานคร มอี ายคุ รบ 150 ปี ในวันท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2475 2. ราษฎรมีการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ได้รับข่าวสาร ความรู้ แนวคิดจากชาติตะวันตก ที่ ประชาชนมสี ว่ นรว่ มในการปกครองประเทศ ในรูปแบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะผู้ที่ไปศึกษามาจากทวีปยุโรป
- 41 - อาทิ พระยาพหลพลพยหุ เสนา (พจน์ พหลโยธนิ ) พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) สาเร็จการศึกษาวิชาการ ทหารจากประเทศเยอรมัน หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตะสังคะ) สาเร็จการศึกษาวิชาการทหารปืนใหญ่จาก ประเทศฝร่ังเศส หลวงสินธุ์สงคราม (ร.ท. สินธ์ุ กมลนาวิน) สาเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศ เดนมาร์ก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ( ปรีดี พนมยงค์ ) สาเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกทางกฎหมายจาก ประเทศฝร่ังเศส หลวงโกวิท อภัยวงศ์ ( ควง อภัยวงศ์ ) สาเร็จการศึกษาวิชาวิศวกรรมจากประเทศฝร่ังเศส นายประยรู ภมรมนตรี สาเร็จการศึกษาวิชาการเมอื งจากประเทศฝรัง่ เศส 3. ปญั หาเรือ่ งเศรษฐกิจตกต่าทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศ ของพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สาเหตุภายในประเทศสืบเน่ืองมาจากมีการใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ปลายสมัยรัชกาลท่ี 6 รฐั บาลหารายได้ไม่พอกับการใชจ้ า่ ยทาให้ขาดดุลงบประมาณ ถึงแม้ว่าพระองค์จะตัดทอนรายจ่ายของรัฐท่ีเป็น เงินเดอื นของพระองค์ ลดจานวนมหาดเล็ก ยุบมณฑล ยุบจังหวัด เพื่อลดจานวนข้าราชการลง ก็ยังไม่สามารถ แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ การแก้ปัญหาต่าง ๆ แบบน้ีทาให้ฐานะการเงินดีข้ึนบ้าง แต่ก็มีผู้ไม่พอใจโดยเฉพาะ ข้าราชการท่ีถูกปลด หรือแม้แต่ข้าราชการท่ีไม่ถูกปลด แต่ก็มีการเก็บภาษีเงินเดือนข้าราชการ จากมูลเหตุ ดังกล่าวทีนาไปสู่เหตุการณ์เปล่ียนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย โดย คณะราษฎร์ขณะที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปรพระราชฐาน ณ พระราชวังไกลกังวล อาเภอหัวหิน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ “คณะราษฎร์” ทาการปฏิวัติประกาศยึดอานาจ โดยนากาลังทหารและพลเรือน เข้ายึด สถานที่สาคญั ของทางราชการและควบคมุ บรรดาพระบรมวงศานวุ งศ์ เจ้านายชั้นสูงและข้าราชการฝ่ายรัฐบาล ไปไว้ ณ พระทน่ี ั่งอนนั ตสมาคม เพอ่ื เปน็ ตวั ประกันดงั น้ี 1) สมเดจ็ เจ้าฟา้ กรมพระนครสวรรค์วรพนิ ติ ประชานาท ผ้รู ักษาพระนครในขณะนั้น 2) สมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ติวงศ์ 3) สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพ 4) นายพลตารวจตรีหมอ่ มเจ้าวงศน์ ิรชร 5) นายพลโทพระยาสหี ราชเดโชชยั เสนาธิการทหารบก 6) นายพลตรีพระยาเฉลิมอากาศ เจ้ากรมอากาศยาน แต่ได้มขี นุ นางชั้นผใู้ หญ่ที่หนไี ปได้คือ พระเจา้ พี่ยาเธอ กรมพระกาแพงเพชรอัครโยธิน โดยหนี ขึ้นรถไฟไปแจ้งให้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบเหตุการณ์การปฏิวัติเมื่อคณะราษฎร์ยึด อานาจได้แล้ว จึงประกาศใช้หลัก 6 ประการบริหารประเทศได้แก่ หลักเอกราช หลักความปลอดภัย หลัก เศรษฐกิจ หลักเสมอภาค หลกั เสรีภาพ หลักการศึกษา 1. จะตอ้ งรักษาความเปน็ เอกราชท้งั หลาย เช่น เอกราชทางการเมือง ทางการศาล ทางเศรษฐกิจ ของประเทศ ไว้ให้มัน่ คง 2. จะตอ้ งรกั ษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทษุ รา้ ยตอ่ กนั ใหน้ ้อยลงมาก 3. จะต้องบารุงความสุขสบายของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะจัดหางานให้ราษฎรทา และจัดวางโครงการเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ไมป่ ลอ่ ยให้ราษฎรอดอยาก 4. จะต้องใหร้ าษฎรมสี ทิ ธิเสมอภาคกนั 5. จะต้องให้ราษฎรมีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อมีเสรีภาพไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าว ขา้ งตน้ 6. จะต้องให้การศึกษาแก่ราษฎรอย่างเต็มท่ีบุคคลสาคัญของคณะราษฎร์ประกอบด้วยฝ่าย ทหารบก ทหารเรอื และฝ่ายพลเรือนบคุ คลสาคญั ของคณะราษฎรฝ์ ่ายทหารบกประกอบดว้ ย พ.อ. พระยาพหลพลพยหุ เสนา ( พจน์ พหลโยธิน ) เปน็ หวั หน้าใหญ่ พ.อ. พระยาทรงสรุ เดช ( เทพ พนั ธุมเสน ) เสนาธิการผู้วางแผนการปฏิวตั ิ พ.อ. พระยาฤทธอิ ัคเนย์ ( สละ เอมะศิริ ) ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ท่ี 1 รกั ษาพระองค์
- 42 - พ.ท. พระประศาสนพ์ ทิ ยายุทธ ( วัน ชูถิน่ ) ผ้อู านวยการเสนาธิการทหารบก พ.ต. หลวงพิบลู สงคราม ( แปลก ขติ ตะสงั คะ ) บุคคลสาคัญของคณะราษฎร์ฝ่ายทหารเรือประกอบดว้ ย น.ต. หลวงสนิ ธ์ุ สงครามชัย ร.น. ( สินธุ์ กมลนาวนิ ) น.ต. หลวงศภุ ชลาศยั รน. ( บุง ศุภชลาศยั ) ร.อ. หลวงธารงนาวาสวสั ดิ์ ร.น. ( ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์ ) บคุ คลสาคญั ของคณะราษฎรฝ์ า่ ยพลเรือนประกอบดว้ ย อามาตยต์ รี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ( นายปรีดี พนมยงค์ ) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นมันสมอง ของ คณะราษฎร์ ผู้คิดการปฏิวตั ิในครั้งน้ี เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนญู ฉบับแรกของเมอื งไทย นายประยรู ภมรมนตรี หลวงโกวิท อภัยวงศ์ ( นายควง อภยั วงศ์ ) นายดเิ รก ชัยนาม นายตัว้ ลพานุกรม กอ่ นการเปลยี่ นแปลงการปกครอง 2475 ในสมัยพระบาสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่นักหนังสือพิมพ์ ระหวา่ งเสด็จเยี่ยมเยียนสหรัฐอเมริกาเม่ือ พ.ศ. 2474 ว่าพระองค์ทรงเตรียมการที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แก่ประชาชน เพราะทรงเหน็ วา่ คนไทยมีการศึกษาดีขึ้นมีความคิดอ่านและสนใจทางการเมืองมากขึ้น เมื่อเสด็จ กลับมา พระองค์ทรงมอบให้พระศรีวิสารวาจา ท่ีปรึกษากฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ และนายเรมอน สตี-เวนสท์ ป่ี รกึ ษากระทรวงการต่างประเทศพจิ ารณาร่างรฐั ธรรมนูญขึน้ แต่ดาเนินการไมท่ ันแล้วเสร็จ การเมืองในสมัยประชาธิปไตยตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 ถึง 2 มีนาคม 2477 เมื่อคณะราษฎร์ยึด อานาจได้แล้วได้มอบหมายให้ น.ต. หลวงศุภชลาศัย นาหนังสือกราบบังคมทูลให้รัชกาลท่ี 7 เสด็จกลับสู่ พระนครให้กลับมาเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญซ่ึงคณะราษฎร์ได้ร่างข้ึน พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสดจ็ กลับกรงุ เทพมหานคร ในวนั ท่ี 25 มิถนุ ายน 2475 คณะราษฎร์ได้นารัฐธรรมนูญ การปกครองแผน่ ดินสยามชัว่ คราว ซึ่งหลวงประดษิ ฐม์ นธู รรมและคณะราษฎร์ ได้ร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้ ทรงลงพระปรมาภิไธย พระองค์ได้พระราชทาน พระราชบัญญัตธิ รรมนญู การปกครองแผ่นดินสยามช่ัวคราว ใน วนั ที่ 27 มถิ ุนายน 2475 เมือ่ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยแล้ว สภาผู้แทนราษฎรซึ่งต้ังโดย คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวจานวน 70 นาย โดยมีเจ้าพระยา ธรรมศกั ด์มิ นตรี (สน่นั เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เปน็ ประธานสภาผู้แทนราษฎร์คนแรก และพระยามโนปกรณ์นิติ ธาดาเป็นประธานกรรมการราษฎร (นายกรฐั มนตรี ) และเลือกคณะกรรมการราษฎร (คณะรัฐมนตรี ) 14 นาย ทาหน้าทีบ่ รหิ ารประเทศ และ เลือกสมาชิกในคณะราษฎร์อีก 9 นาย ทาหน้าท่ีร่าง รัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อ ร่างเสร็จแล้วรัชกาลท่ี 7 ได้พระราชทานคืนมาให้เม่ือ 10 ธันวาคม 2475 หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วได้มี การตัง้ คณะรฐั บาลบรหิ ารประเทศ โดยมีมหาอามาตย์โท พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (นายก้อน หุตะสิงห์) เป็น นายกรฐั มนตรี มีคณะรฐั มนตรี จานวน 20 นาย สาระสาคัญของ รัฐธรรมนูญมีดังนี้ พระมหากษัตริย์ดารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะ ละเมิดมิได้ อานาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ซ่ึงเป็นประมุข ทรงใช้อานาจนี้ แต่โดย บัญญัติของ รัฐธรรมนูญ อานาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คืออานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหารและอานาจ ตุลาการ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อานาจนิติบัญญัติ โดย คาแนะนาและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ซ่ึงอยู่ใน ตาแหน่งคราวละ 4 ปี มีสมาชิก 2 ประเภทจานวนเท่ากันเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยมีสมาชิกประเภทที่ 1 ได้แก่ สมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้งเข้ามา และ ประเภทท่ี 2 ได้แก่สมาชิกท่ีพระมหากษัตริย์ทรง
- 43 - แตง่ ต้งั พระมหากษัตริย์ทรงใช้อานาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่าง น้อย 14 นาย อย่างมาก 24 นาย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อานาจตุลาการ ทางศาล ซึ่งจัดตั้งตามกฎหมาย เพ่ือ พิจารณาพพิ ากษาอรรถคดี หลังจากเปล่ียนแปลงการปกครองมาเป็นแบบประชาธิปไตยภายใต้การบริหารงาน โดยพระยามโนปกรณน์ ติ ิธาดา ได้เกิดการขัดแย้งกันระหวา่ งรัฐบาลกับรัฐสภาอันเนื่องมาจากเค้าโครงเศรษฐกิจ ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้เขียนไว้ในสมุดปกเหลืองซ่ึงนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นเค้าโครงเศรษฐกิจแบบ คอมมิวนิสต์ของรสั เซีย ซงึ่ ตรงกับพระราชวินิจฉัย ในสมุดปกขาวของรัชกาลที่ 7 รัฐบาลจึงสั่งปิดสภา พระยาม โนปกรณ์ฯ ได้ขอร้อง ให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเดินทางออกไปอยู่ ณ ประเทศฝร่ังเศส 20 มิถุนายน 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนา ทาการปฏิวัติแล้วแต่งตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมกับเชิญหลวงประดิษฐ์มนู ธรรม กลับมาช่วยกันบริหารประเทศ ต่อมาสมาชิกของคณะราษฎร์บางคนละทิ้งสัญญาท่ีให้ไว้กับประชาชน รฐั บาลปลอ่ ยใหป้ ระชาชนฟ้องรอ้ งพระมหากษัตรยิ ์ ซงึ่ เปน็ การหมิ่นพระบรมเดชานภุ าพ 21 ตุลาคม 2476 “คณะกู้บ้านเมือง” ภายใต้การนาของพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวร เดช กฤดากร ได้นากาลังทหารจากนครราชสีมา สระบุรี อยุธยา เข้ามาทาการปฏิวัติเพ่ือให้มีการปกครองแบบ ประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ เ์ ป็นประมขุ อยา่ งแทจ้ ริง กองทหารของคณะกู้บ้านเมืองได้ต่อสู้กับทหารของ รัฐบาลบริเวณดอนเมือง ผลปรากฏว่าทหารของฝ่ายรัฐบาลชนะ พระองค์เจ้าบวรเดชต้องล้ีภัย ไปอยู่ท่ี อินโด จีน เหตุการณค์ ร้ังนเ้ี รียกว่า “กบฏบวรเดช” 12 มกราคม 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จไปรักษาพระเนตรท่ีประเทศ อังกฤษ ขณะท่ีประทับอยู่ท่ีประเทศอังกฤษมีเรื่องไม่สบพระราชหฤทัยบางประการ จึงประกาศสละราชสมบัติ เม่ือ 2 มีนาคม 2477 รัฐบาลจึงได้อัญเชิญ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จข้ึนครองราชสมบัติ เป็น รัชกาลท่ี 8 แห่งราชวงศ์จักรี รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา ลาออกเม่ือ 21 ธันวาคม 2481 เน่ืองจากสภามีมติไม่เหน็ ชอบในวิธกี ารจัดทาพระราชบญั ญัติงบประมาณของรฐั บาล การเมืองช่วง 2475-2500 นับแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2475 มีพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 2475 มบี ทบญั ญัติทง้ั สิ้น 39 มาตรา ถอื วา่ เปน็ รฐั ธรรมนญู ฉบับแรกของไทยและได้เชิญ พระยามโนปกรณ์นิติธาดามา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยหลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ทาการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ขึ้นมาจนสาเร็จในวันที่ 2 ธันวาคม 2475 รวมท้ังสิ้น 68 มาตรา วันท่ี 7 ธันวาคม 2475 ผู้ริเริ่มก่อการ เปลี่ยนแปลงการปกครองได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานอภัยโทษ ที่ได้กระทาการรุนแรงเม่ือ วันท่ี 24 มิถุนายน 2475 ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดารัสความว่า “...ข้าพเจ้าขอ ขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งในการท่ีได้มาทาพิธีขอขมา การกระทาของท่านในวันนี้ทาให้รู้สึกยินดีเป็นนอ ย่างย่ิง ไม่ใช่ยินดีทีท่านมาขอขมาแก่ตัวข้าพเจ้าโดยเฉพาะ เพราะข้าพเจ้าได้ให้อภัยท่านท้ังหลายมานานแล้ว ขา้ พเจ้าเข้าใจความประสงค์ของท่านดี ท่านทาเพื่อประโยชน์ของชาติจริง ๆ การทาเช่นน้ีย่อมเป็นเกียรติแก่ตัว ท่านเป็นอันมาก แสดงว่าท่านทั้งหลายมีมโนธรรมในใจและเป็นคนสุจริตและใจเป็นนักเลง คือเมื่อรู้สึกว่าทา อะไรเกินไป หรือผิดพลาดไปบ้าง ท่านก็ยอมรับผิดโดยดีและเปิดเผย การกระทาเช่นนี้เป็นของที่ทายาก และ ตอ้ งใจเป็นนักเลงจริง ๆ จงึ จะทาได้ วันท่ี 10 ธันวาคม 2475 วันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซ่ึงจัดเป็นพิธีท่ีย่ิงใหญ่ ณ บริเวณลาน พระบรมรปู ทรงม้า ตงั้ แตน่ น้ั มาจงึ ถือว่าวันท่ี 10 ธันวาคมของทุกปี เป็นวนั รัฐธรรมนญู ของไทย พ.ศ. 2476 ได้มี การเลอื กต้งั ทั่วไปเปน็ ครัง้ แรก พ.ศ. 2478 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และเสด็จประทับท่ีประเทศ องั กฤษ จนกระท่ังสวรรคต ต่อมาพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ประมาณ 5 ปี 5 เดือนเศษพ.ศ. 2481 . 2487 จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบาย .รัฐนิยม. เน้นการรักชาติ สร้าง
- 44 - เอกลักษณ์ไทย ต่อต้านชาวจีน เป็นมิตรกับญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกคร้ังที่ 2 เม่ือสงครามโลกสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นแพ้ สงคราม จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงเสียตาแหน่งนายกรัฐมนตรีมีการตั้งขบวนการเสรีไทย โดยการนาของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และนายปรีดี พนมยงค์เพื่อช่วยเหลือประเทศไทยทางอ้อมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีใหฝ้ ่ายสมั พนั ธมิตรเขา้ ใจว่าประเทศไทยสนับสนุนฝา่ ยอกั ษะ (ญ่ปี นุ่ ) กรณีสวรรคตของรชั กาลที่ 8 เป็นปัจจัยหนึง่ รัฐประหาร พ.ศ.2490 หลังจากสงครามโลกคร้ังที่ 2 เศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคือง ประชาชนได้รับ ความเดือดร้อนกันท่ัวหน้า จนกระทั่งถึงวันท่ี 9 มิถุนายน 2489 ข่าวการสวรรคต อย่างกระทนั หันของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลท่ี 8 ใน รัชกาลที่ 8 เวลาประมาณ 9.30 น. เมื่อข่าวน้ีแพร่สะพัดออกไปเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไม่ ค่อยเปน็ มงคลอยแู่ ลว้ ก็เปน็ ไปในทางรา้ ยแรงจนเปน็ เหตใุ ห้รฐั บาลสมัยนนั้ ไม่อาจ น่งิ นอนใจอยไู่ ด้ จึงได้จัดต้งั กรรมการข้ึนคณะหน่ึง เรยี กขานกนั ในหมู่ประชาชนว่า ศาลกลางเมอื งความสงสยั ของประชาชนในข้อท่ีว่ารัฐบาลเป็นตัวการในเร่ืองน้ีมีมากย่ิงข้ึน ทาให้นายกรัฐมนตรี คือนายปรีดี พนมยงค์ ต้องกราบถวายบังคมลาออกจากตาแหน่ง ทาให้มีพระบรมราชโองการลงวันที่ 23 สงิ หาคม 2489 ให้พลเรือตรีถวัลย์ ธารงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป สัญญาณของความเคลื่อนไหว ของกลุ่มทหารได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ 24 มีนาคม พ.ศ.2490 จอมพล ป. อดีตนายกรัฐมนตรีประกาศจะกลับคืนสู่ การเมืองอีกคร้ัง ด้วยการจัดตั้งพรรคธรรมาธิปัตย์ โดยหลวงวิจิตรวาทการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อลงแข่งขันใน การเลือกต้ัง ต่อมากลุ่มทหารนอกราชการนาโดยพลโทผิน ชุนหะวัณและนาวาอากาศเอก กาจ กาจสงคราม นายทหารนอกราชการได้เร่ิมความเคลื่อนไหวทางลับเพ่ือก่อการรัฐประหารขึ้น โดยพลโทผินไปพบจอมพล ป. หลายคร้ังเพือ่ ชวนใหเ้ ข้ารว่ ม ไม่แต่เพียงการพบไปอดีตนายกรัฐมนตรีเท่าน้ัน ต่อมา พลโทผินและนาวาอากาศ เอกกาจได้ไปประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ และนายเลื่อน พงษ์โสภณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรค ประชาธปิ ตั ย์หลายคร้ังเพ่ือเตรยี มแผนการ จากนั้น แผนการเริ่มต้นจากความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ ในการสั่นคลอนความชอบธรรมของรฐั บาลพลเรือตรี ถวัลย์ ด้วยการเปิดอภิปรายท่ัวไปถึง 9 วัน ระหว่าง 19- 27 พฤษภาคม 2490 ทาให้ประชาชนเร่มิ เสอื่ มความนิยมที่มีต่อรัฐบาลลง ท่ามกลางกระแสข่าวความพยายาม ก่อการรัฐประหารท่ียังคงดารงอยู่ตลอดเวลา แต่พลเรือตรี ถวัลย์ นายกรัฐมนตรียังคงมีความมั่นใจใน เสถียรภาพ จนกระท่ังเคยกล่าวว่า “นอนรอปฏิวัติมานานแล้ว ไม่เห็นปฏิวัติเสียที” บุคคลในฝ่ายรัฐบาลที่ ระมดั ระวังเสถยี รภาพทางการเมืองตลอดเวลา มีเพียงนายปรีดี เม่ือเริ่มได้รับรายงานจากตารวจได้สืบพบความ เคลอื่ นไหวทางการเมืองของกล่มอนรุ ักษก์ ษัตริย์นิยมท่ีเคยก่อการกบฎทุกกรณีได้ร่วมกันเตรียมแผนการก่อการ รัฐประหารแล้ว ตลอดจนได้รับรายงานการเคล่ือนไหวของทหารจากพลเอกอดุล อดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการ ทหารบก นายปรีดีจึงได้ส่ังการให้นายทองเปลว ชลภูมิ นายปราโมช พึ่งสุนทร นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และ นายถวิล อุดล ออกหาขา่ วการพยายามรัฐประหารเชน่ กัน ก่อนการรัฐประหารจะเกิดข้ึน ในต้นเดือน พฤศจิกายน มีการประชุมกันท่ีบ้านพักที่ท่าช้างของ นายปรีดี ระหว่าง นายปรีดี พลเรือตรี ถวัลย์ นายกรัฐมนตรี พลเรือตรีสังวร ยุทธกิจ อธิบดีกรมตารวจ และ พลเอกอดุล เร่ืองการปรับปรุงรัฐบาล โดยพลเรือตรีถวัลย์ต้องการลาออกในจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2490 ดังนั้น ท่ีประชุมเห็นชอบเสนอให้พลเอกอดุลเป็นนายกรัฐมนตรีแทนโดยนายปรีดี เชื่อมั่นว่าพลเอกอดุล จะสามารถควบคุมสถานการณ์ในกลุ่มทหารบกได้และมีการเตรียมแผนการจับกุมนายทหารที่วางแผนการ รัฐประหารให้เสร็จสิ้นภายในก่อนเช้าวันที่ 9 พฤศจิกายน เม่ือแผนการแผนการรัฐประหารร่ัวไหล ฝ่ายรัฐบาล เร่ิมรู้ การก่อการรัฐประหารต้องเร่งลงมือก่อนพวกเขาจะถูกจับกุม เช้าวันท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 คณะ
- 45 - ทหารที่เรียกตนเองว่า “คณะรัฐประหาร” สามารถยึดอานาจรัฐได้สาเร็จ โดยประกาศ ข้ออ้างในการ รัฐประหารคือ 1.รฐั ประหารเพื่อประเทศชาติ 2.รัฐประหารล้มรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ เพ่ือสถาปนา การเทิดทูลชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และ ประพฤตติ ามรัฐธรรมนูญอย่างแทจ้ ริง 3.รัฐประหารเพื่อเชิดชเู กียรตขิ องทหารบกทถ่ี ูกยา่ ยใี ห้ฟ้ืนกลับคนื 4.รัฐประหารเพ่ือแกไ้ ขปญั หาเศรษฐกิจ ค่าครองชพี ใหแ้ กป่ ระชาชน 5.สืบหาผู้ปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและนาตัวฟ้องร้องตาม กฎหมาย 6.รัฐประหารเพ่อื ขจัดลทั ธิคอมมิวนสิ ต์ คณะนาทหารที่ทาการยึดอานาจ ประกอบด้วยนายทหารนอกประจาการ 12 คน และนายทหาร ประจาการ 38 คน21 ดังนี้ นายทหารนอกประจาการ มีจานวน 12 คน คอื 1.จอมพล ป. พิบูลสงคราม 7.พันโท ณรงค์ วรบุตร 2.พลโท ผนิ ชุณหะวณั 8.พันโท โต๊ะ ป้นั ตระกูล 3.นาวาอากาศเอก กาจ กาจสงคราม 9.พนั โท ศิลป พบิ ลู ภานุวตั ร 4.พนั เอก ก้าน จานงภมู ิเวท 10.พนั ตรี ชาญ บุญญะสิทธ์ิ 5.พันเอก น้อม เกตุนุติ 11.ร้อย เอกขนุ ปรีชารณเสฏฐ์(เลอ่ื น ปรีชาแจม่ ) 6.พนั เอก เผา่ ศรยี านนท์ 12.ร้อยตรี ทองคา ยม้ิ กาภู นายทหารบกประจาการ มจี านวน 38 นาย คือ 1.พันเอก สฤษด์ิ ธนะรชั ต์ 20.พนั ตรี ศิริ ศริ โิ ยธนิ 2.พนั โท บญั ญัติ เทพหสั ดิน ณ อยทุ ธยา 21.พันตรี พงษ์ ปณุ ณกันต์ 3. พันโท สุดใจ พูนทรพั ย์ 22.พันตรี ประมาณ อดิเรกสาร 4.พนั โท ประภาส จารเุ สถียร 23.พันเอก ไสว ไสวแสนยากร 5.พนั โท ตรี บุษยะกนิษฐ์ 24.พันโท สาย เชนยะวนิช 21 นอกจากน้ียังมตี ารวจ 5 คน และพลเรือน 9 คน รว่ มอยใู่ นคณะรัฐประหาร
- 46 - 6.พนั โท ชลอ จารกุ ลสั 25.พนั โท เผชิญ นมิ ิตบุตร 7.รอ้ ยโท ชาญณรงค์ วิจารณบุตร 26.พันโท ถนอม กติ ตขิ จร 8.พนั เอก เจริญ สวุ รรณวสิ ตู ร์ 27.พนั โท อัครเดช ยงยทุ ธ 9.พนั ตรี จิตต์ สุนทานนท์ 28.พันโท ปรงุ รังสิยานนท์ 10.พันตรี ผาด ตุงคะสมิต 29.พนั โท สวัสดิ์ สีมานนทป์ ริญญา 11.รอ้ ยเอก ประจวบ สุนทรางกรู 30.พันตรี จารญู วีณะคปุ ต์ 12.พนั โท กฤช ปณุ ณกนั ต์ 31.ร้อยเอก อนันต์ พิบลู สงคราม 13.ร้อยเอก ชาติชาย ชณุ หะวณั 32.ร้อยเอก วิฑูร หงสเวช 14.พนั เอก หลวงสวสั ดสิ รยทุ ธ 33.พนั โท หลวงสถิตยทุ ธการ 15.พันโท เฉลมิ พงษส์ วสั ด์ิ 34.พันโท ชศู กั ดิ์ วัฒนรณชัย 16.พนั โท ประเสริฐ รจุ ิระวงศ์ 35.พนั โท ละม้าย อุทยานานนท์ 17.พันโท เลก็ สงวนชาตสิ รไกร 36.รอ้ ยเอกลขิ ติ หงสนันท์ 18.พันเอก สวสั ด์ิ สวัสดิเ์ กียรติ 37.รอ้ ยเอก วรมัน ณ ระนอง 19.รอ้ ยเอก ณรงค์ สาลีรัฐวภิ าค 38.ร้อยเอก ทม จติ รวมิ ล แมว้ ่าจอมพลสฤษดิ์ ฯ จะได้เข้าร่วมในการทาการรัฐประหารครงั้ น้ี ก็ยงั ไม่ได้ถอื วา่ ได้เข้าสู่วงการเมือง อย่างเปน็ ทางการ ซงึ่ ขณะนัน้ เพยี งยศเพียงพนั เอกและอยู่ในตาแหน่งระดับล่าง ยังไม่มีฐานอานาจเพียงพอท่ีจะ สร้างพลังอิทธิทางการเมอื งได้อย่างชัดเจน เป็นเพยี งกลไกสาคัญหน่งึ ของกระบวนการรัฐประหาร สามหารเสอื สถานการณ์การเมืองไทยในช่วงปลายทศวรรษที่ 2490 น้ันเป็นห้วงเวลาที่ความขัดแย้งระหว่าง การเมืองสามเส้า ระหว่างรฐั บาล ตารวจและกองทัพ หรือการเมือง 3 เส้า (The Triumvirate) หรือสามทหาร เสือซ่ึงจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ใช้ท้ัง 2 กลุ่มคานอานาจระหว่างกันตลอดมาในรอบหลายปี เพ่ือรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ดังนั้น ทางออกจากปัญหาการเมืองสามเส้า ในความคิดของจอมพล ป. คือ การทาให้คู่แข่งขันทั้งหมด คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพลตารวจเอก เผ่า ศรียานนท์ เดินไปบนเส้นทาง การแข่งขันทางการเมืองด้วยกระบวนการเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินใจและลดการใช้กาลังรัฐ ประหารลง
- 47 - เนื่องจากอาจเป็นทางเลือกเดียวที่ดีท่ีสุด สาหรับจอมพล ป. นายกรัฐมนตรีที่ไม่มีอานาจในการส่ังการกองทัพ หรือตารวจอย่างเต็มท่ี ในขณะท่ีการต่อสู้ระหว่างการเมืองสามเส้าดาเนินไป กลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยมเริ่มทวี บทบาทมากขึ้นอกี จนสามารถก้าวขึ้นมาเปน็ กลมุ่ การเมอื งสาคญั ได้ กลุ่มผู้มีอานาจทั้งสามนั้น จอมพล ป. เป็นกลุ่มที่อยู่ในฐานะลาบากท่ีสุด เน่ืองจากไม่มีฐานกาลัง เป็นของตนเอง แต่สิ่งท่ีจอมพล ป. ต้องตัดสินใจทาคือการใช้สองกลุ่มคานอานาจกันเอง และอีกด้านหนึ่ง คือ การแสวงหาแรงสนับสนุนจากประชาชนด้วยการเปิดให้มีบรรยากาศแบบ[ระบอบประชาธิปไตย เช่น มีการ ไฮด์ปาร์ค ให้มีพรรคการเมือง มีการเลือกตั้ง และการพยายามดึงนายปรีดี พนมยงค์ซึ่งได้หลบหนีออกนอก ประเทศไปภายหลังการรัฐประหาร 2494 และต่อมาถูกโจมตีว่าอยู่เบื้องหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยู่หวั อานันทมหิดลใหก้ ลับมาประเทศไทยเพือ่ รื้อฟ้ืนคดกี ารสวรรคตขึ้นมาใหม่ ความคิดท่ีจะกลับไปคืน ดกี ับนายปรีดนี ีม้ าจากความรู้สึกว่า รัฐบาลมีแนวโน้มไม่มเี สถยี รภาพ เพราะจอมพล ป. เห็นว่า จอมพลสฤษด์ิ มี แนวโนม้ ทจี่ ะรว่ มมอื กับกลุ่มอนรุ ักษ์กษัตรยิ ์นยิ ม22 จอมพลสฤษด์ิ ฯ ไดเ้ ร่มิ เขา้ มามบี ทบาททางการเมอื งอยา่ งเต็มตัวเมื่อคราวได้รับการแต่งต้ังให้เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมปี พ.ศ.2494 สามารถดารงตาแหน่งยาวนานถึง 5 ปี ต่อมาได้เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะก่อนหน้าน้ันก็มิได้เข้าไปเก่ียวพันกับการอย่างเมืองอย่างชัดเจน เนอื่ งจากจอมพลสฤษดิ์ ฯ มีความตั้งใจในการพัฒนาและจัดระบบกองทัพให้เป็นกองทัพท่ีมีศักยภาพท่ีทันสมัย โดยกลุ่มของจอมพลผิน ชุณหะวัน แม้จะดารงตาแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาถึงปี พ.ศ.2497 แต่ก็มุ่งแต่ทา ธุรกิจการค้าท่ีสร้างความมั่งค่ังกว่าจึงมิได้พัฒนากองทัพบกเท่าที่ควร ทาให้จอมพลสฤษด์ิ ฯ ได้ใช้โอกาสนี้ พฒั นากองทัพบกให้เป็นตามท่ตี นเองเหน็ ว่าเหมาะสม โดยสามารถนาพรรคพวกเขา้ มาดารงตาแหนง่ สาคญั ๆ การจัดระเบียบกองทัพใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการกองทัพบก ใน กระทรวงกลาโหม ลงวันท่ี 30 กรกฎาคม พ.ศ.2495 ได้มีการจัดหน่วยแบบกองทัพบกของสหรัฐอเมริกา ซ่ึง จอมพลสฤษดิ์ ฯ ขณะดารงตาแหน่งรองผบู้ ัญชาการทหารบก ได้แสงความคิดเห็นลงในหนังสือ “วันกองทัพบก 25 มกราคม พ.ศ.2496” มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า “อนึ่ง ขณะนี้กองทัพบกไทยได้รับความช่วยเหลือทาง การทหารจากสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชดิ และได้ทาการต่อเช่ือมกับกองทัพของชาติต่างๆ มากยิ่งข้ึน อาทิ ได้ไป ร่วมรบกับทหารชาติต่างๆในประเทศเกาหลีในนามสหประชาชาติ กองทัพบกจึงได้ตกลงใจปรับปรุงการจัด ราชการในกองทพั คร้งั ใหญ่ โดยถือเอาการจดั ระเบียบราชการรกองทัพบกสหรฐั เปน็ หลกั ...”23 หากมองในด้านของการวางฐานอานาจถือว่าทาให้จอมพลสฤษด์ิ ฯ จาเป็นต้องสร้างฐานทาง การเมืองของตนเองข้ึนมา เพราะสามารถควบคุมบังคับบัญชาหน่วยทหารในกรุงเทพฯได้ท้ังหมด แต่การฐาน การเมืองของจอมพลสฤษด์ิ ฯ กม็ ิได้เป็นไปอย่างไร้คู่แข่ง เพราะในกลุ่มของจอมพลผิน ชุณหะวัน ก็มีพลตารวจ เอกเผา่ ศรยี านนท์ ซง่ึ เปน็ บตุ รเขยกไ็ ด้สรา้ งฐานทางการเมอื งเหมือนกนั วันท่ี 25 มิถุนายน พ.ศ.2497 จอมพลสฤษดิ์ ฯ ได้เข้ารับตาแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าว กบั ผเู้ ข้าร่วมพธิ ตี อนหน่ึงวา่ “...จงชว่ ยกันสร้างกองทัพบกใหเ้ จริญสุดยอกในสมัยเรานี้ให้จงได้..”24 นอกจากน้ัน ยังได้กลา่ วเนอื งๆวา่ “...มชี ีวิตเป็นทหารบกมาแต่เล็กแต่น้อย ถ้าจะให้ออกจากกองทัพบกแล้วเห็นจะเศร้าใจไม่ มีทีส่ ้นิ สดุ จงึ ต้งั ใจว่าถ้าจะตายกข็ อตายอยกู่ ับกองทัพบกนีแ่ หละ...” 22http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/._2500 เขา้ ถึงเมอื่ 15 ธันวาคม 2555 23หนังสือประวัติและผลงานของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์.คณะรัฐมนตรีพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั น.์ ณ เมรหุ น้าพลับพลาอสิ รยิ าภรณว์ ัดเทพศิรนิ ทราวาส.17 มนี าคม พ.ศ.2507.หน้า.52-53 24 พลเอกจิตติ นาวีเสถียร.ผลงานจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ :งานพัฒนากองทัพบก.จากหนังสือประวัติและผลงานของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์.คณะรัฐมนตรีพมิ พ์ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชน์.ณ เมรุหน้าพลับพลา อิสริยาภรณ์วัดเทพศิรนิ ทราวาส.17 มีนาคม พ.ศ.2507. หนา้ .1
- 48 - ปี พ.ศ.2498 จอมพล ป.พยายามจะพัฒนาระบบการเมืองของไทยให้เป็นไปอย่างสากลโดยเสนอ พ.ร.บ.วา่ ดว้ ยพรรคการเมือง พยายามที่ใช้อานาจของประชาชนแต่ทหารและตารวจที่เป็นพลังอานาจ จอมพล ป.ขอให้สภาสนับสนุนกฎหมายพรรคการเมือง โดยในเจตนารมณ์ที่แท้จริงคือการลดอานาจของทหารและ ตารวจ เพราะอธิบดีกรมตารวจมอี านาจมากขึ้นเร่ือยๆและเป็นผู้คัดค้านประชาธิปไตยสมยั ใหม่25 ชนวนความขดั แย้งระหวา่ งรัฐบาลและสถาบนั กษัตรยิ ์ สมยั จอมพล ป.พบิ ูลสงคราม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับพระมหากษัตริย์ไม่ราบร่ืน นับแต่ การรัฐประหาร 2494 และการร่างรัฐธรรมนูญ 2495 ที่ไม่ถวายอานาจให้พระมหากษัตริย์เข้ามามี บทบาทการเมืองตามรัฐธรรมนญู เทา่ นน้ั แตใ่ นปี 2496 พระมหากษัตริยแ์ ละรัฐบาล ยังขัดแย้งกันเร่ืองกฎหมายการปฏิรูปที่ดิน โดยรัฐบาลมุ่งจากัดการถือครองท่ีดิน จอจมอพมลพลปป.พ. ิบพิบูลลู สสงงคราามม ขนาดใหญ่และช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย แต่การปฎิรูปท่ีดินนี้องคมนตรีไม่เห็น ดว้ ย ใหเ้ หตุผลว่าไทยไม่ได้ขาดแคลนทด่ี ินถึงขนาดตอ้ งปฏิรปู ทีด่ ินพระมหกษัตรยิ ์ ทรงเห็นด้วยกับองคมนตรีและทรงชะลอการการลงพระนามประกาศใช้กฎหมาย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคง ยืนยันความจาเป็นของกฎหมายฉบับน้ี ท้ายสุดพระองค์ก็ยอมลงพระนามประกาศใช้กฎหมาย อีกทั้ง ในปี 2500 ทรงไม่เสด็จเข้าร่วมงานการฉลอง 25 พุทธศตวรรษ เน่ืองจากพระองค์ไม่พอพระทัยการจัดการท่ีทาให้ รัฐบาลกลายเป็นศูนย์กลางของงานแทนที่จะเป็นพระองค์ ทรงเห็นว่า จอมพล ป. “เมาอานาจ” ประสงค์จะ เป็น “พระมหากษัตริย์องค์ที่สอง” ในช่วงรัฐบาลสมัยที่ 1 ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีนโยบายท่ีบ่งชักว่า รัฐบาลไม่มีความประสงค์ที่เห็นสถาบันกษัตริย์ (องค์พระมหากษัตริย์หรือผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์) มี บทบาททางการเมืองใด นอกเหนือไปจากท่ีได้กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ช่วงรัฐบาลสมัยที่ 2 ของจอมพล ป. รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2495 ได้เพิ่มอานาจส่วนบุคคลแด่พระมหากษัตริย์ในการแต่งต้ังคณะ องคมนตรี การบรหิ ารสานกั พระราชวังและอื่นๆ แตบ่ ทบาททางการเมอื งของราชบัลลังก์ก็ยังเหมือนเดิมคือเป็น สัญลักษณ์ของอานาจสูงสดุ ของประเทศ แต่ปราศจากอิทธิพลหรืออานาจแทจ้ ริงในการปกครองบ้านเมือง26 ใน ปีเดือนเมษายน 2500 กลุ่มอนุรักษ์/กษัตริย์นิยมและกองทัพภายใต้การนาของจอมพลสฤษดิ์ได้เคล่ือนไหว เตรียมแผนรัฐประหาร โดยมีแกนนาสาคัญของกลุ่มอนุรักษ์/กษัตริย์นิยมเข้าประชุมร่วมกับกองทัพ เช่น กรม หมื่นพิทยาลาภพฤฒิยากร(พระองค์เจ้าธานี) ประธานองคมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ และ ม.ร.ว.คึกฤทธ์ิ ปราโมช ต่อมาแผนการดังกล่าวได้ดาเนินการผ่านการโจมตีรัฐบาลผ่านหนังสือพิมพ์ของกลุ่มอนุรักษ์ -กษัตริย์นิยม (สยามรัฐ) และพรรคฝ่ายค้าน เช่น พรรคประชาธิปัตย์และพรรคสหภูมิ ท้ังน้ี การอภิปรายในสภาผู้แทนฯก่อน รัฐบาลถูกรัฐประหาร ได้มีการเปิดเผยในสภาผู้แทนฯว่า พระมหากษัตริย์ทรงให้เงินสนับสนุนเงินจานวน 700,000บาทให้กับ ม.ร.ว.เสนีย์ และพรรคประชาธิปัตย์ใช้เคล่ือนไหวทางการเมือง ไม่แต่เพียงกลุ่มอนุรักษ์/ กษัตริย์นิยมเท่าน้ันท่ีเคลื่อนไหว จากรายงานของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯรายงานว่า พระมหากษัตริย์ได้ทรง เสดจ็ มามาพบ ม.ร.ว.เสนยี ์ ท่บี ้านส่วนพระองค์เปน็ การลบั ในยามคา่ คนื เสมอๆดว้ ย27 การแขง่ ขนั ทางการเมืองระหว่าง “สเี่ สาเทเวศร์” กับ “ซอยราชครู” ในปลายปลายปี 2499 ได้เริ่มเกิดความขัดแย้งกันระหว่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขณะดารง ตาแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการกองทัพบก กับจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซ่ึงขณะนั้น 25 ลิขิต ธีระเวคนิ .วิวัฒนาการการเมอื งการปกครอง.(พมิ พ์ครงั้ ท่ี 5).กรงุ เทพฯ:มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ 2540.หน้า 147 26 กอบเก้ือ สุวรรณทัต-เพียร.บันทึกการสัมมนาจอมพล ป.พิบลู สงครามกบั การเมอื งใหม่.กรงุ เทพฯ:มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. (พมิ พ์ครงั้ ที่ 2).2544.หน้า 97-98 27 http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/._2500 เข้าถึงเมอ่ื 15 ธนั วาคม 2555
- 49 - ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี และพลตารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและ อธบิ ดกี รมตารวจ ซ่ึงนับว่าเป็นคู่แข่งทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ฯ และถูกมองว่าเป็นทายาททางการเมือง ของจอมพล ป. อีกทัง้ ยงั มีความขดั แย้งด้านผลประโยชนอ์ ื่นทางธุรกิจและการควบคุมรัฐวิสาหกิจ โดยการเสนอ ให้รัฐมนตรีที่ทาธุรกิจลาออกจากตาแหน่ง ซึ่งขณะนั้นจอมพลสฤษด์ิ ฯ ดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานักงาน สลากกินแบ่งซึ่งเป็นฐานการสร้างความร่ารวย ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ และพรรคพวกได้ลาออกจากตาแหน่ง รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงกลาโหม จึงแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่าย “ส่ีเสาเทเวศร์” ประกาศตัวไม่สนับสนุน จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลุ่มนี้ประกอบด้วยจอมพลสฤษดิ์ ฯ พลโทถนอม กิติขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงกลาโหม พลโท ประภาส จารเุ สถยี ร รฐั มนตรชี ่วยมหาดไทย พลอากาศโทเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร รฐั มนตรีชว่ ยกระทรวงคมนาคม และพลตารวจตรีประเสริฐ รจุ ริ วงศ์28 สว่ น “ฝา่ ยซอยราชครู” เป็นฝ่ายที่สนับสนุนจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกอบด้วยจอมพลผิน ชุณหะวัณ พลตารวจเอกเผ่า ศรียานนท์29 พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร30 รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม พลตรีศิริ สิริโยธิน และพลจัตวาชาติชาย ชุณหะวัน ซึ่งต่างฝ่ายก็มีส่ือหนังสือพิมพ์เป็น กระบอกเสียงโจมตีซึ่งกันและกัน คือ หนังสือพิมพ์สารเสรี สนับสนุนฝ่ายส่ีเสาเทเวศร์ ส่วนหนังสือพิมพ์เผ่า ไทย สนับสนนุ ฝา่ ยซอยราชครู31 การเมืองชว่ ง 2500-2516 โกงการเลือกต้ัง “นับคะแนนนานถึง 7 วัน” วันท่ี 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้จัดให้การมีการเลือกต้ังทั่วไป เป็นการขับเคี่ยวทาง การเมืองของพรรคการเมอื งฝา่ ยรฐั บาล คือ พรรคเสรีมนังคศิลา ท่ีสนับสุนจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยมีพรรค ประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านท่ีเป็นคู่แข่งท่ีคนกรุงเทพฯให้ความนิยมในขณะนั้น ได้โจมตีพรรคเสรีมนังคศิลาท่ี เป็นพรรครัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นเปิดโปงการรับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐอเมริกา เพือ่ คา้ จุนรฐั บาลและรับเงนิ จากนกั ธรุ กจิ เพื่อเปน็ ทนุ ในการเลือกต้ัง โดยพรรคเสรมี นังคศิลาได้แจกของให้ผู้ที่มา ฟังการปราศรัยหาเสียงเช่นไม้ขีดไฟและผ้าเช็ดหน้า32 ในวันเลือกต้ังได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่ส่อไปในทาง ทจุ ริต เนือ่ งจากหนว่ ยเลอื กต้งั หลายแห่งไม่มีกรรมการประจาหน่วย การเลือกต้ังทั่วไปท่ีเกิดขึ้นในวันท่ี 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ไม่อาจทาให้ประชาชนยอมรับใน ผลได้ เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งท่ีนับได้ว่ามีการโกงกันมากท่ีสุดในประวัติศาสตร์ นับต้ังแต่ ใช้เครื่องบินโปรย ใบปลวิ โจมตีฝา่ ยตรงข้าม ข่มขู่ชาวบ้าน ประชาชน ให้เลือกแต่ผู้สมัครของพรรคเสรีมนังคศิลาของรัฐบาล หรือ การเวยี นเทียนมาลงคะแนน การสลบั หีบบัตร การแอบหย่อนบตั รคะแนนเถือ่ นเขา้ ไปในหบี และต้องใช้เวลานับ คะแนนกันนานถึง 7 วัน ดว้ ยกัน ผลการเลอื กตง้ั พรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสียงข้าง มาก ขณะทพ่ี รรคประชาธปิ ัตย์ พรรคฝ่ายค้านคู่แข่งได้เพียง 5 ที่น่ัง เท่านั้น จานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเขตกรุงเทพฯ จานวน 9 ทน่ี ง่ั ไดแ้ ก่ 28 เดิมเป็น ผู้บังคับกองพลน้อยทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ปี พ.ศ.2500 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองอธิบดีกรมตารวจ พ.ศ. 2502 ไดร้ ับการแต่งตง้ั ให้รกั ษาการอธิบดีกรมตารวจ ในปี พ.ศ. 2506ไดร้ บั โปรดเกล้าฯเป็นอธิบดกี รมตารวจ 29 เดมิ รบั ราชการทหารมยี ศพันเอกเคยดารงตาแหน่งเจ้ากรมเสมยี นตรา กระทรวงกลาโหม ก่อนที่จะโอนย้ายมารับราชการเป็น ตารวจเมอื่ ปี พ.ศ.2490 เปน็ บตุ รเขยของจอมพลผิน ชุนหะวัณ อกี ทัง้ เปน็ อดีตนายทหารคนสนทิ ของจอมพล ป. พิบลู สงคราม 30พล.ต.ประมาณ ฯ เป็นบุตรเขยของจอมพล ผิน ชุณหะวัน พ่ีศักดิ์เป็นพ่ีเขยของพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน ต่อมาเมื่อวัน 4 กมุ ภาพันธ์ 2532 ได้รับโปรดเกล้า ฯ เป็นพลตารวจเอก ขณะดารงตาแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (สมัยรัฐบาล พลเอก ชาตชิ าย ชุณหะวณั เป็นนายกรฐั มนตรี) และปี 12 ธันวาคม 2533 ได้รับโปรดเกลา้ ฯ เปน็ พลเอก 31 เพลิง ภผู า.จอมพลผู้พลกิ แผน่ ดิน.กรุงเทพฯ:ไพลนิ .2544”หนา้ 63 32 รงุ่ พงษ์ ชัยนาม.การเมอื งการปกครองไทยภายใตร้ ะบอบพอ่ อปุ ถมั ภแ์ บบเผดจ็ การ.เอกสารการสอนประวัติศาสตรส์ ังคมและ การเมอื งไทย.สาขาวิชารัฐศาสตร์.นนทบรุ ี:สโุ ขทัยธรรมาธิราช.ปรับปรงุ ครัง้ ท่ี 1.2552.หนา้ 12-5
- 50 - พรรคเสรีมนังคศิลา ได้ 7 ที่นั่ง ประกอบด้วย (1) จอมพล ป.พิบูลสงคราม (2) พลเอกเภาเพียรเลิศ บริภัณฑ์ ยุทธกิจ (3) พลอกาศโทมุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษฏ์ (4)พลโท บัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (5) พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ (6) พลเอก มังกร พรหมโยธี (7) พลเอก หลวงสวัสดิ์สรยุทธิ์ ส่วนพรรค ประชาธปิ ัตย์ ได้ 2 ท่นี งั่ ประกอบดว้ ย (1) นาย ควง อภยั วงศ์ (2) นาวาโท พระประยทุ ธชลธี ผลการเลอื กตงั้ รวมท้งั ประเทศ ปรากฏวา่ พรรคเสรีมนังคศิลา ได้รับการสนับสนุนมากท่สี ุดถงึ 83 ท่ีน่ัง พรรคประชาธปิ ตั ย์ 28 ทีน่ ั่ง พรรคเสรีประชาธปิ ไตย 11 ทีน่ ง่ั พรรคธรรมาธิปัตย์ 10 ทน่ี ัง่ พรรคเศรษฐกร 8 ทน่ี ่งั พรรคชาตินยิ ม 3 ท่นี ง่ั พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค 2 ทีน่ งั่ พรรคอิสระ 2 ท่นี ัง่ และ ผสู้ มคั รอิสระไมส่ ังกดั พรรค 13 ทน่ี ่ัง รวม 160 ทนี่ งั่ สถานการณภ์ ายหลังจากการเลือกต้ัง รฐั บาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน สภาพบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะของความวุ่นวาย นักเลง อันธพาล อาละวาดปว่ นเมืองราวกับไม่เกรงกฎหมาย ทง้ั นี้ เป็นท่รี ับรู้กนั โดยทั่วไปว่า ที่เหล่าอันธพาลสามารถกระทาการ ได้โดยไดใ้ จนน้ั เปน็ เพราะมีตารวจ โดย พลตารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตารวจให้การสนับสนุนอยู่ และ จากนั้นมา ทหารและตารวจกเ็ กิดความแตกแยกกนั โดยไฮปาร์คโจมตีกันบนลังสบู่ท่ีท้องสนามหลวงสลับกันวัน ตอ่ วนั ในบางคร้ัง ทหารช้ันประทวนกย็ กพวกล้อมสถานีตารวจจนเกดิ เหตุทารา้ ยร่างกายตารวจบ้าง แต่ก็ไม่เกิด เหตรุ นุ แรงมากไปกวา่ น้ัน วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2500 จอมพลสฤษด์ิ ฯต้องพ้นจากตาแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงกลาโหมเนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรท่ีให้ความไว้วางใจต่อรัฐบาลได้สิ้นสุดลง ในระหว่างน้ีได้มีการ เลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรนุ่ ใหม่ ปรากฏว่าการหาเสียงแข่งขันเป็นไปอย่างรุนแรงมาก ประชาชนทั่วไป ต่างไม่พอใจพรรคของรัฐบาลคือ พรรคเสรีมนังคศิลา จนในท่ีสุดสถานการณ์ย่ิงทรุดหนักลงอีกฝูงชนที่ฟัง ไฮปาร์ค และนกั พดู ไฮปาร์คกย็ ากทจี่ ะควบคุมอารมณ์ไม่พอใจท่ีตนมีต่อรัฐบาลได้ จึงได้ชักวนกันเดินขบวนจาก สนามหลวงอันเปน็ สถานทเ่ี ปิดใหม้ ไี ฮปาร์คขน้ึ มายังทาเนียบรัฐบาลที่จอมพล ป. ฯ ใช้เป็นที่พักทางราชการอยู่ ในเวลานั้น เม่ือขบวนน้ีเคล่ือนท่ีมาตามถนนราชดาเนินกลางก็มีผู้คนเดินติดตามมาคอยฟังดูเป็นขบวนใหญ่ขึ้น ทุกที ในขณะนั้นจอมพลสฤษดิ์ ฯ กาลังทางานอยู่ท่ีบ้านหลังกองพลที่ 1 พอทราบเร่ืองก็รีบสั่งการให้จัดกาลัง ทหารไปขวางกั้นขบวนคล่ืนมนุษย์ไว้ที่เชิงสะพานมัฆวาฬฯ เม่ือขบวนฝูงชนท่ีไม่พอใจรัฐบาลและผู้ติดตามมาดู เหตุการณ์ มาถึงสะพานมัฆวาฬฯ กาลังทหารก็ขยายแถวในท่าเตรียมยิง ในเส้ียวนาทีที่เหตุการณ์ร้ายกาลังจะ อุบัติข้ึนนั้น จอมพลสฤษด์ิ ฯ ก็มาถึงพอดีได้มองเห็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจต่อต้านฝูงชนผู้กาลังเคียดแค้นรัฐบาล โดยหลกี เล่ียงการนองเลือดได้ ด้วยปฏิภาณและความฉบั พลันในการตัดสนิ ใจ จอมพลสฤษดิ์ ฯ ได้ตะโกนให้แถว ทหารหลีกทางฝงู ชนออกไป วันท่ี 2 มนี าคม พ.ศ.2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เดินทางมาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อ กล่าวปราศรัยและรับทราบความไม่พอใจของนิสิตนักศึกษาและประชาชน นิสิตได้ขออนุญาตจอมพลสฤษด์ิ เดินขบวนประท้วง ซึ่งจอมพลสฤษด์ิได้อนุญาต ทาให้สถานะของจอมพลสฤษด์ิเร่ิมได้รับความนิยมจากนิสิต นักศึกษาและประชาชนมากขึ้น ในขณะท่ีความนิยมของจอมพล ป.และพลตารวจเอกเผ่า น้ันเร่ิมเส่ือมความ นิยมตกลงอย่างรวดเร็ว นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประชาชนร่วมกันเดินขบวนประท้วงการเลือกต้ัง มี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194