บทท่ี 1 ส่งิ แวดลอ้ มและการอนรุ กั ษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของโลกในทุกวันนี้กําลังเขาสูวิกฤต ทั้งน้ีสาเหตุ สืบเน่ืองมาจากการกระทําของมนุษย์ เพื่อมุงหวังจะพัฒนาทางดานเศรษฐกิจ โดยใชวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาพัฒนาและนําทรัพยากรธรรมชาติมาใช เป็นผลใหทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดลอมเสอื่ มคุณภาพอยา งรวดเรว็ ขาดการอนุรกั ษ์และการทดแทน กอใหเกิดปัญหาส่ิงแวดลอม ตางๆ ตามมา การศึกษาทางดานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมจะเป็นการศึกษา ที่เก่ียวของกับการเปล่ียนแปลงสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดลอมและสงผลกระทบตอส่ิงแวดลอม ซึง่ ตอ งทาํ ความเขา ใจศาสตรท์ างดา นสงิ่ แวดลอ มและการอนุรักษ์ ศาสตรด์ ้านสงิ่ แวดล้อม พระราชบญั ญัติ สงเสรมิ และรกั ษาคุณภาพส่ิงแวดลอมแหงชาติ พ.ศ. 2535 ไดใหความหมาย ของส่ิงแวดลอมไววา ส่ิงแวดลอม (Environment) หมายถึง สิ่งตาง ๆท่ีมีลักษณะทางกายภาพและ ชีวภาพท่อี ยูรอบตวั มนษุ ย์ ซ่งึ เกดิ ข้ึน (กรมสงเสรมิ คุณภาพสิ่งแวดลอ ม. 2537: 2) ซิงค์ (Singh. 2006: 1) ไดใหความเห็นวา “โดยรวมแลวสิ่งแวดลอม คือ อิทธิพลและสภาพ ปัจจัยจากภายนอกที่สงผลตอชีวิต ธรรมชาติ พฤติกรรม และการเจริญเติบโต หรือการพัฒนาของ สิ่งมีชีวิต” โดยสรุป ส่ิงแวดลอม (Environment) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอยางท่ีอยูรอบตัวเราแบงเป็น 2 ประเภทตามเกณฑ์การกาํ เนิดขน้ึ คือ 1. ส่ิงแวดลอมทางธรรมชาติ (Natural environment) คือ ส่ิงแวดลอมที่เกิดข้ึนเอง ตามธรรมชาติ แบงออกเป็นสิ่งมีชีวิต (Biotic) เชน มนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งไมมีชีวิต (Abiotic) หรือ สง่ิ แวดลอมทางกายภาพ เชน แรธ าตุ อากาศ เสียง 2. สิ่งแวดลอมสรรค์สราง (Built environment) คือ ส่ิงแวดลอมท่ีมนุษย์สรางข้ึน เพื่อใหเหมาะสมกับกิจกรรมของมนุษย์ มีท้ังรูปธรรม เชน บานเรือน ถนน สถาปัตยกรรม โครงสราง พ้ืนฐานตางๆ เป็นตน และนามธรรม ไดแก ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวัฒนธรรม ศาสนา ระบบ เศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง การศึกษา และวิทยาการตา งๆ เปน็ ตน
ท้งั นี้ สมบัติเฉพาะตัวของสิ่งแวดลอ ม มลี ักษณะดงั นี้ 1. สงิ่ แวดลอ มมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 2. สง่ิ แวดลอมจะไมอยโู ดเดยี วในธรรมชาติ 3. สิ่งแวดลอ มประเภทหน่ึงมีความตองการสิ่งแวดลอมอ่นื เสมอ 4. สิง่ แวดลอ มจะอยูเปน็ กลุมและมคี วามสัมพนั ธ์ซงึ่ กันและกัน เรียกวา ระบบนเิ วศ 5. สิ่งแวดลอ มมีความเก่ยี วโยงและสัมพนั ธ์ตอเน่อื งกันเปน็ ลูกโซ 6. ส่ิงแวดลอมแตละประเภทมีลกั ษณะทนทานและเปราะตอการถูกกระทบแตกตางกนั 7. สิ่งแวดลอ มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาทเี่ ปล่ยี นไป นอกจากนี้ ศาสตร์ดา นสิ่งแวดลอมมีประเด็นท่ีสาํ คัญ ดงั น้ี 1. มติ สิ ่งิ แวดล้อม มิติสง่ิ แวดลอม (Environmental dimension) หมายถึง การตีความหมายของสิ่งแวดลอมให เปน็ จาํ นวน โดยแบงเปน็ 4 มติ ิ คอื (เกษม จันทร์แกว , 2547: 13-16) 1.1 มิติทางทรัพยากร (Resources dimension) เป็นองค์ประกอบที่สําคัญท่ีใชใน การจัดการความย่ังยืนของระบบสิ่งแวดลอม แบงออกเป็น 4 ดาน คือ ทรัพยากรกายภาพ ทรัพยากร ชวี ภาพ ทรัพยากรดานคณุ คา การใชป ระโยชนข์ องมนษุ ย์ และทรัพยากรดานคณุ ภาพชวี ิต 1.2 มิติทางเทคโนโลยี (Technology dimension) คือ สิ่งแวดลอมท่ีมีบทบาท หนา ทเ่ี ปน็ เทคโนโลยี ประกอบดว ย 3 กลุม ไดแก เทคโนโลยีธรรมชาติ เทคโนโลยีเลียนแบบธรรมชาติ และเทคโนโลยสี รา งข้ึน 1.3 มิติของเสียและมลพิษสิ่งแวดลอม (Waste and environmental pollution dimension) แบงออกเป็น 4 กลุม คือ ของแข็ง (เชน กากสารพิษ ขยะ ฝุนละออง ฯลฯ) ของเหลว (เชน น้ํามัน ไขมัน ฯลฯ) ก฿าซ (เชน คาร์บอนไดออกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน ฯลฯ) และ มลพิษ ทางฟิสกิ ส์ (เชน เสยี ง มลพษิ ของความรอ น แสงสวา ง รังส)ี 1.4 มิติมนุษย์หรือเศรษฐกิจสังคม (Human dimension) ไดแก ประชากร การศึกษา สาธารณสุข สภาวะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความเช่ือ ศาสนา และประเพณี การนนั ทนาการและการทอ งเทยี่ ว มิติสง่ิ แวดลอมท้งั 4 มติ นิ ั้นมคี วามสมั พนั ธก์ นั และเกยี่ วขอ งกบั มนุษย์ ดังภาพท่ี 1.1 รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพ่ือชวี ติ GESC1104
ทรพั ยากร เทคโนโลยี ของเสีย ผลผลติ มนษุ ย์ ภาพท่ี 1.1 ความสัมพนั ธ์ของมติ สิ ่ิงแวดลอม 2. ทรพั ยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources) เป็นสวนหนึ่งของสง่ิ แวดลอ ม เกิดขนึ้ เองตาม ธรรมชาติโดยท่มี นุษย์ไมไดส รางขนึ้ และมีประโยชนต์ อ มนุษย์ ซง่ึ นักอนรุ ักษว์ ิทยาไดแ บงออกเปน็ 3 ประเภท คือ 1) ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใชแ ลวไมห มดส้นิ ไดแ ก ดิน นาํ้ อากาศ 2) ทรพั ยากรธรรมชาติท่ใี ชแลว ทดแทนได ไดแก ปุาไม สัตว์ปุา ทงุ หญา ชายฝัง่ 3) ทรพั ยากรธรรมชาติทีใ่ ชแลว หมดส้นิ ไดแ ก แรธ าตุ และ เช้ือเพลิงฟอสซลิ นิเวศวิทยาและระบบนิเวศ 1. นิเวศวทิ ยา (Ecology) นิเวศวิทยา หมายถึง การศึกษาปฏิกิริยาตอกันของส่ิงมีชีวิตดวยกันและระหวางสิ่งมีชีวิตกับ ส่ิงไมมีชีวิตในระบบนิเวศ หรือ การศึกษาโครงสรางและหนาที่ของธรรมชาติ (King and McCarthy. 2009: 32) โดยมีกฎนิเวศวิทยาที่นํามาอธิบายปรากฏการณ์ทางส่ิงแวดลอม 4 ขอสําคัญ (Barry Commoner) ดังน้ี กฎขอ ท่ี 1 Everything is connected to everything else : ทกุ ส่งิ ทุกอยา งในส่งิ แวดลอมเกย่ี วของกันท้งั หมด กฎขอท่ี 2 Everything must go somewhere : ทกุ สง่ิ ไมสูญหายไปไหนแตเ พียงยา ยไปอยูแหลงแหลงหน่ึง กฎขอ ท่ี 3 Nature knows best : รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ มเพื่อชีวติ GESC1104
กฎขอ ท่ี 4 ธรรมชาติรดู ีท่สี ุด เม่อื ใดท่ีกจิ กรรมมนษุ ย์ หรือ ความเปล่ียนแปลงตาม ธรรมชาติเกดิ ข้นึ ธรรมชาติจะพยายามรักษาสมดุลเสมอ There is no such thing as a free lunch : ไมมสี ง่ิ ใดไดมาฟรีๆ เสมอื นการไดรบั เล้ียงอาหารกลางวัน หมายถงึ วา ปรากฏการณ์ทางส่ิงแวดลอ มเกิดขึน้ โดยมเี หตุและผล (Cause - effect Relationship) 2. ระบบนิเวศ (Ecosystems) ระบบนิเวศ หมายถึง การรวมกลุมของส่ิงมีชีวิตท้ังพืช สัตว์ และจุลินทรีย์เผาพันธ์ุตางๆ โดย ส่ิงมีชีวิตเหลานั้นตางมีความสัมพันธ์กันเองและมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดลอมดวย โดยสิ่งแวดลอม ดังกลาวรวมถึงอุณหภูมิ ปริมาณนํ้าฝน ความชื้นในอากาศ และปัจจัยส่ิงแวดลอมทางดานเคมีและ ฟิสกิ สท์ ่ีสิง่ มชี ีวติ ตองสัมผัส (Nebel and Wright. 2001: 18) องค์ประกอบของระบบนิเวศแบงเป็น 4 องค์ประกอบ คือ ผูผลิต ผูบริโภค ผูยอยสลาย และผูสนับสนุน ถาระบบนิเวศที่สามารถอยูไดดวย ตัวเองรักษาตวั เองฟ้ืนฟูตัวเองได จะมีสัดสวนระหวางกลุมท้ัง 4 ไดพอดีกันไมมีอะไรมากหรือนอยกวา กัน ความสมั พันธด์ ังภาพที่ 1.2 ผผู้ ลติ สง่ิ นาเขา้ ผูส้ นบั สนุน ผ้บู ริโภค สง่ิ นาออก ผู้ยอ่ ยสลาย ภาพที่ 1.2 โครงสรางของระบบนิเวศท่ีจาํ แนกตามบทบาทหนาที่ รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
การอนรุ ักษ์ การอนุรักษ์ (Conservation) หมายถึง การใชประโยชน์ตามความตองการที่พอเหมาะและ ประหยดั เพื่ออนาคต หลกั การอนรุ ักษว์ ทิ ยา สรุปไดดงั น้ี หลักการที่ 1 การใชอยางยั่งยืน การใชอยางสมเหตุสมผล หรือใชอยางฉลาด เลือกใช เทคโนโลยที เ่ี หมาะสม ไมกอ ใหเกิดของเสยี และมลพิษ หลักการที่ 2 การสงวนของหายาก ทรัพยากรท่ีกําลังจะสูญส้ิน ควรหลีกเล่ียงการนําไปใช และทํานบุ ํารงุ หรือทาํ ใหทรัพยากรน้ันมีเพ่ิมขนึ้ หลักการท่ี 3 การทํานุบํารุงทรัพยากรที่เสื่อมโทรม จากไมสามารถนําไปใชได จนฟื้นสภาพ นาํ มาใชไดโดยมีวธิ ีการอนุรกั ษ์ 8 วิธี คือ 1. การใชอยา งยั่งยนื 2. การเกบ็ กกั 3. การรักษา/ซอมแซม 4. การฟน้ื ฟู 5. การพฒั นา 6. การปอู งกัน 7. การสงวน 8. การแบง เขต วธิ กี ารอนุรักษ์ การใช้ เทคโนโลยี ทรัพยากรและ ผลผลติ การเก็บกัก สิง่ แวดล้อม การรกั ษา/ ของเสีย ซ่อมแซม การฟื้นฟู การกาจดั / มนษุ ย์ การพัฒนา บาบัด ภาพท่ี 1.3 หลักการและวิธีการอนุรกั ษ์ (ทมี่ า: ดัดแปลงจากเกษม จันทรแกว. 2558: 87) รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
การพัฒนาอย่างยั่งยนื การพัฒนาอยางย่ังยืน (Sustainable development) คือ การพัฒนาเพ่ือตอบสนองตอ ความตองการของคนในรุนปัจจุบัน โดยไมทําใหความสามารถในการตอบสนองความตองการของคน ในรุนตอไปตองเสียไป การพัฒนาแบบยั่งยืนเป็นการดําเนินการอยางมีแบบแผนในการใช ทรัพยากรธรรมชาติพัฒนาโดยมิใหเสียสมดุลของระบบนิเวศ และสิ่งแวดลอมที่จะพัฒนานั้ น จะตองเป็นทรัพยากรที่มีทดแทนได และจะตองมีโอกาสใหสิ่งแวดลอมนั้นฟื้นคืนสภาพเดิมได โดยมีความสัมพันธ์ระหวาง สิ่งแวดลอม สังคม เศรษฐกิจ ภายใตกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ เพ่ือใหมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยางย่ังยืน ดังภาพท่ี 1.4 สังคม สขุ ภาพ สงิ่ แวดล้อม การพฒั นาอย่าง ความยุตธิ รรม ย่งั ยนื ประสทิ ธภิ าพ เศรษฐกิจ ภาพที่ 1.4 ความสัมพนั ธข์ องการพฒั นาอยางยั่งยืน บทสรปุ สิง่ แวดลอ ม คอื ทุกส่ิงที่อยูร อบตวั เรา แบงออกเปน็ สิง่ แวดลอมท่ีเกิดขน้ึ เองตามธรรมชาติและ สิ่งแวดลอมที่มนุษย์สรางข้ึน โดยส่ิงแวดลอมสามารถแบงออกไดเป็น 4 มิติ ไดแก มิติทางทรัพยากร มติ ิทางเทคโนโลยี มติ ขิ องเสียและมลพษิ สิง่ แวดลอม และมิติมนุษย์ สวนทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง ส่ิงใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซ่ึงมนุษย์นําไปใชสนองความตองการได ศาสตร์ทางส่ิงแวดลอม ขาดไมไดท่ีจะตองศึกษาศาสตร์ดานนิเวศวิทยาและระบบนิเวศ และศาสตร์การอนุรักษ์ท่ีเป็นหัวใจ สําคัญเพื่อสรางจิตสํานึกแกมนุษย์ มนุษย์มีความจําเป็นท่ีจะตองเรียนรูระบบส่ิงแวดลอมและระบบ นเิ วศตลอดจนแนวทางการอนุรักษ์เพ่อื การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมที่เป็นทรัพยากร พน้ื ฐานของการพฒั นาประเทศใหด าํ รงอยูอยา งย่ังยนื รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมเพ่ือชีวิต GESC1104
กิจกรรมท่ี 1 สิง่ แวดลอ้ มและการอนรุ กั ษ์ 1. หลกั การ การศึกษาเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม จะเก่ียวกับสิ่งตางๆท้ังทางธรรมชาติและ สังคมทอ่ี ยูรอบๆมนุษย์ท้ังที่ดีและไมดี ซ่ึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการกระทําของมนุษย์ และ สงผลกระทบตอการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดลอมหรือระบบนิเวศและจะสงผลกระทบตอสุขภาพ ชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นผูที่ศึกษาจะตองทําความเขาใจเบื้องตนเกี่ยวกับความหมายและหลักการสําคัญ ของคําตอไปน้ี ส่ิงแวดลอม มิติสิ่งแวดลอม ระบบนิเวศ การอนุรักษ์และการพัฒนาที่ย่ังยืน เพ่ือเป็น ฐานในการศกึ ษาตอไป 2. จดุ ประสงค์ 2.1 เพ่ือใหเขาใจความหมายของคําตอไปน้ี สิ่งแวดลอม มิติสง่ิ แวดลอม ระบบนเิ วศ การอนุรกั ษ์ และการพัฒนาท่ียงั่ ยืน 2.2 เพื่อใหส รา งผังความคิด (Mind Mapping) ของความสมั พนั ธ์ในระบบนิเวศที่ศึกษา 3. วิธีปฏิบัตกิ จิ กรรม 3.1 ศกึ ษาจากเอกสาร 3.2 แบงกลมุ นักศึกษาสํารวจระบบนิเวศในมหาวิทยาลัยและเลอื กระบบนเิ วศท่ีตองการมา 1 ระบบ 3.3 วาดภาพจําลองบริเวณที่ตองการศกึ ษา 3.4 สรางผงั ความคดิ เกยี่ วกับระบบนิเวศที่ศึกษามาได 4. ผลการศกึ ษา 4.1 วาดภาพจําลองระบบนเิ วศท่ตี องการศกึ ษา รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอมเพื่อชวี ิต GESC1104
4.2 สรางผงั ความคิดเกี่ยวกับระบบนเิ วศทต่ี องการศึกษา 4.3 หนาท่ขี องสรรพส่งิ ในระบบนเิ วศ ระบบที่ศึกษา ผผู้ ลติ ผูบ้ รโิ ภค ผ้ยู อ่ ยสลาย ผ้สู นบั สนนุ สรปุ ผลการศกึ ษา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
5. คาถาม 5.1 มติ สิ ง่ิ แวดลอม มคี วามสัมพนั ธก์ ันอยางไร จงอธบิ าย และยกตัวอยางใหชัดเจน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.2 จงเขียนและยกตวั อยา ง เรอ่ื ง คนกบั การอนุรักษ์ มา 1 เรอื่ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เอกสารอ้างองิ กรมสงเสริมคุณภาพส่ิงแวดลอม. (2537). พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อม แหง่ ชาติ พ.ศ.2535 และกฎหมายท่ีเกย่ี วข้อง. กรงุ เทพมหานคร: ชวนพิมพ์. เกษม จันทร์แกว. (2547). ความสาคัญที่ต้องศึกษาสิ่งแวดล้อมและมิติส่ิงแวดล้อม. หน่วยที่ 1. เอกสารการสอนชุดวิชา พื้นฐานความรูสิ่งแวดลอม เลมท่ี 1 : หนวยที่ 1 -7. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชาสงเสริมการเกษตรและสหกรณ์. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ____________. (2558). วิทยาศาสตรส์ ่ิงแวดลอ้ ม. กรุงเทพมหานคร: อักษรสยามการพิมพ์. King, L., and McCarthy, D. (2009). Environmental Sociology: From Analysis to Action. New York: Rowman & Littlefield. Nebel, B. J. and Wright, R. T. (2001). Environmental Science: The Way the World Works. New Jersey: Prentice Hall. Singh, Y. K. (2006). Environmental Science. New Delhi: New Age International. รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมเพ่ือชวี ิต GESC1104
บทท่ี 2 ปญั หาสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันสิ่งแวดลอมของโลกกําลังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยขึ้นอยูกับปัจจัย 2 ประเภทใหญ ๆ ไดแก การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ เชน การเกิดแผนดินไหว สึนามิ พายุเฮอริเคน ภูเขาไฟระเบิด และการสูญพันธ์ุของสิ่งที่มีชีวิตที่ไมสามารถปรับตัวใหเขากับสิ่งแวดลอม และการ พัฒนาของมนุษย์ซ่ึงมีผลทําใหเกิดการสูญเสียทรัพยากร สภาพส่ิงแวดลอมเสื่อมโทรมเกิดมลพิษ การ เปล่ียนแปลงทางคุณภาพสง่ิ แวดลอมสงผลใหเ กิดวฤิ ตสงิ่ แวดลอมของโลก โดยเฉพาะ ภาวะโลกรอนซึ่ง สง ผลกระทบตอสถานการณแ์ ละแนวโนม ของทรพั ยากรธรรมชาติตาง ๆ เชน ปุาไม พลังงาน แหลงนํ้า ทรัพยากรดิน และอน่ื ๆ วิกฤตสงิ่ แวดลอ้ ม วิกฤตสิ่งแวดลอม (Environmental crisis) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอมซึ่ง เกิดข้ึนโดยไมเป็นไปตามปกติหรือธรรมชาติอันสงผลใหเกิดปัญหาสิ่งแวดลอมตางๆ ตามมาเกินกวา สมรรถนะทจ่ี ะพึงมีไดของสิ่งแวดลอม โดยสาเหตุของวิกฤตส่งิ แวดลอ ม มีดงั น้ี 1. การเพิ่มของประชากรอยางรวดเร็ว มีผลทําใหความตองการปัจจัยขั้นพ้ืนฐานใน การดํารงชีวิตเพมิ่ ขนึ้ จึงตองดัดแปลงและนําเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใชเพ่ิมข้ึนมีผลทําใหสิ่งแวดลอม เปลี่ยนแปลงและนาํ ไปสูความเสือ่ มโทรมของสภาพแวดลอมโดยทั่วไป 2. ความเจรญิ กา วหนา ทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี การขยายตัวของเศรษฐกิจ และ ความกาวหนาทางดานเทคโนโลยีเป็นเหตุทําใหมาตรฐานในการดํารงชีวิตสูงตามไปดวย นักวิชาการ สิ่งแวดลอมตางมีความเห็นตรงกับคํากลาวที่วา มนุษย์น้ันเป็นตัวการสําคัญท่ีสุดในการทําลาย สิ่งแวดลอ ม โดยมเี ทคโนโลยเี ปน็ ตัวเรงเพือ่ สนองความตอ งการของมนษุ ย์ 3. การเมือง เพราะนโยบายการเมืองแตละรัฐบาลจะไมเหมือนกัน ถาหากมีการ เปลี่ยนแปลงบอย ๆจะสงผลใหโ ครงการพฒั นาตา ง ๆ มกี ารเปลี่ยนแปลงได นอกจากนี้หากการขัดแยง ทางการเมืองรนุ แรงถึงขัน้ ตองใชกาํ ลังเขาประหัตประหารกันก็ยอมทาํ ใหเ กดิ การทาํ ลายสง่ิ แวดลอม 4. พฤติกรรมการใชทรัพยากรไมเหมาะสม พฤติกรรมดังกลาวดําเนินการตอเนื่อง จากความเคยชิน การตอ งการความสะดวกสบาย แนวทางการบริโภคทรัพยากรที่ผิดวิธี จนในบางครั้ง กอใหเกิดพฤติกรรมและคานิยมที่ไมเหมาะสม เชน คานิยมบริโภคผลิตภัณฑ์รูปแบบสวยงามท่ีจัดทํา ดวยโฟม การใชสารเคมีบางชนิดในการผลิตเครอื่ งสําอาง การบรโิ ภคอาหารประเภทยา งสสี ดใส รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอมเพ่ือชวี ติ GESC1104
5. อุบัติเหตุและภัยทางธรรมชาติ การอยูรวมกันของชุมชนจํานวนมากโอกาสท่ีจะ เกิด อุบัติเหตุซึ่งอาจจะเกิดจากความประมาท ความรูเทาไมถึงการณ์ ผลก็คือทําใหเกิดการสูญเสีย ทรัพยากรได ตัวอยา งเชน กรณอี ุบตั ิเหตุจากการระเบิดของโรงอบลําไย ที่จังหวัดเชียงใหม ซึ่งเกิดจาก สารเคมีโพแทสเซียมคลอเรต ผลก็คือสารเคมีตกคางในส่ิงแวดลอม ในกรณีของภัยธรรมชาติ เชน แผน ดินไหว ไฟไหมป าุ อุทกภัย เป็นตน จากสาเหตทุ ที่ ําใหเ กิดวิกฤตของสงิ่ แวดลอม ผลทตี่ ามมามีดังนี้ 1. สิ่งแวดลอมถูกทําลาย ผลก็คือทรัพยากรธรรมชาติหมดส้ินไป หรือ ไมสามารถ เอื้ออํานวยประโยชน์ไดอยางยั่งยืน เชน พ้ืนท่ีปุาไมลดลง ซ่ึงปุาไมเป็นแหลงกําเนิดของสรรพส่ิง ท้งั หลายบนโลก ดังนน้ั แหลง วัตถดุ บิ ของโลกก็อาจจะหมดสน้ิ 2. ส่ิงแวดลอมเป็นพิษ เกิดการสะสมของสารพิษในสิ่งแวดลอม เชน น้ํา อากาศ กอใหเกิดมลพิษตางๆ ตามมา เชน มลพิษทางดิน มลพิษทางน้ํา มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง และของเสียอนั ตราย เป็นตน 3. ปัญหาสง่ิ แวดลอมระดับโลก เพราะปัญหาส่ิงแวดลอมเกิดที่ใดก็จะสงผลกระทบ ตอกันเป็นลูกโซ และกลายเป็นปัญหาส่ิงแวดลอมระดับโลก กลายเป็นวิกฤติส่ิงแวดลอมโลก เชน ปัญหาการลดลงของโอโซนในชั้นบรรยากาศ ภาวะโลกรอน และปัญหาสารพิษตกคางในสิ่งแวดลอม โดยสรปุ ไดด งั ภาพที่ 2.1 ความเจริญกาวหนา การเพิ่มประชากรอยางรวดเร็ว พฤติกรรมการใช ทางเศรษฐกจิ และเทคโนโลยี วกิ ฤตสิง่ แวดลอ้ ม ทรพั ยากรทไี่ มเหมาะสม การเมือง อุบตั เิ หตุและภัย ธรรมชาติ สิ่งแวดลอมเส่อื มโทรม สงิ่ แวดลอมเปน็ พิษ ปญั หาส่ิงแวดลอ มระดบั โลก ภาพที่ 2.1 สาเหตุและผลของวิกฤติส่ิงแวดลอ ม รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอมเพื่อชีวิต GESC1104
ประเดน็ ปญั หาส่งิ แวดลอ้ มที่สาคัญ ปัญหาส่ิงแวดลอมมีความหลากหลายและซับซอน ซ่ึงนับวันจะทวีความรุนแรงและเกิดข้ึน บอยในท่ัวทุกทวีปของโลก การจะแบงวาเป็นประเด็นปัญหาสิ่งแวดลอมประเภทใดขึ้นอยูกับเกณฑ์ท่ี จะใชในการพิจารณา ดังตัวอยางเชน การเกิดปัญหาฝุนละอองขนาดเสนผานศูนย์กลางเล็กกวา 10 ไมครอน เกินคามาตรฐานในบริเวณเสนทางการจราจรยานหมอชิตใหม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ก็จัดเป็นปัญหาสิ่งแวดลอมทางดานกายภาพ ขณะเดียวกันถาฝุนละอองจํานวนมาก นี้ปกปิดใบพืชจนทําใหพื้นท่ีใบ ท่ีใชในการสังเคราะห์ดวยแสงของพืชลดลง พืชขาดการเจริญเติบ และตายกจ็ ะกลายเปน็ ปญั หาสิง่ แวดลอมทางดานชีวภาพตามมา และในทํานองเดียวกัน ถาฝุนจํานวน มากน้ีสงผลใหเด็กและคนชราปุวยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจเพ่ิมขึ้น จะสงผลตอคุณภาพชีวิตของ คนบรเิ วณนั้นกจ็ ะกลายเปน็ ปญั หาสิ่งแวดลอ มทางดานคุณภาพชีวติ เปน็ ตน นอกจากน้ีแลวปัญหาสิ่งแวดลอม ถากําหนดโดยขอบเขตของพ้ืนท่ี ซึ่งจะแบงไดเป็นปัญหา ส่ิงแวดลอมระดับทองถ่ินหรือชุมชน เชน ปัญหาขยะตกคางในชุมชนนครหลวง ปัญหาส่ิงแวดลอม ระดับภูมิภาค เชน ปัญหาภัยแลงในพ้ืนท่ีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาไฟปุาของประเทศ อินโดนีเซีย ปัญหาภูเขาไฟระเบิดท่ีไอซ์แลนด์ และปัญหาสิ่งแวดลอมระดับโลก ซ่ึงเป็นปัญหาท่ีสงผล กระทบตอระบบนิเวศท่วั โลก เชน การเปลี่ยนแปลงสภาพภมู อิ ากาศของโลก ถึงแมจะแบงปัญหาส่ิงแวดลอมดวยเกณฑ์อยางไรก็ตาม ไมวาจะเกิดปัญหาส่ิงแวดลอมที่ใดก็ ตามจะสงผลกระทบตอ กนั เป็นลกู โซ และกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดลอมระดับโลกท่ีทุกภาคสวนของโลก ตอ งรว มมอื แกไ ขอยา งจริงจงั โลกนับเป็นระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ สิ่งแวดลอมทุกอยางที่อยูบนโลกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สามารถเช่ือมโยงถึงกันไดตลอดเวลาในโลกปัจจุบัน เมื่อเกิดปัญหาส่ิงแวดลอมที่ซีกโลกหนึ่ง ก็สงผล กระทบตอไปยังอีกซีกโลกหนึ่งได ปัญหาสิ่งแวดลอมมากมายกอใหเกิดการทาทายแกมนุษย์ ประเด็น ปัญหาสิ่งแวดลอมท่ีสําคัญ เชน การลดลงของโอโซนในช้ันบรรยากาศ โลกรอน หรือ ปรากฏการณ์ เรอื นกระจก 1. การลดลงของโอโซนในช้ันบรรยากาศ โอโซน คือ สารที่ประกอบดวยออกซิเจน 3 อะตอม มีสูตรทางเคมีวา O3 สถานะปกติ เป็นแก฿สไมมีสี มีจุดเดือด ประมาณ –111.9 องศาเซลเซียส พบนอยมากในบรรยากาศท่ีใกลผิวโลก เพียง 0.02 ไมโครลิตรตอลิตร ช้ันบรรยากาศที่พบวามีปริมาณแก฿สโอโซนมากที่สุด จะอยูท่ีระดับ ความสูง 15 – 35 กิโลเมตรจากผิวโลก และโอโซนมีความเขมขนมากท่ีสุดที่ระดับความสูง ราว 25 กิโลเมตรจากผิวโลก ซ่ึงความเขมขนในบรรยากาศน้ีจะไมเกิน 10 ไมโครลิตรตอลิตร รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ มเพ่ือชีวิต GESC1104
ถาแก฿สโอโซนในบรรยากาศช้ันนี้ถูกอัดแนนเขาดวยกันที่ความดันของระดับน้ําทะเล ณ อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ช้ันของโอโซนจะมีความหนาเพียง 3 มิลลิเมตรเทานั้นท่ีหอหุมโลกโดยรอบ ซ่ึงเรา เรยี กบรรยากาศชัน้ นว้ี า สตราโทสเฟยี ร์ หรอื บรรยากาศช้ันโอโซน 1.1 การเกดิ ของโอโซนในบรรยากาศ แสงแดดท่ีสองมายังโลกทะลุผานช้ันบรรยากาศที่หอหุมโลกไว และเม่ือผานเขา มาถึงชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ ซ่ึงจะเต็มไปดวยโอโซนและออกซิเจน ออกซิเจนจะดูดซับรังสี อัลตราไวโอเลตคลื่นส้ันที่ความยาวคล่ืน 200 – 280 นาโนเมตร(UVC) ซึ่งพลังงานของรังสี อัลตราไวโอเลต ซี จะสามารถแยกโมเลกุลของออกซิเจนที่มี 2 อะตอม (O2) ออกเป็นออกซิเจน อะตอมเด่ยี ว (O) และออกซิเจนอะตอมเด่ยี วจะรวมตัวกับออกซเิ จนทีม่ ี 2 อะตอม กลายเป็นโอโซนที่มี ออกซิเจน 3 อะตอม (O3) ขบวนการดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต ซี จนเกิดการแยกตัวของโมเลกุลของ ออกซิเจนเป็นอะตอมเดี่ยวและรวมตัวใหม เป็นโมเลกุลโอโซนจะเกิดข้ึนอยางตอเนื่องตลอดเวลาใน บรรยากาศชน้ั สตราโทสเฟยี ร์ ขณะเดียวกันโอโซนประกอบดวยออกซิเจน 3 อะตอม สามารถดูดซับรังสี อัลตราไวโอเลตที่ชวงความยาวคล่ืน 280 - 320 นาโนเมตร (UVB) ทําใหโมเลกุลโอโซนถูกแยก ออกเป็น ออกซิเจน 2 อะตอม และออกซิเจนอะตอมเดี่ยว ซึ่งออกซิเจนอะตอมเดี่ยวน้ีสามารถรวมกับ ออกเจน 2 อะตอมอืน่ และกลบั เปน็ โอโซนไดอ ีก ภาวการณ์แยกและการรวมตัวของออกซิเจนเป็นโมเลกุลท่ีมีจํานวนอะตอมของ ออกซิเจนท่ีระดับตาง ๆ กันน้ัน อยูในภาวะสมดุลเมื่อมีแสงอาทิตย์สองมาชั้นบรรยากาศ สตราโทสเฟียร์ อันเป็นท่ีเกิดและคงอยขู องชน้ั โอโซนในบรรยากาศ ดังภาพท่ี 2.2 O2 + UVC O+O O + O2 O3 O + O3 O2 + O2 O3 + UAB O + O3 ภาพที่ 2.2 ปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี กดิ ขึน้ กบั ออกซเิ จนและโอโซนในบรรยากาศช้นั สตาโตสเฟยี ร์ (ท่มี า: Wright. 2005: 565-566) รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอมเพ่ือชีวิต GESC1104
1.2 การทาลายโอโซน เป็นท่ียอมรับกันอยางแพรหลายแลววาการลดลงของช้ันโอโซนในช้ันบรรยากาศ สาเหตุหลักเกิดจากถูกทําลายโดยสารประกอบพวกคลอโรฟลูออโรคาร์บอนท่ีมนุษย์ใชใน รูปแบบตางๆ กัน เชน ใชในการทําโฟมบรรจุอาหาร ใชเป็นสารทําความเย็นในตูเย็นและ เครื่องปรับอากาศ ใชเป็นฉนวนกันความรอนในอาคาร ใชเป็นตัวทําละลายในการทําความสะอาด วงจรไฟฟูาและอื่นๆ ซึ่งสารซีเอฟซีเป็นสารที่สลายตัวไดยาก ไมถูกทําลายในบรรยากาศชั้น โทรโปรสเฟียร์ และสามารถเขาสูบรรยากาศช้ันสตราโทสเฟียร์อยางตอเน่ืองยาวนานไมนอยกวา 8 - 12 ปี ขณะทเี่ ดินทางอยูนั้นถากระทบรังสีอัลตราไวโอเลตจะปลดปลอยอะตอมคลอรีน (Cl) อิสระ ออกมาและอะตอมคลอรีนอิสระน้ีจะทําปฏิกิริยากับโอโซนกลายเป็นออกซิเจน 2 อะตอม(O2) และ คลอรีนมอโนออกไซด์ (CIO) ซึ่งคลอรีนมอโนออกไซด์จะทําปฏิกิริยากับอะตอมของออกซิเจนเกิดเป็น คลอรีนและออกซิเจน 2 อะตอม คลอรีนตัวเดิมน้ีจะหลุดออกมาทําลายโอโซนตอไปอีก เทากับวา คลอรีนเป็นตัวเรงปฏิกิริยาทําใหโอโซนแตกตัวโดยตัวคลอรีนเองไมเปล่ียนแปลง ดังนั้น อะตอมของ คลอรนี เพียงอะตอมเดียวสามารถทําลายโมเลกุลโอโซนไดเป็นแสนหรือมากกวากอนจะหมดความไวที่ จะทําปฏิกิริยา ซ่ึงความไวของคลอรีนจะลดลงเม่ือคลอรีนทําปฏิกิริยากับสารอ่ืนเชน แก฿สมีเทน เกิด เป็นแกส฿ ไฮโดรเจนคลอไรด์ สว นคลอรนี มอโนออกไซด์ จะหมดความไวเมื่อทําปฏิกิริยากับออกไซด์ของ ไนโตรเจนไดสารประกอบคลอรนี ไนเตรต ซง่ึ แก฿สไฮโดรเจนคลอไรด์ และสารประกอบคลอรีนไนเตรต เปรียบเสมือนเป็นแหลงกักเก็บคลอรีนไวชั่วคราวในบรรยากาศ เม่ือไดรับแสงแดดจะปลดปลอย คลอรนี ออกมาอีกและขบวนการทําลายโอโซนก็จะเกิดข้ึนซํ้าแลวซํ้าอีกซึ่งเป็นขบวนการสําคัญที่ทําให เกดิ \"รโู อโซน\" ดงั ภาพท่ี 2.3 CFCl CF + Cl สารซเี อฟซี Cl + O3 ClO + O2 O3 + O 2O2 ClO + O Cl + O2 Cl + O2 ภาพท่ี 2.3 การทําลายโอโซนโดยสารคลอโรฟลูออโรคารบ์ อน (ที่มา: Wright. 2005: 566) การทําลายโอโซนในปัจจุบันตรวจพบวาเป็นผลมาจากการใชสารซีเอฟซี ท่ีปลอยสู บรรยากาศกอนหนาน้ี ไมน อ ยกวา 15 - 20 ปี และนกั วิทยาศาสตร์เชอ่ื วาสารซีเอฟซีจะทําลายโอโซน สูงสุดในชวงใกลปี ค.ศ. 2000 ณ เวลานี้ สารซีเอฟซีอีกเป็นจํานวนมากกําลังเดินทางเขาสูช้ัน รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
สตราโทสเฟียร์ และพรอมท่ีจะทําลายช้ันโอโซนอยูตลอดเวลา นอกจากนี้มีการสํารวจวิจัยแนนอน แลววาพบรูโอโซนในบริเวณข้ัวโลกใตในชวงเดือนกันยายนและเดือนตุลาคมของทุกปี อันเป็นผลมา จากการใชสารซเี อฟซี และจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปีถายังยับยั้งไมได ทั้งน้ีเป็นเพราะบริเวณข้ัวโลก ใตมีฤดูหนาวยาวนาน สารซีเอฟซีจะถูกกักเก็บไวในเกล็ดนํ้าแข็ง เม่ือซีกโลกใตหมุนเขาหาแสงอาทิตย์ ในชวงตนฤดูใบไมผลิของซีกโลกใต คลอรีนจะถูกปลดปลอยออกมาและขบวนการทําลายโอโซนจะ เร่ิมตนข้นึ อยางตอเน่ือง เกดิ เป็นชอ งโหวโ อโซน หรือรโู อโซน ดงั ภาพที่ 2.4 ภาพที่ 2.4 สถานการณโ์ อโซนของแอนตาร์กติกปี ค.ศ. 2014 (ทม่ี า: British Antarctic Survey. Online. 2014 อางถงึ ใน ดวงพร กาซาสบิ. 2559: 17) นอกจากสารซีเอฟซีแลวยังมีแก฿สอื่นๆ เชน ออกไซด์ของไนโตรเจน มีเทน ซึ่งเกิด จากกิจกรรมตางๆ ที่มนุษย์กระทําข้ึน เชน จากโรงงานอุตสาหกรรมประเภทตางๆ ที่ปลอยออกสู บรรยากาศแลว ทาํ ลายโอโซนอยางตอเน่ืองตลอดเวลาจนเป็นชองโหว ทําใหรังสีอัลตราไวโอเล็ตท่ีเป็น อนั ตรายตอสิ่งมีชีวติ สอ งถงึ พ้ืนโลกได รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ มเพ่ือชีวิต GESC1104
1.3 ผลกระทบทีเ่ กิดจากโอโซนถกู ทาลาย โอโซนปริมาณเพียงเล็กนอย แตมีความสําคัญมากตอส่ิงมีชีวิต ทั้งนี้เพราะ โอโซนมี บทบาทสําคัญมากในการดูดซับรังสีอัลตราไวโอเล็ตบีไดรอยละ 70-80 ถาขาดโอโซนในชั้นสตราโทส เฟียร์จะทําใหรังสีอัลตราไวโอเล็ตทะลุผานมายังผิวโลกได ซ่ึงจะเป็นอันตรายตอสิ่งมีชีวิต และสง ผลกระทบดงั นี้ 1.3.1 ผลกระทบตอสขุ ภาพ 1) ทําใหเกิดการผิดปกติท่ีผิวหนัง ในระยะส้ัน ผิวหนังไหมเกรียม (Sum Burn) และหากไดร บั แสงอาทิตยร์ อนแรงในระยะเวลานาน 9 - 12 ช่ัวโมง จะรูสึกคัน อาจพอง เปน็ ตมุ เล็ก มีน้าํ ใส ปวด ผวิ หนังอกั เสบติดเชื้อ หรอื อาจเปน็ เนื้องอก โรคมะเร็งผิวหนัง 2) ทําลายโปรตีน ดเี อน็ เอ ซง่ึ อาจมผี ลทางดา นพันธกุ รรม 3) อันตรายตอ ดวงตาเพ่ิมขน้ึ ท้ังนเี้ พราะดวงตามคี วามไวตอการรับ แสง การที่ดวงตาไดร ับรงั สีในปริมาณมากและซํ้า ๆ จะทําลายกระจกตา แกวตา และเย้ือช้ันในสุดของ ลูกตาได นอกจากนแี้ ลวโอโซนยังทําหนาท่ีในการรักษาสมดุลของอุณหภูมิที่ผิวโลกไว โดยชวยดูดซับรังสีอินฟราเรตท่ีสะทอนจากผิวโลกไวทําใหอุณหภูมิที่ผิวโลกอุนข้ึนเหมาะกับ การดํารงชีวิตของส่ิงมีชีวิตบนโลก อีกท้ังยังเป็นแก฿สที่ปูองกันการเกิดภาวะเรือนกระจก ดังน้ัน การเปลย่ี นแปลงความเขมขน ของโอโซนทกุ ระดับความสงู จะมีผลตอ สงิ่ มชี ีวติ บนโลกทงั้ สนิ้ 1.3.2 ผลกระตอการเกษตรกรรม รังสีอัลตราไวโอเลต ไปทาํ ใหก ารเจริญเติบโตของพืชท่ีปลูกขึ้นชาลง และจะ ไปทําลายฮอร์โมน และคลอโรฟิลส์ ทําใหการสังเคราะห์ดวยแสงของพืชลดลง พืชโตชา ผสมเกสรไม ตดิ และทําใหผลผลิตลดลงได 1.3.3 ผลกระทบตอระบบนิเวศแหลงน้าํ รังสีอัลตราไวโอเลตจะสองผานทะลุผิวนํ้า และทําลายสาหรายเซลล์เดียวใน แหลง น้ํา ทาํ ใหปลาทก่ี นิ สาหรายเปน็ อาหารลดปริมาณ และแพลงก์ตอน สัตว์ขนาดเล็กๆ ก็จะตาย ซ่ึง จะเปน็ การทาํ ลายหว งโซอาหาร 1.3.4 ผลกระทบตอ วสั ดุ รังสอี ัลตราไวโอเลตสงผลกระทบตอวัสดุตางๆ ทําใหเส่ือมสภาพเร็วขึ้น เชน สีทาบานจะซีดเร็วขนึ้ พลาสติกหรอื วสั ดสุ ังเคราะห์ เชน ทอพวี ซี ีแตกและเปราะไดงายยิง่ ข้ึน รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ มเพื่อชวี ติ GESC1104
1.3.5 ผลกระทบตอ การเปลยี่ นแปลงอณุ หภูมิของผวิ โลก รังสีอัลตราไวโอเลตที่สองผานมายังโลกเพิ่มมากข้ึน ขณะเดียวกันการเกิด โอโซนในชั้นโทรโฟสเฟียร์ จะดูดซับรังสีไวทําใหอุณหภูมิของโลกโดยเฉล่ียเพิ่มสูงขึ้น ฤดูกาล เปลี่ยนแปลงไปและมีผลตอความหลากหลายทางชีวภาพของสง่ิ มีชีวิตลดลง 2. โลกร้อนหรือปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse effect) ความนาสะพรึงกลัวกําลังคืบคลานเขาหามวลมนุษยชาติ อยางไมหยุดยั้ง และนับวันจะทวี ความรุนแรงย่ิงข้ึน ธารนํ้าแข็งในเขตหนาวรวมท้ังหิมะบนยอดเขาท่ัวโลกกําลังหลอมละลาย การเกิด คล่ืนความรอนแผกระจายออกไปทั่วในฤดูรอนปี 2003 ยุโรปกําลังเผชิญกับคล่ืนความรอนกําลังแรง ซ่ึงคราชีวิตผูคนไปถึง 35,000 คน ทะเลสาบและแมนํ้าแข็งตัวชาลงทุกปี ภัยแลงแพรกระจายไปทั่ว ทุกพื้นท่ี และเกิดภัยพิบัติธรรมชาติไปท่ัวโลก ไมวาจะเป็น วาตภัย อุทกภัย และภัยธรรมชาติใน รูปแบบอื่น ๆ ถ่ีขึ้น เกิดการอพยพยายถิ่นของสัตว์นานาชนิดข้ึนสูพ้ืนที่สูงหรือบริเวณขั้วโลก เกิดโรค ระบาด และเชื้อโรคตาง ๆ แพรกระจายเป็นจํานวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงของช้ัน บรรยากาศของโลกท่ีหนาขึ้น เน่ืองจากแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์และแก฿สเรือนกระจกอื่น ๆ ท่ีมนุษย์ เป็นผูกอขึ้น ชั้นบรรยากาศที่หนาข้ึนน้ีจะเก็บกักความรอนเอาไว ผลท่ีตามมาคืออุณหภูมิของ บรรยากาศโลก และมหาสมทุ รสูงขนึ้ จนอยูใ นระดับอันตราย คณะกรรมการนานาชาติดานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเมินวาในศตวรรษที่ 21 นี้ อุณหภมู เิ ฉลีย่ บนผวิ โลกจะเพ่ิมขน 1.4-6.4 องศาเซลเซียส สูงกวาที่ประมาณการไวเมื่อ 5 ปีกอนถึง รอ ยละ 50 จากขอ มลู ในอดตี บงชวี้ าอุณหภมู ิทสี่ ูงข้ึนขนาดนี้อาจทาํ ใหร ะบบนเิ วศเปล่ยี นแปลงคร้ังใหญ เน่ืองจากอุณหภมู ิทสี่ งู ขนึ้ เพียง 5 องศาเซลเซียส ไดทําใหย คุ นํา้ แข็งคร้ังลาสดุ สนิ้ สดุ มาแลว 2.1 ปรากฏการณ์เรือนกระจก เมื่อพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่แผเขาสูชั้นบรรยากาศในรูปคล่ืนแสง เมฆ ฝุน และ พ้ืนผิว โดยเฉพาะพื้นผิวท่ีสวาง เชน น้ําแข็ง จะเป็นตัวสะทอนและกระจายรังสีดวงอาทิตย์กลับสู อวกาศประมาณ รอยละ 30 เมฆและไอน้ําในช้ันบรรยากาศจะดูดซับรังสีดวงอาทิตย์ไวประมาณรอย ละ 20 และพ้ืนดินปุาไม มหาสมุทร รวมทั้งสวนตาง ๆ บนพ้ืนผิวโลกจะดูดซับรังสีดวงอาทิตย์ไวอีก เกือบรอยละ 50 (ธารา บัวคําศรี, 2550, หนา 70) ซ่ึงในภาวะปกติ รังสีอินฟาเรดท่ีถูกแผออกไป บางสวนจะถกู ชัน้ บรรยากาศของโลกเกบ็ กักไวตามธรรมชาติ ท่ีชั้นโทรโปสเฟียร์ซึ่งเป็นบรรยากาศช้ัน ลา ง และจะมแี ก฿สเรอื นกระจกสะสมตัวอยูซง่ึ ชว ยใหอ ุณหภมู ขิ องโลกอยูในระดับพอเหมาะ แตเมื่อเราเพิ่มแก฿สเรือนกระจกเขาไปมากขึ้น แก฿สเรือนกระจกปริมาณมากท่ีสะสม อยูในช้ันบรรยากาศของโลกจะไปลดความสามารถของแก฿สชนิดอื่น ๆ ที่อยูในช้ันบรรยากาศ ในการ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอมเพื่อชวี ิต GESC1104
แผรังสีความรอนออกไปสูอวกาศ สงผลใหช้ันบรรยากาศในช้ันโทรโพสเฟียร์มีอุณหภูมิเพ่ิมสูงข้ึน ขบวนการท่ีแก฿สเรือนกระจกเก็บกักความรอนไวในลักษณะน้ีเรียกวา เรียกวา ปรากฏการณ์เรือน กระจก ดังภาพที่ 2.5 ภาพท่ี 2.5 การเกิดปรากฎการณเ์ รอื นกระจก (ที่มา: World Wide Fund for Nature Australia. Online. 2016) ตามทฤษฎีปรากฏการณ์เรือนกระจกนี้ นักวิทยาศาสตร์ไดเปรียบเทียบโลกเหมือน เรือนเพาะชําที่มีกระจกอยูทุกดาน ความโปรงใสของกระจกท่ีอยูรอบ ๆ ทําใหแสงแดดสามารถสอง ผานเขาไปในเรือนกระจกได แตความรอนที่เกิดจากแสงแดดน้ันถูกแผนกระจกที่เป็นฉนวนก้ันความ รอนใหอยูในเรือนเพาะชํานั้น ไมสามารถระบายไปท่ีอื่นได สภาวะอากาศในเรือนเพาะชําจึงมีความ รอนเพม่ิ ขนึ้ เร่อื ยๆ 2.2 แก๊สเรอื นกระจก แก฿สเรือนกระจกในช้ันบรรยากาศของโลกมีประโยชน์ คือ ชวยใหโลกของเราอบอุน ข้ึน แตปัจจบุ ันปริมาณแกส฿ เรือนกระจกเพมิ่ มากข้ึน อันเป็นผลมาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ใชเชื้อเพลิง รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ มเพื่อชีวิต GESC1104
ประเภทฟอสซลิ เชน ถานหิน นํ้ามัน เพ่ิมข้ึนเป็นจํานวนมากทําใหแก฿สเรือนกระจกเหลานี้สะสมอยูใน บรรยากาศ และแก฿สเรือนกระจกแตละชนิดมีความสามารถในการกอใหเกิดผลกระทบตอสภาพ ภมู ิอากาศตางกนั ซ่งึ นักวจิ ัยไดใ ชหนวยการวัดท่ีเรียกวา “ความสามารถในการเก็บกักความรอน” โดย วัดจากผลการเกิดภาวะเรือนกระจกและเวลาการคงอยูในชั้นบรรยากาศ โดยเปรียบเทียบกับคา คารบ์ อนไดออกไซด์ ไดผลดังตารางที่ 2.1 ตารางท่ี 2.1 แกส฿ เรือนกระจกและศกั ยภาพของการทาํ ใหเกิดโลกรอน ชนิดแกส฿ เรอื นกระจก แหลงกาํ เนดิ ผลตอ การเกดิ ความสามารถในการ ระยะเวลา เก็บกักความรอ น ทคี่ งอยูใน ภาวะเรือนกระจก บรรยากาศ เทียบเทา (รอยละ) คาร์บอนไดออกไซด์ (ปี) 50-200 คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) วัฏจักรธรรมชาติ การหายใจ 53 1 การเผาปาุ ถานหนิ นํา้ มนั แก฿สเชือ้ เพลงิ มเี ทน(CH4) พืน้ ทช่ี มุ นํา้ การเผาไหม 17 23-25 10 เชื้อเพลงิ มวลชีวภาพ ไนตรสั ออกไซด์ (N2O) ดิน ปุาเขตรอน ปุย การใช 5 200 150 ประโยชน์ทีด่ นิ โอโซนระดบั พนื้ ผวิ (O3) สารไฮโดรคารบ์ อน การเผา 13 2,000 ประมาณ ไหมเ ชื้อเพลงิ มวลชีวภาพ สัปดาห์ คลอโรฟลูออโรคารบ์ อน เคร่ืองทําความเยน็ 12 มากกวา 10,000 60-100 (CFC) ละอองอากาศ โรงงานอุตสาหกรรม (ทีม่ า: ดดั แปลงจาก Comeau and Grant. Online. 2016: 4) จากตารางท่ี 2.1 แก฿สมีเทน มีระยะเวลาท่ีคงอยูในบรรยากาศส้ันกวาแก฿ส คาร์บอนไดออกไซด์ แตมีความสามารถในการเก็บความรอนของมีเทนอยูท่ีประมาณ 23 - 25 เทา เมื่อเปรียบเทียบกับความสามารถในการเก็บกักความรอนของคาร์บอนไดออกไซด์ซ่ึงมีคาเป็น 1 ซึ่งเป็นคาเทียบเทาของคาร์บอนไดออกไซด์และใชเป็นการประกอบการพิจารณาการปลอยแก฿ส เรือนกระจกเปน็ ภาพรวม เป็นกลุม หรอื ประเทศ รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอมเพ่ือชวี ติ GESC1104
2.3 การเกดิ ภาวะโลกรอ้ น โลกรอน การเปลี่ยนแปลงในระดับโลกอันเป็นผลมาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปลอย แก฿สเรือนกระจกที่สําคัญ คือ คาร์บอนไดออกไซด์สะสมหนาแนน อยูบริเวณบรรยากาศใกลผิวโลกซึ่ง แก฿สคารบ์ อนไดออกไซดม์ คี วามสามารถคงตัวอยูในบรรยากาศไดนานถึง 50 - 200 ปี อีกทั้งยังยอมให รังสีอัลตราไวโอเลต และรังสีอินฟราเรดจากดวงอาทิตย์ผานทะลุมายังโลก ในขณะเดียวกันแก฿ส คาร์บอนไดออกไซด์ไมยอมใหพลังงานความรอนท่ีเกิดจากการเปลี่ยนแปลงรังสีทั้งสองชนิดสะทอน กลับออกจากโลกเขา สูบรรยากาศแตจ ะดดู ซบั พลังงานความรอ นน้ันไว จึงเทากับวาโลกเราถูกหอหุมไว ดวยความรอนท่ีแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ดูดซับและสะสมไว จึงทําใหอุณหภูมิผิวโลกสูงข้ึน เกิดภาวะ โลกรอน สาเหตุท่ีแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึงเป็นแก฿สเรือนกระจกท่ีสําคัญท่ีสุดชนิดหน่ึง สะสมอยูในบรรยากาศจํานวนมาก สืบเน่ืองมาจากการเผาไหมเชื้อเพลิงพวกฟอสซิล ซ่ึงอัตราการ ปลอยแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกเพิ่มข้ึน ท้ังน้ี การเปลี่ยนแปลงปริมาณการปลอยแก฿ส คาร์บอนไดออกไซด์ จะมีความสัมพันธ์กับการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิของโลก โดยปริมาณแก฿ส คาร์บอนไดออกไซดเ์ พ่มิ ขึน้ อุณหภูมขิ องโลกจะเพิม่ ขน้ึ ดวย ดงั ภาพที่ 2.6 ภาพที่ 2.6 กราฟแสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา งปริมาณแกส฿ คารบ์ อนไดออกไซด์และอุณหภมู ิของโลก (ที่มา : ศนู ย์การเรยี นรูวิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA). ออนไลน์. 2559) 2.4 ผลกระทบท่ีเกิดจากโลกรอ้ น หากอุณหภูมโิ ลกรอ นขน้ึ เรอื่ ยๆ สถานการณ์เลวรายที่สุดก็คือ ระดับน้ําทะเลอาจจะ สูงกวาปจั จบุ ันมากถงึ 1 เมตร เมืองบรเิ วณชายฝง่ั ทะเลทม่ี ปี ระชากรจาํ นวนมหาศาลจะกลายเป็นเมือง รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมเพื่อชีวิต GESC1104
บาดาล ท้ังรัฐฟลอริดา แหลงอารายธรรมปากแมนํ้าไนล์ มัลดีฟส์ บังกลาเทศ พื้นท่ีบางสวนของจีน อินโดนีเซีย หรือแมกระท่ังประเทศไทยเองก็ตาม จังหวัดท่ีอยูติดชายฝั่งทะเลต้ังแต ตราด ชลบุรี กรุงเทพมหานคร ลงไปจนถึงชายฝั่งทะเล ภาคใต ท้ังหมดจะหายไป โดยเฉพาะเกาะภูเก็ต ผลกระทบ ที่ตามมาคือ การหาทางอพยพผูคนจํานวนหลายแสนลานคนเพ่ือหนีภัยและแสวงหาถิ่นที่อยูใหม การ เกดิ สภาวการณ์ขาดอาหาร ขาดนา้ํ จืด ผูคนลมตาย เกิดสภาวะเครียด โดยที่รัฐบาลไมสามารถควบคุม และแกไขได เกิดความระสํ่าระสายไปทั่วโลก และในไมชามนุษย์ก็จะตองเผชิญกับหายนะอันย่ิงใหญ อกี คร้ัง เมอื่ โลกพยายามปรบั ตวั เองเขาสสู มดลุ ผลกระทบทเ่ี กิดขึน้ จากโลกรอนและมหี ลกั ฐานท่ีปรากฏ ใหเหน็ ไดแลวดังน้ี 1) พายุทรงพลังที่พัดอยูในมหาสมุทรแอตแลนติก และแปซิฟิกท่ีปรากฏถ่ี ข้ึนและมีกําลังแรงข้ึนถึงรอยละ50 ทั้งน้ีเป็นผลมาจากอุณหภูมิของน้ําในมหาสมุทรสูงขึ้น ทําให ความเร็วลมสูง ความช้ืนในพายุหนาแนนมากขึ้นตามไปดวย จนเกินกวาระดับการเปล่ียนแปลงที่ เป็นไปตามวัฏจักรทางธรรมชาติ ซ่ึงมีรายงานวาเฮอร์ริเคนในระดับ 4 และ 5 ตางทวีจํานวนมากข้ึน (NASA. Online. 2016) ดงั ภาพที่ 2.7 ภาพที่ 2.7 เสน ทางของพายุหมุนเขตรอ นทวั่ โลก จากการรวบรวมขอ มูลในชวง 150 ปี ทผี่ านมา แตล ะสีแสดงถึงระดบั ความแรงของพายุ (ท่ีมา: NASA. Online. 2016) รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ มเพ่ือชีวติ GESC1104
2) แผนน้ําแข็งอาร์ติกละลายและลดลงอยางรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นเพราะแผน นาํ้ แขง็ ท่ีแอนตาร์กติกเปรยี บเสมอื นกระจกเงาบานใหญซ ึ่งจะสะทอ นรังสีสว นใหญของดวงอาทิตย์กลับ ออกไป ขณะที่น้ําทะเลกลับดูดซับความรอนสวนใหญเอาไว เมื่อน้ําทะเลเริ่มอุนก็จะย่ิงทําใหนํ้าแข็ง ละลายเร็วข้นึ เปรียบเสมือนน้าํ แข็งทีล่ อยอยใู นนํา้ อุน ดงั ภาพที่ 2.8 ซ่งึ สง ผลกระทบโดยตรง ตอสัตว์ท่ี อยูอาศัยขั้วโลก เชน หมีขั้วโลก ท้ังยังมีผลตอระดับน้ําทะเลสูงข้ึน ตลอดจนสงผลตอระบบการ ไหลเวยี นของนํา้ ในมหาสมทุ ร ภาพที่ 2.8 สาเหตทุ ่ที ําใหน ํา้ แขง็ ละลาย (ที่มา: อลั กอร,์ 2550: 145) รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอมเพื่อชีวติ GESC1104
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในเมืองแอ฿บเบอริสไทธ์ เอ็กเซทเทอร์ และ สตอ฿ กโฮล์ม ไดท าํ การวิจยั เก่ยี วกับการเปล่ียนแปลงของธารนา้ํ แข็ง ตลอดชวงเวลาหลายสิบปีท่ีผานมา โดยศึกษาจากการเปลี่ยนแปลงของธารนํ้าแข็งใหญกวา 270 แหงในชิลีและอาร์เจนตินา ตั้งแตยุค น้ําแข็งยอย (ค.ศ.1650) เร่ือยมาและผลของการวิจัย พบวา ธารนํ้าแข็งบนโลกละลายเร็วขึ้น 10 - 100 เทา ตลอดระยะ 30 ปีที่ผานมา ซ่ึงจากการละลายน้ําแข็งดังกลาวไดสงผลใหระดับน้ําทะเล สูงขึน้ อยางรวดเรว็ จนนาตกใจ และเพิ่มสูงขน้ึ เร็วท่ีสดุ ในรอบ 350 ปี โดยศาสตราจารย์นีล กลาสเซอร์ จากมหาวิทยาลัยแอ฿บเบอริสไทธ์ หัวหนา ทีมวจิ ยั ครัง้ นี้ไดเปิดเผยวา ท่ผี านมานัน้ นกั วทิ ยาศาสตร์สามารถศกึ ษาการเปล่ียนแปลงของธารน้ําแข็ง ยอนกลับไปไดเพียง 30 ปีเทาน้ัน ดวยการใชภาพถายดาวเทียม แตสําหรับงานวิจัยชิ้นใหมนี้ ทีมวิจัย ไดใชวิธีใหม เพ่ือใหสามารถศึกษาการเปลี่ยนแปลงของธารน้ําแข็ง และระดับนํ้าทะเลยอนกลับไปได นานกวา น้ัน ซง่ึ ก็ทาํ ใหส ามารถคํานวณปริมาตรธารนํ้าแข็ง และการเปล่ียนแปลงของระดับนํ้าทะเลได ชัดเจนขึ้น เชน ธารน้ําแข็งซานราฟาเอล ในพาทาโกเนีย ละลายหายไปกวา 8 กิโลเมตร เม่ือเทียบกับ ยคุ น้าํ แขง็ ยอยทโี่ ลกปกคลมุ ไปดว ยนาํ้ แขง็ สูงสดุ ขณะเดยี วกนั ทางดา นนกั วทิ ยาศาสตร์จากนาซา ก็ไดเปิดเผยผลการศึกษาที่ ไมไดตางกันนัก โดยระบุวา อุณหภูมิที่สูงขึ้นไดทําใหแผนนํ้าแข็งท่ีปกคลุมกรีนแลนด์ และแถบข้ัวโลก ละลายหายไปอยางรวดเร็ว และจากการศึกษาการละลายของแผนนํ้าแข็งเฉพาะปี 2006 ปีเดียว พบวาแผนนํา้ แขง็ ใหญ 2 แผน ไดละลายกลายเป็นน้ําถึง 475,000 ลานตันเลยทีเดียว ซึ่งหากอุณหภูมิ โลกยังสงู เชนนต้ี อ ไป แผนน้ําแข็งก็จะละลายมากขึ้นเร่ือยๆ จนทําใหระดับน้ําทะเลเพ่ิมสูงขึ้นถึง 6 น้ิว ภายใน 40 ปขี า งหนาก็เป็นได สวนทางดานทีมวิจัยจากศูนย์วิจัยเยอรมัน รวมกับคณะกรรมการ วิทยาศาสตร์นานาชาติอาร์คติกไดเปิดเผยวา ท่ีผานมาพ้ืนท่ีนํ้าแข็งข้ัวโลกจะละลายหายไปประมาณ 1 - 2 เมตรตอปี แตต อนน้ดี เู หมอื นจะเปน็ ไปไดวา น้ําแขง็ อาจจะละลายสูงถึง 10 - 30 เมตรตอปีในบาง พ้ืนที่ ซึ่งจะสงผลตอระบบนิเวศและการดํารงชีวิตของสัตว์หลายชนิด เชน ปลา นก สัตว์เลี้ยงลูกดวย นม ตลอดจนนกทะเลกวา 500 ลา นตวั 3) นํ้าในมหาสมุทรมีความเป็นกรดสูงขึ้น ท้ังน้ีเน่ืองจากปริมาณแก฿ส คาร์บอนไดออกไซดท์ ี่เพ่ิมขึ้นในชน้ั บรรยากาศของโลก และทําใหมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น แตเพราะ แก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปลดปลอยออกมา ประมาณ 1 ใน 3 จะจมลงมหาสมุทร ทําใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกิดขึ้นในมหาสมุทร โดยกรดคาร์บอนิกที่เกิดจากแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์จะ เปลี่ยนแปลงคาความเป็นกรดและดางของนํ้าในมหาสมุทร และเปลี่ยนไอออนของคาร์บอเนต และ ไฮโดรเจนคาร์บอเนต และสง ผลกระทบตอ ระดับความอิ่มตวั ของแคลเซียมคาร์บอเนตในมหาสมุทร ซึ่ง รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ มเพ่ือชีวิต GESC1104
เป็นองค์ประกอบหลักในการสรางโครงสรางแข็งของสัตว์ในมหาสมุทร เชน แนวปะการัง เปลือกหอย เปน็ ตน สง ผลใหเ กดิ ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต และแปซิฟิกไดเพิ่ม ความถ่ีและความเขมขน มากขน้ึ รายงานจากการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศแหงสหประชาชาติ ฉบับท่ี 4 ช้ีใหเห็นวา การที่อุณหภูมิผิวน้ําทะเลเพ่ิมข้ึน 1 - 3 องศาเซลเซียส จะสงผลตอการเกิดปรากฏการณ์ ปะการังฟอกขาวที่บอยครั้งขึ้น และการตายของปะการังท่ีจะขยายพื้นที่ไปท่ัว นอกจากน้ีแลวภายใน 30 ปี ขางหนา ปรากฏการณ์นี้มีแนวโนมจะเกิดขึ้นทุกปีในมหาสมุทรเขตรอนเกือบท้ังหมด ซ่ึง ความสมั พนั ธ์ระหวางอณุ หภมู ิท่เี พิม่ ขน้ึ และการฟอกขาวของปะการังดังภาพท่ี 2.9 ภาพท่ี 2.9 ปะการงั ฟอกขาว (ที่มา: กรมทรพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั . ออนไลน์. 2559) 4) เกิดการสูญพันธ์ุ พลังงานจากดวงอาทิตย์เดินทางถึงโลกในรูปของ แสงแดด สว นใหญถูกดูดซับโดยแผนน้ําและแผนดิน จากนั้นผิวโลกจะคายความรอนออกมาในรูปรังสี อินฟราเรด แลวสงกลับคืนสูอวกาศ แก฿สเรือนกระจกเป็นสวนประกอบสําคัญของช้ันบรรยากาศโลก มานานแสนนาน ถามอี ยใู นปริมาณทีเ่ หมาะสมจะเกบ็ กักรังสีอินฟราเรดบางสวนเอาไวทําใหโลกอบอุน ขึน้ เหมาะกับการดาํ รงชีวิตของสิ่งมชี วี ติ บนโลก แตว ันนีป้ ริมาณแก฿สเรือนกระจกในช้ันบรรยากาศโลก เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว รังสีอินฟราเรดสวนท่ีควรจะสะทอนกลับนอกโลกกลับถูกดูดซับเอาไวในช้ัน บรรยากาศ พลงั งานความรอนที่สะสมไวมากเกินไปนี่เองทําใหอุณหภูมิของผิวโลกสูงขึ้น และสามารถ คราชีวิตได สํานักขาวตางประเทศรายงานวาสภาพภูมิอากาศทั่วโลกกําลังป่ันปุวนหนัก ฮังการีได ประกาศเตือนภัยระดับสูงสุดจากคล่ืนความรอน หลังจากมีผูปุวยและคนชราเสียชีวิตมากถึง 500 คน รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ มเพื่อชีวติ GESC1104
นอกเหนือจากมีเหตุเพลิงไหมถึง 3,000 คร้ัง ในโรมาเนีย มีผูเสียชีวิตจากอากาศรอน 39 คน อีกกวา 800 คน เป็นลมตามทองถนน ที่อิตาลีมีผูเสียชีวิตจากอากาศรอน 4 คน บานเรือนหลายสิบหลังใน อิตาลีและอินโดนีเซียถูกไฟปุาเผาผลาญ ดานแอลเบเนียประสบปัญหาไฟดับท้ังประเทศ นอกจากน้ี โดยอณุ หภมู ทิ ่ีสงู ข้ึนสงผลกระทบตอวิถีชีวิตของชนเผาอินูอิตทางตะวันออกของแคนาดา ท่ีไมสามารถ ใชรถเล่ือนหิมะหรือออกลาตามปกติได ซึ่งไดมีการแนะนําใหชนเผาน้ีกลับไปใชรถลากเลื่อนสุนัขแบบ ด้ังเดิมแลว ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผูอํานวยการศูนย์เครือขายวิเคราะห์วิจัย และฝึกอบรมการเปล่ียนแปลงของโลกแหงภูมิภาคเอเชีย กลาววา สภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ในอีก 30 ปีขางหนา จํานวนวันรอนท่ีอุณหภูมิสูงเกิน 33 องศาเซลเซียสมากขึ้นประมาณ 30-60 วัน ตอปี จากปกติ 20 วันตอปี และจังหวัดที่จะรอนที่สุด คือ จังหวัดอุทัยธานีเพราะอยูในหุบเขา รองลงมาคอื จังหวัดนครสวรรค์ ทางดานทีมวิจัยจากสํานักงานการจัดการ ดานมหาสมุทรและบรรยากาศ นานาชาติ แคลิฟอร์เนีย ไดเปิดเผยวา วิกฤตสภาพอากาศ ไดสงผลกระทบมหาศาลกับแหลงอาหาร และถน่ิ ท่อี ยขู องสงิ่ มชี วี ิตหลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ท่ีอาศัยอยูบริเวณขั้วโลก เชน เพนกวิน หมีข้ัวโลก โดยรายงานระบุวา ปัจจุบันนี้เพนกวินตองอดตายเป็นจํานวนมาก เพราะกุงคริลล์ที่พวกมันกินเป็น อาหารน้นั มีจํานวนลดลงกวารอยละ 80 ทําใหพวกมันตองแยงชิงกุงคริลล์กับสัตว์เล้ียงลูกดวยนมชนิด อื่น และเมื่ออาหารลดลงและหายากข้ึนทุกวันแลว พวกมันก็ตองอดตายในที่สุด และในปัจจุบันนี้ มรี ายงานวา ประชากรเพนกวนิ ในบรเิ วณแอนตาร์คติก เพนนินซูลา และทะเลสก฿อตเทีย ที่ข้ัวโลกใต มี จํานวนลดลงไปกวา รอ ยละ 50 แลว เม่อื เทียบกับ 30 ปีกอ น สว นสตั วอ์ ีกชนดิ ที่ไดรับผลกระทบไมน อ ยไปกวา กนั นั่นก็คอื หมีข้ัวโลก โดย กอนหนานี้ นักวิทยาศาสตร์ไดทําการศึกษาเร่ืองราวของหมีข้ัวโลก ในอลาสกา และแคนาดาซ่ึงมีอยู กวา 25,000 ตัว พบวา ภาวะน้ําแข็งละลาย ทําใหหมีขั้วโลกตองวายนํ้าในระยะทางท่ีไกลข้ึนเพ่ือออก ลาแมวนํ้า โดยพวกมันตองวายน้ําเป็นเวลากวา 10 วัน เป็นระยะทางกวา 680 กิโลเมตร เพ่ือออกหา อาหารและกลับเขาฝั่ง ซึ่งเมื่อวายน้ํากลับเขาฝ่ัง ก็พบวาฝั่งท่ีพวกมันจากมามีระยะทางไกลข้ึนมาก เพราะนํ้าแขง็ ละลายกลายเปน็ นา้ํ หมด สดุ ทา ย หมขี วั้ โลกหลายตัวก็ตองอดตายและจมนํ้าตายไปอยาง เลยี่ งไมได หรือหากรอดชวี ติ พวกมนั ก็ตองประสบปัญหาในการลาแมวนํ้าเพ่ือดํารงชีวิต จนทําใหพวก มันมีรางกายผายผอมลงจนนาตกใจ และมีภูมิตานทานรางกายนอยลง อีกท้ังยังทําใหสมรรถภาพใน การสืบพันธ์ุของมันดอยลงอีกดวย โดยนักวิทยาศาสตร์คาดวา หากพวกมันยังคงอดอยาก และเผชิญ กับปญั หานตี้ อไป พวกมนั ก็จะลดจํานวนลงเรอ่ื ย ๆ และสูญพนั ธุไ์ ปในทสี่ ุด รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพื่อชีวติ GESC1104
2.5 การแก้ไขปญั หาโลกรอ้ น เราสามารถชวยกนั แกไ ขไดอ ยา งงา ย ๆ เชน ชว ยกันสรางปอดใหโลกโดยรักษาสภาพ ปุาใหคงอยตู ลอดไปและชวยกันฟื้นฟูสภาพปุาที่เสื่อมโทรมใหกลับคืนมา ในขณะเดียวกันก็เรงพัฒนา พ้ืนที่สีเขียวใหมากขึ้น แมแตการปลูกตนไมในบริเวณบาน และท่ีสําคัญเราตองเลิกพฤติกรรมการใช สารซีเอฟซีโดยสิ้นเชิง นอกจากนั้นแลวเรายังตองมีการรณรงค์ ใหตระหนักถึงวิธีการนํา ทรัพยากรธรรมชาตมิ าใชโ ดยยดึ หลกั การอนุรกั ษ์เป็นสาํ คัญกลา วคือตองนําไปใชใหเกิดประโยชน์สูงสุด แตเ กิดของเสียนอยทีส่ ดุ สงวนสรรพส่ิงทีค่ วรสงวน เพ่ือใหเกิดผลย่ังยืนสืบตอไปและตลอดกาล มนุษย์ สรา งโลกไดฉ นั ใด มนุษย์ก็ทําลายโลกไดฉ ันนั้น จากท่ีกลาวมาในเร่ืองการลดลงของโอโซนในชั้นบรรยากาศ ซ่ึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทํา ใหเ กิดโลกรอ น และสงผลกระทบตอระบบนเิ วศโลกดงั ภาพที่ 2.10 ภาพที่ 2.11 สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการแกไขโลกรอน รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอมเพื่อชีวติ GESC1104
2.6 แนวคดิ หยดุ โลกร้อน จริงใจจริงจัง รวมพลังหยุดโลกรอน หยุดโลกรอน ทุกคนชวยได โดยการบริโภค ความสะดวกสบาย ความฟุูงเฟูอ ฟุมเฟือยในชีวิตใหนอยลง ใชชีวิตอยางเพียงพอและพอเพียง เพราะการผลิตสินคาหรืออาหารและบริการตาง ๆ จําเป็นตองใชพลังงานซ่ึงมิไดหมายถึงไฟฟูา หรือ นํ้าประปาเทาน้ัน แตคือมวลรวมของการไดมาซ่ึงสาธารณูปโภค อุปโภคและบริโภคทั้งหมด ซึ่งมีท่ีมา จากการตองสูญเสียพ้ืนที่ปุาไมเพ่ือสรางเขื่อนผลิตกระแสไฟฟูา ผูคน สัตว์ปุาที่ไรที่อยูอาศัย ระบบ นเิ วศแปรปรวนและถูกทําลายลง เกี่ยวพนั กันเป็นลกู โซ เมื่อมีการใชพลังงานมากแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังน้ัน จิตสํานึกเล็ก ๆ ที่คิดจะเริ่มตนหยุดพฤติกรรม “ยึดความสะดวกสบายของตนเป็นที่ตั้ง” จึงอาจ กอใหเกิดคณุ ูปการอยางใหญห ลวงตอ การ หยุด...ภาวะโลกรอ น ทุกคนเริม่ ตน ไดจากเรอื่ งใกลตัว ลดการปลอยแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการ ผลิตกระแสไฟฟูา อาทิ การใชพลังงานอยางมีประสิทธิภาพ เชน การใชหลอดไฟแบบประหยัด พลังงาน ใชเครื่องไฟฟูาประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ลดการใชเครื่องปรับอากาศโดยการปลูกตนไมใน พ้ืนท่วี างเพือ่ เพ่มิ ความรม ร่ืน รมเงา ชวยลดความรอนท้ังเป็นแหลงดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่ม แก฿สออกซิเจนใหกับบรรยากาศ ปิดสวติ ซเ์ คร่อื งใชไฟฟาู และสวติ ซ์ไฟทกุ คร้ังเม่ือไมใ ชง าน ฯลฯ 10 วธิ งี า ยๆ หยุดโลกรอ นของมูลนิธโิ ลกสีเขยี ว (มูลนธิ โิ ลกสเี ขยี ว, 2550: 6) 1. ปิดสวิตซ์ใหหมด โหมดสแตนบายของเคร่ืองใชไฟฟูา อาจทําใหคาไฟฟูา ของแตละบา นสงู ขึน้ อกี ปีละ 4,000 บาท 2. ถอดปล๊ักใหเกลี้ยง เนื่องจากจะกดปุมปิดแลว แตถายังเสียบปล๊ักคางไว กระแสไฟฟูากย็ งั ไหลเขา ไปวง่ิ เลนอยูดี 3. สรางบานพึ่งพาธรรมชาติ ดวยการสรางบานขนาดกะทัดรัด ท่ีวาง ตําแหนงสอดคลองกับทิศทางของสายลมและแสงแดด และลงตนไมใ หร มเงา 4. กินชะลอโลกรอน เลือกอาหารที่ผลิตภายในประเทศ ลดเน้ือสัตว์ เนน อาหารทไ่ี ดจ ากพืช กินผกั ผลไมต ามฤดกู าล หรือผลิตภัณฑ์เกษตรอนิ ทรีย์ 5. พกสติไปชอปป้ิง ซ้ือมาก จายมาก แลวจะสุขมากจริงหรือ? ชอปปิ๊ง สนิ คาชิ้นไหนควรคิดใหถวนถี่กอนตดั สนิ ใจ พิจารณาวาคุณภาพดไี หม และปฏเิ สธถงุ พลาสติก 6. ยืดอายเุ สื้อผา รูจกั เลอื กซอ้ื รูจักซอ มแซม ยิ่งใสนาน ย่ิงใชงานคุมคาก็ยิ่ง ประหยัดทรัพยากรในการผลิตเส้ือผาชมุ ใหม 7. บินแบบพอเพียง เคร่ืองบนิ ใชนา้ํ มันมหาศาล และปลอย CO2 สูทอ งฟูา รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ มเพื่อชีวิต GESC1104
8. แยกขยะสงซาเลง ซาเลง คือ มือปราบภูเขาขยะท่ีจะพาพลาสติก กระดาษ โลหะ เขาสกู ระบวนการรีไซเคิล ลดภาระของหลุมฝังกลบขยะ และลดการใชวัตถุดิบสําหรับ การผลติ คร้งั ตอไป 9. ปลกู ผักสวนครัว บา นไหนไมมรี ัว้ หยอ นเมล็ดลงกระถางก็ได ปลูกเอง กิน เองสบายใจ เพราะไมใ ชสารเคมี 10. ปลูกตนไมใชหนี้ เม่ือเบิก ถอน เช้ือเพลิงฟอสซิลมาใชมากไป ก็ควร ชดใชด วยการปลกู ตนไม บทสรุป โลกเป็นระบบนิเวศขนาดใหญโดยมีสรรพส่ิงตางๆ บนโลกเก่ียวโยงและสัมพันธ์กันเป็น ลูกโซ เมอ่ื เกดิ ปัญหา ณ ท่ใี ดทห่ี น่ึงก็จะสงผลกระทบตอไปอีกท่ีหนึ่งที่อยูไกลได ปัญหาสิ่งแวดลอมโลก ที่สําคัญและมนุษย์บนโลกกําลังเผชิญอยูอยางหลีกเลี่ยงไมไดประเด็นหนึ่งคือการเปลี่ย นแปลง บรรยากาศของโลก การทาํ ลายโอโซนในช้นั บรรยากาศ การเกิดภาวะโลกรอน ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกดิ ข้นึ บอ ย และมคี วามรนุ แรงขึ้นเปน็ อยางมาก เชน ปรากฏการณ์ เอลนินโญ เอลนินญา แผนดินไหว น้ําทวม ฝนแลง พายุ และสึนามิ อันเป็นผลมาจากพ้ืนท่ีปุาไมเขตรอนท่ีอุดมสมบูรณ์ขาดความ หลากหลายทางชีวภาพลดลงอยางมาก สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดลอมโลกเกิดขึ้นจากการกระทําของ มนุษย์ท้ังส้ิน ซึ่งสงผลตอการเปล่ียนแปลงของระบบนิเวศโลก เป็นผลทําใหมนุษย์อาจตองเผชิญ มหนั ตภยั อยา งรุนแรงขณะทีโ่ ลกพยายามปรับตัวเขา สูสมดลุ อีกครัง้ “แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ตอ้ งลดการปล่อยปลด แกส๊ เรอื นกระจกจึงลดได้ไร้ปญั หา โลกรอ้ น รอ้ น จักผอ่ นคลายตามติดมา ทุกชวี าต้องเข้าใจแก้ไขจรงิ ” รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
กจิ กรรมท่ี 2 รับรปู้ ญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม 1. หลักการ มนุษย์ไดสรางความเจริญกาวหนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพ่ือพัฒนาส่ิงแวดลอมมา สนองความตองการของมนุษย์ โดยมนุษย์เช่ือมั่นวาส่ิงเหลาน้ีจะนําไปสูความเป็นผูนําทางดาน เศรษฐกิจและสังคม โดยมองขามถึงผลกระทบท่ีตามมา สรุปก็คือ ทรัพยากรธรรมชาติถูกทําลาย โดยเฉพาะอยางยิ่งการบุกรุกทําลายพื้นที่ปุาไมซ่ึงเป็นสาเหตุหลักที่ทําใหธรรมชาติหลายอยางในโลก มนุษย์มีความผันแปรวิปริตแตกตางไปจากที่เคยเป็น นอกจากน้ี ยังทําใหแหลงนํ้าเส่ือมโทรม พื้นดิน ขาดความอุดมสมบูรณ์ ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง เกิดการสะสมของสารพิษในสิ่งแวดลอม คณุ ภาพอากาศเปลย่ี นแปลงกอใหเกดิ ปัญหามลพิษตางๆ ตามมาเป็นลูกโซ และในที่สุดก็สงผลกระทบ ตอ คุณภาพชีวิตและกลายเปน็ ปัญหาส่งิ แวดลอ มในระดับโลกทที่ ุกประเทศจะตอ งรว มมือกันแกไข 2. วัตถปุ ระสงค์ 2.1 เพือ่ ใหเ ขา ใจปัญหาสิง่ แวดลอม 2.2 เพื่อวเิ คราะห์ปญั หาทางดานส่ิงแวดลอ ม 3. การปฏิบัติกิจกรรม 3.1 ทาํ ความเขาใจเก่ยี วกับหลกั การและเนือ้ หา 3.2 ศกึ ษาจากวิดที ัศน์และวิเคราะห์ปัญหาสง่ิ แวดลอมที่กําหนดใหในประเด็น ปญั หา สาเหตุ ผลกระทบ แนวทางแกไข 3.3ใหวเิ คราะห์ปัญหาส่ิงแวดลอมในทองถนิ่ หรอื ชุมชนและนําเสนอ 4. ผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม 4.1 ผลการวเิ คราะห์ปัญหาส่ิงแวดลอมที่กาํ หนดใหในประเด็น ปญั หา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
สาเหตุ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลกระทบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแกไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.2 ผลการวิเคราะหป์ ญั หาสิง่ แวดลอ มในทองถิน่ หรอื ชมุ ชน ปญั หา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สาเหตุ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ มเพื่อชวี ติ GESC1104
ผลกระทบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแกไข …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. คาถาม 5.1โลกรอนเกดิ จากสาเหตุอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.2 เราจะมสี ว นชวยแกไขปัญหาโลกรอนไดอยา งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
เอกสารอ้างอิง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง. (6 กรกฎาคม 2559). ห่วงปะการังอ่าวไทย \"ฟอกขาว\" เจอ เอลนิโญร่ ุนแรงปีหนา้ . http://www.dmcr.go.th. ดวงพร กาซาสบิ. (2559). ความรู้เบ้ืองต้นด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา ENVI 3302 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม ฉบับปรับปรุงปี พ.ศ. 2559. สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดลอม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัย ราชภฏั จนั ทรเกษม. ศนู ยก์ ารเรยี นรวู ทิ ยาศาสตรโ์ ลกและดาราศาสตร์ (LESA) (23 สงิ หาคม 2559). ปรากฏการณ์โลก รอ้ น (Global Warming).สาํ นกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวิจัย. http://portal.edu.chula. ac.th/lesa_cd/assets/document/lesa212/5/global_warming/global_warming/gl obal_warming.html. อัล กอร์. (2550). โลกร้อน: ฉบับคนรุ่นใหม่. แปลจาก An Inconvenient truth (Young adult version) โดย พลอยแสง เอกญาติ. กรงุ เทพมหานคร: มติชน. British Antarctic Survey. (22 July 2014). The Ozone Hole 2014. http://www. theozone hole.com/2014ozonehole.htm. Comeau, L. and Grant, T. (3 July 2016). The Greenhouse Effect.. http://www. oneworldjourneys.com/climate/pdf/greenhouse_effect.pdf NASA. (13 July 2016). Earth Observatory. http://www.nasa.gov World Wide Fund for Nature Australia. (23 June 2016). What is Global Warming?. http://www.wwf.org.au/our_work/people_and_the_environment/global_warmi ng_and_climate_change/science/what_is_global_warming/ Wright, R. T. (2005a). Environmental Science: Toward a Sustainable Future (9th edition). New Jersey: Prentice Hall. รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมเพื่อชวี ติ GESC1104
บทที่ 3 ทรัพยากรอากาศเพอ่ื ชวี ิต บรรยากาศของโลกประกอบไปดวยอากาศซ่ึงเป็นส่ิงจําเป็นสําหรับมีชีวิต นอกจากนั้นยังมี ความชื้น อุณหภูมิ และการเคล่ือนไหวของมวลอากาศ รวมเรียกวา ภูมิอากาศ (Climate) ซ่ึงมี ความสําคัญตอลักษณะของดิน พืชพันธุ์ และสภาพอ่ืน ๆ ของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลก ดังนั้น บรรยากาศ จึงเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีผลตอทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ บรรยากาศจะหมุนเวียนเปล่ียนแปลง ตอ เน่ืองกนั ไปอยา งไมม ที ี่สิ้นสุด บรรยากาศจัดอยูในทรัพยากรธรรมชาติที่ใชไมหมด ปัจจุบันในเมืองใหญ มสี ภาวะอากาศเขาข้ันวิกฤตอันเนือ่ งมาจากสารมลพษิ ทางอากาศตาง ๆ ท่ีเกิดจากความแออัดของจํานวน ยานพาหนะท่ีเพ่ิมขึ้น กิจกรรมกอสราง หรือปัญหาที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรม เป็นตน ดังน้ัน จึงมี ความจําเป็นท่ีนักศึกษาควรไดเรียนรูและตระหนักถึงสภาพปัญหาและหาแนวทางเพื่อการลดการปลอย มลพิษสูบรรยากาศของโลก ชั้นบรรยากาศของโลก บรรยากาศ (Atmosphere) หมายถึง อากาศท่ีหอหุมรอบโลก ประกอบดวยแก฿สผสมตางๆ ท่ปี กคลมุ โลกไว บรรยากาศของโลกมีลักษณะเฉพาะตัว องค์ประกอบของอากาศบริสุทธิ์และแหงจะมี องคป์ ระกอบแนนอนและมปี ริมาณคงทโ่ี ดยปรมิ าตร ท่รี ะดับใกลร ะดบั นํ้าทะเล มีองค์ประกอบที่สําคัญ คือ แก฿สไนโตรเจน และ ออกซิเจน สวนแก฿สอ่ืนๆ ท่ีรวมอยูมีจํานวนนอยมาก เม่ือเทียบอัตรา สวนผสมจะไดดงั น้ี ไนโตรเจนรอ ยละ 78.08 ออกซเิ จนรอ ยละ 20.94 อารก์ อนรอ ยละ 0.93 และแก฿ส อ่ืนๆ ประมาณ 10 ชนิดอกี รอยละ 0.4 ในทางปฏิบัติถือวาอัตราสวนจํานวนน้ีเหมือนกันตลอดทุกสวน ของโลก อากาศที่หอหุมโลกของเราอยูมีวิวัฒนาการมาเป็นเวลายาวนาน โดยมีการเปลี่ยนแปลงมา เป็นเวลาหลายพันลานปี ซึ่งแบงเป็นระยะท่ีแตกตางกันในลักษณะของการเกิดบรรยากาศโลกได 3 ระยะ แสดงดังภาพที่ 3.1 คอื 1. บรรยากาศโลกในระยะเริ่มตนเมื่อราว 4,600 ลานปีท่ีผานมา ประกอบดวยแก฿ส ไฮโดรเจน (H2) ไอนํ้า (H2O) แอมโมเนีย (NH3) มีเทน (CH4) และเกิดการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศ โดยมีแสงเป็นปัจจัยสําคัญทําใหเกิดเป็นแก฿สไนโตรเจน (N2) จากแอมโมเนียและแก฿ส คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากมีเทน นอกจากนี้แลวโลกยังเต็มไปดวยภูเขาไฟมากมายพนแก฿สและ ความรอ นมาตลอดเวลา รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
2. เมื่อราว 4,400 ลานปี เม่ือโลกเย็นลงไอน้ําในอากาศก็กลั่นตัวกลายเป็นฝนตก หนักอยางตอเนื่องเกิดเป็นมหาสมุทรที่อุนและและเต็มไปดวยแรธาตุ โดยมี แก฿สมีเทน แก฿ส คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย ไดรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ เกิดปฏิกิริยาเคมีใน มหาสมุทร ทําใหเ กิดสารประกอบพน้ื ฐานของส่ิงมีชีวติ และววิ ฒั นาการเป็นส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดยี ว 3. เม่ือราว 10,000 ปี พืชสีเขียวเพ่ิมมากข้ึนแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศพืช นาํ ไปใชในขบวนการสังเคราะหแ์ สงใหแกส฿ ออกซิเจน(O2) เกิดข้ึนในบรรยากาศ และเมื่อไดรับพลังงาน จากแสงอาทิตยท์ ําใหเ กดิ เปน็ แก฿สโอโซน ชวยปูองกนั รงั สีอลุ ตราไวโอเลต ทําใหโ ลกอบอนุ ข้ึนเหมาะกับ การดาํ รงของส่งิ มีชีวิต หมายเหตุ (1) บรรยากาศของโลกเม่อื ระยะเริม่ ตน 4,600 ลา นปี (2) เมื่อโลกเยน็ ลงเกดิ เปน็ มหาสมทุ ร 4,400 ลานปี (3) เม่ือมสี ่งิ มชี วี ิตเกดิ แก฿สออกซิเจนและชัน้ โอโซน 10,000 ปี ภาพที่ 3.1 การเกิดบรรยากาศของโลก (ทีม่ า: Arms. 1990: 62) บรรยากาศของโลกทเ่ี ราอาศัยอยนู ้แี บง ออก เป็น 4 ชนั้ ตามสมบัติและก฿าซองค์ประกอบ โดย แตล ะชนั้ มีการเปล่ยี นแปลงอุณหภมู ิ และความดันบรรยากาศ แตกตางกัน (สํานักการจัดการคุณภาพ อากาศและเสยี ง. 2554: 3) 1. โทรโปสเฟียร์ เป็นช้ันบรรยากาศท่ีใกลผิวโลกมากที่สุด และอยูสูงขึ้นไปประมาณ 12 กิโลเมตร อุณหภูมิที่ ใกลผ วิ โลกจะสงู และจะลดลงตามลาํ ดับเมอื่ เลอื่ นสูงข้ึนไป โดยเฉลี่ยอณุ หภูมิลดลง 1 องศาเซลเซียสตอ 100 เมตร การลดลงของอุณหภูมิตามความสูงที่เพิ่มขึ้นเรียกวา Lapse rate บรรยากาศในชั้นน้ีจะมี รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ มเพื่อชวี ติ GESC1104
ความแปรปรวนมากและสําคัญมากตอส่ิงมีชีวิตบนโลก เมื่อเคล่ือนสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่งอุณหภูมิจะ คงที่ ซึง่ ประมาณ –60 องศาเซลเซยี สเรยี กจดุ น้วี า โทรโปพอส 2. สตราโตสเฟียร์ เป็นช้ันบรรยากาศท่ีอยูสูงจากพ้ืนโลกตั้งแต 7 - 50 กิโลเมตร (ข้ึนอยูกับวาวัดจํากบริเวณใด ชั้นสตราโตสเฟียร์ไมสูง แตหนาบริเวณใกลขั้วโลก) ซ่ึงอุณหภูมิจะเพ่ิมขึ้นตาม ระดับความสูง ปกติมี เฉพาะเคร่ืองบินไอพนความเร็ว เหนือเสียงเทานั้นที่จะมีโอกาสไดเขาไปสัมผัสชั้นลาง ของบรรยากาศ ช้ันนี้ เคร่ืองบินพาณชิ ย์ทใ่ี ชกันสวนมาก บินสงู สุดถึงเพียงรอยตอ ระหวางช้ันโทรโพสเฟียร์กับ ชั้นสตรา โตสเฟียร์ 3. เมโสสเฟยี ร์ อยสู ูงขน้ึ ไปถึง ระดับ 80 - 90 กโิ ลเมตรจากพื้นโลก โดยอุณหภูมิจะลดลง ตามระดับความสูง และพบอุณหภมู ิตํา่ สดุ ท่ชี ั้นน้ี เทอรโ์ มสเฟียร์ (Thermosphere) เป็น ชน้ั บรรยากาศที่มีการดูดซับคล่ืน รังสคี วามยาวคล่นื สน้ั โดยไนโตรเจน ออกซิเจนและอุณหภูมจิ ะเพิม่ ข้ึน ตามระดบั ความสูง 4. เอกโสสเฟียร์ เป็นช้ันบรรยากาศช้ันนอกสุด ซึ่งอยูสูงจากพื้นโลกตั้งแต 500 กิโลเมตรขึ้นไป ซ่ึงมีการหลุด ลอดของโมเลกลุ กา฿ ซออกจากแรงดึงดูดโลกได มลพษิ ทางอากาศ มลพิษทางอากาศ (Air pollution) หมายถงึ ภาวะของอากาศที่มีการปนเปื้อนของสารมลพิษ ในปริมาณที่สามารถทําใหอากาศเส่ือมสภาพ กอใหเกิดอันตรายตอมนุษย์ สัตว์ พืช ทั้งทางตรงและ ทางออ ม 1. สารมลพษิ ในบรรยากาศ สารมลพิษในบรรยากาศ (Air pollutants) ไมวาจะมาจากแหลงกําเนิดใด ถาแบงตาม ลักษณะทางกายภาพได 2 ประเภท คอื สารมลพษิ ท่ีเปน็ อนุภาค และสารมลพษิ ทีเ่ ป็นแก฿ส สารมลพิษท่ีอยใู นบรรยากาศถาพิจารณาจากแหลง กําเนิดและการเปล่ียนแปลงในบรรยากาศ แบง ได 2 ประเภท คือ 1. สารมลพิษในอากาศแบบปฐมภูมิ (Primary air pollutants) คือ สารมลพิษ ทางอากาศที่เกิดและถูกระบายจากแหลงกําเนิดโดยตรง เชน CO CO2 SO2 NO NO2 เขมา ควนั และขี้เถา ที่เกดิ จากการเผาไหมเปน็ ตน รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
2. สารมลพิษในบรรยากาศแบบทุติยภูมิ (Secondary air pollutants) คือ สาร มลพิษทางอากาศที่เกิดข้ึนในบรรยากาศจากปฏิกิริยาเคมีระหวางสารมลพิษทางอากาศปฐมภูมิดวย กันเอง หรือปฏิกิริยาเคมีระหวางสารมลพิษอากาศปฐมภูมิกับสารประกอบอื่น ๆ ท่ีอยูในบรรยากาศ เชน SO3 O3 H2SO3 H2O2 เปน็ ตน ดงั ภาพที่ 3.2 ภาพที่ 3.2 สารมลพษิ ปฐมภมู แิ ละทตุ ยิ ภูมิ (ทีม่ า: Miller. 2002: 570) การวัดคาความเขมขนของสารมลพิษประเภทอนุภาค ปัจจุบันนิยมใชในรูปของมวลของแก฿ส ตอปริมาตรอากาศ หนวยที่นิยมใช ไดแก ไมโครกรัมตอลูกบาศก์เมตร (µg/m3) หรือ มิลลิกรัมตอ ลูกบาศกเ์ มตร (mg/m3) ถา เปน็ พวกแกส฿ จะใชใ นรูปไมโครกรัมตอ ลติ ร (µg/l) สารมลพษิ หลกั ในบรรยากาศอาจจาํ แนกไดด งั ตารางท่ี 3.1 รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
ตารางที่ 3.1 การแบงจาํ พวกสารมลพษิ ในบรรยากาศ ชนิดสารมลพิษ ตวั อยา่ ง ออกไซดข์ องคาร์บอน คาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกไซด์ของซัลเฟอร์ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ซลั เฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) ออกไซดข์ องไนโตรเจน ไนตริกออกไซด์ (NO) ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ไนตรสั ออกไซด์ (N2O) สารประกอบอินทรยี ์ระเหย มีเทน (CH4) โพรเพน (C3H3) เบนซนิ (C6H6) คลอโรฟลูออโรคารบ์ อน (CFCs) สารแขวนลอยในอากาศ อนภุ าคของแข็ง (ละออง เขมา ฝุน ตะกั่ว เกลอื ไนเตรทและซัลเฟต) หยดนาํ้ (กรดซัลฟรู ิคไดออกซิน สารฆาศัตรูพืช สารออกซิไดซ์ และสัตว)์ สารกมั มันตรังสี โอโซน (O3) ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) อัลดไี ฮด์ สารพิษ เรดอน -222 ไอโอดีน-131 สตรอนเทยี ม-90 พลโู ตเนยี ม-239 (ท่ีมา: Miller, 2002: 570) สารพิษอยางนอ ย 600 ชนิด และ 60 ชนดิ เป็นสารกอมะเร็ง สารมลพิษท่ีเป็นแก฿สในบรรยากาศท่ีทําการตรวจวัดมีดังน้ี (สํานักการจัดการคุณภาพอากาศและ เสียง. 2554: 10) 1.1 คาร์บอนมอนออกไซด์ (Carbon monoxide: CO) CO เปน็ แกส฿ ไมม ีสี ไมม กี ลิ่น ไมมรี ส แหลงกําเนดิ เกดิ จากการเผาไหมท ไ่ี มสมบรู ณ์ ทส่ี าํ คญั ไดแ ก รถยนต์ ผลกระทบ CO มีผลตอสุขภาพ จะลดการถายเทออกซิเจนในกระแสเลือด เนื่องจาก CO สามารถจับตัวกับเฮโมโกลบิน (Haemoglobin: Hb) ไดดีกวา O2 ประมาณ 200 เทา ดงั สมการ Hb + O2 Hb O2 Haemoglobin Oxyhaemahlobin CO + Hb O2 Hb CO + O2 Carboxy haemoglobin รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอมเพ่ือชีวิต GESC1104
มผี ลทาํ ใหก ารลาํ เลียง O2 ในเม็ดเลือดลดนอ ยลง เปน็ สาเหตุใหเ ซลลร์ า งกายขาด O2 ทําใหเกดิ การ งว ง ซึม ปวดศีรษะ หมดสติ และตายได (Landis and Yu. 1995: 135) 1.2 ไนโตรเจนออกไซด์ (Nitrogen oxide: NOX) แกส฿ ไนตริกออกไซด์ (NO) เปน็ แก฿สไมมีสี ไมมีกลนิ่ ละลายนํ้าไดเ ลก็ นอย แก฿สไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) เป็นแก฿สทม่ี ีสีน้าํ ตาลแกมแดง มีกลิ่นฉนุ ละลายนํ้าไดดี แหลงกําเนิด เกิดจากการเผาไหมที่ใชเช้ือเพลิงฟอสซิล ซึ่งมีความรอนสูงทําให N2 และ O2 ทําปฏกิ ิริยากันในบรรยากาศ ไดแก฿ส NO และ NO2 ดงั สมการ NO2 + O2 2NO 2NO + O2 2NO2 ผลกระทบของ NOX ตอ สุขภาพ 1. ทําลายเนื้อเยื่อปอด ทางเดินหายใจอักเสบ และ แก฿สไนตริกออกไซด์ เม่อื เขาไปในปอดจะเปลยี่ นเป็นสารไนโตรซามีน ซ่งึ เปน็ สารกอ มะเรง็ ทส่ี ําคัญ 2. แก฿สไนโตรเจนไดออกไซด์ ทาํ ลายเย่อื บทุ างเดินหายใจ เกิดอาการไอหรือ ผื่นแดงบรเิ วณสัมผัสจะเกิดอาการอกั เสบของทางเดนิ หายใจ 1.3 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulferdioxide : SO2) เปน็ แก฿สท่ีไมมสี ี มีกลิน่ ฉนุ มรี สฝาดหรอื ขม ไมตดิ ไฟ ละลายน้ําไดด ี แหลงกําเนิด เกิดจากการเผาไหมของเชื้อเพลิงท่ีมีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ เชน ลิกไนต์ ท่ีสาํ คัญ ไดแก โรงผลิตไฟฟาู โรงงานอตุ สาหกรรม ผลกระทบ แกส฿ ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์สง ผลตอ สุขภาพ จะกอ ใหเกดิ การระคายเคืองเย่ือ บุทางเดินหายใจ ทําใหเกิดอาการไอ แนนหนาอก คาปกติรางกายสามารถทนไดท่ีความเขมขน 100 ppb เปน็ เวลา 15 นาที 1.4 โอโซน (Ozone: O3) เป็นแกส฿ ทป่ี ระกอบดว ยธาตุออกซเิ จน 3 อะตอม มสี ีฟาู ออน มีกลิ่นฉุน แหลงกําเนิด เกิดจากการแลกเปล่ียนมวลระหวางช้ันบรรยากาศโทรโปสเฟียร์และ สตราโทสเฟียร์ รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ มเพ่ือชีวติ GESC1104
การเกดิ O3 ช้นั สตราโทสเฟียร์ O2 O+O O + O2 O3 เกดิ จากปฏกิ ริ ยิ า Photochemical reaction ของสารมลพิษในบรรยากาศ ทําให เกดิ ออกซเิ จน อะตอมอสิ ระ ซงึ่ จะไปรวมตวั กบั O2 อะตอมอน่ื ไดแกส฿ O3 ตัวอยางเชน NO2 hγ NO + O O + O2 O3 NO2 + O2 NO + O3 ผลกระทบของแก฿สโอโซน ตอสุขภาพ 1. การสัมผัสโอโซนเขมขน 0.5 ไมโครลิตรตอลิตร เป็นเวลา 2 - 3 ช่ัวโมง สามารถทาํ ลายเยอ่ื บทุ างเดินหายใจเกดิ อักเสบอยางรนุ แรง 2. การสัมผัสโอโซนเขมขน 0.12 ไมโครลิตรตอลิตร เป็นเวลา 1 ช่ัวโมง สามารถเรงอาการแพต อ สารตอ การกระตนุ การแพ 1.5 สารอินทรีย์สารระเหยงาย (Volatile Organic Compounds: VOCS) แหลงกําเนิด เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมท่ีใชสารระเหย รถยนต์ที่ใชน้ํามันเป็น เช้ือเพลิง สารอนิ ทรยี ร์ ะเหยงายสามารถทําปฏิกิรยิ าในบรรยากาศและเกดิ โอโซนได สารประกอบอินทรีย์ที่ระเหยเป็นไอกระจายตัวไปในอากาศ ไดในท่ีอุณหภูมิและ ความดันปกติ โมเลกุลสวนใหญประกอบดวยอะตอมคาร์บอนและไฮโดรเจน อาจมีออกซิเจน หรือ คลอรีนรวมดวย สามารถระเหยเป็นไอไดท่ีอุณหภูมิหอง ในชีวิตประจําวันเราไดรับ VOCs จาก ผลิตภัณฑ์หลายอยาง เชน สีทาบาน ควันบุหร่ี น้ํายาฟอกสี สารตัวทําละลายในพิมพ์ จากอูพนสี รถยนต์โรงงานอุตสาหกรรม นํ้ายาซักแหง นํ้ายาสําหรับยอมผมและนํ้ายาดัดผม สารฆาแมลง สารที่ เกิดจากเผาไหม และปะปนในอากาศ น้ําด่ืม เครื่องดื่ม อาหาร สารอินทรีย์ ไอระเหยท่ีสะสมไวมาก นานๆ จะมีผลกระทบทางชีวภาพและเป็นอันตรายตอสุขภาพ ผลกระทบของสารอินทรีย์ระเหยงาย ตอ สุขภาพ คอื เปน็ สารกอ มะเรง็ ท่สี ําคญั รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอมเพ่ือชีวิต GESC1104
2. อนุภาคสารมลพิษ อนุภาคสารมลพิษ (Particulate pollutant) แบงออกเป็น 2 ประเภท คือ อนุภาคที่เป็น ของแขง็ และอนภุ าคที่เปน็ ของเหลว แสดงดงั ตารางที่ 3.2 โดยแหลงท่ีมาของอนุภาคสารมลพิษ ไดแก 1. ยานพาหนะทางบก 2. การกอสรา งประเภทตาง ๆ 3. การบรรทกุ และขนสง วสั ดุกอ สรา ง 4. โรงงานอตุ สาหกรรม โรงไฟฟูา และสถานประกอบการตา ง ๆ 5. เมรุเผาศพ และการเผาวสั ดุตา ง ๆ ในทแี่ จง เชน การเผามูลฝอย ผลกระทบของอนุภาคสารมลพิษตอสุขภาพ จะกอใหเกิดการระคายเคืองตอเย่ือบุทางเดิน หายใจ เกิดการอักเสบ ฝุนที่มีขนาดเล็กเมื่อเขาสูระบบทางเดินหายใจจะทําใหเกิดอาการปอดอักเสบ และทําใหเ ปน็ มะเรง็ ได ตารางที่ 3.2 อนุภาคของสารมลพิษท่ีสําคญั ชนิดของอนุภาค เส้นผ่านศนู ย์กลาง ลกั ษณะและคาจากัดความ ละอองไอ (Aerosol) (ไมครอน) ฝุน (Dust) ชว งกวา ง ใชเรียกอนภุ าคของแข็งและของเหลวที่เกิดจากกระบวนการในการทาํ ให เถาลอย (Fly ash) เกดิ อนภุ าคขนาดเล็ก เชน การบด (Crushing) การปนุ (Grinding) , และ ควัน (Smoke) หมอกนํา้ คา ง (Mist) การระเบดิ (Blasting) รวมท้งั การอะตอมไมเซชัน (Atomization) แลว ฟมู (Fume) สเปรย์ (Spray) แขวนลอยอยใู นอากาศ 1.0 – 1,000 ละอองไอที่เปน็ ของแขง็ เกิดขึ้นจากการแตกตวั ของอนภุ าคขนาดใหญ และแขวนลอยอยใู นอากาศ โดยท่ัวไปฝุนจะมีองคป์ ระกอบที่แตกตา งกัน (Heterogenous in Compositiomn) และมีขนาดอนภุ าคในชว งกวา ง (Wide Spectrum) 1.0 - 1,000 อนุภาคที่เหลอื จากการเผาไหมของเชอ้ื เพลิงตา ง ๆ 0.5 – 1.0 อนภุ าคของแข็งและของเหลว ท่เี กดิ จากกระบวนการเผาไหมท ไี่ มส มบรู ณ์ ของสารประกอบคารบ์ อนของเชอ้ื เพลิง หรือวสั ดสุ นั ดาปอ่นื ๆ 0.07 - 10 อนุภาคของเหลวท่ีเกิดจากการควบแนน ของไอของเหลว (Liquid Vapour) หากมคี วามเขม ขน จะทําใหเกิดเปน็ หมอก (Fog) 0.03 – 0.3 อนภุ าคของแขง็ เกิดขนึ้ จากการควบแนนของละอองไอซึ่งมแี กส฿ หรอื ไอ รวมอยดู ว ย เชน ฟูมจากการเชอ่ื มโลหะ เปน็ ตน 10 – 1,000 อนภุ าคของเหลวทีเ่ กิดข้นึ จากการอะตอมไมเซชนั (ท่มี า: Wright. 2005: 578) รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ มเพื่อชีวิต GESC1104
ดัชนคี ณุ ภาพอากาศ การรายงานคุณภาพอากาศโดยท่ัวไปจะอยูในรูปความเขมขนของสารมลพิษตอปริมาณ อากาศ โดยเปรียบเทียบกับคามาตรฐาน ถาเกินคามาตรฐานก็แสดงวาเป็นอันตรายตอสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีการรายงานคุณภาพอากาศในรูปของดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index, AQI) ซ่ึงจะบอกถึงสถานการณ์ของภาวะมลพิษที่เกิดจากสารมลพิษแตละชนิดในพ้ืนที่ตางๆ ท่ีทําการ ตรวจวัดคุณภาพอากาศวาอยูในระดับใด และตองปฏิบัติอยางไร สําหรับในประเทศไทยกําหนดคา ดัชนีคณุ ภาพอากาศเฉพาะฝุนขนาดเล็ก (PM-10) เพยี งอยา งเดียว ดังตารางที่ 3.3 ตารางท่ี 3.3 คาดัชนีมาตรฐานและเทียบคาความเขมขนของฝุนละอองขนาดเล็กและผลกระทบ (ประเทศไทย) ค่าดชั นมี าตรฐาน (AQI) ค่าความเข้มข้นฝนุ่ ขนาดเล็ก คณุ ภาพอากาศ (μg/m3) 50 40 ดี 100 120 ปานกลาง 200 350 มผี ลกระทบตอสขุ ภาพ 300 420 มผี ลกระทบตอ สุขภาพมาก 500 600 อันตราย (ท่มี า: กรมควบคุมมลพิษ. ออนไลน์. 2559) การท่ีประเทศไทยกําหนดเฉพาะ PM - 10 เน่อื งจากวาปรมิ าณความเขม ขน ของสารมลพิษ ทางอากาศที่เกินคา มาตรฐานในเขตเมืองของประเทศไทย มเี ฉพาะ PM - 10 เทา นนั้ ซึ่งในอนาคต อาจจะขยายตอ ไปยงั สารมลพิษในบรรยากาศชนดิ อื่น ๆ ตอไป บทสรุป ทรัพยากรอากาศมีความสําคัญตอชีวิตมนุษย์ อากาศที่หอหุมโลกเราประกอบดวยแก฿สตางๆ ไดแ ก ไนโตรเจน ออกซิเจน และแก฿สอ่ืนๆ รวมกันเป็นองค์ประกอบของ ปัจจุบันทรัพยากรอากาศบน โลกไดถ ูกปนเป้ือนดวยมลภาวะตา ง ๆ ที่สวนใหญเกิดจากฝีมือของมนุษย์ โดยเฉพาะกิจกรรมทางดาน การคมนาคมขนสง และอุตสาหกรรม ที่กอสารมลพิษตางๆ มากมาย ที่เป็นอันตรายตอคุณภาพชีวิต มนุษย์ สารมลพิษทีส่ าํ คญั ไดแ ก แก฿สคารบ์ อนมอนอกไซด์ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ โอโซน และอนุภาคสาร มลพิษ ซง่ึ มนษุ ยเ์ ราจําเป็นตอ งเรียนรูในการปูองกันการเกิดสารมลพิษเหลานี้เพ่ือปกปูองใหทรัพยากร อากาศบนโลกของเราคงอยอู ยา งยัง่ ยืนตลอดไป รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
กจิ กรรมที่ 3 ทรพั ยากรอากาศเพ่ือชีวติ 1. หลกั การ ทรัพยากรอากาศเป็นทรัพยากรในกลุมที่ใชแลวไมหมดสิ้น แตคุณภาพอากาศ มีการ เปล่ียนแปลงอยูเสมอ และมีแนวโนมจะแปรปรวนและรุนแรงมากขึ้น ซ่ึงเป็นผลจากการกระทําของ มนุษย์ ซ่ึงอากาศเป็นปัจจัยสําคัญในการดํารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต ส่ิงมีชีวิตทุกชนิดจะตองใชอากาศอยู ตลอดเวลา ถา อากาศมกี ารปนเป้ือนดวยสารมลพิษ จนเป็นอันตรายตอสิ่งมีชีวิต ยอมสงผลกระทบตอ มนษุ ยโ์ ดยตรง 2. จุดประสงค์ 2.1 เปรยี บเทยี บบรรยากาศของโลกได 2.2 เพ่ือใหนักศึกษาสามารถจําแนกประเภทมลพิษทางอากาศและผลกระทบของ สารมลพษิ ทางอากาศได 2.3 วเิ คราะหแ์ ละสรปุ เกย่ี วกับสภาพการณ์ตางๆท่ีมีผลตอบรรยากาศ 3. วธิ ีปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 3.1 ศกึ ษาจากเอกสาร 3.2 ศกึ ษาจากวีดีทัศน์ 3.3 วเิ คราะหแ์ ละสรุปผลจากวีดที ศั น์ 4. ผลการศึกษา 4.1 จงเปรยี บเทียบบรรยากาศของโลก ในภาวะปกติและภาวะทีม่ ีโอกาสเกดิ ปัญหามลพษิ (โดยการวาดภาพ) บรรยากาศภาวะปกติ บรรยากาศภาวะไมปกติ รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมเพื่อชีวิต GESC1104
4.2 จาํ แนกประเภทของมลพิษทางอากาศ สารมลพิษทางอากาศทเ่ี ปน็ อนภุ าค สารมลพษิ ทางอากาศทเ่ี ป็นแก฿ส 4.3 จากการชมภาพยนตร์ “มลพิษทางอากาศ ไรพ รมแดน” คณุ เขาใจวา อยา งไร และสาร มลพษิ ทสี่ าํ คัญ คืออะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. คาถาม 5.1 ทานคิดวา จะมสี ว นชวยในการลดปัญหามลพษิ ทางอากาศไดอยางไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ มเพ่ือชีวติ GESC1104
เอกสารอา้ งองิ กรมควบคุมมลพิษ. (8 สิงหาคม 2559). ข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศ . http://aqmthai.com/ aqi_info.php สํานักการจัดการคุณภาพอากาศและเสียง. (2554). รู้รอบทิศ มลพิษทางอากาศ บทเรียน แนวคิด และการจัดการ. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม. Arms, K. (1990). Environmental Science. New York: Saunder College. Miller, G. T. (2002). Living in the environment. California: International Thomson. Landis, W. G. and Yu, M. H. (1995). Introduction to Environmental Toxicology. Florida: Lewis Publishers. Wright, R. T. (2005b). Environmental Science. New Jersey: Pearson Prentice Hall. รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
บทที่ 4 ทรพั ยากรดินเพอื่ ชีวิต ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีสําคัญอยางหน่ึงของมนุษย์ เพราะเป็นแหลงอาหาร ที่อยูอาศัย เคร่ืองนุง หม และยารักษาโรค อันเป็นปัจจัยท่ีสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษย์ นอกจากน้ันมนุษย์ยัง ใชดินเป็นแหลงรองรับของเสียตางๆ เชน การใชสารฆาศัตรูพืช การใชดินเป็นแหลงบําบัดขยะและสิ่ง ปฏิกลู จากชุมชน หรือโรงงานอุตสาหกรรม ซ่ึงทําใหเกิดปนเปื้อนของสารพิษลงสูดิน อันกอใหเกิดเป็น มลพิษของดิน ดังน้ัน ในบทนี้จึงเนนความสําคัญถึงหลักการพื้นฐานที่เก่ียวของกับทรัพยากรดิน ผลกระทบของทรัพยากรดินจากกิจกรรมตางๆ ของมนษุ ย์ รวมถงึ แนวทางการอนุรกั ษท์ รพั ยากรดนิ ความหมายและความสาคัญของดนิ ดิน หมายถึง เทหวัตถุธรรมชาติที่ปกคลุมผิวโลกอยูบางๆ เกิดข้ึนจากผลของการแปรสภาพ หรือผุพงั ของหิน และแร และอินทรียวัตถุผสมคลุกเคลากัน (Raven, Berg and Hassenzahl. 2008: 336) ดิน หมายถึง เทหวัตถุท่ีเกิดตามธรรมชาติรวมกันข้ึนเป็นช้ัน (Profile) จากสวนผสมของแร ธาตุตาง ๆ ที่สลายตัวเป็นช้ินเล็กช้ินนอยกับอินทรียวัตถุที่เปื่อยผุพัง อยูรวมกันเป็นช้ันบางๆหอหุมผิว โลก และเมื่อมีอากาศและน้ําเป็นปริมาณท่ีเหมาะสมแลวจะชวยค้ําจุน พรอมทั้งชวยในการยังชีพและ การเจริญเตบิ โตของพืช ปจั จัยตาง ๆ ท่มี ีอทิ ธพิ ลตอ ดนิ เชน สภาพภูมิอากาศ ลม นํ้า และสิ่งมีชีวิตอ่ืน ๆ ในสภาพพื้นท่ีใดพื้นที่หนึ่ง ตลอดชวงระยะเวลาหนึ่ง ทําใหเกิดดินชนิดตาง ๆ มีลักษณะเดน เฉพาะตัว ดังนั้น การจะใหความหมายของดินขึ้นอยูกับวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ไดรับจาก การศกึ ษาดินเปน็ สาํ คญั ดินเป็นระบบนิเวศทม่ี ีความสาํ คญั ดังนี้ 1. ดนิ เป็นแหลง กําเนดิ ของปัจจัย 4 ซง่ึ จาํ เปน็ ตอการดาํ รงชวี ิตของมนุษย์ 2. ดินเป็นตวั กลางที่ทําใหน ้ํา แสงแดด และอากาศรวมกันสรางพืช โดยดินทําหนาท่ี ยดึ เกาะทเ่ี กบ็ น้าํ ใหแรธ าตุและอากาศแกพืช 3. ดินเป็นที่เกิดของทรัพยากรอ่ืน ๆ เชน สัตว์ปุา ปุาไม พืช น้ํา และแรธาตุตางๆ เป็นตน 4. ดินเป็นแหลงกําจดั ของเสยี ท่ีสาํ คญั รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
กาเนดิ ของดนิ การกําเนิดของดินเป็นผลจากอิทธิพลตางๆ ท่ีอยูในกระบวนการสรางดิน ที่มีตอสวนท่ี ขยายตัวผพุ งั ของดนิ และแร โดยเกิดอยูกบั ท่หี รือถกู พัดพาไปทบั ถมในท่ีอ่ืนๆ ซึ่งจะชาหรือเร็วข้ึนอยูกับ ระยะหรอื ขนั้ ตอนกระบวนการตอ ไปน้ี ข้ันท่ี 1 การสลายตัวผุพังของหินและแรและวัตถุอินทรีย์ท่ีมีอยูบนผิวโลก และการทับถม เพิ่มพนู ของส่งิ ทสี่ ลายตัวผพุ ังเปน็ วัตถตุ นกําเนดิ ดนิ ขัน้ ท่ี 2 การผสมคลกุ เคลาของอินทรียวัตถุจากผิวหนา การผุพังสลายตัวของวัสดุอินทรีย์และ การเกดิ ลกั ษณะและชน้ั ดนิ ตางๆ เป็นหนา ตดั ดนิ จากวัตถุตนกําเนิดดิน เม่ือเวลาผานไปจะเขาสูกระบวนการเกิดดิน แบงได 3 กระบวนการ ดงั น้ี 1. การผุพังอยูกับท่ี (Weathering) ของหินและแร และการยอยสลายของ อินทรียว์ ตั ถุ ซึ่งใหองคป์ ระกอบของดินบางสวนเปล่ยี นไปและถูกทําลาย บางสวนถกู สรางขึ้นมาใหม 2. การยายที่ (Translocation) ข้ึนลงภายในหนาตัดดินของวัสดุอนินทรีย์และวัสดุ อนิ ทรยี ์โดยมนี า้ํ เปน็ ปจั จัยสําคญั 3. การสะสม (Accumulation) ของวสั ดุดนิ ในชัน้ ดนิ (Soil horizon) ซึ่งอาจ เคลอื่ นยายมาจากช้นั บนหรือลา งของชนั้ ที่มีการสะสม กระบวนการสรา งดนิ หรอื กาํ เนดิ ของดนิ ประกอบดว ยขน้ั ตอนและกระบวนการตา ง ๆ ดงั กลา ว ซง่ึ อาจสรปุ ไดด งั ภาพท่ี 4.1 การผุพัง หนิ และแร่ วตั ถตุ น้ กาเนดิ ดนิ ดนิ การเคลื่อนย้าย อินทรียว์ ตั ถุ ภาพที่ 4.1 กระบวนการสรางดนิ หรอื การเกดิ ดนิ รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ มเพื่อชีวติ GESC1104
สว่ นประกอบของดนิ ดนิ มสี วนประกอบหรอื องคป์ ระกอบทีส่ ําคัญซ่งึ มสี ว นเกย่ี วของกบั การเจรญิ เตบิ โตของพืชได 4 สว น คอื 1.อนินทรียว์ ตั ถุ (Mineral matter) เปน็ สวนทเ่ี กดิ จากหินและแรทเ่ี กิดการสลายตวั ทางเคมี ทางฟิสิกส์ และทางชวี เคมี มหี นาท่ีดงั นี้ 1.1 เป็นแหลง กําเนิดของธาตุ หรอื อาหารพืช และเป็นแหลง จุลนิ ทรีย์ในดนิ 1.2 เป็นสว นควบคุมเนือ้ ดนิ 2. อินทรยี ์วัตถุ (Organic matter) เปน็ สว นเนาเปื่อยผพุ งั หรือการสลายตัวของเศษ ของพืช มีหนา ท่ีดังน้ี 2.1 เปน็ แหลงกาํ เนิดธาตุอาหารของดิน เชน ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั กาํ มะถนั 2.2 เป็นแหลงใหพลงั งานแกจลุ นิ ทรยี ใ์ นดนิ 3. อากาศ เป็นชว งวางระหวา งกอนดนิ หรืออนุภาคดนิ ซึ่งมีอากาศอยู มีหนา ทดี่ ังนี้ 3.1 ใหแก฿สออกซเิ จนใหพืชและจุลนิ ทรีย์ใชใ นการหายใจ 3.2 ใหแก฿สไนโตรเจนซ่งึ เป็นประโยชน์ตอ พชื และจลุ นิ ทรียบ์ างชนิด 4. น้าํ เปน็ สวนท่ีพบอยูในชองวางระหวา งกอนดนิ หรืออนุภาคดิน ทาํ หนาทด่ี ังนี้ 4.1 ชว ยละลายแรธ าตุอาหารตางๆเป็นตน ทําใหพชื สามารถนาํ ไปใชได 4.2 ใหนา้ํ แกพชื และสง่ิ มชี ีวติ อืน่ ๆ ในดิน ดินท่ีเหมาะสมแกการเพาะปลูก มีสวนประกอบดังนี้ อนิ ทรยี ว์ ัตถุ รอยละ 5 โดยปริมาตร 45 โดยปริมาตร อนนิ ทรยี ์วัตถุ (แรธ าต)ุ รอ ยละ 25 โดยปรมิ าตร 25 โดยปรมิ าตร อากาศ รอ ยละ นา้ํ รอยละ ซ่งึ อาจจะแยกไดเ ป็น 2 สว นใหญๆ คือ สวนทีเ่ ป็นของแขง็ คือ อนิ ทรยี ์วตั ถุ และอนินทรีย์ วัตถุรอ ยละ 50 โดยปรมิ าตร และสวนทีเ่ ป็นชองวา ง และน้าํ รอ ยละ 50 ดังภาพท่ี 4.2 รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอมเพื่อชีวติ GESC1104
ภาพท่ี 4.2 สว นประกอบของดินโดยปริมาตรเหมาะสมตอ การเพาะปลูก มลพษิ ในดิน มลพิษในดิน หรือ มลพิษทางดิน หรือ มลพิษของดิน หรือ ดินเสีย ซึ่งจะเรียกช่ือแตกตางกัน ออกไปแลวแตความถนัดของแตละคน แตจะมาจากคําภาษาอังกฤษที่เหมือนกัน คือ Soil pollution ทัง้ สน้ิ ในทน่ี ีจ้ ะขอใชค ําวา มลพิษในดนิ มลพิษในดิน หมายถึง สภาวะท่ีดินหรือพื้นดินเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือปนเปื้อนโดยมลพิษ หรอื สารมลพษิ ซงึ่ ทาํ ใหคุณภาพของดินเสอ่ื มโทรม (เกษม จันทรแ์ กว . 2558: 162) มลพิษในดิน หมายถึง ภาวะการปนเปื้อนของดินดวยสารมลพิษมากเกินขีดจํากัดจนมี อนั ตรายตอ สขุ ภาพอนามัยตลอดจนการเจริญเตบิ โตของส่ิงมชี วี ิตทง้ั พืชและสัตว์ อาจกลาวไดวามลพิษในดิน หมายถึง ดินที่เส่ือมคุณคาไปจากสภาพเดิม มีการปนเปื้อนดวย สารมลพิษตางๆ เกินขีดจํากัดจนทําใหเกิดอันตรายตอสุขภาพอนามัยตลอดจนการเจริญเติบโตและ เจริญพนั ธข์ องมนษุ ย์ สตั ว์ และ พชื หรอื ไมเ หมาะสมที่จะนํามาใชป ระโยชน์ 1. สาเหตุของการเกดิ มลพิษในดนิ มลพิษในดิน เกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ 1.1 เกิดจากการเปล่ียนแปลงสภาพทางธรรมชาติ โดยเร่ิมจากวัตถุตนกําเนิดดินเม่ือ เกิดการผุพังสลายตัว และพัดพามาทับถมกันอยู จะทําใหมีลักษณะของดินแตกตางกันไปและยังอาจ เกดิ จาการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู อิ ากาศของโลก รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
1.2 เกิดจากการกระทําของมนุษย์ ซึ่งเป็นผลจากการใชสารฆาศตรูพืช เกิดการ ปนเป้ือนของโลหะหนกั ในดิน และการปนเปอื้ นของสารกมั มันตรังสีในดนิ เป็นตน จากสาเหตุการเกิดมลพิษในดินดังกลาว เป็นผลใหสมบัติของดินเปล่ียนแปลงและ กลายเป็นปัญหามลพิษในดนิ ในรูปแบบตาง ๆ 2. แหลง่ กาเนดิ ของสารมลพิษในดนิ สารมลพิษในดินมีแหลงกําเนิดมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เชน ทางดานการเกษตร โรงงาน อตุ สาหกรรม มูลฝอย และนํ้าเสยี หรอื นํา้ ท้งิ จากชมุ ชน ดงั ตารางท่ี 4.1 ตารางท่ี 4.1 แหลงกําเนดิ ของมลพษิ ในดนิ และสารมลพิษในดนิ แหลง่ กาเนิด ดัชนีช้วี ัด สารมลพษิ ในดิน การเกษตร สารฆาศตั รูพืช สารอนิ ทรยี ์ โลหะหนัก ธาตอุ าหาร เชน ไนโตรเจน การอตุ สาหกรรม ปุย ฟอสฟอรัส โพเทสเซียม การกษัยการของดิน โลหะหนัก สารอินทรีย์ มูลฝอย กากของเสยี อันตราย บรรยากาศ น้ําทิ้งทปี่ นเป้ือนดวยสารพิษ สารกมั มันตรังสี สารแขวนลอย สารอินทรยี ์ ธาตอุ าหาร การกดั กรอ นดนิ โดยนํา้ การกัดกรอ นดินโดยลม ฟุงู กระจายของฝุน พายุฝนุ เศษอาหาร ซากพืช ซากสตั ว์ สารอนิ ทรีย์ เช้ือโรค เชน ไขห วดั นก มูลฝอยอนั ตราย โลหะหนกั ฝนกรด ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ 3. ปญั หามลพิษในดนิ 3.1 ดินกรด ดินกรด คือ ดินที่มีคาพีเอชต่ํากวา 7 ซึ่งอาจเกิดจากวัตถุตนกําเนิดดินที่มีแรธาตุที่ สลายตัวแลวใหกรดในปริมาณมาก เชน แรไพไรท์ (Pyrite, FeS2) หรือแรอื่นๆ ที่มีกํามะถันเป็น องคป์ ระกอบ ดินท่ีเปน็ กรดจะพบมากในภาคกลางและบริเวณชายฝั่งตะวันออก ไดแก อยุธยา สระบุรี ปทุมธานี สุพรรณบุรี นครนายก และจันทบุรี โดยเฉพาะจังหวัดปทุมธานี แถบรังสิต และองครักษ์ จังหวดั นครนายก ดินเป็นกรดจดั มาก (มีคาพีเอชต่ํากวา 4) รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอมเพื่อชวี ติ GESC1104
3.2 ดนิ เคม็ ดนิ เคม็ คือ ดินที่มีเกลือของแคลเซียม แมกนีเซียม และโซเดียม อยูเป็นปริมาณมาก จนเป็นอันตรายตอพืช เกิดจากการสลายตัวหรือผุผังของหินและแรท่ีมีสารประกอบที่มีเกลือเป็น องค์ประกอบ เกิดจากอิทธิพลของนํ้าทะเล ซึ่งลมทะเลจะพัดพาเอาเกลือมาตกบนพ้ืนแผนดินและ สะสมกันนาน จนมจี ํานวณมากในพ้ืนท่ีนั้น เกิดจากใตดินมีชั้นของหินเกลือ หรือเกลือท่ีอยูในระดับนํ้า ใตด นิ และอาจเกดิ จาการใสปุย เคมมี ากเกินไป (พลู สุข โพธริ กั ขิต-ปรัชญานุสรณ์. 2553: 115) ดนิ เคม็ มีคาการนําไฟฟูาของน้ําในดินที่อยูในสภาพอิ่มตัวมากกวา 4 มิลลิซีเมนส์ ตอ เซนติเมตร ท่ี 25 องซาเซลเซียส มีคาพีเอชต่ํากวา 8.5 มีโซเดียมท่ีจะละลายไดนอยกวา ครึ่งหน่ึงของ แคตอิออนท่ลี ะลายไดท้งั หมด โครงการแก้ปัญหาดนิ อนั เนื่องมาจากพระราชดาริ 1. ทฤษฎี \"แกลง้ ดนิ \" อันเนือ่ งมาจากพระราชดาริ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวเสด็จ ฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส ในปี พ.ศ. 2524 ทรงพบวา หลังจากมีการชักน้ําออกจากพ้ืนท่ีพรุ เพื่อจะไดมีพื้นท่ีใชทําการเกษตรและเป็นการ บรรเทาอุทกภัยนั้น ปรากฏวาดินในพื้นที่พรุแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทําใหเพาะปลูกไมไดผล จึงมี พระราชดาํ ริใหสว นราชการตางๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพ้ืนที่พรุท่ีมีนํ้าแชขังตลอดปี ให เกิดประโยชน์ ในทางการเกษตรมากท่ีสุดและใหคํานึงถึงผลกระทบตอระบบนิเวศดวย การแปรสภาพ เป็นดินเปร้ียวจัด เน่ืองจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรีย์วัตถุหรือซากพืชเนาเปื่อย อยูขางบนและมี ระดับความลึก 1-2 เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ําเงิน ซึ่งมีสารประกอบกํามะถัน ท่ีเรียกวา สารประกอบไพไรท์อยูมาก ดังน้ันเม่ือดินแหงสารไพไรท์จะทําปฏิกิริยากับอากาศปลดปลอยกรด กาํ มะถันออกมา ทําใหด นิ แปรสภาพเป็นดนิ กรดจัดหรอื เปรี้ยวจัด ศนู ย์ศกึ ษาการพัฒนาพิกุลทอง อัน เน่ืองมาจากพระราชดําริ จึงไดดําเนินการสนองพระราชดําริโครงการ \"แกลงดิน\" เพื่อศึกษาการ เปล่ียนแปลง ความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ \"แกลงดินใหเปรี้ยว\" ดวยการทําใหดินแหงและ เปียกสลับกันไป เพ่ือเรงปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซ่ึงจะไปกระตุนใหสารไพไรท์ทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจนในอากาศ ปลดปลอ ยกรดกาํ มะถนั ออกมา ทําใหดินเป็นกรดจัดจนถึงข้ัน \"แกลงดินใหเปรี้ยว สุดขีด\" จนกระท่ังถึงจุดที่พืชไมสามารถเจริญงอกงามได จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุงดินดังกลาวให สามารถปลกู พืชได วธิ ีการแกไ ขปัญหาดินเปร้ยี วจดั ตามแนวพระราชดาํ ริ มีดังนี้ ควบคุมระดับน้ําใตดิน เพ่อื ปูองกนั การเกิดกรดกาํ มะถัน จงึ ตองควบคุมน้ําใตดินใหอยูเหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู เพ่ือมิ ใหส ารไพไรทท์ าํ ปฏกิ ิริยากบั ออกซเิ จนหรือถกู ออกซิไดซ์ (วิสาขา ภจู นิ ดา. 2556: 58-59) รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155