๔๑ ๒. อตฺถฺุตา ความเปนผูรูจักผล เชนรูจักวาสุขเปนผลแหงเหตุ ทุกขเปนผลแหงเหตุเปนตน ๓. อตฺตฺุตา ความเปนผูจักตนวา เราวาโดยชาติสกุล ยศศักดิ์, สมบัติ, บริวาร, ความรู,และคุณธรรมเพยี งเทาน้ี ๆ แลว ประพฤตติ นใหส มควรแกท ่เี ปนอยอู ยา งไรเปน ตน ๔. มตฺตฺูตา ความเปนผูรูจักประมาณในการแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิตแตโดยทางที่ชอบและรูจักประมาณในการบริโภคแตพ อควรเปน ตน ๕. กาลฺุตา ความเปน ผรู ูจกั กาลเวลาอนั สมควร ในอนั จะประกอบกิจนนั้ ๆ ๖. ปริสฺุตา ความเปนผูรูจักประชุมชน และกิริยาท่ีจะตองประพฤติตอประชุมชนน้ัน ๆวาหมนู ้เี ม่ือเขา ไปหาจะตองทาํ กริ ยิ าอยา งน้ี จะตอ งพดู อยางนเี้ ปนตน ๗. ปุคฺคลฺุตา ความเปนผู รูจักเลือกบุคคลวาผูน้ีเปนคนควรคบผูน้ีเปนคนไมดีไมควรคบ๒๐ ขอท่ี ๓ มารดาบิดาอนุเคราะหบุตร ดวยการใหศึกษาศิลปวิทยา น้ัน ระยะน้ีมารดาบิดาควรสังเกตนิสัยบุตรกอนวาจะเหมาะแกวิชาอยางใด ตัวอยางที่จะนํามาเทียบพอเปนเคาไดใหสังเกตจากการใฝใ จของเดก็ เชน มนี สิ ัยพูดจาฉาดฉานเอารดั เอาเปรยี บผูอื่น ดังนี้ เหมาะแกวิชาธรรมศาสตรหรือพาณิชการ ถาเปนคนละเอียดพินิจพิเคราะห ก็ควรเรียนทางบัญชี หรือเวชศาสตร โหราศาสตร, ถาชอบประดิษฐของเลนตาง ๆ ก็ควรแกวิชาชาง เปนตนจักเรียนวิชาใดก็ตามที แตชั้นตนตองเรียนหนงั สอื ไทย และภาษาตา งประเทศใหพอแกก ารเสียกอน ขอที่ ๔ มารดาบิดาอนุเคราะหบุตร ดวยหาภรรยาที่สมควรให ความประสงคอยางยิ่งของมารดาบิดาตามปญหานี้ก็ใครท่ีจะไดเห็นบุตรมีหลักแหลง ในอันดําเนินชีวิตเปนสุขเสียแตในเวลายังมีชีวิตอยู เพื่อใหหมดหวงใยไปตอนหน่ึง จึงเปนเหตุปรารภของการหาภรรยาให ก็และคนชนิดใดจึงชื่อวาสมควร ลองสาวเขาดูก็คงไดแกผูท่ีมีฐานะไลเลี่ยกัน และความประพฤติดี มีอัธยาศัยเรียบรอยออนโยน ใจคอหนักแนน สมเปนสหายรวมสุขรวมทุกขของสามีไดเปนอยางดี ท้ังยังเปนผูมีใจฝกใฝตอการงาน ไมโลเลจับจด เทานี้ก็นับวาเปนโชคของผูสนใจใฝหาอยูแลว ถาไดพิเศษขึ้นไป คือเปนผูไดผานการศึกษามีคุณวุฒิสามารถในศิลปะทันสมัยดวย ก็ยิ่งเปนโชคของ ผูประสพหนักข้ึน นับเขาในตําแหนงภรรยาท่ีดี และตอไปก็จักเปนมารดาท่ีดีอีกดวย การเลือก รูป, สกุล, และทรัพยนั้นออกจะย้ิม ๆ กันวา เพราะเห็นแกส่ิงน้ัน ๆ แตก็ไมมีใครปฏิเสธการเลือกอยางน้ี การเลือกใหไดดังประสงคเสียทุกอยาง ดังน้ี รูสึกออกจะเปนการเสกเอาตามใจชอบอยูสักหนอย แทจริงแมจะขาดไปบางประการ ก็ควรยินดีในโชคของการเลือกเปนหนักหนาอยูแลว ความจริงฝายหญิงมีทางเสียเปรียบ ๒๐ที. ปา. ๑๑ / ๓๓๐ / ๓๓๓.
๔๒ชายอยมู าก ดวยเหตจุ ะเท่ียวเลอื กชายตามความพอใจดังนั้นบาง หาไดไม แตถาผูหญิงที่ทรงคุณสมบัติเหน็ ปานฉะนี้ จะตองวิตกอะไรในอันทจ่ี ะเลือกคูด ีไมไ ด คุณความดีของเธอน้ันเองจักเปนส่ือนําชายที่ดีมาใหเลือกถมไป ( ไมตองเที่ยวปาวหมูเทวฤทธิ์เชนในบทละคร ) เพราะชายที่ดีก็แสวงหาหญิงที่ดีอยูเหมือนกนั . ขอท่ี ๕ มารดาบิดาอนุเคราะหบุตร ดวยมอบทรัพยใหในสมัย, สมัยท่ีควรมอบทรัพยใหแกบุตรนั้น โดยมากมกั ใหก ันในคราวแตง งานอยางหน่ึง คือใหเ ปนทุนตามที่ฝายหญิงกะและเรียกรองไวตอนหนึ่ง และใหเ ปนสวนรับไวอีกตอนหน่ึง ประสงคใหรวมเปนทุน ประกอบการหาเลี้ยงชีพตั้งเนื้อต้ังตัวเปนหลักฐานสืบไป อีกอยางหน่ึง “มารดาบิดามีบุตรหลายคน เม่ือถึงชราทุพลภาพลงก็ทําพินยั กรรมแบง ทรพั ยส มบตั ใิ หเ สยี แตเ มื่อยังมชี วี ติ อยู เรยี กวาแบงมรดก ทรพั ยตามพินยั กรรมน้ี บุตรที่มีสวนจักไดตอเม่อื มารดาบิดาลว งลับไปแลว ” ๒๑ การมอบทรัพยสมบัติใหบุตรของตนครอบครองในขณะท่ีบิดามารดายังมีชีวิตอยูนั้น ในประเทศไทยเรามีประเพณีอยูอยางหน่ึง สําหรับบุคคลที่มีทรัพยสินมากและรุมรวยมักจะแบงทรัพยสมบัติเปนสัดสวนใหบุตรหรือธิดาของตน เมื่อไดสมรสเปนหลักฐานแลวไปครอบครอง เพ่ือแสวงหารายไดจากทรพั ยสนิ น้ันเอาเอง แตประเพณีนิยมของชาวจนี ในประเทศไทยสว นมากท่ีมีฐานะรุมรวย นิยมใหบิดามารดาดูแลจัดการทรัพยสินในขณะท่ีบิดามารดาของตนน้ันยังมีชีวิตอยูหากบิดามารดามีอายยุ างเขาสูว ยั ชราการดาํ เนินการคาก็ดีหรือการจดั การทรัพยส ินตาง ๆ ของตน สวนมากนยิ มมอบอํานาจใหบุตรชายคนโตเปนผูจัดการดูแลแทนตน หากบิดามารดาถึงแกกรรมบุตรชายคนโตจะเปนผูมีอํานาจเต็มเขาจัดการทรัพยสมบัติแทนบิดาทันที สวนบุตรชายคนรอง ๆ ลงไปซึ่งเปนทายาทในกองมรดกน้ันจะขอแบงมรดกไปปกครองเองหรือจะรวมหุนคาขายกับพี่ชาย คนใหญตอไปก็แลวแตค วามสมคั รใจ สวนบุตรหญิงน้ันชาวจีนไมนิยมแบงทรัพยสินในกองมรดกให จะแบงเงินสดหรือทรัพยสินอยางอื่นใหสวนหน่ึงเม่ือสมรสนอกจากนั้นไมมีสิทธ์ิใด ๆ จากกองมรดกไดอีก ซึ่งตรงกันขา มกับประเพณขี องชาวไทยตามกฎหมายวาดวยครอบครัวมรดกน้ันถือวาบุตรหญิงหรือวาบุตรชายก็ตาม มีสิทธิเปนทายาทกองมรดกเทาเทียมกัน หากผูวายชน ซึ่งเปนผูถือสิทธิ์ในกองมรดกนั้นมิไดทําพินัยกรรมไวเปนหลักฐาน เมื่อบิดามารดาถึงแกกรรมบุตรทุกคนยอมมีสิทธิ์จะไดรับสวนแบงทรัพยสนิ ตา ง ๆ เทา เทียมกนั พระสัมมาสัมพุทธเจาไดทรงกําหนดหนาที่ของบุคคลซึ่งเปนบิดามารดาไววา ใหยกทรัพยสมบัติของตนใหบุตรครอบครองทรัพยสมบัติเหลานั้น เมื่อถึงเวลาอันสมควร ๒๑พระยาศรีราชอักษร ( มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), อางแลว, หนา๕๗-๕๘.
๔๓พระองคไดทรงกําหนดหนาท่ีบิดามารดาไวกวาง ๆ โดยใหบิดามารดาใชดุลยพินิจพิจารณาถึงความประพฤติและความสามารถเหมาะสมท่ีจะปกครองดูแลทรัพยสมบัติของตนเองไดเพียงใด และการอํานาจการดูแลและทรัพยสมบัติหรือการยกทรัพยสมบัติของตน ใหแกบุตรนั้นจะเปนอันตรายแกตนเองหรือไม ท้ังน้ีเพราะบุตรบางคนมีนิสัยเห็นแกตัว พอบิดามารดายกทรัพยสมบัติท้ังหมดใหครอบครอง ดูแล ก็เร่ิมเกิดความโลภและอกตัญูตอบิดามารดาของตนทันที เชนพยายามไลบิดามารดาออกจากบานไมยอมรบั อปุ การะเล้ียงดูอีกตอไป หรือบุตรชายหญิงบางคนสมรสไปแลวไปเชื่อการยุแหยของสามีหรือภรรยาใหบุคคลผูนั้นเกิดความรูสึก เกลียด ชัง บิดามารดาของตน จนกระทั่งบุคคล ผูเปนบุตรเกดิ ความอกตัญูขบั ไลบดิ ามารดาของตนออกจากบาน “ในเม่ือตนไดมีโอกาสเขาครอบครองทรัพยสินของทานอยางสมบูรณ พระองคจึงทรงกลาวถึงหนาท่ีของบุคคลผูเปนบิดามารดาไวอยางกวาง ๆ เพื่อใหบุคคลเหลานี้ใชดุลยพินิจพิจารณาอยางรอบคอบและถองแทถึงความประพฤติ นิสัยใจคอและความสามารถของบุตรของตนกอนท่ีจะมอบอาํ นาจใหครอบครองทรัพยสมบัติในขณะที่ตนยงั มีชีวติ อย”ู ๒๒ พุทธจริยศาสตรกับบทบาทของบิดามารดาในการอบรมสั่งสอนบตุ รธิดา การสงเสริมและพัฒนาพุทธจริยศาสตรใหกับบุตรหลานและคนในครอบครัว เปนหนาที่และความรบั ผดิ ชอบของบดิ ามารดาและผูป กครอง ซึง่ มีแนวทางสงเสริมที่ควรปฏิบัติดังนี้ คือ พอแมควรเปนแบบอยางท่ีดี พอแมควรเสียสละเวลา และความสุขสวนตัว เพื่อใหมีเวลาในการอบรม และพัฒนาจริยธรรมของบุตรหลาน อบรมใหลูกรูจักหนาท่ีความรับผิดชอบ รูจักพึ่งตนเอง มีเมตตา ไมเอาเปรียบ มีเหตุผล ไมงมงาย ใหรูจักความโลภ โกรธ หลง ฯลฯ นําสมาชิกในครอบครัวเขารวมกิจกรรมทางศาสนากับสังคม ตามโอกาสท่ีเหมาะสม การเล้ียงดูลูกควรสงเสริมใหมีสุขภาพจิตดี กันลูกออกจากความชวั่ ใหค วามรกั และความอบอุน ใหล ูกไดรับการศึกษา นอกจากนี้ยังพบวา การเล้ียงลูก พอแมก็มีสวนสําคัญมาก ทําใหลูกมีลักษณะพฤติกรรมและนิสัยแตกตางกัน ซ่ึงสรุปไดดังน้ี “เด็กท่ีเติบโตมาทามกลางความสงบ จะเปนคนสุขุมเยือกเย็นเด็กท่ีเติบโตมาทา มกลางความเปน ธรรม จะเปน คนยตุ ิธรรม เด็กที่เติบโตมาทา มกลางการใหอภยั จะเปนคนมีเมตตา เด็กที่เติบโตมาทามกลางความรัก จะเปนคนมองโลกในแงดี เด็กท่ีเติบโตมาทามกลางความมุงราย จะเปนคนโหดราย เด็กท่ีเติบโตมาทามกลางความหลอกลวง จะเปนคน ๒๒ชลอ อุทกภาชน, พุทธศาสนากับสังคม และคําตรัสจากพระโอษฐของพระพุทธเจาเก่ียวกับสิทธิและหนาที่ของผูที่มีหนาที่ทางมนุษยสัมพันธ, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพวัชรินทรการพิมพ,๒๕๑๔), หนา ๘๕๗-๘๕๘.
๔๔ตลบตะแลง” ๒๓ การที่พระสัมมาสัมพุทธเจา กําหนดหนาท่ีของบิดามารดาไวอยางกวาง ๆ น้ัน พระองคทรงพระประสงคจะใหบุคคลที่เปนบิดามารดาฝกฝนบุตรของตนใหเกิดความรูความสามารถและประสบการณในการดํารงชวี ิต โดยใหรจู ักจบั จา ยทรพั ยสินทีม่ อบใหครอบครองในทางประหยัด และในทางที่เหมาะสมประการหน่งึ และอกี ประการหน่งึ ก็เพื่อความผูกพันทางจิตใจในครอบครวั ระหวางบิดามารดากับบุตรใหแนนแฟนย่ิงข้ึน ท้ังน้ีเพราะการที่บิดามารดา หยิบย่ืนทรัพยสมบัติเปนชิ้นเปนอันใหแกบุตรในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยูน้ัน บุตรยอมจะเกิดมโนธรรมทางกตัญูกตเวทีตอบิดามารดาของตนและเกิดความรักใครนับถือบิดามารดาของตนเพิ่มยิ่งข้ึนอีก ความสัมพันธแหงสังคมของครอบครัวยอมจะเกิดมีความสัมพันธแนนแฟนตลอดไป โดยบุตรจะไมยอมทอดท้ิงบิดามารดาของตนในเม่อื มอี ายลุ ว งเขา วัยชราเปน อนั ขาด เม่อื จติ สามัญสาํ นึกเกิดมโนธรรมดังกลาวตลอดเวลา บุคคลผเู ปน บตุ รทั้งหลายยอมจะใหความอุปการะเล้ียงดูบิดามารดาของตนมีความสุขสมบูรณ จนกระท่ังถึงวันมรณกรรม แมแตเม่ือถึงมรณกรรมไปแลวยังอุตสาหทําฌาปนกิจและบําเพ็ญกุศลตาง ๆ สงไปใหอีกดวย ชีวิตครอบครัวของชาวไทยเรา บุตรไดมีความผูกพันกับบิดามารดา และบรรพบุรุษของตนต้ังแตโ บราณมาจนกระทง่ั ถึงปจ จบุ นั ทั้งน้ีกเ็ นื่องดว ยวัฒนธรรมอนั สบื เนือ่ งมาจากพุทธศาสนานั้นเอง ๒) การดําเนนิ ชวี ิตตามหลกั พุทธจรยิ ศาสตรใ นทักขณิ ทศิ “ทกั ขิณทศิ หรอื ทิศเบื้องขวา คอื ครูอาจารย เปน ทกั ขไิ ณยบุคคลควรแกก ารบชู าคณุ ” ๒๔ วิเคราะหทิศเบื้องขวา คําวาอาจารยนั้น แปลวา ผูท่ีศิษยควรเอื้อเฟอ คือผูท่ีศิษยควรเคารพเชื่อถือผูท่ีศิษยควรปฏิบัติตามอาจริยวัตรใหจงดี ฯ เม่ือจะกลาวถึงประเภทของอาจารยแลว ก็มีอยู ๔จาํ พวก คือ ๑ ปพพชาจารย อนั ไดแกอาจารยท ใ่ี หบรรพชาเปนสามเณรในพระพุทธศาสนา ๒ อปุ สัมปทาจารย อันไดแก อาจารยท ีใ่ หอปุ สมบทเปนภกิ ษุ ๓ นสิ สยาจารย อันไดแกอ าจารยผูใ หทพ่ี ง่ึ พาอาศยั ตามวินยั นยิ มในพระพทุ ธศาสนา ๔ ธัมมาจารย อันไดแกอาจารยที่ส่ังสอนธรรม หรือส่ังสอนศิลปวิทยาตาง ๆ ๒๕ ซ่ึงไมผิด ๒๓สมภพ ชีวรัฐพัฒน, จริยธรรมกับชีวิต, พิมพครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพนานาสงิ่ พมิ พ, ๒๕๓๙), หนา ๒๘-๒๙. ๒๔พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตรฉบับประมวลธรรม, อางแลว,หนา ๒๒๕. ๒๕พิทูร มลิวัลย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาช้ันตรี, อางแลว, หนา๖๒.
๔๕ทางธรรม มีเลขและหนังสือเปนตน อาจารยท้ัง ๔ จําพวกนี้ เปนผูควรรับทักขิณาทาน คือ ของที่ใหดวยความเคารพท้ังนั้น เพราะฉะน้ัน จึงเรียกวาทิศทักษิณ คือเรียกวาเปนทิศเบื้องขวาของศิษยท้ังหลายเมื่อมารดาบิดาไดอนุเคราะหแกบุตรมาจนอายุสมควรในอันจักใหเลาเรียนความรูอยางอ่ืนสืบไปไดแลว ก็ไมควรร้ังรอไวใหเสียเวลา เพราะนิสัยของเด็กมักชอบการเลนเปนกําลัง เมื่อผูปกครองทอดทิ้งไมเอาใจใสใหไดเลาเรียนในเมื่ออายุถึงเขตอันสมควรแลว ก็เทากับเปดโอกาสใหเด็กมีเวลาเที่ยวซุกซนเกกมะเหรงเกเร กลายเปนคนเหลือขอวายากสอนยาก เม่ือติดการเลนจนชินเสียแลว แมต องการใหเรียนจรงิ จังเขา กจ็ กั ตอ งปล้ําปลุกกันขนาดใหญ ฉะน้ันจึงไมบังควรทอดทิ้งใหเด็กคนุ แกการเลน อันเปนศัตรูแยงเวลาของการเรียนน้ัน ควรเลือกตามความเห็นชอบพรอมกันท้ังมารดาบิดาและบุตร แตจะตองเรียนรูหนังสือใหรูดีเสียกอนวิชาอื่นท้ังหมดตามที่กลาวมาขางตน เพราะหนังสือเปนประดุจไฟฉายสองใหเห็นท่ีซอนเรนอยูในความมืดไดตลอด ฉะนั้นผูผานการศึกษามาดีแลว จึงมีนิสัยผิดกวาเดิมเปนคนละคนเลยทีเดียว ถาเทียบกับภาวะของคนท่ียังมิไดศึกษา หรือศึกษานอยแลวก็ผิดกันไกล ฉะนั้นการศึกษาจึงเปนส่ิงสําคัญท่ีควรขมักเขมนเรียนดวยความพากเพียร ใหบรรลุที่จุดหมายจนได สวนอาจารยผูจักประสาทวิชาให ก็นับวาเปนผูมีพระคุณแกศิษยโดยเอนกประการ ควรที่ศษิ ยจ ะกระทําคารวะปฏิบัติตามหนาท่ที ่ีดขี องลูกศษิ ยใ นทศิ ๖ ตอ ไปน้ี ทิศเบอ้ื งขวา ไดแก ครอู าจารย ศษิ ยพึงบาํ รงุ ดว ยสถาน ๕ ไดแ ก ๑. ดวยลกุ ขึน้ ยืน ๒. ดวยเขา ไปยืนคอยรบั ใช ๓. ดว ยชอ่ื ฟง ๔. ดวยอปุ ถาก ๕. ดวยเรียนศลิ ปวทิ ยาดวยความเคารพ ๒๖ ขอท่ี ๑ ศิษยพึงบํารุงอาจารย ดวยลุกขึ้นยืนรับน้ัน เปนลักษณะการอันแสดงความเคารพและตอนรับเมื่อเวลาแรกพบอยางหนึ่ง หรือสงเม่ือเวลากลับอยางหน่ึง นอกจากนี้ก็มีเวลาเขาหาโดยเฉพาะ หรือไปพบปะในท่ีตาง ๆ การยืนควรยืนในทาท่ีสงบ คือไมสั่นเทา หรือโคลงกาย หรืออยา งใดอยา งหนึง่ อันสอ ใหเ หน็ ความไมส ภุ าพไมตอ งกับลกั ษณะของการเคารพ ขอที่ ๒ ศิษยบํารุงอาจารยดวย เขาไปยืนคอยรับใช การเขาไปยืนคอยรับใช จะเปนการ เขาไปดวยความเอ้ือเฟอของตน หรือเขาไปตามระเบียบก็เชนกัน เมื่อไดรับกระทํากิจอันใด ควร ต้ังใจทาํ กิจนนั้ ใหส ําเร็จลลุ ว งไปดวยดี อยา ใหท า นตองเปนกังวลหว งใยในการกระทําทไ่ี มเหลือวสิ ัย ๒๖เดือน คําดี, พุทธปรัชญา, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ โอ.เอส.พร้ินต้ิงเฮาส, ๒๕๓๔),หนา ๑๖๕.
๔๖ ขอที่ ๓ ศิษยบํารุงอาจารย ดวยเช่ือฟง คือประพฤติเปนคนวางาย เคารพตอคําสั่งสอน และระเบยี บขอ หามอนั เปนสาระประโยชนทอ่ี าจารยแ ตง ตง้ั ข้ึนไว ขอท่ี ๔ ศิษยบํารุงอาจารย ดวยอุปฐาก นี้ ไดแกการเอาใจใสในความเปนอยูของอาจารยกลาวตามสมัยเมื่อครั้งกระโนน การเรียนศิลปวิทยา ศิษยตองไปอยูกับอาจารยยังบาน หรือวัด การปฏิบัติดแู ลก็เหมือนปฏิบัติแกมารดาบิดาทุกประการ จนไดเช่ือวา “ลูกศิษย” รับใชท้ังเวลาปรกติและเวลาไข นวดเฟน พะยุงลุกพะยงุ นั่ง ส่ิงใดบกพรองก็พยายามอุดกหนุนจุนเจือ สิ่งท่ีไมตองการก็บําบัดใหอันตรธานหายไปเสีย แตสมัยนี้ไดมีโรงเรียนขึ้นแทนแลว การไปอยูประจําเชนวา ก็นอยลง การอปุ ฐากกเ็ ปล่ยี นไปตามสมัยดว ย ขอท่ี ๕ ศิษยบํารุงอาจารย ดวยเรียนศิลปวิทยาโดยความเคารพ เคารพในที่นี้ ไดแก การเรียนดวยความต้ังใจพรอมที่จะใหบรรลุวิชานั้น ๆ เปนอยางดี ไมสักแตวาถึงเวลาก็เตรียมตัวเขาตามเคย ครูส่ังใหท ําอะไรกท็ ําอยางเสยี ไมได ความจาํ ก็ไมม ี จะทาํ ดกี ็ไมได เฝา แตสง อารมณไ ปยุงเสียแตที่อื่น วันเวลาก็ลว งไป ๆ พรอมกับอายุลงทายก็ไมไ ดอ ะไรติดตวั เสียเลย ลักษณะเชนน้ีผิดกันกับท่ีเรียนดวยความตั้งใจเอาใจใสมากมาย การเพงเล็งพินิจพิเคราะหเปนเคร่ืองสํารวจความบกพรองอยูในตัวส่ิงใดยังเคลือบแคลงสงสัยก็จักไดทวนถามอาจารย ฟงคําอธิบายของทานใหชัดเจนแมนยํา จนหมดสงสัย แลว สําเนียกจดจาํ ไว อยา ใหตองรบกวนทา นในขอ น้ีบอ ย ๆ “คนวางายสอนงายคือคนท่ีอดทนตอคําส่ังสอนได เม่ือมีผูรูแนะนําพร่ําสอนให ตักเตือนใหโดยชอบธรรมแลว ยอ มปฏิบัติตามคําส่ังสอนนั้นดวยความเคารพออนนอม ไมคัดคาน ไมโตตอบ ไมแกต ัวโดยประการใด ๆ ทัง้ ส้นิ ” ๒๗ ลกั ษณะของ คนวา งายสอนงายมลี กั ษณะทีส่ งั เกตไดอยู ๑๑ ประการ คือ ๑. ไมกลบเกลื่อนเมอ่ื ถูกวากลา วตกั เตือน ไมแ กต วั ไมบิดพลิ้ว ยอมรบั ฟง ดว ยความเคารพ ๒. ไมย อมนิง่ เฉยเมอื่ ถกู วากลาวตกั เตือน พยายามปรบั ปรุงแกไขปฏิบตั ิตามคาํ แนะนาํ นนั้ ๓. ไมม จี ิตเพง คุณเพงโทษผวู ากลาวสง่ั สอน คอื ไมเคยจับผิดทานแตร บั ฟงโอวาทดวยดี ๔. เอ้ือเฟอตอคําสอนและตอผูสอนเปนอยางดี คือยอมทําตามคําสอนนั้นและเชื่อฟงผูสอนอยางดี ทาํ ใหผ สู อนมเี มตตาเกิดกําลังใจทจี่ ะสอน ตอ ๆ ไปอีก ๕. เคารพตอคําสอนและตอผูสอนเปนอยางดียิ่ง ตระหนักดีวาผูที่เตือนคนอื่นน้ัน นับวาเส่ียงตอการถูกโกรธ ดังน้ันการที่มีผูวากลาวตักเตือนเรา แสดงวาเขาจะตองมีคุณธรรม มีความเสยี สละ มีความเมตตาปรารถนาดีตอตวั เราจรงิ ๆ จึงตองมีความเคารพตอ คําสอน และตัว ผูสอนเปนอยา งดีย่งิ ๒๗พระสมชาย ฐานวุฑโฒ, มงคลชวี ติ ฉบบั ธรรมทายาท, อางแลว , หนา ๒๕๒.
๔๗ ๖. มีความออนนอมถอมตนเปนอยางดีย่ิง ไมแสดงความกระดางกระเด่ืองโอหัง คิดวาตวั เองดีอยแู ลว เกง อยูแลว ๗. มีความยินดีปรีดาตอคําสอนน้ัน ถึงกับเปลงคําวา สาธุ สาธุ สาธุ รับฟงโอวาทนั้น คือดีใจเปนยิ่งท่ีทานกรุณาชี้ขอบกพรองของเราใหเห็น จะไดรีบแกไข เหมือนทานช้ีขุมทรัพยให จึงเปลงวาจาขอบคุณไมข าดปาก ๘. ไมด้ือร้ัน คือไมดันทุรังทําไปตามอําเภอใจทั้ง ๆ ท่ีรูวาทําผิด แตทําไปตามความถูกตองเมื่อผิดกย็ อมแกไ ขปฏบิ ตั ิไปตามสมควรแกธ รรม ๙. ไมยินดีในการขัดคอ ไมพูดสวนขึ้นทันที มีความประพฤติชอบเปนที่พอใจ เปนท่ีปรารถนา ๑๐. มีปกติรับโอวาทเอาไวดีเย่ียม ตั้งใจฟงทุกแงทุกมุมไมโตตอบ ยิ่งไปกวาน้ันยังปวารณาตัวไวอ ีกวา ใหวากลา วส่ังสอนไดท กุ เมอ่ื เห็นขอ บกพรอ งของตนเม่อื ใดก็ใหตกั เตอื นได ทันที ๑๑. เปน ผูอดทน แมจ ะถกู วา กลา วส่งั สอนอยา งหยาบคายหรอื ดุดาอยางไรก็ไมโกรธ อดทนไดเสมอ เพราะนกึ ถึงพระคุณของทานเปน อารมณ ๒๘ สังคมมนุษยเราแตละสังคมมีคนท้ังผูใหญ ผูเสมอกัน และผูนอย ซ่ึงจะตองรวมกันปฏิบัติคุณคือความวางาย เพราะในคนสามจําพวกน้ีหวังความดี อยากไดดีดวยกันทั้งนั้น และความดี รอคอย คนอยากไดดีอยูขา งหนา แตผ อู ยากไดด ีตองมคี ุณคอื ความวา งายอยูใ นตัว จงึ จะรบั เอาความดีที่รอคอยอยูขางหนาได ถาหาไมแลวก็เสมือนคนท่ีเปนโรคอัมพาต แมนความดีจะอยูใกลตัว ก็ไมสามารถจะรับเอาความดไี ด คุณคอื ความวางายนี้ จงึ เมาะสมแกคนทุกช้นั ท้งั ผใู หญ ผูเสมอกัน และผูนอ ย ผูนอยย่ิงเปนคนวางายแลว ก็ย่ิงเปนปจจัยใหผูหลักผูใหญเอ็นดูกรุณา สนับสนุนใหผูใหญตั้งใจเอาเปนธุระ สอดสองดูแลเหตุเจริญเหตุเสื่อม เม่ือเห็นวาผูนอยดําเนินในทางเส่ือม ก็ชวยเตือนชวยแนะนําอยูทุกขณะ น่ันนับเปนโอกาสดีที่ผูนอยจะไดรักษาตัวใหไมเส่ือมเสีย จึงอันเปนวาคนวางายรูจักถือเอาประโยชนจากคนอ่ืน โดยทําตนใหเขามีเมตตากรุณาเอาธุระ ไมอิดหนาระอาใจ เกลียดชัง ชอื่ วามีคณุ คือความวางาย สรางท่พี ึ่งแกตนเอง และสง เสริมใหค นอน่ื ยนิ ดีเปน ทพ่ี ่งึ ของตนอีกดวย โดยเหตนุ ้ีแสดงใหเ ห็นชัดวาความวา งายน้ัน คือคุณธรรมที่สมควรแกคนทุกชั้น ทั้งผูใหญ ผูเสมอกัน และผูนอยจะพึงปฏิบัติใหเหมาะสมแกฐานะของตน เม่ือคนทุกช้ันเปนคนวางายรับฟงเหตุผลของผูหวังดี ที่ชวยตักเตือนแนะนําพรํ่าสอนแลว ก็จะเปนอุบายเชื่อมโดยจิตใจ ใหผูกสมัครรักใครก ันสนิทสนม ชว ยโอบอมุ ปองกันเหตุเสือ่ มไวไมใหเกิดขน้ึ และเสรมิ สรางเหตุเจรญิ ใหเกดิ ข้ึน ท้ังสวนตวั สวนคณะและประเทศชาติ ๒๘เร่ืองเดียวกนั , หนา ๒๕๒-๒๕๓.
๔๘ อนง่ึ ใหกาํ หนดรูวาเวลาของการเรียนเปนเวลาท่ีมีคาอยู จําตองระวังอยาปลอยใหลวงไปเสียเปลา โดยมิไดบรรจุความรูเอาไวใหพอแกที่เวลาอํานวยให ที่ดีเราควรกําหนดใจเอาไวเสียวา ถึงเวลาเรยี นเปนตอ งเรียนกนั จริง เลิกนกึ ถึงสิง่ อน่ื ทไี่ มเ ก่ียวแกการเรียนใหหมด เพราะสิ่งเหลานั้น (มีการเลนเปนอาทิ) เปนภัยแกการเรียนอยางมหันต ถาเอามาปะปนไวดวย อาจจะทําใหความจําและความพินจิ พเิ คราะหเ ลอะเลือนไปหมด วชิ าท่ีเรียนกค็ งไมไดผ ลตามมงุ หมาย เพราะสิ่งเหลาน้ีมาเปนศัตรูแกสติเสียแลว ก็ตองตกเขาอยูในอํานาจแหงความเกียจคราน ซ่ึงผูอื่นไมมีใครสามารถจะ แกไขใหคืนดีได นอกจากตัวจะมีสติกลับคืนไดเองเทาน้ัน ทางท่ีดีในชั้นตนควรหาวิธีประหารเสนียดเหลานี้ อยาใหเขามาแอบแฝงหนวงความเจริญอันกําลังไหวตัวอยูแลวได สิ่งท่ีควรนํามาประหาร ไดดีก็คือ อิทธิบาท ๔ ดงั ปรากฏตอไปนี้ อิทธิบาท คือ คณุ เครอ่ื งใหส ําเรจ็ สมประสงค ๔ อยาง ไดแ ก ๑. ฉนฺท คอื ความพอใจรกั ใครใ นสงิ่ นั้น ๒. วิริย คือความหม่นั ประกอบสิง่ น้นั ๓. จติ ตฺ คือ เอาใจฝกใฝในส่งิ น้ันไมว างธรุ ะ ๔. วมิ ํสา คอื หมัน่ ตริตรองพิจารณาเหตุผลในสง่ิ น้นั ๒๙ คณุ ๔ อยา งน้มี ีบรบิ รู ณแลว อาจชักนาํ บคุ คลใหถงึ สงิ่ ทตี่ องประสงค ซึง่ ไมเหลือวสิ ัย จรรยาบรรณของนกั เรียน เชน พึงหาโอกาสเรยี นรใู หเ ขาใจวธิ ีการหาเหตุผล และขอบเขตของเหตุผล โดยเร็วท่ีสุดตามระดับของวัย พึงยอมรับทุกอยางดวยเหตุผล พึงรับพิจารณาทุกอยางท่ีมีเหตุผลดวยความเคารพ แมตนเองจะยังไมเห็นดวยกับเหตุผลนั้น “พึงเคารพความคิดท่ีมีเหตุผลของตนเองและของคนอ่ืนทุกคนในทางปฏิบัติหาทางประนีประนอมความคิดเห็นตาง ๆ เพ่ือหาทางสายกลางซึ่งทกุ ฝายจะตองไดบา งเสยี สละบาง” ๓๐ พึงถือวาการเรียนมิใชเปนการกอบโกยหาวิธีไดเปรียบคนอื่นในสังคม แตการเรียนคือการสรางบุคลิกภาพ จึงไมพึงแขงขันและกีดกันซึ่งกันและกัน พึงถือวาชีวิตสวนหนึ่งในโรงเรียนเปนสวนหนึ่งของชีวิตจริง ไมมีชีวิต ชั่วคราวในรถโดยสาร พึงสรางสังคมในโรงเรียนใหเปนสังคมอุดมการณท่ีจะตองปรับปรุง แกไขใหทันสถานการณอยูเสมอ พึงมีความสุจริตในการทําการบาน การทําขอสอบ พึงถือวาเกียรติอยูเหนือผลประโยชนใด ๆ ท้ังส้ิน พึงฝกนํ้าใจนักกีฬาในการแขงขันทุกประเภท พึงถือวาสิทธิจะตองแลกเปล่ียนกับหนาที่และความ ๒๙พันเอกปน มุทกุ นั ต, แนวสอนธรรมะตามหลักสตู รนักธรรมชัน้ ตร,ี (กรุงเทพฯ : กมลการพมิ พ, ๒๕๒๗), หนา ๒๒๖. ๓๐กีรติ บุญเจือ, ชุดพื้นฐานปรัชญาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพไทยวัฒนาพานิช,๒๕๑๙), หนา ๑๐๖.
๔๙รบั ผิดชอบเสมอ ดังนเี้ ปนตน อาจารยเมื่อไดบ ํารงุ จากศษิ ยฉะนี้แลว ยอ มอนเุ คราะหด วยสถาน ๕ ไดแ ก ๑. แนะนาํ ดี ๒.ใหเ รยี นดี ๓. บอกศลิ ปวทิ ยาใหส ิ้นเชิง ไมป ดบังอําพราง ๔. ยกยองใหป รากฏในเพ่อื นฝงู และ ๕. ทาํความปอ งกันในทศิ ทง้ั หลาย ขอ ที่ ๑ อาจารยอนเุ คราะหศ ษิ ย คอื ดว ยแนะนําดี คอื แนะในขอทเ่ี ขาใจยาก ใหเขา ใจงา ย ดวยการสังเกตอุปนิสัยของศิษยถาเปนคนฟงคําพูดเขาใจไดงาย เชนนี้มักเปนคนมีไหวพริบดี อาจารยไมตองหนักใจในการท่ีจะจัดหาคําอธิบายมามากนัก และตรงกันขาม คนท่ีการพูดสั้น ๆ หากไปอธิบายมากเขา อาจทําใหเขาใจไขวเขวไปอยางอื่นก็มี ทั้ง ๒ อยางน้ี ยังพอจะหาวิธีพูดใหเขาใจงายได ถาไปปะกบั ชนิดท่ีไมเ อาทั้ง ๒ อยา งจะลาํ บากมาก แตจะไมเปนการเหลือบากวาแรงของอาจารยผูแนะนําดีกระมัง่ ขอ ท่ี ๒ อาจารยอนุเคราะหศ ษิ ย ดว ยการใหเรียนดี ประการนี้นาจะไดแกการหม่ันสอบสวนความเขาใจในสิ่งที่สอนไปแลว วาศิษยเขาใจตรงกับความประสงคแลวหรือยัง ถายังก็ตองหาหนทางชวยเหลือใหมีมานะในการทําความเขาใจจนได จะสําเร็จดวยอุบายปลอบโยน หรือแลวแตจะเหมาะแกนิสัย เด็กท่ีไมทึบจนเหลือเกินแลวการปลอบใหใจแชมชื่นดูเหมือนจะเหมาะสมมากกวาขู เพราะการขูมีแตจะทําใจคอหดหูสะทกสะทาน กลับมืดแปดดานนึกอะไรไมออก สวนเด็กที่มีนิสัยเกียจครานประพฤตินอกลูนอกทางไมเอาใจใสตอการเรียน เชนน้ี อยางนี้หากมีข้ึนคนหน่ึง อาจเปนตัวอยางใหคนอ่ืนประพฤติตามไดอีก ถาดังนี้ก็จําเปนตองกําทราบลงเสียใหไดโดยเร็ว ก็ควรทําโทษกันตามลักษณะอาจารยกบั ศษิ ยเทาน้นั แตไ มถ ึงทําใหเสยี ขวัญ. ขอท่ี ๓ อาจารยอนุเคราะหศิษย ดวยบอกศิลปวิทยาใหสิ้นเชิง ขอน้ีเปนเครื่องช้ีใหเห็นพฤติการณของอาจารย ในความหวังดีแกศิษย เอาใจใสใหเรียนโดยไมปกปดหวงกั้นวิชา หรือ เบ่ือหนายในอันจะสอนใหศิษยมีความรูกวางขวางออกไปส้ินเชิง ไมมีสิ่งที่เคลือบแฝงซอนเรนอยูอีกเสมือนหยอนบนั ไดใหศิษยไดก า วขนึ้ สูท่หี มาย กลา วคอื สําเร็จวชิ าบริบูรณ. ขอที่ ๔ อาจารยอนุเคราะหศิษย ดวยยกยองใหปรากฏแกเพ่ือนฝูง การยกยองเชนน้ีเปนลักษณะที่แสดงน้ําใจเมตตาปราณีในศิษยจนตลอดกาล การประกาศคุณสมบัติของศิษยใหปรากฏในคณะผูหลักผูใหญดังนี้ เหมือนไดสํารวจกรุยทางเพราะความนิยมใหงอกงามกวางขวาง สําหรับเปนประโยชนแกศิษยในกาลขางหนาสืบไป แทจริงเมื่อศิษยมีช่ือเสียงปรากฏคุณงามความดีข้ึนเพียงไรอาจารยก ็มีสว นไดเ สียอยูด วยเสมอไป. ขอที่ ๕ อาจารยอนุเคราะหศิษย ดวย “ทําความปองกันในทิศทั้งหลาย ปญหานี้แสดงใหเห็นถึงความกรุณาอันยืดเยื้อคอยตามอนุเคราะหคุมครองปองกัน เพื่อความปลอดภัยทุกทิศทุกทางแมแตในทางไกลก็ไมเวนในอันจักกระทําการฝากฝงแกผูท่ีรูจักชอบพอขอความชวยเหลือในเหตุ
๕๐อปุ สรรคท้ังหลายซึ่งจะเกดิ ขึ้นแกศ ิษยภายหนาอีกดวย” ๓๑ คณุ ธรรมสาํ หรบั ครู ครตู อ งมคี ุณธรรมเปนกัลยาณมิตร ๗ อยาง ไดแก ๑. ปโ ย คือ นา รกั ทําตัวใหศิษยร ัก ๒. ครุ คือ นา เคารพ, หนักแนน ในจรรยา ๓. ภาวนีโย คอื หม่นั แสวงหาความกาวหนา พัฒนาความรู ๔. วตตฺ า จ คือ มคี วามขยันหม่นั แนะนําพร่ําสอน ๕. วจนกขฺ โม คอื อดทนตอ ถอยคํากลาวหา ๖. คมฺภรี ฺจ กถํ กตตฺ า คือ สอนสง่ิ ทีย่ ากใหเขา ใจงาย ๗. โน จฏฐาเน นิโยชเย คอื ไมชักจูงศิษยไปในทางเสือ่ มเสีย๓๒ ครยู งั ควรมคี ุณธรรมอน่ื ๆ อีก ดงั เชน ครตู อ งเปน ผูมุงมั่นในเร่ืองทางจิตวิญญาณ ครูตองมีความอิ่มใจ มีปติปราโมทย หลอเล้ียงชีวิตครูใหชุมชื่น ในฐานะท่ีเปนปูชนียบุคคล มิไดเปนลูกจางครูตอ งเปน พระโพธิสตั ว มอี ดุ มคตพิ ระโพธสิ ัตว คือ ๑) สทิ ธิ คือมคี วามบรสิ ุทธิอ์ ยูใน จติ ใจ ๒) ปญ ญา คอื มปี ญ ญาทง้ั ทางโลกและทางธรรม ๓) เมตตา คือ มีความรักเมตตาตอศิษย ๔) ขันติ คือ มีความอดทน ๓๓ สรปุ โดยยอ หัวใจครปู ระกอบดวย เมตตา กบั ปญ ญา ครูตองเปน แบบอยา งที่ดีแก ศษิ ย ดว ยการพดู ใหฟ ง ทาํ ใหด ูเปน อยใู หส งบเยน็ ใหส มั ผัส คุณสมบัตทิ ี่ครคู วรจะมอี กี ๔ ประการ คือ ๑. เสือ คือ กนิ ของสะอาดไมก ินของเนา ๒. สงิ ห คือ หยิง่ ในศกั ดศ์ิ รี นําจา ฝูง นําชมุ ชนพฒั นา ๓. กระทิง คอื ตอ สไู มยอ ทอ สูง าน เอาการ เอางาน ๔. แรด คอื หนังเหนยี ว บกึ บนึ อดทน๓๔ ๓๑พระยาศรีราชอักษร( มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), อางแลว, หนา ๖๐-๖๕. ๓๒พระธรรมโกศาจารย (พุทธทาสภิกขุ), เตือนใจวัยรุน และ ๕ ดีสูความเปนมนุษยที่สมบรู ณ, (กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พธรรมสภา, ๒๕๓๖), หนา ๗๖-๗๗. ๓๓เรอื่ งเดียวกัน, หนา ๗๘. ๓๔เรื่องเดยี วกนั , หนา ๗๙.
๕๑ จรรยาบรรณของครู คอื พึงหวงแหนเสรีภาพในการคนควาหาความรูและเสรีภาพในการสอนตามทรรศนะของตน นอกจากน้ันจะตองเคารพกฎหมายและปฏิบัติหนาที่อื่นๆ เหมือนบุคคลอ่ืนๆ พึงปนนักเรียนขึ้นใหเปนตัวของตัวเอง ชวยใหนักเรียนพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองข้ึนอยางเตม็ ท่จี ากเน้ือหาวชิ าท่ีครูมหี นา ทส่ี อน พึงรว มมอื กบั ครูอ่นื ๆ เพื่ออาชพี ครคู ลอ งตัวในทางปฏิบัติและเพ่ือใหอาชพี ครไู ดบ ริการสงั คมตามเปาหมาย พึงถือวางานสอนเปนอาชีพ ไมใชธุรกิจ พึงงดเวนการตําหนิความประพฤติของเพื่อนครูดวยกันในการสอน พึงงดเวนการแยงตําแหนงที่มี ผูปฏิบัติหนาที่อยู และยงั ไมห มดวาระ พงึ งดเวนการเหยยี ดหยามอาชพี ครู พึงรับผิดชอบสอนใหหมดภาคการศกึ ษาท่ีไดตกลงไวกับผูอํานวยการ พึงสอนดวยเมตตาธรรม และใหคะแนนดวยความยุติธรรม พึงแสดงคณุ สมบัติตามจริงเมื่อสมัครงาน พึงแสดงไมตรีจิตตอเพ่ือนครูทุกคน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวครูพึงสนับสนุนนโยบายของสถาบันท่ีตนสังกัดอยู ถาไมสนับสนุนก็พึง น่ิงเฉย ไมพึงกลาวกับบุคคลภายนอกวาตนเองไมเห็นดวย พึงเคารพผูบังคับบัญชาดวยใจจริง พึงงดเวนอบายมุขทุกอยางและเมือ่ ไดรับการปรกึ ษาหารอื พงึ แสดงความคดิ เหน็ อยา งเสรี และดวย ใจจริง ๓) การดาํ เนนิ ชวี ิตตามหลกั พุทธจริยศาสตรใ นปจ ฉิมทิศ “ปจฉิมทิศ หรือ ทิศเบื้องหลัง เพราะติดตามเปนกําลังสนับสนุนอยูขางหลังจึงไดช่ือวาทิศเบอ้ื งหลัง ไดแก บุตร ภรรยา” ๓๕ วิเคราะหทิศเบื้องหลัง คําวา บุตรภรรยา น้ันไดแก ผูท่ีบุรุษตองเล้ียง เมื่อจะวาโดยประเภทก็มีหลายประเภทดวยกัน คือ บุตรดีก็มี บุตรเลวก็มี บุตรเปนกลาง ๆ ก็มี เพราะฉะนั้น สมเด็จพระสรรเพชญพระพุทธเจาจึงทรงจําแนกบุตรไวเปน ๓ จําพวกวา บุตรท่ีดีกวามารดาบิดาน้ัน เรียกวาอภิชาติบุตร บตุ รทเี่ สมอกันกบั มารดาบิดาน้ัน เรียกวาอนุชาตบุตร บุตรท่ีตํ่าชาเลวทรามกวามารดาบิดาน้ัน เรียกวา อวชาติบุตร คือ บุตรจําพวกใดนับถือพระไตรสรณคมน และมีศีลธรรมดียิ่งกวามารดาบิดา บุตรจําพวกน้ัน เรียกวาดีกวามารดาบิดา บุตรจําพวกใดมีศีลธรรมเสมอกับมารดาบิดาบุตรจําพวกนั้น เรียกวาเสมอกับมารดาบิดา บุตรจําพวกใดมีศีลธรรมเลวกวามารดาบิดา บุตรจําพวกนนั้ เรียกวา เลวกวา มารดาบดิ า อกี อยางหน่งึ คําวา บตุ รน้ัน มอี ยู ๔ จําพวก คอื ๑. บตุ รทเ่ี กิดจากตนเอง ๒. บตุ รท่ีเกิดในเขตแดนของตนเอง ๓. บุตรทเี่ รียนศกึ ษาศิลปวทิ ยา ๔. บุตรที่เขาให แตคําวาบุตร บุตรซึ่งจัดเปนปจฉิมทิศ คือ เปนทิศตะวันตก หรือทิศ ๓๕พระธรรมปฎก( ป.อ. ปยตุ โต), พจนานกุ รมฉบับประมวลธรรม, อา งแลว , หนา ๒๒๖.
๕๒เบือ้ งหลงั นน้ั หมายเอาบตุ รของตนแท ๆ ๓๖ คําวา ภรรยาน้ัน แปลวา หญงิ ทีบ่ รุ ษุ ควรเลี้ยง เมือ่ วา โดยประเภท กม็ อี ยู ๗ จําพวก คือ ๑. โจรีภริยา ภรรยาเปรียบเหมือนกับโจร อนั ไดแกภรรยาทีย่ ักยอกลักขโมยของสามี ๒. วธกภริยา ภรรยา เพชฌฆาต คอื ภรรยาท่ีคิดฆา สามี ๓. อยยฺ กิ าภริยา ภรรยานาย อันไดแ กภรรยาที่ตงั้ ตัวเปน นายของสามี ภรรยาทั้ง ๓ จําพวกน้ี เปนภรรยาท่ีไมดีทั้งน้ัน สวนภรรยาที่ดีนั้นไดแกภรรยาอีก ๔ จําพวกขา งหนาคือ ๑. มาตภุ รยิ า ภรรยาทีร่ กั สามเี หมือนกับมารดารกั บุตร ๒. ภคนิ ีภรยิ า ภรรยาทรี่ กั สามเี หมือนกบั นอ งสาวรกั พ่ีชาย ๓. สขีภรยิ า ภรรยาท่ีดตี อ สามเี หมอื นกบั สหาย ๔. ทาสีภริยา ภรรยาท่เี คารพสามเี หมอื นกับทาสเี คารพยาํ เกรงนาย๓๗ภรรยาทง้ั ๔ จาํ พวกนี้ พระพทุ ธเจาทรงตรัสไวว า เม่อื ตายแลว ตองไปเกดิ ในสวรรคทงั้ นน้ั ฯ ภรรยาไมวาทั้งดีและเลว ลวนแตตองตามหลังบุรุษท้ังนั้น เพราะฉะน้ัน พระพุทธเจาจึงเรยี กวาทิศเบื้องหลงั หรอื เรยี กตามบาลีวาปจฉิมทิศ อันแปลวา ทิศตะวันตก ซึ่งอยูขางหลังเราผูยืนหันหนา ไปทางทิศตะวันออก ฉะนัน้ เมือ่ บตุ รมีอายุพอสมควรแกการหาเล้ียงตน และครอบครัว ไดแลวมารดาบิดาจะตองดํารถิ ึงการตกแตงใหมีเหยาเรือนเปนหลักฐานสืบไป โดยเลือกหาหญิงตามลักษณะท่ีกลาวขางตน แมจะบกพรองไปบาง แตยังมีสวนดีแกความตองการ ไมมีขอเสียหายอยางอ่ืนแลว ก็ควรยินดสี ขู อกระทาํ การตกแตง ก็คอื เมอ่ื ไดบ วชเรียนเสร็จแลว อุบายที่บวชกอนแตงนาจะมีประสงคอยูสองอยาง อยางหนึ่งก็คืออบรมนิสัยใจคอไมใหตกไปในทางชั่ว เพราะขาดการศึกษาศีลธรรม อันจักตองปฏิบัติในเมื่อกลับออกมาเปนคฤหัสถปกครองบานเรือน ก็ใหอยูในลักษณะของพอบานที่ดีอีกประการหน่ึง คือการบวชเปนส่ิงสําคัญของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาไมควรละเวน ถาไปเกี่ยวของกับการมีครอบครัวเสียกอนแลว ก็เปนเครื่องขัดกับการบวชเรียนอยางมากมาย บางเรียนถึงแกไมไดบวชเอาทีเดียว ซ่ึงเปนท่ีนาเสียดายท่ีปลอยใหประโยชนสําคัญผานพนชีวิตอันมีคาไปเสียไดหรือแมจ ะตัดสนิ ใจบวชไดกค็ งไมวายท่จี ะเปนหวงพะวกั พะวน เปน อุปสรรคกีดขวางการปฏิบัติอยูรํ่าไป ถาจะลองฟงเสียงขางมากก็คงไดค วามวา บวชกอน แตง งานเปน เรียบรอ ยโดยประการทั้งปวง ๓๖ พระยาศรีราชอักษร ( มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), อางแลว, หนา๖๘. ๓๗ พระธรรมกิตติวงศและคณะ, คลงั ธรรมเลม ๑, อา งแลว , หนา ๔๒.
๕๓ ประเภทของสามภี รยิ า คร้ังหน่ึงพระพุทธเจาเสด็จประทับระหวางมธุรากับเมืองเวรัญชา ณ โคนตนไมแหง หนึ่งสามีภริยาไดไปเฝาพระพุทธเจาเปนจํานวนมากพระองคไดตรัสประเภทของสามีภริยาไวเปน ๔ คูคือ ๑ สามีผี ภริยาผี (ซากศพอยูกับซากศพ) คอื สามีไมดี ภรยิ าไมด ี ๒ สามผี ี ภรยิ าเทวดา (ซากศพอยูรว มกับเทพธิดา) คอื สามไี มด ีภริยาดี ๓ สามีเทวดา ภริยาผี (เทวดาอยูรวมกบั ซากศพ) คือ สามดี ี ภริยาไมด ี ๔ สามเี ทวดา ภริยาเทวดา (เทวดาอยูรว มกับเทพธิดา) คือ สามีดี ภริยาด๓ี ๘ ลักษณะของสามีและภริยาไมดีน้ัน คือ เปนคนผิดศีล ๕ เปนคนมีบาปกรรม เชน ความโหดรา ยทารุณ เปนคนตระหนี่ ดา วาสมณะ สัตบรุ ษุ ลกั ษณะของสามีภริยาที่ดี หรอื ท่เี รียกวา สามเี ทวดา ภรยิ าเทวดา นัน้ คอื เปนคนประพฤติตามศลี ๕ ไดแ ก มกี ลั ยาณธรรม เชน เมตตากรุณา ปราศจากความตระหน่ี ไมด าวาสมณะ สัตบุรษุเปน ตน เร่ืองของสามีภริยาน้ัน มีความสําคัญตอความสุข หรือความทุกขของชีวิตฆราวาสมากสําหรับคนที่ไดสามี หรือภริยาดี มีศีลธรรมก็เปนคนโชคดีไป หากไดตรงกันขามก็เปนคนโชครายมาก เปนคนไมมีศีลธรรมดวยกันทั้ง ๒ ฝาย ยังดีเรียกวา ฝายหนึ่งมีศีลธรรม อีกฝายหน่ึงไมมี ชนิดเทวดาอยกู บั ซากศพ หรือซากศพอยูรวมกับเทพธิดา แบบนี้ทรมานมาก เพราะคนดีมาอยูรวมกับ คนไมด ี ตองใชค วามอดทนสูงมาก ไมม คี วามสุขในชีวิตสมรส๓๙ โดยปกติชีวิตฆราวาสมีทุกขมาก มีเร่ืองตองกังวลมากอยูแลว หากไดเพ่ือนรวมชีวิตท่ีไมดีเขาอีก ความทุกขนั้นจะเพ่ิมขึ้นหลายเทาตัว พูดทางฝายหญิง หญิงท่ีไดสามีดีเพียงคนเดียว เหมือนมีเพ่ือนถึง ๑๐ คน หรือเพื่อน ๑๐ คน อาจสูไมไดเสียอีก เพราะเขาเปนใหไดทุกอยาง เปนท้ังเพื่อนรวมชีวิต เปนเหมือนบิดาผูคุมครองใหความสุขไดหลายแบบ แตหญิงที่ไดสามีไมดี ก็เหมือนมีเชื้อโรคหรอื เน้อื รา ยอยูใ นกาย นา สงสาร ทางฝายชาย ชายท่ีไดภรรยาดีเพียงคนเดียว ดีกวามีเพ่ือนถึง ๑๐ คน เพราะเธอเปนผูใหทุกอยาง เปนเพ่ือนรวมชีวิต เปนมิตรรวมใจ เปนเสมือนมารดา เปนนอง เปนคนรับใช อยูในคน ๆเดียว คือเธอ เธอใหความสุขแกสามีไดหลายแบบ เปนเพื่อนรวมชีวิตที่สนิทที่สุด เพราะฉะนั้น ๓๘มหาวิทยาลัยรามคําแหง, พุทธปรัชญาเบ้ืองตน, พิมพคร้ังที่ ๕, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพมหาวิทยาลยั รามคําแหง, ๒๕๓๓), หนา ๑๖๓-๑๖๔. ๓๙เรอ่ื งเดยี วกัน.
๕๔พระพทุ ธเจาจงึ ตรสั ไววา ภรยิ า ปรมา สขา ภรรยาเปนมิตรอยางเยยี่ ม (ทั้งนี้ตองหมายถงึ ภรรยาท่ดี )ี ที่พดู มานม้ี ไิ ดด หู มน่ิ เพอื่ นวา ไมด ี เพ่ือนท่ีดีจริงๆ นั้นยอมสละชีวิตแทนกันได แตหายากเหลือเกิน บางคนหาไมไดเลยตลอดชีพ พบแตมิตรปลอม เพ่ือนกิน เพ่ือนผลาญ และจะหาเพื่อนท่ีอยูดวยกัน กินดวยกนั ตลอดชวี ติ จะไดท่ไี หน เพราะฉะน้ัน ท่ีพระพุทธเจาตรัสวา ภริยา ปรมา สขา น้ันเปนความจริงที่โลกยังยอมรับกันอยู ใครไดภรรยาเลวขึน้ มา ภรรยานน้ั ก็เปน ภรยิ า ปรมา สตฺตุ คือเปนศัตรูที่รายแรง บั่นทอนความสุขความเจริญทุกอยา ง ทิศเบ้ืองหลัง ภรรยา สามพี งึ บํารงุ ดว ยสถาน ๕ คือ ดวยยกยองวา เปน ภรรยา ดว ย ไมด ูหมิ่นดว ยไมป ระพฤตลิ ว งใจ ดว ยมอบความเปน ใหญให ดว ยใหเ คร่อื งแตงตัว๔๐ ขอท่ี ๑ สามีบํารุงภรรยา ดวยยกยองวาเปนภรรยาน้ัน นอกจากจะเปนการสงเคราะหแกกันแลว ยังสองใหเห็นซึ้งถึงน้ําใจอันซ่ือตรงตอกันอีกสวนหนึ่งดวย การแสดงความรักใครไววางใจใหปรากฏแกญาติมิตร ไมปกปดความดีอันเปนสมุฏฐานซ่ึงจะนําขึ้นสูความเปนมิตรภาพเสียดังน้ี เปนลักษณะการยกยองท่ีออกจากใจจริง ขอที่วายกยองเจือไปดวยสงเคราะหน้ัน เชนชวยพยุง หรือใหเกาะ ใหยืนเพ่ือมิใหซวนเซ เม่ือไปในท่ีไมสะดวกแกผูหญิงทุกอยางไป ธรรมเนียมน้ี ไทยเราก็ไดประพฤติอยูบางแลวเหมือนกัน สวนคําวานับถือนั้น มีลักษณะตางออกไป ยอลงไดแกเปดโอกาสใหภรรยามีภาวะอันเสมอดวยตน และมีสิทธิท่ีจะแทนกันไดทุกอยางตรงกับกฎหมายท่ีเรียกวาเปน คนๆ เดยี วกนั ๔๑ ขอที่ ๒ สามบี าํ รงุ ภรรยาดวย ไมดูหม่นิ ซึ่ง ไดแก ไมทุบตีดาวาเหมือนกับคนท้ังหลายทุบตีดาวาทาสกรรมกรเปนตนน้ัน คือ ธรรมดาคนทั้งหลายซึ่งเปนนาย ยอมใชกิริยาหยาบคายตอผูที่เปนบาวไพรของตนดวยการทุบตีกดข่ีดาวา ไดตามชอบ ฉันใด ผูท่ีเปนสามีไมควรทําตอภรรยาของตนฉันน้ัน อธิบายออกตอไปวา ผูท่ีเปนสามีไมควรมีกิริยาหยาบคายทางกาย วาจา กับภรรยาของตนเปนอันขาด ถาภรรยาทําผิดหรือลวงอํานาจของตน ก็ใหวากลาว สั่งสอนแตโดยดี เมื่อวากลาวส่ังสอนโดยดีหลายครั้งแลวกลับไมยอมเชื่อฟง ก็ใหหาอุบายทําใหภรรยาเลิกละการกระทําผิดและการด้ือดึงนั้นโดยทางอ่ืน เชน บอกกลาวผูใหญ คือ มารดา บิดา หรือ ปู ยา ตา ยาย พี่นองของภรรยา ใหชวยวากลา วสั่งสอน หรอื ไมอ ยางนัน้ ก็ใหต ดี ว ยใจ ดวยการ ลงพรหมทัณฑ ตามเย่ียงอยา งของพระพทุ ธเจาของเราทงั้ หลาย ท่ที รงวางไวเปนแบบแผนสําหรับ ลงโทษแกผูด้ือดึง กลาวคือ ไมใหพูดดวย ปลอย ๔๐พิทูร มลิวัลย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาช้ันตรี, อางแลว,หนา ๒๖. ๔๑เร่อื งเดียวกนั .
๕๕ใหท ําสิง่ ใดดว ยความชอบใจ เคยพูดจาสนทนา อยางไร ก็อยาไดพูดอยางน้ัน จะทําดี ทําช่ัวอยางไรก็ใหนิง่ ดเู ฉยเสียเม่อื เห็นวา ทําวิธีนี้นานวันแลวภรรยาก็ยังไมรูตัววา ตัวทําผิด หรือ ด้ือดึง ก็ใหชั่งใจดูวาจะอยูหรือ จะเลิก เมื่อเห็นวาถึงอยูกันไปนานเทาไร ภรรยาก็จะไมเลิกกระทําผิดไมเลิกละความเปนคนหวั ดอ้ื หัวแขง็ แลว ก็ไมควรเปนสามขี องภรรยาคนนัน้ อีกตอไป เพราะฉะน้ัน ผเู ปน ภรรยาตองเปนผูทเี่ ชื่อฟงคาํ สั่งสอนของสามใี นทางท่ีถูกจึงจะเปนการดี สําหรับภรรยาที่มีอัธยาศัยดี คือ มีอัธยาศัยไมชอบทางผิด ไมด้ือดึงตอสามี นั้นก็มีอยูมาก ควรท่ีหญิงท้ังหลายจะถือเปนแบบอยางของตน จึงจักพนความเปนที่นาเกลียดชังของสามี อยาไดทําตนใหเปนคนถือดีตอสามีที่ดีเปนอันขาด อยางทําตนเปนคนทเ่ี รียกวาข่อื เทา ตอ เพราะจะกอ ใหเกดิ ความแตกราวจากสามี เพราะขา งสามียอมถือวา ตัวเปนใหญกวา ภรรยา สมควรทีภ่ รรยาจะเคารพนบนอมเชื่อถอยฟงคําของตน แตภรรยาโดยมากก็ถือเสียวา ตนมีฐานะเทากันกับสามี ทุกประการ หาไดรูสึกตนไมวา ตนมีฐานะต่ํากวาสามีโดยประการท้ังปวง เชนการทํามาหา เล้ียงชีพ และการปกครองบานเรือน เคหาสถาน การปกครองตัวเอง ก็ตองอาศัยสามีทัง้ นั้น เปน ตน ขอที่ ๓ สามีบํารุงภรรยา ดวยไมนอกใจภรรยา ไดแกการ ไมละเลยภรรยาของตนไปยินดีหญิงอ่ืนนั้น มีคําอธิบายตอไปอีกวา ผูเปนสามีควรยินดีตอภรรยาของตนเสมอไป ไมควรนอกใจภรรยาของตนเปนอันขาด เพราะจะทําใหเกิดความบาดหมางกับภรรยา จะทําใหแตกราวกับภรรยาจะทําใหหมดเปลืองทรัพยสินเงินทองโดยไมจําเปน จะทําใหเกิดทุกขใหญแกภรรยาและบุตรภรรยาของตน ขอที่ ๔ สามีบํารุงภรรยา ดวยการใหความเปนใหญแกภรรยา ไดแก ความเปนใหญในการทําครวั ถาแมบ า นไมไดรบั การเปนอิสระเตม็ ที่ ในเร่ืองอาหารการกินแลว บุรุษท่ีเปนพอบานตลอดท้ังครอบครัวท้ังส้ิน ก็จะไมไดบริโภคอาหารที่ดี ตามสมควรแกฐานะนของตน และจะทําใหหมดเปลืองดว ยการไววางใจผอู น่ื ไปเสียอีก แตขอสําคัญมีอยวู า อาหารที่ภรรยาทาํ นั้น เปนอาหารที่ถูกใจของสามีแทบทุกคนไป เพราะธรรมดาของคนเรามีอยูวา เม่ือไดกินของคนที่รักให ยอมช่ืนอกช่ืนใจย่ิงกวาคนอ่ืนให เพราะฉะน้นั เมื่อสามไี ดบริโภคอาหารทีภ่ รรยาผูเ ปน ทรี่ กั ทําให กย็ อมรสู กึ ชืน่ ใจ ฝา ยภรรยาเลาเมื่อเห็นสามีบริโภคอาหารไดก็ดีใจ ยิ่งไดยินคําชมของสามีก็ยิ่งดีใจมากข้ึน เพราะฉะนั้นจึงเปนขอสาํ คัญในการทีภ่ รรยาจะดแู ลขา วปลาอาหารใหเ ต็มที่เปน ตน ขอท่ี ๕ สามีบํารุงภรรยา ดวยการใหเคร่ืองแตงตัว ไดแก การใหเคร่ืองประดับประดาตามสมควรแกฐานะของตนนน้ั อธิบายวา ธรรมดาสามตี องหาเครื่องแตง ตวั ใหภรรยาเสมอ ถึงแมวาภรยาจะมเี คร่ืองแตงตวั ติดมาแตตระกลู เดมิ กต็ าม สามกี ค็ วรหาใหใ หม เพื่อจะไดเปนท่ีชื่นใจของภรรยา แตการท่ีจะหาใหใหมนั้น ก็ตองหาใหตามกําลังทรัพยของตน และคําวา เคร่ืองแตงตัวน้ัน หมายต้ังแตเคร่ืองนุมหมเปนตนไป จนกระท่ังถึงเคร่ืองเงิน เครื่องทอง เคร่ืองเพชรพลอยเปนท่ีสุด ตามที่โลก
๕๖มนุษยเรานิยมวา เปนของสวยงาม ท้ังจงใหเคร่ืองแตงตัวอันประเสริฐ กลาวคือ สีลาภรณ อันไดแกศีล ๕ แกภรรยาใหจงได คือ ผูเปนสามีตองแนะนําใหภรรยาตน ประดับเคร่ืองประดับอันประเสริฐกลาวคือ ศีล ๕ ซึ่งจะไดเกิดในสวรรคคือนิพพานตอไปใหจงไดจึงจะนับวา ไดทําหนาท่ีของสามีในขอนไี้ ดเ ตม็ ที่ “ดูกอนคฤหบดีบุตร ภรรยาผูเปนทิศเบ้ืองหลังอันสามีบํารุงดวยสถาน ๕ เหลานี้แลว ยอมอนุเคราะหดวยสถาน ๕ เหลาน้ี ทิศเบ้ืองหลังนั้นช่ือวา อันสามีปกปดใหเกษมสําราญ ใหไมมีภัยดวยประการฉะนี้” ๔๒ ธรรม ๔ ประการอันเปนเหตใุ หสามีภรยิ าอยูร ว มกนั ทั้งปจจุบนั และอนาคต “พ้ืนฐานอันม่ันคงท่ีจะทําใหสามีภรรยาครองชีวิตกันยืนยาว มีความสุข คือ คูสามีภรรยาจะตองมีสมชีวิธรรม ไดแก สมสัทธา มีศรัทธาเสมอกัน ไดแก มีหลักการ มีความเช่ือม่ันในพระพุทธศาสนา มีเปาหมายชีวิตที่เหมือนกัน สมสีลา มีศีลเสมอกัน ไดแก ความประพฤติศีลธรรมจรรยา กริ ิยามารยาทอบรมมาดเี สมอกัน สมจาคา มีจาคะเสมอกัน ไดแก มีนิสัยเสียสละ ไดแก มีนิสัยเสยี สละชอบชวยเหลอื ไมเหน็ แกตวั ใจกวา งเสมอกัน สมปญ ญา มปี ญญาเสมอกัน ไดแ ก มีเหตุผล มีความคิดสรางสรรค ไมด้ือดานดนั ทรุ งั เขาใจกนั เหน็ อกเหน็ ใจกนั พูดกนั รเู ร่ือง” ๔๓ ภรรยาไดรบั การบํารงุ ฉะน้ีแลว ยอมอนุเคราะหส ามีดวยสถาน ๕ คือ ๑. จดั การงานดี ๒. สงเคราะหค นขางเคียงของผวั ดี ๓. ไมป ระพฤตลิ วงใจผัว ๔. รกั ษาทรัพยท ี่ผัวหามาไดไ ว ๕. ขยันไมเกยี จครา นในกิจท้ังปวง ๔๔ ขอที่ ๑ ภรรยาอนุเคราะหสามี ดวยจัดการงานดี ซ่ึงไดแกการทํางานไมใหคั่งคาง ไมปลอยใหเลยเวลาหุงตมเปนตนนั้น ควรขยายตอไปวา หนาที่การทํางานใดซึ่งเปนหนาท่ีของภรรยา ภรรยาตองทํางานนั้นใหสําเร็จเรียบรอยไปเปนอันดีไมใหลวงเลยเวลาไปส่ิงใดควรทําใหสําเร็จในเวลาใด ก็ตองทําใหสําเร็จในเวลาน้ัน อยาปลอยใหสิ่งน้ันลวงเลยเวลาไปก็ดีทําสิ่งน้ันไมเรียบรอยก็ดี เรียกวา ๔๒ที. ปา. ๑๑ / ๒๐๑ / ๘๙. ๔๓พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ, มงคลชีวติ ฉบบั ธรรมทายาท, อา งแลว, หนา ๑๑๑-๑๑๒. ๔๔พทิ ูร มลวิ ลั ย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นตรี, อางแลว, หนา๒๖.
๕๗ผิดตอหนาที่ ของภรรยาก็การงานอันเปนหนาท่ีของภรรยา ไดแกการหุงตมข้ึนเปนตน สวนการงานนอกจากหุงตมนั้นก็มีอยูอีกมาก แตวาการหุงตมน้ันเปนการงานหลักของภรรยา เพราะเหตุวาในครอบครัวหนึ่ง ๆ ยอมมีการกินเปนสําคัญยิ่งกวาสิ่งอื่น ถาถึงเวลากินไมไดกินแลวเปนตองเกิดเร่ืองเพราะสามีหรือผูคนซ่ึงกลับจากการงานเหนื่อย ๆ ลวนแตกําลังหิวโหยอิดโรยทั้งนั้น เม่ือมาถึงบานไมไดร ับประทานอาหารดว ยแลว กย็ ง่ิ เพม่ิ ความหวิ โหยอดิ โรยมากข้ึน ผูท่ีมีใจดีก็กลับกลายเปนคนใจราย ถาย่ิงเปนคนใจรายดวยแลวก็ยิ่งซ้ํารายเพราะฉะน้ัน ผูท่ีเปนภรรยาตองเอาใจใสตอการจัดการอาหารใหทันเวลา อยาใหลวงเลยเวลาไปได อยาทําตนใหเขาสุภาษิตท่ีวา แมยัง คือ เม่ือสามีถามวาทํากับขาวเสร็จแลวหรือยัง ก็ตอบวา ยัง หุงขาวเสร็จแลวหรือยัง ก็ตอบวา ยัง ถามวาตักน้ําหรือยัง ก็ตอบวา ยัง ปดท่ีอยูปูที่นอนแลวหรือยัง ก็ตอบวา ยัง ถาเปนอยางนั้นก็ตองโดนดีเปนสักวันแน และการงานของภรรยานัน้ หมายถงึ การงานในบานทั้งสิ้น สวนการงานนอกบานน้ันเปนการงานของสามีเพราะฉะน้ันหญิงที่เปนภรรยาตองจัดการงานทางบานใหดีทุกอยางซึ่งจะขอกลาวพอสังเขปเพ่ือเปนแนวทางในการปฏิบัติแกคูภรรยาสามี ยกตัวอยางเชน การปฏิบัติเวลาตื่นกอนสามี เมื่อไดปฏิบัติตนเองเรียบรอยแลว ก็ดําเนินการสืบตอไป จัดเคร่ืองลางหนาหรือเคร่ืองอาบนํ้าสําหรับสามีใชในเวลาต่ืนนอน แลวเลยตรวจการในบานตอไป เมื่อมีส่ิงใดบกพรองจะไดจัดทําหรือเตือน ใหทําเสียใหเรียบรอย ถาเปนงานบนเรือน เชนหองรับแขก หรือในท่ี ๆ ไมประสงคใหคนอื่นเขาออกพลุกพลานแมทําเสียเองไดก็ควรทําตามความพอใจ ดีกวาจะตองรอคนใชใหเสียเวลา ถาเปนบานท่ีไมมีคนใชก็หมดปญหาในเร่ืองท่ีจักคอยคนอื่นตอไป เพราะตนจะตองทําเองทุกอยางอยูแลว เมื่อตรวจระเบียบการบา นเรียบรอยทว่ั ถึงแลว กห็ นั เขาหองครวั หรอื หองรับประทาน ตรวจการแตงอาหาร เทียบไวตามเวลานั้น ๆ ไมสูจะตรงกันนัก บางบานเชา บางบานสาย และการรับประทานก็มีกําหนดตั้งแต ๒ มื้อ๔ มอื้ คือ เชา , สาย, กลางวนั , และเยน็ หรือค่าํ อีกมอ้ื หน่ึง ท่ขี ้นึ ชอื่ วา ๔ มือ้ รสู ึกวาเปนการฟมุ เฟอยอยูสักหนอย แทจริงมื้อเชาและกลางวันเปนแตเพียงอาหารเบา ที่นิยมตามสมัยหรือในช้ันผูมีกําลังทรัพยบริบูรณ มักใชขนมปง กาแฟ หรือไขไก เปนอาหารรองทองในตอนเชา แตถาพูดอยางสมัยกอนก็สูขาวตมของเราไมได กลางวันก็มกั ใชเ ปน ของรบั ประทานเล็ก ๆ นอย ๆ เรียกวาของวาง หมายความวาเปนเวลาวาง จะมีก็ได ไมมีก็ได บางบานก็ไมใชเลย เวลาไหนจักควรแกอาหารชนิดใดน้ัน ตองอนุโลมตามเวลาของการงานจักอํานวยใหเปนไป สําคัญแตเม่ือถึงเวลาก็ใหมีอาหารใหม ๆ เทียบไวพรอมดวยตนเองกระทําหนาท่ีคอยปฏิบัติ คอยสังเกตวาสามีชอบรสอาหารชนิดใด จักไดกําหนดไวประกอบใหถกู ความประสงคในโอกาสหนาสืบไป๔๕ ๔๕เรอ่ื งเดยี วกนั .
๕๘ เร่ืองการปฏิบัติสมัยนี้ ผูชายก็หาไดแพหรือเอาเปรียบผูหญิงแตฝายเดียวไม ยอมกระทําปฏิบัติใหแกผูหญิงไดดีเทา ๆ กัน เวลามีกิจธุระจะตองไป ณ ที่ใด ก็จัดเครื่องแตงกายและส่ังพาหนะใหตามควรแกการ การแตงกายสําหรับ ผูชายแมจะไมสูมีเรื่องจุกจิกพิถีพิถันอะไรมากมายก็จริง แตเพ่ือความสะดวก จึงควรเอาใจใส ชวยเหลือจนสําเร็จเรียบรอยตลอดไป ตอนวางงาน เมื่อไดพกั ผอ นพอแกค วามตองการแลวกค็ วรระลกึ ถงึ งานเล็ก ๆ นอ ย ๆ ท่คี วรจะคยุ เขยี่ ตอไป เชน เส้ือผา และของอื่น ๆ จะตองบริหารใหแลดูใหมอยูเสมอ ยิ่งที่นอนแลวเปนตองเวนไมไดเสียทีเดียว ส่ิงใดควรตากควรซักก็เอาออกตากออกซักแลวปูปกใหสะอาด แลวคลุมไวเพื่อกันฝุนละอองไมใหปลิวจับไดถาเวลายังมีวางจะยกใหเปนสวนของงานเย็บปกถังรอยตอไปก็ควร เชนเสื้อช้ันในหรือถุงเทา แมขาดเพียงเล็กนอย ถารีบชุนหรือเย็บเสียก็คงใชไดไปอีกนาน น้ีเปนการประหยัดทรัพยอันจะตองถูกควักออกมาซื้อจายไดอีกสวนหนึ่ง เวนแตของที่ชํารุดมากจนเกินแกที่จะเยียวยาเอามาซอมเขาจะกลับแลหนาเกลียดแลวก็ไมควรทํา ของใชทุกอยาง ควรจัดไวเปนระเบียบแลดูงามตา ไมกาวกายปะปนกันจนเกะกะ ถึงคราวตองการใชก็ไมตองไปเท่ียวหาท่ีอื่นใหเสียเวลาตรงไปยังหมวดหมูของมันทีเดียวก็หยิบไดทันทีขอสําคัญเมื่อใชการเสร็จแลวนําเขาเก็บเสียยังที่เดิมทุกคราวไป จัดไดดังน้ีจะทําใหงานนอยและสะดวกขึ้นอีกมาก การทําท่ีไหนทิ้งท่ีน่ันนั้นเปนส่ิงไมควรประพฤติ นอกจากจะทําใหรกบานตองคอยเก็บเข่ียกันไมรูจักจบแลว ยังมีเร่ืองที่จะแตกหักเสียหายชุลมุนตอไปลงทายก็วนไปเขาขีดจะตองจายทรัพยไมรูที่สิ้นสุด ถาพูดถึงโภคกิจก็เปนส่ิงที่นาคิดอยูวา งานเก็บเล็กประสมนอยทํานองน้ีแมหมั่นคุยเข่ีย ไมละเลยใหเปนไปตามยถากรรม โดยเห็นเปนของเล็กนอยแลว จะประหยดั รายจายไดปล ะมากๆ ทเี ดียว อันของนอยแมส ะสมอยเู สมอ ๆ ก็มากข้ึนได เชนปลวกขนดินมาทํารังไดท้ังสูงท้ังใหญนั้น มันหาบคอนไดเหมือนคนเม่ือไร ปลวกตัวหนึ่งจะคาบดินไดราวเม็ดงาเดียวเทานั้น ยังสามารถทํารังไดโต ๆ เขาบทที่วา ของมากมาจากของนอยฉะน้ัน ธรรมดาผูกลับจากทํางานเหน็ดเหนื่อยมา ใจคอมักไมไดเบิกบาน จึงควรตอนรับดวยอาการย้ิมแยมกระวีกระวาดการย้มิ แยมเปน โอสถทศ่ี ักด์สิ ทิ ธิข์ นานหน่งึ แมจ ะมีอาการหิว้ โหยออนเพลยี มาเมอื่ ไดเ ห็นดวงหนา อนัแสดงมิตรภาพปรากฏอยูเชนนั้น ความออนเพลียก็จะเปล่ียนเปนสดชื่นข้ึนทันที เม่ือไดชวยในเรื่องเปล่ียนเคร่ืองแตงกายและจัดใหอาบนํ้าเรียบรอยแลว ก็ดําเนินเรื่องอาหารสืบไปตามสมควรแกเวลานั้น ๆ พอไดรับประทานและพักผอนเสียเล็กนอยแลวก็มีความสุข เวลารับประทานหารก็ดี พักผอนอารมณก็ดี ควรนําแตเรื่องที่เจริญใจมาสนทนา เวลาสามีมีทุกข ภรรยาก็ฉลาดหาอุบายพูดกลอมใจหรือชวยบอกความคิดบําบัดขอขัดของเหลานั้นใหบรรเทาลง ความทุกขที่รุนแรง ถาไมคิดแกไขใหเบาลงเสียบา ง จะเปน ชนวนนําเขาสูความหายนะไดงาย สําหรับผูหยอนสติดวยแลวก็ยิ่งเร็วทีเดียว ในอันจะว่ิงเขาสูกรอบของอบายมุข มีสุราเปนตัวการจูงไปสงใหเปนเหย่ือของความเส่ือมอื่น ๆ ในพวกของมัน ท้ังนี้ก็เพราะไปหลงวา ส่ิงเหลาน้ันจะเปนเคร่ืองบรรเทาทุกขของตนได ท่ีแทก็ตรงกันขาม
๕๙น่นั ก็คือ ปากชองแหงความพนิ าศตางหาก ทั้งนี้ก็เหตุแหงความระทมทุกขนั่นเอง กระทําใหมืดมนหมดสติ เขาทํานองเห็นกงจักรเปนดอกบัว หาเปนอุบายท่ีดีไดไม สวนการจัดหาสถานที่หรืออาหารตามท่ีกลาว ก็ควรใหถูกหลักอนามัย ๆ เปนอยางไรควรตรวจดูในตําราแพทย “สุขวิทยา” ถามีเรื่องเจบ็ ไขเกิดข้ึนแกส ามี แมอาการเพียงเลก็ นอ ยก็ควรหาหยูกยาบําบัดเสีย โรคก็จะไดไมกําเริบตอไป แตการใหยาจะตองรูจักลักษณะของไขใหแนนอนเสียกอน ถาเปนไขชนิดท่ีเคยพยาบาลเคยใหยามาแลวจึงคอยทําตามเคย แมอาการผิดแปลกจากท่ีท่ีเคยเปนแลว อยาพึงใหยาเองเปนอันขาด ควรจัดใหเปนหนาท่ีของแพทยรักษาพยาบาลตอไป สวนหนาที่ ๆ ภรรยาจะพึงปฏิบัติก็คือ ควบคุมการพยาบาลท้ังปวง ฟงคําสั่งของแพทยในเร่ืองท่ีจะใหอาหารและอื่น ๆ การพยาบาลไขหนักจะตองจดรายงานอาการของคนไขท ุกระยะไวใหแ พทยด ูเสมอ ส่ิงทผี่ พู ยาบาลพึงปฏบิ ตั ิ แมแ พทยจะยงั ไมทันสัง่ ใหทําก็ตามที แตเมื่อทําเขาแลวคงไมผิด สิ่งน้ันคือ ความสะอาด ไมนิยมวาจะเปนของบริโภคหรือส่ิงใด ๆสดุ แตเ กย่ี วเปน ของสําหรับคนไขแลว จกั ตองทําใหสะอาดหมดจดทุกอยาง อน่ึง ธรรมดาคนไขมักใจนอย จูจ้ีจุกจิก ถาปฏิบัติไมถูกความประสงค ก็บนกระปอดกระแปดจนถงึ กลา วคาํ รนุ แรง เปนท่ีระคายโสดและนารําคาญ ผูพยาบาลแมไมถึงพรอมดวยขนั ติ มีเมตตากรณุ าเปน บทนํา หรือกตัญูกตเวทีเปนมั่นคงอยูแลว ก็นาหลีกใหพนอํานาจแหงปฏิฆะไดยาก ถาไมใชความอดทนเขาชวยตานทานดวยแลว จะรูสึกขาดหลักสําคัญของผูพยาบาลไปมากทีเดียว พนจากนี้ไปก็ยังคงมีส่ิงที่กระทําใหหนักอกหนักใจอยูเร่ืองหนึ่ง คือ อาหาร ซ่ึงบางไขแพทยอาจหามอาหารหยาบ นอกจากสิ่งท่ีเปนน้ําลวน ๆ เชน นํ้าตมเน้ือสัตว (ซุบ) และของอ่ืนท่ีเปนนํ้าเชนกัน ส่ิงอื่นนอกจากท่ีกลาวนี้แลวเปนเขาอยูในขีดท่ีตองหามทั้งสิ้น ท่ีสุดช้ันแตขาวตม ก็ยังไมยอมผอนให แมส่ิงที่ยอมแลวยังถูกจํากัดใหแตเพียงเทานั้น เทาน้ีตอไปอีก ฝายขางคนไขปกติก็เปนคนใจนอยอยูแลว เมื่อมาถูกบังคับเขาเชนน้ัน ประกอบดวยความหิวโหยเปนกําลัง ก็ผูกใจขัดแคน ตั้งวิวาทกับผูพยาบาลเรื่อยไป ไขที่ตองการอาหาร ถาไมมีอาหารสงใหพอแกความตองการ ก็ยิ่งทวีความยากความหิวยิ่งข้ึน ออนวอนขอส่ิงโนนก็ไมสมประสงค สิ่งนี้ก็ไรผล ประหน่ึงวาผูพยาบาลมีใจเห้ียมโหดหมดความเมตตาปราณีเอาเสียที แมผูน้ันไมมีใจหนักแนพอก็ถึงตองจํานน ดวยความกรุณาสงสารจะทนมองดูหนา ผากทตี่ กอยูใ นหวงแหงทกุ ขอ ยกู ระไรได ยังมีไขอีกจําพวกหน่ึง มีอาการตรงขามกับที่กลาว คือที่แพทยไมไดหามอาหารกวดขันอะไรนัก ซ่ึงคนไขเบื่อเสียเอง นี้ก็กระทําความลําบากใหแกผูพยาบาลไมนอยเหมือนกัน คราวน้ีผูพยาบาลกลับตองออนวอนใหรับประทาน สิ่งโนนดีก็แลว สิ่งนี้ดีก็แลว ก็คงไดรับตอบแตเพียงส่ันศรีษะเร่ือยไป จนผูถามหมดปญญา ถึงตองใชอุบายพูดตาง ๆ นานา ก็ยังไมคอยสําเร็จ จึงคงตองตกเปนเรื่องลําบากทั้งขึ้นท้ังลอง ความจริงไขจําพวกหลัง ถาผูปวยไมเบ่ือเสียเองแลว อาหารก็กลับมีประโยชนเทา ๆ กับยาหรือย่ิงกวาดวยซํ้าไป ผูพยาบาลท่ีมีไหวพริบตองเปนผูรูจักใจคนไข ฉลาดหา
๖๐อุบายพูดปลอบโยนคนไขใหเช่ือถือและปฏิบัติตาม จึงนับไดวาเปนผูบริหารการยังใหผลเกิดสมแกหนาท่ี ทั้งชวยกําลังแพทยไดเปนอยางดีดวย สวนหนาท่ีปกครองบังคับบัญชาผูคนบาวไพร ใหเปนระเบียบอยใู นถอยคาํ น้ัน ตองอาศยั ความเมตตาปราณี เอื้อเฟอ เผื่อแผ พรอ มท้งั ความเทยี่ งทาํ เปนเคร่ืองผกู ใจ ดงั จะกลาวในทศิ เบ้ืองตา่ํ สบื ไป อนึ่ง งานที่เกี่ยวกบั เคร่ืองอุปกรณความสุข ก็ควรดูแลใหกิจการดํารงอยูตามระเบียบท้ังภายในบานและนอกบาน ไมใหพิการเสียโดยเหตุไมบังควร (ภายในไดแกสมบัตใิ นบา น ภายนอกไดแกส งิ่ ที่เปนผลประโยชนรายได เชน เรือกสวนไรนา บานเรือนตึกแพ ท่ีใหเชา และลูกหนเ้ี ปนตน) จริงอยูสมัยกอ น หนาทบ่ี รหิ ารการบานเรือนเปนสวนผูชายรับผิดชอบฝายเดียว งานเบ็ดเตล็ดเล็ก ๆ นอย ๆ จึงยกใหเปนหนาท่ีของผูหญิง ผูหญิงจึงไมจําเปนตองเรียนรูการงานอันเปนสวนของผูชายเลย โดยเหตุเปนผูออนแอ แตสมัยนี้ “ผูหญิงมีความรูและความสามารถในศิลปะเทา ๆ กับผูชายแทบทุกอยางแลว แมผูชายมีธุรการงานพิเศษออกไป ไมคอยมีเวลาอยูบานมากนัก งานของบานฝายภรรยาจึงตองเขาจัดใหดําเนินอยูเ สมอ ไมตองหยดุ ชะงกั ” ๔๖ ขอท่ี ๒ ภรรยาอนุเคราะหสามี ดวยการสงเคราะหคนขางเคียงผัวใหดี ซ่ึงพระอรรถกถาจารยอธบิ ายไววา ไดแ กส งเคราะหญ าตขิ องสามี และญาติของตนใหดี ดวยการยอยองนับถือ และดวยการสงส่ิงของไปให เชน สงขาว สงแกงเปนตน ตามสมควรแกฐานะของตนน้ัน และธรรมดาหญิงแมบานแมเรือนตองรูจักใกลรูจักไกล รูจักที่ควรเผื่อแผ และไมควรเผ่ือแผ รูจักต่ํา รูจักสูงจึงจักไดเพราะเหตุวาแมเรือนนั้น ยอมมีคนเก่ียวของท้ังขางซายขางขวา ขางหนา ขางหลัง ขางลาง ขางบน อยูทุกดาน แลวคนที่เก่ียวของขางซายน้ัน ไดแก ญาติมิตรสหายตน และสามี คนท่ีเกี่ยวของขวาน้ันไดแก ครูอาจารยของสามีและของตน คนที่เก่ียวของดานหลังนั้น ไดแก บุตรธิดาของตน คนที่เก่ียวของขางหนานั้น ไดแก มารดาบิดาของสามีและของตน คนท่ีเกี่ยวของขางบนไดแก สมณพราหมณ คือ พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา คนท่ีเกี่ยวของขางลางนั้น ไดแก บาวไพรคนใชของตน หญิงผูเปนแมเรือนจักตองสงเคราะหคนเหลานี้ใหดี ดวยการยกยองนับถือ และดวยการสงสงิ่ ของไปใหตามสมควรแกฐ านะของตน คอื ใหยกยองนับถือ บิดามารดา ปู ยา ตา ยาย ลุง ปา นา อาทง้ั ของสามแี ละของตนใหค ลา ยกัน ถาไมอ ยางนน้ั ก็จะเกิดผดิ ใจกับสามีเปน ขอใหญ เปนตน ขอท่ี ๓ ภรรยาอนุเคราะหสามี ดวยไมนอกใจสามีนั้น พระอรรถกถาจารยอธิบายไววาไดแ กการไมล ะสามขี องตนไปปรารถนาบรุ ษุ อ่ืนแมด วยใจน้นั อธบิ ายวา ผูท่เี ปน ภรรยาไมควรนอกใจ ๔๖พระยาศรีราชอักษร( มา กาญจนาคม ), อธิบายคหิ ปิ ฏิบตั ิ (ทิศวภิ าค), อางแลว, หนา๗๐-๗๗.
๖๑สามี แมดวยใจคือ แมเพียงแตใจก็ไมควรท่ีจะคิดละสามีของตน ไปรวมรักกับบุรุษอ่ืน อยาวาแตนอกใจดวยกาย วาจา เลย เพราะเหตุไรพระพุทธองคจึงทรงส่ังสอนอยางนี้ เพราะเหตุวา ความผิดอันนี้เปนความผิดอันใหญหลวงของหญิงท้ังหลาย เปนความช่ัวชาเลวทรามอันใหญหลวงของหญิงทั้งหลาย ดวยวา หญิงคนใด แมแตเพียงคิดจะนอกใจสามีเทานั้น ถึงยังไมนอกใจสามีก็ตามพระพุทธเจาก็ทรงตรัสวา เปนการนอกใจสามีแลว คือ เปนการนอกใจดวยใจ ไมใชเปนการนอกใจดว ยกาย วาจา ซึง่ กาย วาจา ใจ ท้งั หมดของหญงิ ที่เปนภรรยาของบตุ รน้นั ยอมเปนของบุรุษผเู ปน สามีท้ังส้ิน เพราะฉะนั้น เมื่อหญิงผูเปนภรรยาไปลอบรักกับบุรุษอื่น จึงเปนกาเมสุมิจฉาจาร เพราะเหตุวาเปนการลักขโมย รา งกาย จติ ใจของตนไปใหแ กผ อู ื่นซึง่ ไมใชเ จา ของเปนตน โทษของการนอกใจสามีนั้น ยอ มทาํ ใหทุกขใจ ไดรับความติฉินนินทาจากชาว ถูกฟองหาตามกฎหมาย ทําใหเสียนิสัยสตรี คือหญิงใดนอกใจสามีแลว บุตรีของหญิงนั้นก็จักนอกใจสามีตามกัน ตกไปถึงช่ัวหลาน เหลน ล้ือ ก็จักตองเหมือนกัน และโทษในชาติหนาก็จักตองตกนรกฉิมพลี และโลหกุมภีนรก อันเต็มไปดวยสัตวนรก ปนตนง้ิวหนาม มีแรงปากเหล็ก กาปากเหล็กตัวเทาชางสาร คอยจิก ท้ังตนงิ้วนั้นก็สูงตนละรอยโยชนเปนประมาณ จากน้ันก็ถูกจับเทียมรถวิ่งไปบนแผนทองแดง และยังถูกจับโยนลงในหมอทองแดงท่ีเดือดพลาน ลึกไดรอยโยชน พนจากสัตวนรกก็ตองมาเกิดเปนเปรต ยังตองมาเกิดเปนสัตวดิรัจฉาน มีเกิดเปนสุนัขบาน สุนักปาเปนตน จากน้ันก็มาเกิดเปนคนช่ัวชาสามานย ยากจนเข็ญใจ มีเวรภัยขา ศกึ ศตั รูเปนอันมาก ทง้ั เกดิ เปนคนกะเทยอีกหลายสิบชาติเปนตน ขอท่ี ๔ ภรรยาอนุเคราะหสามี ดวยรักษาทรัพยท่ีสามีหามาได คือ ตองรูจักดูแลรักษาเงินทองบรรดาทอ่ี ยใู นบานแทนสามีใหถ ่ถี ว น อยาใหตกเรยี่ เสียหายโดยทางไมจําเปน เปนอันขาด อยาทําเปนคนกนถุงรั่ว คอยลักทรัพยของผัวไปใหแกคนอ่ืน หรือไปเลนการพนัน กินเหลาเมาสุราเปนอันขาด เพราะทรัพยส นิ นนั้ เปน ของสามีและบุตรหลานท้ังนนั้ ๔๗ ของมีราคาตั้งแตสตางคเดียวข้ึนไป ช่ือวาทรัพยทั้งสิ้น การดูแลรักษาก็ปฏิบัติตามประเภทของส่ิงนั้น ๆ คือไมใหเส่ือมเสียไปในเหตุอันไมบังควร ย่ิงของที่มีราคามากก็ย่ิงควรรักษาไวในท่ีม่ันคงพนอันตรายทั้งปวง แตถาเปนทรัพยท่ีจักทําประโยชนใหงอกงามตอไปอีกได ก็ไมควรเก็บนิ่งไวก ับบานเฉย ๆ ซึ่งไมเ พยี งแตจะทาํ ใหข าดประโยชนทีค่ วรจะไดอ ยางเดียว ยังเปนส่ิงยั่วผูรายใหปองอีกดวย ทางดีควรนําออกทําประโยชน ใหมสี วนเปน รายไดง อกงามไปอกี โดยมหี ลกั ฐานเปนท่เี ชอ่ื ไดเชนรับจํานําท่ีดินหรือเรือกสวนไรนาเปนตน เพราะสิ่งเหลาน้ีไมตองกังวลหวงวาโจรจะลวงลัก หรือไฟจักไหมเหมือนของอื่น ๆ แตหากทําเชนน้ันไมไดเพราะทุนนอย ก็ควรแสวงหาสิ่งที่พอเหมาะแก ๔๗เรื่องเดียวกัน.
๖๒ทุนที่มีอยู ขอสําคัญจะทําอะไรที่เก่ียวดวยบุคคลแลว ควรนึกถึงการลอลวงไวบาง ถาประสงคเพียงความปลอดภัย การฝากคลังออมสิน ไดยินวาม่ันคงดี เพราะเปนของรัฐบาล แทจริงศัตรูสําคัญของทรัพยที่หาวิธีปองกันไดยาก คือตัวของเราเอง ถาเราตั้งกองบําเพ็ญในอันท่ีจะใหหมดเปลืองไปฝายเดียว ไมยับยั้งคิดถึงกาลขางหนาขางหลังใหรอบครอบกอนแลว การรักษาตอใหล่ันกุญแจต้ังรอยชั้นก็หนีภัยชนิดนี้หาไดไม ความยั้งคิดในเรื่องใชทรัพยใหเปนประโยชนนั้น ถาผูมีหนาที่ปกครองบานเรือนหม่ันเอาใจใสอยูเสมอๆ ก็จักผานพนเครื่องเดือดรอนอันจะพึงมีมาสูตนและครอบครัว กับท้ังทารกซ่ึงจะอุปบัติข้ึนในกาลขางหนา หากมาประสพเวลาขัดสนยากจนเขา ก็เปนสภาพที่นาสังเวชอยา งยิ่ง ฉะนั้นจึงควรระวังการจายอยาใหเพลิดเพลินจนเกินรายไดบอยนัก จะเกิดลําบากข้ึนภายหลัง ในเม่ือไมมีที่จะหยิบฉวย อบายมุขที่กลาวไวขางตนก็เปนศัตรูสําคัญของทรัพยอยางมากมาย ถาคิดหลีกเล่ียงเสียใหไกลจักเปนผลดี คําวารักษาทรัพยในที่นี้ประสงคแตเพียงรักษาเพื่อปลอดภัยอยางเดียว ในกิจการท้ังปวงที่กระทําเพื่อออมทรัพยดังกลาวมาแลว ก็เปนอันรักษาดวยเหมือนกัน การประหยัดรายจายใหพอดีนั้นแล เปนของควรเอาใจใสแท แตสําหรับผูไมเคยประพฤติมาแตเดิมแลวก็ทํายากอยู เพราะอาย, กลัวเขาจะวาใจคับแคบบาง, ตระหน่ีเหน่ียวแนนคิดเล็กคิดนอยบาง เลยทําไมไดเอาเสียที การฝกตนเชนนี้มาเสียจนเคย กระทั่งสตางคไมมีจะติดตัวแลว ก็ยังไมคิดเปลยี่ นใหตรงกับสภาพของตน เชน น้ี เรียกกนั วา “จมไมล ง” แตผ ทู ่ีกลวั ความเสือ่ มจักตอ งประหยดั ไดเชนสิ่งใดมีอยูแลวยังไมควรจายเพิ่มเติม ก็ไมพยายามจาย เพราะถาเปนของท่ีเสียไดงาย หรือ ไมมีท่ีเกบ็ ใหส มควร ของก็จักเสียไปโดยไมไดรับประโยชนอะไร มีสุภาษิตสอนใหรูจักการประหยัดอยูบทหน่ึง ซึ่งทราบกันอยูดาษดื่น แตเห็นวาผูท่ียังไมทราบก็คงยังมี ทั้งเปนคําสอนท่ีนาฟงมาก จึงนํามาลงไวเฉพาะท่ีตองการดังนี้ มีสลึงพึงบรรจบใหครบบาท อยาใหขาดเพราะเปนของตองประสงค มีนอยกนิ นอยคอ ยบรรจง อยา จา ยลงใหม ากจะยากนาน ไมควรซ้อื ก็อยาไปพิไรซ้ือ ใหเปนมื้อเปนคราวท้ังคาวหวาน นี้เปนคําสอนที่นาเอาใจใสอยู เพราะการจายเพลินโดย ไมเหลียวแลถึงความหมดเปลืองบางแลว ภายหลังจะลําบาก ท่ีถูกควรถือความจําเปนเปนสําคัญ ไมควรถือเอาความอยากเปนใหญแทจ รงิ ถาเปนของท่ีตองใชอยูเสมอ ทั้งเก็บไวนานไดดวยแลว ก็ไมควรซื้อยอยเหมือนกัน เพราะการซ้ือคราวละเล็กละนอยมักแพงกวา ท่ีซื้อคราวละมาก ๆ ทีซ่ ือ้ มาก็เพ่ือตองการใหถูกลง แมผูขายจักไดกําไรนอยหนอยก็ยินดีขาย เม่ือรวมทุนซ้ือสินคามาข้ึนรานใหม ถือวาเปนสิบเบ้ียใกลมือ อนึ่ง“กอ นจะออกจาย ควรตรวจของท่ีมีอยใู หร ูว า สง่ิ ใดหมดสง่ิ ใดยงั อยมู ากนอ ยเทา ไร จักตองจายเพิ่มเติมอีกหรือไม เม่ือทราบจํานวนของท่ีมีอยูเสียกอนแลวจะไดกะจายใหพอเหมาะแกความตองการ ไมใหเกินจนตองเหลือทิ้งเนาเฟอะ หรือไมขาดจนตองวิ่งซื้อเพ่ิมเติมเปนที่เสียเวลาท่ีกลาวมาเพื่อใหรูจักคํา
๖๓วา พอด”ี ๔๘ ลําดับตอไป จะนําบททิฏฐธัมมิกประโยชน ๔ อยางมาลงไว เพื่อเปนเคร่ืองอุปกรณในการรกั ษาทรพั ยใ หม่นั คงยิง่ ขึ้น ทฏิ ฐธัมมิกประโยชน คือประโยชนในปจจุบัน, ประโยชนสุขสามัญท่ีมองเห็นกันในชาตินี้ท่คี นทัว่ ไปปรารถนา มที รัพย, ยศ, เกยี รต,ิ ไมตรี อันจะสําเร็จดวยธรรม ๔ ประการ คือ ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พรอ มดว ยความหมนั่ ๒. อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ มดว ยการรักษา ๓. กัลยานมติ ตตา ความมเี พ่อื นเปนคนดี ๔. สมชวี ติ า การเล้ียงชีวิตตามกําลังสมควรแกทรัพยที่หาไดถึงพรอมดวยความหมั่น๔๙ เปนตน ในการประกอบกิจเครื่องเลี้ยงชีวิตก็ดี, ในการศึกษาเลาเรียนก็ดี, ในการทําธุระหนาท่ีของตนก็ดี,๓ อยาง นี้เปนปฏิปกษแกการเกียจคราน ๖ สถานตามที่กลาวมาแลวขางตนอยูซึ่งจะตองงดเวนไมเหลยี วแลเสยี ทเี ดยี ว ถึงพรอ มดวยการรกั ษา, คอื รักษาทรัพยท่ีแสวงหามาไดดวยความหม่ัน ไมใหเปนอนั ตรายกด็ ,ี รักษาการงานของตนไมใ หเ สอื่ มเสียไปก็ดี การรักษาทรัพยไมใหเปน อันตรายดว ยเหตุไมบงั ควรมปี ระโยชนเพยี งไร ยอมทราบกันดอี ยแู ลว และวธิ ีรักษาก็ปฏบิ ัติตามทีก่ ลา วไวใ นเบอื้ งตน สวนลักษณะการบริหารงานไมใหเส่ือมน้ัน จักตองประกอบดวยกําลังใจผูกพันอยูแตในงานของตน ไมเกียจครานเห็นแกสนุกสนานเพลิดเพลินจนเสียงานเสียการ ระวังรักษาระเบียบของงานทที่ ําใหเรียบรอยอยเู สมอ แทจ รงิ การงานก็คือที่เกิดแหงทรพั ยนัน้ เอง เม่อื รักษาการงานใหเ จรญิ อยูไดแลว ก็บรรลุซ่ึงความสมบูรณ ความขยันเปนเคร่ืองอุปถัมภการงาน การงานเปนบอเกิดแหงลาภและยศน้ันเอง ความมีเพื่อนเปนคนดี, ไมคบคนชั่ว การคบคนดีนับเปนสงาราศีแกตน เหมือนเดินไปทางท่ีเตียนราบรื่น ไมรกชัฏดวยขวากหนาม ถากลาวถึงประโยชน อยางนอยก็ชวยเปนธุระใหเปนท่ีเบาใจเบาแรงได แมสูงขึ้นไปอีกก็เขาหลักมิตรแท ตาม ภาษิตท่ีวา “คบคนดีมีศรีแกตัว คบคนช่ัวปราชัย” นเี้ ปน ของไมควรลมื การเลีย้ งชีวติ ตามกาํ ลงั ทรัพยทีห่ าได ไมใหฝด เคอื งนัก ไมใ หฟ ูมฟายนัก,ขอนี้ ความกินกับที่กลาวมาแลว แตหากตอนนี้พูดถึงการเล้ียงชีวิตโดยตรง จึงควรกลาวไวยอ ๆ พอประกอบกับตัวบท เปน ตนวา ๔๘เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา ๗๙-๘๒. ๔๙พระธรรมปฎก(ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุธทศาสตรฉบับประมวลศัพท, พิมพครั้งท่ี๙, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓), หนา ๙๕.
๖๔ เราหาไดพอสมควรแกการใชแ ตเ พียงของอยา งกลาง เชน อาหารควรเพียงแตช้ัน ปลาและหมู หรือสง่ิ อนื่ ท่เี ปนชั้นเดยี วกนั ได ก็ไมค วรเอ้ือมไปถงึ นก, รังนก, หรอื หู ปลาฉลามตอไป จําพวกเครื่องแตงกายหรือของอยางอ่ืนก็เชนกัน ท่ีไมแพงและ แลดูสะอาดตาเทา ๆ กับของแพงก็มีถมไป ไมควรจะด้ินรนเท่ียวแสหาของแพงมา ใชใหเปลือง และไดรับผลเทา ๆ กันนั้นเลย น้ีพูดสําหรับผูมีฐานะอยางกลาง ขอ ใหญใ จความกใ็ หร ูจักประมาณวา ตนตกอยใู นฐานะใด จะควรใชแคไหนเทาน้ัน ถา ใชเกินตัวไป ก็นําใหเดือดรอนภายหลัง แตถาประหยัดจนถึงฝดเคือง ก็หมด ความสุข ชวนใหเกิดเดือดรอนข้ึนไดดุจกัน ถารูจักผอนผันเอาเกณฑพอดีเปน เคร่ืองวัด ดังกลาวมาขางตนแลวไซร ก็พนจากความลําบากอันจะอุบัติข้ึนภายหนา ได๕๐ ขอ ที่ ๕ ภรรยาอนเุ คราะหส ามี ดว ยขยนั ไมเกยี จครา นในการงานทง้ั ปวง น้นั คือ อยา นง่ั ไหนจมอยูท่ีนั่น หรือยืนอยูท่ีไหนก็ยืนอยูท่ีน่ัน เหมือนกับหญิงเกียจครานทั้งหลาย ใหทําการงานทั้งปวงดวยความอุสาหะพยายาม ผูมีนิสัยไมเกียจครานดังนี้ โดยมากมักเปนคนกลัวตอหายนะ จึงทําใหเปนคนหม่ันเอาใจใสในธุรการงานของตน ตามในบททิฏฐธัมมิกประโยชนท่ีกลาวขางตน โดยเห็นส่ิงใดจะเปน ประโยชน กอ็ ตุ สาหต ้ังความเพียรประกอบส่ิงน้ันจนบรรลุ ส่ิงควรทําวันเดียวสําเร็จ ไมยอมใหเสียหายไปเพราะความเกียจครานเปนอันขาด พูดใหถูกก็คือ เปนคนท่ีมีใจเพลิดเพลินในกิจการงานของตน ไมถ ือเอาความเหน่อื ยยากมาเปน ขออา ง ดงั นเี้ ปนตน ขอปฏบิ ตั ิของชีวติ ครอบครวั “ชีวิตครอบครัวเปนชีวิตที่เกี่ยวกับผูอื่นเพ่ิมข้ึนเปนทวีคูณ การจะทําพูดคิดเร่ืองใด ๆ อยางนอยท่ีสุดก็เก่ียวของกับคนอื่นขึ้นมาอีกคนหน่ึง คือสามีหรือภริยา เคยมีบิดามารดา ๒ คนก็เพ่ิมข้ึนเปน ๔ คน ญาติพนี่ อ งก็เพ่มิ ข้นึ เปนทวีคูณทั้งสน้ิ ” ๕๑ดงั นั้น การประพฤติจริยธรรมทางสังคมก็เพ่ิมข้ึนเปนทวีคูณเชนเดียวกัน การไมเพ่ิมการประพฤติจริยธรรมทางสังคมใหเปนทวีคูณยอมไมเปนการถกู ตอ งทงั้ สิ้น โดยเฉพาะอยา ง การดาํ รงชวี ติ ครอบครวั อยูฝา ยใดฝา ยหนงึ่ จาํ เปน ตองมหี ลักการปฏิบัติอยางเหมาะสม ธนัญชัยเศรษฐีบิดาของนางวิสาขา ไดกลาวโอวาทนางวิสาขากอนสงตัวไปอยูในครอบครัวฝายบดิ าสามี ปรากฏเปนหลักปฏบิ ตั ิสืบกนั มาเรยี กวา ธนญั ชโยวาท ๑๐ ประการ คือ ๑. ไฟในอยา นําออก คอื อยา นาํ โทษในบานไปเปดเผยนอกบาน ๕๐พระยาศรีราชอักษร (มา กาญจนาคม ), อธบิ ายคหิ ิปฏบิ ัติ (ทศิ วิภาค), อางแลว , หนา ๘๓-๘๕. ๕๑มหาวิทยาลยั รามคําแหง, พทุ ธปรชั ญาเบือ้ งตน, อา งแลว , หนา ๑๖๕.
๖๕ ๒. ไฟนอกอยา นําเขา คืออยา นํา คํานนิ ทานอกบานมาเปด เผยในบา น ๓. ควรใหแกผ ูท ใ่ี ห คือใครยมื สงิ่ ของไปใชแลว นาํ มาคืน ควรใหย มื อีกได ๔. ไมควรใหแ กผไู มให คอื ใครยมื สงิ่ ของแลว ไมค ืน มายืมอีกไมควรให ๕. เขาใหห รอื ไมใ หก็ควรให คอื ญาตขิ องฝา ยท่ยี ากจนมาขอทีพ่ ่งึ ควรชว ยเหลอื ๖. จงนง่ั ใหเปนสุข หมายความวา เม่ือบิดามารดาของสามีหรือสามีทําการใด ๆ อยู ไมควรนงั่ เฉย เมื่อบุคคลเหลาน้นั หยดุ จงึ คอ ยนั่ง ๗. จงบริโภคใหเปนสุข หมายความวา ไมบริโภคเพียงผูเดียว ตองดูแลใหบิดา มารดา สามีไดบรโิ ภค ๘. จงนอนใหเปนสุข หมายความวา ถือหลักต่ืนกอน นอนทีหลัง จัดการ ทุกอยางใหเรียบรอยแลวจึงนอน ๙. พึงบูชาไฟ หมายความวา ปฏิบัติตนดวยความเคารพยําเกรง ในบิดามารดาของสามีและสามี เชนเดียวกบั ปฏิบัตกิ บั ไฟ โดยวธิ ีไมใหเกดิ อันตราย ๑๐. พงึ นมสั การกราบไหวเทวดาประจําเรือน หมายความวา พึงเคารพกราบไหวบิดามารดาทต่ี นอยูในครอบครวั เสมือนเปนเทวดาประจาํ บาน๕๒ ปญ หาความแตกราวในครอบครวั ครอบครัวนับวาเปนสถาบันมูลฐานของสังคม สมาชิกของสังคมทุกคน ก็ถือกําเนิดเกิดกอจากแตละครอบครัวน่ันเอง และสภาพแวดลอมท่ีใกลตัวมากที่สุด ถาสัมพันธภาพ หรือสภาพครอบครัวดี ไมพิการ หรือแตกราวปญหาทางสังคมอื่น ๆ เชน การหยาราง คนจรจัด หรือโสเภณีศีลธรรมเส่ือมเปนตน ซ่ึงเปนปญหาสังคมท่ีจะสงผลกระทบตอสังคมโดยสวนรวมจะไมเกิดข้ึนเพราะฉะนั้นปญหาความแตกราวในครอบครัว จึงนับวาเปนปญหาสังคมท่ีสําคัญมากท่ีจะตองไดรับการแกไขจากหลาย ๆ ฝาย โดยรวดเร็วและถูกตองเพ่ือผลประโยชนตอการอยูรวมกันของครอบครัวและสงั คมโดยสวนรวม สาเหตุท่ีเกิดการแตกราวทางครอบครัว อาจจะมาจากสาเหตุหลายอยาง เชน สาเหตุทางเศรษฐกิจบาง สุขภาพอนามัยบาง ส่ิงแวดลอมบาง และสาเหตุที่สําคัญท่ีสุดก็คือ การบกพรองในหนาท่ีของบุคคล ไมคนใดก็คนหนึ่งหรือเกิดบกพรองพอ ๆ กัน สาเหตุเหลาน้ีหนาจะเปนบทเรียนสําหรับผูจะมีชีวิตครอบครัว ควรจะไดพิจารณาขอคิดบางประการกอนจะตัดสินใจแตงงาน กลาวคือทั้งฝายชายและหญิง จะตองมีความรักความเขาใจซ่ึงกันและกัน จะตองมีความมั่นใจในทางการเงินจะตองพรอมท่จี ะอดทนในการเผชญิ ตอ ความยุงยากอันจะพึงมีขึ้น จะตองไมมีปญหาในเร่ืองสถานท่ี ๕๒เรอ่ื งเดียวกัน, หนา ๑๖๖.
๖๖อยูหรือบานพัก ท้ังสองฝายจะตองแสดงความจริงใจตอกัน จะตองมีความสมบูรณแหงสุขภาพและการสนองความตองการทางเพศ ท้ังน้ีปญหาท่ีจะนําไปสูการแตกราวในครอบครัวโดยเฉพาะการหยารางอนั เกดิ จากทางฝา ยสามี ทางพุทธศาสนาไดก ลา วไวใ น สงั ขปตตชาดกวา มี ๘ อยาง คือ ๑. สามีเปนคนเข็ญใจ ๒. สามเี ปนคนข้โี รค ๓. สามีเปนคนแก ๔. สามเี ปนคนขเ้ี มา ๕. สามเี ปนคนโฉดเขลา ๖. สามเี ปน คนเพกิ เฉย ๗. สามีไมเปนคนทาํ มาหากนิ ๘. สามีหาทรพั ยม าเล้ยี งดไู มได ๕๓ เพราะฉะน้ัน ฝายหญิงกอนจะตัดสินใจแตงงานกับชายใดจะตองพิจารณาคัดเลือกใหถี่ถวนและพยายามหลีกเล่ียงชายผูนาจะมีลักษณะ ๘ อยาง ดังกลาวมาแลว จะเปนการตัดไฟแตตนลมและไมสายเกนิ แก ๔) การดําเนนิ ชีวติ ตามหลกั พทุ ธจริยศาสตรในอุตตรทิศ อุตตรทิศ หรือทิศเบ้ืองซาย คือ ทิศเหนือ ไดแกมิตรสหาย คําวา “มิตรอํามาตยนั้นไดแกมิตรสหายเพ่ือนฝูงอันเปนจําพวกท่ีดี ซ่ึงสมารถชวยเหลือทุกขรอนตาง ๆ ได จึงเรียกวา ทิศอุดร คือเปนทศิ เบ้ืองซา ยอนั เปรยี บเสมอื นแขนซายของเราท่ีชว ยทําการงาน ฉะนนั้ ทิศอุดรนน้ั พระอรรรถกถาจารยวา ทุกฺขวิเธ อุตฺตรตีติ อุตฺตรา คือผูชวยใหขามพนทุกขตางๆไดเรียกวา ทิศอุดร ดังแสดงมา และเพราะเปน ผชู วยใหขามพนจากอุปสรรคภัยอนั ตราย และเปน กาํ ลงั สนบั สนนุ ใหบ รรลคุ วามสําเรจ็ ” ๕๔ เพ่ือนคือผูที่รักใครชอบพอกัน แลวกระทําความดีตอกัน เพื่อใหอยูรวมกันได ทั้งทางลับและเปดเผยโดยไมเ ลอื กเพศวัย ความรูชาติ ศาสนา และไมม ใี ครค ิดรา ยตอ ใคร “ประเภทของเพื่อน ไดแก เพ่ือนบาน เพ่ือนเลน เพื่อนเท่ียว เพ่ือนรวมสถาบัน เพ่ือนรูจักกนั เพอ่ื นสนิท เพ่อื นแท และเพ่อื นเทียม สรปุ เหลอื ๒ ประเภทคอื เพ่อื นแท เพ่ือนเทียม” ๕๕ ๕๓คูณ โทขันธ, พุทธศาสนากับชีวิตประจําวัน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ โอ.เอส.พริ้นต้ิงเฮา,๒๕๓๗), หนา ๑๐๘. ๕๔พระธรรมปฎก(ป. อ.ปยตุ โต ), พจนานุกรมฉบบั ประมวลธรรม, อา งแลว, หนา ๒๒๗. ๕๕พระธรรมโกศาจารย (พุทธทาสภิกขุ), เตือนใจวัยรุน และ ๕ ดีสูความเปนมนุษยที่สมบรู ณ, อางแลว , หนา ๑๑๐.
๖๗ ลกั ษณะของเพื่อนทดี่ ีหรอื เพือ่ นแท ๔ ประเภท คือ ๑. มิตรอุปการะ ปอ งกันมิตรผปู ระมาทแลว ปกปองกันทรัพยของมิตรผปู ระมาทแลว เม่ือมีภยั เปน ทพ่ี าํ นกั ของเพอ่ื นได มีธุระชว ยออกทรัพยเกนิ กวา ที่เพื่อนออกปาก ๒. มิตรรวมสุขรวมทุกข ขยายความลับของตนแกเพ่ือน ปดความลับของเพ่ือนมิใหแพรงพราย ไมล ะท้ิงในยามวิบตั ิ แมชวี ิตก็อาจสละแทนได ๓. มิตร แนะนํา ประโยชน หามมิใหทําช่ัว แนะนําใหต้ังอยูในความดีใหไดฟงไดรู สิ่งท่ยี งั ไมเ คยไดรู ไดฟง บอกทางสวรรคใ ห ๔. มิตรมีความรักใคร เพื่อนมีทุกขพลอยทุกขดวย เพ่ือนสุขพลอยสุขดวย โตเถียงคนที่พดู ติเตยี นเพอื่ น เขาสรรเสริญเพือ่ นชวยพูดเสรมิ สนบั สนุนมติ ร ๕๖ มติ รเทียมหรือเพอ่ื นเทยี มมี ๔ ประเภท คอื ๑. มิตรปอกลอก คิดเอาแตไดฝายเดียว คือเปนคนเอาเปรียบเพ่ือน เสียใหนอย แตคิดเอาจากเพอื่ นใหมากท่ีสุด เมอื่ มีภยั แกต วั จึงรับทาํ กิจของเพือ่ น คบเพ่ือนเพราะเห็นแกป ระโยชนข องตน ๒. มิตรดีแตพูด เก็บเอาเรื่องที่ลวงแลวมาพูด อางเอาเร่ืองท่ียังไมมีมาพูด จะสงเคราะหเพอ่ื นกเ็ ฉพาะส่ิงที่หาประโยชนม ไิ ด ออกปากพึ่งมไิ ด ๓. มิตรหัวประจบ เพื่อนจะทําช่ัวก็คลอยตาม เพื่อนจะทําดีก็คลอยตาม ตอหนาก็สรรเสริญ ลับหลงั ก็นินทา ๔. มิตรชักชวนในทางวิบัติ ชักชวนดื่มนําเมา ชักชวนเท่ียวกลางคืน เท่ียวตามซองชกั ชวนใหมวั เมาในการเลน เอาแตเลน ชักชวนใหเ ลนการพนนั ๕๗ ทิศเบ้อื งซาย มติ ร กลุ บตุ รควรบํารุงดวยสถาน ๕ คอื ๑. การให (แบง ปนส่งิ ของให) ๒. กลา ววาจาเปน ท่รี ัก ๓. ประพฤติตนใหเ ปน ประโยชน ๔. วางตนสมาํ่ เสมอ ๕. ไมพูดจาหลอก ลวงกนั ๕๘ ขอท่ี ๑ กุลบุตรบํารุงมิตร ดวยการใหปนนั้น อธิบายวา กุลบุตรตองประพฤติตอมิตรสหายดวยการใหปน จึงจะยึดเหนี่ยวนํ้าใจไวได ถาไมมีการใหปนแกมิตรสหายแลว ยอมไมอาจยึดเหน่ียว ๕๖ คณู โทขันธ, พุทธศาสนากับชีวติ ประจําวัน, อา งแลว, หนา ๑๐๙. ๕๗ เร่ืองเดียวกนั , หนา ๑๑๐. ๕๘ ท.ี ปา. ๑๑ / ๒๐๒ / ๘๙-๙๐.
๖๘น้ําใจของมิตรสหายไวได ถึงแมวาจะรักใครกันสักเทาใดก็ตาม ถาไมมีการใหปนแกกันแลว ก็ทําใหหมดรักกันได อยาวาแตมิตรสหายภายนอกเลย ถึงมิตรสหายภายใน คือ บิดา มารดา สามี ภรรยา ก็ตาม ถาขาดการใหปนแกก ันแลว กข็ าดความรักใครนับถอื กนั เชนมารดาบดิ า ผูเปนมิตรภายใน ไมใหปนส่ิงไรแกบุตรธิดา ตามสมควรแกหนาท่ีของตน บุตรธิดาก็จักคลายความรักใครนับถือมารดา บิดาลงไปทีละนอย ถาบุตรไมใหส่ิงใดแกบิดามารดา ตามฐานะของตน มารดาบิดาก็จะหมดความรักใครบุตรธิดาลงไปทลี ะนอ ย ๆ เหมอื นกัน ถาตางฝา ยตางกไ็ มใ หป นสง่ิ ใดแกก นั แลว กจ็ ะขาดความรกั ใครนับถือกันลงไปโดยเร็วพลัน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจาจึงสอนใหมารดาบิดาใหแบงปนทรัพยสมบัติแกบตุ รธิดาตามสมควรแกทรพั ยของตน สวนบตุ รธิดาเลาก็ตองใหปนแกบิดามารดา คือ ดวยการเลี้ยงดบู างเปนตน ทานคือการให การใหทานทางพุทธศาสนานั้น มีสองประเภทคือ ๑. อามิสทาน คือการใหทานดวยวัตถุสิ่งของ ๒. ธรรมทาน คือการใหธรรมะเปนทาน การใหท้ังสองประเภทน้ี พระพุทธองคทรงยกยองการใหธ รรมทานเปน เลศิ ขอท่ี ๒ กุลบุตรบํารุงมิตร ดวยกลาววาจาเปนที่รักนั้น คือ คําใดท่ีสุภาพออนโยน ชวนใหผูฟงยินดีเพ่ิมความรักใครนับถือยิ่งขึ้นไมตองระวังวาจะมีเลศนัยแอบแฝงอยูดวยแลว คําน้ันก็เช่ือวาไพเราะ สวนคําท่ียอตะพืดตะพือ ไมเลือกวาถูก หรือผิดกระทําใหนาระแวงวาจะมีเลหเหล่ียมเจืออยูดวยแลว คําน้ันจะจัดเปนไพเราะหาไดไม แตคงรวมอยูในคําที่เรียกวาปากหวาน คําพูดที่ออนละมุนไมก า วราวน้นั ใชแ ตจะเปน เพยี งเครือ่ งสมานนาํ้ ใจผฟู งใหเปนมติ รแตอยางเดียวเทาน้ันหามิได ยังเปนสอ่ื นําใหประสบสิ่งอนั พงึ ประสงคไดด ว ย ขอที่ ๓ กุลบุตรบํารุงมิตร ดวยประพฤติตนใหเปนประโยชนนั้น คือสิ่งที่จะนําไปสูความเจริญ เชน ชวยเหลือกิจธุระการงานใหเปนที่เบาใจ ตลอดจนการปองกันบําบัดภยันตรายตาง ๆ มีพยาบาลเมอื่ เจบ็ ไขเ ปน ตน ดําเนินตามระบอบมิตรแท ดังกลาวมาแลว ขางตน . ขอที่ ๔ กุลบุตรบํารุงมิตร ดวยวางตนสม่ําเสมอนั้น คําน้ีหมายถึงความเสมอภาค แมจะรูสึกวา ตนดกี วา ดวยชาต,ิ สกุล, ยศศักดิ,์ และสมบัติ อยางใดอยางหนึ่งก็ดี ก็คงไมสําแดงความเหอเหิม อันสอใหเห็นเปนการดูหม่ินแกกันแตอยางใด หรือแมตอไปจักไดเปนคนใหญโตขึ้นก็ตามที แตอัธยาศัยไมตรีท่ีเคยมีตอกันมาอยางไรก็คงมีเปนปรกติเชนเดิม ไมแสดงอาการผิดแปลกใหปรากฏเปนเชิงยกตนขมทา น ผูที่มีสติรอบคอบกลบั จะตองสํารวมกิรยิ าสงบเสงย่ี มเสยี อกี ฝา ยเพอ่ื นทีม่ ีอัธยาศัยก็คงรูจักตําแหนงหนาที่ของตนเองวาจะควรปฏิบัติตองปฏิบัติแคไหน การประพฤติไมสมํ่าเสมอน้ัน มีเสียงติเตือนกันมาแตไหนแตไรแลว จนถึงประพันธเปนบทนิทานไวก็มีอยูมากหลายดังน้ี ผูเจริญดวยลาภและยศจงึ มกั ระวังไมใหใครติเตือนไดในเรื่องพรรคน้ี อันการไมหลงลืมตัวจัดเปนวิถีทางแหงสามัคคีธรรม สมควรไดร บั ความสรรเสริญ เปนตน
๖๙ ขอ ท่ี ๕ กุลบุตรบาํ รุงมิตร ดวยไมพดู จาหลอกลวง คอื ไมก ลาวคําลวงใหเ ขาเขาใจเขวเปนอยางอ่นื ซึ่งไมต รงตอ ความจริง อนั เปน เหตนุ าํ ความเสยี หายมาสูผ ฟู งมากมาย หรอื บางเร่อื งอาจยอ นกลับไปหาผูกลาวเองดว ยก็ได แมผ ฟู ง นาํ ไปใชผ ดิ ๆ บางทกี ลาวเพอื่ ความสนุกเพลดิ เพลนิ แตเมอื่มีเหตกุ ลับไมส นกุ ขึน้ กต็ องเสียใจภายหลงั ฉะนั้นจึงควรรกั ษาคาํ พดู ไว ดุจรักษาของทม่ี ีคา อันคาํ จริงชใี้ หเ ห็นถึงความซอ่ื ตรงของผกู ลาว กระทาํ ใหน าคบนานบั ถอื ย่งิ ข้นึ ธรรมสําหรับประคองความสามัคครี ะหวางมติ ร ตามธรรมดาของดียอมหาไดยาก เม่ือไดมาแลวควรรักษาควรถนอม ไมควรปลอยใหเปนอนั ตรายสญู หายไปฉันใด คนดีหรอื มิตรดนี นั้ กย็ อมหาไดยาก เมอื่ ไดคบหาสมาคมกันแลว ควรตอ งรกัและถนอมนํ้าใจกันไว อยาใหเกิดอันตรายขึ้น คืออยาใหผิดพองหมองใจและเหินหางกันไปฉันนั้น มีธรรมอยูห มวดหน่งึ สําหรับเปนเคร่ืองยึดเหนียวไมตรีและประคองความสามัคคีระหวางมิตร ใหสนิทสนมกลมเกลียวกันยั่งยืนตลอดไป ไมจืดจางเหินหางแตกราวกัน ธรรมหมวดน้ีมีอยู ๔ ประการ คือฆราวาสธรรม ๔ ไดแ ก ๑. สัจจะ คือ ความซ่ือตรง อันคนผูเปนมิตรกัน ตางคนตางซ่ือตรงตอกัน ยอมรักษาไมตรีอยไู ด ถา คิดคดตอกันขนึ้ เมือ่ ใด ไมตรยี อมแตกเมือ่ น้นั ๒. ทมะ คือ ความขมใจ คนมีใจราย มักโกรธงาย ขมใจไวไมอยู มักทําหุนหันไมรูจักย้ัง มักเปน คนทาํ ไมตรีใหแตก ถา มีอุบายขมใจก็จะไดห า มความหุนหนั นน้ั เสีย ๓. ขันติ คือ ความอดกลั้น แมผูหนึ่งทําก้ําเกินไปดวยความหุนหัน แตอีกฝายหนึ่งมีขันติอยูกร็ กั ษาไมตรีไวได ถา ไมอดทนและทําตอบไมตรีก็จาํ แตก ๔. จาคะ คือ ความเผื่อแผ คนใจคับแคบ มีปกติคิดเอาเปรียบผูอ่ืน ยอมผูกไมตรีไมย่ังยืนถึงไหน ตางมีใจเผ่ือแผถอยทเี กอื้ กลู กนั และกัน๕๙ อกี อยางหนงึ่ ตดั ใจใหอภัยแกกัน ในการที่ไดผิดพล้ังลวงเกิน ไมผูกใจเก็บแคน หรือขอดใจใหของอยูในเรื่องที่ลวงเกินน้ัน ไมตรีจึงมั่นคง “ฆราวาสธรรม ๔ ประการ เปนธรรมท่ีชักนําใหรูจักปองดองผอนผันกัน ยอมเปนเคร่ืองปองกันความแตกราว และชักจูงปลูกฝงคบหาสมาคบใหสนิทแนนย่ิงขน้ึ และยง่ั ยนื ตลอดไป ธรรมสาํ หรบั ยดึ เหน่ยี วนา้ํ ใจกัน ยังมีธรรมอีกหมวดหน่ึง เปนธรรมสําหรับปลูกไมตรีจิตระหวางบุคคล ใหเกิดความรักใคร ๕๙ พลโท พระยาอภัยสงคราม, แนวสอนวิชาจรรยาในโรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา,(กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พส ว นทองท่ี กรมมหาดไทย, ๒๕๐๔), หนา ๑๘๒.
๗๐สนิทสนมในกนั และกัน ธรรมหมวดนม้ี ี ๔ ประการ คอื สงั คหวตั ถุ ๔ ไดแก ๑. ทาน คือ การให ไดแกการใหปนขาวของแกกันและกัน การใหนี้ แมท่ีไมถึงกับเปนการอุดหนุนอันเปนสารประโยชนก็ดี เชนเราเปดซองบุหรี่จะสูบ และแจกใหผูท่ีอยูใกลเคียงแมไมมากเพียงมวนเดียว ก็ยงั เปนเครื่องแสดงไมตรจี ิตหานอยไม รวมทั้งใหปนสงิ่ ของแกค นอื่นท่คี วรใหปน ๒. ปยวาจา คือ เจรจาถอยคําเปนที่จับใจ ไดแกพูดจาปราศรัยกันดวยถอยคําออนหวานอันเปน ทรี่ ักเจริญใจ ไมใชว าจาหยาบคายเลวทรามหรือดาแกก นั ควรเจรจาวาจาท่ไี พเราะ ๓. อตั ถจริยา คือ การประพฤติส่ิงท่ีเปนประโยชนแกกันและกัน ไดแกชวยเปนธุระในคราวตองการ ไมเ หน็ แกประโยชนตนฝายเดียว ยอมทาํ ประโยชนแกเขาดว ย ๔. สมานัตตตา คอื ความเปน คนมีตนเสมอไมถ ือตัว ประพฤติตนตามที่ควรจะเปน ไป ๖๐ กลาวคือ ไววางกิริยา อัธยาศัยใหพอเหมาะพอดี ไมใหย่ิงหรือหยอนกวาที่ควรจะพึงแสดงในระหวา งกันและกนั ธรรม ๔ ประการนี้เปน เครอ่ื งปลูกไมตรีจิต ยังความสนทิ สนมใหเกิดขึน้ ในกนัและกนั เมอื่ มิตรไดบ าํ รงุ ฉะนแี้ ลว ยอมอนุเคราะหกุลบุตรดวยสถาน ๕ คือ ๑. ปองกนั มิตรผูประมาทแลว ๒. ปองกนั ทรัพยข องมิตรผปู ระมาทแลว ๓. เมอ่ื มีภยั เปน ทพี่ ่งึ พํานักได ๔. ไมละทงิ้ ในยามอันตราย ๕. นบั ถือตลอดถึงวงศต ระกูลของมติ ร๖๑ ขอที่ ๑, ๒, ๓, น้ันมีเนอื้ ความตรงกับท่ีกลา วมาแลว ในมติ รมีอปุ การะ ๔ จึงไมควรกลาวซ้ําอกี ในทีน่ ี้จะกลา วแตเฉพาะสถาน ๔ และ ๕ เทานนั้ ขอที่ ๔ มิตรอนุเคราะหกุลบุตร ดว ยไมละท้ิงในยามอนั ตราย เชนเวลาเกิดวิบัติยากเข็ญอยางใดอยางหน่ึงเกิดขึ้นแกเพื่อน ก็ชวยเขาคิดอานในอันจะปลดเปลื้อง ใหพนจากวิบัติเหลาน้ันเสีย โดยมิไดน่งิ ดูดายในเมอ่ื เหน็ เพ่อื นประสพความทุกขร อนอยางนัน้ ขอที่ ๕ มิตรอนุเคราะหกุลบุตร ดวยนับถือตลอดถึงวงศตระกูลของมิตร อันน้ีไดแกการคารวะอันเอ้ือเฟอทั้งผูใหญและผูนอยในสกุลของเพื่อนตั้งแตบิดามารดาตลอดถึงญาติทั้งปวง ๖๐พระพรหมวชิรญาณ, คูมือครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพองคการรบั สง สนิ คา และพัสดุภณั ฑ, ๒๕๔๘), หนา ๑๓๘. ๖๑ที. ปา. ๑๑ / ๒๐๒ / ๙๐.
๗๑ตามลําดับประดจุ ญาติของตนเปน ตน ๖๒ ๕) การดาํ เนนิ ชวี ิตตามหลกั พทุ ธจริยศาสตรในเหฏฐิมทศิ เหฏฐิมทศิ คือ “ทศิ เบอ้ื งต่ํา ไดแกคนรับใชและคนงาน คําวาคนรับใชและคนงาน หรือทาสกรรมกรซึ่งจัดเปนทิศเบ้ืองต่ําน้ัน พระอรรถกถาจารยวา เพราะทาสกรรมกรนั้นเปนผูตั้งอยูในที่ใกลเทา อันมีคําอธิบายวา เปนผูต่ําดวยประการท้ังปวง ซึ่งอยูใตคําสั่งของนายทุกประการจึงไดชื่อวาทศิ เบ้อื งตา่ํ และเปนผชู วยทาํ การงานตาง ๆ เปน ฐานกําลังให” ๖๓ นายพึงบํารุงทาสกรรมกรหรือคนรับใชและคนงาน ผูเปนทิศเบ้ืองลาง โดยหนาที่ ๕ประการ อนั ไดแ ก ๑. จัดการงานใหต ามสมควรแกกาํ ลัง ๒. ใหอาหารและคาจา ง ๓. ดแู ลรักษายามเจ็บปวย ๔. ใหอาหารมีรสแปลก ๕. ใหห ยุดงานตามโอกาส ๖๔ ขอท่ี ๑ จัดการงานใหตามสมควรแกกําลังนั้น ไดแกการรูจักเลือกงานท่ีเหมาะสมแกประเภทของบุคคล และรูจักแบงเวลาการงานใหพอแกกําลังของตน การรูจักประเภทบุคคลนั้น เชนรูวาคนน้ีจักควรใหทําการละเอียดหรือ หยาบ คนนี้ควรแกการงานหนักหรือเบา และคนนี้จักไวใจใหทํางานทีตองใชความคิดไดหรือไม แลวจึงมอบหนาที่ใหเหมาะแกบุคคลที่ไดเลือกแลว งานจึงจะดําเนินไปไดดวยเรียบรอย ถางานท่ีมอบใหไมเหมาะแกบุคคล ก็นาจักมีเสียไดถึง ๓ ประการ คือ ถาไมถนัดตอวิธีการก็ทําใหเกียจครานได เปนเหตุใหงานชาเสียเวลา และส่ิงท่ีทําอาจเสียหายเพราะความรไู มพ อแกก าร สวนรูจักเวลาที่ควรของงานน้ัน คือ เมื่อถึงเวลาของการงานก็ใชใหไดการไดงาน เวลาควรพกั ผอน กผ็ อนใหม คี วามสขุ ไมฝ น จนเกินควรแกกาํ ลัง ดงั น้ีจงึ จักถกู กับอธั ยาศัยของผูรับใช ขอท่ี ๒ นายบํารุงบาว ดวยใหอาหาร และคาจาง น้ีไดแกการเอาใจใสดูแลในเร่ืองกินอยู นุงหมของบาวหรือคนรับใชไมใหฝดเคือง เพราะนิสัยคนงาน ยอมตองการอาหารใหเพียงพอกําลัง ถาอาหารไมเพียงพอแลวกําลังก็ถอย กระทําใหใจคอหงุดหงิด เบ่ือหนายตอการงาน หรือกับท้ังนายดวยสวนรางวัลน้ันมีเปน ๒ ชนิด ชนิดหน่ึงใหเปนคราวเปนสมัย เชนในวันนักขัตฤกษตรุษสงกรานต ๖๒พระยาศรีราชอักษร(มา กาญจนาคม ), อธบิ ายคหิ ิปฏิบัติ (ทศิ วภิ าค), อา งแลว , หนา ๙๐. ๖๓พระธรรมปฎ ก(ป.อ. ปยุตโต ), พจนานกุ รมฉบบั ประมวลธรรม, อางแลว , หนา ๒๒๘. ๖๔เรือ่ งเดียวกัน,
๗๒( ซึ่งสมัยกอนพรอมกันหยุดงานประชุมกันเพื่อการร่ืนเริง แตเด่ียวนี้ออกจะจางไปแลว ) หรือมีการงานเปน พเิ ศษ ดังน้ีเปนรางวัลทั่วหนากัน เรยี กวา แจก อีกอยา งหนงึ่ เปน รางวลั ความชอบ ใหเฉพาะแตผูที่ทําการงานดีและเหน็ดเหนื่อย เชนนี้เปนรางวัลพิเศษ ประโยชนของรางวัลอยางหลังน้ี ไมแตเปนสงิ่ บาํ รุงนา้ํ ใจของผทู ํางานดอี ยา งเดยี ว ยงั เปนเครอ่ื งยัว่ ผทู ่ไี มมีอตุ สาหะใหมอี ีกดวย ขอที่ ๓ นายบํารุงบาว ดวยดูแลรักษายามเจ็บปวย ผูปกครองบานเรือนจําตองมีหยูกยาไวดวย สําหรับการไขเจ็บ เล็ก ๆ นอย ๆ ในเวลาคํ่าคืน พอเปนเคร่ืองเยียวยาชั่วคราว กอนท่ีจะมีหมอมารักษา แตถาเปนโรคท่ีเหลือความสามารถจะทําการรักษาหรือปฐมพยาบาลได ก็ควรจัดการกับแพทยดังที่กลาวไวในหมวดภรรยาอนุเคราะหสามีทีเดียว จะควรสงไปรักษายังโรงพยาบาล หรือรักษาท่ีบา นกแ็ ลวแตค วามสะดวก อนึ่งมีขอ ทีน่ า สังเกตอยูอยา งหนงึ่ คอื คนช้นั ผนู อ ยปว ยมกั ไมบ อกใหทราบที่ประพฤติเชนนี้คงเปนเพราะความเกรงใจ หรือกลัวจักวามายาและอะไรตอมิอะไรเทือกนั้น จึงมักทนน่ิงใหค นอนื่ รเู อง เชนน้ี พอท่ีไขจ ักเปน แตเพยี งเล็ก ๆ นอ ย ๆ ก็อาจกลายเปน มากก็ได จึงตองอาศัยผูปกครองมีเมตตากรณุ าคอยสังเกตไตถ ามในเมอ่ื เห็นกิรยิ าของเขาผดิ ปรกตไิ ป เทา น้ัน ขอ ท่ี ๔ นายบํารุงบาว ดวยใหอาหารมีรสแปลก ของท่ีมีรสแปลกนั้น คงเปนสิ่งที่นาน ๆ จะมี เชน ผลไม ซึ่งมีเปนคราวเปนฤดู หรือของท่ีมาแตทางไกล เชนหัวเมือง และประเทศอื่น แทจริงลําพังแตสิ่งเหลาน้ีแมจะผิดจากธรรมดา หรือคงไมถึงทําใหผูรับรูสึกตื่นเตนแตอยางใดนัก ความมุงหมายที่แท ก็เพ่ือกลอมใจใหรูสึกปลาบปลื้มในมโนธรรมของนาย อันเปนรสวิเศษปรากฏข้ึนอีกรสหน่งึ ซ่ึงมีอาํ นาจเราความผกู พันรักใครใหแนนแฟนย่งิ ขน้ึ . ขอที่ ๕ นายบํารุงบาว ดวยใหหยุดงานตามโอกาส สมัย เชนงานนักขัตฤกษ หรืองานสโมสรอยางใดอยางหนึ่ง ซ่ึงนิยมกันทั่ว ๆ ไปนายควรหยุดงานปลอยใหรื่นเริง หรือกระทํากิจอันเก่ียวกับพิธี การกุศล แลวแตความจําเปน แมการท่ีหยุดทีเดียวจะเปนเหตุใหงานค่ังคาง ก็ควรจัดใหเปลยี่ นกนั หยุดตามแตค วามสะดวก อนั ลักษณะการปกครองผนู อยใหอยใู นถอ ยในคาํ มีความเคารพยาํเกรง ไมอุกอาจกาวราวตอผูใหญนั้น ก็เพราะผูใหญประพฤติเปนธรรม มีเมตตาปราณี โดยไมเบียดเบียนผูนอยใหไดร ับความลําบากเดอื ดรอน๖๕ มธี รรมที่ควรนํามาประกอบเปนหลักสง เสริมใหนายบาํ รงุ บา ว คอื อคติ ๔ แตล ะขอ ดังน้ี ๑. ฉนทฺ าคติ ลาํ เอียงเพระรักใครกัน ๒. โทสาคติ ลําเอยี งเพราะไมช อบ ๓. โมหาคติ ลําเอียงเพราะเขลา ๖๕เรื่องเดยี วกนั .
๗๓ ๔. ภยาคติ ลําเอยี งเพราะกลัว๖๖ อคติ ๔ นี้ เปนขาศึกแกการปฏิบัติธรรมอยูมาก ผูแสวงหาทางสุจริต ยอมไมประสงคนํามาประพฤติ การลําเอียงนั้นจะดวย รัก, โกรธ, หลง, หรือเพราะเกรงอํานาจอยางใดอยางหนึ่งก็ตามเหลานี้สามารถบันดาลใหผูท่ีไดรับผลหัวเราะหรือรองไหได คือทางฝายมีชัยก็หนาช่ืนตาบาน สวนทางท่ไี มไ ดร ับความยุตธิ รรมกโ็ ทมนัสเคียดแคน เลยอาฆาตจองเวรเปนศัตรูกันตอไป ผลท่ีเกิดแตการสงเคราะหแ กฝ า ยหนึง่ จักเอามาลบลางบาปท่ที ําไวแ กอ ีกฝา ยหนึ่งหาไดไม เพราะเปน ผลที่ตรงกนั ขามแตห ากกลา วถงึ ความยนิ ดียินรายกต็ รงกันขา ม คือเมอ่ื ยนิ ดใี นฝายชนะ ก็ยอ มยนิ รายแกฝา ยรายดว ย อธฏิ ฐานธรรม คือ ธรรมท่ีควรตัง้ ไวในใจ ๔ อยา ง คอื ๑. ปญญา รอบรสู ่ิงท่คี วรรู ๒. สจั จะ ความจริงใจ คอื ประพฤตสิ ่ิงใดก็ใหไ ดจรงิ ๓. จาคะ สละสิง่ ท่ีเปนขา ศกึ แกความจริงใจ ๔. อปุ สม สงบใจจากสงิ่ เปนขาศึกแกความจรงิ ใจ ๖๗ ขอท่ี ๑ สิ่งท่ีควรรูน้ัน ไมจําตองเลือกวาดีหรือชั่ว สุดแตเม่ือรูไวจักเปนประโยชนแกตนแลวกค็ วรรทู ั้งส้นิ ขอ สําคญั อยา งท่ีการรจู ักเลือกใชเทาน้นั เพราะการรูเปน แตเพียงเหตุ ตอ เมือ่ ไดเ ลอื กแลวจงึ จะมองเหน็ ผล สง่ิ ที่ใหผลขา งดีก็นํามาปฏบิ ัติ ท่ีใหผลขา งชวั่ จะไดป อ งกนั ผลกั ไสไปเสียใหหาง ขอท่ี ๒ ความจริงใจน้ันเปนสามัคคีกันกับขอ ๑ อยู เพราะในที่น้ีประสงคเอาจริงในสิ่งที่เปนประโยชน สวนที่เปนโทษหาไดเขาอยูในกรอบนี้ไม ฉะน้ันจึงตองอาศัยปญญาเปนส่ิงท่ีพิจารณาใหเห็นทางไดทางเสียและถูกผิดชัดเจนแลวจึงพูดจึงทํา การจึงจะบรรลุผลสมปะสงค ถาขาดความพิจารณาไตรตรองใหรอบคอบกอนแลว อาจทําผิด ๆ พลาด ๆ กลายเปนจริงในที่ผิดไปก็เปนใชไมไดความจริงจกั ตองตรงตอ ความจรงิ ไมกลบั กลายเปนอยา งอ่นื ได ขอท่ี ๓ ส่ิงที่เปนขาศึกแกความจริงน้ันก็คือความไมจริง อะไรเปนตนเหตุใหปนความเท็จข้ึน นอกจากอคติ ๔ ที่ผานมาเม่ือกี้นี้แลว ยังมีพวกอกุศลมูล คือ โลภ, โกรธ, หลง, อีกพวกหนึ่ง ซ่ึงเปนขา ศึกตวั สาํ คญั กระทําใหใจอนั สจุ ริตกวัดแกวงไปได ในเมือ่ มีส่ิงทยี่ ัว่ อารมณผ า นมากระทบเขา ขอ ที่ ๔ สงบใจจากสิง่ ทีเ่ ปน ขา ศกึ แกความสงบน้นั สง่ิ ที่เปนขา ศกึ ไดแ กนวิ รณธรรมทง้ั ๕ประการ นิวรณธรรม ๕ คอื ๑. กามฉนฺท พอใจรักใครในอารมณท ีช่ อบใจ มรี ปู เปนตน ๖๖ที. ปา. ๑๑ / ๒๔๖ / ๑๘๙. ๖๗ท.ี ปา. ๑๑ / ๒๕๔ /๑๙๑.
๗๔ ๒. พยาบาท ปองรายผูอนื่ ๓. ถนี มทิ ฺธ ความทจี่ ติ หดหแู ละเคลิ้บเคล้ิม ๔. อุทฺธจจฺ กกุ กฺ จุ ฺจ ฟุงซา นรําคาญ ๕. วิจกิ จิ ฺฉา ลงั เลไมต กลงได๖ ๘ อารมณเหลานี้แมเกิดข้ึนเวลาใด ก็กระทําใหใจฟุงซาน เศราหมอง ปดทางปญญาไมใหเกิดฉะนนั้ เวลาตองการสงบ จงึ ควรกาํ จดั สงิ่ เหลา นอี้ ยาใหเ ขา มาเกะกะระรานได ทศพธิ ราชธรรม คอื คุณธรรมสําหรับผปู กครอง ๑๐ ประการ ไดแ ก ทาน ศลี ปริจจาคะอาชชวะ มัททวะ ตบะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ และอวิโรธนะ เม่ือทาสกรรมกรไดบํารุงฉะน้ีแลวยอมอนเุ คราะหนายดวยสถาน ๕ คอื ๑. เรมิ่ ทํางานกอนนาย ๒. เลิกงานทหี ลังนาย ๓. ถือเอาแตข องทน่ี ายให ๔. ทาํ การงานใหเรยี บรอยและดีข้นึ ๕. นาํ เกียรติคณุ ของนายไปเผยแพร ๖๙ ขอ ท่ี ๑ บาวยอมอนุเคราะหน าย ดวยตื่นข้ึนทํางานกอนนาย หมายความวา ธรรมดาบาวไพรคนใชสอย หรือธรรมดาผูนอย ตองตื่นกอนนอนทีหลังจึงจะถูกตามหนาท่ี เชนลูกจางท่ีทํานาทําสวนก็ตองลุกข้ึนออกไปทํานาทําสวนกอนนาย ผูท่ีเปนลูกจางคนใชอยูในบาน ก็ตองลุกขึ้นทําการบาน มีหุงขาวตมแกงเปนตน กอนนายเปนธรรมดา ผูที่เปนผูนอยในทางราชการ หรือทาง พานิชการ ตามกระทรวงหางรานตาง ๆ ก็จะตองไปทํางานกอนผูใหญ ไปทํางานกอนนายจึงจะดี แตการที่จะทําไดอยางน้ีเสมอไปตองนึกวา การงานที่ทํานั้น ไมใชการงานของนาย ไมใชการงานของผูใหญ แตเปนการงานของตนโดยแท เพราะถาตนไมทําการงานนั้น ตนก็ไมไดคาจางรางวัล หรือเงินทองจากนายจากผูใหญ เมื่อผูใดนึกอยางน้ีผูน้ันจึงจักขยันลุกทํางานกอนนาย อีกประการหนึ่ง ผูท่ีเปนนาย หรือเปนใหญของคนทง้ั หลายยอมใชความคดิ มากยากท่จี ะนอนหลบั ไดโดยงาย จําเปนอยเู องท่ีทา นจกั ตอ งตื่นสาย สวนผูนอยอยูใตปกครอง ไมตองใชความคิดอะไร เปนแตรับใชแข็งแรงเทาน้ัน กินอ่ิมแลวก็หายเหนื่อย นอนหลับกง็ าย ควรท่จี ะต่ืนขึ้นทาํ งานกอนจึงจะเปนการดเี ปน ตน ขอ ที่ ๒ บา วยอมอนุเคราะหนาย ดวยเลิกงานเขานอนทีหลังนาย น้ัน อธิบายวา ธรรมดาผูท่ีเปนบาวไพรของเขา หรือเปนคนใชของเขา หรือเปนลูกจางของเขา ตองนอนทีหลังของนายเสมอไป ๖๘ท.ี ปา. ๑๑ / ๒๘๓ / ๒๐๐. ๖๙พระธรรมปฎก( ป.อ. ปยุตโต ), พจนานกุ รมฉบับประมวลธรรม, อางแลว , หนา ๒๒๘.
๗๕เพราะถานอนกอนนาย ก็จะถูกนายกลาว โดยเหตุวา เวลานายจะใชตัวก็หลับเสียแลว เพราะฉะน้ันจึงจําเปนอยูเองที่จะนอนทีหลังนาย แตวาผูท่ีมีนิสัยเกียจคราน ก็ชอบนอนกอนนาย โดยเหตุวา ธรรมดาคนเกียจคราน ยอมเห็นแกกินแกนอนเปนใหญ ยอมมีรางกายออนแอเสมอ คนเกียจครานยอมอยูในสุภาษิตที่วา กินเปนหนา นอนเปนประธาน ขี้เปนปริโยสาน คือธรรมดาคนที่เกียจครานยอมมุงท่ีจะกินจะนอนเทาน้ัน เมื่อนอนต่ืนแลวก็กิน กินอิ่มแลวก็นอน กินแลวก็ไปทุงหรือไปนอกบานเทาน้ัน ผูที่เปนบาวเขา หรือเปนคนใชเขา หรือเปนผูนอยเขาไมควรทําตนใหเปนคนเกียจคราน ไมควรนอนกอนนาย หรือนอนกอนผูใหญ ซึ่งเปนผูจะใหความดีแกตนเปนอันขาด ผูท่ีมีลูกหลาน ควรหัดลูกหลานไวใหตื่นกอนตน ผูที่เปนมารดา บิดา ปู ยา ตา ยาย เวลานอนก็นอนกอนตน จึงจะเปนการดีเพราะจะไดก ารงานทีด่ ีขน้ึ ทั้งจะไดท ําตัวใหถ กู ในเวลาเปนนายเขา หรือเปน บา วเขาขา งหนาเปน ตน ขอท่ี ๓ บาวยอมอนุเคราะหนาย ถือเอาแตของท่ีนายให คือ ไมถือเอาส่ิงของสิ่งใดส่ิงหน่ึงดวยความเปนโจร ถือเอาแตของท่ีนายใหเทานั้น คือตองเปนคนซื่อสัตย ไมมือไวใจเร็ว ไมฉกลักขาวของเงินทองของนาย ธรรมดาบาวไพรหรือคนใชอาจหยิบฉวยส่ิงใดไดตามชอบใจถาไมซื่อตรงตอนายแลว อาจขโมยของนายไดโดยงาย แตวานายก็อาจจับไดโดยงายเชนกัน เมื่อนายจับไดแลวก็จะตองถูกลงโทษตามฐานะของนายบาง ตามอํานาจกฎหมายบานเมืองบาง ตอไปตนจะไปอยูที่ใด ก็อยูยาก เพราะชื่อของตนเปนคนมือไวใจเร็วนั้น ยอมจะปรากฏไปในท่ีตาง ๆ เปนอันวาตัดหนทางขางหนาของตนเสียแลว ถาตนเปนผูนอยในทางราชการก็จะหาที่ทํางานไดยาก เพราะในทางราชการยอมไมรับผทู ี่มีความผดิ ทางอาญา มีการฉอโกง ลักขโมยของหลวงเปนตน ขอ ท่ี ๔ บา วยอมอนเุ คราะหนาย ดว ยทาํ งานใหดีขึ้น บาวไพรที่มีนํ้าใจดียอมไมคิดวา เราจะทํางานใหดีข้ึนทําไมเพราะถึงเราทําใหดีข้ึน ก็ไมไดอะไร มีแตต้ังใจทํางานใหดีข้ึนเทานั้น ขอน้ีหมายความวา ผูท่ีเปนบาวไพรคนใชสอย หรือเปนผูนอยกวาเขา ตองทํางานในหนาท่ีของตนใหดีข้ึนเปน ลาํ ดบั ไป เชนตนจะเปน ท่รี กั ใครของนายขนึ้ ไปโดยลําดับ ขอปฏิบัติสวนนี้เปนปณิธานของผูซ่ึงหวังความเจริญ ไมยอทอในอันที่จักเพียรฟนฟูกิจการของตนใหดีย่ิงข้ึน และใหคงดีอยูเสมอ สิ่งใดยังไมรูก็พยายามศึกษาใหรูใหชํานาญ เพียรพินิจพิเคราะหจับเหตุผลในส่ิงที่ยังมืดมัวอยูใหแลเห็นกระจางขึ้น ดําเนินตามหลักอิทธิบาท ๔ ที่กลาวไวในสถาน ๕ ศิษยบ ํารุงอาจารยดวย เรยี นศิลปวทิ ยาดว ยความเคารพ จริงอยกู ารต้งั ใจทาํ ส่งิ ใดลงไปดวยความหวังดี ก็ตองเล็งถึงประโยชนตอบแทนเปนธรรมดาแตความท่ีหวังไมควรมุงถึงมูลคาใด ๆ อันจักเปนเหตุใหเกิดความทอถอยขึ้นภายหลัง ในเมื่อความมุงหมายไมประสบผล การปฏิบัติหนาท่ีของตน ใหสําเร็จเรียบรอยเปนท่ีพอใจนาย น้ันแลเปนส่ิงควรกระทํา เมื่อนายมีเมตตาปราณีแลว ผลก็ตองเกดิ อยูเอง ขอ สําคญั เพยี งแตอ ยา ใหนายติไดก ็เปน การดี ถาถึงยกยองสรรเสริญดวยแลว จะถอื เอารางวัลเสียทีเดียวกค็ วร แตอยา ปลอยสตใิ หเพลนิ ตอ คําสรรเสรญิ นัน้ จนเกินไป อนั ความยินดียินรายถาเกิดแก
๗๖ผูใดแลว จะสงบความรูสึกใหเปนปกติไวไดยาก เพราะเปนลักษณะของโลกธรรม ๘ ดังไดนําเขาลําดบั ไวข า งลางน้ี สาํ หรับผูเยาวจักไดศึกษาใหทราบช้ันเชิงของธรรมเหลาน้ีไว เพ่ือเปนเคร่ืองเหนี่ยวรั้งใจ โลกธรรม ๘ อยาง ธรรมที่ครอบงําสัตวโลกอยู และสัตวโลกก็ยอมเปนไปตามธรรมนั้น โลกธรรมมี ๘ อยา ง คอื ๑. มีลาภ หมายถงึ มีส่งิ ที่ตอ งการสมใจ ๒. เสอ่ื มลาภ หมายถงึ ไมไดครอบครองของท่ีหวงั ๓. มียศ หมายถึง มีตําแหนงหนา ทถี่ ูกใจ ๔. เสือ่ มยศ หมายถงึ ถูกลดิ รอนสทิ ธแิ ละลดตําแหนง ๕. มสี รรเสริญ หมายถึง มชี ื่อเสยี งเดน ๖. มีนินทา หมายถึง ถูกตเิ ตือนกลาวราย ๗. มสี ขุ หมายถึง มชี ีวิตผาสกุ สดชืน่ จิตแจม ใส ๘. มีทุกข หมายถึง ทรมานกายและขม ขืน่ ใจ ๗๐ ขอที่ ๕ บาวยอมอนุเคราะหนาย ดวยนําคุณของนายไปสรรเสริญ คือ เมื่อมีการพูดขึ้นในที่ประชุมก็กลาวขึ้นวา ไมมีใครจะดีเทานายของขาพเจา ขาพเจาไมรูสึกวาเปนบาวไพรของทานไมรูสึกวาทานเปนนาย เพราะทานดีตอขาพเจามาก ดังนี้ ขอน้ีหมายความวา ผูที่เปนบาวไพรของเขา หรือเปนคนใชของเขา หรือเปนผูนอยของเขา เชนผูนอยในราชการเปนตัวอยาง เม่ือพูดถึงนาย หรือพูดถึงผูใหญของตนขึ้นมาที่ใด ก็สรรเสริญในที่น้ัน คําสรรเสริญน้ันจะสรรเสริญอยางไรก็ได เมื่อบาวนายตางฝายตางทําถูกตองตามหนาที่ของตนฝายละ ๕ ขอ ดังแสดงมาในกัณฑกอนและกัณฑน้ีแลว ก็เรียกวาปองกันภัยอันตรายท่ีจักมีมาจากทิศเบื้องตํ่า คือบาวไพรบริวารไดเปนแนแทตามกระแสพุทธฎีกา เปนตน ๖) การดําเนนิ ชีวิตตามหลกั พุทธจรยิ ศาสตรในอุปริมทศิ อุปริมทิศ คือ ทิศเบ้ืองบน ไดแก สมณพราหมณ คือ พระสงฆ เพราะเปนผูสูงดวยคุณธรรม และเปน ผนู าํ ทางจติ ๗๑ ทิศเบื้องบน สมณพราหมณ กุลบุตรพึงบาํ รุงดว ยสถาน ๕ คือ ๑. จะทาํ สงิ่ ใดก็ทาํ ดวยความเมตตา ๒. จะพดู ส่งิ ใดก็พดู ดว ยความเมตตา ๓. จะคดิ ส่ิงใดก็คดิ ดวยความเมตตา ๗๐ที. ปา. ๑๑ / ๓๔๗ / ๒๔๒. ๗๑พระธรรมปฎก(ป.อ. ปยตุ โต ), พจนานกุ รมฉบับประมวลธรรม, อา งแลว , หนา ๒๒๙.
๗๗ ๔. เปดประตตู อ นรับ ๕. ถวายปจจยั เคร่ืองยังชีพ๗๒ ขอท่ี ๑ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยจะทําสิ่งใดก็ทําดวยความเมตตา คือมีกายกรรมประกอบดวยเมตตา มีตักนํ้าถวายและนวดเฟนเปนตน และฆราวาสตองชวยเหลือภิกษุสามเณรดวยกําลังกายในกิจการที่ตองใชกําลังกาย เชน ชวยกอสรางซอมแซมเสนาสนะเปนตน และควรใหการออนนอมดวยกายเชน ยกมือไหวหรือหลีกทางใหเปนตน ถึงจะมองดูก็ควรจะมองดูดวยเมตตา จะไดผลอันดี คือ เกิดในตระกูลอันสูงในภายภาคหนา ฯ แมสัตวดิรัจฉานแท ๆ ซึ่งรูจักเคารพนบนอบตอพระพุทธเจากับเหลาพระภิกษุสงฆ ดวยการยกปกทั้งสองขางขึ้นไหวกมศรีษะลงคํานับ เทาน้ันพระพุทธเจาก็ตรัสวา จักไมไปสูทุคติตลอดแสนกัลปเปนกําหนดกาลในท่ีสุดจักไดสําเร็จพระปจเจกโพธญิ าณ ดงั นี้ เรอ่ื งนไ้ี ดแกเ รื่องนกเคาท่กี ลาวไวในพระคมั ภีร ดวยกายกรรมน้ัน ไดแกการชวยดวยกําลังกายอันมีลักษณะตางกัน คือ ชวยทํา กิจธุระตางๆ ชวยปองกันอันตรายซ่ึงเกิดแตโรคาพาธ หรือเกิดจากการพลาดพล้ัง เชน ซวนเซ พล้ิวเพลง ก็เขา ชวยพยุงไว หรืออยางอ่ืน เชน ประสพคนราย, สัตวราย , จะทํารายและขบกัด ก็ปองกันใหพนจากภัยน้ันไปเสีย การคารวะตอนรับ มีหลีก ทางใหเปนอาทิ กเ็ ขา ในลกั ษณะกายกรรมดวยเหมอื นกัน๗๓ ขอที่ ๒ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยจะพูดส่ิงใดก็ทําดวยความเมตตา คือ มีวจีกรรมประกอบดว ยเมตตา มี แนะนาํ ใหคนท้ังหลายใสบาตรเปนตน ไดแกการแสดงความยินดีกับผูที่ทําบุญกับพระภกิ ษทุ ัง้ หลาย, ไดแ กการฟง ธรรม, ไดแ กการตอนรบั ดวยความเคารพเปน ตน ขอที่ ๓ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยจะคิดสิ่งใดก็ทําดวยความเมตตา คือมโนกรรมประกอบดวยเมตตา ยากใหพระภิกษุสามเณรมีความสุขกายสบายใจอยูเสมอเพราะเหตุวา เม่ือพระภิกษุมีความสุขกายสบายใจแลวทานก็จักทําหนาท่ีศึกษาเลาเรียนบอกกลาวส่ังสอนไดโดยสะดวก อกี ประการหนึ่งจะทาํ ใหตนและครอบครัวอยสู ขุ สบายดวยเพราะภิกษุสามเณรนน้ั เปนผทู ี่มีศีลธรรมอันดีงาม อาจทําใหความนึกคิดของตนมีอานิสงสแรงเห็นในปจจุบันทันตา เพราะเพียงแตนึกอยากใหคนและสัตวซ่ึงไมมีศีลธรรมอันดีมีความสุขความเจริญ ซึ่งเรียกวาเจริญเมตตาแกสัตวท้ังปวงนั้น ก็ยังไดรับอานิสงสในปจจุบันถึง ๑๐ ประการ มีการเปนที่รักใครของคนทั้งหลายเปนตนเพราะฉะนนั้ การแผเมตตาตอ ภิกษผุ ูมศี ลี ธรรมอนั ดงี าม กย็ ิง่ จะเหน็ อานสิ งสแกกลา ขนึ้ ไปเปนธรรมดา ๗๒ที. ปา. ๑๑ / ๒๐๔ / ๙๑. ๗๓พระยาศรีราชอักษร(มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), อางแลว, หนา๑๐๑.
๗๘ ขอที่ ๔ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยเปดประตูตอนรับ คือ การถวายทั่วไป และถวายอามิส คืออาหารแกผูมีศีล หาหนทางใหทานเขาสูบาน เพื่อสะดวกแกการบําเพ็ญกุศลทาน ทั้งจะไดมีโอกาสไดสดบั คําสอนของทานเปนตน ขอท่ี ๕ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยถวายปจจัยเครื่องยังชีพ คือใหสิ่งอันควรแกสมณบริโภค ไดแกปจจัย ๔ ซ่ึงเปนของเกื้อกูลความสุขมีผานุงหมเปนตน เพราะสมณะมีธุระอยูในการเลาเรียน และการปฏิบัติ ไมสามารถจะหาของเหลานี้ดวยตนเองไดสะดวก จึงตองอาศัยปจจัยทานของทานผูมีศรัทธาเก้ือกูล ผลของการใหทานเปนการอํานวยความสุขใหแกผูปฏิบัติธรรม มีเมตตาปราณีไมเบียดเบียนใคร ใหไดทุกขเดือดรอน มีอุสาหะพากเพียรทรงจําพระพุทธโอวาท และนํามาส่ังสอนแจกจา ยแกก ลั ยาณชน ผูมศี รัทธาเลื่อมใสใหเ กิดความรูความเขา ใจ พรอ มทงั้ กระทําตนใหเปนตัวอยางใหแกกุลบุตรประพฤติตาม ถาบุคคลพากันอบรมนิสัยนอมเขาอยูในสุจริตธรรมเปนสวนมากแลวหวังวาการประพฤติเปนพาลเกเร เที่ยวเบียดเบียนขมเหงลักขโมยแยงชิง ก็จะหมดลงไปตามกันความสุขความเจริญที่ตางมีประสงคอยูทุกคน ก็จะอุบัติขึ้นแทน รวมความก็คือตางฝายตางก็มีเมตตาจิต อํานวยความสุขแลกเปล่ียนแกกัน ผูใดปฏิบัติตามคําส่ังสอนของทานก็ไดรับความสุข ๆ นี้เองคือตัวบุญ ผูที่ถูกเรียกวา “มีบุญ” ก็เพราะมีความสุข สวนกุศลอันจักสนองภายหนาน้ัน ไมสามารถจะกลาวใหเปนประโยชนไดในท่ีนี้ อนึ่งการบริจาคก็ควรกําหนดใหดํารงอยูในขอบแหงความปติเล่ือมใส ในอันที่จะอํานวยความสุขใหแกปฏิคาหกจริง ๆ ไมหักโหมทําจนเกินแกกําลังทรัพยที่มีอยูถึงตอ งกหู นย้ี มื สนิ เขามาทํา ซง่ึ เปน เหตอุ นั จักนําความเดือดรอนมาสูตนภายหลัง และเปนลูทางใหเกิดทอ ถอยพาโลวาไมเห็นบุญเหน็ ทานทีไ่ หนชว ย เลยวางมอื หมดศรัทธาเอาเสียงาย ๆ เปนตน มงคลสตู รขอ ที่ ๒๙ การเหน็ สมณะ สมณะ แปลวา ผสู งบ หมายถึงบรรพชิตทีไ่ ดบําเพ็ญสมณะธรรม ฝก ฝนตนเองดวยศีล สมาธิปญญา มาแลวอยางเต็มท่ี จนกระทั่งมีกาย วาจา ใจ สงบแลวจากบาป สมณะทุกรูปจึงตองเปนบรรพชิต แตบ รรพชิตบางรปู อาจไมไ ดเ ปน สมณะก็ได ลกั ษณะของสมณะ คอื สมณะตองสงบกาย คือ มีความสํารวม ไมคะนอง ไมมีกิริยาราย เชน ทุบตี ชก ตอย ฆาฟน สะพายดาบ พกมีด พกปน เดนิ ขบวน หรือ เฮโล ยกพวกเขาชิงดีชิงเดน แยง ทอ่ี ยูทท่ี าํ กินกนั อนั เปน กริ ยิ าของคนไมสงบ คนทเ่ี ปน สมณะไมวาจะเขาท่ีไหน จะอยูท ่ไี หน ยอ มไมทําความชอกชา้ํ แกใคร พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงชมพระโมค คัลลานะในเรื่องน้ีวา ทานแมนจะมีฤทธ์ิเดชมาก แตไมวาจะไปที่ใดก็ไมเคยทํา ความชอกชํ้าแกตระกูลนั้นเลย จะบิณฑบาตรับของถวายอะไรก็ตาม ก็คอยดูวาเขา จะเดือดรอนไหม รับแตพอประมาณ เปรียบเหมือนแมลงภูบินเขาสวน ดูดเกสร ดอกไมอ่ิมหนําสําราญแตไมเคยทําความชอกชํ้าแกตนไมเลย สมณะตองสงบวาจา
๗๙ คือไมเปนคนปากราย ไมนินทาวารายใคร ไมยุยงใสรายปายสีกัน จะเปนระหวาง พระกับพระ หรือพระกับฆราวาสก็ตาม จะทําไปโดยอางคณะ อางนิกาย อางวัด อา งพวกไมไดทั้งน้ัน มีแตวาจาท่ีเปนอรรถเปนธรรม ไมใชวาจาเหมือนคมหอกคม ดาบ แมการพูดใหคนอื่นกระดาก ขวยเขิน เชนพูดจาเกาะแกะผูหญิงเลนสนุกๆ ก็ ผดิ สมณะสารูป “สมณะตอ งสงบใจ คือทําใจใหหยุดน่ิงเปนสุขอยูภายใน สงบจาก บาปกรรม ตรกึ นึกถึงธรรมเปน อารมณ ไมใชท าํ เปนสงบแตเปลือกนอกเหมือนเสือ เฒาจําศีล จิตใจของสมณะที่แทยอมเต็มไปดวยความเมตตากรุณา ไมเปนภัยตอ ผใู ด๗๔ การท่ีมีความสงบกาย วาจา ใจ ทั้ง ๓ ประการนี้ สงผลใหสมณะมีความสงางามอยู ในตัวมีคําอยูสองคําท่ีใชชมความงามของคน คือถาชมเชยหนุมหญิงสาวทั่วไปเราใชคําวาสวยงาม แตถาจะชมสมณะเราใชคําวา สงางาม เปนความงามที่สงา และยังมีความสงบเสง่ียมอยูในตัว ท้ังสงางามและสงบเสงย่ี ม แตไ มจ อ ง ไมก ระจอกงอกงอ ย เพราะมคี วามเช่ือม่นั ในคุณธรรมทต่ี นเองปฏิบัตอิ ยู มีความอิ่มเอิบอยูใ นธรรม เปน ตวั อยา งใหเ ห็นถึงอานิสงสข องการประพฤติดีปฏบิ ตั ชิ อบ การไปมาหาสูคนสงบ การเขาใกลชิดเพ่ือไตถามบาปบุญและรับใช การระลึกถึงคุณธรรมของคนสงบ การไดยินขาวของคนสงบ และการเห็นขอวัตรปฏิบัติของคนสงบ ที่นาเลื่อมใสนับถือบูชา รวมเรียกวาการเห็นสมณะ เพราะกิจท้ังน้ีและท้ังนั้นเปนทรรศนะวิสัย นําใหเห็นบุคลิกลักษณะของคนสงบโดย ๓ ทาง คอื ๑. การเหน็ ดวยตา เรยี กวาพบเหน็ ๒. เหน็ ดว ยใจ เรยี กวาคดิ เห็น ๓ . เหน็ ดว ยปญ ญา เรียกวา รูเหน็ ๗๕ การเห็นสมณะยอมเห็นไดใน ๓ ทางน้ี แมส่ิงจะพึงเห็นคือ สมณะก็มีอยู ๒ ช้ัน คือสมณะบคุ คล กับสมณะธรรม รูปรางตัวตนท่ีเปนสมณะ อยางท่ีเราเห็นเปนหญิงเปนชายน้ีเอง เรียกวาสมณะบุคคล สวนคุณงามความดีท่ีมีอยูในตัวสมณะบุคคลทุกเพศทุกวัยนั้น เรียกวาสมณะธรรม เราจะดูสมณะตองดใู หเหน็ ทัง้ ตวั สมณะบุคคลและสมณะธรรม จึงจะเห็นสมณะไดโดยครบถวน อันการไปมาหาสูคนสงบ เขาใกลชิดคนสงบ ระลึกถึงคนสงบ ไดยินขาวของคนสงบ และเห็นคนสงบนั้น ทานวามีอุปการะมาก เพราะเปนปจจัยอุดหนุนใหเห็นดวยตา เปนการพบเห็นกิริยาและไดฟงวาจาของทานเปนกิริยาสงบ วาจาสงบ เตือนใหเห็นดวยใจ เกิดคิดเห็นกิริยาวาจาที่สงบน้ัน ๗๔พระสมชาย ฐานวฑุ โฒ, มงคลชวี ติ ฉบบั ธรรมทายาท, อางแลว, หนา ๒๖๕. ๗๕เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา ๒๖๖.
๘๐วามาจากใจที่สงบของทาน และนอมนําใหสอดสองดวยปญญา จนรูเห็นตนเหตุแหงความสงบวา อยูท่ที านปราบความช่ัวตัวยุง ใหส งบราบคาบ จึงเกิดผลแกท านเปนกริ ยิ าสงบ วาจาสงบ และใจสงบ คร้ันรเู หน็ เชนน้ีแลว ก็เกดิ ความเลือ่ มใสในคณุ ของทา นผสู งบคนบางคนภายในยงุ เหยิง เขาทําเปนสงบขางนอก การเห็นคนสงบขางนอกงายแตการเห็นความสงบภายในของคนนั้นยากดังนั้นเราจึงควรระมัดระวังใหจงหนัก มิฉะนั้น จะถูกลวงใหเห็นดีนอกเปนมงคล อยางเชนเห็นวา ทานน้ันดีทางเสกทางเปา ดีทางผูกดวงหมอดู ดีทางมหาเสนหมหานิยม หรือไมก็ดีทางบอกใบใหหวย ถาเห็นดีนอกเชน นี้เปนมงคลไปจนตาย ก็ไมมีวันไดเห็นมงคลขอสมณทรรศนะน้ีเลย ขอควรปฏิบัติเม่ือพบสมณะคือ ถาไทยธรรมน้ันมีอยูพึงตอนรับดวยไทยธรรมน้ันตามสมควร ถาไทยธรรมไมมีพึงกราบดวยเบญจางคประดิษฐ ถาไมสะดวกในการกราบก็พนมมือไหว ถาไหวไมสะดวกก็ยืนตรง หรือแสดงความเคารพดว ยวธิ ีใดวิธีหนง่ึ เชน หลีกทางใหอ ยา งนอยทส่ี ดุ ตองแลดูดว ยจิตเลอ่ื มใส ๗๖ สมณะไดร บั บาํ รุงฉะน้แี ลว ยอ มอนเุ คราะหกลุ บตุ รดวยสถาน ๖ คอื ๑. หา มไมใ หท ําความชัว่ ๒. ใหต ง้ั อยใู นความดี ๓. อนเุ คราะหด ว ยนํ้าใจอนั ดีงาม ๔. ใหไ ดฟ งสิง่ ทีย่ งั ไมเคยฟง ๕. อธบิ ายสง่ิ ทเี่ คยฟงแลวใหเ ขา ใจแจม แจง ๖. บอกทางสวรรคให๗ ๗ ขอท่ี ๑ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตรดวยหามไมใหทําความช่ัว ไดแกการท่ี สมณพราหมณช ้ีโทษในปจ จุบัน และอนาคต แหงความชั่วท้ังหลายมีปาณาติบาตเปนตน แลวหามไมใหทําวา เจา อยา ทาํ ความช่วั อยางนอ้ี ีกตอไป ความช่วั อันใดทกี่ ลุ บุตรทาํ แลว ทานกต็ ิเตือนความชั่วอันนั้นใหฟงวา เปน ของไมด ี แลว แนะนําใหท ําแตความดี มีการเอ้ือเฟอแกก ันเปนตน สมณพราหมณยอมชี้โทษ๑๐ ประการ คือ ๑. ปาณาตบิ าต ๒. อทินนาทาน ๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ๔. มสุ าวาท ๕. ปสณุ าวาท ๖. ผรสุ วาท ๗๖เรือ่ งเดียวกัน, หนา ๒๖๘-๒๖๙. ๗๗ที.ปา. ๑๑ / ๒๐๔ / ๙๑.
๘๑ ๗. สัมผปั ปลาปวาท ๘. อภิฌา ๙. พยาบาท ๑๐. มจิ ฉาทิฏฐิ ใหฟ ง เปน อยางๆ ไป แลว หา มไมใหก ุลบุตรทําอกี ตอไป๗๘ เพราะฉะน้ันควรท่ีกุลบุตรท้ังหลาย จะบํารุงสมณพราหมณดวยสถาน ๕ คบหากับสมณพราหมณใหคุนเคยสนิทสนม เพ่ือทานจะมีโอกาสช้ีโทษแหงความช่ัว ไดช้ีคุณแหงความดีใหฟงตามท่ีแสดงมานี้ดวย นอกจานี้แลวความชั่วยังมีอีกมาก ไดแก กรรมกิเลส ๔, อคติ๔, อบายมุข ๔,หรืออบายมขุ ๖, มลทิน ๙, อปุ กิเลส ๑๖, เหลา นีก้ ็ลวนแตเปนความชว่ั ทงั้ นัน้ ขอท่ี ๒ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยใหตั้งอยูในความดี คือใหต้ังอยูในความสุจริต รูจักบาปบุญ คุณและโทษ ทําตนใหเปนประโยชนแกชาติบานเมือง ดํารงอยูในภาวะแหงอารยชน ไมล ะเมดิ ในสงิ่ ท่ผี ิดศลี ธรรม เชน วฒุ ิธรรม ๔ คอื ธรรมเครื่องเจรญิ ๔ อยาง ไดแก ๑. สปปฺ รุ ิสปู สเํ สว คบทานผปู ระพฤติชอบดวย กาย, วาจา, ใจ, ทเี่ รียกวา สัตบุรุษ ๒. สทธฺ มมฺ สสฺ วน ฟงคําสั่งสอนทานโดยเคารพ ๓. โยนโิ สมนสิการ ตรติ รองใหรูจ ักสง่ิ ทด่ี ีทช่ี ว่ั ดว ยอุบายที่ชอบ ๔. ธมฺมนุธมฺมปฏิปตฺติ ประพฤติธรรมสมควรแกธ รรม ซ่ึงไดต รองเหน็ แลว๗๙ เปนตน ขอที่ ๓ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยอนุเคราะหดวยนํ้าใจอันดีงาม น้ันรวมความวา ทานผูมีนําใจประกอบดวยเมตตาปราณี เพงเล็งอยูแตจะใหไดรับความสุขทั่วๆ กัน เห็นโอกาสจะชวยไดสถานใด ก็ไมละเวนในการที่จะชวยใหบรรลุผลน้ันๆ มีสอนใหละความช่ัวประกอบความดีเปนตน อรยิ ทรพั ย ๗ คือ คุณความดีท่ีมใี นสนั ดานอยางประเสรฐิ เรียกวา อริยทรัพย มี ๗ ประการ คอื ๑. สัทธาธนงั ทรพั ยคือศรทั ธา เช่อื ส่งิ ทีค่ วรเช่ือ ๒. สีลธนงั ทรพั ยค อื ศลี รักษากาย วาจา ใหเรยี บรอ ย ๓. หริ ธิ นัง ทรัพยค อื หริ ิ ละอายตอบาปทจุ ริต ๔. โอตตปั ปธนงั ทรัพยคือโอตตปั ปะ สะดงุ กลวั ตอบาปทจุ ริต ๕. สุตธนัง ทรัพยคือสุตะ ความเปนคนไดเคยไดยินไดฟงมามาก คือ จําทรงธรรม และรูศิลปวทิ ยามาก ๗๘ที. อ. ๑๑ / ๑๘๖-๑๙๘. ๗๙การศาสนา, กรม. กระทรวงศึกษาธกิ าร, คูมือการศึกษาธรรมศกึ ษาช้ันตรี, พิมพครั้งที่ ๒,(กรุงเทพฯ : โรงพิมพการศาสนา, ๒๕๑๔), หนา ๑๙.
๘๒ ๖. จาคธนัง ทรพั ยคอื จาคะ สละใหปน สงิ่ ของของตนแกคนทีค่ วรใหปน ๗. ปญ ญาธนงั ทรัพยคอื ปญญา รอบรูส่ิงท่เี ปนประโยชน และไมเปนประโยชน๘๐ ขอที่ ๔ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยใหไดฟงส่ิงท่ียังไมเคยฟง สิ่งน้ันจะเปนเครื่องเกาแกล้ีลับ หรือเปนเร่ืองที่พึ่งจะเกิดมีข้ึนใหม ยังไมแพรหลายทั่วไปก็ตาม เมื่อเห็นวาจะมีประโยชนแกผูสนใจไดแลว ก็นําออกแสดง เพื่อเกิดความรูความฉลาดแกผูฟงสืบไป สิ่งที่ยัง ไมเคยฟง จะสงั เกตไดจากการพูดการทาํ สงิ่ ใดพดู ไมถ กู ทาํ ไมถ กู สิ่งน้นั ก็เปนวายงั ไมเคยฟง ขอท่ี ๕ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยอธิบายสิ่งที่เคยฟงแลวใหเขาใจ แจมแจงแมสิ่งท่เี คยฟงแลว แตอนุมานวา เคา ความยงั เปน ปญ หาเคลือบคลุม หรือไดฟงยังนอย ไมพอแกการที่จะจดจํา ก็ดําริหาคําที่จะอธิบาย มีอุทาหรณอางเหตุผลที่เหมาะสมแกภูมิปญญาของ ผูฟงมาแสดงจนเขาใจตลอด สิ้นความสงสยั ขอท่ี ๖ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยบอกทางสวรรคให บทนี้ไดแกการแสดงธรรมส่ังสอนใหทราบในส่ิงท่ีเปนกุศลและอกุศล มรณสติตักเตือนตนใหตั้งอยูในความไมประมาทนอมใจใหเขาอยูในสัมมาปฏิบัติ ไมลวงขอปฏิบัติทั้งในศาสนา และฝายบานเมืองเพียงปลดเปลืองความชั่วประพฤติความดี มีความอุสาหะในการเล้ียงชีวิตในทางที่ชอบ ประกอบแตส่ิงอันเปนกุศลเชน หม่ันสดับพระธรรมเทศนา และรักษาศีลบําเพ็ญทานเปนเนืองนิตย ประคองจิตใหต้ังอยูในความสงบเสง่ียม อันเปนบันใดใหกาวข้ึนสูหนทางปญญา รอบรูสิ่งที่เปนของจริง คือรูสิ่งท้ังปวงแลวมีความคดิ ข้นึ แลวกต็ องเสอื่ มไปเปนธรรมดา ในทีส่ ุดของการประพฤติธรรมท้ังหลาย ก็รวมลงในความไมป ระมาทอยา งเดยี วเทา นัน้ สรุปไดวาอานิสงสการเห็นสมณะ คือ ทําใหไดสติ ฉุกคิดถึงบุญกุศล ทําใหเกิดแรงบันดาลใจท่ีจะทําดีตามทาน ทําใหตาผองใสดุจแกวมณี ทําใหเปนผูไมประมาท ชื่อวาไดบูชาพระรัตนตรัยอยางยิ่ง ทําใหไดสมบัติ ๓ คือ มนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ ทําใหบรรลุมรรคผลนิพพานโดยงาย ๘๐ที. ปา. ๑๑ / ๓๒๖ / ๒๒๗.
บทท่ี ๔ การดําเนนิ ชวี ติ ในสงั คมใหม ีความสขุ ตามหลักทศิ ๖ พุทธศาสนาเปนศาสนาท่ีเกิดจากการคิดหาเหตุผล ของพระพุทธเจาที่จะแกไขปญหาชีวิตของมวลมนุษยชาติ ซ่ึงอาจจะมีปญหาสวนบุคคล และปญหาสวนรวมท่ีเรียกวา ปญหาสังคมและในที่สุดพระพุทธเจาก็ไดประสบความสําเร็จในการคิดหาเหตุผล ในการแกปญหาชีวิตของมนุษย และพระองคก็ทรงเปยมดวยพระมหากรุณาธิคุณ ไดนําเอาเหตุผลอันน้ันมาเพ่ือ เผยแผชวยแกปญหาชีวิตมนุษยไดเ ปนเอนกอนนั ต และเหตผุ ลอันน้ันก็กลายเปนคาํ สอนและไดแ พรห ลายไปยังสว นตางๆ ของโลกโดยพระองคเอง และการดําเนินงานของพระสาวกของพระองค แมพระองคจะปรินิพพานไปแลว ก็ตาม ประเทศไทยก็เปนประเทศหนง่ึ ที่ไดร ับเอาคาํ สอนของพระพุทธองคมาเปนแนวทางในการแกไ ขปญหาชวี ติ และการดาํ รงชวี ติ แมวา สังคมเปนสังคมพุทธ เปนสังคมท่ีอยูภายใตอิทธิพลของคําสอนท่ีดีงามของพระพุทธศาสนาและเมื่อพิจารณาตามขอความที่กลาวไวในขอ ๑. แลวดูเหมือนวานาเปนสังคมที่เรียบรอย ปราศจากปญหาใดๆ ก็ตาม แตสภาพท่ีเปนอยูในปจจุบันน้ี ก็ปรากฏวาสังคมยังตองเผชิญกับปญหามากมายทีเดียว จนกลายเปนปญหาสังคม ทั้งนี้อาจเปนเพราะสมาชิกของสังคมบางคนบางกลุมเพิกเฉยละเลยตอการนําเอาหลักพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง ๖ และหลักธรรมท่ีเกี่ยวของสงเสริมตอการปฏบิ ัติหนา ทีต่ ามหลักธรรมทิศท้งั ๖ ในพระพุทธศาสนาไปใชในการดําเนินชวี ิตประจําวันก็ไดจึงทาํ ใหส ภาพของสงั คมไทยอยใู นสภาพทมี่ ปี ญหาและนับวันแตจ ะเลวรา ยลงไป ทบวงมหาวิทยาลัย ไดสรุปไวในโครงการอบรมจริยธรรมกับบัณฑิตในป พ.ศ. ๒๕๒๘ เปนการสรุปรายงานผลวา สภาพของสังคมไทยในปจจุบัน นับวันย่ิงเลวรายลงทุกทีตลอดทั้งปญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองจริยธรรม โดยเฉพาะสังคมในกรุงเทพฯ สังคมไทยเปนสังคมพระพุทธศาสนาแตการอบรมส่ังสอนเยาวชนของชาติในดานจริยธรรมลดนอยลงไปหรืออาจจะหายไปในบางที เชน ในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนในปจจุบันท่ีรัฐบาลประกาศวา ประชาชนยากจนขนแคนนายทุนขมเหงคนจนขมเหงผูใชแรงงาน มองดสู ภาพของสังคมท่เี ดือดรอนทุกวันนี้ เปน อยา งไรจึงเปนอยางน้ัน มีคนมั่นใจหรือยึดมั่นในพระพุทธศาสนามากนอยแคไหน แตในทุกสถาบันก็มีปญหาแทบท้ังส้ิน จะเห็นวา สังคมไทยเรานั้นยังคงมีปญหาตางๆ ที่จะหาทางแกไขปญหาท่ีถูกตอง ตามทรรศนะของ พระพุทธศาสนา หรือแบบพุทธศาสตรห ลกั ธรรมทิศทั้ง ๖ คือการกาํ หนดหนาทค่ี วามรับผดิ ชอบใหบุคคลใน ๖ กลุม น่ันคือทกุ คนตองมีหนาทอี่ ันพงึ ปฏบิ ัตติ อผอู ื่น ที่ตนเก่ยี วขอ งดว ย ในฐานะเดยี วกนั ตนเองก็มีสิทธิไดรับการ
๘๔อนุเคราะห จากผูอื่นที่ตนเก่ียวของดวยเหมือนกัน กลาวสั้นๆ ก็คือ ทุกๆ คนมีท้ังหนาท่ี ที่จะตองปฏิบัติ และสิทธิอันชอบธรรม ที่จะไดรับการปฏิบัติตอบ ทั้งน้ีเพราะถาบุคคลตองมีหนาท่ีปฏิบัติดีตอผูอื่นแตฝายเดียว โดยท่ีไมมีสิทธิไดรับการอนุเคราะหจากผูนั้นตอบแทนบาง ยอมไมมีใครพอใจ เมื่อไมมใี ครพอใจบอยเขาก็เลิกการปฏิบัติตอกัน นั่นคือ ถาทุกคนไมมีความรับผิดชอบ คนดีก็ไมจะอยากทาํ ความดี เม่อื เปน เชน นแ้ี ลว บรรยากาศในสังคมของเราจะมสี นั ติสุขไดอ ยา งไร ดว ยเหตุดังกลาว พระสัมมาสมั พุทธเจา จงึ ทรงแบงผคู นในสงั คมออกเปน ๖ กลุม พรอ มท้ังกําหนดหนาท่ีอันพึงปฏิบัติ และสทิ ธิอนั พึงจะไดรบั การอนเุ คราะหจ ากบคุ คลแตล ะกลมุ ดวย๑ การปฏบิ ัติตอบุคคลทั้ง ๖ ประเภท ทเ่ี ปรยี บเหมอื นทศิ ๖ เหลา นี้ ฝา ยละ ๖ ประการเปนการถอ ยทีถอยอาศยั ปฏบิ ตั ิตอ กนั ทุกฝาย เชน มารดา บดิ ากบั บตุ ร, อาจารยก บั ศิษย, สามีกับภรรยา, มติ รกบั มติ ร, นายจา งกับลูกจา ง, และสมณะกบั ประชาชน๑. พุทธจริยศาสตรใ นฐานะสงเสริมความม่ันคงแหง ครอบครวั ๑.๑ การขาดหลักพทุ ธจรยิ ศาสตรท ศิ ทัง้ ๖ ในการดาํ เนินชวี ิตตามหลักปุรัตถมิ ทิศ ไดแกบดิ ามารดา ปญหาจริยธรรมในสังคมไทยน้ันสวนมากจะพบปญหาแทบทุกวันจากสื่อมวลชน เชนหนังสือพิมพ วารสาร วิทยุ โทรทัศน ฯลฯ ปญหาที่พบเห็นอยูเปนประจําน้ันไดเพ่ิมความถี่และความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกวัน ไดแก การประทุษรายตอรางกาย ชีวิตและทรัพยสินของผูอื่น เชน การปลนจ้ีฆาเจาทรัพย ฆาขมขืน ฯลฯ ปญหาเหลานี้เปนปญหาท่ีสงผลกระทบตอบุคคล และสังคม สวนปญหาอีกประเภทหนึ่งเปนปญหาท่ีมีผลกระทบตอประเทศชาติสวนรวม คือ ปญหาการทุจริตในวงราชการการตัดไมทําลายปา การบุกรุกที่ดินปาสงวนแหงชาติ การข้ึนราคาสินคาโดยไมเปนธรรม การกักตุนสนิ คา การลกั ลอบคาขายสนิ คา หนภี าษีฯลฯและ ปญหาที่เกิดจากความเจริญทางดานอุตสาหกรรม ทําใหส่ิงแวดลอมเปนพิษ เนื่องจากการปลอยน้ําเสียและอากาศเสียที่เกิดจากการเผาไหมของโรงงานอุตสาหกรรม จนเปนเหตุใหเกิดน้ําเนา อากาศเปนพิษ ฯลฯ ปญหาตางๆ เหลาน้ีเกิดจากการกระทําของบุคคลที่มักงาย เห็นแกตัว เห็นแกได ไมมีจริยธรรม ขาดคุณธรรม และที่สําคัญคือไมเคารพกฎหมาย ครอบครัวถอื ไดว าเปน รากฐานของสงั คม สังคมจะพกิ ารหรือเปนระเบียบก็อยูที่การจัดระบบในครอบครวั เปนปฐมน่ันเอง ๑สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปฎกฉบับสําหรับประชาชน, พิมพคร้ังท่ี ๑๑, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพม หามกฎุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๒), หนา ๒๓๖.
๘๕ สวนเรื่องกรรมพันธุและสิ่งแวดลอมน้ันเปนตัวประกอบท่ีสําคัญไมนอย การพิจารณาสังคมจึงควรพิจารณาถึงสถาบันครอบครัวกอนเปนสําคัญ หลักการทางพระพุทธศาสนาจึงย้ําใหเห็นวาบิดามารดาเปนพรหมของบุตร เปนผูใกลชิดและมีหนาท่ีอบรมส่ังสอนบุตรเปนอันดับแรก การปรับปรุงสังคมจึงควรปรับปรุงสถาบันครอบครัว ถาจะใหกระชับแนนเขาไป ก็คือปรับปรุงบิดามารดาน่ันเองเปนปฐม ผมจึงใครฝากปญหานี้ไวใหคุณๆ ผูสนใจปญหาสังคมชวยกันขบคิดดวย ไมเฉพาะแตบิดามารดาเทา น้นั ท่รี บั ผดิ ชอบตอสงั คม สถาบนั การศกึ ษา ครูอาจารย สถาบันทางศาสนา รัฐบาล ฯลฯ ก็มีสวนชวยอยูดวยเหมือนกัน สรุปความแลว ก็คือตองรวมกันทุกฝาย จะปดหรือโยนใหเปนหนาท่ีของใครรับผิดชอบโดยเฉพาะหาไดไม ทุกฝายตองหันหนาเขาหากัน ทุกฝายตองชวยกัน ตองรวมมือกันเพราะ เด็กในวันน้ี คือผูใหญในวันหนา ผูใหญในวันนี้ คือผีในวันหนา สังคมจะตองตกอยูในกํามือของเด็กในวันนี้ จึงควรจะยํา้ ใหแลเห็นวา อนาคตของชาติจะตกอยใู นความรบั ผดิ ชอบของเดก็ ในวนั นี้ย้ําใหเด็กมีความคํานึงถึงความรับผิดชอบท่ีเรียกวาใหมีตอสังคมเปนตนไป ต้ังแตอยูในสถาบันครอบครัว ซง่ึ เปนสังคมแคบๆ อันเปนสถาบันแรกที่เด็กเกิดข้ึนมาดูโลกตอไปจนถึงสังคมโลกกวางๆคอื การบริหารประเทศชาต๒ิ ปญหาชวี ิตครอบครวั การขัดแยงกันระหวา งบคุ คลในครอบครัว อาจเกดิ จากปจ จยั หลายๆอยา ง อาทิ สภาพทางเศรษฐกิจในครอบครัว การศกึ ษา วัย การเงิน รายได จงึ ไมมอี ะไรดีกวาหนั หนาเขาปรึกษาหารือกัน เหน็ อกเห็นใจกนั การใหอภยั กนั และการหนักแนน อดทน ฟนฝาอุปสรรคเพอื่ตอสูชีวติ ตอไป ปญ หาที่เก่ียวกับส่ือมวลชน ในปจจุบนั เปนสังคมขา วสาร มเี ทคโนโลยีท่ีอํานวยความสะดวกมากมาย และสิ่งน้ีก็เปนดาบสองคม คือ มีท้ังคุณอนันต และโทษมหันต ขึ้นอยูกับการจัดการเลือกใชใหเหมาะสม ปญหาส่ือมวลชน เชน โทรทัศน วิทยุ หนังสือพิมพ วารสาร ฯลฯ มีการโฆษณายั่วยุชักชวนใหเกิดความโลภ ความอยากไดในส่ิงประดิษฐและสินคาใหมๆ ซ่ึงไมจําเปนตอการดํารงชีวิตทําใหเกิดคานิยมในการครองชีวิตท่ีผิดและเกินความพอดี นอกจากนี้สื่อมวลชน เชน การผลิตภาพยนตร บทละคร โทรทัศน มีสิ่งย่ัวยุ และสิ่งท่ีเปนแบบอยางที่ไมดีอยูในบทภาพยนตร และละครทําเกิดการเอาอยาง เลียนแบบ ทําความเส่ือมโทรมดานจิตใจของผูชมและเด็กวัยรุน เชน บทท่ีแสดงการทารุณ ตบตี การขมขืน บทรักที่แสดงถึงความตองการทางกามารมณมากจนเกินไปจนเกิดความรูสึกมีอารมณรวมไปดวยในขณะดูภาพยนตร ส่ิงเหลานี้ควรปรับปรุงแกไข เพื่อจริยธรรมของสังคมจะดีข้ึน ภาพยนตร และบทละครควรสงเสริมความรูสึกนึกคิด และคานิยมดานจริยธรรมเพ่ือ ๒ประยงค สุวรรณบุบผา, พระพุทธศาสนากับชาวไทย, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพเจริญธรรม,๒๕๐๖), หนา ๓๙๕ - ๓๙๖.
๘๖ยกระดับจิตใจของผูชมใหสูงขึ้นปญหาจริยธรรมในสังคมดังกลาวมาแลวขางตนน้ันเปนปญหาสวนหนง่ึ ในหลายๆ ปญหา และสามารถแยกสาเหตุของปญหาจริยธรรมในสังคมปจจุบันออกไดตามหลักพุทธจรยิ ศาสตรทศิ ทงั้ ๖ ดงั นี้คอื สาเหตุท่บี ิดามารดา และกุลบตุ รกลุ ธดิ าไมอนุเคราะหซงึ่ กันและกัน จําแนกไดด งั นี้ สาเหตุที่บิดามารดา และกุลบุตรกุลธิดาไมอนุเคราะหซ่ึงกันและกันนั้นเปนเพราะสังคมปจจุบันนั้น ไมนําหลักการดําเนินชีวิตในพุทธจริยศาสตรทิศท้ัง ๖ ในสิงคาลกสูตรไปใช ผูเปนบิดามารดาไมท าํ หนา ทีข่ องตนเองใหส มบูรณ เชน ๑) บิดา มารดาเห็นบุตรธิดาของตนเองทําความช่ัวแลวไมหามปราม แตกลับปกปอง และใหทา ย ไมต ําหนติ เิ ตอื นในการกระทาํ ท่ีไมด ีของบตุ รธดิ า ๒) ไมมีเวลาอบรมส่ังสอนบุตรธิดาใหต้ังอยูในความดี ประพฤติแตส่ิงที่ดีเปนประโยชนตอตนเองและสังคม ไมมเี วลาใหกบั ลูกเทา ท่คี วร ๓) บิดา มารดา ไมสงเสริมและสนับสนุนใหบุตรธิดาไดมีโอกาสเรียนหนังสือ ไมปลูกฝงคุณธรรมจรยิ ธรรมตลอดทงั้ ไมนําพาสมาชิกในครอบครวั เขารว มกจิ กรรมทางศาสนา ๔) บิดา มารดา ไมหาภรรยาหรือสามีที่ดีท่ีเหมาะสมท่ีสมควรใหบุตรธิดา และยังไมช้ีแนะแนวทางในการเลือกคูครองทด่ี ใี หกับบตุ รธิดา ๕) บิดา มารดา ไมมอบมรดกหรอื ทรพั ยส มบตั ิใหบุตรธิดา๓ ตามโอกาสทเ่ี หมาะสมหรือมอบใหไ มเทาเทยี มกัน จนอาจเปน เหตใุ หบ ตุ รธิดาตองแยงชงิ มรดกทรัพยสมบัตกิ ันดังมีตัวอยา งใหเหน็ กนัมากมายในปจ จุบนั น้ี เปน ตน นอกจากนน้ั ยงั มีปญ หาตา งๆ อีก ไดแ ก ปญหาความยากจน เน่ืองจากประชากรสวนใหญของสังคมไทยมีความยากจนมีรายไดตํ่าคา จางแรงงานต่ํา ไมมีงานทํา ดอยโอกาสทางการศกึ ษา ปญหาความยากจน ทําใหเ กดิ ปญ หาจริยธรรมในครอบครัว เชน การมีปากเสียง ดาวากัน การทะเลาะ ทุบตีกัน และอื่นๆ ซึ่งทําใหสภาพของครอบครัวเปนไปในแบบท่ีหางเหิน นอกจากบิดามารดาจะไมเลี้ยงดูบุตรบุตรีใหดีแลว ยังปลอยปละละท้ิงอกี ดวย ฝายบตุ รีก็มคี วามตองการความรํ่ารวย ฟุมเฟอยตามความเขาใจที่มีตอสังคมโลกปจจุบันทาํ ใหเกดิ ความขัดแยงเร่ืองวิถีชีวิตครอบครัว ถึงข้ันตําหนิบิดามารดาที่ใหกําเนิดตนมาในครอบครัวท่ียากจน เชน ในภาคผนวก ๓พิทูร มลิวัลย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาช้ันตรี, พิมพคร้ังท่ี ๓,(กรุงเทพฯ : โรงพมิ พการศาสนา, ๒๕๔๐), หนา ๖๑.
๘๗ ปญหาความเห็นแกตัว การพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจใหเจริญมากข้ึนเทาไร ปญหาความเห็นแกตัวในครอบครัว และสังคมก็มากข้ึนเปนเงาตาม เม่ือหัวหนาครอบครัวตองดิ้นรนขวนขวายมากข้ึน ทําใหชองวางระหวางสมาชิกในครอบครัวเพ่ิมมากขึ้น ความสัมพันธลดนอยลงความเห็นแกตัวทําใหคนขี้เกียจไมขยันทํางาน พยายามเอาเปรียบกัน ทํางานนอยแตตองการผลตอบแทนสงู มคี วามอจิ ฉาริษยา ไมสามัคคี ยกตนขมผูอ่ืน นินทาใสรายผูอ่ืน เปนตน ทําใหสมาชิกครอบครัวย่ิงแตกแยกกัน ปญหาคานิยมเปลี่ยนแปลง บิดามารดาบางครอบครัวเห็นคุณคาจริยธรรมของสังคมนอยลงในเรื่องจริยธรรม และวัฒนธรรมไทย ปจจุบันน้ี มีวิถีทางการดําเนินชีวิตของคนไทยทุกวันนี้ไดแปรเปล่ียนไปจากแตกอนมาก เชน ประเพณีการพ่ึงพาอาศัยแรงกัน ทํางานใหกันและกัน รักใครกลมเกลียวกันในครอบครัวก็เปลี่ยนไป กิจกรรมทุกอยางในครอบครัวถูกมองวาเปนการจางแรงงาน ผลจากความเจริญทางดานวัตถุก็ทําใหทุกคนแสวงหาความสุขความพอใจที่ไมมีที่สิ้นสุดหรือมีขีดจํากัดบุตรธิดาทอดท้ิงบิดามารดาไมเอาใจใสใหความอุปถัมภตลอดทั้งทอดท้ิงไมเลี้ยงดูทาน สวนบิดามารดาก็ตองการประโยชนตอบแทนจากกุลบุตรกุลธิดามากกวาการอบรมการเล้ียงดู คานิยมและการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ แสดงวา คนไทยเหน็ คุณคา จรยิ ธรรมของสงั คมนอ ยลง เชน ตัวอยา งในภาคผนวก ปญหาการทําแทง นับเปนปญหาระหวางชายหญิงท่ีมีความรุนแรง และขัดตอศีลธรรมอันดีงามอันหน่ึง เปนปญหาทางเพศที่ผูท่ีจะเปนบิดามารดาไมมีสํานึกในการเปนบุพการีและนํามาซึ่งปญหาตางๆ อีกมากมายในสังคมดวย ปญหาการทําแทงมีปญหามาจากสาเหตุหลายสาเหตุ เชน สตรีถูกขมขืน ความยากจน ความแตกราวในครอบครัว หญิงที่แตงงานแลวสามีไมรับผิดชอบเลี้ยงดู การม่ัวสุมทางเพศของวัยรุน ฯลฯ การทําแทงเปนการทําลายจริยธรรมดานมนุษยธรรม มีพฤติกรรมท่ีไมรูจักควบคุมความรูสึกทางกามารมณ ขาดความยั้งคิดและความรับผิดชอบ มีเพศสัมพันธเพ่ือสนองตณั หาของตนเอง การทําแทง นอกจากผดิ กฎหมายแลวยังผดิ ศลี ธรรมอีกดวย สงั คมไทยไมยอมรับการทําแทงวาเปนการกระทําท่ถี ูกตอ ง ๑.๒ การปลูกฝงความรบั ผดิ ชอบในหนา ทตี่ ามหลักพุทธจรยิ ศาสตรทศิ ๖ ในปุรตั ถิมทศิไดแกบดิ ามารดา พุทธจริยศาสตรที่วาดวยทิศทั้ง ๖ น้ันเปนเร่ืองที่เกี่ยวกับความประพฤติท่ีดีงามและความประพฤติตามแนวทางของพระพุทธศาสนาวาอะไรควรอะไรไมควรทําเพื่อการดําเนินชีวิตของแตละบุคคลเปนไปอยางปกติสุข เปนสิ่งที่ควรปลูกฝงใหคนในสังคมไดรูจักสิทธิและหนาที่ตนควรจะไดรับ และควรปฏิบัติตอบุคคลที่อยูรอบขางในสังคม ถาคนสวนมากปฏิบัติตนใหเปนแบบอยางที่ดี
๘๘คนสวนนอยก็จะปฏิบัติตามไปดวย แนวทางในการแกปญหา และการสงเสริมพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง๖ ในสงั คมนนั้ มแี นวทางท่คี วรสงเสรมิ ดงั ตอไปนี้๔ การสงเสริมและการพัฒนาจริยธรรมของบุตรหลานและคนในครอบครัวเปนหนาท่ี และความรับผดิ ชอบของพอ แมแ ละผูป กครอง ซ่ึงมีแนวทางสง เสรมิ ที่ควรปฏิบัติดังน้ี คือ ๑. พอแมค วรเปน แบบอยา งทดี่ ี ๒. พอแมควรเสียสละเวลาและความสุขสวนตัวเพื่อใหมีเวลาในการอบรมและพัฒนาจรยิ ธรรมของบุตรหลาน ๓. อบรมใหล ูกรหู นาที่ความรับผิดชอบ รูจักพึ่งตนเอง มีเมตตา ไมเอาเปรียบ มีเหตุผล ไมงมงาย ใหรูจกั ละความโลภ โกรธ หลง ฯลฯ ๔. นาํ สมาชิกในครอบครวั เขา รว มกจิ กรรมทางศาสนากบั สงั คม ตามโอกาสท่เี หมาะสม ๕. การเลี้ยงดูลกู ควรสง เสรมิ ใหม ีสขุ ภาพจติ ท่ีดี ๖. กนั ลูกออกจากความชัว่ ๗. ใหค วามรักและความอบอนุ ๘. ใหล ูกไดรับการศึกษา๕ นอกจากนยี้ งั พบวาการเลย้ี งลกู พอ แมกม็ สี ว นสําคญั มากทที่ ําใหลกู มีลกั ษณะพฤติกรรมและนสิ ยั แตกตางกนั ซงึ่ สรปุ ไดด งั นี้ ๑. เดก็ ท่เี ติบโตมาทา มกลางความสงบ จะเปน คนสุขุมเยือกเยน็ ๒. เด็กท่เี ตบิ โตมาทามกลางความเปนธรรม จะเปน คนยุตธิ รรม ๓. เดก็ ท่ีเติบโตมาทามกลางการใหอภัยจะเปนคนมีเมตตา ๔. เดก็ ทีเ่ ตบิ โตมาทา มกลางความรกั จะเปนคนมองโลกในแงดี ๕. เด็กที่เตบิ โตมาทา มกลางความมงุ ราย จะเปนคนโหดรา ย ๖. เด็กทีเ่ ตบิ โตมาทา มกลางการหลอกลวง จะเปน คนตลบตะแลง๖ การสง เสริมจริยธรรมในครอบครวั มคี าํ อุปมาไวว า ปูแมเ ดนิ อยา งไร ลูกปเู ดินอยา งนั้น ๔สมภาร พรมทา, พุทธศาสตรกับปญหาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หนา ๔๑ - ๔๗. ๕เร่อื งเดียวกนั , หนา ๔๘. ๖เรอื่ งเดยี วกนั , หนา ๔๙.
๘๙ การสงเสรมิ พทุ ธจรยิ ศาสตรสังคมรัฐ รัฐบาลควรกําหนดนโยบายและมาตรการเพอื่ แกป ญหา และสง เสรมิ พุทธจรยิ ศาสตรส ังคมในสงั คมไทย ดังตอไปน้ี ๑) สงเสริมและติดตามการปฏิบัติตามคานิยมพ้ืนฐาน ๕ ประการ และการปฏิบัติตามคุณธรรม ๔ ประการ ๒) พัฒนาพุทธจริยศาสตรสังคมเพื่อสรางบุคลิกภาพนิสัยและพฤติกรรมใหคนไทย ใหเปนพลเมืองทีด่ ี ควรมีคณะกรรมการตดิ ตามและพัฒนาอยา งตอเนื่อง ๓) รัฐบาลกําหนดมาตรการใหหนวยงานที่รับผิดชอบในการปราบปรามกําจัดส่ิงที่ผิดกฎหมายและไรศีลธรรมใหหมดไปจากสังคม เชน ยาเสพติด การโคนไมทําลายปา บอนการพนันแหลง อบายมุข อทิ ธพิ ลมดื ในสงั คม การคา ขายของหนีภาษี หวยเบอร แหลงโสเภณี ฯลฯ ๔) รัฐบาลควรมีคณะกรรมการพัฒนาจริยศาสตรของสังคมระดับชาติ เพื่อทําหนาที่ประสานงานกับองคกรตางๆ ทั้งของรัฐบาลและของเอกชน เพื่อแกปญหาและพัฒนาจริยธรรมของสังคมไทย ๕) นโยบายและมาตรการการจัดการศึกษาของรัฐ ควรรีบสงเสริมปรับปรุงจัดการศึกษาในดานจริยธรรม โดยการศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน การพัฒนาบุคลากร การผลิตสื่อการเรียนการสอน ใหมีคุณภาพและมีมาตรฐานท่ีทันสมัย และมุงแกปญหาความเสื่อมโทรมทางดา นจริยธรรมของสังคมใหท นั เหตกุ ารณ๗ ความรวมมอื ของส่ือมวลชนและองคกรเอกชน ส่ือมวลชนมีบทบาทและอิทธิพลตอการพัฒนาจริยธรรมของเยาวชน ดังนั้นควรใหความรวมมือสนับสนุน ความรวมมือที่ดีท่ีสุด ไดแก การไมนําเสนอกิจกรรมที่ย่ัวยุกามารมณ ฯลฯ ควรนําเสนอกิจกรรมที่เปนพฤติกรรมแบบอยางที่ดีแกเยาวชน มูลนิธิ สมาคม ชมรมตางๆ ซ่ึงเปนองคกรเอกชนมีบทบาทสําคัญมากในการสงเสริมจริยธรรมของเยาวชน กิจกรรมตางๆ ซ่ึงองคกรเอกชนจัดอยูบอยๆ เชน การอบรมจริยธรรมนักเรียน นักศึกษา ในภาคฤดูรอน การอุปสมบทนักเรียนนักศึกษาภาคฤดรู อน การอยูคายอบรมจรยิ ธรรมขนั้ พฒั นาฯลฯ การใชพ ทุ ธจรยิ ศาสตรสงั คมเปน แกนนาํ ในการพัฒนาสงั คม การใชพุทธจริยศาสตรสังคมที่วาดวยทิศท้ัง ๖ เปนแกนนําในการพัฒนาสังคม เชน ใหสมาชิกในสงั คมไดต ระหนกั และเห็นความสําคัญของการใชหลักพุทธจริยศาสตรสังคมเร่ืองทิศ ๖ ในการดํารงชีวิต ประกอบอาชพี ของบคุ คลซ่งึ มอี าชีพแตกตา ง กนั เชน บิดามารดา ครูอาจารย มิตรสหาย ๗เร่ืองเดยี วกนั , หนา ๕๐.
๙๐คนรับใชผูอยูใตบังคับบัญชา ตลอดทั้งสมณพราหมณพระภิกษุสงฆสามเณรผูมีศีล พอคาพาณิชแพทย พยาบาล การพัฒนาการศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมและมีศาสนธรรมเปนตัวกําหนดคุณคาทางจริยธรรมและศาสนาทุกศาสนาทําหนาท่ีทําใหสังคมมีระเบียบวินัย มีความยุติธรรม มีความเอ้ืออารี ฯลฯ และมีหนาท่ีส่ังสอนใหรักษาสถานะเดิมของสังคมไว อันไดแก ชาติศาสนา และพระมหากษัตริย วาจะนําหลักพุทธจริยศาสตรสังคมเรื่องทิศทั้ง ๖ และหลักธรรมที่เกี่ยวของสนับสนุนในขอใดมาใชปฏิบัติใหถูกตองและเหมาะสมแกชีวิตของตนตามหลักดุลยภาพแหงชีวิตสังคมและวิถีแหงชีวิตสังคมบุคคลเหลาน้ันจึงประสบความสําเร็จในการดําเนินชีวิตในดานตา งๆ ของตน และประสบความสุขและสันติในการที่จะอยูรวมกันในสังคมตางๆ อันเปนจุดมุงหมายของการศกึ ษาคนควา วิจัยในครง้ั นี้ การกําหนดเปา หมายชวี ติ ดว ยพุทธจรยิ ศาสตรสงั คมวา ดว ยทศิ ๖ เปาหมายของชีวิตคือสันติสุขสวนบุคคล เปาหมายที่พึงปรารถนาน้ีจะสําเร็จไดขึ้นอยูกับการมีจรยิ ธรรมอยา งถูกตอง การเปนอยอู ยา งถกู ตอง การดําเนินชีวิตตามหลักพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง ๖ คือทุกคนมที งั้ หนาที่ ท่จี ะตองปฏิบตั ิ และมีสิทธิอนั ชอบธรรม ทีจ่ ะไดรับการปฏบิ ตั ิตอบ ท้ังน้ีเพราะถาบุคคลตองมีหนาท่ีปฏิบัติดีตอผูอื่นแตฝายเดียว โดยไมมีสิทธิ์ไดรับการอนุเคราะหจากผูน้ันตอบแทนบาง ยอมไมมีใครพอใจ และหลักธรรมท่ีสงเสริมสนับสนุนใหแตละบุคคลใหปฏิบัติหนาที่ของตนเองไดสมบูรณ ตามหลักธรรมทิศ ๖ มีหลายหัวขอดวยกัน เชนอริยมรรคมีองค ๘, ความกตัญูกตเวที, อิทธิบาท ๔, ทิฏฐธัมมิกประโยชน ๔, อคติ, โลกธรรม ๘,อริยทรัพย ๗, อบายมุข ๖ การกําหนดเปาหมายของชีวิตชวยใหมนุษยมีการดําเนินชีวิตอยางมีจุดหมาย สามารถใชหลักพุทธจริยศาสตรเปนเครื่องมือกํากับการครองชีวิตและการพัฒนาชีวิตของตนเอง การสงเสริมใหบ ุคคลไมเห็นแกต วั ความเหน็ แกต วั เปน ตน เหตุของปญหาทกุ ชนดิ ควรปรบั ปรงุ แกไ ขโดยการจดั ระบบการศกึ ษาระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมืองการปกครอง ฯลฯ ที่สงเสริมความไมเห็นแกตัวและควรสอน เรื่องอนตั ตา ซึ่งเปน หัวใจของพระพุทธศาสนา เพ่ือใหบุคคลมีความรูความเขาใจวาตามธรรมดาชีวิตของคนเราไมใชตัวไมใชตน ชีวิตเปนธรรมชาติ ชีวิตเปนของธรรมชาติ และชีวิตมีความวางจากตัวตน เพื่อแกปญหาความเห็นแกตัวเมื่อยึดติดในตัวตนแลว ก็จะตองมีอะไรเปนของ ๆ ตน ภายนอกตัวออกไป จนกระทั่งอาจแสวงหาส่ิงของที่ยึดติดคิดวาเปนของ ๆ เราดวยอกุศลธรรมอันจะนํามาซึ่งปญหาตาง ๆ เปนตน ดังนั้นควรปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนกําหนดจริยธรรมระดับสัจธรรมในระดับวิทยาลัยและอุดมศึกษา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164