Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การศึกษาเปรียบเทียบ

การศึกษาเปรียบเทียบ

Published by lovesuksawat, 2018-07-04 00:11:44

Description: การศึกษาเปรียบเทียบ

Search

Read the Text Version

๔๑ ๒. อตฺถฺุตา ความเปนผูรูจักผล เชนรูจักวาสุขเปนผลแหงเหตุ ทุกขเปนผลแหงเหตุเปนตน ๓. อตฺตฺุตา ความเปนผูจักตนวา เราวาโดยชาติสกุล ยศศักดิ์, สมบัติ, บริวาร, ความรู,และคุณธรรมเพยี งเทาน้ี ๆ แลว ประพฤตติ นใหส มควรแกท ่เี ปนอยอู ยา งไรเปน ตน ๔. มตฺตฺูตา ความเปนผูรูจักประมาณในการแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิตแตโดยทางที่ชอบและรูจักประมาณในการบริโภคแตพ อควรเปน ตน ๕. กาลฺุตา ความเปน ผรู ูจกั กาลเวลาอนั สมควร ในอนั จะประกอบกิจนนั้ ๆ ๖. ปริสฺุตา ความเปนผูรูจักประชุมชน และกิริยาท่ีจะตองประพฤติตอประชุมชนน้ัน ๆวาหมนู ้เี ม่ือเขา ไปหาจะตองทาํ กริ ยิ าอยา งน้ี จะตอ งพดู อยางนเี้ ปนตน ๗. ปุคฺคลฺุตา ความเปนผู รูจักเลือกบุคคลวาผูน้ีเปนคนควรคบผูน้ีเปนคนไมดีไมควรคบ๒๐ ขอท่ี ๓ มารดาบิดาอนุเคราะหบุตร ดวยการใหศึกษาศิลปวิทยา น้ัน ระยะน้ีมารดาบิดาควรสังเกตนิสัยบุตรกอนวาจะเหมาะแกวิชาอยางใด ตัวอยางที่จะนํามาเทียบพอเปนเคาไดใหสังเกตจากการใฝใ จของเดก็ เชน มนี สิ ัยพูดจาฉาดฉานเอารดั เอาเปรยี บผูอื่น ดังนี้ เหมาะแกวิชาธรรมศาสตรหรือพาณิชการ ถาเปนคนละเอียดพินิจพิเคราะห ก็ควรเรียนทางบัญชี หรือเวชศาสตร โหราศาสตร, ถาชอบประดิษฐของเลนตาง ๆ ก็ควรแกวิชาชาง เปนตนจักเรียนวิชาใดก็ตามที แตชั้นตนตองเรียนหนงั สอื ไทย และภาษาตา งประเทศใหพอแกก ารเสียกอน ขอที่ ๔ มารดาบิดาอนุเคราะหบุตร ดวยหาภรรยาที่สมควรให ความประสงคอยางยิ่งของมารดาบิดาตามปญหานี้ก็ใครท่ีจะไดเห็นบุตรมีหลักแหลง ในอันดําเนินชีวิตเปนสุขเสียแตในเวลายังมีชีวิตอยู เพื่อใหหมดหวงใยไปตอนหน่ึง จึงเปนเหตุปรารภของการหาภรรยาให ก็และคนชนิดใดจึงชื่อวาสมควร ลองสาวเขาดูก็คงไดแกผูท่ีมีฐานะไลเลี่ยกัน และความประพฤติดี มีอัธยาศัยเรียบรอยออนโยน ใจคอหนักแนน สมเปนสหายรวมสุขรวมทุกขของสามีไดเปนอยางดี ท้ังยังเปนผูมีใจฝกใฝตอการงาน ไมโลเลจับจด เทานี้ก็นับวาเปนโชคของผูสนใจใฝหาอยูแลว ถาไดพิเศษขึ้นไป คือเปนผูไดผานการศึกษามีคุณวุฒิสามารถในศิลปะทันสมัยดวย ก็ยิ่งเปนโชคของ ผูประสพหนักข้ึน นับเขาในตําแหนงภรรยาท่ีดี และตอไปก็จักเปนมารดาท่ีดีอีกดวย การเลือก รูป, สกุล, และทรัพยนั้นออกจะย้ิม ๆ กันวา เพราะเห็นแกส่ิงน้ัน ๆ แตก็ไมมีใครปฏิเสธการเลือกอยางน้ี การเลือกใหไดดังประสงคเสียทุกอยาง ดังน้ี รูสึกออกจะเปนการเสกเอาตามใจชอบอยูสักหนอย แทจริงแมจะขาดไปบางประการ ก็ควรยินดีในโชคของการเลือกเปนหนักหนาอยูแลว ความจริงฝายหญิงมีทางเสียเปรียบ ๒๐ที. ปา. ๑๑ / ๓๓๐ / ๓๓๓.

๔๒ชายอยมู าก ดวยเหตจุ ะเท่ียวเลอื กชายตามความพอใจดังนั้นบาง หาไดไม แตถาผูหญิงที่ทรงคุณสมบัติเหน็ ปานฉะนี้ จะตองวิตกอะไรในอันทจ่ี ะเลือกคูด ีไมไ ด คุณความดีของเธอน้ันเองจักเปนส่ือนําชายที่ดีมาใหเลือกถมไป ( ไมตองเที่ยวปาวหมูเทวฤทธิ์เชนในบทละคร ) เพราะชายที่ดีก็แสวงหาหญิงที่ดีอยูเหมือนกนั . ขอท่ี ๕ มารดาบิดาอนุเคราะหบุตร ดวยมอบทรัพยใหในสมัย, สมัยท่ีควรมอบทรัพยใหแกบุตรนั้น โดยมากมกั ใหก ันในคราวแตง งานอยางหน่ึง คือใหเ ปนทุนตามที่ฝายหญิงกะและเรียกรองไวตอนหนึ่ง และใหเ ปนสวนรับไวอีกตอนหน่ึง ประสงคใหรวมเปนทุน ประกอบการหาเลี้ยงชีพตั้งเนื้อต้ังตัวเปนหลักฐานสืบไป อีกอยางหน่ึง “มารดาบิดามีบุตรหลายคน เม่ือถึงชราทุพลภาพลงก็ทําพินยั กรรมแบง ทรพั ยส มบตั ใิ หเ สยี แตเ มื่อยังมชี วี ติ อยู เรยี กวาแบงมรดก ทรพั ยตามพินยั กรรมน้ี บุตรที่มีสวนจักไดตอเม่อื มารดาบิดาลว งลับไปแลว ” ๒๑ การมอบทรัพยสมบัติใหบุตรของตนครอบครองในขณะท่ีบิดามารดายังมีชีวิตอยูนั้น ในประเทศไทยเรามีประเพณีอยูอยางหน่ึง สําหรับบุคคลที่มีทรัพยสินมากและรุมรวยมักจะแบงทรัพยสมบัติเปนสัดสวนใหบุตรหรือธิดาของตน เมื่อไดสมรสเปนหลักฐานแลวไปครอบครอง เพ่ือแสวงหารายไดจากทรพั ยสนิ น้ันเอาเอง แตประเพณีนิยมของชาวจนี ในประเทศไทยสว นมากท่ีมีฐานะรุมรวย นิยมใหบิดามารดาดูแลจัดการทรัพยสินในขณะท่ีบิดามารดาของตนน้ันยังมีชีวิตอยูหากบิดามารดามีอายยุ างเขาสูว ยั ชราการดาํ เนินการคาก็ดีหรือการจดั การทรัพยส ินตาง ๆ ของตน สวนมากนยิ มมอบอํานาจใหบุตรชายคนโตเปนผูจัดการดูแลแทนตน หากบิดามารดาถึงแกกรรมบุตรชายคนโตจะเปนผูมีอํานาจเต็มเขาจัดการทรัพยสมบัติแทนบิดาทันที สวนบุตรชายคนรอง ๆ ลงไปซึ่งเปนทายาทในกองมรดกน้ันจะขอแบงมรดกไปปกครองเองหรือจะรวมหุนคาขายกับพี่ชาย คนใหญตอไปก็แลวแตค วามสมคั รใจ สวนบุตรหญิงน้ันชาวจีนไมนิยมแบงทรัพยสินในกองมรดกให จะแบงเงินสดหรือทรัพยสินอยางอื่นใหสวนหน่ึงเม่ือสมรสนอกจากนั้นไมมีสิทธ์ิใด ๆ จากกองมรดกไดอีก ซึ่งตรงกันขา มกับประเพณขี องชาวไทยตามกฎหมายวาดวยครอบครัวมรดกน้ันถือวาบุตรหญิงหรือวาบุตรชายก็ตาม มีสิทธิเปนทายาทกองมรดกเทาเทียมกัน หากผูวายชน ซึ่งเปนผูถือสิทธิ์ในกองมรดกนั้นมิไดทําพินัยกรรมไวเปนหลักฐาน เมื่อบิดามารดาถึงแกกรรมบุตรทุกคนยอมมีสิทธิ์จะไดรับสวนแบงทรัพยสนิ ตา ง ๆ เทา เทียมกนั พระสัมมาสัมพุทธเจาไดทรงกําหนดหนาที่ของบุคคลซึ่งเปนบิดามารดาไววา ใหยกทรัพยสมบัติของตนใหบุตรครอบครองทรัพยสมบัติเหลานั้น เมื่อถึงเวลาอันสมควร ๒๑พระยาศรีราชอักษร ( มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), อางแลว, หนา๕๗-๕๘.

๔๓พระองคไดทรงกําหนดหนาท่ีบิดามารดาไวกวาง ๆ โดยใหบิดามารดาใชดุลยพินิจพิจารณาถึงความประพฤติและความสามารถเหมาะสมท่ีจะปกครองดูแลทรัพยสมบัติของตนเองไดเพียงใด และการอํานาจการดูแลและทรัพยสมบัติหรือการยกทรัพยสมบัติของตน ใหแกบุตรนั้นจะเปนอันตรายแกตนเองหรือไม ท้ังน้ีเพราะบุตรบางคนมีนิสัยเห็นแกตัว พอบิดามารดายกทรัพยสมบัติท้ังหมดใหครอบครอง ดูแล ก็เร่ิมเกิดความโลภและอกตัญูตอบิดามารดาของตนทันที เชนพยายามไลบิดามารดาออกจากบานไมยอมรบั อปุ การะเล้ียงดูอีกตอไป หรือบุตรชายหญิงบางคนสมรสไปแลวไปเชื่อการยุแหยของสามีหรือภรรยาใหบุคคลผูนั้นเกิดความรูสึก เกลียด ชัง บิดามารดาของตน จนกระทั่งบุคคล ผูเปนบุตรเกดิ ความอกตัญูขบั ไลบดิ ามารดาของตนออกจากบาน “ในเม่ือตนไดมีโอกาสเขาครอบครองทรัพยสินของทานอยางสมบูรณ พระองคจึงทรงกลาวถึงหนาท่ีของบุคคลผูเปนบิดามารดาไวอยางกวาง ๆ เพื่อใหบุคคลเหลานี้ใชดุลยพินิจพิจารณาอยางรอบคอบและถองแทถึงความประพฤติ นิสัยใจคอและความสามารถของบุตรของตนกอนท่ีจะมอบอาํ นาจใหครอบครองทรัพยสมบัติในขณะที่ตนยงั มีชีวติ อย”ู ๒๒ พุทธจริยศาสตรกับบทบาทของบิดามารดาในการอบรมสั่งสอนบตุ รธิดา การสงเสริมและพัฒนาพุทธจริยศาสตรใหกับบุตรหลานและคนในครอบครัว เปนหนาที่และความรบั ผดิ ชอบของบดิ ามารดาและผูป กครอง ซึง่ มีแนวทางสงเสริมที่ควรปฏิบัติดังนี้ คือ พอแมควรเปนแบบอยางท่ีดี พอแมควรเสียสละเวลา และความสุขสวนตัว เพื่อใหมีเวลาในการอบรม และพัฒนาจริยธรรมของบุตรหลาน อบรมใหลูกรูจักหนาท่ีความรับผิดชอบ รูจักพึ่งตนเอง มีเมตตา ไมเอาเปรียบ มีเหตุผล ไมงมงาย ใหรูจักความโลภ โกรธ หลง ฯลฯ นําสมาชิกในครอบครัวเขารวมกิจกรรมทางศาสนากับสังคม ตามโอกาสท่ีเหมาะสม การเล้ียงดูลูกควรสงเสริมใหมีสุขภาพจิตดี กันลูกออกจากความชวั่ ใหค วามรกั และความอบอุน ใหล ูกไดรับการศึกษา นอกจากนี้ยังพบวา การเล้ียงลูก พอแมก็มีสวนสําคัญมาก ทําใหลูกมีลักษณะพฤติกรรมและนิสัยแตกตางกัน ซ่ึงสรุปไดดังน้ี “เด็กท่ีเติบโตมาทามกลางความสงบ จะเปนคนสุขุมเยือกเย็นเด็กท่ีเติบโตมาทา มกลางความเปน ธรรม จะเปน คนยตุ ิธรรม เด็กที่เติบโตมาทา มกลางการใหอภยั จะเปนคนมีเมตตา เด็กที่เติบโตมาทามกลางความรัก จะเปนคนมองโลกในแงดี เด็กท่ีเติบโตมาทามกลางความมุงราย จะเปนคนโหดราย เด็กท่ีเติบโตมาทามกลางความหลอกลวง จะเปนคน ๒๒ชลอ อุทกภาชน, พุทธศาสนากับสังคม และคําตรัสจากพระโอษฐของพระพุทธเจาเก่ียวกับสิทธิและหนาที่ของผูที่มีหนาที่ทางมนุษยสัมพันธ, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพวัชรินทรการพิมพ,๒๕๑๔), หนา ๘๕๗-๘๕๘.

๔๔ตลบตะแลง” ๒๓ การที่พระสัมมาสัมพุทธเจา กําหนดหนาท่ีของบิดามารดาไวอยางกวาง ๆ น้ัน พระองคทรงพระประสงคจะใหบุคคลที่เปนบิดามารดาฝกฝนบุตรของตนใหเกิดความรูความสามารถและประสบการณในการดํารงชวี ิต โดยใหรจู ักจบั จา ยทรพั ยสินทีม่ อบใหครอบครองในทางประหยัด และในทางที่เหมาะสมประการหน่งึ และอกี ประการหน่งึ ก็เพื่อความผูกพันทางจิตใจในครอบครวั ระหวางบิดามารดากับบุตรใหแนนแฟนย่ิงข้ึน ท้ังน้ีเพราะการที่บิดามารดา หยิบย่ืนทรัพยสมบัติเปนชิ้นเปนอันใหแกบุตรในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยูน้ัน บุตรยอมจะเกิดมโนธรรมทางกตัญูกตเวทีตอบิดามารดาของตนและเกิดความรักใครนับถือบิดามารดาของตนเพิ่มยิ่งข้ึนอีก ความสัมพันธแหงสังคมของครอบครัวยอมจะเกิดมีความสัมพันธแนนแฟนตลอดไป โดยบุตรจะไมยอมทอดท้ิงบิดามารดาของตนในเม่อื มอี ายลุ ว งเขา วัยชราเปน อนั ขาด เม่อื จติ สามัญสาํ นึกเกิดมโนธรรมดังกลาวตลอดเวลา บุคคลผเู ปน บตุ รทั้งหลายยอมจะใหความอุปการะเล้ียงดูบิดามารดาของตนมีความสุขสมบูรณ จนกระท่ังถึงวันมรณกรรม แมแตเม่ือถึงมรณกรรมไปแลวยังอุตสาหทําฌาปนกิจและบําเพ็ญกุศลตาง ๆ สงไปใหอีกดวย ชีวิตครอบครัวของชาวไทยเรา บุตรไดมีความผูกพันกับบิดามารดา และบรรพบุรุษของตนต้ังแตโ บราณมาจนกระทง่ั ถึงปจ จบุ นั ทั้งน้ีกเ็ นื่องดว ยวัฒนธรรมอนั สบื เนือ่ งมาจากพุทธศาสนานั้นเอง ๒) การดําเนนิ ชวี ิตตามหลกั พุทธจรยิ ศาสตรใ นทักขณิ ทศิ “ทกั ขิณทศิ หรอื ทิศเบื้องขวา คอื ครูอาจารย เปน ทกั ขไิ ณยบุคคลควรแกก ารบชู าคณุ ” ๒๔ วิเคราะหทิศเบื้องขวา คําวาอาจารยนั้น แปลวา ผูท่ีศิษยควรเอื้อเฟอ คือผูท่ีศิษยควรเคารพเชื่อถือผูท่ีศิษยควรปฏิบัติตามอาจริยวัตรใหจงดี ฯ เม่ือจะกลาวถึงประเภทของอาจารยแลว ก็มีอยู ๔จาํ พวก คือ ๑ ปพพชาจารย อนั ไดแกอาจารยท ใ่ี หบรรพชาเปนสามเณรในพระพุทธศาสนา ๒ อปุ สัมปทาจารย อันไดแก อาจารยท ีใ่ หอปุ สมบทเปนภกิ ษุ ๓ นสิ สยาจารย อันไดแกอ าจารยผูใ หทพ่ี ง่ึ พาอาศยั ตามวินยั นยิ มในพระพทุ ธศาสนา ๔ ธัมมาจารย อันไดแกอาจารยที่ส่ังสอนธรรม หรือส่ังสอนศิลปวิทยาตาง ๆ ๒๕ ซ่ึงไมผิด ๒๓สมภพ ชีวรัฐพัฒน, จริยธรรมกับชีวิต, พิมพครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพนานาสงิ่ พมิ พ, ๒๕๓๙), หนา ๒๘-๒๙. ๒๔พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตรฉบับประมวลธรรม, อางแลว,หนา ๒๒๕. ๒๕พิทูร มลิวัลย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาช้ันตรี, อางแลว, หนา๖๒.

๔๕ทางธรรม มีเลขและหนังสือเปนตน อาจารยท้ัง ๔ จําพวกนี้ เปนผูควรรับทักขิณาทาน คือ ของที่ใหดวยความเคารพท้ังนั้น เพราะฉะน้ัน จึงเรียกวาทิศทักษิณ คือเรียกวาเปนทิศเบื้องขวาของศิษยท้ังหลายเมื่อมารดาบิดาไดอนุเคราะหแกบุตรมาจนอายุสมควรในอันจักใหเลาเรียนความรูอยางอ่ืนสืบไปไดแลว ก็ไมควรร้ังรอไวใหเสียเวลา เพราะนิสัยของเด็กมักชอบการเลนเปนกําลัง เมื่อผูปกครองทอดทิ้งไมเอาใจใสใหไดเลาเรียนในเมื่ออายุถึงเขตอันสมควรแลว ก็เทากับเปดโอกาสใหเด็กมีเวลาเที่ยวซุกซนเกกมะเหรงเกเร กลายเปนคนเหลือขอวายากสอนยาก เม่ือติดการเลนจนชินเสียแลว แมต องการใหเรียนจรงิ จังเขา กจ็ กั ตอ งปล้ําปลุกกันขนาดใหญ ฉะน้ันจึงไมบังควรทอดทิ้งใหเด็กคนุ แกการเลน อันเปนศัตรูแยงเวลาของการเรียนน้ัน ควรเลือกตามความเห็นชอบพรอมกันท้ังมารดาบิดาและบุตร แตจะตองเรียนรูหนังสือใหรูดีเสียกอนวิชาอื่นท้ังหมดตามที่กลาวมาขางตน เพราะหนังสือเปนประดุจไฟฉายสองใหเห็นท่ีซอนเรนอยูในความมืดไดตลอด ฉะนั้นผูผานการศึกษามาดีแลว จึงมีนิสัยผิดกวาเดิมเปนคนละคนเลยทีเดียว ถาเทียบกับภาวะของคนท่ียังมิไดศึกษา หรือศึกษานอยแลวก็ผิดกันไกล ฉะนั้นการศึกษาจึงเปนส่ิงสําคัญท่ีควรขมักเขมนเรียนดวยความพากเพียร ใหบรรลุที่จุดหมายจนได สวนอาจารยผูจักประสาทวิชาให ก็นับวาเปนผูมีพระคุณแกศิษยโดยเอนกประการ ควรที่ศษิ ยจ ะกระทําคารวะปฏิบัติตามหนาท่ที ่ีดขี องลูกศษิ ยใ นทศิ ๖ ตอ ไปน้ี ทิศเบอ้ื งขวา ไดแก ครอู าจารย ศษิ ยพึงบาํ รงุ ดว ยสถาน ๕ ไดแ ก ๑. ดวยลกุ ขึน้ ยืน ๒. ดวยเขา ไปยืนคอยรบั ใช ๓. ดว ยชอ่ื ฟง ๔. ดวยอปุ ถาก ๕. ดวยเรียนศลิ ปวทิ ยาดวยความเคารพ ๒๖ ขอท่ี ๑ ศิษยพึงบํารุงอาจารย ดวยลุกขึ้นยืนรับน้ัน เปนลักษณะการอันแสดงความเคารพและตอนรับเมื่อเวลาแรกพบอยางหนึ่ง หรือสงเม่ือเวลากลับอยางหน่ึง นอกจากนี้ก็มีเวลาเขาหาโดยเฉพาะ หรือไปพบปะในท่ีตาง ๆ การยืนควรยืนในทาท่ีสงบ คือไมสั่นเทา หรือโคลงกาย หรืออยา งใดอยา งหนึง่ อันสอ ใหเ หน็ ความไมส ภุ าพไมตอ งกับลกั ษณะของการเคารพ ขอที่ ๒ ศิษยบํารุงอาจารยดวย เขาไปยืนคอยรับใช การเขาไปยืนคอยรับใช จะเปนการ เขาไปดวยความเอ้ือเฟอของตน หรือเขาไปตามระเบียบก็เชนกัน เมื่อไดรับกระทํากิจอันใด ควร ต้ังใจทาํ กิจนนั้ ใหส ําเร็จลลุ ว งไปดวยดี อยา ใหท า นตองเปนกังวลหว งใยในการกระทําทไ่ี มเหลือวสิ ัย ๒๖เดือน คําดี, พุทธปรัชญา, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ โอ.เอส.พร้ินต้ิงเฮาส, ๒๕๓๔),หนา ๑๖๕.

๔๖ ขอที่ ๓ ศิษยบํารุงอาจารย ดวยเช่ือฟง คือประพฤติเปนคนวางาย เคารพตอคําสั่งสอน และระเบยี บขอ หามอนั เปนสาระประโยชนทอ่ี าจารยแ ตง ตง้ั ข้ึนไว ขอท่ี ๔ ศิษยบํารุงอาจารย ดวยอุปฐาก นี้ ไดแกการเอาใจใสในความเปนอยูของอาจารยกลาวตามสมัยเมื่อครั้งกระโนน การเรียนศิลปวิทยา ศิษยตองไปอยูกับอาจารยยังบาน หรือวัด การปฏิบัติดแู ลก็เหมือนปฏิบัติแกมารดาบิดาทุกประการ จนไดเช่ือวา “ลูกศิษย” รับใชท้ังเวลาปรกติและเวลาไข นวดเฟน พะยุงลุกพะยงุ นั่ง ส่ิงใดบกพรองก็พยายามอุดกหนุนจุนเจือ สิ่งท่ีไมตองการก็บําบัดใหอันตรธานหายไปเสีย แตสมัยนี้ไดมีโรงเรียนขึ้นแทนแลว การไปอยูประจําเชนวา ก็นอยลง การอปุ ฐากกเ็ ปล่ยี นไปตามสมัยดว ย ขอท่ี ๕ ศิษยบํารุงอาจารย ดวยเรียนศิลปวิทยาโดยความเคารพ เคารพในที่นี้ ไดแก การเรียนดวยความต้ังใจพรอมที่จะใหบรรลุวิชานั้น ๆ เปนอยางดี ไมสักแตวาถึงเวลาก็เตรียมตัวเขาตามเคย ครูส่ังใหท ําอะไรกท็ ําอยางเสยี ไมได ความจาํ ก็ไมม ี จะทาํ ดกี ็ไมได เฝา แตสง อารมณไ ปยุงเสียแตที่อื่น วันเวลาก็ลว งไป ๆ พรอมกับอายุลงทายก็ไมไ ดอ ะไรติดตวั เสียเลย ลักษณะเชนน้ีผิดกันกับท่ีเรียนดวยความตั้งใจเอาใจใสมากมาย การเพงเล็งพินิจพิเคราะหเปนเคร่ืองสํารวจความบกพรองอยูในตัวส่ิงใดยังเคลือบแคลงสงสัยก็จักไดทวนถามอาจารย ฟงคําอธิบายของทานใหชัดเจนแมนยํา จนหมดสงสัย แลว สําเนียกจดจาํ ไว อยา ใหตองรบกวนทา นในขอ น้ีบอ ย ๆ “คนวางายสอนงายคือคนท่ีอดทนตอคําส่ังสอนได เม่ือมีผูรูแนะนําพร่ําสอนให ตักเตือนใหโดยชอบธรรมแลว ยอ มปฏิบัติตามคําส่ังสอนนั้นดวยความเคารพออนนอม ไมคัดคาน ไมโตตอบ ไมแกต ัวโดยประการใด ๆ ทัง้ ส้นิ ” ๒๗ ลกั ษณะของ คนวา งายสอนงายมลี กั ษณะทีส่ งั เกตไดอยู ๑๑ ประการ คือ ๑. ไมกลบเกลื่อนเมอ่ื ถูกวากลา วตกั เตือน ไมแ กต วั ไมบิดพลิ้ว ยอมรบั ฟง ดว ยความเคารพ ๒. ไมย อมนิง่ เฉยเมอื่ ถกู วากลาวตกั เตือน พยายามปรบั ปรุงแกไขปฏิบตั ิตามคาํ แนะนาํ นนั้ ๓. ไมม จี ิตเพง คุณเพงโทษผวู ากลาวสง่ั สอน คอื ไมเคยจับผิดทานแตร บั ฟงโอวาทดวยดี ๔. เอ้ือเฟอตอคําสอนและตอผูสอนเปนอยางดี คือยอมทําตามคําสอนนั้นและเชื่อฟงผูสอนอยางดี ทาํ ใหผ สู อนมเี มตตาเกิดกําลังใจทจี่ ะสอน ตอ ๆ ไปอีก ๕. เคารพตอคําสอนและตอผูสอนเปนอยางดียิ่ง ตระหนักดีวาผูที่เตือนคนอื่นน้ัน นับวาเส่ียงตอการถูกโกรธ ดังน้ันการที่มีผูวากลาวตักเตือนเรา แสดงวาเขาจะตองมีคุณธรรม มีความเสยี สละ มีความเมตตาปรารถนาดีตอตวั เราจรงิ ๆ จึงตองมีความเคารพตอ คําสอน และตัว ผูสอนเปนอยา งดีย่งิ ๒๗พระสมชาย ฐานวุฑโฒ, มงคลชวี ติ ฉบบั ธรรมทายาท, อางแลว , หนา ๒๕๒.

๔๗ ๖. มีความออนนอมถอมตนเปนอยางดีย่ิง ไมแสดงความกระดางกระเด่ืองโอหัง คิดวาตวั เองดีอยแู ลว เกง อยูแลว ๗. มีความยินดีปรีดาตอคําสอนน้ัน ถึงกับเปลงคําวา สาธุ สาธุ สาธุ รับฟงโอวาทนั้น คือดีใจเปนยิ่งท่ีทานกรุณาชี้ขอบกพรองของเราใหเห็น จะไดรีบแกไข เหมือนทานช้ีขุมทรัพยให จึงเปลงวาจาขอบคุณไมข าดปาก ๘. ไมด้ือร้ัน คือไมดันทุรังทําไปตามอําเภอใจทั้ง ๆ ท่ีรูวาทําผิด แตทําไปตามความถูกตองเมื่อผิดกย็ อมแกไ ขปฏบิ ตั ิไปตามสมควรแกธ รรม ๙. ไมยินดีในการขัดคอ ไมพูดสวนขึ้นทันที มีความประพฤติชอบเปนที่พอใจ เปนท่ีปรารถนา ๑๐. มีปกติรับโอวาทเอาไวดีเย่ียม ตั้งใจฟงทุกแงทุกมุมไมโตตอบ ยิ่งไปกวาน้ันยังปวารณาตัวไวอ ีกวา ใหวากลา วส่ังสอนไดท กุ เมอ่ื เห็นขอ บกพรอ งของตนเม่อื ใดก็ใหตกั เตอื นได ทันที ๑๑. เปน ผูอดทน แมจ ะถกู วา กลา วส่งั สอนอยา งหยาบคายหรอื ดุดาอยางไรก็ไมโกรธ อดทนไดเสมอ เพราะนกึ ถึงพระคุณของทานเปน อารมณ ๒๘ สังคมมนุษยเราแตละสังคมมีคนท้ังผูใหญ ผูเสมอกัน และผูนอย ซ่ึงจะตองรวมกันปฏิบัติคุณคือความวางาย เพราะในคนสามจําพวกน้ีหวังความดี อยากไดดีดวยกันทั้งนั้น และความดี รอคอย คนอยากไดดีอยูขา งหนา แตผ อู ยากไดด ีตองมคี ุณคอื ความวา งายอยูใ นตัว จงึ จะรบั เอาความดีที่รอคอยอยูขางหนาได ถาหาไมแลวก็เสมือนคนท่ีเปนโรคอัมพาต แมนความดีจะอยูใกลตัว ก็ไมสามารถจะรับเอาความดไี ด คุณคอื ความวางายนี้ จงึ เมาะสมแกคนทุกช้นั ท้งั ผใู หญ ผูเสมอกัน และผูนอ ย ผูนอยย่ิงเปนคนวางายแลว ก็ย่ิงเปนปจจัยใหผูหลักผูใหญเอ็นดูกรุณา สนับสนุนใหผูใหญตั้งใจเอาเปนธุระ สอดสองดูแลเหตุเจริญเหตุเสื่อม เม่ือเห็นวาผูนอยดําเนินในทางเส่ือม ก็ชวยเตือนชวยแนะนําอยูทุกขณะ น่ันนับเปนโอกาสดีที่ผูนอยจะไดรักษาตัวใหไมเส่ือมเสีย จึงอันเปนวาคนวางายรูจักถือเอาประโยชนจากคนอ่ืน โดยทําตนใหเขามีเมตตากรุณาเอาธุระ ไมอิดหนาระอาใจ เกลียดชัง ชอื่ วามีคณุ คือความวางาย สรางท่พี ึ่งแกตนเอง และสง เสริมใหค นอน่ื ยนิ ดีเปน ทพ่ี ่งึ ของตนอีกดวย โดยเหตนุ ้ีแสดงใหเ ห็นชัดวาความวา งายน้ัน คือคุณธรรมที่สมควรแกคนทุกชั้น ทั้งผูใหญ ผูเสมอกัน และผูนอยจะพึงปฏิบัติใหเหมาะสมแกฐานะของตน เม่ือคนทุกช้ันเปนคนวางายรับฟงเหตุผลของผูหวังดี ที่ชวยตักเตือนแนะนําพรํ่าสอนแลว ก็จะเปนอุบายเชื่อมโดยจิตใจ ใหผูกสมัครรักใครก ันสนิทสนม ชว ยโอบอมุ ปองกันเหตุเสือ่ มไวไมใหเกิดขน้ึ และเสรมิ สรางเหตุเจรญิ ใหเกดิ ข้ึน ท้ังสวนตวั สวนคณะและประเทศชาติ ๒๘เร่ืองเดียวกนั , หนา ๒๕๒-๒๕๓.

๔๘ อนง่ึ ใหกาํ หนดรูวาเวลาของการเรียนเปนเวลาท่ีมีคาอยู จําตองระวังอยาปลอยใหลวงไปเสียเปลา โดยมิไดบรรจุความรูเอาไวใหพอแกที่เวลาอํานวยให ที่ดีเราควรกําหนดใจเอาไวเสียวา ถึงเวลาเรยี นเปนตอ งเรียนกนั จริง เลิกนกึ ถึงสิง่ อน่ื ทไี่ มเ ก่ียวแกการเรียนใหหมด เพราะสิ่งเหลานั้น (มีการเลนเปนอาทิ) เปนภัยแกการเรียนอยางมหันต ถาเอามาปะปนไวดวย อาจจะทําใหความจําและความพินจิ พเิ คราะหเ ลอะเลือนไปหมด วชิ าท่ีเรียนกค็ งไมไดผ ลตามมงุ หมาย เพราะสิ่งเหลาน้ีมาเปนศัตรูแกสติเสียแลว ก็ตองตกเขาอยูในอํานาจแหงความเกียจคราน ซ่ึงผูอื่นไมมีใครสามารถจะ แกไขใหคืนดีได นอกจากตัวจะมีสติกลับคืนไดเองเทาน้ัน ทางท่ีดีในชั้นตนควรหาวิธีประหารเสนียดเหลานี้ อยาใหเขามาแอบแฝงหนวงความเจริญอันกําลังไหวตัวอยูแลวได สิ่งท่ีควรนํามาประหาร ไดดีก็คือ อิทธิบาท ๔ ดงั ปรากฏตอไปนี้ อิทธิบาท คือ คณุ เครอ่ื งใหส ําเรจ็ สมประสงค ๔ อยาง ไดแ ก ๑. ฉนฺท คอื ความพอใจรกั ใครใ นสงิ่ นั้น ๒. วิริย คือความหม่นั ประกอบสิง่ น้นั ๓. จติ ตฺ คือ เอาใจฝกใฝในส่งิ น้ันไมว างธรุ ะ ๔. วมิ ํสา คอื หมัน่ ตริตรองพิจารณาเหตุผลในสง่ิ น้นั ๒๙ คณุ ๔ อยา งน้มี ีบรบิ รู ณแลว อาจชักนาํ บคุ คลใหถงึ สงิ่ ทตี่ องประสงค ซึง่ ไมเหลือวสิ ัย จรรยาบรรณของนกั เรียน เชน พึงหาโอกาสเรยี นรใู หเ ขาใจวธิ ีการหาเหตุผล และขอบเขตของเหตุผล โดยเร็วท่ีสุดตามระดับของวัย พึงยอมรับทุกอยางดวยเหตุผล พึงรับพิจารณาทุกอยางท่ีมีเหตุผลดวยความเคารพ แมตนเองจะยังไมเห็นดวยกับเหตุผลนั้น “พึงเคารพความคิดท่ีมีเหตุผลของตนเองและของคนอ่ืนทุกคนในทางปฏิบัติหาทางประนีประนอมความคิดเห็นตาง ๆ เพ่ือหาทางสายกลางซึ่งทกุ ฝายจะตองไดบา งเสยี สละบาง” ๓๐ พึงถือวาการเรียนมิใชเปนการกอบโกยหาวิธีไดเปรียบคนอื่นในสังคม แตการเรียนคือการสรางบุคลิกภาพ จึงไมพึงแขงขันและกีดกันซึ่งกันและกัน พึงถือวาชีวิตสวนหนึ่งในโรงเรียนเปนสวนหนึ่งของชีวิตจริง ไมมีชีวิต ชั่วคราวในรถโดยสาร พึงสรางสังคมในโรงเรียนใหเปนสังคมอุดมการณท่ีจะตองปรับปรุง แกไขใหทันสถานการณอยูเสมอ พึงมีความสุจริตในการทําการบาน การทําขอสอบ พึงถือวาเกียรติอยูเหนือผลประโยชนใด ๆ ท้ังส้ิน พึงฝกนํ้าใจนักกีฬาในการแขงขันทุกประเภท พึงถือวาสิทธิจะตองแลกเปล่ียนกับหนาที่และความ ๒๙พันเอกปน มุทกุ นั ต, แนวสอนธรรมะตามหลักสตู รนักธรรมชัน้ ตร,ี (กรุงเทพฯ : กมลการพมิ พ, ๒๕๒๗), หนา ๒๒๖. ๓๐กีรติ บุญเจือ, ชุดพื้นฐานปรัชญาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพไทยวัฒนาพานิช,๒๕๑๙), หนา ๑๐๖.

๔๙รบั ผิดชอบเสมอ ดังนเี้ ปนตน อาจารยเมื่อไดบ ํารงุ จากศษิ ยฉะนี้แลว ยอ มอนเุ คราะหด วยสถาน ๕ ไดแ ก ๑. แนะนาํ ดี ๒.ใหเ รยี นดี ๓. บอกศลิ ปวทิ ยาใหส ิ้นเชิง ไมป ดบังอําพราง ๔. ยกยองใหป รากฏในเพ่อื นฝงู และ ๕. ทาํความปอ งกันในทศิ ทง้ั หลาย ขอ ที่ ๑ อาจารยอนเุ คราะหศ ษิ ย คอื ดว ยแนะนําดี คอื แนะในขอทเ่ี ขาใจยาก ใหเขา ใจงา ย ดวยการสังเกตอุปนิสัยของศิษยถาเปนคนฟงคําพูดเขาใจไดงาย เชนนี้มักเปนคนมีไหวพริบดี อาจารยไมตองหนักใจในการท่ีจะจัดหาคําอธิบายมามากนัก และตรงกันขาม คนท่ีการพูดสั้น ๆ หากไปอธิบายมากเขา อาจทําใหเขาใจไขวเขวไปอยางอื่นก็มี ทั้ง ๒ อยางน้ี ยังพอจะหาวิธีพูดใหเขาใจงายได ถาไปปะกบั ชนิดท่ีไมเ อาทั้ง ๒ อยา งจะลาํ บากมาก แตจะไมเปนการเหลือบากวาแรงของอาจารยผูแนะนําดีกระมัง่ ขอ ท่ี ๒ อาจารยอนุเคราะหศ ษิ ย ดว ยการใหเรียนดี ประการนี้นาจะไดแกการหม่ันสอบสวนความเขาใจในสิ่งที่สอนไปแลว วาศิษยเขาใจตรงกับความประสงคแลวหรือยัง ถายังก็ตองหาหนทางชวยเหลือใหมีมานะในการทําความเขาใจจนได จะสําเร็จดวยอุบายปลอบโยน หรือแลวแตจะเหมาะแกนิสัย เด็กท่ีไมทึบจนเหลือเกินแลวการปลอบใหใจแชมชื่นดูเหมือนจะเหมาะสมมากกวาขู เพราะการขูมีแตจะทําใจคอหดหูสะทกสะทาน กลับมืดแปดดานนึกอะไรไมออก สวนเด็กที่มีนิสัยเกียจครานประพฤตินอกลูนอกทางไมเอาใจใสตอการเรียน เชนน้ี อยางนี้หากมีข้ึนคนหน่ึง อาจเปนตัวอยางใหคนอ่ืนประพฤติตามไดอีก ถาดังนี้ก็จําเปนตองกําทราบลงเสียใหไดโดยเร็ว ก็ควรทําโทษกันตามลักษณะอาจารยกบั ศษิ ยเทาน้นั แตไ มถ ึงทําใหเสยี ขวัญ. ขอท่ี ๓ อาจารยอนุเคราะหศิษย ดวยบอกศิลปวิทยาใหสิ้นเชิง ขอน้ีเปนเครื่องช้ีใหเห็นพฤติการณของอาจารย ในความหวังดีแกศิษย เอาใจใสใหเรียนโดยไมปกปดหวงกั้นวิชา หรือ เบ่ือหนายในอันจะสอนใหศิษยมีความรูกวางขวางออกไปส้ินเชิง ไมมีสิ่งที่เคลือบแฝงซอนเรนอยูอีกเสมือนหยอนบนั ไดใหศิษยไดก า วขนึ้ สูท่หี มาย กลา วคอื สําเร็จวชิ าบริบูรณ. ขอที่ ๔ อาจารยอนุเคราะหศิษย ดวยยกยองใหปรากฏแกเพ่ือนฝูง การยกยองเชนน้ีเปนลักษณะที่แสดงน้ําใจเมตตาปราณีในศิษยจนตลอดกาล การประกาศคุณสมบัติของศิษยใหปรากฏในคณะผูหลักผูใหญดังนี้ เหมือนไดสํารวจกรุยทางเพราะความนิยมใหงอกงามกวางขวาง สําหรับเปนประโยชนแกศิษยในกาลขางหนาสืบไป แทจริงเมื่อศิษยมีช่ือเสียงปรากฏคุณงามความดีข้ึนเพียงไรอาจารยก ็มีสว นไดเ สียอยูด วยเสมอไป. ขอที่ ๕ อาจารยอนุเคราะหศิษย ดวย “ทําความปองกันในทิศทั้งหลาย ปญหานี้แสดงใหเห็นถึงความกรุณาอันยืดเยื้อคอยตามอนุเคราะหคุมครองปองกัน เพื่อความปลอดภัยทุกทิศทุกทางแมแตในทางไกลก็ไมเวนในอันจักกระทําการฝากฝงแกผูท่ีรูจักชอบพอขอความชวยเหลือในเหตุ

๕๐อปุ สรรคท้ังหลายซึ่งจะเกดิ ขึ้นแกศ ิษยภายหนาอีกดวย” ๓๑ คณุ ธรรมสาํ หรบั ครู ครตู อ งมคี ุณธรรมเปนกัลยาณมิตร ๗ อยาง ไดแก ๑. ปโ ย คือ นา รกั ทําตัวใหศิษยร ัก ๒. ครุ คือ นา เคารพ, หนักแนน ในจรรยา ๓. ภาวนีโย คอื หม่นั แสวงหาความกาวหนา พัฒนาความรู ๔. วตตฺ า จ คือ มคี วามขยันหม่นั แนะนําพร่ําสอน ๕. วจนกขฺ โม คอื อดทนตอ ถอยคํากลาวหา ๖. คมฺภรี ฺจ กถํ กตตฺ า คือ สอนสง่ิ ทีย่ ากใหเขา ใจงาย ๗. โน จฏฐาเน นิโยชเย คอื ไมชักจูงศิษยไปในทางเสือ่ มเสีย๓๒ ครยู งั ควรมคี ุณธรรมอน่ื ๆ อีก ดงั เชน ครตู อ งเปน ผูมุงมั่นในเร่ืองทางจิตวิญญาณ ครูตองมีความอิ่มใจ มีปติปราโมทย หลอเล้ียงชีวิตครูใหชุมชื่น ในฐานะท่ีเปนปูชนียบุคคล มิไดเปนลูกจางครูตอ งเปน พระโพธิสตั ว มอี ดุ มคตพิ ระโพธสิ ัตว คือ ๑) สทิ ธิ คือมคี วามบรสิ ุทธิอ์ ยูใน จติ ใจ ๒) ปญ ญา คอื มปี ญ ญาทง้ั ทางโลกและทางธรรม ๓) เมตตา คือ มีความรักเมตตาตอศิษย ๔) ขันติ คือ มีความอดทน ๓๓ สรปุ โดยยอ หัวใจครปู ระกอบดวย เมตตา กบั ปญ ญา ครูตองเปน แบบอยา งที่ดีแก ศษิ ย ดว ยการพดู ใหฟ ง ทาํ ใหด ูเปน อยใู หส งบเยน็ ใหส มั ผัส คุณสมบัตทิ ี่ครคู วรจะมอี กี ๔ ประการ คือ ๑. เสือ คือ กนิ ของสะอาดไมก ินของเนา ๒. สงิ ห คือ หยิง่ ในศกั ดศ์ิ รี นําจา ฝูง นําชมุ ชนพฒั นา ๓. กระทิง คอื ตอ สไู มยอ ทอ สูง าน เอาการ เอางาน ๔. แรด คอื หนังเหนยี ว บกึ บนึ อดทน๓๔ ๓๑พระยาศรีราชอักษร( มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), อางแลว, หนา ๖๐-๖๕. ๓๒พระธรรมโกศาจารย (พุทธทาสภิกขุ), เตือนใจวัยรุน และ ๕ ดีสูความเปนมนุษยที่สมบรู ณ, (กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พธรรมสภา, ๒๕๓๖), หนา ๗๖-๗๗. ๓๓เรอื่ งเดียวกัน, หนา ๗๘. ๓๔เรื่องเดยี วกนั , หนา ๗๙.

๕๑ จรรยาบรรณของครู คอื พึงหวงแหนเสรีภาพในการคนควาหาความรูและเสรีภาพในการสอนตามทรรศนะของตน นอกจากน้ันจะตองเคารพกฎหมายและปฏิบัติหนาที่อื่นๆ เหมือนบุคคลอ่ืนๆ พึงปนนักเรียนขึ้นใหเปนตัวของตัวเอง ชวยใหนักเรียนพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองข้ึนอยางเตม็ ท่จี ากเน้ือหาวชิ าท่ีครูมหี นา ทส่ี อน พึงรว มมอื กบั ครูอ่นื ๆ เพื่ออาชพี ครคู ลอ งตัวในทางปฏิบัติและเพ่ือใหอาชพี ครไู ดบ ริการสงั คมตามเปาหมาย พึงถือวางานสอนเปนอาชีพ ไมใชธุรกิจ พึงงดเวนการตําหนิความประพฤติของเพื่อนครูดวยกันในการสอน พึงงดเวนการแยงตําแหนงที่มี ผูปฏิบัติหนาที่อยู และยงั ไมห มดวาระ พงึ งดเวนการเหยยี ดหยามอาชพี ครู พึงรับผิดชอบสอนใหหมดภาคการศกึ ษาท่ีไดตกลงไวกับผูอํานวยการ พึงสอนดวยเมตตาธรรม และใหคะแนนดวยความยุติธรรม พึงแสดงคณุ สมบัติตามจริงเมื่อสมัครงาน พึงแสดงไมตรีจิตตอเพ่ือนครูทุกคน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวครูพึงสนับสนุนนโยบายของสถาบันท่ีตนสังกัดอยู ถาไมสนับสนุนก็พึง น่ิงเฉย ไมพึงกลาวกับบุคคลภายนอกวาตนเองไมเห็นดวย พึงเคารพผูบังคับบัญชาดวยใจจริง พึงงดเวนอบายมุขทุกอยางและเมือ่ ไดรับการปรกึ ษาหารอื พงึ แสดงความคดิ เหน็ อยา งเสรี และดวย ใจจริง ๓) การดาํ เนนิ ชวี ิตตามหลกั พุทธจริยศาสตรใ นปจ ฉิมทิศ “ปจฉิมทิศ หรือ ทิศเบื้องหลัง เพราะติดตามเปนกําลังสนับสนุนอยูขางหลังจึงไดช่ือวาทิศเบอ้ื งหลัง ไดแก บุตร ภรรยา” ๓๕ วิเคราะหทิศเบื้องหลัง คําวา บุตรภรรยา น้ันไดแก ผูท่ีบุรุษตองเล้ียง เมื่อจะวาโดยประเภทก็มีหลายประเภทดวยกัน คือ บุตรดีก็มี บุตรเลวก็มี บุตรเปนกลาง ๆ ก็มี เพราะฉะนั้น สมเด็จพระสรรเพชญพระพุทธเจาจึงทรงจําแนกบุตรไวเปน ๓ จําพวกวา บุตรท่ีดีกวามารดาบิดาน้ัน เรียกวาอภิชาติบุตร บตุ รทเี่ สมอกันกบั มารดาบิดาน้ัน เรียกวาอนุชาตบุตร บุตรท่ีตํ่าชาเลวทรามกวามารดาบิดาน้ัน เรียกวา อวชาติบุตร คือ บุตรจําพวกใดนับถือพระไตรสรณคมน และมีศีลธรรมดียิ่งกวามารดาบิดา บุตรจําพวกน้ัน เรียกวาดีกวามารดาบิดา บุตรจําพวกใดมีศีลธรรมเสมอกับมารดาบิดาบุตรจําพวกนั้น เรียกวาเสมอกับมารดาบิดา บุตรจําพวกใดมีศีลธรรมเลวกวามารดาบิดา บุตรจําพวกนนั้ เรียกวา เลวกวา มารดาบดิ า อกี อยางหน่งึ คําวา บตุ รน้ัน มอี ยู ๔ จําพวก คอื ๑. บตุ รทเ่ี กิดจากตนเอง ๒. บตุ รท่ีเกิดในเขตแดนของตนเอง ๓. บุตรทเี่ รียนศกึ ษาศิลปวทิ ยา ๔. บุตรที่เขาให แตคําวาบุตร บุตรซึ่งจัดเปนปจฉิมทิศ คือ เปนทิศตะวันตก หรือทิศ ๓๕พระธรรมปฎก( ป.อ. ปยตุ โต), พจนานกุ รมฉบับประมวลธรรม, อา งแลว , หนา ๒๒๖.

๕๒เบือ้ งหลงั นน้ั หมายเอาบตุ รของตนแท ๆ ๓๖ คําวา ภรรยาน้ัน แปลวา หญงิ ทีบ่ รุ ษุ ควรเลี้ยง เมือ่ วา โดยประเภท กม็ อี ยู ๗ จําพวก คือ ๑. โจรีภริยา ภรรยาเปรียบเหมือนกับโจร อนั ไดแกภรรยาทีย่ ักยอกลักขโมยของสามี ๒. วธกภริยา ภรรยา เพชฌฆาต คอื ภรรยาท่ีคิดฆา สามี ๓. อยยฺ กิ าภริยา ภรรยานาย อันไดแ กภรรยาที่ตงั้ ตัวเปน นายของสามี ภรรยาทั้ง ๓ จําพวกน้ี เปนภรรยาท่ีไมดีทั้งน้ัน สวนภรรยาที่ดีนั้นไดแกภรรยาอีก ๔ จําพวกขา งหนาคือ ๑. มาตภุ รยิ า ภรรยาทีร่ กั สามเี หมือนกับมารดารกั บุตร ๒. ภคนิ ีภรยิ า ภรรยาทรี่ กั สามเี หมือนกบั นอ งสาวรกั พ่ีชาย ๓. สขีภรยิ า ภรรยาท่ีดตี อ สามเี หมอื นกบั สหาย ๔. ทาสีภริยา ภรรยาท่เี คารพสามเี หมอื นกับทาสเี คารพยาํ เกรงนาย๓๗ภรรยาทง้ั ๔ จาํ พวกนี้ พระพทุ ธเจาทรงตรัสไวว า เม่อื ตายแลว ตองไปเกดิ ในสวรรคทงั้ นน้ั ฯ ภรรยาไมวาทั้งดีและเลว ลวนแตตองตามหลังบุรุษท้ังนั้น เพราะฉะน้ัน พระพุทธเจาจึงเรยี กวาทิศเบื้องหลงั หรอื เรยี กตามบาลีวาปจฉิมทิศ อันแปลวา ทิศตะวันตก ซึ่งอยูขางหลังเราผูยืนหันหนา ไปทางทิศตะวันออก ฉะนัน้ เมือ่ บตุ รมีอายุพอสมควรแกการหาเล้ียงตน และครอบครัว ไดแลวมารดาบิดาจะตองดํารถิ ึงการตกแตงใหมีเหยาเรือนเปนหลักฐานสืบไป โดยเลือกหาหญิงตามลักษณะท่ีกลาวขางตน แมจะบกพรองไปบาง แตยังมีสวนดีแกความตองการ ไมมีขอเสียหายอยางอ่ืนแลว ก็ควรยินดสี ขู อกระทาํ การตกแตง ก็คอื เมอ่ื ไดบ วชเรียนเสร็จแลว อุบายที่บวชกอนแตงนาจะมีประสงคอยูสองอยาง อยางหนึ่งก็คืออบรมนิสัยใจคอไมใหตกไปในทางชั่ว เพราะขาดการศึกษาศีลธรรม อันจักตองปฏิบัติในเมื่อกลับออกมาเปนคฤหัสถปกครองบานเรือน ก็ใหอยูในลักษณะของพอบานที่ดีอีกประการหน่ึง คือการบวชเปนส่ิงสําคัญของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาไมควรละเวน ถาไปเกี่ยวของกับการมีครอบครัวเสียกอนแลว ก็เปนเครื่องขัดกับการบวชเรียนอยางมากมาย บางเรียนถึงแกไมไดบวชเอาทีเดียว ซ่ึงเปนท่ีนาเสียดายท่ีปลอยใหประโยชนสําคัญผานพนชีวิตอันมีคาไปเสียไดหรือแมจ ะตัดสนิ ใจบวชไดกค็ งไมวายท่จี ะเปนหวงพะวกั พะวน เปน อุปสรรคกีดขวางการปฏิบัติอยูรํ่าไป ถาจะลองฟงเสียงขางมากก็คงไดค วามวา บวชกอน แตง งานเปน เรียบรอ ยโดยประการทั้งปวง ๓๖ พระยาศรีราชอักษร ( มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), อางแลว, หนา๖๘. ๓๗ พระธรรมกิตติวงศและคณะ, คลงั ธรรมเลม ๑, อา งแลว , หนา ๔๒.

๕๓ ประเภทของสามภี รยิ า คร้ังหน่ึงพระพุทธเจาเสด็จประทับระหวางมธุรากับเมืองเวรัญชา ณ โคนตนไมแหง หนึ่งสามีภริยาไดไปเฝาพระพุทธเจาเปนจํานวนมากพระองคไดตรัสประเภทของสามีภริยาไวเปน ๔ คูคือ ๑ สามีผี ภริยาผี (ซากศพอยูกับซากศพ) คอื สามีไมดี ภรยิ าไมด ี ๒ สามผี ี ภรยิ าเทวดา (ซากศพอยูรว มกับเทพธิดา) คอื สามไี มด ีภริยาดี ๓ สามีเทวดา ภริยาผี (เทวดาอยูรวมกบั ซากศพ) คือ สามดี ี ภริยาไมด ี ๔ สามเี ทวดา ภริยาเทวดา (เทวดาอยูรว มกับเทพธิดา) คือ สามีดี ภริยาด๓ี ๘ ลักษณะของสามีและภริยาไมดีน้ัน คือ เปนคนผิดศีล ๕ เปนคนมีบาปกรรม เชน ความโหดรา ยทารุณ เปนคนตระหนี่ ดา วาสมณะ สัตบรุ ษุ ลกั ษณะของสามีภริยาที่ดี หรอื ท่เี รียกวา สามเี ทวดา ภรยิ าเทวดา นัน้ คอื เปนคนประพฤติตามศลี ๕ ไดแ ก มกี ลั ยาณธรรม เชน เมตตากรุณา ปราศจากความตระหน่ี ไมด าวาสมณะ สัตบุรษุเปน ตน เร่ืองของสามีภริยาน้ัน มีความสําคัญตอความสุข หรือความทุกขของชีวิตฆราวาสมากสําหรับคนที่ไดสามี หรือภริยาดี มีศีลธรรมก็เปนคนโชคดีไป หากไดตรงกันขามก็เปนคนโชครายมาก เปนคนไมมีศีลธรรมดวยกันทั้ง ๒ ฝาย ยังดีเรียกวา ฝายหนึ่งมีศีลธรรม อีกฝายหน่ึงไมมี ชนิดเทวดาอยกู บั ซากศพ หรือซากศพอยูรวมกับเทพธิดา แบบนี้ทรมานมาก เพราะคนดีมาอยูรวมกับ คนไมด ี ตองใชค วามอดทนสูงมาก ไมม คี วามสุขในชีวิตสมรส๓๙ โดยปกติชีวิตฆราวาสมีทุกขมาก มีเร่ืองตองกังวลมากอยูแลว หากไดเพ่ือนรวมชีวิตท่ีไมดีเขาอีก ความทุกขนั้นจะเพ่ิมขึ้นหลายเทาตัว พูดทางฝายหญิง หญิงท่ีไดสามีดีเพียงคนเดียว เหมือนมีเพ่ือนถึง ๑๐ คน หรือเพื่อน ๑๐ คน อาจสูไมไดเสียอีก เพราะเขาเปนใหไดทุกอยาง เปนท้ังเพื่อนรวมชีวิต เปนเหมือนบิดาผูคุมครองใหความสุขไดหลายแบบ แตหญิงที่ไดสามีไมดี ก็เหมือนมีเชื้อโรคหรอื เน้อื รา ยอยูใ นกาย นา สงสาร ทางฝายชาย ชายท่ีไดภรรยาดีเพียงคนเดียว ดีกวามีเพ่ือนถึง ๑๐ คน เพราะเธอเปนผูใหทุกอยาง เปนเพ่ือนรวมชีวิต เปนมิตรรวมใจ เปนเสมือนมารดา เปนนอง เปนคนรับใช อยูในคน ๆเดียว คือเธอ เธอใหความสุขแกสามีไดหลายแบบ เปนเพื่อนรวมชีวิตที่สนิทที่สุด เพราะฉะนั้น ๓๘มหาวิทยาลัยรามคําแหง, พุทธปรัชญาเบ้ืองตน, พิมพคร้ังที่ ๕, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพมหาวิทยาลยั รามคําแหง, ๒๕๓๓), หนา ๑๖๓-๑๖๔. ๓๙เรอ่ื งเดยี วกัน.

๕๔พระพทุ ธเจาจงึ ตรสั ไววา ภรยิ า ปรมา สขา ภรรยาเปนมิตรอยางเยยี่ ม (ทั้งนี้ตองหมายถงึ ภรรยาท่ดี )ี ที่พดู มานม้ี ไิ ดด หู มน่ิ เพอื่ นวา ไมด ี เพ่ือนท่ีดีจริงๆ นั้นยอมสละชีวิตแทนกันได แตหายากเหลือเกิน บางคนหาไมไดเลยตลอดชีพ พบแตมิตรปลอม เพ่ือนกิน เพ่ือนผลาญ และจะหาเพื่อนท่ีอยูดวยกัน กินดวยกนั ตลอดชวี ติ จะไดท่ไี หน เพราะฉะน้ัน ท่ีพระพุทธเจาตรัสวา ภริยา ปรมา สขา น้ันเปนความจริงที่โลกยังยอมรับกันอยู ใครไดภรรยาเลวขึน้ มา ภรรยานน้ั ก็เปน ภรยิ า ปรมา สตฺตุ คือเปนศัตรูที่รายแรง บั่นทอนความสุขความเจริญทุกอยา ง ทิศเบ้ืองหลัง ภรรยา สามพี งึ บํารงุ ดว ยสถาน ๕ คือ ดวยยกยองวา เปน ภรรยา ดว ย ไมด ูหมิ่นดว ยไมป ระพฤตลิ ว งใจ ดว ยมอบความเปน ใหญให ดว ยใหเ คร่อื งแตงตัว๔๐ ขอท่ี ๑ สามีบํารุงภรรยา ดวยยกยองวาเปนภรรยาน้ัน นอกจากจะเปนการสงเคราะหแกกันแลว ยังสองใหเห็นซึ้งถึงน้ําใจอันซ่ือตรงตอกันอีกสวนหนึ่งดวย การแสดงความรักใครไววางใจใหปรากฏแกญาติมิตร ไมปกปดความดีอันเปนสมุฏฐานซ่ึงจะนําขึ้นสูความเปนมิตรภาพเสียดังน้ี เปนลักษณะการยกยองท่ีออกจากใจจริง ขอที่วายกยองเจือไปดวยสงเคราะหน้ัน เชนชวยพยุง หรือใหเกาะ ใหยืนเพ่ือมิใหซวนเซ เม่ือไปในท่ีไมสะดวกแกผูหญิงทุกอยางไป ธรรมเนียมน้ี ไทยเราก็ไดประพฤติอยูบางแลวเหมือนกัน สวนคําวานับถือนั้น มีลักษณะตางออกไป ยอลงไดแกเปดโอกาสใหภรรยามีภาวะอันเสมอดวยตน และมีสิทธิท่ีจะแทนกันไดทุกอยางตรงกับกฎหมายท่ีเรียกวาเปน คนๆ เดยี วกนั ๔๑ ขอที่ ๒ สามบี าํ รงุ ภรรยาดวย ไมดูหม่นิ ซึ่ง ไดแก ไมทุบตีดาวาเหมือนกับคนท้ังหลายทุบตีดาวาทาสกรรมกรเปนตนน้ัน คือ ธรรมดาคนทั้งหลายซึ่งเปนนาย ยอมใชกิริยาหยาบคายตอผูที่เปนบาวไพรของตนดวยการทุบตีกดข่ีดาวา ไดตามชอบ ฉันใด ผูท่ีเปนสามีไมควรทําตอภรรยาของตนฉันน้ัน อธิบายออกตอไปวา ผูท่ีเปนสามีไมควรมีกิริยาหยาบคายทางกาย วาจา กับภรรยาของตนเปนอันขาด ถาภรรยาทําผิดหรือลวงอํานาจของตน ก็ใหวากลาว สั่งสอนแตโดยดี เมื่อวากลาวส่ังสอนโดยดีหลายครั้งแลวกลับไมยอมเชื่อฟง ก็ใหหาอุบายทําใหภรรยาเลิกละการกระทําผิดและการด้ือดึงนั้นโดยทางอ่ืน เชน บอกกลาวผูใหญ คือ มารดา บิดา หรือ ปู ยา ตา ยาย พี่นองของภรรยา ใหชวยวากลา วสั่งสอน หรอื ไมอ ยางนัน้ ก็ใหต ดี ว ยใจ ดวยการ ลงพรหมทัณฑ ตามเย่ียงอยา งของพระพทุ ธเจาของเราทงั้ หลาย ท่ที รงวางไวเปนแบบแผนสําหรับ ลงโทษแกผูด้ือดึง กลาวคือ ไมใหพูดดวย ปลอย ๔๐พิทูร มลิวัลย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาช้ันตรี, อางแลว,หนา ๒๖. ๔๑เร่อื งเดียวกนั .

๕๕ใหท ําสิง่ ใดดว ยความชอบใจ เคยพูดจาสนทนา อยางไร ก็อยาไดพูดอยางน้ัน จะทําดี ทําช่ัวอยางไรก็ใหนิง่ ดเู ฉยเสียเม่อื เห็นวา ทําวิธีนี้นานวันแลวภรรยาก็ยังไมรูตัววา ตัวทําผิด หรือ ด้ือดึง ก็ใหชั่งใจดูวาจะอยูหรือ จะเลิก เมื่อเห็นวาถึงอยูกันไปนานเทาไร ภรรยาก็จะไมเลิกกระทําผิดไมเลิกละความเปนคนหวั ดอ้ื หัวแขง็ แลว ก็ไมควรเปนสามขี องภรรยาคนนัน้ อีกตอไป เพราะฉะน้ัน ผเู ปน ภรรยาตองเปนผูทเี่ ชื่อฟงคาํ สั่งสอนของสามใี นทางท่ีถูกจึงจะเปนการดี สําหรับภรรยาที่มีอัธยาศัยดี คือ มีอัธยาศัยไมชอบทางผิด ไมด้ือดึงตอสามี นั้นก็มีอยูมาก ควรท่ีหญิงท้ังหลายจะถือเปนแบบอยางของตน จึงจักพนความเปนที่นาเกลียดชังของสามี อยาไดทําตนใหเปนคนถือดีตอสามีที่ดีเปนอันขาด อยางทําตนเปนคนทเ่ี รียกวาข่อื เทา ตอ เพราะจะกอ ใหเกดิ ความแตกราวจากสามี เพราะขา งสามียอมถือวา ตัวเปนใหญกวา ภรรยา สมควรทีภ่ รรยาจะเคารพนบนอมเชื่อถอยฟงคําของตน แตภรรยาโดยมากก็ถือเสียวา ตนมีฐานะเทากันกับสามี ทุกประการ หาไดรูสึกตนไมวา ตนมีฐานะต่ํากวาสามีโดยประการท้ังปวง เชนการทํามาหา เล้ียงชีพ และการปกครองบานเรือน เคหาสถาน การปกครองตัวเอง ก็ตองอาศัยสามีทัง้ นั้น เปน ตน ขอที่ ๓ สามีบํารุงภรรยา ดวยไมนอกใจภรรยา ไดแกการ ไมละเลยภรรยาของตนไปยินดีหญิงอ่ืนนั้น มีคําอธิบายตอไปอีกวา ผูเปนสามีควรยินดีตอภรรยาของตนเสมอไป ไมควรนอกใจภรรยาของตนเปนอันขาด เพราะจะทําใหเกิดความบาดหมางกับภรรยา จะทําใหแตกราวกับภรรยาจะทําใหหมดเปลืองทรัพยสินเงินทองโดยไมจําเปน จะทําใหเกิดทุกขใหญแกภรรยาและบุตรภรรยาของตน ขอที่ ๔ สามีบํารุงภรรยา ดวยการใหความเปนใหญแกภรรยา ไดแก ความเปนใหญในการทําครวั ถาแมบ า นไมไดรบั การเปนอิสระเตม็ ที่ ในเร่ืองอาหารการกินแลว บุรุษท่ีเปนพอบานตลอดท้ังครอบครัวท้ังส้ิน ก็จะไมไดบริโภคอาหารที่ดี ตามสมควรแกฐานะนของตน และจะทําใหหมดเปลืองดว ยการไววางใจผอู น่ื ไปเสียอีก แตขอสําคัญมีอยวู า อาหารที่ภรรยาทาํ นั้น เปนอาหารที่ถูกใจของสามีแทบทุกคนไป เพราะธรรมดาของคนเรามีอยูวา เม่ือไดกินของคนที่รักให ยอมช่ืนอกช่ืนใจย่ิงกวาคนอ่ืนให เพราะฉะน้นั เมื่อสามไี ดบริโภคอาหารทีภ่ รรยาผูเ ปน ทรี่ กั ทําให กย็ อมรสู กึ ชืน่ ใจ ฝา ยภรรยาเลาเมื่อเห็นสามีบริโภคอาหารไดก็ดีใจ ยิ่งไดยินคําชมของสามีก็ยิ่งดีใจมากข้ึน เพราะฉะนั้นจึงเปนขอสาํ คัญในการทีภ่ รรยาจะดแู ลขา วปลาอาหารใหเ ต็มที่เปน ตน ขอท่ี ๕ สามีบํารุงภรรยา ดวยการใหเคร่ืองแตงตัว ไดแก การใหเคร่ืองประดับประดาตามสมควรแกฐานะของตนนน้ั อธิบายวา ธรรมดาสามตี องหาเครื่องแตง ตวั ใหภรรยาเสมอ ถึงแมวาภรยาจะมเี คร่ืองแตงตวั ติดมาแตตระกลู เดมิ กต็ าม สามกี ค็ วรหาใหใ หม เพื่อจะไดเปนท่ีชื่นใจของภรรยา แตการท่ีจะหาใหใหมนั้น ก็ตองหาใหตามกําลังทรัพยของตน และคําวา เคร่ืองแตงตัวน้ัน หมายต้ังแตเคร่ืองนุมหมเปนตนไป จนกระท่ังถึงเคร่ืองเงิน เครื่องทอง เคร่ืองเพชรพลอยเปนท่ีสุด ตามที่โลก

๕๖มนุษยเรานิยมวา เปนของสวยงาม ท้ังจงใหเคร่ืองแตงตัวอันประเสริฐ กลาวคือ สีลาภรณ อันไดแกศีล ๕ แกภรรยาใหจงได คือ ผูเปนสามีตองแนะนําใหภรรยาตน ประดับเคร่ืองประดับอันประเสริฐกลาวคือ ศีล ๕ ซึ่งจะไดเกิดในสวรรคคือนิพพานตอไปใหจงไดจึงจะนับวา ไดทําหนาท่ีของสามีในขอนไี้ ดเ ตม็ ที่ “ดูกอนคฤหบดีบุตร ภรรยาผูเปนทิศเบ้ืองหลังอันสามีบํารุงดวยสถาน ๕ เหลานี้แลว ยอมอนุเคราะหดวยสถาน ๕ เหลาน้ี ทิศเบ้ืองหลังนั้นช่ือวา อันสามีปกปดใหเกษมสําราญ ใหไมมีภัยดวยประการฉะนี้” ๔๒ ธรรม ๔ ประการอันเปนเหตใุ หสามีภรยิ าอยูร ว มกนั ทั้งปจจุบนั และอนาคต “พ้ืนฐานอันม่ันคงท่ีจะทําใหสามีภรรยาครองชีวิตกันยืนยาว มีความสุข คือ คูสามีภรรยาจะตองมีสมชีวิธรรม ไดแก สมสัทธา มีศรัทธาเสมอกัน ไดแก มีหลักการ มีความเช่ือม่ันในพระพุทธศาสนา มีเปาหมายชีวิตที่เหมือนกัน สมสีลา มีศีลเสมอกัน ไดแก ความประพฤติศีลธรรมจรรยา กริ ิยามารยาทอบรมมาดเี สมอกัน สมจาคา มีจาคะเสมอกัน ไดแก มีนิสัยเสียสละ ไดแก มีนิสัยเสยี สละชอบชวยเหลอื ไมเหน็ แกตวั ใจกวา งเสมอกัน สมปญ ญา มปี ญญาเสมอกัน ไดแ ก มีเหตุผล มีความคิดสรางสรรค ไมด้ือดานดนั ทรุ งั เขาใจกนั เหน็ อกเหน็ ใจกนั พูดกนั รเู ร่ือง” ๔๓ ภรรยาไดรบั การบํารงุ ฉะน้ีแลว ยอมอนุเคราะหส ามีดวยสถาน ๕ คือ ๑. จดั การงานดี ๒. สงเคราะหค นขางเคียงของผวั ดี ๓. ไมป ระพฤตลิ วงใจผัว ๔. รกั ษาทรัพยท ี่ผัวหามาไดไ ว ๕. ขยันไมเกยี จครา นในกิจท้ังปวง ๔๔ ขอที่ ๑ ภรรยาอนุเคราะหสามี ดวยจัดการงานดี ซ่ึงไดแกการทํางานไมใหคั่งคาง ไมปลอยใหเลยเวลาหุงตมเปนตนนั้น ควรขยายตอไปวา หนาที่การทํางานใดซึ่งเปนหนาท่ีของภรรยา ภรรยาตองทํางานนั้นใหสําเร็จเรียบรอยไปเปนอันดีไมใหลวงเลยเวลาไปส่ิงใดควรทําใหสําเร็จในเวลาใด ก็ตองทําใหสําเร็จในเวลาน้ัน อยาปลอยใหสิ่งน้ันลวงเลยเวลาไปก็ดีทําสิ่งน้ันไมเรียบรอยก็ดี เรียกวา ๔๒ที. ปา. ๑๑ / ๒๐๑ / ๘๙. ๔๓พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ, มงคลชีวติ ฉบบั ธรรมทายาท, อา งแลว, หนา ๑๑๑-๑๑๒. ๔๔พทิ ูร มลวิ ลั ย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นตรี, อางแลว, หนา๒๖.

๕๗ผิดตอหนาที่ ของภรรยาก็การงานอันเปนหนาท่ีของภรรยา ไดแกการหุงตมข้ึนเปนตน สวนการงานนอกจากหุงตมนั้นก็มีอยูอีกมาก แตวาการหุงตมน้ันเปนการงานหลักของภรรยา เพราะเหตุวาในครอบครัวหนึ่ง ๆ ยอมมีการกินเปนสําคัญยิ่งกวาสิ่งอื่น ถาถึงเวลากินไมไดกินแลวเปนตองเกิดเร่ืองเพราะสามีหรือผูคนซ่ึงกลับจากการงานเหนื่อย ๆ ลวนแตกําลังหิวโหยอิดโรยทั้งนั้น เม่ือมาถึงบานไมไดร ับประทานอาหารดว ยแลว กย็ ง่ิ เพม่ิ ความหวิ โหยอดิ โรยมากข้ึน ผูท่ีมีใจดีก็กลับกลายเปนคนใจราย ถาย่ิงเปนคนใจรายดวยแลวก็ยิ่งซ้ํารายเพราะฉะน้ัน ผูท่ีเปนภรรยาตองเอาใจใสตอการจัดการอาหารใหทันเวลา อยาใหลวงเลยเวลาไปได อยาทําตนใหเขาสุภาษิตท่ีวา แมยัง คือ เม่ือสามีถามวาทํากับขาวเสร็จแลวหรือยัง ก็ตอบวา ยัง หุงขาวเสร็จแลวหรือยัง ก็ตอบวา ยัง ถามวาตักน้ําหรือยัง ก็ตอบวา ยัง ปดท่ีอยูปูที่นอนแลวหรือยัง ก็ตอบวา ยัง ถาเปนอยางนั้นก็ตองโดนดีเปนสักวันแน และการงานของภรรยานัน้ หมายถงึ การงานในบานทั้งสิ้น สวนการงานนอกบานน้ันเปนการงานของสามีเพราะฉะน้ันหญิงที่เปนภรรยาตองจัดการงานทางบานใหดีทุกอยางซึ่งจะขอกลาวพอสังเขปเพ่ือเปนแนวทางในการปฏิบัติแกคูภรรยาสามี ยกตัวอยางเชน การปฏิบัติเวลาตื่นกอนสามี เมื่อไดปฏิบัติตนเองเรียบรอยแลว ก็ดําเนินการสืบตอไป จัดเคร่ืองลางหนาหรือเคร่ืองอาบนํ้าสําหรับสามีใชในเวลาต่ืนนอน แลวเลยตรวจการในบานตอไป เมื่อมีส่ิงใดบกพรองจะไดจัดทําหรือเตือน ใหทําเสียใหเรียบรอย ถาเปนงานบนเรือน เชนหองรับแขก หรือในท่ี ๆ ไมประสงคใหคนอื่นเขาออกพลุกพลานแมทําเสียเองไดก็ควรทําตามความพอใจ ดีกวาจะตองรอคนใชใหเสียเวลา ถาเปนบานท่ีไมมีคนใชก็หมดปญหาในเร่ืองท่ีจักคอยคนอื่นตอไป เพราะตนจะตองทําเองทุกอยางอยูแลว เมื่อตรวจระเบียบการบา นเรียบรอยทว่ั ถึงแลว กห็ นั เขาหองครวั หรอื หองรับประทาน ตรวจการแตงอาหาร เทียบไวตามเวลานั้น ๆ ไมสูจะตรงกันนัก บางบานเชา บางบานสาย และการรับประทานก็มีกําหนดตั้งแต ๒ มื้อ๔ มอื้ คือ เชา , สาย, กลางวนั , และเยน็ หรือค่าํ อีกมอ้ื หน่ึง ท่ขี ้นึ ชอื่ วา ๔ มือ้ รสู ึกวาเปนการฟมุ เฟอยอยูสักหนอย แทจริงมื้อเชาและกลางวันเปนแตเพียงอาหารเบา ที่นิยมตามสมัยหรือในช้ันผูมีกําลังทรัพยบริบูรณ มักใชขนมปง กาแฟ หรือไขไก เปนอาหารรองทองในตอนเชา แตถาพูดอยางสมัยกอนก็สูขาวตมของเราไมได กลางวันก็มกั ใชเ ปน ของรบั ประทานเล็ก ๆ นอย ๆ เรียกวาของวาง หมายความวาเปนเวลาวาง จะมีก็ได ไมมีก็ได บางบานก็ไมใชเลย เวลาไหนจักควรแกอาหารชนิดใดน้ัน ตองอนุโลมตามเวลาของการงานจักอํานวยใหเปนไป สําคัญแตเม่ือถึงเวลาก็ใหมีอาหารใหม ๆ เทียบไวพรอมดวยตนเองกระทําหนาท่ีคอยปฏิบัติ คอยสังเกตวาสามีชอบรสอาหารชนิดใด จักไดกําหนดไวประกอบใหถกู ความประสงคในโอกาสหนาสืบไป๔๕ ๔๕เรอ่ื งเดยี วกนั .

๕๘ เร่ืองการปฏิบัติสมัยนี้ ผูชายก็หาไดแพหรือเอาเปรียบผูหญิงแตฝายเดียวไม ยอมกระทําปฏิบัติใหแกผูหญิงไดดีเทา ๆ กัน เวลามีกิจธุระจะตองไป ณ ที่ใด ก็จัดเครื่องแตงกายและส่ังพาหนะใหตามควรแกการ การแตงกายสําหรับ ผูชายแมจะไมสูมีเรื่องจุกจิกพิถีพิถันอะไรมากมายก็จริง แตเพ่ือความสะดวก จึงควรเอาใจใส ชวยเหลือจนสําเร็จเรียบรอยตลอดไป ตอนวางงาน เมื่อไดพกั ผอ นพอแกค วามตองการแลวกค็ วรระลกึ ถงึ งานเล็ก ๆ นอ ย ๆ ท่คี วรจะคยุ เขยี่ ตอไป เชน เส้ือผา และของอื่น ๆ จะตองบริหารใหแลดูใหมอยูเสมอ ยิ่งที่นอนแลวเปนตองเวนไมไดเสียทีเดียว ส่ิงใดควรตากควรซักก็เอาออกตากออกซักแลวปูปกใหสะอาด แลวคลุมไวเพื่อกันฝุนละอองไมใหปลิวจับไดถาเวลายังมีวางจะยกใหเปนสวนของงานเย็บปกถังรอยตอไปก็ควร เชนเสื้อช้ันในหรือถุงเทา แมขาดเพียงเล็กนอย ถารีบชุนหรือเย็บเสียก็คงใชไดไปอีกนาน น้ีเปนการประหยัดทรัพยอันจะตองถูกควักออกมาซื้อจายไดอีกสวนหนึ่ง เวนแตของที่ชํารุดมากจนเกินแกที่จะเยียวยาเอามาซอมเขาจะกลับแลหนาเกลียดแลวก็ไมควรทํา ของใชทุกอยาง ควรจัดไวเปนระเบียบแลดูงามตา ไมกาวกายปะปนกันจนเกะกะ ถึงคราวตองการใชก็ไมตองไปเท่ียวหาท่ีอื่นใหเสียเวลาตรงไปยังหมวดหมูของมันทีเดียวก็หยิบไดทันทีขอสําคัญเมื่อใชการเสร็จแลวนําเขาเก็บเสียยังที่เดิมทุกคราวไป จัดไดดังน้ีจะทําใหงานนอยและสะดวกขึ้นอีกมาก การทําท่ีไหนทิ้งท่ีน่ันนั้นเปนส่ิงไมควรประพฤติ นอกจากจะทําใหรกบานตองคอยเก็บเข่ียกันไมรูจักจบแลว ยังมีเร่ืองที่จะแตกหักเสียหายชุลมุนตอไปลงทายก็วนไปเขาขีดจะตองจายทรัพยไมรูที่สิ้นสุด ถาพูดถึงโภคกิจก็เปนส่ิงที่นาคิดอยูวา งานเก็บเล็กประสมนอยทํานองน้ีแมหมั่นคุยเข่ีย ไมละเลยใหเปนไปตามยถากรรม โดยเห็นเปนของเล็กนอยแลว จะประหยดั รายจายไดปล ะมากๆ ทเี ดียว อันของนอยแมส ะสมอยเู สมอ ๆ ก็มากข้ึนได เชนปลวกขนดินมาทํารังไดท้ังสูงท้ังใหญนั้น มันหาบคอนไดเหมือนคนเม่ือไร ปลวกตัวหนึ่งจะคาบดินไดราวเม็ดงาเดียวเทานั้น ยังสามารถทํารังไดโต ๆ เขาบทที่วา ของมากมาจากของนอยฉะน้ัน ธรรมดาผูกลับจากทํางานเหน็ดเหนื่อยมา ใจคอมักไมไดเบิกบาน จึงควรตอนรับดวยอาการย้ิมแยมกระวีกระวาดการย้มิ แยมเปน โอสถทศ่ี ักด์สิ ทิ ธิข์ นานหน่งึ แมจ ะมีอาการหิว้ โหยออนเพลยี มาเมอื่ ไดเ ห็นดวงหนา อนัแสดงมิตรภาพปรากฏอยูเชนนั้น ความออนเพลียก็จะเปล่ียนเปนสดชื่นข้ึนทันที เม่ือไดชวยในเรื่องเปล่ียนเคร่ืองแตงกายและจัดใหอาบนํ้าเรียบรอยแลว ก็ดําเนินเรื่องอาหารสืบไปตามสมควรแกเวลานั้น ๆ พอไดรับประทานและพักผอนเสียเล็กนอยแลวก็มีความสุข เวลารับประทานหารก็ดี พักผอนอารมณก็ดี ควรนําแตเรื่องที่เจริญใจมาสนทนา เวลาสามีมีทุกข ภรรยาก็ฉลาดหาอุบายพูดกลอมใจหรือชวยบอกความคิดบําบัดขอขัดของเหลานั้นใหบรรเทาลง ความทุกขที่รุนแรง ถาไมคิดแกไขใหเบาลงเสียบา ง จะเปน ชนวนนําเขาสูความหายนะไดงาย สําหรับผูหยอนสติดวยแลวก็ยิ่งเร็วทีเดียว ในอันจะว่ิงเขาสูกรอบของอบายมุข มีสุราเปนตัวการจูงไปสงใหเปนเหย่ือของความเส่ือมอื่น ๆ ในพวกของมัน ท้ังนี้ก็เพราะไปหลงวา ส่ิงเหลาน้ันจะเปนเคร่ืองบรรเทาทุกขของตนได ท่ีแทก็ตรงกันขาม

๕๙น่นั ก็คือ ปากชองแหงความพนิ าศตางหาก ทั้งนี้ก็เหตุแหงความระทมทุกขนั่นเอง กระทําใหมืดมนหมดสติ เขาทํานองเห็นกงจักรเปนดอกบัว หาเปนอุบายท่ีดีไดไม สวนการจัดหาสถานที่หรืออาหารตามท่ีกลาว ก็ควรใหถูกหลักอนามัย ๆ เปนอยางไรควรตรวจดูในตําราแพทย “สุขวิทยา” ถามีเรื่องเจบ็ ไขเกิดข้ึนแกส ามี แมอาการเพียงเลก็ นอ ยก็ควรหาหยูกยาบําบัดเสีย โรคก็จะไดไมกําเริบตอไป แตการใหยาจะตองรูจักลักษณะของไขใหแนนอนเสียกอน ถาเปนไขชนิดท่ีเคยพยาบาลเคยใหยามาแลวจึงคอยทําตามเคย แมอาการผิดแปลกจากท่ีท่ีเคยเปนแลว อยาพึงใหยาเองเปนอันขาด ควรจัดใหเปนหนาท่ีของแพทยรักษาพยาบาลตอไป สวนหนาที่ ๆ ภรรยาจะพึงปฏิบัติก็คือ ควบคุมการพยาบาลท้ังปวง ฟงคําสั่งของแพทยในเร่ืองท่ีจะใหอาหารและอื่น ๆ การพยาบาลไขหนักจะตองจดรายงานอาการของคนไขท ุกระยะไวใหแ พทยด ูเสมอ ส่ิงทผี่ พู ยาบาลพึงปฏบิ ตั ิ แมแ พทยจะยงั ไมทันสัง่ ใหทําก็ตามที แตเมื่อทําเขาแลวคงไมผิด สิ่งน้ันคือ ความสะอาด ไมนิยมวาจะเปนของบริโภคหรือส่ิงใด ๆสดุ แตเ กย่ี วเปน ของสําหรับคนไขแลว จกั ตองทําใหสะอาดหมดจดทุกอยาง อน่ึง ธรรมดาคนไขมักใจนอย จูจ้ีจุกจิก ถาปฏิบัติไมถูกความประสงค ก็บนกระปอดกระแปดจนถงึ กลา วคาํ รนุ แรง เปนท่ีระคายโสดและนารําคาญ ผูพยาบาลแมไมถึงพรอมดวยขนั ติ มีเมตตากรณุ าเปน บทนํา หรือกตัญูกตเวทีเปนมั่นคงอยูแลว ก็นาหลีกใหพนอํานาจแหงปฏิฆะไดยาก ถาไมใชความอดทนเขาชวยตานทานดวยแลว จะรูสึกขาดหลักสําคัญของผูพยาบาลไปมากทีเดียว พนจากนี้ไปก็ยังคงมีส่ิงที่กระทําใหหนักอกหนักใจอยูเร่ืองหนึ่ง คือ อาหาร ซ่ึงบางไขแพทยอาจหามอาหารหยาบ นอกจากสิ่งท่ีเปนน้ําลวน ๆ เชน นํ้าตมเน้ือสัตว (ซุบ) และของอ่ืนท่ีเปนนํ้าเชนกัน ส่ิงอื่นนอกจากท่ีกลาวนี้แลวเปนเขาอยูในขีดท่ีตองหามทั้งสิ้น ท่ีสุดช้ันแตขาวตม ก็ยังไมยอมผอนให แมส่ิงที่ยอมแลวยังถูกจํากัดใหแตเพียงเทานั้น เทาน้ีตอไปอีก ฝายขางคนไขปกติก็เปนคนใจนอยอยูแลว เมื่อมาถูกบังคับเขาเชนน้ัน ประกอบดวยความหิวโหยเปนกําลัง ก็ผูกใจขัดแคน ตั้งวิวาทกับผูพยาบาลเรื่อยไป ไขที่ตองการอาหาร ถาไมมีอาหารสงใหพอแกความตองการ ก็ยิ่งทวีความยากความหิวยิ่งข้ึน ออนวอนขอส่ิงโนนก็ไมสมประสงค สิ่งนี้ก็ไรผล ประหน่ึงวาผูพยาบาลมีใจเห้ียมโหดหมดความเมตตาปราณีเอาเสียที แมผูน้ันไมมีใจหนักแนพอก็ถึงตองจํานน ดวยความกรุณาสงสารจะทนมองดูหนา ผากทตี่ กอยูใ นหวงแหงทกุ ขอ ยกู ระไรได ยังมีไขอีกจําพวกหน่ึง มีอาการตรงขามกับที่กลาว คือที่แพทยไมไดหามอาหารกวดขันอะไรนัก ซ่ึงคนไขเบื่อเสียเอง นี้ก็กระทําความลําบากใหแกผูพยาบาลไมนอยเหมือนกัน คราวน้ีผูพยาบาลกลับตองออนวอนใหรับประทาน สิ่งโนนดีก็แลว สิ่งนี้ดีก็แลว ก็คงไดรับตอบแตเพียงส่ันศรีษะเร่ือยไป จนผูถามหมดปญญา ถึงตองใชอุบายพูดตาง ๆ นานา ก็ยังไมคอยสําเร็จ จึงคงตองตกเปนเรื่องลําบากทั้งขึ้นท้ังลอง ความจริงไขจําพวกหลัง ถาผูปวยไมเบ่ือเสียเองแลว อาหารก็กลับมีประโยชนเทา ๆ กับยาหรือย่ิงกวาดวยซํ้าไป ผูพยาบาลท่ีมีไหวพริบตองเปนผูรูจักใจคนไข ฉลาดหา

๖๐อุบายพูดปลอบโยนคนไขใหเช่ือถือและปฏิบัติตาม จึงนับไดวาเปนผูบริหารการยังใหผลเกิดสมแกหนาท่ี ทั้งชวยกําลังแพทยไดเปนอยางดีดวย สวนหนาท่ีปกครองบังคับบัญชาผูคนบาวไพร ใหเปนระเบียบอยใู นถอยคาํ น้ัน ตองอาศยั ความเมตตาปราณี เอื้อเฟอ เผื่อแผ พรอ มท้งั ความเทยี่ งทาํ เปนเคร่ืองผกู ใจ ดงั จะกลาวในทศิ เบ้ืองตา่ํ สบื ไป อนึ่ง งานที่เกี่ยวกบั เคร่ืองอุปกรณความสุข ก็ควรดูแลใหกิจการดํารงอยูตามระเบียบท้ังภายในบานและนอกบาน ไมใหพิการเสียโดยเหตุไมบังควร (ภายในไดแกสมบัตใิ นบา น ภายนอกไดแกส งิ่ ที่เปนผลประโยชนรายได เชน เรือกสวนไรนา บานเรือนตึกแพ ท่ีใหเชา และลูกหนเ้ี ปนตน) จริงอยูสมัยกอ น หนาทบ่ี รหิ ารการบานเรือนเปนสวนผูชายรับผิดชอบฝายเดียว งานเบ็ดเตล็ดเล็ก ๆ นอย ๆ จึงยกใหเปนหนาท่ีของผูหญิง ผูหญิงจึงไมจําเปนตองเรียนรูการงานอันเปนสวนของผูชายเลย โดยเหตุเปนผูออนแอ แตสมัยนี้ “ผูหญิงมีความรูและความสามารถในศิลปะเทา ๆ กับผูชายแทบทุกอยางแลว แมผูชายมีธุรการงานพิเศษออกไป ไมคอยมีเวลาอยูบานมากนัก งานของบานฝายภรรยาจึงตองเขาจัดใหดําเนินอยูเ สมอ ไมตองหยดุ ชะงกั ” ๔๖ ขอท่ี ๒ ภรรยาอนุเคราะหสามี ดวยการสงเคราะหคนขางเคียงผัวใหดี ซ่ึงพระอรรถกถาจารยอธบิ ายไววา ไดแ กส งเคราะหญ าตขิ องสามี และญาติของตนใหดี ดวยการยอยองนับถือ และดวยการสงส่ิงของไปให เชน สงขาว สงแกงเปนตน ตามสมควรแกฐานะของตนน้ัน และธรรมดาหญิงแมบานแมเรือนตองรูจักใกลรูจักไกล รูจักที่ควรเผื่อแผ และไมควรเผ่ือแผ รูจักต่ํา รูจักสูงจึงจักไดเพราะเหตุวาแมเรือนนั้น ยอมมีคนเก่ียวของท้ังขางซายขางขวา ขางหนา ขางหลัง ขางลาง ขางบน อยูทุกดาน แลวคนที่เก่ียวของขางซายน้ัน ไดแก ญาติมิตรสหายตน และสามี คนท่ีเกี่ยวของขวาน้ันไดแก ครูอาจารยของสามีและของตน คนที่เก่ียวของดานหลังนั้น ไดแก บุตรธิดาของตน คนที่เก่ียวของขางหนานั้น ไดแก มารดาบิดาของสามีและของตน คนท่ีเกี่ยวของขางบนไดแก สมณพราหมณ คือ พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา คนท่ีเกี่ยวของขางลางนั้น ไดแก บาวไพรคนใชของตน หญิงผูเปนแมเรือนจักตองสงเคราะหคนเหลานี้ใหดี ดวยการยกยองนับถือ และดวยการสงสงิ่ ของไปใหตามสมควรแกฐ านะของตน คอื ใหยกยองนับถือ บิดามารดา ปู ยา ตา ยาย ลุง ปา นา อาทง้ั ของสามแี ละของตนใหค ลา ยกัน ถาไมอ ยางนน้ั ก็จะเกิดผดิ ใจกับสามีเปน ขอใหญ เปนตน ขอท่ี ๓ ภรรยาอนุเคราะหสามี ดวยไมนอกใจสามีนั้น พระอรรถกถาจารยอธิบายไววาไดแ กการไมล ะสามขี องตนไปปรารถนาบรุ ษุ อ่ืนแมด วยใจน้นั อธบิ ายวา ผูท่เี ปน ภรรยาไมควรนอกใจ ๔๖พระยาศรีราชอักษร( มา กาญจนาคม ), อธิบายคหิ ปิ ฏิบตั ิ (ทิศวภิ าค), อางแลว, หนา๗๐-๗๗.

๖๑สามี แมดวยใจคือ แมเพียงแตใจก็ไมควรท่ีจะคิดละสามีของตน ไปรวมรักกับบุรุษอ่ืน อยาวาแตนอกใจดวยกาย วาจา เลย เพราะเหตุไรพระพุทธองคจึงทรงส่ังสอนอยางนี้ เพราะเหตุวา ความผิดอันนี้เปนความผิดอันใหญหลวงของหญิงท้ังหลาย เปนความช่ัวชาเลวทรามอันใหญหลวงของหญิงทั้งหลาย ดวยวา หญิงคนใด แมแตเพียงคิดจะนอกใจสามีเทานั้น ถึงยังไมนอกใจสามีก็ตามพระพุทธเจาก็ทรงตรัสวา เปนการนอกใจสามีแลว คือ เปนการนอกใจดวยใจ ไมใชเปนการนอกใจดว ยกาย วาจา ซึง่ กาย วาจา ใจ ท้งั หมดของหญงิ ที่เปนภรรยาของบตุ รน้นั ยอมเปนของบุรุษผเู ปน สามีท้ังส้ิน เพราะฉะนั้น เมื่อหญิงผูเปนภรรยาไปลอบรักกับบุรุษอื่น จึงเปนกาเมสุมิจฉาจาร เพราะเหตุวาเปนการลักขโมย รา งกาย จติ ใจของตนไปใหแ กผ อู ื่นซึง่ ไมใชเ จา ของเปนตน โทษของการนอกใจสามีนั้น ยอ มทาํ ใหทุกขใจ ไดรับความติฉินนินทาจากชาว ถูกฟองหาตามกฎหมาย ทําใหเสียนิสัยสตรี คือหญิงใดนอกใจสามีแลว บุตรีของหญิงนั้นก็จักนอกใจสามีตามกัน ตกไปถึงช่ัวหลาน เหลน ล้ือ ก็จักตองเหมือนกัน และโทษในชาติหนาก็จักตองตกนรกฉิมพลี และโลหกุมภีนรก อันเต็มไปดวยสัตวนรก ปนตนง้ิวหนาม มีแรงปากเหล็ก กาปากเหล็กตัวเทาชางสาร คอยจิก ท้ังตนงิ้วนั้นก็สูงตนละรอยโยชนเปนประมาณ จากน้ันก็ถูกจับเทียมรถวิ่งไปบนแผนทองแดง และยังถูกจับโยนลงในหมอทองแดงท่ีเดือดพลาน ลึกไดรอยโยชน พนจากสัตวนรกก็ตองมาเกิดเปนเปรต ยังตองมาเกิดเปนสัตวดิรัจฉาน มีเกิดเปนสุนัขบาน สุนักปาเปนตน จากน้ันก็มาเกิดเปนคนช่ัวชาสามานย ยากจนเข็ญใจ มีเวรภัยขา ศกึ ศตั รูเปนอันมาก ทง้ั เกดิ เปนคนกะเทยอีกหลายสิบชาติเปนตน ขอท่ี ๔ ภรรยาอนุเคราะหสามี ดวยรักษาทรัพยท่ีสามีหามาได คือ ตองรูจักดูแลรักษาเงินทองบรรดาทอ่ี ยใู นบานแทนสามีใหถ ่ถี ว น อยาใหตกเรยี่ เสียหายโดยทางไมจําเปน เปนอันขาด อยาทําเปนคนกนถุงรั่ว คอยลักทรัพยของผัวไปใหแกคนอ่ืน หรือไปเลนการพนัน กินเหลาเมาสุราเปนอันขาด เพราะทรัพยส นิ นนั้ เปน ของสามีและบุตรหลานท้ังนนั้ ๔๗ ของมีราคาตั้งแตสตางคเดียวข้ึนไป ช่ือวาทรัพยทั้งสิ้น การดูแลรักษาก็ปฏิบัติตามประเภทของส่ิงนั้น ๆ คือไมใหเส่ือมเสียไปในเหตุอันไมบังควร ย่ิงของที่มีราคามากก็ย่ิงควรรักษาไวในท่ีม่ันคงพนอันตรายทั้งปวง แตถาเปนทรัพยท่ีจักทําประโยชนใหงอกงามตอไปอีกได ก็ไมควรเก็บนิ่งไวก ับบานเฉย ๆ ซึ่งไมเ พยี งแตจะทาํ ใหข าดประโยชนทีค่ วรจะไดอ ยางเดียว ยังเปนส่ิงยั่วผูรายใหปองอีกดวย ทางดีควรนําออกทําประโยชน ใหมสี วนเปน รายไดง อกงามไปอกี โดยมหี ลกั ฐานเปนท่เี ชอ่ื ไดเชนรับจํานําท่ีดินหรือเรือกสวนไรนาเปนตน เพราะสิ่งเหลาน้ีไมตองกังวลหวงวาโจรจะลวงลัก หรือไฟจักไหมเหมือนของอื่น ๆ แตหากทําเชนน้ันไมไดเพราะทุนนอย ก็ควรแสวงหาสิ่งที่พอเหมาะแก ๔๗เรื่องเดียวกัน.

๖๒ทุนที่มีอยู ขอสําคัญจะทําอะไรที่เก่ียวดวยบุคคลแลว ควรนึกถึงการลอลวงไวบาง ถาประสงคเพียงความปลอดภัย การฝากคลังออมสิน ไดยินวาม่ันคงดี เพราะเปนของรัฐบาล แทจริงศัตรูสําคัญของทรัพยที่หาวิธีปองกันไดยาก คือตัวของเราเอง ถาเราตั้งกองบําเพ็ญในอันท่ีจะใหหมดเปลืองไปฝายเดียว ไมยับยั้งคิดถึงกาลขางหนาขางหลังใหรอบครอบกอนแลว การรักษาตอใหล่ันกุญแจต้ังรอยชั้นก็หนีภัยชนิดนี้หาไดไม ความยั้งคิดในเรื่องใชทรัพยใหเปนประโยชนนั้น ถาผูมีหนาที่ปกครองบานเรือนหม่ันเอาใจใสอยูเสมอๆ ก็จักผานพนเครื่องเดือดรอนอันจะพึงมีมาสูตนและครอบครัว กับท้ังทารกซ่ึงจะอุปบัติข้ึนในกาลขางหนา หากมาประสพเวลาขัดสนยากจนเขา ก็เปนสภาพที่นาสังเวชอยา งยิ่ง ฉะนั้นจึงควรระวังการจายอยาใหเพลิดเพลินจนเกินรายไดบอยนัก จะเกิดลําบากข้ึนภายหลัง ในเม่ือไมมีที่จะหยิบฉวย อบายมุขที่กลาวไวขางตนก็เปนศัตรูสําคัญของทรัพยอยางมากมาย ถาคิดหลีกเล่ียงเสียใหไกลจักเปนผลดี คําวารักษาทรัพยในที่นี้ประสงคแตเพียงรักษาเพื่อปลอดภัยอยางเดียว ในกิจการท้ังปวงที่กระทําเพื่อออมทรัพยดังกลาวมาแลว ก็เปนอันรักษาดวยเหมือนกัน การประหยัดรายจายใหพอดีนั้นแล เปนของควรเอาใจใสแท แตสําหรับผูไมเคยประพฤติมาแตเดิมแลวก็ทํายากอยู เพราะอาย, กลัวเขาจะวาใจคับแคบบาง, ตระหน่ีเหน่ียวแนนคิดเล็กคิดนอยบาง เลยทําไมไดเอาเสียที การฝกตนเชนนี้มาเสียจนเคย กระทั่งสตางคไมมีจะติดตัวแลว ก็ยังไมคิดเปลยี่ นใหตรงกับสภาพของตน เชน น้ี เรียกกนั วา “จมไมล ง” แตผ ทู ่ีกลวั ความเสือ่ มจักตอ งประหยดั ไดเชนสิ่งใดมีอยูแลวยังไมควรจายเพิ่มเติม ก็ไมพยายามจาย เพราะถาเปนของท่ีเสียไดงาย หรือ ไมมีท่ีเกบ็ ใหส มควร ของก็จักเสียไปโดยไมไดรับประโยชนอะไร มีสุภาษิตสอนใหรูจักการประหยัดอยูบทหน่ึง ซึ่งทราบกันอยูดาษดื่น แตเห็นวาผูท่ียังไมทราบก็คงยังมี ทั้งเปนคําสอนท่ีนาฟงมาก จึงนํามาลงไวเฉพาะท่ีตองการดังนี้ มีสลึงพึงบรรจบใหครบบาท อยาใหขาดเพราะเปนของตองประสงค มีนอยกนิ นอยคอ ยบรรจง อยา จา ยลงใหม ากจะยากนาน ไมควรซ้อื ก็อยาไปพิไรซ้ือ ใหเปนมื้อเปนคราวท้ังคาวหวาน นี้เปนคําสอนที่นาเอาใจใสอยู เพราะการจายเพลินโดย ไมเหลียวแลถึงความหมดเปลืองบางแลว ภายหลังจะลําบาก ท่ีถูกควรถือความจําเปนเปนสําคัญ ไมควรถือเอาความอยากเปนใหญแทจ รงิ ถาเปนของท่ีตองใชอยูเสมอ ทั้งเก็บไวนานไดดวยแลว ก็ไมควรซื้อยอยเหมือนกัน เพราะการซ้ือคราวละเล็กละนอยมักแพงกวา ท่ีซื้อคราวละมาก ๆ ทีซ่ ือ้ มาก็เพ่ือตองการใหถูกลง แมผูขายจักไดกําไรนอยหนอยก็ยินดีขาย เม่ือรวมทุนซ้ือสินคามาข้ึนรานใหม ถือวาเปนสิบเบ้ียใกลมือ อนึ่ง“กอ นจะออกจาย ควรตรวจของท่ีมีอยใู หร ูว า สง่ิ ใดหมดสง่ิ ใดยงั อยมู ากนอ ยเทา ไร จักตองจายเพิ่มเติมอีกหรือไม เม่ือทราบจํานวนของท่ีมีอยูเสียกอนแลวจะไดกะจายใหพอเหมาะแกความตองการ ไมใหเกินจนตองเหลือทิ้งเนาเฟอะ หรือไมขาดจนตองวิ่งซื้อเพ่ิมเติมเปนที่เสียเวลาท่ีกลาวมาเพื่อใหรูจักคํา

๖๓วา พอด”ี ๔๘ ลําดับตอไป จะนําบททิฏฐธัมมิกประโยชน ๔ อยางมาลงไว เพื่อเปนเคร่ืองอุปกรณในการรกั ษาทรพั ยใ หม่นั คงยิง่ ขึ้น ทฏิ ฐธัมมิกประโยชน คือประโยชนในปจจุบัน, ประโยชนสุขสามัญท่ีมองเห็นกันในชาตินี้ท่คี นทัว่ ไปปรารถนา มที รัพย, ยศ, เกยี รต,ิ ไมตรี อันจะสําเร็จดวยธรรม ๔ ประการ คือ ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พรอ มดว ยความหมนั่ ๒. อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ มดว ยการรักษา ๓. กัลยานมติ ตตา ความมเี พ่อื นเปนคนดี ๔. สมชวี ติ า การเล้ียงชีวิตตามกําลังสมควรแกทรัพยที่หาไดถึงพรอมดวยความหมั่น๔๙ เปนตน ในการประกอบกิจเครื่องเลี้ยงชีวิตก็ดี, ในการศึกษาเลาเรียนก็ดี, ในการทําธุระหนาท่ีของตนก็ดี,๓ อยาง นี้เปนปฏิปกษแกการเกียจคราน ๖ สถานตามที่กลาวมาแลวขางตนอยูซึ่งจะตองงดเวนไมเหลยี วแลเสยี ทเี ดยี ว ถึงพรอ มดวยการรกั ษา, คอื รักษาทรัพยท่ีแสวงหามาไดดวยความหม่ัน ไมใหเปนอนั ตรายกด็ ,ี รักษาการงานของตนไมใ หเ สอื่ มเสียไปก็ดี การรักษาทรัพยไมใหเปน อันตรายดว ยเหตุไมบงั ควรมปี ระโยชนเพยี งไร ยอมทราบกันดอี ยแู ลว และวธิ ีรักษาก็ปฏบิ ัติตามทีก่ ลา วไวใ นเบอื้ งตน สวนลักษณะการบริหารงานไมใหเส่ือมน้ัน จักตองประกอบดวยกําลังใจผูกพันอยูแตในงานของตน ไมเกียจครานเห็นแกสนุกสนานเพลิดเพลินจนเสียงานเสียการ ระวังรักษาระเบียบของงานทที่ ําใหเรียบรอยอยเู สมอ แทจ รงิ การงานก็คือที่เกิดแหงทรพั ยนัน้ เอง เม่อื รักษาการงานใหเ จรญิ อยูไดแลว ก็บรรลุซ่ึงความสมบูรณ ความขยันเปนเคร่ืองอุปถัมภการงาน การงานเปนบอเกิดแหงลาภและยศน้ันเอง ความมีเพื่อนเปนคนดี, ไมคบคนชั่ว การคบคนดีนับเปนสงาราศีแกตน เหมือนเดินไปทางท่ีเตียนราบรื่น ไมรกชัฏดวยขวากหนาม ถากลาวถึงประโยชน อยางนอยก็ชวยเปนธุระใหเปนท่ีเบาใจเบาแรงได แมสูงขึ้นไปอีกก็เขาหลักมิตรแท ตาม ภาษิตท่ีวา “คบคนดีมีศรีแกตัว คบคนช่ัวปราชัย” นเี้ ปน ของไมควรลมื การเลีย้ งชีวติ ตามกาํ ลงั ทรัพยทีห่ าได ไมใหฝด เคอื งนัก ไมใ หฟ ูมฟายนัก,ขอนี้ ความกินกับที่กลาวมาแลว แตหากตอนนี้พูดถึงการเล้ียงชีวิตโดยตรง จึงควรกลาวไวยอ ๆ พอประกอบกับตัวบท เปน ตนวา ๔๘เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา ๗๙-๘๒. ๔๙พระธรรมปฎก(ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุธทศาสตรฉบับประมวลศัพท, พิมพครั้งท่ี๙, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓), หนา ๙๕.

๖๔ เราหาไดพอสมควรแกการใชแ ตเ พียงของอยา งกลาง เชน อาหารควรเพียงแตช้ัน ปลาและหมู หรือสง่ิ อนื่ ท่เี ปนชั้นเดยี วกนั ได ก็ไมค วรเอ้ือมไปถงึ นก, รังนก, หรอื หู ปลาฉลามตอไป จําพวกเครื่องแตงกายหรือของอยางอ่ืนก็เชนกัน ท่ีไมแพงและ แลดูสะอาดตาเทา ๆ กับของแพงก็มีถมไป ไมควรจะด้ินรนเท่ียวแสหาของแพงมา ใชใหเปลือง และไดรับผลเทา ๆ กันนั้นเลย น้ีพูดสําหรับผูมีฐานะอยางกลาง ขอ ใหญใ จความกใ็ หร ูจักประมาณวา ตนตกอยใู นฐานะใด จะควรใชแคไหนเทาน้ัน ถา ใชเกินตัวไป ก็นําใหเดือดรอนภายหลัง แตถาประหยัดจนถึงฝดเคือง ก็หมด ความสุข ชวนใหเกิดเดือดรอนข้ึนไดดุจกัน ถารูจักผอนผันเอาเกณฑพอดีเปน เคร่ืองวัด ดังกลาวมาขางตนแลวไซร ก็พนจากความลําบากอันจะอุบัติข้ึนภายหนา ได๕๐ ขอ ที่ ๕ ภรรยาอนเุ คราะหส ามี ดว ยขยนั ไมเกยี จครา นในการงานทง้ั ปวง น้นั คือ อยา นง่ั ไหนจมอยูท่ีนั่น หรือยืนอยูท่ีไหนก็ยืนอยูท่ีน่ัน เหมือนกับหญิงเกียจครานทั้งหลาย ใหทําการงานทั้งปวงดวยความอุสาหะพยายาม ผูมีนิสัยไมเกียจครานดังนี้ โดยมากมักเปนคนกลัวตอหายนะ จึงทําใหเปนคนหม่ันเอาใจใสในธุรการงานของตน ตามในบททิฏฐธัมมิกประโยชนท่ีกลาวขางตน โดยเห็นส่ิงใดจะเปน ประโยชน กอ็ ตุ สาหต ้ังความเพียรประกอบส่ิงน้ันจนบรรลุ ส่ิงควรทําวันเดียวสําเร็จ ไมยอมใหเสียหายไปเพราะความเกียจครานเปนอันขาด พูดใหถูกก็คือ เปนคนท่ีมีใจเพลิดเพลินในกิจการงานของตน ไมถ ือเอาความเหน่อื ยยากมาเปน ขออา ง ดงั นเี้ ปนตน ขอปฏบิ ตั ิของชีวติ ครอบครวั “ชีวิตครอบครัวเปนชีวิตที่เกี่ยวกับผูอื่นเพ่ิมข้ึนเปนทวีคูณ การจะทําพูดคิดเร่ืองใด ๆ อยางนอยท่ีสุดก็เก่ียวของกับคนอื่นขึ้นมาอีกคนหน่ึง คือสามีหรือภริยา เคยมีบิดามารดา ๒ คนก็เพ่ิมข้ึนเปน ๔ คน ญาติพนี่ อ งก็เพ่มิ ข้นึ เปนทวีคูณทั้งสน้ิ ” ๕๑ดงั นั้น การประพฤติจริยธรรมทางสังคมก็เพ่ิมข้ึนเปนทวีคูณเชนเดียวกัน การไมเพ่ิมการประพฤติจริยธรรมทางสังคมใหเปนทวีคูณยอมไมเปนการถกู ตอ งทงั้ สิ้น โดยเฉพาะอยา ง การดาํ รงชวี ติ ครอบครวั อยูฝา ยใดฝา ยหนงึ่ จาํ เปน ตองมหี ลักการปฏิบัติอยางเหมาะสม ธนัญชัยเศรษฐีบิดาของนางวิสาขา ไดกลาวโอวาทนางวิสาขากอนสงตัวไปอยูในครอบครัวฝายบดิ าสามี ปรากฏเปนหลักปฏบิ ตั ิสืบกนั มาเรยี กวา ธนญั ชโยวาท ๑๐ ประการ คือ ๑. ไฟในอยา นําออก คอื อยา นาํ โทษในบานไปเปดเผยนอกบาน ๕๐พระยาศรีราชอักษร (มา กาญจนาคม ), อธบิ ายคหิ ิปฏบิ ัติ (ทศิ วิภาค), อางแลว , หนา ๘๓-๘๕. ๕๑มหาวิทยาลยั รามคําแหง, พทุ ธปรชั ญาเบือ้ งตน, อา งแลว , หนา ๑๖๕.

๖๕ ๒. ไฟนอกอยา นําเขา คืออยา นํา คํานนิ ทานอกบานมาเปด เผยในบา น ๓. ควรใหแกผ ูท ใ่ี ห คือใครยมื สงิ่ ของไปใชแลว นาํ มาคืน ควรใหย มื อีกได ๔. ไมควรใหแ กผไู มให คอื ใครยมื สงิ่ ของแลว ไมค ืน มายืมอีกไมควรให ๕. เขาใหห รอื ไมใ หก็ควรให คอื ญาตขิ องฝา ยท่ยี ากจนมาขอทีพ่ ่งึ ควรชว ยเหลอื ๖. จงนง่ั ใหเปนสุข หมายความวา เม่ือบิดามารดาของสามีหรือสามีทําการใด ๆ อยู ไมควรนงั่ เฉย เมื่อบุคคลเหลาน้นั หยดุ จงึ คอ ยนั่ง ๗. จงบริโภคใหเปนสุข หมายความวา ไมบริโภคเพียงผูเดียว ตองดูแลใหบิดา มารดา สามีไดบรโิ ภค ๘. จงนอนใหเปนสุข หมายความวา ถือหลักต่ืนกอน นอนทีหลัง จัดการ ทุกอยางใหเรียบรอยแลวจึงนอน ๙. พึงบูชาไฟ หมายความวา ปฏิบัติตนดวยความเคารพยําเกรง ในบิดามารดาของสามีและสามี เชนเดียวกบั ปฏิบัตกิ บั ไฟ โดยวธิ ีไมใหเกดิ อันตราย ๑๐. พงึ นมสั การกราบไหวเทวดาประจําเรือน หมายความวา พึงเคารพกราบไหวบิดามารดาทต่ี นอยูในครอบครวั เสมือนเปนเทวดาประจาํ บาน๕๒ ปญ หาความแตกราวในครอบครวั ครอบครัวนับวาเปนสถาบันมูลฐานของสังคม สมาชิกของสังคมทุกคน ก็ถือกําเนิดเกิดกอจากแตละครอบครัวน่ันเอง และสภาพแวดลอมท่ีใกลตัวมากที่สุด ถาสัมพันธภาพ หรือสภาพครอบครัวดี ไมพิการ หรือแตกราวปญหาทางสังคมอื่น ๆ เชน การหยาราง คนจรจัด หรือโสเภณีศีลธรรมเส่ือมเปนตน ซ่ึงเปนปญหาสังคมท่ีจะสงผลกระทบตอสังคมโดยสวนรวมจะไมเกิดข้ึนเพราะฉะนั้นปญหาความแตกราวในครอบครัว จึงนับวาเปนปญหาสังคมท่ีสําคัญมากท่ีจะตองไดรับการแกไขจากหลาย ๆ ฝาย โดยรวดเร็วและถูกตองเพ่ือผลประโยชนตอการอยูรวมกันของครอบครัวและสงั คมโดยสวนรวม สาเหตุท่ีเกิดการแตกราวทางครอบครัว อาจจะมาจากสาเหตุหลายอยาง เชน สาเหตุทางเศรษฐกิจบาง สุขภาพอนามัยบาง ส่ิงแวดลอมบาง และสาเหตุที่สําคัญท่ีสุดก็คือ การบกพรองในหนาท่ีของบุคคล ไมคนใดก็คนหนึ่งหรือเกิดบกพรองพอ ๆ กัน สาเหตุเหลาน้ีหนาจะเปนบทเรียนสําหรับผูจะมีชีวิตครอบครัว ควรจะไดพิจารณาขอคิดบางประการกอนจะตัดสินใจแตงงาน กลาวคือทั้งฝายชายและหญิง จะตองมีความรักความเขาใจซ่ึงกันและกัน จะตองมีความมั่นใจในทางการเงินจะตองพรอมท่จี ะอดทนในการเผชญิ ตอ ความยุงยากอันจะพึงมีขึ้น จะตองไมมีปญหาในเร่ืองสถานท่ี ๕๒เรอ่ื งเดียวกัน, หนา ๑๖๖.

๖๖อยูหรือบานพัก ท้ังสองฝายจะตองแสดงความจริงใจตอกัน จะตองมีความสมบูรณแหงสุขภาพและการสนองความตองการทางเพศ ท้ังน้ีปญหาท่ีจะนําไปสูการแตกราวในครอบครัวโดยเฉพาะการหยารางอนั เกดิ จากทางฝา ยสามี ทางพุทธศาสนาไดก ลา วไวใ น สงั ขปตตชาดกวา มี ๘ อยาง คือ ๑. สามีเปนคนเข็ญใจ ๒. สามเี ปนคนข้โี รค ๓. สามีเปนคนแก ๔. สามเี ปนคนขเ้ี มา ๕. สามเี ปนคนโฉดเขลา ๖. สามเี ปน คนเพกิ เฉย ๗. สามีไมเปนคนทาํ มาหากนิ ๘. สามีหาทรพั ยม าเล้ยี งดไู มได ๕๓ เพราะฉะน้ัน ฝายหญิงกอนจะตัดสินใจแตงงานกับชายใดจะตองพิจารณาคัดเลือกใหถี่ถวนและพยายามหลีกเล่ียงชายผูนาจะมีลักษณะ ๘ อยาง ดังกลาวมาแลว จะเปนการตัดไฟแตตนลมและไมสายเกนิ แก ๔) การดําเนนิ ชีวติ ตามหลกั พทุ ธจริยศาสตรในอุตตรทิศ อุตตรทิศ หรือทิศเบ้ืองซาย คือ ทิศเหนือ ไดแกมิตรสหาย คําวา “มิตรอํามาตยนั้นไดแกมิตรสหายเพ่ือนฝูงอันเปนจําพวกท่ีดี ซ่ึงสมารถชวยเหลือทุกขรอนตาง ๆ ได จึงเรียกวา ทิศอุดร คือเปนทศิ เบ้ืองซา ยอนั เปรยี บเสมอื นแขนซายของเราท่ีชว ยทําการงาน ฉะนนั้ ทิศอุดรนน้ั พระอรรรถกถาจารยวา ทุกฺขวิเธ อุตฺตรตีติ อุตฺตรา คือผูชวยใหขามพนทุกขตางๆไดเรียกวา ทิศอุดร ดังแสดงมา และเพราะเปน ผชู วยใหขามพนจากอุปสรรคภัยอนั ตราย และเปน กาํ ลงั สนบั สนนุ ใหบ รรลคุ วามสําเรจ็ ” ๕๔ เพ่ือนคือผูที่รักใครชอบพอกัน แลวกระทําความดีตอกัน เพื่อใหอยูรวมกันได ทั้งทางลับและเปดเผยโดยไมเ ลอื กเพศวัย ความรูชาติ ศาสนา และไมม ใี ครค ิดรา ยตอ ใคร “ประเภทของเพื่อน ไดแก เพ่ือนบาน เพ่ือนเลน เพื่อนเท่ียว เพ่ือนรวมสถาบัน เพ่ือนรูจักกนั เพอ่ื นสนิท เพ่อื นแท และเพ่อื นเทียม สรปุ เหลอื ๒ ประเภทคอื เพ่อื นแท เพ่ือนเทียม” ๕๕ ๕๓คูณ โทขันธ, พุทธศาสนากับชีวิตประจําวัน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ โอ.เอส.พริ้นต้ิงเฮา,๒๕๓๗), หนา ๑๐๘. ๕๔พระธรรมปฎก(ป. อ.ปยตุ โต ), พจนานุกรมฉบบั ประมวลธรรม, อา งแลว, หนา ๒๒๗. ๕๕พระธรรมโกศาจารย (พุทธทาสภิกขุ), เตือนใจวัยรุน และ ๕ ดีสูความเปนมนุษยที่สมบรู ณ, อางแลว , หนา ๑๑๐.

๖๗ ลกั ษณะของเพื่อนทดี่ ีหรอื เพือ่ นแท ๔ ประเภท คือ ๑. มิตรอุปการะ ปอ งกันมิตรผปู ระมาทแลว ปกปองกันทรัพยของมิตรผปู ระมาทแลว เม่ือมีภยั เปน ทพ่ี าํ นกั ของเพอ่ื นได มีธุระชว ยออกทรัพยเกนิ กวา ที่เพื่อนออกปาก ๒. มิตรรวมสุขรวมทุกข ขยายความลับของตนแกเพ่ือน ปดความลับของเพ่ือนมิใหแพรงพราย ไมล ะท้ิงในยามวิบตั ิ แมชวี ิตก็อาจสละแทนได ๓. มิตร แนะนํา ประโยชน หามมิใหทําช่ัว แนะนําใหต้ังอยูในความดีใหไดฟงไดรู สิ่งท่ยี งั ไมเ คยไดรู ไดฟง บอกทางสวรรคใ ห ๔. มิตรมีความรักใคร เพื่อนมีทุกขพลอยทุกขดวย เพ่ือนสุขพลอยสุขดวย โตเถียงคนที่พดู ติเตยี นเพอื่ น เขาสรรเสริญเพือ่ นชวยพูดเสรมิ สนบั สนุนมติ ร ๕๖ มติ รเทียมหรือเพอ่ื นเทยี มมี ๔ ประเภท คอื ๑. มิตรปอกลอก คิดเอาแตไดฝายเดียว คือเปนคนเอาเปรียบเพ่ือน เสียใหนอย แตคิดเอาจากเพอื่ นใหมากท่ีสุด เมอื่ มีภยั แกต วั จึงรับทาํ กิจของเพือ่ น คบเพ่ือนเพราะเห็นแกป ระโยชนข องตน ๒. มิตรดีแตพูด เก็บเอาเรื่องที่ลวงแลวมาพูด อางเอาเร่ืองท่ียังไมมีมาพูด จะสงเคราะหเพอ่ื นกเ็ ฉพาะส่ิงที่หาประโยชนม ไิ ด ออกปากพึ่งมไิ ด ๓. มิตรหัวประจบ เพื่อนจะทําช่ัวก็คลอยตาม เพื่อนจะทําดีก็คลอยตาม ตอหนาก็สรรเสริญ ลับหลงั ก็นินทา ๔. มิตรชักชวนในทางวิบัติ ชักชวนดื่มนําเมา ชักชวนเท่ียวกลางคืน เท่ียวตามซองชกั ชวนใหมวั เมาในการเลน เอาแตเลน ชักชวนใหเ ลนการพนนั ๕๗ ทิศเบ้อื งซาย มติ ร กลุ บตุ รควรบํารุงดวยสถาน ๕ คอื ๑. การให (แบง ปนส่งิ ของให) ๒. กลา ววาจาเปน ท่รี ัก ๓. ประพฤติตนใหเ ปน ประโยชน ๔. วางตนสมาํ่ เสมอ ๕. ไมพูดจาหลอก ลวงกนั ๕๘ ขอท่ี ๑ กุลบุตรบํารุงมิตร ดวยการใหปนนั้น อธิบายวา กุลบุตรตองประพฤติตอมิตรสหายดวยการใหปน จึงจะยึดเหนี่ยวนํ้าใจไวได ถาไมมีการใหปนแกมิตรสหายแลว ยอมไมอาจยึดเหน่ียว ๕๖ คณู โทขันธ, พุทธศาสนากับชีวติ ประจําวัน, อา งแลว, หนา ๑๐๙. ๕๗ เร่ืองเดียวกนั , หนา ๑๑๐. ๕๘ ท.ี ปา. ๑๑ / ๒๐๒ / ๘๙-๙๐.

๖๘น้ําใจของมิตรสหายไวได ถึงแมวาจะรักใครกันสักเทาใดก็ตาม ถาไมมีการใหปนแกกันแลว ก็ทําใหหมดรักกันได อยาวาแตมิตรสหายภายนอกเลย ถึงมิตรสหายภายใน คือ บิดา มารดา สามี ภรรยา ก็ตาม ถาขาดการใหปนแกก ันแลว กข็ าดความรักใครนับถอื กนั เชนมารดาบดิ า ผูเปนมิตรภายใน ไมใหปนส่ิงไรแกบุตรธิดา ตามสมควรแกหนาท่ีของตน บุตรธิดาก็จักคลายความรักใครนับถือมารดา บิดาลงไปทีละนอย ถาบุตรไมใหส่ิงใดแกบิดามารดา ตามฐานะของตน มารดาบิดาก็จะหมดความรักใครบุตรธิดาลงไปทลี ะนอ ย ๆ เหมอื นกัน ถาตางฝา ยตางกไ็ มใ หป นสง่ิ ใดแกก นั แลว กจ็ ะขาดความรกั ใครนับถือกันลงไปโดยเร็วพลัน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจาจึงสอนใหมารดาบิดาใหแบงปนทรัพยสมบัติแกบตุ รธิดาตามสมควรแกทรพั ยของตน สวนบตุ รธิดาเลาก็ตองใหปนแกบิดามารดา คือ ดวยการเลี้ยงดบู างเปนตน ทานคือการให การใหทานทางพุทธศาสนานั้น มีสองประเภทคือ ๑. อามิสทาน คือการใหทานดวยวัตถุสิ่งของ ๒. ธรรมทาน คือการใหธรรมะเปนทาน การใหท้ังสองประเภทน้ี พระพุทธองคทรงยกยองการใหธ รรมทานเปน เลศิ ขอท่ี ๒ กุลบุตรบํารุงมิตร ดวยกลาววาจาเปนที่รักนั้น คือ คําใดท่ีสุภาพออนโยน ชวนใหผูฟงยินดีเพ่ิมความรักใครนับถือยิ่งขึ้นไมตองระวังวาจะมีเลศนัยแอบแฝงอยูดวยแลว คําน้ันก็เช่ือวาไพเราะ สวนคําท่ียอตะพืดตะพือ ไมเลือกวาถูก หรือผิดกระทําใหนาระแวงวาจะมีเลหเหล่ียมเจืออยูดวยแลว คําน้ันจะจัดเปนไพเราะหาไดไม แตคงรวมอยูในคําที่เรียกวาปากหวาน คําพูดที่ออนละมุนไมก า วราวน้นั ใชแ ตจะเปน เพยี งเครือ่ งสมานนาํ้ ใจผฟู งใหเปนมติ รแตอยางเดียวเทาน้ันหามิได ยังเปนสอ่ื นําใหประสบสิ่งอนั พงึ ประสงคไดด ว ย ขอที่ ๓ กุลบุตรบํารุงมิตร ดวยประพฤติตนใหเปนประโยชนนั้น คือสิ่งที่จะนําไปสูความเจริญ เชน ชวยเหลือกิจธุระการงานใหเปนที่เบาใจ ตลอดจนการปองกันบําบัดภยันตรายตาง ๆ มีพยาบาลเมอื่ เจบ็ ไขเ ปน ตน ดําเนินตามระบอบมิตรแท ดังกลาวมาแลว ขางตน . ขอที่ ๔ กุลบุตรบํารุงมิตร ดวยวางตนสม่ําเสมอนั้น คําน้ีหมายถึงความเสมอภาค แมจะรูสึกวา ตนดกี วา ดวยชาต,ิ สกุล, ยศศักดิ,์ และสมบัติ อยางใดอยางหนึ่งก็ดี ก็คงไมสําแดงความเหอเหิม อันสอใหเห็นเปนการดูหม่ินแกกันแตอยางใด หรือแมตอไปจักไดเปนคนใหญโตขึ้นก็ตามที แตอัธยาศัยไมตรีท่ีเคยมีตอกันมาอยางไรก็คงมีเปนปรกติเชนเดิม ไมแสดงอาการผิดแปลกใหปรากฏเปนเชิงยกตนขมทา น ผูที่มีสติรอบคอบกลบั จะตองสํารวมกิรยิ าสงบเสงย่ี มเสยี อกี ฝา ยเพอ่ื นทีม่ ีอัธยาศัยก็คงรูจักตําแหนงหนาที่ของตนเองวาจะควรปฏิบัติตองปฏิบัติแคไหน การประพฤติไมสมํ่าเสมอน้ัน มีเสียงติเตือนกันมาแตไหนแตไรแลว จนถึงประพันธเปนบทนิทานไวก็มีอยูมากหลายดังน้ี ผูเจริญดวยลาภและยศจงึ มกั ระวังไมใหใครติเตือนไดในเรื่องพรรคน้ี อันการไมหลงลืมตัวจัดเปนวิถีทางแหงสามัคคีธรรม สมควรไดร บั ความสรรเสริญ เปนตน

๖๙ ขอ ท่ี ๕ กุลบุตรบาํ รุงมิตร ดวยไมพดู จาหลอกลวง คอื ไมก ลาวคําลวงใหเ ขาเขาใจเขวเปนอยางอ่นื ซึ่งไมต รงตอ ความจริง อนั เปน เหตนุ าํ ความเสยี หายมาสูผ ฟู งมากมาย หรอื บางเร่อื งอาจยอ นกลับไปหาผูกลาวเองดว ยก็ได แมผ ฟู ง นาํ ไปใชผ ดิ ๆ บางทกี ลาวเพอื่ ความสนุกเพลดิ เพลนิ แตเมอื่มีเหตกุ ลับไมส นกุ ขึน้ กต็ องเสียใจภายหลงั ฉะนั้นจึงควรรกั ษาคาํ พดู ไว ดุจรักษาของทม่ี ีคา อันคาํ จริงชใี้ หเ ห็นถึงความซอ่ื ตรงของผกู ลาว กระทาํ ใหน าคบนานบั ถอื ย่งิ ข้นึ ธรรมสําหรับประคองความสามัคครี ะหวางมติ ร ตามธรรมดาของดียอมหาไดยาก เม่ือไดมาแลวควรรักษาควรถนอม ไมควรปลอยใหเปนอนั ตรายสญู หายไปฉันใด คนดีหรอื มิตรดนี นั้ กย็ อมหาไดยาก เมอื่ ไดคบหาสมาคมกันแลว ควรตอ งรกัและถนอมนํ้าใจกันไว อยาใหเกิดอันตรายขึ้น คืออยาใหผิดพองหมองใจและเหินหางกันไปฉันนั้น มีธรรมอยูห มวดหน่งึ สําหรับเปนเคร่ืองยึดเหนียวไมตรีและประคองความสามัคคีระหวางมิตร ใหสนิทสนมกลมเกลียวกันยั่งยืนตลอดไป ไมจืดจางเหินหางแตกราวกัน ธรรมหมวดน้ีมีอยู ๔ ประการ คือฆราวาสธรรม ๔ ไดแ ก ๑. สัจจะ คือ ความซ่ือตรง อันคนผูเปนมิตรกัน ตางคนตางซ่ือตรงตอกัน ยอมรักษาไมตรีอยไู ด ถา คิดคดตอกันขนึ้ เมือ่ ใด ไมตรยี อมแตกเมือ่ น้นั ๒. ทมะ คือ ความขมใจ คนมีใจราย มักโกรธงาย ขมใจไวไมอยู มักทําหุนหันไมรูจักย้ัง มักเปน คนทาํ ไมตรีใหแตก ถา มีอุบายขมใจก็จะไดห า มความหุนหนั นน้ั เสีย ๓. ขันติ คือ ความอดกลั้น แมผูหนึ่งทําก้ําเกินไปดวยความหุนหัน แตอีกฝายหนึ่งมีขันติอยูกร็ กั ษาไมตรีไวได ถา ไมอดทนและทําตอบไมตรีก็จาํ แตก ๔. จาคะ คือ ความเผื่อแผ คนใจคับแคบ มีปกติคิดเอาเปรียบผูอ่ืน ยอมผูกไมตรีไมย่ังยืนถึงไหน ตางมีใจเผ่ือแผถอยทเี กอื้ กลู กนั และกัน๕๙ อกี อยางหนงึ่ ตดั ใจใหอภัยแกกัน ในการที่ไดผิดพล้ังลวงเกิน ไมผูกใจเก็บแคน หรือขอดใจใหของอยูในเรื่องที่ลวงเกินน้ัน ไมตรีจึงมั่นคง “ฆราวาสธรรม ๔ ประการ เปนธรรมท่ีชักนําใหรูจักปองดองผอนผันกัน ยอมเปนเคร่ืองปองกันความแตกราว และชักจูงปลูกฝงคบหาสมาคบใหสนิทแนนย่ิงขน้ึ และยง่ั ยนื ตลอดไป ธรรมสาํ หรบั ยดึ เหน่ยี วนา้ํ ใจกัน ยังมีธรรมอีกหมวดหน่ึง เปนธรรมสําหรับปลูกไมตรีจิตระหวางบุคคล ใหเกิดความรักใคร ๕๙ พลโท พระยาอภัยสงคราม, แนวสอนวิชาจรรยาในโรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา,(กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พส ว นทองท่ี กรมมหาดไทย, ๒๕๐๔), หนา ๑๘๒.

๗๐สนิทสนมในกนั และกัน ธรรมหมวดนม้ี ี ๔ ประการ คอื สงั คหวตั ถุ ๔ ไดแก ๑. ทาน คือ การให ไดแกการใหปนขาวของแกกันและกัน การใหนี้ แมท่ีไมถึงกับเปนการอุดหนุนอันเปนสารประโยชนก็ดี เชนเราเปดซองบุหรี่จะสูบ และแจกใหผูท่ีอยูใกลเคียงแมไมมากเพียงมวนเดียว ก็ยงั เปนเครื่องแสดงไมตรจี ิตหานอยไม รวมทั้งใหปนสงิ่ ของแกค นอื่นท่คี วรใหปน ๒. ปยวาจา คือ เจรจาถอยคําเปนที่จับใจ ไดแกพูดจาปราศรัยกันดวยถอยคําออนหวานอันเปน ทรี่ ักเจริญใจ ไมใชว าจาหยาบคายเลวทรามหรือดาแกก นั ควรเจรจาวาจาท่ไี พเราะ ๓. อตั ถจริยา คือ การประพฤติส่ิงท่ีเปนประโยชนแกกันและกัน ไดแกชวยเปนธุระในคราวตองการ ไมเ หน็ แกประโยชนตนฝายเดียว ยอมทาํ ประโยชนแกเขาดว ย ๔. สมานัตตตา คอื ความเปน คนมีตนเสมอไมถ ือตัว ประพฤติตนตามที่ควรจะเปน ไป ๖๐ กลาวคือ ไววางกิริยา อัธยาศัยใหพอเหมาะพอดี ไมใหย่ิงหรือหยอนกวาที่ควรจะพึงแสดงในระหวา งกันและกนั ธรรม ๔ ประการนี้เปน เครอ่ื งปลูกไมตรีจิต ยังความสนทิ สนมใหเกิดขึน้ ในกนัและกนั เมอื่ มิตรไดบ าํ รงุ ฉะนแี้ ลว ยอมอนุเคราะหกุลบุตรดวยสถาน ๕ คือ ๑. ปองกนั มิตรผูประมาทแลว ๒. ปองกนั ทรัพยข องมิตรผปู ระมาทแลว ๓. เมอ่ื มีภยั เปน ทพี่ ่งึ พํานักได ๔. ไมละทงิ้ ในยามอันตราย ๕. นบั ถือตลอดถึงวงศต ระกูลของมติ ร๖๑ ขอที่ ๑, ๒, ๓, น้ันมีเนอื้ ความตรงกับท่ีกลา วมาแลว ในมติ รมีอปุ การะ ๔ จึงไมควรกลาวซ้ําอกี ในทีน่ ี้จะกลา วแตเฉพาะสถาน ๔ และ ๕ เทานนั้ ขอที่ ๔ มิตรอนุเคราะหกุลบุตร ดว ยไมละท้ิงในยามอนั ตราย เชนเวลาเกิดวิบัติยากเข็ญอยางใดอยางหน่ึงเกิดขึ้นแกเพื่อน ก็ชวยเขาคิดอานในอันจะปลดเปลื้อง ใหพนจากวิบัติเหลาน้ันเสีย โดยมิไดน่งิ ดูดายในเมอ่ื เหน็ เพ่อื นประสพความทุกขร อนอยางนัน้ ขอที่ ๕ มิตรอนุเคราะหกุลบุตร ดวยนับถือตลอดถึงวงศตระกูลของมิตร อันน้ีไดแกการคารวะอันเอ้ือเฟอทั้งผูใหญและผูนอยในสกุลของเพื่อนตั้งแตบิดามารดาตลอดถึงญาติทั้งปวง ๖๐พระพรหมวชิรญาณ, คูมือครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพองคการรบั สง สนิ คา และพัสดุภณั ฑ, ๒๕๔๘), หนา ๑๓๘. ๖๑ที. ปา. ๑๑ / ๒๐๒ / ๙๐.

๗๑ตามลําดับประดจุ ญาติของตนเปน ตน ๖๒ ๕) การดาํ เนนิ ชวี ิตตามหลกั พทุ ธจริยศาสตรในเหฏฐิมทศิ เหฏฐิมทศิ คือ “ทศิ เบอ้ื งต่ํา ไดแกคนรับใชและคนงาน คําวาคนรับใชและคนงาน หรือทาสกรรมกรซึ่งจัดเปนทิศเบ้ืองต่ําน้ัน พระอรรถกถาจารยวา เพราะทาสกรรมกรนั้นเปนผูตั้งอยูในที่ใกลเทา อันมีคําอธิบายวา เปนผูต่ําดวยประการท้ังปวง ซึ่งอยูใตคําสั่งของนายทุกประการจึงไดชื่อวาทศิ เบ้อื งตา่ํ และเปนผชู วยทาํ การงานตาง ๆ เปน ฐานกําลังให” ๖๓ นายพึงบํารุงทาสกรรมกรหรือคนรับใชและคนงาน ผูเปนทิศเบ้ืองลาง โดยหนาที่ ๕ประการ อนั ไดแ ก ๑. จัดการงานใหต ามสมควรแกกาํ ลัง ๒. ใหอาหารและคาจา ง ๓. ดแู ลรักษายามเจ็บปวย ๔. ใหอาหารมีรสแปลก ๕. ใหห ยุดงานตามโอกาส ๖๔ ขอท่ี ๑ จัดการงานใหตามสมควรแกกําลังนั้น ไดแกการรูจักเลือกงานท่ีเหมาะสมแกประเภทของบุคคล และรูจักแบงเวลาการงานใหพอแกกําลังของตน การรูจักประเภทบุคคลนั้น เชนรูวาคนน้ีจักควรใหทําการละเอียดหรือ หยาบ คนนี้ควรแกการงานหนักหรือเบา และคนนี้จักไวใจใหทํางานทีตองใชความคิดไดหรือไม แลวจึงมอบหนาที่ใหเหมาะแกบุคคลที่ไดเลือกแลว งานจึงจะดําเนินไปไดดวยเรียบรอย ถางานท่ีมอบใหไมเหมาะแกบุคคล ก็นาจักมีเสียไดถึง ๓ ประการ คือ ถาไมถนัดตอวิธีการก็ทําใหเกียจครานได เปนเหตุใหงานชาเสียเวลา และส่ิงท่ีทําอาจเสียหายเพราะความรไู มพ อแกก าร สวนรูจักเวลาที่ควรของงานน้ัน คือ เมื่อถึงเวลาของการงานก็ใชใหไดการไดงาน เวลาควรพกั ผอน กผ็ อนใหม คี วามสขุ ไมฝ น จนเกินควรแกกาํ ลัง ดงั น้ีจงึ จักถกู กับอธั ยาศัยของผูรับใช ขอท่ี ๒ นายบํารุงบาว ดวยใหอาหาร และคาจาง น้ีไดแกการเอาใจใสดูแลในเร่ืองกินอยู นุงหมของบาวหรือคนรับใชไมใหฝดเคือง เพราะนิสัยคนงาน ยอมตองการอาหารใหเพียงพอกําลัง ถาอาหารไมเพียงพอแลวกําลังก็ถอย กระทําใหใจคอหงุดหงิด เบ่ือหนายตอการงาน หรือกับท้ังนายดวยสวนรางวัลน้ันมีเปน ๒ ชนิด ชนิดหน่ึงใหเปนคราวเปนสมัย เชนในวันนักขัตฤกษตรุษสงกรานต ๖๒พระยาศรีราชอักษร(มา กาญจนาคม ), อธบิ ายคหิ ิปฏิบัติ (ทศิ วภิ าค), อา งแลว , หนา ๙๐. ๖๓พระธรรมปฎ ก(ป.อ. ปยุตโต ), พจนานกุ รมฉบบั ประมวลธรรม, อางแลว , หนา ๒๒๘. ๖๔เรือ่ งเดียวกัน,

๗๒( ซึ่งสมัยกอนพรอมกันหยุดงานประชุมกันเพื่อการร่ืนเริง แตเด่ียวนี้ออกจะจางไปแลว ) หรือมีการงานเปน พเิ ศษ ดังน้ีเปนรางวัลทั่วหนากัน เรยี กวา แจก อีกอยา งหนงึ่ เปน รางวลั ความชอบ ใหเฉพาะแตผูที่ทําการงานดีและเหน็ดเหนื่อย เชนนี้เปนรางวัลพิเศษ ประโยชนของรางวัลอยางหลังน้ี ไมแตเปนสงิ่ บาํ รุงนา้ํ ใจของผทู ํางานดอี ยา งเดยี ว ยงั เปนเครอ่ื งยัว่ ผทู ่ไี มมีอตุ สาหะใหมอี ีกดวย ขอที่ ๓ นายบํารุงบาว ดวยดูแลรักษายามเจ็บปวย ผูปกครองบานเรือนจําตองมีหยูกยาไวดวย สําหรับการไขเจ็บ เล็ก ๆ นอย ๆ ในเวลาคํ่าคืน พอเปนเคร่ืองเยียวยาชั่วคราว กอนท่ีจะมีหมอมารักษา แตถาเปนโรคท่ีเหลือความสามารถจะทําการรักษาหรือปฐมพยาบาลได ก็ควรจัดการกับแพทยดังที่กลาวไวในหมวดภรรยาอนุเคราะหสามีทีเดียว จะควรสงไปรักษายังโรงพยาบาล หรือรักษาท่ีบา นกแ็ ลวแตค วามสะดวก อนึ่งมีขอ ทีน่ า สังเกตอยูอยา งหนงึ่ คอื คนช้นั ผนู อ ยปว ยมกั ไมบ อกใหทราบที่ประพฤติเชนนี้คงเปนเพราะความเกรงใจ หรือกลัวจักวามายาและอะไรตอมิอะไรเทือกนั้น จึงมักทนน่ิงใหค นอนื่ รเู อง เชนน้ี พอท่ีไขจ ักเปน แตเพยี งเล็ก ๆ นอ ย ๆ ก็อาจกลายเปน มากก็ได จึงตองอาศัยผูปกครองมีเมตตากรณุ าคอยสังเกตไตถ ามในเมอ่ื เห็นกิรยิ าของเขาผดิ ปรกตไิ ป เทา น้ัน ขอ ท่ี ๔ นายบํารุงบาว ดวยใหอาหารมีรสแปลก ของท่ีมีรสแปลกนั้น คงเปนสิ่งที่นาน ๆ จะมี เชน ผลไม ซึ่งมีเปนคราวเปนฤดู หรือของท่ีมาแตทางไกล เชนหัวเมือง และประเทศอื่น แทจริงลําพังแตสิ่งเหลาน้ีแมจะผิดจากธรรมดา หรือคงไมถึงทําใหผูรับรูสึกตื่นเตนแตอยางใดนัก ความมุงหมายที่แท ก็เพ่ือกลอมใจใหรูสึกปลาบปลื้มในมโนธรรมของนาย อันเปนรสวิเศษปรากฏข้ึนอีกรสหน่งึ ซ่ึงมีอาํ นาจเราความผกู พันรักใครใหแนนแฟนย่งิ ขน้ึ . ขอที่ ๕ นายบํารุงบาว ดวยใหหยุดงานตามโอกาส สมัย เชนงานนักขัตฤกษ หรืองานสโมสรอยางใดอยางหนึ่ง ซ่ึงนิยมกันทั่ว ๆ ไปนายควรหยุดงานปลอยใหรื่นเริง หรือกระทํากิจอันเก่ียวกับพิธี การกุศล แลวแตความจําเปน แมการท่ีหยุดทีเดียวจะเปนเหตุใหงานค่ังคาง ก็ควรจัดใหเปลยี่ นกนั หยุดตามแตค วามสะดวก อนั ลักษณะการปกครองผนู อยใหอยใู นถอ ยในคาํ มีความเคารพยาํเกรง ไมอุกอาจกาวราวตอผูใหญนั้น ก็เพราะผูใหญประพฤติเปนธรรม มีเมตตาปราณี โดยไมเบียดเบียนผูนอยใหไดร ับความลําบากเดอื ดรอน๖๕ มธี รรมที่ควรนํามาประกอบเปนหลักสง เสริมใหนายบาํ รงุ บา ว คอื อคติ ๔ แตล ะขอ ดังน้ี ๑. ฉนทฺ าคติ ลาํ เอียงเพระรักใครกัน ๒. โทสาคติ ลําเอยี งเพราะไมช อบ ๓. โมหาคติ ลําเอียงเพราะเขลา ๖๕เรื่องเดยี วกนั .

๗๓ ๔. ภยาคติ ลําเอยี งเพราะกลัว๖๖ อคติ ๔ นี้ เปนขาศึกแกการปฏิบัติธรรมอยูมาก ผูแสวงหาทางสุจริต ยอมไมประสงคนํามาประพฤติ การลําเอียงนั้นจะดวย รัก, โกรธ, หลง, หรือเพราะเกรงอํานาจอยางใดอยางหนึ่งก็ตามเหลานี้สามารถบันดาลใหผูท่ีไดรับผลหัวเราะหรือรองไหได คือทางฝายมีชัยก็หนาช่ืนตาบาน สวนทางท่ไี มไ ดร ับความยุตธิ รรมกโ็ ทมนัสเคียดแคน เลยอาฆาตจองเวรเปนศัตรูกันตอไป ผลท่ีเกิดแตการสงเคราะหแ กฝ า ยหนึง่ จักเอามาลบลางบาปท่ที ําไวแ กอ ีกฝา ยหนึ่งหาไดไม เพราะเปน ผลที่ตรงกนั ขามแตห ากกลา วถงึ ความยนิ ดียินรายกต็ รงกันขา ม คือเมอ่ื ยนิ ดใี นฝายชนะ ก็ยอ มยนิ รายแกฝา ยรายดว ย อธฏิ ฐานธรรม คือ ธรรมท่ีควรตัง้ ไวในใจ ๔ อยา ง คอื ๑. ปญญา รอบรสู ่ิงท่คี วรรู ๒. สจั จะ ความจริงใจ คอื ประพฤตสิ ่ิงใดก็ใหไ ดจรงิ ๓. จาคะ สละสิง่ ท่ีเปนขา ศกึ แกความจริงใจ ๔. อปุ สม สงบใจจากสงิ่ เปนขาศึกแกความจรงิ ใจ ๖๗ ขอท่ี ๑ สิ่งท่ีควรรูน้ัน ไมจําตองเลือกวาดีหรือชั่ว สุดแตเม่ือรูไวจักเปนประโยชนแกตนแลวกค็ วรรทู ั้งส้นิ ขอ สําคญั อยา งท่ีการรจู ักเลือกใชเทาน้นั เพราะการรูเปน แตเพียงเหตุ ตอ เมือ่ ไดเ ลอื กแลวจงึ จะมองเหน็ ผล สง่ิ ที่ใหผลขา งดีก็นํามาปฏบิ ัติ ท่ีใหผลขา งชวั่ จะไดป อ งกนั ผลกั ไสไปเสียใหหาง ขอท่ี ๒ ความจริงใจน้ันเปนสามัคคีกันกับขอ ๑ อยู เพราะในที่น้ีประสงคเอาจริงในสิ่งที่เปนประโยชน สวนที่เปนโทษหาไดเขาอยูในกรอบนี้ไม ฉะน้ันจึงตองอาศัยปญญาเปนส่ิงท่ีพิจารณาใหเห็นทางไดทางเสียและถูกผิดชัดเจนแลวจึงพูดจึงทํา การจึงจะบรรลุผลสมปะสงค ถาขาดความพิจารณาไตรตรองใหรอบคอบกอนแลว อาจทําผิด ๆ พลาด ๆ กลายเปนจริงในที่ผิดไปก็เปนใชไมไดความจริงจกั ตองตรงตอ ความจรงิ ไมกลบั กลายเปนอยา งอ่นื ได ขอท่ี ๓ ส่ิงที่เปนขาศึกแกความจริงน้ันก็คือความไมจริง อะไรเปนตนเหตุใหปนความเท็จข้ึน นอกจากอคติ ๔ ที่ผานมาเม่ือกี้นี้แลว ยังมีพวกอกุศลมูล คือ โลภ, โกรธ, หลง, อีกพวกหนึ่ง ซ่ึงเปนขา ศึกตวั สาํ คญั กระทําใหใจอนั สจุ ริตกวัดแกวงไปได ในเมือ่ มีส่ิงทยี่ ัว่ อารมณผ า นมากระทบเขา ขอ ที่ ๔ สงบใจจากสิง่ ทีเ่ ปน ขา ศกึ แกความสงบน้นั สง่ิ ที่เปนขา ศกึ ไดแ กนวิ รณธรรมทง้ั ๕ประการ นิวรณธรรม ๕ คอื ๑. กามฉนฺท พอใจรักใครในอารมณท ีช่ อบใจ มรี ปู เปนตน ๖๖ที. ปา. ๑๑ / ๒๔๖ / ๑๘๙. ๖๗ท.ี ปา. ๑๑ / ๒๕๔ /๑๙๑.

๗๔ ๒. พยาบาท ปองรายผูอนื่ ๓. ถนี มทิ ฺธ ความทจี่ ติ หดหแู ละเคลิ้บเคล้ิม ๔. อุทฺธจจฺ กกุ กฺ จุ ฺจ ฟุงซา นรําคาญ ๕. วิจกิ จิ ฺฉา ลงั เลไมต กลงได๖ ๘ อารมณเหลานี้แมเกิดข้ึนเวลาใด ก็กระทําใหใจฟุงซาน เศราหมอง ปดทางปญญาไมใหเกิดฉะนนั้ เวลาตองการสงบ จงึ ควรกาํ จดั สงิ่ เหลา นอี้ ยาใหเ ขา มาเกะกะระรานได ทศพธิ ราชธรรม คอื คุณธรรมสําหรับผปู กครอง ๑๐ ประการ ไดแ ก ทาน ศลี ปริจจาคะอาชชวะ มัททวะ ตบะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ และอวิโรธนะ เม่ือทาสกรรมกรไดบํารุงฉะน้ีแลวยอมอนเุ คราะหนายดวยสถาน ๕ คอื ๑. เรมิ่ ทํางานกอนนาย ๒. เลิกงานทหี ลังนาย ๓. ถือเอาแตข องทน่ี ายให ๔. ทาํ การงานใหเรยี บรอยและดีข้นึ ๕. นาํ เกียรติคณุ ของนายไปเผยแพร ๖๙ ขอ ท่ี ๑ บาวยอมอนุเคราะหน าย ดวยตื่นข้ึนทํางานกอนนาย หมายความวา ธรรมดาบาวไพรคนใชสอย หรือธรรมดาผูนอย ตองตื่นกอนนอนทีหลังจึงจะถูกตามหนาท่ี เชนลูกจางท่ีทํานาทําสวนก็ตองลุกข้ึนออกไปทํานาทําสวนกอนนาย ผูท่ีเปนลูกจางคนใชอยูในบาน ก็ตองลุกขึ้นทําการบาน มีหุงขาวตมแกงเปนตน กอนนายเปนธรรมดา ผูที่เปนผูนอยในทางราชการ หรือทาง พานิชการ ตามกระทรวงหางรานตาง ๆ ก็จะตองไปทํางานกอนผูใหญ ไปทํางานกอนนายจึงจะดี แตการที่จะทําไดอยางน้ีเสมอไปตองนึกวา การงานที่ทํานั้น ไมใชการงานของนาย ไมใชการงานของผูใหญ แตเปนการงานของตนโดยแท เพราะถาตนไมทําการงานนั้น ตนก็ไมไดคาจางรางวัล หรือเงินทองจากนายจากผูใหญ เมื่อผูใดนึกอยางน้ีผูน้ันจึงจักขยันลุกทํางานกอนนาย อีกประการหนึ่ง ผูท่ีเปนนาย หรือเปนใหญของคนทง้ั หลายยอมใชความคดิ มากยากท่จี ะนอนหลบั ไดโดยงาย จําเปนอยเู องท่ีทา นจกั ตอ งตื่นสาย สวนผูนอยอยูใตปกครอง ไมตองใชความคิดอะไร เปนแตรับใชแข็งแรงเทาน้ัน กินอ่ิมแลวก็หายเหนื่อย นอนหลับกง็ าย ควรท่จี ะต่ืนขึ้นทาํ งานกอนจึงจะเปนการดเี ปน ตน ขอ ที่ ๒ บา วยอมอนุเคราะหนาย ดวยเลิกงานเขานอนทีหลังนาย น้ัน อธิบายวา ธรรมดาผูท่ีเปนบาวไพรของเขา หรือเปนคนใชของเขา หรือเปนลูกจางของเขา ตองนอนทีหลังของนายเสมอไป ๖๘ท.ี ปา. ๑๑ / ๒๘๓ / ๒๐๐. ๖๙พระธรรมปฎก( ป.อ. ปยุตโต ), พจนานกุ รมฉบับประมวลธรรม, อางแลว , หนา ๒๒๘.

๗๕เพราะถานอนกอนนาย ก็จะถูกนายกลาว โดยเหตุวา เวลานายจะใชตัวก็หลับเสียแลว เพราะฉะน้ันจึงจําเปนอยูเองที่จะนอนทีหลังนาย แตวาผูท่ีมีนิสัยเกียจคราน ก็ชอบนอนกอนนาย โดยเหตุวา ธรรมดาคนเกียจคราน ยอมเห็นแกกินแกนอนเปนใหญ ยอมมีรางกายออนแอเสมอ คนเกียจครานยอมอยูในสุภาษิตที่วา กินเปนหนา นอนเปนประธาน ขี้เปนปริโยสาน คือธรรมดาคนที่เกียจครานยอมมุงท่ีจะกินจะนอนเทาน้ัน เมื่อนอนต่ืนแลวก็กิน กินอิ่มแลวก็นอน กินแลวก็ไปทุงหรือไปนอกบานเทาน้ัน ผูที่เปนบาวเขา หรือเปนคนใชเขา หรือเปนผูนอยเขาไมควรทําตนใหเปนคนเกียจคราน ไมควรนอนกอนนาย หรือนอนกอนผูใหญ ซึ่งเปนผูจะใหความดีแกตนเปนอันขาด ผูท่ีมีลูกหลาน ควรหัดลูกหลานไวใหตื่นกอนตน ผูที่เปนมารดา บิดา ปู ยา ตา ยาย เวลานอนก็นอนกอนตน จึงจะเปนการดีเพราะจะไดก ารงานทีด่ ีขน้ึ ทั้งจะไดท ําตัวใหถ กู ในเวลาเปนนายเขา หรือเปน บา วเขาขา งหนาเปน ตน ขอท่ี ๓ บาวยอมอนุเคราะหนาย ถือเอาแตของท่ีนายให คือ ไมถือเอาส่ิงของสิ่งใดส่ิงหน่ึงดวยความเปนโจร ถือเอาแตของท่ีนายใหเทานั้น คือตองเปนคนซื่อสัตย ไมมือไวใจเร็ว ไมฉกลักขาวของเงินทองของนาย ธรรมดาบาวไพรหรือคนใชอาจหยิบฉวยส่ิงใดไดตามชอบใจถาไมซื่อตรงตอนายแลว อาจขโมยของนายไดโดยงาย แตวานายก็อาจจับไดโดยงายเชนกัน เมื่อนายจับไดแลวก็จะตองถูกลงโทษตามฐานะของนายบาง ตามอํานาจกฎหมายบานเมืองบาง ตอไปตนจะไปอยูที่ใด ก็อยูยาก เพราะชื่อของตนเปนคนมือไวใจเร็วนั้น ยอมจะปรากฏไปในท่ีตาง ๆ เปนอันวาตัดหนทางขางหนาของตนเสียแลว ถาตนเปนผูนอยในทางราชการก็จะหาที่ทํางานไดยาก เพราะในทางราชการยอมไมรับผทู ี่มีความผดิ ทางอาญา มีการฉอโกง ลักขโมยของหลวงเปนตน ขอ ท่ี ๔ บา วยอมอนเุ คราะหนาย ดว ยทาํ งานใหดีขึ้น บาวไพรที่มีนํ้าใจดียอมไมคิดวา เราจะทํางานใหดีข้ึนทําไมเพราะถึงเราทําใหดีข้ึน ก็ไมไดอะไร มีแตต้ังใจทํางานใหดีข้ึนเทานั้น ขอน้ีหมายความวา ผูท่ีเปนบาวไพรคนใชสอย หรือเปนผูนอยกวาเขา ตองทํางานในหนาท่ีของตนใหดีข้ึนเปน ลาํ ดบั ไป เชนตนจะเปน ท่รี กั ใครของนายขนึ้ ไปโดยลําดับ ขอปฏิบัติสวนนี้เปนปณิธานของผูซ่ึงหวังความเจริญ ไมยอทอในอันที่จักเพียรฟนฟูกิจการของตนใหดีย่ิงข้ึน และใหคงดีอยูเสมอ สิ่งใดยังไมรูก็พยายามศึกษาใหรูใหชํานาญ เพียรพินิจพิเคราะหจับเหตุผลในส่ิงที่ยังมืดมัวอยูใหแลเห็นกระจางขึ้น ดําเนินตามหลักอิทธิบาท ๔ ที่กลาวไวในสถาน ๕ ศิษยบ ํารุงอาจารยดวย เรยี นศิลปวทิ ยาดว ยความเคารพ จริงอยกู ารต้งั ใจทาํ ส่งิ ใดลงไปดวยความหวังดี ก็ตองเล็งถึงประโยชนตอบแทนเปนธรรมดาแตความท่ีหวังไมควรมุงถึงมูลคาใด ๆ อันจักเปนเหตุใหเกิดความทอถอยขึ้นภายหลัง ในเมื่อความมุงหมายไมประสบผล การปฏิบัติหนาท่ีของตน ใหสําเร็จเรียบรอยเปนท่ีพอใจนาย น้ันแลเปนส่ิงควรกระทํา เมื่อนายมีเมตตาปราณีแลว ผลก็ตองเกดิ อยูเอง ขอ สําคญั เพยี งแตอ ยา ใหนายติไดก ็เปน การดี ถาถึงยกยองสรรเสริญดวยแลว จะถอื เอารางวัลเสียทีเดียวกค็ วร แตอยา ปลอยสตใิ หเพลนิ ตอ คําสรรเสรญิ นัน้ จนเกินไป อนั ความยินดียินรายถาเกิดแก

๗๖ผูใดแลว จะสงบความรูสึกใหเปนปกติไวไดยาก เพราะเปนลักษณะของโลกธรรม ๘ ดังไดนําเขาลําดบั ไวข า งลางน้ี สาํ หรับผูเยาวจักไดศึกษาใหทราบช้ันเชิงของธรรมเหลาน้ีไว เพ่ือเปนเคร่ืองเหนี่ยวรั้งใจ โลกธรรม ๘ อยาง ธรรมที่ครอบงําสัตวโลกอยู และสัตวโลกก็ยอมเปนไปตามธรรมนั้น โลกธรรมมี ๘ อยา ง คอื ๑. มีลาภ หมายถงึ มีส่งิ ที่ตอ งการสมใจ ๒. เสอ่ื มลาภ หมายถงึ ไมไดครอบครองของท่ีหวงั ๓. มียศ หมายถึง มีตําแหนงหนา ทถี่ ูกใจ ๔. เสือ่ มยศ หมายถงึ ถูกลดิ รอนสทิ ธแิ ละลดตําแหนง ๕. มสี รรเสริญ หมายถึง มชี ื่อเสยี งเดน ๖. มีนินทา หมายถึง ถูกตเิ ตือนกลาวราย ๗. มสี ขุ หมายถึง มชี ีวิตผาสกุ สดชืน่ จิตแจม ใส ๘. มีทุกข หมายถึง ทรมานกายและขม ขืน่ ใจ ๗๐ ขอที่ ๕ บาวยอมอนุเคราะหนาย ดวยนําคุณของนายไปสรรเสริญ คือ เมื่อมีการพูดขึ้นในที่ประชุมก็กลาวขึ้นวา ไมมีใครจะดีเทานายของขาพเจา ขาพเจาไมรูสึกวาเปนบาวไพรของทานไมรูสึกวาทานเปนนาย เพราะทานดีตอขาพเจามาก ดังนี้ ขอน้ีหมายความวา ผูที่เปนบาวไพรของเขา หรือเปนคนใชของเขา หรือเปนผูนอยของเขา เชนผูนอยในราชการเปนตัวอยาง เม่ือพูดถึงนาย หรือพูดถึงผูใหญของตนขึ้นมาที่ใด ก็สรรเสริญในที่น้ัน คําสรรเสริญน้ันจะสรรเสริญอยางไรก็ได เมื่อบาวนายตางฝายตางทําถูกตองตามหนาที่ของตนฝายละ ๕ ขอ ดังแสดงมาในกัณฑกอนและกัณฑน้ีแลว ก็เรียกวาปองกันภัยอันตรายท่ีจักมีมาจากทิศเบื้องตํ่า คือบาวไพรบริวารไดเปนแนแทตามกระแสพุทธฎีกา เปนตน ๖) การดําเนนิ ชีวิตตามหลกั พุทธจรยิ ศาสตรในอุปริมทศิ อุปริมทิศ คือ ทิศเบ้ืองบน ไดแก สมณพราหมณ คือ พระสงฆ เพราะเปนผูสูงดวยคุณธรรม และเปน ผนู าํ ทางจติ ๗๑ ทิศเบื้องบน สมณพราหมณ กุลบุตรพึงบาํ รุงดว ยสถาน ๕ คือ ๑. จะทาํ สงิ่ ใดก็ทาํ ดวยความเมตตา ๒. จะพดู ส่งิ ใดก็พดู ดว ยความเมตตา ๓. จะคดิ ส่ิงใดก็คดิ ดวยความเมตตา ๗๐ที. ปา. ๑๑ / ๓๔๗ / ๒๔๒. ๗๑พระธรรมปฎก(ป.อ. ปยตุ โต ), พจนานกุ รมฉบับประมวลธรรม, อา งแลว , หนา ๒๒๙.

๗๗ ๔. เปดประตตู อ นรับ ๕. ถวายปจจยั เคร่ืองยังชีพ๗๒ ขอท่ี ๑ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยจะทําสิ่งใดก็ทําดวยความเมตตา คือมีกายกรรมประกอบดวยเมตตา มีตักนํ้าถวายและนวดเฟนเปนตน และฆราวาสตองชวยเหลือภิกษุสามเณรดวยกําลังกายในกิจการที่ตองใชกําลังกาย เชน ชวยกอสรางซอมแซมเสนาสนะเปนตน และควรใหการออนนอมดวยกายเชน ยกมือไหวหรือหลีกทางใหเปนตน ถึงจะมองดูก็ควรจะมองดูดวยเมตตา จะไดผลอันดี คือ เกิดในตระกูลอันสูงในภายภาคหนา ฯ แมสัตวดิรัจฉานแท ๆ ซึ่งรูจักเคารพนบนอบตอพระพุทธเจากับเหลาพระภิกษุสงฆ ดวยการยกปกทั้งสองขางขึ้นไหวกมศรีษะลงคํานับ เทาน้ันพระพุทธเจาก็ตรัสวา จักไมไปสูทุคติตลอดแสนกัลปเปนกําหนดกาลในท่ีสุดจักไดสําเร็จพระปจเจกโพธญิ าณ ดงั นี้ เรอ่ื งนไ้ี ดแกเ รื่องนกเคาท่กี ลาวไวในพระคมั ภีร ดวยกายกรรมน้ัน ไดแกการชวยดวยกําลังกายอันมีลักษณะตางกัน คือ ชวยทํา กิจธุระตางๆ ชวยปองกันอันตรายซ่ึงเกิดแตโรคาพาธ หรือเกิดจากการพลาดพล้ัง เชน ซวนเซ พล้ิวเพลง ก็เขา ชวยพยุงไว หรืออยางอ่ืน เชน ประสพคนราย, สัตวราย , จะทํารายและขบกัด ก็ปองกันใหพนจากภัยน้ันไปเสีย การคารวะตอนรับ มีหลีก ทางใหเปนอาทิ กเ็ ขา ในลกั ษณะกายกรรมดวยเหมอื นกัน๗๓ ขอที่ ๒ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยจะพูดส่ิงใดก็ทําดวยความเมตตา คือ มีวจีกรรมประกอบดว ยเมตตา มี แนะนาํ ใหคนท้ังหลายใสบาตรเปนตน ไดแกการแสดงความยินดีกับผูที่ทําบุญกับพระภกิ ษทุ ัง้ หลาย, ไดแ กการฟง ธรรม, ไดแ กการตอนรบั ดวยความเคารพเปน ตน ขอที่ ๓ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยจะคิดสิ่งใดก็ทําดวยความเมตตา คือมโนกรรมประกอบดวยเมตตา ยากใหพระภิกษุสามเณรมีความสุขกายสบายใจอยูเสมอเพราะเหตุวา เม่ือพระภิกษุมีความสุขกายสบายใจแลวทานก็จักทําหนาท่ีศึกษาเลาเรียนบอกกลาวส่ังสอนไดโดยสะดวก อกี ประการหนึ่งจะทาํ ใหตนและครอบครัวอยสู ขุ สบายดวยเพราะภิกษุสามเณรนน้ั เปนผทู ี่มีศีลธรรมอันดีงาม อาจทําใหความนึกคิดของตนมีอานิสงสแรงเห็นในปจจุบันทันตา เพราะเพียงแตนึกอยากใหคนและสัตวซ่ึงไมมีศีลธรรมอันดีมีความสุขความเจริญ ซึ่งเรียกวาเจริญเมตตาแกสัตวท้ังปวงนั้น ก็ยังไดรับอานิสงสในปจจุบันถึง ๑๐ ประการ มีการเปนที่รักใครของคนทั้งหลายเปนตนเพราะฉะนนั้ การแผเมตตาตอ ภิกษผุ ูมศี ลี ธรรมอนั ดงี าม กย็ ิง่ จะเหน็ อานสิ งสแกกลา ขนึ้ ไปเปนธรรมดา ๗๒ที. ปา. ๑๑ / ๒๐๔ / ๙๑. ๗๓พระยาศรีราชอักษร(มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), อางแลว, หนา๑๐๑.

๗๘ ขอที่ ๔ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยเปดประตูตอนรับ คือ การถวายทั่วไป และถวายอามิส คืออาหารแกผูมีศีล หาหนทางใหทานเขาสูบาน เพื่อสะดวกแกการบําเพ็ญกุศลทาน ทั้งจะไดมีโอกาสไดสดบั คําสอนของทานเปนตน ขอท่ี ๕ กุลบุตรบํารุงสมณพราหมณ ดวยถวายปจจัยเครื่องยังชีพ คือใหสิ่งอันควรแกสมณบริโภค ไดแกปจจัย ๔ ซ่ึงเปนของเกื้อกูลความสุขมีผานุงหมเปนตน เพราะสมณะมีธุระอยูในการเลาเรียน และการปฏิบัติ ไมสามารถจะหาของเหลานี้ดวยตนเองไดสะดวก จึงตองอาศัยปจจัยทานของทานผูมีศรัทธาเก้ือกูล ผลของการใหทานเปนการอํานวยความสุขใหแกผูปฏิบัติธรรม มีเมตตาปราณีไมเบียดเบียนใคร ใหไดทุกขเดือดรอน มีอุสาหะพากเพียรทรงจําพระพุทธโอวาท และนํามาส่ังสอนแจกจา ยแกก ลั ยาณชน ผูมศี รัทธาเลื่อมใสใหเ กิดความรูความเขา ใจ พรอ มทงั้ กระทําตนใหเปนตัวอยางใหแกกุลบุตรประพฤติตาม ถาบุคคลพากันอบรมนิสัยนอมเขาอยูในสุจริตธรรมเปนสวนมากแลวหวังวาการประพฤติเปนพาลเกเร เที่ยวเบียดเบียนขมเหงลักขโมยแยงชิง ก็จะหมดลงไปตามกันความสุขความเจริญที่ตางมีประสงคอยูทุกคน ก็จะอุบัติขึ้นแทน รวมความก็คือตางฝายตางก็มีเมตตาจิต อํานวยความสุขแลกเปล่ียนแกกัน ผูใดปฏิบัติตามคําส่ังสอนของทานก็ไดรับความสุข ๆ นี้เองคือตัวบุญ ผูที่ถูกเรียกวา “มีบุญ” ก็เพราะมีความสุข สวนกุศลอันจักสนองภายหนาน้ัน ไมสามารถจะกลาวใหเปนประโยชนไดในท่ีนี้ อนึ่งการบริจาคก็ควรกําหนดใหดํารงอยูในขอบแหงความปติเล่ือมใส ในอันที่จะอํานวยความสุขใหแกปฏิคาหกจริง ๆ ไมหักโหมทําจนเกินแกกําลังทรัพยที่มีอยูถึงตอ งกหู นย้ี มื สนิ เขามาทํา ซง่ึ เปน เหตอุ นั จักนําความเดือดรอนมาสูตนภายหลัง และเปนลูทางใหเกิดทอ ถอยพาโลวาไมเห็นบุญเหน็ ทานทีไ่ หนชว ย เลยวางมอื หมดศรัทธาเอาเสียงาย ๆ เปนตน มงคลสตู รขอ ที่ ๒๙ การเหน็ สมณะ สมณะ แปลวา ผสู งบ หมายถึงบรรพชิตทีไ่ ดบําเพ็ญสมณะธรรม ฝก ฝนตนเองดวยศีล สมาธิปญญา มาแลวอยางเต็มท่ี จนกระทั่งมีกาย วาจา ใจ สงบแลวจากบาป สมณะทุกรูปจึงตองเปนบรรพชิต แตบ รรพชิตบางรปู อาจไมไ ดเ ปน สมณะก็ได ลกั ษณะของสมณะ คอื สมณะตองสงบกาย คือ มีความสํารวม ไมคะนอง ไมมีกิริยาราย เชน ทุบตี ชก ตอย ฆาฟน สะพายดาบ พกมีด พกปน เดนิ ขบวน หรือ เฮโล ยกพวกเขาชิงดีชิงเดน แยง ทอ่ี ยูทท่ี าํ กินกนั อนั เปน กริ ยิ าของคนไมสงบ คนทเ่ี ปน สมณะไมวาจะเขาท่ีไหน จะอยูท ่ไี หน ยอ มไมทําความชอกชา้ํ แกใคร พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงชมพระโมค คัลลานะในเรื่องน้ีวา ทานแมนจะมีฤทธ์ิเดชมาก แตไมวาจะไปที่ใดก็ไมเคยทํา ความชอกชํ้าแกตระกูลนั้นเลย จะบิณฑบาตรับของถวายอะไรก็ตาม ก็คอยดูวาเขา จะเดือดรอนไหม รับแตพอประมาณ เปรียบเหมือนแมลงภูบินเขาสวน ดูดเกสร ดอกไมอ่ิมหนําสําราญแตไมเคยทําความชอกชํ้าแกตนไมเลย สมณะตองสงบวาจา

๗๙ คือไมเปนคนปากราย ไมนินทาวารายใคร ไมยุยงใสรายปายสีกัน จะเปนระหวาง พระกับพระ หรือพระกับฆราวาสก็ตาม จะทําไปโดยอางคณะ อางนิกาย อางวัด อา งพวกไมไดทั้งน้ัน มีแตวาจาท่ีเปนอรรถเปนธรรม ไมใชวาจาเหมือนคมหอกคม ดาบ แมการพูดใหคนอื่นกระดาก ขวยเขิน เชนพูดจาเกาะแกะผูหญิงเลนสนุกๆ ก็ ผดิ สมณะสารูป “สมณะตอ งสงบใจ คือทําใจใหหยุดน่ิงเปนสุขอยูภายใน สงบจาก บาปกรรม ตรกึ นึกถึงธรรมเปน อารมณ ไมใชท าํ เปนสงบแตเปลือกนอกเหมือนเสือ เฒาจําศีล จิตใจของสมณะที่แทยอมเต็มไปดวยความเมตตากรุณา ไมเปนภัยตอ ผใู ด๗๔ การท่ีมีความสงบกาย วาจา ใจ ทั้ง ๓ ประการนี้ สงผลใหสมณะมีความสงางามอยู ในตัวมีคําอยูสองคําท่ีใชชมความงามของคน คือถาชมเชยหนุมหญิงสาวทั่วไปเราใชคําวาสวยงาม แตถาจะชมสมณะเราใชคําวา สงางาม เปนความงามที่สงา และยังมีความสงบเสง่ียมอยูในตัว ท้ังสงางามและสงบเสงย่ี ม แตไ มจ อ ง ไมก ระจอกงอกงอ ย เพราะมคี วามเช่ือม่นั ในคุณธรรมทต่ี นเองปฏิบัตอิ ยู มีความอิ่มเอิบอยูใ นธรรม เปน ตวั อยา งใหเ ห็นถึงอานิสงสข องการประพฤติดีปฏบิ ตั ชิ อบ การไปมาหาสูคนสงบ การเขาใกลชิดเพ่ือไตถามบาปบุญและรับใช การระลึกถึงคุณธรรมของคนสงบ การไดยินขาวของคนสงบ และการเห็นขอวัตรปฏิบัติของคนสงบ ที่นาเลื่อมใสนับถือบูชา รวมเรียกวาการเห็นสมณะ เพราะกิจท้ังน้ีและท้ังนั้นเปนทรรศนะวิสัย นําใหเห็นบุคลิกลักษณะของคนสงบโดย ๓ ทาง คอื ๑. การเหน็ ดวยตา เรยี กวาพบเหน็ ๒. เหน็ ดว ยใจ เรยี กวาคดิ เห็น ๓ . เหน็ ดว ยปญ ญา เรียกวา รูเหน็ ๗๕ การเห็นสมณะยอมเห็นไดใน ๓ ทางน้ี แมส่ิงจะพึงเห็นคือ สมณะก็มีอยู ๒ ช้ัน คือสมณะบคุ คล กับสมณะธรรม รูปรางตัวตนท่ีเปนสมณะ อยางท่ีเราเห็นเปนหญิงเปนชายน้ีเอง เรียกวาสมณะบุคคล สวนคุณงามความดีท่ีมีอยูในตัวสมณะบุคคลทุกเพศทุกวัยนั้น เรียกวาสมณะธรรม เราจะดูสมณะตองดใู หเหน็ ทัง้ ตวั สมณะบุคคลและสมณะธรรม จึงจะเห็นสมณะไดโดยครบถวน อันการไปมาหาสูคนสงบ เขาใกลชิดคนสงบ ระลึกถึงคนสงบ ไดยินขาวของคนสงบ และเห็นคนสงบนั้น ทานวามีอุปการะมาก เพราะเปนปจจัยอุดหนุนใหเห็นดวยตา เปนการพบเห็นกิริยาและไดฟงวาจาของทานเปนกิริยาสงบ วาจาสงบ เตือนใหเห็นดวยใจ เกิดคิดเห็นกิริยาวาจาที่สงบน้ัน ๗๔พระสมชาย ฐานวฑุ โฒ, มงคลชวี ติ ฉบบั ธรรมทายาท, อางแลว, หนา ๒๖๕. ๗๕เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา ๒๖๖.

๘๐วามาจากใจที่สงบของทาน และนอมนําใหสอดสองดวยปญญา จนรูเห็นตนเหตุแหงความสงบวา อยูท่ที านปราบความช่ัวตัวยุง ใหส งบราบคาบ จึงเกิดผลแกท านเปนกริ ยิ าสงบ วาจาสงบ และใจสงบ คร้ันรเู หน็ เชนน้ีแลว ก็เกดิ ความเลือ่ มใสในคณุ ของทา นผสู งบคนบางคนภายในยงุ เหยิง เขาทําเปนสงบขางนอก การเห็นคนสงบขางนอกงายแตการเห็นความสงบภายในของคนนั้นยากดังนั้นเราจึงควรระมัดระวังใหจงหนัก มิฉะนั้น จะถูกลวงใหเห็นดีนอกเปนมงคล อยางเชนเห็นวา ทานน้ันดีทางเสกทางเปา ดีทางผูกดวงหมอดู ดีทางมหาเสนหมหานิยม หรือไมก็ดีทางบอกใบใหหวย ถาเห็นดีนอกเชน นี้เปนมงคลไปจนตาย ก็ไมมีวันไดเห็นมงคลขอสมณทรรศนะน้ีเลย ขอควรปฏิบัติเม่ือพบสมณะคือ ถาไทยธรรมน้ันมีอยูพึงตอนรับดวยไทยธรรมน้ันตามสมควร ถาไทยธรรมไมมีพึงกราบดวยเบญจางคประดิษฐ ถาไมสะดวกในการกราบก็พนมมือไหว ถาไหวไมสะดวกก็ยืนตรง หรือแสดงความเคารพดว ยวธิ ีใดวิธีหนง่ึ เชน หลีกทางใหอ ยา งนอยทส่ี ดุ ตองแลดูดว ยจิตเลอ่ื มใส ๗๖ สมณะไดร บั บาํ รุงฉะน้แี ลว ยอ มอนเุ คราะหกลุ บตุ รดวยสถาน ๖ คอื ๑. หา มไมใ หท ําความชัว่ ๒. ใหต ง้ั อยใู นความดี ๓. อนเุ คราะหด ว ยนํ้าใจอนั ดีงาม ๔. ใหไ ดฟ งสิง่ ทีย่ งั ไมเคยฟง ๕. อธบิ ายสง่ิ ทเี่ คยฟงแลวใหเ ขา ใจแจม แจง ๖. บอกทางสวรรคให๗ ๗ ขอท่ี ๑ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตรดวยหามไมใหทําความช่ัว ไดแกการท่ี สมณพราหมณช ้ีโทษในปจ จุบัน และอนาคต แหงความชั่วท้ังหลายมีปาณาติบาตเปนตน แลวหามไมใหทําวา เจา อยา ทาํ ความช่วั อยางนอ้ี ีกตอไป ความช่วั อันใดทกี่ ลุ บุตรทาํ แลว ทานกต็ ิเตือนความชั่วอันนั้นใหฟงวา เปน ของไมด ี แลว แนะนําใหท ําแตความดี มีการเอ้ือเฟอแกก ันเปนตน สมณพราหมณยอมชี้โทษ๑๐ ประการ คือ ๑. ปาณาตบิ าต ๒. อทินนาทาน ๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ๔. มสุ าวาท ๕. ปสณุ าวาท ๖. ผรสุ วาท ๗๖เรือ่ งเดียวกัน, หนา ๒๖๘-๒๖๙. ๗๗ที.ปา. ๑๑ / ๒๐๔ / ๙๑.

๘๑ ๗. สัมผปั ปลาปวาท ๘. อภิฌา ๙. พยาบาท ๑๐. มจิ ฉาทิฏฐิ ใหฟ ง เปน อยางๆ ไป แลว หา มไมใหก ุลบุตรทําอกี ตอไป๗๘ เพราะฉะน้ันควรท่ีกุลบุตรท้ังหลาย จะบํารุงสมณพราหมณดวยสถาน ๕ คบหากับสมณพราหมณใหคุนเคยสนิทสนม เพ่ือทานจะมีโอกาสช้ีโทษแหงความช่ัว ไดช้ีคุณแหงความดีใหฟงตามท่ีแสดงมานี้ดวย นอกจานี้แลวความชั่วยังมีอีกมาก ไดแก กรรมกิเลส ๔, อคติ๔, อบายมุข ๔,หรืออบายมขุ ๖, มลทิน ๙, อปุ กิเลส ๑๖, เหลา นีก้ ็ลวนแตเปนความชว่ั ทงั้ นัน้ ขอท่ี ๒ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยใหตั้งอยูในความดี คือใหต้ังอยูในความสุจริต รูจักบาปบุญ คุณและโทษ ทําตนใหเปนประโยชนแกชาติบานเมือง ดํารงอยูในภาวะแหงอารยชน ไมล ะเมดิ ในสงิ่ ท่ผี ิดศลี ธรรม เชน วฒุ ิธรรม ๔ คอื ธรรมเครื่องเจรญิ ๔ อยาง ไดแก ๑. สปปฺ รุ ิสปู สเํ สว คบทานผปู ระพฤติชอบดวย กาย, วาจา, ใจ, ทเี่ รียกวา สัตบุรุษ ๒. สทธฺ มมฺ สสฺ วน ฟงคําสั่งสอนทานโดยเคารพ ๓. โยนโิ สมนสิการ ตรติ รองใหรูจ ักสง่ิ ทด่ี ีทช่ี ว่ั ดว ยอุบายที่ชอบ ๔. ธมฺมนุธมฺมปฏิปตฺติ ประพฤติธรรมสมควรแกธ รรม ซ่ึงไดต รองเหน็ แลว๗๙ เปนตน ขอที่ ๓ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยอนุเคราะหดวยนํ้าใจอันดีงาม น้ันรวมความวา ทานผูมีนําใจประกอบดวยเมตตาปราณี เพงเล็งอยูแตจะใหไดรับความสุขทั่วๆ กัน เห็นโอกาสจะชวยไดสถานใด ก็ไมละเวนในการที่จะชวยใหบรรลุผลน้ันๆ มีสอนใหละความช่ัวประกอบความดีเปนตน อรยิ ทรพั ย ๗ คือ คุณความดีท่ีมใี นสนั ดานอยางประเสรฐิ เรียกวา อริยทรัพย มี ๗ ประการ คอื ๑. สัทธาธนงั ทรพั ยคือศรทั ธา เช่อื ส่งิ ทีค่ วรเช่ือ ๒. สีลธนงั ทรพั ยค อื ศลี รักษากาย วาจา ใหเรยี บรอ ย ๓. หริ ธิ นัง ทรัพยค อื หริ ิ ละอายตอบาปทจุ ริต ๔. โอตตปั ปธนงั ทรัพยคือโอตตปั ปะ สะดงุ กลวั ตอบาปทจุ ริต ๕. สุตธนัง ทรัพยคือสุตะ ความเปนคนไดเคยไดยินไดฟงมามาก คือ จําทรงธรรม และรูศิลปวทิ ยามาก ๗๘ที. อ. ๑๑ / ๑๘๖-๑๙๘. ๗๙การศาสนา, กรม. กระทรวงศึกษาธกิ าร, คูมือการศึกษาธรรมศกึ ษาช้ันตรี, พิมพครั้งที่ ๒,(กรุงเทพฯ : โรงพิมพการศาสนา, ๒๕๑๔), หนา ๑๙.

๘๒ ๖. จาคธนัง ทรพั ยคอื จาคะ สละใหปน สงิ่ ของของตนแกคนทีค่ วรใหปน ๗. ปญ ญาธนงั ทรัพยคอื ปญญา รอบรูส่ิงท่เี ปนประโยชน และไมเปนประโยชน๘๐ ขอที่ ๔ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยใหไดฟงส่ิงท่ียังไมเคยฟง สิ่งน้ันจะเปนเครื่องเกาแกล้ีลับ หรือเปนเร่ืองที่พึ่งจะเกิดมีข้ึนใหม ยังไมแพรหลายทั่วไปก็ตาม เมื่อเห็นวาจะมีประโยชนแกผูสนใจไดแลว ก็นําออกแสดง เพื่อเกิดความรูความฉลาดแกผูฟงสืบไป สิ่งที่ยัง ไมเคยฟง จะสงั เกตไดจากการพูดการทาํ สงิ่ ใดพดู ไมถ กู ทาํ ไมถ กู สิ่งน้นั ก็เปนวายงั ไมเคยฟง ขอท่ี ๕ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยอธิบายสิ่งที่เคยฟงแลวใหเขาใจ แจมแจงแมสิ่งท่เี คยฟงแลว แตอนุมานวา เคา ความยงั เปน ปญ หาเคลือบคลุม หรือไดฟงยังนอย ไมพอแกการที่จะจดจํา ก็ดําริหาคําที่จะอธิบาย มีอุทาหรณอางเหตุผลที่เหมาะสมแกภูมิปญญาของ ผูฟงมาแสดงจนเขาใจตลอด สิ้นความสงสยั ขอท่ี ๖ สมณพราหมณอนุเคราะหกุลบุตร ดวยบอกทางสวรรคให บทนี้ไดแกการแสดงธรรมส่ังสอนใหทราบในส่ิงท่ีเปนกุศลและอกุศล มรณสติตักเตือนตนใหตั้งอยูในความไมประมาทนอมใจใหเขาอยูในสัมมาปฏิบัติ ไมลวงขอปฏิบัติทั้งในศาสนา และฝายบานเมืองเพียงปลดเปลืองความชั่วประพฤติความดี มีความอุสาหะในการเล้ียงชีวิตในทางที่ชอบ ประกอบแตส่ิงอันเปนกุศลเชน หม่ันสดับพระธรรมเทศนา และรักษาศีลบําเพ็ญทานเปนเนืองนิตย ประคองจิตใหต้ังอยูในความสงบเสง่ียม อันเปนบันใดใหกาวข้ึนสูหนทางปญญา รอบรูสิ่งที่เปนของจริง คือรูสิ่งท้ังปวงแลวมีความคดิ ข้นึ แลวกต็ องเสอื่ มไปเปนธรรมดา ในทีส่ ุดของการประพฤติธรรมท้ังหลาย ก็รวมลงในความไมป ระมาทอยา งเดยี วเทา นัน้ สรุปไดวาอานิสงสการเห็นสมณะ คือ ทําใหไดสติ ฉุกคิดถึงบุญกุศล ทําใหเกิดแรงบันดาลใจท่ีจะทําดีตามทาน ทําใหตาผองใสดุจแกวมณี ทําใหเปนผูไมประมาท ชื่อวาไดบูชาพระรัตนตรัยอยางยิ่ง ทําใหไดสมบัติ ๓ คือ มนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ ทําใหบรรลุมรรคผลนิพพานโดยงาย ๘๐ที. ปา. ๑๑ / ๓๒๖ / ๒๒๗.

บทท่ี ๔ การดําเนนิ ชวี ติ ในสงั คมใหม ีความสขุ ตามหลักทศิ ๖ พุทธศาสนาเปนศาสนาท่ีเกิดจากการคิดหาเหตุผล ของพระพุทธเจาที่จะแกไขปญหาชีวิตของมวลมนุษยชาติ ซ่ึงอาจจะมีปญหาสวนบุคคล และปญหาสวนรวมท่ีเรียกวา ปญหาสังคมและในที่สุดพระพุทธเจาก็ไดประสบความสําเร็จในการคิดหาเหตุผล ในการแกปญหาชีวิตของมนุษย และพระองคก็ทรงเปยมดวยพระมหากรุณาธิคุณ ไดนําเอาเหตุผลอันน้ันมาเพ่ือ เผยแผชวยแกปญหาชีวิตมนุษยไดเ ปนเอนกอนนั ต และเหตผุ ลอันน้ันก็กลายเปนคาํ สอนและไดแ พรห ลายไปยังสว นตางๆ ของโลกโดยพระองคเอง และการดําเนินงานของพระสาวกของพระองค แมพระองคจะปรินิพพานไปแลว ก็ตาม ประเทศไทยก็เปนประเทศหนง่ึ ที่ไดร ับเอาคาํ สอนของพระพุทธองคมาเปนแนวทางในการแกไ ขปญหาชวี ติ และการดาํ รงชวี ติ แมวา สังคมเปนสังคมพุทธ เปนสังคมท่ีอยูภายใตอิทธิพลของคําสอนท่ีดีงามของพระพุทธศาสนาและเมื่อพิจารณาตามขอความที่กลาวไวในขอ ๑. แลวดูเหมือนวานาเปนสังคมที่เรียบรอย ปราศจากปญหาใดๆ ก็ตาม แตสภาพท่ีเปนอยูในปจจุบันน้ี ก็ปรากฏวาสังคมยังตองเผชิญกับปญหามากมายทีเดียว จนกลายเปนปญหาสังคม ทั้งนี้อาจเปนเพราะสมาชิกของสังคมบางคนบางกลุมเพิกเฉยละเลยตอการนําเอาหลักพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง ๖ และหลักธรรมท่ีเกี่ยวของสงเสริมตอการปฏบิ ัติหนา ทีต่ ามหลักธรรมทิศท้งั ๖ ในพระพุทธศาสนาไปใชในการดําเนินชวี ิตประจําวันก็ไดจึงทาํ ใหส ภาพของสงั คมไทยอยใู นสภาพทมี่ ปี ญหาและนับวันแตจ ะเลวรา ยลงไป ทบวงมหาวิทยาลัย ไดสรุปไวในโครงการอบรมจริยธรรมกับบัณฑิตในป พ.ศ. ๒๕๒๘ เปนการสรุปรายงานผลวา สภาพของสังคมไทยในปจจุบัน นับวันย่ิงเลวรายลงทุกทีตลอดทั้งปญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองจริยธรรม โดยเฉพาะสังคมในกรุงเทพฯ สังคมไทยเปนสังคมพระพุทธศาสนาแตการอบรมส่ังสอนเยาวชนของชาติในดานจริยธรรมลดนอยลงไปหรืออาจจะหายไปในบางที เชน ในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนในปจจุบันท่ีรัฐบาลประกาศวา ประชาชนยากจนขนแคนนายทุนขมเหงคนจนขมเหงผูใชแรงงาน มองดสู ภาพของสังคมท่เี ดือดรอนทุกวันนี้ เปน อยา งไรจึงเปนอยางน้ัน มีคนมั่นใจหรือยึดมั่นในพระพุทธศาสนามากนอยแคไหน แตในทุกสถาบันก็มีปญหาแทบท้ังส้ิน จะเห็นวา สังคมไทยเรานั้นยังคงมีปญหาตางๆ ที่จะหาทางแกไขปญหาท่ีถูกตอง ตามทรรศนะของ พระพุทธศาสนา หรือแบบพุทธศาสตรห ลกั ธรรมทิศทั้ง ๖ คือการกาํ หนดหนาทค่ี วามรับผดิ ชอบใหบุคคลใน ๖ กลุม น่ันคือทกุ คนตองมีหนาทอี่ ันพงึ ปฏบิ ัตติ อผอู ื่น ที่ตนเก่ยี วขอ งดว ย ในฐานะเดยี วกนั ตนเองก็มีสิทธิไดรับการ

๘๔อนุเคราะห จากผูอื่นที่ตนเก่ียวของดวยเหมือนกัน กลาวสั้นๆ ก็คือ ทุกๆ คนมีท้ังหนาท่ี ที่จะตองปฏิบัติ และสิทธิอันชอบธรรม ที่จะไดรับการปฏิบัติตอบ ทั้งน้ีเพราะถาบุคคลตองมีหนาท่ีปฏิบัติดีตอผูอื่นแตฝายเดียว โดยท่ีไมมีสิทธิไดรับการอนุเคราะหจากผูนั้นตอบแทนบาง ยอมไมมีใครพอใจ เมื่อไมมใี ครพอใจบอยเขาก็เลิกการปฏิบัติตอกัน นั่นคือ ถาทุกคนไมมีความรับผิดชอบ คนดีก็ไมจะอยากทาํ ความดี เม่อื เปน เชน นแ้ี ลว บรรยากาศในสังคมของเราจะมสี นั ติสุขไดอ ยา งไร ดว ยเหตุดังกลาว พระสัมมาสมั พุทธเจา จงึ ทรงแบงผคู นในสงั คมออกเปน ๖ กลุม พรอ มท้ังกําหนดหนาท่ีอันพึงปฏิบัติ และสทิ ธิอนั พึงจะไดรบั การอนเุ คราะหจ ากบคุ คลแตล ะกลมุ ดวย๑ การปฏบิ ัติตอบุคคลทั้ง ๖ ประเภท ทเ่ี ปรยี บเหมอื นทศิ ๖ เหลา นี้ ฝา ยละ ๖ ประการเปนการถอ ยทีถอยอาศยั ปฏบิ ตั ิตอ กนั ทุกฝาย เชน มารดา บดิ ากบั บตุ ร, อาจารยก บั ศิษย, สามีกับภรรยา, มติ รกบั มติ ร, นายจา งกับลูกจา ง, และสมณะกบั ประชาชน๑. พุทธจริยศาสตรใ นฐานะสงเสริมความม่ันคงแหง ครอบครวั ๑.๑ การขาดหลักพทุ ธจรยิ ศาสตรท ศิ ทัง้ ๖ ในการดาํ เนินชวี ิตตามหลักปุรัตถมิ ทิศ ไดแกบดิ ามารดา ปญหาจริยธรรมในสังคมไทยน้ันสวนมากจะพบปญหาแทบทุกวันจากสื่อมวลชน เชนหนังสือพิมพ วารสาร วิทยุ โทรทัศน ฯลฯ ปญหาที่พบเห็นอยูเปนประจําน้ันไดเพ่ิมความถี่และความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกวัน ไดแก การประทุษรายตอรางกาย ชีวิตและทรัพยสินของผูอื่น เชน การปลนจ้ีฆาเจาทรัพย ฆาขมขืน ฯลฯ ปญหาเหลานี้เปนปญหาท่ีสงผลกระทบตอบุคคล และสังคม สวนปญหาอีกประเภทหนึ่งเปนปญหาท่ีมีผลกระทบตอประเทศชาติสวนรวม คือ ปญหาการทุจริตในวงราชการการตัดไมทําลายปา การบุกรุกที่ดินปาสงวนแหงชาติ การข้ึนราคาสินคาโดยไมเปนธรรม การกักตุนสนิ คา การลกั ลอบคาขายสนิ คา หนภี าษีฯลฯและ ปญหาที่เกิดจากความเจริญทางดานอุตสาหกรรม ทําใหส่ิงแวดลอมเปนพิษ เนื่องจากการปลอยน้ําเสียและอากาศเสียที่เกิดจากการเผาไหมของโรงงานอุตสาหกรรม จนเปนเหตุใหเกิดน้ําเนา อากาศเปนพิษ ฯลฯ ปญหาตางๆ เหลาน้ีเกิดจากการกระทําของบุคคลที่มักงาย เห็นแกตัว เห็นแกได ไมมีจริยธรรม ขาดคุณธรรม และที่สําคัญคือไมเคารพกฎหมาย ครอบครัวถอื ไดว าเปน รากฐานของสงั คม สังคมจะพกิ ารหรือเปนระเบียบก็อยูที่การจัดระบบในครอบครวั เปนปฐมน่ันเอง ๑สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปฎกฉบับสําหรับประชาชน, พิมพคร้ังท่ี ๑๑, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพม หามกฎุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๒), หนา ๒๓๖.

๘๕ สวนเรื่องกรรมพันธุและสิ่งแวดลอมน้ันเปนตัวประกอบท่ีสําคัญไมนอย การพิจารณาสังคมจึงควรพิจารณาถึงสถาบันครอบครัวกอนเปนสําคัญ หลักการทางพระพุทธศาสนาจึงย้ําใหเห็นวาบิดามารดาเปนพรหมของบุตร เปนผูใกลชิดและมีหนาท่ีอบรมส่ังสอนบุตรเปนอันดับแรก การปรับปรุงสังคมจึงควรปรับปรุงสถาบันครอบครัว ถาจะใหกระชับแนนเขาไป ก็คือปรับปรุงบิดามารดาน่ันเองเปนปฐม ผมจึงใครฝากปญหานี้ไวใหคุณๆ ผูสนใจปญหาสังคมชวยกันขบคิดดวย ไมเฉพาะแตบิดามารดาเทา น้นั ท่รี บั ผดิ ชอบตอสงั คม สถาบนั การศกึ ษา ครูอาจารย สถาบันทางศาสนา รัฐบาล ฯลฯ ก็มีสวนชวยอยูดวยเหมือนกัน สรุปความแลว ก็คือตองรวมกันทุกฝาย จะปดหรือโยนใหเปนหนาท่ีของใครรับผิดชอบโดยเฉพาะหาไดไม ทุกฝายตองหันหนาเขาหากัน ทุกฝายตองชวยกัน ตองรวมมือกันเพราะ เด็กในวันน้ี คือผูใหญในวันหนา ผูใหญในวันนี้ คือผีในวันหนา สังคมจะตองตกอยูในกํามือของเด็กในวันนี้ จึงควรจะยํา้ ใหแลเห็นวา อนาคตของชาติจะตกอยใู นความรบั ผดิ ชอบของเดก็ ในวนั นี้ย้ําใหเด็กมีความคํานึงถึงความรับผิดชอบท่ีเรียกวาใหมีตอสังคมเปนตนไป ต้ังแตอยูในสถาบันครอบครัว ซง่ึ เปนสังคมแคบๆ อันเปนสถาบันแรกที่เด็กเกิดข้ึนมาดูโลกตอไปจนถึงสังคมโลกกวางๆคอื การบริหารประเทศชาต๒ิ ปญหาชวี ิตครอบครวั การขัดแยงกันระหวา งบคุ คลในครอบครัว อาจเกดิ จากปจ จยั หลายๆอยา ง อาทิ สภาพทางเศรษฐกิจในครอบครัว การศกึ ษา วัย การเงิน รายได จงึ ไมมอี ะไรดีกวาหนั หนาเขาปรึกษาหารือกัน เหน็ อกเห็นใจกนั การใหอภยั กนั และการหนักแนน อดทน ฟนฝาอุปสรรคเพอื่ตอสูชีวติ ตอไป ปญ หาที่เก่ียวกับส่ือมวลชน ในปจจุบนั เปนสังคมขา วสาร มเี ทคโนโลยีท่ีอํานวยความสะดวกมากมาย และสิ่งน้ีก็เปนดาบสองคม คือ มีท้ังคุณอนันต และโทษมหันต ขึ้นอยูกับการจัดการเลือกใชใหเหมาะสม ปญหาส่ือมวลชน เชน โทรทัศน วิทยุ หนังสือพิมพ วารสาร ฯลฯ มีการโฆษณายั่วยุชักชวนใหเกิดความโลภ ความอยากไดในส่ิงประดิษฐและสินคาใหมๆ ซ่ึงไมจําเปนตอการดํารงชีวิตทําใหเกิดคานิยมในการครองชีวิตท่ีผิดและเกินความพอดี นอกจากนี้สื่อมวลชน เชน การผลิตภาพยนตร บทละคร โทรทัศน มีสิ่งย่ัวยุ และสิ่งท่ีเปนแบบอยางที่ไมดีอยูในบทภาพยนตร และละครทําเกิดการเอาอยาง เลียนแบบ ทําความเส่ือมโทรมดานจิตใจของผูชมและเด็กวัยรุน เชน บทท่ีแสดงการทารุณ ตบตี การขมขืน บทรักที่แสดงถึงความตองการทางกามารมณมากจนเกินไปจนเกิดความรูสึกมีอารมณรวมไปดวยในขณะดูภาพยนตร ส่ิงเหลานี้ควรปรับปรุงแกไข เพื่อจริยธรรมของสังคมจะดีข้ึน ภาพยนตร และบทละครควรสงเสริมความรูสึกนึกคิด และคานิยมดานจริยธรรมเพ่ือ ๒ประยงค สุวรรณบุบผา, พระพุทธศาสนากับชาวไทย, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพเจริญธรรม,๒๕๐๖), หนา ๓๙๕ - ๓๙๖.

๘๖ยกระดับจิตใจของผูชมใหสูงขึ้นปญหาจริยธรรมในสังคมดังกลาวมาแลวขางตนน้ันเปนปญหาสวนหนง่ึ ในหลายๆ ปญหา และสามารถแยกสาเหตุของปญหาจริยธรรมในสังคมปจจุบันออกไดตามหลักพุทธจรยิ ศาสตรทศิ ทงั้ ๖ ดงั นี้คอื สาเหตุท่บี ิดามารดา และกุลบตุ รกลุ ธดิ าไมอนุเคราะหซงึ่ กันและกัน จําแนกไดด งั นี้ สาเหตุที่บิดามารดา และกุลบุตรกุลธิดาไมอนุเคราะหซ่ึงกันและกันนั้นเปนเพราะสังคมปจจุบันนั้น ไมนําหลักการดําเนินชีวิตในพุทธจริยศาสตรทิศท้ัง ๖ ในสิงคาลกสูตรไปใช ผูเปนบิดามารดาไมท าํ หนา ทีข่ องตนเองใหส มบูรณ เชน ๑) บิดา มารดาเห็นบุตรธิดาของตนเองทําความช่ัวแลวไมหามปราม แตกลับปกปอง และใหทา ย ไมต ําหนติ เิ ตอื นในการกระทาํ ท่ีไมด ีของบตุ รธดิ า ๒) ไมมีเวลาอบรมส่ังสอนบุตรธิดาใหต้ังอยูในความดี ประพฤติแตส่ิงที่ดีเปนประโยชนตอตนเองและสังคม ไมมเี วลาใหกบั ลูกเทา ท่คี วร ๓) บิดา มารดา ไมสงเสริมและสนับสนุนใหบุตรธิดาไดมีโอกาสเรียนหนังสือ ไมปลูกฝงคุณธรรมจรยิ ธรรมตลอดทงั้ ไมนําพาสมาชิกในครอบครวั เขารว มกจิ กรรมทางศาสนา ๔) บิดา มารดา ไมหาภรรยาหรือสามีที่ดีท่ีเหมาะสมท่ีสมควรใหบุตรธิดา และยังไมช้ีแนะแนวทางในการเลือกคูครองทด่ี ใี หกับบตุ รธิดา ๕) บิดา มารดา ไมมอบมรดกหรอื ทรพั ยส มบตั ิใหบุตรธิดา๓ ตามโอกาสทเ่ี หมาะสมหรือมอบใหไ มเทาเทยี มกัน จนอาจเปน เหตใุ หบ ตุ รธิดาตองแยงชงิ มรดกทรัพยสมบัตกิ ันดังมีตัวอยา งใหเหน็ กนัมากมายในปจ จุบนั น้ี เปน ตน นอกจากนน้ั ยงั มีปญ หาตา งๆ อีก ไดแ ก ปญหาความยากจน เน่ืองจากประชากรสวนใหญของสังคมไทยมีความยากจนมีรายไดตํ่าคา จางแรงงานต่ํา ไมมีงานทํา ดอยโอกาสทางการศกึ ษา ปญหาความยากจน ทําใหเ กดิ ปญ หาจริยธรรมในครอบครัว เชน การมีปากเสียง ดาวากัน การทะเลาะ ทุบตีกัน และอื่นๆ ซึ่งทําใหสภาพของครอบครัวเปนไปในแบบท่ีหางเหิน นอกจากบิดามารดาจะไมเลี้ยงดูบุตรบุตรีใหดีแลว ยังปลอยปละละท้ิงอกี ดวย ฝายบตุ รีก็มคี วามตองการความรํ่ารวย ฟุมเฟอยตามความเขาใจที่มีตอสังคมโลกปจจุบันทาํ ใหเกดิ ความขัดแยงเร่ืองวิถีชีวิตครอบครัว ถึงข้ันตําหนิบิดามารดาที่ใหกําเนิดตนมาในครอบครัวท่ียากจน เชน ในภาคผนวก ๓พิทูร มลิวัลย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาช้ันตรี, พิมพคร้ังท่ี ๓,(กรุงเทพฯ : โรงพมิ พการศาสนา, ๒๕๔๐), หนา ๖๑.

๘๗ ปญหาความเห็นแกตัว การพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจใหเจริญมากข้ึนเทาไร ปญหาความเห็นแกตัวในครอบครัว และสังคมก็มากข้ึนเปนเงาตาม เม่ือหัวหนาครอบครัวตองดิ้นรนขวนขวายมากข้ึน ทําใหชองวางระหวางสมาชิกในครอบครัวเพ่ิมมากขึ้น ความสัมพันธลดนอยลงความเห็นแกตัวทําใหคนขี้เกียจไมขยันทํางาน พยายามเอาเปรียบกัน ทํางานนอยแตตองการผลตอบแทนสงู มคี วามอจิ ฉาริษยา ไมสามัคคี ยกตนขมผูอ่ืน นินทาใสรายผูอ่ืน เปนตน ทําใหสมาชิกครอบครัวย่ิงแตกแยกกัน ปญหาคานิยมเปลี่ยนแปลง บิดามารดาบางครอบครัวเห็นคุณคาจริยธรรมของสังคมนอยลงในเรื่องจริยธรรม และวัฒนธรรมไทย ปจจุบันน้ี มีวิถีทางการดําเนินชีวิตของคนไทยทุกวันนี้ไดแปรเปล่ียนไปจากแตกอนมาก เชน ประเพณีการพ่ึงพาอาศัยแรงกัน ทํางานใหกันและกัน รักใครกลมเกลียวกันในครอบครัวก็เปลี่ยนไป กิจกรรมทุกอยางในครอบครัวถูกมองวาเปนการจางแรงงาน ผลจากความเจริญทางดานวัตถุก็ทําใหทุกคนแสวงหาความสุขความพอใจที่ไมมีที่สิ้นสุดหรือมีขีดจํากัดบุตรธิดาทอดท้ิงบิดามารดาไมเอาใจใสใหความอุปถัมภตลอดทั้งทอดท้ิงไมเลี้ยงดูทาน สวนบิดามารดาก็ตองการประโยชนตอบแทนจากกุลบุตรกุลธิดามากกวาการอบรมการเล้ียงดู คานิยมและการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ แสดงวา คนไทยเหน็ คุณคา จรยิ ธรรมของสงั คมนอ ยลง เชน ตัวอยา งในภาคผนวก ปญหาการทําแทง นับเปนปญหาระหวางชายหญิงท่ีมีความรุนแรง และขัดตอศีลธรรมอันดีงามอันหน่ึง เปนปญหาทางเพศที่ผูท่ีจะเปนบิดามารดาไมมีสํานึกในการเปนบุพการีและนํามาซึ่งปญหาตางๆ อีกมากมายในสังคมดวย ปญหาการทําแทงมีปญหามาจากสาเหตุหลายสาเหตุ เชน สตรีถูกขมขืน ความยากจน ความแตกราวในครอบครัว หญิงที่แตงงานแลวสามีไมรับผิดชอบเลี้ยงดู การม่ัวสุมทางเพศของวัยรุน ฯลฯ การทําแทงเปนการทําลายจริยธรรมดานมนุษยธรรม มีพฤติกรรมท่ีไมรูจักควบคุมความรูสึกทางกามารมณ ขาดความยั้งคิดและความรับผิดชอบ มีเพศสัมพันธเพ่ือสนองตณั หาของตนเอง การทําแทง นอกจากผดิ กฎหมายแลวยังผดิ ศลี ธรรมอีกดวย สงั คมไทยไมยอมรับการทําแทงวาเปนการกระทําท่ถี ูกตอ ง ๑.๒ การปลูกฝงความรบั ผดิ ชอบในหนา ทตี่ ามหลักพุทธจรยิ ศาสตรทศิ ๖ ในปุรตั ถิมทศิไดแกบดิ ามารดา พุทธจริยศาสตรที่วาดวยทิศทั้ง ๖ น้ันเปนเร่ืองที่เกี่ยวกับความประพฤติท่ีดีงามและความประพฤติตามแนวทางของพระพุทธศาสนาวาอะไรควรอะไรไมควรทําเพื่อการดําเนินชีวิตของแตละบุคคลเปนไปอยางปกติสุข เปนสิ่งที่ควรปลูกฝงใหคนในสังคมไดรูจักสิทธิและหนาที่ตนควรจะไดรับ และควรปฏิบัติตอบุคคลที่อยูรอบขางในสังคม ถาคนสวนมากปฏิบัติตนใหเปนแบบอยางที่ดี

๘๘คนสวนนอยก็จะปฏิบัติตามไปดวย แนวทางในการแกปญหา และการสงเสริมพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง๖ ในสงั คมนนั้ มแี นวทางท่คี วรสงเสรมิ ดงั ตอไปนี้๔ การสงเสริมและการพัฒนาจริยธรรมของบุตรหลานและคนในครอบครัวเปนหนาท่ี และความรับผดิ ชอบของพอ แมแ ละผูป กครอง ซ่ึงมีแนวทางสง เสรมิ ที่ควรปฏิบัติดังน้ี คือ ๑. พอแมค วรเปน แบบอยา งทดี่ ี ๒. พอแมควรเสียสละเวลาและความสุขสวนตัวเพื่อใหมีเวลาในการอบรมและพัฒนาจรยิ ธรรมของบุตรหลาน ๓. อบรมใหล ูกรหู นาที่ความรับผิดชอบ รูจักพึ่งตนเอง มีเมตตา ไมเอาเปรียบ มีเหตุผล ไมงมงาย ใหรูจกั ละความโลภ โกรธ หลง ฯลฯ ๔. นาํ สมาชิกในครอบครวั เขา รว มกจิ กรรมทางศาสนากบั สงั คม ตามโอกาสท่เี หมาะสม ๕. การเลี้ยงดูลกู ควรสง เสรมิ ใหม ีสขุ ภาพจติ ท่ีดี ๖. กนั ลูกออกจากความชัว่ ๗. ใหค วามรักและความอบอนุ ๘. ใหล ูกไดรับการศึกษา๕ นอกจากนยี้ งั พบวาการเลย้ี งลกู พอ แมกม็ สี ว นสําคญั มากทที่ ําใหลกู มีลกั ษณะพฤติกรรมและนสิ ยั แตกตางกนั ซงึ่ สรปุ ไดด งั นี้ ๑. เดก็ ท่เี ติบโตมาทา มกลางความสงบ จะเปน คนสุขุมเยือกเยน็ ๒. เด็กท่เี ตบิ โตมาทามกลางความเปนธรรม จะเปน คนยุตธิ รรม ๓. เดก็ ท่ีเติบโตมาทามกลางการใหอภัยจะเปนคนมีเมตตา ๔. เดก็ ทีเ่ ตบิ โตมาทา มกลางความรกั จะเปนคนมองโลกในแงดี ๕. เด็กที่เตบิ โตมาทา มกลางความมงุ ราย จะเปนคนโหดรา ย ๖. เด็กทีเ่ ตบิ โตมาทา มกลางการหลอกลวง จะเปน คนตลบตะแลง๖ การสง เสริมจริยธรรมในครอบครวั มคี าํ อุปมาไวว า ปูแมเ ดนิ อยา งไร ลูกปเู ดินอยา งนั้น ๔สมภาร พรมทา, พุทธศาสตรกับปญหาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หนา ๔๑ - ๔๗. ๕เร่อื งเดียวกนั , หนา ๔๘. ๖เรอื่ งเดยี วกนั , หนา ๔๙.

๘๙ การสงเสรมิ พทุ ธจรยิ ศาสตรสังคมรัฐ รัฐบาลควรกําหนดนโยบายและมาตรการเพอื่ แกป ญหา และสง เสรมิ พุทธจรยิ ศาสตรส ังคมในสงั คมไทย ดังตอไปน้ี ๑) สงเสริมและติดตามการปฏิบัติตามคานิยมพ้ืนฐาน ๕ ประการ และการปฏิบัติตามคุณธรรม ๔ ประการ ๒) พัฒนาพุทธจริยศาสตรสังคมเพื่อสรางบุคลิกภาพนิสัยและพฤติกรรมใหคนไทย ใหเปนพลเมืองทีด่ ี ควรมีคณะกรรมการตดิ ตามและพัฒนาอยา งตอเนื่อง ๓) รัฐบาลกําหนดมาตรการใหหนวยงานที่รับผิดชอบในการปราบปรามกําจัดส่ิงที่ผิดกฎหมายและไรศีลธรรมใหหมดไปจากสังคม เชน ยาเสพติด การโคนไมทําลายปา บอนการพนันแหลง อบายมุข อทิ ธพิ ลมดื ในสงั คม การคา ขายของหนีภาษี หวยเบอร แหลงโสเภณี ฯลฯ ๔) รัฐบาลควรมีคณะกรรมการพัฒนาจริยศาสตรของสังคมระดับชาติ เพื่อทําหนาที่ประสานงานกับองคกรตางๆ ทั้งของรัฐบาลและของเอกชน เพื่อแกปญหาและพัฒนาจริยธรรมของสังคมไทย ๕) นโยบายและมาตรการการจัดการศึกษาของรัฐ ควรรีบสงเสริมปรับปรุงจัดการศึกษาในดานจริยธรรม โดยการศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน การพัฒนาบุคลากร การผลิตสื่อการเรียนการสอน ใหมีคุณภาพและมีมาตรฐานท่ีทันสมัย และมุงแกปญหาความเสื่อมโทรมทางดา นจริยธรรมของสังคมใหท นั เหตกุ ารณ๗ ความรวมมอื ของส่ือมวลชนและองคกรเอกชน ส่ือมวลชนมีบทบาทและอิทธิพลตอการพัฒนาจริยธรรมของเยาวชน ดังนั้นควรใหความรวมมือสนับสนุน ความรวมมือที่ดีท่ีสุด ไดแก การไมนําเสนอกิจกรรมที่ย่ัวยุกามารมณ ฯลฯ ควรนําเสนอกิจกรรมที่เปนพฤติกรรมแบบอยางที่ดีแกเยาวชน มูลนิธิ สมาคม ชมรมตางๆ ซ่ึงเปนองคกรเอกชนมีบทบาทสําคัญมากในการสงเสริมจริยธรรมของเยาวชน กิจกรรมตางๆ ซ่ึงองคกรเอกชนจัดอยูบอยๆ เชน การอบรมจริยธรรมนักเรียน นักศึกษา ในภาคฤดูรอน การอุปสมบทนักเรียนนักศึกษาภาคฤดรู อน การอยูคายอบรมจรยิ ธรรมขนั้ พฒั นาฯลฯ การใชพ ทุ ธจรยิ ศาสตรสงั คมเปน แกนนาํ ในการพัฒนาสงั คม การใชพุทธจริยศาสตรสังคมที่วาดวยทิศท้ัง ๖ เปนแกนนําในการพัฒนาสังคม เชน ใหสมาชิกในสงั คมไดต ระหนกั และเห็นความสําคัญของการใชหลักพุทธจริยศาสตรสังคมเร่ืองทิศ ๖ ในการดํารงชีวิต ประกอบอาชพี ของบคุ คลซ่งึ มอี าชีพแตกตา ง กนั เชน บิดามารดา ครูอาจารย มิตรสหาย ๗เร่ืองเดยี วกนั , หนา ๕๐.

๙๐คนรับใชผูอยูใตบังคับบัญชา ตลอดทั้งสมณพราหมณพระภิกษุสงฆสามเณรผูมีศีล พอคาพาณิชแพทย พยาบาล การพัฒนาการศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมและมีศาสนธรรมเปนตัวกําหนดคุณคาทางจริยธรรมและศาสนาทุกศาสนาทําหนาท่ีทําใหสังคมมีระเบียบวินัย มีความยุติธรรม มีความเอ้ืออารี ฯลฯ และมีหนาท่ีส่ังสอนใหรักษาสถานะเดิมของสังคมไว อันไดแก ชาติศาสนา และพระมหากษัตริย วาจะนําหลักพุทธจริยศาสตรสังคมเรื่องทิศทั้ง ๖ และหลักธรรมที่เกี่ยวของสนับสนุนในขอใดมาใชปฏิบัติใหถูกตองและเหมาะสมแกชีวิตของตนตามหลักดุลยภาพแหงชีวิตสังคมและวิถีแหงชีวิตสังคมบุคคลเหลาน้ันจึงประสบความสําเร็จในการดําเนินชีวิตในดานตา งๆ ของตน และประสบความสุขและสันติในการที่จะอยูรวมกันในสังคมตางๆ อันเปนจุดมุงหมายของการศกึ ษาคนควา วิจัยในครง้ั นี้ การกําหนดเปา หมายชวี ติ ดว ยพุทธจรยิ ศาสตรสงั คมวา ดว ยทศิ ๖ เปาหมายของชีวิตคือสันติสุขสวนบุคคล เปาหมายที่พึงปรารถนาน้ีจะสําเร็จไดขึ้นอยูกับการมีจรยิ ธรรมอยา งถูกตอง การเปนอยอู ยา งถกู ตอง การดําเนินชีวิตตามหลักพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง ๖ คือทุกคนมที งั้ หนาที่ ท่จี ะตองปฏิบตั ิ และมีสิทธิอนั ชอบธรรม ทีจ่ ะไดรับการปฏบิ ตั ิตอบ ท้ังน้ีเพราะถาบุคคลตองมีหนาท่ีปฏิบัติดีตอผูอื่นแตฝายเดียว โดยไมมีสิทธิ์ไดรับการอนุเคราะหจากผูน้ันตอบแทนบาง ยอมไมมีใครพอใจ และหลักธรรมท่ีสงเสริมสนับสนุนใหแตละบุคคลใหปฏิบัติหนาที่ของตนเองไดสมบูรณ ตามหลักธรรมทิศ ๖ มีหลายหัวขอดวยกัน เชนอริยมรรคมีองค ๘, ความกตัญูกตเวที, อิทธิบาท ๔, ทิฏฐธัมมิกประโยชน ๔, อคติ, โลกธรรม ๘,อริยทรัพย ๗, อบายมุข ๖ การกําหนดเปาหมายของชีวิตชวยใหมนุษยมีการดําเนินชีวิตอยางมีจุดหมาย สามารถใชหลักพุทธจริยศาสตรเปนเครื่องมือกํากับการครองชีวิตและการพัฒนาชีวิตของตนเอง การสงเสริมใหบ ุคคลไมเห็นแกต วั ความเหน็ แกต วั เปน ตน เหตุของปญหาทกุ ชนดิ ควรปรบั ปรงุ แกไ ขโดยการจดั ระบบการศกึ ษาระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมืองการปกครอง ฯลฯ ที่สงเสริมความไมเห็นแกตัวและควรสอน เรื่องอนตั ตา ซึ่งเปน หัวใจของพระพุทธศาสนา เพ่ือใหบุคคลมีความรูความเขาใจวาตามธรรมดาชีวิตของคนเราไมใชตัวไมใชตน ชีวิตเปนธรรมชาติ ชีวิตเปนของธรรมชาติ และชีวิตมีความวางจากตัวตน เพื่อแกปญหาความเห็นแกตัวเมื่อยึดติดในตัวตนแลว ก็จะตองมีอะไรเปนของ ๆ ตน ภายนอกตัวออกไป จนกระทั่งอาจแสวงหาส่ิงของที่ยึดติดคิดวาเปนของ ๆ เราดวยอกุศลธรรมอันจะนํามาซึ่งปญหาตาง ๆ เปนตน ดังนั้นควรปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนกําหนดจริยธรรมระดับสัจธรรมในระดับวิทยาลัยและอุดมศึกษา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook