41 การคิดเป็นกระบวนการทางสมองของมนุษย์ มีการศึกษาหาเพื่อหาคาตอบในการอธิบาย เก่ยี วกับการคิดวิเคราะห์ มีแนวคิดทฤษฎีทส่ี าคญั ดังนี้ 2.3.1 บลูม (Bloom, 1961: 6 อ้างในทิศนา แขมมณีและคณะ, 2554: 11-13) ได้จาแนก ระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนขึ้นอยู่กับเน้ือหาสาระที่เป็นองค์ความรู้ เช่น จุดมุ่งหมายการเรียนรู้เร่ือง เกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจเสนอข้อมูลในรูปแบบกราฟ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจในเนื้อหาดังกล่าวต้องมีการ ผสมผสานข้อมูลความรู้ในลักษณะรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดจาพวกการแปล การตีความ การประยุกต์ การวิเคราะห์ส่วนย่อย และความสัมพันธ์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ การนาไปใช้ สู่การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์ และการประเมินผลตามจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม โดยเฉพาะความสามารถในการ วิเคราะห์ จะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถนาไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ใหม่ในเชิงสร้างสรรค์ เพราะเป็นการ พัฒนาความสามารถในระดับการมีเหตุผล และเป็นการเรียนรู้ที่คงทนของแต่ละบุคคล แม้จะจา รายละเอียดของความรู้ไม่ได้ ผู้เรียนจึงต้องเรียนรู้วิธีการคิดวิเคราะห์ และภายใต้สภาวะใดที่จะต้องนา ความสามารถด้านการวิเคราะห์มาใช้สาหรับการประเมินผลเป็นระยะ จะนาไปสู่การปรับปรุงของทั้ง 3 กระบวนการคือ กระบวนการสร้างหลักสูตร การสอน การเรียนรู้ เพ่ือพยายามหาวิธกี ารลดผลกระทบเชิง ลบ เพิม่ วธิ ีการบรรลวุ ัตถุประสงคก์ ารศึกษาอย่างมีคณุ คา่ บลูม ได้จัดลาดับความสามารถทางการคิดของคนเป็น 6 ระดับ ซ่งึ ความสามารถในดา้ นการ คิดวิเคราะห์ก็เป็น 1 ใน 6 ของความสามารถทางการคิด ระดับการคิดวิเคราะห์ เป็นทักษะการคิด ระดับพ้นื ฐานของผเู้ รียนท่ีนาไปสู่ความสามารถทางการคิดในระดบั สูง เพราะการคดิ วิเคราะห์จะชว่ ยทาให้ ผู้เรียนเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ อย่างชัดเจน ผ่านกระบวนการวิเคราะห์หน่วยย่อย การวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์หลักการ โดยการวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ จากส่วนย่อยสู่ส่วนใหญ่ และ เชอ่ื มความสัมพนั ธข์ องประเด็นต่างๆ เข้าด้วยกัน จนสามารถสรุปอยา่ งเป็นหลกั การ โดยมีเหตผุ ลรองรับ 2.3.2 ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ของมาร์ซาโน (Marzano, 2001: 11-12) การคิดวิเคราะห์เป็นกระบวนการที่มีการจัดการกับข้อมูลที่เป็นลาดับข้ันตอนเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ ซ่ึง รูปแบบพฤติกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วย 3 ระบบ ได้แก่ ระบบแห่งตน ระบบบูรณาการ และระบบ สติปัญญา โดยท่ีระบบแห่งตนเป็นการตัดสินยอมรับการเรียนรู้เรื่องใหม่ เม่ือระบบแห่งตนยอมรับท่ีจะ เรียนรู้เร่ืองใหม่ จึงจะตัดสินใจกระทาตามพฤติกรรม ส่วนระบบบูรณาการจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการ กาหนดเป้าหมายของการเรียนรู้น้ัน โดยออกแบบกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อการบรรลุเป้าหมายแห่งการเรียน รู้ และติดตามว่าจะทาได้ดีเพียงใด จากนั้นระบบสติปัญญาจะทาหน้าที่จัดกระทากับข้อมูลในลักษณะของ การวิเคราะห์ เพ่ือให้ข้อมูลที่จาเป็นตามขอบเขตความรู้ในเน้ือหา ดังนั้นปริมาณความรู้ของผู้เรียนแต่ละ คนจึงมีผลต่อความสาเร็จอย่างสูงในการเรียนรู้เร่ืองใหม่ ซึ่งความรู้ใหม่สามารถต่อยอดจากความรู้เดิมได้
42 อย่างกว้างขวาง ดังนั้นถ้าระบบแห่งตนไม่เชื่อว่าการเร่ืองใหม่เป็นเร่ืองสาคัญ แรงจูงใจในการเรียนจะต่า ถ้าระบบบูรณาการกาหนดเป้าหมายไม่ชัดเจน ก็จะเป็นอุปสรคต่อการเรียนรู้ แม้การกาหนดเป้าหมาย ชดั เจน แต่ถา้ กระบวนการจัดกระทาข้อมูลในระบบสตปิ ัญญาปฏบิ ตั ิการไม่มีประสทิ ธภิ าพ การเรียนรู้จะไม่ ประสบผลสาเร็จ ดังน้ันระบบทั้ง 3 จึงเป็นระบบท่ีมีการจัดลาดับถูกต้องในกระบวนการถ่ายเทข้อมูล ใน ส่วนของระบบสติปัญญาสามารถแบ่งย่อยได้เป็น 4 ขั้นตอนคือ ข้ันรวบรวม เข้าใจ วิเคราะห์ และข้ันใช้ ความรู้ให้เห็นประโยชน์ มารซ์ าโนจาแนกขอบเขตความร้เู ป็น 3 ประเภทคคือ 1) ด้านข้อมูล (Information) เป็นการรวบรวมความคิดที่มีเหตุผล และมีความสัมพันธ์ กับรายละเอียดต่างๆ ของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความหมายของคาศัพท์ตามบริบทต่างๆ ความจริง ลาดับ เหตุผล ลาดบั เหตุการณ์ เพือ่ ใหไ้ ด้มาซ่ึงขอ้ สรุป โดยเน้นการจัดระบบความเห็นจากขอ้ มูลง่ายสขู่ ้อมูลยาก 2) ด้านกระบวนการคิด (Mental procedures) เป็นการรวบรวมความรู้เดิมซึ่งเป็น ความสามารถที่สั่งสมไว้สู่กระบวนการเรียนรู้ใหม่อย่างอตั โนมัติ เพือ่ ใหไ้ ด้มาซ่งึ กระบวนการข้ันสูงด้านการ จัดการข้อมลู ดว้ ยกระบวนการทป่ี ระกอบดว้ ยองค์ประกอบพน้ื ฐานตา่ งๆ ทม่ี กี ลยุทธ์ในการจดั กระบวนการ จดั กระทาขอ้ มูลท่ีกาหนดไว้ สามารถเรยี งลาดบั ข้อมูลทเ่ี ป็นผลลพั ธ์และข้นั ตอนตา่ งๆ และสามารถสรุปผล จากเหตุการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ กอ่ นได้ 3) ด้านกระบวนการปฏิบัติการ (Psychomotor procedures) เป็นการรวบรวมความรู้ ที่ใช้ระบบโครงสร้างกล้ามเน้ือจากการฝึกทักษะการปฏิบัติอย่างง่าย เพื่อนาไปสู่กระบวนการปฏิบัติท่ี ซับซอ้ นข้นึ เพ่อื ใหไ้ ดม้ าซึ่งกระบวนการสรา้ งทักษะปฏิบตั ิต่างๆ มารซ์ าโน (Marzano, 2001: 71-83) ได้แบง่ ความสามารถทางการคิดวเิ คราะห์เปน็ 5 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ด้านการจับคู่ (Matching) หมายถึง ความสามารถในการระบุความเหมือนและความ แตกตา่ งระหวา่ งสว่ นประกอบของแนวคิดหรือส่ิงต่างๆ ออกเป็นแตล่ ะสว่ น ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยอย่างมีหลกั เกณฑ์ สามารถระบตุ ัวอยา่ งหลักฐาน และลกั ษณะความเหมอื น ความแตกต่างได้ 2) ดา้ นการจดั หมวดหมู่ (Classification) หมายถึง ความสามารถในการประมวลความรู้ เพือ่ การจัดเรยี งลาดบั และประเภทของแนวคิดหลัก หรือความเห็นให้เปน็ หมวดหมู่ทม่ี ีความหมาย สามารถจดั กลุ่มทม่ี ีหลักการและลักษณะท่ีคล้ายคลงึ เขา้ ดว้ ยกัน 3) ด้านการวเิ คราะห์ข้อผดิ พลาด (Error analysis) หมายถึง ความสามารถในการคิดเชิง ตรรกะและการประเมินความเป็นเหตเุ ป็นผลของแนวคดิ หรือสงิ่ ตา่ งๆ จากมุมมองใดมุมมองหนงึ่ เป็นการ ระบุข้อผดิ พลาดและข้อบกพร่องจากสถานการณ์ คุณลักษณะหรอื พฤตกิ รรมต่างๆ
43 4) ด้านการสรุปเป็นหลกั เกณฑ์ท่ัวไป (Generalizing) หมายถงึ ความสามารถในการใช้ เหตุผลจากส่ิงทีเ่ ฉพาะเจาะจงไปสู่การสรุปทว่ั ๆ ไป หรือการใชเ้ หตุผลจากส่งิ ทวั่ ไปมาสรุปส่งิ ที่ เฉพาะเจาะจง รวมถงึ การอา้ งองิ ถึงเพื่อนามากาหนดเป็นหลักการหรือกฎซง่ึ สามารถทดสอบในเหตุการณ์ ท่เี จาะจงหรือแนวคดิ หลักได้ เปน็ ความสามารถในการสรา้ งหลกั การเก่ยี วกับสถานการณ์หรือข้อมลู ท่ี กาหนด 5) ดา้ นการสรปุ เปน็ หลักเกณฑ์เฉพาะ (Specifying) หมายถึง ความสามารถในการนา หลักการทว่ั ไปทมี่ ีอยแู่ ล้วไปสรุปเปน็ หลักการที่เฉพาะเจาะจง และสรปุ ได้วา่ หลกั การใหม่น้นั เป็นข้อควร ปฏิบัตหิ รอื ไม่อยา่ งไร 2.4 องคป์ ระกอบการคิดวเิ คราะห์ มาร์ซาโน (Marzano, 2001 อ้างถึงใน ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2551 : 58) ได้กล่าวว่า ทักษะ การคิดวิเคราะหป์ ระกอบดว้ ย 1) ทักษะการจาแนก เป็นความสามารถในการแยกแยะส่วนย่อยต่าง ๆ ทั้งเหตุการณ์ เร่อื งราวส่ิงของออกเปน็ ส่วนย่อย ๆ ให้เขา้ ใจงา่ ยอย่างมหี ลักเกณฑ์ สามารถบอกรายละเอยี ดของสง่ิ ต่าง ๆ ได้ 2) ทักษะการจัดหมวดหมู่ เป็นความสามารถในการจัดประเภท จัดลาดับ จัดกลุ่มของสิ่งมี ลักษณะคล้ายคลึงกันเข้าดว้ ยกนั โดยยดึ โครงสรา้ งลักษณะหรอื คณุ สมบตั ทิ ่เี ป็นประเภทเดียวกนั 3) ทักษะการเชื่อมโยง เป็นความสามารถในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลต่าง ๆ ว่า สัมพนั ธก์ ันอย่างไร 4) ทักษะการสรุปความ หมายถึง ความสามารถในการจัดประเด็นและสรุปผล จากส่ิงที่ กาหนดใหไ้ ด้ 5) การประยุกต์ เป็นความสามารถในการนาความรู้ หลักการและทฤษฎีมาใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ สามารถพยากรณ์ เดาสิง่ ท่ีจะเกดิ ขนึ้ ได้ เกรียงศักด์ิ เจรญิ วงศ์ศักด์ิ (2553: 27) ไดแ้ บง่ การคดิ วเิ คราะหเ์ ป็น 4 องค์ประกอบดังนี้ 1) ความสามารถในการตีความ หมายถึงการพยายามทาความเขาใจ และใหเหตุผลแกส่ิงท่ี ตองการวิเคราะห์ เพ่ือแปลความหมายท่ีไม่ปรากฏโดยตรงของสิ่งนั้น เป็นการสร้างความเข้าใจต่อสิ่งท่ี ต้องการวิเคราะห์ โดยเกณฑ์ที่แต่ละคนใช้เป็นมาตรฐานในการตัดสินใจย่อมแตกต่างกันไปตามความรู้ ประสบการณ์ คานยิ มของแตล่ ะคน และความสามารถในการเช่ือมโยงเหตุผล 2) ความรูความเขาใจในเร่ืองท่ีจะวิเคราะห หมายถึง เราจะวิเคราะห์ได้ดีนั้นต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจพนื้ ฐานของเร่ืองน้ัน เพราะความรจู้ ะชว่ ยกาหนดขอบเขตของการวิเคราะห์แจกแจง และจาแนก
44 ได้ว่าเรื่องนั้นเก่ียวข้องกับเร่ืองใด มีองค์ประกอบย่อยๆ อะไรบ้าง มีกี่หมวดหมู่ จัดลาดับความสัมพันธ์ อยา่ งไร และรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ 3) ความชางสังเกต ช่างสงสัย ชางถาม หมายถึง นักคิดวิเคราะห์ต้องมีองค์ประกอบท้ัง 3 นี้ ร่วมด้วย เพราะจะนาไปสู่การสืบค้นความจริง และเกิดความชัดเจนในประเด็นท่ีต้องการวิเคราะห์ ขอบเขตของคาถามท่ีเก่ียวของกับการคิดวิเคราะหจะยึดหลัก 5W 1H คือ ใคร (Who) อะไร (What) ท่ี ไหน (Where) เมอ่ื ไร (When) เพราะเหตใุ ด (Why) อยางไร (How) 4) ความสามารถในการหาความสมั พันธเชิงเหตุผล หมายถึง ความสามารถในการใช้เหตผุ ล จาแนกแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นความจริง ส่ิงใดเป็นความเท็จ สิ่งใดมีรายละเอียดท่ีสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน อยา่ งไร จากการรวบรวมเอกสารเกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎีและองคป์ ระกอบการคิดวเิ คราะห์ ผูว้ จิ ัยจึง นาทฤษฎีการคิดวิเคราะห์ของมาร์ซาโน มาเป็นแนวทางในศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งประกอบด้วย ทักษะด้านการจาแนก การจัดหมวดหมู่ การเช่ือมโยง การสรุปความ และการพยากรณ์สิ่งที่ภายใต้ หลักการและเหตผุ ลทนี่ า่ เชอ่ื ถอื 2.5 กระบวนการคิดวิเคราะห์ สวุ ทิ ย์ มูลคา (2548: 19) กล่าววา่ กระบวนการคดิ วเิ คราะห์ ประกอบด้วย 5 ขัน้ ตอนดงั น้ี ข้ันที่ 1 กาหนดสิ่งท่ีต้องการวเิ คราะห์ เป็นการกาหนดวัตถุส่ิงของ เรอื่ งราว เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ข้ึนมาเพ่ือเป็นต้นเร่ืองที่จะใชว้ ิเคราะห์ เช่น พืช สัตว์ หิน ดิน รูปภาพ บทความ เร่ืองราว เหตุการณ์ หรือ สถานการณจ์ ากข่าว ของจริงหรือสือ่ เทคโนโลยีต่างๆ เป็นตน้ ข้นั ที่ 2 กาหนดปญั หาหรือวตั ถปุ ระสงค์ เปน็ การกาหนดประเด็นข้อสงสัยจากปัญหาของส่ิงที่ ตอ้ งการวิเคราะห์ ซ่ีงอาจจะเปน็ คาถามหรอื การกาหนดวัตถุประสงค์ของการวิเคราะหเ์ พ่ือคน้ หาความจริง สาเหตุหรือความสาคญั เชน่ ภาพนี้ บทความน้ี ตอ้ งการส่ือหรอื บอกอะไรทส่ี าคัญทส่ี ุด ข้ันท่ี 3 กาหนดหลักการหรือกฎเกณฑ์ เป็นการกาหนดข้อกาหนดสาหรับใช้แยก สว่ นประกอบ ของสิง่ ทีก่ าหนดให้ เช่น เกณฑใ์ นการจาแนกสิ่งที่มีความเหมือนหรือแตกต่างกัน หลักเกณฑ์ ในการหา ลักษณะความสัมพันธ์เชิงเหตุผล อาจเป็นลักษณะความสัมพันธ์ที่มีความคล้ายคลึงกันหรือ ขดั แยง้ กนั ขั้นท่ี 4 พิจารณาแยกแยะ เป็นการพินิจ พิเคราะห์ทาการแยกแยะ กระจายส่ิงที่กาหนด ให้ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ โดยอาจใช้เทคนิคคาถาม 5W 1H ประกอบด้วย What (อะไร) Where (ท่ีไหน) When (เม่อื ไร) Why (ทาไม) Who (ใคร) และ How (อยา่ งไร)
45 ข้ันที่ 5 สรุปคาตอบ เป็นการรวบรวมประเด็นที่สาคัญเพ่ือหาข้อสรุปเป็นคาตอบหรือตอบ ปัญหาของสง่ิ ที่กาหนดให้ ประพนั ธ์ศิริ สุเสารจั (2551: 54) กลา่ วว่า การคดิ วิเคราะหเ์ ปน็ การคดิ ระดบั สูงการคิดจึงเป็น กระบวนการ ซ่งึ มขี ้นั ตอนตา่ ง ๆ) ดังนี้ 1) กาหนดส่ิงท่ีจะวิเคราะห์ว่าจะวิเคราะห์อะไร กาหนดขอบเขตและนิยามของส่ิงที่จะ คิด ให้ชัดเจน เช่น จะวิเคราะห์ปัญหาส่ิงแวดล้อม ปัญหาสิ่งแวดล้อม หมายถึง ปัญหาเก่ียวกับขยะที่ เกิดขึ้น ในโรงเรยี นของเรา 2) กาหนดจุดมุ่งหมายของการวิเคราะห์ว่าต้องการวิเคราะห์เพื่ออะไร เช่น เพ่ือจัดอันดับ เพื่อหาเอกลักษณ์ เพื่อหาขอ้ สรปุ เพอ่ื หาสาเหตุ เพอ่ื หาแนวทางแก้ไข เปน็ ตน้ 3) พิจารณาข้อมูลความรู้ ทฤษฎี หลักการ กฎเกณฑ์ท่ีใช้ในการวิเคราะห์ว่าจะใช้ หลักการใด เป็นเครอื่ งมือในการวิเคราะห์และจะใชห้ ลักความรนู้ ั้น ควรใชใ้ นการวเิ คราะห์อย่างไร เชน่ จาแนกหรือจัด หมวดหมู่ของส่ิงต่างๆ ที่อยู่ในห้องเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม จะใช้เกณฑ์อะไรจาแนก เช่น เกณฑ์ส่ิงมีชีวิตกับ ไมม่ ีชวี ิตหรอื เกณฑส์ ง่ิ ทเี่ กดิ ขึน้ เองตามธรรมชาตหิ รือไม่ได้เกดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติ เป็นตน้ 4) สรุปและรายงานผลการวเิ คราะห์ไดเ้ ป็นระบบระเบยี บชัดเจน ทิพอาภา ฉิมสุวรรณ์ (2552: 70-72) กระบวนการคิดวิเคราะห์ เป็นการแสดงให้เห็น จุดเริ่มต้น สิ่งที่สืบเนื่องหรือเช่ือมโยงสัมพันธ์กันในระบบการคิด และจุดสิ้นสุดของการคิด โดย กระบวนการคิดวิเคราะห์มีความสอดคล้องกับองค์ประกอบเรื่องความสามารถในการให้เหตุผลอย่าง ถกู ต้อง รวมทั้งเทคนคิ การตั้งคาถามจะต้องเข้าไปเกีย่ วข้องในทุก ๆ ขั้นตอนดังนี้ ขน้ั ที่ 1 ระบหุ รือทาความเข้าใจกบั ประเด็นปัญหา ผทู้ ่ีจะทาการคิดวิเคราะห์จะต้อง ทาความ เข้าใจปัญหาอย่างกระจ่างแจง้ ด้วยการต้ังคาถามหลาย ๆ คาถาม เพ่ือให้เข้าใจปัญหาต่างๆ ที่กาลังเผชิญ อยู่น้ันอย่างดีที่สุด ตัวอย่างคาถาม เช่น ปัญหานี้เป็นปัญหาท่ีสาคัญท่ีสุดของบ้านเมืองใช่หรือไม่ (ความสาคัญ) ยังมีปัญหาอื่น ๆ ที่สาคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันอีกหรือไม่ (ความสาคัญ) ทราบได้อย่างไรว่า เรื่องนี้เปน็ ปัญหาทสี่ าคัญที่สุด (ความชดั เจน) ข้ันท่ี 2 รวบรวมขอ้ มูลที่เก่ยี วขอ้ งกับปญั หา ในข้ันนผ้ี ทู้ ีจ่ ะทาการคดิ วิเคราะห์จะตอ้ ง รวบรวม ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น จากการสังเกต จากการอ่าน จากข้อมูลการประชุม จากข้อเขียน บันทึกการ ประชุม บทความ จากการสมั ภาษณ์ การวิจัย และอื่น ๆ การเกบ็ ขอ้ มูลจากหลายๆ แหลง่ และด้วยวธิ ีการ หลายๆ วธิ จี ะทาใหไ้ ดข้ ้อมูลทส่ี มบรู ณ์ ชดั เจน และมีความเที่ยงตรง ขั้นที่ 3 พิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล หมายถึง ผู้ท่ีคิดวิเคราะห์พิจารณาความถูกต้อง เที่ยงตรงของส่ิงทนี่ ามาอ้างรวมท้งั การประเมินความพอเพียงของข้อมลู ท่ีจะนามาใช้
46 ขั้นท่ี 4 การจัดข้อมูลเข้าเป็นระบบ เป็นขั้นที่ผู้คิดจะต้องสร้างความคิด ความคิดรวบยอด หรือสร้างหลักการข้ึนให้ได้ด้วยการเริ่มต้นจากการระบุลักษณะของข้อมูล แยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น จัดลาดับความสาคัญของข้อมูล พิจารณาขีดจากัดหรือขอบเขตของปัญหารวมท้ังข้อตกลง พื้นฐานการ สงั เคราะห์ข้อมลู เขา้ เปน็ ระบบและกาหนดข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ข้นั ที่ 5 ต้งั สมมติฐาน เป็นขั้นทนี่ ักคิดวิเคราะห์จะต้องนาข้อมลู ทีจ่ ัดระบบระเบียบ แล้วมาตั้ง เป็นสมมติฐานเพ่ือกาหนดขอบเขตและการหาข้อสรุปของข้อคาถาม หรือปัญหาที่กาหนดไว้ซ่ึง จะต้อง อาศัยความคิดเช่ือมโยงสัมพันธ์ในเชิงของเหตุผลอย่างถูกต้อง สมมติฐานท่ีตั้งขึ้นจะต้องมีความ ชัดเจน และมาจากขอ้ มูลทถี่ ูกต้องปราศจากอคติหรือความลาเอยี งของผทู้ ี่เกย่ี วข้อง ข้ันที่ 6 การสรุป เป็นข้ันตอนของการลงความเห็น หรือการเชื่อมโยงสัมพันธร์ ะหว่าง เหตุผล กับผลอย่างแท้จริง ซ่ึงผู้คิดวิเคราะห์จะต้องเลือกพิจารณาเลือกวิธีการท่ีเหมาะสมตามสภาพ ของข้อมูลท่ี ปรากฏ โดยใช้เหตุผลทั้งทางตรรกศาสตร์ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และพิจารณาถึงความ เป็นไปได้ตาม สภาพเปน็ จรงิ ประกอบกนั ข้ันที่ 7 การประเมินข้อสรุป เป็นข้ันสุดท้ายของการคิดวิเคราะห์ เป็นการประเมินความ สมเหตุสมผลของการสรุป และพิจารณาผลสืบเน่ืองที่จะเกิดขั้นต่อไป เช่น การนาไปประยุกต์ใช้ ใน สถานการณ์จรงิ หรอื การแกป้ ญั หาท่เี กิดขึ้นจริงๆ สรุปได้ว่ากระบวนการคิดวิเคราะห์มีขั้นตอนที่เร่ิมจากการกาหนดส่ิงท่ีต้องการวิเคราะห์ซึ่ง เป็นส่ิงกระตุ้นกระบวนการคิด การทาความเข้าใจกับสิ่งท่ีจะทาการวิเคราะห์ด้วยการต้ังคาถามเพ่ือหา คาตอบในประเด็นท่ีถามให้เกิดความเข้าใจกระจ่างชัด กาหนดกฎเกณฑ์ซึ่งใช้เป็นข้อกาหนดสาหรับแยก ส่วนประกอบ หาความสัมพันธ์ของส่ิงท่ีวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับปัญหา พิจารณาความ น่าเช่ือถือของข้อมูล นาข้อมูลท่ีจัดระบบระเบียบแล้วมาตัง้ เป็นสมมติฐานเพื่อกาหนดขอบเขตและการหา ขอ้ สรุปของข้อคาถามหรือปัญหาทกี่ าหนดไว้ การสรปุ และประเมินข้อสรุปวา่ สมเหตสุ มผลหรอื ไม่ 2.6 ประโยชนข์ องการคิดวเิ คราะห์ จากการศึกษาประโยชนของการคิดวเิ คราะห ของนักการศึกษาหลายทานไดเสนอ แนวคิดไวดังน้ี เกรียงศักด์ิ เจริญวงศศักด์ิ (2553) ไดเสนอ แนวคดิ เกี่ยวกับประโยชนการคิดวเิ คราะห ดังน้ี 1) ชวยสงเสริมความฉลาดทางสติปญญา คนเราจะเฉลยี วฉลาดน้นั ตองประกอบไปดวยความ ฉลาด 3 ดาน ไดแก ความฉลาดในการสรางสรรค (Creative intelligence) ความฉลาดในการคิด วิเคราะห (Analytical intelligence) และความฉลาดในการปฏิบัติ (Practical intelligence) โดยใน สวนของความฉลาดในการวิเคราะห์น้ันหมายถึง ความสามารถในการวิเคราะหและประเมินแนวคิดท่ีคิดข้ึน
47 ความสามารถในการคิดนามาใชแกปญหา และความสามารถในการตัดสินใจ โดยธรรมชาติคนเราจะมีจุดออน ดานความสามารถทางการคดิ หลายประการ การคิดเชิงวิเคราะหจะชวยเสรมิ จดุ ออนทางความคดิ เหลานี้ 2) ชวยใหคานงึ ถึงความสมเหตุสมผลของขนาดกลุมตวั อยาง ในการสรุปเรื่องตาง ๆ เรามกั ไมได คานงึ ถึงจานวนขอมูลท่ีสามารถบงชี้ความสมเหตุสมผลของเร่ืองน้ัน แตมักจะดวนสรุปส่ิงตาง ๆ ไปตามอารมณ ความรูสึก หรือเหตุผลที่ตนมีอยู ซึ่งยังไมเพียงพอท่ีจะพิสูจน์ ขอเท็จจริงของส่ิงนั้น เรามักจะเห็นตัวอยาง เพยี ง 2 – 3 ตัวอยาง แลวดวนสรุป 3) ชวยลดการอางประสบการณสวนตัวเปนขอสรุปท่ัวไป การสรุปเรือ่ งตาง ๆ ในหลายเรื่อง 4) ชวยตรวจสอบการคาดคะเนบนฐานความรูเดิมในหลาย ๆ เร่ืองทเ่ี ราจะสรปุ ตามความรู ความเขาใจของเราเก่ียวกับการคาดการณความนาจะเปนของสิ่งนน้ั ในอนาคต มิใชบนพื้นฐานขอมลู ท่ี ปรากฏตอการคาดการณบนพื้นฐานความจริงท่ีรับรู้เกี่ยวกับเรอื่ งนัน้ 5) ชวยในการแกปญหาการคิดวิเคราะหเกีย่ วของกับการจาแนกแยกแยะ องคประกอบตาง ๆ และการทาความเขาใจในสง่ิ ที่เกดิ ข้นึ ดังนน้ั จงึ ชวยเราในเวลาทพ่ี บปญหาใด ๆ ใหสามารถวิเคราะหได้วา่ ปญหาน้ันมีองคประกอบอะไรบาง เพราะเหตุใดจงึ เปนเชนน้นั ซ่ึงจะนาไปสูการแกปญหาไดอยางตรง ประเดน็ ปญหา 6) ชวยในการประเมินและตัดสินใจ การวิเคราะหจะชวยใหเรารูขอเทจ็ จริงหรือเหตผุ ล เบือ้ งหลังของสิง่ ท่ีเกิดขึน้ ทาใหเกดิ ความเขาใจ และทีส่ าคัญคือจะชวยใหเราไดขอมูล เปนฐานความรูใน การนาไปใชใหเกดิ ประโยชน การวิเคราะหยังชวยใหเราสามารถประเมนิ สถานการณและตัดสนิ ใจในเร่ือง ตา่ งๆ ได้อย่างแม่นยา การที่เรามีแตเพยี งขอเท็จจริงท่ีไมไดผ้ านการวิเคราะห และทาใหเรารูสาเหตุของปญหา เหน็ โอกาสของความนาจะเปนในอนาคต 7) ชวยใชความคดิ สรางสรรคสมเหตุสมผล การคิดวิเคราะหชวยใหการคิดตาง ๆ ของเราอยู บนฐานของตรรกะและความนาจะเปนไปไดอยางมเี หตผุ ล มีหลกั เกณฑ สงผลใหการคิด จนิ ตนาการ หรอื สรางสรรคสงิ่ ใหม ๆ ไดรบั การตรวจสอบวาความคิดใหมน้ันใชไดจรงิ หรือไม และถาจะใชไดจริงต้องเป็น เช่นใด แลวมีการเชื่อมโยงสัมพันธระหวางส่ิงทจ่ี นิ ตนาการกับการนามาใชในโลกแหงความเปนจริง สงิ่ ประดิษฐ มากมายทเ่ี ราพบเห็นในปจจบุ ันลวนเปนผลลพั ธอนั เกิดจากการวเิ คราะหวาใช้การไดกอนที่จะนามาใชจริง 8) ชวยใหเขาใจแจมกระจาง การคิดวเิ คราะหชวยใหเราประเมนิ และสรปุ ส่งิ ตางๆ บนข้อเทจ็ จริงที่ ปรากฏ ไมใชสรปุ ตามอารมณความรูสกึ หรือการคาดการณวาจะเปนเชนนน้ั เชนนี้ การคดิ วเิ คราะหทาให ไดรับขอมูลท่ีเปนจริงซึ่งจะเปนประโยชนตอการตัดสินใจ ที่สาคัญคือชวยให้เราไดเรียนรู้ในส่ิงต่างๆ ไดอยางเข าใจลึกซ้ึงมากขึ้น เพราะการวิเคราะหทาใหสงิ่ ที่คลุมเครือเกิดความกระจางชัด โดยสามารถแยกแยะ ส่ิง ดี – ไมดี ส่ิงท่ีถูกตอง – หลอกลวง โดยการสังเกตความผิดปกติของเหตุการณ พฤตกิ รรม หากเราคิดใครครวญ
48 ถึงเหตุและผลของส่ิงน้ันจนเพียงพอที่จะสรุปไดวาเรื่องน้ันมีความเปนมาอยางไร เท็จจริงอยางไร นอกจากนี้ การคิดวิเคราะหจะชวยนาไปสูความเขาใจในเรื่องท่ีมคี วามซับซอน สวุ ทิ ย มูลคา (2551: 39) ไดเสนอแนวคดิ เกี่ยวกับประโยชนของการคิดวเิ คราะห ดังนี้ 1) ชวยใหเรารูขอเท็จจริง รูเหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น เขาใจความเปนมาเปนไปของ เหตุการณตาง ๆ รูวาเร่ืองนั้นมีองคประกอบอะไรบาง ทาใหเราไดขอเท็จจริงที่เปนฐานความรูในการนา ไปใชในการตัดสินใจแกปญหาการประเมินและการตัดสินใจเรอ่ื งตาง ๆ ไดอยางถกู ตอง 2) ชวยใหเราสารวจความสมเหตุสมผลของขอมูลที่ปรากฏและไมดวนสรุปตามอารมณ ความรูสึกหรอื อคติ แตสบื คนตามหลกั การเหตุผลและขอมูลที่เปนจริง 3) ชวยใหเราไมดวนสรุปสิง่ ใดงาย ๆ แตส่ือสารตามความเปนจริง ขณะเดยี วกนั จะชวยให้ เราไมหลงเชือ่ ขออางที่เกิดจากตวั อยางเพียงอยางเดยี ว แตพิจารณาเหตผุ ลและปจจยั เฉพาะ ในแตละกรณีได 4) ชวยในการพิจารณาสาระสาคัญอื่น ๆ ที่ถูกบิดเบือนไปจากความประทับใจในครั้งแรก ทาใหเรามองอยางครบถวนในแงมุมอื่น ๆ ท่ีมอี ยู 5) ชวยพัฒนาความเปนคนชางสังเกต การหาความแตกตางของส่ิงท่ีปรากฏพิจารณาตาม ความสมเหตุสมผลของส่งิ ที่เกดิ ขึ้นกอนท่ีจะตัดสินสรปุ สิง่ ใดลงไป 6) ชวยใหเราหาเหตุผลท่ีสมเหตุสมผลใหกับสิ่งที่เกิดข้ึนจริง ณ เวลานั้น โดยไมพ่ึงพิงอคติ ท่ีกอตวั อยูในความทรงจา ทาใหเราสามารถประเมนิ สิง่ ตาง ๆ ไดอยางสมจรงิ สมจัง 7) ชวยประมาณการความนาจะเปน โดยสามารถใชขอมูลพื้นฐานที่เรามีวิเคราะห์รวมกับ ปจจยั อ่นื ๆ ของสถานการณ ณ เวลานน้ั อนั จะชวยเราคาดการณความนาจะเปน ไดสมเหตุสมผลมากกว่า 2.7 แนวทางการสอนให้นักเรยี นเกดิ ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ ดิลก ดิลกานนท์ (2543) ได้เสนอแนวทางการฝึกให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดวิเคราะห์ ซ่ึงมี ขัน้ ตอนดงั น้ี 1) วิเคราะห์ว่า อะไรคืออะไร ขั้นนี้นักเรียนต้องรวบรวมปัญหา หาข้อมูลพร้อมสาเหตุของ ปญั หาจากการคดิ การถาม การอา่ น หรือพิจารณาจากข้อเท็จจริงนั้นๆ 2) กาหนดทางเลือก เมื่อหาสาเหตุของปัญหานั้นได้แล้ว ผู้เรียนต้องหาทางเลือกเพ่ือ แก้ปัญหา โดยพิจารณาจากความเป็นไปได้และข้อจากัดต่าง ๆ ทางเลือกที่จะแก้ปัญหาน้ันไม่จาเป็นต้องมี ทางเลอื กทางเดียว อาจมที างเลอื กหลาย ๆ ทาง 3) เลอื กทางเลือกทเี่ หมาะสมทีส่ ดุ เป็นการพจิ ารณาทางเลือกท่ีใช้แก้ปัญหาน้ัน โดยมีเกณฑ์ การตดั สินใจที่สาคัญคือ ผลดผี ลเสยี ทเี่ กดิ จากทางเลือกน้ันทงั้ ทีเ่ กิดข้นึ ในด้านส่วนตวั และสังคมส่วนรวม 4) ตัดสินใจจาภายหลังจากได้มกี ารพิจารณาอยา่ งรอบคอบในขัน้ ตอนท่ี 3 แลว้ จึงตัดสินใจ
49 เลอื กทางเลือกท่ีคิดวา่ ดีทสี่ ุด หลังจากน้ันครูต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เสนอความคดิ ของเขาและอภปิ ราย ร่วมกนั ในกลมุ่ โดยครูต้องยอมรับความคดิ เห็นของทุกคนที่ตอบ ถา้ หากคาตอบของึผู้รียนมกี ารขัดแยง้ ขึ้น ในกลุ่ม ครูต้องเป็นผู้ตง้ั คาถามด้วยการให้คิดตอ่ ไปวา่ คาตอบใดก่อใหเ้ กิดผลในทางดีหรือไม่ดอี ยา่ งไรบา้ ง อะไรเป็นประโยชนต์ ่อตนเองและสังคมมากทสี่ ดุ 2.8 เทคนิคการสอนที่สง่ เสริมทักษะการคิดวเิ คราะห์ การสอนให้เกิดการคดิ แบบวเิ คราะห์ มุง่ หมายให้นักเรยี นคิดอยา่ งแยกแยะได้ และคิดไดอ้ ย่าง คล่องแคล่ว หรือมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ได้ข้ันแรก ครูผู้สอนต้องรู้จักความคิดแบบวิเคราะห์อย่างดี เสียก่อน ขั้นต่อๆ ไปจึงผสานการคิดแบบนี้เข้าไปในกระบวนการเรียนการสอนไม่ว่าจะใช้ระเบียบวิธีสอน เทคนิคการสอนแบบใด โดยแบ่งแนวทางการคิดในรูปกิจกรรมหรือคาถามให้พัฒนาการคิดแบบวิเคราะห์ ขึ้นในตวั นักเรียน การสอนการคิดวิเคราะห์ประกอบดว้ ย (เอนก อนกุ ลู บตุ ร, 2547) 1) การสอนการคิดวิเคราะห์แยกองค์ประกอบ (Analysis of elements) มุ่งให้นักเรียน คดิ แบบแยกแยะว่าสิง่ สาเรจ็ รปู หนงึ่ มอี งค์ประกอบอะไร มแี นวทางดังน้ี - วเิ คราะหช์ นดิ โดยมงุ่ ให้นักเรียนคิดและวินิจฉัยว่า บรรดาขอ้ ความ เรอ่ื งราวเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ใดๆ ท่ีพิจารณาอยู่น้ัน จัดเป็นชนิดใด ประเภทใด ลักษณะใด ตามเกณฑ์หรือหลักการใหม่ท่ี กาหนด เช่น เสียชีพอย่าเสียสัตย์ ให้นักเรียนคิด (ช่วยกันคิด) ว่าเป็นข้อความชนิดใด และเพราะอะไร ตามเกณฑท์ กี่ าหนดใหใ้ หม่เหมือนในตารา จดุ สาคัญของการสอนใหค้ ดิ แบบวิเคราะห์ชนิดกค็ ือ ต้องให้ เกณฑ์ใหมแ่ ละบอกเหตผุ ลที่จดั ชนิดตามเกณฑ์ใหมท่ ่ีกาหนด - วิเคราะห์สิ่งสาคัญ มุ่งให้คิดแยกแยะและวินิจฉัยว่าองค์ประกอบใด สาคัญหรือไม่สาคัญ เช่น ใหค้ น้ หาสาะสาคัญ แกน่ สาร ผลลัพธ์ ขอ้ สรปุ จุดเดน่ จดุ ดอ้ ย - วิเคราะห์เลศนัย มุ่งให้คิดค้นหาสิ่งท่ีพรางไว้ แฝงเร้นอยู่มิได้บ่งบอกไว้ตรงๆ แต่มีร่องรอย ส่งให้เหน็ ว่ามีความจริงนน้ั ซอ่ นอยู่ 2) การสอนการคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of relationships) มุ่งให้นักเรียนคิด แบบแยกแยะว่า มีองค์ประกอบใดสัมพันธ์กัน สัมพันธ์กันแบบใด สัมพันธ์ตามกันหรือกลับกัน สัมพันธ์กัน สูงตา่ เพียงไร มีแนวทางดงั นี้ - วิเคราะห์ชนิดความสัมพันธ์ มุ่งให้คิดแบบค้นหาชนิดของความสัมพันธ์ว่าสัมพันธ์แบบ ตามกันกลับกันไม่สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบกับองค์ประกอบ องค์ประกอบกับเรื่อง ทง้ั หมด เชน่ มุ่งใหค้ ิดแบบคน้ หาความสัมพนั ธร์ ะหว่างส่งิ ใดสอดคลอ้ งกับไมส่ อดคล้องกับเร่ืองนี้ คากล่าวใด สรปุ ผิด เพราะอะไร ขอ้ เทจ็ จรงิ ใดไมส่ มเหตสุ มผล เพราะอะไร - วเิ คราะห์ขนาดของความสมั พันธ์ โดยมงุ่ ให้คิดเพอื่ คน้ หาขนาด ระดบั ของความสมั พนั ธ์
50 เช่น ส่ิงน้ีเก่ยี วขอ้ งมากทส่ี ดุ (น้อยทสี่ ุด) กบั สิง่ ใด - วิเคราะห์ขั้นตอนของความสัมพันธ์ มุ่งให้คิดเพื่อค้นลาดับขั้นของความสัมพันธ์ในเรื่องใด เรื่องหน่ึงที่เป็นเร่ืองแปลกใหม่ เช่น สิ่งใดเป็นปฐมเหตุ ต้นกาเนิดของปัญหา เรื่องราว เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ส่งิ ใดเปน็ ผลท่ตี ามมา ผลสุดทา้ ยของเร่ืองราว เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ - วเิ คราะห์วัตถปุ ระสงค์และวิธีการ ม่งุ ใหค้ ิดและค้นว่าการกระทา พฤติกรรมมเี ปา้ หมาย อะไร เชน่ ให้คิดและค้นหาว่า การกระทานน้ั เพื่อบรรลผุ ลอะไร ผลคือเกิดวินยั ในตนเอง ความไพเราะของ ดนตรีข้ึนอยู่กับอะไร ขึ้นอยู่กับจังหวะ ความตอนที่...เกี่ยวข้องอย่างไรกับวัตถุประสงค์ของเร่ือง ผลคือ สนับสนนุ หรือขยายความ - วิเคราะห์สาเหตุและผลท่ีเกิดตามมา มุ่งให้คิดแบบแยกแยะให้เห็นความสัมพันธ์เชิง เหตผุ ล ซง่ึ เปน็ ยอดปรารถนาประการหนึ่งของการสอนให้คิดเปน็ คอื คดิ หาเหตแุ ละผลได้ดีเชน่ ใหค้ ดิ และ คน้ หาวา่ สงิ่ ใดเปน็ ผลของ........(สาเหตุ) สิง่ ใดเปน็ เหตขุ อง ............. (ผล) - วิเคราะห์แบบความสัมพันธ์ โดยให้ค้นหาแบบความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ส่ิงแล้วบอก แบบความสัมพันธ์นนั้ หรอื เปรียบเทียบกับความสมั พันธค์ ู่อน่ื ๆ ท่คี ล้ายกนั 3) การสอนคิดวิเคราะหห์ ลกั การ (Analysis of organizational principles ) ม่งุ ใหน้ ักเรียน คดิ อยา่ งแยกแยะจนจบั หลกั การไดว้ ่า ส่ิงสาเรจ็ รูปคมุ องคป์ ระกอบตา่ งๆ อยู่ในระบบใด คอื หลกั การอะไร ขั้นตอนการวเิ คราะห์หลักการต้องอาศัยการวเิ คราะห์ขั้นต้น คอื การวิเคราะห์องค์ประกอบ และวิเคราะห์ ความสัมพันธเ์ สียก่อน กลา่ วคือ ตอ้ งแยกแยะสิ่งสมบูรณห์ รือระบบใหเ้ ห็นว่าองค์ประกอบสาคัญมหี นา้ ท่ี อยา่ งไร และองค์ประกอบเหล่านัน้ เกยี่ วขอ้ งพาดพิง อาศยั สัมพันธ์กันอยา่ งไร พิจารณาจนรคู้ วามสัมพนั ธ์ ตลอดจนสามารถสรุป จับหัวใจหรอื หลกั การได้วา่ การทท่ี ุกส่วนเหล่าน้ันสามารถทางานร่วมกัน เกาะกลุ่มกัน คมุ กนั จนเป็นระบบอยู่ได้ เพราะหลกั การใด ผลทีไ่ ด้เป็นการวเิ คราะห์หลักการ (Principle) ซึ่งเป็นแบบ วิเคราะห์การสอนให้คดิ แบบวิเคราะห์หลักการเน้นการสอนวิเคราะหด์ ังน้ี - วิเคราะหโ์ ครงสรา้ ง มุง่ ให้นกั เรียนคิดแบบแยกแยะแล้วค้นหาโครงสรา้ งของส่ิงสาเร็จรปู นั้น ไมว่ า่ จะเป็นปัญหาใหม่ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ข้อความ การทดลอง - วเิ คราะห์หลกั การ มงุ่ ให้นกั เรยี นคิดแบบแยกแยะแลว้ ค้นหาความจรงิ แมบ่ ทของส่ิงน้ัน เรื่องราวนั้น สง่ิ สาเร็จรปู นัน้ โดยการคดิ หาหลักการ ชาตรี สาราญ (2548) ไดก้ ล่าวถึง เทคนคิ การปูพน้ื ฐานใหน้ กั เรยี นคิดวเิ คราะหไ์ ด้ มดี ังน้ี 1) ครจู ะต้องฝกึ ให้เด็กหัดคิดตั้งคาถาม โดยยึดหลกั สากลของคาถาม คือ ใคร ทาอะไร ท่ี ไหน เม่ือไร เพราะเหตุใด อย่างไร โดยการนาสถานการณ์มาให้นักเรียนฝึกค้นคว้าจากเอกสารท่ีใกล้ตัว หรือส่ิงแวดลอ้ ม เปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นตงั้ คาถามเอง โดยสอนวธิ ตี ั้งคาถามแบบวิเคราะหใ์ นเบือ้ งตน้
51 2) ฝกึ หาความสมั พันธ์เชิงเหตผุ ล โดยอาศัยคาถามเจาะลึกเข้าไป โดยใช้คาถามท่ีช้ีบง่ ถงึ เหตุและผลกระทบที่จะเกิด ฝึกจากการตอบคาถามง่าย ๆ ท่ีใกล้ตัวนักเรียนจะช่วยให้เด็ก ๆ นาตัวเอง เชื่อมโยงกับเหตุการณ์เหล่าน้ันได้ดี ท่ีสาคัญครูจะต้องกระตุ้นด้วยคาถามย่อยให้นักเรียนได้คิดบ่อย ๆ จน เปน็ นิสัย เป็นคนชา่ งคิด ชา่ งถาม ชา่ งสงสัยกอ่ น แล้วพฤตกิ รรมศึกษาวเิ คราะห์กจ็ ะเกิดข้นึ แก่กเรียน สวุ ิทย์ มูลคา (2548) ได้กลา่ วถึงเทคนิคการวิเคราะห์ไว้ดังน้ี การคิดวิเคราะห์เป็นการใช้สมอง ซีกซา้ ยเปน็ หลัก เน้นคดิ เชงิ ลึกจากเหตไุ ปสผู่ ลเช่ือมโยงความสมั พันธใ์ นเชงิ เหตุผลเชงิ เงอื่ นไข การจดั ลาดบั ความสาคัญและเชิงเปรียบเทียบ แต่เทคนิคที่ง่ายคือ 5 W 1H เป็นท่ีนิยมใช้คาตอบ What (อะไร) Where (ทไ่ี หน) When (เมือ่ ไร) Why (ทาไม) Who (ใคร) How(อยา่ งไร) ชดั เจนในแต่ละเรื่อง ทาใหเ้ กิดความครบถ้วน สมบูรณ์ นยิ มใช้ เทคนคิ คาถามในชว่ งตน้ หรือช่วงเริ่มต้นการวิเคราะห์ วรี ะ สดุ สงั ข์ (2550) ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า วธิ ีการคดิ สามารถฝึกสมองใหม้ ที กั ษะการคิดวิเคราะหใ์ ห้ พฒั นาขนึ้ สามารถฝกึ ตามขน้ั ตอนไดด้ งั น้ี 1) กาหนดสง่ิ ที่ต้องการวิเคราะห์ เป็นการกาหนดวตั ถุ ส่งิ ของ เรอ่ื งราวหรือเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ขน้ึ มาเพอ่ื เป็นตน้ เรือ่ งท่จี ะใช้วิเคราะห์ 2) กาหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์ เป็นการกาหนดประเด็นสงสัยจากปัญหาหรือสิ่งท่ี วิเคราะห์ อาจจะกาหนดเปน็ คาถามหรอื กาหนดวตั ถุประสงค์การวเิ คราะห์ เพอ่ื คน้ หาความจริงสาเหตหุ รือ ความสาคญั 3) กาหนดหลักการหรอื กฎเกณฑ์ เพื่อใช้แยกสว่ นประกอบของสิง่ ท่ีกาหนดให้ เช่นเกณฑ์ ในการจาแนกส่ิงทมี่ ีความเหมือนกันหรอื แตกตา่ งกัน 4) กาหนดการพิจารณาแยกแยะ เป็นการกาหนดการพินิจพิเคราะห์ แยกแยะ และ กระจายสิ่งท่ีกาหนดให้ออกเป็นส่วนย่อย ๆ โดยอาจใช้เทคนิคคาถาม 5 W 1 H ประกอบด้วย What (อะไร) Where (ท่ไี หน) when (เมอ่ื ไร) why (ทาไม) who (ใคร) และ how (อยา่ งไร) 5) สรุปคาตอบ เป็นการรวบรวมประเด็นที่สาคัญเพ่ือหาข้อสรุปเป็นคาตอบหรือตอบ ปญั หาของสงิ่ ท่กี าหนดให้ สุวัฒน์ วัฒนานนท์ (2552: 64-66) ได้นาเสนอเทคนิคการสอนท่ีส่งเสริมทักษะในการคิด ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ โดยสรปุ คอื 1) เทคนิคการใช้ผังกราฟฟิก (Graphic organizer instruction) เพ่ือจดั เน้ือหาสาระ ต่างๆ ให้เปน็ ระบบระเบยี บ อย่ใู นรูปท่ีอธิบายใหเ้ ขา้ ใจ การสรา้ งผงั กราฟฟกิ มรี ูปแบบต่างๆ ดงั นี้ - ผังความคิด (Mind map) แสดงความสัมพันธข์ องสาระต่างๆ ให้เหน็ โครงสรา้ งภาพรวม
52 - แผนท่ีมโนทัศน์ (Concept mapping) พัฒนาโดยโนวาค โดยพัฒนาข้ึนตาม แนวคิดของทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นผังท่ีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ใหญ่และ มโนทัศน์ย่อย เป็นลาดับข้ันด้วยเส้นเช่ือมโยง ผังมโนทัศน์เป็นเครื่องมือที่ช่วยสะท้อนแผนผังความเข้าใจ อย่างมคี วามหมายของผเู้ รยี น เปน็ การเช่ือมโยงแนวคิดหลักตา่ งๆ โดยการใช้คาสอื่ ความหมายทค่ี รอบคลุม สาระในแนวคิดนั้นๆ มีการจัดลาดับความคิดและเช่ือมโยงกันเป็นลาดับชั้นหรือเครือข่าย เป็นเคร่ืองมือ สาคัญในการช่วยสร้างความเข้าใจโครงสร้าง และความสัมพันธ์ของสาระความรู้ท่ีผู้เรียนได้จากการเรียน หรือศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเอง ส่งผลให้ผูใ้ ชม้ คี วามเขา้ ใจแนวคิดน้นั ๆ ไดอ้ ย่างชดั เจนมากข้ึน - ผงั ใยแมงมุม (Spider map) เปน็ ผังท่ีแสดงส่วนประกอบของเรือ่ งตา่ งๆ ทีค่ ิด - ผงั กา้ งปลา (Fishbone map) เป็นผงั ทแ่ี สดงสาเหตุหลกั และสาเหตยุ ่อยของปัญหา - ผังลาดบั ข้นั ตอน (Sequential map) เปน็ ผังที่แสดงลาดบั ขน้ั ของสิง่ ต่างๆ - ผังวฎั จักร (Circle map) เปน็ ผงั ทแี่ สดงองค์ประกอบต่างๆ ทม่ี ีความสมั พนั ธ์กันใน ลกั ษณะทีเ่ ปน็ วงกลมไม่มจี ุดสิน้ สดุ - ผังวงกลมมซ้อน (Overlapping map) เปน็ ผังทีใ่ ช้นาเสนอสิ่งตา่ งๆ มากกว่า 2 สง่ิ ซ่ึงมีทัง้ ความเหมอื นหรอื ความต่างกัน 2) เทคนิคการใช้คาถาม (Questioning) เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดใน ลกั ษณะต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม ครทู าความเขา้ ใจในการคดิ ลักษณะต่างๆ และตั้งคาถามเพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนได้คิด ตดั สินใจในลกั ษณะนน้ั ๆ เชน่ คิดคล่อง คิดละเอยี ด คดิ อยา่ งมเี หตผุ ล 3) การระดมสมอง (Brain storming) เพ่ือช่วยให้ได้ความคิดจานวนมากใช้ในการคิด ต่างๆ เช่นคิดแก้ปัญหา โดยครูชี้แจงปัญหาอย่างละเอียด ให้สมาชิกคิดวิธีการแก้ปัญหา โดยไม่มีการ วิพากษ์วิจารณ์ความคิดท้ังของตนและผู้อ่ืน แต่พยายามหาคาตอบที่แปลกแตกต่างกันออกไป เพ่ือให้ได้ คาตอบทสี่ ุด เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2553) กลา่ วว่า เทคนคิ การต้ังคาถามอยใู่ นขอบขา่ ย “5 Ws 1H” การคิดเชิงวิเคราะห์แท้จริงคือ การตอบคาถามที่เก่ียวข้องกับความสงสัยใคร่รู้ของผู้ถาม เมื่อเห็นส่ิงหนึ่ง ส่งิ ใดแลว้ อยากรู้เก่ียวกบั ส่ิงนน้ั มากข้นึ ในแงม่ ุมตา่ งๆ เพ่อื ใหไ้ ด้ข้อเท็จจรงิ ใหม่ๆ ความเข้าใจใหมๆ่ อนั เปน็ ประโยชน์ต่อการอธิบาย การประเมินการแก้ปัญหาขอบเขตของคาถามเชิงวิเคราะห์และการตัดสินใจที่ รอบคอบมากขึ้น ขอบเขตของคาถามเชิงวิเคราะห์เก่ียวกับการจาแนกแจกแจงองค์ประกอบ และการหา ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างเร่ืองท่ีวิเคราะห์ โดยใช้คาถามในขอบข่าย “ 5 Ws 1H” เพื่อนาไปสู่การ ค้นหาความจริงในเรื่องนั้นๆทุกแงท่ ุกมุม โดยต้งั คาถาม ใคร (Who) ... ทาอะไร (What) ... ท่ีไหน (Where) ... เมอ่ื ไร (When)…. ทาไม (Why)… อย่างไร (How)….
53 สรปุ ไดว้ ่าการพฒั นาทกั ษะการคิดวิเคราะหท์ าไดโ้ ดยการดาเนินการจดั การเรยี นรู้ เทคนิคการ สอนตามขั้นตอนอย่างมีระบบจะช่วยให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ประสบผลสาเร็จตามความมุ่งหมาย ตามลาดับขั้นตอน เร่ิมจากการให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาสาระท่ีเป็นพ้ืนฐานในเรื่องน้ันเพื่อ นาไปสู่การคดิ วเิ คราะห์ มกี ารใช้สงิ่ เรา้ ในรปู แบบหรอื วธิ กี ารต่างๆ ท่ีกระตุ้นให้เกดิ ความคิด มกี ารเชอ่ื มโยง สิ่งเร้ากับการตอบสนองของการคิดโดยฝึกคิด ฝึกต้ังคาถาม เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นคว้าหาคาตอบ ฝึก ทกั ษะกระบวนการคดิ วิเคราะห์แตล่ ะขนั้ ตอน การแยกแยะ จดั กลุ่ม เชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ตามหลกั การ มี การระดมความคิดให้เกิดการหาคาตอบที่แตกต่างกันไป เพ่ือให้ได้คาตอบท่ีดีท่ีสุดภายใต้ข้อมูลที่เป็นเหตุ และผลท่ีถูกต้องและน่าเช่ือเถือมากท่ีสุด โดยผู้สอนต้องกาหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการคิด วิเคราะห์ รวมถึงผลลัพธ์ที่เกิดขน้ึ จากการวิเคราะห์ให้ชดั เจน และผสู้ อนสามารถประเมนิ พฤติกรรมการคิด วิเคราะหผ์ เู้ รยี นตามข้ันตอนของกระบวนการคดิ วิเคราะห์ทจี่ ดั ให้กบั ผูเ้ รยี น ตอนท่ี 3 กระบวนการกลุ่ม 3.1 ความหมายกระบวนการกล่มุ (Group process) ฮเู บิร์ด (Hubert, 1959: 10 อ้างถึงใน รัชนี ศิลป์ศร 2542: 34) ได้ให้ความหมายของ กระบวนการกลุ่มไว้ว่า เป็นกระบวนการท่ีให้ก่อให้เกิดแรงผลักดัน ท่ีเกิดจากบุคคลตั้งแต่ 2 คนข้ึนไป มา รวมตัวกันโดยมีความสมั พนั ธ์ มกี ารสอื่ ความหมาย และมกี ารปรบั ตัวเข้าหากนั ซ่ึงกอ่ ให้เกิดพลังขึ้นในกลุ่ม ขนาดของพลังจะมากหรือน้อยต่างกันไปตามสภาพการณ์ของแต่ละกลุ่ม โดยผู้เรียนต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในประสบการณท์ ี่ผ้สู อนจัดให้ และวเิ คราะห์ประสบการณจ์ ากการเรยี นการสอน คมเพชร ฉัตรศภุ กุล (2546: 7) ใหค้ วามหมายของกระบวนการกลุ่ม เปน็ ปฏสิ มั พันธ์ท่ีเกิดขึ้น ภายในกลุ่มอย่างเสรี โดยที่สมาชิกแต่ละคนจะมีสว่ นกระตุ้นให้ผู้อ่ืนได้ใช้ความสามารถของตนเอง สาหรบั ผู้นาของกลุ่มจะแนะแนวทางของการมีปฏิสัมพันธ์เพื่อให้กลุ่มไปสู่จุดมุ่งหมายตามความต้องการของกลุ่ม และของบุคคล ในการแก้ไขปัญหาของกลุ่มสมาชิกจะใช้ความสามารถของตนเองในการเลือกจุดมุ่งหมาย ของกลมุ่ ชูชีพ เยาวพฒั น์ม (2553: 9) ได้ให้ความหมายกระบวนกลุ่ม เปน็ ทรี่ วมแห่งประสบการณ์ของ บุคคลหลายๆ ฝ่าย ท่ีมาพบปะกันด้วยในความรู้สึกพึงพอใจในความสัมพันธ์กันและกัน เรียกว่าเกิด ปฏิสมั พันธ์ (Interaction) การปฏสิ ัมพันธน์ ้ี สามารถช่วยใหค้ ้นพบวิธแี ก้ปัญหาทนี่ า่ พอใจร่วมกนั ทาให้แต่ ละคนไดม้ โี อกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกัน สว่ นผลลพั ธป์ ระการต่อมาก็คอื ทาให้แต่ ละคนเป็นแรงจูงใจให้กันและกัน ซึ่งผลรวมของประสบการณ์ย่อมเกิดเป็นพลังของกลุ่ม ดังน้ันสมาชิกแต่
54 ละคนจะเกิดความรู้สึกในความสาเร็จในการดาเนินงานร่วมกัน ซ่ึงนับเป็นความรู้สึกอย่างหน่ึงท่ีถือได้ว่า เปน็ ที่มาแหง่ ความพึงพอใจ จากการทบทวนเอกสารขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ กระบวนการกลุ่มหมายถึง กระบวนการทางานท่ี เกดิ จากการทางานร่วมกันของบุคคลต้ังแต่ 2 คนขึ้นไป โดยทส่ี มาชิกกลุ่มมกี ารสร้างความสัมพันธ์ตอ่ กันใน กลุ่ม มีการทางานอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้การปฏิบัติงานร่วมกันของสมาชิกในกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุผลสาเร็จตามที่กาหนดไว้ โดยสมาชิกในกลุ่มมีการกาหนดเป้าหมาย การวางแผนการทางานร่วมกนั เรยี นรู้ร่วมกัน อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ ซง่ึ กันและกนั เพอ่ื ให้งานสาเรจ็ ตามเป้าหมาย 3.2 ความสาคัญของกระบวนการกลมุ่ กรมวิชาการ (2543: 155-156) ให้ความสาคัญกับกระบวนการกลุ่มว่าเป็นกระบวนการที่ใช้ ในการสอนที่ช่วยพัฒนาการเรียนการสอน และแก้ปัญหาการเรียนการสอนตามที่หลักสูตรต้องการ โดย มุง่ เนน้ การสอนท่ีมลี ักษณะดังนี้ 1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรมการเรียน อย่างท่ัวถึงและมากที่สดุ เท่าทจี่ ะทาได้ 2) ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ที่สาคัญเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้พูดคุยปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นและประสบการณ์ซึ่งกันและกัน อันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เก่ียวกับพฤติกรรมของ ตนเองและผอู้ ่นื การเรยี นรู้ท่จี ะปรบั ตัวให้สามารถอยูแ่ ละทางานร่วมกับผูอ้ ืน่ 3) ยึดการค้นพบด้วยตนเอง ผู้สอนจะเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ ที่ส่งเสริมให้ ผเู้ รยี นไดค้ ้นหา และค้นพบคาตอบด้วยตนเอง ซง่ึ จะส่งผลใหผ้ ้เู รียนจดจาได้ดี 4) เน้นกระบวนการควบคูไ่ ปกับผลงาน โดยการส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การคิดวิเคราะห์ถึง กระบวนการกลุ่มและกระบวนการต่างๆ ที่ทาให้เกิดผลงาน ซ่ึงประสิทธิภาพของผลงานข้ึนอยู่กับ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการดว้ ย การเรียนรกู้ ระบวนการจงึ เป็นสิง่ จาเป็นท่ีจะชว่ ยใหผ้ ลงานดีข้นึ 5) เน้นการนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสคิดหาแนวทางที่จะ นาความรู้ความเข้าใจในเนอื้ หาบทเรยี น ไปใช้ในชีวิตประจาวนั โดยสรุป กระบวนการกลุม่ มคี วามสาคญั ตอ่ การจดั การเรียนการสอนในลักษณะท่เี นน้ ผู้เรียน เป็นสาคญั เนน้ ขน้ั ตอนกระบวนการ วธิ ีการหรือพฤติกรรมตา่ งๆ ทจ่ี ะช่วยให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรียนรูเ้ ป็นลาดับ ขนั้ ตอน โดยอาศัยการสร้างความสัมพันธท์ ี่ดีระหว่างสมาชิกในกลมุ่ เกิดการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ รจู้ ักการเรียนรู้ ด้วยตนเองและช่วยใหก้ ารดาเนินงานของกลุ่มเปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ 3.3 จดุ มุ่งหมายของกระบวนการกลมุ่ การสอนวธิ กี ระบวนการกลมุ่ มีจุดมงุ่ หมายดังนี้
55 คมเพชร ฉตั รศุภกลุ (2546: 15) กล่าวว่า จดุ ม่งุ หมายของการจัดการเรยี นการสอนโดยใช้ กระบวนการกลมุ่ แบง่ ได้ดงั ต่อไปน้ี 1) เพื่อใหเ้ กดิ การเข้าใจตนเอง การอยู่ร่วมกันกับสมาชกิ อ่ืนในกลุ่มจะมีสว่ นช่วยใหบ้ คุ คล เกดิ การเรยี นร้เู กย่ี วกบั ตนเองได้ดีข้นึ เช่น รู้จักข้อบกพรอ่ งบางอย่าง 2) เพอ่ื ใชก้ จิ กรรมกลุ่มให้เกดิ ความเขา้ ใจบคุ คลอนื่ เมื่อสมาชกิ ในกลมุ่ ไดท้ ากิจกรรมกลุ่ม รว่ มกัน ก็ย่อมทาใหร้ ู้จักกันและกนั ดขี ึ้น 3) เพื่อให้สามารถทางานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น เกิดประสิทธิภาพในการทางาน การจัด กจิ กรรมกลุ่ม เพ่ือให้เกิดการพัฒนาด้านใดแก่สมาชิก ข้ึนอยกู่ ับจุดมุ่งหมายว่าต้องการจะให้เกดิ การเรยี นรู้ ในดา้ นใด ก็จดั ใหส้ อดคล้องกับจดุ ม่งุ หมายนัน้ สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2552) กาหนดวัตถุประสงค์การจัดการเรียนรู้โดย กระบวนการกลุ่ม ดังนี้ 1) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มและมีบทบาทในการเรียน จะช่วยให้ ผูเ้ รียนมีความพร้อม มคี วามกระตือรอื ร้น และมีความสุขในการเรียน 2) เพ่ือพัฒนาผู้เรียนทางด้านวิชาการและทักษะทางสังคม ทักษะการคิด เช่นทักษะ มนุษยสัมพันธ์ ทักษะกระบวนการกลุม่ 3) เพ่อื เตรียมผูเ้ รียนใหส้ ามารถดารงชีวติ ในสังคมประธิปไตยไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ จากท่กี ลา่ วขา้ งต้นสรปุ ได้ว่า จุดมงุ่ หมายการจดั การเรียนการสอนโดยใชก้ ระบวนการกลุ่ม เพอื่ ให้ผเู้ รียนไดม้ ีปฏสิ มั พันธท์ ด่ี ตี อ่ ผู้อ่ืน มีความเขา้ ใจผู้อน่ื ส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี นได้ร้จู กั การเรียนรูร้ ่วมกัน การ แสวงหาความรู้ มกี ารแสดงความคิดเหน็ ขยายความคิดให้กว้างขน้ึ และยอมรบั ความคดิ เหน็ ตอ่ กันได้ กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นมีการค้นคว้าหาความรู้ 3.4 ทฤษฎเี ก่ยี วกบั กระบวนการกลุ่ม 1) ทฤษฎีสนาม (File theory) ของเคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin, 1951) มีแนวคิดที่สาคัญคือ การ เรียนรู้เกิดขึ้นจากการจัดกระบวนการรับรู้ และกระบวนการคิดเพ่ือการแก้ปัญหาโดยนาหลักการทาง วิทยาศาสตร์มาร่วมอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ ซ่ึงเช่ือว่าพฤติกรรมมนุษย์เป็นผลมาจากพลังความสัมพันธ์ ของสมาชิกในกลุ่ม มนุษย์แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างมีพลังและทิศทาง (Field of force) ส่ิงท่ีอยู่ใน ความสนใจและต้องการจะมีพลังเป็นบวก สิ่งใดท่ีอยู่นอกความสนใจจะมีพลังเป็นลบ และโครงสร้างของ กลุ่มจะเกิดจากการรวมกลุ่มของบุคคลที่แตกต่างกันมารวมกลุ่ม แต่ละครั้งจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สมาชิกในกลุ่ม โดยปฏิสัมพันธอ์ ยใู่ นรปู การกระทา ความรูส้ กึ และความคดิ องค์ประกอบต่างๆ ดังกล่าวจะ
56 ก่อให้เกิดโครงสร้างของกลุ่มท่ีมีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มตามสมาชิกของกลุ่ม สมาชิกในกลุ่ม พยายามปรับตัวเข้าหากันและพยายามช่วยกันทางาน การที่บุคคลพยายามปรับบุคลิกภาพท่ีมีความ แตกต่างกันจะก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทาให้เกิดพลังหรือแรงผลักดันของกลุ่มท่ีทาให้ งานสาเร็จไปได้ด้วยดี Lewin เช่ือว่า พฤติกรรมเป็นผลของแรง 2 ประเภท ซ่ึงมีบทบาทตรงข้ามกันคือ แรงต้าน และแรงเสริมให้เกิดการเปลย่ี นแปลง การนาทฤษฎีสนามไปประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องจะช่วยทาให้ เข้าใจพฤติกรรมมากขึ้น การจะทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอย่างมีประสิทธิภาพนั้นใช้ 3 กลวธิ ี ได้แก่ 1) เพ่ิมขนาดของแรงเสริม 2) ลดขนาดของแรงต้าน และ3) เพิ่มขนาดของแรงเสริมขณะเดียวกันก็ ลดขนาดของแรงตา้ น โดยมีแนวทางเพอื่ ดาเนินการเปลี่ยนแปลงตามขัน้ ตอนต่อไปน้ี : ละลายพฤตกิ รรมเดิม : การวิเคราะหป์ ัญหา : การตั้งเปา้ หมาย : การมพี ฤตกิ รรมใหม่ : การทาใหพ้ ฤติกรรมใหมน่ น้ั คงอยู่ 2) ทฤษฎปี ฏสิ ัมพนั ธ์ (Interaction theory) ของเบลล์ (Bales) โฮมาน (Homans) และไวท์ (Whyte) แนวคดิ พ้ืนฐานของทฤษฎนี ้ี กลมุ่ จะมีกจิ กรรมสมั พนั ธ์โดยการกระทากิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ โดยมปี ฏสิ มั พนั ธ์ทุกๆ ดา้ น คือ ทางร่างกาย ทางวาจา ทางจติ ใจ กจิ กรรมตา่ งๆ ทีก่ ระทาผา่ นการมปี ฏิสมั พนั ธน์ ้ี จะก่อให้เกดิ อารมณ์ ความรู้สึก 3) ทฤษฎีระบบ (System theory) มีแนวคดิ คือ กลุ่มจะประกอบดว้ ยโครงสร้างหรอื ระบบ ซงึ่ จะมีการแสดงบทบาทและกาหนดตาแหน่งหนา้ ทข่ี องสมาชิกอนั ถือว่าเป็นการลงทุน (Input) เพื่อให้ได้ ผลลพั ธ์ (Output) อยา่ งใดอย่างหน่ึง การแสดงบทบาทตาแหน่งหนา้ ทข่ี องสมาชกิ จะกระทาได้โดยการ สอ่ื สารระหวา่ งกนั และกนั และจากการเปดิ เผยตนเองในกลุ่ม 4) ทฤษฎีจิตวิทยาทั่วไป (General psychology) มีแนวคิดการใช้หลักจิตวิทยาต่างๆ เก่ียวกบั การรับรู้ การเรียนรู้ ความคิด ความเขา้ ใจ การใหแ้ รงจูงใจจะช่วยใหเ้ ข้าใจพฤติกรรมของบุคคลในแง่ การรวบรวมข้อมูล โดยมที ฤษฏที ีเกี่ยวข้องได้แก่ ทฤษฎีบุคลิกภาพของกลุ่มของ แคลแทล (Cattel) ที่อาศัยหลักการเสริมแรงคือ กฏแห่ง ผล เพ่อื อธิบายพฤติกรรมของกลุม่ โดยท่ลี ักษณะของกล่มุ ประกอบด้วย - กลุ่มจะประกอบด้วยสมาชิกที่มีบุคลิกภาพเฉพาะตัว ได้แก่ สติปัญญา ทัศนคติ บคุ ลกิ ภาพ เปน็ ต้น
57 - กลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีบุคลิกภาพเฉพาะกลมุ่ หรือความสามารถท่ีกล่มุ ได้รบั จากสมาชกิ ซ่ึงจะทาให้แต่ละกลุ่มมีลักษณะที่แตกต่างกันไป บุคลิกภาพของกลุ่มได้แก่ ความสามารถของกลุ่มท่ีมีอยู่ จากการกระทาของสมาชกิ ร่วมกัน การตัดสินใจ รวมทั้งพฤติกรรมหรอื การแสดงออกของสมาชกิ เปน็ ต้น - กลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะโครงสร้างภายในโดยเฉพาะ ซึ่งหมายถึง ความสัมพันธ์ ระหวา่ งสมาชิก และแบบแผนหรือลักษณะในการร่วมกลุ่ม เชน่ มกี ารแสดงบทบาทสมมุติ ตาแหน่งหน้าท่ี การส่ือสารระหวา่ งสมาชิก เป็นตน้ ทฤษฎีการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมของกลุ่ม (Exchange theory) ของธโิ บลทแ์ ละเคลลยี ์ (Thibaut and Kelley) อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งสมาชิกและกระบวนการกลุ่ม ซึ่งจะก่อให้เกิดผลจากการ รวมกลุม่ โดยทฤษฎนี ้ีเปน็ พืน้ ฐานของการทาหน้าที่ในกลมุ่ ได้เปน็ อย่างดี แนวคดิ น้มี ี ๓ ประการคอื - การรวมกลุ่มจะมีการแลกเปลย่ี นพฤติกรรมและความสัมพันธร์ ะหว่างสมาชิกซึ่งเกดิ จาก การที่สมาชิกมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การส่ือสารหรือการแสดงพฤติกรรมที่บุคคลหนึ่งแสดงต่อ บุคคลหนึ่ง และจะมีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคลนั้นด้วย เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ ต้องการ - การแลกเปล่ียนพฤติกรรมและความสมั พนั ธ์ระหว่างสมาชิกจะก่อใหเ้ กดิ ผลของกลุ่ม (Group outcome) ข้ึน ซงึ่ ประกอบดว้ ยรางวลั จากการมีปฏสิ ัมพนั ธ์ เชน่ ความสบายใจ ความสนุกสนาน ความอม่ิ อกอิม่ ใจ ความพอใจและเห็นคุณค่าของการพยายามกระทาพฤติกรรมน้ันใหบ้ รรลุจดุ มงุ่ หมาย ตามท่ีต้องการ 3.5 หลักการเรียนรู้แบบกระบวนการกลมุ่ การทางานเป็นกลุ่ม ซึ่งหมายถึงการที่กลุ่มบุคคลเข้ามาร่วมกันปฏิบตั ิงานอย่างใดอย่างหน่งึ เพ่อื ให้บรรลุเป้าหมายท่ตี ้องการ การมาร่วมกันปฏบิ ตั ิงานนี้จะเป็นไปอยา่ งราบรื่นหรือประสบผลสาเร็จ หรอื ไม่ ยอ่ มข้ึนอย่กู บั ปจั จยั และองค์ประกอบหลายประการในการทางานรว่ มกนั การเรียนแบบกระบวนการกลมุ่ มหี ลกั การดังนี้ 1) การเรียนรูเ้ ป็นกระบวนการทเี่ กิดจากแหล่งความรทู้ ีห่ ลากหลาย การเรียนรู้ท่ีเกิดจาก การบรรยายเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะทาให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาพฤติกรรม แต่การ จัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาพฤติกรรมผู้เรียนโดยกระบวนการกลุ่มจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ ศักยภาพของแต่ละคนท้ังในด้านความคิด การกระทาและความรู้สึกมาแลกเปล่ียนความคิดและ ประสบการณ์ซ่ึงกนั และกัน 2) การเรียนรู้ควรจะเป็นกระบวนการกลุ่มท่ีสร้างสรรค์บรรยากาศการทางานกลุ่ม ท่ีให้ ผู้เรียนมีอสิ ระในการแสดงความร้สู ึกนึกคิด มบี ทบาทในการรบั ผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนโดยมีสว่ นร่วม
58 ในกิจกรรมการเรียนการสอนจะช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา และช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความกระตอื รอื ร้นในการเรยี น 3) การเรยี นรคู้ วรเป็นระบวนการท่ผี ูเ้ รยี นคน้ พบดว้ ยตนเอง การเรียนร้ดู ้วยการกระทา กจิ กรรมดว้ ยตนเองจะชว่ ยให้ผูเ้ รยี นมโี อกาสเรียนรเู้ นื้อหาวิชา หรอื สาระจากการมสี ่วนร่วมในกจิ กรรม ซ่ึง จะชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนเกิดความใจอยา่ งลึกซึง้ จดจาได้ดี อันจะนาไปสู่การปรับเปล่ยี นเจตคตแิ ละพฤติกรรมของตน ได้ รวมทง้ั สามารถนาไปสู่การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพทุกดา้ นของผ้เู รียน 4) การเรยี นร้กู ระบวนการเรยี นรู้ กระบวนการเรยี นรู้เปน็ เครอ่ื งมือทจ่ี าเปน็ ในการ แสวงหาความรู้ ที่เป็นจาต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตทุกด้าน ดังน้ันถ้าผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีระบบและมี ข้ันตอนจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ หรือตอบคาถามได้อย่างมี ประสิทธิภาพ การรวมกลุ่มทีม่ ลี ักษณะทางานเป็นทมี จาเปน็ ตอ้ งประกอบไปดว้ ยดงั น้ี 1) การมเี ป้าหมายรว่ มกนั ต้องมีการรบั รู้และเขา้ ใจในเปา้ หมายร่วมกันว่า จะทาอะไรให้เป็น ผลสาเร็จ 2) การมีส่วนร่วมในการดาเนินงาน มีบทบาทหนา้ ทใี่ นการดาเนนิ งานเพือ่ ให้กลมุ่ บรรลุ เปา้ หมายในลกั ษณะใดลักษณะหนงึ่ 3) การตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั ในกลมุ่ เพือ่ ช่วยให้เกิดความเข้าใจในการทางานร่วมกนั 4) การประสานงานกนั ในกลุ่ม 5) การตดั สนิ ใจรว่ มกนั สมาชกิ ในกลุ่มตอ้ งมีโอกาสตัดสินใจในงานที่ทาร่วมกนั ระดับใด ระดบั หนงึ่ 6) การมผี ลประโยชน์รว่ มกนั 3.6 องค์ประกอบท่สี าคญั ในการทางานเป็นกล่มุ การทางานเป็นกลุ่มจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมและ ความสมบูรณ์ของปัจจยั ต่างๆ เชน่ ความเขา้ ใจในจุดมงุ่ หมายของการทางาน บทบาทของผู้ร่วมกลุ่มในการ ทางาน การส่ือความหมาย การประสานงาน และการจดั สรรผลประโยชน์รว่ มกัน แตอ่ งค์ประกอบท่ีถือว่า เป็นหัวใจของการทางานรว่ มกนั ซ่ึงขาดไมไ่ ด้มี 3 องค์ประกอบได้แก่ 1) ด้านผู้นากลุ่ม นับเป็นบุคคลท่ีสาคัญมากในการดาเนินงานของกลุ่ม กลุ่มใดขาดผู้นาก็ยาก ที่จะทางานได้สาเร็จ เพราะขาดแกนกลางท่ีสาคัญท่ีจะเป็นฟันเฟืองในการช่วยให้กลุ่มดาเนินงาน หาก
59 กลุ่มใดมผี ้นู าที่มีคุณสมบัติท่ีดี รู้และเข้าใจบทบาทหน้าทข่ี องตน และมที กั ษะปฏบิ ัติตามบทบาทหนา้ ที่แล้ว กน็ ับไดว้ ่ากลุ่มนัน้ มีแนวโนม้ ทจี่ ะประสบผลสาเร็จสงู 2) ด้านสมาชิกกลุ่ม การทางานกลุ่มตอ้ งอาศยั ความรว่ มมือร่วมใจจากผู้รว่ มงานทุกคนเป็น สาคัญ ดังนั้นสมาชิกกลุ่มจึงเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญอีกประการหนึ่ง ท่ีจะช่วยให้การทางานเป็นกลุ่ม บรรลุเป้าหมาย หากสมาชิกกลุ่มตระหนักในความสาคัญของตน และพยายามปฏิบัติตนในการทางานใน ฐานะสมาชกิ ท่ีดีของกลุ่ม การดาเนินงานของกลุ่มกจ็ ะสามารถประสบผลสาเร็จได้อยา่ งรวดเรว็ 3) กระบวนการทางาน กลมุ่ ทีท่ างานโดยขาดกระบวนการกล่มุ ทเ่ี หมาะสมจะทาให้การดาเนินงาน ไม่ประสบความสาเร็จ ผลงานของกลุ่มก็อาจไม่ดีเท่าควร กลุ่มที่ทางานโดยขาดการวางแผนงานร่วมกัน ความไม่เข้าใจในแผนงานและข้ันตอนการทางาน อาจะป็นสาเหตุทาให้การดาเนินงานของสมาชิกเป็นไป คนละทิศคนละทาง เป็นปัญหาต่อการบรรลเุ ป้าหมายของกลุ่ม กระบวนการทางานท่ไี ม่ดพี ออาจก่อให้เกิด ปัญหาระหว่างบุคคลข้ึนมา ดังน้ันกระบวนการทางานจึงเป็นองค์ประกอบท่ีมีอิทธิพลยิ่งต่อการทางาน ร่วมกัน 3.7 ปรัชญาเกี่ยวข้องกบั การทางานเปน็ กลุม่ ในกรณีท่ีบุคคลแต่ละคนมารวมกันเป็นกลุ่มนั้น ย่อมทาให้มีการทากิจกรรมบางประการ รว่ มกนั ท้ังเพ่ือการดารงชวี ิต เพ่ือการแกไ้ ขปัญหา เพือ่ ดาเนนิ กจิ กรรมการงานในหน้าทีซ่ ึ่งได้รบั มอบหมาย ส่งิ ที่ควรสนใจในกระบวนการกล่มุ มีดังตอ่ ไปนี้ 1) บุคคลแต่ละคนจะมีความสามารถพิเศษในตนเอง ความสามารถดังกล่าวจะเป็น ประโยชน์ต่อการทางานกลุ่ม ในกลุ่มท่ีประกอบด้วยบุคคลจานวนมาก มักจะปรากฏว่าแต่ละคนนั้นจะมี ลักษณะเด่นกันคนละอย่าง ตามหลักจิตวิทยามนุษย์มีความแตกต่างกัน ด้วยความแตกต่างกันนี้เองจะทา ให้เขาท้ังหลายจะช่วยกลุ่มได้มาก ความสามารถพิเศษของแต่ละคนจะถูกนามาใช้กับการดาเนินกิจกรรม ของกลุ่มนามาส่งเสริมการทางานร่วมกัน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประสิทธิภาพของการทางานโดยส่วนรวม แต่ ถ้าหากไมม่ กี ารรวมกล่มุ กนั แล้ว บางคร้ังความสามารถเหลา่ นั้นก็จะไมส่ ามารถใชไ้ ด้อยา่ งเต็มที่ 2) ประสบการณ์ที่ไดร้ ับจากกลมุ่ จะส่งเสริมใหส้ มาชกิ กลุม่ ไดพ้ ัฒนาความสามารถข้นึ มา และนาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและกลุ่มได้ บุคคลบางคนไม่รู้จักตนเอง อาจทาให้เขาไม่สามารถ ปฏิบัติอะไรได้อย่างสอดคล้องกับลักษณะตนเอง ไม่รู้ว่าตนเองจะทาอะไรจึงจะดีและเหมาะสม แต่เมื่อ บุคคลได้มีโอกาสมาอยู่ร่วมกับกลุ่ม พบปะกับคนที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะใน การทางาน จะทาให้ได้รับโอกาสในการพฒั นาตนเอง 3) กล่มุ จะชว่ ยส่งเสริมสมาชิกแตล่ ะคน ใหม้ กี ารพฒั นาทด่ี ขี ้ึน 3.8 การจัดการเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการกลุ่ม (Group process- based instruction)
60 (ทิศนา แขมมณี, 2558 หนา้ 144-145) หลกั การ กระบวนการกลมุ่ เป็นกระบวนการในการทางานร่วมกนั ของบุคคลต้งั แต่ 2 คนข้นึ ไป โดย มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน และมีการดาเนินงานร่วมกัน โดยผู้นากลุ่มและสมาชิกกลุ่มต่างก็ทาหน้าที่ของ ตนเองอย่างเหมาะสม และมีกระบวนการทางานที่ดี เพ่ือนากลุ่มไปสู่วัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ การเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการทางานกลุ่มท่ีดีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดทั กษะทางสังคมรวมถึงทักษะ ทางปญั ญา และขยายขอบเขตของการเรียนร้ใู หก้ ว้างขวางขน้ึ ตวั ช้วึ ดั 1) ผู้เรียนมกี ารปฏสิ ัมพันธ์/ทางาน/ทากิจกรรม รว่ มกันเปน็ กลุ่มเพื่อใหเ้ กิดการเรยี นรตู้ าม วตั ถุประสงค์ 2) ผสู้ อนมกี ารฝึก/ช้แี นะ/สอน ใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางานกลมุ่ ทดี่ ี ในจดุ ใดจดุ หนึ่งของกระบวนการ เช่นในเรอื่ งกระบวนการทางานกลุ่ม 3) ผู้เรียนมีการวิเคราะหก์ ารเรียนร้ขู องตนเอง ท้งั ในดา้ นเนื้อหา สาระท่เี รียน และกระบวน การทางานรว่ มกนั 4) ผสู้ อนมกี ารวเิ คราะหแ์ ละประเมินผลการเรียนทั้งทางด้านเน้ือหา และกระบวนการกลุ่ม หลักการสอนตามทฤษฎีกระบวนการกลุ่ม มีหลักการสอนท่ีผู้สอนสามารถนาไปใช้เป็น แนวทางในการจดั การเรยี นการสอนได้ดังนี้ 1) การตัง้ จุดมงุ่ หมายของการเรียนการสอน (Objectives) การเรียนการสอนโดยทว่ั ไปจะ เร่ิมที่จุดมุ่งหมายเสมอ เพราะจุดมุ่งหมายเป็นส่ิงสาคัญท่ีกาหนดจุดหมายปลายทาง และช่วยให้การเรียน การสอนเกิดผลสาเรจ็ ได้ตามต้องการ การกาหนดจุดมุ่งหมายควรใหส้ อดคลอ้ งกบั หลักการเรียนรู้ และตรง กับความต้องการท่ีจะการพัฒนาผู้เรียนทั้งทางด้านสติปัญญาควบคู่ไปกับร่างกาย จิตใจ อารมรณ์ และ สังคม 2) การจดั ประสบการณ์เรียนรู้ (Learning experience) ควรจัดใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ กิดการเรยี นรู้ จากประสบการณ์ตรง การเรียนรู้จะเกิดได้เม่ือผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ โดยให้ผู้เรียนได้กระทากิจกรรม เรยี นรดู้ ้วยตนเองซงึ่ กิจกรรมน้ันช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นมีส่วนรว่ มทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปญั ญา เพอื่ ให้ ผู้เรียนพัฒนาองค์ประกอบทุกๆ ด้านไปพร้อมกัน และควรมีการแบ่งกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย เพ่ือให้ ผูเ้ รียนมสี ว่ นร่วมแลกเปลีย่ นประสบการณก์ ารเรียนรู้ และการทางานต่างๆ รว่ มกัน 3) การพัฒนาความสามารถทางปญั ญา (Intellectual development) การเรยี นการสอน
61 แต่ละครั้ง เมื่อผู้เรียนได้ลงมือกระทากิจกรรมท่ีสง่ เสริมการเรียนรู้ ผู้เรียนแต่ละคนจะมีการรับรทู้ ี่แตกตา่ ง กันขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิม รวมถึงสติปัญญาของแต่ละคน การใช้กระบวนการกลุ่มจะช่วยให้ผู้เรียนมี การรับรู้ท่ีตรงกัน และมีโอกาสพัฒนาความเข้าใจในสิ่งที่ต้องรับรู้นั้นให้ถูกต้องเหมาะสมและกว้างขวาง ย่ิงข้ึน และสามารถนาส่ิงที่รับรู้มาผสมผสานเข้าเป็นแนวคิดของแต่ละบุคคล การใช้กระบวนการกลุ่มเปิด โอกาสให้ผเู้ รยี นร่วมกนั วิเคราะหส์ ่งิ ที่ตนเองรบั รู้หรอื เรียนรู้มา เกดิ การแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ เกี่ยวกับสิ่ง ท่ตี นเองรู้ หรือไปศึกษาค้นควา้ มา อนั นาไปสู่การพัฒนาความคิดและสตปิ ญั ญา หรอื เขา้ ใจสงิ่ ทเี่ รยี น ตอนท่ี 4 วจิ ัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) 4.1 ความหมายของการวจิ ัยและพัฒนา มีนกั วชิ าการได้ให้ความหมายการวจิ ยั และพฒั นาไว้หลายท่านดังนี้ สุวิมล ว่องวาณิช (2549 : 21) กล่าวว่า การวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ หมายถึงการวิจัยท่ีทาโดย ครูผู้สอนในช้ันเรยี น เพ่อื แกไ้ ขปัญหาท่เี กิดข้ึนในชั้นเรยี นและนาผลไปใช้ในการปรับปรุงการเรยี นการสอน หรือส่งเสริมพัฒนาการเรยี นรู้ของผ้เู รียนให้ดยี ่ิงขึ้น ท้ังนี้เพ่ือให้เกิดประโยชนส์ ูงสุดกับผู้เรียน เป็นการวิจัย ท่ีต้องทาอย่างรวดเร็ว นาผลไปใช้ทันทีและสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน ของตนเอง ให้ท้ังตนเองและกลุ่มเพื่อนร่วมงานในโรงเรียนได้มีโอกาสวิพากษ์ อภิปรายแลกเปล่ียนเรียนรู้ ในแนวทางทป่ี ฏบิ ตั ิได้ และผลท่ีเกิดขน้ึ เพอ่ื พฒั นาการเรยี นึรู้ทง้ั ของครูและผ้เู รียน ไพฑรู ย์ ศรีฟา้ (2548: 1) กล่าวว่า การวิจัยและพัฒนามาจากคาว่า Educational Research and Development เรยี กย่อ ๆ ว่า R & D เปน็ วธิ กี ารท่ใี ชพ้ ัฒนาและตรวจสอบความถูกตอ้ งเหมาะสม ของงานการศึกษา สุพกั ตร์ พิบูลย์ (2549: 15) กลา่ วว่า การวิจยั และพัฒนา ( Research and Development) เป็น ลักษณะหน่ึงของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ท่ีใช้ระบวนการศกึษา ค้นคว้าอย่างเป็น ระบบ มุ่งพัฒนาทางเลือกหรือกระบวนการใหม่ ๆ เพ่ือใช้ในการยกระดับคุณภาพงานหรือคุณภาพชีวิต การวิจัยและพัฒนาเป็นการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยและพัฒนาจะให้ผลลัพธ์ที่สาคัญ 2 ลักษณะ คือ (1) นวตักรรมวัตถุท่ีเป็นชิ้น (Materials) เช่น ชุดการสอน สื่อการสอน ชุดกิจกรรมเสริมความึร้ เป็นต้น (2) นวัตกรรมประเภทที่เป็นรูปแบบ/ วิธีการ/ กระบวนการ/ ระบบปฏิบัติการ ( Methods / Process / Procedure / Style) เช่น รูปแบบการสอน วธิ ีสอน รปู แบบ การบริหารจัดการ เปน็ ตน้ ญาณภทรั สหี ะมงคล (2550: 1) กล่าววา่ การวิจยั และพฒั นาเป็นกระบวนการศึกษาค้นคว้า คิดค้นอย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาผลผลิต เทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ ส่ือ
62 อุปกรณ์ เทคนิควิธีหรือรูปแบบการทางาน หรือระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ยิ่งขึ้น ชุมพล เสมาขนั ธ์ (2552) ใหค้ วามหมายการวิจยั และพัฒนา เปน็ การสราง ผลติ ภัณฑขึ้นมา โดยอาศัยกระบวนการวิจยั และดาเนนิ การประเมนิ ผลผลติ ภณั ฑท่สี รางข้นึ กอนทาการเผยแพรตอไป วาโร เพ็งสวัสด์ิ (2552) ให้ความหมายวิจัยและพัฒนาเป็นการศึกษาอย่างมีระบบ มี จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของผลติ ภณั ฑ์ซึ่งมี 2 ลักษณะได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทวัสดุ อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์ประเภทวิธีการหรือกระบวนการ โดยดาเนินการทดสอบในสภาพจริงและทาการ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ จนได้ผลิตภัณฑ์ท่ีมีคุณภาพ เพ่ือนาไปใช้พัฒนากลุ่มคน องค์กร ให้มีประสิทธิภาพ ย่งิ ขน้ึ กล่าวโดยสรุปการวิจยั และพัฒนาเปน็ กระบวนการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมีระบบ ด้วยวิธกี ารทาง วิทยาศาสตร์ ซ่ึงใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ในรูปของวัสดุหรือกระบวนการ พัฒนารูปแบบการทางาน หรือ วิธีการทางาน เพ่อื ให้บคุ ลากรทางการศึกษานาไปใช้ในการพัฒนาและปรบั ปรุงการเรยี นการสอนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และก่อนที่นารูปแบบการทางาน หรือวิธีการทางาน ไปใช้ต้องมีการประเมินผลก่อนนาไป เผยแพรต่ ่อไป 4.2 ความสาคัญของการวิจัยและพฒั นา สมคิด พรมจุย้ (2550:5) กลา่ ววา่ การวิจัยและพฒั นามีความสาคัญดังน้ี 1. ช่วยให้เกิดความรู้ใหม่หรือวิทยาการใหม่ แนวคิด ทฤษฎีใหม่ เป็นการเพิ่มพูน วิทยาการให้กว้างขวางมากยิ่งข้ึน ทาให้รู้ในส่ิงท่ียังไม่รู้หรือส่ิงใดที่พอรู้อยู่แล้วก็ทาให้รู้และเข้าใจดีย่ิงขึ้น ท้ังอาจนาเอาความรู้เหล่าน้ันมาพัฒนาเป็นวิทยาการใหม่ๆ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ต่อไปได้เช่น พัฒนา นวัตกรรม อาทิ คอมพิวเตอร์ ชุดการสอน บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ส่ือการสอน ชุดเอกสารเสริม ความรู้ คู่มือประกอบการทางาน วิธกี ารสอน รูปแบบการทางาน เปน็ ตน้ 2. ช่วยให้การแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในการทางานใดย่อมเกิด ปัญหาต่างๆ ได้มากมาย ปัญหาบางปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อน การแก้ไขปัญหาโดยการคาดคะเนแบบ สามัญสานึกหรือจากการใช้ประสบการณ์ อาจเป็นการแก้ปัญหาท่ีไม่ถูกจุด คือไม่รู้ว่าประเด็นปัญหาท่ี แท้จริงคืออะไร จึงแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง การวิจัยสามารถช่วยให้ทราบสาเหตุของปัญหาอย่างเป็นระบบ รวมถึงแนวทางแก้ปัญหาทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสมทีส่ ดุ 3. ช่วยในการกาหนดนโยบายและวางแผนได้ถูกต้อง งานวิจัยและพัฒนาบางเรื่องมี วัตถุประสงค์ที่จะนาผลการวิจยั นนั้ ไปใชใ้ นการกาหนดนโยบายหรอื วางแผนสอน ตลอดจนนาไปใช้ในการ ปฏิบัติตามนโยบายหรือแผนที่วางไว้ การวิจัยดังกล่าวจะศึกษาค้นคว้า เพ่ือนามาเป็นแนวทางกาหนด
63 ทิศทางการดาเนินงาน เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งการวิจัยจะเป็นส่วนสาคัญในการช่วยชี้ลู่ทางใน การวางนโยบายอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 4. ช่วยพัฒนระบบการบริหารและดาเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน งานวิจัยบางเร่ืองเป็น งานวจิ ยั ที่มีส่วนช่วยเสริมสรา้ งสมรรถนะทางการบริหารโดยการใชค้ วามรู้ทางวิชาการมาอธบิ ายพฤติกรรม และปัญหาทางการบริหาร การติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน ประเมินประสิทธิภาพการทางาน จะ ช่วยให้ทราบข้อเท็จจริงตามความเป็นจริง ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพ ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข ปัญหา ซ่ึงจะเป็นข้อมูลที่สาคัญให้นักบริหารใชใ้ นการวินจิ ฉัย สั่งการ หรือแก้ไขปัญหาได้ดีมีประสิทธิภาพ และเป็นขอ้ มูลสาคญั ที่ใช้ในการปรบั ปรุงหรอื พฒั นางานนั้นให้เจริญก้าวหน้าย่ิงขึน้ 4.3 ขอบข่ายการวิจัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนา เป็นงานวิจัยท่ีสร้างสรรค์งานอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน สามารถ ตรวจสอบไดโ้ ดยการใชแ้ นวทางการสรา้ งผลงานบนฐานของการวิจยั ซึ่งแนวทางทน่ี ยิ มของการทาวิจัยและ พัฒนา ได้แก่ 1) การวิจัยและพัฒนาเพ่ือปรับปรุงรูปแบบ (Model Research & Development) คือการ นาหลักการและทฤษฎีมาผสมผสานกับเคร่ืองมือ และประยุกต์ใช้จริง โดยนามาเข้าสู่กระบวนการวิจัย ทดลองหารปู แบบจนเกดิ ประสิทธภิ าพ ดงั เปา้ หมายท่ตี ้ังไว้ เช่น การพัฒนารูปแบบสถานที ดลองยางพารา สาหรบั ชุมชน การพัฒนารปู แบบห้องเรียนเสมอื นจริงทางวทิ ยาศาสตร์ 2) การวจิ ยั และพัฒนาผลิตภณั ฑ์ (Product Research & Development) เป็นการวจิ ัยและ พัฒนาผลติ ภณั ฑ์ทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ การวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม จะมุง่ เน้นประเด็นที่ตวั ผลติ ภัณฑ์ เชน่ พฒั นา ให้มีความแข็งแรง การข้ึนรูป การดูดซึมน้า การหดตัว การทนไฟ ความเหมาะสมในการใช้งาน เป็นต้น งานวจิ ยั และพัฒนาน้จี ะช่วยให้ได้ผลติ ภัณฑท์ ่ีมคี ุณภาพ มีคุณสมบตั เิ หมาะสมกับความต้องการ 3) การวิจัยและพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ (Equipment Research & Development) เป็น การวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ เคร่ืองมือต่างๆ ในระบบการผลิตให้มีความสะดวกในการใช้งานอย่างดี มี ประสิทธิภาพ มีความคงทน ลดต้นทุน คุณภาพและผลผลิตดีขึ้น เช่น การวิจัยและพัฒนาเครื่องปลอก ทุเรียน การวิจัยและพัฒนาอปุ กรณค์ วบคมุ ไฟฟ้า เปน็ ตน้ 4) การวิจัยและพัฒนาสรา้ งนวตั กรรม (Innovation Research & Development) เป็นการ วิจัยและพัฒนาเพ่ือสร้างนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ท่ียังไม่เคยมีใครวิจัยมาก่อน เช่น เครื่องกรองน้าระบบ สญู ญากาศ เครอ่ื งสูบนา้ แบบพลงั แสงอาทิตย์ เปน็ ต้น 4.4 ขนั้ ตอนการวิจยั และพฒั นา
64 บอรก์ และกอลล์ (Borg& Gall. 1989: 784-785) ได้กล่าวถึงขน้ั ตอนสาคญั ของการวิจยั และ พัฒนามี 10 ขั้นตอนดังนี้ 1) การเก็บรวบรวมข้อมูล (Research and Information collection) โดยการรวบรวม วรรณกรรม การสังเกตภายในห้องเรียน การเก็บส่ิงต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องหรือมีอยู่ และเป็นประโยชน์ในการ นามาทาวิจยั 2) การวางแผน (Planning) เป็นการกาหนดจุดมุ่งหมาย การจัดลาดับเน้ือหา การทดสอบ ต่างๆ การพัฒนารูปแบบผลผลิตขนั้ ตน้ รวมทัง้ การเตรียมสอื่ แบบต่างๆ คมู่ อื และแบบทดสอบ รวมถงึ การ วางแผนเกยี่ วกับทกั ษะตา่ งๆ 3) พฒั นารปู แบบขัน้ ตอนของผลติ ภัณฑ์ (Development preliminary form of product) ขน้ั ตอนนีเ้ ป็นข้ันการออกแบบ และจัดทาผลติ ภณั ฑ์การศกึ ษาตามที่วางไว้ 4) การทดสอบเบ้ืองต้น (Preliminary field testing) คือการนาผลผลิตท้ังหมดมาทดลอง ถ้าเป็นโรงเรียนใช้ 1-3 โรงเรียน ถ้าเป็นบุคคลใช้จานวน 6-12 คน โดยการสัมภาษณ์ การสังเกต และ แบบสอบถาม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะหเ์ ปน็ การเก็บข้อมลู เชงิ คณุ ภาพ 5) ผลผลติ ไปปรบั ปรุง (Main product revision) ภายหลังได้รับการเสนอแนะและทดสอบ ในเบ้อื งตน้ 6) ทดสอบกลุ่มย่อย (Main field testing) ถ้าเป็นโรงเรียนใช้กลุ่มตัวอย่าง 5-15 โรงเรียน ถ้าเป็นบุคคลใช้กลุ่มตัวอย่างจานวน 30-100 คน ในข้ันนี้จะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ ผลลัพธ์และการ ประเมินผลที่ได้จะเป็นไปตามวัตถปุ ระสงค์ โดยมกี ารเปรียบเทียบกับกลมุ่ ควบคมุ ตามความเหมาะสม 7) ปรับปรงุ ผลผลิตทีไ่ ด้จากการทดลอง (Operational product revision) 8) ทดสอบภาคสนาม (Operative field testing) การทดลองใช้กลุ่มตัวอย่าง ถ้าเป็น โรงเรียนใช้ 10-30 โรงเรียน ถ้าเป็นบุคคลใช้กลุ่มตัวอย่าง 40-200 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการ สัมภาษณ์ สังเกต แลว้ ใช้แบบสอบถาม แลว้ นามาวเิ คราะห์ 9) ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ข้ันสุดท้าย (Final product revision) เป็นการปรับปรุงผลผลิต ภายหลงั ทดสอบขั้นสุดท้าย 10) นาไปเผยแพร่ (Distribution) เป็นการประชุม หรือในวารสาร หรือเผยแพร่ทางการค้า การเผยแพรจ่ ะนาไปสกู่ ารควบคุมคุณภาพ ทิศนา แขมมณี (2547: 8) กล่าวว่า ขั้นตอนหลักในการดาเนินการวิจัยและพัฒนามีข้ันตอน การดาเนนิ งานทส่ี าคัญแบง่ ตามกระบวนการหลกั เป็น 2 ข้ันตอน คือ ข้นั ตอนการวจิ ัย (R) และข้ันตอนการ พัฒนา (D) ซึ่งอาจเริ่มต้นจาก R1 เพื่อแสดงหาความรู้และแนวทางการพัฒนานวัตกรรม/ผลิตภัณฑ์ และ
65 ต่อด้วย D1 คือการพัฒนานวัตกรรม/ผลิตภัณฑ์ตามแนวทางน้ัน ต่อไปคือขั้นตอนการวิจัย R2 เพื่อ ตรวจสอบและประเมินคุณภาพของนวัตกรรม/ผลิตภัณฑ์ท่ีพัฒนาขึ้น หาข้อบกพร่องและวิธีการปรับปรุง แก้ไข และนาข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุง D1 ให้เป็นนวัตกรรม D2 ที่ดีข้ึน ท้ังนี้นักวิจัยอาจดาเนินการตาม ข้ันตอนดังกล่าวซ้าหลายๆ รอบ จนกว่าจะได้นวัตกรรม/ผลิตภัณฑ์ท่ีมีคุณภาพตามมาตรฐานท่ีกาหนด กระบวนการวิจัยและพัฒนาจึงมีขั้นตอนเรียนงลาดับดังนี้คือ R1 D1 R2 D2 ซ่ึงอาจมีข้ันตอน ต่อเนื่องกนั ไปจนกวา่ จะได้นวัตกรรม/ ผลิตภัณฑท์ ีม่ คี ุณภาพได้มาตรฐาน หรืออาจเรมิ่ จาก D1 R1 D2 R2 ก็ได้ หากเรม่ิ จากนวัตกรรมหรอื ผลติ ภณั ฑ์ที่คิดขน้ึ ธเนศ ขาเกิด (2550: 3) ได้สรุปข้ันตอนการวิจัยและพัฒนาโดยเร่ิมจาก ข้ันตอนแรก วิเคราะห์สภาพปัญหาความต้องการ ความจาเป็น เป็นการศึกษาให้รู้วา่ งานในหนา้ ที่ความรับผดิ ชอบนัน้ มี ปัญหาที่แท้จริงคืออะไร การสืบค้นหรือวิธีการหาปัญหาอย่างมีระบบก็คือ การทาวิจัยเชิงสารวจ และเมื่อ ทราบปัญหาแล้ว ถ้าหยุดนิ่งไม่แก้ปัญหาหรือพัฒนาให้ดีข้ึน ก็ย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลงท่ีดีเกิดข้ึน จึงต้อง คิดค้นรูปแบบหรือนวัตกรรมเพ่ือใช้ในการแก้ปัญหา น่ันคือการพัฒนา และเมื่อพัฒนารูปแบบการ แก้ปัญหาหรือนวัตกรรมแล้ว เพ่ือให้รู้ว่ารูปแบบหรือนวัตกรรมนั้นมีประสิทธิภาพเพียงใดก็ต้องนาไป ทดลองใช้ นั้นคอื การทาวจิ ัยเชิงทดลอง หากการแก้ปญั หาไม่สาเร็จ ก็กลับไปวิเคราะห์ปัญหาและปรับปรุง รูปแบบหรือนวัตกรรม แล้วทดลองใช้ใหม่จนสามารถแก้ปัญหาได้สาเร็จ หากแก้ปัญหาได้สาเร็จแล้ว ก็ เขียนรายงานการวิจัย และเผยแพร่รูปแบบหรือนวัตกรรมน้ันๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง และวงวชิ าการต่อไป ชุมพล เสมาขนั ธ (2552: ) การวิจยั และพฒั นาเปนการวิจัยที่มีกระบวนการและขน้ั ตอนตางๆ ท่มี คี วามเชือ่ มโยงเปนขั้นเปนตอนสอดคลองกนั อยางตอเนื่อง ซึง่ แบงการดาเนินงานเปน 4 ขั้นตอน ไดแก ข้ันตอนท่ี 1 การสารวจสภาพปญหาและความตองการ การดาเนินงานในข้ันตอนนี้ สามารถกระทาการวจิ ัยไดหลายประเภท แลวแตจุดมุงหมาย ลกั ษณะปญหาการวจิ ัย ประชากรที่ใชในการวิจัย และอ่ืนๆ สาระสาคัญของการดาเนินงานข้ันตอนที่ 1 เพ่ือศึกษาถึงสภาพป ญหาตางๆ รวมท้ังสารวจ ความตองการในการใชผลิตภัณฑ และพัฒนาผลิตภัณฑที่มีอยู นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาจากเอกสาร ตารา งานวิจัย ส่ิงพิมพตางๆ เพ่ือพิจารณาถึงความสัมพันธของลักษณะปญหา และความตองการใชผลิตภัณฑ ขั้นตอนน้ีเปนขั้นตอนท่ีศึกษาความสาคัญของปญหาการวิจัย เพ่ือประกอบการตัดสินใจวา จะยุติหรือ ดาเนินการข้ันตอไปหรือไม มีความเหมาะสมหรือคุมคาเพียงใด มีความจาเปนมากนอยแคไหน โดย พจิ ารณาประเดน็ ตางๆ ดังนี้ 1) สารวจสภาพปญหาวามีลักษณะของปญหาเปนอยางไร ความจาเปนท่ีจะตอง ดาเนินการแกปญหา แนวทางในการแกปญหา รวมทงั้ เครื่องมือทใี่ ชสาหรบั แกปญหา
66 2) สารวจความตองการวาในบริบทที่เปนอยูมีความตองการสิ่งใด มีความเรงดวนหรือไม ศกึ ษาแนวทางเพ่อื สนองความตองการใชงาน อุปกรณหรือผลิตภัณฑประเภทใดท่จี าเปนตองใช 3) การศึกษาเอกสาร เปนการศึกษาถึงสภาพความเปนไปในอดีตและปจจุบันวามีการ บันทึกส่ิงใดไว้บาง มีปญหาหรือความตองการใด โดยทาการสังเคราะหจากเอกสารเก่ียวกับปรัชญา วิสัยทศั น์ นโยบายของหนวยงาน หรือองคกรตางๆ 4) การสารวจความพรอมของหนวยงาน โดยพิจารณาถึงงบประมาณ และทรัพยากรท่ี มีอยู่ เชน ฐานะการคลัง บุคลากร วัสดุครุภัณฑ ชวงระยะเวลา สถานท่ีดาเนินการวิจัยเปนตน การวิจัยเชิง สารวจสภาพปญหา และความตองการ มีองคประกอบในการดาเนินงานในข้ันตอนน้ี ไดแก จุดมุงหมาย การดาเนนิ งาน ขอบเขตเนอ้ื หา เทคนคิ วธิ ีการและการนาผลการดาเนินงานไปใช้ ในขั้นตอนของการสารวจปัญหาและความต้องการนี้ ตองพิจารณาถึงจุดมุงหมายของ การนาผลการวจิ ัยไปใช้และตองตระหนกั ถึงแหลงขอมูลตางๆ รวมทั้งเครือ่ งมือท่ีใชในการวิจัยดวย ดงั น้ัน การจะใชเทคนคิ วิธีการใด ในการเก็บขอ้ มูลตองพิจารณาถึงระเบยี บวิธีวจิ ยั ซึง่ สามารถเลือกใชวิธีการวิจัย ไดดงั นี้ - การวจิ ัยเชงิ สารวจ (Survey Research) เปนการศึกษาขอเท็จจรงิ เพ่ือใหทราบ คุณลกั ษณะหรือสภาพความเปนจริงในสภาพการณ นนั้ ๆ เปนการสารวจความคิดเห็นของกลุมบุคคลท่ี เก่ยี วของ ท่ีจะนาไปสูการพัฒนารปู แบบหรอื ผลติ ภณั ฑเพื่อให้ตอบสนองความตองการของผูใชผลิตภัณฑ - การวิจัยเชิงสังเคราะห (Synthesis Research) เปนการวิจัยที่ศึกษาจากงานวิจัย ท่ีมีผูทาวิจัยไวแลว โดยศึกษางานวิจัยที่มีลักษณะคลายคลึงกัน หรือมีประเด็นปญหาใกลเคียงกัน โดย วิเคราะหความสอดคลองกัน และความขัดแยงกันของงานวิจัยเหลานั้น การสังเคราะหลักษณะน้ีใชเทคนิคการ วิเคราะหทม่ี ชี ื่อเรยี กเฉพาะวา การวเิ คราะหอภมิ าน (Meta Analysis) - การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เปนการวิจัยท่ีศึกษาคุณลักษณะ และปรากฏการณตางๆ อยางครอบคลุม เปนการศกึ ษาสภาพปรากฏการณจรงิ ของชมุ ชน ข้ันตอนท่ี 2 การออกแบบผลิตภัณฑ์/รูปแบบ/ วิธีการต่างๆ การดาเนินงานในขั้นตอนน้ี เปนการดาเนนิ งานตอเน่ืองจากข้ันตอนที่ 1 คอื การวจิ ยั เชิงสารวจสภาพปญหา และความตองการ ดงั นัน้ การออกแบบผลิตภัณฑ/รูปแบบ/วิธีการต่างๆ ตองมีความสอดคลองกับสภาพปญหา และความตองการที่ สารวจไดในข้ันตอนท่ี 1 ตลอดจนมีจุดมุงหมายเพื่อประเมินวาผลิตภัณฑ/รูปแบบ/วิธีการต่างๆ ที่ไดน้ันมี คณุ ภาพ และประสิทธิภาพตามเกณฑที่กาหนดไว้ ซง่ึ เทคนิคทน่ี ิยมใชในการประเมินความเหมาะสมได้แก่ การประชุมสัมมนา วิพากษ และการใชแบบสอบถาม เทคนิคที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพ ไดแก การประเมนิ รายบุคคล การประเมนิ โดยกลุมขนาดเล็ก และการประเมินในสถานการณ์
67 ขั้นตอนที่ 3 การวิจัยเชิงทดลอง การดาเนินงานในขั้นตอนนี้ ตอเนื่องจากข้ันตอนท่ี 2 ท่ี ทาการออกแบบผลิตภัณฑ ซ่ึงตองนาผลิตภัณฑ นั้นมาทาการทดลองใชงาน เพ่ือใหเชื่อมั่นไดวามีคุณภาพ ประสทิ ธิภาพในการใชงานไดจริง การดาเนินงานในข้ันตอนน้ีใชกลุมผูเขารับการทดลองในแตละครั้งไมนอยกวา 30 คน (Smit and Ragan, 1993, p. 402) และทาการทดลองตามขอบเขตเปาหมายอยางท่ัวถึง เชน ถาใชภูมิประเทศเปนเกณฑจะทาการทดลองทั้งในเมืองและชนบท ถาใชเพศเปนเกณฑจะทาการทดลอง ท้ังเพศชายและเพศหญิง เปนตน ทั้งน้ีโดยทั่วไปขอบเขตเน้ือหาน้ีตองการเปรียบเทียบภายในกลุม เปาหมายผูรับการทดลอง โดยการเปรียบเทียบผลในระหวางทดลองกับหลังการทดลองใชผลิตภัณฑหรือ อาจใชการเปรยี บเทียบกลุมทดลองกับกลุมควบคุมก็ได ข้ันตอนท่ี 4 การวิจัยเชิงประเมิน ข้ันตอนน้ีเปนขั้นตอนตอเน่ืองจากการทดลองใช ผลิตภัณฑในสภาพการท่ีเปนจริง ซึ่งผูวิจัยควรจะไดทราบถึงความเหมาะสมในการขยายผลการใช ผลิตภัณฑท่ีได โดยพิจารณาจากขอมูลท่ีประเมินนั้น ประกอบการตัดสินใจวาจะยุติการวิจัย หรือจะ ปรับปรุงแกไข หรอื จะขยายผลตอไป 4.5 การวจิ ยั และพัฒนาการศึกษา ทางด้านการศึกษาได้มีการนาวิธีการวิจัยและพัฒนามาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการศึกษา ในหลายๆ ด้าน ได้แก่ การพัฒนาด้านการบริหาร พัฒนาด้านการเรียนการสอน พัฒนาส่ือการเรียนการ สอน และอ่ืนๆ การวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา เป็นกระบวนการของการพัฒนา การทดสอบภาคสนาม และวิเคราะห์ข้อมูลท่ีใช้จากการทดสอบ ถึงแม่ว่าการพัฒนาสื่อจะประกอบด้วยการวิจัยพื้นฐานและการ วิจัยประยุกต์ เพื่อจุดประสงค์พื้นฐานในการค้นพบสิ่งใหม่ ในทางตรงกันข้าม เป้าหมายของการวิจัยและ พัฒนาทางการศกึ ษา คือการนาความรูท้ ี่ไดจ้ ากการศกึ ษาวจิ ยั ไปพัฒนาส่ือใหส้ ามารถใชไ้ ด้ การออกแบบการเรียนการสอนเปน็ กระบวนการท่ีมีการดาเนนิ งานอยา่ งเป็นระบบ (System approach) ซ่ึงมีขั้นตอนในการดาเนินการท่ีต่อเนื่องเช่ือมโยงกันอยู่ 3 ขั้นตอน ที่สาคัญคือขั้นการ วิเคราะห์ ข้ันการออกแบบและขั้นการประเมิน ในการดาเนินงานในแต่ละขั้นใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ (Scientific method) ซ่ึงเป็นกระบวนการเดียวกันกับการวิจัย กระบวนการออกแบบ การเรียนการสอนใช้การวิจัยเปน็ เครื่องมือในการทางาน เพอื่ ไปสู่เป้าหมายท่ีต้องการ สาหรับการวิจัยและ พัฒนานั้นมีลักษณะการทางานเป็นวงจรหลายวงจรต่อเนื่องเช่ือมโยงจนกว่าจะได้ผลงานที่พึงพอใจ การ วิจัยและพัฒนาเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนนั้น นอกจากจะช่วยพัฒนาผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เป็น เป้าหมายสาคัญแล้ว ยังได้นวัตกรรมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเรียนการสอนท่ีเป็นเครื่องมือสาคัญในการ พัฒนาผ้เู รยี น
68 ตอนที่ 5 วิจัยการจัดการเรียนการสอนทส่ี ่งเสริมความสามารถด้านการคิดวเิ คราะห์ จากการทบทวนเอกสารเกี่ยวกับวิธีการสอนที่ส่งเสริมทักษะการคิดได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพโดยใช้ แนวคิดกระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่ม ไดแ้ ก่ การใชผ้ ังความคิด แผนทีม่ โนทศั น์ วฏั จกั รการเรียนรู้ และการสืบเสาะ เทคนิคการใช้คาถาม (Questioning) การระดมสมอง (Brain storming) และการใช้ กระบวนการกล่มุ สรปุ ผลงานวจิ ัยไดด้ งั นี้ อารม์ โพธิพัฒน์ (2550: 89-90) ศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์และความสามารถ ในการคดิ วเิ คราะห์ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ที่ไดร้ ับการสอนโดยใช้ชดุ กจิ กรรมการเขยี นแผนผงั มโนมติ กลมุ่ ตวั อยา่ งเป็นนกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นวงั กระทะ จานวน 26 คน เครอ่ื งมือที่ใช้ ในการเก็บข้อมลู ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทาง การเรยี น ผลการวจิ ยั แสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ของนักเรียนท่ีเรียนโดยใช้ชุดกจิ กรรม การเขยี นแผนผงั มโนมติหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 สิริกาญจน์ ธนวุฒิพรพินิต (2553) ศึกษาวิจัยเร่ืองการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ผูว้ จิ ยั พฒั นารปู แบบกิจกรรมการเรียนรจู้ ากการสังเคราะห์ การจัดการเรียนการสอน 4 แบบ ได้แก่ 4MAT มโนมติรูปตัววี วัฏจักรการเรียนรู้และการสืบเสาะ กลุ่ม ตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 28 คน และเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อน และหลังเรียน ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉล่ียคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ของกลุ่มตัวอย่างหลงั เรยี นสูงกว่า กอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ สิทธิพล อาจอินทร์ (2554) ศึกษาวิจัยเร่ืองการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิด วิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยมีรูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยและพัฒนา ผู้วิจัยพัฒนา รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อนาไปใช้ในการพัฒนาครูผู้สอนด้านการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการคิดวิเคราะห์ เพือ่ ให้ครูนาไปใช้ ในการจดั การเรยี นรูเ้ พื่อพฒั นาการคดิ วิเคราะห์ของนักเรียน รปู แบบการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นการคิดวิเคราะห์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบคือ หลักการ จุดมุ่งหมาย สาระการเรียนรู้ ขั้นตอนการสอน และการวัดและประเมินผล โดยมีข้ันตอนการสอน 5 ข้ัน คอื ปฐมนเิ ทศ นาเสนอบทเรียน ฝึกการคิดวิเคราะห์ ซึง่ แบง่ ออกเป็น ฝกึ การคิดเปน็ รายบุคคล ฝกึ การคิด เป็นกลุ่มย่อย นาเสนอและอภิปรายผลการคิด และสรุปบทเรียน ผลการพัฒนาครูด้านการจดั การเรยี นรูท้ ่ี เน้นการคิดวิเคราะห์พบว่า ครูผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีคะแนนเฉล่ียการคิดวิเคราะห์หลังการอบรมสูงกว่า เกณฑท์ กี่ าหนดไว้ ผลการศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของรปู แบบพบวา่ นักเรียนมคี ะแนนการคิดวิเคราะห์หลงั เรียน คิดเป็นร้อยละ 76.49 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้คือร้อยละ 70 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ
69 เรียนรู้โดยใช้รปู แบบการจดั การเรียนรู้ที่เน้นการคิดวเิ คราะหก์ ลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ศิริสัญญ์ แก้วสกุล (2554) ศึกษาวิจัยเรื่องผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และ ความ พึงพอใจต่อการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ที่ได้รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ในรายวิชาหลักการตลาด ผู้วิจัยใช้หลักการของกระบวนการกลุ่มในการจัด กิจกรรมการมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ของโรงเรียน เทคนิควิมลบริหารธุรกิจ กรุงเทพมหานคร จานวน 41 คน ซ่ึงเรียนในรายวิชาหลักการตลาด ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลัง เรียนสงู กว่ากอ่ นเรียน อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 กิตติมา พันธ์พฤกษา (2555) ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ท่ี เน้นวิธีการสอนโดยใช้บริบทเพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์และการนาความรู้ไปใช้ สาหรับนักศึกษา มัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการวิจัยก่ึงทดลอง โดยผู้วิจัยพัฒนารูปแบบการสอนท่ีเรียกกว่า FEACA Model ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนได้แก่ 1) ขั้นมุ่งความสนใจ (F: Focusing) 2) ข้ันสารวจตรวจสอบ (E: Exploring) 3) ขนั้ วิเคราะห์ขอ้ มลู (A: Analyzing) 4) ขนั้ พฒั นาแนวคดิ (C: Conceptual Development) และ 5)ข้ันประยุกต์ใช้ (A: Applying) และเปรียบเทียบคะแนนการคิดวิเคราะห์จากการทาแบบทดสอบ ก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบ FEACA Model ผลการวิจัยพบว่า คะแนนการคิดวิเคราะห์ภายหลังเรียน ด้วยรปู แบบ FEACA สูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ิ จินต์ จิระริยากุล. (2556) ศึกษาผลของกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบสอบ โดยใช้โปรแกรม Tinker Plots เร่ืองสถิติ ที่มีต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนมาร์แตเดอีวิทยาลัย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร จานวน 36 คน โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบสวนโดยใช้โปรแกรม Tinker Plots เร่ืองสถิติ ประกอบด้วย 3 ข้ันตอน ได้แก่ข้ันสังเกต ขั้นอธิบาย ขั้นทานาย ข้ันนาไปใช้ การสอนเน้นให้ ผู้เรียนฝึกกระบวนการคิดแก้ปัญหา ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าภายหลังเรียนมีคะแนนความสามารถด้าน การคดิ วเิ คราหส์ งู กว่าก่อนเรยี นอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติ วิมล ทองผิว (2556) ศึกษาวิจัยเรื่องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบการสอนผัง กราฟิก สาหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 จานวน 84 คน เป็นกลุ่มทดลองจานวน 49 คน กลุ่มควบคุมจานวน 35 คน ผู้วิจัยสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบการสอนผังกราฟิกสาระการเรียนรู้สังคม ศาสนาและ วัฒนธรรม และเปรียบเทียบคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ระหว่างกลุ่มทดลองท่ีเรียนด้วยรูปแบบการ
70 สอนผังกราฟิกกับกลุ่มควบคุม ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองภายหลังเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี เน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบการสอนผังกราฟิกมีคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่า ก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ ถาดทอง ปานศุภวัชรและคณะ (2556) พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาครู ชั้นปีท่ี 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยใช้สื่อวีดีทัศน์ ใบงาน พัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ในด้านเนื้อหา ความสัมพันธ์ และหลักการ และทดสอบความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ภายหลงั เรยี น พบว่า นักเรียนครูทาคะแนนการวิเคราะห์ทัง้ 3 ดา้ นผ่านเกณฑร์ ้อยละ 60 จานวน 210 คน และไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 27 คน และเมื่อพิจารณาการคิดวิเคราะห์รายด้านพบว่า คะแนนเฉล่ียด้าน ความสัมพันธ์มีค่าสูงสุด รองลงมาคือด้านหลักการและด้านเน้ือหา ตามลาดับ นักศึกษาท่ีอยู่กลุ่มเก่ง (เกรดเฉล่ียสะสม 3.51-4.00) ได้คะแนนเฉล่ยี รอ้ ยละการคิดวิเคราะห์สูงสดุ ธิติยา พงศ์ศิริไพศาล, ชัยวัฒน์ วารี (2558) ศึกษาวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบความสามารถด้านการ คดิ วิเคราะห์ กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยของ นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ทสี่ อนด้วยเทคนิคการคิดแบบ หมวก 6 ใบ กับการสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 95 คน เปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ระหว่างกลุ่มทดลองท่ีได้รับการสอนด้วยเทคนิคการคิดแบบ หมวก 6 ใบ กับกลุ่มควบคุม ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนกลุ่มท่ีได้รับการสอนเทคนิคการคิดแบบ หมวกหกใบ มคี ะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรียนสงู กว่ากลุ่มท่สี อนแบบปกติ อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 สปุ าณี วงั กานนท์ และคณะ (2559) พัฒนาชุดกจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพอ่ื แก้ปญั หาการคิด วิเคราะห์ตามหลักการของ Mazano สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนบ้านกุดเลา จานวน 26 คน เคร่ือมือวิจัยเป็นชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์และแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาการคิดวิเคราะห์ตามหลักการของ Marzano ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ชุดกิจกรรมมีประสิทธิภาพเท่ากับ 79.38/71.63 มีดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.5017 คะแนนเฉล่ียด้านการคดิ วิเคราะห์ภายหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ รัชนี ทาเหล็ก (2556) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่องเส้นขนานท่ี มีต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาช้ันปีท่ี 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาโรงเรียนสวนแตงวิทยา จังหวัดสุพรรณบุรี ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2555 จานวน 32 คน จัดการเรียนการสอนโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นกลุ่มโดยคละความสามารถ ผู้สอนมอบหมายให้ทา กิจกรรมตามขั้นตอนเทคนิคจิกซอว์ โดยเน้นให้แต่ละกลุ่มมีการทางานร่วมกัน แลกเปล่ียนความคิดเห็น ผลการวจิ ยั แสดงให้เหน็ ว่า ความสามารถดา้ นการคิดวเิ คราะหภ์ ายหลังเรยี นสูงขึน้ อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิ
71 สุชาดา ปิติพร และ ไพทยา มีสัตย์. (2559). พัฒนาการคิดวิเคราะห์ในวิชาภาษาไทย (สาระท่ี 5 วรรณคดีวรรณกรรม) โดยใช้กระบวนการกลุ่ม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียน ราชวินิตบางเขน จานวน 25 คน ผู้วิจัยใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่ม และประเมิน ความสามารถดา้ นการคิดวเิ คราะห์จากการทาแบบทดสอบ และสงั เกตพฤติกรรมกลมุ่ ผลการวจิ ัยแสดงให้ เห็นว่า นักเรียนมีคะแนนคิดวิเคราะห์ภายหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ .05 และ นักเรียนมพี ฤติกรรมกลุ่มอยูใ่ นระดับดี จากการทบทวนงานวจิ ยั ท้ังหมดขา้ งต้น ผวู้ จิ ัยนามาวเิ คราะห์พบว่า การจัดการเรียนการสอนที่ ส่งเสรมิ ให้ผ้เู รียนเกิดทักษะการคดิ วิเคราะห์ แต่ละงานวิจยั ใชว้ ิธีการสอนต่างๆ ไดแ้ ก่ แผนผงั มโนมติ 4MAT มโนมติรูปตัววี รวมถงึ มกี ารใช้กระบวนการกลุ่ม วฏั จกั รการเรียนรู้และการสืบเสาะ ซง่ึ แตล่ ะวธิ มี ี แนวคดิ ท่เี นน้ กระบวนการเพื่อให้เกิดทักษะ ดังนน้ั ในการวิจัยคร้งั นีผ้ ูว้ ิจยั มวี ัตถุประสงค์ใหน้ กั ศกึ ษาท่เี รยี น วิชาพยาธิสรีรวิทยาพัฒนาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ รูปแบบการจดั การเรียนการสอนจงึ ควรเนน้ การให้นักศกึ ษาเกิดทักษะดา้ นการคดิ วเิ คราะห์โดยผสมผสานวธิ กี ารภายใต้แนวคิดของมารซ์ าโน การคดิ วเิ คราะห์ประกอบดว้ ย 5 ข้นั ตอนได้แก่ แยกแยะ จัดกลุ่ม เชื่อมโยง สรปุ ความ และการประยุกต์ใช้
บทท่ี 3 วิธดี ำเนนิ กำรวจิ ยั การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์พัฒนา รปู แบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการเพ่ือส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สาหรับนกั ศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีการ ดาเนนิ การวจิ ยั 4 ระยะดังนี้ ระยะท่ี 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความคาดหวังในการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา และ ความสามารถดา้ นการคิดวิเคราะหข์ องนกั ศึกษาพยาบาล ระยะที่ 2 พฒั นารูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนน้ ทักษะกระบวนการ ระยะที่ 3 นารูปแบบการเรียนการสอนทีเ่ นน้ ทักษะกระบวนการไปใชก้ ับกลมุ่ ตวั อย่าง ระยะท่ี 4 ประเมนิ ประสิทธผิ ลของรูปแบบการเรยี นการสอนที่เนน้ ทักษะกระบวนการ กำรวิจัยระยะท่ี 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน และความคาดหวังในการพัฒนาความสามารถด้านการ คดิ วิเคราะหข์ องนกั ศึกษาพยาบาลชนั้ ปีที่ 2 และความสามารถดา้ นการคดิ วิเคราะหข์ องนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีท่ี 2 มีจุดมุ่งหมายเพ่ือศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานจากแหล่งข้อมูลเอกสาร ตัวบุคคลได้แก่ นักศึกษา และ อาจารย์ เพอ่ื เป็นแนวทางในการพฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนท่ีสง่ เสรมิ ใหน้ ักศึกษามีความสามารถด้าน การคิดวิเคราะห์ ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร (Document analysis) และศึกษา สภาพปัจจุบัน และความคาดหวังในการพัฒนาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาพยาบาล ช้ันปีท่ี 2 รวมถึงการรับรู้ของนักศึกษาเก่ียวกับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ จากการวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) ผู้วจิ ยั ดาเนนิ การดังนี้ 1. ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตารา เกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎี และหลักการท่ีเก่ียวข้องกับ การจัดการเรียนการสอนทีส่ ่งเสรมิ ความสามารถด้านการคดิ วิเคราะห์ 1.1 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2552 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 1.2 เอกสารนโยบายการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ อุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 (Thai Qualifications Framework for Higher Education: TQF HEd) ของคณะกรรมการการอุดมศึกษา 1.3 เอกสารทฤษฎเี กี่ยวกบั การจัดการเรียนการสอนท่ียึดผ้เู รียนเปน็ ศูนย์กลาง
73 1.4 เอกสารแนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกบั กระบวนการคิดวิเคราะห์ 1.5 เอกสารแนวคดิ ทฤษฎเี ก่ยี วกบั กระบวนการกลมุ่ 1.5 งานวจิ ยั เกีย่ วกบั การส่งเสรมิ ความสามารถด้านการคดิ วิเคราะห์ 2. ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความคาดหวังในการพัฒนาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ของนักศึกษาพยาบาลช้ันปีท่ี 2 และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ใช้ แบบแผนการวิจัยเชิงสารวจ เก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยศึกษาสภาพปัจจุบัน ความ ความคาดหวังในการพัฒนาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา โดยการสนทนากลุ่มกับกล่ม นักศึกษาและกลุ่มอาจารย์ และประเมินความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาโดยใช้ แบบสอบถามท่ีผ้วู จิ ยั สร้างขึ้น 2.1 กลมุ่ ตวั อยา่ ง 2.1.1 กลุ่มตัวอย่างในการสนทนากลุ่มประกอบด้วยนักศึกษาพยาบาล หลักสูตร พยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้นั ปที ี่ 2 วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ท่ีกาลงั ศกึ ษาในภาคการศึกษาท่ี 1 ปีการศึกษา 2558 จานวน 21 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม โดยใช้เกรดเฉล่ียสะสมเป็นเกณฑ์จัดกลุ่มเป็นกลุ่มเก่ง กลุ่มกลาง และกลุ่มอ่อน เลือกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงกลุ่มละ 7 คน และอาจารย์วิทยาลัยพยาบาลบรมราช ชนนี ชลบรุ ี จานวน 7 คน 2.1.2 กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เป็น นักศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ที่ กาลงั ศกึ ษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศกึ ษา 2558 จานวน 118 คน 2.2 เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล 2.2.1 แนวคาถามในการสนทนากล่มุ 2.2.2 แบบสอบถามความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สภาพ ความคาดหวัง และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ผู้วิจัยสร้างข้ึนจากการการทบทวน แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ เพ่ือนามาเป็นกรอบหรือโครงสร้างความคิด และนิยามเชิง ปฏิบัติการองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์แต่ละองค์ประกอบ ซ่ึงจะทาให้ได้ลักษณะพฤติกรรมท่ีเป็น รูปธรรม หลังจากนั้นจึงเขียนข้อความตามลักษณะพฤติกรรมของแต่ละองค์ประกอบ แบบสอบถามท่ีผู้วิจัย สรา้ งขน้ึ จาแนกเปน็ 3 ตอน (ภาคผนวก ง) ไดแ้ ก่ ตอนท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไป ตอนที่ 2 ความคิดเห็นของนักศึกษาต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของ ตนเอง ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้านได้แก่ การจาแนก การจัดหมวดหมู่ การเชื่อมโยง การสรุปความ และการ
74 ประยุกต์ ผู้วิจัยสร้างข้ึนตามแนวคิดของ มาร์ซาโน (2001) มีจานวน 22 ข้อ ลักษณะคาตอบเป็นมาตราส่วน ประมาณคา่ (Rating scale) 5 ระดับ ได้แก่ ระดบั 5 หมายถึง ท่านเห็นว่าทา่ นมีความสามารถในขอ้ นน้ั ระดับดมี าก ระดับ 4 หมายถึง ทา่ นเหน็ วา่ ทา่ นมีความสามารถในขอ้ นัน้ ระดบั ดี ระดบั 3 หมายถึง ท่านเหน็ ว่าท่านมคี วามสามารถในข้อนนั้ ระดบั ปานกลาง ระดบั 2 หมายถึง ท่านเหน็ ว่าท่านมีความสามารถในข้อน้นั ระดบั ต่า ระดับ 1 หมายถึง ท่านเหน็ ว่าท่านมีความสามารถในข้อนน้ั ระดับตา่ มากหรือไมม่ เี ลย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการหาค่าเฉลี่ย (���̅���) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D) ในการแปลความหมาย (บุญชม ศรีสะอาด. 2554: 102–103) โดยให้เกณฑ์ระดับความสามารถด้าน การคดิ วิเคราะหด์ ังนี้ คะแนนเฉลีย่ การแปลความหมาย 4.51 – 5.00 ความสามารถด้านการคดิ วิเคราะหใ์ นระดับมากทสี่ ดุ 3.51 – 4.50 ความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะห์ในระดบั มาก 2.51 – 3.50 ความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะหใ์ นระดบั ปานกลาง 1.51 – 2.50 ความสามารถด้านการคิดวิเคราะหใ์ นระดบั น้อย 1.00 – 1.50 ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ในระดับน้อยท่ีสุด ตอนท่ี 3 สภาพปัจจุบัน ความคาดหวงั และแนวทางการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เพอ่ื พัฒนาการคดิ วิเคราะห์ เป็นข้อคาถามปลายเปดิ 2.3 วธิ ีการศกึ ษา มีการดาเนินการดังน้ี 2.3.1 สร้างแบบสอบถามความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สภาพ ความ คาดหวัง และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ โดยทบทวนแนวคิด ทฤษฎี เก่ียวกับการคิดวิเคราะห์ เพ่ือนามาเป็นกรอบหรือโครงสร้างความคิด และนิยามเชิงปฏิบัติการองค์ประกอบ ของการคดิ วิเคราะห์แต่ละองคป์ ระกอบ ซึ่งจะทาให้ได้ลักษณะพฤติกรรมท่ีเป็นรูปธรรม 2.3.2 จัดเตรียมแนวคาถามในการสนทนากลุ่ม โดยครอบคลุมเก่ียวกับสภาพ ปจั จุบนั ความคาดหวังของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาการคิดวเิ คราะห์ และแนวทาง การจัดการเรียนการสอนการพัฒนาด้านการคิดวิเคราะห์ การจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมให้นักศึกษามี ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์
75 2.3.3 ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ดาเนินการดังน้ี ผู้วจิ ยั ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสอบถามความสามารถดา้ นการคิดวิเคราะห์ สภาพปจั จบุ ัน ความคาดหวงั และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรยี นรเู้ พื่อพัฒนาการคดิ วิเคราะห์ ดังนี้ 1) นาแบบสอบถามส่งให้ผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน (ภาคผนวก ก) เพ่ือ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้อื หา (Content validity) และนาความคิดเห็นของผู้เชีย่ วชาญมาวเิ คราะห์ ค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (Index of Item-Objective Congruency: IOC) โดยเกณฑก์ ารพิจารณาคอื +1 เหน็ วา่ สอดคล้อง 0 ไมแ่ นใ่ จ -1 เห็นวา่ ไม่สอดคล้อง นาผลการพิจารณาวเิ คราะห์ค่าดัชนคี วามสอดคล้อง โดยใชเ้ ทคนิคของ Rovineli and Hambleton โดยใช้สูตร IOC=∑ ������ N IOC หมายถึง ดัชนคี วามสอดคล้องของเครอ่ื งมือ ∑ ������ หมายถึง ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เช่ียวชาญ ������ หมายถึง จานวนผู้เชยี่ วชาญ ทัง้ นพี้ บวา่ ทกุ ข้อมคี า่ IOC อยูใ่ นช่วง 0.67 ถึง 1.00 หลงั จากนน้ั นาขอ้ เสนอแนะของ ผู้เช่ยี วชาญมาปรับแก้เพอื่ ให้แบบสอบถามมีความถูกต้องสมบูรณ์ย่งิ ขึน้ 2) นาแบบสอบถามมาทดลองใช้ (Try out) เพื่อหาค่าความเช่ือม่ันกับ นักศึกษาของวิทยาลัยพยาบาลอ่ืนในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก ซ่ึงไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน แล้วนาแบบสอบถามที่ได้จากการทดลองใช้ตรวจสอบ วิเคราะห์หาค่าความเช่ือมั่น (Reliability) ของ แบบสอบถามทงั้ ฉบบั โดยใช้คา่ สมั ประสิทธิแ์ อลฟาของครอนบาค (Cronbach alpha coefficient) ได้ค่า ความเชื่อม่นั เทากับ 0.95 2.4 การเก็บข้อมูลผู้วจิ ยั ดาเนินการเกบ็ ขอ้ มูลโดย 1. นาแบบสอบถามความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะห์ สภาพ ความคาดหวงั และแนวทางการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาการคิดวเิ คราะห์ โดยชี้แจงวัตถุประสงค์การวิจยั และให้ กลุม่ ตัวอย่างเซ็นใบยินยอมก่อนตอบแบบสอบถาม 2. ผ้วู จิ ยั ชแ้ึ จงผู้ชว่ ยวจิ ยั เก่ยี วกบั การใช้แนวคาถามในการสนทนากลุ่ม เพ่ือให้ เข้าใจประเด็นคาถาม และข้อมูลท่ตี ้องการจากกลุ่มตัวอย่าง
76 3. คดั เลอื กนักศกึ ษาเพื่อทาการสนทนากลุม่ (Focus group) โดยคัดเลอื กผูร้ ว่ ม สนทนากลมุ่ ที่มีลกั ษณะร่วม (Homogeneous) เป็นนักศึกษาทมี่ ีผลการเรียนระดับเก่ง ปานกลาง และอ่อน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 7 คน และอาจารย์ 1 กลุ่ม กลุ่มละ 7 คน 4. จดั เตรียมสถานที่ นดั วัน เวลา ท่ีจะสนทนากลุ่ม 5. สนทนากลุ่มพร้อมกันทุกกลุ่ม โดยมีอาจารย์ 1 กลุ่ม และนักศึกษา 3 กลุ่ม แยกสนทนาแต่ละกลุ่มในห้องที่ปิดมิดชิด เป็นสัดส่วน มีผู้ช่วยวิจัยเป็นผู้ดาเนินการสนทนากลุ่มละ 1 คน และจดบันทึกข้อมูลการสนทนากลุ่ม กลุ่มละ 1 คน ก่อนดาเนินการสนทนากลุ่ม ผู้ดาเนินการสนทนาแจง้ วัตถุประสงค์การวิจยั ขออนุญาตกิ ลมุ่ ตัวอยา่ งในการบันทึกเทป และจดบันทึกข้อมลู 2.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการสนทนากลุ่ม และคาตอบ ที่ได้จากคาถามปลายเปิดจากแบบสอบถาม ซ่ึงเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพโดย Content analysis วิเคราะห์ ข้อมูลเบื้องต้นของกลุ่มตัวอย่าง และความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา โดยใช้ค่าสถิติ พน้ื ฐาน ได้แก่ ร้อยละ คา่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน กำรวจิ ยั ระยะที่ 2 พฒั นำรูปแบบกำรเรยี นกำรสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนกำร เพ่อื ออกแบบ และพัฒนารูปแบบ ในระยะนี้ผู้วิจัยออกแบบรูปแบบ (Develop: D1) และนาร่างรูปแบบไปทดลองใช้ (Research: R2) ประเมินผลการใช้ร่างรูปแบบ หลังจากน้ันจึงปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการเรียนการ สอนที่เน้นทักษะกระบวนการ (D2) การดาเนินการออกแบบร่างรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะ กระบวนการและพัฒนารูปแบบก่อนนาไปใช้จริง มดี งั นี้ 1. การออกแบบร่างรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการเพื่อส่งเสริม ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สาหรับนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี เพ่ือ กาหนดกรอบโครงสร้างของรูปแบบ โดยดาเนินการดังน้ี 1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับพ้ืนฐานความรู้ในการจัดการเรียน การสอนที่ส่งเสริมความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะห์ ผ้วู ิจัยศกึ ษาโดยการทบทวนเอกสาร แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องมาพิจารณาร่วมกับผลการสารวจสภาพสภาพปัจจุบันการจัดการเรียนการสอน การคดิ วเิ คราะหข์ องนกั ศกึ ษา เอกสารทผ่ี ูว้ จิ ัยศึกษาไดแ้ ก่ 1) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่แก้ไขเพ่ิมเติมฉบับที 2 พ.ศ. 2545, 2553 หมวด 4 แนวทางจัดการศึกษา มาตราที่ 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักการว่าผู้เรียนทุก คนมีความสามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ มาตราที่ 24 ข้อท่ี (2) การจัด
77 กระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องดาเนินการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การ จดั การ การเผชญิ สถานการณ์ และการประยุกตค์ วามร้มู าใช้เพือ่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหา 2) กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (Thai Qualification Framework for Higher Education: TQF) ซึ่งเป็นเคร่ืองมือในการนาแนวนโยบายการพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานการจัดการศึกษาตามที่กาหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯ ในส่วนที่เก่ียวกับ มาตรฐานการอุดมศึกษาสู่การปฏิบัติในสถานศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นที่ผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) ซ่ึงกาหนดมาตรฐานผลการเรียนรู้ของบัณฑิตท่ีคาดหวังไว้ก่อน แล้วพิจารณาถึง องค์ประกอบอื่นๆ ท่ีเก่ียวข้องในกระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีจะส่งเสริมให้บัณฑิตบรรลุถึง มาตรฐานผลการเรียนรู้อย่างสอดคล้องอย่างเป็นระบบ มาตรฐานคุณวฒุ ิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (มคอ.) ประกอบด้วยมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ (มคอ.1) เป็นแนวทางท่ีสานักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษาจัดทาให้เป็นแนวปฏิบัติ ซ่ึงได้กาหนดหัวข้อต่างๆ เช่น มาตรฐานผลการ เรียนรู้ เน้ือหาสาระสาคัญของรายวิชา รวมถึงกลยุทธ์การสอนและการประเมินผลการเรียนรู้ ในส่วนของ มาตรฐานคุณวุฒิกับรายละเอียดของหลักสูตร (มคอ.2) ซ่ึงเป็นเรื่องท่ีสถาบันการศึกษาต้องจัดทา เร่ืองที่ เกี่ยวกับหลักสูตร ในหมวดที่ 3 ระบบการจัดการศึกษา การดาเนินการและโครงสร้างหลักสูตร ซ่ึงมีการ กาหนดหมวดวิชา หน่วยกิต ของนักศึกษาแต่ละชั้นปี รวมถึงรายวิชาท่ีสอนในแต่ละหมวดวิชา หมวดที่ 4 ผลการเรียรู้ กลยุทธ์การสอนและการประเมินผล โดยแปลงผลการเรียนรู้มาจาก มคอ.1 วิทยาลัยได้ กาหนดไว้ตามเกณฑ์ของคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ ท่ีระบุให้ครอบคลุมอย่างน้อย 5 ด้าน (Domain) ได้แก่ 1) ด้านคุณธรรม จริยธรรม 2) ด้านความรู้ 3) ด้านทักษะทางปัญญา 4) ด้านทักษะ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ 5) ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสารและการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ 6) ด้านทักษะพิสัย สาหรับมาตรฐานผลการเรียนรดู้ ้านที่ 6 สาหรับสาขาวิชาท่ีสอน ท้ังทฤษฎีและปฏิบัติ จากน้ันอาจารย์ท่ีรับผิดชอบรายวชิ ามาจัดทามคอ.3 /4/5/6 การจัดทามาตรฐานผล การเรยี นรจู้ ากหลักสูตรสู่รายวิชา วิชาพยาธสิ รรี วทิ ยา ซ่งึ ผวู้ ิจัยเปน็ ผู้รบั ผิดชอบรายวิชาและเปน็ ผ้สู อน และใชร้ ูปแบบ การเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะ มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในวิชานี้ วิชาพยาธิสรีรวิทยาเป็นวิชาใน หมวดวิชาเฉพาะ กลุ่มพ้ืนฐานวิชาชีพ มีมาตรฐานผลการเรียนรู้ครบทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านท่ี 1 ด้าน คุณธรรม จริยธรรม ด้านที่ 2 ด้านความรู้ การวิเคราะห์และจาแนกข้อเท็จจริงในหลักการ ทฤษฎี และ กระบวนการต่างๆ ได้ รวมถึงการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านที่ 3 วิเคราะห์สถานการณ์ ใช้ความรู้ ความเข้าใจ ในแนวคิด หลักการ ทฤษฎี และกระบวนการต่างๆ ด้านท่ี 4 การทางานเป็นกลุ่ม ความรับผิดชอบต่อ ตนเอง ด้านท่ี 5 การส่ือสาร ทั้งการพูด การเขียน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ วิชานี้มีเน้ือหาค่อนข้าง
78 ซับซ้อน การสอนโดยการบรรยายเพียงอย่างเดียว อาจทาให้ผู้เรียนไม่เข้าใจ และไม่สามารถนาไป ประยกุ ต์ใช้ในการเรียนวิชาทางการพยาบาลได้ 3) การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การจัดการเรียน การสอนสามารถทาได้หลายแบบหลายลักษณะท่ีแตกต่างกัน แต่หากวิธีการและกระบวนการนั้นช่วยให้ ผู้เรียนมีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างต่ืนตัว และผู้เรียนได้สร้างความหมายของสิ่งท่ี เรียนรูจ้ นเกิดเป็นความเขา้ ใจท่ีแท้จริง การจดั การเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการคิด (Thinking-Based instruction) เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นการจัด การเรยี นการสอนที่ดาเนนิ การโดยผสู้ อนใช้รูปแบบ วิธีการ และเทคนิคการสอนตา่ งๆ กระตุน้ ให้ผู้เรยี นเกดิ คิดขยายต่อเนื่องจากความคิดเดิมท่ีมีอยู่ในลักษณะใดลักษณะหน่ึง เช่น เกิดความคิดท่ีมีความละเอียด กว้างขวาง ลึกซึ้ง ถูกต้องมีเหตุผล และน่าเช่ือถือมากขึ้นกว่าเดิม การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้น กระบวนการคิดมีแนวคิดหลักท่ีว่า กระบวนการคิดเป็นกระบวนการทางสติปัญญา ซึ่งอาศัยส่ิงเร้าและ สภาพแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสม การฝึกทกั ษะการคิด การใช้ลักษณะการคิดแบบตา่ งๆ รวมทัง้ กระบวนการคิดท่ี หลากหลายจะชว่ ยใหก้ ารคิดอยา่ งจงใจ และอยา่ งมเี ป้าหมายของผเู้ รยี นเปน็ ไปอยา่ งมคี ุณภาพมากข้ึน 4) แนวคิด ทฤษฏีกระบวนการคิดวิเคราะห์และกระบวนการกลุ่ม ซ่ึงกระบวนการ คิดวิเคราะห์เป็นกระบวนการทางสมองของบุคคลในการจัดกระทาข้อมูลหรือส่ิงเร้าท่ีเข้ามาทางประสาท สัมผัสต่างๆ สมองจะทาการประมวลข้อมูลเป็นข้ันตอนท่ีเป็นลาดับอย่างต่อเน่ือง เพื่อให้สามารถบรรลุ จุดมุ่งหมายเฉพาะใดๆ การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แนวคิดการคิดวิเคราะห์ของมาร์ซาโน (Marzano Taxonomy) ท่ีอธิบายองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วย 5 ข้ันตอนได้แก่ การแยกแยะ การจัดกลุ่ม การเช่อื มโยง การสรุป และการตดั สินใจท่ีสมเหตสุ มผลภายใต้ขอ้ มูลทน่ี ่าเชอ่ื ถือ 5) รูปแบบการจัดการเรียนการสอน เป็นระบบหรือโครงสร้างที่สร้างข้ึนภายใต้ หลักการ แนวคิดท่ีสัมพันธ์กับความต้องการที่จะพัฒนา และมีการทดสอบ พิสูจน ยอมรับวามี ประสิทธิผล/มีความเหมาะสมท่ีจะพัฒนาประสบการณการเรียนรู โดยมีการจัดกระบวนการท่ีเป็นระบบ เพ่ือนามาใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้บุคคลมีพฤติกรรมตามความ คาดหวัง องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนต้องมีองค์ประกอบท่ีสาคัญได้แก่ (1) มีปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด เป็นพ้ืนฐานของรูปแบบ (2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ (3) มีกระบวนการของ รูปแบบ อธิบายหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับ วิธีการสอน (4) ผลที่จะไดรบั จากการใชรูปแบบ (ทิศนา แขมมณี, 2548) 1.2 จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา ซึ่ง นักศึกษาประเมินตนเองอยู่ในระดับต่า โดยเฉพาะด้านการเช่ือมโยง ซ่ึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งพัฒนา
79 นอกจากน้ีจากความคิดเห็นของนักศึกษาเกี่ยวกับ สภาพปัจจุบันและความคาดหวังการพัฒนาการคิด วิเคราะห์ของนักศึกษา สรปุ เปน็ ประเด็นดา้ นผู้สอน ด้านวธิ กี ารสอน และส่ิงสนบั สนนุ ดังน้ี 1) ด้านผู้สอน ในสภาพปัจจุบันเป็นผู้ควบคุมการสอน นักศึกษาคาดหวังให้ อาจารย์เปิดโอกาส รับฟังความคิดเห็นของนักศึกษา ไม่กดดันนักศึกษา ไม่ดุ ให้อิสระไม่ปิดกั้นความคิด และย้มิ แย้มแจม่ ใสเป็นกันเอง 2) ด้านวิธีการสอน ในสภาพปจั จบุ ัน สว่ นใหญ่เปน็ แบบบรรยาย ไม่มีกจิ กรรมที่ กระตุ้นให้นักศึกษาเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์เป็นลาดับข้ัน นักศึกษาคาดหวังให้ปรับวิธีการสอนที่ หลากหลายได้แก่ วิเคราะห์กรณีศึกษา ฝึกปฏิบัติจริง เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก สะท้อนคิด การตั้ง คาถาม และกลมุ่ ย่อย 3) สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ ในสภาพปัจจุบัน บรรยากาศการสอนค่อนข้างตึง เครยี ด นกั ศกึ ษาคาดหวังให้จัดบรรยากาศในการเรียนทมี่ ีลักษณะทีผ่ ่อนคลายไม่ตงึ เครยี ด สรุปผลการศึกษาเอกสารและผลการวิเคราะห์ข้อมูลความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ของนักศึกษา ความคิดเห็นของนักศึกษาสภาพปัจจุบันและความคาดหวังการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของ นกั ศึกษา และผลการสนทนกลุ่ม มาใชใ้ นการออกแบบรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ มีองค์ประกอบของรูปแบบ 4 องค์ประกอบได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) กระบวนการจัดการเรียนการสอน 4) การประเมินผลรูปแบบ โดยกระบวนการจัดการเรียนการสอนมี 5 ขนั้ ตอนตามลาดับขน้ั การคดิ วเิ คราะห์ของมารซ์ าโน 2. ทดลองใช้ (Try-out) ร่างรูปแบบกับนักศึกษาจานวน 10 คน ซ่ึงสอบไม่ผ่านในการ สอบคร้งั ท่ี 1 และทาข้อสอบทว่ี ัดระดับวเิ คราะห์ได้คะแนนเป็น 0 ผวู้ ิจัยทดลองใช้ร่างรูปแบบในวิชาพยาธิ สรีรวิทยา เนื้อหาบทที่ 3 พยาธิสภาพต่อร่างกายทั่วไป โดยใช้กรณีศึกษาที่ครอบคลุมเน้ือหา การติดเช้ือ ความบกพร่องภูมิคุ้มกัน การอักเสบ เน้ืองอก และความผิดปกติทางพันธุกรรม กระตุ้นให้นักศึกษาคิด วิเคราะห์ตามลาดับขั้นตอนกระบวนการคิดวิเคราะห์ ตามแนวคิดของมาร์ซาโน นักศึกษาแต่ละคน วเิ คราะห์กรณีศึกษาตามลาดับขนั้ ของกระบวนการคดิ วิเคราะห์ และนาเสนอขอ้ สรุปของแต่ละคน 3. ผู้วิจัยประเมินผลหลังสอนโดยให้นักศึกษาทาแบบทดสอบวัดระดับการคิดวิเคราะห์ จานวน 10 ข้อ นักศึกษาทาได้ 5-7 ข้อ และผู้วิจัยได้สัมภาษณ์นักศึกษาเป็นรายบุคคล นักศึกษาให้ ข้อเสนอแนะในประเด็น การคิดวิเคราะห์ถ้าได้มาแลกเปลี่ยนกับเพ่ือนจะดีกว่าวิเคราะห์คนเดียว เพราะ บางเร่อื งเพื่อนอาจจะมีความรู้ที่มาช่วยเสนอแนะในบางประเด็นที่ตนเองไมร่ ู้
80 4. ปรับปรุงรูปแบบโดยการปรับกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ โดยศกึ ษาทฤษฎี แนวคดิ และหลักการ วิธกี ารจดั การเรียนการสอนที่สง่ เสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ พบว่า กระบวนการกลุ่มเป็นกระบวนการท่ีก่อให้เกิดแรงผลักดัน โดยมีลักษณะการจัดกลมุ่ แบบระดมสมอง ตาม ทฤษฎีสนาม (field theory) ของ Kurt Lawin ความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่มและโครงสร้างของกลุ่ม การรวมกลุ่มของบุคคลที่มีลักษณะแตกต่างกันมารวมกลุ่มกันโดยมีปฏิสัมพันธ์ในรูปของการกระทา และ ความคิด จะทาให้เกิดโครงสรา้ งของกล่มุ แต่ละกล่มุ แตกตา่ งกันออกไปตามลักษณะของสมาชิกในกลุ่ม จะ มีการปรับตัวเข้าหากันและช่วยกันทางาน และส่งเสริมให้เกิดการคิดวิเคราะห์ท่ีหลากหลาย ผู้วิจัยจึง ปรับปรุงรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการท่ีประกอบด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์และ กระบวนการกลุ่ม นอกจากนี้การคิดวิเคราะห์เป็นกิจกรรมทางสมอง การเข้าใจเก่ียวกับกระบวนการ ทางานของสมองจึงเป็นเคร่ืองมือในการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพ่ือสร้างศักยภาพ สูงสุดใหแ้ กผ่ ้เู รียน ดงั น้นั ผู้วิจัยจงึ ไดศ้ ึกษาทฤษฎกี ารเรยี นรโู้ ดยใชส้ มองเปน็ ฐาน (Brain Based Learning) และนามาเป็นแนวคิดในการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนการสอน สมองถูกออกแบบมาเพ่ือรับรู้และ ขบคิด เพือ่ ค้นหาคาตอบ ดังนัน้ ควรมกี ารจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผ้เู รยี นเกิดคาถาม และสง่ เสรมิ ให้ผู้เรียน หาคาตอบจากคาถามนั้นดว้ ยตวั เอง นอกจากนปี้ ัจจัยท่ีขัดขวางการเรยี นรู้ของสมองกค็ ือความเครียด และ ความวิตกกังวล ดังน้ันจึงควรสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และหลีกเล่ียงการ กดดันผูเ้ รียนในรูปแบบตา่ ง ๆ แตผ่ ูเ้ รยี นจะเกิดการเรียนรูไดดีท่ีสุดเมื่อสมองตองเผชญิ กับความเครียดและ ความรู้สึกสบายผ่อนคลายในปริมาณที่สมดุลกัน ควรจัดบรรยากาศให้ผู้เรียนอยู่ในสภาวะ“ความต่ืนตัว แบบผอนคลาย” และสงิ่ ท่สี าคัญคอื การทาใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ ความร้จู ากการกระทาด้วยตนเอง ดังนั้นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการเพื่อส่งเสริมความสามารถด้าน การคิดวิเคราะห์ สาหรับนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี จึงมาจาก 3 แนวคิด ได้แก่ กระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม การจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน โดยมีเครื่องมือท่ี นารูปแบบไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนประกอบด้วย คู่มือการจัดการเรียนการสอนสาหรับอาจารย์ และแผนสอน (ภาคผนวก ข) 4.1 ค่มู อื ประกอบด้วย 4 ตอนได้แก่ ตอนท่ี 1 หลักการของรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ เพื่อ ส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาพยาบาล อยู่ภายใต้ทฤษฎีการจัดการเรียน การสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมีแนวคิดพื้นฐาน 3 แนวคิดได้แก่ การเรียนรู้โดยใชส้ มองเปน็ ฐาน กระบวนการคิดวิเคราะห์ และกระบวนการกลุ่ม หลักการของรูปแบบการจัดการเรียนการสอนน้ีจึงให้ ความสาคัญกับทักษะกระบวนการ ท้ังกระบวนการทางสมองท่ีเกิดจากการปฏิบัติ กระบวนการคิด
81 วเิ คราะหแ์ ละกระบวนการกล่มุ โดยเนน้ ใหผ้ ้เู รยี นได้ฝกึ ทกั ษะกระบวนการคดิ วเิ คราะห์ควบค่กู ับการเรียนรู้ เนื้อหาพยาธิสรีรวิทยาระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท และระบบ ทางเดินอาหาร โดยใช้กรณีศึกษาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนพิจารณาแยกแยะ จัดหมวดหมู่ เช่ือมโยง ความสัมพันธ์ สรุป และการประยุกต์ ภายใต้หลักการและเหตุผลท่ีถูกต้องและเหมาะสม ร่วมกับการใช้ กระบวนการกลุ่มเพื่อให้ผู้เรียนได้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ภายใต้หลักการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์และกระบวนการกลุ่ม 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) รู้ ฉนั - รเู้ ธอ 2) ปลุกความคิด 3) พนิ ิตไตร่ตรอง มองหาความเชื่อมโยง 4) สรา้ งขอ้ คาถาม 5) ระดมสมอง 6) สรปุ รวบยอด 7) ถ่ายทอดความคดิ ตอนที่ 2 วัตถปุ ระสงค์ของรูปแบบการเรียนการสอนที่เนน้ ทักษะกระบวนการ 1) เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกคิดวิเคราะห์แต่ละขั้นตอนของกระบวนการคิด วเิ คราะห์ ผา่ นการจดั การเรยี นการสอนด้วยรูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ 2) เพื่อพัฒนาความสามารถดา้ นการคดิ วิเคราะหข์ องนกั ศกึ ษา 3) เพ่ือให้นักศึกษาได้แลกเปล่ียนความรู้ และมีใช้กระบวนการกลุ่มเพ่ือ สง่ เสรมิ ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ ตอนท่ี 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ แนวทางการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน เน้ือหาโดยสังเขปของแต่ละบท บทบาทผู้สอน และผ้เู รียน ตารางการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน และกรณีศึกษาที่ใชเ้ ปน็ ส่ือใหน้ ักศึกษาคิดวิเคราะห์ ตอนท่ี 4 การวัดและประเมินผลความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มีแบบฟอร์ม การประเมินที่ใช้ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการคิดวิเคราะห์และการทากลุ่ม ใช้ประเมินพฤติกรรม รายบุคคลโดยอาจารยป์ ระจากลุ่มประเมินขณะท่ีนักศึกษาทากิจกรรมวิเคราะห์กรณศี ึกษา ตรวจสอบการ ใชก้ ระบวนการคิดวเิ คราะหแ์ ละกระบวนการกลมุ่ โดยมีเกณฑ์การใหค้ ะแนนพฤตกิ รรมการใช้กระบวนการ คิดวิเคราะห์และกระบวนการกลุ่ม แบบประเมินความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ และแบบสอบถาม ความพึงพอใจตอ่ การเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ทักษะกระบวนการ 4.2 แผนสอนที่สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ ที่ ส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สาหรับนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ และกระบวนการกลุ่ม ใน วิชาพยาธิสรีรวิทยาครอบคลุมเนื้อหา 4 บท ได้แก่ พยาธิสรีรวิทยาระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและ หลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร และระบบประสาท รวม 15 ชว่ั โมง โดยใชก้ รณีศกึ ษาเป็นส่ือการสอนที่ กระตุ้นกระบวนการคิดวิเคราะห์และกระบวนการกลุ่ม ดาเนินการตามลาดับข้ันตอนกระบวนการคิด
82 วิเคราะห์ และนาเสนอสรปุ เปน็ ความคิดรวบยอด โดยมีข้นั ตอนการทาแผนสอนที่ใช้กจิ กรรมการเรยี นการ สอนท่ีเน้นทกั ษะกระบวนการคิดวิเคราะห์และกระบวนการกลุ่มดังน้ี 1) ศึกษาหลักสตู ร มคอ.2 จุดประสงคร์ ายวชิ า และขอบข่ายของเนือ้ หาในรายวิชา พยาธสิ รีรวิทยา จากหนังสือท่ีใช้ประกอบการเรยี นการสอน เอกสารทางวชิ าการ การจัดการเรียนการสอน ที่สง่ เสรมิ การคดิ วเิ คระห์ และงานวิจัยที่เกีย่ วข้อง 2) ศึกษา มคอ. 3 รายวิชาพยาธิสรีรวิทยา เก่ียวกับคาอธิบายรายวิชา ผลลัพธ์การ เรียนรู้ เนอ้ื หาสาระ กิจกรรการเรียนการสอน ส่อื การเรยี นรู้ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 3) เลือกเนื้อหาในรายวิชาพยาธิสรีรวิทยา ที่ดาเนินการจัดการเรียนการสอนด้วย รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ โดยพิจารณาบทท่ีมีเนื้อหาค่อนข้างมากและซับซ้อน เป็นบทที่ผู้วิจัยรับผิดชอบเป็นผู้สอน โดยประสานกับอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญแต่ระบบมาร่วมเป็นทีม ผู้สอน มีจานวน 4 บท ไดแ้ ก่บทท่ี 7 พยาธสิ ภาพระบบหายใจ บทท่ี 8 พยาธิสภาพระบบประสาท บทที่ 9 พยาธสิ ภาพระบบไหลเวยี น และบทท่ี 10 พยาธิสภาพระบบทางเดนิ อาหาร 4) ศึกษากรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการเรยี นการสอนท่ีเนน้ ทักษะกระบวนการ 5) ออกแบบแผนการสอนซงึ่ ประกอบดว้ ย วนั เวลาท่สี อน แนวคดิ มาตรฐานผลการ เรยี นรู้ วัตถุประสงค์ทั่วไป วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เน้อื หา กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการสอน และ วิธีการประเมิน โดยออกแบบแผนการสอนจานวน 5 แผนสอน แต่ละแผนสอนใช้เวลา 3 ชั่วโมง รวม ระยะเวลา 5 สปั ดาห์ 4.3 สร้างกรณีศึกษาจานวน 15 กรณี โดยแบ่งจานวนกรณีศึกษาแต่ละบทตาม เนื้อหาของแต่ละบท ประกอบด้วยกรณีศึกษาความผิดปกติระบบทางเดินหายใจ 3 กรณีศึกษา ความ ผิดปกติระบบประสาท 6 กรณีศึกษา ความผิดปกติของหัวใจและไหลเวียนเลอื ด 3 กรณีศึกษา และความ ผิดปกติระบบทางเดินอาหาร 3 กรณีศึกษา ท้ังนี้กรณีศึกษาทุกกรณี เป็นเร่ืองราวเก่ียวกับผู้ป่วยท่ีมีความ ผิดปกติของแต่ละระบบได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท และระบบ ทางเดินอาหาร ผู้วิจัยเขียนข้ึนจากเร่ืองจริงและมีการเพิ่มเติมในบางส่วน เพื่อให้ข้อมูลสมบูรณ์และ ครอบคลมุ ตามวตั ถุประสงคข์ องการเรียนรู้ ผู้วิจัยใชก้ รณศี กึ ษาเปน็ สื่อกระต้นุ ให้นักศึกษาเกิดกระบวนการ คิดวิเคราะห์และใช้กระบวนการกลุ่มแลกเปล่ียนความรู้และความคิดเห็น เพ่ือให้เกิดการวิเคราะห์ที่ หลากหลาย ผู้วิจัยดาเนินการสร้างกรณีศึกษา โดยนาเรื่องราวผู้ป่วยที่มารักษาท่ีโรงพยาบาล ซ่ึง ประกอบด้วย อาการสาคัญ ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน ผลการตรวจร่างกาย ผลการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ และผลการตรวจพิเศษ โดยนาเสนอข้อมูลในรูปแบบบรรยายไม่ได้จาแนกข้อมูลเป็น หมวดหมู่ โดยผนวกกรณศี กึ ษาไวใ้ นแผนสอน
83 5. สร้างแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะ กระบวนการ และแบบประเมินความเหมาะสมของแผนสอน (ภาคผนวก ค) 5.1 แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะ กระบวนการ เพ่อื สง่ เสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สาหรบั นกั ศึกษาพยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาล บรมราชชนนี ชลบุรี เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ให้ผู้เช่ียวชาญตัดสินว่าองค์ประกอบของ รปู แบบ มีความเหมาะสมมากนอ้ ยเพียงใด โดยกาหนดเกณฑ์การประเมนิ ไวด้ งั นี้ ระดบั 5 หมายถงึ มีความเหมาะสมมากท่ีสุด ระดบั 4 หมายถึง มคี วามเหมาะสมมาก ระดับ 3 หมายถึง มคี วามเหมาะสมปานกลาง ระดบั 2 หมายถึง มีความเหมาะสมนอ้ ย ระดบั 1 หมายถึง มคี วามเหมาะสมน้อยทีส่ ุด การแปลความหมายของค่าคะแนนทว่ี ัดได้ โดยการวเิ คราะห์ข้อมูลด้วยวธิ ีการหา คา่ เฉล่ยี (���̅���) และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D) (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2554: 102–103) การให้ความหมายโดย การใหค้ ่าเฉล่ียรายข้อดงั นี้ 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดบั มากทีส่ ดุ 3.51 - 4.50 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2.51 - 3.50 หมายถึง มีความเหมาะสมอยใู่ นระดบั ปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง มีความเหมาะสมอย่ใู นระดับนอ้ ย 1.00 - 1.50 หมายถงึ มีความเหมาะสมอยู่ในระดบั น้อยทส่ี ดุ 5.2 แบบประเมินความเหมาะสมของแผนสอน โดยประเมินความสอดคล้องของ แนวคิด วัตถุประสงค์ เน้ือหา กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการสอน และการประเมินผล เกณฑ์การให้ คะแนนการประเมินแผนการสอนใช้เกณฑ์มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับคะแนน โดยกาหนดเกณฑ์ ประเมินไว้ดังน้ี ระดับ 5 หมายถึง มีความเหมาะสมมากทีส่ ุด ระดบั 4 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมมาก ระดบั 3 หมายถึง มคี วามเหมาะสมปานกลาง ระดบั 2 หมายถึง มีความเหมาะสมน้อย ระดบั 1 หมายถงึ มีความเหมาะสมนอ้ ยทีส่ ดุ
84 การแปลความหมายของค่าคะแนนทีว่ ัดได้ โดยการวเิ คราะห์ข้อมูลด้วยวธิ ีการหา คา่ เฉลย่ี (���̅���) และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D) (บุญชม ศรสี ะอาด. 2554: 102–103) การใหค้ วามหมายโดย การใหค้ า่ เฉลยี่ รายข้อดังน้ี 4.51 - 5.00 หมายถึง มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดับมากท่ีสุด 3.51 - 4.50 หมายถึง มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดับมาก 2.51 - 3.50 หมายถึง มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดบั ปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถงึ มีความเหมาะสมอยู่ในระดบั น้อย 1.00 - 1.50 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยทสี่ ดุ 6. การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบประเมิน 6.1 นาคู่มือการจัดการเรียนการสอนท่ีใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะ กระบวนการให้ผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน (ภาคผนวก ก) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอน 1 ท่าน ผู้เช่ืยวชาญด้านการวัดและประเมินผล 1 ท่าน และผู้เช่ียวชาญการสอนสรีรวิทยาและพยาธิ สรีรวิทยา 1 ท่าน ตรวจสอบความเหมาะสมของการใช้รูปแบบ ได้ค่าคะแนนเฉล่ียความเหมาะสมของ องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการระหว่าง 3.67-4.67 ซ่ึงมีความ เหมาะสมในระดบั มากถึงมากที่สดุ (ภาคผนวก จ) ผูว้ ิจยั สามารถนารูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนน้ ทักษะ กระบวนการไปใช้จัดการเรียนการสอนกับนักศึกษาที่เรียนวชิ าพยาธสิ รีรวิทยา ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ในประเดน็ การระบุเกณฑร์ ะดับคุณภาพของเกณฑ์การประเมินพฤติกรรมการคิดวเิ คราะห์และการทากลุ่ม ใหช้ ดั เจน 6.2 นาแผนสอนให้ผูเชี่ยวชาญทั้ง 3 ทาน (ภาคผนวก ก) ได้ตรวจสอบและเห็นว่า เหมาะสม ได้ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อแผนการสอนเท่ากับ 3.67-4.33 ซึ่งมีความเหมาะสม ในระดับมากถึงมากที่สุด (ภาคผนวก จ) มีขอเสนอแนะในการปรับแก้เพียงเล็กน้อย ผูวิจัยไดปรับปรุง แผนการจัดกิจกรรมตามขอเสนอแนะของผูเชยี่ วชาญทุกประเด็นคือ ใหปรบั แกภาษาใหมคี วามเหมาะสม 7. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วจิ ัยสง่ ค่มู ือการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการ เรยี นการสอนทีเ่ น้นทกั ษะกระบวนการ เพ่ือส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สาหรับนักศึกษา พยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี พรอ้ มท้งั แผนสอน ให้ผู้เชี่ยวชาญ และติดตามเก็บข้อมูล ดว้ ยตนเอง 8. การวิเคราะห์จากแบบประเมนิ ความเหมาะสมจากผ้เู ชีย่ วชาญ
85 กำรวิจัยระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ โดยนารูปแบบฯ ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนวิชาพยาธิสรีรวิทยา โดยเลือกเน้ือหาจานวน 4 บท ซ่ึงมีเน้ือหาท่ีซับซ้อน เข้าใจยาก ได้แก่ ความผิดปกติระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และ ระบบประสาท ในม.ค.อ. 3 รายวิชาพยาธิสรีรวิทยา กาหนดชัว่ โมงสอนท้ัง 4 บทนี้ไว้ 15 ช่ัวโมง ผู้วจิ ัยจดั การ เรยี นการสอนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นทักษะกระบวนการคิดวเิ คราะห์และกระบวนการ กลุ่ม โดยใช้กรณีศึกษาที่มีความผิดปกติในแต่ละระบบท้ัง 4 ระบบ แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มย่อย มี อาจารยป์ ระจากลมุ่ ที่มีความเชีย่ วชาญในแต่ละระบบ 1.กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ช้ันปีท่ี 2 จานวน 118 คน ที่ลงทะเบียนเรียนวิชา พยาธิสรรี วิทยา ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2558 2. เครอื่ งมือวิจยั 2.1 เครือ่ งมอื ทดลอง คือ รปู แบบการเรียนการสอนท่เี นน้ ทักษะกระบวนการ ซงึ่ ผวู้ ิจัย พฒั นาขึ้น และผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผเู้ ชย่ี วชาญ 2.2 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสังเกตพฤติกรรมการคิด วิเคราะห์และการทากลุ่ม (ภาคผนวก ง) เปนแบบสังเกตท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบ รูบริคส์ (Scoring rubric) โดยมีรายการประเมินกระบวนการคิดวิเคราะห์และกระบวนการกลุ่มขณะที่ นกั ศกึ ษาทากิจกรรมวเิ คราะหก์ รณศี ึกษารวมกันในชน้ั เรียน 3. วิธีการศึกษา 3.1 การสร้างแบบสงั เกตพฤติกรรมการคิดวเิ คราะห์และการทากลุ่ม โดย 1) ศึกษาค้นคว้าเอกสารเกยี่ วกบั การสรา้ งแบบประเมินแบบรบู ริคส์ (Rubric) 2) ศึกษาเอกสารตาราเกี่ยวกับองค์ประกอบและลาดับขั้นการคิดวิเคราะห์ และ กระบวนการกลุ่ม เพ่ือกาหนดขอบข่ายพฤติกรรมและวิธีการสังเกต และกาหนดเกณฑ์ประกอบการให้ คะแนนแต่ละพฤติกรรม 3) สรา้ งแบบประเมินกระบวนการคิดวเิ คราะหแ์ ละกระบวนการกล่มุ โดยสรา้ ง แบบสงั เกตพฤติกรรมการการคดิ วิเคราะห์และการทากลุ่มที่ประเมินโดยอาจารยป์ ระจากลมุ่ แบ่งเกณฑ์ การประเมนิ ออกเปน็ ดา้ นกระบวนการคิดวเิ คราะหจ์ านวน 8 ข้อ และด้านกระบวนการกลุ่มจานวน 4 ข้อ โดยกาหนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกส่วน เป็นมาตราส่วนประมาณค่าชนิด 3 ระดับ ดงั นี้ ระดบั 3 หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงออกอยู่ในระดบั ดี ระดับ 2 หมายถงึ พฤติกรรมทแ่ี สดงออกอยใู่ นระดบั พอใช้ ระดบั 1 หมายถงึ พฤติกรรมท่ีแสดงออกอยใู่ นระดบั ปรบั ปรงุ
86 4) การกาหนดเกณฑ์การตัดสินระดบั คุณภาพดังน้ี - พิจารณาคา่ กลางจากระดบั คะแนนท่กี าหนดไว้ - นาคา่ กลางท่ีได้มาคานวณหาร้อยละของแต่ละระดบั คะแนน - คานวณออกมาในรูปคะแนนดบิ - กาหนดชว่ งคะแนนแต่ละระดบั ในการวิจยั นก้ี าหนดระดับคะแนนไว้ 3 ระดับ มีจานวนข้อประเมินทั้งหมด 12 ขอ้ คะแนนรวมเทา่ กบั 36 คะแนน จากการคานวณจึงกาหนดเกณฑ์การตัดสนิ ระดบั คุณภาพดงั นี้ 30 คะแนน ข้นึ ไป ระดบั คุณภาพ ดี 18-29 คะแนน ระดับคุณภาพ พอใช้ <18 คะแนน ระดับคุณภาพ ปรบั ปรุง 3.2 ตรวจสอบคุณภาพของแบบสังเกตพฤตกิ รรมการคดิ วเิ คราะห์และการทากลุม่ โดยนาแบบสงั เกตไปใหผ้ ้เู ชีย่ วชาญด้านการวดั ประเมนิ ผล จานวน 3 ทา่ น (ภาคผนวก ก) ตรวจสอบความ ตรงตามเน้ือหา ความถูกต้องและความชัดเจนของภาษา โดยใช้ IOC (index of item objective congruence) ได้คา่ ดชั นีความสอดคล้องของข้อสอบระหว่าง 0.6-1.00 (ภาคผนวก จ) 3.3 ดาเนินการวิจัย เนื่องจากการวิจัยคร้ังนี้เป็นวิจัยและพัฒนาผู้วิจัยดาเนินการวิจัย โดยมีแบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียว ทดสอบผลก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ดาเนนิ การทดลองใชร้ ูปแบบในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2558 เปน็ ระยะเวลา 5 สปั ดาห์ ไม่นับรวม สัปดาห์สอบปลายภาค โดยจัดการเรียนการสอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง คร้ังละ 3 ชั่วโมง ตามตารางเรียนของ นกั ศกึ ษา เร่ิมตงั้ แตเ่ ดือนตลุ าคม 2558 ถงึ เดอื นธันวาคม 2558 มวี ิธดี าเนินการดงั นี้ 1) ผู้วิจัยประชมุ ช้ีแจงอาจารย์ประจากลุม่ เก่ียวกับ รูปแบบการจดั การเรยี นการ สอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ที่ได้ปรับปรุงและพัฒนาข้ึน ตามคู่มือการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษ ะกระบวนการ ที่ ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ กระบวนการจัดการเรียนการสอน และการประเมินผล รูปแบบ โดยชี้แจงรายละเอียดของการดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละขั้นตอน ระยะเวลาท่ีใชในการจัดการเรียนการสอน บทบาทและหนาที่ความรับผิดชอบของอาจารย์ประจากลุ่ม และนักศึกษา ทาความเข้าใจการใช้เคร่ืองมือในการประเมินพฤติกรรมที่นักศึกษาแสดงออกขณะทา กิจกรรมโดยใช้แบบสังเกต พรอมเปดโอกาสใหซักถามขอสงสัย และศึกษารายละเอียดตามคู่มือ เพ่ือ ดาเนินการจดั กิจกรรม และประเมินผลนักศึกษาขณะทากจิ กรรมได้ถกู ต้อง เข้าใจตรงกนั
87 2) แบ่งกลุ่มนักศึกษา การออกแบบกลุ่มในการเรียนการสอนที่เหมาะสมในแต่ละ องค์ประกอบของการเรียนรู้ แต่ละประเภทจะมีข้อจากัดท่ีต่างกัน ในงานวิจัยน้ีเลือกการออกแบบกลุ่ม แบบกลุ่มแบ่งย่อย (Subgroup) เป็น 15 กลุ่ม กลุ่มละ 7-8 คน แบบคละผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เก่ง ปานกลาง อ่อน ในลกั ษณะ 1:3:1 เพ่อื ให้ทางานกลมุ่ ละ 1 งาน 3) ผวู้ ิจัยช้แี จงนกั ศึกษาให้ทราบถึงการจดั การเรียนการสอนโดยใชร้ ูปแบบการเรียน การสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ในการเรียนวิชาพยาธิ สรีรวิทยาบทที่ 7-10 ให้นักศึกษาทราบถึงรายละเอียด ข้ันตอน พร้อมทั้งข้อตกลงในการดาเนินการศึกษา คร้ังน้ี โดยจะให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มกันอย่างไร การกาหนดบทบาทของกลุ่มหรือสมาชิกกลุ่ม สมาชิกในกลุ่ม ร่วมกันวิเคราะห์กรณีศึกษา อภิปรายแสดงความคิดเห็น มีการสนทนาปรึกษาหารือ การตัดสินใจ ผู้สอน เป็นผู้ดูแลกากับและให้ความช่วยเหลือกลุ่ม คอยดูแลให้สมาชิกกลุ่มมีการปรึกษากันอย่างใกล้ชิด คอย สังเกตการณ์การทางานและพฤติกรรมของนกั ศึกษา การใหค้ วามช่วยเหลอื กลมุ่ ตามความเหมาะสม 4) ดาเนินการสอนตามที่ได้กาหนดไว้ในแผนสอนจานวน 5 คร้ัง (สัปดาห์ละ คร้ัง) ครั้งละ 3 ชั่วโมง โดยมีอาจารย์ประจากลุ่มสังเกตพฤติกรรมท่ีนักศึกษาแสดงออกขณะทากิจกรรม วิเคราะห์กรณีศึกษาโดยประเมินกระบวนการคิดวิเคราะห์ท้ัง 5 ด้านและกระบวนการกลุ่ม ตามแบบ ประเมินพฤติกรรมการคิดวิเคราะห์และการทากลุ่มท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น และให้คะแนนตามเกณฑ์การให้ คะแนน 3 ระดับ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นให้นักศึกษามีทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ตามลาดับข้ัน การคิดวิเคราะห์ของมาร์ซาโน และทักษะกระบวนการกลุ่มซ่ึงผู้วิจัยใช้หลักการและแนวคิดจาก นักการศึกษาหลายท่าน ท่ีให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการทากระบวนการกลุ่มท่ีมีประสิทธิภาพ เพ่ือพัฒนา นักศึกษาให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยผู้เรียนได้ฝึกทุกขั้นตอนของกระบวนการคิดวเิ คราะห์ ซ่ึงข้ันตอน การจัดกิจกรรมท่เี น้นทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์และกระบวนการกลุ่ม มี 7 ข้นั ตอน สรปุ ดงั ตารางท่ี ดงั น้ี ตารางที่ 1 ขัน้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ทักษะกระบวนการ ข้ันตอนการสอน จดุ มงุ่ หมาย กิจกรรมการเรยี นรู้ รู้ฉนั - รู้เธอ - มคี วามพร้อมทีจ่ ะเรยี นรู้ - ก่อนเขา้ สกู่ ระบวนการคิดให้นักศึกษาแต่ละ - สรา้ งบรรยากาศการเรียนรู้ให้ กลุ่มแนะนากลุ่มโดยใช้บทเพลงที่มีเน้ือหาสื่อ เกิดความร้สู กึ ผ่อนคลาย ถงึ กรณีศึกษาทแ่ี ต่ละกลุ่มไดร้ บั
88 ตารางที่ 1 ขัน้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนที่เน้นทกั ษะกระบวนการ (ต่อ) ขัน้ ตอนการสอน จดุ มุ่งหมาย กจิ กรรมการเรียนรู้ ปลุกความคดิ -กระตนุ้ ใหเ้ กิดกระบวนการคิด - ใช้กรณีศึกษาผู้ป่วยท่ีมีความผิดปกติใน และการเชื่อมโยงความร้เู ดิม ระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอด พินิตไตร่ตรอง เพ่ิมจะเตมิ ความรใู้ หม่ เลือด ระบบทางเดินอาหารและระบบ มองหาความเชอื่ มโยง -กระตุน้ ใหส้ มองเกดิ การรบั รู้ ประสาท เป็นตวั กระตนุ้ และเชอ่ื มโยงกับองค์ และใสใ่ จในการเรียนรู้ ความรู้เก่ียวกับความรู้เดิมเก่ียวกับสรีรวิทยา ของแตล่ ะระบบทเี่ กย่ี วขอ้ ง อาการและอาการ - ให้นักศกึ ษาสามารถแยกแยะ แสดงความผิดปกติในแต่ละระบบ โดยให้ ข้อมูล และจดั กลุ่มขอ้ มลู นักศึกษาแต่ละคน อ่านกรณีศึกษาตลอดเรื่อง ภายใตเ้ หตุแลผลที่ถกู ต้อง อย่างละเอียดรอบคอบ และทาความเข้าใจ - ให้นักศึกษาเชื่อมโยงขอ้ มลู ท่ี แตล่ ะขอ้ ความทป่ี รากฏในกรณศี กึ ษา ได้จัดกลุ่มแล้วแตล่ ะกลุ่ม มี - ใหน้ ักศกึ ษาแตล่ ะคนแยกแยะข้อมลู ของ ความสัมพนั ธโ์ ดยมีเหตผุ ลตาม กรณีศึกษาเป็นกลมุ่ ๆ ตามพยาธสิ รีรวิทยา หลกั วิชาการสนบั สนนุ ของโรคซ่ึงประกอบด้วยสาเหตุ อาการและ อาการแสดง การตรวจเพ่ือการวินจิ ฉยั หลงั จากนั้นพจิ ารณาหาความเชอ่ื มโยงของ ขอ้ มลู ที่จัดกลุ่ม อะไรทม่ี ีความสมั พนั ธห์ รือ เป็นเหตเุ ปน็ ผลกัน สรา้ งข้อคาถาม - ฝึกการตัง้ คาถามและหา - ให้นักศึกษาฝึกต้ังคาถามที่ตนเองไม่รู้ (5W 1H) คาตอบใหก้ ับตวั เอง เกี่ยวกับข้อมูลของกรณีศึกษา หลังจากนั้นให้ - นกั ศกึ ษาเข้าใจเนื้อหาทจ่ี ะ สมาชิกแต่ละคนบอกคาถามท่ีตนเองอยากรู้ วิเคราะห์ไดช้ ัดเจนดีข้ึน และจะไปหาคาตอบ โดยให้เลขากลุ่มจด คาถามของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม และให้ นักศึกษาแต่ละคนไปศึกษาค้นคว้าเพื่อหา คาตอบให้กับคาถามของตนเอง โดยผู้สอน คอยชี้แนะในกรณีนักศกึ ษาไมเ่ ขา้ ใจ
89 ตารางท่ี 1 ข้นั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ทักษะกระบวนการ (ต่อ) ขน้ั ตอนการสอน จดุ มุง่ หมาย กจิ กรรมการเรียนรู้ ระดมสมอง - ผู้รยี นได้มโี อกาสแสดงความ - เปิดโอกาสให้นักศึกษานาเสนอข้อมูลที่แต่ละ คดิ เห็นของตนเองแลกเปล่ยี น คนไปหามาแลกเปล่ียนและร่วมคิดกับสมาชิก กับสมาชกิ ในกลุม่ ภายในกล่มุ และระดมสมอง คิดวิเคราะห์ร่วมกนั - ร่วมสะท้อน ความคิดเห็น โดยใช้กระบวนการกลุ่ม กาหนดบทบาท และ หรือการอภปิ รายร่วมกัน เกดิ กิจกรรม การอภิปราย ค้นคว้าปฏิบัติ ร่วมกัน การคิดวเิ คราะหท์ ่ีกวา้ งและ โดยผู้สู้อนเป็นผู้ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการคิด หลากหลาย วิเคราะห์ในประเดน็ ต่างๆ สรุปรวบยอด - เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นจบั ประเด็นจาก - ให้นักศึกษาร่วมกันวิเคราะห์ สรุปข้อ ถา่ ยทอดความคิด ข้อมลู ในกรณีศึกษาและสรุปข้อ วินิจฉัยโรค โดยใช้ข้อมูลและความรู้ท่ีไป วินจิ ฉยั โรคได้ถูกต้องนาไปสู่การ สืบค้นมา สนับสนุนข้อวินิจฉัยโรคแต่ละโรค เกิดความคดิ รวบยอด โดยผู้เรยี น และพิจารณาความเป็นไปได้ว่าจะเป็นโรคใด เปน็ ฝ่ายริเรมิ่ และครชู ว่ ยเติมแตง่ ได้มากที่สุด โดยมีหลักฐานมาสนับสนุนความ ให้สมบูรณ์ เปน็ ไปได้ นักศกึ ษานาการเรยี นรู้ทีเ่ กิดขึ้น ให้นกั ศกึ ษาไดน้ าเสนอผลการคิดของแตล่ ะกลมุ่ ใหมไ่ ปใช้พยากรณโ์ รคได้ และ ต่อกลุ่มใหญ่ ผ่านทางแผนที่มโนทัศน์ และให้ สามารถถา่ ยทอดกระบวนการท่ี ผู้สอนและผู้เรียนได้อภิปรายร่วมกัน เพราะ ผ่านการคดิ วเิ คราะห์แตล่ ะ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน และผู้เรียนกับ ขั้นตอน ผู้เรียนจะทาให้ผู้เรียนขยายขอบเขตความคิด ใหก้ ว้างและซบั ซอ้ น 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ขณะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียนโดยผู้วิจัยและ อาจารย์ประจากลุ่มสังเกตพฤติกรรมท่ีนักศึกษาแสดงออกในแต่ละข้ันตอนของกระบวนการคิดวิเคราะห์ และกระบวนการกลุ่ม และบันทึลงในแบบสังกตพฤติกรรมการคิดวิเคราะห์และการทากลุ่ม อาจารย์ ประจากลุ่มสะท้อนพฤติกรรมการคิดวิเคราะห์และการทากลุ่มของนักศึกษาเป็นรายบุคคล เพื่อให้ นกั ศึกษาไดพ้ ฒั นาตนเอง
90 5.การวิเคราะห์ข้อมูล พฤติกรรมการคดิ วิเคราะห์และการทากลมุ่ วเิ คราะห์ตามเกณฑ์ การตดั สินระดับคุณภาพ กำรวิจัยระยะที่ 4 ศกึ ษาประสิทธผิ ลของรปู แบบการเรยี นการสอนที่เนน้ ทกั ษะกระบวนการ ผูวิจัยศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการเพื่อ ส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ โดยผู้วิจัยและทีมผู้สอนใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการคิด วิเคราะห์และการทากลมุ่ ซึ่งประเมินระหว่างทากิจกรรมในระยะที่ 3 และประเมินความสามารถด้านการ คิดวิเคราะห์ภายหลังจบการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ โดย ให้กลุ่มตัวอย่างทาแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ตอบแบบสอบถามความสามารถ ด้านการคิดวิเคราะห์ และนาข้อมูลที่กลุ่มตัวอย่างประเมินตนเองในการตอบแบบสอบถามความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์มาเปรียบเทียบกับข้อมูลท่ีได้ก่อนเรียนดว้ ยรปู แบบ นอกจากน้ีผู้วิจัยยังให้กลุ่มตัวอยา่ ง ประเมินความพงึ พอใจต่อการจัดการเรยี นการสอนด้วยรปู แบบการเรยี นการสอนที่เนน้ ทักษะกระบวนการ และสนทนากลมุ่ กับกลุม่ ตวั อยา่ ง 1. กลุ่มตวั อยา่ ง 1.1 เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาล ศาสตรบัณฑิต ช้ันปีท่ี 2 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ที่กาลังศึกษาในภาคการศึกษาท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2558 จานวน 118 คน 1.2 เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาล ศาสตรบณั ฑติ ชนั้ ปีที่ 2 วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี ทกี่ าลังศึกษาในภาคการศกึ ษาที่ 1 ปี การศึกษา 2558 จานวน 27 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มโดยใช้เกรดเฉล่ียสะสมเป็นเกณฑ์จัดกลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มเก่ง กลมุ่ ปานกลางและกลุม่ อ่อน เลอื กกลมุ่ ตัวอยา่ งแบบเจาะจงกลมุ่ ละ 9 คน 2. เคร่ืองมือวจิ ัย 2.1 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ (ภาคผนวก ง) ผู้วิจัยสร้าง แบบทดสอบเพ่ือใช้ทดสอบหลงั เรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทีเ่ น้นทักษะกระบวนการ 2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนดว้ ยรูปแบบการเรียนการ สอนทีเ่ น้นทักษะกระบวนการ (ภาคผนวก ง) 2.3 แบบสอบถามความสามารถดา้ นการคิดวิเคราะห์ เป็นแบบสอบถามชดุ เดียวกับที่ ใหก้ ลุ่มตวั อยา่ งตอบก่อนเรียนด้วยรปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ ทักษะกระบวนการ (ภาคผนวก ง)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214