Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore KWL Plus

KWL Plus

Published by krupatcharaporn, 2020-04-01 10:43:38

Description: KWL Plus

Search

Read the Text Version

37 มมมมมมมมจากความหมายของการอ่านขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ การอ่านเป็นกระบวนการสื?อสารความคิด จากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน ความเข้าใจในการอ่านจะเกิดขRึนได้ ผู้อ่านจะต้องมีความสามารถ ในการจบั ใจความ ตีความ วิเคราะห์ แปลความ ขยายความ และสามารถบอกรายละเอียดของเร?ือง ที?อ่าน โดยผอู้ ่านจะตอ้ งใชค้ วามคิด อีกทRงั ยงั ตอ้ งอาศยั ประสบการณ์เดิม ความสามารถทางภาษา การ ใชท้ กั ษะการอ่าน ประมวลเขา้ ดว้ ยกนั การอ่านจึงจะมีประสิทธิภาพ มมมมมมมม3.2 ความเข้าใจในการอ่าน มมมมมมมมความเขา้ ใจในการอ่านเป็นจุดมุ่งหมายหลกั ของการอ่าน มีนกั การศึกษาหลายท่านไดใ้ ห้ ความหมายของความเขา้ ใจในการอ่านไวต้ ่าง ๆ กนั ดงั นRี มมมมมมมมSmith (1978, p.230) กล่าวา่ ส?ิงที?ควรตระหนกั ในความเขา้ ใจในการอ่านคือความหมายท?ี ไดจ้ ากขอ้ ความที?อ่านมิใช่ความหมายจากสิ?งที?เขียนบรรยายเป็ นตวั อกั ษรในส?ิงพิมพเ์ ท่านRนั แต่เป็ น ความคิดของผูเ้ ขียนและผูอ้ ่าน เม?ือผูอ้ ่านเขา้ ใจ หมายความว่าผูอ้ ่านสามารถเช?ือมโยงความคิดของ ผเู้ ขียนเขา้ กบั ส?ิงท?ีตนมีอยกู่ ่อนแลว้ ซ?ึงผอู้ ่านตอ้ งรู้ความหมายของคาํ แต่ละคาํ ประโยคแต่ละประโยค แลว้ รวบรวมความคิดเห็นของผเู้ ขียนท?ีเขียนไวใ้ นขอ้ ความที?ผอู้ ่านอ่านแต่ละยอ่ หนา้ ซ?ึงสอดคลอ้ งกบั มมมมมมมมAnderson (1985, pp.372-397) ไดส้ รุปว่า ความเขา้ ใจในการอ่านคือ ความเขา้ ใจระดบั โครงสร้างไวยากรณ์และระดบั ความหมาย โดยอาศยั กระบวนการปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างเนRือหาและ โครงสร้างของเรื?องกบั ความรู้เดิมของผูอ้ ่าน ซ?ึงเป็ นกระบวนการท?ีช่วยให้ผูอ้ ่านสามารถใชใ้ นการ คน้ หาความหมายในหลายระดบั ตRงั แต่ระดบั ตวั อกั ษรหรือระดบั คาํ ไปจนกระทง?ั ถึงสมมุติฐานเก?ียวกบั เรื?องท?ีอ่าน นนั? คือ ผูอ้ ่านที?ดีจะตอ้ งสามารถทาํ นายเร?ือง (Predict) และอา้ งอิง (Refer) ขอ้ มูลจากการ อ่านได้ มมมมมมมมRubin (1993, p.194) ไดอ้ ธิบายวา่ ความเขา้ ใจในการอ่านเป็นกระบวนการทางสติปัญญา ท?ีซับซ้อน ตอ้ งอาศยั ความสามารถในการเขา้ ใจความหมายคาํ ศพั ท์ รวมทRงั ความรู้เก?ียวกบั คาํ ศพั ท์ หากไม่มีความสามารถในการเขา้ ใจความหมายคาํ ศพั ทแ์ ละความรู้เก?ียวกบั คาํ ศพั ท์ ความเขา้ ใจในการ อ่านกจ็ ะไม่เกิด มมมมมมมมNuttall (1996, p.3) กล่าวว่า ความเข้าใจในการอ่านเป็ นการอ่านเพื?อให้ได้ข้อมูลที? ตอ้ งการจากงานเขียน ซ?ึงอาจจะเป็นขอ้ เทจ็ จริงที?ทาํ ใหส้ นุกสนาน ไดแ้ นวคิด และเกิดความรู้สึก ต่าง ๆ มมมมมมมมวิฑูรย์ ตRงั พงษ์ (2536, หน้า 12) และ จงกลณี ธุปพงษ์ (2536, หน้า 12) กล่าวสรุปว่า ความเขา้ ใจในการอ่าน คือ การท?ีผูอ้ ่านสามารถเชื?อมโยงความสัมพนั ธ์ของเนRือเร?ือง สรุปใจความ สําคัญ ลําดับเหตุการณ์ สรุปความคิดเห็นและทัศนะคติของผู้เขียนได้ นอกจากนRัน ยงั ต้องมี

38 ความสามารถในการนาํ ความคิด ความรู้สึกจินตนาการ ตลอดจนภูมิหลงั และประสบการณ์เดิมของ ผอู้ ่าน มาผสมผสานเขา้ ดว้ ยกนั ในขณะที?อ่าน จึงนบั วา่ เป็นการอ่านท?ีสมบูรณ์ มมมมมมมมวรพรรณ สิทธิเลิศ (2537, หนา้ 11) กล่าววา่ การท?ีผอู้ ่านมีความเขา้ ใจในการอ่านหมายถึง ผู้อ่านต้องมีความรู้ในเรื? องความหมายของกลุ่มคํา การเรี ยบเรี ยงประโยคและการมองเห็น ความสมั พนั ธ์ของแต่ละประโยค มมมมมมมมสมุทร เซ็นเชาวนิช และ อาํ นาจ บุญศิริวิบูลย์ (2539, หนา้ 16) ยงั ไดก้ ล่าวถึง ความหมาย ของความเขา้ ใจในการอ่าน ดงั นRี มมมมมมมม1. จบั ใจความสําคญั ๆ ได้ ระบุหรือแยกแยะประเด็นหลกั ออกจากประเด็นย่อยที?ไม่ จาํ เป็นหรือสาํ คญั เก?ียวขอ้ งมากนกั ได้ มมมมมมมม2. ตีความเกี?ยวกบั เรื?องราว หรือขอ้ คิดเห็นท?ีอ่านมาแลว้ ไดว้ า่ มีนยั สาํ คญั หรือ ลึกซRึงมาก นอ้ ยขนาดไหนเพียงใด มมมมมมมม3. สรุปความคิดเห็นจากสิ?งที?ไดอ้ ่านมาแลว้ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง มีเหตุผลและน่าเชื?อถือ มมมมมมมม4. ใชว้ ิจารณญาณของตนพิจารณาไตร่ตรองขอ้ สรุปหรือการอา้ งอิงต่าง ๆ ของผเู้ ขียนได้ อยา่ งถูกตอ้ งและเป็นระบบไม่สบั สน มมมมมมมม5. ถ่ายโอน หรือประสมประสานความรู้ท?ีไดจ้ ากการอ่านกบั ประสบการณ์อ?ืนๆ ไดอ้ ยา่ ง เหมาะสมตามกาลเทศะ มมมมมมมมบญั ชา อmึงสกุล (2541, หนา้ 68) กล่าววา่ ความเขา้ ใจในการอ่าน คือการแปลความหมาย ของตวั อกั ษรหรือสัญลกั ษณ์ที?อ่าน ขRึนอยกู่ บั ความหมายของผูอ้ ่านท?ีจะตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจโดยอาศยั ประสบการณ์เดิมของผอู้ ่านเป็นพRืนฐาน มมมมมมมมสมุทร เซ็นเชาวนิช (2542, หนา้ 8) กล่าววา่ การอ่านเพ?ือความเขา้ ใจคือ ความสามารถใน การตีความขอ้ สนเทศ หรือความหมายอนั พึงประสงค์ จากส?ิงที?ไดอ้ ่านอยา่ งมีประสิทธิภาพ การอ่าน เพื?อความเขา้ ใจ สมั พนั ธ์กบั ประสบการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละคน ถา้ ผอู้ ่านไม่เขา้ ใจ การอ่านท?ีแทจ้ ริงกย็ งั ไม่เกิดขRึน มมมมมมมมจากการศึกษาความเขา้ ใจในการอ่าน สรุปไดว้ า่ ความเขา้ ใจเป็นหวั ใจของการอ่าน ความ เขา้ ใจในการอ่านเป็ นการสร้างความหมายจากภาษาเขียน ตRงั แต่ในระดบั ตวั อกั ษร คาํ และระดบั ความหมาย โดยการเชื?อมโยงความรู้เดิมของผูอ้ ่านกบั ความรู้จากภาษาเขียน ตอ้ งอาศยั ความสามารถ หลายดา้ นประกอบกนั เช่น ความรู้พRืนฐานทางภาษาของนกั เรียน ประสบการณ์ในการเรียน การเขา้ ใจ และการจดจาํ เนRือหา ผทู้ ?ีมีปัญหาดา้ นการอ่านยอ่ มตอ้ งการความช่วยเหลือในการพฒั นาความสามารถ ในการเขา้ ใจ ดงั นRัน การสอนอ่านเพ?ือความเขา้ ใจ ผูเ้ รียนตอ้ งการโอกาสฝึ กฝนกระบวนการความ เขา้ ใจโดยตรง โดยมีครูทาํ ใหด้ ูเป็นตวั อยา่ งอยา่ งชดั เจน

39 มมมมมมมม3.3 ระดบั ความเข้าใจในการอ่าน มมมมมมมมความเขา้ ใจในการอ่านเป็นความสามารถในการทาํ ความเขา้ ใจภาษาเขียน ถา้ ไม่เกิดความ เขา้ ใจหมายความวา่ ไม่เกิดการอ่าน ซ?ึงนกั การศึกษาหลายท่านไดแ้ บ่งระดบั ความเขา้ ใจในการอ่านไว้ ดงั นRี มมมมมมมมBurmeister (1974, pp.147-148) แบ่งระดบั ความเขา้ ใจออกเป็น 7 ระดบั คือ มมมมมมมม1. ระดบั ความจาํ (Memory) คือ ระดบั การจาํ ในสิ?งที?ผเู้ ขียนไดก้ ล่าวไว้ ไดแ้ ก่ การจาํ หรือ การเขา้ ใจเกี?ยวกบั ขอ้ เท็จจริง วนั ที? คาํ จาํ กดั ความ ใจความสําคญั ของเรื?อง และลาํ ดบั เหตุการณ์ของ เรื?อง หรือคาํ สงั? ท?ีระบุไว้ มมมมมมมม2. ระดบั การแปลความ (Translation) คือ การนาํ ขอ้ ความหรือสิ?งท?ีเขา้ ใจไปแปลเป็ น รูปแบบอื?น เช่น การแปลภาษาหน?ึงไปเป็นอีกภาษาหน?ึง การถอดความ การนาํ ใจความสาํ คญั ของเรื?อง ไปแปลเป็นแผนภูมิ เป็นตน้ มมมมมมมม3. ระดบั การตีความ (Interpretation) คือ การเขา้ ใจหรือมองเห็นความสัมพนั ธ์ของส?ิงที? ผูเ้ ขียนมิไดบ้ อกไว้ เช่น หาเหตุ เม?ือกาํ หนดผลมาให้ การคาดการณ์ล่วงหนา้ ว่าอะไรจะเกิดขRึนต่อไป การจบั ใจความของเรื?องโดยที?ผเู้ ขียนมิไดบ้ ่งไว้ มมมมมมมม4. ระดบั การประยกุ ตใ์ ช้ (Application) คือ การเขา้ ใจหรือมองเห็นหลกั การและสามารถ ประยกุ ตใ์ ชจ้ นประสบความสาํ เร็จได้ มมมมมมมม5. ระดบั การวเิ คราะห์ (Analysis) คือ ความเขา้ ใจและรู้ในแง่ของการตรวจตราส่วนยอ่ ยที? ประกอบเขา้ เป็ นส่วนเตม็ เช่น การวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื?อ การแยกแยะวิเคราะห์คาํ ประพนั ธ์ การรู้ ถึงการใหเ้ หตุผลท?ีผดิ ๆ ของผเู้ ขียน มมมมมมมม6. ระดับการสังเคราะห์ (Synthesis) คือ การนําความคิดเห็นที?ได้จากการอ่านมา ผสมผสานกนั และจดั เรียบเรียงใหม่ มมมมมมมม7. ระดบั ประเมินผล (Evaluation) คือ การวางเกณฑแ์ ละตดั สินส?ิงท?ีอ่านโดยอาศยั เกณฑ์ ที?ตRงั ไวเ้ ป็ นบรรทดั ฐาน เช่น เรื?องราวท?ีอ่านอะไรบา้ งที?เป็ นจริง (Facts) อะไรบา้ งท?ีเป็ นจินตนาการ (Fantasy) และอะไรบา้ งที?เป็นความคิดเห็นตลอดจนความเชื?อ เป็นตน้ มมมมมมมมHarris และ Sipay (1979, p.87) แบ่งระดบั ความเขา้ ใจไว้ 4 ระดบั ดงั นRี มมมมมมมม1. ระดบั ความเขา้ ใจความหมายตามตวั อกั ษร Literal Comprehension) มมมมมมมม2. ระดบั ความเขา้ ใจขRนั ตีความ (Interpretation) มมมมมมมม3. ระดบั ความเขา้ ใจขRนั วเิ คราะห์วจิ ารณ์ (Critical Reading) มมมมมมมม4. ระดบั ความเขา้ ใจขRนั ริเร?ิมสร้างสรรค์ (Creative Reading)

40 มมมมมมมมRuddell & Ruddell (1995, pp.141-147) ไดเ้ สนอระดบั ของทกั ษะความเขา้ ใจในการอ่าน ไวด้ งั นRี มมมมมมมม1. ทกั ษะความเขา้ ใจระดบั ตวั อกั ษร คือ ทกั ษะการอ่านเพ?ือหาขอ้ มูลท?ีตอ้ งการ ซ?ึงปรากฏ โดยตรงตามตวั อกั ษรเท่านRนั การอ่านระดบั นRีสมั พนั ธ์กบั การใชค้ วามคิดระดบั ขอ้ เทจ็ จริง มมมมมมมม2. ทกั ษะความเขา้ ใจในระดบั ลาํ ดบั ความ คือ ทกั ษะการอ่านเพ?ือลาํ ดบั แนวความคิดการ กระทาํ การเกิดเหตุการณ์ตามเนRือหา การอ่านระดบั นRีสมั พนั ธ์กบั การใชค้ วามคิดระดบั ตีความ มมมมมมมม3. ทกั ษะความเขา้ ใจในระดบั วิเคราะห์เหตุและผล คือ ทกั ษะการอ่านเพ?ืออธิบายสาเหตุ ของการกระทาํ หรือ เหตุการณ์ท?ีปรากฏในเนRือหา การอ่านระดบั นRีสัมพนั ธ์กบั การใชค้ วามคิดระดบั ขอ้ เทจ็ จริง มมมมมมมม4. ทกั ษะความเขา้ ใจระดบั ใจความหลกั คือ ทกั ษะการอ่านเพื?อหาใจความหลกั ของ เนRือหา เป็ นการวิเคราะห์และตีความขอ้ มูลทRงั หมด การอ่านระดบั นRีสัมพนั ธ์กบั การใชค้ วามคิดทRงั 4 ระดบั ทกั ษะความเขา้ ใจระดบั คาดเดาเนRือหาล่วงหนา้ คือ ทกั ษะการอ่านท?ีใชป้ ระสบการณ์ของตน เช?ือมโยงเขา้ กบั ขอ้ มูลที?ไดจ้ ากเนRือหา แลว้ คาดเดาว่า เหตุการณ์ หรือ เรื?องราวต่อไปจะเป็ นอยา่ งไร การอ่านระดบั นRีสมั พนั ธ์กบั การใชค้ วามคิดระดบั ตีความ ระดบั วเิ คราะห์ และระดบั ความรู้สึก มมมมมมมม5. ทกั ษะความเขา้ ใจระดบั วิจารณญาณ คือ ทกั ษะการอ่านที?ใชท้ ศั นคติ และวิจารณญาณ ของผูอ้ ่านเขา้ มาช่วยในการตีความขอ้ มูล การอ่านระดบั นRีสัมพนั ธ์กบั การใชค้ วามคิด ตีความ ระดบั วเิ คราะห์ และระดบั ความรู้สึก มมมมมมมม6. ทกั ษะความเขา้ ใจระดบั การแกป้ ัญหา คือ ทกั ษะการอ่านท?ีสามารถวิเคราะห์ถึงปัญหา ที?เกิดขRึนในเนRือหา แลว้ ใชป้ ระสบการณ์ และขอ้ มูลทRงั หมดที?ไดจ้ ากการอ่านมาตRงั สมมุติฐานทดสอบ สมมุติฐาน หาข้อมูลสําหรับแก้ไขปัญหา รวมทRังสรุปความ การอ่านระดับนRีสัมพนั ธ์กับการใช้ ความคิดระดบั ตีความ ระดบั วเิ คราะห์ และระดบั ความรู้สึก มมมมมมมมบันลือ พฤกษะวนั (2534, หน้า 66) ได้แบ่งระดับความเข้าใจในการอ่านออกเป็ น 3 ระดบั ดงั นRี มมมมมมมม1. ระดบั ต?าํ ไดแ้ ก่ การอ่านท?ีมุ่งใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จริงจากเรื?องที?อ่าน ซ?ึงจะสงั เกตจากคาํ ถามท?ี ถามเก?ียวกบั ขอ้ เท็จจริง เช่น ใคร ทาํ อะไร ที?ไหน เมื?อไร เป็ นตน้ นบั เป็ นการฝึ กอ่านเพ?ือความเขา้ ใจ เบRืองตน้ เท่านRนั มมมมมมมม2. ระดบั ที?มีความเขา้ ใจสูงขRึน มุ่งใหผ้ อู้ ่านสามารถวเิ คราะห์หาเหตุผลและสรุปเรื?องท่าน ได้ ซ?ึงจะสังเกตไดจ้ ากการตRงั คาํ ถาม เช่น ทาํ ไม เหตุใด อย่างไร เป็ นตน้ นับเป็ นการฝึ กอ่านเพ?ือให้ สามารถคิดหาเหตุผลจากเร?ืองที?อ่าน

41 มมมมมมมม3. ระดบั ท?ีมีความเขา้ ใจสูงสุด มุ่งใหผ้ อู้ ่านสามารถใชค้ วามเป็นพหูสูต ตรวจสอบ พิสูจน์ แลว้ ตดั สินใจว่าส?ิงที?อ่านนRันควรเชื?อ เป็ นประโยชน์น่าจะปฏิบตั ิตาม หรือเป็ นโทษก็หาวิธีวางแนว ป้องกนั นบั เป็นการสอนอ่านอยา่ งพินิจ หรืออ่านอยา่ งมีวิจารณญาณ ซ?ึงถือวา่ เป็นขRนั สูงสุดในการใช้ ความเขา้ ใจจากการอ่านขRนั ลึกซRึง มมมมมมมมฉวีลกั ษณ์ บุณยะกาญจน (2547, หน้า 4) กล่าวว่า การอ่านนRนั มีจุดมุ่งหมายเพ?ือพฒั นา พฤติกรรม 3 ประการซ?ึงเป็นพRืนฐานสาํ คญั ของปัญหา ซ?ึงประกอบดว้ ย มมมมมมมม1. การแปลความ (translation) คือ การแปลเร?ืองราวเดิมให้ออกมาเป็ นคาํ ใหม่ ๆ ภาษา หรือแบบใหม่ ๆ มมมมมมมม2. การตีความ (interpretation) คือ การเก็บความเดิมมาบนั ทึกใหม่ เรียบเรียงใหม่ หรือ ร้อยกรองใหม่ เป็ นการมองเร?ืองราวเดิมในแง่ใหม่ แลว้ เปรียบเทียบทRงั ความสาํ คญั และความสัมพนั ธ์ ของส่วนยอ่ ย ๆ ภายในเร?ืองราวนRนั ๆ ยน่ ยอ่ เรื?องต่าง ๆ จนเป็นขอ้ สรุปได้ มมมมมมมม3. การขยายความ (extrapolation) คือ การอนุมานหรือขยายความคิดใหก้ วา้ งลึกหรือไกล กวา่ ขอ้ เทจ็ จริงท?ีประจกั ษอ์ ยใู่ นเร?ืองนRนั ๆ มมมมมมมมดงั นRนั จึงสรุปไดว้ า่ ระดบั ความเขา้ ใจในการอ่าน คือความสามารถท?ีจะเขา้ ใจความหมาย ของขอ้ ความ โดยอาศยั ความรู้ ประสบการณ์เดิม และกระบวนการคิด มาช่วยในการตีความ เรียบ เรียงลาํ ดบั ความ สรุปความ และประเมินค่า ในสิ?งที?อ่านทRงั ในระดบั เบRืองตน้ จนถึงระดบั สูงสุดได้ เพ?ือ ช่วยปรับปรุงให้ผูเ้ รียนมีการพฒั นาในการอ่านเพ?ือความเขา้ ใจ และความรู้เก?ียวกบั ระดบั ของความ เขา้ ใจในการอ่านจะช่วยให้ครูประเมินไดว้ ่านกั เรียนมีความสามารถในการทาํ ความเขา้ ใจเรื?องที?อ่าน อยู่ในระดบั ใดเพ?ือกาํ หนดเป้าหมายในการเตรียมการสอน และเลือกส?ือสําหรับสอนอ่านไดอ้ ย่าง ถูกตอ้ งเหมาะสมกบั การพฒั นาความสามารถในการอ่านของนกั เรียน มมมมมมมม3.4 การวดั และประเมนิ ผลความเข้าใจในการอ่าน มมมมมมมมการวดั และประเมินผลเป็ นกระบวนการต่อเนื?องกับการเรียนการสอน เมื?อผูส้ อน ดาํ เนินการสอนแบบใดกค็ วรจะวดั และประเมินผลใหต้ รงกบั สิ?งที?สอน ไดม้ ีนกั การศึกษากล่าวถึงการ วดั และประเมินผลการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจ ดงั นRี มมมมมมมมValmont (1972, p.108 อา้ งใน จงกลณี ธุปพงษ์, 2536, หน้า 15) ไดแ้ นะนําการเขียน คําถามต่าง ๆ เพื?อใช้ในการทดสอบทักษะการอ่าน ซ?ึงอาจเป็ นคําถามปลายเปิ ด (Open-ended questions) หรือคาํ ถามแบบมีหลายตวั เลือก (Multiple –choice questions) ไวด้ งั นRี มมมมมมมม1. คาํ ถามเกี?ยวกบั ใจความหลกั (Main idea) เป็นคาํ ถามที?ครอบคลุมใจความของเนRือเร?ือง

42 มมมมมมมม2. คําถามเกี?ยวกับรายละเอียด (Detail questions) เป็ นคําถามท?ีมักใช้ถามเกี?ยวกับ เนRือความท?ีปรากฏอยใู่ นเนRือเรื?อง คาํ ถามควรง่ายและตรงไปตรงมาและเก?ียวขอ้ งกบั ใจความหลกั ของ เนRือเรื?อง มมมมมมมม3. คาํ ถามเก?ียวกับการสรุปอ้างอิงจากเนRือเรื?อง (Inferential questions) เป็ นคาํ ถามท?ี เกี?ยวกบั เนRือความท?ีผูเ้ ขียนตRงั ใจให้ผูอ้ ่านตีความไดเ้ อง โดยไม่มีขอ้ ความปรากฏในเนRือเรื?อง ผูส้ ร้าง คาํ ถามควรสร้างคาํ ถามชนิดนRีบา้ ง เพ?ือทดสอบความสามารถในการตีความของผอู้ ่านดว้ ย มมมมมมมม4. คาํ ถามเก?ียวกบั การสรุปใจความ (Conclusion questions) เป็นคาํ ถามท?ีสามารถทดสอบ ความเขา้ ใจในการอ่านไดด้ ี เพราะการที?ผอู้ ่านจะตอบคาํ ถามประเภทนRีได้ ผอู้ ่านจะตอ้ งเกบ็ เนRือความท?ี ปรากฏในเนRือเรื?องหรือเนRือความท?ีไดจ้ ากการตีความ มมมมมมมม5. คาํ ถามเก?ียวกบั การจดั เรียงเนRือความ (Organization questions) มี 2 ลกั ษณะคือ คาํ ถาม เกี?ยวกบั การจดั ระเบียบขอ้ ความของผแู้ ต่ง ซ?ึงมกั ใชก้ บั บทความสRนั ๆ และใชส้ าํ นวนไปในแนวทางท?ี เก?ียวกบั ทกั ษะการเขียนมากกวา่ การอ่าน และคาํ ถามที?เก?ียวกบั การจดั ลาํ ดบั เหตุการณ์ท?ีเกิดขRึนในเนRือ เรื?องซ?ึงจะตอ้ งอาศยั การอ่านใหเ้ ขา้ ใจโดยตลอด มมมมมมมม6. คาํ ถามเกี?ยวกบั เหตุ-ผล (Cause and effect questions) เป็นคาํ ถามที?ทดสอบความเขา้ ใจ ของผูอ้ ่านเก?ียวกับเหตุและผล ผูอ้ ่านจะต้องรู้ว่าสาเหตุของผลดังกล่าวสืบเนื?องมาจากอะไร เช่น คาํ ถามท?ีเก?ียวกบั เหตุ (Cause) ผูอ้ ่านจะตอ้ งหาคาํ ตอบเป็ นผล และถา้ คาํ ถามเป็ นผล (Effect) ผูอ้ ่านก็ จะหาคาํ ตอบเป็นเหตุ มมมมมมมม7. คาํ ถามเกี?ยวกบั คาํ ศพั ท์ (Vocabulary questions) เป็ นคาํ ถามท?ีตอ้ งการทดสอบความรู้ ทางคาํ ศพั ท์ ซ?ึงอาจเป็ นความรู้เกี?ยวกับ คาํ จาํ กัดความของคาํ หรือวลีท?ีพบบ่อยๆหรือเป็ นความรู้ เก?ียวกบั ความหมายของคาํ หรือวลี ท?ีใชใ้ นเนRือเรื?องนRนั วา่ ผอู้ ่านมีความรู้ถูกตอ้ งหรือไม่ มมมมมมมมFinocchiaro & Sako (1983, pp.131-132) กล่าววา่ รูปแบบของแบบทดสอบท?ีใชป้ ระเมิน ความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษที?นิยมใชม้ ี 2 แบบ คือ มมมมมมมม1. แบบทดสอบอตั นยั (Subjective Test) ไดแ้ ก่แบบทดสอบความเรียงที?ให้ผูเ้ รียนตอบ คาํ ถามจากเรื?องท?ีอ่านโดยเขียนคาํ ตอบเป็นประโยคยาว ๆ หรือขอ้ ความยาว ๆ มมมมมมมม2. แบบทดสอบปรนยั (Objective Test) ไดแ้ ก่แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบถูกผิด แบบจบั คู่ และแบบเติมคาํ เป็นตน้ มมมมมมมมขณะเดียวกนั ไดเ้ สนอแนวทางในการวดั และประเมินผลความเขา้ ใจในการอ่านว่าควร ครอบคลุมถึงส?ิงต่อไปนRี มมมมมมมม1. คาํ ศพั ท์ การเดาศพั ทโ์ ดยใชข้ อ้ ความบริบทท?ีอยรู่ อบ ๆ เพ?ือใหไ้ ดค้ วามหมายท?ีถูกตอ้ ง และเหมาะสม

43 มมมมมมมม2. ใจความหลกั หรือใจความสาํ คญั ของเรื?องท?ีอ่าน มมมมมมมม3. รายละเอียดในเรื?องท?ีอ่าน มมมมมมมม4. การสรุปเรื?องและตีใจความที?ปรากฏโดยนยั หรือเรื?องที?ไม่ปรากฏอยใู่ นขอ้ ความ มมมมมมมม5. อารมณ์ ความรู้สึก และเจตนารมณ์ของผเู้ ขียน มมมมมมมม6. ความสมั พนั ธ์ของขอ้ ความหรือประโยคท?ีปรากฏในเร?ือง มมมมมมมม7. โครงสร้างประโยคโดยการแปลความของประโยค หรือโดยการกาํ หนดมาให้ 1 ประโยคแลว้ เลือกประโยคเทียบเคียงท?ีมีความหมายตรงกบั ประโยคที?กาํ หนดให้ มมมมมมมมHuang (1993, pp. 33-34) ได้แบ่งคําถามท?ีใช้วัดความเข้าใจในการอ่านออกเป็ น 3 แบบ ดงั นRี มมมมมมมม1. คาํ ถามที?ใชว้ ดั ความเขา้ ใจระดบั ตามตวั อกั ษร (Literal comprehension questions) มี ลกั ษณะดงั นRี คือ เป็นคาํ ถามท?ีหาคาํ ตอบไดง้ ่ายท?ีสุด เพราะคาํ ตอบมีปรากฏใหเ้ ห็นชดั เจนในเนRือเร?ือง โดยคาํ ที?ใชต้ Rงั คาํ ถามท?ีหาคาํ ตอบไดใ้ นเนRือเร?ือง หรือใชค้ าํ ท?ีมีอยใู่ นเนRือเรื?องตRงั คาํ ถามหรือเป็นคาํ ถาม ที?ไม่เกี?ยวขอ้ งกบั การหาหรือให้เหตุผล สามารถตอบไดต้ รงไปตรงมา ตามความจริงหรือขอ้ มูลท?ี ปรากฏ และโดยปกติคําถามระดับนRี ใช้คําว่า who, when, where และ what ในการตRังคําถาม นอกจากนRีบางครRังสามารถตอบคาํ ถามไดโ้ ดยใชค้ าํ หรือวลี มมมมมมมม2. คาํ ถามที?ใชว้ ดั ความเขา้ ใจระดบั สรุปอา้ งอิง (Inferential comprehension questions) มี ลกั ษณะดงั นRี เป็นคาํ ถามที?ตอ้ งใชค้ วามคิด คน้ หาคาํ ตอบ โดยท?ีไม่มีคาํ ตอบปรากฏใหเ้ ห็นโดยตรงจาก เนRือเรื?อง หรือเป็ นคาํ ถามท?ีเก?ียวขอ้ งกบั การคาดคะเน หรืออา้ งอิง โดยใชข้ อ้ มูลหรือความจริงท?ีอยใู่ น เนRือเร?ืองช่วยตอบคาํ ถาม และเป็ นคาํ ถามท?ีมกั ขRึนตน้ ดว้ ย how และ why ซ?ึงมกั เก?ียวขอ้ งกบั การใช้ เหตุผลหรือการตีความขอ้ มูลท?ีมีอยใู่ นเนRือเร?ือง มมมมมมมม3. คาํ ถามท?ีใช้วดั ความเข้าใจระดับประยุกต์ (Applied comprehension questions) มี ลกั ษณะดงั นRี เป็ นคาํ ถามท?ีตอ้ งใชค้ วามคิด คน้ หาคาํ ตอบ โดยไม่มีคาํ ตอบปรากฏให้เห็นโดยตรงจาก เนRือเรื?อง หรือเป็ นคาํ ถามที?ตอ้ งการให้ผูอ้ ่านคาดการณ์ล่วงหนา้ จากความจริง หรือขอ้ มูลท?ีปรากฏอยู่ ในเนRือเรื?อง และเป็ นคาํ ถามท?ีบางครRังขRึนตน้ ดว้ ย Should…, in my opinion ….., Do you agree …?, It is right …?. etc. โดยตอ้ งการให้ผูอ้ ่านใช้พRืนความรู้เดิมในการตอบคาํ ถามหรือแสดงความคิดเห็น พิจารณา และประเมินค่าสิ?งที?อ่าน มมมมมมมมอจั ฉรา วงศโ์ สธร (2538, หน้า 154-155) กล่าวว่า การประเมินทกั ษะการอ่านสามารถ พิจารณาได้ 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ มมมมมมมม1. ความสามารถทางภาษาที?เป็นเกณฑแ์ บบยอ่ ย ไดแ้ ก่ มมมมมมมม 1.1 ความรู้ในดา้ นศพั ท์ หมายถึง ความสามารถในการเขา้ ใจคาํ ศพั ทแ์ ละสาํ นวน

44 มมมมมมมม 1.2 ความรู้ในดา้ นไวยากรณ์ หมายถึง ความสามารถในการใชค้ วามรู้ดา้ นไวยากรณ์ ความเขา้ ใจเก?ียวกบั คาํ สรรพนาม ความเชื?อมโยงเนRือความ เป็นตน้ มมมมมมมม2. ความสามารถทางการอ่านท?ีเป็นแบบเกณฑร์ วม ไดแ้ ก่ มมมมมมมม 2.1 ความสามารถในการเรียบเรียงความ หมายถึง ความสามารถในการเขา้ ใจบทอ่าน และตอบคาํ ถามที?ให้เรียบเรียงเป็ นถ้อยคาํ ใหม่โดยมีใจความเดิม หรือสามารถตอบคาํ ถามแบบ เลือกตอบ และแบบเรียงลาํ ดบั ขอ้ ความใหม่ได้ มมมมมมมม 2.2 ความสามารถในการอ่านขอ้ มูลท?ีเป็นรายละเอียด หมายถึง ความสามารถในการ โยงรายละเอียดท?ีเก?ียวกบั ใจความสําคญั ของเรื?องไดว้ ่าเป็ นรายละเอียดสนับสนุนหรือขดั แยง้ และ เขา้ ใจความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรายละเอียดต่าง ๆ มมมมมมมม 2.3 ความสามารถในการอ่านจบั ใจความสําคญั หมายถึงความสามารถในการระบุ แก่นเรื?อง หวั เร?ือง และใจความสาํ คญั ของเร?ืองท?ีอ่านได้ มมมมมมมม 2.4 ความสามารถในการวิเคราะห์และประเมินความสัมพนั ธ์ของเนRือความและ สุนทรียศาสตร์ของการใชภ้ าษา หมายถึงความสามารถในการใชค้ วามรู้ดา้ นศพั ท์ ไวยากรณ์ ความ เขา้ ใจในส?ิงท?ีอ่านและความรู้เกี?ยวกับรูปแบบลีลาภาษาที?ใช้ในบทอ่านเป็ นตวั กระตุ้น วิเคราะห์ ประเมิน และสรุปบทอ่านวา่ เป็นสารประเภทใด ใชภ้ าษาทางการหรือไม่ วพิ ากษว์ จิ ารณ์เหตุและผลได้ ตลอดจนประเมินบทอ่านได้ ความสามารถในระดบั นRีเป็นระดบั สูง ตอ้ งอาศยั ความรู้ระดบั ตน้ ๆ เป็น พRืนฐาน มมมมมมมมสรุปไดว้ า่ ในการวดั และประเมินผลการอ่านเพ?ือความเขา้ ใจ สามารถครอบคลุมถึงดา้ น คาํ วลี ประโยค ขอ้ ความ ใจความสาํ คญั การตีความและการประยกุ ต์ รูปแบบการประเมินและเนRือหา ตอ้ งเหมาะสมกบั ความสามารถในการใชภ้ าษา ประสบการณ์เดิม และพRืนฐานความรู้ของผอู้ ่าน และ ในการศึกษาครRังนRี ผูศ้ ึกษาไดเ้ น้นความสามารถในการอ่านของนกั เรียน 3 ระดบั คือ แปลความ จบั ใจความสาํ คญั และ สรุปความ มมมมมมมม3.5 งานวจิ ยั ทเีE กยีE วข้องกบั การอ่าน มมมมมมมมทวีพร สุขแสง (2545) ไดท้ าํ การวิจยั เรื?อง การใชจ้ ินตภาพเพื?อส่งเสริมความสามารถใน การอ่าน-เขียนภาษาองั กฤษและเจตคติ ของนักเรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 โดยให้นักเรียนสะทอ้ น ความคิดจากบทอ่านออกมาโดยการวาดภาพและเขียนความเรียงเกี?ยวกบั บทอ่านโดยผ่านภาพที?วาด ขRึนนRัน ผลการวิจยั พบว่าความสามารถด้านการอ่าน-เขียนภาษาองั กฤษของนักเรียนผ่านเกณฑ์ท?ี กาํ หนดไวร้ ้อยละ 50 ทุกคนและความสามารถของนกั เรียนส่วนใหญ่อยใู่ นระดบั ดีและนกั เรียนมีเจต คติต่อการเรียนสูงขRึน

45 มมมมมมมมชนิดา ศรีสองเมือง (2549) ไดท้ าํ การวิจยั เรื?อง การใช้กลวิธีการเรียนแบบพี แอล เอ เอ็น เพื่อส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษและความสามารถในการเขียนย่อความของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียน ท่ีได้รับการสอนด้วยกลวิธีการเรียนแบบพี แอล เอ เอ็น มีคะแนนความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ เพ่ิมข้ึน และนักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยกลวิธีการเรียนแบบพี แอล เอ เอ็น มีคะแนนความสามารถ ในการเขยี นย่อความเพ่มิ ขึ้น มมมมมมมมปิ ยธิดา บวั ประเสริฐยง?ิ (2550) ไดท้ าํ การวิจยั เร?ือง การใชก้ ลวิธีการคิดเชิงมโนภาพเพื?อ ส่งเสริมความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษและความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรคข์ องนกั เรียน โปรแกรมภาษาองั กฤษ นักเรียนชRนั ประถมศึกษาปี ท?ี 4/8 โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลยั แผนกประถม อาํ เภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ ผลการวิจยั พบว่า ความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรียน หลงั จากไดร้ ับการสอนโดยใชก้ ลวธิ ีการคิดเชิงมโนภาพเพิ?มขRึนและผา่ นเกณฑท์ ี?กาํ หนดคือ ร้อยละ 50 และความสามารถในการเขียนภาษาองั กฤษเชิงสร้างสรรคข์ องผเู้ รียนหลงั จากที?ไดร้ ับการสอนโดยใช้ กลวิธีการคิดเชิงมโนภาพเพ?ิมขRึนและร้อยละ 26.66 ของนักเรียนมีความสามารถในการเขียนเชิง สร้างสรรคอ์ ยใู่ นระดบั ดีมาก ร้อยละ 40 อยใู่ นระดบั ดีและร้อยละ 33.33 อยใู่ นระดบั พอใช้ มมมมมมมมชชั วาลย์ มนั เทศสวรรค์ (2552) ไดท้ าํ การวิจยั เรื?อง การใชก้ ลวิธีอภิปัญญาเพื?อส่งเสริม ความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษและความสามารถในการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณของนกั เรียนระดบั กาํ ลงั พฒั นา ของนักเรียนชRันมัธยมศึกษาปี ที? 3 โรงเรียนชลประทานผาแตก สํานักงานเขตพRืนที? การศึกษาเชียงใหม่ เขต 1 อาํ เภอดอยสะเก็ด จงั หวดั เชียงใหม่ จาํ นวน 40 คน พบว่าผูเ้ รียนมีความ เขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษและความสามารถในการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณสูงขRึนหลงั จากไดร้ ับ การสอนดว้ ยกลวธิ ีอภิปัญญา มมมมมมมมพชั ราภรณ์ บุญทามา (2552) ไดท้ าํ การวิจยั เร?ือง การใชก้ ลวิธีการแกป้ ัญหาแบบไอดีล เพ?ือส่งเสริมความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษและความสามารถในการแกป้ ัญหา ของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 5 นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 5/3 โรงเรียนสนั ทรายวิทยาคม อาํ เภอสนั ทราย จงั หวดั เชียงใหม่ พบวา่ 1. นกั เรียนที?ไดร้ ับการสอนโดยใชก้ ลวิธีแกป้ ัญหาแบบไอดีลมีคะแนนความเขา้ ใจใน การอ่านภาษาองั กฤษหลงั การทดลองสูงกวา่ ก่อนการทดลอง 2. นกั เรียนท?ีไดร้ ับการสอนโดยใชก้ ลวธิ ี แกป้ ัญหาแบบไอดีลมีความสามารถในการแกป้ ัญหาเพิ?มขRึนตามลาํ ดบั

46 4. การเขยี นสรุปความ มมมมมมมม4.1 ความหมายของการเขยี นสรุปความ มมมมมมมมนกั วชิ าการหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายการเขียนสรุปความไว้ ดงั นRี มมมมมมมมSebranek, Meyer, & Kemper (1990, p.184) กล่าวว่า การเขียนสรุปความเป็ นการสรุป ใจความหรือขอ้ มูลจากเรื?องที?อ่าน โดยใช้ภาษาของผูอ้ ่านเอง โดยการเลือกเพียงใจความสําคญั เช?ือมโยงและส?ือความคิดดว้ ยประโยคที?สRนั กระชบั มมมมมมมมHarris & Sipay (1990, p.90) กล่าวถึง การสรุปใจความว่า หมายถึง การยอ่ และกระชบั ขอ้ มูลซ?ึงเป็ นแก่นของเร?ือง การท?ีจะสรุปใจความไดผ้ ูอ้ ่านตอ้ งมีความสามารถในการเขา้ ใจเร?ืองราว การประเมิน และการกระชบั ขอ้ ความซ?ึงเป็นการถ่ายโอนความคิด แต่หากขาดความสามารถในการบูร ณาการขอ้ มูลจากส่วนต่าง ๆ ของบทอ่าน และไม่สามารถดึงใจความสาํ คญั ออกมาจากบทอ่านได้ กจ็ ะ ทาํ ใหก้ ารสรุปใจความไดไ้ ม่ดีพอ มมมมมมมมKirkland & Saunders (1991, p.107) กล่าวว่า การสรุปความคือ กระบวนการเชิง ปฏิสัมพนั ธ์ทางความคิด ที?ตอ้ งใชค้ วามสามารถทางการอ่าน และการเขียน ในขณะท?ีเราเขียนสรุป ความนRนั เราตอ้ งพิจารณาซRาํ ๆ หลายครRังระหว่างบทความที?เราต้องการสรุป ประเภท และ จุดประสงคข์ องรายงานท?ีเราไดร้ ับมอบหมายมา โดยคาํ นึงและเปรียบเทียบดา้ นต่าง ๆ ของบทความ และรายงานว่าคล้ายคลึงกันหรือไม่ การสรุปความนRีถูกจํากัดด้วยข้อจํากัดภายนอก (External Constraints) และขอ้ จาํ กดั ภายใน (Internal Constraints) ขอ้ จาํ กดั ภายนอกไดแ้ ก่ จุดประสงคข์ องการ สรุปความ กลุ่มผอู้ ่าน ประเภทของรายงาน การเลือกใชค้ าํ พดู ใหเ้ หมาะสมกบั กลุ่มผอู้ ่าน ประเภทของ ขอ้ ความท?ีตอ้ งเขียนสรุปความ ขอ้ จาํ กดั ของเวลา และสภาพแวดลอ้ มในขณะทาํ งาน เป็ นตน้ ส่วน ขอ้ จาํ กดั ภายใน ไดแ้ ก่ ความสามารถดา้ นภาษาของผูเ้ ขียนสรุปความ ความรู้เดิมของผูส้ รุปเกี?ยวกบั เนRือหาท?ีจะสรุป เจตคติ โครงสร้างความรู้ท?ีไดศ้ ึกษามา ทกั ษะทางดา้ นพุทธิปัญญา และทกั ษะทางอภิ ปัญญา เพ?ือลดขอ้ จาํ กดั เหล่านRี Kirkland & Saunders ไดเ้ สนอให้ลดภาระทางความรู้ลงดว้ ยการนาํ เนRือหาที?ผสู้ รุปคุน้ เคยมาใหน้ กั เรียนแจง้ จุดประสงคข์ องการสรุปความใหน้ กั เรียนทราบ ผสู้ อนควรทาํ ตนเป็ นผูอ้ ่านท?ีดีมากกว่าเป็ นผูค้ อยหาคาํ ผิดของผูเ้ รียน เพื?อให้ผูเ้ รียนมุ่งที?จะพฒั นาทกั ษะดา้ นการ เขียนสรุปความแต่เพียงอยา่ งเดียวกจ็ ะทาํ ใหผ้ เู้ รียนเขียนสรุปความไดด้ ีขRึน ม ม ม ม ม ม ม ม (http://www.english.uiuc.edu/cws/workshop/advice/writingsummaries.htm.) ใ ห้ ความหมายของการเขียนสรุปความไวว้ า่ การเขียนสรุปความ คือการเขียนเนRือเร?ืองซRาํ ใหม่อีกครRังหน?ึง ดว้ ยสาํ นวนของตนเองการเขียนสรุปความมีหลายชนิดแตกต่างกนั ไปตามความสามารถในการเขียน อธิบายหรือวิเคราะห์ของผูเ้ ขียน ซ?ึงอาจมีความยาวหลายหนา้ กระดาษหรืออาจมีความยาวเพียง หน?ึง หรือสองประโยค

47 มมมมมมมมจิตรา ชยั อมฤต (2539, หน้า 54) ไดส้ รุปเกี?ยวกบั การเขียนสรุปความว่า เป็ นการสรุป ใจความสาํ คญั หรือขอ้ มูลจากเร?ืองที?อ่านโดยใชภ้ าษาของผูอ้ ่านเอง โดยการเลือกเพียงใจความสาํ คญั เท่านRนั และเชื?อมโยงความหมายดว้ ยประโยคที?สRนั กระชบั มมมมมมมมทิพสร มีปิ? น (2539, หนา้ 25) ไดส้ รุปวา่ การเขียนสรุปความคือการรวบรัดขอ้ มูลท?ีสาํ คญั ของบทอ่าน การสรุปความจะช่วยให้ผูเ้ รียนเขา้ ใจในส?ิงที?อ่านและสามารถเขียนเรียบเรียงขอ้ มูลดว้ ย ตนเองได้ โดยตอ้ งคาํ นึงถึงความยาว การเช?ือมโยง และโครงสร้างไวยากรณ์ มมมมมมมมสรุปไดว้ า่ การเขียนสรุปความคือการสรุปใจความสาํ คญั ของบทอ่านท?ีไดอ้ ่านแลว้ เขียน สรุปโดยใชภ้ าษาเขียนของตนเขียนประโยคใหก้ ระชบั ขRึน โดยที?เนRือหาเดิมยงั คงอยไู่ ม่เปลี?ยนแปลง มมมมมมมม4.2 หลกั เกณฑ์ของการเขยี นสรุปใจความ มมมมมมมมนกั วชิ าการหลายท่านไดส้ รุปหลกั เกณฑก์ ารสรุปความไวด้ งั นRี มมมมมมมมGambrell, Krapinus, & Wilson (1987, p.641) เสนอขRนั ตอนในการเขียนสรุปใจความ ดงั นRี มมมมมมมม1. ขRนั การให้ตวั อย่าง (Teacher modeling phase) ครูตอ้ งอธิบายบอกลกั ษณะของการ เขียนสรุปความท?ีดี ว่ามีลกั ษณะสRัน กระชบั มีใจความสําคญั และไม่มีรายละเอียดสนับสนุน ท?ีไม่ สาํ คญั สอนกลวิธีในการเขียนสรุปใจความเป็นขRนั ตอนใหแ้ ก่นกั เรียน โดยแนะใหจ้ ดส่วนสาํ คญั ไวท้ ี? ขอบวา่ งและใหน้ กั เรียนเขียนประโยคใจความสาํ คญั เอง มมมมมมมม2. ขRนั การนาํ ฝึ ก (Guided practice phase) ครูอาจให้อ่านเรื?องที?สรุปใจความแลว้ สัก 2-3 บท แลว้ ใหน้ กั เรียนแยกแยะวา่ บทไหนดีที?สุด และอภิปรายเหตุผลวา่ เหมาะสมหรือไม่ อยา่ งไร มมมมมมมม3. ขRนั ฝึ กดว้ ยตนเอง(Independent practice phase) ให้นักเรียนทาํ ตามขRนั ตอนการสรุป ใจความดว้ ยตนเอง มมมมมมมมHarris & Sipay (1990, p.616) ไดร้ ะบุกฎในการสรุปใจความไวด้ งั นRี ควรตดั ขอ้ มูลท?ีไม่ สาํ คญั ทิRงไป ใหต้ ดั ขอ้ มูลที?สาํ คญั แต่ซRาํ ซากและใชฟ้ ่ ุมเฟื อยออกไปใชค้ าํ ที?แทนความหมายของกลุ่มคาํ เช่น Pets แทน cats, dogs, goldfish, etc. ใช้คาํ ที?ทาํ ให้เห็นภาพชัดเจน เลือกประโยคใจความสําคญั และหากไม่มีประโยคใจความสาํ คญั ใหแ้ ต่งขRึนมา มมมมมมมมK.Taylor (1984, p.162 cited in Harris & Sipay, 1990, p.616) ให้คาํ แนะนาํ ในการเขียน สรุปใจความวา่ ผอู้ ่านตอ้ งอ่านอยา่ งละเอียด เพ?ือให้เขา้ ใจโครงสร้างและเนRือหาของเร?ือง ตรวจสอบ ความเขา้ ใจเร?ืองท?ีอ่าน เขียนสรุปฉบบั แรก ตรวจสอบกบั เนRือเรื?องตน้ ฉบบั แกไ้ ขสรุปใจความฉบบั ท?ีสอง และตรวจสอบกบั เนRือเร?ืองตน้ ฉบบั อีกครRังหน?ึง มมมมมมมมไพรถ เลิศพิริยกมล (2543, หนา้ 113) กาํ หนดขRนั ตอนการเขียนสรุปความ ไวด้ งั นRี

48 มมมมมมมมขRนั ที? 1 เป็นขRนั พิจารณาสารวา่ มีเนRือหาเป็นอยา่ งไร รูปแบบของสารเป็นอะไร มมมมมมมมขRนั ที? 2 เป็ นขRนั การย่อเนRือหาของเร?ืองจากเร?ืองทRงั หมดให้เหลือประมาณหน?ึงในสาม พร้อมทRงั คิดช?ือเร?ืองดว้ ย มมมมมมมมขRนั ท?ี 3 เป็นขRนั สรุปเร?ืองใหส้ Rันและกะทดั รัด โดยหาขอ้ ความหรือคาํ มาทดแทนประโยค หรือขอ้ ความยาว ๆ ให้เหลือขอ้ ความท?ีสRันให้ได้ ในขRนั นRีคิดปรับปรุงถอ้ ยคาํ และช?ือเรื?องให้กระชบั รัดกมุ กวา่ เดิม ขRนั นRีถือเป็นสรุปความไดแ้ ลว้ มมมมมมมมขRนั ที? 4 เป็ นขRนั สุดทา้ ยคือ ขRนั การสรุปรวบยอดเรื?องราวทRงั หมดให้เหลือเฉพาะใจความ สําคญั จริง ๆ หรือให้เหลือประเด็นหลกั เพียงประเด็นเดียว ขRนั นRีเป็ นขRนั ตอนสําคญั ที?สุดและเป็ น ขRนั ตอนท?ียากที?สุดดว้ ย ม ม ม ม ม ม ม ม (http://www.english.uiuc.edu/cws/workshop/advice/writingsummaries.htm.) ใ ห้ ขอ้ เสนอแนะในการเขียนสรุปความดงั นRี มมมมมมมม1. อ่านตน้ ฉบบั หรือขอ้ ความเดิมอยา่ งรอบคอบ มมมมมมมม2. ใชด้ ินสอเนน้ ขอ้ ความหรือขีดเส้นใตเ้ มื?อพบใจความสาํ คญั หรือจดบนั ทึกลงบริเวณ ขอบกระดาษหรือบนั ทึกลงในกระดาษอ?ืน ๆ มมมมมมมม3. ร่างขอ้ ความที?สรุปเป็นแผนผงั โดยสงั เขปหรือเขียนเป็นเคา้ โครงอยา่ งง่าย มมมมมมมม4. เขียนสรุปใจความสาํ คญั ดว้ ยสาํ นวนของตนเอง มมมมมมมม5. เขียนที?มาของเนRือหาตน้ ฉบบั มมมมมมมมจากวธิ ีการเขียนสรุปความขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ การเขียนสรุปความนRนั อาจมีหลกั เกณฑแ์ ละ การดาํ เนินการ ดงั นRี อ่านเนRือเร?ืองอยา่ งรอบคอบหลาย ๆ ครRัง จนเกิดความเขา้ ใจทีละยอ่ หนา้ ควรขีด เส้นใตข้ อ้ ความที?เป็ นใจความสําคญั ของเรื?องหรือจดบนั ทึกไวแ้ ลว้ นาํ ขอ้ ความที?ขีดเส้นใตห้ รือจด บนั ทึกไวม้ าเขียนเป็ นแผนผงั หรือเคา้ โครงง่าย ๆ ดว้ ยสํานวนของตนเองจากนRันเรียบเรียงขอ้ ความ ใหม่ใหไ้ ดใ้ จความท?ีสRนั กระชบั แต่ไดใ้ จความที?สมบูรณ์ และเขียนบอกท?ีมาของขอ้ ความตน้ ฉบบั

49 มมมมมมมม4.3. ทฤษฎโี ครงสร้างความรู้เดมิ (Schema Theory) มมมมมมมมความหมายของโครงสร้างทฤษฎคี วามรู้เดมิ มมมมมมมมนกั การศึกษาไดใ้ ห้ความหมายของทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) ไว้ ดงั นRี มมมมมมมมทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) ผทู้ ?ีใชค้ าํ วา่ Schema คนแรก คือ Bartlett (1932, p.244 อ้างใน เกียรติชัย ยานะรังษี, 2540, หน้า 23) ในตาํ ราของเขาชื?อ Remembering ซ?ึง หมายถึงรูปแบบที?ว่องไวของปฏิกิริยาในอดีตหรือประสบการณ์ในอดีต (an active organization of past reactions, or past experience) มมมมมมมมRumelhart (1981, pp.4-12) ไดใ้ หค้ วามหมายของ Schema วา่ หมายถึง โครงสร้างขอ้ มูล ที?ใชแ้ ทนความหมายของความคิดรวบยอดกวา้ ง ๆ ท?ีสะสมไวใ้ นความทรงจาํ (Memory) ขอ้ มูลต่าง ๆ ท?ีสะสมไว้ ความเขา้ ใจในการอ่านจะเกิดขRึนตอ้ งอาศยั โครงสร้างความรู้ (Schema) ซ?ึงประกอบดว้ ย โครงสร้างความรู้ท?ีผูอ้ ่านมีอยู่เดิมแลว้ (schemata) ผนึกขอ้ ความที?ผูอ้ ่านรับเขา้ ไปไวร้ วมกนั กลุ่ม โครงสร้างความรู้เป็ นสิ?งชRีนาํ เรื?องให้กบั ผูอ้ ่านและจดั โครงสร้างเรื?องไวส้ ําหรับเร?ืองใหม่ในขณะท?ี ผอู้ ่านระลึกเร?ือง มมมมมมมมสรุปไดว้ า่ ทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม หมายถึง การที?ผอู้ ่านเกบ็ ขอ้ ความจากเร?ืองที?อ่าน และจากโครงสร้างความรู้ท?ีผูอ้ ่านเก็บรวบรวมไวเ้ ดิม เอามาจดั เขา้ เป็ นกลุ่มของความคิดอนั เดียวกนั (Schemata) และเรื?องท?ีบรรจุไวใ้ นกลุ่มเดียวกนั ตอ้ งมีความสอดคลอ้ งกนั และมีเนRือความครบถว้ นตาม ความตอ้ งการของผอู้ ่าน มมมมมมมมหลกั การของทฤษฎโี ครงสร้างความรู้ (Schema Theory) มมมมมมมมทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) Goodman (1971, p.92 อา้ งใน นนั ทิยา แสง สิน, 2540, หน้า 10-11) ได้ให้ทัศนะเกี?ยวกับโครงสร้างความรู้ในขอบข่ายของทฤษฎีจิตวิทยา ภาษาศาสตร์ (Psycholinguistic theory) ที?ช่วยในการอ่านท?ีเรียกว่า เกมการทายทางจิตวิทยา ภาษาศาสตร์ ที?สามารถอธิบายเป็ นกระบวนการท?ีเร?ิมจากผูอ้ ่านรับข่าวสารจากสิ?งที?อ่าน แปล ความหมาย การคาดการณ์หรือการทายสิ?งท?ีอ่าน โดยผอู้ ่านจะเลือกเอาขอ้ มูลบางอยา่ งในบทอ่านมา สัมพนั ธ์กบั ความรู้เดิมของผอู้ ่านที?เก?ียวกบั เร?ืองท?ีอ่านช่วยใหส้ ามารถเขา้ ใจเร?ืองนRนั ได้ ซ?ึงสอดคลอ้ ง กบั Rumelhart (1981, pp.22-23) ไดอ้ ธิบายว่าความเขา้ ใจในการอ่านจะเกิดขRึนไดห้ ากผูอ้ ่านมีความรู้ ทางภาษา (Linguistic Knowledge) และความรู้ท?ัวไป (General Knowledge of the World) ความรู้ เหล่านRีจะถูกกระตุน้ ให้ทาํ งานโดยกระบวนการทางสมอง ผูอ้ ่านใช้ Schema หรือโครงสร้างความรู้ เดิมทRงั ดา้ นภาษาและความรู้ทวั? ไปท?ีมีอยู่พร้อมแลว้ มาช่วยในการทาํ ความเขา้ ใจเร?ืองท?ีอ่าน เพราะ ขอ้ เขียนใด ๆ ก็ตามเป็ นเพียงขอ้ มูลที?ผูเ้ ขียนเตรียมให้ผูอ้ ่านเท่านRนั ผูอ้ ่านจะตอ้ งสร้างความหมายขRึน

50 เองโดยการนาํ โครงสร้างความรู้เดิมท?ีมีอยู่มาสัมพนั ธ์กบั ขอ้ เขียน ในตวั โครงสร้างความรู้เดิมจะมี ช่องวา่ งอยู่ ในขณะท?ีกระบวนการอ่านดาํ เนินไป ผอู้ ่านจะเร?ิมไดค้ วามหมายจากสิ?งท?ีอ่านมากขRึนเร?ือย ๆ เมื?อช่องว่างนRนั มีสภาพสมบูรณ์ (Instantiation of Schema) ความเขา้ ใจถึงเกิดขRึน ตามหลกั การของ ทฤษฎีประสบการณ์เดิมนRนั ถือวา่ ทRงั ผอู้ ่านและผเู้ ขียนต่างก็มีโครงสร้างของความรู้เป็นส่วนสาํ คญั ใน การเรียนรู้ทฤษฎี Schema ออกมาเป็ นงานเขียน งานเขียนจึงเป็ นตวั แทนของโครงสร้างของความรู้ ของผเู้ ขียนเอง หาก Schema ของผเู้ ขียนแตกต่างกนั มาก ผอู้ ่านกจ็ ะมีแนวโนม้ ท?ีจะไม่เขา้ ใจเร?ืองท?ีอ่าน มมมมมมมมCarrell และ Eisterhold (1983, pp.554-573) ให้คาํ จาํ กัดความว่า โครงสร้างความรู้ หมายถึง ความรู้ซ?ึงบนั ทึกไวใ้ นส่วนความทรงจาํ ของสมองในลกั ษณะเป็ นลาํ ดบั ขRนั และเก?ียวโยงซ?ึง กนั และกนั ในการอ่านผูอ้ ่านจะทาํ ความเขา้ ใจกบั ส?ิงที?อ่านโดยอาศยั ความรู้และประสบการณ์มา ปฏิสัมพันธ์กับบทอ่าน ความเข้าใจในการอ่านจะเกิดขRึนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัย ความสามารถในการเช?ือมโยงสิ?งท?ีอ่านให้สัมพนั ธ์กบั โครงสร้างความรู้ท?ีผูอ้ ่านมีอยู่ทRงั ความรู้ทาง ภาษาศาสตร์และความรู้ทวั? ไป โดยแบ่งโครงสร้างความรู้ออกเป็น 2 ชนิด คือ มมมมมมมม1. โครงสร้างความรู้เก?ียวกับรูปแบบ (Formal schema) หมายถึง ความรู้เก?ียวกับ โครงสร้างของงานเขียนในลกั ษณะต่าง ๆ เช่น การเขียนสาธกโวหาร นิทาน นิยาย วิทยาศาสตร์ หนงั สือพิมพ์ เป็นตน้ ถา้ ผอู้ ่านมีความรู้เกี?ยวกบั ลกั ษณะโครงสร้างงานเขียนมาก่อนและรู้จกั ใชค้ วามรู้ เดิมเหล่านRีใหเ้ ป็นประโยชนใ์ นขณะที?อ่าน จะช่วยใหเ้ กิดความเขา้ ใจและความทรงจาํ มมมมมมมม2.โครงสร้างความรู้เชิงเนRือหา (Content Schemata) หมายถึง ความรู้เกี?ยวกบั เนRือหาของ เรื?องในสาขาวิชาใดวิชาหน?ึง เช่น เศรษฐกิจ การแพทย์ ธุรกิจ เป็นตน้ ผอู้ ่านที?มีโครงสร้างความรู้ดา้ น เนRือหามาก่อนจะช่วยให้เกิดความเขา้ ใจดีขRึนและรับเรื?องไดเ้ ร็วกว่าผูท้ ี?ไม่เคยมีประสบการณ์ความรู้ ทางเนRือหาเหล่านRีมาก่อน มมมมมมมมนอกจากนRี Carrell กล่าวว่า ความเขา้ ใจในการอ่านจะเกิดขRึนไดต้ อ้ งอาศยั โครงสร้าง ความรู้เดิมทRงั สองชนิด เพราะการมีความรู้เก?ียวกบั เรื?องที?อ่านมาก่อนจะช่วยในการเดาหรือคาดการณ์ เกี?ยวกบั เรื?องไดด้ ี และถา้ มีความรู้เดิมเก?ียวกบั โครงสร้างรูปแบบการเขียนแลว้ ก็ยงิ? ทาํ ให้เขา้ ใจการจดั ระเบียบของเร?ืองและเกิดความเขา้ ใจไดง้ ่ายขRึน มมมมมมมมกล่าวโดยสรุปโครงสร้างความรู้ (Schema) เป็ นโครงสร้างความรู้นามธรรม ซ?ึงสรุปมา จากสิ?งท?ีรู้มาในอดีต เป็นความรู้ที?เก็บไวใ้ นความทรงจาํ โครงสร้างความคิดในสมองซ?ึงมีการจดั กลุ่ม ขอ้ มูลเก?ียวกบั ความรู้ และประสบการณ์ที?มีขอ้ มูลเหล่านRีจะมีประโยชน์ในการคาดคะเนตีความขอ้ มูล ใหม่ ปรับขอ้ มูลใหม่ใหเ้ ขา้ กบั ขอ้ มูลเดิมท?ีมีอยแู่ ลว้ เพ?ือเกบ็ ขอ้ มูลไวใ้ ชต้ ่อไป

51 มมมมมมมม4.4. ผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) มมมมมมมมความหมาย เสาวลกั ษณ์ รัตนวิชช์ (2534, หนา้ 31-32) กล่าววา่ การสอนอ่านโดยใชเ้ ทคนิคการสร้าง ผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) หมายถึง แผนภูมิท?ีผูส้ อนใชเ้ พ?ือช่วยผูเ้ รียนในการ อ่านจบั ใจความสาํ คญั ของเรื?อง เช่น การลาํ ดบั เรื?อง การโยงความสาํ คญั ของเร?ืองท?ีสัมพนั ธ์ เช่น เป็ น เหตุเป็ นผลกนั เป็ นปัญหาและแกป้ ัญหานRนั การเปรียบเทียบความคลา้ ยคลึง ความแตกต่างของเรื?อง นอกจากนRี ยงั เก?ียวกบั การใหร้ ายละเอียดของเร?ืองอีกดว้ ย Sinatra, Gemake & Berg (1984, p.22) กล่าว ว่า เทคนิคการสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย เป็ นเทคนิคการสอนอ่านเพ?ือความเขา้ ใจโดยใชเ้ ส้น แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความคิดหลกั และประเดน็ ต่าง ๆ ในเร?ือง Heimlich & Pittleman (1986, p. 3) กล่าววา่ การสอนอ่านโดยใชเ้ ทคนิคการสร้างผงั สมั พนั ธ์ทางความหมาย ไม่ใช่เทคนิคใหม่มีมานาน แล้ว เพียงแต่เดิมเรียกว่า Semantic Webbing, Networking หรือ Plot Maps ซ?ึงหมายถึง แผนภูมิท?ี แสดงให้เห็นความสัมพนั ธ์ของใจความสําคญั หรือ คาํ หน?ึง ๆ กบั คาํ อ?ืน สอดคลอ้ งกบั (Davis & McPherson, 1989, pp. 232-242) กล่าวถึง การสอนอ่านโดยใช้ผงั สัมพันธ์ทางความหมายว่า เป็ น เทคนิคการสอนอ่านเพ?ือความเขา้ ใจที?สามารถใชไ้ ดท้ Rงั ก่อนและหลงั อ่าน ระหวา่ งการอ่าน และ หลงั การอ่าน ผงั สมั พนั ธ์ทางความหมายจะช่วยใหผ้ อู้ ่านมองเห็นขRนั ตอนและลาํ ดบั ความสมั พนั ธ์ของเรื?อง ท?ีอ่านเป็ นอยา่ งดีจากความหมายดงั กล่าวสรุปไดว้ ่า การสอนอ่านโดยใชเ้ ทคนิคการสร้างผงั สัมพนั ธ์ ทางความหมาย (Semantic Mapping) เป็ นเทคนิคการสอนอ่านจบั ใจความสาํ คญั ของเรื?องที?ให้ผูอ้ ่าน เขียนผงั โยงความสัมพนั ธ์ความหมาย เพื?อแสดงให้เห็นถึงความสัมพนั ธ์ของเนRือเรื?องที?อ่านตลอดทRงั ใจความสาํ คญั ลาํ ดบั เหตุการณ์ ต่าง ๆ อยา่ งเป็นลาํ ดบั มมมมมมมมแบบการสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) รูปแบบการสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) ขRึนอยู่กบั โครงสร้าง ระดับยอดในการเขียน (Top-Level Structure) ท?ีประกอบเป็ นบทอ่าน บางเร?ืองอาจมีเนRือความท?ี ซบั ซอ้ นหรือไม่เก?ียวขอ้ งโดยตรงกบั หวั เรื?อง จึงทาํ ใหก้ ารสร้างผงั เป็นไปโดยยากและมีรูปแบบต่าง ๆ กนั นอกจากนRีการสร้างผงั สรุปโยงเรื?องเดียวกนั อาจทาํ ไดห้ ลายรูปแบบ จะไม่ถือวา่ รูปแบบใดถูกตอ้ ง ที?สุด สิ? งท?ีสําคัญคือ ความสัมพันธ์ของความหมายในแผนผังจะต้องสอดคล้องกับบทอ่าน Schmidt (1986, pp.112-117, อ้างใน อมรศรี แสงส่ องฟ้ า, หน้า 44-46) ได้จําแนก รูปแบบของผงั สมั พนั ธ์ทางความหมายตามลกั ษณะโครงสร้างของ บทอ่านที?พบเสมอ ๆ 5 แบบ คือ

52 1. แผนผงั รูปแมงมุม (Spider map) สําหรับบทอ่านที?แสดงใจความสําคญั (main idea) และรายละเอียดสนบั สนุน (supporting details) ไวช้ ดั เจนดงั รูป ภาพประกอบ 1 แผนผงั รูปแมงมุม The Spider Map : Main Idea and Details 2 แผนผงั รูปขRนั บนั ได (Descending ladder or Time ladder map) สาํ หรับบทอ่านท?ีแสดง ลาํ ดบั เวลา ขบวนการหรือขRนั ตอน ตลอดจนการบรรยายเรื?องราว ภาพประกอบ 2 แผนผงั รูปขRนั บนั ได The Time ladder Map

53 3. แผนผงั แสดงเหตุ-ผล (Cause – effect map) สาํ หรับบทอ่านท?ีแสดงเหตุ – ผล ภาพประกอบ 3 แผนผงั แสดงเหตุ-ผล The Cause / Effect Map 4. แผนผงั แสดงการเปรียบเทียบ หรือ ส?ิงตรงข้าม (Comparison contrast or contrast overlay map) สาํ หรับบทอ่านที?แสดงการเปรียบเทียบหรือส?ิงตรงขา้ ม ภาพประกอบ 4 แผนผงั แสดงการเปรียบเทียบ หรือ สิ?งตรงขา้ ม The Contrast Overlay Map 5. แผนผงั แบบผสมผสาน (Combined maps) สาํ หรับบทอ่านท?ีมีเนRือความซRาํ ซ้อน หรือ ผสมผสานงานเขียนแบบต่าง ๆ ไวใ้ นเรื?องเดียวกนั จากรูปผงั สมั พนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) ขา้ งตน้ เห็นไดว้ า่ มีหลายรูปแบบ ขRึนอยกู่ บั ลกั ษณะโครงสร้างงานเขียน สาํ หรับงานศึกษาครRังนRี ผศู้ ึกษาไดค้ ดั เลือกบทอ่านที?มีลกั ษณะ โครงสร้างงานเขียน 4 แบบ คือ แบบบอกรายละเอียด การแสดงเหตุ-ผลและ การแสดงปัญหา และ การแกไ้ ข

54 มมมมมมมมข้อควรคาํ นึงในการใช้เทคนิคการสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) การใชเ้ ทคนิคการสร้างผงั สมั พนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) นRนั เป็นสิ?งที?ช่วย ทาํ ให้นกั เรียนสามารถเขา้ ใจการอ่านไดเ้ ป็ นอยา่ งดี แต่ถึงอยา่ งไรก็ตามก็ยงั มีขอ้ จาํ กดั ในการสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping)โดย Sinatra, Gemake & Morgan (1984, pp.22-29) ได้ เสนอแนะวา่ นกั เรียนจะทาํ ผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping)ไดด้ ีหากผสู้ อนชRีแนวทาง เกี?ยวกับความหมายของคาํ ศพั ท์ใหม่ ๆ ที?ปรากฏในบทอ่านนRัน ๆ เสียก่อน Davis & McPherson (1989, pp. 232-242) เสนอแนะว่า การให้นักเรียนทาํ ผงั โยงความสัมพนั ธ์ความหมายตอ้ งคาํ นึงถึง ความเหมาะสมในดา้ นต่าง ๆ เช่น วุฒิภาวะของผูเ้ รียน การสอนครRังแรกควรให้ผูเ้ รียนดูผงั สัมพนั ธ์ ทางความหมาย (Semantic Mapping) ท?ีทาํ เสร็จแลว้ หลงั จากท?ีไดอ้ ่านเรื?องนRนั จบ ผเู้ รียนไม่ตอ้ งลงมือ ทาํ เองเพื?อใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจวิธีการ และองคป์ ระกอบของการทาํ ผงั สัมพนั ธ์ทางความหมายก่อน จึงควร นาํ มาใชเ้ ป็ นกิจกรรมหลงั การอ่านเพื?อระลึกความทรงจาํ ในส?ิงท?ีอ่าน เช่น นาํ เรื?องท?ีอ่านมาพูด เขียน อีกครRัง เม?ือดูผงั สัมพนั ธ์ทางความหมายแลว้ นอกจากนRีเม?ือผูเ้ รียนคุน้ เคยกบั การทาํ ผงั สัมพนั ธ์ทาง ความหมายมากขRึน ควรให้ผเู้ รียนลงมือสร้างเอง การให้ผเู้ รียนสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมายที?อ่าน เองในครRังแรกผเู้ รียนจะมีความมน?ั ใจ ดงั นRนั สิ?งที?ครูควรคาํ นึงในการสอนอ่านโดยใชเ้ ทคนิคการสร้าง ผงั สมั พนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) สรุปไดด้ งั นRี 1. ความยาก ง่ายของคาํ ศพั ท์ และ การใชภ้ าษา 2. ตวั ผเู้ รียน เช่น วฒุ ิภาวะ และ ประสบการณ์ 3. วิธีสอนควรคาํ นึงถึงขRนั ตอนท?ีชดั เจน เสนอตวั อย่างดว้ ยความระมดั ระวงั ตามลาํ ดบั ความง่ายไปยาก เพ?ือใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจไดช้ ดั เจน 4. การเสริมแรง จะช่วยใหผ้ เู้ รียนสนุก พอใจ และ มน?ั ใจมากขRึน มมมมมมมมประโยชน์ ของการสอนอ่านโดยเทคนิคผังสัมพันธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) สิ?งท?ีสามารถทาํ ให้นักเรียนเช?ือมโยงความคิดกับความรู้เดิมได้เป็ นอย่างดี พร้อมทRัง สามารถถ่ายโอนความรู้ไปใชบ้ ูรณาการในการอ่านไดเ้ ป็ นอย่างดี ตามที? พรทิพย์ ตนั ติเวสส (2540, หน้า 37-38) กล่าวว่า ครูที?สอนอ่านภาษาอังกฤษควรสอนให้นักเรียนรู้วิธีสร้างผงั สัมพันธ์ทาง ความหมาย (Semantic Mapping) เพราะมีประโยชนด์ งั ต่อไปนRี 1. ช่วยใหน้ กั เรียนเช?ือมโยงความคิดทRงั หลายเขา้ ดว้ ยกนั และ ช่วยใหน้ กั เรียนเรียนรู้อยา่ ง มีวจิ ารณญาณ

55 2. ช่วยให้นกั เรียนเป็ นนกั อ่านเชิงรุก รู้จกั ใชค้ วามรู้เดิมเป็ นพRืนฐานในการรับขอ้ มูลใหม่ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. ช่วยฝึ กฝนทกั ษะทางปัญญา ทาํ ใหน้ กั เรียนสามารถอ่านไดด้ ว้ ยตนเองเพราะไดร้ ับการ ฝึ กใหค้ ิด ประเมินขอ้ เขียน เรียบเรียงขอ้ มูล ถ่ายโอนขอ้ มูลตลอดเวลาในการอ่านเป็นการพฒั นา ความ เจริญงอกงามทางสติปัญญา ปลูกฝังใหน้ กั เรียนเป็นผคู้ ิดเป็น ทาํ เป็น และแกป้ ัญหาเป็น 4. ช่วยพฒั นานิสัยการเรียน กระตุน้ ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรม รู้จกั ทาํ งานร่วมกบั ผูอ้ ?ืน และเรียนรู้จากผอู้ ?ืน 5. ช่วยให้ผูเ้ รียนมีทกั ษะการเรียน ซ?ึงสามารถถ่ายโอนไปใชป้ ระโยชน์ในวิชาอื?น ๆ ได้ เช่น การรู้จกั ใช้คาํ ถาม คาํ นึงถึงจุดประสงค์ก่อนลงมือทาํ กิจกรรม ใช้ความคิดพิจารณาหาเหตุผล เช?ือมโยงความรู้ ความคิด สรุปความหรือใจความสาํ คญั และ จดั ระบบขอ้ มูลความรู้ มมมมมมมมสรุปได้ว่าประโยชน์ของการอ่านโดยเทคนิคผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) ทาํ ให้นกั เรียนเชื?อมโยงความคิดกบั ความรู้เดิมและความรู้ใหม่ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ทาํ ให้เรียนรู้ อยา่ งมีวิจารณญาณ สามารถรับขอ้ มูลใหม่ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ อีกทRงั เป็ นการปลูกฝังการทาํ งาน ร่วมกบั ผอู้ ?ืนไดเ้ ป็นอยา่ งดี พร้อมทRงั สามารถถ่ายโอนความรู้ไปใชบ้ ูรณาการในวิชาอ?ืน ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ ง ดี มมมมมมมม4.5 การวดั และประเมนิ ผลการเขยี นสรุปความ มมมมมมมมการให้คะแนนการเขียนสรุปความนRนั มีผูก้ าํ หนดเกณฑ์ไวม้ ากมายแตกต่างกนั ไปทRงั นRี ขRึนอยู่กบั ว่าผูส้ อนตอ้ งการพฒั นานักเรียนในดา้ นใดมากที?สุด ก็จะกาํ หนดเกณฑ์ในดา้ นนRันให้มาก เกณฑใ์ นการใหค้ ะแนนการเขียนสรุปความ มมมมมมมมRinehart, S.D.stahl, S.A., & Erickson, L.G. (1986, pp.422-438) กล่าวถึงการวัดผล ประเมินผลการเขียนสรุปความ ดงั นRี มมมมมมมมคะแนนการเขียนสรุปความ มมมมมมม 1. ดา้ นใจความสาํ คญั จะตอ้ งมีใจความสาํ คญั ครบถว้ นสมบูรณ์ มมมมมมม 2. ดา้ นใจความสนับสนุนสําคญั ตอ้ งมีใจความสนับสนุนสําคญั สอดคลอ้ งกบั ใจความ สาํ คญั และไม่มีรายละเอียดที?ไม่สาํ คญั มมมมมมม 3. ดา้ นการไม่กล่าวซRาํ การเขียนสรุปความตอ้ งไม่มีประโยคหรือขอ้ มูลท?ีมีความหมาย ซRาํ ซอ้ น มมมมมม 4. ดา้ นการแต่งประโยคใหม่ ผเู้ ขียนตอ้ งแต่งประโยคขRึนเองทRงั หมด โดยท?ีมีความหมาย ถูกตอ้ ง ไม่มีประโยคที?ลอกมาจากบทอ่านเลย

56 มมมมมมม 5. ดา้ นความถูกตอ้ งตามหลกั ภาษาและการใช้เคร?ืองหมายวรรคตอน ประโยคท?ีแต่ง ถูกตอ้ งตามหลกั ภาษา มีความบกพร่องนอ้ ยมาก เช่น การใช้ Tense การใชค้ าํ หนา้ ที?ต่าง ๆ ในประโยค ถูกตอ้ ง หรือผดิ นอ้ ยมาก การใชเ้ ครื?องหมายวรรคตอนถูกตอ้ งหรือบกพร่องนอ้ ยมาก มมมมมมมมพิพฒั น์ งอกเสมอ (2539, หน้า 37-43) ได้ให้คะแนนการเขียนสรุปความโดยแบ่ง ออกเป็น 5 ส่วนดงั นRี มมมมมมม 1. ความครอบคลุมหรือความสมบูรณ์ของเนRือหา ผเู้ ขียนตอ้ งเขียนสรุปความไดส้ มบูรณ์ ไดใ้ จความสาํ คญั ครบ ไม่ขาดตกบกพร่องเลย มมมมมมม 2. ความถูกตอ้ งตามหลกั ภาษา คือใชร้ ูปประโยคถูกตอ้ งตามโครงสร้าง มมมมมมม 3. ความเป็ นต้นฉบับหรือการใช้คําพูดของผู้สรุปเอง คือเขียนสรุปความได้อย่าง สละสลวย แสดงความคิดไดอ้ ยา่ งต่อเนื?อง มีใจความสาํ คญั และใจความรองมาสนบั สนุนและใชค้ าํ พดู ของผสู้ รุปเอง มมมมมมม 4. ความกะทดั รัดหรือความยากของการเขียนสรุปความ ควรมีความยาวประมาณหน?ึงใน สามของตน้ ฉบบั มมมมมมม 5. การใชเ้ ครื?องหมายวรรคตอน ตวั สะกด อกั ษรใหญ่ถูกตอ้ งสมบูรณ์ มมมมมมมมจะเห็นไดว้ า่ การวดั ผลประเมินผลการเขียนสรุปความนRนั มีองคป์ ระกอบการใหค้ ะแนน ท?ีเนน้ การสรุปใจความสาํ คญั จากเร?ืองท?ีอ่านโดยใชภ้ าษาของผูอ้ ่านเอง มีใจความสาํ คญั และใจความ รองมาสนับสนุน และแสดงความคิดไดอ้ ย่างต่อเน?ืองดว้ ยประโยคท?ีสRันและกระชบั ใชร้ ูปประโยค ถูกตอ้ งตามโครงสร้าง เขียนสรุปความไดอ้ ย่างสละสลวย และใชเ้ คร?ืองหมายวรรคตอน ตวั สะกด อกั ษรใหญ่ถูกตอ้ งสมบูรณ์ มมมมมมมม4.6 งานวจิ ยั ทเีE กยีE วข้องกบั การเขยี นสรุปความ มมมมมมมมเฉลิมพล ณ เชียงใหม่ (2547) ได้ศึกษาเร?ืองการใช้แผนภูมิมโนทัศน์เพ?ือส่งเสริม ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษและการเขียนสรุปความของนักเรียนชRันมธั ยมศึกษาปี ที? 4 โรงเรียนสันป่ าตองวิทยาคม พบวา่ ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนหลงั การเรียน โดยใชแ้ ผนภูมิมโนทศั น์สูงกว่าก่อนเรียนและนกั เรียนมีความสามารถในการเขียนสรุปความเร?ืองที? อ่านสูงกวา่ ก่อนเรียน มมมมมมมมกณั หา คาํ หอมกุล (2548) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาความสามารถในการเขียนสรุปความของ นกั เรียนชRนั ประถมศึกษาปี ที? 6 ดว้ ยวิธีการจดั การเรียนรู้แบบแผนผงั ความคิดกลุ่มตวั อยา่ งคือ นกั เรียน ชRนั ประถมศึกษาปี ที? 6 โรงเรียนวดั หนองพนั เทา สงั กดั สาํ นกั งานเขตพRืนที?การศึกษาสุพรรณบุรี เขต 2 จาํ นวน 30 คน เครื?องมือที?ใช้ในการวิจยั ประกอบดว้ ยแผนการจดั การเรียนรู้แบบแผนผงั ความคิด

57 แบบทดสอบวดั ความสามารถในการเขียนสรุปความแบบสอบถามความคิดเห็น เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน การเขียนสรุปความประกอบดว้ ย 1) การสรุปใจความสาํ คญั 5 คะแนน 2) เขียนประโยคไดถ้ ูกตอ้ ง 3 คะแนน 3) การสะกดคาํ 2 คะแนน ผลการวิจยั พบว่า 1) นักเรียนชRนั ประถมศึกษาปี ที? 6 ท?ีไดร้ ับการ จดั การเรียนรู้แบบแผนผงั ความคิด มีความสามารถในการเขียนสรุปความ ก่อนและหลงั เรียนแตกต่าง กันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที?ระดับ .05 โดยคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) นักเรียนมี ความสามารถในการสร้างแผนผงั ความคิดแบบขRนั บนั ไดมากท?ีสุด รองลงมาคือแผนผงั ความคิดแบบ จาํ แนกประเภท และแผนผงั ความคิดแบบกา้ งปลา 3) นกั เรียนมีความคิดเห็นวา่ การจดั การเรียนรู้แบบ แผนผงั ความคิดทาํ ให้เขา้ ใจบทเรียนง่าย เพราะการเรียนเป็ นลาํ ดบั ขRนั ตอนสามารถทาํ งานเสร็จตาม เวลา ทาํ ใหส้ รุปความไดแ้ ละสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั วชิ าอ?ืน ๆ ได้ มมมมมมมมดรุณี บริจาค (2551) ไดศ้ ึกษาเร?ือง การใช้แนวการสอนภาษาแบบองค์รวมเพ่ือส่งเสริม ความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ ความสามารถในการเขียนสรุปความและความม่ันใจในตนเองของ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง โรงเรียนพณิชยการลานนาเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบวา่ 1) ความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษของนกั ศึกษาสูงขRึนอยใู่ นระดบั ดี หลงั การ เรียนโดยใชแ้ นวการสอนภาษาแบบองคร์ วม 2) ความสามารถในการเขียนสรุปความของนกั ศึกษาสูง ขRึนอยู่ในระดบั ปานกลางหลงั การเรียนโดยใช้แนวการสอนภาษาแบบองค์รวม3) ความมนั? ใจใน ตนเองของนกั ศึกษาสูงขRึนอยใู่ นระดบั ปานกลาง หลงั การเรียนโดยใชแ้ นวการสอนภาษาแบบองคร์ วม มมมมมมมมภูดิท จุลโพธeิ (2551) ไดศ้ ึกษาเรื?อง การสอนโดยใชก้ ลวิธีปฏิสัมพนั ธ์ร่วมกบั การสอน ออนไลน์เพื?อส่งเสริมความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษ ความสามารถในการเขียนสรุปความและ การเรี ยนรู้ด้วยตนเองของผู้เรี ยน โรงเรี ยนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า 1) นกั ศึกษาท?ีไดร้ ับการสอนโดยใชก้ ลวิธีปฏิสัมพนั ธ์ร่วมกบั การสอนออนไลน์มีความเขา้ ใจในการ อ่านภาษาองั กฤษหลงั การทดลองเพ?ิมขRึน 2) นกั ศึกษาท?ีไดร้ ับการสอนโดยใชก้ ลวธิ ีปฏิสมั พนั ธ์ร่วมกบั ก ารส อ น อ อ น ไล น์ มี ค วาม ส าม ารถ ใน ก ารเขี ยน ส รุ ป ค วาม ห ลังก ารท ด ล อ งเพิ? ม ขRึ น 3) นกั ศึกษาที?ไดร้ ับการสอนโดยใชก้ ลวธิ ีปฏิสมั พนั ธ์ร่วมกบั การสอนออนไลนม์ ีการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง หลงั การทดลองเพิ?มขRึน 5. เอกสารและงานวจิ ยั ทเEี กยีE วกบั เกยEี วกบั เจตคติ มมมมมมมม5.1 ความหมายของเจตคติ มมมมมมมมนกั วชิ าการและนกั การศึกษาไดใ้ หค้ วามหมายของเจตคติไวด้ งั นRี มมมมมมมมRokeach (1970, p. 134) ไดก้ ล่าวว่า เจตคติ (Attitude) หมายถึง สภาพความพร้อมที?จะ แสดงออกในลกั ษณะใดลกั ษณะหน?ึง อาจเป็นการเขา้ หาหรือต่อตา้ นสภาพการณ์บางอยา่ ง บุคคลหรือ

58 ส?ิงใดสิ?งหน?ึง ซ?ึงผลของความรู้สึกนRีจะกาํ หนดให้บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองในลกั ษณะที?ชอบ หรือไม่ชอบ พึงพอใจรักใคร่อยากใกลช้ ิดส?ิงนRนั เรียกวา่ เจตคติเชิงบวก ส่วนการแสดงออกในรูปแบบ ของความไม่พึงพอใจ เบ?ือหน่าย เป็นผลใหบ้ ุคคลเกิดความชิงชงั ไม่อยากเขา้ ใกลส้ ิ?งนRนั เรียกวา่ เจตคติ เชิงลบ มมมมมมมมพรรณี ชูทยั เจนจิต (2538, หนา้ 543) ให้ความหมายของเจตคติว่า เจตคติเป็ นเรื?องของ ความรู้สึกทRงั ท?ีพอใจและไม่พอใจท?ีบุคคลมีต่อสิ?งใดสิ?งหน?ึงซ?ึงมีอิทธิพลทาํ ใหแ้ ต่ละคนสนองตอบสิ?ง เร้าแตกต่างกนั ไป มมมมมมมมสุรางค์ โคว้ ตระกูล (2541, หนา้ 366) ไดใ้ ห้ความหมายของเจตคติว่า เป็ นแนวโนม้ ท?ีมี อิทธิพลต่อพฤติกรรมสนองตอบต่อสิ?งแวดลอ้ มหรือสิ?งเร้าซ?ึงอาจจะเป็ นไดท้ Rงั คน วตั ถุ ส?ิงของ หรือ ความคิดท?ีอาจจะเป็ นบวกหรือลบ ถา้ บุคคลมีเจตคติบวกก็จะมีพฤติกรรมที?เผชิญกบั สิ?งนRนั แต่ถา้ เจต คติลบกจ็ ะหลีกหนีส?ิงนRนั มมมมมมมมสรุปไดว้ ่า เป็ นเร?ืองราวของความรู้สึก หรือท่าทีของบุคคลที?มีต่อส?ิงใดสิ?งหน?ึง เกิดจา การเรียนรู้และสะสมประสบการณ์เป็ นตวั กระตุน้ ให้บุคคลแสวงพฤติกรรมท?ีมีต่อสิ?งเร้าไปในดา้ นที? พอใจหรือไม่พอใจ สนบั สนุนหรือคดั คา้ นกไ็ ด้ มมมมมมม 5.2 ลกั ษณะของเจตคติ มมมมมมม ลว้ น สายยศ และ องั คณา สายยศ (2543, หนา้ 57) ไดร้ วบรวมลกั ษณะทว?ั ไปของเจตคติ จากแนวคิดของนกั จิตวทิ ยาหลายคน ไวด้ งั นRี มมมมมมม 1. เจตคติขRึนอยกู่ บั การประเมินมโนภาพของเจตคติ แลว้ เกิดเป็นพฤติกรรม แรงจูงใจ เจต คติเป็ นเพียงความรู้สึกโนม้ เอียง จากการประเมินยงั ไม่ใช่พฤติกรรม ตวั เจตคติเองไม่ใช่แรงจูงใจแต่ เป็ นตวั การทาํ ใหเ้ กิดแรงจูงใจแต่เป็ นเพียงความรู้สึกโนม้ เอียงจากการประเมินยงั ไม่ใช่พฤติกรรม แต่ ถา้ แสดงออกเป็ นพฤติกรรมแลว้ จะเป็ นลกั ษณะคือ Positive - Approach ตวั อยา่ งเช่น การโจมตี ด่าวา่ ต่อสู้ ฯลฯ Negative – Avoidance เป็นลกั ษณะเจตคติดีทางบวก แต่กอ็ ยากจะหลบหลีกหรือไม่รบกวน ตวั อยา่ งเช่น การปล่อยใหเ้ ขาอยเู่ งียบ ๆ เม?ือเขามีทุกข์ ฯลฯ มมมมมมม 2. เจตคติเปล?ียนแปลงความเขม้ ขน้ ตามแนวของทิศทาง ตRงั แต่บวกจนถึงลบ นRนั คือเป็ น การแสดงความรู้สึกวา่ ไปทางบวกมากหรือนอ้ ย ไปทางลบมากหรือนอ้ ย ความเขม้ ขน้ ศูนยค์ ือไม่รู้สึก หรือเป็นกลางระหวา่ งบวกหรือลบ แต่จุดท?ีเป็นกลางนRนั เป็นปัญหาต่อการแปลผลเพราะตามธรรมดา จะทาํ ใหเ้ กิดความคลาดเคล?ือนในการตอบ (Central Error) บางคนไม่คิดอะไรมกั จะ ขีดลงตรงกลาง

59 มมมมมมม 3. เจตคติเกิดจากการเรียนรู้มากกว่ามีมาเองแต่กาํ เนิด เจตคติเกิดจากการเรียนรู้สิ?งที? ปฏิสัมพนั ธ์รอบตวั เรา ซ?ึงเป็ นเป้าเจตคติทRงั หลาย ถา้ เรียนรู้ว่าสิ?งนRันมีคุณค่าจะเกิดเจตคติทางดีถา้ เรียนรู้ว่าส?ิงนRันไม่มีคุณค่าก็จะเกิดเจตคติไม่ดี ส?ิงใดเราไม่เคยรู้จกั ไม่เคยเรียนรู้เลยจะไม่เกิดเจตคติ เพราะไม่ไดศ้ ึกษารายละเอียดของส?ิงนRนั การเรียนรู้เป้าเจตคติอาจผา่ นตวั จริงหรือผา่ นสื?อทRงั หลายท?ีมี เป้าเจตคติตวั จริงกส็ ามารถเกิดเจตคติขRึนได้ มมมมมมม 4. เจตคติขRึนอยกู่ บั เป้าเจตคติหรือกลุ่มส?ิงเร้าเฉพาะอยา่ ง สิ?งเร้าทRงั หลายอาจเป็นคน สัตว์ ส?ิงของ สถาบนั อุดมการณ์ อาชีพส?ิงอื?น ๆ ก็ได้ เจตคติจะมีลกั ษณะอยา่ งไรขRึนอยกู่ บั เป้าเจตคติที?ได้ สมั ผสั เรียนรู้มามากนอ้ ยแตกต่างกนั เป็นสาํ คญั เป้าเจตคติที?มีลกั ษณะเป็นกลุ่มใกลเ้ คียงกนั จะมีเจตคติ แตกต่างจากเป้าเจตคติท?ีมีลกั ษณะของกลุ่มแตกต่างกนั มาก มมมมมมม 5. เจตคติมีค่าสัมพนั ธ์ภายในเปลี?ยนแปลงไปตามกลุ่ม นRันคือกลุ่มที?มีลกั ษณะเดียวกนั เจตคติจะมีความสัมพนั ธ์กนั สูง กลุ่มที?มีลกั ษณะต่างกนั เจตคติมีความสัมพนั ธ์ต?าํ แสดงใหเ้ ห็นวา่ กลุ่ม ท?ีมีเจตคติต่อสิ?งเดียวกนั ยอ่ มมีความสมั พนั ธ์กนั ดว้ ย มมมมมมม ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2539, หนา้ 211).ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะของเจตคติดงั นRี มมมมมมม 1. เจตคติเกิดจากประสบการณ์ ส?ิงเร้าต่าง ๆ รอบตวั บุคคล การอบรมเลRียงดู การเรียนรู้ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรม เป็นส?ิงท?ีก่อใหเ้ กิดเจตคติแมว้ า่ ประสบการณ์ที?เหมือนกนั กม็ ี เจตคติท?ีแตกต่างกนั ได้ ดว้ ยสาเหตุหลายประการ เช่น สติปัญญา อายุ เป็นตน้ มมมมมมม 2. เจตคติเป็ นการตระเตรียมความพร้อมในการตอบสนองต่อสิ?งเร้า เป็ นการเตรียมความ พร้อมภายในจิตใจมากกวา่ ภายนอก สภาวะความพร้อมที?จะตอบสนองมีลกั ษณะที?ซบั ซอ้ นของบุคคล ท?ีจะชอบหรือไม่ชอบ ยอมรับหรือไม่ยอมรับและจะเกี?ยวเนื?องกบั อารมณ์ดว้ ยเป็ นส?ิงที?อธิบายไม่ค่อย จะได้ บางครRังไม่มีเหตุผล มมมมมมม 3. เจตคติมีทิศทางของการประเมิน ทิศทางของการประเมินคือความรู้สึกหรืออารมณ์ที? เกิดขRึน ถา้ เป็ นความรู้สึกหรือการประเมินว่าชอบ พอใจ เห็นดว้ ย ก็คือทิศทางในทางท?ีดี เรียกว่าเป็ น ทิศทางในทางบวก แต่ถา้ การประเมินออกมาในทางที?ไม่ดี เช่น ไม่ชอบ ไม่พอใจ ก็มีทิศทางในทาง ลบ เจตคติทางลบไม่ไดห้ มายความวา่ ไม่ควรมีเจตคตินRนั แต่เป็ นเพียงความรู้สึกในทางไม่ดี เช่น เจต คติในทางลบต่อการคดโกงต่อการเล่นการพนนั การมีเจตคติในทางบวกก็ไม่ไดห้ มายถึง เจตคติท?ีดี และพึงปรารถนา เช่น เจตคติทางบวกต่อการโกหก การสูบบุหรี? เป็นตน้ มมมมมมมม4. เจตคติมีความเขม้ คือมีปริมาณมากน้อยของความรู้สึก ถา้ ชอบมากหรือไม่เห็นดว้ ย อยา่ งมากก็แสดงวา่ มีความเขม้ ขน้ สูง ถา้ ไม่ชอบเลยหรือเกลียดท?ีสุดก็แสดงวา่ มีความเขม้ ขน้ สูงไปอีก ทางหน?ึง

60 มมมมมมมม5. เจตคติมีความคงทน เจตคติเป็นส?ิงที?บุคคลยดึ มนั? ถือมนั? และมีส่วนร่วมในการกาํ หนด พฤติกรรมของคนนRนั การยดึ มน?ั ในเจตคติต่อสิ?งใดทาํ ใหก้ ารเปล?ียนแปลงเจตคติเกิดขRึนไดย้ าก มมมมมมมม6. เจตคติมีทRงั พฤติกรรมภายใน พฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมภายในเป็ นสภาวะทาง จิตใจซ?ึงหากไม่ไดแ้ สดงออกกไ็ ม่สามารถจะรู้ไดว้ า่ บุคคลนRนั มีเจตคติอยา่ งไรในเร?ืองนRนั เจตคติท?ีเป็น พฤติกรรมภายนอกจะแสดงออกเนื?องจากถูกกระตุน้ การกระตุน้ นRียงั มีสาเหตุอ?ืน ๆ รวมอยดู่ ว้ ย เช่น บุคคลแสดงความชอบไม่ชอบดว้ ยการดุด่าคนอ?ืน นอกจากไม่ชอบคนนRันแลว้ อาจเป็ นเพราะถูกทา้ ทายก่อน มมมมมมมม7. เจตคติจะตอ้ งมีส?ิงเร้าจึงมีการตอบสนองขRึนแต่กไ็ ม่จาํ เป็นวา่ เจตคติที?แสดงออกมาจาก พฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอกจะตรงกนั เพราะก่อนแสดงออกบุคคลนRนั ปรับใหเ้ หมาะกบั บรรทดั ฐานของสงั คมแลว้ จึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมภายนอก มมมมมมมมสรุปได้ว่า เจตคติเป็ นลักษณะของบุคคลที?ผ่านการเรียนรู้มานานนับตRังแต่เด็ก ประสบการณ์ท?ีไดร้ ับทRงั ทางตรงและทางออ้ มจะมีผลทาํ ให้บุคคลเกิดความชอบ ไม่ชอบ ยอมรับ หรือปฎิเสธ ตามความคิดเห็นของแต่ละบุคคล มมมมมมมม5.3 การวดั เจตคติ มมมมมมมมแบบวดั เจตคติหรือมาตรวดั เจตคติมีการพฒั นามามากมายตามความเหมาะสมของการ พิจารณาของผสู้ ร้างแบบวดั เจตคติ เท่าท?ีนิยมสร้างกนั ในปัจจุบนั สรุปไดด้ งั นRี มมมมมมมมเทคนิคการสร้างแบบวดั เจตคติของ Thurstone technique บุญเรียง ขจรศิลป์ (2539, หนา้ 78) มีขRนั ตอนดงั ต่อไปนRี มมมมมมมม1. เขียนขอ้ ความต่าง ๆ ท?ีเกี?ยวขอ้ งกบั เร?ืองท?ีจะศึกษาใหไ้ ดม้ ากที?สุด มมมมมมมม2. ควรเป็นขอ้ ความที?เกี?ยวขอ้ งกบั เหตุการณ์ในปัจจุบนั มมมมมมมม3. มีความหมายเดียวในหน?ึงขอ้ ความ มมมมมมมม4. ใชภ้ าษาที?ง่ายและชดั เจน มมมมมมมม5. ไม่ควรใชข้ อ้ ความที?เป็นประโยคปฏิเสธซอ้ นปฏิเสธ มมมมมมมม6. ควรจะประกอบด้วยขอ้ ความต่าง ๆ ที?สามารถจดั ลาํ ดบั ของความรู้สึกความชอบ ต่าง ๆ จากนอ้ ยไปหามาก มมมมมมมม7. นาํ ขอ้ ความท?ีรวบรวมไวไ้ ปใหผ้ ตู้ ดั สิน (Judge) พิจารณา ซ?ึงกลุ่มของผตู้ ดั สินนRนั ควร จะเป็ นส่วนหน?ึงของสมาชิกของกลุ่มประชากรท?ีจะศึกษาเจตคติ แต่ไม่ใช่กลุ่มเก?ียวกบั ตวั อยา่ งที?จะ ศึกษาเจตคติ

61 มมมมมมมม8. เมื?อไดร้ ับขอ้ ความจากผูต้ ดั สินแลว้ ก็นาํ ขอ้ ความแต่ละขอ้ ความมาหาค่าทางสถิติ คือ มธั ยฐาน (Medium) และ พิสยั ควอร์ไทล์ (Quartile Range) มมมมมมมม9. เลือกขอ้ ความขRนั สุดทา้ ยไวเ้ ป็นแบบวดั เจตคติ ควรใหไ้ ดจ้ าํ นวน 20 ขRึนไป มมมมมมมมมาตราส่วนวดั เจตคติแบบ Likert บุญส่ง นิลแกว้ (2535, หนา้ 139) มีขRนั ตอนการสร้าง เครื?องมือโดยวธิ ีดงั ต่อไปนRี มมมมมมมม1. สร้างขอ้ ความ (Statement) ที?เป็ นการแสดงถึงเจตคติต่อสิ?งที?จะศึกษาให้ไดม้ าก ๆ ขอ้ ความ (มากกว่า 50 ขอ้ ความไดเ้ ป็ นการดี) ให้ขอ้ ความมีลกั ษณะเป็ นการแสดงออกในทางท?ีดีและ ในทางที?ไม่ดีจาํ นวนเท่า ๆ กนั มมมมมมมม2. นาํ ขอ้ ความที?สร้างแลว้ พิมพเ์ ขา้ ชุด ใหค้ ณะบุคคลกลุ่มหน?ึงวิจารณ์ลงความเห็นวา่ เขา มีความรู้สึกนึกคิดต่อขอ้ ความแต่ละขอ้ ความอยา่ งไร โดยพิจารณาใน 5 ลกั ษณะ คือ เห็นดว้ ยอยา่ งยง?ิ เห็นดว้ ย เฉย ๆ ไม่แน่ใจ ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยง?ิ มมมมมมมม3. นาํ ผลการลงความเห็นของกลุ่มบุคคลมาใหน้ Rาํ หนกั คะแนนเป็นรายขอ้ โดยใหค้ ะแนน ดงั นRี คะแนน ขอ้ ความในทางดี ขอ้ ความในทางไม่ดี 5 เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ? ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยง?ิ 4 เห็นดว้ ย ไม่เห็นดว้ ย 3 เฉย ๆ เฉย ๆ 2 ไม่เห็นดว้ ย เห็นดว้ ย 1 ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยง?ิ เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ? มมมมมมมม4. รวมคะแนนการตอบของแต่ละบุคคลในทุก ๆ ข้อเข้าด้วยกัน ถือเป็ นคะแนน ความเห็นรายบุคคล นาํ คาํ ตอบของกลุ่มบุคคลดงั กล่าวมาจดั เรียงลาํ ดบั ตามคะแนนจากมากไปหานอ้ ย มมมมมมมม5. นาํ คาํ ตอบของกลุ่มบุคคลที?ไดค้ ะแนนมากมาจาํ นวน 25% ของคนทRงั หมด คาํ ตอบ ของกลุ่มบุคคลท?ีไดค้ ะแนนนอ้ ยจาํ นวน 25% เช่นกนั เพื?อนาํ ไปวเิ คราะห์ทางสถิติ มมมมมมมม6. คาํ นวณค่าสถิติต่าง ๆ ของคาํ ตอบของแต่ละกลุ่ม (กลุ่มคะแนนมากและกลุ่มคะแนน นอ้ ย) มมมมมมมม7 คดั เลือกขอ้ ความที?มีค่า t ซ?ึงแสดงว่าคาํ ตอบของกลุ่มบุคคลทRงั สองกลุ่มมีความหมาย แตกต่างกนั อยา่ งแทจ้ ริง โดยใชเ้ กณฑ์ ต่อไปนRี จาํ นวนคนทRงั หมด ค่า t 100 ตRงั แต่ 1.679 150 ตRงั แต่ 1.666

62 200 ตRงั แต่ 1.663 250 ขRึนไป ตRงั แต่ 1.650 มมมมมมมม8. นําข้อความที?คดั เลือกได้จากค่า t มาจัดเข้าเป็ นชุดเครื?องมือวดั เจตคติโดยนํามา เรียงลาํ ดบั ขอ้ จากค่า t ท?ีมากที?สุดตามลาํ ดบั เครื?องมือที?จะนาํ ไปใชใ้ นการศึกษาควรมีจาํ นวนขอ้ ความ ประมาณ 25-30 ขอ้ มมมมมมมมการนาํ เคร?ืองมือตามวิธีการนRีไปใชจ้ ริงตอ้ งให้ผตู้ อบแสดงความเห็นให้ครบทุกขอ้ และ คะแนนท?ีแสดงถึงเจตคติของแต่ละบุคคล คือคะแนนรวมที?ไดจ้ ากการตอบขอ้ ความแต่ละขอ้ ในชุด เคร?ืองมือนRนั เอง มมมมมมมมบุญเรียง ขจรศิลป์ (2539, หน้า 106) Osgood มีแนวคิดวิธีหาความแตกต่างของ ความหมายทางภาษาของเคร?ืองวดั เจตคติจากคาํ (Words) ทRงั หลายท?ีใชก้ นั อยนู่ Rีมีความหมายที?นาํ มา อธิบายคาํ นRนั ๆ และความหมายของคาํ นRนั ๆ สามารถจาํ แนกออกเป็น 3 มิติ (มิติสามเสา้ ) มมมมมมมม1. มิติเป็นลกั ษณะของกิจวสิ ยั (Activity) ไดแ้ ก่คาํ วา่ วอ่ งไว เช?ืองชา้ ร่าเริง เซื?องซึม ฯลฯ มมมมมมมม2. มิติท?ีเป็ นลกั ษณะของพลงั (Potency) ไดแ้ ก่คาํ ว่า แข็งแกร่ง อ่อนแอ เมตตา ทารุณ ฯลฯ มมมมมมมม3. มิติท?ีเป็นลกั ษณะของคุณค่า (Evaluation) ไดแ้ ก่คาํ วา่ ดี เลว น่ารัก น่าชงั ฯลฯ เช่น เม?ือ เราใหค้ นใดคนหน?ึงใหค้ วามหมายของคาํ วา่ “แม่” อาจไดค้ วามหมายดงั นRี มมมมมมมม แม่คือผทู้ ีทาํ งานคล่อง : เป็นลกั ษณะทางกิจวสิ ยั มมมมมมมม แม่คือผทู้ ?ีมีความเมตตา : เป็นลกั ษณะทางดา้ นพลงั มมมมมมมม แม่คือผทู้ ?ีน่ารัก : เป็นลกั ษณะทางคุณค่า มมมมมมมม Osgood อาศยั วิธีการให้ความหมายคาํ ดงั กล่าวแลว้ นาํ มาสร้างเคร?ืองมือวดั เจตคติตาม ขRนั ตอนการสร้างดงั นRี มมมมมมมม1. กาํ หนดส?ิงท?ีจะทาํ การศึกษาเกี?ยวกบั เจตคติ เช่น ตาํ รวจ ทหาร คนจีน ประเทศ ฯลฯ มมมมมมมม2. หาคาํ อธิบายส?ิงที?ไดก้ าํ หนดแลว้ โดยให้กลุ่มบุคคลกลุ่มหน?ึง (ประมาณ 30 คน) ท?ีมี ลกั ษณะคลา้ ยกนั หรือเหมือกนั กบั กลุ่มตวั อยา่ ง เขียนคาํ ท?ีสัมพนั ธ์กบั สิ?งที?กาํ หนดให้ หรือเขียนเป็ น ประโยคอธิบายสิ?งที?กาํ หนดให้คือ การให้บุคคลนําคาํ หรือขอ้ ความหรือคาํ บรรยายมาต่อคาํ (สิ?งท?ี กาํ หนดให)้ นน?ั เอง เช่น มมมมมมมมตาํ รวจ ................................. หรือตาํ รวจเป็นคนท?ี .......................................... มมมมมมมมในการใหเ้ ติมคาํ หรือขอ้ ความนRนั จะใหเ้ วลาประมาณ คาํ ละ 1 นาที ถา้ จะใหเ้ ติม 15 คาํ ก็ ควรใหเ้ วลาไม่เกิน 15 นาที

63 มมมมมมมม3. นําคําตอบ (คําหรือข้อความ) ที?เติมมาวิเคราะห์หาดูคําตอบท?ีเป็ นคําคุณศัพท์ (Adjective) แลว้ ดึงคาํ คุณศพั ทข์ องแต่ละคนออกมาใหห้ มดเพื?อนาํ มานบั จาํ นวนความถ?ีของแต่ละคาํ มมมมมมมม4. จดั กลุ่มคาํ ท?ีเป็ นการแสดงออกของลกั ษณะท?ีเป็ นมิติต่าง ๆ ใน 3 มิติ (กิจวิสัย, พลงั , คุณค่า) แลว้ จดั เรียงลาํ ดบั คาํ คุณศพั ท์ในแต่ละมิติตามจาํ นวนความถี?จากมากไปหาน้อย คาํ ที?เป็ นคาํ ตรงกนั ขา้ มใหน้ าํ มารวมกนั เช่น น่ารัก น่าชงั แขง็ แรง อ่อนแอ เป็นตน้ มมมมมมมม5. นาํ คาํ คุณศพั ทใ์ นแต่ละมิติท?ีไดจ้ ดั เรียงลาํ ดบั แลว้ มาตามจาํ นวนท?ีตอ้ งการ (เอาคาํ ท?ีมี ความถ?ีมากที?สุดเรียงลงมาตามลาํ ดบั ) จาํ นวนคาํ ในแต่ละมิติไม่ควรเกินมิติละ 10 คาํ หรือนอ้ ยกวา่ นRีก็ มีประสิทธิภาพ มมมมมมมม6. เม?ือไดค้ าํ คุณศพั ท์ในแต่ละมิติแลว้ ต่อไปจดั คาํ คู่ของแต่ละคาํ คือ จดั คาํ ตรงกนั ขา้ ม แลว้ นาํ ไปเขียนเป็นสเกลวดั เจตคติ โดยจดั สเกลใหม้ ี 7 ช่อง ดงั ตวั อยา่ ง มมมมมมมมท่านมีความรู้สึกหรือความคิดเห็นอยา่ งไรต่อ “ครู” มมมมมมมมจน -3 -3 -1 0 1 2 3 รวย มมมมมมมมใจดี -3 -3 -1 0 1 2 3 ใจร้าย มมมมมมมมขRีบ่น -3 -3 -1 0 1 2 3 ไม่ขRีบ่น มมมมมมมมทนั สมยั -3 -3 -1 0 1 2 3 โบราณ มมมมมมมมขยนั -3 -3 -1 0 1 2 3 ขRีเกียจ มมมมมมมมเดด็ ขาด -3 -3 -1 0 1 2 3 หละหลวม มมมมมมมมการให้คะแนนจะเป็ น -3 -2 -1 0 1 2 3 หรือ 3 2 1 0 -1 -2 -3 ขRึนอยกู่ บั ลกั ษณะ การวางรูปแบบสเกลว่าใชค้ าํ แปลความไปในทางท?ีดีหรือไม่ดี การจดั สเกลควรใชว้ ิธีสุ่มไม่ควรจดั กลุ่มสเกลเป็ นมิติ มมมมมมมมส่วน ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ (2543, หนา้ 61) ไดก้ ล่าวว่าเครื?องมือการวดั เจต คติท?ีนิยมใชก้ นั มีอยู่ 5 ชนิด มมมมมมมม1. สัมภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์ หมายถึง การพูดคุยกันอย่างมีจุดหมาย ผู้ สมั ภาษณ์ท?ีดีตอ้ งฟังมากกวา่ พดู การสมั ภาษณ์ใชป้ ากเป็นเคร?ืองมือสาํ คญั ไดผ้ ลอยา่ งไรบนั ทึกไว้ การ วดั เจตคติโดยการสัมภาษณ์ตอ้ งสร้างคาํ ถาม และตอ้ งเป็ นคาํ ถามที?กระตุน้ ให้ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ตอบ ความรู้สึกและสามารถวดั เจตคติใหต้ รงเป้าหมายท?ีผสู้ ัมภาษณ์ตอ้ งการ การเตรียมคน เตรียมเครื?องมือ การวดั เป็ นส?ิงที?สําคญั และต้องคิดถึงระยะเวลา ลกั ษณะของผูถ้ ูกสัมภาษณ์ คาํ ถามต้องคลุมทRัง ทางบวกและทางลบ เม?ือสัมภาษณ์เสร็จแลว้ รวบรวมผลวิเคราะห์ว่าเขารู้สึกต่อเป้าเจตคติทางบวก หรือทางลบ มีความเขม้ ขน้ มากน้อยเพียงใด สรุปผลออกมาในรูปเชิงพรรณนาไดว้ ่าคนนRนั มีเจตคติ

64 อย่าไร การสัมภาษณ์มีทRังแบบมาตรฐานและแบบไม่มาตรฐาน ลกั ษณะการสัมภาษณ์ท?ีดีควรมี ลกั ษณะดงั นRี มมมมมมมม 1.1. การสัมภาษณ์ตอ้ งเป็นการกระตุน้ ใหผ้ ถู้ ูกสัมภาษณ์อยากจะตอบและใหค้ าํ ตอบท?ี คงท?ีพอสมควร คือถามใหผ้ ถู้ ูกสัมภาษณ์ตื?นตวั อยเู่ สมอ อยา่ ปล่อยใหห้ ลงผิด ผสู้ ัมภาษณ์จะตRงั คาํ ถาม ใหเ้ ป็นท?ีน่าสนใจแก่ผถู้ ูกสมั ภาษณ์ มมมมมมมม 1.2. คาํ ถามที?ถามพยายามถามให้ตรงจุดที?สุดหรือเป็ นคาํ ถามที?มีความแจ่มชดั ว่าผู้ สมั ภาษณ์ตอ้ งการใหค้ าํ ตอบในแง่ไหน ไม่ควรใชค้ าํ ถามกวา้ งไป อาจทาํ ใหส้ รุปไดย้ าก มมมมมมมม 1.3. คาํ ถามที?มีความเช?ือมั?นสูง แม้จะใช้คาํ ถามเดิมที?ถามซRําอีกก็ได้รับคาํ ตอบ เหมือนเดิม มมมมมมมม 1.4. คาํ ถามที?ใช้สัมภาษณ์ควรจะไดค้ าํ ตอบท?ีสามารถนาํ ไปขยายอิงสู่เหตุการณ์ที? คลา้ ยคลึงกนั มมมมมมมม2. การสังเกต (Observation) การสังเกต คือ การเฝ้ามองดูส?ิงหน?ึงสิ?งใดอยา่ งมีจุดหมาย เครื?องมือสาํ คญั ของการเฝ้าสงั เกตคือ ตาและหู ขอ้ รายการ (Checklist) ที?ใชใ้ นการสงั เกตควรเตรียมไว้ ให้พร้อม การสังเกตที?ดีต้องฝึ กจึงจะทาํ หน้าที?ได้อย่างสมบูรณ์ ผูส้ ังเกตควรจะเป็ นที?รับรู้และมี ประสาทตาดี มิฉะนRนั แลว้ จะทาํ ใหข้ อ้ มูลคลาดเคล?ือน มมมมมมมม3. การรายงานตนเอง (Self - Report) เครื?องมือแบบนRีต้องการให้ผูถ้ ูกสอบแสดง ความรู้สึกของตนเองต่อส?ิงเร้าท?ีเขาไดส้ ัมผสั นั?นคือสิ?งเร้าที?เป็ นขอ้ ความ ขอ้ คาํ ถาม หรือเป็ นภาพ เพื?อใหผ้ สู้ อบแสดงความรู้สึกออกมาอยา่ งตรงไปตรงมานRนั เอง แบบทดสอบหรือมาตราวดั ท?ีเช?ือถือวา่ เป็ นแบบมาตรฐาน (Standard Form) เป็ นแนวทางการสร้างของเทอร์สโตน (Thurstone) กูดแมน (Goodman) ลิเคอร์ท (Likert) และ ออสกดู (Osgood) มมมมมมมม4. เทคนิคการจินตนาการ (Projective Techniques) แบบนRีอาศยั สถานการณ์หลายอยา่ ง ไปเร้าผสู้ อบ สถานการณ์ท?ีกาํ หนดใหจ้ ะมีโครงสร้างที?แน่นอน ทาํ ใหผ้ สู้ อบตอ้ งมีจินตนาการออกมา ตามแต่ประสบการณ์เดิมของตน เช่น ประเภทให้เติมให้สมบูรณ์ ภาพนามธรรม ฯลฯ การแปล ความหมายอาศยั ผลจากการตอบกพ็ อจะรู้วา่ ผนู้ Rนั มีเจตคติอยา่ งไร มมมมมมมม5. การวดั ทางสรีระภาพ (Physiology Measurement) การวดั ดา้ นนRีอาศยั เครื?องมืออ?ืน ๆ มาช่วยในการสังเกตการเปล?ียนแปลงทางสภาพร่างกาย เช่น การใชเ้ ครื?องกลั วานอมิเตอร์ เพื?อวดั ดู ความตา้ นทานกระแสไฟฟ้าในผิวหนงั เม?ือคนเกิดการเปลี?ยนแปลงทางอารมณ์ส่วนผสมของสารเคมี ต่าง ๆ จะเกิดการเปลี?ยนแปลงไปจากสภาพปกติได้

65 มมมมมมมมจะเห็นไดว้ า่ เจตคติมีความสาํ คญั ต่อความสาํ เร็จในการเรียนภาษาต่างประเทศเป็นอยา่ ง ยง?ิ เน?ืองจากเจตคติเชิงบวกจะส่งผลใหผ้ เู้ รียนเกิดความสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนและการใช้ ภาษา ในขณะท?ีเจตคติเชิงลบจะทาํ ใหผ้ เู้ รียนเกิดความทอ้ ถอย และไม่ประสบผลสาํ เร็จในการเรียน มมมมมมมม5.4 เจตคตติ ่อการเรียนภาษาองั กฤษ มมมมมมมมJakobovits (1971, p.49) กล่าวว่า เจตคติต่อการเรียนภาษาต่างประเทศเป็ นความรู้สึก ชอบหรือไม่ชอบ หรือเป็นกลางต่อการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ มมมมมมมKrashen (1981, p. 23) กล่าวว่า เจตคติของผู้เรี ยนต่อชRันเรี ยน และครู ผู้สอนมี ความสัมพนั ธ์กบั การเรียนรู้ภาษาที?สอง กล่าวคือ ผูเ้ รียนที?มีความรู้สึกว่าการเรียนในชRนั เรียนมีความ สนุกสนานและมีความรู้สึกชอบผูส้ อน จะส่งผลให้ผูเ้ รียนใชค้ วามพยายามในการเรียนภาษานRนั มาก ยงิ? ขRึน และสรุปไดว้ า่ เจตคติเป็นองคป์ ระกอบท?ีมีความสมั พนั ธ์กบั การเรียนรู้ภาษาท?ีสอง ดงั นRี มมมมมมมม1. ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษา คือ เป็นองคป์ ระกอบในการกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนมีความตอ้ งการ ท?ีจะใชภ้ าษาติดต่อกบั เจา้ ของภาษาหรือยอมรับในการเรียนรู้ภาษานRนั มมมมมมมม2. ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนนาํ ภาษาไปใชป้ ระโยชน์ โดยที?ผูเ้ รียนจาํ เป็ นตอ้ งเขา้ ใจภาษาและ สามารถใชภ้ าษาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง มมมมมมมมปัญญา สมจิตต์ (2530, หนา้ 87-88 อา้ งใน รัตนา วาทะวฒั นะ, 2537, หนา้ 34) กล่าวว่า เจตคติต่อการเรียนภาษาองั กฤษ หมายถึง ท่าทีความคิดเห็น ความรู้สึกเอนเอียงทางจิตใจของนกั เรียน ท?ีมีต่อการเรียนภาษาองั กฤษ ซ?ึงอาจเป็นความรู้สึกในทางบวกโดยแสดงออกมาในลกั ษณะพอใจ ชอบ หรือ เห็นดว้ ย และทางลบโดยแสดงออกมาในลกั ษณะไม่พึงพอใจ ไม่ชอบ หรือไม่เห็นดว้ ย เป็นตน้ มมมมมมมมสรุปไดว้ า่ เจตคติต่อการเรียนภาษาองั กฤษ คือความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบของนกั เรียนที? มีต่อการเรียนภาษาองั กฤษ รวมถึงความคิดเห็นต่อกิจกรรม การเรียนการสอน และหากผสู้ อนมีการ จดั กิจกรรมการเรียนรู้ในการเรียนภาษาองั กฤษที?ดีจะช่วยผเู้ รียนมองเห็นประโยชน์ในการนาํ ไปใชใ้ น ชีวติ ประจาํ วนั เขา้ ใจและมองเห็นคุณค่าของภาษาองั กฤษมากยงิ? ขRึน มมมมมมมม5.5 งานวจิ ยั ทเีE กยีE วข้องกบั เจตคติ มมมมมมมมจินตนา เดชะประทุมวนั (2548) ไดท้ าํ การศึกษาผลของการสอนอ่านที?ยึดรูปแบบการ เรียนรู้ของนกั เรียนเพ?ือเพิ?มพนู ความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษและเจตคติต่อการอ่าน ของนกั เรียน ชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 6 โรงเรียนดาราวิทยาลยั อาํ เภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ ผลการวิจยั พบวา่ 1) ความ เขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียน สูงขRึนหลงั จากไดร้ ับการสอนอ่านที?ยดึ รูปแบบการเรียนรู้

66 ของนกั เรียน 2) เจตคติต่อการอ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนสูงขRึนหลงั จากไดร้ ับการสอนอ่านท?ียึด รูปแบบการเรียนรู้ของนกั เรียน มมมมมมมมพิมพ์สุดา เอี่ยมสกุล (2549) ได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิและเจตคติในการอ่านของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 1ที่เรียนโดยใช้กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน โรงเรียนบ้านแม่ลิด อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ผลการวิจัยพบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้กิจกรรมส่งเสริมการ อ่านมีผลสัมฤทธ์ิในการอ่านหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ.01 และ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีเรียนโดยใช้กิจกรรมส่งเสริมการอ่านมีเจตคติในการอ่านหลังเรียนสูง กว่ากอ่ นเรยี นอย่างม ีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ี่ระ ดับ.01 มมมมมมมมเฉลิมพงค์ ทาํ งาน (2552) ไดศ้ ึกษาผลการใชว้ ิธีสอนแบบโยนิโสมนสิการเพ?ือพฒั นา ความสามารถทางการพดู ภาษาองั กฤษ และส่งเสริมเจตคติเชิงบวกต่อการเรียนภาษาองั กฤษของ พระ นิสิต ชRนั ปี ที? 3 คณะมนุษยศาสตร์ วิชาเอกภาษาองั กฤษ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตเชียงใหม่ พบวา่ พระนิสิตท?ีไดร้ ับการสอนโดยวิธีสอนแบบโยนิโสมนสิการมีความสามารถ ในการพูดภาษาองั กฤษเพ?ิมขRึน และ พระนิสิตท?ีไดร้ ับการสอนโดยวิธีสอนแบบโยนิโสมนสิการมีเจต คติเชิงบวกต่อการเรียนภาษาองั กฤษเพ?ิมขRึน มมมมมมมมปณิ สา สอนสุวิทย์ (2552) ได้ศึกษาผลการใช้กิจกรรมพหุปัญญาเพ?ือส่งเสริ ม ความสามารถในการพูดนาํ เสนอเป็ นภาษาองั กฤษและเจตคติเชิงบวกของนกั เรียนระดบั กาํ ลงั พฒั นา นกั เรียนระดบั ชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 2 จาํ นวน 15 คน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ผลการวิจยั พบว่า ความสามารถในการพูดนาํ เสนอเป็ นภาษาองั กฤษของนักเรียนทRงั หมดผ่านเกณฑ์และอยู่ใน ระดบั ดีถึงดีมาก (ร้อยละ 85.55) หลงั จากการเรียนดว้ ยกิจกรรมพหุปัญญา และนกั เรียนมีเจตคติเชิง บวกต่อการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษเพิ?มขRึนหลงั จากการเรียนดว้ ยกิจกรรมพหุปัญญา มมมมมมมมจากงานวิจยั ที?ไดศ้ ึกษาเก?ียวกบั เจตคติทRงั หมดดงั กล่าวขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่าเจตคติของ ผูเ้ รียนท?ีมีต่อการเรียนมีผลต่อการประสบความสําเร็จในการเรียน ดงั นRันในการสอนภาษาองั กฤษ ผูส้ อนจึงควรคาํ นึงถึงการเพ?ิมพูนเจตคติเชิงบวกต่อการเรียนภาษาองั กฤษไปพร้อมๆ กบั เพ?ิมพูน ความสามารถทางภาษาองั กฤษ มมมมมมมมจะเห็นไดว้ า่ ผลการศึกษาเก?ียวกบั วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ในรายวิชาต่าง ๆ ให้ผลในเชิงบวกต่อการเรียนของนกั เรียน ทาํ ให้นกั เรียนมีความรู้สึกท?ีดีต่อการเรียนดว้ ย ผูศ้ ึกษาจึง สนใจท?ีจะศึกษาการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน โดยใชช้ ุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เพื?อฝึ กให้นักเรียนคิดเป็ นลาํ ดบั ขRนั ตอน ว่าสามารถช่วยพฒั นาทกั ษะการอ่านเพ?ือความ เขา้ ใจและการเขียนสรุปความของนักเรียน ทาํ ให้นักเรียนมีเจตคติที?ดีต่อการเรียน อ่าน และเขียน ภาษาองั กฤษไดด้ ีเพยี งใด

67 บทที$ 3 วธิ ีดาํ เนินการศึกษา ปปปปปปปปการศึกษาครRังนRี มีวตั ถุประสงคด์ งั นRี ปปปปปปปป1. เพ?ือสร้างชุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั และหาประสิทธิภาพ ของชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ปปปปปปปป2. เพ?ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียน สรุปความของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ก่อนเรียนและหลงั เรียนโดยใชช้ ุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอน แบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ท?ีสร้างขRึน ปปปปปปปป3. เพื?อศึกษาเจตคติของนกั เรียนที?มีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ปปปปปปปปโดยมีการดาํ เนินการศึกษาตามขRนั ตอนดงั ต่อไปนRี ปปปปปปปป1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ปปปปปปปป2. ตวั แปรท?ีศึกษา ปปปปปปปป3. รูปแบบการศึกษา ปปปปปปปป4. เคร?ืองมือที?ใชใ้ นการศึกษา ปปปปปปปป5. วธิ ีดาํ เนินการศึกษา ปปปปปปปป6. การสร้างและหาคุณภาพของเครื?องมือที?ใชใ้ นการศึกษา ปปปปปปปป7. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง ปปปปปปปป1.1 ประชากร เป็ นนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอแม่เมาะ จังหวดั ลาํ ปาง ท?ีเลือกเรียนสาระการเรียนรู้เพิ?มเติม รายวิชา ภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) ภาคเรียนที? 1 ปี การศึกษา 2553 จาํ นวน 4 หอ้ งเรียน รวมทRงั สิRน 143 คน ปปปปปปปป1.2 กลุ่มตวั อย่าง เป็ นนักเรียนชRันมธั ยมศึกษาปี ที? 1 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอ แม่เมาะ จังหวดั ลําปาง ที?เลือกเรียนสาระการเรียนรู้เพิ?มเติม รายวิชา ภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) ในภาคเรียนท?ี 1 ปี การศึกษา 2553 จาํ นวน 1 ห้องเรียน จาํ นวน 36 คน ซ?ึงไดม้ าโดยใชว้ ิธี เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยพิจารณาว่าเป็ นนักเรียนท?ีผูศ้ ึกษาทาํ การสอนและมีค่า

68 คะแนนเฉลี?ยจากการทดสอบก่อนเรียนอยรู่ ะดบั ปานกลาง ผูศ้ ึกษาจดั แบ่งนกั เรียนออกเป็ นกลุ่ม คือ กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง และกลุ่มอ่อน โดยมีวธิ ีการดงั นRี ปปปปปปปป 1.2.1 ทาํ การทดสอบนกั เรียนทRงั 36 คน โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ นการ อ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ก่อนเรียน (Pretest) ปปปปปปปป 1.2.2 นาํ คะแนนของนกั เรียนทRงั หมดมาจดั เรียงลาํ ดบั คะแนนสูงสุดไปหาต?าํ สุด ปปปปปปปป 1.2.3 แบ่งนกั เรียนออกเป็น 3 กลุ่ม ตามระดบั ความสามารถทางสติปัญญา กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง และ กลุ่มอ่อน โดยใชอ้ กั ษร A ถึง I เร?ิมตน้ ดว้ ยอกั ษร A ที?ชื?อผทู้ ?ีไดค้ ะแนนสูงสุดและ ไล่จนถึงอกั ษร I จากนRนั ไล่ลาํ ดบั กลบั อีกครRัง โดยเริ?มที? I – A สลบั ไปมาจนครบ 36 คน สามารถจดั ผูเ้ รียนเขา้ กลุ่มไดจ้ าํ นวน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเก่ง จาํ นวน 9 คน กลุ่มปานกลาง จาํ นวน 18 คน และ กลุ่ม อ่อน จาํ นวน 9 คน การศึกษาครRังนRีมีนกั เรียน 36 คน จดั ใหม้ ีกลุ่มยอ่ ยกลุ่มละ 4 คน จึงมี 9 กลุ่ม โดยมี วธิ ีการจดั กลุ่มดงั แสดงในตาราง 3 ตาราง 3 แสดงการจดั นกั เรียนเขา้ กลุ่มโดยพิจารณาผลคะแนนการทดสอบก่อนเรียน นกั เรียนกลุ่มเก่ง ABCDEF GHI นกั เรียนกลุ่มปานกลาง 123456789 นกั เรียนกลุ่มอ่อน 18 17 16 15 14 13 12 11 10 19 20 21 22 23 24 25 26 27 36 35 34 33 32 31 30 29 28 ปปปปปปปปจากตาราง 3 นาํ คะแนนที?ไดจ้ ากผลการทดสอบมาจดั เรียงคะแนนสูงสุดไปหาต?าํ สุด จดั กลุ่มนกั เรียนดาํ เนินการตามแนวคิดของ กาญจนา วฒั ายุ (2548, หนา้ 12 ) โดยคละความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อน คละกนั ดว้ ยสัดส่วน 1:2:1 จดั กลุ่มละ 4 คน ได้ 9 กลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบดว้ ย นกั เรียนท?ีมีระดบั ความสามารถสูง 1 คน นกั เรียนที?มีระดบั ความสามารถปานกลาง 2 คน นกั เรียนท?ี มีระดบั ความสามารถต?าํ 1 คน 2. ตวั แปรทศEี ึกษา ปปปปปปปป2. ตวั แปรท?ีจะศึกษา ปปปปปปปป 2.1 ตวั แปรอิสระ ไดแ้ ก่ การใชช้ ุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั

69 ปปปปปปปป 2.2 ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ปปปปปปปป 2.2.1 ผลสัมฤทธeิทางการเรียนของนักเรียนดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความ เขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ปปปปปปปป 2.2.2 เจตคติของนกั เรียน 3. รูปแบบการศึกษา ปปปปปปปปการศึกษาครRังนRีเป็ นการวิจยั เชิงทดลอง (Pre Experimental Research) แบบ One Group Pretest - Posttest Design โดยมีรูปแบบดงั ตาราง 4 ตาราง 4 รูปแบบการศึกษาแบบ One Group Pretest - Posttest Design สอบก่อนเรียน ทดลอง สอบหลงั เรียน T1 X T2 สญั ลกั ษณ์ท?ีใชใ้ นการศึกษา T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน X แทน การจดั การเรียนการสอนโดยใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั T2 แทน การทดสอบหลงั เรียน 4. เครEืองมือทใEี ช้ในการศึกษา ปปปปปปปปเครื?องมือที?ใชใ้ นการศึกษาครRังนRี ไดแ้ ก่ ชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลัส รายวิชา ภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน (อ 21202), แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธeิด้านการอ่าน ภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ, แบบทดสอบระหว่างเรียน ก่อนการเรียน (Pretest) และ หลงั การเรียน (Posttest) และ แบบวดั เจตคติของนกั เรียนมีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการ สอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ซ?ึงมีรายละเอียด ดงั นRี ปปปปปปปป1. ชุดการสอน รายวชิ า ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) ที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั จาํ นวน 15 ชุด คอบคลุมเนRือหา 3 หน่วยการเรียน ไดแ้ ก่ หน่วยการเรียนรู้ท?ี 1 มีจาํ นวน 6 ชุดไดแ้ ก่ กลยุทธ์ KWL Plus, My Family, My Idol, Sports, My Resolutions และ I Like Stories รวม 11 ช?ัวโมง หน่วยการเรียนรู้ที? 2 Food and Health มีจาํ นวน 4 ชุดๆ ละ 2 ชั?วโมง ไดแ้ ก่ The Apple Tree, How to Keep Foods, Health Habits และ How to Make Fried Rice รวม 8 ช?ัวโมง และหน่วย

70 การเรียนรู้ที? 3 Around Me มีจํานวน 5 ชุด ได้แก่ Kangaroos, The Life Cycle of a Mosquito, The Weather, How to Save Energy และ My Community รวม 11 ชั?วโมง รวมทRังสิRน 30 ชั?วโมง โดย เนRือหาที?ไดน้ าํ มาจาก หนงั สือ Exploring Reading &Writing ของชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 บทความ ข่าว เนRือหาที?น่าสนใจจากอินเตอร์เน็ต เรื?องราวที?ผศู้ ึกษาไดเ้ ขียนขRึนและเรื?องราวในทอ้ งถิ?น ซ?ึงเป็นเนRือหา ท?ีมีระดบั ความยากง่ายเหมาะสมกบั ผเู้ รียนในระดบั ชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ชุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ใชเ้ วลาสอนจาํ นวน 15 สัปดาห์ 30 ชว?ั โมง เป็ นชุดการสอนท?ีประกอบดว้ ย ขRนั ตอนโดยใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีขRนั ตอนดงั นRี ปปปปปปปปกจิ กรรมเตรียมความพร้อม ปปปปปปปป1. จดั กลุ่มนักเรียนโดยคละความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อน กลุ่มละ 4 คน โดย ดาํ เนินการตามแนวคิดของ กาญจนา วฒั ายุ (2548 , หน้า 12 ) จดั กลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่มประกอบ ดว้ ยสมาชิกท?ีมีความสามารถสูง ปานกลาง และต?าํ คละกนั ดว้ ยสดั ส่วน 1:2:1 ปปปปปปปป2. ชRีแจงจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ปปปปปปปป3. ชRีแจงกิจกรรมการเรียนรู้ และการเขียนบนั ทึกลงในตาราง KWL ปปปปปปปป4. ให้ความรู้พRืนฐานเกี?ยวกบั การอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุป ความ ปปปปปปปปในกิจกรรมเตรียมความพร้อมจะทาํ เพียงครRังแรกเท่านRนั คือหลงั จากท?ีทาํ การทดสอบ ก่อนเรียนแลว้ เนื?องจากกิจกรรมตามขRนั ตอนการสอนโดยใชว้ ิธีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั จะ เป็นกิจกรรมที?เหมือนกนั ทุกขRนั ตอน ปปปปปปปปขLนั นําเข้าสู่บทเรียน ปปปปปปปปขRนั นาํ เขา้ สู่บทเรียน ครูจดั กิจกรรมกระตุน้ ความสนใจของผเู้ รียนเพื?อเชื?อมโยงเขา้ สู่เรื?อง ท?ีจะอ่าน เช่น ใหด้ ูภาพที?สมั พนั ธ์กบั เรื?องที?อ่าน เกมทางทางศึกษา การใชค้ าํ ถามเพื?อเชื?อมโยงสู่เร?ืองท?ี จะอ่าน พร้อมทRงั แจกและอธิบายการดาํ เนินกิจกรรมตามใบความรู้และใบงาน ปปปปปปปปขLนั กจิ กรรมการอ่านมี 5 ขLนั ตอน ดงั นีL ปปปปปปปปขRันที? 1 กิจกรรมก่อนการอ่าน เรียกว่า ขRัน K (What you know) เป็ นขRันตรวจสอบ ประสบการณ์เดิมของผูเ้ รียน โดยจะมีการอภิปรายเก?ียวกบั ความรู้ หรือครูตRงั คาํ ถามเพื?อกระตุน้ ให้ นกั เรียนไดร้ ะดมสมอง (Brainstorms) เก?ียวกบั เร?ืองที?จะอ่าน หลงั จากนRนั ใหน้ กั เรียนเขียนคาํ ตอบของ นกั เรียนลงในแผนภูมิรูปภาพช่อง K (What we know) ปปปปปปปปขRนั ที? 2 กิจกรรมระหวา่ งการอ่าน เรียกวา่ ขRนั W (What you want to know) เป็นขRนั ตอน ที?นกั เรียนตRงั คาํ ถามที?ตอ้ งการจะรู้เก?ียวกบั เร?ืองท?ีจะอ่าน เพ?ือใหน้ กั เรียนรู้วา่ ตอ้ งการเรียนรู้อะไรซ?ึงจะ

71 ช่วยให้นักเรียนมีเป้าหมายในการอ่าน แลว้ บันทึกคาํ ถามลงในตารางช่อง W (What you want to know) ปปปปปปปป เน?ืองจากวิธีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั เป็ นวิธีสอนที?นกั เรียนไม่คุน้ เคย ดงั นRนั ผู้ ศึกษาจึงได้สร้างแบบฝึ กในขRนั ที? 1 ขRนั K และขRนั ท?ี 2 ขRนั W เพิ?มเติม เฉพาะในบทเรียนที? 1 My Family และ ท?ี 2 My Idol เป็ นแบบฝึ กแบบเช็คคาํ ตอบเพ?ือเป็ นแนวทางในการฝึ กการคิดให้นกั เรียน และครูควรกระตุน้ ให้นักเรียนไดค้ ิดเพ?ิมทRงั ในขRนั ที? 1 ขRนั K และขRนั ท?ี 2 ขRนั W แต่หลงั จากนRันใน บทเรียนต่อไปนกั เรียนจะตอ้ งฝึกคิดเอง ปปปปปปปปขRนั ท?ี 3 กิจกรรมหลงั การอ่าน เรียกว่า ขRนั L1 (What you have learned) เป็ นขRนั ตอนที? นักเรียนสํารวจตวั เองไดว้ ่าไดเ้ รียนรู้อะไรหลงั จากที?นักเรียนอ่านเร?ือง โดยนักเรียนหาคาํ ตอบจาก คาํ ถามท?ีตนเองตRงั ไวใ้ นช่อง W แลว้ จดบนั ทึกขอ้ มูลท?ีไดจ้ ากการอ่านมาตอบ นกั เรียนบนั ทึกความรู้ที? ไดล้ งในช่อง L (What you have learned) พร้อมทRงั จดบนั ทึกสิ?งท?ีตนเองไดเ้ รียนรู้เพิ?มเติมจากคาํ ถาม ปปปปปปปปขRนั ที? 4 ขRนั L2 การสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) เป็ นการเพิ?ม กิจกรรมการทาํ แผนภูมิบทอ่านเพ?ือใช้เป็ นแนวทางในการเขียนสรุปความหลงั การอ่าน ช่วยให้ นกั เรียนมีความเขา้ ใจในเร?ืองที?อ่านและสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไดม้ ากขRึน ในขRนั นRีนกั เรียนนาํ คาํ สําคญั หรือช?ือเรื?องวางไวต้ รงกลางของแผนภูมิหรือบนสุดของแผนภูมิ ขRึนอยกู่ บั แผนภูมิท?ีนกั เรียน ออกแบบใหเ้ หมาะสมกบั เร?ืองที?อ่าน แลว้ เรียงลาํ ดบั ขอ้ มูลหลกั และรองที?ไดจ้ ากเร?ืองที?อ่าน ปปปปปปปปขRนั ที? 5 ขRนั L3 การสรุปเรื?องจากการอ่าน (Summarizing) เป็ นขRนั ท?ีนักเรียนเขียนสรุป ความจากการอ่านโดยใช้แผนภูมิเป็ นแนวทางโดยคาํ นึงถึงความคงเดิมของเนRือเร?ืองในบทอ่านท?ี กาํ หนดให้ ใจความสําคญั ใจความสนับสนุนสําคญั ไม่มีการกล่าวซRําใช้คาํ พูดของนักเรียนเอง ตลอดจนโครงสร้างไวยากรณ์และเคร?ืองหมายที?ถูกตอ้ ง ปปปปปปปปหลงั จากนRันทาํ กิจกรรมการตรวจสอบความเขา้ ใจหรือการตอบคาํ ถามทา้ ยบทอ่าน เพื?อให้นกั เรียนไดเ้ ขา้ ใจบทอ่านไดช้ ดั เจนยง?ิ ขRึนเป็ นการวดั ระดบั ความเขา้ ใจ 3 ระดบั ต่อไปนRี ระดบั แปลความ จับใจความ และสรุปความ และมีการประเมินผลด้วยการตรวจใบงานและการทาํ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธeิของแต่ละหน่วยการเรียน ปปปปปปปป2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียน สรุปความ ก่อนการเรียน (Pretest) และ หลังการเรียน (Posttest) จาํ นวน 1 ฉบับ จาํ นวน 50 ข้อ คะแนนเตม็ 70 คะแนน แบ่งออกเป็น 2 ตอน ไดแ้ ก่ ปปปปปปปป ตอนที? 1 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจ เป็ น แบบทดสอบปรนัยแบบเลือกตอบ ชนิ ด 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ ตอบถูก ได้ 1 คะแนน ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน รวมคะแนนเตม็ 30 คะแนน

72 ปปปปปปปป ตอนที? 2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ นการเขียนสรุปความ เป็ นแบบทดสอบ ปรนัยแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตวั เลือก จาํ นวน 20 ขอ้ ตอบถูก ได้ 2 คะแนน ตอบผิด ได้ 0 คะแนน รวมคะแนนเตม็ 40 คะแนน ปปปปปปปป3. แบบทดสอบระหว่างเรียน ก่อนการเรียน (Pretest) และ หลงั การเรียน (Posttest) จาํ นวน 3 ฉบบั จาํ นวน 33 ขอ้ คะแนนเตม็ 90 คะแนน แบ่งออกเป็น 2 ตอน ไดแ้ ก่ ปปปปปปปป ตอนที? 1 แบบทดสอบระหว่างเรียนดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจ เป็ น แบบทดสอบปรนยั แบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตวั เลือก จาํ นวนหน่วยละ 10 ขอ้ ๆ ละ 1 คะแนน 3 หน่วย การเรียน รวมคะแนนเต็ม 30 คะแนน ตอบถูก ได้ 1 คะแนน ตอบผิด ได้ 0 คะแนน รวมคะแนนเต็ม 30 คะแนน ปปปปปปปป ตอนท?ี 2 แบบทดสอบระหวา่ งเรียนดา้ นการเขียนสรุปความ เป็ นแบบทดสอบแบบ อตั นยั โดยใหเ้ ขียนสรุปความจากเร?ืองที?อ่าน จาํ นวนหน่วยละ 1 ขอ้ ๆ ละ 20 คะแนน 3 หน่วยการเรียน รวมคะแนนเต็ม 60 คะแนน ใช้เกณฑ์การให้คะแนนการเขียนสรุปความของ Rinehart, S.D.stahl, S.A., & Erickson, L.G. (1986, pp.422-438) มีเกณฑ์การให้คะแนนดังนRี ด้านใจความสําคัญ (4 คะแนน). ดา้ นใจความสนบั สนุนสาํ คญั (4 คะแนน) การไม่กล่าวซRาํ (4 คะแนน) ดา้ นการแต่งประโยค ใหม่ (4 คะแนน)และ ดา้ นความถูกตอ้ งตามหลกั ภาษาและการใชเ้ ครื?องหมายวรรคตอน (4 คะแนน) รวม 20 คะแนน ปปปปปปปป4. แบบวดั เจตคติของนักเรียนมีต่อการเรียนโดยใช้ชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั จาํ นวน 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) ดา้ นบรรยากาศการเรียน 2) ดา้ นกิจกรรมการเรียนรู้ และ 3) ดา้ นเนRือหา จาํ นวน 1 ฉบบั 15 ขอ้ เป็ นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั คือ เห็นดว้ ยมากที?สุด = ใหร้ ะดบั 5 เห็นดว้ ยมาก =ใหร้ ะดบั 4 เห็นดว้ ยปานกลาง = ใหร้ ะดบั 3 เห็น ดว้ ยนอ้ ย = ใหร้ ะดบั 2 เห็นดว้ ยนอ้ ยท?ีสุด = ใหร้ ะดบั 1 5. วธิ ีดาํ เนินการศึกษา ปปปปปปปปผศู้ ึกษาไดด้ าํ เนินการตามลาํ ดบั ขRนั ตอน ดงั นRี ปปปปปปปป1. ผูศ้ ึกษาคดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ งโดยใชว้ ิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เป็ น นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง ที?เรียนสาระการ เรียนรู้เพ?ิมเติม รายวิชา ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) ภาคเรียนท?ี 1 ปี การศึกษา 2553 จาํ นวน 1 ห้องเรียน รวมทRงั สิRน 36 คน โดยพิจารณาว่าเป็ นนกั เรียนที?ผศู้ ึกษาทาํ การสอนและมีค่าคะแนนเฉล?ีย จากการทดสอบก่อนเรียนอยรู่ ะดบั ปานกลาง

73 ปปปปปปปป2. จดั ปฐมนิเทศนกั เรียนเพื?อเตรียมความพร้อมและให้ความรู้พRืนฐานดา้ นการอ่านและ การเรียนรู้ตามขRนั ตอนของวธิ ีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั บทบาทของนกั เรียน เป้าหมายของการ เรียน และวธิ ีประเมินผลของการทดลองในครRังนRี ปปปปปปปป3. ทาํ การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กบั กลุ่มตวั อยา่ งโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธeิ ด้านการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเข้าใจและการเขียนสรุปความ แล้วจัดนักเรียนเข้ากลุ่มคละ ความสามารถ ประกอบดว้ ยนกั เรียนเก่ง นกั เรียนปานกลางและนกั เรียนอ่อน ในอตั ราส่วน 1:2:1 นาํ คะแนนของนกั เรียนทRงั หมดมาจดั เรียงลาํ ดบั คะแนนสูงสุดไปหาต?าํ สุด โดยใชอ้ กั ษร A ถึง I เร?ิมตน้ ดว้ ยอกั ษร A ที?ชื?อผทู้ ?ีไดค้ ะแนนสูงสุดและไล่จนถึงอกั ษร I จากนRนั ไล่ลาํ ดบั กลบั อีกครRัง โดยเร?ิมท?ี I – A สลบั ไปมาจนครบ 36 คน สามารถจดั ผเู้ รียนเขา้ กลุ่มไดจ้ าํ นวน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเก่ง จาํ นวน 9 คน กลุ่มปานกลาง จาํ นวน 18 คน และ กลุ่มอ่อน จาํ นวน 9 คน นกั เรียนทRงั หมดมีจาํ นวน 36 คน จดั ใหม้ ี กลุ่มยอ่ ยกลุ่มละ 4 คน จึงมี 9 กลุ่ม ปปปปปปปป4. ดาํ เนินการสอนกับกลุ่มตวั อย่างด้วยตนเองตามชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั ที?กาํ หนดไว้ จาํ นวน 15 ชุด 3 หน่วยการเรียน รวมจาํ นวนชว?ั โมงสอน 30 ชวั? โมง ตRงั แต่วนั ที? 17 พฤษภาคม 2553 ถึงวนั ที? 23 สิงหาคม 2553 การสอนโดยใชว้ ิธีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีขRนั ตอนดงั นRี ปปปปปปปป 4.1 จดั กิจกรรมการเรียนการสอนตามชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั ตามแผนท?ีกาํ หนดไวแ้ ต่ละแผนมีการจดั กิจกรรมดงั ตาราง 5

74 ตาราง 5 แสดงการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนตามชุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั ชวั? โมงท?ี 1 ชว?ั โมงท?ี 2-29 ชวั? โมงที? 30 - ชRีแจงวธิ ีการเรียน - ทาํ การทดสอบประจาํ หน่วย - ให้นักเรียนทําแบบทดสอบ - ทาํ แบบทดสอบก่อนเรียน แต่ละหน่วยก่อนเรียน หลงั เรียน - จดั กลุ่ม - กิจกรรมเตรียมความพร้อม - ดําเนินการสอนตามชุดการ - ใหน้ กั เรียนทาํ แบบวดั เจตคติ ส อ น ท?ี ใช้วิธี ส อ น แ บ บ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั - ทาํ การทดสอบประจาํ หน่วย แต่ละหน่วยหลงั เรียน ปปปปปปปป 4.2 ทาํ การวดั และประเมินผล ทุกชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีการประเมินโดยการตรวจผลงาน และให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั แก่นกั เรียน ครูและนกั เรียนร่วมกนั ประเมินผลตามกิจกรรมและเกณฑ์การวดั ประเมินผลท?ีวางไว้ ทRงั การประเมินการเขียนสรุปความ การประเมินการอ่านเพื?อความเขา้ ใจและประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ปปปปปปปป 4.3 ดาํ เนินกิจกรรมแต่ละชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไป ตามลําดับ และประเมินการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) ประจําหน่วย และ ทดสอบหลังเรียน (Posttest) ประจาํ หน่วย จาํ นวน 3 หน่วยการเรียน จาํ นวน 15 ชุด ปปปปปปปป 4.4 หลังจากการดาํ เนินการสอนครบ 3 หน่วยการเรียนแล้ว ให้นักเรียนทาํ การ ทดสอบหลงั การทดลอง (Posttest) ดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความ เขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ชุดเดิมท?ีใช้ก่อนการทดลอง และตอบแบบสอบถามความคิดเห็น เก?ียวกบั แบบวดั เจตคติของนกั เรียนที?มีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ปปปปปปปปึ 4.5 นําผลที?ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติเพ?ือทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาํ เร็จรูป ขRนั ตอนการดาํ เนินการศึกษาดงั ปรากฏในแผนภูมิ 1 ดงั นRี

75 แผนภูมิ 1 ขRนั ตอนการดาํ เนินการทดลอง คดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ ง เป็นนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 โรงเรียนแม่เมาะวทิ ยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง ท?ีเรียนสาระการเรียนรู้เพ?ิมเติมรายวชิ า อ 21202 ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน จาํ นวน 36 คน จดั ปฐมนิเทศนกั เรียนเพ?ือเตรียมความพร้อมและใหค้ วามรู้พRืนฐาน ดา้ นการอ่านและการเรียนรู้ตามขRนั ตอนของวธิ ีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กบั กลุ่มตวั อยา่ งโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธeิ ดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ดาํ เนินการสอนกบั กลุ่มตวั อยา่ งดว้ ยตนเองตามชุดการสอน ที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีการทดสอบ Pretest และ Posttest แต่ละหน่วยการเรียน ทดสอบหลงั การทดลอง (Posttest) โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธeิดา้ นการอ่าน ภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ และแบบวดั เจตคติของนกั เรียน ที?มีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั นาํ ผลที?ไดม้ าวเิ คราะห์ดว้ ยวธิ ีการทางสถิติเพื?อทดสอบสมมติฐาน

76 6. การสร้างและหาคุณภาพของเครEืองมือทใีE ช้ในการศึกษา ปปปปปปปปในการศึกษาครRังนRี ผศู้ ึกษาไดด้ าํ เนินการสร้างเคร?ืองมือเพ?ือใชใ้ นการศึกษา และใชเ้ ก็บ ขอ้ มูลตามลาํ ดบั ดงั นRี ปปปปปปปป6. 1. การสร้างชุดการสอนที?ใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เพื?อใช้ประกอบ กิจกรรมการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ?ิมเติม รายวิชา ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) จาํ นวน ทRงั หมด 3 หน่วยการเรียน จาํ นวน 15 ชุด รวม 30 ชวั? โมง ประกอบดว้ ยขRนั ตอนดงั ต่อไปนRี ปปปปปปปป 6.1.1 ขRนั ตอนที? 1 สร้างชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สาระ การเรียนรู้เพิ?มเติม รายวิชา ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) โดยใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั จาํ นวนทRงั หมด 3 หน่วยการเรียน จาํ นวน 15 ชุด ปปปปปปปป 1) ศึกษารายละเอียดของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 การจดั สาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนแม่เมาะวิทยา สาระการเรียนรู้ทRงั 4 สาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ศึกษาตวั ชRีวดั และสาระการเรียนรู้ ท?ีเก?ียวขอ้ งกบั การอ่านและการเขียน ปปปปปปปป 2) กาํ หนดคาํ อธิบายรายวิชาและผลการเรียนรู้ โดยมีอธิบายรายวิชาและผลการ เรียนรู้ ดงั นRี ปปปปปปปป คาํ อธิบายรายวชิ า ปปปปปปปป อ่านนิทานถูกตอ้ งตามหลกั การอ่าน การออกเสียงพยญั ชนะตน้ คาํ และพยญั ชนะทา้ ย คาํ สระเสียงสRัน สระเสียงยาว สระประสม การออกเสียงเน้นหนัก-เบา ในคาํ และกลุ่มคาํ การออก เสียงตามระดบั เสียงสูง-ต?าํ ในประโยค การออกเสียงเช?ือมโยงในขอ้ ความ การแบ่งวรรคตอนในการ อ่านและถูกตอ้ งตามสถานการณ์ ระบุหัวขอ้ เรื?อง ใจความสําคญั และรายละเอียดจากการอ่านเร?ือง เกี?ยวกบั บุคคล วฒั นธรรมและสุขภาพ เขียนแสดงความคิดเห็นของตนเองเก?ียวกบั เร?ืองต่าง ๆ ใกลต้ วั กิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทRังให้เหตุผลสRันๆ ประกอบอย่างเหมาะสม เขียนบรรยายเก?ียวกับตนเอง ประสบการณ์ และส?ิงแวดลอ้ มใกลต้ วั เขียนสรุปความท?ีไดจ้ ากการวเิ คราะห์เร?ือง/เหตุการณ์ท?ีเกี?ยวกบั ตวั เอง บุคคลและวฒั นธรรม เพ?ือให้มีทกั ษะการอ่านออกเสียง การอ่านจบั ใจความสาํ คญั การแสดง ความคิดเห็น การเขียนบรรยาย การเขียนสรุปความ การคิดวิเคราะห์ และการนาํ เสนอโดยมีความ มั?นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ มีประสิทธิภาพในการส?ือความ มีสุนทรียภาพทางภาษา ชอบใช้ ภาษาองั กฤษเป็นเครื?องมือการเรียนรู้วชิ าอื?น มีวนิ ยั ใฝ่ เรียนรู้และ มุ่งมน?ั ในการทาํ งาน ปปปปปปปป ผลการเรียนรู้ ปปปปปปปป 1. อ่านออกเสียงนิทาน ถูกตอ้ งตามหลกั การอ่านและสถานการณ์ (ต 1.1 ม.1/2)

77 ปปปปปปปป 2. ระบุหัวขอ้ เร?ือง (topic) ใจความสาํ คญั (main idea) และรายละเอียดจากการอ่าน ได้ (ต 1.1 ม.1/4) ปปปปปปปป 3. เขียนแสดงความคิดเห็นของตนเองเกี?ยวกบั เร?ืองต่าง ๆ ใกลต้ วั กิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทRงั ใหเ้ หตุผลสRนั ๆ ประกอบอยา่ งเหมาะสม (ต 1.3 ม.1/3) ปปปปปปปป 4. เขียนบรรยายเกี?ยวกับตนเอง ประสบการณ์ และสิ?งแวดล้อมใกล้ตัว (ต 1.3 ม.1/1) ปปปปปปปป 5. เขียน สรุปความท?ีไดจ้ ากการวิเคราะห์เรื?อง/เหตุการณ์ที?อยู่ในความสนใจของ สงั คม (ต 1.3 ม.1/2) ปปปปปปปป 3) ศึกษาเนRือหาภาษาองั กฤษในหนังสือเรียนและคู่มือครู ตามหลกั สูตรแกนกลาง การศึกษาขRนั พRืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) และ เอกสาร ตาํ ราต่าง ๆ ท?ีมีเนRือหาสอดคลอ้ งกบั บทเรียนและกาํ หนดเนRือหาเพื?อนํามาสร้างแผนการ จัดการเรี ยน รู้ การอ่ าน ภ าษ าอังกฤษ เพื? อความ เข้าใจและการเขี ยน ส รุ ป ความ ด้วยวิธี ส อน แบ บ เค ดับเบิลยู แอล พลัส โดยเนRือหาที?ได้นํามาจาก หนังสือ Exploring Reading &Writing ของชRัน มธั ยมศึกษาปี ที? 1 เนRือหาที?น่าสนใจจากอินเตอร์เน็ต เช่น นิทาน บทความ ข่าว เรื?องราวท?ีผูศ้ ึกษาได้ เขียนขRึนและเร?ืองราวในทอ้ งถิ?น เช่น เรื?องราวเก?ียวกบั อาํ เภอแม่เมาะ ซ?ึงเป็นเนRือหาท?ีมีระดบั ความยาก ง่ายเหมาะสมกบั ผเู้ รียนในระดบั ชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 มีรายละเอียดดงั ตาราง 6

78 ตาราง 6 รายละเอียดชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สาระการเรียนรู้เพิ?มเติม รายวชิ า ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) หน่วยทีE ชุดการสอนที จาํ นวนคาบ เรEือง 1 1 1 ปฐมนิเทศ 2 2 My Family In My Life 3 2 My Idol 4 2 Sports 2 5 2 My Resolutions Food and Health 6 2 I Like Stories 7 2 The Apple Tree 3 8 2 How to Keep Foods Around me 9 2 How to Make Fried Rice 10 2 Health Habits 11 2 Kangaroos 12 2 The Life Cycle of a Mosquito 13 2 The Weather 14 2 How to Save Energy 15 3 My Community ปปปปปปปป 4) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารเกี?ยวกบั ทกั ษะการอ่านเพ?ือความเขา้ ใจ การเขียน สรุปความ การจดั การเรียนรู้ดว้ ยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล ผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) และงานวจิ ยั ท?ีเก?ียวขอ้ ง ปปปปปปปปโดยสรุปการสอนโดยใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีขRนั ตอนดงั นRี ปปปปปปปปกจิ กรรมเตรียมความพร้อม ปปปปปปปป1. จดั กลุ่มนักเรียนโดยคละความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อน กลุ่มละ 4 คน โดย ดาํ เนินการตามแนวคิดของ กาญจนา วฒั ายุ (2548 , หน้า 12 ) จดั กลุ่มละ 4 คน แต่ละกลุ่มประกอบ ดว้ ยสมาชิกท?ีมีความสามารถสูง ปานกลาง และต?าํ คละกนั ดว้ ยสดั ส่วน 1:2:1 ปปปปปปปป2. ชRีแจงจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ปปปปปปปป3. ชRีแจงกิจกรรมการเรียนรู้ และการเขียนบนั ทึกลงในตาราง KWL

79 ปปปปปปปป4. ให้ความรู้พRืนฐานเกี?ยวกบั การอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุป ความ ปปปปปปปปขLนั นําเข้าสู่บทเรียน ปปปปปปปปขRนั นาํ เขา้ สู่บทเรียน ครูจดั กิจกรรมกระตุน้ ความสนใจของผเู้ รียนเพ?ือเชื?อมโยงเขา้ สู่เรื?อง ที?จะอ่าน เช่น ใหด้ ูภาพท?ีสมั พนั ธ์กบั เรื?องท?ีอ่าน เกมทางทางศึกษา การใชค้ าํ ถามเพ?ือเช?ือมโยงสู่เรื?องท?ี จะอ่าน พร้อมทRงั แจกและอธิบายการดาํ เนินกิจกรรมตามใบความรู้และใบงาน ปปปปปปปปขLนั กจิ กรรมการอ่านมี 5 ขLนั ตอน ดงั นีL ปปปปปปปปขRันท?ี 1 กิจกรรมก่อนการอ่าน เรียกว่า ขRัน K (What you know) เป็ นขRันตรวจสอบ ประสบการณ์เดิมของผูเ้ รียน โดยจะมีการอภิปรายเกี?ยวกบั ความรู้ หรือครูตRงั คาํ ถามเพื?อกระตุน้ ให้ นกั เรียนไดร้ ะดมสมอง (Brainstorms) เก?ียวกบั เรื?องที?จะอ่าน หลงั จากนRนั ใหน้ กั เรียนเขียนคาํ ตอบของ นกั เรียนลงในแผนภูมิรูปภาพช่อง K (What we know) ปปปปปปปปขRนั ท?ี 2 กิจกรรมระหวา่ งการอ่าน เรียกวา่ ขRนั W (What you want to know) เป็นขRนั ตอน ท?ีนกั เรียนตRงั คาํ ถามที?ตอ้ งการจะรู้เกี?ยวกบั เรื?องที?จะอ่าน เพ?ือใหน้ กั เรียนรู้วา่ ตอ้ งการเรียนรู้อะไรซ?ึงจะ ช่วยให้นักเรียนมีเป้าหมายในการอ่าน แลว้ บันทึกคาํ ถามลงในตารางช่อง W (What you want to know) ปปปปปปปป เน?ืองจากวิธีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั เป็ นวิธีสอนท?ีนกั เรียนไม่คุน้ เคย ดงั นRนั ผู้ ศึกษาจึงได้สร้างแบบฝึ กในขRนั ที? 1 ขRนั K และขRนั ท?ี 2 ขRนั W เพิ?มเติม เฉพาะในบทเรียนท?ี 1 My Family และ ท?ี 2 My Idol เป็ นแบบฝึ กแบบเช็คคาํ ตอบเพ?ือเป็ นแนวทางในการฝึ กการคิดให้นกั เรียน และครูควรกระตุน้ ให้นักเรียนไดค้ ิดเพ?ิมทRงั ในขRนั ท?ี 1 ขRนั K และขRนั ท?ี 2 ขRนั W แต่หลงั จากนRันใน บทเรียนต่อไปนกั เรียนจะตอ้ งฝึกคิดเอง ปปปปปปปปขRนั ที? 3 กิจกรรมหลงั การอ่าน เรียกว่า ขRนั L1 (What you have learned) เป็ นขRนั ตอนที? นักเรียนสํารวจตวั เองไดว้ ่าไดเ้ รียนรู้อะไรหลงั จากที?นักเรียนอ่านเร?ือง โดยนักเรียนหาคาํ ตอบจาก คาํ ถามที?ตนเองตRงั ไวใ้ นช่อง W แลว้ จดบนั ทึกขอ้ มูลที?ไดจ้ ากการอ่านมาตอบ นกั เรียนบนั ทึกความรู้ท?ี ไดล้ งในช่อง L (What you have learned) พร้อมทRงั จดบนั ทึกส?ิงท?ีตนเองไดเ้ รียนรู้เพ?ิมเติมจากคาํ ถาม ปปปปปปปปขRนั ท?ี 4 ขRนั L2 การสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) เป็ นการเพิ?ม กิจกรรมการทาํ แผนภูมิบทอ่านเพ?ือใช้เป็ นแนวทางในการเขียนสรุปความหลงั การอ่าน ช่วยให้ นกั เรียนมีความเขา้ ใจในเร?ืองที?อ่านและสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไดม้ ากขRึน ในขRนั นRีนกั เรียนนาํ คาํ สําคญั หรือชื?อเร?ืองวางไวต้ รงกลางของแผนภูมิหรือบนสุดของแผนภูมิ ขRึนอยกู่ บั แผนภูมิท?ีนกั เรียน ออกแบบใหเ้ หมาะสมกบั เร?ืองที?อ่าน แลว้ เรียงลาํ ดบั ขอ้ มูลหลกั และรองที?ไดจ้ ากเร?ืองท?ีอ่าน

80 ปปปปปปปปขRนั ที? 5 ขRนั L3 การสรุปเรื?องจากการอ่าน (Summarizing) เป็ นขRนั ที?นักเรียนเขียนสรุป ความจากการอ่านโดยใช้แผนภูมิเป็ นแนวทางโดยคาํ นึงถึงความคงเดิมของเนRือเรื?องในบทอ่านที? กาํ หนดให้ ใจความสําคญั ใจความสนับสนุนสําคญั ไม่มีการกล่าวซRําใช้คาํ พูดของนักเรียนเอง ตลอดจนโครงสร้างไวยากรณ์และเครื?องหมายท?ีถูกตอ้ ง ปปปปปปปปการวดั และประเมินผล ใหน้ กั เรียนทาํ แบบทดสอบหลงั เรียน ตรวจผลงาน และใหข้ อ้ มูล ยอ้ นกลบั แก่นกั เรียน โดยครูและนกั เรียนร่วมกนั ประเมินผล ปปปปปปปป 5) จัดทําชุดการสอนที?ใช้วิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลัส สาระการเรียนรู้ เพ?ิมเติม รายวิชา ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) ไดช้ ุดการสอน จาํ นวน 3 หน่วยการเรียน 15 ชุด ระยะเวลา 30 ชวั? โมง ปปปปปปปป 6) นาํ ชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไปให้ผเู้ ชี?ยวชาญ 5 ท่าน (ดงั รายนามปรากฏในผนวก ก หนา้ 139) เพ?ือตรวจสอบความถูกตอ้ งดา้ นภาษา ดา้ นเนRือหา และ การ วดั ผล การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื?องมือ (Index of Item Objective Congruence: IOC) กาํ หนดคะแนนการพิจารณา ดงั นRี +1 แน่ใจวา่ เนRือหานRนั สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ 0 ไม่แน่ใจวา่ เนRือหานRนั สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ -1 แน่ใจวา่ เนRือหานRนั ไม่สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ ปปปปปปปป ผลการตรวจสอบค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไดค้ ่า IOC เท่ากบั 1.00 ทุกรายการ ดงั ปรากฏอยใู่ นผนวก จ หนา้ 164-172 ปปปปปปปป 7) นําข้อคาํ ถามที?ผ่านการหาค่า IOC แล้วมาสร้างแบบสอบถามเพ?ือประเมิน คุณภาพของชุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ประกอบดว้ ย ผลการเรียนรู้ เนRือหา ของบทเรียน การดาํ เนินการสอนตามขRนั ตอน แบบทดสอบ และ การประเมินผล ในการประเมิน คุณภาพของชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ใชแ้ บบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั ( rating scale ) ตามแบบวธิ ีการของลิเคิร์ท ( Likert ) ดงั นRี มมมมมมม คะแนน 5 หมายถึง มีคุณภาพระดบั มากท?ีสุด มมมมมมม คะแนน 4 หมายถึง มีคุณภาพระดบั มาก มมมมมมม คะแนน 3 หมายถึง มีคุณภาพระดบั ปานกลาง มมมมมมม คะแนน 2 หมายถึง มีคุณภาพระดบั นอ้ ย มมมมมมม คะแนน 1 หมายถึง มีคุณภาพระดบั นอ้ ยท?ีสุด

81 ปปปปปปปป เกณฑใ์ นการแปลความหมายของขอ้ มูล ผศู้ ึกษาใชเ้ กณฑข์ อง ประคอง กรรณสูตร (2538, หนา้ 117 ) ดงั ต่อไปนRี มมมมมมม 4.50-5.00 หมายถึง มากท?ีสุด มมมมมมม 3.50-4.49 หมายถึง มาก มมมมมมม 2.50-3.49 หมายถึง ปานกลาง มมมมมมม 1.50-2.49 หมายถึง นอ้ ย มมมมมมม 1.00-1.49 หมายถึง นอ้ ยที?สุด ปปปปปปปป การกาํ หนดเกณฑก์ ารผา่ นประเมินอยทู่ ี?ค่าเฉล?ีย 2.50-5.00 ผลการประเมินคุณภาพชุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิล ยู แอล พลสั โดยภาพรวมมีคุณภาพ อยู่ในระดับมาก ( X =4.45 ) และคุณภาพในรายข้อคําถามมีค่าคะแนนเฉลี?ยตRังแต่ 4.07-5.00 (รายละเอียด ผนวก จ หนา้ 173-175 ) ปปปปปปปป 8) ปรับปรุงชุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ตามคาํ แนะนาํ ของ ผูเ้ ชี?ยวชาญ โดยผูเ้ ช?ียวชาญให้คาํ แนะนาํ ว่า ควรปรับเปล?ียนภาษา รูปประโยคให้ถูกตอ้ ง และมีความ กระชบั มากขRึน ควรเขียนแหล่งท?ีมาของขอ้ ความลงในใบความรู้ เพ?ิมแบบฝึกเพื?อใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้ ตามขRนั ตอนท?ี 1 ขRนั K และ ขRนั W ใหน้ กั เรียนไดเ้ ขา้ ใจขRนั ตอนยงิ? ขRึนโดยเฉพาะในเรื?องแรก และควร เพิ?ม Word Bank ใหน้ กั เรียนเพื?ออธิบายความหมายของคาํ ศพั ทย์ าก ปปปปปปปป 9) นาํ ชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไปทดลองใช้เพื?อหา ประสิทธิภาพ โดยมีขRนั ตอนการปฏิบตั ิดงั นRี มมมมมมม 9.1 ด้านเนRือหา ผูศ้ ึกษาได้นําชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ใหผ้ เู้ ช?ียวชาญ จาํ นวน 5 ท่าน ประเมินประสิทธิภาพของชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิล ยู แอล พลสั โดยมีหัวขอ้ ประเมินคือ ผลการเรียนรู้ เนRือหาของบทเรียน การดาํ เนินการสอนตาม ขRนั ตอน แบบทดสอบ และ การประเมินผล ผเู้ ชี?ยวชาญ 5 ท่าน มีความเห็นวา่ เนRือหาของบทเรียน การ ดาํ เนินการสอนตามขRนั ตอน แบบทดสอบ และการประเมินผลมีความเหมาะสมมากท?ีสุด ส่วนดา้ นผล การเรียนรู้มีความเหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก เมื?อวิเคราะห์ขอ้ มูลเพ?ือหาประสิทธิภาพของ ชุดการสอน ท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั โดยรวมแลว้ ปรากฏว่ามีประสิทธิภาพอยใู่ นระดบั มากที?สุด ซ?ึงสรุปไดว้ า่ ชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีความเหมาะสมทุกดา้ น (ดงั ผลการ วเิ คราะห์ในผนวก จ หนา้ 167-173) มมมมมมม 9.2 การทดสอบแบบหน?ึงต่อหน?ึง (one-to-one-testing) โดยนาํ ชุดการสอนท?ีใช้ วธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไปทดลองกบั นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 โรงเรียนแม่เมาะวทิ ยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง ภาคเรียนท?ี 2 ปี การศึกษา 2552 ซ?ึงไม่ใช่กลุ่มตวั อยา่ ง จาํ นวน 3 คน เพ?ือ

82 หาขอ้ บกพร่องของชุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไดค้ ่าประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากบั 69.08/73.33 (ดงั ผนวก จ หนา้ 176) มมมมมมม 9.3 การทดสอบแบบกลุ่มเล็ก (small group testing) นาํ ชุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอน แบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ที?ปรับปรุงแกไ้ ข จาํ นวน 3 หน่วยการเรียน 15 แผน 30 ชวั? โมง ไปทดลอง ใชก้ บั นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 โรงเรียนแม่เมาะวทิ ยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง ในภาคเรียนท?ี 2 ปี การศึกษา 2552 ซ?ึงเป็นนกั เรียนที?มีระดบั ความรู้ความสามารถ อ่อน ปานกลางและ เก่ง มีจาํ นวน 9 คน ไดค้ ่าประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากบั 81.11/81.90 แลว้ นาํ ชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไปปรับปรุงแกไ้ ขให้มีความสมบูรณ์มากท?ีสุดก่อนนําไปใช้จริง จากการสังเกตในการ ทดลองในขRนั ตอนนRี พบวา่ นกั เรียนสามารถทาํ ความเขา้ ใจกบั เนRือเรื?องและปฏิบตั ิกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่นกั เรียนกลุ่มอ่อนยงั ทาํ กิจกรรมไม่เสร็จในช่วงเวลา ตอ้ งใชเ้ วลาในการทาํ กิจกรรมมากกว่ากลุ่ม เก่งและปานกลาง จึงไดป้ รับปรุงชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั อีกครRัง ดงั นRี บอกความหมายของคาํ ศพั ทย์ ากให้กบั นกั เรียนในใบความรู้ ปรับปรุงเร?ืองการพิมพ์ การเวน้ ช่วงห่าง ของบรรทดั ให้ดูสวยงามชดั เจน ปรับปรุงรูปแบบของใบงานและใบความรู้ให้ดูน่าสนใจมากขRึนและ ความถูกตอ้ งของการพิมพ์ มมมมมมม 9.4 การทดสอบภาคสนาม (field testing) นําชุดการสอนไปหาประสิทธิภาพ พบวา่ ชุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีค่าประสิทธิภาพเท่ากบั 83.01/82.82 ซ?ึง เป็นไปตามเกณฑท์ ี?กาํ หนดไวค้ ือ 80/80 ปปปปปปปป 10) นาํ ชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไปใชเ้ ป็ นเครื?องมือใน การทดลอง โดยทาํ การทดลองตRงั แต่วนั ท?ี 17 พฤษภาคม 2553 ถึง วนั ที? 23 สิงหาคม 2553 ปปปปปปขRนั ตอนการสร้างชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ดงั ปรากฏในแผนภูมิ 2 ดงั นRี

83 แผนภูมิ 2 ขRนั ตอนการสร้างชุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ศึกษารายละเอียดของหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนแม่เมาะวทิ ยา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มธั ยมศึกษาปี ที? 1 วเิ คราะห์และกาํ หนดเนRือหาเพ?ือนาํ มาสร้าง ชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สร้างชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั นาํ ชุดการสอนใหผ้ เู้ ชี?ยวชาญ 5 ท่านเพื?อตรวจสอบความถูกตอ้ งดา้ นภาษา เนRือหา และการ วดั ผล และประเมินประสิทธิภาพของชุดการสอน ไดค้ ่าดชั นี IOC เท่ากบั 1.00 ทุกรายการ ปรับปรุงแกไ้ ขชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไปใชเ้ ป็นเคร?ืองมือในการศึกษา z นาํ ชุดการสอนไปหาประสิทธิภาพดา้ นเนRือหา พบวา่ มีความเหมาะสมในระดบั มากที?สุดและ ในขRนั one-to-one-testing กบั นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 ภาคเรียนที? 2 ปี การศึกษา 2552 ไดค้ ่า (E1/E2) เท่ากบั 69.08/73.33 นาํ ชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไปหาประสิทธิภาพ ในขRนั small group testing กบั field testingนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 ภาคเรียนที? 2 ปี การศึกษา 2552 small group testing ไดค้ ่า (E1/E2) เท่ากบั 81.11/81.90 และ field testing ไดค้ ่า (E1/E2) เท่ากบั 83.01/82.82 นาํ ชุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไปใชเ้ ป็นเครื?องมือในการวจิ ยั ทดลอง กบั นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 ที?เป็นกลุ่มตวั อยา่ งในปี การศึกษา 2553

84 ปปปปปปถใ6.2 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธTิด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพEือความเข้าใจและ การเขยี นสรุปความ ปปปปปปถใแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุป ความ ก่อนเรียน (Pretest) และหลงั เรียน (Posttest) เป็ นแบบทดสอบฉบบั เดียวกนั แบ่งเป็ น 2 ตอน ไดแ้ ก่ ตอนท?ี 1 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจ เป็นแบบทดสอบ ปรนัยแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตวั เลือก จาํ นวน 30 ขอ้ ตอบถูก ได้ 1 คะแนน ตอบผิด ได้ 0 คะแนน รวมคะแนนเต็ม 30 คะแนน ตอนที? 2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิด้านการเขียนสรุปความ เป็ น แบบทดสอบปรนยั แบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตวั เลือก จาํ นวน 20 ขอ้ ตอบถูก ได้ 2 คะแนน ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน รวมคะแนนเตม็ 40 คะแนน โดยมีขRนั ตอนการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่าน ภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความดงั ต่อไปนRี 6.2.1 ศึกษาหลกั การและวิธีการสร้างแบบทดสอบแบบปรนยั จากเอกสารและงานวิจยั ท?ี เกี?ยวขอ้ ง 6.2.2 วิเคราะห์เนRือหาและผลการเรียนรู้ในแต่ละชุดการเรียนเพื?อนําข้อมูลมาสร้าง แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ปปปปปปถ 6.2.3 ศึกษาหลกั สูตรสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 เนRือหาตาม ตารางกาํ หนดขอบข่ายเนRือหา แผนการจัดการเรียนรู้ ศึกษาทฤษฎี หลักการเขียนและการสร้าง แบบทดสอบปรนยั และอตั นยั ปปปปปปถ 6.2.4 กาํ หนดจุดประสงคก์ ารสอบ ซ?ึงแบ่งเป็น 2 ดา้ น ดงั นRี ปปปปปป 1) ดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจ เพื?อวดั ความสามารถในการอ่านของ นกั เรียนใน 3 ระดบั ต่อไปนRี ระดบั แปลความ จบั ใจความ และสรุปความ ปปปปปป 2) ดา้ นการเขียนสรุปความ เพ?ือวดั ความสามารถในการเขียนสรุปความเร?ืองท?ีอ่าน ปปปปปป 6.2.5 กาํ หนดตารางเนRือหาขอ้ สอบมาใชเ้ ป็ นกรอบสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ น การอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ 1 ฉบบั แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดงั นRี ปปปปปปถใ ตอนท?ี 1 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจ เป็ น แบบทดสอบปรนยั แบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตวั เลือก จาํ นวน 30 ขอ้ ตอบถูก ๆ ได้ 1 คะแนน ตอบผิด ได้ 0 คะแนน รวมคะแนนเตม็ 30 คะแนน โดยในขRนั แรกผศู้ ึกษาไดส้ ร้างแบบทดสอบจาํ นวน 60 ขอ้ และนาํ ไปให้ผูเ้ ชี?ยวชาญตรวจสอบ ความเที?ยงตรงเชิงเนRือหา หลงั จากผูเ้ ชี?ยวชาญให้คาํ แนะนาํ แลว้ ผู้ ศึกษาจึงนาํ มาปรับปรุงแกไ้ ข หลงั จากนRนั นาํ แบบทดสอบดงั กล่าวไปทดลองกบั นกั เรียนชRนั ม.1 ใน ภาคเรียนท?ี 2 ปี การศึกษา 2552 จาํ นวน 30 คน แลว้ นาํ คะแนนท?ีไดม้ าวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย ค่า อาํ นาจจาํ แนกและค่าความเชื?อมน?ั ของแบบทดสอบ ผศู้ ึกษาไดป้ รับปรุงแบบทดสอบบางขอ้ ท?ีไม่อยใู่ น

85 เกณฑ์ท?ีกาํ หนดดว้ ยการปรับคาํ ถามและตวั เลือกแลว้ จึงคดั แบบทดสอบวดั การอ่านเพื?อความเขา้ ใจ จาํ นวน 30 ขอ้ ปปปปปปถใ ตอนที? 2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิการเขียนสรุปความ เป็ นแบบทดสอบปรนัย แบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตวั เลือก จาํ นวน 20 ขอ้ ตอบถูก ๆ ได้ 2 คะแนน ตอบผิด ได้ 0 คะแนน รวม คะแนนเตม็ 40 คะแนน โดยในขRนั แรกผศู้ ึกษาไดส้ ร้างแบบทดสอบอตั นยั แบบใหเ้ ขียนตอบ จาํ นวน 2 ขอ้ 40 คะแนน แต่คณะกรรมการใหค้ าํ แนะนาํ วา่ ขอ้ สอบท?ีใหน้ กั เรียนเขียนสรุปเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ไม่มีความเป็นปรนยั ขRึนอยกู่ บั ดุลพินิจของครูเป็นสาํ คญั คะแนนท?ีนาํ มาวเิ คราะห์ผลไม่น่าเชื?อถือ ควร เปล?ียนขอ้ สอบเป็นแบบปรนยั ดงั นRนั ผศู้ ึกษาไดส้ ร้างแบบทดสอบที?เป็นปรนยั ซ?ึงเป็นคาํ ถามท?ีมุ่งเนน้ ให้ผูเ้ รียนใชก้ ารสรุปความหรือสร้างความคิดรวบยอดจากเร?ืองที?อ่าน จาํ นวน 40 ขอ้ และนาํ ไปให้ ผเู้ ช?ียวชาญตรวจสอบ ความเท?ียงตรงเชิงเนRือหา หลงั จากผเู้ ชี?ยวชาญใหค้ าํ แนะนาํ แลว้ ผศู้ ึกษาจึงนาํ มา ปรับปรุงแกไ้ ข และนาํ แบบทดสอบดงั กล่าวไปทดลองกบั นกั เรียนชRนั ม.1 จาํ นวน 30 คน นาํ คะแนน ที?ไดม้ าวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย ค่าอาํ นาจจาํ แนกและค่าความเชื?อมน?ั ของแบบทดสอบ แลว้ จึงคดั แบบทดสอบวดั การเขียนสรุปความ จาํ นวน 20 ขอ้ ปปปปปปถใ6.2.6 นาํ แบบทดสอบที?สร้างขRึนไปให้ผูเ้ ชี?ยวชาญ 5 ท่าน เพ?ือตรวจสอบความเท?ียงตรง เชิงเนRือหาความถูกตอ้ งของภาษา และความเหมาะสมของแบบทดสอบในตารางวิเคราะห์ แลว้ นาํ ไป หาค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ระหว่างแบบทดสอบกับ จุดประสงค์ โดยใชเ้ กณฑก์ ารประเมินผล ดงั นRี +1 แน่ใจวา่ ขอ้ สอบวดั ตรงกบั จุดประสงคข์ อ้ นRนั 0 ไม่แน่ใจวา่ ขอ้ สอบวดั ตรงกบั จุดประสงคข์ อ้ นRนั -1 แน่ใจวา่ ขอ้ สอบวดั ไม่ตรงกบั จุดประสงคข์ อ้ นRนั ปปปปปปปป ผลการตรวจสอบค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิดา้ นการ อ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความได้ค่า IOC เท่ากับ 1.00 ทุกรายการ ดัง ปรากฏอยใู่ นผนวก จ หนา้ 177-181 ปปปปปปถใ6.2.7 ปรับปรุงแบบทดสอบ ตามคาํ แนะนาํ ของผเู้ ชี?ยวชาญ (รายละเอียดในผนวก ค หนา้ 147-159) หลงั จากนRัน นําแบบทดสอบไปทดลองใช้กบั นักเรียนชRันมธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ปี การศึกษา 2552 ของโรงเรียนแม่เมาะวทิ ยา ตาํ บลแม่เมาะ อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง มมมมมมมม 6.2.8 ตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบดว้ ยการวเิ คราะห์รายขอ้ 1) ตรวจสอบค่าความยากง่ายของแบบทดสอบปรนยั (ตอนที? 1) คือจาํ นวนผตู้ อบ ขอ้ ถูกในแต่ละขอ้ ต่อผจู้ าํ นวนผเู้ ขา้ สอบทRงั หมด โดยเกณฑข์ อ้ สอบที?ดีมีค่าความยากง่ายระหวา่ ง 0.20

86 – 0.80 ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ (2538, หน้า 179) ผลการตรวจสอบค่าความยากง่ายของ แบบทดสอบปรากฏในผนวก จ ตารางท?ี 32 หนา้ 183-184 2) ตรวจสอบค่าอาํ นาจจาํ แนกของแบบทดสอบปรนยั (ตอนท?ี 1) คือ ตรวจสอบวา่ ขอ้ สอบสามารถจาํ แนกเด็กเก่งและเด็กอ่อนไดด้ ีเพียงใด โดยใชเ้ กณฑ์การพิจารณาค่าอาํ นาจจาํ แนก ตRงั แต่ 0.20 - 1.00 ซ?ึงถือวา่ เป็นขอ้ สอบสามารถจาํ แนกนกั เรียนเก่งและนกั เรียนอ่อนไดด้ ี ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ (2538, หนา้ 180) ผลการตรวจสอบค่าอาํ นาจจาํ แนกของแบบทดสอบปรากฏใน ผนวก จ หนา้ 183-184 3) ตรวจสอบค่าความเชื?อมน?ั (Reliability) คือ การตรวจสอบผลการวดั ที?สม?าํ เสมอ และคงท?ี โดยผศู้ ึกษานาํ ขอ้ สอบที?ผา่ นการคดั เลือกมาหาความเช?ือมน?ั โดยวธิ ีของ Kuder-Richardson – KR 20 กาญจนา วฒั ายุ (2548, หนา้ 196) ผลการวิเคราะห์พบวา่ แบบทดสอบฉบบั นRีมีค่าความเชื?อมน?ั เท่ากบั 0.90 ปรากฏในผนวก จ หนา้ 185 มมมมมมมม 6.2.9 นาํ ไปใชก้ บั กลุ่มตวั อยา่ งในขRนั ทดลอง ซ?ึงสามารถสรุปขRนั ตอนการสร้างและ การหาคุณภาพของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียน สรุปความไดต้ ามแผนภูมิ 3


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook