Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารคำสอนภิกขุนีวิภังคปาลี56

เอกสารคำสอนภิกขุนีวิภังคปาลี56

Published by wichit1588, 2018-06-15 14:51:44

Description: เอกสารคำสอนภิกขุนีวิภังคปาลี56

Search

Read the Text Version

๑๐๑ ครัง้ น้นั ภกิ ษณุ รี ูปหนึง่ เขา้ ไปหาภิกษุณี ถลุ ลนนั ทาให้มาชว่ ยระงบั อธกิ รณ์ ภกิ ษุณีถุลลนันทารบั ปากแตไ่ มช่ ว่ ยระงับ ไมข่ วนขวายให้ผู้อน่ื ชว่ ยระงับ ลาดับนัน้ ภกิ ษณุ ีน้ันได้บอกเรอื่ งนใ้ี หภ้ กิ ษณุ ีท้งั หลายทราบ ได้นาเรื่องน้ไี ปบอกภกิ ษุทั้งหลายใหท้ ราบ พวกภิกษไุ ด้นาเร่อื งนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคให้ทรงทราบ ลาดับน้ัน พระผ้มู พี ระภาครับส่งั ให้ประชมุ สงฆ์เพราะเร่อื งนเี้ ป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุทัง้ หลายแล้วจงึ รับสัง่ ใหภ้ ิกษุณีทั้งหลายยกสกิ ขาบทนขี้ น้ึ แสดงดงั น้ีพระบัญญัติ ก็ภกิ ษุณีใดอนั ภิกษณุ ขี อรอ้ งอยู่ว่า •แมเ่ จ้าโปรดมาชว่ ยระงับอธกิ รณน์ ี้ดว้ ยเถิดž รับปากแล้ว ภายหลังภิกษุณีนั้นผไู้ มม่ ีอันตราย ไม่ชว่ ยระงับ ไม่ขวนขวายใหผ้ ู้อ่นื ช่วยระงบั ต้องอาบัติปาจติ ตยี ์บทภาชนีย์ ทุกกฏ ภกิ ษณุ ไี มช่ ่วยระงบั ไมข่ วนขวายเพอ่ื การระงบั อธกิ รณ์ของอนปุ สมั บัน ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ อนุปสัมบนั ภกิ ษุณสี าคญั ว่าเปน็ อุปสมั บัน ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฏ อนุปสัมบัน ภกิ ษุณีไมแ่ น่ใจ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ อนุปสมั บัน ภกิ ษุณีสาคญั วา่ เปน็ อนปุ สัมบัน ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏอนาปัตติวาร ภกิ ษณุ ีตอ่ ไปนีไ้ ม่ต้องอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษณุ ไี ม่ระงบั ในเมื่อมีอนั ตราย ๒. ภกิ ษณุ แี สวงหา(คณะผู้วินจิ ฉัยอธกิ รณ์)ไม่ได้ ๓. ภกิ ษณุ ีผเู้ ป็นไข้ ๔. ภิกษณุ ีผู้มีเหตุขดั ข้อง ๕. ภิกษุณวี ิกลจริต ๖. ภกิ ษุณตี ้นบญั ญตั ิ สกิ ขาบทท่ี ๖ วา่ ด้วยการใหข้ องเค้ียวของฉันแกน่ ักฟ้อนเปน็ ต้น เร่อื งภกิ ษุณถี ลุ ลนันทา คร้งั น้นั ภิกษณุ ถี ลุ ลนันทาใหข้ องเคี้ยวของ ฉันดว้ ยมอื ตนแก่พวกครนู ักฟ้อนบ้าง พวกนักฟอ้ นบา้ ง พวกกระโดดไม้คา้ บา้ ง พวกมายากลบ้าง พวกตกี ลองบ้าง ให้กลา่ วพรรณนาคุณของนางในท่ี

๑๐๒ชุมนุมชน พวกครูนกั ฟอ้ นบา้ ง พวกนักฟอ้ นบ้าง พวกกระโดดไมค้ า้ บา้ ง พวกมายากลบ้าง พวกตกี ลองบ้าง ตา่ งพากันกลา่ วพรรณนาคณุ ของภกิ ษุณีถลุ ลนนั ทาในชุมนมุ ชนพระบญั ญตั ิ ก็ภกิ ษณุ ใี ดใหข้ องเค้ยี วหรอื ของฉนั ด้วยมือตนแกช่ าวบ้าน แกป่ ริพาชก หรอื แก่ปรพิ าชกิ า ตอ้ งอาบัติปาจิตตีย์สกิ ขาบทวภิ ังค์ ทช่ี ื่อว่า ของเคยี้ ว ไดแ้ ก่ เว้นโภชนะ ๕ นา้ และไมส้ ีฟนั ทีเ่ หลอื ชอ่ื ว่า ของเคี้ยว ท่ีช่ือวา่ ของฉัน ไดแ้ ก่ โภชนะ ๕ อย่าง คือ ข้าวสุก ขนมสด ข้าวตู ปลา เนื้อ คาวา่ ให้ คอื ใหด้ ว้ ยกาย ดว้ ยของเนือ่ งดว้ ยกาย หรือด้วยการโยนให้ ตอ้ งอาบัติปาจติ ตยี ์ ให้ น้าและไม้สฟี นั ต้องอาบัติทุกกฏอนาปตั ตวิ าร ภิกษณุ ตี ่อไปนไ้ี ม่ตอ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษุณใี ช้ให้ผู้อนื่ ให้ ๒. ภกิ ษุณีมิได้ให้เอง ๓. ภิกษุณีใหโ้ ดยวางไว้ใกล้ ๆ ๔. ภกิ ษุณใี ห้ของไล้ทาภายนอก ๕. ภิกษุณีวกิ ลจริต ๖. ภิกษุณตี น้ บญั ญัติ สกิ ขาบทท่ี ๗ วา่ ดว้ ยการใชผ้ า้ ซบั ระดแู ล้วไม่สละ เรอื่ งภิกษุณถี ุลลนันทา ครง้ั นั้น ภกิ ษุณถี ลุ ลนันทาใช้ผ้าซบั ระดูคนเดียวไมย่ อมสละ ภกิ ษณุ อี น่ื ท่มี ีประจาเดอื นไม่มีโอกาสได้ใช้ ลาดบั น้นั พระผู้มพี ระภาครับสง่ั ให้ประชุมสงฆเ์ พราะเรอื่ งนเี้ ป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุทั้งหลาย แลว้ จึง รับส่งั ให้ภกิ ษุณีท้งั หลายยกสิกขาบทนขี้ ึ้นแสดงดังน้ีพระบญั ญัติ ก็ภกิ ษุณใี ดใชผ้ ้าซบั ระดแู ล้วไมย่ อมสละ ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตยี ์สกิ ขาบทวภิ งั ค์ ท่ชี อ่ื วา่ ผา้ ซับระดู ได้แก่ ผา้ ทเ่ี ขาถวายไวใ้ ห้ภิกษณุ ผี ้มู ปี ระจาเดอื นใช้ คาวา่ ไม่ยอมสละ คอื ใช้ ๒-๓ คืนแลว้ ซักในวันที่ ๔ ยงั ใชอ้ กี ไม่ยอมสละให้แก่ภกิ ษณุ ีสิกขมานา หรอื สามเณรีรปู อื่น ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตยี ์

๑๐๓บทภาชนยี ์ ทุกทกุ กฏ ผา้ ที่สละแล้ว ภิกษณุ ีสาคญั ว่ายงั ไม่สละ ใช้ ต้องอาบัตทิ กุ กฏ ผา้ ทส่ี ละแลว้ ภิกษณุ ีสงสยั ใช้ ต้องอาบตั ทิ ุกกฏ ผ้าที่สละแลว้ ภิกษุณีสาคญั ว่าสละแล้ว ใช้ ไม่ต้องอาบัติอนาปตั ติวาร ภกิ ษุณตี อ่ ไปนไี้ ม่ต้องอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษณุ ใี ชส้ อยแลว้ สละ ๒. ภกิ ษุณีใชผ้ ้าที่สละแล้วอีก ๓. ภิกษณุ ีใชส้ อยในเมอื่ ไม่มีภกิ ษุณีอ่ืนผู้มปี ระจาเดือน ๔. ภกิ ษุณีถูกแยง่ ชงิ ผ้าเอาไป ๕. ภกิ ษุณีผ้าหาย ๖. ภิกษุณผี ู้มีเหตขุ ดั ข้อง ๗. ภิกษณุ ีวิกลจรติ ๘. ภกิ ษณุ ีตน้ บญั ญัติ สิกขาบทที่ ๘ ว่าด้วยการไม่สละท่พี ัก เร่ืองภกิ ษณุ ีถลุ ลนนั ทา ครง้ั นั้น ภิกษณุ ถี ุลลนนั ทาไมส่ ละท่ีพกั แลว้ หลกี จารกิ ไป ตอ่ มาท่ีพักนน้ั ถูกไฟไหม้ ภิกษณุ ีท้ังหลายกลา่ วอย่างน้ีว่า แมเ่ จ้า พวกเราจงชว่ ยกันขนของออกมา ภิกษุณบี างพวกกล่าวอยา่ งนว้ี ่า “แม่เจา้ พวกดฉิ นั ไม่ขนของออกมา สง่ิ ใดสิ่งหนง่ึ สูญหายไป แม่เจา้ จกั ทวงพวกดฉิ ัน” เม่ือภิกษณุ ถี ลุ ลนนั ทากลบั มาส่ทู พ่ี กั นัน้ อีก ถามภิกษณุ ีทงั้ หลายแลว้ ตาหนิ ประณามโพนทะนาวา่ ไฉนพวกภิกษุณี เมอ่ื ที่พักถูกไฟไหม้ จงึ ไม่ชว่ ยกันขนของออกมาเล่า ลาดบั น้ัน พระผูม้ ีพระภาครับส่ังใหป้ ระชุมสงฆเ์ พราะเร่ืองนเ้ี ปน็ ต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุทงั้ หลาย แลว้ จึงรับส่งั ให้ภกิ ษณุ ีทั้งหลายยกสิกขาบทน้ขี ้นึ แสดงดังนี้พระบัญญตั ิ ก็ภกิ ษุณใี ดไม่สละทีพ่ กั แลว้ หลกี จาริกไป ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตีย์ สกิ ขาบทวภิ ังค์ คาวา่ ไมส่ ละ ... หลีกจาริกไป ความวา่ ไมส่ ละแกภ่ ิกษณุ ี สกิ ขมานา หรือสามเณรี เมือ่ เดินพน้ เขตท่ีพักมรี วั้ ลอ้ ม ต้องอาบัติปาจติ ตีย์ เดนิ พน้ บริเวณท่ีพักทีไ่ ม่มี รวั้ ลอ้ ม ต้อง อาบตั ปิ าจิตตยี ์บทภาชนยี ์

๑๐๔ตกิ ทุกกฏ ภกิ ษณุ ีไม่สละหอ้ งพักไม่ได้ตดิ ประตู หลกี ไป ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ที่พกั ท่ีสละแลว้ ภิกษณุ ีสาคัญวา่ ยังไมส่ ละ หลกี ไป ต้องอาบัติทกุ กฏ ทพ่ี ักทส่ี ละแลว้ ภิกษุณไี มแ่ น่ใจ หลีกไป ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ที่พักทสี่ ละแลว้ ภกิ ษุณีสาคัญว่าสละแล้ว หลกี ไป ไมต่ ้องอาบตั ิอนาปัตติวาร ภกิ ษณุ ีต่อไปนไี้ ม่ต้องอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษุณีสละแลว้ หลีกไป ๒. ภิกษุณีหลีกไปเม่อื มอี นั ตราย ๓. ภกิ ษุณแี สวงหา(ผูด้ แู ลแทน)แล้วไมไ่ ด้ ๔. ภกิ ษุณีผ้เู ป็นไข้ ๕. ภิกษณุ ผี ูม้ เี หตุขัดข้อง ๖. ภกิ ษณุ วี ิกลจรติ ๗. ภกิ ษณุ ตี น้ บญั ญัติ สิกขาบทท่ี ๙ ว่าด้วยการเรยี นดิรัจฉานวิชา เรื่องภิกษณุ ีฉพั พัคคยี ์ คร้งั นั้น พวกภกิ ษุณีฉัพพคั คยี ์เรยี น ดิรจั ฉานวชิ า ชาวบ้านตาหนิ ประณาม โพนทะนาว่าภิกษุณจี งึ เรยี นดริ จั ฉานวชิ าเหมือนหญงิ คฤหสั ถผ์ ูบ้ รโิ ภคกาม ลาดบั นน้ั พระผ้มู พี ระภาครับสงั่ ให้ประชุมสงฆเ์ พราะเรือ่ งน้เี ป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษทุ ัง้ หลาย แลว้ จงึ รับสงั่ ให้ภิกษณุ ที ง้ั หลายยกสกิ ขาบทนี้ข้ึนแสดงดงั น้ีพระบญั ญตั ิ ก็ภิกษณุ ใี ดเรียนดริ จั ฉานวชิ า ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตยี ์สิกขาบทวิภงั ค์ ดิรจั ฉานวิชา หมายถึง ศิลปวิทยาอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ภายนอกพระศาสนาท่ไี ม่มปี ระโยชน์ คาว่า เรยี น คือ เรียนเป็นบท ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตยี ์ทุก ๆ บท เรียนเป็นอกั ษร ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ทกุ ๆ ตัวอกั ษรอนาปัตตวิ าร ภิกษณุ ีตอ่ ไปนี้ไมต่ อ้ งอาบัติ คือ ๑. ภิกษุณเี รยี นวชิ าเขยี นหนังสือ ๒. ภกิ ษณุ ีเรียนท่องจา

๑๐๕ ๓. ภกิ ษุณีเรียนพระปริตรเพอ่ื คมุ้ ครองตน๑ ๔. ภิกษณุ ีวกิ ลจรติ ๕. ภกิ ษุณีต้นบัญญัติ สกิ ขาบทที่ ๑๐ วา่ ด้วยการสอนดิรจั ฉานวชิ า เรื่องภกิ ษณุ ฉี พั พคั คีย์ คร้งั น้ัน พวกภิกษณุ ฉี ัพพคั คยี ์สอน ดิรัจฉานวชิ า ชาวบา้ นตาหนิ ประณาม โพนทะนาว่าเหมอื นหญงิ คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ลาดับน้ัน พระผู้มีพระภาครับส่งั ให้ประชมุ สงฆเ์ พราะเรื่องน้ีเป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษทุ ั้งหลาย แลว้ จงึ รบั สง่ั ให้ภกิ ษณุ ที ัง้ หลายยกสกิ ขาบทนข้ี ้นึ แสดงดังน้ีพระบัญญตั ิ ก็ภิกษณุ ใี ดสอนดริ ัจฉานวชิ า ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตยี ์อนาปตั ตวิ าร ภกิ ษุณีตอ่ ไปน้ีไมต่ อ้ งอาบัติ คือ ๑. ภิกษณุ ีสอนวิชาเขียนหนงั สอื ๒. ภกิ ษุณีสอนการท่องจา๑ ๓. ภกิ ษณุ สี อนพระปรติ รเพอ่ื คมุ้ ครอง ๔. ภกิ ษุณวี ิกลจรติ ๕. ภกิ ษุณีตน้ บัญญตั ิ๔.๖ อารามวรรค หมวดวา่ ด้วยอาราม สกิ ขาบทท่ี ๑ ว่าด้วยการเข้าอาราม โดยไมบ่ อก เรอ่ื งภกิ ษุณีหลายรปู ครงั้ น้นั ภกิ ษุหลายรปู มีจีวรผืนเดียว กาลังตัดเยบ็ จวี รอยใู่ นอาวาสใกลห้ มู่บา้ น ภิกษุณีท้ังหลายเขา้ ไปสู่อาราม โดยไม่บอก เขา้ ไปหาภิกษเุ หล่านนั้ ถงึ ทอี่ ยู่ ภิกษุท้งั หลายจงึ ตาหนิ ประณามโพนทะนาวา่ พวกภิกษณุ จี ึงเขา้ มาส่อู ารามโดยไมบ่ อก ภิกษณุ ีเหลา่ นน้ั ได้นาเร่อื งนไี้ ปบอกภกิ ษทุ ้งั หลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษุไดน้ าเรื่องนีไ้ ปกราบทูลพระผู้มพี ระภาคให้ทรงทราบ ลาดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาครับสงั่ ให้ประชุมสงฆเ์ พราะเร่ืองน้ีเป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุทง้ั หลาย แลว้ จงึ รบั สง่ั ให้ภกิ ษุณที งั้ หลายยกสกิ ขาบทนีข้ ึ้นแสดงดงั น้ีพระบญั ญัติ กภ็ กิ ษุณีใดเขา้ ไปสู่อารามโดยไม่บอก ต้องอาบตั ิปาจติ ตีย์ อนุบัญญัติ เร่ืองภกิ ษุณไี ม่กวาดอาราม

๑๐๖ สมยั น้ัน ภกิ ษุเหล่านัน้ หลีกไปจากอาวาสน้นั ภิกษุณีทั้งหลายคิดวา่ พระคณุ เจา้ ทัง้ หลายจากไปแล้ว จึงไมไ่ ปอาราม เมื่อภิกษุเหลา่ น้นั กลับมาสูอ่ าวาสนั้นอีก ภกิ ษณุ ีท้งั หลายรู้วา่ พระคุณเจา้ทัง้ หลายมาแล้ว บอกแล้วพากันเข้าไปหาภิกษุเหล่านนั้ กราบไหวแ้ ล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร ภิกษุเหลา่ นน้ั ได้กล่าวว่า นอ้ งหญงิ ท้ังหลาย เพราะเหตุไร พวกเธอจึงไม่กวาดอาราม ไมต่ ง้ั น้าฉันน้าใชไ้ วเ้ ลา่ ภิกษณุ ีเหล่าน้นั ตอบวา่ พระผู้มพี ระภาคทรงบัญญตั สิ กิ ขาบทไวว้ า่ •ภกิ ษุณไี ม่พึงเข้าอารามž ดังนั้น พวกดิฉนั จึงไมม่ า พระผูม้ ีพระภาคทรงอนญุ าตว่า ภกิ ษทุ ้งั หลาย เราอนญุ าตให้บอกภิกษณุ ีที่มอี ยแู่ ล้วเขา้ อารามได้ แล้วจงึ รับสงั่ ใหภ้ กิ ษณุ ีท้ังหลายยกสกิ ขาบทน้ขี น้ึ แสดงดังน้ีพระอนบุ ัญญัติ อน่งึ ภกิ ษณุ ีใดเขา้ ไปสู่อารามโดยไมบ่ อกภิกษุท่มี ีอยู่ ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์ สมยั นั้น ภกิ ษุเหล่านน้ั หลกี ไปจากอาวาสน้ันแลว้ กลบั มาสูอ่ าวาสนนั้ อกี ภกิ ษณุ ีท้ังหลายคดิ วา่พระคุณเจา้ ทั้งหลายจากไปแล้ว จึงไม่บอก เขา้ ไปสู่อาราม พวกเธอไดม้ ีความคดิ ดงั นีว้ า่ พระผมู้ ีพระภาคทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทไวว้ า่ •ภกิ ษุณไี ม่บอกภิกษทุ มี่ ีอยู่ ไม่พงึ เขา้ อาราม ž พวกเรามไิ ดบ้ อกภกิ ษุที่มอี ยเู่ ข้าอาราม ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี แ์ ลว้ กระมงั ภกิ ษทุ ง้ั หลายได้กราบทลู เรอ่ื งนน้ั ใหพ้ ระผู้มีพระภาคทรงทราบ ลาดับนน้ั พระผูม้ ีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาเพราะเรอื่ งนีเ้ ปน็ ต้นเหตุแลว้ รบั ส่งั ใหภ้ ิกษุณีทั้งหลายยกสิกขาบทน้ีขนึ้ แสดงดงั นี้พระอนุบญั ญัติ อนึ่ง ภิกษณุ ีใดรู้อยู่ เข้าไปสู่อารามทีม่ ภี ิกษโุ ดยไม่บอก ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตีย์สิกขาบทวิภงั ค์ ที่ช่ือวา่ ร้อู ยู่ คอื ภกิ ษณุ ีรเู้ อง คนเหล่าอืน่ บอกเธอ หรือภิกษุเหลา่ นัน้ บอก อารามทชี่ ่ือว่า มีภกิ ษุ คอื สถานที่มภี กิ ษอุ าศัยอยู่แม้ท่ีโคนตน้ ไม้ คาว่า เข้าไปส่อู ารามโดยไม่บอก คอื ไมบ่ อกกล่าวภกิ ษุ สามเณร หรือคนวัด เม่อื ลว่ งเขตอารามทมี่ ีรัว้ ล้อม ต้องอาบตั ปิ าจติ ตีย์ เมอ่ื ลว่ งสู่อุปจารแห่งอารามทมี่ รี ้วั ลอ้ ม ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตยี ์บทภาชนยี ์ อารามทมี่ ภี กิ ษุ ภิกษณุ สี าคัญว่ามีภิกษุ เข้าไปสูอ่ ารามโดยไม่บอกภิกษุทม่ี อี ยู่ ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตีย์

๑๐๗ อารามทีม่ ภี ิกษุ ภกิ ษณุ ไี มแ่ น่ใจ เข้าไปสอู่ ารามโดยไม่บอกภกิ ษทุ ีม่ ีอยู่ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ อารามที่มภี กิ ษุ ภกิ ษณุ ีสาคญั ว่าไม่มภี ิกษุ เข้าไปสอู่ ารามโดยไม่บอกภกิ ษุท่ีมอี ยู่ ไม่ตอ้ งอาบตั ิ อารามทไ่ี ม่มีภกิ ษุ ภกิ ษณุ สี าคญั วา่ มีภิกษุ เขา้ ไปสู่อารามโดยไมบ่ อกภกิ ษทุ ม่ี ีอยู่ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ อารามทไ่ี ม่มีภิกษุ ภิกษุณีไมแ่ นใ่ จ เขา้ ไปสอู่ ารามโดยไมบ่ อกภกิ ษุท่ีมอี ยู่ ต้องอาบัตทิ กุ กฏ อารามทีไ่ มม่ ีภิกษุ ภกิ ษุณีสาคญั วา่ ไม่มภี กิ ษุ เขา้ ไปส่อู ารามโดยไมบ่ อกภิกษทุ ีม่ อี ยู่ ไมต่ ้องอาบตั ิอนาปัตติวาร ภิกษุณตี อ่ ไปนี้ไม่ตอ้ งอาบัติ คือ ๑. ภกิ ษณุ เี ข้าไปโดยบอกภิกษทุ ่ีมอี ยู่ ๒. ภกิ ษุไมม่ อี ยู่ ภิกษณุ ีจงึ เขา้ ไปโดยไม่บอก ๓. ภกิ ษณุ ีเขา้ ไปเดนิ มองศีรษะภิกษณุ ผี เู้ ขา้ ไปก่อน ๔. ภิกษณุ ไี ป ณ สถานทมี่ ีภิกษณุ ีกาลังประชุมกนั ๕. ภกิ ษณุ ีเดินตามทางที่ผ่านไปอาราม ๖. ภกิ ษุณผี ้เู ป็นไข้ ๗. ภกิ ษณุ ีผู้มีเหตขุ ัดขอ้ ง ๘. ภกิ ษุณีวกิ ลจริต ๙. ภิกษณุ ตี น้ บญั ญตั ิ สิกขาบทที่ ๒ วา่ ดว้ ยการด่าบริภาษภิกษุ เร่อื งพระกัปปติ กะ สมัยน้นั พระผมู้ ีพระภาคพทุ ธเจ้าประทบั อยู่ ณ กูฏาคารศาลา ปา่ มหาวัน เขตกรุงเวสาลี ครง้ันัน้ ทา่ นพระกปั ปติ กะผ้เู ป็นอุปชั ฌายข์ องทา่ นพระอบุ าลพี กั อยูใ่ นป่าช้า คราวนั้นมีภกิ ษณุ ีรูปหน่งึ อายุมากกวา่ พวกภกิ ษณุ ีฉัพพคั คยี ์ มรณภาพ พวกภกิ ษุณีฉัพพัคคยี ช์ ว่ ยกนั นา(ศพ)ภิกษุณีนนั้ ออกไปเผาแล้วก่อสถปู ไว้ไมไ่ กลที่พักของพระกปั ปิตกะแลว้ รา่ ไห้ทีส่ ถปู นน้ั ลาดับน้นั ท่านพระกัปปิตกะราคาญเสียงน้ันจึงทาลายสถูปนั้นเสยี แหลกละเอียด พวกภิกษณุ ฉี ัพพัคคยี ์ปรกึ ษากันว่า พระกัปปติ กะทาลายสถูปแมเ่ จ้าของพวกเรา มาเถดิ พวกเราจะฆ่าพระกปั ปติ กะน้ัน” ภิกษุณรี ปู หน่งึ บอกความนัน้ ให้ทา่ นพระอุบาลที ราบ ท่านพระอุบาลนี าเรอื่ งนั้น ไปบอกท่านพระกัปปติ กะ ทา่ นพระกัปปติ กะหนีออกจากวหิ ารไปซ่อนอยู่

๑๐๘ คราวน้ันพวกภกิ ษุณฉี พั พัคคยี ์เข้าไปทีว่ ิหารของท่านพระกัปปติ กะต้งั อยู่ ครั้นแลว้ ชว่ ยกนั ขนกอ้ นหินและก้อนดนิ ทับวิหารของทา่ น แลว้ จากไปดว้ ยเขา้ ใจว่า พระกปั ปิตกะมรณภาพแล้ว ครนั้ ราตรีนั้นผา่ นไป ทา่ นพระกปั ปติ กะครองอนั ตรวาสกถือบาตรและจวี รเขา้ ไป บิณฑบาตในกรงุ เวสาลแี ตเ่ ชา้ พวกภกิ ษณุ ีฉพั พคั คยี ์เห็นทา่ นเดินเทยี่ วบณิ ฑบาตอยู่ กล่าวกันอย่างน้ีว่า พระกปั ปติกะยงั มชี ีวิตอยู่ ใครกนั นะทีน่ าแผนการของพวกเราไปบอก คร้นั ได้ทราบวา่ เปน็ ใครจงึ พากนั ด่าท่านพระอุบาลวี ่า ท่านผู้เปน็ ทาสรับใชเ้ มื่อเวลาอาบนา้ คอยถขู ไี้ คล มตี ระกลู ตา่ คนน้ี ไฉนจึงนาแผนการของเราไปบอกเล่า ลาดับนั้น พระผ้มู พี ระภาครับส่งั ให้ประชมุ สงฆเ์ พราะเรอ่ื งน้ีเปน็ ต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุทัง้ หลาย แล้วจงึ รับส่งั ให้ภิกษณุ ีทัง้ หลายยกสกิ ขาบทนข้ี ึน้ แสดงดงั นี้พระบญั ญตั ิ ก็ภกิ ษณุ ใี ดด่าหรอื บรภิ าษภิกษุ ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตยี ์สกิ ขาบทวิภงั ค์ คาวา่ ดา่ คอื ดา่ ดว้ ยอกั โกสวัตถุ ๑๐ อย่าง๑ ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ คาว่า บริภาษ คือ แสดงอาการทีน่ า่ กลัว ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์บทภาชนยี ์ ตกิ ปาจติ ตยี ์ ทกุ กฏ ภกิ ษณุ ดี ่าหรือบริภาษอนุปสมั บัน ตอ้ งอาบัติทกุ กฏ อนปุ สัมบนั ภกิ ษณุ สี าคัญว่าเปน็ อปุ สัมบนั ดา่ หรือบรภิ าษ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ อนุปสมั บัน ภกิ ษุณไี มแ่ น่ใจ ดา่ หรือบรภิ าษ ตอ้ งอาบัติทุกกฏ อนุปสัมบัน ภกิ ษุณีสาคัญว่าเป็นอนปุ สัมบัน ด่าหรือบรภิ าษ ต้องอาบตั ทิ กุ กฏอนาปตั ติวาร ภิกษุณตี ่อไปน้ไี ม่ตอ้ งอาบัติ คือ ๑. ภกิ ษณุ ีมงุ่ อรรถ ๒. ภิกษุณมี งุ่ ธรรม ๓. ภิกษุณมี ุ่งสั่งสอน ๔. ภิกษุณวี กิ ลจริต ๕. ภกิ ษณุ ีต้นบัญญัติ

๑๐๙ สิกขาบทท่ี ๓ ว่าด้วยการบรภิ าษคณะ เรื่องภกิ ษณุ ีจัณฑกาลี ครง้ั นัน้ ภิกษุณจี ณั ฑกาลชี อบกอ่ ความบาดหมาง กอ่ การทะเลาะ ก่อการววิ าท ก่อเร่ืองอือ้ ฉาวกอ่ อธิกรณใ์ นสงฆ์ เมอื่ สงฆท์ ากรรมแก่จัณฑกาลนี ้ัน ภิกษุณีถุลลนนั ทากค็ ดั ค้าน ตอ่ มา ภิกษุณถี ลุ ลนันทาเดินทางไปยังหมูบ่ า้ นดว้ ยธรุ ะบางอย่าง ภกิ ษณุ ีสงฆ์พอรูว้ ่า ภกิ ษณุ ีถลุ ลนนั ทาจากไปแลว้ จึงลงอุกเปขนยี กรรมแก่ภกิ ษุณจี ัณฑกาลีเพราะไมเ่ ห็นอาบตั ิ คร้นั ภกิ ษุณีถลุ ลนนั ทาทาธุระน้ันในหมู่บา้ นเสรจ็ แล้วกลบั มายงั กรุงสาวัตถี เมื่อภกิ ษุณถี ลุ ลนันทากาลงั มา ภิกษุณีจณั ฑกาลไี ม่ปูอาสนะ ไม่ตั้งนา้ ล้างเทา้ ตั่งรองเทา้ กระเบือ้ งเชด็ เทา้ ไม่ลุกรบั บาตรและจวี ร ไม่เอานา้ดม่ื ตอ้ นรับ ภิกษุณถี ุลลนนั ทาได้กล่าวกบั ภิกษุณีจัณฑกาลีนั้นว่า เมือ่ ฉันกาลงั มา ไฉนเธอไมป่ อู าสนะ ไม่ตัง้ นา้ ลา้ งเท้า ต่งั รองเท้า กระเบอื้ งเช็ดเทา้ ไม่ลกุ รบั บาตรและจวี ร ไม่เอาน้าดมื่ ตอ้ นรบั เลา่ ภกิ ษุณจี ัณฑกาลบี อกให้ทราบ ภกิ ษณุ ีถลุ ลนนั ทาจึงข้งึ เคียดบรภิ าษคณะว่า ภิกษณุ ีพวกนีโ้ ง่เขลา ภกิ ษณุ พี วกนี้ไม่ฉลาด ภิกษุณพี วกนี้ไมร่ จู้ ักกรรม โทษของกรรม กรรมวิบัติ หรอื กรรมสมบตั ิ ลาดับนนั้ พระผู้มพี ระภาครับส่งั ใหป้ ระชมุ สงฆเ์ พราะเร่ืองน้เี ปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุท้งั หลาย แล้ว จงึ รบั ส่งั ใหภ้ ิกษณุ ีทัง้ หลายยกสิกขาบทน้ขี ึ้นแสดงดงั น้ีพระบญั ญตั ิ กภ็ ิกษณุ ีใดขงึ้ เคียด บริภาษคณะ ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตยี ์สิกขาบทวภิ งั ค์ คาว่า บริภาษ คือ บริภาษว่า ภกิ ษณุ พี วกนโ้ี ง่เขลา ภกิ ษุณีพวกนี้ไมฉ่ ลาด ภกิ ษุณีพวกนไ้ี มร่ ้จู ักกรรม โทษของกรรม กรรมวบิ ัติ หรือกรรมสมบัติ ตอ้ งอาบัติ ปาจิตตยี ์ บรภิ าษภิกษุณหี ลายรูป ภิกษุณีรปู เดยี ว หรืออนปุ สัมบัน ต้องอาบัตทิ ุกกฏอนาปตั ติวาร ภิกษณุ ตี ่อไปนี้ไม่ตอ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษุณีมุง่ อรรถ ๒. ภิกษุณมี ุ่งธรรม ๓. ภิกษณุ มี งุ่ ส่งั สอน ๔. ภกิ ษณุ ีวกิ ลจรติ ๕. ภิกษุณตี ้นบญั ญตั ิ สกิ ขาบทที่ ๔วา่ ด้วยการฉันของเค้ียวของฉนั เมื่อหา้ มภตั ตาหารแลว้

๑๑๐ เร่ืองภิกษุณีฉนั หลายทใี่ นมอื้ เดยี วกนั พราหมณ์คนหนึง่ นิมนต์ภิกษณุ ีทั้งหลายใหฉ้ ัน พวกภิกษุณีฉันแลว้ ห้ามภัตตาหารแลว้ พากันไปตระกูลญาติ ภกิ ษณุ ีบางพวกยงั ฉันอกี บางพวกนาบิณฑบาตกลับไป พราหมณ์น้ันไดก้ ล่าวกับเพอื่ นบ้านผคู้ ุน้ เคยวา่ นายท้งั หลาย เราเลีย้ งภกิ ษณุ ีให้อ่ิมหนาแล้วเชิญมาเถดิ เราจกั เลี้ยงพวกท่านให้อ่มิ หนาบา้ ง เพ่ือนบา้ นผูค้ ้นุ เคยเหลา่ นนั้ บอกเร่ืองใหท้ ราบพราหมณต์ าหนิ ประณาม โพนทะนา ลาดับน้ัน พระผู้มีพระภาครบั สงั่ ให้ประชมุ สงฆ์เพราะเรอ่ื งน้เี ปน็ต้นเหตุ ทรงสอบถามภกิ ษทุ ัง้ หลาย แล้วจงึ รบั สัง่ ใหภ้ ิกษุณีทง้ั หลายยกสกิ ขาบทน้ขี ้ึนแสดงดงั นี้พระบัญญัติ ก็ภกิ ษุณใี ดได้รับนิมนต์แล้ว บอกห้ามภัตตาหารแล้ว เคย้ี วของเค้ียว หรอื ฉันของฉัน ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตยี ์สกิ ขาบทวภิ งั ค์ ท่ชี ื่อวา่ ไดร้ ับนมิ นตแ์ ลว้ คือ ได้รบั นิมนต์ดว้ ยโภชนะ ๕ ชนิด อยา่ งใด อยา่ งหนึง่ ลกั ษณะการบอกหา้ มภตั ตาหาร ทช่ี ือ่ วา่ บอกหา้ มภตั ตาหารแลว้ คอื (๑) ภิกษณุ ีกาลงั ฉนั (๒) ทายกนา โภชนะมาถวาย (๓)ทายกอยู่ในหตั ถบาสน้อมถวาย (๔) ภิกษณุ ีบอกห้าม ท่ชี อื่ วา่ ของเคย้ี ว คอื ยกเวน้ โภชนะ ๕ ขา้ วตม้ ยามกาลิก สตั ตาหกาลกิ และยาวชวี ิก๑นอกน้ันชอ่ื วา่ ของเค้ยี ว ท่ีชื่อวา่ ของฉัน ไดแ้ ก่ โภชนะ ๕ อยา่ ง คอื ข้าวสุก ขนมสด ขา้ วตู ปลา เนอื้ ภิกษณุ รี ับประเคนด้วยต้งั ใจว่า “จะเคี้ยว จะฉนั ” ต้องอาบตั ทิ ุกกฏ ฉนั ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตีย์ทกุๆ คากลืนบทภาชนยี ์ ทุกทกุ กฏ ภิกษุณรี ับประเคนยามกาลิก สตั ตาหกาลิก ยาวชวี ิก เพ่อื เปน็ อาหาร ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ ฉนัตอ้ งอาบัติทุกกฏทุกๆ คากลืนอนาปตั ติวาร ภกิ ษุณีต่อไปน้ไี ม่ตอ้ งอาบตั ิ คอื ๑. ภิกษุณีท่ที ายกไม่ได้นมิ นต์ ๒. ภิกษุณยี ังไม่หา้ มภตั ตาหาร ๓. ภิกษุณดี ่ืมขา้ วต้ม ๔. ภกิ ษุณีบอกเจ้าของแล้วฉัน

๑๑๑ ๕. ภิกษุณีฉันของที่เป็นยาวกาลิกสัตตาหกาลิกและยาวชีวิกเมื่อมีเหตุผลจาเป็น ๖. ภิกษณุ วี กิ ลจรติ ๗. ภิกษณุ ตี น้ บัญญตั ิ สิกขาบทท่ี ๕ ว่าด้วยความหวงตระกลู เร่ืองภกิ ษุณหี วงตระกูล ครัง้ นน้ั ภิกษณุ ีรูปหน่ึงเทยี่ วบณิ ฑบาตใน ตรอกแห่งหน่งึ ในกรุงสาวตั ถี เขา้ ไปทีต่ ระกูลแห่งหนงึ่ นัง่ บนอาสนะทเ่ี ขาปไู ว้ คร้ันคนทง้ั หลายนิมนตเ์ ธอใหฉ้ ันแลว้ บอกให้นมิ นต์ภกิ ษุณีอืน่ ๆ มาดว้ ยภกิ ษณุ ีนนั้ คิดวา่ ทาอย่างไร ภิกษณุ อี ื่น ๆ จึงจะไมม่ า จงึ เข้าไปหา ภกิ ษุณที ง้ั หลายบอกวา่ ในที่โนน้สุนขั ดุ โคดุ สถานทล่ี ่ืน พวกท่านอยา่ ไปที่นัน้ เลย ภิกษณุ ีแม้อีกรูปหนง่ึ ไดไ้ ปบิณฑบาตท่ตี รอกนั้น เข้าไปที่ตระกูลน้ันต้ังอยู่ ครั้นแลว้ นั่งบนอาสนะทีเ่ ขาปูไว้ ลาดับนั้น คนทัง้ หลายนมิ นต์ให้ภกิ ษณุ นี นั้ ฉันแลว้ ได้กลา่ ววา่ แม่เจ้า ทาไมภกิ ษุณีทั้งหลายจึงไมม่ า ภิกษณุ นี ้นั บอกเรือ่ งน้นั ใหค้ นทงั้ หลายทราบ คนทง้ั หลายจึงตาหนิ ประณามโพนทะนา ภกิ ษณุ ีเหลา่ นนั้ ไดน้ าเรอื่ งนีไ้ ปบอกภกิ ษทุ งั้ หลายให้ทราบพวกภิกษุไดน้ าเร่ืองน้ไี ปกราบทลูพระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบ ลาดับนนั้ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั ใหป้ ระชุมสงฆเ์ พราะเร่อื งน้เี ป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุทง้ั หลาย แลว้ จงึ รับส่งั ใหภ้ กิ ษณุ ีทง้ั หลายยกสิกขาบทนี้ขนึ้ แสดงดงั นี้พระบญั ญตั ิ ก็ภิกษุณีใดหวงตระกลู ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตยี ์สกิ ขาบทวิภังค์ ท่ีช่อื วา่ หวง คอื ภกิ ษณุ กี ล่าวโทษของตระกลู ในสานักภิกษุณที ัง้ หลายดว้ ยประสงค์ว่า “ทาอยา่ งไร ภกิ ษณุ ีทั้งหลายจึงจะไม่มา” ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์ หรือกลา่ วโทษภิกษณุ ีในสานกั ตระกูล ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์อนาปตั ตวิ าร ภกิ ษุณีต่อไปนี้ไม่ต้องอาบัติ คอื ๑. ภกิ ษุณไี ม่ไดห้ วงตระกลู แต่บอกเฉพาะโทษทีม่ ีอยู่

๑๑๒ ๒. ภิกษณุ วี กิ ลจรติ ๓. ภิกษุณตี ้นบญั ญัติ สิกขาบทท่ี ๖ว่าดว้ ยการอยูจ่ าพรรษาในอาวาสที่ไมม่ ภี กิ ษุ๔๕ เร่ืองภิกษุณีหลายรปู ครง้ั นัน้ ภกิ ษุณีหลายรูปออกพรรษาแล้วในอาวาสใกลห้ มู่บ้าน พากันไปกรงุ สาวตั ถี ภกิ ษณุ ีท้งั หลายได้กล่าววา่ แม่เจ้าทง้ั หลายจาพรรษาทไี่ หน โอวาทสัมฤทธผ์ิ ลดีละหรอื ภกิ ษณุ ีเหล่านั้นตอบว่า อาวาสทพ่ี วกเราจาพรรษาไม่มภี ิกษุเลย โอวาทจักสัมฤทธ์ผิ ลดีจากที่ไหนกัน พระผมู้ พี ระภาครับสัง่ ให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนเ้ี ป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษทุ งั้ หลาย แล้วจงึ รบั สงั่ ใหภ้ ิกษณุ ที ้งั หลายยกสกิ ขาบทนีข้ ้นึ แสดงดงั น้ีพระบญั ญตั ิ กภ็ กิ ษุณีใดจาพรรษาในอาวาสท่ีไม่มีภกิ ษุ ต้องอาบัตปิ าจติ ตยี ์สกิ ขาบทวภิ ังค์ ภิกษุณีตงั้ ใจว่า “จะจาพรรษา” แลว้ จัดแจงเสนาสนะ ต้งั นา้ ฉนั นา้ ใช้ไว้ กวาดบริเวณ ตอ้ งอาบัติทุกกฏ พออรุณขน้ึ ตอ้ งอาบัติปาจิตตีย์อนาปัตติวาร ภิกษณุ ีตอ่ ไปนีไ้ มต่ อ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษณุ ีจาพรรษาในอาวาสท่มี ีภิกษอุ ยูจ่ าพรรษา หลกี ไป สึก มรณภาพหรอื ไปเขา้ รีตเดยี รถยี ์ ๒. ภิกษณุ ผี ูม้ เี หตขุ ดั ขอ้ ง ๓. ภกิ ษุณีวิกลจริต ๔. ภกิ ษณุ ีตน้ บญั ญตั ิ สกิ ขาบทท่ี ๗ ว่าดว้ ยการไม่ปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ๔๕ อาวาสท่ไี มม่ ีภิกษุ” หมายถงึ สานกั ภกิ ษณุ ที ี่ไม่มีภกิ ษุผู้จะใหโ้ อวาทอยภู่ ายในระยะ ๑ โยชน์หรือเสน้ ทางท่ีจะไปยงั สานักภกิ ษุณนี นั้ ไม่ปลอดภัย ไม่สะดวก ภิกษไุ ม่สามารถเดินทางไปให้โอวาทได้ (ว.ิ อ. ๒/๑๔๙/๓๒๑, กงขฺ า.อ. ๓๙๑) ไม่ได้หมายถึง อาวาสเดียวกันกับภิกษุ

๑๑๓ เรือ่ งภิกษณุ หี ลายรปู คร้งั นัน้ ภกิ ษณุ หี ลายรูปออกพรรษาในอาวาสใกลห้ มู่บา้ นแล้วพากันไปกรุงสาวตั ถี ภิกษณุ ีทง้ั หลายไดก้ ลา่ ววา่ ทา่ นทง้ั หลายจาพรรษาทไี่ หน ได้ปวารณาตอ่ ภกิ ษุสงฆแ์ ล้วหรอื ภิกษณุ ีเหลา่ นั้นตอบว่า พวกเรายงั มไิ ดป้ วารณาต่อภกิ ษสุ งฆ์เลย เจ้าข้า ภิกษุณีผ้มู ักนอ้ ย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณามโพนทะนาไดน้ า เรื่องน้ไี ปบอกภกิ ษุทัง้ หลายให้ทราบ พวกภิกษไุ ดน้ าเร่ืองนีไ้ ปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาค ใหท้ รงทราบ ลาดบั นนั้ พระผูม้ ีพระภาครบั สัง่ ให้ประชุมสงฆ์เพราะเรอื่ งน้ีเป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุทงั้ หลาย แล้วจึงรับส่งั ให้ภิกษณุ ีท้ังหลายยกสิกขาบทนขี้ ้ึนแสดงดังน้ีพระบญั ญตั ิ กภ็ ิกษณุ ีใดจาพรรษาแลว้ ไม่ปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย๔๖ด้วยฐานะ ๓ คือ ด้วยไดเ้ ห็น ด้วยไดย้ ิน หรือด้วยระแวงสงสัย ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์สิกขาบทวิภังค์ ทช่ี ่อื ว่า จาพรรษาแล้ว คือ อย่จู าพรรษาต้น ๓ เดอื น หรือพรรษาหลงั ๓ เดือน ภิกษณุ ีพอทอดธุระว่า “ เราจะไมป่ วารณาในสงฆ์ ๒ ฝา่ ยด้วยฐานะ ๓ คอื ดว้ ยไดเ้ ห็น ด้วยได้ยิน หรือดว้ ยระแวงสงสยั ” ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตีย์อนาปัตตวิ าร ภิกษณุ ีต่อไปน้ไี มต่ อ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษุณีไม่ปวารณาในเมอ่ื มีอันตราย ๒. ภิกษุณีแสวงหาแล้วแตไ่ มไ่ ด้๑ ๓. ภิกษณุ ผี ูเ้ ป็นไข้ ๔. ภกิ ษณุ ผี ู้มเี หตขุ ดั ขอ้ ง ๕. ภิกษณุ วี ิกลจรติ ๖. ภกิ ษุณีต้นบญั ญัติ สิกขาบทที่ ๘ ว่าดว้ ยการไมไ่ ปรบั โอวาทเปน็ ต้น เรื่องภิกษณุ ีฉพั พัคคีย์ ๔๖ วธิ กี ารปวารณาต่อภกิ ษสุ งฆ์โดยย่อ คอื หลงั จากทไ่ี ด้ปวารณาต่อกันและกันแลว้ แตง่ ตง้ั ภิกษุณรี ปู หนงึ่ดว้ ยญตั ตทิ ุตยิ กรรมใหเ้ ป็นผนู้ าภกิ ษณุ ีสงฆ์ไปปวารณาในสานกั ภิกษสุ งฆ์ (กงขฺ า.อ. ๓๙๒-๓๙๓)

๑๑๔ ครงั้ นนั้ พวกภกิ ษุฉพั พัคคีย์ไปสานกั ภิกษณุ ีแลว้ กลา่ วสอนพวกภิกษุณีฉพั พคั คยี ์ ภิกษุณีทัง้ หลายได้กลา่ ววา่ มาเถิด แมเ่ จ้าทง้ั หลาย พวกเราจะไปรับโอวาท ภกิ ษุณีฉพั พคั คยี ์กล่าวว่า พวกเราจะไปรบั โอวาททาไมกัน พระคุณเจา้ ฉัพพคั คียม์ าให้โอวาทพวกเราถึงท่นี ีแ้ ลว้ ลาดบั นั้น พระผู้มพี ระภาครับสง่ั ใหป้ ระชุมสงฆ์เพราะเรือ่ งน้ีเป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุทัง้ หลาย แลว้ จงึ รบั สงั่ ให้ภิกษุณีทัง้ หลาย ยกสิกขาบทนีข้ น้ึ แสดงดงั นี้พระบัญญัติ กภ็ กิ ษุณีใดไม่ไปรับโอวาท หรอื ธรรมเป็นเหตุอยู่รว่ มกนั ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตีย์สิกขาบทวิภงั ค์ ทช่ี ื่อวา่ โอวาท ไดแ้ ก่ ครุธรรม ๘ ประการ๔๗ ทช่ี อ่ื วา่ ธรรมเป็นเหตอุ ยู่รว่ มกัน ได้แก่ กรรมท่ีทาร่วมกัน อทุ เทสทส่ี วดร่วมกัน ความมีสกิ ขาเสมอกนั ภิกษุณีพอทอดธุระวา่ “เราจะไมไ่ ปรับโอวาทหรอื ธรรมเป็นเหตอุ ยรู่ ่วมกัน” ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี ์อนาปัตติวาร ภิกษุณีตอ่ ไปน้ไี มต่ ้องอาบัติ คอื ๑. ภิกษุณีไม่ไปรับโอวาทในเมือ่ มีอนั ตราย ๒. ภกิ ษณุ ีแสวงหาแล้วแตไ่ มไ่ ด้ภิกษณุ ีเป็นเพ่ือน ๓. ภกิ ษุณีผู้เปน็ ไข้ ๔. ภิกษณุ ผี ู้มีเหตุขดั ขอ้ ง ๔๗“ครุธรรม 8 ประการ” คือ 1. ภิกษุณีแมอ้ ปุ สมบทแลว้ ได้ ๑๐๐ พรรษา ก็พึงเคารพกราบไว้ พระภิกษุ แม้ อปุ สมบทได้วนั เดียว 2. ภกิ ษณุ ี จะอยู่จาพรรษาในอาวาสทีไ่ ม่มีพระภิกษุนนั้ ไม่ได้ ตอ้ งอยใู่ นอาวาสที่มีพระภกิ ษุ 3. ภกิ ษุณี จะต้องทาอโุ บสถกรรม และรับฟังโอวาทจากสานกั ภิกษสุ งฆ์ทกุ ก่ึงเดือน 4. ภกิ ษุณี อย่จู าพรรษาแล้ว วนั ออกพรรษาตอ้ งทาปวารณาในสานกั สงฆท์ ั้งสองฝา่ ย (ภกิ ษุสงฆ์และ ภิกษณุ ีสงฆ์) 5. ภกิ ษณุ ี ถ้าต้องอาบัติสังฆาทเิ สส อยปู่ ริวาสกรรม ต้องประพฤตมิ านตั ในสงฆส์ องฝ่าย 6. ภิกษณุ ี ตอ้ งอปุ สมบทในสานักสงฆ์สองฝา่ ย หลงั จากเปน็ นางสิกขมานารักษา “สิกขาบท 6 ประการ” คือ ศลี 5 กับ การเว้นการรับประทานอาหารยามวิกาล ทง้ั 6 ประการนี้ มใิ หข้ าดตก บกพร่องเปน็ เวลา 2 ปี ถา้ บกพร่องในระหว่าง 2 ปี ตอ้ งเรม่ิ ปฏบิ ตั ใิ หม่ 7. ภิกษณุ ี จะกลา่ วอกั โกสกถาคือ ดา่ บริพาษภกิ ษุ ด้วยอาการอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ มไิ ด้ 8. ภิกษณุ ี ต้ังแตว่ ันอุปสมบทเป็นตน้ ไป พงึ ฟงั โอวาทจากภิกษเุ พียงฝา่ ยเดยี ว จะให้โอวาทภิกษมุ ิได้

๑๑๕ ๕. ภกิ ษุณีวิกลจริต ๖. ภิกษณุ ตี ้นบัญญตั ิ สกิ ขาบทที่ ๙ ว่าด้วยการไมถ่ ามอโุ บสถเป็นต้น เรื่องภิกษุณีไมถ่ ามอุโบสถ ไมข่ อโอวาท ครง้ั นัน้ ภิกษณุ ไี ม่ถามอโุ บสถบ้าง ไมข่ อโอวาทบา้ ง ภกิ ษุทง้ั หลายจงึ ตาหนิ ประณามโพนทะนาวา่ ไฉนพวกภิกษณุ ีจงึ ไมถ่ ามอุโบสถบ้าง ไม่ขอโอวาทบ้างเล่า ลาดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆเ์ พราะเรื่องน้เี ปน็ ต้นเหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุทั้งหลาย แล้วจงึ รบั ส่ังให้ภิกษณุ ที ้งั หลายยกสิกขาบทนข้ี ้ึนแสดงดังนี้พระบญั ญัติ กภ็ ิกษณุ ีพงึ หวังธรรม ๒ อย่างจากภกิ ษุสงฆ์ทุกกึ่งเดอื น คือ การถามอโุ บสถ ๑ การเขา้ ไปขอโอวาท ๑ ผูฝ้ ่าฝนื ธรรม ๒ อยา่ งน้ัน ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์สิกขาบทวภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื ว่า อุโบสถ ได้แก่ อโุ บสถ ๒ อยา่ ง คอื อโุ บสถวนั ๑๔ ค่า และอโุ บสถ วนั ๑๕ ค่า ภิกษณุ ีทอดธรุ ะวา่ “เราจะไม่ถามอโุ บสถบ้าง จะไมข่ อโอวาทบา้ ง” ต้องอาบัติปาจิตตยี ์อนาปตั ติวาร ภกิ ษุณตี อ่ ไปนไ้ี ม่ต้องอาบตั ิ คอื ๑. ภกิ ษุณไี ม่ถามอุโบสถและไม่ขอโอวาทในเมอื่ มีอันตราย ๒. ภกิ ษณุ แี สวงหาแล้วแต่ไมไ่ ดภ้ ิกษณุ ีเป็นเพือ่ น ๓. ภกิ ษณุ ีผ้เู ปน็ ไข้ ๔. ภิกษุณผี มู้ ีเหตุขัดขอ้ ง ๕. ภิกษณุ ีวิกลจรติ ๖. ภิกษุณีต้นบัญญัติ สิกขาบทที่ ๑๐ ว่าด้วยการใหบ้ ่งฝใี นร่มผ้า๔๘ ๔๘ ภิกษณุ ไี มบ่ อกสงฆห์ รือคณะ ใชใ้ หบ้ ่ง ให้ผา่ ให้ชะล้าง ให้ทา ให้พัน ให้แกะ ชายนั้นทาหมดทุกอย่างตามท่ีใช้ ภกิ ษุณีนั้นตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ ๖ ตัว ในขณะทีใ่ ช้ เมอ่ื ชายนน้ั ทาเสรจ็ ภิกษุณตี อ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ๖ ตัวหรอื แม้จะใชใ้ ห้เขาทาตามทเ่ี หน็ สมควร เมอื่ เขาทาเสรจ็ ทุกอยา่ ง ก็ตอ้ งอาบัติทกุ กฏ ๖ ตัว ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตยี ์ ๖ ตวั เช่นกันแตถ่ ้าใชใ้ ห้ทาเพยี งอยา่ งเดียว แม้ชายน้ันจะทาหมดทุกอย่าง ก็ต้องอาบัตทิ กุ กฏและปาจิตตยี ์เพียง ๑ ตัว (กงขฺ า.อ.๓๙๕)

๑๑๖ เรื่องภกิ ษุณีรปู หน่ึง ครั้งนัน้ ภิกษุณีรูปหนงึ่ ให้บ่งฝีท่ีเกิดในร่มผ้าอยู่กนั สองตอ่ สองกบั ชาย ลาดับน้นั ชายน้ันพยายามจะข่มขืนภกิ ษุณนี ้นั เธอ ได้สง่ เสยี งร้องขึน้ ภิกษณุ ที ัง้ หลายว่งิ เข้าไปได้ถามภิกษณุ ีนั้น เธอจึงบอกเรือ่ งน้ันให้ภกิ ษุณีทง้ั หลายทราบ ลาดับนน้ั พระผูม้ พี ระภาครับส่ังให้ประชมุ สงฆเ์ พราะเรื่องนีเ้ ปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุทง้ั หลาย แล้วจงึ รบั สั่งให้ภกิ ษุณีทง้ั หลายยกสกิ ขาบทนี้ขนึ้ แสดงดงั น้ีพระบญั ญตั ิ ก็ภิกษณุ ีใดไม่บอกสงฆห์ รือคณะ ใชใ้ หบ้ ง่ ให้ผา่ ใหช้ ะลา้ ง ให้ทา ให้พนั หรอื ให้แกะฝหี รอืบาดแผลท่เี กิดในรม่ ผ้าอยู่กนั สองตอ่ สองกบั ชาย ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์สกิ ขาบทวิภงั ค์ ทช่ี อ่ื ว่า ในรม่ ผา้ ไดแ้ ก่ บรเิ วณใต้สะดือลงมา เหนอื เขา่ ข้นึ ไป ทช่ี ่อื วา่ สงฆ์ พระผู้มีพระภาคตรสั หมายถึงภิกษณุ สี งฆ์ ภิกษณุ สี ัง่ วา่ “จงบ่ง” ต้องอาบัติทกุ กฏ เม่อื บง่ เสรจ็ ตอ้ งอาบตั ิ ปาจติ ตยี ์ ภกิ ษุณีสั่งวา่ “จงผา่ ” ต้องอาบัติทกุ กฏ เมอ่ื ผ่าเสร็จ ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์ ภกิ ษุณสี ั่งว่า “จงชะล้าง” ต้องอาบตั ทิ ุกกฏ เมือ่ ชะล้างเสรจ็ ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตยี ์ ภิกษุณีสัง่ วา่ “จงทา” ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ เมอื่ ทาเสร็จ ต้องอาบัติปาจติ ตีย์ ภกิ ษุณสี ง่ั ว่า “จงพัน” ต้องอาบตั ิทุกกฏ เม่ือพนั เสร็จ ต้องอาบัตปิ าจิตตยี ์ ภิกษณุ ีสงั่ ว่า “จงแกะ” ตอ้ งอาบัติทุกกฏ เมอื่ แกะเสรจ็ ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตีย์อนาปตั ตวิ าร ภกิ ษณุ ตี ่อไปน้ีไม่ต้องอาบตั ิ คอื ๑. ภกิ ษณุ บี อกสงฆ์หรือคณะแลว้ จงึ ใหบ้ ่ง ให้ผา่ ให้ชะล้าง ใหท้ า ใหพ้ ันหรอื ให้ แกะ ๒. ภกิ ษุณมี ีสตรผี ู้รู้เดียงสาอยเู่ ปน็ เพอื่ น ๓. ภกิ ษณุ ีวิกลจรติ ๔. ภกิ ษณุ ีต้นบัญญัติ๔. ๗ คัพภินวี รรค หมวดวา่ ดว้ ยสตรมี คี รรภ์

๑๑๗ สกิ ขาบทที่ ๑ว่าดว้ ยการบวชใหส้ ตรีมคี รรภ์ เรื่องภกิ ษุณหี ลายรปู ครง้ั นั้น ภิกษณุ ีท้ังหลายบวชใหส้ ตรมี คี รรภ์ เธอเทย่ี วบณิ ฑบาต คนทั้งหลายกลา่ วอยา่ งนว้ี ่าท่านทงั้ หลายจงถวายภิกษาหารแก่แม่เจา้ แม่เจ้ามคี รรภ์แก่ แล้วตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ ไฉนพวกภิกษณุ ีจึงบวชใหส้ ตรมี คี รรภเ์ ล่า พวกภกิ ษไุ ด้นาเรอื่ งนี้ไปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคใหท้ รงทราบ ลาดบั น้ัน พระผมู้ พี ระภาครบั ส่งั ใหป้ ระชุมสงฆเ์ พราะเร่ืองน้ีเป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุทัง้ หลาย แล้วจงึ รบั สัง่ ให้ภิกษุณีทง้ั หลายยกสกิ ขาบทนี้ข้นึ แสดงดังน้ีพระบัญญัติ ก็ภกิ ษณุ ีใดบวชให้สตรีมีครรภ์ ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์ สิกขาบทวภิ งั ค์ คาวา่ บวชให้ คอื อุปสมบทให้ภกิ ษุณตี ้งั ใจว่า “จะบวชให้” แลว้ แสวงหาคณะ อาจารย์ บาตรหรอื จวี ร หรือสมมตสิ ีมา ตอ้ งอาบัติทกุ กฏ (สวด)จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบกรรมวาจา ๒ คร้งั ต้องอาบตั ิทุกกฏ ๒ ตวั จบกรรมวาจาครั้งสุดท้าย ภิกษุณีผเู้ ปน็ อุปัชฌาย์ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตีย์ คณะและอาจารย์ ต้องอาบตั ทิ กุ กฏบทภาชนีย์ สตรีมีครรภ์ ภกิ ษณุ สี าคัญวา่ มคี รรภ์ บวชให้ ต้องอาบตั ิปาจติ ตยี ์ สตรีมีครรภ์ ภกิ ษณุ ีไม่แนใ่ จ บวชให้ ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ สตรีมีครรภ์ ภิกษุณีสาคญั ว่าไม่มคี รรภ์ บวชให้ ไม่ต้องอาบตั ิ สตรีไมม่ ีครรภ์ ภิกษุณสี าคัญวา่ มคี รรภ์ บวชให้ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ สตรีไม่มีครรภ์ ภกิ ษุณไี ม่แนใ่ จ บวชให้ ต้องอาบัตทิ กุ กฏ สตรีไม่มคี รรภ์ ภกิ ษุณีสาคญั วา่ ไมม่ ีครรภ์ บวชให้ ไม่ต้องอาบตั ิอนาปตั ติวาร ภกิ ษุณตี ่อไปนไี้ มต่ ้องอาบตั ิ คือ ๑. สตรมี ีครรภ์ ภิกษณุ ีสาคัญว่าไมม่ คี รรภ์ จึงบวชให้ ๒. สตรไี มม่ ีครรภ์ ภิกษณุ สี าคัญว่าไมม่ คี รรภ์ จึงบวชให้ ๓. ภิกษุณวี ิกลจริต ๔. ภิกษณุ ตี น้ บญั ญัติ

๑๑๘ สิกขาบทที่ ๒ วา่ ดว้ ยการบวชใหส้ ตรมี ลี กู ยงั ดื่มนม เรื่องภกิ ษณุ หี ลายรปู บวชให้สตรีมีลูกยังด่มื นม ครัง้ น้ัน ภิกษณุ ีทั้งหลายบวชใหส้ ตรมี ีลกู ยงั ดืม่ นม๔๙ เธอเท่ียวบณิ ฑบาต คนทัง้ หลายกลา่ ววา่ทา่ นทง้ั หลายจงถวาย ภกิ ษาหารแก่แม่เจ้า แมเ่ จา้ มลี ูก แลว้ ตาหนวิ า่ ไฉนพวกภิกษณุ จี งึ บวชให้สตรีมีลูกยงั ดื่มนมเลา่ ลาดบั น้นั พระผูม้ ีพระภาครับสั่งใหป้ ระชมุ สงฆ์เพราะเร่ืองนเี้ ป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุทั้งหลาย แลว้ จงึ รับสั่งให้ ภิกษณุ ีทง้ั หลายยกสิกขาบทนขี้ ้ึนแสดงดงั นี้พระบัญญตั ิ กภ็ กิ ษุณใี ดบวชใหส้ ตรมี ีลกู ยังดม่ื นม ต้องอาบัติปาจติ ตยี ์สิกขาบทวิภงั ค์อนาปัตตวิ าร ภิกษุณตี อ่ ไปน้ไี ม่ตอ้ งอาบตั ิ คอื ๑. สตรีมีลกู ยังดม่ื นม ภกิ ษณุ สี าคัญว่าไม่มลี ูกยังดมื่ นม จงึ บวชให้ ๒. สตรไี ม่มีลูกยงั ดื่มนม ภิกษณุ ีสาคญั ว่าไม่มลี กู ยงั ดม่ื นม จึงบวชให้ ๓. ภิกษุณวี กิ ลจรติ ๔. ภกิ ษณุ ตี น้ บัญญตั ิ สกิ ขาบทท่ี ๓ วา่ ดว้ ยการบวชให้สิกขมานาผ้ยู งั ไม่ไดศ้ กึ ษาธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปี เร่ืองภกิ ษุณีหลายรปู ครง้ั นน้ั ภกิ ษุณีทงั้ หลายบวชใหส้ ิกขมานา ผ้ไู มไ่ ด้ศกึ ษาสิกขาในธรรม ๖ ข้อ๑ตลอด ๒ ปีสกิ ขมานาผบู้ วชเปน็ ภกิ ษุณีเหลา่ นั้นโงเ่ ขลา ไม่ฉลาด ไมร่ สู้ ่งิ ท่ีควรหรอื ไมค่ วร พวกภิกษไุ ด้นาเร่ืองน้ีไปกราบทลู พระผูม้ ีพระภาคใหท้ รงทราบ ลาดบั นนั้ พระผ้มู ีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆเ์ พราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลาย ครั้นทรงตาหนแิ ลว้ ทรงแสดงธรรมีกถา แล้วรับสง่ั กบั ภกิ ษุทัง้ หลายวา่ ภิกษุทง้ั หลาย เราอนญุ าตให้ภกิ ษุณีสงฆ์ใหส้ ิกขาสมมติ๑ในธรรม ๖ ข้อ เป็นเวลา ๒ ปแี ก่สิกขมานา ภิกษทุ ั้งหลาย สงฆพ์ งึ ใหส้ กิ ขาสมมติอย่างน้ี วิธขี อสกิ ขาสมมติและกรรมวาจาให้สกิ ขาสมมติ ๔๙ กงั ขา.อ ๓๙๖

๑๑๙ สกิ ขมานานั้นพงึ เข้าไปหาสงฆ์ หม่ อตุ ตราสงค์เฉวยี งบ่าขา้ งหนึ่ง กราบเทา้ ภิกษณุ ีทัง้ หลายแลว้นงั่ กระโหยง่ ประนมมือ กล่าวอยา่ งนวี้ า่ “แมเ่ จา้ ดฉิ นั ชอ่ื น้ี เปน็ สิกขมานาของแมเ่ จ้าชอ่ื น้ีขอสกิ ขาสมมตใิ นธรรม ๖ ขอ้ เปน็ เวลา ๒ ปีต่อสงฆ์” พึงขอแมค้ รง้ั ที่ ๒ พึงขอแม้ครง้ั ที่ ๓ ภกิ ษณุ ีผ้ฉู ลาดสามารถพงึ ประกาศใหส้ งฆท์ ราบดว้ ยญัตตทิ ุติยกรรมวาจาวา่ แมเ่ จ้า ขอสงฆจ์ งฟงั ขา้ พเจ้า สิกขมานาช่อื น้ขี องแมเ่ จา้ ชือ่ นขี้ อ สิกขาสมมติในธรรม ๖ ข้อเปน็ เวลา ๒ ปีตอ่ สงฆ์ ถา้ สงฆพ์ รอ้ มกันแล้วก็พึงให้ สกิ ขาสมมติในธรรม ๖ ข้อเป็นเวลา ๒ ปีแกส่ กิ ขมานาชอื่ นี้ นเ่ี ป็นญัตติ แมเ่ จ้า ขอสงฆ์จงฟงั ข้าพเจ้า สิกขมานาช่ือนีข้ องแมเ่ จา้ ชือ่ น้ขี อสกิ ขาสมมติในธรรม ๖ ขอ้ เป็นเวลา ๒ ปีตอ่ สงฆ์ สงฆใ์ หส้ ิกขาสมมตใิ นธรรม ๖ ข้อ เป็นเวลา ๒ ปแี กส่ กิ ขมานาช่อื นี้ แมเ่ จ้ารูปใดเห็นดว้ ยกับการให้สกิ ขาสมมตใิ นธรรม ๖ ขอ้ เปน็ เวลา ๒ ปแี ก่สิกขมานาช่ือนี้ แม่เจา้ รปู นัน้ พึงนิ่ง แมเ่ จา้รปู ใดไม่เห็นด้วย แมเ่ จ้ารูปนน้ั พงึ ทักทว้ ง สกิ ขาสมมติในธรรม ๖ ขอ้ เป็นเวลา ๒ ปี สงฆใ์ ห้แก่สิกขมานาช่อื นี้แล้ว สงฆเ์ หน็ ดว้ ยเพราะฉะน้ันจึงนิง่ ข้าพเจา้ ขอถอื ความนงิ่ นัน้ เป็นมตอิ ยา่ งน้ี พงึ บอกสิกขมานาผนู้ นั้ ว่า เธอจงกลา่ วอยา่ งนแ้ี ล้วให้สกิ ขา ๖ พระผู้มพี ระภาคครน้ั ทรงตาหนภิ กิ ษุณีเหล่าน้ันโดยประการตา่ ง ๆ แล้ว แลว้ รบั สัง่ ให้ภกิ ษณุ ีทงั้ หลายยกสิกขาบทน้ีขน้ึ แสดงดงั น้ีพระบัญญตั ิ ก็ภกิ ษณุ ใี ดบวชใหส้ กิ ขมานา๕๐ผยู้ ังไมไ่ ด้ศกึ ษาสกิ ขาในธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปี ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตยี ์สกิ ขาบทวิภังค์ ภกิ ษณุ ีตงั้ ใจวา่ “จะบวชให้” แลว้ แสวงหาคณะ อาจารย์ บาตร หรอื จีวร หรือสมมตสิ ีมาต้องอาบตั ทิ ุกกฏ จบญัตติ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ จบกรรมวาจา ๒ ครัง้ ต้องอาบตั ิทุกกฏ ๒ ตวั จบกรรมวาจาครัง้ สดุ ทา้ ย ภกิ ษณุ ผี ูเ้ ป็นอุปชั ฌาย์ ต้องอาบตั ิปาจติ ตีย์ คณะและอาจารย์ ตอ้ งอาบตั ทิ ุกกฏ ๕๐ สิกขมานา นางผู้กาลังศึกษา, สามเณรี ผู้มีอายุถึง ๑๘ ปีแล้ว อีก ๒ ปีจะครบบวชเป็นภิกษุณี ภิกษุณีสงฆส์ วดใหส้ ิกขาสมมติ คอื ตกลงให้สมาทานสิกขาบท ๖ ประการ ต้ังแต่ปาณาติปาตา เวรมณี จนถึง วิกาลโภชนาเวรมณี ใหร้ กั ษาอย่างเคร่งครัดไม่ขาดเลย ตลอดเวลา ๒ ปีเต็ม (ถา้ ล่วงขอ้ ใดข้อหนงึ่ ตอ้ งสมาทานตัง้ แตต่ น้ ไปใหมอ่ ีก๒ ป)ี ครบ ๒ ปี ภกิ ษณุ สี งฆ์จึงทาพธิ ีอุปสมบทให้ขณะที่สมาทานสิกขาบท ๖ ประการอย่างเคร่งครัดน้ี เรียกว่า นางสกิ ขมานา(พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ทพ์ ระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต)

๑๒๐บทภาชนีย์ติกทกุ กฏ กรรมท่ีทาไม่ถกู ต้อง ภิกษุณีสาคญั วา่ เป็นกรรมท่ีทาถกู ตอ้ ง บวชให้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ กรรมท่ีทาไม่ถกู ต้อง ภกิ ษณุ ีไมแ่ นใ่ จ บวชให้ ต้องอาบตั ทิ ุกกฏ กรรมท่ีทาไม่ถกู ตอ้ ง ภกิ ษุณีสาคญั วา่ เป็นกรรมที่ทาไมถ่ ูกต้อง บวชให้ ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฏอนาปตั ตวิ าร ภิกษุณตี ่อไปน้ไี มต่ ้องอาบัติ คือ ๑. ภิกษุณีบวชให้สกิ ขมานาผู้ได้ศึกษาสกิ ขาในธรรม ๖ ข้อ ตลอด ๒ ปี ๒. ภิกษุณวี กิ ลจรติ ๓. ภิกษุณีตน้ บญั ญตั ิ สกิ ขาบทท่ี ๔ วา่ ด้วยการบวชใหส้ ิกขมานาทส่ี งฆย์ ังไมไ่ ด้สมมติ๕๑ เรื่องภกิ ษณุ ีหลายรูป ครัง้ นนั้ ภิกษุณที ้งั หลายบวชใหส้ กิ ขมานา ผศู้ ึกษาสกิ ขาในธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปี แตส่ งฆ์ยงัไมไ่ ด้สมมติ ภิกษุณที ั้งหลายกลา่ ว อยา่ งน้ีวา่ สิกขมานาทัง้ หลาย พวกเธอจงมานี่ จงรู้สง่ิ น้ี ประเคนส่ิงน้ี นาส่งิ น้มี า ฉนั ตอ้ งการส่งิ นี้ จงทาสงิ่ นใ้ี ห้เป็นกปั ปิยะ สิกขมานาเหล่าน้ันตอบว่า แม่เจา้ พวกดฉิ ันไมใ่ ช่สิกขมานา พวกดิฉนั เป็นภิกษณุ ี ลาดบั น้ัน พระผู้มพี ระภาครบั สงั่ ใหป้ ระชมุ สงฆเ์ พราะเรือ่ งนี้เปน็ ต้นเหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุท้งั หลาย ครนั้ ทรงตาหนแิ ลว้ ทรงแสดงธรรมกี ถา แลว้ รบั สัง่ กับภิกษทุ ัง้ หลายว่า ภกิ ษทุ ้ังหลาย เราอนญุ าตให้ภกิ ษุณีสงฆใ์ ห้วุฏฐานสมมติแก่สกิ ขมานาผู้ได้ศึกษาสกิ ขาในธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปีแลว้ภกิ ษุท้ังหลาย สงฆพ์ ึงใหว้ ฏุ ฐานสมมติ พระผู้มพี ระภาคครัน้ ทรงตาหนิภิกษุณเี หลา่ นนั้ โดยประการต่าง ๆ แล้ว แล้วรับสัง่ ใหภ้ ิกษุณีทัง้ หลายยกสิกขาบทนี้ข้นึ แสดงดังน้ีพระบญั ญตั ิ กภ็ ิกษุณีใดบวชให้สกิ ขมานาผู้ศกึ ษาสกิ ขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีแลว้ แตส่ งฆ์ยังไม่ได้สมมติ ต้องอาบัติปาจิตตยี ์ ๕๑ สิกขาสมมติ คอื ข้อตกลงยินยอมร่วมกันท่จี ะใหส้ ิกขมานาน้ันศกึ ษาในธรรม ๖ ขอ้ เปน็ เวลา ๒ ปีหมายถงึ อนปุ สมั บนั หรอื สามเณรผี ใู้ คร่ศึกษา แตย่ ังไมม่ ภี กิ ษุณีใดให้สิกขาหรอื มสี ิกขาเสยี ไป ท่ีได้ช่ือว่าสิกขมานาเพราะศึกษาในธรรม ๖ ขอ้ หรือธรรมกลา่ วคอื สิกขาเหล่านนั้ (กงฺขา.อ. ๓๙๗)

๑๒๑สกิ ขาบทวภิ ังค์ตกิ ทุกกฏ กรรมทท่ี าไมถ่ ูกตอ้ ง ภิกษณุ สี าคญั ว่าเป็นกรรมที่ทาถูกตอ้ ง บวชให้ ต้องอาบตั ิทุกกฏ กรรมทที่ าไมถ่ ูกต้อง ภิกษุณไี มแ่ น่ใจ บวชให้ ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฏ กรรมที่ทาไมถ่ กู ต้อง ภิกษณุ สี าคัญว่าเป็นกรรมทีท่ าไมถ่ ูกตอ้ ง บวชให้ ตอ้ งอาบัติทกุ กฏอนาปตั ตวิ าร ภิกษณุ ีตอ่ ไปน้ีไมต่ อ้ งอาบัติ คือ ๑. ภกิ ษุณบี วชใหส้ กิ ขมานาผู้ได้ศกึ ษาสกิ ขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีท่สี งฆ์ สมมตแิ ล้ว ๒. ภิกษณุ วี ิกลจริต ๓. ภิกษุณีต้นบัญญัติ สิกขาบทที่ ๕ ว่าด้วยการบวชให้หญิงทม่ี ีครอบครัวอายตุ า่ กว่า ๑๒ ปี๕๒ เรอื่ งภิกษุณหี ลายรปู คร้งั นน้ั ภิกษุณที ้งั หลายบวชใหห้ ญงิ ทม่ี ีครอบครัวมีอายตุ า่ กว่า ๑๒ ปี ๑ หญงิ ทบ่ี วชเป็นภิกษณุ ีเหลา่ นน้ั ไม่อดทน ไมอ่ ดกล้นั ตอ่ ความเยน็ ความรอ้ น ความหวิ ความกระหาย สมั ผสั จากเหลอื บ ยุง ลม แดด สตั ว์เล้อื ยคลาน คากล่าวรา้ ย คาทฟ่ี ังแลว้ ไมด่ ี ความร้สู ึกทางกายทีเ่ กดิ ขน้ึ เป็นทุกข์ แสนสาหัส รุนแรง เผด็ รอ้ น ทไ่ี มน่ ่ายนิ ดี ไม่นา่ พอใจแทบจะคร่าชวี ติ ลาดบั น้ัน พระผ้มู พี ระภาครบั สั่งใหป้ ระชุมสงฆเ์ พราะเรอ่ื งนเ้ี ปน็ ต้นเหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุทง้ั หลายแลว้ จึงรบั ส่ังให้ภกิ ษณุ ีทั้งหลายยกสกิ ขาบทน้ขี ึ้นแสดงดังนี้พระบญั ญัติ กภ็ กิ ษุณีใดบวชให้หญงิ ท่ีมคี รอบครัวมอี ายตุ ่ากวา่ ๑๒ ปี ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตีย์สกิ ขาบทวภิ งั ค์ ๕๒ หญงิ ทีจ่ ะไดร้ บั การบวชเป็นภิกษุณีนนั้ นอกจากจะต้องผา่ นกระบวนการต่าง ๆ ตามขน้ั ตอนแลว้ ยังตอ้ งมอี ายุครบ ๒๐ ปี แต่ในกรณีน้ี เป็นขอ้ ยกเวน้ สาหรับหญงิ ท่ีมีครอบครวั แลว้ หรอื เคยผา่ นการแตง่ งานมคี รอบครัวมาแล้ว แมเ้ ธอจะมอี ายเุ พียง ๑๒ ปี ถา้ ผ่านการศึกษาสกิ ขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีและสงฆ์ใหก้ ารสมมตคิ อืรับรองแลว้ ก็สามารถบวชเป็นภิกษุณไี ด้ (กงขฺ า.อ. ๓๙๘-๔๐๐)

๑๒๒ ทีช่ ่อื วา่ หญิงทม่ี ีครอบครวั พระผู้มีพระภาคตรัสหมายถึงหญงิ ทีเ่ คยอย่รู ่วมกบั ชายบทภาชนยี ์ หญงิ อายุต่ากว่า ๑๒ ปี ภกิ ษณุ สี าคัญวา่ มีอายตา่ กว่า ๑๒ ปี บวชให้ ต้องอาบตั ปิ าจิตตยี ์ หญงิ อายตุ า่ กว่า ๑๒ ปี ภิกษณุ ีไมแ่ น่ใจ บวชให้ ตอ้ งอาบัติทุกกฏ หญงิ อายุตา่ กว่า ๑๒ ปี ภิกษณุ ีสาคัญว่าครบ บวชให้ ไม่ตอ้ งอาบัติ หญิงอายคุ รบ ๑๒ ปี ภิกษณุ ีสาคญั ว่ามอี ายตุ ่ากวา่ ๑๒ ปี บวชให้ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ หญิงอายคุ รบ ๑๒ ปี ภกิ ษณุ ไี มแ่ น่ใจ บวชให้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ หญงิ มีอายุตา่ กว่า ๑๒ ปี ภิกษุณีสาคญั ว่าครบ บวชให้ ไมต่ ้องอาบตั ิอนาปัตตวิ าร ภิกษุณีต่อไปน้ีไมต่ อ้ งอาบัติ คอื ๑. หญิงมอี ายตุ า่ กวา่ ๑๒ ปี ภกิ ษุณีสาคญั ว่าอายคุ รบ จึงบวชให้ ๒. หญิงมีอายคุ รบ ๑๒ ปี ภกิ ษณุ สี าคญั ว่าอายคุ รบ จึงบวชให้ ๓. ภกิ ษุณวี ิกลจริต ๔. ภกิ ษุณีตน้ บัญญตั ิ สกิ ขาบทท่ี ๖ วา่ ดว้ ยการบวชให้หญิงท่มี ีครอบครัวมีอายุครบ ๑๒ ปี แต่ยังไม่ไดศ้ ึกษาสกิ ขา เรือ่ งภิกษณุ หี ลายรปู ครัง้ นนั้ ภิกษณุ ที ั้งหลายบวชให้หญิงทม่ี คี รอบครวั มอี ายุครบ ๑๒ ปยี งั ไม่ไดศ้ ึกษาสิกขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปี หญิงทบี่ วชเปน็ ภิกษณุ เี หลา่ นัน้ โง่เขลา ไมฉ่ ลาด ไม่รู้สิง่ ที่ควรหรือไม่ควร พระผมู้ ีพระภาครับสั่งใหป้ ระชมุ สงฆเ์ พราะเร่อื งนี้เป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุท้ังหลาย คร้นัทรงตาหนแิ ลว้ ทรงแสดงธรรมกี ถา แล้วรับส่ังกับภกิ ษุทั้งหลายวา่ ภิกษทุ ั้งหลาย เราอนุญาตใหภ้ กิ ษณุ ีสงฆใ์ หส้ กิ ขาสมมติ ในธรรม ๖ ข้อเป็นเวลา ๒ ปีแกห่ ญิงทมี่ คี รอบครัวมีอายุครบ ๑๒ ปี ภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงใหส้ ิกขาสมมติ พระผู้มพี ระภาคครนั้ ทรงตาหนภิ ิกษณุ ีเหลา่ นน้ั โดยประการต่าง ๆ แล้วตรัส โทษแหง่ ความเปน็ ผู้เลย้ี งยาก ฯลฯ แล้วจึงรับสัง่ ใหภ้ ิกษณุ ที งั้ หลายยกสิกขาบทนข้ี ึ้นแสดงดังนี้พระบญั ญัติ

๑๒๓ กภ็ กิ ษุณีใดบวชให้หญงิ ทม่ี คี รอบครัวมอี ายุครบ ๑๒ ปยี งั ไม่ได้ ศกึ ษาสิกขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปี ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตยี ์สิกขาบทวภิ งั ค์ตกิ ทุกกฏ กรรมท่ที าไม่ถกู ต้อง ภกิ ษุสาคัญว่าเป็นกรรมทที่ าถูกต้อง บวชให้ ตอ้ งอาบตั ิ ทุกกฏ กรรมท่ที าไม่ถูกตอ้ ง ภิกษณุ ไี ม่แน่ใจ บวชให้ ต้องอาบัตทิ กุ กฏ กรรมท่ีทาไมถ่ กู ตอ้ ง ภกิ ษณุ สี าคัญวา่ เปน็ กรรมทที่ าไมถ่ กู ตอ้ ง บวชให้ ตอ้ งอาบัติทกุ กฏอนาปตั ตวิ าร ภิกษณุ ตี อ่ ไปนไี้ มต่ อ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษุณีบวชใหห้ ญงิ ท่ีมคี รอบครวั มอี ายุครบ ๑๒ ปีผู้ไดศ้ ึกษา สิกขาในธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปีแล้ว ๒. ภิกษุณวี ิกลจริต ๓. ภกิ ษุณีตน้ บญั ญัติ สิกขาบทที่ ๗ ว่าดว้ ยการบวชให้หญิงที่มีครอบครัวซง่ึ สงฆ์ยงั ไมไ่ ดส้ มมติ๕๓ เร่อื งภิกษุณีหลายรปู คร้ังนน้ั ภกิ ษุณีบวชให้หญงิ ทีม่ คี รอบครวั มีอายุครบ ๑๒ ปีผศู้ กึ ษาสกิ ขาในธรรม ๖ ขอ้ ตลอด๒ ปแี ต่สงฆย์ งั ไม่ไดส้ มมติ ภกิ ษณุ ที ง้ั หลายกลา่ วว่า สกิ ขมานาทงั้ หลาย พวกเธอจงมาน่ี จงร้สู ่ิงนี้ประเคนสงิ่ นี้ นาส่ิงนีม้ า ฉันตอ้ งการส่ิงนี้ จงทาสง่ิ นใ้ี ห้เป็นกปั ปยิ ะ สกิ ขมานาเหล่าน้ันตอบวา่ “แม่เจา้ พวกดิฉนั มใิ ช่สิกขมานา พวกดิฉันเป็น ภกิ ษุณ”ี ๕๓ วุฏฐานสมมติ แปลวา่ สมมติการบวช หมายถึง การรับรองให้บวชได้ กรรมชนิดนี้ ภิกษุณีสงฆ์จะให้แก่สิกขมานาผู้ศึกษาประพฤติตามธรรม ๖ ข้อ ครบ ๒ ปี วุฏฐานสมมติถือเป็นประกาศนียบัตรรับรองให้บวชเป็นภิกษณุ ไี ด้หญิงที่จะได้รับการบวชเป็นภิกษุณีน้ัน นอกจากจะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตามขั้นตอนแล้ว ยังต้องมีอายุครบ๒๐ ปี แตใ่ นกรณนี ี้ เปน็ ขอ้ ยกเวน้ สาหรบั หญงิ ทม่ี คี รอบครวั แล้วหรือเคยผ่านการแต่งงานมีครอบครัวมาแล้ว แม้เธอจะมีอายุเพียง ๑๒ ปี ถ้าผ่านการศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ข้อ ครบ ๒ พรรษาและสงฆ์ให้การสมมติคือรับรองแล้ว ก็สามารถบวชเปน็ ภิกษุณีได้ (กงฺขา.อ. ๓๙๘-๔๐๐)

๑๒๔ ลาดบั นนั้ พระผมู้ ีพระภาครบั ส่ังให้ประชมุ สงฆเ์ พราะเรื่องน้ีเปน็ ต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุทง้ั หลาย แสดงธรรมีกถาแล้วรบั ส่ังกบั ภิกษุท้งั หลายวา่ “ภกิ ษุท้งั หลาย เราอนญุ าตให้ภกิ ษณุ ีสงฆ์ให้วฏุ ฐานสมมตแิ ก่หญงิ ท่ีมคี รอบครวั มีอายุ ๑๒ ปผี ้ไู ดศ้ กึ ษาสกิ ขาในธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปีแลว้ ภิกษุทง้ั หลาย สงฆ์พึงใหว้ ุฏฐานสมมติ พระผมู้ ีพระภาคคร้นั ทรงตาหนภิ กิ ษณุ เี หลา่ นนั้ โดยประการต่าง ๆ แลว้ ตรสั โทษแหง่ ความเปน็ ผเู้ ล้ยี งยาก ฯลฯ แลว้ รับสงั่ ใหภ้ ิกษุณที งั้ หลายยกสิกขาบทน้ขี น้ึ แสดงดังนี้พระบญั ญัติ ก็ภกิ ษณุ ใี ดบวชให้หญิงท่ีมีครอบครวั มีอายุครบ ๑๒ ปีผ้ไู ด้ศกึ ษา สิกขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปแี ตส่ งฆ์ยังไมไ่ ดส้ มมติ ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์สกิ ขาบทวภิ งั ค์ ที่ชือ่ ว่า ยังไม่ได้สมมติ คอื สงฆย์ งั มิไดใ้ ห้การรบั รองการบวชด้วยญตั ตทิ ตุ ิยกรรมบทภาชนยี ์ติกทุกกฏ กรรมที่ทาไม่ถกู ตอ้ ง ภิกษณุ ีสาคญั วา่ เป็นกรรมที่ทาถูกต้อง บวชให้ ต้องอาบตั ทิ ุกกฏ กรรมท่ีทาไม่ถูกต้อง ภกิ ษุณไี มแ่ น่ใจ บวชให้ ตอ้ งอาบตั ทิ ุกกฏ กรรมทีท่ าไมถ่ ูกต้อง ภิกษุณีสาคญั ว่าเป็นกรรมทท่ี าไมถ่ กู ต้อง บวชให้ ต้องอาบัตทิ ุกกฏอนาปัตติวาร ภิกษุณีต่อไปน้ไี ม่ตอ้ งอาบัติ คอื ๑. ภกิ ษณุ บี วชให้หญงิ ท่ีมคี รอบครัว มีอายคุ รบ ๑๒ ปี ผูไ้ ด้ศกึ ษา สกิ ขาใน ธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปแี ละสงฆ์สมมติแลว้ ๒. ภกิ ษุณวี กิ ลจริต ๓. ภิกษุณตี ้นบญั ญตั ิ สกิ ขาบทท่ี ๘ วา่ ดว้ ยการไมอ่ นเุ คราะหส์ หชีวินตี ลอด ๒ ปี เรือ่ งภิกษณุ ถี ุลลนันทา ครงั้ นั้น ภกิ ษณุ ถี ุลลนันทาบวชใหส้ หชวี ินี แล้วไมอ่ นุเคราะห์ ท้งั ไมใ่ ห้ผอู้ ืน่ อนเุ คราะห์ตลอด ๒ปี สหชวี นผี ูบ้ วชเป็นภิกษุณีเหลา่ นน้ั เป็นคนโงเ่ ขลา ไมฉ่ ลาด ไมร่ ู้จกั ส่ิงควรหรอื ไม่ควร ลาดับน้ัน พระผู้มพี ระภาครับสัง่ ให้ประชมุ สงฆ์เพราะเรือ่ งนเี้ ป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุท้ังหลายแลว้ จงึ รบั สงั่ ใหภ้ กิ ษณุ ที ง้ั หลายยกสกิ ขาบทนี้ขนึ้ แสดงดังน้ีพระบัญญัติ

๑๒๕ ก็ภิกษณุ ีใดบวชให้สหชีวนิ ีแลว้ ไมอ่ นุเคราะห์ ไม่ใหอ้ นุเคราะห์ตลอด ๒ ปี ต้องอาบตั ิปาจติ ตยี ์สกิ ขาบทวภิ ังค์ ทช่ี ือ่ วา่ สหชวี นิ ี พระผู้มีพระภาคตรัสหมายถึงสัทธิวิหารินี คาวา่ ไม่อนเุ คราะห์ คือ ไมอ่ นเุ คราะห์เองดว้ ยอทุ เทส ปรปิ ุจฉา โอวาท อนศุ าสนี คาว่า ไม่ให้อนุเคราะห์ คือ ไมส่ ง่ั ภกิ ษุณีอืน่ พอทอดธรุ ะวา่ “จะไม่อนเุ คราะห์ จะไม่ใหผ้ ูอ้ ื่นอนุเคราะหต์ ลอด ๒ ป”ี ต้อง อาบตั ิปาจติ ตีย์อนาปัตตวิ าร ภกิ ษณุ ตี ่อไปนีไ้ ม่ต้องอาบตั ิ คอื ๑. ภิกษณุ ผี ู้ไมอ่ นุคราะหใ์ นเมอื่ มีอนั ตราย ๒. ภิกษุณแี สวงหาแลว้ แต่ไม่ได้๑ ๓. ภกิ ษณุ ีผเู้ ป็นไข้ ๔. ภกิ ษณุ ีผมู้ เี หตขุ ดั ข้อง ๕. ภิกษณุ วี กิ ลจริต ๖. ภกิ ษณุ ีตน้ บัญญัติ สกิ ขาบทท่ี ๙ วา่ ด้วยการไม่ติดตาม๕๔ปวตั ตนิ ีตลอด ๒ ปี เร่ืองภกิ ษุณีหลายรปู ครง้ั นัน้ ภกิ ษณุ ีทง้ั หลายไมต่ ดิ ตามปวตั ตินี๑ผบู้ วชให้ตลอด ๒ ปี พวกเธอเป็นคนโง่เขลา ไม่ฉลาด ไมร่ ู้จักส่งิ ควรหรือไม่ควร บรรดาภกิ ษณุ ผี ูม้ กั นอ้ ย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนา ไดน้ าเรื่องนี้ไปบอกภิกษุทั้งหลายให้ทราบ พวกภกิ ษไุ ดน้ าเรื่องนี้ไปกราบทลู พระูผ้มีพระภาคใหท้ รงทราบ ลาดับนน้ั พระผมู้ ีพระภาครับสง่ั ให้ประชุมสงฆเ์ พราะเร่ืองนี้เปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลาย แล้วจึงรับสง่ั ใหภ้ ิกษุณีทง้ั หลายยกสิกขาบทนีข้ ึ้นแสดงดงั น้ีพระบญั ญตั ิ ก็ภิกษุณใี ดไมต่ ดิ ตามปวัตตินีผบู้ วชใหต้ ลอด ๒ ปี ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์สกิ ขาบทวิภังค์ ทเ่ี รียกวา่ ปวตั ตินี พระผมู้ พี ระภาคตรัสหมายถงึ ภิกษุณีท่ีเป็นอุปัชฌาย์ ๕๔ ไม่ติดตาม” หมายถงึ ไมอ่ ปุ ฏั ฐากด้วยจุรณ ดนิ เหนียว ไมช้ าระฟัน น้าล้างหน้า (กงฺขา. ๓๙๘)

๑๒๖ คาวา่ ไมต่ ิดตาม คอื ไม่อุปัฏฐากเอง พอทอดธรุ ะว่า “จะไมต่ ิดตามไปตลอด ๒ ปี” ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์อนาปัตติวาร ภิกษุณตี อ่ ไปน้ีไม่ต้องอาบัติ คือ ๑. ภิกษณุ ไี ม่ติดตามอปุ ชั ฌาย์เปน็ คนเขลาหรือมีความละอาย ๒. ภกิ ษุณีผู้เป็นไข้ ๓. ภกิ ษณุ ผี มู้ ีเหตขุ ัดขอ้ ง ๔. ภกิ ษณุ ีวกิ ลจรติ ๕. ภิกษณุ ตี ้นบญั ญัติ สกิ ขาบทที่ ๑๐ วา่ ด้วยการไมพ่ าสหชวี ินหี ลกี ไป เรือ่ งภกิ ษุณถี ุลลนันทา คร้ังน้นั ภิกษุณีถุลลนันทาบวชให้สหชีวินี แลว้ ไม่พาหลีกไป ท้ังไม่ใหผ้ ้อู ่ืนพาหลกี ไป สามีจงึ จับ(สหชีวินีนน้ั ) บรรดาภิกษุณีผูม้ กั นอ้ ย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาไดน้ าเรือ่ งน้ไี ปบอกภิกษุทัง้ หลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษุไดน้ าเรอ่ื งน้ีไปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ ลาดับน้นั พระผมู้ พี ระภาครบั ส่งั ให้ประชุมสงฆเ์ พราะเรอื่ งน้ีเปน็ ต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุทงั้ หลายแลว้ จึงรบั ส่ังใหภ้ ิกษณุ ที ง้ั หลายยกสิกขาบทนขี้ ้นึ แสดงดังน้ีพระบญั ญตั ิ กภ็ กิ ษุณีใดบวชใหส้ หชีวินีแล้วไมพ่ าหลกี ไป ไม่ให้พาหลกี ไป โดยที่สุดแม้ส้ินระยะทาง ๕-๖ โยชน์ ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ สกิ ขาบทวภิ งั ค์ พอทอดธรุ ะว่า “จะไมพ่ าหลกี ไป ทงั้ จะไมใ่ ห้พาหลกี ไปแมส้ ้ินระยะทาง ๕-๖ โยชน์” ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์อนาปัตตวิ าร ภกิ ษุณตี ่อไปน้ีไม่ต้องอาบัติ คอื ๑. ภกิ ษุณีไมห่ ลกี ไปในเมอ่ื มอี ันตราย ๒. ภิกษุณแี สวงหาแลว้ แต่ไมไ่ ดภ้ ิกษณุ ีเปน็ เพื่อน ๓. ภิกษณุ ีผู้มีเหตุขดั ข้อง ๔. ภกิ ษณุ วี ิกลจรติ ๕. ภิกษุณีต้นบัญญัติ๔. ๘ กุมารีภตู วรรค หมวดวา่ ดว้ ยกุมารี

๑๒๗ สกิ ขาบทที่ ๑ วา่ ดว้ ยการบวชใหก้ มุ ารอี ายุต่ากว่า ๒๐ ปี เรอ่ื งภิกษุณหี ลายรปู คร้ังนนั้ ภิกษณุ ที งั้ หลายบวชให้กมุ ารีอายตุ ่ากวา่ ๒๐ ปี กมุ ารที ีบ่ วชเป็นภิกษณุ ีเหลา่ น้นั ไม่อดทน ไมอ่ ดกลน้ั ต่อความเยน็ ความร้อน ความหวิ ความกระหาย สมั ผัสจากเหลือบ ยงุ ลม แดดสตั ว์เลอ้ื ยคลาน คากลา่ วรา้ ย คาทฟี่ ังแล้วไมด่ ี ความร้สู ึกทางกายทีเ่ กดิ ขนึ้ เปน็ ทุกข์ แสนสาหสั รุนแรงเผ็ดร้อน ที่ไม่น่ายนิ ดี ไม่นา่ พอใจ แทบจะครา่ ชวี ิต ลาดับน้ัน พระผู้มีพระภาครับส่ังใหป้ ระชมุ สงฆ์เพราะเร่อื งน้ีเปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุทัง้ หลายแล้วจึงรบั ส่ังใหภ้ ิกษุณี ทั้งหลายยกสกิ ขาบทนีข้ ้ึนแสดงดังนี้พระบัญญตั ิ กภ็ กิ ษุณใี ดบวชให้กุมารมี ีอายุต่ากว่า ๒๐ ปี ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์สิกขาบทวภิ ังค์ ทช่ี อ่ื วา่ มอี ายุต่ากว่า ๒๐ ปี คอื มีอายยุ งั ไมถ่ ึง ๒๐ ปีบทภาชนยี ์ กมุ ารอี ายุต่ากว่า ๒๐ ปี ภกิ ษณุ สี าคญั ว่าอายตุ ่า ๒๐ ปี บวชให้ ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ กมุ ารอี ายุต่ากวา่ ๒๐ ปี ภกิ ษุณีไมแ่ น่ใจ บวชให้ ต้องอาบตั ิทุกกฏ กุมารีอายตุ า่ กวา่ ๒๐ ปี ภกิ ษุณีสาคญั วา่ ครบ บวชให้ ไมต่ อ้ งอาบัติ กมุ ารีอายุครบ ๒๐ ปี ภกิ ษุณีสาคัญว่าอายุต่ากว่า ๒๐ ปี บวชให้ ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฏ กมุ ารีอายคุ รบ ๒๐ ปี ภิกษุณไี ม่แนใ่ จ บวชให้ ต้องอาบตั ทิ ุกกฏ กุมารอี ายุครบ ๒๐ ปี ภกิ ษสุ าคญั ว่าอายุครบ ๒๐ ปี บวชให้ ไมต่ อ้ งอาบตั ิอนาปัตติวาร ภิกษณุ ีต่อไปนีไ้ มต่ ้องอาบัติ คือ ๑. กุมารีอายุต่ากวา่ ๒๐ ปี ภกิ ษณุ สี าคัญว่าอายคุ รบ ๒๐ ปี จงึ บวชให้ ๒. กมุ ารอี ายคุ รบ ๒๐ ปี ภกิ ษุณีสาคญั วา่ อายุครบ ๒๐ ปี จงึ บวชให้ ๓. ภกิ ษุณวี ิกลจรติ ๔. ภิกษุณตี น้ บญั ญตั ิ สิกขาบทท่ี ๒ ว่าดว้ ยการบวชใหก้ มุ ารที ยี่ ังไมไ่ ดศ้ กึ ษาในธรรม ๖ ข้อ เร่ืองภกิ ษุณีหลายรูป ครง้ั นัน้ ภิกษณุ ที ง้ั หลายบวชใหก้ ุมารมี อี ายคุ รบ ๒๐ ปแี ตย่ ังไมไ่ ดศ้ กึ ษาสกิ ขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปี พวกเธอโงเ่ ขลา ไม่ฉลาด ไมร่ ้สู งิ่ ทคี่ วรหรอื ไม่ควร

๑๒๘ พระผูม้ ีพระภาคครน้ั ทรงตาหนิภกิ ษุณีเหลา่ นน้ั โดยประการตา่ ง ๆ แลว้ แลว้ รับสง่ั ใหภ้ กิ ษุณีท้ังหลายยกสิกขาบทนี้ข้นึ แสดงดังนี้พระบัญญัติ ก็ภิกษุณีใดบวชให้กุมารผี ูม้ อี ายุครบ ๒๐ ปผี ยู้ งั ไม่ไดศ้ ึกษาสิกขา ในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ปี ต้องอาบัตปิ าจิตตยี ์สิกขาบทวภิ ังค์ ท่ีชอ่ื วา่ ผู้ยงั ไมไ่ ดศ้ กึ ษาสกิ ขา คือ ภกิ ษุณีสงฆ์ยงั ไมไ่ ดใ้ หส้ กิ ขา หรอื ให้แลว้ แต่เธอทาขาดบทภาชนีย์ติกทุกกฏ กรรมที่ทาไมถ่ ูกตอ้ ง ภกิ ษณุ ีสาคัญวา่ เป็นกรรมทท่ี าถกู ต้อง บวชให้ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ กรรมท่ที าไม่ถกู ต้อง ภิกษุณไี ม่แนใ่ จ บวชให้ ตอ้ งอาบัติทกุ กฏ กรรมที่ทาไมถ่ กู ตอ้ ง ภิกษุณสี าคัญวา่ เปน็ กรรมทท่ี าไม่ถกู ต้อง บวชให้ ต้องอาบัติทุกกฏอนาปตั ตวิ าร ภิกษุณตี ่อไปนีไ้ มต่ ้องอาบัติ คือ ๑. ภิกษณุ บี วชใหก้ ุมารอี ายุครบ ๒๐ ปีผศู้ ึกษาธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปี ๒. ภิกษุณวี ิกลจรติ ๓. ภิกษณุ ีตน้ บัญญัติ สิกขาบทที่ ๓ วา่ ด้วยการบวชให้กุมารีทสี่ งฆย์ งั ไม่ไดส้ มมติ เร่อื งภิกษณุ หี ลายรูป คร้ังนนั้ ภกิ ษุณีทงั้ หลายบวชให้กุมารีมีอายุครบ ๒๐ ปผี ู้ได้ศกึ ษาสิกขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ปแี ตส่ งฆย์ ังไมไ่ ดส้ มมติ ภกิ ษณุ ที ัง้ หลายกลา่ ววา่ สิกขมานาทัง้ หลาย พวกเธอจงมานี่ จงรู้สิง่ นี้ ประเคนสิ่งน้ี นาสงิ่ นมี้ า ฉนั ตอ้ งการส่ิงน้ี จงทาส่ิงน้ีให้เป็นกัปปิยะ กมุ ารเี หลา่ นนั้ กล่าวว่า แม่เจา้ พวกดิฉนัมิใชส่ ิกขมานา พวกดิฉันเป็นภิกษณุ ี พระผมู้ ีพระภาคครั้นทรงตาหนภิ ิกษุณเี หลา่ นั้นโดยประการต่าง ๆ แล้วตรัส โทษแหง่ ความเป็นผู้เลี้ยงยาก ฯลฯ แลว้ รับสงั่ ใหภ้ กิ ษุณที ้งั หลายยกสิกขาบทนข้ี ้ึนแสดงดังนี้พระบัญญตั ิ ก็ภกิ ษุณใี ดบวชให้กุมารมี ีอายุครบ ๒๐ ปี ผไู้ ดศ้ ึกษาสิกขาใน ธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีแลว้ แต่สงฆย์ ังไมไ่ ด้สมมติ ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตยี ์

๑๒๙สกิ ขาบทวภิ ังค์ ที่ช่ือวา่ สงฆ์ยังไมไ่ ด้สมมติ คอื สงฆ์ยังมิได้ให้วุฏฐานสมมติด้วยญตั ติทตุ ิยกรรมบทภาชนีย์ตกิ ทกุ กฏ กรรมท่ีทาไมถ่ กู ตอ้ ง ภกิ ษุณีสาคัญว่าเปน็ กรรมทที่ าถูกตอ้ ง บวชให้ ต้องอาบัติ ทกุ กฏ กรรมทท่ี าไมถ่ กู ต้อง ภิกษุณีไมแ่ น่ใจ บวชให้ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ กรรมทท่ี าไมถ่ กู ตอ้ ง ภิกษณุ ีสาคัญวา่ เปน็ กรรมทท่ี าไม่ถูกตอ้ ง บวชให้ ต้องอาบัติทุกกฏอนาปัตตวิ าร ภิกษณุ ตี อ่ ไปนี้ไม่ต้องอาบัติ คือ ๑. ภิกษุณีบวชให้กมุ ารีอายุครบ ๒๐ ปี ผ้ไู ด้ศกึ ษาสิกขาในธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีทส่ี งฆส์ มมติแลว้ ๒. ภกิ ษุณีวิกลจรติ ๓. ภิกษุณตี น้ บญั ญัติ สกิ ขาบทท่ี ๔ ว่าดว้ ยภกิ ษุณมี ีพรรษาต่ากว่า ๑๒ เป็นปวัตตินี เรอ่ื งภกิ ษุณหี ลายรปู ครัง้ นนั้ ภิกษณุ ีทัง้ หลายมีพรรษาต่ากว่า ๑๒ บวชให้กลุ ธิดา พวกเธอเปน็ ผูโ้ ง่เขลา ไม่ฉลาด ไม่ร้สู ง่ิ ท่ีควรหรือไมค่ วร แม้พวกสทั ธิวิหารินกี เ็ ป็นผู้โงเ่ ขลา ไม่ฉลาด ไม่รู้ส่ิงทีค่ วรหรือไมค่ วร บรรดาภิกษุณีผ้มู ักน้อย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม โพนทะนา ได้นาเรอื่ งนไ้ี ปบอกภกิ ษทุ ง้ั หลายให้ทราบพวกภิกษไุ ด้นาเรื่องนไ้ี ปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคให้ทรงทราบแลว้ จึงรับสั่งให้ภิกษณุ ีทง้ั หลายยกสิกขาบทนข้ี ้ึนแสดงดงั น้ีพระบัญญตั ิ ก็ภกิ ษณุ ีใดมีพรรษาต่ากว่า ๑๒ บวชให้กลุ ธิดา ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตีย์สิกขาบทวิภังค์ ทชี่ ือ่ ว่า มพี รรษาตา่ กวา่ ๑๒ คอื พรรษายงั ไม่ถึง ๑๒อนาปตั ติวาร ภิกษุณตี อ่ ไปนไ้ี มต่ ้องอาบตั ิ คอื ๑. ภิกษณุ ีมีพรรษาครบ ๑๒ บวชให้กุลธิดา ๒. ภกิ ษุณีวิกลจริต

๑๓๐ ๓. ภกิ ษณุ ตี น้ บญั ญัติ สิกขาบทท่ี ๕ วา่ ด้วยภกิ ษณุ มี ีพรรษาครบ ๑๒ เปน็ ปวัตตินี๕๕แตส่ งฆย์ งั ไมไ่ ด้สมมติ เร่ืองภิกษณุ หี ลายรปู ครั้งน้นั ภกิ ษณุ ีทงั้ หลายมพี รรษาครบ ๑๒ แลว้ แต่สงฆ์ยงั ไม่ไดส้ มมตบิ วชให้กุลธดิ า พวกเธอเป็นผูโ้ งเ่ ขลา ไมฉ่ ลาด ไม่รู้สงิ่ ทค่ี วร หรือไม่ควร แมส้ ัทธิวิหารนิ ีกเ็ ปน็ ผโู้ งเ่ ขลา ไม่ฉลาด ไมร่ ู้ส่งิ ที่ควรหรอื ไมค่ วร พวกภิกษุได้นาเร่ืองน้ีไปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาคทรงตาหนิแลว้ ได้ทรงแสดงธรรมกี ถาแล้วรบั สง่ั กับภิกษุทั้งหลายวา่ ภกิ ษุทั้งหลาย เราอนญุ าตวุฏฐาปนสมมติ๑แก่ภิกษุณผี ู้มีพรรษาครบ ๑๒ แลว้ ภกิ ษุทง้ั หลาย สงฆ์พึงให้วุฏฐาปนสมมติ ครัน้ พระผู้มีพระภาคทรงตาหนิภิกษุณีเหล่าน้นั โดยประการต่าง ๆ แล้วจึงรบั สงั่ ใหภ้ กิ ษณุ ีทัง้ หลายยกสิกขาบทนขี้ ้ึนแสดงดงั น้ีพระบญั ญัติ ก็ภิกษุณใี ดมีพรรษาครบ ๑๒ แล้วแตส่ งฆย์ งั ไม่ได้สมมตบิ วชใหก้ ุลธิดา ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตีย์สกิ ขาบทวิภงั ค์ ทช่ี ื่อวา่ ยงั ไมไ่ ดส้ มมติ คอื สงฆย์ ังมไิ ด้ใหว้ ฏุ ฐาปนสมมติด้วยญัตติทตุ ิย กรรมวาจา คาวา่ บวชให้กุลธดิ า คือ อุปสมบทให้กลุ ธิดาบทภาชนยี ์ตกิ ทกุ กฏ กรรมที่ทาไมถ่ ูกต้อง ภกิ ษุณีสาคัญวา่ เป็นกรรมท่ที าถกู ต้อง บวชให้ ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฏ กรรมทท่ี าไมถ่ กู ตอ้ ง ภกิ ษุณไี ม่แนใ่ จ บวชให้ ต้องอาบัติทกุ กฏ กรรมทท่ี าไม่ถูกต้อง ภิกษณุ ีสาคญั วา่ เป็นกรรมทท่ี าไม่ถูกต้อง บวชให้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏอนาปตั ตวิ าร ภกิ ษณุ ีต่อไปนี้ไม่ตอ้ งอาบัติ คือ ๑. ภกิ ษณุ มี พี รรษาครบ ๑๒ แลว้ และสงฆ์สมมติแล้ว จงึ บวชให้ กุลธดิ า ๒. ภกิ ษณุ ีวกิ ลจริต ๓. ภกิ ษณุ ตี ้นบญั ญัติ ๕๕ “ปวัตตนิ ี” หมายถงึ ภกิ ษณุ ีผูเ้ ปน็ อปุ ชั ฌาย์มพี รรษาหยอ่ นกว่า ๑๒ หมายถงึ บวชเปน็ ภกิ ษุณยี ังไมค่ รบ๑๒ พรรษา (กงฺขา.อ. ๔๐๐)

๑๓๑ สิกขาบทที่ ๖ วา่ ดว้ ยการบน่ วา่ ภายหลัง เรือ่ งภกิ ษณุ จี ัณฑกาลี ครั้งน้ัน ภกิ ษุณีจณั ฑกาลีเข้าไปหาภิกษณุ ีสงฆ์ ขอวฏุ ฐาปนสมมติ ลาดับนัน้ ภิกษุณีสงฆ์กาหนดพิจารณาเธอในขณะนน้ั แล้วไมย่ อมให้วุฏฐาปนสมมติ ดว้ ยกล่าววา่ แม่เจ้า เธออย่าบวชให้กลุ ธิดาเลย ภกิ ษณุ ีจัณฑกาลีก็รบั คาของสงฆ์ ครนั้ ต่อมา ภิกษุณีสงฆ์ใหว้ ฏุ ฐาปนสมมตแิ กภ่ กิ ษุณเี หลา่ อนื่ ภิกษณุ ีจัณฑกาลีจึงตาหนิประณาม โพนทะนาว่า “ดิฉนั เทา่ น้ันเป็นคนเขลา ดิฉนั เทา่ นัน้ ไมม่ ีความละอาย ทที่ าใหส้ งฆ์ใหว้ ุฏฐาปนสมมติแก่ภิกษุณเี หลา่ อ่ืน ไม่ให้ แก่ดฉิ นั เท่านั้น” บรรดาภกิ ษณุ ผี มู้ ักน้อย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม โพนทะนาไดน้ าเรือ่ งนีไ้ ปบอกภกิ ษุทั้งหลาย ใหท้ ราบ พวกภิกษุได้นาเร่อื งนไ้ี ปกราบทลู พระผู้มีพระภาคใหท้ รงทราบแล้วจงึ รับสงั่ ให้ภิกษุณที ัง้ หลายยกสกิ ขาบทน้ีขน้ึ แสดงดังนี้พระบญั ญัติ กภ็ กิ ษณุ ีใดอันสงฆ์กล่าวอยวู่ า่ “แม่เจา้ เธออย่าบวชใหก้ ลุ ธดิ าเลย” รบั คาแล้ว ภายหลงักลับบ่นว่า ต้องอาบัตปิ าจติ ตีย์สกิ ขาบทวภิ ังค์ คาวา่ แมเ่ จ้า เธออยา่ บวชใหก้ ุลธดิ าเลย ความวา่ แม่เจา้ เธออยา่ ใหก้ ุลธิดา อปุ สมบทเลย เธอรับคาแล้ว ภายหลงั กลับบ่นวา่ ตอ้ งอาบัติปาจติ ตยี ์อนาปัตตวิ าร ภิกษุณีตอ่ ไปนไี้ ม่ต้องอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษุณีผูบ้ ่นวา่ ภกิ ษณุ ีสงฆ์ทม่ี กั กระทาไปด้วยความชอบ ดว้ ยความชงั ดว้ ย ความหลง ด้วยความกลัว ๒. ภกิ ษุณวี ิกลจรติ ๓. ภิกษณุ ตี น้ บญั ญตั ิ สกิ ขาบทที่ ๗ วา่ ด้วยการบอกสกิ ขมานาให้ถวายจีวรแล้วไม่บวชให้ เร่ืองภกิ ษุณีถลุ ลนันทา ครงั้ นั้น สิกขมานารูปหนึง่ เข้าไปหาภกิ ษุณีถุลลนันทา ขออปุ สมบทภิกษณุ ีถลุ ลนันทากลา่ วกับสิกขมานานัน้ วา่ แมค่ ณุ ถ้าเธอจักใหจ้ ีวรแกเ่ รา เมือ่ เปน็ อย่างน้ี เรากจ็ ะบวชให้เธอ แล้วไม่บวชให้ ไม่ขวนขวายใช้ให้บวชให้ ลาดับนัน้ สิกขมานานั้นจึงบอกเรอ่ื งน้นั ให้ภิกษณุ ที ั้งหลายทราบ บรรดาภกิ ษณุ ผี มู้ กั นอ้ ย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาได้นาเร่อื งน้ีไปบอกภกิ ษุทงั้ หลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษไุ ด้นาเรือ่ งน้ีไปกราบทูลพระผูม้ พี ระภาคให้ทรงทราบ

๑๓๒ แล้วจึงรบั สัง่ ให้ภกิ ษณุ ีทง้ั หลายยกสิกขาบทนขี้ น้ึ แสดงดังนี้พระบัญญตั ิ ก็ภิกษณุ ีใดกลา่ วกับสิกขมานาวา่ “แมค่ ณุ ถา้ เธอจกั ใหจ้ วี รแก่เรา เมือ่ เป็นอย่างน้ี เรากจ็ ะบวชใหเ้ ธอ” ภายหลังภกิ ษณุ นี ั้นผู้ไมม่ ีอันตราย ไม่บวชให้ ไมข่ วนขวายใชใ้ ห้บวชให้ ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตีย์สกิ ขาบทวิภังค์ คาว่า ไม่ขวนขวายใช้ใหบ้ วชให้ คือ ไมส่ ่ังภกิ ษุณีรูปอนื่ พอทอดธุระว่า “จะไม่บวชให้ ไม่ขวนขวายใชใ้ ห้บวชให้” ตอ้ งอาบัติปาจิตตีย์อนาปัตติวาร ภกิ ษณุ ตี ่อไปนไ้ี ม่ตอ้ งอาบตั ิ คอื ๑. ภกิ ษณุ ไี มบ่ วชใหใ้ นเมอ่ื มีอันตราย ๒. ภกิ ษุณแี สวงหาแล้วแตไ่ มไ่ ด้๑ ๓. ภกิ ษณุ ีผู้เปน็ ไข้ ๔. ภกิ ษณุ ีผู้มีเหตุขดั ขอ้ ง ๕. ภิกษณุ วี ิกลจรติ ๖. ภกิ ษณุ ตี น้ บญั ญตั ิ สิกขาบทท่ี ๘ วา่ ด้วยการบอกสิกขมานาให้ตดิ ตามตลอด ๒ ปีแลว้ ไมบ่ วชให้ เร่ืองภกิ ษณุ ถี ลุ ลนนั ทา คร้งั นนั้ สกิ ขมานารปู หนง่ึ เข้าไปหาภิกษุณถี ลุ ลนนั ทาขออุปสมบท ภิกษณุ ถี ุลลนันทาไดก้ ลา่ วกับสิกขมานานนั้ ดงั น้ีวา่ “แม่คุณ ถ้าเธอจกั ติดตาม ฉนั ตลอด ๒ ปี เมือ่ เปน็ อยา่ งน้ี ฉันจะบวชใหเ้ ธอ”แลว้ ไมบ่ วชให้ ไมข่ วนขวายใชใ้ ห้บวชให้ ลาดบั น้ัน สิกขมานาน้นั บอกเรอื่ งนั้นใหภ้ ิกษุณที ้งั หลายทราบ บรรดาภิกษณุ ีผมู้ กั นอ้ ยได้นาเร่อื งนีไ้ ปบอกภกิ ษทุ ั้งหลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษุไดน้ าเร่ืองนีไ้ ปกราบทูลพระผู้มพี ระภาคให้ทรงทราบแล้วจงึ รบั สง่ั ให้ภกิ ษุณีทงั้ หลายยกสกิ ขาบทนขี้ ้นึ แสดงดงั น้ีพระบัญญัติ ก็ภกิ ษณุ ใี ดกล่าวกบั สิกขมานาวา่ •แมค่ ุณ ถ้าเธอจักตดิ ตามเราตลอด ๒ ปี เมื่อเปน็ อยา่ งนั้น เรากจ็ ะบวชให้เธอž ภายหลังภกิ ษณุ ีนน้ั ผ้ไู มม่ ีอนั ตรายไมบ่ วชให้ ไมข่ วนขวายใชใ้ หบ้ วชให้ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตีย์

๑๓๓สกิ ขาบทวิภงั ค์ คาว่า แมค่ ณุ ถา้ เธอจกั ติดตามเราตลอด ๒ ปี ความว่า เธอจักอุปัฏฐากเรา ตลอด ๒ ปีอนาปตั ตวิ าร ภกิ ษุณีตอ่ ไปนไี้ มต่ ้องอาบัติ คอื ๑. ภิกษณุ ผี ู้ไมบ่ วชใหใ้ นเมื่อมีอันตราย ๒. ภิกษณุ ีแสวงหาแล้วแต่ไม่ได้ ๓. ภิกษณุ ีผู้เป็นไข้ ๔. ภิกษุณผี ้มู เี หตุขัดข้อง ๕. ภิกษุณวี กิ ลจริต ๖. ภกิ ษณุ ีตน้ บัญญัติ สกิ ขาบทท่ี ๙ ว่าด้วยการบวชให้สิกขมานาผู้คลุกคลกี ับชาย เรือ่ งภกิ ษณุ ีถุลลนนั ทา ครั้งนั้น ภิกษณุ ีถลุ ลนันทาบวชใหส้ กิ ขมานา ช่อื จัณฑกาลผี ู้คลกุ คลกี ับชาย คลกุ คลีกับเดก็ ดุร้าย ผู้ทาชายให้ระทมโศก บรรดาภกิ ษุณีผู้มักน้อย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาไดน้ าเร่อื งนไ้ี ปบอกภกิ ษุทั้งหลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษไุ ด้นาเรื่องน้ไี ปกราบทูลพระผูม้ ีพระภาคให้ทรงทราบแลว้ จงึ รับสัง่ ให้ภิกษณุ ีทง้ั หลายยกสิกขาบทนีข้ น้ึ แสดงดงั นี้พระบญั ญตั ิ ก็ภิกษุณใี ดบวชให้สิกขมานาผู้คลุกคลกี ับชาย คลกุ คลีกบั เดก็ ดุร้าย ผู้ทาชายใหร้ ะทมโศกตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตยี ์สิกขาบทวภิ ังค์ ทชี่ ื่อว่า ชาย ได้แก่ ชายผู้มีอายุถึง ๒๐ ปี ที่ชื่อว่า เด็ก ได้แก่ ชายผู้มีอายไุ ม่ถึง ๒๐ ปี ทีช่ ื่อวา่ ผู้ทาชายใหร้ ะทมโศก คือ ผกู้ อ่ ทกุ ข์ คอื นาความโศกใหแ้ กช่ ายอื่น ภกิ ษุณตี ้ังใจวา่ จะบวชให้ แลว้ แสวงหาคณะ อาจารย์ บาตรหรือจีวร หรือ สมมตสิ ีมา ต้องอาบัตทิ กุ กฏ จบญตั ติ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ จบกรรมวาจา ๒ คร้งั ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ๒ ตวั จบกรรมวาจาคร้งั สดุ ท้าย ภิกษณุ ีผู้เปน็ อปุ ัชฌาย์ ตอ้ งอาบัติปาจติ ตยี ์ คณะและอาจาจารย์ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏอนาปัตตวิ าร ภิกษุณตี ่อไปน้ไี มต่ อ้ งอาบตั ิ คือ

๑๓๔ ๑. ภิกษุณีไมร่ ู้จึงบวชให้ ๒. ภกิ ษณุ วี กิ ลจริต ๓. ภกิ ษณุ ีต้นบัญญตั ิ สิกขาบทท่ี ๑๐ ว่าด้วยการบวชใหส้ กิ ขมานาท่ียังไมไ่ ด้รับอนุญาต เร่อื งภิกษณุ ถี ุลลนันทา ครง้ั น้นั ภิกษณุ ถี ุลลนนั ทาบวชใหส้ ิกขมานาผูท้ ี่มารดาบดิ าบ้าง สามีบ้างยงั ไมไ่ ดอ้ นุญาต ต่อมามารดาบดิ าบา้ ง สามีบ้างตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ ไฉนแม่เจ้าถุลลนนั ทาจึงบวชใหส้ กิ ขมานา ท่ีพวกเรายังมิไดอ้ นญุ าตเลา่พระบญั ญตั ิ ก็ภกิ ษุณใี ดบวชให้สิกขมานาที่มารดาบิดาหรอื สามยี งั ไม่ได้อนุญาต ตอ้ งอาบัติปาจติ ตีย์สกิ ขาบทวภิ งั ค์อนาปัตตวิ าร ภิกษณุ ตี อ่ ไปนี้ไมต่ ้องอาบัติ คอื ๑. ภิกษุณไี ม่รู้จึงบวชให้ ๒. ภิกษุณีขออนุญาตกอ่ นค่อยบวชให้ ๓. ภิกษุณวี กิ ลจรติ ๔. ภกิ ษณุ ตี ้นบญั ญตั ิ สิกขาบทท่ี ๑๑ วา่ ด้วยการบวชให้สกิ ขมานาดว้ ยการให้ปารวิ าสกิ ฉันทะ๕๖ เร่ืองภกิ ษณุ ีถุลลนนั ทา ครั้งน้นั ภิกษุณีถุลลนันทานมิ นตภ์ ิกษเุ ถระทงั้ หลาย ใหป้ ระชุมกันด้วยกลา่ วว่า ดิฉันจักบวชให้สิกขมานา ครัน้ เหน็ ของเคี้ยวของฉันจานวนมาก จงึ นิมนต์พระเถระทั้งหลายใหก้ ลับไปดว้ ยกลา่ ววา่ ๕๖ปาริวาสิกฉนั ทะ” ประกอบดว้ ย “ปาริวาสกิ ะ + ฉันทะ” คาวา่ “ปารวิ าสกิ ะ” แปลว่างดไว,้ พกั ไว้ คาวา่“ฉนั ทะ” ความยินยอมใหท้ ผี่ ู้อื่นทากจิ นน้ั ๆ ไดเ้ ม่ือตนไม่ไดอ้ ย่ดู ้วย รวมเข้าด้วยกนั ปารวิ าสกิ ฉันทะ แปลวา่ ความยนิ ยอมทจ่ี ะใหท้ ากิจนัน้ ๆ แตง่ ดไว้ ให้ฉันทะไว้แล้วแต่งดไว้ = ฉนั ทะคา้ ง การใหฉ้ ันทะมี ๔ อย่าง คือปริสปาริวาสกิรตั ตปาริวาสิก ฉันทปารวิ าสกิ และอัชฌาสยปาริวาสกิ ปรสิ ปารวิ าสกิ คอื ภิกษทุ ัง้ หลายประชมุ กนั ด้วยกจิ จาเปน็บางอยา่ ง พอดีมเี หตุขัดขอ้ ง เช่นฝนตก ภิกษเุ หล่านนั้ เหน็ วา่ ไมส่ ะดวก จงึ ลุกหนีไปทีอ่ ่นื โดยท่ยี งั ไม่สละเลิกฉนั ทะ ก็เพราะยังไมส่ ละเลิกฉนั ทะนนั้ จะทากิจโดยอาศยั ฉันทะนั้น ย่อมควร

๑๓๕พระคณุ เจ้า ดิฉันจะยงั ไมบ่ วชสิกขมานา แลว้ นิมนต์พระเทวทัต พระโกกาลกิ ะ พระกฏโมรกตสิ สะพระขัณฑเทวีบตุ ร และพระสมทุ ททตั ตะใหป้ ระชมุ กนั บวชให้สิกขมานาพระบัญญตั ิ กภ็ ิกษณุ ใี ดบวชให้สกิ ขมานาดว้ ยการใหป้ ารวิ าสกิ ฉันทะ๑ ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์สกิ ขาบทวภิ งั ค์ คาวา่ ด้วยการให้ปารวิ าสกิ ฉนั ทะ คือ เมอื่ ท่ปี ระชุมเลกิ ไปแลว้ ๒อนาปัตตวิ าร ภิกษุณีต่อไปนี้ไม่ต้องอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษุณผี ูบ้ วชให้เมื่อบริษทั ยังไม่เลิก๑ ๒. ภิกษณุ ีวกิ ลจรติ ๓. ภกิ ษณุ ตี ้นบัญญัติ สิกขาบทท่ี ๑๒ วา่ ดว้ ยการบวชใหส้ กิ ขมานาทกุ ๆ ปี เร่อื งภิกษณุ ีหลายรปู คร้งั นน้ั ภกิ ษณุ ที ัง้ หลายบวชให้สิกขมานา ทกุ ๆ ปี ท่ีอยู่จึงไม่เพียงพอ คนทงั้ หลายตาหนิประณาม โพนทะนาว่า “ไฉน พวกภิกษณุ บี วชให้สิกขมานาทุก ๆ ปี (ทาให้)ทอ่ี ยไู่ มเ่ พยี งพอเล่า” พวกภกิ ษุได้นาเรอื่ งน้ไี ปกราบทูลพระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบจงึ รับสั่งใหภ้ กิ ษุณที ั้งหลายยกสิกขาบทนขี้ ึน้ แสดงดงั น้ีพระบัญญตั ิ ก็ภิกษุณใี ดบวชให้สกิ ขมานาทกุ ๆ ปี ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตีย์อนาปัตติวาร ภกิ ษณุ ตี อ่ ไปน้ีไม่ต้องอาบัติ คอื ๑. ภิกษณุ ีบวชให้เวน้ ระยะ ๑ ปี ๒. ภิกษณุ วี กิ ลจรติ ๓. ภกิ ษุณีต้นบัญญตั ิ

๑๓๖ สกิ ขาบทท่ี ๑๓ ว่าดว้ ยการบวชให้สกิ ขมานาปลี ะ ๒ รูป๕๗ เรอ่ื งภกิ ษณุ ีหลายรูป ครั้งน้ัน ภิกษณุ ีทั้งหลายบวชใหส้ ิกขมานา ปลี ะ ๒ รูป๑ (ทาให้)ทอี่ ยไู่ มเ่ พียงพอเหมอื นดงั ท่ีเป็นมาน่ันแหละ คนทงั้ หลายกต็ าหนิ ประณาม โพนทะนาอย่างน้นั แหละวา่ ไฉนพวกภกิ ษุณบี วชให้สกิ ขมานาปลี ะ ๒ รปู เลา่ บรรดาภิกษณุ ี ผมู้ ักนอ้ ย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาได้นาเร่ืองนี้ไปบอกภกิ ษุทั้งหลายให้ทราบ พวกภกิ ษไุ ดน้ าเร่ืองนี้ไปกราบทูล พระผ้มู พี ระภาคจงึ รับส่งั ให้ภกิ ษณุ ที ัง้ หลายยกสกิ ขาบทน้ขี ึน้ แสดงดังนี้พระบญั ญัติ กภ็ ิกษณุ ีใดบวชให้สกิ ขมานา ๒ รูป ใน ๑ ปี ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตีย์สกิ ขาบทวิภังค์ คาวา่ บวชให้สิกขมานา ๒ รูป คือ อุปสมบทให้สิกขมานา ๒ รูปอนาปัตติวาร ภิกษณุ ตี ่อไปนี้ไม่ต้องอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษุณเี ว้นระยะ ๑ ปี บวชให้สิกขมานารปู เดยี ว ๒. ภิกษุณีวกิ ลจรติ ๓. ภิกษุณตี ้นบัญญัติ๔.๙ ฉัตตุปาหนวรรค หมวดวา่ ดว้ ยรม่ และรองเท้า สกิ ขาบทท่ี ๑ ว่าด้วยภิกษณุ ผี ไู้ มเ่ ปน็ ไข้ก้ันร่มและสวมรองเทา้ เรอ่ื งภกิ ษุณีฉพั พัคคีย์ ครง้ั นั้น พวกภิกษุณีฉพั พัคคยี ก์ ั้นร่มและสวมรองเทา้ คนท้งั หลายตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ เหมือนหญงิ คฤหสั ถ์ผู้บริโภคกาม บรรดาภกิ ษณุ ี ผูม้ ักนอ้ ย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม โพนทะนาไดน้ าเร่อื งน้ีไปบอกภิกษุท้งั หลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษไุ ดน้ าเรื่องนไี้ ปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบทรงประชุมสงฆบ์ ัญญัตสิ กิ ขาบทแล้วจงึ รับสงั่ ให้ภกิ ษุณที ั้งหลายยกสกิ ขาบทนข้ี นึ้ แสดงดังน้ีพระบัญญตั ิ กภ็ กิ ษุณใี ดกั้นร่มและสวมรองเท้า ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ ๕๗ ภิกษุณเี หลา่ นั้น บวชใหส้ ิกขมานา เว้นระยะ ๑ ปี เพอื่ ไม่ให้เปน็ การลว่ งละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๑๒ แห่งวรรคนี้ แต่บวชให้คราวละ ๒ รปู จงึ เป็นเหตใุ ห้ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทที่ ๑๓ นี้ ขนึ้ มาอีก (นัย วิ.อ. ๒/๑๑๗๕/๕๒๒)

๑๓๗อนบุ ญั ญัติ เรอื่ งภกิ ษุณีเป็นไข้ สมัยนัน้ ภิกษุณีรูปหนึ่งเปน็ ไข้ ขาดรม่ และรองเทา้ แล้ว เธอจะไมม่ ีความผาสกุ พวกภิกษุจึงกราบทูลเร่อื งนัน้ ให้พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ ฯลฯ ทรงอนญุ าตรม่ และรองเท้า พระผู้มีพระภาคทรงอนญุ าตวา่ “ภิกษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตร่มและรองเทา้ แก่ ภกิ ษุณีผู้เปน็ไข”้ แล้วรบั สั่งใหภ้ ิกษณุ ที ั้งหลายยกสิกขาบทนขี้ นึ้ แสดงดังนี้พระอนบุ ญั ญตั ิ อนึง่ ภกิ ษุณใี ดผู้ไมเ่ ปน็ ไข้ กนั้ ร่มและสวมรองเทา้ ๕๘ ต้องอาบัตปิ าจิตตยี ์สกิ ขาบทวิภงั ค์บทภาชนีย์ ทุกกฏ ภกิ ษุณีก้นั รม่ แตไ่ ม่สวมรองเทา้ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ภกิ ษณุ ีสวมรองเทา้ แตไ่ ม่กนั้ รม่ ตอ้ งอาบัติทุกกฏ เป็นไข้ ภกิ ษุณีสาคัญว่าไม่เปน็ ไข้ กนั้ รม่ และสวมรองเทา้ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ เปน็ ไข้ ภกิ ษุณไี มแ่ นใ่ จ กั้นร่มและสวมรองเท้า ต้องอาบัติทกุ กฏ เปน็ ไข้ ภกิ ษณุ สี าคญั ว่าเปน็ ไข้ กนั้ ร่มและสวมรองเทา้ ไม่ตอ้ งอาบัติอนาปตั ติวาร ภิกษุณตี อ่ ไปน้ไี มต่ อ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษณุ ีผู้เปน็ ไข้ ๒. ภกิ ษุณใี ช้รม่ อย่ใู นอารามหรอื อปุ จารแห่งอาราม ๓. ภกิ ษณุ ีผู้มีเหตขุ ัดขอ้ ง ๔. ภิกษุณีวกิ ลจริต ๕. ภกิ ษุณีต้นบัญญตั ิ สิกขาบทที่ ๒ ว่าด้วยการเดนิ ทางดว้ ยยานพาหนะ เร่อื งภิกษณุ ฉี พั พคั คยี ์ ๕๘ ร่ม ไดแ้ กร่ ่ม ๓ ชนดิ คือ (๑) รม่ ขาว (๒) รม่ ลาแพน (๓) ร่มใบไม้ ทเี่ ย็บเป็นวงกลม เย็บเขา้ กบั ซี่ ภิกษณุ ีก้นั สวมแมค้ รงั้ เดียว ต้องอาบัติปาจิตตยี ์

๑๓๘ คร้งั น้ัน พวกภิกษุณฉี ัพพคั คยี โ์ ดยสารยานไป คนทั้งหลายตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่เหมอื นหญงิ คฤหสั ถผ์ บู้ ริโภคกาม บรรดาภิกษณุ ีผ้มู กั น้อย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาได้นาเรอื่ งนี้ไปบอกภกิ ษุทงั้ หลายใหท้ ราบ พวกภิกษุได้นาเรื่องน้ีไปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบแลว้ จงึ รบั สง่ั ใหภ้ ิกษุณที ้งั หลายยกสกิ ขาบทขน้ึ แสดงดงั น้ีพระบัญญตั ิ ก็ภิกษุณใี ดโดยสารยานไป ต้องอาบัติปาจติ ตีย์ อนบุ ัญญัติ เรื่องภกิ ษณุ ีเป็นไข้ สมยั นั้น ภิกษณุ รี ูปหนึ่งเป็นไข้ ไมส่ ามารถจะเดนิ เทา้ ไปได้ พวกภกิ ษจุ ึงกราบทูลเร่ืองนนั้ ให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ฯลฯ ทรงอนญุ าตยานพาหนะ พระผมู้ พี ระภาคทรงอนญุ าตว่า “ภิกษทุ งั้ หลาย เราอนุญาตยานแกภ่ กิ ษุณผี ูเ้ ปน็ ไข้” แลว้ จงึรบั สง่ั ใหภ้ กิ ษุณที ้ังหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังน้ีพระอนุบญั ญัติ อนึ่ง ภิกษณุ ใี ดผู้ไม่เปน็ ไข้ โดยสารยานไป ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตีย์สกิ ขาบทวิภงั ค์ ทีช่ ่อื วา่ ยาน ได้แก่ วอ รถ เกวียน คานหาม แคร่ เปลหาม คาวา่ โดยสาร...ไป คือ ไปดว้ ยยานแมค้ ร้ังเดยี ว ต้องอาบัตปิ าจติ ตยี ์บทภาชนยี ์ ทุกทกุ กฏ เปน็ ไข้ ภกิ ษุณสี าคญั วา่ ไมเ่ ปน็ ไข้ โดยสารยานไป ต้องอาบัติทุกกฏ เปน็ ไข้ ภกิ ษุณีไมแ่ น่ใจ โดยสารยานไป ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฏ เป็นไข้ ภกิ ษณุ สี าคัญวา่ เป็นไข้ โดยสารยานไป ไมต่ อ้ งอาบตั ิอนาปัตติวาร ภกิ ษุณีต่อไปน้ีไม่ตอ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษณุ ีผเู้ ป็นไข้ ๒. ภิกษณุ ีผู้มเี หตุขดั ข้อง ๓. ภิกษณุ วี ิกลจรติ

๑๓๙ ๔. ภิกษณุ ีตน้ บญั ญัติ สกิ ขาบทที่ ๓ ว่าดว้ ยการใชเ้ ครื่องประดบั เอว เร่อื งภกิ ษุณีรูปหน่งึ ครั้งน้นั ภิกษุณรี ูปหนง่ึ เปน็ ภกิ ษุณปี ระจาตระกลู ของหญิงคนหน่งึ หญิงน้นั ไดฝ้ ากเครอ่ื งประดบั เอว ไปใหห้ ญงิ ช่ือโน้น ภกิ ษุณนี ัน้ คดิ ว่า ถ้า เราจะใสบ่ าตรเดินไป เราต้องเสียหายแน่ จึงสวมเคร่ืองประดบั เดินไป เมือ่ ดา้ ยขาด เครอื่ งประดับเอวตกเรี่ยราดลงบนถนน คนทง้ั หลายตาหนิประณามโพนทะนาว่าเหมือนหญิงคฤหสั ถผ์ ้บู รโิ ภคกาม บรรดาภิกษณุ ผี ู้มักน้อย ฯลฯ พากนั ตาหนิประณาม โพนทะนาได้นาเรือ่ งนี้ไปบอกภิกษุทัง้ หลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษุได้นาเรือ่ งนีไ้ ปกราบทูลพระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบแล้วจึงรบั ส่ังใหภ้ ิกษุณที ง้ั หลายยกสิกขาบทนข้ี ้ึนแสดงดังนี้พระบญั ญตั ิ ก็ภกิ ษณุ ีใดใช้เครอ่ื งประดบั เอว ต้องอาบัตปิ าจติ ตีย์สกิ ขาบทวิภังค์ ทชี่ ื่อวา่ เครือ่ งประดบั เอว ได้แก่ เครอ่ื งประดบั ที่สวมเอวชนดิ ใดชนดิ หนึ่ง คาว่า ใช้ คอื ภกิ ษุณใี ชแ้ มค้ ร้ังเดียว ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์อนาปัตตวิ าร ภิกษุณตี ่อไปนีไ้ ม่ต้องอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษุณใี ช้สายรัดเอวเพราะมเี หตุผลคืออาพาธ ๒. ภกิ ษณุ วี ิกลจรติ ๓. ภิกษณุ ตี น้ บญั ญตั ิ สิกขาบทท่ี ๔ ว่าด้วยการใชเ้ ครื่องประดบั ของสตรี เรอ่ื งภกิ ษณุ ฉี พั พคั คยี ์ ครง้ั นน้ั พวกภิกษุณฉี ัพพัคคียใ์ ช้เครอื่ งประดบั ของหญิง คนท้งั หลายตาหนิ ประณามโพนทะนาว่า เหมือนหญงิ คฤหัสถผ์ ู้บรโิ ภคกาม บรรดาภกิ ษุณี ผมู้ กั น้อย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณามโพนทะนาไดน้ าเร่ืองนี้ไปบอกภิกษุ ทงั้ หลายให้ทราบ พวกภกิ ษไุ ด้นาเรื่องน้ีไปกราบทูลพระผมู้ ีพระภาคให้ทรงทราบแล้วจงึ รับสงั่ ให้ภิกษุณที ้งั หลายยกสกิ ขาบทนี้ขึ้นแสดงดงั น้ีพระบญั ญตั ิ ก็ภกิ ษณุ ใี ดใช้เครือ่ งประดบั ของสตรี ต้องอาบัตปิ าจติ ตยี ์

๑๔๐สิกขาบทวิภังค์ ที่ช่อื ว่า เคร่อื งประดับของสตรี ได้แก่ เคร่ืองประดับศรี ษะ เคร่ืองประดับลาคอ เครอ่ื งประดับมอื เครื่องประดบั เทา้ เครื่องประดับสะเอวอนาปตั ติวาร ภิกษุณตี ่อไปนี้ไมต่ ้องอาบัติ คอื ๑. ภิกษณุ ใี ช้เครอื่ งประดับของสตรเี พราะมเี หตุผลคืออาพาธ ๒. ภกิ ษุณวี กิ ลจรติ ๓. ภิกษุณีต้นบัญญตั ิ สกิ ขาบทที่ ๕ วา่ ด้วยการใชข้ องหอมเคร่ืองย้อมผวิ เรื่องภิกษณุ ีฉพั พัคคีย์ ครงั้ น้นั พวกภกิ ษุณฉี ัพพคั คียส์ รงสนานด้วยของหอมและเคร่ืองย้อมผิว คนทั้งหลายตาหนิประณาม โพนทะนาว่า เหมอื นหญิงคฤหสั ถ์ ผบู้ รโิ ภคกาม บรรดาภกิ ษุณี ผูม้ ักน้อย ฯลฯ พากันตาหนิประณาม โพนทะนาไดน้ าเรือ่ งนีไ้ ปบอกภิกษุทง้ั หลายให้ทราบ พวกภกิ ษุได้นาเรื่องนไี้ ปกราบทูลพระผู้มีพระภาคใหท้ รงทราบแลว้ จึงรบั สั่งใหภ้ กิ ษณุ ที ั้งหลายยกสิกขาบทน้ีข้นึ แสดง ดังนี้พระบัญญตั ิ ก็ภิกษุณีใดสรงสนานดว้ ยของหอมและเครือ่ งย้อมผวิ ตอ้ งอาบตั ิ ปาจติ ตยี ์สิกขาบทวภิ ังค์ คาว่า สรงสนาน คือ ภกิ ษุณสี รงสนาน ต้องอาบตั ิทุกกฏในขณะทสี่ รงสนาน สรงสนานเสรจ็ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์อนาปัตติวาร ภิกษณุ ตี ่อไปน้ีไม่ต้องอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษณุ สี รงสนานเพราะมเี หตผุ ลคอื อาพาธ ๒. ภกิ ษุณีวกิ ลจรติ ๓. ภกิ ษณุ ีต้นบญั ญตั ิ สิกขาบทท่ี ๖ ว่าด้วยการใช้ผงแปง้ อบกลิ่น เรอื่ งภิกษณุ ีฉพั พัคคยี ์ คร้งั นั้น พวกภิกษุณฉี พั พัคคยี ์สรงสนานดว้ ยแป้งท่ีอบกล่ิน คนทัง้ หลายตาหนิ ประณามโพนทะนาวา่ เหมอื นหญิงคฤหสั ถผ์ บู้ ริโภคกาม บรรดาภิกษณุ ี ผมู้ กั นอ้ ย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม

๑๔๑โพนทะนาได้นาเรอื่ งนีไ้ ปบอกภิกษทุ ั้งหลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษุไดน้ าเร่ืองน้ีไปกราบทลู พระผูม้ พี ระภาคให้ ทรงทราบแล้วจงึ รับสง่ั ใหภ้ ิกษณุ ที ั้งหลายยกสกิ ขาบทนีข้ นึ้ แสดงดังน้ีพระบญั ญตั ิ กภ็ ิกษุณใี ดสรงสนานด้วยแป้งอบกลน่ิ ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์สกิ ขาบทวิภังค์ ท่ชี ่ือว่า แป้ง พระผู้มีพระภาคตรัสหมายถึงแป้งงาอนาปตั ติวาร ภิกษณุ ีตอ่ ไปนไ้ี ม่ต้องอาบัติ คือ ๑. ภิกษณุ สี รงสนานเพราะมีเหตผุ ลคอื อาพาธ ๒. ภกิ ษุณสี รงสนานด้วยแป้งทใี่ ช้ตามปกติ ๓. ภกิ ษณุ วี กิ ลจรติ ๔. ภกิ ษณุ ีต้นบญั ญัติ สิกขาบทที่ ๗ ว่าดว้ ยการให้บีบนวด เรื่องภกิ ษุณีหลายรูป คร้ังน้ัน ภกิ ษุณที ัง้ หลายใชภ้ กิ ษณุ ีใหบ้ ีบบา้ ง ใหน้ วดบ้าง คนทั้งหลายเทย่ี วจาริกไปตามวิหารเห็นแลว้ ตาหนิ ประณาม โพนทะนา เหมอื นหญิงคฤหัสถผ์ ้บู รโิ ภคกาม บรรดาภกิ ษณุ ี ผมู้ กั นอ้ ย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาไดน้ าเรอื่ งนไี้ ปบอกภกิ ษุทงั้ หลายให้ทราบ พวกภกิ ษไุ ด้นาเร่อื งนไี้ ปกราบทลู พระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบแล้วจงึ รับสงั่ ให้ภิกษุณีทั้งหลายยกสิกขาบทน้ขี ้นึ แสดงดงั น้ีพระบัญญัติ ก็ภกิ ษุณใี ดใชภ้ กิ ษณุ ีใหบ้ บี หรอื ให้นวด ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์สกิ ขาบทวภิ งั ค์อนาปัตตวิ าร ภกิ ษุณีต่อไปนี้ไม่ตอ้ งอาบัติ คอื ๑. ภกิ ษณุ ีผูเ้ ปน็ ไข้

๑๔๒ ๒. ภกิ ษณุ ผี ู้มเี หตุขัดขอ้ ง ๓. ภกิ ษณุ ีวิกลจริต ๔. ภกิ ษุณตี ้นบญั ญตั ิ สิกขาบทท่ี ๘-๙-๑๐๑ วา่ ด้วยการใช้(สิกขมานาฯลฯสามเณรีฯลฯ)คฤหัสถ์ให้บบี นวด เรือ่ งภกิ ษณุ ีหลายรปู ครั้งนน้ั ภิกษณุ ที ัง้ หลาย(ใช้สิกขมานาให้บีบบา้ ง ให้นวดบ้าง ฯลฯ ใช้สามเณรใี หบ้ บี บา้ ง ให้นวดบ้าง ฯลฯ) ใช้หญิงคฤหัสถ์ ใหบ้ ีบบ้าง ให้นวดบา้ ง คนทง้ั หลายเทยี่ วจาริกไปตามวิหารเหน็ จงึตาหนิประณาม โพนทะนาวา่ เหมือนหญิงคฤหสั ถ์ผบู้ รโิ ภคกามพระบัญญัติ ก็ภกิ ษุณีใด(ใชส้ กิ ขมานา ฯลฯ ใชส้ ามเณรีฯลฯ) ใช้หญิงคฤหัสถ์๕๙ใหบ้ บี หรือให้นวด ต้องอาบัตปิ าจติ ตีย์อนาปัตตวิ าร ภกิ ษณุ ีตอ่ ไปน้ไี มต่ อ้ งอาบตั ิ คอื ๑. ภกิ ษณุ ีใชใ้ ห้บบี หรือนวดเพราะอาพาธเปน็ เหตุ ๒. ภกิ ษณุ ผี มู้ เี หตุขดั ขอ้ ง ๓. ภิกษณุ วี กิ ลจริต ๔. ภกิ ษณุ ีตน้ บัญญัติ สิกขาบทที่ ๑๑ วา่ ด้วยการน่งั บนอาสนะโดยไม่ขอโอกาสกอ่ น เรอื่ งภิกษณุ ีหลายรูป ครั้งนน้ั ภิกษุณีทงั้ หลายไม่บอกก่อน น่งั บนอาสนะข้างหน้าภิกษุ ภิกษุทงั้ หลายจึงตาหนิประณาม โพนทะนาวา่ ไฉนพวกภกิ ษุณีไมบ่ อกก่อนน่ังบนอาสนะข้างหนา้ ภกิ ษุ พวกภิกษุไดน้ าเรือ่ งนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบแล้วจงึ รบั สัง่ ให้ภกิ ษณุ ีทง้ั หลายยกสกิ ขาบทนขี้ ้นึ แสดงดงั น้ีพระบัญญตั ิ ก็ภิกษุณใี ดไมบ่ อกก่อนนั่งบนอาสนะขา้ งหน้าภิกษุ ต้องอาบัติปาจติ ตยี ์สิกขาบทวิภังค์ ๕๙ หญงิ คฤหสั ถ์ พระผูม้ ีพระภาคตรัสหมายถึงสตรผี ้คู รองเรือน

๑๔๓ คาวา่ นง่ั บนอาสนะ คอื ภกิ ษุณีนง่ั โดยท่ีสุดแม้บนพนื้ ดนิ ต้องอาบตั ปิ าจติ ตยี ์บทภาชนยี ์ ทุกกฏ บอกแลว้ ภกิ ษณุ สี าคญั วา่ ยงั ไม่ได้บอก น่งั บนอาสนะ ต้องอาบัตทิ กุ กฏ บอกแลว้ ภิกษุณไี ม่แน่ใจ นง่ั บนอาสนะ ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฏ บอกแล้ว ภกิ ษุณสี าคญั ว่าบอกแลว้ นง่ั บนอาสนะ ไม่ต้องอาบัติอนาปัตติวาร ภกิ ษุณตี ่อไปนไี้ มต่ ้องอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษณุ บี อกกอ่ นจึงน่ังบนอาสนะ ๒. ภกิ ษณุ ผเู้ ปน็ ไข้ ๓. ภกิ ษุณผี ู้มเี หตุขดั ขอ้ ง ๔. ภิกษณุ วี กิ ลจริต ๕. ภกิ ษุณตี น้ บญั ญัติ สกิ ขาบทท่ี ๑๒ ว่าดว้ ยการถามปัญหากะภิกษโุ ดยไม่ไดข้ อโอกาส เร่ืองภิกษุณหี ลายรูป คร้ังนั้น ภกิ ษณุ ที ั้งหลายถามปัญหาภกิ ษุทต่ี นยังไมไ่ ด้ขอโอกาส ภกิ ษุทั้งหลายจึงตาหนิประณาม โพนทะนาวา่ ไฉน พวกภกิ ษณุ ีจงึ ถามปัญหาภกิ ษทุ ต่ี นยังไมไ่ ด้ขอโอกาสเล่า ไดน้ าเรอ่ื งน้ีไปบอกภกิ ษุทงั้ หลายให้ทราบ พวกภกิ ษุไดน้ าเรื่องน้ีไปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบแลว้ จึงรบั ส่งัให้ภิกษุณีทัง้ หลายยกสิกขาบทนีข้ นึ้ แสดงดงั นี้พระบญั ญัติ ก็ภกิ ษณุ ีใดถามปญั หาภิกษุท่ีตนยงั ไมไ่ ดข้ อโอกาส ต้องอาบตั ิปาจติ ตยี ์สกิ ขาบทวภิ งั ค์ คาว่า ถามปญั หา คอื ภิกษุณีขอโอกาสในพระสูตรแตถ่ ามพระวินัยหรอื พระอภธิ รรม ต้องอาบัติปาจิตตยี ์ ขอโอกาสในพระวนิ ัย แตถ่ ามพระสูตรหรือพระอภธิ รรม ต้องอาบัติปาจติ ตีย์ ขอโอกาสในพระอภิธรรม แต่ถามพระสูตรหรอื พระวินยั ต้องอาบตั ปิ าจติ ตยี ์บทภาชนีย์ ติกปาจติ ตีย์

๑๔๔ ยงั ไม่ไดบ้ อก ภิกษุณีสาคญั วา่ ยังไม่ได้บอก ถามปัญหา ตอ้ งอาบัติ ปาจิตตีย์ ยังไม่ไดบ้ อก ภิกษุณีไม่แนใ่ จ ถามปญั หา ต้องอาบัติปาจิตตยี ์ ยงั ไม่ไดบ้ อก ภกิ ษุณีสาคัญวา่ บอกแลว้ ถามปัญหา ต้องอาบัตปิ าจติ ตยี ์ ทุกทุกกฏ บอกแล้ว ภกิ ษุณสี าคญั ว่ายงั ไม่ได้บอก ถามปญั หา ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ บอกแล้ว ภิกษณุ ีไมแ่ น่ใจ ถามปญั หา ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ บอกแลว้ ภิกษณุ สี าคัญวา่ บอกแล้ว ถามปัญหา ไม่ต้องอาบัติอนาปัตติวาร ภิกษุณีต่อไปน้ไี ม่ตอ้ งอาบัติ คือ ๑. ภกิ ษุณขี อโอกาสแลว้ จงึ ถาม ๒. ภกิ ษุณีขอโอกาสโดยมิไดเ้ จาะจงแล้วจงึ ถามในปิฎกใดปฎิ กหนึง่ ๓. ภิกษณุ วี ิกลจริต ๔. ภิกษณุ ีตน้ บัญญตั ิ สิกขาบทท่ี ๑๓ ว่าดว้ ยการเขา้ หม่บู ้านโดยไมม่ ผี ้ารดั ถัน เรือ่ งภิกษุณรี ูปหน่ึง สมัยน้นั ภิกษณุ ีรปู หน่ึงไมม่ ีผา้ รดั ถัน เข้าไปบิณฑบาตในหมูบ่ า้ น ขณะท่เี ธอเดินอยบู่ นถนนลมบา้ หมูพัดเปดิ สงั ฆาฏิเวกิ ขึ้นคนท้ังหลายส่งเสียงวา่ ถนั และทอ้ งของแมเ่ จ้าสวยจริง ภกิ ษุณีนั้นถกู คนทงั้ หลาย เยาะเย้าจึงเก้อเขนิ ครัน้ เธอไปถึงที่อยู่จึงบอกเรอื่ งนนั้ ให้ภกิ ษณุ ีทง้ั หลายทราบ พวกภกิ ษไุ ด้นาเร่ืองนี้ไปกราบทูลพระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบแล้วจึงรับสง่ั ใหภ้ ิกษณุ ีทงั้ หลายยกสิกขาบทนี้ขน้ึ แสดงดังน้ีพระบัญญัติ ก็ภกิ ษุณีใดไมม่ ผี า้ รดั ถันเข้าหมูบ่ ้าน ต้องอาบัตปิ าจติ ตยี ์สกิ ขาบทวิภงั ค์ คาวา่ เขา้ หมู่บ้าน คือ สาหรบั หมู่บา้ นทม่ี รี วั้ ลอ้ ม เดนิ เลยเขตร้ัวลอ้ ม ต้องอาบัติปาจติ ตยี ์สาหรับหมู่บ้านท่ไี มม่ ีร้วั ล้อม ก้าวพน้ อปุ จารไป ต้องอาบตั ิปาจติ ตยี ์อนาปัตตวิ าร ภิกษุณีตอ่ ไปน้ไี มต่ ้องอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษุณถี ูกชงิ จวี รไป ๒. ภิกษณุ จี ีวรหาย ๓. ภกิ ษณุ ีผเู้ ป็นไข้ ๔. ภิกษุณผี ูห้ ลงลืม

๑๔๕ ๕. ภกิ ษณุ ไี มร่ ู้ตวั ๖. ภิกษณุ วี กิ ลจริต ๗. ภิกษุณีต้นบญั ญตั ิสรปุ ทา้ ยบท คาว่า ปาจติ ตีย์ แปลวา่ ทากุศลจติ กลา่ วคอื กุศลธรรมของผู้จงใจต้องอาบตั ิให้ตกไป โดยสรุปก็คือ ทาจิตใหต้ กไป และจติ ที่ถูกทาใหต้ กไปนนั้ ย่อมพลาดจากอรยิ มรรค หรือทาอริยมรรคให้เสยี ไปและปาจิตตียน์ ้ีเป็นเหตุใหจ้ ิตลุม่ หลง๖๐ เปน็ ชือ่ อาบตั ิ หมายถึงอาบตั ปิ าจติ ตยี ซ์ ึง่ เป็นลหกุ าบัติ คืออาบัตเิ บา และเป็นสเตกจิ ฉา คือยงั พอแกไ้ ขได้ เมอื่ ภกิ ษณุ ีต้องเขา้ แลว้ สามารถพน้ ได้ดว้ ยการ แสดงอาบตั ติ อ่ หนา้ สงฆ์ คณะ หรอื บุคคลกไ็ ด้ เปน็ ชื่อบทบญั ญัติ ๑๖๖ สิกขาบท มีช่อื เรียกอกี อยา่ งหนึ่งว่าสทุ ธกิ ปาจติ ตยี ์ แปลว่า ปาจิตตยี ล์ ว้ น ปาจิตตยี ข์ องภกิ ษุณแี บ่งเป็น ๒ ส่วน คือ (๑) อสาธารณบัญญัติ (๒) สาธารณบัญญัติ ในภิกขนุ วี ิภังค์แสดงไว้แต่อสาธารณบญั ญตั ิ ปาจติ ติยกัณฑ์ แบง่ เป็น ๑๖ วรรค คือ อสาธารณบญั ญตั ิ ๙ วรรค ๑. ลสณุ วรรค หมวดวา่ ด้วยกระเทยี ม มี ๑๐ สิกขาบท ๒. อนั ธการวรรค หมวดว่าด้วยความมืด มี ๑๐ สกิ ขาบท ๓. นัคควรรค หมวดว่าด้วยการเปลือยกาย มี ๑๐ สกิ ขาบท ๔. ตุวฏั ฏวรรค หมวดว่าด้วยการนอนร่วมกัน มี ๑๐ สกิ ขาบท ๕. จิตตาคารวรรค หมวดวา่ ดว้ ยหอจติ รกรรม มี ๑๐ สกิ ขาบท ๖. อารามวรรค หมวดว่าด้วยอาราม มี ๑๐ สิกขาบท ๗. คพั ภนิ วี รรค หมวดวา่ ดว้ ยสตรมี ีครรภ์ มี ๑๐ สิกขาบท ๘. กมุ ารภี ูตวรรค หมวดว่าด้วยกมุ ารี มี ๑๓ สกิ ขาบท ๙. ฉตั ตปุ าหนวรรค หมวดว่าด้วยรม่ และรองเท้า มี ๑๓ สิกขาบท ๑๐. มสุ าวาทวรรค หมวดวา่ ด้วยการกลา่ วเท็จ มี ๑๐ สกิ ขาบท ๑๑. ภูตคามวรรค หมวดว่าด้วยภตู คาม มี ๑๐ สกิ ขาบท ๑๒. โภชนวรรค หมวดว่าด้วยโภชนะ มี ๑๐ สิกขาบท ๑๓. จาริตตวรรค หมวดว่าดว้ ยจารตี มี ๑๐ สิกขาบท ๑๔. โชตวิ รรค หมวดว่าดว้ ยการผิงไฟ มี ๑๐ สิกขาบท ๑๕. ทิฏฐวิ รรค หมวดว่าด้วยความเห็น มี ๑๐ สกิ ขาบท ๖๐ (วิ.อ.๓/๓๓๙/๔๘๕)

๑๔๖ ๑๖. ธรรมกิ วรรค หมวดว่าด้วยผ้มู ีธรรม มี ๑๐ สิกขาบท ภิกษุณีปวตั ตนิ บี วชให้เด็กหญิงดงั กลา่ วมานยี้ ่อมถูกปรบั อาบัติ แตถ่ ้าบวชให้เดก็ หญิงที่แต่งงานมคี รอบครัวอายุครบ ๑๒ ปี ผ้ไู ดส้ มาทานปฏบิ ัติธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปี และสงฆ์ใหก้ ารรบั รองแลว้ ไมถ่ ูกปรับอาบัติ๖๑ ประเด็นที่น่าศึกษา ก็คอื ว่า ตามปกติหญงิ ท่จี ะบวชเปน็ ภิกษุณีได้น้นั นอกจาก ตอ้ งสมาทานปฏิบตั ิธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปีแล้ว ยังตอ้ งมีอายุครบ ๒๐ ปีบรบิ รู ณ์ อกี ดว้ ย คาถามก็คอื วา่ “เพราะเหตุไร หญิงทม่ี ีอายเุ พยี ง ๑๒ ปี เมอ่ื ได้ผ่านข้ันตอนตามที่กาหนดไวแ้ ลว้ จึงสามารถบวชเป็นภิกษุณีได้”คาตอบกค็ ือ หญิงในที่นี้หมายเอาหญิงทีม่ คี รอบครวั แลว้ หญงิ ที่อยใู่ นความครอบครองของชาย๖๒หญิงเหล่าน้ีมีประสบการณใ์ นชีวิตครองเรอื น ถือว่าเปน็ ผใู้ หญ่ แมจ้ ะมีอายุเพยี ง ๑๒ ปีก็สามารถบวชเปน็ ภิกษุณีได้ ๘. กมุ ารีภูตวรรค หมวดว่าด้วยกมุ ารี ทช่ี ่ือวา่ “กมุ ารภี ตู วรรค” เพราะตั้งตามความแห่งสกิ ขาบทท่ี ๑-๓ คาวา่ “กมุ ารี” หมายถึงสามเณรี๖๓ เป็นคาท่ตี อ้ งการเนน้ ใหเ้ หน็ วา่ “สามเณรี” เปน็ เดก็ หญิงบริสุทธิ์ ยงั อยใู่ นภาวะเปน็ เดก็ ประเดน็ ทน่ี ่าศกึ ษาในกุมารภี ตู วรรค คือ วธิ ีการ กระบวนการ ข้นั ตอนของการบวชเปน็ ภกิ ษุณีในพระพุทธศาสนา ท้ังในส่วนท่เี ปน็ ข้อกาหนดเก่ยี วกบั ภิกษณุ ผี ู้เป็นอปุ ัชฌาย์ที่เรยี กวา่ “ปวัตตนิ ี”และกลุ สตรีกลุ กมุ ารที จี่ ะเขา้ มาบวชเปน็ ภิกษณุ ี ภกิ ษณุ ีจะเป็นปวตั ตินีผู้บวชใหก้ ลุ ธดิ านนั้ ต้องมีพรรษาครบ ๑๒ นบั จากวนั บวชเป็นภกิ ษุณี และสงฆ์ใหว้ ุฏฐาปนสมมติคือต้งั ให้เป็นอุปัชฌาย์แล้ว๖๔คาถามทา้ ยบท ๑. คาวา่ ปวัตตนิ ี สกิ ขมานา กุมารี หมายถงึ ใคร จงอธบิ าย บทที่ ๕ ปาฏเิ ทสนียกัณฑ์ พระมหาวิจติ ร กลฺยาณจิตโฺ ต ๖๑ (กงขฺ า.อ. ๔๐๐) ๖๒ (คหิ คิ ตา นาม ปรุ สิ นตฺ รคตา วุจฺจติ (ว.ิ ภิกฺขุน.ี ๓/๑๐๙๒/๑๗๖) แปลวา่ หญงิ ที่มคี รอบครัว พระผ้มู ีพระภาคตรัสหมายถงึ หญงิ ท่เี คยอยรู่ ่วมกบั ชาย ดูใน ๑๐๙๒/๓๐๖, กงขฺ า.อ. ๓๙๘) ๖๓ (ดใู น ๑๑๓๓/๓๓๑, กงขฺ า.อ. ๔๐๐) ๖๔ (ดใู น ๑๑๔๐-๑๑๔๑/๓๓๕-๓๓๖, กงขฺ า.อ. ๔๐๐) และสามารถบวชใหก้ ลุ ธิดาได้ ๒ ปีตอ่ ๑ คน (ดใู น๑๑๗๐-๑๑๗๒/๓๕๖-๓๕๗,๑๑๗๖/๓๕๖-๓๕๗, กงฺขา.อ. ๔๐๔)

๑๔๗วตั ถปุ ระสงค์ประจาบทเรียน เม่ือนิสิตเรยี นบทน้แี ล้วสามารถ อธิบายธรรมคือปาฏเิ ทสนยี ะ ๘ สิกขาบทได้ อธิบายเสขยิ สิกขาบทและอธิกรณสมถสิกขาบท อธบิ ายบทบญั ญัติ และอนุบัญญัติ เหตเุ กดิ สถานทีบ่ คุ คลทีเ่ กยี่ วขอ้ งได้เนือ้ หาโดยสงั เขป สาระสาคัญในปาฏิเทสนยี ะ ๘ สิกขาบท สาระสาคญั ในเสขยิ สิกขาบท สาระสาคญั ในอธกิ รณสมถสิกขาบท

๑๔๘ความนา ปาฏเิ ทสนยี ะ คือส่ิงท่ีต้องแสดงคืนซงึ่ มีทง้ั หมด ๘ สิกขาบท ขัน้ ตอนการบญั ญตั ิสิกขาบทเม่อื มีเรือ่ งเกิดข้นึ มคี นตาหนิติเตียน ภกิ ษณุ ีทัง้ หลายผ้มู ักนอ้ ย ได้ยนิ พวกชาวบ้านตาหนิ ประณามโพนทะนา ได้นาเรอ่ื งนี้ไปบอกให้ภกิ ษุท้ังหลายใหท้ ราบ พวกภิกษจุ ึงน้าเรอื่ งนไ้ี ป กราบทูลพระผมู้ พี ระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มพี ระภาคทรงสอบถามเร่อื งราวทงั้ หมดแลว้ ทรงตาหนแิ ลว้ ทรงบญั ตั ิสิกขาบทโดยอาศยั อานาจประโยชน์ ๑๐ อยา่ งสาระสาคญั ในปาฏเิ ทสนยี ะ ๘ สิกขาบท๕.๑ ปาฏิเทสนียสิกขาบทที่ ๑ วา่ ดว้ ยการออกปากขอเนยใส เร่อื งภกิ ษุณฉี พั พัคคยี ์ ครงั้ นนั้ ภิกษุณฉี ัพพคั คยี อ์ อกปากขอ เนยใสมาฉัน คนท้งั หลายจงึ ตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ ไฉนพวกภิกษณุ ีจึงออกปากขอเนยใสมาฉนั ใครเลา่ จะไม่ชอบใจอาหารทีป่ รุงดีพรอ้ ม ใครเล่าจะไม่ชอบของเอรด็ อรอ่ ย ภกิ ษณุ ีท้งั หลาย บรรดาภกิ ษณุ ี ผ้มู ักน้อย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาได้นาเรือ่ งน้ีไปบอกภิกษทุ ง้ั หลาย พวกภิกษไุ ด้นาเรือ่ งนี้ไปกราบทูล พระผูม้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ รบั สัง่ ใหภ้ กิ ษณุ ีทงั้ หลายยกสกิ ขาบทนข้ี นึ้ แสดงดังน้ี พระบญั ญตั ิ กภ็ กิ ษุณใี ดออกปากขอเนยใสมาฉนั ภิกษณุ นี ั้นพึงแสดงคนื ว่า แมเ่ จา้ ดิฉันตอ้ งธรรมคอืปาฏเิ ทสนียะเปน็ ธรรมท่ีน่าติเตียน ไม่เปน็ สปั ปายะ ดฉิ นั ขอแสดงคนื ธรรมน้นั เรอื่ งภกิ ษณุ เี ป็นไข้ สมยั นนั้ ภิกษุณีทงั้ หลายเปน็ ไข้ พวกภกิ ษณุ ีผถู้ ามอาการไขไ้ ด้กล่าว กบั ภกิ ษณุ เี หลา่ นั้นดงั นี้ว่าแม่เจ้า พวกท่านยังสบายดีหรือ ยงั พอเป็นอยู่ไดห้ รือ พวกภิกษุณผี เู้ ป็นไข้กล่าวว่า แม่เจ้า เม่อื กอ่ นพวกดฉิ ันออกปากขอเนยใสมา ฉนั ได้ เพราะเหตุนน้ั พวกดฉิ นั จึงมคี วามผาสุก แตบ่ ดั นี้พวกดฉิ นั ยาเกรงอย่วู า่ พระผมู้ ีพระภาคทรงห้าม จึงไม่กล้าออกปากขอ เพราะเหตนุ นั้ จงึ ไมม่ คี วามผาสกุ ภิกษทุ ง้ั หลายได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ ฯลฯทรงอนญุ าตเนยใส พระผ้มู ีพระภาคทรงอนญุ าตวา่ ภกิ ษุทั้งหลาย เราอนุญาตใหภ้ กิ ษุณีผู้เปน็ ไข้ ออกปากขอเนยใสมาฉนั ได้ แล้วรบั สั่งให้ภิกษณุ ที ัง้ หลายยกสิกขาบทน้ีขน้ึ แสดงดงั น้ีพระอนุบญั ญตั ิ อนึง่ ภกิ ษุณีใดผู้ไม่เป็นไขอ้ อกปากขอเนยใสมาฉัน ภิกษุณนี ั้นพึงแสดงคืนว่า “แม่เจ้าดฉิ ันตอ้ งธรรมคือปาฏิเทสนยี ะ เปน็ ธรรมท่ีน่าตเิ ตียน ไม่เปน็ สัปปายะ ดฉิ ันขอแสดงคนื ธรรมนั้น”

๑๔๙สิกขาบทวภิ ังค์ ทีช่ อ่ื วา่ เนยใส ได้แก่ เนยใสที่เกิดจากโค เนยใสจากแพะ เนยใสจากกระบือ หรือเนยใสของสตั วท์ ่มี เี นอ้ื เปน็ กัปปิยะ ภิกษุณีไมเ่ ปน็ ไข้ ขอเพ่อื ประโยชน์ตน ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏในขณะทีข่ อ รบั ประเคนมาด้วยตัง้ ใจว่า “จะฉนั ” ตอ้ งอาบัติทุกกฏเพราะไดม้ า เธอฉนั ต้องอาบัติ ปาฏเิ ทสนียะ ทุกๆ คากลืนบทภาชนยี ์ ติกปาฏิเทสนียะ ไม่เป็นไข้ ภิกษุณีสาคญั ว่าไม่เป็นไข้ ออกปากขอเนยใสมาฉนั ต้องอาบัติปาฏิเทสนยี ะ ไมเ่ ปน็ ไข้ ภกิ ษุณไี ม่แนใ่ จ ออกปากขอเนยใสมาฉนั ตอ้ งอาบตั ิปาฏิเทสนียะ ไมเ่ ป็นไข้ ภกิ ษณุ ีสาคัญว่าเปน็ ไข้ ออกปากขอเนยใสมาฉัน ต้องอาบัติปาฏิเทสนยี ะทุกทกุ กฏ เป็นไข้ ภิกษุณสี าคญั ว่าไมเ่ ปน็ ไข้ ออกปากขอเนยใสมาฉนั ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ เป็นไข้ ภิกษุณีไมแ่ น่ใจ ออกปากขอเนยใสมาฉนั ต้องอาบัติทกุ กฏ เป็นไข้ ภกิ ษณุ ีสาคัญว่าเป็นไข้ ออกปากขอเนยใสมาฉัน ไม่ต้องอาบัติอนาปัตติวาร ภิกษณุ ตี อ่ ไปนไ้ี มต่ อ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษณุ ีผู้เปน็ ไข้ ๒. ภิกษุณีเป็นไข้ ออกปากขอมา หายแล้วฉนั ๓. ภกิ ษณุ ฉี ันเนยใสทเ่ี หลือเดนของภกิ ษุณีผูเ้ ป็นไข้ ๔. ภิกษุณฉี นั เนยใสของญาติ ๕. ภิกษณุ ีฉนั เนยใสของคนทีป่ วารณาไว้ ๖. ภกิ ษณุ ีออกปากขอเพอื่ ผอู้ น่ื ๗. ภกิ ษุณจี า่ ยมาดว้ ยทรัพย์ของตน ๘. ภิกษุณวี ิกลจรติ ๙. ภกิ ษุณีตน้ บัญญตั ิ๕.๒ ปาฏเิ ทสนียสกิ ขาบทท่ี ๒-๘ วา่ ด้วยการออกปากขอนา้ มนั เป็นตน้ เรอื่ งภกิ ษุณฉี ัพพัคคีย์ ครั้งน้นั พวกภิกษณุ ีฉัพพคั คยี อ์ อกปากขอน้ามันมาฉัน ฯลฯ ออกปากขอน้าผึง้ มาฉัน ฯลฯออกปากขอนา้ อ้อยมาฉัน ฯลฯ ออกปากขอปลามาฉัน ฯลฯ ออกปากขอเน้ือมาฉัน ฯลฯ ออกปากขอนมสดมาฉัน ฯลฯ ออกปากขอนมเปรี้ยวมาฉนั คนทงั้ หลายจึงตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ ไฉนพวก

๑๕๐ภิกษุณีจงึ ออกปากขอนมเปรย้ี วมาฉนั เล่า ใครเลา่ จะไมช่ อบใจอาหารท่ปี รงุ ดพี รอ้ ม ใครเลา่ จะไมช่ อบใจของทีเ่ อรด็ อร่อย ลาดับนน้ั พระผมู้ ีพระภาครบั ส่ังใหป้ ระชุมสงฆ์เพราะเร่อื งนเ้ี ป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุทัง้ หลายแลว้ จึงรับส่ังใหภ้ ิกษุณที ัง้ หลายยกสกิ ขาบทนข้ี ึ้นแสดงดงั น้ีพระบญั ญัติ ก็ภกิ ษุณีใดออกปากขอนมเปรี้ยวมาฉนั ภกิ ษณุ ีนัน้ พึงแสดงคืนวา่ “แมเ่ จา้ ดิฉันต้องธรรมคอื ปาฏิเทสนียะ เป็นธรรมทน่ี า่ ติเตยี น ไม่เปน็ สัปปายะ ดฉิ นั ขอ แสดงคนื ธรรมนน้ั ” เรอ่ื งภกิ ษุณเี ปน็ ไข้ สมยั นัน้ ภิกษุท้งั หลายเป็นไข้ ภกิ ษุณผี ้ถู ามอาการไขไ้ ด้กลา่ วกับภิกษณุ เี หล่าน้นั ดงั นว้ี ่า แม่เจ้าพวกทา่ นยงั สบายดหี รอื ยงั พอเป็นอยไู่ ด้หรอื ภิกษณุ ีผู้เปน็ ไขก้ ลา่ วว่า แม่เจ้า เมื่อก่อนพวกดฉิ นั ออกปากขอนมเปรยี้ วมาฉันได้ เพราะเหตนุ นั้ พวกดฉิ นั จึงมีความผาสุก แต่บัดน้พี วกดฉิ นั ยาเกรงอยู่ว่า พระผมู้ พี ระภาคทรงห้ามž จงึ ไม่กลา้ ออกปากขอ เพราะเหตนุ น้ั จึงไมม่ คี วามผาสกุ พวกภกิ ษไุ ด้กราบทลูเร่อื งนี้ใหพ้ ระผูม้ พี ระภาคทรงทราบ ฯลฯ ทรงอนญุ าตนมเปร้ียว พระผู้มพี ระภาคทรงอนุญาตว่า ภิกษทุ ง้ั หลาย เราอนุญาตให้ภิกษณุ ีเป็นไขอ้ อกปากขอนมเปรย้ี วมาฉันได้ แลว้ รบั สง่ั ให้ภกิ ษณุ ที ง้ั หลายยกสกิ ขาบทนข้ี ้ึนแสดงดงั น้ีพระอนบุ ัญญตั ิ อนึ่ง ภิกษุณใี ดผู้ไมเ่ ป็นไข้ออกปากขอ (นา้ มัน ฯลฯ น้าผ้งึ ฯลฯ นา้ อ้อย ฯลฯ ปลา ฯลฯเน้อื ฯลฯ นมสด ฯลฯ) นมเปร้ยี วมาฉนั ภกิ ษุณีนน้ั พงึ แสดงคนื วา่ “แม่เจา้ ดฉิ นั ต้องธรรมคือปาฏิเทสนียะ เป็นธรรมทน่ี า่ ตเิ ตียน ไม่เป็นสปั ปายะ ดิฉนั ขอแสดงคืนธรรมนัน้ ”สิกขาบทวิภังค์ ท่ชี ่อื ว่า นา้ มนั ไดแ้ ก่ น้ามันท่สี กัดจากเมลด็ งา นา้ มนั จากเมล็ดผกั กาด น้ามันจากผลมะซางน้ามนั จากเมล็ดละหงุ่ น้ามนั จากเปลวสัตว์ ที่ชื่อว่า เน้อื ไดแ้ ก่ เน้อื ของสตั วท์ ่ีมมี ังสะเป็นกัปปยิ ะ นมสด ได้แก่ น้านมโค นา้ นมแพะ น้านมกระบอื หรอื นา้ นมสตั ว์ ทมี่ มี ังสะเปน็ กัปปยิ ะ ท่ชี ื่อวา่ นมเปรี้ยว ได้แก่ นมเปร้ียวของสตั ว์มีโคเปน็ ต้นเหล่านน้ั แหละ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook