๑๕๑ ภิกษณุ ีไม่เปน็ ไข้ ขอมาเพอื่ ตน ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏในขณะท่ขี อ รบั ประเคนไวด้ ว้ ยตง้ั ใจว่า “จักฉัน” ตอ้ งอาบัติทุกกฏเพราะไดม้ า เธอฉันตอ้ งอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ ทุก ๆ คากลืนบทภาชนยี ์ ตกิ ปาฏเิ ทสนียะ ไม่เป็นไข้ ภกิ ษุณสี าคญั วา่ ไมเ่ ปน็ ไข้ ออกปากขอนมเปรย้ี วมาฉัน ตอ้ งอาบตั ปิ าฏิเทสนียะ ไมเ่ ปน็ ไข้ ภกิ ษณุ ีไมแ่ นใ่ จ ออกปากขอนมเปรีย้ วมาฉนั ตอ้ งอาบัติปาฏเิ ทสนยี ะ ไม่เป็นไข้ ภกิ ษณุ ีสาคญั ว่าเปน็ ไข้ ออกปากขอนมเปรยี้ วมาฉัน ต้องอาบัติ ปาฏเิ ทสนยี ะ ทุกทกุ กฏ เปน็ ไข้ ภิกษุณสี าคญั วา่ ไมเ่ ป็นไข้ ออกปากขอนมเปรี้ยวมาฉนั ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ เปน็ ไข้ ภิกษณุ ีไมแ่ น่ใจ ออกปากขอนมเปร้ียวมาฉนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ เป็นไข้ ภกิ ษุณีสาคญั ว่าเป็นไข้ ออกปากขอนมเปรีย้ วมาฉัน ไม่ตอ้ งอาบตั ิอนาปตั ตวิ าร ภกิ ษุณีตอ่ ไปน้ี ไม่ตอ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภิกษณุ ีผ้เู ปน็ ไข้ ๒. ภิกษณุ ขี อได้มาเมื่อตอนเปน็ ไข้ ฉน้ เม่ือไมเ่ ปน็ ไข้ ๓. ภกิ ษณุ ีฉนั นมเปรย้ี วทเี่ หลอื เดนของภิกษณุ ไี ข้ ๔. ภกิ ษุณฉี ันนมเปรีย้ วของญาติ ๕. ภิกษณุ ีฉันนมเปรี้ยวของคนทป่ี วารณาไว้ ๖. ภกิ ษณุ ีออกปากขอเพอ่ื ผ้อู ่นื ๗. ภกิ ษณุ ีจ่ายมาดว้ ยทรัพย์ของตน ๘. ภกิ ษณุ วี ิกลจริต ๙. ภิกษุณีตน้ บญั ญตั ิ๕.๓ เสขยิ กณั ฑ์๖๕ ๕.๓.๑ ปริมณั ฑลวรรค หมวดว่าดว้ ยการน่งุ หม่ เรียบรอ้ ย สิกขาบทที่ ๑ เรอื่ งภกิ ษุณีฉัพพคั คยี ์ ๖๕ เสขิยะ ๗๕ เปน็ สาธารณสิกขาบททัง้ หมด เนื้อความของแต่ละสกิ ขาบท มนี ัยดังทไ่ี ดแ้ สดงไวแ้ ลว้ ในเสขยิ กณั ฑข์ องภิกษสุ งฆ์ (ดูวินัยปิฎกแปล เล่ม ๒/๕๗๖-๖๕๔/๖๔๙-๗๓๕, กงขฺ า. ๙๔-๑๐๒)
๑๕๒ ครง้ั นัน้ พวกภกิ ษุณฉี ัพพัคคีย์ครองอนั ตรวาสกย้อยขา้ งหน้าบา้ ง ขา้ งหลังบา้ ง พวกชาวบา้ นพากันตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ เหมือนหญิงคฤหสั ถผ์ ู้บรโิ ภคกาม ภิกษุณีทั้งหลาย บรรดาภิกษุณี ผูม้ กั นอ้ ย ฯลฯ พากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาไดน้ าเรื่องน้ีไปบอกภกิ ษุท้ังหลายให้ทราบ พวกภกิ ษไุ ด้นาเรอ่ื งนไ้ี ปกราบทลู พระผู้มีพระภาครบั สง่ั ใหป้ ระชมุ สงฆ์เพราะเร่อื งนี้เปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษทุ ัง้ หลาย แลว้ จึงรับสง่ั ใหภ้ ิกษณุ ที ้งั หลายยกสิกขาบทนข้ี นึ้แสดงดังนี้พระบญั ญตั ิ พึงทาความสาเนยี กวา่ เราจกั ครองอันตรวาสกให้เรยี บรอ้ ยสกิ ขาบทวภิ ังค์ ภกิ ษุณีพึงครองอนั ตรวาสกใหเ้ รียบรอ้ ย คือนุ่งปดิ บริเวณสะดอื บริเวณเขา่ ภกิ ษณุ ใี ดไมเ่ ออื้ เฟอ้ื ครองอนั ตรวาสกย้อยข้างหน้าหรือขา้ งหลงั ต้องอาบตั ิทกุ กฏอนาปัตติวาร ภกิ ษณุ ตี อ่ ไปนี้ไม่ต้องอาบัติ คอื ๑. ภกิ ษุณไี ม่จงใจ ๒. ภิกษณุ ีไมม่ สี ติ ๓. ภิกษณุ ีผู้ไมร่ ู้ ๔. ภิกษณุ ีผเู้ ปน็ ไข้ ๕. ภกิ ษณุ ีผมู้ ีเหตุขัดข้อง ๖. ภกิ ษณุ ีวกิ ลจริต ๗. ภิกษุณีตน้ บัญญตั ิ ๕.๓.๒ ปาทกุ าวรรค หมวดว่าดว้ ยรองเท้า สกิ ขาบทท่ี ๑ เร่ืองภกิ ษุณฉี พั พคั คีย์ คร้ังนน้ั พวกภกิ ษณุ ีฉพั พคั คยี ถ์ า่ ยอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบา้ ง บ้วนน้าลายบา้ ง ลงในน้า พวกชาวบา้ นจึงตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ ไฉนภกิ ษุณีทัง้ หลายจึงถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบา้ ง บ้วนน้าลายบ้าง ลงในน้าเหมือนหญิงคฤหัสถ์ผบู้ รโิ ภคกามเลา่ พวกภิกษจุ งึ น้าเรือ่ งน้ีไปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาค ทรงประชมุ สงฆ์บัญญตั ิสิกขาบท พระบัญญตั ิ พงึ ทาความสาเหนยี กวา่ เราจักไม่ถ่ายอจุ จาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้าลาย ลงในนา้อนุบัญญัติ เรือ่ งภกิ ษณุ เี ป็นไข้
๑๕๓ สมยั น้นั ภกิ ษุณที ้งั หลายผู้เปน็ ไข้ ยาเกรงอยทู่ จ่ี ะถา่ ยอจุ จาระบ้าง ปสั สาวะบ้าง บว้ นนา้ ลายบา้ ง ลงในนา้ พวกภิกษไุ ดก้ ราบทูลเร่อื งนัน้ ให้พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ พระผมู้ พี ระภาคทรงอนุญาตวา่ “ภิกษุท้ังหลาย เราอนญุ าตใหภ้ ิกษณุ ผี เู้ ปน็ ไขถ้ า่ ยอุจจาระบ้าง ปสั สาวะบ้าง บว้ นน้าลายบา้ ง ลงในน้าได”้ แลว้ รบั สงั่ ให้ภิกษุณีท้ังหลายยกสิกขาบทน้ขี ึน้ แสดงดงั นี้อนบุ ญั ญัติ พงึ ทาความสาเหนยี กว่า เราไม่เป็นไข้จักไม่ถา่ ยอจุ จาระ ปัสสาวะหรอื บว้ นน้าลายลงในน้าสกิ ขาบทวภิ งั ค์ ภกิ ษณุ ไี ม่เปน็ ไข้ ไม่พงึ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบว้ นน้าลายลงในนา้ ภิกษุณใี ดไมเ่ ออ้ื เฟอื้ไมเ่ ปน็ ไข้ ถ่ายอุจจาระ ปสั สาวะ หรือบว้ นนา้ ลาย ลงในน้า ตอ้ งอาบัติทุกกฏอนาปตั ติวาร ภกิ ษณุ ีตอ่ ไปน้ไี ม่ต้องอาบัติ คอื ๑. ภกิ ษุณไี มจ่ งใจ ๒. ภิกษุณีไม่มสี ติ ๓. ภกิ ษุณผี ูไ้ มร่ ู้ ๔. ภกิ ษณุ ีผเู้ ป็นไข้ ๕. ภกิ ษุณถี า่ ยบนบกแล้วไหลลงนา้ ๖. ภกิ ษณุ ีผู้มเี หตุขัดข้อง ๗. ภิกษณุ วี ิกลจรติ ๘. ภกิ ษณุ ีมีจติ ฟงุ้ ซา่ น ๙. ภิกษณุ กี ระสบั กระส่ายเพราะเวทนา ๑๐. ภิกษณุ ตี น้ บัญญตั ิ๕.๔ อธกิ รณสมถะ ธรรมคืออธิกรณสมถะ ๗ เหล่าน้มี าถงึ วาระที่จะยกขึ้นแสดงเป็นข้อ ๆ ตามลาดับ เพื่อระงับอธิกรณท์ เ่ี กิดข้ึนแล้ว ๆ (๑) พึงให้สมั มขุ าวินัย (๒) พึง ให้สตวิ นิ ยั (๓) พึงใหอ้ มูฬหวินัย (๔) พึงให้ปฏิญญาตกรณะ (๕) พงึ ใหเ้ ยภุยยสกิ า (๖) พึงให้ตสั สปาปยิ สิกา (๗) พงึ ให้ติณวัตถารกวินัย๑อธกิ รณสมถะ วา่ ด้วยวธิ รี ะงับอธิกรณ์
๑๕๔ คาวา่ อธกิ รณสมถะ ประกอบด้วยคา ๒ คา คอื อธิกรณะ แปลว่า เหตุ โทษ เรอ่ื งราว คดีความ ในที่นี้หมายถึงเร่อื งท่เี กดิ ขน้ึ ในสงฆ์ เปน็ ส่งิ ทส่ี งฆจ์ ะต้องดาเนินการ และคาวา่ สมถะ แปลวา่การระงบั การทาให้สงบ รวมเปน็ อธิกรณสมถะ แปลวา่ ธรรมเคร่ืองระงบั อธิกรณ์ หรือวธิ กี ารเพอ่ืระงบั อธกิ รณ์ อธิกรณสมถะ มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. สมั มขุ าวินยั ระงับในท่ีพรอ้ มหนา้ สงฆ์ พร้อมหน้าบุคคล พรอ้ มหน้าวตั ถุ และพร้อมหน้าธรรม คาว่า “พร้อมหนา้ สงฆ”์ คอื ภิกษณุ ีเข้าประชมุ ครบองคป์ ระชมุ ตามทีก่ าหนดไว้ในแตล่ ะกรณีคาว่า “พรอ้ มหนา้ บุคคล” คอื คูก่ รณหี รอื บุคคลที่เกีย่ วขอ้ งในเรื่องนั้นอยู่พร้อมกนั คาว่า “พร้อมหน้าวตั ถ”ุ คือยกเรือ่ งทีเ่ กิดน้นั ข้นึ มาวนิ ิจฉยั คาวา่ “พรอ้ มหนา้ ธรรม” คอื วนิ จิ ฉัยถูกตอ้ งโดยธรรมวินยั ๒. สติวินยั ระงับโดยประกาศสมมตใิ ห้วา่ เปน็ พระอริยะผู้มีสตสิ มบูรณ์ คาว่า “สตวิ ินยั ” คือวธิ ีระงับอธิกรณโ์ ดยเอาสตขิ ึ้นเปน็ หลัก ในกรณที ม่ี ีผโู้ จทพระอรหนั ต์ด้วยสลี วบิ ัติ สงฆจ์ ะสวดประกาศสมมติให้แก่ผู้เป็นพระอรหันตน์ น้ั วา่ “ท่านผู้น้ีมสี ติสมบูรณ์” เป็นการบอกใหร้ วู้ า่ ใครจะโจทพระอรหนั ตด์ ้วยอาบตั ิไม่ได้ ๓. อมฬู หวนิ ัย ระงบั โดยยกประโยชนใ์ หว้ า่ ตอ้ งอาบัตใิ นขณะเปน็ บา้ คาวา่ “อมฬู หวินยั ” คือวิธีระงบั อธกิ รณ์โดยยกประโยชนแ์ ก่ภกิ ษณุ ีที่หายเป็น บา้ แลว้ ในกรณีทมี่ ผี โู้ จทภิกษณุ นี ัน้ ดว้ ยอาบัติท่ตี อ้ งในขณะเปน็ บา้ สงฆ์จะสวดประกาศสมมติเพ่อื ไมใ่ ห้ใคร ๆโจทเธอด้วยอาบตั ิ ๔. ปฏญิ ญาตกรณะ ระงับตามคารับของจาเลย คาวา่ “ปฏญิ ญาตกรณะ” คือวธิ รี ะงบั อธกิ รณ์โดยปรบั อาบตั ติ ามคารับสารภาพของจาเลยการแสดงอาบตั กิ ถ็ ือวา่ เป็นปฏญิ ญาตกรณะเช่นเดยี วกนั ๕. เยภยุ ยสกิ า ระงับตามเสียงขา้ งมาก คาวา่ “เยภยุ ยสกิ า” คอื วิธรี ะงบั อธิกรณโ์ ดยตดั สนิ ตามเสยี งขา้ งมาก สงฆ์จะใชว้ ธิ กี ารนีใ้ นกรณีท่ีบุคคลหลายฝ่ายมคี วามเห็นไม่ตรงกัน ๖. ตัสสปาปิยสิกา ระงับโดยการลงโทษแกผ่ ู้ทาผดิ คาวา่ “ตัสสปาปยิ สกิ า” คอื วิธรี ะงบั อธกิ รณ์โดยตดั สินลงโทษแก่ผูก้ ระทาผดิ เมือ่ สงฆ์พจิ ารณาตามหลักฐานพยานแล้วเหน็ ว่ามีความผดิ จริง แมเ้ ธอจะไมร่ ับสารภาพ ๗. ตณิ วัตถารกะ ระงบั โดยการประนีประนอม
๑๕๕ คาวา่ “ตณิ วตั ถารกะ” คอื วธิ ีระงับอธิกรณ์โดยการทท่ี งั้ ๒ ฝ่ายประนปี ระนอมกัน เปรยี บเหมือนเอาหญา้ กลบไว้ ไมต่ ้องชาระสะสางคดคี วาม วธิ นี ใ้ี ชร้ ะงับอธิกรณท์ ี่ยุ่งยาก อาจจะเปน็ อนวุ าทาธิกรณ์หรอื อาปตั ตาธกิ รณ์ เชน่ กรณีพพิ าทกันของภกิ ษชุ าวกรงุ โกสัมพี ๖๖วธิ รี ะงบั อธิกรณ์ อธกิ รณม์ ี ๔ ประการ คอื (๑) วิวาทาธกิ รณ์ การเถียงกนั เก่ยี วกบั พระธรรมวินยั ว่า นี้เป็นพระธรรมวนิ ยั ทีพ่ ระพุทธเจา้ ตรัสไว้ น้ไี ม่ใชพ่ ระธรรมวนิ ยั ท่พี ระพุทธเจ้าตรัสไวเ้ ป็นตน้ (๒) อนุวาทาธิกรณ์เรอื่ งการกลา่ วหา ใส่ความ โจทกนั ดว้ ยอาบัตติ ่าง ๆ เช่น ภกิ ษุรูปน้ีรูปน้นั ตอ้ งอาบตั ิน้ี ประพฤตอิ ยา่ งน้ีมีความผิด อยา่ งน้ี (๓) อาปัตตาธกิ รณ์ เรื่องการต้องอาบตั ิ การปรับอาบัติ และการแก้ตัวให้ พ้นจากอาบัติ (๔) กจิ จาธกิ รณ์ กจิ ธรุ ะตา่ ง ๆ ท่สี งฆจ์ ะตอ้ งทา เชน่ การสวดพระ ปาตโิ มกข์ การอุปสมบท ๖๗๑. ววิ าทาธกิ รณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวนิ ยั และเยภุยยสิกา ๒. อนุวาทาธิกรณ์ ระงบั ด้วยสัมมขุ าวนิ ัย สติวนิ ยั อมฬู หวนิ ยั และตสั สปาปยิ สิกา ๓. อาปัตตาธกิ รณ์ ระงับด้วยสมั มขุ าวนิ ัย ปฏญิ ญาตกรณะ และติณวตั ถารกะ ๔. กิจจาธกิ รณ์ ระงับด้วยสัมมขุ าวนิ ัย ๖๘อธิการณ์ ๔ อย่าง คือ ๑. วิวาทาธกิ รณ์ ไดแ้ ก่ การเถยี งกนั วา่ น้ีเปน็ ธรรมวินัย นไี ม่ใช่ธรรมวินยั เปน็ ตน้ ๒. อนุวาทาธกิ รณ์ ไดแ้ ก่ การโจทกก์ ันด้วยอาบัติตา่ ง ๆ ๓. อาปัตตาธกิ รณ์ ได้แก่ การตอ้ งอาบตั ิ การปรบั อาบัติและแก้ตา่ งให้พน้ อาบตั ิ ๔. กจิ จาธกิ รณ์ ไดแ้ ก่ กจิ ธรุ ะของสงฆ์ เช่นการสวดปาติโมกข์ ๖๙อธกิ รณ์ ๔ ประการ ระงับด้วยอธกิ รณสมณะแตล่ ะอย่างดงั นี้ ววิ าทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมั มขุ าวนิ ัยและเยภุยยสกิ า อนวุ าทาธกิ รณ์ ระงับดว้ ยสมั มขุ าวินัย สตวิ ินยั อมูฬหวนิ ัยและตัสสปาปิยสกิ า อาปตั ตาธกิ รณ์ ระงบั ดว้ ยสัมมขุ าวินยั ปฏญิ ญาตกรณะและตณิ วัตถารกะ กิจจาธิกรณ์ ระงับดว้ ยสมั มขุ าวินัย ๗๐สมถะ ๗ ๑. สมั มขุ าวนิ ยั คือวธิ ีตัดสนิ ทพ่ี งึ ทาในทพ่ี รอ้ มหน้าสงฆ์ ธรรมและวตั ถุ ๖๖ (ว.ิ จู. ๗/๑๘๕-๒๑๔/๒๑๘-๒๔๔, วิ.ป. ๘/๒๗๕/๒๑๐, วิ.อ. ๓/๑๘๖-๒๑๔/๒๙๒-๒๙๕, กงขฺ า.ฏกี า๔๗๐) ๖๗ (ว.ิ ป. ๘/๒๗๕/๒๑๐, ว.ิ อ. ๓/๓๒๕/๔๖๕, กงขฺ า.อ. ๓๓๖-๓๓๗) ๖๘ (กงขฺ า.อ.๓๓๘-๓๓๙) ๖๙ (ดู.วิ.ป (ปาลิ) ๘/๒๘๘-๒๙๑/๒๒๒-๒๒๕: มหาจุฬาเตปิฏก) ๗๐ (กงขฺ า.อ. ๓๓๘-๓๓๙ ดู องฺ.ทุก. ๒๐/๒๐๒-๒๐๓/๑๒๓)
๑๕๖ ๒. สตวิ ินัย คอื วิธตี ดั สินท่ยี กสติขนึ้ เปน็ หลัก ๓. อมฬู หวนิ ยั คือวิธีตดั สินทใี่ หแ้ ก่ภิกษผุ ู้หายเปน็ บา้ แลว้ ๔. ปฏิญญาตกรณะ คอื วธิ ตี ดั สนิ โดยปรับโทษตามคาสารภาพ ๕. เยภยุ ยสกิ า คอื วธิ ตี ัดสนิ โดยอาศยั เสียงขา้ งมาก ๖. ตสั สปาปยิ สกิ า คือวิธีตดั สินโดยปรบั โทษแกผ่ ทู้ าความผดิ ๗. ตณิ วตั ถารกะ คอื วธิ ีตดั สินโดยวิธียอมความ ตามศัพทแ์ ปลวา่ ระเบยี บดงั กลบไว้ด้วยหญ้า๗๑สัมมุขาวนิ ยั หมายถึง วธิ รี ะงบั อธิกรณใ์ นที่พร้อมหนา้ คือตอ้ งพรอ้ มทงั้ ๔ พรอ้ มดังนี้ ๑. พรอ้ มหน้าสงฆ์ ไดแ้ ก่ ภิกษเุ ข้าร่วมประชมุ ครบองค์ประชุมตามทกี่ าหนดไวใ้ นแต่ละกรณี ๒. พรอ้ มหน้าบุคคล ไดแ้ ก่ คกู่ รณีหรอื บคุ คลท่ีเก่ียวข้องในเร่ืองน้ันอยู่พรอ้ มหน้า ๓. พร้อมหนา้ วัตถุ ไดแ้ ก่ ยกเรอ่ื งทเ่ี กิดข้ึนนนั้ มาวินิจฉยั ๔. พร้อมหนา้ ธรรม ไดแ้ ก่ วินิจฉัยถกู ตอ้ งตามธรรมวนิ ัยสตวิ นิ ัย หมายถงึ วิธีระงับอธกิ รณโ์ ดยประกาศสมมติใหว้ ่าพระอรหันตเ์ ปน็ พระอริยะผ้มู ีสติสมบูรณ์เป็นวธิ รี ะงบั โดยเอาสติเป็นหลักในกรณที มี่ ีผู้โจทพระอรหันตขณี าสพ เป็นการบอกให้ร้วู า่ ใครจะโจทพระอรหนั ตไ์ ม่ได้อมฬู หวินัย หมายถงึ วิธีระงบั อธกิ รณ์โดยยกประโยชน์แกภ่ กิ ษุทีห่ ายเปน็ บ้าแลว้ ในกรณีทม่ี ีผโู้ จทภิกษุนัน้ ดว้ ยอาบัตทิ ีต่ อ้ งในขณะเปน็ บ้า สงฆจ์ ะสวดประกาศสมมตเิ พ่ือไมใ่ ห้ใคร ๆ โจทเธอด้วยอาบัติปฏญิ ญาตกรณะ หมายถึง วิธรี ะงบั อธกิ รณ์โดยปรับอาบตั ิตามคารบั สารภาพของภกิ ษผุ ้ตู อ้ งอาบตั ิเยภยุ ยสิกา หมายถึง วธิ รี ะงบั อธิกรณโ์ ดยตัดสินตามเสยี งข้างมาก สงฆจ์ ะใช้วธิ ีการน้ใี นกรณีท่ีบุคคลหลายฝา่ ยมคี วามเหน็ ไมต่ รงกนัตัสสปาปิยสกิ า หมายถงึ วธิ ีระงบั อธกิ รณโ์ ดยตดั สินลงโทษแกผ่ ู้กระทาผดิ เมอ่ื สงฆ์พจิ ารณาตามหลักฐานพยานแลว้ เห็นวา่ มคี วามผิดจริง แมเ้ ธอจะไมร่ ับสารภาพกต็ ามตณิ วัตถารกะ หมายถงึ วธิ รี ะงับอธกิ รณ์โดยให้ทง้ั ๒ ฝา่ ยประนีประนอมกนั เปรยี บเหมอื นเอาหญา้กลบไว้ ไม่ตอ้ งชาระสะสางความ วิธนี ้ีใช้ระงบั อธกิ รณท์ ีย่ ่งุ ยาก เช่น กรณีพพิ าทกันของภกิ ษชุ าวกรงุโกสัมพี๗๒ บทสรุป ๗๑ (นัย ว.ิ จู (ปาลิ) ๖/๑๘๕-๒๑๓/๒๑๘-๒๔๑) ๗๒ (กงขฺ า.ฏีกา ๔๗๐, ว.ิ อ. ๓/๑๙๕/๒๙๒-๒๙๓,๒๐๒/๒๙๓,๒๐๗/๒๙๔,๒๑๒/๒๙๔-๒๙๕,๓๔๐/๔๘๗,๔๘๓/๕๔๘, วิ.จู (ปาลิ) ๖/๑๘๕-๒๑๒/๒๑๘-๒๔๓, ว.ิ ป.(ปาลิ) ๘/๒๗๕/๒๑๐
๑๕๗ การบัญญัติสกิ ขาบทในปาฏิเทสนียะกเ็ พือ่ วัตถุประสงคใ์ ห้ภกิ ษณุ ีเปน็ ผมู้ กั นอ้ ยสนั โดษ ไมใ้ ห้ขออาหารมาฉนั ตามทีต่ ัวเองตอ้ งการเพ่ือเป้นการรกั ษาศรทั ธาของคนทงั้ หลาย ส่วนในเสขยิ กณั ฑ์สกิ ขาบทส่วนมากเปน็ สาธารณบญั ญัตทิ ่ีใช้รว่ มกับภกิ ษุจึงไม่ได้บัญญัตไิ วใ้ นสว่ นของภิกษณุ จี ึงบญั ญัติเพียงการน่งุ หม่ การถา่ ยอุจจาระปสั สาวะเทา่ น้นั เพม่ิ เติมคาถามท้ายบท ๑. เสขิยวัตรของภกิ ษุกบั ภิกษณุ เี หมอื นกนั หรือต่างกนั อยา่ งไร ๒. คาว่าอธกิ รณสมถะ หมายถึงอะไร บรรณานกุ รมมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบบั มหาจุฬาฯ พระวินยั ปฎิ ก มหาวภิ งั ค์ ภาค ๑-๒, และภกิ ขนุ วี ิภงั ค.์ กรุงเทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒. .ทุติย-ตตยิ สมันตปาสาทิกามหาจฬุ าอรรถกถา. กรงุ เทพฯ: มหาจฬุ าลง กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒.มหามกฎุ ราชวทิ ยาลัย. ปฐมสมนั ตปาสาทกิ า แปล ภาค ๑-๓. กรุงเทพฯ: มหามกฎุ ราช วทิ ยาลัย, ๒๕๓๕.สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. วินัยมขุ เล่ม ๑-๒-๓. กรงุ เทพฯ: มหามกุฏ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๘.สุชีพ ปญุ ญานภุ าพ. พระไตรปิฎกฉบบั สาหรับประชาชน. กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๗.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,ผูจ้ ัดทา. มหาจฬุ าเตปฏิ ก ๒๕๐๐ เลม่ ๑-๘. กรุงเทพฯ :โรงพมิ พ์ศาสนา ๒๕๑๓มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ผจู้ ดั ทา.สมนฺตปาสาทิกา มหาจฬุ าอฏฺฐกถา (ปฐโม,ทตุ โิ ย,ตติโยภาโค). กรงุ เทพ ฯ : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๓๒.______________________. กฺงขาวติ รณปี รุ าณ-อภินวฏกี า. กรุงเทพ ฯ : วิญญาณ,๒๕๓๒. ______________ . กฺงขาวติ รณี. กรงุ เทพ ฯ : วิญญาณ, ๒๕๓๒. ______________________________
๑๕๘ ประมวลรายวิชา ( Course Syllabus ) ๑. หลักสูตร พุทธศาสตรบณั ฑติ ๒. หมวดวชิ า แกนพระพทุ ธศาสนา ๓. รหัสวิชา ๑๐๕ ๑๔๘ หนว่ ยกติ ๓ ( ๓ – ๐ – ๖ ) ๔. ชอื่ วิชา ภกิ ขุนีวิภงั คปาลิ (Bhikkhunivibhanga Pali) ๕. คาอธบิ ายรายวชิ า ศึกษามูลเหตุของการบัญญัติสิกขาบท สาหรับพระภิกษุณี การบัญญัติสิกขาบทตามลาดับประเภทของสิกขาบท คือ ปาราชิก ๘ สังฆาทิเสส ๑๗ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ปาจิตตีย์ ๑๑๖ ปาฏิเทสนียะ ๘ เสขิยะ ๗๘ และอธิกรณสมถะ ๗ โดยเปรยี บเทียบกับสิกขาบทของพระภิกษุ ๖. วัตถปุ ระสงคป์ ระจาบทเรียน หลงั เรียนจบรายวชิ านีแ้ ลว้ ผ้เู รยี นสามารถ
๑๕๙ ๕. อธบิ ายความเป็นมา ความสาคัญและคณุ ประโยชนข์ องการบัญตั สิ ิกขาบทได้ ๖. อธิบายมลู เหตุท่ีทาให้บญั ญตั ิสกิ ขาบทได้ ๗. บอกประเภทของปฐมบัญญตั ิ อนบุ ัญญัตไิ ด้ ๘. อธบิ ายพฤตกิ รรมของภกิ ษณุ ีทีเ่ ปน็ ปฐมบัญญตั ิ อนุบญั ญตั ิได้ ๗. ขอบข่ายเน้อื หา สาระสาคัญในภกิ ขนุ ีวิภงั ค์ ๘. กิจกรรมการเรยี นการสอน การบรรยาย อธิบาย การถามตอบ การศกึ ษาค้นควา้ รายกลุ่มหรือรายบคุ คล นาเสนอหน้าชั้นเรยี น ใช้สื่อประกอบการสอน ๙. ส่อื การศกึ ษา เอกสารประกอบการสอน ตารา คมั ภรี ์ หนังสืออา่ นประกอบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159