Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore educasion

educasion

Published by Tolaha Samahae, 2021-02-03 02:03:38

Description: TU_2015_5717035108_4351_2727

Search

Read the Text Version

ปัจจยั ทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ ับการมีเพศสัมพันธข์ องนักเรยี น ระดบั ชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะห์ โดย นางวพิ รรษา คารนิ ทร์ การค้นคว้าอสิ ระนเี้ ป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษาตามหลกั สูตร สาธารณสขุ ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการจดั การการสร้างเสริมสุขภาพ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2558 ลขิ สิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปัจจยั ท่ีมคี วามสัมพนั ธก์ ับการมีเพศสัมพนั ธข์ องนกั เรยี น ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษา โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะห์ โดย นางวิพรรษา คารนิ ทร์ การค้นคว้าอสิ ระนี้เป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษาตามหลักสูตร สาธารณสขุ ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2558 ลขิ สิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

FACTORS ASSOCIATED WITH SEXUAL INTERCOURSE AMONG SECONDARY STUDENTS IN SUKSASONGKHRO SCHOOL BY MRs. WIPANSA KHAMRIN AN INDEPENDENT STUDY SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENT FOR THE DEGREE OF MASTER OF PUBLIC HEALTH MAJOR IN HEALTH PROMOTION MANAGEMENT FACULTY OF PUBLIC HEALTH THAMMASAT UNIVERSITY ACADEMIC YEAR 2015 COPYRIGHT OF THAMMASAT UNIVERSITY



(1) หวั ขอ้ การค้นคว้าอสิ ระ ปจั จยั ทมี่ ีความสมั พนั ธ์กับการมเี พศสมั พนั ธข์ องนกั เรยี น ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษา โรงเรยี นศกึ ษาสงเคราะห์ ชื่อผเู้ ขยี น นางวิพรรษา คารินทร์ ชอื่ ปรญิ ญา สาธารณสุขาสตรมหาบัณฑิต สาขา/คณะ/มหาวทิ ยาลยั การจดั การการสร้างเสริมสขุ ภาพ สาธารณสุขศาสตร์ อาจารย์ท่ีปรึกษาการค้นควา้ อิสระ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศกึ ษา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สริ ิมา มงคลสมั ฤทธิ์ 2558 บทคดั ยอ่ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน ระดับชั้น มัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 2 – 6 จานวน 409 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยระดับบุคคล ปัจจัย ระดับระหว่างบุคคล กบั การมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนดว้ ยสถิติไคสแควร์และสถติ ิเปรยี บเทียบค่าเฉล่ีย ผลการศึกษาพบว่านักเรียนเคยมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 7.1 กลุ่มท่ีเคยมีเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่ เป็นเพศชายร้อยละ 65.5 และเพศหญิงร้อยละ 34.5 มีการใช้ถุงยางอนามยั ร้อยละ 51.7 มีเพศสัมพันธ์โดย ไม่ยินยอมร้อยละ 13.8 ในนกั เรียนหญิงท่ีเคยมีเพศสัมพันธ์กินยาคุมกาเนิดร้อยละ 6.9 ปัจจัยระดับบุคคล ท่ีมีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับชั้นการศึกษา การเห็นคุณค่าในตนเอง (p= 0.030, p<0.001, p=0.030 และ p=0.048 ตามลาดับ) ปัจจัยระดับระหว่างบุคคล ไดแ้ ก่ ความสัมพันธ์ใน ครอบครัว ความเช่ือความศรัทธาท่ีมีต่อพ่อแม่ ความเช่ือความศรัทธาที่มีต่อครู และความเชื่อความศรัทธา ทีม่ ีต่อคู่นอนมีความสมั พันธ์กับการมีเพศสมั พันธ์อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิ (p=0.001, p=0.025, p=0.001 ตามลาดบั ) สรุป การให้ความรู้เรื่องอนามัยครอบครัวควรเริ่มต้ังแต่ก่อนระดับชั้นมัธยมศึกษา และควรส่งเสริมให้พ่อแม่ ครูอาจารย์เป็นตัวอย่างท่ีดีและคอยให้คาแนะนาปรึกษาในการปฏิบัติตนที่ เหมาะสมเพื่อป้องกันพฤติกรรมเส่ียงทางเพศเนื่องจากเยาวชนยังมีความเชื่อความศรัทธาในบุคคลเหลา่ นี้ คาสาคัญ : การมีเพศสมั พันธ์ นกั เรียนมธั ยมศึกษา ปัจจยั

(2) Independent Title FACTORS ASSOCIATED WITH SEXUAL INTERCOURSE AMONG SECONDARY Author STUDENTS IN SUKSASONGKHRO SCHOOL Degree Mrs. Wipansa Khamrin Department/Faculty/University Master of Public Health Health Promotion Management Advisor Faculty of Public Health Academic Year Thammasat University Assistant Professor Dr. Sirima Mongkolsomlit 2015 Abstract The study design was an analytical cross – sectional. The objective was to examine sexual risk behaviors and factors associated with sexual intercourse among secondary students in Suksasongkhro School. Sample studies were 409 students from grade 2-6. Data collected provided by questionnaire. Chi-Square tests and Independent t- test were analyzed for associated between individual level and interpersonal level with sexual risk behaviors. Results found that 7.1% of students had experience of sexual intercourse. In this group were 65.5% of male and 34.5% of female. Only 51.7% used condom during sexual intercourse, and 13.8 % has sexual intercourse without consent. Only 6.9% of female students having sexual intercourse took contraceptive pills. The characteristics factors including age, gender, level of education level and self- esteem were statistical significance associated with sexual intercourse (p=0 . 0 3 0 , p<0 . 0 0 1 , p=0 . 0 3 0 and p=0 . 0 4 8 respectively). The interpersonal levels factors composed of the relationship in family, faith and trust in parents, teachers were statistical significance associated with sexual intercourse ( p=0.001, p=0.025, p=0.001 respectively)

(3) In conclusion, family hygiene educating should start before high school education. And encourage parents, teachers to be a good model and suitable of sexual consulting for risk sexual behavior protection, because the student still have faith in taking a role model. Keywords : sexual intercourse, secondary students, factor

(4) กติ ติกรรมประกาศ การค้นคว้าอิสระฉบับนี้สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เน่ืองจากได้รับความกรุณา และการ ช้ีแนะท่ีเป็นประโยชน์จากกรรมการการค้นคว้าอิสระทุกท่าน ขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรรณรัตน์ รตั นวรางค์ ประธานกรรมการสอบการค้นคว้าอิสระ และนายแพทย์เพชร รอดอารีย์ ที่ ให้ความกรุณาสละเวลาให้คาแนะนาที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริมา มงคลสัมฤทธ์ิ กรรมการและท่ีปรึกษาการค้นคว้าอิสระท่ีคอยแนะนา แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ และชีแ้ นะให้คาปรึกษา ผวู้ จิ ัยขอกราบขอบพระคณุ ทุกทา่ นเป็นอยา่ งสงู มา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณคณาจารยท์ ุกท่าน ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในระหว่างการศึกษา และเพื่อนๆ พ่ีๆ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต รุ่น ท่ี 1 ในมิตรภาพ ความรู้ ความเข้าใจและ คาแนะนาดี ๆ พร้อมทั้งใหค้ วามชว่ ยเหลือในทุกๆ ดา้ นแกผ่ ู้วจิ ัยอย่างดียง่ิ ขอขอบพระคุณผู้อานวยการโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารี และอาจารย์ วรี ะศักด์ิ เป้รอด ท่ีให้ความอนุเคราะห์ชว่ ยเหลือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตลอดจนนักเรียนทกุ ท่านท่ี เสียสละเวลาในการใหข้ อ้ มลู ท้ายท่ีสุดขอขอบพระคุณครอบครัวทค่ี อยสนบั สนนุ และเป็นกาลงั ใจ ผู้ศกึ ษาหวงั วา่ ผลการศกึ ษานี้มปี ระโยชน์ในการวางแผนส่งเสริมดูแลเยาวชนไดบ้ า้ ง วิพรรษา คารนิ ทร์

สารบญั (5) บทคัดย่อภาษาไทย หนา้ (1) บทคดั ย่อภาษาอังกฤษ (3) (5) กิตตกิ รรมประกาศ (9) (11) สารบัญตาราง 1 สารบญั ภาพ 8 8 บทท่ี 1 บทนา 9 10 1.1 ความสาคญั ของปัญหา 1.2 วตั ถุประสงค์การวิจยั 12 1.3 นยิ ามศัพท์ 12 1.4 กรอบแนวคิดการวจิ ัย 14 1.5 หน่วยงานทสี่ ามารถนาผลการวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์ 18 บทท่ี 2 แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วข้อง 2.1 แนวคดิ เรื่องพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ 2.1.1 ความหมายและความสาคัญของพฤติกรรมวัยรนุ่ 2.1.2 พฤตกิ รรมเสีย่ งทางเพศของวัยรนุ่ 2.2 แนวคดิ ท่อี ธิบายปจั จัยทมี่ คี วามสมั พนั ธต์ อ่ พฤติกรรมสขุ ภาพ แบบจาลองทางนเิ วศวทิ ยาของพฤตกิ รรมสุขภาพ ( Ecological Model of health behaviors )

2.3 งานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ งกับปัจจยั ทม่ี คี วามสมั พนั ธ์ (6) กบั พฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศ และการมเี พศสัมพนั ธข์ องวยั รุ่น 20 บทท่ี 3 ระเบียบวธิ ีการวิจยั 44 3.1 รปู แบบการวจิ ยั 44 3.2 ประชากร 45 3.3 ขอ้ พิจารณาดา้ นจรยิ ธรรม 45 3.4 เคร่อื งมือท่ีใช้วจิ ัย 50 3.5 การตรวจสอบความตรงของเน้อื หา (Content Validity) 50 3.6 การหาความเชอื่ มั่นของเครอ่ื งมือ (Reliability) 51 3.7 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 52 3.8 การวเิ คราะหข์ อ้ มูลและสถิติที่ใชใ้ นการวจิ ัย 53 บทท่ี 4 ผลการวิจัย และการอภิปรายผล 54 58 4.1 ข้อมูลลกั ษณะประชากร 63 4.2 ข้อมูลปจั จยั ระดบั บุคคล 67 4.3 ขอ้ มลู ปัจจัยระหวา่ งบคุ คล 73 4.4 ปัจจยั ที่มีความสมั พันธ์กับการมเี พศสมั พันธข์ องนักเรยี น 4.5 การอภปิ รายผล 74 4.6 ข้อจากัดในการวิจยั 76 บทที่ 5 สรปุ ผลและข้อเสนอแนะ 78 5.1 สรุปผลการวจิ ัย 5.2 ข้อเสนอแนะ รายการอ้างองิ

ภาคผนวก (7) ภาคผนวก ก. เอกสารชีแ้ จงข้อมูลแก่ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการวิจัย ภาคผนวก ข. ใบยนิ ยอมเขา้ รว่ มโครงการวจิ ยั 85 ภาคผนวก ค. แบบสอบถาม 90 ภาคผนวก ง. ใบรับรองโครงการวจิ ยั 92 ภาคผนวก จ. รายนามผเู้ ช่ยี วชาญตรวจสอบเครือ่ งมือการวิจยั 101 102 ประวัตผิ ู้เขียน 103

สารบญั ตาราง (8) ตารางที่ หนา้ 20 2.1 งานวิจยั ทเี่ ก่ียวข้องกบั ปจั จยั ระดับบุคคล (Individual Level) 23 ในเรื่องเพศ 26 28 2.2 งานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้องกับปจั จยั ระดบั บุคคล (Individual Level) 32 ในเรื่องอายุ 35 37 2.3 งานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้องกับปจั จยั ระดับบุคคล (Individual Level) 39 ในเรื่องระดบั ช้ันการศึกษา 40 42 2.4 งานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้องกับปจั จัยระดับบคุ คล (Individual Level) 53 ในเรอ่ื งความรูเ้ กย่ี วกบั เรื่องเพศศกึ ษา 55 56 2.5 งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วข้องกับปัจจัยระดับบคุ คล (Individual Level) 58 ในเรื่องการเหน็ คณุ ค่าในตนเอง 60 2.6 งานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้องกับปัจจยั ระดบั ระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเรื่องความสมั พันธ์ในครอบครวั 2.7 งานวจิ ัยที่เกย่ี วข้องกบั ปจั จยั ระดบั ระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเรอื่ งความเช่อื ความศรทั ธาทม่ี ีต่อเพื่อน 2.8 งานวิจยั ท่เี กี่ยวข้องกับปจั จยั ระดบั ระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเร่ืองความเชือ่ ความศรทั ธาทม่ี ตี ่อพ่อแม่ 2.9 งานวิจัยที่เกยี่ วข้องกบั ปัจจัยระดับระหวา่ งบุคคล (Interpersonal Level) ในเรื่องความเช่ือ ความศรัทธาทมี่ ีต่อครู 2.10 งานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้องกับปัจจัยระดบั ระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเรื่องความเชอ่ื ความศรทั ธาที่มตี ่อคูน่ อน 4.1 จานวนและร้อยละของนักเรียน จาแนกตามลักษณะประชากร 4.2 จานวนรอ้ ยละความรู้เร่ืองเพศศึกษาของนกั เรียน 4.3 จานวนร้อยละการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรยี น 4.4 จานวนรอ้ ยละความสัมพันธใ์ นครอบครัว 4.5 จานวนร้อยละความคดิ เหน็ ของนักเรียนในความเชอื่ ความศรัทธาที่มีต่อเพอื่ น

สารบญั ตาราง (ต่อ) (9) ตารางท่ี หนา้ 4.6 จานวนร้อยละความคิดเห็นของนกั เรียนในความเชื่อ ความศรทั ธา 61 ที่มีต่อพ่อแม่ 61 4.7 จานวนร้อยละความคดิ เหน็ ของนกั เรียนในความเชอื่ ความศรัทธา 62 ท่ีมตี ่อครู 63 4.8 จานวนร้อยละความคดิ เหน็ ของนกั เรียนในความเชอื่ ความศรัทธา 64 ที่มตี อ่ ค่นู อน 65 4.9 จานวนร้อยละของนักเรยี น จาแนกตามพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ 66 4.10 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งลกั ษณะประชากรและการมีเพศสมั พันธ์ 4.11 ความสัมพันธร์ ะหว่างปัจจยั ระดับบุคคลและการมีเพศสมั พันธ์ 4.12 ความสัมพันธร์ ะหว่างปัจจัยระดบั ระหว่างบุคคลและการมเี พศสมั พันธ์

สารบญั ภาพ (10) ภาพท่ี หนา้ 1.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 10 2.1 แบบจาลองนเิ วศวทิ ยาเกี่ยวกับพฒั นาการของมนุษย์ 19 (Ecological model of child development)

1 บทที่ 1 บทนา 1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา วัยรุ่น ตามนิยามขององค์การอนามัยโลก(WHO) หมายถึงเด็กท่ีอยู่ในช่วงอายุ 10 – 19 ปี (1) ประมาณร้อยละ 20 ของประชากรโลก คิดเป็นจานวนประมาณ 1.2 พันล้านคนทั่วโลก และใน จานวนน้ี ร้อยละ 85 อยู่ในประเทศที่กาลังพัฒนา ที่เหลือจะอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัจจุบัน ประชากรวัยรุ่นไทยมีจานวนประมาณ 10 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ต่อ 6 ของประชากรทั้งหมดของ ประเทศ (2) วัยรุ่นเป็นช่วงระยะที่จะมีการส่ังสมการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ท่ีสาคัญทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อการเตรียมพร้อมที่จะไปสู่วัยผู้ใหญ่จะต้องมีความ รับผิดชอบสูงข้ึนทั้งในส่วนตัว สังคม และส่ิงแวดล้อม เพ่ือให้มีคุณภาพชีวิตท่ีดี และดารงตนให้เป็น ประโยชน์ต่อสงั คมและชมุ ชนมากท่ีสุด (3) ปัจจุบันมีรายงานการศึกษาสารวจวิจัยมากมายในประเทศ ไทยที่ช้ีให้เห็นปัญหาของวัยรุ่นทุกวันนี้ หากป่วยทางสุขภาพไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือจิตใจ อารมณ์ และสังคมมากขึ้น โอกาสท่ีประเทศชาติจะได้รับความเสียหายในอนาคตก็จะยิ่งทวีความ รุนแรงมากขึ้นเป็นเงาตามตวั (4) พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เป็นอีกหนึ่งปัญหาสาคัญทางด้านสาธารณสุข ที่นาไปสู่การเกิด ปัญหาต่างๆ ตามมา ได้แก่ โรคตดิ ต่อทางเพศสัมพันธ์ การต้ังครรภ์ก่อนวัยอันควร พบว่ามหี ลายปัจจัย ท่ีมีความสาคัญและเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ ได้แก่ การประพฤติปฏิบัติทางเพศในกลุ่ม เพ่ือน การยอมรับของครอบครัวท่ีมีต่อการประพฤติปฏิบัติทางเพศ นอกจากน้ียังพบว่าความรู้เร่ือง เพศหรือเพศศึกษานั้น มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และการต้ังครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น ซ่ึงพบว่า เด็กวัยรุ่นไทยอายุ 9 – 12 ปี มีการรับรู้เรื่องการคุมกาเนิด และการป้องกันโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์มีน้อย และมีความเช่ือท่ีไม่ถูกต้องเก่ียวกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และเด็กวัยรุ่นอายุ 9 – 18 ปี ส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจเร่ืองเพศ โดยรอ้ ยละ 64 ไม่รู้วธิ ีการป้องกันตนเองในขณะ มีเพศสัมพันธ์ เพ่ือการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยกลุ่มเด็กผู้หญิงมีความรู้ในการป้องกัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มากกว่ากลุ่มเด็กชาย และร้อยละ 65 ไม่มีความรู้ในเรื่องการคุมกาเนิด และเด็กวยั รนุ่ บางคนคิดว่าการมเี พศสมั พันธเ์ พียงครง้ั เดียวไม่ทาใหต้ ้งั ครรภ์ได้ (5)

2 ปัญหาการมีเพศสัมพนั ธ์ก่อนวยั อันควร มีแนวโน้มเพ่มิ ขึ้นในกลุ่มเด็กนักเรียนในประเทศ ไทย ผลการสารวจยงั พบว่า การมเี พศสัมพนั ธ์ครั้งแรกของวัยรนุ่ ท้งั เพศหญิงและชาย อายเุ ฉลี่ย 15-16 ปี และบางรายงานพบการมีเพศสัมพันธ์เฉล่ียเพียง 13 ปี และมีแนวโน้มว่าอายุเฉลี่ยของการมี เพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นจะลดลงตามลาดับ (5, 6) สถานท่ที ี่วัยรุ่นและเยาวชนร่วมเพศครั้งแรกพบว่าเป็น บ้านเพ่ือน และบ้านตัวเอง ร้อยละ 57.9- 72.0 รองลงมาเป็นหอพัก ร้อยละ 20.2 (7) จากการศึกษา พบสาเหตุของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเร็วข้ึนในกลุ่มเด็กนักเรียน ได้แก่ การเท่ียวสถาน เริงรมย์กับเพ่ือน การดื่มสุรา ซึ่งผลกระทบท่ีตามมา ได้แก่ การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โรคติดต่อทาง เพศสัมพนั ธ์ (6) ผู้วิจัยจะได้กล่าวในประเด็นที่เก่ียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พฤติกรรมการมี เพศสัมพันธ์ และการใช้ถุงยางอนามัย ซ่ึงแนวโน้มสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted Infection) ในปี พ.ศ. 2555 พบการรายงานโรคหนองในมากที่สดุ ในกลุ่มอายุ 15 - 24 ปี จานวน 4,005 ราย อัตราป่วย 41.52 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาคือกลุ่มอายุ 25 - 34 ปี จานวน 1,455 ราย ร้อยละ14.34 เม่ือจาแนกตามอาชีพ พบโรคหนองในผู้ป่วยท่ีประกอบอาชีพ รับจา้ งมากทส่ี ุด 2,520 ราย รองลงมาคือ นักเรยี น 2,267 ราย เมื่อพิจารณาโรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ โดยรวมแล้ว พบผู้ป่วยสูงท่ีสุดในกลุ่มอายุ 15 - 24 ปี และยังคงมีแนวโน้มท่ีเพิ่มสูงข้ึนต่อไป มีอัตรา ป่วย 93.41 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 25 - 34 ปี ร้อยละ 68.14 และกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป ร้อยละ48.40 ผู้ป่วยส่วนใหญป่ ระกอบอาชีพรบั จา้ ง 10,767 ราย ร้อยละ 32.65 รองลงมาคือ เกษตรกรรม 8,233 ราย ร้อยละ 24.97 นักเรียน 4,759 ราย ร้อยละ14.43 สถานการณ์โรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาสาคัญของไทย เพราะการติดโรคทางเพศสัมพันธ์น้ันได้ชี้ให้เห็นถึงการมี เพศสัมพันธ์ท่ไี ม่ปลอดภัย ซ่ึงเป็นปัจจัยเสย่ี งทที่ าให้เกิดการติดเชอื้ เอชไอวีได้ ข้อมูลของสานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ปี พ.ศ.2557 พบว่า อัตราการป่วยจาก โรคติดตอ่ ทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ โรคหนองใน ซฟิ ลิ ิส หนองในเทียม แผลรมิ อ่อน และกามโรคของต่อม และท่อน้าเหลือง ในวัยรุ่นและเยาวชนอายุ 15-24 ปี ในปี พ.ศ. 2556 พบอัตราป่วย 93.6 ต่อแสน ประชากร และเพ่ิมสูงข้ึนในปี 2557 อัตราป่วย 103.4 ต่อแสนประชากร และท่ัวประเทศมีแนวโน้ม เพ่ิมขน้ึ จาก 35.89 ตอ่ ประชากรแสนคน ในปี พ.ศ.2552 เพมิ่ เปน็ 52.69 ตอ่ แสนประชากร ในปี พ.ศ. 2557 และพบว่าในรอบ 10 ปีต้ังแต่ปี พ.ศ. 2548-2557 วัยรุ่นอายุ 10-19 ปี ติดกามโรคเพ่ิมสูงขึ้น เกอื บ 5 เทา่ ตัว จาก 7.53 เปน็ 34.50 ต่อประชากรแสน ในกลุ่มอายุ 20-29 ปี เพิ่มขึน้ เกือบ 2 เท่าตัว จาก 26.66 เป็น 42.73 ต่อประชากรแสน คาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีผู้ป่วยโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ใน 2 กลุ่มอายุนี้ รวม 21,137 คน เหตุเนื่องจากใช้ถุงยางอนามัยน้อยลง ผลสารวจในปี

3 2556 วัยรุ่นชายใช้เพียงร้อยละ 36.2 วัยรุ่นหญิงใช้ร้อยละ 27.9 ขณะที่ในปี พ.ศ. 2553 ผู้ชายใช้ รอ้ ยละ 43.3 ผู้หญงิ ใชร้ ้อยละ 30.7 ส่วนโรคเอดส์จากการคาดการณ์การระบาดในปี พ.ศ.2557 พบผู้ป่วยเอดส์ท่ีเป็นผู้ใหญ่ สะสมประมาณ 1,194,515 คน ยังมีชีวิตอยู่ 438,629 คน พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,695 คน ร้อยละ 90 เกิดจากการรับ และถ่ายทอดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ท่ีไม่ป้องกัน สถานการณ์โรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาสาคัญของไทย เพราะการติดโรคทางเพศสัมพันธ์นั้นได้ช้ีให้เห็นถึงการมี เพศสัมพันธ์ท่ีไม่ปลอดภัย ซ่ึงเป็นปัจจัยเส่ียงที่ทาให้เกิดการติดเช้ือ เอชไอวี โรคหนองใน หนองใน เทียม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนักในกลุ่มชายรักชาย เป็นต้น (8) ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวัง พฤติกรรมเส่ียงในปี พ.ศ.2554 พบว่าเยาวชนมีพฤติกรรมทางเพศที่เส่ียงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนชาย ร้อยละ 4.2 และนักเรียน หญิง ร้อยละ 3.0 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว อายุเฉลี่ยของการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกของนักเรียนชาย คือ 12.2 ปี การใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์คร้ังล่าสุดกับแฟนหรือคนรัก ในเพศชาย ร้อยละ 69.0 ในเพศหญิงร้อยละ 36.6 พฤติกรรมการใช้สารเสพติดมีเพียงส่วนน้อย ในการมีเพศสัมพันธ์ครั้ง ล่าสุดนักเรียนหญิงมีการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนร่วมเพศ ร้อยละ 0.3 ไม่มกี ารใช้สารเสพติด นกั เรียนชาย ใช้สารเสพติดก่อนร่วมเพศครั้งล่าสุด รอ้ ยละ 0.6 มีการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนร่วมเพศครั้งล่าสุด ร้อยละ 0.7 และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนชายมีเพศสัมพันธ์แล้ว ร้อยละ 28.0 นักเรียนหญิง มเี พศสมั พันธ์แล้ว ร้อยละ 16.4 การใช้ถงุ ยางอนามัยในการมีเพศสมั พันธ์คร้ังล่าสุดกับแฟนหรือคนรัก ในเพศชาย ร้อยละ 51.2 ในเพศหญิงร้อยละ 46.5 พฤติกรรมการใช้สารเสพติด นักเรียนชาย ร้อยละ 68.1 เคยใชแ้ อลกอฮอล์ รองลงมากญั ชา นกั เรียนหญิงเพียงส่วนน้อย เทา่ นนั้ ท่ีเคยใช้สารเสพติด (7) พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์และการใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์คร้ังแรกของ นักเรียน ในปี พ.ศ. 2556 นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ท่ีเคยมีเพศสัมพันธ์ ในนักเรียนหญิง ร้อยละ 17.2 นักเรียนชาย ร้อยละ 25.9 ส่วนนักเรียนช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปีท่ี 2 ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ นักเรียนหญิง ร้อยละ 45.3 นักเรียนชาย ร้อยละ 46.2 การใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครั้ง แรก ปี พ.ศ.2556 ของช้ันนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในนักเรียนหญิง ร้อยละ 64.1 นักเรียนชาย ร้อยละ 61.2 นักเรียนช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2 เป็นนักเรียนหญิง ร้อยละ 58.8 และนักเรียนชาย ร้อยละ 59.3 (9) ในปี พ.ศ.2557 พบนักเรียนทีใ่ ช้ถงุ ยางอนามยั ในการมีเพศสัมพันธ์ คร้งั แรก นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 เพศหญงิ ร้อยละ 64.2 และเพศชาย ร้อยละ 65.2 ส่วนนกั เรียน ช้ันประกาศนยี บัตรวชิ าชีพปที ี่ 2 เป็นนักเรียนหญิง ร้อยละ 62.3 และนกั เรียนชาย ร้อยละ 61.2 (10) นอกจากนีย้ ังพบว่าผลกระทบประการสาคญั ที่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของวัยรุ่น นอกจากติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเอดส์ คือ การต้ังครรภ์ ข้อมูลจากสานักทะเบียนราษฎร์

4 กระทรวงมหาดไทย พบว่า แม่ท่ีคลอดบุตรมีอายุระหว่าง 10 – 19 ปี เพิ่มจากร้อยละ 13.9 ในปี พ.ศ. 2547 เป็นร้อยละ16.2 (11) ข้อมูลจากสานักอนามัยการเจริญพันธ์ ในปี พ.ศ.2556 พบอัตราการ ต้ังครรภ์ ของหญิงอายุระหว่าง 15 - 19 ปี ต่อประชากรหญิงอายุ 15 – 19 ปี จานวน 1,000 คน อัตรา 51.2 ในปี พ.ศ.2557 เป็นอตั รา 49.7 (12) จากการศึกษาของโรงพยาบาลรามาธิบดีช้ีให้เห็นว่า ร้อยละ 80 ของการต้ังครรภ์ใน วัยรุ่นเป็นการต้ังครรภ์แบบไม่พร้อมและเป็นการต้ังครรภ์นอกสมรส ในกลุ่มท่ีมีการต้ังครรภ์นี้ร้อยละ 30 จบลงด้วยการทาแท้งร้อยละ 14 รายงานว่าเป็นการแท้งเอง ร้อยละ 56 ได้มีการคลอดบุตร และ รอ้ ยละ 25 มีการตั้งครรภ์ซ้าอีกในรอบ 2 ปี แม่วัยเยาว์ท่ีคิดฆ่าตัวตายระหว่างต้งั ครรภ์และหลังคลอด ร้อยละ 12 (11) สถานการณ์การต้ังครรภ์ในกลุ่มแม่วัยรุ่น เป็นปัญหาในสังคมท่ีสะสมมาอย่างต่อเนื่อง จากสถิติกระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.2556 พบว่าภาวะเจริญพันธ์ุในประเทศไทยได้ลดต่ากว่าระดับ ทดแทน อัตราการเจริญพันธ์ุรวมได้ลดลง ถึงระดับ 1.5 ซ่ึงจากการสารวจประชากรหญิง 1,000 คน ปี พ.ศ.2539 มีการตั้งครรภ์ 31 คน และในปี พ.ศ.2554 ลดลง เหลือ 24 คน ขณะที่อัตราการคลอด บุตรของวัยรุ่นหญิงอายุ 10-14 ปี เพิ่มขึ้นจาก 1.1 ต่อประชากร 1,000 คน ในปี พ.ศ. 2548 เป็น 1.7 ในปี 2556 อัตราการคลอดบุตรของวัยรุ่นหญิงอายุ อายุ 15 -19 ปี ต่อหญิงวัยเดียวกัน 1,000 คน ในช่วง 11 ปี มีแนวโน้มสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ต้ังแต่ปี พ.ศ.2546 ถึง ปี พ.ศ. 2550 และลดลงในปี พ.ศ.2551 ที่อัตรา 39.79 หลังจากน้ันก็มีแนวโน้มสูงข้ึน โดยในปี พ.ศ.2554 มีอัตราสูงสุด ที่ 46.60 และค่อยๆลดลง ในปี พ.ศ. 2556 ที่อัตรา 41.54 นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2556 พบจานวนการคลอดใน วัยรุน่ อายตุ ่ากว่า 15 ปี วนั ละ 9 คน และ อายุต่ากว่า 20 ปีวันละ 334 คน ซึง่ เพิ่มจากปี พ.ศ. 2543 ท่ี คลอดวันละ 240 คน การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นส่งผลต่อปัญหาสาธารณสุขหลายด้าน เช่น โรคติดต่อทาง เพศสัมพนั ธ์ และเอดส์ การทาแทง้ เดก็ แรกคลอด มีนา้ หนักตา่ กวา่ เกณฑ์ และพบปญั หาตงั้ ครรภ์ซ้าสูง ถึงร้อยละ 12 พบการตั้งครรภ์ซ้าในหญิงอายุ 10 -19 ปี จานวน 15,295 คน คิดเป็นร้อยละ 12.1 จากจานวนการคลอดท้ังหมดของหญิงอายุดังกล่าว ในปี พ.ศ 2556 พบผู้ที่ทาแท้งมีสภาพนักเรียน/ นักศึกษา ร้อยละ 40.6 และผู้ท่ีทาแท้งมีอายุต่ากว่า 20 ปี ถึงร้อยละ 29 (13, 14) และในปี พ.ศ 2557 พบผู้ท่ีทาแท้งมีสภาพนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 36.1 และผู้ท่ีทาแท้งมีอายุต่ากว่า 20 ปี ถึงร้อยละ 30 (12) ดังน้ันการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการศึกษาเรื่องเพศในโรงเรียน (School based HIV prevention program) เป็นมาตรการที่สาคัญซ่ึงจะช่วยให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับเรื่องเพศอย่างถูกต้องเหมาะสม มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ท่ี ปลอดภัย มีทัศนคติที่ดีต่อการปรับเปล่ียนพฤติกรรม ช่วยยับยั้งการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

5 ช่วยลดจานวนคู่นอน และเพ่ิมอัตราการใช้ถุงยางอนามัยซ่ึงจะนาไปสู่การลดการเกิดโรคติดต่อทาง เพศสัมพนั ธ์ (7, 11) การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ใจหรือการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ป้องกัน เช่น การใช้ถุงยาอนามัย ยาเม็ดคุมกาเนิด หรือยาคุมกาเนิดฉุกเฉิน การคุมกาเนิด ทถ่ี กู ตอ้ งและมปี ระสทิ ธิภาพ เชน่ การใชถ้ งุ ยางอนามัย การรบั ประทานยาคมุ กาเนดิ เพอ่ื ป้องกัน และ ลดปัญหา การตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น และนาไปสู่การทาแท้งท่ีไม่ปลอดภัย การมีเพศสัมพันธ์ โดย ไม่ไดป้ อ้ งกันการตั้งครรภ์ โดยการใช้ถุงยางคุมกาเนิด เป็นวธิ ีการคมุ กาเนดิ ท่ีมีประสิทธิภาพสูง แต่ใน กลุ่มวัยรุ่นนน้ั มีการใช้ที่ไม่ถกู วธิ ี (15) และข้อมูลจากสานักอนามยั การเจริญพันธุ์ กรมอนามัย ปี พ.ศ. 2557 พบรอ้ ยละของการคมุ กาเนิดในผปู้ ่วยทาแทง้ ทีม่ ีเหตุผลด้านเศรษฐกิจ และครอบครัว มีการใชย้ า เม็ดคุมกาเนิด ร้อยละ 52.4 ใช้ยาคุมฉุกเฉิน ร้อยละ 20.2 และใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 19.6 (10) จากรายงานแผนงานสร้างกลไกการเฝ้าระวัง และพัฒนาระบบยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พบว่ามีการซื้อยาคุมฉุกเฉิน 8 ล้านแผงต่อปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีการใช้ยาคุมกาเนิด ฉุกเฉินพร่าเพร่ือ และวัยรุ่นยังมีความเข้าใจผิดในเร่ืองของการใช้ยาคุมกาเนิดฉุกเฉิน สามารถ คุมกาเนิดได้ร้อยละ 100 (16) ข้อมูลจากสานักอนามัยการเจริญพันธ์ กรมอนามัย และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี 2551 พบว่ากลุ่มนักเรียน/นักศึกษา อายุระหว่าง 13 - 15 ปี กินยา คมุ กาเนิดฉกุ เฉินถึงร้อยละ 30 (17) จากการศึกษาของศรัณยู เรือนจันทร์(5) ปี พ.ศ.2556 ศึกษาสถานการณ์พฤติกรรมเส่ียง ทางเพศของวัยรุ่นในพ้ืนที่พัฒนาต้นแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น จังหวัดอุตรดิตถ์พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ได้แก่ การควบคุมกากับ ติดตามของพ่อแม่/ผู้ปกครอง จะส่งผลให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ช้าลง การได้รับการส่ือสารการให้ข้อมูล ความรู้เรอ่ื งเพศ จากพ่อแม่/ผู้ปกครองนั้น เป็นสิ่งสาคัญในการวางรากฐานของพฤติกรรม และเจตคติ ของวยั รุ่นเรื่องเพศของเด็กวัยร่นุ และพบว่าบุคคลท่ีเด็กวยั รุน่ คาดหวังว่าการให้ความรคู้ วามเข้าใจเร่อื ง เพศแก่เขามากที่สุดคือ พอ่ แม่/ผ้ปู กครอง และการรบั รู้ความรู้ความสามารถของตนเองมีผลตอ่ การเกิด พฤตกิ รรมการป้องกัน การติดเชอื้ เอช ไอ วี และการใช้ถุงยางอนามยั สถานการณ์ความรุนแรงทางเพศ พบว่าผู้หญิงท่ีอายุต่ากว่า 20 ปี ประมาณ 120 ล้าน คนทว่ั โลก หรอื คดิ เป็น 1 ต่อ 10 คน เคยถูกบงั คับร่วมเพศ หรือการกระทาทางเพศอื่นๆ และในวัยรุ่น หญิงทแี่ ต่งงานแล้ว อายุ 15 – 19 ปี จานวน 84 ลา้ นคนทั่วโลก หรือคดิ เป็น 1 ต่อ 3 ตกเปน็ เหย่ือของ ความรนุ แรงทางอารมณ์ ทางรา่ งกาย หรอื ทางเพศทกี่ ระทาโดยสามี (18) สถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิงในประเทศไทย อาจเกิดในลักษณะของการ ตบตี ทาร้ายร่างกาย คา้ มนุษย์ ขม่ ขนื คกุ คามทางเพศ และการบังคบั ให้คา้ ประเวณี สว่ นรูปแบบความ

6 รุนแรงท่ีเด็กผู้หญิง และผู้หญิง ต้องตกเป็นเหยื่อมากท่ีสุด ได้แก่ 1) ความรุนแรงท่ีได้รับจากสามี รอ้ ยละ 59 2) ความรุนแรงแบบหลายรูปแบบ ร้อยละ 15 3) ความรุนแรงทางเพศ ร้อยละ 12 สถิติปี พ.ศ. 2556 กระทรวงสาธารณสุข พบปัญหาเด็กและสตรี ถูกกระทาความรุนแรง ทั้งหมด 31,966 ราย เป็นเด็ก จานวน 19,229 ราย และสตรีจานวน 12,638 ราย พบการล่วงละเมิดทางเพศ ในช่วง อายุ 10 – 15 ปี ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าสถิติของศูนย์ พ่ึงได้ กระทรวงสาธารณสุข เม่ือปี พ.ศ. 2556 – 2557 ผู้หญิง และเด็ก ตกเป็นเหย่ือความรุนแรง เฉลี่ยช่ัวโมงละ 4 ราย หรือวันละ 87 คน หรือเฉล่ียทุกๆ 15 นาที จะเป็นเหย่ือความรุนแรง เฉลี่ย ชั่วโมงละ 1 คน โดยผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงน้ัน เกิดจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศมากที่สุด และเมื่อปี 2556 องค์กรด้านสตรีของสหประชาชาติ จัดลาดับการกระทาความรุนแรงทางเพศ ตอ่ ผู้หญิง ในลาดับที่ 7 จากจานวนประเทศท้ังหมด 71 ประเทศ (19) ผู้วิจัยจะกล่าวในประเด็นสถานการณ์ของจังหวัดลาปาง ที่เก่ียวกับโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ การคลอดของหญิงอายุ 15 – 19 ปี ข้อมูลนักเรียนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ และการมี เพศสัมพันธ์โดยการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งทางสานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 เชียงใหม่ รายงาน สถานการณ์ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปี พ.ศ.2556 พบแนวโน้มผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จาแนกรายโรค ตั้งแต่ มกราคม พ.ศ. 2552 – ธันวาคม พ.ศ.2556 จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากร แสนคนสูงสุดคือจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลาปาง อัตราป่วยต่อประชากรแสนคนเท่ากับ 39.26, 33.82 และ 24.05 ตามลาดบั (20) สถานการณ์ของจังหวัดลาปาง พบว่าการคลอดของหญิงอายุ 15-19 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา มีแนวโน้มเพ่ิมขึ้นอย่างต่อเน่ือง โดยในปี พ.ศ.2557 อัตราการคลอดของหญิง อายุ 15-19 ปี เท่ากับ 28.0 ต่อประชากรหญิงอายุ 15-19 ปีพันคน พิจารณาหญิงคลอดในสถาน บริการสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2557 พบว่ามีหญิงคลอดที่มีอายุต่ากว่า 20 ปี จานวน 625 คน คิดเป็น ร้อยละ 13.85 ของหญิงคลอดทั้งหมด ลดลงจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย อาเภอท่ีมีหญิงคลอดอายตุ ่ากว่า 20 ปีสูงสุด คือ อาเภอห้างฉัตร ร้อยละ 17.8 รองลงมาคือ อาเภอเกาะคาและอาเภอเถิน คิดเป็น รอ้ ยละ 17.44 และ16.43 ตามลาดบั โดยหญิงคลอดวัยรุน่ ส่วนใหญ่เป็นการต้งั ครรภค์ ร้ังแรก ยงั อยู่ใน ระบบการศกึ ษาต้องออกจากการศกึ ษามาเลยี้ งลูก และโอกาสกลบั ไปเรียนต่อค่อนข้างนอ้ ย ข้อมูลนักเรียนเคยมีเพศสัมพันธ์ของจังหวัดลาปาง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 และนักเรียนช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปีท่ี 2 จากการเฝ้าระวังต้ังแต่ปี พ.ศ.2550 พบว่ามีแนวโน้ม เพ่ิมขึ้นอย่างต่อเน่ือง และเริ่มชะลอตัวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ผลการสารวจคร้ังล่าสุดในปี พ.ศ.2557 พบว่านักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชาย และหญิง เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ร้อยละ 49.4 และ 52.4 ตามลาดบั นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ชายและหญงิ เคยมีเพศสมั พันธแ์ ล้ว รอ้ ยละ 20.4

7 และ 18.0 ตามลาดับ ปัจจัยท่ีทาให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น มาจากการเข้าถึง ส่ือสิ่งเร้า ที่กระตุ้น เร่ืองเพศมากข้ึน เข้าถึงได้ง่าย เป็นวัยที่อยากรู้ อยากลอง และค่านิยมตามเพ่ือนท่ีส่วนใหญ่จะมีแฟน คนรัก และเคยมเี พศสัมพันธ์ และคดิ ว่าการมีเพศสัมพนั ธเ์ ปน็ การแสดงออกถงึ ความรัก(21) การมีเพศสัมพนั ธโ์ ดยการใช้ถุงยางอนามยั ของจังหวดั ลาปาง พบว่าแนวโนม้ การใช้ถงุ ยาง อนามัยเพ่ิมขึ้นทั้งชายและหญิง จากการสารวจครั้งล่าสุด ปี พ.ศ.2557 มกี ารใช้ถงุ ยางอนามัยในการมี เพศสัมพันธ์ครงั้ ล่าสุด นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ชายรอ้ ยละ 81.4 หญิงรอ้ ยละ 60.5 นักเรียนชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพปีท่ี 2 ชายร้อยละ 63.3 หญิงร้อยละ 55.7 สาเหตุท่ีไม่ใช้ถุงยางอนามัย เน่ืองจาก ไว้ใจคู่นอน คิดว่าคงไม่เป็นไร และใช้วิธีการหลั่งนอก นับระยะปลอดภัย และการกินยา คุมกาเนิดฉุกเฉิน แนวโน้มการป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของลาปาง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้น มามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในปี พ.ศ.2557 อัตราป่วย 0.28 ต่อพันประชากร เมื่อจาแนกโรคท่ีพบผู้ป่วย 4 โรค คือ โรคหนองในแท้ โรคหนองในเทียม โรคซิฟิลสิ และโรคแผลริมอ่อน อตั ราป่วย 0.22 , 0.04 0.01 และ 0.01 ต่อพันประชากร ตามลาดับ อาเภอท่ีมีอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ อาเภอห้างฉัตร อาเภอ แม่เมาะ และอาเภอเมือง ตามลาดับ กลุ่มที่พบป่วยมากที่สุด เมื่อจาแนกตามกลุ่มอายุ พบว่า ผู้ป่วย ส่วนใหญร่ ้อยละ 37.4 อยูใ่ นกลมุ่ อายุ 15-19 ปี รองลงมาเปน็ อายุ 20-24 ปี ร้อยละ 24.5 เม่อื จาแนก อาชีพ พบมีสถานภาพนักเรียน/นักศึกษา คิดเป็นร้อยละ 50.9 ซึ่งพบว่านักเรียน/นักศึกษา เจ็บป่วย และเข้ารับการรักษาด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุส่วนใหญ่จะติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาจากแฟน เพื่อน มีเพ่ือนแนะนาให้รู้จัก หรือคนท่ีรู้จักกันแบบผิวเผิน โดยไปพบกันในสถานบริการ สถานเรงิ รมย์ หอพัก และมีเพศสัมพันธก์ ันโดยไมใ่ ช้ถงุ ยางอนามัย (22) ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว ทาให้ผู้วิจัยสนใจท่ีจะศึกษาพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ซง่ึ พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศในงานวิจัยนี้ครอบคลุมในเร่ืองการมเี พศสัมพันธ์ในวัยรุ่น การมีเพศสัมพันธ์ ท่ไี มป่ อ้ งกนั (การไมใ่ ช้ยากนิ คุมกาเนิด, การไม่สวมถุงยางอนามยั ) การตั้งครรภ์/ยตุ ิการตงั้ ครรภ์ ความ รุนแรงทางเพศ (การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม) จานวนโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาของจังหวัด ลาปางมีจานวนท้ังหมด 32 แห่ง มีโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เพียงแห่งเดียวในจังหวัดลาปาง และเนื่องจากเปน็ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ซึง่ รับเดก็ ด้อยโอกาสทางการศึกษา 10 ประเภท ด้วยกัน ได้แก่ 1) เด็กถูกบังคับให้ขายแรงงานหรือแรงงานเด็ก 2) เด็กเร่ร่อน 3) เด็กที่อยู่ในธุรกิจทาง เพศหรือโสเภณีเด็ก 4) เด็กที่ถูกทอดท้ิง/กาพร้า 5) เด็กท่ีถูกทาร้ายทารุณ 6) เด็กยากจน (มากเป็น พิเศษ) 7) เด็กในชนกลุ่มน้อย 8) เด็กท่ีมีปัญหาเก่ียวกับสารเสพติด 9) เด็กที่ได้รับผลกระทบจากโรค เอดส์หรือโรคติดต่อร้ายแรงท่ีสังคมรังเกียจ 10) เด็กในสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชน

8 ในปีการศึกษา 2559 มีนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2- 6 มจี านวนนกั เรียนทั้งหมด 415 คน แยกเป็น นักเรียนหญิงจานวน 220 คน นักเรียนชายจานวน 195 คน และโรงเรียนแห่งน้ี เป็นโรงเรียนประจา ฉะนั้นนักเรียนใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนเปรียบเสมือนบ้าน ทาให้นักเรียนอยู่ห่างไกลจากครอบครัว และ ผ้ปู กครองของนักเรียนส่วนใหญ่ เป็นชาวเขาเผ่าตา่ งๆ เช่น กะเหรี่ยง เยา้ ลซี อ มง้ อาข่า ทอี่ าศยั อย่ใู น จงั หวดั เชียงราย ตาก พะเยา และลาปางในอาเภอ งาว ,เกาะคา ,แจ้ห่ม ซ่ึงผู้ปกครองจะมารับนกั เรยี น กลับบ้านเฉพาะในชว่ งปิดเทอมเท่านั้น ทาให้นักเรียนมีเวลาอยู่กับครอบครวั น้อย แม้ทางโรงเรยี นจะมี อาจารยป์ ระจาแตล่ ะหอพักนักเรยี นคอยดูแลอยู่ แต่เน่ืองด้วยนกั เรียนมีจานวนมาก และอาจารย์ผดู้ แู ล มีจานวนจากัด ทาให้นักเรียนขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ซึ่งปัจจุบันมีสถานศึกษาท่ีมี ลักษณะให้นักเรียนอยู่ประจาหลายแห่งแต่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ รวมถึงปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนประจา ซ่ึงผลการศึกษาน้ีจะสามารถ นามาใช้เป็นข้อมูลในการเป็นแนวทางป้องกันปัญหาทางด้านพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนใน โรงเรยี นประจาต่อไป 1.2 วตั ถปุ ระสงค์งานวจิ ยั 1. ศกึ ษาพฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศของนักเรียน ระดบั ช้ันมัธยมศึกษา โรงเรยี นศกึ ษาสงเคราะห์ 2. ศกึ ษาปจั จยั ที่มีความสัมพนั ธก์ ับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษา โรงเรยี น ศกึ ษาสงเคราะห์ 1.3 นิยามศัพท์ 1. นักเรียนระดับมัธยมศึกษา หมายถึง นักเรียนที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาในระดับช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 – 6 ปีการศกึ ษา 2559 2. อายุ หมายถึง จานวนอายคุ ิดเป็นปเี ตม็ ในวนั ทีน่ กั เรยี นตอบแบบสอบถาม 3. พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ในการศึกษาน้ี หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น การมี เพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน (การไม่ใช้ยากินคุมกาเนิด, การไม่สวมถุงยางอนามัย) การต้ังครรภ์/ ยุติการตั้งครรภ์ ความรุนแรงทางเพศ (การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม) ซึ่งนักเรียนมี พฤตกิ รรมเพียงอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ถือวา่ มพี ฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศ 4. การมีเพศสมพันธ์ท่ีไม่ป้องกัน หมายถึง การท่ีนักเรียนมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ยากิน คมุ กาเนดิ หรือการไม่สวมถุงยางอนามยั

9 5. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้วิธีคุมกาเนิด หมายถึง การท่ีนักเรียนมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้วิธี คุมกาเนดิ เช่นการกินยาคมุ กาเนิด การกินยาคมุ ฉกุ เฉนิ 6. การตั้งครรภ์/ยุติการต้ังครรภ์ หมายถึง การท่ีนักเรียนกาลังตั้งครรภ์/เคยตั้งครรภ์มาแล้ว หรอื ไดย้ ตุ ิการตง้ั ครรภน์ นั้ 7. ความรนุ แรงทางเพศ หมายถึง การท่ีนักเรยี นถูกข่มขนื หรือการมเี พศสมั พนั ธโ์ ดยไม่ยนิ ยอม 8. ความรู้เรื่องเพศศึกษา หมายถึง ความเข้าใจ พัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ การทางานของ สรีระและการดูแลสุขอนามัย รวมถึงพฤติกรรมทางเพศ ผลกระทบของการมีเพศสัมพันธ์ใน วยั รุ่น การมีเพศสัมพนั ธ์ทไ่ี ม่ป้องกนั 9. การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem) หมายถึง การที่นักเรียน มีความรู้สึกว่าตนเองมี ความสาคัญและมีคุณค่าในตนเอง และได้รับการยอมรับจากผู้อ่ืน เพ่ือที่จะได้เกิดความรู้สึก ภูมใิ จและยอมรับนับถือตนเอง 10. ความสัมพันธ์ในครอบครัว หมายถึง การรับรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับลักษณะความสัมพันธ์ใน ครอบครัวซึ่งประกอบด้วย บิดา มารดา และบุตร ที่อาศัยอยู่ในครอบครัวเดียวกัน มคี วามรัก ความหว่ งใย การดูแลเอาใจใสก่ นั และมีปฏสิ ัมพันธต์ ่อกนั ของสมาชกิ ในครอบครัว 11. ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อเพื่อน หมายถึง นักเรียนมีความเชื่อ ความศรัทธาต่อเพื่อน ยอมรบั ในคาแนะนา มคี วามไวใ้ จ คลอ้ ยตาม และพรอ้ มทจ่ี ะปฏิบตั ิตามคาแนะนาของเพื่อน 12. ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อพ่อแม่ หมายถึง นักเรียนมีความเชื่อ ความศรัทธาต่อพ่อแม่ ยอมรบั ในคาส่ังสอนของพอ่ แม่ มีความไว้ใจ คล้อยตาม และพร้อมท่ีจะปฏิบตั ิตามคาสั่งสอน ของพ่อแม่ 13. ความเชื่อ ความศรัทธาทีม่ ีครู หมายถึง นักเรียนมีความเช่ือ ความศรัทธาต่อครู ยอมรับ ในคาสงั่ สอนของครู มีความไวใ้ จใน คล้อยตาม และพร้อมทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามคาสงั่ สอนของครู 14. ความเช่ือ ความศรัทธาที่มีคู่นอน หมายถึง นักเรียนมีความเชื่อ ความศรัทธาต่อคู่นอน ยอมรบั ในคาแนะนาของคู่นอน ไวใ้ จในตวั ของคู่นอน คลอ้ ยตาม และพร้อมท่ีจะปฏบิ ัติตามคา ขอร้องคู่นอน 1.4 กรอบแนวคิด (Conceptual framework) การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดตาม แบบจาลองทางนิเวศวิทยาของ พฤติกรรมสุขภาพ ( Ecological Model of health behaviors) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์หาปัจจัยท่ีมี ความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ โดยมีปจั จัยต่างๆ ประกอบด้วย 1) ปัจจยั ระดับบุคคล (Individual

10 Level) ได้แก่ ความรู้เรื่องเพศศึกษา การเห็นคุณค่าในตนเอง 2 ) ปัจจัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อพ่อแม่ เพ่ือน ครู และคู่นอน ซ่ึงปัจจัยเหล่าน้ีอาจมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศตามกรอบแนวคิด ดังภาพที่ 1.1 ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม ปจั จัยระดบั บุคคล พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ - เพศ - อายุ การมีเพศสมั พันธ์ - ระดบั ชั้นการศึกษา - ความรเู้ ร่ืองเพศศึกษา - การเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง ปัจจัยระดับระหวา่ งบุคคล - ความสมั พันธใ์ นครอบครัว - ความเช่อื ความศรทั ธาทมี่ ีตอ่ พ่อแม่ - ความเช่ือ ความศรทั ธาทมี่ ีตอ่ เพือ่ น - ความเช่อื ความศรัทธาท่มี ีครู - ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีคู่นอน ภาพท่ี 1.1 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั 1.5 หน่วยงานที่สามารถนาผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ 1. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านโทกหัวช้าง อาเภอเมือง จังหวัดลาปางได้ใช้ ประโยชน์ในการดูแลนักเรียนท่ีรบั ผดิ ชอบเก่ียวกับการปอ้ งกนั พฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศ 2. โรงเรียนได้ใช้เป็นแนวทางในการดูแลนักเรียนเพ่ือป้องกันพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และ ประยุกตใ์ ชใ้ นกระบวนการให้สุขศกึ ษา

11 3. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล / โรงพยาบาลชุมชน / โรงพยาบาลทั่วไป และสถาน บริการสาธารณสุขท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลเก่ียวกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษา

12 บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎีและงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน ระดับช้นั มัธยมศกึ ษา โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะห์ จังหวัดลาปาง ผู้วจิ ัยได้ทบทวนวรรณกรรมท่เี กยี่ วข้อง กับแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวิจัยท่เี กีย่ งข้องในเร่ืองดังต่อไปนี้ 2.1 แนวคดิ เรื่องพฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศ 2.1.1 ความหมายและความสาคัญของพฤตกิ รรมวยั รุน่ 2.1.2 พฤติกรรมเสยี่ งทางเพศของวัยรนุ่ 2.2 แนวคิดที่อธิบายปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมสุขภาพ ใช้แบบจาลองทาง นเิ วศวทิ ยาของพฤติกรรมสขุ ภาพ (Ecological Model of health behaviors) 2.3 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับปัจจัยที่มคี วามสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และการมี เพศสมั พนั ธ์ของวัยรุ่น 2.1 แนวคดิ เรอ่ื งพฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศ 2.1.1 ความหมายและความสาคญั ของพฤตกิ รรมวัยร่นุ 2.1.1.1 ความหมายของพฤติกรรมวัยรนุ่ คาวา่ พฤติกรรมวัยรุ่น (adolescent behavior) ประกอบด้วยคาว่า “พฤติกรรม” และ “วยั รุน่ ” คาทั้งสองมีความหมายดงั น้ี พฤติกรรม (behavior) หมายถึง การกระทาทุกอย่างของมนุษย์ โดยการกระทา นั้นผู้กระทาอาจกระทาโดยต้ังใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ซึ่งคนอื่นอาจสังเกตการณ์กระทานั้น ว่าเป็น พฤติกรรมทพ่ี ึงประสงค์ หรือเปน็ พฤตกิ รรมทไี่ มพ่ งึ ประสงค์ก็ตาม เชน่ การเดิน การยืน การนัง่ การคิด การตัดสนิ ใจ การปฏบิ ัตติ ามหน้าที่ ประเภทของพฤติกรรม ตามเกณฑ์ การยอมรับทางสงั คม จัดได้เป็น 2 ลักษณะคอื (1) พฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ (desirable behavior) ได้แก่พฤติกรรมที่สังคม ยอมรบั ว่า ดี ถูกตอ้ ง และควรกระทา เชน่ การปฏบิ ตั ิตามหน้าท่ี การทาตามจารตี ประเพณี เป็นต้น (2) พฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ (undesirable behavior) ได้แก่ พฤติกรรมที่ สังคมมองว่า เป็นส่ิงท่ีไม่ถูกต้อง ผิด และไม่ควรกระทา เช่น การฆ่ามนุษย์ การกระทาผิดกฎหมาย เป็นตน้

13 ดังน้นั พฤตกิ รรมจึงหมายถงึ การกระทาทุกอย่างของมนุษย์ (23, 24) 2.1.1.2 พฤตกิ รรมทางสังคมของวัยรนุ่ (24) แบบแผนของพฤติกรรมวัยรุ่นทางสังคมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะเปลี่ยนไปเม่ือ เข้าถึงวัยรนุ่ สาหรับช่วงวัยรุ่นในมนุษย์มักชอบใช้เวลาอยู่กับเพ่ือนฝูงในรุ่นเดียวกันมากข้ึน ปกติวัยรุ่น ใชเ้ วลาติดต่อสื่อสารกบั ผูใ้ หญ่วันละ 40 นาทีเท่าน้ัน การสอื่ สารกับเพื่อนในวยั เดียวกัน (รวมท้ังการคุย ผ่านโทรศัพท์มือถือนานๆ) ทาให้วัยรุ่นมีความสุขกับการสื่อสารกับเพื่อนมากกว่าการสื่อสารกับผู้ใหญ่ ฉะนั้นการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ปกครองจะเพ่ิมขึ้นในช่วงนี้ เพราะวัยรุ่นจะพยายามปลีกตัวออกมา เพื่อสร้างความอสิ ระให้ตัวเอง ซึ่งเปน็ เร่อื งปกตธิ รรมชาติ การติดต่อส่ือสารกับเพ่ือนในรุ่นเดียวกันที่มากข้ึนไม่ได้ส่งผลดีตลอดไป เพราะแรง กดดันของกลุ่มเพ่ือน (Peer Pressure) จะมีมากในกลุ่มวัยรุ่น การคบเพื่อนท่ีมีปัญหาอาจนาไปสู่ พฤติกรรมที่เส่ียง และอาชญากรรมประเภทต่างๆเพราะวัยรุ่นมักจะยอมคล้อยตามพฤติกรรมของ เพื่อนในกลุ่มเดียวกันช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่การกดดันทางสังคมของกลุ่มเพ่ือนมีความสาคัญมากข้ึ น เรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 11-13 ปี ร้อยละ 90 ของวัยรุ่นจะคิดถึงตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เพ่ือนเรื่องพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นจะถูกหล่อหลอมด้วยเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ วัยรุ่นจะมีความรู้สึก เครียดหรือหดหู่น้อยลงถ้ามีกลมุ่ เพื่อนสนิทที่เป็นกาลังใจให้ การทีว่ ัยรุ่นชอบแต่งตัวไว้ผมและใช้ภาษา ท่ีท่าทีแปลกๆ มีลักษณะเฉพาะก็เพ่ือเสดงตัวเข้ากับกลุ่มเพ่ือนๆ กลุ่มเพ่ือนจะส่งเสริมพฤติกรรมท้ัง แบบชอบเข้าสังคมจะมีอิทธิพลสูงในช่วง 11-12 ปี แต่เมื่อเข้าวัย 14-15 ปี วัยรุ่นจะมีโอกาสเกิด พฤติกรรมแบบตอ่ ตา้ นสังคมสงู ขนึ้ โดยเฉพาะเมอ่ื รวมกลุ่มกับเพือ่ นท่มี ีพฤติกรรมแบบนี้ 2.1.1.3 ความสาคัญของพฤตกิ รรมวัยร่นุ (24, 25) ความสาคัญของพฤติกรรมเด็กวัยรุ่นจะแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ความสาคัญระดับตัว เด็กและความสาคญั ระดบั ประเทศ (1) ระดบั ตวั เด็ก พฤตกิ รรมวยั รนุ่ เปน็ พนื้ ฐานของชีวิตผู้ใหญ่ วัยรุ่นเป็นช่วงชีวติ ที่พัฒนาท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาอย่างสูง จนกล่าวได้ว่าเป็นช่วงชีวิตท่ีพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้นประสบการณ์ที่เด็กวัยรุ่นได้รับช่วงน้ี จะช่วยพัฒนาศักยภาพทั้งมิติด้านปริมาณและคุณภาพ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของตัว วยั รุน่ เอง และศักยภาพท่พี ัฒนาแลว้ ในวัยรุ่นกจ็ ะเปน็ พื้นฐานของชวี ติ ในวยั ผใู้ หญต่ อ่ ไป (2) ระดบั ประเทศ พฤตกิ รรมเดก็ วัยร่นุ เป็นเครื่องชี้อนาคตของชาติ ทุกรัฐบาลต่างตระหนักถึงพฤติกรรมเด็กวัยรุ่นโดยกล่าวว่าพฤติกรรมของเด็ก วัยรุ่นเป็นเครื่องชี้อนาคตประเทศ ท้ังน้ีเน่ืองจากการกระทาของวัยรุ่นจะเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี ตลอดจนปกป้องรกั ษาเอกราชและความเป็นชาติไว้ ทง้ั จะทาให้สังคมพฒั นา

14 สบื ต่อไป จากการตระหนักถึงความสาคัญของพฤติกรรมวัยรนุ่ นี้ รัฐบาลจึงกาหนดนโยบายพัฒนาเด็ก และเยาวชนไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมุ่งพัฒนาเด็กวัยรุ่นท่ีอยู่ในระบบ โรงเรียน และนอกโรงเรียนโดยมุ่งเน้นพัฒนาด้านสุขภาพกาย และจิต พัฒนาสติปัญญา และความสามารถเสมอมา ดังน้ันทุกหน่วยงานและทุกสถาบันท่ีเก่ียวข้องกับเด็กวัยรุ่น เช่น ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน จึงมีหน้าท่ีช่วยกันส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กวัยรุ่นมีพฤติกรรมตามศักยภาพ สงู สดุ ทั้งดา้ นปรมิ าณ และคณุ ภาพ 2.1.2 พฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศของวยั รนุ่ มผี ู้ใหค้ วามหมายของพฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศไว้ดังน้ี ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์(26) อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศในวยั รนุ่ ไทย คือการมเี พศสัมพนั ธ์ในวยั รุน่ นาไปสู่การต้งั ครรภท์ ่ไี ม่พงึ ประสงค์ พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ หมายถงึ การประพฤติ หรอื การปฏิบัติของวยั รนุ่ ท่ีจะนาไปส่กู าร มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การต้ังครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา การติดเช้ือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การไม่ใช้ถุงยางอนามัยขณะมเี พศสมั พันธ์ การมีเพศสัมพนั ธเ์ ม่อื อายนุ อ้ ย (6, 27-31) ในส่วนของงานวิจัยคร้ังนี้พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น การมีเพศสัมพันธท์ ี่ไม่ป้องกัน (การไม่ใช้ยากินคุมกาเนิด, การไมส่ วมถุงยางอนามัย) การตงั้ ครรภ์/ยุติ การตั้งครรภ์ ความรุนแรงทางเพศ (การมีเพศสัมพันธ์โดยไมย่ ินยอม) ซึ่งถ้านักเรยี นมีการกระทาอย่าง ใดอยา่ งหนึ่งถอื ว่ามีพฤติกรรมเสย่ี งทางเพศ จากการศึกษาของศูนย์อนามัยทั้ง 12 เขตทั่วประเทศ โดยสารวจวัยรุ่นอายุ 10 – 19 ปี ผลการศึกษาพบว่า เด็กวัยรุ่นมีประสบการณ์เคยมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 13.9 โดยอายุเฉลี่ยที่มี เพศสัมพันธ์ครั้งแรกคือ 14.98 ปี เร็วท่ีสุดคืออายุ 10 ปี (32) และจากผลการสารวจพฤติกรรมเส่ียง ในกลุ่มเด็กนกั เรียนชาย-หญงิ ใน 24 จังหวดั โดยสานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบวา่ นักเรียนให้ ประวัติเคยมีประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์แลว้ สูงมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลการสารวจในปี พ.ศ. 2556 พบประมาณร้อยละ 14-31 ในกลุม่ นักเรียนมัธยมศกึ ษาตอนปลายสายสามัญ (อายเุ ฉลี่ย 17 ปี) และประมาณร้อยละ 29 – 62 ในนักเรียนสายอาชีวศึกษา (อายุเฉล่ีย 17 ปี) ประสบการณ์การมี เพศสัมพันธก์ ่อนอายุ 15 ปี พบแนวโนม้ เพ่ิมสูงขน้ึ อยา่ งต่อเน่ือง จากผลการสารวจพฤตกิ รรมเสี่ยงของ กลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ กลุ่มนักเรียนสายอาชีวศึกษา ระหว่างปี พ.ศ. 2552 ถงึ ปี พ.ศ. 2556 โดยกลุ่มนักเรยี นชาย สายสามัญเพม่ิ ขึ้นจากร้อยละ 4.8 เปน็ ร้อยละ 5.3 ในปี พ.ศ. 2556 ในกลุ่มนักเรียนหญิงเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.8 เป็นร้อยละ 2.8 นักเรียนชายสายอาชีวศึกษา เพ่ิมขึ้นจากร้อยละ 8.6 เป็นร้อยละ 9.5 ใน ปีพ.ศ. 2556 (33)

15 2.1.2.1 การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน การไม่สวมถุงยางอนามัย และการไม่ใช้ ยากินคมุ กาเนดิ เด็กวัยรุ่นควรได้เรียนรู้เรื่องของความรักและเรื่องเพศ ทั้งเร่ืองความสัมพันธ์ทาง ร่างกายและจิตใจ การหาแฟน เลือกแฟน การมีเพศสัมพันธ์ซงึ่ สามารทาให้เกดิ การตั้งครรภ์ได้ ถ้าไม่มี การใช้เครื่องควบคุมกาเนิด เช่น ถุงยางอนามัย รวมท้ังโอกาสจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่นโรค ภูมิคุ้มกันบกพร่อง(เอดส์) และโรคอื่นๆหากมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยท่ีไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม ในสหรัฐอเมรกิ า แม้จะมกี ารให้การศกึ ษาท้ังเรื่องสุขภาพอนามัยและเรื่องเพศในชั้นเรียน แต่วัยรนุ่ ก็ยัง มีปัญหาการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทาให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ การติดโรคทาง เพศสัมพันธ์ตามมาเป็นสัดที่ส่วนสูง ส่วนหนึ่งเพราะวัยรุ่นมีจิตใจอ่อนแอหรือมีปัญหาอยู่แล้ว การด่ืม แอลกอฮอล์ การเสพสารเสพติดนาไปสกู่ ารมีสติสมั ปชัญญะควบคมุ ตวั เองลดลง และมีเพศสัมพันธ์โดย ไม่สนใจการป้องกัน(24) การขาดทักษะ และความตระหนักในการใช้ถุงยางอนามัยเม่ือมีเพศสัมพันธ์ เพอื่ การปอ้ งกนั ตนเองจากการตดิ เชือ้ เอชไอวี ถึงแม้ว่าผลการสารวจพฤติกรรมท่ีสัมพันธ์กับการติดเช้ือ เอชไอวี พบวา่ ประชากรกล่มุ ต่างๆ สว่ นใหญม่ ีความรู้ ความเขา้ ใจเรอ่ื งการมเี พศสัมพนั ธอ์ ยา่ งปลอดภัย และการป้องกันการติดเช้ือโดยการสวมถุงยางอนามัย แต่ก็ยังพบว่าปัญหาการขาดความตระหนัก และทักษะในการใช้ถุงยางอนามัย หรือการต่อรองเพื่อให้คู่นอนใช้ถุงยางอนามัยยังคงเป็นอุปสรรคท่ี ส่งผลให้ขาดความครอบคลุมของการใช้ถุงยางอนามัยเม่ือมีเพศสัมพันธ์ มีเพียงหน่ึงในสี่ หรือร้อยละ 10 – 40 ของนักเรียนชาย-หญิงสวมถุงยางอนามัยทุกคร้ังเม่ือมีเพศสัมพันธ์กับแฟน หรือคนรัก ผลการสารวจอัตราการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ในรอบปี ท่ีผ่านมาของกลุ่มนักเรียนชายสายสามัญ สายอาชีวศึกษา และทหารกองประจาการทม่ี เี พศสัมพนั ธ์กับชายด้วยกันน้ัน พบวา่ มีแนวโนม้ ของอตั รา การใช้ถุงยางอนามัยลดลงจากร้อยละ 60.8 ในปีพ.ศ.2552 เป็นร้อยละ 45 ในปีพ.ศ.2556 แสดงให้ เห็นถึงการขาดความรู้ ความเข้าใจ หรือขาดทักษะในการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันตนเองจากการ ติดเช้อื (33) การมีเพศสัมพันธท์ ี่ไม่ป้องกัน การไม่ใช้ยากินคุมกาเนิด ได้แก่ การกินยาคุมฉุกเฉิน การกินยาคุมกาเนิด ความรู้ความเข้าใจในการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบว่าสตรีมีครรภ์วัยรุ่นส่วนใหญ่ทราบวิธีการป้องกันอย่างถูกวิธีโดยการรับประทานยาคุม การใช้ ถุงยาง อนามัย แต่สตรีมีครรภ์ในวัยรุ่นร้อยละ 45 ไม่ทราบผลกระทบต่อ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นซึ่ง สอดคล้องกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เรื่องมารดาวัยรุ่นท่ีตั้งครรภ์ มีอัตราการแท้งเพิ่ม จานวนสูงขน้ึ (34)

16 2.1.2.2 การตง้ั ครรภ์/ยตุ กิ ารตัง้ ครรภ์ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA)ประจาประเทศไทย พบว่า สถานการณ์การต้ังครรภ์ในวัยรุ่นของไทยเพ่ิมขึ้นอย่างต่อเน่ืองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน ทุก 4 นาทีมีวยั รุ่นคลอดลกู 1 คน และทุก 2 ช่ัวโมง มีเด็กที่อายุต่ากว่า 15 ปี คลอดลูก 1 คน และทารกทุก 1 ใน 6 คนเกดิ จากแมท่ ี่ยังเป็นเด็กหรอื วัยรุ่น ส่วนสถานการณ์ในตา่ งประเทศ ประเทศสหรัฐ สามารถ ลดการต้งั ครรภ์ในวัยรุ่นจาก 61.8 คนตอ่ พนั คน ลดเหลอื 29.4 คนต่อพนั คน โดยสนับสนุนการทางาน เช่น ชะลอการมีเพศสัมพันธ์คร้ังแรก ส่งเสริมการป้องกันท่ีถูกต้อง ทางเลือกที่หลากหลายในการ คุมกาเนิด สร้างกิจกรรมเหมาะสมกับวัยเพื่อการพัฒนาสติปัญญา ส่งเสริมการกล้าแสดงออกในเชิง สร้างสรรค์มีทักษะการปฏิเสธ ส่งเสริมให้ส่ือ และหน่วยงานต่างๆเห็นความสาคัญ เป็นต้น และ ประเทศอังกฤษน้ัน สามารถลดอัตราการต้ังครรภ์ของวัยรุ่นได้ โดยมีองค์กรบริหารให้คาปรึกษาการ ตง้ั ครรภ์แหง่ อังกฤษ กอ่ ตั้งภายหลังการแก้ไขกฎหมายยุติการต้ังครรภท์ ่ีปลอดภัยได้สาเร็จ มหี ลักการ ทางานสาคัญ 3 ทาง คือ 1) ให้ตงั้ ครรภ์ตอ่ ไป และเตรียมพร้อมดูแลลูกอย่างมีคุณภาพ 2) ให้ต้ังครรภ์ ต่อไป แล้วเตรียมหาพ่อแม่อุปถัมภ์ให้ และ 3) ให้บริการยุติการต้ังครรภ์อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การป้องกันการตั้งครรภ์ท่ีดีที่สุดคือ การใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 100 และท่ัวโลกเห็นตรงกันว่าการ แก้ไขปัญหาการต้ังครรภ์ในวัยรุ่นเป็นเรื่องยาก โดยปัจจัยหลักคือ 1) เร่ืองเพศเป็นเรื่องส่วนตัวที่อยู่ ระหว่างประเด็นสาธารณะ เพราะมีผลทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม หรือศีลธรรม และ2) การเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสกู่ ารโตเป็นผู้ใหญ่ เปล่ียนจากการอยู่ในโลกส่วนตัวมาสู่การใช้ชวี ิตในสงั คม เร่ืองเพศ เป็นเร่ืองละเอียดอ่อน เยาวชนต้องการคาแนะนาท่ีดีและถูกต้องจากผู้ใหญ่ ซ่ึงต้องเป็น ขอ้ เท็จจริง ไม่ใชเ่ พียงการบอกเล่า หรืออคติของผู้ใหญ่เอง ซ่งึ หลายประเทศประสบความสาเร็จในการ ลดจานวนวัยรุ่นทต่ี ั้งครรภ์ ส่วนหน่ึงมาจากพ่อแม่ และครูทใ่ี หค้ วามรเู้ ร่ืองเพศกับลกู อยา่ งถกู ตอ้ งตั้งแต่ วัยเด็ก (35) 2.1.2.3 ความรุนแรงทางเพศ (การมเี พศสัมพันธโ์ ดยไมย่ นิ ยอม) จากรายงานของยูนิเซฟซ่ึงมีการเก็บรวมรวบข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก ชี้ให้เห็นถึง ระดับการกระทาทารุณทางกาย ทางเพศ และทางอารมณ์ รวมทั้งทัศนคติที่สร้างความชอบธรรม ซึ่งทาให้ความรุนแรงต่อเด็กยังคงมีอยู่ต่อไปในสังคมโลกโดยปราศจากการรับรู้ รายงานของยูนิเซฟ เรอ่ื ง “Hidden in Plain Sight” อ้างอิงข้อมูลจาก 190 ประเทศ โดยเก็บบันทึกข้อมูลความรนุ แรงใน สถานที่ที่เดก็ ๆ ควรไดร้ ับความปลอดภยั ได้แก่ ชุมชน โรงเรียน และบ้าน โดยขอ้ มลู เก็บมาจากปจั เจก บุคคลซ่ึงสามารถเปิดเผยและยินดีตอบคาถามเท่านั้น ดังน้ัน ข้อมูลจึงยังเป็นส่วนน้อยของผู้ที่ถูก กระทาความรุนแรงท้ังหมด ซ่ึงพบว่าเด็กหญิงอายุต่ากว่า 20 ปี ประมาณ 120 ล้านคนท่ัวโลก (ประมาณ 1 ใน 10 คน) เคยประสบกับการบังคับร่วมเพศหรือการกระทาทางเพศอ่ืนๆ เด็กหญิง

17 วัยรุ่นอายุ 15 ถึง 19 ปี (84 ล้านคน) จานวน 1 ใน 3 คนที่แต่งงานแล้วตกเป็นเหยอื่ ของความรุนแรง ทางอารมณ์ ทางกาย หรือทางเพศ ที่กระทาโดยสามีหรือคู่ครองตน เหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างคู่ สามีภรรยามีสูงถึงร้อยละ 70 หรือสูงกว่าน้นั ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และอิเควทอเรียลกินี และสูงเกือบหรือเกินร้อยละ 50 ในยูกันดา สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย และซิมบับเว ผลการสารวจ ระดับชาติของสวิตเซอร์แลนด์ในปี พ.ศ. 2552 พบความรุนแรงทางเพศในเด็กหญิงและชายอายุ ระหว่าง 15 ถงึ 17 ปกี ว่าร้อยละ 22 และกวา่ รอ้ ยละ 8 ตามลาดับ (18) สถานการณ์ความรุนแรงทางเพศในประเทศไทย ความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง อาจเกิดข้ึนในลักษณะของการตบตี ทาร้ายร่างกาย ค้ามนุษย์ ข่มขืนกระทาชาเรา คุกคามทางเพศ หรือถึงข้ันบังคับให้ค้าประเวณี โดยเฉพาะรูปแบบความรุนแรงที่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในประเทศไทย ตอ้ งตกเป็นเหย่ือมากท่ีสุด 3 อันดับแรก คือ ความรุนแรงที่ได้รับจากคู่สมรส ร้อยละ59 รองลงมา คือ ความรุนแรงแบบผสมผสานหลายรูปแบบ ร้อยละ 15 และอันดับสามเกิดจาก ความรุนแรงทางเพศ ร้อยละ 12 กระทรวงสาธารณสุข สถิติล่าสุดในปี พ.ศ. 2556 พบพบปัญหาเด็กและสตรี ถูกกระทา รุนแรง รวมทั้งหมด 31,966 ราย เป็นเด็ก 19,229 ราย สตรี 12,638 ราย และปัญหาอันดับ 1 ที่พบ ในเด็ก 10-15 ปี คือการล่วงละเมิดทางเพศ ส่วนในสตรีคือการถูกทาร้ายร่างกาย ดร.สุชาดา ทวีสิทธ์ิ (36) นักวิจัยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า จากสถิติข้อมูลที่รวบรวมได้ จากศูนย์พ่ึงได้ ของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ เม่ือปี พ.ศ. 2556 -2557 มีผู้หญิง เด็กหญิงและ เด็กชายถูกทาร้ายเฉลี่ย ช่ัวโมงละ 4 ราย หรือ วันละ 87 หรือเฉลี่ยทุกๆ 15 นาที จะมีเหย่ือท่ีเป็น ผู้หญิงหรือเด็ก ถูกทาร้าย 1 คน ผู้ท่ีตกเป็นเหยื่อความรุนแรง จากการถูกล่วงละเมิดทางเพศมีมาก ที่สุด เหย่ือกลุ่มนี้มีอายุต่ากว่า 18 ปี บางรายมีอายุต่ากว่า 5 ขวบ เปรียบเทียบกับในระดับสากล เม่ือปี พ.ศ. 2556 องค์กรด้านสตรีของสหประชาชาติจัดอันดับประเทศไทยอยู่ในลาดับที่ 36 ของการ ใช้ความรุนแรงทางกายตอ่ ผหู้ ญิง จากจานวนประเทศที่ไดร้ ับรายงานท้ังส้นิ 75 ประเทศ และจัดอันดับ ประเทศไทยไว้ใน ลาดับท่ี 7 จากจานวน 71 ประเทศ ที่มีการกระทารุนแรงทางเพศต่อผู้หญิง (36) ซ่ึงปัญหาของการถูกกระทารุนแรง ท้ังทาร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศ เป็นเร่ืองท่ีต้องให้ ความสาคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะการดูแลด้านจิตใจ เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลทางใจ โดยเฉพาะเด็ก ซึ่งยังดูแลตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพิงการดูแลจากผู้ใหญ่ และที่ผ่านมาสังคมยังมีความเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็น เร่ืองภายในครอบครัว หรือเป็นเร่ืองน่าอับอาย จึงทาให้ผู้ที่ถูกกระทาไม่ได้รับการดูแลแก้ไขต้ังแต่ต้น เกิดปัญหาตามมา เชน่ การตัง้ ครรภท์ ่ีไมพ่ งึ ประสงค์ (19)

18 2.2 แนวคิดท่ีอธิบายปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมสุขภาพ ใช้แบบจาลองทางนิเวศวิทยา ของพฤตกิ รรมสุขภาพ (Ecological Model of health behaviors) แบบจาลองทางนิเวศวิทยาของพฤติกรรมสุขภาพ (Ecological Model of health behaviors) เป็นพ้ืนฐานแนวความคิดทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ ซ่ึงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ ศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ โดยบูรณาการองค์ความรู้จากสหวิชาการ ซึ่งมีจิตวิทยาเป็นแกน หลักของการศึกษาร่วมกับสาขาวิชาอ่ืนๆ เช่น สังคมวิทยา มานุษยวิทยา เป็นต้น ซึ่งแบบจาลองทาง นิเวศวิทยาของพฤติกรรมสุขภาพ ( Ecological Model of health behaviors) ยึดหลักการ 4 ข้อ คือ 1) พฤติกรรมสขุ ภาพแตล่ ะอย่าง ถูกกาหนดโดยพหุปจั จัยในหลายระดับ ไดแ้ ก่ ระดบั ภายในบุคคล ระหวา่ งบุคคล ระดับองคก์ ร ชุมชน และระดบั นโยบายสาธารณะ 2) อิทธพิ ลจากพหปุ ัจจัยเหลา่ นั้นยัง มีผลต่อกันและกัน 3) แบบจาลองนิเวศวิทยาต้องมีความจาเพาะเจาะจงต่อพฤติกรรมสุขภาพแต่ละ อย่าง และระบุปัจจยั ที่เกยี่ วข้องมากท่สี ุดในแต่ละระดับ 4) การปรับพฤติกรรมสุขภาพทไี่ ด้ผลจะต้อง จัดการในหลายระดับ (37, 38) โดยมนี กั วจิ ัยหลายท่านได้นาแบบจาลองนิเวศวิทยามาปรบั ใช้งานของ ตนเอง เช่น ฐาศุกร์ จันประเสริฐ และคณะ(39) ปี 2554 ศึกษาโครงสร้างทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับ ความรุนแรงท่ีเด็กและเยาวชนถูกกระทาในโรงเรียน : กรณีศึกษาโรงเรียนแห่งหน่ึงในเขตภาคกลาง ที่เห็นว่าการที่บุคคลมีพฤติกรรมใดๆนั้นมีส่วนเก่ียวข้องต้ังแต่ระดับของตัวเด็กกับโครงสร้างในระดับ จุ ล ภ า ค จ น ถึ ง โ ค ร ง ส ร้ า ง ใ น ร ะ ดั บ ม ห ภ า ค ที่ มี ค ว า ม เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ ร ะ บ บ ป ฏิ สั ม พั น ธ์ ซึ่ ง เ ป็ น ร ะ บ บ สิ่งแวดล้อมที่เช่ือมโยงระบบจุลภาคต่างๆให้สัมพันธ์กัน เช่น เด็กท่ีมีปัญหาที่บ้านจะไปสร้างปัญหาที่ โรงเรียน เป็นต้น และจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในกระแสโลกาภิวัตน์ได้ปรับเปลี่ยน โครงสร้างของครอบครัวไทยจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเด่ียวมากขึ้น ความอบอุ่นและความ พอเพียงจากวิถชี ีวติ ในครอบครวั เดมิ ลดน้อยลง ความสัมพันธ์ในครอบครัวเหินห่าง โดยเฉพาะในสังคม เมืองพ่อแม่ต่างออกไปทางานนอกบ้าน บุตรได้รับการถ่ายทอดเลี้ยงดูด้วยความรักและเหตุผลจากพ่อ แม่ลดน้อยลง จึงนาไปสู่ความอ่อนแอ เปราะบางของครอบครัวที่ส่งผลกระทบต่อความขัดแย้ง และความรุนแรงทเ่ี พ่มิ มากขึ้น (39) แบบจาลองนิเวศวิทยาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ (Ecological model of child development) เบนเนอร์ (Bronfenbrenner, 1979) ซึ่งมีสาระสาคัญของแนวคิดว่าพฤติกรรมของ บุคคลเป็นผลมาจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและส่ิงแวดล้อม ซ่ึงเป็นปฏิสัมพันธ์ท่ีมีต่อกัน ตลอดเวลา โดยส่ิงแวดล้อมที่อยู่รอบตัวบุคคลแบ่งออกเป็น 4 ช้ัน (Layer) ดังภาพประกอบ 2.1 เรม่ิ ต้ังแตส่ ่งิ แวดล้อมที่อย่ใู กล้ชิดบุคคลมากที่สดุ ได้แก่ ครอบครวั กลมุ่ เพื่อน ไปจนถงึ สิง่ แวดลอ้ มท่อี ยู่ ไกลตัวบุคคล เช่น รัฐบาล ส่ิงแวดล้อมทั้ง 4 ชั้นนี้ ประกอบด้วย ช้ันท่ีหนึ่ง คือ ระบบจุลภาค

19 (Microsystem) เป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ชิดกับบุคคลมากท่ีสุด ได้แก่ ครอบครัว โรงเรียน และกลุ่ม เพ่ือน ชั้นที่สองคือ ระบบก่ึงกลางระหว่างครอบครัวและส่ิงแวดล้อมภายนอก (Meso system) เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีขนาดกว้าง ประกอบด้วยความสัมพันธ์ระหว่างกนั ของสิ่งแวดล้อมในระบบจุลภาค มากกวา่ 1 แหลง่ ซึ่งบุคคลจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น เด็กจะต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโรงเรียน และ กลุ่มเพื่อน ชั้นท่ีสามคือ ระบบภายนอก (Exo system) เป็นโครงสร้างทางสังคมท่ีไม่ได้มีอิทธิพลต่อ พัฒนาการของบุคคลโดยตรงแตเ่ ป็นเหตุการณท์ ่ีมีผลกระทบต่อพัฒนาการของบุคคล เช่น หากสถานท่ี ทางานของพ่อแม่อยู่ไกลจากที่พักอาศัยจะส่งผลกระทบต่อชีวิตครอบครัว กล่าวคือทาให้พ่อแม่มีเวลา สาหรับการดูแลลูกลดลง และช้ันสุดท้ายคือ ระบบมหภาค (Macro system) เปน็ ระบบท่ีอยู่ภายนอก สุด เป็นระดับของวัฒนธรรม ระบบความเชื่อ คา่ นิยมต่างๆ ระบบน้ีเก่ียวขอ้ งกับเหตุการณ์ส่ิงแวดล้อม ทางสังคม และความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนตลอดช่วงชีวิตของบุคคล จากแนวคิดดังกล่าว สามารถ กาหนดเป็นสาเหตุออกเป็นระดับเช่น ระดับบุคคล ระดับครอบครัว ระดับชุมชม ระดับสังคมเป็นต้น (40) ภาพท่ี 2.1 แบบจาลองนิเวศวิทยาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ (Ecological model of child development) ในงานวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยได้นารูปแบบแนวคิดดังกล่าว มาประยุกต์ใช้ ซึ่งสามารถนามา อธิบายการเกิดพฤติกรรมเส่ียงทางเพศในวัยรุ่น ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศย่อมมีหลายปัจจัยท่ีมี ความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของตัววัยรุ่นเอง โดยจะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและ สิ่งแวดล้อม ซ่ึงเป็นปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกันตลอดเวลา ระหว่างปัจจัยระดับบุคคล และปัจจัยระดับ ระหว่างบุคคล

20 1. ปจั จัยระดบั บุคคล (Individual Level) หมายถึง ลักษณะภายในตวั บุคคลท่ีสง่ ผลต่อ พฤติกรรมของบุคคล ได้แก่ ความรู้เร่อื งเพศศกึ ษา การเหน็ คณุ ค่าในตนเอง 2. ปัจจัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) หมายถึง สภาพแวดล้อม ครอบครัวหรือเพ่ือน ที่สามารถส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมบุคคล ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเชอ่ื ความศรัทธาทีม่ ตี อ่ พอ่ แม่ เพอื่ น ครู และคู่นอน 2.3 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และการมี เพศสมั พันธ์ของวยั รุน่ จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า มีปัจจัยหลายปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม เส่ียงทางเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น โดยปัจจัยสาคัญที่ผู้วิจัยเลือกมาศึกษานั้นเชื่อว่าจะมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสยี่ งทางเพศและการมีเพศสมั พันธ์ของวยั รุ่น แบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยใหญ่ๆ ดงั นี้ 2.3.1 ปัจจัยส่วนบุคคล (Individual Level) ได้แก่ เพศ อายุ ระดับชั้นการศึกษา ความรู้เกีย่ วกบั เรื่องเพศ และการเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง 2.3.1.1 เพศ ตารางท่ี 2.1 งานวิจัยท่ีเกย่ี วข้องกบั ปัจจัยสว่ นบคุ คล (Individual Level) ในเร่อื งเพศ ผ้วู จิ ยั ชอื่ เรื่อง ผลการศึกษา J.V. Lazarus (41) การวิเคราะห์พหุระดับของใช้ เพศมีความสมั พันธ์กับการใชถ้ ุงยาง ปี ค.ศ. 2009 ถุงยางอนามัยในหมู่วัยรุ่นใน อนามัย อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ ส ห ภ า พ ยุ โ ร ป พ บ ว่ า เ พ ศ มี (p < 0.001) ความสัมพันธ์กับการใช้ถุงยาง อนามยั

21 ตารางท่ี 2.1 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับปจั จัยสว่ นบคุ คล (Individual Level) ในเรอ่ื งเพศ (ตอ่ ) ผวู้ ิจยั ชื่อเร่อื ง ผลการศึกษา Z. Harakeh แ ล ะ ปั จ จั ย เ ฉ พ า ะ ตั ว แ ล ะ ปั จ จั ย ปัจจัยทานายเฉพาะบุคคล ได้แก่ เพศ คณะ (42) ปี ค.ศ. แวดล้อมท่ีบ่งช้ีถึงพฤติกรรมเสี่ยง มีความสัมพันธ์กับ การเพ่ิมข้ึนของ 2012 ทางเพศในหมู่วัยรุ่นชาวดัตช์เป็น พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ หรือความ การวจิ ัยแบบภาคตัดขวาง ซบั ซอ้ นของพฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศ ณมน ธนินธญางกูร พฤติกรรมเส่ียงทางเพศของ เพศเป็นปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับ (28) ปี พ.ศ. 2552 นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในเขต พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อย่างมี เทศบาลนครขอนแก่น อาเภอ นยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ 0.05 เมอื ง จงั หวดั ขอนแก่น สภุ าภรณ์ การขดั เกลาทางสังคมเร่ืองเพศ ปจั จยั สว่ นบคุ คล ได้แก่ เพศมี ปัญหาราช (29) ของครอบครวั กับพฤติกรรมเสยี่ ง ความสัมพันธ์ความสัมพันธก์ ับ ปี พ.ศ. 2556 ทางเพศของวัยรนุ่ ในเขตภาค พฤติกรรมเสย่ี งทางเพศของวัยร่นุ อยา่ ง ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนบน มีนัยสาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั 0.05 และ วยั รนุ่ ทมี่ ีพฤติกรรมเสย่ี งทางเพศสว่ น ใหญ่เปน็ เพศหญิงร้อยละ 60 ลชั นา ฉายศรี และ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม เพศ มีความสมั พันธ์กับพฤตกิ รรมเสี่ยง คณะ(43) ปี พ.ศ. เ สี่ ย ง ท า ง เ พ ศ ข อ ง นั ก เ รี ย น ทางเพศของนกั เรยี นระดับมัธยมศึกษา 2553 มัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัด ตอนปลาย อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ ประจวบคีรีขันธ์ (p < 0.05) ณฐาภพ ระวะใจ ปจั จัยทีส่ ง่ ผลตอ่ พฤติกรรม นกั ศึกษาหญิงมีพฤติกรรมป้องกนั การ (44) ปี พ.ศ. 2554 ป้องกันการเสี่ยงทางเพศของ เส่ยี งทางเพศดกี ว่านักศึกษาชายอยา่ งมี นักศกึ ษาในสถานศกึ ษาสังกัด นัยสาคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั 0.05 สานกั งานคณะกรรมการการ อาชีวศกึ ษาในเขต กรุงเทพมหานคร

22 ตารางที่ 2.1 งานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วข้องกับปัจจยั ส่วนบคุ คล (Individual Level) ในเรอ่ื งเพศ (ต่อ) ผูว้ จิ ัย ชือ่ เรื่อง ผลการศกึ ษา จารวุ รรณ ปจั จยั ที่มคี วามสัมพันธ์กบั การวเิ คราะห์ความสัมพันธร์ ะหวา่ งตวั ศรีเวยี งยา (45) พฤติกรรมเสีย่ งต่อการมี แปรพบว่า เพศ ไม่มคี วามสัมพันธก์ ับ ปี พ.ศ. 2558 เพศสัมพันธข์ องนกั เรียนชน้ั พฤติกรรมเสย่ี งต่อการมเี พศสัมพนั ธ์ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบาง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p = 0.19) กะปิ กรุงเทพมหานคร เบญจวรรณ ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับพฤติกรรม ปัจจยั นา ได้แก่ เพศไมม่ ีความสมั พนั ธ์ เอย่ี มบู่(46) เส่ียงท่ีนาไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ กับพฤติกรรมเส่ียงทีน่ าไปสูก่ ารมี ปี พ.ศ.2554 ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น เพศสมั พันธ์ โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัด นครปฐม รางวลั สขุ ี (47) ปัจจัยเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ กล่มุ ตัวอยา่ งท่ีมเี พศต่างกัน มีปจั จัย ปี พ.ศ.2551 ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา เส่ยี งตอ่ การมีเพศสมั พันธ์แตกตา่ งกัน ตอนปลาย กรณีศึกษาจังหวัด อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ 0.05 นครปฐม สมอุรา ไชยสวัสด์ิ พ ฤ ติ ก ร ร ม เ ส่ี ย ง ต่ อ ก า ร มี กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีมเี พศตา่ งกัน มี (48) ปี พ.ศ.2551 เพศสัมพันธ์ของนักเรียนระดับ พฤติกรรมเส่ยี งต่อการมีเพศสัมพนั ธท์ ี่ อาชีวศึกษาในเขตชุมชนเมือง แตกตา่ งกนั อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ จังหวดั นครปฐม ระดบั 0.05 อภินันท์ ปัจจัยด้านสังคมกับพฤติกรรม พบว่า เพศ ไม่มีความสมั พนั ธก์ บั วชั เรนทรว์ งศ์ (49) เส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของ พฤติกรรมเส่ียงต่อการมีเพศสัมพนั ธ์ ปี พ.ศ.2553 นักเรียนมัธยมศึกษา จังหวัด สมุทรสาคร

23 ตารางท่ี 2.1 งานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้องกบั ปจั จยั ส่วนบุคคล (Individual Level) ในเรอ่ื งเพศ (ต่อ) ผวู้ จิ ยั ชอื่ เรอ่ื ง ผลการศกึ ษา อรทยั เกตุขาว (50) ความสมั พันธ์ของรปู แบบการ วัยรุ่นที่มเี พศต่างกันมีคา่ นิยมเร่อื งการ ปี พ.ศ.2551 อบรมเล้ยี งดูกับค่านิยมเรื่องการ มีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสของวัยรนุ่ มีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรสของ แตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่ วยั รนุ่ กรณศี กึ ษา : นกั เรยี นใน ระดับ 0.01 โดยที่วัยรุ่นเพศชายมี เขตอาเภอเมือง จังหวดั สุโขทัย แนวโนม้ มคี า่ นิยมเร่ืองการมี เพศสมั พนั ธ์ก่อนสมรสของวยั ร่นุ มากกว่าเพศหญิง อังคณา เพชรกาฬ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมี พบว่าเพศ มคี วามสมั พันธ์กับ (51) ปี พ.ศ.2551 เพศสัมพันธ์ของนักเรียนวัยรุ่น พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธอ์ ย่างมี ภาคใตต้ อนบน นยั สาคญั ทางสถิติ (p<0.05) จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าเพศ อาจมีความสัมพันธ์ หรือไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นเพศจึงน่าจะ เป็นปัจจัยหนึ่งท่ีมคี วามสาคญั ในการศึกษาครั้งน้ี 2.3.1.2 อายุ ตารางท่ี 2.2 งานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้องกับปจั จยั ส่วนบคุ คล (Individual Level) ในเร่อื งอายุ ผู้วิจัย ชอ่ื เรอ่ื ง ผลการศกึ ษา วชั ราภรณ์ ปจั จยั ทีม่ ีผลต่อพฤติกรรมเสย่ี ง อายุมีความสัมพันธท์ างบวกกับ บตั รเจรญิ ทางเพศของนักเรยี นชน้ั พฤติกรรมเสีย่ งทางเพศ อย่างมี และคณะ (6) มัธยมศึกษาตอนต้น นยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ปี พ.ศ. 2554

24 ตารางท่ี 2.2 งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วข้องกับปจั จยั สว่ นบุคคล (Individual Level) ในเรื่องอายุ (ต่อ) ผู้วจิ ัย ช่อื เรือ่ ง ผลการศกึ ษา พรชเนตต์ บุญคง (27) ปี พ.ศ. 2554 ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม อ า ยุ ข อ ง นั ก เ รี ย น ห ญิ ง ร ะ ดั บ สภุ าภรณ์ เสี่ยงทางเพศในนักเรียนหญิง อาชีวศึกษาไม่มีความสัมพันธ์กับ ปัญหาราช (29) ปี พ.ศ. 2556 ร ะ ดั บ อ า ชี ว ศึ ก ษ า ใ น เ ข ต พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และการศึกษา ลัชนา ฉายศรี และ คณะ (43) กรงุ เทพมหานคร น้ีพบว่าช่วงอายุท่ีมีเพศสัมพันธ์มาก ปี พ.ศ. 2553 ท่ีสุดคือ ช่วงอายุ 16 ปี มีพฤติกรรม ณมน ธนินธญางกรู (28) เสยี่ งทางเพศสูงรอ้ ยละ 35.7 ปี พ.ศ.2552 การขัดเกลาทางสงั คมเร่ืองเพศ มเี พศสัมพันธ์ครง้ั แรกอายุ 14 ปี ของครอบครวั กบั พฤติกรรมเสยี่ ง ร้อยละ 61 ทางเพศของวัยรุ่นในเขตภาค ตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนบน ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม อายุ มีความสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมเสย่ี ง เ ส่ี ย ง ท า ง เ พ ศ ข อ ง นั ก เ รี ย น ทางเพศของนกั เรียนระดบั มัธยมศกึ ษา มัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัด ตอนปลาย อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติ ประจวบครี ขี นั ธ์ (p<0.05) และนกั เรยี นทม่ี ีอายุ 17-19 ปี มโี อกาสเสี่ยงต่อการเกิดพฤตกิ รรม เส่ียงทางเพศ 2.8 เทา่ ของนักเรยี นที่มี อายุ 14-16 ปี พฤติกรรมเส่ียงทางเพศของ อายคุ รัง้ แรกของการมเี พศสมั พันธข์ อง นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในเขต เพศชายคือ 16 .25 ปี เพศหญงิ 16.32 เทศบาลนครขอนแก่น อาเภอ ปี อายตุ า่ สดุ ของการมีเพศสมั พนั ธค์ ร้งั เมอื ง จังหวดั ขอนแกน่ แรกคืออายุ 11 ปี สว่ นปัจจัยท่ีมี ความสัมพนั ธ์กับพฤตกิ รรมเส่ียงทาง เพศ ตวั แปรของขอ้ มูลท่วั ไป คอื อายุ มีความสมั พนั ธ์กับพฤติกรรมเสย่ี งทาง เพศ อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิที่ระดับ 0.05

25 ตารางที่ 2.2 งานวิจัยท่เี กี่ยวข้องกบั ปัจจยั ส่วนบุคคล (Individual Level) ในเรื่องอายุ (ต่อ) ผวู้ จิ ยั ชอ่ื เรอ่ื ง ผลการศึกษา กฤตยา การอบรมเลีย้ งดแู ละพัฒนาทักษะ กรณที ่ีเคยมเี พศสมั พนั ธ์แล้ว สว่ นใหญ่ แสวงเจริญ และ ชีวิต เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นตาม มีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุมากกว่า 15 ปี คณะ (52) วิถีชีวิตไทยภาคกลาง ท่ีเก่ียวกับ ในเขตเมือง ร้อยละ 85.2 และเขต ปี พ.ศ. 2551 พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และสาร ชนบทร้อยละ 80.0 เสพตดิ จารุวรรณ ปจั จัยทีม่ คี วามสัมพันธ์กบั การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหว่างตวั ศรเี วยี งยา (45) พฤติกรรมเสย่ี งต่อการมี แปรพบวา่ อายุ ไมม่ ีความสมั พันธ์กบั ปี พ.ศ.2558 เพศสมั พันธข์ องนกั เรยี นช้นั พฤติกรรมเสยี่ งต่อการมเี พศสัมพันธ์ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรยี น อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ (p = 0.93) บางกะปิ กรงุ เทพมหานคร เบญจวรรณ ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับพฤติกรรม ปจั จยั นา ไดแ้ ก่ อายุ ไม่มีความสัมพนั ธ์ เอีย่ มบู่ (46) เสี่ยงที่นาไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ กับพฤติกรรมเส่ยี งทน่ี าไปสู่การมี ปี พ.ศ.2554 ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น เพศสัมพันธ์ โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัด นครปฐม รางวลั สขุ ี (47) ปัจจัยเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ กลุ่มตัวอยา่ งมอี ายุท่ีแตกต่างกันมี ปี พ.ศ.2551 ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ปัจจัยเสย่ี งตอ่ การมเี พศสมั พันธใ์ นวัย ตอนปลาย กรณีศึกษาจังหวัด เรียนแตกต่างกนั นครปฐม อภนิ นั ท์ ปัจจัยด้านสังคมกับพฤติกรรม อายุ ไม่มคี วามสัมพนั ธก์ บั พฤติกรรม วัชเรนทร์วงศ์ (49) เส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของ เสย่ี งตอ่ การมเี พศสมั พันธ์ ปี พ.ศ.2553 นักเรียนมัธยมศึกษา จังหวัด สมุทรสาคร อาภา พนั ธุแ์ สง ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมี อายุ มีความสัมพนั ธต์ ่อการร่วมเพศ (53) ปี พ.ศ.2553 เพศสัมพันธ์ของนักเรียนวัยรุ่น อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ หญิง (p-value<0.05) ชั้นมัธยมศกึ ษาตอนปลาย

26 จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าอายุ อาจมีความสัมพันธ์ หรือไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น ในงานวิจัย ครั้งนจี้ งึ สนใจทจี่ ะศึกษาปจั จยั ดา้ นอายุ 2.3.1.3 ระดับช้ันการศึกษา ตารางท่ี 2.3 งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกับปจั จยั สว่ นบุคคล (Individual Level) ในเร่อื งระดับช้ันการศกึ ษา ผ้วู จิ ัย ช่ือเร่ือง ผลการศกึ ษา Z. Harakeh และ ปจั จัยเฉพาะตัวและปจั จัย ระดับการศกึ ษาต่า มีความสัมพันธก์ บั คณะ(35) ปี ค.ศ. แวดลอ้ มทบ่ี ง่ ช้ีถึงพฤติกรรมเส่ยี ง การเพ่ิมขนึ้ ของพฤติกรรมเส่ยี งทางเพศ 2012 ทางเพศในหมูว่ ัยรนุ่ ชาวดตั ช์ สุพตั รา พฤติกรรมเสย่ี งทางเพศของ ระดบั ชน้ั การศึกษาต่างกันมีพฤติกรรม พรหมเรนทร์ (54) นักเรียนมัธยมศึกษาตอนตน้ เส่ียงทางเพศตา่ งกัน อยา่ งมนี ัยสาคญั ปี พ.ศ. 2550 โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัย ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ 0.05 ศรีนครนิ ทรวิโรฒปทมุ วนั กรงุ เทพมหานคร พรชเนตต์ บุญคง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ระดับชั้นการศึกษานักเรียนหญิงระดับ (27) ปี พ.ศ.2554 เส่ียงทางเพศในนักเรียนหญิง อ า ชี ว ศึ ก ษ า มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั บ ร ะ ดั บ อ า ชี ว ศึ ก ษ า ใ น เ ข ต พ ฤ ติ ก ร ร ม เ สี่ ย ง ท า ง เ พ ศ อ ย่ า ง มี กรุงเทพมหานคร นัยสาคญั ทางสถติ ิ (p < 0.001) ณมน ธนินธญางกูร พฤติกรรมเสีย่ งทางเพศของ ระดับช้ันการศึกษา มีความสัมพันธ์กับ (28) ปี พ.ศ. 2552 นกั เรียนระดับมัธยมศึกษาในเขต พ ฤ ติ ก ร ร ม เ สี่ ย ง ท า ง เ พ ศ อ ย่ า ง มี เทศบาลนครขอนแก่น อาเภอ นยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ 0.05 เมือง จังหวดั ขอนแกน่ ลชั นา ฉายศรี ปจั จยั ที่มอี ิทธิพลตอ่ พฤติกรรม ระดับการศึกษา มคี วามสัมพันธ์กับ และคณ (43) ปี เส่ียงทางเพศของนักเรยี น พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียน พ.ศ.2553 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย จงั หวดั ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย อย่างมี ประจวบคีรีขนั ธ์ นยั สาคญั ทางสถิติ (p < 0.05)

27 ตารางท่ี 2.3 งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับปัจจัยส่วนบุคคล (Individual Level) ในเรื่องระดับช้ันการศึกษา (ตอ่ ) ผวู้ ิจัย ชื่อเร่ือง ผลการศกึ ษา ณฐาภพ ปจั จยั ท่ีส่งผลตอ่ พฤติกรรม นักศึกษาที่มีระดับการศึกษาแตกต่าง ระวะใจ (44) ปอ้ งกนั การเส่ียงทางเพศของ กัน มีพฤติกรรมป้องกันการเสี่ยงทาง ปี พ.ศ. 2554 นักศกึ ษาในสถานศึกษาสังกัด เพศไม่แตกตา่ งกัน สานกั งานคณะกรรมการการ อาชวี ศกึ ษาในเขต กรงุ เทพมหานคร เบญจวรรณ เอยี่ มบู่ ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรม ระดับชั้นที่ศึกษา มีความสัมพันธ์กับ (46) ปี พ.ศ.2554 เส่ียงท่ีนาไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ พ ฤ ติ ก ร ร ม เ สี่ ย ง ที่ น า ไ ป สู่ ก า ร มี ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น เพศสัมพันธ์ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัด ท่รี ะดับ <0.001 นครปฐม รางวัล สขุ ี (47) ปัจจัยเส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์ วัยรุ่นตอนปลายที่มีพฤติกรรมการมี ปี พ.ศ.2551 ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา เพศสัมพันธ์ข้ามคืน และวัยรุ่นตอน ตอนปลาย กรณีศึกษาจังหวัด ปลายท่ัวไปที่ไม่มีพฤติกรรมการมี นครปฐม เพศสัมพันธ์ข้ามคืน ระดับช้ันเรียนที่ แ ต ก ต่ า ง กั น มี ปั จ จั ย เ ส่ี ย ง ต่ อ ก า ร มี เพศสัมพันธ์ในวัยเรียนแตกต่างกัน อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ 0.05 สมอุรา ไชยสวัสด์ิ พ ฤ ติ ก ร ร ม เ สี่ ย ง ต่ อ ก า ร มี กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีมรี ะดับชัน้ เรยี นต่างกนั (48) ปี พ.ศ.2551 เพศสัมพันธ์ของนักเรียนระดับ มพี ฤติกรรมเสี่ยงต่อการมเี พศสัมพนั ธ์ อาชีวศึกษาในเขตชุมชนเมือง ท่ีแตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ จังหวดั นครปฐม ที่ระดบั 0.05 อภนิ นั ท์ ปัจจัยด้านสังคมกับพฤติกรรม ระดับชนั้ เรยี น ไมม่ ีความสัมพันธก์ ับ วชั เรนทรว์ งศ์ (49) เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของ พฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพนั ธ์ ปี พ.ศ.2553 นักเรียนมัธยมศึกษา จังหวัด สมทุ รสาคร

28 จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าวข้างตน้ แสดงใหเ้ ห็นวา่ ระดับชัน้ การศึกษา อาจมี ความสมั พันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และการมีเพศสัมพนั ธ์ของวยั รุน่ ในงานวิจยั ครง้ั น้จี ึงสนใจท่ี จะศกึ ษาในปัจจัยระดบั ชน้ั การศึกษาจะส่งผลตอ่ พฤติกรรมเส่ยี งทางเพศหรอื ไม่ 2.3.1.4 ความร้เู กย่ี วกับเรอ่ื งเพศศกึ ษา นักวิชาการได้ให้ความหมายของคาว่า เพศศึกษาไว้หลายความหมายและในหลาย ลักษณะ กล่าวว่า เพศศึกษาตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า Sex education โดยคาร์เตอร์ วี กู๊ด (Carter V. Good) (55) ให้คาจากัดความว่าเพศศึกษาหมายถึง การศึกษาท่ีว่าด้วยกระบวนการต่างๆของการ สืบพันธ์ุ เพื่อให้เข้าใจเรื่องเพศ และควบคุมพฤติกรรมทางเพศของตนได้ รวมทั้งยังว่าด้วยข้อเท็จจริง ทางชีววทิ ยาทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เร่อื งเพศของเพศชายและเพศหญงิ ดว้ ย ตารางท่ี 2.4 งานวิจัยท่เี กย่ี วข้องกบั ปจั จัยสว่ นบคุ คล (Individual Level) ในเร่ืองความรเู้ ก่ยี วกับเรื่อง เพศศกึ ษา ผู้วจิ ยั ช่ือเร่ือง ผลการศึกษา R. Vivancos แ ล ะ การใหก้ ารศึกษาเก่ยี วกบั พื้นฐานการศึกษาเก่ียวกบั เพศศึกษา คณะ (56) เพศศึกษาของนักศึกษาใน ภายในสถานศึกษาที่มีประสทิ ธิภาพจะ ปี ค.ศ.2013 มหาวิทยาลัยบริตชิ ลดความเส่ยี งของการมเี พศสัมพนั ธ์ที่ ไม่ไดป้ อ้ งกัน FRANCIS พฤติกรรมเส่ียงทางเพศของ การให้ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษานั้น WINGLIN LEE เยาวชนหญิงที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ควรเริ่มเตรียมความพร้อมต้ังแต่วัยเด็ก และคณะ (57) ทางเพศในฮ่องกง กอ่ นที่จะเริม่ เข้าสวู่ ยั รุ่น ปี ค.ศ. 2012 ณฐาภพ ระวะใจ ปจั จัยท่ีสง่ ผลตอ่ พฤติกรรม ความร้เู ร่ืองเพศไม่ส่งผลต่อพฤติกรรม (44) ปี พ.ศ. 2554 ป้องกันการเสีย่ งทางเพศของ การป้องกันการเส่ียงทางเพศ นักศึกษาในสถานศึกษาสงั กัด สานักงานคณะกรรมการการ อาชวี ศึกษาในเขต กรงุ เทพมหานคร

29 ตารางท่ี 2.4 งานวิจัยทเี่ ก่ยี วข้องกับปจั จยั สว่ นบคุ คล (Individual Level) ในเร่ืองความรเู้ กย่ี วกับเรอื่ ง เพศศึกษา (ตอ่ ) ผู้วิจยั ช่อื เร่ือง ผลการศกึ ษา บุญเยย่ี ม รู ป แ บ บ สุ ข ศึ ก ษ า เ พ่ื อ ก า ร หลังได้รับรูปแบบสุขศึกษาเพ่ือการ สุทธิพงศ์เกียรติ ปรับเปล่ียนพฤติกรรมเสี่ยงทาง ปรับ เปล่ี ยน พฤติ กรร มเ สี่ยง ทา ง (31) ปี พ.ศ. 2551 เพศสัมพันธ์ในนักเรียนระดับ เ พ ศ สั ม พั น ธ์ ใ น นั ก เ รี ย น ร ะ ดั บ มัธยมศึกษาตอนต้น กรณีศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนกลุ่ม โรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์ ตัวอย่างมีความรู้เรื่องเพศแตกต่างจาก วิทยาคม จงั หวัดอ่างทอง ก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติท่รี ะดบั 0.01 นลนิ ี มงุ่ สมคั ร (58) ประสิทธผิ ลของโปรแกรมสขุ ก ลุ่ ม ท ด ล อ ง ไ ด้ รั บ โ ป ร แ ก ร ม ปี พ.ศ.2554 ศึกษาในการประยุกต์ทฤษฎี สุขศึกษา พบว่าการเปรียบเทียบความ แรงจูงใจเพ่ือป้องกนั โรครว่ มกับ แตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ แรงสนบั สนนุ ทางสังคมเพ่ือ เรื่องเพศศึกษาและพฤติกรรมเสี่ยงทาง ปอ้ งกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เพศ ก่อนการทดลอง กลุ่มทดลองและ ของแกนนานักเรียนช้ัน กลุ่มเปรียบเทียบ มีค่าเฉล่ียคะแนน มัธยมศึกษาปที ่ี 2 อาเภอเมือง ความรู้เร่ืองเพศศึกษาและพฤติกรรม จงั หวัดหนองบัวลาภู เส่ียงทางเพศใกล้เคียงกัน แต่หลังการ ทดลองพบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ย คะแนนความรู้เก่ียวกับเรื่องเพศศึกษา และพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศมากกว่า กลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติ (p-value< 0.001)

30 ตารางที่ 2.4 งานวิจัยทเี่ กยี่ วข้องกบั ปจั จัยสว่ นบุคคล (Individual Level) ในเรื่องความรู้เกยี่ วกับเรอ่ื ง เพศศึกษา (ต่อ) ผู้วจิ ัย ชือ่ เรอื่ ง ผลการศึกษา ทักษิณา เมืองใจ ความสามารถในการพยากรณ์ ความรเู้ รอ่ื งเพศศกึ ษา มคี วามสัมพันธ์ (59) ปี พ.ศ. 2555 ร่วมกันของการควบคุมตนเอง ทางลบกบั พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ ความรู้เร่ืองเพศศึกษา และการ อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ริ ะดับ 0.01 สื่อสารในครอบครัวเร่ืองการคบ เพื่อนต่างเพศ ที่มีต่อพฤติกรรม เสี่ยงทางเพศของนักเรียนหญิง วัยรุน่ วรวรรณ์ ปัจจัยท่ีใช้ทานายพฤติกรรมเสี่ยง ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทพิ ย์วารีรมย์ ท า ง เ พ ศ ข อ ง เ ด็ ก วั ย รุ่ น ช า ย และทักษะการใช้ถุงยางอนามัย ไม่มี และคณะ (60) จังหวดั พษิ ณุโลก ความสัมพันธ์ทางสถิติกับพฤติกรรม ปี พ.ศ.2556 เสย่ี งทางเพศของเดก็ วยั รุ่นชาย นฎาประไพ สาระ ความชุกของการมีประสบการณ์ กลุ่มตัวอย่างนักเรียนหญิงอาชีวศึกษา (61) ปี พ.ศ.2557 และปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการมี มีประสบการณ์ทางเพศแล้ว ร้อยละ เพศสัมพันธ์ครั้งแรกของนักเรียน 66.1 มีคะแนนความรู้เรื่องเพศต่ากว่า หญิงอาชีวศกึ ษา กลุ่มท่ียังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ อย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ p=0.114 พิมพิชา สุพพัตกุล การเห็นคุณค่าในตนเอง ความรู้ วัยรุ่นตอนปลายที่มีพฤติกรรมการมี (62) ปี พ.ศ. 2551 เรอ่ื งโรคเอดส์ และเหตผุ ลของ เพศสัมพันธ์ข้ามคืน และวัยรุ่นตอน วัยรุ่นตอนปลายท่มี ีพฤติกรรมการ ปลายทั่วไปที่ไม่มีพฤติกรรมการมี มเี พศสัมพันธ์ข้ามคนื เพศสัมพันธ์ข้ามคืน มีความรู้เร่ืองโรค เอดส์ไม่แตกต่างกัน

31 ตารางท่ี 2.4 งานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้องกับปจั จัยส่วนบคุ คล (Individual Level) ในเรื่องความร้เู กย่ี วกับเรือ่ ง เพศศึกษา (ตอ่ ) ผ้วู ิจยั ชอื่ เร่อื ง ผลการศกึ ษา อมรรัตน์ ทองผา การพฒั นาโปรแกรมการสอน นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีผลการ (63) ปี พ.ศ. 2552 เพศศึกษา เพ่ือลดพฤตกิ รรมเส่ยี ง เรียนรู้ เร่ืองเพศศึกษา และเจตคติต่อ การมเี พศสมั พันธใ์ นวัยเรยี น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน หลังการ ใช้โปรแกรมการสอนเพ่ิมขึ้นจากก่อน เรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ดังนั้นเพศศึกษาจึงเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตให้กับวัยรุ่นได้เข้าใจ และยอมรับนบั ถือตนเองพัฒนาความสามารถด้านมนุษย์สัมพันธอ์ ันดี มีพัฒนาการทางเพศท้ังทางด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมอย่างเหมาะสม สามาร ถปรับตัวเสริมสร้างบุคลิกภาพ และความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งเพศไดด้ ี รู้จักหน้าท่ขี องตัวเองในการเป็นบิดามารดาทดี่ ีในอนาคต ตลอดจน มีความเข้าใจและสามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับปัญหาเร่ืองเพศได้ ซึ่งได้มีการวิจัยพบว่าวัยรุ่นที่ได้เรียน เพศศึกษาอย่างเป็นระบบนั้นจะชะลอการมีเพศสัมพันธ์ออกไป นอกจากน้ีไม่พบว่าการสอนเพศศึกษา นั้นจะส่งเสริมให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ ดังน้ัน การสอนเพศศึกษานับเป็นส่วนหน่ึงในการพัฒนาสังคมท่ี ช่วยลดผลกระทบทอ่ี าจะเกดิ ขึ้นจากพฤตกิ รรมทางเพศท่ีไมเ่ หมาะสมของวยั รุ่น จากการทบทวนงานวิจัยข้างต้นจะเห็นได้ว่า ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศน้ันอาจมี ความสัมพันธ์กับการมีพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ ดังน้ันจึงน่าท่ีจะศึกษาว่า ความรเู้ กย่ี วกบั เรอื่ งเพศน้ัน จะส่งผลต่อพฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศ และการมีเพศสมั พนั ธ์หรอื ไม่

32 2.3.1.5 การเห็นคณุ คา่ ในตนเอง ตารางที่ 2.5 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับปัจจัยส่วนบุคคล (Individual Level) ในเรื่องการเห็นคุณค่าใน ตนเอง ผู้วิจยั ช่อื เรื่อง ผลการศกึ ษา FRANCIS ศกึ ษาพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของ การทาให้ผู้หญิงเห็นคุณค่าในตัวเอง WINGLIN LEE เยาวชนหญิงท่ีมีพฤติกรรมเสี่ยง รักและยอมรับตัวเอง นั้นเป็นส่ิงท่ี และคณะ (36) ทางเพศในฮ่องกง กลุ่มตัวอย่าง สาคัญมาก และวัยรุ่นชายก็ควรเรียนรู้ ปี ค.ศ. 2012 เป็นเยาวชนหญิงท่ีมีพฤติกรรม ในการให้เกียรติคู่นอนของตนในฐานะ เส่ียงทางเพศจานวน 8 คน โดย เพ่อื นมนษุ ย์ มิใชว่ ัตถุทางเพศ ใช้การสัมภาษณ์เชงิ ลึก สทุ ิศา โขงรมั ย์ (64) ผลการให้คาปรึกษาแบบกลมุ่ ตาม กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนหญิงชั้น ปี พ.ศ. 2553 แนวทฤษฎกี ารพจิ ารณาเหตผุ ล มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแห่งหน่ึงใน อารมณ์ และพฤติกรรมทีม่ ตี ่อ จังหวัดบุรีรัมย์ ท่ีมีการเห็นคุณค่าใน การเห็นคุณคา่ ในตนเองและ ตนเองต่า และมีพฤติกรรมเส่ียงทาง พฤติกรรมเสย่ี งทางเพศของวัยร่นุ เพศสูง พบว่าเมื่อวัยรุ่นหญิงที่ได้รับ หญงิ เปน็ งานวจิ ัยก่ึงทดลอง คาปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวทฤษฎกี าร (Quasi experimental พิ จ า ร ณ า เ ห ตุ ผ ล อ า ร ม ณ์ แ ล ะ research) พฤติกรรม มีคะแนนการเห็นคุณค่าใน ตนเองเพ่ิมข้ึนกว่าก่อนการทดลองและ เพ่ิมขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมี นยั สาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั 0.01

33 ตารางที่ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยส่วนบุคคล (Individual Level) ในเรื่องการเห็นคุณค่าใน ตนเอง (ตอ่ ) ผู้วจิ ัย ชอ่ื เรื่อง ผลการศึกษา กฤตยา แสวงเจริญ การอบรมเล้ยี งดูและพัฒนาทกั ษะ เม่ือเปรียบเทียบความคิดเห็นของ แ ล ะ ค ณ ะ ( 5 2 ) ชีวิต เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นตาม เยาวชนในเขตเมืองและชนบท พบ ปี พ.ศ. 2551 วิถีชีวิตไทยภาคกลาง ที่เกี่ยวกับ แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติใน พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และสาร ด้านการเหน็ คุณคา่ ในตนเอง (t = -2.6, เสพติด p = 0.01) หลังการใช้โปรแกรมฝึกการ เจรจาต่อรองเรื่องเพศแล้ว นักศึกษา หญิงท่ีได้รับการฝึกเจรจาต่อรองเรื่อง เพศ มีการมองเห็นคุณค่าของตนเองใน เรือ่ งเพศสูงกว่านกั ศึกษาหญิงท่ไี ม่ได้รับ การฝึกเจรจาต่อรองเรื่องเพศ อย่างมี นัยสาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ 0.05 สพุ รรณษา ผลของการใช้โปรแกรมฝึกการ หลังการใช้โปรแกรมฝึกการเจรจา ศรไี พโรจน์ (30) เจรจาต่อรองที่มีต่อพฤติกรรม ต่อรองเร่ืองเพศแล้ว นักศึกษาหญิงที่ ปี พ.ศ.2555 เส่ียงทางเพศการมองเห็นคุณค่า ได้รับการฝึกเจรจาต่อรองเร่ืองเพศ มี ของ ตน เอ งใ นเ ร่ือ งเ พศ แล ะ การมองเห็นคุณค่าของตนเองในเร่ือง ความสามารถในการเจรจาต่อรอง เพศสูงกว่านักศึกษาหญิงท่ีไม่ได้รับการ เรอ่ื งเพศในนักศึกษาหญิง ฝึกเจรจาต่อรองเรื่องเพศ อย่างมี นยั สาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.05 สพุ ตั รา พฤติกรรมเสย่ี งทางเพศของ การเห็นคุณค่าในตนเองอยู่ในระดับ พรหมเรนทร์ (54) นกั เรยี นมธั ยมศึกษาตอนต้น ปานกลาง มีผลทาให้นักเรียนกลุ่ม ปี พ.ศ.2550 โรงเรยี นสาธิตมหาวทิ ยาลัยศรีนค ตัวอย่าง มีพฤติกรรมเส่ียงทางเพศอยู่ รินทรวิโรฒปทุมวัน ในระดบั ต่า กรุงเทพมหานคร

34 ตารางที่ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยส่วนบุคคล (Individual Level) ในเรื่องการเห็นคุณค่าใน ตนเอง (ตอ่ ) ผู้วจิ ัย ชื่อเรอ่ื ง ผลการศึกษา ณฐาภพ ระวะใจ ปจั จัยทสี่ ง่ ผลตอ่ พฤติกรรม นักศึกษาที่มีการเห็นคุณค่าที่มีการเห็น (44) ปี พ.ศ. 2554 ป้องกันการเส่ียงทางเพศของ คุ ณ ค่ า ใ น ต น เ อ ง แ ต ก ต่ า ง กั น มี นักศกึ ษาในสถานศกึ ษาสงั กัด พฤติกรรมเส่ียงทางเพศแตกต่างกัน สานกั งานคณะกรรมการการ อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิตท่รี ะดบั 0.05 อาชวี ศึกษาในเขต กรุงเทพมหานคร พิมพิชา สุพพัตกุล การเหน็ คณุ ค่าในตนเอง ความรู้ วัยรุ่นตอนปลายที่มีพฤติกรรมการมี (62) ปี พ.ศ. 2551 เร่ืองโรคเอดส์ และเหตุผลของ เพศสัมพันธ์ข้ามคืน และวัยรุ่นตอน วยั รุน่ ตอนปลายทีม่ ีพฤติกรรมการ ปลายทั่วไปท่ีไม่มีพฤติกรรมการมี มเี พศสัมพนั ธ์ข้ามคืน เพศสัมพันธ์ข้ามคืนมีการเห็นคุณค่าใน ตนเองไม่แตกตา่ งกนั จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการเห็นคุณค่าในตนเอง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ ในงานวิจัยคร้ังนี้จึงสนใจที่จะศึกษา ในปัจจัยการเหน็ คุณคา่ ในตนเอง 2.3.2 ปจั จัยระหวา่ งบุคคล (Interpersonal Level) ไ ด้ แ ก่ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ใ น ครอบครัว เพอื่ น พอ่ แม่ ครู และคนู่ อน 2.3.2.1 ความสมั พันธ์ในครอบครัว

35 ตารางที่ 2.6 งานวิจัยที่เก่ียวข้องกับปัจจัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเรื่อง ความสัมพนั ธ์ในครอบครัว ผู้วจิ ยั ชอ่ื เรอ่ื ง ผลการศกึ ษา สพุ ัตรา อกั ษรรัตน์ โครงสรา้ งและหนา้ ท่ีครอบครัว แบบอยา่ ง หรือสง่ิ ที่ยดึ ถือปฏิบตั ิใน (65) ปี พ.ศ.2550 กับพฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศของ ครอบครวั ได้แก่ความเชอื่ และ นกั เรยี นหญงิ ชัน้ มธั ยมศึกษา วฒั นธรรมทเี่ กีย่ วกับการเลย้ี งดูบตุ ร ตอนต้น อาเภอเมือง จงั หวดั หญิง เชน่ การรักนวลสงวนตวั นครศรธี รรมราช คะแนนเฉล่ยี โดยรวมอยรู่ ะดบั ดมี าก วรวรรณ์ ปัจจัยทานายพฤติกรรมเสี่ยงทาง คว ามสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ มี ทิพย์วารีรมย์ และ เพศของเด็กวัยรุ่นชาย จังหวัด ความสัมพันธ์ทางสถิติกับพฤติกรรม คณะ (60) ปี พ.ศ. พิษณุโลก เสี่ยงทางเพศของเด็กวยั รุ่นชาย 2556 กฤตยา การอบรมเลี้ยงดูและพัฒนา สัมพันธภาพในครอบครัวมีความรัก แสวงเจรญิ ทักษะชีวิต เด็กวัยเรียนและวัยรุ่น และความเอื้ออาทรต่อกัน ในเขตเมือง และคณะ (52) ตามวิถีชีวิตไทยภาคกลาง ท่ี ร้อยละ 88.8 และเขตชนบทร้อยละ ปี พ.ศ.2551 เกี่ยวกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ 77.0 และสารเสพตดิ Z. Harakeh แ ล ะ ปั จ จั ย เ ฉ พ า ะ ตั ว แ ล ะ ปั จ จั ย ปจั จัยทานายเฉพาะบุคคล ครอบครวั ที่ คณะ(35) ปี ค.ศ. แวดล้อมที่บ่งชี้ถึงพฤติกรรมเสี่ยง ไมส่ มบูรณ์ มีความสัมพันธก์ ับการ 2012 ทางเพศในหมูว่ ัยรุ่นชาวดัตช์ เพิ่มขน้ึ ของพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ ณมน ธนนิ ธญางกรู พฤติกรรมเส่ียงทางเพศของ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ใ น ค ร อ บ ค รั ว มี (28) ปี พ.ศ. นักเรียนระดับมัธยมศึกษาในเขต ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทาง 2552 เทศบาลนครขอนแก่น อาเภอ เพศอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ เมอื ง จังหวัดขอนแกน่ 0.05 พรชเนตต์ บุญคง ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ในเร่อื งความสัมพันธ์ในครอบครวั นั้น (27) ปี พ.ศ. 2554 เส่ียงทางเพศในนักเรียนหญิง มคี วามสัมพันธก์ บั พฤติกรรมเส่ยี งทาง ร ะ ดั บ อ า ชี ว ศึ ก ษ า ใ น เ ข ต เพศอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติ กรุงเทพมหานคร (p < 0.05)

36 ตารางท่ี 2.6 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับปัจจัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเรื่อง ความสมั พนั ธใ์ นครอบครัว (ตอ่ ) ผู้วจิ ยั ชอ่ื เรอ่ื ง ผลการศึกษา เกรดเอ ยาทา (66) ปี พ.ศ. 2555 ความสัมพันธ์ในครอบครัวท่ีส่งผล ความสัมพันธ์ในครอบครัวของวัยรุ่น มี เบญจวรรณ ต่อแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์ ความสัมพนั ธก์ ับแนวโน้มการมี เอยี่ มบู่ (46) ปี พ.ศ.2554 กอ่ นแต่งงานของวัยรนุ่ เพศสมั พนั ธ์ ก่อนแต่งงานของวัยร่นุ กัญญา กลายสขุ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั 0.01 (67) ปี พ.ศ.2551 ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับพฤติกรรม ปจั จยั นา ไดแ้ ก่ สัมพันธภาพใน นิยม จนั ทร์นวล และคณะ (68) เส่ียงท่ีนาไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ ครอบครัว ไมม่ คี วามสัมพันธก์ ับ ปี พ.ศ.2557 ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น พฤติกรรมเสี่ยงทีน่ าไปสูก่ ารมี โรงเรียนขยายโอกาส จังหวัด เพศสมั พนั ธ์ นครปฐม ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเส่ียง สมั พนั ธภาพในครอบครวั ส่งผลต่อ การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น : พฤติกรรมเสย่ี งการมเี พศสัมพันธใ์ น ก ร ณี ศึ ก ษ า นั ก เ รี ย น ช้ั น วัยรนุ่ มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียน สังกัดสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัด พษิ ณุโลก ปั จ จั ย ท่ี มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั บ สัมพนั ธภาพของครอบครวั มี พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของ ความสัมพันธ์กับการมเี พศสัมพนั ธ์ นักเรียน มัธยมศึกษาตอนต้นแห่ง อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติ P=0.047 หน่งึ ในจงั หวัดอบุ ลราชธานี โดยนกั เรยี นทม่ี สี มั พันธภาพของ ครอบครัวไมด่ มี ีโอกาสทีจ่ ะมี เพศสัมพนั ธ์มากเปน็ 5.7 เทา่ ของ นกั เรียนที่มีสมั พนั ธภาพของครอบครัว ดี (OR = 5.7, 95% CI = 1.2-26.4)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook