หนงั ส่ือเล่มน้ีเรียนจุดประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวชิ า รหสั วชิ า และคาอธิบายวชิ า หลกั สูตรประกาศนีบตั รวชิ าชีพ (ปวช.) ๒๐๐๐-๑๑๐๑ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๑ ขอสานกั งานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ผ่ามการตรวจประเมนิ คุณภาพจากสานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ประจาปี งบประมาน พ.ศ. ๒๕๖๒ คร้งที่ ๑ เพมิ่ เติม หมวดวชิ า สมรรถนะแถนกลาง l กลุ่มวชิ า ภาษาไทย l ประกาศลาดบั ท่ี ๓๕๒ ผแู้ ตง่ : ดร.ลกั ษิกา เจรญิ ศรี
รหสั วชิ า ๒๐๐๐๐-๑๑๐๑ ชื่อวชิ า ภาษาไทยพ้ืนฐาน ตรงตามจุดประสงคร์ ายวชิ า สมรรนะรายวชิ า และคาอธิบายรายวชิ า หลกั สูตรประกาศนีบตั รวชิ าชีพ พุทธศกั ราช ๒๕๖๒ สานกั งานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ผู้แต่ ดร.ลกั ษิกา เจริญศรี ปี พิมพ์ ๒๕๕๖๒ พิมพค์ รังท่ี ๑ จานวนที่พมิ พ์ ๕,๐๐๐ เล่ม ราคา ๙๕ บาท ISBN ๙๗๘-๖๑๖-๐๕-๔๔๔๓-๑ จดั พิมพแ์ ละจดั จาหน่ายโดย สานกั พิมพ์ บริษทั พฒั มนาคุณภาพวชิ าการ(พว.)จากดั ๑๒๕๖/๙ ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิตกรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทร ๐-๒๒๔๓-๘๐๐๐ (อตั โนมตั ิ ๑๕ สาย), ๐-๒๒๔๑-๘๙๙๙ แฟกซ์ ทุกหมายเลข, แฟกซ์อตั นตั ิ: ๐๒๒๔๑-๔๑๓๑ , ๐-๒๒๔๑-๘๙๙๙ Website: www.iadth.com สงวนสิทธ์ิ สานกั พมิ พ์ บริษทั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.) จากดั
คานา หนงั สือเรียนวชิ าภาษาไทยพ้นื ฐานรหสั วชิ า ๒๐๐๐๐-๑๑๐๑ จดั ทาข้ึนตาม หลักสูตรประกาศนีบตั รวิชาชีพ พุทธศกั ราช ๒๕๖๒ เป็ นหลกั สูตรระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพหลัง มธั ยมศึกษาตอนตน้ หรือเทียบเท่าดา้ นวิชาชีพท่ีคลอ้ งกบั แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการ ศึกษาแห่งชาติเป็นไปตามกรอบคุณวฒุ ิแห่งชาติ มาตารฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษษ แห่งชาติตลอดจนยดึ โยงกบั มาตราฐานวิชาชีพโดยเน้นการเรียนรู้สู่การปฏิบตั ิ เพ่ือผลิตและพฒั นากาลงั ใน การทางานใหส้ ามารถประกอบอาชีพไดต้ รงตามความตอ้ งการกาลงั คนของตลาดแรงงาน ชุมชน สังคม และ สามารถประกอบอาชีพอิสระได้ โดยเปิ ดโอกาสของตน ส่งเสริมให้มีการประสานความรวมมือเพื่อจัด การศึกษาและพฒั นาหลกั สูตรร่วมกนั ระหว่างสถาบนั สถาศึกษษ หน่วยงาน สถานประกอบการและองกค์ ตา่ งๆท้งั ในระดบั ชุมชน ระดบั ทอ้ งถิ่น และระดบั ชาติ หนงั สือเรียงวชิ าภาษไทยพ้นื ฐาน รหสั วชิ า ๒๐๐๐๐-๑๑๐๑ เล่มน้ีไดจ้ ดั ทาข้ึนโดยการวเิ คราะห์ความ สอดคลอ้ งของเน้ือใหต้ รงตามจุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคาอธิบายรายวชิ าที่กาหนดไวใ้ น หลกั สูตรฯ แต่ละหน่วยการเรียนรู้และฝึ กทกั ษะท่ีเหมาะสม โดยมุ่งหวงั ให้ผูเ้ รียนเกิดสมรรณะเฉพาะดา้ น ดว้ ยการปฏิบตั ิจริงสามารถเลือกใชว้ ธิ ีการเรียนตามศกั ยภาพและโอกาสของผเู้ รียนและเกิดการเรียนรู้สุงสุด สานกั พิมพ์ บริษทั พฒั นาคุณภาพวิชาการ (พว.) จากดั หวงั เป็ นอย่างย่ิงว่าหนงั สือเล่มจะช่วยให้ ผูเ้ รียนมีความรู้ความเขา้ ใจในเน้ือหาสาระของวิชา สามารถพฒั นากระบวนการการเรียนรู้และความคิด รวมท้งั สามารถนาความรู้และสมรรถนะท่ีเกิดข้ึนไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจาวนั ไดส้ มดงั เจตนารมณ์ของ หลกั สูตรฯและการปฏิรูปการศึกษาอยา่ งครบถว้ นทุกประการ สานกั พิมพ์ บริษทั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.) จากดั
คาอธายรายวชิ า รหสั วชิ า ๒๐๐๐๐-๑๑๐๑ ช่ือวชิ าภาษาไทยพืน้ ฐาน ๒-๐-๒ จดุ ประสงคร์ ายวิชา เพอ่ื ให้ ๑. รู้และเขา้ ใจเกี่ยวกบั หลกั การใชภ้ าษาไทยในการสื่อสาร ๒.สามารถเลือกใชภ้ าษาไทยไดถ้ ูกตอ้ งตามหลกั การใชภ้ าษาเหมาะสมกบั บุคคลกาลเทศะ โอกาส และสถานการณ์ ๓.สามารถนาความรู้และทกั ษะการฟังการดูการอ่านและการเขียนไปใชส้ ่ือสาร ในชีวติ ประจาวนั ไดถ้ ูกตอ้ งตามหลกั การ ๔. เห็นคุณค่าและความสาคญั ของการใชภ้ าษาไทยในชีวติ ประจาวนั สมรรถนะรายวิชา ๑. แสดงความรู้เกี่ยวกบั หลกั การใชภ้ าษาไทยในการฟัง การดู การพูด การอ่าน และการเขียน ๒. วเิ คราะห์ประเมินค่าสารจากการฟัง การดู การอ่านตามหลกั การ ๓. พูดติดต่อกิจธุระและโอกาสตา่ งๆ ตามหลกั การและมารยาทของสังคม ๔. เขียนขอ้ ความเพอ่ื ติดต่อกิจธุระ สรุป อธิบาย บรรยา และกรอบขอ้ มูลตามหลกั การ ๕. เขียนรายงานเชิงวชิ าการและโครงการตามหลกั การ คาอธิบายรายวชิ า ศึกษาเกี่ยวกบั การรับสารและการส่งสารด้วยภาษาไทย เขียนสะกดคา การใชถ้ อ้ ยคา สานวน ระดบั ภาษา การฟัง การดูและการอ่านขา่ วบทความ สารคดีโฆษณา บนั เทิงคดี วรรณกรรมหรือภูมิปัญญา ทอ้ งถิ้นดา้ นภาษาจากสื่อสิ่งพมิ พแ์ ละส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ การกล่าวทกั ทาย แนะนาตนเองและผอู้ ่ืนการพูด ในโอกาสตา่ งๆตามมารยาทของสงั คม ตอบรับและปฏิเสธ การแสดงความยนิ ดีแสดงความเสียใจการพูด ติดต่อกิจธุระ พูดสรุปความ พูดแสดงความคิดเห็น การเขียนขอ้ ความติดต่อกิจธุระ สรุปความอธิบาย บรรยาย การกรอกแบบฟอร์ม การเขียนประวตั ิยอ่ เขียนรายงานเชิงวชิ าการและการเขียนโครงการ
ตารางวิเคราะหค์ วามสอดคลอ้ งของเนือ้ หากบั จดุ ประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวชิ า และจดุ ประสงคเ์ ชืงพฤติกรรม รหสั วชิ า ๒๐๐๐-๑๑๐๑ ชื่อวชิ า ภาษาไทยพ้ืนฐาน ๒-๐-๒ หมายเหตุ ความจา (Rememberring), ความเขา้ ใจ(Understanding), การประยกุ ตใ์ ช(้ Applying Analysing), การ ประเมิน(Evaluating Creating) (ที่มา: Bloom’s Revised Taxonomy)
สารบัญ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ กระบวนการสื่อสาร หนา้ ท่ี ๑. ความหมายของการสื่อสาร ๑ ๒. องคป์ ระกอบของการสื่อสาร ๓ ๓ ๓. วตั ถุประสงคข์ องการส่ือสาร ๕ ๖ ๔. ความสาคญั ของการสื่อสาร ๖ ๘ ๕. ประเภทของการส่ือสาร ๙ ๑๐ ๖ .หลกั ในการส่ือสาร ๑๑ ๑๔ ๗. อุปสรรคในการสื่อสารและการแกไ้ ข ๑๗ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ๑๙ ๒๗ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ๒๙ ๓๔ แบบทดสอบ ๓๘ ๓๘ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ๔๑ ๑.การใชถ้ อ้ ยคา ๒.การใชส้ านวน ๔๔ ๓.การใชภ้ าษตามระดบั ภาษา ๔.การเขียนสะกดคา ๔๖ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ๕๕ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ๘๕ แบบทดสอบ ๘๕ ๘๘ หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๓ การฟัง การดู และการอ่านสารใน ส่ือส่ิงพมิ พ์และอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ๑.ความหมายและสาระสาคญั ของฟัง การดูและการอ่าน ๒.หลกั ในการฟัง การดู และการอา่ นสารในสื่อส่ิงพมิ พแ์ ลอิเลก็ ทรอนิกส์ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ แบบทดสอบ
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔ การพดู ในชีวติ ประจาวนั หนา้ ท่ี ๑. การพูดทกั ทาย ๙๑ ๒. การพดู แนะนาตนเองและผอู้ ื่น ๓. การพดู ตอบรับและปฏิเสธ ๙๓ ๔. การพดู แสดงความยนิ ดีและแสดงความเสียใจ ๙๕ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ๙๗ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ๑๐๐ แบบทดสอบ ๑๐๓ ๑๐๓ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕ การพดู ในงานอาชีพ ๑๐๕ ๑.การพูดติดตอ่ กิจธุระ ๑๐๘ ๒.การพดู แสดงความคิดเห็น ๓.การพดู สรุปความ ๑๑๐ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ๑๑๒ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ๑๑๓ แบบทดสอบ ๑๑๕ ๑๑๕ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๖ การเขียนอธิบาย บรรยา และสรุปความ ๑๑๗ ๑.การเขียนอธิบาย ๑๒๐ ๒.การเขียนบรรยาย ๓.การเขียนสรุปความ ๑๒๒ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ๑๒๓ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ๑๒๔ แบบทดสอบ ๑๓๑ ๑๓๒ ๑๓๓
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๗ การเขียนจดหมายติดตอ่ กิจธุระ หนา้ ท่ี การกรอบแบบฟอร์ม และ การเขียนประวตั ิยอ่ ๑๓๖ ๑. การเขียนจดหมายติดตอ่ กิจธุระ ๒. การกรอกแบบฟอร์ม ๑๓๘ ๓. การเขียนประวตั ิยอ่ ๑๔๑ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ๑๔๗ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ๑๕๐ แบบทดสอบ ๑๕๑ ๑๕๒ หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๘ การเขียนรายงานเชิงวชิ าการ ๑๕๕ ๑.ความหมายของการเขียนรายงานเชิงวชิ าการ ๒.ส่วนประกอบการเขียนรายงานเชิงวชิ าการ ๑๕๗ ๓.ข้นั ตอนการเขียนรายงานเชิงวชิ าการ ๑๕๗ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ๑๕๙ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ๑๖๑ แบบทดสอบ ๑๖๑ ๑๖๒ หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๙ การเขียนโครงการ ๑๖๕ ๑.ความหมายของโครงการ ๒.ลกั ษะของโครงการ ๑๖๗ ๓.วตั ถุประสงคข์ องโครงการ ๑๖๗ ๔.ประเภทของโครงการ ๑๖๗ ๕.หลกั การเขียนโครงการ ๑๖๘ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ๑๖๘ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ๑๗๒ แบบทดสอบ ๑๗๒ บรรณานุกรม ๑๗๓ ๑๗๖
หน่วยการเรียนรู้ที่ กระบวนการสื่อสาร ๑ สาระสาคัญสาคัญ การส่ือสารเป็นกระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ขอ้ มูล ความรู้ ประสบการณ์ความรู้สึก ความคิดเห็น ความตอ้ งการจากผสู้ ่งสารโดยผา่ นส่ือต่าๆ ไดแ้ ก่ การพดู การเขียน การแสดงสญั ลกั ษณ์ การแสดงออก ในรูปแบบตา่ งๆ ไปยงั ผรู้ ับสาร กระบวนการส่ือสารจะมีความแตกตา่ งกนั ไปตามความเหมาะสมหรือ ความจาเป็นของคู่ส่ือสารโดยมีวตั ถุประสงคใ์ หเ้ กิดการรับรู้ร่ามกนั และมีการตอบสนองตามวตั ถุประสงค์ ของการส่ือสาร สาระการเรียนรู้ ๑. ความหมายของส่ือสาร ๒. องคป์ ระกอบในกระบวนการส่ือสาร ๓. วตั ถุประสงคข์ องการส่ือสาร ๔. ความสาคญั ของการสื่อสาร ๕. ประเภทของสื่อสาร ๖. หลกั ในการส่ือสาร ๗. อุปสรรคในการส่ือสารและการแกข้
๒ ภาษไทยพืน้ ฐาน สมรรถนะประจาหน่วย ๑. แสดงควมรู้เก่ียวกบั กระบวนการสื่อสาร ๒. วเิ คราะห์กระบวนการส่ือสารตามหลกั การ จุดประสงค์การเรียนรู้ ๑. บอกความหมายของสื่อสารและอธิบายความสาคญั ของการสื่สารได้ ๒. บอกหลกั ในการสื่อสารและวตั ถุประสงคข์ องการส่ือสารได้ ๓. ยกตวั อยา่ งสถานการณ์การส่ือสารแบบทางเดียวและการส่ือสารแบบสองทางได้ ๔.วเิ คราะห์องคป์ ระกอบของสถานการณ์การสื่อสารได้ ๕. สื่อสารไดเ้ หมาะสมตามโอกาสและสถานการณ์ ๖. ประเมินผลการรับสารและการส่งสารในชีวตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ผงั สาระการเรียนรู้ กระบวนการ ความหมายของการส่ือสาร สื่อสาร องคป์ ระกอบในกระบวนการสื่อสร วตั ถุประสวคข์ องการสื่อสาร ความสาคญั ของการสื่อสาร ประเภทของการสื่อสาร หลกั ในการส่ือสาร อุปสรรคในการสื่อสารและการแกไ้ ข
กระบวนการสื่อสาร ๓ ๑. ความหมายการสื่อสาร พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ใหค้ วามหมายวา่ วธิ ีการนา ถอ้ ยคา ขอ้ ความ หรือหนงั สือ เป็นตน้ จากบุคคลหน่ึง หรือสถานที่หน่ึงไปยงั อีกบุคคลหน่ึงหรือ อีกสถานท่ีหน่ึง ดงั น้นั สรุปไดว้ า่ การส่ือสารหมายถึงกระบวนการส่งสารไปยงั ผรู้ ับข่าวสาร มีวตั ถุประสงค์ เพ่อื ชกั ชกั จูงใหผ้ รู้ ับสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลบั มา โดยคาดหนงั ใหเ้ ป็นไปตามท่ีผสู้ ่งตอ้ งการ ๒. องค์ประกอบของการส่ือสาร องคป์ ระกอบในกระบวนการสื่อสารมี ๔ ส่วนดงั น้ี ๒.๑ ผ้สู ่งสาร (Sender) ผสู้ ่งสารจะทาหนา้ ที่เขา้ รหสั (Encoding) อนั เป็นการแปรสารใหอ้ ยใู่ นรูปของสัญลกั ษณ์ ไดแ้ ก่ ภาษาพูด ภาษเขียน อากปั กิริยา ท่าทางต่างๆ สารจะถูกส่งไปยงั ผูร้ ับสารผ่านวิธีต่างๆ เช่น โทรศพั ท์ ระบบอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ผูส้ ่งสารอาจส่งสารของตนเองหรืออาจส่งสารในฐานะตวั แทนของหน่วยงาน หรือสถาบนั ใดสถาบนั หน่ึง ๒.๒ สาร (message) สาร คือเรื่องราวท่ีที่แสดงออกมาโดยอาศยั ภาษาหรือลญั ลกั ณที่ทาใหเ้ กิดการับรู้ร่วมกนั ได้ ผสู้ ่งสารจะแสดงพฟติกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรือหลายอยา่ งเพอ่ื แทนความคิดท่ีเกิดข้ึน เช่น การพดู การเขียน การแสดงอาการหรือ กิริยาอย่างใดอย่างหน่ึง เพื่อให้ผูร้ ับสารเกิดการรับรู้และมีปฏิกิริยา ตอบสนอง ผูร้ ับสารจะมีทกั ษะในการรับสามากข้ึนหรือน้อยข้ึนอยูก่ บั ความสามารถในการวิเคราะห์ หรือตีความสารประประกอบดว้ ยส่วนสาคญั ๓ ประกาศไดแ้ ก่ ๒.๒.๑ รหสั สาร (message code ) เป็นส่ิงที่มนุษยค์ ิดข้ึนเพอ่ื ใชแ้ สดงออกแทนความคิด รหสั ของสารมีท้งั ท่ีเป็นคาพดู ไดแ้ ก่ ภาษาทุกภาษของมนุษย์ และอยใู่ นรูปของลกั ษณ์สัญญาณ เคร่ืองหมาย อากปั กิริยา ฯลฯ ๒.๒.๒ เน้ือหาของสาร (message content) เน้ือหาของสารครอบคลุมถึงความรู้และประสบ การ์ณที่มนุษยต์ อ้ งการที่จะถ่ายทอดแลกเปล่ียนเพ่ือความเขา้ ใจร่วมกนั ประกอบดว้ ยขอ้ เทก็ จริงและ ขอ้ คิดเห็น ๑) ข้อเท็จจริง ได้แก่ สารที่รายงานให้ทราบให้ทราบถึงความจริงต่างๆ เป็ นสารท่ีมี คุณภาพควรแก่การเช่ือถือ ๒) ข้อคิดเห็น ไดแ้ ก่ สารที่เกิดข้ึนภายในจิตใจของผสู้ ่งสาร อากเป็ นความรู้สึก แนวคิด ความเชื่อ หรืออารมณท่ีมีตอ่ สิ่งตา่ ง
๔ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๒.๒.๓ การจดั สาร (message treatment) เป็นการจดั เตรียมสาร เช่น การเรีเรียงลาดบั ความ ยากง่าย รูปแบบการใชภ้ าษา เช่น การโฆษณา การประชุม ฯลฯ ๒.๓ ช่องทางการส่ือสารหรือส่ือ (Channel) การสื่อสารแบง่ ช่องทางหลกั ได้ ๒ รูปแบบ ไดแ้ ก่ ๒.๓.๑ ช่องทางการส่ือสารแบบใชส้ ่ือ ๕ ประเภทคือ ๑) สื่อธรรมชาติไดแ้ ก่ บรรยากาศที่อยตู่ ามธรรมชาติ ๒) สื่อมนุษย์ ไดแ้ ก่ บุคคลที่ทาหนา้ ท่ีเป็นส่ือนาสารไปสู่ผรู้ ับ เช่น คนนาสาร โฆษก ตวั แทนการเจรจา ล่าม ฯลฯ ๓) สื่อสิ่งฝพมิ พ์ ไดแ้ ก่ สื่อทุกชนิดท่ีอาศยั เทคนิดการพมิ พ์ เช่นใบปลิว แผน่ พบั วารสาร นิตรสาร หนงั สือ หนงั สือพมิ พโ์ ปสเตอร์ ฯลฯ ๔) สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ ไดแ้ ก่ ส่ือท่ีพฒั นาข้ึน โดยใชร้ ะบบอิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ วซี ีดีหรือดีวดี ี เคร่ืองฉายภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ ๕) สื่อระคน ไดแ้ ก่ ส่ือที่ทาหนา้ ที่นาสารได้ แต่ไมอ่ าจจดั ไวใ้ น ๔ ประเภทขา้ งตน้ เช่น วตั ถุจารึก ส่ือพ้นื บา้ น ภาพท่ี ๑.๑ ช่องทางส่ือสารแบบใชส้ ่ือ ๒.๓.๒ ช่องทางสื่อสารแบบใชจ้ านวนและลกั ษณะของการใชจ้ านวนและลกั ษณะของการ เขา้ ถึงผรู้ ับสาร มี ๔ ประกาศคือ ๑) ส่ือระหว่างบุคคล เป็นส่ือท่ีใชต้ ิดตอ่ สื่อสารระหวา่ งบุคคลท่ีอยหู่ ่างไกลกนั เช่น จดหมาย โทรศพั ท์ วดิ ีโอคอนเฟอเรนซ์ การสื่อสารผา่ นคอมพิวเตอร์ ๒) ส่ือมวลชน เป็นสื่อทีใชต้ ิด่อกบั ผรู้ ับสารจานวนมากในเวลาเดียวกนั เช่น หนงั สือพมิ พ์ วทิ ยุ กระกายเสียง โทรทศั น์ ๓) ส่ือเฉพาะกจิ เป็นสื่อที่พฒั นาข้ึนเพ่อื ใชส้ าหรับ การสื่อสารท่ีสนบั สนุนกิจกรรมใดกจิกรรมหน่ึงโดยเฉพาะ ผรู้ ับสารมี จานานท่ีแน่นอนเช่น วารสารประชาสมั พนั ธ์ภายในหน่วยงาน ๔) ส่ือประสมไดแ้ ก่ การนาเสนอสื่อ ประเภทต่างๆท้งั ๓ ประเภทขา้ งตน้ มาใชใ้ นการส่ือสารเพ่ือ ใหก้ ารสื่อสารมีปะสิทธิผลยง่ิ ข้ึน ภาพที่ ๑.๒ ช่องทางส่ือสาร ผา่ มคอมพิวเตอร์
กระบวนการสื่อสาร ๕ ๒.๔ ผรู้ ับสาร (Receiver) ผรู้ ับสาร มีบทบาท ๒ ประการคือ ๒.๔.๑ การรู้ความหมายตามเรื่องราวที่ผสู้ ่งผา่ มสื่อมาถึงผรู้ ับสาร ๒.๔.๒ การแสดงปฏกิริยาตอบสนองตอ่ ผสู้ ่งสาร เป็นการปฏิกิริยาตอบกลบั หรือปฏิกิริยาสะทอ้ น กลบั ผสู้ ่งสาร ๓. วตั ถุประสงค์ของสื่อสาร การส่ืสารแต่ละคร้ังมีวตั ถุประสงคข์ องสื่อสาร ๓.๑ เพอ่ื แจง้ ใหท้ ราบ (inform) การแจง้ ใหท้ ราบเป็นการสื่อสารที่วตั ถุประสงคเ์ พอ่ื บอกกล่าว ช้ีแจงเร่ืองราว ข่าวสารเหตุการณ์ หรือ ส่ิงอ่ืนใดใหผ้ รู้ ับสารไดท้ ราบ ๓.๒ การสอน การศึกษา และการเรียนรู้ (teach,Education and Learn) การสอน การศึกษา และการเรียนรู้เป็ นการส่ือสารที่มีวตั ถุประสงค์เพ่ือถ่ายทอดวิชาความรู้และ คน้ ควา้ หาความรู้ ๓.๓ เพอ่ื สร้างความพอใจหรือ ความบนั เทิง (please of entertain) การส่ือสารลกั ษณะนีเ้ ป็นการส่ือสาร ท่ีมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือสรา้ งความพอใจหรอื ใหค้ วามบงั เทิงแก่ผรู้ บั สารในรูปของการพดู การเขียน หรือการแสดงกิรยิ าตา่ งๆ ภาพที่ ๑.๓ การสื่อสารมีวตั ถุประสงคเ์ ชิงวชิ าการ ๓.๔ การเสนอแนะหรือชกั จูงใจ (Propose or persuade) การเสนอแนะหรือการชกั จงู ใจเป็นการส่ือสารท่ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือใหข้ อ้ เสนอแนะหรือชกั จงู ส่ิงใด ส่ิงหนง่ึ ตอ่ ผรู้ บั สาร เชน่ การจงู ใจใหผ้ รู้ บั สารมีความคดิ คลอ้ ยตามหรอื ปฏิบตั ติ ามคาเสนอแนะ ๓.๕ เพอ่ื จดั การหรือตดั สินใจ (Dispose or decide) การจดั การลกั ษณะนีม้ ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือในการจดั การหรือตดั สินใจกระทาการอยา่ งใด อยา่ งหน่งึ
๖ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๔. ความสาคญั ของการสื่อสาร การส่ือสารมีความสาคญั ในดา้ นต่างๆซ่ึงสามารถสรุปได้ ๓ ประการหลกั ดงั น้ี ๔.๑ การสื่อสารเป็ นปัจจัยสาคัญในการดารงชีวติ ของมนุษย์ทุกเพศ มนุษยท์ ุกเพศทุกวยั หรือทุกสาขาอาชีพตอ้ งใชก้ ารส่ือสารในการติดต่อ ปฏิบตั ิงาน หรือ ทาธุรกิจต่างๆ เพอื่ สร้างความเขา้ ใจร่วมกนั ๔.๒ การส่ือสารก่อให้เกดิ การประสานสัมพนั ธ์กนั ระหว่างบุคคลและสังคม การส่ือสารช่วยเสริมสร้างความเขา้ ใจอนั ดีระหวา่ งคนในสังคม ช่วยสืบทอดประเพณี วฒั ธรรม วธิ ีชีวติ ของคนในสงั คม และช่วยใหค้ นในสังคมอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งสันติ ๔.๓ การสื่อสารเป็ นปัจจัยสาคญั ในการพฒั นาความเจริญก้าวหน้า การส่ือสารมีความสาคญั ตอ่ การสร้างความเจริญกา้ วหนา้ ท้งั ตวั บุคคลและสังคมใน หลายๆ ดา้ นเช่น ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม วทิ ยาศาสตร์และเทคโลยี ฯลฯ ๕. ประเภทของการสื่อสาร ประเภทของการส่ือสารแบ่งไดห้ ลายวธิ ีดงั น้ี ๕.๑ การส่ือสารแบ่งตามวธิ ีการส่ือสาร แบ่งเป็ น ๒ ประเภท คือ ๕.๑.๑ การส่ือสารดว้ ยวาจาหรือวจั นภาษา (Verbal Commnication) เช่น การพูด การร้องเพลง การเขียน การส่งสายตา น้าเสียง ๕.๑.๒ การสื่อสารท่ีไม่ใชว้ าจาหรือวจั นภาษา (Non-verbal communication) เชน่ การส่ือสาร ดว้ ยสีหนา้ ทา่ ทาง ภาษามือการสง่ สายตา นา้ เสียง แตรรถ ไซเรน และสญั ษณ์ ๕.๒ การส่ือสารแบ่งตามระดับของการส่อื สาร แบง่ ๓ ประเภท คือ ๕.๒.๑ การสื่อสารภายในตนเอง (Intrapersonal or Self-communication) เป็ นการส่ือสารท่ีผูส้ ่ง สารเป็นท้งั ผสู้ ่งและผรู้ ับในเวลาเดียวกนั เช่น การคิด การวเิ คราะ การสวดมนต์ การทาสมาธิ การพูดหรือร้องเพลงคนเดียว การเขียนสมุดบนั ทึก ฯลฯ การสื่อสารภายในตนเอง ประกอบดว้ ย ๑) การตระหนักรู้ตนเอง ไดแ้ ก่ ความเช่ือ ค่านิยม ทศั คติ คุณลกั ษณะ บทบาท ทางสังคม เป็นการสื่อสารที่มีอิทธิพลตอ่ มนุษยใ์ นดา้ นตา่ งๆ เช่น การพดู การแสดงกิริยาในเชิงบวกหรือเชิงลบ ๒) การรับรู้เป็ นการมุ่งเน้นในเรื่องต่างๆ ทม่ี ีอทิ ธิพลจากภายนอก ไดแ้ ก่ อิทธิพล ในการ เกิดความเขา้ ใจในตนเองและความเขา้ ใจต่อโลกภายนอกท่ีมีความเกี่ยวพนั กนั
กระบวนการส่ือสาร ๗ ๓) ความคาดหวงั ไดแ้ ก่ การคาดการณ์ บทบาทในอนาคต การคาดการณ์ความสมั พนั ธ์ภายใน ครอบครัวหรือสังคม ๕.๕.๒ การสื่อสารระหน่างบุคคล (Iner Personal Communication) เป็นการสื่อสารระหวา่ ง ผูส้ ่งสารและผูร้ ับสาร เกิดปฏิกิริยาโตต้ อบระหวา่ งกนั ภาพที่ ๑.๔ การส่ือสารสารธารณะ การส่ือสารระหวา่ งบุคคลไดแ้ ก่ ๑) การสื่อสารระหน่างบุคคล เช่น ครูแหม่มสนทนากบั ครูเอ๋ ส้มสอบถามราคาสินคา้ กบั พนกั งานคนหน่ึง ฯลฯ ๒) การส่ือสารแบบกลุ่ม มีบุคคลจานวนสามคนข้ึนไปมีวตั ถุประสงค์เพื่อการ แกป้ ัญหาหรือตดั สินใจเรื่องใดเรื่องหน่ึง เช่น กลุ่มกิจกรรม กลุ่มนกั ศึกษา กลุ่มไลน์ ๓) การส่ือสารสาธารณะ เป็นการสื่อสารกบั คนกลุ่มใหญ่ เพอ่ื ความบนั เทิงหรือ การจูงใจ เป็ นการสื่อสารทางเดียว มีปฏิกิริยาโตต้ อบน้อย เช่น การบรรยายในช้ัน เรียน การอภิปรายใน หอประชุม การปราศรัยในงานสังคม การปราศรัยหาเสียง ฯลฯ ๔) การสื่อสารภายในองค์กร เป็ นการสื่อสารท่ีกระทาในองค์กร เช่น องค์กรธุรกิจ การสื่อสารระหวา่ งนายจา้ งกบั ลูกจา้ ง การสื่อารในหน่วยงานราชการ การสอ่ื สารใน สถานศึกษา ฯลฯ ๕) การส่ือสารในครอบครัว เป็นการส่ือสารท่ีเกิดข้ึนระหน่างบุคคลในครอบครัว เช่น บิดามาราดาอบรมส่งั สอนบุตร นอ้ งสาวพูดกบั พช่ี าย ๕.๒.๓ การส่ือสารมวลชน (Mass Communicatoo) เป็นการสื่อสารที่ส่งสารส่งขอ้ มูลโดยอาศยั สื่อมวลชนไปยงั ผรู้ ับสารจานวานมากพร้อมๆกนั สื่อมวลชน ไดแ้ ก่หนงั ส่ือพมิ พ์ วารสาร วทิ ยุ โทรทศั น์ ภาพยนตร์ อินเตอร์เน็ต โทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ีหรือใช้เทคโนโลยสี มยั ใหม่อื่นๆ ลกั ษณะสาคญั ของ การสื่อสารมวลชนสามารถสรุปได้ ดงั น้ี ๑) การสื่อสารมวลชนใชว้ ธิ ีการเทคโนโลยที ่ีเป็ นระบบในการผลิตและเผยแฟร่ ๒) การส่ือสารมวลชนเป็ นสินคา้ เชิงลญั ลกั ษณ์ ระบบของการแปลงลกั ษณ์ในปัจจุบนั ใช้ระบบดิจิทลั การส่ือสารรพหวา่ งบุคคลต่างๆ จึงมีความรวดเร็วและทนั สมยั ๓) การสื่อสารมวลชนเป็นการเผยแพร่ขอ้ มูลในรูปแบบของการสื่อสารจากผสู้ ่งไปยงั ผรู้ ับจานวนมาก ๕.๓ การสื่อสารแบ่งตามทศิ ทางของการสื่อสาร มี ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ๕.๓.๑ การสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) เป็นการส่ือความหมายไปยงั ผรู้ บั สารเพียง อยา่ งเดียว ผรู้ บั สารไมส่ ามารถมีปฏิสมั พนั ธต์ อ่ ผสู้ ่งสารไดท้ นั ท่ี เชน่ การฟังวิทยุ การชมรายการขา่ ว การ ชมภาพนตร์
๘ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๕.๓.๒ การส่ือสารสองทาง (Two-way Communication) เป็นการส่ือสารท่ีผรู้ บั สารมีโอกาส ตอบสนองผสู้ ง่ สารไดท้ นั ท่ี ผสู้ ง่ สารและผรู้ บั สารอาจอยตู่ อ่ หนา้ กนั หรอื อาจอยู่คนละสถานท่ีทงั้ สอง ฝ่ายสามารถโตต้ อบกนั ไปมา ผลดั กนั ทาหนา้ ท่ีผสู้ ง่ สารและผรู้ บั สารในเวลาเดยี วกัน เชน่ การพดู โทรศพั ท์ การสนทนา การประชมุ ฯลฯ ๕.๔ การส่ือสารแบ่งตามความแตกต่างระหน่างผู้ส่งสารและ ภาพท่ี ๑.๕ การสื่อสารของคนท่ีมี ความแตกตา่ งกนั ผู้รับสาร ๕.๔.๑ การสื่อสารระหวา่ งเชื่อชาติ (Interracial Communication) ไดแ้ ก่ การสื่อสารของคนที่มีความต่างกนั ในด้านเชื่ อชาติและภาษา เช่น ชาวไทยสนทนากับ ชาวต่างชาติ ๕.๔.๒ การสื่อสารระหวา่ งวฒั ธรรม (Cross-cultural Communication) ไดแ้ ก่ การสื่อสารของคนที่มีความแตกต่าง กนั ในดา้ นวฒั นธรรม เช่น การสนทนาระหวา่ งคนไทยท่ี อาศยั อยภู่ าคเหนือกบั ภาคใต้ ๕.๔.๓ การสื่อสารระหวา่ งประเทศ (International Communication) ไดแ้ ก่ การเจรจาติดต่อสมั พนั ธ์ทางทูต เช่น การเจรจาในฐานะตวั แทนรัฐบาล ๖. หลกั ในการสื่อสร หลกั การส่ือสารใหเ้ กิดประสทธิภาพมีดงั น้ี ๖.๑ ตอ้ งทาความเขา้ ใจในเร่ืององคป์ ระกอบของ การสื่อสาร และจิตวทิ ยาดา้ นการรับรู้ การคิด การเรียนรู้ความจาเป็นปัจจยั ที่มีผลตอ่ ประภิทธิภาพ ในการสื่อสาร ๖.๒ตอ้ งคานึงถึงริบทในการส่ือสารหรือ สิ่งแวดลอ้ มท่ีมีส่วนในการกาหนดการรับรู้หรือ ความเขา้ ใจในการสื่อสาร ภาพที่ ๑.๖ การใชค้ าใหเ้ หมาะสมกบั ๖.๓ ควรคานึงถึงความรู้พ้ืนฐานของบุคคล กาลเทศะและบุคคล เพื่อทาใหก้ ารสื่อสารง่ายข้ึน เช่น ทกั ษะ เจตคติ คา่ นิยม สงั คม ประสบการณ์ ๖.๔ ตอ้ งมีวตั ถุประสงคท์ ี่ชดั เจน สื่อสารผา่ นส่ิอหรือช่องทางท่ีเหมาะสม ผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารมี ทกั ษะในการสื่อสารและมีความเขา้ ใจในวตั ถุประสงคท์ ี่สอดลอ้ งกนั ๖.๕ ควรคานึงถึงการใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ บุคคล เน้ือหาของสาร และช่องทางหรือ ส่ือที่ใชใ้ นการสื่อสาร
กระบวนการสื่อสาร ๙ ๖.๖) ผสู้ ่งสารควรคานึงถึงปฏิกิริยาตอบกลบั จากผรู้ ับสารเพ่ือประเมินผลการส่ือสารวา่ ตรงตาม วตั ถุหริอไม่ ควบปรับปรุงเปล่ียนแปลง หรือแกไ้ ขข้ อ้ บกพร่องใดเพอ่ื ใหม้ ีการส่ือสารเกิดประสิทธิผล ตามท่ีตอ้ งการ ๗. อปุ สรรคในการสื่อสารและการแก้ไข ๗.๑ อปุ สรรคในการสื่อสาร อุปสรรในการสื่อสารเป็นส่ิงที่ทาใหก้ ารส่ือสารไมบ่ รรลุตามวตั ถุประสงคข์ องผสู้ ่ือสารและ ผรู้ ับสาร อุปสรรคในการส่ือสารอาจเกิดข้ึนไดใ้ นทุกข้นั ตอนของกระบวนการสื่อสาร สรุปไดด้ งั น้ี ๗.๑.๑ อปุ สรรคจากผ้สู ่งสาร ๑) ผสู้ ่งสารขาดความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ขอ้ มูลหรือสารท่ีตอ้ งการส่ง ๒) ผสู้ ่งสารใชว้ ธิ ีการถ่ายทอดและการนาเสนอท่ีไม่เหมาะสม ๓) ผสู้ ่งสารขาดประสงคก์ ารณ์หรือความพร้อมในการส่งสาร ๔) ผสู้ ่งสารขาดการวเิ คราะห์ผรู้ ับสาร ๕) ผสู้ ่งสารมีบุคลิกภาพที่ไมเ่ หมาะสม ๖) ผสู้ ่งสารมีทศั นคติไมด่ ีตอ่ การส่งสารหรือต่อสาร ๗.๑.๒ อุปสรรคจากกสารท่ีส่ง ๑) สารอาจมีความยากหรือง่ายเกินไป ๒) สารขาดการจดั ลาดบั ท่ีเหมาะสม มีความซบั ซอ้ นขาดความชดั เจน ๓) สารขาดความถูกตอ้ ง ๔) สารขาดความสมบูรฌค์ รบถว้ น ๗.๑.๓ อุปสรรคท่ีเกิดข้ึนจากส่ือหรือช่องทางการส่ือสร ๑) ใชส้ ื่อไม่เหมาะสมกบั สารที่ตอ้ งการนาเสนอ ๒) ใชส้ ่ือท่ีไมม่ ีประสิทธิภาพ เช่นภาพที่ไม่ชดั เจน ๓) ใชภ้ าษาท่ีไมเ่ หมาะสมกบั ระดบั ของการส่ือสาร ๗.๑.๔ อุปสรรคจากผรู้ ับสาร ๑) ผรู้ ับสารขาดความรู้หรือประสงคก์ ารณ์ในสารท่ีไดร้ ับ ๒) ผรู้ ับสารขาดความพร้อมหรือความสมจท่ีจะรับสาร ๓) ผรู้ ับสารมีทศั นคติท่ีไมด่ ีต่อผสู้ ่งสารหรือต่อสาร ๗.๒ การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการส่ือสาร ผสู้ ่งสารควรปฏิบตั ิดงั น้ี ๗.๒.๑ ศึกษาขอ้ มูลในเรื่องตา่ งๆ อยา่ งถ่องแท้ ๗.๒.๒ มีความเป็ฯกลาง ปรับทศั นคติและอารมณ์ เปิ ดใจในการรับสาร
๑๐ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๗.๒.๓ เลือกใชส้ ารใหเ้ หมาะสมกบั คุ คล ความรู้ อาชีพและประสบการณข์ องผรู้ บั สาร ๗.๒.๔ ใชถ้ อ้ ยคาชดั เจน ไมใ่ ชศ้ พั ทท์ ่ียากโดยไมจ่ าเป็นใชป้ รโยชนท์ ่ีสัน้ กะทดั รดั เขา้ ใจงา่ ย ๗.๒.๕ เลือกใชก้ ารส่ือวสารท่ีเหมาะสม ใชส้ ่ือตา่ งๆ เพ่ือใหก้ ารส่งน่าสนใจ ช่วยใหเ้ ขา้ ใจได้ งา่ ยขนึ้ ๗.๒.๖ เลือกใชก้ ารส่ือสารท่ีเหมาะสมกบั กาลเทศะและสถาพแวดลอ้ ม สรุป กระบวนการสื่อสารเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลข่าวสารระหน่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ผา่ นการถ่ายทอดสารในรูปแบบต่างๆ ซ่ึงเป็ นกระบวนการสาคญต่อการดารงชีวติ ของมนุษยท์ ุกดา้ นโดย จะตอ้ งมีความเข้าใจในรายละเอียดของการส่ือสาร ไม่ว่าจะเป็ นด้านวตั ถุประสงค์ของการส่ือสาร ความสาคัญของการส่ือสาร ความสาคัญของการส่ือสารประเภทของการสื่อสารองค์ประกอบใน กระบวนการส่ือสารหลกั ในการส่ือสารที่เหมาะสม ตลอดการวเิ คราะห์อุปสรรคในการส่ือสารท่ีเกิดข้ึน เพอื่ ใหก้ ารสื่อสารมีประสิทธิภาพที่สุด กจิ รรมตรวจสอบความเข้าใจ คาช้ีแจง กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเป็นกิจกรรมฝึกทกั ษะเฉพาะดา้ นความรู้-ความจา เพือ่ ใชใ้ นการตรวจสอบความเขา้ ใจตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ คาสั่ง จงตอบคาถามต่อไปนี้ ๑.จงอธิบายความหมายของการส่ือสาร ๒.การสื่อสารมีความสาคญั อยา่ งไร จงยกตวั อยา่ งการสื่อสารท่ีผเู้ รียนใชใ้ นชีวติ ประจาวนั มา ๓ ตวั อยา่ ง ๓.วตั ถุประสงคข์ องการสื่อสารไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ๔. การส่ือสารมีก่ีประเภท อะไรบา้ ง ๕. จงยกตวั อยา่ งการสื่อสารแบบทางเดียวและแบบสองทางที่เหมาะสม มาแบบละ ๓ ขอ้ ๖. องคป์ ระกอบของการสื่อสารไดแ้ ก่อะไรบา้ ง จงยกตวั อยา่ งประกอบ ๗. อุปสรรคใ์ นการสื่อสารไดแ้ ก่อะไรบา้ ง จงยกตวั อยา่ งอุปสรรคท์ ่ีพบในการส่ือสารในชีวิตประจาวนั มา ๓ ตวั อยา่ ง ๘. จงอธิบายวธิ ีการลดอุสรรคในการสื่อสาร และยกตวั อยา่ ง ๙. หลกั ในการส่ือสารเพือ่ ใหเ้ กิดประสิทธิภาพมีอะไรบา้ ง ๑๐.ผสู้ ่งสาร สาร สื่อ ผรู้ ับสาร ส่วนใดสาคญั ที่สุดในการสื่อสาร จงเขียนอภิปราย
กระบวนการส่ือสาร ๑๑ กจิ กรรมส่งเสริมการเรียนรู้ คาช้ีแจง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบดว้ ยกิจกรรมหลากหลายท่ีฝึกทกั ษะทุกดา้ นตาม จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมเพอ่ื ใหเ้ กิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบตั ิกิจิกรรม ท้งั ในแลนอกสถานที่ตามความเหมาะสมกบั ผเู้ รียนและส่ิงแวดลอ้ มของสถานศึกษา ๑.ใหผ้ เู้ รียนแบง่ เป็น ๕ กลุ่ม จบั สลากเลือกหวั ขอ้ ตามที่กาหนดให้ ศึกษาขอ้ มูลจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ร่วนกนั อภิปาย แลว้ เขียนขอ้ สรุปลงในกระดาษ พร้องส่งตวั แทนนาเสนอขอ้ มูลหนา้ ช้นั เรียน กลุ่มละ ๓- ๕นาที ๑) องคป์ ระกอบในกระบวนการสื่อสาร ๒) วตั ถุประสงคแ์ ละความสาคญั ของการส่ือสาร ๓) ประเภทของการสื่อสาร ๔) หลกั การในการสื่ออสาร ๕) อุปสรรคในการส่ือสารและการแกไ้ ข ๒. ใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ ๓-๕ คน ร่วนกนั อภิปรายเร่ืองการส่ือสารของวยั รุ่น และร่วมกนั ตอบ คาถามตอ่ ไปน้ี ๑) ผเู้ รียนคิดวา่ การรับสารและการส่งสารของวยั รุ่นในปัจจุปันเป็นอยา่ งไร ๒) การรับสารและการส่งสารของวยั รุ่นในปัจจุบนั มีปัญหาหรือไม่ ถา้ ไมม่ ีปัญหาใหร้ ะบุ ขอ้ ดีท่ีพบ ๕ ขอ้ ถา้ มีปัญหาใหผ้ เู้ รียนหาแนวทางแกไ้ ขป้ ัญหาการรับสารและการส่งสารของวยั รุ่น ๓. ใหผ้ เู้ รียนเขียนสรุปความคิดและความรู้สึกจากการเรียนรู้เรื่องกระบวยการส่ือสาร ความยาว อยา่ งนอ้ ย ๕ บรรทดั ๔. ใหผ้ เู้ รียนเขียนคติพจน์ที่ไดจ้ ากการเรียนเร่ืองกระบวนการสื่อสาร ๕. ใหผ้ เู้ รียนเลือกชมข่าวจากโทรทศั น์ ๑ ข่าว และนาผลของการชมข่าวมาตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ๑) เร่ือง ๒) แหล่งที่มาของขา่ ว ๓) สรุปขา่ ว ๔) ประเภท/วตั ถุประสงคข์ องข่าวที่ผปู้ ระกาศตอ้ งการสื่อใหท้ ราบ ๕) วธิ ีการทีผปู้ ระกาศขา่ วส่ือสารเหมาะสมหรือไม่ อยา่ งไร ๖) ขอ้ เสนอแนะ
๑๒ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๖. ใหผ้ เู้ รียนจบั กลุ่ม ๕ กลุ่ม แสดงบทบาทสมมติในการรับสารและการส่งสารตามหวั ขอ้ ท่ีระบุหนา้ ช้นั เรียน กลุ่มละ ๓-๕ นาที ใหเ้ พอื่ นร่วนกนั อภิปรายและเสนอขอ้ คิดเห็น ๑) การแจง้ ใหท้ ราบ ๒) การสอน การศึกษา และการเรียนรู้ ๓) การสร้างความพอใจหรือความบนั เทิง ๔) การเสนอแนะหรือการชกั จูง ๕) การจดั การหรือการตดั สินใจ ๗. ให้ผูเ้ รียนแบ่งออกเป็ น ๒ กลุ่ม แต่ละกลุ่มส่งตวั แทนออกมาโตว้ าที ๓ คน ในหวั ขอ้ เรื่องวยั รุ่นกบั การรับและการส่งสารในยุคดิจิทลั ใช้เวลาในการโตว้ าที ๑๕ นาทีโดยให้สมาชิกในกลุ่ม ช่วยกนั เตรียมขอ้ มูล ๒๐-๓๐ นาที ก่อนดาเนินการโตว้ าที ๘. ใหผ้ เู้ รียนระบุขอ้ คิดท่ีไดจ้ ากการทากจิกรรมในขอ้ ๑. มาเสนอแนวทางปฏิบตั ิ จากน้นั วเิ คราะห์วา่ ถา้ นาไปฏิบตั ิในชีวิตจริงจะเกิดผลย่างไรและถ้าไม่นาไปปฏิบตั ิจะเกิดผลอย่างไร โดยเขียนเป็ น แผนภาพความคิด ผลท่ีเกิดขนึ้ ขอ้ คิด กจิ รรมตรวจสอบความเข้าใจ ต่อตนเอง ต่อสงั คม ตอ่ ประเทศ แนวทางปฏิบตั ิ ผลท่ีเกิดขนึ้ ต่อตนเอง ตอ่ สงั คม ต่อประเทศ
กระบวนการส่ือสาร ๑๓ สรุปผลการทากริกรรม หมายเหตุ เกณฑก์ ารประเมินผลการทากิจกรรมมีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื ประเมินวา่ ผเู้ รียนเกิดสมรรถนะจากกสรเรียนรู้ ตามบริบทตา่ งๆ หรือไม่ โดยแบ่งเป็น ๓ ดา้ น คือ ความรู้หรือพุทธิพิสยั = Knowledge (K) ทกั ษะหรอื ทกั ษพิสยั = Practice (P) คณุ ลกั ษณะหรือพสิ ยั = Attitude (A)
๑๔ ภาษไทยพืน้ ฐาน แบบทดสอบ คาส่ัง จงเลือกคาตอบทถี่ ูกต้องทส่ี ุดเพยี งคาตอบเดยี ว ๑. ขอ้ ใดอธิบายความความของการส่ือสรไดชดั เจนที่สุด ๑. การเจรจาต่อรอง ๒. กระบวนการเล่าสู่กนั ฟัง ๓. การแสดงออกในรูปแบบตา่ งๆ ๔. กระบวนการถ่ยทอดขอ้ มูลความรู้ต่างๆ ๕. กระบวนการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลขา่ วสารระหวา่ งบุคคล โดยใชก้ ระบวนการถ่ายทอดสาร ๒. การสื่อสารท่ีมีความสาคญั หลายดา้ น ยกเวน้ ขอ้ ใด ๑. การสื่อสารเป็นปัจจยั ในการดารงชีวติ ๒. การส่ือสารก่อใหเ้ กิดการเขา้ ใจผดิ ในสงั คม ๓. การสื่อสารช่วยในคนในสงั คมอยรู่ วมกนั อยา่ งสนั ติ ๔. การสื่อสารเป็นปัจจยั ในการพฒั นาความเจริญกา้ วหนา้ ๕. การส่ือสารก่อใหเ้ กิดความสัมพนั ธ์ระหน่างบุคคลและสงั คม ๓. ขอ้ ใดไมใ่ ชก้ ารส่ือสารที่มีประสิทธิภาพ ๑. หมีวตะโกนคุยกบั นกในงานคอนเสิรต์ ๒. แหมม่ ใชภ้ าษาเหมาะสมกบั กาลเทศะแลบุคคล ๓. เอ๋มีเจตคติ ประสบการณ์ และการส่ือสารที่ดี ๔. หมีสามารถจดจารายละเอียดตา่ งๆ ที่อาจารยบ์ รรยายในช้นั เรียน ๕. ฝนเขา้ ใจวตั ถุประสงคแ์ ละมีปฏิกิริยาตอบกลบั จากการฟังบรรยายช้นั เรียน ๔. ขอ้ ใดไมใ่ ชว้ ตั ถุประสงคข์ องการส่ือสาร ๑. แจง้ ใหท้ ราบ ช้ีแจงเร่ืองราวต่างๆ ๒. เสนอแนะและชกั จูงใหค้ ลอ้ มตาม ๓. สร้างความพอใจหรือความบนั เทิง ๔. จดั เก็บไดง้ ่ายและสื่อสารไดร้ วดเร็ว ๕. จดั เก็บหรือตดั สินใจกระทาอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง
กระบวนการส่ือสาร ๑๕ ๕. ขอ้ ใดเป็นการส่ือสารทางเดียว ๑. การประชุม ๒. การพูดโทรศพท์ ๓. การส่ือสารระหวา่ งประเทศ ๔. การสื่อความหมายไปยงั ผรู้ ับเพียงอยา่ งเดียว ๕. การสื่อสารที่รับมีโอกาสตอบสนองผสู้ ่งไดท้ นั ที ๖. “บุญชูสนทนากบั แอนเจลีนา โจลี” เป็นการสื่อสารแบบใด ๑. การส่ือสารภายในตนเอง ๒. การสื่อสารระหน่างเช้ือชาติ ๓. การสื่อสารระหน่างวฒั ธรรม ๔. การสื่อสารระหน่างประเทศ ๕. การสื่อสารในฐานะตวั แทนรัฐบาล ๗. ขอ้ ใดไม่ใชอ้ งคป์ ระกอบของการส่ือสาร ๑. ภาษาพดู ๒. เรื่องราว ๓. ความคิด ๔. สื่อธรรมชาติ ๕. ผรู้ ับสาร ๘. ขอ้ ใดเป็นวธิ ีการสื่อสารท่ีเหมาะสม ๑. ทบั ทิมขออนุญาตอาจารยก์ ่อนเขา้ หอ้ งเรียน ๒. ไฟลินคุยกบั เพทายเสียงเบาๆในหอ้ งเรียน ๓. มุกดาตะโกนหานิลุบลในหา้ งสรรพสินคา้ ๔. มรกตรีบเดินไปทางอื่นเม่ือเห็นอาจายย์ น่ื อยหู่ นา้ ประตู ๕. ไฟฑูรยร์ ีบเดินจากหอ้ งเรียนเพือ่ รับโทรศพั ท์ ๙. ขอ้ ใดเกิดอุปสรรคในการสื่อสาร ๑. ธนาปราศรัยหาเสียงแตไ่ มไ่ ดร้ ับการเลือกต้งั ๒. ธนิตไปออกเสียงเลือกต้งั ตามประกาศขององคป์ กครองส่วนทอ้ งถ่ิน ๓. ธนูออ้ นวอนขอเงินแม่ไปซ้ือรถจกั รยานยนต์ แม่ใหม้ า ๑ หมื่น ๔. ธเนศไปกราบแม่ในวนั สงกรานตท์ ุกปี ๕. ธนตั ถไ์ ปบริจาคโลหิตตามประกาศของโรงพยาบาล
๑๖ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๑๐. ขอ้ ใดคือสาเหตุท่ีทาใหก้ ารส่ือสารไบรรลุตามวตั ถุประสงค์ ๑. การใชภ้ าษาที่เหมาะสม ๒. การใชส้ ื่อท่ีมีประสิทธิภาพ ๓. ผรู้ ับสารมีอคติตอ่ ผสู้ ่งงสาร ๔. สารมีการจดั ลาดบั ท่ีเหมาะสม ๕. ผสู้ ่งสารมีความรู้ความเขา้ ใจขอ้ มูลเก่ียวกบั สาร แบบประเมนิ ตนเอง คาช้ีแจง ตอนท่ี ๑.ใหผ้ เู้ รียนประเมินผลการเรียนรู้ โดยเขียนเคร่ืองหมายลงในช่องคะแนน และเติมขอ้ มูลตามความจริง ระดบั คะแนนตอนที่ ๑ ๕ : มากท่ีสุด ๔ : มาก ๓ : ปานกลาง ๑ : ควบปรับปรุง ตอมนท่ี ๒. ใหผ้ เู้ รียนนาคะแนนจากแบบทดสอบมาเติมลงในช่องวา่ ง และเขียนเคร่ืองหมาย ลงในช่องสรุปผล ตอนที่ ๑ (ผลการเรียนรู้) ตอนที่ ๒ (แบบทดสอบ) รายการ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ แบบทดสอบ ๑. ผเู้ รียนมีความรู้ ความเขา้ ใจเน้ือหา คะแนน สรุปผล ๒. ผูเ้ รียนได้ทากิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่ o ๙-๑๐ (ดีมาก) คลอ้ งกบั เน้ือหาและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ o ๗-๘ (ดี) ๓. ผูเ้ รียนไดเรียนและทากิจกรรมการเรียนรู้ท่ี o ๕-๖ (พอใจ) ส่งเสริมกระบวนการคิด เกิดการคน้ พบความรู้ o ต่ากวา่ ๕ ๔. ผู้เรี ยนสามารถประยุกต์ความรู้เพ่ือใ ช้ (ควบปรับปรุง) ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั ได้ ๕. ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้อะไรจากการเรียน ๖. ผเู้ รียนตอ้ งการทาสิ่งใดเพอ่ื พฒนาตนเอง ๗. ความสามารถที่ถือวา่ ผา่ มเกณฑป์ ระเมินของผเู้ รียนคือ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ๒ สาระสาคญั สาคญั การใชถ้ อ้ ยคา การใชส้ านวน การใชภ้ าษาตามระดบั ภาษา และการเขียนสะสดคา เป็นทกั ษะสาตญั สาหรับการส่ือสารในชีวติ ประจาวนั ไม่วา่ จะเป็นการสื่อสารกบั บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพ่ือใหร้ ับรู้เรื่องราว ต่างๆ ใชแ้ สดงความรู้สึกนึกคิดหรือความตอ้ งการใหผ้ อู้ ่ืนไดร้ ับความหหมายท่ีถูกตอ้ งตรงกนั สาระการเรียนรู้ ๑. การใชถ้ อ้ ยคา ๒. การใชส้ านวน ๓. การใชภ้ าษาตามระดบั ภาษา ๔. การเขียนสะกดคา
๑๘ ภาษไทยพืน้ ฐาน สมรรถนะประจาหน่วย ๑. แสดงควมรู้เกี่ยวกบั การใชถ้ อ้ ยคา การใชส้ านวน การใชภ้ าษาตามระดบั ภาษา และ การเขียนสะกดคา ๒. ใชถ้ อ้ ยคา ใชส้ านวน ใชภ้ าษาตามระดบั ภาษ และเขียนสะกดคาตามหลกั การ จุดประสงค์การเรียนรู้ ๑. เลือกใชถ้ อ้ ยคาและสานวนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๒. ใชภ้ าษาไทยไดถ้ ูกตอ้ งตามระดบั ภาษา ๓. เขียนสะกดคาไดถ้ ูกตอ้ ง ๔.ประเมินผลการใชถ้ อ้ ยคา สานวน ภาษาตามระดบั ภาษา รวมถึงการเขียนสะกดคาไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม ผงั สาระการเรียนรู้ หลงั การใช้ การใชถ้ อ้ ยคา ภาษาไทย การใชส้ านวน เพ่ือการส่ือสาร การใชภ้ าษตามระดบั ภาษ การเขียนสะกดคา
หลกั การใช้ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร ๑๙ ๑. การใช้ถ้อยคา การใชค้ าหรือถอ้ ยคาหลกั การ ดงั น้ี ๑.๑ การใช้คาให้ถูกต้องตามความหมาย ๑) คาทมี่ คี วามหมายโดยตรงหรือความหมายอรรถ คือมีความหมายเป็นท่ีรับรู้หรือ เขา้ ใจโดยมาตอ้ งตีความเป็นอยา่ งอื่น เป็นตาท่ีมีความหมายประจารูปหรือคาท่ีมีความหมายตรงตวั เช่น ฉนั ชอบกนิ ขา้ วมนั ไก่ กนิ หมายถึง เค้ียวกลืน ๒) คาทม่ี คี ว่มหมายโดยนัย ความหมายของคาไมป่ รากฏตามตวั อกั ษรมีความหมาย ที่ซ่อนเร้นในความหมายของคาน้นั ๆผสู้ ่งสารสามารถเขา้ ใจตรงกนั หรือไมข่ ้ึนอยกู่ บั พ้ืนฐาน ความรู้และประสบการณ์ของบุคคล เช่น เร่ือกินน้าลึก กนิ หมายถึง มีทอ้ งเร่ือจมลึกไปในน้า นกั ศึกษาถูกคูรกินแถว กนิ แถว หมายถึง ถูกทาโทษท้งั หมด ฉนั ไมอ่ ยา่ งกินน้าใตศ้ อก กนิ นา้ ใต้ศอก หมายถึง ยอมเป็นรอง ๑.๒ การใช้คาให้ถูกต้องตามหลกั ไวยากรณ์ คาในภาษาไทยแบ่งไดห้ ลายประเภท โดยมีหลกั การใช้ ดงั น้ี ๑) คานาม คือ คาท่ีใชเ้ รียนบุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ประกอบดว้ ย (๑) นามทวั่ ไปหรือสามนยาม เป็นคานามที่ไมช่ ้ีเฉพาะบุคคล หรือสิ่งใดส่ิงหน่ึง เช่น พอ่ แม่ ลูก (๒) นามช่ือเฉพาะหรือวสิ ามานยนาม เป็นช่ือเฉพาะของบุคคลใดบุคคลหน่ึง หรือส่ิง ใดส่ิงหน่ึง เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี วทิ ยาลยั (๓) นามบอกลกั ษณะหรือลกั ณนาม เป็นคานามบอกลกั ษณะ เช่น ใบ ชิ้น ตน้ เครื่อง (๔) นามบอกอาการหรือาการนาม เป็นคานามท่ีเกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลง คากริยาหรือคาวเิ ศษณ์โดยการเติมคาวา่ การ หรือ ความ นาหนา้ เช่น การเดิน ความดี ความจริง ๒) คาสรรพนาม คือคาที่ใชแ้ ทนคานาม เพือ่ ไม่ตอ้ งกล่าวคานามน้นั ซ้าๆ แบ่งออกเป็น ๗ ชนิด ไดแก่ (๑) บุรุษสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใชแ้ ทนนาม มี ๓ ชนิด ดงั น้ี • สรรพนามบุรุษที่ ๑ ใชเ้ รียกแทกผพู้ ูด เช่น ขา้ เจา้ ดิฉนั ผมกระผม ขา้ พระพทุ ธเจา้ อาตมา
๒๐ ภาษไทยพืน้ ฐาน • สรรพนามบุรุษท่ี ๒ ใชเ้ รียนแทนผฟู้ ัง เช่น เธอ ท่าน คุณ พระคุณเจา้ • สรรพนามบรุ ุษท่ี ๓ ใชเ้ รียนแทนผถู้ กู กลา่ วถึง เชน่ มนั เขา ทา่ น เธอ (๒) สรรมนามช้ีระยะ เป็นการสรรพนาที่กาหนดใหร้ ู้วา่ เป็นคน สัตร์ สิ่งของ หรือสถานท่ี ท่ีกล่าวถึงน้นั อยใู่ นระยะไกลไ้ กลเพยี งใด เช่น น่ี น้นั โน่น โนน้ (๓) สรรมนามใชถ้ าม ใชแ้ ทนคานามท่ีผถู้ ามตอ้ งการคาตอบ ไดแ้ ก่ ไหน ใคร อะไร เชน่ คณุ ชอบอนั ไหน ใครอยทู่ ่ีนนั้ อะไรบนิ อยบู่ นทอ้ งฟ้า ฯลฯ (๔) สรรมนามบอกความไมเ่ จาะจง ใชแ้ ทนคานามท่ีกลา่ วโดยไมต่ อ้ งการคาตอบไดแ้ ก่ ใคร อะไร ไหน หรืออาจจะใชค้ าซา้ เชน่ ฉนั ไมเ่ ห็นใครขยนั อยา่ งคณุ เลย (๕) สรรมนามบอกความชีซ้ า้ ใชแ้ ทนคา่ นามท่ีกลา่ วมากอ่ นและตอ้ งการกลา้ วซา้ อีกโดย ไมต่ อ้ งเอย่ คาถามนนั้ อีกครงั้ ไดแ้ ก่ บา้ ง ตา่ ง กนั เชน่ ชาวสวนบา้ งพรวดนิ บา้ งรดนา้ ตน้ ไม้ ประชาชนตา่ งไปลงคะแนนเสียงเลือกผแู้ ทนราษฎร เขานดั ประชมุ กนั วนั นี้ ฯลฯ (๖) สรรมนามเช่ือมประโยค ใชแ้ ทนคานามท่ีอยขู่ ง่ หนา้ และเม่ือตอ้ งการกล่าวซา้ ทา หนา้ ท่ีเช่ือมประโยค ๒ ประโยคเขา้ ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ ท่ี ซ่งึ อนั เชน่ ฉนั อยา่ งอา่ นหนงั สือท่ีเธอซ่ือมา (๗) สรรมนามกใชจิ เ้รนรน้ มนตารมวตจาสมอคบวคาวมารมูส้ เขกึ ้าขใอจงผพู้ ดู ใชว้ างหลงั คานามเพ่ือบอกความรูส้ กึ ท่ีมีตอ่ บคุ คลท่ีกลา่ วถึง เชน่ เดก็ ๆ เลน่ กนั เสียงดงั ๓) คานาม คือคาท่ีแสดงอาการ สภาพ หรือการกระทาในประโยค บางคามีความหมาย สมบูรณ์ แต่บางคาตอ้ งอาศยั คาอ่ืนมาประกอบหรือใชค้ าประกอบคาอื่นเพือ่ ใหค้ วามหมายชดั เจนข้ึน แบ่งออกเป็น ๕ ชนิด ไดแ้ ก่ (๑) กริยาที่มีความหมายสมบูรณ์หรือกรรมกริยา เช่น เดิน วงิ่ ร้องไห้ หวั เราะ พดู (๒) กริยาท่ีตอ้ งอาศยั กรรมมาทาใหส้ มบูรณ์หรือสกรรมกริยา เช่น ทา ซ้ือกิน (๔) กริยาที่ช่วยใหก้ ริยาอ่ืนมีความหมายชดั เจดข้ึนหรือกริยานุเคราะห์ เช่น คง จะ น่า แลว้ อาจ นะ ตอ้ ง ฯลฯ (๕) กริยาท่ีทาหนา้ ที่คลา้ ยนาม อาจเป็นประธาน กรรม หรือบทขยายประโยค เชน่ นอน นอ้ ยทาใหห้ นา้ ตาซีดเซียว นอน เป็นประธานของประโยค ๔) คาวเิ ศษณ์ คือคาท่ีช่วยขยายคาอ่ืนใหม้ ีเน้ือความชดั เจนยงิ่ ข้ึน หนา้ ที่ของคาวเิ ศษณ์ไดแ้ ก่ (๑) ประกอบคานาม เช่น คนงาน ชายหนุ่ม หญิงสาว ผข้ าาว ฯลฯ (๒) ประกอบคาสรรพนาม เช่น เขาสูง เธฮสวย มนั ดุมาก เขาแขง็ แรง ฯลฯ (๓) ประกอบคากริยา เช่น วงิ่ เร็ว อยไู่ กล เดินชา้ ยนิ้ หวาน ฯลฯ (๔) ประกอบคาวเิ ศษณ์ เช่น อากาศหนาวมาก คุณดื่มน้าเยน็ จดั ลมพดั แรงมาก ฯลฯ
หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ๒๑ ๕) คาบุพบท คือคาท่ีทาหน้าท่ีเช่ือมโยงคาหน่ึงหรื่อกลุ่มคาหน่ึงให้สัมพนั ธ์กบั คาอ่ืนหรือ กลุ่มคาอื่น เพื่อบอกสถานท่ี เวลา แสดงอาการหรือแสดงความเป็นเจา้ ของ เช่น คาวา่ กบั แก่ แต่ ต่อ จาก เพื่อ โดย สาหรับ ระหว่าง เฉพาะ เช่น เธอกบั เขา ฉันเขียนหนังส่ือด้วยปากกา พ่อกบั ลูกกาลงั อ่าน หนงั สือ พ่ีเป็นนกั กีฬามาแต่ตอนเป็นเด็ก ฯลฯ ๖) คาสันธาน คือคาที่ใช้เชื่อมประโยคกบั ประโยค ขอ้ ความที่มีคาสันธานเช่ือมอยู่มกั จะแยก ออกไดเ้ ป็ นประโยคมากกว่าหน่ึงประโยค เช่น แม่ให้อภยั เขาเพราะเขาสานึกผิด เพราะรถติดเขาจึงมา สาย แมเ้ ขาจะยากจนแต่ก็เรียนจนสาเร็จ ฯลฯ ๗) คาอุทาน คือการใช้คาท่ีเปล่งออกมาเพ่ือแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผูพ้ ูด เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ แปลกใจ ฯลฯ เช่น โธ่ ไม่น่าเลย อุย๊ ! ตกใจหมดเลย ๑.๓ การใช้คาพ้อง การใชค้ าพอ้ ง คือการใชค้ าที่มีรูปหรือเสียงเหมือนกนั แตม่ ีความหมายตา่ งกนั คาพอ้ ง แบ่งเป็น ๓ ชนิด คือ ๑) คาพ้องรูป คือคาที่เขียนเหมือนกนั แตง่ ออกเสียงต่างกนั เช่น ครุ อา่ นวา่ ครุ หมายถึง ภาชนะสานชนิดหน่ึง อ่านวา่ คะ-รุ หมายถึง ครู หนกั เพลา อ่านวา่ เพลา หมายถึง ตกั เขา่ แกนลอ้ หมุน อา่ นวา่ เพ-ลา หมายถุง เวลา เสลา อ่านวา่ สะ-เหลา หมายถึง ตน้ ไมช้ นิดหน่ึง อ่านวา่ เส-ลา หมายถึง หิน ๒) คาพ้องเสียง คือคาท่ีเขียนต่างกนั แตอ่ อกเสียงเหมือนกนั เช่น กนั หมายถึง กีด บงั หา้ ม กนั ต์ หมายถึง โกน ตดั กรรณ หมายถึง หู กณั ฐ์ หมายถึง คอ กลั ป์ หมายถึง ระยะเวลาอนั นานเหลือเกิน กนั ย์ หมายถึง ชื่อราศีที่ ๖ กณั ฑ์ หมายถึง ขอ้ ความท่ีแตง่ เป็นคาเทศนเ์ ร่ืองหน่ึงๆ ๓) คาพ้องท้ังรูปและเสียง คือคาท่ีเขียนเหมือนกนั ออกเสียงเหมือนกนั แต่ความหมายต่างกนั เช่น กนั หมายถึง โกนใหเ้ สมอกนั กนั หมายถึง ฉนั ขา้ พเจา้ กนั หมายถึง หา้ ม ปิ ด
๒๒ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๑.๔ การใช้คาทบั ศัพท์และศัพท์บญั ญตั ิ ๑) คาทับศัพท์ คือคาภาษาไทยท่ีมีรากศพั ทม์ าจากภาษาอ่ืน โดยนามาใชท้ ้งั คาออกเสียงจะเพ้ียน จากเดินไปเล็กน้อยและจะเขียนเป็ นภาษาไทย เช่น การทบั ศพั ท์คาท่ีมาจากภาษาองั กฤษ ภาษาจีน ภาษาญ่ีป่ ุน ภาษาบาลี-สันสกฤต ภาษาเขมร ภาษาชวา-มลายู ดงั จะไดก้ ล่าวต่อไปน้ี (๑) ภาษาองั กฤษเป็ นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ลักษณะของคาศัพท์ภาษาองั กฤษใน ภาษาไทยคือ · เป็นคาหลายพยางค์ เช่น ไวโอลิน แบดมินตนั ดรัมเมเยอร์ คอมพวิ เตอร์ ช็อกโกแลค · เขียนรูปคาตรงตามเสียงในภาษเดินเช่น ลอนดอน กรัม ไฮโซ · เปลี่ยนคาและเสียงใหผ้ ดิ ไปจากเดิน เช่น อิงลิช เป็น องั กฤษ พาวนด เป็น ปอนด์ · ชนิดและหนา้ ที่ของคาเปลี่ยนไปจากเดิน กล่าวคือ คาภาษาองั กฤษเดินที่อยใู่ นรูปคานาม แต่ไทยเรานามาใช้เป็ นคากริยา เช่น คอร์รัปช้นั ช็อปปิ ง ไดเอต ในรูปของคากริยาซง่ึ ท้งั ๓ คาน้ีใน ภาษาเดินเป็ นคานาม · ปรับระบบเสียงภกาจิ ษรารอมงั ตกรฤวษจตสาอมบรคะวบาบมเเสขีย้างใจของภาษาไทย เช่น เสียง / s/ ใน คาวา่ show และ shock ในภาษาไทยใชเ้ สียง /ch /(ช) เป็น โชว์ ช๊อก หรือ ปรับเสียงพยญั ชนะทา้ ยใหเ้ ขา้ กบั ตวั สะกดมาตราแม่กบ แมก่ น และแม่กด เช่น กอลฟ์ (กอ๊ บ) แอปเปิ ล (แอบ๊ -เปิ้ น) เทนนิส (เทน-นิด) · ใชเ้ ครื่องหมายทณั ฑณฆาตากากบั พยญั ชยะทา้ ยคาที่ไมต่ อ้ งการออกเสียง เช่น ไมล์ คาร์บอนไดออกไซด์ หรือพยญั ชนะกลางคา เช่น วาลว์ การ์ด ฟาร์ม · คาที่มาจากภาษาองั กฤษ ไทยมกั จะตดั พยางใ์ หส้ ้ันลง เพือ่ นาไปใชใ้ นกรณีที่ไมเ่ ป็น ทางการ เช่น กิโลเมตร ใช้ ไมโครเวฟ ใช้ เวฟ ฟุตบอล ใช้ บอล ฯลฯ · มีการเพ่มิ เสียงพยญั ชนะควบกล้า คือคาภาษาองั กฤษท่ีใชใ้ นภาษไทยจะมีเสียงพยญั ชนะ ควบกล้าเพิม่ ข้ึน แก่ ทร บร บล ฟร ดร เช่น ทรานซิสเตอร์ เบรก บลอ็ ก ฟรี ฟลุก ดราฟต์ฯลฯ ซ่ึง เสียงควบกล้าดงั กล่าวไมม่ ีในระบบเสียงภาษาไทย · มีการเพท่ื เสียงพยญั ชนะทา้ ยในภาษาไทย คือ ฟ ล ช ซ เช่น ปรู๊ฟ อีเมล แคชเชียร์ พิซซา โบนสั เทนนิส โฟกสั ออฟฟิ ศ ฯลฯ (๒) ภาษาจีน ไดร้ ับการนามาใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย ลกั ษณะของคาทบั ศพั ทภ์ าษาจีนใน ภาษาไทยอคือ · ภาษาจีนมกั มีเสียงวรรณยกุ ตต์ รีหรือจตั วา เช่น ก๊ก กก๊ั ต๋ี ตว๋ั · ภาษาจีนมกั มีพยญั ชนะตน้ เป็นอกั ษรกลาง ไดแ้ ก่ ก จ ต บ ป อ เช่น ก๋วยเต๋ียว เจง๊ เจี๋ยน เกก๊ ฮวย กงเตก๊ บว๊ ย เก้ียมอ้ี
หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ๒๓ · คาที่ประสมสระเสียงส้ัน เช่น เอียะ และ อวั ะ ส่วนใหญ่เป็นคายมื ภาษาจีน เช่น เก๊ียะ เจ๊ียะ ยวั ะ ฯลฯ · ภาษาไทยกบั ภาษาจีนมีเสียงวรรยกุ ตท์ ่ีกาหนดความหมายถา้ เสียงวรรณยกุ ตเ์ ปล่ียน ความหมายของคาจะเปลี่ยนดว้ ย เช่น ติน้ หงนั (คาจีน) แตง่ งาน (คาไทย) บอ๊ (คาจีน) บ่ (คาไทย) ฯลฯ · ภาษาจีนแตกต่างกบั ภาษไทยตรกเรียนลาดบั ภาษาจีนเรียงคาขยายอยขู่ า้ งหนา้ คาหลกั ส่วนภาษาไทยเรียงคาหลกั อยขู่ า้ งหนา้ คาขยาย เช่น ภาษาจีนใช้ เฮยป่ าน (ดากระดาน) ภาษาไทยใช้ กระดานดา · ภาษาไทยมีส่วนท่ีเหมือนกบั ภาษจีนคือเป็นคาโดดไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคาในการเขา้ ประโยคและมีเสียงวรรยกุ ตก์ าหนดความหมายเหมือนกนั ถา้ เสียงวรรยกุ ตเ์ ปล่ียนความหมายของจะ เปลี่ยนความหมายของจะเปลี่ยนไปดว้ ย (๓) ภาษาญี่ป่ ุน ลกั ษณะของคาภาษาญ่ีป่ ุนในภาษาไทย มีดงั น้ี · ภาษาญ่ีป่ ุนไม่มีวรรณยกุ ต์ เช่น กิโมโน ซาบะ วาซาบิ ฯลฯ · ภาษาญ่ีป่ ุนที่นามาใชใ้ นภาษาไทยมกั ใชค้ าศพั ท์ เช่นยโู ด ซากรุ ะ ซูชิ ฯลฯ (๔) ภาษาบาลีและสันสกฤต เป็นภาษาในตระตูลอินโด-ยโู รเปี ยน รูปลกั ษณะภาษาเป็นภาษาที่มี วภิ ตั ติปัจจยั ภาษาบาลีและสนั สกฤต แพร่หลายเขา้ มาในไทยเน่ืองจากรับวฒั ธรรมอินเดียในดา้ นตา่ งๆ เช่น ความเช่ือ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ฯลฯ · ลกั ษณะของคาภาษาบาลีในภาษไทย มีลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี พยญั ชนะบาลีมีจานวานภาษาบาลีในภาษาไทย มีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปน้ี วรรคท่ี ๑ ประกอบดว้ ย ก ข ค ฆ ง วรรคท่ี ๒ ประกอบดว้ ย จ ฉ ช ฌ ญ วรรคท่ี ๓ ประกอบดว้ ย ฎ ฐ ฑ ฒ ณ วรรคที่ ๔ ประกอบดว้ ย ต ถ ท ธ น วรรคท่ี ๕ ประกอบดว้ ย ป ผ พ ภ ม เศษวรรค ประกอบดว้ ย ย ร ล ว ส ห ฬ อ คาที่พยญั ชนะตวั สะกดและตวั ตาม คาถาษาบาลีจะมีตวั สะกดตวั ตามในวรรคเดียวกนั เช่น ทุกข์ อิจฉา ทุฏฐ์ พนั ฐุ์ บุปผา วสั สา ฯลฯ คาท่ีพยญั ชนะ “ฬ” มกั เป็นคายืมภาษาบาลี เชน่ จฬุ า กีฬา วิฬาร์ วริ ุฬหก กกั ขฬะ กาฬ ฯลฯ
๒๔ ภาษไทยพืน้ ฐาน คาที่พยญั ชนะตวั สะกดและตวั ตามในภาษบาลีบางคาเมื่อนามาใชใ้ นภาษาไทย จะตดั ตวั สะกดออก เหลือแตต่ วั ตาม เช่น วฑั ฒน ไทยใช้ วฒั น ปุญญ ไทยใช้ บุญ นิสสิต ไทยใช้ นิสิต อกั ษบางตวั ไม่นิยมใชใ้ นภาษาไทย แต่พบมากในคาไทยท่ีมาจากภาษาบาลีใน ไทยเช่น ฆ ฌ ฑ ฒ ณ เช่น พยคั ฆ์ ฆราวาส ฌาน อชั ฌาสัย ปรากฏ รัฐ มณฑา วฒุ ญาณ ฯลฯ คาท่ีมี ปฏิ- อยขู่ า้ งหนา้ มกั จะเป็นภาษาบาลี เช่น ปฏิบตั ิ ปฏิวตั ิ ปฏิรูป ปฏิสนธิ ปฎิภาณ ปฏิมา ฯลฯ ลกั ษณะของคาภาษาสนั สกฤตในภาษาไทย มีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปน้ี พยญั ชนะสนั สกฤตมี ๓๔ ตวั แบง่ เป็นวรรคได้ ดงั น้ วรรคท่ี ๑ ประกอบดว้ ย ก ข ค ฆ ง วรรคที่ ๒ ประกอบดว้ ย จ ฉ ช ฌ ญ วรรคท่ี ๓ ประกอบดว้ ย ฏ ฐ ฑ ฒ ณ วรรคท่ี ๔ ประกอบดว้ ย ต ถ ท ธ น วรรคท่ี ๕ ประกอบดว้ ย ป ผ พ ภ ม เศษกวจิ รรรรคมตรวปจรสะอกบอบควดาว้ มยเข้าใยจ ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ คาท่ีมี ศ ษ ส่วนใหญ่ท่ีนามาใชใ้ นไทย เป็ นคายมื มาจากภาษสันสกฤต ยกเวน้ คาไทยบางคาเช่น ศอก ศึก เศร้า คาภาษาสันสกฤตในไทย เช่น ศาลา ศีรษะ ศาสตร์ ศูนย์ ศิลา บุษบา บริษทั พษิ พรรษา ฯลฯ สระ ฤ ฤา ฦ ฦา ไอ เอา มีในภาษาสันสกฤต ไมม่ ีภาษบาลี เช่น พฤกษ์ ฤกษ์ ฤทธ์ิ ทฤษฎี ฤาษี ไอศววย์ เสาร์ ฯลฯ ภาษสันสกฤตไมม่ ีหลกั การการสะกดที่แน่นอนอยา่ งภาษบาลี พยญั ชนะใด สะกดพยญั ชนะใดจะเป็นตวั ตามก็ไดไ้ ม่มีตวั ตามกไ็ ดห้ รือตวั สะกดตวั ตามจะขา้ มวรรคกนั ก็ได้ เช่น อกั ษร ปรัชญา อปั สร เกษตร ฯลฯ คาที่มี รร อยู่ จะเป็นคามาจากภาษาสันสกฤต เช่น สวรรค์ ธรรม กรรม บรรพต ภรรยา ทรรศนะ สรรพ บรรณารักษ์ ฯลฯ ยกเวน้ คาไทยที่ยมื มาจากตวั ขา้ มวรรคกนั ก็ได้ เช่น บรรทดั บรรทุก กรรไกร กรรแสง สรรเสริญ หรือคาไทย กรรเชียง (กระเชียง) กรรมโชก (กระโชก) บรรดา (ประดา) คาที่มี ร ควบกบั พยญั ชนะอื่นและใชเ้ ป็นตวั สะกด เป็นคาที่มาจากภาษา สันสกฤต เช่น จกั ร อคั ร บุตร ศาสตร์ จนั ทร์ ฯลฯ คาที่มีพยญั ชนะ ฑ มกั เป็นคาภาษาสนั สกฤต เช่น ครุฑ กรีฑา จุฑา ฯลฯ ยกเวน้ คาวา่ บณั ฑิต มณฑล มณฑป จกั รฑาล เป็นไดท้ ้งั ภาษบาลีและภาษาสนั สกฤต วธิ ีใชค้ าบาลีคาสนั สกฤตในภาษาไทย ไทยใชค้ าบาลีคาสันสกฤตในความหมายเหมืองกนั เช่น
หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ๒๕ บาลี สันตกฤ ไทย อคั คี อคั นี ไฟ บุปผา บุษบา ดอกไม้ อกั ขร อกั ษร ตวั หนงั สือ อคั ค อคั ร ผยู้ ง่ิ ใหญ่ ไทยใชค้ าบาลีคาสนั ตกฤในความหมายตา่ งกนั เชน่ บาลี สันตกฤ รัฐ (ประเทศ) ราษฏร์(ประชาชนในประเทศ) ปัญญา (ตสามรอบรู้) ปรัชญา (วชิ าความรู้) อจั ฉริยะ (ฉลาดเลิศ) อศั จรรย์ (แปลกประหลาด) ไทยเลือกใชค้ าบาลีสนั ตกฤตาใความนยิ มเชน่ บาลี สันตกฤ ไทย สิปป ศิลปะ ศิลปะ ครุฬ ครุฑ ครุฑ อาทิจจ อาทิตย อาทิตย์ (๕) ภาษาเขมร ลกั ษณะของคาเขมรในภาษาไทย คือ · คาภาษาเขมรมกั ใชพ้ ยญั ชนะ จ ร ล ญ เป็นตวั สะกด เช่น จ สะกด เช่น เผด็จ เสร็ด สมเดก็ กาจ อาจ อานาจ สารวจ ฉกาจ ตารวจ ร สะกด เช่น ควร จาร บงั อร ขจร จร ล สะกด เช่น ดล ถกล บนั ดาล ทูล กงั วล ถวลิ ญ สะกด เช่น เพญ็ เจริญ อนั เชิญ ชาญ ลาญ ผลาญ · คายมื่ ภาษาเขมรท่ีมีพยญั ชนะตน้ ๒ ตวั เรียงกนั ในลกั ษณะของควบกล้าแตพ่ ยญั ชนะตวั ที่ ๒ ไม่ใช้ ร ล ว เมื่อออกเสียงไทย อา่ นโดยมีสระอะที่พยญั ชนะตวั แรก ทาใหค้ าเดิมพยาคเ์ ดียวกลายเป็นสองพยางค์ แตจ่ ะไมป่ รากฏรูปสระใหเ้ ห็นในการเขียน เช่น ขจี เฉพาะ ไผท ฯลฯ และบางคาไทยอา่ นออกเสียงแบบ อกั ษรนา เช่น โตนด จมูก ไถง ขนอง เขนย โขมด ขยา ฉนา ขนุน ถนน ฯลฯ · คาท่ีมาจากภาษเขมร มกั จะข้ึนตน้ ดว้ ย บงั บนั บรร บา ประ เช่น บงั อร บงั เกิด บงั ควร บงั อาจ บงั คบั บงั เยน บนั ดาล บนั เทิง บนั ทึก บรรทม บรรทุก บรรทดั บรรจุ บรรจบ บาเพญ็ บาบดั บารุง บาเรอ บาบวง บานาญ ประกาย ประสาน · คาท่ีมาจากภาษาเขมร พยางคแ์ รกมกั ข้ึนตน้ ดว้ ยสระอา เช่น กา เช่น กาเนิด กาหนด คา เช่น คานบั คานลั (เฝ้าเจา้ นาย) ชา เช่น ชารุด ชานาญ ชานิ (ข้ี) ดา เช่น ดาริ ดาเนียน (ติเตียน) ตา เช่น ตารวจ ตาหนิ ทา เช่น ทานบ ทาเนียบ สา เช่น สาเร็จ สารวล สาราญ สาคญั
๒๖ ภาษไทยพืน้ ฐาน ไทยนามาใชเ้ ป็นราชาศพั ทจ์ านวนมาก เช่น เสร็ด ถวาย ตรัส เสวย สรงโปรด คาเขรมท่ีแผลงเป็นคาไทย เช่น ขดาน แผลงเป็น กระดาษ ขจอก แผลงเป็น กระกอก ขจดั แผลงเป็น กระจดั ขจาย แผลงเป็น กระจาย ผสม แผลงเป็น ประสม ประทม แผลงเป็น บรรทม ประทุก แผลงเป็น บรรทุก ประจง แผลงเป็น บรรจง คาเขมรในไทยบางคาเป็นคาโดดมีใชใ้ นไทยจนคิดวา่ เป็ นคาไทย เช่น แข (ดวงจทั ร์) มาร (มี) อวย (ให)้ บาย (ขา้ ว) เลิก (ยก) ตบั (วาง,ใส่) (๖) ภาษาชวา-มลายู ปัจจุปันเรียนวา่ อินโดนีเซีย-มาเลเซีย มีลกั ษณะดงั น้ี คายมื ภาษาชวา-มลายสู ่วนใหญเ่ ป็นคา ๒ พยางค์ เช่น ทุเรียน นอ้ ยหน่า มงั คุด สาคู โลมา ฯลฯ ภาษาชวา-มลายู ไม่มีเสียงควบกล้า เช่น กะปะ (งู) กะพง (หอย) กุเรา, กเุ ลา (เป็นช่ือของ ปลาชนิดหน่ึง) ตะเบะ๊ องั กะลุง คายงั คงเดิม เช่น กระภดาษงั งาาชกวาุด-กงัมจิ สลราลั รยกัมไู มตกร่มระวีเสจจียูดสงอวบรครณวายมกุ เตข้์าแใมจร้ ะดบั เสียงของคาเปลี่ยงไปแตง่ ความหมายของ ๒) ศัพท์บัญญตั ิ คือคาศพั ทท์ ่ีกาหนดข้ึนเพือ่ ใชเ้ ป็นมาตราฐานในการเขียนเอกสารของทาง ราชการและการเรียนการสอนผกู้ าหนดศพั ทบ์ ญั ญตั ิในปัจจุบนั คือราชบณั ฑิตยสถาน ศพั ทบ์ ญั ญตั ิจะแบ่ง ออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร แพทยศาสตร์ รัฐศาสตร์ พลงั งาน เทคโนโลยสี ารสนเทศ ยานตต์ ฯลฯ คาศพั ทบ์ ญั ญตั ิมีวธิ ีการสร้างดงั น้ี (๑) ใชค้ าไทยแทผ้ กู เป็นคาใหมข่ ้ึนมา โดยมีความหมายตรงตามศพั ทเ์ ดิมของคาภาษาองั กฤษ มกั จะพบวธิ ีการสร้างคาโดยการประสมคาเช่น ไฟฟ้า หมายถึงพลงั งานอยา่ งหน่ึงท่ีแยกตวั ออกมาของ อิเล็กตรอน ภาษาองั กฤษใช้ electricity (๒) ใชค้ าบาลีสนั สฤตท่ีมีความหมายตรงกบั คานนั้ เชน่ ประยกุ ต์ หมายถึง ปรบั ใชใ้ หเ้ ป็น ประโยชน์ ภาษองั กฤษใช้ apply (๓) ใชค้ าบาลีสนั สฤตแบบคาสมาส เชน่ อบุ ตั เิ หตุ หมายถึงเหตเุ กิดขนึ้ โดยไมค่ าดคดิ ภาษาองั กฤษใช้ accident (๔) ใชค้ าเฉพาะกลุ่มหรือคาเฉพาะวงการ มีหลกั เกณฑ์ ดงั น้ี มีคาไทยอยแู่ ลว้ ใหใ้ ชค้ าไทย เช่น ฟลุก มีความหมายวา่ บงั เอิญ ใชค้ าไทยวา่ บงั เอิญ ภาษาระดบั ทางการ ควรใชค้ าศพั ทแ์ ทนคาทบั ศพั ท์ เชน่ อาจารย์ สจุ ิตราประชาสมั พนั ธ์ การจดั แอกทวิ ติ ตี้ า่ งๆ เน่ืองในวนั เดก็ แหง่ ชาตใิ หน้ กั เรยี นรบั ทราบ คาวา่ แอกทวิ ติ ี้ (activity) ควรเปล่ียนเป็นคาศพั ทบ์ ญั ญตั วิ า่ กิจกรรม
หลกั การใช้ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร ๒๗ ๒. การใชส้ านวน สานวน หมายถึงถอ้ ยคา โวหาร ทานองพูดท่ีเรียบเรียงไว้ จะสลบั หรือตดั ทอนไมไ่ ด้ มีความหมาย เชิงเปรียบเทียบลึกซ้ึง โดยครอบคลุมไปถึงภาษิต สุภาษิต และคาพงั เพย เป็ นการแสดงถอ้ ยคาอนั เป็นขอ้ ความพเิ ศษ ๒.๑ ศึกษาความหมายของสานวน สานวนไทยแต่ละสานวนมีความหมายแตกตา่ งกนั ดงั น้นั ผทู้ ี่จะใชส้ านวนในการสาร จึงควรศึกษาความหมายของสานวนแต่ละสานวนใหก้ ระจา่ งชดั เพ้อื ไม่ใหเ้ กิดขอ้ ผดิ พลาดในการ ส่ือสารตวั อยา่ งสานวนและความหมายของสานวนที่ควรรู้จกั มีดงั น้ี ตวั อยา่ งสานวนและความหมายของสานวนท่ีควรรู้จกั กงเกวยี นกาเกวยี น หมายถึง เวรสนองเวร กรรมสนองกรรม กรวดน้าคว้ากะลา, กรวดน้าคว่าขนั หมายถึง ตดั ขาดไมข่ อเก่ียวขอ้ งดว้ ย ขวา้ งงูไมพ่ น้ คอ หมายถึง ทาอะไรแลว้ ผลร้ายกลบั มาสู่ตวั เอง โผงผางไม่เกรงใจใคร ขวานผซ่ าก หมายถึง มีสนั ดานคงโกง คนรักมีนอ้ ยคนชงั มีมาก คดในขอ้ งอในกระดูก หมายถึง ทากิจที่เสร็จไดย้ าก มีฐานะทีข้ึนกวา่ เดินพอทดั เทียมผอู้ ่ืน คนรักเท่าผนื หนงั คนชงั เท่าผนื เสื่อ หมายถึง แสวงหาประโยชนโ์ ดยตวั เองไม่ลงทุน ความชวั่ หรือความผดิ ที่ยงั ติดตวั อยู่ งมเขม็ ในมหาสมุทร หมายถึง ชกั ศตั รูเขา้ บา้ น ประทุษร้ายตอ่ สิ่งท่ีสูงกวา่ ตน ตวั เองยอ่ ม เงยหนา้ หนา้ อา้ ปาก หมายถึง ไดร้ ับผลร้าย ดูเหมือนรอบคอบ แตไ่ มร่ อบคอบถี่ถว้ นจริง จบั เสือมือเปล่า หมายถึง พลอยพูกผสมโรงติเตียนผอู้ ื่นตามไปดว้ ย รู้จกั ผอ่ นปรนเขา้ หากนั มิใหก้ ระทบกระเทือนใจกนั ชนกั ติดหลงั หมายถึง คนท่ีชอบพดู ส่อเสียดยงุ ใหเ้ ขาแตกกนั ปล่อยศพั รูไปอากกลบั มาทาร้ายภายหลงั อีก ชกั น้าเขา้ ลึก ชกั ศึกเขา้ บา้ น หมายถึง คนท่ีพดู พล่อยจนไดร้ ับอนั ตราย การทาความดีเพียงผวิ เผนิ ถ่มน้าลายรดฟ้า หมายถึง คนมง่ั มีแต่ตวั ซอมซ่อ ถี่ลอดตาชา้ ง ห่างลอดตาเลน็ หมายถึง นายวา่ ข้ีขา้ พลอย หมายถึง บวั ไมใ่ หช้ ้า น้าไมใ่ หข้ นุ่ หมายถึง บา่ งช่างยุ หมายถึง หมายถึง ปลาอยเส้ือเขา้ ป่ า หมายถึง ปลาหมอตายเพราะปาก หมายถึง หมายถึง ผกั ชีโรยหนา้ ผา้ ข้ีริ้วห่อทอง
๒๘ ภาษไทยพืน้ ฐาน ตวั อยา่ งสานวนและความหมายของสานวนที่ควรรู้จกั พบไมง้ านเม่ือยาวขวานปิ่ น หมายถึง พบหญิงสาวที่ตอ้ งใจเม่ือแก่ พระศุกร์เขา้ พระเสาร์แทรก มะกอสามตะกร้าปาไม่ถูก หมายถึง ความทุกขย์ ากเกิดซอ้ นๆ เขา้ มาในขณะเดียวกนั มะพร้าวต่ืนดก ยาจกต่ืนมี หมายถึง พูดจาตลบตะแลงพลิกแพลงไปมาจนจบั ยกตนขม่ ทา่ น คาพดู ไม่ทนั รักดีหามจวั่ รักชวั่ หามเสา หมายถึง เห่อหรือตื่นเตน้ ในสิ่งที่ตนไม่เคยมีไม่เคยได้ รักพเี่ สียดายนอ้ ง ลม้ หมอนนองเส่ือ จนเกินพอดี ลางเน้ือชอบลางยา หมายถึง พูดทบั ถมผแู้ สดงใหเ้ ห็นวา่ ตวั เหนือกวา่ วดั รอยเทา้ วนั พระไม่มีหนเดียว หมายถึง ใผด่ ีจะมีความสุขความเจริญ ใฝ่ ชวั่ จะไดร้ ับ สอนจะเขใ้ หว้ า่ ยน้า ความลาบาก หมายถึง ลงั เลใจ, ตดั สินใจไม่ถูกวา่ จะเลือกอยา่ งไหนดี หมายถึง ป่ วยจนตอ้ งนอนพกั รักษาตวั หมายถึง ขอส่ิงดียวกนั คนหนึงที่ชอบแตอ่ ีกคนหน่ึง กจิ รรมตรวจสอบคกวลามบั เไขม้า่ชใจอบ หมายถึง คอยเทียบตวั เองกบั ผทู้ ่ีเหนือกวา่ เพ่ือชิงดีชิงเด่น หมายถึง วนั หนา้ ยงั มีโอกาสอีก (มกั ใชพ้ ูดเป็นเชิงอาฆาต) หมายถึง สอนส่ิงท่ีเขา้ รู้ดีหรือที่เขาถนดั อยแู่ ลว้ ๒.๒ เลือกใช้สานวนให้เหมาะสมกบั บริบทการสื่อสาร สานวนบางสานวนเหมาะสมสาหรับจะใชใ้ นบางโอกาสหรือใชก้ บั บุคคลบางกลุ่มเท่าน้นั เช่น สานวนที่วา่ “ปากไมส่ ิ้นกล่ิมน้านม” หมายถึงยงั เป็นเด็กอยู่ ไมเ่ หมาะท่ีจะใชก้ บั ผทู้ ี่สูงวยั หรือสานวน “กระดงั งาลนไฟ” เหมาะที่จะใชก้ บั ผูห้ ญิงไม่เหมาะใชก้ บั ผูช้ าย เพราะสานวนกระดงั ไฟงาลนไฟมี ความหมายวา่ หญิงท่ีเคยแต่งงานหรือผา่ มชายมามาก ยอ่ รู้จกั ช้นั เชิงในการปรนิบตั ิและเอาอกเอาใจ ชายไดด้ ีกวา่ หญิงท่ีไม่เคยแต่งงาน ดงั น้นั การใชส้ านวนจึงควรพิจารณาความเหมาะสมในขอ้ น้ี ๒.๓ ไม่ปรับเปลย่ี นถ้อยคาในสานวนตามอาเภอใจ ความหมายของสานวนเป็ นส่ินท่ีผูกพนั อยู่กบั สานวนแต่ละสานวน ดงั น้นั ถ้อยคาในแต่งละ สานวนจึงไม่สามารเปลี่ยนแปลงได้ เพราะจะทาใหไ้ ม่สามารถส่ือถึงความหมายของสานวนเดินได้ เช่น “ตาพริกละลายแม่น้า” มีวามหมายวา่ การกระทาท่ีมีการลงทุนลงแรงจานวนมากแต่ผลลพั ธ์ท่ีได้ กลบั มามีผลเล็กนอ้ ยมากหรือไม่มีประโยชน์ใดๆ หากใชว้ า่ “ตาส้มตาละลายแม่น้า” ก็ไม่สามารถสื่อ ความหมายดงั กล่าวได้ หรือสานวน “ถอยหลงั เขา้ คลอง” หมายถึงยอ้ นกลบั ไปทาแบบเดินๆแต่มกั ใช้ ผดิ วา่ ”ถอยหลงั ลงคลอง” หรือ”ถอยหลงั ลงคู่”
หลกั การใช้ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสาร ๒๙ ๓. การใช้ภาษาตามระดบั ภาษ ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดบั ในการส่ือสาร การใชภ้ าษาไทยจึงควรคานึงถึงระดบั ภาษาเพื่อให้ การสื่อสารมีความถูกตอ้ งเหมาะสม ระดบั ภาษาหมายถึงรูปแบบใชภ้ าษาท่ีมีความลดหลนั่ ของถอ้ ยคาตามโอกาส กาสเทศะและ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคล เช่น การใชค้ าสรรพนาม ดิฉนั ฉนั หนู ขา้ ขา้ พเจา้ คาที่ใชแ้ ทน ตวั ผพู้ ูด เหล่าน้ี แสดงระดบั ภาษาท่ีมีความแตกตา่ งกนั ถึงแมผ้ ใู้ ชจ้ ะเป็นบุคคลเดียวกนั การใชภ้ าษาตามระดบั พิธีาร ๕ ระดบั ดงั น้ี ตัวอย่าง ราชาภิสดุดี คาประกาศในการพระราชพิธีบวงสรวงสมเดจ็ พระบูรพมหากษตั รริยาราชเจา้ เนื่องในโอกาสงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี ณ มณฑลพิธีทอ้ งสนามหลวง วนั จทั ร์ท่ี ๕ พ.ศ. ๒๕๒๕ นายภาวาส บุนนาค รองราชเลขาธิการ เป็นผอู้ า่ นคาประกาศ พระบาทสมเดร็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุเลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จกั รีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพติ ร ๑ มีพระบรมราชโองการเหนือเกลา้ เหนือกระหมอ่ นใหป้ ระกาศวา่ ปี พุทธศกั ราชสองพนั หา้ ร้อยยส่ี ิบหา้ น้ี กรังเทพมหานครครอมรรัตนโกสินทร์มีอายจุ าเริญยนื่ ยาว มาครบสองร้อยปี ประชาชนท้งั หลายต่างมีความปราโมทยบ์ นั เทิงใจท่ีสามารถต้งั บา้ นเมืองเป็นอิสระ สถาวรสืบมาไดอ้ ีกถึงสองศตพรรษ และสมคั รสามคั คีกนั จดั งานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ข้ึนทวั่ ราชา อาณาจกั ร เพื่อปลูกฝังความจงรักและความภูมิใจในประเทศชาติ ให้เพิ่มพูนแน่นแฟ้นข้ึนในวาระจิตของ คนไทย เป็นเหตุใหท้ รงพระราชอนุสรณ์ถึงกาลก่อนท่ีล่วงมา วา่ การท่ีสยามประเทศสถิตเสถียรรุ่งเรืองมา จนบดั น้ีได้ ก็ดว้ ยอาศยั พระบรมโพธิสมภารบารมีแห่งสมเด็จพระบรมราชราชบุรพการีแต่ละพระองค์ ทรงปกครองนาพาให้ผ่านพน้ อุปสรรคและภยตั รายนามมาโดยสวสั ดีทุกยุคสมยั ท้งั ทรงทานุบารุงให้ เจริญมน่ั คง พร้อมดว้ ยอิสรภาพอนั ไฟบูลยเ์ สมอดว้ ยอารยประเทศท้งั มวล บรรดาการท่ีทรงกระทาใหแ้ ก่ ชาติน้นั ลว้ นลาบากยากยงิ่ แต่ละเรื่องแต่ละส่ิงตอ้ งปฏิบตั ิบาเพญ็ อยา่ งอุกฤษฎ์ ดว้ ยพระปรีชาญาณอนั ลึก ซ่ึงจะพจิ ารณาใหเ้ ห็นถน่องแทไ้ ดจ้ ากพราชณียกิจในแต่ละ ๑ พระนามในขณะน้นั
๓๐ ภาษไทยพืน้ ฐาน ตัวอย่าง (ต่อ) แผ่นดิน มีพระบาดสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจกั รีบรมนาถพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหา ราชาธิราชเป็ นอาทิ เมื่อแรกที่ทรงพระราชดาริรับอนั เชิญข้ึนผ่านพิภพประเทศชาติกาลงั ประสบความ บอบช้าระส่าระส่าย ประกาศหน่ึงเพราะถูกขา้ ศึกย่ายีทาลายเมื่อคราวเสียพระนครศรอี ยุธยาธยาอีก ประกาศหน่ึงเพราะประจวบกบั เวลาท่ีบา้ นเมื่องเกิดวิกฤตลาจลพึงสงบลง สมเด็จพระปฐมบรมนาถึง ตอ้ งเร่งฟ้ื นฟูบารุงประเทศเป็นการใหญ่ทวั่ ทุกดา้ น ดว้ ยไดท้ รงต้งั พระราชปณิธานปรารถนาไวแ้ น่วแน่ท่ี จะใหเ้ กิดความเจริญมงั่ คงท้งั ในพุทธจกั รอาณาจกั ร ในวาระอนั เป็ นมหาสมยั มงคลท่ีระลึกแห่งการประดิษฐานพระบรมราชจกั รีวงค์น้ี พระบาท- สมเสร็จพระเจา้ อยหู่ วั ๒จึงมีพระราชโองการสั่งใหต้ ้งั การพระราชพิธีวายราชสักการะสมเด็จพระบุรพ- มหากษตั ริยาธิราชเจา้ ข้ึน ณ ทอ้ งสนามหลวง เสร็จพระราชดาเนินมาทรงบูชาพระรัตนตรัย และทรง ถวายเคร่ืองราชสักการะบวงสรวงตามโบราณราชประเพณี โปรดเกล้าฯ อ่านประกาศราชภิสดุดี ทา่ มกลางมหาสันนิบาตแห่งพระราชวงค์ ขา้ ราชการ และประชาชน ดว้ ยอานุภาพพระราชศรัทธาคาวะอนั มงั่ คงในพระราชรัตนตรัย และสมเดร็จพระบรมราช- บุรพการี ขอพระบาทสมเสร็จพระเจา้ อยู่หัว ๓จงทรงเจริญพระราชสิริสวสั ด์ิปราศจากพระโรคพิบตั ิ อุปัทวนั ตราย ทรงพระเกษมสมบูรณ์ สบายพระราชหฤทยั ดารงในพระราชสิริสวสั ด์ิปราศจากพระ โรคพิภยั อุปันทวนั ตราย ทรงพระเกษมสมบูรณ์ สบายพระราชหฤทยั ดารงในพระราชสิริราชสมบตั ิ พิพฒั น์ไพบูลยเ์ พิ่มพูนพระเกียรติคุณอดุลยภาพสบสมยั ผอ่ งพน้ จากพิพิธภยั ปี ฬติ าทิทุกขท์ ุกเวลา ขอพระบรดเดชานุภาพมหึมาแห่งสมเดร็จพระบุรพมหากษตั ริยาราช จงคุม้ ครองประเทศชาติ และชาวไทย ให้ผา่ มพน้ สรรพอุปัทวพ์ ิบตั ิภยั ท้งั ปวง อริราชศตั รูภายนอกอย่าล่วงเขา้ ทาอฒั รายได้ ศตั รู หมู่พาลภายในให้วอดวายพ่ายแพภ้ ยั ตวั บนั ดาลความสุขความมน่ั คงให้บงั เกิดทวั่ ภูมมิ ณฑลบนั ดาล ความร่มเยน็ แก่อเนกนิกรชนครบคามเขตขอบขณั ฑสีมา ขอพระมหากรุณาบุญญาธิการชกั นา ใหเ้ กิดสามคั คีธรรมในหมูไ่ ทยอยา่ ไดร้ ู้ร้าวรานใหท้ ุกฝ่ ายมี ใจสมคั รมานเป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวเกลียวกลม เป็ นพลงั อนั อุดมยง่ิ ใหญ่ท่ีจะประกอบกจิ กรณียน์ าไทยให้ วฒั นายนื ยง่ิ ประสบแตส่ ่ิงศุภสวสั ด์ิตลอดจิรัฏฐิติกาล ๓.๒ ภาษาระดบั ทางกลาง เป็ นภาษาที่มีแบบแผนถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ เช่น การใชค้ าโครงสร้างประโยค ภาษาท่ีใชต้ รง ไตรงมา โดยเนน้ การสื่อสารใหไ้ ดผ้ ลตามจุดประสงค์ อามมีการใชศ้ พั ทเ์ ฉพาะเร่ืองหรือศพั ทท์ างวชิ าการ บา้ งตามลกั ษณะของเน้ือหาท่ีตอ้ งพูดหรือเขียน ภาษาระดับทางการจะไม่ใช้ถ้อยคาฟ่ ุมเฟื อยหรือเล่ม ถอ้ ยคาให้แพรวพราวหรืออลงั การ มกั จะใชใ้ นหน่วยราชการกบั หน่วยราชการดว้ ยกนั หรือการบรรยาย อภิปราย การประชุมอยา่ งเป็ นทางการ เช่น การเขียนจดหมายราชการ ตาราวิชาการ การบนั ทึกรายงาน การประชุม บทความวชิ าการ การอภิปรายเชิงวชิ าการ การเขียนนประกาศ การร่งกฏหมาย ฯลฯ ๒๑พพรระะบบาาททสสมมเเดดจจ็็ พพรระะบบรรมมชชนนกกาาธธิิเเบบศศรร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถพติ ร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถพิตร
หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ๓๑ ตัวย่างท่ี ๑ “บทละครเร่ืองเงาะป่ า” เป็ นพระราชมรดกชิ้นเล็กๆ แต่ทรงคุณค่าที่พระบาทสมเด็จพระ- จุลลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวไดท้ รงพระราชนิพนธ์ไวใ้ ห้เป็ นสมบตั ิของชาติและประชาชนชาวไทย ที่สาคญั ยิง่ คือ วรรคดีเร่ืองน้ีไดส้ ะทอ้ นพระบุคลิภาพ แนวพระราชดาริ พระราชนิยม และพระอจั ฉริยภาพใน ฐานะศิลปิ ผยู้ ง่ิ ใหญ่ในหสากสาขาไดอ้ ยา่ งเด่นชดั ที่มา :เงาป่ า : วรรคดีสกั ษณ์แห่งรัชสมยั โดย ยพุ รแสงทกั ษิณ. ตัวย่างท่ี ๒ พระราชบญั ญตั ิคุม้ ครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ หมวดที่ ๒ การปฏิบตั ิตอ่ เดก็ มาตรา ๒๒ การปฏิบตั ิต่อเด็กไม่วา่ กรณีใด ใหค้ านึงถึงประโยชนส์ ูงสุดของเดก็ เป็นสาคญั และไมใ่ หม้ ี การเลือกปฏิบตั ิโดยไมเ่ ป็นธรรมการกระทาใดเป็นไปเพ่อื ประโยชน์สูงสุดของเดก็ หรือเป็นการเลือก ปฏิบตั ิโดยไมเ่ ป็นธรรมตอ่ เดก็ หรือไม่ ใหพ้ ิจารณาตามแนวทางท่ีกาหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๒๓ ผปู้ กครองตอ้ งใหก้ ารอุปการะเล้ียงดู อบรมสงั่ สอน และพฒั นาเดก็ ที่อยใู่ นความปกครอง ดูแลของตนตาม สมควรแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมแห่งทอ้ งถ่ิน แต่ท้งั น้ีตอ้ งไม่ต่ากวา่ มาตรฐานข้นั ต่าตามที่กาหนดในกฎกระทรวงและตอ้ งคุม้ ครองสวสั ดิภาพเดก็ ท่ีอยใู่ นความปกครองดูแล ของตนมิใหต้ กอยใู่ นภาวะอนั น่าจะเกิดอนั ตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ มาตรา ๒๔ ปลดั กระทรวง ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นายอาเภอ ปลดั อาเภอผเู้ ป็นหวั หนา้ ประจากิ่งอาเภอ หรือผบู้ ริหารองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น มีหนา้ ที่คุม้ ครองสวสั ดิภาพเดก็ ท่ีอยใู่ นเขตพ้นื ท่ีท่ีรับผดิ ชอบ ไม่วา่ เด็กจะมีผปู้ กครองหรือไม่กต็ าม รวมท้งั มีอานาจและหนา้ ที่ดูแลและตรวจสอบสถานรับเล้ียงเดก็ สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ สถานคุม้ ครองสวสั ดิภาพสถานพฒั นาและฟ้ื นฟูและสถานพนิ ิจที่ต้งั อยู่ ในเขตอานาจ แลว้ รายงานผลการตรวจสอบตอ่ คณะกรรมการ คณะกรรมการคุม้ ครองเดก็ กรุงเทพมหานคร หรือคณะกรรมการคุม้ ครองเด็กจงั หวดั แลว้ แตก่ รณี เพือ่ ทราบและใหม้ ีอานาจและ หนา้ ที่เช่นเดียวกบั พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี ท่ีมา :https://th.wikisource.org/wiki/พระราชบญั ญตั ิคุม้ ครองเด็ก_พ.ศ._2546
๓๒ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๓.๓ ภาษระดับกง่ึ ทางการ เป็ นภาษท่ีมุ่งให้เกิดความรู้ความเขา้ ใจกนั ดว้ ยความรวดเร็ว จึงลดความเป็ นทางการลงบา้ ง และ ให้เกิดความใกลช้ ิดระหว่างผูส้ ่งสารและผูร้ ับสาร ภาษระดบั น้ีเป็ นภาษาก่ึงพูดก่ึงเขียน ลดความ เคร่งครัดด้านความสมบูรณ์ของประโยคและความถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ อาจมีถอ้ ยคาภาษาที่ แสดงความคุย้ เคย ส่วนใหญใ่ ชใ้ นการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในหอ้ งเรียน การ พูด ทางวทิ ย์ ขา่ วและบทความในหนงั สือพมิ พ์ การแสดงความคิดเห็นเชิงวชิ าการ การติดต่อธุรกิจ ตัวย่าง รอบรู้ รอบโลก ทราบไหมคะวา่ สตอวเ์ บอร์รีคือผลไมเ้ พือ่ สุขภาพอยา่ งแทจ้ ริง เน่ือจากสตอรวเ์ บอร์รีเป็น ผลไมท้ มีวติ ามินเอและวติ ามินซีสูงมาก จึงช่วยในการต่อตา้ นอนุมูอิสระ สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยใหม้ ีผวิ พรรณแปล่งปลงั่ และดูอ่อนเยาว์ มีธาตุเหลก็ ฟอสฟอรัส แคลเซียม ท่ีช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึก หรอของร่างกาย มีผลใหร้ ะบบเลือกและหวั ใจทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพมากข้ึน ช่วยลดความดนั โลหิต และดว้ ยความอุดไปดว้ ยไฟเบอร์เพคติน จึงสามารถช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลลงไดใ้ นระดบั หน่ึง... ดงั น้นั ยงิ่ ทานมากกไ็ ดป้ ระโยชน์มากคะ ท่ีมา :ส้มโอมือ “มุมสุขภาพ” ขวญั ะเรือน (ปักษห์ ลงั มีนาคม ๒๕๕๓ :๕๗) ๓.๔ ภาษระดับสนทนา เป็ นภาษรูปแบบของภาษาพูดที่ใช้ในโอกาสไม่เป็ นทางการหรือไม่เป็ นพิธีรีตอน ใช้โตต้ อบ ระหวา่ งบุคคลหรือกลุ่มคน เน้ือหาของสารเป็ นเรื่องทวั่ ไปในชีวิตประจาวนั จึงไม่เคร่งครัดดา้ นความ สมบูรฌข์ องประโยคและความถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ เช่น มีคาลงทา้ ย ซิ นะ เถอะ เป็ นตน้ ถึงแม้ เป็ นการพูดคุยกนั ทว่ั ไป แต่ยงั ไม่เป็ นระดบั ส่วนตวั มากนกั ดงั น้นั ตอ้ งระมดั ระวงั ในการส่ือสาร โดย คานึงถึงความสุขภาพเป็ นหลกั การใช้ภาษาระดบั น้ี เช่น การเขียนจดหมายส่วนตวั การแสดงความ คิดเห็นในช้นั เรียน การพดู คุยกบั เพื่อนร่วนงาน การเขียนเวบ็ เบอร์ดในอินเทอร์เน็ต ฯลฯ
หลกั การใช้ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร ๓๓ ภาพท่ี ๒.๑ ตวั อยา่ งการใชภ้ าษาระดบั สนทนา ที่มา:https://pantip.com/topic/38373635 ๓.๕ ภาษระดบั กนั เองหรือภาษาปาก เป็ นภาษที่ใชส้ ่ือสารกบั บุคคลท่ีสนิทสนมกนั ใชใ้ นวงจากดั เช่น สามีภรรยาพ่ีนอ้ ง บิดา มารดา บุตร หรือ เพื่อนสนิทสนมคุน้ เคย เช่น หรอยจงั ฮู้ เซ็งเป็ นบา้ เลย เรื่องน้ีชิลๆ ทาอะไรเวอร์จริงๆ จะ เห็นวา่ คาวา่ หรอยจงั ฮู้ เป็ นภาษถ่ิน แปลวา่ อร่อยมาก เซ็งเป็ นบา้ ชิลๆ เวอร์ เป็ นคาคะนองท่ีใชพ้ ูดกบั คนท่ีสนิทสนมกนั เท่าน้นั ตัวย่างที่ ๑ เพือ่ นสนิทสนทนากนั ปัทมนนั ท์ : “ฉนั จะไปเท่ียวแมบ่ อกใหพ้ านอ้ งไปดว้ ย เซ็งจงั เลย” วารุณี : “ฉนั ก็เหมือนกนั นา่ บือ จะทาอะไรไมถ่ กู ใจแมซ่ กั อยา่ ง ถกู ดา่ ทกุ ท่ี” ตวั ย่างที่ ๑ นิลุบล : “วนั นีพ้ วกเราไปเท่ียวแบบชลิ ๆ กนั นะ” นพดล : “โอเคไปแบบปิกนกิ นะ หอ่ ขา่ วไปกินกนั ดว้ ย”
๓๔ ภาษไทยพืน้ ฐาน ขอ้ สงั เกต ๑. รูปแบบของระดบั ภาษมีหลากหลาย ฉะน้นั ผใู้ ชภ้ าษใหเ้ มาะกบั โอกาส กาลเทศะ และ ฐานะของบุคคล ๒. ภาษระดษั สนทนาและภาษาระดบั กนั เองอาจจะใกลเ้ คียงกนั มาก ใหส้ งั เกตจากบุคคลที่ พดู ถา้ เป็นกลุ่มบุคคลหรือสมาชิมของกลุ่มมากกวา่ ๒ คนข้ึนไป สถานที่ไม่เป็ นส่วนตวั ถือวา่ เป็ นภาษาระดบั สนทนา แตถ่ า้ เป็นกลุ่มคนสนิทใกลช้ ิดกนั ๒ คน ใชส้ ถานที่เป็ นส่วนตวั ถือวา่ เป็นภาษาระดบั กนั เอง เช่น คูร่ ัก พนี่ อ้ ง สามีภรรยา เพือ่ นสนิท ๔. การเขยี นสะกดคา การเขียนสะกดคาประกอบดว้ ยสระ พยญั ชนะและวรรยกุ ตน์ ามารวมกนั เป็นพยางคแ์ ละคาการ เขียนสะกดคาใหถ้ ูกตอ้ งควรศึกษาการใชส้ ระ พยญั ชนะ และวรรณยกุ ต์ ดงั น้ี ๔.๑ การใช้สระ ๔.๑.๑ คาที่ประวสิ รรชนีย์ คือคาที่ออกเสียงอะ และปรากฏรูปสระดงั กล่าวไดแ้ ก่ ๑) คาพยางคเ์ ดียวที่ออกเลียงสระอะใหป้ ระวสิ รรชนีย์ เช่น กะ จะ นะ ๒) พยางคท์ า้ ยของคาเมื่อออกเสียงสระอะใหป้ ระวสิ รรชนีย์ เช่น ศิลปะ ธุระ ลกั ษณะ ๓) คาเดิมที่เป็ นคาสองพยางค์ต่อมาเกิดการกร่อนเสียงหน้าเป็ นเสียง อะ ให้ประ วสิ รรชนีย์ เช่น มะพร้าว มะเขือ ฉะน้นั ๔) คาอพั ภาสที่กร่อนมาจากคาซ่าใหแ้ ระวสิ รรชนีย์ เช่น คะคร้ืน วะวบั วะวาบ ๕) คาท่ีพยางคอ์ อกเสียง กระ หรือ ประ ให้เป็ นประวิสรรชนีย์ เช่น กระทะ ประกาศ ประมาท ๖) คาท่ีพยางค์ออกเสียง ระ ที่มาจากภาษเขมรในประวิสรรชนีย์ เช่น ระเบียน ระเบียบ ระลอก ๗) คาท่ีมาจากภาษาอื่นๆ ให้ประวิสรรชนีย์ เช่น คาภาษาเขมรในภาษาไทย ไดแ้ ก่ กระดาน กระจาย ประชุม คาภาษาจีนในภาษาไทย ไดแ้ ก่ บะหมี่ ตะหลิว บะ๊ จ่าง ๔.๑.๒ คาที่ไม่ประวสิ รรชนีย์ คือคาออกเสียงอะ แต่ไม่ปรากฏรูปสระ ไดแ้ ก่ ๑) คาท่ีเป็ นพยญั ชนะโดด ออกเสียงพยญั ชนะน้นั ประสมกบั สระอะ เช่น ณ ออก เสียงวา่ นะ เช่น ณ โอกาสน้ี ๒) คา ๒ พยางคห์ นา้ ออกเสียงกร่อนเหลือเพียงพยญั ชนะตน้ ประสมกบั สระอะ เช่น อน่ึง พยาน ทนาย ๓) คาที่มาจากภาษาเขมร เช่น ฉบบั ถนน ผสม
หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ๓๕ ๔) คาที่แผลงมาจากคาพยางคเ์ ดียว ออกเสียงเป็ นพยญั ชนะตน้ ประสมกบั สระอะ เช่น บวช เป็น ผนชน ขาน เป็น ขนาน แผก เป็น แผนก ๕) คาภาษบาลี-สันสกฤตที่ออกเสียงพยญั ชนะตน้ ประสมกบั สระอะ เช่น กษตั ริย์ ทวิ พละ มติ รวิ รติ ลดา สดุดี อวตาร อนงค์ ๖) คาภาษาลี- สันสกฤตเป็ นคาสมาสที่ออกเสียงสระอะเชื่อมระหว่างคา เช่น คณิตศาสตร์ รัตนตรัย สาธารณสุข ๗) คาท่ีมาจากภาษาอ่ืนออกเสียงสระอะระหวา่ งพยาคเ์ ช่น สวีเดน สวสิ อเมริกา ไอศกรีม ๔.๑.๓ การใช้ ใ◌ ไ◌ ััย และ ไ◌ย ไดแ้ ก่ ๑) สระ ใ◌ ปรากฏใชใ้ นคาไทย ๒๐ คา ไดแ้ ก่ ใหญ่ ให้ สะใภ้ ใช้ ใผ่ ใจ ใส่ ใหล ใคร่ ใบ ใส ใด ใน ใช้ ใต้ ใบ้ ใย ใกล้ ส่วนคาไทยท่ีเหลือใชส้ ระ ไ◌ ๒) คาท่ีรับมาจากภาษาต่างประเทศใช้ ไ◌ เช่น ไมตรี อะไหล่ ไนลอน ไมล์ ๓) ััย ใชค้ าท่ีมาจากภาษาบาลี-สันสกฤตที่เดินเป็ นคาเรียงพยางค์ โดยมีตวั ย เป็ยพยางคห์ ลงั เช่น วยั ภยั ๔) ไ◌ย ใชเ้ ฉพาะคาที่มาจากภาษาบาลีซ่ึงเดิมเป็น เอยย เมื่อออกเสียง ไ◌ ใช้ ไ◌ย เช่น ไทย ทาน ไวยากรณ์ อธิปไตย อุปไมย ๔.๑.๔ การใช้ ัา ััม ัาม รรม ไดแ้ ก่ ๑) ัา ใชก้ บั คาไทยทว่ั ไป เช่น กา ดา ทา จา ขา ๒) ัา ใชก้ บั คาไทยท่ีมาจากภาษจีน เช่น กาปั่น ไหหลา หนาเล้ียบ ๓) ัา ใชค้ าแผลง เช่น กาเนิด จาหน่าย ตารวจ ๔) ััม ใชค้ าที่มาจากภาษาอ่ืน เช่น อมั พร สมั ผสั คอลมั น์ ๕) ัาม ใชค้ าท่ีมาจากภาษาบาลี-สนั สกฤต เช่น อามรินทร์ อามหิต ๖) ◌รรม ใชใ้ นคาท่ีมาจากภาษาสนั สกฤตร เช่น ธรรม กรรม ๔.๑.๕ การใช้ เ-อ (สระเออ) ไดแ้ ก่ ๑) ใชต้ รงกบั รูปแบบเดิน เม่ือไม่มีตวั สะกด เช่น เธอ เจอ เรอ ๒) เมื่อ เ◌ อ มีตวั สะกดท่ีไม่ใช้ ย ใชร้ ูป เ ัิ เช่น กิน เปิ ด เดิน ๓) เม่ือ เ◌ อ มีตวั สะกด ย ใชร้ ูป เ-ย เช่น เคย เนย เลย ๔.๑.๖ การใชไ้ มไ้ ตค่ ู้ ๑) ใชใ้ นคาท่ีประสมดว้ ยสระ เ◌ะ แ◌าะ เม่ือมีตวั สะกด เช่น เขม็ แขง็ ช็อก ๒) ใชใ้ นคาวา่ ก็
๓๖ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๔.๑ การใช้พยญั ชนะ ๔.๒.๑ การใช้ ศ ษ ส มีดงั น้ี ๑) คาไทยนิยมใช้ตัว ส เป็ นพยญั ชนะต้น เช่น สวย สวม เส้ือ แต่ที่ใช้ ศ เป็ น พยญั ชนะตน้ ก็มี เช่น ศอก ศึก เศิก ๒) คาที่มาจากภาษาบาลีใช้ ส ตวั เดียวเท่าน้นั เช่น สโมสร โอกาส สิริ รังสี สมช้ ชา (๑) ใชต้ วั ศ นาหนา้ พยญั ชนะวรรค จะ เช่น พฤศจิกายน อศั จรรย์ (๒) ใชต้ วั ษ นาหนา้ พยญั ชนะวรรค ฏะ เช่น ราษฎร์ อุษณา ลกั ษณะ (๓) ใชต้ วั ส นาหนา้ พยญั ชนะวรรค ตะ เช่น พสั ดุ อาสนะ ๔.๒.๒ การใช้ ณ น มีดงั น้ี ๑) คาท่ีมาจากภาษาสันกฤตใช้ตวั ณ ตามหลงั พยญั ชนะ ร ฤ และ ษ เช่น กรณี โฆษณา ลกั ษณธ ๒) คาท่ีมาจากภาษาบาลีใช้ตัว ณ นาหน้าพยญั ชนะ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เช่น มณฑล บณั ฑิต สณั ฐาน ๓) คาท่ีมาจากภาษาบาลีใชต้ วั น นาหนา้ พยญั ชนะ ต ถ ท ธ น เช่น นินทา วนั ทนา ๔.๒.๓ การใช้ ซ ทร มีดงั น้ี ๑) คาไทยแทท้ ่ีออกเสียง /s/ ใช้ ซ เช่น ซน ซอง ซีด ๒) คาที่มาจากภาษาตา่ งประเทศใช้ ซ เช่น เซลล์ ไซโคลน เซียมซี ซิ้ม ซอ้ ๓) คาที่มาจากภาษาเขมรใช้ ทร เช่น ทราย ทราบ ทรง ๔) คาท่ีมาจากภาษาสันสกฤตบางคา เช่น มทั รี ทรัพย์ อินทรีย์ นนทรี เป็นตน้ ๔.๒.๔ การใช้ รร มีดงั น้ี ๑) คาท่ีแผลงมาจากคาท่ีมีตวั ร ควบกล่ากบั พยญั ชนะอ่ืน เช่น กรรโชก บรรจง ๒) คาแผลงท่ีเพิ่มจากคาพยางค์เดียวเป็ นคาสองพยาค์ เช่น คลอง แผลงเป็ น ครรลอง ๓) ใช้ รร ในคาท่ีมาจากภาษาสันสกฤต เช่น ธรรม จรรยา ๔.๒.๕ การใช้ บรร บนั มีดงั น้ี ๑) บรร ใชใ้ นคาที่มาจากภาษาเขมร เช่น บรรจง บรรทดั บรรทุก ๒) บนั ใชใ้ นคาที่มาจากภาษาเขมร เช่น บนั ได บนั ทึก บนั เทิง ๔.๒.๖ การใชต้ วั สะกด มีดงั น้ี ตวั สะกด คือรูปพยญั ชนะที่ประกอบอยทู่ า้ ยสระและเสียงประสมเขา้ กบั สระจดั ไว้ เป็ นกลุ่มตามเสียงสะกด เสียงแม่กก มีตวั ก ข ค ฆ เป็ นตวั สะกด เสียงแม่กด มีตวั ด ต จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส เป็นตวั สะกด เสียงแมก่ บ มีตวั บ ป พ ภ เป็นตวั สะกด เสียงแม่กง มีตวั ง เป็น
หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ๓๗ ตวั สะกด เสียงแม่กน มีตวั น ญ ณ ร ล ฬ เป็นตวั สะกด เสียงแมเ่ กย มีตวั ย เป็นตวั สะกด เสียงแม่เอว มี ตวั ว เป็ นตวั สะกด คาที่ใช้ จ ญ ร ล ฬ สะกด เป็ นคาท่ีรับมาจากภาษาเขมรหรือภาษาบลี -สันสกฤต ตวั สะกดเขียนตามรูปคาในภาษาเดิน ๔.๓ การใช้รูปวรรยุกต์ ภาษาไทยกาหนดหลกั การใชร้ ูปวรรณยกุ ตต์ ามหลกั การผนั วรรณยกุ ต์ ดงั น้ี ๔.๓.๑ พยางคท์ ่ีข้ึนตน้ ดว้ ยอกั ษรกลาง ๑) คาเป็ น สามารถใชร้ ูปวรรณยกุ ตไ์ ดท้ ุกรูป เช่น ป่ า ป้า ป๊ า ป๋ า ๒) คาตาย ใชไ้ ด้ ๓ รูป คือ โท ตรี จตั รา เช่น จะ้ จะ๊ จ๋ะ ๔.๓.๒ พยางคท์ ่ีข้ึนตน้ ดว้ ยอกั ษรสูง ๑) คาเป็ น สามารถใชร้ ูปวรรณยกุ ตไ์ ด้ ๒ รูป คือ เอก โท เช่น ส่า ส้า ๒) คาตาย ใชไ้ ดเ้ พยี งรูปเดียวคือ โท เช่น ข้ดั ๔.๓.๓ พยางคท์ ี่ข้ึนตน้ ดว้ ยอกั ษรต่า ๑) คาเป็ น สามารถใชร้ ูปวรรณยกุ ตไ์ ด้ ๒ รูป เช่น ค่า คา้ ๒) คาตาย แบ่งออกเป็น ๒ ลกั ษณะ คือ (๑) คาตาย สระเสียงส้ัน ใชไ้ ด้ ๑ รูป คือ เอก เช่น คะ่ (๒) คาตาย สระเสียงยาว ใชไ้ ด้ ๑ รูป โท เช่น วา้ ก สรุป ภาษาเป็นองคป์ ระกอบสาคญั ในการสื่อสาร ความรู้เร่ืองหลกั การใชภ้ าษาไทยเพ่ือการส่ือสารใน สังคมไทยจึงเป็ นส่ิงจาเป็ นที่จะทาให้การส่ือสารมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็ นความรู้เรื่องหลกั การใช้ ถอ้ ยคา การใชส้ าวนวน การใชภ้ าษาตามระดบั ภาษา และเขียนสะกดคา การใช้ถอ้ ยคา ประกอบด้วยการใชค้ าให้ถูกตอ้ งตามความหมาย การใช้คาให้ถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ การใชค้ าพอ้ ง การใชค้ าศพั ท์ และศพั ทบ์ ญั ญตั ิ การใชถ้ อ้ ยคา ประกอบดว้ ยการใชค้ าใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกบั บริบทหรือสถานการณ์การสื่อสาร การใช้ภาษาตามระดบั ภาษา คือการเลือกใชภ้ าษาให้เหมาะสมกบั บุคคลท่ีกาลงั ส่ือสารดว้ ยตาม บริบทของกาลเทศะ ซ่ึงมีอยู่ ๕ ระดบั ไดแ้ ก่ ภาษาระดบั พิธีการ ภาษาระดบั ทางกลาง ภาษาระดบั ก่ึง ทางการ ภาษาระดบั สนทนา และภาษาระดบั กนั เอง ส่วนการเขียนสะกดคา เป็ นการเขียนคาให้ถูกตอ้ งตามหลักภาษา ประกอบด้วยการใช้สระ พยญั ชนะ และวรรณยกุ ต์ ซึงเป็นส่วนประกอบหลกั ของคา
๓๘ ภาษไทยพืน้ ฐาน กจิ รรมตรวจสอบความเข้าใจ คาช้ีแจง กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเป็นกิจกรรมฝึกทกั ษะเฉพาะดา้ นความรู้-ความจา เพื่อใชใ้ นการตรวจสอบความเขา้ ใจตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ คาส่ัง จงตอบคาถามต่อไปนี้ ๑. คาท่ีมีความหมายโดยนยั คืออะไร จงอธิบายพร้อมยกตวั อยา่ งประกอบ ๒. จงอธิบายลกั ษณะการใชถ้ อ้ ยคาเพอื่ ใหเ้ กิดประสิทธิภาพในการส่ือสาร พร้อมยกตวั อยา่ งประกอบ ๓. การใชค้ าทบั ศพั ทบ์ ญั ญตั ิควรคานึงถึงเร่ืองใดบา้ ง ๔. จงยกตวั อยา่ งการใชค้ าท่ีมีรูปหรือเสียงเหมือนกนั แต่มีความหมายตา่ งกนั ๓ ตวั อยา่ ง ๕. คาพอ้ งรูปและคาพอ้ งเสียงเหมื่อนและตา่ งกนั อยา่ งไร ๖. จงอธิบายและยกตวั อยา่ งคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษท่ีใชใ้ นภาษาไทยมา ๕ คา ๗. การใชค้ าบาลีและคาสนั สกฤตในภาษาไทยมีลกั ษณะอยา่ งไร จง อธิบายพร้อมยกตวั อยา่ ง ประกอบ ๘. การใชภ้ าษาระดบั ทางการแตกต่างจากภาษาระดบั ก่ึงทางการอยา่ งไร จงอธิบายพร้อมยกตวั อยา่ ง ๕ ประโยค ๙. บอกสานวนท่ีมาจากวรรณคดี ๕ สานวน พร้อมระบุท่ีมาและความหมาย ๑๐. จงเลือกอธิบายการเขียนสะกดคา สระ พยญั ชนะ หรือวรรณยกุ ต์ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง กจิ กรรมส่งเสริมการเรียนรู้ คาช้ีแจง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบดว้ ยกิจกรรมหลากหลายท่ีฝึกทกั ษะทุกดา้ นตาม จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมเพอ่ื ใหเ้ กิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบตั ิกิจิกรรม ท้งั ในแลนอกสถานท่ีตามความเหมาะสมกบั ผเู้ รียนและสิ่งแวดลอ้ มของสถานศึกษา ๑. ใหผ้ เู้ รียนร่วนกนั ภิปรายเร่ืองความรู้เบ้ือตน้ เก่ียวกบั ภาษาไทยและจดั ทาสรุปความเขา้ ใจในกระดาษ ๒. ใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๓-๕ คน ศึกษาคน้ ควา้ ในเร่ืองความหมายและความสาคัญของภาษาไทย ธรรมชาติของภาษา บทบาทของภาษาในการส่ือสาร ลกั ษณะของภาษา จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ และ นาเสนอหนา้ ช้นั เรียน พร้อมยกตวั อยา่ งท่ีผเู้ รียนใชใ้ นชีวติ ประจาวนั กลุ่มละ ๕ นาที ๓. ให้ผูเ้ รียนเขียนคาตามคาบอกของผูส้ อนจานวาน ๒๐ คา เมื่อเขียนเสร็จแลว้ ให้แลกกบั เพ่ือนตรวจ คาตอบ ๔. ใหผ้ เู้ รียนเปรียบเทียบความแตกตา่ งระหวา่ งภาษาพิธีการกบั ภาษาทางการพอสงั เขป
หลกั การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ๓๙ ๕. ใหผ้ เู้ รียนจดั หมวดหมู่ของคาต่อไปน้ี สุกร สุนขั ดวงตราไปรษณียากร งานแต่งงาน ทรงพระเจริญ เท่ระเบิด โกจ้ งั ขอนอ้ มเกลา้ ฯถวายพระพร ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส เซ็งจงั เลย กา้ วหนา้ รถเมล์ พระราชกศุ ล ซุป’ตาร์ ภาษาระดบั ภาษาระดบั ไปโลด สนทนา กนั เอง ภาษา ภาษา ภาษาระดบั ระดบั พิธีการ ระดบั ทางการ ก่ึงทางการ ๖. ใหผ้ เู้ รียนคน้ ควา้ สุนทรพจน์ ปาฐกถา หรือบทความ แลว้ ยกตวั อยา่ งคาท่ีใชใ้ นระดบั ภาษาต่างๆ ๗. ใหผ้ เู้ รียนยกตวั อยา่ งบทสนทนามา ๑ ตวั อยา่ ง แลว้ ระบุวา่ เป็นภาษาระดบั ใด ๘. ใหผ้ เู้ รียนพิจารณาวา่ คาตอ่ ไปน้ี คาใดสะกดผดิ และแกไ้ ขใ้ หถ้ ูกตอ้ ง กระทิ ทะแยงมุม ไทดา ทรงธรรม์ ทราบซ้ึง อนงค์ จานงค์ บรรษทั อสั สุชล เส้า อุณากรรณ พษิ ฐาน ขโมยกะเพรา กะทดั รัด ๙. ใหผ้ เู้ รียนดูภาพต่อไปน้ีแลว้ คน้ หาสุภาษิตหรือคาพงั เคยที่สอดคลอ้ งกบั ภาพและอธิบายความหมาย ๑) ๒) ๓)
๔๐ ภาษไทยพืน้ ฐาน ๔) ๕) สรุปผลการทากริกรรม หมายเหตุ เกณฑก์ ารประเมินผลการทากิจกรรมมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือประเมินวา่ ผเู้ รียนเกิดสมรรถนะจากกสรเรียนรู้ ตามบริบทตา่ งๆ หรือไม่ โดยแบง่ เป็น ๓ ดา้ น คือ ความรู้หรือพทุ ธิพิสัย = Knowledge (K) ทกั ษะหรือ ทกั ษพสิ ยั = Practice (P) คณุ ลกั ษณะหรอื พสิ ยั = Attitude (A)
หลกั การใช้ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร ๔๑ แบบทดสอบ คาสั่ง จงเลือกคาตอบทถ่ี ูกต้องทสี่ ุดเพยี งคาตอบเดียว ๑. ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ งเก่ียวกบั คานาม ๑. คาที่ใชเ้ ช่ือมประโยค ๒. คาท่ีช่วยขยายคาอื่น ๓. เนน้ นามตามความรู้สึกของผพู้ ดู ๔. คาที่เปล่งออกมาเพือ่ แสดงอารมณ์ ๕. คาท่ีใชเ้ รียกช่ือบุคคล สัตร์ ส่ิงของ สถานท่ี ๒. “คุณแม่ทาอาหารอร่อยมาก” จากประโยคน้ีขอ้ ใดคือคาวเิ ศษณ์ ๑. คุณแม่ ๒. ทา ๓. อหาร ๔. อร่อยมาก ๕. ไม่มีขอใ้ ดถูก ๓. “ฉนั กลวั สอบไม่ผา่ ม ฉนั จึงต้งั ใจอา่ นหนงั สือ” คาท่ีขีดเส้นใตค้ ือคาชนิดใด ๑. คาสรรพยาม ๒. คากริยา ๓. คาวเิ ศษณ์ ๔. คาบุพบท ๕. คาสนั ธาน ๔. ขอ้ ใดไกล่าวถึงคาพอ้ งรูปไม่ถูกตอ้ ง ๑. คาท่ีเขียนเหมือนกนั ออกเสียงเหมือนกนั ๒. คาที่เขียนตา่ งกนั ออกเสียงตา่ งกนั ๓. คาท่ีเขียนเหมือนกนั ออกเสียงตา่ งกนั ๔. คาท่ีเขียนต่างกนั ออกเสียงเหมือนกนั ๕. คาท่ีเขียนอยา่ งหนึง ออกเสียงอีกอยา่ งหน่ึง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187