Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ขัตติยพันธกรณี(1)

ขัตติยพันธกรณี(1)

Published by vdfhhxdyb, 2021-08-09 02:17:18

Description: ขัตติยพันธกรณี(1)

Search

Read the Text Version

ขตั ติยพนั ธกรณี คณะผู้จดั ทา ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ ๖/๘ นาเสนอ ครูชมัยพร แก้มปานกนั

ขตั ติยพนั ธกรณี รายช่ือคณะผู้จัดทา นางสาว ฐาณิตา คุ่ยสมใจ เลขที่ ๑๑ นางสาว นนั ทิยา สีโมรส เลขที่ ๒๒ นางสาว ณฐั ณิชา วงษล์ มยั เลขที่ ๑๓ นางสาว พรวิไล ฟักเงิน เลขที่ ๒๖ นางสาว ณฐั นิชา กนั พงษ์ เลขท่ี ๑๔ นางสาว พิชามญน์ สมใจเพง็ เลขท่ี ๒๙ นางสาว ดวงรัตน์ ปัญญา เลขท่ี ๑๖ นางสาวภาณินี บุญเลิศ เลขท่ี ๓๑ นางสาว นรัชฌา ศาลยาชีวิน เลขท่ี ๑๙ นางสาว วิชญาดา ไชยสุต เลขท่ี ๓๔ นางสาว ศิริจญั ญา ชาวบา้ นกร่าง เลขท่ี ๓๖ นางสาว นริศรา โคโต เลขท่ี ๒๐ นางสาว อภิญญา อู่สุวรรณ เลขที่ ๓๙ นางสาว นวพรรษ ขาวจตุรัส เลขท่ี ๒๑ นาเสนอ ครูชมยั พร แกว้ ปานกนั วารสารเลม่ น้ีเป็นส่วนหน่ึงของวชิ า ภาษาไทยพ้ืนฐาน ภาคเรียนท่ี ๑ ปี การศึกษา ๒๕๖๔ โรงเรียนสงวนหญิง

คานา วารสารเล่มน้ีจดั ทาข้ึนเพือ่ เป็นส่วนหน่ึงของรายวชิ าพ้นื ฐานภาษาไทย เร่ืองขตั ติยพนั ธกรณี ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 6 เป็นวารสารที่คณะผจู้ ดั ทา ไดด้ าเนินการจดั การข้ึนเพือ่ ใชใ้ นการจดั กระบวนการเรียนรู้รายวชิ าพ้นื ฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องขตั ติยพนั ธกรณี แนวการนาเสนอเน้ือหาของวารสาร รายวชิ าพ้นื ฐานภาษาไมยเร่ือง เรื่องขตั ติยพนั ธกรณี ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 6 มุ่งเนน้ ใหผ้ ทุ้ ี่มีความสนใจหรือ กาลงั ศึกษาเกี่ยวกบั เร่ืองขตั ติยพนั ธกรณีใหม้ ีความเขา้ ใจ โดยนาเสนออยา่ งน่าสนใจและชวนติดตาม คณะผจู้ ดั ทาหวงั วา่ รายงานเล่มน้ีจะเป็นประโยชนต์ ่อผทู้ ี่มีความสนใจหรือผทู้ ี่กาลงั ศึกษาเก่ียวกบั เรื่องขตั ติยพนั ธกรณีไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ หากมีขอ้ เสนอแนะหรือขอ้ ผดิ พลาดประการใดคณะผจู้ ดั ทาขินอ้ มรับไวแ้ ละขออภยั ณ ที่นี่ดว้ ย คณะผจู้ ดั ทา

สารบญั เร่ือง หน้า ความเป็ นมา ๑ ประวตั ิผแู้ ต่ง ๒-๑o ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ๑๑ เน้ือเร่ืองเตม็ (แบบยอ่ ) ๑๒ เน้ือเร่ืองเตม็ (เฉพาะที่เรียน) ๑๓-๑๙ วเิ คราะห์คุณค่า ๒o-๕o บรรณานุกรม ๕๑

1 ความเป็ นมา ขตั ติยพนั ธกรณี (เหตุอนั เป็นขอ้ ผกู พนั ของกษตั ริย)์ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ ฯ และพระนิพนธข์ องสมเดจ็ กรม พระยาดารงราชานุภาพ เป็นกวีนิพนธ์ที่ผใู้ ดไดอ้ า่ นจะประทบั ใจเป็นอยา่ งยง่ิ เป็นบทท่ีมีที่มาจากเหตุการณ์จริงในประวตั ิศาสตร์ในระยะหวั เล้ียวหวั ต่อที่เกี่ยวกบั ความอยรู่ อดของประเทศของเรา เหตุการณ์น้ีคือเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ซ่ึงตรงกบั พ.ศ. ๒๔๓๖ ไทยขดั แยง้ กบั ฝร่ังเศส เร่ืองเขตแดนทางดา้ นเขมร ฝรั่งเศสส่งเรือปื นแล่นผา่ นป้อมพระจุลจอมเกลา้ ฯ เขา้ มาจอดทอดสมอหนา้ สถานทูตฝรั่งเศส ถืออานาจเชิญธงชาติ ฝรั่งเศสข้ึนเหนือแผน่ ดินไทย ตรงกนั วนั ที่ ๑๔ กรกฎาคม ซ่ึงเป็นวนั ชาติฝรั่งเศสและยนื่ คาขาดเรียกร้องดินแดนท้งั หมดทางฝ่ังตะวนั ออกของ แม่น้าโขง ซ่ึงขณะน้นั อยใู่ ตอ้ านาจปกครองของไทยเนื่องจากไทยใหค้ าตอบล่าชา้ ทูตปาวีของฝรั่งเศสจึงใหเ้ รือปื นปิ ดลอ้ มอา่ วไทย เป็นการ ประกาศสงครามกบั ไทย

2 พระราชประวตั พิ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเป็นพระราชโอรสพระองคใ์ หญ่ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี 4 และสมเดจ็ พระเทพสิรินทราบรมราชินี ประสูติ เม่ือวนั องั คารที่ 20 กนั ยายน พ.ศ. 2396 ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบฎั วา่ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้า จุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบ์ ริพตั ร ศิริวฒั นราชกมุ าร ทรงไดร้ ับการสถาปนาเป็นเจา้ ฟ้าต่างกรม มีพระนามกรม วา่ กรมหม่ืนพฆิ เณศวรสุรสงั กาศ หลงั จากทรงผนวชเป็นสามเณรทรงไดร้ ับการเฉลิมพระนามาภิไธยข้ึนเป็นสมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์ ฯ กรมขนุ พินิตประชานาถ ทรงเป็นพระราชปิ โยรสที่สมเดจ็ พระบรมชนกนาถโปรดใหเ้ สดจ็ อยใู่ กลช้ ิดติดพระองคเ์ สมอเพือ่ ใหม้ ีโอกาสแนะนาสัง่ สอน วิชาการต่าง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ วชิ ารัฏฐาภิบาล ราชประเพณีและโบราณคดี นอกจากน้นั ยงั ทรงศึกษาภาษามคธ ภาษาองั กฤษ การยงิ ปื นไฟ กระบี่ กระบอง มวยปล้า รวมท้งั การบงั คบั ชา้ งอีกดว้ ย

3 ครองราชย์ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงไดร้ ับการกราบบงั คมทูลเชิญข้ึนเป็นพระมหากษตั ริยส์ ืบต่อจากสมเดจ็ พระบรมราชชนกเม่ือวนั พฤหสั บดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ดว้ ยพระชนมายเุ พยี ง 15 พรรษา ทรงประกอบพระราชพธิ ีบรมราชาภิเษกคร้ังแรกเมื่อวนั ที่ 11 พฤศจิกายน 2411 โดยมีเจา้ พระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผสู้ าเร็จราชการแทนพระองค์ จนหลงั จากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกคร้ังที่ 2 เม่ือ พระชนมายุ 20 พรรษา ในวนั ท่ี 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 จึงทรงปกครองแผน่ ดินดว้ ยพระองคเ์ องอยา่ งสมบูรณ์ ทรงครองราชยอ์ ยเู่ ป็นเวลา ยาวนานถึง 42 ปี และไดท้ รงพฒั นาประเทศใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ทดั เทียมอารยประเทศทุกวถิ ีทาง

4 สวรรคต ในบ้นั ปลายพระชนมชีพ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระพลานามยั ไม่สมบูรณ์นกั หลงั จากเสดจ็ ประพาสยโุ รปคร้ังที่ 2 แลว้ พระอาการกค็ ่อยทรุดลงเป็นลาดบั และเสดจ็ สวรรคตดว้ ยพระโรคพระวกั กะพิการเม่ือเวลา 2 ยาม 45 นาที ของวนั เสาร์ท่ี 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สิริพระชนมายุ 58 พรรษา ทรงครองสิริราชสมบตั ิ 42 ปี ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดารวมท้งั สิ้น 77 พระองค์ ดว้ ยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต่อไพร่ฟ้าประชาชนอยา่ งหาท่ีสุดมิไดม้ าตลอดรัชกาลอนั ยาวนาน ประชาชนจึงพร้อมใจกนั ถวายพระบรมราชสมญั ญานาม วา่ สมเดจ็ พระปิ ย มหาราช อนั มีความหมายวา่ พระมหากษตั ิรยผ์ ทู้ รงเป็นท่ีรักยง่ิ ของปวงชน และถือวนั ท่ี 23 ตุลาคม เป็นวนั ปิ ยมหาราชมาจนตราบเท่าทุกวนั น้ี

5 ประวตั สิ มเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ พลเอก สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ (21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 – 1 ธนั วาคม พ.ศ. 2486) เป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประสูติแต่เจา้ จอมมารดาชุ่ม ท.จ.ว. และเป็นองคต์ น้ ราชสกุลดิศกลุ ทรงดารงตาแหน่งท่ีสาคญั ทาง การทหารและพลเรือน เช่น เจา้ พนกั งานใหญ่ ผบู้ ญั ชาการทหารบก อธิบดีกรมศึกษาธิการ (ตาแหน่งเทียบเท่าเสนาบดี) องคป์ ฐมเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร นายกราชบณั ฑิตยสภา องคมนตรีในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั และพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และอภิรัฐมนตรีในพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั

6 นอกจากน้ี ยงั ทรงพระปรีชาสามารถในดา้ นการศึกษา การปกครอง การต่างประเทศ การสาธารณสุข หลกั รัฐประศาสนศาสตร์เปรียบเทียบ ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวฒั นธรรม ทรงไดร้ ับพระสมญั ญานามเป็น \"พระบิดาแห่งประวตั ิศาสตร์และโบราณคดีไทย\" และ \"พระบิดาแห่ง มคั คุเทศกไ์ ทย\" ทรงเป็นองคผ์ อู้ านวยการก่อต้งั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั โรงเรียนนายร้อยตารวจ โรงเรียนสวนกหุ ลาบวทิ ยาลยั โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนยพุ ราชวิทยาลยั เม่ือวนั ที่ 21 มิถนุ ายน พ.ศ. 2505 ท่ีประชุมใหญ่ขององคก์ ารการศึกษาวิทยาศาสตร์และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ไดป้ ระกาศถวายสดุดีใหพ้ ระองคท์ รงเป็นบุคคลสาคญั ของโลกคนแรกของประเทศไทย[13] และวนั ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 คณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติใหว้ นั ท่ี 1 ธนั วาคม ของทุกปี ซ่ึงตรงกบั วนั คลา้ ยวนั สิ้นพระชนมข์ องพระองค์ เป็นวนั ดารงราชานุภาพ กาหนดข้ึนเพื่อเป็นการ ถวายความราลึกถึงพระกรุณาธิคุณเป็นอเนกอนนั ตข์ องสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ องคป์ ฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และบุคคลสาคญั ของโลกคนแรกของประเทศไทย

7 ประสูติ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ มีพระนามเดิมวา่ พระเจา้ ลูกยาเธอ พระองคเ์ จา้ ดิศวรกมุ าร (อ่านวา่ ดิด-สะ-วอ-ระ-กุ-มาร) เป็นพระราชโอรสพระองคท์ ่ี 57 ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และเป็นพระองคเ์ ดียวท่ีประสูติแต่เจา้ จอมมารดาชุ่ม ท.จ.ว. ณ พระบรมมหาราชวงั เม่ือวนั ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 ชาววงั ออกพระนามโดยลาลองวา่ \"พระองคเ์ จา้ ดิศวรกมุ าร หรือ เสดจ็ พระองคด์ ิศ\" พระองค์ ไดร้ ับพระราชทานพระนามจากพระบิดาในวนั สมโภชเดือนและข้ึนพระอู่ โดยมีรายละเอียดวา่ \"สมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกฎุ พระจอมเกลา้ เจา้ แผน่ ดินสยามผพู้ ระบิดา ขอต้งั นามกมุ ารบุตรท่ีเกิดแต่ชุ่มเลก็ เป็นมารดาน้นั และซ่ึงคลอดในวนั เสาร์ แรม 9 ค่า เดือน 7 ปี จอจตั วาศกน้นั วา่ ดงั น้ี พระเจา้ ลูกเธอ พระองคเ์ จา้ ดิศวรกมุ าร นาคนาม ขอจงเจริญชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ สรรพสิริ สวสั ดิพพิ ฒั นมงคลทุกประการ สิ้นกาลนานต่อไปเทอญ\" โดยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงนาเอานามของพระยาอพั ภนั ตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) ซ่ึงเป็นบิดาของเจา้ จอมมารดาชุ่มมาต้งั พระราชทาน เนื่องจากทรงพระราชดาริวา่ ท่านเป็นคนซื่อตรง

8 ทรงศึกษา พระองคท์ รงเริ่มเรียนหนงั สือไทยช้นั ตน้ จากสานกั คุณแสงและคุณปาน ราชนิกุล ในพระบรมมหาราชวงั ทรงศึกษาภาษาองั กฤษในโรงเรียนหลวง ซ่ึงมีมิสเตอร์ ฟรานซิส ยอร์ช แพตเตอร์สนั เป็นพระอาจารย์ พ.ศ. 2418 ขณะพระชนั ษา 13 ปี ผนวชเป็นสามเณรที่วดั พระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็น พระอุปัชฌาย์ และประทบั จาพรรษาที่วดั บวรนิเวศราชวรวหิ าร พ.ศ. 2420 ทรงสาเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ไดร้ ับพระราชทานยศเป็นนายร้อยตรีทหารมหาดเลก็ บงั คบั กองแตรวง ขณะพระชนั ษา 15 ปี

9 รับราชการ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ไดท้ รงประกอบพระกรณียกิจดา้ นต่าง ๆ และทรงเป็นที่ไวว้ างพระราชหฤทยั ใน พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระเชษฐา ถึงขนาดตรัสชมวา่ ทรงเป็นเสมือน \"เพชรประดบั พระมหาพิชยั มงกุฎ\" เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ สวรรคตในวนั ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั โปรดใหเ้ ปล่ียนคานาพระนามเป็นพระ เจา้ บรมวงศเ์ ธอ[17] และในวนั ต่อมาพระองคท์ ่านไดเ้ ขา้ ถือน้าพพิ ฒั นส์ ัตยาและรับพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ เป็นองคมนตรี ณ พระอโุ บสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม[18] สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ กไ็ ดส้ นองพระเดชพระคุณตลอดมา ตราบจนทรงพระชราภาพ ไม่ สามารถทาราชการหนกั ในตาแหน่งต่อไปอีก จึงกราบถวายบงั คมลาออกจากตาแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเดจ็ พระ มงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ รงเป็นเสนาบดีที่ปรึกษา

10 สิ้นพระชนม์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ เร่ิมประชวรดว้ ยโรคพระหทยั มาต้งั แต่เดือนธนั วาคม พ.ศ. 2484 จึงเสดจ็ กลบั มารักษาพระ อาการประชวรในประเทศไทย (ก่อนหนา้ น้นั ทรงประทบั อยู่ ณ เกาะปี นงั ภายหลงั เหตุการณ์การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475) พระอาการทรง และทรุดเรื่อยมาจนสิ้นพระชนมเ์ ม่ือวนั ท่ี 1 ธนั วาคม พ.ศ. 2486 ที่วงั วรดิศ ถนนหลานหลวง ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ท มหิดล พระอฐั มรามาธิบดินทร สิริรวมพระชนั ษา 81 ปี [19][20] อน่ึง สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงมีพระโอรสสืบราช สกลุ คือ หม่อมเจา้ จุลดิศ ดิศกลุ นายทหารมา้ ราชองครักษแ์ ละองคมนตรีในรัชกาลท่ี 7, พระนดั ดา (หลาน) คือ หม่อมราชวงศส์ งั ขดิศ ดิศกลุ อดีต เอกอคั รราชทูต ณ ประเทศมาเลเซีย สมาพนั ธรัฐสวสิ และนครรัฐวาติกนั , พระปนดั ดา (เหลน) ผไู้ ดร้ ับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกลา้ สืบตระกลู (ต.อ.จ.) และดารงรักษาวงั วรดิศ คือ หม่อมหลวงปนดั ดา ดิศกุล อดีตผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นครปฐม จงั หวดั เชียงใหม่ รองปลดั กระทรวง มหาดไทย ปลดั สานกั นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจาสานกั นายกรัฐมนตรี ปัจจุบนั ดารงตาแหน่งสมาชิกสมาชิกวุฒิสภา ซ่ึงหม่อมหลวงปนดั ดา ดิศกุล มีบุตรชายสืบตระกลู คนเดียว คือ นายวรดิศ ดิศกุล ณ อยธุ ยา ปัจจุบนั เป็นนกั ศึกษาหลกั สูตรปริญญาเอกทาง \"Innovation Management\" ผมู้ ีศกั ด์ิลาดบั เป็นทายาทช้นั ล่ือของพระองคท์ ่าน

11 ลกั ษณะคาประพนั ธ์ โคลงส่ีสุภาพและอนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ ขตั ติยพนั ธกรณี เป็ นบทพระนิพนธ์และพระนิพนธ์ที่ถูกแต่งข้ึนเป็นคาฉนั ท์ ท้งั สองพระองคท์ รงเลือกใช้ อินทรวิเชียรฉันทโ์ ดยมิไดท้ รง เคร่งครัดในการใชค้ าครุ-ลหุตามแบบที่คณะฉนั ทใ์ ช้ แต่ทรงใชต้ ามการออกเสียงตาม ธรรมชาติของการพูดภาษาไทยและเนน้ การใชค้ าท่ีสร้างจินตภาพ และอารมณ์สะเทือนใจเป็ นหลกั นอกจากน้นั ยงั มีการเรียบเรียงขอ้ ความอยา่ งเหมาะสม เช่น เรียงขอ้ ความที่บรรจุสาระสาคญั ไวท้ า้ ยสุดจากบทประพนั ธ์ จะเห็นไดว้ า่ ในบท พระพนั ธ์ในตอนน้ีมีการนาเสนอจากเน้ือหาเลก็ ๆ จนไปถึงเน้ือหาท่ีมีความสาคญั ตามลาดบั เพื่อใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจเน้ือหาสาระไดง้ ่ายข้ึน

12 เนื้อเร่ืองเตม็ (แบบย่อ) พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประชวรอยา่ งหนกั เป็นเวลานาน ดว้ ยโรคฝีสามยอด และไขส้ ่า ทาใหเ้ ป็นที่หนกั ใจของผทู้ ่ีดูแลรักษา จึง บรรยายถึงความเจบ็ ปวดพระวรกายจากพระอาการประชวร จึงมีพระราชประสงคท์ ่ีจะเสดจ็ สวรรคต แต่พระองคไ์ ม่สามารถทาเช่นน้นั ได้ เน่ืองจากเป็น กษตั ริยท์ ี่มีภาระหนา้ ท่ีอนั ยงิ่ ใหญ่ คือการปกป้องรักษาบา้ นเมืองจากประเทศฝร่ังเศส อีกท้งั ยงั บรรยายถึงความรู้สึกเบื่อหน่าย หมดกาลงั พระทยั เนื่องจากพระอาการประชวรท่ียาวนาน และยงั มีความเจบ็ ทางใจที่เกิดจากการตอ้ งป้องกนั รักษาบา้ นเมืองเอาไว้ เเละยงั มีความกงั วลใหญ่หลวงในพระทยั ทรงหวน่ั เกรงวา่ จะทรงกลายเป็นพระมหากษตั ริยท์ ี่ราษฎรจะกล่าวหาวา่ เป็นตน้ เหตุทาใหเ้ สียบา้ นเสียเมืองแก่ต่างชาติเช่นเดียวกบั สมเดจ็ พระมหินทราธิ ราช และสมเดจ็ พระเจา้ เอกทศั ในช่วงท่ีเสียกรุงศรีอยธุ ยาท้งั ๒ คร้ัง รัชกาลท่ี๕ ไม่ตอ้ งการจะเป็นกษตั ริยอ์ ีกพระองคห์ น่ึงท่ีทาใหเ้ ราตอ้ งสูญเสียเอกราช ไป สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ จึงแต่งคาประพนั ธ์ประเภทอินทรวเิ ชียรฉนั ท์ เพื่อถวายกาลงั พระทยั รัชกาลท่ี๕ และถวาย ขอ้ คิดใหต้ ระหนกั ถึงสจั ธรรม โดยสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพเปรียบประเทศไทยเป็นเรือลาใหญ่ลาหน่ึง อนั มี รัชกาลที่๕ เป็นกปั ตนั ซ่ึงเป็นผทู้ ี่เป็นใหญ่ในเรือ มีอานาจส่ังลกู เรือ ซ่ึงหมายถึงชาวสยาม โดยรัชกาลที่๕ ในฐานกปั ตนั มีหนา้ ท่ีนาพาลูกเรือใหร้ อดพน้ จากพายคุ ล่ืน ลมมรสุมต่าง ๆ ส่วนสจั ธรรมที่ทรงกล่าวถึงคือเรื่องของการทางานทุกอยา่ งยอ่ มมีปัญหาและอปุ สรรคเกิดข้ึน อีกท้งั ยงั ทรงอาสาที่จะถวายชีวิตรับใช้ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เเละยงั ไดถ้ วายพระพรใหร้ ัชกาลที่๕ ทรงฟ้ื นจากอาการประชวรโดยเร็วเพอื่ เก้ือกูลและสร้างความเจริญแก่ ประเทศไทยตลอดไป

13 เนื้อเร่ืองเตม็ เฉพาะทเี่ รียน (แบบย่อ) วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ในช่วงหลงั ของตริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๙ ทวีปยโุ รปเกิดการปฏิวตั ิอุตสาหกรรมและการเติบโตของลทั ธิจกั รวรรดินิยมท่ีนาไปสู่การแผ่อิทธิพล ของชาติตะวนั ตกในภูมิภาค ต่างๆของโลก เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ข้ึนครองราชยใ์ น พ.๓. ๒๔๑๑ ประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย ตอ้ งเผชิญกบั การคุกคามจากซาติมหาอานาจโดยเฉพาะองั กฤษและฝรั่งเศสซ่ึงกาลงั ขยายอิทธิพลเขา้ มาอย่างเต็มที่ นอกจากท้งั สองชาติจะแข่งขนั กนั แสวงหาผลประโยชน์ทางการดา้ นการเมือง และวฒั นธรรมในประเทศไทยแลว้ ยงั มีเป้าหมายท่ีจะยึดครองประเทศราชของไทยอนั ไดแ้ ก่ กมั พูชา ลาว และดินแดนในแหลมมลายตู อนเหนือดว้ ย

14 หลงั จากฝรั่งเศสไดก้ มั พชู าและเวยี ดนามเป็นอาณานิคม กเ็ ร่งสารวจหวั เมืองลาวและพยายามจะขยายอาณาเขตของตนออกไปจนถึงฝ่ังแม่น้าโขง วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เกิดจากความขดั แยง้ ระหว่างไทยกบั ฝร่ังเศสเรื่องเขตแดนทางตา้ นหลวงพระบางน้ีเอง เริ่มตนั ดว้ ยการกระทบกระทง่ั กนั ของกาลงั ทหารท้งั สองฝ่ ายและต่อมาไดข้ ยายวงกวา้ งออกไปถึงเรื่องคนในบงั คบั และธุรกิจของคนในบงั คบั ขณะที่ความขดั แยง้ ทวคี วามรุนแรงข้ึนเรื่อยๆ ผแู้ ทนทางการ ทูตของท้งั สองประเทศไดพ้ ยายามเจรจาเพ่ือหาทางออกในการแกป้ ัญหาแต่ไม่สาเร็จ ในวนั ที่ ๑๓ กรกฎาคมร.ศ. ๑๑๒ กองเรือรบของฝร่ังเศสจึงไดร้ ุกล้าเขา้ มาถึงปากแม่น้าเจา้ พระยา จนเกิดการยิงต่อสู้กบั ทหารไทยที่ประจาป้อมพระจุลจอมเกลา้ และป้อมผีเส้ือสมุทรท่ีปากน้า ในที่สุดเรือปื นของฝรั่งเศส ๒ลาก็ แลน่ ผา่ นเขา้ มาจอดทอดสมอหนา้ สถานทูตฝรั่งเศสได้ ฝร่ังเศสยนื่ คาขาดหลายประการ เช่น การเรียกร้องสิทธิเหนือดินแดน และการเรียกร้องค่าปรับจานวน มาก เม่ือรัฐบาลไทยใหค้ าตอบล่าชา้ เรือรบฝร่ังเศสกแ็ ล่นออกไปปิ ดอ่าวไทย กาถูกปิ ดน่านน้าประกอบกบั ขาดการสนบั สนุนจากประเทศองั กฤษซ่ึงไทยหวงั วา่ จะช่วยถ่วงดุลอานาจของฝร่ังเศส ทาใหไ้ ทยตอ้ งยอมอ่อนขอ้ ใหฝ้ รั่งเศสอยา่ งไม่มีเง่ือนไข วิกฤตการณ์คร้ังน้ีจบลงดว้ ยการลงนามในสนธิสัญญากรุงเทพฯ เมื่อวนั ท่ี ๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ ระหว่างรัฐบาลไทยกบั ฝร่ังเศส ทาใหไ้ ทยเสียสิทธิเหนือดินแดนฝั่งซา้ ยแม่น้าโขงและเสียอานาจการปกครองคนในบงั คบั ชาว อินโดจีนให้แก่ฝร่ังเศส นอกจากน้ีฝรั่งเศสยงั เขา้ ยึดครองจงั หวดั จนั ทบุรีไวเ้ ป็ นประกนั และเตรียมแผนการท่ีจะยึดครองดินแดนอ่ืนๆ ของไทยต่อไปดว้ ย พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวตอ้ งทรงดาเนินวิเทโศบายทางการทูตดว้ ยความอดทนและน่ิมนวล ทรงพยายามแสวงหาพนั ธมิตรจากมหาอานาจ อ่ืนๆ ไวค้ อยช่วยเหลือเจรจาและทรงยอมผอ่ นปรนใหก้ บั ขอ้ เรียกร้องต่าง ๆ ของฝร่ังเศสบา้ ง ความขดั แยง้ กบั ฝร่ังเศสซ่ึงกินเวลายาวนานต่อมาถึง ๑๔ ปี จึงได้ ยตุ ิลง ไทยไดจ้ งั หวดั จนั ทบุรีและตราดกลบั คืนมา กล่าวไดว้ ่า พระบทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงนาพาประเทศใหผ้ า่ นพนั วิกฤตอนั ย่ิงใหญ่น้นั มา ไดด้ ว้ ยพระปรีชาสามารถ แมจ้ ะตอ้ งสูญเสียดินแดนบางส่วนไปบา้ ง แต่กท็ รงรักษาแผน่ ดินผนื ใหญ่ของเราไวไ้ ดท้ าใหไ้ ทยสามารถดารงเอกราชและอธิปไตย สืบมาจนทุกวนั น้ี

15 ยทุ ธนาวีที่ปากน้าและเหตุการณ์ต่างๆท่ีเกิดข้ึนอมาใน ร.ศ. ๑๑๒ ท้งั การยื่นคาขาดของฝรั่งเศสการไม่ไดร้ ับความช่วยเหลือจากองั กฤษการท่ี จนั ทบุรีถูกฝร่ังเศสยดึ เป็นประกนั ฯลฯ ไดท้ าใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซ่ึงทรงพระประชวรดว้ ยโรคพระหทยั มาก่อนแลว้ ทรงเกิดความ ทุกข์โทมนสั และตรอมพระทยั เป็ นอย่างยิ่งจนพระอาการประชวรทรุดหนักลงดงั ที่สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการเสนาบดี กระทรวงต่างประเทศทรงพระนิพนธ์ไวใ้ นลายพระหตั ถถ์ ึงเจา้ พระยาอภยั ราชา ที่ปรึกษาราชการแผน่ ดินชาวเบลเยียมว่า “ ท่านกท็ ราบดีอยวู่ า่ เม่ือคร้ังท่ีเรา มีเร่ืองขดั แยง้ กบั ฝร่ังเศสพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เคยทรงหวงั พ่ึงองั กฤษความผิดหวงั อยา่ งรุนแรงที่ทรงรู้สึกในคร้ังน้นั แทบจะทาใหพ้ ระทยั แตกสลาย หรือสิ้นพระชนมส์ งทีเดียว“ นอกจากน้นั ในพระราชหตั ถเลขาของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ท่ีพระราชทานไปยงั สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอเจา้ ฟ้ามหาวชิราวุธ ที่ประเทศองั กฤษระหวา่ งเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม ร.ศ. ๑๑๒ กท็ รงเลา่ ถึงพระอาการประชวรไวโ้ ดยตลอดเช่น ....เป็นฝี ที่ตะโพกขา้ งหน่ึงมีเส้นสันระหว่างหนา้ แขง้ กบั ทอ้ งน่องขา้ งหน่ึงซ่ึงใคร ๆ เขากร็ ้องว่าไม่เป็นไร แต่ตวั พ่อเองรู้สึกไม่สบายมากตวั ร้อนแลดูเป็นพิษร้อนเหมือนฝาหอยใหญ่ ๆ เท่า ๆ ฝ่ ามือพลงั ๆ ข้ึนมาในอกนอนกไ็ ม่ค่อยจะหลบั เพราะตอ้ งนอนหงายอยทู่ า้ เดียว .. ความลาบากที่จะตอ้ ง นอนแซวอยเู่ ช่นน้นั แลตวั ร้อนอยเู่ สมอ ๆ ภายหลงั ลงมาชวั่ โมงกท็ าใหไ้ ดค้ วามลาบากเป็นอนั มาก แต่ตอ้ งนอนแผอ่ ยเู่ ช่นน้ีถึง ๒๐ วนั จนแผลท่ีตะโพกหาย ลงข้ีผ้ึงเป็น แต่นอนทบั ยงั เจบ็ เน้ือใหม่อยู่ แต่ขา้ งซา้ ยยงั มีแผลลึกสกั กระเบียดหน่ึงซ่ึงลดลงกวา่ แต่ก่อนเป็นอนั มากในเวลาท่ีไม่สบายน้นั ทาอะไรกไ็ ม่ไดใ้ ห้ กลดั กลมุ้ ในใจมีร้อนเป็นเบ้ืองหนา้ พอ่ ไดร้ ับหนงั สือสองฉบบั อา่ นเองกไ็ ม่ไดใ้ นเวลาเจบ็ น้ีพออ่านแลว้ กอ็ าเจียนแลลืมเน้ือความดว้ ย ... ในระหว่างท่ีทรงพระประชวรหนกั น้ีความเจบ็ ปวดทุกขท์ รมานท้งั พระวรกายและพระทยั ทาให้ทรงหมดกาลงั ท่ีจะดารงพระชนมช์ ีพต่อไปจึงหยุดเสวย พระโอสถและไดท้ รง

16 พระราชนิพนธ์บทโดลงและฉนั ทข์ ้ึนบทหน่ึงเพ่ือทรงลาเจา้ นายพี่นอ้ งบางพระองคเ์ ช่นพระนางเจา้ สุขมุ าลมารศรีพระราชเทวี” ซ่ึงทรงเฝ้า พยาบาลพระอาการอยโู่ ดยตลอดและพระเจา้ นอ้ งยาเธอกรมหมื่นตารงราชานุภาพ (พระยศในขณะน้นั ) พระนางเจา้ สุขมุ าลมารศรีพระราชเทวีไดท้ รง พระนิพนธ์โคลงสี่สุภาพ ๓ บทถวายตอบพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ส่วนสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพไดท้ รง พระนิพนธ์อินทรวิเชียรฉันท์จานวน ๒๖ บทถวายตอบเช่นกนั ดงั ที่หม่อมเจา้ หญิงพูนพิศมยั ดิศกุลพระธิดาทรงบนั ทึกไว้ กลวั เป็ นทวิราชบตริป้อง อยธุ ยาในบทพระราชนิพนธ์ส่วนแรกซ่ึงประกอบดว้ ยโคลงส่ีสุภาพ ๗ บทพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวทรงข้ึนตน้ ดว้ ยการแสดงความ กงั วลพระทยั ท่ีทรงพระประชวรอย่างหนกั เป็นเวลานานทาใหเ้ ป็นภาระอนั “ หนกั อกผูบ้ ริรักษ์” ท้งั ปวงความกงั วลพระทยั น้ีเมื่อประกอบกบั ความ“ เจบ็ ” ท้งั พระวรกายและพระทยั ของพระองคร์ วมท้งั มีทรงสามารถปฏิบตั ิพระราชกรณียกิจไดอ้ ยา่ งเตม็ พระกาลงั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในยามวิกฤติเช่นน้นั จึงทาใหพ้ ระทยั “ บมีสมาย” เพ่ิมอีกประการหน่ึงจึงมีพระราชประสงคท์ ี่จะ“ ลาลาญหกั ” จากภพน้ีเพื่อปลดเปล้ืองความทุกขค์ วามเหน็ดเหนื่อยของผทู้ ่ี เฝ้ารักษา พยาบาลและของพระองคเ์ องถึงกระน้นั ก็ดีพระองคท์ รงตระหนกั ดีว่าพระองคย์ งั ไม่สามารถเสด็จไป“ สู่ภพเบ้ืองหนา้ ” ตามพระทยั หมาย เพราะทรงมีภาระหน้าที่อนั หนักยิ่งกว่าผูใ้ ดในแผ่นดินคือตอ้ งทรงปกป้องรักษาบา้ นเมืองเอาไวใ้ ห้แก่ประชาชนไทยทุกคนการท่ีทรงใชภ้ าพพจน์ ประเภทอปุ ลกั ษณ์เปรียบภาระหนา้ ที่เป็นตะปูที่ยดึ ตรึงพระบาทของพระองคไ์ วช้ ่วยใหผ้ อู้ ่านเกิดจินตภาพอนั แจ่มชดั วา่ พระองคท์ รงตกอยใู่ นความทุกข์ อนั แสนสาหสั เพียงใดและไม่ทรงสามารถปลดเปล้ืองความทุกขน์ ้นั ออกไปได้

17 ในพระราชนิพนธ์ส่วนท่ีสองซ่ึงแต่งดว้ ยอินทรวิเชียรฉนั ทพ์ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวทรงบรรยายความรู้สึกเหนื่อยหน่ายหมด กาลงั พระทยั ท่ีจะทรงรักษาพระองคอ์ นั เป็นผลมาจากพระอาการประชวรท่ีดาเนินต่อเนื่องมายาวนานและที่ทาใหท้ รง“ กลดั กลุม้ ” มากข้ึนไปอีกก็คือทรง ทราบดีว่าแมจ้ ะหายจากพระอาการประชวรและกลบั มาทรงงานไดอ้ ย่างเตม็ ที่กม็ ิใช่วา่ จะทรงสามารถแกป้ ัญหา“ ศิระกลุ่มอุราตรึง” ลงไดเ้ พราะการหาทาง ป้องกนั รักษาบา้ นเมืองใหร้ อดพน้ จากเง้ือมมือของฝรั่งเศสเป็นเร่ืองยากย่ิงดงั ที่ทรงพรรณนาว่า“ ลาบากฤทยั ” ยิ่งนกั เพราะเมื่อทรง“ ตริ” อยา่ งไรกด็ ูจะถูก“ ตรึง”“ ริง”“ รัด” คือติดขดั ไปโดยตลอดท้งั หมดคิดจะทรง“ เกี่ยงแก”้ อยา่ งไรกม็ ิทรงมองเห็น“ เง่ือนสาย” การท่ีทรงมองไม่เห็นทางออกในการแกไ้ ขปัญหา น้ีก่อให้เกิดความกงั วลอนั ใหญ่หลวงที่สุดข้ึนในพระทยั คือทรงหวนั่ ไหวว่าหากทรงรักษาชาติไวไ้ ม่ไดแ้ ละตอ้ ง“ เสียเมือง” ไปพระองค์ก็จะทรงเป็ น เช่นเดียวกบั “ ทวิราช” คือสมเดจ็ พระมหินทราธิราชและสมเดจ็ พระเจา้ เอกทศั ในคราวเสียกรุงศรีอยธุ ยาท้งั สองคร้ังและจะตอ้ งทรงถูกติฉินตลอดไปวา่ ไม่ สามารถประกอบพระราชกรณียกิจท่ีสาคญั ที่สุดของพระมหากษตั ริยค์ ือการปกป้องรักษาชาติบา้ นเมืองเอาไว้ ขอตายใหต้ าหลบั ดว้ ยช่ือนบั วา่ ชายชาญสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพทรงเร่ิมตน้ พระนิพนธ์ของพระองคด์ ว้ ยการถวายกาลงั พระทยั แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โดยทรงบรรยายให้เห็นว่าพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศแ์ ละเสนาบดีท่ีทรงปฏิบตั ิงานย่าง ใกลช้ ิดทรงตระหนกั วา่ พระอาการประชวรน้นั หนกั หนาสาหสั เพยี งใดทรงมีความวิตกกงั วลั ห่วงใยและพร้อมที่จะสละเลือดเน้ือและชีวิตหากจะช่วยบรรเทา พระอาการประชวรองไดด้ งั ขอ้ ความว่า“ เลือดเน้ือผีเจือยาใหห้ ายไดจ้ ะชิงถวาย” และมิใช่เพียงพระองคผ์ ูท้ รง“ อย่ใู กล”้ เท่าน้นั ที่บงั เกิดความ“ วิตกพนั จะ อปุ มา” แต่ประชาชนทวั่ ไปท้งั “ ไผทสยาม” กเ็ กิดความรู้สึกเช่นเดียวกนั ต่อพระมหากษตั ริยผ์ ูท้ รงเป็นท่ีรักยิง่ ดงั ปรากฏในคาประพนั ธ์ว่า“ ทุกหนา้ ทุกสาคูบ พบผจู้ ะฟังสบายปรับทุกขท์ ุรนรายกนั มิเวน้ ทิวาวนั ”

18 หลงั จากถวายกาลงั พระทยั แลว้ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพกถ็ วายขอ้ คิดวา่ คนไทยทุกหมู่เหล่าซ่ึงเปรียบเสมือนลูกเรือ ของเรือสยามกาลงั ตกอยใู่ นภาวะสบั สนไม่รู้จะทาประการใดเริ่มต้งั แต่“ ระเหวว่ า้ ”“ ฉงน”“ คลางแคลง” \"แหนง” พระแวง”“ อึดอดั ” จนกระทงั่ ในท่ีสุดกเ็ กิด “ ทุกขท์ วีทุกวนั วาร” ท้งั น้ีเพราะตอ้ งอยู่“ ห่างบตียาน” คือพระองคผ์ ูท้ รงเป็นใหญ่ในเรือจึงมีพกั จะตอ้ งทรงบรรยายต่อไปว่าหากเรือขาด“ กะปิ ตนั ” ที่ทรง เป็นท้งั ผนู้ าและศูนยร์ วมจิตใจของชาติลูกเรือหรือประชาชนท้งั หลายจะตกอยใู่ นสภาวะเช่นไรจากน้นั พระองคไ์ ดก้ ราบทูลพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ใหท้ รงตระหนกั ในสัจธรรมที่วา่ การดาเนินกิจการงานใด ๆ ยอ่ มตอ้ งพบอุปสรรคดว้ ยกนั ท้งั สิ้นโดยทรงใชภ้ าพพจนแ์ บบอุปมาเปรียบเทียบ“ บรรดา กิจ” กบั เรือที่แล่นไปในทะเลซ่ึงย่อมตอ้ งเผชิญกบั พายเุ ป็นธรรมดาการจะผ่านพายไุ ปใหพ้ น้ กต็ อ้ งได“้ แรงระดม” จากท้งั กปั ตนั และลูกเรือทุกคนคือตอ้ งมี ความร่วมมือร่วมใจและความอุตสาหะพยายามอย่างถึงท่ีสุดเม่ือไดท้ าเช่นน้นั แลว้ แมเ้ รือจะจมลงทุกคนกย็ งั มีความภูมิใจและย่อมไดร้ ับคาสรรเสริญเรื่อง ความมานะบากบนั่ กลา้ หาญการที่จะ“ ทอดธุระน่ิงบวุ่นว่ิงเยียวยาทา” ไม่ก่อผลดีอย่างใดเพราะเรือยอ่ มจะจมลงแน่นอนท้งั ยงั จะถูกตาหนิดว้ ยว่ารลาดเขลา และเมาเมิน” ต่อจากการถวายขอ้ คิดสมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพไดท้ รงอาสาท่ีจะถวายชีวิตรับใช้ปฏิบตั ิหน้าที่ตามพระราชบญั ชาของ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จนสุดกาลงั สอดคลอ้ งกบั คติโบราณท่ีวา่ “ อาสาเจา้ จนตวั ตาย” และยงั ทรงขยายความต่อไปดว้ ยวา่ แมช้ ีวิตจะสูญไปกจ็ ะ“ ตายให้ ตาหลบั ดว้ ยช่ือนับว่าชายชาญเพราะไดป้ ระกอบกิจที่พึงกระทาโดยเต็มกาลงั แลว้ เห็นไดช้ ดั ว่าองค์ผูท้ รงพระนิพนธ์มีพระประสงค์จะใชภ้ าพพจน์น้ีเป็ น เคร่ืองกระตุ้นให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเกิดพระขัตติยมานะที่จะต่อสู้กับอุปสรรคอย่างเต็มท่ีหากมิใช่เพื่อให้สมกับที่ทรงเป็ น พระมหากษตั ริยอ์ ยา่ งนอ้ ยกเ็ พอ่ื ใหส้ มกบั ท่ีทรงเป็น“ ชายชาญ”

19 ผูห้ น่ึงพระนิพนธ์จบลงดว้ ยการถวายพระพรให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงฟ้ื นจากพระอาการประชวรโดยเร็วและมีพระราช หฤทยั ที่ผ่องแผว้ ปลอดโปร่งจาก“ เหตุท่ีขุ่นขดั ” อนั จะทาให้“ วิบตั ิพระขนุ ดี \"กบั มีพระชนมายุยืนยาวเพื่อ“ สยามรัฐพิพฒั น์ผล” เห็นไดช้ ดั ว่าใน ฉันท์ถวายตอบน้ีสมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพต้งั พระทยั ท่ีจะถวายท้งั คาปลอบประโลมให้คลายความทุกข์โทมนัส คายนื ยนั ถึงความจงรักภกั ดีท่ีพระองคแ์ ละประชาชนไทยมีต่อพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั คาเตือนใจอนั เป็นสัจธรรมคาปลุกใจใหล้ ุกข้ึนต่อสู้โดย ไม่ยอมแพต้ ่ออปุ สรรครวมถึงคาอวยพรท่ีแฝงดว้ ยการฝากความหวงั ของประเทศชาติไวด้ ว้ ยการใชภ้ าษาที่ทรงพลงั และภาพพจน์ท่ีสื่อความไดล้ ึกซ้ึง กินใจเมื่อประกอบเขา้ กบั การจดั เรียงลาดบั เน้ือหาไดอ้ ย่างเหมาะสมคาฉันท์บทน้ีจึงบรรลุผลอย่างงดงามในการสร้างกาลงั พระราชหฤทยั ให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวในอนั ที่จะทรงมีชีวิตอยู่อย่างเขม้ แข็งเพ่ือทรงนาพา“ รัฐนาวาสยาม” ให้ผ่านพน้ จากลมพายุไปไดอ้ ย่าง ปลอดภยั

20 วเิ คราะห์คุณค่า 1.วเิ คราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา รูปแบบ ลกั ษณะคาประพนั ธท์ ่ีใชแ้ ต่ง ผแู้ ต่งเป็นโคลงส่ีสุภาพและอินทรวเิ ชียรฉนั ท์ ซ่ึงเหมาะสมแก่การเขียน จดหมายเพื่อการสื่อสารลกั ษณะการ แต่งถูกตอ้ งตามฉนั ทลกั ษณ์บงั คบั ของคาประพนั ธ์เป็นร้อยกรอง ที่ใชท้ ้งั บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร คาอุปมา คาสญั ลกั ษณ์ อุป ลกั ษณ์ สมั ผสั อกั ษร-สระ ฯลฯ ซ่ึงเป็นจดหมายอาลา ญาติและเป็นพระราชหตั ถเลขาอาลาพระบรมวงศานุวงศ์ (เป็นสาสน์ตอบกลบั )

21 วเิ คราะห์คุณค่า องค์ประกอบของเร่ือง สาระ : ผแู้ ต่งไดแ้ ต่ง เป็นพระราชหตั ถเลขาอาลาพระบรมวงศานุวงศ์ (เป็นสาสนต์ อบกลบั ) เนน้ การส่ือสาร เป็นหลกั ซ่ึงกลา่ วถึง การถวายกาลงั พระทยั ในหลวงในเร่ืองเหตุการณ์บา้ นเมืองและอาการประชวรชาติไทยตอ้ งการผนู้ าและศนู ยร์ วมจิตใจ ทุกอยา่ งตอ้ งมีอปุ สรรคแมว้ า่ ในที่สุดจะไม่ สามารถตา้ นทานส่ิงในไดก้ ส็ ามารถภูมิใจไดว้ า่ ทาดีท่ีสุดแลว้ เจบ็ นานหนกั อกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย ผวิ พอกาลงั เรือ กแ็ ล่นรอดไม่ร้าวราน คิดใคร่ลาลาญหกั ปลดเปล้ือง หากกรรมจะบนั ดาล กค็ งลม่ ทุกลาไป ความเหน่ือยแห่งสูจกั พลนั สร่าง ฉะน้ีอยทู่ ุกจิตใจ ตูจกั สู่ภพเบ้ือง หนา้ น้นั พลนั เขษม ชาวเรือกย็ อ่ มรู้ ตอ้ งจาแกด้ ว้ ยแรงระดม แต่ลอยอยตู่ ราบใด

22 1.วเิ คราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา โครงเร่ือง : การเขียนจดหมายโตตอ้ บระหวา่ งพระมหากษตั ริยแ์ ละคนสนิทของพระองคโ์ ดยเน้ือหาของ จดหมายส่วนแรกกลา่ วถึงอาการป่ วยความหนกั ใจและความอึดอดั ใจของพระองคท์ ี่ไม่สามารถละทิ้ง บา้ นเมืองไปไดแ้ ละเน้ือหาในส่วนหลงั เป็นการโตตอ้ บกลบั มาของลูกนอ้ งคนสนิทซ่ึงมีเน้ือความใหก้ าลงั ใจ และถวายชีวิตรับใชพ้ ระมหากษตั ริยข์ องตน ตวั ละคร : 1.พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รักประเทศและประชาชนของพระองคเ์ ห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลกั โดยในขณะที่ประชวรหนกั กย็ งั ทรง กงั วลพระทยั ที่ไม่สามารถปฏิบตั ิพระราชกรณียกิจไดเ้ ตม็ พระกาลงั ดงั ความตอนหน่ึงวา่ ตะปูดอกใหญ่ตร้ึง บาทา อยเู่ ฮย จึง บ อาจลีลา คล่องได้

23 2.สมเดจ็ พระยาดารงราชานุภาพ มีบุคลิกท่ีเป็นคนกตญั ญู มีพฤติกรรมที่ดีต่อพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประชาชนในแผน่ ดินกม็ ีความจงรักภกั ดีและเคารพต่อพระ เจา้ อยหู่ วั ของแผน่ ดินตน อนั พระประชวรคร้ัง น้ีแทท้ ้งั ไผทสยาม เหล่าขา้ พระบาทความ วติ กพน้ จะอุปมา ท้งั รู้ใช่วา่ หนกั หนา ประสาแต่อยใู่ กล้ ใหห้ ายไดจ้ ะชิงถวาย เลือดเน้ือผิเจือยา ฉากและบรรยากาศ : ในบทพระราชนิพนธ์ ไม่ไดก้ ลา่ วถึงโดยตรงถึงสถานท่ีใดสถานท่ีหน่ึง แต่ตวั ประวตั ิศาสตร์ไดก้ ล่าววา่ บทกวีพระราชนิพนธ์ขตั ติ พนั ธกรณี ไดถ้ ูกคดั มาจากพระราชหตั ถเลขาของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ถึงท่ีประชุมเสนาบดี ลงวนั ที่ 10 เมษายน ร.ศ. 112 ขณะข้ึน เรือพระท่ีนง่ั มหาจกั รี หลงั จากเสดจ็ พระราชดาเนิน สารวจป้อมท่ีตาบลแหลมฟ้า และการก่อสร้างป้อมพระจุลจอมเกลา้

24 กลวธิ ีในการแต่ง : ผแู้ ต่งเลือกใชถ้ อ้ ยคาและการนาเสนออยา่ งตรงไปตรงมา โดยมีความเปรียบในบางบท นาเสนอโดยสร้าง ภาพพจนอ์ ยา่ งน่าดึงดูดและน่าสนใจ เช่น สลาตนั เป็นสัญลกั ษณ์ หมายถึง อปุ สรรค ธรรมดามหาสมทุ ร มีคราวหยดุ พายผุ นั มีคราวสลาตนั ต้งั ระลอกกระฉอกฉาน กแ็ ลน่ รอดไม่ร้าวราน ผิวพอกาลงั เรือ กค็ งลม่ ทุกลาไป หากกรรมจะบนั ดาล

25 2.วเิ คราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ วเิ คราะห์วรรณคดดี ้านโวหาร เป็ นฝี สามยอดแลว้ ยงั ราย ส่านอ ปวดเจบ็ ใครจกั หมาย ช่วยได้ ใช่เป็ นแต่ส่วนกลาย เศียรกลดั กลมุ้ แฮ ใครต่อเป็ นจ่ึงผู้ นนั่ น้นั เห็นจริง พรรณนาโวหาร กวีเลือกใชค้ าง่ายๆ แต่ส่ืออารมณ์ไดอ้ ยา่ งดี ทรงเล่าถึงพระอาการประชวรวา่ เป็นฝีสามยอด และยงั มีส่าไขเ้ ป็นผืน่ ไปทว่ั เจบ็ ปวดอยา่ งไม่น่าเช่ือ การประชวรคร้ังน้ีมิใช่แต่พระวรกายแต่ยงั ทรงกลดั กลุม้ พระราชหฤทยั ดว้ ยผใู้ ดไดม้ าเป็นเช่นพระองคจ์ ึงจะรู้ถึงความ เจบ็ ปวดวา่ มากเพยี งใด

26 เปรียบตวั เหมือนอยา่ งมา้ ท่ีเป็ นพาหนยาน ผกู เคร่ืองบงั เหียนอาน ประจาหนา้ พลบั พลาชยั อปุ มาโวหาร เปรียบตวั ขา้ พระพทุ ธเจา้ เหมือนอยา่ งมา้ ท่ีเป็นพาหนะผกู เคร่ืองพร้อมประจาอยทู่ ี่หนา้ พลบั พลา ผวิ ทอดธุระนิ่ง บ วนุ่ ว่ิงเยยี วยาทา ท่ีสุดกส็ ูญลา เหมือนที่แกไ้ ม่หวาดไหว ใหเ้ ตม็ แยจ่ ึงจมไป ผิดกนั แต่ถา้ แก้ วา่ ขลาดเขลาและเมาเมิน ใครห่อนประมาทใจ เทศนาโวหาร หากนิ่งเฉยไม่ขวนขวายที่จะแกไ้ ขหรือทาอะไรเลย ในที่สุดกจ็ ะสูญเสียเรือท้งั ลาเหมือนกบั ที่ แกไ้ ขปัญหาไม่ได้ แตกต่างกนั ตรงท่ีวา่ ถา้ มีการแกไ้ ขอยา่ งเตม็ กาลงั ความสามารถแลว้ เรือยงั จม กจ็ ะไม่มีใคร สบประมาทได้

27 ฉนั ไปปะเดก็ หา้ หกคน โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิบเคลิ้ม เชิญเครื่อง ถามเขาวา่ เป็นคน ริกเร้าเหงาใจ ไปท่ีหอศพเริ้ม บรรยายโวหาร พระองคเ์ สดจ็ ไปพบเดก็ แต่งชุดขาวประมาณหา้ ถึงหกคน ทาหนา้ ที่เป็นคนเชิญเครื่องในพิธีศพทาใหร้ ู้สึกเศร้า พระราชหฤทยั กลว้ ยเผาเหลืองแก่ก้า เกินพระ ลกั ษณ์นา แรกกอ็ อกอร่อยจะ ใคร่กล้า นานวนั ยง่ิ เครอะคระ กลืนยาก ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้า แดกสิ้นสุดใบ สาธกโวหาร กลว้ ยเผาจนเหลืองทีแรกกอ็ ร่อย ใครๆกอ็ ยากกิน แต่พอหลายวนั เขา้ กแ็ ขง็ กลืนยากจะเอาสอ้ มจิ้มก่ีคร้ังกไ็ ม่ออ่ น ลงได้

28 วเิ คราะห์วรรณคดดี ้านความงาม  คาไวพจน์ = ป้อง บริรักษ์ = หกั ลาญ = ขา้ ขา้ พเจา้ อญั ขยม = สุข อุรา สบาย เขษม = ศิระ ศิโรตม์ เศียร เกศ = บาท พระบาท เบ้ืองบาท บาทา = วติ ก กลวั ขลาด = มโน ฤทยั อรุ ะ พระทยั มะนะ = สิ้น มลาย สูญ หาย ละลาย ตาย มว้ ย = อตั รา นิตย์

29 แล = ดู มโน = ดาริ ตริ อปุ มา คิด นึก ประชวร = เจบ็ ปวด วราพาธ ถวาย = แก่ ให้ เปรียบ = ดุจ คลา้ ย เยย่ี ง แหนง = หมาง ระแวง หวาด กิจ = ธุระ อาดูร = วนุ่ ไคล = เสดจ็ ไป อนุกูล = ช่วย สลาตนั = พายุ

30 ไม่ = บ ละ ทวี = พนู มาก เพ่ิม ไคล = ไป ลีลา คล่อง ขาว = ยล วนั = ทิวา

31  อตพิ จน์  กลว้ ยเผาเหลืองแก่ก้า เกินพระ ลกั ษณ์นา  เลือดเน้ือผเิ จือยา ใหห้ ายไดจ้ ะชิงถวาย  คาซ้า  เจบ็ นานหนกั อกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหกั ปลดเปล้ือง ความเหน่ือยแห่งสูจกั พลนั สร่าง ตูจกั สู่ภพเบ้ือง หนา้ น้นั พลนั เขษม  เป็นฝีสามยอดแลว้ ยงั ราย ส่านอ ปวดเจบ็ ใครจกั หมาย เช่ือได้ ใช่เป็ นแต่ส่วนกาย เศียรกลดั กลมุ้ แฮ ใครต่อเป็ นจ่ึงผู้ นนั่ น้นั เห็นจริง

32  เป็นเดก็ มีสุขคลา้ ย ดีรฉาน รู้สุขรู้ทุกขห์ าญ ขลาดดว้ ย ละอยา่ งละอยา่ งพาล หยอ่ นเพราะ เผลอแฮ คลา้ ยกบั ผจู้ วนมว้ ย ชีพสิ้นสติสูญ  กลวั เป็นทวริ าช บ ตริป้องอยธุ ยา เสียเมืองจึงนินทา บ ละเวน้ ฤ วา่ งวาย  นายกลประจาจกั ร จะใชห้ นกั กน็ ึกแหนง จะรอกร็ ะแวง จะไม่ทนั ธุรการ  อึดอดั ทุกหนา้ ที่ ทุกขท์ วีทุกวนั วาร เหตุห่างบดียาน อนั เคยไวน้ ้าใจชน  ถา้ จะวา่ บรรดากิจ กไ็ ม่ผดิ ณ นิยม เรือแล่นทะเลลม จะเปรียบต่อกพ็ อกนั

33  ธรรมดามหาสมทุ ร มีคราวหยดุ พายผุ นั มีคราวสลาตนั ต้งั ระลอกกระฉอกฉาน  ผวิ พอกาลงั เรือ กแ็ ลน่ รอดไม่ร้าวราน หากกรรมจะบนั ดาล กค็ งล่มทุกลาไป  ชาวเรือกย็ อ่ มรู้ ฉะน้ีอยทู่ ุกจิตใจ แต่ลอยอยตู่ ราบใด ตอ้ งจาแกด้ ว้ ยแรงระดม  คอยพระประทบั อาสน์ กระหยบั บาทจะพาไคล ตามแต่พระทยั ไท ธ จะชกั ไปซา้ ยขวา  ไกลใกล้ บ ไดเ้ ลือก จะกระเดือกเตม็ ประดา ตราบเท่าจะถึงวา – ระชีวติ มลายปราณ  ขอจงวราพาธ บรมนาถเร่งเคล่ือนคลาย พระจิตพระวรกาย จงผอ่ งพน้ ท่ีหม่นหมอง

34  คาถามเชิงวาทศิลป์ ยงั ราย ส่านอ  เป็นฝีสามยอดแลว้ เชื่อได้ ปวดเจบ็ ใครจกั หมาย เศียรกลดั กลมุ้ แฮ ใช่เป็ นแต่ส่วนกาย นนั่ น้นั เห็นจริง ใครต่อเป็ นจ่ึงผู้ ก็ บ พบซ่ึงเงื่อนสาย  คิดใดจะเก่ียงแก้ จึงจะอดุ แลเลยสูญ สบหนา้ มนุษยอ์ าย กไ็ ม่ผิด ณ นิยม  ถา้ จะวา่ บรรดากิจ จะเปรียบต่อกพ็ อกนั เรือแลน่ ทะเลลม ฉะน้ีอยทู่ ุกจิตใจ  ชาวเรือกย็ อ่ มรู้ ตอ้ งจาแกด้ ว้ ยแรงระดม แต่ลอยอยตู่ ราบใด

35  ผดิ กนั แต่ถา้ แก้ ใหเ้ ตม็ แยจ่ ึงจมไป ใครห่อนประมาทใจ วา่ ขลาดเขลาและเมาเมิน  อปุ ลกั ษณ์ นนั่ น้นั เห็นจริง  ใครต่อเป็นจ่ึงผู้ บาทาอยเู่ ฮย บ ตริป้องอยธุ ยา  ตะปูดอกใหญ่ตร้ึง ที่เป็ นพาหนยาน  กลวั เป็นทวริ าช  เปรียบตวั เหมือนอยา่ งมา้

36  สัมผสั อกั ษร สระ – เจบ็ นานหนกั อกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใครลาลาญหกั ปลดเปล้ือง สมั ผสั แพรวพราว ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ ความเหน่ือยแห่งสูจกั พลนั สร่าง สัมผสั แพรวพราว ตูจกั สู่พบเบ้ือง หนา้ น้นั พลนั เกษม ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ – ชีวิตมนุษยน์ ้ี เปลี่ยนแปลง จริงนอ มีการเล่นเสียง น สมั ผสั แพรวพราว ทุกขแ์ ละสุขพลิกแพลง มากคร้ัง โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยยี่ ง อยา่ งนา ชวั่ นบั เจด็ ทีท้งั เจด็ ขา้ งฝ่ ายดี – เจบ็ นานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเร่ืองบารุงกาย ส่วนจิต บ มีสบาย ศิระกลุม้ อรุ าตรึง

37 – ทุกหนา้ ทุกตาตู บ พบผจู้ ะพงึ สบาย สมั ผสั แพรวพราว ปรับทุกขท์ ุรนทุราย กนั มิเวน้ ทิวาวนั มีการเล่นเสียง ว สมั ผสั แพรวพราว ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ วะเหวว่ า้ กะปิ ตนั สัมผสั แพรวพราว ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ – ดุจเหวา่ พละนา- ทิศทางกค็ ลางแคลง มีการเลน่ เสียง น สมั ผสั แพรวพราว ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ นายทา้ ยฉงนงนั ทุกขท์ วที ุกวนั วาร มีการเลน่ เสียง ล สมั ผสั แพรวพราว ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ อนั เคยไวน้ ้าใจชน – อึดอดั ทุกหนา้ ท่ี อุปมาบงั คมทูล เหตุห่างบดียาน แต่ที่พระประชวรนาน – น้ีในน้าใจขา้ จะวิบตั ิพระขนั ตี ทุกวนั น้ีอาดูร ละลืมเลิกละลายสูญ – ขอเหตุที่ข่นุ ขดั จงคลายเหมือนหลายปี

38  นามนัย  เป็นเดก็ มีสุขคลา้ ย ดีรฉาน ดีรฉาน = สัตวด์ ีรฉาน  ขอเดชะเบ้ืองบาท วรราชะปกศี เบ้ืองบาท = พระมหากษตั ริย์ ร.5  ดุจเหล่าพละนา- วะเหวว่ า้ กะปิ ตนั กะปิ ตนั = กปั ตนั เรือ (เปรียบมหากษตั ริย)์  นายกลประจาจกั ร จะใชห้ นกั กน็ ึกแหนง นายกล = ผดู้ ูแลเครื่องจกั เรือ(ขา้ ราชการ/ขา้ ราชการบริพาร)  เหตุห่างบดียาน อนั เคยไวน้ ้าใจชน บดียาน = นายเรือ เจา้ ของเรือ  ชาวเรือกย็ อ่ มรู้ ฉะน้ีอยทู่ ุกจิตใจ ชาวเรือ = ปวงชน

39  คาปฏิพากย์ ขลาดดว้ ย  รู้สุขรู้ทุกขห์ าญ มากคร้ัง  ทุกขแ์ ละสุขพลิกแพลง เจด็ ขา้ งฝ่ ายดี  ชว่ั นบั เจด็ ทีท้งั ขลาดดว้ ย  รู้สุขรู้ทุกขห์ าญ  คาอพั ภาส ละลืมเลิกละลายสูญ  จงคลายเหมือนหลายปี  อปุ มา เป็นเยย่ี ง อยา่ งนา  โบราณท่าจึงแสดง ชวั่ นบั เจด็ ทีท้งั เจด็ ขา้ งฝ่ ายดี แปล ชีวิตคนเราน้นั เปลี่ยนแปลงอยเู่ สมอมีท้งั ทุกขแ์ ละสุขสลบั กนั ไป ดงั คาโบราณท่ีวา่ ชวั่ เจด็ ทีดีเจด็ หน(ขอ้ ความน้ีแสดงถึงความไม่ แน่นอน)

40  เป็นเดก็ มีสุขคลา้ ย ดีรฉาน แปล ในยามท่ีเป็นเดก็ น้นั มีความสุขเหมือนเดรัจฉาน  ละอยา่ งละอยา่ งพาล หยอ่ นเพราะ เผลอแฮ แปล ตามประสาเดก็ ๆ กอ็ าจพล้งั เผลอบกพร่องผดิ พลาดเพราะความเป็นเดก็  คลา้ ยกบั ผจู้ วนมว้ ย ชีพสิ้นสติสูญ แปล คลา้ ยกบั คนท่ีจวนจะตาย  เหล่าขา้ พระบาทความ วติ กพน้ จะอุปมา แปล ปวงชนชาวสยามและเหลา่ ขา้ พระบาทลว้ นแลว้ แต่รู้สึกวิตกกงั วลเกินกวา่ จะเปรียบได้  ดุจเหล่าพละนา- วะเหวว่ า้ กะปิ ตนั แปล เปรียบเหมือนชาวเรือท่ีขาดกปั ตนั

41  เรือแล่นทะเลลม จะเปรียบต่อกพ็ อกนั แปล เปรียบไดก้ บั เรือท่ีลอ่ งในมหาสมุทร  ท่ีสุดกส็ ูญลา เหมือนที่แกไ้ ม่หวาดไหว แปล ในท่ีสุดกส็ ูญเสียเรือท้งั ลาเหมือนกบั ท่ีแกป้ ัญหาไม่ไหว  น้ีในน้าใจขา้ อุปมาบงั คมทูล แปล น้าใจขา้ น้ีเปรียบไดด้ งั ที่บงั คมทูล  เปรียบตวั เหมือนอยา่ งมา้ ที่เป็นพาหนยาน แปล เปรียบขา้ พเจา้ เหมือนอยา่ งมา้ เป็นพาหนะ  สตั ยข์ า้ จงไดส้ ัม- ฤทธิดงั มโนหมาย แปล ขอใหค้ าอธิฐานจงสมั ฤทธ์ิผลดงั ใจหมาย

42  จินตภาพด้านการเคล่ือนไหว (นาฏการ)  ตูจกั สู่ภพเบ้ือง หนา้ น้นั พลนั เขษม  ชกั ตะปูน้ีให้ ส่งขา้ อญั ขยม  ทุกขแ์ ละสุขพลิกแพลง มากคร้ัง  ฉนั ไปปะเดก็ หา้ หกคน  ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ  ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้า แดกสิ้นสุดใบ  จนิ ตภาพด้านสี เคลิบเคลิม้ = เห็นสีขาว เกินพระ ลกั ษณ์นา = เห็นสีเหลือง  โกนเกศนุ่งขาวยล = เห็นสีแดง  กลว้ ยเผาเหลืองแก่ก้า ใหห้ ายไดจ้ ะชิงถวาย = เห็นความหม่นหมอง  เลือดเน้ือผิเจือยา จงผอ่ งพน้ ท่ีหม่นหมอง  พระจิตพระวรกาย

43  จินตภาพด้านเสียง =ไดย้ นิ เสียงส้อมที่จิ้มลงบนกลว้ ย =ไดย้ นิ เสียงน้าเป็นในกระเพอ่ื มอยา่ งแรง  ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้า แดกสิ้นสุดใบ  มีคราวสลาตนั ต้งั ระลอกกระฉอกฉาน =รสชาติอร่อย เพราะความสน่ั สะเทือน  จินตภาพด้านรสชาติ  แรกกอ็ อกอร่อยจะ ใคร่กล้า  สัลลาปังคพสิ ัย  เจบ็ นานหนกั อกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย คิดใคร่ลาลาญหกั ลดเปล้ือง  เป็นฝีสามยอดแลว้ ยงั ราย ส่านอ ปวดเจบ็ ใครจกั หมาย เชื่อได้

44  ใช่เป็นแต่ส่วนกาย เศียรกลดั กลมุ้ แฮ ใครต่อเป็ นจ่ึงผู้ นน่ั น้นั เห็นจริง  ถามเขาวา่ เป็นคน เชิญเครื่อง ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ  นานวนั ยงิ่ เครอะคระ กลืนยาก คนจ่อซ่อมจิ้มจ้า แดกสิ้นสุดใบ  เจบ็ นานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเร่ืองบารุงกาย ส่วนจิตบมีสบาย ศิระกลมุ้ อุราตรึง  แมห้ ายกพ็ ลนั ยาก จะลาบากฤทยั พงึ ตริแต่จะถกู รึง อรุ ะรัดและอตั รา  กลวั เป็นทวิราช บ ตริป้องอยธุ ยา เสียเมืองจึงนินทา บ ละเวน้ ฤ วา่ งวาย

45  คิดใดจะเกี่ยงแก้ ก็ บ พบซ่ึงเงื่อนสาย สบหนา้ มนุษยอ์ าย จึงจะอดุ แลเลยสูญ  ดุจเหล่าพละนาว- วะเหวว่ า้ กะปิ ตนั นายทา้ ยฉงนงนั ทิศทางกค็ ลางแคลง  นายกลประจาจกั ร จะใชห้ นกั กน็ ึกแหนง จะรอกร็ ะแวง จะไม่ทนั ธุระการ  อึดอดั ทุกหนา้ ท่ี ทุกขท์ วที ุกวนั วาร เหตุยา่ งบดียาน อนั เคยไวน้ ้าใจชน  ชาวเรือกย็ อ่ มรู้ ฉะน้ีอยทู่ ุกจิตใจ แต่ลอยอยตู่ ราบใด ตอ้ งจาแกด้ ว้ ยแรงระดม  แกร้ อดตลอดฝั่ง จะรอดท้งั จะชื่นชม เหลือแกก้ จ็ าจม ใหป้ รากฎวา่ ถึงกรรม

46  น้ีใดน้าใจขา้ อุปมาบงั คมทูล ทุกวนั น้ีอาดูร แต่ที่ทรงประชวรนาน  บุคคลวตั กแ็ ล่นรอดไดไ้ ม่ร้าวราน  ผิวพอกาลงั เรือ หากกรรมจะบนั ดาล กค็ งล่มทุกลาไป หมายถงึ ถา้ เรือพอมีกาลงั กจ็ ะตา้ นลมไดท้ าใหแ้ ล่นไปไดร้ อดปลอดภยั แต่ถา้ มีกรรมกจ็ ะบนั ดาลใหล้ ่มจมทุกลาไป  เสาวรจนี เกินพระ ลกั ษณ์นา  กลว้ ยเผาเหลืองแก่ก้า ชมกลว้ ยวา่ มีสีเหลืองแก่ยง่ิ กวา่ ผวิ ของพระลกั ษณ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook