Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ

ผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ

Published by E-Book Library NFE Bangnamphueng, 2019-01-31 04:02:54

Description: ผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ

Keywords: อาชีพ

Search

Read the Text Version

คมู่ ือปฏบิ ตั ิงานเจ้าหน้าที่ส่งเสรมิ การเกษตร เร่อื ง องคค์ วามรู้ เพิม่ ประสิทธภิ าพการผลิต สู่การเป็น smart officer : ผง้ึ และแมลงเศรษฐกิจ ISBN 978-974-403-954-5 พมิ พค์ ร้ังท่ี 1 ปี 2556 จำ� นวน 10,000 เล่ม พมิ พ์ที่ โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำกดั

คำ� น�ำ การท�ำงานส่งเสริมการเกษตร เป็นการท�ำงานท่ีมุ่งปรับปรุงคุณภาพชีวิตและความ เป็นอยู่ของเกษตรกร โดยเจ้าหน้าท่ีส่งเสริมการเกษตร เป็นผู้น�ำความรู้และเทคโนโลยี ทเ่ี หมาะสม ถา่ ยทอดสเู่ กษตรกรกลุม่ เปา้ หมาย ปี 2556 กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดท�ำ “คู่มือปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริม การเกษตร” เพื่อเป็นองค์ความรู้ให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ได้ใช้เป็นแนวทางการ ปฏบิ ตั งิ านสง่ เสรมิ การเกษตรในพน้ื ที่ โดยไดร้ วบรวมและเรยี บเรยี งเนอื้ หาตามหลกั วชิ าการ ทถี่ ูกต้อง สามารถอ้างอิงได้ และถอดบทเรียนจากหลกั ปฏบิ ัตจิ รงิ สามารถประยุกต์ใชก้ ับ งานส่งเสรมิ การเกษตรในแตล่ ะพื้นที่ จ�ำนวน 24 รายการ แบง่ เปน็ เนอ้ื หา ดา้ นการเพ่ิม ประสทิ ธภิ าพการผลติ พชื เศรษฐกจิ ดา้ นเคหกจิ เกษตรและการเพมิ่ มลู คา่ สนิ คา้ เกษตร และ ด้านเทคนคิ การทำ� งานสง่ เสริมการเกษตร คมู่ อื ปฏบิ ัตงิ านเจ้าหน้าทส่ี ่งเสริมการเกษตร เร่อื ง “องคค์ วามรูเ้ พ่มิ ประสิทธภิ าพ การผลติ ..สกู่ ารเป็น smart officer : ผ้งึ และแมลงเศรษฐกิจที่สำ� คญั ” เล่มนี้ประกอบ ดว้ ยเนอื้ หาเกยี่ วกบั การเลยี้ งและจดั การผง้ึ และแมลงเศรษฐกจิ ทส่ี ำ� คญั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ซ่ึงเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร สามารถน�ำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะการท�ำงาน ตามบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบ และหวังให้เกิดแนวคิด การพัฒนาทักษะในการ ท�ำงานสง่ เสริมการเกษตรเพ่อื ประโยชน์ของเกษตรกรต่อไป กรมส่งเสริมการเกษตร ขอขอบคุณในความร่วมมืออย่างดีย่ิงจากหน่วยงานและ เจา้ หนา้ ทท่ี เี่ กย่ี วขอ้ ง ในการใหข้ อ้ มลู และภาพประกอบสำ� หรบั การจดั ทำ� หนงั สอื เลม่ นี้ และ หากเจา้ หนา้ ทส่ี ง่ เสรมิ การเกษตร มขี อ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ ขอไดโ้ ปรดแจง้ มายงั กรมสง่ เสรมิ การเกษตรใหท้ ราบด้วย ทง้ั นี้ เพอื่ ประโยชนใ์ นการปรบั ปรงุ ส�ำหรบั การใช้งานครงั้ ตอ่ ไป (นางพรรณพิมล ชญั ญานวุ ตั ร) อธบิ ดีกรมส่งเสรมิ การเกษตร สงิ หาคม 2556

สารบัญ บทนำ� 1 ผ้งึ พนั ธ์ุ 3 คุณคา่ นำ�้ ผึง้ และผลติ ภณั ฑจ์ ากผึ้งพันธ ์ุ 22 ผงึ้ โพรง 36 ชันโรง 52 ครงั่ 61 จิ้งหรีด 72 ดว้ งสาค ู 82 ภาคผนวก 89 - ข้อมลู สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมต่อการเจริญเติบโต และให้ผลผลติ ของผ้งึ และแมลงเศรษฐกจิ 90 - การแปรรูปผลติ ภณั ฑ ์ 91 - สบู่นำ�้ ผ้งึ 92 - สบูเ่ หลวน้�ำผ้งึ 93 - ยาหมอ่ งไขผงึ้ 94 - ลปิ บาล์มไขผึ้ง 95 - น้ำ� ผึ้งผสมมะนาว 96 - พรอพอลสิ น้�ำ 97 - พรอพอลิสบาล์ม 98 - มาตรฐานฟารม์ ผง้ึ GAP 99

บทนำ� การเลยี้ งผงึ้ และแมลงเศรษฐกจิ นบั วนั จะมคี วามสำ� คญั มากยงิ่ ขนึ้ เนอ่ื งจากผงึ้ และแมลงเศรษฐกิจ ได้ถูกน�ำมาใช้ประโยชน์ท้ังทางตรงและทางอ้อม ซ่ึงเกษตรกร สามารถน�ำมาประกอบเป็นอาชีพเพ่ิมรายได้ให้กับครอบครัว เป็นประโยชน์ต่อการ เพิ่มผลผลิตพืชในทางการเกษตร เป็นผลิตภัณฑ์บ�ำรุงสุขภาพร่างกาย ผลิตภัณฑ์ หลายชนิดถกู น�ำไปใช้ในอุตสาหกรรมตา่ งๆ และเกดิ ผลติ ภณั ฑต์ ่อเนอ่ื ง ตลอดจนมี การส่งออกนำ� รายไดเ้ ขา้ ประเทศจำ� นวนมาก ผงึ้ และแมลงเศรษฐกจิ ท่ีสามารถนำ� มา ส่งเสริมและพฒั นาอาชีพใหก้ ับเกษตรกร ได้ดังนี้ ผึง้ พนั ธุ์ ในประเทศไทยมกี ารเล้ียงอยู่ท่วั ไปทุกภาค ในปี 2554 มฟี าร์มเลยี้ งผึ้งพนั ธุ์ จำ� นวน 1,100 ฟาร์ม ไดผ้ ลผลิตน�้ำผ้ึงมากกว่า 10,000 ตัน นมผง้ึ (รอยัล เยลลี่) มากกวา่ 200 ตนั และเกสรผงึ้ 100 ตนั กอ่ ใหเ้ กดิ อตุ สาหกรรมทต่ี อ่ เนอ่ื ง คอื อตุ สาหกรรมผลติ ภณั ฑ์ ผงึ้ ซง่ึ ใชบ้ รโิ ภคภายในและสามารถสง่ ออกไปตา่ งประเทศสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ผปู้ ระกอบอาชพี การเลย้ี งผง้ึ โดยเฉพาะนำ�้ ผง้ึ จากเดมิ ทป่ี ระเทศไทยไมม่ กี ารสง่ ออก จนในปจั จบุ นั ปี 2554 มกี ารส่งออกมากกว่า 8,000 ตนั แต่เน่ืองจากการผลติ น�้ำผึ้งบางสว่ นยงั ไมม่ ีคุณภาพและ มีการปนเปื้อนไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ดังน้ันผู้เลี้ยงผึ้งจึงจ�ำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพ การผลติ และเขา้ ใจระบบพนื้ ฐานการเลยี้ งผงึ้ ทดี่ แี ละเหมาะสม เพอ่ื จะไดผ้ ลผลติ ทมี่ มี าตรฐาน และปลอดภัย และสามารถแข่งขันกับสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออก น้ำ� ผ้งึ รายใหญข่ องโลกได้ 1

ผึ้งโพรง เป็นผึ้งท่ีมีอยู่ในธรรมชาติท่ัวทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะเขตพ้ืนท่ี ภาคใต้ สามารถน�ำมาเล้ียงเป็นอาชีพเช่นเดียวกับผ้ึงพันธุ์ได้ แตกต่างกันที่ธรรมชาติของ ผง้ึ โพรงชอบทิ้งรังไปหาที่อย่ใู หม่ เพ่ือไปหาแหล่งท่มี อี าหารในธรรมชาตสิ มบูรณ์ ผลผลติ ที่ ได้รับ ได้แก่ น�้ำผึ้งและไขผ้ึง โดยเฉพาะปริมาณการผลิตน้�ำผ้ึงจากผึ้งโพรงไม่เพียงพอต่อ ความต้องการของผ้บู รโิ ภค และมีราคาจ�ำหนา่ ยสงู ชนั โรง เปน็ การใช้แมลงผสมเกสรเพอ่ื เพมิ่ ผลผลติ พชื เป็นวธิ ีการและปัจจยั ทีม่ ีความ ส�ำคัญในการเพิ่มผลผลิตพืชชนิดต่างๆ ทางการเกษตร ชันโรงเป็นแมลงที่มีความส�ำคัญ ทช่ี ว่ ยผสมเกสรพชื ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพสงู สามารถชว่ ยผสมเกสรเพมิ่ ผลผลติ ของพชื เศรษฐกจิ ชนดิ ตา่ งๆ ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ เชน่ ลำ� ไย เงาะ ทเุ รียน มะขาม มะมว่ ง ทานตะวันและ อ่ืนๆ และรับจ้างเกษตรกรรายอ่ืนในการน�ำไปช่วยผสมเกสรพืชหรือจ�ำหน่ายพันธุ์ชันโรง กอ่ ใหเ้ กดิ รายได้อกี ทางหน่งึ ครง่ั เปน็ แมลงทม่ี คี วามสำ� คญั ทางเศรษฐกจิ ซง่ึ ปจั จบุ นั มกี ารเลยี้ งกนั มากในภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ขอ้ ดใี นการเลย้ี งครงั่ ไมต่ อ้ งดแู ลมาก ลงทนุ นอ้ ย ใหผ้ ลผลติ ดี คร่ังน�ำไปใช้ประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรม หมึกพิมพ์ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับวัสดุฉนวนไฟฟ้า อุตสาหกรรมยาง เป็นต้น นอกจากน้ี สามารถน�ำมาใชต้ กแต่งเคร่ืองใช้เคร่อื งเรือน สียอ้ มไหม ไดอ้ ีกดว้ ย จิ้งหรีด เป็นแมลงที่เพาะเลี้ยงง่าย วงจรชีวิตส้ัน แพร่พันธุ์เร็ว ชอบความสะอาด สามารถนำ� มาทำ� เป็นอาหารเพ่อื บรโิ ภคได้ เพราะเป็นอาหารที่ปลอดภยั มโี ปรตนี สูง แต่ข้อ จำ� กดั อยทู่ ค่ี วามนยิ มของผบู้ รโิ ภค จำ� กดั อยเู่ พยี งบางภมู ภิ าคเทา่ นน้ั การเลยี้ งลงทนุ ต�่ำและ ได้รบั ผลตอบแทนเร็ว สามารถเพาะเลีย้ งในแบบเศรษฐกิจพอเพียง และเชิงการคา้ เพราะ คณุ ประโยชน์น้ีไมจ่ �ำกดั เพียงเพอื่ การบริโภค ยงั ใช้เปน็ อาหารสัตวอ์ ืน่ ๆ ได้อีกดว้ ย ด้วงสาคู/ด้วงลาน เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งจ�ำพวกแมลงท่ีมีช่ือเรียกว่า ด้วงงวง ด้วงไฟ ดว้ งมะพรา้ ว ทางภาคใตเ้ รยี กดว้ งสาคู หรอื ดว้ งลาน เปน็ แมลงกนิ ไดช้ นดิ ใหมท่ กี่ ำ� ลงั มาแรง มีการเพาะเลย้ี งกนั มากในแถบจังหวดั ภาคใต้ เชน่ จงั หวัดชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตรัง พังงา สุราษฎรธานี และจังหวัดกระบี่ เป็นที่นิยมบริโภคท้ังชาวไทยและ ชาวตา่ งประเทศ ทง้ั นเ้ี นอื่ งจากสามารถเพาะเลย้ี งงา่ ย เจรญิ เตบิ โตเรว็ ไมต่ อ้ งดแู ลเอาใจใสม่ าก ขนาดของตวั หนอนคอ่ นขา้ งโตมนี ำ�้ หนกั ขายไดร้ าคาดี จงึ คาดวา่ เปน็ แมลงทน่ี า่ สนใจทงั้ ในดา้ น การเพาะเลี้ยงมวี งจรชีวิตส้นั และนำ� ไปบรโิ ภคเชน่ เดียวกบั แมลงชนิดอื่น ๆ ปจั จุบนั นยิ ม น�ำมาประกอบเป็นอาหารของส่ิงมีชีวิตท้ังมนุษย์ และสัตว์ เพราะคุณค่าทางอาหารที่มี โปรตีนสงู 2

ผึง้ พันธุ์ ขัน้ ตอนการเลยี้ งและการจัดการผง้ึ พันธุ์ การเตรยี มการ การแยกขยายรงั การยบุ - รวมรงั การแยก-ขยายรัง สำ�หรับการเลย้ี งผงึ้ 1. ตรวจเช็คผ้งึ ดูความสมบรู ณข์ องนางพญาผึง้ 1. เตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์ การ ปรมิ าณการวางไขข่ องนางพญาผง้ึ ปรมิ าณดกั แด้ 1. ตรวจเชค็ ผึ้ง ลดจำ� นวนคอนผ้ึงให้สมดลุ - มกี ารจดั การรวมรงั เพอื่ เพม่ิ ประชากรผง้ึ งาน เลย้ี งผงึ้ พนั ธผ์ุ งึ้ กลอ่ งเลยี้ ง และปริมาณตวั เต็มวัยของผง้ึ งาน กบั ปรมิ าณผง้ึ หรอื รวมรงั ในกรณขี าดนางพญาผงึ้ และเสริมสร้างความแขง็ แกรง่ ให้พรอ้ มท่ี คอน แผน่ รงั เทยี ม อาหารผงึ้ 2. ตรวจเช็คศัตรูผงึ้ เช่น ไร มด ต่อ นกจาบคา 2. ขนย้ายผึ้งไปยงั แหล่งทม่ี ีอาหารผึ้ง จะออกเก็บนำ้� หวานในฤดูดอกไมบ้ าน เหลก็ งดั รัง หมวกตาขา่ ย ถา้ พบตอ้ งป้องกันและกำ� จัด และเกสรดอกไม้ - เลือกท�ำเลท่ีตั้งรังผ้งึ ท่รี ม่ ร่นื ไมแ่ ห้งแลง้ กระปอ๋ งพน่ ควนั ลวด ตะปู 3. ตรวจเชค็ ปรมิ าณอาหารผง้ึ ถา้ ไมม่ หี รอื มไี มเ่ พยี งพอ 3. ตรวจเช็คผึ้งสปั ดาห์ละ ๑ ครั้ง มพี ชื อาหารของผงึ้ กรณที ต่ี ง้ั รงั ผงึ้ มพี ชื อาหาร และอน่ื ๆ กต็ อ้ งเสรมิ ให้ เชน่ นำ้� ตาลและเกสร 4. ถ้าผงึ้ แนน่ รงั กเ็ พาะนางพญาผึง้ เพ่อื เตรยี ม ของผงึ้ ไมเ่ พยี งพอกต็ อ้ งเสรมิ ให้ เชน่ นำ�้ ตาล 2. วางแผน สำ� รวจแหลง่ อาหาร แยกขยายพนั ธผุ์ ึง้ การซอ่ มแซมและเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ และท่ีต้ังรังผงึ้ ในรอบปี การให้อาหารเสริม - ส�ำรวจและท�ำความสะอาดอุปกรณ์ 3. จดบันทึกสม�่ำเสมอ - อาหารเสริม ได้แก่ น้าตาล เกสร การยา้ ยรงั อยา่ งสมำ�่ เสมอ - การให้อาหารเสริมควรดูความสมดลุ ภายในรัง - ยา้ ยเพอ่ื นำ� ผงึ้ ไปเกบ็ นำ้� หวานชว่ งดอกไมบ้ าน - ควรย้ายรังในเวลาเยน็ – กลางคนื การเตรยี มการ ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. การเตรียมผึ้งเพือ่ เกบ็ นำ้ �หวาน กจิ กรรมเพอ่ื ให้ได้ผลผลิต นำ้ �ผ้งึ 1. เลย้ี งผ้ึงให้มปี ระชากรเตม็ รัง (8 - 10 คอน) นำ้ �ผง้ึ 2. เคล่ือนยา้ ยรังผ้งึ ไปตัง้ ในแหลง่ พชื ท่ใี หน้ ำ้� หวาน ก�ำลงั ออกดอก นมผง้ึ 3. สลดั น�ำ้ ผ้ึงหวั คอนออกใหห้ มด 4. เมอื่ นำ�้ ผง้ึ ไปตงั้ ประมาณ 1 สปั ดาหก์ ท็ ำ� การตรวจ เกสรผึ้ง เชค็ คดั เลอื กคอนน�้ำผงึ้ ทปี่ ดิ หลอดรวงประมาณ 30 – 70 % นำ� ไปทำ� การสลัดน�้ำผึ้งในถงั สลดั การผลติ - ขยายนางพญาผงึ้ สแตนเลส 5. กรองนำ้� ผงึ้ ใหส้ ะอาดดว้ ยทกี่ รองหยาบและละเอยี ด การใชผ้ ้ึงเพ่อื การผสมเกสรพชื 6. ใสภ่ าชนะในถงั บรรจุอาหาร พกั ไว้ประมาณ 2 สปั ดาห์ จงึ ทำ� การบรรจนุ ำ�้ ผง้ึ เพอ่ื จำ� หนา่ ยตอ่ ไป ศตั รูท่สี าคญั ของผ้ึงพนั ธ์ุ - โรคผง้ึ ได้แก่ โรคโนซีมา โรค American Foulbrood โรค Europian Foulbrood โรคชอล์คบรดู โรคแซคบรดู - สัตวศ์ ัตรูผง้ึ ไดแ้ ก่ ไรวารร์ วั ไรทรอปิลิแลปส์ นก มด ตอ่

รายชื่อพืชอาหารหลกั ของผงึ้ ทสี่ ามารถผลติ นำ�้ ผ้งึ ทางอุตสาหกรรม การผลติ /พืช ระยะเวลาดอกไม้บาน คุณประโยชน์ตอ่ ผึง้ ลักษณะ ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. น้ำ�หวาน เกสร ชนดิ ไม้ การผลิตน้ำ�ผ้งึ 1.ลำ�ไย ++ + ไมย้ ืนตน้ 2.ลิ้นจ่ี ++ + ไม้ยนื ต้น 3.สาบเสือ ++ + ไม้ล้มลกุ 4.ดอกข้ีไกย่ ่าน ++ + ไมล้ ้มลกุ 5.ดอกมะกอกน้า + - ไม้ยืนต้น 6.ดอกง้ิว + + ไม้ยืนตน้ 7.ดอกงา ++ + ไม้ล้มลุก 8.ดอกน่นุ ++ + ไม้ยนื ต้น 9.ดอกเงาะ ++ + ไม้ยนื ต้น 10.ดอกทานตะวัน ++ + ไมล้ ้มลกุ 11.ยางพารา ++ + ไมย้ ืนต้น 12.ดอกเสม็ด ++ + ไม้ยนื ต้น 13.ดอกกาแฟ ++ + ไม้ยืนต้น 14.ข้าวโพด - ++ ไม้ล้มลุก 15.ไมยราบยักษ์ - + ไม้ลม้ ลกุ 16.กระถินนา - ++ ไมล้ ้มลุก 17.มะพรา้ ว + + ไมย้ นื ต้น 18.มะมว่ ง + + ไมย้ นื ตน้ 19.ดาวกระจาย + + ไม้ลม้ ลุก การเกบ็ เกสร 1.ขา้ วโพด - ++ ไมล้ ้มลกุ 2.ไมยราบเถา - ++ ไม้ลม้ ลุก 3.บัว - ++ ไมล้ ้มลุก 4.ปาลม์ น้ำ�มนั - + ไม้ยืนต้น การผลติ นมผ้ึง 1.ไมยราบยกั ษ์ - + ไม้ลม้ ลุก 2.ข้าวโพด - ++ ไม้ล้มลกุ หมายเหตุ 1. + ให้หรือมี - ไม่ใหห้ รือไมม่ ี 2. ++ มีอย่างเพยี งพอที่จะเก็บผลผลติ ได้ 3. ช่วงการบานมาก 4. มกี ารบานท้งั ปตี ามชว่ งการปลกู 5. การบานของดอกไมใ้ นแตล่ ะพน้ื ที่และในแต่ละปี อาจมกี ารบานแตกต่างกนั บ้าง ในแต่ละจังหวัดตามภมู ิประเทศและภมู ิอากาศ 4

ช่ือพชื อาหารของผึ้งทว่ั ไปบางชนิด (ช่วงฤดูดอกไม้บานขนาดย่อม) ชือพชื ระยะเวลาดอกไม้บาน คณุ ประโยชนต์ ่อผึง้ ลักษณะ ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. น้ำ�หวาน เกสร ชนิดไม้ 1.ถั่วแขก + - ไม้ล้มลกุ เลือ้ ย 2.ทองหลาง + + ไม้ยนื ตน้ 3.นนทรี - + ไม้ยืนต้น 4.บวั หลวง + + ไมล้ ม้ ลกุ นา้ 5.ผกั ขมหิน - + ไม้ลม้ ลกุ 6.ผกั เบ้ียใหญ่ - + ไม้ลม้ ลุก 7.ผักปลาบ - + ไม้ลม้ ลกุ 8.ดอกพทุ รา + + ไมพ้ มุ่ ยนื ตน้ 9.ดอกกลว้ ย + + ไมล้ ม้ ลุก 10.กระถนิ ไทย - + ไมพ้ ่มุ ยืนต้น 11.มะมว่ ง + + ไมย้ ืนต้น 12.ขาไก่ + - ไม้พมุ่ 13.ขี้เหล็ก + + ไม้ยืนตน้ 14.ครอบจักรวาล - + ไมพ้ ุม่ ขนาดเลก็ 15.โคกกระสนุ - + ไม้ล้มลกุ 16.แคแสด + - ไมย้ นื ตน้ 17.จามจุรี + + ไมย้ นื ต้น 18.ชมพู่ + + ไมย้ นื ต้น 19.ช้องนาง + + ไมพ้ มุ่ 20.หญา้ กามะหยี่ - + หญ้า 21.หญา้ ขจรจบ - + หญา้ 22.หญา้ คา - + หญ้า 23.ดาวกระจาย + + ไม้ลม้ ลุก 24.ดอกผักบงุ้ + - ไม้เล้อื ย 25.ตะแบกนา + + ไมย้ ืนตน้ 26.ตนี ตกุ๊ แก + + ไมล้ ้มลุก 27.หางนกยูงไทย + + ไมย้ นื ต้น 27.โสนขน - + ไมพ้ ุ่มเต้ยี ล้มลุก 28.สวอง - + ไม้ยืนต้น 29.สาบแร้งสาบกา + - ไมล้ ้มลกุ 30.ส้ม + + ไม้พมุ่ ยนื ตน้ 5

เทคนิคการเล้ียงและการจดั การเล้ยี งผงึ้ พนั ธ์ุ 1. ลักษณะทวั่ ไปและวงจรชวี ติ ของผ้งึ พันธ์ุ ผ้งึ พนั ธ์ุ (Apis mellifera) เปน็ ผึ้งท่ีนำ� เขา้ มาจากยโุ รปและอเมริกา มขี นาดใหญ่กวา่ ผึ้งโพรงแต่เล็กกว่าผ้ึงหลวง ขนาดล�ำตัวยาว 16 มิลลิเมตร ส่วนอกกว้าง 4 มิลลิเมตร สร้างรังอยู่ในที่มืด จ�ำนวนประชากร 20,000 - 60,000 ตัวต่อรัง อุปนิสัยไม่ดุ ไม่ท้ิงรัง สามารถน�ำมาเล้ียงแล้วให้ผลตอบแทนสูง การเล้ียงผึ้งพันธุ์นอกจากจะให้ผลผลิต ได้แก่ น้�ำผ้ึง (honey) เกสรผ้ึง (bee pollen) รอยัล เยลล่ี (royal jelly) ไขผึ้ง (bee wax) และโปรโปลสิ (propolis) ยงั ช่วยผสมเกสรเพม่ิ ผลผลิตพืชด้วย ลกั ษณะล�ำตวั ของผึ้งพันธุ์ ลักษณะลำ� ตัวของผงึ้ พันธ์แุ บ่งออกได้เป็น 3 สว่ น คือ สว่ นหัว ส่วนอก และส่วนท้อง สว่ นหวั ประกอบดว้ ย - ตารวม มอี ยู่ 2 ตา ประกอบดว้ ยดวงตาเล็ก ๆ เปน็ รูปหกเหลยี่ มหลายพนั ตา รวมกนั เชอ่ื มตดิ ตอ่ กนั เปน็ แผง ทำ� ใหผ้ งึ้ สามารถมองเหน็ สงิ่ ตา่ ง ๆ ไดร้ อบทศิ - ตาเด่ยี ว เป็นจดุ เลก็ ๆ 3 จดุ อยู่ห่างกันเปน็ รูปสามเหล่ียม เป็นส่วนท่รี บั รู้ความเขม้ ของแสง - หนวด มี 10 ปล้อง ท�ำหน้าทร่ี ับความรู้สกึ ทีไ่ วมาก - ปาก แบบกัดเลยี (chewing-lapping type) ส่วนอก ประกอบด้วยปล้อง 4 ปล้อง - ส่วนด้านลา่ งอกปลอ้ งแรกมีขาคหู่ น้า - อกปล้องกลางมขี าคกู่ ลางและด้านบนปล้องนม้ี ปี กี คหู่ นา้ ขนาดใหญห่ นงึ่ คู่ - ดา้ นลา่ งปล้องที่สาม มีขาค่ทู ส่ี าม ซ่งึ มตี ระกรอ้ เกบ็ เกสร ด้านบนมีปีกค่หู ลังหน่งึ คู่ เลก็ กว่าปกี หน้า ส่วนท้อง ส่วนท้องของนางพญาผ้ึงและผึ้งงาน จะเห็น ภายนอกเพียง 6 ปล้อง สว่ นปลอ้ งท่ี 8-10 หุบรวมในปลอ้ ง ที่ 7 สว่ นผึ้งตัวผู้จะเหน็ 7 ปล้อง ผง้ึ งานมีตอ่ มสรา้ งไขผ้ึง ปล้องที่ 4, 5, 6 และ 7 ปล้องละ 2 ตอ่ ม อวัยวะเพศ จะอยทู่ ป่ี ล้องที่ 10 ท้งั สองเพศ ลกั ษณะภายนอกของผึง้ งาน 6

วงจรชีวิตของผง้ึ พนั ธ์ุ การเจริญเติบโตแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ - ระยะไข่ ผง้ึ นางพญาถา้ ตอ้ งการวางไข่ เพศเมยี จะนำ� นำ�้ เชอื้ ของผง้ึ ตวั ผอู้ อกมาผสม กบั ไข่ ถา้ เปน็ เพศผกู้ ไ็ มป่ ลอ่ ยนำ้� เชอ้ื ไขย่ าวประมาณ 0.5 เซนตเิ มตร หวั ทา้ ยมน โคง้ งอเลก็ นอ้ ย - ระยะหนอน เม่ือไข่ได้ 3 วัน จะฟกั ออกมาเปน็ ตวั หนอนขนาดเลก็ สีขาว นอนลอย อยู่บนอาหารที่กน้ หลอดรวง มกี ารลอกคราบท้ังหมด 5 คร้งั - ระยะดกั แด้ ดกั แด้ในระยะแรกจะมีสีขาว เมอ่ื มีอายมุ ากขน้ึ จะค่อยๆ เปลีย่ นเป็น สนี ้ำ� ตาล - ระยะตัวเตม็ วยั เมือ่ ดักแด้โตเต็มทีก่ จ็ ะใชก้ รามกัดไขผง้ึ ที่ปดิ หลอดรวงออกมาเปน็ ตวั เต็มวัย วรรณะของผง้ึ พนั ธ์ุ วรรณะของผง้ึ แบ่งออกเป็น 3 วรรณะคือ ผึง้ นางพญา (The Queen) ผ้งึ งาน (The Worker) ผงึ้ ตัวผู้ (The Drone) ลักษณะภายนอกของผ้งึ 7

ผงึ้ นางพญา (The Queen) เกิดจากไข่ท่ไี ด้รับการผสมกับเชื้อตวั ผู้ และไดร้ บั อาหาร พิเศษจากผึง้ งาน มขี นาดใหญ่ และมีล�ำตัวยาวกว่าผ้งึ ตัวผ้แู ละผึง้ งาน ปกี ของผง้ึ นางพญา จะมีขนาดส้ัน มีเหล็กในไว้ต่อสู้กับนางพญาตัวอ่ืนเท่านั้น ไม่มีการออกหาอาหาร ไม่มี ทเี่ กบ็ ละอองเกสร และไมม่ ตี อ่ มผลติ ไขผง้ึ ผง้ึ นางพญามหี นา้ ทผ่ี สมพนั ธ์ุ วางไข่ และควบคมุ สังคมผึง้ ให้อยใู่ นสภาพปกติ ผง้ึ งาน (The Worker) ผึง้ งานเปน็ ผึ้งที่มีขนาดเลก็ ทส่ี ุดภายในรงั ผ้งึ ปริมาณมากท่สี ดุ เกดิ จากไข่ท่ีได้รับการผสมกบั เชือ้ ตวั ผู้ ผึง้ งานเป็นเพศเมยี เหมือนผ้งึ นางพญา แตเ่ ปน็ เพศ เมียที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนของรังไข่จะมีขนาดเล็กไม่สามารถสร้างไข่ได้ ยกเว้นในกรณีท่ีรังผ้ึง รังนี้เกิดขาดนางพญา ไข่ที่เป็นผึง้ ตวั ผู้ มีตอ่ มไขผึง้ ตะกรอ้ เก็บเกสร ตอ่ มกลิน่ และเหลก็ ใน ผงึ้ งานมหี นา้ ทท่ี ำ� ความสะอาดรงั ใหอ้ าหารตวั ออ่ น ซอ่ มแซมรงั ปอ้ งกนั รงั และหานำ�้ หวาน (Nectar) เกสร (Pollen) น�้ำ (Water) และยางไม้ (Propolis) ผ้ึงตวั ผู้ (The Drone) เกิดจากไข่ทไี่ ม่ได้ผสมกับน้�ำเชื้อตัวผู้ มขี นาดใหญแ่ ละตัวอว้ น กวา่ ผง้ึ นางพญาและผง้ึ งาน ผงึ้ ตวั ผจู้ ะไมม่ เี หลก็ ใน ลนิ้ จะสน้ั มาก คอยรบั อาหารจากผง้ึ งาน หรอื ดดู กนิ นำ้� หวานจากทเ่ี กบ็ ไวใ้ นรวงเทา่ นน้ั ไมอ่ อกไปหาอาหารนอกรงั ไมม่ ที เ่ี กบ็ ละออง เกสร มหี นา้ ที่ผสมพนั ธ์ุ หลงั จากผสมพันธเ์ุ สรจ็ ผึ้งตวั ผู้จะตกลงมาตายโดยอวัยวะสบื พนั ธ์ุ ตดิ คาอยู่ที่ผ้ึงนางพญา พันธ์ผุ ้งึ พนั ธ์ุผ้งึ ท่ีอุตสาหกรรมการเลยี้ งผึง้ นยิ มเลย้ี งมี 4 พนั ธ์ุ คอื ผ้งึ พันธอุ์ ติ าเลียน ผึ้งพนั ธุ์ คาร์นโิ อลาน ผงึ้ พันธ์ุคอเคเชียน ผงึ้ พันธส์ุ ดี ำ� 2. การเตรียมการกอ่ นเลี้ยงผงึ้ พันธ์ุ การเตรียมความพร้อมเกยี่ วกับการเลี้ยงผึง้ พันธุม์ รี ายละเอยี ดดงั น้ี คือ 2.1 ความรูเ้ กีย่ วกบั การเลีย้ งผงึ้ ผทู้ จี่ ะเล้ียงผงึ้ พันธ์ุ จำ� เป็นตอ้ งมคี วามรู้ ดังน้ี 2.1.1 ความรดู้ า้ นชีววิทยาและพฤติกรรม ของผ้ึงพันธุ์ ได้แก่ความรู้เก่ียวกับชีวิตของผ้ึง วงจร ชีวิตการเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงของวัยผ้ึง ช่วงอายุตา่ งๆ รวมทั้งความเปน็ อยู่ นิสัย และสภาพ สงั คมภายในรงั ผ้ึง การจดั ระบบโดยธรรมชาติภายใน รังผ้ึง การหาอาหาร การให้อาหาร การป้องกันรัง การเล้ียงดูตัวอ่อน รวมท้ังความต้องการของผ้ึง ในสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆด้วย 2.1.2 ความรเู้ กย่ี วกบั การจดั การดแู ลภายใน รงั ผ้ึง 8

2.1.3 ความรู้เก่ยี วกบั พชื พันธ์ุทเ่ี ป็นแหล่งอาหารของผ้งึ ได้แก่ความรเู้ กยี่ วกับ ต้นไม้และดอกไม้ ท่ีจะเป็นแหล่งอาหารของผึ้ง (น้�ำหวานดอกไม้และเกสรดอกไม้) ระยะ การบานและชว่ งเวลาการบานของดอกไม้ ตลอดจนทำ� เล และบรเิ วณทเี่ ปน็ แหลง่ ของพชื พนั ธ์ุ ท่ีจะเป็นแหล่งอาหารของผ้ึง 2.1.4 ความรู้เกยี่ วกับโรคและศตั รขู องผ้งึ 2.2 ทนุ สาหรบั ดำ� เนนิ การ ตอ้ งคา่ นงึ ถงึ หลกั การประหยดั มคี ณุ ภาพ และไดม้ าตรฐาน ประกอบดว้ ยค่าใชจ้ า่ ยดังนี้ 2.2.1 คา่ พนั ธผ์ุ ึง้ 2.2.2 ค่าท�ำกลอ่ งผ้งึ คอนผึ้ง แผ่นรังเทยี ม ฐานรัง ฝารงั 2.2.3 คา่ อปุ กรณก์ ารเลยี้ ง เชน่ หมวกตาขา่ ย เหลก็ งดั รงั เครอ่ื งมอื พน่ ควนั ฯลฯ 2.2.4 ค่าน้�ำตาล และวัสดุอาหารเสริม เพ่ือเล้ียงผ้ึงในบางช่วงของฤดูกาล ทข่ี าดแคลนอาหารผ้งึ ตามธรรมชาติ 2.2.5 คา่ ใชจ้ า่ ยสำ� รองอน่ื ๆ ในระหวา่ งการเลย้ี งผง้ึ เชน่ คา่ ยาปอ้ งกนั กำ� จดั ศตั รผู งึ้ และคา่ ขนย้ายรังผึ้ง 2.3 การเลอื กซอ้ื พนั ธ์ุผ้งึ มหี ลกั ในการพจิ ารณาดังน้ี 2.3.1 ไปเย่ียมชมรังผ้ึงของฟาร์มต่างๆ ฟาร์มผ้ึงที่มีการเล้ียงและเอาใจใส่ท่ีดี ผงึ้ จะแขง็ แรงและมคี ณุ ภาพดี สอบถามราคาแลว้ เปรยี บเทยี บกบั ฟารม์ อน่ื กอ่ นตดั สนิ ใจซอื้ 2.3.2 สังเกตผึ้งในฟาร์ม ถ้าผึ้งรังไหนสุขภาพดี ปากรังเข้าออกจะสะอาด ขนาดผึ้งมีตัวโตสม่าเสมอ ผงึ้ มคี วามคกึ คัก 2.3.3 ดูคอนผึ้ง ตรวจดูความสม่าเสมอของการวางไข่ ดักแด้ ถ้าแม่รังผ้ึงดี การวางไขจ่ ะเป็นวงกว้างเตม็ คอน ตัวจะโต และวางไข่ทวั่ คอน 2.3.4 เลอื กซือ้ รังผง้ึ ที่นางพญาสาว 2.3.5 เลือกซอื้ รังผ้งึ ทไี่ มเ่ ป็นโรค ไมม่ ไี รวาร์รัวและไรทรอปลิ แิ ลปส์ 2.4 อุปกรณ์ต่างๆ สาหรับการเลยี้ งผง้ึ 2.4.1 กลอ่ งผ้งึ (bee box) มี 2 แบบ ไดแ้ ก่ แบบยโุ รป และแบบไต้หวนั 2.4.2 คอนหรอื เฟรม (frame) 2.4.3 แผ่นฐานรวงหรือแผ่นรังเทยี ม (comb foundation) 2.4.4 ขาต้ังรงั ผึ้ง 2.4.5 ไม้ก้นั หน้ารงั 2.4.6 เค่ืองมือพน่ ควันสยบผึง้ (smoker) 2.4.7 เหล็กงัดรัง (hive tool) 2.4.8 หมวกตาขา่ ยสำ� หรับกันผึ้งต่อยหนา้ (bee veils) 2.4.9 ถงุ มือ (bee gloves) 9

2.4.10 ชุดเสอื้ ผา้ ทีส่ วมใสเ่ วลาทำ� งาน (overalls) 2.4.11 อปุ กรณส์ ลัดน้�ำผึง้ ออกจากรวงรัง 2.4.12 อุปกรณ์อ่ืน ๆ เป็นอุปกรณ์ท่ีควรจะมีตลอดเวลาที่เข้าไปปฏิบัติงาน ในการเลีย้ งผ้ึง ได้แกก่ ล่องเคร่ืองมอื ซ่ึงจะมีคอ้ น คมี ตะปู เลอื่ ย ลวด มดี ถากไม้ มีดพบั คมๆ กรรไกรเล็กๆ กรรไกรตัดลวด กลอ่ งขงั นางพญา ยาหมอ่ ง ฯลฯ 2.4.13 วัสดุอืน่ ๆ เช่น นำ้� ตาลทราย เกสรเทยี ม สารก�ำจดั ศัตรผู ึ้ง 2.5 ความเหมาะสมของผง้ึ พนั ธทุ์ ีจ่ ะเรมิ่ เลี้ยง 2.5.1 ควรเรม่ิ เล้ยี งจำ� นวน 2 - 5 รัง 2.5.2 ควรเริ่มเล้ยี งผ้งึ จากรังขนาด 5 - 10 คอน 2.6 การเตรียมตวั ทจ่ี ะเขา้ ไปสมั ผสั ผง้ึ 2.6.1 ความเช่อื ม่นั ของตนเอง การปฏิบัตงิ านกับผงึ้ ต้องท�ำด้วยความนุ่มนวล 2.6.2 เคร่อื งแต่งกายเวลาปฏบิ ตั งิ านควรใส่สีเรยี บ ๆ สขี าวหรอื สอี ่อน กางเกง ควรรัดปลายขาใหเ้ รียบร้อย 2.6.3 ความรักในตัวผึง้ ผ้ทู ี่คดิ จะเลีย้ งผึง้ ควรมีความรกั ผึง้ รกั ธรรมชาติ 3. การจดั การเล้ยี งผึ้งพันธุ์ 3.1 การเตรยี มความพร้อมในการเลย้ี งผงึ้ พันธ์ุ 3.1.1 การเตรียมวัสดุอุปกรณ์การเลี้ยงผึ้ง ได้แก่ พันธุ์ผึ้ง กล่องเลี้ยง คอน แผน่ รังเทียม อาหารผึง้ เหล็กงดั รงั หมวกตาขา่ ย กระปอ๋ งพน่ ควนั ลวด ตะปู ฯลฯ 3.1.2 วางแผนสำ� รวจแหลง่ อาหารผ้งึ และทตี่ ้ังรงั ในรอบปี คอนดกั แดท้ พ่ี ร้อมจะออกเป็นตวั เต็มวัย 10

3.2 การจดั การการเลยี้ งผึ้งกอ่ นฤดดู อกไม้บาน 3.2.1 ตรวจเชค็ ประชากรผ้ึง - ผึ้งงาน ดูความสมบรูณ์และปริมาณของผ้ึงงานที่อยู่ในวัยพร้อมท่ีจะออก หาอาหารให้มากท่ีสุด - ผงึ้ นางพญา ดคู วามสมบรู ณข์ องนางพญา ปริมาณการวางไข่ ลักษณะการ วางไข่สม่าเสมอทั่วท้ังคอน ปริมาณดักแด้ มีการผลิตผึ้งงานท่ีดีมีคุณภาพ ตัวโตแข็งแรง หาอาหารเกง่ การต้ังวางรงั ผึ้งในสวนล�ำ ไย 3.2.2 การรวมรงั และเพ่ิมประชากรผงึ้ งาน - มกี ารจดั การรวมรงั เพอ่ื เพม่ิ ประชากรผงึ้ งาน และเสรมิ สรา้ งความแขง็ แกรง่ ให้เตม็ ท่ี พร้อมทจี่ ะออกเกบ็ น้�ำหวานในฤดดู อกไม้บาน - เลอื กท�ำเลท่ตี ั้งรงั ผึง้ ท่ีรม่ รนื่ ไมแ่ ห้งแลง้ มพี ืชอาหารของผึง้ กรณีทีต่ ง้ั รงั ผง้ึ มพี ืชอาหารของผ้ึงไม่เพียงพอกต็ อ้ งเสรมิ ให้ เช่น นำ้� ตาลและเกสร - ตรวจเช็คศัตรูผง้ึ เชน่ ไร มด ตอ่ นกจาบคา ถ้าพบตอ้ งปอ้ งกนั กำ� จดั 3.3 การจดั การเลยี้ งผง้ึ พนั ธุใ์ นฤดูดอกไม้บาน 3.3.1 ตรวจเช็คจ�ำนวนรังผ้ึง และจ�ำนวนคอนหนอน คอนไข่ และคอนดักแด้ ควรเล้ียงผงึ้ ให้มีประชากรเต็มรงั (8 - 10 คอน) 3.3.2 ตรวจเชค็ การทำ� งานผึ้งแต่ละรัง เช่น ลักษณะการวางไข่ของนางพญาผงึ้ การเก็บนำ้� หวานและเกสรของผ้งึ งาน 3.3.3 ตรวจเชค็ ระยะการบานของดอกไม้ท่ียงั เหลอื อยู่ เพ่อื ใชช้ ว่ งเวลาที่เหลือ ในการจัดการรังให้ไดป้ ระโยชนส์ งู สดุ 11

3.3.4 คัดเลือกรังท่ีดีที่สุด โดยการยุบรัง หรือรวมรัง เพ่ือออกเก็บน�้ำหวาน โดยคดั รังผึง้ เก็บไว้ 25 % และนำ� ออกเกบ็ นำ้� หวาน 75 % 3.3.5 เคลื่อนย้ายรังผึ้งไปต้ังในแหล่งพืชที่ให้น�้ำหวานก�ำลังออกดอก เช่น สาบเสอื นุ่น ลำ� ไย 3.3.6 สลัดน�้ำผึ้งหวั คอนออกให้หมด 3.3.7 เม่อื นำ� ผึง้ ไปต้ังประมาณ 1 สปั ดาห์ ก็ตรวจเชค็ คดั เลอื กคอนน�้ำผง้ึ ทีป่ ิด หลอดรวงแลว้ ประมาณ 30 - 70 % น�ำไปท�ำการสลัดน้�ำผึง้ 3.3.8 นำ� นำ้� ผงึ้ มากรองตะแกรงหยาบ และกรองละเอยี ดเพอ่ื กรองเศษไขผงึ้ และ ตัวผ้ึงออกในขน้ั ต้น 3.3.9 น�ำมาใสถ่ งั บ่ม บม่ ไว้ 15 วัน เพอ่ื ใหเ้ ศษไขผึ้ง และผงละเอยี ดลอยข้ึนมา บนผิวน�้ำผ้ึง เปิดก๊อกน�้ำผ้ึงด้านล่าง จะได้น้�ำผึ้งที่สะอาดและบริสุทธ์ิ ท�ำการบรรจุน�้ำผ้ึง เพือ่ จำ� หนา่ ยตอ่ ไป 3.4 การจัดการเล้ียงผึง้ พันธุห์ ลงั ฤดูดอกไม้บาน 3.4.1 ตรวจเช็ครังผึง้ ทำ� การลดคอนให้สมดลุ กบั ปรมิ าณผงึ้ หรอื รวมรังในกรณี ขาดนางพญาผ้งึ 3.4.2 ย้ายผึง้ ไปยงั แหล่งทมี่ พี ืชอาหารทใี่ ห้ทั้งน้�ำหวาน และเกสร ถา้ มอี าหาร ไม่เพียงพอก็ตอ้ งให้อาหารเสรมิ ทั้งน�้ำตาลและเกสร 3.4.3 ป้องกนั กำ� จัดศตั รผู ้งึ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ช่วงหลงั ฤดูดอกไม้บาน จะพบไร ศตั รูผ้งึ บนตัวผึง้ และรวงรงั ผึ้งมาก 4. ศตั รูทส่ี ำ� คัญของผึง้ และการป้องกันกำ� จัด 4.1 โรคผง้ึ 4.1.1 โรคของผ้ึงระยะตัวเต็มวัย โรคโนซมี า (Nosema disease) สาเหตุ เกดิ จากเชอ้ื โปรโตซวั (Nosema apis) ซงึ่ สบื พนั ธโ์ุ ดยการใชส้ ปอร์ สปอรเ์ หลา่ นจี้ ะเขา้ ทำ� ลาย ผ้ึงเม่ือผ้ึงกินเข้าไป เช้ือจะเจริญในทางเดินอาหาร สามารถเพม่ิ จำ� นวนสปอรไ์ ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เชอ้ื นสี้ ามารถ อยใู่ นผงึ้ แมร่ งั และแพรก่ ระจายไดโ้ ดยผง้ึ แมร่ งั เปน็ พาหะ อาการ ผ้ึงทีเ่ ปน็ โรคน้ี อาจมีอาการคลา้ ย เป็นอัมพาต ปลอ้ งท้องยดื และบวมผดิ ปกติ ถา้ จบั ตวั ทเ่ี ปน็ โรคน้ีมาคอ่ ย ๆ ดงึ สว่ นหัวและอกออกจากกัน อย่างระมัดระวัง จะพบทางเดินอาหารบวมโต สีขุ่น แตกตา่ งจากผึง้ ปกติ 12

การป้องกันก�ำจดั แยกรงั ผ้ึงท่ีเปน็ โรคออกจากรังอื่น ๆ เพื่อป้องกันไมใ่ หโ้ รค แพร่กระจายไปสู่รงั อ่ืน ๆ และใช้สารฟูมาจิลิน (fumagilin) อัตรา 25 มลิ ลกิ รมั สารออกฤทธิ์ กับน้�ำเชื่อม 1 ลิตร ในช่วงเวลาที่ผ้ึงเกิดความเครียด จะเป็นการลดและป้องกันการเข้า ทำ� ลายของเชอื้ นไ้ี ด้ และควรเปลย่ี นรวงผ้งึ ทุกปี 4.1.2 โรคของผึง้ ระยะตวั อ่อน โรคหนอนเนา่ อเมรกิ ัน (American Foulbrood Disease, AFB) สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทเี รีย (Bacillus larvae) โรคน้มี ผี ลเฉพาะตวั ออ่ นเท่าน้ัน สปอร์จะเจริญในช่องทางเดินอาหารของตัวอ่อน ท่ีได้รับเช้ือนี้เข้าไป ตัวอ่อนจะตายในเวลาต่อมา (5 - 6 วันหลังจากรับเช้ือ) โรคน้ีจะแพร่กระจาย ภายในรังผ้ึง และกระจายสู่รังอื่นๆ อย่างรวดเร็ว อนั เปน็ ผลมาจากการขโมยนำ�้ ผง้ึ ระหวา่ งผง้ึ ดว้ ยกนั อาการ ตวั ออ่ นจะตายภายในหลอดรวง ทมี่ ลี กั ษณะของการปดิ ฝาผดิ ปกติ ไดแ้ ก่ ฝาบมุ๋ ลงไป และมรี เู ลก็ ๆ มกี ลนิ่ เหมน็ รนุ แรง เมอื่ มกี ารเนา่ สลาย จะมลี กั ษณะเปน็ ยางเหนยี วสนี ำ�้ ตาลเกอื บดำ� ทดสอบ ง่าย ๆ ดว้ ยวิธี stretch test โดยใช้ปลายไม้เลก็ ๆ เข่ยี ตัวหนอนทเ่ี นา่ ตายแลว้ ค่อย ๆ ดึง ก้านไม้ออก ตัวหนอนที่ตายจะยืดติดมากับปลายไม้ออกมา ตัวหนอนที่ตายและแห้ง จะเป็นสะเก็ดติดอย่กู ับส่วนล่างของพนื้ หลอดรวงเปน็ สีด�ำหรอื สีน้�ำตาลดำ� การป้องกันก�ำจัด โรคน้ีเป็นโรคที่มีปัญหามาก มักจะใช้วิธีการท�ำลายผ้ึงท่ี เปน็ โรคพรอ้ มอุปกรณท์ เ่ี ก่ยี วข้องทั้งหมด โรคหนอนเน่ายโู รเบยี น (Europian Foulbrood Disease, EFB) สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Streptococcus pluton) มีรูปร่างกลม อย่รู วมกัน เป็นสายเหมือนลูกปดั เป็นเชอื้ ที่ไมม่ ีสปอร์ มีการ แพรก่ ระจายของโรคเชน่ เดยี วกบั หนอนเนา่ อเมรกิ นั อาการ ตัวอ่อนท่ีตายด้วยโรคนี้มีอายุ ไม่เกนิ 4 - 5 วนั หลงั จากฟกั ออกจากไข่ เป็นระยะ ทยี่ งั ขดตวั อยทู่ กี่ น้ ของหลอดรวง ตวั ออ่ นทเ่ี ปน็ โรค จะมีสีเหลือง เทา หรือน้�ำตาล ขณะท่ีเน่าสลาย จะมกี ลน่ิ เหมน็ เปรย้ี วการตรวจสอบใหท้ ำ� โดยใชไ้ ม้ เขย่ี ลงบนตวั หนอนทก่ี ำ� ลงั เนา่ สลาย ยกขนึ้ ชา้ ๆ ตวั หนอนจะไมย่ ดื ออกมาเหมอื นตวั หนอน ท่เี ป็นโรคหนอนเน่าอเมรกิ ัน เมือ่ ตัวหนอนแห้งตาย สะเกด็ ของตวั อ่อนทต่ี ายจะไมต่ ิดกบั ผนงั ของหลอดรวง มลี กั ษณะเปน็ แผน่ ขนาดเลก็ ไมเ่ ปราะหรอื แตก สามารถถกู เคลอื่ นยา้ ยไดง้ า่ ย 13

การปอ้ งกนั กำ� จดั กรณเี มอื่ ตรวจพบการระบาดในระดบั ปานกลาง สำ� หรบั รงั ท่ี ออ่ นแอจะมกี ารเปลยี่ นผง้ึ แมร่ งั ตวั ใหม่ หรอื การเพมิ่ จำ� นวน 2 - 3 คอน เพอื่ เพม่ิ ความแขง็ แรง และการวางไขใ่ หม้ ากขนึ้ จะเปน็ การเพม่ิ ประชากรในรงั และเพม่ิ จำ� นวนผง้ึ ทท่ี ำ� หนา้ ทท่ี ำ� ความ สะอาดรงั ขนยา้ ยตวั ทเี่ ปน็ โรคออกจากรงั และเปน็ การเพม่ิ ความตา้ นทานโรคใหก้ บั ผงึ้ ดว้ ย ในกรณที พ่ี บวา่ โรคนเ้ี ขา้ ทำ� ลายมาก อาจจะมกี ารใชส้ ารออกซเี ตตราไซคลนิ ผสมกบั นำ�้ ตาล ผงใหก้ บั ผงึ้ ในรงั บรเิ วณเหนอื คอนตวั ออ่ น โดยใชอ้ ตั ราสว่ น 1 : 20 หรอื ใชส้ ารโซเดยี มซลั ฟา ไทอะโซล (sodium sulpha tiazole) 0.5 - 1.0 กรมั หรอื ใชส้ ารสเตรปโตมยั ซนิ (streptomysin) 0.2 - 0.6 กรมั ผสมกบั นำ�้ เช่อื ม 4 ลิตร ให้กับรงั ผง้ึ ท่เี ปน็ โรค โรคชอลค์ บรูด (Chalkbrood,CB) สาเหตุ เกิดจากเชอื้ รา (Ascosphaera apis) ทพี่ บในประเทศไทยมที ง้ั สายพนั ธท์ุ ส่ี รา้ งสปอร์ (spore cyst) ทำ� ใหต้ วั หนอนผง้ึ ทตี่ ายถกู ปกคลมุ ดว้ ยเสน้ ใยของเชอื้ รา และสปอร์มีลักษณะเหมือนแท่งส่ีเหล่ียมส้ัน ๆ สีด�ำ ส่วนอกี สายพนั ธไ์ุ มส่ รา้ งสปอร์ ท�ำให้ตวั หนอนผึง้ ที่ตาย ถูกปกคลุมด้วยเส้นใยของเช้ือรา มีลักษณะคล้าย แทง่ ชอลค์ สขี าว โดยปกตสิ ปอรจ์ ะไมท่ ำ� ใหเ้ กดิ โรคจนกวา่ จะมีการเติบโตเป็นเส้นใย ซ่ึงจะเจริญได้ดีท่ีอุณหภูมิ 30 - 35 oC ซง่ึ เปน็ อณุ หภมู ิปกตใิ นรังผ้งึ อาการ ผึ้งท่ีถูกเชื้อเข้าท�ำลายมีท้ังตัวอ่อน และดักแด้ ตัวออ่ นอายุ 3 - 4 วัน จะสังเกตเห็นอาการ ของโรคได้ โดยตัวอ่อนจะถูกปกคลุมด้วยเส้นใยของ เช้ือราสีขาว และกลายเป็นมัมม่ี เมื่อเช้ือรามีการสร้าง สปอรส์ ดี ำ� ข้ึน หรอื มีลกั ษณะคล้ายเศษชอล์ค และเม่ือมี อาการระบาดอย่างรุนแรง จะมตี ัวออ่ นทปี่ ดิ ฝาตายและ แห้งอยู่ภายในหลอดรวง รังท่เี ป็นโรคนใี้ นระดับท่รี นุ แรง จะพบว่ามีตัวอ่อนที่เป็นโรคแห้งตายตกอยู่ท่ีพื้นรังเป็น จำ� นวนมาก ซึง่ สามารถตรวจพบโรคนีไ้ ดง้ า่ ย การปอ้ งกนั กำ� จดั ยงั ไมม่ วี ธิ กี ารควบคมุ ทเี่ ชอ่ื ถอื ได้ แตก่ ม็ หี ลายวธิ ที ใี่ หผ้ ลในการ ป้องกนั ด้วยการรกั ษาผึง้ ไว้ใหป้ ลอดภัยจากเชอ้ื โรคนี้ การท�ำให้รงั ผึง้ มปี ระชากรท่แี ข็งแรง ระบายอากาศทด่ี ี ไมใ่ หม้ คี วามชนื้ ภายในรงั สงู มกี ารเพม่ิ ตวั เตม็ วยั ทเ่ี พม่ิ ออกจากหลอดรวง ใหม่ ๆ ใหก้ บั รงั ที่เพงิ่ เร่มิ เป็นโรคนี้ เพอื่ ช่วยทำ� ความสะอาดรัง 14

โรคแซคบรูด (Sacbrood) อาการ เป็นการยากในการตรวจสอบดูเช้ือไวรัส ลักษณะอาการของโรค หลงั จากทีผ่ ้งึ เปน็ โรคเขา้ ดกั แดไ้ ด้ 4 วนั หลอดรวงจะปดิ ฝาเรยี บรอ้ ย บรเิ วณส่วนหวั ของตวั ท่ีตายจะมสี ีดำ� ล�ำตัวที่เปน็ สีขาวใสจะเปล่ยี นเปน็ สเี หลืองซดี ๆ จนเป็นสีน�้ำตาลและสดี �ำ ในที่สดุ เมอ่ื ดึงตวั อ่อนออกจากหลอดรวงมาตรวจสอบจะพบวา่ ตวั อ่อนตายอย่ใู นถงุ (sac) ภายในตัวอ่อนเต็มไปด้วยน้�ำ และเมื่อแห้งจะเป็นสะเก็ดที่ติดอยู่อย่างหลวม ๆ กับผนัง ของหลอดรวง การป้องกันก�ำจัด ยังไม่มีสารเคมีใดที่ใช้ในการควบคุมก�ำจัดโรคชนิดน้ีได้ ผเู้ ลย้ี งผง้ึ จงึ ควรจดั การสภาพภายในรงั ใหด้ ี มกี ารเปลยี่ นผงึ้ แมร่ งั ใหม่ การจดั การประชากรผง้ึ ให้แข็งแรง การเพมิ่ ประชากรผึง้ งาน 4.2 สัตวศ์ ตั รูผง้ึ 4.2.1 ไรตวั เบยี นผง้ึ ไรตวั เบยี นผง้ึ เปน็ ศตั รทู ส่ี ำ� คญั ทส่ี ดุ ในการเลย้ี งผง้ึ พนั ธโ์ุ ดยเฉพาะในแถบ เอเชยี ประสบปญั หาเรื่องไรผึ้งค่อนขา้ ง รนุ แรงจนกลา่ วไดว้ า่ ความสำ� เรจ็ ของการ เลี้ยงผ้งึ พนั ธุ์ในเอเชยี เขตรอ้ น ขึ้นอยู่กับ การควบคุมไรศตั รผู ง้ึ เปน็ ส�ำคญั รปู รา่ งลกั ษณะ ไรตวั เบยี นผงึ้ มรี ปู รา่ งใหญ่ เมอ่ื เทยี บกบั ไรชนดิ อนื่ มลี ำ� ตวั แบน ในแนวราบ ลำ� ตวั กวา้ งมากกวา่ ความยาว กวา้ ง 0.5 - 1.6 มลิ ลเิ มตร ยาว 1.1 - 1.2 มลิ ลเิ มตร มสี นี ้�ำตาลแดง ล�ำตัวสว่ นบนปกคลมุ ดว้ ยขนสนี ้�ำตาลแดง เคลอ่ื นทไี่ ดเ้ รว็ สามารถมองเหน็ ได้ดว้ ยตาเปล่า ไรตัวเมียทผ่ี สมพันธ์แุ ล้ว จะเดนิ เขา้ สู่หลอดรวงทม่ี ตี วั อ่อนระยะตัวหนอน ก่อนเขา้ ดกั แด้ และอยูใ่ นหลอดนนั้ วางไข่ 3 - 10 ฟอง หลังจากน้ัน 24 ชวั่ โมง ไข่จะฟัก เปน็ ตวั อ่อน ไรท่ยี งั ไม่เป็นตัวเตม็ วยั จะมีสีขาว 15

การเข้าท�ำลาย ไรตัวเบียนผึ้งเข้าท�ำลายผ้ึงโดยตรง โดยการดูดกินโดยใช้ สว่ นของปาก เจาะเขา้ ไปทบี่ รเิ วณรอบตวั ระหวา่ งปลอ้ งของตวั ผง้ึ เพอื่ ดดู เลอื ด ทำ� ใหผ้ ง้ึ ตาย กอ่ นเจรญิ เปน็ ตวั เตม็ วยั ถา้ ผง้ึ สามารถรอดชวี ติ อยไู่ ดก้ ม็ กั จะพกิ าร ปกี ไมส่ มบรู ณ์ สว่ นทอ้ ง สนั้ ขาหายไป การปอ้ งกันกำ� จดั และควบคุมไรตัวเบยี นผงึ้ ท่ีใชไ้ ด้ดมี อี ยู่ 2 วิธี คอื การใช้ สารเคมี และเทคนคิ การจัดการรังผ้ึง 1) การใชส้ ารเคมี ควรใช้กอ่ นฤดดู อกไม้บาน เพราะมคี วามเสี่ยงในการเจือปน ของสารเคมใี นน�้ำผ้ึง การเป็นพษิ ต่อผ้ึง อย่างไรกต็ ามวธิ กี ารนเี้ ป็นวธิ กี ารทร่ี วดเรว็ และให้ ความมน่ั ใจในการระงบั การระบาดของไรได้ มสี ารเคมหี ลายชนดิ ทใี่ ชใ้ นการควบคมุ ดว้ ยวธิ ี การรมหรือการฉดี พน่ บนรวงผ้ึง ไดแ้ ก่ - กำ� มะถันผสมกบั ลูกเหมน็ บดละเอยี ด อตั รา 1 : 1 โดยน�้ำหนกั อัตราการใช้ 10 กรมั ตอ่ รงั (1 ชอ้ นชา) โรยฐานรงั ผง้ึ ในเวลาเยน็ ทกุ 4 วนั ตดิ ตอ่ กนั 6 - 7 ครงั้ ทำ� ความสะอาด ฐานรังเชา้ วนั รุ่งข้ึน - Folbex VA เป็นแถบกระดาษท่มี สี าร Bromopropylate เปน็ สารออกฤทธ์ิ และมสี ว่ นผสมอนื่ ทจ่ี ะชว่ ยทำ� ใหเ้ ผาไหมไ้ ดร้ วดเรว็ ใชจ้ ดุ ใสใ่ นรงั เพอื่ ใหค้ วนั กระจายอบอยู่ ในรงั โดยปดิ ทางเขา้ ออกของรังเปน็ เวลา 20 - 30 นาที มอี ัตราการใช้ 1 แผ่นต่อ 1 รงั ระยะ 4 - 6 วันตอ่ คร้งั เปน็ จ�ำนวน 3 - 4 ครง้ั ไรกจ็ ะถกู ก�ำจัด - Amitaz เปน็ สารละลายผสม มสี ารอมีทราสเป็นสารออกฤทธอิ์ ยู่ 20% EC ใช้ในอตั รา 0.5 มิลลิลิตร ผสมกับนำ�้ 1 ลติ ร ฉีดพ่นบนคอนผ้งึ ใหท้ ่วั (ยกเว้นคอนนำ้� ผึง้ ) โดยยกขึน้ พน่ ทลี ะคอน พน่ ในช่วงเวลาเยน็ ทุก 4 วัน ติดต่อกัน 6 - 7 ครั้ง หรอื อาจจะใช้ ในรปู แบบของการรมดว้ ยแผน่ ที่จุ่มสารนี้ 0.1 ซีซี แลว้ จดุ ไฟรมเหมอื นวิธขี อง Folbex VA - Tau-fluvalinate (เทา-ฟลูวาลิเนต) เปน็ แผน่ อัตราการใช้ 1 - 2 แผน่ ต่อรงั โดยรังผงึ้ มาตรฐานทมี่ ี 10 คอน ใหว้ างแผน่ แรกไว้ระหวา่ งคอนผ้ึงที่ 3 และ 4 สว่ นแผ่นที่ 2 วางระหวา่ งคอนผง้ึ ที่ 7 หรอื 8 สำ� หรบั รงั ผงึ้ ขนาดเลก็ ใหใ้ ช้ 1 แผน่ วางกง่ึ กลางรงั แผน่ สารเคมี ใชไ้ ด้ 6 - 8 สัปดาห์ 2) การควบคุมโดยการจัดการรงั วงจรการพัฒนาของไรตวั เบยี นผึง้ ที่สมบูรณ์ ขึ้นอยกู่ ับตัวออ่ นของผ้ึง ไรตวั เบยี นผ้งึ ชอบตวั อ่อนของผึง้ ตวั ผมู้ ากกวา่ ตวั ออ่ นของผงึ้ งาน เมอื่ มรี วงตวั ออ่ นทเ่ี ปน็ ตวั ผอู้ ยใู่ นรงั (ดว้ ยการเตรยี มแผน่ ฐานรวงตวั ผใู้ สล่ งไปในรงั ใหผ้ ง้ึ งาน สร้างหลอดรวง และใหผ้ ้ึงแม่รังวางไข)่ และการใชแ้ ผน่ กัน้ ผ้ึงแมร่ ังแบบแนวตั้ง กัน้ ผึง้ แม่รัง ใหว้ างไขใ่ นรวงทเ่ี ปน็ ตวั ผเู้ ทา่ นน้ั ไรตวั เบยี นผงึ้ เพศเมยี กจ็ ะถกู ดงึ ดดู โดยตวั ออ่ นของผง้ึ ตวั ผู้ ให้เข้าไปอยู่ในหลอดรวงของผ้ึงตัวผู้นั้นเม่ือหลอดรวงปิดแล้วก็จะน�ำหลอดรวงผ้ึงตัวผู้น้ัน ออกไปท�ำลาย ก็จะเปน็ การกำ� จัดไรตัวเบียนผ้งึ ได้ 16

4.2.2 ไรทรอปิลแิ ลปส์ (Tropilaelaps clareae) ผู้เล้ียงผึ้งพันธุ์ในประเทศไทยมักจะพบไรวาร์รัว และไรทรอปิลิแลปส์อาศัยอยู่ รว่ มกัน และพบว่าไรทรอปิลิแลปส์ เป็นศัตรผู งึ้ พันธ์ุที่สำ� คญั มากกว่าไรวาร์รวั รูปร่างลักษณะ ไรทรอปิลิแลปส์มีขนาดเล็ก กวา่ ไรวารร์ วั สามารถมองเหน็ ได้ดว้ ย ตาเปลา่ ไรตัวเต็ม วัยเพศเมยี มสี ีนำ้� ตาล มรี ปู รา่ งรปู ไข่ยาว 0.96 มิลลิเมตร และกว้าง 0.55 มิลลิเมตร รอบตัวปกคลมุ ดว้ ยขนสนั้ ๆ ในระยะตวั ออ่ น ไรจะอาศยั ในหลอดรวงตวั ออ่ นผง้ึ ดดู กนิ เลอื ดของ ตวั ออ่ น ตัวเตม็ วยั ของเพศเมยี ที่ได้รบั การผสม จะวางไขใ่ นหลอดรวงตวั ออ่ นผงึ้ หลงั จากทป่ี ดิ ฝาหลอดรวงแลว้ ส่วนตัวเต็มวัยเพศผู้จะไม่ดูดกินเลือด เพราะอวัยวะท่ีใช้ ในการเจาะดดู เลอื ด ไดเ้ ปล่ียนเป็นทอ่ ลำ� เลียงน้ำ� เช้ือตวั ผู้ ท�ำให้มีอายุสั้นกว่าเพศเมีย ตัวอ่อนไรที่เจริญอยู่ในหลอดรวงผ้ึง จะออกมาหลังจากท่ี ตวั เตม็ วยั ของผงึ้ กดั ฝาหลอดรวงออกมา การเขา้ ทำ� ลาย การเขา้ ทำ� ลายของไรชนดิ นี้ คลา้ ยคลงึ กบั ไรวารร์ วั สว่ นทอ้ งของผง้ึ ทถี่ กู ไรเข้าทำ� ลายจะลดขนาดลง มีชว่ งชีวติ ท่สี ้นั กว่าผง้ึ ปกติ ถ้าไรเข้าทำ� ลายมาก จะพบผงึ้ ที่มีปกี พิการอยทู่ ที่ างเขา้ ออกของรังและภายในรัง การปอ้ งกนั ก�ำจัด เหมอื นไรวาร์รวั 4.2.3 แมลง (Insects) มด (Ants) เป็นที่รู้กันดีโดยทั่วไปแล้วว่า มดเป็นตัวห�้ำท่ีกินผ้ึง มดเป็นแมลงสังคมช้ันสูง สามารถเขา้ ทำ� ลายผงึ้ และกนิ ผงึ้ ไดท้ งั้ หมด ไมว่ า่ จะเปน็ ตวั ผงึ้ เปน็ ๆ หรอื ตายแลว้ ทง้ั ตวั เตม็ วยั ตัวอ่อน และนำ้� ผึง้ การทง้ิ รงั ของผงึ้ เป็นวิธกี ารในการหนกี ารเขา้ ท�ำลายของมด มดหลาย ชนดิ เปน็ ปญั หาของการเลย้ี งผง้ึ ทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่ มดแดง (Oecophylla smaragdula) และมดดำ� (Monomorium indicum, M. destructue) มดจะเขา้ ท�ำลายรงั ผึ้งท่ีออ่ นแอ มปี ระชากรนอ้ ย หรืออาจจับกลมุ่ ดักผึ้งหน้ารงั การป้องกันก�ำจัด วิธีการที่ดีคือการหารังมดแล้วท�ำลายด้วยการเผา การท�ำ ความสะอาดตดั แตง่ กงิ่ ไมห้ รอื หญา้ จะเปน็ การลดการเขา้ ทำ� ลายของมดได้ สำ� หรบั การเลยี้ ง ผึง้ ในเขตรอ้ นชน้ื มกั จะมีการใชข้ าตงั้ รงั ผ้ึง สงู ประมาณ 30 - 50 เซนติเมตร โดยมีจารบี หรอื น้�ำมันทาขาตง้ั ปอ้ งกันมดได้ 4.2.2 ตวั ตอ่ (Wasp) ตัวต่อเป็นศัตรูผ้ึงที่มีชุกชุมในหน้าฝน ตัวต่อจะบินวน บริเวณทางเข้า - ออก และจับผ้ึงกิน ถ้ารงั ผึง้ ท่ีอ่อนแอ ต่อจะบกุ เขา้ ไปในรังผ้ึง จบั ผง้ึ ทุกวัยกิน ตอ่ มีหลายชนดิ เชน่ ต่อหวั โขน ตอ่ หลมุ ตอ่ ภูเขา 17

การป้องกันก�ำจัด การเผารังต่อท่ีพบในเวลากลางคืน การใช้สวิงจับตัวต่อ มาฉดี นำ้� ใหเ้ ปยี กและชบุ สารเคมี เชน่ เซฟวนิ แลว้ ปลอ่ ยกลบั ไปรงั พษิ สารเคมจี ะถกู ถา่ ยทอด ไปท่รี ังตอ่ ทำ� ให้ตายท้งั รัง อีกวธิ หี นึ่งใช้กรงกบั ดกั ตอ่ ซึง่ สามารถใชร้ งั ผึง้ เปน็ กลอ่ งลอ่ ใหต้ อ่ เขา้ รงั ดา้ นบนทำ� เปน็ กรงตาขา่ ยรปู กรวย ใหต้ อ่ บนิ ขน้ึ ได้ แตอ่ อกไมไ่ ด้ ตวั ตอ่ จะหมดไปเอง โดยตง้ั บรเิ วณท่ีต้งั ผึ้งที่มตี อ่ ชกุ ชมุ นอกจากนี้ยงั มนี กจาบคาซึ่งเปน็ ศัตรูทส่ี ำ� คญั ของผึ้งอกี ชนดิ หนึ่ง 5. การเกบ็ ผลผลติ น้�ำผง้ึ 5.1 น�ำนำ้� ผึ้งมากรองด้วยตะแกรงหยาบ และกรองละเอียด 5.2 น�ำมาใสถ่ ังบ่ม บ่มไว้ 15 วัน 5.3 น�ำมาใสภ่ าชนะบรรจุ หรอื ใสอ่ าหารตามต้องการ 6. แหล่งผลิตทส่ี ำ� คญั ภาคเหนอื ไดแ้ ก่ จงั หวดั เชยี งใหม่ เชยี งราย ลำ� พนู แพร่ นา่ น พะเยา ลำ� ปาง อตุ รดติ ถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ได้แก่ ขอนแกน่ เลย นครราชสีมา อดุ รธานี ภาคกลาง ได้แก่ สระบุรี ลพบรุ ี พิษณุโลก พจิ ติ ร เพชรบรู ณ์ ภาคตะวนั ออก ไดแ้ ก่ จันทบรุ ี ภาคตะวนั ตก ได้แก่ กาญจนบรุ ี ภาคใต้ ไดแ้ ก่ ชุมพร สุราษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช 18

ขอ้ มลู สภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตและให้ผลผลติ ของผึ้งพนั ธุ์ สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ข้อจำ�กัด สภาพภมู อิ ากาศ สภาพพน้ื ทตี่ งั้ รงั ผ้ึง อุณหภมู ทิ ่เี หมาะสมอยรู่ ะหว่าง 25 - 30 0C อุณหภูมิ 1. ถา้ อณุ หภมู ติ ำ่� ผงึ้ จะตอ้ งรกั ษาอณุ หภมู ภิ ายในรงั ทำ� ให้ ทีพ่ อเหมาะส�ำหรบั รวงผ้งึ อ่อนอยรู่ ะหวา่ ง 33 -35 0C ผึ้งทอ่ี อกหากนิ หรือไปเกบ็ อาหารนอกรงั มีน้อย สภาพนำ้� 2. ชว่ งทม่ี ฝี นตกชกุ ตดิ ตอ่ กนั จะท�ำใหผ้ งึ้ ออกหากนิ ไมไ่ ด้ คณุ สมบัติทาง 3. ความชน้ื สมั พทั ธ์สงู จะทำ� ให้ผงึ้ มีโอกาสเปน็ โรค กายภาพของดนิ ชอล์คบรูดไดง้ า่ ยหากรงั ผงึ้ นั้นไมแ่ ขง็ แรง 1. ควรจะอยใู่ นที่รม่ รน่ื ชมุ่ ชนื้ ไม่แหง้ แล้ง 1. พ้นื ที่โล่ง ถ้ามลี มแรงเกิน 24 กม./ชม. 2. การคมนาคมสะดวก ไม่ควรอยใู่ กล้ถนนทมี่ ีรถยนต์ ผ้งึ จะหยดุ ออกมาหาอาหาร ว่งิ ผา่ นหนาแน่น ใกล้โรงเรยี น และทช่ี ุมชน 2. ควรมเี สน้ ทางใหย้ านพาหนะเขา้ ถงึ สำ� หรบั การขนยา้ ย 3. มแี หลง่ อาหารผงึ้ ชว่ งทม่ี ดี อกไมบ้ าน ยา้ ยในเวลากลางคนื 3. พชื อาหารผึ้งจะบานเปน็ ช่วงๆ ไมม่ กี ารบานตลอด 3.1 พืชหลกั ได้แก่ ล�ำไย สาบเสือ ทานตะวัน ล้ินจ่ี 4. พน้ื ที่ใกล้เคยี งไม่มพี ืชอาหารทีบ่ านต่อเนอ่ื งตอ้ งขน 3.2 พืชรองได้แก่ งา นุ่น ยางพารา เงาะ 1 ไร่ต่อรงั ย้ายรงั ผ้งึ ไปตามแหลง่ อาหาร 4. ควรมีแสงแดดอ่อนในตอนเช้าส่องเขา้ มาถงึ หนา้ รัง 5. การต้ังรงั ผึ้งในชว่ งดอกไมบ้ าน ตอ้ งตรงกบั ช่วง ควรจะหนั หนา้ รังไปทางทศิ ตะวนั ออก การบานของดอกไม้ โดยปกติแลว้ ควรต้งั ก่อน 7 วัน 5. ไมอ่ ยใู่ กลก้ บั บรเิ วณทม่ี แี สงไฟ เพราะผง้ึ จะมาเลน่ แสงไฟ เพ่อื ได้ทราบสถานการณแ์ ละแก้ไขปญั หาได้ทนั 6. เลือกท่ีไมม่ ศี ตั รขู องผ้งึ เชน่ มด คางคก นกจาบคา 7. ไมม่ กี ารพน่ สารเคมปี อ้ งกนั กำ� จดั ศตั รพู ชื ในระยะดอกไมบ้ าน 19 ควรมบี อ่ นำ�้ ทส่ี ะอาด เปน็ แหลง่ ใหผ้ งึ้ ไดก้ นิ ในชว่ งอากาศรอ้ น พน้ื ทปี่ ่าบางแหง่ ไมม่ แี หลง่ น้�ำธรรมชาติ ควรจัดเตรยี ม บอ่ น้�ำเพ่ิมเติมใหผ้ ง้ึ มนี ำ�้ สะอาดกนิ ไม่มผี ลตอ่ การเล้ยี งผ้ึงแตม่ ผี ลต่อการตัง้ รังผง้ึ ดนิ เหนยี ว ดนิ ทราย ต้ังรังผงึ้ ทำ� ใหร้ งั ผงึ้ เอน ( ความม่ันคงในการตัง้ รงั ผ้ึง ) และลม้ งา่ ย ควรหาขาตงั้ ท่แี ข็งแรงเป็นฐาน

แนวทางการเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิต และแหล่งสบื ค้นขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ การเปล่ียนนางพญาผึ้ง ควรเปลยี่ นนางพญาผ้งึ ทกุ 1 – 2 ปี เน่ืองจากนางพญาผ้งึ ทีม่ อี ายุมากข้นึ จะวางไข่ได้ น้อยลง และมีประสิทธิภาพในการควบคุมการท�ำงานภายในรังได้ลดลง และเพ่ือเพิ่ม ประสิทธิภาพการผลิตน�้ำผ้ึงให้ดีย่ิงขึ้น ควรใช้นางพญาผึ้งท่ีผ่านการคัดเลือกและปรับปรุง พันธน์ุ างพญาผ้ึงสายพันธ์ดุ ี การปฏบิ ตั ิทางการเกษตรทดี่ สี ำ� หรับฟารม์ ผ้งึ (GAP) ควรมีการจดั การดูแลผง้ึ ใหไ้ ดผ้ ลผลิตที่มาก มีคณุ ภาพ ถูกสขุ ลกั ษณะ และปลอดภัย ต่อผู้ปรโิ ภค โดยปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เกยี่ วกับการปฏบิ ัติ ทางการเกษตรทดี่ สี �ำหรบั ฟารม์ ผงึ้ (GAP) ของส�ำนักงานมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหาร แหง่ ชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซ่ึงมีขอ้ กำ� หนดวธิ ีปฏิบตั ดิ ังนี้ ขอ้ กาหนด เกณฑท์ กี่ ำ� หนด ทำ� เลท่ีตัง้ ของฟารม์ - ไมต่ งั้ อยู่ในพ้นื ทท่ี ีม่ ีความเสย่ี งจากการปนเปื้อน ของวัตถุมีพิษจากการท�ำเกษตรกรรม และโรงงาน อุตสาหกรรม การจดั การภายในฟารม์ ผง้ึ - แบง่ พนื้ ทเี่ กบ็ สารเคมี และยาปฏชิ วี นะแยกเปน็ สดั สว่ น ออกจากพน้ื ทเ่ี กบ็ ผลผลติ และอุปกรณก์ ารเล้ยี งผง้ึ - ภาชนะบรรจุสารเคมแี ละยาปฏิชีวนะต้องมีฉลาก ตดิ ไวช้ ัดเจน การจดั การเลี้ยงผึง้ ชว่ งกอ่ นฤดูดอกไม้บาน - มีการควบคมุ ความสมดลุ ย์ในรงั ผึ้ง การจดั การเลย้ี งผงึ้ ช่วงฤดดู อกไม้บาน - สลดั นำ�้ ผึง้ หวั คอนออก กอ่ นท่จี ะมกี ารสลดั น�ำ้ ผง้ึ จากดอกไม้หลกั ครงั้ แรก การจัดการผลผลติ - ผลผลิตแตล่ ะชนดิ จะตอ้ งเกบ็ อย่างเหมาะสม ในภาชนะทีม่ ีความปลอดภัยกบั ผูบ้ รโิ ภค และระบุ สถานที่ วันเดอื นปี ท่ผี ลติ การจดั การเล้ียงผึ้งช่วงหลงั ฤดดู อกไม้บาน - มกี ารควบคมุ ความสมดลุ ยใ์ นรังผ้งึ การจดั การสุขภาพผง้ึ - ต้องมกี ารควบคุม ปอ้ งกนั และกำ� จดั โรค และไรศัตรูผ้ึงอย่างมีประสิทธิภาพ การใชส้ ารเคมีและยากับผ้ึงในฟาร์ม - มีการบันทกึ ขอ้ มลู เก่ียวกับการใช้สารเคมีและยา ต้องใช้สารเคมีที่ทางราชการกำ� หนด การบนั ทกึ ขอ้ มูล - มีการบันทึกข้อมลู ประจำ� ฟาร์ม ข้อมลู สารเคมี และยาทใ่ี ช้ในฟารม์ การจดั การดา้ นส่งิ แวดล้อม - มีการจดั การวัสดเุ หลอื ใช้จากการเลี้ยงผง้ึ เชน่ รวงผ้ึงเกา่ น�้ำเสีย การเกบ็ รักษาสารเคมีท่เี หมาะสม 20

แหลง่ สบื ค้นขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ 1. กลมุ่ สง่ เสรมิ การเลย้ี งผง้ึ และแมลงเศรษฐกจิ สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรเขตจตุจักร กรงุ เทพฯ 10900 โทรศัพท์/โทรสาร 0-2940-6102 2. ศูนย์ส่งเสรมิ และพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผึ้ง) จังหวัดเชียงใหม่ http://www. [email protected] 3. ศูนยส์ ง่ เสรมิ และพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผ้ึง) จงั หวัดพษิ ณุโลก http://www. [email protected] 4. ศูนยส์ ง่ เสรมิ และพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผ้งึ ) จังหวดั ขอนแกน่ http://www. [email protected] 5 ศูนย์ส่งเสริมและพฒั นาอาชพี การเกษตร(ผ้งึ จงั หวดั จนั ทบุรี http://www. [email protected] 6. ศูนย์สง่ เสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผึ้ง) จังหวัดชมุ พร http://www. aopdb03@ doae.go.th 7. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร.2546.คูม่ อื เจา้ หนา้ ทส่ี ง่ เสริมการเกษตร หลักสูตรส่งเสรมิ การเลย้ี งผึง้ พนั ธุ.์ 21

คณุ คา่ นำ�้ ผ้งึ และผลติ ภัณฑ์จากผง้ึ พนั ธ์ุ น�้ำผ้งึ …ผลติ ภณั ฑ์อมตะ • นำ�้ ผงึ้ มสี รรพคณุ ใชเ้ ปน็ ยาบำ� รงุ กำ� ลงั มาแตก่ อ่ นสมยั พทุ ธกาล กอ่ นทพ่ี ระพทุ ธเจา้ จะตรัสรู้ พระองค์ทรงละการบ�ำเพ็ญ ทุกขกริยาและกลับมาเสวยกระยาหาร แตพ่ ระวรกายยงั ไมฟ่ น้ื คนื นางสชุ าดาจงึ ได้ กวนข้าวมธุปายาส (ข้าวอันเกิดจากน้�ำผ้ึง) นำ� มาถวาย เมอื่ ไดเ้ สวยขา้ วมธปุ ยาสนแ้ี ลว้ hทtมี่ tpา:ข//อsงtuภdาeพnt:.nu.ac.th/52315362/one.html ทำ� ใหพ้ ระวรกายกลบั สมบรู ณแ์ ขง็ แรงขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ และสามารถตรสั รสู้ มั มาสมั โพธญิ าณ ไดใ้ นเวลาต่อมา น�้ำผ้ึงจึงเป็นอาหารท่ีใหค้ วามหวานที่เกา่ แกท่ ่สี ดุ จากน้�ำหวาน…..เป็นนำ�้ ผ้งึ • นำ้� ผง้ึ คอื นำ้� หวานทผ่ี ง้ึ เกบ็ จากตอ่ ม น�้ำหวานของดอกไม้ หรือต่อมน้�ำหวาน พิเศษของต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นพืชปลูกหรือ พืชป่า ผ่านกระบวนการย่อยภายในตัวผึ้ง และคายออกมาเก็บไว้ในหลอดรวงรังผ้ึง ผา่ นการบม่ (การระเหยนำ้� ออกจากนำ้� หวาน) โดยผึ้งช่วยกันกระพือปีกไล่ความชื้น จน ทำ� ใหน้ ำ้� หวานทอี่ ยใู่ นหลอดรวงมคี วามเขม้ ข้นประมาณ 80 – 85 % มีความช้ืนนอ้ ยกว่า 20% ผึ้งจึงปิดฝาหลอดรวง ความหลากหลายของนำ้� ผึ้งในประเทศไทย ประเทศไทยมีความหลากหลายของ พืชพรรณต่างๆ นานาชนิด ท้ังในด้าน พชื สวน พชื ไร่ และพชื ปา่ จงึ สง่ ผลใหม้ แี หลง่ พชื อาหารผง้ึ เปน็ จำ� นวนมากทำ� ใหไ้ ดผ้ ลผลติ นำ�้ ผงึ้ หลากหลายชนดิ ซงึ่ สามารถแบง่ ตาม แหล่งพืชอาหารตามภมู ภิ าคตา่ งๆ ไดด้ งั น้ี 22

ตารางที่ 1 แสดงความหลากหลายของชนิดนาํ้ ผง้ึ ของประเทศไทย ภาค ชนิดน้ําผ้งึ เหนือ น้าํ ผง้ึ ดอกล�ำไย นํ้าผ้ึงดอกล้นิ จี่ นาํ้ ผง้ึ ดอกสาบเสือ นํา้ ผงึ้ ดอกขี้ไกย่ า่ น ตะวันออกเฉยี งเหนอื นา้ํ ผง้ึ ดอกนนุ่ นํ้าผง้ึ ดอกงา นํ้าผึง้ ดอกสาบเสอื ตะวนั ออก นํ้าผ้ึงดอกเงาะ นาํ้ ผึ้งยางพารา น้ําผึ้งมนั ส�ำปะหลัง กลาง นํ้าผึ้งดอกทานตะวนั น้ําผ้ึงดอกงา ตะวนั ตก นา้ํ ผึ้งดอกลิน้ จ่ี นา้ํ ผ้ึงดอกไม้ปา่ ใต้ นํ้าผงึ้ ดอกเสม็ด นํ้าผ้ึงยางพารา นา้ํ ผึ้งดอกมะพรา้ ว องคป์ ระกอบในน้ําผ้งึ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า น้ําผึ้ง คือ นํ้าตาล แตเ่ ปน็ นาํ้ ตาลเชงิ เดยี่ ว ทร่ี า่ งกายสามารถยอ่ ยและ ดดู ซมึ ไปใชไ้ ดง้ า่ ย เพราะผง้ึ รวบรวมมาจากดอกไม้ ในธรรมชาติ อดุ มไปดว้ ยแร่ธาตุ วติ ามิน เอนไซม์ ฯลฯ ท่ีมีประโยชน์ต่อร่างกาย สรุปองค์ประกอบ ที่สำ� คญั ๆ ในน้ําผึ้งได้ ดงั นี้ 1. น้ํา หรอื ความช้ืน ท่ีมอี ย่ใู นนํ้าผ้งึ ทด่ี ีจะมี ปรมิ าณความชน้ื ประมาณ 17-18% เพราะจะทำ� ให้ เกบ็ ไว้ได้นาน ไม่บูดเสียง่าย 2. นา้ํ ตาล มไี มต่ า่ํ กวา่ 17 ชนดิ เช่น fructose glucose sucrose maltose เปน็ ต้น ทำ� ใหน้ า้ํ ผง้ึ เปน็ อาหารประเภทคารโ์ บไฮเดรตทด่ี ที ส่ี ดุ ชนดิ หนงึ่ และเปน็ สว่ นสำ� คญั ทที่ ำ� ให้ นํ้าผึง้ มรี สหวาน สามารถใหพ้ ลังงานแกผ่ บู้ ริโภคได้ทนั ที 3. กรด ในนาํ้ ผงึ้ มหี ลายชนดิ ชนดิ ทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่ กรดกลโู คนคิ กรดซคั ซนิ คิ กรดฟอรม์ กิ กรดอะซติ กิ กรดบวิ ธรี คิ กรดแลคทคิ กรดไพโรกลตู ามคิ และกรดอะมโิ น 16 ชนดิ ซงึ่ เปน็ กรดทมี่ ี ประโยชนต์ ่อรา่ งกาย และยังมีประโยชนช์ ่วยให้น้ําผึง้ ไม่บูดเน่าสญู เสยี คุณภาพ เพราะสาร เหล่านีป้ อ้ งกนั การเจรญิ ของเชอ้ื จุลินทรีย์และเช้อื รา 4. แร่ธาตุ ไดแ้ ก่ โปรแตสเซียม แคลเซยี ม ก�ำมะถนั ฟอสฟอรสั เหล็ก แมกนีเซียม แมงกานสิ คอปเปอร์ ถงึ จะมปี รมิ าณ 0.02 - 1% ซง่ึ เปน็ แรธ่ าตจุ ำ� เปน็ ตอ่ กระบวนการตา่ งๆ ในรา่ งกาย เชน่ การเสรมิ สรา้ งกระดกู และฟนั การรกั ษาสมดลุ กรด – ดา่ งในเลอื ด การทำ� งาน ของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบินและการสังเคราะห์ อนิ ซูลีนในตบั เปน็ ต้น 23

5. เอนไซม์ ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาที่มีประโยชน์ต่างๆ เช่น อินเวอร์เตส ไดเอสเตส คาตาเลส กลูโคออกซิเดส โปรตีเนส ฟอสฟาเตส 6. vitamin ทพ่ี บมหี ลายอยา่ ง เชน่ Thiamin (B1) , Riboflavin (B2) , Ascorbic acid (C), Pyridoxine (B6) , vitamin B complex แตกต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไมใ้ นน้ําผงึ้ นนั้ ๆ 7. protein พบโปรตีนในนํ้าผ้ึง 0.26 % ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและ ซ่อมแซมสว่ นทส่ี กึ หรอของร่างกาย เสริมสร้างคอลลาเจน และสารสอ่ื ประสาท 8. คุณสมบตั ทิ ัว่ ไปของนา้ํ ผึง้ - มคี วามหนาแนน่ มากกว่านํ้า มีความถ่วงจำ� เพาะ 14.225 นาํ้ ผ้งึ 1 กโิ ลกรัม จะมีปริมาตร 750 ซซี ี ทงั้ นขี้ ้นึ อยกู่ ับชนิดของน้าํ ผึง้ และปรมิ าณน้าํ หรอื ความชืน้ ในนา้ํ ผง้ึ - น้าํ ผ้งึ 100 กรัมมคี ่าพลงั งานเท่ากบั 303 แคลอรี่ หรือ 1 ช้อนโต๊ะ (20 กรัม) มพี ลังงานเท่ากบั 60 แคลอรี่ คุณลกั ษณะเฉพาะของนํา้ ผึง้ นา้ํ ผ้งึ ที่ไดจ้ ากพืชต่างชนิดกัน จะมีความแตกต่างในเร่อื งทางกายภาพ ได้แก่ สี กล่นิ และรสชาติ และจะมคี ณุ ลกั ษณะเฉพาะอยา่ งทแี่ ตกตา่ งกนั ไปดว้ ย เชน่ นา้ํ ผงึ้ ตกผลกึ นาํ้ ผง้ึ จากพืชบางชนิด สามารถตกผลึกไดด้ ี เช่น นา้ํ ผง้ึ จากดอกล้นิ จ่ี และดอกทานตะวัน ซ่ึงเปน็ ลกั ษณะเฉพาะ เนอื่ งจากการเปลยี่ นสถานะจากของเหลวมาเปน็ ของแขง็ เปน็ ผลกึ มรี ปู รา่ ง เป็นแท่งแหลม เปราะบาง เพราะมีปริมาณนํ้าตาลกลูโคสในน้ําผึ้งสูงกว่าน้ําตาลฟรุกโตส ผลึกดงั กล่าวจะมสี เี ดียวกลมกลนื ไปทั้งขวด ไม่แยกชน้ั ท้ังน้ี ลักษณะการตกผลึกจะหายไป ทันที เมอื่ นำ� ไปอุน่ ท่ีอณุ หภมู ิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส ภายใน 5 นาที ซ่งึ ตา่ งจากน้ําผึ้ง ตกตะกอน ทเี่ กิดจากการปลอมปนนํ้าตาลทราย ผลึกจะมสี ีน้ําตาลเข้ม แตกตา่ งจากส่วนท่ี เป็นของเหลวอย่างเหน็ ได้ชดั 24

การเปลี่ยนสี นํ้าผึ้งเม่ือเก็บไว้ระยะเวลาหนึ่ง จะเกิดการเปล่ียนสี หรือมีสีเข้มขึ้น เพราะปฏิกริ ิยาการสลายน้ําตาลฟรกุ โตส เกดิ สาร HMF (hydroxy methyl furfural) โดยท่ี นํ้าผ้ึงนั้นยังคงน�ำมาบริโภคได้ เพียงแต่สีไม่น่ารับประทานเท่านั้น โดยนํ้าผึ้งแต่ละชนิด จะเปลี่ยนสเี ร็วหรอื ชา้ ตา่ งกนั ทั้ง ๆ ทีเ่ กบ็ ไว้ในสถานทเ่ี ดยี วกนั เชน่ นาํ้ ผ้งึ จากดอกลำ� ไย และมะพรา้ ว จะเปลี่ยนเป็นสีเขม้ จนถงึ ดำ� ได้เร็วกว่านา้ํ ผึง้ จากดอกลิ้นจี่ นุ่น งา เปน็ ต้น น้ําผึ้งที่มีสีเข้มจะมีปริมาณแร่ธาตุในนํ้าผึ้งมากกว่าน้ําผ้ึง สีอ่อน โดยเฉพาะธาตุเหล็ก คอปเปอร์ และแมงกานสี ซงึ่ เป็นแร่ธาตุทีม่ คี วามสำ� คัญในกระบวนการสร้างเลือด การน�ำนํ้าผ้งึ มาใช้ประโยชน์ • นำ� มาบริโภคสด • นำ� มาเปน็ สว่ นประกอบของสนิ คา้ ในอตุ สาหกรรมประเภทตา่ ง ๆ เชน่ ยาแผนโบราณ เคร่ืองส�ำอาง เครื่องด่ืม ขนม นํา้ หมัก เป็นตน้ • นำ� มาใช้สมานแผลในวงการแพทย์ปจั จุบัน เน่อื งจากคณุ ลักษณะของนํา้ ผึ้งที่สำ� คญั 3 ประการ ได้แก่ 1. นา้ํ ผง้ึ มคี วามเขม้ ขน้ สงู ทำ� ใหม้ คี วามสามารถในการดดู ซบั นาํ้ หรอื ดงึ นา้ํ ออก จากเซลล์ของแบคทเี รียได้สูงมาก (hyperosmosis) 2. มคี วามเปน็ กรด หรือ pH เฉลยี่ 3.9 ซึ่งเพยี งพอตอ่ การยบั ยั้งการเจริญเติบโต ของเช้ือแบคทีเรยี ได้ 3. มีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซ่ึงมีฤทธ์ิในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เกิดจาก ปฏิกิริยาของเอนไซม์ glucose oxidase ดงั น้นั นํา้ ผ้ึงจงึ มคี ุณสมบัตสิ ามารถยับยง้ั การเจรญิ ของเชอ้ื แบคทเี รียไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 25

คุณคา่ ทางเภสชั ของน้ําผ้งึ ตารางท่ี 2 แสดงคุณคา่ ทางเภสชั ของน้าํ ผึง้ อาการและโรคตา่ งๆ สรรพคณุ นา้ํ ผึง้ กับโรคเบาหวาน ผ้ปู ่วยท่ีเปน็ โรคเบาหวาน คือ ผ้ทู ่ตี ับออ่ นสร้างอินซลู ินไม่ได้ หรือได้น้อยไม่เพียงพอในการน�ำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ ท�ำให้มี อาการตะครวิ ปริมาณกลูโคสในกระแสเลือดมากกว่าปกติ แต่ผู้ป่วยยังคง เพราะขาดแคลเซยี ม ต้องการพลังงาน ซ่ึงนํา้ ตาลฟรคุ โตสในน้าํ ผง้ึ สามารถทดแทน แผลเนา่ เปอ่ื ยพพุ อง กลโู คสไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เนอ่ื งจากนาํ้ ตาลฟรคุ โตสสามารถดดู ซมึ เข้าสู่กระแสเลือดได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยอินซูลีน ดังน้ัน การขบั ถา่ ย ผปู้ ว่ ยเบาหวานสามารถบรโิ ภคนา้ํ ผ้ึงได้ แต่ควรอยใู นปริมาณ การยอ่ ยอาหาร เหมาะสม คอื รบั ประทานวันละ 3 ช้อนโต๊ะ และใหล้ ดการ รับประทานอาหารประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตลง 10 % จะทำ� ใหผ้ ปู้ ว่ ยเบาหวานไดร้ บั พลงั งานทเ่ี พยี งพอ ฟน้ื ตวั ไดเ้ รว็ และใชย้ าควบคมุ เบาหวานลดลง เนอื่ งจากกลา้ มเนอื้ ไมส่ ามารถแลกเปลย่ี นกรดแลกตกิ มาเปน็ พลงั งานได้ หรอื อาการเครยี ดมกั เกดิ อาการกระตกุ หรอื เขมน่ หนงั ตาหรอื ทมี่ มุ ปาก ควรรบั ประทานน้ําผึง้ 2 ช้อนชาทุกมือ้ อาหาร จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ เนื่องจากน้ําผ้ึง มโี ซเดยี ม และโปรแตสเซยี ม ซงึ่ จะชว่ ยปรบั สมดลุ ของนา้ํ ระบบ ประสาทและสมองของร่างกาย นํ้าผ้ึงสามารถลดอาการอักเสบของแผล เช่น แผลไฟไหม้ น้ํารอ้ นลวก แผลเนา่ เปอื่ ย และแผลพุพอง นํ้าผึง้ มสี ารหล่อเล้ยี งตามธรรมชาติ คือ มิวซิน จากกระเพาะ ของผึ้ง เด็กทรินและมอลโตสจากดอกไม้ ช่วยหล่อล่ืนผิว กระเพาะและล�ำไส้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการ รดิ สีดวง ทอ้ งผกู หากรบั ประทานน้าํ ผงึ้ ก่อนนอน จะช่วยให้ ขับถ่ายได้ดีในตอนเช้า นอกจากนี้ยังลดอาการปวดแผล ในกระเพาะอาหารและลำ� ไส้ได้ นา้ํ ผง้ึ มเี อนไซมห์ ลายชนดิ จากกระเพาะของผง้ึ ทส่ี ามารถยอ่ ย โมเลกลุ ตา่ งๆ ใหส้ นั้ เลก็ ลงได้ ดงั นน้ั เมอ่ื มอี าการทอ้ งอดื เฟอ้ เรอเปร้ียว เนื่องจากอาหารไม่ย่อย น้ําผ้ึงสามารถบรรเทา อาการดังกล่าวได้ นอกจากนี้ส่วนประกอบของน้ําในนํ้าผ้ึง ยงั ชว่ ยใหร้ ะบบดูดซมึ ในรา่ งกายทำ� งานได้ดี ท�ำใหร้ ะบบย่อย อาหารของรา่ งกายเป็นปกติและสามารถทำ� งานได้ดขี ้ึน 26

เกสรผ้งึ (Bee Pollen) เกสรผ้ึง คือ ละอองเกสร (pollen) ของพชื หรือเซลล์สบื พนั ธุเ์ พศผขู้ องพืชที่ ผึ้งเก็บจากดอกไม้ โดยผ้ึงจะใช้ขาคู่หน้า ตะกยุ เกสร และใชข้ าคูก่ ลางรวบรวมเกสร เป็นก้อน และเก็บก้อนเกสรไว้ที่ขาคู่หลัง (หรอื ตะกร้อเก็บเกสร) แลว้ บนิ กลบั เขา้ รัง เพื่อน�ำเกสรมาสะสมในหลอดรวงและน�ำ มาเปน็ อาหารใหก้ บั ตวั อ่อนของผึ้ง ลักษณะของเกสรผึ้ง : เกสรผ้ึงมี ลักษณะเป็นก้อน ประกอบด้วยเกสร มากมาย และมีสีต้ังแต่สีขาว สีเหลือง สแี ดง สนี ํ้าตาล จนถงึ สีดำ� ซึ่งแตกต่างกัน ไปตามชนิดของเกสรพชื ตารางที่ 3 แสดงองค์ประกอบของเกสรผึ้งโดยเฉลย่ี คดิ เปน็ รอ้ ยละ 11 องค์ประกอบ 21 นํ้า 3 โปรตีน 5 เถา้ ไขมัน 26 คารโ์ บไฮเดรต 3 - reducing sugars 3 - non reducing sugars 28 - starch สารทว่ี ิเคราะหไ์ มไ่ ด้ (ที่มา : Crane, 1996) 27

ประโยชน์ของเกสรผึง้ - เกสรผึ้งมีคณุ ค่าทางอาหารสูงสดุ โปรตนี ในเกสรผึง้ มีคุณค่าสงู กวา่ เน้อื เนย และไข่ 5 เท่า ในปริมาณนํ้าหนักที่เท่ากัน และธาตุอาหารต่างๆ ในเกสรผ้ึงสามารถดูดซึมทาง กระเพาะอาหารและล�ำไส้ และน�ำมาใช้ประโยชน์ได้ดี อย่างไรก็ตาม เกสรผึ้งเป็นอาหาร เสริม ประสิทธิผลจึงไม่เกิดขึ้นทันทีทันใด เหมือนกับยารักษาโรคท่ัวไป ดังน้ันจึงต้องรับ ประทานติดตอ่ กนั 2 - 4 สัปดาห์ จงึ จะรูส้ ึกว่ารา่ งกายสดชื่น ผวิ พรรณผอ่ งใส สมรรถภาพ ดีข้ึน ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับโรคภัยไข้เจ็บด้วย ถ้าป่วยหนักหรือเร้ือรังก็ต้องอาศัยระยะเวลาฟื้นฟู สภาพยาวนานออกไป - เกสรผงึ้ ชว่ ยบรรเทาอาการปวดตามขอ้ ตา่ งๆ อาการนอนไมห่ ลบั โรคความจำ� เสอ่ื ม โรคเบาหวาน โรคภูมิแพ้ โรคหืด ไซนัส หลอดลมอักเสบ แผลในกระเพาะ ล�ำไส้ ระบบ ปสั สาวะไมด่ ี ผอมแห้งแรงนอ้ ย ขาดเลือด คลา้ ยยาบำ� รุงหวั ใจ บ�ำรงุ ก�ำลงั ขอ้ ควรระวงั ในการบรโิ ภคเกสรผง้ึ : ผปู้ ว่ ยบางรายมอี าการแพพ้ ษิ ผง้ึ ซงึ่ หลงั บรโิ ภค เกสรผ้ึงจะมีอาการ ดงั น้ี มผี ดผื่นคนั ตามผิวอ่อน ปวดหวั คลนื่ ไส้ อาเจยี น การเกบ็ รักษาเกสรผึ้ง : เกสรผ้งึ ตอ้ งน�ำไปอบ ไลค่ วามช้ืน จะสามารถเก็บไวไ้ ดน้ าน และควรใส่สารดูดความชนื้ จะสามารถเก็บเกสรไว้ไดน้ านขึ้น รอยัลเยลล่ี (ROYAL JELLY) รอยลั เยลล่ี (ROYAL JELLY) หรอื “นมผ้ึง” เป็นอาหารท่ีผลิตจากต่อมใตส้ มอง ของผ้งึ งาน โดยผ้ึงงานจะยอ่ ยเกสรดอกไมแ้ ละนาํ้ ผ้ึง โดยใช้นา้ํ ย่อยจากต่อมใตก้ รามและ กระเพาะอาหาร พรอ้ มทง้ั เตมิ สาร HDA จากตอ่ มใตส้ มองของผงึ้ งาน เพอื่ นำ� มาเปน็ อาหาร ใหแ้ กน่ างพญาผ้งึ ตารางท่ี 4 แสดงองค์ประกอบของรอยัลเยลล่โี ดยเฉลี่ย องคป์ ระกอบ คดิ เป็นร้อยละ นํา้ 66.9 โปรตีน 11.4 น้าํ ตาล 9.1 เถา้ ถ่าน 0.94 สาร 10 HAD (10-hydroxy-2decenoic acid) ไม่ระบุ เอนไซมก์ ลโู คสออซิเดส ไมร่ ะบุ เอนไซม์ฟอสฟาเทส ไมร่ ะบุ วิตามินชนิดตา่ งๆ ได้แก่ วติ ามิน บี 1 บี 2 บี 5 บี 6 ไมร่ ะบุ ไบโอตนิ และกรดโฟลคิ (ทม่ี า : Takenaka , T 1982) 28

รปู แบบของรอยัลเยลล่ี มีท้ังเปน็ แบบครีม (สด) และ แบบบรรจุแคปซูล สะดวกในการพกพา และรบั ประทานงา่ ย ประโยชนข์ องรอยัลเยลลี่ - นมผึ้งมีประโยชน์ในการช่วยในการเผาผลาญอาหาร ช่วยในการเจริญเติบโต - ตา้ นความเครียด บรรเทาอาการนอนไม่หลับ ส่งผลดีต่อระบบประสาทตา่ งๆ - ทำ� ใหผ้ วิ พรรณดี ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยเพิม่ ความแขง็ แกรง่ ของกลา้ มเน้ือ - ช่วยบรรเทาอาการกอ่ นมีประจำ� เดอื น จนถงึ วยั หมดประจำ� เดอื น - ชว่ ยลดระดับนา้ํ ตาลในเลอื ด พรอพอริส (Propolis) พรอพอรสิ เปน็ สารทผี่ งึ้ งานรวบรวมมาจากยางไม้ โดยเฉพาะยางทเี่ คลอื บอยบู่ รเิ วณ ตาใบ มีลักษณะเป็นยางเหนียว สนี ํา้ ตาลส้มถึงแดง แลว้ แต่ชนดิ ของต้นไม้ ที่ผ้ึงงานไปเกบ็ มาแล้วน�ำมาผสมกับนํ้าย่อยและไขผึ้งจนได้เป็นพรอพอลิส เพ่ือน�ำกลับมาใช้ประโยชน์ ภายในรัง เชน่ นำ� มาทำ� กำ� แพงกั้นชอ่ งทางเดนิ ภายในรงั หรือน�ำมายาปากทางเขา้ รังให้มี ขนาดเลก็ ลง เพ่ือใหร้ งั อบอนุ่ ในฤดหู นาว พรอพอรสิ คือ สารสกดั จากยางไม้ท่ี มีคุณสมบัติเป็นสารปฏิชีวนะท่ีดีที่สุดตาม ธรรมชาติ มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชท่ี เป็นที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิด ปฏกิ ิรยิ าออกซิเดชั่น (Antioxidant) ต่อต้าน เช้ือแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา และมี คุณสมบัติยับยั้งการอักเสบ นอกจากน้ียัง พบสารอาหารอ่นื ๆ อกี กว่า 22 ชนิด อนั ไดแ้ ก่ กรดอะมโิ น คาร์โบไฮเดรต วติ ามินตา่ งๆ เกลือแร่ เอนไซม์ และฮอรโ์ มนจากธรรมชาติ เป็นต้น 29

ตารางที่ 5 แสดงองค์ประกอบของพรอพอลิสโดยเฉลี่ย คิดเปน็ ร้อยละ 45 – 55 องคป์ ระกอบ 25 – 35 เรซิน (ประกอบดว้ ย สารกลุ่ม flavonoids และกรดเบนโซอคิ ) 10 ไขผ้งึ 5 Essential oil 5 เกสร สารอนิ ทรยี อ์ น่ื (ที่มา : Crane , 1990) ประโยชนข์ องพรอพอลสิ - เปน็ สารตอ่ ตา้ นเชือ้ โรค เสริมสรา้ งระบบภูมิคมุ้ กันในร่างกาย มคี ณุ สมบตั ิเปน็ สารยบั ย้งั เชือ้ โรคต่างๆ เช่น เช้อื รา เช้ือแบคทีเรยี เชื้อไวรัส จงึ น�ำมาใชเ้ ปน็ สว่ นผสมในยา รักษาโรคต่างๆ เชน่ ยาแกไ้ อ แก้เจบ็ คอ ยารกั ษาสวิ ยารกั ษาเกลือ้ น ยารกั ษาแผลเรือ้ รัง ยารักษาแผลในปาก - สามารถนำ� พรอพอลสิ มาเปน็ สว่ นผสมของเครอ่ื งสำ� อาง เชน่ โลชน่ั สบู่ ยาสฟี นั เป็นต้น - นอกจากน้ยี ังสามารถนำ� มาใช้ประโยชนใ์ นดา้ นอน่ื เช่น น�ำมาใชท้ �ำชนั ยาเรือ กนั รว่ั เป็นตน้ ไขผงึ้ (Bees wax) เปน็ สารทผี่ งึ้ งานผลติ จากตอ่ มไขผงึ้ เพอ่ื ใชส้ รา้ ง ซอ่ มแซมและปดิ ฝาหลอดรวงมลี กั ษณะ เปน็ เกลด็ ขนาดเลก็ สขี าวใส มนี าํ้ หนกั เบา ถา้ นำ� แผน่ ไขผ้ึง 800,000 เกลด็ มาชง่ั จะพบนา้ํ หนักไม่ถึงกิโลกรัม และผ้ึงต้องกินนํ้าหวาน มากถงึ 8.4 กโิ ลกรมั เพอื่ ใชผ้ ลติ ไขผง้ึ 1 กโิ ลกรมั คุณสมบตั ิของไขผง้ึ 1. ไขผ้ึงจะละลายได้ดีในนํ้ามันโดยเฉพาะนํ้ามันสน แต่ไม่ละลายในนํ้า มจี ดุ หลอมเหลว 63 – 65 °C ถา้ ไดร้ บั ความรอ้ นสงู กวา่ จดุ หลอมเหลว จะเกดิ เปลวไฟลกุ ไหม้ ดังนั้น การหลอมไขผง้ึ ควรใชค้ วามร้อนจากไอนํา้ หรือนงึ่ ในนาํ้ รอ้ น 2. ถ้าเก็บท่ีอุณหภมู ติ ํา่ ไขผง้ึ จะหดตัวและทำ� ให้เปราะแตกง่าย 30

ประโยชนข์ องไขผึง้ ไขผงึ้ จะถกู นำ� มาใชป้ ระโยชน์ ในอุตสาหกรรมประเภทตา่ งๆ เชน่ เครือ่ งสำ� อาง วงการแพทย์ และเภสัชกรรม ทำ� เทยี นไข เป็นต้น นอกจากนีใ้ นอตุ สาหกรรมการเลย้ี งผ้งึ ไขผึง้ จะถูกนำ� มาใช้ทำ� แผน่ รังเทียม เพราะผง้ึ จะไมย่ อมรบั แผน่ รังเทียมทีท่ ำ� จากไขเทยี ม พษิ ผึ้ง (Bee Venom) พิษผึ้ง เป็นสารประกอบโปรตนี ทีผ่ ลติ โดยตอ่ มพษิ และเก็บไว้ในถงุ น้าํ พิษทอี่ ย่บู ริเวณ โคนเหล็กใน พิษผ้ึงจะถูกปล่อยออกมาโดยผ่านออกทางเหล็กในของผึ้งงาน ถุงนํ้าพิษ หน่ึงถุงจะบรรจนุ ํา้ พิษ ประมาณ 0.3 มิลลิกรัม ผึ้งจะสร้างนาํ้ พิษไดใ้ นชว่ งทผี่ ึ้งงานตวั เตม็ วยั อายุ 10 – 14 วนั และมีปรมิ าณมากทส่ี ดุ ในช่วงทีผ่ ้ึงงานอายุ 15 วัน และจะมปี ระมาณ คงทต่ี ลอดอายุชีพ พษิ ผ้ึงท่ผี ลิตข้ึนมาเพ่อื ใชป้ อ้ งกันตัวและป้องกนั รงั เท่านน้ั และเหล็กใน ผ้งึ มเี พยี ง 1 อันเทา่ นน้ั สามารถปลอ่ ยเหล็กในไดเ้ พยี งครง้ั เดยี ว และเม่อื ผ้งึ ปล่อยเหล็กใน ออกมาผ้ึงก็จะตาย มนุษย์น�ำพิษผึ้งมาใช้ในการบ�ำบัดรักษาโรคต่างๆ มายาวนาน เช่น ในประเทศจนี มีใชพ้ ษิ ผึง้ บำ� บดั โรคมาเปน็ เวลากว่า 3,000 ปี นอกจากนี้ ประเทศออสเตรีย เปน็ ประเทศแรกทท่ี ำ� การบำ� บดั โรคดว้ ยพษิ ผงึ้ อยา่ งเปน็ ทางการ สำ� หรบั ประเทศไทยไดเ้ รม่ิ ดำ� เนนิ การอยา่ งจรงิ จงั เมอ่ื ปี 2553 ลักษณะของพษิ ผงึ้ - พษิ ผ้ึงมลี ักษณะเปน็ ของเหลวใส มีรสขม มีกลิน่ ของสารอโรมาตกิ คลา้ ยกลิน่ นมแมว มฤี ทธ์ิเปน็ กรด และมคี วามถว่ งจำ� เพาะ 1.313 - เป็นสารอนิ ทรยี ์เคมี ทีอ่ อกฤทธเ์ิ ร็วและรนุ แรง ท�ำใหแ้ มลงบางชนดิ ตาย - พษิ ผ้งึ มสี ว่ นประกอบทางเคมที ซ่ี ับซอ้ น มีสารท่มี ีปฏกิ รยิ าทางเภสชั และทาง ชีวเคมี ได้แก่ เมลิททิน (melitin) อะปามีน (apamin) ฮีสตามีน (histamine) โดปามีน (dopamine) นอร์อีพิเนฟริน (norepinephrine) สารท�ำลายแกรนูลเลติ้งในแมสเซลล์ (mast cell degranulating peptide) ฟอสโฟไลเปส เอ สอง (Phospholipase A2) ไฮยาลโู รนเิ ดส (hyaluronidase) โรคทีส่ ามารถรกั ษาไดด้ ้วยพษิ ผึ้ง - อาการปวดต่างๆ ไดแ้ ก่ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดสะโพก ปวดขา ปวด เข่า เขา่ เส่ือม เอวเคล็ด - โรคอน่ื ๆ ไดแ้ ก่ รมู าตอยต์ โรคเกาต์ นว้ิ ลอ็ ค รดิ สดี วง ตะครวิ นอ่ ง เบาหวาน ไมเกรน ความดันโลหิตสูง นอนกรน ประจ�ำเดือน มาไม่ปกติ มือ-เท้าชา ไหล่ติด เป็นต้น การบ�ำบัดโรคด้วยพิษผ้ึงท�ำได้โดยการจับผ้ึง 31

มาตอ่ ยบรเิ วณจดุ เจบ็ หรอื จดุ ปราสาทลมปราณ ซงึ่ เปน็ ตำ� แหนง่ จดุ เชน่ เดยี วกบั ศาสตรก์ าร ฝังเข็ม ผ้ึงจะตอ่ ยและหล่ังน้าํ พิษออกมา ปลอ่ ยไว้ประมาณ 3 - 5 นาที จึงถอนเหล็กใน ออก และในปจั จบุ นั มกี ารนำ� พิษผึ้งมาผลิตเป็นยาฉีดโดยละลายให้นาํ้ หรอื นาํ้ มันฉีดเข้าใต้ ผิวหนัง ผลิตในรปู แบบยาทา และบาลม์ หมายเหตุ การใชพ้ ิษผ้ึงในการบ�ำบัดโรคน้ัน ผู้ใช้ตอ้ งมีความรแู้ ละได้รบั การฝกึ อบรมและควรใช้ พิษผึ้งด้วยความระมัดระวงั 32

ขอ้ มูลเบื้องตน้ สำ� หรับการเลอื กซอ้ื น้ําผึ้ง น้าํ ผงึ้ ทีไ่ ด้จากธรรมชาติ กับ น้ําผ้งึ ทไี่ ด้จากการเล้ยี งผง้ึ ตลาดนา้ํ ผึง้ ในประเทศไทย จะมีนาํ้ ผ้งึ 2 ประเภท คือ นาํ้ ผึง้ ทไ่ี ด้จากธรรมชาติ หรือ นา้ํ ผงึ้ ปา่ กบั นา้ํ ผงึ้ ทไี่ ดจ้ ากการเลย้ี งผง้ึ ทำ� ใหผ้ บู้ รโิ ภคเกดิ ความไมม่ น่ั ใจในคณุ คา่ ทางอาหาร ของน้ําผึ้งแต่ละชนิด แต่มีรายงานผลการศึกษาวิจัยท้ังในและต่างประเทศ พบว่า น้ําผ้ึง ทง้ั 2 ชนดิ มคี ณุ คา่ ทางอาหารเหมอื นกัน และท่สี �ำคัญนํา้ ผึง้ เลี้ยงมีระบบการผลติ ทส่ี ะอาด และปลอดภยั อกี ทงั้ ไมท่ �ำลายสมดุลทางธรรมชาติ การเกบ็ นา้ํ ผึ้งท่ีไดจ้ ากธรรมชาติ วธิ ีการเลอื กซ้ือน้าํ ผง้ึ แท.้ ..ท�ำอย่างไร นํ้าผึ้งท่ีวางขายอยู่ในท้องตลาดมีอยู่หลายชนิด ต้ังแต่ระดับหาบขายจนถึงระดับ ในห้างสรรพสินค้าถูกบรรจุในบรรจุภัณฑ์รูปแบบต่างๆ ที่มีฉลากปิดเพื่อประกันคุณภาพ ของน้าํ ผง้ึ สำ� หรับการทดสอบนาํ้ ผึง้ ว่าแท้หรอื ไม่น้ัน มีหลากหลายวธิ ี ดงั นี้ 1. การตรวจสอบด้วยเคร่ืองมือวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการที่น่าเชื่อถือและให้ผลท่ี แมน่ ยำ� ถูกตอ้ งท่ีสุด คอื การตรวจสอบดูองคป์ ระกอบของนาํ้ ผึ้ง ซง่ึ องค์ประกอบของนํ้าผงึ้ ทต่ี รวจสอบ มดี ังน้ี องค์ประกอบ คณุ สมบัตนิ ํ้าผง้ึ แท้ ความชน้ื ไม่เกนิ รอ้ ยละ 21 ปรมิ าณนํา้ ตาลรดี วิ ซ่งิ ไมต่ ่ํากวา่ รอ้ ยละ 65 ปริมาณน้าํ ตาลซูโครส ไมเ่ กินรอ้ ยละ 10 อตั ราสว่ นนํ้าตาลฟรุคโตส : น้าํ ตาลเด็กซโตรส ควรอยูร่ ะหวา่ ง 90/100 – 110/100 ค่าไฮดรอกซีเมทธลิ เฟอร์ฟวิ รัล ไม่เกนิ 80 mg/kg 33

2. การเลือกซอื้ น้าํ ผึง้ เบอ้ื งต้นของผบู้ ริโภค มวี ธิ กี ารเลอื กซ้ือ ดงั น้ี 1. ต้องมีกล่ินหอมของเกสรดอกไม้ ที่ระบุไว้บนฉลากข้างขวดน้ําผึ้ง เช่น นํ้าผ้ึงล�ำไย ก็ควรมกี ลิน่ ดอกลำ� ไย แต่ถ้าไมส่ ามารถเปดิ ขวดนํา้ ผ้ึงเพื่อจะดมกลิ่น หรือไมม่ ี ตัวอย่างท่จี ะลองชมิ ได้ ก็ตอ้ งพิจารณาคุณสมบตั ิอน่ื ทม่ี องเห็นได้ เช่น สะอาด ปราศจาก ส่ิงเจือปน สี ความหนืด การแยกเปน็ ชนั้ ตกตะกอนท่กี ้นขวด เป็นต้น 2. ต้องมีความเข้มขน้ คือ มีความหนดื แมใ้ นอากาศรอ้ น หรอื ที่อุณหภมู หิ อ้ ง ถือว่าเปน็ น้าํ ผ้งึ ทสี่ ุก ผ่านขบวนการบ่มจากผึ้งมาเปน็ อยา่ งดี มนี ํา้ ย่อย หรอื เอนไซม์ 3. ตอ้ งมสี ตี ามธรรมชาตทิ ไี่ ดเ้ กบ็ เกยี่ วมา ถา้ นาํ้ ผง้ึ มสี เี ขม้ มากจนด�ำ แสดงวา่ เปน็ นาํ้ ผงึ้ ทเ่ี กบ็ มานานแลว้ บางปบี างฤดกู าลสนี าํ้ ผง้ึ มสี คี อ่ นขา้ งเขม้ กม็ ี สำ� หรบั นาํ้ ผงึ้ ทเ่ี กบ็ ไว้นาน จะมีคุณสมบัติลดลงไปเร่ือยๆ ดังนั้น จึงควรบันทึก วนั เดอื น ปี ทบ่ี รรจกุ ส็ ามารถรไู้ ด้ แตก่ จ็ ะเปน็ ขอ้ มลู ทไ่ี มเ่ ทยี่ งตรงนกั เพราะนาํ้ ผง้ึ อาจจะถกู เกบ็ ไวใ้ นถงั ใหญเ่ ปน็ ปี กอ่ นนำ� มาบรรจขุ วด ก็ได้ 4. ต้องไมแ่ ยกชน้ั ตอ้ งอยูเ่ ปน็ เน้อื เดียวกัน น้ําผ้งึ ตอ้ ง มคี วามชน้ื ตาํ่ กวา่ 21% สามารถเกบ็ ไวไ้ ดเ้ ปน็ ปโี ดยไมเ่ กดิ การหมกั แตถ่ า้ นาํ้ ผงึ้ มคี วามชนื้ สงู หรอื เหลวมากจะเกบ็ ไวไ้ ดไ้ มน่ าน เพราะ ยสี ตท์ ่ีอยใู่ นน้ําผ้งึ สามารถเปล่ียนน้าํ ตาลให้เปน็ แอลกอฮอล์ 5. ถ้าดไู มเ่ ป็นเลย กใ็ ช้วิธีดฉู ลาก ดบู รษิ ทั ท่ผี ลติ วา่ มี ความนา่ เช่อื ถอื ขนาดไหน หรอื มเี ครอ่ื งหมายรับรองคณุ ภาพ เชน่ อย. สมอ. เปน็ ต้น 3. การทดสอบน้ําผง้ึ แบบชาวบา้ น ซึ่งสามารถทดสอบไดด้ ว้ ยตนเอง ดังน้ี วิธีที่ 1 : ทดสอบโดยดูจากการไหลของสายน้ําผ้ึง หากเป็นน้ําผึ้งแท้ น้ําผ้ึง จะไหลเป็นสายอย่างต่อเนอื่ ง ไม่ขาดชว่ งเหมือนกบั น้าํ ผงึ้ ทผ่ี สมนํ้าตาล หรือน้าํ เชอ่ื ม วิธที ี่ 2 : น�ำนาํ้ ผึ้งหยดลงบนผวิ หนังเพยี งเล็กน้อย แล้วใช้นว้ิ ลูบไลเ้ บาๆ ถ้าเปน็ นํา้ ผึ้งแท้จะแทรกซมึ ลงไปในผิวหนังจะไมร่ ้สู ึกเหนอะหนะเหมอื นกับน้ําตาล หรือนา้ํ เช่ือม วธิ ีท่ี 3 : น�ำนํ้าผง้ึ เทลงในนาํ้ เปลา่ ทอี่ ณุ หภูมหิ ้อง หรอื น้าํ อนุ่ นาํ้ ผ้งึ แทจ้ ะไมร่ วม ตัวกับน้ําในทันทเี หมือนกบั นาํ้ ตาลหรือน้ําเชอ่ื ม วิธีท่ี 4 : หยดนํ้าผึ้งลงบนแผ่นกระดาษถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้จะไม่ซึมผ่านกระดาษ หรอื ซึมไดเ้ ลก็ นอ้ ย และใชเ้ วลานาน วิธที ี่ 5 : น�ำน้ําผ้งึ มาเคย่ี วจนเปน็ ผลกึ ถา้ เปน็ นา้ํ ผง้ึ แท้ ผลกึ ท่ีไดจ้ ะบี้แตกไดง้ า่ ย แตถ่ ้าเป็นน้าํ ผึ้งผสมน้าํ เชือ่ ม ผลึกทไ่ี ดจ้ ะแขง็ บี้ไมแ่ ตกมีลักษณะเหมอื นนํ้าตาลกรวด วธิ ที ี่ 6 : นำ� น้ําผง้ึ ใส่ช้อนแลว้ นำ� ไปเผาไฟ หากเป็นน้ําผ้ึงแท้จะยงั คงสภาพเป็น ของเหลว แตถ่ ้าเป็นน้าํ ผึ้งปลอมจะแห้งแขง็ ติดช้อน วิธีที่ 7 : นำ� ไขแ่ ดงสด หรอื ตน้ หอม ใส่ลงในน้ําผึง้ แท้ ไข่แดงและต้นหอมจะสุก 34

วิธีการเก็บรกั ษานํ้าผึง้ • ควรเก็บนา้ํ ผึง้ ในทเ่ี ยน็ และไมโ่ ดนแสงแดด แต่ไม่จำ� เป็นเกบ็ ในต้เู ย็น • น้ําผึ้งทเ่ี กบ็ ไวน้ านจะมสี ีเขม้ เพราะปฏกิ ริ ิยาการสลายนํา้ ตาลฟรกุ โตส แตย่ งั สามารถน�ำมาบริโภคได้ • ไมค่ วรเกบ็ ไวบ้ รโิ ภคนานเกิน 2 ปี เพราะจะทำ� ให้คณุ ค่าทางอาหารลดลง แหล่งสืบคน้ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ 1. กลมุ่ สง่ เสรมิ การเลย้ี งผงึ้ และแมลงเศรษฐกจิ สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร กรมสง่ เสริมการเกษตร เขตจตจุ ักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศพั ท์/โทรสาร 0-2940-6102 2. ศูนย์สง่ เสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผ้งึ ) จังหวดั เชยี งใหม่ http://www. [email protected] 3. ศนู ยส์ ง่ เสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผ้ึง) จังหวดั พิษณุโลก http://www. [email protected] 4. ศนู ยส์ ่งเสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผึ้ง) จังหวดั ขอนแกน่ http://www. [email protected] 5. ศูนยส์ ง่ เสรมิ และพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผึ้ง) จังหวัดจนั ทบรุ ี http://www. [email protected] 6. ศูนยส์ ่งเสรมิ และพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผง้ึ ) จังหวดั ชุมพร http://www. [email protected] 7. พชิ ยั คงพิทกั ษ.์ 2547. การเลี้ยงผึง้ Apiculture. คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 8. วีระพนั ธ์ุ ตนั ติพงศ.์ (ไมร่ ะบปุ ีทีพ่ มิ พ์). น้�ำผงึ้ Honey. สมาคมผเู้ ล้ยี งผ้ึงภาคเหนือแหง่ ประเทศไทย 9. ประดบั แจม่ แสง. (ไมร่ ะบุปีทีพ่ มิ พ)์ . เกสรผ้งึ Bee Pollen. สมาคมผูเ้ ลีย้ งผง้ึ ภาคเหนอื แหง่ ประเทศไทย 10. อดุ ม จิรเศวตกลุ และสทุ ธิชัย สุทธวิ ราภิรกั ษ์. (ไมร่ ะบุปที ีพ่ ิมพ)์ . ไขผงึ้ Bee Wax. สมาคมผูเ้ ลยี้ งผงึ้ ภาคเหนอื แห่งประเทศไทย 9. สมพร หริ ัญรามเดช. (ไมร่ ะบุปที ี่พิมพ์). นมผง้ึ Royal Jelly. สมาคมผู้เล้ยี งผง้ึ ภาคเหนือแหง่ ประเทศไทย 10. อุดม จริ เศวตกุล และนพิ นธ์ เดชะ. (ไมร่ ะบปุ ีท่ีพมิ พ์). พิษผ้ึง Bee Venom. สมาคมผเู้ ลยี้ งผ้ึงภาคเหนือแหง่ ประเทศไทย 11. อุดม จิรเศวตกลุ และสจุ ินต์ สขุ ววิ ัฒน.์ (ไมร่ ะบุปที พ่ี ิมพ์). สาร Propolis จากผงึ้ . สมาคมผเู้ ลีย้ งผึง้ ภาคเหนอื แห่งประเทศไทย ความเขา้ ใจผิดบางประการเกี่ยวกับนํ้าผึง้ ... ข้อเทจ็ จรงิ “ หากหยดน้าํ ผ้ึงใหม้ ดกนิ มดจะตอ้ งไม่กิน นํา้ ผึง้ เป็นนํ้าตาลชนดิ หน่งึ เพราะน้ําผงึ้ นน้ั ไม่ใชน่ า้ํ ตาลธรรมดา เพียงแต่นำ�้ ผ้ึงเป็นนา้ํ ตาลโมเลกุลเด่ยี ว แตเ่ ปน็ ของวเิ ศษท่ีมดยังไมก่ ลา้ กนิ ” ดงั นนั้ น้าํ ผึ้งจงึ เปน็ อาหารของมดเชน่ กนั 35

ผึ้งโพรง ขัน้ ตอนการเล้ยี งและการจดั การผึง้ โพรง การซอ้ื ผง้ึ โพรงมาเลย้ี ง การล่อผ้งึ โพรง การบังคับผ้ึงโพรงเข้าคอน ควรเลือกซ้ือผ้ึงท่ีมีรัง การลอ่ ผงึ้ เปน็ วธิ กี ารทดี่ ที สี่ ดุ ในขณะน้ี รงั ทเ่ี หมาะสม การนำ� ผึ้งท่ีอาศยั อยูต่ ามโพรงไม้ โพรงหิน หรอื ซอกหิน หรอื ก�ำลัง สมบรู ณม์ ตี วั ออ่ น นำ�้ ผง้ึ และ ในการล่อผ้ึงควรท�ำจากไม้เก่าๆ หรือท�ำด้วยใบ อพยพเกาะรวมกลุม่ กนั บนกิ่งไม้ น�ำมาตัดรวงบังคบั เข้าคอนแลว้ นำ� เกสรเพยี งพอ และตอ้ งซอื้ ใน หรือทางมะพร้าว และควรดูแลท�ำความสะอาดรัง ไปวางเลย้ี งในกล่องเลีย้ งผง้ึ ท่เี ตรียมไว้ โดยการตดั รวงผึง้ ในรังผึ้งมา ชว่ งทผ่ี งึ้ อยกู่ บั ทไี่ มห่ นรี งั และ ไมใ่ หม้ มี ดดำ� และมดชนดิ อนื่ ๆ เขา้ มาทำ� รงั อาศยั อยู่ ใสใ่ นคอนผงึ้ หลังจากน้ันกจ็ ับนางพญาผึ้งใสก่ ลัก และพยายามปัด เป็นช่วงท่มี ีดอกไม้บาน และก่อนทจ่ี ะน�ำไปวางรังล่อผงึ้ จะตอ้ งเตรียมไขผง้ึ ตวั ผง้ึ เขา้ ในรงั ใหมใ่ หม้ ากทส่ี ดุ ผงึ้ งานจะเขา้ ในรงั ใหมต่ ามนางพญาผง้ึ โพรงท่ีบริสทุ ธิท์ าบริเวณฝารงั ก่อน ทง้ิ ไว้ 2-3 วันจงึ ปลอ่ ยนางพญาผึ้ง จะไดร้ ังใหม่มา 1 รัง ท�ำไดท้ ง้ั ปี การเตรยี มการ ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. การเลอื กสถานทต่ี ้งั รังผง้ึ โพรง การตรวจรงั ผึง้ โพรง การใหน้ ำ้� หวานแกผ่ งึ้ โพรง การเกบ็ ผลผลติ - เลือกพื้นที่มีแหล่งอาหารอุดม ควรทำ� การตรวจรังผึ้งทกุ 10 วัน และ 1. กรณนี �ำผึง้ มาจากแหลง่ อนื่ การเก็บนำ้� ผง้ึ สมบูรณ์ ควรตรวจในชว่ งเชา้ หรอื เยน็ โดยทำ� การ ควรน�ำรังผึ้งใหม่ไปตั้งให้ห่างจากที่ เมอ่ื ผงึ้ อยใู่ นกลอ่ งไดป้ ระมาณ - สถานทเ่ี ลย้ี งผง้ึ ควรอยใู่ กลแ้ หลง่ ตรวจรังผึง้ ดงั นี้ ตั้งรังผ้ึงเดิมและให้น้�ำหวานสักระยะ 1-3 เดือน ให้เปิดดูรังผึ้งหากมี น้�ำสะอาด อยู่ในที่ร่มเย็น หรือใต้ - ตรวจดปู รมิ าณผง้ึ ใหส้ มั พนั ธก์ บั คอน หนึ่ง เพื่อให้ผึ้งซ่อมแซมรังและปรับ รวงผ้งึ 4 รวงข้นึ ไป จะสามารถ ต้นไม้ ไม่มีลมโกรก ห่างจากแหล่ง - ตรวจดกู ารวางไข่ของนางพญาผึ้ง ตวั ใหเ้ ข้ากบั สถานทใี่ หม่ เก็บน�้ำผ้ึงได้ โดยใช้มีดตัดแบ่ง ชุมชน และปลอดจากการใช้สาร - ตรวจดูการเก็บน้ำ� หวานและเกสร 2. กรณีแหล่งอาหารธรรมชาติไม่ ออกมา 1-3 รวง ปอ้ งกันกำ� จัดแมลง - ตรวจดโู รคและศตั รผู ึ้ง เพยี งพอ การเกบ็ ไขผึ้ง พืชอาหารผึง้ โพรง - ตรวจดสู ภาพรวงรังผง้ึ เตมิ นำ้� หวานโดยใชน้ ำ�้ หวานผสมนำ�้ หลังจากเก็บน้�ำผึ้งแล้ว รวงท่ี ตอ้ งมแี หลง่ อาหารทส่ี ำ� คญั ของผง้ึ อัตราส่วน 1:1 โดยนำ้� หนกั เหลอื ให้น�ำไปตม้ จะไดไ้ ขผ้งึ ได้แก่ น�้ำหวาน และเกสรดอกไม้ เตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณก์ ารเลยี้ งผงึ้ โพรง ศตั รูท่สี �ำคญั และการป้องกันก�ำจัด ได้แก่ รังเลี้ยง คอนผ้ึง รังล่อผึ้ง ผง้ึ โพรงมศี ตั รผู งึ้ นอ้ ยมาก ไมต่ อ้ งใชส้ ารเคมปี อ้ งกนั กำ� จดั เนอื่ งจากผงึ้ โพรงเปน็ แมลงในธรรมชาตปิ ราดเปรยี ว โพรง ชดุ กนั ผงึ้ ตอ่ ย หมวกกนั ผง้ึ ตอ่ ย ต้านทานโรค เอาตัวรอดได้ดี ศัตรขู องผ้งึ โพรงท่ีส�ำคญั จริงๆ คือ มดแดง การปอ้ งกนั มดแดงโดยการใช้นำ้� มัน แปรงปัดตัวผึ้ง กลักขังนางพญา เคร่ืองเก่า ๆ ชุบเศษผ้าแลว้ เอามาทารอบเสาของรังผึ้งโพรง และหนอนผเี สือ้ กินไขผ้งึ (Wax Moth) เป็นศัตรู เครอ่ื งงพน่ ควนั มดี ลวดสแตนเลส ฯลฯ ทสี่ ำ� คญั ของผงึ้ โพรง ตวั ออ่ นซงึ่ เปน็ ตวั หนอนจะไปกดั กนิ รวงผงึ้ ใหเ้ สยี หาย การปอ้ งกนั ทำ� ไดโ้ ดยทำ� ใหป้ ระชากร ผงึ้ แข็งแรง

พืชอาหารของผ้ึงโพรง เขตพนื้ ทที่ ่มี ีแหลง่ อาหารผง้ึ สมบรู ณ์ปานกลาง เปน็ พื้นทีท่ ่เี หมาะสมส�ำหรับการเลยี้ งผงึ้ โพรง ไดแ้ ก่ เขตพนื้ ทภ่ี าคตะวนั ออกและภาคใต้ ซงึ่ เปน็ พนื้ ทปี่ ลกู ไมผ้ ลหลากหลายโดยเฉพาะมะพรา้ ว ยางพารา เงาะ กาแฟ เป็นตน้ รายช่อื พชื อาหารของผง้ึ โพรง การผลิต/พชื ระยะเวลาดอกไมบ้ าน คุณประโยชน์ต่อผ้ึง ลกั ษณะ ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. น้ำ�หวาน เกสร ชนดิ ไม้ 1.มะพรา้ ว ++ + ไม้ยืนต้น 2.เงาะ ++ + ไมย้ นื ตน้ 3.ทุเรยี น ++ + ไม้ลม้ ลกุ 4.ยางพารา ++ + ไม้ยืนต้น 5.มะม่วงหิมพานต์ + - ไมย้ นื ต้น 6.กาแฟ + + ไมย้ ืนต้น 7.สาบเสือ ++ + ไม้ลม้ ลกุ 8.ยูคาลิปตัส ++ + ไม้ยนื ตน้ 9.ไม้ปา่ ชายเลน ++ + ไม้ยืนตน้ 10.ข้าว ++ + ไมล้ ม้ ลุก 11.ดอกเสม็ด ++ + ไมย้ นื ต้น 12.ปาลม์ นํ้ามนั ++ + ไมย้ นื ตน้ 13.พืชตระกลู ส้ม ++ + ไม้ยืนตน้ 14.ตน้ ตำ�เสา - ++ ไม้ยืนต้น 15.กล้วย - + ไม้ลม้ ลุก 16.ขา้ วโพด - ++ ไมล้ ้มลุก 17.บัว + + ไมล้ ม้ ลุก หมายเหตุ 1. + ใหห้ รือมี - ไมใ่ หห้ รอื ไมม่ ี 2. ++ มีอย่างเพยี งพอทจ่ี ะเก็บผลผลติ ได้ 3. ชว่ งการบานมาก 4. การบานของดอกไมใ้ นแตล่ ะพ้นื ทแี่ ละในแตล่ ะปี อาจมกี ารบานแตกตา่ งกนั บา้ งในแต่ละจงั หวัดตามภูมปิ ระเทศและภมู ิอากาศ 37

เทคนิคการเล้ียงและการจดั การเลยี้ งผึ้งโพรง 1. ลักษณะทวั่ ไปและวงจรชวี ิต ผึ้งโพรง (Apis cerana) เปน็ ผึ้งพันธุ์ของเมืองไทยชนดิ หนึง่ ทมี่ อี ยู่ในทกุ ภาค ซึ่งใน ธรรมชาติของผึ้งโพรงจะท�ำรังด้วยการสร้างรวงซ้อนเรียงกัน อยู่ในโพรงไม้หรือโพรงหิน โดยมปี ากทางเขา้ ออกคอ่ นขา้ งเลก็ เพอ่ื ปอ้ งกนั ศตั รจู ากภายนอก แตภ่ ายในจะมพี น้ื ทก่ี วา้ ง พอให้ผึ้งสร้างรวงได้ ผ้ึงโพรงเป็นผ้ึงที่มีอัตราการแยกรังค่อนข้างบ่อย และจะทิ้งรังเดิม เมอ่ื สภาวะแวดล้อมไมเ่ หมาะสม เชน่ ขาดแคลนอาหารและมศี ตั รรู บกวน ฉะนน้ั การเลยี้ ง ผึ้งโพรงให้ประสบความส�ำเร็จนั้น ผู้เล้ียงจะต้องมีใจรัก อดทน มีเวลา มีความรู้ในเรื่อง ชวี วทิ ยา พฤติกรรมของผ้งึ การจดั การรงั ผ้งึ และอาศัยประสบการณใ์ นการเล้ียงผึ้ง เพือ่ จะ ไดจ้ ัดการ รังผึ้งได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพและประสบความส�ำเรจ็ ต่อไป วงจรชวี ติ และวรรณะของผ้ึงโพรงเหมอื นกับผ้งึ พนั ธ์ุ นางพญาผึ้ง ผึ้งงาน ผ้ึงตวั ผู้ ภาพท่ี 1 : แสดงวรรณะของผง้ึ โพรง 38

2. การเตรียมการกอ่ นเล้ยี งผ้งึ โพรง การเตรียมความพร้อมเก่ยี วกับการเล้ยี งผงึ้ โพรงมีรายละเอยี ดดงั น้ี คือ 2.1 การเรมิ่ ตน้ เลยี้ งผง้ึ โพรง เปน็ สงิ่ ทงี่ า่ ยมากสำ� หรบั ผสู้ นใจ พบวา่ ผงึ้ ดงั กลา่ วอาศยั อยู่ในพื้นท่ีของประเทศไทยอยู่แล้ว ส�ำหรับสถานที่ที่มีแหล่งอาหารของผ้ึงอุดมสมบูรณ์ จะพบผึ้งอาศยั อยู่ การเร่มิ นำ� ผึ้งมาเลี้ยงเราสามารถดำ� เนินการได้ 3 วธิ ี คอื 2.1.1 การซื้อผึ้งมาเล้ียง เป็นวิธีการที่สะดวกและรวดเร็ว แต่ต้องลงทุนมาก การซ้ือผ้งึ มาเลี้ยงเป็นวธิ ีหนง่ึ ในการจัดหาผ้ึงมาเลี้ยง มีขอ้ พิจารณาดังตอ่ ไปนี้ คือ - สภาพความสมบรู ณข์ องผง้ึ ผงึ้ ทซี่ อ้ื มาเลย้ี งตอ้ งตรวจดวู า่ มจี �ำนวนประชากร พอสมควรหรือไม่ ผง้ึ ท่ีสมบูรณจ์ ะต้องมตี ัวอ่อน นำ้� ผึ้ง และเกสรเพียงพอ เพื่อป้องกนั การ หนรี ัง - ช่วงระยะเวลาการซ้ือ ซึ่งนับว่ามีความส�ำคัญมาก ควรพิจารณาซ้ือผ้ึงใน ชว่ งทดี่ อกไมต้ ามธรรมชาตชิ กุ ชมุ เปน็ ชว่ งทผ่ี งึ้ อยกู่ บั ทไี่ มห่ นรี งั จากการศกึ ษา พบวา่ ในชว่ ง ปลายเดอื นเมษายน จนถงึ เดอื นตลุ าคม เป็นชว่ งที่ผึง้ หนรี ังน้อยทส่ี ุด 2.1.2 การล่อผึ้ง การลอ่ ผึง้ เป็นวิธีการท่ีดีท่ีสุดในขณะนี้ รังทีเ่ หมาะสมในการ ล่อผึง้ ควรท�ำจากไมเ้ กา่ ๆ หรือท�ำดว้ ยใบหรอื ทางมะพร้าว ในทำ� เลท่ีล่อเหมือนกัน ผึ้งจะ เขา้ อยอู่ าศยั ในรงั ทท่ี ำ� ดว้ ยใบหรอื ทางมะพรา้ วมากกวา่ สว่ นรงั ลอ่ ทท่ี ำ� ดว้ ยทางมะพรา้ วนน้ั มขี อ้ เสยี ตรงทว่ี า่ เมอื่ นำ� รงั ลอ่ ไปวางไวน้ าน ๆ ในขณะทผี่ ง้ึ ยงั ไมเ่ ขา้ ไปอยอู่ าศยั นนั้ มกั จะมี มดด�ำและมดชนิดอนื่ ๆ เข้ามาทำ� รังอาศัย ท�ำให้ผง้ึ ไม่เข้าอยูอ่ าศัย ข้อควรคำ� นงึ ถึงการล่อผง้ึ - แหลง่ ทมี่ อี าหารสำ� หรบั ผงึ้ และมผี งึ้ อยอู่ าศยั เชน่ ในสวนมะพรา้ ว สวนเงาะ ทุเรยี น กาแฟ ชมพู่ - สถานทล่ี อ่ ต้องเป็นทร่ี ่มร่นื และใกล้แหล่งน�้ำ - เสาควรใช้ไม้ ความสูงของเสารังล่อควรอยู่ในระดับ ประมาณ 1 เมตร และใชผ้ ้าชุบน้ำ� มันเครอ่ื งพนั รอบเสา เพื่อป้องกนั มดแดง - ตรวจดรู งั ลอ่ สม่�ำเสมอเพอื่ ไมใ่ หม้ ด แมลงสาบ แมงมมุ ปลวก และศตั รอู นื่ ๆ เข้าไปในรงั ลอ่ - เลือกสถานที่ท่ีมีการคมนาคมสะดวก สามารถเดินทางเข้าไปในบริเวณ ลานเล้ยี งไดท้ กุ เวลา และใชเ้ วลาในการเดินทางไม่นานจนเกินไป การเตรยี มรังล่อผง้ึ การเตรียมรังล่อผ้ึงโพรง ก่อนท่ีจะน�ำไปวางล่อผึ้ง ณ สถานท่ีท่ีเตรียมไว้ จะตอ้ งเตรยี มไขผ้งึ โพรงท่ีบรสิ ทุ ธ์ิ ในการทาฝารังผงึ้ เก่าๆ โดยวธิ ีการทา ดงั นี้ 39

วิธีการท่ี 1 น�ำไขผึ้งบริสุทธ์ิมาต้มด้วยไฟความร้อนอ่อน ๆ พอไขผึ้งร้อน ละลาย แล้วเอาแปรงสีฟันหรอื แปรงอะไรก็ได้ ชุบไขผง้ึ ท่ลี ะลายแลว้ ไปทาท่ตี รงกลางฝารงั ด้านใน มีความกว้างประมาณ 1/3 ของฝารัง วิธกี ารท่ี 2 นำ� ฝารงั ผ้งึ โพรงไปลนไฟเพือ่ ให้ไมฝ้ ารังร้อนแลว้ เอาไขผึง้ บริสทุ ธิ์ ทากลับไปกลบั มา ตรงกลางฝารงั ด้านใน กวา้ งประมาณ 1 ฝา่ มอื 2-3 คร้ัง วธิ กี ารท่ี 3 นำ� ฝารังผ้งึ โพรงมาถูดว้ ยไขผ้ึงบริสทุ ธบิ์ รเิ วณตรงกลางฝาดา้ นใน กว้างประมาณ 1 ฝ่ามอื 2.1.3 โดยการบงั คบั ผง้ึ เขา้ คอน คอื การนำ� ผง้ึ ทอ่ี าศยั อยตู่ ามโพรงไม้ โพรงหนิ หรอื ซอกหนิ หรอื กำ� ลงั อพยพเกาะรวมกลมุ่ กนั บนกง่ิ ไม้ นำ� มาตดั รวงบงั คบั เขา้ คอนแลว้ นำ� ไปวางเลยี้ งในกลอ่ งเลีย้ งผึง้ ทเ่ี ตรยี มไว้ โดยการตัดรวงผงึ้ ในรงั ผึ้งมาใสใ่ นคอนผง้ึ หลงั จาก นั้นก็จับนางพญาผ้ึงใส่กลัก และพยายามปัดตัวผึ้งเข้าในรังใหม่ให้มากท่ีสุด ผึ้งงานจะเข้า ในรงั ใหม่ตามนางพญาผงึ้ ท้ิงไว้ 2-3 วันจึงปลอ่ ยนางพญาผ้ึง จะไดร้ ังใหม่มา 1 รัง 2.2 วิธกี ารเลี้ยงผงึ้ โพรง มี 2 รูปแบบ 2.2.1 การเลี้ยงผ้ึงโพรงแบบสมัยเก่า การเลี้ยงแบบนี้ส่วนใหญ่จะเล้ียงเป็น อาชีพเสริม ไม่ค่อยมีเวลาให้กับผึ้งมากนัก วัสดุที่ใช้เลี้ยงจะเป็นวัสดุท่ีหาง่ายในท้องถ่ิน มลี กั ษณะเปน็ โพรงใหผ้ งึ้ เขา้ อยอู่ าศยั ได้ เชน่ โพรงไม้ โอง่ ไห กระบงุ ทอ่ ซเี มนต์ และชายคา บา้ น ซง่ึ มสี ภาพใกลเ้ คยี งกบั ธรรมชาตมิ ากทสี่ ดุ ตอ่ มาเมอื่ วสั ดเุ หลา่ นหี้ ายากขน้ึ จงึ ใชก้ ลอ่ ง ไมห้ รอื รงั ไมแ้ ทน ทำ� ใหส้ ะดวกตอ่ การตดั นำ�้ ผง้ึ การเลย้ี งผงึ้ แบบนลี้ งทนุ นอ้ ย แตก่ ไ็ ดผ้ ลผลติ น้อยด้วย การเลยี้ งผง้ึ แบบเก่าน้ี ชว่ งเก็บผลผลิตจะตัดเอาทงั้ นำ�้ ผึ้งและตวั ออ่ นตดิ ไปดว้ ย ครงั้ เดียวท้งั รัง ท�ำใหผ้ ง้ึ ตัวออ่ นตายไปดว้ ย 2.2.2 การเล้ียงผง้ึ โพรงแบบสมยั ใหม่ เป็นการเลีย้ งผึง้ โพรงในรังผึ้งและคอน ทดี่ ดั แปลงจากรงั ผง้ึ และคอนทใ่ี ชเ้ ลย้ี งผงึ้ พนั ธ์ุ รงั ผงึ้ จะบรรจคุ อนได้ 7 คอน การเลย้ี งผง้ึ โพรง ที่มีรังผ้ึง และคอนมาตรฐานน้ี จะสามารถจัดการรังผ้ึงได้สะดวกข้ึน และได้ผลผลิตน�้ำผึ้ง มากขน้ึ ดว้ ย 40

2.3 อุปกรณ์ในการเลีย้ งผึ้งโพรง - หีบหรือรังเล้ียงผ้ึงมาตรฐาน ประกอบจากไม้ท่ีมี นำ�้ หนกั เบา ไมย่ ดื ไมห่ ด และไมโ่ คง้ บดิ งอ ปจั จบุ นั ใชท้ างมะพรา้ ว มาท�ำรังผ้ึงโพรง และใช้เป็นรังล่อผึ้งโพรง ซ่ึงมีความจ�ำเป็นมาก ผเู้ ลย้ี งผง้ึ โพรงจะตอ้ งใชร้ งั ลอ่ ควบคไู่ ปกบั การเลย้ี งตลอดเวลา ทง้ั นี้ เพอื่ ปอ้ งกนั ผงึ้ หนรี งั หรอื ผง้ึ แยกรงั ขนาดรงั ลอ่ ไมจ่ ำ� กดั ขนาด แลว้ แตผ่ เู้ ลย้ี งจะกำ� หนดขนาด แตถ่ ้าหากสามารถทำ� ได้เท่ากบั รังเล้ยี ง เพอ่ื ใชท้ ดแทนกันได้เม่อื รงั เลยี้ งไม่พอ - คอนผ้งึ เป็นสว่ นทสี่ ำ� คัญที่จะยืดรวงผ้ึง การเลอื กไม้ทม่ี าท�ำคอนควรเปน็ ไม้ ทมี่ คี วามแขง็ แรงสามารถตอกตะปู และมคี วามคงทนในการใชง้ าน ขนาดของคอนมาตรฐาน ทใ่ี ชใ้ นผงึ้ โพรง ประกอบดว้ ยไม้ 4 ชน้ั คอื ดา้ นบน ดา้ นลา่ ง อยา่ งละ 1 ชน้ิ และดา้ นขา้ ง 2 ชนิ้ - รงั ล่อผ้ึงโพรง มีความจำ� เป็นมากเพราะตอ้ งใช้ควบคกู่ ับการเลี้ยงตลอดเวลา เพ่อื ป้องกันผึง้ หนรี งั หรอื แยกรัง รังลอ่ ต้องเปดิ ทกุ ดา้ น ยกเว้นฝาดา้ นบน ขนาดรงั ล่อควร ท�ำใหม้ ีขนาดเท่ากบั รงั เลีย้ ง - ชดุ ป้องกนั ผงึ้ ตอ่ ย การเล้ียงผึ้งโพรงโดยทั่วไปเราจะใชช้ ุดง่าย ๆ ทมี่ อี ยูค่ อื กางเกงขายาว เส้ือแขนยาวและอาจจะใช้หนงั ยางรดั ที่ปลายขากางเกง และปลายแขนเสอ้ื เพอ่ื ปอ้ งกนั ผงึ้ มดุ เขา้ ไปตอ่ ยสว่ นในของรา่ งกาย โดยบางครงั้ จะมถี งุ มอื ยางหรอื หนงั ทหี่ นา สวมมอื ป้องกนั ผ้งึ ตอ่ ยทุกครง้ั - หมวกกันผ้งึ ต่อย ใช้วสั ดทุ ่มี อี ยูใ่ นพืน้ บา้ นกค็ ือใชต้ าขา่ ยถี่ท่ีผึง้ ลอดเข้าไม่ได้ มาท�ำเป็นหมวกครอบศรีษะ โดยด้านล่างใช้ผ้าเย็บยาวลงมาให้ปิดช่วงล�ำคอไว้ ด้านหน้า จะทำ� เป็นตาข่ายสดี ำ� ช่วงระหว่างตา เพื่อให้สามารถมองเห็นได้ชดั เจนเมอ่ื ตอ้ งการปฏิบตั ิ งานในการเลี้ยงผงึ้ - แปรงปัดตวั ผ้งึ เปน็ แปรงที่มขี นออ่ นนุ่มไมท่ ำ� อนั ตรายผงึ้ ใชส้ �ำหรับปดั ผึง้ ลง ในรงั หรอื ในช่วงเกบ็ นำ�้ ผ้งึ และช่วงตัดผง้ึ เข้าคอน - เครอื่ งพน่ ควันสยบผึง้ (Smoker) เปน็ เคร่ืองมือสำ� คญั ทนี่ ักเล้ยี งผ้ึงทุกคนจะ ตอ้ งมีและน�ำไปใช้ทุกครง้ั เวลาท�ำงานอยูก่ ับรงั ผึ้ง - กลักขงั นางพญา ท�ำดว้ ยตาขา่ ยอลมู ิเนยี มมขี นาดเท่ากลอ่ งไมข้ ีด ใชส้ ำ� หรับ จบั ผึง้ นางพญาขังไว้เวลาตัดผ้ึงเขา้ คอน - มีด ใชม้ ดี cutter หรอื มีดบางปลายแหลม ส�ำหรับใช้ตัดรวงผึง้ ช่วงเขา้ คอน - ลวดสแตนเลส เป็นลวดสแตนเลสขนาดเล็ก สำ� หรับใชข้ ึงคอนยดึ รวงผ้งึ ชว่ ง ทต่ี ดั ผึ้งเขา้ คอน - ไขผ้งึ ใช้ส�ำหรบั ทาฝารงั หรอื ข้างกลอ่ งผงึ้ เพ่อื ล่อให้ผงึ้ เข้ารงั ลอ่ - อปุ กรณอ์ ่นื ๆ เชน่ ภาชนะสำ� หรับใส่รวงผงึ้ และน�้ำผ้ึง ยางเสน้ ใชส้ �ำหรับรัด รวงผง้ึ เมอื่ ตัดรวงผึ้งเข้าคอน ใช้จำ� นวน 2 เสน้ ตอ่ 1 คอน ถงั พักน้�ำผ้งึ และอปุ กรณ์ช่าง เชน่ ค้อน ตะปู คีม เล่ือย กรรไกร ยาหม่อง ฯลฯ 41

3. การจัดการเลย้ี งผงึ้ โพรง 3.1 การจัดการภายในรงั ผ้ึง 3.1.1 เวลาทท่ี �ำการตรวจเชค็ ควรเปน็ ชว่ งเชา้ หรอื ในตอนเยน็ มอี ากาศแจม่ ใส ท้องฟา้ ปลอดโปร่งไมร่ ้อน การตรวจเชค็ ในชว่ งนี้จะเปน็ ช่วงทผี่ ึ้งไม่ดุ 3.1.2 ความถีใ่ นการตรวจเชค็ ถา้ ท�ำการตรวจเช็คบอ่ ยครั้งเป็นการรบกวนผงึ้ ทำ� ใหผ้ ง้ึ ต่นื ตกใจ ควรตรวจเช็คทกุ 10 วันตอ่ ครงั้ 3.1.3 การตรวจเชค็ รงั ผึ้ง แบ่งออกเปน็ การตรวจภายนอกรัง - ดปู ากทางเขา้ ถา้ ผง้ึ งานสขุ ภาพดจี ะบนิ เขา้ ออกจากปากทางอยา่ งสมำ�่ เสมอ และมีเกสรติดมาทขี่ าหลัง - หน้ารงั สะอาด ไม่มฝี นุ่ หรอื หยากไย่สกปรก - ไม่มศี ตั รรู บกวน เชน่ มด การตรวจภายในรงั กอ่ นเปดิ รงั ควรพน่ ควนั เบาๆ เขา้ ทางปากรงั ถา้ ผงึ้ ไมแ่ ตกตน่ื กไ็ มค่ วรพน่ ควนั การใช้เคร่ืองพน่ ควนั ควรใช้พอประมาณเท่าท่จี ำ� เปน็ การพน่ ควันไมค่ วรให้ถงึ ตัวผ้ึงและไม่ ร้อนจนเกนิ ไป การตรวจดูปรมิ าณผ้งึ จำ� นวนประชากรกบั จำ� นวนคอนจะตอ้ งมคี วามสมดลุ คอื ปรมิ าณผง้ึ ควรเกาะ เต็มทุกด้านของคอน ถ้าผึ้งแน่นเกินไปแสดงว่าผึ้งต้องการที่อยู่เพ่ิม ถ้าว่างเกินไปควรลด จำ� นวนคอนใหน้ อ้ ยลงพอดกี บั จำ� นวนประชากร ถา้ หากผงึ้ สมบรู ณด์ มี ี พชื อาหารในชว่ งนน้ั สมบรู ณค์ วรเสรมิ คอนเปลา่ ไวใ้ หผ้ ง้ึ งานสรา้ งหลอดรวงสงั เกตจุ ากผงึ้ งานจะสรา้ งไขผง้ึ ขาวๆ หลงั คอน การตรวจดูนางพญา การวางไข่ การสรา้ งหลอด และสภาพของนางพญา การตรวจดูการเกบ็ นำ�้ หวานและเกสร ผึง้ โพรงจะมีตัวออ่ น เกสร นำ�้ หวาน รวมอยใู่ นรวงเดียวกนั แตน่ ำ้� หวานจะ วางอยดู่ ้านบนของคอน การตรวจดูศัตรูผงึ้ โรคผึ้งโพรงนับว่าเป็นผึ้งที่ไม่ค่อยมีโรค รบกวน และพบโรคของผ้ึงโพรงน้อยมาก ถ้าพบโรคผ้ึง ควรน�ำคอนนั้นไปท�ำลายโดยการไปเผาทิ้ง เช่น โรคแซกบรูด ส่วนสัตว์ศตั รูที่ควรตรวจเชค็ คือ ผเี สือ้ กิน ไขผง้ึ มดแดง แมลงสาบ แมงมมุ ตวั ตอ่ ถา้ พบควรทำ� ลายเสยี 42

การตรวจดูสภาพรวงรังผงึ้ รวงผง้ึ ทม่ี สี ภาพเกา่ สจี ะดำ� ควรตดั ทงิ้ ไป หรอื สภาพรงั ทผ่ี งึ้ สรา้ งไมเ่ ปน็ ระเบยี บ ควรคดั ออกหรอื ตดั แต่งใหม่ 3.2 เทคนคิ การรวมรงั บางครัง้ ผ้ึงท่เี ล้ียงเกิดขาดนางพญา หานางพญาใหม่ไม่ทัน โดยเฉพาะผึ้งโพรงที่ล่อมาได้มีประชากรไม่มากพอ หรือรังผ้ึงท่ีไม่สมบูรณ์ควรที่จะรวมรัง ให้เป็นรังเดยี ว มีความแข็งแรงพอที่จะได้รับน�้ำหวานในช่วงท่ีดอกไม้ก�ำลังจะบาน ในการ รวมรังใชเ้ ทคนคิ ดงั น้ี - รงั ผง้ึ ทจี่ ะรวมกันควรขนย้ายมาไวใ้ กล้ ๆ กัน - ท�ำลายนางพญารงั ที่ไม่สมบรู ณ์ลว่ งหนา้ 1 วนั ในกรณีทีม่ นี างพญาทั้งสองรัง - น�ำผงึ้ ท้ังสองรงั มารวมกันทนั ที โดยฉดี พน่ นำ�้ หวาน ใหท้ ั่วรังผึง้ ท้ังสองรงั - ควรปฏบิ ตั งิ านในชว่ งเยน็ หรอื พลบคำ�่ ขอ้ ควรระวังในการรวมรงั - อย่านำ� รังผงึ้ ทเ่ี ปน็ โรคและศตั รูทส่ี �ำคัญของผึ้งมารวมกบั รงั อ่ืนๆ 3.3 เทคนคิ การสร้างความแขง็ แกร่งใหผ้ ง้ึ แต่ละรงั ปจั จยั ทสี่ ำ� คญั ในการเสรมิ รงั ใหผ้ ง้ึ นางพญามกี ารวางไขแ่ ละเสรมิ สรา้ งประชากร ใหม้ ากข้ึนต้องมปี ัจจัยตา่ งๆ คอื - มเี กสรดอกไมพ้ อเพียง โดยธรรมชาตมิ มี ากพอ ถา้ ไมม่ คี วรให้เกสรเทียม - มีนำ�้ หวานจากดอกไม้ - มีนางพญาทม่ี คี ุณภาพดี - สถานทีเ่ ล้ยี งดี ทำ� เลดี สภาวะอากาศเอ้อื อำ� นวย - มีการจดั การดี หมายเหตุ เกสรธรรมชาติที่ส�ำคัญ เช่น ดอกข้าวโพด ดอกข้าว ดอกไม้ป่าหลายชนิด ดอกบัว ดอกไมยราบ ดอกวชั พชื และดอกมะพร้าว เปน็ ตน้ วธิ ีการเสรมิ สร้างความแข็งแกร่งใหผ้ ง้ึ แต่ละรัง - การรวมรงั - โดยการเสรมิ ตัวออ่ นท่ีปิดฝาแลว้ (Seal Brood) จากรงั สต็อกไว้แยก - โดยการสลับรัง ท�ำให้ผ้ึงอ่อนแอ แข็งแกร่งข้ึนและควรท�ำในตอนกลางคืน หรอื พลบคำ่� จะชว่ ยแก้ไขปัญหารังใกลเ้ คยี งต่อสแู้ ยง่ นำ้� ผง้ึ 3.4 เทคนคิ การแยกรงั ตามปกติผึ้งโพรงจะมีการแยกรัง 1 - 6 คร้ังต่อปี การแยกรังเป็นการอยู่รอด อยา่ งหนง่ึ ของผง้ึ โพรง ผเู้ ลยี้ งผงึ้ สามารถทำ� ไดโ้ ดยการใหผ้ งึ้ แยกรงั เลยี นแบบธรรมชาติ และ การจับผ้ึงมาเลย้ี ง ซึ่งวธิ กี ารนีเ้ ป็นวธิ ีทีม่ ขี นั้ ตอนมากในการปฏบิ ัติงาน 43

การแยกรังผ้ึงสามารถแยกได้ 2 วิธี คือ นางพญาตัวใหม่กับหลอดนางพญา จะแยกหลอด นางพญาไวท้ เี่ ลย้ี งผง้ึ เดมิ แลว้ แยกผงึ้ งานกบั นางพญา ตวั เกา่ ไป หรอื จะใหน้ างพญาอยกู่ บั ที่ แยกหลอดไปใน ทางปฏบิ ตั ทิ ก่ี ลา่ วมาแลว้ ซง่ึ มผี ลไมต่ า่ งกนั ผง้ึ สามารถ เจรญิ เตบิ โตได้ และพฒั นาตอ่ ไปไดเ้ ปน็ ปกติ ถา้ อาหาร ผงึ้ อดุ มสมบรู ณ์ผ้งึ จะสามารถพัฒนารังให้สมบูรณ์ การแยกรังควรปฏิบัติ ดังน้ี - รังผึ้งที่ควรแยกเป็นรังผ้ึงท่ีสมบูรณ์มี หลอดนางพญา - ลานเลีย้ งควรมผี ึ้งตัวผู้เพยี งพอ - คดั เลอื กหลอดนางพญาทส่ี มบูรณไ์ ว้ 2 - 3 หลอด - ชว่ งนางพญาใกลจ้ ะแยกรังประมาณ 2 - 3 วัน แยกผึง้ ออกเปน็ 2 พวก จะแยกนางพญาไปหรือหลอดนางพญาไปก็ได้ ให้รังหนึ่งอยู่กับท่ี อีกรังให้หันคนละทิศ เวน้ ระยะทางพอสมควร - หลงั จากนนั้ ดแู ลจดั การด้านตา่ ง ๆ โดยการตรวจเชค็ ผึง้ ทุก 10 วัน จนกวา่ ผึ้งจะสมบูรณ์ตามปกติ 3.5 การลอ่ ผึง้ ควบคู่กบั การเลีย้ ง การเลี้ยงผ้ึงโพรงปัญหาท่ีส�ำคัญคือผึ้งหนีรัง ผู้เลี้ยงไม่สามารถเพ่ิมปริมาณผ้ึง ไดต้ ามความตอ้ งการ และไมส่ ามารถคงสภาพผงึ้ ทมี่ อี ยใู่ หเ้ ทา่ เดมิ ได้ ผง้ึ อพยพไปตามแหลง่ อาหารแต่ละฤดกู าล การล่อผึ้งควบคู่กบั การเล้ียงผ้ึง พบวา่ ผึง้ ทห่ี นรี ัง แยกรัง และผึ้งปา่ ตามธรรมชาติ จะอพยพหนีรงั แยกรัง หรอื หารงั จะไปเข้ารงั ลอ่ ปรมิ าณผง้ึ ทเ่ี ลี้ยงไว้จะมีผึ้ง ทดแทนจากการล่อ และจะมีปรมิ าณผงึ้ เพ่ิมขึ้นเร่ือย ๆ จากการทดลองมีผง้ึ เพียง 10 รงั ปจั จบุ นั มผี งึ้ ประมาณ 100 กว่ารงั ฉะนั้นการเล้ยี งผึง้ โพรงควรมกี ารลอ่ ควบคู่กนั ไปด้วย 3.6 การจัดการผงึ้ นางพญา ผง้ึ นางพญาท่ีดีเปน็ หัวใจการเล้ียงผึง้ ซ่ึงมคี ุณสมบัติ ดงั นี้ - วางไข่สม�ำ่ เสมอท้งั คอน - ผลิตผึง้ งานมีคณุ ภาพ - เปน็ นางพญาท่แี ข็งแรง นางพญาผึ้งโพรงมีความสามารถในการควบคุมและผลิตผึ้งงานได้มีประสิทธิภาพ ให้สังเกตวา่ ถา้ พบว่าการวางไขล่ ดลงมาก หรอื นางพญาพกิ าร ควรท�ำการเปลี่ยนนางพญา อาจจะใช้หลอดนางพญาภายในรังหรือใชห้ ลอดนางพญาจากรงั ผ้งึ ที่ดีมาเปลี่ยน 44


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook