Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กลวิธีความไม่สุภาพในรายการเรียลลิตี้โชว์ภาษาไทย

กลวิธีความไม่สุภาพในรายการเรียลลิตี้โชว์ภาษาไทย

Published by chutikan84, 2018-08-27 05:24:15

Description: จันทิมา สว่างนวล

Search

Read the Text Version

กลวิธคี วามไมสํ ภุ าพในรายการเรยี ลลิต้ีโชวภ๑ าษาไทย นางสาวจนั ทมิ า สวํางลาภวทิ ยานพิ นธน๑ ้เี ปน็ สํวนหนึง่ ของการศึกษาตามหลกั สตู รปริญญาอกั ษรศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร๑ จุฬาลงกรณม๑ หาวทิ ยาลัย ปกี ารศึกษา 2556 ลขิ สิทธข์ิ องจุฬาลงกรณม๑ หาวทิ ยาลยั

IMPOLITENESS STRATEGIES IN THAI REALITY SHOWS Miss Janthima SawanglapA Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Arts Program in Thai Department of Thai Faculty of Arts Chulalongkorn University Academic Year 2013 Copyright of Chulalongkorn University

หัวขอ๎ วทิ ยานิพนธ๑ กลวิธีความไมสํ ุภาพในรายการเรยี ลลิต้ีโชวภ๑ าษาไทยโดย นางสาวจันทมิ า สวาํ งลาภสาขาวชิ า ภาษาไทยอาจารย๑ทป่ี รึกษาวทิ ยานิพนธห๑ ลกั ผู๎ชํวยศาสตราจารย๑ ดร.ศริ พิ ร ภักดผี าสขุ คณะอกั ษรศาสตร๑ จุฬาลงกรณ๑มหาวทิ ยาลยั อนุมัตใิ หน๎ ับวทิ ยานพิ นธฉ๑ บบั นีเ้ ป็นสํวนหนง่ึของการศกึ ษาตามหลกั สตู รปรญิ ญามหาบัณฑิต คณบดีคณะอกั ษรศาสตร๑ (ผช๎ู วํ ยศาสตราจารย๑ ดร.ประพจน๑ อัศววริ ุฬหการ)คณะกรรมการสอบวทิ ยานิพนธ๑ ประธานกรรมการ (ผชู๎ วํ ยศาสตราจารย๑ ดร.ณัฐพร พานโพธทิ์ อง) อาจารย๑ทป่ี รึกษาวิทยานิพนธห๑ ลกั (ผช๎ู วํ ยศาสตราจารย๑ ดร.ศริ ิพร ภักดผี าสขุ ) กรรมการ (อาจารย๑ ดร.ธีรนุช โชคสวุ ณชิ ) กรรมการภายนอกมหาวทิ ยาลยั (อาจารย๑ ดร.ปนนั ดา เลอเลิศยตุ ธิ รรม)

ง จันทิมา สวํางลาภ : กลวิธีความไมํสุภาพในรายการเรียลลิตี้โชว๑ภาษาไทย. (IMPOLITENESS STRATEGIES IN THAI REALITY SHOWS) อ.ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ๑ หลัก: ผศ. ดร.ศริ พิ ร ภกั ดีผาสุข, 143 หน๎า. งานวิจัยเรือ่ งนีม้ งุํ ศึกษาองค๑ประกอบในการสื่อสารของการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิตี้โชว๑ภาษาไทยตามแนวชาติพันธ๑ุวรรณนาแหํงการสื่อสารและวิเคราะห๑กลวิธีความไมํสุภาพท่ี ผ๎ูวจิ ารณใ๑ ช๎ในรายการเรียลลิต้ีโชว๑ ข๎อมูลที่ใช๎ในงานวิจัยคือ การวิจารณ๑ในรายการเรียลลิต้ีโชว๑ 3รายการ ได๎แกํ รายการเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาว ปีท่ี 6 รายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ ปีท่ี 6และ รายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ฝันตามคิดชีวิตมีดีไซน๑ ปีท่ี 1 ผ๎ูวิจัยเก็บคําวิจารณ๑ ในรายการซึ่งออกอากาศระหวําง พ.ศ.2552 - พ.ศ.2553 ได๎จํานวนทั้งสิ้น 498 ครั้ง ผลการศึกษาพบวําองค๑ประกอบการสื่อสารที่เอ้ือให๎มีการใช๎กลวิธีความไมํสุภาพคือ วัตถุประสงค๑และบรรทัดฐานการปฏิสัมพันธ๑และการตีความ สํวนผลการวิจัย กลวิธีความไมํสุภาพในรายการ เรียลลิตี้โชว๑ภาษาไทยท้ัง 3 รายการ แบํงได๎เป็น 4 กลํุม คือ กลวิธีความไมํสุภาพแบบตรง พบ 4 กลวิธียํอยคอื 1) การตําหนิผฟ๎ู งั 2) การส่งั ให๎ผ๎ูฟังกระทําหรือหยุดการกระทําบางอยําง 3) การย้ําความผิด4) การนําผู๎ฟังไปเปรียบเทียบกับผู๎อ่ืน กลวิธีความไมํสุภาพแบบอ๎อม พบ 5 กลวิธียํอย คือ1) การแนะความให๎ผ๎ูฟังร๎ูวําตนเองมีข๎อผิดพลาด 2) การประชดประชัน 3) การใช๎สํานวนท่ีมีความหมายในทางลบ 4) การอุปลักษณ๑ให๎เกิดความตลกขบขัน 5) การกลําวโทษผู๎อื่นหรือส่ิงอ่ืนกลวิธีความไมํสุภาพแบบย่ัวล๎อ พบ 4 กลวิธียํอย คือ 1) การแนะข๎อบกพรํองด๎วยนํ้าเสียงทเี ลนํ ทจี รงิ 2) การกลําวถงึ การกระทาํ ท่ีสอื่ ในเรอ่ื งเพศ 3) การแสร๎งพูดผดิ ด๎วยนํา้ เสียงทเี ลนํ ทจี ริง4) การใช๎คําหยาบด๎วยนํ้าเสียงทีเลํนทีจริง และกลวิธีเสริมความไมํสุภาพ พบเพียง 1 กลวิธี คือการใช๎คําอุทานที่แสดงความรู๎สึกในทางลบ เม่ือวิเคราะห๑กลวิธีข๎างต๎นจะพบวํา การใช๎กลวิธีดังกลําวมีหน๎าท่ีหลัก 2 ประการ คือ 1) เพ่ือช้ีให๎ผู๎เข๎าแขํงขันเห็นข๎อบกพรํองของตนและนําไปปรับปรุงแก๎ไขและ 2) เพื่อสร๎างสีสันในรายการให๎ผ๎ูชมติดตามและวิพากษ๑วิจารณ๑ผ๎ูวิจารณ๑ แม๎การใช๎กลวิธีความไมํสุภาพตํางไปจากบรรทัดฐานการปฏิสัมพันธ๑ของสังคมไทยที่เน๎นเร่ือง“การรักษาความสัมพันธ๑” และ “ความเกรงใจ” แตํเม่ือพิจารณาจากองค๑ประกอบในการสื่อสารและหนา๎ ทขี่ องการสื่อสารแล๎วพบวํา องค๑ประกอบของรายการดังกลําวเอื้อให๎ผู๎วิจารณ๑ใช๎กลวิธีความไมสํ ภุ าพแตํอยใํู นปรบิ ทเฉพาะ นอกจากนี้ในการวจิ ารณม๑ กี ารใช๎ความไมํสุภาพรํวมกับกลวิธีความสุภาพเพือ่ ไมํใหข๎ ดั กับบรรทัดฐานการปฏิสัมพันธใ๑ นสงั คมไทยจนเกินไป ผลการวิจยั นส้ี ะทอ๎ นให๎เห็นวํา กลวิธีความไมํสุภาพมีรูปแบบการปฏิสัมพันธ๑ที่ชํวยสร๎างพลังในการส่ือสารและสร๎างความนาํ สนใจให๎แกํรายการเรยี ลลิตโี้ ชว๑ ภาควิชา ภาษาไทย ลายมือชอ่ื นิสติ ลายมือชื่อ อ.ทป่ี รกึ ษาวิทยานพิ นธห๑ ลกั สาขาวชิ า ภาษาไทยบทคั ดย่อ ภาษาไทย ปกี ารศกึ ษา 2556

จ# # 5380109622 : MAJOR THAIKEYWORDS: THAI REALITY SHOWS / IMPOLITENESS STRATEGIES JANTHIMA SAWANGLAP: IMPOLITENESS STRATEGIES IN THAI REALITY SHOWS. ADVISOR: ASST. PROF. SIRIPORN PHAKDEEPHSOOK, Ph.D., 143 pp. This thesis aims at investigating the communication components of commentary in Thaireality shows by adopting the Ethnography of Communication framework and analyzing theimpoliteness strategies used by the commentators in these shows. The data used in this study werecollected from three Thai reality shows broadcasted during 2009 to 2010: the Star (season 6) TrueAcademy Fantasia (season 6) and The Designer (season 1). All commentaries, 498 in total, werecollected. It is found that the communicative components that allow the commentators to useimpoliteness strategies in the shows are Ends (E) and Norms of interaction and interpretation (N).As for the impoliteness strategies adopted in these reality shows can be categorized into 4 groups.The first category is direct impoliteness with four sub-strategies: 1) reproaching or talking about thehearer in a negative fashion, 2) ordering the hearer to do or stop doing something, 3) reemphasizingthe hearer’s mistake, and 4) comparing the hearer with other person. The second category is indirectimpoliteness with five sub-strategies: 1) using implication to signal the hearer’s mistake, 2) using irony3) using an expression with negative meaning, 4) using a metaphor which creates humor, and5) blaming someone or something else. The third category is mock impoliteness with foursub-strategies: 1) pointing out the hearer’s mistake in a half-joking manner, 2) implying somethingobscene, 3) pretending to misspeak using a half-joking tone, and 4) saying swear words half-jokingly.The fourth category is strategy emphasizing impoliteness. The only one strategy found is usingexclamation signaling negative feeling. These impoliteness strategies have been adopted for twomain objectives namely 1) to point out the contestants' mistakes in order for them to improvethemselves and 2) mak the shows appealing to the audience. The frequent use of impoliteness strategies in these shows seems to be against the normsof interaction of Thai society which underlines the significance of maintaining smooth interpersonalrelationship and khwam krengjai ‘being considerate’. However, the communicative components ofthe reality shows allow the commentators to utilize impoliteness strategies in this specific context.Moreover, in some cases impoliteness strategies were adopted together with politeness strategies inorder that the shows do not go against the norms of interaction in Thai society too much.The findings demonstrate that impoliteness strategies can create impact upon the hearers and makethe reality shows more interesting. Department: Thai Student's Signature Field of Study: Thai Advisor's SignatureAcademic Year:2013บทคัดยอ่ภาษาอังกฤษ

ฉ กิตตกิ รรมประกาศ วทิ ยานพิ นธ๑ฉบบั นี้สาํ เรจ็ ได๎ด๎วยความกรุณาของผู๎ชํวยศาสตราจารย๑ ดร.ศิริพร ภักดีผาสุขอาจารยท๑ ่ีปรึกษาซ่ึงกรุณาให๎แนวคิดและคําแนะนําอันทรงคุณคํา ตลอดจนเสียสละเวลาตรวจทานแกไ๎ ขวทิ ยานพิ นธ๑ฉบบั นี้ อยาํ งละเอียดถีถ่ ๎วน ด๎วยความเอาใจใสอํ ยาํ งยิ่ง รวมท้ังความหํวงใยเอาใจใสํและเป็นกาํ ลังใจถามทุกข๑สขุ ให๎ผ๎ูวิจยั ตลอดมา ดว๎ ยความกรณุ าของอาจารย๑ถือเป็นสํวนสําคัญยิ่งที่ทําให๎วิทยานิพนธ๑ฉบับน้ีสําเร็จลุลํวงลงได๎ ศิษย๑ซาบซึ้งในพระคุณของ \"ครู\" อยํางหาท่ีสุดมิได๎จึงขอกราบขอบพระคุณเปน็ อยํางสูงมา ณ โอกาสน้ี ผ๎ูวิจัยขอกราบขอบพระคุณคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ๑ ซ่ึงประกอบด๎วยผ๎ูชํวยศาสตราจารย๑ ดร.ณัฐพร พานโพธิ์ทอง ซึ่งเป็นผู๎ให๎ความรู๎ด๎านวัจนปฏิบัติศาสตร๑โดยเฉพาะแนวคิดเรอื่ งความไมสํ ภุ าพอันเปน็ ประโยชนอ๑ ยาํ งยิ่งตํอการทาํ วิทยานพิ นธน๑ ้ี และให๎คําแนะนําที่ชํวยให๎ผู๎วิจัยสามารถพัฒนาหวั ข๎อวทิ ยานิพนธ๑นี้ได๎อยํางชดั เจน อาจารย๑ ดร.ธีรนุช โชคสุวณิช ซ่ึงเป็นผู๎ให๎ความร๎ูเกี่ยวกับระเบยี บวธิ วี ิจยั แกํผู๎วิจัยและอาจารย๑ ดร.ปนันดา เลอเลิศยุติธรรม ท่ีได๎กรุณาชี้ข๎อบกพรํองตํางๆ และใหค๎ าํ แนะนําทีเ่ ป็นประโยชน๑เพิ่มเติม ทําใหว๎ ทิ ยานพิ นธฉ๑ บับน้ีสมบรู ณ๑ยงิ่ ขน้ึ ผว๎ู ิจัยต๎องขอขอบพระคณุ คณาจารยท๑ ุกทาํ น ทุกระดบั ทีป่ ระสิทธ์ปิ ระสาทวชิ าการตํางๆ ทั้งจากโรงเรียนอนบุ าลประจวบคีรขี ันธ๑ โรงเรียนประจวบวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล และจุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย ท่ีขัดเกลาและหลํอหลอมแนวทางแหํงการศึกษาและครูจินตนา ประสงค๑สุข ผู๎ช้ีแนะแนวทางในวชิ าภาษาไทยทท่ี าํ ให๎ศษิ ย๑ได๎มุํงศกึ ษาตํอในสาขาน้ี ซ่ึงศิษย๑สํานึกในพระคุณดังกลําวอยํางมิรูล๎ มื ในระหวํางทําวิจัยน้ี ผ๎ูวิจัยได๎รับทุนสนับสนุนจาก \"ทุนสมเด็จกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชโิ นรส ระดบั ปริญญาตรแี ละปริญญาโท\" ท่ีเสมือนเป็นแรงผลักดันและแรงบันดาลใจให๎ต้ังใจศึกษาเลําเรียนเพื่อตอบแทนในพระมหากรุณาธิคุณด๎านภาษาไทยที่ทรงให๎การสนับสนุน และขอกราบขอบพระคุณคณาจารยผ๑ ๎พู จิ ารณาคัดเลือกผว๎ู จิ ัยเพอ่ื รับเขา๎ รบั ทุนน้ีอยํางสงู ดว๎ ย ขอขอบพระคุณคุณพํอสุรพันธ๑ สวํางลาภ และคุณแมํวรรณา สวํางลาภ ที่ดูแลลูกด๎วยความรักปรารถนาดแี ละสนับสนุนในด๎านการศึกษาเลําเรยี น ตลอดจนคณุ ยายและญาติพ่ีน๎องทุกคนท่ีเปน็ กําลงั ใจให๎แกผํ วู๎ จิ ัยมาโดยตลอด ผู๎วิจัยขอขอบพระคุณกัลยาณมิตรทุกคน พ่ีๆ น๎องๆ เพื่อนรํวมงาน เพื่อนรํวมชั้นเรียนทกุ ระดบั ทอี่ ยเูํ คียงข๎างและมอบมติ รภาพทีด่ ตี ลอดระยะเวลาในการทาํ วิจัย ผู๎วิจัยต๎องขอขอบพระคุณทุกความปรารถนาดีของผู๎มีพระคุณทุกคนทุกทํานและกัลยาณมิตรทุกคนทีค่ อยใหก๎ าํ ลงั ใจซง่ึ ผู๎วจิ ัยซาบซงึ้ อยูใํ นทุกตวั อกั ษรของวทิ ยานพิ นธฉ๑ บบั น้ี

สารบัญ หน๎าบทคดั ยํอภาษาไทย.............................................................................................................................งบทคัดยอํ ภาษาอังกฤษ....................................................................................................................... จกิตติกรรมประกาศ............................................................................................................................. ฉสารบญั .............................................................................................................................................. ชสารบัญภาพ...................................................................................................................................... ญบทที่ 1 บทนาํ ................................................................................................................................... 11.1 ความเปน็ มาและความสาํ คญั ของปญั หา ................................................................................. 11.2 วัตถุประสงคข๑ องการวิจยั ........................................................................................................ 61.3 สมมติฐาน............................................................................................................................... 61.4 ขอบเขตของการวจิ ัย............................................................................................................... 61.5 วิธีดาํ เนินการวิจยั ................................................................................................................... 61.6 นิยามศัพท๑เฉพาะ.................................................................................................................. 131.7 ประโยชนท๑ ค่ี าดวาํ จะไดร๎ บั .................................................................................................... 141.8 ขอ๎ ตกลงเบอ้ื งตน๎ .................................................................................................................. 15บทที่ 2 แนวคิดหรอื ทฤษฎที ่เี กย่ี วข๎อง.............................................................................................. 162.1 แนวคดิ เรือ่ งชาตพิ ันธว๑ุ รรณนาแหงํ การสอื่ สารหรอื Ethnography of Communication .... 162.2 แนวคิดเรื่องวัจนกรรม......................................................................................................... 182.3 แนวคิดเกีย่ วกับความสภุ าพ.................................................................................................. 202.4 แนวคิดเกยี่ วกบั ความไมสํ ุภาพ .............................................................................................. 212.5 แนวคดิ เรือ่ งความหมายเป็นนยั ............................................................................................. 242.6 งานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ๎ ง............................................................................................................... 26บทที่ 3 การวเิ คราะห๑ปรบิ ทของการวิจารณ๑ในรายการเรยี ลลติ ีโ้ ชวภ๑ าษาไทยตามกรอบทฤษฎชี าติพนั ธุ๑วรรณนาแหงํ การสอื่ สาร........................................................................................................... 353.1 ปริบทของการวจิ ารณใ๑ นรายการเรียลลติ ้โี ชว๑ภาษาไทยตามกรอบ ทฤษฎชี าตพิ นั ธว๑ุ รรณนาแหงํ การส่อื สาร............................................................................................................................ 353.1.1 ฉากหรอื กาลเทศะ (Setting หรอื Scene)................................................................. 353.1.2 ผร๎ู ํวมเหตกุ ารณ๑ (Participants)................................................................................. 38

ซ หนา๎ 3.1.3 จดุ มงํุ หมาย (Ends).................................................................................................... 43 3.1.3.1 จดุ ประสงค๑ในเชงิ การสื่อสาร ....................................................................... 43 3.1.3.2 จุดประสงค๑ในเชงิ พาณิชย๑............................................................................ 49 3.1.4 ลาํ ดบั วจั นกรรม (Act sequence)............................................................................. 53 3.1.5 นาํ้ เสียง (Key)............................................................................................................ 60 3.1.6 เคร่ืองมอื หรือลกั ษณะภาษาทใี่ ช๎ (Instrumentalities) .............................................. 61 3.1.7 บรรทัดฐานของการปฏสิ มั พันธ๑และการตคี วาม (Norm of Interaction & Interpretation)....................................................................................................... 63 3.1.8 ประเภทของปริจเฉท (Genre)................................................................................... 66บทท่ี 4 กลวธิ คี วามไมํสุภาพในรายการเรยี ลลิตโ้ี ชว๑ภาษาไทย .......................................................... 68 4.1 กลวิธคี วามไมํสภุ าพที่ปรากฏในรายการเรยี ลลติ ้โี ชว๑ ............................................................. 68 4.1.1 กลวิธคี วามไมสํ ุภาพแบบตรง.................................................................................... 70 4.1.1.1 การตําหนผิ ๎ูฟงั ............................................................................................ 70 4.1.1.2 การสั่งใหผ๎ ฟ๎ู งั กระทําหรอื หยดุ การกระทําบางอยําง...................................... 82 4.1.1.3 การยํา้ ความผดิ ............................................................................................ 87 4.1.1.4 การนําผู๎ฟงั ไปเปรยี บเทียบกบั ผอ๎ู ืน่ ............................................................... 91 4.1.2 กลวธิ คี วามไมํสุภาพแบบอ๎อม .................................................................................... 91 4.1.2.1 การแนะความใหผ๎ ๎ูฟงั รวู๎ ําตนเองมีข๎อผิดพลาด.............................................. 92 4.1.2.2 การประชดประชนั ...................................................................................100 4.1.2.3 การใช๎สาํ นวนท่ีมีความหมายในทางลบ......................................................102 4.1.2.4 การอุปลกั ษณใ๑ หเ๎ กิดความตลกขบขนั ........................................................103 4.1.2.5 การกลําวโทษผอ๎ู น่ื หรือสงิ่ อื่น.....................................................................107 4.1.3 ความไมสํ ุภาพแบบยวั่ ลอ๎ .........................................................................................108 4.1.3.1 การแนะขอ๎ บกพรํองดว๎ ยนา้ํ เสียงทีเลนํ ทจี รงิ ..............................................109 4.1.3.2 การกลาํ วถงึ การกระทาํ ท่ีส่อื ในเรอ่ื งเพศ.....................................................112 4.1.3.3 การแสรง๎ พูดผดิ ดว๎ ยน้าํ เสียงทเี ลนํ ทจี รงิ .....................................................113 4.1.3.4 การใชค๎ าํ หยาบดว๎ ยน้าํ เสยี งทเี ลํนทจี ริง......................................................115 4.1.3.4.1 การใช๎คําบรภิ าษดว๎ ยนํ้าเสียงทเี ลนํ ทจี ริง .................................115

ฌ หนา๎ 4.1.3.4.2 การใช๎บรุ ุษสรรพนามทเ่ี ป็นคําหยาบด๎วยนา้ํ เสยี งทีเลนํ ทีจรงิ ....116 4.1.3.4.3 การใชค๎ ํานาํ หนา๎ นามทีเ่ ปน็ คาํ หยาบดว๎ ยนํ้าเสยี งทเี ลํนทจี รงิ ....117 4.1.3.4.4 การใชค๎ ําลงท๎ายแสดงความไมสํ ภุ าพดว๎ ยนาํ้ เสยี งทีเลนํ ทจี ริง ...118 4.1.4 กลวธิ เี สรมิ ความไมสํ ภุ าพ........................................................................................119 4.1.4.1 การใชค๎ ําอุทานทีแ่ สดงความร๎สู กึ ในทางลบ................................................119 4.2 หนา๎ ท่ีของกลวธิ ีความไมํสุภาพในรายการเรยี ลลิตี้โชว๑ .........................................................121 4.3 การปรากฏรวํ มของกลวิธีความไมํสุภาพ..............................................................................124 4.3.1 การปรากฏรํวมของกลวธิ ีความไมํสภุ าพแบบตํางๆ...................................................124 4.3.2 การปรากฏรํวมของกลวิธคี วามไมํสุภาพกับการลดนา้ํ หนักความรนุ แรง....................126บทที่ 5 สรปุ และอภิปรายผล .........................................................................................................129 5.1 สรปุ ผลการวิจัย...................................................................................................................129 5.1.1 การวเิ คราะหป๑ ริบทของการวิจารณ๑ในรายการเรยี ลลิตโ้ี ชว๑ตามแนวชาติพนั ธุ๑วรรณนา แหํงการส่ือสาร ....................................................................................................... 129 5.1.2 กลวิธีความไมสํ ุภาพในรายการเรียลลิตโี้ ชว๑ภาษาไทย...............................................131 5.1.3 หนา๎ ทีข่ องกลวิธคี วามไมสํ ภุ าพในรายการเรยี ลลติ โ้ี ชว๑ ..............................................133 5.1.4 การปรากฏรวํ มของกลวธิ ีความไมสํ ภุ าพ...................................................................133 5.2 อภปิ รายผลการวจิ ยั ............................................................................................................134 5.3 ขอ๎ เสนอแนะ.......................................................................................................................139รายการอา๎ งอิง...............................................................................................................................140ประวตั ิผเู๎ ขียนวิทยานพิ นธ๑ .............................................................................................................143

ญ สารบญั แผนภาพ หน๎าแผนภาพที่ 1 แสดงทางเลือกของกลวิธตี าํ งๆ ทีใ่ ช๎เมอ่ื จะทําวัจนกรรมทเ่ี สีย่ งตํอการทําใหค๎ สูํ นทนา เสียหนา๎ ....................................................................................................................20แผนภาพที่ 2 แสดงลาํ ดับเหตกุ ารณ๑การสอื่ สารในรายการเรยี ลลติ ้โี ชว๑ภาษาไทย ............................54แผนภาพท่ี 3 แสดงลาํ ดับการสอ่ื สารการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิตโี้ ชวภ๑ าษาไทย ..........................60แผนภาพที่ 4 แสดงความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ งหน๎าท่กี บั กลวธิ ีความไมํสภุ าพในรายการเรยี ลลติ ้โี ชว๑.....123

บทท่ี 1 บทนา1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ตง้ั แตํปี พ.ศ.2543 ที่ทางโทรทัศนส๑ ีกองทัพบกชํอง 7 ออกอากาศรายการ “เกมชีวิต” ทําให๎คนไทยได๎รจ๎ู ักกบั “รายการเรยี ลลติ ี้” หรอื “รายการเรียลลิตี้โชว๑” (reality show) มากข้ึน รายการประเภทนเ้ี ป็นรายการทใ่ี หผ๎ ู๎เข๎าแขํงขันทาํ กิจกรรมตํางๆ ตามสถานการณ๑จริงซึ่งผู๎จัดรายการระบุวําไมมํ กี ารเขยี นบท (script) ไวล๎ วํ งหนา๎ โดยคัดเลือกผ๎ูเข๎าแขํงขันจากผ๎ูชมทางบ๎านให๎มาอยํูรํวมกัน ในเวลา สถานที่และภายใต๎กฎระเบียบเดียวกัน (บ๎านเมือง. (ผ๎ูจัดทํา), 2551; อรยา จินตพานิชการ,2548) ปจั จุบนั รายการเรียลลิตี้โชว๑ในประเทศไทยมีผ๎ูชมให๎ความสนใจอยํางตํอเนื่องและมีแนวโน๎มเพิม่ ขน้ึ เรื่อยๆ ทําใหร๎ ายการประเภทนไี้ ดร๎ บั ความนิยมอยาํ งตอํ เนอื่ งและผลิตออกมาในรูปแบบตํางๆเพิ่มมากขนึ้ (พิชญาณี ภํตู ระกูล, 2546; ภมุ รนิ ทร๑ แดงนย๎ุ , 2552) ในปี พ.ศ.2546 รายการเดอะสตาร๑ ค๎นฟ้าคว๎าดาวเป็นรายการเรียลลิต้ีโชว๑รายการแรกที่นอกจากการจัดประกวดร๎องเพลงแลว๎ ยังมชี ํวงหนง่ึ ท่ใี ห๎ผูว๎ จิ ารณ๑ (commentator) ซึง่ เป็นผู๎มชี ่ือเสยี งและเป็นผ๎ูเชี่ยวชาญด๎านตํางๆ มากลําววิจารณ๑ผ๎ูเข๎าแขํงขันหลังจากการแสดงผลงานจบลงซง่ึ ผวู๎ ิจารณถ๑ ือได๎วาํ เป็นสวํ นหนึ่งของรายการท่มี ีความสาํ คัญเพราะทําใหร๎ ายการเรียลลติ ้ีโชว๑เป็นเพียงการประกวดแขงํ ขัน แตชํ วํ งของการวิจารณ๑นัน้ ยังชํวยสรา๎ งความนาํ สนใจใหแ๎ กรํ ายการมากขนึ้ ดว๎ ย ผ๎ูวิจัยพบวําผู๎วิจารณ๑นอกจากกลําวข๎อดีข๎อเสียของผู๎เข๎าแขํงขันแล๎ว บางรายการผู๎วิจารณ๑สามารถแสดงทัศนคตขิ องตนเองออกมาไดค๎ ํอนข๎างอสิ ระ รวมกบั บคุ ลิกการพดู เฉพาะตวั ของผ๎วู จิ ารณ๑แตลํ ะคนยงั ชํวยเพมิ่ ให๎การวจิ ารณม๑ ีความสนกุ สนานมากขึ้น จากการศกึ ษาข๎อมูลเบ้ืองต๎นผู๎วิจัยพบวําการใช๎ภาษาในการวิจารณข๑ องผว๎ู จิ ารณ๑มีลักษณะที่นําสนใจแตกตํางไปจากการใช๎ภาษาโดยท่ัวไปในชวี ิตประจําวนั โดยเฉพาะอยํางยง่ิ การใช๎ความไมสํ ภุ าพในการแสดงความคิดเห็น ตวั อยาํ ง (1) แหม ! รปู ลักษณด๑ ีมากเลย แสงพอจับไปท่ีริทปั๊บนะ พรึ่บมาปั๊บนะ รัศมีออกปุ๊บ ! ทันทีเลย ! (ผ๎ูวิจารณ๑ยิ้ม) แล๎วพอเร่ิมอ๎าปากร๎องเพลงป๊ับนะ (ผ๎ูวิจารณ๑ทําหน๎าบ้ึง) ทุเรศทันทีเลย โอ๎ย ! เป็นอะไรจ๏ะ ควบคุมสติไมํได๎หรอจ๏ะ แตํบอกรูปลักษณ๑ดีมาก รปู ลักษณด๑ ีมากๆ แตกํ น็ ะมันนําจะทําให๎เรามีความหวังไปจนกระทงั่ เตม็ รอ๎ ย ไมํใชแํ บบ วํา โหย ! (ผว๎ู ิจารณ๑ทําสีหน๎าผิดหวัง) เรื่องร๎องนะมาฟังคุณทั้งสองดีกวํานะฮะ ขนาด ดิฉนั ชาวบา๎ นฟงั แล๎วยงั เฮอะ ! (ผวู๎ จิ ารณ๑ถอนหายใจ) ทเุ รศ (ม๎า-อรนภา กฤษฎี, เดอะสตาร๑ 6, สัปดาห๑ที่ 6, เพลง รัก)

2 (2) ภาพรวมของทีมของคณุ ตง้ั อยํบู นพ้ืนฐานท่ีนาํ เบ่อื หนําย การออกแบบชุดทีไ่ มํไดใ๎ ห๎ อะไรใหมกํ ับคณะกรรมการ พวกเราคาดหวังกับยงั ดไี ซนเ๑ นอร๑ (young designer) ท่จี ะ มาประดบั วงการท่จี ะมีอะไรท่ี สร๎างสรรค๑กวําน้ี แตทํ มี คุณภาพรวมกับเพลย๑เซฟ (play safe) สร๎างความปลอดภัย อยํูบนพ้ืนฐานเรียบงําย แตํคุณขาดความประณีต ความเรียบงาํ ยของคณุ ก็เลยดู ชีพ (cheap) แยํ ไมนํ าํ ประทบั ใจ มะเม่ียว มิวสิค แบงค๑ ก๎าวออกมาข๎างหน๎าคํะ ท่ีเหลือทั้งสามทํานพวกคุณได๎อยํูตํอคํะ เชิญกลับไปที่ดีไซน๑ เซ็นเตอร๑คํะ (อารท๑ -อารยา อินทรา, เดอะดีไซนเ๑ นอร,๑ สัปดาห๑ท่ี 2) (3) ผ๎าทค่ี ุณเลอื กมาเนี่ยคุณแบงค๑ ลักษณะคลา๎ ยกบั ผ๎าซับใน ราคาถกู นอกจากผ๎าจะดู ถูกแล๎ว แบบและวธิ กี ารตดั เยบ็ ก็ยิ่งทําให๎ดถู ูกลงไปอกี (หม-ู พลพัฒน๑ อัศวะประภา, เดอะดีไซน๑เนอร,๑ สปั ดาหท๑ ่ี 2) (4) เมอื่ ก้ีเหน็ พอดีพดู เรือ่ งนักร๎องอะไรเนี้ยนะครับ พ่ีจะอธิบายให๎ฟัง นักร๎อง คือ ผ๎ูใช๎ เสยี งผ๎ูมคี วามชาํ นาญในการใชเ๎ สียง ศลิ ปินคือ ผ๎ทู ี่จะถาํ ยทอดอารมณ๑ ความร๎ูสึกตัวตน ของตวั เอง ผํานทักษะ กค็ ือการใช๎เสียงอนั นน้ั อะนะครบั เพราะฉะนั้นพื้นฐานแรกก็คือ การใชเ๎ สียงกํอน นะครับ เออ น๎องแอน มพี ืน้ ฐานการใชเ๎ สยี งท่ีดี พี่จัดวาํ เปน็ นกั รอ๎ ง แตํ เออ เร่ืองอารมณ๑และความรู๎สึกไมํมี นะครับ นําเสียดาย แตํ ณ ตอนนี้ แตํยังเป็นยัง เป็นสัปดาห๑แรกนะครบั (ไกํ-สธุ รี ๑ แสงเสรีชน, AF6, สัปดาหท๑ ี่ 1, เพลง ไมํยอมหมดหวัง) จากตัวอยาํ ง ผ๎วู จิ ารณใ๑ ชก๎ ลวธิ คี วามไมํสุภาพในการวจิ ารณ๑ซึง่ อาจทําให๎ผู๎ฟังคือ ผู๎เข๎าแขํงขันอาจร๎ูสึกเสียหน๎า โกรธ เกลียด หรือไมํพอใจได๎ กลําวคือ กลวิธีความไมํสุภาพ จากตัวอยํางที่ ( 1)การใชค๎ ําบริภาษ คาํ วํา “ทเุ รศ” เป็นการกลําวแสดงความร๎ูสึกเม่ือประสบสิ่งที่ขัดหูขัดตาหรือเป็นท่ีนําสมเพชเป็นต๎น (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556 : 578) ตัวอยํางท่ี (2) การแสดงความเห็นเชิงลบแบบตรงไปตรงมา เชํน การใช๎คําวํา “นําเบ่ือหนําย” “แยํ” “ไมํประทับใจ” ตัวอยํางที่ (3) การย้ําความผิด จากตัวอยําง “นอกจากผ๎าจะดูถูกแล๎ว แบบและวิธีการตัดเย็บ ก็ย่ิงทําให๎ดูถูกลงไปอีก”ตัวอยํางที่ (4) การกลําวลดความสามารถของผู๎ฟัง จาก “น๎องแอนมพี ้ืนฐานการใช๎เสยี งทด่ี ีพจี่ ดั วาํ เป็นนกั ร๎องแตํ เออ เร่อื งอารมณแ๑ ละความรู๎สกึ ไมํมีนะครับนาํ เสียดาย” เป็นต๎น ลักษณะการใช๎กลวิธีความไมํสุภาพที่พบในรายการเหลํานี้ สอดคล๎องกับแนวคิดเรื่องความไมํสุภาพของ โจนาทาน คัลเปปเปอร๑ (Culpeper, 1996) คัลเปปเปอร๑ได๎เขียนบทความเรื่อง

3“Toward an anatomy of impoliteness” และกลําวถึงการใช๎ความไมํสุภาพเพ่ือจงใจส่ือเจตนาหรือวัตถุประสงคบ๑ างอยํางกบั ผ๎ฟู ัง ในงานวจิ ยั ได๎ศึกษาการใชค๎ วามไมํสภุ าพในการฝกึ ทหารและพบวําครูฝึกทหารเลือกใช๎ถ๎อยคําแสดงความไมํสุภาพเพ่ือปรับสภาพจิตใจให๎ทหารรู๎จักความอดทนทั้งราํ งกายและจติ ใจและปฏิบตั ติ ามคาํ สงั่ จากผบ๎ู ังคับบัญชาอยํางเครํงครัดและเพ่ือทําลายอัตตา (ego)ของทหารใหมํที่มีความหย่ิงในตัวเอง การใช๎ภาษาแสดงความไมํพอใจหรือกลําวถึงข๎อบกพรํองของผู๎ฟังน้ีเป็นลักษณะการแสดงความไมสํ ภุ าพทพ่ี บไดใ๎ นการวิจารณ๑ในรายการเรยี ลลติ ้ีโชว๑ซงึ่ ตํางจากการปฏิสัมพันธ๑โดยท่ัวไป เพราะสังคมไทยเป็นสังคมท่ีเน๎นความสัมพันธ๑ระหวํางบุคคล คนไทยเป็นคนรักษานํ้าใจกัน เกรงใจผ๎ูอ่ืนไมํกา๎ วร๎าว สุภาพ และร๎ูจักรักษาไมตรีจิต (ทรงธรรม อินทจักร, 2553) หรือจากการที่เรามีสํานวน“นา้ํ ขํุนไวใ๎ นนา้ํ ใสไวน๎ อก” แมเ๎ ราจะไมํพอใจเราก็ไมํแสดงออกมาให๎ผ๎ูอื่นได๎รู๎ (รํุงอรุณ ใจซื่อ, 2549)ดังนน้ั จงึ ไมํกลาํ ววิพากษว๑ จิ ารณผ๑ ูอ๎ ื่นด๎วยถอ๎ ยคําท่รี ุนแรงและตรงไปตรงมา จากการค๎นคว๎าเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข๎องผว๎ู ิจยั พบวํา สํวนใหญํคนในวัฒนธรรมไทยจะหลีกเลยี่ งการเผชญิ หนา๎ หลีกเลยี่ งการแสดงออกใหเ๎ ห็นความโกรธ ความไมํพอใจ ดังตัวอยํางงานวิจัยของ สิทธิธรรม อํองวุฒิวัฒน๑ (2549) ศึกษาวัจนกรรมการตักเตือนในภาษาไทย : กรณีศึกษาครูกับศิษย๑ พบวําครูมีสถานภาพท่ีสามารถอบรมส่ังสอนศิษย๑ได๎แตํครูเลือกการแนะนําเพ่ือลดนํ้าหนักคาํ ความรุนแรงของถ๎อยคาํ มากกวําการตกั เตอื น (สิทธธิ รรม อํองวุฒิวัฒน๑, 2549 : 1-2) งานวิจัยของนุชนารถ เพง็ สรุ ยิ า (2549) ศึกษาเร่อื ง “การใช๎ภาษาเพ่ือแสดงการตําหนิของคนไทย” พบวาํ คนไทยนิยมใช๎ความสุภาพในการตาํ หนิโดยจะเลือกวจั นกรรมอ๎อมมากกวําวัจนกรรมตรง งานวจิ ัยข๎างตน๎ จะเห็นวําคนไทยเลือกวธิ ีประนีประนอมเพอ่ื ไมํให๎กระทบกระเทือนจิตใจของกันและกันมากนัก โดยกลวิธี “ความสุภาพ” ถือเป็นเร่ืองปกติในการปฏิสัมพันธ๑ เพราะการตักเตือนหรือตําหนิผ๎ูฟัง ตามแนวคิดของบราวน๑และเลวินสัน (Brown and Levinson, 1978,1987) ถือวําเป็นวัจนกรรมที่คุกคามหน๎า (Face-threatening act หรือ FAT) ของผ๎ูฟังซึ่งตรงกันข๎ามกับการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิตี้โชว๑ท่ีปรากฏการใช๎ “ความไมํสุภาพ” เพ่ือวัตถุประสงค๑บางประการในฐานะกลวิธีท่จี ะพบในปรบิ ทเฉพาะหรือปริจเฉทบางแบบเทําน้นั และสอดคลอ๎ งกับ ณัฐพรพานโพธิ์ทอง (2555) ท่กี ลาํ ววํา “งานวจิ ยั เร่ืองความไมสํ ุภาพยังมีน๎อยหากเทียบกับงานท่ีศึกษาเรื่องความสภุ าพในภาษาตํางๆ ดังกลําวแล๎ววํา ในบางสถานการณ๑หรือปริจเฉทบางชนิด ความไมํสุภาพอาจถูกใชเ๎ ปน็ กลวธิ เี พือ่ ให๎บรรลวุ ัตถุประสงค๑บางประการ การศึกษาประเด็นนี้นับวํานําสนใจไมํน๎อยกวาํ เรื่องความสุภาพ” (ณฐั พร พานโพธท์ิ อง, 2555 : 100) กลวธิ คี วามไมํสุภาพในรายการเรียลลิตโ้ี ชว๑จึงเปน็ กลวิธีการใช๎ภาษาทนี่ ําสนใจและเปน็ การปฏสิ ัมพนั ธร๑ ูปแบบใหมใํ นสอื่ โทรทศั นไ๑ ทยทก่ี าํ ลงั เปน็ ที่นิยม

4 กลวธิ ีความไมํสุภาพท่ีพบในการวิจารณ๑รายการเรียลลิต้ีโชว๑จึงเป็นปรากฏการณ๑อยํางหนึ่งของสังคมไทยที่ควรคําแกํการศึกษาวิจัยทําให๎เห็นวํา “คําวิจารณ๑” มิใชํเพียงแคํการพูดแสดงความคดิ เหน็ แตํเปน็ “พลังขบั ดนั ” อยาํ งหน่ึงทม่ี ีผลตํอตัวผ๎ูเข๎าแขํงขันและผู๎ฟังทางบ๎านท่ีติดตามชมรายการเรียลลติ โี้ ชวด๑ ว๎ ย ตัวอยําง การวิพากษ๑วจิ ารณใ๑ นกระทู๎ของผูช๎ มทางบา๎ น (1) เป็นอีกคนท่วี จิ ารณ๑ได๎ดุเดอื ดเลอื ดพลาํ น อนั ท่ีจริงชน่ื ชมพมี่ ๎ามาตลอด แตํเมื่อ คืนบอกตรงๆ วาํ แรงไปมาก “รอ๎ งไปเหนอื่ ยไป เปน็ อะไร” นหี่ รือคาํ พูดของผู๎ใหญํ เห็นได๎ชดั วําพม่ี า๎ ไมเํ คยให๎กาํ ลังใจกับเด็กคนนึงเลย ตําหนิแบบแรงมาก ผมฟังยัง อยากจะกระโดดจากเวที กลับบา๎ นดีกวํา (กระท๎วู ิจารณ๑ มา๎ -อรนภา, 2553 : The Star Web board) (2) อาจไมเํ ขา๎ กระแสเนือ่ งจากเห็นวาํ กระทูเ๎ ร่ือง คอมเมน๎ ท๑เตเตอร๑มคี นตง้ั ไปแล๎ว ต้ังแตํวันเสาร๑หลัง CC แตํเนื่องจากเพ่ิงได๎ไปอํานบทสัมภาษณ๑ของพี่ไกํ สุธี จาก นติ ยสารเลํมหนง่ึ เกยี่ วกบั การมาเปน็ คอมเม๎นทใ๑ หก๎ ับ AF มาถงึ 3 ปี อยากบอกพ่ี ไกํวํา นอกจากครูเป็ด (มนต๑ชีพ)...แล๎วคอมเม๎นท๑ AF ท่ีดูจะเป็นกลางและพูด เพอ่ื ใหน๎ ๎องๆได๎พัฒนาจรงิ ๆก็มพี ่ไี กํเนย่ี แหละคะ สํวนตัวชอบการคอมเม๎นท๑ของพี่ไกํมากเวลาพ่ีไกํบอกวําตรงไหนไมํดีก็จะ แนะนาํ ทางแกแ๎ ละกลา๎ จะบอกสิง่ ท่ีไมํดีจริงๆ ยกตัวอยําง เรื่องสําเนียงจะเห็นวํา คอมเม๎นท๑อีกทาํ นบอกวํา “เร่ืองสําเนียงเอาไว๎ไปฝึกอกี ทีตอนนี้เวลาน๎อยไมวํ าํ กัน” อยากถามมากเลยอันนี้ขอกลาํ วถึงบุคคลท่ี 3 หนํอยนะคะ จําได๎มั้ยที่พ่ีตุ๎ยได๎เพลง ฝรัง่ ของ pussy cat หนะภาษาก็ยากเพราะเป็นเพลงเกาํ ทีน่ ํามาเรียบเรียงใหมํให๎ เป็นเพลงผู๎หญิงอีกตํางหาก แตํพี่ตุ๎ยก็ยังร๎องได๎สําเนียงดีถึงจะไมํดีมากแตํไมํแยํ แล๎วเราก็มั่นใจวําพีต่ ๎ุยต๎องจําทั้งหมดเพราะบางคําไมํรู๎คําแปล (ไมํได๎วํานะคะแตํ อยากช่นื ชม) จนไดร๎ บั คําชมเรอื่ งสาํ เนยี งจากครเู ปด็ และพีไ่ กํแตเํ อาเถอะคะเรื่องน้ี แคํยกตัวอยาํ งวาํ ถา๎ ตง้ั ใจจะฝึกเราวําอาทิตย๑นึงก็ทนั ถึงไมํดีก็คงต๎องดีกวาํ น้นั … (กระทวู๎ จิ ารณ๑ ไกํ-สุธี, 2551 : เว็บไซต๑ พันทปิ ดอทคอม หอ๎ ง เฉลมิ ไทย) 3) ดูเหมือนวางมาดนางพญาตลอดเวลา นิ่ง เชิด พูดจาห๎วนๆ (แม๎จะมี หางเสียงวาํ คะํ ) ไมนํ ําฟงั หาเหตุตําหนิได๎ทกุ เร่อื ง จนเหมือนกบั วํา ทนั ทีที่นางเดิน กรดี กรายเขา๎ มา ทกุ คนจะหมดความสุขในการทาํ งาน หาเรอื่ งไดต๎ ลอด กลํุมท่ีถาม นอ๎ ยกต็ วิ าํ เค๎าไมยํ อมถาม กลมํุ ท่ีถามมากก็ตวิ ําถามแล๎วไมํเอามาใช๎

5 ปล. ไมํเม๎นเสื้อผ๎า หน๎าผม เพราะคงเป็นสไตล๑ที่นางอยากโดดเด๎งขึ้นแตํที่ สงสัยคือ ครูอาร๑ทเค๎าเป็นใคร มาจากไหน มผี ลงานเดํนๆ อะไรมาบ๎างครับและถ๎า เทียบกะป้าม๎า อรนภาเนี่ย ใครเก๐ากวํากัน เพราะสายงานก็นําจะมาทาง เดยี วกนั เนอะ... (กระท๎ูวิจารณ๑ อารท๑ -อารยา, 2553 : เว็บไซต๑ พนั ทิปดอทคอมห๎อง เฉลมิ ไทย) ผ๎ูวิจัยเห็นวํามีประเด็นท่นี ําสนใจศกึ ษาหลายประเดน็ เก่ยี วกับการใชก๎ ลวิธีความไมํสุภาพของผ๎ูวิจารณ๑รายการเรียลลิตี้โชว๑ภาษาไทยในงานวิจัยนี้ ผู๎วิจัยเลือกศึกษาจากรายการเรียลลิตี้โชว๑3 รายการคือ รายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ (True Academy Fantasia) ปีท่ี 6 รายการเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าควา๎ ดาว (The Star) ปีที่ 6 และรายการเดอะดไี ซน๑เนอร๑ (The Designer) ปีท่ี 1 ซึ่งผ๎ูชมให๎ความสนใจตํอถ๎อยคําวิจารณ๑จนเกิดกระแสวิพากษ๑วิจารณ๑อยํางมากในชํวงที่รายการออกอากาศ ดงั ท่ีกลาํ วไวข๎ า๎ งตน๎ ผ๎ูวิจัยเห็นวําท้ังสามรายการจึงเป็นรายการที่เหมาะสมตํอการศึกษาคําวิจารณ๑ซึ่งมีผ๎ูชมให๎ความสนใจและไดร๎ ับความนยิ มอยํางมาก ผลของการวิพากษ๑วจิ ารณต๑ าํ งๆ ในรายการยํอมมผี ลตํอผ๎ูชมเพราะแม๎การแขํงขันแตํละคร้งั จบลงแลว๎ แตํผู๎วิจารณ๑ยังเป็นคนเดิม ผู๎วิจารณ๑จึงทําให๎รายการเป็นที่กลําวถงึ และอาจติดตามรายการตํอไปจากการติดตามการวิจารณ๑ของผ๎วู ิจารณด๑ ว๎ ย จะเห็นได๎จากขําวในส่อื ตาํ งๆ ทาํ ใหร๎ ายการมผี ูช๎ มจาํ นวนมากและเป็นทก่ี ลาํ วถึงโดยเฉพาะในส่อื อินเทอร๑เนต็ ที่มีผู๎แสดงความเห็นตํอคําวิจารณ๑ของผ๎ูวิจารณ๑กันอยํางแพรํหลาย ทั้งในบล็อก เว็บบอร๑ด ขําวออนไลน๑ และเว็บไซต๑ดังท่ีได๎ยกตัวอยํางไปแล๎วข๎างต๎น จนเกิดการรวมตัวกันเป็นกลํุมสังคมออนไลน๑ท่ีติดตามคาํ วิจารณข๑ องผูว๎ จิ ารณใ๑ นรายการเรยี ลลิตี้โชว๑ซง่ึ มีจํานวนสมาชิกเพม่ิ ข้ึนอยํางตํอเนื่อง ดงั นั้นผว๎ู จิ ัยเหน็ วํา กลวธิ ีความไมสํ ภุ าพในรายการเรียลลิต้โี ชว๑ภาษาไทยเปน็ ประเด็นท่ีสําคัญและนําสนใจย่ิง เน่อื งจากการวิจารณใ๑ นลกั ษณะทใี่ ช๎ความไมสํ ุภาพนยี้ ังไมํมีผใู๎ ดศกึ ษาไวโ๎ ดยตรง ดังนนั้ผวู๎ จิ ยั จึงสนใจและมีคาํ ถามในการวิจัยวาํ องค๑ประกอบในการส่ือสารตามแนวชาติพันธ๑ุวรรณนาแหํงการสื่อสารเอ้ือตํอการใช๎ความไมํสุภาพในรายการเรียลลิต้ีโชว๑อยํางไรซึ่งชํวยทําให๎เห็น ภาพรวมการวิจารณข๑ องผว๎ู จิ ารณ๑ในรายการเรยี ลลิตีโ้ ชวไ๑ ด๎ชดั เจนย่ิงข้ึนและสัมพันธ๑กับกลวิธีความไมํสุภาพในรายการเรียลลติ ้โี ชว๑วํามีวิธีการใชอ๎ ยํางไรบา๎ ง

61.2 วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั 1) ศกึ ษาองค๑ประกอบการสอ่ื สารของการวิจารณ๑ในรายการเรยี ลลติ โ้ี ชวต๑ ามแนวชาตพิ นั ธุ๑วรรณนาแหงํ การสอ่ื สาร 2) ศึกษากลวธิ ีความไมํสุภาพทผี่ ว๎ู ิจารณ๑ใช๎ในรายการเรียลลติ โี้ ชวภ๑ าษาไทย1.3 สมมติฐาน 1) องคป๑ ระกอบการส่ือสารของการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิตโี้ ชว๑ภาษาไทยเอ้ือให๎ผ๎ูวิจารณ๑ใชก๎ ลวิธีความไมสํ ุภาพเพอ่ื ให๎บรรลวุ ตั ถุประสงคใ๑ นการสอื่ สาร 2) ผู๎วิจารณใ๑ นรายการเรียลลิต้ีโชว๑มีการใช๎กลวิธีหลากหลายเพื่อแสดงความไมํสุภาพ เชํนการใชค๎ ําบริภาษ การนําข๎อผิดพลาดมากลาํ วซ้ําเพือ่ ย้ําความผดิ เดิม การกลําวถึงการกระทําของผ๎ูอ่ืนในฐานะเรื่องตลก การประชดประชัน การใช๎อปุ ลกั ษณ๑ การใชค๎ ําที่มคี วามหมายกํากวม เปน็ ตน๎1.4 ขอบเขตของการวจิ ัย 1) ศกึ ษาเฉพาะขอ๎ มลู สวํ นทเี่ ปน็ การวจิ ารณ๑ในรายการเรยี ลลิตี้โชว๑ ไมศํ ึกษาข๎อมูลสํวนอื่นๆ 2) ผ๎ูวิจัยเก็บข๎อมูลการวิจารณ๑ในรายการท่ีออกอากาศเฉพาะวันเสาร๑เพียงวันเดียวเพราะรายการเดอะสตารค๑ น๎ ฟ้าควา๎ ดาว ปีที่ 6 เป็นรายการเดียวท่ีออกอากาศสดท้ังวันเสาร๑และวันอาทิตย๑ทางสถานีโทรทศั น๑ชอํ ง 9 ซ่ึงผู๎วิจยั จะเลือกเกบ็ ข๎อมลู เฉพาะวันเสาร๑ ซึ่งเป็นวันประกวดแขํงขันและมีการวจิ ารณก๑ ารแขงํ ขัน สํวนวนั อาทติ ย๑จะเป็นวนั ประกาศผลผ๎ูเขา๎ รอบ ซ่ึงผ๎ูวิจารณไ๑ มํไดก๎ ลําวเกีย่ วขอ๎ งกับการแขํงขัน เพ่ือจะได๎เหมือนกับรายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ ปีท่ี 6 และรายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ ฝนั ตามคดิ ชวี ติ มีดไี ซน๑ ปที ่ี 1 ที่มกี ารแขํงขนั และประกาศผลในวนั เดียวกนั 3) ผ๎ูวิจยั เลือกเก็บขอ๎ มูลจากรายการเดอะดีไซนเ๑ นอร๑ ในปที ่ี 1 ซง่ึ ตาํ งจากรายการเดอะสตาร๑คน๎ ฟา้ ควา๎ ดาว และรายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ท่ีเก็บในปีที่ 6 เพราะผ๎ูวิจัยเลือกจากชํวงเวลาออกอากาศในชวํ งเวลาเดยี วกันคือในปี พ.ศ. 2552 - พ.ศ. 25531.5 วิธดี าเนินการวิจยั ในการศึกษากลวิธคี วามไมสํ ภุ าพในการวิจารณใ๑ นรายการเรยี ลลิตี้โชวภ๑ าษาไทยนีผ้ ูว๎ จิ ัยมีวิธดี ําเนนิ การวจิ ยั โดยแบํงเป็น 6 สวํ น ไดแ๎ กํ 1. สํารวจเอกสารและงานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข๎อง 2. สรา๎ ง

7เกณฑใ๑ นการเลือกถอ๎ ยคําแสดงความไมสํ ุภาพ 3. เกบ็ ขอ๎ มลู จากเกณฑท๑ สี่ ร๎างข้ึน 4. การวเิ คราะห๑ขอ๎ มลู 5. เรยี บเรียงผลการวเิ คราะห๑ 6. เขียนสรปุ ผลการศกึ ษาและอภปิ รายผลการศกึ ษามรี ายละเอยี ดดงั ตํอไปนี้ 1.5.1 สํารวจเอกสารและงานวิจยั ที่เกย่ี วขอ๎ ง สํารวจ รวบรวมและศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข๎อง ได๎แกํ ทฤษฎีชาติพันธุ๑วรรณนาแหํงการสื่อสาร แนวคิดเรื่องวัจนกรรม แนวคิดเก่ียวกับความไมํสุภาพ แนวคิดเกี่ยวกับเร่ืองความหมายเป็นนยั งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ๎ งจากเอกสารบทความวชิ าการ วทิ ยานพิ นธ๑ และหนังสือตํางๆ 1.5.2 เกณฑใ๑ นการเลือกถอ๎ ยคําแสดงความไมสํ ุภาพ เกณฑ๑ที่ใช๎ในการเลอื กถอ๎ ยคาํ วิจารณ๑ที่แสดงความไมสํ ุภาพในรายการเรียลลิต้ีโชว๑มีเกณฑ๑ในการพจิ ารณาดังน้ี แนวคดิ ทผี่ ๎ูวจิ ัยใชเ๎ พ่ือพจิ ารณาเรื่อง “ความไมสํ ุภาพ” นนั้ ผู๎วิจยั ได๎พจิ ารณาตามคลั เปปเปอร๑(Culpeper, 1996) ซงึ่ พัฒนาขัน้ จากทฤษฎขี องบราวน๑และเลวินสัน (Brown and Levinson, 1978,1987 อา๎ งถงึ ใน ณัฐพร พานโพธท์ิ อง, 2555) ที่เชื่อวําคนในสังคมหรือผ๎ูรํวมสนทนาทุกคนมี “หน๎า”2 ด๎าน คอื 1. หน๎าด๎านบวก (Positive Face) หมายถึง ความต๎องการท่ีจะเปน็ ท่ียอมรับในสงั คม 2. หน๎าดา๎ นลบ (Negative Face) หมายถึง ความต๎องการที่จะมีอสิ ระ ไมขํ ึ้นอยํูกบั ใคร “ ในการสนทนาของเรานั้นเปน็ การยากทจ่ี ะรักษาหนา๎ ทง้ั สองด๎านน้ไี ว๎ ได๎โดยตลอด เพราะอาจมบี างครงั้ ท่ีการสนทนาอาจมบี างอยํางท่ีทาํ ใหค๎ ํสู นทนา เสียหน๎า เรียกวํา “การกระทําท่ีคุกคามหน๎า” (Face-Threatening Act หรือ FTAs) ซงึ่ บราวน๑และเลวินสนั จาํ แนกไว๎ 4 ประเภทโดยใช๎เกณฑ๑เรอ่ื งหน๎าดา๎ น ลบและหนา๎ ดา๎ นบวกและเกณฑ๑ทว่ี าํ วัจนกรรมน้นั คกุ คามหนา๎ ผ๎ูพดู หรือผ๎ฟู งั วจั นกรรมทคี่ กุ คามหนา๎ 4 ประเภท มีดังน้ี

8 1) วัจนกรรมที่คุกคามหน๎าด๎านลบของผ๎ูฟัง คือ วัจนกรรมท่ีคุกคามความต๎องการเป็นอสิ ระของผู๎ฟัง วัจนกรรมประเภทนี้ไดแ๎ กํ - วจั นกรรมที่ผ๎ูพูดกาํ หนดใหผ๎ ฟู๎ งั กระทําบางสงิ่ ทาํ ให๎ผ๎ูฟงั ร๎ูสกึ วาํ ถกู บงั คับหรอื กดดัน เชํน การสัง่ การขอรอ๎ ง การแนะนาํ การเตอื น การขํู ฯลฯ - วัจนกรรมทผี่ ู๎พูดกระทาํ บางสิ่ง ทาํ ให๎ผ๎ูฟังถกู บังคบั ใหต๎ อ๎ งรบั หรอื ปฏเิ สธเชนํ การเสนอให๎ การสญั ญา ฯลฯ - วัจนกรรมที่ผู๎พูดแสดงความปรารถนาบางสิ่ง ทําให๎ผ๎ูฟังรู๎สึกวําต๎องกระทําบางสิ่งเพ่ือสนองตอบผ๎ูพูด เชํน การชม การแสดงความยินดี การแสดงความโกรธ ฯลฯ 2) วัจนกรรมที่คุกคามหน๎าด๎านบวกของผ๎ูฟัง คือ วัจนกรรมท่ีคุกคามความตอ๎ งการเปน็ ทยี่ อมรับจากสงั คมของผฟู๎ งั วัจนกรรมประเภทนีไ้ ดแ๎ กํ - วัจนกรรมท่ีแสดงวําผู๎พูดประเมินคําผู๎ฟังในด๎านลบ เชํน การวิจารณ๑การแสดงความเห็นแย๎ง การแสดงความไมํพอใจ การดาํ ฯลฯ - วัจนกรรมท่ีแสดงวําผู๎พูดไมํให๎ความสําคัญกับหน๎าของผู๎ฟัง เชํนการบอกขาํ วรา๎ ยการพดู ขัด การคยุ อวดเร่ืองของตนเอง ฯลฯ 3) วัจนกรรมท่ีคุกคามหน๎าด๎านลบของผู๎พูด คือ วัจนกรรมท่ีคุกคามความต๎องการเป็นอิสระของผ๎ูพูด เชํน การกลําวขอบคุณ (การแสดงวัจนกรรมการขอบคณุ เทาํ กับผู๎พูดยอมรบั วําตนเป็นหนบี้ ญุ คณุ ผฟ๎ู งั ) การตอบรับคําขอบคุณการตอบรับคาํ ขอโทษ (ในกรณีวัจนกรรมท้ังสองนี้ ผ๎ูพูดถูกบังคับให๎ต๎องแสดงวําหน้บี ุญคุณหรือความผิดทเี่ กิดข้นึ ไมใํ ชํเรอ่ื งสําคัญ) ฯลฯ 4) วัจนกรรมท่ีคุกคามหน๎าด๎านบวกของผ๎ูพูด คือ วัจนกรรมท่ีคุกคามความต๎องการเป็นท่ียอมรับจากสังคมของผู๎พูด เชํน การขอโทษ การยอมรับผิดการสารภาพ การแสดงวัจนกรรมท้ังสามน้ีเทํากับผู๎พูดยอมรับวําตนเองทําส่ิงท่ีไมถํ ูกต๎องหรอื ไมํเปน็ ทยี่ อมรับ” (Brown and Levinson, 1978, 1987 อ๎างถึงในณัฐพร พานโพธทิ์ อง, 2555: 90-91) จากการศึกษาข๎างต๎นผ๎ูวิจัยเห็นวํา ตามทฤษฎีของบราวน๑และเลวินสัน (Brown andLevinson, 1978, 1987) จะเชอื่ วํา โดยท่ัวไปผู๎พูดจะพยายามลดความเสี่ยงในการคุกคามหน๎าของผฟ๎ู งั เชนํ การพดู อ๎อมหรอื การใช๎ถ๎อยคําแสดงการลดน้ําหนกั เป็นต๎น สวํ นแนวคดิ ของคัลเปปเปอร๑จะเชื่อวําแม๎ผ๎พู ูดจะพยายามใช๎ถอ๎ ยคําที่พูดอ๎อมค๎อมหรือพยายามใช๎ถ๎อยคําแสดงการลดนํ้าหนักแล๎วก็ตามกย็ ังถอื วําเป็นการแสดงความไมํสภุ าพ

9 “The notion of inherent impoliteness irrespective of contexts only holds for a minority of acts. For example, acts which draw attention to the fact that the target is engaged in some anti-social activity (e.g. picking nose or ears, farting) seem to be inherently impolite. It is difficult to think of politeness work or a change of context that can easily remove the impoliteness from an utterance such as \"Do you think you could possibly not pick your nose'?-2 The reason why these acts may be described as inherently impolite is as follows.” (Culpeper , 1996 : 351) จากข๎อความทีย่ กมาจะเหน็ วาํ คัลเปปเปอร๑ ได๎ยกตัวอยําง กรณีท่ีผู๎พูดใช๎ถ๎อยคําลดน้ําหนักในวัจนกรรมทผี่ ๎ูพดู แสดงการคกุ คามหน๎าผู๎ฟัง แตํอยํางไรก็ตามผ๎ูพูดก็ยังแสดงความไมํสุภาพออกไปผวู๎ จิ ยั จะใช๎เกณฑ๑นี้เปน็ เกณฑส๑ าํ คญั สาํ หรับการเลือกถ๎อยคําท่ีแสดงความไมํสุภาพด๎วยเพราะในบางกรณีผู๎วจิ ารณ๑เลอื กใช๎ถ๎อยคาํ ลดน้ําหนักหรอื เลี่ยงการกลําวตําหนิแบบตรงไปตรงมา บางคนอาจมองวําผู๎พดู พยายามใชค๎ วามสภุ าพ แตดํ ว๎ ยแนวคดิ ของคัลเปเปอร๑ท่ีผู๎วิจัยยึดถืออยํูน้ีจะพิจารณาที่ผลของการใช๎ภาษาวําแสดงการคุกคามหน๎าผฟู๎ ังถือวาํ เป็นการใช๎กลวิธคี วามไมสํ ภุ าพ เปน็ เกณฑก๑ ารเลอื กเกบ็ตัวอยาํ ง เมือ่ ใดพบวําผูว๎ ิจารณ๑ในรายการเรยี ลลติ ี้โชว๑ใช๎ภาษาท่ีแสดงการคุกคามหน๎าผู๎ฟัง ผ๎ูวิจัยก็จะเลือกเกบ็ มาเป็นตวั อยํางและวิเคราะหจ๑ ัดกลํมุ ข๎อมลู ตํอไป 1.5.3 เก็บขอ๎ มลู จากเกณฑท๑ ่ีสร๎างขน้ึ ผู๎กําหนดรายการเรยี ลลิตโี้ ชว๑ที่ใช๎เป็นแหลํงข๎อมลู ในการศกึ ษา โดยเก็บข๎อมูลการใช๎ภาษาในการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิต้โี ชว๑ท่มี ผี ู๎วจิ ารณใ๑ นรายการทมี่ ผี ู๎ชมให๎ความนยิ มสูงสุดและเปน็ รายการที่มีกระแสเป็นท่วี พิ ากษว๑ จิ ารณใ๑ นปี พ.ศ. 2552 – พ.ศ. 2553 โดยเกบ็ ถอ๎ ยคาํ วจิ ารณ๑จากผว๎ู ิจารณ๑ทเ่ี รม่ิพูดต้ังแตํรายการเริ่มออกอากาศในสัปดาห๑แรกจนสัปดาห๑สุดท๎ายท่ีประกาศผลผู๎ชนะการแขํงขันจาก 3 รายการ คือ รายการเดอะสตาร๑ ค๎นฟา้ คว๎าดาว ปที ี่ 6 รายการทรอู ะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ ปีที่ 6และรายการเดอะดไี ซน๑เนอร๑ ฝนั ตามคิด ชวี ิตมดี ีไซน๑ ปีที่ 1 มีรายละเอียดดงั ตํอไปน้ี 1) รายการเดอะสตาร๑ ค๎นฟ้าคว๎าดาว ปีที่ 6 การแขํงขันแบํงเป็น 7 สัปดาห๑ ผู๎วิจัยจึงเก็บถ๎อยคําวิจารณ๑จากกรรมการประจําทั้งหมด 3 คน รวมเก็บคําวิจารณ๑ท้ังส้ิน 204 ครั้ง รายการเดอะสตาร๑ ค๎นฟ้าคว๎าดาว ปีท่ี 6 มีผู๎เข๎าแขํงขัน 8 คน ดังนี้ หมายเลข 1 ลูกเกด-จิณภัค เปียกล่ิน

10หมายเลข 2 ไอซ๑-ณฐั ภัชร๑ ธนนนท๑กิติยศ หมายเลข 3 กัน-ณภัทร อินทรใจเอ้ือ หมายเลข 4 เกํง-วาโย อัศวรุํงเรือง หมายเลข 5 เซน-ปฏิภาณ หลํอเสถียร หมายเลข 6 โตโนํ-ภาคิน คําวิลัยศักด์ิหมายเลข 7 เกรช-นวกชมณ ช่ืนครองธรรม หมายเลข 8 ริท-เรืองฤทธ์ิ ศิริพานิชย๑ โดยเก็บจากเว็บไซต๑ www.youtube.com เก็บข๎อมูลตั้งแตํวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553 ถึงวันที่ 1 พฤษภาคมพ.ศ. 2553 2) รายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ ปีท่ี 6 การแขํงขันแบํงเป็น 12 สัปดาห๑ ผู๎วิจัยเก็บคําวิจารณ๑จากกรรมการท่ีมาตัดสินการประกวดมีท้ังกรรมการประจําและกรรมการที่เปลี่ยนไปแตํละสัปดาหซ๑ งึ่ ทกุ สปั ดาห๑จะมีสปั ดาหล๑ ะ 3 คน รวมเก็บคําวิจารณ๑ทั้งส้ิน 238 ครั้ง รายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ ปีที่ 6 มีผู๎เข๎าแขํงขัน 12 คน ดังนี้ V1 อิช๑ค-กัลยทรรศน๑ ชูวงษ๑ V2 อ๏อฟ-ชาญณรงค๑หอมชดิ V3 กญุ แจซอล-ปานทอง บุญทอง V4 นิวตี้-นิธินันท๑ ฉายัษเฐียร V5 ที-ทีป์ชลิต พรหมชนะV6 ซานิ-นิภาภรณ๑ ฐิติธนาการ V7 กฤษ-กฤษมงคล ศิลป V8 แม็ค-วีรดนย๑ หวังเจริญ V9 นุกนิก-นนั ทส๑ นิ ี นามวงค๑ V10 แอน-ศิรพิ รรณ นําเจริญสมบัติ V11 แท็บบี้-รฐา โกลิลานนท๑ V12 อิชย๑-อิชย๑ ศรีวํองไทย โดยเก็บจากเว็บไซต๑ www.youtube.com เก็บข๎อมูลตั้งแตํวันท่ี 4 กรกฎาคมพ.ศ. 2552 ถึงวันท่ี 19 กันยายน พ.ศ. 2552 3) รายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ ฝันตามคิด ชีวิตมีดีไซน๑ ปีท่ี 1 การแขํงขันแบํงเป็น 12 สัปดาห๑ผ๎ูวิจัยเก็บคําวิจารณ๑จากกรรมการประจําท้ังหมด 4 คน โดยเก็บจากคําวิจารณ๑จากผู๎วิจารณ๑ทั้งสิ้น56 ครั้ง รายการเดอะดีไซน๑เนอร๑มีผ๎ูเข๎าแขํงขัน ดังนี้ ทีมสกูด้ี (skudy) คือ อั๋น-วราวุฒิ วิศพันธุเกยี รต-ิ เกยี รติ เจริญพานิชย๑ สุํย-อภิสรา สารคุณประดิษฐ๑ ดุ๏กด๊ิก-วรรณกร อุํนวิเศษ หยินม่ี-นภัสณเพชร สนณ๑ณกิตตนก๑ ลุ ทีมเฟมเฟม (fame fame) วชั -วัชรดล อริยเมทกุล แบงค๑-สุทร เศรษฐมังกรแมนด้ี-ชนะพล เล็กประเสริฐ เบียร๑-เฉลิม อินทลักษณ๑ มิวสิค-พิทวัส จันทศร โดยเก็บจากเว็บไซต๑www.youtube.com เก็บข๎อมูลต้ังแตํวันท่ี 26 กันยายน พ.ศ. 2553 ถึงวันท่ี 14 พฤศจิกายนพ.ศ. 2553 รวมถอ๎ ยคําวิจารณ๑ทเี่ กบ็ ไดจ๎ ากทัง้ 3 รายการ มจี ํานวนทง้ั สิ้น 498 ครง้ั 1.5.4 การวิเคราะหข๑ ๎อมูล 1. ผู๎วิจยั ไดว๎ เิ คราะหข๑ อ๎ มูลปรบิ ทและกลวิธขี องการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิต้ีโชว๑ภาษาไทยตามขนั้ ตอนและมรี ายละเอยี ด

11 2. ผ๎ูวิจัยเก็บข๎อมูลและถํายถอดถ๎อยคําวิจารณ๑ของผู๎วิจารณ๑รายการเรียลลิต้ีโชว๑ ท้ัง 3รายการ ได๎แกํ รายการทรอู ะคาเดมแี ฟนเทเชียร๑ ปีท่ี 6 รายการเดอะสตร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาว ปีที่ 6 และรายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ ฝันตามคิดชีวิตมีดีไซน๑ ปีที่ 1 ท่ีออกอากาศในปี พ.ศ. 2552 - พ.ศ. 2553และเก็บปรบิ ทของรายการและเก็บข๎อมูลคําวิจารณ๑ทั้ง 3 รายการจากการชมรายการย๎อนหลังและเว็บไซต๑ www.youtube.com โดยดัดแปลงจากงานวิจัยของ ประไพพรรณ พ่ึงฉิม (2542) และปญั จพร ลลี าชีวสิทธ์ิ (2549) และมสี ัญลกั ษณ๑ทใี่ ชใ๎ นการเกบ็ ข๎อมลู ดงั นี้อศั เจรีย๑ ( ! ) แสดงการจบหรือการสิ้นสุดหนํวยยํอยในผลัด ด๎วยทํานองเสียงสูงมากเป็นพิเศษ มักจะปรากฏเม่ือผู๎พูดต๎องการแสดงอารมณ๑ความรู๎สึก หรือทัศนคติอยํางใดอยํางหน่ึงเป็นพิเศษ เชํนประหลาดใจ ตกใจ หรือไมเํ ช่ือ เป็นต๎นวงเลบ็ ( ) ข๎อความในวงเล็บเป็นข๎อความเสริมนอกเหนือจากถ๎อยคํา แสดงอากัปกิริยาของผ๎ูพูดหรืออาการอยํางใดอยํางหนึ่ง ใช๎ประกอบกับถ๎อยคําในบางชํวงของ ปริจเฉทการสนทนาเพื่อจะชํวยให๎เข๎าใจการสนทนาน้นั ๆ ไดด๎ ยี ิง่ ข้นึปรศั นีย๑ในวงเลบ็ ( ?? ) แสดงถอ๎ ยคําท่ไี มสํ ามารถถอดเปน็ ตัวอกั ษรไดเ๎ นื่องจากไดย๎ นิ ไมํชัดเจนขอ๎ ความพิมพต๑ วั หนา แสดงข๎อความที่ผ๎ูพดู เน๎นเสยี งเป็นพิเศษ 3. ผว๎ู ิจัยนําเสนอช่อื เลํนของผูร๎ ํวมเหตกุ ารณ๑การสือ่ สารไว๎ดว๎ ยเพราะการปฏสิ มั พนั ธ๑ในรายการที่ศกึ ษาอยูํนี้ จะใช๎ชื่อเลํนเป็นสาํ คญั จงึ ทาํ ใหง๎ าํ ยตํอการเข๎าใจและการจดจําวําเปน็ รายการใดตามชื่อของผว๎ู จิ ารณ๑ เชํน อาร๑ท-อารยา อนิ ทรา ม๎า-อรนภา กฤษฎี ไกํ-สุธี แสงเสรชี น เปน็ ตน๎ 4. วเิ คราะหข๑ อ๎ มลู โดยแบงํ เป็น 2 ชวํ ง คือ 4.1 ศึกษาองค๑ประกอบการสื่อสารของการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิต้ีโชว๑ตามกรอบทฤษฎีชาติพนั ธุ๑วรรณนาแหงํ การส่อื สาร 4.2 ศึกษากลวิธีความไมํสุภาพในรายการเรียลลิต้ีโชว๑โดยเกณฑ๑ในการตัดสินวํากลวธิ ีใดเปน็ กลวธิ คี วามไมสํ ุภาพซงึ่ คัดเลอื กเฉพาะขอ๎ มลู ถ๎อยคาํ วจิ ารณ๑ท่ีแสดงความไมํสุภาพ โดยจัด

12ประเภทข๎อมูลตามกลวิธีการใชค๎ วามไมสํ ภุ าพโดยประยุกต๑จากแนวคิดของคัลเปปเปอร๑ (Culpeper,1996 : 349-367) ในเรือ่ งการใช๎ความไมํสภุ าพนัน้ ผู๎วิจัยได๎พจิ ารณาจากตวั อยํางที่คัลเปปเปอร๑กลําวไว๎ในบทความและนาํ มาเปน็ เกณฑ๑การเลอื กถอ๎ ยคาํ ที่แสดงความไมสํ ภุ าพดงั น้ี 1) ผพ๎ู ูดกลําวถ๎อยคําใดๆ ก็ตามไมํวําจะใช๎รูปภาษาตรงกับความหมายหรือต๎องตีความและถ๎อยคํานั้นทาํ ให๎ผูฟ๎ ังร๎ูสึกเสียหน๎าถือวาํ เปน็ การใชภ๎ าษาแสดงความไมํสุภาพตวั อย่างสถานการณ์ ผูพ๎ ูดกลําวกับคนขับรถแทก็ ซีซ่ ึ่งลืมปดิ ทปี่ ัดนา้ํ ฝนวาํ ซง่ึ ขณะนนั้ ฝนไมไํ ด๎ตกวํา “Is it raining?” (Culpeper , 1996 : 351) ฝนกําลังตกหรือ? เม่ือพิจารณาจากปรบิ ทแลว๎ จะเหน็ วาํ ผ๎ูพูดไมไํ ดม๎ เี จตนาถาม แตตํ อ๎ งการชีใ้ หเ๎ ห็นวาํ ผูฟ๎ ังไมไํ ด๎ทําสิง่ ทคี่ วรกระทาํ คือ ปิดทีป่ ัดนํา้ ฝน แมว๎ ําผู๎พูดจะไมํได๎ตําหนิผู๎ฟังโดยตรงแตํการกลําวเชํนน้ีก็ทําให๎ผูฟ๎ ังเสยี หนา๎ ไดเ๎ พราะถูกตั้งคําถามเกี่ยวกบั การทํางานของตน 2) การใช๎ภาษาที่ผู๎พูดต้ังใจหรือจงใจใช๎เพื่อให๎ผู๎ฟังทําพฤติกรรมหรือหยุดทําพฤติกรรมบางอยํางท่ีไมํเหมาะสม ไมํวาํ ถ๎อยคาํ วํานนั้ จะมกี ารพดู อ๎อมหรอื ตกแตงํ ใหล๎ ดความรุนแรงเพยี งใด ผลที่เกิดข้ึนก็อาจทําใหผ๎ ูฟ๎ งั เสยี หนา๎ หรอื ไมพํ อใจได๎ตัวอย่างสถานการณ์ เมอื่ คุณอยํูในสถานการณท๑ ต่ี อ๎ งพดู เพอ่ื ให๎ผ๎ฟู ังหยุดแคะจมกู วาํ “Do you think you could possibly not pick your nose” (Culpeper , 1996 : 351) คุณคดิ วาํ ...พอจะเปน็ ไปได๎ไหมทคี่ ณุ จะไมํแคะจมูก ในสถานการณ๑น้ี แม๎ผ๎ูพูดจะใช๎คําท่ีชํวยลดทอนความรุนแรงลงไปบ๎าง แตํถ๎อยคําน้ีกย็ งั แสดงความไมํสุภาพเพราะมีเจตนาใหผ๎ ๎ฟู ังหยดุ การกระทาํ ท่ีไมเํ หมาะสม 3) ผู๎พูดมีเจตนาให๎ผู๎ฟังทําพฤติกรรมหรือไมํทําพฤติกรรมบางอยํางท่ีผู๎พูดมีการใช๎อํานาจกาํ หนดใหผ๎ ูฟ๎ งั ทําตวั อยา่ งสถานการณ์ แมํพดู กบั ลูกใหร๎ ีบกนิ ข๎าววํา “Go on, eat up” (Culpeper , 1996 : 351) กินๆ เขา๎ ไปใหห๎ มด คัลเปปเปอรเ๑ ห็นวํา แม๎ผพ๎ู ดู จะมเี จตนาหวงั ดตี อํ ผู๎ฟงั แตํการกลาํ วเชํนนีเ้ ป็นการบังคับใจผู๎ฟังให๎กระทําตามความต๎องการของผ๎ูพูดซึ่งผ๎ูฟังอาจไมํยินดีทําตามหรือไมํพอใจก็ได๎ ผ๎ูวิจัยนําเกณฑ๑น้ี

13มาพิจารณาในการใช๎ภาษาของผ๎ูวิจารณ๑รายการเรียลลิตี้โชว๑ภาษาไทยด๎วยเพราะผู๎วิจารณ๑ล๎วนมีเจตนาหวงั ดีตํอผ๎ฟู งั แตกํ ารสง่ั หรอื การเตือนให๎ผฟ๎ู งั เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมบางอยาํ งทีผ่ ู๎พูดเห็นวาํ ไมดํ ีต๎องแกไ๎ ข การกลําวเชนํ นีถ้ ือเป็นการใช๎ความไมสํ ภุ าพเชนํ กัน จากทก่ี ลําวมานจ้ี ะเหน็ ได๎วํา ตามแนวคิดของคัลเปปเปอร๑ (Culpeper, 1996) น้ัน เกณฑ๑ที่จะใช๎ในการตัดสินวําถ๎อยคําใดเป็นการใช๎ความไมํสุภาพจะพิจารณาจากการตีความและผลของการส่ือสารที่ทําให๎ผู๎ฟังเสียหน๎าเป็นสําคัญมากกวําจะพิจารณารูปภาษาท่ีใช๎ นอกจากน้ีผู๎วิจัยจะพิจารณาความไมสํ ภุ าพโดยตดั สินจากภาษาทแี่ สดงการคุกคามหน๎าผู๎ฟังเป็นสําคัญ แม๎วําผ๎ูพูดอาจใช๎ถอ๎ ยคาํ ลดนํา้ หนกั ความรุนแรงเพ่ือเลี่ยงการกลําวคุกคามหน๎า หรือ ในบางกรณี มีผู๎กลําววําการพูดออ๎ มโดยใช๎การแนะความเป็นกลวิธีหน่ึงของการแสดงความสภุ าพทผี่ ู๎พูดตกแตํงข๎อความหรือเลี่ยงท่ีจะกลาํ วความไมํสุภาพอยํางตรงไปตรงมาแล๎วกต็ าม แตํอยํางไรก็ตามแนวคิดของคัลเปปเปอร๑นั้นเช่ือวําผูพ๎ ดู กลําวถ๎อยคาํ ทกี่ ระทบหนา๎ ผูฟ๎ งั กลาํ วคอื ผ๎ูฟงั ร๎ูวําตนมีข๎อเสยี ขอ๎ ผดิ พลาดที่เกิดขึ้นซ่ึงนับวําเป็นการแสดงการคกุ คามหนา๎ ผฟู๎ ัง ดงั น้ันผ๎วู ิจัยจงึ จดั วําเป็นการใชภ๎ าษาเพื่อแสดงความไมสํ ุภาพ1.5.5 เรียบเรียงผลการวเิ คราะห๑ เม่ือผ๎ูวิจัยจัดระเบียบและวิเคราะห๑ข๎อมูลท้ังหมดเรียบร๎อยแล๎ว จึงนําผลการวิเคราะห๑มาเรียบเรียง ออกเป็น 3 สํวนคือ 1. กลวิธีแสดงความไมํสุภาพ 2. หน๎าที่ของกลวิธีความไมํสุภาพในรายการเรยี ลลิต้โี ชว๑ 3. การปรากฏรวํ มกนั ของกลวิธคี วามไมสํ ุภาพของการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิตี้โชวภ๑ าษาไทย 1.5.6 เขียนสรุปผลการศกึ ษาและอภิปรายผลการศกึ ษา1.6 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ1. วัจนกรรม (speech act) หมายถึง การกระทาํ โดยใช๎คาํ พดู ซงึ่ เกดิ ขึ้นภายใตเ๎ งื่อนไข ของการกระทาํ หรือวจั นกรรมน้ัน (Searle, 1969)2. ถอ๎ ยคาํ (utterance) หมายถงึ สํวนหนึง่ ของการพดู ในสถานการณห๑ นง่ึ ๆ และ เปน็ สํวนที่อยรูํ ะหวํางจังหวะหยดุ ในการพูดน้ัน (Hurford and Heasley, 1983 อ๎างถึงใน สิทธิธรรม ออํ งวุฒวิ ัฒน๑, 2549)3. กลวิธที างภาษา หมายถงึ วิธกี ารใช๎ภาษาเพอื่ ใหบ๎ รรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคท๑ ี่ตง้ั ไว๎ ในการวจิ ารณ๑

14 4. กลวธิ คี วามสภุ าพ หมายถงึ วธิ ีการทางภาษาทีผ่ ๎ูพดู ใช๎เพอื่ ความสภุ าพ (Brown and Levinson, 1978, 1987) 5. กลวิธีความไมสํ ุภาพ หมายถึง การใชก๎ ลวิธีทางภาษาท่ีแสดงการคกุ คามหน๎าซง่ึ อาจ ทาํ ใหผ๎ ฟ๎ู ังอาจร๎ูสกึ เสยี หนา๎ ได๎แกํ โกรธ เกลียด หรอื ไมพํ อใจได๎ ในทางวัจนปฏิบตั ิศาสตร๑กลวธิ ีทาง ภาษาท่ีคุกคามหน๎าผู๎ฟงั ได๎แกํ การใชค๎ าํ บริภาษ การแสดงความเหน็ เชิงลบอยาํ งตรงไปตรงมา การย้ําความผิด ฯลฯ 6. การวจิ ารณใ๑ นรายการเรยี ลลติ โ้ี ชว๑ พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1117) ได๎ให๎นิยามของคําวํา“วิจารณ๑” หมายถึง “ให๎คําตัดสินสิ่งที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรม เป็นต๎น โดยผ๎ูมีความร๎ูควรเช่ือถือได๎วํามีคําความงาม ความไพเราะ ดีอยํางไร หรือมีข๎อขาดตกบกพรํองอยํางไรบ๎าง เชํนเขาวิจารณว๑ ําหนงั สือเลํมนี้แสดงปัญหาในปัจจุบันได๎ดีมากสมควรได๎รับรางวัล, ติชม มักใช๎เต็มคําวําวพิ ากษ๑วจิ ารณ๑ เชนํ คนดหู นงั วพิ ากษ๑วจิ ารณ๑วํา “หนังเรอ่ื งนีด้ ําเนินเร่อื งชา๎ ทาํ ใหค๎ นดเู บ่อื ” การวิจารณ๑ในงานวิจัยน้ีจึงหมายถึง การกลําวชมหรือตําหนิผ๎ูเข๎าแขํงขันของผู๎วิจารณ๑จากรายการเรียลลติ โี้ ชว๑ ซ่งึ เปน็ การประเมนิ คําหรอื การใหค๎ วามเห็นของผูว๎ จิ ารณ๑ท่ีมีความรค๎ู วามสามารถในด๎านน้ันๆ ที่รายการเชิญมาเพ่ือใหค๎ ําติชมบุคคลหรอื พฤติกรรมของผูเ๎ ข๎าแขํงขัน หลังจากชมผลงานหรือการแสดงของผเ๎ู ขา๎ แขํงขันในสปั ดาห๑นน้ั ๆ1.7 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ บั 1) ทาํ ใหท๎ ราบการใช๎ความไมํสุภาพในฐานะกลวธิ กี ารสอ่ื สาร 2) ทาํ ใหท๎ ราบการใช๎ภาษาในรายการเรียลลติ ี้โชว๑ซง่ึ เป็นสถานการณ๑การสอื่ สารที่ได๎รบัความสนใจในวัฒนธรรมไทย 3) เปน็ แนวทางการศกึ ษาความไมํสุภาพในภาษาไทย

151.8 ข้อตกลงเบื้องต้น การตีความเจตนาของผ๎ูพูดหรือผู๎วิจารณ๑ในงานวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห๑โดยอาศัยกรอบทฤษฎีทางวัจนปฏิบัติศาสตร๑และปริบทแวดล๎อม ไมํได๎มาจากการสอบถามผ๎ูวิจารณ๑โดยตรงผลการวิจัยในครั้งน้ีจึงเป็นการวิเคราะห๑ตามหลักวิชาการ อยํางไรก็ตามผู๎พูดหรือผ๎ูวิจารณ๑อาจมีมุมมองทแี่ ตกตาํ งไปจากผลการวจิ ัย

บทท่ี 2 แนวคิดหรอื ทฤษฎีทเี่ กย่ี วขอ้ ง การศึกษาวิธีใช๎ภาษาของผู๎วิจารณ๑รายการเรียลลิต้ีโชว๑น้ี จากการสืบค๎นของผ๎ูวิจัยเทําท่ีผํานมายังไมํมีผ๎ูวจิ ยั ทาํ นใดศกึ ษาเรื่องนีม้ าโดยตรง แตํก็มีงานวิจัยท่ีเกี่ยวข๎องกับเร่ืองการใช๎ภาษาในการวิจารณ๑ในภาษาไทยและการใช๎ภาษาไมํสุภาพของตํางประเทศ ผ๎ูวิจัยจะกลําวถึงงานวิจัยที่เก่ียวข๎องกับการศึกษาคร้ังนี้ โดยใช๎แนวคิดทางทฤษฎีดังตํอไปน้ี รวมถึงการทบทวนวรรณกรรมทีเ่ ก่ียวข๎องเปน็ พืน้ ฐานในการวิจยั 1. แนวคดิ เร่ืองชาติพันธว๑ุ รรณนาแหํงการสอ่ื สาร ของ เดลล๑ ไฮมส๑ (Dell Hymes, 1974) 2. แนวคิดเร่อื งวจั นกรรม (speech act) ของ ออสติน (Austin, 1962) และ เซริ ๑ล(Searle, 1969) 3. แนวคิดเก่ยี วกับความสุภาพ (politeness) ของ บราวน๑และเลวินสนั (Brown andLevinson, 1978, 1987) 4. แนวคดิ เกย่ี วกบั ความไมสํ ภุ าพ (impoliteness) ของ โจนาทาน คลั เปปเปอร๑(Culpeper, 1996) 5. แนวคดิ เร่ืองความหมายเป็นนัยสนทนา (implicature) ของ ไกรซ๑ (Grice, 1975) 6. งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข๎อง2.1 แนวคดิ เรอ่ื งชาตพิ ันธวุ์ รรณนาแห่งการสือ่ สารหรือ Ethnography of Communication แนวคิดเรื่องชาติพันธุ๑วรรณนาแหํงการสื่อสารหรือ Ethnography of Communicationแตเํ ดิมใช๎วํา “ชาติพันธุ๑วรรณนาแหํงการพูด” (Ethnography of Speaking) แนวคิดน้ีศึกษาการใช๎ภาษาในวฒั นธรรมตาํ งๆ เชํน การศกึ ษาหน๎าทแี่ ละการใช๎วัจนลีลา รวมท้ังภาษายํอยและภาษาตํางๆตลอดจนการวิเคราะห๑ศิลปะในการพูดและวัจนกรรมในแตํละสังคม (Dell Hymes, 1974, อ๎างในอมรา ประสทิ ธ์ิรฐั สทิ ธ๑ุ , 2550) แนวคดิ นก้ี ลาํ วถึงการวเิ คราะห๑ภาษาที่มใิ ชกํ ารมองแตํเพยี งรูปภาษาและวิเคราะห๑ตัดสินลงไปแตํต๎องศึกษาปัจจัยแวดล๎อม เชํน ชุมชน ปริบทในสังคม ซึ่งต๎องสังเกตวําการส่อื สารที่ศึกษานัน้ เกิดในปริบทอยํางไรจึงจะทําให๎เห็นข๎อมูลตํางๆ ของส่ือสารวํามีวัตถุประสงค๑อยํางไรในการส่ือสารตลอดจนใช๎ได๎อยํางมีประสิทธิภาพและเกิดผลสําเร็จในการส่ือสารหรือไมํการศึกษาองคป๑ ระกอบของการสอื่ สารจงึ มีบทบาทสําคัญท่ีชํวยให๎เกิดความเข๎าใจตัวสาร พฤติกรรมของการสอื่ สารไดเ๎ ปน็ อยํางดี

17 เดลล๑ ไฮมส๑ (Dell Hymes, 1974, อา๎ งใน อมรา ประสิทธร์ิ ฐั สิทธ๑ุ , 2550) ได๎เสนอกรอบที่ใช๎วิเคราะห๑ปริบทแวดล๎อมภาษาตามแนวชาติพันธ๑ุวรรณนาแหํงการสื่อสารโดยสรุปเป็นคําวําSPEAKING กลาํ วคือ S ยํอมาจาก Setting หรือ Scene (กาลเทศะ หรือ ฉาก) หมายถึง สถานที่และเวลาที่เกิดเหตุการณ๑การสื่อสารซ่ึงถือเป็นปัจจัยแวดล๎อมทางกายภาพวําเห ตุการณ๑การส่ือสารน้ันเกิดขึ้นทไ่ี หน เมอ่ื ไร P ยํอมาจาก Participants (ผู๎รํวมเหตุการณ๑) หมายถึง ผ๎ูท่ีมีสํวนเกี่ยวข๎องในการสื่อสารซึ่งได๎แกํผู๎พูด-ผ๎ูฟัง ผ๎ูสํงสาร-ผ๎ูรับสาร ในการส่ือสาร บางคร้ังอาจนับรวมผู๎อื่นที่อยํูในสถานท่ีที่เกิดเหตุการณ๑การสอื่ สารดว๎ ย ในกรณีท่ีบุคคลน้ันมีอิทธิพลตํอสถานการณ๑ การส่ือสารที่กําลังดําเนินอยํูไมวํ ําจะโดยทางตรงหรอื ทางอ๎อม E ยํอมาจาก Ends (จุดมุงํ หมาย) หมายถงึ วัตถปุ ระสงคท๑ ผ่ี ู๎รวํ มเหตกุ ารณ๑ตั้งไว๎ใน การสื่อสารแตลํ ะคร้งั กลาํ วได๎วาํ เป็นเปา้ ประสงคข๑ องผูร๎ วํ มเหตกุ ารณ๑ การสือ่ สารในคร้ังน้ันๆ วําต๎องการให๎เกิดสง่ิ ใดขึน้ A ยํอมาจาก Act sequence (การลําดับวัจนกรรม) หมายถึง การลําดับวัจนกรรมในการสอ่ื สารวาํ ใชว๎ ัจนกรรมใดในการขึ้นตน๎ ดาํ เนนิ การสื่อสาร ปิดท๎ายการส่อื สารนนั้ ๆ K ยอํ มาจาก Key (นํ้าเสยี ง) หมายถึง นํ้าเสียงหรือทวํ งทาํ นองในการสื่อสารอันเป็นกุญแจไขไปสูคํ วามเขา๎ ใจความหมายทีช่ ดั เจนยงิ่ ขึ้นของสารท่ผี ูส๎ งํ สารตอ๎ งการส่ือ น้ําเสียงหรือทํวงทํานองอาจเป็นไปในลักษณะจริงจงั หรือเปน็ แบบเป็นกันเอง ถอ๎ ยทีถอ๎ ยอาศยั มีการหยอกล๎อกันอยํางสนิทสนมหรือเปน็ การเสยี ดสีเหน็บแนม เป็นต๎น I ยอํ มาจาก Instrumentalities (เคร่ืองมือ) หมายถึง เครื่องมือในการสื่อสาร เชํน การพูดปากเปลํา การใชเ๎ ครือ่ งมือแบบตํางๆ เชํน โทรศัพท๑ โทรเลข จดหมาย อิเล็กทรอนิกส๑เมล๑ (e-mail)เป็นต๎น นอกจากน้ียังรวมไปถึงลักษณะภาษาที่ใช๎ การเลือกใช๎ถ๎อยคํา การใช๎ความเปรียบ การใช๎ภาษาถิ่น รวมถึงการสลับภาษาหรือการใช๎อวัจนภาษาเพ่ือสื่อความหมายในลักษณะตํางๆ เชํนอากัปกริ ยิ าทําทาง การหัวเราะ การขยิบตา การแสดงสีหน๎า การใช๎ระดับเสียงท่ีแตกตํางกัน เหลํานี้เป็นตน๎ N ยํอมาจาก Norm of interaction & Interpretation (บรรทัดฐานของปฏิสัมพันธ๑และการตีความ) หมายถึง ข๎อตกลงอันเป็นที่ทราบและยอมรับกันเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของผู๎รํวมเหตุการณ๑ระหวํางการสื่อสารและข๎อตกลงเก่ียวกับการตีความหมายของสารท่ีสื่อในเหตุการณ๑แบบตําง ๆ ซงึ่ แตํละวัฒนธรรมหรอื เหตกุ ารณ๑ของการส่ือสารอาจแตกตํางกัน กฎเหลํานี้ต๎องตีความด๎วยความรูใ๎ นวฒั นธรรมของคนในสังคมน้ัน ๆ เชนํ ความดงั /คอํ ยของการพูด ความเงยี บ การใชภ๎ าษาทาํ ทาง การมองตาผฟู๎ ัง การใชม๎ อื ประกอบ

18 G ยํอมาจาก Genre (ประเภทการสื่อสาร) หมายถึง ประเภทของปริจเฉท เชํน การสวดการหาเสียง การพูดบรรยาย การแสดงความคิดเห็น หรือการสัมภาษณ๑ ซึ่งมักมีช่ือเรียกเฉพาะทีต่ าํ งกนั ไป ผู๎วิจัยได๎ใช๎กรอบทฤษฎีชาติพันธุ๑วรรณนาแหํงการส่ือสารนี้ เป็นแนวทางวิเคราะห๑ปริบทในการวจิ ารณ๑ของผ๎ูวจิ ารณ๑รายการเรยี ลลติ โ้ี ชวภ๑ าษาไทย และไดผ๎ ลสรปุ ดังจะกลาํ วตํอไปในหวั ข๎อ 3.12.2 แนวคดิ เรื่องวัจนกรรม ออสติน (Austin, 1962)อ๎างถึงใน ณัฐพร พานโพธ์ิทอง, 2555 : 22) ชี้ให๎เห็นวํา การกลําวถอ๎ ยคาํ ของเราไมํใชเํ พียงเพื่อบอกเลําส่งิ ที่เปน็ จรงิ หรอื เปน็ เทจ็ เทํานัน้ แตํเรายังใช๎ถ๎อยคําเพ่ือกระทําสง่ิ ตาํ งๆ มากมาย ซึง่ เมอ่ื กลําวแตํละครงั้ จะมีการกระทําเกดิ ขึ้น 3 อยาํ งดว๎ ยกนั ไดแ๎ กํ 1) การส่อื เนื้อความหรอื ความหมายตามรูปภาษา (locutionary act) กลําวคือ ในการกลําวถ๎อยคํา สิ่งหนึ่งท่ีเราส่ือไปสํูผ๎ูฟังก็คือความหมายตามรูปภาษาและการอ๎างถึง (sense andreference) 2) การส่ือเจตนาหรือวัจนกรรม (illocutionary act) นอกจากส่ือความตามรูปภาษาแล๎วผ๎ูพูดยังส่อื เจตนาของตนไปสูผํ ู๎ฟงั ดว๎ ย เชนํ ขออนญุ าต อนุญาต ขอร๎อง บํน ชม ตําหนิ ปลอบใจ ฯลฯการสื่อเจตนาน้ีถือเปน็ หวั ใจของทฤษฏวี จั นกรรม 3) การสอ่ื ผลของถ๎อยคําหรอื วัจนผล (perlocutionary act/effect) ตามแนวคิดของออสตินการกลาํ วถ๎อยคาํ แตํละครงั้ จะมีผลบางอยํางเกดิ แกํผ๎ฟู ังดว๎ ย ตัวอยํางเชนํ เมอ่ื ผูพ๎ ูดกลาํ ววํา เดอื นขอให๎พีเ่ จเขา๎ ใจเดอื นบ๎าง สิง่ ทเี่ กดิ ข้ึนคือ - ผพู๎ ูดคอื เดอื นส่อื ความหมายตามรูปภาษาหรือเนอ้ื ความไปสํูผฟู๎ งั ความหมายนีม้ าจากกริยาขอ และช่ือเฉพาะ เดอื น และ พี่เจ ทอี่ ๎างถงึ ผ๎ูพูดและผู๎ฟัง - ผพ๎ู ูดสอ่ื เจตนาขอร๎องให๎ผฟ๎ู ังทาํ ตามที่บอกในเนอื้ ความ คอื ขอร๎องให๎เขา๎ ใจผ๎ูพูด - ถ๎อยคําทกี่ ลาํ วกอํ ให๎เกิดผลบางอยํางแกํผู๎ฟัง เชํน ผ๎ฟู ังอาจทําตามท่ีผู๎พูดขอ ผู๎ฟังอาจโกรธเพราะร๎สู กึ วําถกู บังคับ ผ๎ูฟังอาจร๎ูสึกลาํ บากใจ ฯลฯ นอกจากประเด็นข๎างต๎นแลว๎ ยงั มแี นวคิดเรื่องวจั นกรรมอ๎อม มรี ายละเอียดดงั ตอํ ไปนี้ เร่ืองวัจนกรรมอ๎อม เซิรล๑ (Searle, 1975 อ๎างถงึ ใน ณฐั พร พานโพธ์ิทอง, 2555 : 30) กลาํ ววําผู๎พดู อาจกลําวถอ๎ ยคาํ ทสี่ ่อื ความหมายตามรูปภาษาไปพร๎อมกบั สอื่ เจตนาหนึ่งท่มี ีเนอ้ื ความตาํ งออกไปดว๎ ย บางครง้ั ผ๎ฟู ังตอ๎ งอาศยั ปรบิ ทและขอ๎ มูลท่ีผพ๎ู ดู และผ๎ูฟังมีรํวมกันเพื่อ “ตีความ”หรือ “อนุมาน”เจตนาหลักของผพู๎ ดู ท้งั นีโ้ ดยยึดแนวคดิ ทว่ี ําคสูํ นทนามีความรวํ มมือรํวมกนั (หมายถงึ หลักการความ

19รํวมมือในการสนทนา ซ่ึงจะกลําวถึงในหัวข๎อตํอไป) เซิร๑ล (Searle, 1975) ได๎ยกตัวอยํางพร๎อมทั้งอธบิ ายข้ันตอนการตีความของผ๎ฟู งั ไว๎Student X: Let’s go to the movie tonight. (คนื นไี้ ปดูหนงั กนั )Student Y: I have to study for an exam. (ฉนั ต๎องอาํ นหนงั สอื สอบ) ในตัวอยํางข๎างต๎น Y เลือกปฏิเสธคําชวนของ X โดยวิธีอ๎อม เซิร๑ลชี้ให๎เห็นวําถ๎อยคําที่ Yใช๎ไมํมีสิ่งใดบอกวําเป็นการปฏิเสธ I have to study for an exam. อยูํในรูปประโยคบอกเลําแตํเหตใุ ด X จงึ ทราบวํา Y กําลงั ปฏเิ สธคําชวนเซิรล๑ อธบิ ายข้ันตอนท่ี X ตคี วามถอ๎ ยคาํ ของ Y ไดด๎ งั นี้ข้นั ท่ี 1 เราไดก๎ ลําวชวน Y และ Y ได๎ตอบวาํ เขาต๎องดหู นังสอื เตรยี มสอบขั้นที่ 2 เรามีสมมตฐิ านวํา Y ให๎ความรํวมมอื ในการสนทนา (ทฤษฎคี วามรํวมมือในการสนทนา ของGrice) ดังนน้ั คําตอบของ Y จงึ สมั พันธก๑ ับคําชวนข้ันท่ี 3 คําตอบที่สัมพันธ๑กับคําชวนอาจเป็นการตอบรับ การปฏิเสธ การเสนออยํางอื่นแทนการตกลงรายละเอยี ด (ทฤษฎีวจั นกรรม)ขนั้ ที่ 4 แตํความหมายตามรปู ของถอ๎ ยคําที่ Y กลาํ วไมใํ ชคํ าํ ตอบทส่ี ัมพนั ธก๑ บั คาํ ชวนขน้ั ท่ี 5 ดังนน้ั Y จะต๎องตอบความหมายมากกวําความหมายตามรูปของถอ๎ ยคํา จากสมมติฐานที่วําY ให๎คําตอบที่สัมพันธ๑กับคําชวน เจตนาที่ให๎คําตอบท่ีสัมพันธ๑กับคําชวน เจตนาของ Y ต๎องการส่ือตอ๎ งตํางไปจากเจตนาทดี่ จู ากความหมายตามรูปขั้นที่ 6 เราร๎ูวําการอํานหนังสือเตรียมสอบต๎องใช๎เวลามากและต๎องกินเวลาตลอดคํ่าและเราร๎ูวําการไปดหู นังก็ตอ๎ งใช๎เวลามากและต๎องกินเวลาตลอดค่ํา (ความรู๎พนื้ ฐาน)ขน้ั ที่ 7 ดังน้นั Y คงไมํสามารถทาํ สองอยํางได๎พร๎อมๆ กนั (อนมุ านจากขอ๎ 6)ขน้ั ที่ 8 เง่อื นไขเบอ้ื งต๎นของวัจนกรรมการตอบรับคําชวนคือความสามารถที่จะทําตามคําชวนน้ันๆได๎ (ทฤษฎีวัจนกรรม)ขน้ั ที่ 9 ดงั น้ันเรารูว๎ ํา ส่ิงท่ี Y กลาํ วมีผลคอื เขาไมํสามารถรับคาํ ชวนได๎ (อนมุ านจากขอ๎ 1, 7 และ 8)ขน้ั ท่ี 10 ดังนน้ั เจตนาหลัก (primary illocutionary point) ของ Y กค็ ือ การปฏิเสธคาํ ชวน(ส่ิงทเ่ี ปน็ เจตนารอง (secondary illocutionary act) กค็ อื การบอกเลําวําต๎องดหู นงั สอื เตรียมสอบ) ผ๎ูวิจัยศึกษาแนวคิดด๎านวัจนกรรมเพ่ือใช๎ในการจําแนกกลวิธีการแสดง ความไมํสุภาพของการวจิ ารณ๑ในรายการเรยี ลลิตโ้ี ชว๑ภาษาไทย

202.3 แนวคิดเกีย่ วกับความสุภาพ นอกจากแนวคิดเรื่องวัจนกรรมแล๎ว แนวคิดเรื่อง “ความสุภาพ” ของบราวน๑และเลวินสัน(Brown and Levinson, 1978, 1987) ยังใช๎เป็นแนวคิดหน่ึงท่ีผู๎วิจัยเห็นวํามีความสําคัญและเกี่ยวข๎องในการศึกษาการแสดงความไมํสุภาพในรายการเรียลลิต้ีโชว๑ เนื่องจา กแนวคิดเร่ืองความไมํสุภาพท่ีผ๎ูวิจัยใช๎เป็นแนวทางในการวิเคราะห๑น้ัน เก่ียวโยงกับแนวคิดสําคัญคือเร่ืองหน๎า(Face) ซ่ึงเปน็ แนวคิดทีส่ าํ คัญของเรื่องความสภุ าพ บราวน๑และเลวินสัน (Brown and Levinson, 1978, 1987 อา๎ งถึงใน ณัฐพร พานโพธ์ิทอง,2555 : 88) ได๎ช้ใี หเ๎ ห็นวาํ ความสภุ าพไมํใชเํ พียงแคกํ ารทําตามมารยาททางสังคม แตํเป็นพื้นฐานของชีวิต ความสุภาพเป็นวิถีหรือกลวิธีทางภาษาที่ชํวยลดความตึงเครียดหรือความขัดแย๎งที่เกิดขึ้นในขณะทีเ่ ราสื่อเจตนาตาํ งๆ คนในสังคมหรือผ๎ูรํวมสนทนาทุกคนมีหน๎าด๎านบวก (positive face) และหนา๎ ด๎านลบ (negative face) ผ๎ูรํวมสนทนาตํางรักษาหน๎าของคํูสนทนา โดยหวังให๎คํูสนทนารักษาหน๎าของตนเชํนกัน แตํอยํางไรก็ตามอาจมีบางการกระทําที่ทําให๎คํูสนทนาเสียหน๎า เรียกวําเป็น“การกระทําทคี่ กุ คามหน๎า” (Face-Threatening Act ; FTAs) ยง่ิ การกระทําน้ันเส่ียงตํอการคุกคามหน๎าของผฟู๎ งั มากเทําใด ผพู๎ ดู ก็ย่งิ เลอื กกลวธิ ที ีช่ ํวยลดความเสีย่ งมากขน้ึ เทํานั้น ดงั แผนภูมขิ องบราวน๑และเลวินสัน (Brown and Levinson, 1987) ตํอไปนี้นอ๎ ย ตรงไปตรงมา 1. ไมํตกแตงํความเสยี่ งตํอการเสียหน๎า กระทาํ วัจนกรรมทค่ี กุ ตามหนา๎ มีการตกแตงํ 2. ความสุภาพดา๎ นบวก 3. ความสุภาพด๎านลบ 4. ออ๎ มคอ๎ ม 5. ไมํกระทาํ วจั นกรรมทคี่ ุกคามหนา๎มาก (Brown and Levinson, 1987 อา๎ งถงึ ใน ณฐั พร พานโพธทิ์ อง, 2555: 89) แผนภาพที่ 1 แสดงทางเลอื กของกลวธิ ตี ่างๆ ทีใ่ ชเ้ มื่อจะทาวจั นกรรมที่เสี่ยงต่อการทาให้คู่สนทนาเสยี หน้า จากแผนภาพที่ 1 แสดงทางเลือกของกลวธิ ตี ํางๆ ทใี่ ช๎เมอื่ จะทําวจั นกรรมท่ีเสย่ี งตอํ การทําให๎คูสํ นทนาเสยี หนา๎ และอาจอธบิ ายได๎วํา เม่อื ผู๎พดู อยํใู นสถานการณ๑ทเ่ี สีย่ งตํอการคุกคามหน๎าของผู๎ฟัง(Strategies for doing FTAs) ผ๎ูพูดอาจเลือก วิธีตรงไปตรงมา (Bold on record) เพ่ือทําให๎ผู๎ฟังทราบเจตนาของผู๎พูดได๎อยํางชัดเจน หรืออาจเลือก วิธีรักษาหน๎าด๎านบวก (Positive Politeness)หรือความต๎องการทีจ่ ะเปน็ ที่ยอมรับในสังคมของผ๎ูฟัง เชํน การแสดงความเป็นกลํุมหรือพวกเดียวกัน

21การแสดงความเป็นหํวง การแสดงความยกยํองผู๎ฟัง เป็นต๎น หรืออาจเลือกใช๎วิธีรักษาหน๎าด๎านลบ(Negative Politeness) หรือความต๎องการที่จะมีอิสระ ไมํขึ้นอยูํกับใครของผู๎ฟัง เชํน การกลําวกลบเกลื่อนเพ่อื ลดนํา้ หนกั การลํวงละเมดิ สิทธิสวํ นตวั ของผู๎ฟัง การขอโทษเม่ือต๎องก๎าวกํายเร่ืองของผู๎ฟงั เป็นต๎น หรืออาจจะเลอื กใชว๎ ธิ อี ๎อม (off record) ซงึ่ ไดแ๎ กํ การทผี่ ู๎พูดเลอื กท่จี ะไมํสื่อความตั้งใจของตนอยํางตรงไปตรงมา แตํเลือกกลําวถ๎อยคําที่ตีความได๎หลายแบบ โดยผู๎พูดจะใช๎กลวิธีอ๎อมน้ีก็ตอํ เม่อื เห็นวําสถานการณ๑การสื่อสารน้ันเปน็ สถานการณท๑ ่ีเสี่ยงตํอการคุกคามหน๎าของผ๎ูฟังมากที่สุดเชํน การใช๎อปุ ลักษณ๑ การใช๎รูปประโยคคาํ ถามท่ไี มตํ ๎องการคําตอบ เปน็ ต๎น ทัง้ น้ี บราวนแ๑ ละเวลนิ สัน กลําววาํ การท่ีผพู๎ ูดจะเลือกใชก๎ ลวิธีใดในการกระทําวัจนกรรมน้ันผ๎ูพูดจะต๎องพจิ ารณาถงึ ปจั จยั แวดล๎อม 3 ประการ ได๎แกํ สถานภาพของผพ๎ู ดู และผูฟ๎ ัง ความสนิทสนมระหวํางคูํสนทนา และระดบั ของสถานการณ๑ เชํน ความยากงาํ ยของเร่อื ง น้าํ หนัก ความผิด เป็นต๎น แนวคดิ เรอื่ งความสภุ าพนสี้ ามารถนาํ มาใชอ๎ ธิบายเกีย่ วกบั แนวคิดเรื่องความไมสํ ุภาพที่อ๎างถึงในเรื่องหนา๎ และการใช๎วัจนกรรมทแ่ี สดงการคกุ คามหนา๎ ผูฟ๎ ังเพราะการวิจารณ๑ในรายการเรียลลิตี้โชว๑เป็นวัจนกรรมทค่ี กุ คามหน๎า (Face-Threatening Act ; FTAs) ของผฟู๎ ัง เพราะเป็นการกลาํ วถึงความผิดพลาดหรือขอ๎ บกพรํองของผู๎ฟัง ซึ่งทําให๎ผ๎ูฟังไมํเป็นท่ียอมรับของสังคม ดังน้ันการเช่ือในแนวคิดเรอื่ งหนา๎ จากทฤษฎคี วามสภุ าพนจี้ งึ สัมพันธ๑กบั การวเิ คราะหเ๑ ช่อื มโยงแนวคดิ เร่ืองความไมํสภุ าพด๎วย2.4 แนวคดิ เก่ียวกับความไม่สุภาพ แนวคิดเรอ่ื งความไมสํ ภุ าพท่ผี ๎วู จิ ัยจะใชใ๎ นการศึกษาครั้งน้ีเป็นแนวคิดท่ีเสนอโดย โจนาทานคัลเปปเปอร๑ (Culpeper, 1996) ได๎เขียนบทความเร่ือง “Toward an anatomy ofimpoliteness” งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค๑เพื่อศึกษาทฤษฎี ความไมํสุภาพที่เกิดโดยธรรมชาติและความไมสํ ุภาพที่เกิดจากการยั่วล๎อและปัจจัยปริบทที่เก่ียวข๎องกับความไมํสุภาพ โดยผู๎วิจัยได๎เสนอแนวคิดเร่ืองความไมสํ ุภาพทีเ่ ปน็ แนวคิดที่ขนานไปกับความสุภาพของ บราวน๑และเลวินสัน (Brownand Levinson, 1978, 1987) และได๎วจิ ยั โดยนําทฤษฎีนม้ี าวิเคราะหบ๑ ทสนทนาของครฝู กึ สอนทหารและบทสนทนาในการแสดงละครวํามกี ารใช๎ความไมํสภุ าพในปริบทใดและเกิดผลอยํางไรบ๎าง จากทฤษฎีของ บราวน๑และเลวินสัน (Brown and Levinson, 1987) เรื่องความสุภาพเป็นการให๎ความสําคัญ หรือ คํานึงถึงการรักษาหน๎า หรือ “เลี่ยงการคุกคามหน๎า” ของผ๎ูฟังซ่ึงคัลเปปเปอร๑ (Culpeper, 1996) ได๎แสดงทัศนะวํา ในความจริงแล๎วเป็นเรื่องยากท่ีผ๎ูใช๎ภาษาจะเลอื กใช๎ภาษาสุภาพตลอดเวลา สอดคล๎องกับ ลีช (Leech, 1983) ที่กลําววําในบางคร้ังการสนทนาน้ัน ผู๎พูดก็อาจกลําววัจนกรรมที่ไมํสุภาพคูํกับความสุภาพด๎วย และจากงานของ ฟาสเซอร๑และโนลาน (Fraser and

22Nolan, 1981) ท่ีวํา ประโยคท่ีเกิดขึ้นจริงน้ันมีทั้งสุภาพและไมํสุภาพ ซึ่งในการพูดจะต๎องมีสํานวนบางสํานวนท่ีไมํสุภาพ แตํอาจไมํแสดงออกด๎วยคําที่ไมํสุภาพโดยตรง ต๎องพิจารณาเง่ือนไขตํางๆมาตัดสินรํวมด๎วย ความไมํสภุ าพนี้อาจจะเกดิ จากการขาดความระมดั ระวังในการพดู เชนํ ในสถานการณ๑ทผ่ี ๎พู ูดรบี พูดทาํ ให๎ถอ๎ ยคาํ หรือภาษาท่กี ลาํ วออกไปขาดการประดษิ ฐ๑ให๎สละสลวย เม่ือมองรูปภาษาแล๎วอาจทาํ ให๎เกิดความไมํสุภาพได๎ ตาํ งจากความไมํสุภาพที่ใช๎เป็นกลวิธี เชํน ในกรณีทนายความในปริจเฉทการถามซักและการถามติงของคํูสนทนาที่เป็นฝ่ายตรงข๎ามกันเพื่อผลในการตัดสินคดีเพราะไมํได๎เกิดจากการขาดความระวังแตเํ ป็นการจงใจใช๎ความไมํสภุ าพ ในการสนทนาทแ่ี สดงความไมํสภุ าพแม๎จะใช๎ถ๎อยคําภาษาที่สุภาพแล๎วก็ตาม แตํก็ถือวําเป็นความไมํสุภาพไดเ๎ ชํนกัน ตวั อยําง เม่อื ผู๎พดู กลําววํา “Do you think you could possibly not pickyour nose?” ซึ่งผู๎พูดแม๎จะใช๎ถ๎อยคําท่ีสุภาพมากในการพูดแตํถ๎อยคําท่ีพูดออกไปก็แสดงความไมํสภุ าพเพราะไปคกุ คามหน๎าผูฟ๎ งั กอฟแมน (Goffman, 1971 : 138) เรียกวาํ virtual offense อกี ตัวอยํางหนง่ึ ท่คี ัลเปปเปอรย๑ กมาจากสถานการณ๑ทเ่ี ขาตอ๎ งการกลาํ วใหค๎ นขับรถท่ีลมื ปิดท่ีปัดนํ้าฝนซึ่งขณะน้ันฝนไมํได๎ตก แม๎วําเขาจะใช๎ภาษาสุภาพหรือกลําวอ๎อมแล๎วก็ตาม แตํการกลําวลักษณะน้ีเปน็ การใช๎ความไมํสุภาพกับผ๎ูฟังเพราะอาจทําให๎ผ๎ูฟังเสียหน๎าได๎ การกลําวโดยใช๎ถ๎อยคําสภุ าพเหลําน้ีจงึ ไมํสามารถเรยี กวาํ “ความสภุ าพ” ได๎ คัลเปปเปอร๑ (อ๎างถึงใน Leech, 1983) ที่กลําววํา การยั่วล๎อนี้เป็นการโต๎ตอบการสนทนาของผูท๎ ี่มีความสนิทสนมกัน ผทู๎ ีส่ นทิ สนมกนั นนั้ ใช๎ความไมํสภุ าพสนทนากนั เพอื่ ใหเ๎ กิดความใกลช๎ ดิ กันมากข้ึน ซ่ึงตํางจากมุมมองของ บราวน๑และเลวินสันท่ีวํา ความไมํสุภาพเป็นตัวที่ทําให๎เกิดความขัดแย๎ง สอดคล๎องกับคัลเปปเปอร๑ ท่ีวําการยั่วล๎อนี้ จะไมํเกิดความขัดแย๎งแตํจะเกิดขึ้นได๎กับเฉพาะคนท่ไี มํสนทิ เชนํ การพูดตอํ รองราคาทอี่ าจทําให๎ผฟู๎ ังไมพํ อใจได๎ แนวคิดเรื่องความไมํสุภาพเป็นการแสดงการคุกคามหน๎าผ๎ูฟัง เชํน วัจนกรรมการส่ัง“Stop complaining” เข๎ามาสิ! น่ังลง! ซึ่งเป็นวัจนกรรมท่ีใช๎เม่ือผ๎ูมีสถานภาพสูงกลําวกับผู๎มีสถานภาพตาํ่ กวํา เชํน พํอแมํสอนลูก เป็นการคุกคามท่ีผู๎พูดไมํได๎มีเจตนาร๎าย เป็นการคุกคามหน๎าเชนํ กัน แตํความรนุ แรงนอ๎ ยกวํากลําวโดยสรุปแล๎ว คัลเปปเปอร๑ได๎จําแนกกลวิธีแสดงความไมํสุภาพเป็น 5 ข๎อ ไดแ๎ กํ 1) การแสดงความไมํสุภาพอยํางตรงไปตรงมา (bald on record impoliteness) 1 หรือการพูดตรงๆ โดยปราศจากการตกแตํง กลําวคือ พูดแสดงเจตนาอยํางตรงไปตรงมาที่สุดในกรณีฉกุ เฉนิ หรอื นํ้าหนักความผิดน๎อยเชนํ เดียวกบั ท่บี ราวนแ๑ ละเลวนิ สันกลําวไว๎ คัลเปปเปอร๑เสริมไว๎วาํ การพดู ตรงๆ เชนํ น้ี ผพ๎ู ูดมกั ไมไํ ดจ๎ งใจหกั หน๎าผฟู๎ ัง1 ผ๎วู จิ ัยเรยี กและกําหนดชื่อกลวธิ ีความไมสํ ภุ าพข๎างต๎นตาม ณฐั พร พานโพธ์ิทอง (2555)

23 2) การคุกคามหน๎าด๎านบวกของผู๎พูด (positive impoliteness) เชํน ไมํทักทาย ไมํแสดงความสนใจ ไมํเหน็ ใจ ใชค๎ ําเรยี กท่ีไมํเหมาะสม แสดงความไมํเหน็ ดว๎ ย เป็นตน๎ 3) การคุกคามหน๎าด๎านลบของผู๎ฟัง (negative impoliteness) เชํน ทําให๎ผู๎ฟังตกใจ ดูถูกเยาะเยย๎ หรอื ย้ําสิง่ ทผี่ ฟู๎ งั เป็นหนผ้ี ู๎พูด เป็นตน๎ 4) การยวั่ ล๎อ (sarcasm or mock politeness) หรือการใช๎ถ๎อยคําที่ “ดูเหมือน” ไมํสุภาพเพอ่ื แสดงความสนทิ สนมหรือเปน็ กลุมํ เดยี วกัน 5) การไมแํ สดงความสุภาพ (withhold politeness) ในปริบทที่ตอ๎ งการความสภุ าพ หากเราไมํแสดงความสุภาพก็เทํากับเป็นความไมํสุภาพลักษณะหนึ่ง เชํน ไมํกลําวขอบคุณเมื่ออีกฝ่ายให๎ความชํวยเหลือ นอกจากการใชภ๎ าษาแล๎วการแสดงความไมํสุภาพนี้ยังรวมถึงการใช๎สายตา สีหน๎าของผ๎ูพูดทีแ่ สดงความไมสํ ุภาพดว๎ ย งานวิจยั เรื่องความไมํสุภาพ คัลเปปเปอรไ๑ ด๎นาํ แนวคดิ นี้มาวิจยั จากการเก็บข๎อมลู การใช๎ภาษาของครฝู ึกทหารและเหน็ ความไมํสุภาพของครูฝกึ ทตี่ ๎องใช๎ความไมํสุภาพนเ้ี พ่อื วตั ถปุ ระสงค๑ 2 ประการคือ ประการแรกเพื่อปรับสภาพจิตใจให๎ทหารร๎ูจักความอดทนท้ังรํางกายและจิตใจและปฏิบัติตามคําส่ังจากผู๎บังคับบัญชาอยํางเครํงครัด ประการที่สอง เพ่ือทําลายอัตตา (ego) ของทหารใหมํที่มีความหยิ่งในตวั เอง จากภาพยนตร๑สารคดีเรอ่ื ง Sodier Girl ทาํ ให๎ผ๎ูเขยี นเหน็ การใช๎ภาษาของครูฝึกที่แสดงความไมสํ ภุ าพคกุ คามหน๎า คลั เปปเปอร๑ ได๎ยกตัวอยาํ งการใช๎ภาษาของทหารจากตัวละครหญิงชอื่ วํา เอวเวส (Alves) ซึง่ เปน็ ทหารหญงิ ในกองทพั จากบทสนทนาท่เี กบ็ ได๎พบวํา เอลเวส (Alves) จะถกู นายทหารชายพูดจาดูถูกอยูํเสมอ เชํน“little mouth” “little act” “little ass” “little body” และเธอจะถูกตัดบทไมํให๎พูดอยํูเสมอทําเหมอื น เอวเวส (Alves) ไมมํ ีตัวตนดว๎ ยการไมํสนใจ ท้งั หมดนเ้ี ปน็ การกระทําท่ีไมสํ ภุ าพ การเก็บขอ๎ มูลบทสนทนาในละคร คลั เปปเปอร๑พบความไมํสุภาพที่นํามาใช๎ในห๎องพิจารณาคดขี องทนายทใ่ี ชค๎ วามไมํสุภาพทาํ ใหจ๎ ําเลยเสียการควบคมุ และกลําวความจริงออกมา ความไมํสุภาพนี้พบในตัวอยํางจากภาพยนตร๑เร่ือง Macbeth ที่ คัลเปปเปอร๑พบวําความไมํสุภาพเป็นการใช๎เพื่ออธิบายบคุ ลกิ ลักษณะของตวั ละคร ผลของการวิจัยพบวํา เลด้ี แม็กเบท(Lady Macbeth) กลําวกับ แมก็ เบท (Macbeth) พระราชาผเู๎ ปน็ สามวี าํ “เธอเป็นผ๎ูชายหรือเปลํา”คําพูดนี้เป็นการใช๎ความไมํสุภาพและทําให๎ผู๎ฟังขายหน๎าแตํเป็นการพูดเพื่อเตือนสติให๎ผ๎ูฟังกลับมาเปน็ ปกตอิ ีกครัง้ และมพี ฤตกิ รรมท่ีเปลย่ี นไป ผว๎ู จิ ัยจึงสนใจในทฤษฎนี ี้และนาํ มาเป็นแนวทางหลกั ในการทําวจิ ยั และพิจารณาความสมั พนั ธ๑ของสถานการณท๑ ี่เกย่ี วขอ๎ งกบั การใชค๎ วามไมสํ ุภาพทเ่ี กิดข้ึนจริงในการใช๎ภาษาน้ันแตํละสถานการณ๑เกดิ ไดจ๎ ากปัจจัยใดท่ผี ู๎พดู จะใชค๎ วามไมํสภุ าพ จากงานของคลั เปปเปอร๑จึงเปน็ แนวทางสาํ คญั และเป็น

24แนวคิดใหมํเทําที่ผ๎ูวิจัยได๎ศึกษาค๎นคว๎ามาในภาษาไทยยังไมํมีผ๎ูวิจัยคนใดศึกษามากํอน แนวคิดความไมํสุภาพนี้จึงสามารถนาํ มาวเิ คราะหว๑ ัจนกรรมการใช๎ภาษาของผ๎ูวิจารณ๑ไดอ๎ ยาํ งนาํ สนใจ2.5 แนวคดิ เรื่องความหมายเป็นนัย ไกรซ๑ (Grice, 1975 อ๎างถึงใน ณฐั พร พานโพธ์ิทอง, 2556 : 89-98) ได๎เขียนบทความท่ีมีช่ือวํา “Logic and Conversation” ไดก๎ ลาํ วถึง ความหมายในการส่ือสารในชีวิตประจําวัน ผู๎พูดไมํได๎หมายความตามรูปภาษาทส่ี ื่อสารเพียงอยํางเดียว แตํความหมายของภาษาข้ึนอยูํกับตัวผ๎ูใช๎ภาษาวําจะเลือกใช๎อยํางไรก็ได๎ ด๎วยเหตุนี้ ถ๎อยคําๆ เดียวกันอาจใช๎ได๎หลายความหมายข้ึนอยูํกับผ๎ูพูดและปจั จัยแวดล๎อมตํางๆ เปน็ ตัวกําหนด ตัวอยาํ งจากสถานการณ๑ เอกับบีกําลังพูดกับคนร๎ูจักคือ ซี ซ่ึงไปทํางานธนาคาร เอถามบีวํา“ซไี ปทาํ งานเปน็ ยงั ไงบ๎าง” บตี อบวาํ “เขากด็ ี ยังอยูดํ ี เขายงั ไมํติดคุก” จากประโยคเดียวกันนีส้ ามารถแปลความไดว๎ ําในอดีตเขาก็เคยทํางานแล๎วติดคุกมากํอนแล๎วก็เปล่ียนงานใหมํ ตอนนี้ยังไมํติดคุก ผู๎ฟังก็จะร๎ูวําสิ่งท่ีบีตอบไมํได๎หมายความตามรูป แตํอาจหมายความไดว๎ าํ “เขามีแนวโนม๎ ทจี่ ะทาํ ความผิด” เพราะอาชพี เขาเปิดโอกาสให๎ทําแบบนน้ั หรอื บอกวาํ เพื่อนรํวมงานเป็นคนไมํดคี อยหาเรื่อง ทาํ ใหเ๎ ขาตอ๎ งเป็นคนไมดํ ไี ปด๎วย หรอื เขาเคยทํางานเกอื บจะติดคุกมากํอน ซึ่งอาจเป็นคนไมดํ ีอยแํู ลว๎ จึงมโี อกาสตดิ คกุ จากตวั อยาํ งขา๎ งตน๎ เห็นวําในการสนทนาน้ันดูเหมือนวําคสํู นทนาจะไมไํ ดเ๎ ป็นความหมายตามรูปแตํผพ๎ู ูดต๎องการแนะความหมายบางอยาํ งกบั ผฟู๎ ัง ไกรซ๑ (Grice, 1975) ได๎ตั้งข๎อสังเกตวําการสนทนาที่เกิดขึ้นจริงนั้นมีอะไรที่เกี่ยวข๎องกันซ่งึ เรียกการแนะความเชํนนีว้ าํ “Implicature” การแนะความในลักษณะนี้ขึ้นอยํูกับปริบทเป็นอยํางยิ่ง เชํน การสนทนาในศาล หรือในสถานการณ๑เฉพาะ เชํน สองฝ่ายอยากรํวมมือแตํพ้ืนความร๎ูตํางกัน เชํน หมอกับคนไข๎ คนไข๎จะมาด๎วยสมมติฐานบางอยําง เชํน ความวิตกกังวลกับโรคของตนเอง แตํหมอก็ต๎องมีวิธีการถามตามลาํ ดับเพอ่ื ตัดโรคท่ไี มใํ ชํออกไป บทสนทนาของเราจะเปน็ ไปได๎ก็ต๎องมีความรํวมมือระดบั หน่งึ ซึง่ ไกรซ๑เรียกความรํวมมือน้ีวําหลักความรํวมมือในการสนทนา (the cooperative principle” เรียกยํอวํา CP หรือ the maximsof conversation )

25 หลักการความรวํ มมือในการสนทนาของไกรซ๑ประกอบด๎วยหลักหรือขอ๎ ตกลง 4 ข๎อ ไดแ๎ กํ 1) หลักปริมาณ 2 : ให๎ขอ๎ มลู ครบถ๎วนตามวตั ถุประสงค๑ของการสนทนานน้ั ๆ ไมใํ หส๎ าระข๎อมลูที่มากเกินความจําเป็น 2) หลกั คณุ ภาพ : ไมพํ ูดในสิง่ ไมจํ รงิ หรอื ไมมํ ีหลักฐานเพยี งพอ 3) หลักสมั พันธ๑ : พูดแตํส่ิงที่เกี่ยวขอ๎ งกบั หัวขอ๎ การสนทนา 4) หลักคุณลกั ษณ๑ : หลีกเลีย่ งความกํากวม พูดใหก๎ ระชบั และให๎เนื้อความเป็นไปตามลาํ ดับ อยํางไรก็ตาม การสื่อสารในชีวิตประจําวันนั้นก็ไมํได๎เป็นไปตามหลักการนี้เสมอไปเพราะการปฏิสัมพันธ๑ของบุคคลนั้นต๎องคํานึงถึงปัจจัยตํางๆ มากมาย บางคร้ังหลักการสนทนาท่ีต๎องยึดหลักการพดู ใหช๎ ัดเจน เราก็ใช๎คําพูดแบบวาทศิลป์หรือใช๎เพื่อเรียกร๎องความสนใจ หรือ การกํากวมเพ่ือหลีกเล่ยี ง คําหยาบคายซง่ึ มีผลกระทบ เชนํ กลวั การฟอ้ งร๎องหรือผพู๎ ดู อยใํู นสถานการณท๑ ีไ่ มอํ ยากให๎คนอ่นื รู๎นอกจากผ๎ฟู งั ไกรซ๑ (Grice, 1975 อ๎างถงึ ใน ณัฐพร พานโพธ์ิทอง, 2556 : 47) ได๎ชี้ให๎เห็นวํา การที่ผ๎ูรํวมสนทนาไมํทําตามหลักการความรํวมมือในการสนทนามีอยํูหลายลักษณะ อาจละเมิดหลักการดงั ตอํ ไปน้ี 1) การละเมดิ (violating a maxim) ได๎แกํ การท่ีผร๎ู ํวมสนทนาละเมดิ หลกั การขอ๎ ใดข๎อหน่ึงเชนํ การทผี่ ๎ูพดู จงใจโกหกเพื่อทาํ ใหผ๎ ู๎ฟังรสู๎ กึ ดี การทําใหค๎ สูํ นทนาเขา๎ ใจผิด 2) การไมํให๎ความรวํ มมอื (opting out) ไดแ๎ กํ การท่ีผู๎รํวมสนทนาสื่อวําไมํอยากให๎ความรํวมือ เชํน ผู๎พูดปฏิบัติตามหลักคุณภาพเลือกท่ีจะไมํพูดหรือปฏิเสธการให๎ความเห็นหรือตอบคําถามเพอื่ ไมํตอ๎ งโกหก 3) การยอมละเมิดหลักการข๎อหนึ่งเพ่ือไมํให๎ละเมิดอีกข๎อหนึ่ง (being faced by a clash)เชนํ ผู๎พดู เคารพในหลักคณุ ภาพแตลํ ะเมดิ หลกั ปรมิ าณโดยเลอื กทจ่ี ะตอบนอ๎ ยกวาํ ความเป็นจรงิ เพราะอาจไมํแนใํ จและไมมํ ีหลักฐานเพียงพอเพราะไมอํ ยากพดู ผิดหรือใหข๎ ๎อมูลเทจ็ 4) การไมํเคารพหลักการเพื่อส่ือความหมายเป็นนัยบางอยําง (flouting a maxim) ได๎แกํการท่ีผู๎พูด “ใช๎” การไมํเคารพหลักการเพ่ือวัตถุประสงค๑ในการสื่อสารบางอยําง หรือก็คือ การสื่อความหมายเปน็ นัยสนทนา จากการศึกษาหลักในการสนทนาและการละเมิดหลักการสนทนาของไกรซ๑น้ี ทําให๎ผ๎ูวิจัยเหน็ วาํ ผูว๎ ิจารณม๑ ีการหลกี เลย่ี งการละเมิดหรอื จงใจละเมดิ หลกั การบางอยาํ งเพอื่ แนะความหมายเพอ่ืบอกถึงข๎อผิดพลาดของผู๎ฟังซึ่งผู๎วิจัยถือวําเป็นกลวิธีหน่ึงของการแสดงความไมํสุภาพด๎วยซ่ึงจะกลําวถึงในวทิ ยานพิ นธต๑ ํอไป2 ผ๎วู จิ ัยเรยี กและกําหนดช่ือกฎการสนทนาข๎างต๎นตาม ณัฐพร พานโพธิ์ทอง (2556 : 91)

262.6 งานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง จากการศกึ ษางานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ๎ ง ผ๎วู ิจัยพบวํามงี านวจิ ัยที่เกยี่ วกบั การแสดงความคดิ เหน็ อยูํหลายเร่ือง แตยํ ังไมมํ งี านวิจยั เรอื่ งใดศึกษากลวธิ ีความไมสํ ุภาพในการแสดงความคดิ เห็นมากํอน ดังนี้ ดยี ู ศรีนราวัฒน๑ (2544) เรือ่ ง “วจั นกรรมการส่ือสารด๎วยการพูดอ๎อมของคนไทย” งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค๑ คือ 1) ศึกษารูปแบบและหน๎าที่ของการพูดอ๎อมในภาษาไทย และ 2) ศึกษาการเลอื กใช๎กลวิธสี ื่อสารด๎วยการพูดออ๎ มของตวั อยํางประชากรวํามีมากน๎อยเพียงใดเม่ือเปรียบเทียบกับการพูดตรง ตามแนวคิดเกยี่ วกบั การใช๎ภาษาแสดงความสุภาพ (linguistic politeness) และการพูดอ๎อม (indirectness) อ๎างอิงหลักการของ Grice (1975), Leech (1983), Brown and Levinson(1987), Tannen (1986) และThomas (1995) การเลอื กขอ๎ มลู ดา๎ นภาษาสําหรับการวิเคราะห๑รูปแบบ (form) และหน๎าที่ (function) ของภาษาออ๎ มในภาษาไทยจากบทสนทนาในหนงั สอื นวนยิ าย 5 เลํม ซง่ึ เปน็ หนงั สือทไี่ ดร๎ ับรางวลั นวนยิ ายดีเดํนประจําปี ได๎แกํ นวนิยายเรื่อง ตุ๏กตามนุษย๑ ( 2534) ปีกความฝัน (2535) เวลา (2537)ประชาธปิ ไตยบนเส๎นขนาน (2538) และนิรมิต (2539) ในสวํ นของการสาํ รวจการเลอื กใชก๎ ลวิธีส่ือสารวาํ คนไทยนิยมใช๎ภาษาตรงหรือภาษาอ๎อมน้ันคัดเลอื กตัวอยํางประชากรที่มคี วามหลากหลายตามปจั จยั ด๎านอาชพี เพศ การศกึ ษา และอายุ โดยสุํมตัวอยํางแบบจัดชั้นและได๎จํานวนตัวอยํางประชากรท้ังหมด 475 คน ซ่ึงเคร่ืองมือท่ีใช๎ในการเก็บขอ๎ มูลเพ่ือศกึ ษาการใช๎กลวิธีส่ือสารของตัวอยํางประชากรได๎แกํ แบบสอบถาม 1 ชุด ประกอบด๎วยบทสนทนาในสถานการณ๑ตํางๆ จํานวน 5 บทสนทนา พร๎อมด๎วยคําถามแบบให๎เลือกตอบแบบปลายเปิด ผลจากการวิเคราะห๑บทสนทนาหนังสือนวนิยาย 5 เลํม พบรูปแบบและหน๎าที่ของการใช๎ภาษาออ๎ ม ดังนีค้ ือ 1. รูปแบบประโยคที่แสดงวัจนกรรมอ๎อมตามท่ีปรากฏในหนังสือทั้ง 5 เลํมมีจํานวนทง้ั หมด 105 ประโยค แบงํ เป็น 3 ประเภท คอื ประโยคคําถาม ประโยคบอกเลํา และประโยคคําสั่งโดยรปู ประโยคคาํ ถามเป็นประเภทที่พบมากที่สุด รองลงมาคือประโยคบอกเลํา และประโยคคําสั่งตามลาํ ดบั 2. ถอ๎ ยคาํ ท่ีเป็นภาษาออ๎ มมีหน๎าที่ทั้งหมด 5 ประการคือ การประชดประชัน การพูดเป็นนัย การหยัง่ ความคิดของผอ๎ู ่นื การปกปอ้ งตนเอง/เลย่ี งผกู มัดตนเอง และการแสดงความคิดเห็นโดยมีการประชดประชันเป็นหน๎าท่ที างการสอ่ื สารที่พบมากทสี่ ุด ผล จ ากการ ศึกษาการ เ ลือกใช๎ภาษาตร ง ห รือภาษาอ๎อม ของ ตัวอยํ าง ป ร ะชากร ซึ่ง เ ป็นการวิเคราะห๑จากการแบบสอบถาม พบวาํ

27 1. กลมุํ ตวั อยํางเลือกวิธีส่ือสารด๎วยวิธีพูดตรงและพูดอ๎อมในอัตราท่ีใกล๎เคียงกัน โดยเลอื กวิธพี ูดตรงร๎อยละ 49.47 และเลือกวิธพี ดู ออ๎ มร๎อยละ 50.53 2. การใชภ๎ าษาอ๎อมหรือภาษาตรงมคี วามสัมพนั ธ๑กับระดับการศึกษาของกลุํมตัวอยํางกลาํ วคือ กลมํุ ทม่ี ีการศึกษาสูงจะใช๎ภาษาอ๎อมมากกวาํ กลุํมที่มีการศกึ ษาตํ่ากวํา โดยเป็นการใช๎ภาษาออ๎ มมากน๎อยลดหลั่นตามระดบั การศกึ ษา 3. เมื่อเปรียบเทียบการเลือกใช๎ภาษาอ๎อมตามการสื่อสารแตํละหน๎าที่ ผลปรากฏวํากลมํุ ตวั อยํางเลือกพูดอ๎อมเพือ่ เน๎นความสุภาพมากทีส่ ุด รองลงมาคือการภาษาออ๎ มเพ่อื ปกปอ้ งตนเองหรอื เลย่ี งการผูกมดั ตนเอง ตามด๎วยการเล่ียงผลในทางลบ/การรักษาหน๎า การประชดประชัน และอันดบั สดุ ทา๎ ยคือ การพูดอ๎อมเพื่อแสดงนัย เป็นที่นําสังเกตวําตัวอยํางประชากรไมํได๎เลือกใช๎ภาษาอ๎อมเพอ่ื การประชดประชันเป็นอันดับแรก แตํเลือกพูดอ๎อมเพื่อเน๎นความสุภาพเป็นอันดับแรก ซ่ึงสะท๎อนให๎เห็นคาํ นิยมในเรอื่ งความสุภาพของคนไทย อิศเรศ ดลเพ็ญ (2544) ศึกษา “วัจนกรรมการให๎คําแนะนําในภาษาไทย” งานวิจัยน้ีมีวตั ถปุ ระสงค๑เพอ่ื ศกึ ษาวิธกี ารแสดงการให๎คําแนะนาํ ในภาษาไทย และปัจจัยทมี่ ผี ลตอํ การใช๎ภาษาไทยในการให๎คําแนะนํา โดยใช๎ข๎อมูลจากการบันทึกการสนทนาจากวิทยุคล่ืน 99.5 คล่ืนหญิงพลังหญิงเป็นเวลา 1 เดอื น จาํ นวน 542 เรอ่ื ง ซ่ึงแตลํ ะเร่ืองแสดงวัจนกรรมการให๎คําแนะนําอยํางนอ๎ ย 1 ครั้ง ผลการวจิ ยั พบวํา โครงสรา๎ งวัจนกรรมการให๎คําแนะนําในภาษาไทยมีสํวนประกอบ 2 สํวนคือ สํวนท่ีแสดงเจตนาของผู๎พูด และสํวนท่ีเป็นเน้ือหาของการแนะนํา คนไทยที่พูดภาษาไทยมาตรฐานมีวิธีการให๎คําแนะนํา จําแนกตามลักษณะการปรากฏของโครงสร๎างวัจนกรรมการให๎คาํ แนะนาํ ได๎ 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ปรากฏทัง้ สวํ นท่ีแสดงเจตนาของผู๎พูด และสํวนท่ีเป็นเน้ือหาของการแนะนํา แบบท่ี 2 ปรากฏเฉพาะสํวนที่เป็นเน้ือหาของการแนะนํา การให๎คําแนะนําในภาษาไทยสามารถแสดงไดท๎ ั้งโดยวธิ ีตรงและโดยวิธอี ๎อม การศึกษาครั้งน้ี พบวํา สํวนที่แสดงเจตนาของผู๎พูด สามารถปรากฏได๎ท้ังคํากริยาแสดงเจตนา “แนะนํา” เพื่อแสดงการให๎คําแนะนําโดยวิธีตรง และคํากริยาอื่นอีก 6 คํา คือ เรียน เสนอเสนอแนะ วาํ บอกและคิด เพ่ือแสดงการใหค๎ าํ แนะนําโดยวิธอี ๎อม ในสวํ นนเ้ี ป็นเนือ้ หาของการแนะนําสามารถใช๎รูปประโยคแจ๎งใหท๎ ราบ ถามใหต๎ อบ และบอกใหท๎ ํา เพอ่ื แสดงการใหแ๎ นะนําโดยวธิ อี ๎อมได๎ การศึกษาคร้ังนี้ พบวํา วิธีการใช๎ภาษาให๎คําแนะนําท่ีแตกตํางกันข้ึนอยํูกับปัจจัยเรื่องที่พูดและความสัมพันธ๑ระหวํางผ๎พู ูดกบั ผฟู๎ งั

28 วิสนั ต๑ สุขวิสิทธ์ิ (2547) ศึกษา “วัจนกรรมการบริภาษในภาษาไทย” งานนี้มีวัตถุประสงค๑เพอื่ ศึกษากลวิธีการบริภาษในภาษาไทยและผลกระทบทมี่ ตี อํ ผ๎ูถกู บริภาษ โดยใช๎ขอ๎ มลู จากบทสนทนาในนวนยิ าย และบทสนทนาในชวี ติ จริง ซ่ึงผู๎วจิ ัยเป็นผูร๎ ํวมเหตุการณแ๑ ละผสู๎ ังเกตการณ๑ ผลการศึกษาพบวํา ผู๎บริภาษในภาษาไทยใช๎กลวิธีการบริภาษ 3 กลวิธี คือ 1) กลวิธีการบริภาษแบบตรงไปตรงมา ซ่ึงได๎แกํ การบริภาษด๎วยคําหยาบ และการบริภาษด๎วยคําที่ มีความหมายทางลบ 2) กลวิธีการบริภาษแบบออ๎ ม ซึ่งประกอบด๎วย 5 วิธี คือ การใช๎ถ๎อยคํานัยผกผันการใช๎ความเปรยี บ การใชค๎ าํ รน่ื หู การบริภาษแบบไมํเจาะจงเป้าหมาย และการสร๎างบริภาษส่ิงอ่ืนและ 3) กลวธิ เี สรมิ การบรภิ าษ ซึ่งไดแ๎ กํ การใชค๎ ําหยาบทีม่ ีนยั เก่ียวข๎องกบั ความสมั พนั ธ๑ระหวํางผ๎ูพูดและผ๎ูฟัง การใช๎คําอุทานเพื่อแสดงความร๎ูสึกทางลบ ถ๎อยคําบริภาษสะท๎อนให๎เห็นคํานิยมบางประการในสังคมไทย เชํน การไมํเคารพเช่ือฟังผู๎อาวุโส การวําร๎ายผู๎อ่ืน เป็นพฤติกรรมที่สังคมไมยํ อมรบั การมสี ติปัญญานอ๎ ยหรอื ผิวคลํ้าถือวาํ ด๎อยในสังคมไทย เป็นต๎น สวํ นผลของการบรภิ าษทเ่ี กดิ ขึ้นกบั ผถ๎ู กู บริภาษนน้ั พบวาํ กลวธิ ีการบริภาษตาํ งๆ น้นั สามารถสํงผลกระทบแกํผ๎ูถูกบริภาษใน 3 ลักษณะ คือ การแสดงวําผู๎ถูกบริภาษไมํได๎รับความเคารพจากผ๎ูบริภาษ แสดงวาํ ผ๎ูถกู บริภาษเปน็ ผท๎ู ส่ี ังคมไมํยอมรับ และกีดกันผถ๎ู ูกบริภาษออกจากกลํุม สุภาสินี โพธิวิทย๑ (2547) ศึกษา “วัจนกรรมการแสดงความเห็นโต๎แย๎งในภาษาไทย”งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค๑สําคัญ 3 ประการ คือ 1) เพ่ือศึกษากลวิธีการแสดงความเห็นโต๎แย๎งในภาษาไทย 2) เพื่อศกึ ษาการใชภ๎ าษาการแสดงความเหน็ โต๎แย๎งในวัจนกรรมประเภทตํางๆ 4 ประเภทคอื การกลาํ วแขํงขัน การกลาํ วแสดงความเปน็ มติ ร การกลาํ วแถลง และการกลําวขัดแย๎ง โดยศึกษาวําประเภทของวัจนกรรมท้ัง 4 นีจ้ ะสํงผลตํอการเลือกใช๎กลวธิ กี ารสอื่ สารของผสู๎ งํ สารหรอื ไมํ อยํางไรและ 3) เพ่ือศึกษาวําตัวแปร เพศ อายุ และการศึกษาของผู๎สํงสาร มีผลตํอการเลือกใช๎กลวิธีแสดงความเห็นโตแ๎ ย๎งหรือไมํ อยาํ งไร ในการดาํ เนินการวจิ ยั ผ๎ูวิจัยเก็บข๎อมูลจากบทสนทนาในละครทางโทรทัศน๑ 3 เร่ือง และการตอบแบบสอบถามปลายเปดิ ของกลุมํ ประชากรตัวอยํางจํานวน 80 คน สถิติที่ใช๎ในการวิเคราะห๑คือ อัตราสํวนร๎อยละและการทดสอบ ความมนี ยั สาํ คัญทางสถติ ิดว๎ ยคาํ ไครส๑ แควร๑ ผลการศึกษาพบวํากลวิธีการแสดงความเห็นโต๎แย๎งในภาษาไทยแบํงเป็น 12 กลวิธี คือ1) การปฏิเสธ 2) การแก๎ไขคําพูด 3) การให๎เหตุผล 4) การถามกลับ 5) การแสดงความไมํแนํใจ6) การกลําวท๎าทาย 7) การให๎ทางเลือก 8) การพูดประชด 9) การผัดผํอน 10) การกลําวบ่ันทอนกําลงั ใจ 11) การกลําวโทษตนเอง และ 12) การตํอวํา นอกจากนี้ประเภทของวัจนกรรมยังมีผลตํอการเลอื กใช๎กลวิธกี ารแสดงความเห็นโตแ๎ ย๎ง ดังจะเห็นวําวัจนกรรมแตํละประเภท ตํางมีการเลือกใช๎กลวิธีการแสดงความเหน็ โตแ๎ ย๎งทแี่ ตกตาํ งกัน

29 ผลการวเิ คราะห๑ปัจจยั ทางสงั คมทม่ี ีผลตอํ การเลอื กใช๎กลวิธีการแสดงความเห็นโต๎แย๎งพบวําปัจจัยเพศ และอายุของผใ๎ู ชภ๎ าษามีผลตอํ การเลือกใช๎กลวธิ กี ารแสดงความเหน็ โตแ๎ ย๎งในภาษาไทย สิทธิธรรม ออํ งวุฒิวัฒน๑ (2549) ศกึ ษา “วจั นกรรมการตักเตือนในภาษาไทย : กรณศี ึกษาครูกับศิษย๑” งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค๑เพื่อศึกษากลวิธีทางภาษาที่ครูใช๎เพื่อตักเตือนศิษย๑ในภาษาไทยตามแนวคดิ เร่ืองความสภุ าพของบราวนแ๑ ละเลวนิ สัน (Brown and Levinson, 1978, 1987) กา ร ตั กเ ตื อ น เ ป็ น ก าร ที่ ผู๎ พู ดก ลํ า วถึ ง ค ว าม ผิ ด พ ล า ด ห รือ ข๎ อ บ กพ รํ อ ง ใ น ก า ร ก ร ะ ทํ าหรือพฤติกรรมบางอยํางของผ๎ูฟัง ซึ่งผู๎พูดเช่ือวําเป็นสิ่งท่ีไมํดี ไมํถูกต๎อง ไมํเหมาะสม เนื่องจากการตกั เตือนแตํละครัง้ ผ๎ูพูดจึงจําเปน็ ต๎องช่ังน้าํ หนกั เพอื่ เลอื กระหวํางการแสดงวัจนกรรมการตักเตือนด๎วยกลวิธีตรงไปตรงมา เพ่ือสื่อเจตนาของตนอยํางชัดเจนกับการแสดงวัจนกรรมการตักเตือนดว๎ ยกลวธิ ีความสภุ าพ ซง่ึ อาจสื่อเจตนาไมชํ ดั เจนแตเํ ป็นการรักษาหน๎าและสัมพันธภาพอันดีระหวํางตนกบั ผู๎ฟัง การศึกษาพบวําสมมติฐานของกลวธิ ที างภาษาทค่ี รใู ชต๎ ักเตือนศิษย๑ในภาษาไทยเป็นกลวิธีความสุภาพมากกวํากลวิธีตรง ผู๎วิจัยได๎วิจัยจากการเลือกกลํุมตัวอยําง ครูและอาจารย๑ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลายและอดุ มศกึ ษาในเขตกรุงเทพฯ และจงั หวัดประจวบฯ โดยใช๎แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบกลวิธีทางภาษาท่ีกลํุมตัวอยํางเลือกใช๎ในวัจนกรรมการตักเตือนท้ังหมด 29กลวธิ ี ดงั นี้ 1) การอ๎างกฎหรือสง่ิ อ่ืนหรือบุคคลอื่นเพ่ือแสดงวําการกระทํานั้นไมํถูกต๎องไมํเหมาะสม2) การใชถ๎ ๎อยคําลดนาํ้ หนกั ความรุนแรง 3) การบอกวําการกระทาํ นัน้ ไมํดี ไมํเหมาะสม 4) การแสดงการถาม 5) การบอกผลร๎ายหรืออันตรายของการกระทําน้ัน 6) การเสนอแนะ 7) การยกตัวอยํางเหตุการณ๑ให๎เป็นอุทาหรณ๑ 8) การแสดงความเป็นหํวง 9) การกลําวลงโทษ 10) การส่ังให๎เลิกหรือแก๎ไขการกระทําน้ัน 11) การเลําหรือการถามถึงเร่ืองอ่ืนเพ่ือแสดงวําการกระทํานั้นไมํถูกต๎อง ไมํเหมาะสม 12) การขอรอ๎ งใหเ๎ ลิกหรือแกไ๎ ขการกระทาํ นัน้ 13) การแสดงความสงสัยหรือประหลาดใจ14) การแสดงความผิดหวังตอํ การกระทําน้นั 15) การใช๎ถ๎อยคาํ นัยผกผนั 16) การโทษสิ่งอ่นื หรือผอู๎ ่ืน17) การใชส๎ ํานวน 18) การใชอ๎ ุปลักษณ๑ 19) การใช๎คาํ แสดงความไมํพอใจ 20) การแสดงความไมํเห็นด๎วยกับการกระทํานั้น 21) การแสดงวําไมํชอบการกระทํานั้น 22) การแสดงการชม 23) การให๎โอกาสเลิกหรือแก๎ไขการกระทําเดิม 24) การปลอบผฟ๎ู ัง 25) การเสนอความชวํ ยเหลอื 26) การแสดงความสงสารหรอื เห็นใจ 27) การแสดงความตระหนักในสทิ ธิของผ๎ูฟงั 28) การแสดงความคาดหวังตอํผ๎ฟู ัง 29) การพดู ตลก ทั้งนี้ ผ๎ูวิจัยได๎วิเคราะห๑กลวิธีทางภาษาท้ัง 29 กลวิธีตามวัตถุประสงค๑ในการสื่อสารพบวํานอกจากการใชภ๎ าษาเพอ่ื การตกั เตือนแลว๎ ยังพบวัตถปุ ระสงคอ๑ ืน่ ๆ ด๎วย 1) การใชภ๎ าษาเพอ่ื การรกั ษาหน๎าของผู๎ฟงั 2) กลวธิ ีทางภาษาทใ่ี ช๎เพื่อรักษาหน๎าของผ๎ูพูด (เพื่อหลีกเล่ียงความไมํพอใจจากผู๎ฟัง)3) กลวิธีทางภาษาทใ่ี ชเ๎ พื่อโน๎มนา๎ วใหผ๎ ๎ฟู ังเช่อื ถือหรอื คลอ๎ ยตามวจั นกรรมการตักเตือน 4) กลวิธีทาง

30ภาษาท่ีใช๎เพ่ือให๎ผู๎ฟังเห็นภาพอยํางเป็นรูปธรรม 5) กลวิธีทางภาษาท่ีใช๎เพื่อประชดประชัน และ6) กลวิธีทางภาษาที่ใชเ๎ พอื่ ลดความตึงเครียดในการสนทนา เมื่อพิจารณาความสัมพันธ๑ระหวํางกลวิธีทางภาษาที่ปรากฏในวัจนกรรมการตักเตือนกับสถานการณ๑การกระทาํ ผิดพบวาํ สถานการณก๑ ารกระทําผดิ มผี ลตอํ ความเลือกใช๎กลวิธีตรงหรือกลวิธีความสุภาพของกลุํมตัวอยําง ครูจะคํานึงถึงความสุภาพในการแสดงวัจนกรรมการตักเตือน กลวิธีความสุภาพด๎านลบที่พบมาก ได๎แกํ การบอกผลร๎ายหรืออันตรายของการกระทําน้ัน เพื่อแสดงความหวังดี และการแสดงความเป็นหํวง ท้ังน้ี ผลการวิจัยแสดงให๎เห็นวําการสื่อสารในภาษาไทยสะท๎อนใหเ๎ หน็ ความสภุ าพทัง้ สองดา๎ น นุชนารถ เพ็งสุริยา (2549) ศึกษาเร่ือง “การใช๎ภาษาเพ่ือแสดงการตําหนิของคนไทย”โดยมีวัตถุประสงค๑เพ่ือศึกษารูปแบบและกลวิธีการใช๎ภาษาเพื่อแสดงการตําหนิของคนไทยและความสัมพันธ๑ระหวาํ งกลวิธกี ารใช๎ภาษาเพ่ือแสดงการตําหนิของคนไทยกับระดับคําความรุนแรงของความผดิ ในการศึกษาของผ๎ูวิจัยได๎มีการรวบรวมการใช๎ภาษาเพ่ือแสดงการตําหนิท่ีปรากฏในกลุํมตัวอยําง นวนิยายไทย จํานวน 4 เร่ือง เพ่ือศึกษารูปแบบ และกลวิธีการใช๎ภาษาเพื่อแสดงการตําหนิของคนไทย แล๎วนําสถานการณ๑และถ๎อยคําที่แสดงการตําหนิท่ีปรากฏในกลํุมตัวอยํางนวนิยายมาเป็นแนวทางในการจัดทําแบบสอบถาม จํานวน 60 ชุด โดยกลํุมตัวอยํางเป็นผู๎สําเร็จการศกึ ษาระดับปริญญาตรขี ้นึ ไปและมีอายุระหวําง 20 – 60 ปี เพ่ือศึกษาความสัมพนั ธ๑ระหวาํ งกลวิธีการใช๎ภาษาเพื่อแสดงการตําหนิของคนไทยกับระดับคําความรุนแรงของความผิด สถิติที่ใช๎ในการวเิ คราะหข๑ ๎อมูล คอื คาํ ความถี่และคําร๎อยละ คําเฉล่ียและคาํ สํวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการศึกษารปู แบบการใชภ๎ าษาเพื่อแสดงการตําหนิ พบวํารปู ประโยคท่ีคนไทยนยิ มใช๎มากท่ีสุด ได๎แกํ ประโยคบอกเลํา รองลงมาได๎แกํ ประโยคคําถาม ประโยคคําส่ัง ประโยคปฏิเสธและประโยคขอร๎อง ตามลาํ ดับ นอกจากน้ียังพบวําคนไทยนิยมใช๎วัจนกรรมอ๎อมมากกวําวัจนกรรมตรงสําหรบั ผลการวเิ คราะห๑กลวธิ กี ารใช๎ภาษาเพ่ือแสดงการตําหนิ พบวํากลวิธีที่คนไทยนิยมใช๎มากท่ีสุดได๎แกํ การใช๎ภาษาอ๎อม รองลงมาได๎แกํ การใช๎ความสุภาพเชิงบวก การใช๎ภาษาแบบตรงไปตรงมาและการใชค๎ วามสุภาพเชงิ บวก จากผลการศึกษาพบวําระดับคําความรุนแรงของความผิดไมํมีผลตํอการเลือกใชก๎ ลวธิ ีการใชภ๎ าษาเพอ่ื แสดงการตาํ หนิของคนไทย รุํงอรุณ ใจซ่อื (2549) ศึกษาเรอื่ ง “วจั นกรรมการแสดงความไมํพอใจในภาษาไทย: กรณีศึกษานสิ ติ นกั ศกึ ษา” งานวจิ ยั นม้ี วี ัตถุประสงค๑เพ่ือศึกษาการแสดงความไมํพอใจของผ๎ูพูดภาษาไทยท่ีเป็นนสิ ิตนักศกึ ษาในสถานการณ๑ไมํพงึ ประสงค๑ 8 สถานการณ๑ และศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางกลวิธีทางภาษาในการแสดงความไมํพอใจกับปัจจัยความสนิทสนมของคํูสนทนา โดยเก็บข๎อมูลจาก

31แบบสอบถามของกลมุํ ตัวอยําง 150 คน ซ่งึ เปน็ นิสิตนักศกึ ษาจากวทิ ยาลัยและมหาวิทยาลัย 27 แหํงท่ัวประเทศ ผลการวิจัยพบวํา ผ๎ูพูดเลือกแสดงความไมํพอใจมากกวําการทําเฉยๆ หรือทําอยํางอ่ืนผลการวิจัยพบวํา ผู๎พูดภาษาไทยเลือกใช๎กลวิธีแบบอ๎อมมากกวํากลวิธีแบบตรงในการแสดงความไมํพอใจ สอดคลอ๎ งกบั สมมติฐานของการวิจยั และคํานยิ มเร่ือง “ความเกรงใจ” ของคนไทย ผ๎ูพูดภาษาไทยสํวนใหญํเลือกแสดงความไมํพอใจตํอผู๎ละเมิด สํวนผ๎ูพูดที่เลือกไมํแสดงความไมํพอใจ เลือกทําเฉยๆ และทําอยํางอ่ืน โดยสํวนใหญํเป็นการเลือกทําเฉยๆ มี 7 เหตุผลเรยี งตามลาํ ดบั มากไปน๎อย ได๎แกํ เป็นเร่อื งเลก็ น๎อย โกรธแตํเฉย คิดวํามีเหตุผลจําเป็น เป็นเพื่อนกันไมํอยากมีเร่ือง เป็นสิทธ์ิของเขา เคยทําเหมือนกันและไมํได๎ระบุ สํวนผู๎พูดที่เลือกการทําอยํางอ่ืนพบการทําอยาํ งอืน่ เรยี งตามลําดับมากไปน๎อย ดังนี้ การแก๎ไข การแสดงสีหน๎าทําทาง การแก๎แค๎นการสงํ สัญญาณบางอยาํ ง การเขยี นโน๎ต และการประชด สํวนกลวิธีการแสดงความไมํพอใจนั้น สามารถจําแนกได๎ 3 ลักษณะ คือกลวิธีการแสดงความไมํพอใจแบบตรง 7 กลวิธี กลวิธีการแสดงความไมํพอใจแบบอ๎อม ซึ่งจําแนกได๎เป็น 2 แบบได๎แกํ แบบที่ผู๎พูดกลําวถ๎อยคําตํอหน๎าผู๎ฟัง 13 กลวิธี และแบบท่ีผู๎พูดไมํกลําวถ๎อยคําตํอหน๎าผ๎ูฟัง4 กลวธิ แี ละกลวิธีสุดท๎ายคือ กลวิธีเสริมการแสดงความไมํพอใจพบจํานวน 2 กลวิธี ซ่ึงผลการวิจัยสอดคล๎องกบั สมมติฐาน คอื ผ๎ูพดู ภาษาไทยเลอื กใช๎กลวิธีทางอ๎อมมากกวํากลวิธีทางตรงในการแสดงความไมํพอใจ สวํ นในการศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางกลวิธีทางภาษาในการแสดงความไมํพอใจกับปัจจัยความสนิทสนมของคูํสนทนานั้นพบวํา ปัจจัยความสนิทสนมไมํมีผลตํอการเลือกหรือไมํเลือกแสดงความไมํพอใจด๎วยถ๎อยคําของผู๎พูดภาษาไทย แตํมีผลตํอการเลือกกลวิธีการแสดงความไมํพอใจโดยผู๎พูดมีแนวโน๎มจะเลือกใช๎กลวิธีการแสดงความไมํพอใจแบบตรงกับเพ่ือนสนิทมากกวําเพื่อนทไ่ี มํสนทิ ท้งั น้ีเพราะผพู๎ ดู ไมํคิดวําเพื่อนจะโกรธ อีกทั้งการแสดงความไมํพอใจกับเพ่ือนสนิทยังเป็นการเรียนรู๎อุปนิสัยของกันและกัน แตํกับเพื่อนไมํสนิทผ๎ูพูดเกรงวําเพื่อนท่ีไมํสนิทอาจจะโกรธหรือทาํ รา๎ ยผ๎พู ูดกลับ ผ๎ูพูดจึงมกั เลือกใช๎กลวธิ กี ารแสดงความไมํพอใจแบบออ๎ มและสุภาพมากกวํา จากผลการวจิ ยั จะเห็นไดว๎ าํ การศึกษาวัจนกรรมการแสดงความไมํพอใจของผ๎ูใช๎ภาษาไทยน้ัน ทําให๎เห็นลักษณะบางประการท่ีสะท๎อนออกมาจากวัจนกรรมทางภาษาซึ่งสอดคล๎องกับวฒั นธรรมของคนไทย ทาํ ใหเ๎ ห็นวาํ ความสนิทหรอื ไมสํ นทิ มีผลตอํ การเลอื กกลวธิ ีแสดงวจั นกรรมแสดงความไมพํ อใจเพราะคนไทยเลือกท่จี ะเกรงใจคนไมํสนิทมากกวําคนสนิทท่ีร๎ูจักนิสัยใจคอกันและร๎ูวําการกลาํ วแบบตรงนัน้ จะไมทํ ําใหค๎ นท่ีสนทิ ถือโทษหรือโกรธเคืองได๎

32 โศรยา วิมลสถิตพงษ๑ (2549) ศึกษา “วัจนกรรมการวิจารณ๑การเมืองทางอ๎อมในบทความแสดงความคิดเหน็ ทางการเมืองในหนงั สือพิมพ๑ไทย” งานวจิ ยั น้มี วี ตั ถปุ ระสงค๑เพื่อศึกษาองคป๑ ระกอบในการส่ือสารของบทความแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในหนังสือพิมพ๑ไทย พร๎อมทั้งวิเคราะห๑องคป๑ ระกอบของปรจิ เฉทอนั ได๎แกํ ลักษณะโครงสร๎างและเน้ือหา และเพื่อศึกษากลวิธีทางภาษาในการวจิ ารณ๑การเมอื งทางอ๎อมในบทความแสดงความคดิ เห็นทางการเมอื ง โดยเก็บข๎อมูลจากบทความในหนังสือพิมพ๑รายสัปดาห๑ 2 ฉบบั คอื บทความชื่อ X คลูซีฟ ในมติชนสุดสัปดาห๑ และบทความของโสภณ องคก๑ ารณ๑ ในเนชน่ั สดุ สปั ดาห๑ และหนังสือพมิ พร๑ ายวัน 2 ฉบับ คอื บทความชื่อ คนปลายซอยในไทยโพสต๑ และบทความชื่อ หมายเหตุประเทศไทย ในไทยรัฐ เป็นระยะเวลา 1 ปี คือ ต้ังแตํมกราคม – ธันวาคม พ.ศ. 2548 รวมจํานวนข๎อมูลทใี่ ช๎ศกึ ษาในครัง้ นี้ทงั้ ส้นิ 199 บทความ จากการศึกษาองค๑ประกอบในการสื่อสารโดยใช๎กรอบทฤษฎีชาติพันธ๑ุวรรณนาแหํงการส่ือสารพบวาํ องค๑ประกอบการสอื่ สารที่บทความแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในหนังสือพมิ พ๑ไทยมีรํวมกันคือ ฉาก ผู๎รํวมเหตุการณ๑ จุดมุํงหมาย เครื่องมือ การลําดับวัจนกรรม บรรทัดฐานของปฏสิ ัมพันธ๑และการตีความและประเภทการสอื่ สาร องคป๑ ระกอบในการสื่อสารท่ีแตกตํางกันคือ ฉากผ๎ูรํวมเหตุการณ๑ และน้ําเสยี ง สํวนองคป๑ ระกอบในการส่ือสารที่สัมพันธ๑และมีอิทธิพลตํอการวิจารณ๑การเมืองทางอ๎อมคือ ฉาก ผู๎รํวมเหตกุ ารณ๑ และบรรทัดฐานของปฏสิ มั พันธ๑และการตคี วาม เม่ือศกึ ษาองคป๑ ระกอบของปรจิ เฉทประเภทนีซ้ งึ่ ได๎แกํ ลักษณะโครงสรา๎ งและเนอื้ หาก็พบวําด๎านโครงสรา๎ งน้ันมี 2 แบบ คือ โครงสร๎างแบบ 3 สํวน คือ สํวนนํา สํวนเน้ือหา และสํวนสรุป และโครงสร๎างแบบ 2 สวํ น คอื สํวนนาํ และสวํ นเนอื้ หา ดา๎ นเนื้อหากม็ ปี ระเด็นทางการเมืองท่ีหลากหลายไมํวําจะเป็นเร่ืองการบริหารประเทศของรัฐบาล พฤติกรรมของนักการเมือง การทํางานของนักการเมอื ง เหตุการณท๑ างการเมอื ง รวมไปถงึ ผู๎ท่ีมคี วามสัมพันธห๑ รือมีสํวนเกี่ยวข๎องกับนักการเมืองนอกจากเนอ้ื หาดา๎ นการเมืองแล๎ว ผูว๎ ิจยั พบวาํ บทความแสดงความคิดเห็นทางการเมืองยังมีประเด็นด๎านสงั คม ดา๎ นเศรษฐกจิ และเร่ืองเบ็ดเตลด็ ทั่วไปอกี ดว๎ ย สํวนผลการศึกษากลวิธีทางภาษาในการวิจารณ๑การเมืองทางอ๎อมในบทความแสดงความคิดเห็นทางการเมืองพบวํามีท้ังหมด 9 กลวิธี ได๎แกํ การใช๎ถ๎อยคํานัยผกพัน การใช๎คําถามเชิงวาทศิลป์ การใช๎อุปลักษณ๑ การใช๎คําที่มีความหมายแฝง การใช๎สํานวน การใช๎คําเรียกบุคคลการใชก๎ ารเลนํ ทางภาษา การยกคาํ กลําวของบคุ คล และการแนะความหมาย โดยกลวิธีทางภาษาในการวิจารณ๑การเมอื งทางอ๎อมเหลํานี้มีหน๎าที่ในการส่ือสารที่แตกตํางกันออกไป อาทิ เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผดิ ชอบตอํ การวจิ ารณ๑ เพื่อแสดงทัศนคติในเชิงลบของผู๎เขียน และเพื่อช้ีให๎เห็นข๎อบกพรํองของรัฐบาลหรอื นักการเมอื ง นอกจากน้ียงั พบวํามีการใช๎กลวิธีการเสรมิ การวิจารณ๑การเมืองทางอ๎อมเพ่ือเพม่ิ นํ้าหนกั หรอื ความนาํ เช่อื ถือ

33 อรวี บุนนาค (2550) ท่ีศึกษา “กลวิธีการใช๎ภาษาแสดงความผิดหวังตํอผ๎ูฟังท่ีมีสถานภาพตํางกันในภาษาไทย : กรณนี ิสิตนกั ศกึ ษา” งานวจิ ัยนี้มีวัตถุประสงค๑เพื่อวิเคราะห๑ กลวิธีการใช๎ภาษาแสดงความผิดหวังของนิสิตนักศึกษาตํอผู๎มีสถานภาพตํางกันในภาษาไทย วิเคราะห๑ความสัมพันธ๑ระหวํางกลวิธีการใช๎ภาษาแสดงความผิดหวังกับปัจจัยด๎านสถานภาพของผ๎ูฟังและวิเคราะห๑ความสัมพันธ๑ระหวํางกลวิธีการใช๎ภาษาแสดงความผิดหวังกับปัจจัยด๎านเพศของผ๎ูพูด ข๎อมูลท่ีใช๎ในการทําวจิ ยั ไดจ๎ ากคําตอบในแบบสอบถามของผพู๎ ูดภาษาไทยท่ีเป็นนิสิตนักศึกษา จํานวน 200 คนเป็นผู๎พูดเพศชาย จํานวน 100 คน และเป็นผู๎พูดเพศหญิง จํานวน 100 คน แบบสอบถามประกอบด๎วยสถานการณก๑ ารแสดงความผดิ หวงั ตํอผพ๎ู ดู ทีม่ สี ถานภาพตาํ งกัน 3 สถานภาพ ได๎แกํ ผ๎ฟู งัทีม่ ีสถานภาพสงู กวาํ ผ๎ูพดู ผูฟ๎ งั ท่ีมีสถานภาพเทาํ กนั กับผู๎พูดและผฟู๎ งั ท่ีมสี ถานภาพตํ่ากวาํ ผู๎พูด โดยสรุปแลว๎ กลวธิ ที ่ีผู๎พดู ใชก๎ ลําวแสดงความผดิ หวงั จากผู๎ฟงั ทุกสถานภาพ คอื กลวธิ ีการถามเหตผุ ล ท้งั นี้ผ๎ูพูดไมไํ ด๎มีเจตนาหลักเพอ่ื ต๎องการถามผ๎ูฟังจริงๆ แตํเพื่อกลําวโดยอ๎อมให๎ผ๎ูฟังทราบวําการกระทําของผ๎ูฟังเปน็ ต๎นเหตุใหผ๎ พ๎ู ดู ร๎สู กึ ผดิ หวงั ผลการวิจัยสรปุ ได๎วาํ กลวิธีการถามเหตผุ ลจากผฟ๎ู งัจดั เปน็ ลักษณะเดนํ ในการกลําวถ๎อยคําแสดงความผิดหวงั ของผพ๎ู ูดภาษาไทยทเ่ี ปน็ นิสติ นกั ศึกษา กลวิธีการใชภ๎ าษาแสดงความผิดหวังกบั ปัจจัยดา๎ นเพศของผูพ๎ ูด พบวําเพศหญิงและเพศชายมกี ารใช๎กลวธิ ที แ่ี ตกตํางกัน ลกั ษณะเดนํ ของกลวธิ เี พศชาย คือ การไมคํ ิดเล็ก คดิ นอ๎ ย การเก็บอารมณ๑สํวนผูพ๎ ูดเพศหญงิ จะเลือกใช๎กลวิธีท่ีแสดงใหเ๎ หน็ ความจกุ จกิ หยมุ หยมิ ไมํเก็บอารมณ๑และไมมํ น่ั ใจ กลวิธีการแสดงความผิดหวังก็เป็นกลวิธีการหน่ึงของการใช๎ภาษาในการวิจารณ๑ซ่ึงผู๎เป็นผู๎วิจารณ๑ยํอมมีความคาดหวังผู๎เข๎าแขํงขันที่ตนคิดวําควรมีการแสดงผิดไปจากที่คาดไว๎ก็จะแสดงความผิดหวัง สธุ าสินี พลอยขาว (2551) ศึกษา “วัจนกรรมการแสดงความไมํพอใจในกระดานสนทนาทางอนิ เทอร๑เนต็ ” มีลกั ษณะเดนํ ที่ผูส๎ ํงสารมอี ิสระในการแสดงความคิดเหน็ ตํอเรือ่ งราวตาํ งๆ ด๎วยรูปแบบกระดานสนทนาน้ันผ๎ูสํงสารและผ๎ูรับสารไมํต๎องเห็นหน๎าหรือเผชิญหน๎ากันจึงทําให๎การแสดงความคดิ เหน็ ตํอเรอื่ งราวตํางๆ ในสังคมได๎อยาํ งเต็มท่ี งานวิจัยน้ีได๎ศึกษาปริบทการสื่อสารของการแสดงความไมํพอใจในกระดานสนทนาทางอินเทอร๑เน็ตตามกรอบทฤษฎีชาติพันธุ๑วรรณนาแหํงการสื่อสารและศึกษากลวิธีในการแสดงความไมํพอใจในกระดานสนทนาทางอินเทอร๑เน็ต ขอ๎ มูลท่ใี ชใ๎ นการศึกษาได๎จากกระดานสนทนาของเวบ็ ไซต๑ 2 กลุํม คือ เวบ็ ไซตข๑ องผ๎ูใหบ๎ รกิ ารเชื่อมตํออินเทอร๑เน็ต และเว็บไซต๑อ่ืนๆ ที่ไมํได๎ให๎บริการเชื่อมตํออินเทอร๑เน็ต แตํเปิดโอกาสให๎บุคคลสามารถแสดงความไมํพอใจในบริการเช่ือมตํออินเทอร๑เนต็

34 ในการเก็บข๎อมูลใชว๎ ิธกี ารสํุมเกบ็ ขอ๎ มลู จากทงั้ 2 กลุํมตัวอยําง กลมํุ ตัวอยาํ งละ 100 ข๎อความรวมทง้ั สนิ้ 200 ข๎อความ (เฉพาะข๎อความท่ี 1 ของแตํละกระทู๎เทําน้ัน) ซ่ึงเป็นข๎อมูล ท่ีโพสต๑ (post)ระหวํางวันที่ 1 มิถุนายน 2549 – 31 ธนั วาคม 2550 ผลการศึกษาปริบทการส่ือสารของการแสดงความไมํพอใจในกระดานสนทนาทางอินเทอร๑เน็ตตามกรอบทฤษฎีชาติพันธ๑ุวรรณนาแหํงการส่ือสารพบวํา การแสดงความไมํพอใจในกระดานสนทนาทางอินเทอรเ๑ น็ตโดยท่ัวไปมีลกั ษณะคลา๎ ยการสอ่ื สารประเภทอนื่ ๆ แตมํ ลี ักษณะเดนํ ที่การแสดงความไมํพอใจในกระดานสนทนาทางอินเ ทอร๑เน็ตน้ันจะมีผู๎ใช๎อินเ ทอร๑เน็ตท่ัวโลกเป็นผู๎รับสารนอกเหนือจากผู๎ให๎บริการ จึงทําให๎จุดมุํงหมายของการแสดงความไมํพอใจในครั้งน้ีแฝงการประจานความผิดของผู๎ให๎บริการไว๎ด๎วย นอกจากน้ันยังพบวําผ๎ูสํงสารมักนํารูปภาพและสัญรูปตาํ งๆ มาใช๎เพอื่ ชํวยแสดงอารมณค๑ วามไมพํ อใจใหช๎ ดั เจนยิง่ ข้ึน ผลการศกึ ษากลวิธีการแสดงความไมํพอใจในกระดานสนทนาทางอนิ เทอรเ๑ นต็ พบวํา สามารถจาํ แนกไดเ๎ ปน็ 3 ลกั ษณะ คือ กลวิธีแบบตรง กลวิธแี บบอ๎อม และกลวธิ แี บบเสริม โดยกลวิธีแบบตรงและกลวิธีแบบอ๎อมจะปรากฏลําพังน๎อยมาก สํวนใหญํจะเป็นการปรากฏรํวมกันระหวํางกลวิธีแบบตรงและกลวิธแี บบอ๎อม สํวนกลวิธีแบบเสริมจะไมปํ รากฏตามลําพังเลย การท่ีปริบทการส่ือสารของการแสดงความไมํพอใจในกระดานสนทนาทางอินเ ทอร๑เน็ตใช๎กลวิธีแบบตรงรํวมกับกลวิธีแบบอ๎อม แสดงให๎เห็นวําคนไทยยังรักษาความสุภาพและมารยาทในการส่ือสาร แม๎วําปริบทของการสนทนาทางอินเทอร๑เน็ตจะเอื้อตํอการแสดงความคิดเห็นอยํางตรงไปตรงมาก็ตาม แตํผ๎ูสํงสารก็ยังไมํนิยมแสดงความไมํพอใจด๎วยกลวิธีแบบตรงอยํางเดียวสวํ นใหญจํ ะแสดงความไมพํ อใจด๎วยกลวธิ แี บบตรงรวํ มกับแบบอ๎อม งานของ ดียู ศรีนราวัฒน๑ อิศเรศ ดลเพ็ญ วิสันต๑ สุขวิสิทธิ์ สุภาสินี โพธิวิทย๑ สิทธิธรรมอํองวุฒวิ ฒั น๑ นุชนารถ เพ็งสุริยา โศรยา วิมลสถิตพงษ๑ และอรวี บุนนาค ทําให๎ผ๎ูวิจัยสังเกตเห็นวําในงา นวิ จั ยที่ ผ๎ู พูด แ สด ง วัจ น กร ร มที่ ต๎อ ง คุก ค าม ห น๎า ผ๎ู ฟัง ซ่ึ งจ ะ ต๎อ งคํ า นึง ถึ ง ค ว าม สุ ภา พ ใน ก าร ใ ช๎คาํ ลดนาํ้ หนกั หรอื พูดอ๎อม เพ่อื หลกี เลย่ี งสถานการณ๑ที่แสดงการคุกคามหน๎าผ๎ูฟงั อีกทงั้ ยังตอ๎ งคํานึงถึงสถานภาพทางสังคมของผพู๎ ดู และผ๎ฟู ังดว๎ ยซง่ึ มผี ลตํอเจตนาและวตั ถปุ ระสงค๑ของการสื่อสารด๎วยและงานของ รุํงอรุณ ใจซ่อื และสธุ าสินี พลอยขาว ทําให๎ผว๎ู ิจยั สงั เกตวําการเผชิญหน๎าหรือไมํเผชิญหน๎ากันมีผลตํอการเลือกใช๎กลวิธีแสดงความไมํพอใจของผู๎ใช๎ภาษา จากการศึกษางานวิจัยขั้นต๎นเป็นประโยชน๑และเป็นแนวทางสําคัญในการวิเคราะห๑กลวิธีความไมสํ ุภาพในรายการเรียลลติ ้โี ชวภ๑ าษาไทยตํอไป

บทที่ 3 การวเิ คราะหป์ รบิ ทของการวจิ ารณ์ในรายการเรยี ลลิต้โี ชวภ์ าษาไทยตามกรอบทฤษฎี ชาติพนั ธ์ุวรรณนาแหง่ การสอ่ื สาร การวิเคราะห๑ภาษานอกจากจะต๎องทําความเข๎าใจตัวภาษาแล๎ว การเข๎าใจปริบทของการใช๎ภาษาก็มคี วามจําเป็นเพราะเปน็ ปัจจัยท่ีมคี วามสมั พันธ๑ตํอการใช๎ภาษา ในแตํละสถานการณ๑ทําให๎ใช๎ภาษาแตกตํางกนั ไป ผใ๎ู ชภ๎ าษาเองมักทราบดีวําตนกาํ ลังใชภ๎ าษาอยูํกับใคร ท่ีไหน เมื่อไรและอยํางไรซ่ึงบางครั้งก็เป็นเองตามธรรมชาติ แตํบางครั้งก็ถูกควบคุมอยํางตั้งใจโดยผ๎ูใช๎ภาษา (ประไพพรรณพง่ึ ฉิม, 2542 : 31) ด๎วยเหตนุ ้ี ผวู๎ จิ ัยจึงศกึ ษาปริบทการวิจารณ๑ท่ีในรายการเรียลลิตี้โชว๑ภาษาไทยในรายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ (True Academy Fantasia) ปีท่ี 6 รายการเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาว (The Star) ปีท่ี 6 และรายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ (The Designer) ปีที่ 1 ด๎วยเพื่อให๎เห็นภาพรวมของเหตุการณ๑การสื่อสารซ่ึงจะชํวยให๎การวิเคราะห๑กลวิธีความไมํสุภาพท่ีใช๎ในการวิจารณ๑ให๎เปน็ ไปอยาํ งสมบูรณ๑ โดยใชก๎ ารศกึ ษาตามแนวชาติพนั ธุ๑วรรณนาแหํงการส่ือสารของDell Hymes (1974)3.1 ปรบิ ทของการวจิ ารณใ์ นรายการเรยี ลลิตโ้ี ชว์ภาษาไทยตามกรอบทฤษฎีชาตพิ ันธ์วุ รรณนาแหง่ การส่ือสาร 3.1.1 ฉากหรือกาลเทศะ (Setting หรอื Scene) ฉากหรือสถานที่ที่เกิดเหตุการณ๑การวิจารณ๑ของรายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ (TrueAcademy Fantasia) ปีที่ 6 รายการเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาว (The Star) ปีที่ 6 และรายการเดอะดไี ซน๑เนอร๑ (The Designer) ปีที่ 1 สามารถแยกได๎เป็น 2 ระดับ คือ 1) ฉากของการวิจารณ๑ในห๎องบนั ทกึ รายการและ 2) ฉากของการวิจารณ๑ผํานการถํายทอดสดทางโทรทัศน๑ 3) ฉากความเป็นรายการเรียลลิตโี้ ชว๑ 3.1.1.1 ฉากของการวจิ ารณ๑ในห๎องบันทึกรายการ คือ ห๎องบันทึกรายการท้ังสามรายการจัดเตรยี มฉากไว๎อยํางตายตวั และใช๎ตงั้ แตํต๎นจนจบการแขงํ ขนั ดังนี้ 1) ฉากของรายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ (True Academy Fantasia) ปีท่ี 6จัดขึ้นท่ีธันเดอร๑โดม เมืองทองธานี ยกเว๎นสัปดาห๑สุดท๎ายย๎ายไปถํายทอดสดที่อิมแพคอารีนําเมอื งทองธานี เวทีการแขํงขนั มีทางเดินยนื่ ออกมา โดยเวทมี ีลกั ษณะเปน็ สีเ่ หล่ยี มผนื ผ๎าและมีไฟสีแดง

36บรเิ วณขอบทางเดนิ ทงั้ สองข๎าง ฉากด๎านหลังของเวทีเป็นจอโทรทัศน๑ขนาดใหญํ บางคร้ังมีฉากสีฟ้า(blue screen) เล่ือนลงมาใช๎สําหรับการแสดงภาพสามมิติในบางชํวงการแสดงของผู๎เข๎าแขํงขันดา๎ นหนา๎ และดา๎ นข๎างเวทปี ระดับดวงไฟโดยรอบเปิดตลอดการแขงํ ขนั เพอ่ื เพิ่มสสี ันตํางๆ ตําแหนํงของผู๎ชมจะอยํูบริเวณโดยรอบของเวที พ้ืนที่น่ังของผ๎ูชมสํวนใหญํจะอยํูบริเวณอฒั จนั ทรโ๑ ดยรอบเวทแี นวรูปตัวยูและบริเวณด๎านหน๎าท่ีมีเก๎าอี้พลาสติกเรียงกันเป็นแถวมีตัวอักษรและตวั เลขกํากบั ไวซ๎ ง่ึ ผช๎ู มตอ๎ งน่ังให๎ตรงกับหมายเลขตามบตั รของตนเอง นอกจากน้ียงั มีผ๎ูชมสวํ นหนึ่งทีส่ ามารถยืนชมการแสดงในบรเิ วณหนา๎ เวทซี ึง่ จดั เปน็ พน้ื ทีว่ าํ งติดกับเวที ตําแหนํงของผ๎ูวิจารณ๑น่ังในบริเวณพ้ืนที่ที่จัดเตรียมไว๎เฉพาะ ผ๎ูวิจารณ๑จะนั่งประจําท่ีเดิมทุกสัปดาหซ๑ ่งึ มีเกา๎ อี้จดั เตรยี มไว๎ 3 ตัว สแี ดงมีพนกั พิงไมมํ ที รี่ องแขน สามารถหมุนได๎รอบตัวและโต๏ะยาว 1 ตัว สีดําแดงประจําอยูํด๎านหน๎าเวที มีแผํนป้ายสีขาวเขียนชื่อโลโก๎ (logo) วํา “true vision”อยูํด๎านหนา๎ โตะ๏ ในสํวนทหี่ นั เขา๎ หาเวที บนโต๏ะมีไมโครโฟน 3 ตัว น้ําอัดลมและน้ําเปลําของบริษัทท่ีเป็นผู๎สนับสนุนรายการปิดฝาวางอยูํตรงหน๎า ด๎านหลังมีฉากก้ันระหวํางผู๎วิจารณ๑กับผ๎ูชมที่นั่งแถวหนา๎ สุดประมาณ 2 เมตร 2) ฉากของรายการเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาว (The Star) ปีท่ี 6 จัดข้ึนที่ห๎องบันทึกรายการ ยกเวน๎ สปั ดาหส๑ ุดท๎ายยา๎ ยไปถํายทอดสดที่ อิมแพคอารีนํา เมืองทองธานี เวทีการแขํงขันมีลักษณะเป็นส่ีเหล่ียมผืนผ๎า ฉากด๎านหลังสีดําประดับไฟเป็นรูปดวงดาว ด๎านหน๎าและด๎านข๎างเวทีประดับไฟโดยรอบเพอ่ื เปดิ สร๎างสีสันตลอดรายการ ตาํ แหนงํ ของผ๎ชู มอยํบู รเิ วณดา๎ นหน๎าของเวทที ี่มีเกา๎ อ้ีวางเรยี งตอํ กนั เปน็ แถวตามหมวดอกั ษรและตวั เลขใหผ๎ ชู๎ มนงั่ ให๎ตรงตามหมายเลข พื้นของห๎องบันทึกรายการเป็นพ้ืนยกสูงลดหล่ันกันลงมาคลา๎ ยอัฒจนั ทร๑เพื่อให๎ผูท๎ อี่ ยูํด๎านหลงั สามารถมองเหน็ ได๎ในระยะไกล ตําแหนํงของผ๎ูวิจารณ๑อยูํในบริเวณท่ีจัดไว๎เฉพาะ ผ๎ูวิจารณ๑นั่งประจําตําแหนํงเดิมทุกคร้ังซึ่งจัดเตรียมไว๎จํานวน 3 ตัว ระยะหํางจากเวทีประมาณ 3 เมตร โดยมีเก๎าอ้ีสีเทามีพนักพิงไมํมีทรี่ องแขน หมุนได๎รอบตัวและโต๏ะยาวสีดํา 1 ตัว บนโต๏ะมีไมโครโฟน 3 ตัว มีกระป๋องนํ้าอัดลมของผู๎สนบั สนนุ รายการใสหํ ลอดวางประจาํ ไว๎ เกา๎ อข้ี องผู๎วจิ ารณ๑จะสูงกวําเก๎าอขี้ องผ๎ูชมเล็กน๎อยมีฉากกั้นด๎านหลงั ประดบั ดวงไฟและปา้ ยโฆษณาผสู๎ นับสนนุ รายการ 3) ฉากของรายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ (The Designer) จัดข้ึนท่ีห๎างสรรพสินค๎าท่ีมีชื่อเสียงในประเทศไทย ซ่ึงจะเปล่ียนไปเรื่อยๆ ในแตํละสัปดาห๑ เวทีการแขํงขันมีลักษณะเป็นทางเดินยาวสีขาวสําหรับเดินแบบเส้ือผ๎าเคร่ืองแตํงกาย (cat walk) มีฉากหลังสีขาวประดับช่ือรายการอยูํกึ่งกลาง ตําแหนํงของผู๎ชมสามารถน่ังในบริเวณที่จัดไว๎รอบเวทีและบริเวณช้ันบนของห๎างสรรพสนิ คา๎ บรเิ วณดา๎ นหนา๎ และดา๎ นขา๎ งของเวทีประดบั ไฟโดยรอบแตจํ ะเนน๎ ไฟสขี าวเพ่ือให๎เวทีสวาํ งและเห็นผลงานของผเู๎ ขา๎ แขงํ ขันไดช๎ ดั เจน

37 ตําแหนํงที่น่ังของผ๎ูวิจารณ๑อยํูในบริเวณที่จัดไว๎เฉพาะ บริเวณด๎านซ๎ายระดับเดียวกับเวทีมีเฉพาะเก๎าอ้ีนัง่ ไมมํ ีโตะ๏ ผ๎วู จิ ารณ๑นั่งบนเก๎าอ้ีสีขาวไมมํ ีพนักพิงและที่รองแขน ฉากของท้ังสามรายการเห็นได๎วํา ตําแหนํงของผ๎ูวิจารณ๑อยํูด๎านหน๎าใกล๎กับเวทีทําให๎เห็นการแขํงขันได๎อยํางชัดเจน และตําแหนํงการน่ังท่ีอยูํในบริเวณที่จัดไว๎เฉพาะ แยกออกจากผ๎ูชมโดยมฉี ากก้ันดา๎ นหลังเพื่อไมํให๎ผ๎ูชมเข๎ามาชิดหรือแอบดูการให๎คะแนนตัดสินซ่ึงอาจทําให๎เสียสมาธิในการวิจารณ๑ได๎ ผวู๎ จิ ารณ๑นงั่ อยใูํ นสถานที่ทเี่ กดิ ของเหตกุ ารณก๑ ารส่ือสารทําให๎เป็นสํวนหน่ึงของผู๎ชมที่จะรับชมผลงานการแสดงและเข๎าใจถึงอารมณ๑ความร๎ูสึกในการแขํงขัน จนสามารถแสดงความคิดเหน็ สะทอ๎ นขอ๎ ดขี ๎อเสยี ของการแสดงหรอื ผลงานท่ีเกิดข้ึนได๎อยาํ งชัดเจน ภาพรวมของฉากของทั้งสามรายการเห็นได๎วํา ฉากและสถานท่ีมีผลตํอรูปแบบการแขํงขันกลําวคือ รายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ ปีท่ี 6 และรายการเดอะสตาร๑ ปีที่ 6 จัดในห๎องบันทึกรายการหรอื สถานทจ่ี ดั งานแสดงคอนเสิร๑ตซึ่งมีพื้นที่กว๎างขวาง สํวนรายการเดอะดีไซน๑เนอร๑จะเน๎นฉากสขี าวและเวทีท่ีเรยี บงาํ ย เพือ่ ให๎ผลงานการออกแบบเสือ้ ผา๎ ทีน่ างแบบสวมใสสํ ะดดุ ตาและการจัดรายการอยํูบริเวณห๎างสรรพสนิ คา๎ ในเวลากลางวนั เพื่อให๎ผู๎คนท่ีผํานไปมาได๎เห็นและสามารถเข๎ามาน่งั ชมรายการไดง๎ ํายเหมาะกบั รูปแบบรายการท่ีเก่ียวกับการออกแบบเส้ือผ๎าเพราะห๎างสรรพสินค๎าเป็นสถานที่โชว๑เส้ือผ๎าชั้นนําตํางๆ และผ๎ูคนท่ีมาในห๎างสํวนใหญํมีความสนใจเรื่องเสื้อผ๎าเครื่ องแ ตํงก ายทํ าให๎ สาม ารถเข๎ ามา รํวม รับชมรา ยกา รกา รแ ส ดง ผลง านอ อกแ บบเ สื้อผ๎ าได๎ งํา ยซงึ่ ชวํ ยประชาสมั พันธร๑ ายการใหเ๎ ปน็ ที่ร๎จู ักเพิ่มขน้ึ หน๎าท่ีสําคญั ของการแบงํ พน้ื ทีใ่ นหอ๎ งบันทกึ รายการ ระหวํางผู๎เข๎าแขํงขัน ผ๎ูวิจารณ๑และผ๎ูชมบอกเป็นสํวนๆ กเ็ พอื่ บํงบอกตําแหนํงและหน๎าทข่ี องผรู๎ ํวมเหตกุ ารณก๑ ารสอ่ื สาร กลาํ วคอื การจัดแบํงพ้ืนท่ีอยํางเป็นสัดสํวนสัมพันธ๑กับการแบํงบทบาทการส่ือสารของผ๎ูรํวมเหตุการณ๑การสื่อสารในรายการทําให๎เห็นบทบาทหน๎าที่การสื่อสารในรายการได๎อยํางชัดเจน ผ๎ูเข๎าแขํงขันอยํูบนเวทีมีหน๎าท่ีประกวดรอ๎ งเพลง เตน๎ หรอื แสดงผลงานของตนเอง ผว๎ู จิ ารณอ๑ ยํูตําแหนงํ ทีน่ ง่ั พิเศษด๎านหนา๎ สดุของเวทมี ีหนา๎ ที่ใหค๎ ําวจิ ารณ๑ และผูช๎ มนง่ั อยํูบริเวณโดยรอบเวทกี ารแสดงทาํ หนา๎ ท่รี ับชมและสํงเสียงใหก๎ าํ ลงั ใจผู๎เขา๎ แขงํ ขัน เป็นตน๎ 3.1.1.2 ฉากของการรับชมรายการผํานการถาํ ยทอดสดทางโทรทัศน๑ นอกจากฉากของการวิจารณ๑ในห๎องบันทึกรายการแล๎ว ทั้งสามรายการยังมีฉากในการรบั ชมผํานการถาํ ยทอดภาพสํงไปยังผู๎ชมทางบ๎านที่ติดตามผํานเครื่องรับโทรทัศน๑ ทําให๎ผ๎ูชมทางบา๎ นเสมอื นมีสวํ นรวํ มรับรก๎ู ารสือ่ สารดว๎ ย ดงั นัน้ การรบั ชมรายการทางบา๎ นจงึ เป็นฉากหรอื พืน้ ท่ีท่ี

38เกิดการสื่อสาร การท่ีฉากในสํวนผู๎ชมท่ีติดตามรับชมผํานทางโทรทัศน๑น้ันทําให๎ขอบเขตของการส่อื สารของรายการสงํ ผํานไปไดไ๎ กลครอบคลุมทุกภมู ภิ าคในประเทศไทย การสื่อสารของผู๎วิจารณ๑จึงมิใชํเพยี งการกลําววิจารณ๑เพือ่ ให๎ผ๎ูฟังที่เป็นผู๎เข๎าแขํงขันหรือผู๎ชมในห๎องบันทึกรายการฟังเทํานั้นเพราะผู๎วิจารณ๑ยังต๎องคํานึงถึงผู๎ฟังที่เป็นผู๎ชมท่ีรับชมอยํูทั่วภูมิภาคในประเทศไทยด๎วย ทําให๎การวิจารณใ๑ นรายการเรียลลติ ีโ้ ชว๑นี้ เกิดขึน้ ในสังคมไทยและมีกรอบการปฏิสัมพันธ๑กํากับอยูํซ่ึงผู๎วิจัยจะไดก๎ ลาํ วในหัวข๎อบรรทัดฐานการปฏิสมั พนั ธ๑และการตีความ 3.1.1.3 ฉากความเป็นรายการเรยี ลลติ ีโ้ ชว๑ ฉากความเป็นรายการเรียลลิตี้โชว๑ของท้ังสามรายการพบวํา ความเป็นรายการเรียลลิต้ีโชว๑อาจมีผลตํอการใช๎ภาษาในการวิจารณ๑กลําวคือ รายการเรียลลิต้ีโชว๑เป็นรายการที่เปิดโอกาสและเนน๎ การให๎ผชู๎ มมสี วํ นรวํ มในรายการ ในกรณนี ้ที ่ผี ๎วู ิจัยศึกษารายการทงั้ สามเนน๎ ให๎ผช๎ู มทางบา๎ นรํวมติดตาม ให๎กําลังใจและโหวตใหค๎ ะแนนผู๎เข๎าแขํงขัน การใช๎ความไมํสุภาพก็มีสํวนกระต๎ุนให๎เกิดความสนใจจากผชู๎ ม อาทิ บางครั้งผู๎วิจารณ๑เลือกใช๎คําพูดที่รุนแรงและตรงไปตรงมากลําวตําหนิผเ๎ู ขา๎ แขํงขนั เพื่อเรยี กคะแนนความสงสารความเห็นใจจากผู๎ชม หรือสร๎างสีสันให๎แกํรายการเพราะความเป็นรายการเรียลลติ โี้ ชว๑ทําใหผ๎ วู๎ จิ ารณใ๑ นรายการรวู๎ ําตนเองเป็นสวํ นหนง่ึ ของรายการ นอกจากน้ีรายการเหลาํ นี้ต๎องการสรา๎ งความบันเทิงให๎แกํผู๎ชมดังนั้นการกลําววิจารณ๑แตํละคร้ังนอกจากกลําวข๎อดีข๎อเสียของผู๎เข๎าแขํงขันแล๎วผู๎วิจารณ๑อาจสร๎างบุคลิกภาพรวมถึงการใช๎ภาษาท่ีชํวยให๎การกลําววิจารณเ๑ กดิ ความสนกุ สนานใหผ๎ ช๎ู มเกิดความรู๎สึกอยากติดตามฟังคําวิจารณ๑ต้ังแตํต๎นจนจบและทาํ ใหร๎ ายการนําสนใจเพิ่มมากขึ้น 3.1.2 ผูร้ ่วมเหตกุ ารณ์ (Participants) ผู๎รํวมเหตุการณ๑ในรายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ (True Academy Fantasia) ปีที่ 6รายการเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาว (The Star) ปีที่ 6 และรายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ (The Designer)ปีท่ี 1 ประกอบดว๎ ย ผวู๎ ิจารณ๑ ผูเ๎ ข๎าแขํงขันซึ่งเป็นผ๎รู ับฟังคาํ วิจารณ๑โดยตรง พิธกี ร ผู๎ชมในห๎องบันทึกรายการและผ๎ชู มทางบ๎าน 1) ผ๎ูวิจารณ๑ คือ ผ๎ูเช่ียวชาญในอาชีพน้ันๆ ซ่ึงได๎รับเชิญจากทางรายการมาทําหน๎าท่ีให๎คําวิจารณ๑ เชํน การประกวดร๎องเพลง ผู๎วิจารณ๑เป็นอดีตนักร๎องที่มีชื่อเสียงหรือนักแตํงเพลงมอื อาชีพ บางสัปดาห๑ผเ๎ู ข๎าแขงํ ขันแสดงละคร ทางรายการเชิญผู๎วิจารณ๑ท่ีเป็นผู๎กํากับหรือผ๎ูจัดมาให๎คาํ วิจารณด๑ ๎วย เชํน รายการทรูอะคาเดมแี ฟนเทเชยี ร๑ สัปดาห๑ที่ 11 เชิญ ตอ๎ -มารุต สาโรวาท ผ๎กู ํากบั

39ละครทางชํอง 3 มาเป็นผ๎ูวิจารณ๑ และในรายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ได๎เชิญผ๎ูเช่ียวชาญในเรื่องเส้ือผ๎าซึ่งเป็นดีไซน๑เนอร๑ชั้นนําในประเทศไทยและมีแบรนด๑เสื้อผ๎าท่ีมีชื่อเสียง เชํน การแขํงขันออกแบบชุดช้ันในสตรี ทางรายการเชิญ บี-อลิน สุวรรณตระกูล นักออกแบบชุดช้ันในสตรีมืออาชีพ มารํวมวจิ ารณผ๑ ลงานของผู๎เข๎าแขงํ ขนั รายการทรูอะคาเดมแี ฟนเทเชียร๑ ปีที่ 6 มีผูว๎ ิจารณ๑ ดงั น้ี ป๋งั -ประกาศติ โบสุวรรณ ต๊ิด-โสฬสปณุ กะบุตร ไกํ-สุธรี ๑ แสงเสรีชน เอก-อภสิ ิทธ๑ พงษ๑ชัยสิริกุล ฟอร๑ด-สบชัย ไกรยูรเสน ต๊ิกชีโรํ-ศิริศักด์ินันทเสน หนํุม-ศรราม เทพพิทักษ๑ ต๎อ-มารตุ สาโรวาท โดยสับเปลยี่ นกันมาสปั ดาหล๑ ะ 3 คน รายการเดอะสตาร๑ ปีท่ี 6 มีผู๎วิจารณ๑ ดังนี้ เพชร มาร๑ ม๎า-อรนภา กฤษฎี โจ๎-สุธีศักด์ิ ภักดีเทวา ทั้ง 3 คน เปน็ ผวู๎ ิจารณ๑ประจํา รายการเดอะดไี ซน๑เนอร๑ มีผว๎ู ิจารณ๑ ดงั นี้ จ๐อม-ศริ ชิ ัย ทหรานนท๑ พล-พลพัฒน๑ อัศวะประภาอาร๑ท-อารยา อินทรา เคท-เนตรปรียา ชุมไชโย ออม-ดิษยา สรไกรกิติกุล ต๎ุม-เมตตา สันติสัจธรรมชํา-มาซํา วัฒนพานิช บี-อลิน สุวรรณตระกูล ลูกเกต-เมทนี ก่ิงโพยม ฟอร๑ด-กุลวิทย๑ เลาสุขศรีล่ี-ชนิตา ปรชี าวทิ ยากุล รอง-จิตต๑สงิ ค๑ สมบญุ แตลํ ะสัปดาห๑มจี าํ นวนผ๎วู จิ ารณ๑ ไมํแนนํ อนเพราะมีแขกรับเชญิ ซ่งึ เป็นผู๎เชี่ยวชาญเฉพาะด๎านของการแขํงขนั ในสปั ดาหน๑ ัน้ ๆ มารํวมกลําววจิ ารณด๑ ว๎ ย นอกจากการเป็นผ๎ูเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพที่เก่ียวข๎องกับการประกวดแขํงขันแล๎ว ผ๎ูวิจัยพบ วํ าบุ คลิก ภาพ ร วม ถึ ง ลี ล าภาษาเ ฉพ าะ ตัวของ ผู๎ วิ จ ารณ๑ แ ตํล ะ คนก็ มี สํ วนสํ าคั ญ ในก าร ส ร๎ างความสนุกสนานและจุดสนใจให๎แกรํ ายการ เชํน มา๎ -อรนภา กฤษฏี นักวิจารณ๑ในรายการเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาวมีบุคลิกภาพเป็นคนเปิดเผย พูดตรงไปตรงมา ซึ่งบางครั้งอาจพูดส่ือไปในทางสองแงํสองงาํ มกับผู๎เข๎าแขํงขนั ผ๎ชู าย ผ๎ูวิจัยเห็นวําการท่ี ม๎า-อรนภา กฤษฏี สามารถพูดเชํนนี้ในรายการได๎เพราะด๎วยบุคลกิ ลักษณะเฉพาะตวั เอ้อื ใหก๎ ารพูดท่สี ือ่ ไปในเรื่องเพศกับผ๎ูเข๎าแขํงขันซ่ึงเป็นผ๎ูชายเป็นสิ่งที่สรา๎ งความสนุกสนานใหแ๎ กผํ ๎ูชมได๎ เมื่อเทียบกับการกลําวในลักษณะเชํนเดียวกันน้ี ในกรณีของผ๎ูวิจารณ๑ที่เป็นผ๎ูหญิงซ่ึงอาจทําให๎มองวําเป็นการพูดที่ไมํเหมาะสม นอกจากน้ี ป๋ัง-ประกาศิตโบสุวรรณ ผว๎ู ิจารณ๑รายการทรูอะคาเดมแี ฟนเทเชียรก๑ ็มกั จะกลาํ ววิจารณ๑ท่ีจะแทรกปนการพดู สองแงํสองงาํ มหรือพูดหยอกเลนํ ผเ๎ู ขา๎ แขํงขันทเ่ี ปน็ ผูห๎ ญิงในรายการซึ่งอาจเป็นเพราะบุคลิกเฉพาะตัวหรือเป็นภาพลักษณ๑ของผว๎ู จิ ารณ๑คนน้ี จากตวั อยํางขา๎ งต๎นทําให๎เห็นวาํ ผ๎ูวิจารณ๑ในรายการเรียลลิตี้โชว๑ที่ทางรายการเลือกทําหนา๎ ท่ีวิจารณ๑ในรายการ นอกจากจะมีความสามารถในด๎านตํางๆ แลว๎ คนเหลํานี้อาจมีบคุ ลิกเฉพาะตวั บางอยํางในการวิจารณ๑ให๎ผูช๎ มเกิดความรสู๎ ึกทําใหร๎ ายการมีสีสันความนําสนใจ 2) ผู๎เข๎าแขํงขัน เป็น ผ๎ูรับฟังคําวิจารณ๑โดยตรงผ๎ูเข๎าแขํงขันในรายการเรียลลิตี้โชว๑ท้ังสามรายการเป็นบุคคลทที่ างรายการเลอื กเข๎ามารวํ มประกวดและฝกึ ฝนพัฒนาทักษะความสามารถตํางๆรายการ ทรอู ะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ ปีท่ี 6 รายการและเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาว ปีที่ 6 เป็นรายการ

40ประกวดร๎องเพลง ผู๎เข๎าแขํงขันมีหมายเลขประจําตัวเพ่ือให๎ผ๎ูชมทางบ๎านสํงคะแนนโหวต คนที่มีคะแนนน๎อยสุดในแตํละสัปดาห๑จะไมํผํานเข๎ารอบ เมื่อถึงสัปดาห๑สุดท๎ายจะมีการโหวตรอบสุดท๎ายผูท๎ ่ีไดค๎ ะแนนมากท่สี ุดเปน็ ผชู๎ นะ สํวนรายการเดอะดีไซน๑เนอร๑ ปที ่ี 1 เป็นรายการแขํงออกแบบเสอื้ ผา๎ผู๎เข๎าแขํงขันจะจับสลากแบํงทีม มี 2 ทีม คือ ทีมสกูด้ี (skudy) และทีมเฟมเฟม (fame fame)ซึ่งแตํละทีมมาแขํงขันกัน และสัปดาห๑สุดท๎ายจะแขํงเป็นรายบุคคลซึ่งคณะกรรมการเป็นผ๎ตู ัดสนิ หาผู๎ชนะ รายการทรูอะคาเดมีแฟนเทเชียร๑ ปีท่ี 6 มีผ๎ูเข๎าแขํงขันดังน้ี V1 อิช๑ค-กัลยทรรศน๑ ชูวงษ๑V2 อ๏อฟ-ชาญณรงค๑ หอมชดิ V3 กุญแจซอล-ปานทอง บุญทอง V4 นิวตี้-นิธินันท๑ ฉายัษเฐียร V5ที-ทีป์ชลิต พรหมชนะ V6 ซานิ-นิภาภรณ๑ ฐิติธนาการ V7 กฤษ-กฤษมงคล ศิลป V8 แม็ค-วีรดนย๑หวังเจริญ V9 นุกนิก-นันท๑สินี นามวงค๑ V10 แอน-ศิริพรรณ นําเจริญสมบัติ V11 แท็บบ้ี-รฐาโกลิลานนท๑ V12 อิชย-๑ อชิ ย๑ ศรีวอํ งไทย รายการเดอะสตาร๑ค๎นฟ้าคว๎าดาว ปีที่ 6 มผี ๎เู ขา๎ แขํงขันดังนี้ หมายเลข 1 ลูกเกด-จิณภัคเปยี กลนิ่ หมายเลข 2 ไอซ๑-ณฐั ภชั ร๑ ธนนนท๑กติ ยิ ศ หมายเลข 3 กัน-ณภัทร อินทรใจเอื้อ หมายเลข4 เกํง-วาโย อศั วรงํุ เรอื ง หมายเลข 5 เซน-ปฏิภาณ หลอํ เสถียร หมายเลข 6 โตโน-ํ ภาคิน คาํ วลิ ยั ศักดิ์หมายเลข 7 เกรช-นวกชมณ ช่ืนครองธรรม หมายเลข 8 ริท-เรืองฤทธิ์ ศิรพิ านิชย๑ รายการเดอะดีไซนเ๑ นอร๑ ปีท่ี 1 มีผู๎เข๎าแขงํ ขนั ดังน้ี ทมี สกูด้ี (skudy) คือ อั๋น-วราวุฒิ วิศพันธุเกียรต-ิ เกียรติ เจรญิ พานิชย๑ สุยํ -อภิสรา สารคุณประดษิ ฐ๑ ด๏ุกดิ๊ก-วรรณกร อุํนวิเศษ หยินม่ี-นภัสณเพชร สนณณ๑ กติ ตน๑กุล ทีมเฟมเฟม (fame fame) วัช-วัชรดล อริยเมทกุล แบงค๑-สุทร เศรษฐมังกรแมนด-ี้ ชนะพล เล็กประเสรฐิ เบยี ร๑-เฉลมิ อนิ ทลักษณ๑ มิวสิค-พทิ วสั จันทศร 3) พธิ กี ร คือ ผท๎ู ที่ าํ หนา๎ ที่ดาํ เนินรายการหลกั เป็นผอู๎ นุญาตใหผ๎ ว๎ู ิจารณม๑ ีสทิ ธ์พิ ูดในแตํละชวํ งของรายการและทําหน๎าที่สัมภาษณ๑ความร๎ูสึกของผ๎ูเข๎าแขํงขันกํอนและหลังแขํงขัน ตลอดจนเชญิ กลาํ วคําวิจารณเ๑ ม่ือผู๎เขา๎ แขงํ ขนั ร๎องเพลงจบ รายการทรอู ะคาเดมแี ฟนเทเชยี ร๑ ปีที่ 6 พธิ ีกร คอื ต๎อย-เศรษฐา ศิระฉายา รายการเดอะสตาร๑ ค๎นฟา้ ควา๎ ดาว ปที ่ี 6 มีพธิ กี ร 2 คน คือ แฟรง๎ ค๑-ภคชนก๑ โวออํ นศรีเอก-เอกชัย เออ้ื สงั คมเศรษฐ๑ รายการเดอะดไี ซน๑เนอร๑ ปที ี่ 1 พิธกี ร คือ ซินดี้-สริ ินยา วนิ ศิริ 4) ผู๎ชมในห๎องบันทึกรายการ คือ ผู๎ท่ีเข๎ารํวมรับชมการแขํงขันอยํูในห๎องบันทึกรายการสํวนใหญํจะเป็นบุคคลท่ัวไปที่สนใจผ๎ูเข๎าแขํงขันและมารํวมรับชมการแขํงขัน บางกลุํมรวมกันเป็น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook