การศึกษาคนควาอิสระ การศึกษาวัจนกรรมการตําหนิในกลมุ ตัวอยาง นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรA STUDY OF SPEECH ACTS OF COMPLAINT OF EXAMPLE GROUP STUDENTS IN KASETSART UNIVERSITY นางสาวณิชาภา เครอื เอม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร พ.ศ. 2552
ใบรบั รองการศกึ ษาคน ควา อสิ ระบัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ภาษาศาสตรประยุกต) ปรญิ ญาภาษาศาสตรประยุกต ภาษาศาสตร สาขา ภาควิชาเรื่อง การศกึ ษาวจั นกรรมการตาํ หนใิ นกลมุ ตวั อยา งนสิ ติ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร A study of speech acts of complaint of example group students in Kasetsart University.นามผวู ิจยั นางสาวณิชาภา เครือเอมไดพิจารณาเห็นชอบโดย ( รองศาสตราจารยวิภากร วงศไทย, M.A. ) ( อาจารยป นนั ดา เลอเลิศยุติธรรม,Ph.D. )อาจารยท่ีปรกึ ษาการศกึ ษา ( รองศาสตรจารยก ิตมิ า อินทรัมพรรย. Ph.D. )คน ควา อิสระหลักอาจารยทปี่ รึกษาการศกึ ษาคนควาอิสระรว ม หวั หนา ภาควชิ า วันที่ เดือน พ.ศ.ภาควชิ าภาษาศาสตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตรร บั รองแลว
การศึกษาคนควาอิสระ เรอ่ื ง การศึกษาวัจนกรรมการตําหนิในกลุมตัวอยางนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรA Study of Speech Acts of complaint of example Group Students in Kasetsart University โดย นางสาวณิชาภา เครือเอม เสนอ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร เพื่อความสมบูรณแหงปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ภาษาศาสตรประยุกต) พ.ศ. 2552
ณชิ าภา เครอื เอม 2552: การศกึ ษาวจั นกรรมการตาํ หนใิ นกลมุ ตวั อยางนสิ ิตมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (ภาษาศาสตรป ระยกุ ต) สาขาวชิ าภาษาศาสตรป ระยกุ ต ภาควชิ าภาษาศาสตร อาจารยท ป่ี รกึ ษาการศกึ ษาคน ควา อสิ ระหลกั :รองศาสตราจารยว ภิ ากร วงศไ ทย 118 หนา การวจิ ยั ครง้ั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ พอ่ื ศกึ ษา 1. ศกึ ษากลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนแิ ละหาความถ่ขี องแตล ะกลวธิ ี 2. ศกึ ษากลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนใิ นกลมุ ตวั อยา งตามสถานภาพของผูพ ดู และผูฟง 3. ศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการแสดงวจั นกรรมการตําหนใิ นกลมุ ตวั อยา งเพศชายและเพศหญิง 4. ศึกษาเปรียบเทยี บกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตําหนิในกลมุ ตัวอยางเพศชายและเพศหญงิ ตามสถานภาพของผพู ูดและผฟู ง กลมุ ตวั อยางคอื นสิ ติ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร ท่มี อี ายุ 20-25 ป จาํ นวน 40 คน แบง เปน เพศชาย 20 คน เพศหญิง 20 คน เคร่อื งมือท่ีใชใ นงานวิจยั ครง้ั นีเ้ ปนแบบสอบถามที่สรา งข้นึ จากสถานการณส มมตุ โิ ดยมคี าํ บรรยายสถานการณท่เี กิดข้นึ ระหวา งผตู าํ หนิและผูถกู ตําหนิเพื่อใหกลมุ ตัวอยางเขียนตอบ โดยผวู จิ ยั ดัดแปลงมาจากแบบสอบถามที่เรียกวาDiscourse Completion Test (DCT) จากผลการวจิ ยั พบวา 1). พบวจั นกรรมการตําหนิท้ังหมด 4 กลวธิ ใี หญ 9 กลวิธียอย ซึง่ กลวธิ กี ารกลาวหาผกู ระทาํ ผดิ เปนกลวธิ ีทพี่ บมากท่สี ุด คดิ เปน 47.89 % 2). พบวา เม่อื ผพู ดู มีสถานภาพสูงกวา ผูฟงจะพบวาผูพดู เลอื กใชกลวิธีการกลาวตาํ หนผิ กู ระทาํ ผิดมากทส่ี ดุ คิดเปน 39.58% 3). พบวา ในการเปรยี บเทยี บกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนใิ นเพศชายและเพศหญงิ พบวา เพศหญงิ เลอื กใชกลวธิ ีการแสดงวจั นกรรมการตาํ หนทิ ม่ี ีระดับความรนุ แรงนอยกวา เพศชาย โดยเพศหญงิ เลอื กใชกลวธิ ีท่ี 2 กลวิธีการกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรอื ไมเห็นดว ย คดิ เปน 25 % ในขณะทเ่ี พศชายเลอื กใชกลวธิ นี ี้ 18.54%และกลวิธีที่ 4 กลวธิ กี ารกลา วตําหนิผูกระทาํ ผิดเพศชายจะเลอื กใชก ลวิธนี ้สี งูกวา เพศหญงิ 4). พบวา ในกรณีทผ่ี พู ดู และผฟู ง มีสถานภาพเทา กนั และผูพูดมีสถานภาพต่ํากวาผฟู งกลวิธีการกลาวหาผกู ระทําผิดเปนกลวิธที ี่กลมุ ตัวอยา งเลือกใชมากท่ีสุดทั้งเพศชายและเพศหญงิ สว นในสถานการณท ่ีผูพ ูดมสี ถานภาพสงู กวาผฟู ง เพศชายเลือกใชก ลวธิ กี ารกลาวตาํ หนิผูกระทาํ ผดิ มากกวาเพศหญิงลายมอื ชอื่ นิสิต / / ลายมอื ชอื่ อาจารยท ี่ปรึกษาการศึกษาคนควาอิสระหลกั
Nichapa Khruea-em 2009: A study speech acts of complaint of example groupstudents in Kasetsart University. Master of Arts (Applied Linguistics), Major Field: AppliedLinguistics, Department of Linguistics. Independent Study advisor:Associated Prof. Wipakorn Wongthai, M.A. 118 pages. The present research aimed to study 1) strategies in identifying speech acts of complaintand to find a frequency of identifying each strategy. 2) strategies in identifying complain speech actsof example group according to speakers’ and listeners’ status. 3) a comparison of strategies inidentifying speech acts of complaint of a male and a female example group. 4) a comparison instrategies in identifying speech acts of complaint of a male and a female example group according tospeakers’ and listeners’ status. Material and data for this research work were collected from 40students in Kasetsart University between ages 20-25 years old which divided into 20 persons for amale example group and another 20 persons for a female example group. The equipment used in theresearch work was a questionnaire created from supposed situations by descriptive situations thatoccurred between those who complained and those who were complained in order to get examplegroups answer questionnaires from assigned situations which were applied from a Discoursecompletion Test (DCT) questionnaires. The research work resulted as follow- 1) complain speech acts that appeared in theresearch work were totally divided into 4 principal strategies and 9 minor strategies. The thirdstrategy which was a speech act of complaining an accusations strategy was found most for 47.89%of frequency. 2) as speakers had higher status than those who were listeners, they chose to use thefourth strategy is blaming strategy in the biggest amount for 39.58% of frequency. 3) to study acomparison of strategies in identifying complain speech acts in male and female persons was foundthat female persons chose to use complain speech act in a less aggressive level than male personsdid. This explained the way female persons used the second strategy is an expression of annoyanceor disapproval for 25% of frequency while male persons used the this strategy for 18.54% offrequency. A study was found that male persons used the fourth strategy is blaming strategy in ahigher level than female. 4) a study was found that in case of both speakers and listeners had equalstatus and speakers had lower status that listeners, a strategy of accusations was used most by bothmale and female persons. As for the situation identified that speaker had higher situation thanlisteners males persons used the blaming strategy than female persons did.Student’s signature Independent study Advisor’s signature //
กติ ตกิ รรมประกาศ การศึกษาคน ควาอสิ ระฉบับนส้ี ําเร็จลุลว งไปดว ยดี ผวู จิ ัยขอกราบขอบพระคุณทา นประธานกรรมการที่ปรึกษารองศาสตราจารยวิภากร วงศไทยและกรรมการที่ปรึกษารวม อาจารย ดร.ปนนั ดาเลอเลิศยุตธิ รรม ที่ทา นไดใ หความกรณุ าพรอมทง้ั ชแี้ นะขอ บกพรองและใหค ําแนะนาํ ท่เี ปน ประโยชนตลอดระยะเวลาในการศึกษาคนควา จนทําใหใหงานวจิ ัยชิน้ นี้มคี วามสมบรณู ย ิ่งขึ้น ผวู จิ ัยขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย ดร. กิติมา อนิ ทรัมพรรย หัวหนา ภาควิชาภาษาศาสตร และทานคณาจารยภาควิชาภาษาศาสตรทุก ๆ ทานที่ไดประสิทธิ์ประสาทวิชาความรูทางภาษาศาสตรใหแกผูวิจัยรวมทั้งโอกาสในการเขามาศึกษาในคณะมนุษยศาสตร ภาควิชาภาษาศาสตรประยุกต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรแหงนี้ขอกราบขอขอบพระคุณ บดิ าและมารดา ผูท เี่ ปน กาํ ลงั ใจสําคัญท่ไี ดช ว ยเหลือและสนบั สนุนผูวจิ ยั เสมอมา และขอกราบขอบพระคณุ คุณยา รวมถึงญาตพิ ีน่ องและเพอ่ื นทุก ๆ คน ทใ่ี หความสนับสนนุ และขอขอบคุณ เพ่ือน ๆ ภาควชิ าภาษาศาสตรทกุ คน ท่ีรว มกันเปน กําลงั ใหกนั และกันในการเรียนและการทํางานวิจัยรวมทั้งการแลกเปลี่ยนความคิดที่เปนประโยชนตองานวิจัย อีกทั้งชวยเหลือและสนับสนุนอีกทั้งคอยใหคําปรึกษาที่เปนประโยชนตลอดระยะเวลาที่ศึกษาในภาควิชาภาษาศาสตร สุดทา ยน้ีผูว ิจยั ขอขอบพระคุณ กลุมตัวอยางทุกทานที่กรุณาเสยี สละเวลาเพ่ือใหขอ มลู ท่มี คี าและทําใหการศึกษาคนควาอิสระชิ้นนี้มีความสมบรูณ ณิชาภา เครือเอม พฤษภาคม 2552
สารบัญ (1) หนา (3)สารบัญตาราง (5)สารบัญแผนภูมิ 1 4บทที่ 1 บทนํา 4 ความเปนมาและความสาํ คัญของปญ หา 4 5 วัตถุประสงคก ารวิจยั 5 สมมตุ ฐิ านการวจิ ยั 5 ขอบเขตของการวิจัย แนวคดิ ท่ใี ชเปนพื้นฐานในการวิจยั 6 ประโยชนท ีค่ าดวาจะไดรบั 9 นยิ ามศัพท 15บทที่ 2 การตรวจเอกสาร 17 แนวคดิ เรอ่ื งวจั นกรรม แนวคดิ เรอ่ื งวัจนกรรมการตาํ หนิ 22 ทฤษฎเี รอ่ื งหนา ของผูพูดผูฟง และความสุภาพ 26 งานวิจัยทีเ่ กี่ยวขอ ง 28บทที่ 3 วธิ ีการวิจัย วิธกี ารเก็บขอมลู 31 วิธกี ารจดั ระเบียบขอ มูล 83 วิธกี ารวเิ คราะหขอ มลูบทที่ 4 ผลการวิจยั และขอวิจารณ ผลการวิจยั ขอวจิ ารณ
สารบัญ (ตอ ) (2)บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ยั และขอ เสนอแนะ หนาสรปุ ผลการวจิ ยั ขอ เสนอแนะ 86 89เอกสารและสง่ิ อา งองิ 90 92ภาคผนวก 93 ภาคผนวก ก แบบสอบถามที่ใชในงานวิจัย 98 118 ภาคผนวก ข ขอมูลจากการตอบแบบสอบถามประวัติการศึกษาและการทํางาน
สารบัญตาราง (3) หนา 43 44ตารางที่ 46 47 1 กลวธิ ีแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิและลักษณะสาํ คัญท่พี บ 49 2 ความถี่ในการปรากฏของกลวิธีแสดงวัจนกรรมการตําหนิ 50 3 แสดงความถี่การปรากฏของกลวิธีที่ 2 52 4 แสดงความถี่การปรากฏของกลวิธีที่ 3 54 5 แสดงความถี่การปรากฏของกลวิธีที่ 4 56 6 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ 58 60 ในสถานการณท ่ผี ูพ ดู กบั ผฟู ง มสี ถานภาพเทากนั 62 7 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ 64 66 ในสถานการณท ่ีผูพ ูดกับผฟู งมสี ถานภาพเทา กนั และมีความสนทิ สนมกนั 8 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ในสถานการณท ีผ่ พู ดู กับผูฟง มสี ถานภาพเทากันและไมม ีความสนทิ สนมกัน 9 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ในสถานการณที่ผพู ูดมีสถานภาพตา่ํ กวา กบั ผูฟง 10 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ในสถานการณท่ีผพู ูดมีสถานภาพตาํ่ กวา ผูฟ งและมคี วามสนทิ สนมกัน 11 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ในสถานการณที่ผพู ูดมสี ถานภาพตํา่ กวาผฟู ง และไมม ีความสนิทสนมกัน 12 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ในสถานการณที่ผูพดู มสี ถานภาพสูงกวา ผูฟง 13 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ในสถานการณท ผี่ ูพดู มสี ถานภาพสูงกวา ผูฟ ง และมคี วามสนิทสนมกนั 14 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ในสถานการณท ่ีผูพูดมสี ถานภาพสูงกวาผฟู ง และไมม ีความสนิทสนมกัน
สารบัญตาราง (ตอ ) (4) หนา 72 74ตารางที่ 77 79 15 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ 81 ในกลมุ ตวั อยางผพู ูดเพศชาย 16 แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ในกลมุ ตัวอยางผูพ ูดเพศหญงิ 17 การเปรียบเทียบความถี่ในการปรากฏของกลวิธีแสดงวัจนกรรม การตําหนิในสถานการณท ผี่ พู ูดกับผฟู ง มีสถานภาพเทา กัน ในกลุมตัวอยางเพศชายและเพศหญิง 18 การเปรียบเทียบความถี่ในการปรากฏของกลวิธีแสดงวัจนกรรม การตําหนิในสถานการณทีผ่ ูพดู มีสถานภาพตํ่ากวาผฟู ง ในกลุมตัวอยางเพศชายและเพศหญิง 19 การเปรียบเทียบความถี่ในการปรากฏของกลวิธีแสดงวัจนกรรม การตําหนิในสถานการณท ่ผี ูพ ูดมสี ถานภาพสงู กวาผูฟ ง ในกลุมตัวอยางเพศชายและเพศหญิง
สารบญั แผนภมู ิ (5) หนา 42 45แผนภมู ิที่ 46 48 1 กลวธิ แี สดงวจั นกรรมการตาํ หนิ 49 2 แผนภูมิแทงแสดงการปรากฏของกลวิธีแสดงวัจนกรรมการตําหนิ 51 3 แผนภูมิแทงแสดงการปรากฏของกลวิธีที่ 2 53 4 แผนภูมิแทงแสดงการปรากฏของกลวิธีที่ 3 5 แผนภูมิแทงแสดงการปรากฏของกลวิธีที่ 4 55 6 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม 57 การตาํ หนิในสถานการณท ผี่ ูพูดกบั ผฟู ง มีสถานภาพเทา กัน 59 7 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม 61 การตาํ หนิในสถานการณท่ีผพู ูดกับผฟู ง มีสถานภาพเทา กนั และมีความสนิทสนมกัน 63 8 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม การตาํ หนิในสถานการณท ผี่ พู ดู กับผฟู งมสี ถานภาพเทากนั และไมมีความสนิทสนมกัน 9 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม การตําหนิในสถานการณท่ีผพู ูดมีสถานภาพต่ํากวากบั ผฟู ง 10 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม การตาํ หนใิ นสถานการณท ่ผี พู ูดมสี ถานภาพตา่ํ กวาผฟู ง และมีความสนิทสนมกัน 11 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม การตาํ หนใิ นสถานการณทผี่ พู ูดมีสถานภาพต่ํากวาผฟู ง และไมมีความสนิทสนมกัน 12 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม การตําหนิในสถานการณทีผ่ ูพูดมีสถานภาพสงู กวาผฟู ง
สารบญั แผนภมู ิ (ตอ ) (6) หนา 65 67แผนภมู ิที่ 68 6913 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม 70 การตําหนใิ นสถานการณทผี่ ูพ ดู มีสถานภาพสูงกวาผฟู ง 71 และมีความสนิทสนมกัน 73 7614 แผนภมู แิ ทง แสดงจาํ นวนการปรากฏของกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรม 78 การตําหนิในสถานการณทผี่ พู ดู มีสถานภาพสงู กวา ผูฟง และไมมีความสนิทสนมกัน15 แผนภูมิแทงแสดงการเปรียบเทียบจํานวนการปรากฏของวัจนกรรม การตาํ หนิในสถานการณทีผ่ ูพูดและผูฟ ง มีสถานภาพแตกตางกนั16 แผนภูมิแทงแสดงการเปรียบเทียบการใชกลวิธีการแสดงวัจนกรรม การตําหนิของผูที่มีความสนิทสนมกันและไมสนิทสนมกัน ในสถานการณท ผ่ี พู ูดมีสถานภาพเทากันกับผูฟง17 แผนภูมิแทงแสดงการเปรียบเทียบการใชกลวิธีการแสดงวัจนกรรม การตําหนิของผูที่มีความสนิทสนมกันและไมสนิทสนมกัน ในสถานการณท ่ีผูพ ดู มสี ถานภาพต่าํ กวาผฟู ง18 แผนภูมิแทงแสดงการเปรียบเทียบการใชกลวิธีการแสดงวัจนกรรม การตําหนิของผูที่มีความสนิทสนมกันและไมสนิทสนมกัน ในสถานการณทผ่ี ูพูดมสี ถานภาพสงู กวาผูฟ ง19 แผนภูมิแทงแสดงจํานวนการปรากฏของกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการ ตาํ หนิในกลุม ตัวอยา งผูพูดเพศชาย20 แผนภูมิแทงแสดงจํานวนการปรากฏของกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการ ตําหนิในกลุมตวั อยา งผพู ดู เพศหญิง21 แผนภูมิแทงแสดงการเปรียบเทียบจํานวนการปรากฏของวัจนกรรมการ ตาํ หนิในกลุมตัวอยางผพู ดู เพศชายและเพศหญิง
สารบญั แผนภูมิ (ตอ ) (7) หนา 78 80แผนภมู ิที่ 8222 แผนภูมิแทงแสดงการเปรียบเทียบจํานวนการปรากฏของ กลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนติ าํ หนใิ นสถานการณ ทผี่ พู ดู กับผูฟงมสี ถานภาพเทา กันในกลมุ ตัวอยาง เพศชายและเพศหญิง23 แผนภูมิแทงแสดงการเปรียบเทียบจํานวนการปรากฏของ กลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนติ าํ หนใิ นสถานการณ ทผ่ี พู ดู มสี ถานภาพตาํ่ กวา ผูฟ งในกลมุ ตัวอยาง เพศชายและเพศหญิง24 แผนภูมิแทงแสดงการเปรียบเทียบจํานวนการปรากฏของ กลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนติ าํ หนใิ นสถานการณ ที่ผูพดู มสี ถานภาพสงู กวาผฟู งในกลมุ ตัวอยา ง เพศชายและเพศหญิง
บทท่1ี บทนาํ ความเปนมาและความสําคัญของปญหา ภาษาเปนสื่อกลางทม่ี นุษยใ ชตดิ ตอ ส่อื สารกันในชวี ิตประจําวนั และยงั เปน เครอื่ งมือในการบอกเลาถงึ ความรสู ึกนึกคดิ ระหวางผพู ดู และผฟู ง ในการทําใหเ กดิ ความเขา ใจที่ตรงตามวตั ถปุ ระสงคของผูพ ดู และเพือ่ ใหเกดิ ความสัมพันธอันดตี อกัน อกี ทงั้ ภาษาจดั วา เปนการสอ่ื สารทม่ี รี ะบบ เปนสื่อกลางในการแสดงออกเชิงความคิดของมนุษย ดังคํากลาวของ อุดม วโรตมสกิ ขดิตถ(2537) ทก่ี ลาววาภาษาเปนเครื่องมือประจําวันที่มนุษยตองพึ่งพา เปนสถาบันทางสังคมซึ่งหมายถึงวา เปนที่ยอมรับในกลุมคนทใี่ ชภาษาเดียวกัน เปนวัฒนธรรมที่กลมุ ชนน้นั ภาคภูมใิ จเพราะมีภาษาเปน ของตนเองใช และเปนสวนบงชีส้ ําหรับผพู ดู ภาษาเดยี วกันวาชมุ ชนเหลานั้นมภี าษาใชเปน ของตนเอง เหตเุ พราะมนษุ ยไมอาจดํารงชวี ิตอยูโดยลาํ พังได จาํ เปน ตองพึ่งพาอาศยั ซ่ึงกันและกนั มนุษยจึงตองมีการส่อื สาร เพ่อื สงความคิดและความรสู ึกซ่ึงสิ่งนเี้ รียกวา “สาร” การสอื่ สารจึงหมายถงึ กระบวนการที่มนษุ ยเช่ือมโยงความนึกคิดและความรูส กึ ใหถ ึงกัน เม่อื พูดถึงภาษาเรากม็ กั จะนกึ ถึงการสื่อสาร เพราะสองสง่ิ น้ีเปน ส่งิที่อยูคกู นั ซงึ่ โอภส แกวจาํ ปา (2547)ไดก ลา ววา ในการสอ่ื สารในชวี ติ ประจาํ วนั นน้ั หากจาํ แนกตามภาษาที่ใช แบง เปน 2 ลักษณะ กลา วคือ การส่อื สารโดยวัจนภาษา(Verbal Communication) หมายถึงการสอ่ื สารทใ่ี ชภ าษาถอยคํา ไดแ ก การพดู และการเขยี น และการส่อื สารโดยใชอวัจนภาษา (NonVerbal Communication) หมายถึงการสื่อสารที่ไมตองอาศัยภาษาที่เปนถอยคําไดแก การใชทาทาง สีหนา หรือแมก ระทั่งดวงตา สงิ่ เหลา นีน้ บั เปนการสือ่ สารทง้ั ส้ิน ซ่งึ สง่ิ ที่ผูว ิจยั สนใจศึกษาเปน การส่ือสารโดยวจั นภาษาในการพดู สว นในทางวัจนปฏิบัติศาสตร( Pragmatics) นั้นการพูดสามารถมีไดหลายรูปแบบ ดงั เชน George Yule(1996)ไดก ลา วไวว า Pragmatics หรือ วัจนปฏิบตั ิศาสตรเปนการศกึ ษาเกีย่ วกับความสัมพนั ธระหวางรปู ประโยคและตวั ผูพดู หมายถงึ การวิเคราะหไปถึงความรสู กึ นึกคดิ และความตั้งใจหรือเจตนาของผูพูดในการที่จะสื่อความหมายไปถึงผูฟง ซง่ึ ในการแสดงวจั นกรรมนน้ั เราสามารถมีไดหลากหลายรูปแบบ เชน วัจนกรรมการขอโทษ การขอบคุณ การเชิญ การสัญญา หรือการขอรอง และในการแสดงวัจนกรรมในแตละวัจนกรรมนั้นเราสามารถแปลความหมายไดหลายแบบ ซึ่งจะขึ้นอยูก ับเจตนาของผพู ดู นอกจากนีใ้ นการแสดงวัจนกรรมหนึ่ง ๆ น้นั ก็สามารถมีไดห ลายรปู แบบ
2ดงั เชน Thomas Jenny (1995 ) ยกตัวอยางไววาในการแสดงวัจนกรรมการขอรอง (speech act ofrequesting) ก็สามารถที่จะขอรองไดในหลากหลายรูปแบบ ดังนี้ Shut the door! Could you shut the door? Did you forget the door? Put the wood in the hold. What do big boys do when they come into a room, Johnny? จากรูปแบบประโยคขา งตน จะเห็นไดวา แมเพียงวัจนกรรมเดยี วกนั น้ันผูพ ูดกส็ ามารถกลา วไดมากมายหลายกลวิธีและมีรูปแบบประโยคที่หลากหลาย ซงึ่ ในแตล ะวจั นกรรมนนั้ จะมีกลวธิ ีในการแสดงวัจนกรรมไดหลากหลายรูปแบบแตกตางกันออกไป ยกตัวอยางเชน จากทฤษฏีของ Janet Holmes(อางในทศั นีย เมฆถาวรวฒั นา, 2541) กลาววา การแสดงกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการขอโทษสามารถแบงเปน 4 ประเภทใหญ ๆ ไดแ ก การกลาวคาํ ขอโทษ การอธบิ ายเหตุผลการกระทาํ ผิด การยอมรับผิดและการสญั ญากบั ผฟู ง วาความผดิ เชนเดียวกนั น้ีจะไมเ กิดขนึ้ อีก โดยโฮลม พบวาผหู ญิงมกั ขอโทษบอ ยกวาผูชาย นอกจากนี้ในวัจนกรรมการแสดงการการตําหนิจากงานของ Ann Trosbrog (1995) ระบุวากลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนสิ ามารถจาํ แนกไดเ ปน 4 กลมุ ใหญ ๆ ดงั น้ี คอื การไมกลาวออกมาตรง ๆหรอื บอกเปน นยั การพูดเพื่อแสดงความรําคาญใจหรือไมพอใจ การพูดกลาวหาและการพูดเชิงตอ วาผกู ระทาํ ผดิ ซึ่งจะเห็นไดวา ในแตล ะวจั นกรรมเรากส็ ามารถมกี ลวธิ ีการพูดไดห ลายรปู แบบและผูพูดจะเลือกใชก ลวธิ ีใดนัน้ ก็ตอ งคํานงึ ถึงบริบททเี่ กดิ ขึ้นในสถานการณน ้ันดวย สําหรับในการแสดงวจันกรรมการตําหนนิ น้ั ผวู ิจยั มคี วามสนใจและเลอื กท่จี ะทํางานวจิ ยั ในเรือ่ งนีเ้ พราะผวู จิ ัยเหน็ วา ในการแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิทําใหเกิดการคุกคามหนาดา นบวกของผฟู ง เพราะในวัจนกรรมการตาํ หนนิ ้ีผูพูดจะตองพูดเพื่อแสดงทัศนคติทางดานลบของตน ดังเชน แนวคิดเรื่องหนาของ Goffman ที่ Brownและ Levinson (Brown and Levinson,1987) ไดนําแนวคิดเรอ่ื งหนามาอธบิ ายไวว า การท่ีมนษุ ยน้นั ใชภาษาที่สุภาพกับคูสนทนาเปนเพราะวามนุษยมีความคาดหวังเพื่อไมใหคูสนทนามาละเมิดหนาของตนเอง ซ่ึง “หนา ” ในที่นหี้ มายถงึ ภาพลกั ษณของตนเองในท่สี าธารณะ ดังน้นั ผูพูดและผูฟง จึงตางพยายามทจี่ ะรกั ษาหนา ของตนไว และไมพยายามไปดูหม่นิ หนา ของผูอืน่ เม่ือเปนเชน นี้ ในการสนทนามนษุ ยจงึ มกี ารใชภ าษาทแ่ี สดงถงึ การใหเ กียรตแิ ละแสดงความเปน มิตรซงึ่ กนั และกนั อีกทงั้ ยังเปนการรักษาหนาทั้งผพู ูดและผูฟงดวย ในขณะเดียวกันเม่อื อยูใ นสถานการณทผี่ พู ูดตองแสดงวจั นกรรมทอี่ าจทาํ ใหผ ูฟ ง รูสึกเสยี หนา เชน ในสถานการณท ี่ผพู ูดรูสึกวา ผฟู ง มพี ฤตกิ รรมไมเหมาะสมหรือในสถานการณท ่ผี พู ูดกาํ ลงั มอี ารมณโ กรธ โดยเฉพาะอยา งย่งิ เมือ่ เราอยูในสังคม และอยูในสถานการณที่เราจาํ เปน ตองพูดตําหนผิ อู ่นื ผูพ ูดแตล ะคนก็จะมวี ิธีการกลาวตาํ หนิทีต่ างกันออกไปท้ังน้ีขน้ึ อยกู บัปจจัยทแี่ วดลอมในสถานการณน ้ัน ๆ เชน หากเราจาํ เปนตอ งตาํ หนผิ ทู ีม่ สี ถานภาพสงู กวาเราเชน
3หัวหนา งานหรือเราตองกลาวตําหนิผทู สี่ ถานภาพตาํ่ กวา หรือเทา กนั ผกู ลา วตําหนิก็จะมกี ลวิธกี ารกลา วถอยท่ตี า งกนั ดังทีอ่ มรา (อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ, 2551) กลาววา ความสมั พันธร ะหวา งผพู ูดกบั ผูฟง ท่ีจะเปนตวั กาํ หนดใหผพู ดู ใชภ าษาแตกตา งกนั ไปน้นั ถกู กาํ หนดโดยใชป จจัยหลายอยา ง เชน ความเก่ียวของกันในบทบาททางสังคม เชน พอกบั ลูก นายกับบา ว ซ่งึ ผูพูดจะตอ งคํานึงดว ยวา ผูฟ ง เปนใครหรอื เขากําลงั พูดอยูก ับใครแลวตนเปนอะไรกบั เขา อีกทั้งในสังคมไทยน้ันยังเปนสงั คมท่ียงั ใหความสําคัญกับผูที่มีความสูงวยั กวา หรือแมกระทั่งผูที่มีอํานาจทางสังคมมากกวา ผวู จิ ัยจึงเกดิ ความสงสยั ในเรอ่ื งดังกลา ว วาหากเราจาํ เปนตอ งกลาวตาํ หนิผูอนื่ กลาวคอื การกลาวตาํ หนผิ ูท่มี สี ถานภาพสงูกวา ตํา่ กวา หรอื เทา กัน ผูพ ูดจะมีวธิ กี ารกลา วตาํ หนใิ นแตล ะสถานการณแ ตกตา งกันอยางไร อกี ทัง้ ผวู ิจัยยังตองการศึกษาอีกดว ยวาปจ จยั เรอื่ งเพศนัน้ มีความสมั พันธตอ การเลอื กใชก ลวธิ กี ารกลา วตําหนิของผูพดู หรือไม เหตเุ พราะจากการศึกษาในงานวิจัยตาง ๆ ท่ีผานมา ผวู ิจัยพบวา การใชภ าษาของเพศหญิงนั้นจะคํานึงถึงความสุภาพมากกวาเพศชายและในทางภาษาศาสตรสังคม ยังเชื่อวา เพศหญิงสามารถใชภาษาไดถูกตองและสุภาพกวาเพศชาย จากการศึกษาของ William Labov (1966) ศึกษาเรื่องการแบงชนชั้นทางสังคม(Class stratification of (r) in New York) ตามวจั นลลี า 5 วัจนลลี า พบวา ในเพศหญิงมกี ารออกเสยี ง ( r ) ไดด ีกวา เพศชาย เน่ืองจากเสยี ง ( r ) เปนเสียงทแ่ี สดงออกถงึ ความสุภาพและมศี ักดิ์ศรีฉะนั้น เพศหญิงจึงพยายามออกเสียงใหชัดเจนมากกวาเพศชาย อีกทั้งจากแนวคิดของ Lakoff (อางในJanet Holmes,1997) กลาววา เพศหญิงจะมีลักษณะการใชภาษาที่มักจะคํานึงถึงความสุภาพ เชน 1. มักมีการใชประโยคที่แสดงถึงความไมแนใจ เชน you know,well, มีการใช Tags question เชน she’s verynice, isn’t she? ซง่ึ แสดงถงึ การใหผอู นื่ แสดงความเหน็ ,มกี ารข้ึนเสยี งสูงในคําที่แสดงการยืนยัน เชนIt’s really good.และ มกี ารพูดถงึ สีไดล กึ ซง้ึ กวาเพศชาย เชน magenta,aquamarine และจากการศึกษาของ Holmes (อา งใน ทัศนีย เมฆถาวรวฒั นา, 2541) ไดศ กึ ษาความสมั พนั ธร ะหวา ง ปจ จยั เรอื่ งเพศกับการแสดงวัจนกรรมการขอโทษ พบวา ผูหญิงชาวนิวซีแลนดแสดงวัจนกรรมการขอโทษมากกวาและบอยกวาเพศชาย นอกจากนี้ผลการศกึ ษาของ สุภาสนิ ี โพธวิ ิทย (2547) พบวา ปจจยั ดา นเพศและอายุของผูใชภาษามีผลตอการเลือกใชกลวิธีการแสดงความเห็นโตแยงในภาษาไทย ผูวิจัยจงึ มคี วามเห็นวาเมื่อเพศหญิงนั้นมักคํานึงถึงความสุภาพและนุมนวลมากกวาเพศชาย ฉะนั้นผูวิจัยจึงมีความสนใจวาในเพศหญิงจะเลือกใชก ลวิธกี ารกลาวตาํ หนทิ ร่ี นุ แรงนอยกวา เพศชายหรอื ไม อยางไร ฉะน้ันผวู ิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาการแสดงวัจนกรรมการตําหนิ โดยเก็บขอ มลู จากกลมุ ตวั อยา งนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร 40 คน โดยใชแบบสอบถามที่เปนสถานการณสมมุติของการกระทําความผิด 12 สถานการณ โดยแบงเปน สถานการณท ผ่ี พู ดู และผูฟงมสี ถานภาพเทา กัน สถานการณท ่ีผพู ูดมีสถานภาพสูงกวา ผฟู ง และสถานการณท ่ผี พู ดู มีสถานภาพตาํ่ กวาผูฟง รวมถึงความสนทิ สนมคุนเคยระหวา งผพู ดู และผูฟง เพอื่ ศึกษาวาในสังคมไทยนั้นเราจะพบกลวธิ ีการตําหนแิ บบใดบาง และเพศชายกบั เพศหญงิ นัน้ จะเลอื กใชก ลวธิ ใี นการตาํ หนิเหมอื นหรือตา งกัน อยางไร
4วัตถุประสงคใ นการวิจยั 1.ศึกษากลวิธีในการแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิและหาความถี่ของแตละกลวิธี 2. ศึกษากลวิธีในการแสดงวัจนกรรมการตําหนิในกลุมตัวอยางตามสถานถานภาพของผูพูดและผูฟง 3. ศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตําหนิในกลุมตัวอยางเพศชายและเพศหญงิ 4. ศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตําหนิในกลุมตัวอยางเพศชายและเพศหญงิ ตามสถานภาพของผูพดู และผฟู งสมมุติฐานการวจิ ัย 1. วัจนกรรมการแสดงการตําหนิของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรสามารถพบไดหลายวิธีเชน กลวิธีการกลาวหา การกลาวโดยนัยและการแสงความไมพอใจ 2. ในสถานการณที่ผพู ดู มีสถานภาพตา่ํ กวา ผฟู งผูพูดจะเลือกใชกลวิธใี นการแสดงวจั นกรรมการตําหนิทีม่ ีความรนุ แรงนอยกวาเมื่อผพู ูดอยูในสถานการณท ผี่ พู ดู มีสถานภาพสงู กวา ผฟู ง 3. ในการเปรียบการเลือกใชกลวิธีการแสดงการตําหนิในกลุมตัวอยางเพศชายและเพศหญิงพบวาเพศหญิงมีการเลือกใชกลวิธีในการแสดงวัจนกรรมการตําหนิที่มีความรุนแรงนอยกวาเพศชาย 4. ในการเปรียบการเลือกใชกลวิธีการแสดงการตําหนิในกลุมตัวอยางเพศชายและเพศหญิงในสถานการณท ีผ่ ูพ ดู และผูฟงมีสถานภาพแตกตา งกันนน้ั เพศหญิงมีแนวโนมทจ่ี ะเลือกใชก ลวิธใี นการแสดงวจั นกรรมการตําหนิท่ีทีม่ ีความรนุ แรงนอยกวาเพศชายแมว าผพู ดู จะอยใู นสถานการณท ีผ่ พู ูดมีสถานภาพสงู กวาผูฟงขอบเขตของการวจิ ยั 1. ศกึ ษาเฉพาะถอยคาํ ที่แสดงการตาํ หนิในทน่ี ้ีหมายถงึ ถอยคาํ ท่ผี ูพ ูดแสดงการกลาวโทษตเิ ตยี น วารา ยเม่อื ผูฟงกระทาํ ผดิ หรอื เปนถอ ยคาํ ทแ่ี สดงถงึ ความไมพอใจและขอบกพรอ งของผูฟง 2. ผวู จิ ยั เกบ็ ขอมลู จากแบบสอบถามทสี่ รางข้ึน โดยใชกลุมตวั อยา งจากผทู ่ีมกี ารศึกษาในระดบั ปริญญาตรี ในชว งอายุ 20-25 ป จาํ นวน 40 คน แบงเปน เพศชาย 20 คนและเพศหญงิ 20 คนในงานวิจัยชน้ิ น้ผี ูว ิจัยไมไดนําปจ จัยเร่ือง คาน้ําหนกั ความผิดของผูกระทาํ ผิดมาวเิ คราะหร วมดว ย
5แนวคดิ ท่ใี ชเ ปนพน้ื ฐานในการวิจัย 1. แนวคดิ เรอ่ื งวจั นกรรมของ ออสตนิ (J. L. Austin:1962)และ เซิรล (Searl,1979) 2. แนวคดิ เกย่ี วกบั ทฤษฎคี วามสภุ าพของบราวนแ ละเลวนิ สนั (Brown and Levinson,1987) 3. แนวคดิ เกย่ี วกบั กลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ ของ Anna Trosbrog (Anna Trosbrog,1995)และ Olshtain และ Weinbach (อางใน Gabriele Kasper and Shoshana Blum-Kulka,1993)ประโยชนท ่ีคาดวา จะไดรบั 1.เพอื่ ใหท ราบถงึ ลักษณะการเลือกใชก ลวธิ ีในการแสดงวจั นกรรมการตาํ หนขิ องนสิ ติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร 2. เพื่อใหทราบถึงลกั ษณะการเลอื กใชก ลวธิ ใี นการแสดงวัจนกรรมการตําหนิในเพศชายและเพศหญงิ 3. เพื่อใหทราบถึงแนวทางการใชภาษาของคนไทยที่สะทอนถึงลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมในปจจบุ ัน 4. เพ่ือเปนแนวทางในการศกึ ษาคนควาแกผ ทู ่ีสนใจในเรื่องท่ีเกีย่ วของกบั วัจนกรรมและวจั นกรรมการตาํ หนติ อ ไปนยิ ามศพั ท 1. วจั นกรรมการตาํ หนิ หมายถงึ การใชถอ ยคําท่ผี ูพดู แสดงถึงความขุนเคืองใจ ไมพอใจหรอื การกลาวโทษ วารา ย ตาํ หนิผูฟ งของผพู ูด หรืออาจเปน ถอ ยคําทีแ่ สดงถึงการกลาวโทษทีท่ ําใหผฟู งรูส กึ เสยี หนา ซึ่งในถอยคํานั้นอาจแสดงถึงการตําหนิผูฟงอยางตรงไปตรงมาหรือไมตรงไปตรงมาที่ผูฟ งสามารถรับรไู ดวา ตนกําลงั ถูกตําหนหิ รือไมกไ็ ด 2. กลวิธีการใชภาษา หมายถึง ลักษณะการใชภาษาเพื่อสื่อความหมายในการสนทนา 3. สถานภาพของผูพ ดู และผฟู ง หมายถึง วัยระหวางคูส นทนาหรอื อาํ นาจระหวางคูสนทนา 4. ระยะหางทางสังคม หมายถึง ความสนิทสนมคุนเคยระหวางคูสนทนา
6 บทท่ี 2 การตรวจเอกสาร การศกึ ษาการใชวจั นกรรมเพอื่ แสดงการตาํ หนขิ องคนไทย ผูวิจัยไดศึกษาและวเิ คราะหอ างองิทฤษฎีและแนวคดิ ท่ีเก่ยี วของกับงานวิจยั ในประเด็นตา ง ๆ ดังตอ ไปน้ี 1. แนวคดิ เรอ่ื งวจั นกรรม 2. แนวคดิ เรอ่ื งวจั นกรรมการตาํ หนิ 3.ทฤษฎีเรอ่ื งหนา ของผพู ูดผฟู งและความสุภาพ 4.งานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วของ 1. แนวคิดเรือ่ งวจั นกรรม ภาษาเปน เครอื่ งมอื ทีท่ ําใหมนษุ ยเ ราเกดิ ความเขา ใจอนั ดตี อ กนั นอกจากคาํ พูดทผ่ี ูพดู ไดเปลงออกมา เพ่ือใชบงบอกถงึ ความรูสกึ นกึ คดิ ของผูพดู แลวนั้นผพู ูดอาจจะยงั มเี จตนาทีจ่ ะสื่อความหมายอ่นืผา นทางถอ ยคาํ ที่ไดก ลาวออกไป เชน ในสถานการณท ่ีแมตอ งการใหล ูกไปทาํ การบาน แมจ งึ กลาววา“วนั นีล้ กู ทําการบานเสรจ็ แลว เหรอ” หรอื “วนั น้ลี กู ไมมกี ารบานเหรอ” จะเหน็ ไดว า ประโยคสองประโยคขางตนนี้เปนประโยคคําถามแตเจตนาของประโยคนี้อาจจะไมไดตองการถามเพื่อตองการคาํ ตอบเพยี งอยางเดียวอาจมเี จตนาอ่นื ซอนอยดู วย อาจเปนการสัง่ หรือการขอรอ งก็ได หรอื ในสถานการณ เพ่อื นขอยืมรถไปใชแ ตรถไปเฉ่ยี วชน ผูพูดตอ งการตําหนิ (Complain) แตไ มต องการพูดออกมาตรงเพราะอาจจะรุนแรงเกินไป ผูพูดอาจกลาววา “ไมนาตองมาเสียเงินซอมรถเลย” ซึ่งก็สามารถทาํ ใหผูฟง รสู กึ เสยี หนา ไดเ ชนกันสาํ หรับผทู ม่ี อี ิทธพิ ลตอแนวความคดิ เรือ่ งวจั นกรรม คือ J. L. Austin และ Searle ออสตนิ เปนนักปรัชญาชาวอังกฤษ ผลงานของเขาไดถูกตีพิมพขึ้นในป 1962 หลงั จากทเ่ี ขาเสียชวี ิตลง ช่ือวา “Howto do Things with words” ทม่ี หาวิทยาลัย ฮารวารด ออสตินใหค วามสนใจกับภาษาท่ใี ชในชีวติ ประจําวันทีเ่ รียกวา ordinary language ซึ่งแตกตางจากนักปรัชญาในสมัยนั้นที่มองวาภาษาในชีวิตประจําวันมีความบกพรองมากมาย จึงตองหันมาปรับปรุงขอบกพรองของภาษาแตออสตินกลับมองวา ทั้งๆที่ภาษาที่ใชในชีวิตประจําวันนั้นมีความบกพรองมากมายเหตุใดมนุษยเราจึงไดใชภาษานั้นสอ่ื สารกนั ไดอ ยางมปี ระสิทธภิ าพ ออสตนิ เช่อื วา มนุษยเ ราใชภาษาไมเ พียงแตจ ะใชพ ดู เทาน้นั แตเ ราใช
7ภาษาเพ่ือกระทาํ (Perform action) ออสตนิ (Austin, 1962) กลาววา คําพูดสามารถทําใหเกิดการกระทําอยา งใดอยา งหน่ึงได นอกเหนอื จากการสอื่ ความ คือการทผ่ี ูพดู กลา วถอยคาํ ใดออกมาน้ันนั่นกค็ อื ผพู ดูตองการจะแสดงเจตนาบางอยา งออกมาดว ย ขณะทใี่ หข อมลู น้ันๆ เราเรยี กถอ ยคาํ เชนนว้ี า วัจนกรรม(speech act) ถอ ยคําทถี่ ือวา เปนวจั นกรรมท่ีสมบรณู นน้ั ตองมรี ูปแบบภาษาดังน้ี 1. มีโครงสรางเปนรูปประโยคบอกเลา 2.ประธานของประโยคตองเปนสรรพนามบุรุษที่ 1 เทา นนั้ เพราะออสตินเชื่อวา ผูพดูเทานัน้ ที่มีหนา ทแ่ี จงการกระทําของตนตามเจตนาใหผ ูอน่ื ทราบ 3.มีคํากริยาบงการกระทํา (performative verb หรอื speech act verb) ทีอ่ ยูใ นรปู ปจจบุ ันกาล เชน complain, promise 4.สามารถเติมคําวิเศษณ hereby ไวระหวางประธานและกริยาบงการกระทําไดโดยไมทําใหความหมายผิดเพี้ยน ออสตินกลาววา ถอยคําที่เปนวัจนกรรมไดตองเปนไปตามเงื่อนไขที่เหมาะสม(Felicity conditions) คือ การกลาวถอยคํานั้นๆ ตองมีแบบแผนเปนที่ยอมรับของคนในสังคมสถานการณการพูดและบุคคลที่เกี่ยวของในกระบวนการตองมีความเหมาะสม 1.กระบวนการตอ งมีขั้นตอนท่ีถกู ตอง ครบถว นและสมบรณู รวมท้ังคําพดู ทใี่ ชตอ งอยูในชวงเวลาที่เหมาะสมดวย 2.บุคคลที่เกี่ยวของในกระบวนการตองมีความตั้งใจตอสิ่งที่กลาวออกมา 3. เมอื่ กลาวออกมาแลวตองปฏิบัติตามน้นัในการแสดงวัจนกรรมแตล ะครั้ง ผพู ดู จะแสดงการกระทาํ 3 ประการ ดังน้ี 1.วัจนกรรมตรงตามคํา (Locutionary act) เปนการกลาวถอยเพื่อสื่อความตามรูปภาษา โดยถอยคํานั้นมักประกอบดวยองคประกอบทางกอบดวยองคประกอบทางภาษาตาง ๆ เชน เสียง คํา และความหมาย 2.วัจนกรรมปฏบิ ัติ (Illocutionary act) เปนการแสดงเจตนาของถอยคําที่กลาวออกมา ซึ่งขึ้นอยูกับความตั้งใจของผูพูด และผูฟงสามารถหาความหมายไดจากบริบทตาง ๆ ที่นาจะเปนไปได 3.ผลวจั นกรรม (Perlocutionary act) เปน การแสดงผลของถอยคําทีก่ ลาวออกมาโดยผพู ดูคาดวาผูฟงจะเขาใจถึงเจตนาของผูพูดแลวกระทําการบางอยางตามเจตนาของผูพูด จากทฤษฏีของออสตนิ นีผ้ วู จิ ยั มคี วามคดิ เห็นวา ทฤษฎีของออสตินน้นั มขี อจํากดั ท่วี า ตองเปนคํากริยาบงการกระทํา(Performative verb หรอื speech act verb) เทา นั้นจึงจะถอื วา เปน วจั นกรรม ผวู จิ ยักลับมคี วามเหน็ วาถอ ยความท่กี ลา วออกไปนั้นสามารถเปนวัจนกรรมไดห ากผูพดู กลาวขึน้ เพ่อื เจตนาสื่อความหมายบางอยาง ดังที่ โธมัส( Thomas Jenny, 1996) กลาวไวว า ทฤษฎขี อง ออสตนิ มีขอคานได
8หลายประการ กลาวคือ ผลของทฤษฎีที่วาตองเปน มีคํากริยาบงการกระทํา( Performative verb หรอืspeech act verb) เทา นัน้ ซ่ึงขอคดิ เหน็ แยง ทฤษฏขี องออสติน มีดังน้ี 1. ในทางไวยากรณเราไมสามารถแยกขอแตกตางระหวาง Performative verb กบั Verbอ่นื ๆ ได 2. การท่มี ี Performative verb กไ็ มไ ดยืนยนั วา วจั นกรรมนั้นจะประสบผลสาํ เร็จ 3. การที่จะแสดงการกระทําทางวาจานั้น ไมจําเปนตองแสดงผาน Performative verb กไ็ ดVerb ตัวอื่นก็สามารถแสดงการกระทําได 4. การขึ้นตนประโยคไมจําเปนตองเปน “I” เปน สรรพนามบุรุษที่ 3 กไ็ ด 5. ประโยคที่เปนวัจนกรรมสามารถอยูใน Passive voice ได เซิรล (Searle, 1969) ไดใหความสําคัญกับการกลาวถอยคําและการแสดงเจตนาของผูพูดเชนเดียวกบั ออสติน เซิรล กลา ววา วัจนกรรมเปนการกระทาํ ท่ีแสดงดวยการใชคําพดู เพอื่ แสดงเจตนาของผพู ดู ซึ่ง เซริ ล เนน ท่ีเจตนาของผพู ูดเปนหลักและไดจําแนกวัจนกรรมออกเปน 5 ประเภท ดงั น้ี 1.การกลาวความจริง (representatives) หมายถึง การใชถอยคําทผ่ี ูพ ูดมจี ุดประสงคเพอ่ื บอกเลาขอมลู หรือขอ เทจ็ จริง ตาง ๆ แกผูฟง วจั นกรรมประเภทน้ีอาจมคี วามหมายทง้ั ในแงบ วกและแงล บ เชน การพดู การยืนยัน การสรุป การรายงาน การโออ วด การวจิ ารณ การบน และการนินทาเปน ตน 2.การกลาวชน้ี ํา (directives) หมายถึง การใชถ อ ยคาํ ท่ผี ูพ ูดมีจุดประสงคเพ่ือใหผฟู งกระทาํ การบางอยางตามความประสงคของผูพูด เชน การขอรอง การสอบถาม การเชื้อเชิญ และการเสนอแนะเปนตน 3.การกลาวผกู พนั (commissives) หมายถงึ การใชถ อ ยคําทีผ่ ูพดู มีจดุ ประสงคเพอื่ บอกใหผ ูฟงทราบวา ผูพูดจะกระทําการบางอยางในอนาคต เชน การสัญญา การสาบาน การรับรอง และการขมขูเปนตน 4.การกลา วแสดงออก (expressives) หมายถึง การใชถอยคําทผี่ พู ดู มีจุดประสงคเพ่ือแสดงอารมณ ทัศนคติ และความรูสึกของผูพูด เชน การทักทาย การขอโทษ การขอบคุณ และการแสดงความเสยี ใจ เปน ตน 5.การกลาวประกาศ (declarations) หมายถงึ การใชถอยคาํ ทีผ่ พู ูดมจี ดุ ประสงคเพอ่ื เปลยี่ นสภาพของสิ่งของ บุคคล หรือปรากฏการณตาง ๆ สวนใหญมักเปนถอยคําที่เปนทางการ เชน การกลาวเปดงาน การตดั สินจาํ คุก การแตงตั้ง และการเสนอช่ือ เปนตน
9 นอกจากนี้ เซิรล ไดแ บง วจั นกรรมออกเปน 2 ลักษณะ คือ 1.วจั นกรรมตรง (direct illocutionary act) หมายถึง การใชถอยคําที่มีเจตนาตรงกับรูปแบบ ภาษาหรือโครงสรางประโยคที่ปรากฏ เชน “ ทาํ ไมไมร ดี ผา ไฟดับเหรอ” ในถอ ยคําน้ี ผูพูดตอ งการถาม ผฟู งถงึ เหตุผลวา ทาํ ไมไมร ดี ผา 2.วจั นกรรมออ ม (Indirect illocutionary act) หมายถึง การใชถอยคําที่มีเจตนาไมตรงกับ รูปแบบภาษาหรือโครงสรางประโยคที่ปรากฏ จึงจําเปนตองอาศัยบริบทในการตีความของถอยคํา เชน “ทาํ ไมไมร ดี ผา จะวางไวอ ีกนานแคไหน ” ผพู ดู ไมไดม เี จตนาที่จะถามถึงเหตผุ ล แตต อ งการตาํ หนิผฟู ง วา ทําไมถึงยังไมรีดผา ดวยการใชโครงสรางประโยคคําถาม ดงั นน้ั ทฤษฏวี จั นกรรมของ Searle นั้นจะเนนทีเ่ จตนาของผพู ดู Searle มแี นวคดิ ทว่ี า ในการ กลา วถอยแตละครงั้ มักมคี วามหมายแฝงอยใู นถอ ยความน้นั ดว ย 2. แนวคิดเรอ่ื งวจั นกรรมการตําหนิ Anna Trosbroge (1995) กลาววาวัจนกรรมการตําหนิวาเปนการแสดงออกถึงความรูสึก(expressive) ซ่ึงจะรวมไปถงึ การตัดสินในทางศีลธรรมจรรยา ทผ่ี พู ดู จะแสดงออกถึงส่งิ ท่ีตนเหน็ ดวยและไมเหน็ ดวยในการตดั สินในพฤติกรรมนั้น ๆ และวัจนกรรมการตําหนนิ ้ัน มีสาระสาํ คญั อยูท ่วี า ผตู ําหนิน้ันไดผ านการตดั สนิ ในดา นศีลธรรมจรรยาในสงิ่ ทผี่ กู ระทาํ ผิดไดทําลงไปแลว หรือกําลงั อยใู นขณะนนั้Ann Trosbroge (1995 : 311-319)ไดกลา วถงึ ลักษณะของการตาํ หนิไวด ังนี้ 1. การตําหนิเปนการกระทําที่แสดงออกถึงการหมิ่นประมาท (The complaint as a abusiveact) ซง่ึ ไดมกี ารอธิบายไวว า การตําหนิ (complaint) ที่หมายถงึ น้เี ปนวจั นกรรมท่ีแสดงเจตนา(Illocutionary Act) หมายถึง เจตนาของผูพูดที่แฝงอยูในถอยความนั้น ๆ หลังจากแปลความหมายแลวเชน เจตนาเพอื่ การขอรองการส่งั หรอื การตาํ หนิ เปน ตน ท่ผี ตู ําหนจิ ะแสดงออกถงึ ความไมเ ห็นดวย หรอืความรูสึกในแงล บทม่ี ตี อสถานการณท่เี กิดขึ้นโดยที่ผตู ําหนิเห็นวา ผูกระทําความผดิ จะตองรับผดิ ชอบตอสิ่งที่เกิดขึ้นไมทางตรงก็ทางออม Leech (อา งใน Anna Trosbrogs,1995) ไดใหค าํ จํากัดความไววาวัจนกรรมการตําหนิจัดเปนวัจนกรรมที่อยูในประเภทการกลาวความจริง (representatioves) เปนการแสดงออกถึงความไมเห็นดวยและรวมไปถึงการขู(threatening) การกลาวหา (accusing) การสาปแชงหรือการดาทอ (cursing) และการตาํ หนติ ิเตยี น (reprimanding) และในวจั นกรรมนเ้ี ปน วจั นกรรมทม่ี กี ารคกุ คามถึงความสมั พันธระหวางผพู ดู และผฟู ง อยูใ นระดบั สงู 2. การตําหนิเปนการคุกคามหนา (The complaint as a face-threatening act) ( Brown – Levinson 1978:19 อา งใน Anna Trosbrogs,1995) เหตุเพราะวัจนกรรมการตําหนิเปนการเปนการ กระทาํ ทแ่ี สดงถงึ การตําหนิในเชิงที่เกี่ยวของกับศีลธรรมหรือการกลาวประณามในสถานการณที่ไม
10เปนที่ยอมรับของสังคม โดยผทู ี่กลา วหา(accuser) ไดท ําลายสัมพนั ธภาพ การชวยเหลือและการรว มมอืซง่ึ กันและกนั ” เปรียบเทียบกับกรอบความคิดที่คลายกันในการพูดของ Edmondson-House(1981:145อางใน Anna Trosbrogs,1995) “ กลาววา ในการแสดงวัจนกรรมการตําหนิจะมีความเปนไปไดวาผูพูดนั้นจะแสดงออกถึงความไมเห็นดวย ทาทาย หรือพูดจาเถรตรงปฏิเสธอํานาจทางสังคมของผกู ระทําความผดิ เพราะฉะนั้นผกู ระทาํ ผิดตองยอมรบั ในพฤตกิ รรมท่ีเสียของพวกเขา หรือปฏเิ สธฐานะทางสงั คมของผกู ระทําผิด ผลลพั ธท ีอ่ อกมามแี นวโนม วา จะมคี วามโกรธฉุนเฉียวท่ีทง้ั คูตอสูกันจนกวาจะไดชื่อเสียงทางสังคมคืนมา (Edmondson – House 1981 : 145อางใน Ann Trosbrogs,1995) 3. ลกั ษณะของความไมส ภุ าพจากการตําหนิตเิ ตียน (The non – politeness of complaints) การทําใหขุนเคืองเปนสวนหนึ่งของความขัดแยงและความไมพอใจเปนคําจํากัดความของความไมสุภาพ ตามที่ Leech (1983 : 105อางใน Ann Trosbrogs,1995)ไดช แ้ี จงไวว า ความสุภาพออ นโยนตองไมมีคําถามและการขมขูหรือสาปแชง การแสดงออกถึงความสุภาพและการตําหนิตเิ ตียนจึงดูเหมือนวาจะขัดแยงกันเปนอยางมากในความเปนจริง เพราะฉะนั้นดูเหมอื นเปนสง่ิ ทด่ี ูคอนขา งขัดแยงความรูสึกของคนทั่วไปในเรื่องของการเชื่อมโยงกันของการกลาวตําหนิกับการลดความรุนแรงของการกลาวการตําหนิ แมกระนั้นก็ตาม เราก็ตองการการจัดลําดับของกลวธิ เี พื่อหลกี เล่ยี งขอขัดแยงระหวางบคุ คลในการตดิ ตอ สอ่ื สาร ถงึ แมว าการตาํ หนิตเิ ตียนจะยังคงเปนการกระทําที่ไมสุภาพอยูก็ตามผูตําหนิสามารถใชเครื่องมือในการลดความรุนแรงซึ่งชวยลดระดับความไมพอใจที่มีผลกระทบตอผกู ระทําความผดิ ใหลดนอ ยลงได 4. เครื่องมือในการลดความรุนแรง (Mitigating devices)มีกลวิธีในการตําหนิมากมายที่เปนประโยชนตอกลาวผตู าํ หนทิ ่ตี อ งการหลกี เลี่ยงการเผชญิ หนาโดยตรงกบั ผถู ูกตําหนิ ระดับของความเกยี่ วของกันของผกู ลา วตําหนแิ ละผูถกู ตาํ หนิมคี วามสาํ คญั เปนพิเศษในการกลาวตาํ หนิเพอ่ื การตัดสินใจในการสรางมาตรวัดระดับความรุนแรงของการตําหนิ (scale of direcness level of complaints)กลวธิ ที ่มี ปี ระโยชนม ากท่ีสดุ สําหรบั ผูกลา วตาํ หนิจะเปน กลวธิ ีทส่ี ามารถหลกี เลย่ี งการกลาวถงึ ผฟู งโดยตรง อยา งไรก็ตาม การกลา วอยางไมตรงไปตรงมาก็ถอื เปน ความรบั ผิดชอบของผูพูดดว ย ดงั น้ันผูกลาวตําหนิอาจใหค วามสนใจไปทเ่ี หตุการณ และผลลพั ธท ่ตี ามมาแทนทจ่ี ะชไ้ี ปทต่ี วั บุคคล แทนทผี่ ูพูดจะกลาวตําหนิผูก ระทําผิดโดยตรง ลักษณะของการลดระดับความรุนแรง (downgrader) ซงึ่ จะฟง ดสู ุภาพมากขน้ึ หรอื อีกนยั หนงึ่การเพิ่มระดับความรุนแรง (upgrader) จะกอใหเกิดความรูสกึ ตรงกนั ขาม : สิง่ น้ีจะสง ผลกระทบตอผูฟงใหเกดิ ความไมพ อใจเพ่ิมข้นึ (House – Kasper 1981 :166 – 170 อางใน Anna Trosbrogs,1995)นอกจากนี้ ผกู ลาวตําหนิอาจไมต อ งการรับผิดชอบตอ ส่งิ กลา วตําหนิออกไปโดยการพูดวิพากษว ิจารณอยา งไมช ้เี ฉพาะเจาะจงไปทส่ี ง่ิ ใดสิง่ หน่ึงและเมอ่ื มกี ารตําหนติ ิเตียนเกดิ ขึ้นสิ่งสําคญั คอื การหาขอสนับสนนุ ในการกลา วอางเพื่อตดั สนิ การกระทําผิดนั้น ๆ ถาการตาํ หนมิ เี หตุผลท่ีทําใหน าเชอ่ื ถือผู
11ถูกตําหนิก็จะหาขอแกตัวไดยากขึ้น นอกจากนี้กลวิธีในการขจัดความโกรธสามารถนํามาใชตามความหมายของการหลีกเลี่ยงความขัดแยงไดและอีกทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแยงดวยการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่งคือ การกลาวตําหนิอยางไมตรงไปตรงมา เชน การกลาวโดยการใหขอ มลู เพยี งบางสว น หรอื การกลาวขอรอง บอ ยคร้งั ทก่ี ารใชวิธเี หลา นสี้ ามารถนาํ ไปใชหลกี เลยี่ งการเผชิญหนาโดยตรงจากการพูดกลาวหาอยางตรงไปตรงมาได (direct accusation) อยา งไรกต็ ามในกรณที ่ีผกู ลาวตาํ หนเิ ลือกการขอรอ งแทนที่การกลา วตาํ หนนิ ัน้ ก็เปนเรื่องท่ีเสยี่ งที่จะทําใหผ ูกลา วตาํ หนนิ ัน้ เสียหนาไดเ ชน กัน เพราะในการกระทําเชนนจ้ี ะไมส ามารถรับประกนั ไดวา การขอรอ งนั้นจะไดรับการยอมรับ 5. ระดับความรุนแรงของการตําหนิติเตียน ที่แบงตามระดับของการพูดตรง (Directness levelsof complaints) การตาํ หนิติเตยี น สามารถแสดงออกไดหลายระดับตั้งแตการบอกเปนนัย (hints) และการบอกถึงการไมเห็นดวยอยางนุมนวล (mild disapprovals) ไปจนถึงการพูดทาทายอยางรุนแรงที่จะสามารถแสดงใหเห็นอยางชัดเจนวาผูถูกตําหนิเปนผูที่ขาดคุณสมบัติและขาดความรับผิดชอบในฐานะที่เปนสมาชิกในสังคม ในการกลาวตําหนินั้นถึงแมถอยความที่กลาวออกมาจะเปนการกลาวอยางไมตรงไปตรงมาแตความรูสกึ ของผูกลา วตําหนิก็ยงั คงมีความรูสกึ ที่ไมดตี อผูถกู ตําหนิ หรอื แมแตถ อ ยคาํ ที่กลาวหาอยา งเปด เผยตรงไปตรงมาหรอื แมแ ตการตัดสนิ ในทางศีลธรรม สําหรบั ในกรณีแรกผถู กู ตาํ หนติ องสามารถทราบถึงขอสรุปในการเชอื่ มโยงระหวาง สิ่งทีพ่ ดู และเจตนาที่แทจรงิ ของผูพดู ในบริบทท่ีเกิดข้ึนในสถานการณนน้ั ๆ โดยทผี่ กู ลาวตําหนิสามารถเลอื กใชกลวิธีทีเ่ หมาะสมกบั บรบิ ททีเ่ กดิ ขึ้นในแต ละสถานการณท ีเ่ กิดขึ้นเพือ่ หลกี เลย่ี งความรุนแรงได นอกจากน้ีAnna Trosbrogs ไดกลา วถึงสิ่งทจ่ี ะทาํ ใหเกดิ การจัดระดบั ความรุนแรงมีดังน้ี 1. ปญหาในบริบทหรือส่งิ ทจ่ี ะตาํ หนิ (propositional content or complainable) 2. ผกู ลา วตาํ หนิ (complainer) 3. ผูถกู กลา วหา (complainee)อกี ท้ังปจจยั ทีเ่ ปนตวั กําหนดใหเ กดิ ระดับความรนุ แรงของการตาํ หนิมีดงั นี้ 1. สิ่งที่จะตําหนิไมไดถูกกลาวถึงอยางตรงไปตรงมาหรือมีการกลาวถึงอยางเปดเผย 2. มีการประเมนิ ความคิดเหน็ ในแงลบของผูกลาวตําหนติ อ สิ่งท่ีจะตาํ หนใิ นการทจ่ี ะกลาว ตาํ หนอิ อกมาอยา งชดั เจนหรอื บอกเปน นยั 3. ความสมั พันธของผกู ระทาํ ผิดและผูกลา วตําหนนิ ้ันทําใหผกู ลา วตาํ หนจิ ะตองเลือกวา กลาว ตาํ หนิออกมาอยา งชดั เจนหรอื บอกเปน นยั 4. มกี ารประเมินความคดิ เหน็ ในแงล บของผกู ลาวตาํ หนติ อพฤติกรรมของผถู กู ตาํ หนใิ นการที่ จะกลาวตาํ หนิออกมาอยา งชดั เจนหรอื บอกเปน นยั
12 5. มีการประเมินความคิดเห็นในแงลบของผูกลาวตําหนิตอตัวผูกระทําความผิดเองในการที่ จะกลาวตาํ หนอิ อกมาอยา งชดั เจนหรอื บอกเปน นยั กลวธิ ใี นการ แสดงการตาํ หนิ (complaint strategies) ตามแนวคิดของ Anna Trosbrog ไดจดั ลําดับของกลวิธใี นการกลาวตาํ หนิไว 4 ประเภทใหญ ๆ โดยมีพื้นฐานขอมูลมาจากงานที่เธอไดศกึ ษาพบ ซง่ึ Trosbrog ไดศึกษาเกี่ยวกับระดับความสามารถทางภาษาของผูศึกษาภาษาอังกฤษชาวเดนมารกเปรียบเทียบกับเจาของภาษาชาวอังกฤษในการ แสดงวจั นกรรมการแสดงการตาํ หนิ ซง่ึ ในกลวิธที ัง้ 4 ประเภทนี้ยังสามารถแบงไดเปน 8 กลวิธยี อ ยๆ ซงึ่ กลวธิ ที ่ี 8 ถกู จดั เปน กลวิธีที่มคี วามรนุ แรงมากที่สุด ซึ่งประเภทของกลวิธีในการกลาวตําหนิ (complaint strategies) แบงเปน 4 ประเภทใหญ ๆ ดงั น้ี1. การไมกลาวตําหนิออกมาอยางชัดแจงหรอื บอกเปน นยั (No explicit reproach Cat 1) การไมกลาวออกมาอยา งชัดแจง ผพู ูดอาจกลาวโดยนยั (Hint) โดยท่ผี ูพ ดู บอกเปน นัยวา ผูฟง จะเขา ใจถงึ ความหมายทีพ่ ดู ออกไป อยางไรกต็ ามการท่ผี ูพดู ไมไ ดก ลา วออกมาอยา งตรงๆ ก็อาจทาํ ใหผ ูฟงทราบหรือไมท ราบถึงสิง่ ทผี่ พู ดู พยายามจะส่ือหรือไมกไ็ ด ยกตวั อยา งเชน ในประโยคท่ีวา “The kitchen was clean and orderly when I left it last”จากตวั อยางในประโยคน้ีผพู ดู ไมไ ดม คี าํ พูดใดทบ่ี งบอกวาผูฟง กระทาํ ความผดิ แตอยางใด ผูพูดเพยี งแคกลาวออกมาเพื่อใหผฟู งทราบเทา น้ัน แตก เ็ ปนการบอกเปน นัยวาตอนท่ีผูพดู ออกไปน้ันหองยังคงสะอาดและเปน ระเบียบเรียบรอ ยอยูซงึ่ ในกรณีน้ีผฟู งจะรบั รูหรอื ไมก ็ได ในกลวธิ นี เี้ ปนการตาํ หนิท่ีมีความรุนแรงนอยท่ีสดุ แตจ ะเปน การเตรยี มการทจ่ี ะใชก ลวิธีทม่ี ีความรุนแรงมากขนึ้ ตอไป2. การกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรือไมเห็นดวย (Expression of annoyance or disapprovalCat 2) ในกลวิธีนี้ผูพูดสามารถแสดงออกถึงความไมพอใจ ความรําคาญใจหรือการไมเห็นดวยในสถานการณทต่ี นคิดวา เลวรา ย โดยการแสดงออกวา สง่ิ นัน้ นา ตําหนติ อ หนาผฟู ง โดยผพู ูดจะบอกเปนนัยวาผูฟงจะแสดงความรับผิดชอบตอ ส่ิงนน้ั แตจ ะหลกี เลี่ยงการชเ้ี ฉพาะเจาะจงที่ผูฟ งเพือ่ ใหผ ูฟง รสู กึวาตนมคี วามผิด ในกลวิธนี ้ีจะแบงเปน 2 กลวิธยี อ ย ๆ ดงั น้ี 2.1 การแสดงความรําคาญใจ (Annoyance) ยกตัวอยา ง เชน ในประโยคทวี่ า “You know Idon’t like dust,didn’t you know it?” หรอื “Look at these things, all over the place.” เชน กนั ที่ 2ประโยคขา งตน น้ีผพู ูดไมไ ดกลา วตําหนใิ ด ๆ ตอ ผูฟ ง เลยแตผ พู ูดเพยี งแตบอกถึงส่ิงที่ตนรูส กึ ราํ คาญใจเทา น้ัน 2.2 การกลาวถึงผลลัพธที่จะตามมาจากการกระทําผิด (Ill consequences) ในกรณีน้ีผพู ดู แฝงถงึ มงุ หวังถงึ การแสดงความรับผดิ ชอบในความผิดนั้นอยูดวย ยกตวั อยาง เชน ในประโยคทว่ี า “Howterrible! Now I won’t be able to get to work tomorrow.” จากประโยคนี้เปน สถานการณท ผี่ กู ระทาํ ผดิ
13นาํ รถของเพือ่ นไปขบั แลว ทาํ รถเสยี หาย ผพู ูดจงึ พดู โดยกลา วถงึ ความไมพ งึ พอใจและผลลัพธทีจ่ ะตามมาจากการกระทําผิดที่เกิดขึ้น3. การกลาวหาผูก ระทําผดิ (Accusations Cat 3) กลวิธกี ารกลา วโทษ ในกรณีนี้เปน การพดู ตําหนิเพอื่ กลาวหาผูกระทําผดิ แบงเปน 2 ระดับ ซง่ึ ผูพูดสามารถต้ังคําถามผูฟ ง เก่ียวกับสถานการณห รอื ขอ กลาวหา ในกลวิธีนจ้ี ะแบง เปน 2 กลวธิ ยี อย ๆดงั น้ี 3.1 การกลาวหาผูกระทําผิดอยางไมตรงไปตรงมา (Indirect accusation) ในกลวิธนี ีผ้ ูพดู จะพยายามเชอ่ื มโยงเหตุการณที่เกดิ ขึ้นกบั ผกู ระทาํ ผิดและกลา วหาผูก ระทําผิด ยกตวั อยาง เชน ในประโยคที่วา “Look at the mess, haven’t you done any cleaning up for the last week?” ผูพดู กลาวผูกระทําโดยการต้ังคําถามซึ่งในการกลาวเชน น้นี ้นั ผูพดู มสี ิทธทิ์ ีจ่ ะยอมรบั หรือไมยอมรบั ในความผิดนั้น ๆ กไ็ ด 3.2 การกลาวหาผูกระทําผิดอยางตรงไปตรงมา (Direct accusation) การทผี่ พู ดู กลาวหาผกู ระทําผดิ อยา งตรงไปตรงมา ยกตวั อยา ง เชน ในประโยคที่วา “You don’t ever clean up after youwhen you’ve been there, you used to do it, what’s up with you now?” ในประโยคนผ้ี ูพ ูดกลาวหาผูก ระทําผิดโดยการบอกอยา งตรงไปตรงมาโดยการบอกในลักษณะนี้ ผถู กู กลา วหาจะสามารถรูไดทนั ทีถึงความผิดของตนเอง ในการกลาวหาผูกระทําผิดอยางไมตรงไปตรงมา (Indirect accusation) ผูพ ูดจะบอกเปน นยั วาผูฟงมีความผิด ซึ่งการกลาวหาโดยการตั้งคําถามหรือการบอกขอมูลเพียงแคบางสวนเปนการกลาวหาที่เปนการคุกคามหนาในระดับต่ํา (less face threatening) ในกรณีทเ่ี ปน การตัง้ คําถาม ผฟู งมีโอกาสทจ่ี ะปฏิเสธความรับผิดชอบเพราะปราศจากการกลาวหาที่ชัดเจนของผูพูด ในทางตรงกันขาม การพูดกลาวหาอยางตรงไปตรงมา จะทําใหผูฟงสามารถรับรูวาตนเองมีความผิดไดอยางชัดแจงโดยไมตองมีการแปลความหมาย4. การกลา วตําหนิผูกระทําผดิ (Blaming Cat 4)ในกลวิธนี ี้ ผูก ลาวตําหนิจะสนั นิษฐานวา ผูถกู กลาวหาจะเกดิ ความละอายใจตอ ความผิดน้นั ซ่งึแบงเปน 3 ระดับ ซ่งึ ผพู ดู จะมีความชัดเจนในการชแ้ี จงตัดสินความผดิ ในขอกลาวหาแกผ ูฟง ในทกุ ๆกรณี ผูพ ดู จะมกี ารตีคา ความผดิ (Value judgment) ของผูฟง เกิดขึ้น ในกลวิธีน้จี ะแบง เปน3 กลวธิ ียอ ย ๆ ดงั น้ี 4.1 การกลาวตําหนิผูกระทําความผดิ ท่มี ีการตกแตง (Modified Blame) ในกลวธิ นี ้ผี ูพดู จะกลา วแสดงออกถงึ สง่ิ ทต่ี นไมเ หน็ ดว ยในการกระทาํ นน้ั ๆ และคาดหวงั วา ผถู กู กลา วหาจะแสดงความรบั ผิดชอบตอการกระทําที่เกิดขึน้ โดยผูกลาวตําหนมิ กั จะพูดตําหนใิ นกลวธิ นี ้โี ดยการพูดเสนอทางเลอื กใหแกผูถ ูกกลา วหา ยกตัวอยาง เชน ในประโยคทว่ี า “It’s boring to stay here, and I hate living
14in a mess, anyway you ought to clean up after you.” จากประโยคนผี้ ูพูดเลือกใชวธิ กี ารลดความรนุ แรงลดโดยการใช “ought to” ในการกลาวคาํ แนะนําเพ่อื เปน การเสนอทางเลือกแกผ ูฟ ง 4.2 การกลาวตําหนิผูกระทําความผิดโดยการกลาวตอวาการกระทําของผูกระทาํ ผิด (explicitcondemnation of the accused’s action) ในกลวิธีนผ้ี พู ดู จะกลา วตอ วา การกระทาํ ของผฟู ง อยางชัดเจนและตรงไปตรงมา โดยขอกลา วหานน้ั เปน การตอวาผูถกู กลาวใหร บั ผิดชอบตอ การกระทําอันเลวรา ยน้นั ยกตัวอยาง เชน ในประโยคทีว่ า “You never clean up after you, I’m sick and tired of it.” หรือ“It’s really too bad, you know, going round wrecking other people’s cars.” 2 ประโยคขางตนนี้เปนการพดู ตาํ หนผิ ูก ระทําผดิ โดยการเนน ไปทกี่ ารกระทาํ ทผ่ี พู ูดตัดสินแลววา เปนการกระทาํ ทไี่ มดีหรือเลวรา ย 4.3 การกลาวตําหนผิ ูกระทําความผิดโดยการกลา วตอวาทต่ี วั บคุ คลของผูกระทาํ ผิด (Explicitcondemnation of the accused as a person) ในกลวธิ นี ผี้ พู ดู จะกลา วอยางชัดเจนถงึ การกระทาํ ผดิ ในตวับุคคล เชน การกลาวหาวาบุคคลนั้น ๆ ไมมีความรับผิดชอบในฐานะที่เปนสมาชิกในสังคม ยกตัวอยางเชน ในประโยคท่วี า “Oh no, not again! You really are thoughtless.” หรอื “Bloody fool! You’ve doneit again” ทงั้ 2 ประโยคนเ้ี หน็ ไดชดั เจนวา ผพู ูดกลา วตําหนไิ ปท่ตี ัวบุคคลอยา งชดั เจน ซึ่งใน 2 กลวิธีหลงั นี้ผูวิจยั มีความเหน็ วา ผูกลา วตาํ หนิจะใชคาํ ทีแ่ สดงความไมสุภาพ เชน คําท่ีแสดงความหยาบคายหรือคาํ สบถรวมอยดู วยนอกจากทฤษฏีกลวิธีการแสดงการตําหนิของ Trosbrog แลว ยังมีทฤษฏีของ Olshtain และ Weinbach(อางใน Gabriele Kasper and Shoshana Blum-Kulka,1993:110-111) ซึ่งสามารถแบงกลวิธีของการกลา วตาํ หนไิ ว 5 กลวธิ ี มดี งั นี้ 1. Below level of reproach ( การกลา วตาํ หนิในระดับทไี่ มรุนแรง)เปน กลวธิ ีทผ่ี พู ดู ตอ งการหลีกเลีย่ งการช้ีเฉพาะ เจาะจงไปท่ีเหตกุ ารณหรือการเนนไปทตี่ วั ของผูฟ ง ยกตวั อยา ง เชน หากผกู ระทําผดิ ทําบางสง่ิ บางอยา งหกและทําใหผาปูโตะเสียหาย หรอื เอกสารบางอยา งสญู หาย ผูพูด อาจกลา วเพยี งวาวา “แคของหก” หรือ “อยา กงั วล” “ไมไ ดม อี ะไรเสียหายจริงๆซักหนอย” ในหลักเกณฑของการพจิ ารณาผลลัพธท ่ีตามมา ผูพ ูดจะตองแนใ จวา ไมมสี ่งิ ใดที่เปนการฝาฝน กฏของสงั คมและในกลวธิ ีนจ้ี ะทาํ ใหผ ูฟงมคี วามรูสึกวาไมไดถ กู กลาวหาอยา งรนุ แรง 2. Expression of annoyance or disapproval (การแสดงออกถึงสิ่งที่นารําคาญใจหรือไมเ หน็ ดว ย) ในกลวธิ ีน้ีมสี ่ิงทต่ี องตระหนกั ถงึ หลายประการ กลา วคอื เปน กลวธิ ีทมี่ ีความคลุมเครือและเปนการกลาวอยางไมตรงไปตรงมา อีกทั้งเปนการกลาวที่ไมมีการชี้เฉพาะเจาะจงไปที่ตัวผูกระทําผิดแตใ นกลวธิ นี ผี้ พู ูดกไ็ ดแสดงออกสงิ่ ทสี่ รา งความราํ คาญอยา งไมเฉพาะเจาะจงและผูพดู ยังคงพยายามหลีกเลย่ี งการเผชิญหนาอยา งเปดเผยกับผูฟ ง แตผพู ดู กย็ งั มีความชดั เจนวาไดม กี ารลว งละเมดิ บางอยา งเกดิ ข้ึน ยกตัวอยา ง เชน “แคขาดการพิจารณา” หรือ “ นีค้ ือพฤตกิ รรมทยี่ อมรับไมไ ดจรงิ ๆ” จะเหน็ ได
15วาไมไ ดช ้ีชดั ลงไปวาเกดิ อะไรขน้ึ และใครเปน ผรู บั ผดิ ชอบ ซงึ่ ผูฟงกส็ ามารถเลือกท่จี ะแปลความหมายไดวาเปน การตาํ หนแิ ตผ ฟู งกส็ ามารถเพกิ เฉยตอ การถกู ตาํ หนิน้ันไดเ ชน กนั 3. Explicit complaint (การกลาวตําหนิอยางชัดเจน) ในกลวิธีนผี้ พู ูดไดม ีการตัดสนิ ใจทจ่ี ะเปดชองทางในการคุกคามหนาของผูฟง แตก็ไมไดมีการสนับสนุนใหมีบทลงโทษ ยกตัวอยาง เชนในกรณีที่นายแพทยเ ลอื่ นการผา ตัดออกไปโดยไมไดแ จงคนไข อาจถกู ตําหนิ เชน “คุณเปน คนไมมีความเกรงใจเลย” หรือ “คุณไมควรทจ่ี ะเล่อื นการผา ตัดนอี้ อกไปเลย” 4. Accusation and warning (การกลาวหาและการกลาวเตือน) ในกลวธิ ีนเ้ี ปน กลวธิ ีท่ีแสดงออกถงึ การตาํ หนเิ มอื่ ผพู ูดเลอื กท่จี ะเปดชองทางในการคกุ คามหนา ของผูฟง และนอกจากน้ีผพู ดูยังคาดหวังโดยนัยถงึ ความเปน ไปไดท่จี ะใหม บี ทลงโทษเพ่ือเปนการตกั เตือนผกู ระทาํ ผิดถูกแสดงวาเปน การบน ยกตวั อยาง เชน ในประโยคท่ีวา “คราวหนาผมจะใหค ณุ คอยสัก 1 ชัว่ โมง” 5. Immediate threat (การกลาวขมขู) ในกลวิธีน้ีจะกลา วถึง ผูพดู ที่เลือกทีจ่ ะโจมตีผฟู ง อยา งเปดเผย ยกตัวอยางเชน ประโยคที่วา “ คุณจายเงินตอนนี้ดีกวา ” ในกลวิธีนีน้ ีอ้ าจหมายรวมไปถึงคาํสาปแชง,ดูถูก และคําสบประมาทอยางตรงไปตรงมาดวย ดังเชน ประโยคที่วา “ คุณมนั ปญญาออ น”ซ่งึ ผวู จิ ัยเลอื กใชแนวคิดเร่ือกลวิธใี นการแสดงการตําหนิของ Trosbrog และ แนวคดิ ของ Olshtain และWeinbach ดังท่ไี ดกลา วไปแลว มาเปนแนวทางในการวิเคราะหและหากผูวจิ ัยพบกลวธิ ีทไี่ มไดระบไุ วในงานวจิ ัยช้ินนี้ผูว จิ ยั ก็เพม่ิ กลวธิ ีท่ีพบเขาไปในงานวจิ ยั ดวยเนื่องจากผูวจิ ัยเห็นวา กลวิธีการกลา วตําหนิท้งั 2 แนวคดิ นีเ้ ปนงานวิจยั ที่วิเคราะหข อ มลู ของชาวตะวนั ตกซ่ึงมแี นวคดิ และพน้ื ฐานทางวฒั นธรรมแตกตางจากคนไทย 3. ทฤษฎีเรือ่ งหนา ของผพู ูด ผฟู งและความสุภาพ บราวน และเลวนิ สนั ( Brown and Lavinson , 1987 ) ไดน าํ แนวคดิ เรอ่ื งหนา ของกอฟแมนมาอธิบายวา เหตุที่มนุษยใชภาษาสุภาพกับคูสนทนานั้นเปนเพราะคาดหวังที่จะไมใหคูสนทนามาละเมิดหนาของตนเอง ( คําวา “ หนา ” ( face ) ในท่นี ้จี ะหมายถงึ ภาพลักษณ ของตนเองตอ สาธารณะ )ดงั นัน้ ผพู ูดและผูฟ งจึงตา งพยายามทจี่ ะรกั ษาหนา ของตน ไว และไมพ ยายามไปดหู ม่ินหนาของผูอ่นืหนา หรือ ภาพลกั ษณของบุคคลแบง ออกไดเปน 2 ลักษณะ คอื หนาเชิงบวก ( Positive face ) หมายถึง ความตองการที่จะไดรับความยกยองชมเชยหรือการไดรับความสนใจจากผูอืน่ เชน การพูดแสดงความยนิ ดีตอ ผูฟ ง ทําใหผ ฟู งรูสึกดีแตไ ดร ับการยอมรับจากคูสนทนา หนาเชิงลบ ( Negative face ) หมายถงึ ความตอ งการทจี่ ะไมใหผ อู ืน่ มารบกวน บกุ รกุ กาวกา ยหรือการถกู บังคับขเู ขญ็ จากผูอนื่ เชน การพูดทีแ่ สดงการใหเ กยี รติผูฟ งหรอื การกลา วคาํ ขอโทษเม่อื ผพู ดู
16จาํ เปน ตอ งพูดขดั จังหวะคูสนทนา โดยความตองการเรื่อง หนาทั้งสองแบบน้ีจะนําไปสูความตองการที่จะไมใ ห ภาพลกั ษณข องตนถกู ผอู ่นื ลว งเกนิ ( negative face want ) และความตองการที่จะเปนที่ยอมรับของผูฟ ง ( positive face want ) และดวยเหตดุ ังกลา วนีเ้ องทีท่ ําใหม นุษยจ ําเปนตองใชภาษา ทีแ่ สดงถงึสุภาพควบคูไปกับการสนทนาบราวน และเลวนิ สนั ( Brown and Lavinson , 1987 :68 – 71 ) แบงกลวธิ กี ารใชภ าษาสภุ าพเมือ่ผพู ูดตอ งการเลี่ยงการคกุ คามหนา ผพู ดู จะเลอื กใชถอยคาํ ทม่ี ีความเหมาะสมกบั สถานการณทีเ่ กดิ ขึ้นแบงเปน 5 กลวิธี ดังน้ี1. การพดู แบบ ท่ีไมมกี ารตกแตงคําพูด ( Without redressive action , baldly ) คือ การพดู ใหสั้นและกระชับเฉพาะใจความสําคัญ อยางตรงไปตรงมา และผูฟงสามารถเขาใจถึงความตองการของผูพูดไดท นั ที 2. ความสุภาพเชิงบวก ( Positive politeness ) คอื การใชภ าษาเพื่อใหผ ฟู งรสู กึ วาตนเองไดรบัการยอมรบั ยกยอ งจากผอู ่ืนและความรูสึกในการตองการเปนสมาชิกในสังคม เชน การแสดงความเห็นคลอยตามการกลาวคําชมหรือ การใชภาษาถิ่นเพื่อบงบอกความเปนพวกพอง เปน ตน3. ความสุภาพเชิงลบ ( Negative politeness ) คอื การใชภ าษาเพ่ือใหผูฟ ง รสู กึ วา ตนเองไมไ ดถูกบังคบั หรือมีความลําบากใจ และไดร ับความเคารพจากผอู นื่ เชน การกลา วขอโทษ การกลาวเพื่อเสนอทางเลอื กในวจั นกรรมการขอรอ งเพื่อไมใ หผ ฟู ง รสู กึ ลําบากใจในการทจี่ ะตอบรับหรือปฏเิ สธเปนตน4. การใชภาษาออม ( Off record indirectness) คือ การกลาวถอยคําที่มีความหมาย ไมตรงตามรูปภาษา ซงึ่ ผูฟ ง จะตองตีความจากปรบิ ท แวดลอ มโดยผฟู งตองตีความจากสีหนา หรอื นํ้าเสียงของผูพดูประกอบดว ย เชน การพดู เปน นยั ( hint ) เปน ตน 5. การไมแสดงการคุกคามคามหนา ( Don’t do the FTA ) หมายถึง การไมกลาวอะไรออกมาเนือ่ งจากผพู ูดไมตอ งการส่อื สารกับผูฟ ง อาจเพราะกลวั วาผฟู ง จะเสียหนา หากผูพดู กลา วอะไรทไ่ี มด ีออกไป หรืออาจเปน เพราะผพู ดู ไมตองการสื่อสารใดๆ กบั ผูฟ ง
17 4. งานวิจยั ที่เก่ียวของ นชุ นารถ เพง็ สรุ ิยา (2549) ศกึ ษาเรื่อง “การใชภาษาเพื่อแสดงการตําหนิของคนไทย”นุชนารถไดรวบรวมการใชภาษาเพื่อแสดงการตําหนิของคนไทยที่ปรากฏในกลุมตัวอยางนวนิยายไทยจาํ นวน 4 เรื่อง เพ่ือศึกษารปู แบบและกลวธิ ีการใชภ าษาเพอ่ื แสดงการตําหนิของคนไทย แลวนาํสถานการณและถอยคําที่แสดงการตําหนิที่ปรากฏในกลุมตัวอยาง นวนิยายไทยมาเปนแนวทางในการจัดทําแบบสอบถาม จํานวน 60 ชุด เพื่อศกึ ษาถงึ ความสมั พนั ธระหวางกลวิธีการใชภ าษาเพื่อแสดงการตําหนิของคนไทยกับระดับคาความรุนแรงของความผิดซึ่งผลการศึกษารูปแบบการใชภาษาเพื่อแสดงการตําหนิพบวา รูปประโยคที่คนไทยนิยมใชมากที่สุด ไดแก ประโยคบอกเลา ประโยคคําถาม ประโยคคําสั่ง ประโยคปฏิเสธ และประโยคขอรองตามลําดับ นอกจากนี้ ยังพบวาคนไทยนิยมใชวัจนกรรมออมมากกวา วัจนกรรมตรง สําหรับผลการวิเคราะหกลวิธกี ารใชภ าษาเพือ่ แสดงการตําหนิ พบวา กลวิธที ค่ี นไทยนิยมใชมากท่ีสดุ ไดแก การใชภาษาออม การใชความสุภาพเชิงลบ การใชภาษาแบบตรงไปตรงมา และการใชความสุภาพเชิงบวกจากผลการศึกษาความสัมพันธระหวางกลวิธีการใชภาษาเพื่อแสดงการตําหนิกับระดับคาความรุนแรงของความผิดพบวา ระดับคาความรุนแรงของความผิดไมมีผลตอการเลือกใชกลวิธีการใชภาษาเพื่อแสดงการตําหนิของคนไทย นอกจากน้ี Trosbrog (Anna Trosbrogs, 1995) ยังไดศึกษาเรื่องการใชภาษาในการตําหนิของผูที่ใชภาษาอังกฤษเปนภาษาแมเปรียบเทียบกับผูที่ศึกษาภาษาอังกฤษชาวเดนมารก การวิเคราะหเกบ็ขอมูลจากผูศึกษาภาษาอังกฤษชาวเดนมารกในระดับความสามารถทางภาษาที่หลากหลาย ซึ่งพิจารณาจากความสามารถทางภาษาในการติดตอสื่อสารที่แสดงการตําหนิในการสนทนากับชาวอังกฤษที่เปนเจา ของภาษา โดยการสรางสถานการณส มมุติขน้ึ โดยแบง เปน สถานการณทผ่ี พู ดู ไมร จู ักกบั ผูฟงสถานการณท ่ผี ูพ ดู มีสถานภาพสงู กวาผฟู งและสถานการณทผี่ พู ดู และผูฟ ง มีสถานภาพเทา กนั ซ่งึวิเคราะหโดยการเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาของผูเรียนชาวเดนมารกจากสถานการณเดียวกันกับผพู ดู ภาษาองั กฤษเปนภาษาแมแ ละผูใชภ าษาเดนนิชเปนภาษาแม อกี ทั้ง Trosbrog ยงั เปรียบเทยี บผูศึกษาภาษาอังกฤษกับผูที่ใชภาษาอังกฤษเปนภาษาแม และการใชภาษาในการตําหนิในชาวอังกฤษเปรียบเทียบกับชาวเดนนิชอีกดวย จากผลการศึกษา พบวา อิทธิพลในการใชภาษาแมมีผลตอความสามารถในการใชภาษาตางประเทศของกลุมตัวอยาง ซึ่ง Trosbrog พบวาจากการศึกษานั้นพบการเลือกใชก ลวธิ ีการแสดงการตาํ หนิ 4 กลวิธใี หญ ๆ ดงั นี้ 1. การไมกลาวตําหนิออกมาอยางชัดแจง (No explicit reproach Cat 1or Hints) 2. การกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรือไมเห็นดวย (Expression of annoyance ordisapproval Cat 2)
18 3. การกลาวหาผูก ระทาํ ผิด (Accusations Cat 3) 4. การกลาวตําหนิผกู ระทําผดิ (Blaming Cat 4) จากผลการวจิ ัยพบวา กลุมตัวอยางที่เปนนักศึกษาชาวเดนมารคเลือกการใชกลวิธีการกลาวหาผูกระทําผดิ (Accusations Cat 3) มากจนเกินไปในทางตรงกันขามกลุมตัวอยางที่ใชภาษาอังกฤษเปนภาษาแมจะเลือกใชกลวิธีการกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรือไมเห็นดวย (Expression ofannoyance or disapproval Cat 2) มากกวาการใชกลวธิ กี ารกลา วหาผกู ระทําผดิ (Accusations Cat 3) แตผลของการเปรยี บเทียบระหวา งผูทีใ่ ชภาษาองั กฤษเปนภาษาแมกบั ผูท ี่ใชภาษาเดนนชิ เปน ภาษาแมน ้ันผลกลับมาความคลายคลึงกันกลาวคือ มีการเลือกใชกลวิธีการกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรือไมเหน็ ดว ย (Expression of annoyance or disapproval Cat 2) เปน ลาํ ดับแรก และการไมกลา วตาํ หนิออกมาอยางชัดแจง (No explicit reproach Cat 1or Hints) เปน ลาํ ดับถัดมา สว นการเลอื กใชก ลวิธีการกลา วหาผกู ระทําผดิ (Accusations Cat 3)และการกลา วตําหนิผูกระทาํ ผดิ (Blaming Cat 4) นน้ั มีความใกลเคียงกัน และยงั พบวาในกลมุ ตัวอยางที่ใชภ าษาองั กฤษเปนภาษาแมเมือ่ ตองกลา วตาํ หนกิ ลมุตัวอยางมักจะเลือกใชกลวิธีที่สามารถลดระดับความรุนแรงลงได เมือ่ ผพู ูดตอ งกลาวตาํ หนิผทู ีม่ ีสถานภาพสูงกวามักจะเลือกใชกลวิธีการกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจ(Expression of annoyance)และกลวธิ กี ารกลาวตําหนทิ ีม่ กี ารตกแตง (Modified Blame)มากกวาในการตําหนิคนท่ีไมรูจ กั กนั สว นการตาํ หนผิ ูท่ีมีสถานภาพเทากันผพู ดู มักจะเลือกใชก ลวธิ ีการกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจ(Expression of annoyance) การกลาวหาผูกระทําผิดอยางตรงไปตรงมา (direct accusation) และกลวธิ กี ารกลาวตาํ หนิที่มีการตกแตง (Modified Blame) ในจาํ นวนท่ใี กลเคียงกัน นอกเหนือจากน้ี Olshtainและ Weinbach (อางใน Anna Trosbrogs,1995) ไดศึกษาการใชวัจนกรรมการตําหนิของชาวฮิบรู ผลการวิเคราะห พบวา เมือ่ ผพู ูดมีสถานภาพตา่ํ กวา คสู นทนา ผพู ดู จะเลือกใชก ลวธิ ีทีม่ คี วามนมุ นวลและสภุ าพ ซึ่งเทยี บไดกบั กลวธิ กี ารไมก ลา วตําหนิออกมาอยา งชัดแจง (No explicit reproach Cat 1or Hints),การกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรือไมเห็นดวย (Expression of annoyance or disapproval Cat 2)และ การกลา วหาผูก ระทําผดิ (Accusations Cat 3) ทัศนีย เมฆถาวรวัฒนา (2541) ศึกษาเรื่อง “วัจนกรรมการขอโทษในภาษาไทย ” โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษากลวิธีการแสดงวัจนกรรมการขอโทษในภาษาไทย และความสัมพันธระหวางกลวิธีดังกลาวกับคาความรุนแรงของความผิด (weightness of offence) เครื่องมือที่ใชคือ แบบสอบถามแบบปลายเปด และใชการเก็บขอมูลจากกลุมตัวอยางจากหลากหลายอาชีพ จํานวน 50 คน ทศั นยี ส รางแบบสอบถามจากการกําหนดสถานการณ จํานวน 10 สถานการณ แลว ใหกลุมตวั อยางประเมินน้ําหนักความผิดของแตละสถานการณการกระทําผิด ผลการศึกษา พบวา กลวิธีการแสดงวัจนกรรมการขอโทษในภาษาไทยมี 5 กลวิธี ไดแก การกลาวคําแสดงเจตนาในการขอโทษ การยอมรับผดิ การกลา วแกตัว
19การเสนอชดใช และการพยายามทาํ ใหผฟู ง รูสกึ พอใจ ซ่ึงพบการตําหนติ นเองและการตาํ หนิผอู นื่ เปนกลวธิ ยี อย ผลการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางกลวิธีการขอโทษกับคาวามรุนแรงของความผิดพบวา น้ําหนักความผิดไมมีผลตอการแสดงวัจนกรรมการขอโทษ ซึ่งมีขอสังเกตประการหนึ่งวา ความระยะหางทางสังคม (social distance) ของคูสนทนาและสถานภาพทางสังคม (power) ของผฟู ง เม่ือเทียบกับผูพูดมีผลตอการแสดงวัจนกรรมการขอโทษมากกวาระดับคาความรุนแรงของความผิด (ranking ofimposition) ของสถานการณอาจเนื่องมาจากแบบสอบถามกําหนดใหกลุมตัวอยางประเมินคา น้ําหนักความผิดของสถานการณสมมุติตามความรูสึกของกลุมตัวอยาง จึงเปนไปไดวา คาน้ําหนักความผิดอาจไมใชคาน้ําหนักความผิดตามความเปนจริง เนื่องจากในสถานการณหนึ่ง กลุมตัวอยางอาจประเมินคาน้าํ หนักของความผิดไมเทา กัน หรอื อาจเปนเพราะปจจัยอ่นื ๆ ดวย เชน ความรสู กึ จาํ เปน ทต่ี องกลา วคาํขอโทษ ความรูสกึ เสยี หนา ของผูพดู เม่อื กระทาํ ผิด และโอกาสทจี่ ะไดรบั การอภยั จากผฟู ง นอกจากน้ีทศั นียยงั พบวา เม่ือผพู ดู กระทาํ ผิดในสถานการณใ ดสถานการณห น่ึง ท่ีมนี าํ้ หนกั ความผิดมากผูพูดไมจําเปน ตองใชก ลวธิ รี วมกนั ภายใน 1 ถอยคํา แตจะพยายามใชกลวิธีที่คิดวาจะแสดงออกถึงความสุภาพมากท่ีสุด จรี รตั น เพรชรตั นโมรา (2544) ศึกษาเร่อื ง “การศึกษาการขอโทษของผูพูดที่มีสถานภาพทางสังคมตางกันในภาษาไทย ” โดยมวี ตั ถปุ ระสงค 2 ประการคือ เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางการขอโทษกับสถานภาพทางสังคมที่แตกตางกันตามน้ําหนักความผิด โดยเก็บขอมูลโดยใชแบบสอบถามปลายเปดซึ่งเปนสถานการณสมมุติ 9 สถานการณ ไดแก การเขาหอ งประชุมโดยไมป ด โทรศพั ทม ือถอืมาสาย ไมสามารถทําตามสัญญาที่ใหไวได การเดินชน การทําของที่ยืมมาจากอีกฝายเสียหาย การกรอกคะแนนผิดทาํ ใหอีกฝายเดอื ดรอ น การเปดเผยความลบั การทาํ รา ยรางกาย และการตําหนิอกี ฝายใหไดรับความอับอาย นอกจากนี้ยังมีสวนใหประเมินน้ําหนกั ความผิด โดยศกึ ษาจากกลมุ ตวั อยา งทีเ่ ปน คูความสัมพันธท ี่มีสถานภาพสูงกวาและตาํ่ กวา 3 คู ไดแ ก หวั หนาและลกู นอ ง ครูและนักเรียน ภกิ ษแุ ละฆราวาส ซึ่งเปนคูที่มีความแตกตางทางสถานภาพไมเทากัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบการไมขอโทษของผูที่มีสถานภาพไมเทากัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบการไมขอโทษของผูที่มีสถานภาพสูงกวาและต่ํากวาอีกดวย โดยพบวา ในเรื่องของความสัมพันธระหวางการขอโทษกับสถานภาพทางสังคมของผูพูด พบวา สถานภาพของผูพูดเปนตัวแปรสําคัญในการขอโทษ โดยผูที่มีสถานภาพสงู กวา จะขอโทษนอ ยกวา ผทู ่มี สี ถานภาพตํา่ กวา กลา วคอื ย่งิ สถานภาพต่ํากวามากยิ่งขอโทษมากขึน้ และพบวา ผูทม่ี สี ถานภาพสงู กวานยิ มใชกลวธิ ที ี่พยายามลดนา้ํ หนักความผิดเพือ่ ใหตัวเองเสยีหนานอยลง ไดแก การกลาวชี้แจงและการเสนอชดใช ในขณะทีผ่ ูท มี่ ีสถานภาพต่ํากวา นยิ มใชก ลวิธีท่ี
20ลดสถานภาพของตนลงเพื่อแสดงวาตนใหความสําคัญตอผูฟงมาก โดยใชกลวิธีการยอมรับผิดและการทําใหผูฟง รสู ึกดีขึ้นมากกวาผทู ม่ี สี ถานภาพสูงกวา ในสวนของความสัมพันธระหวางการขอโทษของผูที่มีสถานภาพทางสังคมแตกตางกันตามคาน้ําหนักความผิด พบวา นํ้าหนกั ความผดิ เปนปจจัยท่ีมีผลตอ การขอโทษของผูท ม่ี สี ถานภาพแตกตา งกันกลา วคอื ในสถานการณทม่ี ีนํา้ หนักความผิดมาก สวนใหญท ้งั ผูที่มีสาถานภาพสงู กวาและต่ํากวา จะเลอื กใชก ลวธิ ีที่สุภาพตอผูฟงมากข้นึ อยางไรก็ตามพบวา ไมวา จะเปนสถานการณที่มคี วามผิด นอย-มาก หรอื ปานกลาง ผพู ูดทม่ี ีสถานภาพสงู กวา ยังคงเลอื กใชกลวธิ ีทพี่ ยายามใหต นเองเสยี หนานอยลงมากกวา ผพู ดู ท่ีมสี ถานภาพตํ่ากวา ในขณะท่ีผพู ูดทีม่ สี ถานภาพตาํ่ กวาจะใชก ลวิธีทแี่ สดงวาตนใหความสาํ คัญตอ ผูฟงมากกวา ผทู ม่ี ีสถานภาพสูงกวา ซง่ึ ผลการวจิ ยั แสดงใหเ ห็นวา สถานภาพเปนปจจยั ท่ีมีผลตอการขอโทษของคนในสังคมไทยมากกวาคาน้ําหนักความผิด นอกจากงานที่เกยี่ วของกับวัจนกรรมแลวผูวิจัยยังพบวา งานวิจัยทางดานภาษาศาตรสังคมของ Willaim Labov(1966) ศึกษาเรื่องการแบงชนชั้นทางสังคม(Class stratification of (r) in New York) ตามวัจนลีลา 5 วัจนลีลา โดยศึกษาจากกลุมตัวอยางจากหางสรรพสินคา 3 แหง ใน New York โดย Labov ศกึ ษาจากตวั แปรคือ เพศ อาชีพ อายุ เชอื้ชาติ พบวา ในเพศหญิงมีการออกเสียง ( r ) ไดด ีกวา เพศชาย เนือ่ งจากเสยี ง( r ) เปนเสยี งทแี่ สดงออกถึงความสุภาพและมีศักดิ์ศรีฉะนั้น เพศหญิงจึงพยายามออกเสียงใหชัดเจนมากกวาเพศชาย อีกทั้งจากแนวคดิ ของ Lakoff (อางใน Janet Holmes,1997) กลาววา เพศหญงิ จะมลี กั ษณะการใชภาษาทมี่ ักจะคํานึงถึงความสุภาพดังนี้ 1. มักมีการใชประโยคที่แสดงถึงความไมแนใจ เชน you know,well 2. มีการใช Tags question เชน she’s very nice, isn’t she? ซ่งึ แสดงถงึ การใหผ ูอ ื่นแสดงความเห็น 3. มกี ารข้ึนเสยี งสงู ในคาํ ทีแ่ สดงการยนื ยนั เชน It’s really good.4. มีการใชคําแบบ empty adjective เชน diving,charming 5. มีการพูดถงึ สไี ดลึกซงึ้ กวาเพศชาย เชน magenta,aquamarine 6. ในการพดู มกั มกี ารเนนJust หรอื so เชน I like him so much. 7. มีการใชไวยากรณมากเกินไป 8. มีรูปแบบการใชประโยคที่สุภาพมากเกินไป เชน การใชการขอรองแบบออม การเคลือบคํา 9. มักหลีกเลี่ยงการใชคําสบถ 10. มักมีการเนน ในประโยค เชน It was a BRILLIANT performanceและจากการศึกษาของโฮลม (อางในทัศนีย เมฆถาวรวฒั นา, 2541) ไดศึกษาความสัมพันธระหวาง ปจจัยเรื่องเพศกับการแสดงวัจนกรรมการขอโทษ ในการเปรียบเทียบการแสดงวัจนกรรมการขอโทษของเพศชายและเพศหญิง ชาวนิวซีแลนดพบวา ผูหญิงชาวนิวซีแลนดแสดงวัจนกรรมการขอโทษมากกวาและบอยกวาเพศชาย นอกจากนี้ผลการศกึ ษาของ สุภาสนิ ี โพธิวิทย (2547) พบวา ปจ จยั ดา นเพศและอายุของผูใชภ าษามีผลตอ การเลอื กใชกลวิธีการแสดงความเห็นโตแยงในภาษาไทย ดังน้ัน จากงานวจิ ยั ท่ผี ูวิจัยไดศกึ ษาคน ความาพบสง่ิ ทีน่ าสนใจคือ ผพู ดู มักจะเลอื กใชกลวธิ ีในการแสดงวัจนกรรมจากกลวิธีท่ีมีความสุภาพและทําใหผูฟ งรูส กึ เสยี หนาใหน อยทีส่ ดุ และอํานาจหรือสถานภาพทางสังคมนั้นมีผลตอการเลอื กกลวิธใี นการแสดงวัจนกรรม ไมวา จะเปน กลวิธกี ารแสดง
21วจั นกรรมการตาํ หนหิ รอื กลวธิ ีการขอโทษ ผวู จิ ัยจึงนาํ แนวคดิ ในเร่ืองการนาํ ปจ จัยเร่ืองสถานภาพทางสังคม รวมถึงความสนิทสนมคุนเคยระหวางคูสนทนา และการเปรียบการเลือกใชกลวิธีการกลาวตําหนิระหวางเพศหญิงและเพศชายมาใชในการศึกษาการเลือกใชกลวิธีการ แสดงวจั นกรรมการตาํ หนขิ องกลุมตัวอยางนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
22 บทท่ี 3 วธิ ีการวิจยั ในการดาํ เนนิ การวจิ ยั เรอ่ื งการศึกษาการแสดงวจั นกรรมการตาํ หนขิ องกลุม ตวั อยางนิสติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ผวู จิ ัยไดดาํ เนนิ การตามขน้ั ตอนตาง ๆ ตามลาํ ดับดังน้ี 3.1.การเก็บขอมูล3.2 การจัดระเบียบขอมูล 3.3 การวิเคราะหขอมูล3.1 วิธีการเก็บขอมลู3.1.1 การเลือกกลุม ตวั อยา ง ในการการเก็บขอมูลการศึกษาเรื่องวัจนกรรมการตําหนิของในการศึกษาเรื่องวัจนกรรมการตาํ หนขิ องกลุมตัวอยางนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ผวู ิจยั เลอื กเก็บขอมลู จากกลมุ ตัวอยา งประชากรจาํ นวน 40 ชดุ และใชการเก็บขอมูลโดยการเลือกกลุมตัวอยางแบบเจาะจง (purposive sampling)โดยผวู ิจัยกําหนดคณุ สมบัติของผตู อบแบบสอบถามวาตอ งเปน ผูที่มกี ารศกึ ษาระดบั ปริญญาตรขี นึ้ ไป และมีอายุระหวาง 20-25 ป โดยพิจารณาวา ผูทมี่ ีการศกึ ษาและชว งอายุทก่ี ลา วแลว ขา งตน วาเปนผูทีม่ วี ุฒิภาวะและสามารถกลน่ั กรองส่งิ ทีต่ นจะพูดออกไปกอนท่จี ะสือ่ ไปยงั ผูฟงได โดยเก็บขอ มูลจากนสิ ติ นกั ศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร แบงเปนเพศหญิง 20 คน และเพศชาย 20 คน ทง้ั น้เี พอื่ ตอ งการเปรยี บเทียบการเลอื กใชกลวธิ กี ารเลอื กใชว จั นกรรมการตําหนิของท้งั 2 กลมุ ดว ย 3.1.2 การจดั ทาํ เครื่องมือในการวจิ ยั ในการศึกษาเรอ่ื งวัจนกรรมการตําหนิของนสิ ิตมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร ผวู ิจัยเลอื กเกบ็ขอมูลจากการใชแบบสอบถามที่สรางขึ้นจากสถานการณสมมุติที่จัดทําขึ้นจะเปนสถานการณสมมุติโดยจะมคี ําบรรยายสถานการณท่เี กิดขึ้นระหวา งผูตําหนิและผูถกู ตาํ หนใิ หก ลมุ ตวั อยา งอาน แลว จงึ ใหกลุมตัวอยางเขียนตอบแบบสอบถามจากสถานการณที่กําหนดโดยผูวิจัยดัดแปลงมาจากการทําแบบสอบถามที่เรียกวา Discourse Completion Test (DCT) ซึ่งผทู พ่ี ัฒนาขน้ึ เปน คร้งั แรกคอื Blum-Kulka (1982) ซ่งึ Blum- Kulka จัดทําขึ้นเพื่อใหผูตอบแบบสอบถามแสดงบทบาทสมมุติเปนผูกระทําความผดิ และมหี นา ท่ีกลาวคําขอโทษในสถานการณตาง ๆ กันทีเ่ กดิ ขึ้นในขณะนน้ั ซึ่งในแตล ะสถานการณจะประกอบดวยคําบรรยายสั้น ๆ โดยแตละสถานการณจะคํานึงถึงระยะหางทางสังคมและสถานภาพทางสังคมระหวางคูสนทนาโดยใหกลุมตัวอยางเติมเต็มขอความในบทสนทนาใหสมบูรณ
23ทั้งนผ้ี วู จิ ยั ไมไดจ ดั ทําบทสนทนาขึ้นมาเพ่อื ใหก ลุม ตวั อยา งเติมขอความในบทสนทนา แตผ ูว ิจยั ไดเขยี นบรรยายสถานการณสมมุตขิ น้ึ แลว ใหก ลมุ ตัวอยางเขียนตอบในแบบสอบถามวาหากเกดิ สถานการณสมมุติดงั กลาวขน้ึ กบั ตนกลมุ ตวั อยา งจะกลาวตําหนผิ ูกระทาํ ผิดอยา งไรในลักษณะของคําถามปลายเปดเหตทุ ผี่ ูว จิ ยั ไมส รา งแบบสอบถามข้ึนในรปู แบบของบทสนทนาน้ัน ผวู จิ ัยเหน็ วา ในการแสดงวจั นกรรมการตําหนใิ นบางสถานการณ ทงั้ ผกู ระทาํ ผดิ และผตู ําหนอิ าจไมต องมกี ารพูดคยุ กันมากอ นกไ็ ด เชน ในสถานการณท่ผี ูตาํ หนิเดินชนกบั ผูถ กู ตําหนิ หรอื ในสถานการณทผี่ ูต ําหนติ องการตําหนกิ ารกระทาํบางอยางของผูถกู ตาํ หนใิ นกรณีทค่ี ุยเสียงดงั เปน ตนขอ ดีของการทผี่ วู จิ ยั เลอื กการเก็บขอ มลู จากการสรา งแบบสอบถามนผ้ี วู จิ ัยเหน็ วา การเก็บขอมูลดวยวิธีเชนนี้สามารถควบคุมปจจัยที่ผูวิจัยตองการศึกษาได ทั้งเรื่องของสถานภาพทางสังคมความสนิทสนมคุนเคยระหวางผูพูดผูฟง อีกทั้งการเก็บขอมูลโดยการใชแบบสอบถามนี้สามารถชวยประหยัดเวลาในการเก็บขอมูลไดเปนอยางดี แตถึงอยางไรก็ตามการเก็บขอมูลโดยใชแบบสอบถามอาจไดขอมูลที่ไมตรงกับความเปนจริงที่เกิดขึ้นหรือเรียกไดวามีความเปนธรรมชาตินอยกวาการเก็บขอมูลโดยวิธีการสงั เกตจากสถานการณจ รงิ แตถ งึ อยา งไรในการเก็บขอมูลโดยการใชแบบสอบถามก็เปนวธิ กี ารทไี่ ดรับความนิยมกันอยางแพรหลาย เนื่องจากเปนการประหยัดเวลา และมีความใกลเคียงกับความเปนจริงมากที่สุด ผวู ิจยั เลือกเก็บขอมลู โดยใชแบบสอบถามที่สรา งข้ึนซึง่ ผูวิจัยแบง เปน 2 สวน คอืสวนท่ี 1 เปน การถามขอมลู สว นตวั ของกลุมตัวอยา ง เชน เพศ อายุ การศึกษาสวนที่ 2 เปนสว นท่ีใหกลุม ตวั อยา งตอบคําถามจากสถานการณส มมุติทสี่ รา งข้ึน 12สถานการณโดยสถานการณท ่ีผูวจิ ยั สรา งขึน้ นัน้ เปน สถานการณที่สามารถเกดิ ข้นึ ไดบ อ ยคร้ังในสังคมไทยเชน การเดินชน การทําของผูอนื่ เสยี หาย และการสงเสียงดงั รบกวนผูอ่นื เปน ตน ซึ่งผูวจิ ัยไดกาํ หนดความสัมพันธของคูสนทนาแบงออกเปน 2 ลักษณะ คอื 1. ผูพ ูดกบั ผูฟ ง สนิทสนมกัน 2. ผูพ ดู กับผูฟง ไมสนทิ สนมกนัอกี ทงั้ ยงั นําความสัมพันธของคูสนทนามาพิจารณารวมกับสถานภาพหรืออํานาจระหวางผูพูดและผูฟงโดยแบง ออกเปน 3 ลักษณะ คือ 1. ผูพดู มีอายุหรือสถานภาพเทากนั กับผูฟง ในสถานการณท่ี 1-4 2. ผฟู งมีอายุหรอื สถานภาพตาํ่ กวาผูฟ ง ในสถานการณท ่ี 5-8 3. ผูพดู มีอายุหรอื สถานภาพสูงกวาผฟู ง ในสถานการณท ่ี 9-12ซ่ึงสถานการณท ั้งหมดมี 12 สถานการณดังน้ี
24 สถานการณท ี่ 1 ผถู ูกตาํ หนิยืมของไปแลว ไมนาํ มาคืน ( ผพู ูดกลา วตําหนเิ พ่ือนสนทิ ของตนทไี่ มน าํ ปากกามาคืนตน) สถานการณท ่ี 2 ผถู กู ตําหนสิ ูบบหุ รี่ในที่สาธารณะ (ผูพูดกลาวตาํ หนิเพอื่ นสนิทที่สบู บุหรี่ในท่สี าธารณะ) สถานการณท่ี 3 ผถู ูกตําหนิยืมของไปแลวไมน ํามาคืน(ผูพดู กลา วตําหนเิ พ่อื นรว มช้ันเรยี นท่ีไมนาํ ทีเ่ ยบ็ กระดาษมาคนื ตน) สถานการณท ี่ 4 ผูถกู ตําหนิสงเสียงดังรบกวนผอู น่ื ในหองสมดุ (ผพู ูดกลา วตาํ หนเิ พื่อนนักศกึ ษาท่สี งเสียงดงั ในหอ งสมุด) สถานการณท่ี 5 ผูถูกตาํ หนทิ าํ ดินสอที่ยืนไปหาย (ผพู ูดกลาวตาํ หนิเพื่อนรุนพี่ทที่ ําดนิ สอของตนหาย) สถานการณท ี่ 6 ผถู กู ตาํ หนินาํ รถไปชนเสยี หาย (ผูพดู กลาวตําหนพิ สี่ าวของตนที่นาํ รถของตนไปชนเสียหาย) สถานการณที่ 7 ผถู กู ตําหนเิ ดินชนผอู ืน่ เซไป (ผพู ดู กลา วตําหนริ ุนพี่ท่ีเดินชนตนจนเซไป)
25 สถานการณท ี่ 8 ผูถ ูกตําหนซิ ึง่ เปนลูกคาผิดนัดการประชมุ (ผูพดู กลา วตาํ หนิลกู คา ทีผ่ ดิ นดั การประชุม) สถานการณที่ 9 ผูถ ูกตําหนิมกั นอนตน่ื สายเปนประจาํ (ผูพ ูดกลาวตําหนลิ กู ของตนท่ีมกั นอนต่นื สายเปนประจํา) สถานการณท ่ี 10 ผถู ูกตาํ หนทิ าํ นาฬกิ าพังเสียหาย (ผพู ูดกลาวตําหนินอ งสาวของตนท่ีทาํ หนาปดนาฬกิ าแตก) สถานการณท่ี 11 ผูถูกตําหนทิ ําน้าํ หกเลอะเส้ือผูอ่นื (ผพู ดู กลาวตาํ หนลิ กู นอ งของตนทท่ี าํ นํา้ หกใสเส้อื ตน) สถานการณที่ 12 ผูถกู ตาํ หนิผดิ นดั กบั ลกู คา (ผูพูดกลา วตาํ หนเิ ลขาของตนทผ่ี ดิ นดั ลูกคา)ตัวอยางของสถานการณที่ใชในการเก็บขอมูล สถานการณที่ 1 มารคและมิคเปนเพื่อนสนิทกัน แตมิคไดยืมปากกาของมารคไปแตยังไมไดนํามาคืนมารคพอดีมารคพบกับมิคในหอง Lecture มารคจึงนึกไดวามิคยังไมไดนําปากกามาคืนตน ถาคุณเปนมารคคุณจะพูดตาํ หนมิ ิค อยางไร?
26คณุ จะพูดตาํ หนิมิควา“__________________________________________________________________________________________________________________________________________________________” สถานการณท ี่ 2 จอยและเพือ่ นๆ ในกลุมเดยี วกนั กาํ ลังนงั่ คยุ กนั อยูที่โตะมา หนิ ในมหาวิทยาลยั ในขณะเดยี วกนับอยซง่ึ เปน เพอ่ื นในกลุมก็หยิบบหุ รี่ขนึ่ มาสบู ทาํ ใหจ อยและเพ่อื น ๆ ไมพอใจ ถา คณุ เปนจอยคณุ จะพูดตําหนิบอยอยางไร?คณุ จะพดู ตําหนิบอยวา“__________________________________________________________________________________________________________________________________________________________”3.1.3 การเก็บขอมูล หลงั จากทผี่ ูว ิจยั สรา งแบบสอบถามเพ่อื เก็บขอ มูลเรยี บรอ ยแลว และผวู ิจัยนาํ แบบสอบถามที่ผานกระบวนการทดลองใชแลวไปเก็บขอมูล เพอื่ วิเคราะหก ลวิธีการแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิและศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตําหนิในกลุมตัวอยางเพศชายและเพศหญิงจํานวน 40คนแบงเปนเพศหญิง 20 คนและเพศชาย 20 คนโดยกลมุ ตวั อยางคอื นกั ศึกษามหาวิทยาลยั เกษตรศาสตรท ่ีมีอายุตงั้ แต 20-25 ประดบั ปรญิ ญาตรีขนึ้ ไป ซ่ึงผูวจิ ยั ใชการเลือกกลุมตัวอยางแบบเจาะจง ( purposive sampling) ในการขอความรวมมือจากกลุมตัวอยาง3.2 วธิ กี ารจัดระเบียบขอมูลหลังจากท่ผี ูวจิ ัยไดข อมลู ตามท่ีตองการแลว ในขั้นตอนถัดมาผูวจิ ัยจึงนําขอมลู ทัง้ หมดมาจัดระเบยี บขอ มลู ดงั ตอ ไปนี้นําขอมูลที่ไดมาวิเคราะหดูวาการตอบแบบสอบถามของกลุมตัวอยางนั้นเปนวัจนกรรมการตําหนิหรอื ไม และผวู จิ ัยจงึ ทาํ การพิจารณาวาขอ ความใดบา งทีเ่ ปน วจั นกรรมทแี่ สดงถงึ การตาํ หนิ เชนการกลาวคําขอโทษเชน “ขอโทษคะ” “ขอโทษครับ” คําอทุ านที่แสดงถึงความประหลาดใจ เชน “ตา ย”“อยุ ” และคาํ พดู ทแ่ี สดงถึงการปลอบใจผูฟงอยางชดั เจน เชน “ไมเ ปน ไรหรอกเดย๋ี วเราซอ้ื ใหมเ อง” คําวา “ไมเ ปนไร” ผูวิจัยจะไมนํามาพจิ ารณาดวย เหตุเพราะทง้ั นผี้ วู จิ ัยเก็บขอ มลู จากการตอบแบบสอบถาม
27จากกลุมตัวอยาง ซึ่งตามรูปภาษาและจากการสอบถามจากเจาของภาษาแลวคําเหลานี้ไมถือเปนการตําหนิผูฟงทั้งนี้เนื่องจากวาไมสามารถระบุไดชัดเจนจากการเก็บขอมูลจากแบบสอบถาม และเพื่อเปนการปอ งกนั การสับสนในการวเิ คราะหข อมูลผวู จิ ัยจงึ ตัดขอความเหลาน้ีออกไปไมนาํ มาวเิ คราะหร ว มดว ย ท้ังน้ีหากผูวจิ ัยเกบ็ ขอ มลู จากสถานการณจ ริงโดยมีการเก็บขอมลู จากน้าํ เสยี งและสีหนาทาทาง เขามาพิจารณารวมดวยถอยคําที่กลาวถึงขางตน อาจสามารถจัดเปนวัจนกรรมในการแสดงการตําหนิดวยก็ได ซง่ึ จากจาํ นวนวจั นกรรมทั้งหมดท่ผี ูว จิ ัยคัดเลือกจากกลมุ ตัวอยาง 40 คนไดท ง้ั หมด 447 ขอความโดยผูวจิ ยั ไดตดั ขอความที่ผวู จิ ัยถอื วา ไมไ ดเปนวจั นกรรมทแี่ สดงการตําหนิออกไป ยกตัวอยา งเชน ในสถานการณท ี่ 7 ทผ่ี ูกระทําผดิ เดนิ ชนผกู ลาวตาํ หนิจนเซไปแตผกู ลาวตําหนไิ มไดกลา วตาํ หนิ หรือกลาวคาํ พดู ทแี่ สดงถึงความไมพอใจแตอ ยางใดแตผ กู ลาวตําหนิกลับพูดคําขอโทษกบัผูกระทําผดิ ดังตวั อยางตอ ไปนี้ สถานการณที่ 7 บอมนักศกึ ษาช้นั ปท ่ี 2 กําลังรบี เดนิ เพ่อื เขา หองเรยี น จู ๆ สม ทกี่ ําลังเดินคุยมากับเพื่อนเพลินเลยมองไมเห็นบอมไมทันระวังชนบอมเซไป บอมจําไดวาสมเปนนักศึกษารุนพี่แตก็ไมไดมีความคุนเคยกันเทา ใดนกั ถาคณุ เปน บอมคณุ จะพูดตาํ หนิสม วา อยางไร?บอมกลาววา “ขอโทษครบั ” การกลาวเชนน้ีผวู จิ ัยจดั วาไมไ ดเ ปน คาํ ท่ีแสดงการตาํ หนิดงั ท่ผี ูว จิ ยั ไดกลา วมาแลว ในวธิ กี ารจัดระเบยี บขอมูลวา เนือ่ งจากผวู ิจัยไมไดร วมคาํ วา “ขอโทษ” จดั เปน วจั นกรรมการตําหนิเพราะจากการเก็บขอมูลจากแบบสอบถามนั้นไดรับขอมูลไมเพียงพอในการจะสรุปวาเปนวัจนกรรมการตําหนเิ น่อื งจากผูวจิ ัยมคี วามเห็นหากเปนการเกบ็ ขอมูลจากสถานการณจริงที่ประกอบดวย น้ําเสียง กริยาทาทางและสีหนาประกอบกันก็จะสามารถระบุไดอยางชัดเจนวาเปนวัจนกรรมการตําหนหิ รือไมและเพอ่ื เปน การปองกนั ความสบั สนผูวจิ ยั จึงไมน ําขอความดังท่ไี ดกลา วไปแลว มาวเิ คราะหร ว มดว ย
283.3 วิธกี ารวิเคราะหขอมลู 1. เกณฑในการวิเคราะหขอ มลู ผวู ิจยั พบวาในแตล ะขอความที่กลมุ ตวั อยา งไดต อบแบบสอบถามมานั้นยังสามารถจําแนกไดเปน หนวยขอความ โดยใชเกณฑทางเสียง(ทัศนยี เมฆถาวรวฒั นา, 2541) คือการหยุดเวน ระยะเปนตัวตัดสิน ในการทจ่ี ะวเิ คราะหว า ภายในขอ ความนัน้ ๆ มกี ลวิวธิ กี ารตําหนิใดบา งที่อยูในขอความนัน้ และหนว ยขอ ความแตล ะหนว ยขอ ความนั้นจัดอยูในกลวิธใี ด นอกจากนี้ผวู ิจัยไดใ ชความสามารถทางภาษาในการวิเคราะหข อ มูลในฐานะทีเ่ ปนเจาของภาษามาใชในการวิเคราะหขอมูลวาวัจนกรรมการกลาวตําหนิในขอความนั้นจัดเปนกลวิธีการกลา วตาํ หนใิ นกลวธิ ใี ด โดยผูวจิ ัยใชเกณฑใ นการวเิ คราะหตามแนวคดิ เกย่ี วกบั กลวธิ กี ารแสดงวัจนกรรมการตําหนิ ของ Anna Trosbrog (Anna Trosbrog,1995)ซึ่งไดแบงตามลําดับของการพูดตรง(directness level) กลาวคือจากลําดับของการพูดในแบบไมตรงไปตรงมามากที่สุดไปจนถึงการพูดแบบตรงไปตรงมาซึ่งเปนกลวิธีการตําหนิที่มีความรุนแรงมากที่สุด 2. ในการจะพิจารณาวา ขอ ความใดเปนวจั นกรรมการตําหนิหรอื ไมน ั้นผวู จิ ัยไดข อความรวมมือจากนิสิตปริญญาโท ภาควิชาภาษาศาสตรประยุกต 2 ทานและรวมตัวผเู วจิ ยั เองดว ยเปน 3 ทา นในการพจิ ารณาวา แตล ะขอความทีพ่ บนัน้ จดั อยูในกลวธิ ใี ดบางซง่ึ ขอ ความนน้ั ๆ ตอ งไดรับการพจิ ารณาเหน็ ดว ย 2 ใน 3 ความคิดเห็นในฐานะท่ีเปนเจา ของภาษาจงึ จะเปนเอกฉันท ซง่ึ ผวู ิจัยจะเรยี กวาการแบงตามระดับความรุนแรงของกลวิธีการในแสดงวัจนกรรมการตําหนิจากกลวิธีที่มีความรุนแรงนอยที่สุดไปถึงกลวิธีที่มีความรุนแรงมากที่สุด ซึ่งมีอยู 4 กลวธิ ใี หญแ ละ 8 กลวธิ ียอ ย คอื1. การไมกลาวตําหนิออกมาอยางชัดแจง (No explicit reproach Cat 1)2. การกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรือไมเห็นดวย (Expression of annoyance or disapprovalCat 2) 2.1 การแสดงความรําคาญใจ (Annoyance) 2.2 การกลาวถึงผลลัพธที่จะตามมาจากการกระทําผิด (Ill consequences) 3. การกลาวหาผูกระทาํ ผิด (Accusations Cat 3) 3.1 การกลาวหาผูกระทําผิดอยางไมตรงไปตรงมา (Indirect accusation) 3.2 การกลาวหาผูกระทําผิดอยางตรงไปตรงมา (Direct accusation)4. การกลาวตาํ หนิผกู ระทาํ ผดิ (Blaming Cat 4) 4.1 การกลาวตําหนิผกู ระทาํ ความผดิ ที่มีการตกแตงโดยการใชถอยคําเพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ (Modified Blame)
29 4.2 การกลาวตําหนิผูกระทําความผิดโดยการกลาวตอวาการกระทําของผูกระทําผิด (explicitcondemnation of the accused’s action) 4.3 การกลาวตาํ หนผิ กู ระทาํ ความผิดโดยการกลาวตอ วา ท่ีตวั บุคคลของผูกระทาํ ผดิ (Explicitcondemnation of the accused as a person) 3. เมื่อผวู จิ ยั ไดวิเคราะหขอ ความวา ในแตละหนว ยขอความนั้นจัดอยูในกลวธิ กี ารกลา วตาํ หนิกลวธิ ใี ดบา งแลว ในข้นั ตอนตอไปผูวจิ ัยจะนบั อัตราการพบกลวธิ ีในการกลา วตําหนิ โดยมกี ารบันทกึขอมลู ทุกครงั้ ท่ีพบในกลวิธีแตล ะกลวิธี แมว า ใน 1 ขอความจะพบกลวิธีการกลาวตําหนิมากกวา 1กลวธิ กี ็ตาม ยกตัวอยางเชน ขอ ความที่ 130 “เออ พวกคุณชว ยเงียบเสียงลงหนอ ยนมี่ ันหอ งสมุดนะคะไวอ า นหนังสอื นะ ถา จะคุยเสยี งดงัควรจะไปคุยขางนอกดีกวา รบกวนพวกเราอานหนังสืออะ”จากขอความที่ 30 ปรากฏกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ 3 กลวธิ ี ดงั น้ีหนวยขอ ความที1่ พวกคณุ ชว ยเงยี บเสียงลงหนอ ยนี่มนั หองสมุดนะคะไวอ านหนงั สอื นะ จดั เปน กลวิธีการกลาวหาผูกระทําผิดอยางไมตรงไปตรงมา (Indirect accusation) หนวยขอความนี้จัดเปนกลวิธีการกลาวหาผูกระทําผิดอยางไมตรงไปตรงมา เนื่องจากปรากฏคําวา “ชวยเงียบเสียงลงหนอย”ซึ่งเปนประโยคที่พูดในเชิงขอรองแทนที่จะพูดโดยใชประโยคคําสั่งอยางตรงไปตรงมาหนวยขอความที่ 2 ถาจะคุยเสียงดังควรจะไปคุยขางนอกดีกวา จดั เปนการกลาวตาํ หนผิ ูกระทําความผิดโดยการตกแตงถอยคําเพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ (Modified Blame)หนว ยขอความนี้จัดเปนกลวธิ ีการกลาวตําหนิผกู ระทาํ ความผิดโดยการตกแตง ถอ ยคําเพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ โดยใชประโยคที่แสดงถึงการเสนอทางเลือกใหแกผูฟงหนว ยขอ ความที่ 3 รบกวนพวกเราอา นหนงั สอื อะ จดั เปนกลวธิ กี ารกลาวหาผกู ระทาํ ผิดอยางตรงไปตรงมา (Direct accusation)หนว ยขอความนจ้ี ดั เปน กลวิธีการกลา วหาผกู ระทําผดิ อยา งตรงไปตรงมา ซึ่งสังเกตไดจากการใชประโยคบอกเลาในการกลาวหาผูก ระทาํ ผิดดว ยถอยคําทตี่ รงไปตรงมาและไมออ มคอม วาผูฟง นัน้รบกวนผพู ูดท่ีกําลังอานหนงั สืออยู
30ขอความท่ี 458 “ทําไมคุณไมรักษาเวลาเลย คุณทําแบบนี้บริษัทเราเสียหายนะครับ คราวหนา อยา ใหอ ยาใหเกดิเรอื่ งแบบนขี้ ึ้นอกี นะครับ”จากขอความที่ 30 ปรากฏกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิ 3 กลวิธี ดังน้ีหนว ยขอความท1ี่ ทําไมคุณไมรักษาเวลาเลย จัดเปนกลวธิ ีการกลา วหาผูกระทําผดิ อยา งไมตรงไปตรงมา (Indirect accusation) หนว ยขอความน้ีจดั เปนกลวธิ ีการกลา วตาํ หนผิ กู ระทําผดิ อยา งไมต รงไปตรงมา โดยท่ีผพู ูดใชประโยคคําถามในการกลาวตําหนิผูกระทําผิดแทนที่จะใชถอยคําที่แสดงการตําหนิอยางตรงไปตรงมาเชน “คณุ นี่ไมรจู กั รกั ษาเวลาเลย”หนว ยขอ ความที่ 2 คุณทําแบบนี้บริษัทเราเสียหายนะครับ จัดเปน กลวิธีการกลาวหาผูกระทาํ ผิดอยางตรงไปตรงมา (Direct accusation) หนว ยขอ ความนจ้ี ดั เปน จัดเปนกลวิธีการกลาวหาผูกระทําผิดอยางตรงไปตรงมา เน่ืองจากผูพดูใชถ อ ยคําท่ีแสดงถึงการกลา วหาผูฟ ง ดวยถอ ยคาํ ท่ตี รงไปตรงมาทําใหผูฟ งเขา ใจไดทันทีหนวยขอ ความที่ 3 คราวหนาอยาใหอยา ใหเกิดเรอ่ื งแบบนี้ข้ึนอกี นะครบั จดั เปน กลวิธกี ารกลาวเตือน(Warning) หนว ยขอ ความน้ีจดั เปนกลวธิ ีการกลา วเตอื น เนอ่ื งจากผพู ดู ใชถอ ยคาํ ทแี่ สดงถงึ การตักเตือน วาอยา ใหเกิดเหตุการณในรูปแบบเดิมอีก ซ่ึงจะทาํ ใหผ ูฟง เขา ใจไดวา หากเกิดเหตุการณในรูปแบบเดมิ ข้นึอกี ผูฟ ง อาจไดรบั โทษได4. การนาํ เสนอขอ มลู ผูวจิ ยั จะนาํ เสนอขอมูล โดยการคดิ เปน เปอรเซ็นต โดยใชสูตรในการคํานวณเพ่อืหาความถี่ ดงั นี้% = S*100 N% = ความถี่ของการพบกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตําหนิโดยคิดเปนเปอรเซ็นตS = จาํ นวนครง้ั ทพ่ี บกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิN = จํานวนกลวิธีการแสดงวัจนกรรมการตําหนิทั้งหมดที่ไดจากการเก็บขอมูล
31 บทท่ี 4 ผลการวจิ ยั และขอวจิ ารณ ผูว ิจยั ไดนําขอ มลู ทไี่ ดรวบรวมมาวิเคราะหก ารเลอื กใชกลวธิ กี ารแสดงวจั นกรรมการตาํ หนิในกลุมตัวอยางนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร เพื่อศกึ ษาวา การแสดงวัจนกรรมการตําหนิที่พบมีกลวิธีใดบาง และแตละกลวิธีมีความถี่ในการปรากฏแตกตางกันอยางไร ซึ่งจากผลการวิเคราะหขอมูลมีรายละเอยี ดดังตอ ไปน้ี4.1 กลวธิ แี สดงวัจนกรรมการตาํ หนิ 4.1.1 การปรากฏของกลวธิ ีการแสดงวัจนกรรมการตําหนิ มดี ังนี้จากขอความท่ีผูวจิ ัยรวบรวมไดท ัง้ หมด 480 ขอความ เปนขอ ความทเ่ี ปน วจั นกรรมการตาํ หนิทั้งหมด 460 ขอ ความเน่ืองจากผูวิจยั ไดตดั ขอความท่ไี มใ ชว ัจนกรรมท่แี สดงออกถงึ การตําหนิออกไปดังทไี่ ดก ลาวไวแลวใน บทท่ี 3 และผวู ิจัยพบวาการเลือกใชกลวิธีการแสดงตาํ หนขิ องนสิ ติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรสามารถจําแนกไดเปน 4 กลวิธีใหญ 8 กลวิธยี อ ย ดงั นี้1. การไมกลาวตําหนิออกมาอยางชัดแจงหรือบอกเปนนัย2. การกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรือไมเห็นดวยกลวธิ ยี อยท่ี 2.1 การแสดงความรําคาญใจกลวิธยี อ ยท่ี 2.2 การกลาวถึงผลลัพธที่จะตามมาจากการกระทําผิด3. การกลาวหาผูกระทําผดิ หรอื การกลา วเตอื นกลวิธียอยท่ี 3.1 การกลาวหาผูกระทําผิดอยางไมตรงไปตรงมากลวิธยี อ ยท่ี 3.2 การกลาวหาผูกระทําผิดอยางตรงไปตรงมากลวธิ ียอยท่ี 3.3 การกลาวเตอื นผูกระทําผิด4. การกลา วตําหนผิ ูกระทําผดิกลวธิ ียอยที่ 4.1 การกลาวตาํ หนิผกู ระทาํ ความผิดท่มี กี ารตกแตง ถอยคําเพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ
32กลวิธยี อยที่ 4.2 การกลาวตาํ หนผิ ูกระทําความผิดโดยการกลาวตําหนกิ ารกระทําหรือตวั บุคคลของผกู ระทําผิด ในกลวธิ ีท่ี 3.3 กลวธิ ีการกลาวเตือนเปนกลวิธที ผี่ ูวจิ ยั พบนอกเหนือจากกลวิธีที่ Trosbrog ระบุไว ซึ่งเปนไปตามแนวคิดของ Olshtain และ Weinbach (อางใน Gabriele Kasper and Shoshana Blum-Kulka,1993) ซงึ่ กลาววา ในกลวิธีนีจ้ ะกลา วถึง ผพู ูดยงั คาดหวงั โดยนัยถึงความเปนไปไดทีจ่ ะใหม ีบทลงโทษเพือ่ เปน การตกั เตือนผกู ระทาํ ผดิ ยกตัวอยา งเชน ประโยคที่วา “ถา มคี ร้ังหนา คณุ จะเดอื ดรอนนะครบั ” อยา ใหมเี หตุการณแบบนีอ้ ีกนะ ถาเปนแบบน้ีอีกผมตองทําตามกฎของบรษิ ัทนะครบั ” ซึ่งในกลวิธกี ารกลา วเตอื น (Warning) ผวู จิ ัยจดั ใหอยูใน กลมุ เดียวกับการกลา วหาตามแนวคดิ ของ Olshtainและ Weinbach ทีไ่ ดจัดใหการกลา วหาและการกลา วเตอื นใหอยใู นกลมุ เดยี วกันแตเนือ่ งจากในทฤษฎีของ Trosbrog ไมไดระบกุ ารกลา วเตอื นไวใ นกลุม การกลา วหาผกู ระทาํ ผิด(Accusations ) ผูวิจยั จงึ ไดเพิม่ กลวธิ กี ารกลาวเตอื น (Warning) ลงไป นอกจากนใ้ี นกลวธิ ีที่ 4.2 กลวกิ ารกลา วตาํ หนิท่ีพฤตกิ รรมหรือทต่ี ัวบุคคลของผูกระทาํ ความผดิ ผูวจิ ยั ไดรวมเปน กลวธิ ีเดียวกนั เนือ่ งจากขอมลู ทไ่ี ดนน้ั ไมส ามารถแยกจากกันไดอยา งชัดเจนเพ่อื แกปญ หาและไมใ หเ กิดการสับสนในการวิเคราะหข อ มลู ผูว ิจยั จงึ รวมกลวิธีการกลาวตาํ หนิท่พี ฤติกรรมของผูก ระทําผิดและกลวธิ ีการกลาวตาํ หนิที่ตวั บคุ คลของผกู ระทาํ ผิดไวเ ปน กลวธิ เี ดยี วกนัการแสดงวจั นกรรมการตาํ หนใิ นแตล ะกลวธิ ี มรี ายละเอยี ดดงั ตอ ไปน้ี1. การไมกลาวตําหนิออกมาอยางชัดแจงหรือบอกเปนนัยสังเกตไดจ ากการที่ผูพ ูดไมไ ดก ลาวที่แสดงออกในเชิงตาํ หนิติเตยี นผูกระทาํ ผดิ แตอยา งใด ซึง่เปนกลวิธีทีผ่ ูพดู ตัวหลกี เลี่ยงการชีเ้ ฉพาะเจาะท่ตี วั ผูกระทาํ ผดิ ซง่ึ กลวิธีนีผ้ ูถูกตําหนิอาจรตู วั หรอื ไมรูต ัววา กําลงั ถูกตําหนิอยูกเ็ ปนได ซึง่ ก็เปน วิธที ่มี รี ะดบั ความรุนแรงนอยทส่ี ุด ดังตวั อยางตัวอยา งท่ี 1จากสถานการณท ี่ 1 ในขอ ความที่ 16“มิคแกซือ้ ปากกาใหม รยึ ัง” (ผูพูดใหป ากกามิคยมื แตมคิ กไ็ มนาํ มาคนื ผพู ดู )จากตวั อยางท่ี 1 เปน การใชกลวธิ กี ารไมก ลาวตําหนิออกมาอยา งชัดแจง หรอื บอกเปน นัยโดยผพู ูดกลา วเปนประโยคคําถามแกผ ูฟ ง ท้งั นผี้ พู ูดอาจแฝงความรูสกึ ในเชิงประชดประชันไวดวยตัวอยา งที่ 2จากสถานการณท่ี 5ในขอ ความท่ี 192“พอ่ี ้ัม ดนิ สอคนื ยงั พอดจี ะตอ งเอาไปใชส อบ” (ผูพูดใหดนิ สอรนุ พย่ี ืมแตเขาทาํ ดนิ สอแทงน้นั หาย)
33จากตัวอยา งที่ 2 เปนการใชกลวิธีการบอกเปนนัยโดยการใชประโยคคําถามโดยผูพูดไมไดแสดงการตําหนิผฟู ง แบบตรงแตเ ปนการพูดโดยใชป ระโยคคําถามแทนซ่ึงผูฟง อาจรหู รอื ไมก ็ไดว าผพู ูดกําลังไมพอใจ ในกรณนี ผี้ พู ูดอาจรสู กึ เกรงใจผฟู งเพราะผูฟง มีสถานภาพสูงกวาตนจงึ เลือกใชก ลวธิ ีการบอกเปนนัยแทนการใชกลวธิ อี นื่ ซ่งึ อาจเปน การกระทบกระเทอื นความรูส ึกของผฟู งและอาจทาํ ใหผูฟง ไมพ อใจได ท้งั น้ีผวู ิจยั เห็นวา ถงึ แมกลวิธีการไมก ลาวตาํ หนอิ อกมาอยางชัดแจง หรอื บอกเปนนัยน้ี เปนกลวิธที ่ผี ฟู ง อาจจะรหู รอื ไมร ูถ ึงสิ่งทีต่ นกระทําผดิ ลงไปเพราะถอยคําที่กลาวออกไปอาจไมชัดเจนนักซง่ึ อาจทําใหผ ฟู ง รูต ัวหรือไมก ไ็ ด เพราะแทนทผี่ พู ูดจะกลา วตาํ หนผิ ฟู งทั้ง ๆ ที่ในความเปนจริงแลว ผูพดู อาจจะกําลงั รสู ึกไมพ อใจผูฟ งหรือผพู ูดอาจกลา วโดยนัยเพ่ือหลีกเลีย่ งทจี่ ะตําหนผิ กู ระทาํ ผดิ หรอื พดูเพื่อปกปดความรูสึกที่ไมพอใจของตนเองเอาไว จึงอาจใชถอยคําในเชิงประชดประชัน เชน “มิค แกซื้อปากกาใหม รยึ งั ”โดยทผี่ ูพูดอาจคาดหวงั ลกึ ๆ วาผูฟงจะรูสึกละอายใจถึงแมว า ตนจะไมไ ดก ลาวถอ ยคาํที่แสดงถึงความไมพอใจออกไปก็ตามและในกลวิธีนี้การบอกเปนนัยจะไมใชการกลาวคําตําหนิผกู ระทําผิดออกไปอยางตรงไปตรงมา แตท ัง้ นท้ี ั้งนั้นเน่ืองจากในงานวจิ ยั ชน้ิ นี้เปน การเกบ็ ขอ มูลโดยใชแบบสอบถามผวู จิ ยั จงึ ไมส ามารถพจิ ารณาปจ จยั แวดลอมอน่ื ๆ เชน นาํ้ เสยี ง สีหนา ทา ทางของผูพดู ซ่ึงหากมีการเก็บขอมูลจากสถานการณจริงอาจทําใหไดขอมูลและพบลักษณะของกลวิธีการแสดงการตาํ หนิท่แี ตกตางออกไปจากนี้ แตอยา งไรกด็ ีผูวิจยั ไดต้งั ขอสงั เกตวา กลวิธนี ี้มักเปนกลวิธีทเี่ ปน การพดูเกริน่ นาํ เพ่อื ในการใชก ลวิธกี ารตําหนทิ ีม่ คี วามรุนแรงข้ึนตอ ไป2. การกลาวแสดงออกถึงความรําคาญใจหรือไมเห็นดวยกลวธิ ียอ ยท่ี 2.1 การแสดงความรําคาญใจหรือไมเห็นดวย ในกลวิธีนี้ผูพูดสามารถแสดงออกถึงความไมพอใจ ความรําคาญใจหรือการไมเห็นดวย กลวิธีนส้ี ังเกตไดจากการทีผ่ ูพดู กลา วตาํ หนโิ ดยใชถ อ ยคาํ ทแี่ สดงถงึ ความรําคาญหรอื เบอื่ หนาย เชน “แมเบ่อืแลว นะ” “แยจ รงิ ” “เซง็ เลย” “ไมนา เลย” หรอื เปนคาํ พดู ในเชงิ ท่ที ําใหผ ูฟง รวู าตนรสู กึ ไมพอใจหรือรําคาญใจโดยอาจไมไดก ลาวตําหนไิ ปทต่ี วั ผฟู ง อยางตรง ๆ และไมไดเ ปนการกลาวหาหรือการตอ วาอยางรุนแรงตอ ผถู ูกตาํ หนิ ดังตวั อยา งตอ ไปนี้ตัวอยา งที่ 3จากสถานการณที่ 2 ในขอความที่ 65กลา ววา “บอยไปสูบทอ่ี ่นื มนั เหมน็ ” (ผพู ดู กลาวตําหนิเพอื่ นของตนท่ีสูบบหุ รีใ่ นกลมุ เพอ่ื นทีน่ ั่งคุยกันอยู)
34จากตัวอยางที่ 3 นีผ้ ูพดู กลา วแสดงความรสู ึกของตนวาตนกําลงั เบ่ือหนา ยและรําคาญใจในสง่ิ ทเ่ี กิดขน้ึขณะน้ันตัวอยางท่ี 4จากสถานการณท ่ี 5 ในขอความที่ 167“พี่อม้ั แยจ ัง เมยย ังไมไดใ ชเ ลย” (ผูพูดกลาวตําหนิรนุ พท่ี ่ียืมดนิ สอของตนไปแลวทําหาย)จากตวั อยา งที่ 4 ผพู ดู กลา วแสดงความรสู กึ ของตนวาตนรสู ึกเสียดายและอาจมคี วามไมพ อใจในเหตุการณท ่ีเกิดขึน้ แตก ไ็ มไดก ลาวตําหนผิ ฟู ง ดว ยความรุนแรงแคกลา วแสดงความรูสึกของตนเทา น้นัวาตนเองรสู ึกราํ คาญใจหรือหงดุ หงิดใจผูฟง ทต่ี นซ้อื ดนิ สอมาใหมท ้งั ๆ ที่ตนเองยังไมไดใชดนิ สอดามนั้นเพอ่ื นรนุ พี่ก็มายืมไปแถมยงั ทําดนิ สอของตนหาย ซ่ึงเปนเร่อื งที่ไมนาเกดิ ข้ึนตัวอยา งที่ 5จากสถานการณท่ี 9 ในขอ ความท่ี 325“แมเ บ่ือแลวนะลูกท่ตี องมาขุดลูกจากเตียงทกุ วนั เชาน้จี ะเปนวนั สุดทา ยท่ีแมจะทาํ แบบน้ี” (ผกู ลา วตาํ หนิลูกของตนทน่ี อนตนื่ สายใหต นตองปลกุ อยูเปน ประจํา)จากตัวอยางที่ 5 ผพู ดู กลา วแสดงความรสู กึ ของตนวา ตนกําลงั เบื่อหนา ยและราํ คาญใจในสถานการณท่ีเกิดขนึ้ แตถ ึงอยางไร ผูพดู ก็ไมไดก ลาวตําหนิผฟู ง ดวยถอยคาํ ท่ีรุนแรง เพยี งแคพดู แสดงออกถงึความรูสกึ ของตนวาเบ่อื หนายกบั ส่งิ ทีต่ อ งทําอยูเปนประจาํตัวอยางที่ 6จากสถานการณท ี่ 10 ในขอ ความท่ี 369“แนน ไมน า ทาํ มนั ตกเลย เพราะพีร่ กั มนั มาก” (ผพู ดู กลาวตาํ หนินองสาวของตนทที่ าํ นาฬิกาตกทําใหหนา ปด นาฬกิ าแตก)จากตวั อยา งที่ 6 ผูพูดกลาวแสดงความรูส ึกของตนวาตนกาํ ลังเบอื่ หนาย ราํ คาญใจและรูสกึ เสียดายของทเี่ สยี ไป แตก ็ไมไ ดก ลาวตาํ หนิผูฟ ง ดวยถอ ยคาํ ทร่ี ุนแรงชัดเจนแตในกรณนี ผี้ ูพูดอาจคาดหวงั ใหผ ูฟงเกิดความละอายใจ จากตวั อยา งจะเหน็ วา ผพู ูดกลาวตําหนผิ ูกระทาํ ผิดดว ยถอ ยคาํ ทไ่ี มไ ดร ุนแรงมากนกั ผูพูดกลาวเพียงแคบอกถึงความรสู กึ ของตนวา ตนกําลงั ไมพอใจกับเหตกุ ารณท ี่เกิดขึ้น ซ่งึ ผพู ดู ไมไดกลา วถอ ยคําที่เปน การเรียกรอ งใหผ กู ระทําผิดรับผิดชอบตอ เหตกุ ารณท ่เี กิดขึน้กลวธิ ยี อ ยท่ี 2.2 การกลาวถึงผลลัพธจากการกระทําผิด ในกลวิธีนี้สามารถสังเกตไดจากผพู ูดจะกลาวถงึ ผลเสียทเ่ี กิดขึ้นจากการกระทําผิดของผูฟงซงึ่ท้งั นีผ้ พู ูดก็มไิ ดก ลา วตาํ หนิหรอื กลาวหาผูกระทาํ ผดิ อยางรุนแรงเชน เดียวกับกลวธิ ที ่ี 2.1 ซึ่งสังเกตได
35จากการทผ่ี ูพดู พยายามพดู เชอ่ื มโยง จากสถานการณท ่ผี กู ระทาํ ผิดไดกระทําลงไปตอผลลพั ธทีเ่ กิดข้ึนหลงั จากเหตกุ ารณนัน้ ๆ จบลง ดังตัวอยางตอ ไปน้ีตัวอยางท่ี 7จากสถานการณที่ 8 ในขอความที่ 287“คราวหลังถาคุณวิชัยไมสะดวกมาพบชวยกรุณาแจงใหทราบลวงหนาดวยนะคะ เพราะไมอยางนั้นทางบริษัทจะไดรับความเสียหายคะ” (ผพู ูดกลาวตําหนิผฟู งซึ่งเปนลูกคาท่ีผดิ นดั การประชุมกับบริษัท)จากตัวอยา งท่ี 7 ผูพูดกลาวเชอื่ มโยงถงึ ผลลัพธท่ีตามมาจากการกระทําผิดของผูฟง โดยในขอ ความนผ้ี ูพูดกลาวถึงความเสียหายท่เี กดิ ขึ้นเมอ่ื ผูฟ ง ไมมาตามนัดตวั อยา งท่ี 8จากสถานการณท ่ี 8 ในขอ ความที่ 293“ทางบริษัทไดรับความเสียหายมากนะคะ ครั้งหนาคุณคงมาตามนัดนะคะ” (ผพู ูดกลา วตาํ หนิผูฟง ซ่งึเปน ลกู คาท่ีผิดนดั การประชมุ กับบรษิ ทั )จากตวั อยางที่ 8 ผูพ ดู กลาวเชื่อมโยงถึงผลลพั ธท ่ีตามมาจากการกระทําผดิ ของผูฟ ง โดยในขอ ความนผ้ี ูพูดกลาวถึงความเสยี หายทเ่ี กิดขนึ้ เมื่อผูฟงไมม าตามนดัตัวอยา งที่ 9จากสถานการณท ่ี 9 ในขอความท่ี 338“หัดต่ืนใหม นั เชา ๆหนอ ยสิ วกิ กี้ ตน่ื สายจนตดิ เปน นสิ ยั แลว นะเนย่ี ” (ผพู ดู กลาวตําหนลิ กู ของตนที่นอนตน่ื สายจนตดิ เปน นสิ ยั )จากตวั อยา งท่ี 9 ผูพูดกลาวเชอ่ื มโยงถึงผลลัพธทต่ี ามมาจากการกระทําผดิ ของผฟู ง โดยในขอความนผ้ี ูพูดกลาวถงึ พฤตกิ รรมของผฟู งที่นอนตน่ื เสียจนทาํ ใหตนเองตดิ จนเปน นิสัยทไี่ มด ีจากตวั อยา งจะเห็นไดว าผูพดู ไดกลาวตําหนิผกู ระทาํ ผดิ โดยการกลา วเช่อื มโยงถึงผลรายจากสง่ิ ท่ีผูฟงกระทาํ ลงไป ซ่งึ ผลการกระทาํ ผิดทก่ี ระทาํ ลงไปนน้ั อาจสงผลเสียท้ังตอตัวของผกู ระทําผิดและตอผอู ืน่ ไดด ว ย3. การกลาวหาผูกระทาํ ผดิกลวิธยี อยที่ 3.1 การกลาวหาผูกระทําผิดอยางไมตรงไปตรงมา ในกลวิธีน้ีผูพดู จะพยายามเชื่อมโยงเหตุการณที่เกิดข้นึ กับผกู ระทาํ ผดิ และกลาวหาผูกระทาํ ผดิซึ่งสังเกตไดจากการทีผ่ พู ูดพยายามตั้งคาํ ถามหรอื พูดโดยการใหข อ มลู ผฟู งเพียงบางสวน อกี ทัง้ ผพู ูดอาจใชถอยคําทีท่ าํ ใหสถานการณใ นขณะนั้นมคี วามรุนแรงนอ ยลง เชน “รบกวน” “ชว ย” หรอื “กรุณา”
36แทนทผี่ พู ูดจะพดู กลา วหาผดู ว ยถอยคาํ ท่ีตรงไปตรงมา ซ่งึ ในกลวธิ ีน้ผี ูวจิ ยั ต้ังขอ สงั เกตวาผูพดู ตอ งการใหผ ฟู ง แสดงความรับผิดชอบตอ เหตกุ ารณท ่เี กดิ ขึ้น ซึ่งการกลาวหาอยางไมตรงไปตรงมานี้ก็ถือเปนการคุกคามหนาไดเชนกัน เพียงแตผูพูดอาจใชกลวิธีบางประการเขามาชวยในการลดความรุนแรงในการคุกคามหนาของผูฟง ดังตัวอยางตอ ไปน้ีตัวอยา งที่ 10จากสถานการณที่ 3 ในขอความที่ 104“กานต นายยืมที่เย็บกระดาษเราไปใชมั้ย” (ผูพ ดู กลา วตําหนเิ พื่อนรว มชน้ั เรียนของตนทย่ี มื ทเ่ี ยบ็กระดาษของตนไปแลวยังไมไดนํามาคืน)ตัวอยางที่ 10 ผพู ดู กลาวหาผฟู งดวยการเลยี่ งทจ่ี ะพดู กลา วหาผฟู งออกไปตรง ๆ เชน “นายเอาทเ่ี ยบ็กระดาษเราไปยังไมไดคืน”โดยการใชก ารต้ังคาํ ถามแทนท้งั ๆ ท่ผี ูพดู นั้นรอู ยแู ลววาผูฟงเปนคนยมื ไปแตการถามแบบนี้ผฟู ง ไมไ ดมีเจตนาที่จะตอ งการคําตอบ แตต องการใหผฟู ง รูสึกละอายใจและนําของที่ยืมตนไปมาคืนตัวอยา งท่ี 11จากสถานการณท ี่ 4 ในขอความท่ี 148“ขอโทษครับ ชวยเงยี บ ๆ กันหนอ ยไดม ้ยั อา นหนงั สอื ไมรูเร่ือง” (ผพู ดู กลา วตาํ หนิผูฟงท่ีคยุ กนั เสียงดังในหอ งสมุดโดยการบอกใหผฟู ง ชวยเงียบเสียงลง)จากตัวอยางที่ 11 ผูพูดกลา วหาผูฟง ดวยการเล่ียงทจี่ ะพูดกลา วหาผูฟงออกไปตรง ๆ เชน “พวกเธอเสยี งดงั จนเราอา นหนงั สอื ไมร เู รื่องเลย” แตใ นกรณนี ผ้ี ูฟงกลับใชการขอรอ งใหผ ฟู งเงียบเสยี งลงดวยการใชประโยคคําถามเนอ่ื งจากผฟู งเสยี งดังจนอา นหนังสอื ไมร เู รือ่ งตวั อยา งที่ 12จากสถานการณท ่ี 5 ในขอความที่ 164“อม้ั ทาํ ดนิ สอชน้ั หายแลว เหรอ คราวหนาถายืมไปชวยรักษาหนอยนะ” (ผพู ูดกลาวตําหนิผูฟงท่ยี มืดนิ สอขอตนไปแลว ทาํ หาย)จากตวั อยางที่ 12 ผูพ ดู กลาวหาผูฟงดว ยการใชป ระโยคคาํ ถามในการพูดกลาวหาวาผฟู งนน้ั ทาํ ดนิ สอของตนหาย แตอ าจเปน คาํ ถามท่ไี มไ ดต องการคาํ ตอบแตผ ูพ ดู ตองการใหผ ูฟงเกดิ ความรูสกึ ละอายใจในสิ่งที่ตนกระทําลงไป
37ตวั อยางที่ 13จากสถานการณท่ี 6 ในขอ ความท่ี 207“ทาํ ไมพ่ีเอารถปุมไปใชแลวไมบอกกอนหละ แถมขับไปชนดวย” (ผูพูดเปน เจา ของรถ ซง่ึ พส่ี าวนาํ รถของผูพูดไปชนไฟทายแตก)จากตวํ อยางท่ี 13 ผูพดู กลา วหาผูฟงดว ยการใชป ระโยคคาํ ถามในการพูดกลาวหาวาผูฟ งวา นาํ รถของตนไปใชแ ลว ไมบ อกทําใหเกดิ เร่อื งเสยี หายขน้ึ แตอาจเปน คําถามทีไ่ มไดตอ งการคาํ ตอบแตผพู ูดตองการใหผฟู งเกิดความรูสกึ ละอายใจในส่ิงท่ตี นกระทาํ ลงไป ซงึ่ ในกรณีนผ้ี ฟู งอาจแฝงความตอ งการใหผูฟงชดใชในความเสียหายที่เกิดขึ้น ขอสังเกตทผี่ ูวิจัยพบในกลวธิ นี ้ี คือ การใชถอยคําแบบออ มโดยการใชประโยคคาํ ถามและประโยคที่แสดงการขอรองและประโยคคําถาม เพื่อเปนการลดการคุกคามหนาดานลบของผูฟงและเปนการลดความรนุ แรงของสถานการณซ ่ึงทาํ ใหผฟู ง เสยี หนา นอยท่สี ุดกลวิธียอ ยท่ี 3.2 การกลาวหาผูกระทําผิดอยางตรงไปตรงมา ในกลวธิ ีนส้ี ามารถสงั เกตไดจ ากการท่ีผูพดู กลาวกับผูฟงอยา งตรงไปตรงตรงมาวา ผฟู งไดกระทําความผิดนั้น เชน ผูพูดใชประโยคบอกเลาในการกลาวหาผูกระทําผิดอยางตรงไปตรงมาดังตวั อยางตอ ไปนี้ตวั อยางที่ 14จากสถานการณท่ี 6 ในขอ ความที่ 212“โอย น่เี อารถของเคาไปขับยงั ไมร ูจ กั ระวังใหดอี กี ยังไงตองจายคาซอมใหเลย” (ผพู ดู เปนเจา ของรถ ซึง่พ่สี าวนาํ รถของผพู ดู ไปชนไฟทายแตก)จากตวั อยา งที่ 14 ผูพูดกลาวหาผูฟงอยางตรงไปตรงมาโดยการใชประโยคบอกเลา วานํารถของตนไปขับแลว ทําเสยี หาย ในกลวิธีนผี้ ูพ ดู กลา วกบั ผฟู งดว ยถอยคาํ ที่ตรงไปตรงมาไมออ มคอ มตัวอยา งที่ 15จากสถานการณท ่ี 9 ในขอ ความท่ี 354“โตปา นน้ีแลวตองใหแ มม าปลุกอกี เมอ่ื ไหรจะตนื่ เองไดเน่ยี ” (ผพู ูดกลาวตาํ หนลิ กู ของตนท่ีนอนต่ืนสายจนตองใหตนมาปลุกทุกวัน)จากตัวอยางท่ี 15 ผูพูดกลาวหาผูฟงอยางตรงไปตรงมาโดยการใชประโยคบอกเลา วาผูฟงไมมีความรับผิดชอบยงั ตองใหต นมาปลุกทกุ เชา ในกลวิธีนี้ผพู ดู กลา วกับผูฟ งดว ยถอ ยคําท่ตี รงไปตรงมาไมอ อ มคอ ม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131